Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ... | Profile of CYBERG | Show Posts | Messages
Messages |
Topics |
Attachments
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Messages - CYBERG
Pages: [1]
1
« on: 29 April 2013, 07:44:18 »
แลก Windows ใช้แล้วเป็นของใหม่...เรียกใช้ WinRE ปกติ Windows มีเครื่องมือช่วยชีวิตให้กับระบบอยู่พอสมควรแก่การใช้งานอยู่แล้ว เพียงแต่ปัญหาคือ Microsoft นั้นเป็นบริษัทประเภทแม่พิกุลทอง จะบอกจะสอนอะไรเพื่อให้ชาวบ้านเขาจะได้รู้ได้เข้าใจ ตะละแม่ก็กลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก ก็เลยจะแปลงเป็นพระอินทร์มาถอดรูปเงาะออกให้พ่อสังข์ทองสักส่วนหนึ่งเพื่อสกัด Norton และ 6 เขยแก้เซ็ง...ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หากจะสร้างความปลอดภัยให้กับ Windows NT6 ตามหลักสูตรแบบเป๊ะๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Notebook ให้คล้ายกับที่มีปุ่ม Function เพื่อเรียกคืน Windows ให้กลับไปเป็นค่าแรกเริ่มที่เปิดใช้แล้ว จะต้องเริ่มตั้งแต่การแบ่ง Partition ให้กับ Hard Disk ที่มีอยู่แค่ 1 ลูกใน Notebook เสียก่อน (หลักการนี้ถือว่า Computer ถูกติดตั้ง Hard Disk ไว้เพียงแค่ 1 ลูกโด่เด่ หากมีหลายลูกก็ไปพลิกแพลงเอาหน่อย...โตๆกันแล้ว)
เดาเอาตามใจฉันเอง (Microsoft ไม่เกี่ยว) ว่า Hard Disk 1 ลูกควรจะถูกแบ่ง Partition ออกเป็น 4 Partition ดังนี้...
1. System Reserved Partition ที่อยู่ส่วนแรกสุดของ Hard Disk ซึ่งมักจะถูกทำลายเพื่อเอาพื้นที่แค่ไม่ถึง 1GB คืน แต่ประโยชน์หลักของมันจริงๆแล้วก็คือเป็นตัวป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นได้ด้วยสารพัดสาเหตุกับ Windows
ทั้งนี้ใน Partition นี้จะมี File ที่จำเป็นสำหรับ Boot ระบบ Windows และพระเอกของเรื่องนี้ที่ชื่อ Windows Recovery Environment หรือ WinRE แอบอยู่ โดย Windows RE นี้คือเครื่องมือสำคัญของ Windows ที่เอาไว้ซ่อมแซมระบบ นอกจาก 2 อย่างนี้แล้ว ที่เหลือก็จะเป็น Utility ส่วนเสริมต่างๆที่ต้องการแอบเอาไว้ไม่ให้ใครเจอง่ายๆหรือที่ Run บน Drive C: ไม่ได้ เช่น BitLocker
โดย Partition นี้จะเป็น Primary Partition และเป็น Hidden Drive จากการเอา Drive Letter ออก โดยหากดูใน Disk Management จะเห็นว่าเป็น System Partition เพราะเป็น Partition ที่เอาไว้เริ่ม System จึงต้องตั้งค่าเอาไว้ใน Master Partition ของ Sector 0 ให้มีค่าเป็น 80 เพื่อใช้ Boot หรือที่สาธุชนทั้งหลายเรียกมันว่า "Set Active" นั้นแล ขนาดที่เหมาะสมคือไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของ WinRE.wim
2. Windows Partition จะอยู่ในลำดับถัดมาจาก System Reserved Partition ใน Hard Disk โดยระบบปฏิบัติการต่างๆจะถูกติดตั้งลงไปใน Partition นี้และถูกกำหนดโดยทั่วไปให้ใช้ Letter ตัวแรกคือ C (A และ B ถูกจำกัดเอาไว้ให้สำหรับ Floppy Disk Drive) ดังนั้นจึงถูกตั้งให้เป็น Drive C: โดย Microsoft บอกว่าจะเอาอย่างนี้ ใครจะทำไม? ถ้าอยากได้ปราสาทคืนก็ให้ไปฟ้องศาลโลกเอาเอง ไม่ให้ตีความยึด Drive Letter เพิ่มนี่ก็บุญแล้ว
โดยหากดูใน Disk Management จะพบว่ามันเป็น Boot Partition คือ เป็น Partition ที่ตอบสนองโดยตรงต่อการทำงานของ System Partition เพื่อดำเนินการ Boot ให้ต่อเนื่อง โดยหากสังเกตุดูชื่อจะพบว่ามักสร้างความเข้าใจผิดให้ชาวบ้านร้านถิ่นอยู่เนื่องๆ กล่าวคือ System Partition เอาไว้ Boot ส่วน Boot Partition เอาไว้ Run System
