Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 16:35:19

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Profile of Smile Siam  |  Show Posts  |  Messages

Show Posts

* Messages | Topics | Attachments

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - Smile Siam

Pages: [1] 2 3 ... 17
1
การเมืองภาคประชาชน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การเมืองภาคประชาชน คือ การเคลื่อนไหวของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายสาธารณะโดยตรง โดยไม่ผ่านทางตัวแทนของพรรคการเมือง หรือหน่วยงานราชการ การเมืองภาคประชาชนเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งย้ำแนวคิดที่ว่า "การเมืองไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" การเมืองภาคประชาชนเป็นคำจำกัดความโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์[ต้องการอ้างอิง] แบ่งพิจารณาได้ 3 แนวทางปฏิบัติ ดังนี้

การริเริ่มกฎหมาย
การลงประชามติ
การถอดถอน


อ้างอิง

การเลือกตั้ง กับ การเมืองภาคประชาชน ที่ออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

2
ประชาธิปไตยทางตรง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ด • พ • ก
ประชาธิปไตยทางตรงหรือประชาธิปไตยบริสุทธิ์[1] เป็นรูปแบบการปกครองซึ่งประชาชนออกเสียงในการริเริ่มนโยบายต่าง ๆ โดยตรง ซึ่งขัดกับประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนตรงที่ประชาชนออกเสียงเลือกผู้แทนไปทำหน้าที่ออกเสียงการริเริ่มนโยบายออกทอดหนึ่ง[2] ประชาธิปไตยทางตรงอาจนำมาซึ่งการผ่านการตัดสินใจบริหาร, เสนอกฎหมาย, เลือกตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่และดำเนินการไต่สวน ประชาธิปไตยทางตรงหลัก ๆ สองรูปแบบมีประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ

หลายประเทศซึ่งปกครองแบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนอนุญาตรูปแบบการปฏิบัติทางการเมืองสามรูปแบบซึ่งให้ประชาธิปไตยทางตรงอย่างจำกัด ได้แก่ การลงประชามติ, การริเริ่มออกกฎหมาย และการถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง การลงประชามติอาจรวมความสามารถที่จะจัดการออกเสียงมีผลผูกมัดว่ากฎหมายฉบับหนึ่ง ๆ ควรถูกปฏิเสธหรือไม่ ด้วยวิธีการนี้จึงเป็นการให้สิทธิแก่ประชากรซึ่งจัดการออกเสียงเลือกตั้งวีโตกฎหมายซึ่งผู้ได้รับเลือกตั้งลงมติยอมรับ ประเทศหนึ่งที่ใช้ระบบนี้คือ สวิตเซอร์แลนด์ การริเริ่มออกกฎหมาย ซึ่งตามปกติแล้วสมาชิกสาธารณะทั่วไปเป็นผู้เสนอ ผลักดันการพจารณากฎหมาย (โดยปกติในการลงประชามติตามมา) โดยปราศจากการปรึกษากับผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้ง หรือแม้จะขัดกับการคัดค้านที่แสดงออกของพวกเขา การถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้งให้อำนาจแก่สาธารณะในการถอดถอนเจ้าหน้าที่จากตำแหน่งก่อนสิ้นสุดวาระ แม้กรณีนี้จะหายากมากในประชาธิปไตยสมัยใหม่[3] ผู้เขียนซึ่งสนับสนุนอนาธิปไตยได้แย้งว่า ประชาธิปไตยทางตรงไม่ยอมรับองค์กรกลางที่เข้มแข็ง เพราะอำนาจการตัดสินใจสามารถอยู่ได้ระดับเดียวเท่านั้น คือ อยู่กับประชาชนหรือกับองค์กรกลาง[4]


อ้างอิง

A. Democracy in World Book Encyclopedia, World Book Inc., 2006. B. Pure democracy entry in Merriam-Webster Dictionary. C. Pure democracy entry in American Heritage Dictionary"
Budge, Ian (2001). "Direct democracy". In Clarke, Paul A.B. & Foweraker, Joe. Encyclopedia of Political Thought. Taylor & Francis. ISBN 9780415193962.
Fiskin 2011, Chapters 2 & 3.
Ross 2011, Chapter 3

บรรณานุกรม

James s Fiskin (2011). When the People Speak. Oxford University Press. ISBN 9780199604432.
Carne Ross (2011). The Leaderless Revolution: How Ordinary People Can Take Power and Change Politics in the 21st Century. Simon & Schuster. ISBN 1847375340.


ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (อังกฤษ: participatory democracy) หมายถึง การมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครอง ตลอดจนการกำหนดวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ทั้งนี้ไม่ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ หน้าที่ ตามระบอบการเมืองการปกครองที่ไม่ไปก้าวก่ายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นหรือสังคมส่วนรวม การมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอาจจะจำแนกเป็น 3 ระดับ คือ[ต้องการอ้างอิง]

การมีส่วนร่วมในระดับเบื้องต้น เช่น ร่วมแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง, ร่วมพูดคุยอภิปรายเรื่องราวทางการเมืองและสถานการณ์ปัจจุบัน, ร่วมลงชื่อเพื่อเสนอเรื่องราวหรือประชาพิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งในทางการเมือง, รวมกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง, เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
การมีส่วนร่วมในระดับกลาง เช่น ร่วมเดินขบวนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม, ร่วมปราศัยในการชุมนุมเรียกร้องเรื่องราว, ร่วมลงชื่อเพื่อเสนอให้ฝ่ายที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง, ร่วมอดข้าวประท้วงหรือร่วมกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเรียกร้อง
การมีส่วนร่วมในระดับสูง เช่น ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา, ร่วมก่อตั้งพรรคการเมือง, ร่วมก่อตั้งรัฐบาล
ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิธีการกระจายอำนาจและทรัพยากรต่าง ๆ ที่ไม่เท่าเทียมกันอันมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและวิธีการที่ประชาเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อตน

โดยที่กล่าวถึงข้างต้น ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม จึงหมายถึง การที่อำนาจในการตัดสินใจไม่ควรเป็นของกลุ่มคนจำนวนน้อย แต่อำนาจควรไดรับการจัดสรรในระหว่างประชาชน เพื่อทุก ๆ คนได้มีโอกาสที่จะมีอิทธิพล และจัดเป็นกระจายอำนาจและเปิดต่อการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางของประชาชนในกระบวนการทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

จากคำนิยามดังกล่าวข้างต้นอาจสรุปหลักการหรือองค์ประกอบสำคัญของคำว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมได้ ดังนี้[ต้องการอ้างอิง]

การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองและการบริหาร
เน้นการกระจายอำนายในการตัดสินใจและการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ในระหว่างประชาชนให้เท่าเทียมกัน
อำนาจในการตัดสินใจและการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ นั้น จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
เพิ่มการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
มีความยืดหยุ่นได้ กล่าวคือ มีโครงสร้างการทำงานที่สามารถตรวจสอบได้ มีความโปร่งใสและคำนึงถึงความต้องการทรัพยากรของผู้มีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมของประชาชนมีทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
แคทท์ (Catt 1999, 39-56) ได้เสนอไว้ว่า องค์ประกอบและเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของความเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม คือ

ทุกคนสามารถยกประเด็นปัญหาใดปัญหาหนึ่งขึ้นมา เพื่อกำหนดเป็นวาระของการประชุม สามารถเสนอทางเลือกและมีส่วนร่วมในการเลือกหรือการตัดสินใจสุดท้ายได้
เป็นการประชุมที่ทุกคนสามารุพูดคุยกันได้อย่างทั่วถึง (face-to-face meeting)
มีการปรึกษาหารือ หรืออภิปรายประเด็นปัญหาที่หยิบยกมาพิจารณากันอย่างกว้างขวาง ทุกคนต้องการมีส่วนร่วมในการอภิปราย และสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
มีแนวโน้มที่พยายามจะให้เกิดความเห็นพ้อง (consensus) ร่วมกันในประเด็นปัญหาที่พิจารณา
การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นกระบวนการซึ่งประชาชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มีโอกาสแสดงทัศนะและเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งมีการนำความคิดเห็นดังกล่าวไปประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายและการตัดสินใจของรัฐ การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นกระบวนการสื่อสารในระบบเปิด กล่าวคือ เป็นการสื่อสารสองทาง ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งประกอบไปด้วยการแบ่งสรรข้อมูลร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเสียและเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม ทั้งนี้เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเพิ่มคุณภาพของการตัดสินใจการลดค่าใช้จ่ายและการสูญเสียเวลา เป็นการสร้างฉันทามติ และทำให้ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ อีกทั้งช่วยหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าใน “กรณีที่ร้ายแรงที่สุด” ช่วยให้เกิดความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมและช่วยให้ทราบความห่วงกังวลของประชาชนและค่านิยมของสาธารณชน รวมทั้งเป็นการพัฒนาความเชี่ยวชาญและความคิดสร้างสรรค์ของของสาธารณชน

การมีส่วนร่วมของประชาชนมีความสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนและส่งเสริมธรรมาภิบาล ตลอดจนการบริหารงานหากมีการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้นเพียงใดก็จะให้มีการตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารและให้ผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการป้องกันนักการเมืองจากการกำหนดนโยบายที่ไม่เหมาะสมกับสังคมนั้น ๆ นอกจากนี้การมีส่วนร่วมของประชาชนยังเป็นการสร้างความมั่นใจว่าเสียงของประชาชนจะมีคนรับฟัง อีกทั้งความต้องการหรือความปรารถนาประชาชนก็จะได้รับการตอบสนอง

กล่าวโดยสรุป ระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงทัศนะและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่จะมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากจะช่วยให้การตัดสินใจของผู้เสนอโครงการหรือรัฐบาลมีความรอบคอบ และสอดรับกับปัญหาและความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการควบคุมการบริหารงานของรัฐบาลให้มีความโปร่งใส (Transparency) ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน (Responsiveness) และมีความรับผิดชอบหรือสามารถตอบคำถามของประชาชนได้ (Accountability) อีกด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย



อ้างอิง

Helena Catt(dr.),Democracy in Practice(ISBN 0-415-16840-6), (London and New York: Routledge,1/1999), 35-56.

ดูเพิ่ม

การเมืองภาคประชาชน



ส่วนหนึ่งของชุดการเมือง
ระบอบการปกครอง
พื้นฐาน
โครงสร้างอำนาจ
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ การใช้อำนาจครอบงำ จักรวรรดิ รัฐเดี่ยว
โครงสร้างอำนาจ
ประชาธิปไตย
ทางตรง แบบมีผู้แทน โดยคณะบุคคลบางกลุ่ม
ราชาธิปไตย
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ
คณาธิปไตย
อภิชนาธิปไตย คณะผู้ยึดอำนาจการปกครอง เศรษฐยาธิปไตย
อำนาจนิยม
อัตตาธิปไตย ระบบใช้อำนาจเด็ดขาด ระบอบเผด็จการ ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ
อื่น ๆ
อนาธิปไตย สาธารณรัฐ เทวาธิปไตย


3
เรื่อง การสร้างประชาธิปไตยทำอย่างไร

เขียนโดย อาจารย์ วันชัย พรหมภา

เรียบเรียงโดย นายไพบูลย์ สถาปนาวิสุทธิ์

 

            การเมืองบ้านเราในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเกิดการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย อย่างกว้างขวาง ใหญ่โต ประชาชนทั่วไปมีการเรียกร้องประชาธิปไตยกันอย่างยืดเยื้อยาวนาน ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมา ก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ความต้องการประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชนที่เป็นอยู่นี้ เป็น เครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีการปกครองแบบเผด็จการ ที่ไม่อาจจะปิดบังอำพรางกันได้อีก ต่อไปแล้ว การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนเป็นกระแสร้อนแรงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า และพร้อมที่จะพังทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคขวางหน้า

            ในสถานการณ์ที่ประชาชนมีความต้องการประชาธิปไตยเช่นนี้ ได้มีกลุ่มการเมืองและคณะการ เมืองหลากหลาย ได้เข้ามามีบทบาทในการนำประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยตามทรรศนะที่ตน ต้องการ โดยไม่เอื้อเฟื้อต่อหลักการและหลักวิชา จึงทำให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งขณะนี้นอกจากจะทำให้บ้านเมืองไม่มีทางออกแล้ว ยังกลับส่งผลร้ายให้ความ ขัดแย้งของคนในชาติทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ในท่ามกลางความต้องการประชาธิปไตยของ ประชาชนเช่นนี้ ได้สร้างความสับสนให้แก่พี่น้องประชาชนเป็นอย่างมากว่า ทรรศนะประชาธิปไตย แบบไหนคือความถูกต้อง ทรรศนะแบบไหนคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ กล่าวโดยสรุปก็คือ ประชาชนต้องการทราบว่า การสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องทำอย่างไร หรือต้องมีความเข้าใจเป็น อย่างไรบ้าง ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องและนำไปสู่การแก้ปัญหาของชาติได้ ปัญหานี้จึงเป็นที่มาของ การจัดสัมมนาในวันนี้

            ปัญหาประชาธิปไตยนั้น เกี่ยวเนื่องด้วยหลักวิชาโดยสังกัดอยู่ใน วิชาการเมือง หรือ รัฐศาสตร์ (Political Science) ซึ่งมีหลักการและกฎเกณฑ์ที่จะต้องมีความเข้าใจและยึดถืออย่างเคร่งครัดมากมาย ซึ่งเราจะคิด จะพูด จะทำเอาตามชอบใจมิได้เลย

            การจะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้นั้น นอกจากจะต้องมีความเข้าใจใน ลัทธิประชาธิปไตย (Democracy) เป็นพื้นฐานแล้ว ยังจะต้องประกอบด้วยความเข้าใจปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เป็น เงื่อนไขสำคัญอีกหลายประการ อาทิเช่น

            1. เราต้องเข้าใจว่า ปัญหาพื้นฐานของชาติ คือ ระบอบเผด็จการ (Dictatorial Regime) กล่าวคือ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ปี 2475 แล้ว ประเทศของเราก็ยังคงมีการปกครองแบบ เผด็จการตลอดมา เป็นเวลา 80 ปี ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ ประชาชนธรรมดารู้และรู้สึกได้เป็นอย่างดี แต่นัก วิชาการและนักการเมืองในบ้านเรากลับไม่รู้ ซึ่งนอกจากไม่รู้แล้ว ยังหลอกให้ประชาชนรู้ผิดๆ อีกด้วย

            2. การสร้างประชาธิปไตย หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้น ประชาชนต้องทำด้วยตนเอง โดย การทำให้ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Sovereignty of the People หรือ Popular Sovereignty) มิใช่การเรียกร้องให้เอารัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมา และเอารัฐธรรมนูญปี 2550 คืนไป และก็มิใช่การ เปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย หรือการโค่นรัฐบาล หรือโค่นอำมาตยาธิปไตย หรือยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แต่อยู่ที่ประชาชนต้องร่วมกันโค่น ระบอบเผด็จการ

            3. เสนอเรื่อง การปฏิวัติ ใน สถานการณ์ปฏิวัติ ปัจจุบันเป็นสถานการณ์ปฏิวัติ เป็นสถานการณ์ ที่ต้องเปลี่ยน ระบอบเผด็จการ ให้เป็น ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น เป็น สถานการณ์ที่ยังไม่เหมาะสมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไป เพราะเป็นสถานการณ์ที่ประชาชน ปฏิเสธการปกครอง ที่ไม่ใช่เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ดังนั้น การเลือกตั้งทั่วไป จึงไม่ใช่ทางออกของชาติในสถานการณ์เช่นนี้

            4. แยก การปฏิวัติ (Revolution) ออกจาก รัฐประหาร (Coup ďé tat) อย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ เพราะการปฏิวัติหมายถึงทำสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น เป็นการพัฒนาและสร้างสรรค์ ในทางการเมือง หมายถึง การเปลี่ยนระบอบเผด็จการ เป็นระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐประหาร หมายถึง การใช้กำลังอาวุธยึด อำนาจรัฐโดยผิดกฎหมาย จึงไม่ควรเอา 2 คำนี้มาปะปนกัน เพราะการเห็นรัฐประหารเป็นการปฏิวัติ นั้น เป็นอุปสรรคที่สำคัญของการสร้างประชาธิปไตย กลายเป็น อาชญากรรมทางวุฒิปัญญา

            5. การเรียกร้อง ลัทธิรัฐธรรมนูญ (Constitutionalism) หรือการเรียกร้องให้มีการแก้ไข รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยของนักวิชาการโดยไม่เรียกร้อง ลัทธิประชาธิปไตย (Democracy) นั้น เป็นการพ่นพิษใส่ประชาชน ทั้งนี้เพราะเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างที่สุดของการสร้าง ประชาธิปไตยสำหรับประเทศไทย ในทางวิชาการเรียกขบวนการทางการเมือง เช่นนี้ว่า พวกปฏิปักษ์ ปฏิวัติ (Counter Revolutionary) หรือ พวกปฏิวัติซ้อน หมายถึง พวกปฏิวัติเพื่อทำลายการปฏิวัติ

            6. ใน ระบบทุนนิยม (Capitalism System) ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ถ้าตราบใดที่ชนชั้น กรรมกรซึ่งเป็น ชนชั้นล่าง ยังไม่มีการผลักดัน (Pressure Group) การสร้างประชาธิปไตย ตราบนั้น ก็เป็นอันเชื่อได้ว่า จะยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่เป็นจริงเกิดขึ้นได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะว่า ระบบ ทุนนิยม และระบอบประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้ ก็แต่โดยความร่วมมือระหว่าง กรรมกร กับ นายทุน เท่านั้น ขาดข้างใดข้างหนึ่งก็จะไม่มีระบบทุนนิยม และถ้ากรรมกรไม่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็จะไม่มี ระบอบประชาธิปไตย

            7. การสร้างประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีห้วงเวลาในการเปลี่ยนแปลงในทางวิชาการ เรียกว่า ระยะเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) หรือ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ความล้มเหลว หรือ ความสำเร็จของ การสร้างประชาธิปไตยก็จะอยู่ที่ตรงจุดนี้ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญของ รัฐบาลเฉพาะกาล (Provisional Government) หรือ รัฐบาลชั่วคราว (Interim Government) ไม่ใช่เป็นภารกิจของรัฐบาลรักษาการณ์ (Caretaker Government) ซึ่งไม่มีอำนาจ หรือรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมือง ดังเช่น ในกรณีพรรค ประชาธิปัตย์ กับพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะเป็น พรรคปฏิกิริยา (Reactionary) เป็น ขบวนการที่ล้าหลัง (Backward) ไม่ใช่ขบวนการปฏิวัติ (Revolutionary) หรือขบวนการก้าวหน้า (Progressive) จึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการสร้างประชาธิปไตย

            8. เสนอการ ปฏิวัติสันติ (Peaceful Line) ทั้งนี้เป็นเพราะการปฏิวัติประชาธิปไตยสำหรับ ประเทศไทยนั้น มีกฏเกณฑ์ที่แน่นอนคือ จะสำเร็จได้ก็แต่ การปฏิวัติสันติ เท่านั้น มิอาจสำเร็จได้ด้วย การปฏิวัติแนวทางรุนแรง (Violent Line) และการเคลื่อนไหวมวลชน เช่นที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะว่าการ เคลื่อนไหวปฏิวัตินั้น สำหรับประเทศไทยนอกจากต้องใช้แนวทางสันติแล้ว การเคลื่อนไหวปฏิวัติยัง จะต้องประกอบด้วย

            1) การเคลื่อนไหวทางความคิด

            2) การเคลื่อนไหวทางหลักการ

            3) การเคลื่อนไหวทางการจัดตั้ง

            9. การสร้างประชาธิปไตย หัวใจที่สำคัญอยู่ที่ “แนวทาง” หรือ “มรรควิธี” (Method) มิใช่อยู่ที่ “เจตนาดี” หรือคำพังเพยของฝรั่งที่ว่า “Good Intention Paves the Way to Hell” และสาระสำคัญ ของแนวทางก็คือ อธิปไตยของปวงชน และ เสรีภาพของบุคคล เช่นเดียวกับสาระสำคัญของนโยบาย 66/23 ที่มีประสิทธิภาพในการยุติสงครามกลางเมืองลงได้ ก็คือ “การขยายเสรีภาพของบุคคล” และ “ขยายอธิปไตยของปวงชน” ให้ปรากฏเป็นจริง... แต่ในปัจจุบันอยู่ที่ต้องทำให้ เสรีภาพของบุคคล และ อธิปไตยของปวงชนให้เป็นจริงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มิใช่อยู่ที่การขยายให้เป็นจริง ซึ่งก็จะแก้ ปัญหาของชาติทั้งปวงได้เช่นเดียวกับนโยบาย 66/23

            10. การจะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้นั้น เราจะต้องมีความเข้าใจความหมายของ ประชาธิปไตย ใน 2 ลักษณะ คือ ลักษณะทั่วไป และ ลักษณะประยุกต์ ลักษณะทั่วไป คือ ปัญหา หลักการและหลักวิชาของลัทธิประชาธิปไตย แต่ความรู้ความเข้าใจแค่นี้ยังไม่พอ เรายังต้องมีความ เข้าใจประชาธิปไตยในลักษณะประยุกต์ อีกด้วย กล่าวคือ เราต้องสามารถประยุกต์หลักการและหลัก วิชาอันเป็นหลักสากล ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ของสังคมไทยให้ได้อีกด้วย ถ้าเรายังแก้ปัญหานี้ ไม่ตก เราก็จะสร้างประชาธิปไตยให้เป็นจริงไม่ได้

            11. เราต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยนั้น มีหลายแบบคือ ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งเป็น ประชาธิปไตยในแบบของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นร้อยๆ ปี กับประชาธิปไตยในแบบของประเทศที่ กำลังพัฒนามีลักษณะต่างกัน เราจึงไม่อาจจะเอาประชาธิปไตยแบบตะวันตก มาใช้กับประเทศด้อย พัฒนา หรือ ประเทศที่กำลังพัฒนาได้เลย เพราะมันเข้ากันไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องคิดสร้าง ประชาธิปไตยให้เป็นแบบของเราขึ้นมาเอง ที่เรียกกันว่า ประชาธิปไตยแบบไทย เหตุที่การสร้าง ประชาธิปไตยในบ้านเราล้มเหลวมายาวนาน ก็เพราะว่าคณะราษฎรเอาประชาธิปไตยในแบบของ ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งดุ้น มาครอบประเทศไทยเอาไว้ และนักร่างรัฐธรรมนูญคณะต่อๆ มา ก็ถนัด แต่จะลอกแบบประชาธิปไตยของประเทศอื่นๆ มาใช้ทั้งสิ้น โดยไม่เคยคิดสร้างแบบของเราขึ้นมาใช้ เองเลย จึงทำให้ประชาธิปไตยบ้านเราล้มเหลวมาจนทุกวันนี้

            12. เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยนั้นมีทั้ง ด้านเนื้อแท้ และ ด้านรูปแบบภายนอก ด้านเนื้อแท้ คือหลักการ คือคำจำกัดความที่ท่าน อับราฮัม ลินคอร์น ได้ประกาศไว้คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ซึ่งเป็น ด้านที่สำคัญที่สุด ด้านรูปแบบภายนอกคือการมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง และมีการเคลื่อนไหวต่างๆ ตามแบบประชาธิปไตย เราต้องเข้าใจว่าด้านรูปแบบภายนอก จะมีความหมายต่อ ความเป็นประชาธิปไตย ได้ ก็ต่อเมื่อหลักการซึ่งเป็นด้านเนื้อแท้นั้น ปรากฏเป็น จริงแล้วเท่านั้น

            13. เราต้องเข้าใจว่า การเลือกตั้ง เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะบรรลุผลให้มี การปกครองของ ประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ปรากฏเป็นจริง แต่ในสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง การ เลือกตั้งกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของความ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจึงจำเป็นต้องระงับการเลือกตั้งไว้ก่อน และเราจะต้องเข้าใจว่า การไม่ มีผู้แทนที่ราษฎรเลือกตั้งมานั้น ก็ไม่ได้หมายถึงว่า จะไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าหากฝ่ายปกครองมีวิธี การต่างๆ ที่จะรวบรวมเอาความคิดเห็นของประชาชนมาทำการปกครองได้มากเพียงใด ทำให้ ประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึง การปกครองนั้นก็จะเป็นประชาธิปไตยมากเพียงนั้น ผู้แทน ราษฎรซึ่งราษฎรเลือกตั้งมาโดยตรง แต่กลับไม่ทำหน้าที่ผู้แทนต่างหากเล่า ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

            14. การที่เราจะสร้างประชาธิปไตยได้ เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจ ความหมายของคำว่า เผด็จการ และคำว่า อนาธิปไตย ด้วย การเมืองในบ้านเราดูภายนอกจะเห็นว่า การที่มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง ดูเหมือนว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าดูเนื้อใน ก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว เป็นอนาธิปไตย หรือไม่ก็ เป็นเผด็จการ ทั้งอนาธิปไตยและเผด็จการ ก็ล้วน เป็นภัยต่อประชาชนทั้ง 2 อย่าง ทหารเป็นเผด็จการ เรามีความเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่พรรคการเมือง นำมาซึ่ง อนาธิปไตย ทุกครั้งที่เข้ามามีอำนาจเรากลับไม่เข้าใจกัน และยังกลับเห็นว่า อนาธิปไตยเป็น ประชาธิปไตยเสียอีกด้วย

            15. เราต้องเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยโดยมี 2 นัยคือ โดยนัยอันแคบ และโดยนัยอันกว้าง โดยนัยอันแคบคือ ความหมายประชาธิปไตยใน ทางการเมือง โดยนัยอันกว้าง หมายถึง ระบบประชาธิปไตย (Democratic System) คือ หมายถึง ระบบสังคมทั้งระบบ ซึ่งประกอบ ด้วย การเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม และวัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ใช่มองกันที่ต้องมี รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งเท่านั้น การทำให้เกิดประชาธิปไตยโดยนัยอันกว้างเท่านั้น ที่จะเป็น ประชาธิปไตยที่แท้จริง

            16. เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยของไทยนั้น ต้องมี สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แห่งรัฐ เพราะองค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะ “อเนกชนนิกรสโมสรสมมุติ” โดยเฉพาะประเทศไทยมีการปกครองแบบ รัฐเดียว (Unitary State) ซึ่งต้องใช้การปกครองด้วยวิธี “รวมอำนาจการ ปกครอง” (Centralization of Administrative Power) จะใช้ การกระจายอำนาจการปกครองมิได้ และจะกำหนดให้ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งมิได้ เพราะผิดหลักวิชารัฐศาสตร์อย่างร้ายแรง และการจะสร้างประชาธิปไตยให้สันติได้ก็แต่ พระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์เท่านั้น

            17. เราต้องเข้าใจว่า การสร้างประชาธิปไตยของคณะราษฎรล้มเหลวนั้น ก็ด้วยเหตุสำคัญ 2 ประการ ทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ในการวางแผนเศรษฐกิจนั้น เหตุที่ล้มเหลวก็เพราะว่า เอียงไปทางซ้ายสุด ไม่ใช่ ระบบเสรีนิยม เมื่อผิดพลาดแล้วคณะราษฎรก็ไม่ได้กำหนดแผนใหม่ขึ้นมา แทน กลับปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ในทางการเมืองล้มเหลวเพราะว่า นอกจากหลัก 6 ประการของคณะราษฎรขาดหลัก อธิปไตยของปวงชน แล้ว ยังไปนำเอารัฐธรรมนูญจากตะวันตก ซึ่งเป็นคนละกรอบ มาครอบประเทศไทยไว้อีกด้วย ซึ่งไม่สามารถเข้ากันได้กับ สภาวการณ์ทาง ประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย จึงทำให้โน้มเอียงไปไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าไม่เป็น เผด็จการ ก็เป็น อนาธิปไตย

            18. เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยกับเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันมิได้ ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยได้ ต้องทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง และการจะทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองได้นั้น ต้องขจัดความเป็นเผด็จการและอนาธิปไตย และหลักการที่จะทำให้ เผด็จการกับอนาธิปไตยหมดไป ก็คือการทำให้หลัก อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน กับ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ มีความสมดุลกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถ้ามีอำนาจอธิปไตยมากเกินไป ก็เป็นเผด็จการ และถ้ามีเสรีภาพมากเกินไปก็เป็น อนาธิปไตย

            19. การที่นักวิชาการและนักการเมืองตั้งสูตรว่า ทหารเป็นเผด็จการ และ พลเรือนเป็น ประชาธิปไตยนั้น ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและหลักวิชา เพราะโดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว ยอดนักเผด็จการของโลกล้วนแต่เป็นพลเรือนทั้งสิ้น ไม่ว่า ฮิตเลอร์ มุสโสสินี หรือ โงดินห์เดียม ฯลฯ และตามหลักวิชาแล้ว คำว่าระบอบอะไร หมายถึง อำนาจเป็นของใคร เช่นระบอบประชาธิปไตย หมายถึง อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และระบอบเผด็จการหมายถึง อำนาจอธิปไตยเป็นของ ชนส่วนน้อย ซึ่งชนส่วนน้อยนั้น อาจจะเป็น พรรคทหาร หรือเป็นพรรคของพลเรือนก็ได้ทั้งสิ้น

            20. เราต้องเข้าใจว่า การสร้างประชาธิปไตยเป็นคนละเรื่องกับการสร้างรัฐธรรมนูญ และก็ยัง ไม่เคยมีที่ไหนในโลก ที่เอารัฐธรรมนูญมาสร้างประชาธิปไตยสำเร็จได้เลย มีแต่ต้องสร้าง ประชาธิปไตยก่อนแล้ว จึงสร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมารักษาความเป็นประชาธิปไตย แต่บ้านเรากลับดัน ทุลังจะสร้างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ แสดงให้เห็นถึงความวิปริตพุทธิ

            21. ในกรณีที่เริ่มต้นสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือที่เรียกว่า การสร้าง ประชาธิปไตยนั้น เป็นการปฏิวัติ หรือการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องใช้กำลัง ไม่ว่ารูปแบบไหน ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยหลักนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ว่าเป็นความถูกต้องชอบธรรม

            22. ในสถานการณ์ปฏิวัติ เราจะต้องทำความรู้จักกับ ขบวนการเมือง (Political Movement) ที่สำคัญในประเทศไทยด้วย คือ

            1) ขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตย

            2) ขบวนการเผด็จการ

            3) ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม

            4) ขบวนการรัฐธรรมนูญ

            ขบวนการเผด็จการมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างประชาธิปไตย มีนายทุนที่ก้าวหน้าร่วมมือกับ ขบวนการกรรมกร เป็นกำลังพื้นฐาน

            ขบวนการเผด็จการมีความมุ่งหมายเพื่อรักษาระบอบเผด็จการ มีพรรคการเมืองเป็นผู้แทน ของชนส่วนน้อย ซึ่งเป็นพรรคของชนชั้นสูง และพรรคของชนชั้นกลาง โดยปฏิเสธการร่วมมือ กับชนชั้นล่าง

            ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม เป็นขบวนการปฏิวัติที่แข่งกับขบวนการประชาธิปไตย โดยมี ความมุ่งหมายไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ มีชนชั้นกรรมาชีพเป็นกำลังสำคัญ เพื่อทำลายชนชั้นและชนชั้น กลาง

            ขบวนการรัฐธรรมนูญ มีความมุ่งหมายเพื่อรักษาระบอบเผด็จการโดยไม่รู้ตัว เป็นขบวนของ นักวิชาการ และเป็นขบวนการที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยอย่างที่สุด เป็นปฏิปักษ์ต่อ กระบวนการประชาธิปไตยร้ายแรงยิ่งกว่าขบวนการเผด็จการ ถ้าขบวนการนี้หยุดการเคลื่อนไหว รัฐธรรมนูญเมื่อใด ประเทศไทยก็จะเป็นประชาธิปไตยเมื่อนั้น

            23. ในสถานการณ์ขณะนี้ เป็นสถานการณ์ปฏิวัติ คือ ประชาชนขัดแย้งกับระบอบเผด็จการ จึงเกิดการเคลื่อนไหวของประชาชน กดดันระบอบเผด็จการอย่างรุนแรง แต่บรรดานักการเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นฝ่ายเผด็จการ ไม่ต้องการเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยให้เป็นของประชาชน จึงแบ่งขบวนการ เผด็จการออกเป็น 2 ขั้ว แล้วระดมสรรพกำลังเข้าต่อสู้กันเอง เพื่อต้องการเบี่ยงเบนกระแส ปฏิวัติของ ประชาชน หมายความว่าการเคลื่อนไหวมวลชนไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรก็ตาม จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็ตาม เป็น ปฏิวัติ (Revolution) เสมอ แต่มีการนำเป็น ปฏิกิริยา (Reaction) ดังนั้น ถ้ากระแสปฏิวัติ ของประชาชนมีความรุนแรงมากเท่าใด ก็จะยิ่งส่งผลให้ฝ่ายเผด็จการต่อสู้กันเองอย่างรุนแรงมากขึ้น เท่านั้น ไม่ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะก็จะหลอกพาประชาชนไปสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยไม่สร้าง ประชาธิปไตย ประชาชนจะต้องผ่านบทเรียนเหล่านี้ก่อนทั้งสิ้น ไม่ว่าในประเทศไหน ก่อนที่จะได้ ประชาธิปไตยที่แท้จริง

            24. เราต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าในส่งหรือปรากฏการณ์ใดๆ “เนื้อหา” (Content) กับ “รูปแบบ” (Form) ย่อมเป็นเอกภาพกัน แยกออกจากกันมิได้ ถ้าเนื้อหากับรูปแบบ แยกออกจากกัน ก็จะไม่มี สิ่งนั้นปรากฏการณ์นั้นๆ

            เช่นเดียวกันถ้า หลักการปกครอง (Principle of Government) กับรูปการปกครอง (Forms of Government) แยกออกจากกัน ก็จะไม่มี การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democratic Government) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าระบอบประชาธิปไตยกับระบบรัฐสภาแยกออกจากกัน หรือขาดข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะไม่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย

            ภายใต้สภาวการณ์ อนาธิปไตย (Anarchism) ของประเทศไทย โดยมีรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นผู้ ปกครองอยู่ในขณะนี้ นอกจาก หลักการปกครองไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว รูปการปกครอง ก็ยังไม่ใช่ ระบบรัฐสภาอีกด้วย จึงส่งให้วิกฤติของชาติในครั้งนี้ มีความรุนแรงอย่างที่สุด และหาทาง ออกไม่ได้ ถ้าทุกพรรคการเมืองเห็นแก่ชาติบ้านเมืองตามที่พูดจริง จะต้องวางมือทางการเมืองชั่วคราว และเปิดทางให้รัฐบาลเฉพาะกาลเข้ามาแก้ปัญหาของชาติแทน ประเทศชาติก็จะมีทางออก

            25. เราต้องเข้าใจว่า ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เศรษฐกิจได้เปลี่ยนเป็นระบบเสรีนิยม (Liberalism System) โดยมีระบอบประชาธิปไตย (Democratic Regime) เกิดขึ้นและตั้งอยู่บน รากฐานของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม เมื่อมีการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม มันก็จะผลักดัน ให้เกิดการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง และเป็นไปเอง ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง การปกครองให้เป็นประชาธิปไตย ก็จะส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่าง “ประชาชน” กับ “ระบอบ เผด็จการ” พัฒนาขึ้นเป็นความรุนแรง และถ้ามีอุปสรรคขัดขวาง การเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็น ประชาธิปไตยเมื่อใด มันก็จะระเบิดขึ้นเป็น สงครามกลางเมือง (Civil War) มวลชนลุกขึ้นสู้ (Mass Uprising) นำความหายนะมาสู่ชีวิตและทรัพย์สินของประเทศชาติและประชาชน

            26. เราจะต้องเข้าใจว่า แนวทางสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องของประเทศไทยนั้น คือ แนวทาง ของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ รัชกาลที่ 5, 6, 7 เป็นต้นมา เป็นวิวัฒนาการของการเคลื่อนไหว ประชาธิปไตยในประเทศไทย ร้อยกว่าปีจนถึงปัจจุบัน โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสถาปนาการปกครอง แบบประชาธิปไตยตามแบบยุโรป และญี่ปุ่น เพราะอยู่ในรุ่นเดียวกัน กล่าวคือ ญี่ปุ่นสถาปนาการ ปกครองแบบประชาธิปไตยสำเร็จ เมื่อ พ.ศ. 2432 ภายหลังความสำเร็จสมบูรณ์ของมหาปฏิวัติฝรั่งเศส เพียง 15 ปี คือปี พ.ศ. 2414 โดยที่ประเทศไทยก็เริ่มเคลื่อนไหวประชาธิปไตยมาพร้อมๆ กับญี่ปุ่น ใน รัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิ มัตซูฮิโต โดยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินการ ปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งในขณะนั้น เรียกทับศัพท์ว่า “เรโวลูชั่น” ด้วยวิธี “การปฏิรูปการปกครอง” ซึ่งเรียกทับศัพท์ว่า “คอเวินเมนต์ รีฟอร์ม” เพื่อบรรลุความมุ่งหมายเช่นดียวกับญี่ปุ่น แต่ต่อมาแนวทาง ดังกล่าวต้องล้มเหลว ก็เพราะการยึดอำนาจของคณะราษฎรในสมัยรัชกาลที่ 7 และได้ล้มเหลวมาจนถึง ทุกวันนี้ ฉะนั้น การสร้างประชาธิปไตย จึงต้องกลับไปสู่การนำโดยพระมหากษัตริย์ดังเดิม ก็จะทำให้ การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่นและเป็นผลดี

            27. การจะทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองกันนั้น ก่อนอื่นเราจะต้องมีความเข้าใจรูปธรรม ของความขัดแย้งทางสังคม ว่าเป็นอย่างไร หรือคู่ขัดแย้งคืออะไร เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็จะทำให้แก้ ปัญหานั้นได้ มีผู้อธิบายหลักการพิจารณาปัญหานี้ไว้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าถูกต้องก็คือ “มาร์กซ์” และ “เองเกลส์” ซึ่งเป็นผู้สร้าง ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ (Dialectical Materialism) ขึ้นแล้ว ก็ได้นำเอาวัตถุนิยมวิภาษไปประยุกต์กับพัฒนาการของสังคม และสรุปขึ้นเป็น วัตถุนิยม ประวัติศาสตร์ (Historical Materialism) โดยถือว่าพัฒนาการของสังคมนั้น ย่อมมีความขัดแย้ง ไม่เป็นเอกภาพ ซึ่งต้องเป็นไปตาม กฎของวัตถุนิยมวิภาษ เช่นเดียวกับ โลกธรรมชาติทั้งปวง

            โดยเห็นว่าความขัดแย้งภายในสังคม ซึ่งนอกจากจะเป็นความขัดแย้งแล้ว ยังเป็นพลังผลักดัน พัฒนาการของสังคมด้วยก็คือ ความขัดแย้งระหว่าง “กำลังผลิต” (Productive Force) กับ “ความ สัมพันธ์การผลิต” (Reaction Production) ในสังคมชนชั้นมันจะแสดงออกเป็นความขัดแย้งทาง ชนชั้น โดยรูปธรรมของความขัดแย้งที่แท้จริงก็คือ “กรรมกร” กับ “นายทุน” นั่นเอง ดังนั้น ความ ปรองดองแห่งชาติในสังคมนิยม จะเป็นไปได้ก็คือ คู่ขัดแย้งตัวจริงของสังคมทุนนิยมต้องสามัคคีกัน และการจะสามัคคีกันได้นั้น อยู่ที่ต้องสร้างประชาธิปไตยร่วมกัน ถ้าตราบใดที่ขบวนการกรรมกร ยังไม่เข้าร่วมผลักดันการสร้างประชาธิปไตย ตราบนั้นก็จะยังไม่มีความปรองดองแห่งชาติเกิดขึ้นได้

            28. การจะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้ เราต้องเข้าใจด้วยว่า ระบอบเผด็จการ (Dictatorial Regime) เนื้อแท้ตัวจริงเป็นอย่างไร การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democratic Government) ซึ่งจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตย (Democratic Regime) ก็ได้ แต่การปกครองแบบประชาธิปไตย กับ ระบอบประชาธิปไตยนั้น แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์อย่างแยกกันไม่ออก ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะ ระบอบ คือ มรรควิธีของการปกครอง กล่าวอย่างรูปธรรมหมายถึง อำนาจอธิปไตยเป็นของใคร ซึ่งมีเพียง 2 อย่าง คือ “ปวงชน” และ “ชนส่วนน้อย” ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนก็เป็น “ระบอบประชาธิปไตย” ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อยก็เป็น “ระบอบเผด็จการ” ฉะนั้น ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นหลักการปกครองที่สำคัญที่สุดของ การปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้าปราศจากระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีหลักการอื่นหรือเงื่อนไขอื่น เช่น มีเสรีภาพ มีระบบ รัฐสภา มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งเป็นต้น ก็ไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย

            ระบอบเผด็จการ ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย เป็นปัญหาหลักการคือหลักเผด็จการ ไม่ใช่ปัญหาบุคคล ความหมายตามหลักวิชาการคือ อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย โดยชนส่วน น้อยนั้น อาจเป็นชนชั้นสูงก็ได้ ชนชั้นกลางก็ได้ หรือชนชั้นกรรมาชีพก็ได้ รวมทั้งเป็นทหารก็ได้ หรืออาจจะเป็นกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ก็ได้ ที่มีผลประโยชน์แตกต่างกัน โดยแต่ละกลุ่มผลประโยชน์ นั้น จะตั้งพรรคการเมืองของตนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของตน ซึ่งไม่ใช่เป็นผู้แทนของ ประชาชน นักการเมืองบ้านเราจึงล้วนเป็นผู้แทนของชนส่วนน้อยทั้งสิ้น แต่เมื่อเป็นผู้แทนของชนส่วน น้อยแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า พรรคการเมืองเหล่านั้นเป็นเผด็จการ พรรคการเมืองเหล่านี้จะเป็น เผด็จการได้ก็ต่อเมื่อ มีอำนาจอธิปไตยด้วย ดังนั้น ระบอบเผด็จการจึงมีองค์ประกอบดังนี้

            1) เป็นผู้แทนของชนส่วนน้อยที่ร่ำรวย

            2) เป็นกลุ่มการเมืองหรือคณะหรือพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจรัฐ หรือเป็นผู้ถืออำนาจอธิปไตย ของชาติและของประชาชน

            ดังนั้น เผด็จการที่แท้จริง จึงอยู่ที่ตัวคณะผู้ปกครองหรือรัฐบาล มิใช่อยู่ที่รัฐธรรมนูญเลย แล้ว เราจะไปแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร

            29. การสร้างประชาธิปไตย ก็คือ การปฏิวัติประชาธิปไตย กล่าวตามความหมายที่เป็นศัพท์ ทางวิชาการก็คือ การทำให้ดีขึ้น แต่ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็หมายถึง การยกเลิกสิ่งไม่ดี แล้วทำการ สร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้นแทน ทั้งนี้ก็เพราะว่า การสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่ดีไม่สามารถเป็นไปได้ โดยไม่ยกเลิก สิ่งไม่ดี เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องมีทั้ง “ปหานะ” และ “ภาวนา” ปหานะ คือ ละอกุศลกรรม ภาวนา คือ เจริญกุศลกรรม ดังนั้น การเจริญกุศลกรรมโดยไม่ละอกุศลกรรมนั้น จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ หรือการทำดี โดยไม่ละชั่วจึงเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการทำนา ต้องกำจัดวัชพืชก่อน

            ฉะนั้น การสร้างประชาธิปไตย ก็ต้อง ยกเลิกระบอบเผด็จการ และ การปกครองเผด็จการ โดยสิ้นเชิง ซึ่งประกอบด้วยมาตรการสำคัญ ดังนี้คือ

            (1) ทำให้รัฐบาลของการปกครองแบบเผด็จการสิ้นสุด

            (2) ทำให้รัฐสภาของการปกครองแบบเผด็จการสิ้นสุด

            (3) ยกเลิกรัฐธรรมนูญของการปกครองแบบเผด็จการ

            (4) สลายพรรคการเมืองเผด็จการ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ บริษัทค้าการเมืองอันเป็นเครื่องมือ ทำธุรกิจของบรรดาเจ้าพ่อทั้งหลาย

            (5) สลายกลุ่มผลักดันมาเฟีย และองค์กรอิสระที่เป็นกลไกปกป้องคุ้มครองระบอบเผด็จการ เพราะเป็นกลไกพรรค ไม่ใช่กลไกรัฐ

            (6) ให้จัดตั้ง “สภาปฏิวัติแห่งชาติ” ซึ่งประกอบด้วยองค์การระดับชาติ และองค์การระดับ จังหวัด มีผู้แทนในแต่ละอำเภอทั่วประเทศ รวมกับผู้แทนอาชีพต่างๆ อย่างเป็นสัดส่วน

            (7) ผู้แทนสาชาอาชีพต่างๆ ได้เปิดประชุมแต่ละสาขาอาชีพ สะท้อนปัญหาและเสนอวิธีการ แก้ปัญหาของอาชีพนั้นๆ

            (8) กำหนดนโยบายประชาธิปไตย ประกอบด้วยนโยบายหลัก และนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้า ซึ่งสาระสำคัญ ของนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้า ควรเป็นดังนี้

            1) ยกเลิกการกดขี่ข่มเหงประชาชน โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกกรณีทันที

            2) ยกเลิกหนี้สินของประชาชนที่มีฐานะยากจน และเฉลี่ยรายได้แห่งชาติให้เกิดความเป็นธรรม

            3) ตรึงและพยุงราคาสินค้า โดยใช้รัฐวิสาหกิจที่ได้ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพแล้วเป็นสำคัญ

            4) ประกันราคาผลิตผลเกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผลประโยชน์ตกแก่ชาวนา ชาวไร่ อย่างทั่วถึง และปฏิรูปที่ดินให้ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในที่ทำกินและประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างทั่วถึง

            5) ให้ข้าราชการเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพแรงงาน และพรรคการเมืองได้อย่างเสรี ซึ่งจะยัง ผลให้ข้าราชการมีจิตสำนึก เป็นข้าราชการของประชาชนอย่างแท้จริง

            6) ให้ผู้แทนรัฐวิสาหกิจ โดยทางองค์กรของผู้ใช้แรงงานที่แท้จริงเข้าร่วมกับฝ่ายบริหาร เพื่อ พิจารณากำหนดนโยบาย และมาตรการในการปรับปรุงรัฐวิสาหกิจ

            7) ออกกฎหมายประกันสังคมให้เป็นธรรม และกฎหมายที่เกี่ยวกับการหางาน และส่งคนงาน ไปต่างประเทศ

            8) ปรับปรุงแก้ไข สาธารณูปโภคให้รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง

            9) ปลดปล่อยนักโทษและยกเลิกคดีการเมือง

            10) ปราบปรามอาชญากรรมและคอรัปชั่น และรักษาความปลอดภัยของประชาชนอย่างมี ประสิทธิภาพ โดยให้พรรคการเมืองและองค์กรมวลชนร่าวมดำเนินการ

            11) ปรับปรุงระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตย โดยใช้มาตรการประสาน กลไกรัฐ กับ กลไกพรรคเป็นเครื่องมือสำคัญ

            12) ให้มีสมาชิกวุฒิสภามาจากสาขาอาชีพอย่างยุติธรรม

            13) ให้มีพรรคการเมืองพัฒนาตามธรรมชาติ มิใช่โดยกฎหมายบังคับ

            14) ให้มีสภาการเลือกตั้งแห่งชาติ ประกอบด้วยส่วนราชการ พรรคการเมือง และองค์การ มวลชน ทำหน้าที่ดำเนินการเลือกตั้ง เพื่อให้เป็นไปตามหลักเลือกตั้งเสรี และผู้มีสิทธิหนึ่งคน เลือก ผู้แทนคนเดียว

            15) ยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายทั้งปวง ที่ทำลายหรือบั่นทอนเสรีภาพของบุคคล

            16) ตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับโครงสร้าง และหลักการ ประชาธิปไตย ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์แล้วนั้น เมื่อรัฐสภาลงมติเห็นชอบแล้ว ให้ ประชาชนแสดงประชามติก่อนบังคับใช้

            นี่คือตัวอย่าง ของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง และเป็นทางออกของชาติได้




ผู้ตั้งกระทู้ james (central-dot-attorney-at-gmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก :: วันที่ลงประกาศ 2012-02-12 10:27:45 IP : 110.171.106.46

http://www.thaindc.org/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1447610


4

จิตจักรพรรดิ
ตอน มาเฟียพลังจิต
ดังตฤณ
แจกจ่ายฟรีได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องขออนุญาต
ห้ามนําไปใช้ทางการค้าไม่ว่ากรณีใดๆก่อนได้รับอนุญาต

______________________________________________________________________________
มาเฟียพลังจิต

สำหรับคนที่รอคอย "ทางนฤพาน" และ "กรรมพยากรณ์"
ฉบับพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์ฮาวฟาร์
ผมขอแนะนำนวนิยายเรื่องใหม่
"จิตจักรพรรดิ" ให้อ่านกันไปพลางๆก่อน
และไม่ใช่ว่าผมส่งตัวแถมมาขัดตาทัพนะครับ
ตรงข้าม นี่คือสิ่งที่ผมหวังให้เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
สร้างก้าวใหม่ที่แตกต่าง ทั้งความน่าติดตาม
ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังอ่านจบ
ชวนติดใจพอจะให้แฟนใหม่ๆถามหาเรื่องเก่าๆได้

jitjakapat

ความสนุกของจิตจักรพรรดิ เริ่มต้นขึ้นมาโฟกัสที่นางเอก
ซึ่งจบปริญญาจิตวิทยาการปรึกษา
และที่ไม่ธรรมดา
คือมีความสามารถรู้เห็นปมสำคัญของชีวิตคนอื่นด้วยจิตสัมผัส
กับทั้งมีแก่ใจทุ่มเทตนเอง
ไปในการเปลี่ยนชีวิตคนอื่นด้วยคำพูดไม่กี่คำ

สีสันอยู่ที่ความสมจริง
อย่างสมมุติว่าตั้งโจทย์ยากๆ เช่น
ถ้าเธอโดนโจรจับตัวไป
ในนาทีเป็นนาทีตายนั้น
จะพูดเอาตัวรอดได้อย่างไร
แบบที่เปลี่ยนใจโจรได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
ก่อนถูกทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้อ
หากเป็นเรื่องจริง
จะมีคำพูดจริงๆแบบไหนไปเปลี่ยนใจโจร
ไม่ใช่แค่ไม่ทำร้าย แต่พลิกความคิดทั้งหมด
ให้อยากเลิกเป็นมิจฉาชีพ หันมาเป็นสุจริตชนแทน

ฟังดูถ้าเป็นเรื่องจริงคงเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้านางเอกทำได้สมจริง
ก็กลายเป็นนิยายสนุกอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมครับ
และนั่นแหละที่เป็นความสนุกของจิตจักรพรรดิ

ยิ่งไปกว่านั้น ความบันเทิงอีกชั้นหนึ่ง
คือการที่นางเอกซึ่งสมควรมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
กลับเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต
ที่ชวนให้คิดว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรเลย ไม่แน่ใจอะไรเลย
เมื่อพบว่าความสามารถทางจิตสัมผัสของเธอ
เป็นแค่หางแถวในกองทัพพลังจิต
มีใครบางคนล่วงรู้อนาคตในวันนี้และพรุ่งนี้ของเธอ
กับทั้งควบคุมให้เธอทำตามคำสั่งได้ยิ่งกว่ามาเฟีย
ซ้ำร้าย มาเฟียที่มีพลังจิตนั้น
ไม่ได้มี แค่คนเดียวอีกต่างหาก
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรถ้ามาเฟียพลังจิตหลายสาย
กำลังใช้เธอเป็นสนามประลองกำลัง?

สำหรับ แฟน "ทางนฤพาน" และ "กรรมพยากรณ์"
ให้นึกภาพนางเอกง่ายๆครับ
อ่อนหวานน่าหลงรักเหมือนแพตรี
แล้วก็เสน่ห์แรงน่าทึ่งอย่างลานดาว
แต่ขณะเดียวก็มีรายละเอียดเบื้องหน้าเบื้องหลัง
แตกต่างจากแพตรีและลานดาวเป็นคนละเรื่อง
อย่างเช่นภาพอันเป็นแง่คิดสำหรับหญิงยุคไอที
ที่หลายคนพยายามเอาชนะผู้ชายด้วยการเป็นชายที่เหนือกว่า
หรืออย่างน้อยก็ด้วยความแกร่งแบบชาย
โดยลืมวิธีสยบชายด้วยความนุ่มนวลแบบหญิง
และเพราะ ลืม
คู่รักจึงมักอยู่ร่วมบ้านแบบชายพยายามเอาชนะชาย
ต้องแตกแยกกันมากกว่าจะร่วมพายเรือกันตลอดรอดถึงฝั่ง

สุดท้ายแล้ว เรื่องจิตจักรพรรดิแสดงรูปชีวิตของแต่ละคน
ที่ถูกควบคุมอยู่ด้วยความไม่รู้เป็นชั้นๆ
และถ้าอ่านชีวิตคนได้ง่ายเหมือนอ่านหนังสือไม่กี่ร้อยหน้า
คุณก็จะพบความสนุกเป็นชั้นๆแบบขั้นบันไดได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่านางเอก
ไขปริศนาชีวิตให้ตนเองตามลำดับได้อย่างไร
และสุดท้ายเมื่อต้องตัดสินใจเลือกครั้งสำคัญ
คนเราควรมีมาตรฐานใดเป็นเครื่องช่วยเลือกบ้าง

ตลอดทั้งเรื่องที่ดำเนินไป
ผมพยายามสอดแทรกแง่คิดไว้เป็นระยะ
ผ่านวาทะกินใจที่สะสมไว้ในช่วงปีที่ผ่านมา
นั่นหมายความว่าผมใช้เวลาค่อยๆปั้นค่อยๆแต่ง
กว่าที่จิตจักรพรรดิจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้

ปมจำนวนมากที่ถูกผูกขึ้นแล้วคลายออกเป็นเปลาะๆ
ด้วยการหักมุมหลายครั้งเหมือนชีวิตจริง
ที่ความคาดไม่ถึงหรือเรื่องเหนือความคาดหมาย
นำไปสู่การเปิดเผยหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่รวมแล้วไม่แคล้วต้องลงให้สัจธรรม คือ
อะไรๆก็ไม่เที่ยง อะไรๆก็ไม่อาจทนความเป็นตนเองได้
เพราะอะไรๆสักแต่ประกอบประชุมกันชั่วคราว
คงรูปเพื่อเสื่อมรูป เกิดนามแล้วเสื่อมนาม
หาความจริงแท้ในรูปนามไม่เจอ

ถ้าใครไม่อยากเชื่อว่าพุทธศาสนาเป็นของจริง
ผมก็หวังว่าอ่านการคลายปมของจิตจักรพรรดิถึงจุดหนึ่ง
แล้วจะหันมาศรัทธาและสนใจจริงจังได้
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามฝืนใจใดๆ
ถือว่าเป็นการพยายามครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ในอันที่จะสร้างบันไดขั้นแรกให้กับคนร่วมสมัยด้วยกัน

โลกอันเป็นที่รวมอยู่ของหมู่มนุษย์
เต็มไปด้วยเงื่อนไขยากลำบากยั่วยุสารพัด
เหมือนตั้งโจทย์มาง่ายๆแต่ทำได้ยากเพียงข้อเดียวครับ
"ทำอย่างไรจะให้คนเรามีแก่ใจช่วยกัน?"

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเสพความบันเทิง
ดังนั้น จึงควรตั้งโจทย์ย่อยเข้าไป เช่น
ทำยังไงจะให้คนเห็นการช่วยเหลือกันเป็นเรื่องน่าสนุก
เห็นการฝึกจิตแบบพุทธเป็นเรื่องที่นำมาช่วยๆกันได้
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนคำถามในชีวิตประจำวัน เช่น
"ทำยังไงฉันจะฉกฉวยอะไรจากคนอื่นเข้าตัวได้มากๆ"
เป็น...
"ทำยังไงฉันจะเปลี่ยนโลกรอบตัวให้ดีขึ้นตามฉันได้มากๆ"
เพื่อตระหนักถึงกฎความจริงขั้นพื้นฐาน คือ
ได้ตั้งแต่ให้
ไม่ใช่ให้แล้วต้องรอแล้วรอเล่ากว่าจะได้คืน
หรือให้แล้วรอหายลับ ไม่เห็นจะได้อะไรกลับมาสักที

ผลของการช่วยเหลือ
บางครั้งอาจเป็นสุข
แบบส่งสุขย่อมได้สุข ให้เปล่าย่อมได้เปล่า
แต่บางครั้งอาจเป็นความเจ็บปวด
แบบทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป
ทว่าตัวการช่วยเหลือนั้นเอง
"ทุกครั้ง" ให้ผลเป็นความสุข
ความเจริญรุ่งเรืองทางจิตวิญญาณเสมอ

นั่นแหละครับ ภาพความจริงที่จิตจักรพรรดิแสดง

ฟีดแบ็กจากนวนิยายเรื่องก่อนๆ
ทั้งทางนฤพานและกรรมพยากรณ์
บอกผมว่าถ้าปล่อยออกมาเป็นเล่มใหญ่ทีเดียว
คนส่วนมากจะนึกขยาดในความหนา
ผมจึงซอยจิตจักรพรรดิออกเป็นหลายเล่ม
และจะทยอยวางแผงเฉพาะใน 7Eleven
เพื่อคุมราคาให้ได้ไม่เกินร้อยบาท

ในวันที่ผมเริ่มเขียนจากใจ บ.ก. ใกล้ตัว
คือวันอังคารที่ ๑๕ มิถุนายน
ได้มีการลำเลียงขนส่งหนังสือจากโรงพิมพ์ไปที่ 7Eleven
คาดหมายว่าในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มิถุนายน
คือวันที่คุณกำลังอ่าน "จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว" อยู่นี้
7Eleven และ BookSmile ในเขตกรุงเทพฯ
น่าจะเห็นได้หลายแห่งครับ
ส่วนปริมณฑลและต่างจังหวัดทั่วประเทศ
น่าจะวางพร้อมกันครบไม่เกินวันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายนนี้

ในหน้าคำนำนักเขียน ผมเอ่ยอ้างสรรพคุณไว้ว่า
ถ้าคุณสนุกกับ "ทางนฤพาน" และ "กรรมพยากรณ์"
ถ้าคุณได้อะไรจาก "รักแท้มีจริง" และ "เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว"
คุณจะเป็นคนหนึ่งที่อ่าน "จิตจักรพรรดิ"
ด้วยความตื่นเต้นระทึกกว่างานทุกเล่มข้างต้นครับ!

ดังตฤณ
มิถุนายน ๕๓

_____________________________________________________________________________
บทที่ ๑

๕ โมงเย็น

แทนการใช้จิตสัมผัสประกอบพลังคำอันเป็นไปเพื่อเปลี่ยนชีวิตลูกค้าดังเคย มะแมกำลังจะต้องใช้สมองประกอบคำชี้แจงอันเป็นไปเพื่อเปลี่ยนใจคอลัมนิสต์คนหนึ่งที่เพิ่งเขียนด่าหล่อนลงนิตยสาร "มีเธอ" มาไม่นาน

แต่ก็ไม่แน่ ทุกการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา ผู้สัมภาษณ์จะ"ขอแถม"เสมอ หล่อนจึงมักเหนื่อยเป็นสองเท่า ใช้ทั้งสมองและทั้งจิตสัมผัสประกอบกัน

มะแมเลือกเวลาเลิกงานมาให้สัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนรายใด เพราะแสงยังไม่หมดถ่ายรูปได้สบาย แล้วก็ไม่เบียดเบียนเวลาการทำงานตามปกติ กับทั้งยืดหยุ่นได้นานตามความเหมาะสม จะมีข้อเสียคือหล่อนอาจอ่อนล้า หรือหน้าตาไม่สดชื่นไปบ้าง

ด้วยเหตุนั้น มะแมจึงกำหนดเวลานัดเป็น ๑๗:๑๕ เพื่อให้ตนเองมีเวลาหายใจหายคอ หล่อนพักดื่มน้ำและมานั่งหลับตา พักเท้า พักมือ พักหน้า ลากลมหายใจยาว ช้า แล้วผ่อนออกสู่ การพักลมนาน กับทั้งมีความสม่ำเสมอ ขจัดคลื่นรบกวนในหัวออกจนเหลือแต่จิตใจที่ปลอดโปร่ง สว่างสบาย

เพียงด้วยช่วงเวลาพักผ่อนอย่างมีคุณภาพสั้นๆ พลังความสดชื่นก็ถูกเรียกกลับคืนมาเกือบเท่ากับคนทั่วไปพักผ่อนนอนหลับมาทั้งคืนทีเดียว

บรรยากาศในที่ทำงานของมะแมสมกับความเป็นมืออาชีพ หล่อนอายุยังน้อย จึงใช้ชุดสูทกระโปรงสีขาวในเวลาทำงานเพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่ ส่วนสถานที่เป็นโฮมออฟฟิศหนึ่งคูหาใกล้ทางด่วนย่านชานเมือง ตกแต่งภายในด้วยเฟอร์นิเจอร์ทันสมัย และให้อารมณ์คล้ายสถานที่พักผ่อนมากกว่าจะเป็นที่ทำงาน เคร่งขรึม ไร้กองแฟ้มเอกสารตั้งเกะกะสายตา

หล่อนจ้างเด็กไว้คนหนึ่งในราคาแพงเพียงให้แน่ใจว่ามีลูกมือซื่อๆใช้งานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาด รับโทรศัพท์นัดหมาย ต้อนรับลูกค้า จัดคิวหน้าห้อง สภาพความเป็นออฟฟิศจึงเต็มรูปแบบ

ขณะนั้นเอง เด็กลูกจ้างซึ่งกำลังทำหน้าที่เลขาหน้าห้อง ส่งสัญญาณอินเตอร์คอมเป็นการเตือนว่าถึงเวลานัด มะแมเปิดเปลือกตาขึ้น และส่งสัญญาณตอบว่าพร้อมแล้ว จากนั้นเพียงอึดใจหญิงวัยเกินสี่สิบคนหนึ่งก็เดินเข้ามา พร้อมชายร่างอ้วนกลมแบกกล้องใหญ่กับขาตั้งครบชุดมาด้วย

มะแมเป็นฝ่ายพนมมือไหว้ทักอย่างอ่อนโยน

"สวัสดีค่ะ พี่ชลิกาใช่ไหมคะ?"

ชลิกาเป็นผู้หญิงตาขวาง คล้ายพร้อมจะโกรธโลกอยู่ตลอดเวลา ใครเห็นก็น่าจะสัมผัสได้ง่ายๆว่าหล่อนเป็นพวกหมกมุ่นครุ่นคิดยุ่งเหยิง

แต่ด้วยความชำานาญในอาชีพของมะแม ทำให้สัมผัสได้ลึกกว่านั้น หล่อนรู้สึกถึงกระแสชีวิตทึบๆ ร้อนๆ แรงๆของชลิกา กับทั้งแปลได้ถูกว่าฝ่ายนั้นเริ่มต้นจากกำเนิดที่ยากลำบาก ขาดความอบอุ่น แถมโตขึ้นต้องแบกภาระอย่างไม่เป็นธรรม จึงรู้สึกว่าโลกมีแต่แง่ร้ายให้มอง

ในแวบแรกนั่นเอง มะแมได้ข้อสรุปรวบยอดเกี่ยวกับตัวตนของชลิกา ฝ่ายนั้นอัดแน่นไปด้วยความคับแค้น และถูกบีบให้เชี่ยวชาญในการจับผิดคนอื่น หลงลืมข้อดีของใครๆได้ง่าย บางทีรุกรานคู่สนทนาโดยไม่ทันตั้งใจ และว่างๆก็นั่งเป็นทุกข์ได้ด้วยไฟริษยาที่จุดเอง ร้อนเอง แค่เข้าใกล้ก็น่ารำคาญแล้ว
แต่เมื่อต้องโอภาปราศรัย ชลิกาก็ยิ้มแย้มรับไหว้ พูดจาอ่อนหวานได้แบบไม่ฝืน

"สวัสดีค่ะน้องมะแม พี่ปุ๋ยขอบคุณนะคะที่สละเวลาให้นิตยสารเล็กๆของเรา"

ชลิกาใช้สรรพนามแทนตนด้วยชื่อเล่นเป็นการขอผูกสนิท มะแมยิ้มนิดๆ พินิจกิริยาตีสนิทของฝ่ายนั้นอย่างเห็นทะลุ คนพวกนี้เขียนเก่ง ด้วยความที่สั่งสมสำนวนจิกกัดแสบๆคันๆมาหลายสิบปีจนพิสดารขนาดให้คนจำขี้ปากไปใช้ ขณะเดียวกันก็หวานเป็น ให้ตบหัวแล้วลูบหลัง หรือลูบหลังแล้วค่อยตบหัว อย่างไรก็คล่องหมด

"ต้องขอบคุณนิตยสารดีๆของพี่ปุ๋ยที่ให้เกียรติมะแมมากกว่าค่ะ" ปฏิสันถารตอบแล้ว หล่อนก็ผายมือไปทางชุดโซฟารับแขก "นั่งตรงโน้นกันนะคะ"

มะแมเลือกจุดนั้นเพราะเห็นว่าคงมีการถ่ายรูประหว่างสัมภาษณ์ ถ้าเป็นชุดรับแขกจะดูสบาย และถ่ายได้หลายมุมกว่าโต๊ะทำงาน ทั้งสองเคลื่อนมานั่งเข้าที่ และหลังจากเด็กลูกจ้างตามเอาน้ำสองแก้วเข้ามาให้แขกเสร็จ ชลิกาก็เกริ่นพลางเปิดเครื่องบันทึกเสียงสนทนา กับเตรียมกระดาษปากกาสำาหรับโน้ตข้อความสำคัญ

"วันนี้เราจะคุยกันสบายๆนะคะ อาจเข้าเรื่องส่วนตัวของน้องมะแมบ้าง"

"ยินดีค่ะ"

ช่างกล้องเริ่มจัดอุปกรณ์ กางขาตั้ง ขณะนั้นชลิกาก็ยิงคำถามแรก

"ชื่อมะแม แปลว่าเกิดปีมะแมสิคะ?"

"เปล่าค่ะ"

"เอ๊ะ! แล้วทำาไมได้ชื่อนี้?"

"เป็นความฝังใจเศร้าๆของคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ในปี ๒๕๒๒ พวกท่านมีลูกคนแรก และตั้งชื่อตามปีนักษัตรว่า 'มะแม' แต่เธออายุสั้น อยู่แค่ไม่ถึง ๗ ปีก็จากไป"

ชลิกาเบิกตากว้าง ท่าทีนั้นประกาศให้ทราบว่าไม่เคยทราบที่มาที่ไปของชื่อมะแม

"อย่างนั้นหรือคะ พวกท่านมีลูกคนเดียว?"

"ค่ะ! ปีต่อมาหลังจากหายโศกเศร้าแล้ว

พวกท่านก็อยากมีลูกด้วยกันอีก และเพราะเห็นหน้าตาคล้ายกันตั้งแต่วันคลอด แถมรักไม่ต่างจากลูกสาวคนแรก เลยตัดสินใจตั้งชื่อเดิมเอาไว้เป็นอนุสรณ์
โดยเชื่อว่าลูกสาวคนเดิมกลับมาเกิดใหม่ เพื่อไม่ให้ต้องคิดถึงอีกต่อไป"

"อือม์..." ชลิกาครางอย่างสนใจ "

แล้วน้องมะแมเชื่อ หรือระลึกได้ว่าเป็นลูกสาวคนเดิมของพวกท่านบ้างไหม?"

"มะแมว่าไม่ใช่นะคะ"

หญิงสาวตอบด้วยสำเนียงปฏิเสธจากส่วนลึก ชลิกาพยักหน้ารับทราบ ก้มลงจดยิกแล้วเงยหน้าแย็บหยั่งเชิง

"ชอบเรื่องลึกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?"

"ไม่ชอบเลยค่ะ ไม่อยากถามตัวเองว่า กำลังโดนแหกตาอยู่หรือเปล่า"

"เอ๊ะ! แล้วอาชีพที่น้องมะแมเลือกนี้มันไม่ลึกลับหรอกหรือคะ?"

"มะแมพูดในสิ่งที่ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่าจริงหรือ ไม่จริง อาชีพของมะแมจึงเปิดเผย พิสูจน์ได้ง่ายเฉพาะตัวคนฟัง"

หล่อนตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาแปลกใจในคำถาม แล้วก็ไม่ต้องครุ่นคิดหาคำตอบ นั่นย้อนกลับไปทำให้ชลิกาทึ่งได้ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนคิดถามจี้ต่อได้

"งั้นเรียกว่าน้องมะแมใช้ความสามารถที่ลึกลับได้ไหม?"

"วัดความลึกลับจากอะไรคะ?"

"ก็เช่นที่ลูกค้าน้องมะแมต้องถามบ่อยๆว่า 'รู้ได้ยังไง?' ซึ่งแปลว่าพวกเขาฉงนสนเท่ห์ อดสงสัยไม่ได้ว่าน้องมะแมใช้วิธีไหนในการรู้สิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้"

"ถ้ามองแง่นั้น ก็เรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษดีกว่าค่ะ ความสามารถพิเศษที่จะสนใจ สังเกตความจริง ต่างจากคนทั่วไปที่จ้องจะบิดเบือนความจริง"

"แปลว่าคนทั่วไปมองไม่เห็นความจริงกันเลยหรือคะ?"

"จากการสังเกต มะแมพบว่าคนทั่วไปพยายามเพ่งเล็ง แต่ไม่ได้พยายามมองให้เห็น"

"แหม! ใช้กระดาษจดคำสัมภาษณ์น้องมะแมไม่ได้เลยนะคะนี่"

"ทำไมคะ?"

"พี่จดๆอยู่ เจอคำคมของน้องมะแม กระดาษเกือบขาดแควกแน่ะค่ะ!"

สองหญิงต่างวัยหัวเราะพร้อมกันในบรรยากาศเป็นกันเองกว่าเดิม

"บอกตรงๆ มาอยู่ใกล้น้องมะแมแล้วพี่ปุ๋ยรู้สึกแปลกๆ"

"ยังไงคะ?"

"คือ... น้องมะแมออกจะน่ารักไม่เหมือนพวกเล่นพลังจิต เอ... แต่ดูอีกทีก็นิ่งๆ ชวนให้ขนลุกเหมือนกันนะ เหมือนนางเอกหนังที่ทำให้เราแอบหนาวสันหลังได้"

มะแมหัวเราะอารมณ์ดีกับคำาชมที่ฟังยากว่าจะเอาไงแน่ แค่จะบอกว่าน่ารักยังเป็นน่ารักเหมือนยังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดชอบกล แต่หล่อนไม่ถือสานัก เพราะตระหนักว่ากำาลังนั่งอยู่กับคอลัมนิสต์ที่เจอโลกด้านมืดมามากเห็นโลกไม่ถูกต้องไปหมด แต่ละคำที่ออกจากปากจึงคล้ายแฝงใบมีดบาดหูเสมอจะจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม

ระหว่างการสนทนา ตากล้องก็ลั่นชัตเตอร์ถ่ายรูปไปด้วย มะแมคุ้นกับกระบวนการทั้งหมดดี พอเลือกเก็บมุมสวยขณะทำาการสัมภาษณ์ได้มากพอ ตากล้องส่วนใหญ่จะพักรอถ่ายอีกครั้งเป็นท่ายืนหรือท่าเดินเก๋ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่มะแมรู้สึกประหลาดคล้ายต้องจำาใจแกล้งทุกที สู้ให้คุยไปตามธรรมดาแล้วเลือกถ่ายเอาเองอย่างเดี๋ยวนี้ไม่ได้

"มะแมก็ไม่ถือว่าตัวเองเป็นนักพลังจิตนะคะ แค่มีสัมผัสทางใจนิดหน่อยตามอาชีพเท่านั้น เมื่อเป็นมืออาชีพในด้านไหน คนเราก็มีสัมผัสพิเศษทางนั้นกันทุกคน"

แม้คำพูดจะออกมาจากใจจริง แต่ชลิกาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่านั่นเป็นการดัดจริตถ่อมตัว เพียงแต่เนียนได้แบบไม่น่าหมั่นไส้ และความรู้สึกนั้นก็ขับให้ชลิกาโพล่งคำถามที่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน

"น้องมะแมคิดจะไปเป็นดาราบ้างหรือเปล่าคะ?"

"ไม่หรอกค่ะ" หญิงสาวตอบทันที ฟังรื่นไหลต่อเนื่อง

"มะแมแสดงเป็นแต่ตัวเองได้บทเดียว"

"แล้วบทบาทแบบมะแมนี่ พูดให้สั้นที่สุดคือ...?"

"แกล้งแสดงให้ดูดีไม่เป็น!"

คำาพูดราบเรียบสม่ำเสมอของสาวนัยน์ตาคม มีผลให้ชลิกาชะงักและยิ้มเจื่อนลง

"น้องมะแมพอใจกับอาชีพของตัวเอง และรู้สึกเป็นตัวของตัวเองที่สุดแล้วใช่ไหมคะ?"

"ค่ะ! มะแมจบตรีจิตวิทยาการปรึกษา และที่เลือกเรียนสาขานี้ ก็เพราะรู้ว่าหน้าที่หลักในอาชีพคือให้คำแนะนำ ช่วยลูกค้าแต่ละคนให้ทราบว่าควรทำอะไร จึงเหมาะกับตัวเองที่สุด ถ้ามะแมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่านี่ใช่แล้วหรือยัง อาชีพของมะแมก็ล้มเหลวตั้งแต่แรก"

"ตกลงอาชีพของน้องมะแมคืออะไรกันแน่คะ?"

"นักจิตวิทยา ที่ปรึกษาปัญหาชีวิต หรือจะเรียกอะไรก็คงสุดแล้วแต่ใครมองค่ะ"

"ว่ากันว่าถ้าใครเลือกอาชีพอย่างรู้ตัวว่ารักจะทำอะไร คนๆนั้นต้องอยากเห็นอะไรดีๆเกิดขึ้นสักอย่างด้วยน้ำมือตน น้องมะแมอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นจากอาชีพของตัวเองบ้างคะ?"

เป็นครั้งแรกที่นักจิตวิทยาสาวใช้เวลาคิดเล็กน้อยก่อนตอบ

"มะแมเคยถามตัวเองว่า ถ้า 'ทุกคน' ในโลกนี้ทำสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง หรือทำในสิ่งที่ควรจะทำ รู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่มะแมทำาอยู่ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการอยากดูคำตอบของจริงว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมะแมช่วยให้หลายคนทำในสิ่งที่พวกเขาควรทำไม่ใช่ทำในสิ่งที่กิเลสครอบงำให้ทำ"

"ฟังดูดีจังค่ะ สรุปคือน้องมะแมเป็นนักจิตวิทยาที่ปรึกษา?"

"ค่ะ!"

"ไม่ใช่หมอดู?"

"หมอดูเน้นคำาพยากรณ์ มะแมเน้นคำแนะนำ ภาพรวมเป็นคนละเรื่อง"

"แต่จุดแจ้งเกิดของน้องมะแมก็มาจากการพยากรณ์นี่คะ ทำนายเหตุการณ์ระดับประเทศ ถึงได้ดังระดับประเทศ ใครๆก็จำว่าน้องมะแมเป็นหมอดูแม่นๆกันทั้งนั้น"

"อย่างที่มะแมประกาศกับทุกคนแต่วันแรกจนถึงวันนี้ว่าการเห็นครั้งนั้นไม่ใช่ญาณหยั่งรู้ แต่เป็นฝันสังหรณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ให้ทำใหม่ มะแมก็ทำไม่ได้"

ชลิกาทำทีหัวเราะๆแบบแกล้งงง

"เวลาลูกค้าชวนกันมาหาน้องมะแม เขาบอกว่ามาหาหมอดู หรือว่ามาหาที่ปรึกษาปัญหาชีวิตคะ?"

"หมอดูค่ะ!"

"นั่นไง!" ชลิกาเผลอโพล่งดังๆอย่างได้ที ก่อนลดเสียงลงเป็นปกติ

"แล้วน้องมะแมจะปฏิเสธฐานะอาชีพของตัวเองได้ยังไง พี่ว่านะคะ ในไทยเราติดปากกับคำานี้แหละ หมอดู! ถามตรงๆว่าน้องมะแมอยากสร้างหมวดหมู่อาชีพใหม่เป็นที่ปรึกษาพลังจิต หรือนักพลังจิตอะไรทำนอง นี้หรือเปล่า ถึงไม่ยอมรับกับทุกคนว่าเป็นหมอดู"

"เปล่าค่ะ" มะแมยังคงยิ้มละไมให้กับคำถามจี้จุด

"คนอื่นจะมองแล้วให้คำนิยามว่าเราเป็นอะไร ไม่มีผลกับเราในทางปฏิบัติ แต่ถ้าเรานิยามตัวเองผิด จะมีผลกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ"

"วิธีปฏิบัติหน้าที่ของน้องมะแม ต่างจากหมอดูยังไงคะ?"

"มะแมบอกตัวเองผ่านการประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ว่ามะแมเป็นที่ปรึกษา ใจมะแมก็เล็งไปที่การให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะต้องใช้ความสามารถด้านไหน งานนักจิตวิทยาในเมืองไทยเป็นของใหม่ เป็นงานอิสระ เป็นแนวทางเฉพาะตัว แล้วก็ไม่ต้องให้ยาคนไข้อยู่แล้ว รูปแบบจึงไม่เคร่งครัด ไม่ต้องซ้ำกับใคร ถึงแม้จะต้องใช้สัมผัสพิเศษก็ตาม!"

ชลิกานิ่งฟังในท่ารักษามารยาท แต่แววตาส่อแววจับผิดเต็มที่ อย่างไรหล่อนก็เห็นมะแมเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงที่หาทางสร้างจุดขายแปลกใหม่ให้ตัวเองเท่านั้น

"งั้นคงต้องให้น้องมะแมลำดับความเป็นมาของตัวเองนะคะ เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักได้ทราบว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยา ปนนักพลังจิตเชิงทำนายทายทัก หรือผสมกันเป็นแนวใหม่อย่างไรแน่"

"ตั้งแต่เด็กๆ คนชอบมาระบายความอัดอั้นตันใจให้มะแมฟัง เหมือนพากันบังคับให้มะแมคิดว่าจะช่วยพวกเขาอย่างไรดี และมะแมก็พบว่าตัวเองจะปลื้มเหมือนประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าช่วยเขี่ยผงในตาให้พวกเขาเห็นความจริงตรงหน้าได้"

"แปลว่าแต่ละคนมืดบอด มองไม่เห็นความจริงตรงหน้ากันเลย และน้องมะแมเกิดมาก็มีหน้าที่ช่วยให้ทุกคนตาสว่างตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?"

คำาถามนั้นอ่อนไหว ตอบให้ฟังดียาก แต่ตอบผิดหูคนส่วนใหญ่ง่าย หล่อนทราบว่าถ้าเผลอพยักหน้านิดเดียว ชลิกาจะนำคำพูดของตัวเองมายัดใส่ปากหล่อนทันที จึงทำสีหน้าเรียบเฉย และพยายามเฟ้นถ้อยคำให้ลงตัว

"เวลาใจห่อเหี่ยวด้วยปัญหาหนัก ตาของทุกคนจะถูกกดให้หรี่ลง และต้องการใครสักคนมาช่วยพูดให้รู้สึกดี มีแก่ใจลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าซ้ำอีกหนด้วยวิธีใหม่ มะแมสั่งสมความถนัดในทางนั้นมา แล้วก็ตัดสินใจรับจ้างทำหน้าที่นั้น มะแมฝึกตัวเองมาช่วยฉุดคนล้มให้ลุกขึ้นยืน ไม่ใช่เผลอเหยียบคนล้มแม้ด้วยสายตาดูถูก"

"โอเคค่ะ! แล้วอาชีพที่ปรึกษา ซึ่งมีหน้าที่ทำให้คนตาสว่าง จบคณะจิตวิทยาซึ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์ไหงเกิดฝันสังหรณ์ทำนายเรื่องแผ่นดินไหวได้จนดังระเบิดอย่างนี้คะ?"

"มะแมต้องตอบซ้ำาไปจนตายค่ะว่า 'ไม่รู้' โลกเราเกิดแผ่นดินไหวขึ้นปีละเป็นพันๆครั้ง และครั้งหนึ่งในปีนั้น ก็มาเข้าฝันมะแม บีบให้มะแมอยากป่าวร้อง
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวซึ่งนั่นไม่ใช่วิชาความรู้ ไม่ใช่ความสามารถทำนายทายทักแต่อย่างใด"

"ขนาดพวกหมอดูระดับประเทศหรือคนที่อวดอ้างว่ามีตาทิพย์ ยังไม่เคยบอกถูกเผงอย่างนี้มาก่อนเลยนะคะ"

"ก็อาจมีค่ะ แต่คงรู้กันในวงแคบ ไม่ใช่เอามาป่าวประกาศแบบมะแม"

"เออ! นั่นสิ การเอาเรื่องใหญ่มาป่าวประกาศบนอินเตอร์เน็ตก็น่าคาดหมายได้นี่คะว่าต้องเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น้องมะแมเตรียมรับมือกับชื่อเสียงไว้อย่างไรหรือเปล่า?"

"มะแมไม่ได้อยากดัง ฝันที่ทำให้ตกใจตื่นในกลางดึกของคืนนั้น ไม่ทำให้มะแมคิดอะไรมากไปกว่าตั้งใจเตือนคนที่อาจเชื่อ"

"กลัวพลาดไหมคะ?"

"ถ้าพลาดไป อย่างมากก็โดนเพื่อนหัวเราะเยาะว่าฝันเพ้อเจ้อแล้วตื่นตูมให้คนอื่นตกใจ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็หมายถึงมีคนรอดตาย โดยเฉพาะเพื่อนๆของมะแมที่เรียนอยู่แถวนั้น"

"คืนนั้นเป็นเวลาอะไรนะคะ ใกล้ตีสาม?"

"ค่ะ!" หล่อนตอบซ้ำาไปซ้ำามากับสื่อเกินร้อยรอบจึงเล่าทวนได้เหมือนสายน้ำริน

"มะแมหลับตามปกติ แล้วก็ฝันอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้เห็นป้ายชื่อจังหวัด เห็นนาฬิกาบอกเวลาสิบเอ็ดโมงเจ็ดนาที จากนั้นก็เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่ทุกคนรู้ๆกันอยู่แล้ว

มะแมเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกวิชามาจากไหน ไม่รู้ว่าตัวเองฝันแม่นได้ยังไง แต่ฝันชัดทีไรเกิดเรื่องขึ้นจริงๆทุกที โดยเฉพาะครั้งนั้นมันฝันชัดจนเหมือนลืมตาตื่นอยู่แท้ๆ ก็เลย..."

"ลุกจากที่นอนมาป่าวร้องทางเน็ตกลางดึก" ชลิกาช่วยพูดต่อให้เร็วๆ จะได้ตัดบทไปถามเรื่องอื่นที่เตรียมไว้

"ตอนแรกเห็นว่ามีคนเข้ามาด่าเยอะ หาว่าสติไม่ดี เป็นเด็กเลี้ยงแกะเป็นคนไข้ศรีธัญญาหนีมาเล่นกระทู้ ตอนนั้นน้องมะแมเสียใจไหม?"

"คือ... จริงๆมะแมกะจะบอกทางเฟซบุ๊คกับทวิตเตอร์เท่านั้น เพราะเพื่อนที่รู้จักมะแมจะทราบว่าเราไม่ใช่พวกกระต่ายตื่นตูม แล้วหลายคนก็เคยประจักษ์ว่าฝันของมะแมแม่นยังไง เผอิญมีเพื่อนที่ออนไลน์คนหนึ่งตกใจ แล้วก็เชื่อมะแมมากๆ รีบยุว่าต้องตั้งเป็นกระทู้ในบอร์ดสาธารณะให้กว้างๆนะ อย่ามัวกลัวถูกด่า เพราะถ้าเป็นแค่ฝันเหลวไหลก็ถือว่าเราตั้งใจช่วยให้คนรอดจากหายนะ แต่ถ้าเป็นฝันที่แม่นยำ นี่ก็คือการยื่นมือเข้าไปช่วยชีวิตคนโดยไม่ยืนนิ่งดูดายเฉยๆ"

"สรุปคือเชื่อลูกยุของเพื่อน แล้วก่อนเที่ยงวันต่อมามะแมเลยดัง"

มะแมยิ้มเงียบ ชลิกาจึงพูดต่อ

"เอาล่ะ ไม่ได้ตั้งใจดังก็ได้ดังแล้ว ชีวิตพลิกผันกันในชั่วข้ามคืนอย่างนี้ ช่วงนั้นปรับตัวทันไหมคะ?"

"ไม่ค่อยทันค่ะ แม้แต่คนในศูนย์เตือนภัยระดับชาติก็ติดต่อมา ตอนนั้นเรากลัวมากพยายามบอกทุกคนว่าเราเปล่า เราไม่รู้ มันฝันเอง แต่คนก็ไม่ฟัง นึกว่าถ่อมตัว ต้องย้ำอยู่นาน กว่าจะเริ่มเชื่อ เริ่มเข้าใจ"

"ที่เริ่มเชื่อเพราะอะไร?"

"เพราะถามกี่ทีเราก็บอกว่าไม่รู้ๆ อย่างเช่นโลกจะแตกเมื่อไหร่ น้ำจะท่วมจริงไหม โรคระบาดจะคร่าชีวิตคนไปกี่สิบล้าน...

มะแมฝันเห็นเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่ความรู้สึกมันแบบเลื่อนลอย ไม่รู้ชัดถึงตำาแหน่งสถานที่ ไม่รู้สึกถึงตำาแหน่งเวลา พูดง่ายๆว่าเป็นฝันลมแล้ง ใครๆก็ฝันได้ แล้วเดี๋ยวนี้ก็ฝันกันบ่อย ฝันกันหลายคนเสียด้วย"

"สรุปคือมันจะเกิดขึ้นจริง แต่ไม่รู้เมื่อไหร่?"

มะแมแอบขำาอยู่ในใจ ชลิกาเหมือนต่อต้านเรื่องญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า แต่ขณะเดียวกันก็อยากรู้อยากเห็นไม่ต่างจากคนทั้งหลายนั่นเอง

"อนาคตของโลกเป็นเรื่องใหญ่เกินขอบเขตรับรู้ของมะแมจริงๆค่ะพี่ปุ๋ย มะแมตั้งกฎเหล็กให้ตัวเองข้อหนึ่ง ถ้าไม่แน่ใจแม้แต่นิดเดียวจงอย่าพูด เพราะยิ่งพูดในสิ่งที่รู้คลุมเครือมากขึ้นเท่าไหร่สัมผัสโดยทั่วไปของเราจะยิ่งมัวมนลงเท่านั้น"

"แล้วเรื่องอะไรบ้างคะที่อยู่ในขอบเขตรับรู หรือสัมผัสพิเศษของน้องมะแม"

"ก็เรื่องปัญหาส่วนบุคคล หรือครอบครัว แบบที่มานั่งตรงหน้าให้จับต้องได้น่ะค่ะ"

"เรียนรู้วิธีใช้สัมผัสพิเศษมาจากไหน?"

"ตอนเรียนจิตวิทยามะแมทำวิจัยและ ออกแบบสอบถามมาเยอะ จึงเข้าใจลึกซึ้งว่าทุกคนมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ แต่การเข้าให้ถึงปัญหาของแต่ละคน บางทีใช้การพูดคุยธรรมดาไม่ได้ เพราะคนเรามีกลไกปกป้องตัวเอง แค่ไม่ให้ความร่วมมือกับเรา ข้อมูลจากปากเขาทั้งหมดก็เป็นหมัน มะแมจึง..."

"เรียนรู้เรื่องสัมผัสพิเศษ"

นักสัมภาษณ์ชอบพูดตัดหน้า แต่มะแมก็ไม่ถือสา ใบหน้าของชลิกาดูมีอายุแล้ว แต่ความใจร้อนไม่ช่วยให้ดูเป็นผู้อาวุโสเอาเลย

"ค่ะ... มะแมศึกษาจากตำรา ค้นคว้าเปรียบเทียบจากอินเตอร์เน็ต รวมทั้งเดินทางไปพบอาจารย์ที่เชื่อกันว่ามีความสามารถทางพลังจิตจริงหลายท่าน เราเองมีทุนอยู่ก่อน พอร่ำเรียนจริงจังเลยเกิดสัมผัสไม่ยากนัก"

"ตอนนี้เหมือนเสือติดปีก ทั้งรู้หลักวิเคราะห์แก้ปัญหาชีวิต แล้วก็มีสัมผัสพิเศษด้วย พอเอามารวมกัน ช่วยให้น้องมะแมทำงานจริงยังไง?"

"มะแมใช้ 'ใจ' สัมผัสมากกว่าตาดูและหูฟัง คือสัมผัสด้วยใจว่าใครมีเรื่องอะไรเป็นปัญหาใหญ่กันแน่ หลายครั้งเจ้าของปัญหาไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าปมปัญหาอยู่ตรงไหน ทำนองเดียวกับผงเข้าตา เขี่ยเองไม่ออก หาเองไม่เจอ"

"แล้วตอนไขปัญหาให้ น้องมะแมใช้สมอง หรือจิตสัมผัสคะ?"

"ทั้งสองอย่างค่ะ แต่มะแมฝึกให้ตัวเองหาทางลัดด้วยจิตสัมผัสนำ คือ เมื่อสัมผัสถึงปัญหา เห็นด้วยใจว่าตัวปัญหาเหมือนนิมิตความมืด มะแมจะลองนึกถึงความสว่าง ถ้านึกออกแปลว่าปัญหานั้นแก้ได้ด้วยพฤติกรรมด้านสว่างบางอย่าง หักลบหักล้างกับพฤติกรรมด้านมืดของเขาได้"

ชลิกาหัวเราะหึหึ

"สนุกดีนะคะ นอกจากโลกนี้มีสมการคณิตศาสตร์เอาค่าเอ็กซ์ค่าวายมาลบกันให้ได้ศูนย์ ยังมีสมการนิมิตเอานิมิตสว่างมาหักล้างนิมิตมืดได้ด้วย"

"ไม่สนุกเสมอไปหรอกค่ะ บางทีก็ต้องใช้วิธีคิดวิเคราะห์เอาตามธรรมดาเหมือนกัน"

"แล้วทราบอย่างไรคะว่าแนะไปแล้วจะได้ผล?"

"มะแมจะ 'ทำานาย' ให้ลูกค้านึกออกด้วยสามัญสำนึก ว่าถ้าทำอย่างที่เขาเคยชินต่อไป อะไรจะเกิดขึ้น แล้วถ้าทำอย่างที่มะแมแนะ จะได้ผลต่างกันอย่างไร"

"พูดก็พูดเถอะ พี่อยากเขียนถึงความสามารถของน้องมะแมจากประสบการณ์ตรงมากกว่าจะเขียนจากเรื่องที่รับฟังจากน้องมะแมอย่างเดียว ลองสาธิตด้วยการดูพี่ให้หน่อยได้ไหม?"

ชลิกาเริ่มรุก มะแมยิ้มมุมปากเพราะรู้สึกได้ถึงเจตนาลองของมากกว่าจะอยาก "ดูหมอฟรี"

"ได้ค่ะ!"

"แล้วพี่ต้องทำายังไงบ้าง? ได้ข่าวว่าน้องมะแมไม่มีรูปแบบในการดูที่แน่นอน"

"ค่ะ! แต่ละคนเป็นต้นแหล่งสัญญาณข้อมูลที่ส่งมาถึงเครื่องรับทางใจของมะแมต่างกัน มะแมเรียนรู้ที่จะไม่ผูกมัดอยู่กับวิธีใดวิธีหนึ่งตายตัว พอคุยๆกันสักพัก มะแมจะทราบเองว่าควรเข้าถึงคนที่นั่งตรงหน้าอย่างไร"

"แปลว่าตอนนี้น้องมะแมก็ต้อง 'รับสัญญาณ' จากพี่ปุ๋ยมาพอจะให้คำปรึกษาได้ทันทีแล้ว?"

"ค่ะ!"

"งั้นพี่ไม่ถามอะไรน้องมะแมเลยจะได้ไหม? เหวี่ยงไปกว้างๆนี่แหละว่าจะมีคำแนะนำให้ชีวิตพี่ดีขึ้นได้ยังไง"

"ก็พอไหวนะคะ" ในท่านั่งหลังตรง มะแมพิศคนอยากลองของด้วยสายตาตรงครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเลือกวิธี "เอาอย่างนี้ สำหรับพี่ปุ๋ยมะแมขอรูปคนรู้จักของพี่ปุ๋ย ๓ คน แล้วมะแมจะบอกว่าพี่ปุ๋ยคิดอย่างไรกับ ๓ คนนั้น แล้ว ๓ คนนั้นคิดอย่างไรกับพี่ปุ๋ย ดีไหม?"

บางสิ่งบางอย่างในน้ำเสียงของหญิงสาวต่างไป ชลิกาสำเหนียกถึงพลังในตัวอีกฝ่ายที่เข้มขึ้นแบบปุบปับ เหมือนอากาศรอบตัวของมะแมเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ราวกับที่ผ่านมาอยู่ในโหมดคุยเล่น แต่ขณะนี้เริ่มเข้าโหมดเอาจริง แม้กระทั่งช่างกล้องก็คงรู้สึกอยากเก็บอิริยาบถใหม่แปลกตาออกไป เพราะเห็นเปิดฝา กดปุ่มเปิดอีกครั้งหลังจากปิดวางกล้อง และนั่งพักมาเดี๋ยวเดียว

"ตายจริง! พี่ไม่มีรูปใครติดตัวมาเลย"

ชลิกาทำเสียงสูงและหางเสียงแปร่ง ยิ่งทำให้มะแมยิ้มกว้างขึ้น

"ในมือถือของพี่ปุ๋ยไม่มีเหรอคะ?"

ม่านตาของชลิกาขยายด้วยอาการครึ่งอยากรู้ ครึ่งอยากลา แต่ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงขั้นนี้แล้วควรลองเสียหน่อย ถ้ามีอะไรน่าตะครั่นตะครอเกินฝืน ก็ค่อยขอยุติกลางคันคงไม่สาย

"อ้อ! เออ... จริงด้วย" ชลิกาควักเอามือถือจากกระเป๋าสะพายออกมากดๆก่อนส่งให้มะแม

"ดูคนนี้ซิคะ เอ้อ! เต่าจ๊ะ พี่ขอเป็นการคุยส่วนตัวสักสิบนาทีได้ไหม ช่วยออกไปรอข้างนอกหน่อย คุยเสร็จจะเรียกมาถ่ายต่อ"

"ครับพี่ปุ๋ย"

ตากล้องหนุ่มรับคำ ยกขาตั้งพร้อมกล้องไปวางหลบที่มุมหนึ่งก่อนเดินดุ่มออกจากห้องไปง่ายๆ

มะแมก็รับโทรศัพท์มือถือจากชลิกามาก้มหน้าลงทอดตามองนิ่ง รูปนั้นมีชลิกายืนคู่กับผู้หญิงวัยใกล้เกษียณคนหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่ชลิกายิ้มแป้น

"น้องมะแมว่าเจ้านายพี่ปุ๋ยเป็นยังไงมั่งคะ?"

มะแมกะพริบตาทีหนึ่ง ช้อนมองคนถามด้วยแววรู้ทัน

"ความรู้สึกแรกของมะแมคือพี่ปุ๋ยมีใจจดจ่อรอคำตอบจากผู้หญิงคนนี้อย่างกระวนกระวาย ความจดจ่อชนิดนี้จากประสบการณ์ทางสัมผัสของมะแม
มันคือการคอยคำตอบเข้าทำงานด้วย ฉะนั้น ถ้าจะเรียกให้ถูก ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็น 'ว่าที่เจ้านาย' มากกว่า 'เจ้านาย' นะคะ"

ชลิกาทำหน้าตื่น ชูคอเหมือนลูกเป็ดขี้ตกใจก่อนร้องเสียงสูง

"หือ? รู้ด้วย!"

"ถ้าไม่รู้จะกล้านั่งอยู่ตรงนี้หรือคะ... อยากให้บอกไหมคะว่าเธอคิดรับพี่ปุ๋ยเข้าทำงานหรือ เปล่า?"

"อยากสิคะ!"

"ถ้ามะแมต้องพูดตรงไปตรงมา พี่ปุ๋ยห้าม โกรธตกลงไหม?"

ชลิกาอึกอักเล็กน้อย

"ใครจะไปโกรธน้องมะแมได้ลงคอคะ"

"เธอชื่ออะไร?"

"กิ่งกาญจน์"

"อารมณ์ในรูปนี้ คุณกิ่งกาญจน์ไว้ตัว ไม่เต็มใจ และรู้สึกแข็งๆกับพี่ปุ๋ย แล้วความรู้สึกแบบนั้นก็ยังไม่หายไปในวินาทีนี้ด้วย เพราะฉะนั้น..."

มะแมทอดเสียงแบบจงใจให้รู้คำตอบที่ควรจะตามมาเอาเอง

"เอ๊ะ! แต่คุณกิ่งกาญจน์คุยกับพี่ดีมากเลยนะคะ แล้วก็ท่าทางพอใจพี่ด้วย ตอน... เอ่อ..."

"ตอนพี่ปุ๋ยเลียบเคียงเสนอตัวขอทำงาน"

ที่ปรึกษาพลังจิตต่อคำให้ และนั่นก็ชักมีผลให้ชลิกากระอักกระอ่วน

"พี่แค่พูดแบบเด็กที่พร้อมจะรับใช้ผู้ใหญ่ ท่านมีอะไรให้รับใช้พี่ยินดีเสมอ"

"มะแมเดาว่าพี่ปุ๋ยพูดยินดีรับใช้แบบระบุสรรพคุณของตัวเองเกินหนึ่งนาทีแน่ๆเลย"

"ก็..." ชลิกาพูดค้าง แล้วตัดสินใจระงับความกระสับกระส่ายด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

"เอารูปต่อไปดีไหมคะ?"

"ได้ค่ะ"

นักสัมภาษณ์ยื่นมือไปรับโทรศัพท์อย่างพยายามควบคุมไม่ให้สั่น หล่อนกดเลือกอยู่พักหนึ่งก็กลั้นใจยื่นส่งคืนที่ปรึกษาพลังจิต

"คนนี้ล่ะ?"

มะแมวางสีหน้าเรียบเฉยขณะเหลือบลงมองรูปใหม่ ซึ่งเป็นหนุ่มวัยสามสิบเศษน่าจะอ่อนกว่าชลิกาประมาณสิบปี กระแสชีวิตของเขาที่หล่อนสัมผัสได้คือความอับจน กลุ้มใจ รู้สึกแย่ แม้กระทั่งจะยิ้มสดใสให้ชลิกาถ่ายรูปยังดูเค้นออกมาจากความฝืน

"พี่ปุ๋ยเอ็นดูเขามากนะคะ น่าจะเป็นรุ่นน้องที่ออฟฟิศ"

"เอ่อ..." สุ้มเสียงของชลิกาเคอะเขิน ประดักประเดิด

"เขาเป็นคนดี ใครๆก็ต้องเอ็นดูเป็นธรรมดา"

"จากรูป มะแมรู้สึกถึงความเก็บกดฝืนใจ และจากสัมผัสความอัดอั้นตันใจชนิดนั้น มะแมเดาว่าเขายืมเงินพี่ปุ๋ยไปรอบหนึ่งแล้ว และกำลังชั่งใจว่าจะมีรอบใหม่ดีไหม"

ชลิกาสะดุ้งเหมือนถูกจิ้มสะดือ ชาเห่อไปทั้งใบหน้า

"พี่เป็นคนยื่นข้อเสนอให้เขาเอง เขาไม่เคยเอ่ยปากยืมแม้แต่คำเดียว"

"แต่พี่ปุ๋ยก็เป็นคนที่เขาเจาะจงระบายให้ฟังเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินใช่ไหมล่ะ?"

ชลิกาเริ่มสร้างกำาแพงปกป้อง "น้องชาย" ของหล่อนด้วยวิธีสั่นหน้า
"คืองี้นะน้องมะแม นายติ๊บเนี่ยเป็นคนร่าเริง คุยสนุกชอบเย้าแหย่คนโน้นคนนี้ แต่จู่ๆก็ทำหน้าเศร้า มันเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ เขาก็ไม่ได้โอดครวญขอความเห็นใจอะไรเท่าไหร่เลย มันเป็นข้อเสนอของพี่เอง"

น้ำเสียงเรียก "นายติ๊บ" ที่ออกจากปากของชลิกานั้น เปี่ยมไปด้วยสัมผัสใกล้ชิดแนบแน่น ขนาดกระตุ้นให้เกิดมโนภาพผุดสว่างขึ้นในใจมะแม เห็นสามฉากไล่ตามกันมา ฉากแรกคือการนั่งปรับทุกข์ในร้านอาหาร ฉากที่สองคือการก้มหน้าร้องไห้ที่ท่าน้ำของบ้านฝ่ายชายโดยมีฝ่ายหญิงโอบปลอบ ส่วนฉากที่สามแวบเข้ามานิดเดียวมะแมก็เซ็นเซอร์ทิ้งทันที

"อยากรู้ใช่ไหมคะ ว่าพี่ปุ๋ยกับเขาจะลงเอยกันยังไง?"

มะแมถามเข้าจุดแบบไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อม ชลิกากลืนน้ำาลายเอื๊อก ก่อนพยักหน้า ติดกันสองทีโดยไม่มีเสียงขัดขืนเลยสักแอะ

"บ้านของเขาน่าจะอยู่ริมเจ้าพระยา พี่ปุ๋ยชอบบรรยากาศที่นั่น มันดูเหมือนหลุมหลบภัยเป็นส่วนตัว แล้วก็ทำให้พี่ปุ๋ยลืมโลกภายนอกกับชีวิตที่เหลือได้ทั้งหมด พี่ปุ๋ยใจกว้างนะคะ ไม่คิดผูกมัดเขา ขอแค่ได้ไปอยู่ในความฝันชั่วคราว ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะเอ่ยปากทิ้งพี่ พี่ก็เตรียมใจจะไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว"

ชลิกานิ่งซึม หยาดน้ำหยดหนึ่งเตรียมจะไหลลงจากหางตา แต่เมื่อรู้สึกตัวก็เม้มปากสะกดกลั้นและกะพริบตาถี่ๆ "ใช่!" หญิงวัยใกล้แล้งน้ำหล่อเลี้ยงความสาวยอมรับ "เขาทำให้พี่รู้ว่าความสุขที่จะอยู่ติดใจเราไปจนตายเป็นอย่างไร พี่ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องสิ่งอื่นอีก"

"พี่ปุ๋ยคะ สิ่งที่คนเราจะรู้ได้คือใจตัวเองในวันนี้ ไม่ใช่ใจตัวเองในวันหน้าหรอกนะ"

"น้องมะแมหมายความว่า?"

"ยิ่งช่วย ยิ่งผูกพัน ยิ่งใกล้ชิด ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จะค่อยๆก่อตัวหนักแน่นขึ้น ภายในเร็ววันพี่จะหวงเขายิ่งกว่าจงอางหวงไข่ และจะบาดใจเกินทน เพียงแค่เห็นเขาคุยกับผู้หญิงที่สาวกว่าพี่ปุ๋ย พี่ปุ๋ยจะลืมความตั้งใจไม่โกรธเขาไปอย่างสนิท ถึงวันนั้นความดูดดื่มในบรรยากาศแสนดีทั้งหลายจะหายไปเหลือแต่ความขมขื่นของการเป็นศัตรูกันท่าเดียว"

"แล้วจะให้พี่ทำายังไง?"

"ถามตัวเองเดี๋ยวนี้ว่าอยากให้สิ่งที่เกิดเพียงครั้งสองครั้งคงอยู่ในความทรงจำว่าเป็นฝันดีตลอดไป หรือจะให้มันค่อยๆเผยตัวว่าเป็นความจริงที่โหดร้ายขึ้นทุกที?"

ยังฟังไม่ทันจบ ชลิกาก็ยกฝ่ามือขึ้นซบหน้าสะอึกสะอื้นอย่างหมดอาย บางสิ่งเกิดขึ้นครั้งเดียวคือฝันดี แต่เกิดขึ้นหลายครั้งคือฝันร้าย หล่อนรู้ เพราะอยู่มาจนป่านนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทำไมจะไม่เข้าใจ

"ตอนนี้เหตุผลยังอยู่เหนืออารมณ์ พี่ปุ๋ยก็รู้ได้ชัดๆว่าเขาไม่ใช่คู่ อย่างไรก็ไปไม่รอด แต่เมื่อไหร่ผูกพันจนอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล พี่ปุ๋ยจะอยากเชื่อว่าเขาคือคนสุดท้าย ทึกทักว่าเขาจะรักจะภักดี และจะอยู่กับพี่ตลอดไป เดาถูกไหมว่าถ้าพี่ทึกทักอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"

พลังในน้ำเสียงที่ทั้งสว่าง ทั้งนุ่มเย็นของมะแมก่อให้เกิดความเข้าใจแก่คนสดับฟังอย่างประหลาด ชลิกาหยุดร้องไห้และเงยหน้าเหมือนตื่นจากฝัน

"พี่คงเป็นอีแก่ ไม่ใช่แม่พระเหมือนวันนี้ใช่ไหม?"

"คำแนะนำาของมะแมคืออย่าไปหาเขาอย่างนั้นอีก อย่าสร้างความเคยชินให้เขาเห็นพี่เป็นตู้เอทีเอ็ม เพราะจะพอกความด้านชาให้เขาหมดความละอาย
คนดีเปลี่ยนเป็นคนร้ายได้ก็เพราะความด้านชานี่แหละ ถ้าอยากเห็นเขาเป็นคนดี เป็นลูกผู้ชาย ก็ให้เขากัดฟันสู้ด้วยตัวเอง อย่าเผลอเอาน้ำใจเราไปละลายความดีของเขา แบบที่รู้ตัวอีกที ก็เห็นเขากลายเป็นพวกเกาะผู้หญิงกิน และที่แย่กว่านั้น คือลงจากหลังเราไม่ได้แล้ว!"

หัวอกชลิกาว่างโล่งอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงขั้นต้องกะพริบตาถี่ๆด้วยความงงตัวเอง

"ขอบคุณน้องมะแมมากนะคะ" สุ้มเสียงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

"เดี๋ยวพี่เรียกเต่ามาถ่ายรูปน้องมะแมต่อดีกว่า ขอบคุณจริงๆสำาหรับคำแนะนำ"

"เดี๋ยวก่อนค่ะ" ยกมือห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะลุกดังพูด

"ขออีกรูปหนึ่งให้ครบสามเถอะ"

ชลิกาย่นคิ้ว เพราะความรู้สึกคือจุกมาถึงคอหอยแล้ว เหนื่อยเกินพอแล้วกับการได้เห็นความน่าจะเป็น น่าจะไปแห่งชีวิตตน "ไม่เป็นการรบกวนน้องมะแมมากเกินไปหรือคะ?"

"มะแมรู้สึกว่ารูปสุดท้ายสำคัญที่สุด มันอาจเปลี่ยนชีวิตพี่ปุ๋ยได้"

ได้ยินคำตอบเช่นนั้น คอลัมนิสต์หญิงถึงกับอึ้ง พอสบตากันและเห็นรอยยิ้มปรานีของมะแม แทนที่จะรู้สึกดี กลับอยากลองดีขึ้นมาอีกรอบ

"ค่ะ!" แล้วหล่อนก็คว้าโทรศัพท์ที่มะแมวางไว้บนโต๊ะมาเลือกรูปครู่หนึ่งก่อนส่งคืน "นี่ค่ะ"

มะแมชำเลืองมองแล้วอมยิ้มขำา มันคือรูปแมวจ๋องๆตัวหนึ่ง ไม่สวย ดูไม่มีราคา แล้วก็ไม่น่าจะมีความหมายต่อชีวิตของชลิกาเอาเลย

แมวกระจอกตัวหนึ่งจะมาเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงวัยสี่สิบได้อย่างไรเล่า?

"อือม์..." มะแมครางทั้งยิ้มอยู่ในหน้า "แก่แล้วนะคะเจ้าเหมียวนี่ ตอนถ่ายรูปพี่ปุ๋ยอยู่ในอารมณ์ผูกพันแบบหนึ่ง ประมาณเห็นมันแล้วอยู่ๆก็นึกขึ้นมาว่าถ่ายเสียหน่อย พอมันตายไปจะได้เอาไว้ดูเล่น ไหนๆก็เคยป้วนเปี้ยนขอข้าวพี่กินมานาน"

ชลิกาขมวดคิ้วเพ่งมองสาวสวยตรงหน้าอย่างสุดทึ่ง ความจริงตอนเลือกรูปแมว หล่อนว่าหล่อนไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย แต่พอฟังมะแมพูดนิดเดียวก็นึกได้ว่าตนมีความผูกพันกับมันมิใช่น้อย จึงยอมรับ

"พี่รู้สึกอย่างนั้นตอนถ่ายรูปมันจริงๆค่ะ แต่ละรูปนี่บอกอารมณ์คนถ่ายได้ด้วยหรือคะ น้องมะแมรู้ได้ยังไง?"

"กรณีนี้ มะแมแค่สมมุติว่าตัวเองเป็นพี่ปุ๋ย ขณะถ่ายรูปในวาระนั้น พี่ปุ๋ยรู้สึกอย่างไร มะแมก็รู้สึกตามด้วยค่ะ"

"น่าทึ่งจริงๆ แล้วเอ่อ...ว่าแต่ว่าแมวตัวนี้มีความสำคัญกับพี่ยังไงหรือคะ?"

"มันมาๆไปๆ ขออาหารบ้าง ขอพักใต้ชายคาบ้านพี่ปุ๋ยบ้างเอาแน่เอานอนไม่ได้ใช่ไหมคะ?"

"ค่ะ"

"วันไหนถ้าพี่ปุ๋ยเหลือเศษอาหารอร่อยๆที่มันชอบ พี่ปุ๋ยก็จะนึกถึงมัน และบางวันตอนอยู่ในห้าง พี่ปุ๋ยก็นึกอยากซื้อขนมแมวมาเผื่อแผ่มัน แต่ไม่มีอะไรผูกมัดจริงจัง เพราะเห็นว่ามันก็ตระเวนขอส่วนแบ่งจากหลายบ้าน หรือคุ้ยของจากข้างทางอยู่แล้ว ใช่ไหม?"

ชลิกาอึ้ง คราวนี้ไม่ใช่ทึ่งในความสามารถของมะแม แต่ประหลาดใจใน "เรื่องเล็กๆน้อยๆ" ที่เกิดขึ้นกับตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่ากลับไม่เคยรู้สึกตัว ไม่เคยเห็นภาพความผูกพันระหว่างตนกับแมวเหมือนเช่นที่มะแมบรรยายเลย

"ใช่ค่ะน้องมะแม พี่รู้สึกเหมือนต่างคนต่างอยู่กับมัน ถ้ามันถูกรถทับตาย พี่ก็อาจเอาศพของมันทิ้งขยะโดยไม่อาลัยไยดีนัก นอกจากนานๆทีจะคิดซื้อขนมให้มันบ้าง ก็ไม่เคยมีมันอยู่ในใจเลยด้วยซ้ำ แค่นี้ถือว่ามีความสำคัญกับพี่ปุ๋ยแล้วหรือคะ?"

"มีค่ะ! มีมากด้วย มันอาจไม่สำคัญต่อใจพี่ปุ๋ย แต่มีความหมายกับชีวิตของพี่อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว!"

ชลิกาโน้มตัวมาข้างหน้านิดหนึ่งบอกตนเองว่าไม่เคยมีใครจับความสนใจของหล่อนไปเต็มๆได้เท่านี้มานานแล้ว

"น้องมะแมหมายความว่าพี่กับแมวเคยเป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนหรือเปล่า?"

"เปล่า..." มะแมตอบกลั้วหัวเราะ "คือจะเป็นญาติกันแต่ปางไหน มะแมไม่เห็น แล้วก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผ่านไปแล้ว และจะไม่กลับมาให้ใช้ประโยชน์ได้อีก เรื่องสำคัญคือสิ่งที่พี่ปุ๋ยทำกับมันอยู่เดี๋ยวนี้ต่างหาก เพราะสิ่งที่พี่ปุ๋ยกำลังทำกับมันนั่นแหละ คือตัวบอกว่าพี่ปุ๋ยเป็นอะไรกับมัน และได้อะไรจากมันบ้าง"

"พี่ได้อะไรจากมัน? พี่ว่ามีแต่มันจะได้อะไรจากพี่"

"ลองตอบมะแมเป็นข้อๆนะคะ พี่ปุ๋ยตั้งชื่อเรียกให้มันบ้างหรือเปล่า?"

"พี่เรียกมันว่าไอ้กุด เพราะนิ้วเท้าหลังมันกุดไปนิ้วหนึ่ง"

"เวลาเรียกแล้วมันขาน หรือแสดงการยอมรับว่าเป็นชื่อมันบ้างหรือเปล่า?"

"มันจะร้องเมี้ยว หรือเดินเข้ามาหาพี่หรืออย่างน้อยที่สุดก็มองมาทางพี่" "นั่นคือการยอมรับชื่อนั้น พี่เป็นเจ้านาย หรือเจ้าของชีวิตมัน ด้วยความเต็มใจของมัน จากการให้ข้าวให้น้ำ และจากการตั้งชื่อเรียก"

ชลิกาพยักหน้าและนึกออกตามทันที

"เป็นสิ่งที่พี่นึกไม่ถึงค่ะ และพี่คิดว่าละแวกบ้านคงไม่มีใครเหลียวแลมันจนตั้งชื่อให้เหมือนพี่อีกหรอก"

"แล้วพี่ปุ๋ยเคยคิดหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำกัดอิสรภาพของมันไหม?"

"ไม่เคยเลย"

"นั่นแหละคือความผูกพันที่ดีที่สุด พบกัน มีสัมพันธ์ในทางดี แล้วก็ไม่จำกัดอิสรภาพกันและกัน ผลที่เก็บไว้ในใจ จึงมีแต่ความรู้สึกดีๆ แล้วความรู้สึกดีๆน่ะ หายากหรือหาง่าย?"

"ยาก!"

"ตอนพี่ปุ๋ยซื้อของกินให้ตัวเอง แล้วนึกอยากซื้อของกินไปเผื่อแผ่ให้ไอ้กุด พี่ปุ๋ยเคยนึกอยากได้อะไรตอบแทนจากมันไหม?"

"ไม่เคยค่ะ มันจะมาตอบแทนอะไรพี่ได้ พี่มีแต่จะให้"

"ตอนเทอาหารใส่จาน เห็นมันกิน พี่ปุ๋ยเป็นสุขหรือเป็นทุกข์"

"ก็... สบายใจ รู้สึกดี เรียกว่ามีความสุขใช่ไหม?"

ชลิกาตอบแล้วกะพริบตาถี่ๆ นี่เป็นแง่มุม ชีวิตที่เกิดขึ้น แต่เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลยในความรู้สึกหรือรับรู้...
ความรู้สึกดีๆเป็นของ 'หายาก' แต่ 'สร้างง่าย' ขอให้รู้วิธีเถอะ!

"ค่ะ! คราวนี้สำาคัญ พี่ปุ๋ยเคย 'ได้' ความรู้สึกดีๆจากการ 'ให้เปล่า' กับมนุษย์ด้วยกัน บ้างไหม?"

ชลิกาสะอึกอั้น ถ้าจะให้อะไรใครเป็นต้องกลัวโดนหาว่าโง่เสมอ หรือไม่ก็คำนวณตลอดว่าจะได้อะไรคืนเป็นการตอบแทน

"ก็จริงนะ ขนาดให้แม่ บางทีพี่ยังอดคิดไม่ได้ว่าให้มากไปหรือเปล่า แม่ขอมากไปหรือเปล่า"

อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชลิกาค่อยๆนึกออกว่าชีวิตคือทะเลทรายและไอ้กุดคือบ่อน้ำเล็กๆที่หล่อนได้อาศัยจุ่มมือจุ่มเท้าลงไปรับความชุ่มชื่นบ้าง เหลือเชื่อที่ความชุ่มชื่นนั้นโดนดูถูกว่า "ไม่มีค่า"

"ตอนมันมาคลอเคลียพี่ปุ๋ย มะแมเดาว่าแรกๆพี่ปุ๋ยรังเกียจเพราะมันดูสกปรก ไม่ใช่แมวมีสกุลรุนชาติ ถูกไหม?"

