ppsan
|
|
« on: 14 October 2021, 21:33:45 » |
|
สานต่อ งานที่พ่อทำ
"สุเมธ...งานยังไม่เสร็จ"
งานยังไม่เสร็จ! ดร.สุเมธ เผยพระราชกระแสรับสั่งสุดท้ายจากในหลวง ร.9
(ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด)
ดร.สุเมธ เผย พระราชกระแสรับสั่งสุดท้ายจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ‘งานยังไม่เสร็จ’ ยัน พร้อมปฏิบัติหน้าที่จนหมดแรง...
เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 59 เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘สานต่อที่พ่อทำ’ ได้เผยข้อความตอนหนึ่งของ ดร.สุเมธ จากปาฐกถาในงานโครงการจัดกิจกรรมและสัมมนาผู้สูงอายุร่วมสร้างคุณค่าวัฒนธรรมไทยสู่ประชาคมอาเซียน ณ อาคารรัฐสภา 22 เมษายน 2555
“ผมเคยเข้าเฝ้าฯ กราบพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ผมอายุ 60 ปี เป็นวัยที่ต้องเกษียณ พระองค์รับสั่งว่า "แล้วฉันล่ะ" ....วันนั้นผมอายุ 60 ปี แต่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา
นับตั้งแต่วันนั้นผมไม่กล้าเอ่ยถึงคำว่าเกษียณอีกเลย ผมจึงเปลี่ยนเป็นขอพระราชทานพรในวันคล้ายวันเกิดแทน พระองค์ทรงมักจะให้พรในทำนองว่า
“ขอให้แข็งแรงนะ ขอให้มีพละกำลังกายที่แข็งแรงเพื่อที่จะทำประโยชน์ให้คนอื่นได้” หรือ
“ขอให้มีความสุขในการทำประโยชน์เพื่อคนอื่น" ....คำพระราชทานมักจบลงด้วยงานหรือการทำเพื่อคนอื่น
แต่ในปีนี้ผมเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลพระองค์ว่าอายุครบ 72 ปี พระองค์ทรงนิ่งไปสักพักหนึ่ง แล้วทรงยกพระหัตถ์มาจับบ่าผมเขย่า แล้วรับสั่งว่า
"สุเมธ งานยังไม่เสร็จ....สุเมธ งานยังไม่เสร็จ” ...พระองค์ทรงห่วงเรื่องงานอย่างแท้จริง"
..... สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ทรงเป็นธรรมราชาที่สถิตย์อยู่กลางใจราษฎร์ตลอดไป
14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันเสด็จฯ จากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คงพอจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของประชาชน ที่พร้อมใจส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดิน
วันที่ 19 สิงหาคม พุทธศักราช 2489..."วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ ตลอดทางที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชนที่มาส่งเสด็จอย่างล้นหลาม ได้ทอดพระเนตรเห็นประชาชนที่แสดงความจงรักภักดี บางแห่งใกล้จนทอดพระเนตรเห็นดวงหน้าและแววตาชัด ที่บ่งบอกถึงความเสียขวัญอย่างใหญ่หลวง ทั้งเต็มไปด้วยความรักและห่วงใย อันเป็นภาพที่ทำให้อยากรับสั่งกับเขาทุกคน ถึงความหวังดีที่ทรงเข้าพระทัย และขอบใจเขาเช่นกัน ขวัญของคนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าขาดกำลังใจ ถ้าขวัญเสียมีแต่ความหวาดระแวง ประเทศจะมีแต่ความอ่อนแอและแตกสลายพอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลัง ปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมากตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพรได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ เข้าพระกรรณ์ ว่า...."
"ในหลวง อย่าทิ้งประชาชนนะ"
อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า
"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้"
" พระมหาราชา อย่าทิ้งประชาชนนะ.."
.....
"เราดูสมรักษ์ชกวันนั้น เห็นสมรักษ์ถือรูปเราขึ้นเวที ชูมือ เรานึกว่าเราเป็นคนชกเอง พอสมรักษ์ชกชนะ เราก็เผลอตัวกระโดดโลดเต้นดีใจ จนข้าราชการผู้ใหญ่หัวเราะเรา เราก็เลยรู้สึกอาย เราก็เลยนั่งลง"
ในหลวงรับสั่งกับสมรักษ์ คำสิงห์ เมื่อครั้งเข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองโอลิมปิก แอตแลนตาเกมส์ 1996
|