หากเมื่อใดก็ตามที่เอา System Reserved Partition มารวมไว้กับ Windows Partition เมื่อนั้นจะทำให้ Drive C: ของท่านกลายเป็น System และ Boot Partition ไปในตัวเดียวกัน โดยขนาดของ Boot Partition ที่เหมาะสมคือ ไม่ต่ำกว่า 16GB สำหรับ Windows 32-bit และไม่ต่ำกว่า 20GB สำหรับ Windows 64-bit และควรเป็น Primary Partition
3. Data Partition อยู่ถัดจาก Windows Partition ใน Hard Disk แต่ห้ามเอาไว้ท้ายสุด เป็น Partition ที่เอาไว้เก็บข้อมูลต่างๆตามใจฉัน ไม่มีก็ไม่ตาย เก็บเอาไว้ใน Drive C: ก็ได้ แต่จะออกแนวมั่วและจะมีของหายเกิดขึ้นแน่นอนหากระบบมีปัญหา เป็นได้ทั้ง Primary และ Logical Partition หากต้องการจะแบ่งมันออกอีกเป็นหลายๆ Drive
4. Recovery Partition ควรเอาไว้ท้ายสุดใน Hard Disk และควรเป็น Primary Partition แต่อาจเป็น Logical ก็ได้ เป็นที่เก็บ Windows Image File หรือ Split Windows Image File (Wim/Swm-File) ที่เอาไว้เรียกคืน Windows โดยการใช้ Windows Recovery Environment ใช้ Disk Management เปิดดูจะพบว่ามันชื่อ Recovery Partition เป๊ะๆเลย
Partition นี้ควรมีขนาดใหญ่กว่า Wim/Swm-File ที่เก็บ Image ของ Windows ที่ใช้ ไม่ต่ำกว่า 1GB เพื่อให้หายใจ และเป็น Hidden Partition อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อกำหนดว่าจะต้องเก็บ Wim/Swm-File ที่จะเอาไว้ Recovery ใน Partition นี้ โดยอาจจะเก็บเอาไว้ใน Partition ใดใน Hard Disk ก็ได้ยกเว้น Drive C: ซึ่งเป็น Boot Partition ที่ลง Windows เอาไว้ เพราะในการเรียกคืนมันจะเขียนลงไปบนตัวเองไม่ได้
ให้ข้อสังเกตุว่า Partition ใดที่เป็น Hidden จะไม่ถูกรังแกจาก Virus เพราะ Virus มันโง่ จึงไม่สามารถเข้าถึง Hidden Partition ได้ ทั้งนี้ยังไม่รู้จักคนเขียน Virus คนใดที่สอนให้ Virus อ่าน Kernel Path เป็นนั่นเอง (ชี้โพรงเสียเลย) ด้วยเหตุนี้การกำหนด Partition ที่ไม่อยากให้ใครรบกวนได้ จึงทำเป็น Hidden Partition
เริ่มต้นแค่การเตรียม Hard Disk ให้ถูกระเบียบก็หาวหวอดๆกันแล้วเพราะมีแต่ตัวหนังสือกับทฤษฎี แล้วรอดูต่อๆไปสิคงมีหลับคาจอ 037แลก Windows ใช้แล้วเป็นของใหม่...เรียกใช้ WinRE http://www.gggcomputer.com/index.php?topic=19022.0
2
« on: 19 April 2013, 15:32:58 »
3
« on: 19 April 2013, 15:15:48 »
4
« on: 19 April 2013, 12:46:36 »
5
« on: 15 April 2013, 06:23:53 »
น้องปาร์ตี้ สวยน่ารัก หุ่นดีมั่กๆ
เสียดายที่ กล้องที่ถ่ายน่าจะดีกว่านี้นะ ๕๕๕
6
« on: 25 January 2013, 14:39:20 »
ระบบกันสะเทือน หรือระบบรองรับน้ำหนัก หรือ ระบบแขวนล้อ ซึ่งพวกเรานิยมเรียกว่า "ช่วงล่าง" แปลมาจากคำว่า Suspensions ในภาษาอังกฤษ หน้าที่โดยตรง คือ "ลดอาการสั่นสะเทือนอันเกิดจากการกลิ้งของล้อสัมผัสกับพื้นผิวถนน" ให้หลงเหลือส่งถ่ายไปยังห้องโดยสารน้อยที่สุด แต่ระบบกันสะเทือนก็ยังมีหน้าที่แฝงอีกหลายข้อ ได้แก่ ช่วยให้การบังคับควบคุมรถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ, รักษาระดับตัวรถ ให้พื้นรถห่างจากผิวถนนคงที่, ควบคุมล้อให้ตั้งฉากกับพื้นถนนตลอดเวลาเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนมากที่สุด แม้ในขณะเข้าโค้ง, ลดอาการกระดก