"ค่ะ!"

"แต่พอหลายครั้ง พอคุ้นๆกัน พี่ปุ๋ยค่อยรู้สึกถึงสัมผัสที่อ่อนโยน รู้สึกถึงความอยากออดอ้อนพี่ปุ๋ยด้วยความรัก และพี่ปุ๋ยก็ไม่นึกรังเกียจมันอีกต่อไป ใช่ไหมคะ?"

"ค่ะ!"

"การให้เปล่าคือการได้เปล่า มันช่วยให้เรารักเป็น ยิ่งรักเป็นมากขึ้นเท่าไร ชีวิตจะยิ่งสว่างจากภายในมากขึ้นเท่านั้น ปัญหาใหญ่ของพี่ปุ๋ยทุกวันนี้คือขี้เหงา คาดหวังจากคน แล้วก็ร้อนรนจากความไม่ได้อย่างใจ ลองคิดดูว่าถ้าเปลี่ยนใหม่ พี่ปุ๋ยคาดหวังความสุขทางใจหลังให้ทานโดยไม่มีเงื่อนไขชีวิตจะแตกต่างไปหรือเหมือนเดิม?"

________________________________________________________________________________
บทที่ ๒

มะแมตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่ง ลุกขึ้นมาเล่นโยคะ กับวิ่งสายพานบริหารร่างกาย แล้วบริหารดวงจิตด้วยการลงนั่งปิดเปลือกตาเข้าสมาธิกสิณ สร้างภาพวงกลมสีขาวขึ้นตรงหน้า และรักษาการเห็นภาพทางใจไว้ให้นานจนเส้นรอบวงมีความเสถียร ขอบคม กลมดิกไม่บูดเบี้ยว

จริงๆมะแมไม่ถึงขั้นเป็นนักเลงสมาธิ คือ กำลังสมาธิไม่กล้าแข็งนัก เพราะเดิมเป็นพวกหวั่นไหวง่าย คิดมาก อยากนู่นอยากนี่ แต่หล่อนก็ฝึกหัดวันต่อวัน ลดข้อเสียต่างๆที่จะเป็นอุปสรรคกับสมาธิ ผลจึงเป็นความคืบหน้าไปตามลำดับ

การฝึกให้เกิดความพร้อมทั้งกายและใจตั้งแต่เช้ามืดนี้ มีส่วนช่วยในการ "อ่านชีวิต" ของลูกค้าเป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่าระหว่างวันหล่อนจะอ่านขาดหรือไม่ขาด ก็ขึ้นอยู่กับวินัยในการบริหารจิตบริหารกายช่วงเช้านี่แหละ

หลังออกจากสมาธิ มะแมจะลงมาทำกับข้าวร่วมกับเด็กลูกจ้างชื่อหยิม ระหว่างนั้นหล่อนมักพูดคุยกับหยิมทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่หยิมอยากรู้ อยากถาม อยากทำความเข้าใจ และยิ่งหยิมเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่าไร มะแมก็ยิ่งได้คนสนิทที่รู้ใจหล่อนมากขึ้นเท่านั้น

หยิมเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้มะแมรู้จักตัวเองดีขึ้น หล่อนเป็นคนประเภทที่ภูมิใจกับการยกระดับมนุษย์ ถ้าหยิมขึ้นมาใกล้กับหล่อนได้ หล่อนถือเป็นผลงาน ไม่ใช่ความผิดพลาด เช่น ให้หยิมเรียกตนว่า "พี่" แทน "คุณผู้หญิง" กินข้าวเช้าโต๊ะเดียวกันตั้งแต่วันแรกที่รับเข้าทำงาน และที่โต๊ะทานข้าวหล่อนมักอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์เจ้าประจำสามฉบับ โดยแบ่งให้หยิมอ่านอย่างไม่เกี่ยงว่าจะต้องรอหล่อนอ่านเสร็จก่อน

ช่วงเช้าวันนั้นมะแมรับลูกค้าจนถึงเที่ยงโดยปราศจากจังหวะเว้นวรรค พอพักเที่ยงก็เตรียมรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งปกติหยิมจะไปซื้อจากปากซอย และยกมาให้ถึงบนห้อง

"จดหมายค่ะพี่"

หยิมยื่นให้กับมือ มะแมรับมามองแล้วเลิกคิ้วนิดหนึ่ง งานของหล่อนไม่ต้องข้องเกี่ยวกับจดหมายโฆษณาหรือการเชิญชวนใดๆนัก ถ้ามีมาก็มักเป็นจดหมายจากคนรู้จักจริงๆ แบบนานทีปีหน เพราะโดยมากการสื่อสารกับคนรู้จักจะผ่านโทรศัพท์มือถือแทบทั้งสิ้น

ซองสีขาวจ่าหน้าชื่อที่อยู่ของหล่อนด้วยลายมืออ่อนช้อยแบบผู้หญิง มะแมฉีกขอบซองและคีบกระดาษข้างในออกมา จดหมายไม่มีการขึ้นต้น ไม่มีการลงท้าย มีแค่เนื้อความเป็นลายมือหวัดแกมบรรจง

เก้าสิบเก้ารายที่ตัดใจจากคนรักได้ อาจมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นในโลกนี้ แต่อีกหนึ่งรายที่สิ้นหวังจากคนรัก อาจต้องไปมีชีวิตใหม่ที่แย่ลงในโลกหน้า คนเราไม่เหมือนกัน ขอให้ดูดีๆ บางคนอ่อนแอเกินกว่าจะได้รับคำแนะนำให้ตัดใจ

อ่านจบสองรอบด้วยความมึนงง ข้อแรกคือไม่เข้าใจว่าเจ้าของจดหมายต้องการบอกอะไร ข้อสองคือสัมผัสได้ว่าเจ้าของลายมือกับ "เจ้าของเนื้อความ" เป็นคนละคนกัน

เจ้าของลายมือเป็นผู้หญิงธรรมดา พลังชีวิตระดับธรรมดา ส่วนเจ้าของเนื้อความนั้น เป็นใครอีกคนที่มะแมสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา

อยากคิดว่าเป็นการเล่นตลกของคนมือบอน สมัยนี้พวกร้อนวิชาอยู่ไม่สุขเยอะจะตาย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกระจอกตกงานมาแต่ไหน อาจถึงขั้น
เป็นไฮโซงานยุ่งที่อยากเล่นบ้าๆขึ้นมาเป็นพักๆ เพื่อหลบหนีความซ้ำซากจำเจที่น่าเบื่อก็ได้

วางจดหมาย หันมานั่งทานข้าวคนเดียวอย่างคลายอารมณ์ แต่คลื่นรบกวนจากจดหมายกลับติดตามมาเป็นระยะ พอจัดการมื้อกลางวันเสร็จ มะแมจึงตัดสินใจให้เวลานั่งตรวจต้นแหล่งคลื่นรบกวนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

วัตถุกับเจ้าของวัตถุมีความเชื่อมโยงกันปกติแค่มะแมจับตามองหรือใช้ฝ่ามือสัมผัสวัตถุนั้น ก็จะทราบว่าผู้เป็นเจ้าของมีจิตมืดหรือสว่าง ชีวิตเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตัววัตถุจะช่วยรายงานให้รู้ไปถึงจิตของผู้ครอบครองได้ใกล้เคียงกับที่หล่อนเจอหน้าพวกเขาเองเลยทีเดียว

วางใจเฉย อ่านทวนข้อความในจดหมายอีกครั้งอย่างจะเล็งลึกไปถึง "เจ้าของข้อความ" โดยตรง แต่สัมผัสไปไม่ถึง คล้ายมือกำลังจะยื่นจับวัตถุได้ แล้วเจอแก้วหนาๆกั้นขวางเสียก่อน

เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง มะแมปิดเปลือกตาลง ลากลมหายใจยาว ปรับกายปรับใจเป็นปกติ นึกสร้างดวงกสิณขาว ซึ่งตอนแรกโย้ไปเย้มาไม่เต็มวง ตามกระแสคลื่นความคิดฟุ้งซ่าน แต่ภายใน ๕ นาทีก็เข้าที่เข้าทาง หน่วงนึกได้เห็นเป็นขอบคมกลมดิก และเสถียรอยู่เกินหนึ่งนาทีก่อนจะพร่าเลือนลง

สาวพลังจิตลืมตาขึ้นด้วยความมั่นใจว่ายามนั้นสัมผัสของตนใช้งานได้แน่ จึงอ่านจดหมายใหม่เพื่อหยั่งความรู้สึกลงไปถึงเจ้าของเนื้อความ ถ้าเป็นในภาวะปกติ หล่อนอาจ "เห็นหน้า" เขาหรือเธอได้ทีเดียว

แต่แล้วอ่านยังไม่ทันจบ กำาลังใจของมะแมก็ลดถอยลงเฉยๆ เหมือนอยู่ๆก็ถอนความสนใจขี้เกียจใช้จิตสัมผัสเสียอย่างนั้นเอง ถามตนเองว่า
นี่หล่อนจะมานั่งเสียเวลากับจดหมายยั่วความสงสัยฉบับนี้ไปทำไม เปลืองแรง เปลืองใจเปล่าๆ

หลังๆมะแมเก่งในทางเลิกคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็แค่หันความสนใจมาหาเรื่องเฉพาะหน้าจิตก็มีที่หมายให้ดูดติดใหม่ ผละจากที่หมายเก่า
ได้ง่ายๆ

มานอนเอกเขนกในมุมที่จัดไว้ฟังเครื่องเสียงชุดใหญ่โดยเฉพาะ หล่อนชอบดนตรีประเภทกระทบโสตแล้วสามารถปรับพลังทั่วร่างจากปั่นป่วนให้กลับคืนสู่ความสมดุลผ่อนคลาย เห็นผลได้จากที่ลมหายใจยาวขึ้น ลากเข้าและผ่อนออกช้าลง โดยไม่ต้องจงใจพยายาม

นั่นเป็นวิธีพักกลางวันง่ายๆของมะแม ส่วนใหญ่ขยะทางอารมณ์ที่ตกค้างมาจากการอ่านชีวิตลูกค้าช่วงเช้าจะถูกกวาดทิ้งได้เกือบหมดเหมือนหลับเต็มอิ่ม แล้วตื่นอย่างสดชื่นด้วยความพรักพร้อมจะทำางานราวกับเป็นเช้าวันใหม่

บ่ายโมงตรง ลูกค้ารายแรกเป็นหนุ่มมาปรึกษาเรื่องการเปลี่ยนงาน เบื่อการเป็นพนักงานกินเงินเดือน อยากทำอะไรของตัวเองบ้าง แต่เหลือเชื่อที่คนมักไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และจะประสบความสำาเร็จด้วยการทุ่มเทให้หนทางเส้นไหน มะแมแค่ถามง่ายๆว่าถ้าไม่มีเงินตอบแทน เขาจะเต็มใจทำางานอะไรบ้าง เขาต้องคิดอยู่ครึ่งนาทีก่อนตอบว่า "ไม่มี" และหล่อนต้องเป็นคนบอกว่า "มี" โดยเตือนให้ระลึกได้ว่าเคยซื้อตำรับตำราถ่ายรูปมาเล่นกล้องใหญ่ กับทั้งอาสาถ่ายรูปวันรับปริญญาและวันแต่งงานให้เพื่อนสนิทฟรีๆ เขาจึงค่อยเห็นว่ามีใจให้กับงานถ่ายรูป กับทั้งเป็นไปได้ที่จะอยู่บนเส้นทางตากล้องอิสระ

บ่ายโมงครึ่ง ลูกค้าของหล่อนเป็นคุณป้าหน้าตาอิดโรย มาปรึกษาเรื่องลูก เรื่องผัว โดยรวมอยากมาเล่าๆๆระบายทุกข์ ระบายความอัดอั้น มะแมต้องใช้น้ำเสียงและความสามารถในการพูดจูงคุณป้าให้เกิดสติ เข้าใจคู่ชีวิต เข้าใจลูกหลานอย่างที่พวกเขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่ป้าอยากให้เป็น

บ่ายสองโมงเศษ ช้ากว่าเวลานัดเกือบห้านาที เพราะมะแมมัวแต่รับคำาสรรเสริญและอวยพรไม่เลิกของคุณป้า หลังจากต้อนคุณป้าออกจากห้องด้วยตนเองได้ มะแมก็พบกับหญิงสาวที่แต่งหน้าแต่งตัวสวยเช้งคนหนึ่ง สาวงามนางนั้นฝืนยิ้มหน้ามุ่ย เห็นได้ชัดว่าการรอคอยไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยสำาหรับเจ้าหล่อน

"คุณมะแมจะบวกเวลา ๕ นาทีให้แจ๊บด้วยไหมคะนี่?"

"แน่นอนค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ผิดเวลานิดหนึ่ง แต่ถ้ามะแมต่อเวลาให้ใคร คนถัดมาก็ต้องได้ต่อเวลาเช่นกัน"

หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า "แจ๊บ" คลายสีหน้าลง

"แจ๊บกำาลังไม่สบายใจเรื่องแฟนค่ะ"

มะแมยิ้มๆ หน้าตาขี้หงุดหงิดตลอดศกแบบนี้ แฟนของคุณเธอก็คงหาโอกาสสบายใจได้ยากเหมือนกันแหละ

จากสัมผัสที่ได้นั่งเผชิญหน้าในระยะใกล้ กระแสชีวิตของสาวแจ๊บปั่นป่วนรวนเรสิ้นดี สะท้อนถึงความคิดยุ่งเหยิง สับสน อยากนั่น อยากนี่ตลอดเวลา ขนาดเพิ่งใกล้กันแค่ครึ่งนาที มะแมยังอยากปิดตา เบือนหน้าไปทางอื่น เอาใจใส่กับสิ่งอื่นแทน

แต่เห็นหน้าหงิกหน้างอขนาดนี้ ส่งคลื่นรบกวนได้ตลอดวันอย่างนี้ก็เถอะ ผู้ชายยังยอมตื๊อ ยอมเป็นพ่อบุญทุ่มไม่อั้นกันอยู่ดี มะแมรู้เพราะเห็นนิมิตผู้ชายมากหน้าหลายตารุมล้อมแจ๊บ ในแบบมีใจยื่นมาพยายามเชื่อมให้ติด คล้ายกระต่ายหมายปองจันทร์ด้วยความทะยานอยากแม้เกินเอื้อม

"คุณแจ๊บช่วยยืนขึ้นหน่อยได้ไหม?"

"ได้สิคะ"

แจ๊บทราบล่วงหน้าว่ามะแมอ่านคนด้วยวิธีพิสดารไม่ซ้ำากัน จึงลุกยืนง่ายๆ มะแมสำารวจชุดแซกเขียว มีแขน กระโปรงแค่เข่า แล้วมองเล็งไป
ที่สร้อยคอ เหลือบมองกำาไลข้อมือขวา จากนั้นจึงมาหยุดที่นาฬิกาข้อมือซ้าย

"ช่วยถอยหลังไปนิดหนึ่ง... อีกนิด... เอาเป็นถอยไปติดผนังเลยแล้วกันค่ะ"

แจ๊บเริ่มมองคนออกคำาสั่งด้วยหางตา แต่เก็บความสงสัยไว้ ถอยเท้าไปยืนติดผนังแบบอิดเอื้อนเล็กๆ

"มะแมจำเป็นต้องดูคุณแจ๊บทั้งตัวค่ะ จะหาจุดสังเกตสำาคัญบางอย่าง" เมื่อได้ยินคำอธิบายบ้าง แจ๊บจึงค่อยยืนนิ่งให้มะแมสำรวจหุ่นด้วยความเต็มใจขึ้น

"ต้องกางแขนกางขาแลบลิ้นด้วยไหมคะ?" มะแมหัวเราะขำ แจ๊บมีเสน่ห์อยู่ในความเจ้าโทสะ แม้สุ้มเสียงประชดก็ยังฟังน่ารัก

"ไม่ต้องค่ะ กลับมานั่งได้แล้ว ขอบคุณมากนะคะ"

แจ๊บถอนใจเฮือกอย่างไม่เข้าใจอะไร ได้แต่ท่องไว้ว่ายายนี่ดัง ยายนี่เก่ง คงไม่แกล้งใช้ให้ไปยืนเก้อเอาสนุกหรอกกระมัง

มะแมกำลังอยู่ในโหมดกวาดหา แต่ยังหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอบนร่างแจ๊บ แต่ในที่สุดก็เหลือบไปสะดุดกับกระเป๋าถือที่แจ๊บวางไว้ตรงหน้าหล่อน

"อ้อ! อยู่นี่เอง" อุทานเบาๆก่อนขออย่างสุภาพ "ส่งกระเป๋าให้มะแมดูหน่อยได้ไหมคะ รับรองไม่เปิดค้น ไม่ละลาบละล้วงใดๆทั้งสิ้น" แจ๊บย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ทำตามที่มะแมต้องการ หยิบกระเป๋าถือตรงหน้ายื่นให้โดยดี

มันเป็นกระเป๋าถือแบรนด์เนม หนังแท้สีซิลเวอร์เมทาลิกสะดุดตา ทรงเก๋ ดูหรู ให้สัมผัสอ่อนนุ่มอย่างมีระดับ ไม่มีทางเป็นของทำาเทียม
เด็ดขาด ราคากี่หมื่นไม่รู้ รู้แต่ว่าแจ๊บไม่ได้ซื้อเองแน่นอน เพราะกระแสความรัก ความหวงแหน และความรู้สึกวาบหวามประจุรวมอยู่ในกระเป๋า
อย่างท่วมท้น ถ้าซื้อเองจะไม่มีอารมณ์ปลื้มของขวัญจากผู้ชายให้สัมผัสแบบเลย

มะแมจับๆดูไม่นานนัก รายละเอียดเกี่ยวกับ "คนให้" ก็กระทบใจหล่อนจังๆ ที่หล่อนจับสัญญาณได้เป็นอันดับแรกคือเจตนาซื้อกระเป๋า
ใบนี้ให้สาวแจ๊บด้วยความหลงพิศวาส อยากเห็นแจ๊บดีใจ

เพียงจับกระแสเจตนาได้ ตัวตนของเขาก็ค่อยๆปรากฏขึ้นในห้วงมโนทวารของมะแม และความแรงของตัวตนนั้น เมื่อทวีขึ้นก็กลายเป็น
รายละเอียดพรั่งพรูไม่หยุด ราวกับน้ำาทะลักจากเขื่อนแตก ขนาดที่สาวพลังจิตต้องรีบคว้ากระดาษกับปากกามาเขียนหวัดๆลงไปกันลืม

จิตใจอ่อนไหวกับผู้หญิง
เรียนเก่งจบสูง
อัศจรรย์ใจแรกเจอ
หลงเสน่ห์ลืมไม่ได้
ผูกพัน
ไปต่างประเทศ
ว้าวุ่นใจเป็นเป้าแก่งแย่ง
ถูกระแวง
ภาระซับซ้อน
รำาคาญ
อยากได้อิสรภาพ
สงสาร
สองจิตสองใจ
เกิดเรื่อง
ตกลงใจ!

นอกจากเป็นบันทึกกันลืม มะแมยังเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงว่าการแปลงมโนภาพออกมาเป็นคำๆเช่นนี้ ช่วยแตกกิ่งก้านสาขาของราย
ละเอียดอื่นๆให้กว้างขวางขึ้น แม้แต่การใส่อัศเจรีย์หรือเครื่องหมายตกใจในตอนท้าย ก็ช่วยตอกย้ำว่าสัมผัสสุดท้ายที่ได้มีความหนักแน่นควร
แก่การมั่นใจขนาดไหน!

พอสาวแจ๊บยื่นหน้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าหล่อนจดอะไรบ้าง มะแมก็รวบกระดาษลงมาวางบนตักซ่อนจากสายตาเสีย

"กระเป๋าใบนี้เนื่องในโอกาสวันเกิดหรือวันวาเลนไทน์?"

แจ๊บมองคนถามด้วยสายตาตรง ความเป็นผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันทำาให้เกิดอารมณ์อยากลองของ จึงใช้น้ำเสียงขุ่นๆคล้ายผิดหวังในความสามารถทายทักของมะแม

"ถ้าแจ๊บบอกว่าซื้อเองล่ะคะ?"

"มะแมจะไม่คิดเงินคุณแจ๊บ แล้วแถมค่าน้ำมันให้คุณแจ๊บเดี๋ยวนี้เลย!"

แจ๊บยิ้มเผล่อย่างชักเลื่อมใส ท่าทางชื่อเสียงของมะแมคงไม่ได้สร้างขึ้นจากจิตวิทยาเดาทางลูกค้าแน่แล้ว

"วาเลนไทน์!" ตอบอ่อนโยนแบบลดการ์ดลง "แจ๊บอยากรู้ว่าเขาใช่เนื้อคู่ของแจ๊บหรือเปล่า และถ้าใช่ เมื่อไหร่เขาจะขอแต่งเสียที"

มะแมเอนหลังพิงพนัก ภายนอกวางสีหน้าเรียบเฉย แต่ภายในคิดหนักว่าจะพูดให้แจ๊บเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างไรดี

"เขาชื่ออะไรคะ เอาชื่อเล่นก็ได้"

"ชื่อปาย"

แค่ฟังแจ๊บเรียกชื่อแฟนตัวเอง มะแมก็ทราบทันทีว่าแจ๊บทั้งหลงรัก ทั้งคลั่งไคล้หนุ่มปายขนาดไหน ขืนให้คำาตอบตรงไปตรงมามีหวังดิ้น
พราดๆอยู่ตรงนี้เอง

ที่สุดก็ก้มหน้าชำเลืองมองกระดาษคล้ายแอบดูโพยตอนทำข้อสอบ ทุกอย่างง่ายขึ้นเมื่อเรียบเรียงคำาพูดจากจุดเริ่มต้น ในแบบชวนคุยเรื่อยเปื่อย

"คุณปายนี่เป็นพวกหนึ่งในพันหนึ่งในหมื่นเลยนะคะ เหมือนเกิดมาให้ผู้หญิงทั้งโลกแข่งกันจ้องจะเอามาเป็นถ้วยรางวัล พิสูจน์ว่าชัยชนะจะ
อยู่ในมือใคร"

แม้ไม่มองหน้า มะแมก็รู้ว่าแจ๊บลอบยิ้มภูมิใจ ฝ่ายนั้นน่าจะทะนงมานานว่าตัวเองต้องชนะสาวทั้งแผ่นดินแน่!

"แล้วคุณปายนี่นะ..." มะแมร่ายต่อ "เจอกันง่ายๆไม่โดนใจเขาหรอก ต้องเจอกันแบบแปลกๆถึงจะเก็บไปฝัน ให้มะแมทายนะ คุณสอง
คนต้องพบกันแบบเหลือเชื่อ ราวกับฝันไป ไม่ใช่แค่ประทับใจธรรมดา"

ที่จริงมะแมเห็นภาพๆหนึ่ง แต่ไม่กล้าเสี่ยงพูด เพราะเห็นไม่ชัดนัก ปกติหล่อนจะตีค่าความแจ่มชัดของสัมผัสออกมาเป็นคะแนน ถ้าภาพใน
ใจมีมิติ ทรงชีวิตชีวา ตลอดจนให้ความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่าใช่แน่ อย่างนั้นถือเป็นคะแนนความมั่นใจเต็มร้อย แต่ถ้ากำ้กึ่ง ภาพเบลอ หรือ
เหมือนมีหมอกมัวบดบัง ก็ตีเป็นคะแนนความน่าเชื่อถือได้ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งท่านั้นหล่อนจะรอดูองค์ประกอบอื่นก่อนพูด

"ค่ะ!" แจ๊บยอมรับด้วยเสียงคมใส "แจ๊บว่าต้องไม่มีคู่ไหนในโลกได้เจอกันแบบเราแน่ วันนั้นแจ๊บรีบเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อนช่วยไปส่งที่ห้าง
ไอ้เราผลุนผลันลงจากรถพร้อมถุงหลายใบ เลยลืมกระเป๋าถือของตัวเอง เพื่อนก็รีบออกรถเพราะเป็นที่จอดชั่วคราว พักหนึ่งแจ๊บถึงรู้ตัว แทบเป็น
ลมเลย เพราะทั้งกุญแจรถ โทรศัพท์ และเงินทองอยู่ในนั้นหมด โชคดีเผอิญเหลือเศษเหรียญอยู่ เลยตรงเข้าไปใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะของห้าง
แต่จำเบอร์เพื่อนไม่ได้ถนัด เพราะไม่เคยต้องกดเอง"

"คุณแจ๊บเลยกดผิด ไปเข้าเบอร์ของเขา แล้วก็บังเอิญที่สุดในโลก เขากำลังยืนจับตามองคุณแจ๊บอยู่ด้วยความสะดุดตาก่อนหน้านั้นอยู่พอดี!"

มะแมรีบต่อให้อย่างนึกเสียดาย ที่ไม่เป็นฝ่ายชิงเล่าออกมาเสียก่อนหน้านี้ หล่อนเห็นภาพต่อโทรศัพท์ผิด และคนรับโทรศัพท์ก็ยืนอยู่ใกล้ๆ
นั่นเอง เครื่องยืนยันความถูกต้องคือเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตบมือลั่นของแจ๊บ

"ใช่ๆๆ!" มันเป็นการเล่าที่วนไปเวียนมานับร้อยรอบ แจ๊บจึงดีใจที่มะแมช่วยทุ่นแรง ไม่ต้องให้หล่อนฉายจุดสุดยอดซ้ำด้วยตนเอง "เหลือเชื่อ
จริงๆคุณมะแมว่าไหม? ทุกคนฟังเรื่องแล้วฟันธงเลยว่าเทวดาหรือบุญเก่าแต่ปางไหนส่งเรามาเจอกันแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย"

"เขาอาสาไปส่งคุณแจ๊บ?"

"ไปส่งที่รถเพื่อนน่ะค่ะ บรรยายไม่ถูกเลยว่ารสชาติของวันนั้นมันหวานแหวว แล้วก็ประหลาดล้ำลึกขนาดไหน"

แจ๊บทำตาลอยฝันๆ

"ร้อยปีน่าจะมีแบบคุณแจ๊บคู่เดียว" มะแมช่วยเสริมให้อีกฝ่ายได้ฟูฟ่องเต็มที่ "ทางคุณปายก็หลงคุณแจ๊บแบบออกอาการหนักเหมือนกันนะ
เจอกันไม่กี่วัน ผูกพันเหมือนคบกันมาสิบปี เขาเรียนดอกเตอร์ยังไม่จบ แทบไม่อยากกลับไปเรียนต่อเลยทีเดียว"

คราวนี้แจ๊บเบิกตากว้าง อ้าปากค้างอยู่นานก่อนหัวเราะดังๆแบบเปิดหมดเปลือก เพราะไม่เหลือความสงสัยในความสามารถของมะแมอีกแล้ว

"เก่งค่ะ! ตอนเจอกันพี่ปายเขากลับเมืองไทย ต้องมาหาข้อมูลอะไรของเขาช่วงหนึ่ง เขาพูดเองเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหลืออีกปีเดียวน่าจะจบ เขาจะไม่กลับไป จะอยู่แต่งงานกับแจ๊บเดือนนั้นเลย"

มะแมหัวเราะเอื่อยเพื่อให้เข้ากับเสียงเล่าหวานๆของแจ๊บ ชักนึกสงสารจนไม่อยากพูดอะไรต่อ อยากปล่อยให้ล่องลอยอยู่กับ "ความฝันที่เคยเป็นจริง" ตามทาง

"เป็นความสุขที่น่าอิจฉามากค่ะ"

"เหรอคะ? แจ๊บถือว่าเป็นคำาทำานายแล้วนะ เขาจะกลับมาแต่งกับแจ๊บเมื่อไหร่? นี่ก็ตั้งปีกว่าแล้ว ไม่ทันใจเลยจริงๆ"

มะแมถอนใจยาว เบือนหน้าไปอีกทาง ไม่อยากเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายนับแต่นั้นเลย

"เสียดายนะคะ ระยะทางที่ห่างไกล ทำให้ใจของคุณแจ๊บร้อนรนไปหน่อย คุณแจ๊บมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ระแวงว่าเขาจะมีใครอื่นไปเรื่อย"

ความสุขที่กระจายมาจากแจ๊บหายวูบแบบเฉียบพลัน

"ก็เขายอมรับนี่คะว่าก่อนหน้านั้น เขามีแหม่ม มีหมวย มีสาวแขกมาติดพันเยอะแยะ ที่ว่ามีนี่มีอะไรกันด้วยนะ ไม่ใช่แค่มีมาเกาะแกะ"

"เขาขอให้คุณแจ๊บไว้ใจ แต่คุณแจ๊บก็ไม่เคยไว้ใจเขา เผลอพูดซักไซ้ทุกวันใช่ไหมล่ะ?"

"ก็ช่วยไม่ได้นี่!"

แจ๊บก้มหน้าจีบปากพูด พยายามทำเสียงอู้อี้ให้ฟังน่ารัก แต่มะแมรู้ดีว่าตอนแจ๊บสอบเค้นแฟน น้ำเสียงจะไม่ใช่แบบนี้ และมันก็จะค่อยๆเพิ่มความบีบคั้นหัวใจได้หนักหน่วงเข้าขั้นผู้คุมนักโทษในที่สุด

มะแมระบายลมหายใจช้าๆ กี่คู่หวานต่างก็ค้นพบตรงกันหมด แต่ไม่ค่อยเอาไปบอกต่อ หรือไม่ค่อยอยากรับสารภาพ...

แรกพบสบตาแค่มายา ปัญหาที่ตามมาสิของจริง!

"คุณแจ๊บเคยบินไปหาเขาครั้งหนึ่งด้วยนี่ใช่ไหม? ตอนนั้นเขาหัวปั่นน่าดูเลยนะ เพราะกำลังวุ่นเรื่องงาน เรื่องเรียนอย่างหนัก แล้วต้องมาเทคแคร์คุณแจ๊บอีก มันทำให้ภาระของเขาซับซ้อนสุดขีด ทั้งหมดนั่นก็เพียงเพื่อแลกกับที่คุณแจ๊บได้สบายใจว่าเขาไม่ซุกซ่อนใครไว้จริงๆ"

หน่วยตาแจ๊บเบิกกว้าง

"คุณมะแมรู้ขนาดนี้เลยเหรอ?"

มะแมเบนหน้ากลับมาสบตาตรง ไม่ตอบคำถาม แต่พูดเข้าเรื่อง

"ความผิดพลาดที่สุดของผู้หญิงเรา ไม่ใช่ตอนส่งเสียงวี้ดบาดแก้วหู แต่เป็นการส่งคลื่นรบกวนจิตใจไม่เลิกรา บางทีคลื่นรบกวนก็มากับคำพูดหรือเมสเสจที่ฟังดูดีนี่แหละ เสน่ห์ของเราอาจทำให้เขาทนได้นาน แต่วันหนึ่งการจับผิดซ้ำๆจะเปลี่ยนแรงดึงดูดของเราให้กลายเป็นแรงกดดัน ผลักไสเขาออกห่าง ขนาดที่เราต้องใจหายเมื่อรู้ตัวในภายหลัง"

"เอ่อ... นี่หมายความว่า...?"

"วิธีการเหนี่ยวรั้ง บางครั้งมันยิ่งกว่าการผลักไส"

แจ๊บหน้าร้อนผ่าว ชักหนาวๆสันหลัง

"แต่แจ๊บพยายามเอาใจเขาทุกอย่าง อยากได้อะไรให้หมด เขาเป็นคนแรกที่ได้แจ๊บด้วย ถือว่าแลกกันแล้วนี่"

"คนเราไม่จำว่าได้อะไรมาจากใคร แต่ฝังใจว่าเสียอะไรไปให้คนอื่น โดยเฉพาะสำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งแล้ว การถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลา คือการเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทั้งหมด หรือเท่ากับไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองอีกเลย ถามตัวเองสิคะว่าถ้าคุณปายให้สิ่งมีค่าบางอย่างมาโดยมีข้อแม้ว่าคุณแจ๊บต้องยกทั้งชีวิตทั้งหมดให้เขาไป คุณแจ๊บจะยอมไหม?"

"ยอม!"

แจ๊บตอบสวนทันควัน

"มะแมกำาลังพูดถึงยกชีวิต 'ทั้งหมด' ซึ่งรวมทั้งความรู้สึกนึกคิดด้วยนะคะ แต่ที่ผ่านมากะแค่ยอมไว้ใจเขายังไม่ได้เลย"

"แจ๊บเชื่อว่าแจ๊บกับพี่ปายเป็นคู่แท้" คนมาขอคำปรึกษาเน้นเสียงหนักแน่นอย่างไม่ยอมแพ้

"คู่แท้ควรจะเห็นใจกันไม่ใช่หรือ? แค่จับผิดนิดจับผิดหน่อยจะอะไรนักหนา เขาน่าจะใจกว้างเข้าใจว่าเราหวงก็เพราะรัก"

"คืออย่างนี้นะคะคุณแจ๊บ พอคอยจ้องจับผิดคนอื่น เราจะเริ่มทำอะไรผิดๆโดยไม่รู้ตัว และมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีถึงขั้นทำให้คนถูกจับผิดนึกว่าเราประสงค์ร้ายก็มี"

นั่นเหมือนหนามตำให้แจ๊บสะดุ้งได้ แต่ยังปากแข็ง

"อะไร... แจ๊บทำผิดยังไง?"

"ก็ไม่ต้องอะไรมาก แค่เผลอไปเพ่งบ่อยๆว่าคู่ของเราไม่ได้อย่างใจตรงไหนบ้าง แล้วคาดคั้นบ่อยๆว่าจงเป็นอย่างใจฉันให้ได้เดี๋ยวนี้ นั่นแหละผิดทางสร้างคู่แท้ เข้าทางสร้างคู่เวรแล้ว"

แจ๊บเริ่มหน้าหงิก ชักรู้สึกเหมือนมานั่งให้คนไม่รู้จักต่อว่าเอาฝ่ายเดียว ขนาดเพื่อนสนิทหรือแม้แต่พ่อแม่หล่อนยังไม่ฟังเลย แล้วยายคนนี้เป็นใคร?

"คุณมะแมสรุปว่าแจ๊บกับพี่ปายลงเอยกันยังไงคะ"

แจ๊บถามเป็นสัญญาณบอกการหมดความอดทนฟังเทศนาต่อ มะแมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงเลือกใช้ไม้แข็ง อาจจะเพราะอ่านออกทะลุปรุโปร่งว่ายายตัวแสบตรงหน้านี่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจขนาดไหน เลยไม่ค่อยมีแก่ใจประเล้าประโลมเท่าไรนัก

"สิ่งที่คุณแจ๊บทำไปทั้งหมด นำไปสู่การลงเอยโดยตัวของมันเอง มะแมมีหน้าที่แค่ค่อยๆฉายภาพให้คุณแจ๊บดู"

สองสาวประสานตากันนิ่ง แล้วมะแมก็เป็นฝ่ายรู้สึกตัวว่าทั้งน้ำเสียงและสายตาของตนชักกระด้างผิดปกติไปหน่อย จึงปรับระดับให้นุ่มนวลลง แต่ยังคงเป็นถ้อยคำแบบชกตรงเหมือนเดิม

"จากที่มะแมสัมผัสได้ พอคุณแจ๊บกลับเมืองไทยได้พักหนึ่ง น่าจะเคยเมา แล้วก็เผลออาละวาด ถามถึงวันกลับจากแฟนซ้ำแล้วซ้ำอีก ฝ่ายเขาก็อึกอักอยู่นั่นเอง คุณแจ๊บถึงจุดเดือดขึ้นมาเลยขาดสติ ด่าเขา แช่งเขา ลำเลิกที่เขาเคยได้คุณแจ๊บมาแล้วจะมาทิ้งขว้างกันไม่ได้ พอทะเลาะหนักเข้า คุณแจ๊บก็ลามถึงพ่อถึงแม่เขา มะแมไม่รู้ว่าคุณแจ๊บใช้คำแรงๆอะไรไปบ้าง รู้แต่ว่ามันเสียดแทงมาก แล้วก็ทำให้เขาเข็ดขยาด หรือประมาณกลัวๆคุณแจ๊บอย่างถาวรไปเลย"

คราวนี้แจ๊บนั่งตัวแข็งทื่อ เงียบกริบ ไม่เถียงสักคำ...

"เข้าใจหรือยังคะ คำพูดที่ขาดสติของคุณแจ๊บนั่นเองคือจุดลงเอยของความสัมพันธ์ แต่ด้วยความที่คุณปายทั้งรัก ทั้งสงสาร เขาเลยพยายามถนอมน้ำใจคุณแจ๊บเรื่อยมา"

ริมฝีปากของแจ๊บสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม คล้ายลำคอถูกยัดด้วยนุ่นหนา จะเปล่งคำก็เปล่งไม่ออก มะแมเห็นแล้วเกือบใจอ่อน คิดเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่นเป็นการชักแม่น้ำทั้งห้าสักพัก แต่อีกใจก็รู้สึกว่าถ้าขาดความต่อเนื่อง ลูกค้ารายนี้ก็จะหลงประเด็น แล้วจับแพะชนแกะมั่ว เลยตัดสินใจเผยความจริงให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

"เขาเรียนจบแล้วค่ะ และดูเหมือนรับปากหรือเซ็นสัญญาทำางานที่โน่นไปแล้วด้วย น่าจะเป็นเวลาหลายปี ถ้าเดาไม่ผิดทางบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยให้หน่วยงานที่ส่งเขาไปเรียนมากโข เขาก็กำลังรอจังหวะดีที่สุดที่จะบอกคุณแจ๊บ ถึงคุณแจ๊บจะบินไปหาอีก ก็อาจพบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว และก็ไม่แน่ว่าเขาจะใจอ่อนยอมบอกที่อยู่ใหม่หรือเปล่า"

ม้วนเดียวจบตามความตั้งใจ มะแมค่อยโล่งไปเปลาะ หล่อนคุ้นเคยกับบรรยากาศข้นหนักแบบนี้ดี ตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวค่อยปลอบด้วยถ้อยคำทุ้มนุ่มเป็นเหตุเป็นผล ดึงใจให้ฝ่ายรับฟังได้กลับสติขึ้นใหม่ และกลายเป็นอีกคนที่รู้คิดกว่าเดิม

"ทำาไม... เขา... คุณมะแมแน่ใจหรือคะ?"

แจ๊บเสียงสั่นเครือ เอ่ยตะกุกตะกักเหมือนเด็กหลงทางที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกผู้ใหญ่ทอดทิ้ง ไม่เอาไปด้วยแล้ว...

มะแมสงสารจับใจขึ้นมาก็คราวนี้ จริงๆแจ๊บน่าจะสงสัยอยู่ก่อนว่าคนรักไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป ไม่ใช่แค่ปล่อยให้มองหาแล้วใจหาย ที่มาหาหล่อนก็หวังเพียงให้ช่วยตามคนรักกลับมา ไม่ได้คาดฝันว่าจะพบการตอกย้ำความจริงสะเทือนสำานึกลึกยิ่งขึ้นอีก

"คุณแจ๊บคะ มะแมว่าบุญเก่าของพวกคุณทำกันมาดีพอ ถึงจูงมาพบ มาคบกัน แต่บุญใหม่ช่วยสร้างกันไม่ถึงไหน ต่างฝ่ายต่างรักษากันและกันไว้ไม่ได้ แต่มะแมรับรองว่าเร็วๆนี้..."

ยังไม่ทันขาดคำ มะแมก็เจอประสบการณ ์ครั้งแรก ที่ลูกค้าลุกขึ้นกลับหลังหัน ปึงปังพรวดพราดออกจากห้องไปด้วยกิริยาเกรี้ยวกราด ลืมแม้กระทั่งจ่ายเงินค่าปรึกษาให้

มะแมก็ช็อคเป็นเหมือนกัน นิ่งงันอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่ทราบจะเอาอย่างไรดี ระหว่างวิ่งตามไปปลอบหรือปล่อยให้ฝ่ายนั้นสงบอารมณ์เอาเองตามบุญตามกรรม

มั่นใจว่าสามารถกล่อมให้แจ๊บระงับโทสะได้ แต่ก็รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ แข้งขาไม่อยากขยับอย่างไรไม่ทราบ หล่อนมีข้ออ้างที่ดีคือยังมีลูกค้าคนต่อไปรออยู่ หากจะปลอบแจ๊บต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงเป็นแน่แท้ แม้ฝืนดันทุรังตามออกไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีเวลาพออยู่ดี

คิดเช่นนั้นแล้ว มะแมก็ถอนใจเฮือก บอกตนเองว่าเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนกินน้ำกินท่าดีกว่า

______________________________________________________________________________
บทที่ ๓

วงจรชีวิตยังคงเป็นไปตามปกติเมื่อครบรอบ มะแมเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มครึ่ง ปิดตาเข้าสู่ความหลับสนิท ด้วยอาการของคนที่พร้อมจะทิ้งขยะทางอารมณ์ ไม่เอาเข้าไปร่วมในนิทราสวัสดิ์ด้วย

หกชั่วโมงผ่านไป นาฬิกาชีวะปลุกให้มะแมตื่นเองตอนตีสี่ครึ่งพอดีเหมือนทุกวัน จะแตกต่างบ้างก็คือก่อนตื่นไม่กี่อึดใจ หล่อนฝันว่ากลับเป็นเด็กนักเรียนอีกครั้ง และทำข้อสอบผิด มารู้ตัวก็เมื่ออ่านเฉลยในภายหลัง พอตื่นขึ้นเลยรู้สึกแย่นิดหน่อย แต่ฝันก็คือฝัน หล่อนขี้เกียจค้นหาต้นตอของฝันไม่ดี เพราะอาจขุดลงไปเจอข้อผิดพลาดที่ผ่านมาแล้ว และพลอยทำให้เสียความมั่นใจในการทำงานวันใหม่ไป

ทุกเช้าหล่อนมีกติกากับตนเองว่าจะต้องตื่นขึ้นกับความเชื่อมั่นว่าชีวิตตนสุกสว่าง และพร้อมจะกระจายรัศมีความสว่างต่อไปให้คนอื่น ประดุจเปลวเทียนต่อเปลวเทียน หล่อนเรียนรู้ข้อผิดพลาดทุกชนิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในวันที่มันเกิด กับทั้งตั้งใจควบคุมอย่างดีไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก จึงไม่มีความจำเป็นต้องทบทวนความผิดพลาดใดๆให้ใจหม่นหมองซ้ำซาก

เล่นโยคะ วิ่งสายพาน นั่งสมาธิ ทำกับข้าว ระหว่างทำก็สอนโน่นสอนนี่ให้หยิมฟัง กินข้าวเช้าร่วมกัน อ่านหนังสือพิมพ์ ขึ้นไปอาบน้ำเตรียมพบกับลูกค้ารายแรกของวัน ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทางตามกิจวัตรไม่สะดุด

ลูกค้าช่วงเช้าผ่านไปทีละคนด้วยความราบรื่นยิ่ง ถึงเวลาพักกลางวันมะแมจึงเต็มอิ่มด้วยความภาคภูมิกับการเปลี่ยนชีวิตของลูกค้า ๖ คน มากบ้าง น้อยบ้างตามเหตุปัจจัย แค่ลูกค้าปรับความเข้าใจในชีวิตให้ดีขึ้นได้แม้แต่นิดเดียว หล่อนก็นับว่านั่นคือความสำเร็จแล้ว

หน้าที่ของหล่อนคือเปลี่ยนใจคน เพราะถ้าไม่เปลี่ยนใจ ชีวิตก็ไม่มีทางเปลี่ยน

อิ่มเอมเปรมปลื้มอยู่ดีๆ สิ่งรบกวนจิตใจชิ้นใหม่ก็ลอยมาแปะหน้า

"จดหมายค่ะพี่"

มะแมหุบยิ้ม แต่หยิมไม่ทันเห็นว่านั่นคือความผิดปกติ พอจัดสำรับอาหารบนโต๊ะกลางเสร็จก็เดินออกจากห้องโดยไม่ทักอะไร

สาวพลังจิตลากลมหายใจยาว ก่อนผ่อนออกอย่างพยายามไม่เครียด แกะซองดึงกระดาษจดหมายออกอ่านด้วยอาการเป็นปกติ ยอมรับว่าใจแป้วชอบกล ความรู้สึกไม่ต่างจากการต้องเข้าฟังเทศนาของผู้หลักผู้ใหญ่ก็ว่าได้

ถ้ายุ่งกับเรื่องของตำรวจ ระวังจะตกอยู่ในอันตราย

ขนลุกเกรียว คล้ายดังบรรทัดข้อความนั้นเป็นธารน้ำแข็งยะเยียบ หลั่งราดจากสมองลงไปถึงไขสันหลัง มันเป็นจดหมายลายมือผู้หญิงเช่นเดิม ส่วนเจ้าของข้อความตัวจริง ก็สื่อสารให้พิศวงงงงวยตามเคย

พอรู้สึกตัวว่าลมหายใจหยาบและสั้น มะแมก็ระงับความกระวนกระวายที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อย ลากลมหายใจยาวอย่างผ่อนคลายกว่าเดิม พยายามบอกตัวเองว่าเจอตลกร้ายอีกแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลุ้มจริงหรอก

กินข้าวเสร็จพักผ่อนด้วยดนตรีคลายอารมณ์ดังเคย แต่มะแมรู้ตัวว่าความวิตกคืบคลานรุกล้ำาเข้ามาไม่หยุด จดหมายลึกลับที่มีแต่การสั่งสอนและการเตือนภัยนี้ คงไม่ใช่แค่วิธีโฆษณาขายประกันอันแหวกแนวของบริษัทใดเป็นแน่

ถ้าใครตั้งใจแกล้งเล่นงานหล่อนให้กระวนกระวาย ก็นับว่าประสบความสำาเร็จเป็นอย่างสูง ตอนนี้หล่อนกำลังคิดหนัก วันๆมีแต่ลูกค้ามาขอคำปรึกษาเรื่องความรัก และส่วนใหญ่หน้าที่ของหล่อนคือบอกวิธี "ตัดใจซะ" แน่นอนจดหมายฉบับเมื่อวานย่อมก่อความละล้าละลัง โดยเฉพาะตอนเจอกรณีสาวแจ๊บ ที่หุนหันพลันแล่นอย่างน่ากลัว แค่รู้ว่าโดนแฟนทิ้งแน่ก็ฟาดงวงฟาดงาต่อหน้าต่อตาหล่อนแล้ว ป่านนี้ยังไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะไปจัดการกับชีวิตตัวเองท่าไหน

มาถึงจดหมายฉบับล่าสุด อ่านผ่านๆเหมือนการข่มขู่ดีๆนี่เอง ที่แท้ "เขา" อยากให้หล่อนเลิกอาชีพที่ปรึกษาปัญหาชีวิตหรืออย่างไร เจ้าของจดหมายเป็นใครกันนะ แล้วเขาต้องการอะไรจากหล่อนกันแน่?

ไม่เป็นอันนอนฟังดนตรี มะแมปิดเครื่องเสียงแล้วลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา พยายามให้สัมผัสกระทบที่เท้าแย่งใจมาจากคลื่นความฟุ้งซ่านในหัว กระทั่งคลื่นค่อยๆสงบระงับ รู้สึกสบายใจได้บ้าง

กลับมาที่โต๊ะและอ่านจดหมายอีกครั้ง หล่อนจับกระแสเจตนาของผู้ส่งจดหมายลึกลับไม่ถูก ยิ่งลองจ้องเข้าไปแรงๆอย่างจะสัมผัสถึงตัวเจ้าของข้อความให้ได้ ก็ยิ่งตระหนักว่าตนกำลังเล่นกับเครื่องขวางที่มีปฏิกิริยาต้านกลับ ทำให้เกิดผลข้างเคียง ปวดหัวตึบ หน้ามืดวูบวาบอีกต่างหาก

เมื่อวานส่องดูตามปกติแล้วเปลี้ยเพลีย นึกคร้านจะมองให้เห็น คล้ายออกแรงผลักกำแพง แล้วโดนกำแพงต้านกลับให้ใจฝ่อ แต่วันนี้จ้องจะดูให้ได้ ผลถึงกับปวดหัวตะครั่นตะครอ ราวยิงหมัดชกกำแพงเต็มแรง เจ็บทั้งหมัด ร้าวถึงไหล่สะเทือนถึงตัวทั่วไปหมด

นี่มันอะไรกัน?

อันเนื่องจากมะแมยังละอ่อนในเชิงประสบการณ์กีฬาพลังจิต จึงไม่สามารถตัดสินแม้กระทั่งว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า หล่อนครุ่นคิดใหม่ เลิกใส่ใจตัวตนเจ้าของข้อความ แต่หันมาพินิจพิเคราะห์เนื้อหาในจดหมายแทน

ดูเหมือนฉบับล่าสุดนี้เป็นการเตือนให้ระมัดระวัง อย่าเข้าไปพัวพันกับคดีหรืองานของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มะแมทบทวนย้อนไป แน่ใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา คำาปรึกษาของหล่อนไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมใดๆเลย จะมีบ้างก็คดีฟ้องหย่า ซึ่งหล่อนมีหน้าที่แค่พูดถึงปมเหตุ วิธีคลายปม ตลอดจนการเตรียมรับมือกับผลที่จะตามมา จึงมองไม่เห็นว่าหล่อนจะสร้างความเดือดร้อนทางกฎหมาย หรือกระทั่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานของตำารวจที่ตรงไหน

แปลว่าเรื่องยังไม่เกิดขึ้น และกำาลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้กระนั้นหรือ?

หล่อนไม่ใช่พวกรู้อนาคตแบบอยู่ๆตอบได้หมดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถ้าจะรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับอะไร ก็ต่อเมื่อเห็นว่าอะไรนั้นกำลังเป็นเช่นใดอยู่เดี๋ยวนี้ เหมือนนักพืชศาสตร์ที่อาจทำนายถูกในทันทีที่เห็นเมล็ดพันธุ์ ว่ามันจะเติบใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาขึ้นมาเป็นต้นไม้แบบไหน แคระแกร็นหรือสูงใหญ่ได้เพียงใดในดิน น้ำ อากาศหนึ่งๆ

สรุปคือเมื่อหล่อนไม่รู้ ก็เลยตัดสินไม่ถูกว่าเจ้าของจดหมายรู้จริงหรือมั่วนิ่ม และเมื่อไม่รู้ว่าเจ้าของจดหมายมั่วหรือเปล่า หล่อนจะมานั่งกลุ้มหาอะไร?

กระวนกระวายกับข้อความในจดหมายลึกลับ จะมีหน้าไปเปิดทางออกให้ชีวิตใครได้เล่า?

บอกตนเองซ้ำๆว่าสบายใจแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่คิดถึงจดหมายลึกลับชวนสนเท่ห์นี่อีกแล้ว

บ่ายโมงตรง เป็นลูกค้าชายคนหนึ่งที่กำลังเข้าตาจน ชีวิตวกวนอยู่กับการถูกใส่ไคล้ จะ ทำงานก็ถูกขัดแข้งขัดขา ไม่ก้าวหน้าเสียที มะแมให้คำแนะนำไปง่ายๆว่า คนดีตัดสินคุณจากผลงาน คนพาลตัดสินคุณจากเสียงลือ ถ้าเขาจะต้องระเห็จออกจากงานก็เหมาะเลย จะได้ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางคนพาลไง แล้วเขาก็มีงานถนัดรออยู่ด้วย เหนื่อยหน่อยถ้าต้องทำเอง เสี่ยงหน่อยถ้าต้องกู้บ้าง แต่หล่อนเอาเครดิตเป็นประกันว่าเขาจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่

บ่ายโมงครึ่ง เป็นลูกค้านักศึกษาชายเพิ่งเรียนจบ และพบว่าวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากอยู่กับมัน มะแมหนักใจอยู่บ้าง เพราะนายคนนี้เป็นพวกเฉื่อย อยากงอมืองอเท้า ไม่สนใจอะไรจริง ช่วยกวาดหาสิ่งที่น่าจะดึงดูดใจ ก็พบแต่เกม หนังโป๊ และการเที่ยวกลางคืน หล่อนได้แต่ให้คติว่า ชีวิตคนสั้นอยู่แล้ว อย่าให้มันสั้นลงไปอีกด้วยความว่างเปล่าของวันนี้ ที่ไม่รู้จะทำอะไรดี เขาจากไปพร้อมกับความทึ่งที่หล่อนรู้จักเขายิ่งกว่าตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำตอบว่าตัวเองคือใคร ควรทำสิ่งใดอยู่ดี

บ่ายสองโมง เป็นลูกค้าหญิงหน้าเศร้าวัยกลางคน ท่าทางเปล่าเปลี่ยว หัวเดียวกระเทียมลีบ รู้สึกเหมือนเกิดมาไม่มีใคร และจะตายไปอย่างไม่มีใคร ทั้งนี้เพราะเป็นโรคหวาดระแวง เฝ้าแต่นึกอยู่ว่าคนรอบข้างคอยจ้องทำร้ายตนเอง มะแมทายเหตุการณ์ตั้งแต่เจ้าหล่อนยังเป็นเด็กมาจนถึงบัดนี้ แล้วสรุปขมวดท้ายว่า ต่อให้เป็นศัตรูตัวฉกาจ ก็ไม่อาจทำร้ายคุณได้บ่อยๆ มีแต่ความคิดในหัวตัวเองเท่านั้นที่ทำร้ายคุณได้ทุกนาที เจ้าหล่อนจึงสีหน้าชุ่มชื่นขึ้น ดูดีพอจะทำให้คนรอบข้างสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ได้บ้าง

บ่ายสองโมงครึ่ง เป็นลูกค้าที่ทำให้มะแมชะงักแบบประสาทรวนไปนิดหนึ่ง หนุ่มหน้าใสที่โผล่พรวดเข้ามาเป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเมื่อครั้งเรียนอยู่ต่างจังหวัด และเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวที่เคยได้หอมแก้มหล่อน วันนี้มาให้แปลกใจในฐานะลูกค้าที่นัดหมายและจ่ายค่าปรึกษาตามปกติ เขาเล่าว่าติดตามข่าวคราวของหล่อนตลอดมา และอยากให้ช่วยทำนายว่ามีภาพเขากับหล่อนร่วมทางกันในอนาคตไหม ซึ่งมะแมก็สยายยิ้มหวาน และตอบด้วยเสียงเป็นกันเองฉันเพื่อนสนิทว่า... ไม่มี!

บ่ายสามโมง เป็นลูกค้าสาวที่ได้ลัดคิวพิเศษ มะแมรู้ว่าลัดคิวเพราะหยิมเล่าให้ฟังว่าเพิ่งโทร.มาเมื่อวาน ในจังหวะที่ลูกค้าอีกรายเพิ่งขอยกเลิกนัดไปหยกๆ เจ้าหล่อนกำาลังกลัดกลุ้มกับความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต คือไปทำแท้งมา ฝันร้ายติดกันสองคืน อยากย้อนเวลากลับไปใจแทบขาด จะกลับไปตอนเอาเด็กออกก็ได้ หรือจะกลับไปก่อนมีอะไรกับแฟนแบบไม่ควบคุมให้ดีก็ได้ มะแมปลอบว่า ผิดพลาดครั้งแรกอย่าเพิ่งโทษตัวเอง เอาไว้ค่อยตัดสินโทษฐานพลาดซ้ำเยี่ยงคนไม่รู้จักบทเรียนดีกว่า แถมท้ายด้วยการทายพฤติกรรมที่ผ่านมา ฉายย้อนให้เห็นว่าเจ้าหล่อนเคยทำคุณงามความดีมาเพียงใด ตราบาปใหญ่ๆแผลเดียวหรือจะไปสู้กองบุญที่สะสมมาแล้ว รวมทั้งบุญกองภูเขาข้างหน้า ที่กำลังจะตั้งใจสร้างขึ้นกลบแผลเก่าอีกไม่รู้เท่าไร

บ่ายสามโมงครึ่ง เป็นลูกค้าหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำาเพลง ถามตรงๆว่างานที่เขาตั้งใจทำร่วมกับเพื่อนจะสำเร็จไหม เมื่อไรจึงสำเร็จ มะแมขอดูกระเป๋าเงินและใช้มือสัมผัสธนบัตรในกระเป๋านั้น ก็ทราบทันทีว่าเขากำลังจะเปลี่ยนจากสุจริตชนเป็นอาชญากรตัวกลั่น ภายใต้การชักจูงหว่านล้อมจากญาติห่างๆ หล่อนจึงแนะนิ่มๆว่า ทางลัดมีอยู่สองแบบ แบบที่หนึ่งคือพาไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น แบบที่สองคือลากไปลงเหวโดยไม่ให้ตั้งตัวได้ทัน จากนั้นทายเป็นขั้นๆว่าชีวิตการเงินการงานของเขาเป็นมาอย่างไร ตบด้วยการทำานายเป็นฉากๆว่าถ้าเลือกทางทุจริตจะต้องประสบกับหายนะร้ายแรงขนาดไหน

บ่ายสี่โมง หยิมเข้ามาบอกว่าลูกค้าไม่มาตามนัดโดยไม่มีการแจ้งยกเลิก แต่ลูกค้าบ่ายสี่โมงครึ่งมารอแล้ว จะให้เข้ามาเลยไหม มะแมตัดสินใจรับ และคิดเผื่อว่าถ้าลูกค้าสี่โมงมา ก็ค่อยให้นั่งรอไปเป็นรอบสี่โมงครึ่งแทน

ลูกค้ารายนี้ขอเป็นกรณีพิเศษ ปรึกษาเรื่องเดียว แต่มาพร้อมกันสองคน เพราะอยากฟังด้วยกัน ไม่ต้องไปเถียงกันทีหลังว่าหล่อนให้คำปรึกษาอย่างไรแน่ ซึ่งมะแมก็ไม่เกี่ยง เพราะก็แค่สองผัวเมียละเหี่ยใจ อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ตกลงกันไม่ได้สักเรื่อง อยากหาคนกลางตัดสิน เท่านั้น ไม่หนักหนาอะไร

คนเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ต่อให้พูดอธิบาย บางทีก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่นี่ยังแถมมีทิฐิ ประชดประชันกันอีก เมื่อไรถึงจะเชื่อกันเล่า?

มันเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับมะแม ทว่าเปลี่ยนนรกให้เป็นสวรรค์ได้ทีเดียวสำาหรับสามีภรรยา ที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี แต่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรู้ใจกันเลย พอมานั่งตรงหน้ามะแมสิบนาที สาวพลังจิตแค่ไล่ลำดับให้ฟัง ว่าฝ่ายชายเคยคิดอย่างไร ฝ่ายหญิงเคยหวังดีขนาดไหน แล้วต้องมาผิดใจ ต้องมาเกี่ยงงอน ต้องมาทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างไร ปมลับปมซ่อนทั้งหลายก็คลี่คลายออกได้

แค่เข้าใจ แค่รู้ใจ แค่ไม่เห็นกันและกันเป็นอื่น ปัญหาก็กลายเป็นอื่นแทน

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นผัวเมียกอดกันร้องไห้โฮต่อหน้าหล่อน มะแมยิ้มๆ ไม่ว่าอะไรเมื่อทั้งคู่อยู่เกินเวลาจนเกือบถึง ๕ โมง ออกจะโล่งด้วยซ้ำ เพราะตลอดช่วงบ่ายนี้ หล่อนใจเต้นทุกครั้งเมื่อลูกค้าใหม่โผล่หน้าเข้ามา ด้วยความระแวงว่าจะนำหล่อนไปพัวพันกับตำรวจบ้างหรือไม่ เมื่อลูกค้าคู่สุดท้ายกลายเป็นสองสามีภรรยาที่ใจจริงแสนจะรักกัน มะแมจึงนั่งพิงพนักด้วยความผ่อนคลายเป็นที่สุด

ลูกค้ามีเงินสดติดกระเป๋าอยู่เกือบหมื่น ทั้งคู่มีมติเป็นเอกฉันท์ในอันที่จะยกให้มะแมทั้งหมดเป็นค่าเสียเวลาเกินกำาหนด แม้มะแมปฏิเสธ ทั้งคู่ก็ยืนกรานและลุกขึ้น หันหลังเดินจากไปแบบไม่ให้โอกาสปฏิเสธซ้ำ

มะแมระบายยิ้มอ่อนในหน้าขณะเดินมาส่งสองสามีภรรยาขึ้นรถ กระแสความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสิ้นสุดลง กลายเป็นฟื้นฟูสายใยเดิมกลับมาเชื่อมติดเข้ากันได้ ปรองดองประดุจรักใหม่ นี่คือฉากจบของงานวันนี้

กอดอกถอนใจเฮือกขณะสายตามองตามท้ายรถที่ห่างออกไปทุกที ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจดหมายลึกลับมีอิทธิพลกับจิตใจของหล่อนเพียงใด มะแมขบฟันนิดๆ ตั้งใจว่าเมื่อใดจดหมายลึกลับฉบับต่อไปมาถึง หล่อนจะโยนทิ้งถังผงทันทีโดยไม่เปิดอ่านอีก!

________________________________________________________________________________
บทที่ ๔

โฮมออฟฟิศ ๓ ชั้นของมะแมอยู่ต้นๆถนนบางนา-ตราด อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆห้างใหญ่ในย่านนั้น หล่อนเลือกเป็นที่ทำงานพร้อมอยู่อาศัยเสร็จ เพราะค่าเช่าไม่แพง เข้าซอยไม่ลึก ใกล้ทางด่วนและถนนวงแหวน แถมสร้างอย่างมีคุณภาพ อยู่สบาย ไม่เป็นแบบโครงการสุกเอาเผากิน

แต่สิ่งแวดล้อมในซอย ปะปนกันระหว่างดีกับแย่ ถนนบางช่วงเรียบ บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ กับทั้งเป็นย่านชุมชนที่คละกันระหว่างมั่งมีกับยากจน

ชื่อเสียงจากการทำนายแผ่นดินไหวของมะแม แม้ล่วงเลยมาเกือบสองปีก็ยังมีคนจำได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าความน่าเชื่อถือที่ลือกันแบบปากต่อปาก หล่อนเป็นที่ปรึกษาพลังจิตในคราบนักจิตวิทยาปริญญาตรี แถมจบจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ฉะนั้น ถึงแม้จะอยู่ย่านชานเมือง ก็ยังคงมีความเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าจากทางไกล ให้โทร.มาจองคิวล่วงหน้าหลายเดือนได้อยู่ดี

มะแมเพิ่งถอยแจ๊ซป้ายแดงมาไม่กี่อาทิตย์ ยังสนุกกับการได้ขับไปไหนมาไหนบ้าง และคืนนั้นก็นึกอยากกินข้าวเย็นนอกบ้าน จึงตั้งใจพาหยิมไปที่ร้านข้าวต้มเจ้าประจำหน้าปากซอย

"พี่มะแมคะ หยิมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"

เด็กสาวผมสั้นเอ่ยตั้งแต่ก่อนออกรถ เพราะเห็นนายสาวกำลังสาละวนพิมพ์ข้อความทางมือถืออยู่

"ได้สิ ว่ามาเลย"

มะแมอนุญาตขณะสายตายังจับอยู่ที่หน้าจอจิ๋ว สองนิ้วโป้งยังพิมพ์ตอบข้อความทักทายของเพื่อนเก่าไม่หยุด

"หยิมพยายามไม่โกรธ พยายามคิดดีกับยายหนุนที่ตลาด แต่แกก็ไม่ค่อยจะพูดดีกับหยิมเลย ไม่รู้หยิมเคยไปทำอะไรให้แต่ชาติปางไหน ซื้อของจากแกทีไร มีเรื่องให้แค้นใจแทบทุกที วันนี้จู่ๆแกก็ถามค่ะ ว่าหน้าตาจุ๋มจิ๋มแบบนี้ไม่ลองขายตัวบ้างหรือ"

หญิงสาวหัวเราะขำคำพูดของเด็กในปกครอง

"หยิมก็ดูไว้นะ จะสร้างมิตรต้องคิดกันมากหน่อย แต่สร้างศัตรูนั้นง่ายนิดเดียว แค่พูดทุกคำที่คิดก็พอ"

"ใช่ค่ะ! แล้วหยิมอยู่กับพี่มะแม ก็กลายเป็นศัตรูที่จ๋องๆกับฝ่ายตรงข้ามไปเสียแล้ว จะด่าตอบเหมือนเมื่อก่อนก็รู้สึกผิด อึดอัดจริงๆ ไม่ทราบจะตอบโต้อย่างไรดี"

"คราวหลังหยิมก็ถามยายหนุนนิ่มๆสิว่า ตัวหยิมนี่ขายได้เท่าไหร่"

"อุ๊ย! ทำไมพี่มะแมยุให้หยิมพูดอย่างนั้นล่ะคะ?"

มะแมกดปุ่มส่งข้อความ เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าถือ ก่อนหันมามองหยิมเต็มตา

"ก็ยายหนุนแกอาจจะไม่ได้ตั้งใจดูถูกหยิม แกพูดแบบนั้นเพราะอยู่ในโลกแบบนั้น เราก็ทำให้รู้เสียว่าเราอยู่คนละโลก โดยทำให้เข้าใจว่าค่าตัวของเราไม่ได้อยู่ที่ราคาเท่าไหร่ แต่อยู่ที่เราขายไหม ถ้าเลือกจะไม่ขาย ต่อให้แสนนึงก็ซื้อศักดิ์ศรีของหยิมไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว!"

หากเป็นเมื่อสองปีก่อนหยิมอาจสวนทันทีด้วยความซุกซนคะนองปากว่า

"ตอนหิวๆให้ทอดมันถุงหนึ่งก็ขายแล้วค่ะ ศักดิ์ศรี"

แต่นาทีนี้รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นอีกคน มีค่า รู้คิด รักเกียรติ และไม่คิดแม้จะพูดเล่นเรื่องขายศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิง

"แกบอกเหมือนกันค่ะว่าอย่างหยิมนี่ถ้าแต่งหน้าแต่งตัวดีๆ มีสิทธิ์ได้ครั้งละเป็นพัน ทำท่าเหมือนจะเป็นแม่เล้า หรือเป็นนายหน้าให้แม่เล้างั้นแหละ"

มะแมเอื้อมมือลูบศีรษะเด็กสาวอย่างอ่อนโยน

"เรื่องผ่านมาแล้ว อย่าหงุดหงิดขมวดคิ้วนิ่วหน้าเลย ยายหนุนอาจนอนตีพุงทำอะไรอยู่ที่บ้านแก ไม่ได้มาพูดอะไรกับหยิมตอนนี้เสียหน่อย แกอยู่ส่วนของแก เราอยู่ส่วนของเรา อภัยแกตอนนี้ เราก็สบายตอนนี้นะ"

ปลอบเสร็จก็สับเกียร์ เหยียบคันเร่งออกรถ หยิมฟังแล้วหัวเราะถอนฉิว

"พี่มะแมชอบสอนให้หยิมอภัย อภัย บางทีหยิมก็คิดไม่ออกจริงๆนะคะว่าอภัยแล้วจะได้อะไร มีแต่เสียเปรียบชาวบ้านวันยังค่ำ ปล่อยให้เขาทำข้างเดียว"

"ตอนนี้อึดอัดมากไหม?"

"อึดอัดสิคะ"

"แล้วร้อนรุ่มกลุ้มใจแค่ไหน?"

"มากเลยค่ะ ยิ่งคิดยิ่งอยากด่าคนแก่ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจอดใจไม่ไหว"

"พี่รู้สึกนะ ตอนนี้เหมือนหยิมโดนขังอยู่ในเตาอบ ทั้งอึดอัด ทั้งร้อน"

ขณะพูด มะแมสร้างมโนนึกขึ้นภาพหนึ่ง เห็นเหมือนคนข้างตัวนั่งอยู่ในห้องขังอุณหภูมิสูงจัด เป็นการขยายภาวะความจริงที่กำลังเกิดขึ้น และเหนี่ยวนำให้เด็กสาวรู้สึกตามได้อย่างแจ่มชัด

"ก็จริงนะคะ"

"นั่นแหละ! ฉะนั้นนะ อย่าถามว่าอภัยแล้ว จะได้อะไรมา ให้ถามว่าอภัยแล้วเป็นอิสระจากคุกร้อนๆจะเอาไหม?"

หยิมเบิกตานิดหนึ่ง ความร้อนในอกหายวูบ คิดยกโทษให้ยายหนุนหมดใจได้อย่างน่าอัศจรรย์!

มะแมรู้สึกถึงความสงบระงับนั้น จึงเอ่ยสืบมา

"อันนี้เหมือนคาถานะ ต้องท่องบ่อยๆ ไม่งั้นลืม ท่องไว้... เอาไหม อภัยแล้วหายร้อน"

หยิมมองนิ่งไปข้างหน้าครู่หนึ่ง ก่อนรับคำเสียงแผ่ว

"ค่ะ..."

ขณะนั้นเอง รถกระบะสองตอนคันหนึ่งขับสวนมา โดยเปิดไฟสูงไม่หรี่ให้ตามมารยาทของการวิ่งสวนกันบนถนนสองเลน แถมคนขับยังหลบหลุมบ่อ เบี่ยงหัวรถกินเลนคล้ายจะเข้ามาชนหล่อน ยังผลให้หญิงสาวกระตุกวูบ หักหลบซ้ายทันควัน ต่างฝ่ายต่างผ่านกันไปได้แบบเฉียดฉิว แน่นอนรถใหญ่ย่อมเฉยๆ แต่รถเล็กถึงขั้นใจหายใจคว่ำที่เกือบต้องพุ่งหลาวลงข้างทาง

มะแมย่นคิ้วหน่อยๆ สัมผัสถึงความกร่างแบบนักเลงโตเจ้าถนนของคนขับ การหลบหลุมแบบไม่สนใจว่าจะก่ออันตรายให้รถสวนหรือไม่นั้น นับว่าเห็นแก่ตัว ส่อความกักขฬะ ก้าวร้าว ไม่เกรงใจใคร หญิงสาวจึงอดโมโหไม่ได้

แต่ด้วยความที่เพิ่งสอนเด็กมาหยกๆ มะแมจึงยิ้มฝืดๆอย่างตลกตัวเอง ความจริงหล่อนมีเรื่องให้น่าโกรธมากมายในระหว่างวัน เพราะลูกค้าแต่ละคนมาพร้อมกับปัญหาและอาการจะเอาให้ได้อย่างใจ แต่อาจจะเพราะหล่อนอาศัยลูกค้าเป็นเครื่องฝึกใจมานาน จึงมีกำแพงของความใจเย็นไว้ตั้งรับ เลยเหมือนวางความโกรธได้แล้ว ไม่โกรธมานานแล้ว

ต่อเมื่อลดการ์ดลง และต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุกล้ำสวัสดิภาพกันท่านี้ จึงเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นว่ายังโกรธได้ และที่ดีที่สุดคือเห็นว่าโกรธแล้วหายเร็วเพียงใด เพียงเมื่อรู้สึกถึงความร้อนในใบหน้า โทสะก็ลดอุณหภูมิลงให้รู้สึกได้เกือบจะในทันทีเช่นกัน

เหลือบมองทางกระจกหลัง เห็นไฟท้ายรถกระบะค่อยๆห่างไป แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ มะแมก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของคนขับ มันช่างหยาบช้าสามานย์ผิดมนุษย์นัก

หญิงสาวหุบยิ้มทันใด กะพริบตาถี่ๆ สำรวจจนแน่ใจว่าการตัดสินดีชั่วให้คนอื่นในคราวนี้ มิใช่เพราะปนเปื้อนอยู่ด้วยโทสะจากเรื่องส่วนตัว แน่ใจว่าใจหล่อนมีสติเยือกเย็นแล้ว กับทั้งเกิดภาวะจิตสัมผัสเต็มกำลัง ไม่ต่างจากขณะนั่งอยู่ในเวลาทำงานระหว่างวันด้วย

โทสะแบบนั้นมันโทสะของโจรชัดๆ โทสะที่พร้อมจะทำร้าย โทสะที่พร้อมจะฆ่าแกงสุจริตชนได้โดยไม่มีความละอายแม้แต่นิดเดียว คุณพระช่วย! หล่อนเพิ่งขับรถสวนกับอาชญากรที่กำลังจะเดินทางไปก่อเรื่องโหดเหี้ยมหรือนี่?

มะแมใจเต้น ถึงกับต้องชะลอรถจอดแอบข้างทาง

"มีอะไรหรือคะพี่?"

หยิมถามอย่างเป็นห่วง นึกว่าหล่อนไม่สบายกะทันหัน

"เปล่า..."

ปากตอบ แต่นัยน์ตาดำคู่งามก็ตวัดไปหากระจกมองหลังอีกครั้ง คราวนี้สัมผัสชัดว่ารถกระบะคันนั้นหุ้มห่อไปด้วยความมุ่งร้ายหมายชีวิต และความรับรู้ต่อมาคือเหยื่อแห่งความคิดมุ่งร้าย ก็ถูกคุมตัวมาในรถนั่นเอง ที่ทราบก็เพราะสัมผัสถึงความอัดอั้นทางปาก ความขยับไม่ได้ของมือไม้ ซึ่งคงหมายถึงการถูกมัดปากมัดมือมัดเท้าแน่นหนา

นอกจากนั้นยังปนเปื้อนด้วยกระแสความกลัว ร่ำร้องเรียกหาอิสรภาพด้วยความสิ้นหวัง ซึ่งก็คงเพราะเดาชะตาในอนาคตอันใกล้ของตนได้ถูกว่าจะลงเอยเช่นไร

ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงของเหยื่อในรถที่กระทบใจมะแม ค่อยปรากฏรายละเอียดความเป็นเขาในระลอกต่อมา เขารักความเป็นธรรม เขาเสียสละความสุขและความปลอดภัยส่วนตัวเพื่อส่วนรวม และเขาก็ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้อาจต้องมาถึง

น้ำใจเสียสละรูปนั้น ไม่น่าเป็นอื่นนอกจากน้ำใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แท้ๆคนหนึ่ง!

มะแมได้ข้อสรุปกับตนเองอย่างรวดเร็ว ตำรวจดีๆกำลังจะถูกเชือดภายในไม่กี่นาทีข้างหน้า ความสงสารโจมจับหัวใจรุนแรง เขาทำเพื่อประชาชน รู้ทั้งรู้ว่าถ้าตัวเองเข้าตาจน จะไม่มีประชาชนคนไหนเหลียวแล...

หากเปรียบรสของจิตสัมผัสเหมือนน้ำผลไม้ คราวนี้ก็เข้มข้นจัดเหมือนน้ำมะนาวที่ปราศจากน้ำเชื่อม ปราศจากน้ำจืดช่วยเจือจาง จึงเปรี้ยวจี๊ดขึ้นสมอง ปรากฏความขมแหลมคมทิ่มแทง สำนึกให้มะแมรีบทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งทันที ก่อนจะทันคิดถึงผลที่ตามมาด้วยซ้ำ!

"เฮ้ย! พี่โต แจ๊ซคันนั้นมันกลับรถตามเรามาว่ะ!"

ชายหน้าเสี้ยมผู้ทำหน้าที่สารถีส่งเสียงเป็นสัญญาณเตือนภัย หลังจากเห็นทางกระจกมองหลังว่ารถที่เพิ่งสวนกันยูเทิร์นตามมาอย่างผิดปกติ ด้วยความที่ถนนว่างโล่งและเป็นทางตรง

เขาจึงเห็นทุกสิ่งถนัดจากระยะไกล

"ฮื้อ! แน่ใจเหรอะ?"

คนนั่งข้างขมวดคิ้ว แบบสงสัยว่าคนขับตื่นตูมไปเองหรือเปล่า

"เมื่อกี้กูเห็นมึงขับหลบหลุมเกือบขวิดมันตกทางน่ะ มันโมโหแล้วจะตามมาเอาเรื่องมั้ง?"

"ฉันสังหรณ์ว่าไม่ใช่นะ ความรู้สึกอย่างกับแม่งเป็นตำรวจ"

โตไม่หันกลับไปมองหลัง สีหน้าผ่อนคลายลงด้วยความเชื่อว่าลูกน้องคิดมากไปเอง พออุ้มตำรวจ เลยนึกว่าเพื่อนตำรวจจะมาช่วย

"ตอนนี้ทั้งตัวมันเหลือแต่กางเกงลิงตัวเดียว แล้วมึงก็ทิ้งมือถือมันไปแล้ว จะหาสัญญาณตามตัวได้จากไหนอีก?" แต่เพื่อความไม่ประมาทระหว่างพูดโตก็กดเบอร์มือถือถึงลูกน้องที่รังไปด้วย

"ไอ้ฮั่น! กูกำลังจะไปถึงนะ ภายในนาทีสองนาทีนี้แหละ แต่ไอ้แป๊กสงสัยว่ามีคนตามหลังเรามา เป็นรถแจ๊ซ มึงพาคนออกมาซุ่มที่หน้าปากซอยให้ที ถ้ามีเค้าว่าจะใช่พรรคพวกมันจริงก็หาทางลากมาด้วย"

พอสั่งการแล้วโตก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาเอง ก่อนกดปุ่มวางสายจึงกำชับเสียงเครียด

"อย่าเสือกทำโฉ่งฉ่างล่ะ หาจังหวะให้ดีๆหน่อย!"

ลึกเข้ามาในซอย ไฟยังคงสว่าง ข้างทางมีทั้งหมู่บ้าน ตลอดจนโรงงานต่างๆเรียงราย มิใช่เขตรกร้าง รถวิ่งผ่านมาผ่านไปเป็นระยะ มะแมจึงคิดว่าการที่รถคันหนึ่งจะวิ่งตามรถอีกคันมา ไม่น่าเป็นเรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด

และสำหรับหยิม เมื่อเจ้านายอยากทำอะไรก็ต้องปล่อยให้ทำ หาใช่วิสัยที่บ่าวจะขอค้าน แต่บรรยากาศยามนั้นดูอึมครึมผิดสังเกตชอบกล กระทั่งหยิมอดถามด้วยความหวาดแปลกๆไม่ได้

"พี่มะแมตามเขามาทำไมคะ คนรู้จักเหรอ?"

มะแมไม่อยากให้เด็กสาวตื่นกลัว ขณะเดียวกันก็ไม่อยากโกหก จึงเลี่ยงว่า

"ขอดูให้แน่ใจหน่อยก็แล้วกัน พี่อาจคิดไปเองก็ได้"

ก่อนทะลุออกถนนลาซาล รถกระบะที่วิ่งนำหน้าก็เลี้ยวขวาเข้ากิ่งซอยแยก ซึ่งเห็นได้จากระยะไกลว่าสุดกิ่งซอยประมาณ ๕๐ เมตรมีบ้านเดี่ยวอยู่เพียงหลังเดียวบนที่ดินรกร้างรอบด้าน

มะแมซึ่งขับตามมาไกลๆ เห็นเช่นนั้นก็ชะลอลงจอดห่างประมาณหนึ่งเสาไฟฟ้า เมื่อรถกระบะหายเข้าไปในรั้วบ้าน หล่อนก็ไม่สามารถเห็นสิ่งใดด้วยตาเปล่าได้อีก อย่างมากก็ใช้สัมผัสพิเศษ ล่วงรู้ว่ามีการลากถูลู่ถูกัง มีการขัดขืน มีความวุ่นวาย และมีการเจ็บเนื้อเจ็บตัวตามมา

สาวพลังจิตกุมพวงมาลัยเม้มปากแน่น มาถึงที่แล้วเอาไงต่อ?

ถามตัวเองง่ายๆ ถ้าเห็นคนกำลังจะจมน้ำต่อหน้าต่อตา จะช่วยไหม แน่นอนตอบได้ทันทีว่าต้องช่วย แต่ถ้าเห็นคนกำลังจะถูกกระทำทารุณ

ด้วยสัมผัสทางจิตล่ะ ให้ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องรู้สึกผิดไปจนวันตาย?

ฉับพลัน มะแมก็นึกถึงคำเตือนในจดหมายลึกลับ ราวกับแว่วเสียงตัวจริงมาเองเลยทีเดียว

อย่ายุ่งกับเรื่องของตำรวจ ไม่อย่างนั้นจะตกอยู่ในอันตราย!

ขนลุกเป็นระลอก ใจหนึ่งอยากเอาตัวรอด หล่อนกับเด็กลูกจ้างเป็นแค่ผู้หญิงไร้พิษสง และไม่ใช่หนูในนิทานที่กัดบ่วงแร้วนายพรานให้ราชสีห์หลุดรอดได้ไหว ทำไมจะต้องฝืนเล่นบทพระเอก เพียงเพื่อพบผลสุดท้ายว่าช่วยอะไรตำรวจเคราะห์ร้ายไม่ได้อยู่ดี?

เปลี่ยนจากเม้มปากเป็นกัดปาก นาทีที่สมองเกือบสั่งเท้าให้เหยียบคันเร่ง หัวใจก็ตะโกนห้ามไว้ ในตัวมนุษย์มีแรงดันแบบหนึ่งที่ทำให้ทนไม่ได้ กับการปล่อยคนดีๆให้ตกตายไปเฉยๆและแรงดันชนิดนั้นเอง ที่ไม่ยอมให้มะแมเอาแต่นั่งนิ่ง

คิดอะไรไม่ออกเกือบครึ่งนาที คล้ายในหัวอึงอลด้วยเสียงทะเลาะระหว่างคนสองคน แต่แล้วก็ทำตาโตอย่างนึกออก ปีก่อนหล่อนเคยมีลูกค้าคนหนึ่งเป็นสารวัตร สน. บางนา เขากับภรรยาพากันมาหาหล่อนและกลับไปด้วยความประทับใจยิ่ง โดยได้ทิ้งเบอร์ไว้ บอกว่าถ้ามีปัญหาดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนให้โทร.เรียกได้ไม่ต้องเกรงใจ เขาจะมาช่วยจัดการด้วยตนเอง

แน่นอน ผู้หญิงตัวคนเดียวที่มีเด็กสาวลูกจ้างเป็นเพื่อน ย่อมต้องเก็บเบอร์นายตำรวจคนนั้นเข้ามือถือไว้เป็นหลักประกันความอุ่นใจ ซึ่งยามนี้มะแมก็นึกขอบคุณตัวเองเมื่อปีกลายยิ่งกับทั้งภาวนาให้สารวัตรคนนั้นยังไม่ย้ายไปไหนและสะดวกพอจะรับโทรศัพท์หล่อนเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

เพียงพิมพ์ในช่องค้นหาว่า "สาร" หน้าจอก็แสดงผลบรรทัดแรกของบัญชีรายนามเป็น "สารวัตรกฤษฎา" ทันที ชื่อนั้นดูสุกสว่างเกินจริงจนก่อความสุขล้นอก เชื่อมั่นว่านี่คือการทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ส่วนผลออกมาสำเร็จหรือล้มเหลว ก็พ้นจากความรับผิดชอบของหล่อนอย่างสิ้นเชิง

"ฮัลโหล"

เสียงห้าวใหญ่ดังมาแบบคนอารมณ์ดี

"สารวัตรคะ จำมะแมได้ไหม ที่สารวัตรเคย..."

"อ๋อ! น้องมะแมเหรอ จำได้ๆ!"

เสียงของคนรับร่าเริงยิ่ง

"เป็นไงมั่ง นี่พี่แนะนำเพื่อนไปหลายคนแล้วนะ"

"ขอบพระคุณค่ะพี่... เอ่อ..."

ปลายเสียงของมะแมแผ่วหายไปในลำคอ ได้ยินเสียงเคาะกระจกก๊อกๆ และเมื่อเหลือบตาดูก็พบชายฉกรรจ์ ๓ คน ซึ่งโผล่มาจากไหนไม่

ทราบ ล้อมรถหล่อนไว้ในขณะนี้

หยิมร้อง "อุ๊ย!" ออกมาดังๆ ห่อตัวเหลือบซ้ายแลขวาด้วยความตกใจ มะแมเองก็ตระหนกวูบงงงัน สมองถึงกับไม่สั่งการใดๆไปชั่วขณะ

"น้องมะแม มีอะไรหรือเปล่า?"

เสียงของผู้กองร้องถามมาอย่างสำเหนียกถึงความผิดปกติ แต่ไม่ทันตอบอะไร คนเคาะเรียกเบาๆเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นตบกระจกปังๆ ส่งพลังกระแทกคุกคาม แขนขวาของมะแมถึงกับกระตุกขึ้นป้องศีรษะและเอี้ยวหลบในอาการสะดุ้ง มือซ้ายปล่อยโทรศัพท์ร่วงหล่นลงตักโดยไม่รู้ตัว

"ขอคุยด้วยหน่อยซิ!"

เสียงดังฟังชัดนั้นทะลุผ่านกระจกเข้ามา มะแมละล้าละลัง ความรู้สึกคืออยากเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งหนีออกไปให้เร็วที่สุด จะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยแล้ว แต่ความกลัวอีกชนิดก็แล่นขึ้นมายับยั้งไว้ หล่อนอาจถูกยิงจากข้างหลัง แทนที่จะไม่โดนอะไรเลยถ้ายอมพูดดีๆเสียแต่แรก

ไม่รู้ทำไปได้อย่างไร แต่ก็พบว่ากระจกไฟฟ้าลดระดับลงด้วยมือหล่อนเอง เปิดรับความข้นหนักของอากาศภายนอกเข้ามาเต็มๆ หน้าตาถมึงทึงนั้นเอาเรื่องแน่ๆถ้าหล่อนช้ากว่านี้

"มีอะไรหรือคะ?"

ยังดีที่แก้วเสียงยังใสพริ้ง ซึ่งยินเสียงตนเองเช่นนั้นเลยทำให้มะแมใจชื้น พอจะยิ้มแบบใจดีสู้เสือไหว

"เมื่อกี๊คุยกับใคร? ส่งโทรศัพท์มานี่!"

มะแมตัวแข็ง หมดกำลังใจสู้เสือทันที บอกตนเองว่าหล่อนพลาด ถูกจับได้ และจะต้องรับโทษหนัก กลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ ค่อยๆเลื่อนมือไปกดปุ่มตัดสัญญาณโทรศัพท์บนหน้าตักทิ้ง แต่อิดเอื้อนไม่ยอมส่งของเข้ามือโจรหน้าเหี้ยมตามคำสั่ง

"จะให้ใช้กำลังหรือเปล่า? นี่พูดดีๆแล้วนะ"

หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง สบตาฝ่ายคุกคามขวัญด้วยใจเต้นระทึก สีหน้าซีดเซียวอย่างน่าสงสาร รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หล่อนก็จำต้องยื่นมือถือส่งให้หมอนั่นจนได้

นักเลงโตผู้ตั้งท่าเหมือนแมงดารังแกผู้หญิง กระชากโทรศัพท์มาได้ก็กดดูหมายเลขล่าสุดทันที พอเห็นชื่อ "สารวัตรกฤษฎา" เท่านั้นก็พยักยิ้ม โน้มร่างสูงลงมาเกาะขอบประตูมองมะแมด้วยแววประกาศชัย ประมาณว่าเสร็จฉันล่ะ เธอเป็นนักโทษของฉันแล้ว

ขณะนั้นสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น นักเลงกล้ามใหญ่เหลือบดูเห็นเป็นชื่อนายตำรวจกฤษฎาโทร.กลับมา ก็กดปุ่มออฟค้างเพื่อปิดเครื่องหนี แล้วสั่งว่า

"เปิดประตูหลังให้พี่เข้าไปนั่งหน่อยซิ"

"พี่มะแม! อย่าเปิดนะคะ!"

หยิมหวีดร้องเสียงหลง

"ลองร้องแสบแก้วหูกูอีกทีนะมึง..."

เสียงนั้นเยียบเย็นพอจะสะกดให้สองสาว

ยุติอาการแข็งขืนปฏิเสธใดๆ มะแมสำเหนียกได้ถึงความคิดอำมหิตบางอย่างในอีกฝ่าย จึงรีบละล่ำละลักบอก

"เปิดเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ!"

นักโทษสาวกุจีกุจอปฏิบัติตามที่พูด หล่อนต้องหันรีหันขวางค้นหาอยู่ชั่วอึดใจว่าปุ่มเปิดล็อคตอนหลังอยู่ตรงไหน เนื่องจากยังไม่คุ้นรถใหม่ขึ้นใจ แถมกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติเข้าให้อีก

คนเป็นลูกพี่ใหญ่ในที่นั้นหันมาสั่งลูกน้อง

"ป่อง! มึงเอารถกลับ ส่วนไอ้ตุ่ยมากับกู"

"แล้วพี่ฮั่นจะไปไหนล่ะ?"

ป่องถาม และฮั่นก็ตอบพลางเปิดประตูแจ๊ซตอนหลัง

"รังแปด! เดี๋ยวกูโทร.บอกพี่โตให้ย้ายที่ตามไปเอง งานนี้ไม่ธรรมดาแล้ว แม่งหาพวกเราเจอได้ยังไงก็ไม่รู้ คงต้องรีดกันหน่อยล่ะ แต่ท่าทางไม่ยากหรอก!"

ป่องพยักหน้าและเดินแยกไปขึ้นรถกระบะมิตซูบิชิ ซึ่งตนขับสวนทางมาจอดต่อท้ายแจ๊ซ โดยมะแมไม่ทันสังเกต เนื่องจากเมื่อครู่กำลังว้าวุ่น กดโทรศัพท์เรียกหาตำรวจอยู่

ฮั่นกับตุ่ยขึ้นรถโดยเจ้าของไม่ได้เชื้อเชิญกับทั้งไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนั่งได้ก็บอกราวกับสั่งแท็กซี่

"ขับตรงไปเลยน้องสาว ถึงลาซาลแล้วเลี้ยวขวานะจ๊ะ"

เขาพูดปกติ ไม่ได้กระโชกโฮกฮากขู่ขวัญแต่อย่างใด แต่มะแมฟังเป็นคำสั่งบังคับให้ทำเรื่องฝืนใจที่สุดในชีวิต ส่วนหยิมนั่งตัวเกร็ง นี่ถ้าปวดฉี่กว่านี้อีกนิดเดียวคงปัสสาวะราดแน่ๆ อดรนทนไม่ได้กับประสบการณ์ชวนขี้ขึ้นสมองหนักเข้า ก็หันมาร้องถามเสียงกระเส่า

"พวกพี่เข้าใจผิดหรือเปล่า หนูกับเจ้านายจะออกมากินข้าวเย็นกันเฉยๆนะ"

ฮั่นเอาปืนสั้นมาจากไหนไม่รู้ รู้แต่หวดด้ามปืนใส่ศีรษะหยิมโป๊กใหญ่

"โอ๊ย!"

หยิมร้องสุดเสียงเหมือนถูกยิง ยกสองมือกุมขมับแน่น มึนงงเกือบสลบล้มคอพับ ฮั่นยิ้มมุมปากนิดๆด้วยความสะใจ

"อันนี้เขาเรียกด้ามปืน แต่เดี๋ยวจะแนะนำ ให้รู้จักลูกปืนถ้าไม่เข็ด"

แล้วฮั่นก็สั่งมะแมเสียงเฉียบ

"ออกรถได้แล้ว!"

หญิงสาวใช้มือชุ่มเหงื่อสับเกียร์แล้วแตะเท้าลงที่คันเร่ง ด้วยความรู้สึกคล้ายกำลังเดินทางไปสู่นรก หล่อนกำลังอยู่ในมือโจรที่กล้าตบตีผู้หญิง คงไม่ฉลาดนักถ้าจะทำอะไรเป็นการยั่วยุโทสะ

"คิดเสียว่างูจ่อหลังเตรียมฉกน้องอยู่นะจ๊ะ ขับไปตามคำสั่ง ทำตัวนิ่งๆ อย่าตุกติก แล้วในที่สุดงูก็จะคลานหายไป เคยดูหนังใช่ไหม?"

ตุ่ยซึ่งนั่งเบาะซ้าย มองเสี้ยวหน้ามะแมจากมุมทะแยงแล้วอยากมีส่วนร่วม ด้วยการแกล้งพูดกระซิบกระซาบแบบจงใจให้คนนั่งตอนหน้าได้ยิน

"หน้าตาวอนถูกข่มขืนจริงๆว่ะพี่"

"คนไหน?"

ฮั่นถามดังๆ ไม่ทำเป็นกระซิบตาม

"ทั้งสองคนแน่ะ!"

ตุ่ยตอบดังๆบ้าง แล้วสองทุรชนคนบาปก็หัวเราะแบบเถื่อนๆเป็นการเขย่าขวัญเหยื่อในมือซ้ำ และนั่นก็ถึงกับทำให้เหยื่อสาวทั้งสองเงียบกริบ

"พวกพี่ไม่ทำอะไรน้องหรอก"

ฮั่นเอ่ย เอื่อยๆเมื่อรู้สึกได้ว่าข้างหน้ากำลังเครียดกันสุดขีด

"แต่น้องต้องให้ความร่วมมือกับพวกพี่ดีๆ อย่าโวยวาย อย่าตอแหล อย่าคิดหาทางตามพวกมาช่วย ไม่งั้นจะพบว่าพวกเราชอบซ้อมก่อนเรียงคิวแก้โมโห แทนที่จะกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในฮาเร็มสวาทกันเฉยๆ"

ตุ่ยหัวเราะชอบใจกับสำบัดสำนวนของลูกพี่ ขณะที่คนตกเป็นเบี้ยล่างไม่มีทางขำได้ออกกับภาพเลวร้ายที่ถูกวาดไว้นั้น

คนถือไพ่เหนือริบโทรศัพท์หยิมมาอีกคนและระหว่างทางเมื่อฮั่นเห็นจังหวะเหมาะ เจอคูน้ำก็ลดกระจกขว้างอุปกรณ์สื่อสารทั้งของมะแมและ

หยิมทิ้ง เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ถ้าคิดว่านี่เป็นสายตำรวจ โอกาสโดนติดตามตัวผ่านอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ในมือถือก็มีสูง

มะแมถูกสั่งให้ขับไปสู่ทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ เวลาผ่านไป ได้ยินเสียงหยิมแอบร้องไห้กระซิกๆแล้ว ใจหนึ่งหญิงสาวก็อยากส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้คนข้างทาง หรือไม่ก็ลองขับรถพุ่งชนสิ่งกีดขวางอะไรสักอย่าง รถมีแอร์แบก อย่างมากก็เจ็บตัวทุลักทุเลกันหน่อย เดี๋ยวคงได้คนมาช่วยเอง

แต่จนแล้วจนรอดก็ได้แต่ขับรถตัวทื่อ ไม่กล้าลงมือทำอะไร เพราะจิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดี คิดอะไรไปสารพัดโดยไม่แน่ใจว่าผลของการทำตามความคิดจะออกหัวออกก้อยท่าไหน

ฮั่นติดต่อทางโทรศัพท์กับพรรคพวก วางจากคนหนึ่งต่อสายถึงอีกคน ยังคุยไม่จบก็สลับไปคุยสายอื่นอีก มะแมพยายามเงี่ยหูฟังแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ได้ยินคำสำคัญเช่นรังแปด เจ้านายอยู่ไหน ตำรวจคายความลับหรือยัง นังนี่สวยไม่เหมือนพวกตำรวจเลยจริงๆพับผ่าเถอะ

ยิ่งห่างออกมา เส้นทางยามราตรียิ่งโล่งขึ้นต้องชะลอรถหรือหลีกหลบรถน้อยลง ความคิดโง่ๆที่เรียงขบวนผ่านมาในหัวก็เริ่มซาลงตามกันและพอคิวความคิดโง่ๆหมดไป ความคิดฉลาดๆก็เริ่มทยอยตัวกลับมาแทน

อันดับแรกคือตระหนักว่าสถานการณ์ถึงเลือดถึงเนื้อครั้งนี้จะไม่ผ่านไปโดยง่าย ไม่ใช่แค่ร้องโหวกเหวกแล้วจบ กับทั้งจะไม่มีปาฏิหาริย์ใดจากนอกรถมาช่วยแน่ๆ

ลากลมหายใจยาว เมื่อรู้สึกถึงความละเอียดประณีต มะแมก็ทราบว่าสติกลับมาเต็มร้อยแล้ว จึงใช้ความคิด กับทั้งเริ่มเชื่อความคิด สถานการณ์ร้ายแรงขนาดนี้ มองแล้วเห็นแต่ปาฏิหาริย์แห่งความใจเย็นของตนเองเท่านั้น ที่จะมากอบกู้สถานการณ์ ผ่อนหนักเป็นเบา หรือเปลี่ยนร้ายเป็นดีได้

ชีวิตคนแย่ๆหล่อนยังช่วยพลิกมาแล้วมากมายหลายครั้ง ก็แล้วชะตาแย่ๆของตนเองครั้งเดียว ทำาไมจะไม่ลองพลิกดูให้รู้กันเล่า?

เมื่อรถมุ่งไปตามป้ายสู่สมุทรสงคราม ฮั่นก็เลิกคุยโทรศัพท์ แล้วหันมาเปิดฉากสัมภาษณ์ "สายตำรวจคนสวย" แทน

"เอ่อ... น้องชื่ออะไรครับ?"

ทำเสียงหล่อเหมือนพระเอกหนังรุ่นที่นิยมเสียงพากย์สุดกลมกล่อม

"มะแมค่ะ"

หญิงสาวตอบสั้น สุภาพ และฟังเป็นปกติ

"น้องตามเรามาถูกได้ยังไงครับนี่ มีเครื่องมือสื่อสารในตัวคุณตำรวจวิชัย ที่พวกเราหาไม่พบหรืออย่างไร?"

"มะแมไม่รู้จักคุณตำรวจวิชัย แล้วก็ไม่รู้จักเครื่องมือติดตามตัวด้วย มะแมเป็นชาวบ้านธรรมดา ขับสวนกับกระบะคันนั้นแล้วเห็นคนถูกมัดมือมัดเท้าบนที่นั่งตอนหลัง ก็คิดเรียกคนรู้จักที่เป็นตำรวจมาช่วยเท่านั้น"

เล่าตรงไปตรงมา ไม่โกหกแม้แต่คำเดียวแต่ก็มีผลให้ฮั่นขมวดคิ้ว เสียงหล่อหายไป เสียงเครียดมาแทน

"รถมันติดฟิล์มดำปี๋ แถมไอ้ตำรวจก็โดนมัดนอนอยู่ จะไปเห็นได้ยังไง?"

"ไม่ได้เห็นด้วยตา"

มะแมโต้ตอบราบเรียบคงเส้นคงวา เกือบขยายความต่อเนื่อง แต่คิดว่าให้อีกฝ่ายสงสัยและถามเองดีกว่า ซึ่งทางนั้นก็สงสัยและเค้นถามจริงๆ

"ไม่ได้เห็นด้วยตาแล้วเห็นด้วยอะไร?"

"สงสัยเห็นด้วยนม"

ลูกน้องขี้เล่นสอดเบาๆอย่างนึกสนุก ฮั่นสะดุดกึก ทีแรกเผลอหัวเราะพรืดเดียว แต่แล้วพอจินตนาการตามก็ลากยาว แยกยิ้มกว้าง หัวเราะพุงกระเพื่อมเป็นนานสองนานกว่าจะยุติได้

"ไอ้เปรต! กูกำลังซักผู้ต้องหาเป็นงานเป็นการ เสือกชักใบให้เรือเสีย มือไม่พายยังเอาเท้ามาแยงตูดกูเล่นอีก"

แต่แล้วก็เล่นเสียเองด้วยการทำเป็นกระซิบกระซาบ

"ว่าแต่หน้าตาแบบนี้มึงว่านมสวยไหม?"

ไอ้เปรตหัวเราะก๊าก

"ไม่สวยให้ถีบ! อาจจะสวยกว่านมน้องเมียพี่อีก!"

"อ้าว! ทำาไมลามปามถึงน้องเมียกู... แต่ เออ! คิดดูก็น่าจะจริงของมึง"

คนพาลสองคนคุยกันได้ออกรสเห็นภาพแจ่มแจ๋ว แล้วแข่งกันหัวเราะกระหึ่ม ส่วนคนฟังแล้วขำไม่ออกคือหญิงสาวผู้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในทางมิดีมิร้าย แต่ด้วยความที่ตั้งหลักได้แล้ว มะแมจึงวางเฉย ควบคุมแม้อาการหน้าแดงให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว ตลอดจนทำใจว่า นาทีนี้คงหวังการให้เกียรติจากใครไม่ได้ ต้องทำหูทวนลมเสีย

ฮั่นเอียงคอมองมะแมด้วยหางตา อาการนิ่งๆแบบแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินนั้น ยิ่งทำให้เขาระแวง เพราะเหมือนคนผ่านการฝึกรับสถานการณ์ฉุกเฉินหน้าสิ่วหน้าขวานมาอย่างดี

"เอาล่ะ! เรามาคุยกันต่อนะครับคุณน้องมะแม ตอนนี้พี่อารมณ์ดีแล้วก็อย่าทำให้มันเสียอีกล่ะ ตอบมาตรงๆว่าคุณน้องมะแมรู้ได้อย่างไรว่าไอ้เจ้าวิชัยตัวแสบมันอยู่ในรถพวกเรา"

"มะแมรู้สึก"

ฮั่นชักหน้าตึงขึ้นมาอีกรอบ

"พี่ก็รู้สึก! รู้สึกว่าน้องมะแมกวนโมโหพี่อยู่ และพี่ก็ชักจะโกรธแล้วด้วย!"

"มะแมรู้สึกจริงๆค่ะ เหมือนกับที่รู้สึกว่าพี่ฮั่นอยู่ข้างหลังมะแม กำลังถลึงตาแยกเขี้ยวใส่มะแมอยู่ โดยที่มะแมไม่จำเป็นต้องหันกลับไปดู"

ฮั่นกับตุ่ยหันมองสบตากันในเงาสลัวด้วย

อารมณ์ทะแม่ง

"นี่จะให้พี่เชื่อว่าน้องมีอภินิหารหรือ?"

"พี่ฮั่นจะเรียกมันว่าอภินิหารหรืออย่างไรก็ตามใจ สำหรับมะแม มันคือผลของการฝึกฝน แล้วก็ทำเป็นอาชีพอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน"

ตุ่ยแทรกด้วยความหมั่นไส้

"อาชีพอะไร? ก็สายให้ตำรวจน่ะสิ! แม่คุณเอ๊ย! เห็นหน้าทีแรกนึกว่าเป็นดาราซะอีก"

"เปล่า!"

หญิงสาวปฏิเสธด้วยเสียงเรียบคงเส้นคงวา

"มะแมเป็นที่ปรึกษาให้กับคนทั่วไป ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจเลยแม้แต่นิดเดียว"

ฮั่นยิ้มเลี่ยน ชักนึกสนุกไปกับสาวลึกลับที่นั่งเบื้องหน้าแค่เอื้อม

"ไหนให้คำปรึกษาหน่อยซิ พี่กับน้องตุ่ยนี่จะเป็นคู่เกย์กันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า เสียงครหามันเยอะเหลือเกิน"

"อย่ามาหลอกมะแมเลย พี่ฮั่นกับพี่ตุ่ยไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น" หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ

"ความรู้สึกของพี่ฮั่นคือครึ่งเอ็นดูครึ่งรำคาญพี่ตุ่ย ที่เอ็นดูเพราะชอบความขี้เล่นรักสนุก ทำงานด้วยแล้วเบาสมอง แต่ขณะเดียวกันก็รำคาญความเป็นพวกชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องเข้ามาทำเสียงอ้อน ไถเงินพี่ฮั่นเป็นประจำ"

ฮั่นเบิกตาโตด้วยความพิศวง แต่ด้วยความไม่อยากถูกเด็กเมื่อวานซืนแหกเนตร จึงถามซักเป็นปกติ

"น้องมะแมรู้ได้ยังไง?"

"ใจเราจะมีความรู้สึกที่แท้จริงกับคนรู้จักตกค้างอยู่ อย่างของพี่ฮั่นเวลานึกถึงพี่ตุ่ย พูดถึงพี่ตุ่ย สิ่งที่เด่นชัดคือความเอ็นดู รักเหมือนน้อง ส่วนหนึ่งเพราะพี่ตุ่ยชอบเฮฮา ปล่อยมุขให้คนใกล้ตัวได้ขำบ่อยๆ อีกส่วนหนึ่งคือพี่ฮั่นไว้ใจพี่ตุ่ย

มากกว่าใครในแก๊ง พี่ตุ่ยผิดพลาดอะไรก็ยอมออกหน้ารับให้"

"อือ... แล้วที่รำคาญเรื่องยืมตังค์ล่ะ รู้ได้ไง?"

"ความรำคาญมีต้นเหตุติดอยู่กับตัวมันเสมอค่ะ ถ้าเรารู้สึกถึงความรำคาญของใครได้จริงๆ นิมิตต้นเหตุความรำคาญของเขาก็ปรากฏต่อใจเราได้ อย่างเช่น รำคาญยุงกวนก็เห็นเหมือนมีอะไรเล็กๆวี้ๆให้สะบัดมือปัด รำคาญคนปากมากก็เห็นเหมือนมีเสียงพ่นกรอกหู รำคาญคนชอบไถเงินก็เห็นเหมือนมีคนเข้ามาแบมือขอ"

ตุ่ยทำเสียงขุ่น

"แต่ฉันไม่เคยแบมือนะ ขยับปากอย่างเดียว"

"นิมิตทางใจเป็นแค่สัญลักษณ์ อาการจริงๆ ของเจ้าตัวไม่จำเป็นต้องเหมือนนิมิตหรอกค่ะพี่ตุ่ย แต่ลองคิดดูนะ ถึงพี่ตุ่ยจะไม่ได้แบมือ ใจมันก็แบอยู่ไง"

ทั้งฮั่นและตุ่ยอึ้งงันอย่างชักสนใจ หลังจากเงียบเป็นนาน ตุ่ยจึงค่อยโพล่งอย่างนึกอะไรบางอย่างออก

"นี่เธอใช่คนที่เคยทำนายแผ่นดินไหวหรือเปล่า?"

"ใช่!"

มะแมรับตรงๆ และคราวนี้ฮั่นกับตุ่ยก็ต้องเป็นฝ่ายเกร็งเนื้อเกร็งตัวบ้าง เมื่อทราบว่าขึ้นรถมากับใคร สองทรชนหันสบตากันเองอีกครั้ง สื่อความหมายรู้กันว่าเรื่องชักยังไงๆเสียแล้ว

"หมายความว่าเธอไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับตำรวจที่ชื่อวิชัย แต่ก็จะช่วยเหลือ เพียงเพราะขับรถสวนกันแล้วรู้ว่าหมอนั่นกำลังเดือดร้อนงั้นหรือ?"

ฮั่นซัก

"เขาไม่ใช่แค่คนแปลกหน้า สัมผัสในวูบเดียวของมะแมเหมือนบอกว่าที่เขาต้องเข้าตาจนขนาดนี้ ก็ด้วยเพราะน้ำใจเสียสละสวัสดิภาพของ

ตัวเอง มาปกป้องสวัสดิภาพของประชาชนอย่างมะแม ดังนั้น เขาจึงมีความเกี่ยวข้อง คล้ายมะแมติดหนี้บุญคุณเขาอยู่"

สำเนียงตื้นตันใจลึกซึ้ง สะกดฮั่นกับตุ่ยให้สะอึกไปเป็นครู่

"แล้วสารวัตรกฤษฎาล่ะมาเกี่ยวอะไรด้วย?

รายนั้นน่ะคุมทั้งย่านนี้เลยนะ"

"เขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งของมะแม" หล่อนรีบอธิบาย

"มะแมแค่นึกถึงเขาได้อยู่คนเดียว เชื่อเถอะ เขาไม่มีส่วนรู้เห็นหรือไหว้วานใช้งานมะแมเลย"

"ยังไงเธอกับยายนกหวีดนี่ก็เป็นตัวแสบของงานนี้ไปแล้ว เดี๋ยวสารวัตกฤษฎาก็ต้องควานหาตัวเธอให้ควั่ก"

นั่นคือการพูดเป็นนัยว่าโอกาสรอดของพวกหล่อนคงต่ำ ซึ่งมะแมก็คิดๆอย่างปลงตกอยู่ก่อน หล่อนกำลังพยายามเอาตัวรอดแบบไม่หวังรอด แค่อยากได้ชื่อว่าพยายามแล้วเท่านั้น

"เมื่อกี๊พี่ตุ่ยพูดถึงน้องเมียพี่ฮั่น มะแมขออนุญาตคุยต่อหน่อยได้ไหม เพราะเสียงเหมือนเล่น แต่ใจน่าจะเอาจริง"

ฮั่นถึงกับหูผึ่ง แต่ก็บังคับเสียงไม่ให้ตื่นเต้น

"เอาซี! จะแนะอะไรก็ว่ามา"

"ความคิดของพี่ที่มีกับน้องเมีย มันครึ่งๆ

อยู่ระหว่างอยากห้ามใจกับอยากตามใจตัวเอง

อยากให้มะแมทำานายไหมว่ามันจะลงเอยยังไง?"

"ก็อยากอยู่!"

"ในที่สุดพี่ฮั่นจะสมหวัง ได้ทั้งพี่ ได้ทั้งน้องยกครัว!"

"ฮ้า!"

"มะแมตัดสินอย่างนี้เพราะเห็นปัจจัยผลักดันให้พี่ฮั่นพุ่งไปมากกว่าถอยกลับ ความรู้สึกทางเพศที่เกิดกับคนใกล้ตัว แถมต้องตาต้องใจ มันเหมือนน้ำเชี่ยวที่ต้านยาก โดยเฉพาะถ้าฝ่ายหญิงทำท่ามีใจให้เรา ก็ยิ่งเหมือนเราพุ่งเองไม่พอ ยังมีแรงช่วยฉุดอีกต่างหาก"

"อือ..."

"ทุกวันนี้มีเบรกอยู่ตัวเดียว คือพี่ฮั่นรักเมียมาก สงสาร แล้วก็ไม่อยากให้เสียใจ ถ้ามีอะไรกับผู้หญิงนอกบ้านคงไม่ว่า แต่ถ้ากับน้องสาวร่วมบ้านที่ตัวเองรัก..."

มะแมทอดเสียงละไว้แบบเป็นที่เข้าใจ ฮั่นซึมไปหน่อยหนึ่ง ฝืนถามว่า

"อาการรักเมียมาก ไม่อยากให้เสียใจนี่หน้าตาเป็นยังไง เธอดูออกได้ยังไง?"

"เวลาคนเรารู้สึกผิดตอนคิดจะทำบาป จะเหมือนมีแรงเสียดทานอยู่ในอก คนเราไม่ทำบาปกันมั่วก็เพราะแรงเสียดทานตัวนี้แหละ และที่มะแมรู้ว่าพี่ฮั่นรักเมียมาก ก็เพราะมีอาการนึกถึงหัวอกเขา มีความเห็นใจ และมีความอยากรักษาน้ำใจ อยากให้เขานับถือ ไม่อยากให้เขาชิงชัง ให้เดานะ คงเพราะเขาทำอะไรให้พี่ฮั่นมามาก กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ทอดทิ้งกันมานาน แม้ในเวลาที่พี่ฮั่นลำบาก ถึงมีโอกาสเขาก็ไม่หนีไปไหน"

ฮั่นเกือบกลืนน้ำลายไม่ลง การโดนแทงใจตรงจุดอย่างต่อเนื่องมีผลให้จุกเสียดตีบตันมาถึงคอหอย แถมมะแมใช้น้ำเสียงทอดอ่อนแบบตัดพ้อแทนลูกผู้หญิงด้วยกัน กระทบโสตแล้วสะเทือนถึงใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกผิดชนิดปวดแสบปวดร้อน เรียกความทรงจำด้านดีของเมียรักผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ระลึกได้กระทั่งว่าที่ยอมเข้าแก๊งชั่วนี่ก็เพราะอยากให้เธออยู่ดีกินดีกว่าเดิมนั่นแหละ

"เขาเป็นคนดี..."

สุ้มเสียงของฮั่นแผ่วมาก

"เธอไม่รู้ด้วยซ้ำใช่ไหมคะว่าพี่ฮั่นมาอยู่กับแก๊งแบบนี้ พี่คงโกหกว่าได้งานดีอะไรสักอย่างถึงมีเงินมีทองมากขึ้น"

"อือ..."

"ให้มะแมทายต่อนะคะ น้องเมียพี่เพิ่งโตเป็นสาวรุ่นขึ้นมา แต่ก่อนไม่รู้สึกอะไรเพราะยังเด็กอยู่"

คำตอบคือความเงียบ ซึ่งแปลว่าใช่ และหลังจากทวนภาพอดีตให้เกิดความยอมรับ มะแมก็กระทุ้งฮั่นด้วยภาพอนาคตที่ชวนหดหู่เข้าไปอีก

"ข่าวดีคือต่อไปพี่ฮั่นจะมีเมียที่เคยกัดฟันทนทุกข์มาด้วยกันคนหนึ่ง แล้วก็มีเมียเด็กที่ทำความกระชุ่มกระชวยให้อีกคนหนึ่ง แต่ข่าวร้ายคือความสุขในระยะสั้นของพี่ฮั่น จะเป็นแผลสดในระยะยาวของผู้หญิงสองคน หนักกว่านั้นคือ พี่ฮั่นกับเมียเก่าจะไม่ตายจากกันด้วยความรัก แถมพี่ฮั่นจะตกอยู่ในสภาพเหมือนตายทั้งเป็นกับความเอาแต่ใจของเมียใหม่"

ตุ่ยชักผิดสังเกต เห็นฮั่นทำหน้าเศร้ายาวก็แซวขำๆแบบจะปลุกอารมณ์ว่า

"อ๊ะ! เปลี่ยนใจหรือชั่งใจอยู่เนี่ย?"

นึกว่าฮั่นจะกลับคึกคักทะลึ่งตึงตัง ช่วยเขารุมเหยื่อสาวคนสวยกันอีกรอบ แต่กลายเป็นฝ่ายนั้นยังคงซึมยาวไม่พูดไม่จาอยู่นั่นเอง เยี่ยงคนจมอยู่กับอารมณ์หนักอึ้งจริงๆ ตุ่ยจึงฮึดด้วยความอยากลองของบ้าง

"บอกได้ไหมเมื่อไหร่ฉันจะรวยซะที?"

ความคึกของตุ่ยชำแรกบรรยากาศเซื่องซึมได้ คล้ายอำนาจการควบคุมจะกลับมาอยู่กับคนนั่งหลังอีกครั้ง แต่นาทีนี้มะแมใจชื้นแล้ว ไม่รู้สึกด้อยกว่าอีกแล้ว จึงโต้ตอบสบายๆเหมือนคุยเล่นกับคนกันเอง

"รวยยังไงคะ หมายถึงมีสักสิบล้านหรือเปล่า?"

"สิบล้านสมัยนี้แค่ซื้อรถให้ตัวเองกับเมียน้อยก็เกลี้ยงฉาด เอาร้อยล้านเลยดีกว่า บอกซิชาตินี้ฉันจะมีกับเขาได้ไหม?"

ตุ่ยพ่นส่งเดช เห็นเป็นเล่นมากกว่าจริงจังแค่อยากดูว่ามะแมจะกล่อมเขาท่าไหน

แต่กระแสจิตคิดเพ้อเจ้อของตุ่ยนั่นเอง ได้ก่อมโนภาพชัดเจนสว่างวาบขึ้นมาในใจมะแม เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่สว่าง แจ่มกระจ่าง และให้ความรู้สึกเชื่อมั่นว่าเห็นจริงเท่ากับหรือเผลอๆยิ่งกว่าดูด้วยตาเปล่าเสียอีก

หล่อนเห็นภาพเด็กนักเรียนชายหัวเกรียนถูกล้อเลียน แล้วเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นพยายามเข้าทำงานตลกคาเฟ่ แล้วเห็นหนุ่มวัยสามสิบถูกไล่กระทืบหลังหมดตัวจากบ่อน แล้วเห็นหนุ่มตกอับเข้าหาเจ้าพ่อเพื่อเป็นหลักคุ้มกะลาหัว และที่สุดคือเห็นตุ่ยแบบที่เป็นอยู่ ชอบวิจารณ์เรื่องเล็กเรื่องน้อยไม่เลิก แม้กระทั่งเข้าไปกินข้าวที่ไหน ก็มักสอดส่องรายละเอียดเล็กน้อยหยุมหยิม ทั้งรสชาติและการตกแต่งร้าน

นั่นคือการย่อชีวิตทั้งหมดของตุ่ยลงมาเหลือเป็นนิมิตไม่กี่ภาพ รอยยิ้มชนิดหนึ่งจุดขึ้นในใบหน้ามน สาวพลังจิตรู้ทันทีว่าจะพูดอะไร

"พี่ตุ่ยมีเป็นร้อยล้านได้ค่ะ สาบานว่าไม่ได้พูดเล่น แต่เพราะเห็นความเป็นไปได้จริงๆ!"

กระแสของการเงี่ยหูอย่างแรงเกิดขึ้นให้มะแมสัมผัส ไม่เฉพาะตุ่ย ทั้งฮั่นและแม้แต่หยิม ซึ่งเงียบมาตลอดก็สนใจใคร่ฟังด้วย

"มันจะเป็นไปได้ยังไง?"

ตุ่ยถามอย่างไม่เชื่อ แต่ขณะเดียวกันก็เลิกเห็นมะแมเป็นแค่วัตถุทางเพศในบัดนั้น

"เป็นไปได้ด้วยความเชื่อของพี่ตุ่ยเอง พี่ตุ่ย ต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาใหม่ให้ได้ก่อน"

"ฉันก็เชื่อมั่นในตัวของฉันเองมาตลอด จะต้องรื้อฟื้นทำไมกัน?"

"งั้นมะแมทบทวนให้นะคะ ตั้งแต่เด็กๆพี่ตุ่ย รู้สึกว่าตัวเองฉลาดและคิดได้มากกว่ารุ่นเดียวกัน แต่ทั้งเพื่อนและครูต่างก็ชอบล้อเลียน เหมือนเห็นพี่ตุ่ยเป็นตัวตลกอยู่ตลอด เวลาออกความเห็นหรือแม้แต่คิดริเริ่มอะไรจริงจัง ทุกคนก็มองเป็นเรื่องเล่น ไม่เชื่อถือ ไม่ช่วยกันพิจารณาไอเดียของพี่ตุ่ยเลย และตั้งแต่ช่วงเด็กนั่นเอง ความฉลาดของพี่ตุ่ยก็ถูกเก็บซ่อนไว้ ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อ พี่ตุ่ยก็ไม่เชื่อไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน"

สีหน้าของตุ่ยเย็นชา อ่านยากด้วยตาเปล่า

"เหลวไหล! ที่เธอพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะ ไม่ใช่เลย!"

"ขอโทษนะคะที่เดาผิด งั้นคงไม่ต้องพูดต่อกันล่ะว่าถ้าอยากรวยร้อยล้านให้ได้จริง พี่ตุ่ยจะต้องทำยังไง"

ตุ่ยเผลอขยับตัวทำเสียงแข็ง

"ก็พูดต่อไปซิ ฉันชักติดใจชอบฟังเธอโม้แล้ว เดี๋ยวอาจจะบอกวิธีอึออกมาเป็นทองก็ได้"

มะแมซ่อนยิ้ม แกล้งทำเป็นนิ่งไม่พูด กระทั่งตุ่ยกระสับกระส่าย และที่สุดก็ขยับท่าขยับทางฮึดฮัด

"อย่าลูกไม้ลีลาแกล้งทำเป็นเฉยเลยน่า บอกมาสิว่าต้องทำยังไง"

"ถ้าจะให้มะแมบอก พี่ตุ่ยก็ต้องยอมรับก่อนว่าเมื่อกี๊มะแมทายถูก เรื่องตอนเด็กๆของพี่ตุ่ยน่ะ"

"บ๊ะ! มันสำคัญด้วยเหรอะ?"

"สำคัญสิคะ มะแมจำเป็นต้องมั่นใจก่อนว่าช่วยรื้อถอนอุปสรรคให้พี่ตุ่ยได้เป็นเปลาะๆอย่างถูกต้อง นี่กะแค่ต้นทางชีวิตของพี่ตุ่ยมะแมยังอ่านผิด แล้วที่เหลือจะน่าเชื่อได้ยังไง"

ตุ่ยเอนหลังทำหน้าหงาย ก่อนดึงตัวกลับมายอมรับแบบหัวเสีย

"เออ! นั่นแหละ เมื่อกี๊เอ็งพูดถูกหมดเลยอีน้อง ปัดโธ่! ทำาเป็นบังคับให้ยอมรับเหมือนเด็กๆไปได้"

"ที่ผ่านมาพี่ตุ่ยใช้วิธีซื้อหวยรอรวยอย่างเดียว ซึ่งก็เคยมีครั้งสองครั้งที่ถูกจังๆ เหมือนจะรวยขึ้นทันตา แต่พี่ตุ่ยก็เอาไปลงกับผู้หญิง เหล้า

และการพนันจนหมด"

"เรื่องแบบนี้ดูหน้าเอาก็รู้ ไม่ต้องมาสอนหรอก ขอเนื้อๆได้ไหม วิธีรวยร้อยล้านน่ะ?"

"ถ้าพี่ตุ่ยทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่มะแมอีก มะแมจะไม่พูดด้วยแล้วนะคะ"

ตุ่ยอ้าปากค้างแบบเขยื้อนกรามไม่ถูก รู้สึกว่าควรจะโมโห แต่กลับเป็นหัวเราะหึหึและโกรธไม่ลง ชักกลัวใจผู้หญิงคนนี้ตงิดๆ รู้ทั้งรู้ว่าหล่อนใช้เสน่ห์ผูกมิตรสร้างความเป็นกันเอง ทำให้เขาเกรงใจราวกับสนิทมาแต่ปางไหน ทว่าก็อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ หลงเข้าทางหล่อนหมด

"เอาเถอะแม่คุณ ข้าเจ้าขอยอมฟังแต่โดยดีพูดมาเลย เผยให้หมดนะ ต่อไปจะไม่ขัดคุณน้องแล้ว"

"ไอเดียของพี่ตุ่ยตอนมีเงิน คือการรวยลัดด้วยวิธีใช้เงินต่อเงินในบ่อน ความฉลาดของพี่ตุ่ยเลยจำกัดอยู่แค่เอายังไงให้เร็ว โกงยังไงให้สำเร็จ แท้จริงมันไม่ใช่เส้นทางการใช้ความฉลาดแบบพี่ตุ่ยเลย"

ตุ่ยทนฟังนิ่งๆ บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่า มะแมอาจให้คำแนะนำเขาได้จริงๆ

"แล้วความพยายามเข้าคณะตลกคาเฟ่ก็ไม่ใช่เส้นทางใช้ความฉลาดของพี่ตุ่ยด้วยนะ เพราะนั่นจะยิ่งตอกย้ำให้พี่ตุ่ยรู้สึกว่าทั้งโลกดูถูกและหัวเราะเยาะพี่ตุ่ยไม่เลิก พี่ตุ่ยต้องฟื้นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กขึ้นมาให้ได้ก่อน นั่นคือพี่ตุ่ยฉลาดกว่าใครๆ ไม่อยากยอมเป็นที่สองรองใคร อย่าว่าแต่จะให้อยู่เกือบที่โหล่เหมือนทุกวันนี้"

ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะแทงใจตุ่ยจังๆเป็นครั้งแรก มะแมสัมผัสถึงการระงับความกระวนกระวายลงแบบปัจจุบันทันด่วน และเปลี่ยนเป็นอาการสลดซึมไปแทน

"ทุกวันนี้พี่ตุ่ยเหมือนมีสองคนข้างในที่ค้านกัน คนหนึ่งบอกว่าอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่ผิดที่ผิดทาง แต่อีกคนหนึ่งแอบกระซิบเบาๆตลอดเวลาว่าทุกวันนี้ถึงไม่รู้สึกผิด ก็ไม่ได้แปลว่ารู้สึกดีกับตัวเอง"

นั่นเป็นการลักไก่เล็กๆ มะแมแทรกความคิดที่ตุ่ยไม่อาจแน่ใจว่าเป็นความคิดเดิมของตน หรือเป็นความคิดที่เพิ่งรับมาสดๆร้อนๆกันแน่

"เมื่อไม่รู้สึกดีกับตัวเองถึงที่สุด การนับถือความคิดของตัวเองก็ไม่เกิดขึ้น สิ่งที่พี่ตุ่ยปล่อยให้เกิดมาตลอดจึงเป็นการยอมความคิดที่ไม่เคยใช่ตัวตนของพี่เองเลย"

"แล้วความคิดแบบไหนล่ะ ที่ใช่?"

"พี่ตุ่ยมีความสนใจที่แอบซ่อนอยู่อย่างหนึ่งแต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับมัน อันนี้พี่ฮั่นช่วยเป็นพยานให้มะแมได้"

ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว โจรทั้งสองตั้งหน้าฟัง จ้องมะแมเขม็งอย่างอยากรู้ว่าจะพูดอะไร

"ตอนไปนั่งกินข้าว โดยเฉพาะร้านหมูกระทะหรือร้านบุพเฟ่ต์ไหนๆ พี่ตุ่ยชอบบ่น ชอบวิจารณ์ บางทีถึงขั้นไปยืนแสดงความเห็นกับเด็กในร้านยาวๆ ฝากถึงเจ้าของร้านอย่างนั้นอย่างนี้ทีเดียว จริงไหม?"

"จริง!"

ฮั่นซึ่งเงียบฟังเฉยๆมาพักหนึ่งเป็นฝ่ายหลุดปากตอบให้ แทนเจ้าตัวที่นิ่งขึงเหมือนถูกแช่แข็ง และพอฝ่ายตรงข้ามยอมรับ มะแมจึงค่อยสานต่อ

"คนเรายอมเสียเวลา หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องไหนมากๆ แปลว่าจะเก่งจริงในเรื่องนั้น ทันทีที่ลงมือทำเป็นอาชีพ!"

ตุ่ยขมวดคิ้ว ทบทวนตัวเองแล้วเห็นจริงตามนั้น เขาเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับอาหารมาตลอด สามารถบันดาลจานเด็ดขึ้นมาได้จากส่วนประกอบอาหารที่มีเพียงจำกัด คนอื่นมีทั้งเครื่องปรุงกับอุปกรณ์ได้เปรียบหลายขุม ยังทำออกมาอร่อยสู้ไม่ได้ เอาแค่ไข่เจียวธรรมดานี่แหละ

"ถ้าใครเป็นได้ทั้งกุ๊กตัวยง และเป็นได้ทั้งลูกค้าเรื่องมากในคนเดียว นั่นแหละคือเชื้อไขสำคัญของเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง"

ชายสองคน นั่งฟังผู้หญิงคนหนึ่งอบรมเรื่องหลักการตั้งเนื้อตั้งตัวด้วยความตั้งอกตั้งใจ ชนิดที่ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตเทียบเท่า

"รู้ไหมคะว่ารายได้ เฉพาะกำไรสุทธิของร้านหมูกระทะใหญ่ๆ วันหนึ่งเท่าไหร่? ตัวเลขหกหลักค่ะ! เจ้าของร้านบางรายเก็งถูกทั้งทำเลที่ตั้ง ทั้งรายการอาหาร ทั้งรสชาติ แล้วก็ฝึกเด็กเป็นเลี้ยงเด็กเป็น บริการลูกค้าได้น่าพอใจ เท่าที่มะแมรู้ หลังจากเขาเปิดหลายสาขาทั้งในและนอกกรุงเทพฯ ชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึง ๕ ปี ปัจจุบันเขารวยพอจะ 'ช่วย' ซื้อกิจการเจ้านายเก่าที่เขาเคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เท่ดีไหมล่ะ?"

"อือ..."

ตุ่ยครางแผ่วอยู่ในลำคอ แต่รู้สึกเหมือนตัวตนหนึ่งซึ่งแข็งแรง ได้คืบคลานออกมาจากเงามืด ค่อยๆเปิดเผยความกล้าหาญในเขตสว่างขึ้นทุกที

"แก๊งของพี่ตุ่ยในวันนี้ กำลังมีเรื่องกับตำรวจ พอมะแมเห็นบ้านที่พวกพี่ใช้เป็นรังในซอยลาซาล รู้ไหม สิ่งแรกที่ปรากฏในใจมะแมคือ อะไร? มันคือภาพการฆ่าฟันกันไป ฆ่าฟันกันมา วันนี้พี่ฆ่าเขา วันหน้าเขาก็พยายามมาฆ่าพี่คืน พลาดวันไหน พี่จะตาไม่หลับด้วยความสงสัยไม่เลิก ว่าชาตินี้เอาดีได้แค่เป็นโจรที่ถูกตำรวจยิงตายจริงๆหรือ?"

มะแมเค้นน้ำเสียงแข็งขึ้นอย่างมีอำนาจแบบนาย กดความรู้สึกตุ่ยให้อ่อนเปียกเหมือนกำลังรับฟังข้อหาที่ไปทำผิดมา ชั่วขณะนั้นตุ่ยสงสารตัวเอง นึกด่าตัวเองที่ดักดานอยู่กับเส้นทางของความมักง่าย ทิ้งเวลาแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัวไปเป็นสิบๆปีได้อย่างไร

"คราวนี้ฟังคำทำนายนะคะ ด้วยเงินเก็บของพี่ฮั่น และด้วยไอเดียของพี่ตุ่ย พี่ทั้งสองคนเปลี่ยนชื่อแซ่ แอบไปเปิดร้านหมูกระทะเล็กๆที่จังหวัดไหนก็ได้ เอาแบบไกลๆ อย่าให้ใครตามเจอ ร่วมมือร่วมใจ เอาข้อดีที่อีกคนไม่มีมาช่วยกัน หกเดือนแรกพวกพี่จะได้ทุนคืนและขยับขยายร้านได้ หนี่งปีต่อมาพี่จะมีร้านเพิ่มได้สองหรือสามสาขา ในปีที่ห้าพี่ทั้งสองคนจะมีกิจการเกี่ยวกับร้านอาหารหลากหลาย มีชื่อเสียงติดปากคนไปทั่ว ถึงเวลานั้นจะรวยเป็นร้อยล้านโดยไม่ต้องทำผิดกฎหมายแม้แต่ข้อเดียว!"

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๕

เที่ยงคืนเศษ มะแมขับรถกลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ตลอดทางหล่อนกับหยิมไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว

ตุ่ยเป็นคนคิดแผน โดยให้หล่อนไปส่งตนกับฮั่นที่บ้านไร้คนหลังหนึ่ง ไม่ใช่ "รังแปด" ตามนัดเดิมกับพรรคพวก เพื่ออ้างในภายหลังว่ารู้สึกกลัดมันเต็มฟัด ทนไม่ไหว อยากปลุกปล้ำหล่อนกับหยิมกลางทาง จึงเข้ารังเล็กเพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของแก๊ง

จากนั้นเขากับฮั่นจะกินยานอนหลับชนิดแรง และออกอุบายนัดแนะคนในแก๊งมาพบตอนเช้า เป็นการจัดฉากว่าโดนหล่อนตลบหลัง ใช้ความสามารถของสาวแสบ วางยาแล้วริบเงินพวกเขาไปจนหมดกระเป๋า เป็นการแก้ลำที่ถูกจับตัวมาข่มขืน

สองนายบ่าวเข้าบ้าน กลับเข้าสู่สภาพชีวิตปกติ หลังจากก้าวผ่านฝันร้ายมาได้โดยสวัสดิภาพ มะแมลงนั่งบนโซฟารับแขก หยิมเดินไปรินน้ำจากตู้เย็นมาให้อย่างรู้หน้าที่ แล้วอ้อมไปบีบไหล่ นวดศีรษะให้นายสาวด้วยกิริยาภักดี

สาวพลังจิตผู้ปราบโจรร้ายด้วยคำพูด ดื่มน้ำจากแก้วจนหมดแล้วปิดเปลือกตาลง รับสัมผัสบีบนวดจากลูกจ้างด้วยความผ่อนคลาย แต่พอเกือบหลับก็ได้ยินคนนวดเปรย

"หยิมนึกว่าไม่รอดแล้ว"

"อือ... ทีแรกพี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน"

หล่อนพึมพำตอบ

"พี่มะแมของหยิมนี่ยอดหญิงจริงๆ"

ประกายตาทอแววชื่นชมขณะทอดมอง

"คำพูดดีๆ นี่ทำงานได้ยิ่งกว่ากระสุนตำรวจอีกนะคะ"

"เราสองคนโชคดีด้วย ที่เจอโจรที่ยังเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่โจรที่กลายเป็นสัตว์ร้ายไปแล้ว"

"หยิมว่าสองคนนี่ก็เหี้ยมนะคะ น่าจะทำเรื่องเลวๆมาเยอะเชียวล่ะ...ว่าแต่เสียดายโทรศัพท์จัง เบอร์สำคัญๆของพี่มะแมหายหมด"

"อ๋อ... อันนั้นไม่เท่าไหร่หรอก พี่เก็บฐานข้อมูลไว้ในคอมพ์ พรุ่งนี้ซื้อโทรศัพท์ใหม่มาซิงก์ก็สิ้นเรื่อง"

หยิมไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีนัก ได้แต่เป็นคนป้อนข้อมูลเก็บ แต่ไม่เคยทราบว่ามันถ่ายเข้าโทรศัพท์ใหม่ได้

"เหรอคะ งั้นก็โล่งไป"

มะแมยกมือขึ้นจับมือเด็กสาว ซึ่งกำลังบีบนวดไหล่ตนอย่างขมีขมัน

"หยิม"

"คะ?"

"มานั่งคุยกันหน่อย"

เมื่อเด็กสาวเดินอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้าม มะแมก็เปิดเปลือกตาขึ้นมองด้วยแววทอดอ่อน

"เที่ยงของพรุ่งนี้พี่จะไปกดเงินมาให้หยิมก้อนหนึ่ง หยิมกลับไปตั้งหลักที่บ้านต่างจังหวัดได้เลย"

หยิมทำหน้าตกใจ

"ทำไมล่ะคะ พี่มะแมจะเลิกดูหมอหรือ?"

มะแมส่ายหน้า

"พี่ยังอยู่นี่แหละ แต่ไม่อยากให้หยิมต้องมาเสี่ยงด้วย"

หยิมขมวดคิ้วนิ่วหน้า

"เสี่ยงอะไรคะ?"

"พี่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับโจรที่อยู่ซอยเดียวกัน ความคิดแบบโจรไว้ใจไม่ได้ ข้ามวันก็อาจกลับลำ ไม่ประมาทไว้จะดีกว่า นับแต่นี้ชีวิตพี่อาจไม่ปลอดภัย เลยอยากให้หยิมขนของกลับต่างจังหวัดไปเสีย หยิมเองเคยบอกไว้นานแล้วไม่ใช่หรือว่าอยากเปิดร้านเสริมสวยที่บ้านเดิม"

"ใครบอกคะ หนูเปลี่ยนใจมานานแล้ว"

น้ำเสียงธรรมดา แต่แววตาบ่งบอกความหมายตามที่พูดเป็นประกายแรงกล้า

"หนูจะอยู่รับใช้พี่มะแมตลอดไปต่างหาก แล้วถ้าใครมันคิดเอาชีวิตพี่ ก็สาบานเลยว่าหนูจะยอมตายก่อน!"

เช้าวันใหม่แสนสดใส มะแมนึกว่าตัวเองจะหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจตื่นขึ้นมาทำงานเสียอีก แต่ตรงข้าม เช้านั้นหล่อนทำสมาธิได้ดีเยี่ยม รู้สึกสดชื่นตื่นเต็ม และเชื่อมั่นในตนเองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

เห็นจากประสบการณ์ตรงอย่างแจ่มชัด ถ้าเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีไม่ได้ เรื่องร้ายๆจะเปลี่ยนคนให้ค่อยๆร้ายตามมัน แต่ตรงข้าม หากเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ทุกเรื่อง คนๆ

หนึ่งจะเข้าใจว่า "มองโลกในแง่ดี" นั้น อาจเป็นจริงตลอดทั้งชีวิตได้อย่างไร

เพิ่งประสบเรื่องร้ายแรงขั้นคอขาดบาดตาย แต่กลับรู้สึกเหมือนจบปริญญาใบใหม่ และหล่อน

ก็จะเลือกฉลองรับปริญญาอันทรงเกียรตินั้นด้วยการทำงานช่วยคนตามปกตินี่เอง!

ไม่มีการยกเลิกนัด ไม่มีการปรับเปลี่ยนตารางเวลาใดๆ มะแมใช้ให้หยิมออกไปจัดการเรื่องแจ้งโทรศัพท์หายในช่วงเช้า โดยตัวเองทำหน้าที่จัดคิวและต้อนรับลูกค้าแทน

ขณะทำงาน พอเล็งดูลูกค้าก็รู้เห็นทุกสิ่งคมชัด แม่นยำ และเต็มไปด้วยรายละเอียด เปรียบไปคงประมาณเดียวกับนักกีฬาขณะเล่นได้ดีที่สุด อะไรๆก็ดีไปหมด ถูกไปหมด ชนะไปหมด

หยิมกลับมาถึงก่อนเที่ยง เอาก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยมาฝากเป็นมื้อกลางวัน

"เอ้อ! ดีจริง เหมือนรู้ใจเลยนะ กำลังอยากกินหมี่แห้งอยู่พอดี... เรื่องโทรศัพท์เรียบร้อย

ไหม?"

"เรียบร้อยค่ะ ตอนนี้ของพี่มะแมก็โทร.เข้าออกได้แล้ว" แล้วหยิมก็ยื่นอะไรอย่างหนึ่งให้

"จดหมายค่ะพี่"

มะแมชะงักนิ่งเหมือนถูกไฟดูด และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่หยิมเริ่มเอะใจสงสัย

"จดหมายนี่มาจากใครหรือคะพี่ มาได้ทุกวัน พี่มะแมถูกใครว่าร้ายหรือข่มขู่รึเปล่า?"

หญิงสาวชั่งใจอยู่นาน ก่อนยกมือเสยผมสั่งเด็กสาวด้วยเสียงอ่อนโรยว่า

"ฝากเอาไปทิ้งถังขยะให้ทีนะหยิม"

"ได้ค่ะพี่"

หยิมปฏิบัติตามโดยไม่ซักไซ้ยืดเยื้อ แค่แน่ใจว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลในจดหมาย ทำความระคายให้เจ้านายเกินจะรับ และหล่อนก็มีหน้าที่กำจัดทุกความระคายให้นายตน โดยเลือกเดินออกนอกห้องมาทิ้งไกลๆให้พ้นหูพ้นตาด้วย

มะแมปิดตาลง นั่งทำความรู้สึกถึงลมหายใจที่ลากยาวแช่มช้า ครู่หนึ่งพอหายฟุ้งซ่าน สบายใจขึ้น ก็ลุกขึ้นมานั่งรับประทานอาหารกลางวันตามปกติ สั่งตนเองอย่างเด็ดขาดว่าอย่าสนใจจดหมายอีก แม้เชื่อแล้วว่า "คำทำนาย" ในจดหมายเป็นของจริง ไม่ใช่เรื่องหลอก ไม่ใช่การเล่นตลก แต่ขณะเดียวกันประสบการณ์ตรงก็บอกอยู่ ว่าถึงรู้อนาคตไปไม่ใช่จะช่วยให้อะไรดีขึ้น รังแต่จะกระทบใจให้กังวลล่วงหน้าเปล่าๆ

หล่อนแค่ใช้ความสามารถ ใช้ปฏิภาณ ใช้ญาณสัมผัส เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พยายามเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีด้วยตนเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาช่วยอีก

ตรวจสอบและถ่ายฐานข้อมูลเข้าโทรศัพท์เครื่องใหม่ แล้วนึกได้ว่าควรโทร.หาสารวัตรกฤษฎาเสียหน่อย เมื่อคืนหล่อนคงทำให้เขาห่วงน่าดู พอโทร.ติดก็ได้ยินฝ่ายนั้นโหวกเหวก ซักถามหล่อนด้วยเสียงห่วงใยยิ่ง เขางงมากว่าเกิดอะไรขึ้น มาดูที่บ้านก็ไม่พบร่องรอยใดๆ มะแมได้

แต่รายงานว่าเมื่อคืนเกิดเหตุร้ายบางอย่างต่อหน้าต่อตา แต่หล่อนก็จัดการไปด้วยตนเองแล้ว

ขอโทษที่โทร.รบกวนและทำให้ตกใจ

ตกบ่ายมะแมทำงานต่ออย่างปลอดโปร่งวันนี้มีแต่ลูกค้าน่ารัก ราวกับเรียงหน้ากันมาร่วม ฉลองปริญญาใบใหม่ให้กับหล่อนฉะนั้น

แต่แปลกที่เวลายิ่งผ่านไป ใจกลับยิ่งเป็นกังวล บอกไม่ถูกว่ากังวลอะไรหรือนึกห่วงใคร ทราบแต่เกิดคลื่นรบกวนกระทบจิต และคลื่นรบกวนนั้นก็ไม่จางหายไป แถมทวีความแรงขึ้นตามลำดับด้วย

มะแมไม่ใจดีต่อเวลาให้ลูกค้ารายสุดท้าย แม้เขาจะทำท่าอิดออดขอถามต่ออีกหน่อย หล่อน

รีบขอตัว บอกมีธุระต้องสะสาง และลุกขึ้นยิ้มสุภาพในท่าทีเชื้อเชิญให้กลับได้

พอลูกค้าซึ่งเป็นหนุ่มหน้าตี๋ออกจากห้องไป มะแมก็ลงนั่งสมาธิกับเก้าอี้ทำงานทันที ไม่ย้าย

ไปอีกห้องที่จัดไว้สำหรับเล่นโยคะและทำสมาธิโดยเฉพาะ

สำรวจจิต เห็นความกังวลยังปรากฏอยู่ แต่ไม่มีกำลังสติมากพอจะรู้ว่ากังวลเรื่องใด จึงหน่วงนึกถึงนิมิตวงกลมสีขาว เริ่มจากเห็นโยกโย้เลือนราง ค่อยๆชัดเด่นแจ่มใสขึ้นตามลำดับ กระทั่ง

เห็นเป็นเส้นคมกลมดิก มะแมจึงค่อยย้อนกลับมาพินิจร่องรอยความกังวลใหม่

ทันทีนั้น ความรู้สึกกังวลก็แปรเป็นนิมิตซองจดหมาย ซองจดหมายที่ปรากฏในห้วงมโนทวารคราวนี้ ให้ความรู้สึกเป็นของสำคัญที่ถูกหล่อนละเลยไป

พอสัมผัสได้ถึงความสำคัญ มะแมก็พยายามจ้องมองนิมิตจดหมาย โดยทำความรู้สึกเข้าไปในเรื่องราวที่แฝงอยู่ แต่คล้ายมีกำแพงขุ่นมัวขวางกั้น ไม่ให้จิตแตะเข้าไปถึง "ความลับ"

ข้างในได้ จึงทราบว่าญาณสัมผัสของตนมีกำลังไม่พอ อย่างมากก็แค่รู้ว่า "สำคัญ" และต้องเปิด

อ่านเอาเองด้วยตาเปล่าเท่านั้น

ลากลมหายใจเข้ายาว ผ่อนลมหายใจออกยาว เปิดเปลือกตาลุกจากที่นั่งด้วยราศีสงบเยี่ยงคนเพิ่งถอนจากสมาธิ มะแมเดินไล่หาถังผงทีละถัง เพื่อค้นดูว่าหยิมนำาจดหมายไปทิ้งไว้ในถังใด

แต่เมื่อค้นคุ้ยทุกถังในบ้านก็พบว่าว่างเปล่าทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าหยิมทิ้งลงถังใหญ่ไปแล้ว

มะแมจึงเดินต่อมาที่หน้าบ้านด้วยท่าทีร้อนรนขึ้น

เปิดฝาถังขยะหน้าบ้านแล้วใจหายที่เห็นว่าว่างอีก รถขยะคงมาเอาไปเรียบร้อย

ขณะเดินคอตกกลับเข้าบ้านด้วยความสิ้นหวังจะได้รู้ "เรื่องสำคัญ" ในจดหมาย มะแมก็ได้

ยินเสียงทักจากเบื้องหลัง

"หาจดหมายเหรอคะพี่มะแม?"

หยิมลงจากจักรยาน หล่อนเพิ่งไปซื้อกับข้าวที่ปากซอย เห็นแต่ไกลว่าเจ้านายก้มๆ เงยๆอยู่กับถังขยะหน้าบ้าน ก็เดาถูกว่าต้องการสิ่งใด พอมาถึงจึงถามไล่หลัง

"ใช่..."

มะแมหันมาตอบเนือยๆ

"รถขยะมาเอาไปแล้วใช่ไหม?"

"ค่ะ! มาเอาไปตั้งแต่สักบ่ายสองมั้ง"

มะแมรับฟังแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

"ช่างเถอะ"

"พี่มะแมต้องการรู้เนื้อความในจดหมายแล้วใช่ไหมคะ?"

หญิงสาวแปรสายตาจับลูกจ้างคนเก่งด้วยประกายมีความหวัง

"ใช่! หยิม! พี่ต้องการรู้แค่ว่าเขาเขียนอะไร"

"ถ้าทราบว่าหยิมแอบแกะอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนทนไม่ไหว พี่มะแมจะเฆี่ยน

หยิมไหมนี่?"

"ไม่เลยหยิม!"

มะแมละล่ำาละลัก แทบเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของคนช่างขยัก

"นอกจากจะไม่เฆี่ยนตีแล้ว พี่ยังต้องขอบคุณหยิมเป็นที่สุดด้วย!"

เด็กสาวผมสั้นอมยิ้มปลื้ม

"จดหมายเขียนว่า อย่าเสียใจ คนฆ่าตัวตายกันทุกวัน แต่ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้น ก็ลองช่วยคน

ที่ยังฆ่าตัวตายไม่สำเร็จเป็นการชดเชย ประมาณนี้นะคะ จำเป๊ะๆไม่ได้หรอก"

เมื่อพบว่าคำพูดของตนมีผลให้เจ้านาย ทำท่าคล้ายจะเป็นลม ก็รีบเสริมความเห็นส่วนตัว

เข้าไปทันที

"คนเขียนเป็นบ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ หนูว่าเพ้อเจ้อมาก"

มะแมฟังคำของหยิมไม่จบ พอรวบรวมสติได้ก็ถลันเข้าบ้าน ในอาการตะลีตะลานชนิดที่เด็ก

สาวไม่เคยเห็นมาก่อน อกร้อนเป็นไฟ เข้าถึงคอมพิวเตอร์ชั้นล่างซึ่งหยิมใช้กรอกเก็บข้อมูลลูกค้า มะแมค้นย้อนไปสองวันที่ผ่านมา เจาะจงสืบหาข้อมูลลูกค้าชื่อ "แจ๊บ" ซึ่งเทคโนโลยีก็ยื่นคำตอบให้โดยพลัน

สาวพลังจิตเอากระดาษปากกาใกล้มือมาจดเบอร์โทรศัพท์ของแจ๊บ แล้วผลุนผลันวิ่งขึ้นบันไดสู่ชั้นบนแบบก้าวทีละสองขั้น คล้ายบางสิ่งที่อยู่ชั้นบนไม่อาจรอเวลาสายได้แม้แต่ชั่วลมหายใจเฮือกเดียว

คว้ามือถือจากโต๊ะทำงาน กดเบอร์สาวแจ๊บอย่างเร่งด่วน ลนลานเหมือนไม่อยากหายใจ หายคอกันอีกต่อไป สัญญาณเรียกสายดังขึ้นในลำโพงจิ๋ว มะแมรอคอยการตอบรับด้วยดวงตาเบิ่งโต อกใจเต้นระทึกยิ่งกว่ารอผลตัดสินจำคุกของศาล ว่าโดนกี่ปี หรือจะไม่โดนเลย

"ฮัลโหล..."

เสียงอ่อยเอื่อยดังขึ้นที่ปลายสาย มะแมเหลือบตาขึ้นข้างบน สยายยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกคล้ายตายแล้วเกิดใหม่ ตอนนี้รู้แล้วว่าพวกเต็มใจวิ่งแก้บนรอบสนามฟุตบอลสิบรอบเป็นอย่างไร

"คุณแจ๊บหรือคะ สวัสดีค่ะ นี่มะแมนะคะ"

"อ้อ! คุณมะแม สวัสดี"

"คุณแจ๊บคะ มะแมอยากคุยกับคุณค่ะ ขอเวลาสักหน่อยได้ไหม จะให้มะแมไปหาที่ไหนก็ได้"

"แจ๊บก็อยากคุยกับคุณมะแมค่ะ แต่คุยกันทางนี้แหละ เพราะแจ๊บอยู่ไกลหน่อย"

"คุณแจ๊บอยู่ไหนคะ?"

"เชียงใหม่"

"ไปนั่งชมวิวคนเดียวหรือ?"

"ค่ะ ทำไมรู้ล่ะ... เอ้อ! ลืมไปว่าคุยอยู่กับใคร ไม่น่าถามเลย แจ๊บมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่น่ะค่ะ"

"ไปคนเดียวหรือคะ?"

"ค่ะ! คนเดียว... เสียดายเหมือนกันที่ไม่ใช่สองเหมือนครั้งก่อน..."

"ครั้งนี้คิดเสียว่ามะแมอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม?"

แจ๊บหัวเราะนิ่มๆ

"คุณมะแมนี่ใจดีจังนะ นึกยังไงถึงโทร.หาแจ๊บคะ?"

"มะแมอยากคุยเรื่องอนาคตของคุณแจ๊บ วันก่อนมะแมยังพูดไม่จบ คุณแจ๊บก็หนีออกมาก่อน"

"ขอโทษจริงๆค่ะ เวลาหน้ามืดแจ๊บควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย พอออกจากห้องคุณมะแมแล้วถึงนึกได้ว่ายังไม่จ่ายเงิน แย่จริงๆ"

"มะแมไม่ได้โทร.มาเรื่องนั้นค่ะ ไม่สนใจเลย แค่ย้อนกลับไปคิดถึงวันที่คุยกับคุณแจ๊บแล้ว...รู้สึกว่าอาจจะยังพูดไม่ดีที่สุดเท่าที่จะพูดได้"

"ไม่ดียังไงคะ กระชากแจ๊บออกจากฝันลมๆ แล้งๆ ตื่นขึ้นมาเจอความจริงได้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว"

"คุณแจ๊บคุยกับแฟนแล้วหรือ?"

"พอกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่แจ๊บทำคือพยายามโทร.หาพี่ปาย..."

แจ๊บเล่า

"โทร.เท่าไหร่เขาก็ไม่รับ เข้าเฟซบุ๊ครอนานแค่ไหนก็ไม่ออนไลน์ เลยต้องเขียนเมลนั่นแหละถึงจะยอมตอบกลับ"

มะแมระบายลมหายใจยาว

"คุณแจ๊บเขียนไปถามขอคำยืนยันตามที่มะแมเผยให้คุณรู้หรือคะ?"

"ค่ะ... แจ๊บถาม และเขาก็ตอบหมด ตรงกับที่คุณมะแมบอกทุกอย่าง แถมท้ายด้วยคำขอให้ถอยไปคนละก้าว... เขาขอเลิกกับแจ๊บค่ะคุณมะแม!"

ปลายเสียงนั้นร้าวรานจนมะแมเจ็บปวดตาม

"ถอยคนละก้าว ต่างกับเลิกกันให้ขาดนะคะ"

ปลอบทั้งรู้ว่าใจผู้ชายไม่เอาด้วยแน่ๆแล้ว

"พี่ปายมีคนใหม่แล้วใช่ไหมคะ?"

"ไม่รู้ค่ะ แต่ช่างเขาเถอะคุณแจ๊บ แค่รู้ไว้เถอะว่าคู่ของคุณกำลังจะมาถึงในไม่ช้า"

คนอกหักฟังแล้วนิ่งไปนาน ก่อนถามแบบทอดอาลัย

"คู่ของแจ๊บจะทำให้แจ๊บรักเขาได้เท่าพี่ปายหรือเปล่า?"

มะแมอึกอัก ไม่อยากฝืนตอบด้วยวิธีโกหก ในความรู้สึกของหล่อน คู่ที่จะอยู่ร่วมกันจริง เทียบไม่ได้เลยกับคนที่เพิ่งหักอกแจ๊บหมาดๆ ระดับนายปายนั้น ถ้าผ่านไปแล้วจะไม่ผ่านมาอีก เป็นอะไรที่มีได้ครั้งเดียวในชีวิตของแจ๊บจริงๆ แค่น่าเสียดายแทนแจ๊บที่รักษาเขาไว้ไม่ได้ แต่นักจิตวิทยาสาวก็หาคำพูดดีๆและตรงกับความจริงได้สำเร็จ

"ถึงคุณแจ๊บจะหลงเขาไม่เท่าคุณปาย แต่ก็จะรักเขาอย่างสบายใจ รวมทั้งเข้าใจวิธีรักษาความรักให้ยั่งยืนด้วย มันเป็นการยกชั้นขึ้นมาจากความลุ่มหลงนะ ดีกว่ากันเยอะ"

"คบกับพี่ปาย แจ๊บแน่ใจแล้วนะว่าแจ๊บรู้จักความรัก แล้วก็พยายามทำความเข้าใจวิธีรักษามันอยู่"

แจ๊บค้านแบบดื้อไม่เลิก มะแมกลั้นใจไปครู่ ถ้าโกหกเป็น หล่อนจะบอกว่าหล่อนเชื่อ หรือไม่ก็ทำเป็นชม ทำเป็นเชียร์ แต่แนวทางช่วยคนของหล่อนไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าฝืนเชียร์มั่วไปครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งหน้า แล้วติดเป็นนิสัย มะแมจึงไม่ยอมมีข้อยกเว้นให้ใครมาตลอด รวมทั้งแจ๊บในครั้งนี้ด้วย

"พยายามแค่ไหนก็พลาดได้ถ้ายังไม่พร้อมจริง คู่ของเราแท้ๆมักมาตอนเราพร้อมจะไม่พลาดแล้วนะคะ"

"บางความพลั้งพลาด แจ๊บลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่นึกว่ามันคือจุดแตกหัก จนกระทั่ง คุณมะแมบอกแจ๊บเมื่อวันก่อน และได้รับคำยืนยันจากพี่ปาย"

"พลาดอะไรหรือคะ?"

มะแมถามพลางนึกทวน

"พี่ปายสารภาพว่าตัดใจถอยจากแจ๊บ ตั้งแต่แจ๊บเมาแล้วด่าเขา แช่งเขา และลามปามถึงพ่อแม่เขา"

"อ๋อ!"

"พี่ปายรักพ่อแม่มาก เขาทนไม่ได้กับการลามปามถึงพวกท่าน แล้ว... แล้วตอนแจ๊บเมา แจ๊บพูดได้ยังไงไม่รู้ ประมาณว่าคอยดูนะ ถ้าทิ้งแจ๊บ แจ๊บจะฆ่าพ่อแม่เขา จะเผาบ้านเขาให้วอด โธ่เอ๊ย! คนอย่างแจ๊บเนี่ยนะจะทำอย่างนั้นได้ แจ๊บไม่ได้หมายความตามนั้นเลย ทำไมเขาถึงไม่ให้อภัย ทำไมไม่เข้าใจว่าแจ๊บเมา มันมีอะไรให้ต้องกลัวกันจริงๆเหรอ?"

มะแมอึ้ง คิดในใจว่าเขาไม่ได้กลัวคุณหรอก แต่กลัววิธีเมาของคุณนั่นแหละ!

"แล้วคุณแจ๊บจะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่คะ? จริงๆมะแมอยากคุยกับคุณแจ๊บแบบเห็นหน้ามากกว่า"

แจ๊บนิ่งไปนาน นานจนมะแมต้องถามย้ำ

"คุณแจ๊บคะ ยังฟังอยู่หรือเปล่า?"

"เมื่อสองสามเดือนก่อนตอนจองเวลามาคุยกับคุณมะแม แจ๊บอยากคุยเรื่องงานมากกว่านะ เรื่องพี่ปายไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่ เพราะนึกว่ารู้หมดแล้ว"

แจ๊บพูดแบบคนคิดอะไรสับไปสับมาหลายเรื่อง แต่มะแมก็รีบรับลูก

"แล้วทำไมถึงมาเน้นเรื่องคุณปายล่ะคะ?"

"เมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นวันเกิดแจ๊บ พี่ปายไม่สนใจเลย แค่ส่งรูปการ์ดให้ทางเน็ตกับคำอวยพรสั้นๆ มันทำให้รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนั่นแหละที่ทำให้แจ๊บอยากรู้ใจพี่ปายว่ายังอยู่กับแจ๊บหรือเปล่า"

"สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะคะคุณแจ๊บ"

มะแมปรุงเสียงให้สดใสชัดถ้อยชัดคำ หล่อนชำนาญการอวยพรให้คนฟังรู้สึกดี

"ไม่เห็นจะเป็นสุขเลยค่ะ ทำไมคนเราต้องกะเกณฑ์ให้เป็นสุขในวันเกิดกันนักก็ไม่รู้ มันก็แค่อีกวัน ที่เราอาจเจอเรื่องแย่ๆ ฝืนใจให้ร่าเริงไม่ไหว"

"ก็จริงนะคะ แต่ละวันเกิดของมะแม มะแมจะถามตัวเองว่า วันนี้ชีวิตบอกให้คิดอะไรบ้าง"

แจ๊บหัวเราะขรึม

"สำหรับแจ๊บ วันเกิดล่าสุดบอกให้แจ๊บคิดว่า ยิ่งผ่านวันเกิดมากขึ้นเท่าไร ใจเรายิ่งคุ้นกับวันตายมากขึ้นเท่านั้น!"

มะแมฟังแล้วขนลุก

"เอ่อ... แต่สำหรับมะแม วันเกิดที่ผ่านมาบอกให้มะแมคิดค่ะว่า วันเกิดที่ดีที่สุด คือวันธรรมดาที่เราใช้ชีวิตอย่างมีค่าที่สุด!"

"ชีวิตของคุณมะแมน่ะมีค่า แต่ชีวิตแจ๊บเนี่ย เฮ้อ! วันๆหมดไปให้กับความคิดมากท่าเดียวเลย"

"เคล็ดลับความเข้าใจมีอยู่นิดเดียวค่ะคุณแจ๊บ ที่คิดมากเพราะไม่ได้คิด แต่ไปติดอยู่กับอารมณ์ฟุ้งซ่านวกวนไม่รู้จบ หมั่นคิดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วคุณจะไม่เป็นคนคิดมาก"

"แต่แจ๊บเหงา..."

"มะแมก็เคยเหงา แล้วมะแมได้ค้นพบความจริงอย่างหนึ่ง คือ แค่อยากไปทำให้เด็กอนาถาหายเหงาสักวัน เขายังไม่ทันหายเหงา ความเหงาก็หายไปจากเราแล้ว"

"อือม์... ฟังดูน่าลองจังค่ะ"

"ให้มะแมพาไปก็ได้นะ"

หล่อนเสนอตัว ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าขอให้แจ๊บรับปากอะไรเถอะ หล่อนจะยอมเหนื่อยทุกประการ แม้จะต้องโดนกระโดดเกาะหลังยืดเยื้อก็ตาม

"เหมือนคุณมะแมรู้เลยว่าแจ๊บกำลังจะจมน้ำ ไม่กลัวแจ๊บกอดคอคุณมะแมเป็นตุ๊กแกหรือ

คะ?"

มะแมเกือบสะดุ้ง เพราะแจ๊บพูดราวกับรู้ว่าหล่อนคิดอะไร

"ไม่หรอกน่า..."

มะแมเค้นหาความรู้สึกที่แท้จริง แล้วก็พบว่าตนพูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างสบายใจ "ให้มะแมเป็นเพื่อนคุณแจ๊บได้ไหม มาคุยเปิดอกกัน วันแรกเราอาจจะคุยกันตามหน้าที่ วันนี้ให้มะแมพูดจากใจจริง มะแมอยากเป็นเพื่อนกับคุณแจ๊บ และเชื่อว่าต่อไปเราจะมีความผูกพันที่ดีต่อกันได้"

"มิบังอาจ คุณมะแมน่ะ เหมือนแม่หรือพี่สาวของแจ๊บเลย"

"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า บางทีมะแมก็วางฟอร์มตามหัวโขนไปอย่างนั้นเอง ตัวจริงเป็นผู้หญิงธรรมดาทุกอย่าง และจากสายตาของมะแมก็เชื่อว่าเราสองคนมีบางสิ่งที่เข้ากันได้"

"ตรงไหน? คุณมะแมใจเย็นเป็นน้ำ ส่วนแจ๊บน่ะร้อนเหมือนไฟ"

"คนเก่งก็งี้แหละ ให้เดานะ คุณแจ๊บจบเกียรตินิยมชัวร์ มะแมก็เหมือนกัน เดิมทีมะแมไม่ใช่คนใจเย็นนะ อาจร้อนยิ่งกว่าคุณแจ๊บอีก"

"ไม่เชื่อหรอก!"

"จริงจีง...!"

ลากเสียงยาวแบบคะยั้นคะยอให้เชื่อ

"แต่สวมหัวโขนไหนไปนานๆ คนก็นึกว่าเราเป็นอย่างนั้น พอถอดหัวโขนออก เราก็รู้ตัวว่าไม่ได้มีดีอะไรเลย"

"แล้วมะแมเคยมีแฟนไหม?"

แจ๊บตัดสรรพนาม "คุณ" ออกไป แสดงความใกล้ชิดตามมะแมเสนอ แล้วก็ชักเห็นจริงว่า ความสนิทสนมกับมะแมก่อตัวขึ้นในใจได้อย่างรวดเร็ว

"เคย!"

"ยังเป็นแฟนกันอยู่หรือเปล่า?"

"เคยหวานแหววช่วงมัธยมปลายน่ะ พอเรียนมหา'ลัย ต่างคนต่างแยกย้าย มะแมไม่ค่อยมีเวลาให้ เพราะต้องทำงานส่งตัวเองเรียนไปด้วยเขาก็ไปเจอคนใหม่"

"ไม่ได้เลิกเพราะทะเลาะกัน?"

"ก็... ประมาณว่ามะแมเห็นเขานั่งในรถกับ ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คุยกันหนุงหนิง"

"มะแมเลยขอเลิก?"

"ไม่ได้พูดอะไรชัดหรอก แค่เมลไปบอกว่า ไม่ต้องมาแล้ว"

แจ๊บยิ้มด้วยความปลอดโปร่งขึ้น เหมือนคุยกับเพื่อนที่สนิทกันมานาน

"แสดงว่าเขาไม่ค่อยมีความหมายกับมะแมเท่าไหร่ ไม่เคยมีอะไรกับเขาใช่ไหม?"

"มะแมให้มากสุดก็หอมแก้ม เกินกว่านั้นห้ามขาด"

"หึหึ เขาคงงุ่นง่านน่าดูนะ หุ่นอย่างมะแมเนี่ย ได้หอมแก้มก็ต้องน้ำลายหก อยากทำอะไรต่อ"

"ช่วยไม่ได้! พอดีมะแมยี้ๆกับเรื่องพวกนี้มันรังเกียจ"

"สงสัยเกิดผิดยุค"

"ถ้าแจ๊บได้ทำวิจัย ทำแบบสอบถามมากๆ อย่างมะแม จะรู้ว่าคนสมัยนี้ไม่ได้ติดใจหรือเห็นเซ็กส์เป็นเรื่องขาดไม่ได้ ตามๆกันไปหมดหรอกนะ"

"ก็รู้ แต่ถ้าหน้าตาดี หุ่นยั่วน้ำลายผู้ชายแบบพวกเรา ก็มักหนีไม่พ้นเจอข้อเสนอเอานู่นเอานี่มาประเคน โดนขอสนิท โดนขอเข้าใกล้ ในที่สุดเราก็ทนไม่ได้ ไม่รู้จะหวงไปทำไม เพื่อนๆมันก็ตามใจตัวเองกันหมด เห็นเป็นธรรมดาของยุคนี้"

"มะแมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอยากทำงานทั้งวันมาหลายปีแล้ว เลยไม่ค่อยมีคิวให้ใครมาเข้าใกล้"

"ทำไมถึงรักงานขนาดนั้น การช่วยคนมันสนุกมากเหรอ? แต่ว่าที่จริง แจ๊บแอบอิจฉามะแมมากเลยรู้ไหม เป็นตัวของตัวเองมีค่า ไม่ต้องพึ่งพาความอบอุ่นจากผู้ชาย"

มะแมเชิดหน้านิดหนึ่ง

"วันๆมีแต่ผู้ชายมาขอความอบอุ่นจากมะแมน่ะสิ! ตอนนี้เห็นผู้ชายเป็นเด็กอมมือ ไม่รู้จักโตไปหมด สงสัยชาตินี้ได้ขึ้นคานตลอดชีวิตนั่นแหละ"

"ขนาดนั้น?"

"ขนาดนั้น!"

"อย่างนี้เป็นแบบมะแมก็ไม่ดีน่ะสิ"

"แล้วเป็นแบบไหนถึงจะดี?"

แจ๊บทอดสายตามองไกล ขอบฟ้ากว้าง ทิวเมฆสะท้อนแสงหลากสี ตะวันใกล้จะตกดินอยู่รอนๆ สายลมเย็นโชยพัดเส้นผมหล่อนปลิวไหว

"เออนะ อย่างไหนล่ะถึงจะดี... มีคู่เพื่อจะหวานใส่กัน แล้วมาเปลี่ยนเป็นทะเลาะกัน จบลงที่ทิ้งกัน มันดีตรงไหน"

ขอบตาล่างซ้ายของมะแมขยิบนิดหนึ่ง

"แจ๊บ! พูดอย่างเพื่อนนะ ตัวเองน่ะสวยขนาดนี้ มาช่วยกันเสียดายคนที่เขาไม่ได้เธอไป ครองดีกว่า วันนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายอกหักนั่นก็เพราะยอมเป็นฝ่ายถูกทิ้งทางกายข้างเดียว ทำไมไม่หัดให้เขาเป็นฝ่ายถูกทิ้งด้วยใจเราดูบ้าง?"

"ขอบใจมากมะแม เราปลื้มและรู้สึกเป็นเกียรติมากที่เธอลดตัวลงมาเป็นเพื่อน ถ้ามีเพื่อนดีอย่างเธอมาก่อนหน้านี้สักสิบปี เราอาจจะอยากมีค่าให้มากๆแบบเธอบ้างก็ได้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองไร้ค่าจนสายไปแบบนี้"

"คำว่าสายไปมีไว้ใช้กับคนตายเท่านั้นแหละแจ๊บ!"

"อือ..."

ความเงียบเข้าปกคลุม มะแมสัมผัสถึงความเหม่อลอยแปลกๆของอีกฝ่าย ก็เรียกให้ขานรับบ้าง

"แจ๊บ..."

"หือ?"

"จะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่?"

เป็นคำถามซ้ำ และแจ๊บก็ไม่ตอบอีก เสพูดมาอีกทาง

"ก่อนมะแมโทร.มา แจ๊บกำลังเลือกอยู่เลย ว่าจะโทร.หาใครดี ใกล้เวลาพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว..."

คราวนี้มะแมมือเย็นเฉียบ เกิดมาไม่เคยหนาวไปทั้งตัวขนาดนั้นมาก่อน

"แจ๊บ! เธออย่าทำอะไรบ้าๆนะ!"

เผลอส่งเสียงเกือบเป็นตวาด แปลกที่รู้สึกสนิทกับแจ๊บออกมาจากส่วนลึก คล้ายคุ้นมานานแสนนาน กระทั่งลืมตัว ใช้เสียงเกรี้ยวและคำแรง

"ถามตัวเองซิ ตอนนี้มีดีอะไรไปตายบ้าง?"

"ขอบใจเธอมากนะมะแม เธอดีกับคนแปลกหน้าอย่างฉันได้ยิ่งกว่าคนเคยกอดคอบอกรักฉันตรงนี้เสียอีก"

"แจ๊บ! ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งทำอะไร ให้มะแมบินไปหาเดี๋ยวนี้ก็ได้ ไหว้ล่ะ!"

แจ๊บมองหุบเหวกว้างใหญ่ที่เริ่มครึ้มสลัวน้ำตารินผ่านร่องแก้ม สัมผัสเหมือนหลุมดำาที่ทรงพลังเกินต้าน คล้ายเสียงเพรียกแห่งดนตรีมรณะทำนองหวานเศร้า หรือขุมแม่เหล็กยักษ์จากแกนกลางโลกที่ส่งแรงดึงดูดอันน่าพิสมัยมาดึงตัว ใจรู้แต่ว่าหล่อนต้องกระโจนลงไปหามันในนาทีนี้แล้ว

"มะแม... ขอบคุณที่ทำให้แจ๊บตาสว่าง และขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อนที่แสนดีในนาทีสุดท้าย รู้ว่ามะแมอยากช่วย แจ๊บอยากทำอะไรตอบแทนบ้าง แต่ขอเป็นชาติหน้านะ ชาตินี้

แจ๊บทนมีชีวิตต่อไปไม่ไหวจริงๆ"

"แจ๊บ!"

"ฝากบอกพี่ปายด้วยว่าขอโทษ ทำไมแจ๊บถึงรักเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้..."

"แจ๊บ! อย่า!!"

มะแมกรีดร้องสุดเสียง วินาทีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น คล้ายละครฉากจบ สะเทือนวิญญาณที่ถูกบังคับให้ดู ทั้งที่ไม่เคยเต็มใจ

เสียงทางโทรศัพท์เหมือนแว่วผ่านมาจากมิติลี้ลับที่ไม่ควรมีใครได้ยิน ครั้งแรกเป็นเสียงเปรียะแตกของกระจก อึดใจต่อมาตามด้วยเสียงกระแทกโครมหนักๆ เว้นช่วงจากนั้นอีกครู่ ก็กลายเป็นโครมครามซ้ำไปซ้ำมา หลอนหูราวกับเสียงรัวกลองใหญ่ในนรก!

มะแมอยากขว้างโทรศัพท์ทิ้ง อยากกรีดร้องคลุ้มคลั่ง แต่เจ้ากรรม จิตกลับแข็งทื่อ ตัวนิ่งขึงดุจถูกสาปว่าอย่างไรก็ต้องดูละครฉากสุดท้ายให้จบ ไม่ดูไม่ได้

การพูดคุยกับแจ๊บมาพักหนึ่ง ทำให้กระแสจิตผูกกับฝ่ายนั้นแน่นเหนียว และคลื่นจิตระหว่างมะแมกับแจ๊บก็จูนกันติดดีเสียด้วย แจ๊บรู้สึกอย่างไรในวาระสุดท้าย มะแมก็รู้สึกตามนั้นไม่มี

ผิด!

จิตใจของแจ๊บขณะดิ่งเหวแน่นิ่ง ไม่กระวนกระวาย เหมือนอยู่ในสุญญากาศอันสร้างขึ้นด้วยเจตนาดับชีวิตอย่างสงบ มะแมติดตามได้ตั้งแต่วินาทีแรกทีเดียวว่าแจ๊บหลับตาเหยียบคันเร่งอย่างไม่กลัวการพบมัจจุราชที่สยายเขี้ยวรออยู่เบื้องล่าง ไม่มีการกรีดร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว เพราะไม่เห็นอะไรเลย เอาแต่ปิดตารอนาทีลงดาบด้วยความเลือดเย็นกับชีวิตตน คะเนจากระยะห่างระหว่างเสียงสุดท้ายของแจ๊บ กับเสียงสุดท้ายของการบดขยี้รถเป็นเศษเหล็ก หน้าผาจะต้องสูงชัน รถจะต้องกระแทกอะไรระหว่างทาง ก่อนลอยละลิ่วลงมาปะทะโขดหินเบื้องล่างแล้วม้วนหลายตลบก่อนสงบนิ่ง

และในการม้วนตลบท้ายๆนั่นเอง สัญญาณก็ถูกตัดไป แสดงให้เห็นว่าโทรศัพท์ของแจ๊บน่าจะป่นปี้บี้แบนไปแล้ว แต่มะแมยังถือโทรศัพท์ของตนค้าง ราวกับจะอาศัยมันเป็นอุปกรณ์ถ่ายทอดสดรายการ "ชีวิตข้ามชาติ" อย่างต่อเนื่อง

ระหว่างคงสภาพความเป็นมนุษย์ แม้แจ๊บจะเหม่อบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง ห่อเหี่ยวบ้าง ก็ยังคงมีภาวะของจิตปรากฏชัด ไม่ต่างจากเปลวเทียนที่ยืนตัวส่องแสงอยู่ตลอด แค่โดนบดบังเป็นเงามืด เงามัว เงาสลัวบ้าง พอยกเครื่องบดบังออก ความสว่างก็ฉายใหม่

แต่ขณะจะดับเพื่อเคลื่อนจากภพเดิม จิตของแจ๊บปรากฏเหมือนเปลวเทียนที่โดนสายลม

พัด ป้อแป้ร่อแร่ แล้วกลับตั้งขึ้นใหม่ แล้วซวนเซ ปัดเป๋ไปมาหลายรอบ ทำท่าจะดับมิดับแหล่ก็ไม่ดับในทีเดียว คงเพราะอาการ "ตายคาที่" ของแจ๊บไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง

และในสภาพล้มลุกแบบเปลวเทียนจวนดับนั้น สิ่งที่บังเกิดซ้อนขึ้นมาอีกชั้นให้มะแมสัมผัส

คือกงจักรไร้ตน มันหมุนติ้วไม่หยุด เทียบไปคงคล้ายมองหน้าใครที่กำลังฟุ้งซ่านหนักๆแล้วเห็นเหมือนกงล้อปั่นอยู่ในหัวของเขา แต่กงจักรไร้ตนที่มะแมกำลังเห็นนี้ ไม่ได้มีที่ตั้งอยู่ในสมอง มันเป็นเอกเทศต่างหากจากมิติทางกาย กับทั้งปั่นแรงกว่าคนฟุ้งซ่านหลายเท่า

ภาวะนี้กระมัง ขณะแห่งการเกิดนิมิตพฤติกรรมที่ทำมาระหว่างมีชีวิต ซึ่งคนผ่านประสบการณ์เฉียดตายมักเล่าตรงกัน มะแมเล็งลึกลงไปในการหมุนของกงจักรด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ แต่ก็ไม่เห็น เพราะเกินความสามารถระดับหล่อน

ปรากฏการณ์ตายคาที่ของคนไปไม่ดี บอกมะแมว่าเรื่องคอขาดบาดตายอันเป็นที่สุดมิได้

เกิดขึ้นกับกาย ทว่าเกิดกับจิตต่างหาก พอกายยุติการทำงานก็แน่นิ่งไม่ต่างจากเศษอิฐเศษปูนที่

มีของเหลวไหลซึมออกมา แต่การดับจิตนั้น มีอะไรให้ดูต่อ มีอะไรให้น่าแสดงความเสียใจอย่าง

แท้จริง ยิ่งกว่าทุกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างมีชีวิต

พอแจ๊บเคลื่อนจากภพแห่งมนุษย์ไปแล้ว มีพลังบางชนิดที่ยิ่งใหญ่ ควบคุมให้เกิดการสร้างจิตดวงใหม่ขึ้นสืบทอดทันที มะแมบอกตนเองว่าพลังยิ่งใหญ่นั้น คงเป็นพลังกรรมกระมัง คล้ายพอไส้เทียนหมด เปลวเทียนก็ดับหาย แต่มิใช่สาบสูญ เพราะไฟไปปรากฏในเทียนเล่มใหม่โดย อะไรอย่างหนึ่ง ที่ไม่ยอมให้ความร้อนสิ้นสุด

การก่อภพใหม่ของแจ๊บเริ่มจากพลังมืด คล้ายมนต์ดำารวมตัวขึ้นได้ก่อน แล้วจึงเนรมิตสภาพของจิตที่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ขึ้นมา

จิตใหม่ของแจ๊บมิใช่จิตที่รับรู้หรือคิดอ่านได้ทันที เปรียบเหมือนมะแมเห็นแจ๊บถูกลอบฟาดศีรษะจากด้านหลัง สลบเหมือดกะทันหัน ทั้งสติสำนึกคิดอ่าน และความทรงจำตอนเต็มตื่นหายไป แปรเป็นสภาพไม่รู้ไม่เห็นใดๆ

ความตายปรากฏคล้ายภาวะขาดช่องทางการติดต่อ จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ถ้าต้องการพูดคุยสื่อสารกับแจ๊บ การอยู่คนละโลกมันเป็นอย่างนี้เอง อยากช่วยอะไรก็สายเกินไปแล้ว

นับว่าแจ๊บใจร้ายกับหล่อนเอาการ ลืมคิดไปหรืออย่างไรว่าการตายให้ใครดูมันสั่นประสาทกันขนาดไหน สำหรับมะแม หล่อนรู้เดี๋ยวนั้นเลยว่าจะเป็นแผลบาดลึกลงไปถึงก้นบึ้งความทรงจำ และไม่อาจลบเลือนได้ตลอดชีวิต

มนุษย์ได้อะไรมาจากความรักบ้าง? คนเราไม่เคยพร้อมจะตายเพื่อบูชารักเลย แต่จะเป็นจะตายเมื่อความรักไม่ได้อย่างใจมากกว่า

มนุษย์เป็นสัตว์มีเหตุผล ทว่าก็อาจเอาแต่ใจและใช้อารมณ์ได้รุนแรงที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งปวง

มนุษย์มักใช้ชีวิตอย่างคนอวดดี แต่ก็ไม่ค่อยมีดีไปตายกัน!

นี่แหละมนุษย์...

___________________________________________________________________________________
บทที่ ๖

มะแมเดินลงมาข้างล่างหงอยๆ หยิมกำลังจัดข้าวจัดของ ความจริงหยิมได้ยินเสียงกรีดร้องของมะแม แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างไร หรือเปล่า เลยคอยเงี่ยหูสังเกตการณ์อยู่ที่ด้านล่างเฉยๆก่อน

เมื่อหันไปมองนายสาว ก็พบว่านัยน์ตาคู่งามของฝ่ายนั้นทอแววช้ำ แต่ยังคุมกิริยาด้วยสติที่สมบูรณ์ ก็ทราบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หยิมจึงถามตามหน้าที่โดยไม่แสดงความห่วงใยเป็น พิเศษ

"พี่มะแมหิวหรือยังคะ จะกินเลยหรือเปล่า?"

"หยิม... ในจดหมายเขียนว่ายังไงนะ ขอฟัง ชัดๆอีกทีเถอะ"

หางเสียงคนถามสั่นพร่า

"อ๋อ! จดหมายเหรอคะ เขาเขียนว่า 'อย่าเสียใจ คนฆ่าตัวตายทุกวัน ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้นก็ไปช่วยคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย เป็นการไถ่ชีวิตด้วยชีวิต' อะไรประมาณนี้นะคะ ขอโทษจริงๆ หยิมไม่แน่ใจว่าจำถูกหมดหรือเปล่า"

เด็กสาวออกตัว จำเนื้อความในจดหมายเป็นคำเป๊ะๆไม่ได้ แค่ถ่ายทอดครั้งแรกกับครั้งนี้ก็น่าจะต่างกันแล้ว

"ขอบใจนะ หยิมช่วยพี่ได้มากแล้ว เมื่อกี๊ตอนฟังทีแรกพี่เก็บความไม่ครบเองเลยเข้าใจ ผิดนิดหน่อย"

"ค่ะ"

หยิมมองผู้เป็นนายตาแป๋ว เดาว่าคงเป็นลูกค้าคนใดคนหนึ่งฆ่าตัวตาย แต่ไม่เฉลียวคิดเลยสักนิดว่าความตายเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง

"พี่จะออกไปทำธุระข้างนอกหน่อย หยิมกินข้าวเย็นไปคนเดียวแล้วกันนะ"

"มีอะไรให้หยิมช่วย หรือให้หยิมออกไปเป็นเพื่อนไหมคะ? ถ้าจะไม่ได้กินข้าวเย็นก็ไม่เป็นไรนะ"

มะแมยิ้มเซียว เดินเข้ามาดึงตัวหยิมกอดเต็มอ้อมเป็นครั้งแรก ใช้มือตบศีรษะเบาๆก่อนคลายอ้อมกอด

"มันเป็นงานที่พี่ต้องทำคนเดียวน่ะ ขอบใจนะ"

"ค่ะ! แต่ถ้าพี่มะแมขับรถสวนกะโจร อย่าขับตามไปแบบเมื่อคืนอีกนะคะ"

หยิมพูดด้วยแววตาจงรักภักดี

"จ้ะ! ไม่มีองครักษ์คนเก่งไปด้วย พี่ไม่กล้าซ่าหรอก!"

หนึ่งทุ่มเศษในห้างเซ็นทรัลบางนา ผู้คนหนาตา เหมาะที่สุดที่จะค้นหาใครสักคนมาชำระล้างความรู้สึกผิดออกจากใจ มะแมสัมผัสสำรวจทุกคนที่เดินสวนหล่อน โดยเฉพาะคนเดินช้า อ้อยอิ่งแบบหมดอาลัยตายอยาก

ชั่วระยะเวลาอันสั้นที่สวนกัน ไม่เพียงพอให้มะแมรับรู้อะไรได้ลึกนัก แต่ละคนหลงเหม่ออยู่ใน

โลกของตัวเอง แม้รู้ว่าจะขยับกายไปทางไหน แต่ก็เหมือนไม่ค่อยรู้ว่าชีวิตกำลังเดินไปทางใด

พวกมาห้างแบบไม่มีสตางค์ ต่างก็เหม่ออยู่บนฐานความสุขที่ได้เดินทอดน่องรับไอเย็นฉ่ำฟรีๆ ส่วนพวกมาห้างแบบมีเงินล้นกระเป๋า ต่างก็เหม่ออยู่บนฐานความอยากดูสิ่งล่อตาล่อใจ เพื่อชั่งใจว่าจะปล่อยเงินในกระเป๋าหรือในบัตรเครดิตออกไปดีหรือไม่

พวกมาห้างแบบเดี่ยวๆมักพ่วงพาความเหงาเป็นเงาตามจิตมาด้วย ส่วนพวกมาห้างเป็นคู่ๆ หรือมารอพบคู่ตามนัด ก็มีทั้งอารมณ์สำราญและรำคาญใจ บางคู่มาด้วยกันแต่ก็เหม่อลอยไปคนละทิศคนละทางราวกับอยู่คนละโลก แค่อยู่ในห้าง ๒๐ นาที มะแมพบสารพัดคู่ สารพัดรูปแบบ ความสัมพันธ์ทางใจ จนเห็นหญิงชายจับคู่กันเลือกวิธีเป็นทุกข์เฉพาะตน ไม่ใช่แค่มองตื้นๆด้วย ตาเปล่าว่า "เขาเป็นแฟนกัน"

พวกไม่มีเงินกับพวกเจ็บจากรัก มักถูกมองว่ามีสิทธิ์ฆ่าตัวตาย มะแมก็อาศัยสามัญสำนึก ตรงนั้นเป็นเกณฑ์ส่องสำรวจว่าใครเข้าข่ายบ้าง แต่ก็พบความจริงอย่างหนึ่ง คือต่อให้เข้าตาจน แต่ยังมีแก่ใจมาเดินรับไอเย็นในห้าง หรือแม้ระหองระแหงกับแฟนแต่ยังจูงมือกันมาดูหนังอยู่ ก็ไม่มีใครอยากลาโลกภายในวันนี้พรุ่งนี้หรอก

ผ่านหน้าผ่านตา สัมผัสจิตคนเดินสวนมาจากสิบเป็นร้อย มะแมชักเริ่มมึนงง เหมือนเล่นเกมที่ต้องเก็บรายละเอียดให้ได้มากในเวลาอันสั้น ถ้าแค่ครั้งสองครั้งพอทน แต่เป็นร้อยนี่ชักเกินความสามารถ

หิวข้าว หิวน้ำ มะแมตัดสินใจแวะพักกินก่อน เพราะถึงฝืนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาตอนกำลังใกล้จะหน้ามืดวิงเวียนรอมร่อ

ขณะนั่งจัดการอาหารเย็นตามลำพังในศูนย์อาหาร มะแมก็ครุ่นคิดถึงวิธีกวาดหาเป้าหมายที่อาจเข้าข่ายอยากฆ่าตัวตายและลงมือจริง การเดินสวนแล้วสัมผัสตรวจเอาทีละคนน่าจะไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก พอจับความเครียดหนักๆของบางคนได้ แต่แอบสะกดรอยตามไปครู่หนึ่ง ก็พบว่า ความเครียดนั้นคลายตัวลง สรุปคือแค่เครียดหนักแบบวูบวาบ ไม่ใช่ยืดเยื้อ คนจะอยากฆ่าตัว ตายต้องซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า ๒ อาทิตย์ขึ้นไป

หล่อนควรหาวิธีรู้ให้ได้แน่นอนและรวดเร็วกว่านั้น เมื่อข้าวหมดจาน ดื่มน้ำจนท้องอิ่มสบายพอ มะแมก็เริ่มกวาดสายตาจากจุดที่นั่งอยู่ และค้นพบว่าการตรวจกวาดเป้านิ่งสะดวกกว่าเดินหา แม้การเดินสวนกันจะได้พลังปะทะจังๆ รับสัมผัสแรงจากระยะใกล้ แต่ช่วงเวลาก็สั้นเกินไป สู้นั่ง กวาดหาเป้านิ่งเอาจากมุมกว้างอย่างนี้ไม่ได้ ใช้เวลาได้นานตามต้องการ

ค่อยๆกวาดมองโดยรอบอย่างละเอียด แม้หลายคนเป็นโรคสงสารตัวเองขั้นรุนแรง แม้หลายคนจมอยู่กับความทุกข์ที่ข้นหนัก แม้หลายคนประสบปัญหาขั้นวิกฤต แม้หลายคนเก็บซ่อนความระทมขมขื่นแน่นอกไว้ภายใต้สีหน้าปกติ และแม้หลายคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางพ้นจากปัญหาใหญ่ไปจนชั่วชีวิต...

แต่ก็ไม่มีใครคิดฆ่าตัวตายในวันนี้ หรือในเร็ววันนี้เลยสักคน!

เมื่อมีชีวิตทุกคนจะรักชีวิต ไม่ว่าชีวิตจะปรากฏเป็นเรื่องน่าเริงรื่นหรือขื่นขม ธรรมชาติของคนทั่วไปจะไม่ปล่อยให้ตัวเองซึมเศร้าต่อเนื่อง ถึงเวลาก็ดูหนัง ดูละคร หาคนเจ๊าะแจ๊ะ เรื่อยเปื่อย จึงมีช่วงผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่กดดัน รุนแรงขนาดทะลุขีดความอดกลั้นง่ายๆ

ตั้งสติถามตัวเองว่าหล่อนกำลังหาเป้าหมายแบบไหน ที่จะมาชดเชยความรู้สึกล้มเหลวในการช่วยแจ๊บ คนกำลังอยากฆ่าตัวตายวันนี้หรือคนที่มีีแนวโน้มจะเบื่อชีวิตสุดทนในเร็ววัน?

ถ้าตั้งใจฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้เลยก็อ่านง่ายอยู่หรอก เพราะความรู้สึกอยากทำลายชีวิตจะก่อกระแสจิตแบบหนึ่ง ที่สัมผัสแล้วทราบได้ว่าคนๆนั้นปฏิเสธการดำรงอยู่ของตนเอง แตกต่างจาก สิ่งมีชีวิตทั่วไปที่หวงแหนและยึดมั่นการมีตัวตนเหนือสิ่งอื่นใด

แต่จะหาได้สักกี่คนที่อยากทิ้งชีวิตแล้วมาเดินเสพสุขตามห้าง? ศูนย์การค้าเป็นแหล่งรวมคนหวงชีวิต ไม่ใช่อยากทิ้งชีวิต แม้เคยมีข่าวคนโดดลงมาจากที่จอดรถบ้าง หรือมีแหวกแนวโดดกลางห้างบ้าง ก็หายากพอๆกับงมหินเล็กในสระใหญ่ หล่อนจะต้องเดินไปกี่เดือนหรือกี่ปีกว่าจะ บังเอิญเจอประเภทนั้น?

เมื่อคิดจะลดสเปกลง เพื่อหาเป้าหมายให้พบได้ง่ายขึ้น โจทย์ข้อใหม่ก็ตามมาอีก คือหล่อนจะเข้าไปแนะนำตัวอย่างไร ดิฉันอยากช่วยให้คุณไม่ต้องคิดฆ่าตัวตายในอนาคตอันใกล้งั้นหรือ?

ในแง่ของการเสนอตัวช่วย คนกำลังจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่เป็นเป้าเหมาะ!

ความคิดสะดุดลง เมื่อมะแมพบว่าตนมักไปรบกวนคนกำลังก้มหน้าก้มตาทานข้าวให้เงยขึ้น เหลียวมาตามแรงปะทะของกระแสตาที่หล่อนส่งไปอยู่เรื่อย พอชักเกรงใจประชาชน หล่อนก็ลุก

ขึ้นด้วยความคิดว่าน่าจะหาทำเลตรวจสัมผัสใหม่ดีกว่า

ขณะยื่นคืนคูปองให้พนักงานที่โต๊ะแลกเปลี่ยน มะแมก็ชะงัก เมื่อสัมผัสได้ถึงแผลใหญ่ในใจสาวหลังช่องกระจกคนนั้น ใบหน้าแสดงความหมกมุ่น หมักหมมความเคร่งเครียดอย่างต่อเนื่องมานาน เข้าขั้นอกไหม้ไส้ขม แม้มือยื่นแลกเปลี่ยนคูปองกับลูกค้า ก็เป็นกิริยาดุจหุ่นยนต์ไร้ชีวิต

สัมผัสใจภายในของเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งฝืนทน ทั้งด่ากราด ทั้งเร่งร้อนอยากให้มหันตทุกข์ที่เผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสิ้นสุดลงเสียที

มะแมไม่แสดงอาการผิดปกติ เมื่อรับเงินมาก็ถอยไปทางหนึ่ง เลือกที่นั่งไม่ห่าง แต่ก็ไม่ใกล้ผู้ หญิงจมทุกข์คนนั้นเกินไปนัก ยังกำเหรียญ ๕ บาทที่ได้รับทอนมาไว้ในอุ้งมือ สิ่งที่ได้รับจาก สัมผัสกระทบโดยตรงขณะเจ้าหล่อนยื่นเหรียญให้คือความหมกมุ่น เคียดแค้น ชิงชัง มะแมก็เริ่ม โฟกัสที่ตรงนั้น

หลังจากใช้ปลายนิ้วคลึงเหรียญอึดใจหนึ่ง มโนภาพก็ปรากฏเป็นฉากๆ เริ่มจากการถูกตาม ตื๊อโดยผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่เจ้าหล่อนมีแฟนอยู่แล้ว ตามด้วยภาพการโอนอ่อน ทนลูกตื๊อไม่ไหว ถัดมาเป็นภาพการย้ายไปอยู่ห้องเดียวกัน แล้วจบด้วยการที่ชายเจ้าชู้ไปมีหญิงอื่น!

รักสามเส้าและการนอกใจเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง และเหมือนการแพร่ลามของเชื้อโรคร้าย มะแมเก็บเหรียญลงกระเป๋า เจ้าหล่อนคนนั้นกำลังตกนรกแห่งความเสียดายและความชิงชังคนรักเก่ามีค่าเหมือนเพชรพลอยหล่อนทิ้งขว้าง แต่คนรักปัจจุบันเหมือนไส้เดือนกิ้งกือกลับไปคว้ามา

ในหัวเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยคำหยาบคายบรรดามี เท่าที่มนุษย์จะสรรคิดกันขึ้นมาหนักที่สุดคือคำสาปแช่งและความอาฆาตอีนังผู้หญิงหน้าใหม่ ประมาณว่าถ้ายืนอยู่ด้วยกันริมถนนก็พร้อมจะหน้ามืดถีบลงไปให้รถชนกระเด็นได้ง่ายๆ

เรื่องแย่ของหญิงพนักงานแลกเงิน อยู่ตรงที่ไม่รู้จะลงเอยอย่างไร จบดีหรือจบร้าย ต้องฆ่าฟัน หรือทนเอา แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีภาพสะท้อนความคิดฆ่าตัวตายเลย คุณเธอไม่ได้อยากตายด้วยซ้ำ ถ้าอยากให้คนอื่นตายค่อยว่าไปอย่าง

สรุปคือเธอคนนี้ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่หล่อนค้นหา มะแมลุกขึ้นเดินผละออกมา สายตามองกราดรอบตัว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีชีวิตชีวา

อดคิดถึงแจ๊บไม่ได้ วันนี้เดินผ่านผู้หญิงมาไม่รู้เท่าไร ยังไม่เจอใครสักคนที่สวยเด่นเท่าแจ๊บ แต่ในบรรดาสาวธรรมดานับร้อยนับพัน ไม่มีใครสักคนที่ทุรนทุรายกระหายความตายเหมือนอย่าง แจ๊บ!

ทดลองขึ้นไปยืนเกาะราวกั้นของชั้นสองเหลือบมองฝูงชนที่เดินขวักไขว่อยู่กับชั้นแรก พอมองปักลงมาจากมุมสูง ครอบพื้นที่กว้างแล้วค่อยเห็นคลุมผู้คนเยอะหน่อย บางคนเดิน บางคนนั่ง บางคนคุยโทรศัพท์ บางคนหวานจี๋อยู่กับแฟนระยะข้าวใหม่ปลามัน แต่ละคนทำในสิ่งที่สนใจจะ ทำ…

และหล่อนก็กำลังสนใจคนที่เลิกสนใจทุกสิ่งแม้กระทั่งความมีชีวิต!

ถามตนเองซ้ำ นี่หล่อนมายืนผิดที่หรือเปล่า?

แวบหนึ่งที่คิดถึงคนไข้ในโรงพยาบาลประสาท หล่อนเคยสัมผัสคนเหล่านั้นมา และทราบว่าถ้าถึงขั้นคลุ้มคลั่งจะฆ่าตัวตาย ขนาดต้องอยู่ในการควบคุมดูแลจ่ายยาจากจิตแพทย์แบบนั้นก็เกินความสามารถจะพลิกชีวิตกันด้วยคำพูด

แล้วถ้าเป็นโรงพยาบาลธรรมดาล่ะ ประเภทนอนพะงาบๆ ร่ำร้องขอการุณยฆาต อยากตายให้พ้นภาวะทรมาน หล่อนควรจะไปช่วยให้พวกนั้นกลับใจไหม?

แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้ว คนกำลังทรมานแสนสาหัสจากภาวะเจ็บปวดทางกาย หล่อนจะไปอ้อนวอนให้เขาทนต่อด้วยข้ออ้างไหนดี?

หล่อนจะอยากพูดกับคนไข้ที่ร้องขอความตาย ก็มีกรณีเดียวคือรู้แน่ว่ามีวิธีฆ่าตัวตายให้ไปดี!

แต่ขนาดบังคับให้หลับฝันดียังยาก แล้วบังคับให้ตายดี ประกันว่าจะเกิดภาวะใหม่ดีๆมารองรับ จะมีสักกี่คนที่ทำได้?

ความคิดกระโดดทางโน้นทีทางนี้ที และวกไปวนมาจนเหนื่อยใจ กวาดตามองผู้คนด้านล่างแบบคลุมๆ หล่อนก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น มีแขน มีขา มีหัว มีตัว แล้วก็มีความทุกข์เฉพาะตน แสวงหาความสุขเฉพาะทาง ใครจะช่วยใครได้จริง?

สลัดหน้า เริ่มคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลบ้าง จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตที่มะแมติดตามเป็นระยะ ปัจจุบันมีคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จวันละ ๑๒ ราย หมายความว่าถ้าวันนี้หล่อนเดินตระเวนรอบ ประเทศ ก็ต้องปะหน้าคนมากกว่า ๕ ล้าน ถึงจะเจอใครสักคนที่กำลังคิดฆ่าตัวตายและทำได้สำเร็จ

ขณะเดียวกัน ข้อมูลชุดนั้นก็บอกเป็นนัยด้วยว่าภายใน ๒ ชั่วโมงนี้ ณ ที่ใดที่หนึ่งในราช อาณาจักรไทย กำลังมีคนคิดฆ่าตัวตาย แล้วก็ทำได้อย่างที่คิด หล่อนแค่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน ต้องดั้นด้นเดินทางไปหาอย่างไรจึงทันการณ์

ค่อยๆเห็นชัดขึ้นทีละน้อยว่าแจ๊บเป็น "หนึ่งในบุคคลหายาก" นอกจากตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลีกลี้หนีไปสู่ปรโลกสำเร็จ คุณเธอยังเป็นพวกไม่ต้องรอเวลาหมักหมมความซึมเศร้าเนิ่นนานนัก แค่รู้ตัวว่าถูกทิ้งขว้าง สองวันต่อมาก็ด่วนตัดอายุอย่างไม่มีเยื่อใยแล้ว

นี่คงเป็นอาการคลั่งรักรุนแรงขั้นสูงสุดจริงๆ...

อดถามตนเองไม่ได้ มันเป็นคำถามตกค้างในลักษณะของตะกอนที่นอนก้นอยู่เฉยๆ แต่กวน เมื่อไรก็ขุ่นเมื่อนั้น...

หล่อนมีส่วนทำให้แจ๊บคิดสั้นด้วยหรือเปล่า?

ในวันที่แจ๊บนั่งอยู่ตรงหน้า หากหล่อนเลือกใช้ไม้นวม ค่อยๆพูด ค่อยๆชักแม่น้ำทั้งห้า ไม่ใช้ไม้แข็งตั้งแต่ยังไม่ทันไร แจ๊บอาจจะค่อยๆปรับใจอาจจะค่อยๆรับรู้เหตุผลอันควรแก่การตาสว่าง ทำใจได้ว่าของดีหลุดมือไปแล้ว เพื่อให้เก็บไว้เป็นบทเรียน รอรักษาของดีชิ้นใหม่ที่จะมาถึง

การทำงานในฐานะที่ปรึกษาปัญหาชีวิตของมะแม สองปีที่ผ่านมาคือความสำเร็จ แต่ความ ล้มเหลวครั้งเดียวมันทำลายความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาทั้งหมดให้พังครืนลงได้ในชั่วข้ามวัน!

เหมือนย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นกันใหม่ และเห็นความสามารถของตนเป็นแค่การโยนเหรียญสองด้าน ที่ผ่านมาอาจเก่งพอจะเอาชนะธรรมชาติ บังคับให้ออกหัวได้ตลอด แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ เมื่อธรรมชาติพอใจจะบังคับให้ออกก้อยเสียบ้าง แม้หล่อนไม่ยอมเชื่อสายตา แม้หล่อนจะร่ำร้องอยู่ข้างในว่า "ไม่จริงๆๆ" แทบอกแตกสักกี่ครั้ง เหรียญก็แสดงด้านก้อยตำตาอยู่อย่างนั้น

แจ๊บตายไปแล้ว และเป็นรสขมในปากหล่อน บางขณะเช่นยามนี้ มะแมพยายามโทษว่าเป็นเพราะฝ่ายนั้นมักง่ายเอง สิ้นคิดเอง ทำเรื่องโง่ๆเอง และพลอยลากหล่อนให้ต้องรู้สึกแย่กับ ตัวเองไปด้วย

ทว่าอีกใจก็ตำหนิตัวเอง สารภาพกับตนเอง หล่อนปล่อยให้ความหมั่นไส้แบบผู้หญิงๆ ครอบงำ เล่นไม้แข็งแทนที่จะใช้ไม้นวม และที่สำคัญคือ "มือไม่ถึง" เมื่อจำเป็นต้องพลิกสถานการณ์ให้ทัน

แจ๊บเป็นแค่คนว่ายน้ำไม่เป็น ที่พลัดตกจากเรือลงไปจมน้ำตายด้วยความมือไม่ถึงของหล่อน!

มือสั่นนิดๆ ขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดหน้าจอ มะแมเลือกเข้าไปที่ส่วนแสดงเบอร์โทร.ล่าสุด ซึ่งก็คือเบอร์ของแจ๊บ มันเป็นร่องรอยเดียวของฝ่ายนั้นที่หล่อนมีติดตัวในยามนี้ เอานิ้ว โป้งไปแตะปุ่มโทร.ออก มันเป็นอุปเท่ห์ทางจิตชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้รู้สึกถึงแจ๊บแจ่มชัดราวกับกำลังจะโทร.ไปคุยกับฝ่ายนั้น คล้ายได้อุปกรณ์ขยายสัญญาณทั้งภาครับและภาคส่งทางจิต สัมผัสให้แรงขึ้น แทนที่จะเป็นขีดเดียว ก็อาจเพิ่มเป็นสองหรือสามขีด

จิตของแจ๊บในภพใหม่ หลังจากชั่วโมงเศษบนโลกมนุษย์ผ่านไป ยังคงอยู่ในอาการสลบเหมือดไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเดิม แน่ใจว่าตนเองกำลังสัมผัสและรับรู้ความเป็นไปในปรโลกของแจ๊บอยู่จริงๆ

แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ มะแมก็น้ำตาไหล ยกมือซ้ายขึ้นซบหน้าร้องไห้เงียบๆ แต่พอเวลา ผ่านไป ก็เพิ่มระดับความแรงขึ้นเป็นร้องจนตัวโยน เกลียดแจ๊บ เกลียดตัวเอง เกลียดวิถีโลก เกลียดข้อจำกัดของมนุษย์ ์

หล่อนกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ปรารถนาความอนุเคราะห์จากใครหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ได้ มาช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ให้ ชีวิตหนึ่งล่วงลับดับแล้ว หล่อนจะเอาคืนกลับมาได้อย่างไรกัน?

นานเท่าไรไม่ทราบ เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านข้าง

"คุณครับ"

ทีแรกมะแมไม่คิดว่านั่นเป็นเสียงทักเรียกหล่อน แต่พอเขาทักอีกพร้อมทั้งสะกิดต้นแขน มะแมก็ข่มสะอื้น ดึงตัวตรงและเหลียวมาทางต้นเสียง

"คะ?"

ทักตอบงงๆ พลางปาดสองแก้มให้แห้ง ไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าหล่อนเปื้อนน้ำตา

คนทักคือ รปภ. ของห้าง ทีแรกมะแมนึกว่าจะเข้ามาถามหล่อนว่ามีอะไรให้ช่วยไหม แต่ก็ผิด ถนัด

"ผู้หญิงคนหนึ่งฝากจดหมายให้คุณ"

ลมหายใจขาดห้วง ภาพตรงหน้าคล้ายทองคำอร่ามเรือง มะแมจ้องมองตะลึงตะไลไปชั่ววูบ และอารามดีใจเหมือนเห็นพระมาโปรด ทำให้หล่อนเผลอกระชากซองมา ราวกับเกรงว่า รปภ. จะเปลี่ยนใจไม่ยอมยกให้

ซองนั้นไม่มีการจ่าหน้าใดๆ แต่หญิงสาวทราบดีว่าข้างในต้องมีอะไรดีอยู่แน่นอน หล่อนลนลานหยิบธนบัตรสีแดงในกระเป๋ายื่นให้ รปภ. เป็นการขอบคุณ ซึ่งทีแรก รปภ. นายนั้นก็อิดเอื้อนเหลือบซ้ายแลขวา แต่พอได้ยินการคะยั้นคะยอให้รับ เขาก็กำแบงก์ร้อยของหญิงสาวไว้ในมือเขินๆ และคิดในใจว่าโชคดีจริงๆ คนฝากส่งให้สินน้ำใจมา ๕๐๐ คนรับยังแถมให้อีกตั้งร้อยแน่ะ

มะแมเหลือบรอบตัว ทั้งรู้ว่าไม่มีทางได้เจอใครยืนประกาศตนว่าเป็นคนส่งจดหมาย แต่หล่อนไม่สนใจนัก เมื่อ รปภ. เดินจากไป ก็แกะซองดึงไส้ในออกมาคลี่อ่านทันที

14.385685

100.553618

23:07

กลุ่มเลขในกระดาษขาวไร้เส้นบรรทัด เป็นตัวพิพม์จากเครื่องพรินเตอร์ มะแมเห็นตัวเลข เหล่านั้นสว่างจ้าราวกับใครเปิดสปอตไลต์ทะลุกระดาษขึ้นมาแทงตา จนต้องยิ้มร่าตาพราว เงย หน้ามอง "เบื้องบน" และพนมมือเอ่ยพอได้ยินกับหูตน

"ขอบพระคุณค่ะท่าน"

มันคือสถานที่และเวลา ซึ่งมะแมมั่นใจว่า "ท่าน" คำนวณมาให้แล้วว่าหล่อนจะต้องไปทัน นัยน์ตาดำสนิทเป็นประกายคมกล้าด้วยแสงเฉิดฉายแห่งความหวังอันเรืองรอง เดี๋ยวพอเอาพิกัด

ลองติจูด-ละติจูด ไปป้อนใส่เครื่องนำาทางระบบ GPS ซึ่งหล่อนมีไว้ประจำช่องเก็บหน้ารถตลอด ก็จะรู้ว่าเป็นที่ไหน

ไม่ว่าเป็นที่ไหน ต้องบุกน้ำลุยไฟอย่างไร หล่อนก็จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้!

ในความมืดใต้ไม้ใหญ่ เด็กหญิงอายุไม่เกิน ๙ ขวบคนหนึ่งกำลังยืนแหงนหน้าพูดกับต้นลั่นทม ด้วยแววตาและน้ำเสียงคล้ายเด็กพูดกับปู่ย่าตายาย

"ท่านเจ้าขา ช่วยพาอิ๊กไปอยู่กับพ่อแม่ทีนะคะ ท่านจะเอาตัวอิ๊กไว้รับใช้สักพักก็ได้ โลกนี้ไม่มีใครอยากเลี้ยงอิ๊กแล้ว และอิ๊กก็ไม่อยากอยู่กับพวกเขาแล้วเหมือนกัน"

พูดจบก็ยืนก้มหน้าสลด ราวกับจะไว้อาลัยให้ชีวิตตัวเอง หรือไม่ก็รวบรวมความกล้าหาญที่จะจากโลกนี้ไป จนกว่าขาที่สั่นจะกลับแข็งพอ

ห้าทุ่มกับอีกเจ็ดนาที คล้ายมีพลังจากโลกใหม่มาเรียกตัวและเสริมกำลังขาให้เด็กน้อยมั่นคงขึ้น เธอยกมือเช็ดน้ำตาป้อย เม้มปากเก็บเสียงกระซิก ก่อนเชิดหน้า ส่องไฟฉายก้าวเข้าไปหาลั่นทมพร้อมเชือกมะนิลาในมือ

ถึงโคนต้น อิ๊กก็ใช้มือเหนี่ยวตัวขึ้นไปลั่นทมต้นนั้นมีกิ่งก้านสาขาใหญ่ปีนง่าย เด็กหญิงหมายตาไว้หลายวันแล้วว่าควรใช้กิ่งไหนเป็นเครื่องประหาร และเธอก็ซ้อมปีนไว้จนชำนาญ เสียแต่ว่าเมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง ทั้งความมืด ทั้งความกลัว ค่อนข้างเป็นเครื่องถ่วงไว้ไม่ให้ดำเนินการได้รวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำใจกล้าฝึกซ้อมตอนกลางวัน

แต่พอมานั่งบนคาคบไม้ อิ๊กก็คล่องแคล่วขึ้น เพราะผูกเงื่อนเก่ง เธอเอาปลายด้านหนึ่ง พันๆเสียบไปเสียบมาครู่เดียวก็สำเร็จเสร็จเป็นเงื่อนรับน้ำหนักที่แน่นหนา จากนั้นก็นำปลายเชือกอีกด้านพับเป็นบ่วงและผูกเงื่อนกระตุกภายในอึดใจเดียว

ขั้นตอนสุดท้ายนั่นแหละช้าที่สุด อิ๊กตกลงกับตัวเองแล้วว่าเอาแน่ แต่นาทีสุดท้ายของชีวิต ต้องการความใจถึงมากกว่าที่คิด กล้ามเนื้อทั่วร่างของเธอหดเกร็ง แข้งขาเป็นเหน็บชาอย่างจะ

ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ถึงแม้กลั้นใจปิดตาแน่นกัดริมฝีปากแทบห้อเลือด สั่งให้ตัวเองโดด แต่ก็

ไม่รู้สึกว่าทำได้ ตรงข้ามกลับจะยิ่งอยากเลิกล้มความตั้งใจมากขึ้นทุกที

หายใจหอบ หัวใจเต้นตุบตับราวกับจะตีแผ่นอกให้พัง ขณะนั้นเอง สายลมดึกก็โชยกลิ่นทุ่งนามากระทบจมูก ทำให้นึกถึงใบหน้าพ่อแม่จิตใจกลับสงบเย็นลงได้อย่างประหลาด อาจจะเพราะมันทำให้อิ๊กระลึกถึงเทพารักษ์ ระลึกถึงรอยยิ้มของพ่อแม่ที่อยากเห็นอีกใจจะขาดมานานนับเดือน

จังหวะที่ความสว่างโล่งและความสบายใจบังเกิดขึ้น น้ำตาที่นองหน้าก็คล้ายเหือดแห้งสนิท

อิ๊กกลืนน้ำลายเป็นครั้งสุดท้าย บอกตนเองว่าเธอกำลังทำในสิ่งที่กล้าหาญ พ่อแม่จะต้องชมเชย

ตัดใจหย่อนตัวลงมา คราวนี้มันง่ายยิ่งกว่าง่าย เมื่อร่างหลุดจากคบไม้เสี้ยววินาทีแรก ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างจากตอนเล่นซนกระโดดจากกิ่งไม้เลย เหมือนไร้น้ำหนักไปชั่วขณะ แต่พ้นจาก ขณะนั้น ทุกอย่างก็ต่างไป มีการกระตุกจากบ่วงเชือกอย่างแรง จนรู้สึกคล้ายกระดูกคอต่อทำท่าจะเคลื่อนออกจากกัน แต่เพราะเส้นเชือกที่ไม่ยาวและน้ำหนักตัวของอิ๊กยังเบา ความรุนแรงจากการกระตุกจึงไม่อาจทำให้คอหักได้

ไม่มีเสียงจากเด็กน้อยแม้แต่อ๊อกเดียว เธอสัมผัสถึงขุยหยาบของเชือกที่บาดคอ บ่วงกระตุก ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างซื่อสัตย์ คือรัดคอเด็กน้อยแน่น จนเธอรู้สึกเหมือนถูกบีบคอด้วยคีมใหญ่ เค้นหนัก โหดเหี้ยม และเอาจริง ไม่ปรานีปราศรัย

ทีแรกเด็กน้อยรู้สึกถึงการแกว่งของขาสองข้างที่ห้อยโตงเตง แต่ความหน้ามืดและความอึดอัดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนค่อยๆทวีตัวขึ้น ก็กระตุ้นให้เตะขาไปมา ลูกนัยน์ตาของเธอถลนปูดโปนออกมาเหมือนจะแตก แสบร้าวไปทั้งกะโหลก ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวและวูบไหวน่ากลัว ทั้งนี้ก็ด้วยอาการดิ้นรนถีบอากาศ ด้วยความพยายามหลบหนีการบีบรัดของบ่วงเชือก จนร่างหมุนสะบัดตีวงคว้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจหลุดรอดไปได้เลย

รู้ตัวว่าเปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว อิ๊กพยายามแหกปากขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนไม่มีแก้วเสียงของตนเองอีกต่อไป คล้ายกลายเป็นหุ่นที่ทำขึ้นจากยางตัน และยางตันก็กำลังหดตัวขยุ้มเป็น ก้อนเล็กทึบแน่นมากขึ้นทุกที ไม่มีเรี่ยวแรงยกแขนขึ้นจับสายเชือกอย่างสิ้นเชิง ความจริงเธอไม่รู้สึกว่าเหลือแขนขาแล้วด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้หนังหัวร้อนฉ่าเหมือนไฟไหม้ และคล้ายในโพรงกะโหลกถูกอัดด้วยแก๊สความดันสูง กลายเป็นลูกโป่งใกล้ระเบิดรอมร่อ

ชั่ววินาทีแห่งความพยายามตะกายขออากาศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง อิ๊กก็สำเหนียกว่ามีความแตกต่างในทางดีขึ้น เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟังคำขอและให้อากาศแก่เธอ เด็กน้อยตะกายหายใจ แล้วพบว่าหายใจได้ ร่างกายจัดการสูบลมเข้าเองด้วยความตะกรุมตะกราม ลมหายใจกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ล้ำค่าอย่างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แม้จะเป็นของติดตัวมาแต่เกิดก็ตาม

มะแมเข้าเขตอยุธยาตั้งแต่ชั่วโมงเศษก่อนหน้า แต่ก็ถึงจุดประกอบอัตวินิบาตกรรมช้าไปนิดหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไม่อยู่ในเส้นทางของระบบ GPS แถมละแวกนั้นยังเต็มไปด้วยร่มไม้ใหญ่ครึ้มบดบังสัญญาณดาวเทียม เมื่อลงจากรถมาเดินเท้า ตัวชี้ตำแหน่งของระบบรุ่นเก่าจึงเลื่อนไปเลื่อนมา หาความน่าเชื่อถือมิได้

รอบบริเวณยังมืดมิด หล่อนลืมนึกว่าควรเตรียมไฟฉายมาด้วย จึงมะงุมมะงาหรา จับทิศจับทางไม่ถูก ได้แต่ออกเสี่ยงเดินไปในอาณาบริเวณกว้าง คอยเงี่ยหูฟังเสียงหรือจับตามองเงาความเคลื่อนไหวให้เฉียบไวที่สุดเท่านั้น

เดชะบุญ หันไปเห็นแสงไฟฉายตกจากที่สูงลงพื้นพอดี มะแมจึงดีดตัวแล่นลิ่วเป็นนางกระต่าย แข่งกับเวลาจากระยะห่างร่วมสองร้อยเมตร หลบหลีกดงหญ้า ฝ่าพื้นแข็งเป็นหลุมเป็นบ่อ ตัดตรงเข้าหาเป้าหมายโดยไม่สนใจว่ากำลังจะต้องเจอใคร เป็นชายหรือหญิงวัยไหน

แม้ถึงช้าทว่าทันการณ์ เห็นเงาตะคุ่มห้อยโตงเตงจากกิ่งไม้ใหญ่ แสดงความเคลื่อนไหวของชีวิต ไม่ใช่ความนิ่งทื่อของศพ มะแมรีบฉวยไฟฉายซึ่งกำลังสาดแสงฟ้องจุดตกของมันอยู่ พอฉายไฟขึ้นสูงก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ ภาพดิ้นรนเตะอากาศของคนผูกคอตายในความมืดที่มีแสงส่อง จากมุมเงยนั้น ชวนขนพองสยองเกล้าเอาเรื่อง

แต่ขณะเดียวกันก็โล่งอกเมื่อพบว่านั่นเป็นเด็กหญิงร่างเล็ก แถมเลือกกิ่งไม้เตี้ยสุด เมื่อรวม ความยาวเส้นเชือกกับส่วนสูงของแม่หนูน้อยแล้วปลายเท้าก็ห่างพื้นเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร ซึ่ง หมายความว่ามะแมแค่ใช้อ้อมแขนรวบขาเด็กยกขึ้น เธอก็รับอากาศหายใจเบื้องต้น รอดตายได้

ยินเสียงสำลักหายใจเฮือกๆกระหืดกระหอบเกือบครึ่งนาที และก่อนแขนของมะแมจะล้า หล่อนก็รับรู้ว่าเด็กน้อยตะเกียกตะกายคว้าเส้นเชือก จึงร้องสั่ง

"ยืนบนบ่าของพี่ก่อน"

จับเท้าน้อยทั้งสองข้างมาวางบนบ่าตน ซึ่งเด็กก็รู้เรื่อง หยัดฝ่าเท้าจับหลักยืน พอเธอตั้งตัว ได้เป็นแนวตรงมั่นคงแล้ว เส้นเชือกก็หย่อนลง คลายการรัดให้หายใจหายคอสะดวกตามปกติ

อิ๊กมือไม้สั่น อาการหน้ามืดตกค้างไม่อาจเอาชนะความกลัวตาย เธอตั้งสติสุดกำลัง คลำหาปมเชือกบนคอแล้วรูดคลายเงื่อนปรูด มือหนึ่งยกบ่วงพ้นจากศีรษะ อีกมือโหนเส้นเชือกไว้กัน หงายหลัง

มะแมโล่งอกอีกรอบที่เด็กหญิงฉลาดและไวพอ ฝ่ายนั้นย่อร่างลงอย่างรวดเร็ว ใช้มือยึดจับ ศีรษะหล่อน แล้วโน้มร่างลงโอบกอดรอบคอ ทิ้งเท้าลงพื้นโดยสวัสดิภาพ

พอลงพื้นได้ อิ๊กก็ป้อแป้ไปพิงหลังเข้ากับต้นลั่นทมอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ปวดหัวหนัก หายใจผิดจังหวะ และมีอาการประสาทกระตุกตามแขนขาเป็นระยะ

มะแมก็หมดแรงด้วยเหมือนกัน แต่มีแก่ใจฉายไฟส่องสำรวจทั่วตัวเด็ก ก่อนนั่งแปะลงกับพื้น เงยหน้ายิ้มกับฟ้ามืด ราวกับจะส่งคำขอบคุณไปให้ใครสักคนบนนั้น

ยุพินกำลังเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เมื่อเสียงกริ่งเรียกจากอาคันตุกะยามวิกาลดังขึ้น หล่อนขมวดคิ้ว ใบหน้าที่เหมือนพร้อมจะหาเรื่องคนอยู่แล้ว ยิ่งดูบึ้งตึงหนักขึ้น

"ใครวะ?" รำาพึงพลางมองนาฬิกาบนผนัง "เที่ยงคืนแล้ว ถ้ากดผิดบ้านแม่จะด่าให้"

ลุกจากเบาะ เดินข้ามสามีพุงหลามที่นอนขวางทางอยู่ หล่อนรู้ทันว่าเขาตื่นขึ้นมาด้วยเสียง กริ่ง แต่ไม่อยากเป็นธุระเลยทำเป็นหลับไม่รู้เรื่อง

กดสวิทช์เปิดไฟรั้ว เลื่อนประตูกระจก ยื่นหน้าไปส่องสำรวจว่าใครยืนอยู่หน้าบ้าน แสงนีออนจากเสาส่องให้เห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก เห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกว่าเข้าทางที่นึกๆอยู่ก่อน

"มาหาใครจ๊ะ?"

ตะโกนถาม ลงท้ายจ๊ะจ๋าแต่ตาเขียว

"มาหาคุณยุพินค่ะ"

เป็นเสียงตอบใสนุ่มมาจากประตูหน้า ยุพินทำปากจิ๊กจั๊ก ไม่ผิดตัวท่านี้สงสัยเป็นธุระด่วน หล่อนเกลียดธุระด่วนกลางดึกเป็นที่สุด เพราะมันมักหมายถึงความเดือดร้อนบางอย่างที่ญาติหรือ คนใกล้ตัวไปสร้างไว้

เดินมาไขกุญแจประตูรั้ว พอเห็นเด็กหญิงอิ๊กก็อ้าปากหวอ

"นังอิ๊ก!"

ทำท่าเหมือนจะเข้าไปคว้ามาหวด แต่มะแมดันตัวเด็กหญิงอิ๊กไปหลบข้างหลัง เอาตนเป็น กำแพงบัง

"ดิฉันแวะมาเรียนให้ทราบว่าน้องอิ๊กปลอดภัยดี หลังจากพยายามผูกคอตายแต่ไม่สำเร็จ เพราะดิฉันมาช่วยไว้ได้ทันเสียก่อน"

"หือ? อะไรกันนี่ มันหนีออกไปเมื่อไหร่ฉัน ยังไม่รู้เรื่องเลย หนอย! จะไปผูกคอตายเหรออีเด็กเวร" แล้วก็หันมาพูดกับสาวแปลกหน้าเสียงอ่อนลง "ขอบใจนะที่พามาส่ง"

"ดิฉันไม่ได้จะพามาส่ง แต่แวะมาเก็บของเพื่อพาน้องอิ๊กไปอยู่ด้วย"

คราวนี้ยุพินยกมือเท้าเอว เสียงเริ่มดังขึ้น

"มันยังไงนี่ ขบวนการค้าเด็กหรือยะหล่อน เธอน่ะเป็นใคร?"

"คุณยุพินเองก็ไม่ได้เต็มใจเลี้ยงอิ๊กอยู่แล้วนี่คะ ดิฉันเป็นใครจะแปลกอะไร"

"แปลกสิ!" แล้วก็ลดเสียงลงเป็นซุบซิบแบบเสนอราคาลับๆ "เด็กหน้าตาแบบนี้น่ะขาย แพงนะ"

"ดีค่ะ! พรุ่งนี้ดิฉันจะส่งตำรวจพร้อมทนายความมาเจรจาเรื่องราคาเด็กก็แล้วกัน แต่ก่อนพูดเรื่องราคา คงต้องคุยเรื่องคุณป้าใจร้ายเฆี่ยนตีเธอจนหลังลายทั้งที่ไม่มีความผิด กับเรื่องที่คุณลุงขี้เมาปลุกปล้ำทำอนาจารขณะเธออายุยังไม่ถึง ๑๕ มีหลักฐานเป็นอวัยวะเพศฉีกขาดชัดเจน ดิฉันคิดว่าคนในบ้านนี้อาจต้องเข้าคุกเป็นสิบปี ก่อนจะพ้นโทษออกมารับค่าตัวเด็กนะคะ!"

เมื่อเอาตำรวจกับทนายมาขู่ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น มะแมกับอิ๊กเข้าไปเก็บสมบัติข้าวของที่จำเป็น

ซึ่งมีไม่กี่ชิ้นโดยสะดวก ส่วนนางยุพินกับนายนิพนธ์สามี ก็ได้แต่ยืนซุบซิบกันห่างๆ ไม่กล้าขัด

ขวางหรือทำอะไร ด้วยความเข้าใจว่ามะแมเป็นคนของพวกคุ้มครองสิทธิเด็กและสตรี หรือไม่อีกทีก็เป็นตำรวจ!

________________________________________________________________________________
บทที่ ๗

มะแมอ่อนเพลียจนเผลองีบขณะจอดรถเติมน้ำมัน กระทั่งเด็กปั๊มต้องเคาะกระจกเรียกเพื่อเก็บค่าน้ำมัน

มันเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยต่อเนื่องอย่างแท้จริง ปกติหล่อนจะได้พักผ่อนหลังเลิกงาน ๕ โมงเย็นและเข้านอนตั้งแต่ ๔ ทุ่มเศษ แต่วันนี้ ๕ โมงเย็นคือการเริ่มภาระหนักหน่วงยิ่งกว่าชั่วโมงทำงานปกติเสียอีก นับจากกรณีของแจ๊บ ที่ต้องเสียแรงอ้อนวอน ต้องเสียใจที่ช่วยไม่สำเร็จ ต่อด้วยการขับรถมาอยุธยา ตามหาคนฆ่าตัวตายท่ามกลางความมืด แล้วจบด้วยการสวมบทแข็ง เจรจากับหญิงร้ายชายเลวคู่หนึ่ง

มะแมจ่ายค่าน้ำมันแล้วเลื่อนรถมาจอดหน้ามินิมาร์ท ๒๔ ชั่วโมงของปั๊ม หันไปถามอิ๊กด้วย ยิ้มปรานี

"หิวอะไรไหม?"

แม่หนูน้อยสั่นศีรษะ ยังคงจับตามองมะแมด้วยความฉงนงงงวยไม่เลิก นับแต่นาทีแรกจนกระทั่งบัดนี้ เพิ่งมีโอกาสสบตากันชัดๆในภาวะปกติ มะแมเอียงคอยิ้มหวาน พินิจหน้าผากโค้งมน แก้มยุ้ยน่ารัก และนัยน์ตากลมโตใสแจ๋วที่ทอประกายระแวงภัย นึกเอ็นดูยิ่งขึ้นทุกที บอกตัวเองว่าเด็กคนนี้มีดี และจะโตขึ้นอย่างคนที่เป็นคุณ ไม่ใช่เป็นโทษกับโลก ยิ่งถ้าอยู่ในมือหล่อน หล่อนจะปั้นให้ "เกินของเดิม" สักแค่ไหนก็ได้

ชักสนุกกับการเลี้ยงคน ไม่รู้สึกเป็นภาระ ไม่รู้สึกกระทั่งแปลกหน้า รู้สึกแต่ว่าหล่อนกับอิ๊กเข้ากันได้ และเป็นการเข้ากันได้เกินกว่าผู้อุปการะกับเด็กในอุปการะ จากการสัมผัสรู้ หล่อนยังลงรายละเอียดมากไม่ได้ รู้แต่ว่าเด็กคนนี้จะตอบแทนหล่อนยิ่งกว่าลูกตอบแทนแม่!

อย่างน้อยที่สุดเริ่มต้นขึ้นมา การรอดชีวิตของอิ๊กก็ยิ่งกว่าชดเชยความเสียใจที่ช่วยชีวิตแจ๊บไม่สำเร็จ คล้ายทำพลอยเม็ดงามหลุดมือร่วงหล่นกระแทกพื้นแตกกระจาย แต่ก็ได้แก้ววิเศษจากเบื้องบนมาแทนกัน หล่อนมองทะลุเศษฝุ่นหนาเตอะเข้าไปเห็นความแพรวใสจากภายในของเด็กคนนี้ และรู้ดีว่านี่แหละ ที่เรียกค่าควรเมือง!

"อิ๊กสงสัยอยู่หรือเปล่า ว่าทำไมพี่มะแมต้องมาช่วย?"

สาวพลังจิตอ่านใจและทักออกไป อิ๊กพยักหน้า อาการตัวลีบคลายลงนิดหน่อย

"แล้วอิ๊กสงสัยด้วยใช่ไหมว่าพี่มะแมเป็นใคร ทำไมถึงรู้ ทำไมถึงมาทัน?"

อิ๊กพยักหน้าอีก ความจริงเธอไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา ดูจะฉลาดเกินวัยด้วยซ้ำ แต่ความตายพร้อมกันของพ่อแม่ ประกอบกับการเลี้ยงเยี่ยงทาสของป้ากับลุง มีผลให้สมองและความคิดอ่านมืดมัวลง จนมองโลกในแง่ร้ายไปหมด

"พี่มะแมทำงานให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นใครคนหนึ่งที่เชื่อว่า ให้เปล่าจะได้เปล่า" หล่อน แนะนำตัวเองและยังคงยิ้มหวานไม่เลิก "ไม่ต้องเข้าใจที่พี่มะแมพูดตอนนี้ แต่อยู่กับพี่มะแมแล้ว อิ๊กจะค่อยๆเข้าใจไปเอง"

"หมายความว่าตอนนี้จะไม่ให้อิ๊กเข้าใจอะไรเลยหรือคะ?"

"ใช่! ไม่ต้องเข้าใจอะไรเลย แค่ไว้ใจความรู้สึกของตัวเองก็พอ อิ๊กรู้ดีว่าพี่มะแมไม่ใช่คนร้าย แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาทำร้ายอิ๊กด้วย!"

ความใสแพรวของแก้วเสียง กับความหนักแน่นของน้ำคำ ฟังอบอุ่นจนเด็กหญิงเบะปาก ยกสองมือเช็ดน้ำตา ส่งเสียงสะอื้นฮักอย่างเพิ่งเชื่อว่าตนพ้นจากภยันตรายมาได้จริงๆ

มะแมเอื้อมมือไปลูบศีรษะกลมมนอย่างแสนรักแสนอาทร

"ตอนขามา พวกเราร้องไห้ได้เองโดยไม่ต้องเรียนจากใคร ก่อนถึงขาไป ก็น่าจะเรียนจากใครสักคนที่เขารู้วิธีหยุดร้องไห้แล้ว... อย่าคิดตายทั้งน้ำตาอีกนะลูกนะ"

สัมผัสยิ่งใหญ่ประดุจแม่หยุดเสียงร้องของอิ๊กได้ แต่เธอยังคงปิดตานิ่ง อาจเพราะไม่อยากลืมตาขึ้นมาเห็นว่าผู้ที่อยู่ข้างกายยามนี้ หาใช่มารดาของตนไม่...

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป มะแมไหว้วานเพื่อนที่เป็นทนายความให้ช่วยเดินเรื่องเกี่ยวกับเอกสารของเด็กหญิงอิ๊ก ส่วนหล่อนเองก็ต้องวิ่งระหว่างกรุงเทพฯกับอยุธยาในวันหยุดที่เก็บไว้พักผ่อน เหมือนกัน แต่ที่สุดเด็กเป็นของหล่อนโดยบริบูรณ์คือมีชื่อมาอยู่ในบ้าน และมีฐานะเป็นผู้ได้รับการอารักขาอย่างเป็นหลักเป็นฐาน

ทุกอย่างดีไปหมด หยิมเป็นพี่เลี้ยงที่อิ๊กรักกับทั้งช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องเล็กใหญ่ให้ จึงเบาแรงมะแมไปเยอะ

อิ๊กจบ ป.๓ ลุงกับป้าไม่ส่งให้เรียนต่อ และระหว่างนี้ก็เป็นช่วงกลางปีการศึกษา ต้องรอครึ่งปีจึงให้เข้า ป.๔ ได้ นับว่าเหมาะมาก ช่วงรอปีการศึกษาใหม่นี้ หล่อนจะสอนอิ๊กให้สนุก ที่นี่จะเป็นโฮมสกูลที่ไม่มีใครเหมือน

และช่วงนั้นก็เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่มะแมไม่ได้รับจดหมายลึกลับอีกเลย จนเผลอคิดไปว่าที่แท้เจ้าของจดหมายทำทั้งหมดก็เพียงต้องการส่งถ่ายภาระรับผิดชอบ จะยกให้หล่อนเลี้ยงดูน้องอิ๊กเท่านั้น

แต่มะแมก็ได้รู้ว่าคิดผิด เที่ยงวันหนึ่งหยิมเดินเข้ามาถามว่า

"พี่มะแมคะ เอ่อ... จดหมายมาอีกแล้วค่ะ จะรับไหมคะ?"

"รับ!"

ตอบทันที จดหมายจากเทวดา ใครไม่รับก็บ้าแล้ว!

พอหยิมเดินจากไป มะแมก็ฉีกซองดึงกระดาษออกอ่าน นึกในใจว่าจดหมายบอกอะไร หล่อนจะปฏิบัติตามโดยไม่ขัดขืน ไม่อิดเอื้อน ไม่เสียเวลาคิดหน้าคิดหลังอีกเลย แต่แล้วพออ่านเข้า หัวใจก็หล่นวูบ...

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตาภายนอกให้ดี ข้างในอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น

ตลอดทั้งบ่ายนั้น มะแมใจเต้นไม่เป็นส่ำเป็นระยะ โดยเฉพาะช่วงที่มีลูกค้าหนุ่มโผล่ศีรษะเข้ามา ต้องจ้องให้ดีว่าเป็นพ่อคนนี้ หรือว่าพ่อคนนั้นที่มีอะไรดีพอจะจับตาให้หล่อน "หลงสิ่งล่อตา ภายนอก" ได้

ความรู้สึกมันค้าน ชาตินี้จะให้หล่อนรักผู้ชายคนไหนได้ ขนาดคนที่เคยทำให้นึกว่า บุพเพสันนิวาสมีจริง ยังกระเด็นไปไกลแบบไม่มีทางกลับมาต่อได้ติด

แต่จดหมายก็กลายเป็นนายที่คอยบัญชาชีวิตหล่อนไปเสียแล้ว หล่อนต้องก้มหน้ารับฟังคำเตือนหรือไม่ก็ "คำสั่ง" อย่างไม่มีเงื่อนไข บอกตนเองว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์สงสัย ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง แล้วก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องขอรู้ที่มาที่ไปใดๆทั้งสิ้น

ถ้าการปักใจเชื่อเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นคือความงมงาย หล่อนก็กลายเป็นคนงมงาย ไปแล้วเรียบร้อย เวลาอ่าน "จดหมายจากเทวดา" มะแมรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงนิดเดียว สติปัญญาและความเชื่อมั่นในตัวเองสาบสูญไปหมด

๕ โมงเย็น ได้เวลาเลิกงาน ลูกค้าคนสุดท้ายจากไป มะแมได้แต่เอนหลังพิงพนัก วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น จดหมายทุกฉบับเป็นการทำนายอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นเมื่อนั่นเมื่อนี่

เย็นนี้มีงานสวดอภิธรรมวันที่ ๗ ของแจ๊บ ข่าวฆ่าตัวตายของแจ๊บได้ลงหนังสือพิมพ์ประกาศชื่อนามสกุลจริงพร้อมหน้าตา และข่าวก็ค่อนข้างดัง เนื่องจากเป็นสาวสวย เป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ อีกทั้งมีการขุดคุ้ยว่าพระเอกชื่อดังเคยจีบสมัยเรียน แต่จีบไม่ติดอีกต่างหาก

นอกจากนั้น การเลือกสถานที่ตายยังเป็นอะไรที่บาดใจคนรับรู้ เพื่อนสนิทของแจ๊บให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าน่าจะเป็นจุดชมอาทิตย์ตกดินริมทาง ที่แจ๊บเล่าให้ฟังซ้ำๆหลายรอบว่าชอบที่สุด โรแมนติกที่สุด ตอนอยู่ด้วยกันกับแฟนหนุ่ม

ประเด็นแจ๊บถูกสังคมอินเตอร์เน็ตหยิบยกมาวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน บางคนสงสาร บางคนสาปส่งไล่หลัง แต่ทุกคนจะไม่เข้าใจเหมือนๆ กัน คือสวยขนาดนั้น จบสูงขนาดนั้น ไฉนจึงไม่เสียดายชีวิต ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปโลกอื่นเพียงเพราะอกหักรักคุดหนเดียว

แต่มะแมเห็นใจและเข้าใจแจ๊บดี นรกแห่งการสูญเสียสวรรค์นั้น ใครไม่เจอกับตัวเองจะไม่รู้ว่าโหดร้ายเพียงใด แม้เคยมีดีแค่ไหนก็ไร้ค่าไปจนหมด

สวดคืนที่ ๓ มะแมไปร่วมงานมาแล้วครั้งหนึ่ง นั่งเงียบๆอยู่ข้างหลังสุดตามลำาพัง แสดงความเสียใจกับพ่อแม่ของแจ๊บแค่นิดหน่อยก่อนกลับ ไม่มีใครรู้จักหรือจำหล่อนได้ในทางใดๆ

วันนี้สวดเป็นคืนสุดท้าย มะแมนึกอยากไปอีก ตั้งใจให้คืนสวดสุดท้ายเป็นครั้งสุดท้ายที่หล่อนจะรู้สึกผิดกับกรณีของแจ๊บ พ้นจากนี้ไป หล่อนจะล้างความคิดคำนึงต่างๆที่จางลงมากแล้วเสียให้หมด จะไม่มีการทบทวนความผิดพลาดกันอีก

นี่คือเวลาสำาหรับการเรียนรู้ เมื่อเจอบทเรียนที่เจ็บปวด ทิ้งความเจ็บปวดไป เก็บไว้แต่บทเรียน!