และโยนตัว สมดุลให้รถอยู่ในสภาพปกติ ขณะเคลื่อนที่ผ่านผิวถนนที่ไม่ราบเรียบ การรองรับน้ำหนัก ในศัพท์ทางรถยนต์ หมายถึง การใช้สปริงคั่นกลางระหว่างโครงรถ (Frame), ตัวถัง (Body), เครื่องยนต์, ชุดส่งกำลัง กับล้อ ซึ่งเป็นส่วนที่รับภาระจากการสัมผัสโดยตรงกับพื้นถนน น้ำหนักของอุปกรณ์ดังกล่าว ตลอดจนน้ำหนักบรรทุกที่อยู่ด้านบนของสปริง เราเรียกว่า น้ำหนักเหนือสปริง (Sprung weight) ส่วนน้ำหนักใต้สปริง ซึ่งได้แก่ ล้อ, ยาง, ชุดเพลาท้าย (ในรถที่ใช้แบบคานแข็ง) และเบรก จะเป็นน้ำหนักที่สปริงไม่ได้รองรับ ถูกเรียกว่า น้ำหนักใต้สปริง (Unsprung weight)
หน้าที่และชนิดของสปริง สปริงจะยุบและยืดตัวเมื่อล้อวิ่งผ่านผิวถนนที่ขรุขระ ส่งผลให้ล้อเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้เกือบอิสระในแนวดิ่งจากโครงรถ ทำให้สามารถ "ดูดกลืน" (Absorb) แรงเต้นของล้อลงได้ แรงจากการเคลื่อนที่ของล้อจึงถูกส่งถ่ายไปยังตัวถังน้อยกว่าที่ ล้อเต้นจริง ผลก็คือผู้โดยสารและน้ำหนักบรรทุกจะได้รับแรงสะเทือนจากล้อลดลง นั่นเอง เรามักเข้าใจว่า "สปริง" คือ ขดลวดที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดต่างๆ ขดเป็นวง รูปทรงกระบอก (สปริงขด หรือ Coil Spring) แบบอย่างที่เราคุ้นเคยกันมาตลอด แต่ในความเป็นจริง สปริงยังมีอยู่อีกหลายประเภท หลายรูปแบบ และที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ แหนบ (Leaf Spring), เหล็กบิด หรือทอร์ชั่นบาร์(Torsion bar), สปริงลม (Air Spring), สปริงยาง (Rubber Spring) และ ไฮโดรนิวเมติก (Hydro - Pneumatic) ในอนาคตเมื่อความก้าวหน้าทางวิศวกรรมสูงขึ้นอีก ก็อาจมีสปริงรูปแบบใหม่ๆ ออกมาใช้งานอีกก็เป็นได้ แหนบจะรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนโดยการ "โค้งหรืองอตัว" ของแผ่นแหนบ สปริงขดรับน้ำหนักโดยการ "หด หรือยุบตัว" ของขดสปริง ส่วนเหล็กบิด หรือทอร์ชั่นบาร์ นั้น จะรับแรงสั่นสะเทือนโดยการ "บิดตัวของเพลา", สปริงลมลดแรงสั่นสะเทือนจากการ "อัดตัวของลม" ในถุงลม, ส่วนสปริงแบบไฮโดรนิวเมติก ดูดซับแรงสั่นสะเทือน โดยการอัดตัวของแก๊สไนโตรเจนและของเหลว (ที่ใช้อยู่เป็นน้ำมันไฮดรอลิก) ในระบบ
แบบคานแข็ง (Solid axle suspension) คานแข็ง ล้อด้านซ้ายและล้อด้านขวาอยู่บนเพลาเดียวกัน เป็นแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมาและในปัจจุบันก็ยังมีใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถบรรทุก รถยนต์นั่งมีเฉพาะล้อหลัง แต่ก็มีให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ ข้อดี คือ แข็งแรง ทนทาน ค่าสร้างถูก แต่มีข้อเสีย คือ มีน้ำหนักใต้สปริงมาก เมื่อล้อใดล้อหนึ่งเอียงไป ล้อที่อยู่บนคานเดียวกันจะเอียงตามไปด้วย การควบคุมรถที่ความเร็วสูง และสภาพถนนขรุขระจึงไม่ดีเท่าที่ควร แบบอิสระ (Independent suspension) ล้อทั้ง 4 ของระบบกันสะเทือนรูปแบบนี้จะเต้นเป็นอิสระต่อกัน ไม่ส่งผลไปยังล้อที่อยู่ตรงกันข้าม หรือถ้ามีบ้างก็น้อยมาก น้ำหนักใต้สปริงของระบบรองรับแบบนี้มีน้อย แรงเฉื่อยจากการเต้นของล้อจึงมีน้อยกว่า อาการเต้นของล้อจึงกลับสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว น้ำหนักใต้สปริงของระบบกันสะเทือนแบบอิสระน้อยมากยิ่งขึ้นไปอีก ในปัจจุบัน เพราะผู้ผลิตหลายรายหันมาใช้อะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา เป็นส่วนประกอบหลักของระบบกันสะเทือนแทนเหล็ก ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าแทบทั้งชุด การควบคุมรถจึงทำได้อย่างมีเสถียรภาพมากกว่า และยังนุ่มนวลกว่า ซึ่งระบบรองรับแบบอิสระจะแบ่งออกไปอีกหลายประเภท อาทิ ปีกนก, เซมิเทรลิ่งอาร์ม, แม็คเฟอร์สันสตรัท, มัลติลิงค์ และอีกหลายระบบที่พัฒนาบนพื้นฐานของระบบที่ยกตัวอย่างมา รวมถึงยังมีการนำแต่ละระบบมาผสมผสานกันด้วย