บรรยากาศคืนสุดท้ายไม่โศกสลดอย่างคืนแรกๆ คล้ายทุกคนทำใจยอมรับได้แล้วว่าแจ๊บจากไปจริงๆ จะพูดว่าได้เวลาอันควรหรือก่อนเวลาอันควร ความจริงอันเป็นที่สุดที่เหลืออยู่ให้คนข้างหลังประจักษ์ ก็คือแจ๊บจะไม่กลับมาอีก

มะแมเลือกที่นั่งหลังสุดตามเคย หล่อนทอดตามองรูปถ่ายข้างโลงขาว เป็นใบหน้ายิ้มสะสวยราวกับนางแบบดาวเด่น มองกี่ครั้งทุกคนก็อดใจหายไม่ได้ มันเหลือเชื่อว่าหน้าตาอย่างนี้อายุแค่นี้ ไม่อยู่ให้เห็นตัวจริงกันแล้ว

โฟกัสสายตาของมะแมจับจุดเลยภาพไปนิดหนึ่ง ยึดเอาบรรยากาศรอบข้างทั้งหมดของ งานศพเป็นตัวแทนแจ๊บ แล้วทำความรู้สึกไปถึงจิตของแจ๊บ สัมผัสถึงสภาพค่อยๆฟื้นตัวแบบคนเพิ่งตื่นนอนบ้าง หรือเหมือนงงๆจับต้นชนปลายไม่ติดแบบคนง่วงงุนกำลังจะหลับบ้าง

โดยไม่จงใจอยากเห็น นิมิตหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงมโนทวารของมะแม ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสภาพปัจจุบันหรือสภาพที่กำาลังจะเกิดขึ้นกับแจ๊บกันแน่

หล่อนเห็นทัศนียภาพบนผาสูงแห่งหนึ่ง มองไปข้างหน้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ขอบฟ้าทอแสงหลากสีของอาทิตย์อัสดง แม้ภาพทั้งหมดจะงดงาม แต่ทว่าบรรยากาศกลับเงียบเหงา เศร้าสร้อย และเยียบเย็นอ้างว้างล้ำลึก ไม่ชวนเคลิ้มฝันดังควร

มะแมเห็นเหมือนตัวเองกลายเป็นแจ๊บ นั่งเหม่อมองเวิ้งฟ้าอยู่ตามลำพัง รู้สึกถึงสีหน้าเย็นชา รู้สึกถึงอาการไม่ไหวติง และรู้สึกถึงอารมณ์อ้อยอิ่ง คิดตัดพ้อคนรักอยู่ตลอดเวลา

เมื่อถลำลึกเข้าไปรวมเป็นอันเดียวกับแจ๊บ ครู่หนึ่ง จิตของมะแมก็บอกตนเองว่าสภาพใหม่ของแจ๊บคือเปรตเฝ้าเหว เป็นเปรตสาวรูปร่าง หน้าตาสวยไม่ต่างจากเดิม เพราะจิตก่อนตายยึดภพหรือภาวะแบบนั้นไว้

แจ๊บจะได้เหม่อมองพระอาทิตย์ตกดินทุกเย็น และคนไปเที่ยวชมวิว ณ จุดนั้นในยามสนธยา ก็อาจจะไม่มีความสุขสงบกันอีกเลย ในเมื่อนิสัยแจ๊บเป็นพวกไม่ชอบให้ใครรบกวนอาณาเขตส่วนตัว!

เข้าใจเหตุผลของชีวิตหลังความตายเพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง บุญเก่าบวกกับนิสัยบางอย่างทำให้ "ผี" บางตนยังดูดีและมีฤทธิ์ได้เช่นนี้เอง

แจ๊บตายไปพร้อมกับอาการถือมั่นในคนรัก

และทิวทัศน์วิจิตร บุญเก่าที่ยังไม่หมดอายุมาช่วยตกแต่งภาวะให้งามดังเดิม แต่บาปใหม่ก็ยึดแจ๊บไว้กับความเงียบเหงาเศร้าสร้อย ทรมานใจกับการรอคอยบางสิ่งที่ไม่มีวันมาถึง

หากเกิดภาพบาดตาบาดใจ เช่นมีหนุ่มสาวมาพลอดรักชมตะวันตกดินด้วยกันละแวกนั้น ไอละมุนของคู่รักอาจก่อตัวเป็นกระแสกระทบใจ กระทุ้งให้แจ๊บพลอยชื่นชม หรือไม่ก็รบกวนแจ๊บให้นึกริษยาแล้วนึกอยาก "เฮี้ยน" สำแดงเดชในทางใดทางหนึ่ง ตามแต่การสืบนิสัยจากครั้งเป็น มนุษย์

ยังคงสงสารเสมอในสัมผัสของมะแม สภาพแจ๊บเหมือน "ติดกับ" และไม่อาจคืนสู่อิสรภาพไปอีกนาน แล้วด้วยสภาพจิตใจอ่อนแอเยี่ยงนั้น แม้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็จะมีกำลังใจอ่อนทนอะไรไม่ค่อยได้ จ้องแต่จะคิดเอาตัวรอดแบบลัดๆ จนกว่าจะมีสักภพชาติหนึ่งที่เปลี่ยนความอ่อนแอเป็นความเข้มแข็งขึ้นมาได้ใหม่ โดยผ่านบทฝึก บททดสอบกันน่วม

แต่ให้สงสารแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไรเลย การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเพื่อเลื่อนชั้นภูมิให้กับคน ตั้งใจฆ่าตัวตายเป็นเรื่องยาก มันยิ่งกว่าเพียรเปลี่ยนใจเด็กหัวแข็งให้กลายเป็นเด็กหัวอ่อน หรือยิ่งกว่าพยายามสอนเด็กหัวทึบให้ฉลาดในสมการคณิตศาสตร์ชั้นสูง นักฆ่าตัวตายเหมือนเอามือปิดหูปิดตาตัวเองไว้มิดชิด แสงอาทิตย์ที่ไหนจะส่องลอดเข้าไปให้ความสว่างได้

คิดตก เห็นตามจริง และเลิกเอาใจไปผูกกับนิมิตเหงาหงอยน่าสงสารของแจ๊บ แต่ละคนสร้าง กรง แล้วก็ติดอยู่ในกรงที่สร้างมากับมือ ไม่มีใครปลดปล่อยใครได้

ขณะนั้น เกิดแรงดึงสายตาชนิดหนึ่ง ชวนให้มะแมเหลียวไปทางซ้าย เห็นผ่านกระจกใสว่า ชายในชุดสูทดำคนหนึ่งเดินเดี่ยว ตรงสู่ทางเข้าศาลา หน้าตาเศร้าหมอง และยิ่งเก้อเขินเมื่อ พยายามยกมือไหว้ผู้ใหญ่ของงานแล้วทุกคนเมินไม่รับไหว้ ไม่รับซอง แกล้งทำเหมือนไม่เห็น หรือเดินหลีกไปทางอื่นทันทีที่หนุ่มคนนั้นเข้าใกล้ เรียกว่าทางเข้าศาลาค่อยๆขยายรัศมีอึมครึมน่าอึดอัด เพียงด้วยการปรากฏร่างของหนุ่มหน้าใหม่นี่เอง

รู้ทันทีว่านั่นคือ "พี่ปาย" ของแจ๊บ เห็นมาดสง่าที่แปรเป็นเก้ๆกังๆไปชั่วขณะของเขาแล้วนึก สงสาร ขณะเดียวกันก็เข้าใจอารมณ์กระด้างที่เกิดขึ้นในระหว่างหมู่ญาติของแจ๊บ หล่อแค่ไหนก็ ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ใครเป็นญาติก็ต้องอายที่แจ๊บตายเพราะนายคนนี้

ไม่มีใครผิดในเกมรักที่เลิกร้าง ถ้าต่างฝ่าย ต่างมีชีวิต แต่หากมีการคิดสั้น คนตายจะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำที่น่าสงสาร ส่วนคนอยู่ข้างหลังจะถูกปรับให้เป็นฝ่ายผิด หรือกระทั่งเป็นคนเลว โดยอัตโนมัติ ขนาดบินข้ามโลกมาร่วมงานศพยังไม่มีญาติคนไหนให้อภัยสักราย เออหนอ! โลก

หนอโลก

แต่บรรยากาศเย็นชาหน้าตึงก็คลี่คลายจนได้ เมื่อคุณแม่ของแจ๊บลุกจากที่นั่ง นำธูปหนึ่งดอกมาให้หนุ่มหัวเดียวกระเทียมลีบด้วยตนเอง

สีหน้าของปายดีขึ้น พนมมือไหว้ ปากขยับเป็นคำพูด "สวัสดีครับคุณแม่" แย้มยิ้มและพยายามยื่นซองเงินช่วยงานศพให้มารดาของอดีตคนรัก แต่ฝ่ายนั้นยกมือปฏิเสธแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างสุภาพ คล้ายทำตามมารยาทเสร็จแล้ว ก็ไม่อยากเสียเวลาโอภาปราศรัยด้วยอีก

นั่นเอง ปายจึงกลับปิดปาก เดินคอตกเข้าศาลา มาไหว้ศพแบบตกเป็นเป้าสายตาโดดเด่น

ทุกคนที่นั่งรอพระอยู่ก่อนเงียบกริบ ราวกับเขาเป็นตัวประหลาด บางคนไม่รู้ก็เพิ่งได้รู้จากการ บอกต่อๆกัน ว่าทำไมเหล่าญาติของแจ๊บจึงออกอาการไม่ไว้หน้ากันขนาดนั้น

คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ถ้ามีคนบอกว่าปายเป็นหนึ่งในผู้ชายที่หล่อที่สุดในประเทศไทย แค่ท่วงทีเดินเหินของเขาก็อาบมนต์ขลังบางอย่างสามารถกระตุกหัวใจผู้หญิงทุกคนในโลกให้ตื่นเต้นได้แล้ว

พอปักธูปลงกระถางเสร็จ ปายก็เดินไปนั่งทางหนึ่งไกลจากหล่อน มะแมมองเขาจากด้าน หลังเป็นครู่ ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ และถามตนเองว่า จำเป็นหรือเปล่าที่หล่อนจะต้องนำคำสุดท้ายของ คนตายไปบอกเขา

ชั่งใจครู่หนึ่งก็คิดว่าไม่บอกดีกว่า หล่อนเขิน และไม่รู้สึกว่านั่นเป็นข้อความสลักสำคัญชนิดคอขาดบาดตาย ก็แค่อารมณ์สุดท้ายที่แจ๊บอาจปล่อยให้หลุดเป็นประโยคเพ้อๆโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำ

แต่นั่งอยู่ดีๆ นาทีต่อมาก็นึกขึ้นได้เองว่าแจ๊บอาจอยากฝากหล่อนบอกเขาจริงๆ ทำไมหล่อน

ถึงคิดว่าคำสั่งเสียของคนก่อนตายไม่สำคัญ คำสุดท้ายก่อนตายน่าจะเป็นคำที่คนตายอยากพูด

ที่สุดในชีวิตด้วยซ้ำ

ครั้นจะลุกขึ้นแล้วไปกระซิบกระซาบข้างหูเขา มันก็ดูกระไรอยู่ ปายอาจเข้าใจว่าหล่อนเป็นหนึ่งในสาวที่มากรี๊ด และพยายามหาทางชวนคุยเป็นการทอดสะพานก็ได้

แล้วมะแมก็นึกออก แค่เอากระดาษกับซองจดหมายจากกระเป๋าถือมาเขียนบอก ไม่น่าเคอะเขินเหมือนให้พูดกับปากแต่อย่างใด

ฝากบอกพี่ปายด้วยว่าขอโทษ ทำไมแจ๊บถึงรักเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้...

พิธีสวดเสร็จสิ้นลงในเวลาทุ่มครึ่ง บรรดาแขกผู้มาร่วมงานต่างก็ทยอยล่ำลาและแยกย้ายกลับบ้าน ซึ่งก็รวมทั้งหนุ่มปายด้วย เขาก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆอย่างทราบว่าไม่มีใครยินดีมองหน้า มะแมเดินตามออกมา ทิ้งระยะห่างไม่กี่ก้าวพอเขาถึงรถและกำลังเอื้อมมือเปิดประตู มะแมก็ทักเบาๆ

"คุณปายใช่ไหมคะ?"

ปายเหลียวมามอง นึกว่าเป็นญาติของแจ๊บก็รีบรับ

"ครับ!"

มะแมถอนใจ เพิ่งรู้ชัดว่าทำอย่างนี้ถึงจะถูกต้อง คำสั่งเสียคนตาย ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงช่วยได้ก็ควรมีน้ำใจช่วยให้สมปรารถนา

"นี่เป็นข้อความที่คุณแจ๊บฝากดิฉันไว้ให้กับคุณปายนะคะ อย่าแปลกใจถ้าเห็นว่าไม่ใช่ลายมือของเขา เพราะเขาบอกฝากมาทางโทรศัพท์ และดิฉันก็เพิ่งเขียนแบบคำต่อคำเมื่อครู่นี้เอง"

ยื่นซองให้ ซึ่งปายก็ทำาหน้างงๆขณะยื่นมือรับ แล้วมะแมก็กลับหลังหันเดินจากไปทันที

ปายแกะจดหมายอ่าน พออ่านเสร็จก็รีบวิ่งตาม และมาทันกันภายในอึดใจเดียว เขายืนดักหน้า บังคับในทีให้มะแมต้องหยุดเดิน

"ขอบคุณมากครับ" จ้องลึกลงไปในตาหล่อนด้วยแววเจ็บปวด "ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าแจ๊บคุยอะไรกับคุณบ้าง"

"ดิฉันขอทำหน้าที่แค่ส่งข้อความสุดท้าย ที่คนตายฝากฝังไว้จะได้ไหมคะ?"

พูดตัดบทและผินหน้าไปทางอื่น อาจจะเพราะคร้านกับการลงรายละเอียด หรืออาจจะเพราะ... ยังไม่อยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถต้านทานเสน่ห์ของปายได้หรือเปล่า!

"ขอโทษนะ เอ่อ... นี่คุณมะแมใช่ไหม?"

หญิงสาวคอแข็งหน่อยๆ ปิดปากเงียบแทน

คำาตอบ ราวกับซ่อนพิรุธอะไรไว้

"ก่อนเกิดเรื่อง แจ๊บอีเมลไปหาผม เปรยว่าไปหาหมอดูชื่อมะแม แล้วก็แย้มให้ฟังว่าโดนทัก อะไรมาบ้าง"

"เหรอคะ"

มะแมพึมพำแบบไม่มีความหมาย ไม่แปลกใจ และไม่ต้องการต่อความยาวใดๆ

"เขาทึ่งมากที่คุณรู้เรื่องระหว่างผมกับเขาทุกอย่าง แถม... รู้ในสิ่งที่ยังไม่สมควรรู้"

นั่นเป็นคำจี้จุดที่มะแมไม่อยากฟัง และก็ทำให้พูดห้วนๆสวนออกไปแบบปกป้องตนเอง

"ตอนเรื่องยังไม่เกิด ใครจะรู้ว่าอะไรสมควรอะไรไม่สมควร!"

ปฏิกิริยาชนิดนั้นทำาให้ปายตกใจและรีบแก้

"เอ่อ...ผมไม่ได้หมายความว่าเป็นความผิดของคุณนะครับ ขอโทษถ้าทำาให้เข้าใจว่าตำหนิคุณอยู่"

มะแมรู้สึกตัวก็ก้มหน้า เสียงอ่อนลง

"มันก็เป็นความผิดของมะแมจริงๆแหละ และกรณีของคุณแจ๊บก็ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน"

ปายจับจ้องเสี้ยวหน้างามแล้วตัดสินใจเอ่ยชวน

"ขอเวลาคุณมะแมสักสิบนาทีได้ไหม ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมนอนไม่หลับเลย ทรมานใจจน อยากบวช แต่ยังไงช่วงนี้ก็บวชไม่ได้แน่ๆ"

หญิงสาวลังเล ก่อนพยักหน้าหน่อยๆ เดินตามเขามานั่งที่ชุดโต๊ะหมู่ซึ่งทางวัดตั้งไว้ตามทาง พอนั่งลงได้ปายก็เข้าจุดทันที

"ช่วงหลังผมกับแจ๊บคุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่คำด่า หรืออย่างเบาก็คำกระแนะกระแหน ผมเลยไม่นัดคุยออนไลน์ แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์ตอนเขาโทร.มา จะอ่านก็เฉพาะอีเมล เพราะค่อยปลอดโปร่งหน่อยเวลาไม่ต้องโต้ตอบกันสดๆ"

"ค่ะ... พอจะรู้เหมือนกัน"

"แจ๊บเล่าให้ฟังในเมล บอกว่าพอจะเข้าใจผมมากขึ้น แล้วก็ขอโทษกับพฤติกรรมงอแงที่ผ่านมา ผมก็บอกว่าผมไม่ติดใจ แต่เรื่องระหว่างเรา คงจำเป็นต้องทบทวนกันใหม่ เรารู้จักกันน้อย เกินไป"

"ผู้หญิงหลายคนพร้อมจะเข้าใจว่า คำชวนให้ถอยคนละก้าว หรือทบทวนกันใหม่ หมายถึงการมีคนใหม่ และนั่นคงเป็นสิ่งที่แจ๊บรับไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเชื่อมั่นว่าจะต้องแต่งงาน อยู่กินกับคุณอย่างมีความสุข"

ปายยกมือลูบหน้า ดูหม่นหมองและเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดกระสับกระส่ายออกมาจาก ภายใน

"ผมเคยคิดอย่างนั้น แต่แจ๊บก็เปลี่ยนความคิดของผมวันละนิด ความร่าเริงกับเสน่ห์ดึงดูดของเขาหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าการพูดคุยกลายเป็นภาระที่ผมต้องแบก และการนับวันรอร่วมทาง ก็เหมือนนับเวลาถอยหลังเข้าคุกดีๆ นี่เอง"

"เข้าใจ... และเห็นใจค่ะ"

"โอ้! ขอโทษ... ผมไม่ตั้งใจจะให้คุณมะแมต้องมาฟังผมระบายความทุกข์อย่างนี้เลย เหมือนผมมานั่งแก้ตัวให้คุณฟังเลยนะ แต่... ผมอยากให้คุณมะแมรับทราบว่าผมไม่ได้มีคนใหม่ ผมแค่ใช้คำพูดว่าเราถอยคนละก้าว ให้โอกาสกันและกันเลือกทางเดินใหม่ดูไหม ผมพูดแค่นี้ แต่แจ๊บไปตีความว่าผมมีคนใหม่แล้ว และเมลกลับมาขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ผม... ไม่นึกว่าเขาจะเอาจริง เลยไม่ได้ตอบกลับ เพราะรำคาญ แล้วก็กำลังงานยุ่งสุดๆ"

"อย่างคุณปาย เป็นพวกพร้อมจะมีใหม่ได้ตลอดเวลา ห่างกันคุณแจ๊บเลยคิดมากไม่หยุด และพอคุณปายพูดแค่นั้น แถมทำเป็นไม่สนใจ เขาก็ไม่คิดไปทางอื่น"

"ก่อนแจ๊บไป... เขาพูดอะไรให้คุณมะแมฟังบ้าง?"

"มันยาวค่ะ จำรายละเอียดไม่ได้ แต่สรุปเป็นความรู้สึกทางใจก็คือชีวิตที่ไม่มีคุณเทียบเท่ากับการไม่มีชีวิต ประมาณนั้น"

ปายก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือทั้งสอง

"ผมคงต้องรู้สึกผิดไม่เลิกใช่ไหม?"

"จากการที่มะแมคุยกับเขา มะแมไม่คิดว่าเขาจากไปเพื่อให้คุณรู้สึกผิดนะคะ ตรงข้ามเขาสำนึกผิดและเสียใจ คำาสุดท้ายในชีวิตจึงเป็นคำขอโทษที่ฝากถึงคุณโดยตรง"

ดูเหมือนปายไม่ได้ยินที่มะแมพูด ความเสียใจทำให้เขาเริ่มคร่ำครวญ

"ระหว่างติดคุกหลังงานแต่งกับติดคุกหลังงานศพ ถ้าย้อนเวลากลับไปเลือกได้ ผมจะเลือกคุกแรก!"

มะแมมองชายผู้น่าจะได้ชื่อว่าหล่อที่สุดในประเทศไทยเต็มตา ใบหน้าหมองไหม้ของเขาดูน่าเห็นใจ แต่ทำไมหล่อนยังไม่นึกอยากปลอบก็ไม่ทราบ อาจเพราะรู้สึกว่าลึกลงไป ถัดจากชั้น ของความเสียอกเสียใจ รู้สึกผิดเต็มประตู คือชั้นของความโล่งอก สบายใจกับชีวิตใหม่ที่ได้ความ

เป็นไทกลับคืนมาเสียที

อีกอย่างหนึ่ง มองหน้าด้วยตาเปล่าไม่ต้องใช้จิตสัมผัสใดๆ ก็ทราบว่าสาวโสดสวยๆค่อนประเทศพร้อมจะเฮโลกระโจนใส่เขาทุกวัน แค่หันไปยิ้มให้ผู้หญิงคนไหน ก็มัดใจ บาดอารมณ์ขนาดตะลึงตะไลจับจ้องหลงติด ไม่คิดอยากห่างหรือกระทั่งไม่อาจขาดเขาไปจนตาย...

เหมือนอย่างแจ๊บ!

มะแมเห็นว่าเขามีดี แต่ใจกลับไม่หลงยินดีในความเป็นเช่นนั้นสักเท่าไร ปายกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ใจว่าหล่อนไม่อาจเป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่มีทางหลงเขา อย่าว่าแต่จะฆ่าตัวตายบูชาเขา!

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว มะแมขอตัวกลับก่อนนะคะ"

หญิงสาวลุกขึ้นยืน ปายยืนตาม รู้สึกใจหายอยากคุยกับหล่อนนานกว่านั้น

"พรุ่งนี้ขอเป็นลูกค้าของคุณมะแมสักคนได้ไหม? ผมจะบินกลับช่วงค่ำ ก่อนหน้านั้นขอปรึกษาอะไรเพิ่มเติมสักหน่อยเถอะ"

มะแมส่ายหน้า

"ตารางนัดของมะแมเต็มยาวค่ะ แต่มะแมให้คำปรึกษาคุณได้สั้นๆเดี๋ยวนี้เลย"

"ได้เหรอครับ?"

"สำหรับชีวิตของคุณ รักส่วนใหญ่มีไว้ให้คุณวุ่นวาย เพราะต้องพยายามเป็นอะไรเกินๆ จากที่เป็น ผู้หญิงที่วิ่งเข้ามาหาต่างต้องการความฝันสำเร็จรูป ไม่ได้มาช่วยกันยกระดับความจริงให้ดีขึ้น คุณจะต้องเหนื่อยกับการทำตัวเป็นความฝันสมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆ จะหล่นลงมาเป็นความจริงที่บกพร่องไม่ได้ พวกเธอไม่มีทางยอมรับ"

ปายทำหน้าเหวอนิดๆ

"ผมไม่เข้าใจ"

"งั้นจำเป็นข้อสรุปก็พอค่ะ อย่าใจอ่อนให้กับความสวยของผู้หญิงช่างฝัน มันไม่มีความสุขในชีวิตคู่ที่แท้จริงรออยู่ ให้ใจเย็นรอความงามของผู้หญิงใจดี แล้วชีวิตของคุณจะถูกเติมเต็มด้วยเหตุผลและความเหมาะสมที่หายไปมาตลอด"

ดอกเตอร์หนุ่มค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา นั่นทำให้เขาดูเปลี่ยนไปเร็วมาก จากที่เพิ่งระทมระทวยทนทุกข์ กลายเป็นเปี่ยมพลังแจ่มใสทันตา

"คนงามกับความใจดีคือสิ่งที่ผมรอมาตลอด และผมก็คิดว่ายากมากกว่าจะได้พบได้คบกัน"

มะแมแน่ใจว่าเห็นประกายกรุ้มกริ่มในแววตาของเขาฉายออกมา ทบทวนคำพูดของตนเองเมื่อครู่ ก็นึกได้ว่าเขาอาจเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง จึงรีบเอ่ยลาพร้อมทั้งค้อมศีรษะให้เล็กน้อย

"สวัสดีค่ะ ขอให้คุณสบายใจโดยเร็วนะคะ"

ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน ซึ่งก็ดึงให้ปายผุดลุกยืนตามทันใด

"เอ้อ! คุณมะแม ผมขอร้อง พรุ่งนี้ขอเวลาผมพบคุณก่อนกลับได้ไหม จะต้องให้ค่าเสียเวลาเพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ยินดี ผมต้องปรึกษาคุณหลายเรื่องเลยนะ จะเป็นมื้อกลางวันใกล้บ้านคุณก็ได้"

มะแมย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงนครามครัน ไม่อยากเชื่อว่าหนุ่มรูปงามที่ทำให้ไฮโซสาว เจ้าเสน่ห์คนหนึ่งฆ่าตัวตายได้ จะไร้ชั้นเชิงขนาดนี้

"ไม่ได้จริงๆค่ะ ขอโทษนะคะ"

ปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วมะแมก็ออกเดินไม่เหลียวหลัง กลัวเขาเดินตามเหมือนกัน คงอึดอัด

น่าดูถ้าต้องปฏิเสธซ้ำกันอีกรอบ

เป็นครั้งแรกที่สงสัยว่า "เทวดา" จะพลาดเป็นบ้างหรือเปล่า ถึงขนาดต้องให้หล่อน "ระวัง" ว่าถ้าจะมีความรัก อย่าไปหลงสิ่งล่อตาภายนอก โธ่เอ๋ย! กะแค่ตานี่จะทำให้หล่อนอยากรับนัดยัง

ทำไม่ได้เลย เรื่องหลงเรื่องรักจะตามมาไหวหรือ?

______________________________________________________________________________________________________________
บทที่ ๘

มะแมแวะซื้อของเข้าบ้าน กว่าจะกลับมาถึง จึงปาเข้าไปสี่ทุ่ม ซึ่งหล่อนขีดเส้นไว้ให้อิ๊กเข้านอนพอดี

วินัยขั้นพื้นฐานประเภทนี้ แสดงความเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายของอิ๊ก อิ๊กปฏิบัติตามที่หล่อนตีกรอบไว้ทุกเรื่อง และมะแมก็ตีกรอบพร้อมอธิบายเหตุผลเสมอ ไม่ใช่จู่ๆบังคับให้ทำโน่นทำนี่ดื้อๆ หล่อนบอกอิ๊กว่าเด็กที่นอนตั้งแต่หัวค่ำจะฉลาด สมองแจ่มใส เติบโตอย่างแข็งแรง จิตใจที่เศร้าหมองไปช่วงหนึ่งจะฟื้นคืน กลับสดใสเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว

อิ๊กช่วยเหลือตัวเองได้ทุกเรื่อง กับทั้งช่วยหยิมทำงานบ้านอย่างขมีขมัน มะแมได้ยินสองคนคุยกระหนุงกระหนิงทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ รู้สึกว่านี่คือรังนอนอันสว่าง อบอุ่น หาใช่สักแต่เป็นที่อยู่ที่กิน เดินไปที่ตรงไหนสัมผัสได้แต่พลังความมีชีวิตชีวาและความน่าอยู่ที่ตรงนั้น

นี่เอง จุดเริ่มต้นของความเป็นบ้าน สร้างกันด้วยความผูกใจผูกพัน ไม่ใช่ด้วยการผูกอิฐผูกไม้

หยิมออกมาช่วยปิดประตูรั้ว และขอแบ่งถุงพะรุงพะรังไปช่วยถือเข้าบ้าน มะแมหยิบจากท้ายรถส่งให้ส่วนหนึ่ง

"อิ๊กขึ้นนอนหรือยัง?"

"เพิ่งขึ้นค่ะ"

เข้ามาถึงครัวด้วยกัน ขณะช่วยกันจัดข้าวของเข้าตู้เย็นและช่องชั้นต่างๆ มะแมก็ถามอีก

"ช่วงค่ำครูสอนภาษาอังกฤษมาตามนัดไหม?"

"มาตรงเวลา หน้าตาดุนะคะ แต่ก็สอนดีค่ะ สอนๆไป ท่าทางหลงรักน้องอิ๊กอีกคน"

"ใครไม่รักไม่เอ็นดูก็แปลกคนล่ะ"

แต่พูดเสร็จใจก็ไพล่นึกไปถึงสองลุงป้ามหาภัยซึ่งจำใจอุปการะอิ๊กอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งสองนับว่าแปลกคนจริงๆที่ใจร้ายกับอิ๊กได้ลงคอ

นึกอีกทีจะแปลกอะไร ขนาดลูกเต้าแท้ๆแต่ละคนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุไม่ถึง ๑๘ กันหมด และที่ยังอยู่ด้วยกันก็เป็นไปแบบซังกะตาย แยกย้ายไม่รอด ไม่ใช่เพราะมีความรู้สึกแสนดีอยู่ที่นั่น อย่างนี้จะเอาหัวใจที่ไหนมารักเด็กซึ่งเป็นลูกของญาติเล่า?

ความกล้ำกลืนฝืนใจทำให้ยุพินเลี้ยงอิ๊กด้วยโทสะ กับทั้งเล็งโลภ มาดหมายอยู่ในใจว่าวันหนึ่งจะต้องเอากำไรคืนให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนนิพนธ์ไม่เห็นอิ๊กเป็นอะไรอื่นมากไปกว่าเด็กผู้หญิงไม่มีทางสู้ น่ารักน่ารังแกเป็นที่สุด แถมไม่มีทางไป ล่วงเกินอะไรใครจะรู้

ลุงกับป้าเป็นแผลกาย บอกตัวเองว่าหล่อนจะเป็นยาสมานใจให้อิ๊กหายขาดจากทุกแผล

เพียงช่วงสั้นๆที่มาอยู่ด้วยกัน อิ๊กได้รับการรักษาทั้งส่วนของกายและส่วนของใจอย่างรวดเร็ว สามวันแรกที่เธอแน่ใจว่าได้มาอยู่ในบ้านใหม่ อันจะเป็นหลักประกันความมั่นคงและความปลอดภัยไปตลอดชีวิต อิ๊กก็ร่าเริงขึ้น เจรจาพาทีน่ารักน่าพิศวาส แสดงพื้นฐานจิตใจของเด็กที่โตมากับครอบครัวอบอุ่น

"หยิม..."

"ขา"

"ทุกวันนี้พี่ไม่ได้คิดว่าหยิมเป็นลูกจ้างแล้วนะ เธอเป็นน้องสาวพี่คนหนึ่ง"

"รู้ค่ะ"

เด็กสาวไม่ได้หันมอง แค่ยิ้มตอบสั้นๆ แต่เสียงก็บอกว่า "รู้" ตามที่พูดจริงๆ

"ถ้าเธออยากได้อะไร หรือไม่ชอบอะไร ก็บอกพี่ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องคิดว่าพี่เป็นเจ้านาย"

"จะพยายามกล้าๆนะคะ"

"แล้วนี่... เธอจะรู้สึกไม่ดีไหม ถ้าพี่เอาเด็กที่ไหนไม่รู้ มาเลี้ยงดูอย่างดี ให้ได้เรียนหนังสือ..."

"ส่งน้องอิ๊กให้ถึงปริญญาเอกเลยนะคะ ขอหยิมได้มีส่วนไปร่วมงานวันรับปริญญาตรีที่เมืองไทยก่อนด้วย"

สุ้มเสียงสดใสนั้น มีผลให้มะแมชะงักมือที่กำลังจัดของลง แปรสายตาไปอีกทาง ชั่งใจดีๆ อยู่ครู่ก่อนถาม

"พี่ส่งเธอเรียนต่อบ้างเอาไหม?"

"ไม่เอาหรอกค่ะ"

"ไม่อยากเรียนหรือ? ศึกษาผู้ใหญ่ก็ได้"

"เรียนดึกๆน่ะ ถูกตีหัวตอนกลับบ้านกันเยอะนะคะ"

"งั้นก็เรียนภาคกลางวัน!"

มะแมกัดฟันพูด แต่ก็ตั้งใจตามนั้น

"ตอนกลางวันหยิมสมองทึบค่ะ คิดอะไรไม่ค่อยออก ต้องตอนกลางคืนค่อยโล่ง หัวแล่นหน่อย"

หยิมจัดของส่วนของตนเสร็จก็หันมาหยิบของที่เหลือจำพวกกระดาษม้วนไปจัดวางตามจุด เฉพาะอันมีความแน่นอน ตามระเบียบของผู้เป็นนาย ระหว่างจัดอย่างคล่องแคล่วก็พูดไปด้วย

"ถ้าหยิมเรียนสูงกว่านี้แล้วเห็นช่องทางทำงานอื่น ตอนตายหยิมอาจเสียดายที่ไม่ได้อยู่รับใช้พี่มะแม แทนที่จะได้รับอะไรดีๆจากพี่ กลับดันทุรังออกไปหาเรื่องรับอะไรเลวๆจากโลกข้างนอกมาใส่ตัวแทน ไม่เอาหรอก"

มะแมตาค้างอยู่กับที่ เพิ่งได้ยินประโยคคำพูดยาวๆชนิดนั้นจากหยิมเป็นครั้งแรก เหมือนฟังตัวเองพูด ทั้งน้ำเสียง ทั้งสำนวน ต่างแต่ว่าเป็นหยิมคิด หยิมเอ่ยปากมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง หาใช่น้ำเสียงของหล่อนเองไม่

อยู่ใกล้หล่อน แล้วกลายเป็นเงาสะท้อนของหล่อน ควรเป็นเรื่องน่าชอบใจมิใช่หรือ?

"พี่จะตามใจหยิมก็แล้วกัน"

หญิงสาวเอ่ยยังคงไม่เหลียวมา

"งานในบ้านกับงานออฟฟิศเราสามคนผลัดกัน คงมีเวลาให้เธอทำอย่างอื่นไม่ยากนัก ถ้าวันหน้าเธอเปลี่ยนใจ พี่จะสนับสนุนทุกอย่าง เงินเก็บของพี่มีพอสำหรับปริญญาของเธอแน่นอน!"

พูดจบก็ทิ้งของที่เหลือไว้ให้เด็กสาวจัดการตนเองเดินออกจากห้องครัว ฉวยกระเป๋าถือเดินขึ้นข้างบนไปเงียบๆ

ชั้นสามมีห้องนอนสามห้อง มะแมให้อิ๊กนอนห้องเล็กสุด พอขึ้นมาถึงก็มองไป เห็นประตูแง้มไว้หน่อยหนึ่ง ไม่หับปิดให้สนิท ก็ทราบว่าฝ่ายนั้นจงใจ ด้วยความอยากให้หล่อนแวะหาสักนิด

ย่องไปผลักบานประตูเปิดอ้า เห็นร่างน้อยบนเตียงนอนขยับหน่อยๆเป็นปฏิกิริยาตอบรับ จึงก้าวเข้าไป และเปิดไฟอ่อนที่โคมข้างเตียง มะแมให้หยิมไปเลือกซื้อตู้ เตียง และโต๊ะสำเร็จรูปมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งก็โชคดีที่เจอของถูก แต่ดูน่ารักเหมือนสมบัติคุณหนูบ้านคนมีอันจะกิน

"ยังไม่หลับเหรอ?"

ถามพลางย่างเท้ามาวางน้ำหนักตัวลงบนขอบฟูก ใช้มือละมุนเสยปอยผมของอิ๊กแล้วลูบไปถึงกระหม่อมช้าๆหลายครั้ง จำได้ว่าชอบสัมผัสแบบนั้นจากแม่ เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเดียวกับอิ๊ก และตอนนี้ก็นึกอยากถ่ายทอดไปให้อิ๊กบ้าง

"ยังค่ะ"

"วันนี้เรียนภาษาอังกฤษสนุกไหม?"

"สนุกค่ะ"

"พรุ่งนี้พี่ให้ครูสอนเลขมาแต่เช้านะ วันเสาร์ อาทิตย์พี่ต้องทำงาน วันจันทร์ถึงจะพาไปเที่ยว"

"ค่ะ"

เงียบกันไปครู่ มะแมสัมผัสได้ถึงอาการหน่วงหนักในใจของเด็กหญิง ก็ทราบว่าฝ่ายนั้นกำลังอยากขออะไรบางอย่าง

"จะขออะไรพี่ก็ขอเถอะ"

อิ๊กชินแล้วที่ผู้มีพระคุณรู้ใจตน เธอแค่เอ่ยแบบเอียงอายหน่อยๆ

"ให้อิ๊กเรียกพี่มะแมว่าแม่ไม่ได้เหรอคะ?"

หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย เกิดความอึดอัดขึ้นมา หล่อนยังต้องเห็นแก่ความรู้สึกส่วนของตนเช่นกัน ยังสาว ยังโสดอยู่แท้ๆ จะให้เด็กอายุเฉียดวัยรุ่นเรียกแม่ แหม...

คิดครู่หนึ่งก่อนเลือกคำปฏิเสธที่นุ่มนวล

"พี่เลี้ยงอิ๊กเหมือนลูกได้ แต่จะให้มาแทนที่คุณแม่ของอิ๊กไม่ได้หรอก เร็วๆนี้อิ๊กจะเป็นวัยรุ่นและไม่นานอิ๊กจะเป็นผู้ใหญ่ ตอนอิ๊กเป็นผู้ใหญ่ พี่มะแมเพิ่งสามสิบต้นๆ ถึงตอนนั้นเราจะเขินๆกันนะ จะแก้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะมันติด"

อิ๊กทำหน้าสลด หลบตาลงต่ำอย่างผิดหวัง มะแมเห็นแล้วสงสาร แต่ก็ไม่ใจอ่อน

"เรียกพี่นั่นแหละ! แต่ถ้าอยากเรียกเป็นอย่างอื่นจริงๆ ให้ผสมแม่กับพี่ เป็น 'มี่' ก็แล้วกัน"

มุขนั้นกระทุ้งเอาเสียงหัวเราะขำคิกคักออกมาจากปากของเด็กขี้อ้อนได้

"หลับซะนะ"

มะแมตบศีรษะเด็กน้อยอย่างตั้งท่าจะจากไป ซึ่งฝ่ายนั้นก็รีบยื้อทันที

"พี่คะ"

"หือม์?"

"พี่มะแมบอกให้อิ๊กเลิกคิดมาก แต่อิ๊กก็ยังคิดมากอยู่เลยค่ะ"

ฟังแล้วรู้ทันทีว่าคนอยากเป็นลูกสาวคิดถึงเรื่องใด แม้ความอบอุ่นปลอดภัยในบ้านน้อยหลังนี้ จะเป็นยาสมานแผลที่ได้ผลขนาดไหน อย่างไรก็คงเอาชนะประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อถูกลุงลวนลามไม่ได้

ยังดีอยู่หรอก สิ่งที่ล่วงล้ำเข้าไปทำร้ายอิ๊กใช่สวะแห่งชาย แต่ก็เป็นอย่างอื่นที่บัดสีน่าอดสูอยู่ดี

"ก่อนนอนตอนยังไม่หลับ อิ๊กรู้สึกอาย รู้สึกแย่ เพราะย้ำคิดถึงคนโหดร้ายกับเราทุกคืนเลยใช่ไหม?"

"ใช่ค่ะ"

"งั้นเอางี้นะ คืนต่อๆไปเราต้องทำให้ช่วงเวลาก่อนนอนมีความคิดดีๆเกิดขึ้นแทน"

"อิ๊กก็สวดมนต์ตามที่พี่มะแมบอกนะคะ แต่... มันไม่ได้ผล"

"คราวนี้พี่จะให้เพิ่มความคิดเข้าไปด้วย คิดอย่างนี้นะ"

เว้นวรรคทำหน้าขึงขังเรียกความตั้งใจฟัง ก่อนเอ่ยเป็นน้ำริน

"เรื่องน่าอายก่อนนอนมีอยู่อย่างเดียว คือนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เรายังไม่ได้ทำความดีอะไรเลย"

อิ๊กกะพริบตาปริบๆอย่างพยายามทำความเข้าใจ มะแมลูบศีรษะเด็กในอุปการะอย่างอ่อนโยน

"คนทำดีไม่มีเรื่องให้น่าอายตัวเองก่อนนอนหรอก มีแต่คนชั่วเท่านั้นที่ต้องละอายจนกว่าจะหลับไปกับฝันร้าย!"

เก้าโมงสิบสองนาที ลูกค้าคนแรกยังไม่มาตามนัด จนมะแมต้องโทร.ภายในถามหยิม

"เขายังไม่มาอีกเหรอหยิม?"

"ค่ะ หลงทางหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อาจจะมาจากต่างจังหวัด"

หยิมคาดเดาไปเรื่อยตามนิสัย

"คิวที่สองล่ะ? ถ้ามาแล้วก็ส่งเข้ามาเลย ขี้เกียจรอละ"

"ยังไม่มาเหมือนกันค่ะ หยิมย้ำเสมอนะคะว่าให้ช่วยมาก่อนเวลา... อ้อ! เอ้อ! ท่าทางจะ มะ... มาแล้วค่ะ"

หยิมพูดตะกุกตะกักในตอนท้าย มะแมวางกระบอกโทรศัพท์ลงแป้น พับหนังสือพิมพ์ที่นำมาอ่านฆ่าเวลา แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมต้อนรับลูกค้ารายแรกของวัน ปกติหล่อนจะต้องเป็นฝ่ายไหว้ก่อน เพราะเกินครึ่งของลูกค้าอายุมากกว่า

ประตูเปิดออกกว้าง รัศมีกระจ่างผิดธรรมดานำหน้ามาให้สัมผัส ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มวัย ๓๐ ในชุดสูทสีเทาก้าวตามรัศมีนั้นมา และมีพลังสะกดโลกของมะแมให้หยุดไว้ เพื่อต้อนรับการปรากฏตัวของเขาชั่วขณะ

ตั้งแต่วันแรกที่ทำอาชีพที่ปรึกษา เพิ่งมีวันนี้เองที่มะแมเผลอจ้องลูกค้าแบบลืมหายใจไปเป็นครู่ ก่อนรู้สึกตัว ค้อมศีรษะพนมมือไหว้แช่มช้อย

"สวัสดีค่ะ"

เงยหน้าขึ้นถามเสียงใสเป็นปกติ

"คุณอัคระหรือเปล่าคะ?"

ถามให้รู้ว่าเป็นลูกค้าคิวแรกหรือคิวที่สองตามบัญชีรายชื่อที่หยิมพิมพ์มาวางบนโต๊ะเช้านี้

"ครับ! ผมอัคระ ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย เมื่อครู่ติดธุระด่วน"

"ไม่เป็นไรค่ะ เชิญนั่งก่อน"

บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปหมด ห้องของหล่อน แต่กลับรู้สึกว่ากลายเป็นห้องของเขา เขาเป็นผู้ครอบครอง ส่วนหล่อนแค่ขอมามีส่วนร่วมชั่วคราว

โอ้! คนอะไรจะดูยิ่งใหญ่ปานนั้น?

เมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งเรียบร้อย หญิงสาวก็บอกให้เขาทราบล่วงหน้า เป็นการปรับภาวะความเป็นเจ้าของห้องให้กลับมาอยู่ในความรู้สึกฝ่ายตน

"มะแมจำเป็นต้องรักษาเวลานิดหนึ่ง คิวต่อไปจะเป็นเก้าโมงครึ่งนะคะ เว้นแต่ทางนั้นจะมาช้า เราถึงจะคุยกันต่อให้ครบครึ่งชั่วโมงได้"

"เข้าใจครับ... งั้นเริ่มเลยนะ ผมอยากทราบว่างานใหญ่ที่กำลังเตรียมการกันอยู่นี้ จะสำเร็จลุล่วงด้วยดีไหม แล้วระหว่างผมกับคู่แข่ง ใครที่จะต้องสมหวังหรือผิดหวัง"

"ค่ะ จะดูให้นะคะ"

ขณะมะแมทำความรู้สึกที่ความปรากฏแห่งชีวิตเขา และยังไม่ทันเลือกว่าจะอาศัยสิ่งใดเป็นเครื่องมือในการดูตามโจทย์ หล่อนก็สัมผัสกลุ่มพลังอะไรชนิดหนึ่งถาโถมเข้าสู่ตน จนเวียนหัวไปชั่วขณะ คล้ายงงๆง่วงนอนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในยามเริ่มงานเช้าวันใหม่

พยายามตั้งหลัก เรียกสติให้กลับมาครบๆ แต่พอทำความรู้สึกไปที่ "งานใหญ่" ของอัคระก็เอาอีก เหมือนกำแพงพลังไร้ตนโต้กลับอย่างแรง คราวนี้มึนกว่าเดิม ไม่ต่างจากกระดกเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว โดยไม่ทันทราบล่วงหน้าว่านั่นคือเหล้า นึกว่าเป็นน้ำเปล่า

"เอ่อ..."

มันเป็นการครางอย่างไร้จุดหมายมากกว่าจะเริ่มพูดอะไร มะแมสลัดหน้าเล็กน้อย จึงนึกออกว่าจะเปลี่ยนวิธีดูอย่างไรดี

"ขออนุญาตใช้บัตรประชาชนของคุณอัคระเป็นสื่อหน่อยได้ไหมคะ? คือ... มะแมจะลองจับจากเอกลักษณ์บนบัตรดู"

เลี่ยงไปทางนั้นเพื่อแตะจิตเข้าไปที่รหัสประจำตัว แทนการส่งจิตไปกระทบเขาตรงๆ ซึ่งอัคระก็ไม่รังเกียจ

"ได้ครับ ไม่มีปัญหา"

ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าสตางค์จากเสื้อนอกออกมาหยิบบัตรประชาชนยื่นให้ตามคำขอ มะแมรับมาและรีบวางไว้บนโต๊ะ เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าถือดูแล้วมือจะสั่นให้ขายหน้าเขาหรือเปล่า

นายอัคระ เมธานฤบาล

เคว้งงงวูบหนึ่ง ทำความรู้สึกเข้าไปที่ชื่อ นามสกุลแล้วขนลุกได้ ชีวิตคนๆนี้ไม่ธรรมดา มะแมพยายามจับกระแสความไม่ธรรมดานั้นไว้เป็นตัวตั้ง แล้วรอว่าจะเกิดสัมผัสรู้หรือมีนิมิตใดปรากฏในห้วงมโนทวารของตน

แต่ยิ่งรอก็ยิ่งกลายเป็นตาลายฟุ้งซ่านวกวนจนต้องขมวดคิ้วจ้องบัตรประชาชนของเขาใหม่ให้เห็นชัดขึ้น แก้งงด้วยการตรวจเก็บรายละเอียดทั้งหมดทีละจุด นับแต่เลขประจำตัว วันเดือนปีเกิด ศาสนา หมู่เลือด ที่อยู่ ไปจนกระทั่งวันหมด อายุบัตร

มะแมไม่รู้ตัวนักว่าการทำงานของจิตสัมผัสหายไป เปลี่ยนเป็นการทำงานของสมองคิดนึกขึ้นมาแทน ด้วยสายตาของคนไม่รู้หลักโหราศาสตร์ รู้แต่หลักบวกลบปีเกิดเทียบอายุเขากับหล่อน ทำให้ทราบว่าห่างกัน ๖ ปี

แก่กว่าแค่ ๖ ปีหรือนี่? พลังบารมีทำไมดูเกินวัยไปกว่านั้นมากนัก อ้อ! หลักแหล่งที่อยู่ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านหล่อนเท่าไหร่ เลือดกรุ๊ปโอ สูง ๑๘๑ หน้าตาในรูปถ่ายไม่ยักแย่เหมือนคนอื่นๆตอนถ่ายบัตรประชาชนกันเลย

เอ... ประมวลแล้วหล่อนได้อะไรมามั่งล่ะนี่? ทุกอย่างได้สัดส่วนเหมาะเจาะไปหมด ราวกับเครื่องประดับของผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าชุดกันอย่างดียิ่ง

อ่านกวาดจากบัตรประชาชนอย่างเดียว เหมือนเขาเหมาะจะเป็นได้เพียงหมายเลขหนึ่งเท่านั้น แล้วอันที่จริง... ชื่อหล่อนกับนามสกุลเขาก็เข้ากันได้เพราะทีเดียว!

เอ๊ย! นี่หล่อนกำลังเป็นบ้าหรืออย่างไร? มะแมกระตุกมุมปากที่ค่อยๆคลี่ออกเป็นยิ้มหวานให้กลับเข้าที่ สำรวมจิตขรึม สำรวมกายตั้งท่าจริงจัง

"อือม์..."

ระหว่างยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หญิงสาวก็ทำทีก้มหน้าก้มตาวิเคราะห์เป็นงานเป็นการ

"ชื่อนี้ตั้งเองหรือใครตั้งให้คะ?"

"คุณพ่อตั้งให้แต่เกิดครับ"

"ชื่อนามสกุลและองค์ประกอบอื่นๆในบัตร นับว่าเป็นบารมีกับคุณมากๆเลย"

"แล้วมีผลถึงงานใหญ่ข้างหน้ายังไง ผมจะชนะหรือแพ้?"

มะแมอึกอัก คล้ายหล่อนเป็นคนธรรมดาที่แสร้งทำท่าเหมือนแม่มดผู้ทรงอภิญญาวิเศษอย่างไรไม่ทราบ

ขณะนั้น คลื่นรบกวนชนิดหนึ่งแทรกแซงเข้ามา อยู่ๆมะแมก็นึกถึงคำเตือนในจดหมายจากเทวดาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตาภายนอกให้ดี ข้างในอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น

ใช่แล้ว... ถ้าถูกบังคับให้ยอมรับก็จะยอมรับว่าหล่อนกำลังหลง เป็นความหลงอย่างไม่เคยมีให้ใครเท่านี้มาก่อนเลยด้วย!

หรี่ตานิดหนึ่ง จดหมายฉบับล่าสุดจาก "เทวดา" น่าจะหมายถึงอัคระนี่เอง และถ้า "ท่าน" บอกใบ้ถูกต้องตามเคย มิแปลว่าที่หล่อนเห็นมาทั้งหมดล้วนหลอกตา ลวงใจ ไม่มีอะไรจริงเลยกระนั้นหรือ?

หล่อนกำลังจะตกหลุมรัก หรือว่าตกหลุมพรางแห่งมายาชนิดไหนกันแน่นี่?

สง่าราศีหลอกกันไม่ได้แน่ เหมือนเขาไร้จุดอ่อน เป็นรองใครได้ยาก ดูด้วยตาเปล่าไม่ต้องใช้สัมผัสพิเศษก็รู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่คนที่จะยกธงขาวให้ใคร

แต่แล้วก็เริ่มเอะใจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเขามาหาหล่อนเพื่ออะไร? คำถามของอัคระบ่งชัดว่าเห็นหล่อนเป็น "หมอดู" ไม่ใช่ "ที่ปรึกษา" และความอยากรู้ของเขาก็ประกาศความไม่มั่นใจ ว่าระหว่างเขากับ "คู่แข่ง" ใครจะได้สิ่งที่อยากได้ไปครองกันแน่

คนไม่ยอมเป็นสองรองใคร จะขาดความมั่นใจในตนเอง และเลือกเชื่อคำตัดสินจากหมอดูอย่างนี้หรือ?

หล่อนอาจมองเขาผิด เพียงเพราะโดนสิ่งล่อตาภายนอกหลอกเอาจริงๆก็ได้!

ทำความรู้สึกเข้าไปที่ความว่าง เพื่อล้างสิ่งที่เห็น ลบสิ่งที่เชื่อออกจากหัว แล้วย้อนกลับไปตั้งต้นใหม่หมด หญิงสาวปิดตาลง คงสติไว้กับใจที่ปราศจากอคติใดๆ จากนั้นจึงระลึกถึงน้ำเสียงและจังหวะจะโคนของอัคระขณะเอ่ยคำว่า "คู่แข่ง"

มีความทะมึนมืดชนิดหนึ่งที่ไม่รู้จักมาก่อนปรากฏขึ้นกระทบจิต ไม่แน่ใจว่านั่นคือกระแสชีวิตของคู่แข่งอัคระ หรือเป็นกำแพงกั้นขวางไม่ให้หล่อนได้รู้อะไรกันแน่

ช่วงนี้ช่างมีแต่เรื่องเกินกำลังมาให้สัมผัสอยู่เรื่อย มะแมไม่พยายามเอาชนะ ไม่ฝืนเพ่งให้ผ่านกำแพงทะมึนชนิดนั้น เพราะเรียนรู้แล้วว่าดันทุรัง สู้ไปจะเหนื่อยเปล่า นอกจากไม่ได้อะไรมา ยังเสียกำลังใจไปแบบกู้คืนยากอีกต่างหาก

เปิดเปลือกตา ไหล่กระตุกไหวหน่อยๆเมื่อเห็นอัคระมองมา สบตากับเขาแล้วจังงัง คล้ายถูกสะกดให้พูดอะไรไม่ออก สนามพลังของเขาแผ่กว้างและครอบหล่อนได้ รู้สึกคล้ายเป็นนักเรียนถูกครูจับจ้องอยู่ ว่าจะแก้ข้อสอบปากเปล่าอย่างไร และมะแมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มีความรู้ในหัวพอจะตอบข้อสอบแค่ไหน

เงียบนานกระทั่งเขาต้องเป็นฝ่ายถามสะกิด

"เห็นอะไรบ้างครับ?"

เอ้อ! นั่นน่ะสิ เมื่อกี๊เห็นอะไรบ้าง? ลืมไปหมดแล้ว ตอนนี้เห็นแต่หน้าคุณนั่นแหละ!

เป็นครู่กว่าจะนึกออกว่าควรกะล่อมกะแล่มแก้ขัดท่าไหน

"ยากที่ใครจะเอาชนะคุณอัคระได้นะคะ"

"หมายความว่างานจะสำเร็จ และคู่แข่งของผมแพ้แน่ใช่ไหม?"

มะแมเกิดความอึดอัด อยากตอบว่า "ไม่ทราบ!" ให้รู้แล้วรู้รอด แต่นั่นก็หาใช่วิสัยที่หล่อนจะตอบลูกค้า จึงกลั้นใจตอบแบบไถๆไปก่อน

"คุณอัคระกับคู่แข่งไม่ธรรมดาด้วยกันทั้งคู่ตอบยากเหมือนกันค่ะ"

ตอบเสร็จก็โล่ง อย่างน้อยผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง ด้วยถ้อยคำที่หล่อนเองฟังยังเห็นว่าเข้าใจได้ สมเหตุสมผล ไม่ใช่โกหกเอาตัวรอด

เหลือบมองบัตรประชาชน คิดว่าคงไม่ใช้อีก เลยจะหยิบคืนเขาโดยเอาปลายเล็บจิก แต่งัดอีท่าไหนไม่ทราบ จับไม่อยู่ บัตรจะพลิกหล่น ถึงกับต้องใช้สองมือตะครุบปุบก่อนหลุดมือร่วง

รู้สึกว่าท่าทางของตนตลกเหมือนเด็กตกประหม่า น่าอายเหลือที่จะกล่าว ถึงกับต้องทำใจดีๆเพื่อที่จะไม่ให้มือไม้ออกท่ากระงกกระเงิ่นขณะส่งบัตรประชาชนคืนเขา

"เอาบัตรไปเก็บก่อนนะคะ"

"ครับ"

หัวใจเต้นผิดจังหวะ เร่งพินิจซ้ำๆว่า "อนาคต ออกหัว ออกก้อย ออกหัว ออกก้อย ฯลฯ" แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สัมผัสผลแบบไหนเลย จะให้แกล้งเดามั่วก็ผิดแบบแผนความเป็นตัวตนของหล่อน ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ทรยศอาชีพของตนแม้แต่ครั้งเดียว

ออกหัว ออกก้อย เออ! จริงสิ! ขอดูพลังเสี่ยงทายของเขาหน่อยดีกว่า ไวเท่าความคิดมะแมดึงลิ้นชักโต๊ะ หยิบกระเป๋าสตางค์เปิดและนำเหรีญสิบออกมายื่นให้อัคระ

"ช่วยโยนเหรียญให้มะแมดูหน่อยได้ไหมคะ?

เขาทำหน้าตกตะลึง ถามเสียงสูงเหมือนจะให้แน่ใจว่าหูไม่ได้ฝาด

"ให้ผมโยนหัวโยนก้อย?"

คำขอความแน่ใจของเขาเล่นเอามะแมหน้าม้าน อยากคืนคำ แต่ก็คืนไม่ได้แล้ว หลุดปากไปแล้ว จึงต้องรีบอธิบายให้ดูดี

"อาจฟังแปลกๆหน่อยนะคะ คุณอัคระถามถึงผลแพ้ชนะ มะแมเลยสัมผัสเข้าไปที่พลังผู้ชนะของคุณ แล้วรู้สึกว่าปิดประตูแพ้คนทั้งหลายได้ แต่เมื่อพยายามรู้คำตอบว่างานใหญ่ของคุณกับคู่แข่ง ใครจะแพ้หรือชนะ นิมิตของผลลัพธ์กลับไม่ปรากฏ ซึ่งมะแมเดาว่าน่าจะเป็นเพราะคู่แข่งของคุณไม่ใช่เล่นเหมือนกัน"

อัคระสงบท่าทีลง แววตาส่อว่าเข้าใจและยอมรับ มะแมจึงค่อยใจชื้น อธิบายต่อได้รื่นขึ้น

"ถ้าคุณอัคระจะบอกชื่อคู่แข่ง และบอกรายละเอียดงานใหญ่ให้มะแมรู้ แทนที่จะช่วย ก็อาจยิ่งก่อให้เกิดอคติ เพราะมะแมเชื่อว่ายิ่งฟังรายละเอียด จะยิ่งเห็นความทัดเทียมยากจะคว่ำอีกฝ่ายลงได้"

ชายหนุ่มพยักหน้า ซึ่งมีค่าเหมือนคำชมให้มะแมยิ้มออก

"ธรรมดาถ้าโยนเหรียญตามปกติ ธรรมชาติความเป็นไปได้ของเหรียญสองด้านจะบังคับให้ออกหัวออกก้อยอย่างละครึ่ง แต่สำหรับงานใหญ่มากๆ ความใหญ่ของมันอาจบังคับให้เกิดผลตามแรงอธิษฐานขอรู้ของเรา"

มุมปากของอัคระจุดยิ้มน้อยๆ มะแมมองไม่ออกว่าหมายความอย่างไร แต่หล่อนก็สบายใจที่จะสาธยายจนจบ

"เมื่อได้หัวได้ก้อยออกมา ก็ไม่ใช่มะแมตัดสินแค่ง่ายๆว่าชนะหรือแพ้ มันแค่ช่วยเป็นเครื่องกระทบจิตให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่าง อาจมาในรูปของนิมิต หรืออาจเป็นความรับรู้ถึงแนวโน้มในอนาคต ซึ่งถ้ามะแมสามารถขยายรายละเอียดให้คุณอัคระรับเหตุรับผลได้ ก็จะไม่ใช่แค่รู้ผลเสี่ยงทายธรรมดา แต่เป็นการเข้าใจว่าถ้าจะแพ้ แพ้เพราะอะไร และถ้าจะชนะ ชนะด้วยท่าไหน"

"เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว"

อัคระรับเหรียญสิบของมะแมมาโดยดี เขามีวิธีปั่นเหรียญตามแบบฉบับของตนเอง คือคีบเหรียญไว้ระหว่างปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลาง แล้วใช้สองนิ้วนั้นดีดเหรียญให้ลอยขึ้นปั่นตัวในอากาศสูงเกือบถึงเพดาน เพื่อให้มันตกลงบนพื้นห้อง ไม่รับด้วยแขนหรือหลังมือ เป็นการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลลัพธ์ในทางใดๆ

แต่เหรียญเจ้ากรรมดันเอาสันหล่นลงมากระทบพื้น แล้วแทนที่จะคว่ำหงาย กลับเด้งดึ๋งแล้ว กลิ้งหลุนๆ วิ่งยาวลอดใต้โต๊ะ เฉียดผ่านล้อเก้าอี้ทำงานของมะแม แล่นเลยไปเสียบระหว่างกลางซอกแฟ้มกระดาษสองกอง ซึ่งหล่อนเพิ่งเอามาตั้งชั่วคราวเมื่อวานนี้เอง

อุ้ย! เอาล่ะสิ แล้วจะให้ทายยังไง มะแมเกือบยกมือเกาหัว ทว่ายั้งไว้ทัน เมื่อนึกได้ว่านั่นเป็นการแสดงความบ้อท่าโจ่งแจ้งไปหน่อย

อัคระยืนขึ้นชะโงกหน้ามองผล ซึ่งพอเห็นเข้าก็ย่นคิ้ว

"มันแปลว่าอะไรครับ?"

มะแมรีบคำอธิบายทันที

"ค่อนข้างชัดค่ะว่าไม่มีวิธีใดๆจะรู้ ขนาดขอให้พลังธรรมชาติช่วยตัดสิน เขาก็ไม่ช่วย"

ขณะนั้น เสียงตู๊ดจากอินเตอร์คอมดังขึ้นเป็นสัญญาณที่ส่งมาจากหยิมเพื่อบอกว่าลูกค้ารอบต่อไปมารอแล้ว และเกินเวลารอบเดิมแล้ว มะแมโล่งอกเหมือนได้ระฆังช่วย

"คุณอัคระคะ..."

หญิงสาวรวบรัดตัดความด้วยท่าทีนิ่งขึ้น

"งานของคุณจะเกี่ยวกับอะไรมะแมไม่รู้ รู้แต่ว่าคู่แข่งมีในสิ่งที่คุณมี หรือเผลอๆก็เป็นในสิ่งที่คุณเป็น ผลลัพธ์ข้างหน้ายังไม่อาจตัดสินด้วยปัจจัยของวันนี้ คำแนะนำของมะแมคือ คุณอัคระต้องเพิ่มปัจจัยบางอย่างเข้าไปให้เหนือกว่าปัจจัยทางฝั่งโน้น"

"ปัจจัยอะไรพอบอกได้ไหมครับ?"

"ลูกค้ารอบต่อไปมารอแล้ว เอาอย่างนี้นะคะ..."

ทำทีชั่งใจทั้งที่ตกลงใจไปแล้ว

"คุณอัคระ ทิ้งเบอร์ไว้ให้เด็กของมะแมแล้วใช่ไหมตอนนัด?"

"ครับ! ผมให้น้องเขาไว้แล้ว"

"เนื่องจากเรื่องของคุณค่อนข้างเห็นได้ยาก และมะแมก็อยากได้ไว้เป็นกรณีศึกษา เพราะฉะนั้น มะแมจะช่วยทบทวนให้อีกที แล้วโทร.ไปบอกเมื่อรู้คำตอบ"

"ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีเลยครับ ขอบคุณมาก"

"ไม่เป็นไรค่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่ามะแมไม่รับรองผล ถ้าไม่รู้ก็จะบอกว่าไม่รู้นะคะ"

"ผมพอเข้าใจ"

ยิ้มละไมลา พิมพ์ตาเหลือบรรยาย อัคระกลับหลังหันเดินจากไปราวกับภาพในจินตนาการอันงดงาม

นิลเนตรทอประกายเจิดจรัส มะแมกระแทกตัวกลับลงนั่งอย่างคนใจเต้นแรง แค่ไม่แกล้งหลอกตัวเองก็รู้ว่าหล่อนอยากกรี๊ด เป็นครั้งแรกในชีวิตกระมัง ที่หล่อนคือผู้หญิงธรรมดาที่กรี๊ดหนุ่มเซ็กซี่เป็น!

__________________________________________________________________________________
บทที่ ๙

นับจากลูกค้าคิวที่สองจนคิวสุดท้ายก่อนเที่ยงผ่านไปโดยดี เหมือนมีพลังปีติช่วยส่งเสริมการรับรู้ให้คมชัด แม่นยำ และพูดแนะนำได้ไหลรื่นเป็นธรรมชาติ พอว่างงาน ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน มะแมก็ปล่อยจิตปล่อยใจ นึกถึงอัคระ ใบหน้ากับกระแสตาของเขาทรงอิทธิพล ยามจดจ้องมาที่หล่อนคล้ายคมธนูที่ชำแรกเข้ามาปักกลางใจแล้วถอนยาก เพราะทรงพลังประทับหนักแน่นยิ่งคล้ายบัดนี้ตัวจริงของเขายังอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง

คิดเล่นๆ ถ้าอัคระโทร.มาชวนไปดูหนังเดี๋ยวนี้ หล่อนจะตอบตกลงไปกับเขาทันที ไม่เล่นตัวใดๆทั้งสิ้น!

ทอดตามองออกนอกหน้าต่างไปไกล ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหยิมถือถาดอาหารกลางวันเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด กระทั่งฝ่ายนั้นเอ่ยลอยๆ

"เหมือนเจ้าชายเลยนะคะ"

มะแมถึงกับใจหายวาบ สะบัดหน้าขวับมาหาต้นเสียง พอเห็นหยิมยืนยิ้มหน้าทะเล้นก็นึกฉิว

"เล่นอะไร ตกใจหมด"

ทำเสียงขุ่นดุๆในเชิงกล่าวโทษว่าอีกฝ่ายแกล้งย่องมาเงียบๆไม่ให้เสียง หยิมหัวเราะคิกคักอย่างรู้ทันว่านั่นเป็นปฏิกิริยากลบเกลื่อนร่องรอยเคลิ้มฝันของนายสาว

"ขอโทษค่ะ หยิมเดินเข้ามาเอาข้าวปลาไปวาง นึกว่าพี่มะแมเห็นหยิมแล้วเสียอีก"

แล้วก็ยื่นสิ่งที่ติดมือมาให้

"จดหมายค่ะ!"

มะแมเหลือบมองจดหมายในมืออีกฝ่ายอย่างตื่นเต้นนิดหนึ่ง คาดหวังเล็กๆว่าวันนี้ "เทวดา" อาจบอกหรืออาจสอนอะไรเกี่ยวกับความรักบ้าง

"ขอบใจนะ"

รับมาและฉีกซองทันที

"วันนี้มีพัสดุด้วยค่ะ"

หยิมบอกพลางบุ้ยปากไปทางโต๊ะรับแขก มะแมพยักหน้าหน่อยๆอย่างไม่ค่อยสนใจนัก พอหยิมหันหลังเดินจากไป ก็ก้มลงอ่านจดหมาย

ระวังเสียงที่ไม่รู้จักให้ดี เบื้องหลังหวังอะไรแค่ไหนก็ไม่รู้

คำเตือนอีกแล้ว! ไม่อยากรับรู้เลยว่าเดี๋ยวอาจมีเรื่องอีก ไม่อยากต้องกริ่งเกรงไปล่วงหน้า ทำไม "ท่าน" ไม่ส่งคำทำนายดีๆเช่นเรื่องเกี่ยวกับความรักมาให้บ้าง?

ไม่น่าอ่านให้หนักใจก่อนกินข้าวเลย มะแมเรียนรู้แล้วว่า "จดหมายจากเทวดา" ไม่มีคำว่าพลาด ไม่มีการพูดเล่น แล้วก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ให้สืบหาต้นแหล่งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ตราประทับก็เปลี่ยนที่ทำการไปรษณีย์ไปเรื่อยๆ

แต่จดหมายอาจเข้าถึงตัวหล่อนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน!

เมื่อค่อยๆเรียนรู้ ก็ค่อยๆเลิกถาม เลิกสงสัย เลิกคิดวิธีสืบหาไปด้วยเช่นกัน มีใครคนหนึ่งบนโลก ที่เห็นวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออาจจะตลอดชีวิตที่เหลือของหล่อน และก็มาช่วย ไม่ใช่จะมาเอาอะไรจากหล่อนทั้งสิ้น ไม่มีการโฆษณาตัวเอง ไม่มีการทวงบุญคุณ และไม่แม้แต่ประกาศเจตนาว่าหวังอะไร

แล้วจะแปลกอะไรถ้าหล่อนแค่รับความช่วยเหลือจากท่านไปวันๆ?

ระหว่างรับประทานมื้อเที่ยง มะแมเอาโน้ตบุ๊กมาค้นหาชื่อและนามสกุลของอัคระจากอินเตอร์เน็ต แต่ค้นไปค้นมาชักงง บุคลิกออกจะเหมือนคนสำคัญ คุมบริษัทที่มีพนักงานเรือนพันขนาดนี้ ไฉนจึงไม่มีเรื่องราวหรือรูปภาพของเขาให้เจอเลยแม้แต่ลิงก์เดียว?

เมื่อความวาบหวามค่อยๆแปรเป็นความสงสัย มะแมก็นำจดหมายฉบับเมื่อวานมาอ่านซ้ำอีกรอบแบบพินิจพิจารณาละเอียดเป็นคำๆ

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตา ภายนอกให้ดี ข้างในอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็น

หญิงสาวเอนหลังพิงพนัก นาทีนี้ชักระแวงขึ้นมารำไร อัคระอยากรู้เรื่อง "งานใหญ่" ตกลงมันคืองานอะไรกันแน่ แล้วเหตุใดในยุคที่คนกวาดถนนยังมีสิทธิ์ปรากฏชื่ออยู่บนอินเตอร์เน็ต จึงไร้ร่องรอยของ อัคระ เมธานฤบาล แม้แต่น้อย?

เขาอยู่เบื้องหลังธุรกิจหมื่นล้านแบบไม่ออกหน้า ไม่ออกชื่อ หรือว่าเขาเป็นคนมีเบื้องหน้า เบื้องหลัง เปลี่ยนชื่อแซ่ แล้วทำหน้าตายบอกว่าพ่อตั้งให้?

นอกจากความรู้สึกต่ออัคระจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ มุมมองต่อจดหมายลึกลับยังต่างไปอีกด้วย เพราะบางฉบับแฝงนัยคลุมเครือให้ขบคิดได้หลายแง่เหลือเกิน

ชักทรมานใจขึ้นมาอีกรอบ มีใครคนหนึ่งรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับหล่อนหมด แต่บอกแนะทีละนิด จะขยักที่เหลือไว้ทำไมก็ไม่ทราบ ในเมื่อรู้หมดทำไมไม่บอกให้หมด?

ความเป็นคนมีสัมผัสทางจิต กับทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้คนจำนวนมาก ทำให้มะแมสำคัญว่ารู้จักเหตุผลของชีวิตดีหมดแล้ว แต่พอมาเจอ อะไรแบบนี้เข้า ก็ถึงกับเสียศูนย์ ย้อนกลับไปสู่ความรู้สึกขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ที่เห็นว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย เป็นคนเดินดินที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด เพดานความสามารถสุดจะเตี้ย เมื่อเทียบกับความสูงของท้องฟ้าและความไพศาลของมหาจักรวาล

อยากมีโอกาสสื่อสารสองทาง ไม่ใช่รับสารทางเดียวแบบนี้ แต่จะให้ทำพิธีจุดธูปกราบไหว้วิงวอนท่าไหน "ท่าน" ถึงจะรับคำาขอจากหล่อน?

เสร็จจากมื้อเที่ยง เรียกหยิมมาเก็บของ ตนเองเข้าห้องน้ำแปรงฟัน แต่ขณะแปรงก็ได้ยินหยิมส่งเสียงบอก

"อย่าลืมพัสดุนะคะพี่มะแม เห็นประทับตราว่า 'ด่วนมาก' ด้วย"

หญิงสาวส่งเสียงอือออ ความที่ไม่ใส่ใจ ทำให้คิดว่าเป็นของส่งมาโฆษณาหรืออะไรเทือกนั้น แต่พอได้ยินหยิมพูดว่า "ด่วนมาก" ใจหล่อน ก็แวบไปสัมผัสถึงบางสิ่ง จะอุปาทานหรืออย่างไรไม่ทราบ บางสิ่งนั้นแปลได้ความว่า "สำคัญมาก!" หรือ "สำคัญที่สุด!"

ชักเหนื่อยใจและชินชากับเรื่องสำคัญขั้นคอขาดบาดตาย แต่จะกลัวอะไร มั่นใจว่าสิ่งที่ทำมาตลอดคือการเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น ถ้าถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนแม้เลือดเนื้อและชีวิต ก็ควรจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกันมิใช่หรือ?

ออกจากห้องน้ำมายืนเท้าเอวดูกล่องขนาดเท่าฝ่ามือ มันเป็นพัสดุที่ถูกส่งแบบ EMS ป้ายจ่าหน้าชื่อที่อยู่ทั้งหมดเป็นตัวพิมพ์จากพรินเตอร์ ไม่มีลายมืออยู่เลย

ค่อยๆแกะห่อกระดาษแบบไม่อยากรู้อยากเห็นของข้างในเท่าใดนัก

ปรากฏว่าเป็นกล่องสองชั้น ยกแยกออกจากกันแล้วพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งวางติดแท่นกำมะหยี่ สีเงินวาววาม วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องเป็นไทเทเนียม หน้าจอแสดงผลขนาด ๒.๔ นิ้ว แต่ออกแบบไว้พิกล เพราะแกะจากแท่นมาพลิกดูทั้งเครื่องก็เห็นปุ่มกดแค่สองปุ่ม ปุ่มหนึ่งเอาไว้เปิดปิดการใช้งานที่สันด้านบนของเครื่อง ส่วนอีกปุ่มเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีปลายนิ้ว ทำด้วยทองคำ วางไว้ใต้จอ นอกนั้นไม่มีอะไรให้กดอีก แม้หน้าจอก็ไม่ใช่แบบสัมผัสสั่งงานด้วย

จากวัสดุที่ใช้สร้างโทรศัพท์ ทำให้คำผุดขึ้น ทันทีในหัว คือ ของขวัญล้ำค่าน่าตื่นตาตื่นใจ แต่จากรายละเอียดความเป็นอุปกรณ์ใช้งาน แปลได้สถานเดียวคือเจ้าของโทรศัพท์ส่งมาให้รับสายโดยตรง อย่าว่าแต่ให้กดโทร.ออก หล่อนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกดวาง!

ยังคงรู้สึกเฉยๆ เนือยๆ พักนี้มีใครบางคนหรือหลายคนเห็นหล่อนเป็นอะไรก็ไม่ทราบ ให้สิทธิ์พิเศษแบบจำกัดจำเขี่ยตามแต่จะโปรด โดยหล่อนไม่มีทางเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมได้เลย

กดปุ่มที่สันโทรศัพท์ค้างไว้ ๓ วินาที หน้าจอก็สว่างเรืองขึ้น ตามมาตรฐานการเปิดเครื่องมือถือทั่วไป จอนั้นบอกหล่อนว่า "กรุณารอ..." มะแมก็รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเป็นอันดับต่อไป

พอคำว่า "กรุณารอ..." หายไป หน้าจอก็ปรากฏข้อความ "เชื่อมสัญญาณติด" แล้วอีกสองวินาทีถัดมาก็ปรากฏข้อความขึ้นเต็มจอแบบเดียวกับ SMS ทั่วไป

ยินดีต้อนรับคุณมะแม โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นสิทธิ์เฉพาะของคุณเพียงคนเดียว กรุณาพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อประโยชน์ของคุณเอง

มะแมหรี่ตาเล็งแลวัตถุในมืออย่างจะหยั่งเจตนาของผู้ให้ สัมผัสแต่ว่านี่คืออุปกรณ์ไฮเทคที่ทำได้มากกว่าพูดคุยธรรมดา ไม่รู้เท่านั้นว่าทำอะไรได้พิสดารปานไหน จู่ๆจะให้ยอมพกติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง ก็คงเหมือนเด็กโลภที่ถูกหลอกให้กินขนมใส่ยานอนหลับหรือกระทั่งผสมยาพิษ มันจะง่ายไปหน่อยกระมัง

พินิจไปพินิจมาก็ต้องผงะ เมื่อเสียงกริ๊งยาวแบบโทรศัพท์โบราณรุ่นสงครามโลกดังขึ้นพร้อมระบบสั่น หน้าจอปรากฏข้อความ

"กรุณารับสาย!"

มะแมลังเลแบบหวาดๆอยู่หลายกริ๊ง กว่าจะยอมกดปุ่มรับ เอียงคอยกเครื่องแนบหู

"สวัสดีค่ะ"

ปลายเสียงของมะแมสั่นพลิ้ว รอฟังเสียงจากฝ่ายเรียกด้วยจังหวะระทึกของหัวใจ

"สวัสดี"

เป็นเสียงผู้ชาย นุ่มนวล อบอุ่น ฟังแล้วสบายใจทันที แต่มะแมก็ยังไม่อยากรีบสบายใจเร็วนัก

"ต้องการอะไรจากมะแมคะ?"

"ต้องการให้เธอระวังตัวไว้บ้าง ช่วงนี้ได้รับจดหมายสนเท่ห์ ทำนายทายทักไปต่างๆนานาใช่ไหม?"

หญิงสาวค่อยๆหมุนคอเบนหน้าไปอีกทางนัยน์ตาส่องแววฉงนเป็นล้นพ้น

"ทำไมมะแมต้องระวัง?"

"ไม่คิดบ้างหรือว่าเขามาช่วยเธอทำไม?

ช่วยแบบไม่เปิดโอกาสให้ถาม ไม่เปิดโอกาสให้ติดต่อกลับ ทำตัวเป็นเทวดา บีบให้เธอยอมก้มหน้าเชื่อฟังทุกอย่าง"

มะแมอึ้งงงไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ฟังเสียงลึกลับตะล่อมต่อ

"คิดดูนะ พอเธอปักใจเชื่อว่าเขาพูดถูกหมดรู้ดีหมด เห็นอนาคตหมด วันดีคืนดี มีจดหมายบงการให้ออกไปทำเรื่องผิดๆ เธอจะมีสิทธิ์รู้ไหม มีโอกาสทัดทานไหม? ไม่เลย! เธอจะก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งท่าเดียว โดยคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้าขัดขืนจะต้องเสียใจในภายหลัง"

หญิงสาวฝืดคอจนแม้อยากกลืนน้ำลายก็กลืนไม่ลง นี่หล่อนกำาลังฝันไปหรือเปล่า?

"เธอไม่ได้ฝันไปหรอก!"

เขาพูดเหมือนตอบคำถามธรรมดา แต่เหมือนฟ้าผ่าสำหรับมะแม ตระหนักด้วยความตระหนกจนสันหลังเย็นยะเยือก เขารู้ความคิดที่อยู่ในหัวของหล่อนสิ้นไส้จากการคุยโทรศัพท์!

"แล้วคุณเป็นใครคะ ทำไมมะแมต้องเชื่อคุณ? มะแมควรคิดว่าคุณเป็น... พวกเดียวกันหรือคนเดียวกันกับ... เจ้าของจดหมายที่ส่งมาหามะแมด้วยซ้ำ"

"ไม่ใช่หรอกน่า" เขาหัวเราะเอื่อยเฉื่อย

"ถ้ารู้จักคนๆนั้นดีพอ เธอจะรู้ว่าไม่ใช่เทวดาอย่างที่คิด มันก็แค่หัวขโมย ชอบลอกการบ้านคนอื่นเท่านั้น!"

จะให้พรั่นพรึงอภิญญาน่าอัศจรรย์ของบุรุษลึกลับทางโทรศัพท์เพียงใด อย่างไรมะแมก็ยังเคารพ "เทวดา" ของหล่อนอยู่ และนั่นก็มีผลให้รู้สึกไม่สบอารมณ์นัก ที่ "เขา" หาว่า "ท่าน" ของหล่อนเป็นหัวขโมย

"ช่วยขยายความหน่อยได้ไหมคะ มะแมจะได้ทราบว่าทำไมใครถึงควรถูกลบหลู่"

จงใจทำเสียงแข็ง เพื่อให้ "เขา" รู้ว่าไม่ควรล่วงเกินบุคคลที่หล่อนนับถือ สิ่งที่ได้ยินตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะขำยาว ซึ่งก็น่าจะขำในท่าทีปกป้อง "เทวดา" ของหล่อนนั่นเอง

ขำเสร็จเขาก็พูดตัดบทแบบเสียไม่ได้

"ตอนนี้ฉันยุ่ง มีเวลาไม่มาก แต่อยากบอกสั้นๆว่าเธอต้องขอบคุณฉัน ไม่ใช่หมอนั่น" แล้วก็ปรับวิธีพูดเสียใหม่ เหมือนเจ้านายที่เตือนลูกน้องอย่างปรานี

"ลูกค้าคิวต่อไปของเธอกำลังจะตายภายในเย็นนี้ ให้อะไรกับเขาไว้เป็นที่พึ่ง เป็นเสบียงสุดท้ายได้ ก็รีบให้ไว้ซะ อย่ามัวแต่บอกวิธีเก็บหินเก็บกรวดกับคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะต้องเดินทางไกล"

มะแมเงียบฟัง เสียงแบบนายใหญ่นั้นบอกในตัวเอง เขารู้ว่าเขากำลังพูดอะไร

"แล้วก็ลูกค้าคิวบ่ายสามโมงครึ่งน่ะ มันบ้ามันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อย่าคุยกับมันบนห้อง ให้ลงมาคุยนอกบ้าน ไม่งั้นมันจะปล้ำเธอ!"

จบคำแค่นั้นก็มีเสียงตู๊ดสองหน มะแมเหยียดแขนจ้องดูหน้าจอแสดงผลในมือถือ ก็พบข้อความ "ตัดสัญญาณแล้ว"

หญิงสาวเดินมานอนกุมขมับ ใครไม่รู้ อยู่ๆมาเรียกตัวเองว่า "ฉัน" แทนตัวหล่อนว่า "เธอ" แล้วก็สั่งๆๆ คล้ายทำกับทุกคนบนโลกแบบเดียวกันมานานจนชิน

หล่อนเดินมาตามเส้นทางชีวิตดีๆ จู่ๆล่วงเข้าเขตไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเลือกที่จะ "รับข้อความ" ทางจดหมายและโทรศัพท์ลึกลับทุกวันอย่างนี้

ได้เวลาบ่ายโมงตรง หยิมส่งสัญญาณทางอินเตอร์คอมเป็นความหมายว่าลูกค้าคิวบ่ายหนึ่งกำลังจะเข้าไป ซึ่งมะแมก็กดปุ่มเป็นสัญญาณตอบว่าพร้อม

ชายคนหนึ่งเดินเก้ๆกังๆเข้ามา มะแมลุกขึ้นพนมมือไหว้

"คุณรัฐกรใช่ไหมคะ?"

"ครับ"

หญิงสาวผายมือเชื้อเชิญเขานั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะ รัฐกรเป็นหนุ่มแว่นเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ตัวเหลี่ยม มีพุงนิดหน่อย ท่าทางอารมณ์ดี ยิ้มง่ายตลอด แต่จากการฝึกจำแนกจิตคนมานาน มะแม บอกได้ว่าในความยิ้มง่ายนี้ เหมือนพร้อมจะร้องไห้ออกมาเมื่อไรก็ได้ด้วยเช่นกัน

ท่าทีเลิ่กลั่กฟ้องว่ารัฐกรตื่นเต้นกับการมานั่งอยู่ตรงหน้าหล่อนพอสมควร บางทีมะแมก็เกิดอัตตาจากการเห็นตัวเองมีอิทธิพลกับจิตใจของลูกค้า หลายคนได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับหล่อนจนตัวสั่นเมื่อมานั่งตรงหน้า พวกเขาและเธอตั้งความคาดหวังไว้สูง บางทีถึงขั้นเห็นหล่อนเป็นผู้วิเศษ หรือผู้ที่จะเสกชีวิตใหม่ให้

แต่เมื่อเจอ "ผู้วิเศษ" ตัวจริง มะแมถึงกับจ๋อยลงสนิท เพราะเมื่อเปรียบเทียบแล้ว หล่อนก็แค่ผู้วิเศษกระจอกๆที่หาได้ไม่ยากนัก หาใช่ผู้วิเศษระดับพลิกฟ้าพลิกดิน สมควรได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์แต่อย่างใดไม่

"ผมติดตามคุณมะแมมาตั้งแต่ข่าวแผ่นดินไหว"

รัฐกรเริ่มเปิดฉาก

"ตัวจริงสวยกว่าในรูปเยอะเลย"

ชายหนุ่มชมซื่อๆแบบไม่ได้ส่อไปในทางหลี แต่มะแมก็รีบตัดเข้าประเด็นทันที

"คุณรัฐกรสนใจคุยกับมะแมเรื่องไหนคะ?"

"อ้อ! เอ่อ... คุณมะแมครับ ผมกำาลังลงทุนเปิดร้านของตัวเองอยู่ เอ่อ... บอกตรงๆนะครับว่าไม่ค่อยมั่นใจนัก เอ่อ... แต่ผมก็ลาออกจากงานแล้วล่ะ ผมจองคิวมาพบคุณมะแมตั้งแต่สองเดือนก่อน ตอนนั้นยังไม่ได้ลาออก อ้อ! ร้านผมก็ใช้ได้นะ อยากรู้ว่าจะรวยไหม? เสียวๆเหมือนกัน"

สัมผัสแรกที่รับรู้ คือรัฐกรเป็นผู้ชายซื่อๆ มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยโลภ ไม่ค่อยฉลาดค้าขาย แล้วก็ไม่ค่อยจะทันคน คุณสมบัติเช่นนั้นเมื่อกระทบใจมะแม ก็แปรเป็นภาพนิมิตตามทิศทางคำถามของเขาทันที กำไรพอใช้ แต่จะโดนโกงแล้วญาติสนิทมิตรสหายก็มาตอมขอแบ่งกิน คำว่า "รวย" ในความหมายเหลือกินเหลือใช้สบายไปทั้งชาตินั้น คงยาก

แต่หล่อนสนใจนิมิตที่ผุดแทรกขึ้นมาระหว่างเห็นรัฐกรโดนเอารัดเอาเปรียบ เหมือนชีวิตเขามีปลิงดูดเลือดเกาะติดมาแต่ไหนแต่ไร มะแมรู้สึกเหมือนเป็นอะไรที่สกปรกและต่ำ จึงอยากออกหวยตรงนั้นก่อน

"ชีวิตของคุณรัฐกรจะไปไม่ถึงไหนเสียที ถ้าตัดใจจากผู้หญิงหากินคนนั้นไม่ได้"

มะแมเลือกใช้เสียงเป็นงานเป็นการราวกับการประชุมธุรกิจ ที่หล่อนถึงเวลาแจกแจงข้อผิดพลาด และเร่งเสนอเพื่อพิจารณาแก้ไขด่วน

"เอ๋อ?"

รัฐกรชะงัก หุบยิ้มแบบไม่คาดฝัน เพราะถามอย่างตอบอย่างไม่พอ มะแมยังปักฉึกลงตรงขั้วหัวใจอีกด้วย!

"คนใจดี ยอมให้ใครต่อใครเอารัดเอาเปรียบอย่างคุณรัฐกรนั้น ข้อดีคือมีชีวิตที่น่าสบายใจ แต่ข้อเสียคือจะต้องช้ำใจสลับกันไปไม่เลิก"

ชายหนุ่มกระเดือกน้ำลายแทบไม่ลง จ้องหญิงสาวตรงหน้าราวกับฟังแพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็ง

มะแมไม่เว้นวรรค ร่ายต่อเนื่องเมื่อไม่เห็นเขาโต้แย้ง

"คนบางคนน่าสงสาร แต่เมื่อช่วยแล้วก็ควรจะเลิกสงสาร ไม่อย่างนั้นเขาอาจเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่ไม่น่าสงสาร และถึงเวลานั้นคุณกลับจะต้องเป็นฝ่ายสงสารตัวเอง"

รัฐกรซึมลง สายตาหลบต่ำลงมองพื้นโต๊ะไม่ปฏิเสธสักคำ

"ความรู้ความสามารถของคุณรัฐกรนั้นดี คนรู้จักฝีมือเยอะ ที่สำคัญคือพวกเขาไว้เนื้อเชื่อใจ เชื่อมั่นว่าคุณรัฐกรบริการเต็มที่ เสมอต้นเสมอปลายทั้งก่อนขายและหลังขาย แต่พวกที่รู้จุดอ่อนของคุณรัฐกรก็มาก คนพวกนั้นไม่สนใจความดี แล้วเขาก็ไม่ละอายถ้าจะต้องโกงคนดีหรือกระทั่งลากคนดีมาเป็นแพะบูชายัญ คำแนะนำแรกจากมะแม คือ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน!"

"ถึงแม้จะเป็นคนที่เรารักใช่ไหม?"

"ชีวิตของหลายคนไม่ได้อับปางเพราะคนที่ประกาศว่าเป็นศัตรู แต่ด้วยน้ำมือคนที่เคยย้ำแล้วย้ำอีกว่ารักเรา จะยืนอยู่ข้างเราตลอดไป"

โดยไม่คาดฝัน รัฐกรคว่ำหน้าลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อาย มะแมอึ้งไป จิตของหล่อนเลือกถ้อยคำโดยบางทีไม่ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงใดๆด้วยซ้ำ เดาว่าคำสุดท้ายคงกระทบใจเขาอย่างรุนแรง

มองอย่างสงสาร รู้สึกว่าเขาคือผู้ชายดีๆคนหนึ่ง แต่โลกนี้ก็ช่างเต็มไปด้วยผู้หญิงเลวๆที่พร้อมจะเห็นความดีเป็นเรื่องของควายตัวผู้...

มะแมผลักกล่องทิชชูไปให้ หล่อนเตรียมเผื่อไว้หลายกล่องเนื่องจากต้องใช้บ่อย ไม่นึกว่าจะเข้าแจ็คพอตตั้งแต่ดอกแรก แต่นั่นทำให้ง่ายขึ้น เพราะอาศัยความสะเทือนจากกายและจิตของรัฐกรขณะนั้น นิมิตสว่างพราวก็ตามมาเป็นพรวน

"ตัดใจปล่อยเธอคนนั้นไปเถอะ เธอไม่ได้น่าสงสารอย่างที่ทำท่าทำทางปวกเปียกให้คุณดู พอลับหลังก็แปลงร่างเป็นนางแมวที่กระโจนพล่านไปหาคนโน้นคนนี้ ขนาดคุณเคยจับพิรุธได้จากร่องรอยบางอย่าง ยังทำเป็นหรี่ตาข้างหนึ่งหรือไม่ก็แกล้งปิดมันทั้งสองข้างเสียอย่างนั้น ใช่ไหม?"

เชื่อสัมผัสของตนเองว่า นี่เป็นน็อตตัวแรกที่ควรคลายเกลียวออกจากใจเขา และเมื่อพูดเสร็จนิมิตใหม่ก็ผุดขึ้นรองรับ

"จิตใจคุณห่วงแต่เธอ จนต้องทะเลาะกับพ่อแม่พี่น้อง ไม่เข้าใจกัน มองหน้ากับบางคนไม่ติด ยากจะอภัยในระหว่างครอบครัวก็เพราะเธอ แถมคุณอุตส่าห์ยอมเหนื่อย ยอมเสี่ยงหมดตัว ลงทุนทำธุรกิจเอง ก็เพราะทนเธอตื๊อขอบ้าน ขอรถ ขอไปเที่ยวแพงๆไม่ได้ ขืนเป็นลูกจ้างแบบเดิมก็คงสนองความอยากของเธอไม่ไหว ทุกวันนี้ก็ใช้จ่ายแบบเกือบชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว"

"ผมทิ้งเธอไม่ได้..."

สุ้มเสียงอ่อนแอนั้น ทำให้มะแมชะงักชั่วครู่ ทาสรักตรงหน้าดูซมซานเหมือนอยากได้คำปลอบประโลมดีๆ แต่หล่อนกำลังเครื่องร้อน แล้วก็เห็นว่าปล่อยไว้ไม่ได้ จึงเดินหน้าตอกหัวหมุดย้ำลงไปอีก

"มะแมรู้ คุณสงสารเธอ เห็นเธอเป็นลูกแมวหลงทางที่พร้อมจะอดตายอยู่ข้างถนน คุณเห็นเป็นภาระของตัวเองที่ต้องเก็บมาประคบประหงม แต่ความจริงคือคุณไม่เคยรู้เลยว่าลูกแมวตัวนั้น มันแมวป่า เต็มไปด้วยคมเขี้ยว แล้วก็แอบฝังเขี้ยวไว้ตอนคุณเผลอหลับหลายแผลแล้ว ตื่นขึ้นมาก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเสียด้วยว่าแผลมาจากไหน"

หญิงสาวหยุดดูท่าที เตรียมไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าเขาสบตาแสดงความโกรธ หล่อนจะต้องพูดเช่นใด แต่รัฐกรก็ยังคงก้มหน้าก้มตา อาการสะอื้นขาดหายไปกลายเป็นก้มหน้านิ่งรับฟังฝ่ายเดียว

"คุณไม่จำเป็นต้องทิ้งเธอ มะแมก็ไม่ใช่คนใจร้าย แต่อยากบอกว่าเพื่อที่จะไม่ใจร้ายกับผู้หญิงคนเดียว คุณก็อย่าเผลอใจร้ายกับพ่อแม่พี่น้องอีกเลย หันกลับไปพูดคุยกับพวกเขาบ้างเถอะ จะโดนเหน็บ โดนตอกหน้าอย่างไร ก็ขอให้ถือว่านั่นคือความน้อยใจที่อัดอั้นมานานของคนในบ้าน ไม่ใช่การกระโดดขึ้นขี่คอเพราะเห็นโอกาสสบช่องอย่างคนนอกบ้าน!"

มะแมพูดนิ่ม แต่เลือกคำบาดโสต เพื่อลองชกจังๆว่าเขาพร้อมจะรับฟังประโยคแรงกว่านั้นได้ไหม เมื่อเห็นปฏิกิริยาทางใจของรัฐกรยังเป็นซึมเฉื่อยอยู่เหมือนเดิม ก็รุกฆาตทันที

"เป็นโรคหัวใจใช่ไหม? คุณจะอยู่ได้อีกไม่นานนะ"

รัฐกรสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลง เงยหน้าขึ้นจ้องมะแมและร้อง

"ฮ้า?"

"อายุคุณยังน้อย แต่เมื่อกี๊มะแมสัมผัสสภาพร่างกายของคุณไปด้วย รู้สึกถึงความอ่อนแอและเปราะบางกลางอก เลยเดาว่าคุณเป็นพวกหัวใจผิดปกติมาตั้งแต่เด็กๆ น่าจะประมาณลิ้นหัวใจรั่วหรืออะไรเทือกนั้น แม้เคยผ่าตัดแล้วก็ยังไม่ปกติสมบูรณ์"

ชายหนุ่มหน้าซีด เขาแค่ไม่เคยได้ยินหมอคนไหนบอกว่ากำลังจะไปเร็วๆนี้ มีแต่บอกว่า รักษาตัวดีๆ อนามัยมากๆ ก็อยู่ไปเรื่อยๆทั้งนั้น

"แล้วผมจะไปเมื่อไหร่?"

มะแมกะพริบตาถี่ๆ ปกติเมื่อเกิดคำถามกระทบหู ถ้าหล่อนจะรู้ก็รู้เดี๋ยวนั้น อาจมาในรูปของน้ำหนักความรู้สึกใช่ ไม่ใช่ ดี ไม่ดี หรือเป็นนิมิตภาพแสดงแจ่มแจ้งไปเลย

ทว่าวินาทีนั้น ทุกอย่างเงียบเชียบ ไม่สัมผัส ไม่เห็นนิมิต ไม่มีเครื่องหมายใดๆเกิดขึ้นทางจิตแม้แต่น้อย เล็งดูหัวใจของเขาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏนิมิตหยุดทำงานด้วยอาการรวนแบบใดในเร็วๆนี้เลย จึงเพิ่งทราบว่าตนขาดความสามารถในการเห็นนิมิตมรณะของผู้คน และเมื่อไม่เห็น หล่อนก็ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า

"ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่คุณรัฐกรย่อมทราบอยู่ด้วยตนเองว่าชีวิตของคุณไม่ควรตั้งอยู่บนความประมาท โจทย์สำคัญของชีวิตจึงควรเป็น 'เอายังไงดี?' ไม่ใช่ 'เมื่อไหร่แน่หนอ?' ถ้าตั้งโจทย์ถูก คุณจะได้สบายใจ ไม่ว่าจะเหลืออีกกี่ปีกี่เดือน หรือ... อีกกี่ชั่วโมง"

"สิ่งที่ผมควรทำก่อนตายมีอะไรบ้าง?"

"เห็นใจคนที่ควรเห็นใจ ขอโทษคนที่ควรขอโทษ คืนดีกับคนที่ควรคืนดี อย่าช่วยคนทั้งน้ำตา อย่ายกทั้งชีวิตให้กับเขา อย่ากระโดดลงไปเป็นห่วงยางให้ใครทั้งที่ตัวเองยังว่ายน้ำไม่แข็งพอ สรุปคือ... หัดยืนช่วยอยู่บนฝั่งให้เป็น ถ้าช่วยคนที่ตกทุกข์ แล้วคุณมีความสุขไม่ได้ ก็ให้ช่วยเหลือตัวเองจนกว่าจะเป็นสุขก่อน ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าคุณยังไม่ได้ช่วยใครจริงเลย!"

รัฐกรพยักหน้ารับ

"ผมเข้าใจแล้วครับ มีอะไรแนะเพิ่มเติมไหม?"

มะแมพินิจชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามครู่หนึ่ง แล้วเหมือนหมดแรง ใจลอยหายไปเฉยๆ นี่หล่อนกำลังมองร่างมนุษย์ในท่านั่ง ที่กำลังจะกลายเป็นศพในท่านอน ไม่ต่างอะไรกับขอนไม้ภายในเย็นนี้กระนั้นหรือ?

ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่พอรู้ขึ้นมา ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าก็ดูแปลกๆ เหมือนฉากหลอกตา เป็นมายาชั่วคราวอย่างไรชอบกล

"ช่วงหลังๆนี้ คุณรัฐกรอาจแวบถามตัวเองบ่อยๆว่า เพื่อแลกกับการได้ผู้หญิงคนนั้นไว้ คุณต้องเสียอะไรไปบ้าง ในแง่ของการสูญเสีย มะแมอยากให้คิดว่า เกิดมาพวกเราไม่เคยมีอะไรจริงอยู่แล้ว ที่เคยเสียมาทั้งหมดมีสองอย่าง คือ 'เสียดาย' กับ 'เสียใจ' เท่านั้นเอง"

รัฐกรนิ่งในแบบสงบและเข้าใจ หลายคำพูดของผู้หญิงตรงหน้าช่วยให้เขาคลายใจ และระงับเสียงทะเลาะกับตัวเองที่มีมาอย่างยืดเยื้อยาวนานลงได้

ที่ปรึกษาพลังจิตให้เวลาที่เหลือไปกับการตอบคำถามแรกของรัฐกร เกี่ยวกับธุรกิจการค้าการขาย ซึ่งเป็นอันครบถ้วนตามหน้าที่ ก่อนทิ้งท้ายเมื่อใกล้บ่ายครึ่ง

"มะแมฝากไว้ข้อหนึ่งเป็นกรณีพิเศษได้ไหมคะ?"

"ครับ! ผมจะตั้งใจฟัง ว่ามาเลย"

"ออกกำลังบ้าง พักผ่อนบ้าง เที่ยวเล่นบ้าง หัวเราะบ้าง ใส่ใจพ่อแม่พี่น้องบ้าง อย่าแลกเอาเงินไร้หัวใจมา ด้วยการทิ้งเวลาในชีวิตไปจนหมด"

รัฐกรหัวเราะเนือยๆอย่างเข้าใจ

"ขอบคุณครับ ช่วงหลังๆผมอาจวุ่นกับร้านเปิดใหม่จนสุขภาพเริ่มแย่โดยไม่รู้ตัว ผมเองก็ไม่อยากแลกเอาสิ่งที่ไม่มีหัวใจมาเก็บไว้เฉยๆเหมือนกัน"

มะแมแทบต้องกัดลิ้นห้ามใจไม่ให้เผยความลับที่อ่อนไหวออกไปทั้งหมด ได้แต่ปิดฉากสนทนาด้วยประโยคคล้ายรำพึงลอยๆ

"มะแมไปโรงพยาบาล เคยเห็นคนกำลังจะตายมาหลายคน พวกเขารู้สึกชัดว่าตัวเองไม่เหลืออะไรเลย นอกจากความทรงจำว่าทำอะไรมาบ้าง"

"นั่นสินะครับ เขาถึงว่าคนเรายิ่งใกล้ตาย ก็ยิ่งเข้าใจชีวิตดีขึ้น... งั้นผมไปก่อนนะครับ หมดเวลาแล้ว"

หญิงสาวใจหาย คำสุดท้ายของรัฐกรยิ่งย้ำให้สัมผัสว่าหล่อนจะไม่ได้เห็นเขาทั้งยังมีลมหายใจอีก

"นี่ครับ"

เขายื่นเงินค่าปรึกษาให้ มะแมสั่นศีรษะ

"ไม่ต้องให้หรอกค่ะ"

ถ้าเขาจะตายจริง หล่อนก็ไม่อยากได้เงินของเขาเลย เงินของคนก่อนตายน่าจะเอาไปทำบุญเป็นที่พึ่งให้ตนเองมากกว่า

"ทำไมล่ะครับ?"

"คุณรัฐกรประทับใจคำปรึกษาของมะแมไหมคะ?"

รัฐกรขมวดคิ้วย่น

"แน่นอนสิครับ ผมได้อะไรเกินกว่าที่ต้องการไปมาก ไม่ทราบจะบอกเป็นความรู้สึกขอบคุณอย่างไรถูกด้วยซ้ำ"

"ถ้ามะแมจะขอความช่วยเหลือจากคุณรัฐกรสักครั้งเป็นค่าตอบแทน จะรังเกียจไหม?"

"ด้วยความยินดี ว่ามาเลย"

"มะแมไม่ได้ทำบุญบ่อยเหมือนเมื่อก่อนเพราะคิวลูกค้าแน่นมาก อยากไหว้วานให้คุณรัฐกรนำเงินค่าปรึกษานี้ ไปทำบุญที่ไหนก็ได้ เป็นปล่อยปลา เลี้ยงเด็กหรือคนชราตามสถานสงเคราะห์ หรือจะเป็นทำสังฆทานอย่างไร ตามแต่ใจของคุณรัฐกร ขออย่างนี้รบกวนเกินไปไหม?"

สายตาของรัฐกรเปลี่ยนจากหมอกมัวแห่งความสงสัยเป็นประกายเข้มจัด ไม่ต้องมีสัมผัสพิเศษก็รู้ว่าเขาตั้งใจจริงแน่

"ครับ! ออกจากที่นี่ ผมจะตรงดิ่งไปทำบุญเท่าที่นึกออกทันที และจะเพิ่มเป็นสามเท่าของค่าปรึกษาด้วย!"

มะแมรู้สึกโล่งไปถึงไหนต่อไหน ปรีดาปราโมทย์กว่าได้ค่าปรึกษาร้อยครั้งรวมกันเสียอีก กระทั่งมีแก่ใจพนมมืออ่อนช้อย

"ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ"

รัฐกรเดินออกไป คิวบ่ายครึ่งก็สวนเข้ามาทันที เป็นคิวง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือน่าหนักอก ตามด้วยคิวบ่ายสองและบ่ายสองครึ่งเป็นเรื่องผัวๆเมียๆทั้งสองคิว

บ่ายสามตรงเป็นช่วงว่าง ไม่มีนัดใดๆ หาใช่การเบี้ยวหรือเกิดเหตุติดขัดของลูกค้า นานทีปีหนจะมีอย่างนี้สักครั้ง มะแมถือเป็นช่วงผ่อนคลายไม่ต่างจากวันหยุดทีเดียว

นอนเอกเขนกฟังเพลง อดเก็บเรื่องของรัฐกรมาครุ่นคิดไม่ได้ หล่อนทราบจากสัมผัสว่าหัวใจของเขาไม่ดี มีสิทธิ์รวน แต่ส่งความรู้สึกซ้ำเข้าไปกี่รอบก็ไม่เห็นว่ามันจะหยุดทำงานภายในเย็นย่ำหรือค่ำคืนนี้ที่ตรงไหน

แต่ความแม่นยำของจดหมายลึกลับ ก็กลายเป็นเครดิตให้โทรศัพท์ลึกลับไปโดยปริยาย ทั้งคู่มาเหมือนกัน คือปิดบังตัวตนผู้ส่งข้อมูล ให้แต่ข้อมูลโดยไม่เปิดโอกาสให้ซักถามรายละเอียดใดๆ แถมสื่อสารด้วยมาดของคนที่รู้ดีกว่าหล่อนไปทุกเรื่อง ฉะนั้น ผลลัพธ์ของคำทำนายอนาคตระยะใกล้ ก็ไม่น่าจะหนีกันเท่าไร

และเพราะเห็นแนวโน้มเช่นนั้น มะแมจึงตื่นตัวกว่าปกติเมื่อใกล้ถึงคิวบ่ายสามโมงครึ่ง หล่อนตัดสินใจเดินเปิดประตูออกจากห้อง ก้าวจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่ง เข้าสู่ห้องรับแขกซึ่งจัดไว้ต้อนรับลูกค้าที่มารอคิวโดยเฉพาะ

เมื่อเห็นห้องรับแขกว่างเปล่า ก็หันไปถามหยิมซึ่งนั่งคีย์ข้อมูลรับนัดง่วนอยู่กับโต๊ะทำงาน

"คิวบ่ายสามครึ่งยังไม่มาเหรอ?"

"ยังค่ะ" เด็กสาวผมสั้นหันมาตอบ

"อาจจะเพิ่งออกจากบ้าน ให้โทร.ตามไหมคะ?"

"ไม่ต้อง"

แล้วก็ตกลงเลือกสถานที่ตามการแนะนำของโทรศัพท์ลึกลับ

"เดี๋ยวพี่จะไปนั่งรอข้างนอก และคุยกับเขาที่ม้าหินหน้าบ้านเลยก็แล้วกัน พอเขามาหยิมก็ช่วยเอาน้ำออกไปต้อนรับที่นั่นเถอะนะ"

โฮมออฟฟิศของหล่อนเป็นแบบมีพื้นที่ให้เข้ามาจอดรถคันหนึ่ง กับเหลือเศษให้ตั้งโต๊ะหินเล็กๆกับพุ่มไม้โตๆได้หนึ่งกระถาง พอจะมีความร่มรื่นอยู่บ้าง

"เอ๋! ข้างบนมีอะไรผิดปกติหรือคะ?"

"ข้างบนไม่ผิดปกติ แต่คนที่กำลังมาอาจจะผิดปกติ"

"หู! เดี๋ยวนี้พี่มะแมสัมผัสได้ก่อนเห็นตัวหรือ?"

"ยังไม่เก่งขนาดนั้น" มะแมตอบยิ้มๆ

"แบบว่ามีพรายกระซิบน่ะ ขอพิสูจน์ดูหน่อยว่าเชื่อได้แค่ไหน"

หยิมหัวเราะแล้วยิ้มให้แบบขุนพลอยพยักที่ฟังไม่รู้เรื่อง นายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนายท่าเดียว

๑๕:๒๒ รถโตโยต้าอัลติสคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดเทียบประตูรั้วซึ่งเลื่อนเปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง ผู้ลงมาคือชายร่างใหญ่ ข้อลำล่ำสันบึกบึน เขายังไม่เห็นมะแมซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะหิน มะแมจึงเป็นฝ่ายจับจ้องพินิจได้เต็มตาชั่วครู่สั้นๆ

อันเนื่องจากได้ "ทิศทางในการส่องสำรวจ" ไว้ก่อนจากพรายกระซิบทางโทรศัพท์ ทันทีที่สัมผัสความเป็นเขา มะแมก็เชื่ออย่างหมดข้อกังขา ผู้ชายคนนั้นมีจิตพลุ่งพล่านกระสับกระส่ายกระสันอยากแบบพวกมีความอดกลั้นทางเพศต่ำ รสนิยมป่าเถื่อน

สาวพลังจิตอ่านทะลุ เห็นไปถึงว่านั่นเป็นการสั่งสมแรงดันมาจากความหมกมุ่นจ้องรูปและดูคลิปวิปริตลามกจนจิตผิดปกติ

ประเมินจากสัมผัส จิตของเขาเสียหายยับเยิน ซ่อมยาก ลำบากแน่ถ้าจะหว่านล้อมหรือคุยเหตุคุยผลกันดีๆ นิมิตปรากฏออกมาเป็นฉากๆ เขาพยายามไประบายความเก็บกดอัดอั้นกับหญิงบริการ แต่มันไม่ได้ผล เพราะจินตนาการอันสุดเดชมันเลยไกลเกินกว่านั้นเยอะ

เขาไม่รู้สึกรู้สากับบทอัศจรรย์ธรรมดา จะเกิดอารมณ์ต้องได้รังแก จะให้สนุกต้องใช้กำลัง จะเมามันต้องเห็นการหลบหนีเอาตัวรอดหรือดิ้นรนปฏิเสธ แล้วเป้าหมายก็ไม่ควรเป็นสาวสาธารณะ เขาชอบการพูดจารุกรานให้ผู้หญิงดีๆกลัว ชอบการข่มขู่ให้สาวสวยๆหวีด ทำได้ถึงจะกระตุ้นอารมณ์เพศให้คุโชนขึ้นเป็นไฟลุก!

ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ คนพวกนี้ก็ลงเอยเป็นอาชญากรทางเพศ เป็นเหตุแห่งมหาโศกนาฏกรรมของสังคม และอาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทำความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ตำรวจทั่วโลกมาทุกยุคทุกสมัย

โดยส่วนลึก ธรรมชาติแบบเพศชายจะเห็นการบังคับขืนใจเป็นความบันเทิงที่เร้าใจ เพียงแต่มนุษยธรรมจะครอบงำสัญชาตญาณดิบๆชนิดนั้นไว้ ไม่ลงมือกระทำกับผู้หญิงแปลกหน้า เพราะมันคือการทำร้ายร่างกาย คือการปล้นชิง และคือการลงไปเทียบชั้นกับสัตว์

ชายผู้สำราญกับเซ็กส์ป่าเถื่อนหลายคนสามารถปลดปล่อยกับภรรยาหรือหญิงบริการที่มีความสุขกับการเป็นฝ่ายถูกกระทำ โลกเลยไม่ปรากฏข่าวเลวร้ายออกมามากเกินจะทนรับ แต่ความบันเทิงชั้นใต้ดินในปัจจุบัน มีอิทธิพลโน้มน้าวให้กล้าทำเรื่องล้ำเส้นศีลธรรมมากขึ้น คนเถื่อนทั้งหลายจึงปรากฏตัวเป็นข่าวมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย มะแมเคยทำวิจัยทางจิตวิทยา พบว่าจริงๆแล้วสื่อลามกเป็นดาบสองคม คมด้านดีคือมีส่วนปลดปล่อยความคิดระยำตำบอนออกไปได้มาก ถ้าดูและระบายออกแบบไม่ติดภาพเสียงออกมาปนเปื้อนกับโลกความจริง ก็จะรู้สึกพอแล้วกับอารมณ์ดิบในที่ลับ

แต่คมด้านร้ายนั้นน่ากลัว เพราะมันมีสิทธิ์กระตุ้นสัญชาตญาณดิบให้อยากทำในสิ่งที่ไม่เคยเป็นความคิดในหัวมาก่อน เพียงได้เห็นภาพชี้นำแรงๆหลายครั้งเข้า ก็เหมือนถูกผีสิงให้อยากทำตามเกินห้ามใจ

พวกเสพติดหนังประเภทนี้ อาจจะหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน ที่ดูบ่อยและคิดอยากเอาจริง พอรวบรวมความกล้าทุกวัน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี ถึงวันหนึ่ง พวกเขาจะเห็นผู้หญิงในโลกความจริงเหมือนวัตถุไร้ชีวิต เห็นเสียงร้องและอาการดิ้นหนีเป็นรางวัลที่น่าพิสมัยสำหรับคนใจถึง เหมือนมีหมวกกามแห่งเดรัจฉานครอบหัวไม่ให้เห็นผู้หญิงเป็นมนุษย์ และกระทั่งลืมด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นมนุษย์!

กับลูกค้าคนนี้ หล่อนสัมผัสว่าเขาเพิ่งผ่านฝันร้ายบางอย่างมา เศษของฝันร้ายเหมือนฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นระยะในหัว อีกทั้งกลางอกก็มีความอัดอั้นทรมานแบบคนพยายามห้ามใจตนเอง แสดงให้เห็นว่าเขาคนนี้คงมาหาหล่อนด้วยความตั้งใจดี อยากปรึกษาหาทางออก ไม่ใช่แลกหัวใจกับปีศาจสำเร็จไปแล้ว

สัมผัสรู้สึกว่าเขาเคยพบจิตแพทย์มาก่อน ประมาณไปพบเพื่อปรึกษาปัญหานกเขาไม่ขัน แต่จิตแพทย์ก็ไม่ทราบจะให้คำแนะนำอย่างไร ในเมื่อเขาเผยไม่หมด ไม่ยอมเล่าว่าเขาเสพติดอะไร นกเขาจะขันต่อเมื่ออยู่ภายใต้สภาวการณ์แบบไหน

ข้อจำกัดของการบำบัดจิตอยู่ที่ตรงนี้ หากจิตแพทย์หลอกล่อให้คนไข้พูดแบบถึงกึ๋นไม่ได้ คนไข้รู้สึกอายเสียก่อน หรือกลัวถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปคนเลว ปมปัญหาก็ถูกฝังค้าง เหมือนการเล่นซ่อนหาที่มีซอกหลืบให้กบดานเป็นพันๆช่อง ถ้าตั้งใจซ่อนจริงๆก็ไม่มีทางที่ใครจะค้นได้พบ

มะแมเผยอปากเล็กน้อยก่อนหุบลงสนิท รู้สึกถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มได้รูปสวยในกรอบหน้ารูปไข่ของตน ชัดยิ่งกว่าชัดว่าเรือนกายของหล่อนเป็นเป้าล่ออย่างจัง เพราะตรงสเปกของเขาทุกอย่าง ทั้งสะสวยยวนตายวนใจ ทั้งดูดีมีค่า จึงไม่น่าสงสัย หลังจากคุยกันสองต่อสองในเรื่องปมปัญหาทางเพศ เขาต้องหน้ามืดหมดความยับยั้งชั่งใจ เหมือนยักษ์มารเข้าสิง กดสำนึกผิดชอบชั่วดีไว้อย่างสิ้นเชิง

นึกขอบคุณ "เทวดาทางโทรศัพท์" ที่เตือนหล่อนไว้ก่อน หล่อนโดนทำร้ายแน่ๆ และจะไม่มีทางสู้ด้วย นายคนนี้เป็นพวกนักกล้าม และถ้าดูไม่ผิดคงเก่งหมัดมวย ว่องไวปราดเปรียว ขนาดผู้ชายตัวโตๆด้วยกันอาจจะโดนชกคว่ำโดยปิดป้องไม่ทัน แล้วหล่อนที่แบบบางเหมือนลูกไก่เล่ามันจะไปเหลือหรือ ในเวลาที่มโนธรรมของเขาฉีกขาด?

เมื่อขอบคุณท่านหนึ่ง ก็อดนึกตัดพ้ออีกท่านหนึ่งไม่ได้ เหตุใด "เทวดาทางจดหมาย" จึงไม่เตือนภัยร้ายแรงขนาดนี้เลย เอาแต่เตือนให้

"ระวังเสียงทางโทรศัพท์" ซึ่งมีบุญคุณต่อหล่อนทันทีทันใดอย่างนี้

"เชิญค่ะ คุณพลุใช่ไหมคะ?"