ปีกนก (Wishbone suspension) การออกแบบแตกต่างกันไป เช่น ปีกนกบนและปีกนกล่างยาวไม่เท่ากันแต่ขนานกัน, ปีกนกบนและปีกนกล่างยาวไม่เท่ากันและไม่ขนานกัน ระบบรองรับน้ำหนักประเภทนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างแพร่หลาย ปัจจุบันสามารถออกแบบให้แข็งแรงมากพอ และใช้อะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา แทนโครงสร้างเดิมที่เป็นเหล็ก จึงไม่แปลก นอกจากในรถยนต์นั่งแล้ว รถ Off-road หลายรุ่นก็ใช้ระบบกันสะเทือนรูปแบบนี้ด้วย
เซมิเทรลิ่งอาร์ม (Semi trailing arm) แขนเต้น (Trailing arm) อาจมีอยู่ 2 แขน หรือแขนเดียวก็ได้ ถ้าเป็นแขนเดียวจะเรียกว่า เซมิเทรลิ่งอาร์ม (Semi trailing arm) ถูกออกแบบให้ใช้ในล้อหลัง แขนเต้นมีใช้ทั้งแบบจุดหมุนอยู่ตามแนวยาวและจุดหมุนอยู่ตามแนวข วางกับตัวรถ ปัจจุบันมีให้เห็นมากในรถ MPV ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า จุดเด่น คือ มีชิ้นส่วนในการเคลื่อนที่น้อย ห้องโดยสารจึงออกแบบได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
แม็คเฟอร์สันสตรัท (MacPherson strut) การออกแบบคล้ายกับระบบปีกนกธรรมดา แต่ไม่มีปีกนกบน โช้คอัพและคอยล์สปริงจะรวมอยู่บนแกนเดียวกัน ทำให้ประหยัดเนื้อที่และลดชิ้นส่วนต่างๆ ลงได้มาก ตัวถังบริเวณที่รองรับชุดแม็คเฟอร์สันสตรัท ต้องแข็งแรงเป็นพิเศษ ข้อเสียของระบบกันสะเทือนชนิดนี้ คือ ไม่สามารถทำให้รถต่ำลงเท่าระบบกันสะเทือนแบบปีกนก จึงไม่นิยมใช้กับรถแข่งทางเรียบ (Racing Car) แต่บนทางฝุ่นในสนามแรลลี่โลก ใช้ แม็คเฟอร์สันสตรัทเกือบทุกค่ายเลยล่ะ
มัลติลิงค์ (Multi-link suspension) คำว่ามัลติลิงค์จะค่อนข้างครอบคลุม สำหรับระบบกันสะเทือนที่ใช้แขนยึด (Link) แบบหลายจุด เช่น โฟร์บาร์ลิงค์เกจ, ไฟว์ลิงค์ หรือแขนยึดแบบ 5 จุด ที่ออกแบบให้ใช้แขนยึดหลายจุดเพื่อต้องการควบคุมมุมล้อ และรักษาหน้ายางให้ตั้งฉากกับพื้นถนน ปัจจุบันนิยมใช้กับล้อคู่หลังในกลุ่มรถ Luxury เพราะโดดเด่นเรื่องความนุ่มนวล ทั้งยังให้สมรรถนะในการยึดเกาะถนนที่ดี
ทอร์ชั่นบาร์ (Torsion bar) มีรถยนต์หลายรุ่นได้นำเอาทอร์ชั่นบาร์มาใช้แทนแหนบและสปริงขด ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง โดยเฉพาะในล้อหน้าจะเห็นได้ในรถกระบะ ระบบกันสะเทือนรูปแบบนี้จะมีทอร์ชั่นบาร์สองท่อน (ของล้อหน้าซ้าย และล้อหน้าขวา) ติดตั้งตามยาวของโครงรถข้างละท่อน ที่ปลายด้านหน้ายึดติดกับปีกนกล่าง ปลายด้านหลังยึดติดกับซับเฟรม ซึ่งสามารถปรับแต่งความตึงของทอร์ชั่นบาร์ได้ น้ำหนักของรถจะทำให้ทอร์ชั่นบาร์บิดตัวไปเหมือนกับสปริงขด จะยุบตัวหรือบิดตัวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักรถ การบิดตัวดังกล่าวจะทำให้เกิดผลของความเป็นสปริง เช่นเดียวกับสปริงรูปแบบอื่นๆ
ทีนี้ก็ไม่ต้องหวั่งว่าช่วงล่างแบบไหน ใช้ทำอะไรเรียกว่ารถอะไร ค่อยๆศึกษาไปและจะเข้าใจสัจจะธรรมว่า ถูก, ทน และ ดีมีที่ ไหนนะ..........
ขอขอบคุณข้อมูลจาก lancerthailand.com
7
« on: 12 January 2013, 17:00:32 »
WCDMA, UMTS, HSDPA, HSUPA, HSPA ต่างกันอย่างไร?
เคยสงสัยกันมั้ยครับว่าทำไมบางเครื่องระบุไว้ว่ารองรับ WCDMA บางเครื่องก็รองรับ UMTS บางเครื่องก็ HSDPA มากมายเต็มไปหมด แล้วเครื่องไหนกันแน่ล่ะที่รองรับ 3G ??
วันนี้จะมาอธิบายเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างพวกคำศัพท์พวกนี้ให้ฟังครับ
WCDMA คืออะไร?
WCDMA (Wideband Code Division Multiple Access) คือระบบเครือข่ายมาตรฐานใหม่ที่พัฒนามาจาก GSM ครับ เป็นรุ่นที่ 3 ต่อจาก GSM หรือ 3G นั่นเอง เครื่องไหนที่รับรองรับเครือข่าย WCDMA ก็หมายความว่ารองรับ 3G ครับ
และที่เข้าใจผิดกันมากก็คือ WCDMA นั้นไม่เหมือนกัน CDMA และใช้กันไม่ได้นะครับ เครื่องมือถือที่รองรับสัญญาณเครือข่ายแบบ CDMA ไม่ได้แปลว่าสามารถรับสัญญาณเครือข่ายแบบ WCDMA ได้ และในทางกลับกัน เครื่องที่รองรับ WCDMA ก็ไม่ได้แปลว่าจะรองรับ CDMA ได้เช่นกันครับ (เครื่องที่รองรับ CDMA แทบทั้งหมดจะไม่รองรับ WCDMA อีกด้วยครับ)
UMTS คืออะไร?
UMTS (Universal Mobile Telecommunications System) คือการรับส่งข้อมูลในมาตรฐาน 3G ที่ส่งผ่านสัญญาณเครือข่ายแบบ WCDMA ครับ มีความเร็วสูงสุดอยู่เเพียง 384kbps เท่านั้นครับ
HSDPA คืออะไร?
HSDPA (High-Speed Downlink Packet Access) คือเทคโนโลยีการรับข้อมูลที่พัฒนามาจาก UMTS ครับ และนี่แหละที่ทำให้ 3G มีความแตกต่าง เพราะการรับข้อมูลแบบ HSDPA นั่นสามารถรับได้ความเร็วสูงสุดถึง 14.4 Mbps(Downlink) เลยครับ ซึ่งความเร็วนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวมือถือและทางผู้ให้บริการระบบเครือข่าย ด้วยว่าจะให้ความเร็วอยู่ที่เท่าไร(ประเทศไทยคาดว่าจะให้ความเร็วอยู่ที่ 7.2 Mbps ครับ) เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังเลือกซื้อมือถือ 3G เพื่อมาใช้เล่น Internet ก็ต้องคอยมองดูด้วยนะครับว่ารองรับ HSDPA หรือเปล่า
HSUPA คืออะไร?
HSUPA (High-Speed Uplink Packet Access) คือเทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่พัฒนามาจาก UMTS เช่นกันครับ ซึ่งตอนนี้ความเร็วสูงสุดในในการส่งข้อมูลคือ 5.76 Mbps(uplink) ครับ (เน็ทตามบ้านส่วนใหญ่ความเร็วในการส่งข้อมูลจะอยู่ที่ 512 Kbps ครับไม่ว่าการรับข้อมูลจะเร็วแค่ไหนก็ตาม)
HSPA คืออะไร?