นายกามวิปริตหันขวับ เขายิ้มกว้างขวางเมื่อเห็นหล่อน มะแมเกือบยกมือไหว้ไม่ลง แต่ก็ถือเป็นธรรมเนียมที่ดีของคนอายุน้อยกว่า

"ครับ! นั่นคุณมะแมเหรอ?"

พลุรับไหว้ น้ำเสียงของเขาบอกความเป็นคนร่าเริง แต่ขณะเดียวกันหางเสียงก็กระแทกห้วนอยู่ในที แสดงถึงความเป็นคนมุทะลุ ใจร้อนเป็นได้ทั้งคนดีและคนเลวตามแต่ลมเพลมพัด

เมื่อสภาพจิตใจยังปกติและอยู่นอกตัวอาคารเช่นนี้ เขาไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ขณะนั้นหยิมนำน้ำออกมาต้อนรับ และมะแมก็ผายมือเชื้อเชิญ

"นั่งกันที่นี่นะคะ"

อันเนื่องจากไม่เคยมา และไม่ทราบวิธีต้อนรับแขกของมะแมมาก่อน พลุจึงเข้ามานั่งที่โต๊ะหินโดยดี และนึกว่าด้านในคงแอร์เสีย ไฟฟ้าขัดข้อง หรือติดขัดปัญหาเฉพาะหน้าอะไร

เมื่อมะแมตรวจซ้ำจนแน่ใจว่าอาการหื่นของเขาจะไม่กำเริบในสภาพแวดล้อมแบบนี้แน่แล้ว ก็สบายใจ สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพโดยไม่ต้องระแวงระวัง หล่อนประมวลวิธี "จัดการ" กับเขาในพริบตา และพบว่าถ้าจู่โจมทีเผลอให้ตรงจุด โดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว เขาน่าจะถูกน็อกไม่ยาก

พอหยิมเดินจากไป และเมื่อพลุอ้าปากจะยิงคำถาม มะแมก็ชิงตัดหน้า ลั่นหมัดตรงเข้าลิ้นปี่ทันที ไม่มีการแย็บ ไม่มีการเตะชิมลางใดๆทั้งสิ้น

"ถ้ายังขืนห้ามใจไม่ได้ หนังโป๊วิตถารพวกนั้นจะทำให้คุณต้องกลายเป็นฆาตกรข่มขืนเร็วๆนี้ คำแนะนำที่ดีที่สุดคือกลับไปเผาพวกมันทิ้งซะ แล้วอย่าซื้อมาอีก อย่างมากยอมให้ตัวเองดาวน์โหลดรูปโป๊ทั่วไปมาระบายความเก็บกดก็เกินพอแล้ว!"

พลุอ้าปากหวอเหมือนถูกผีหลอก สายตาฟ้องว่าช็อคจริง เหมือนนักมวยที่ขึ้นเวทีไม่ทันไร ก็โดนคู่ต่อสู้พุ่งมาตวงยุ้งข้าวตัวงอ

"ของพวกนั้นเหมือนมนต์สาป มันขลังพอจะสะกดให้เรายอมขายวิญญาณ ไม่ต่างกับโดนคุณไสยขั้นร้ายแรง การเผามันทิ้งก็เหมือนพิธีล้างคุณ

ไสย ชำาระมลทิน ถอดถอนคำาสาปออกจากตัวเอง คาถาที่ใช้เผาก็แค่สั้นๆ ท่องไว้ว่า ถ้าไม่เผามัน มันก็เผาเรา"

ได้ผล มะแมรู้สึกว่าผีเจ้าแม่กาลีในจิตของชายหนุ่มดิ้นพล่าน แต่ด้วยความที่เจอข้าวสารเสกและแส้เฆี่ยนโดยไม่ทันตั้งหลัก จึงร้องจ๊ากแค่ข้างใน ไม่เผ่นโผนโจนทะยานออกมาข้างนอก อีกทั้งเทวดาที่ซ่อนอยู่ในเขาก็เอาใจช่วยอยู่ก่อน สิ่งที่เห็นจึงเป็นอาการสลดใจรับฟังท่าเดียว

"ถ้าไม่เผามันให้สิ้นซาก รอจนมันร้อนได้ที่กว่านี้ มันจะเผาชีวิตคุณเป็นจุณ คุณจะจากโลกนี้ไปท่ามกลางเสียงสาปแช่งและความอยากรุมประชาทัณฑ์ศพ และมันจะไม่จบแค่นั้น เสียงร้องโอดโอยที่คุณอยากฟังจากผู้หญิงสวยๆ จะกลายเป็นเสียงในร่างอัปลักษณ์ของคุณเองที่ถูกนายนิรยบาลใช้หอกดาบ ทั้งสับ ทั้งแทง ทั้งทำทารุณ อวัยวะเพศ ตลอดจนส่วนอื่นๆที่ยังไม่โดน"

ดวงตาของพลุเบิกโพลง เพราะช่วงที่ผ่านมาฝันเห็นนรกและการทำทารุณขั้นสาหัสสากรรจ์บ่อยๆ จึงนึกภาพออกตามที่มะแมพูดอย่างถนัด

หญิงสาวเห็นอาการสั่นเทิ้ม แต่ทราบว่าเขายังไม่ใกล้เป็นลม สติยังดีพอจะฟังต่อ ก็พูดปิดเวทีชก

"อย่ากลัวไปเลยค่ะคุณพลุ การเห็นด้วยกับมะแมอยู่เดี๋ยวนี้ บอกได้ว่าทุกอย่างยังไม่สายเกินไป ดีใจที่ตัวเองพ้นปากเหวมาได้เถอะ!"

___________________________________________________________________________________________
บทที่ ๑๐

วันรุ่งขึ้น...

มะแมใจจดใจจ่อกับความมีชีวิตของรัฐกรพอสมควร ไม่เคยมีสถานีโทรทัศน์หรือวิทยุช่องไหนออกข่าวคนหัวใจวายตาย เว้นแต่คนที่หัวใจวายตายนั้น เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรืออะไรเทือกๆนั้น หล่อนจึงไม่อาจ "ติดตามผล" ทางโทรทัศน์หรือวิทยุใดๆ

ทำอาชีพที่ปรึกษาปัญหาชีวิตมาสองปี ยังไม่เคยทราบข่าวลูกค้าล้มหายตายจาก คือพวกเขาจะล้มหายตายจากหลังมาหาหล่อนหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่เพิ่งมีแจ๊บเป็นรายแรก และลึกๆก็ไม่อยากให้รัฐกรเป็นรายที่สอง แต่หาก "เทวดาทางโทรศัพท์" ทำนายไว้ถูกต้อง ก็แปลว่ารัฐกรตายไปตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว!

บอกตนเองไม่ให้ห่วงใยรัฐกรเกินควร หล่อนมีหน้าที่เปลี่ยนชีวิต แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ช่วยใครให้รอด หากเขาหรือเธอจะถึงคราวแตกดับ อย่างไรก็ต้องแตกดับ แม้ตัวหล่อนเองก็เถิด ยังไม่รู้เลยว่าจะตายเมื่อใด ศพสวยหรือไม่สวย

ในระดับของหล่อน มะแมเรียนรู้จากกรณีของแจ๊บ ว่าการสัมผัสจิตยังไม่ใช่วิธีรู้ว่าเขาหรือเธอตายหรือยัง ในเมื่อการตายไม่ใช่การดับจิต และจิตก็มีสภาพอารมณ์ได้เหมือนตอนเป็นมนุษย ์ คือ เหม่อบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ้าง

หากหล่อนไม่ทราบว่าแจ๊บตาย สัมผัสจิตเดี๋ยวนี้ก็คงเข้าใจว่าแจ๊บเหม่อลอยยืดเยื้อผิดปกติ ยังไม่มีเครื่องหมายใดบอกให้รับรู้ว่าสภาพจิตแบบแจ๊บไม่ใช่สภาวะของมนุษย์อีกต่อไป

มะแมเชื่อว่าหากสามารถรับรู้ภาวะแห่งจิตต่างภพมากกว่านี้ ก็อาจจำแนกได้ว่าจิตใดอยู่ในภพภูมิไหน หล่อนแค่ยังไปไม่ถึงความสามารถระดับนั้น และเพราะอย่างนั้น จึงไม่เห็นเป็นประโยชน์ที่จะดูสภาวะของรัฐกร เกรงว่าดูไปก็อาจตัดสินด้วยอุปาทานเปล่าๆ

พอเริ่มงานเก้าโมงเช้า มะแมก็ตัดความพะวงห่วงใยรัฐกรทิ้ง ความเพลิดเพลินในการแก้ปัญหาชีวิตให้ลูกค้าช่วงเช้า ทำให้ลืมรัฐกรไปสนิท

เที่ยงตรง เสร็จจากลูกค้าคนสุดท้าย มะแมก็ลงนอนผ่อนพักบนเก้าอี้ยาวตัวโปรด รอหยิมนำอาหารเข้ามาให้ ปิดตาโดยไม่คิดพักงีบ แค่พักตาให้คลายอารมณ์บ้าง ความนึกคิดเกี่ยวกับ ลูกค้าช่วงเช้ายังวนๆอยู่ในหัวนิดหน่อย

แต่ด้วยการปิดตาลากลมหายใจยาวๆช้าๆครู่เดียว เรื่องอลเวงยุ่งขิงของลูกค้าก็ปลาสนาการไปจากใจหล่อนหมด และโดยไม่เตรียมใจไว้ก่อน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั่วขณะที่หัวโปร่ง ใจเบาในระยะสั้นนั้น นิมิตหนึ่งปรากฏชัดในห้วงมโนทวาร เป็นนิมิตมีสีสันเต็ม ดุจเดียวกับภาพยนตร์บนจอผ้าใบขาวกว้างๆ

นิมิตนั้นนอกจากมีสีสันสมจริง ยังมีความเคลื่อนไหว เต็มไปด้วยชีวิตชีวากระจ่างสว่างเรือง ใบหน้าอารมณ์ดีของรัฐกรปรากฏชัด เขายิ้มให้และยกมือไหว้หล่อนในอาการคารวะ แล้วอึดใจต่อมาก็เลือนหายไป กลายเป็นนิมิตรถตกทางคันหนึ่ง แล้วตามมาด้วยป้ายชื่อโรงพยาบาลไทยนครินทร์ปิดท้าย

จากนั้นนิมิตทั้งหมดก็เลือนหาย กลายเป็นความรู้สึกอยากลืมตาขึ้นมาแทน ขณะนั้นเอง หยิมนำสำรับอาหารเข้ามาให้ มะแมพลิกกายดึงร่างขึ้นนั่ง ส่งสายตาสำรวจมือหยิม

"ไม่มีจดหมายหรือ?"

"วันนี้ไม่มีค่ะ"

ได้ยินแล้วผิดหวัง นี่ "ท่าน" สร้างความเคยชินผิดๆให้หล่อนหรือเปล่า? หล่อนรอทุกเที่ยงวันว่าจะได้รับคำเตือน คำสั่ง หรือคำสอนใด และถึงขั้น "ผิดหวัง" ได้เมื่อเที่ยงใดไม่พบเห็นเยี่ยงนี้แล้ว

มองโทรศัพท์ไทเทเนียมที่หล่อนวางไว้บนโต๊ะทำงาน แม้จะเพิ่งฟังคำเตือนจาก "ท่าน" ครั้งแรก ชีวิตหล่อนก็พ้นภัยมาได้ และนั่นก็เป็นอีกความติดใจ อยากได้ยินสัญญาณเรียก อยากได้ยินเสียงอีก

พวกท่านจะคาดหวังสิ่งใดจากหล่อนก็ตาม บัดนี้หล่อนคาดหวังจากการติดต่อมาทุกวันจากพวกท่านไปแล้ว

เมื่อหยิมเดินออกจากห้อง แทนที่จะจัดการอาหาร มะแมกลับตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำงาน คว้าโทรศัพท์มือถือ เลือกเบอร์โรงพยาบาลไทยนครินทร์จากสมุดโทรศัพท์ของเครื่อง หล่อนเก็บเบอร์ของโรงพยาบาลไว้อยู่แล้ว เนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน มีอะไรจะได้โทร.ติดต่อด่วนได้

"โรงพยาบาลไทยนครินทร์ค่ะ"

ปลายสายทักมา มะแมนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ย

"ขอติดต่อห้องฉุกเฉินค่ะ" คนรับโทรศัพท์โอนสายให้ตามต้องการ

อึดใจต่อมาก็มีเสียงผู้ชายขึ้นมาแทน

"แผนกฉุกเฉินครับ"

"เมื่อวานเย็นมีศพผู้ชายมาที่โรงพยาบาลไหมคะ?"

"ผู้ตายชื่ออะไรครับ?"

"รัฐกรค่ะ"

"อ๋อ! ญาติมารับศพไปตั้งแต่เมื่อเช้าครับ"

คำตอบเรื่อยๆธรรมดาๆของเจ้าหน้าที่กลายเป็นตะปูตอกตรึงร่างมะแมให้แน่นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนหน้านี้สัก ๕ วินาทีหล่อนยังหวังว่าจะได้ยินคำปฏิเสธ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีศพของคนชื่อรัฐกรจากปากเจ้าหน้าที่ เพราะมันดูจะเข้ากันได้กับความน่าจะเป็นจริงมากกว่า

แต่นี่...

ถัดจากความรู้สึกช็อค กลายเป็นความสลดเสียใจกับการจากไปของลูกค้าที่เพิ่งเห็นหน้ากัน หลัดๆ จากนั้นก็แปรเป็นความตื่นเต้นกับรสชาติประหลาด มันเป็นประสบการณ์ทางจิตใหม่เอี่ยมเหมือนยกระดับความสามารถไปอีกขั้นหนึ่ง หล่อนเพิ่งสื่อสารกับคนตาย และนี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!

แต่คิดดูอีกที คนตายต่างหากที่สื่อสารกับหล่อน ถ้าให้ตั้งใจคุยกับรัฐกรเดี๋ยวนี้ มะแมก็ไม่ทราบจะต้องทำเช่นไร ไม่ต่างจากเมื่อคราวฝันเห็นแผ่นดินไหว รู้สถานที่ รู้เวลาครบเสร็จ แต่ถ้าให้ตั้งใจเห็นอุบัติภัยทางธรรมชาติอื่นๆอีก ก็ไม่ทราบจะต้องทำท่าไหนถึงจะเห็น

"มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?"

เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินถามเมื่อเห็นหล่อนเงียบยาว

"เขาตายได้อย่างไรคะ?"

"โดนรถใหญ่เบียดตกทางน่ะครับ"

มะแมนิ่งไปเป็นครู่ อย่างนี้เอง พอเพ่งดูหัวใจที่ผิดปกติของรัฐกรจึงไม่เห็นว่าจะมีอาการล้มเหลวขึ้นมาในเย็นวานได้อย่างไร

ใจหนึ่งอยากขอรายละเอียดญาติของรัฐกร เพื่อติดต่อขอทราบสถานที่ตั้งศพ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าพอแล้ว เห็นรัฐกรยิ้มมาจากอีกโลกหนึ่งแล้วมันยิ่งกว่าไปนั่งหลับหูหลับตาส่งคนตายในงานศพตั้งเยอะ

"ขอบคุณมากนะคะ"

"เป็นเพื่อนของผู้ตายหรือครับ?"

"อ๋อ! คือ..." รอยยิ้มชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นที่เรียวปาก จะแปลกอะไรหากพูดความจริง "ดิฉันเพิ่งร่วมทำบุญกับคุณรัฐกรก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต และเมื่อครู่เขาก็เพิ่งมาเข้าฝันน่ะค่ะ!"

"หือ?"

"ขอบคุณมากๆสำหรับการยืนยันว่าเมื่อครู่ดิฉันไม่ใช่แค่ฝันไปเอง ที่โทร.มานี่ถูกก็เพราะเขาบอกทั้งนั้น"

พูดจบก็กดปุ่มตัดสัญญาณ หล่อนไม่ได้โกหกสักคำ ส่วนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะเชื่อหรือไม่ จะเก็บไปเล่าต่อกับเพื่อนร่วมงานอย่างไร นั่นก็คงสุดแล้วแต่

ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีการขนหัวลุกใดๆส่งจิตสัมผัสเข้าไปถึงรัฐกรมีแต่สบายใจ โล่งกว้าง และเป็นมิตรยิ่ง จำรอยยิ้มของเขาได้ชัดใจ และคงไม่ลืมไปตลอด

วางมือถือลง หยิบโทรศัพท์ไทเทเนียมอันเป็นอุปกรณ์สื่อสารกับ "เทวดาทางเสียง" ขึ้นมาแทน ยิ้มๆให้โทรศัพท์พลางนึกในใจว่า "แม่นจริงๆค่ะท่าน"

ต่อหน้าต่อตา เสียงกริ๊งยาวของโทรศัพท์โบราณดังขึ้นพร้อมระบบสั่น และอันเนื่องจากมะแมถืออยู่หลวมๆ ความสั่นที่เกิดขึ้นกับฝ่ามือแบบกะทันหัน ประกอบกับเสียงกริ๊งดังๆ จึงทำให้ผวาตาโต เกือบปล่อยเครื่องหล่นลงพื้น ดีว่าตั้งสติกลับกำแน่นไว้ได้ทัน

ลากลมหายใจยาวปรับจิตปรับใจ ก่อนกดปุ่มรับและส่งเสียงสวัสดีไม่ดังนัก

"สวัสดีค่ะ..."

ปลายเสียงสะอึกขาดห้วงไปแบบคนพูดไม่จบ หรือไม่ก็เพราะลังเลที่จะพูดให้ครบบริบูรณ์ คำสุดท้ายที่หายไปคือ "ท่าน!"

มะแมอยากแน่ใจว่าหล่อนสวามิภักดิ์ต่อ "เทวดา" แล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแน่ใจหรือยัง ส่วนลึกยังคงหวั่นไหวเพราะ "พวกท่าน" ไม่เคยแนะนำตัวเอง ไม่เคยบอกเหตุผลว่ามาช่วยทำไม ประสามนุษย์ธรรมดาก็ต้องระแวงอยู่ในส่วนลึกไว้ก่อน

"สวัสดีมะแม"

เสียงทุ้มลึกนั้น ฟังยิ่งใหญ่กว่าเมื่อวาน

"หนูกราบขอบพระคุณนะคะที่ช่วย"

มะแมคิดว่าตนเองใช้สรรพนามเหมาะสมแล้ว ไม่ว่าจะคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ

"ในหัวเธอคงเต็มไปด้วยคำถาม"

"หนูแค่อยากรู้คำตอบสำาคัญที่สุด คือ หนูมีสิทธิ์ถาม เอ่อ... ท่าน... ในเรื่องไหนได้บ้าง"

ตกลงใจเรียก "ท่าน" เต็มปากเต็มคำ แม้จะยังครึ่งๆ ยังค้างๆคาใจอยู่มากก็ตาม

"เอาเป็นว่าถามมาเถอะ วันนี้ฉันพอมีเวลา ให้เธอหน่อยหนึ่ง"

"ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ?"

"ฮ่าๆๆ!" นั่นเป็นการหัวเราะเต็มเสียง "เธอว่าใช่ไหมล่ะ?"

"หนูว่าไม่ใช่!" หล่อนลงเสียงหนักด้วยความมั่นใจ

"และตอนนี้ท่านก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วย!"

"เก่ง!" คำชมนั้นมีค่าเท่ากับการยอมรับ

"บางทีฉันก็ขี้เกียจนับว่าพูดได้ทั้งหมดกี่ภาษา แม้แต่ภาษาที่มีมนุษย์พูดได้ไม่ถึงพันคนฉันก็เอา ถ้าฟังมีเสน่ห์พอ"

มะแมถอนใจขับไล่ความประหม่า หล่อนกำลังคุยกับใครคนหนึ่งที่เกินคำว่า "อัจฉริยะ" ไปมาก

"ค่ะ! หนูก็ว่าท่านทำได้ทุกอย่างที่อยากทำ"

"เธอเดาถูกเพราะจับได้ใช่ไหมล่ะ ว่าวิธีคิดของฉันเป็นแบบดึงลิ้นชักภาษา ฉันไม่ขึ้นใจภาษาไทยเต็มร้อยหรอก อาจมีหน่วงๆเพราะเค้นคิดอยู่บ้าง แต่ถ้าคนไทยทั่วไปฟังโดยไม่มาจับจิตกัน ก็ไม่มีทางรู้ไต๋ฉันได้แน่"

มะแมไม่สนใจประเด็นอัจฉริยภาพทางภาษาของท่าน และพยายามดึงเข้าเรื่องที่ตนอยากรู้ ในเมื่อเวลามีน้อย

"หนูอาจเป็นลูกหนูอยู่ต่อหน้าราชสีห์ใหญ่ หนูเคารพนบนอบต่อท่าน หนูซาบซึ้งในพระคุณของท่าน แต่หนูก็มีชีวิต และมีความทรมานใจกับความไม่รู้ หนูแค่อยากกราบขอให้ท่านกรุณาอธิบายความเป็นมาเป็นไป ว่าเหตุใดจึงต้องลดตัวมาช่วยหนู คำถามนี้โอเคไหมคะ?"

ยินเสียงหัวเราะนุ่มนวลในลำคออีกฝ่าย ซึ่งฟังมีความปรานีประดุจเทพยดาสรวลต่อความน่าสงสารของมนุษย์ตัวน้อย

"เธอไม่ใช่ลูกหนู เธอมีค่ามากกว่าที่ตัวเองคิด" เอ่ยแล้วเว้นวรรคเป็นครู่คล้ายจะใคร่ครวญบางสิ่ง

"แต่ฉันตอบคำถามข้อนี้ในวันนี้ไม่ได้เพราะบันไดอนาคตอาจถูกรื้อใหม่หมด ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป"

"หนูจะน้อมรับการตัดสินใจของท่านเจ้าค่ะ และไม่ดื้อรั้นขอคำตอบใดๆอีก แต่ถ้าต่อไปหนูนึกถึงท่าน หนูควรจะนึกถึงในนามว่าอะไร?"

"เรียกฉันว่า 'บอส' ไปพลางๆก็แล้วกัน"

"ตกลงค่ะบอส"

มะแมยอม "คุกเข่า" ให้เขาด้วยการเอ่ยสรรพนามตามบัญชาอย่างเต็มใจ จะต้องเรียกบอส เรียกนาย เรียกอาจารย์ หรือพระองค์ท่าน อย่างไร ใจรับได้หมด ยอมลงให้ไม่ฝืนเลย

"ฉันมีเวลาให้เธออีกนิดเดียว จะถามอะไรอีกก็รีบว่ามา"

"บอสเห็นว่าวันนี้ควรสั่งอะไรหนูล่ะคะ?"

"ช่วงนี้เธออาจทรมานใจหน่อย ที่ฉันเข้ามาในชีวิตโดยปราศจากคำอธิบาย แต่สุดท้ายเธอจะพบว่าทั้งจดหมายจากหมอนั่น ตลอดจนโทรศัพท์จากฉัน มันไม่ใช่อะไรสักอย่างที่เธอคิด ฉะนั้นก็อย่าเพิ่งไปคิดอะไรสักอย่างในตอนนี้"

"ค่ะ! มะแมไม่รู้อะไรเลยก็ได้ รู้แต่ท่านมาดีก็พอ"

"อือม์! วันนี้ฉันไม่มีอะไรจะบอก แต่เห็นเธอจับโทรศัพท์ด้วยความคิดถึง เลยโทร.มาทักไปอย่างนั้นแหละ"

วินาทีนั้น มะแมสัมผัสว่าบอสกำลังจะวางสาย จึงรีบละล่ำละลัก

"ขอให้หนูพบบอสได้ไหมคะ? สักครั้งในชีวิตก็ยังดี"

"เธอยังแค่ระดับสี่ เอาไว้รอให้ถึงระดับห้าก่อน แล้วฉันจะส่งคนไปพาตัวมาพบเอง!"

จบคำก็ตัดสายไปเฉยๆ ไม่มีการล่ำลาตามมารยาทหรือบอกกล่าวให้รู้ตัวล่วงหน้าแต่อย่างใด ปล่อยให้มะแมถือโทรศัพท์ค้างด้วยความผิดหวังเป็นนาน

ระดับสี่... มันระดับอะไรกัน?

ช่างเถอะ! ถึงไม่รู้ว่าแค่ไหน ชั้นใด แต่ก็รู้ว่าต้อง "ไม่เบา" ทีเดียว เพราะใกล้ถึงระดับห้า เฉียดจะมีสิทธิ์พบบอสในเร็วๆนี้แล้ว!

_________________________________________________________________________________________________
ขอเชิญดาวน์โหลดเพื่อนำไปแบ่งปัน หรือ นำไปอ่านได้อีกหลายช่องทาง ที่ไม่ต้องออนไลน์ ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ

http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=99&Itemid=278



5

จิตจักรพรรดิ
ตอน โลกาวินาศ
ดังตฤณ
แจกจ่ายฟรีได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องขออนุญาต
ห้ามนําไปใช้ทางการค้าไม่ว่ากรณีใดๆก่อนได้รับอนุญาต
____________________________________________________________________________
บทที่ ๒๑

"ตอนเดินๆตามคนแปลกหน้าอยู่ แกเคย
นึกสนุกอยากเตะตูดเขาเล่นบ้างไหมล่ะ?"
คณินทร์ถามชั้นหนึ่ง ลูกชายวัยยี่สิบกลางๆ
ซึ่งนั่งมาด้วยกันที่ตอนหลังของรถคันยาว ฝ่ายนั้น
ฟังคำาถามแล้วหัวเราะงงๆ
"ไม่เคยมั้งพ่อ ไม่ได้มีเรื่องกันจะไปเตะ
ทำาไมล่ะ?"
"มาสมมุติว่าเคยก็แล้วกัน เขาเดินนำาแกอยู่
ดีๆ ไม่ทันระวังเนื้อระวังตัว แกหวดเท้าใส่ก้นเขา
เปรี้ยงหนึ่งแรงๆ... คราวนี้แกว่ามันเป็นไปได้ไหม
ที่จะพูดให้เขาใจอ่อน หายโกรธแกได้ ?"
หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวด แววตาสับสน
หน่อยๆ หากพ่อของเขาเป็นคนธรรมดา ชั้นหนึ่ง
คงนึกว่านี่เป็นแค่คำถามเล่นๆยามว่าง แต่เพราะ
พ่อของเขาเป็นกูรูนักสร้างแบรนด์ระดับประเทศ
อีกทั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน
แล้วก็กำาลังสอนวิชาสร้างแบรนด์แบบลัดสั้นให้
กับเขา ชั้นหนึ่งเลยคิดหนักก่อนสารภาพ
"คิดไม่ออกอ้ะ"
"ถ้าแกเตะตูดคนจริงๆ สมองแกจะทำางาน
จริงจังกว่านี้ และอาจคิดออกก็ได้ !"
ชายหนุ่มหัวเราะปลงสังเวช
"สมองจะต้องทำางานอะไรล่ะพ่อ เตรียมวิ่งดี
กว่า หรือพ่อเคยเจอใครในโลกนี้วาทศิลป์ดี เตะ
กันกลางถนนแล้วกล่อมให้ไม่เอาเรื่องได้ ?"
"ไม่เคยมี ก็พยายามทำาให้มันมีขึ้นมาเป็น
ครั้งแรกสิ ... ลองนึกถึงตัวแกเองนะ เดินอยู่ดีๆถูก
เตะป้าบเจ็บเนื้อเจ็บตัว ปฏิกิริยาแรกที่จะเกิดขึ้น
คืออะไร?"
ชั้นหนึ่งขมวดคิ้วคิด
"ถ้าแวบแรกก็คงนึกว่าเป็นเพื่อนมาล้อเล่น
มากกว่าอย่างอื่น"
"จากนั้นล่ะ?"
"หันมามองหน้าว่าเป็นใคร"
"แล้วทำาไงต่อ พอพบว่าไม่ใช่คนรู้จัก อย่า
ว่าแต่จะเป็นเพื่อนกันมาก่อน?"
"ก็คงโมโหมาก"
"น่าสนใจล่ะทีนี้ ! โมโหแล้วไง คนเตะแกยืน
อยู่ตรงหน้า?"
ชายหนุ่มลังเล
"ก็คงถามให้รู้เรื่องว่าอะไรกัน อยู่ดีๆมาเตะ
ทำไม"
"ไม่เตะตอบทันทีหรอกเหรอ?"
"อือม์ ... คงไม่ ... น่าจะระแวงด้วยซ้ำาว่ามัน
มีอาวุธอะไรหรือเปล่า ถึงกล้ามาทำาเราได้ ...
บางทีอาจจะมาปล้น"
"เห็นไหมล่ะ? มันต่างจากที่แกคิดครั้งแรก
ง่ายๆว่าแกไปเตะใคร เขาต้องหันมาเตะตอบ
ทันที "
ชั้นหนึ่งยิ้มออกมาหน่อยๆ
"ก็จริงนะ"
"ถ้าแกคิดเปิดตัวสินค้า หรือจะสร้าง
แบรนด์ขึ้นมาให้เป็นที่จดจำา ก็ต้องคิดให้ออก
อย่างนี้แหละ ทำายังไงจะเรียกร้องความสนใจจาก
ลูกค้าได้เหมือนอยู่ดีๆเข้าไปเตะตูดเขา แบบไม่
ให้ตั้งตัว ไม่ทันได้คาดฝัน จากนั้นต้องเดาให้ออก
ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ หรือความรู้สึก
นึกคิดยังไงตามมา"
"พ่อจะบอกว่าต้องสมมุติตัวเองเป็นลูกค้า
ให้ได้ก่อน มุมมองถึงจะเกิดขึ้นใช่ไหม?"
"แม่นแล้ว!"
"เรื่องที่พ่อสมมุติล่ะ... พ่อจะพูดยังไงให้คน
ถูกพ่อเตะหายโกรธ?"
ชั้นหนึ่งยังข้องใจ คณินทร์หัวเราะเอื่อยๆใน
ลำาคอ
"ถ้าหน้าตาเหมือนคนใกล้ตกงาน แค่พูดว่า
'ไม่เอาเรื่องให้หมื่นหนึ่ง' เชื่อพ่อเถอะ สีหน้าบึ้ง
ตึงจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม แถมยกมือไหว้แกปะ
หลกๆด้วย"
ชั้นหนึ่งทำาหน้าเมื่อยอย่างนึกไม่ถึงว่าพ่อจะ
เล่นมุขตื้น
"โธ่พ่อ! แค่นี้ใครก็คิดได้ "
"แล้วเมื่อกี๊แกคิดหรือเปล่า?"
คนเป็นลูกถึงกับอึ้ง
"ก็ ... พ่อบอกให้ผมนึกว่าจะพูดยังไง"
"แล้วพ่อไปจำากัดซะเมื่อไหร่ล่ะว่าแกต้อง
พูดแบบไหน... มุขเอาเงินล่อดูเหมือนตื้น แต่มันก็
ใช้ได้ผลจริงเกินกว่าเก้าสิบจากร้อย ประเด็นมัน
อยู่ตรงนี้ มันใช้ได้จริง! ถ้าแกมัวสรรหาคำาพูดมา
จำานรรจานะ ต่อให้ได้คำาที่ดีที่สุด ก็ลดความเป็น
ไปได้จริงลงฮวบใหญ่ อาจเหลือแค่หนึ่งในร้อย
เท่านั้น"
ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้
"โอเคเลยพ่อ เอาก็เอา ตกลงจะขายของ
ต้องทำาให้ลูกค้าโมโหก่อนแล้วค่อยตกรางวัล
แบบตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ?"
"มันเป็นอุปมาอุปไมย เตะแบบนักขายคือ
เตะให้โลภ ไม่ใช่เตะให้โกรธ"
"อ๋อ..."
"แกจะขายอะไรก็ตาม ทำาไว้ในใจแค่นี้
แหละ ตอนลูกค้าหันหลังให้ เขาเสียเปรียบเราอยู่
คิดให้ออกว่าทำาไงสินค้าจะเตะลูกค้าสะดุ้งโหยง
ได้ ทำาไงจะเปลี่ยนลูกค้าที่หันหลังให้เรากลับมา
จ้องมองเราเขม็ง และตั้งคำาถามว่าเราแน่ยังไง
กล้าดียังไงถึงมาเตะกัน... ตรงนั้นแหละสำาคัญสุด
ยอด หลังเตะเสร็จ สินค้าต้องทำาให้ลูกค้ารู้สึก
เหมือนได้รางวัล ไม่ใช่เจ็บตัวฟรี "
ชั้นหนึ่งพยักหน้าอย่างแสดงความยอมรับ
"ผมพอเข้าใจล่ะ"
"ถ้าแกรู้วิธีเตะคนให้สนแก และทำาให้เขา
ติดใจที่จะถูกแกเตะได้บ่อยๆ นั่นแหละ รู้ตัวไว้
เถอะ แกเป็นนักสร้างแบรนด์ระดับประเทศหรือ
ระดับโลกได้เลย!"
"ผมอยากเป็นอย่างพ่อมั่ง"
"อะไร... เป็นนักการเมืองน่ะเหรอะ?"
"เปล่า... ผมแค่อยาก... คิดได้จริง ทำาได้
จริงอย่างพ่อบ้าง"
"แกว่าแกทำาแบบพ่อไม่ได้ ?"
"ฮะ..."
"รู้ไหม ความแตกต่างระหว่างพ่อกับแกคือ
อะไร?"
"ผมเป็นลูกเถ้าแก่ใหญ่ ส่วนพ่อเป็นลูก
เถ้าแก่น้อย!"
ชั้นหนึ่งตอบ และนั่นก็เป็นคำาพูดของคณิ
นทร์เอง ครั้งที่รำาพึงเมื่อเห็นเขาขี้เกียจสันหลัง
ยาว
"นั่นก็ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่ทำาให้แกประมาท
ขาดความกระตือรือร้น แต่สิ่งที่ทำาให้แกกับพ่อ
ต่างกันจริงๆ คือแกเป็นพวกชอบน้อยใจวาสนา
ตัวเอง แล้วก็เป็นโรคเรียกร้องจะเอาความสำาเร็จ
เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องผ่านความล้มเหลว ไม่ต้อง
กล้าคิดต่าง ไม่ต้องเพียรพยายาม ไม่ต้องอดทน
รอคอย ขณะที่พ่อเป็นตรงข้ามหมด"
ชั้นหนึ่งทำาท่าสลดละห้อย
"ก็จริงนะ ได้เป็นลูกพ่อ ข้อดีคือไม่ต้องคิด
ว่าชีวิตนี้จะมีกินมีใช้หรือเปล่า แต่ข้อเสียคือต้อง
คิดไปทั้งชีวิต ว่าทำายังไงจะมีความภูมิใจในตัว
เองสมเป็นลูกพ่อบ้าง"
คณินทร์ชักยัวะที่ลูกทำาเสียงตัดพ้อเหมือน
เขามีส่วนผิดและต้องร่วมกันรับผิดชอบ จึงหมด
ความอดทนที่จะปลอบ
"ขี้หมาเอ๊ย! แกก็ได้แต่คิดหยั่งงี้ คิดแค่นี้
ก็ได้แค่นี้แหละ โลกนี้ไม่มีหรอกโว้ย มูลนิธิบริจาค
ชื่อเสียง โรงทานบริจาคความสำาเร็จ อยากได้
ต้องหาเอง! ตอนเด็กๆแกรบเร้าให้พ่อซื้อของให้
พ่อก็ใช้เงินซื้อให้มากเท่าที่แกต้องการแล้ว เดี๋ยว
นี้แกโตเป็นผู้ใหญ่ จะมารบเร้าเอาความยิ่งใหญ่
จากพ่ออีกหรือ พ่อจะเอาอะไรไปซื้อมาให้แกวะ?"
เมื่อถูกดุ ชั้นหนึ่งก็ตัวเกร็ง และอยากกลับ
ไปเป็นเด็กงอแงคนเก่าเมื่อยี่สิบปีก่อน
"เฮ้อ! บางทีผมก็อยากหลบไปไกลๆให้รู้
แล้วรู้รอด"
คณินทร์ทำาหน้าหมดอารมณ์เช่นกัน
"ลูกเอ๊ย... ฟังหลักการชีวิตแล้วจำาไว้นะ
หลบโจทย์เลขจะโง่แค่เลข แต่หลบปัญหาชีวิตจะ
โง่ไปทุกเรื่อง!"
ปัญหาของชีวิตชั้นหนึ่ง คืออยู่ดีๆก็สร้าง
ปัญหา ทั้งที่ไม่จำาเป็นต้องมีปัญหา เขาย้ำาพูดซ้ำา
แล้วซ้ำาอีกจนครั้งนี้ขี้เกียจพูดอีก
ว่าแล้วท่านรัฐมนตรีก็กางหนังสือพิมพ์อ่าน
ใจคิดว่าเปลืองสมองให้กับลูกแหง่ไม่ยอมโตมาก
พอแล้ว สมควรหาอาหารสมองให้ตนเองเสียบ้าง
ไอ้ลูกคนนี้เหมือนฟ้าแกล้งส่งมายั่วโมโหโดย
เฉพาะ
เขาประสบความสำาเร็จมาทั้งชีวิต แต่มา
รู้สึกล้มเหลวก็ตอนมีลูกนี่เอง ดันแค่ไหนก็เข็นไม่
ขึ้นสักที
คณินทร์เห็นตนเองเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมา
ตั้งแต่อายุ ๑๔ เมื่อสามารถคะยั้นคะยอพ่อของ
ตน ซึ่งเป็นลูกจ้างร้านขายของชำา ให้กู้เงินมาต่อ
เติมบ้านเป็นร้านขายของเล็กๆได้สำาเร็จ
ปีแรกเขาเป็นพ่อค้าฝึกหัด ช่วยพ่อบริหาร
จัดการสินค้าสามัญ ปีที่สองเขาเริ่มสังเกตว่ายิ่ง
คุยกับลูกค้ามากขึ้นเท่าไร ก็ทำาให้เขายิ่งหัวการ
ค้าได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อคุยก็ได้ทราบ
ความต้องการของคนในหมู่บ้านโดยรวม รู้ด้วย
ตนเองโดยตรงว่ากำาลังขายของให้ใคร พวกเขามี
สิ่งใดเป็นความต้องการร่วมกัน
ปีที่สามเขากลายเป็นนักสร้างแบรนด์ จาก
จุดเริ่มต้นง่ายๆคือลูกค้าสองคน เผอิญบ่นให้ฟัง
ในวันเดียวกันว่าแยมทาขนมปังของร้านเขาไม่ได้
เรื่องเลย เอายี่ห้อดีๆมาขายบ้างได้ไหม
คณินทร์เชื่อเรื่องป้ายบอกทางชีวิต และ
เสียงเรียกร้องของลูกค้าก็คือป้ายบอกทาง
สำาหรับพ่อค้าอย่างเขา
ก่อนหน้านั้นเขาไม่ค่อยชอบกินขนมปังทา
แยม เลยไม่รู้ว่าแยมยี่ห้อไหนรสดีหรือไม่ดี รู้แต่
ยี่ห้อไหนราคาถูกและพอขายได้ แต่พอฟังลูกค้า
บ่น เขาก็ปฏิวัติตัวเอง แยมมีกี่ยี่ห้อในตลาด เขา
กวาดเอามาลองชิมหมด จนกลายเป็นช่วงที่ง่วน
อยู่กับขนมปังทาแยมวันละเกือบ ๓ มื้อ กับทั้ง
ต่อยอดจากประสบการณ์ตรง นึกสนุกอยากรู้
เรื่องการทำาแยมเองขึ้นมาบ้าง
สวรรค์ประทานหรืออย่างไรไม่ทราบ เขาไป
เจอตำาราทำาอาหารเก่าแก่คร่ำาคร่าเล่มหนึ่งในร้าน
หนังสือเช่า ซึ่งในนั้นมีวิธีทำาแยมผลไม้ต่างๆ
ทำาให้รู้ว่าการผลิตแยมไม่ยากอย่างที่คิด
คณินทร์ลองทำาตามสูตร และพบว่ามัน
อร่อยอย่างเหลือเชื่อ ลองให้ใครชิมทุกคนก็
ติดใจเหมือนกันหมด แม้แต่แม่ของเขาซึ่งเป็นคน
เกลียดแยม ยังลืมความหลัง หันมาตั้งหน้าตั้งตา
กิน และลงมือช่วยเขาเคี่ยวแยมด้วยความเต็มใจ
เหตุผลง่ายๆคือพอหมดแล้วไม่รู้จะไปซื้อจากไหน
อยากกินอีกก็ต้องทำาเอง
ความเปลี่ยนแปลงของแม่เป็นใบรับประกัน
ชั้นอ๋อง อุตสาหกรรมในครัวเรือนเกิดขึ้น เขา
ทดลองทำาขาย เริ่มจากการหาซื้อแก้วหนาๆมา
บรรจุแยม ปิดฝาพลาสติก และแปะสติกเกอร์
ประทับตรา "โคตรแยม" กับทั้งบรรจงเขียนป้าย
โฆษณาใหญ่สุดสวยไว้หน้าร้าน อธิบายว่าโคตร
แยมคือต้นตระกูลแยม ซึ่งทางร้านพลิกแพลงจาก
แยมสูตรโบราณที่หายไปจากโลกนี้มานาน เพิ่ง
กลับมาเริ่มให้ลิ้มลองใหม่ที่นี่ที่เดียว รับประกันว่า
ถ้าไปเจอจากที่อื่นให้กลับมาเตะคนเขียนโฆษณา
ได้
เขากับพ่อแม่ช่วยกันทำาโคตรแยม ๕๐ ขวด
ผลปรากฏว่าครึ่งวันแรกหมดเกลี้ยง!
โคตรแยมทำาให้รู้ว่าชื่อสินค้ามีผลให้เกิด
ความอยากซื้อได้ขนาดไหน แทบทุกคนที่อ่าน
ป้ายโฆษณาต่างคว้าขวดแยมหมับมาจ่ายเงิน
ทันที
ยิ่งไปกว่านั้น โคตรแยมที่โคตรอร่อยก็มีผล
ให้ลูกค้าที่ซื้อตอนเช้า วกกลับมาขอซื้ออีกทีใน
ตอนเย็นถึง ๖ ราย แต่เขาก็ไม่มีของจะให้ ได้แต่
ผลัดว่ารุ่งเช้าเจอกัน รับรองได้ของแน่
ลูกค้าที่รู้จักโคตรแยมต่างพากันบอกต่อถึง
ความโคตรอร่อย แค่คนในหมู่บ้านแห่มาซื้อก็
ต้องผลิตกันวันละเป็นร้อยๆกระปุก และนั่นทำาให้
เขาตัดสินใจลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรสำาหรับเคี่ยว
แยมทีละเยอะๆ
พอมีเครื่องจักร เขาก็เกิดความคิดทดลอง
จับโน่นผสมนี่ กับทั้งเรียนรู้เรื่องแยมเพิ่มเติม จน
เกิดกระบวนท่าในการผลิตที่พลิกแพลงพิสดาร
กระทั่งได้สูตรเฉพาะ อร่อยและมีรสเปรี้ยวหวาน
มันเค็มหลากหลายกว่าต้นตำารับเข้าไปอีก
ถึงเวลานั้น ปริมาณสินค้าเริ่มไม่พอกับ
ความต้องการเอาจริงๆ ต้องมีการสั่งจองล่วงหน้า
และแม้ลองเพิ่มราคาให้สูงขึ้นเกือบสามเท่าตัว
อ้างว่าต้นทุนผลิตสูงขึ้น ความต้องการของลูกค้า
ก็ไม่ลดลงเลย
ถึงเวลานั้นเขามั่นใจเกินร้อย เข้าหา
ธนาคาร นำาโคตรแยมไปให้ชิม และบอกถึง
เจตจำานงจะสร้างยี่ห้อระดับประเทศ
ผลคือเขาได้รับอนุมัติเงินกู้เกือบสิบล้าน
กับทั้งได้รับคำาแนะนำาเรื่องการสั่งผลิตเครื่องจักร
การเช่าโรงงาน การจ้างวานคน ตลอดจนการหา
ช่องทางกระจายสินค้าให้กว้างไกล
โคตรแยมกลายเป็นที่รู้จักระดับประเทศใน
เวลาเพียง ๒ ปี ก่อนที่อายุของเขาจะขึ้นเลข ๒
ความสำาเร็จไม่ได้ทำาให้คิดเลิกเรียนกลาง
คัน คณินทร์มองไกลกว่าการเป็นพ่อค้าขายแยม
เขาทำางานหนักด้วย ตั้งอกตั้งใจเรียนด้วย กระทั่ง
จบเศรษฐศาสตร์และการบริหารระดับปริญญาโท
เมื่อเรียนจบ กิจการอยู่ตัว ความรู้และ
ความร่ำารวยทำาให้มีทางเลือกใหม่ๆเยอะ เล่นสนุก
กับการทำาสินค้าง่ายๆ ทั้งตามกระแสนิยม และ
ทั้งสร้างกระแสนิยมขึ้นมาใหม่ ด้วยหัวคิดของ
ตนเอง
อาหารและของขบเคี้ยวเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
นอกจากมีแบรนด์ของตัวเอง คณินทร์ยังเป็นที่
ปรึกษาสร้างแบรนด์และดูแลแบรนด์ให้คนอื่น
ครอบคลุมตั้งแต่โทรศัพท์มือถือยันรถหรู
เขาไม่ได้รู้แค่วิธีสร้างวัตถุให้เป็นสินค้า แต่
ยังเข้าใจจุดขายของภาพลักษณ์ตนเอง สร้าง
แบรนด์บุคคลขึ้นมาเป็นที่สนใจและจดจำาของคน
ทั้งประเทศได้ในเวลาอันสั้น
ที่ทำาได้เพราะคณินทร์รู้จักจุดเด่นของตนเอง
คือ มีรูปร่างหน้าตาดุดัน บุคลิกเข้ม ตาเข้ม คำา
เข้ม แต่แฝงแววขี้เล่นขำาๆ อำาเก่ง ลีลาและน้ำา
เสียงฟังสนุก มีเสน่ห์น่าอบอุ่น แต่ลงท้ายก็
สามารถเอาไปใช้ได้จริง คือมีพลังและน้ำาหนักคำา
พูดกระตุ้นคนให้เกิดแรงบันดาลใจอยากสร้างเนื้อ
สร้างตัวได้ ฉลาดดึงคนเข้ามามีอารมณ์ร่วมกัน
แก้ปัญหาได้ ใช้คำาที่กระชับในการให้ความรู้
คนในเวลาอันสั้นได้
ด้วยการทราบจุดขายดังกล่าวของตนเอง
คณินทร์ลงทุนทำารายการโทรทัศน์ขึ้นมารายการ
หนึ่ง ชื่อ "หัวเราะเยาะเคราะห์ร้าย" ออกอากาศ
สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดยเขาตระเวนสัญจรไปตาม
จังหวัดต่างๆ เปิดให้ประชาชนเข้าฟังอบรมวิธีเริ่ม
ต้นทำาธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางฟรี ไม่เสีย
ค่าอบรมสักบาทเดียว
แนวคิดในการนำาเสนอ คือ เรียกเสียง
หัวเราะก่อน แล้วสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อปิดท้าย
ด้วยวิธีที่เป็นไปได้จริงทุกครั้ง
การอบรมของเขาฟังเข้าใจง่ายมาก และ
เกิดผลคือแทบทุกคนมีแก่ใจย้อนเข้ามาสำารวจ
ตนเองจริงจัง ว่ามีอะไรเป็นต้นทุนชีวิต หากคิดจะ
รวยกว่านี้
สโลแกนของรายการคือ "เอาฮาก็มี เอาดี
ก็ได้ " และบทพิสูจน์ว่ารายการของเขาบรรลุผล
คือการเอาอดีตผู้เข้าฟังที่ประสบความสำาเร็จ
ขยันขึ้น เก่งขึ้น รวยขึ้น มาสัมภาษณ์ใน ๕ นาที
สุดท้ายของทุกสัปดาห์
คณินทร์ทำางานสร้างแรงบันดาลใจไปทั่ว
ประเทศอย่างสม่ำาเสมอเป็นเวลากว่า ๓ ปี ผลคือ
เมื่อสมัครเป็นผู้แทนราษฎรสมัยแรก เขายึดครอง
พื้นที่ที่ชนะยากที่สุด ด้วยคะแนนถล่มทลาย
ท่วมท้นเป็นประวัติการณ์อย่างที่สุด!
ชื่อเสียงและหน้าตา บวกกับความเป็นยอด
นักขาย อัจฉริยะนักสร้างแบรนด์ของเขา ทำาให้
คณินทร์วนเวียนอยู่กับงานดูแลเศรษฐกิจและการ
ส่งออก แล้วนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์
แบบนอนมา กับทั้งเป็นที่ปรึกษาตัวจริงไม่อิง
ตำาแหน่งของท่านนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
ในวัยห้าสิบเศษ คณินทร์ยังรู้สึกค้างคา
เหมือนไม่ถึงจุดยอดของชีวิต ก็ตรงเลี้ยงลูกชาย
ให้โตไม่สำาเร็จนี่เอง ไปที่ไหนอายที่นั่น ช่วยคน
สำาเร็จมาค่อนประเทศ แต่ช่วยลูกคนเดียวให้เอา
ตัวรอดไม่ได้ ...
ผลการเรียนของชั้นหนึ่งร่อแร่ จบแบบผ่าน
เกณฑ์แค่ฉิวเฉียด ยิ่งชีวิตการทำางานยิ่งแล้วใหญ่
ให้ช่วยงานบริษัทก็เหยาะแหยะ ให้ไปลำาบาก
ทำางานกับคนอื่นไม่ทันไรก็ลาออก ให้เงินลงทุน
ทำากิจการเล็กๆเองก็เจ๊งอย่างเปิดเผยด้วยความ
รวดเร็ว
ผลงานอันเกิดจากการสร้างคนของเขา นับ
ว่าเข้าตากรรมการไปทั้งเมือง แต่ผลงานอันเกิด
จากการมีลูกไม่เอาถ่านของเขา ยังขัดใจตัวเอง
อยู่ทุกวัน กรรมพันธุ์คงเป็นเรื่องแหกตากระมัง
ต่างคนต่างเกิดและโตมาด้วยความบังเอิญ
มากกว่าอย่างอื่น
ครู่ใหญ่ผ่านไป หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์
เกือบหมด กระทั่งอารมณ์ขุ่นมัวจางลง ท่าน
รัฐมนตรีก็เหลียวไปทางขวา เห็นลูกชายหลับตา
อ้าปากหวอคอพับคออ่อน ก็ส่ายหน้านิดหนึ่ง
ก่อนเบนสายตาไปทางด้านหน้า
"เฮ้ย! เชิด... ทำาไมวันนี้มึงขับช้านักวะ กว่า
จะถึงสุพรรณฯเข้าไปกี่โมงล่ะเนี่ย"
เหมือนคนขับรู้สึกตัว ยืดกายขึ้นในท่าที
กระตือรือร้นกว่าเดิม
"ครับนาย"
ชายร่างดำาวัยกลางคนตอบสั้นๆแล้วกดคัน
เร่ง เพิ่มความเร็วขึ้นจาก ๑๐๐ เป็น ๑๔๐ อันเป็น
ที่รู้กันว่าเจ้านายชอบให้ทำาสปีดไม่มากไม่น้อยไป
กว่านี้
คณินทร์มองทะแยงมาจากตอนหลังด้าน
ซ้าย เห็นเสี้ยวหน้าคนขับแล้วสัมผัสถึงความ
เครียดแปลกๆ เหมือนคิดมากผิดปกติ และอัน
เนื่องจากคุ้นกันนานร่วมสิบปี จึงทราบว่าคนของ
ตนคงมีเรื่องไม่สบายใจติดค้างคาอยู่เป็นแน่
และอันเนื่องจากไม่อยากนั่งอยู่ในรถที่คน
ขับกำาลังคิดมาก นักการเมืองใหญ่จึงซัก
"มึงเป็นอะไรวะเชิด? ทำาหน้าเหมือนมีจุก
ก๊อกอุดตูด"
เชิดหัวเราะออกมาเบาๆ
"ไม่มีอะไรมากหรอกครับนาย" แต่หลังจาก
เว้นวรรคพักหนึ่งก็ถามขึ้นมาลอยๆ "ผมจะ
รบกวนขอคำาปรึกษาจากนายสักเรื่องได้ไหม?"
"ได้สิ "
"ถ้าผมต้องทำาเรื่องที่มันจำาเป็นมากๆ แต่
รู้สึกผิด ผมจะแก้ความรู้สึกผิดให้หายไปได้ยัง
ไง?"
"มึงทำาไปแล้วเหรอ?"
"ครับ!"
"แล้วที่ว่าจำาเป็น มันจำาเป็นจริงๆหรือเปล่า
ล่ะ?"
"โคตรจำาเป็นเลยนาย!"
"งั้นก็หาข้ออ้างสักคำามาท่องย้ำาให้ขึ้นใจ
เช่นคำานั้นแหละ 'โคตรจำาเป็น' พอหมั่นนึกบ่อยๆ
จนรู้สึกว่ามีเหตุผลชัดเจน ใจจะเข้มแข็งขึ้น แล้ว
พอเวลาผ่านไป จากที่ต้องแข็งใจทำา จะกลาย
เป็นใจแข็งจริงได้เอง"
"แปลว่าใจแข็งแล้วจะไม่คิดมากใช่ไหม
นาย?"
"ก็งั้นสิ "
ความเครียดของเชิดคลายตัว จนสัมผัสได้
ว่าอากาศลดแรงกดดันลง
"ขอบคุณครับนาย"
คณินทร์หัวเราะโล่งอกที่ช่วยคลายปมให้
สารถีคนสนิทได้ง่ายดายในเวลาอันสั้น เขาเรียนรู้
มานานว่าถ้าหาคำาพูดมาลบความรู้สึกผิดได้ คน
เราก็ทำาเรื่องที่ "จำาเป็นต้องทำา" ได้อย่างองอาจ
ขึ้น
ปัญหาของเชิดมันจะอะไร ก็คงไม่พ้นมีอีหนู
ซึ่งนับเป็นเรื่อง "โคตรจำาเป็น" ได้ เนื่องจากเมีย
ของเชิดต้องไปดูแลญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยกระเสาะ
กระแสะถึงเชียงราย ได้เจอหน้ากันแค่เดือนละ
ครั้งมาร่วมปีหนึ่งแล้ว
ด้วยความเห็นอกเห็นใจคนของตนเช่นนั้น
คณินทร์จึงเสริมขำาๆว่า
"ตอนมึงยังไม่ตกลงใจ ก็มีสิทธิ์ลังเลได้ว่า
ถูกหรือผิด แต่พอตัดสินใจเลือกว่าจะทำาแล้ว ก็
ต้องยืนกรานกับตัวเองว่ามึงทำาถูกลูกเดียว ถึงจะ
มีหน้าใช้ชีวิตต่อได้ตามปกติ "
"ครับนาย"
"ไว้มึงสบายใจแล้วเล่าให้กูฟังละกันว่าเรื่อง
อะไร เผื่อกูจะช่วยได้มากกว่านี้ "
"ขอบคุณครับ แค่นี้นายก็ช่วยผมได้สุดๆ
แล้ว"
"อือม์ ..."
คณินทร์ยิ้มแย้ม เพราะนึกถึงเรื่องอีหนูแล้ว
จิตใจเบิกบาน แต่แล้วก็หุบยิ้ม เมื่อนึกถึงหวานใจ
คนล่าสุด
ใจมาตาหรือ "น้องไจ๋ " คนสวย ที่ปรนเปรอ
ทิพยสุขแห่งเนื้อหนังให้เขาล้นเหลือ จนเขายอม
ทุ่มสุดตัว อยากได้บ้านให้บ้าน อยากได้รถให้รถ
อยากได้เงินให้เงิน ไม่เคยปฏิเสธกันสักที
เขาไปอยู่กับหล่อนอาทิตย์ละไม่ต่ำากว่า ๓
วัน บางอาทิตย์ก็ไม่กลับบ้านใหญ่เลย นอกจาก
ความรู้สึกอยากมีเซ็กส์แทบทนไม่ไหวอยู่เกือบ
ตลอด เขายังมีความรู้สึกผูกพันทางใจกับหล่อน
อย่างลึกซึ้ง จนคิดจริงจังขึ้นทุกที ล่าสุดถึงขนาด
พาไปออกหน้าออกตาหลายงานที่ไม่เป็นทางการ
นัก
ทว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา ใจมาตาก็ออกลาย
ผีนรก เมื่อเขาไปหาที่บ้านแล้วได้พบกับสิ่งที่
ทำาให้ธาตุไฟแตกซ่าน ข้าวของในบ้านถูกขนออก
ไปจนเกลี้ยง เหลือทิ้งไว้แต่แผ่นกระดาษเขียน
ด้วยลายมือตัวโตๆแปะไว้บนเสาเด่น ความว่า
"ไปล่ะนะไอ้แก่ ขอบใจมากที่ให้ชีวิตใหม่
กับฉันและผัว!"
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนแสบกับเขาเท่านี้มา
ก่อน เสียเหลี่ยมและอับอายขายหน้าตัวเองจน
แทบไม่อยากมองเงาในกระจก เกือบกัดลิ้นเพื่อ
กลืนเลือดโง่ให้หายคลั่ง เสียใจที่มืดบอดตามัว ดู
คนผิด ที่แท้หล่อนเป็นแค่ผู้หญิงหิวเงินคนหนึ่ง
หาใช่นางผู้ภักดีที่ควรค่าแก่การทุ่มเททุกสิ่งให้แต่
อย่างใดเลย
เพียรพลิกแผ่นดินล่า แต่น่าเสียดายที่ไม่
เคยรู้กำาพืด ไม่เคยใส่ใจว่านังตัวดีเป็นใครมาจาก
ไหน เนื่องจากมัวแต่ลุ่มหลงโนมเนื้อ สนใจหาราย
ละเอียดจากทุกกระเบียดหนังของหล่อนท่าเดียว
จริงๆถือว่าเขาเป็นคนดีแล้ว เพราะคบทีละ
คน... หมายถึงมีเมียน้อยคราวละไม่เกินหนึ่งคน
ต่างจากเพื่อนๆที่มีกันเป็นฮาเร็ม
เมื่อเขาเบื่อใคร ก็จะให้เงินไปตั้งเนื้อตั้งตัว
เป็นที่จุใจ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกทิ้งก่อน มิหนำาซ้ำา
ยังฝากข้อความหยามน้ำาหน้ากันถึงขนาดนี้อีก
คอยดูเถอะ หนีได้หนีไป เขากำาลังพยายาม
ใช้เส้นสายทุกทาง ลากตัวนังสารเลวกับแมงดา
ประจำาตัวมากระทืบจนกว่าจะกระอักเลือดคาตีน
ให้จงได้ !
แล้วคณินทร์ก็หลุดจากห้วงคิดหมกมุ่น เมื่อ
เห็นหัวรถเบนเข้าทางเล็ก
"เฮ้ย! มึงจะเลี้ยวทำาไมวะเชิด ไม่ตรงไป
ล่ะ?"
คณินทร์ทัก ฝ่ายคนขับรีบตอบทันที
"วิ่งทะลุเส้นนี้ไป มีทางตัดใหม่ครับ เมื่อกี๊
ผมเห็นป้ายบอก"
"อ๋อ..."
ท่านรัฐมนตรีครางรับรู้ แล้วหยิบ
หนังสือพิมพ์ฉบับที่สองมากางอ่าน แต่ครู่หนึ่งก็
ทำาหน้าไม่พอใจ เมื่อรู้สึกถึงความเป็นคลื่นเป็น
ลอนของทาง จึงเอ่ยทั้งก้มหน้า
"วันหลังไปทางตรงนะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบ
ทางแบบนี้ "
"ครับนาย ผมก็ไม่นึกว่าจะต้องโต้คลื่น
เหมือนกัน"
แต่อีกครู่ทางก็เรียบกว่าเดิม คณินทร์เลย
ไม่สนใจอีก ไม่แม้กระทั่งสังเกตว่าสองข้างทาง
เริ่มรกทึบด้วยแมกไม้ใบบัง แตกต่างจากทาง
สัญจรทั่วไปมากขึ้นทุกที
หากคณินทร์จะเหลือบขึ้นมองกระจกส่อง
หลังกลางรถ ก็อาจเย็นยะเยือกจากหนังหัวไปถึง
ปลายตีน เพราะกระจกกำาลังสะท้อนนัยน์ตามุ่ง
ร้ายที่เหลือบแลมาทางเขาแน่วนิ่ง ประดุจสัตว์มี
พิษจดจ้องเตรียมฉกเหยื่อด้วยเขี้ยวแหลมคมก็ไม่
ปาน!
กลิ่นอายของบางสิ่งที่น่าสยดสยองโชยมา
กับการชะลอความเร็วรถลง และเมื่อรถจอดสนิท
คณินทร์ก็รู้สึกว่าสายเกินไปสำาหรับการไหวตัว
เสียแล้ว
สารถีคนสนิทที่เขาชุบเลี้ยงมานาน เอี้ยว
กายกลับมาให้ดูใบหน้าอันเหี้ยมเกรียม ในมือถือ
ปืนดำามะเมื่อม และโดยไม่พูดพร่ำาทำาเพลงใดๆ
เชิดเบนสายตากับกระบอกปืนเล็งไปยังศีรษะของ
ผู้เป็นลูก ก่อนกดสองนัดฟุตๆ หนังตาขยิบนิด
เดียวเยี่ยงเพชฌฆาตที่ตัดชีวิตเหยื่อได้โดยไม่
ลังเลสงสาร
คณินทร์ตัวแข็งทื่ออย่างคนช็อคสุดขีด
สะบัดหน้าไปทางลูกชายคนเดียวที่อยู่ในอาการ
แน่นิ่งชั่วนิรันดร์ เห็นสองรูเลือดบริเวณขมับและ
หน้าผาก กับหย่อมเลือดที่เปรอะเบาะด้านหลัง ก็
ตระหนักว่านี่เรื่องจริง ไม่ใช่ฝันร้ายล้อเล่นกัน
"ตายแบบนี้สบายที่สุดแล้ว สำาหรับชีวิตที่
เจ้าตัวไม่อยากมี แล้วพ่อของเขาก็ไม่อยากเอา"
เชิดพูดเนือยๆ สีหน้าสลดนิดหน่อย "งานเก่าของ
ผมก่อนมาให้นายชุบเลี้ยงเป็นอย่างนี้แหละ... ผม
ระลึกถึงบุญคุณของนายเสมอ แต่นายใหม่มีบุญ
คุณมากกว่า เพราะเขาให้เยอะกว่าหลายร้อย
เท่า... ผมเลยจำาใจต้องทำา และกราบขออโหสิ "
ท่านรัฐมนตรีหันมาจ้องยมทูตในร่างมนุษย์
ด้วยความตื่นกลัว เหงื่อกาฬแตก ใบหน้าซีด
เผือด แผดเสียงระรัวแทบไม่เป็นภาษา
"มึงทำาอะไรวะเชิด?"
จอมอำามหิตโคลงศีรษะช้าๆ
"ทำาเรื่องโคตรจำาเป็นเลยนาย"
แล้วบ่าวก็เบนสิ่งที่อยู่ในมือไปทางนายช้าๆ
นั่นเป็นวินาทีมรณะที่คณินทร์ได้เห็นการเข้าคู่กัน
ระหว่างแววตาเลือดเย็นกับรูกระบอกปืนไร้
วิญญาณ ที่ทรงพลังสะกด ตรึงร่างให้นิ่งทื่อได้ยิ่ง
กว่าจงอาง
ท่านรัฐมนตรีรู้สึกว่าใบหน้าของตนหดเล็ก
เหลือนิดเดียว กระถดตัวอย่างพยายามดันร่างให้
แทรกหายเข้าไปในเบาะ เข้าใจว่าตะเบ็งเสียงขอ
ชีวิตสุดแรงเกิด แต่สุดท้ายกลับเป็นเพียงกระซิบ
อ่อย เพราะกรามแข็งค้างแบบตะคริวขึ้นกะทันหัน
"อย่าทำากู ..."
แต่แล้วก่อนที่จอมเนรคุณจะลั่นไกสังหาร
เพียงพริบตาเดียว เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เชิด
ปล่อยปืนร่วง แล้วตามมาด้วยการแหกปากร้อง
สุดเสียงเมื่อรู้ตัวว่ามือของตนถูกยิง
ดวงตาปูดโปนด้วยพิษความหวาดกลัวของ
คณินทร์เหลือบไปเบื้องหน้า เห็นกระจกบานใหญ่
ของรถเป็นรูและร้าวเป็นใยแมงมุม ก็ทราบทันที
ว่ามีคนมาช่วย จึงตะเกียกตะกายเปิดประตู ผลุน
ผลันลงจากรถอย่างไม่คิดชีวิต
คณินทร์ยังมีสติดีพอจะวิ่งเข้าไปแอบหลัง
ต้นไม้ที่ข้างทางซ้ายมือ และขณะนั้นเอง ชายใน
ชุดสูทขาว ๓ คนก็ปรากฏร่างอย่างใจเย็น เข้าล้อ
มรถบีเอ็มดับบลิวซีรีส์ ๗ จากด้านหน้า ด้านซ้าย
และด้านขวา ทุกคนเล็งปืนพกจ้องไปยังคนขับที่
นั่งทำาหน้าเจ็บปวดเจียนคลั่งอยู่ข้างใน
คณินทร์ถลึงตาเบิกโพลง จดจ้องภาพที่เห็น
ด้วยความงงงันจับต้นชนปลายไม่ติด ราวกับเจอ
ฝันดีเกิดซ้อนฝันร้ายในขณะหลับ ไม่น่าจะเป็น
เรื่องจริงขณะตื่น
"ท่านโดนจ้างวานฆ่า แต่ไม่เป็นไร ชะตายัง
ไม่ขาด"
เสียงลึกลับดังขึ้นจากเบื้องหลัง ซึ่งก็มีผลให้
คณินทร์สะดุ้งสุดตัว หันขวับกลับไปมองต้นเสียง
ทันใด
ฝ่ายนั้นเป็นชายในสูทขาวอีกคน รัฐมนตรี
มองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมดเพราะอีกฝ่ายสวม
แว่นตาดำาอำาพรางไว้
"เดี๋ยวคนของท่านจะคิดสั้นชั่ววูบ..."
ไม่ทันขาดคำา เสียงปืนก็ลั่นขึ้นอีกนัดหนึ่ง
คณินทร์เหลียวกลับไปมองทางรถ ตกตะลึงพรึง
เพริดเมื่อมองลอดช่องประตูหลังซ้ายที่เปิดอ้า
เห็นว่าเชิดระเบิดหัวตัวเอง คอพับคออ่อนแน่นิ่ง
คาเบาะไปเสียแล้ว
"ส่วนท่าน..." บุรุษลึกลับเอ่ยสืบต่อราวกับ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น "แจ้งตำารวจเอาเอง เล่าให้
ตำารวจฟังอย่างที่เห็นทุกอย่างก็ได้ หลักฐานมัน
ชัดเจนเกินกว่าที่ใครจะสงสัยท่าน"
"แล้วคุณเป็นใคร?"
คณินทร์ถามเสียงพร่า
"คนที่รับคำาสั่งจากเบื้องบน" ตอบเสร็จก็
ยักไหล่ "หมดหน้าที่พวกผมแล้ว"
สิ้นคำา รถฮอนด้าแอคคอร์ดสีทองปราศจาก
ป้ายทะเบียนคันหนึ่งก็วิ่งตรงมาจอดที่เบื้องหลัง
รถสีดำาคันยาวของท่านรัฐมนตรี
คณินทร์ยังไม่อยากอยู่คนเดียว เพราะไม่รู้
ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น และตนปลอดภัยแน่แล้วหรือ
ยัง จึงวิงวอนละล่ำาละลัก
"ตำารวจต้องไม่เชื่อแน่ พวกคุณอยู่กับผม
ก่อนได้ไหม?"
ชายผู้อยู่ในทีมช่วยชีวิตหัวเราะ
"อธิบายให้ตำารวจฟังไปเถิด ว่าท่านไม่รู้
อะไรเลย จู่ๆคนขับรถก็หันหลังมายิงลูกชาย แล้ว
ก็จะยิงท่าน แต่แล้วก็มีไอ้เบื๊อกที่ไหนไม่รู้ ส่ง
กระสุนมาเจาะมือคนขับ ท่านเลยรอดตาย โดย
ไม่เข้าใจอะไรเลย ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของตำารวจ
ไปสืบกันเอาเอง ว่าใครเป็นคนจ้างวานให้ฆ่า
ท่าน... ผมไปล่ะ"
"โปรดเถอะ! ผมยังไม่อยากอยู่คนเดียว"
ผู้ถูกวิงวอนส่ายหน้า
"ทุกคนต้องเผชิญกับชะตากรรมตามลำาพัง
เสมอ ต่อให้อยู่กับเพื่อน กับลูกเมีย กับพ่อแม่พี่
น้องสักกี่คนก็ตาม ดูลูกชายท่านเป็นตัวอย่างสิ
อยู่กับท่านแล้วช่วยอะไรได้ ?"
จบคำา บุรุษลึกลับในชุดขาวก็เดินตรงไปขึ้น
รถที่เพื่อนเปิดประตูตอนหลังรอไว้ให้ แต่พอปิด
ประตูก็เลื่อนกระจกลงมาสั่งเสียทิ้งทวน
"การรอดตายเหมือนปาฏิหาริย์ของท่าน
อาจตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครคาด
ถึง ชื่นชมกับชีวิตที่เหลือ และใช้มันให้คุ้มกว่าเคย
อย่าเกลือกกลั้วกับพวกมือเปื้อนบาป แล้วท่านจะ
ตายดี ไม่ต้องเสี่ยงกับการเป็นผีตายโหงอย่างนี้
อีก"

_____________________________________________________________________________
บทที่ ๒๒
แปดโมงครึ่ง
หน้าจอโทรศัพท์มือถือสว่างวาบขึ้นนำาเสียง
เรียก มะแมเขม้นมองเลขที่คุ้นๆแบบจำาไม่ได้ว่า
เป็นของใครนั้นครู่หนึ่ง ก่อนกดปุ่มรับสาย
"สวัสดีค่ะ"
"อ้า! นี่ผมสัมฤทธิ์พูดนะ"
"คะ?"
"ที่คุณโทร.เข้าเครื่องผมเมื่อวานน่ะ"
"คุณ... อ๋อ!" ใจเต้นระทึกขึ้นมาปุบปับเมื่อ
นึกได้ว่าเป็นใคร "คุณแอ๊ด คุณพ่อของน้องไก๋ใช่
ไหมคะ?"
"ใช่ !"
"เอ้อ..."
หญิงสาวอึกอักอย่างลืมว่าเมื่อวานเตรียม
คำาพูดเริ่มต้นไว้อย่างไร ต้องคิดใหม่เอาสดๆ
"มีอะไรหรือหนู ?"
ท่าทางฝ่ายนั้นไม่อยากเสียเวลามาก มะแม
จึงต้องรีบพูดเท่าที่จะนึกออก
"ขอประทานโทษที่รบกวน หนูได้เบอร์มา
จากน้องไก๋ ขอถามเรื่องเกี่ยวกับแม่ชีพิรมลนิด
เดียวค่ะ จะสละเวลาสักสองนาทีได้ไหมคะ?"
กระแสความงุนงงโชยออกมาทางโทรศัพท์
แน่นอนเป็นใครก็ต้องแปลกใจเมื่อมีคนถามถึง
มารดาที่เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่แม้แปลกใจ
อย่างไร เมื่อเป็นเรื่องของแม่ก็ต้องให้ความร่วม
มือไว้ก่อน
"ได้ ... ว่ามาเลย"
"หนูอยากเรียนถามค่ะว่าแม่ชีพิรมลบวช
ที่ไหน อยู่จังหวัดอะไร ก่อนท่านจะเสีย?"
"อ๋อ... สำานักชีเชิงตะกอน อยู่แถวปากช่อง
โคราชโน่นแหละ"
"สำานักชีเชิงตะกอน..."
มะแมทวนคำาอย่างแปลกใจที่มีชื่อสถานที่
แบบนี้อยู่ในโลกด้วย
"หนูเคยรู้จักกับแม่ชีพิรมลหรือ?"
"ไม่รู้จักค่ะ" ตอบทันทีอย่างเตรียมไว้ก่อน
"แต่มีน้องที่เขารู้จักและอยากไปสำานักชีของท่าน
เผอิญหนูได้ทราบว่าแม่ชีพิรมลเป็นคุณย่าของ
น้องไก๋ เลยขออนุญาตไถ่ถาม ต้องขอบพระคุณ
จริงๆค่ะ"
"ไม่เป็นไร... แผนที่หาเอาจากอินเตอร์เน็ต
ก็น่าจะได้มั้ง"
"ค่ะ หนูจะลองหาดูจากอินเตอร์เน็ตนะคะ"
"ถ้าไม่เจอก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวจะวาด
คร่าวๆแล้วส่งแฟกซ์ไปให้ ถามชาวบ้านแถวนั้น
ใครๆก็รู้จัก"
"ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ"
มะแมวางสายแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
มโนภาพเกี่ยวกับอิ๊กที่หวาดกลัวความตายแวบ
เข้ามาในหัว แม้จะยังไม่รู้ชัดนักว่าเกี่ยวพันกันท่า
ไหน แต่ก็คิดว่าได้เค้าของคำาตอบขึ้นมารางๆ
เดินกลับไปกลับมา รู้สึกถึงสัมผัสระหว่าง
เท้ากับพื้นจนใจนิ่ง จึงค่อยนึกถึงสำานักชีเชิง
ตะกอนใหม่อีกครั้ง มโนภาพหนึ่งผุดขึ้น คล้าย
กลุ่มแม่ชีผู้สำารวมกำาลังพิจารณารูปศพ ด้วย
อาการไร้ความไยดีในชีวิต เหมือนพลอยกลาย
เป็นศพไปด้วย
สำานักชีนี้เน้นฝึกระลึกถึงความตาย!
ด้วยความไวสัมผัสอย่างเป็นธรรมชาติ
มะแมรู้สึกถึงกลิ่นอายความตายที่กระจายไปทั่ว
สำานักชี ประดุจคลื่นมรณะหุ้มห่อเหล่าแม่ชีไว้
อย่างหนาแน่น
เมื่อค่อยๆละเลียดความรู้สึกเข้าไปในกลิ่น
อายแห่งความตาย มะแมก็จำาแนกได้ว่าแท้จริง
แล้ว เป็นคลื่นจิตของเหล่าแม่ชีที่มีความตายเป็น
เครื่องระลึกล้วนๆ หาใช่ว่ามีคนในสำานักชีตกตาย
ตามกันบ่อยๆไม่
ในกระแสคลื่นมรณสตินั้น บางคลื่นก็
เจือปนอยู่ด้วยความสยดสยองพรั่นพรึง บางคลื่น
ก็แทรกอยู่ด้วยความครึ่งกล้าครึ่งกลัว ขณะที่บาง
คลื่นก็ปรากฏพร้อมกับกระแสความวางเฉย ทรง
อุเบกขาเป็นดุษณีภาพล้ำาลึก
จะต่างกันอย่างไรก็ตาม คงมีพิธีกรรมบาง
อย่างเป็นการประชุมเพื่อร่วมระลึกถึงความตาย
โดยพร้อมเพรียงเสมอๆ คลื่นมรณะจึงแผ่ออกมา
จากจิตของเหล่าแม่ชีได้ถ้วนหน้าเช่นนั้น
การระลึกถึงความตาย ตามความรู้ความ
เข้าใจของหล่อน คือวิธีฝึกจิตอย่างหนึ่งของพุทธ
ศาสนา ที่ต่อยอดขึ้นมาจากการเห็นความเกิดดับ
ของลมหายใจและอิริยาบถ
กล่าวคือเมื่อทราบว่าขณะนี้ลมหายใจกำาลัง
แสดงความไม่เที่ยงอยู่ชัดๆ จิตทรงตัวนิ่งดีแล้ว ก็
เลื่อนไปฝึกเห็นว่าในที่สุดทั่วทั้งกายจะต้องมลาย
สิ้นเป็นธรรมดา เมื่อรู้แจ้งแทงตลอดในความจริง
เกี่ยวกับกาย จิตย่อมคลายจากการหลงยึดยินดี
หรือมัวเมาเพ้อเจ้อไปว่ากายเป็นของตน หลง
สำาคัญไปว่าความกระสับกระส่ายชั่วครู่ทางกาย
จะต้องเป็นความวุ่นวายตลอดไปของตน
การที่กายแตกดับเป็นขี้เถ้า มีความหมาย
ให้คนทั่วไปรับรู้ว่าคนๆหนึ่งตายไป แต่ในความ
รับรู้ของนักฝึกจิตแนวพุทธ จะเห็นเพียงสภาพ
แห่งรูปธรรมชิ้นหนึ่งทำาลายตัวเองลง สมกับที่ถูก
ออกแบบไว้แล้วด้วยกฎแห่งความไม่เที่ยง ไม่อาจ
คงทน เพราะไม่ใช่ของของใคร
ดังเช่นแม่ชีพิรมล วิเศษสุทัศน์ คือคนเก่าที่
หายไปบนเชิงตะกอน และมาปรากฏเป็นคนใหม่
ในบ้านหล่อน ในร่างเด็กหญิงอิ๊ก ตามหลักฝึก
มองแบบมรณสติ นี่ก็คือตัวอย่างกระบวนการดับ
ทำาลายลงของกายหนึ่ง เพื่อให้อีกกายปรากฏ
แทน ใครต่อใครหลงคิดกันไปเองว่ามีใครคนหนึ่ง
ตาย มีใครคนหนึ่งเกิด
หนาวใจวูบหนึ่ง หมู่สัตว์ทั้งหลายตายอย่าง
ไม่รู้ว่ากำาลังจะเกิดอะไรขึ้น และหมู่สัตว์ทั้งหลายก็
เกิดอย่างไม่รู้ว่าเคยตายจากความเป็นอะไรมา
ก่อน
และหล่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น!
ไม่เคยนึกอยากรู้อดีตชาติ แล้วก็ไม่ถวิลหา
อนาคตชาติ เพราะหล่อนภาคภูมิในความเป็น
ชาตินี้ รู้สึกดีกับตัวเองพอจะอยากเป็นเช่นเดิมไป
ทุกภพทุกชาติอยู่แล้ว
แต่มโนภาพการเคยเป็นใครคนหนึ่ง ที่แปร
ร่างมาเป็นใครอีกคนของน้องอิ๊ก มีผลให้มะแม
รู้สึกขึ้นมาวูบๆวาบๆว่าความตายเป็นเรื่องน่า
กลัว เป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย และเป็น
อะไรที่จะไม่ซ้ำาของเก่า ไม่ว่าจะอยากกลับไปเป็น
ตนเองหรือเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ก็ตาม
ไม่นานมานี้ อิ๊กเคยปรากฏสภาพทางกาย
เป็นหญิงชราผู้รู้คิดรู้อ่าน ผ่านร้อนผ่านหนาวยาว
ยืด กับทั้งเห็นภาพรวมชีวิตตนเองถนัดว่าขึ้นต้น
อย่างไร ใกล้จะสรุปลงเอยท่าไหน
และแล้วความเป็นแม่ชีพิรมลก็จบสิ้นลง มา
ปรากฏเป็นสภาพเด็กหญิงผู้ยังสับสน ไม่รู้ว่าจุด
มุ่งหมายของการมีชีวิตคืออะไร ไม่รู้ว่าอนาคตจะ
ทำาสิ่งใดได้ ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ต้องไปโรงเรียน
ต้องเข้าแถวยืนหน้าเสาธง ต้องให้คุณครูสั่งสอน
ต้องตัดสินใจว่าจะเรียนอะไรเพื่อทำางานอะไร ต้อง
คบคู่ดูใจ ต้องเสี่ยงใช้ชีวิตคู่ ต้องเหนื่อยยากหา
บ้านหาช่องและดูแลรักษาให้ตลอดรอดฝั่ง...
ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ เพื่อรอคอยการจบสิ้น
อีกครั้ง แล้วๆเล่าๆ
สุดท้ายเพื่ออะไร?
หญิงสาวปิดตาลง สำาหรับหล่อนยามนี้ คำา
ตอบมีอยู่เต็มล้นท่วมท้นหัวใจ หล่อนจะเกิดตาย
เพื่อขอได้พบอัคระไปทุกชาติ !
และในทางปฏิบัติจริงๆ ที่ผ่านมาหล่อนไม่
ค่อยคิดถึงความตายในแง่อื่นใดมากนัก คนตาย
ทั่วโลกตายล่วงหน้าหล่อนไป เพื่อสอนหล่อนแค่
สองข้อ
ข้อแรก หล่อนต้องตายในวันใดวันหนึ่ง
ข้อสอง อย่าตายอย่างเสียใจที่เคยมีชีวิต!
หลังเลิกงาน ๕ โมงเย็น มะแมหยิบ
โทรศัพท์มือถือเช็คสายเข้าที่ไม่ได้รับสายตาม
ความเคยชิน
คุณหญิงรักสุรีย์โทร.มาถึง ๓ ครั้ง ทิ้งช่วง
ห่างครั้งละ ๒ ชั่วโมง สาวพลังจิตได้แต่ทอดถอน
ใจ คุณหญิงไม่รู้หรอกว่าหล่อนต้องคุยกับลูกค้า
ต่อเนื่องอย่างไร จะล่าตัวใช้งานให้ได้ท่าเดียว
ความเปลี่ยนแปลงของรักสุรีย์ คือแนวโน้ม
ในการเปลี่ยนแปลงโลกรอบตัวของเธอ และอาจ
เชื่อมโยงไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ขยายวงกว้างขึ้น
ใจมะแมจึงให้ความสำาคัญค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่
ขนาดที่กำาลังรู้สึกเหนื่อยๆแล้วจะต้องรีบโทร.กลับ
ด่วนเพื่อเอาอกเอาใจกัน
เลือกที่จะลงไปคุยเล่นกับน้องอิ๊กก่อน จาก
นั้นก็อาบน้ำา รับประทานมื้อเย็นจนอิ่ม หลังพัก
ผ่อนสบายใจแล้วจึงติดต่อกลับ
"สวัสดีค่ะคุณหญิง"
ทักเรียบๆเนือยๆแบบประกาศว่าอีกฝ่ายไม่
ได้มีความหมายทางใจกับหล่อนสักเท่าใด
"มะแมเหรอ..."
ปลายเสียงพร่าที่ส่งกลิ่นน้ำาตาได้นั้น ชวน
ให้หญิงสาวใส่ใจมากขึ้น
"ค่ะ... ขอโทษที่มะแมเพิ่งสะดวกคุยนะคะ
คุณหญิงมีเรื่องด่วนหรือเปล่า?"
"ด่วน... คืนนี้ฉันขอรบกวนเวลาเธอจะได้
ไหม?"
"ถ้าหมายถึงจะให้ไปพบที่บ้าน มะแม
เหนื่อยแล้วค่ะ วันนี้งานหนักจริงๆ กว่าจะขับไป
ถึงบ้านคุณหญิงคงหลับเสียก่อน แต่ถ้าจะคุยกัน
ทางนี้เดี๋ยวนี้ ก็ยินดีค่ะ"
แล้วหญิงสาวก็นึกในใจว่าไม่น่าฉีกกฎของ
ตัวเองเลย ถ้ารักสุรีย์ไม่มีเบอร์หล่อน ก็คงไม่ต้อง
ปฏิเสธให้เสียน้ำาใจกัน
"ตอนนี้ฉันอยู่ในวัด" รักสุรีย์เอ่ยแผ่ว "จะ
ให้ฉันกับสามีไปพบเธอที่บ้านสักชั่วโมงหนึ่งได้
ไหม ขอร้องล่ะ รอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวจริงๆ"
ถ้อยคำาแสดงความวิงวอน สะท้อนให้เห็น
ความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณหญิงไปในทางที่
มะแมพอใจ อีกทั้งเมื่อทราบว่า "สามี " ของคุณ
หญิงจะมาด้วย ยิ่งทำาให้ไม่อยากปฏิเสธ
คำาพยากรณ์ของอัคระท่าทางจะเป็นจริงอีก
ครั้ง และหล่อนก็ตื่นเต้นเอาการ นี่ถ้ารักสุรีย์บอก
แต่แรก หล่อนอาจจะอาสาไปถึงบ้านก็ได้ !
"งั้นเหรอคะ..." ทำาเสียงชั่งใจครู่หนึ่งก่อน
ยินยอม "บ้านมะแมอยู่ตรงบางนา เดี๋ยวจะส่ง
เมสเสจบอกรายละเอียดให้นะคะ"
เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเชิ้ตแขนสั้นกับ
กระโปรงยาว ไม่ดูเป็นชุดทำางาน แต่ก็ไม่ลำาลอง
เกินกว่าจะต้อนรับแขกผู้ใหญ่ยามค่ำาคืน
สี่สิบนาทีต่อมาเมื่อได้รับโทรศัพท์เรียก
มะแมก็ลงไปต้อนรับคุณหญิงรักสุรีย์ผู้ยอมถอด
หัวโขนมาหาหล่อนถึงที่
"สวัสดีค่ะ"
พนมมือไหว้ฝ่ายนั้นอย่างนอบน้อม และเมื่อ
เห็นว่าใครก้าวตามลงมาจากประตูด้านคนขับ ก็
ถึงกับตกตะลึงจนลืมไหว้
"คุณ... เอ่อ... ท่านคณินทร์ !"
ที่ผ่านมาทราบแต่ว่าสามีของคุณหญิงเป็น
รัฐมนตรี แต่ไม่รู้เลยว่าคือใคร แล้วก็ไม่เคยใส่ใจ
สืบหาเสียด้วย อย่างมากแค่คิดว่าพอถึงเวลาก็รู้
เอง
ตอนนี้ถึงเวลาที่ว่าแล้ว และก็ทำาให้มะแม
คิดว่ามิน่าล่ะ หล่อนถึงคุ้นชื่อคุณหญิงรักสุรีย์มา
ตลอด คุ้นแบบนึกไม่ออกและขี้เกียจนึกว่าได้ยิน
มาจากไหนเมื่อใด ที่แท้ก็เคยทราบว่าเป็นภริยา
ของท่านคณินทร์นี่เอง
บุรุษวัยกว่า ๕๐ ผู้ยังดูหนุ่มแน่นย้ิมให้แบบ
เซียวๆ
"คุณหญิงเขาอยากถามหนูเรื่องสำาคัญ
พวกเราขอรบกวนเวลาพักผ่อนของหนูหน่อยนะ"
"ด้วยความเต็มใจและรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง
เรียนเชิญค่ะท่าน"
นำาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเดินผ่านชั้นล่างขึ้นไป
บนห้องทำางาน ด้วยความรู้สึกว่าน่าจะสมเกียรติ
กว่าห้องอื่น
ทั้งหมดมานั่งที่โซฟาชุด ซึ่งมะแมเตรียม
น้ำาส้มสองแก้วไว้บนโต๊ะล่วงหน้า
"เธอรู้จักท่านคณินทร์อยู่แล้วใช่ไหม?"
รักสุรีย์ถามในเชิงเชื่อมสัมพันธ์ให้ทั้งสอง
ฝ่าย มะแมยิ้มตอบอย่างเปิดเผย
"ด้วยความประทับใจและนับถือทีเดียวค่ะ
ถึงจะผ่านมานาน รายการ 'หัวเราะเยาะเคราะห์
ร้าย' ก็ยังอยู่ในความทรงจำาของมะแมเสมอ"
"ขอบใจ! บางทีผมก็นึกอยากกลับไปทำา
รายการตามคำาเรียกร้องของแฟนเก่าๆอยู่เหมือน
กัน"
คณินทร์เอ่ยแล้วหัวเราะตาเป็นมัน เปลี่ยน
จากท่าทีซึมๆเซียวๆเป็นคึกคักอย่างรวดเร็ว เมื่อ
ครู่ในเงาสลัวเขาไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า แต่
พอมาอยู่กลางแสงไฟ เห็นรูปร่างหน้าตากันชัดๆ
อย่างนี้แล้วค่อยมั่นใจหน่อย
คืนนี้ อยู่ไม่อยู่ก็ได้พบนางฟ้าอย่างไม่คาด
ฝันเข้าจริงๆ!
"สนับสนุนเลยค่ะท่าน บังเอิญจริงๆ เมื่อ
บ่ายนี้มะแมยังขโมยคำาคมของท่านมาใช้พูดกับ
ลูกค้าเลย"
"เหรอ... คำาไหนล่ะ?"
หญิงสาวตอบทันทีโดยไม่ต้องพักนึก
"ลูกค้าจะเอาแต่รวยน่ะค่ะ เสร็จแล้วก็บ่น
เบื่อ บอกว่าเหมือนตัวเองไม่มีค่า มะแมเลยบอก
ว่า เงินอาจทําให้มีหน้า แต่ช่วยให้มีค่าไม่ได้
เหมือนที่ท่านคณินทร์เคยพูดกับผู้เข้าร่วมรา
ยการเป๊ะ"
นิลเนตรสาดประกายนิยมชมชื่นระยิบระยับ
นั้น มีผลให้คณินทร์ระงับอาการตาเป็นมันลงบ้าง
กลับมารักษากิริยาสงบนิ่งเป็นผู้ใหญ่ ไม่ปล่อยตัว
ให้ออกอาการตื่นคนสวยโจ่งแจ้งนัก
"ขอบใจนะที่ช่วยจำาให้ พอไม่ค่อยได้คิด ไม่
ค่อยได้ใช้หัวทางนี้นานเข้า บางทีผมก็ชักลืมๆ
เหมือนกัน"
รักสุรีย์มองมะแมแล้วถามนิ่มๆ
"แปลว่าเธอพูดเก่งตามท่านคณินทร์เขา
หรอกหรือนี่ ?"
มะแมเบนหน้าไปทางคุณหญิง ก่อนรับว่า
"มะแมให้สัมภาษณ์มาตลอดค่ะ ว่าแรง
บันดาลใจหนึ่งของมะแม ที่ชวนให้อยากส่งทอด
แรงบันดาลใจต่อถึงคนอื่น ก็คือท่านคณินทร์แห่ง
รายการหัวเราะเยาะเคราะห์ร้าย"
"ก็ดีนะ ดูเหมือนเธอจะได้อยู่กับอาชีพที่
ตั้งใจแล้ว... ตอนท่านทำารายการเธอน่าจะอายุยัง
น้อยมาก มีเด็กไม่กี่คนหรอกที่เป็นในสิ่งที่ตัวเอง
ฝัน"
คณินทร์เองก็นึกทึ่ง พินิจมะแมด้วยสายตา
อีกแบบ เหมือนเห็นเงาของตัวเองในกระจก เพียง
แต่เป็นกระจกที่สะท้อนอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน...
กระแอมนิดหนึ่งอย่างสะดุดก้อนอะไรบาง
อย่างในลำาคอ
"แต่ละช่วงชีวิต ผมสนุกกับงานไปคนละ
แบบ อย่างเช่นตอนนี้ผมหายใจเป็นการส่งออก
คิดแต่แผนล่อใจนักลงทุน ติดตามสงครามอัตรา
แลกเปลี่ยน ไหนจะนั่งคิดแก้ปัญหาสารพัดให้
ท่านนายกฯ ไม่ค่อยมีใครฟังผมพูดอะไรคมๆ
เหมือนสมัยโน้นหรอก จะฟังแต่ข้อมูลหนักๆกัน...
หนูมาทำาให้ผมนึกถึงบรรยากาศเก่าๆได้แฮะ"
"ตอนนี้ท่านมาถึงจุดที่ทำาให้เกิดความ
เปลี่ยนแปลงได้ยิ่งกว่าแต่ก่อนไงคะ แค่คิดออก
โลกก็พร้อมจะแตกต่างไปในทันทีแล้ว"
คณินทร์หลบสายตาอีกฝ่ายที่จับจ้องตน
ด้วยประกายศรัทธา คิดในใจว่าสาวน้อยตรงหน้า
ยังไฟแรง ส่วนเขาลุยไฟมาจนแรงใกล้หมด นี่เอง
ความแตกต่างของช่วงวัย
เขาเห็นมาหมดแล้ว ผ่านมาหมดแล้ว ทำามา
หมดแล้ว เบื้องต้นชีวิตจะแกล้งให้เห็นเหมือนมีไฟ
กองเล็กอยู่ตรงหน้า ดับง่ายๆไม่ต้องใช้ความ
พยายาม พอดับได้ก็ฮึกเหิม เพื่อเห็นว่ายังมีไฟ
กองโตรออยู่ และท้าทายให้แสดงฝีมือดับอีก และ
อีก และอีก
ก้าวมาเรื่อย ดับไฟมาเรื่อย หรือบางทีก็
เผลอก่อไฟขึ้นบ้าง กระทั่งถึงช่วงกลางค่อนปลาย
ชีวิต จึงค่อยมายืนแหงนคอตั้งบ่า อ้าปากค้าง
กับกำาแพงไฟมหึมาสูงเทียมหลังคาโลก ที่คราวนี้
ไม่ได้ท้าทาย แต่หัวเราะเย้ยอย่างพร้อมจะแผด
เผามนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยไม่เลือกหน้า ขอแค่ให้
หาญกล้าคิดเฉียดใกล้กำาแพงไฟเข้าไปเถอะ!
เมื่อครั้งตระเวนสัญจรทั่วประเทศ เพื่อทำา
รายการ "หัวเราะเยาะเคราะห์ร้าย" การต้อนรับ
จากทั่วทุกสารทิศทำาให้เขารู้สึกเหมือนประเทศนี้
เป็นของเขา และก็มีสิทธิ์เปลี่ยนประเทศให้เป็นไป
ตามเขาได้จริงๆ
แต่เกือบ ๒๐ ปีที่ดั้นด้นเดินทางสู่ดวงดาว
พยายามเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ เพื่อให้
อำานาจการเปลี่ยนแปลงตกมาอยู่ในมือของเขา
เต็มกำา ความรู้สึกของคณินทร์ถูกพลิกเปลี่ยนเสีย
เอง แทบจะจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ส่วนประเทศไม่เคยเปลี่ยนไปเลย... ไม่เคย!
ประเทศนี้ไม่ใช่ของเขาคนเดียว แต่ทั้ง
ประเทศมีนายกฯได้คนเดียว ทุกวันนี้มีแค่ความ
สงสัยแบบอยากจะว้ากดังๆว่า "เมื่อไหร่กูจะได้
เป็นนายกฯเสียที ?"
เหตุผลแวดล้อมหรือแรงผลักดันดั้งเดิม
ตกหล่นสูญหายไปในระหว่างทางหมดแล้ว ลืม
แล้วว่าอยากเป็นนายกฯไปทำาไม รู้แต่ต้องเป็นให้
ได้ มิฉะนั้นจะตายตาไม่หลับ
เก้าอี้นายกฯมีแรงสะกดบางอย่างที่
เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขาได้ จากครั้งหนึ่งที่เคย
ทำางานให้คนอื่นอิจฉา เดี๋ยวนี้เขาอิจฉาคนที่
ทำางานเหนือกว่าตนเป็นแล้ว
ครั้งหนึ่งเคยเหน็บแนมออกสื่อ ด่าพวกมา
ทำาร้ายเขาว่า คนบางคนไปไม่ถึงไหน เลยทํา
ชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด ด้วยการทําชีวิตคนอื่นให้แย่
ที่สุด!
ถ้าใครเอาคำาคมนั้นมาพูดใหม่วันนี้ ก็อาจ
เป็นเขาเองที่ต้องหน้าม้าน เพราะรู้แก่ใจว่าตน
กำาลังตกที่นั่งจอมริษยา คิดเลื่อยขาเก้าอี้ใครบาง
คนเข้าให้บ้างเหมือนกัน!
คำาคมในวันวานสำาหรับความรู้สึกในวันนี้
จึงเหมือนความช่างคิดช่างฝันของหนุ่มน้อยที่ยัง
ไม่เจอรสชาติอันเป็นที่สุดของชีวิต ยังไม่เจอตอ
ของชีวิตเข้าจังๆ
แต่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเป็นความจริง มี
ตัวตนอยู่จริง และส่วนหนึ่งของหล่อนก็มาจาก
ประกายแห่งไฟฝันในอดีตของเขา มันปลุกความ
ฝันแบบเก่าๆให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
"ดีแล้ว... คนส่วนใหญ่โตมากับการเอาดีใน
ทางด่าโลกใบเก่า อย่างหนูนี่แหละถึงจะเป็นคน
ส่วนน้อย ที่แก่ลงกับการเอาดีในทางสร้างโลกใบ
ใหม่ "
ปลายเสียงอ่อนล้าของชายวัยกลางคน
สะกิดให้มะแมเริ่มรู้สึกตัว จิตสัมผัสเริ่มทำางาน...
ท่านรัฐมนตรี หนึ่งในคณะผู้บริหารประเทศ
ที่นั่งอยู่ตรงหน้า หาใช่คุณคณินทร์คนเดิมเมื่อสิบ
กว่าปีก่อน ผู้เคยเป็นแรงบันดาลใจให้หล่อนอีก
ต่อไปแล้ว
ชั่วชีวิตมนุษย์ สวยงามที่สุดก็ตอนยังคิดได้
ว่า "เราจะทำาโลกนี้ให้ดีขึ้น" น่าเสียดายที่ช่วง
เวลาสวยงามนั้นจะคงอยู่ไม่นานนัก...
บังเกิดความสลดหดหู่ขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่
เนื่องจากหล่อนไม่ใช่พวกแสวงหายอดมนุษย์ผู้
สามารถรักษาพลังวิเศษไว้ได้ชั่วกาลนาน จึงเรียก
สติกลับคืนได้เร็ว
"ขอบพระคุณท่านคณินทร์ไว้ ณ ที่นี้ก็แล้ว
กันนะคะ สำาหรับการเป็นแรงบันดาลใจแรกให้
มะแม... คืนนี้ท่านคงมีธุระร้อน ต้องขอ
ประทานโทษที่มะแมมัวแต่ชวนเสียเวลาคุย
สัพเพเหระยาวไปหน่อย"
ว่าแล้วก็ระบายยิ้มอ่อน เหลือบซ้ายแลขวา
ตั้งตารอฟังคนใดคนหนึ่งในสองสามีภรรยาพูดถึง
กิจธุระอันเป็นเรื่องร้อน
คณินทร์กับรักสุรีย์หันมาสบตากัน เหมือน
จะเกี่ยงให้อีกฝ่ายเริ่มก่อนอยู่ในที
"มะแม..." ในที่สุดรักสุรีย์ก็เป็นฝ่ายพูด
เสียงแหบพร่า "ลูกชายคนเดียวของฉันเพิ่งตาย
ไป"
สาวพลังจิตใจหายวาบ นึกตำาหนิตัวเองที่
มัวแต่ออกอาการปลื้มท่านรัฐมนตรี จนลืมว่าคน
ระดับปกครองบ้านเมืองถ่อสังขารมาถึงที่ทำางาน
หล่อนยามดึก ย่อมไม่ธรรมดา ต้องเกิดเรื่องใหญ่
ขั้นคอขาดบาดตายเป็นแน่แท้
"มะแมกราบขอประทานโทษนะคะที่ไม่ถาม
ถึงธุระเสียแต่แรก" หล่อนพนมมือไหว้ทั้งสอง
ด้วยความรู้สึกผิด "และเสียใจด้วยค่ะกับการจาก
ไปก่อนวัยอันควรของลูกชาย"
พอพูดถึงลูก สองสามีภรรยาก็กลับไปมี
อาการห่อเหี่ยว หมดอาลัยตายอยากเหมือนนาที
แรกที่มาถึงอีกครั้ง โดยเฉพาะฝ่ายหญิงถึงกับ
น้ำาตาคลอเบ้า
"มะแม... ฉันขอถามตรงๆนะ นี่คือเวร
กรรมที่ฉันทำาไว้แล้วมาตกกับลูกหรือเปล่า?"
เป็นคำาถามแบบ "รู้กัน" ซึ่งรักสุรีย์ไว้ใจ
สาวพลังจิตว่าจะไม่ปูดความลับร้อนๆอะไรออก
มา
"ไม่หรอกค่ะคุณหญิง ทุกคนเป็นทายาทรับ
กรรมที่ตัวเองเคยทำาไว้ ไม่ใช่ทายาทรับกรรมที่
พ่อแม่เคยก่อ ถ้าคนเราต้องมารับกรรมแทนพ่อ
แม่ ก็ขอให้พ่อแม่จัดการทำาบุญให้ แล้วตัวเองงอ
มืองอเท้าเฉยๆก็สบายแล้ว"
แต่เมื่อเข้าเรื่องได้ติด รักสุรีย์ก็สะกด
อารมณ์โศก ยิงคำาถามแบบไม่อ้อมค้อม
"ลูกฉันไปอยู่ไหน ตอนนี้เป็นยังไง เธอช่วย
ดูให้หน่อยเถอะนะ"
มะแมลอบชำาเลืองมาทางรัฐมนตรีคณินทร์
เห็นฝ่ายนั้นกำาลังเบะปากนิดหนึ่ง ก็เข้าใจโดย
ตลอดว่าคุณหญิงรักสุรีย์คงชักชวนสามีมาหาคน
ที่นั่งทางในเห็นโลกวิญญาณได้ และแม้คณินทร์
จะไม่เลื่อมใสเรื่องพรรค์นี้ แต่ก็ยินยอมตามใจ
ภรรยา เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจมากกว่าอย่างอื่น
แท้จริงหล่อนยังไม่เก่งขนาดมีตาทิพย์ รู้
เห็นเรื่องราวในมิติอื่นได้ตามใจชอบไปหมด ขณะ
ที่ความคาดหวังของรักสุรีย์ ยืนพื้นอยู่บนความ
เข้าใจว่าหล่อนมีตาทิพย์หูทิพย์ชนิดกดปุ่มสั่งได้
ทุกเวลาตามปรารถนา
ครั้งนี้พลาดไม่ได้เสียด้วย เพราะถ้าพลาดที
เดียว คนแบบคณินทร์ก็จะหลุดมือไป เรียกคืน
กลับมาไม่ได้อีกเลย
อาศัยความเชื่อมั่นในคำาพยากรณ์ของอัคระ
ที่บอกว่าหล่อนจะเข้าถึงตัวรัฐมนตรีผู้มีศักยภาพ
ในการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ ดังนั้นจึงควรไว้ใจ
ชะตา เห็นว่าธุระนี้ต้องอยู่ในขอบเขตความ
สามารถของตนเป็นแน่
คิดเช่นนั้นแล้วจึงค่อยอุ่นใจขึ้น ยืดตัวตรง
สูดลมหายใจเข้าสบายๆแล้วผ่อนออกจนหมด
คลื่นรบกวนในหัวหายไปสิ้น
หน่วงจิตจับเอาร่างของสองสามีภรรยาเป็น
ตัวตั้ง จนแน่ใจว่าเกิดภาวะรู้เห็นกระแสชีวิตที่ขัด
แย้งไม่ลงรอยกันของทั้งสอง แล้วข้ามไปตรึกนึก
ถามหาตัวตนของลูกชาย อันเกิดแต่การใช้ชีวิต
ร่วมกันบนความขัดแย้งระหว่างท่านรัฐมนตรีกับ
คุณหญิง
สัมผัสถึงจิตดวงหนึ่งที่อ่อนแอ พร้อมจะ
แปรปรวน เต็มไปด้วยความอลวน เยี่ยงคนที่
เหม่อลอยและฟุ้งซ่านมาทั้งชีวิต
มะแมพุ่งสัมผัสรู้เข้าไปที่จิตนั้นครู่หนึ่ง ก่อน
จะปิดตาลง ลากลมหายใจยาวลึกเพื่อล้างทุกสิ่ง
ออกจากใจให้หมด กระทั่งรู้สึกถึงความว่างวาย
แล้วจึงลืมตานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง สัมผัสคณินทร์
และรักสุรีย์ ถามจิตถึงตัวตนลูกชายที่เกิดจาก
สองสามีภรรยา
แล้วดวงจิตที่อ่อนแอ วูบไหวง่าย ก็ปรากฏ
ขึ้นในมโนทวารของหล่อนอีกครั้ง คราวนี้จึงค่อย
แน่ใจว่าถูกตัวแน่ ไม่ใช่การคิดไปเองหรือเห็น
วิญญาณอื่นใด
"ลูกชายของคุณหญิงชื่ออะไรคะ?"
มะแมเปิดตาถาม
"แต๊ก"
รักสุรีย์บอกชื่อเล่นซึ่งหล่อนเป็นคนตั้งให้ลูก
และเรียกลูกเช่นนั้นมาตลอด
คลื่นจิตของคุณหญิงขณะเอ่ยชื่อลูก เพิ่ม
สัญญาณความเป็น "แต๊ก" ให้ปรากฏต่อใจมะแม
เข้มข้นขึ้น คราวนี้สาวพลังจิตเห็นรายละเอียด
พรั่งพรูออกมาเป็นฉากๆตลอดสาย นับแต่ที่มา
จนถึงที่ไปทีเดียว
นายแต๊กเกิดมาด้วยดวงจิตที่มีกำาลังอ่อน
และใช้ชีวิตเสวยสุขแบบลูกเทวดา ไม่เป็นโล้เป็น
พาย แต่ใจก็ตะเกียกตะกายหาความภาคภูมิอยู่
ตลอด ความคิดเป็นไปในแบบสงสารตัวเอง
อยากฟ้องฟ้า น้อยใจวาสนา เพียรพยายามนิด
หน่อยก็นึกว่าเพียรพยายามมากแล้ว ชีวิตปรากฏ
เหมือนเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ถึงครึ่ง
ทางสู่ดาวเลยสักดวง
"เท่าที่มะแมจับความรู้สึกได้ ระหว่างมีชีวิต
คุณแต๊กเห็นพ่อเป็นฮีโร่ และพยายามเป็นฮีโร่ให้
ได้อย่างพ่อ"
รักสุรีย์ยิ้มออกเมื่อมะแมทักถูก จึงเกิด
ความหวังว่าจะรู้เรื่องในปรโลกของลูกแน่นอน
"ใช่ ! เขาเป็นอย่างนั้น"
ฝ่ายคณินทร์ย่นคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่าไม่
แปลกถ้าแฟนพันธุ์แท้ของเขาจะรู้ซอกแซกเกี่ยว
กับรายละเอียดต่างๆในชีวิตตน
มะแมสัมผัสกระแสความคลางแคลงใน
หล่อนที่ลอยมาจากคณินทร์ ถือเป็นคลื่นรบกวนที่
ทำาให้จิตหล่อนขุ่น เนื่องจากกระแสจิตของเขามี
ความแรง
สาวพลังจิตจึงคิดขจัดคลื่นรบกวนนั้นทิ้ง
เสียแต่เนิ่นๆ โดยหันมาพูดกับคณินทร์ตรงๆ
"คุณแต๊กตายโดยไม่รู้ตัว ต่อหน้าท่านคณิ
นทร์ใช่ไหมคะ?"
สายตาคมปลาบทำาเอาท่านรัฐมนตรีใหญ่
ผวาหน่อยๆ
"เหอ?"
คลื่นรบกวนอันเกิดจากความคลางแคลง
หายวับ แล้วกลับแทนที่ด้วยกระแสความรู้สึกทึ่ง
อึ้ง งงงัน งานนี้ไม่มีทางเล่นกลแหกตาหรือใช้
จิตวิทยาอ่านสีหน้า เพราะเหตุสลดที่เกิดขึ้นปิด
เป็นความลับสุดยอด แม้งานศพในช่วงเย็นก็บอก
แค่ญาติคนสนิทให้ไปร่วมรับรู้เพียงไม่กี่คน
สีหน้าของมะแมผ่อนคลายลง ด้วยความ
เชื่อมั่นในตนเองหนักแน่นขึ้น หล่อนทำาความรู้สึก
เข้าไปในอาการหลงตายแบบไม่รู้ตัวของนาย
แต๊ก ครู่หนึ่งก็เห็นนิมิตรูปศีรษะมีบาดแผลอันเกิด
จากการทะลุผ่าน
แม้เห็นไม่ชัดนัก แต่มะแมก็ค่อนข้างแน่ใจ
ว่าจะแทงหวยไม่ผิด
"ถูกยิงเข้าสมองส่วนหน้าใช่ไหมคะ?
เพราะความรู้สึกนึกคิดดับวูบฉับพลัน"
คณินทร์หายใจขัด เอนหลังพิงพนัก คุม
สีหน้าไม่ให้แสดงอาการอัศจรรย์ใจออกมา อันที่
จริงเขาทราบหรอกว่าศรีภรรยาชอบไปหาคนเล่น
ทางในบ่อยๆ แต่ก็ปล่อยตามสบาย ไม่เคยตาม
ไปพิสูจน์ความจริงสักที เพิ่งครั้งนี้พอเจอกับตัว
ทำาเอาถึงกับอึ้งงันพูดไม่ออก
"หนูเห็นได้จริงๆหรือนี่ ?"
"มะแมก็ต้องสอบถามเอาความแน่ใจ
เหมือนกันค่ะ ยังไม่ถึงขั้นเห็นแจ่มชัดเป็นผู้วิเศษ
หรอก... พอจะมีรูปคุณแต๊กไหมคะ? มะแม
ต้องการเช็คว่านิมิตที่เห็นตรงกันกับคุณแต๊กหรือ
เปล่า"
รักสุรีย์เตรียมมาอยู่แล้ว จึงหยิบอัลบั้มรูป
จากกระเป๋าสะพายมายื่นให้มะแมทันที
สาวพลังจิตเปิดดูผ่านๆ นายแต๊กเป็นชาย
วัยไล่เลี่ยกับหล่อน ใบหน้าเรียวยาว รูปร่างสูง
โปร่ง บางภาพดูดี บางภาพดูผอมเก้งก้าง บาง
ภาพโคลสแววตาชัดจนเห็นแววสับสน แบบคนที่
ยังหาตัวเองไม่เจอ และวนเวียนอยู่กับการค้นหา
ไม่เลิก
มะแมใช้เวลาครู่เดียว รวบรวมคำาพูดที่ตรง
ความจริง และเป็นความจริงที่ฟังแล้วสบายใจ
ที่สุด
"คุณแต๊กเป็นหนึ่งในตัวอย่างให้เห็นว่า คน
เราจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าก่อนตายใจร้าย
หรือใจดี ... ลูกคุณหญิงไม่ใช่คนใจร้ายแน่นอนค่ะ
ถ้าเดาไม่ผิด ตั้งแต่เด็กๆ เขาเดินไปเห็นขอทาน
ที่ไหน ก็ขอตังค์คุณหญิงยื่นให้ที่นั่น ใช่ไหมคะ?"
รักสุรีย์ฉีกยิ้มกว้าง
"จริงด้วย!"
มะแมเบนสายตามาหาคณินทร์ ซึ่งเมื่อ
สบตากัน คณินทร์ก็ขยับตัวหน่อยๆ และบอก
ตนเองว่าชักไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้มองมาทางตน
เสียแล้ว
"ส่วนลึกของคุณแต๊กอยากทำาให้ได้อย่าง
ท่านนะคะ ช่วยคนให้มีงานทำา ช่วยทำาให้รู้สึกมี
ค่า"
"เหรอ?"
คณินทร์ลดเปลือกตาลงเมื่อนึกถึงลูกชาย
เขารู้แต่ว่าชั้นหนึ่งอยากเป็นให้ได้อย่างเขา และ
แม้ชั้นหนึ่งเคยพูดเรื่องโครงการช่วยเหลือเพื่อน
มนุษย์ เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าฝ่ายนั้นอยากทำาจริงจัง
ด้วยใจเลย มองไปว่าลูกคิดเล่นๆ อยากทำา
ประเดี๋ยวประด๋าวประสาคนไม่มีอะไรทำามากกว่า
อย่างอื่น
"สรุปว่าคุณแต๊กตายด้วยใจที่อยากเอาดีนะ
คะ ไม่ใช่ตายตอนใจร้าย คราวนี้ท่านคณินทร์กับ
คุณหญิงคงทราบว่าควรจะห่วงเขาหรือสบายใจ"
รักสุรีย์อยากยิ้ม แต่ทำาไมขัดๆอยู่ในอกก็ไม่
ทราบ
"เอ้อ... มะแมจ๊ะ"
"คะ?"
"นายแต๊กเขา..." พูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก
นัก แต่ในที่สุดก็หลุดออกไปจนได้ "เขาเป็นเกย์
นะ ฉันเคยได้ยินว่าพวกนี้เป็นคนบาป ตาย
แล้วไปไม่ดี เรื่องนี้มันยังไง เป็นความจริงหรือ
เปล่า?"
มะแมสะดุดนิดหนึ่ง เพราะเมื่อครู่ไม่ได้ดูว่า
จิตนายแต๊กบิดเบี้ยวสักแค่ไหน แต่เมื่อทราบ
ข้อมูลเช่นนั้นก็แก้ความเข้าใจให้ผู้อยู่ข้างหลัง
"บาปคือคิดร้ายกับคนอื่น คำาถามคือ เกย์
นี่จำาเป็นต้องคิดร้ายกับคนอื่นไหม? มันไม่จำาเป็น
ค่ะ และมะแมก็คิดว่าจิตแบบคุณแต๊กไม่ใช่คน
บาปหรอก"
"คิดผิดๆ บิดๆเบี้ยวๆทางเพศก็ไม่เป็นไร
หรือ?"
"เป็นชายรักหญิง แต่ดักข่มขืนผู้หญิงได้ ได้
ชื่อว่าคิดทำาเรื่องบิดเบี้ยวกว่าเกย์เยอะ... เกย์ทำา
ดี มีบุญติดตัวไปมากกว่าชายทำาชั่วแน่ๆ!"
รักสุรีย์กะพริบตาสองสามที อย่างไรใจก็ยัง
คลายไม่หมด
"ไหนบอกชัดๆได้ไหม ตอนนี้นายแต๊กเขา
ไปอยู่ไหน สบายหรือลำาบาก ฉันรู้สึกว่าเธอปลอบ
ให้สบายใจมากกว่าพยายามตอบคำาถามตาม
ตรง... บอกความจริงมาเถอะ ฉันจะได้ทำาบุญ
อุทิศส่วนกุศลไปให้เขา"
มะแมผ่อนลมหายใจยาวก่อนตอบซื่อๆ
"คุณแต๊กกำาลังฝันอยู่ค่ะ ไม่รู้ตัวว่าตาย
ไม่รู้ตัวว่าเป็นใคร เหมือนกับที่พวกเราเป็นกันทุก
คืนขณะหลับ... กรรมเก่าสั่งให้เขาตายแบบตั้งจิต
เตรียมใจไม่ได้เลย"
"หมายความว่าเขายังไม่ไปเกิดหรือ?"
"จิตดวงใหม่ที่แตกต่างจากจิตในภพมนุษย์
อุบัติขึ้นแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่จิตเดิมของคุณแต๊กซัด
ส่าย มีกำาลังอ่อน จิตที่อุบัติใหม่เลยโซเซอยู่ เท่าที่
มะแมเห็น ก็คงกินเวลาระยะหนึ่งกว่าจะรู้สึกตัว
แบบสะลึมสะลือ"
"ที่เขาว่าสามวันเจ็ดวัน วิญญาณจะกลับมา
หาญาติ ก็เพราะเพิ่งฟื้นตัว ฟื้นสำานึกและความ
ทรงจำางั้นหรือ?"
"มะแมยังเห็นมาไม่มากพอจะยืนยัน แต่
บอกได้ตามคัมภีร์อย่างหนึ่ง คือพวกที่กลับมาหา
ญาติได้นี่ ถ้าไม่เป็นพรหมก็เทวดา หรือเปรต...
หากเกิดใหม่เป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ หรือตกไป
อยู่ในนรก ก็คงหมดสิทธิ์กลับมา"
"แปลว่าถ้าจะขอให้เธอพูดคุยกับลูกชายฉัน
เดี๋ยวนี้ ก็คงไม่ได้ ?"
"ค่ะ ไม่ได้ "
"เธอปลุกเขา หรือช่วยให้เขารู้สึกตัวไม่ได้
หรือ?"
"มะแมไม่ทราบวิธีค่ะ แต่รู้อย่างหนึ่งว่าถึงมี
วิธีอยู่จริง ก็ต้องอาศัยกำาลังมากกว่ามะแมเยอะ"
"ถ้าฉันทำาบุญอุทิศให้เขาตอนนี้ จะช่วยบ้าง
ไหม?"
"อุทิศให้เขาบ่อยๆก็เหมือนเอาความสว่าง
จากเราไปทำาให้ความรับรู้ของเขาสว่างไสวขึ้นได้
ค่ะ แม้ในขณะที่เขายังงัวเงียสะลึมสะลืออยู่ก็ตาม
อย่างน้อยก็อาจช่วยให้เขาตื่นเร็วขึ้น"
"ดี ... ฉันจะได้เร่งทำาให้เขาสบาย"
"เขาจะได้สบายหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่เรา
สบายที่ได้ทำานั่นแหละค่ะ"
คณินทร์ขมวดคิ้ว ใจหนึ่งชักเลื่อมใสสาว
น้อยตรงหน้า แต่อีกใจก็ระแวงประสาคนที่อยู่ใน
ดงเสือสิงห์กระทิงแรดมาทั้งชีวิต
"แล้วใครเป็นคนสั่งฆ่าผม?"
โพล่งถามอย่างเข้าใจว่าถ้ามะแมรู้ดี ก็ต้อง
ตอบได้ทุกข้อ
สาวพลังจิตฟังแล้วก็ทราบทันทีโดยไม่ต้อง
อาศัยสัมผัสพิเศษ เรื่องถึงเลือดถึงเนื้อครั้งนี้คือ
การจ้างวานสังหารกัน เป้าหมายที่แท้จริงคือคณิ
นทร์ แต่ลูกชายที่นั่งอยู่ด้วยรับเคราะห์ไปแทน
"ขออนุญาตไม่ดูให้ได้ไหมคะ เพราะขัดกับ
กฎการทำางานของมะแม"
"ขัดยังไงหรือ?"
สีหน้าสีตาของคณินทร์ยังเป็นปกติ แต่เสียง
เริ่มขุ่นแบบคนไม่ได้อย่างใจ
"ถ้าคำาบอกของมะแมกลายเป็นเบาะแสให้
ท่านคณินทร์ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลัง ก็คงเกิด
การตามล้างจองเวรกัน มะแมไม่อยากให้คำาพูด
ของตัวเองกลายเป็นต้นเหตุให้มีคนตายเพิ่ม"
"แล้วถ้าหนูไม่บอกผม ผมจะระวังหน้าระวัง
หลังได้อย่างไร?"
"บอกหรือไม่บอก อย่างไรช่วงนี้ท่านก็ต้อง
ระวังตัวเต็มอัตราศึกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมะแม
เลือกที่จะไม่บอก เพื่อช่วยไม่ให้ท่านต้องเพิ่ม
ความเสี่ยงจากการคิดเล่นงานใครอีก"
"หนูคิดปล่อยให้คนชั่วลอยนวลหรือ?"
"ไม่มีใครลอยนวลจากเมล็ดพันธุ์ความชั่วที่
ตัวเองเพาะไว้ได้หรอกค่ะท่าน การคิดฆ่ามนุษย์
เป็นบาปใหญ่ ไม่ต่างจากเพาะเมล็ดพันธุ์ฺของต้น
หนามไว้ในชีวิต เมื่อไหร่ถึงเวลาโต เมื่อนั้น เมล็ด
พันธุ์ย่อมงอกออกมาเป็นหนามทิ่มแทงให้เกิด
บาดแผลทางวิญญาณ แล้วมีของแถมเป็น
บาดแผลตามเนื้อตัวในภายหลังอยู่แล้ว"
คณินทร์แค่นยิ้ม
"หนูจะให้ผมรอวิบากกรรมลงโทษวายร้าย
ไปเอง?"
"ถึงมะแมเห็นว่าใครบงการ คำาพูดของ
มะแมก็ไร้หลักฐาน การเอาคำาพูดที่ไร้หลักฐานไป
จับตัวใครมาลงโทษนับเป็นอัปมงคล สิ่งที่ตามมา
ต้องร้ายมากกว่าดีแน่ๆ คิดดูสิคะ ถ้ามะแมพูดผิด
หรือท่านตีความคำาพูดของมะแมผิด ไปคิดจอง
เวรกับคนที่ไร้ความผิด บาปใหญ่จะตกอยู่กับ
ใคร? เรื่องนี้ขอให้พึ่งตำารวจซึ่งมีวิธีการพิสูจน์
หลักฐานเถิดค่ะท่าน"
"อย่าโยกโย้เลย หนูบอกผมมาเถอะ เรื่อง
ค่าตอบแทนรับรองว่าไม่อั้น แล้วก็รับประกัน
ความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมสัญญาว่าจะ
ไม่มีใครรู้ว่าหนูคือกุญแจอย่างเด็ดขาด!"
"เห็นใจเถอะนะคะ มะแมดูให้ไม่ได้จริงๆ ไม่
เกี่ยวกับค่าตอบแทนหรือเหตุผลอื่นใดทั้งนั้น!"
น้ำาเสียงหล่อนเรียบ เย็น นุ่มนวล แต่หนัก
แน่น สอดคล้องกันกับสายตานิ่งๆที่ประกาศ
เจตจำานงชัดแจ้ง
คณินทร์ทำาหน้าเครียด เยี่ยงผู้มีอำานาจล้น
ฟ้าที่ถูกขัดใจ ยิ่งทราบว่ามะแมให้ความนับถือตน
อยู่ก่อน แต่ไม่ยอมตามใจอย่างนี้ ก็ยิ่งเคือง
เข้าไปใหญ่
ทว่าหลังจากจ้องตากันครู่หนึ่ง ความงาม
กระจ่างที่ปราศจากความกลัว นิ่งอยู่กับจุดยืนอัน
เป็นตัวของตัวเองแบบมะแม ก็กลายเป็นสิ่งเร้าใจ
ใหม่ ทำาให้คณินทร์คลี่ยิ้มมุมปากไปแทน
ดื้อๆแบบนี้เขาชอบนัก!
"เอาล่ะ... ผมไม่บังคับใจหนูก็ได้ "
"ขอบพระคุณค่ะ!"
ยิ่งมอง ยิ่งฟัง คณินทร์ยิ่งนึกพิศวาสความ
คมคายของมะแมมากขึ้นทุกที ความอยากชำาระ
แค้นลดลง เปลี่ยนเป็นอยากปลดกระดุมเสื้อ
หล่อนขึ้นมาแทน
แล้วเขาก็เผลอสำารวจสัดส่วนของหล่อนชั่ว
ขณะหนึ่ง ด้วยความอยากเห็นว่าใต้ร่มผ้าจะ
บาดตาบาดใจเหมือนคำาพูดหรือไม่
ถ้าให้ตีราคาความอยากได้เป็นเงิน เขาเคย
หมดไปมากที่สุด ๒๐ ล้านกับการซื้อผู้หญิงสวย
ระดับใจมาตามาเป็นสมบัติส่วนตัว แต่บอกได้
เลยว่าเขายอมเซ็นเช็คจ่ายทันที ๕๐ ล้านเพียง
สำาหรับคืนแรกกับหล่อนคนนี้ !
พอจุดชนวนด้วยความคิดทุ่มเงิน ไฟราคะก็
ลุกโชนเป็นจริงเป็นจัง ประสาเพลย์บอยที่อยาก
ได้ต้องเอาให้ได้ กะแค่ผู้หญิงเจ้าของโฮมออฟฟิศ
เล็กๆจะปฏิเสธเงินหลักสิบล้านได้สักกี่น้ำากัน?
"เอาล่ะ..." คุณหญิงรักสุรีย์เป็นคนเอ่ย
เมื่อเห็นบรรยากาศชักไม่ค่อยดี "คืนนี้ฉันขอบใจ
เธอมาก แต่หวังว่าโอกาสหน้าจะได้รับความช่วย
เหลือจากเธอเกี่ยวกับนายแต๊กอีก"
สุ้มเสียงให้เกียรตินั้น ชวนให้มะแมหันไป
แย้มยิ้มเต็มใจ
"ด้วยความยินดีค่ะคุณหญิง"
รักสุรีย์เอ่ยชวนสามี
"เรากลับกันทีรึ ? รบกวนหนูมะแมนาน
แล้ว"
"เดี๋ยว... ผมขอเวลาอีกสักสิบนาที ผมชัก
สนใจอยากศึกษาเรื่องจิตวิญญาณขึ้นมาแล้วสิ "
มะแมประสานตากับคณินทร์อย่างรู้ทัน
เข้าไปถึงก้นบึ้งจิตใจ อยากศึกษาเรื่องจิต
วิญญาณหรือ? เห็นๆอยู่ว่าฝ่ายนั้นกำาลังอยาก
กระโจนเข้ามาขย้ำาหล่อนมากกว่า!
แต่จะเป็นไรไปเล่า ที่หล่อนอุตส่าห์ลงทุน
ลงแรงไปกับคุณหญิงรักสุรีย์มาขนาดนี้ เป้า
หมายสุดท้ายก็เพื่อเข้าถึงตัวท่านรัฐมนตรีตรง
หน้ามิใช่หรือ?
ในกรณีที่คำาพยากรณ์ของอัคระเป็นจริง ก็
อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะสามารถ
เปลี่ยนแปลงผู้ชายคนนี้ได้แค่ไหน และผลของ
การเปลี่ยนแปลงจะแผ่รัศมีกว้างขวางออกไปสัก
เพียงใด
ฝ่ายคณินทร์นั้น มองความนิ่ง กล้าสานตา
ไม่หลบของมะแมว่านั่นคือการประกาศท้าความ
สามารถของเขา!
"หนูช่วยบอกผมทีได้ไหมว่าเริ่มมีสัมผัสทาง
จิตตั้งแต่เมื่อไหร่ "
มะแมยิ้มบางๆ การเห็นทั้งเปลือกนอกและ
แก่นในของมนุษย์ ทำาให้รู้สึกเหมือนคณินทร์
กำาลังเล่นละครตลก ราคะของเขาเหมือนลาวา
เดือดปุด พร้อมจะไหลเป็นน้ำาลายออกมาทางมุม
ปากอยู่รอมร่อ แต่ยังอุตส่าห์วางมาดสุภาพ
เคร่งขรึมเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือได้อย่างเนียน
แต่หล่อนก็ไม่ถือสา และความเป็นคนไม่
ถือสาก็ช่วยให้หล่อนแยกชั้นความรู้สึกได้
ระหว่างความเคารพดั้งเดิม กับความสังเวชใจที่
เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
"เริ่มต้นมีจิตสัมผัส? อือม์ ... ก็จาก
ประสบการณ์ทางใจในชีวิตประจำาวันธรรมดาๆนี่
แหละค่ะ สัมผัสแรกที่เกิดขึ้นแจ่มชัด มะแมจำาได้
สนิท ตอนนั้นยังไม่เคยเรียนรู้จากที่ไหนมาก่อน"
คณินทร์ทำาหน้าสนใจฟัง
"ยังไง"
"ขอเล่าตรงๆเลยนะคะ"
"ต้องงั้นสิ "
"สมัยยังเรียนหนังสือ มะแมมีแฟนคนหนึ่ง
ปกติจะใจเย็น อยู่ใกล้แล้วสบายใจ อากาศรอบ
ตัวเหมือนปลอดโปร่ง ท่านคณินทร์คงพอจะ
นึกออกนะคะ คนแบบนั้น"
"นึกออก"
"วันหนึ่ง มะแมกำาลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
แล้วแฟนย่องมาข้างหลังเงียบๆ ตอนนั้นมะแมรู้
ได้โดยไม่ต้องหันหลังไปมอง"
"เพราะกระแสความปลอดโปร่งของแฟน
หนูลอยมาให้สัมผัสและจำาได้ ?"
คณินทร์เดา แต่มะแมสั่นศีรษะปฏิเสธ
"มิได้ค่ะ ตรงกันข้ามเลย"
"อ้าว!"
"มันมีความเข้มข้นบางอย่างก่อตัวเป็นรูป
เป็นร่างชัด ถ้าเรียกกันเป็นภาษาชาวบ้านก็คง
ประมาณว่า... ตัวหื่น!"
ท่านรัฐมนตรีใหญ่สะดุ้งหน่อยๆ แม้เสียง
เล่าของหญิงสาวจะราบเรียบ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึง
หางเสียงที่ส่งแรงกระทุ้งมาถึงเขา
"เอ๋อ" คณินทร์ทำาเป็นหัวเราะ "ยังไงเอ่ย?"
"จริงๆผู้หญิงทุกคนน่าจะสัมผัสได้ เวลา
โดนหนุ่มๆจดจ้องด้วยความรู้สึกอัดอั้นแบบเพศผู้
เพียงแค่ครั้งนั้นไม่ธรรมดาตรงที่มะแมกำาลังนั่ง
หันหลังให้ และตาก็จดจ่ออยู่กับหนังสือ แต่ไหงก
ลับรู้สึกถึงเงาทะมึนของแฟนที่อยู่เบื้องหลังได้ "
คณินทร์ชักนั่งไม่เป็นสุข ขยับมือขึ้นลูบลูก
คางเกร็งๆ เพราะรู้สึกว่ากำาลังฟังเรื่องเข้าตัว
เพียงแต่สำาเนียงของหญิงสาวราบเรียบสนิท ไม่
เหมือนแกล้งตีวัวกระทบคราดเท่าใดนัก
"เหรอ... อือม์ ... แล้วหนูหันกลับไปก็เจอ
แฟนกำาลังแอบจ้องมองอยู่จริงๆใช่ไหมล่ะ?"
"ค่ะ! กำาลังยืนทำาสายตาน่ารังเกียจอยู่ที
เดียว"
หญิงสาวยิ้มรื่นเล่าขำาๆ และชายวัยพ่อก็
ช่วยหัวเราะแปร่งๆ
"แล้วไงต่อ หนูต่อยอดมาเป็นการรู้จัก
พัฒนาจิตสัมผัสได้ยังไง?"
"มะแมเริ่มสังเกตความแตกต่างในดวงจิต
ของมนุษย์เราค่ะ ปกติตอนคิดฟุ้งๆหรือเหม่อๆ
ตามเรื่องตามราว ดวงจิตจะอยู่ในสภาพแตกซ่าน
รวมไม่ติด สัมผัสเข้าไปจะไม่รู้สึกเหมือนมีรูปร่าง
ทางจิต"
"อือม์ ..."
คณินทร์ผงกศีรษะน้อยๆอย่างพอจะนึกตาม
ได้ นึกถึงความฟุ้งซ่านเหม่อลอยเป็นปกติของ
ลูกชายทีไร รู้สึกเหมือนแหวกว่ายอยู่ในหมอก
ควันน่ารำาคาญที่จับต้องไม่ได้ทุกที
"แต่ถ้าคนๆหนึ่งเกิดราคะจัด หรือบันดาล
โทสะรุนแรง ดวงจิตจะรวมกระแสเป็นหนึ่งเดียว
ก่อให้เกิดความชัดเจนขึ้นมาแบบหนึ่ง"
รักสุรีย์ฟังมะแมพูดเช่นนั้นแล้วชักสนใจ
เพราะคุ้นกับประสบการณ์สัมผัสทำานองนั้นมา
บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ไม่เคยคุยกับใครจริงจัง
อย่างมากก็บ่นๆหรือนินทากับเพื่อนทำานองว่าตา
นี่ท่าทางหื่นๆ ตานั่นหัวคล้ายหม้อไหที่มีงูชูคอ
โผล่ขึ้นมา ก็เท่านั้น
"อย่างที่เธอเห็นราคะของแฟนเป็นรูปเป็น
ร่างนี่เหมือนอะไร?"
"เขาย่องมาข้างหลัง มะแมจำากระแสความ
เป็นเขาได้ คือยังมีรูปร่างหน้าตาอันเป็น
เอกลักษณ์ความเป็นเขาอยู่ แต่เพี้ยนไป เหมือน
แปลงร่างจากเทพบุตรผู้น่ารักเป็นปีศาจราคะ มืด
ทะมึน สูงใหญ่ขึ้น แล้วก็มีความอัดอั้น
กระวนกระวาย ผิดไปจากความสดใสปลอดโปร่ง
แบบเดิมๆ"
คณินทร์และรักสุรีย์ทำาหน้าเข้าใจ แสดงว่า
เป็นประสบการณ์สามัญที่ทุกคนเคยคุ้นมาก่อน
ยามสัมผัสคนที่มีความกำาหนัดแรง
"ช่วงนั้นเผอิญมะแมเข้าอินเตอร์เน็ต เจอ
คนโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการทำาวิปัสสนาตามพ
ระพุทธเจ้า ก็เกิดความประหลาดใจค่ะว่าท่านก็ให้
เห็นอะไรทำานองนี้เหมือนกัน"
"งั้นเรอะ?" บุรุษอาวุโสทำาหน้าฉงน "เห็น
อย่างนี้เป็นวิปัสสนาด้วยเหรอ?"
"คือท่านให้ดูใจตัวเอง เห็นจิตโดยความ
เป็นภาวะที่ไม่เหมือนเดิม แตกต่างไปเรื่อยๆ เมื่อ
ไหร่มีราคะให้รู้ว่ามีราคะ เมื่อไหร่ราคะหายไปก็
ให้รู้ว่าราคะหายไปเมื่อรู้ว่าลักษณะราคะในตน
เป็นอย่างไร ก็จะพบว่าราคะเป็นธรรมชาติที่เหมือ
นๆกัน ตอนมีราคะ จิตคนเราไม่ต่างกันโดยมูล
เราเห็นของตัวเองได้ ก็เห็นของคนอื่นได้ "
ท่านรัฐมนตรีฟังจบถึงกับหมดอารมณ์ 
เพราะไม่อยากมีราคะให้มะแมเห็น ไปๆมาๆจึงได้
แต่หัวเราะแก้เก้อ
"ประสบการณ์ในชีวิตประจำาวัน ก็คือ
ประสบการณ์ทางจิตสินะ ใครจะสังเกตเห็นหรือ
เปล่าเท่านั้น"
"ค่ะ... เรื่องพวกนี้เราไม่ค่อยคุยกัน เพราะ
ปกติจะไม่สังเกต ถ้าเป็นราคะของเราเอง เราจะ
หน้ามืดเหมือนถูกแม่เหล็กดูดให้วิ่งเข้าใส่ แต่ถ้า
เป็นกลิ่นอายราคะของคนอื่น เราจะรังเกียจ หรือ
ไม่ก็เกิดอารมณ์คล้อยตาม ขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจ
หรือไม่พอใจคนๆนั้น"
"สรุปคือหนูเริ่มเห็นจิตคนตอนมีสภาพเป็น
ราคะและโทสะแรงๆ?"
"นั่นเป็นช่วงเริ่มต้นค่ะ พอแน่ใจว่าเห็น ก็
เห็นแยกย่อยต่อไปอีกว่าวิธีที่แต่ละคนเกิดราคะ
และโทสะนั้นต่างกัน แรงอัดของราคะและโทสะก็
หนักเบาผิดกัน เลยเชื่อมโยงไปให้เห็นว่าที่มาที่
ไปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตามใจตัวเองมากก็
ร้อนแรง ข่มใจตัวเองเกินก็อึดอัด"
"หมายถึงการควบคุมอารมณ์ เป็นตัว
จำาแนกให้เกิดความแตกต่างกันน่ะเหรอ?"
"ค่ะ! มะแมเล็งเห็นว่ากรรมของแต่ละคน
ต่างกันจากจุดใหญ่จุดนี้แหละ ทุกคนมีกิเลส แต่
จะอดกลั้นหรือคล้อยตามกิเลสไม่เท่ากัน ถ้าใคร
ลอยตัวอยู่เหนือกิเลสผิดๆได้เป็นปกติ ก็จะเป็น
คนมีจิตใจปลอดโปร่ง เยี่ยงคนถือศีล ๕ สบายๆ
เพราะใจไม่เอาบาปอยู่เอง"
"อย่างผมรู้สึกถึงใจที่ปลอดโปร่งสบายของ
หนูในตอนนี้ นี่ก็คือผลรวมของการที่ใจไม่เอา
บาป?"
"รูปจิตในวินาทีนี้ คือผลรวมของกรรม
ทั้งหมดที่ผ่านมา ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป และ
กรรมทั้งหมดที่ผ่านมา ก็ยืนอยู่บนการตามกิเลส
หรือฝืนกิเลส"
"คำาว่า 'รูปจิต' ที่หนูใช้นี่เหมือนกายทิพย์
หรือร่างที่จะเกิดขึ้นหลังความตายหรือเปล่า?"
"เอาเป็นว่ารูปจิตพอจะส่อได้ค่ะว่าถ้าตาย
เดี๋ยวนี้ ใครจะไปดีหรือไปร้าย หล่อสวยหรือน่า
เกลียดประมาณไหน"
"รูปจิตนี่ไม่จำาเป็นต้องเสมอกันกับรูปกายที่
เป็นหน้าตาภายนอกใช่ไหม?"
"ค่ะ! บางคนรูปหล่อ รูปสวย เพราะสั่งสม
กรรมอันน่าเจริญหูเจริญตาไว้ในปางก่อน แต่
กรรมในปัจจุบันตกแต่งให้รูปจิตภายในขี้เหร่
มาก"
"ถ้ายังไม่ตาย ก็มีโอกาสกลับไปกลับมา
พัฒนาหรือเสื่อมลงได้ตลอดเวลา แล้วแต่ช่วง
ไหนจะสั่งสมนิสัยอย่างไรใช่ไหม?"
มะแมมองคณินทร์ยิ้มๆ คำาถามของเขา
สะท้อนว่าสังเกตเห็นอะไรอย่างนี้ด้วยตนเองมา
ก่อนอยู่แล้ว
"ค่ะท่าน รูปกายหลอกว่ามีตัวเราอยู่ตัว
หนึ่ง แต่จิตเปลี่ยนไปเรื่อยๆทั้งวันทั้งคืน สว่าง
บ้าง มืดบ้างตามกรรม กรรมทางความคิดอาจถูก
ปกปิดไปทั้งชาติ แต่จะถูกเปิดโปงล่อนจ้อนที่รูป
ร่างหน้าตาในชาติถัดไป หรือไม่ก็สําหรับคนที่
สามารถเห็นรูปจิตอยู่เดี๋ยวนี้ "
รักสุรีย์ถามด้วยสีหน้าอยากรู้เต็มที่
"อย่างจิตฉันตอนนี้ มันเป็นรูปร่างยังไง?"
มะแมปรายตามองคุณหญิง เห็นอยู่ว่ารูป
จิตโดยรวมยังสกปรก ถ้าขาดใจตายปัจจุบันทัน
ด่วน ก็คงไม่พ้นวิสัยเปรตหรือวิสัยเดรัจฉาน
แต่จะให้บอกแบบเปิดเผยตามตรง คุณ
หญิงคงเสียกำาลังใจ ไม่อยากทำาบุญต่อ ทั้งที่
อุตส่าห์เริ่มบากบั่นมาบ้างแล้ว จึงเบี่ยงเบนให้
สนใจภาวะในปัจจุบันเดี๋ยวนั้นแทน
"จิตของคุณหญิง ก็เป็นจิตที่เกิดความ
อยากรู้ไงคะ"
"นั่นสิ แล้วเธอเห็นเป็นรูปจิตยังไง?"
"คุณหญิงเห็นเองก็ได้ค่ะ เริ่มจากรับรู้ว่าตัว
เองอยู่ในอิริยาบถแบบไหน ตั้งท่าอยู่ยังไงก็ให้
รู้สึกแบบนั้น หลังตรงหรือหลังงอ แขนขางอหรือ
เหยียดอยู่ เอาเท่าที่รู้สึกได้ตามจริงเป็นพอ"
รักสุรีย์รู้สึกถึงหลังที่งอเล็กน้อยตามสบาย
คอเอียง ศีรษะเอนหน่อยๆ เปลี่ยนเป็นตั้งตรง ขึ้น
มา
"แล้วไง?"
มะแมสัมผัสถึงอาการเกร็ง เจืออยู่ด้วย
ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลิกของฝ่ายนั้น จึงบอก
ว่า
"ในอาการทางกายที่กำาลังเป็นอยู่ เท่าที่
คุณหญิงรู้สึก ก็คือมโนภาพว่ามีตัวคุณหญิงนั่งอยู่
ให้ความรู้สึกว่าเป็นสตรีรูปร่างหน้าตาและท่าทาง
อย่างนี้ ผมยาวประบ่า ประมาณนี้ ถูกไหมคะ?"
"อือ... รู้สึกอย่างนั้น"
ตอบรับอย่างเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆตาม
ปกติ
"นั่นแหละค่ะ เรียกว่านิมิตของผู้หญิงคน
หนึ่งกำาลังนั่งสงสัยอยู่ ถ้ารู้สึกได้ ก็คือเห็นจิตของ
ตัวเองว่ากำาลังเป็นอย่างไร"
ชั่วขณะหนึ่งที่รักสุรีย์รู้สึกถึงรูปจิตในท่านั่ง
ของตน ก็เห็นความพร้อมจะคิดไม่ดี เป็นไปเพื่อ
ความมืดหม่น หาความสว่างสดใสเต็มดวงมิได้
จึงอ้อมแอ้ม
"ถ้าดูตามเธอว่า รูปจิตฉันตอนนี้คงมัวซัว
กะดำากะด่าง เลอะๆเทอะๆชอบกลนะ ฉันเห็นตรง
กับความจริงหรือเปล่านี่ ?"
มะแมหัวเราะให้ฟังออกเป็นเรื่องขำา
มากกว่าจริงจัง
"เห็นไปเรื่อยๆก็จะไม่ประมาท ไม่อยากทำา
แม้แต่บาปเพียงเล็กน้อย วันต่อวันก็จะพบว่า
ภายในของเราสว่างจนเต็มดวงไปเองแหละค่ะ"
"ถ้าตายไปในวันที่รู้สึกสว่าง ถึงจะได้ไปดี
ใช่ไหม?"
"ก็ประมาณนั้นค่ะ แต่ต้องสบายใจเป็นปกติ
ด้วยนะคะ ไม่ใช่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ความ
สบายใจเป็นปกติคือเครื่องยืนยันว่ารูปจิตของเรา
มีความชัดเจนคงเส้นคงวา ไม่ใช่ภาพล้มลุก กลับ
ไปกลับมาง่าย"
ตอบแล้วมะแมเองก็ได้คิด จริงๆมีการเฉลย
คร่าวๆอยู่แล้ว ว่ากรรมที่ทำาๆกันอยู่จะบังเกิดผล
ในคติเบื้องหน้าท่าไหน ถ้าปกติอึดอัดใจมากก็มี
แนวโน้มจะหน้าตาไม่น่าดู แต่ถ้าปกติสบายใจ
มากก็มีแนวโน้มจะหน้าตาชวนชม
และเมื่อมองอย่างคนเห็นวิญญาณ นาทีนี้
มะแมจึงรู้ซึ้งว่า "ตายแล้วเกิดใหม่ " มีได้จริง
ตั้งแต่กายยังทรงสภาพเดิมอยู่ ดังเช่นคุณหญิง
รักสุรีย์ที่เคยเป็นพวกบอดสนิท ฆ่าคนยังไม่
ยอมรับว่าเป็นบาป มาบัดนี้ได้เกิดใหม่เป็นพวก
สว่างสลัว มีแก่ใจทำาบุญอุทิศให้เปรตทุกวัน รูป
จิตดูดีกว่าเดิมมาก
รักสุรีย์ยังอยากรู้อีก
"เมื่อสามารถเห็นจิตคนที่ยังมีชีวิตเป็นๆ ก็
สามารถเห็นจิตคนตายได้ ?"
"ใช่ค่ะคุณหญิง เพราะธรรมชาติของจิต ยัง
ไงก็ต้องเป็นรูปนิมิตอะไรอย่างหนึ่ง"
"แล้วที่เธอบอกว่าตาแต๊กเหมือนยังฝันวก
วนอยู่ จิตของเขามีรูปยังไง?"
"ไม่มีรูปที่แน่นอนไงคะ เป็นดวงจิตที่ซัด
ส่าย ยังคุมเป็นรูป รวมเป็นร่างไม่ได้ เหมือนกับที่
เมื่อครู่เราคุยเรื่องคนจิตฟุ้งซ่านเหม่อลอยกัน"
"แล้วจิตของผมล่ะเป็นยังไง?"
คณินทร์พลอยอยากรู้ขึ้นมาอีกคน
"วิธีคิดที่เป็นระเบียบชัดเจนของท่านคณิ
นทร์ ทำาให้จิตมีรูปคมชัด มีความคงที่แบบเป็นตัว
ของตัวเอง แล้วความเป็นใหญ่แบบคณะผู้
ปกครอง ความเป็นคนสำาคัญของประเทศ ก็ปรุง
ปั้นให้จิตมีรัศมีอำานาจกว้างขวางด้วย"
ท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์รู้สึกถึง
อัตตาที่พองโต ในท่านั่งภูมิฐานเป็นสง่าของตน
แล้วก็เริ่มเข้าใจว่าขณะนั้นจิตของตนที่ปรากฏใน
การรับรู้ของมะแมเป็นอย่างไร
"ผมเคยสังเกตเหมือนกันว่าแต่ละคนมี
ความเข้มข้นทางจิตวิญญาณไม่เท่ากัน เหมือน
เอาร่างกายมานั่งให้เราดูด้วยตา แต่ใจไม่ได้อยู่
ตรงนั้น หรืออ่อนเหลวจนกระทั่งใจเราไม่อาจรับรู้
ความเป็นเขา นี่ก็คือส่วนหนึ่งในการสัมผัสถึงจิต
เขาด้วยใช่ไหม?"
"ค่ะ คนจิตอ่อนจะไม่ค่อยเป็นที่จดจำา ถึงแม้
รูปร่างหน้าตาดีแค่ไหน ก็ขาดพลังประทับลงไป
ในความรู้สึกของคนเห็น แต่อย่างของท่านคณิ
นทร์ กายกับจิตเป็นไปในทางเดียวกัน คือพร้อม
ทำางานใหญ่ พร้อมออกตัวแรง พร้อมริเริ่มแปลก
ใหม่ คนเห็นท่านถึงได้จดจำาและนึกถึงท่านว่ามี
อิทธิพลในทางเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัว"
คณินทร์รู้สึกเหมือนไฟแห่งความเป็นนัก
เปลี่ยนแปลงกลับคุโชนขึ้นใหม่ หลังจากดับมอด
มาหลายปี
และชั่วขณะที่ไฟแห่งความเป็นนัก
เปลี่ยนแปลงโชติช่วงขึ้นมาจากคณินทร์นั่นเอง
ฝ่ายมะแมก็สัมผัสได้ถึงความเป็น "เรื่องใหญ่ "
เรื่องหนึ่ง ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา
ตัดรูปร่างหน้าตาออกไป มนุษย์แต่ละคน
คือแนวโน้มของเหตุการณ์ใหญ่น้อยที่จะเกิดขึ้นใน
โลก และคณินทร์ก็คือแนวโน้มของ "เหตุการณ์
ใหญ่ " ขอเพียงมีไฟพอ
พลังใหญ่อย่างคณินทร์ ถูกมองเป็นคติได้
สองแง่ ...
หากมองในแง่ความสามารถคิดสร้างสรรค์
ก็อาจกล่าวว่า ความคิดในหัวของคนดีนาทีเดียว
อาจกระเพื่อมออกไปเป็นความเจริญของโลกได้
นานนับศตวรรษ!
แต่ในคนๆเดียวกัน หากมองในแง่ความ
สามารถที่จะโลภ ก็อาจกล่าวได้เช่นกันว่า โจรหิว
โซ ยังเป็นภัยได้แคบจํากัดกว่าเศรษฐีที่อิ่มไม่พอ
เสียอีก!
เมื่อถืออำานาจการเปลี่ยนแปลงไว้ในมือ เขา
จะเป็นคนดีหรือคนโลภ อะไรคือตัวกำาหนด?
อันที่จริงงานเปลี่ยนใจนักการเมืองให้อยาก
เป็นคุณต่อโลก หาใช่ปฏิบัติการฝืนธรรมชาติไม่
เพราะนักการเมืองต้องสั่งสมบารมี ต้องเคยให้
อะไรกับคนหมู่มากมาบ้าง
สำาหรับคณินทร์ แค่ทำาให้กลับไปมีแก่ใจ
เหมือนเดิมก็พอ!
"รูปจิตของท่านคณินทร์ มีแนวโน้มพอที่จะ
ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตทีเดียวนะคะ"
คำานี้โดนใจคณินทร์มากที่สุดนับแต่นั่งฟัง
มาเป็นชั่วโมง เขาโน้มตัวมาข้างหน้าทันที เผลอ
ตัวถามแบบหมดมาดสุขุม
"แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็น?"
แทนที่จะตอบคำาถาม มะแมกลับทำาเป็นไม่
ได้ยิน แต่พูดอย่างที่อยากพูด
"สมัยท่านคณินทร์ทำารายการหัวเราะเยาะ
เคราะห์ร้าย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มะแมคิดในใจว่าพูด
ได้อย่างนี้ สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ"
"พูดว่ายังไง?"
คุณหญิงรักสุรีย์เป็นคนถาม เพราะใจก็
อยากให้สามีดำารงตำาแหน่งผู้นำาสูงสุดของ
ประเทศเช่นกัน
"ท่านว่า... ถ้ายิ่งใหญ่ไม่พอจะทําให้ลูกเมีย
มีความสุข แล้วจะมียศ มีตําแหน่ง มีเงิน
ไปทําไม?"
คณินทร์สะอึก ไม่กล้าชำาเลืองภรรยาว่า
กำาลังเกิดปฏิกิริยาเช่นไร แต่ครู่หนึ่งก็ยิ้มเจื่อนๆ
เอ่ยกับมะแม
"คุ้นๆนะ บางทีผมก็จำาไม่ค่อยได้ว่าปล่อย
มุขเด็ดอะไรไว้บ้าง บ่อยครั้งพอคนเอามาฉายซ้ำา
ให้ฟัง ยังนึกไม่ออกเลยว่าเป็นคำาของตัวเอง"
"ตอนนั้นท่านขยายความไว้ด้วยค่ะว่า ถ้า
จะมีชีวิตเพื่อเอาความสุขใส่ตัว แค่เป็นคน
ธรรมดาสักคนก็พอ อย่าตะเกียกตะกายยิ่งใหญ่
ให้มาก แต่ถ้าอยากยิ่งใหญ่จริง ก็ต้องคิดทําชีวิต
คนอื่นให้เป็นสุขยิ่งกว่าเราได้ ! มะแมฟังแล้วปลื้ม
ท่านจับใจ ถ้าระบอบประชาธิปไตยโหวตเลือก
นายกได้ ตอนนั้นมะแมโหวตเลือกท่านทันที !"
คุณหญิงรักสุรีย์หัวเราะหึหึอย่างคนรู้ไส้รู้พุง
กันดี
"ท่านคณินทร์ท่านเป็นนักคิด นักพูด"
เน้นคำาสุดท้ายหนักๆแล้วค้างไว้แค่นั้น
มะแมรีบสานต่ออย่างเกรงเสียบรรยากาศ
"ความคิดของนักพูดอย่างท่านคณินทร์
สร้าง 'นักทำา' ขึ้นมากมาย อย่างน้อยก็มีมะแม
รวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง... และเมื่อใดท่านสั่งสมบารมี
ทำาดีเพื่อให้คนอื่นเป็นสุขกว่าตัวท่านเองได้มาก
พอ ก็คงเป็นบทพิสูจน์ว่าพูดได้แบบนี้ ทำาได้แบบ
นี้ สมควรครองตำาแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็น
ที่สุด!"
รักสุรีย์ชักหมั่นไส้สามีตนเอง ถ้าพูดเรื่องให้
เขาเป็นนายกฯนี่หล่อนจะออกแรงเชียร์ เพราะได้
ดีมาถึงตนด้วย แต่ถ้าพูดว่าเขาเป็นคนดี อยาก
ให้คนอื่นได้ดีมีสุขกว่าตน อันนี้ขออนุญาตคันมือ
คันไม้หน่อย
"กี่ปีผ่านไป ฉันก็เห็นท่านคณินทร์พูดเก่ง
อยู่อย่างนั้น"
ถ้อยคำาคลุมเครือกำากวมของคุณหญิงเกือบ
ทำาให้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึมครึม คณินทร์กลืน
น้ำาลายลงคอฝืดๆ ทำาเป็นยกข้อมือดูเวลา
"เอาล่ะ... นี่ก็เกินสิบนาทีที่ผมขอต่อเวลา
หนูมานานแล้ว ขอบใจมากนะสำาหรับคืนนี้ "
เป็นฝ่ายขอลาเองดื้อๆ เขาควักกระเป๋าเงิน
ออกมาหนีบธนบัตรใบละพันออกมาทั้งหมด นับ
ได้สิบกว่าใบ วางบนโต๊ะให้แบบไม่ต้องเรียกขอ
กับทั้งไม่ให้โอกาสปฏิเสธ
พอวางแล้วก็เหลือบดูปฏิกิริยาของมะแม
แวบหนึ่งด้วย เห็นสีหน้าเรียบเฉย ไม่ดีใจ ไม่
ตาลุก ไม่มีอาการกระตือรือร้นกับเงินค่าแรงเกิน
อัตราเลยสักนิดเดียว
"มะแมขออนุญาตเรียนให้ท่านคณินทร์
ทราบถึงอุปสรรคสำาคัญบนเส้นทางสู่ดวงดาวของ
ท่านสักข้อได้ไหมคะ?"
คณินทร์เลิกคิ้วสูง
"หือ? ได้สิ ! ทำาไมจะไม่ได้ คำาแนะนำาของ
หนูมีประโยชน์กับผมมาก"
"มะแมอยากบอกว่า... ไม่ใช่กำาจัดศัตรูแล้ว
อุปสรรคจะน้อยลง ตรงข้าม เส้นทางจะลำาบาก
ขึ้น"
พูดสั้นที่สุด อย่างจะให้คณินทร์รู้ว่าหล่อนรู้
ว่าเขาคิดตามเช็คบิลคนสั่งเก็บตนเองแน่ๆ
"หมายความว่ายังไง?"
คณินทร์ถามตรงๆ
"ด้วยอำานาจและบารมีของท่าน จะกำาจัด
ชีวิตใครสักคนทิ้งนั้นง่ายมาก แต่ให้รับมือกับสิ่งที่
ตามมานั้นแสนยาก"
ผู้อาวุโสกว่าแค่นยิ้ม
"หนูอยากให้ผมลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกชาย
ตัวเองในวันนี้ใช่ไหม?"
"มะแมไม่ได้อยากให้ท่านทำาเป็นลืม แต่
อยากบอกว่าความแค้นจะเป็นอุปสรรคบนเส้น
ทางสู่จุดหมายสูงสุด... จุดหมายสูงสุดกับความ
แค้นสูงสุด อันไหนน่าเลือกกว่ากันล่ะคะ?"
เหมือนไม่ได้ยินมะแมพูด คณินทร์ประกาศ
กร้าว
"มันสมควรได้รับการลงโทษ!"
"ไฟโกรธ เป็นบทลงโทษขั้นต้น ไฟแค้น
เป็นบทลงโทษขั้นกลาง ไฟนรก เป็นบทลงโทษขั้น
สุดท้าย... ท่านคิดว่าจะมีไฟแบบไหนลงโทษคน
บงการฆ่าท่านได้นานไปกว่าไฟเหล่านั้นอีก?"
"ก่อนไปเจอไฟนรก มันต้องเจอไฟพิโรธ
จากฉันก่อน จะได้เห็นกันว่ามันรู้จักฉันน้อยไป!"
มะแมก้มหน้าถอนใจอย่างนึกขึ้นมาได้ว่าวัน
แรกมีไว้เริ่มต้น ไม่ใช่มีไว้สำาเร็จ

_____________________________________________________________________________
บทที่ ๒๓
เส้นทางที่มะแมแล่นรถไป หันมองทางไหน
ก็เจอแต่ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลิบๆคือทิว
เขาเหยียดยาว เห็นแล้วลืมภาพตึกรามบ้านช่อง
รกระเกะระกะในเมืองใหญ่เสียได้ คล้ายหลุดมา
อยู่อีกมิติก่อนยุค ๒๐๐๐
พื้นที่กว้างใหญ่นั้นเป็นบริเวณตอนเหนือ
ของตำาบลหนองสาหร่าย อำาเภอปากช่อง จังหวัด
นครราชสีมา ข้างทางซ้ายขวาเห็นชาวบ้านทำาไร่
ข้าวโพด ไร่อ้อย และสวนน้อยหน่ากันมาก เวลา
คล้ายหมุนช้าลง รอการเจริญเติบโตอย่างเป็นไป
เองของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่มีใครออกมายืน
เร่งรัดธรรมชาติด้วยความกระวนกระวายใดๆ ผิด
กับในเมืองหลวงที่เกิดการเร่งรัดงานให้เสร็จทัน
เส้นตายอยู่ทุกวัน
เอาน้องอิ๊กมาด้วย บอกแค่จะพามาเปิดหู
เปิดตา ซึ่งเด็กหญิงก็เชื่อตามนั้น ตอนแรกก็ดี๊ด๊า
กับการได้ออกต่างจังหวัดกับพี่มะแม แต่ยิ่งไกล
ออกมา ทัศนียภาพรอบด้านยิ่งโล่ง เห็นแต่ผืนดิน
เห็นแต่แปลงพืชไร่ไม่มีที่สิ้นสุด จนชักงงว่าพี่
มะแมจะพาไปสถานที่ท่องเที่ยวแบบไหน ทำาไม
ถึงไม่มีขบวนรถนักท่องเที่ยววิ่งให้เห็นบ้าง
ใกล้เทือกเขาเข้าไปทุกที น้องอิ๊กยืดคอ
ทำาตาโต เหลียวซ้ายแลขวาสองสามขวับ เหมือน
จะหาเครื่องหมายบอกแหล่งท่องเที่ยวบ้าง แต่
เมื่อหาไม่เจอก็หดคอกลับมานั่งทำาหน้าเบื่อตาม
เดิม
มะแมยิ้มเฉย ข้างหล่อนคือสิ่งมีชีวิตตัวน้อย
ที่หล่อนแสนรัก รู้สึกเป็นสุขกับการเดินทางไกล
ร่วมกัน เหมือนหอบหิ้วมาช้านาน และยินดีจะไป
ไหนไปกันตราบภพชาติสิ้นสลาย
คิดในใจว่าเร็วๆนี้อาจใจอ่อน ยอมให้น้อง
อิ๊กเรียกหล่อนว่าแม่ก็ได้ จะแปลกอะไร ในเมื่อมี
หนุ่มอาสาเป็นพ่อของเด็กอยู่ทั้งคน!
"พี่มะแมคะ"
"หือม์ ?"
"ใกล้ถึงที่เที่ยวหรือยัง?"
"ภูเขาข้างหน้านี้ไง ไม่เห็นหรือ?"
"มีน้ำาตกเหรอคะ?"
"ไม่รู้สิ แต่ถึงที่แล้วอิ๊กอาจจะอยากขึ้นไป
ชมวิวเล่นก็ได้นะ"
เด็กหญิงอิ๊กทำาหน้าพิศวง ไม่เข้าใจพี่มะแม
ว่าถ้าจะดูวิว ทำาไมต้องถ่อมาไกลขนาดนี้ ทิวเขา
ตรงหน้าเห็นแล้วดาดๆ หาที่ไหนก็ได้
"เชื่อเถอะ แบบนี้ไม่ใช่จะหาจากไหนก็ได้
หรอก"
อิ๊กกระตุกนิดๆ ก่อนหัวเราะด้วยความจักจี้
เดี๋ยวนี้เฉยๆแล้วกับการโดนดักความคิด เพราะ
เริ่มรู้ด้วยตนเองว่าความคิดก็แค่คลื่นชนิดหนึ่ง
ขอเพียงมีใจใหญ่ ใจว่างพอ คลื่นความคิดของ
ใครลอยมาก็ดักรู้กันได้
อารมณ์เบื่อแบบเด็กๆหายไป กลายเป็น
ความใส่ใจจิตของตนแทน อิ๊กกำาหนดสร้าง
วงกลมขึ้นตรงหน้าโดยไม่หลับตา เป็นกีฬาทาง
จิตที่เธอเริ่มหัดเล่นตั้งแต่หลายวันที่ผ่านมา เดี๋ยว
นี้เธอเห็นวงกลมขาวแจ่มชัดได้ทั้งลืมตา แสดงถึง
ความสามารถหน่วงนึก ระดับที่มโนวิถีชนะจักษุ
วิถี ซึ่งไม่ใช่จะหาใครทำาอย่างนี้ได้ง่ายๆ
สนุกกับการเห็นวงกลมบดบังทุกสิ่งตรงหน้า
คล้ายรูปทรงและสีสันทั้งหลายหายไปหมด แต่
พอจิตอ่อนกำาลัง วงกลมเริ่มเลือน สรรพสิ่งรอบ
ตัวก็ปรากฏกับตาใหม่
จังหวะที่มะแมจะเลี้ยวรถเข้าทางดิน อิ๊กกำา
ลังเห็นแต่วงกลมที่ทอแสงสว่างนวลปานดวง
จันทร์อยู่ด้วยความเพลิดเพลิน มะแมจึงชะลอ
แล้วจอดรถ หันมาส่งเสียงเรียกเบาๆ
"อิ๊ก"
ชื่อของแต่ละคนเป็นคลื่นเสียงที่ปลุกให้ถอน
จากสมาธิได้ง่ายที่สุด แม่หนูน้อยตัดกระแสการ
รับรู้จากภายในกลับมาสู่โลกภายนอก แล้ว
ขานรับ
"คะ?"
แทนคำาตอบ หญิงสาวบุ้ยปากให้มองป้าย
ไม้ข้างทาง ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก
สำานักชีเชิงตะกอน!
ชื่อนั้นจู่โจมจับใจ กระแทกให้ผุดความรู้สึก
คุ้นเคยอย่างแรง มีผลให้ลมหายใจของน้องอิ๊ก
หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเกิดอาการสั่นเทิ้มทาง
กายระลอกหนึ่ง
มะแมซึ่งจับสังเกตอยู่ตลอดเวลา เห็นเช่น
นั้นก็ทักถาม
"จำาได้ไหม?"
น้ำาตาหยดแหมะที่พวงแก้มยุ้ยของเด็กหญิง
"ค่ะ... จำาได้ !"
เสียงเล็กๆตอบกลับมา หางเสียงสั่นพร่า
ด้วยแรงสะอื้นสะเทือนอก
มะแมพยักหน้าน้อยๆ คล้ายเป็นอาการที่มี
ให้กับตนเองมากกว่าจะมีให้ใครอื่น สายตาจับ
จ้องไปเบื้องหน้าอย่างโล่งอกกับการได้ทำาหน้าที่
ของตนเองโดยบริบูรณ์แล้ว ตามการวางหมาก
บนเส้นทางกรรมของน้องอิ๊ก
แตะเท้ากดคันเร่ง พารถวิ่งตรงไปตามทาง
ดินเป็นระยะเกือบสองกิโลเมตร จึงล่วงเข้าเขต
สำานักชีซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาลูกหนึ่ง
บรรยากาศรอบลานดินกว้างหลังกำาแพง
คือความ "ไม่มีอะไร" แบบสถานปฏิบัติธรรม
ภูธร มองทางไหนมีแต่กอไผ่ และที่แทรกอยู่
ระหว่างกอไผ่ประปรายตรงโน้นตรงนี้ คือกุฏิของ
แม่ชี ทั้งใหม่บ้าง เก่าซอมซ่อบ้าง
มะแมทำาการบ้าน ศึกษาหาอ่านความเป็น
มาของสำานักชีเชิงตะกอนไว้พอสมควร ซึ่งก็เป็น
ไปโดยสะดวก เนื่องจากที่นี่ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่ง
ในสมาชิกสถาบันแม่ชีไทย จึงมีประวัติพร้อม
แผนที่หาง่ายจากอินเตอร์เน็ต
เดิมที "แม่ใหญ่ " เป็นชีอยู่ในวัด "ไกล
โศก" ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปราว ๑๐ กิโลเมตร เป็น
ที่นับถือ ชื่อเสียงขจรขจาย หญิงชายทั้งในตำาบล
และต่างตำาบลพากันมาเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก
หน้าหลายตา
ถึงจุดหนึ่ง ยิ่งวันสาวแก่แม่ม่ายก็ยิ่งแสดง
ความจำานงขอบวชชีถือนิสัยอยู่กับแม่ใหญ่เพิ่มขึ้น
ทุกที ท่านเจ้าอาวาสจึงเห็นควรให้แยกออกมาตั้ง
สำานักต่างหากเสีย มิฉะนั้นวัดของท่านอาจกลาย
เป็นวัดสำาหรับชีมากกว่าเป็นวัดสำาหรับพระไป
แม่ใหญ่มีปฏิปทาหลักคือเจริญมรณสติเป็น
บาทฐาน และเชี่ยวชาญการเทศน์เกี่ยวกับเรื่อง
ความตายได้จับจิต หลายคนสลดใจ ระงับความ
ฟุ้งซ่าน อยากถือบวชตลอดชีวิตเพียงเพราะฟัง
แม่ใหญ่เทศน์ขณะเป็นประธานการเผาศพครั้ง
เดียวเท่านั้น
เมื่อแยกตัวออกมาจากวัด หลวงพ่อเจ้า
อาวาสจึงมีดำาริให้ตั้งชื่อสำานักชีที่มีความหมายใน
ทางมรณสติ กับทั้งให้คนเฒ่าคนแก่ที่อยากอุทิศ
ศพเป็นธรรมะเตือนสติแก่คนในตำาบล ได้บอกลูก
หลานให้นำาร่างไร้วิญญาณมาวางบนเชิงตะกอน
ท้ายสำานักชีแห่งนี้ แม่ชีเจ้าสำานักจะได้ใช้เป็น
อุปกรณ์ประกอบการสอนธรรมอันยิ่งใหญ่
ความต่อเนื่องร่วม ๓๐ ปี ทำาให้กลายเป็น
ประเพณีประจำาตำาบลไปเสียแล้ว กล่าวคือใคร
ตายก็จะเอาศพมาให้แม่ใหญ่เผา ผู้เฒ่าผู้แก่เมื่อ
อยากได้บุญครั้งสุดท้าย ต่างกำาชับลูกหลานให้
นำาศพตนมาสาธิตสัจจะความจริงที่สำานักชีเชิง
ตะกอนแห่งนี้เท่านั้น
บางรายลูกหลานนิมนต์พระมาสวดที่วัดอื่น
ก่อน แต่บางรายก็เอาศพมาเผาที่นี่โดยตรง แบบ
ไม่ต้องเปลืองเงินเปลืองเวลาเลยทีเดียว เพราะ
ถือว่าการได้ให้แม่ใหญ่เป็นผู้จุดไฟเผา นับเป็น
เกียรติ มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือพิธีการอื่นใดอยู่
แล้ว
ร่ำาลือกันว่าผู้ตายที่ถูกเผา ณ วัดเชิงตะกอน
มักมาเข้าฝันลูกหลานด้วยหน้าตาเอิบอิ่ม ยิ้มแย้ม
แจ่มใส ยังความปลาบปลื้มโสมนัส เล่าสู่กันฟัง
อยู่เนืองๆ กลายเป็นความฝังใจเชื่อในระดับ
ตำาบลว่าอุทิศศพเป็นธรรมทานในสถานธรรมของ
แม่ใหญ่แล้ว มีสิทธิ์ไปแต่สวรรค์เท่านั้น ที่อื่นหมด
สิทธิ์
มะแมลองหาดูวิดีโอในยูทูปเล่นๆ แต่
ปรากฏว่ามีคนเคยใช้มือถือบันทึกงานประชุม
เพลิงที่เชิงตะกอนของสำานักชีไว้จริงๆ หล่อนจึงมี
โอกาสเห็นปาฏิหาริย์ในทางเทศนาของแม่ใหญ่
มาแล้ว
คลิปนั้นเริ่มต้นด้วยการนำาโลงศพลงจากรถ
กระบะ มีพระเดินนำา ตามด้วยขบวนญาติแบกโลง
นำามาวางบนขอนไม้ที่ซ้อนกันเป็นฟืนฌาปนกิจ
ญาติๆร่วมกันนำาดอกไม้จันมาวาง จากนั้นแม่ชีผู้
สูงวัยก็มาเป็นผู้จุด "เพลิงมงคล" แล้วหลีกไปนั่ง
เทศนาประกอบการเผาผ่านลำาโพง ได้ยินก้อง
กังวานไปทั่วบริเวณ
หล่อนจำาได้สนิทและติดใจกับสุ้มเสียงอัน
ทรงพลังธรรมะของแม่ใหญ่ ขณะฝาโลงถูกพระ
เพลิงผลาญจนเผยศพที่เริ่มดำาเป็นตอตะโก
"ใครคิดว่าศพนี้คือมนุษย์ ให้หยุดคิดได้
แล้ว มันเป็นแค่ฟืนท่อนหนึ่ง ที่วางอยู่บนท่อนฟืน
อื่นๆเท่านั้น... ใครคิดว่าตัวเองจะรอดจากการ
เป็นศพ คนนั้นยังไม่รู้ความจริงของร่างกายตัว
เอง ที่เหมือนระเบิดเวลาถูกจุดชนวนให้นับถอย
หลังมาตั้งแต่เกิด... ใครคิดว่าจะได้หายใจไป
เรื่อยๆ วันหนึ่งจะพบว่าต้องหยุดหายใจ และ
กลายเป็นเพื่อนกับศพตรงหน้านี้ ... เชิงตะกอนคือ
ที่ที่ไฟจะให้ความยุติธรรมกับทุกคนเท่าเทียมกัน
ทุกคนจะแสดงความจริงสุดท้ายเท่ากันที่นี่ "
เผาให้เห็น เทศน์ให้ฟัง นับเป็นพิธีทรง
เกียรติตามพุทธประเพณีโดยแท้ แม่ใหญ่ยังสอด
แทรกธรรมะอันเป็นอานิสงส์แห่งอานาปานสติ
กรรมฐาน ประเทืองปัญญาขั้นสูงเข้าไว้ด้วย เช่น
"คนที่เฝ้ารู้ลมหายใจตัวเองจนชำานาญ ใน
ที่สุดจะรู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์หายใจได้อีกนานแค่ไหน"
คลิปสั้นๆแค่ ๖-๗ นาที มีผลให้มะแมเห็น
อะไรต่างไปมากมาย ที่นึกว่ารู้เรื่องความตาย
เหมือนแท้จริงหล่อนไม่เคยรู้อะไรเลย
แค่เข้าเขตสำานักชี ก็สำาเหนียกสัมผัสถึง
ความเป็นของจริง สถานที่อันดูกระจอกงอกง่อย
ด้วยไอดินกลิ่นไร่แห่งนี้ ยังความผาสุกทางใจให้
บังเกิดไพศาล ราวเข้าสู่ปราสาทยิ่งใหญ่แห่งพระ
มหาจักรพรรดิทางวิญญาณก็ไม่ปาน
บริเวณที่กันไว้ให้จอดรถ มีรถกระบะเก่า
และใหม่อยู่สองสามคันก่อนหน้า มะแมจอดรถไว้
ใต้กอไผ่กอหนึ่ง แล้วพาน้องอิ๊กลงเดินตัดลานดิน
มาด้วยกัน
ย่างก้าวอันเงียบเชียบ กับจิตสงบที่
กลมกลืนเป็นอันเดียวกับธรรมชาติรอบด้าน นำา
หล่อนกับเด็กในปกครองมาถึงเขตที่มีแม่ชี
หน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่งกำาลังใช้ไม้กวาดทาง
มะพร้าวกวาดเศษใบไม้อยู่ตามลำาพัง
แม่ชีรู้สึกถึงการปรากฏตัวของคนแปลก
หน้า จึงชะงักมือและหันมา พอสบตากัน มะแมก็
ทราบว่าวัยของท่านไม่อ่อนเยาว์เหมือนใบหน้า
แล้ว
"กราบสวัสดีเจ้าค่ะ"
พนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อย ด้วยกำาลังใจไม่
ต่างจากกราบพระผู้น่าเลื่อมใส
"มาหาญาติหรือจ๊ะ?"
แม่ชีวัยไม่ต่ำากว่า ๔๐ ยิ้มทักตอบอย่างมี
ไมตรี ไม่แปลกใจกับการเห็นคนต่างถิ่นที่มาเยือน
ในความเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกของผู้สถิตอยู่ ณ
แดนนี้ แท้จริงเป็นคนอิ่มเอิบด้วยอริยทรัพย์
ภายใน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สัมผัสด้วยใจ
อันเปิดโล่งไร้มลทินได้
"เปล่าเจ้าค่ะ หนูอยากมากราบแม่ใหญ่ "
มะแมเรียนท่านอย่างนอบน้อม
"ท่าทางจะมาไกลนะนี่ "
"มาจากกรุงเทพฯเจ้าค่ะ"
"กุฏิของแม่ใหญ่อยู่ด้านโน้น ตั้งอยู่เดี่ยวๆ"
พูดแล้วชี้ไปทางทิศหนึ่ง "หนูเดินตรงไปเรื่อยๆ มี
ชาวบ้านกำาลังนั่งสนทนาธรรมกับท่านอยู่หลาย
คน พอเจอก็รู้เอง"
"ที่นี่สงบน่าอยู่จังนะเจ้าคะ"
"ก็ช่วยกันสงบจนน่าอยู่นั่นแหละจ้ะ แล้วหนู
รู้จักแม่ใหญ่จากไหนล่ะ?"
"บนอินเตอร์เน็ตมีคนเอาคลิปแม่ใหญ่ไป
เผยแพร่แล้วเจ้าค่ะ แม่ใหญ่ไม่ใช่แค่คนของตำาบล
หนองสาหร่ายที่เดียวแล้ว"
แม่ชีหัวเราะเบาๆ
"รู้อยู่เหมือนกันแหละ คนกรุงเทพฯพากัน
มามากขึ้นเรื่อยๆนะ บางเสาร์อาทิตย์นี่รถเก๋ง
จอดข้างหน้าหลายคัน ล้นออกไปถึงทางเข้า
บ่อยๆ"
"แม่ชีเป็นคนที่นี่หรือเจ้าคะ?"
"ไม่หรอก แม่ชีมาจากทางใต้โน่นแน่ะ"
"แล้วทำาไมมาอยู่ถึงนี่ได้เจ้าคะ?"
"พี่สาวมาแต่งงานกับคนแถวนี้ แม่ชีมา
เยี่ยมเขาแล้วตามมาฟังแม่ใหญ่เทศน์ในวันเผา
ศพชาวบ้าน ก็ติดใจกลับมาฟังอีก เพราะไม่
เหมือนอะไรที่เคยเจอมาก่อนในชีวิต สองสามปีก็
ขอบวชเลย พอดีช่วงนั้นเป็นทุกข์ทางโลกมาก
ด้วย"
"ที่นี่คงเหมือนเกาะใหญ่สำาหรับคนลอยคอ
ในทะเลมานานนะเจ้าคะ"
แม่ชีหน้าอ่อนยิ้มกว้างขวาง
"คนแถวนี้ก็คิดกันทำานองนั้นแหละ... แต่
แบบหนูนี่ แม่ชีไม่ค่อยได้เห็นนะ ขอโทษเถอะ
เป็นนางแบบหรือเปล่าจ๊ะ ดูเด่นเหลือเกิน"
"ไม่ใช่เจ้าค่ะ ขออนุญาตแนะนำาตัวนะเจ้าคะ
มะแมเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา"
"แล้วนี่ลูกสาวเหรอ?"
แม่ชีหันมายิ้มใส ทักทายหนูอิ๊ก แต่แล้วพอ
สบตากันก็ชะงักนิดหนึ่ง เพราะฝ่ายนั้นจดจ้องเธอ
แน่วนิ่งผิดปกติ
"สวัสดีจ้ะ หนูชื่ออะไร?"
แทนคำาตอบ อิ๊กร้องดังๆหลังทำาหน้าเค้นคิด
มานาน
"ละไม!"
ทั้งแม่ชีและมะแมต่างก็สะดุ้งโหยงพร้อมกัน
"หา?" แม่ชีทำาหน้าตื่น "หนูรู้ชื่อแม่ชีด้วย
หรือนี่ ?"
มองเด็กที่ยังคงจ้องหน้าตนนิ่งแล้วขนลุกซู่
นอกจากแปลกใจที่รู้จัก ยังประหลาดใจที่อีกฝ่าย
เรียกตนราวกับผู้ใหญ่ทักเด็กน้อยก็ไม่ปาน
มะแมยิ้มเจื่อน ทำาหน้าไม่ถูก รีบทอดแขน
โอบไหล่น้องอิ๊กหนีบๆไว้อย่างจะเตือนให้ระงับ
อาการหน่อย
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ" เอ่ยพลางหัวเราะแหะๆ
ไปด้วย "บางทีน้องสาวของมะแมก็ชอบโพล่งขึ้น
มาแบบไม่ค่อยมีมารยาท กราบขอขมาด้วยนะ
เจ้าคะ"
พูดจบก็ยกมือไหว้ และก้มลงทำาหน้าดุๆสั่ง
ให้เด็กในปกครองไหว้ขอโทษแม่ชีตามตน
น้องอิ๊กขมวดคิ้วหน่อยๆ ก่อนยกมือไหว้
อย่างเสียไม่ได้ มะแมเห็นท่าไม่ดีก็รีบขอตัว
"งั้นหนูไปกราบแม่ใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ"
แม่ชีละไมจ้องเด็กหญิงด้วยแววสนเท่ห์
ทำาท่าเหมือนจะเหนี่ยวรั้งไว้เพื่อถามให้หายข้องใจ
แต่มะแมไม่รอช้า ฉวยมือน้อยได้ก็ออกเดินอ้าว
พอห่างจนพ้นระยะได้ยิน หญิงสาวก็ปราม
เบาๆ
"น้องอิ๊ก! คนอื่นเขาไม่ได้จำาได้เหมือนหนู
นะ ทักทายแบบนั้นจะเหมือนทะลึ่งไม่รู้จักเด็กไม่รู้
จักผู้ใหญ่เกินไปหน่อย"
การพบคนที่ "เคย" อ่อนอาวุโสกว่า ทำาให้
สำานึกของน้องอิ๊กกลับเป็นคนแก่ไปชั่วขณะ แต่
เมื่อถูกเตือนให้รู้สึกตัวก็ก้มหน้า
"ค่ะ"
หางเสียงยังแฝงอยู่ด้วยกระแสความคิด
ค้าน จะว่าดื้อก็ได้ จนมะแมต้องเตือนด้วย
สำาเนียงเข้มขึ้น
"จำาไว้ ! หนูไม่ใช่คนเดิมแล้ว แม่ชีพิรมล
ตายไปแล้ว ตอนนี้หนูคือเด็กหญิงอนิทรา และทั้ง
ชีวิตที่เหลือก็จะเป็นผู้หญิงชื่ออนิทรา ไม่กลับไป
เป็นแม่ชีพิรมลได้อีก หัดมีสัมมาคารวะให้ถูก
กาลเทศะด้วย"
อิ๊กทำาหน้าจ๋อยก้มมองพื้น มะแมหยุดเดิน
ใช้มือจับไหล่ทั้งสองของอีกฝ่าย
"แล้วรู้ไว้อีกเรื่องหนึ่ง..." พูดเสียงแข็ง
พลางจ้องลึกลงไปในดวงตาอิ๊กเยี่ยงผู้ใหญ่ที่มี
อำานาจเหนือกว่า "หนูอาจเคยเป็นตัวของตัวเอง
มาก่อน แต่ตอนนี้หนูเป็นเด็ก ตัดสินใจเองไม่ได้
และเป็นกรรมสิทธิ์ของพี่มะแมคนเดียว!"
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นสานตาตอบด้วยความ
กริ่งเกรงในท่าทีขึงขังที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจาก
มะแม
พอเห็นแววหวาดในดวงตาลอกแลกของ
น้องอิ๊ก มะแมก็น้ำาตาคลอเบ้า ทรุดร่างลงคุกเข่า
ดึงร่างน้อยเข้ามาสวมกอดเต็มอ้อม ด้วยความ
รู้สึกแสนรักแสนหวง
"ยังอยากเรียกแม่อยู่ไหม?"
"ค่ะ... อยาก"
"งั้นเรียกสิ "
"คุณแม่ขา..."
หญิงสาวปิดตาลง เสียงเล็กๆนั้นช่าง
ไพเราะเพราะพริ้งเหลือเกิน ราวกังวานไกลมา
จากอดีตกาลอันแสนสุข เกินคำาอธิบายว่า
มากมายปานไหน นับภพนับชาติมากี่ครั้ง มะแม
ได้แต่ปล่อยให้น้ำาตาไหลเป็นสาย ซึมซับสัมผัส
ละมุนของร่างแบบบางในอ้อมกอด โดยไม่มีคำา
ใดผ่านพ้นริมฝีปากออกมาเลย
ไม่รู้ทำาไมถึงรักและอยากครอบครองเด็ก
คนนี้ไว้กับตัวขนาดนั้น รู้แต่ย้ำากับตนเองอีกครั้ง
ว่าจะไม่มีวันยกให้ใครเป็นอันขาด!
กุฏิ ไม้ของแม่ใหญ่มีชานเรือนกว้างด้าน
หน้า เพียงพอที่จะรองรับญาติโยมได้หลายสิบคน
ขณะนั้นแม่ใหญ่นั่งเด่นเป็นประธานอยู่บนเก้าอี้
หวาย แม้วัยล่วง ๘๐ กลางๆจะทำาให้หลังงองุ้มลง
บ้าง ก็ยังคงเห็นสง่าด้วยรัศมีเฉิดฉายงดงาม
จับตา
บนพื้นกุฏิขณะนั้น มีชาวบ้าน ๗ คนนั่งพับ
เพียบบ้าง ขัดสมาธิบ้าง ฟังแม่ใหญ่สอนกันอยู่
โดยมากเป็นหญิงชายมีอายุ ดังนั้น เมื่อหญิงสาว
กับเด็กหญิงรูปงามเดินย่องขึ้นเรือนมานั่งกราบ
กรานแม่ใหญ่ จึงกลายเป็นจุดรวมสายตาของ
หลายคนที่นั่งอยู่ใกล้บันไดไปในทันที
แม่ใหญ่ยังคงมีสมาธิอยู่กับการสอนหญิงวัย
กลางคนที่นั่งเอียงคอพนมมือแต้ตรงหน้า ไม่
ใส่ใจการมาของอาคันตุกะใหม่
"อย่ามัวแต่กลัวเขาจะส่งปีศาจมาหาเรา
กลัวตัวเราเองเถอะนะลูกนะ แค่สั่งสมนิสัยช่างก่น
ด่าและสาปแช่งให้มาก พลังของคําร้ายๆก็จะ
เหมือนมนต์เรียกปีศาจมาเป็นนายทางความคิด
ได้ โดยที่ลูกไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวอยู่แล้ว"
"มันยั่วให้หนูโกรธ แล้วก็ทำาตัวสมควรถูก
แช่งนี่เจ้าคะ"
"ลูกเอ๋ย เขาทําตัวอย่างไรถือเป็นเรื่อง
ธรรมดาของเขา แต่ที่ลูกทําให้เขาดีขึ้นหรือเลว
หนักกว่าเดิม ถือเป็นกรรมที่ไม่ธรรมดาของเรา
ลูกว่าลูกสาปแช่งแล้วเขาจะดีขึ้นไหม? ลูกก่นด่า
แล้วเขาจะอยากกลับตัวกลับใจหรือเปล่า?"
"ไม่เลยเจ้าค่ะ"
"นั่นแหละ... ทางที่ดีลูกสร้างนางฟ้าขึ้นมา
ในตัวลูกเองก่อน เพื่อเอามารบกับมารในตัวเขา
ในภายหลัง อย่าเอามารในลูกเดี๋ยวนี้ไปรบกับ
มารในเขาเดี๋ยวนี้ เพราะที่สุดแล้ว มารเท่านั้นจะ
ดำารงอยู่ โดยไม่มีใครได้เป็นสุข"
จากสัมผัสของมะแม เหมือน "นางฟ้า" จะ
ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในหญิงคนนั้นได้บ้าง นับเป็น
ปาฏิหาริย์อันน่าประทับใจ ซึ่งหญิงชราแสดงออก
มาให้เห็นตั้งแต่นาทีแรกที่หล่อนพบ
สุ้มเสียงของแม่ใหญ่ยังคงแจ่มชัด สอนยาว
ได้โดยไม่เหนื่อยอ่อน คงนับเป็นผู้มีวาสนาบารมี
มาทางเทศนาตลอดชีวิตนั่นเอง คือเมื่อใดเทศน์
เมื่อนั้นร่างกายและจิตใจจะประสานงานอย่าง
ทนทานเกินปกติ แม้อายุจะล่วงเลย เขยิบใกล้
หลักร้อยเข้าไปทุกที
ขณะส่งตาเลื่อมใสเล็งแลท่านอยู่นั่นเอง แม่
ใหญ่ก็หันมาทางมะแมอย่างสะดุดจิต ไม่ใช่เพราะ
รูปร่างหน้าตากระจ่างใสแปลกกว่าคนท้องถิ่น แต่
เพราะรัศมีชีวิตที่เจิดจ้าผิดธรรมดาไปมาก
นัยน์ตาของท่านมีอำานาจพอจะทำาให้มะแม
ระย่อได้ หล่อนหลบตายกมือไหว้ท่านอย่าง
อ่อนน้อม ซึ่งแม่ใหญ่ก็ทักอย่างนิ่มนวล
"หนูมาจากไหนนี่ ?"
"กรุงเทพฯเจ้าค่ะ"
"มาไกลนะ"
น้ำาเสียงอ่อนโยนนั้น กลายเป็นกระแสความ
ปรานีที่แผ่วงกว้าง ทำาให้มะแมยิ้มปลื้ม ลืม
เหนื่อยในฉับพลัน ราวกับได้ดื่มกินน้ำาเย็นชุ่มชื่น
จนอิ่มหนำา
นั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของมะแม กับ
การได้พบใครคนหนึ่งที่มีรัศมีชีวิตสว่าง ว่าง คง
เส้นคงวา ให้ความรู้สึกเหมือนกายกับจิตของท่าน
แยกจากกันเป็นต่างหาก คือจะเกิดอะไรขึ้นทาง
กาย จิตที่เป็นอิสระก็ไม่พลอยสะเทือนไหวไปด้วย
เลย บริสุทธิ์อยู่อย่างไร ก็ไร้มลทินอยู่อย่างนั้น
แค่สัมผัสจิตของท่าน จิตของหล่อนพลอย
ว่าง กว้างขวาง แสนสบาย เหมือนรู้จักสุขไร้ขีด
จำากัดไปด้วย ไม่เคยได้เจออะไรอย่างนี้เลย
ท่านแม่ชีผู้ทรงคุณละสายตาจากมะแม เบน
มาด้านข้าง เมื่อพบกับเด็กหญิงแก้มยุ้ยน่ารักก็
ทักทาย
"สนใจธรรมะแต่เด็กนะลูกนะ ดีแล้ว"
ยังไม่ทันทักเสร็จแม่ใหญ่ก็เอะใจ เพราะเห็น
ยายหนูน้ำาตาไหลพราก จับจ้องท่านแน่นิ่งด้วย
แววโสมนัสอันแรงกล้าผิดเด็กธรรมดา
ด้วยจิตพิสุทธิ์ พร้อมรู้ไม่ติดขัด แม่ใหญ่
เปลี่ยนจากการมองด้วยตาเปล่า พลิกไปสัมผัส
เบื้องหลังมหาปีติกองใหญ่ในเด็กหญิงคนนั้น
อย่างต้องการดูด้วยตนเองมากกว่าเอ่ยปากถาม
ต่อหน้าญาติโยมอื่นบนชานเรือน
ท่านพบว่าแรงขับให้เกิดโสมนัสของเด็ก คือ
อาการจดจำาได้ ตลอดจนอาการรู้ตัวว่าเดินทาง
มาถึงที่หมายตามแรงอธิษฐานข้ามชาติ แม่ชีผู้
ชราหรี่ตาพินิจ จับภาพร่างเด็กหญิงตรงหน้า แล้ว
หน่วงนึก ยกขึ้นเป็นนิมิตทางจิต บดบังการเห็น
ด้วยตาเปล่า
เมื่อนิมิตของเด็กหญิงปรากฏเต็มอยู่ในห้วง
มโนทวาร แม่ใหญ่ก็กำาหนดดูความเป็นมาใน
อัตภาพก่อน และด้วยอำานาจญาณอันบริสุทธิ์ ก็
เห็นนิมิตรูปเด็กหญิงแปรเป็นนิมิตแม่ชีแทน
หลังจากรู้และเข้าใจ ท่านก็เพิกนิมิต เบน
การรับรู้มาอยู่กับสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า ริมฝีปาก
ระบายยิ้มให้เด็กน้อย
"ฉันจำาชื่อหนูไม่ได้ "
"พิรมลเจ้าค่ะ!"
อิ๊กพนมมือรายงานตัวด้วยเสียงสั่นเครือ
อย่างคนร้องไห้ ญาติโยมทั้งชานเรือนไม่เข้าใจ
ความนัย นึกว่าเด็กหญิงพิรมลคนนี้เคยพบแม่
ใหญ่มาก่อน จะสงสัยบ้างก็แค่ทำาไมต้องตื้นตัน
กับการกลับมาพบกันใหม่ขนาดนี้
"อือ... จำาได้ล่ะ ไม่เจอกันนานนะ ไม่เหลือ
เค้าเดิมเลย"
"เจ้าค่ะ"
เด็กสะอึกสะอื้น ยกมือเช็ดน้ำาตาป้อย
"เคยจากกันเป็นธรรมดา พบกันอีกก็เป็น
เรื่องธรรมดา"
คำาว่า "ธรรมดา" ที่ออกมาจากปากท่านแม่
ชี ประโลมจิตให้อิ๊กอิ่มใจ และเกิดอุเบกขา
บรรเทาอาการสั่นเทาไปทั้งตัวได้บ้าง
"หนูแตกต่าง แต่แม่ใหญ่ยังเหมือนเดิม
เจ้าค่ะ"
"ไม่มีใครเหมือนเดิมได้หรอก ยังไงก็ต้อง
แก่ลง"
"เจ้าค่ะ"
"พวกเราเป็นจิตวิญญาณที่หลับๆตื่นๆ
เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนกรรม แต่ไม่
เปลี่ยนอุปาทานว่ามีตัวเรา จนกว่าจะอ่านขาด รู้
ความไม่เที่ยงในกายใจได้แจ่มแจ้ง"
"เจ้าค่ะ"
หลายคนเหลียวมามองหน้าแม่หนูน้อยซ้ำา
อย่างชักจะพิศวงขึ้นมาตงิดๆกับบทสนทนาที่
คล้าย "รู้กัน" แถมธรรมะจากปากแม่ใหญ่ที่มีให้
หนูน้อย ก็ดูจะไม่ธรรมดา ไม่ค่อยสอนชาวบ้าน
ทั่วไปเสียด้วย
เมื่อเริ่มเกิดกระแสความผิดสังเกตเช่นนั้น
แม่ใหญ่จึงเบี่ยงเบนความสนใจ หันไปคุยกับคน
อื่น ไม่หันกลับมาที่มะแมกับอิ๊กอีก
สำาหรับอิ๊ก เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลอันเป็น
แกนอ้างอิงอดีตชาติ ก็เกิดแรงเหนี่ยวนำา ดูดเอา
ความจำาเก่าๆกลับมา สำานึกคิดอ่านและความ
รู้สึกก่อนตายแบบแม่ชีพิรมลปรากฏแทนที่ความ
เป็นเด็กหญิงอิ๊ก ตลอดระยะเวลาบนชานกุฏิของ
แม่ใหญ่
และชั่วขณะของความจำาอันชัดแจ้งนั้นเอง อิ๊
กระลึกได้เองว่าความตั้งใจสุดท้ายก่อนใกล้
ขาดใจคืออะไร เธอเลือกที่จะไม่ไปสวรรค์ ไม่ยินดี
ในทิพยสุข ทั้งที่นิมิตเทวดา นางฟ้า พร้อมพิมาน
มณฑลปรากฏพร้อม แต่กลับกำาหนดจิตให้ยินดี
ในการประพฤติพรหมจรรย์บนโลกมนุษย์แทน
เมื่อจิตดับจากความเป็นมนุษย์ อย่างไร
กุศลผลบุญก็ส่งไปครองวิมานสวรรค์อยู่ดี 
เป็นการพักรอฤกษ์เกิดที่เหมาะสม พอฤกษ์เกิดที่
เหมาะกับแรงอธิษฐานมาถึง นิมิตแห่งการเสื่อม
จากกายทิพย์ก็ปรากฏเป็นความผิวแห้ง
ปราศจากน้ำานวลชุ่มชื่นแห่งทิพยสภาพ จิตเข้าสู่
ภวังค์ขาว แล้วถูกดูดมาเข้าท้องมนุษย์อันควรแก่
ชะตากรรม
ด้วยกำาลังทางจิตอันเหลือเฟือในวันนี้ อิ๊ก
สามารถหน่วงนึกถึงรายละเอียดได้ตามปรารถนา
ปีที่เธอตายในชาติก่อนคือ พ.ศ. ๒๕๔๒ ช่วง
ปลาย พอคำานวณจากปีที่เกิดใหม่คือ พ.ศ.
๒๕๔๔ ช่วงกลาง ก็ช่วยให้รู้ว่าเธอขึ้นไปพักรอ
ฤกษ์เกิดอยู่เป็นปี
ชีวิตก่อนเธอถือบวชช้าไป สังขารทางกาย
โรยราแล้ว เมื่อครองผ้าขาวจึงมีแต่ความกลุ้มใจ
กลัวไม่ทันได้ดีทางธรรม น่าจะต้องตายเสียก่อน
แล้วก็ไม่ทันจริงๆ เธอตายดับพร้อมกับ
ความน้อยใจตัวเองที่ไม่สร้างวาสนาไว้ในอดีต
นั่นจึงเป็นเหตุให้มีแก่ใจอธิษฐานขอกลับมาเป็น
มนุษย์อีก กับทั้งขอให้ทันได้พบแม่ใหญ่อีกสักครั้ง
เพื่อจะได้ใฝ่ใจอยากประพฤติพรหมจรรย์ทันทีที่รู้
ความ
ความกลัวตายคือจุดนัดพบกันระหว่างตัว
ตนในสองชาติ เธอเคยกลัวตายอย่างมีเหตุผลใน
อดีต และแม้ปัจจุบันจะกลัวตายเหมือนไร้เหตุผล
แต่ที่แท้ความกลัวตายก็มีแก่นความรู้สึกเป็นเนื้อ
เดียวกันนั่นเอง
นี่คือนาทีที่อดีตและปัจจุบันมาบรรจบกัน
ราวกับตื่นขึ้นจากการสลบที่ยืดยาว ช่วงฟื้นใหม่ๆ
เหมือนสมองบกพร่อง ความจำาเสื่อม งุนงงพร่า
เลือน เพิ่งมาจำาอะไรต่ออะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวก็
คราวนี้เอง
ชีวิตช่างเป็นเรื่องไม่เข้าท่า ตายเพื่อลืมหมด
เกิดเพื่อจำาใหม่ รับกรรมที่ทำาไว้ แล้วถูกบีบให้ก่อ
กรรมเพื่อต้องไปรับต่ออีก ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็น
อัน หาที่จบสิ้นมิได้
สัญญากับตนเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่านี่จะ
เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการไปสู่ความเป็น
อื่นอีก!
แม่ใหญ่คุยกับญาติธรรมจนกระทั่งคนเหล่า
นั้นลากลับกันไปทีละคนสองคน กระทั่งชุด
สุดท้ายลงจากกุฏิ ก็เหลือเพียงแม่ใหญ่และสอง
นางจากเมืองหลวงตามลำาพัง
ผู้อาวุโสในชุดขาวทอดตามองน้องอิ๊ก
เงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งแม่หนูในสำานึกแบบแม่ชีพิร
มลก็เอาแต่นิ่งเงียบ พนมมือรออย่างเดียวว่าท่าน
จะพูดอะไร ด้วยความระลึกได้ว่านี่คือกิริยาที่
สานุศิษย์แม่ใหญ่ทุกคนพึงกระทำา ยามแม่ใหญ่ส่ง
ตาพินิจมาเงียบๆ
ในที่สุดท่านก็เอ่ยแบบครูสอนศิษย์ ราวกับ
แม่ชีพิรมลยังไม่ตาย และเพิ่งกลับจากธุดงค์ต่าง
แดนมาเยือนถิ่น
"ถ้าก่อนจิตดับจากความเป็นมนุษย์ เธอ
พิจารณาให้เห็นขาดว่ากายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่สิ่งที่
เธอจะบังคับได้ ก็มีสิทธิ์ได้มรรคผลขั้นต้นไปแล้ว
แต่เวลานั้นเธอเอาแต่สำารวมจิตนิ่ง เน้นอธิษฐาน
แน่วแน่ ขอเกิดใหม่มาปฏิบัติต่อ ขอมาเรียนกับ
ฉันอีก จิตก็ยึดการเกิดเป็นหลัก พอยึดการเกิด
เป็นหลักก็เท่ากับสำาคัญว่ามีตัวตนอยู่ไม่เลิก
มรรคผลไม่มีทางถูกจุดชนวนขึ้นมาได้ "
"เจ้าค่ะ"
น้ำาตาของแม่ชีพิรมลในคราบหนูอิ๊กพรั่งพรู
เมื่อรู้ตัวว่าก่อนตายพลาดตรงไหน
พอตายไม่เป็น ก็กลับมาเป็นตัวเป็นตนอีก!
"หลายชาติก่อนเธอเกิดเป็นชาย เคย
ลวนลามลูกในไส้ ชาติที่เป็นพิรมลกับชาตินี้ถึงมี
ต้นชีวิตไม่ค่อยดีนัก ถูกคนที่เลี้ยงดูรังแกเอา...
แต่เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีได้ เมื่อเกิดภายใต้ร่ม
เงาพระพุทธศาสนา คือพอถูกกดดันให้อยากทิ้ง
ชีวิต บุญเก่าก็ผลักให้มาพบวิธี 'ทิ้ง' อย่างถูก
ต้องของพระพุทธเจ้า"
"เจ้าค่ะ"
"ตอนนี้เธอชื่ออะไร?"
"อิ๊กเจ้าค่ะ ชื่อจริง อนิทรา"
แม่ใหญ่แปรสายตามาสบกับผู้ปกครองของ
เด็ก
"หนูล่ะชื่ออะไร?"
"มะแมเจ้าค่ะ"
รีบพนมมือตอบอย่างดีใจที่แม่ใหญ่หันมา
คุยด้วย
"ไม่มีใครมาแย่งเด็กคนนี้ไปจากอ้อมอก
ของหนูได้หรอก ไม่ต้องกลัวนะ"
นั่นคือการเริ่มต้นด้วยการแทงใจตรงจุด
มะแมยิ้มจางๆ ไม่รู้จะอายหรือโล่งอกดี ได้แต่รับ
ว่า
"เจ้าค่ะ"
"แต่ถึงหนูจะไม่ยอมยกให้ใคร ท้ายสุดก็
ต้องยกลูกสาวให้กับความตายอยู่ดี ฉะนั้น
ระหว่างเลี้ยงเขาเพื่อรอยกให้พญามัจจุราช หนูก็
ควรตั้งคำาถามไว้ด้วยว่าในมือเรามีเสบียงอะไร ที่
มอบให้เขาแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงกันอีก"
มะแมชะงัก
"แม่ใหญ่หมายถึงหนทางไปนิพพานหรือ
เจ้าคะ?"
"นิพพานเป็นที่เดียว ที่เราส่งคนรักไปถึง
แล้วหมดห่วงได้ถาวร ใช่จ้ะ! แม่หมายถึง
นิพพาน!"
"มะแมจะเอาอะไรไปให้น้องอิ๊กเจ้าคะ? ใน
เมื่อตัวเองก็ยังไม่รู้ทางกระจ่างแจ้ง"
"ความรู้เกี่ยวกับเส้นทางทั้งหมดอยู่ในหัว
ของหนูแล้ว"
"มะแมทราบอย่างเดียวเจ้าค่ะว่าบนเส้น
ทางนี้ ต่อให้รู้มากขนาดไหน หรือดูเหมือนเดิน
ทางก้าวหน้าเกินใครมาเพียงใด ขอแค่ไม่รู้ว่า
อุปสรรคขวางความเจริญของตัวเองคืออะไร ก็
ไม่มีทางไปได้ถึง"
ตลอดเวลาที่พูด มะแมพนมมือค้างไว้
เหลือบตาลงมองพื้น และส่งกระแสใจขอน้อม
รับคำาสั่งสอนชี้ทาง หาใช่คิดค้านอวดดีเถียงแม่
ใหญ่แต่อย่างใด
แม่ใหญ่เข้าใจเจตนา และเห็นว่ามะแมจะ
เป็นที่พึ่งทางธรรมให้กับน้องอิ๊กได้ต่อไป จึงเล็ง
พิจารณาอุปสรรคขวางทางเจริญของมะแมให้
ด้วยความรู้อย่างถ่องแท้ออกมาจากฝั่งของความ
เจริญถึงขีดสุดแล้ว
เกือบครึ่งนาทีที่แม่ใหญ่นิ่งไป ในที่สุดก็
เอื้อนเอ่ย
"ถ้าทิ้งความรักไม่ได้ ก็ทิ้งความยึดไม่ได้
เมื่อทิ้งความยึดไม่ได้ ก็ทิ้งต้นเหตุแห่งการเกิดมา
ไม่ได้ ... และเมื่อต้องเกิดอีก หนูก็ต้องพบกับ
ความตายและการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็น
ที่รักวันยังค่ำา ไม่ว่าจะหวงแหนพวกเขา เหมือน
อยากกอดไว้ไม่ปล่อยสักขนาดไหนก็ตาม"
มะแมก้มหน้านิ่ง อยากรู้ใจตัวเองเหมือนกัน
ว่าถ้าพบแม่ใหญ่ก่อนหน้านี้สักสองเดือน อะไรๆ
จะแตกต่างไปเพียงใด
ทำาอย่างไรได้ ในเมื่อชีวิตหล่อนถูก
ออกแบบให้เจอคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยาก
เวียนว่ายตายเกิดชั่วนิรันดร์ ก่อนจะได้พบกับแรง
บันดาลใจให้อยากตายเป็นครั้งสุดท้ายในชาตินี้ !
สายไปแล้วที่จะถอนใจจากความหลงรักใคร
บางคน...
"ในเมื่อมะแมถอนใจจากรักไม่ได้ ..."
หล่อนถามทั้งไม่เงยขึ้นสบหน้าแม่ใหญ่ "ชีวิตที่
เหลือควรทำาอย่างไรให้ดีที่สุด ทั้งเพื่อตัวเองและ
น้องอิ๊กเจ้าคะ?"
"หนูเห็นจิตของตัวเองและคนอื่น โดยความ
เป็นภาวะต่างๆนั้นดีแล้ว แต่ขอให้หนูพิจารณาว่า
'เห็น' นั้นมีอยู่สองแบบ คือ เห็นแล้วยึด กับเห็น
แล้ววาง สิ่งที่หนูเห็นมาทั้งหมด เป็นไปเพื่อการ
ยึด ไม่ใช่เพื่อการวาง"
"มะแมก็รู้ตัวอย่างนั้น แล้วทำาอย่างไรจะให้
เห็นแล้วไม่ยึดเจ้าคะ?"
"ถามความรู้สึกตัวเองตอนนี้ดูซิ หนูว่าพอ
แก่ตัวลง จะยังคงมี 'ตัวเอง' ตัวนี้อยู่ไหม?"
"ยังจะมี และรู้สึกว่าจะเหมือนเดิมเจ้าค่ะ"
"ตัวรู้สึกว่าจะเหมือนเดิมนั่นแหละ คือความ
ยึดมั่นสำาคัญผิดว่ามีเราอยู่จริงตลอดไป... แต่ละ
ช่วงเวลา ธรรมชาติจะส่งภาวะอย่างหนึ่งมาล่อใจ
ให้ยึดไว้เหมือนเดิม อย่างตอนนี้หนูก็ถูกล่อใจ
ด้วยภาวะคนสาว คนสวย แล้วเกิดความสำาคัญ
ไปว่าหนูเป็นตัวนี้ จะไม่เปลี่ยนไปจากนี้ "
เสียงจากผู้มีจิตที่ว่าง จิตที่รู้อย่างไร้การยึด
เตือนให้มะแมรู้สึกถึงความเป็นหญิงผมยาวของ
ตน และพบว่าใจสำาคัญมั่นหมายว่ากายนี้แหละ
คือตัวหล่อนจริงๆ
"เจ้าค่ะ แล้วทำาอย่างไรจะให้อาการยึดมั่น
สำาคัญผิดหายไปเจ้าคะ?"
"รู้สึกว่าลมหายใจนี้เป็นของหนูไหม?"
"รู้สึกเจ้าค่ะ"
"ที่รู้สึกเพราะมีตัวหนูนำาขึ้นมาก่อน แล้วจึง
มีการเห็นลมหายใจ คราวนี้ลองให้กลับกัน เห็น
ลมหายใจขึ้นมาก่อน สังเกตซิว่าครั้งนี้กับครั้ง
ก่อนมันยาวเท่ากันไหม?"
"ไม่เท่าเจ้าค่ะ"
"ไม่เท่าแปลว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว เป็น
คนละลมหายใจกันแล้ว ลมหายใจแสดงความไม่
เที่ยงต่อจิตแล้ว"
"เจ้าค่ะ"
"ความรู้สึกว่ามีตัวของหนูเป็นเจ้าของลม
หายใจ พลอยหายไปด้วยไหม?"
"หายไปเจ้าค่ะ"
"ถ้าเห็นแต่ลมหายใจต่างไปเรื่อยๆ เจ้าของ
ลมหายใจก็จะหายไปเรื่อยๆด้วยเช่นกัน"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
"จำาไว้นะ ขณะของการเห็นว่า 'ต่างไป' และ
'ไม่เหมือนเดิม' นั่นแหละ คือชั่วขณะของการ
กะเทาะอุปาทานออกไปเปลาะหนึ่ง พระพุทธเจ้า
ท่านให้เริ่มดูจากอะไรหยาบๆ เห็นง่ายๆได้ตลอด
เวลาอย่างลมหายใจ ถ้าเห็นได้ ก็ต่อยอดไปเห็น
อะไรที่ละเอียดกว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นความอึดอัด
หรือความสบาย ไม่ว่าจะเป็นภาวะจิตสงบหรือ
ฟุ้งซ่าน พวกมันจะปรากฏต่างไปเรื่อยๆเช่นกัน
พอเห็นทั้งหมด ก็จะหมดที่ยืนให้ตัวตนไปจนสิ้น"
ระหว่างฟัง มะแมก็ปิดตาระลึกตามคำาพูด
ของแม่ใหญ่ไปด้วย จึงเห็นว่า "ความสำาคัญผิด"
หลุดล่อนไปเป็นขณะๆได้ แต่ความหลงสำาคัญผิด
ก็เสมือนร่างแหที่เหวี่ยงตัวกลับมาปกคลุมจิตใหม่
ได้อีกเรื่อยๆเช่นกัน
แม่ใหญ่เห็นสภาพระลึกรู้ของมะแมเช่นนั้น
จึงสำาทับให้เกิดการต่อยอดความเข้าใจว่า
"เราต้องทำาเรื่อยๆ ค่อยๆกะเทาะทีละเปลาะ
นาทีแล้วนาทีเล่า วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
จนกว่าเปลือกแข็งๆหนาๆของความสำาคัญผิดจะ
หลุดร่วงออกไปจนหมดนะ อย่าเร่งรัด
พรวดพราด"
จิตของมะแมเป็นไปตามทิศทางของการ
ชี้นำา คือ "ทำาเรื่อยๆ" ไม่หยุด ไม่ชะงักคิด และไม่
คาดหวังว่าจะเห็นผลเร็ว
ครู่หนึ่ง นิมิตรูปร่างหน้าของแบบผู้หญิงคน
หนึ่งก็หายไป เหลือแต่ใจที่ว่างอย่างรู้ เป็นอยู่
อย่างไม่มีตัวฉัน ไม่มีเพศ ไม่มีเราเขา
แม้เป็นชั่วเวลาอันสั้นของการ "ไม่มีตัวตน"
อยู่ในกายใจ ก็ทันได้ตระหนักว่าตอนอะไรหายไป
ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความสามารถเห็นได้ว่า
อะไรๆหายไปนี่สิ นับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง เพราะสิ่งที่
เหลือคือจิตผู้มีพุทธิปัญญาสว่างไสว ให้รสอันเกิน
กว่าจะพรรณนาเป็นภาษามนุษย์
ในสมาธิอันไร้ตัวตน เหมือนเหลือแต่จิต
โล่งๆแบรับความว่าง รสแห่งวิเวกสุขในสมาธิที่
ทำามาตลอดเทียบไม่ได้เลยกับรสแห่งความว่าง
จากอุปาทาน
พุทธิปัญญาระดับหล่อนไม่อาจทรงสมาธิอัน
ไร้ตัวตนไว้ได้นาน ครู่เดียวก็กลับมารู้สึกถึง
อัตภาพหญิง รู้สึกถึงความมีฝั่งของตนและฝั่งของ
ท่านอีก
เปิดตาขึ้น ปีติมากพอจะก้มลงกราบแม่
ใหญ่หน้าผากจดพื้นเรือนนิ่งนาน ด้วยใจ
ปรารถนาจะแสดงความคารวะขั้นสูงสุด
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ มะแมทราบแล้วว่าจะ
ต้องดูอย่างไร"
"ดีแล้ว... หันหน้ามองไปทางไหน เราก็เริ่ม
เป็นคนในทิศนั้น และเมื่อได้เดินไปทางไหน ใน
ที่สุดเราก็จะได้เป็นประตูสู่ทางนั้นให้คนอื่นด้วย
นะลูกนะ"

___________________________________________________________________________
บทที่ ๒๔
หลายวันมานี้ คณินทร์ทำางานไม่เป็นสุข
เอาเลย
นอกจากต้องระวังตัวเพิ่ม ด้วยการเสริม
บอดี้การ์ด ไปไหนมาไหนไม่คล่องตัวตามความ
ชอบใจแล้ว ในหัวเขายังบรรจุแน่นอยู่ด้วยใบหน้า
ผู้หญิงคนหนึ่ง
กลายเป็นคนสมาธิสั้น ลงนั่งทำางานเดี๋ยว
เดียวก็อยากลุกเดินกระวนกระวาย พูดคุยกับใคร
ก็คล้ายอยากจบการสนทนาเร็วๆ เพราะเสียเวลา
จินตนาการถึงผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงบ้าอะไร แสนดี ดูดี และมีดี ครบสูตร
นางฟ้าเดินดินขนาดนี้ ?
และที่วนเวียนคิดถึงไม่เลิก นอกจากจะ
เพราะอยากได้เรือนกายหล่อนมาชิมแล้ว ยังเกิด
ความระแวงสงสัยที่ระอุขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตาม
ความคิดทบทวนต้นปลายไปมา
หล่อนรู้ว่าชั้นหนึ่งตายโดยไม่รู้ตัว และกำาลัง
อยู่กับเขา...
หากอ้างว่าเป็นญาณวิเศษเหนือมนุษย์ก็
แล้วไปเถอะ แต่ความสามารถข้อนี้ ดันไปทำาให้
เขานึกถึงชายในสูทขาวที่จู่ๆมาปรากฏตัวช่วยเขา
ให้รอดได้อย่างน่ากังขา
ตำารวจไม่สงสัยเขา แต่สงสัยเกี่ยวกับบุรุษ
ลึกลับ ซึ่งเขาก็ให้การว่าตนเองก็สงสัยไม่แพ้กัน
กับทั้งอยากสืบหาตัวบุรุษลึกลับดังกล่าวมาสอบ
สวน ไม่แพ้อยากได้ตัวคนบงการฆ่ามาลงโทษสัก
เท่าใด
ขั้นต้นมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าเหล่าชายใน
ชุดขาวน่าจะรู้จัก หรือกระทั่งมีเอี่ยวอยู่กับคนจ้าง
วานสังหาร แต่คงเกิดผิดใจ หรือขัดผลประโยชน์
ในทางใดทางหนึ่งกะทันหัน จึงมาช่วยชีวิตเขาไว้
เทวดาที่ไหนจะมารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่นใน
เวลานั้น?
ไม่แค่รู้เฉยๆ ยังอุตส่าห์ไปดักช่วยชีวิต ณ
จุดเกิดเหตุโดยปราศจากแรงจูงใจใดๆอย่างนี้อีก
พอเรื่องผ่านไปหลายวัน หายช็อค สติกลับ
มาอยู่กับเนื้อกับตัวดีแล้ว คณินทร์ก็ทบทวนอย่าง
ละเอียด คิดว่าถ้าอยากได้คำาตอบทั้งหมดโดยเร็ว
ก็ควรเริ่มต้นจากมะแมนี่เอง เพราะมีตัวตน มีที่
อยู่ให้เข้าถึง ถ้าหล่อนโยงใยกับใครจริง ในที่สุดก็
ต้องเจอ
เช้านั้น คณินทร์นั่งรับประทานข้าวผัด
อเมริกันกับคุณหญิง โดยต่างอยู่ในชุดดำา และ
ต่างคนต่างเงียบเชียบ ด้วยความรู้สึกว่าเมฆ
หมอกมืดครึ้มยังไม่จางไปจากชีวิต
ก่อนอาหารจะหมดจาน คณินทร์ก็เอ่ย
เนือยๆ
"เย็นนี้ผมอาจจะไปถึงช้านิดหนึ่งนะ แต่ยัง
ไงก็คงทันพระสวด"
รักสุรีย์พยักหน้าหงึกหนึ่ง ไม่ตอบอะไร คณิ
นทร์เหลือบมองคู่ชีวิตของตน เห็นฝ่ายนั้นก้มหน้า
ก้มตากินไม่พูดไม่จา ก็ตัดสินใจถามเลียบเคียง
"ยายหมอดูที่มีญาณคนนั้น ที่คุณพาผมไป
หาเมื่อหลายวันก่อน ชื่ออะไรนะ?"
"คุณจำาได้ อย่าทำาเป็นไก๋ "
รักสุรีย์ตอบด้วยเสียงเฉื่อยเฉย ไม่เงยขึ้น
สบหน้าตามเคย คณินทร์คอแข็ง แต่ขี้เกียจ "ไก๋ "
ต่อ จึงข้ามเรื่องชื่อเสียงเรียงนามไปถามเรื่องที่
คาใจตรงๆ
"คุณรู้จักแม่คนนี้นานหรือยัง?"
"ก็ไม่นานนัก"
"ทำาไมถึงรู้จักกันได้ ?"
"ฉันมีปัญหาเครียดๆ พอดีตากฤษฎา
แนะนำาให้ "
"กฤษฎา..." คณินทร์เลิกคิ้วสูง ถามให้
แน่ใจ "ตำารวจ?"
"นั่นแหละ"
รัฐมนตรีหนุ่มใหญ่พยักหน้ายิ้มอย่างสมหวัง
เพราะมีสิทธิ์ได้รายละเอียดผ่านทางนั้นอีกมาก
แค่สืบให้รู้ว่ากฤษฎาอยู่ฝ่ายเขาหรือฟากศัตรู
เค้าลางก็อาจเริ่มปรากฏ!
"พูดก็พูดเถอะ บอกว่าแม่นี่มีญาณ นั่ง
ทางใน ผมว่าหุ่นไม่ให้เลย เหมือนมีการศึกษา
จบสูงๆ แบบที่เห็นตามออฟฟิศมากกว่า"
"ฉันก็เพิ่งรู้ทีหลังว่าเขาจบจิตวิทยานะ"
"อ้าว! แล้วคืนนั้นคุณไม่เห็นบอกว่าแม่คนนี้
เป็นนักจิตวิทยา เห็นบอกแต่มีญาณ ติดต่อกับ
วิญญาณได้ไปโน่น"
"ก็แล้วติดต่อได้จริงไหมล่ะ?"
"ผมว่าระแวงไว้บ้างก็ดีนะ ทุกอย่างที่เห็น
อาจเป็นแค่การจัดฉากอย่างแยบยล พวกเราตัว
ใหญ่ ชีวิตเหมือนเป้าเคลื่อนที่ไปมาอยู่กลาง
สนามโล่ง ปกปิดข้อมูลส่วนตัวลำาบาก ถ้าหาก
เอานักแสดงเก่งๆมาหลอกให้เนียนหน่อย ก็อาจ
เสร็จมันง่ายๆ"
"แล้วถ้ารู้ความฝันได้ล่ะ? ความฝันของคน
มีหมาตัวไหนมันรู้ได้ไหม? มะแมส่องเข้าไปดูฝัน
ของฉันได้ จะให้คิดว่าไปล้วงข้อมูลมาจากใคร
คะ?"
คณินทร์ขมวดคิ้วสงสัย ยามระแวงเช่นนี้ ดู
เหมือนไม่มีใครในโลกชวนให้เขาเชื่อได้สักคน
พวกเล่นมายากลยังมีวิธีใหม่ๆมาแหกตาคนดูทุก
วัน ก็ไม่เห็นใครจับได้ไล่ทันเหมือนกันนั่นแหละ
ถ้าถูกบังคับให้เชื่อ เขาก็เต็มใจเชื่ออย่าง
เดียวว่าโลกนี้มีมายากลอยู่จริง แต่อย่ามาบังคับ
ให้เชื่อว่ามายากลเป็นของจริงก็แล้วกัน!
ถ้อยคำาแสดงความปักใจเชื่อมั่นของรักสุรีย์
ทำาให้คณินทร์คร้านที่จะสืบสาวหาร่องรอยอะไร
จากผู้เป็นภริยาต่อ เขาเดินออกมาจากห้อง
อาหารด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เพราะรู้ว่างานนี้คง
ต้องครุ่นคิดคนเดียว ปรึกษาใครที่ไว้ใจได้ยาก
ผู้ต้องสงสัยที่เป็นตัวการใหญ่ในใจของเขา
ตอนนี้เด่นๆมีถึง ๓ ราย ทั้งเพื่อนนักการเมืองซึ่ง
อาจอยากตัดตอนเขาในคดีทุจริตที่เริ่มอื้อฉาว ทั้ง
มาเฟียที่เขาใช้ขอบเขตอำานาจทำาลายหนทาง
หากิน ตลอดจนไอ้โม่งที่จองเวรกับเขามาแต่ไหน
ไม่รู้ ส่งจดหมายสนเท่ห์มาขู่จะเอาชีวิตหลายหน
จับมือใครดมไม่ถูก
ช่วงสายเขามีนัดประชุมให้คำาปรึกษากับ
ท่านนายกฯ แต่ขณะนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง คณิ
นทร์จึงเดินเข้าห้องหนังสือเพื่อใช้ความคิดเงียบๆ
ตามลำาพัง
เดินกลับไปกลับมาในห้องที่มีความยาว
ประมาณ ๑๐ เมตร สองฝั่งเป็นตู้หนังสือติดผนัง
สูงจรดเพดาน สมองไล่ลำาดับทบทวนอย่าง
รวดเร็ว ในหัวเต็มไปด้วยบุคคลและเหตุการณ์
มากมาย แต่สุดท้ายก็มาสะดุดหยุดลงที่มะแม
หญิงสาวผู้แสดงความสามารถพิเศษให้เขาทึ่ง อ้า
ปากค้างจนมานั่งนึกอายทีหลัง
ในห้วงเวลาแห่งการเป็นรัฐมนตรีกระทรวง
พาณิชย์ ที่มีอิทธิพลล้นเหลือ ดึงดูดผู้คนนับร้อย
นับพัน พากันวิ่งขาขวิดเข้าหา ต้องถามตัวเอง
เสมอว่าคนที่อยู่ตรงหน้าต้องการอะไรจากเขา
และเมื่อคุยไปสักพัก ก็ต้องถามตัวเองซ้ำาไปซ้ำามา
ว่ากำาลังถูกหลอกอยู่หรือเปล่า!
ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ไม่มีอะไรน่าสนุก
เท่าได้เป็นฝ่ายหลอก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไร
น่าเจ็บใจเท่าเป็นฝ่ายถูกหลอก
ถ้าทั้งหมดนับแต่จุดฆาตกรรมจนถึงห้อง
ทำางานของมะแม ล้วนแล้วแต่เป็นการจัดฉาก ก็
แปลว่าเขาถูกต้มเสียสุก
ชาติเชื้อเนื้อชายอย่างเขาฆ่าได้ แต่ห้าม
ต้ม!
นึกถึงแววตาแจ่มใส สาดประกายชื่นชม
พราวแพรว เขาไม่คิดว่ามะแมจะแสดงละครเก่ง
ระดับฮอลลีวู้ดเรียกแม่ได้ขนาดนั้น น่าจะมีความ
จริงอยู่ที่นั่นบ้าง
เอ... หรือว่านั่นก็คือจิตวิทยาที่หลอกผู้ชาย
หน้าโง่ได้ทั้งโลก?
ถ้ากำาลังอยากลองลิ้มชิมรสผู้หญิงคนไหน
การจับโกหกผู้หญิงคนนั้นก็จะยากขึ้นกว่าปกติ
หลายสิบเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเชื่อว่าฝ่าย
หญิงชื่นชมตน ปลาบปลื้มในตน ก็ยิ่งบวกความ
ทะนงตัว กลายเป็นกำาแพงหนาๆบดบังข้อเท็จจริง
อื่นหนักเข้าไปอีก
แววตาน่าพิสมัยที่จับจ้องเหมือนเห็นเขา
เป็นวีรบุรุษ ยังฝังแน่นในความทรงจำาไม่เลือน
อยากรู้เหลือเกินว่าหล่อนเห็นเขาเป็นเทพเจ้าหรือ
หมูหันกันแน่
คณินทร์เดินไปที่ตู้หนึ่ง หยิบหนังสือขายดี
ของตนเองออกมา มันคือ "หัวเราะเยาะเคราะห์
ร้าย เล่ม ๗" ซึ่งเป็นการรวบรวมคำาคมและ
เนื้อหาที่เขาตระเวนบรรยายไปทั่วประเทศ
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่กลับไปอ่านหนังสือ
ไม่กลับไปดูวิดีโอของตนเองจนเลือนๆ จำาไม่ค่อย
ได้ว่าเคยคิด เคยพูดไว้อย่างไรบ้าง
พลิกมั่วๆ เจอกรอบระบายพื้นเทาไว้ว่า
ชีวิตดีๆต้องการแค่ให้คุณดีพอ ไม่ใช่ต้องการให้
คุณพยายามสร้างภาพที่ดีพร้อม
ย้ิมนิดๆอย่างพอใจ คำานั้นมันกลั่นออกมา
จากใจจริง เขาไม่เคย และจะไม่มีวันสร้างความ
รู้สึกว่าตัวเองดีพร้อม ในเมื่อคนทั้งประเทศตัดสิน
ว่าเขาดีพอจะได้เป็นผู้แทนราษฎรสามสมัยซ้อน
ด้วยคะแนนถล่มทลาย เกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วม
พรรคอยู่แล้ว
เป็นนักการเมือง ทำาให้รู้จักการเมืองอย่าง
ถึงแก่น การเมืองคือเกมชิงอำานาจ และในเกมชิง
อำานาจไม่เคยมีคนดี มีแต่คนเอาความดีบางส่วน
มาสร้างภาพให้ตนดูดีเกินจริง ทั้งหมดก็เพื่อเรียก
คะแนนเสียงเท่านั้น
แต่ในคืนก่อน ภาพของมะแมทำาให้ภาพ
ของเขาดูด้อยค่าลงอย่างบอกไม่ถูก ราวกับคนที่ 
"ดีพร้อม" จะมีตัวตนขึ้นมาได้จริงๆ รัศมีสว่าง
อาภาอันเกิดจากวิธีคิดที่ไร้มลทิน ขับข่มให้รู้สึก
ว่าชาตินี้เขาไม่มีทางดีเท่าหล่อนได้แน่
ยืนก้มหน้าอ่านๆงานเก่าของตน เหมือนได้
ย้อนกลับไปสู่ตัวตนในวันวาน กระทั่งรู้สึกว่า
ติดลมกว่าที่คิด จึงลงนั่งเก้าอี้ใกล้ตัว
ในการสัญจรครั้งหนึ่ง ภายใต้หัวข้อ "โกง
ไม่ดี เพราะคนดีไม่โกง" เขาขึ้นต้นไว้ว่า เงินที่
เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างปุบปับ มักจะสามารถ
เปลี่ยนความคิดให้แย่ลงได้ในฉับพลัน
นอกจากนั้น ยังสำาทับทิ้งท้ายหนักแน่น อย่า
ภูมิใจว่าได้วิ่งนําหน้าใคร ถ้ากําลังอยู่บนทางลง
เหว!
สีหน้าของคณินทร์ผ่อนคลายลง แต่นัยน์ตา
ส่องแววคิดลึก ถึงวันนี้ เงินและอำานาจบิดความ
คิดของเขาให้เบี้ยวกว่าเดิมไปถึงไหนแล้ว?
พอชีวิตผ่านไป เขาก็ชักตอบไม่ถูกเหมือน
กันว่า "ทางลงเหว" มันอยู่ตรงไหนบ้าง หลาย
เส้นทางบางทีเหมือนบันไดสวรรค์ ต้องเดินขึ้นไป
หลายก้าว กว่าจะไหวตัวว่ามีบันไดผุๆรออยู่ แถม
มาผุเอาในจังหวะที่หล่นไม่ได้ เนื่องจากขึ้นมาสูง
จนทำาให้ภาคพื้นกลายเป็นเหวนรกไปเสียแล้ว!
ตอนเลือกตั้ง เขาไม่เคยโกง ไม่เคยแจกเงิน
แม้แต่บาทเดียว เพราะเชื่อมั่นมากว่าประชาชน
เอาเขาแน่ ซึ่งในที่สุดก็เอาจริงๆ ครั้งนั้นคณินทร์
ประกาศด้วยความผยองว่าถ้าใครจับได้ว่าเขา
โกงหรือซื้อเสียงแม้แต่คะแนนเดียว ให้จับตัวไป
ยิงเป้าได้เลย เขาจะใช้เสียงสวรรค์ที่รับมาจากพ่อ
แม่พี่น้อง ไปสร้างสวรรค์บนดินให้พ่อแม่พี่น้อง
อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มรับเงินใต้
โต๊ะ...
อ่านต่อมาถึงการสัญจรภายใต้หัวข้อ "ทำา
อย่างไรให้ถูกเลือก" คณินทร์หัวเราะเบาๆ คุ้นๆ
ว่าหัวข้อนั้นเอาไว้สอนเด็กจบใหม่ที่มักเครียด
เรื่องหาแหล่งงานดีๆ
เมื่ออยู่ในช่วงตอบคำาถามท้ายรายการ เขา
เอ่ยกับผู้หญิงที่ขาดความมั่นใจในตนเอง และบ่น
ออกอากาศว่ารูปร่างหน้าตาทำาให้หล่อนเสีย
เปรียบมาตลอดชีวิต ไปทำางานที่ไหนใครเขาก็
เลือกคนสวยกว่า ครั้นจะเป็นแม่ค้า ลองใส่เสื้อผ้า
โชว์วับๆแวมๆ ก็หาได้ดึงดูดใครให้หยุดซื้อไม่
คณินทร์คิดคำาพูดสดๆตอบหล่อนไปว่า
ผู้คนจะลืมว่าคุณหล่อหรือสวยขนาดไหน แต่จะจํา
ว่าคุณทําให้โลกใบนี้งดงามขึ้นหรือน่าเกลียดลง
จากนั้นจึงสาธยายว่าผลงานดีๆที่ต่อเนื่อง
จะช่วยให้คนเราเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจในระยะ
ยาว ขอให้เริ่มสะสมผลงานสวยๆไว้แบบหยอด
กระปุกวันต่อวันเถอะ วันหนึ่งพอมันเต็ม ก็จะได้
น้ำาหนักกว่าความสวยของคนอื่นไปเอง
จำาได้ว่าหลังจากนั้นนานนับปี เขาเจอผู้หญิง
คนดังกล่าวอีกหน เธอเข้ามาไหว้ขอบคุณ และ
บอกว่าคำาพูดของเขามีความหมายกับเธอมาก
มันทำาให้เลิกหน้าหงิก ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็น เห็นค่า
ของผลงานและการกระทำามากขึ้น แล้วก็แปลกที
ใครต่อใครชมว่าสวยกว่าเดิมอย่างผิดหูผิดตา
คณินทร์กะพริบตาถี่ๆ อดถามตัวเองไม่ได้
ว่าทุกวันนี้เขาทำาให้โลกสวยงามขึ้นหรือว่าน่า
เกลียดลงมากกว่ากัน หลังจากเอาขี้ไปป้ายท่าน
นายกฯที่เคารพมาพักใหญ่
ยิ่งมาสะอึกเมื่อเจอวาทะเด็ดในหน้าต่อ
มา...
อย่าเลือกงานที่บังคับให้คุณต้องโกหก
เรื่อยๆ เพราะหลังจากเวลาผ่านไป อาจไม่มี
ความชั่วร้ายใดเลยที่คุณทําไม่ได้ !
เอ... นี่เขาคิดเองหรือ ทำาไมไม่ค่อยคุ้น?
ทบทวนไปทบทวนมา ก็นึกได้ว่าเขาเอา
เค้าโครงมาจากคำาที่พระพุทธเจ้าตรัส นั่นคือ
"ใครโกหกทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องไม่จริงได้เป็นนิตย์ จะ
ไม่มีความชั่วอันใดเลยที่เขาลงมือทำาไม่ได้ !"
อ่านเจอพุทธพจน์นี้มาจากที่ไหนสักแห่ง
แล้วได้จังหวะนำาไปประยุกต์เมื่อมีผู้เข้าร่วม
รายการเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับอาชีพการงานที่จำาเป็น
ต้องโกหกอยู่เรื่อยๆ กับทั้งเล่าว่ามันนำาไปสู่การ
เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในงานทุจริตมากขึ้นทุกที
อันเนื่องมาจากผู้เข้าร่วมรายการคนนั้นพูด
ได้เป็นเหตุเป็นผลน่าฟังมาก เขาจึงรวบรัดสรุปให้
ในตอนท้าย สอดคล้องกับพุทธพจน์ที่เผอิญได้
อ่านมาก่อน
สรุปคือครั้งนั้นเขาพูดให้ฟังดี แต่ไม่เคยนำา
ไปเป็นคติประจำาใจเพื่อใช้จริงเอาเลย
เป็นสิบปี เขาจึงค่อยเห็นความจริงตามพุทธ
พจน์ ด้วยความเข้าใจชัดแจ้งกระจ่างใจ
ถึงปัจจุบัน แทบไม่มีวันไหนได้พูดแต่ความ
จริง แค่เริ่มเป็นนักสร้างแบรนด์ก็ต้องฝึกโม้เก่งๆ
ฝึกพูดให้คนเห็นแต่แง่ที่เป็นผลดีกับภาพลักษณ์
สินค้า กับทั้งบิดเบือนความจริงที่ไม่มีใครควรรู้ให้
เบ้เบี้ยวไปเป็นอื่น
พอเป็นนักการเมืองระดับปกครอง ก็ต้องโม้
เพื่อชาติ ต้องปลิ้นปล้อนเพื่อพรรค และต้อง
ตอแหลเพื่อตัวเอง นับไม่ไหวว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ที่แย่คือพอมีเหตุให้ต้องโป้ปดมดเท็จ โกหก
หลอกลวงประชาชน ทุกสายตาจะเล็งมา แล้วไหว้
วาน หรือไม่ก็สั่งใช้เขา โดยบอกว่าเขานี่แหละ
โกหกได้น่าเชื่อถือกว่าใครเพื่อน
คำาโกหกหลายต่อหลายคำา มีผลให้เขาต้อง
ทำาเรื่องน่าฝืนใจ หรือไม่ก็พาเขาไปมีเอี่ยวกับคน
ระยำามากหน้าหลายตา พอโกหกไปแล้ว จะอยาก
ทำาหรือไม่อยากทำา ในที่สุดก็บอกตัวเองว่าต้อง
ทำาอยู่ดี
ถอนใจเฮือกหนึ่ง ถ้าชีวิตคนเราเป็นไปตาม
คำาพูดสวยๆได้ตลอดเวลาก็คงดีหรอก...
อ่านเพลินจนนึกได้ พลิกข้อมือดูเวลา เห็น
ว่าสมควรไปทำางานเสียที จึงกระโดดข้ามไปที่
หน้าสุดท้าย ตอนแรกกะอ่านผ่านๆ แต่แล้วก็
สะดุดกึก
เมื่อใจงาม คุณจะรู้สึกถึงความงามแม้ในสิ่ง
เลวร้าย แต่หากใจร้าย คุณจะเห็นแค่แง่ร้ายแม้ใน
สิ่งดีงาม!
ความจริงข้อความนั้น เกี่ยวเนื่องกับการ
เปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจร้ายๆ
ให้กลายเป็นโอกาสหาความก้าวหน้าดีๆ โดยมี
การเสริมท้ายว่า ถ้ามองโลกในแง่ร้าย คุณอาจ
เพิ่มความร้ายให้กับโลกด้วยความคิดร้ายๆของ
ตัวเอง
ช่างบังเอิญที่มาพ้องกับเรื่องของมะแม ส่วน
ลึกบอกเขาว่ามะแมเป็นคนดี และเขาอาจ
หวาดระแวง มองโลกในแง่ร้ายไปเอง แต่ช่วยไม่
ได้ที่ดีแบบหล่อนเป็นดีอย่างลึกลับ และอะไรที่
ลึกลับก็มักถูกตีความเป็นด้านร้ายได้ง่ายมาก
คณินทร์ปิดหนังสือและเอากลับไปเสียบคืน
ที่ ความรู้สึกคล้ายเก็บตัวตนในวันวานเข้ากรุตาม
เดิม ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน หรือเอามาใช้ได้จริง
ในวันนี้อีกแล้ว
ก่อนมาเป็นนักการเมือง เขาเห็นโลกด้านดี
มากกว่าด้านร้าย จึงมีแก่ใจปรุงแต่งคำาพูดสวยๆ
มากกว่าส่งคำาด่ากากๆ
แต่ถึงวันนี้ กำาลังใจในการปรุงแต่งคำาสวยๆ
ลดลงฮวบฮาบ เพราะยิ่งขึ้นสูง ก็ยิ่งเห็นความ
สกปรกของโลกถนัดชัดขึ้นเรื่อยๆ
อีกประการหนึ่ง ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งดึงดูดคนมา
พยายามลากลงต่ำา แม้ตั้งใจดี อยากให้เกิดผลดี 
แล้วผลดีก็เกิดขึ้น แต่บทคนเราจะหมั่นไส้กันเสีย
อย่าง มันก็ไม่พยายามทำาความเข้าใจใดๆทั้งสิ้น
จะกระชากลงมาเหยียบย่ำาท่าเดียว
ธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเป็นอย่างคนที่ตน
ริษยาไม่ได้ วิธีสร้างความสำาคัญได้เทียบเท่า ก็
คือทำาลายคนๆนั้นทิ้งเสีย
ไม่แน่ คนที่คิดจะฆ่าเขา อาจเป็นคนที่เขา
ช่วยให้ได้ดิบได้ดีทางการเมือง แต่ยังไม่พอใจ
อยากเอาให้เท่าเขาหรือเกินเขา และทางลัดก็คือ
กำาจัดเขาทิ้งไปเสีย
แล้วเขาจะดีไปเพื่อใคร ทำาดีไปทำาซาก
อะไร?
กว่าจะเกิดกำาลังใจทำาดี ต้องให้ใครต่อใคร
มาปลุกใจกันด้วยคำาขวัญต่างๆนานา แต่จะทำาชั่ว
ไม่ต้องรอใครยุเลย แค่อยากด้วยตัวเองหน่อย
เดียวก็พอ
ชีวิตที่ผ่านมาของคณินทร์ สอนเขาว่าคำาพูด
นั้นยาวเกินไป คนเราจำาได้แค่ความรู้สึกจริงๆที่
อยู่ติดตัวตอนนี้เท่านั้น
ความรู้สึกติดตัวที่สุดในตอนนี้ของเขา คือ
อยากรู้ความจริงทั้งหมด อยากให้ทุกความลับแบ
ออกมา ว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวพันกับการลอบ
สังหารเขา
แล้วเขาจะเอาอุดมคติหรือความถูกต้องข้อ
ไหนมาช่วยให้ได้รู้เล่า? ไม่มีหรอก!
เพื่อดับความอยากรู้ในเรื่องที่มีลับลมคมใน
เขาคงต้องใช้วิธีที่ไม่ตรงไปตรงมาเท่านั้น...
เขายึดเป็นคตินำาใจมานาน เชื่อตามหลัก
อย่าเชื่อตามแหลก จงหาหลักอะไรสักอย่างที่รู้
จริงได้ด้วยตนเองมายึดไว้ แล้วในที่สุดหลักที่ยึด
นั้นจะพาไปหาคำาตอบบางอย่างเสมอ
และหลักที่จะได้รู้เรื่องของคนๆหนึ่งอย่าง
ถ่องแท้ ก็คือไม่ฟังสิ่งที่คนๆนั้นพูดกับใครอื่นนอก
บ้าน แต่ให้ฟังเฉพาะที่เขาหรือเธอพูดกับคนใน
บ้านทุกวัน!