HSPA (High-Speed Packet Access) คือการรวม HSDPA และ HSUPA เข้าด้วยกันครับ เรียกรวมๆกันว่าเป็น HSPA
Last Updated (Monday, 31 May 2010 08:59)
8
« on: 12 January 2013, 16:28:48 »
ข้างล่าง คือ รหัสคิวอาร์ โค้ด ( QR Code) ของ "สยามเมืองยิ้ม" (smilefeeling.com) นะครับ โค้ดสำหรับใส่ใน hi5 facebook และเว็บทั่วไป<a href='http://flash-mini.com/qrcode.php' title='สร้างบาร์โค้ด2มิติ QR CODE ฟรี'><img src='http://chart.apis.google.com/chart? chs=250x250&cht=qr&chl=http://smilefeeling.com/index.php Siamese Smile มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรานะคะ ...&choe=UTF-8' alt='QR-CODE http://smilefeeling.com/index.php Siamese Smile มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรานะคะ ...'/></a> โค้ดสำหรับใส่ในเว็บบอร์ด แบบ BB CODE[url=http://flash-mini.com/qrcode.php][img]http://chart.apis.google.com/chart?chs=250x250&cht=qr&chl=http://smilefeeling.com/index.php Siamese Smile มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรานะคะ ...&choe=UTF-8[/img][/url] ใช้เมาส์คลิกขวาแล้วจัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อนำไปใช้ได้ตามต้องการ เช่น เอาไปใส่ Hi5 , Facebook หรือเอาไปพิมพ์ ให้คนอื่นๆดู เอาไว้ใช้ ประชาสัมพันธ์สินค้าตามแคตาล็อก หรืออื่นๆ
9
« on: 12 January 2013, 15:44:32 »
QR CODE คืออะไร?? รหัสคิวอาร์ โค้ด ( QR Code) คือ บาร์โค้ดสองมิติชนิดหนึ่ง ที่ประกอบด้วยมอดูลสีดำเรียงตัวกัน มีสัณฐานสี่เหลี่ยม มีพื้นหลังสีขาว ที่สามารถอ่านได้ด้วยเครื่องสแกน คิวอาร์ ในโทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง และสมาร์ทโฟน เพื่อถอดข้อมูลในรูปข้อความ หรือโปรแกรมชี้แหล่งทรัพยากรสากล และอื่นๆ โดยรหัสคิวอาร์นี้ สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2537 โดย เดนโซ-เวฟ บริษัทลูกของโตโยต้า โดยนับเป็นรหัสแท่งสองมิติประเภทหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น
ประโยชน์ของ QR CODE
o ด้วยการที่ข้อมูล QR Code เก็บไว้เป็นข้อมูลตัวอักษรเราจึงสามารถนำ QR Code มาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เก็บข้อมูล URL ของเว็บไซต์, ข้อความ, เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลที่เป็นตัวอักษรได้อีกมากมาย ปัจจุบัน QR Code ถูกนำไปใช้ในหลายๆ ด้านเนื่องจากความ “ง่าย” เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จะมีมือถือกันทุกคน และมือถือเดี๋ยวนี้ก็มีกล้องเกือบทุกรุ่นแล้ว
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดของ QR Code ก็คือการเก็บ URL ของเว็บไซต์ เพราะ URL โดยปกติแล้วจะเป็นอะไรที่จดจำได้ยากเพราะยาวและบางอันจะซับซ้อนมาก ขนาดจดยังทำไม่ได้ แต่ด้วย QR Code เราเพียงแค่ยกมือถือมาสแกน QR Code ที่เราพบเห็นตามผลิตภัณต์ต่างๆ, นามบัตร, นิตยสาร ฯลฯ แล้วมือถือจะลิ้งค์เข้าเว็บเพจที่ QR Code นั้นๆ บันทึกข้อมูลอยู่โดยอัติโนมัติ และด้วยการมาของระบบ 3G ที่ค่ายมือถือต่างๆ ในบ้านเราเช่น True Move และ AIS เริ่มนำเข้ามาให้บริการแล้ว จะทำให้เราสามารถเข้าอินเตอร์เน็ตบนมือถือได้อย่างรวดเร็วและทุกๆ ที่ที่ต้องการเลยครับ