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๕
มะแมตื่นนอนตรงเวลา แต่ยังไม่ทันลืมตา
ด้วยซ้ำา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นที่โต๊ะข้างหัวเตียง
หญิงสาวย้ิมบางๆอย่างเดาถูกว่าเป็นโทรศัพท์
จากใคร และโทร.มาด้วยธุระอะไร จึงเอี้ยวตัวไป
คว้ามือถือมากดปุ่มรับ
"สวัสดีค่ะพี่อัค"
"สุขสันต์วันเกิด"
"ขอบคุณค่ะ"
"ขอบใจนะที่เกิดมาให้พี่รัก"
คำาหยอดนั้นเรียกรอยยิ้มหวานได้ มะแม
เสยผมเชื่องช้า รวบรวมความกล้าที่จะพูด
"มะแมก็รักพี่อัคนะคะ หลายครั้งรู้สึกเหมือ
นพี่อัคเป็นรางวัลของการได้เกิดมา"
พูดจบก็หน้าแดงหน่อยๆ ต่างฝ่ายต่างนิ่ง
ลิ้มรสละไมอันเกิดจากสายใยแห่งความไม่เป็นอื่น
"อากาศหนาวไหม?"
"คืนนี้ยังต้องนอนเปิดแอร์อยู่เลยค่ะ... พี่
อัคอยู่ถึงไหนนี่ ?"
"ก็ไม่ไกลหรอก บอกแล้วไงว่าวันเกิดจะ
กลับมาพาไปเลี้ยง"
"มาถึงกี่โมง?"
"ถึงไทยราวๆบ่ายสองครึ่ง แล้วพี่จะแวะไป
รับตอนมะแมเลิกงานละกัน... จะพาน้องอิ๊กไป
ฉลองด้วยหรือปล่อยให้อยู่บ้านดี ?"
"พาไปด้วยสิคะ"
"โอเค งั้นตอนเย็นเจอกัน แล้วพรุ่งนี้เราไป
ไหว้พ่อแม่มะแมตามนัดนะ"
"เดี๋ยวค่ะพี่อัค..." เกิดความรู้สึกอ้อยอิ่งจน
อยากรั้งไว้ "อยากคุยกับพี่อัคค่ะ ได้แต่ฝาก
ข้อความกันไปฝากข้อความกันมาเสียหลายวัน...
ตอนนี้พอว่างอยู่หรือเปล่า?"
"นี่เวลาออกกำาลังกายของมะแมไม่ใช่เห
รอ?"
ระหว่างนั้น หญิงสาวก็ลุกเดินไปที่ห้องน้อง
อิ๊ก ซึ่งแม่หนูน้อยกำาลังเดินสวนออกมาพอดี
"วันนี้นั่งสมาธิไปคนเดียวก่อนนะลูกนะ ขอ
แม่คุยกับคุณพ่อหน่อย"
สั่งความเสร็จก็ก้มลงหอมหน้าผากลูกสาว
อย่างอ่อนโยน
"ค่ะ... สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณแม่ "
แล้วเด็กหญิงตาแป๋วก็โอบกอดรอบคอและ
หอมแก้ม "คุณแม่ " ผู้ไม่ได้ให้กำาเนิดตนในชาตินี้
มะแมย่อตัวกอดตอบ ตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ
แล้วเดินแยกกลับมาที่ห้องนอน เปิดไฟกลาง
หยิบสายแฮนด์ฟรีจากโต๊ะเครื่องแป้งมาเสียบเข้า
กับมือถือ เพราะรู้สึกว่าอาจได้คุยยาว
"คิดถึงพี่มากเหรอ?"
อัคระถามเย้า
"ค่ะ... คิดถึง" หล่อนรับซื่อๆ "แล้วก็มีเรื่อง
จะเล่าให้ฟังด้วย"
"ท่าทางจะสำาคัญ"
"ก็น่าจะอย่างนั้นมั้ง... มะแมเข้าถึงตัว
รัฐมนตรีที่พี่อัคเคยบอกไว้ตั้งแต่หลายวันก่อน
แล้วนะคะ"
"มาหามะแมเองเลยใช่ไหม?"
"เฮ้อ! รู้หมดอย่างนี้ไม่สนุกเลย แล้วมะแม
จะเอาอะไรมาเล่าให้พี่อัคฟังเหมือนเรื่องสำาคัญที่
ต้องชวนคุยกันต่อล่ะ"
"อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมะแม เรื่องงานนี่พี่เบื่อ
เต็มแก่ รู้ๆอยู่ว่ายังไงอีตาคณินทร์ก็ต้องมาเข้า
ทางมะแมวันยังค่ำา"
"อือม์ ... ไม่คุยเรื่องงาน จะคุยเรื่องมะแม
ถ้าบอกว่าเมื่อวานไปกินปูอัดมา ฟังแล้วจะสนุก
หรือเปล่า?"
"ก็ใส่สีตีไข่เสียหน่อยสิ นินทาหน้าตาคน
ขายปูอัดให้พี่ฟังก็ได้ "
มะแมหัวเราะขำาแล้วนิ่งไป เอนกายลงนอน
ตะแคงบนเตียง ส่งจิตคลอเคลียกับพลังยิ่งใหญ่
ของอัคระ แล้วรู้สึกราวกับตนเป็นนกน้อยที่
โบยบินอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาตระหง่านก็ไม่
ปาน
"ช่วงนี้มะแมรู้สึกเหมือนผู้หญิงโง่ๆวันละ
หลายรอบ"
เปรยแบบไม่มีต้นมีปลาย ปล่อยให้เขาคิด
เองว่าหล่อนหมายถึงอะไร
"จะให้เดาไหมล่ะว่าทำาไมถึงรู้สึกอย่าง
นั้น?"
"เอาสิคะ"
ทำาเสียงขึ้นจมูกอย่างท้าทายนิดๆ
"เดี๋ยวนะ ขอจูนคลื่นนิดหนึ่ง อือม์ ...
อารมณ์โง่ในที่นี้น่าจะหมายถึงอาการโหยหาแบบ
คว้าอากาศเปล่า... ตอนนี้ภาพที่เกิดในใจพี่นะ
มะแมเคยเห็นลูกค้าผู้หญิงพร่ำาเพ้อละเมอหาคน
รัก แล้วก็คิดว่าจะเพ้อไปทำาไมนักหนา โง่ชัดๆ...
แต่แล้วใครจะนึกว่าช่วงนี้มาเป็นซะเอง"
หน้าร้อนผ่าว เลือดสาวฉีดซ่านไปทั้งแก้ม
เด้งตัวลุกพรวดจากท่านอนตะแคงขึ้นนั่งตรง
ความจริงหล่อนไม่รู้ใจตนเองชัดด้วยซ้ำา เนื่องจาก
อารมณ์กำาลังฝันๆ มัวๆมนๆ แต่สติของอัคระกำา
ลังเข้าฝัก จึงรู้ชัดทะลุปรุโปร่งได้แบบเจาะลึกเป็น
คำาๆ ราวกับมานั่งอยู่ในสมองหล่อนเพื่อดักฟัง
เสียงความคิดกันทีเดียว
บางทีแก้ผ้าให้ดูยังจะดีกว่าโดนเปิดโปง
ความคิดเสียอีก ในที่สุดมะแมก็แก้อายด้วยการ
หัวเราะหึหึถอนฉิว
"ตกลงดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้นะคะ ที่มี 'คนรู้ใจ'
ของจริงเนี่ย"
"ที่แน่ๆคือระหว่างเรา จะไม่มีใครโกหก
ใคร"
"ก็ไม่แน่นะคะ คุยกับพี่อัคแล้วสมองไม่
ค่อยทำางาน ถ้าพี่อัคหลอกอะไรมะแม มะแมคง
เชื่อหมด"
"แล้วพี่จะไปหลอกทำาไม?"
หญิงสาวอึ้ง คำาย้อนถามง่ายๆของเขา
กระตุกให้คิดในใจว่าก็จริงแหละ ระดับที่สร้าง
คอมพิวเตอร์ตาทิพย์ทำานายโลกและจักรวาลได้
อย่างอัคระ จะต้องมาเอาอะไรกับ... เด็กระดับสี่
อย่างหล่อน
ช่วยไม่ได้ที่บางครั้งบางคราวจะเกิดความ
สับสนใจ นึกถึงน้องอิ๊ก นึกถึงเงินร้อยล้านใน
ธนาคาร นึกถึงรัฐมนตรีคณินทร์ แล้ววนเวียน
ถามตัวเองว่าชีวิตหล่อนเปลี่ยนแปลงจากไม่มี
อะไร มามีอะไรทั้งหมดนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่
เพราะเขาคนเดียว
อัคระให้อะไรต่ออะไรหล่อนมากมาย ก็แล้ว
เขาล่ะ ต้องการอะไรจากหล่อนบ้าง?
มะแมสลัดหน้า ขับไล่คลื่นความสับสนออก
จากสมอง บอกตัวเองว่าที่ระแวงเขาขึ้นมาเป็น
วูบๆ ก็อาจเป็นแค่ความโง่ไปอีกแบบ
ระแวง... เพียงเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถรู้ใจ
เขาทะลุปรุโปร่ง
ระแวง... เพียงเพราะรู้สึกราวกับหล่อนเป็น
ลูกไก่ในกำามือ
หรืออาจจะระแวง... เพียงเพราะรู้สึกเอาเอง
ว่าหล่อนเป็นฝ่ายเทความรักให้เขามากกว่า
นึกถึงการฆ่าตัวตายของแจ๊บ นึกถึงคำา
พร่ำาเพ้อสุดท้ายของเจ้าหล่อน ที่ไม่เข้าใจว่าทำาไม
ต้องรักผู้ชายมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ชักเห็นใจ
ภาวะหลงรักแบบหน้ามืดตามัวไม่เข้าใครออก
ใคร บทจะโง่ก็โง่ได้พอๆกันหมดนั่นแหละ!
แค่คิดว่าเขาจะทิ้งหล่อนไป ก็เห็นภาพตัว
เองซมซานเท่ากับหรืออาจจะยิ่งกว่าแจ๊บแล้ว...
ขณะนั้น สัญญาณเตือนแบตเตอรี่อ่อนดังขึ้น
มะแมทำาหน้างง ยื่นโทรศัพท์ออกมาดูก็พบ
สัญลักษณ์แบตเตอรี่แดง แสดงว่าไฟใกล้หมด
จริง จึงบอกกับคนรักว่า
"แบตฯใกล้หมดค่ะพี่อัค สายชาร์จอยู่ข้าง
ล่าง แค่นี้ก่อนก็ได้นะ แล้วเดี๋ยวเย็นค่อยคุยกัน"
"ไม่เป็นไร พี่โทร.เข้าอีกเครื่องก็ได้ "
"อีกเครื่อง... เครื่องไหน?"
"ก็ที่มะแมเก็บไว้เป็นเครื่องประดับในกระ
เป๋าถือน่ะ"
"เครื่องของบอส?" หญิงสาวถามเสียงสูง
"แล้วพี่จะโทร.เข้าได้เหรอคะ?"
"ก็ลองดู "
เสียงเรียกแบบโทรศัพท์โบราณดังขึ้นจาก
กระเป๋าถือบนโต๊ะเครื่องแป้ง มะแมยิ้มนิดๆ คิด
ในใจว่ามีอะไรบ้างที่หวานใจของหล่อนทำาไม่ได้
ปลดเอียร์โฟนออกจากหู กดปุ่มวางสาย
"มือถือธรรมดา" ลง แล้วก้าวไปเปิดกระเป๋า
หยิบ "มือถือพิเศษ" มากดปุ่มรับ
"เมื่อคืนดูข่าวค่ะ..." ทำาหน้าปกติพูดต่อ
เนื่อง เอ่ยพลางก้าวกลับขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง
"ช่วงนี้น้ำาท่วมใหญ่ สึนามิก็ออกโรงอีก แถมแผ่น
ดินถล่มเป็นวงกว้างไม่เว้นแต่ละวัน รู้สึกถึงการ
ล้มตายเป็นเบือไปทั่วโลก แล้วมะแมก็นึกนะคะว่า
ประสบการณ์ของคนที่เจอวิบัติภัยเหล่านั้น คง
รู้สึกว่าโลกาวินาศมาถึงแล้ว ไม่ใช่ต้องรออีกกี่
เดือนกี่ปี "
"ระยะนี้จะมีแค่ภาพน่ากลัว แต่ไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงจริงจังหรอก ต่อให้มีคนตายพร้อม
กันเป็นหลักแสน ส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะไม่รู้สึกถึง
ความเปลี่ยนแปลง เพราะแต่ละวันมีคนตายเกือบ
สองแสนอยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่คนในละแวกใกล้
เคียงหายไปเป็นหลักร้อยล้านพร้อมกัน นั่นแหละ
ถึงรู้สึกว่าอะไรๆมันไม่เหมือนเดิม ทั้งสภาพ
ภูมิประเทศ และความเป็นอยู่โดยรวม"
"พี่อัคพูดซะหนาวสันหลังเหมือนกันนะคะนี่
แต่ทำาอย่างกับคนอ่านรายงานอากาศ พรุ่งนี้ฝน
จะตก มะรืนนี้ฟ้าจะร้องงั้นแหละ เสียงธรรมดา
จัง"
"ก็อ่านค่า อ่านกราฟที่ซีอุสคำานวณมา
หลายปี เห็นการแตกพังของโลกตามการคำานวณ
มาเป็นขั้นๆ เลยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกแล้ว แค่
รอเวลาทุกสิ่งทุกอย่างมีอันเป็นไปตามที่
ธรรมชาติต้องการ ไม่มีใครแกล้ง ไม่มีใครอยู่
เบื้องหลังสั่งให้เป็นอย่างนี้ ถึงเราเป็นทุกข์แทน
ใคร ก็ไม่ช่วยให้ใครอยู่หรือตายเพิ่มขึ้นได้ "
"ทำาไมพี่อัคไม่ป่าวประกาศคะ ว่าที่ไหนจะ
น้ำาท่วม ดินถล่ม มีใครต้องตายบ้าง เขาจะได้
อพยพกัน"
พร้อมๆกับที่พูดนั่นเอง มะแมรู้สึกว่าข้อ
เรียกร้องของตนช่างไม่ประสีประสาเอาเสียเลย
"ไหนลองช่วยพี่คิดซิ เริ่มต้นขึ้นมาเราจะ
ประกาศยังไงก่อน"
"ก็ ... เปิดตัวซีอุส ประกาศให้ทุกคนทราบ
โดยทั่วกันว่าเทคโนโลยีพยากรณ์ของพี่อัคไปไกล
ถึงไหนแล้ว อาจจะแปะป้ายว่ามันคือเครื่องมือ
พยากรณ์อากาศใหม่ล่าสุด"
"ลงประกาศที่ไหน?"
"สำานักข่าวใหญ่ๆ เอพี รอยเตอร์ ซีเอ็น
เอ็น"
"หลังการประกาศ คือการขอพิสูจน์ และ
หลังการพิสูจน์ว่าซีอุสเป็นเรื่องจริง ทายซิ รัฐบาล
ต่างๆจะห่วงเรื่องภัยพิบัติข้างหน้า หรือเร่งหาทาง
ครอบครองแผ่นดินที่ซีอุสบอกว่าจะปลอดภัย?"
มะแมอึกอัก นึกออกทันทีว่าสงครามใหญ่
คงตามมา อาจมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันก่อนถึง
วันโลกาวินาศก็ได้ !
"ก็จริงนะคะ"
"ผลข้างเคียงยังมีอีก สมมุติว่ามนุษย์ล้าน
คนถึงฆาต อยู่ๆเราไปช่วยให้รอด มะแมนึกออก
ไหมว่าโลกต้องทำายังไงกับพลังใหญ่ที่อุตส่าห์
เตรียมไว้ทำาลายล้างมนุษย์ล้านคนแล้วไม่ได้ใช้
ทายซิมันจะหายไปไหน?"
นิมิตปรากฏทันที ไม่เคยมีพลังใดสูญหาย
ไปเฉยๆ มันต้องแปรรูปเป็นอื่นเสมอ พลัง
มัจจุราชพุ่งมาจะคร่าชีวิตมนุษย์ล้านคน แต่แล้วก
ลับวืดเปล่า ก็ต้องผันตัวไปทำาลายล้างอย่างอื่น
ในระดับที่ให้ความสยดสยองไม่แพ้กัน!
ที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมคือคนนับล้าน
จะต้องอพยพหาที่อยู่ใหม่ จะเอาที่อยู่ใหม่ดีๆ
ที่ไหนมาให้ทัน? แน่นอนว่าต้องเบียดเบียนผู้อยู่
อาศัยเก่ากันอย่างโกลาหล
อีกประการ เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาของการล้าง
โลกจริง จะต้องอพยพกันกี่ครั้ง กี่กองทัพ จึงจะ
หลบภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ได้หมด?
"น่าห่อเหี่ยวจัง"
"ตอนนี้มันสายเกินกว่าที่จะคิดป่าวประกาศ
ว่ากำาลังจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคิดจะช่วยกันจริง ก็
ควรทำาให้ผู้คนเปลี่ยนความคิดพร้อมกันเป็นจำา
นวนมากๆไปเลย เพื่อสร้างภาวะใหม่ทาง
ธรรมชาติมารองรับชีวิตดีๆครั้งมโหฬารในคราว
เดียว"
"อย่างที่พี่อัคพยายามทำา..."
หญิงสาวต่อให้แล้วเหลือบตามองเพดาน
ค่อยๆเหยียดเท้า เอนหลังลงนอนหงาย เห็นชัด
ขึ้นว่าความตั้งใจของอัคระยากเย็นและมีความ
เป็นไปได้ต่ำาเพียงใด
เปลี่ยนความคิดมนุษย์ได้ ก็เปลี่ยนได้ทั้ง
โลก ความคิดมนุษย์ถึงเปลี่ยนยากที่สุดในโลก!
"ถ้ามีพระเจ้าจักรพรรดิที่รู้เหตุรู้ผล รวบ
อำานาจสั่งเป็นสั่งตายไว้ในมือเพียงคนเดียว โลก
คงถูกปฏิรูปได้ง่ายขึ้น"
"ก็งั้น"
"ชักชื่นชมแล้วสิ ... บอสกับพี่อัคสร้างบารมี
เพื่อรวมอำานาจใหญ่ในการครองอย่างนี้มาทุก
ชาติเลยหรือเปล่าคะ?"
"ถ้าหมายถึงการครองโลก ก็ต้องบำาเพ็ญ
บารมีเป็นแสนชาตินั่นแหละ ถึงจะมีสิทธิ์สถาปนา
อาณาจักรได้สักชาติหนึ่ง ไม่ใช่แค่รอบารมีเต็ม
อย่างเดียวแล้วจะได้เลยนะ ต้องรอให้
สถานการณ์โลกเอื้อด้วย"
"มิน่าล่ะ พี่อัคถึงเสียดาย ตั้งหน้าตั้งตา
ประลองกับบอสให้ถึงที่สุด เพราะพลาดเที่ยวนี้ก็
ต้องรออีกเป็นแสนชาตินี่เอง"
อัคระเงียบ
"แล้วบำาเพ็ญบารมีเป็นจักรพรรดินี่ เขา
บำาเพ็ญกันยังไงคะ?"
"ก็ต้องใจใหญ่ อยากช่วยคนไม่มีประมาณ
ใช้ความรู้ความฉลาดของตัวเองไปทำาเรื่องน่าทำา
ที่สุด คือช่วยให้คนอื่นดีขึ้น การให้ชีวิตใหม่กับ
คนอื่น ถ้าสะสมได้จำานวนมากพอ ก็อาจหมายถึง
โลกใหม่ที่กำาหนดได้เองว่าจะให้เป็นอย่างไร"
"ในยุคไอทีอย่างนี้ อาวุธที่มีอานุภาพ
รุนแรงที่สุดของพระเจ้าจักรพรรดิ ก็คือความรู้ใช่
ไหมคะ? ขอแค่รู้ว่าจะทำาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ กับ
ใคร เพื่อให้เกิดผลที่ต้องการ ก็จะครองโลกได้
แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด"
"นอกจากความรู้ ก็ต้องอาศัยสัญชาตญาณ
ด้วย ถ้าขาดสัญชาตญาณที่แม่นยำาแบบ
จักรพรรดิ บางทีรู้ทุกอย่างก็ตัดสินใจผิดทุกอย่าง
ได้ ... สิ่งที่สำาคัญไม่แพ้กันคือบารมีต้องถึง ถ้า
บารมีไม่แน่นพอ เดี๋ยวก็เกิดเรื่องทำาลายล้าง
อาณาจักรแตกกระสานซ่านเซ็นอยู่ดี ไม่ว่าความรู้
และสัญชาตญาณจะเลิศเลอขนาดไหน"
"พี่อัคบินไปทั่วโลกเพื่อทำาธุระซับซ้อน แล้ว
บอสล่ะคะ นั่งอยู่กับที่หรือเปล่า ทุกวันนี้งานของ
บอสคืออะไร?"
"เซธก็เดินทางบ้าง แล้วก็ทำาสารพัดอย่าง
ไม่ได้หยุดเหมือนๆพี่นั่นแหละ คิดเปรียบเทียบกับ
นักลงทุนข้ามชาติก็แล้วกัน เหตุการณ์สำาคัญและ
น่าสนใจเกิดขึ้นทุกวันบนโลกใบนี้ นักลงทุนจะ
ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆจากรายงานข่าว
ทางหนังสือพิมพ์และทีวี แล้วตัดสินใจระดมเงิน
ไปลงทุน ณ จุดเหมาะ เพื่อให้เกิดกำาไรสูงสุด"
"ค่ะ"
"ส่วนเซธใช้ซีอุสสร้างหนังสือพิมพ์ส่วนตัว
ขึ้นมา เหตุการณ์ใหญ่ที่ซีอุสรายงาน คือการเกิด
มาของเด็กฤกษ์เด่น ซีอุสจะช่วยวิเคราะห์ให้ว่าถ้า
เด็กโตขึ้นในอาณาจักรของเซธ สมควรถูกบรรจุ
ไว้ตรงไหน ดำารงตำาแหน่งใด แล้วจะมีผลใหญ่สืบ
เนื่องตามมากี่ซับกี่ซ้อน ส่วนเซธจะอาศัยญาณ
ทัศนะของตัวเองประกอบ ว่าจะช่วยตัดทางตรง
หรือส่งเสริมเด็กไปสู่จุดที่ดีที่สุดได้แค่ไหน... จุด
ใหญ่ใจความสำาคัญคือถ้าเคยเกื้อกูลกันมา เซธก็
จะวางหมาก ดึงเข้ามาเป็นคนของตัวเองอย่าง
เป็นทางการ"
"ต่างจากพี่อัค ที่ไม่เก็บเด็กใหม่ แต่จะ
ตรวจหาดูบุคคลสำาคัญที่มีอิทธิพลกับโลก แล้ว
พยายามเปลี่ยนใจพวกเขา... โอ้ย! ฟังดูเหนื่อย
กว่ากันเยอะเลย"
"ตอนนี้เลิกแล้วไง ล้าแล้ว อยากเป็นคน
ธรรมดาแล้ว ไม่แข่งกับเซธแล้ว"
มะแมเม้มปากย้ิมดีใจ แต่เปลี่ยนเรื่องอย่าง
ไม่อยากตอกย้ำา
"แล้วบอสทำาอะไรอีกถ้าไม่นั่งวางแผนชีวิต
ให้ชาวโลก?"
"ก็โทร.คุยกับคนโน้นคนนี้อย่างมีจุด
ประสงค์ เหมือนอย่างที่เคยทำากับมะแมนั่น
แหละ!"
หญิงสาวยิ้มพราย เมื่อทราบว่าตนเคยมี
เกียรติพอจะได้รับเวลาหลายนาทีอันมีค่า
มหาศาลของบอสมา
"ถ้าซีอุสของพี่อัคบอกได้หมด แถมบอส
วางแผนไว้หมดแล้ว อย่างนี้ก็รู้ทะลุไปอีกพันปี
ข้างหน้าเลยใช่ไหมคะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"
"งานหลักของซีอุสไม่ใช่การรายงานดื้อๆว่า
'กำาลังจะเกิดอะไรขึ้น' แต่เป็นการให้คำาแนะนำาว่า
'จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวางตัวใครไว้ในตำาแหน่งเหมาะ
ที่สุด' แก่นของซีอุสคือโลกจำาลองโลกหนึ่ง ที่
พร้อมจะให้ใส่ตัวแปรใหม่ๆเข้าไปทุกวัน อย่างถ้า
ใส่เด็กฤกษ์เด่นที่เพ่ิงเกิดใหม่วันนี้เข้าไป ก็เห็น
เดี๋ยวนั้นเลยว่าจะมีอิทธิพลกระเพื่อมไปถึงจุดอื่นๆ
ของโลกอย่างไร เป็นวงกว้างประมาณไหน
ยาวนานเพียงใด"
"นึกภาพไม่ออกค่ะ"
"นึกถึงลูกโลกนะ สมมุติว่านาทีนี้ซีอุสได้รับ
รายงานจากโรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่ง ว่าเด็ก
บุญญาธิการใหญ่เพิ่งเกิดมา ซีอุสจะบอกพิกัด
ตำาแหน่งเกิดของเด็ก ในกรณีที่การเกิดของเขา
เป็นคุณ เราจะเห็นจากหน้าจอเลยว่าพิกัดนั้น
ปรากฏรัศมีความสว่างกินพื้นที่ของโลกประมาณ
ใด แต่กรณีที่การเกิดของเขาเป็นโทษ เราก็จะเห็น
พิกัดนั้นแผ่รัศมีความมืดออกมาเป็นวงกว้าง
เท่าใดด้วย"
มะแมตรึกนึกอย่างเข้าใจ คนมีบุญญาธิการ
สูงก็เหมือนคนที่บำารุงร่างกายมาจนแข็งแกร่ง ข้อ
ลำาหนักแน่น แต่จะเอาความล่ำาสันบึกบึนไปใช้
ปกป้องหรือรังแกคน ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาพอใจเลือก
รูปชีวิตที่เป็นคุณหรือเป็นโทษ
"ค่ะ แล้วบอสบริหารความสว่างกับความ
มืดยังไง?"
"เซธจะวางตำาแหน่งการปกครองไว้เป็นวงๆ
เอากลุ่มคนสว่างที่สุดไปครองอำานาจสูงสุด คือ
อยู่วงในใกล้เซธที่สุด แล้วค่อยลดหลั่นเป็นชั้น
รองๆลงมา ตามตัวแปรคุณสมบัติต่างๆ เช่น
ความมีแก่ใจอยากสงเคราะห์ ความรู้ ความ
สามารถ ไอคิว ตลอดจนจิตสัมผัส ส่วนกลุ่มคน
มืดที่สุดก็เน้นใส่ตัวแปรความสว่างเข้าไปในชีวิต
พวกเขา คือพยายามจัดที่ให้รับแสงสว่างได้
มากๆหน่อย... ระบบใหญ่แบบนี้จะลงเอยเป็นการ
เพิ่มความสว่างขั้นสูงสุดให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง"
"แล้วพี่อัครู้ทุกอย่างจากซีอุสเหมือนๆกับ
บอสหรือเปล่า?"
"คำาตอบขึ้นอยู่กับวิธีตั้งคำาถาม และวิธีตั้ง
คำาถามระหว่างพี่กับเซธก็ไม่ค่อยจะเหมือนกันนัก
หรอก"
"เอาตัวอย่างเป็นเหตุการณ์จริงที่ทำาให้
มะแมคาใจสักเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ? วันแรกที่ได้
คุยกับบอส บอสเตือนว่าจะมีลูกค้าบ้ากามมา
เยือน แล้วสั่งให้มะแมพามาคุยข้างล่าง แล้วตา
นั่นก็มาจริงๆ... ทำาไมพี่อัคไม่เห็นเตือนมะแมแบบ
บอสบ้างล่ะ?"
"มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ? อือม์ ... พี่ไม่ได้
ตรวจละเอียดขนาดนั้นหรอก รู้แค่ว่าจะไม่มีอะไร
ร้ายแรงเกิดขึ้นกับมะแมในช่วงนั้นแน่นอน... ซึ่ง
ตกลงก็เซธนั่นเองเป็นตัวแปรที่ทำาให้ไม่เกิดอะไร
ขึ้นเลย พี่ว่าเซธแค่จะหาเรื่องโชว์พลังให้มะแม
ยอมรับ ซึ่งถ้าอยากทำาแบบนั้นพี่ก็ทำาได้ "
"อ้อ..."
"วันนั้นถึงไม่มีเซธ ก็เชื่อเถอะว่ามะแมจะได้
รับความคุ้มครองจากกรรมเก่าของตัวเองอยู่ดี
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะทุลักทุเลหรือเสียขวัญ
บ้างนิดหน่อย"
"แล้วตอนมะแมโดนโจรอุ้ม พี่อัคก็ปล่อยให้
ดวงของมะแมคุ้มครองตัวเองด้วยใช่ไหมคะ?"
สุ้มเสียงตัดพ้อหน่อยๆนั้น จี้อัคระให้ขำาด้วย
ความเอ็นดู
"คืนนั้นเป็นโอกาสสร้างบารมีของมะแม พี่
ไม่เข้าไปขัดขวางหรอก แต่ก็ส่งคนตามประกบอยู่
ห่างๆนะ ถ้ามะแมกลับใจโจรไม่ได้ตามที่ซีอุส
ทำานายไว้ พี่ก็จะใช้กำาลังเหมือนกัน!"
คำาอธิบายของชายคนรักถึงกับทำาให้มะแม
อบอุ่นย้อนหลัง แล้วยิ้มออกมาได้
"ยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกเหมือนทุกเรื่องถูกกำาหนดไว้
หมดแล้วจริงๆ"
"เป็นแค่แนวโน้มอย่างสูงหรืออย่างต่ำา
ไม่ใช่ต้องเกิดขึ้นตายตัว"
"แล้วที่คอมพ์ของพี่อัคทำานายว่ามะแมจะ
เปลี่ยนใจโจรได้นี่ ถือว่าเป็นแนวโน้มอย่างสูงหรือ
อย่างต่ำาคะ?"
"อย่างสูง... คือซีอุสจะคำานวณแบบเอา
มะแมเป็นตัวตั้งของวันเดือนปีที่พี่อยากรู้ เสร็จ
แล้วรายงานว่ามะแมจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับโจร
ปัจจัยหนุนที่มีอยู่จะทำาให้ซีอุสวิเคราะห์สรุปว่า
'เจอโจรเพื่อกลับใจโจร' ฉะนั้น ที่ถูกส่งให้มาเจอ
ต้องเป็นโจรที่ยอมมะแมได้ เพราะเคยมีกรรม
สัมพันธ์ในทางเกื้อกูลกันมาก่อน"
"ซีอุสบอกได้ด้วยว่าเคยทำากรรมเก่าร่วม
กันมายังไง?"
"ไม่ถึงขนาดบอกได้เป็นรายละเอียด แต่
อ่านออกว่ามะแมเคยให้คำาแนะนำา พลิกความ
เห็นผิดของพวกเขาให้กลับเป็นความเห็นชอบ
สำาเร็จมาก่อน ผลของบุญนั้นก็เป็นกำาลังหนุนให้
ชาติใหม่เกลี้ยกล่อมสำาเร็จอีก"
"แล้วมะแมเคยกล่อมพวกนั้นสำาเร็จนานมา
แล้วประมาณกี่ชาติบอกได้ไหม?"
"ไม่ได้หรอก... ที่สำาคัญนะ ตามธรรมชาติ
ของกรรมวิบาก ไม่มีคำาว่ากี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์แล้ว
กำาลังจะตก ไม่เหมือนเชื้อเพลิงหยาบๆ คล้ายเงา
ที่ตามตัว จะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็เห็นเหมือนเดิม
จนกว่าจะถึงเวลาให้ผล จึงค่อยหมดกำาลังลง"
"แล้วถ้าชาตินี้มะแมไม่มีญาณสัมผัส ไม่มี
ฝีปากดีพอ แล้วก็ไม่มีคนของพี่อัคคอยระวังหลัง
ล่ะคะ คืนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?"
"ก็อาจมีเหตุอื่นผ่อนหนักเป็นเบา หรือแค่
มะแมร้องไห้ขอความสงสาร บุญเก่าก็อาจ
บันดาลให้คิดคำาขอร้องได้โดนใจโจร มีผลให้พวก
นั้นใจอ่อน ยอมปล่อยตัว ไม่ทำาอันตรายได้ "
"แต่แค่นั้นก็ไม่เปลี่ยนใจพวกเขาให้เป็น
สุจริตชนตามดวงน่ะสิ ?"
"ถึงได้บอกไง ถ้าอยากสมมุติ ก็ต้องสมมุติ
บนฐานที่มะแมมีความสามารถอย่างนี้อยู่ ไม่ใช่
สมมุติอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะพอเปลี่ยน
ตัวแปรหนึ่ง ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องก็ผันแปรตามไป
หมด"
"แล้วอย่างเด็กผิวดำาที่สนามบินล่ะคะ แทน
การเป็นโจรร้าย ก็กลายเป็นนักกีฬาและนักพูด
ระดับโลกในอนาคตไปเลย อะไรเป็นปัจจัยตัดสิน
ให้เขาได้รับความช่วยเหลือจากพี่อัค?"
"เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของพี่มาก่อน พี่เคย
สอนให้ได้ดีมา ก็เป็นเหตุปัจจัยให้มาชี้นำากันอีก"
"ถ้า ณ วันนั้นพี่อัคไม่มีความสามารถอย่าง
นี้ เด็กก็โตขึ้นเป็นโจรโดยไม่มีใครช่วยอะไรได้ ?"
"พื้นกรรมในชาตินี้ของเขาถูกกำาหนดมา
อย่างนั้น ถ้าไม่เจอพี่ก็เป็นมหาวายร้าย แต่ถ้าเจอ
พี่และพี่มีแก่ใจพอ ก็กลายเป็นแชมป์โลก"
"ไม่มีใครดีหรือเลวเองด้วยตัวเองโดดๆเลย
ใช่ไหมคะ? ช่วยกันดี พากันเลวทั้งนั้น"
"ปมของการเวียนว่ายตายเกิดถึงซับซ้อนไง
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ชาติไหนเจอกัลยาณมิตร
ได้เป็นหลักยึดก็ดีไป แต่ชาติไหนพบพาล ติดใจ
หลุมดำาของพาล ก็ถึงเวลาโดนลากลงต่ำา"
"ว่ากันถึงอาณาจักรของบอส ทรัพยากรใน
โลกแทบไม่เหลืออย่างนี้ อีกหน่อยจะต้องย้อนยุค
กลับไปอยู่ในสมัยที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่ไฟฟ้า
ไม่มีรถราใช้กันหรือเปล่าคะ?"
แทนคำาตอบ อัคระถามมาอีกทาง
"โทรศัพท์ที่มะแมกำาลังใช้อยู่เนี่ย เคยชาร์จ
แบตฯบ้างหรือยัง?"
"ไม่เคยเลยค่ะ ยังงงๆอยู่ว่าถ้าแบตฯหมด
จะให้ทำาไง แล้วไม่เห็นมีให้ดูที่ตรงไหนว่าแบตฯ
เหลือเท่าไหร่แล้ว แต่ก็เดาว่าคงเป็นแบตฯอายุ
ยืนใช่ไหมคะ?"
"ที่มะแมกำาลังถืออยู่ในมือ คือตัวอย่าง
นวัตกรรมด้านพลังงานของเซธ แบตเตอรี่เล็กๆ
ก้อนเดียว ให้พลังงานมากพอจะคุยโทรศัพท์ต่อ
เนื่องไม่พักเลยได้เกือบพันปี !"
"โอ๊ ! แล้วทำาไมบอสไม่เอาพลังงานดีๆมา
แจกจ่ายชาวโลกเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยคะ?"
"ความรู้ทางพลังงานของเซธเป็นความลับ
เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าโลกยังเหมือนไร้ขื่อแป อำานาจ
กระจายไปอยู่ในมือใครต่อใครจนควบคุมยาก
เหมือนทุกวันนี้ สิ่งแรกที่นานาประเทศจะเอา
เทคโนโลยีพลังงานของเซธไปประยุกต์ คือสร้าง
อาวุธใหม่ไว้ต่อรองอำานาจแทนหัวรบนิวเคลียร์
เท่านั้นเอง"
มะแมทำาหน้าละเหี่ยใจ
"ปิดประตูเจริญเลยนะคะ โลกวันนี้ ติดโน่น
ติดนี่ ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง"
"ถึงต้องรอกระบวนการชะล้างสิ่งโสโครก
ออกไปก่อน ทุกอย่างค่อยเริ่มต้นใหม่ได้ เมื่อไหร่
ที่ทุกอย่างกระจัดกระจาย ขาดอำานาจรัฐ แทบไม่
ปรากฏพรมแดนความเป็นประเทศไหนๆ สิ่งที่เซธ
เตรียมไว้จะปรากฏ และเข้าครอบครองพื้นที่ส่วน
ใหญ่โดยสันติ ทุกฝ่ายจะพร้อมออกมาสวามิภักดิ์
โดยไม่มีเงื่อนไข เพราะต้องการสิ่งที่เซธจะหยิบ
ยื่นให้อยู่แล้ว ทั้งอาหารสังเคราะห์ ทั้งน้ำาดื่มที่มา
จากมหาสมุทร ทั้งระบบสื่อสารไร้สายทั่วโลก"
"เหมือนแสงฟ้ามาโปรดเลยนะคะ ฟังแล้ว
ยุคของบอสเหมือนทุกคนจะบินได้งั้นแหละ อือ
ม์ ... ถ้าคนเราบินได้ ก็คงเห็นทุกหนทุกแห่งใน
โลกนี้สวยขึ้นหมด"
"อยากฝากเนื้อฝากตัวอยู่ในอาณาจักรของ
เซธแล้วใช่ไหมล่ะ?"
น้ำาเสียงเนือยๆนั้นปลุกให้มะแมออกจากฝัน
หวาน เปลี่ยนเป็นพูดหนักแน่น
"อยากอยู่ในกระต๊อบของพี่อัคมากกว่า
ค่ะ!"
อัคระหัวเราะซึมๆ
"สิ่งที่พี่อยากได้ยิ่งกว่าอาณาจักร ก็คือ
มะแมเหมือนกัน"
"แล้วช่วงนี้งานของพี่อัคไปถึงไหนแล้วคะ
ใกล้จะสะสางเสร็จอย่างที่สัญญากับมะแมไว้หรือ
ยัง?"
พูดคุยเรื่องงาน อัคระก็ถอนใจคล้ายเหนื่อย
อ่อนเต็มประดา
"น่าจะใกล้ ... หวังว่านะ... อยากหยุดเต็มที
แต่ถ้าทิ้งไปกลางคันก็น่าเสียดายเหมือนกัน
หลายแห่งเหมือนจะมีหลักฐานการเปลี่ยนแปลงที่
ชัดเจน"
"มะแมก็ไม่ได้เร่งหรอกค่ะ เห็นค่าและเป็น
กำาลังใจให้เสมอนะคะ อยากให้ช่วยอะไรก็จะ
ช่วยทุกอย่าง แม้แต่บินตามไปปรนนิบัติรับใช้
เดี๋ยวนี้ "
"อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่
เสียดายที่อีกหลายคนจะต้องเสียโอกาสเจอ
มะแม"
"แล้วโลกต้องเปลี่ยนแค่ไหนพี่อัคถึงจะ
พอใจและวางมือได้คะ?"
ชายหนุ่มอึกอักอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจพูด
เปิดอก
"บางทีรู้สึกว่าใจมันพอ แล้วมือก็วางแล้วนะ
หลายครั้งพี่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าพร้อมกับความคิด
ว่าจะเปลี่ยนโลกไปทำาไม ในเมื่อโลกต้องเปลี่ยน
ไปอยู่แล้ว แต่บางทีก็รู้สึกว่าพี่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
และไม่มีทางพอใจจะวางมือได้ "
มะแมนิ่งงัน เยี่ยงคนเริ่มขาดความมั่นใจว่า
จะได้สิ่งที่อยากได้หรือเปล่า และอัคระก็สัมผัสถึง
ความรู้สึกนั้นด้วยความเห็นใจ จึงเอ่ยแผ่ว
"สัญญาต้องเป็นสัญญา พี่จะหยุดเดินทาง
รับรองไม่ผิดคำาพูดหรอก แล้วพี่ก็รู้ด้วยว่าเมื่ออยู่
กับมะแม ทุกอย่างจะต่างไป วางใจเถอะนะ"

__________________________________________________________________________
บทที่ ๒๖

เช้าวันรุ่งขึ้น
เบนท์ลีย์สองประตูเพรียวงาม สีเงินขึ้นเงา
เป็นมันปลาบตลอดทั้งคัน คลานเอื่อยมาจอด
เทียบรั้วโฮมออฟฟิศของนักจิตวิทยาพลังจิต ซึ่ง
ทันทีนั้น หญิงสาวในเสื้อชายยาวสีแสดฉูดฉาด
ห้อยสร้อยคอประดับหินหลากสีหลายเส้น ท่อน
ล่างสวมกางเกงแนบเนื้อสีฟ้าสด กับรองเท้าส้น
สูงพริบพราวสีเงิน ก็เดินฉับๆมาเปิดประตูข้างคน
ขับ ก้าวเข้าไปนั่งประจำาที่ได้ว่องไวเนียนตา
อัคระเหลียวมามองด้วยรอยยิ้มสนเท่ห์ แม่
โฉมงามของเขามาพร้อมกับกลิ่นน้ำาหอม
แหลมคมเร้าใจ ผิดบุคลิกหวานละมุนเดิมมิใช่
น้อย แต่ชายหนุ่มก็ทราบว่านั่นเพราะหล่อนอยาก
มีสีสันแตกต่างไปให้เขาทึ่งเล่นบ้าง จึงแซวว่า
"อายุเท่าไหร่นี่ ?"
"พี่อัคว่าเหมือนเท่าไหร่ล่ะ?"
มะแมหยิบแว่นกันแดดกรอบขาวมาสวม
เชิดหน้าอวดลำาคอระหง ดูสวยเฉี่ยวราวกับนาง
แบบวัยรุ่น
ชายหนุ่มหัวเราะพลางส่ายหน้าช้าๆ
"เอาหมากฝรั่งขึ้นมาลอยหน้าเคี้ยวไปด้วย
สิ จะได้จ๊าบครบวงจร"
"ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่อัคแวะข้างทางซื้อให้ทีสิ "
อัคระก้มลงพิจารณาตัวเองแล้วนึกปลง
"นี่พี่ใส่เชิ้ตแขนยาวเป็นตาแก่ เดินควงจะ
เข้ากันไหมเนี่ย?"
"เข้า"
เจ้าของรถมาดภูมิฐานอดชำาเลืองปลีขาคู่
งามด้วยแววพิสมัยไม่ได้
"วันนี้พี่เอ่ยปากขอมะแมด้วยตัวเองเลยดี
ไหม?"
หญิงสาวเบนหน้ามามองคนรักผ่านแว่นดำา
นิ่งๆ ดูทรงพลังลึกลับสะกดใจ คล้ายภาพอาบ
มนต์ฝันต้องห้าม ที่เอื้อมกันสุดแขนก็ไม่แน่ว่าจะ
ได้มา
"อย่าเพิ่งเลยค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อดีใจจนลืมตัว
ล็อกคอพี่อัคเซ็นสัญญาห้ามเปลี่ยนใจ"
มะแมขยับเรียวปากแดงตอบแบบทีเล่นที
จริงตามเขา อัคระหัวเราะนุ่มๆอย่างมีความสุข
ก่อนเอ่ยเป็นจริงเป็นจังขึ้น
"กลับมาเที่ยวหน้าพี่ให้พ่อแม่ไปสู่ขอ มะแม
เกริ่นกับฝั่งตัวเองไว้เลยก็แล้วกัน บอกว่าลูกเขย
คนนี้ใจร้อน มาให้เจอหน้าทีเดียว อีกทีแห่
ขันหมากเลย!"
บนทางลอยฟ้ายาวเหยียด ที่เบื้องหน้าคือ
ฟ้ากว้างสดใส มะแมทอดสายตามองไกลด้วย
ความโล่งอกโล่งใจไม่มีอะไรเกิน ยกมือถอดแว่น
กันแดดออกด้วยความอยากดูทัศนียภาพเบื้อง
หน้าด้วยตาเปล่า และพบว่าฟิล์มกันแดดของ
กระจกหน้ากรองแสงจ้าให้สบายตาอยู่แล้ว จึง
มองฟ้ากว้างเต็มตาโดยไม่เคืองแม้แต่น้อย
เมื่อคืนเขาให้ช่อกุหลาบโต พร้อมชุดเครื่อง
เพชรของ แฮรี่ วินสตัน ราคาหลายสิบล้านเป็น
ของขวัญวันเกิด และพาหล่อนกับน้องอิ๊กไปเลี้ยง
มื้อค่ำาริมเจ้าพระยา ความสนุกและเสียงสรวลเส
เฮฮาประสาสามคนพ่อแม่ลูก ประทับอยู่ในความ
ทรงจำาแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อห้านาทีก่อน
แปรสายตาไปข้างตัว เห็นเรือกสวนไร่นาที่
แผ่กว้างอยู่เบื้องล่างด้านไกล ถามใจว่าถ้าถึง
เวลาโลกเปลี่ยน อัคระไม่เหลืออะไรเลยนอกจาก
ความเป็นคนตัวเปล่า ไร้ทรัพย์และอำานาจวาสนา
ใดๆ หล่อนจะยังรักเขาเท่านี้อยู่ได้ไหม?
คำาตอบคือยิ่งกว่าได้ ! กระท่อมกลางนาก็ดู
น่าอยู่ ถ้ารู้ว่าจะมีเขาไปใช้ชีวิตด้วยกัน...
ค่อยๆหันหน้ามาทางชายผู้ทรงอิทธิพลต่อ
จิตใจ อากาศรอบตัวเขาช่างให้ความรู้สึกวิเวกล้ำา
ลึก ราวแยกตัวออกมาอยู่เย็น เป็นเอกเทศจาก
ภูมิศาสตร์รอบด้าน ใกล้เขาแล้วรู้สึกถึงความเป็น
เสาหลักยิ่งใหญ่ สยบหัวใจให้อ่อนแอ แพ้แรง
ดึงดูดทางกายที่ชวนให้อยากเอนไปอิง เพื่อขอ
ความเป็นแหล่งพักพิงอันร่มเย็นชั่วชีวิต
ตามใจตนเอง มะแมค่อยๆเลื่อนตัวมานั่งริม
เบาะ เอนศีรษะลงแนบแก้มเข้ากับไหล่เขา คล้าย
ลูกแมวประจบขอความรักความอบอุ่นจาก
เจ้าของ
แอบสูดกลิ่นหอมจากแขนเสื้อด้วยความ
รู้สึกแสนดี ยิ้มละไมอย่างคนมีความสุข นัยน์ตา
กระจ่างทอดนิ่งไปเบื้องหน้า เยี่ยงคนที่รู้ว่าจะไม่มี
ฝันหวานใดตามทันความจริงในบัดนี้ได้เลย
จากบางนาถึงอำาเภอท่าใหม่ จังหวัด
จันทบุรี อัคระขับมาเรื่อยๆใช้เวลาไม่ถึงสาม
ชั่วโมง
พ่อแม่ของมะแมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านขนาด
กลาง แยกจากถนนสุขุมวิทมาประมาณสิบ
กิโลเมตรเศษ เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวในพื้นที่ ๗๐
ตารางวา รอบนอกคือบรรยากาศทุ่งนาโล่ง
เงียบเชียบอย่างไรเมื่อสิบปีก่อน ก็คงความเงียบ
ไว้อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งวันนี้
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันยิ้มๆ มะแมหวังจะ
เห็นอาการประหม่าเคอะเขินจากอีกฝ่ายบ้าง ให้
เสมอกันกับที่หล่อนไปพบพ่อแม่เขาแล้วทำาหน้า
ไม่ค่อยถูก
แต่อัคระยังคงเป็นอัคระ ไม่เสียความเป็น
ตัวของตัวเองไปเลย เขาเดินลงจากรถด้วยท่าที
ปกติ ซึ่งปกติของเขานั้นราวกับเป็นเจ้าของ
หมู่บ้านแวะมาทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของ
ลูกบ้านก็ไม่ปาน
มะแมหยิบกุญแจจากกระเป๋าถือมาจะไข
ประตูรั้ว แต่พบว่ามันไม่ได้ล็อกไว้ จึงพาคนรัก
ก้าวสู่ร่มเงาชายคาด้วยท่วงทีของเจ้าถิ่น
"พ่อขา แม่ขา"
หญิงสาวส่งเสียงเรียกนำา รออัคระถอด
รองเท้าก่อนจะผลักประตูมุ้งลวดนำาเข้าบ้าน
บ้านที่เคยอบอุ่น วันนี้เยือกหนาวอย่าง
ประหลาด หางตาเหลือบไปเห็นเงาร่างพ่อแม่นั่ง
ตัวแข็ง นิ่งทื่อราวกับท่อนฟืนไร้วิญญาณที่โซฟา
รับแขกด้านซ้ายมือ
ทีแรกแปลกใจที่พ่อแม่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
กับการมาของหล่อน แต่แล้วก็ยิ่งตกใจกว่านั้น
เมื่อเห็นถนัดว่าพ่อนั่งหน้าซีด ขณะที่แม่นั่งน้ำาตา
ไหล
"พ่อ! แม่ ! เป็นอะไรไปคะ?"
จะเดินปราดเข้าหาผู้บังเกิดเกล้า ทั้งที่ความ
กลัวแล่นจับหัวใจ แต่อัคระคว้าแขนไว้ ทำาท่า
เหมือนจะรั้งให้ถอยกลับ ทว่าสังหรณ์ร้ายของทั้ง
สองทำางานช้าเกินไปเสียแล้ว
ร่างสูงใหญ่ที่หลบอยู่หลังจุดบังตาใกล้ตัว
โผล่ออกมาพร้อมปืนสั้นในมือ
"อย่าขยับ แล้วก็อย่าเอะอะ"
ผู้ยึดครองพื้นที่ไว้ก่อนสั่งด้วยเสียงธรรมดา
แต่นัยน์ตาเพชฌฆาตประกอบกับปืนที่ชี้หน้าอยู่
ประกาศความหฤโหดแบบไม่ธรรมดาเลย เล่น
เอามะแมเข่าอ่อน มือไม้เย็นเฉียบไปชั่วขณะ
สำาหรับอัคระ เขาแค่หรี่ตาลงด้วยสีหน้า
เรียบเฉยเป็นปกติ แล้วเหลือบมองไปทางขวาเมื่อ
สำาเหนียกถึงความเคลื่อนไหวจากเงาร่างของ
ผู้ชายอีกสองสามคน ที่ทยอยโผล่กันออกมาจาก
ห้องด้านใน
แต่ละคนถืออาวุธกันครบมือ แถมมีกระแส
ทมิฬบอกความเอาจริง ลงมือใช้อาวุธได้จริง
ไม่ใช่แค่ถือปืนขู่ตามธรรมเนียมโจรกระจอกแต่
อย่างใด
มะแมถอยเท้ามากอดเขาตัวสั่น อัคระจึง
เอ่ยถามกับคนตรงหน้าที่ดูท่าว่าน่าจะเป็นหัวโจก
"ต้องการอะไร?"
"คุณทั้งสองไปกับเรา"
คำาตอบบอกชัดว่านี่ไม่ใช่การปล้น
"ได้ ... แต่ช่วยบอกสักนิดได้ไหมว่านี่มัน
เรื่องอะไรกัน เผื่อเข้าใจผิดจะได้แก้ที่ตรงนี้ก่อน"
ชายหน้าเหลี่ยมร่างใหญ่แค่นยิ้ม
"เรามารอคุณถูกที่ถูกเวลา ยังจะคิดว่า
เข้าใจผิดอีกหรือ?"
"ผมชื่ออะไรคุณรู้หรือเปล่า?"
"อ๋อ! รู้ซี่ ชื่ออรรถไง แล้วแฟนคุณก็ชื่อ
มะแม มั่นใจได้หรือยัง?"
ทั้งอัคระและมะแมทราบทันทีว่าคนร้าย
ตั้งใจอุ้มถูกคน แม้จะเรียกชื่อของอัคระผิดก็ตาม
การเรียกชื่อผิดแค่เป็นข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าคนบง
การอุ้มหาได้รู้จักเขาจริงไม่
"โอเค ผมจะตามพวกคุณไปโดยไม่ขัดขืน
แต่ขอให้ปล่อยผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไว้ที่นี่เถอะนะ
พวกท่านคงไม่เกี่ยว ไม่รู้เห็นอะไรด้วยแน่ๆ"
"พวกเขาจะอยู่ที่นี่ โดยมีพวกเราอีกสามคน
อยู่ด้วย เพื่อเป็นประกันว่าคุณอรรถกับคุณมะแม
จะไม่ดื้อกับเรา"
"ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ
แค่คุยกันดีๆได้ ผมก็เบาใจว่าคงไม่ใช่เรื่องที่
เจรจากันยาก" แล้วอัคระก็หันไปยกมือไหว้บิดา
มารดาของคนรัก "สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ไม่
ต้องห่วงนะครับ พวกเขาคงไม่ทำาอันตรายพวก
เราหลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เดี๋ยวผมกับ
มะแมจะรีบกลับมานะครับ"
น่าเสียดายที่ฤกษ์พบปะครั้งแรกต้องกลาย
เป็นการปลอบโยนกันในบรรยากาศหน้าสิ่วหน้า
ขวาน ผู้ให้กำาเนิดมะแมทั้งสองมีเรี่ยวแรงได้แค่
พยักหน้ารับเพียงเท่านั้น เพราะงงไปหมด และ
ไม่มีใครเข้าใจว่าทำาไมถึงเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้
คนหัวหน้ายัดปืนเสียบไว้กับพุงชั่วคราว
"เอาข้าวของออกจากตัวให้หมด มือถือ
นาฬิกา รวมทั้งกระเป๋าสตางค์ ผมให้เกียรติพวก
คุณโดยไม่ค้นตัว พวกคุณก็กรุณาให้เกียรติด้วย
การนำาออกมาเองทั้งหมดเสียดีๆ"
"ตกลง"
อัคระถอดนาฬิกา ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบ
มือถือและกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นให้คนที่อยู่
ตรงหน้า นำามะแมให้ปฏิบัติตาม
เมื่อทรัพย์สินส่วนตัวมาอยู่ในมือหัวหน้าโจร
ครบ ฝ่ายนั้นก็บุ้ยปากให้อัคระมองหน้าบ้าน ซึ่ง
ห่างออกไปไม่กี่เมตร
"เอาล่ะ! กลับหลังหันเดินออกจากบ้านให้
เป็นปกติ เดินไปขึ้นปาเจโร่ที่เห็นนี่แหละ"
มิตซูบิชิเก๋งกึ่งบรรทุกสีดำาเพิ่งเคลื่อนมา
จอดเทียบรั้วบ้าน กระจกรถทุกด้านติดฟิล์มดำา
สนิท เพ่งให้ตายก็ไม่รู้ว่ามีใครทำาอะไร หรือเป็น
ตายร้ายดีอยู่ในนั้น
อัคระหันมาพยักหน้าให้มะแมปฏิบัติตาม
คำาสั่งโดยดี ซึ่งหญิงสาวก็ตัวสั่น เกาะแขนเขา
แน่นขณะจำาใจเดินตามกันไปขึ้นรถ
ฝ่ายคนร้ายมีเพียงตัวหัวหน้าที่ตามหลังมา
ด้วย ซึ่งหากคนในหมู่บ้านจะเผอิญเห็นเข้า ก็คง
คิดว่าพวกนี้รู้จักกันมากกว่าอย่างอื่น
"ซีอุสไม่ได้เตือนไว้หรือคะ?"
มะแมยื่นหน้ากระซิบถามอัคระ คะเนแล้วว่า
ต่อให้คนเดินตามหลังได้ยินก็ไม่เข้าใจ
อัคระก้มลงกระซิบตอบแบบจ่อริมฝีปาก
ประชิดใบหูมะแม
"นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น มันอยู่นอกแผน
ของชะตาเดิม!"
มะแมขนลุกซู่ แต่แล้วอัคระก็รีบกระซิบ
เสริม
"อย่าห่วง พี่จะไม่ให้ใครเป็นอะไรหรอก"
หญิงสาวค่อยใจชื้น สีหน้าสดชื่นขึ้นบ้าง
เพราะคำาพูดของชายผู้มีสิทธิ์ครองโลกย่อมเป็น
หลักประกันน่าอุ่นใจ ยิ่งเสียกว่าเห็นตำารวจมายืน
ล้อมบริเวณเพื่อช่วยเหลือเสียอีก
คนเดินตามเห็นกิริยาโต้ตอบทั้งหมดของ
คู่รักจากเบื้องหลัง แต่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเป็น
ธรรมดาที่ชายจะต้องปลอบประโลมหญิงบ้างใน
สถานการณ์คอขาดบาดตายน่าตกตื่นขนาดนี้
แล้วก็เห็นว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของตน
เต็มร้อย ไม่มีทางดิ้นไปไหนรอดด้วยวิธีปรึกษา
พูดคุยกันอย่างแน่นอน
ผู้คุมเปิดประตูรถตอนหน้า จ้องมะแมเป็น
ความหมายว่านี่คือที่นั่งของหล่อน หญิงสาวเก้ๆ
กังๆเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องแยกกับคนรัก แต่
ความที่เคยผ่านเรื่องร้ายทำานองเดียวกันมาก่อน
จึงสะกดอารมณ์ได้เร็ว และก้าวขึ้นไปนั่งตาม
ลำาพังโดยไม่อิดเอื้อนนาน
ฝ่ายอัคระถูกต้อนให้ขึ้นไปนั่งตอนหลัง โดย
มีผู้คุมตามขึ้นมาประกบ และชักปืนจากพุงมาถือ
ไว้ในมือตามเดิม
"เจ้านายกำาชับให้บอกพวกคุณว่า คุณทั้ง
สองมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เมื่อขึ้นรถแล้วห้ามชวน
เจรจา ส่วนผมมีสิทธิ์ยิงทิ้งอย่างเดียวถ้าไม่เชื่อ
กัน"
หมอนั่นแจ้งสิทธิ์และขอบเขตอำานาจราวกับ
เป็นตำารวจอเมริกัน น้ำาเสียงฟังยากว่าพูดเล่นหรือ
พูดจริง แต่อัคระหยั่งดูแล้ว ฝ่ายนั้นไม่มีเหตุให้
ลังเลแม้แต่น้อยที่จะเป่าเขากับคนรักทิ้ง
พวกนี้ของจริงและจะเอาจริง!
ชายหนุ่มพยายามหยั่งสถานการณ์และแนว
โน้มของสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า แต่แปลกที่ไม่เห็น
อะไรเลย เหมือนพยายามฝืนมองให้ทะลุม่าน
หมอกหนาทึบ ทั้งที่แน่ใจว่าสติมีกำาลังคมชัด และ
จิตใจก็แจ่มใสเป็นพิเศษด้วยซ้ำา
ตระหนักมานานว่าจิตสัมผัสเป็นของไม่
เที่ยง ใช่จะสามารถเห็นตลอดเวลาตามปรารถนา
ทว่าม่านหมอกหนาทึบที่ปิดกั้นไม่ให้เกิดการรับรู้
ใดๆเลยชนิดนี้นับว่าแปลก เหมือนใครจงใจ
บันดาลมันขึ้นมา
ธรรมชาติคงจัดเกมกรรมฉากนี้มาให้ ด้วย
ความตั้งใจให้เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่มีเครื่อง
ช่วยใดๆมากไปกว่าหนึ่งสมองและสองมือ เท่า
เทียมกับตัวละครอื่นที่กำาลังจะปรากฏ!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ปาเจโร่สีดำาก็แล่นเข้า
มาในบริเวณท่าเทียบเรือยอชแห่งหนึ่งของแหลม
สิงห์ ที่นั่นจอดเรียงรายอยู่ด้วยเรือยอชใหญ่เล็ก
ทั้งแบบมีเจ้าของและแบบเช่าเหมาลำา
บรรยากาศแบบเปิดๆ มองทะเลได้ไกลสุด
ตา คือแผนการที่อัคระเตรียมพาคนรักมาทอด
ทัศนาด้วยกันอยู่แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะเจอของ
แถม ได้ลงเรือยอชหรูลำาสีขาวแดงของใครก็ไม่
ทราบเช่นนี้
ผู้คุมสั่งให้อัคระกับมะแมลงบันไดซึ่งพาด
อยู่กับส่วนท้ายเรือ ด้วยสายตาของนักเล่นคน
หนึ่ง อัคระทราบดีตั้งแต่เห็นเพียงบางส่วน ว่ามัน
คือเรือประเภทสปอร์ตครุยเซอร์เพรียวลม ยี่ห้อ
อาซิมุธ ความยาว ๒๗ เมตร เครื่อง ๒,๐๐๐
แรงม้าคู่แฝด เร่งให้เรือแล่นได้เร็วถึง ๘๕
กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน ๕๐ วินาที ซึ่งก็แปลว่า
มันพาผู้โดยสารจากท่าสู่ทะเลลึกได้ในเวลาอันสั้น
ชั่วโมงเดียวก็ห่างจากฝั่งได้เกือบร้อยกิโลแล้ว
ดูสภาพเรือ อัคระตัดสินว่าเป็นเรือสำาราญที่
เจ้าของใช้เอง ไม่ใช่ผ่านหลายมือโชกโชนแน่นอน
นั่นก็แปลว่าเจ้าของเรือต้องมีเศษเงินกว่าร้อยล้าน
ไว้นำาเข้าของเล่นระดับนี้ ซึ่งทั้งไทยคงนับหัวได้
อีกประการหนึ่ง จุดประสงค์ปกติของการ
เอาเรือลำานี้ออกทะเล น่าจะเป็นพาสาวไปรับลม
ย่านปากอ่าวไทยมากกว่าอย่างอื่น การนำาตัวเขา
ขึ้นเรือจึงไม่น่าเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย
ใดๆ
จากท้ายเรือก้าวผ่านประตูกระจกเข้าสู่ห้อง
บังคับการเรือ ซึ่งออกแบบไว้เป็นห้องนั่งเล่น
กลางในตัว คือมีพื้นที่พอจะติดตั้งโซฟาสองที่นั่งสี
ขาว ๔ ตัว แนบผนังฝั่งซ้ายสองตัวเคียงกัน และ
หันเข้าหากันจากทิศเหนือและทิศใต้อีกสอง โดย
ไม่มีโต๊ะกลาง เปิดช่องว่างเป็นทางเดินกว้าง ส่วน
ด้านขวาเป็นเคาน์เตอร์บาร์ไม่กินที่เท่าใดนัก
สภาพห้องโดยรวมจึงโอ่โถงพอควร
ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาว่าเจ้าของเรือเป็น
ใคร เพราะเขานั่งเด่นเป็นประธานบนโซฟาด้านที่
หันหน้ามาหาอัคระกับมะแมอยู่แล้วในบัดนี้
ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ ฯพณฯ คณินทร์
ร่มโพธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน!
มะแมขยับมือเหมือนจะไหว้ด้วยความที่
นับถือกัน แต่การมาพบด้วยวิธีนี้คงมิใช่วิสัยที่จะ
ไหว้ได้ลง เพราะหล่อนไม่ใช่แขกที่เขาเชิญมา แต่
เป็นนักโทษที่ถูกเขาคุมตัว!
"เชิญนั่ง"
คณินทร์ผายมือไปทางขวาของตนยิ้มๆ
ท่าทางไม่อยากได้รับการเคารพนบไหว้จากอีก
ฝ่ายเช่นกัน
ท่วงทีของอัคระที่ก้าวเนิบเข้ามานั่งบนโซฟา
ติดผนัง ห่างกันแค่เอื้อมถึงกับคณินทร์นั้น บีบให้
ท่านรัฐมนตรีประหวั่นใจได้วูบหนึ่ง บอกตนเองว่า
ตรงหน้าคือพญาราชสีห์ใหญ่ ไม่ใช่ลูกหนูตัวเล็ก
จ้อย เขาจะประมาทไม่ได้แม้แต่พริบตาเดียว
ลูบหมอนผ้าไหมม่วงที่ติดอยู่กับตักขวา
เบาๆ ใต้หมอนคือปืนที่ปลดล็อกไว้พร้อมยิงทันที
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อให้เป็นสิงโตตัวจริง เจอ
ลูกปืนเข้ากลางแสกหน้าก็คงคำารามไม่ออก
เหมือนกัน!
"หนูมะแมนั่งสิ ยืนขวางอย่างนั้น คนของ
ผมเลยไม่ได้นั่งไปด้วย"
คณินทร์เอ่ยแบบคนอารมณ์ดี มะแมยืนขบ
ฟันอยู่อีกอึดใจหนึ่ง จึงยอมก้าวมานั่งบนโซฟาอีก
ตัวถัดจากอัคระ โดยไม่ถามอย่างที่อยากถามว่า
"ทำาไมถึงทำาแบบนี้ ?"
"เอ้า! มึงก็นั่งด้วยสิยักษ์ วางๆปืนให้พ้นหู
พ้นตากูด้วย เห็นแล้วไม่เหมาะกับบรรยากาศล่อง
ทะเลเอาเลย พับผ่าเถอะ"
ยักษ์ลงนั่งบนโซฟาที่หันหน้าเข้าหาเจ้านาย
วางปืนแอบไว้ข้างตัวแล้วเอาหมอนบังให้พ้น
สายตาตามคำาสั่ง
"เป้ ... ออกเรือได้ "
คณินทร์เอี้ยวกายไปสั่งคนถือพวงมาลัย ซึ่ง
นั่งหันหลังให้ตนห่างไปแค่ก้าวเดียว
เรือค่อยๆเคลื่อนออกจากท่า เบนหัวไปตั้ง
ลำา จากนั้นจึงเดินเครื่องไต่ระดับความเร็ว แล้ว
เมื่อเดินเครื่องเต็มกำาลัง ใบพัดคู่ท้ายเรือที่ส่งแรง
ขับมหาศาลก็พ่นน้ำาออกมาเป็นหางใหญ่รูป
สะพานโค้งขาวฟ่อง ถีบลำาเรือให้พุ่งลิ่วแหวกน้ำา
แหวกอากาศ ทิ้งแผ่นดินห่างออกมาเรื่อยๆ จน
กระทั่งเห็นฝั่งอยู่เบื้องหลังลิบๆในเวลาเพียงไม่กี่
อึดใจใหญ่
เรือแล่นตรงดิ่งด้วยความนุ่มนวล ทรงตัว
นิ่ง เครื่องเดินค่อนข้างเงียบด้วยระบบเก็บเสียง
ชั้นดี เปลวแดดจากภายนอกไม่อาจรบกวนความ
ฉ่ำาเย็นในห้องโดยสารได้แม้แต่น้อย มันเหมือน
ตัดแบ่งเอาห้องรับแขกหรูมาท่องทะเลอย่างไร
อย่างนั้น
คณินทร์มองออกนอกหน้าต่างข้างที่ไม่มี
ใบหน้าบาดตาบาดใจของสองหนุ่มสาว ด้วย
ความรู้สึกผ่อนพักชั่วขณะหนึ่ง ปกติถ้ามาเที่ยว
ด้วยเรือลำานี้ เขาจะเปิดเลื่อนหลังคาออกรับ
สายลมและท้องฟ้ากว้าง แต่นี่มาด้วย "ธุระ
เครียด" เลยปิดหลังคาเปิดแอร์เพื่อเก็บเสียง
ภายนอก เพื่อเอื้อกับการพูดคุยให้ได้ยินกัน
ถนัดๆหน่อย
๕ นาทีผ่านไปโดยไม่มีใครในห้องเอ่ยคำาใด
แต่แล้วในที่สุดคณินทร์ก็หันมายิ้มให้อัคระ
"หนึ่งในรางวัลของการได้เป็นเศรษฐี คือ
เติมเต็มฝันของมนุษย์คนหนึ่งได้ทุกเรื่อง โดย
เฉพาะการเที่ยวไปตามใจชอบ คุณอรรถว่า
ไหม?"
อัคระยิ้มตอบเงียบๆ ปล่อยให้คณินทร์
อารัมภบทไปคนเดียวก่อน
"ว่ากันว่าหลายคนอยากเป็นเศรษฐี ก็เพื่อ
จะได้เป็นเจ้าของเรือยอชหรูๆ พาอีหนูสักสอง
สามคนขึ้นมานอนผึ่งแดดอุ่นๆกลางทะเล ผมว่าก็
จริงของเขานะ เรือยอชกับอีหนูทำาให้รู้ว่ามีเงิน
มากมันดียังไง"
หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า เออออไปด้วยบ้าง
เป็นการไม่ให้อีกฝ่ายพูดอยู่คนเดียวนานไปนัก
"เรือยอชคือสัญลักษณ์ของการออกไปพบ
กับความฝัน"
"ช่าย... ผมเคยได้ยินมาจากไหนนะ ยอช
แปลว่า 'ล่า' คำานี้ติดใจผมมากเลย พอขึ้นเรือทีไร
จะนึกถึงการตามล่าความฝันไปสุดโลกทุกที "
อัคระกะพริบตาย้ิมละไมก่อนเอ่ยอย่างนุ่ม
นวล
"ยอชมาจากคำาในภาษาดัทช์ แปลว่า 'ล่า'
แต่สมัยแรกราชนาวีชาวดัทช์มุ่งใช้คำานี้กับเรือใบ
ที่มีน้ำาหนักเบา แล่นเร็ว ไปไล่กวดโจรสลัดหรือ
พวกหนีกฎหมาย เพิ่งมาต้นศตวรรษที่ ๑๗ นี่เอง
ที่ใช้เพิ่มในอีกความหมายคือกวดไล่แข่งเอาสนุก
กัน"
"อ้าว! งั้นหรือนี่ ฮ่ะๆ... แต่ก็คงไม่ว่ากันนะ
สมัยนี้มันหมายถึงเรือสำาราญ ถ้าจะคิดว่าออกล่า
หาความสำาราญก็คงไม่ผิดหรอกมั้ง"
อัคระพยักหน้าและหัวเราะตาม
"ผมเดานะ" คณินทร์ชี้นิ้วมาทางคู่สนทนา
"คุณอรรถคงไม่ได้รู้แค่ที่มาที่ไปของศัพท์ แต่น่า
จะสนใจการเที่ยวไปในทะเลด้วยเรือของตัวเอง
เหมือนกัน"
"ก็นิดหน่อย แต่ผมชอบยอชเรือใบมากกว่า
ยอชมอเตอร์ "
"เหรอ... ผมก็เคยอยากหัดเหมือนกันนะ
เห็นเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าได้อะไรหลายอย่าง
ไม่ใช่แค่หัดบังคับเรือใบ ต้องศึกษาธรรมชาติลม
และน้ำาให้ดีๆ ใครล่องเรือใบเก่งๆจะช่วยให้เกิด
สัญชาตญาณการควบคุมหลายสิ่งหลายอย่าง
รอบตัว เหมือนรู้หลักว่าต้องให้อะไรๆมันไหลรื่น
สัมพันธ์กัน ธุรกิจถึงจะไปตามทิศที่เราต้องการ
อย่างถูกต้อง"
"น่าจะอย่างนั้น"
"แต่ที่ผมไม่หัดเล่นเรือใบ ส่วนหนึ่งเพราะ
ชอบความสบาย ชอบให้คอมพิวเตอร์ช่วย นี่ถ้า
มาคนเดียวผมก็ขับเองนะ ไม่ได้ต้องมีคนขับ
หรอก เครื่องไฮเทคมันช่วยหมด"
"ถ้าชอบอย่างนั้น ต่อไปคงมีของเล่นมาให้
ท่านสนุกกว่านี้ อย่างที่ซีเทคสร้างยอชดำาน้ำามา
ล่อใจ ท่านอาจเคยได้ยินมาบ้าง"
"เรือยอชดำาน้ำาได้ !" คณินทร์ทำาตาโต
"เหอะๆ ผมไม่เอาด้วยหรอก กลัวดำาแล้วไม่โผล่
ของพวกนี้พลาดนิดเดียวตายโหงเลย... นี่ผมก็
เพิ่งมีเจ้านี่เป็นลำาแรกนะ ซื้อมาสัก ๓-๔ ปีมั้ง ใช้
ยังไม่ค่อยคุ้มเลย ก่อนหน้านี้เช่าเอา... แล้วตอน
นี้คุณอรรถเล่นเรือยี่ห้ออะไรอยู่ล่ะ?"
"ของเพอรินี่ นาวี ชื่อรุ่น มอลตีส ฟัลคอน"
อัคระตอบเสียงเบาแต่เต็มปากเต็มคำา ด้วย
นัยน์ตานิ่งและรอยยิ้มของคนรู้ตัวว่าพูดเรื่องจริง
คณินทร์ขยิบตา ขมวดคิ้วจ้องตาชายหนุ่ม
เขม็ง แทบทุกคนที่บ้าเรือยอชรู้จักมอลตีส
ฟัลคอนกันดี เพราะมันคืออภิมหาเรือยอชสุด
ยอดของความแพง คิดเป็นเงินยูโรคือ ๗๐ ล้าน
แต่ถ้าคิดเป็นเงินไทยตามค่าเงินปัจจุบันจะหนาว
มอลตีส ฟัลคอนเป็นยอชคลาสใหม่ ยาว
ร่วม ๓๐๐ ฟุต น้องๆความยาวสนามฟุตบอล ไม่
เข้าประเภทอื่นๆตรงที่มีทั้งใบเรือสามเสาและ
เครื่องยนต์ไฮเทค จะสลับไปใช้สมองคนหรือ
คอมพิวเตอร์บังคับการขับเคลื่อนก็ได้ ตามแต่ว่า
กำาลังอยู่ในอารมณ์ไหน
ความคิดแวบแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวของ
คณินทร์คือไม่อยากเชื่อ จะมีคนไทยรวยขนาดนั้น
อยู่ในโลกโดยที่เขาไม่รู้จักได้อย่างไร
แต่แล้วบางสิ่งที่ลึกลับและเป็นของจริงใน
อัคระ ก็ทำาให้เขาลังเล เจ้าหนุ่มลูกคางใสคนนี้น่า
ครั่นคร้ามผิดมนุษย์ ขนาดเขามีทุกอย่างและอยู่
มาห้าสิบกว่าปี เข้าหน้าแล้วยังรู้สึกตัวเล็กลงกว่า
เดิมชอบกล
"รวยขนาดนั้น คุณจะมีเวลาอยู่กับยอช
แพงๆคุ้มกับที่จ่ายค่าตัวมันเหรอ?"
"มันก็ไม่ได้ทำาให้ผมเสียเวลาทำางานนี่ บาง
ช่วงผมก็มีความสุขที่จะยึดเรือยอชเป็นออฟฟิศ
อยู่แล้ว อยากไปประเทศไหนผมก็ไปได้ไม่ช้านัก"
"เห็นเขาว่ามอลตีส ฟัลคอนนี่ข้าม
แอตแลนติกใช้เวลาแค่ ครึ่งเดือนใช่ไหม?"
"สิบวัน!"
อัคระตอบตั้งแต่คณินทร์ยังถามไม่จบ ท่าน
รัฐมนตรีขยับตัวนิดหนึ่ง อ้าปากคล้ายจะพูดอะไร
กับอัคระต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันไปมองมะแม
แทน
"เรือลำานี้ผมซื้อใหม่ ถึงจะต้องจ่ายหนักก็
ยอม เพราะผมไม่ชอบของมือสอง"
จู่ๆก็พูดเช่นนั้น ซึ่งมีผลให้มะแมหน้าตึง แต่
ไม่โต้ตอบ เพราะไม่เข้าใจชัดว่าคณินทร์หันมาพูด
กับหล่อนอย่างนี้เพื่ออะไร แต่แล้วก็เริ่มกระจ่าง
เมื่อมีการขยายความ
"ปัญหาคืออีหนูส่วนใหญ่เป็นของมือสอง นี่
คือเรื่องที่ผมนึกขัดใจมาตลอด ผมน่ะหามานาน
แล้ว แต่ไม่เคยเจอนะ ผู้หญิงพรหมจรรย์ที่ยอม
เป็นเมียน้อย"
มะแมชักไม่ชอบสายตาของอีกฝ่ายมากขึ้น
ทุกที แต่ก็ตอบเยี่ยงคนมีความอดกลั้นเป็นเลิศ
"ได้ผลค่ะท่าน... ใช้วิธีพูดตามความคิด
ใหม่ๆที่เกิดขึ้นสดๆ ไม่คิดนำาไว้ก่อน แล้วก็ยิงคำา
พูดที่กวนโมโห เป็นการสับขาหลอกให้สับสน
งุนงง ตัดความสามารถไม่ให้มะแมรู้ใจท่าน"
คณินทร์หงายหน้าหัวเราะดังๆด้วยอารมณ์
สนุกเต็มที่ แต่แล้วก็ค่อยๆลดใบหน้าลง เสียง
หัวเราะหายไป กลายเป็นดวงตาวาวโรจน์น่ากลัว
"ฉันเกลียดอะไรที่สุดอย่างหนึ่งรู้ไหม?
เวลาใครอยากให้ฉันเป็นไอ้หน้าโง่แล้วเอาผู้หญิง
สวยๆมาล่อ ฉันรู้สึกโคตรแย่เลยตอนมารู้ตัว
ทีหลังว่าถูกผู้หญิงหลอก!"
มะแมหรี่ตา ส่ายหน้าน้อยๆอย่างคนอัดอั้น
ตันใจ
"นี่มันอะไรกันคะ มะแมว่าท่านคณินทร์ต้อง
เข้าใจผิดพวกเราอยู่แน่ๆ โปรดบอกมาเถอะว่า
ท่านต้องการอะไร"
คณินทร์ขบฟันแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่ขมับ
ปูด ใบหน้าสวยบาดใจตรงหน้าเหนี่ยวใจให้
ประหวัดไปนึกถึงเมียน้อยคนล่าสุด ที่ทิ้งเขาไป
พร้อมคำาหยามเหยียดกัน ให้แค้นจุกเสียดจนอก
แทบระเบิด
"ฉันจะให้เธอฟังเสียงผัวเมียที่กำาลังสมรู้
ร่วมคิด วางแผนต้มตุ๋นไอ้แก่คนหนึ่ง ฟังแล้วเธอ
น่าจะรู้ว่าผัวเมียคู่นี้เป็นใคร บ้านอยู่แถวไหน"
คณินทร์คว้ารีโมตคอนโทรลจากเบาะข้าง
ตัก กดปุ่มเดียว เสียงจากลำาโพงรอบทิศในเคบิน
ก็ดังขึ้นอย่างแจ่มชัด
"คิดถึงพี่มากเหรอ?"
"ค่ะ... คิดถึง แล้วก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
ด้วย"
"ท่าทางจะสําคัญ"
"ก็น่าจะอย่างนั้นมั้ง... มะแมเข้าถึงตัว
รัฐมนตรีที่พี่อัคเคยบอกไว้ตั้งแต่หลายวันก่อน
แล้วนะคะ"
"มาหามะแมเองเลยใช่ไหม?"
"เฮ้อ! รู้หมดอย่างนี้ไม่สนุกเลย แล้วมะแม
จะเอาอะไรมาเล่าให้พี่อัคฟังเหมือนเรื่องสําคัญที่
ต้องชวนคุยกันต่อล่ะ"
"อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมะแม เรื่องงานนี่พี่เบื่อ
เต็มแก่ รู้ๆอยู่ว่ายังไงอีตาคณินทร์ก็ต้องมาเข้า
ทางมะแมวันยังค่ํา"
คณินทร์รีบกดปุ่มปิดผิดๆถูกๆเพราะมือสั่น
ระริก หน้าแดงก่ำาและยับย่น ไอร้อนกระจาย
พล่านไปทั่วห้อง สะท้อนความคั่งแค้นเหลือจะ
กล่าว
"เสียดายที่แบตฯจัญไรในเครื่องนังตัวเมีย
มันหมด ไม่งั้นฉันคงได้ฟังอะไรเด็ดๆต่อจากนั้น
อีก!"
อัคระยังนิ่งเป็นหุ่นปั้น แต่มะแมทำาท่าคล้าย
หมดเรี่ยวหมดแรง ยกมือกุมหน้าผาก
"ท่านคะ... จะใจเย็นฟังพวกเราอธิบายได้
ไหม?"
คณินทร์ย้ิมสุดเครียดเหมือนไม่อยากพูด
อะไรอีก แต่ก็เค้นเสียงออกมาในที่สุด
"เขาว่ากลางทะเลแถวนี้นะ ปล่อยใครลงไป
เป็นจมน้ำาตายกันทุกคน... เชื่อไหม?"
มะแมกลืนน้ำาลายลงคอฝืดๆ ผืนทะเลกว้าง
ใหญ่รอบด้านทำาให้ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องล้อเล่น
เสียด้วย
ตายไม่กลัว แต่กลัวทรมานจนตายนี่แหละ
หายใจไม่ออกจนดับดิ้นสิ้นชีพนี่คงตั้งจิตให้ดีๆได้
ลำาบากหน่อย
"ท่านเล่นดักฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์กัน
ได้ยินแต่ตรงกลาง ไม่มีต้นไม่มีปลายอย่างนี้ อาจ
เท่ากับว่าท่านยังไม่ได้ยินอะไรเลยก็ได้นะคะ"
"นี่ ! จะบอกให้รู้ตัวไว้ ตอนนี้เธอมันคือนัง
ตัวแสบในสายตาของฉัน ถ้าเล่าช้าไม่ทันใจ หรือ
ทำาให้ฉันจับได้ว่าโกหก ก็จะยิ่งทำาให้ฉันเจ็บใจ
หนักขึ้น และความเจ็บใจของฉันอาจกลายเป็น
ความเจ็บตัวของเธอก่อนลงไปอยู่ก้นทะเล! ฉะนั้น
ถ้าอยากแก้ตัวก็อย่าพล่าม อย่าโยกโย้ เอาแต่
เนื้อๆ"
หญิงสาวแทบไม่มีแก่ใจพูดต่อ ดูท่าคณิ
นทร์จะหมายมั่นปั้นมือจับหล่อนกับอัคระถ่วงน้ำา
แน่ แค่อยากดูเล่นเท่านั้นว่าจะโกหกเอาตัวรอด
ท่าไหน และนั่นก็ทำาให้รู้สึกเหมือนมีอะไรไปอุด
ปากอุดจมูก คิดไม่ออก พูดไม่เป็นเสียแล้ว
"ท่านคณินทร์ ..." อัคระเอ่ยหลังจาก
ประเมินแล้วว่าควรเริ่มเข้าจุดจากตรงไหน "คนที่
วางแผนฆ่าท่าน คือคนที่ท่านนึกไม่ถึง"
"ใคร?"
"จะเอาคนติดต่อเกลี้ยกล่อมคนขับรถของ
ท่าน หรือจะเอาผู้บงการใหญ่ ?"
คล้ายก้อนเครียดในอกของคณินทร์จะ
คลายลง เริ่มกลับมาเป็นคนใจเย็น รับฟังอะไรได้
ใหม่
"ตัวบงการใหญ่เลยก็แล้วกัน"
"ท่านเติม!"
คณินทร์เบิกตาผงะไปนิดหนึ่ง แต่ก็ตั้งสติ
รับฟัง เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเจอเรื่องเหนือ
ความคาดหมายมาเยอะ จนไม่มีเรื่องไหนเกิน
คาดได้อีกแล้ว
"แล้วท่านมีเหตุผลอะไร ในทางปฏิบัติผม
เป็นที่ปรึกษาของท่านแท้ๆ"
"ท่านคณินทร์รู้อยู่แก่ใจ ว่าข่าวเหม็นโฉ่ที่
เกิดขึ้นกับท่านเติมทุกวันนี้ มีใครเอาขี้ไปป้าย
ท่าน"
คณินทร์หายใจขัด คอถูกกดลงต่ำาโดยไม่รู้
ตัว ปิดปากสนิทเพราะสมองชะงักชั่วคราว
"ท่านเติมรู้ตัวว่ากำาลังโดนท่านคณินทร์
เลื่อยขาเก้าอี้อยู่ ทั้งที่ท่านรัก ไว้ใจ และเคยช่วย
ส่งเสริมกันมามาก เดาถูกไหมว่าท่านเติมจะ
เจ็บใจขนาดไหน?"
ใบหน้าของคณินทร์หมองคล้ำา เหลือบตาลง
ต่ำาในอาการคิดหนัก
ถ้อยคำาของอัคระไม่มีที่ติ !
คณินทร์ไม่รู้สึกผิดที่คิดเลื่อยขาเก้าอี้นายก
รัฐมนตรี ในเมื่อเขาและทุกคนที่ "มีสิทธิ์ " ย่อม
คิดกันได้ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าการเมืองคือเกมแย่งเก้าอี้
ที่เหนือกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อแย่งไม่สำาเร็จก็ต้อง
ทำาอย่างนี้แหละ!
เขาสนิทกับท่านนายกฯมากพอจะหยิบจับ
จุดโน้นมาโยงจุดนี้ ขยายผิดน้อยให้เป็นผิดมาก
หรือทำาเรื่องส่วนตัวให้ดูน่ารังเกียจ ไม่สมกับเป็น
ผู้นำา ตลอดจนเอาข้อมูลที่ลับมาขยายในที่แจ้ง
เพียงคณินทร์ใช้คนไปปล่อยข้อมูลกับนักข่าว
อย่างต่อเนื่องหน่อย นักข่าวสืบไปสืบมา ตีไข่
คนละทีสองที ก็ชวนให้เกิดกระแสความเชื่อว่า
ท่านนายกฯเป็นพวกร่วมเพศได้ทั้งชายหญิง แถม
สั่งเด็กชาวเขามากินไม่เว้นแต่ละเดือน
เวลาถูกใส่ร้าย และคนในสังคมเริ่มเอน
เอียงที่จะเชื่อไปแล้ว การให้แก้กลับเป็นดีๆมีกลิ่น
หอมใสอย่างเก่านั้นยาก เพราะคำาให้ร้ายย่อม
เหมือนปมสกปรกเน่าเหม็น ที่เข้าไปผุดฟองฟอด
อยู่ในความทรงจำาของคน ต่อให้คนกุเรื่องคิด
กลับใจ ออกมาคุกเข่าพนมมือยอมรับผิดต่อหน้า
สื่อมวลชน ก็ไม่แน่ว่าคนจะเชื่อหรือเปล่า อาจคิด
ว่ามีการให้สินจ้างกันก็ได้
งานนี้ทำาให้คณินทร์รู้ซึ้งว่าคนเลวเขาเล่นกัน
อย่างไร
กฎของการใส่ร้ายข้อแรก คือ โจมตีก่อนได้
เปรียบ ยิ่งถ้าเหยื่อไม่รู้ตัว ไม่ระวังหลัง ก็ยิ่งเล่น
ได้ถนัด
กฎของการใส่ร้ายข้อสอง คือ โจมตีให้เป็น
อย่าโกหกด้วยวิธียกเมฆ แต่ให้โกหกกันด้วย
ความจริง คือเอาชิ้นส่วนความจริงต่างๆของ
เหยื่อ มาตัดต่อ ประกบประกอบให้เหยื่อกลาย
เป็นปีศาจ
กฎของการใส่ร้ายข้อสาม คือ โจมตีให้ต่อ
เนื่อง ความต่อเนื่องเท่านั้นที่ก่อให้เกิดส่ำาเสียง
นินทาไม่ขาดสาย แล้วเรื่องใส่ร้ายจะกลายเป็น
ความจริงขึ้นมาในใจนักเสพเสียงนินทาไปเอง
ถ้ามีแรงจูงใจมากพอ มนุษย์ทำาครบสามข้อ
นี้ได้ไม่ยากเลย
บางวันเขาก็ถามตัวเองเหมือนกัน ว่าทำา
เรื่องชั่วช้าสามานย์ไปได้อย่างไร แต่ไม่เป็นไร
หรอก เพราะทุกวัน หรือทุกสองชั่วโมง เขาจะย้ำา
บอกตนเองเสมอว่า "ด้านได้ อายอด"
คำาโบราณว่าไว้อย่างนี้ เขารู้สึกดีที่จะจำา
เพราะนึกได้ทีไร สบายใจขึ้นทุกครา
อย่างไรก็ตาม กรณีสั่งฆ่าเขา หากเป็นท่าน
เติมอยู่เบื้องหลังจริงก็คงได้เห็นดีกัน แต่นี่เขาเพิ่ง
ฟังจากปากใครก็ไม่รู้ ให้ปักใจเชื่อทันทีคงง่ายไป
หน่อย
ที่สุดก็เหลือบตาขึ้นจ้องอัคระด้วยประกาย
กร้าว
"มีหลักฐานอะไรให้ผมเชื่อ?"
"เราอยู่กันกลางทะเล ผมไม่มีเครื่องมือ
สื่อสารสักชิ้น ท่านจะให้ผมแสดงหลักฐานอะไร
ล่ะ?"
ท่านรัฐมนตรีขมวดคิ้วมุ่น
"หลังเกิดเรื่อง ผมกินข้าวกับท่านเติมสอง
ครั้ง ไม่จะเห็นมีพิรุธอะไรเลย คนเราสั่งฆ่ากันแล้ว
สบตาไม่กะพริบได้ขนาดนั้นเชียวหรือ?"
"พรรคพวกของท่าน มีใครเล่นละครไม่เก่ง
บ้าง?"
คณินทร์สะอึกก่อนแย้งอีก
"ยังไงก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี ถึงท่านเติมจะแค้น
ผมขนาดไหน ก็คงไม่เสี่ยงทำาเรื่องวิบัติกับตัวเอง
ขนาดนี้หรอก อย่างน้อยก็ในเวลาที่ท่านนั่งเก้าอี้
นายกฯ ถ้าเรื่องแดงทีหลังก็ฉิบหายน่ะซี "
"ทำาตอนคนทั้งประเทศนึกว่าไม่มีทางใช่ น่า
จะเป็นเวลาเหมาะที่สุดต่างหาก"
"คนเล่นงานท่านกันหนักกว่าผมร้อยเท่า
ยังไม่เห็นท่านเคียดแค้นอะไรนักหนาเลย"
"เพราะคนเหล่านั้นประกาศตนเป็นศัตรู
ชัดๆ มันคาดหมายได้อยู่แล้วว่าต้องเล่นงานกัน
แต่ท่านคณินทร์ล่ะ? งานนี้ตัวแปรมันอยู่ที่ความ
เจ็บใจอย่างเดียว! อีกอย่างนะ ถ้าท่านคณินทร์
ตายไป ใครจะเป็นคนซวยรู้ไหม? ก็ศัตรูของท่าน
เติมนั่นแหละที่จะเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรก คุ้ม
หรือไม่คุ้มก็ตรองดู "
"เอาล่ะ..." คณินทร์ทำาเสียงต่ำา "ผมจะไป
สืบความจริงเรื่องท่านเติมทีหลัง มาว่ากันเรื่อง
ของคุณดีกว่า คุณทำามาหากินอะไร ถึงซื้อเรือลำา
ละสามพันล้านได้ ?"
"หลายอย่าง แต่ที่ทำาเงินให้มากที่สุด คือ
เขียนโปรแกรมให้องค์กรลับ มันช่วยให้ทำาเงินได้
เท่าที่ต้องการ"
"ผมไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินชื่อคุณ
เลย"
"ก็เหมือนคนกระเป๋าหนักอีกหลายคนใน
โลก ที่มีเงิน แต่ไม่มีหน้า ไม่มีชื่ออยู่ในลิสต์ของฟ
อบส์ "
คณินทร์เหยียดยิ้มหยัน เรื่องซื้อของแพง
อย่างลับๆไม่ให้ใครรู้นั้นง่าย เพราะบริษัทระดับ
โลกยินดีให้ความร่วมมือปกปิดอยู่แล้ว แต่เรื่อง
ปกปิดชื่อไม่ให้อยู่ในความรู้จัก ทั้งที่รวยระดับ
โลกนี่เห็นทีจะยาก ต่อให้ค้ายาอยู่ในถ้ำาลึกก็เถอะ
"แปลว่าคุณไม่เคยมีชื่ออยู่ในสารบบของ
คนเดินดินให้ตามกลิ่นเจอเลยงั้นใช่ไหม?"
"ก่อนอื่นคุณต้องรู้ชื่อผมให้ถูก ผมไม่ได้ชื่อ
อรรถ แต่ชื่ออัคระ เวลาคุณดักฟังโทรศัพท์อาจ
ได้ยินไม่ถนัด"
"โอเค แล้วผมจะดูข้อมูลของคุณได้จาก
ไหนบ้าง?"
"บนอินเตอร์เน็ตเยอะแยะ คุณสะกดเป็น
ภาษาอังกฤษถูก"
"ได้ ..." คณินทร์ล้วงมือถือมาเปิด
บราวเซอร์ "สะกดมาเลย"
"A-K-K-A-R-A เว้นวรรค M-A-Y-T-H-A-N-A-R-U-B-A-N"
ด้วยสัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
คณินทร์สามารถเห็นลิงก์จากกูเกิ้ลที่เกี่ยวข้องกับ
อัคระจริงๆ แม้ไม่มากมายนัก แต่ก็เจอโปรไฟล์
เด่นสั้นๆ คือจบดอกเตอร์ขณะอายุยังน้อย ปราด
เปรื่องเรื่องไอทีอย่างหาตัวจับยาก สอดคล้องกับ
ที่คุยว่าเขียนโปรแกรมให้องค์กรลับจนรวยไร้
ขอบเขต
ท่านรัฐมนตรีวางกระดานอิเล็กทรอนิกส์ลง
กับเบาะ ก่อนเงยหน้ามองอัคระด้วยสายตาแปลก
ไป
"คุณอยู่เมืองนอกมาตลอดหรือ?"
"ไปๆมาๆ แต่ถ้าถามหาคนรู้จักในไทยที่
สนิทๆ บอกได้เลยว่ายาก"
"แล้วเจอแฟนคุณยังไง?"
"ผมเห็นเขาในนิตยสารซึ่งคุณแม่รับประจำา
แค่เห็นรูปประกอบคำาสัมภาษณ์ก็หลงแล้ว เลยหา
ทางติดต่อ"
"ตามนางในฝัน?"
คณินทร์ถามขำาๆ
"ท่านว่าน่าตามไหมล่ะ?"
เจ้าของเรือหัวเราะลั่น
"สำาหรับผม หุ่นแบบนี้น่าซื้อมานอนโชว์ตัว
บนเรือยอชมากกว่าอย่างอื่น... ขอโทษที ผมฝัน
ไม่เป็น เป็นแต่ฟัน!"
อัคระยิ้มๆไม่ถือสากับอารมณ์ปากสกปรก
ของฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องเหลียวไปมองก็รู้ว่า
มะแมกำาลังขบฟันเบาๆเพื่อระงับโทสะอยู่
"งั้นก็น่าเสียดาย ผมว่าผู้หญิงคนนี้ช่วยให้
คนทั่วไปมีแก่ใจมองโลกดีขึ้นกว่าเดิมนะ"
"ฮื้อ!" คณินทร์ทำาเสียงในลำาคอเบาๆแบบ
ขอค้านหน่อยเถอะ "ถ้าเกิดมาเพื่อช่วยให้คนมอง
โลกดีขึ้น คงไม่เซ็กซี่เกินเหตุขนาดนี้มั้ง ถาม
ผู้ชายส่วนใหญ่ดูสิ เจอเธอเดินผ่านหน้าแล้ว
อยากคิดดี หรือว่าอยากคิดมิดีมิร้าย"
แล้วท่านเจ้าของเรือยอชหรูก็หันไปทางคน
ของตนแล้วพยักหน้าพูดหนักๆ
"แต่งตัวแอ๊บเด็กน่าหม่ำาอย่างนี้กูชอบ ให้
แสนหนึ่งไม่ต่อสักคำา!"
"ต่อครั้งเหรอนาย?"
"เฮ่ย! ขอเหมาทั้งเดือนสิวะ!"
ยักษ์กับเป้ฟังคำาตอบเจ้านายแล้วหัวเราะ
ดังๆ และเสียงประสานสำาเนียงเยาะของชาย
สารเลวก็ระคายโสตจนหญิงผู้ตกเป็นเป้าหมาย
ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
มะแมยังมีส่วนของความเป็นผู้หญิง
ธรรมดาคนหนึ่ง ที่อายได้ รังเกียจการรุมดูถูก
และล้อเลียนทางเพศได้ แต่พอโมโหถึงขีดหนึ่งก็
เกิดสติขึ้นมาเอง จึงทำาเอาหูทวนลม สะกดใจนิ่ง
ฟังราวคำาสนทนาไม่เกี่ยวกับตน
"เอาล่ะ! มาเข้าเรื่องที่ผมยังข้องใจกันต่อดี
กว่า คุณอัคระ... ถ้าท่านเติมจะฆ่าผมจริง ทำาไม
คุณถึงส่งคนไปช่วย?"
"ชีวิตผมอยู่เพื่อทำาอะไรอย่างนี้ ... ที่ผมช่วย
ท่าน เพราะดวงของท่านเป็นแบบรอดตายเหมือน
ปาฏิหาริย์ได้ จากกรรมเก่าที่ท่านเคยไถ่ชีวิต
มนุษย์และสัตว์ไว้จากแดนประหารบ่อยครั้ง"
คณินทร์หัวเราะงงๆ
"เอิ๊ก! ผมเหวอเลยนะเนี่ย นี่อยู่ๆคุณซี้ซั้ว
ยกเอาเรื่องกรรมวิบากมาอ้างเลยเหรอ?"
"ผมจำาเป็นต้องพยายามเข้าจุดให้เร็วที่สุด
ถ้าเต็มใจฟังก็จะค่อยๆรู้สึกว่าตลกน้อยลงไปเอง"
"ก็ได้ ผมจะพยายามไม่ขำา... แล้วที่คุณ
บอกว่าอยู่เพื่อทำาอะไรอย่างนี้ หมายความว่าไง?
ฟังอย่างกับเป็นเทวดาอารักษ์พิทักษ์ชาวโลกงั้น
แหละ"
"ผมทำางานใหญ่ การปกป้องชีวิตใครบาง
คนเป็นงานย่อยที่รวมอยู่ในงานใหญ่ "
"เดี๋ยวจะสับสน ยังไม่ต้องเจาะลึกเรื่องงาน
ใหญ่ของคุณก็ได้ ผมขอถามว่าคุณรู้จุดเกิดเหตุ
ได้อย่างไร ถ้าไม่นัดกันไว้กับคนที่จะลงมือฆ่า
ผม?"
"มันเกี่ยวกับโปรแกรมที่ผมพูดถึงเมื่อครู่
ผมรู้ด้วยวิธีคำานวณตามหลักความสัมพันธ์ของ
สรรพสิ่ง ทุกชีวิตของมนุษย์มีที่ที่เหมาะกับการ
เกิดและการตายตามกรรม"
"แต่ผมว่าทางเปลี่ยวเส้นนั้นมันไม่เหมาะให้
ผมตายตามใจไอ้เชิด คนขับของผมเลยนะ"
"ด้วยความไม่รู้แบบมนุษย์ คนขับรถของ
ท่านเลี้ยวเข้าซอยตามความรู้สึกว่าถึงที่เหมาะ
แต่ที่แท้เขาเลี้ยวตามแรงบังคับจากสิ่งที่มองไม่
เห็น คือวิบากของท่านเอง"
"วิบากของผมกับลูก บีบให้สมควรตาย
อย่างหมาข้างถนนงั้นสิ ?"
"เอาอะไรไปตัดสินว่าคนยศศักดิ์ใดควร
ตายที่ไหน อย่างไร นักการเมืองระดับโลกหลาย
ต่อหลายคนก็ไม่ได้ศพสวย อับราฮัม ลินคอล์น
กับ จอห์น เอฟ เคเนดี้ โดนยิงหัว ราจิฟ คานธี
โดนระเบิดเละทั้งตัว แต่ผู้คนก็ไม่ได้จดจําว่าท่าน
เหล่านี้ตายอย่างไร้เกียรติท่าไหน เขาจํากันว่า
พวกท่านดํารงชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติเพียงใดต่าง
หาก"
"ช่างคิดนะ เอาระดับโลกมาปลอบใจปน
หลอกด่า!"
"ความจริงนะท่านคณินทร์ จุดนั้นเป็นที่ที่
วิบากของลูกชายท่านกำาหนดไว้เป็นจุดตาย แต่
วิบากของท่านกำาหนดไว้เป็นจุดลอบสังหาร
หมายความว่าอาจเสร็จเขา หรืออาจรอดมา
อย่างใดอย่างหนึ่ง"
"เครื่องคำานวณของคุณมันบอกตำาแหน่ง
หรือบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้ยิ่งกว่าพ่อมดหมอดู
อีกหรือ?"
"ถึงบอกไงว่าพอสร้างเครื่องนี้สำาเร็จ ผมก็มี
เงินได้ไม่จำากัด มันบอกถูกหมดว่าลงทุนทำาอะไร
เมื่อไหร่แล้วจะค้าขึ้น ระบุได้กระทั่งเมื่อไหร่หุ้นตัว
ไหนจะรุ่ง แล้วตัวไหนจะร่วง ขอเพียงผูกรหัสของ
สิ่งที่อยากรู้เข้ากับโปรแกรมได้ ... ถ้าไม่เชื่อผมจะ
สาธิตให้ดูเมื่อกลับขึ้นฝั่ง"
คณินทร์ทำาหน้าสงสัย
"หลักการทำางานของมันเป็นยังไง เขียน
โปรแกรมขึ้นตามตำาราไหน?"
"มันรวมทุกศาสตร์เกี่ยวกับการทำานาย
ตลอดจนความรู้ใหม่เกี่ยวกับจักรวาลที่เต็มไป
ด้วยความขัดแย้งในตัวเอง เอามาโขลกรวมกัน
ในที่เดียว เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการ
เคลื่อนไหวของดวงดาว กับทุกจุด ทุกตำาแหน่ง
บนโลก จากนั้นมองสิ่งมีชีวิตเป็นเหตุการณ์ แต่ละ
เหตุการณ์จะมีรหัสประจำาตัวสัมพันธ์กับดาวและ
ตำาแหน่งบนโลกอีกที "
"ตอนฟังอะไรที่นึกภาพตามไม่ออกนี่งงดี
แท้เนาะ... แล้วหลักการคำานวณให้รู้เรื่องของ
คนๆหนึ่งเป็นยังไง?"
"ถ้ายกเอาใครสักคนเป็นตัวตั้ง เราจะบอก
ได้ว่าเขาต้องผ่านพิกัดที่จะเกิดเหตุการณ์สำาคัญ
ในชีวิตเขาตรงไหนบ้าง หรือในทางกลับกัน เรา
อาจกำาหนดพิกัดตำาแหน่งใดๆในโลกขึ้นมา แล้ว
ถามว่าบุคคลที่อยู่ในความสนใจจะผ่านมาตรงนั้น
เพื่อเจอกับเรื่องสำาคัญในชีวิตบ้างไหม"
"ถ้าบอกถูกขนาดนั้น อย่างนี้มันทำานายได้
หรือเปล่าว่าอย่างผมจะมีหวังนั่งเก้าอี้นายกฯกับ
เขาไหม?"
"นั่นแหละคือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ผมช่วย
ท่าน ถ้าท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นผู้นำา
ประเทศที่ดีที่สุดนับแต่เปลี่ยนระบอบการปกครอง
เป็นต้นมา!"
สีหน้าของ "ว่าที่นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด"
สดชื่นขึ้นทันตาเห็น เขามองอัคระนิ่งๆแล้วหัว
เราะเบาๆในลำาคอไม่หยุด ก่อนหุบยิ้ม เปลี่ยน
เป็นจ้องหน้าด้วยรังสีอำามหิต
"สร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะ ครบสูตรต้มหมู
เชียวนะมึง ที่แท้มึงมันก็พวกสิบแปดมงกุฎอีกตัว
ลงทุนสร้างฉาก สร้างเรื่องอำากันเป็นขบวนการ
ไอ้ระยำา!"
อัคระสานตานิ่งไม่หลบ ไม่สะทกสะท้านกับ
เสียงคำารามดุร้ายของเสือลายพาดกลอนเจ้าของ
ถ้ำา
"ถ้าผมอ้างอิงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา
ท่านคงตั้งข้อหาว่าใช้คนตามสืบเอาทุกเม็ด และ
ถ้าผมบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ท่านก็ต้อง
เข้าใจว่าผมยกเมฆอีก... กลางทะเลอย่างนี้ ยังไง
ท่านก็มองคำาอธิบายของผมเป็นลูกไม้ไปหมด
กลับขึ้นฝั่งสิแล้วจะให้ดูว่าผมทำาอะไรได้จริงบ้าง"
คณินทร์หัวเราะหึหึ นัยน์ตาฉายแววพญา
ยมจ้า
"มาถึงตรงนี้ยังนึกว่าจะได้กลับอีกหรือ?"
"ท่านคณินทร์ ที่เราทำากันไป ไม่มีเจตนาอื่น
นอกจากจะช่วยท่าน"
"กูก็ช่วยคนมาเยอะว่ะเฮ้ย แต่ไม่เคยมี
เหตุผลแบบไอ้มดแดงกู้โลกอย่างมึงเลย มึงน่ะ
บอกมาเถอะ มาเฟียระดับโลกใช่ไหมล่ะ กูเห็นแต่
แรกแล้วว่าโหงวเฮ้งอย่างมึงเนี่ย ยึดได้ทีละ
ประเทศจนหมดโลก โดยใช้วิธีคล้ายกับที่ทำากับกู
ไปหลอกผู้นำาหน้าโง่ !"
"เอาเถอะ! แล้วผมจะทำาให้ท่านเชื่อว่าไม่ใช่
อย่างนั้น"
"วันนี้คือวันที่มึงจะเชื่อเรื่องชาติหน้าได้ด้วย
ตัวเองแล้ว ยังคิดจะมาทำาให้กูเชื่ออะไรมึงอีก"
คณินทร์ค่อยๆลุกขึ้นยืนทะมึน ถอยออกไป
สองก้าว เม้มปากยกปืนในมือขึ้นเล็งศีรษะของอัค
ระอย่างส่งสัญญาณมุ่งเอาชีวิตกัน
"กูจะฝากกระสุนไว้ในกะโหลกเหมือนที่มึง
ทำากับลูกชายกู เสร็จแล้วค่อยขยี้เมียมึงก่อนส่ง
ลงไปอยู่ใต้ทะเลด้วยกัน!"
อัคระระบายลมหายใจยาว แววตาเริ่มทด
ท้อ
"วางปืนลงเถอะ ท่านไม่ได้มีอำานาจเหนือ
ผมหรอก ไม่เชื่อลองมองออกไปนอกหน้าต่างสิ "
คณินทร์หัวเราะก๊ากเหมือนคนคลุ้มคลั่ง
"นี่มึงมามุขตื้นแบบเด็กๆขนาดนี้เลยเหรอ
วะ พอกูหันปุ๊บก็แย่งปืนปั๊บ ปัดโธ่ ! รู้ไหมกูเป็น
ใคร?"
"ก็คนที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองคนหนึ่ง"
ยังไม่ทันขาดคำาของอัคระดี คณินทร์ก็
ตาเหลือก หันซ้ายแลขวามองออกไปนอก
หน้าต่างใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงใบพัดตัดอากาศกับ
เครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์กระหึ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กระทั่งรู้สึกถึงคลื่นความสะเทือนจากด้านบนที่ส่ง
ลงมากระแทกหลังคาเรือเต็มแรงอัด
น้ำาลายเหนียวหนับด้วยความรู้สึกคล้ายตก
อยู่ในห้วงฝันร้ายกะทันหัน เรือของเขาถูกตาม
ประกบด้วยแบล็กฮอว์กจากกองทัพบก! มันเป็น
ไปได้อย่างไรกัน?
สถานการณ์พลิกผัน รัฐมนตรีหนุ่มใหญ่หัน
กลับมามองเชลยของตนด้วยใบหน้าซีดเผือด
ตระหนักแล้วว่าอิทธิฤทธิ์ของหนุ่มผู้ถูกคุมตัวคนนี้
ไม่ธรรมดาอย่างไร
นักบินบังคับคอปเตอร์ให้แล่นเหนือเรือด้วย
อัตราเร็วเดียวกัน ในระยะห่างตามแนวดิ่งเพียง
ไม่ถึง ๒๐ เมตร ความสะเทือนสะท้านบนหลังคา
จึงคงเส้นคงวา คุกคามขวัญอย่างต่อเนื่อง
ราวกับเกิดแผ่นดินไหวในอากาศ
ความระทึกที่จู่โจมจับจิต ราวกับมีมือบีบคอ
ให้หายใจขัด พูดไม่ออก คณินทร์ได้แต่กลอกตา
คิดฟุ้งซ่าน กระทั่งมีการหย่อนกระเช้าชักรอกลง
มาเยื้องไปทางขวาใกล้หัวเรือ ดึงสายตาของทุก
คนให้จับจ้อง
คนในเครื่องแบบทหารในกระเช้าถือโทร
โข่งสั่งคนขับว่า
"ในนามของกองทัพบกไทย เราขอสั่งให้
ท่านหยุดเรือ ดับเครื่องเดี๋ยวนี้ !"
ทหารในเครื่องแบบนายนั้นสั่งคำาเดิมซ้ำาๆ
สามรอบ จนกระทั่งกัปตันเรือสั่นกลัว ไม่อยาก
ขัดขืน จึงโยกคันบังคับเพื่อชะลอความเร็วลง
ทำาท่าจะจอดโดยดี
คณินทร์เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงตะโกน
สั่งแข่งกับเสียงคอปเตอร์
"ไอ้เป้ ! มึงไม่ต้องกลัว มันไม่กล้าทำาอะไร
หรอก เร่งสปีดเต็มที่ ถ้ามึงหยุด มันจะหย่อนตัว
ลงท้ายเรือแล้วบุกเข้ามายิงพวกเรากันหมด มัน
เป็นทหารปลอมโว้ย!"
เพียงไม่กี่คำาที่เจ้านายพูด นายเป้ก็เห็นภาพ
และเชื่อตามทันที จึงโยกคันบังคับเพิ่มความเร็ว
ขึ้นใหม่ แถมจังหวะออกตัวยังเบี่ยงทิศเพื่อตีจาก
การคุมเชิงแบล็กฮอว์ก
อัคระส่งเสียงถามคณินทร์
"แล้วท่านจะทำายังไง ออกทะเลลึกไปเรื่อยๆ
จนน้ำามันหมดหรือ?"
เจ้าของเรือหันมาเค้นเสียงตอบ
"กูไม่ต้องทำา มึงนั่นแหละทำา" แล้วก็หันไป
เรียกสมุน "เฮ้ย! ยักษ์ เอามือถือของมึงมาให้มัน
เร็ว!"
เรียกใช้มือถือลูกน้องเป็นการป้องกันเบอร์
ของตัวเอง ยักษ์ลุกขึ้น ควักมือถือจากกางเกง
เดินมายื่นส่งให้อัคระแล้วถอยไปยืนจ้องปืนคุม
เชิงในระยะเกินเอื้อม
"โทร.สั่งคนของมึงให้ถอนกำาลังเดี๋ยวนี้ ไม่
งั้นกูจะยิงเมียมึงทีละนัด ไม่เลือกว่าเข้าที่ไหนก่อน
ที่ไหนหลัง!"
คณินทร์เบนปากกระบอกปืนไปที่มะแม
สายตาประกาศว่าจะเอาจริง ซึ่งก็ทำาให้มะแมใจ
หวิว กระถดตัวหนีเหมือนอยากชำาแรกลำาเรือ
ล่องหนหายไป
อัคระแบมือที่ถือโทรศัพท์เป็นความหมาย
ว่าเขาทำาไม่ได้
"ท่านคณินทร์ ผมไม่ได้ติดต่อกับคนของผม
แบบนี้ พวกเราใช้โทรศัพท์ที่ออกแบบมาสื่อสาร
กันโดยเฉพาะ ผมไม่เคยมีเบอร์เรียกแบบ
ธรรมดาของพวกเขาหรอก"
"อย่ามาหลอกกู ! ทีกับเมียมึงทำาไม
โทร.เครื่องธรรมดาได้ ?"
"เพราะกับเธอ ผมอยากเป็นคนธรรมดา..."
ตอบทันทีด้วยเสียงราบเรียบ "ท่านคณินทร์ ท่าน
เล็งปืนอยู่ที่เธอ ถ้าผมทำาตามคำาสั่งท่านได้ผมทำา
แน่ อย่าเอาชีวิตเธอมาบังคับให้ทำาในสิ่งที่ผมทำา
ไม่ได้ "
คณินทร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
"แล้วที่มันตามมาถูกนี่ล่ะ มึงใช้อะไร
เรียก?"
"ตอนคนของท่านคณินทร์ยึดมือถือของผม
ที่บ้านพ่อแม่มะแม ผมแอบกดรหัสขอความช่วย
เหลือ ซึ่งจะมีกำาลังมาตามตำาแหน่งโทรศัพท์
หมายความว่าป่านนี้พ่อแม่ของมะแมคงปลอดภัย
แล้ว และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม จึงเร่งตามมา"
"มึงมีคนอยู่ในกองทัพด้วยเหรอวะ?"
"ก็อย่างที่ท่านเห็น ยังจะถามไปทำาไม" แล้
วอัคระก็ใช้ความพยายามในการกล่อมต่อ "ท่าน
คณินทร์ ผมให้สัญญาว่าเรื่องนี้จะเงียบ เรายัง
เป็นมิตรต่อกันได้ ปล่อยพวกผมไปเถอะ"
"กูไม่ปล่อย!" คณินทร์ตะคอกสวนทันควัน
"ขืนให้มึงรอดวันนี้ ชีวิตที่เหลือของกูก็อยู่ในมือ
มึงเท่านั้น"
"แต่ถ้าผมตาย ท่านจะเอาแผ่นดินที่ไหนอยู่
เป็นรัฐมนตรีแต่พาคนมาฆ่าแกงกลางทะเลอย่าง
นี้ "
คณินทร์เริ่มงุ่นง่านกระสับกระส่าย แต่แล้ว
ด้วยความที่เผชิญหน้าและจัดการเรื่องฉุกเฉินมา
ค่อนชีวิต จึงคิดออก
"ออกไปที่ท้ายเรือ ส่งสัญญาณให้คนโรย
ตัวลงมาคุยแล้วสั่งถอย ตุกติกนิดเดียวเมียมึง
ตาย!" แล้วก็หันมาสั่งยักษ์ "คุมตัวไป ระวังอย่า
เข้าใกล้รัศมีมือมันล่ะ"
กำาชับเช่นนั้นเพราะคณินทร์เองคบหากับ
พวกชำานาญการต่อสู้ประชิดตัวและฆ่าคนด้วยมือ
เปล่ามามาก เมื่อดูหน่วยก้านอัคระแล้วตั้งข้อ
สงสัยว่ามีสิทธิ์ "เป็นงาน" จึงคิดว่าไม่ประมาทไว้
ก่อนน่าจะดี
"ลุก!"
ผู้ถือแต้มเหนือกว่ากระชากเสียงสั่งเฉียบ
ขาด ซึ่งอัคระก็ผงกศีรษะง่ายๆตามเคย
แต่คราวนี้นอกจากลุกยืนแล้ว อัคระยังแถม
การปฏิบัตินอกเหนือคำาสั่ง ด้วยการสะบัดมือ
เหวี่ยงหมอนบนโซฟาเข้าหน้ายักษ์ ซึ่งยืนทางขวา
ของตนอย่างแม่นยำา จากนั้นสืบตัวอาศัยช่วงขาที่
ยาว ดีดเท้าซ้ายงัดเปรี้ยงเข้าข้อมือขวาของคณิ
นทร์อย่างแม่นยำา ส่งผลให้ปืนในมือหลุดกระเด็น
ไปทางหัวเรือ
ด้วยความฉับไวจนดูแทบไม่ทัน อัคระ
กระโจนเข้าใส่ยักษ์ จังหวะเดียวกับที่หมอนหล่น
จากใบหน้า แล้วสับสันมือเข้าลูกกระเดือกดังฉึก
ส่งผลให้ลูกสมุนตัวใหญ่ตาเหลือกมืออ่อนตีนอ่อน
ปล่อยปืนร่วงลงพื้น ยกมือขึ้นกุมคอไอโขลก เซ
แซ่ดๆทันที
โดยไม่ปล่อยจังหวะให้ขาดตอน อัคระรวบ
ข้อศอกของยักษ์เต็มกำา แล้วเหวี่ยงร่างสูง ๖ ฟุต
หนักร่วม ๘๐ กิโลกรัมสุดแรงเกิดเข้าใส่ร่างของ
คณินทร์ เพื่อให้เกิดการปะทะลงไปกองรวมกัน
ทั้งสองร้องโอ๊กอ๊าก ล้มลุกคลุกคลาน
ทุลักทุเลในมุมแคบ โวยวายเรียกชื่อสัตว์เลื้อย
คลานกันพล่าน อัคระไม่รอช้า คว้าคอเสื้อของ
ยักษ์กระชากให้โงเงขึ้นมาครึ่งตัว แล้วโขกสัน
ศีรษะหน้าของตนเข้าเป้ากลางหน้าผากของฝ่าย
นั้นเต็มเหนี่ยว จนเจ้ายักษ์หน้าหงายอ้าปากหวอ
โลกตรงหน้าว่างหายไปชั่วขณะ
แล้วโดยไม่พักหายใจหายคอ อัคระก็ยืดตัว
ตรง ใช้ตีนหนักๆกระทืบปังเข้าช่วงท้องของคณิ
นทร์ แม้เห็นฝ่ายนั้นมือเท้าชี้ฟ้าก็ไม่ใจอ่อน
กระทืบหนักๆซ้ำาแล้วซ้ำาอีกด้วยตีนเดิม ๖-๗ รอบ
แล้วจึงก้มลงกระชากคอเสื้อขึ้น พอให้คางเข้า
ตำาแหน่งเหมาะ จากนั้นก็ยิงหมัดสอยดาวกร้วม
ส่งรัฐมนตรีเข้านอน เป็นประกันว่าท่านจะไม่ลุก
ขึ้นมาสั่งการใดๆไปอีกพักใหญ่
แต่เจ้ายักษ์หัวแข็งใช้ได้ แม้โดนสันศีรษะ
โขกเข้าหน้าผากจังๆ ก็ยังอุตส่าห์รวบรวม
สติสัมปชัญญะและกำาลังเท่าที่มี โซเซลุกขึ้นหวด
เท้าใส่เป้าหมาย ทั้งที่มึนๆ ไม่รู้ชัดด้วยซ้ำาว่าเข้า
ด้านหน้าหรือด้านหลังของอัคระ
เผอิญจังหวะดังกล่าวอัคระกำาลังงัดหมัด
สอยคางคณินทร์ จึงเปิดลำาตัวรับหน้าแข้งที่ส่งมา
จากยักษ์อย่างเหมาะเจาะ จับเป้าเข้าเต็มท้อง
พอดี ถึงกับจุกแอ้ด ถอยแบบสาละวันเตี้ยลงตาม
แรงอัดมาทางมะแม ซึ่งหญิงสาวได้แต่ร้องวี้ดว้าย
กับการเห็นเขาเสียที แล้วใช้มือและร่างของตน
ช้อนรับไว้ เพื่อไม่ให้เขากระแทกผนังเรือเจ็บตัว
เพิ่ม
ยักษ์สะบัดหน้า สูดลมหายใจลึกขับไล่
ความมึนงง แข็งใจเดินเข้าหาฝ่ายตรงข้ามที่กำาลัง
เพลี่ยงพล้ำา จิกหัวอัคระให้ลุกยืน รู้ตัวว่าขณะ
กำาลังมึนงง ไม่มีอะไรดีไปกว่ากำามือทั้งสองแน่นๆ
แล้วแจกหมัดชุด กระหน่ำาเหวี่ยงซ้ายขวากระแทก
หน้า เอาให้เห็นดาวพราวพร่างเสมอกับตน หรือ
ยิ่งกว่าตน
หมัดของยักษ์หนักเอาเรื่อง อัคระโดนเข้า
เต็มๆ หน้าสะบัดซ้ายทีขวาที แล้วตะกายอากาศ
หงายหลังผลึ่งลงไปทับมะแมอีกรอบ หญิงสาวก
อดเขาไว้ด้วยอาการลนลานอยากปกป้อง แต่ก็
ไม่รู้จะหาอะไรมาปกป้องนอกจากสองแขนของผู้
หญิง
พอได้ยืดเส้นยืดสาย เจ็บไม้เจ็บมือแก้มึน
ประกอบกับเห็นคู่ต่อสู้ลงไปนอนหงายไม่เป็นท่า
ยักษ์ก็แสยะยิ้มตาคมวาว กำาลังใจกลับมาเป็นก
อง ก้มลงใช้สองมือรวบศีรษะของอัคระ กระชาก
ขึ้นมาจากอ้อมกอดของมะแมอย่างง่ายดาย แล้ว
เหวี่ยงเป็นตอปิโด กะให้กระหม่อมพุ่งไปโหม่ง
กระจกฝั่งตรงข้ามตูมใหญ่
แต่อัคระยังไม่สิ้นลาย เขาขืนตัวไว้ สลัด
หัวออกจากมือปาม แล้วอาศัยจังหวะที่อยู่ใต้วง
แขนของยักษ์นั่นเอง หมุนตัวกระแทกหมัดสั้นเข้า
ลิ้นปี่จังเบอร์ เสียงดังตั้บเหมือนทุบมะพร้าว
"โอ๊ะ!"
เจ้ายักษ์ตัวงอคล้ายสำานึกผิดอย่างรุนแรง
อยากหลบหน้าหลบตากัน อัคระไม่ปล่อยโอกาส
ทองให้หลุดมือ งัดหมัดขวาตรงเข้าคางทีหนึ่ง
ด้วยท่าสอยสุดสวย และเมื่อเห็นจังหวะดี ลูกคาง
ยังเปิดลอยอยู่ในอากาศ ก็สวิงซ้ำาด้วยลูกสอย
คางซ้ำาจากหมัดซ้าย กลายเป็นหมัดน็อกคู่บันลือ
โลก ร่างใหญ่หงายตึง ร่วงโครมหมดรูป ยากจะ
ลุกขึ้นมาอีกเร็วๆนี้
อัคระสะบัดมือเปล่าๆทั้งสองข้าง ที่ชกเข้า
กรามแข็งๆอย่างดุเดือดจนซ้น ทำาท่าจะใช้การไม่
ได้ไปชั่วขณะ และขณะนั้นเอง นายเป้คนขับเรือ
ซึ่งหันมาดูสถานการณ์เป็นระยะเห็นท่าไม่ดี ก็กด
ปุ่มให้เรือวิ่งด้วยระบบออโต้ แล้วก้มลงคว้าปืน
ของคณินทร์ที่ตกอยู่ใกล้ตน ก้าวพาร่างอ้วนพีมา
ยืนจังก้า
"พี่อัค ระวัง!!"
มะแมร้องสุดเสียง อัคระพุ่งตัวไปลงหมอบ
หลังเคาน์เตอร์บาร์ด้านซ้ายมือทันที อย่างรู้โดย
ไม่ต้องหันหลังว่าตนกำาลังจะถูกยิง
ฟุต!
กระสุนจากปืนเก็บเสียงแล่นผ่านอากาศ
พ้นร่างชายหนุ่มไปอย่างเฉียดฉิว ปล่อยให้ประตู
กระจกที่ห่างออกไปหลายก้าวรับแทนเต็มๆรู
ลุกขึ้นนั่งหลังกำาบัง สายตาแลเห็นปืนของ
ยักษ์ที่ตกอยู่กลางห้อง แต่แล้วก็ตระหนกเมื่อหาง
ตาเห็นจากเงาเลือนรางของประตูกระจกที่อยู่ด้าน
ซ้าย ว่านายเป้กำาลังเล็งปืนไปทางมะแมเป็นเป้า
ต่อไป และอัคระก็หันไปเห็นสาวคนรักเอาแต่นั่ง
เบี่ยงหน้า หลับตาปี๋ ยกสองมือบังตัวท่าเดียว
วินาทีกะทันหันนั้น อัคระได้แต่ภาวนาให้ทัน
การณ์ กระโจนคว้าปืนบนพื้นแล้วพรวดพราดพุ่ง
เข้าหามะแม ใช้ร่างตนบังอย่างไม่คิดชีวิต
ความจริงเป้เป็นนายเรือที่ฝึกยิงปืนมาบ้าง
ไม่ใช่นักฆ่า ไม่ใช่คนใจคอเหี้ยมหาญโหดร้าย
การเหนี่ยวไกสังหารมนุษย์ยังเป็นเรื่องยากอยู่
เมื่อครู่ที่ยิงอัคระไปนัดแรกก็หูตาพร่ามัว ไม่ทราบ
ด้วยซ้ำาว่าโดนหรือเปล่า ความประหม่าต่อ
สถานการณ์ถึงเลือดถึงเนื้อบีบให้คิดยิงมะแมทิ้ง
อีกคน แต่เมื่อเห็นผู้หญิงไร้ทางสู้ นั่งตัวงอยกแขน
ปิดป้อง ก็ทำาให้ละล้าละลัง สมองหยุดสั่งการใดๆ
ไปชั่วขณะ
กระทั่งอัคระเอาร่างใหญ่ๆมาบัง แถม
พยายามยกปืนชี้มาที่เขา สติแบบคนจวนตัวจึง
กลับเข้าที่ กลั้นใจเหนี่ยวไกในระยะเกือบเผาขน
ด้วยความกลัวโดนยิงก่อน
ฟุต! ฟุต! ฟุต!
นัดแรกเข้าที่ท้อง นัดสองเข้าที่กลางอก
ส่วนนัดที่สามเฉี่ยวหัวทะลุกระจกด้านข้างไปด้วย
ความลนลานของคนยิง เนื่องจากศีรษะเป็นเป้าที่
น่าเสียวไส้ ต้องใช้กำาลังใจเหนี่ยวไกยิงใส่
มากกว่าอวัยวะส่วนอื่น
แต่นัดที่สี่ไม่มี เพราะปืนในมือเป้ร่วงหล่น
ลงพื้นพร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษในสูทขาว
สองคน
"โอ๊ย!"
ร้องลั่นอย่างตกใจที่เห็นมือตนเลือดอาบ
เมื่อพยายามขยับมือ ก็เห็นมือไม่ทำางานเพราะ
กระดูกแตก เป้จึงแหกปากครวญคราง ร่างเซไป
นั่งบนโซฟาทิศเหนือ ด้วยความเจ็บที่ไม่เคยรู้จัก
มาก่อน
มะแมได้ยินเสียงโอ๊ยจากคนขับเรือก็ลืมตา
ขึ้น ด้วยความเข้าใจว่าอัคระยิงฝ่ายนั้น แต่เมื่อ
เห็นบุรุษในสูทขาวสองคนที่กลางห้อง ก็ตกใจ
ระคนยินดี อย่างรู้ว่าตนกับคนรักได้รับความช่วย
เหลือแล้ว
หนึ่งในสองคนนั้นเข้าไปยืนจี้ปืนคุมเชิงเป้
ให้นั่งกับที่ ส่วนอีกคนปราดไปด้านหน้า ซึ่งอึดใจ
ต่อมาเสียงเครื่องก็เบาลงจนเงียบ ความเร็วลด
ลงสู่ความหยุด จากนั้นคนที่หยุดเรือก็รีบรุดกลับ
มาทางหล่อนด้วยอาการร้อนใจ
"คุณไม่เป็นไรนะ?"
มะแมสั่นศีรษะ แต่ขณะนั้นเอง อัคระก็คว่ำา
หน้าฟุบลงให้บุรุษในสูทขาวถลันไปช้อนรับ
"นาย!"
"พี่อัค!"
สองเสียงร้องประสานกันราวกับโดนมีด
กรีดที่กลางหัวใจพร้อมกัน
ที่เมื่อครู่อัคระยังทรงตัวอยู่ได้ ก็เพราะ
ต้องการใช้ร่างเป็นกำาแพงบังกระสุนให้มะแม ต่อ
เมื่อเห็นนาทีวิกฤตผ่านไปแล้ว จึงคลายใจลง มี
ผลให้กายทรุดตาม
"เร็ว! ช่วยกันพานายขึ้นเครื่อง นายถูก
ยิง!"
คนที่อยู่ตรงนั้นหันไปบอกเพื่อน แต่พอนาย
คนนั้นถลันมาช่วยหิ้วปีกคนละข้าง อัคระก็รู้สึกตัว
ฟื้นคืนจากอาการหน้ามืด พยายามสูดลมหายใจ
อย่างขัดข้อง แล้วสั่งลูกน้องทั้งสองด้วยเสียง
เกือบปกติ
"วางฉันลงก่อน"
"แต่นายต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วนเดี๋ยวนี้ !"
"ช่างเถอะ... ขอฉันนั่งก่อนนะ"
หางเสียงแผ่วลง เจืออยู่ด้วยความเข้มแข็ง
และกระแสการวิงวอน เมื่อบริวารของเขายังละล้า
ละลัง อัคระจึงจำาเป็นต้องบอกตามตรง
"กระสุนเข้าที่สำาคัญ ยังไงก็ไม่ทัน ฉันเหลือ
เวลาไม่มาก บอกคอปเตอร์บินไปห่างๆให้เสียง
เบาลงหน่อยเถอะ ฉันอยากคุยกับเธอเป็นครั้ง
สุดท้าย..."
สองบุรุษในสูทขาวถึงกับนิ่งค้าง ดวงตา
เบิกโพลงฟ้องความรู้สึกว่ากำาลังเผชิญหน้ากับ
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีทางเกิดขึ้น
"ขอร้อง..."
เสียงสั่งซ้ำาอีกครั้งทำาให้ทั้งสองรู้สึกตัว และ
ค่อยๆหย่อนร่างของนายลงนั่งอย่างนิ่มนวล
คนอยู่ทางซ้ายถูกอัคระดึงตัวให้ก้มลงฟัง
เสียงกระซิบสั่งการของเขา เสียงคอปเตอร์เหนือ
หัวยังกระหึ่มจนต้องเอาใบหูมาจ่อปาก จึงรับฟัง
เสียงระโหยของเจ้านายได้รู้ความ
ส่วนบุรุษชุดขาวอีกคนลุแก่โทสะ เมื่อ
สำาเหนียกถึงความเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง ก็รู้ว่า
นายร่างอ้วนพยายามก่อการอะไรอีก จึงหมุนตัว
กลับไปเงื้อง่า แล้วส่งหมัดลุ่นๆกระแทกเข้ากลาง
ปากครึ่งจมูกของฝ่ายนั้นแบบไม่ปรานีปราศรัย
พอหมอนั่นถูกตอกให้ทรุดลงไปนั่งแผ่
แทนที่บุรุษในชุดขาวจะหยุด ก็กลับตามไป
กระหน่ำาซ้ำาแบบไม่นับว่ามาจากหมัดซ้ายหรือ
หมัดขวาข้างละกี่ครั้ง เสียงพล็อก! พล็อก! พล็
อก! ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย! ราวกับ
ฉากการซ้อมนักโทษในคุกเถื่อน
ถ้าไม่ติดกฎเหล็กห้ามฆ่าของอัคระ เขาจะ
ใช้ปืนยิงกรอกปากมันเดี๋ยวนี้ !
กระทั่งฝ่ายถูกชกแน่นิ่งไป บุรุษในสูทขาว
จึงหยุดมือลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ ยืนก้มหน้า
จ้องร่างท้วมอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ โดยไม่ทราบ
จะมีข้ออ้างในการทำาร้ายร่างกายต่ออย่างไรดี ใน
เมื่อฝ่ายนั้นหมดสภาพจะลุกขึ้นมาต่อกรใดๆอีก
ระหว่างนั้น อีกคนก็รับคำาสั่งเสียของอัคระ
จนจบ แล้วยืดตัวขึ้นยืนตรง ติดต่อกับพรรคพวก
ที่อยู่บนคอปเตอร์ด้วยโทรศัพท์พิเศษ
"บินห่างออกไปก่อนเหอะ... ใช่ ! รีบไป
เดี๋ยวนี้เลย" แม้จะพยายามสะกดเสียงสั่งให้เข้ม
แข็งเป็นปกติ แต่ในที่สุดประโยคต่อมา ก็อธิบาย
เหตุผลด้วยเสียงสั่นพร่าเยี่ยงคนที่กำาลังจะร้องไห้
"นายกำาลังอยากได้ความสงบว่ะ"
เสียงใบพัดตัดอากาศของแบล็กฮอว์ก
ค่อยๆห่างไปตามลำาดับ บุรุษในสูทขาวทั้งสอง
ช่วยกันลากสามร่างที่แน่นิ่งออกไปทางท้ายเรือ
โดยไม่ต้องนัดแนะ เป็นการปัดกวาดห้องให้
เงียบเชียบไร้สิ่งรกตาแก่อัคระในวาระสุดท้าย
เมื่อองค์ประกอบของฝันร้ายหายไปหมด ก็
เหลือแต่ความนุ่มนวล อบอุ่น และสว่างไสว อัน
เกิดจากการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างเขากับ
หล่อนในเรือกลางทะเลกว้าง
ใบหน้าของอัคระซีดขาว ลมหายใจรวยริน
แต่ประกายตาส่องแววเข้มแข็งกว่าที่เคยเห็นทุก
ครั้ง มะแมยกมือเขาขึ้นกุม มองนิ่งด้วยนัยน์ตา
รื้นน้ำาเป็นครู่ ก่อนส่ายหน้าน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ
และไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
"ทำาไมเป็นอย่างนี้ล่ะ?"
เสียงอ่อนอ่อยน่าสงสารนั้น กลายเป็น
คำาถามที่จุดยิ้มละไมปลอบขึ้นบนใบหน้าของชาย
หนุ่ม
"จะได้แน่ใจว่าเราจากกันทั้งยังรักมากไง"
เหมือนมะแมไม่ได้ยิน หล่อนถามอีกด้วย
ปลายเสียงเครือสั่น
"พี่อัคบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันในโลกใหม่
ไม่ใช่เหรอ?"
อัคระมองคนรักด้วยแววลึก
"พี่เคยบอกมะแมเมื่อไหร่หรือ? มะแมนั่น
แหละเคยเห็นเอง ว่าไม่มีภาพเราอยู่ด้วยกันข้าง
หน้า... ตอนพายเรือคืนนั้น จำาได้ไหม?"
น้ำาตาที่เอ่อจนชุ่ม เริ่มหยาดไหลลงมาเป็น
สาย ตัดพ้อต่อว่าเขาด้วยถ้อยเสียงกระท่อนกระ
แท่น
"ทำาไมพี่อัคไม่บอกมะแมว่าจะเป็นอย่าง
นี้ ... ปล่อยให้มะแมช่วยคนเลวๆอย่างนั้น เพื่อ
เป็นสะพานให้มาฆ่าพี่อัคทำาไม?"
"พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นอย่างนี้ ที่ผ่านมาพี่
อาจจะล้ำาเส้นเกินไป พยายามให้ทุกสิ่งดีผิด
ธรรมชาติ ธรรมชาติเลยโต้ตอบผ่านวิธีที่คนเรา
จะเข้าใจผิดกันอย่างนี้แหละ"
มะแมยกมือปิดหน้า ร้องไห้โฮอย่างเกินทน
กับสิ่งที่กำาลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจ อัคระรอจน
อาการสะอื้นฮักเบาบางลงจึงปลอบต่อ
"มะแมฟังพี่นะ... ชั่วขณะที่ไม่รู้และหลงยึด
ทางผิด คนเราเลวแค่ไหนก็ได้ พี่เห็นความเลว
กว่านี้มามาก และมีชีวิตอยู่ก็เพื่อเปลี่ยนคนพวกนี้
ให้กลายเป็นพวกเดียวกับเรา ไม่ใช่เพื่อเอาเขามา
ลงโทษให้สาสม... มะแมจะอภัยเขาเพื่อพี่ได้
ไหม?"
หญิงสาวกล้ำากลืนรสขมลงคอ เป็นครั้งแรก
ในชีวิตที่รู้สึกยากเย็นแสนเข็ญเมื่อคิดว่าจะต้อง
ให้อภัยใครสักคน จึงไม่รับปากทันที
แต่ลมหายใจที่สะดุดและอาการกัดฟันแน่น
ของอัคระ ทำาให้มะแมรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาม
ร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างลืมตัว
"พี่อัค... อย่าไปได้ไหม?"
"ได้ ... เชื่อเถอะ พี่ไม่ไปไหนหรอก..."
ความเจ็บเสียดรวดร้าวเกิดขึ้นอย่างรุนแรง
รับรู้ถึงสัญญาณชีวิตที่ใกล้ขาดลงของตนเอง แต่
สะกดไว้ด้วยความสุขจากการเห็นดวงหน้าอัน
เป็นที่รัก แม้พร่าเลือนลงทุกที
"พี่อัค... พี่อัคจูบมะแมหน่อยสิ "
ขออย่างรู้ว่านั่นจะเป็นการขอครั้งสุดท้าย
มะแมยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตชายที่ตนบูชาด้วยใจ
ทั้งดวง และอัคระก็สนองด้วยการรวบรวมกำาลัง
ในเฮือกสุดท้ายจูบตอบ แสนสุขกับกลีบปากอุ่นที่
ให้สัมผัสอันเป็นทิพย์นั้น นิ่งนาน
แรงประกบจากริมฝีปากของอัคระขาดหาย
ไป และมะแมก็จูบต่ออย่างอาวรณ์อีกครู่เดียว ถัด
จากนั้นน้ำาตาของหล่อนก็แห้งลง เมื่อความเศร้า
โศกในใจถูกแทนที่ด้วยน้ำาพุแห่งความปรีดา
มหาศาล
วูบใหญ่ที่ส่วนหนึ่งของวิญญาณมะแมได้รับ
รู้ถึงความมีอยู่ของทิพยสภาพอันอ่อนละมุน สว่าง
งาม และยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต รวมลงเป็นความสุข
เยือกเย็น บอกตนเองว่าที่นั่นเหมาะแล้วกับอัคระ
ที่นั่นควรแล้วกับการเป็นรางวัลของคนดี
แล้วควรอยู่หรอกหรือ ที่หล่อนจะร้องไห้
ฉลองการได้เสวยรสสุขอันเหนือมนุษย์ของอัค
ระ?