นอกจากนี้ QR Code ยังเริ่มนิยมอยู่บนนามบัตรแล้วด้วย โดยจะใช้ QR Code บันทึก URL ของข้อมูลส่วนต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น อีเมล์, Hi5, MSN หรือจะเก็บข้อมูลส่วนตัว ในรูปแบบตัวอักษร เช่น ชือ ตำแหน่ง ที่อยู่ เบอร์โทร ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้ในอนาคตเราอาจไม่จำเป็นต้องแลกนามบัตรกันอีกต่อไป เพียงแค่เอามือถือมาสแกนที่นามบัตร ข้อมูลบนนามบัตรทุกๆ อย่างก็จะถูกจัดเก็บเข้ามือถือทันที ข้างล่าง คือ รหัสคิวอาร์ โค้ด ( QR Code) ของ "สยามเมืองยิ้ม" (Smile Siam) นะครับ โค้ดสำหรับใส่ใน hi5 facebook และเว็บทั่วไป<a href='http://flash-mini.com/qrcode.php' title='สร้างบาร์โค้ด2มิติ QR CODE ฟรี'><img src='http://chart.apis.google.com/chart? chs=250x250&cht=qr&chl=http://www.smilesiam.net/index.php Siamese Smile มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรานะครับ ...&choe=UTF-8' alt='QR-CODE http://www.smilesiam.net/index.php Siamese Smile มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรานะครับ ...'/></a> โค้ดสำหรับใส่ในเว็บบอร์ด แบบ BB CODE[url=http://flash-mini.com/qrcode.php][img]http://chart.apis.google.com/chart?chs=250x250&cht=qr&chl=http://www.smilesiam.net/index.php Siamese Smile มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรานะครับ ...&choe=UTF-8[/img][/url] คลิกที่คำว่า [Select] แล้วใช้เมาส์คลิกขวาที่ข้อความในกรอบใต้คำว่า Code: นั้น แล้วจึงจัดเก็บ(save)ไว้ในคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อนำไปใช้ได้ตามต้องการ เช่น เอาไปใส่ Hi5 , Facebook หรือเอาไปพิมพ์ ให้คนอื่นๆดู เอาไว้ใช้ประชาสัมพันธ์สินค้าตามแคตาล็อก หรืออื่นๆ
สำหรับท่านที่ต้องการทำ รหัสคิวอาร์ โค้ด ( QR Code) ไว้ใช้เอง เชิญได้ที่ลิงค์ข้างล่างนะครับhttp://flash-mini.com/qrcode.php#qrcode
10
« on: 12 January 2013, 15:27:49 »
ผมเคยเห็นลายมือคนไทยหลายแบบ รวมทั้งลายมือฝรั่งเป็นภาษาอังกฤษ ที่น่าดูมาก สวยเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว น่าเอามาทำเป็นฟอนท์ลายมืออย่างยิ่ง
โอกาสหน้าจะเอากล้องถ่ายมาให้ดูกันนะครับ แล้วค่อยเอาไปทำเป็นฟอนท์ต่อไป
ถ้าท่านสมาชิกเห็นลายมือผู้ใดน่าประทับใจ ก็ลองถ่ายภาพแล้วโพสท์มาให้ดูนะครับ แล้วผมจะช่วยเอามาทำเป็นฟอนท์
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีฟอนท์ลายมือที่น่าดูออกมาอีกเลยในแวดวง Windows ทางฟาก Mcintosh มีฟอนท์เด่นๆอยู่หลายฟอนท์ที่มีบางคนทำมาใช้ที่ Windows
แต่ยังทำได้ไม่ดีพอ ค่ายที่ทำฟอนท์ได้มาตรฐานที่ดีเช่น UPC DB PSL เดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นออกฟอนท์ใหม่ๆที่น่าดูออกมาอีกเลย
ทาง UPC ก็ดันมาเคร่งครัดเรื่องลิขสิทธ์ จนเดี๋ยวนี้การพิมพ์ในวงราชการต้องลำบาก
แต่ก็ดีครับเป็นการกระตุ้นและผลักดันให้มีการทำฟอนท์ใหม่ๆที่น่าใช้กันออกมาอีก
11
« on: 12 January 2013, 15:10:58 »
ป้องกันอันตรายสารพัดเมื่อใช้คอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ต แต่ก่อนอันตรายของคอมพิวเตอร์ทางด้านซอฟท์แวร์ก็มีเพียงแค่ ไวรัส แต่เดี๋ยวนี้มีมากกว่านั้นอีกหลายอย่าง เช่น หนอน โทรจัน แอดแวร์ มัลแวร์ สปายแวร์ ฯลฯ โดยเฉพาะเครื่องที่ใช้งานกับอินเทอร์เน็ต จะเสี่ยงอันตรายทุกรูปแบบนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อมโยงกับแหล่งอันตรายพร้อมกันทั่วโลก
การมีโปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus Software) แต่เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ ปัจจุบันเราจึงเห็นโปรแกรมชุดสำเร็จรูปที่เรียกว่า Internet Security กันมากกว่า
แต่โปรแกรมหลังนี้ไม่มีของฟรีให้ใช้ ถ้าไปได้มาแบบเถื่อนๆ ก็ไม่สามารถอัพเดดเป็นประจำได้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
อีกหนึ่งทางเลือก คือ การดาวน์โหลดแล้วติดตั้ง โปรแกรมป้องกันแบบ ๓ ประสาน คือ ๑. โปรแกรมป้องกันไวรัส ๒. โปรแกรมกำแพงไฟ (FireWall) และ ๓. โปรแกรมป้องกันพวกกลุ่มสปายแวร์
โปรแกรมพวกนี้มีให้ใช้ฟรีอย่างถูกกฎหมาย (FreeWare) อัพเดดได้ตลอด การป้องกันก็ได้ผลพอเพียง Internet Security ก็คือ โปรแกรมที่รวม ๓ อย่างนี้ไว้ในตัวเบ็ดเสร็จ
ตัวอย่างโปรแกรม ๓ ประสานที่ใช้ได้ดี เช่น
1. Avast Antivirus + 2. Windows FireWall + 3. MalwareByte
หรือ
2. Avira Antivirus + 2. COMODO FireWall + 3. SpyWare Terminator
หรือ
3. AVG Antivirus + 2. PC Tool FireWall + 3. Spybot
ก็ไม่จำเป็นต้องผสม ๓ อย่างตามสูตรนี้นะครับ จะสลับกันยังไงก็ได้ แล้วแต่ท่านใดชอบรูปร่างหน้าตาของตัวไหน อาจมีตัวอื่นอีก แต่แค่นี้ก็พอเพียงแล้วครับ
แต่สำหรับผมเองนิยมสูตรแรก เพราะเดี๋ยวนี้ Avast ก้าวหน้ากว่าใครและไม่ค่อยหน่วงเครื่องด้วย FireWall ของ Windows เองก็พอเพียงอยู่ MalwareByte ก็น่าใช้กว่าตัวอื่นเช่นกัน ถ้าเก่งพอก็อาจทำให้เป็นรุ่นพรีเมี่ยมได้ฟรีด้วยhttps://www.avast.com/index https://www.malwarebytes.org/ http://www.avira.com/en/avira-free-antivirus http://personalfirewall.comodo.com/ http://www.pcrx.com/spywareterminator/
http://free.avg.com/us-en/free-antivirus-download http://download.cnet.com/PC-Tools-Firewall-Plus-Free-Edition/3000-10435_4-10625321.html http://download.cnet.com/ZoneAlarm-Free-Firewall/3000-10435_4-10039884.html?tag=contentBody;pop http://www.safer-networking.org/en/download/ นอกจากอันตรายจะมาจากอินเทอร์เน็ตแล้ว สิ่งที่ควรฝึกให้เป็นนิสัย คือ เมื่อนำอุปกรณ์มาเสียบเข้าที่ช่อง USB แล้ว เช่น Flashdrive, Card Reader, External Hard Disk Drive, MP3 Player, Mobile Phone ฯลฯ
ของพวกนี้มักจะปรากฎให้เห็นบนหน้าจอว่าเป็น ไดรว์ (Drive) ใดไดรว์หนึ่ง หรือหลายไดรว์ เราจึงควรคลิกขวาที่ไดรว์นั้นๆก่อน แล้วเลือกแสกนด้วยโปรแกรม ๓ ประสานที่เราติดตั้งไว้แล้ว ควรทำแบบนี้เสมอ ก่อนที่จะทำอย่างอื่นต่อไป
โปรแกรมทั้ง ๓ ที่ติดตั้งไปแล้ว ควรปรับระดับการป้องกันในระดับกลางเป็นอย่างน้อย ถ้าเครื่องนี้เราไม่ได้ใช้คนเดียว และควรตั้งให้อัพเดดแบบอัตโนมัติเอาไว้เสมอ
12
« on: 22 December 2012, 08:56:02 »
ตั้งเวลาในคอมพิวเตอร์ของเราให้ตรงกับเวลามาตราประเทศไทย ... ? ๑. ดับเบิ้ลคลิกที่เวลาในหน้าจอของเราที่มุมขวาล่าง ๒. จะเห็นมีกรอบเล็กๆอันหนึ่งโผล่ขึ้นมา ชื่อว่า Date and Time Properties ๓. ให้กดเลือกที่คำว่า Internet Time ๔. ก๊อปปี้คำนี้ time1.nimt.or.th ไปแป่ะในช่องที่ทางขวามีปุ่ม Update Now ๕. กดปุ่ม Update Now ๖. รอสักพักจน บรรทัดข้างล่างบอกว่าการปรับเวลาใหม่ของเราเสร็จสมบูรณ์แล้วดังภาพข้างล่าง
ถ้าอยากอ่านรายละเอียด เชิญตามไปที่ลิงค์ข้างล่างนะครับ http://www.nimt.or.th/nimt/service/index.php?menuName=time
Pages: [1]
|