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๗
"เราฆ่าคุณได้ง่ายพอๆกับบี้มด..."
บุรุษในชุดสูทสีขาว คนเดียวกับที่เคยไป
ช่วยชีวิตเขาไว้ เอ่ยพลางเดินวนไปเวียนมารอบๆ
เขา ภายในห้องลับซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน
วันก่อนชายคนเดียวกันนี้ พูดกับเขายิ้มๆ
หน้าเฉยๆ เหมือนมองโลกลงมาจากยอดเขา แต่
วันนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้าแดง หูแดง และ
เค้นเสียงทีละคำาด้วยอาการของคนฝืนข่มใจอด
กลั้น พยายามระงับอารมณ์ถึงที่สุด เหมือนจมอยู่
ใต้โคลนตมแห่งความพยาบาท ไม่ต่างจากเขา
และคนอีกทั้งโลก
"แล้วทำาไมถึงไม่ฆ่า?"
คณินทร์ถามเนือยๆ แบบไม่รู้สึกว่าเป็นบุญ
คุณที่ได้รับการไว้ชีวิตสักเท่าไร เพราะเดี๋ยวคงมี
การคายเหตุผลออกมา ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าพอ
ทราบเหตุผลแล้วเขาจะรู้สึกดีกับการมีชีวิตต่อ
หรือไม่
"ผมไม่ฆ่า แล้วก็ไม่มัดมือมัดเท้าท่านอย่าง
นักโทษด้วย"
"นั่นสิ เพราะอะไรล่ะ ไม่มัดแบบนักโทษ แต่
มีบทลงโทษโหดๆรออยู่ใช่ไหมล่ะ? ผมรู้น่า"
บุรุษชุดขาวขบกรามกรอด จ้องตากับอีก
ฝ่ายเครียดๆ
"ตัวคุณคือบทลงโทษที่ดีที่สุด สาสมกับสิ่ง
ที่คุณเคยก่อไว้อยู่่แล้ว"
"อย่ามาพูดสำานวนกรรมวิบากหน่อยเลย
คนถือปืนนั่นแหละที่กำาอำานาจลงโทษไว้ในมือ ให้
ผมเดาดีกว่า เดี๋ยวผมคงโดนซ้อมวันละสามเวลา
ก่อนอาหารใช่ไหม?"
"ถูกซ้อมน่ะ เจ็บปวดน้อยไป... สำาหรับคุณ
ไม่มีอะไรทรมานไปกว่าการค่อยๆแก่ตายไปทีละ
วัน!"
คณินทร์หัวเราะหึหึ เบนสายตาไปทางอื่น
อย่างกลัวโดนข้อหาทำาหน้ากวนตีน
"ดี ... คุยกันสไตล์นี้ผมชอบ หัดมีอารมณ์
ขันเสียบ้าง อย่าซีเรียสมาก เดี๋ยวแม่ยายบ่นว่า
เหี่ยวแซงหน้าท่าน"
ชายในสูทขาวหัวเราะหึหึกลับ และคณินทร์
ก็รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนั้นเหนือกว่าเขา
"เดี๋ยวคุณหมดอารมณ์ขันแน่ๆ คุณคณิ
นทร์ !"
"แหม! เสียงคุณนี่น่ากลัวชิบหาย สมเป็น
ทายาทอั้งยี่จริงๆ บอกๆมาเถอะ ชักอยากรู้แล้ว
จะเลียนแบบนรกขุมไหนผมก็ไม่แปลกใจหรอก
ในเมื่อผมทำาเจ้าเหนือหัวของคุณตายห่าไป
ทั้งคน"
"ได้ ! คุณจะได้รู้เดี๋ยวนี้ "
"หนาย... ทำายังงาย? บอกมาหน่อยเร้ว"
เขาเร่งเร้าเย้าๆยั่วๆ ใจรู้สึกเป็นมิตรกับ
คนในชุดขาวนี่อย่างประหลาด อย่างน้อยก็ไม่รู้
สึกขัดกันเป็นคนละขั้วเหมือนอย่างที่รู้สึกกับอัคระ
"บทลงโทษสาหัสที่สุดสำาหรับคุณ ก็ที่ผม
บอกว่าจะให้แก่ตายไปทีละวันนั่นแหละ แต่ไม่ใช่
ทีละวันตามปกตินะ..." เว้นวรรคหรี่ตาครู่หนึ่ง
ก่อนเค้นเสียงเอ่ยเยียบเย็น "เป็นทีละวันที่คุณ
ต้องรู้สึกผิดอยู่ทุกลมหายใจ!"
พูดเสร็จก็กลับหลังหันไปซ่อนหน้า เพราะ
น้ำาตาจะไหลเมื่อนึกถึงคำาสั่งเสียสุดท้ายของอัค
ระ...
"ฤกษ์เกิดแบบคณินทร์ ถ้าตายหรือติดคุกก็
เสียของเปล่า เอามาเปลี่ยนโลกดีกว่า เปิดเผยให้
รู้ทุกอย่าง ยกทุกสิ่งที่ฉันมีให้เขาไป ใช้ความ
สํานึกผิดและเสียใจที่สุด บีบให้เขาพยายามดี
ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะดีได้ !"
งานศพของอัคระจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
เหมือนงานศพทั่วไป แขกในงานส่วนใหญ่เป็น
ญาติฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ไม่ถึงครึ่งร้อย ประกอบ
กับหญิงชายที่เป็นคนของอัคระมาร่วมอยู่ด้วย
เพียงสิบคน โดยต่างก็นั่งสงบเสงี่ยมเหมือนๆกัน
สีหน้าเรียบเฉยเหมือนๆกัน แสดงออกถึงความ
เศร้าสร้อยอาลัยอาวรณ์เจ้านายเพียงด้วยดวงตา
คู่โศกเหมือนๆกัน
แล้วก็ใส่สูทขาวอันเป็นชุดทำางานเหมือนๆ
กัน...
ชาวโลกแต่งดำาไว้ทุกข์ให้คนตาย แต่เป็น
ประเพณีของลูกน้องอัคระ ที่จะแต่งขาวอวยสุขไป
กับเทวดา!
สูทขาวเครื่องแบบทำางานของมะแม กลาย
เป็นชุดเข้ากันได้กับบริวารของอัคระ หล่อนจงใจ
ไม่แต่งดำาเพราะคาดเดาไว้ล่วงหน้าว่าคงเจอกับ
คนของเขาในชุดขาว แล้วก็ได้เจอจริงๆ
ก็แค่อยากรู้สึกอีกครั้ง ว่าหล่อนเป็นคนของ
เขาเหมือนกัน...
วันนี้ทั้งวัน มะแมทำางานตามปกติ ไม่ขอ
ยกเลิกนัดลูกค้า ด้วยความคิดว่าสำาหรับเทพผู้
เป็นสัมมาทิฏฐิ งานที่หล่อนทำานับว่าใช้เป็นเครื่อง
สังเวยเทวาได้ดีที่สุดแล้ว
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มะแมทำางานอย่างมีพลัง
แก้วตาสวยใส น้ำาเสียงไพเราะ ด้วยแรงจำานงที่จะ
เปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกค้าทุกคนให้เป็นไปใน
ทางที่ดีขึ้นให้จงได้
เพิ่งมาร้องไห้ก็เมื่อพบหน้าพ่อแม่ของอัคระ
เพราะทั้งสองกำาลังยืนหน้าเศร้ารับไหว้จากแขกเห
รื่อที่ทยอยเข้าศาลาอยู่ พอเห็นมะแมเดินมาคน
เดียว คุณแม่ก็เบะปากน้ำาตาคลอ ก้าวขาออกมา
อ้าแขนอย่างจะเรียกหล่อนไปกอด มะแมจึงตรง
เข้าไปกอดและร้องไห้ตาม
"ถึงนายอัคไม่อยู่แล้ว ยังไงก็มาเป็นลูกแม่
นะลูกนะ แม่จะได้มีลูกอยู่อีกคนไว้ดูต่างหน้าเขา"
"ค่ะคุณแม่ "
กลิ่นธูปลอยมาตามลม อุปาทานหรือเปล่า
ไม่ทราบ ที่ทำาให้รู้สึกเหมือนกลิ่นหอมจากสรวง
สวรรค์
"นายอัคบอกให้แม่เตรียมใจไว้นานแล้ว ว่า
อาจเกิดเรื่องขึ้น"
มะแมยกมือปาดน้ำาตา ดึงตัวออกห่างและ
ทำาหน้าฉงน
"พี่อัคบอกคุณแม่เกี่ยวกับการตายก่อน
กำาหนดของเขา?"
"บอก..." แล้วอรุณีก็หันไปเรียกคนของตน
ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล "อิ้ว... เอาของที่ฉันฝากไว้มาให้
หน่อยนะ"
"ค่ะ"
หญิงวัย ๓๐ ท่าทางเป็นเลขาฯส่วนตัว
รับคำา และเดินจากไปเพื่อเอา "ของ" ตามที่นาย
คำาสั่ง
"ไปรดน้ำาแล้วมานั่งคุยกันเถอะ วันนี้แม่
อยากคุยกับหนูอยู่คนเดียวเลย"
ว่าแล้วก็เดินนำามะแมเข้าไปในศาลา หญิง
สาวยิ้มให้อัษฎาคุณพ่อของอัคระเศร้าๆและค้อม
กายเดินผ่านท่าน ตามอรุณีเข้าศาลาไป
อัคระนอนยื่นแขนรับน้ำาด้วยสีหน้าสงบ
ราวกับคนนอนหลับ แม้ร่างจะแข็งทื่อเหมือนท่อน
ไม้แล้ว แต่ทุกคนที่เห็นก็ยังรู้สึกถึงอำานาจในตัว
อันน่ายำาเกรง ราวกับเขายังมีชีวิต
มะแมรับขันน้ำารดมือผู้ที่ตนรู้สึกอยู่เสมอว่า
เป็นสามี ศพของเขาให้ความอบอุ่นเป็นสุข เตือน
ให้สัมผัสถึงการมีอยู่จริงของความดีอันยิ่งใหญ่
หล่อนจึงหลั่งแต่น้ำาในขัน โดยไม่หลั่งน้ำาตาแม้แต่
หยดเดียว
จากนั้นหญิงต่างวัยก็หาเก้าอี้ว่างในมุม
ปลอดคนคุยกัน
"ถึงเราจะเคยพบกันแค่ครั้งเดียว แต่แม่ก็
รักหนูมานานนะ นานเท่าที่นายอัคพูดถึงหนู "
"มะแมก็เคารพรักคุณแม่ตั้งแต่วันแรกที่เจอ
กัน และเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้แกล้งพูด ก็ขอให้มะแม
มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้คุณแม่บ้างเถอะนะคะ"
"งั้นเรากินข้าวกันสักเดือนหรือสองเดือน
ครั้งนะ แม่อยากเห็นหน้าหนูเป็นเครื่องเตือนให้
ระลึกถึงนายอัคจริงๆ"
"ด้วยความยินดียิ่งค่ะคุณแม่ ถือโอกาส
กราบขอโทษด้วยนะคะ มะแมอยากมาช่วยดูงาน
แต่วันเหมือนกัน แต่ยกเลิกนัดลูกค้าไม่ได้ "
"ไม่เป็นไร ถ้าลูกเสียงานใหญ่มาทำางาน
เล็กต่างหาก แม่ถึงจะดุ แล้วก็เชื่อว่านายอัคคงไม่
ปลื้มแน่กับการที่คนจะเสียประโยชน์เพราะเขา"
"ค่ะ"
นางอรุณีทอดตามองไปยังตั่งปูผ้าเบื้องหน้า
ที่มีศพของอัคระนอนยื่นมือรับน้ำาแล้วถอนใจ
"ก่อนให้กำาเนิดเด็กสักคน เราไม่มีสิทธิ์รู้ว่า
จะเขาจะโตขึ้นมาทำาให้เราเสียใจหรือภาคภูมิ
ขนาดไหน... สำาหรับแม่รู้แล้ว ถ้าลูกของเราน่า
ภูมิใจมากพอ เราจะภาคภูมิในการเกิดมาของตัว
เองด้วย!"
หญิงสาวยิ้มอย่างเข้าใจซึ้ง
"มะแมก็ภูมิใจที่เป็นคนรักของพี่อัคค่ะ รู้สึก
ว่าการเกิดของตัวเองมีเกียรติพอ!"
อรุณีน้ำาตาคลอ หางเสียงสั่นเครือ
"แม่นึกว่าเขายังอยู่กับแม่นะ มองไปตรง
ไหนในบ้าน ก็รู้สึกว่าเดี๋ยวเขาจะมานั่ง มานอน
มาเดินไปเดินมาเหมือนเดิม"
มะแมยิ้มอย่างเข้มแข็ง และพยายาม
เปลี่ยนภาพในใจคุณแม่ไปอีกทาง
"สิ่งที่พี่อัคทำาไว้ให้ดูต่างหน้า มันมากมาย
เกินกว่าจะรู้สึกว่าเขาหายไปไหนอยู่แล้วค่ะคุณ
แม่ "
"อือ... ก็จริง สมัยแม่ทำางาน มีคนชวนไป
ทำางานกุศล ช่วยเด็กอนาถา ระดมทุนสร้าง
โรงเรียนเยอะนะ แม่ก็อิ่มใจ แต่ทำาๆนานไปแล้วรู้
สึกแห้งๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร... กระทั่งนายอัคพา
ไปดูโรงเรียนสำาหรับเด็กอนาถาที่เขาสร้างมากับ
มือในหลายประเทศ ถึงเข้าใจซึ้งว่าความอิ่มใจที่
มีอายุยืน ต้องมาจากพลังและความน่าสนใจมาก
พอ"
"เช่นอย่างไรคะ?"
"เขาอธิบายรายละเอียดว่าแต่ละที่ มีโจทย์
ท้าทายกี่ข้อ เช่น ทำาอย่างไรจะให้เด็กรุ่นก่อนมีแก่
ใจกลับมาสอนเด็กรุ่นหลัง ทำาอย่างไรโรงเรียน
แห่งนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจของทั้งเมืองรุ่งเรืองขึ้น
ภายใน ๑๐ ปี ... นายอัคไม่เคยแค่โยนเศษอาหาร
ให้ใคร แต่จะสร้างโลกใหม่ขึ้นทุกที่ที่เขาผ่านไป
เสมอ"
"มะแมเคยเห็นกับตามาแล้วค่ะ แค่ระหว่าง
ทางเดินมาขึ้นรถ พี่อัคก็เปลี่ยนโลกอนาคตส่วน
หนึ่ง จากร้ายให้กลายเป็นดีได้ !"
ขณะนั้น เลขาฯของอรุณีนำาซองจดหมาย
กับกล่องหนังแท้มาให้อรุณีอย่างนอบน้อม แล้ว
เดินจากไป
"นี่คือสิ่งที่นายอัคฝากไว้ให้หนู "
"กราบขอบพระคุณค่ะคุณแม่ "
มะแมพนมมือไหว้แล้วรับของมาถืออย่าง
นอบน้อม ใจนึกอยากแกะซองจดหมายอ่าน
อยากแกะกล่องหนังเดี๋ยวนี้เลย เพื่อดูให้รู้ว่าเป็น
อะไร แต่ในเมื่อคุยอยู่กับนางอรุณี สิ่งเดียวที่
ทำาได้คืออดใจรอไว้ก่อน
"ตอนนายอัคบอกว่ากำาลังทำาอะไร และมี
ความเสี่ยงอย่างไร แม่ตกใจเหมือนกัน"
"พี่อัคพูดถึงความเสี่ยงยังไงคะ?"
"นายอัคคงใช้คำาให้แม่สบายใจน่ะนะ เขา
ว่า... การสร้างสวรรค์ให้พวกที่ควรอยู่ในนรก นับ
ว่าเป็นบุญใหญ่ผิดธรรมชาติ เมื่อไหร่ธรรมชาติ
ทนไม่ไหว ก็อาจจัดที่จัดทางบนสวรรค์ให้เขา
เสวยบุญก่อนวัยอันควร"
"แปลว่าพี่อัคเสี่ยงทั้งรู้มาตลอดหรือคะนี่ ?"
"เขาบอกว่าแผนเดิมของธรรมชาติมีอยู่
และธรรมชาติก็มีอำานาจต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
ไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนออกนอกแผนเดิมง่ายๆ
และนั่นอาจหมายถึงมีวิธีกำาจัดอุปสรรคอย่างเป็น
ธรรมชาติ เหนือความคาดหมายได้เสมอ"
"มะแมพอเข้าใจนะคะ ถึงรู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ได้
ทำา และชีวิตตามนิยามสำาหรับคนแบบพี่อัคนั้น
การได้ทํานั่นแหละคือการเคยมีชีวิต!"
พูดเองก็สะท้อนใจเอง ถ้าอัคระทำาสิ่งที่
อยากทำาอยู่บนเส้นทางแห่งความไม่รู้ของมนุษย์
ธรรมดา ธรรมชาติก็คงไม่ว่าอะไร เพราะความ
ไม่รู้จะเป็นช่องทางให้ถูกบ้างผิดบ้าง ธรรมชาติ
บีบให้เกิดผลตามแผนเดิมได้ไม่ยาก แต่นี่เขาเล่น
นอกกติกา รู้ไปหมดว่าทำาอะไรจะเกิดอะไร เพื่อ
ให้แผนร้ายของธรรมชาติผิดเพี้ยน
"แม่ไม่เข้าใจเลย... รู้ทั้งรู้ ทำาไมถึงยัง
ดันทุรังสร้าง แล้วก็ใช้เครื่องพยากรณ์ท้าทาย
ธรรมชาติที่มองไม่เห็นอย่างนั้น"
"พี่อัคเคยพูดกับมะแมค่ะ ทำานองว่าซีอุส
ไม่ใช่เทวดา และไม่ใช่สิ่งที่เทวดาให้มา แต่เป็น
อะไรที่เขาสร้างเองกับมือขณะเป็นมนุษย์ และเมื่อ
ธรรมชาติไม่ห้าม ไม่ขัดขวาง จนเขาสร้างมันได้
สำาเร็จ ก็ต้องมีสิทธิ์ใช้มันได้เช่นกัน"
"อือม์ ... แม่ก็มองในมุมของเขาไม่เป็น
หรอกนะ รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่าธรรมชาติอะไรในเขา
เอื้อให้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผิดธรรมชาติได้ขนาด
นั้น"
"พี่อัคบอกมะแมว่า เป็นผลจากกรรมที่
สั่งสมมาหลายภพหลายชาติ คือเป็นพวกอยาก
เปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ด้วยการเค้นสมอง ลอง
คิดทุกแบบ โดยเฉพาะในแง่ของนักปกครอง ที่
ปรารถนาจะวางคนดีที่สุดให้อยู่ในตำาแหน่งเหมาะ
ที่สุด บุญเหล่านั้นส่งผลให้มีกำาลังสมองมากพอจะ
สร้างซีอุสได้ในชาตินี้ค่ะ"
อรุณีพยักหน้าอย่างเริ่มเห็นภาพที่ใหญ่เกิน
ชีวิตเดียว ได้คิดจนสดใสหายซึม
"อย่างนี้มั้งนะ ที่พระท่านว่าถึงภายนอกจะ
ดูเหมือนเราสร้างทำาอะไรเพื่อคนอื่นแค่ไหน ท้าย
สุดก็ต้องได้กับตัวเอง เป็นภพ เป็นภาวะ เป็น
สภาพที่สมกรรมนั่นเอง นายอัคให้อะไรกับโลก
จนสุดความสามารถ ชาติใดชาติหนึ่งเขาก็
สมควรมีความสามารถเป็นที่สุดของโลกเหมือน
กัน"
ขณะนั้น ใครคนหนึ่งปรากฏตัว กลายเป็น
จุดรวมสายตาตั้งแต่เดินมาจะเข้าศาลา
ฯพณฯ คณินทร์ ร่มโพธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง
กระทรวงพาณิชย์ !
มีการต้อนรับแบบเอิกเกริกเล็กน้อย ใครต่อ
ใครพากันไปไหว้และทักทาย ด้วยความคาดไม่
ถึงของฝ่ายญาติผู้ตาย เพราะไม่มีการแจ้งล่วง
หน้าว่าคนสำาคัญของประเทศจะมาที่นี่ในค่ำาคืนนี้
"อุ๊ย! ท่านคณินทร์นี่ " อรุณีอุทาน "คงรู้จัก
กับนายอัค แม่ไปต้อนรับท่านก่อนนะ"
พูดจบก็ลุกพรวดพราด ทิ้งมะแมไว้ตาม
ลำาพัง ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆทั้งสิ้นว่าสาเหตุ
การตายของลูกชาย ที่แท้มาจากรัฐมนตรีคนดัง
นี่เอง
หญิงสาวหน้าเข้มขึ้น เขม้นมองคณินทร์
อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ว่ายังมีหน้ามางานศพ
อัคระแบบนี้ได้ นี่เขาไม่อายบ้างหรืออย่างไร?
แต่พอเลิกมองหน้าด้วยแก้วตา หันมา
สัมผัสใจด้วยใจ ก็ได้คำาตอบว่าเพราะอายน่ะสิถึง
ได้มา...
อายใจจะขาดทีเดียวล่ะ!
คณินทร์คงได้รับคำาอธิบายจากคนของอัค
ระอย่างกระจ่างแล้วกระมัง คงเชื่อแล้วสิว่าที่ตน
รอดตายจากการถูกลอบสังหาร ก็เพราะอัคระ
อยากให้อยู่ต่อ เพื่อช่วยกันทำาโลกนี้ให้ดีขึ้น
การดักฟังโทรศัพท์อันนำาไปสู่ความเข้าใจ
ผิด นำามาซึ่งความผิดอันใหญ่หลวง ในแบบที่คน
อย่างคณินทร์เกิดสิบชาติก็ชดใช้ไม่หมด!
ระงับโทสะที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ อารมณ์
แบบหนึ่งพลุ่งพล่านอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนใน
ชีวิต ประมาณว่าอยากตรงเข้าไปชี้หน้าด่า
ประจานใครบางคนต่อหน้าธารกำานัลเดี๋ยวนี้ !
เผอิญในวันเกิดเหตุ พ่อแม่ของอัคระไปค้าง
คืนที่ต่างจังหวัด จึงไม่มีใครทราบด้วยซ้ำาว่าอัคระ
มาหาหล่อน แล้วก็ไม่มีใครเอะใจซักถามหล่อน
ด้วย
ก่อนขึ้นฝั่ง คนของอัคระบอกหล่อนว่า
จำาเป็นเก็บเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ ต้องจัด
ฉาก สร้างหลักฐานให้เหมือนอัคระถูกทำาร้าย
ร่างกายโดยคู่อริด้วยความอาฆาตแค้นส่วนตัว
แล้วนำาศพไปทิ้งไว้ในรถ ทรัพย์สมบัติอยู่ครบ มี
ชาวบ้านมาพบและตามตำารวจมากันเอง
ตอนแรกมะแมจะไม่ยอมให้ศพของชายที่
ตนบูชาต้องตกอยู่ในสภาพไร้เกียรติ แต่เมื่อได้
รับการยืนยันว่าเป็นความประสงค์ของอัคระ
หญิงสาวก็จนใจ เขามุ่งเพียงประโยชน์ของคนหมู่
มาก และไม่ต้องการฟังเสียงคัดค้านจากหล่อน
ยามใกล้ตาย จึงแอบกระซิบสั่งคนของเขาโดยไม่
ให้ได้ยินเช่นนั้น
เหมือนมีแผลฉกรรจ์อยู่ในอก หล่อนจะต้อง
ใช้เหตุผลทั้งโลกกี่ข้อสำาหรับการทำาใจให้อภัยคณิ
นทร์ ?
อัคระคงฝึกคนของเขาดี จึงปล่อยคณินทร์
มาเดินนวยนาดภายในวันเดียว ราวกับไม่มีอะไร
เกิดขึ้น แถมก่อนเข้าศาลา คนชุดขาวทั้งหมดยัง
ตรงไปตั้งแถวคำานับไหว้อย่างนอบน้อม ราวกับจะ
แสดงอาการสวามิภักดิ์เจ้านายคนใหม่อีกด้วย
คณินทร์รับการทำาความเคารพจากทุกคน
อย่างพยายามซ่อนสีหน้าเจ็บปวด ประดุจมือที่
ไหว้เขาเหล่านั้นเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจ และ
อาการนอบน้อมเป็นน้ำากรดที่สาดใส่หน้าก็ไม่
ปาน
ท่านรัฐมนตรีใหญ่ก้าวมาอยู่ข้างตั่งรดน้ำา
โดยไม่กล้าแม้ชำาเลืองมองใบหน้าศพให้เต็มตา
เขาใช้ขันรดน้ำาลงสู่หลังมือของอัคระอย่างบรรจง
จากนั้นก็คุกเข่าลงพนมมือไหว้ศพอย่างนอบน้อม
ตัวสั่นเทาอยู่พักหนึ่ง จนญาติๆของอัคระแปลกใจ
แต่ก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าว่าทั้งสองคงมีสาย
สัมพันธ์อันดีกันมานาน และท่านรัฐมนตรีใหญ่ก็
คงส่งจิตคิดพูดคุยกับอัคระเป็นการส่วนตัวนั่นเอง
มะแมสัมผัสได้ว่าคณินทร์ตั้งจิตอธิษฐาน
ขอเป็นข้าทาสอัคระเพื่อชดใช้ความผิดที่ก่อขึ้น!
และสัมผัสนั้นเองก็ทำาให้หล่อนชะงักคิด
อัคระชนะใจคณินทร์ได้ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ผู้มี
น้ำาใจอภัยกับเด็กไม่รู้คิดได้ทั้งโลก
ผู้ใหญ่คือคนมีใจใหญ่ เกินอารมณ์และ
ความเห็นแก่ตัว!
หล่อนกำาลังเป็นผู้น้อยด้วยความมีใจน้อย
จึงถูกความมืดแห่งอารมณ์เกลียดครอบงำาได้อยู่
ถ้าจะย้อนอดีตกัน คณินทร์ก็เคยเป็นฮีโร่
เป็นแรงบันดาลใจ เป็นใครคนหนึ่งที่หล่อนอยาก
เป็น และมีส่วนสำาคัญที่ทำาให้วันนี้ได้เป็น
หล่อนอาจหลงลืมหลายถ้อยคำาดีๆที่มีอยู่ใน
โลกนี้ แต่ไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว กับถ้อยคำา
ของคณินทร์ที่ทำาให้หล่อนเป็นคนกล้า...
แค่ไม่มีความกลัวว่าจะทําไม่ได้ เราก็มีแนว
โน้มจะทําได้ขึ้นมาแล้ว!
นับตั้งแต่ฟังวาทะล้างความกลัวของคณิ
นทร์ มะแมไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรที่หล่อนทำาไม่ได้
อีกเลย การทำางานด้วยความเชื่อมั่นใน
สัญชาตญาณและปฏิภาณเฉพาะหน้าของหล่อน
ทุกวันนี้ ก็มาจากรากของความ "กล้าดี " เพราะ
หมดความกลัวจะทำาไม่ได้โดยแท้
ทำาเรื่องยากสำาเร็จมาหมด แล้วกะแค่อภัย
ให้คนที่ส่งอัคระไปสวรรค์ ชาตินี้หล่อนจะทำาไม่ได้
เชียวหรือ?
ความผิดหวังในตัวเขา ทำาให้สายตาของ
หล่อนเห็นเขาเป็นคนเลวขึ้นมาชั่วคราว ไม่ได้
หมายความว่าเขาจะเลวจริงตลอดไป
อีกอย่าง คณินทร์อยากฆ่าอัคระเพราะ
ความเข้าใจผิด ไม่ใช่วางแผนไว้ก่อนด้วยเจตนา
ชั่วร้ายอันใด สิ่งที่หล่อนต้องหมั่นท่องย้อนไป
ย้อนมาให้ขึ้นใจ คือ คณินทร์ไม่ได้เลวจนน่า
เกลียดชังเท่าที่หล่อนกำาลังรู้สึก
เรื่องน่าเศร้าที่สุดในโลกนี้มีอยู่แล้ว คือการ
ที่คนเกลียดกันอย่างไม่สมเหตุสมผล หรือกระทั่ง
ฆ่ากันด้วยความเข้าใจผิด แต่ที่น่าเศร้ากว่าเรื่อง
น่าเศร้าที่สุด คือเรื่องน่าเศร้าที่สุดเกิดขึ้นซ้ําแล้ว
ซ้ําอีกได้ทุกวัน
คนอย่างหล่อนน่าจะมีส่วนช่วยให้เกิดเรื่อง
น่าเศร้าน้อยลง ไม่ใช่มากขึ้น
พอสอนตนเองเช่นนั้น มะแมก็วางใจเป็น
อุเบกขาได้ ผุดคำาพูดขึ้นในหัวว่า เสียความรู้สึก
ดีๆ ไม่จําเป็นต้องเสียจิตที่เป็นกุศล ถ้ายังรักษา
ความคิดให้เข้าข้างกุศลได้อยู่
หันกลับมาสนใจส่ิงที่อัคระฝากไว้ให้ก่อน
ตาย ค่อยๆบรรจงแกะซองปิดผนึกแบบไม่ให้ฉีก
ขาดเสียรูป ด้วยความตั้งใจว่าจะเก็บไว้ในสภาพ
คงเดิม เป็นที่ระลึกตลอดไป
และนั่นก็คือจดหมายจากเทวดาตัวจริง เป็น
จดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวที่อัคระเขียนถึง
หล่อนด้วยลายมือตนเอง ไม่ใช่วานให้ใครช่วย
ลายมือของอัคระสวย หางอักษรยาวเป็น
บางตัว อ่านง่ายสบายตา แต่ขณะเดียวกันก็ประจุ
แฝงอยู่ด้วยพลังกระทบใจ ชนิดที่ทำาให้มะแมอุ่น
วูบขึ้นมาตั้งแต่อ่านคำาแรก
มะแมจ๊ะ...
ถ้ามะแมได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ก็แปลว่า
สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว
และพี่ก็คงกลับมาหามะแมไม่ได้อีก
แต่พี่สัญญาว่าจะอยู่กับมะแมเสมอ สิ่งที่อยู่
ในกล่องหนังคือแผ่นแก้ว ถูกออกแบบไว้ให้มะแม
ใช้เพียงคนเดียว แค่ถือมันด้วยมือข้างไหนก็ได้
จะมีข้อความจากพี่ให้อ่านทันที
ที่ใช้ว่า "ข้อความจากพี่ " ก็เพราะพี่ทําให้
มันมีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่
ปรุงตามวิธีคิดของพี่ หรือความสามารถในการ
พยากรณ์ของซีอุส
ด้วยการถือแผ่นแก้วไว้ในมือ ซีอุสจะรู้ว่า
ภาวะทางกายและสภาพอารมณ์ของมะแมเป็น
อย่างไร มะแมอยู่ที่ไหน วันเดือนปีใด มีแนวโน้ม
ว่าจะเกิดเรื่องสําคัญดีร้ายขึ้นหรือเปล่า แล้วจะ
ทักทายหรือให้คําแนะนําที่เหมาะที่สุดออกมา
นับตั้งแต่มะแมแตะแผ่นแก้วด้วยมือเป็น
ครั้งแรก ซีอุสจะรับรู้ว่าไม่มีพี่อยู่ในโลกนี้แล้ว
เพราะฉะนั้นการคํานวณทั้งหมดจะตัดตัวแปร
สําคัญในชีวิตมะแม คือตัวพี่ออกไป
อยากเล่นแล้วใช่ไหมล่ะ? ลองเลย! แล้ว
มะแมจะไม่รู้สึกว่าพี่จากไปไหน ตลอดทั้งชีวิตที่
เหลือ
อ้อ! ไม่ต้องทะนุถนอมหรือกลัวมันตกแตก
มากหรอกนะ มันดูเหมือนแก้วบอบบางก็จริง แต่
ที่แท้เป็นแก้วสังเคราะห์ซึ่งแกร่งทนเสียยิ่งกว่า
เพชรสําหรับทําหัวเจาะน้ํามันเสียอีก
พี่ออกแบบให้เหมาะกับมะแมก็ตรงนี้แหละ
ดูเป็นแก้วสวยมีราคา แต่แกร่งกล้าอย่างเพชรแท้
ถ้ารู้สึกรักมัน ก็อาจเพราะว่าเข้ากันได้กับมะแม
นั่นเองนะ
สุดท้ายจากลายมือพี่ขณะยังมีชีวิต รู้ไหม
ว่าพี่ต้องการอะไรเท่ากับความเป็นมหาจักรพร
รดิ ?
ความสุขของมะแมไง!
ถ้ามะแมมีความสุขตลอดไป พี่จะดีใจมาก
รักสุดรัก
พี่อัค
มะแมเม้มปากกลั้นสะอื้น แต่กลั้นอย่างไรก็
กลั้นไม่อยู่ น้ำาตาไหลพรากตลอดเวลาที่อ่าน
ภายในสะเทือนแรง ราวความเศร้าเท่ามหาสมุทร
จะทะลักล้นออกมาจนหมด
หล่อนไม่อยากครอบครองของวิเศษไว้ใน
มือ แต่อยากได้ชีวิตธรรมดาของเขาคืนมาแทน...
ศพนอนอยู่บนตั่ง แต่มะแมไม่เห็นอยาก
มอง นั่นเพราะอะไร? เพราะหล่อนรู้ว่าสิ่งนั้นไม่
ต่างกับท่อนฟืน มันไม่ใช่ตัวอัคระแล้ว
เช่นกัน... ของวิเศษที่เสมือนตัวแทนของ
เขาได้สมจริงขนาดไหน ก็ไม่เห็นน่าติดใจเท่าตัว
เป็นๆได้
แต่อย่างไรก็เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจาก
เขา ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รีบแกะดู
กล่องใส่ของนั้นเป็นขนาดเฉพาะ ประมาณ
๘x๔x๒ นิ้ว หรือพูดง่ายๆว่าใหญ่กว่ากระแบะมือ
นิดหน่อยเท่านั้น ลักษณะฝากล่องเป็นแบบพับปิด
เปิดได้ มะแมกดปุ่มปลดล็อกแล้วเปิดฝาออก
อย่างง่ายดาย ภายในบุนวมฝังอยู่ด้วยแผ่นแก้ว
อย่างที่อัคระเกริ่นไว้ในจดหมาย แต่เป็นแก้วสีดำา
สนิทรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มุมมนทั้งสี่ด้าน ขนาด
๗x๓ และหนาประมาณ ๑/๘ นิ้ว
ความบอบบางชวนให้มะแมแกะออกมา
จากผ้าบุกล่องอย่างทะนุถนอม ถึงแม้จะรู้ว่าเอา
ค้อนทุบไม่แตกดังที่อัคระรับประกันไว้ก็เถอะ
ทั่วทั้งแผ่นแก้วอันบางเฉียบไม่มีปุ่ม ไม่มี
ช่องเสียบใดๆเลย แต่เมื่อมาอยู่ในมือหล่อน แก้ว
ดำาก็แปรสภาพเป็นจอแสดงผล ส่งแสงสว่างเท่า
กระดาษสีขาว และปรากฏกลุ่มอักษรไทยคมชัด
เทียบเท่าหมึกพิมพ์บนกระดาษจริง สิ่งที่ตาเห็นจึง
ไม่ต่างจากหน้าเอกสารบรรจุข้อความสักหน้า
ไม่เอา อย่าร้องไห้นาน พี่จะไม่มีความสุข
ถ้าได้เห็นลงมาจากบนโน้น
มะแมยกมือปิดปากลืมตากว้าง จากร้องไห้
กลายเป็นหัวเราะออกมาฮึหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่
นาทีแรก แผ่นแก้ววิเศษรู้จักและรู้ใจหล่อนจริงๆ
แถมพูดแทนอัคระได้เนียนสนิทเสียด้วย
เริ่มเปลี่ยนใจ ที่เมื่อครู่คิดว่าไม่มีอะไรมา
แทนเขาได้ พออยู่กับแผ่นแก้วนี้นานเข้า หล่อน
อาจเผลอคิดว่าอัคระยังไม่ตายไปจริงๆ
ในมือหล่อนเหมือนเทคโนโลยีของมนุษย์
ต่างดาวที่น่าขนลุก หรือไม่ก็เหมือนสมบัติ
สวรรค์ที่เทวดาใจดีแอบส่งมาให้ใช้ เดาว่าถ้า
จำาเป็น ซีอุสก็อาจส่งภาพคมๆมาให้ดูได้ด้วย
ไม่ใช่แสดงผลแค่ตัวอักษรได้อย่างเดียว
แน่นอน ของขวัญมหัศจรรย์ชิ้นนี้จะอยู่
ติดตัวหล่อนตลอดไป!
หลังจากเสร็จพิธีทั้งหมด แขกเหรื่อก็
ทยอยกลับ มะแมเดินมาจะลาพ่อแม่ของอัคระ
แต่ทั้งอัษฎาและอรุณีต่างก็กำาลังยืนคุยอยู่กับท่าน
รัฐมนตรีใหญ่ไม่เลิก โดยมากคณินทร์จะพร่ำาพูด
ซ้ำาไปซ้ำามาว่ามีอะไรขอให้บอก เขาจะดูแลอัษฎา
และอรุณีไม่ต่างจากบิดามารดาบังเกิดเกล้า
จังหวะหนึ่ง คณินทร์เหลือบมาเหมือนรู้สึก
ถึงกระแสสายตาที่จับจ้องตน เขาผงะนิดหนึ่ง
ก่อนผละจากวงสนทนาแบบไม่สนใจใครอีก เดิน
ตรงดิ่งมาที่มะแมอย่างรีบร้อนในทันใด
"หนูมะแม..."
เขาเรียกทักก่อนถึงตัว และเมื่อมายืนตรง
หน้า ก็สบตาหล่อนไม่หลบ เผยแววสำานึกผิดและ
ยอมรับโทษทัณฑ์จากหล่อนทุกประการ
มะแมถอยห่างก้าวหนึ่งอย่างนึกรังเกียจ แต่
ก็ควบคุมตนเองได้ดี ไม่แสดงออกทางสีหน้า
ทว่าถ้าจะให้ฝืนใจยกมือไหว้ตอนนี้คงไม่ไหวจริงๆ
แม้ทราบดีว่ากำาลังตกเป็นเป้าสายตาเพ่งเล็งจาก
รอบด้าน ว่าทำาตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ก็เถอะ
"ขอเวลาผมสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม จะให้ไป
ที่บ้านของหนูก็ได้ "
รู้ทั้งรู้ว่าจิตวิญญาณของคณินทร์
เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่
ความทรงจำาอันเลวร้ายของหล่อนยังเปลี่ยนตาม
ไม่ได้
"มีธุระอะไร?"
ถามเสียงห้วน แม้ออมอารมณ์เต็มที่แล้ว
"ผม... ผม... ขอโอกาสสักครู่เดียวจริงๆ
ได้โปรดเถอะ"
เสียงนั้นไม่ดัง แต่ก็ไม่เบาขนาดคนเดินผ่าน
ไม่ได้ยิน มะแมเกรงจะกลายเป็นที่สงสัยของพ่อ
แม่อัคระ จึงรับอย่างเสียไม่ได้
"ไปเจอกันที่บ้านก็แล้วกัน"
แล้วหล่อนก็ทำาหน้าปกติ แยกตัวเดินมาไหว้
อัษฎากับอรุณี
"คุณพ่อคุณแม่ขา มะแมลากลับก่อนนะคะ
แล้วพรุ่งนี้จะมาในเวลาเดิม... เผอิญท่านคณินทร์
มีเรื่องจะคุยกับมะแมค่ะ"
รีบอธิบายเสร็จสรรพโดยไม่รอให้ผู้ใหญ่ไถ่
ถาม ซึ่งทั้งสองคนก็เดาว่าคงเป็นเรื่องลึกลับตาม
อาชีพของหล่อน จึงพยักหน้าเข้าใจอย่างง่ายดาย
"งั้นไปเถอะ เดี๋ยวท่านจะรอ"
มะแมขับรถมาถึงก่อน และคณินทร์ก็จำา
ซอยบ้านได้แม่นดี ตามมาได้ถูก ซึ่งนั่นคงเพราะ
แต่แรกหมายตาหล่อนไว้เป็นพิเศษ จึงสังเกต
สังการายละเอียดรอบด้านทั้งหมดไว้ และบอก
ทางคนขับรถได้ไม่ผิดพลาด
เปิดไฟและเปิดแอร์ที่ชั้นแรก แต่ไม่หาน้ำา
มาให้ ไม่เชื้อเชิญให้นั่ง เอาแต่จ้องนิ่งด้วยแวว
เย็นชาสนิท
"ต้องการอะไร?"
ถามเสียงแข็งเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามายืน
ทื่อ และคำาพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำาประกอบท่าทีไม่
ยินดีต้อนรับของเจ้าของบ้าน ก็เล่นเอาคณินทร์
พูดไม่ออก จนมะแมต้องแนะ
"ถ้าอยากพูดว่าขอโทษ ก็พูดเสีย แล้วกลับ
ไปได้ !"
"เปล่า... ไม่ใช่ "
คณินทร์ก้มหน้าด้วยความหม่นหมอง
"แล้วงั้นเรื่องอะไร? พูดมาให้จบๆ ดิฉันไม่
ต้องการมองหน้าคุณนานกว่านี้ !"
หญิงสาวชมตัวเองที่รักษาความเป็นมะแมผู้
แสนดีไว้ได้ ทั้งที่ปากเกือบหลุดสรรพนามสมัย
พ่อขุนรามคำาแหงออกมารอมร่อ
"ผมไม่ได้มาเพื่อขอให้หนูอภัย..."
แล้วท่านรัฐมนตรีวัยห้าสิบก็ทำาในสิ่งที่
มะแมนึกไม่ถึง คือคุกเข่าลงคลานเข้ามาหา และ
น้อมตัวก้มลงกราบ เอาหน้าผากแตะหลังเท้า
หล่อน
มะแมตัวเย็นเฉียบ นั่งแข็งทื่อทำาอะไรไม่ถูก
ไปชั่วขณะ ก่อนรู้สึกตัวหดเท้าหนี เพราะอย่างไร
เขาก็รุ่นพ่อ หนำาซ้ำายังเคยเป็นขวัญใจในวัยที่
ต้องการฮีโร่นำาทาง
"ท่านคณินทร์ นี่ท่านทำาอะไรของท่านคะ?"
ใจอ่อนยวบ คืนคำาเรียกผู้สูงศักดิ์ให้เขา
เรียบร้อย
คณินทร์ดึงร่างขึ้นนั่งคุกเข่า แต่ยังไม่ลุกไป
ไหน แสดงความตั้งมั่นในกิริยานั้น หาใช่เป็นการ
เผลอทำาเพียงครู่
"ผมกราบขอขมาคุณอัคระไม่ได้ ก็ขอยืม
เท้าของหนูเป็นบาทเทวรูป แทนท่านที่ไปสถิตอยู่
เบื้องบนโน้นเถิดนะ"
มะแมกะพริบตาถี่ๆ ก่อนมองคณินทร์ด้วย
แววหวั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากอารมณ์ปั้นปึ่งแข็ง
กระด้างเมื่อครู่ของตนเอง มีผลสืบเนื่องให้รู้สึกไม่
คู่ควรกับการเป็นตัวแทนของอัคระ ผู้มีความนุ่ม
นวลพร้อมอภัยให้ทุกคนตราบจนวาระสุดท้าย
บุรุษตรงหน้า ผู้เผยนัยน์ตาเจ็บปวดสาหัส
จากพิษแห่งความรู้สึกผิด กำาลังแสดงให้เห็น
ประจักษ์กระมัง ว่าทุกอย่างกำาลังเป็นไปตาม
ปรารถนาของอัคระ คณินทร์คนเดิมถูกฆ่าตายไป
แล้วกลายเป็นใครอีกคนที่เหมือนจะไม่อาจเลวได้
อีกแม้เพียงด้วยความคิด เพราะความรู้สึกผิดที่มี
อยู่ใหญ่หลวงนัก ครุวนาดั่งภูเขาหินทับอกให้
อึดอัด ยังไม่แน่ว่าต่อให้เพียรทำาดีชดใช้ไปจน
ตาย จะได้ยกภูเขาออกจากอกสำาเร็จไหม!

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๘
คนรักที่หายไป คือส่วนหนึ่งของใจที่หาย
ตาม
แต่สิ่งที่คนรักของมะแมฝากทิ้งไว้ ช่วย
ตามใจหล่อนกลับมาได้เกือบเต็มดวง แผ่นแก้ว
มหัศจรรย์ประพฤติตนได้เสมือนเป็นตัวแทนขอ
งอัคระจริงๆ ทว่าเป็นอัคระในรูปของเทวดาทาง
จดหมาย ไม่ใช่หลังจากปรากฏกายให้เห็นแล้ว
ยิ่งอยู่กับมัน ยิ่งประคองมันไว้ในมือ ก็ยิ่ง
นึกพิศวาสความงามเฉียบ และยิ่งเห็นวิธีแสดง
ข้อความของมันมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใจ "วิธี
ใช้ " อันน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น
อุปกรณ์ชิ้นนี้ไปไกลเกินนาโนเทคโนโลยี
ด้านคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสักกี่สิบปีก็ไม่รู้ รู้แต่
ว่าถ้าลูกแก้ววิเศษในเทพนิยายมีจริง เผลอๆก็
อาจเทียบแผ่นแก้วอิเล็กทรอนิกส์ของอัคระไม่ได้ !
แผ่นแก้วจะใช้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของ
ลายนิ้วมือหล่อนเป็นตัวกระตุ้นให้ทำางาน สายตา
และคลื่นความคิดของหล่อนจะถูกสแกนทันที 
เพื่อส่งข้อมูลทางร่างกายและอารมณ์ไปให้ซีอุส
จากนั้นซีอุสจะประมวลผลเพื่อส่ง "คำาทักทาย" ที่
เหมาะสมมาให้
บางทีมะแมเล่นกับความคิดและอารมณ์
แกล้งร้องไห้สำาออยเรียกความสงสาร แผ่นแก้วก็
ตอกแทบหน้าหงายว่า
แกล้งร้องไห้เล่นๆเสร็จ อย่าลืมหัวเราะ
จริงๆด้วยล่ะ
ซึ่งนั่นก็มีผลให้มะแมเปลี่ยนจากร้องไห้เป็น
หัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอน และจูบแผ่น
แก้วซ้ำาแล้วซ้ำาเล่า
แต่ถ้าเมื่อใดหล่อนร้องไห้คิดถึงเขาขึ้นมา
จริงๆ ซีอุสก็จะปลอบด้วยถ้อยคำาอันทรงพลังเทพ
แทน
ความรักมักตามหาตัวเราเจอก่อน เหมือน
อยากยกเราลอยขึ้นฟ้า เพื่อรอความตายตามมา
เจอตัวในภายหลัง แต่อย่ายอมให้ความตายของ
พี่ทุ่มมะแมลงมากระแทกพื้นนะ รักษาใจไว้บนฟ้า
อย่างเดิมเถอะ เพื่อที่ความสุขของเราจะได้เสมอ
กันตลอดไป
อัคระคงคิดถ้อยคำาเตรียมไว้หลากหลาย
อย่างรู้ว่าต้องใช้บ่อยในช่วงแรกๆที่เขาจากไป
เพราะซีอุสปลอบแต่ละครั้งไม่เคยมีซ้ำากันเลย ถ้า
ไม่ช่วยให้ยิ้ม บางทีก็ถึงขั้นจี้เส้นให้หัวเราะขำาไป
เรื่อย
เพิ่งซึ้งว่าอัคระรักหล่อนขนาดไหน เขาใช้
เวลาอันมีค่าในชีวิตไปไม่น้อย เพื่อช่วยให้หล่อน
หายเศร้าล่วงหน้า มะแมคัดลอกทุกคำาจากแผ่น
แก้วใส่สมุดบันทึก เพราะหวังจะอ่านซ้ำาไปซ้ำามา
จนวันตาย
เมื่อไม่มีทางใดๆติดต่อกับเขา บางวันมะแม
ก็หาอะไรทำาเล่น เช่น ส่งเมสเสจมือถือไปที่เบอร์
ของอัคระว่า "คิดถึงนะคะท่าน..." แล้วลงท้าย
"จาก - ลูกไก่ในกำามือ"
เมสเสจนั้นอาจสาบสูญไปกับเครื่องที่
ปิดตายตลอดกาลก็ช่างเถิด อย่างน้อยหล่อน
เป็นสุขแล้วกับการมีวิธีส่งข้อความถึงเขาบ้าง
แผ่นแก้วจะปิดตัวเองเมื่อเห็นว่า "ไม่จำาเป็น
ต้องพูดต่อ" แต่ถ้าจำาเป็น ไม่ว่าวันไหนหรือ
ชั่วโมงใดมีเรื่องที่หล่อนควรต้องรู้ แผ่นแก้วจะ
ปลุกตัวเองจากสภาพหลับ แล้วส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง
ไพเราจากลำาโพงบางจ๋อย กับทั้งแสดงข้อความ
สไตล์เทวดาทางจดหมายให้หล่อนอ่าน
อัคระโปรแกรมให้ซีอุสช่วยดูแลหล่อนแบบ
เป็นเงื่อนไข กล่าวคือเมื่อมะแมยังทำาอาชีพนี้อยู่
แต่ละวันจะเจอลูกค้าสำาคัญแบบใดบ้าง โดยค่า
ความสำาคัญวัดจากศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง
ตนเองและโลกรอบตัว
แต่อันเนื่องจากไม่มีการสืบข้อมูลลูกค้าเป็น
คนๆเหมือนช่วงที่อัคระสั่งการเอง ซีอุสจึงบอกได้
เพียงคร่าว เช่น วันนี้จะมีลูกค้าที่กำาลังใกล้
หมดตัวมาหา ให้เงินเขาไปใช้หนี้และสร้างเนื้อ
สร้างตัวใหม่ เขาดีพอจะได้รับความช่วยเหลือให้
เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง
มะแมอึ้งสองชั้น ชั้นแรกคือได้พบกับคนที่มี
ลักษณะตรงตามคำาทำานาย ชั้นที่สองคือเข้าใจ
แล้วว่าที่อัคระให้มาแต่ละอย่างล้วนมีความหมาย
เงินร้อยล้านในธนาคาร คือความสามารถที่
หล่อนจะช่วยผู้สมควรได้รับการช่วยไม่จำากัด ไม่
เฉพาะแค่ให้คำาแนะนำาและแรงบันดาลใจเหมือน
แต่ก่อน
หล่อนกลายเป็นช่องทาง เป็นเครื่องมือ
เปลี่ยนโลก ที่อัคระทิ้งไว้หลังจากหาชีวิตไม่
แผ่นแก้ววิเศษน่าขัดใจอยู่อย่างเดียว คือ
ไม่มีปุ่ม ไม่มีที่กดให้หล่อน "ขอ" อะไรได้เลย มัน
ช่างไม่ต่างจากช่วงที่รับจดหมายจากเทวดา คือมี
สิทธิ์แค่รับสารจากเทวดา ตามแต่เทวดาจะเห็น
ควร
แม้จะไม่ทรมานใจเท่าเมื่อก่อน ตอนได้รับ
การสื่อสารทางเดียว แบบไม่รู้ว่าใครเป็นต้น
แหล่งส่งสาร แต่ตอนนี้ก็ทรมานใจไปอีกแบบ คือ
อาจเอื้อมไปแตะต้องคนส่งสารไม่ได้แล้ว...
สรุปคือหลังจากชายอันเป็นที่รักทิ้งหล่อนไว้
ในโลกนี้ตามลำาพัง หล่อนกลับมาเป็นคนเดิม
เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน ที่ชีวิตไม่รู้จัก และไม่
เคยมีอัคระอยู่ด้วย แต่ขณะเดียวกันก็กลายเป็น
คนใหม่ ที่ทำางานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจริงไปแล้ว
และน่าจะตลอดชีวิตที่เหลือด้วย!
กลายเป็นความเคยชิน ที่พอสระผมแล้ว
มีน้ำาจากฝักบัวช่วยพราง มะแมจะถือโอกาสหลั่ง
น้ำาตาออกมาด้วย มันช่วยให้ไม่รู้สึกถึงน้ำาตา และ
เหมือนไม่ได้ร้องไห้
โล่งกับการมีสักครั้งในหนึ่งวัน ที่ได้ระบาย
ความอัดอั้นสะสมออกไปเสียบ้าง แต่เย็นนั้นเป็น
ครั้งแรกที่อาบน้ำาได้โดยไม่มีน้ำาตา คล้ายบ่อน้ำา
ตาเหือดแห้งแล้วจริงๆ แม้เช้ามืดที่ผ่านมา ตอน
นั่งสมาธิก็เลิกอ้อนวอนขออัคระให้มาปรากฏใน
นิมิตแล้วด้วย หลังจากขอแล้วขออีกมาเป็นเดือน
ก็เหลวเปล่า
เขาคงคิดว่าทิ้งที่ระลึกให้ดูต่างหน้าไว้เกิน
พออยู่แล้วกระมัง ช่างเถอะ หล่อนก็ควรเลิกคิด
เรียกร้องในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจจะให้เสียที
ออกจากห้องน้ำา แต่งตัวเสร็จ เสียง
โทรศัพท์สมัยสงครามโลกก็ดังกรีดอากาศเงียบ
คล้ายฟ้าร้องโดยปราศจากเค้าเมฆฝน
มะแมชะงักงัน ใจเต้นระทึก เกือบก้าวขาไม่
ออก
บอส!
แลมองกระเป๋าอันเป็นที่อยู่ของ "มือถือ
พิเศษ" ด้วยความรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงครั้ง
ใหญ่กำาลังมาเคาะประตูชีวิตอีกครั้งหนึ่งแล้ว...
บอสไม่ติดต่อเสียนานจนเริ่มรู้สึกห่างเหิน
ความประหม่าแบบเด็กกลัวผู้ใหญ่จึงโจมจับใจอีก
เมื่อก้าวเดินช้าๆไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มรับ
สาย
"สวัสดีค่ะ"
พยายามคุมเสียงเป็นปกติ และหล่อนก็น่า
จะทำาได้ดีพอใช้
"เธอมาเจอฉันได้แล้ว!"
เซธเอ่ยง่ายๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยตามความเคย
นิสัยจอมบงการ และนั่นก็บีบให้มะแมอึกอัก
หัวใจเต้นแรงขึ้นไปอีก
"หนูถึงระดับห้าตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?"
"เอาเป็นว่าถึงแล้วก็แล้วกัน"
"แล้ว... ต้องเดินทางเมื่อไหร่ ?"
"พรุ่งนี้บ่ายโมงตรง!"
"หา!" หญิงสาวร้องเสียงหลง "จะต้องไป
ประเทศอะไร หนูจะเอาวีซ่ามาจากไหนทัน?"
"ฉันทำาให้เรียบร้อยแล้ว"
มะแมทำาหน้าฉงน แต่เมื่อนึกได้ว่ากำาลังคุย
อยู่กับใครก็ทำาหน้าปกติ
"เอ่อ... แล้วต้องไปกี่วันคะบอส?"
"อย่างน้อยก็อาทิตย์นึงเต็มๆ"
"กระชั้นขนาดนี้หนูจะยกเลิกนัดหมาย
ลูกค้าไปทั้งอาทิตย์ได้ยังไง?"
"ฉันจะส่งคนของฉันที่พูดไทยได้คล่องไป
ช่วยแทน"
"คนของบอส... เอ่อ... ทำาได้อย่างหนู
หรือ?"
เซธหัวเราะหึหึ
"ไม่น่าถามเลย ว่าแต่อิดเอื้อนอย่างนี้ตกลง
อยากมาหรือเปล่า?"
มะแมตาโต รีบละล่ำาละลักอย่างกลัวเขา
เปลี่ยนใจ
"ถามได้ ... อยากสิคะบอส! พอวางสาย
เสร็จหนูจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดี๋ยวนี้เลย!"
ขั้นตอนทั้งหมดเกี่ยวกับการผ่านด่าน
ออกนอกประเทศ รวบยอดมาไว้ที่ห้องรับรอง
พิเศษแห่งเดียว มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกับ
เจ้าหน้าที่ศุลกากรมารอประทับตราพาสปอร์ต
และตรวจกระเป๋าให้ที่นั่นเสร็จสรรพ
เด็ดกว่านั้นคือมีคนจากแผนกกงศุล สถาน
เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ ถ่อมาถึงที่เพื่อจัดการ
เอกสารออกวีซ่าชนิดใช้ด่วนชั่วคราวให้ มะแมแค่
ถ่ายรูปกับเซ็นไม่กี่แห่งก็เรียบร้อย
หญิงสาวไม่รับของว่างที่การท่าฯจัดมา
เสิร์ฟ แต่ขอตัวลงมาขึ้นรถเพื่อพาไปสู่เครื่องทันที
เห็นแต่ไกลขณะอยู่ในบัสขนส่ง เครื่องบิน
เจ็ตหน้าแหลมทันสมัย กัลฟ์สตรีม จี๕๕๐ สอง
เครื่องยนต์ จอดเด่นเป็นสง่า รอคอยหล่อนให้
ก้าวขึ้นไปนั่ง นี่คือประสบการณ์ที่แปลก แตกต่าง
ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวไม่ปะปนกับชาวโลก
อย่างยิ่ง
มีพนักงานของการท่ามาช่วยหล่อนขน
กระเป๋าเมื่อรถบัสจอด มะแมเดินตัวเปล่าไปขึ้น
บันไดเตี้ย ๙ ขั้น ก็ได้มาอยู่บนเครื่องแล้ว
อากาศในนั้นฉ่ำาเย็น ปลอดโปร่ง และหอม
รวยริน ทำาให้รู้สึกถึงการเดินทางยาวไกลที่จะไม่
ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียเหมือนห้องโดยสารใน
เครื่องบินทั่วไป ที่ระบบปรับอากาศให้ความ
สดชื่นได้ไม่มากเท่า
หน้าต่างรูปไข่ข้างละ ๗ บานให้ทัศนวิสัย
ภายนอกได้กว้างขวาง รับแสงธรรมชาติได้
มากกว่าที่มะแมเห็นในเครื่องอื่น พื้นที่โอ่โถง
สำาหรับห้องผู้โดยสารตลอดความยาว ๑๕ เมตร
เศษ จัดแบ่งเป็น ๔ โซน ซ้ายขวาเป็นเก้าอี้ใหญ่
ปรับเอนนอนได้ หันเข้าหากันข้างละคู่
บรรยากาศโดยทั่วไปตกแต่งไว้แบบ
อเนกประสงค์ คือเป็นได้ทั้งสำานักงานเคลื่อนที่
และทั้งอากาศยานสำาหรับการท่องเที่ยว
พนักงานต้อนรับเป็นสาวผิวขาวผมทอง
เพียงคนเดียว เธอยิ้มทักทายอรุณสวัสดิ์มะแม
เป็นภาษาอังกฤษ และผายมือน้อยๆเป็นการเชื้อ
เชิญให้เดินตามไป
บนเครื่องไม่ได้มีหล่อนเป็นผู้โดยสารคน
เดียวอย่างที่คิด ตอนกลางด้านขวาของลำามีผู้
หญิงคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ และ
มะแมก็ถูกพาตัวมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหล่อน
คนนั้น โดยไม่มีคำาแนะนำาใดๆทั้งสิ้น
พนักงานต้อนรับเพียงถามมะแมตาม
ธรรมเนียมว่า
"จะรับเครื่องดื่มเป็นอะไรดีคะ ชา กาแฟ
หรือน้ำาผลไม้ ?"
"ยังไม่รับแล้วกันค่ะ"
"ได้ค่ะ" แล้วก็บอกกับทั้งสองคนโดยรวม
ว่า "กัปตันพร้อมอยู่แล้ว เมื่อหอบังคับการบิน
อนุญาต เราจะนำาเครื่องขึ้นเลยนะคะ กรุณารัด
เข็มขัดด้วย"
เมื่อพนักงานเดินจากไป มะแมกับผู้หญิงที่
นั่งอยู่ก่อนหน้าก็สบตากันเต็มๆ ต่างฝ่ายต่างมอง
กันด้วยความแปลกใจ แล้วก็ยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อม
กัน
หล่อนคนนั้นพับหนังสือพิมพ์เก็บและทัก
ก่อนเป็นภาษาอังกฤษ
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ"
"ค่ะ อรุณสวัสดิ์ "
จับมือทักทาย เพียงรอยยิ้มและสัมผัสมือ
แรก ก็ให้ความรู้สึกเป็นมิตรราวกับคุ้นเคยมา
นาน
"ชื่อมะแมค่ะ"
"ไอซิสนะคะ... เราต้องไปพบบอสด้วยกัน
หรือนี่ ?"
คนมาทีหลังกะพริบตาปริบๆ
"อ้าว! นี่คุณก็ไม่รู้ล่วงหน้าหรือ?"
"ฉันมาทำาภารกิจที่สิงคโปร์ บอสเพิ่งสั่งเมื่อ
คืนให้ขึ้นเครื่องไปหา ไม่ทราบด้วยซ้ำาว่าจะมาลง
ที่กรุงเทพฯก่อน"
"เหรอ..."
มะแมเดาทันทีว่าบอสคงต้องการให้ใช้เวลา
ระหว่างเดินทางทำาความรู้จักกัน แต่เพื่อจุด
ประสงค์ใดก็ไม่เป็นที่ทราบได้
"บอสไม่เคยวางแผนนาน" ไอซิสเปรย
อย่างคุ้นกับความเป็นบอส "อยากเอาอะไรต้อง
ได้ทันใจ ทันการ ฉันชินแล้ว"
มะแมเห็นอีกฝ่ายน่าจะทำางานกับบอสมา
นานเลยถาม
"คุณรู้หรือเปล่าว่าบอสอยู่นิวซีแลนด์ ?"
"ไม่รู้ แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าบอสปักหลักใช้
ที่นั่นเป็นศูนย์บัญชาการจริงหรือเปล่า เดี๋ยวต้อง
ดูว่าบอสอยู่ยังไง"
"นี่ฉันยังงงไม่หายนะ เพิ่งรู้ตอนได้วีซ่าเมื่อ
กี๊นี้แหละ ว่ากำาลังจะต้องเดินทางไปนิวซีแลนด์
ระหว่างมาสนามบินยังใจตุ๊มๆต่อมๆว่าวีซ่าเข้า
ประเทศไหนยังไม่มีกับเขาเลย จะให้เครื่องเอาไป
หย่อนกลางทะเลหรืออย่างไร"
ไอซิสหัวเราะคิก
"แค่อนุญาตให้เข้าประเทศไหนง่ายๆน่ะ
เรื่องจิ๊บๆสำาหรับบอส ฉันคุ้นดี "
"แล้วเครื่องบินลำาเล็กแค่นี้ เดี๋ยวต้องแวะ
จอดเติมน้ำามันที่ไหนหรือเปล่า?"
เปรยกึ่งถาม จากความรู้สึกว่าเจ็ตที่กำาลัง
นั่งเพดานช่างเตี้ยจนยืดตัวยืนตรงแล้วเหมือน
เฉียดกระหม่อมหล่อนอยู่รำาไร จิ๋วๆขนาดนี้ไม่น่า
จะพาไปได้ไกลเกินเชียงใหม่
"จี๕๕๐ ของกัลฟ์สตรีม ถ้าเติมเต็มถังจาก
กรุงเทพฯแล้วบินด้วยความเร็วปกติ ก็เลย
นิวซีแลนด์ไปได้อีกเป็นพันกิโล"
"โห!" มะแมห่อปากร้องอย่างสุดทึ่ง เพราะ
เคยทราบว่าเมืองไทยกับนิวซีแลนด์ห่างกันถึง
หนึ่งหมื่นกิโลเมตร "ฉันนึกว่าบินไกลๆได้แต่
เครื่องใหญ่เสียอีก"
"เร็วๆนี้อาจมีคนสร้างแบตเตอรี่แบบรีชาร์จ
ก้อนเท่าแจกัน ที่สามารถพาเครื่องเจ็ตบินไปรอบ
โลกได้ "
"ยุคบอส อะไรๆก็น่าจะเป็นไปได้ทั้งนั้น...
ว่าแต่ฉันเพิ่งรู้นะว่าบอสเลือกที่ที่ลือกันว่าสงบ
ผาสุกที่สุดในโลกเป็นนิวาสสถาน"
"แต่ภาพผาสุกก็เปลี่ยนเป็นฉากเขย่าขวัญ
ได้เหมือนกันนะ บอสอาจเลือกไว้เป็นที่พักผ่อน
ชั่วคราวก็ได้ "
เพื่อนร่วมทางให้ความเห็นยิ้มๆ และนั่นก็
กระตุกมะแมให้ฉุกใจคิดถึงแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด
ที่ไครส์เชิร์ช ไหนจะภูเขาไฟที่ฮึ่มๆอีกหลายลูก
แถมหมู่เกาะก็ตั้งอยู่บนรอยต่อของเปลือกโลก
สองแผ่นอีกต่างหาก จะพาจมหรือดุนดันแผ่นดิน
ให้เกิดภูเขาใหม่ขึ้นเมื่อใดก็ไม่รู้
ถ้านับกันในสเกลเป็นล้านปี นิวซีแลนด์คือที่
ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนสิ่งมีชีวิตซึ่งพร้อมจะ
แปลงร่าง และคล้ายสัญลักษณ์บอกให้รู้ว่าบน
โลกนี้ ไม่เคยมีที่ไหนสงบสุขถาวร!
ไม่เป็นไร อย่างไรซีอุสคงไม่ปล่อยให้บอส
อยู่ในที่ที่ถึงกาลอวสานในเร็วๆนี้หรอกน่า
แล้วมะแมก็เปลี่ยนเรื่อง โดยพินิจใบหน้าอีก
ฝ่ายครู่หนึ่งก่อนทักถาม
"ฉันดูไม่ออกนะว่าคุณเป็นคนชาติไหน"
"ลูกครึ่ง อเมริกัน-อียิปเชี่ยน"
สาวไทยมองลูกครึ่งอเมริกันคอเคเชี่ยนด้วย
ความชื่นชมในรูปโฉม ผิวสีแทนอมขาวผุดผาด
ทรงหน้ารูปหัวใจ หน้าผากกว้างนูนเรียวลงสู่คาง
แหลม จมูกงุ้มนิดๆได้รูปเก๋ ผมยาวมีน้ำาหนัก
สลวยสีน้ำาตาลแดงตามธรรมชาติ
เครื่องประดับในดวงหน้านั้น เห็นจะไม่มี
อะไรเด่นเกินนัยน์ตากลมโต สาดประกายเจิดจ้าสี
เขียวดุจแก้วมรกต ที่สะกดให้คนถูกจดจ้องใหล
หลงงงงันได้อย่างเฉียบพลัน
สิ่งที่ทำางานประสานกันกับตาสวย คือริม
ฝีปากหยักเป็นคันศร เวลาสยายยิ้มสุดแล้ว
เหมือนโลกเปิด เป็นยิ้มที่สวยที่สุดยิ้มหนึ่งเท่าที่
มนุษย์คนหนึ่งจะยิ้มได้
ประกายอากาศรอบตัวไอซิสก็สดใส ให้
ความรู้สึกอบอุ่นมั่นคง บ่งบอกว่าสภาพจิตและ
นิสัยใจคอต้องเลอเลิศยิ่ง ทั้งหมดคือส่วนผสม
ของความอ่อนหวานหยาดฟ้า เข้ากับความ
คมคายคล้ายว่าดุ ก่อให้เกิดความตะลึงทึ่งตั้งแต่
แรกแล ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกัน มะแมยังยอมรับ
ว่าตนหลงเสน่ห์สาวงามนางนี้แล้วเต็มๆ
"ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน เกิดมาฉันไม่
เคยเห็นใครสวยเท่าคุณเลย"
มะแมชมตรงๆ ไอซิสหัวเราะเบาๆคล้ายชา
ชินกับคำานั้นมาเนิ่นนาน
"มันแค่จุดเริ่มต้นของเรื่องผิดปกติน่ะ"
สาวไทยเลิกคิ้วนิดหนึ่งแบบอึ้งไปเล็กน้อย
"แต่ปลายทางของเรื่องผิดปกติ คุณก็
เปลี่ยนให้มันกลายเป็นเรื่องพิเศษไปแล้วนี่ จริง
ไหม?"
สาวเลือดผสมยิ้มละไม
"เอาเป็นว่าบอสช่วยให้ชีวิตฉันสนุกขึ้นเยอะ
ก็แล้วกัน"
สานตาด้วยความรู้สึกถูกชะตาอย่าง
ประหลาด เหมือนพร้อมจะเป็นเพื่อนรักทันที โดย
ไม่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเสียก่อน
"คุณรู้จักบอสมานานแค่ไหน?"
ไอซิสถาม
"ไม่กี่เดือนเอง คุณล่ะ?"
"หลายปีแล้ว... น่าน้อยใจจัง แสดงว่าคุณ
ถึงระดับ ๕ เร็วมาก ฉันก็เพิ่งมีโอกาสเข้าพบบอส
วันนี้เป็นครั้งแรกพร้อมคุณ"
"อาจจะมีเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องน่า
น้อยใจมั้ง... แล้วระดับ ๕ นี่มันคืออะไรน่ะ?"
สาวตาคมส่ายหน้า
"นั่นก็เป็นสิ่งที่บอสไม่ยอมให้รู้ แต่เอาเถอะ
สิ่งที่เราไม่รู้ ตอนนี้มีอยู่ในเราแล้วก็แล้วกัน"
จากการหยั่งสัมผัสรู้สึกถึงความเสมอกัน
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทำาให้มะแมพูดด้วย
สำาเนียงเป็นกันเองมากขึ้น
"ฉันเคยพยายามดูเหมือนกันนะว่าระดับ ๕
มันคืออะไร แต่ดูยังไงก็ดูไม่ออก เหมือนเป็นอะไร
ตื้นๆ เดาได้อยู่แล้ว แต่อีกทีก็เหมือนมีเหตุผลที่
ลึกซึ้งแฝงอยู่ จนไม่อยากแน่ใจในทางใดทาง
หนึ่ง"
"ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ได้รู้กันล่ะ"
ไอซิสทำาท่าถูมือรอด้วยความครึ้มใจ
"นั่นสินะ แต่กลัวเห็นหน้าบอสแล้วช็อค
โทร.มาแต่ละทีไม่ค่อยกล้ารับเลย เกิดมาไม่เคย
รู้สึกกลัวใครเท่านี้มาก่อน"
"เหมือนกัน! ฉันรับโทรศัพท์จากบอสมา
หลายปีก็ยังไม่คุ้นสักที บางคืนก็ฝันว่าบอสมายืน
ดุเสียงดัง ตื่นมายังผวาไม่หาย"
"อันนั้นยังดี ฉันฝันว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็ก
กำาลังยืนตัวลีบต่อคิว แล้วก็เห็นบอสถือไม้เรียวตี
เด็กทีละคน"
สองสาวหัวเราะประสานกันด้วยความ
ชื่นมื่นกลมกลืน แค่ได้พูดคุยนิดเดียว ก็เกิด
อารมณ์สุนทรร่วมกันเพียงพอจะนึกอยากหัวร่อ
ต่อกระซิกดุจญาติสนิทแล้ว
มะแมจ้องมองอีกฝ่ายเต็มตากว่าเดิม
"ที่เธอบอกว่าความสวยคือจุดเริ่มต้นของ
เรื่องผิดปกติ มันยังไงเหรอ แล้วเกี่ยวโยงกับการ
ได้มาเป็นคนของบอสหรือเปล่า?"
ไอซิสยักคิ้วหน่อยๆ
"ก็ประมาณนั้นแหละ จริงๆชีวิตฉันเริ่มต้น
ด้วยการเห็นหลายสายตามองมาที่ฉันแบบ
แปลกๆ อาจจะตั้งแต่จำาความได้ทีเดียว"
"แปลกแบบน่าตื่นตะลึงทึ่งในความงาม
อย่างที่ฉันรู้สึกหรือเปล่า?"
"เปล่า... แปลกแบบแปลกปลอมอย่างลูก
ครึ่งน่ะ เธอพอนึกภาพออกไหม?"
"ไม่รู้สิ เคยได้ยินว่าอเมริกาคือเครื่องหมาย
ของการรวมเผ่าพันธุ์ บางคนบอกว่าอเมริกาคือ
สถานที่ลี้ภัยสำาหรับคนผิวสีและพวกข้ามเชื้อชาติ
ด้วยซ้ำา"
"อือ... ในอเมริกาน่ะพอไหว เพราะคนนิยม
ของแปลก แต่ที่อียิปต์น่ะสิหนักหน่อย... เด็กทั่ว
โลกอยากไปดูพีระมิดในอียิปต์ แต่ไม่ใช่ฉัน
เพราะไปที่นั่นแต่ละครั้ง ไม่ค่อยได้เจอสิ่ง
มหัศจรรย์ของโลก แต่เจอสายตาพิกลของบรรดา
ญาติรออยู่แทน"
"มนุษย์เอาชนะความรู้สึกต่างพวกต่างพันธุ์
ยากนะ เห็นรณรงค์ช่วยพูดให้คนในโลกรักกัน ก็
ยังไม่ถึงไหนสักที "
"ก็คงไม่ถึงไหนตลอดไป เวลานั่งล้อมวงคุย
กันให้ดูดี ทุกที่ในโลกนี้ก็เหมือนพยายามช่วยกัน
ต่อต้านการเหยียดผิวทั้งนั้นแหละ แต่บนท้อง
ถนนในชีวิตจริงที่ไม่ต้องมาแกล้งแสดงความ
เห็นใจกัน สายตาและความรู้สึกที่ประกาศชัด ก็
ทำาให้รู้ว่าเรื่องบ้าๆเกี่ยวกับเชื้อชาติไม่มีวันหมด
ไปจากโลก... โดยเฉพาะโลกในวัยเด็ก!"
"ฉันเคยมีเพื่อนเป็นแขกตัวดำาที่ใจดีมากๆ
และเขาก็ทำาให้คนดำาดีๆ มีความขาวในใจของฉัน
มากกว่าคนขาวเลวๆเยอะ"
"ฉันก็เห็นอย่างนั้นแหละ ในหัวเลยมีแต่
ความคิดว่าจะกำาจัดการแบ่งแยกเชื้อชาติให้หมด
ไปได้อย่างไร" ไอซิสเอานิ้วชี้เคาะขมับตนเอง
เบาๆให้มะแมดู "เวลาคิดอย่างนี้ ฉันรู้สึกเป็นจริง
เป็นจังขึ้นมาเสมอ ว่าสิ่งที่ถูกขังอยู่ในกะโหลก
อาจหลุดออกไปเป็นค้อนทุบโลกให้แตกเป็น
เสี่ยงๆ หรืออาจแผ่ออกไปเป็นยาสมานแผลให้
โลกกลับคืนสู่สภาพปกติ สุดแต่ใครจะถูกสอนมา
ให้ตั้งใจอย่างไร"
ขณะนั้นเครื่องเริ่มเคลื่อนช้าๆ คลานเอื่อย
ไปเข้ารันเวย์ เป็นสัญญาณบอกว่ากัปตันกำาลังจะ
พาสองสาวต่างชาติต่างภาษาออกจากเมืองไทย
มะแมมองเพื่อนหน้าใหม่ด้วยความรู้สึกไม่
เป็นอื่น
"เธอคงทำาสำาเร็จมาไม่น้อยแน่ๆ"
"สำาเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง... ก้าวแรกที่
ทำาให้มีกำาลังใจ คือสมัยเรียนไฮสกูล มีเพื่อนลูก
ครึ่งอเมริกัน-เยอรมันคนหนึ่ง ที่ไม่อยากให้ใคร
มองว่าตัวเองมีเลือดเยอรมันผสมอยู่ แล้วก็ไม่
อยากไปเหยียบแผ่นดินเยอรมันด้วย เพียงเพราะ
รู้สึกว่าบรรพบุรุษของเยอรมันคือฮิตเลอร์ !"
มะแมหัวเราะกร่อยๆแบบขำาไม่ออก
"แล้วเธอเปลี่ยนใจเขายังไง?"
"แนะนำาหนุ่มเยอรมันดีๆให้รู้จัก"
คราวนี้มะแมหัวเราะเต็มเสียง ตบมือแปะ
หนึ่ง
"ร้ายจริง! ทุกวันนี้พวกเขาอยู่ด้วยกันหรือ
เปล่า?"
สาวลูกครึ่งผงกศีรษะ
"แปลกแต่จริงนะ มีลูก มีความสุข แล้วก็
ภูมิใจในความเป็นครึ่งเยอรมันของตัวเองเชียว
ล่ะ"
"ความรักทำาให้การแบ่งแยกเผ่าพันธุ์สิ้นสุด
ลงได้จริงๆ"
"แต่ชีวิตก็บอกฉันอีกว่า ต่อให้ร่างกายถูก
หล่อหลอมเข้าด้วยกัน ไม่แบ่งผิวสีและเชื้อชาติ ก็
ต้องเจอกำาแพงแบ่งแยกทางความคิดอยู่ดี โดย
เฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนา"
"ธรรมดาโลก แค่ศรัทธาต่างกัน ก็เพียง
พอแล้วที่จะมองอีกฝ่ายว่าเป็นพวกโง่ บ้า หรือ
หนักกว่านั้นคือสมควรตาย!"
ไอซิสหัวเราะนิ่มๆก่อนถอนใจ
"ฉันต้องสนิทชิดเชื้อกับพวกคลั่งศาสนาพัก
หนึ่ง ถึงเข้าใจว่าศรัทธาของพวกเขาเป็นพลังที่ยิ่ง
ใหญ่ของชีวิต ใครพยายามเสนอความเชื่ออื่นจึง
ต้องเป็นศัตรูกัน โทษฐานมาแย่งพลังวิเศษไปจาก
ชีวิตเขา ให้หายไปวูบใหญ่ "
"หรือไม่ก็ทั้งหมด!"
มะแมช่วยเสริม
"ข้อเท็จจริงนี้ทำาให้ฉันมองศาสนาในแง่ลบ
อยู่พักใหญ่ ถึงขนาดคิดว่า ศาสนาทำาให้คนเป็น
ปีศาจจำานวนมากกว่าเทวดาด้วยซ้ำา"
"แล้วทำาไงถึงเปลี่ยนทัศนคติได้ ?"
"มีอยู่วันหนึ่งได้อ่านข่าวฆาตกรรมโหด ที่มี
นิโกรดักปล้นผู้หญิงผิวขาวซึ่งขับรถมาคนเดียว
กลางดึก โดยลากเธอลงไปรุมข่มขืนข้างทาง จาก
นั้นจบชีวิตเธอด้วยการทิ่มปากกระบอกปืนกลใส่
อวัยวะเพศแล้วกดไก"
มะแมปิดตากุมขมับ
"โอย..."
"พอสืบประวัติ ก็พบว่าพวกโจรเกิดมาใน
บ้านที่สอนลูกหลานว่าพระเจ้าไม่มีจริง ทุกอย่าง
สร้างขึ้นจากความบังเอิญ และความบังเอิญก็
สร้างคนผิวขาวขึ้นมาดูถูกคนผิวดำา ถ้าคนผิวดำา
จะเคียดแค้นและเอาคืน ก็ให้ถือเป็นความผิดของ
คนที่ดันบังเอิญเกิดมาอยู่ข้างขาวก็แล้วกัน!"
"คิดได้วิปริตดีจริงๆ"
"ประสบการณ์โฉดของพวกนี้ เริ่มจากการ
รุมรังแกคนผิวขาวตอนเป็นเด็ก ดักจี้คนผิวขาว
ตอนเป็นวัยรุ่น แล้วเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ กระทั่ง
สนุกกับการฆ่าคนผิวขาวด้วยวิธีผิดมนุษย์ เห็น
เป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะถ้าเหยื่อเป็นสาวสวยผิว
ขาว โดยบอกว่าผู้หญิงประเภทนี้ไม่เคยมองว่า
พวกตนเป็นมนุษย์กันอยู่แล้ว"
"ไม่รู้ไปอยู่ไหนมานะ ผู้หญิงผิวขาวสวยๆ
แต่งงานกับชายผิวดำาให้เกลื่อน"
"พออ่านข่าวเสร็จฉันก็คิดใหม่ ... ถ้าจิต
วิญญาณมนุษย์ไม่มีศรัทธาทางศาสนาเป็น
อาภรณ์ เนื้อแท้ของพวกเขาก็คือปีศาจกันอยู่แล้ว
และปีศาจก็จะลุกขึ้นมาแผลงฤทธิ์แน่ๆ ไม่วันใดก็
วันหนึ่ง แตกต่างจากพวกมีศรัทธาทางศาสนา ไม่
แน่ว่าจะบ้ากันเสมอไป แล้วบางคนก็อาศัย
ศาสนากำาจัดปีศาจไปจากชีวิตตนได้จริงๆ"
"ใช่เลย..."
"และวันที่ได้คิดอย่างนั้นแหละ คือวันที่ฉัน
ได้รับอีเมลลึกลับ"
สาวไทยหูผึ่ง
"คนของบอสหรือ?"
สาวลูกครึ่งสั่นศีรษะ
"ฉันมารู้ทีหลังว่าเป็นบอสเองเลยล่ะ! บอสรู้
ผ่านซีอุสว่าฉันจะเป็นตัวเล่นสำาคัญในโลกใหม่
แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันสมควรรู้ตัว"
"บอสเขียนมาในเมลว่าไง?"
"ก็บอกว่า... เธออาจจะกําลังอาศัยอยู่ใน
เมืองปีศาจ และไม่มีทางออกจากเมืองปีศาจ มี
ทางเดียวคือเปลี่ยนเมืองปีศาจให้เป็นเมือง
มนุษย์ !"
"โอ้ !"
"ใช่เลยใช่ไหมล่ะ? ฉันขนลุกนะ แต่ตอน
แรกเข้าใจว่าเป็นอีเมลขยะหรือการเล่นตลกของ
ใคร ที่บังเอิญโดนใจอย่างสุดๆ เลยแค่ชื่นชมคำา
พูด แล้วลบทิ้งไปเฉยๆ"
ขณะนั้น เสียงกัปตันทักทายตามธรรมเนียม
ดังขึ้นในห้องผู้โดยสารหลังขึ้นจากภาคพื้นได้ ๒๐
นาที เป็นการบอกกล่าวว่าเครื่องได้ไต่ระดับขึ้น
มาถึง ๔๑,๐๐๐ ฟิต บินด้วยความเร็ว ๘๕๐
กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าน่าจะไปถึงสนาม
บินควีนส์ทาวน์ในเวลาประมาณหกโมงเช้า ตาม
เวลาท้องถิ่นของนิวซีแลนด์
สองสาวเงี่ยหูฟังเวลาแลนดิ้งแล้วหมด
ความสนใจ หันมาคุยกันต่อ โดยมะแมถามพร้อม
ทำาตาวาววาบหนึ่ง
"ชักสนุกแล้วสิ ต้องมีเมลฉบับที่สองตาม
มาแน่ๆ"
"อือ... ทิ้งระยะห่างไปหน่อยหนึ่ง คนรอบ
ตัวยุให้ฉันไปประกวดนางงามจักรวาล โดยให้
เหตุผลว่าจะสวยให้เสียของทำาไม มีบันไดไปสู่ชื่อ
เสียงระดับโลกสำาหรับคนรูปร่างหน้าตาแบบนี้อยู่
แล้ว"
"อ้า! ก็จริงของเขา ทำาไมไม่ลองล่ะ จะได้
ดัง"
มะแมแกล้งถามหน้าตาเฉย
"สุดที่รัก! พอใส่บิกินี่ขึ้นเวทีเมื่อไหร่ เมื่อนั้น
เธอก็กลายเป็นหนึ่งในบรรดาขาอ่อนอาหารตา
ชาวโลก รวมทั้งเป็นหนึ่งในสินค้าทางเพศให้เหล่า
เศรษฐีหมายตาเลือกชิม ต่อให้เธอมีสมองที่
ฉลาดปราดเปรื่องจนชนะใจกรรมการได้สำาเร็จ
สมองของเธอก็จะเหมือนอวัยวะที่งอกออกมาเติม
นมให้ดูเร้าใจขึ้นเท่านั้น!"
หญิงเอเชี่ยนหัวเราะถูกใจ
"เห็นภาพเลยเธอ ผู้หญิงเราดูน่าสนใจที่สุด
ตอนแต่งวาบหวิวแล้วทําหน้ายั่วๆ แต่จะสวย
อย่างน่ามองที่สุดตอนแต่งมิดชิดแล้วยิ้มเป็นมิตร
ดีๆ!"
"นั่นน่ะสิ สำาคัญคือยิ่งยั่วก็ยิ่งเครียด ยั่ว
แล้วไม่ดัง กลายเป็นคลั่งจนฆ่าตัวตายสำาเร็จไป
กันเยอะ!"
"แล้วเธอผ่านช่วงนั้นมายังไง"
"ช่วงนั้นชีวิตยังไม่มีคำาอธิบายสักกี่คำา มีแต่
คำารบเร้าจากคนรอบตัว ราวกับนัดกันไว้ จน
กลายเป็นคลื่นรบกวนจิตใจ ทำาให้ฉันต้องถามตัว
เองว่าต้องเอายังไงกับชีวิตกันแน่ บางเช้าตื่นมา
ด้วยความคิดว่าเอาก็เอา โลกอยากให้เป็นยังไง
จะแปลกอะไรถ้าตามใจโลกเสียหน่อย"
"เข้าใจจ้ะ คนส่วนใหญ่จะถือเอาเสียงคน
รอบข้างเป็นป้ายบอกทางชีวิต แล้วชีวิตนางงาม
ก็ใช่จะเหลวแหลกกันทุกคน ถ้าเจ๋งจริงก็ขึ้นแท่น
บูชาได้ "
"น้อยกว่าหนึ่งในร้อยหนึ่งในพันอีกเธอ ยุค
นี้มันพาไหลไปสู่ธุรกิจค้ากามกันเกือบหมด...
ช่วงที่ว้าวุ่นตัดสินใจไม่ถูกนั่นเอง อีเมลลึกลับ
ฉบับที่สองก็เข้ามา พร้อมกับการตั้งคำาถามให้คิด
ว่า ทํายังไงจะมีชีวิตที่ตัวเองรู้สึกว่าน่าสนใจจริงๆ
ไม่ใช่ดีแต่มีชีวิตไว้ให้คนอื่นจับตามองด้วยความ
สนใจเล่นๆ?"
มะแมคิดตามอย่างละเมียดก่อนเอ่ย
"ถ้าถูกคน ถูกเวลา โดนใจได้จังๆ ก็เป็น
คำาถามที่ตีกรอบวิธีคิดเกี่ยวกับชีวิตที่เหลือได้เลย
นะ"
"ใช่ ! มันเป็นคำาถามที่วนเวียนอยู่ในหัวฉัน
ตลอดเวลาทีเดียว... ฉันมีดีไปเพื่ออะไร ทำายังไง
จะมีชีวิตที่น่าสนใจได้จริงๆเสียที ? ตอนนั้นฉันเริ่ม
แน่ใจว่าอีเมลลึกลับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และคน
เขียนก็มีดีพอจะให้ถามอะไรได้ ฉันถามว่าคุณเป็น
ใคร..."
"แล้วบอสตอบว่า?"
"ก็ประมาณ... ไม่สำาคัญว่าฉันเป็นใคร แต่
สำาคัญว่าฉันมีคำาตอบที่ใช่ให้กับชีวิตของเธอหรือ
เปล่า"
"โอ๊ ! อย่างกับโฆษณาเชิญชวนไปขายของ
แน่ะ"
"นั่นสิ แต่พูดแบบนั้นในช่วงเวลานั้น ฉันก็
ลองหน่อยล่ะ ถึงจะเสี่ยงกับการถูกหลอกให้เป็น
ตัวตลกก็เถอะ... พอถามว่าชีวิตฉันควรให้เป็นยัง
ไง บอสก็ตอบว่า เป็นนักสร้างความแตกต่างไง
ล่ะ!"
"เข้าเป้านะ ถ้าเป็นนักสร้างความแตกต่าง
ให้กับโลกนี้ได้ ชีวิตก็ดูน่าสนใจขึ้นมาจริงๆล่ะ"
"ก่อนหน้านั้นฉันคิดว่าทุกชีวิตเป็นตัวแปร
ให้โลกแตกต่างไปเรื่อยๆอยู่แล้ว แต่บอสบอกว่า
ไม่ใช่ คนส่วนใหญ่โดนอิทธิพลของโลกซัดพาให้
ไหลตามกันต่างหาก ไม่ได้ทำาให้เกิดความแตก
ต่างอะไรขึ้นมาเลย"
"จริงของบอส..."
"บอสพูดถึงข้อยืนยันว่าน้อยคนสร้างความ
แตกต่าง คือ ใครต่อใครมักถามว่า คนดีทําไมหา
ยากนัก? โดยมีน้อยคนตอบถูกว่า เพราะคนส่วน
ใหญ่พยายามหา ไม่ได้พยายามเป็น!"
มะแมหัวเราะขำา
"เข้าใจพูด!"
"แล้วบอสก็ชี้ว่า ที่ชีวิตของฉันถูกออกแบบ
มาให้มีทุกอย่างพร้อม อาจหมายถึงความพร้อมที่
จะออกแบบสร้างความแตกต่างให้สิ่งที่อยู่รอบๆ
ชีวิต ขอแค่เกิดแรงบันดาลใจและลงมือทำาจริง
มากพอ ในที่สุดจะรู้ว่าฉันไม่ได้สวยเพื่อผิดแปลก
แต่สวยเพื่อสร้างความแตกต่าง!"
"เธอเอ๊ย! แค่ลูกยอของบอสก็น่าจะพอเป็น
แรงบันดาลใจอย่างล้นเหลือแล้วล่ะ"
"บอสถามว่ารู้ตัวไหม ฉันเก่งพอจะทำาอะไร
ได้บ้าง ฉันก็คิดวนเวียนอยู่แต่ในสิ่งที่เคยทำาได้
แต่บอสบอกมาคำาเดียว ฉันคลิกและมองต่างไป
เลย"
"บอกว่า?"
"ฉันเก่งพอจะทําทุกสิ่ง เท่าที่เห็นอยู่ตรง
หน้าว่าน่าทํา!"
มะแมหรี่ตาคิดก่อนจะเข้าใจตาม คนเราถ้า
รู้สึกว่าอะไรน่าทำา ก็แปลว่าส่วนลึกรู้อยู่ก่อนว่ามี
สิทธิ์ทำาได้ นี่เป็นความจริงสำาหรับทุกคน ไม่ใช่
เฉพาะใคร
"แล้วตอนนั้นเธอเห็นว่ามีอะไรตรงหน้าที่น่า
ทำา?"
"ก็เปลี่ยนเมืองปีศาจให้เป็นเมืองมนุษย์
ไง!"
"อ๋อ!"
สาวไทยลากเสียงยาว
"จากนั้นบอสก็ส่งพัสดุไปรษณีย์มาให้ "
"โทรศัพท์มือถือใช่ไหม?"
"ก็งั้นสิ เด็กบอสมีกันทุกคนแหละ"
"บอสสั่งงานเธอบ่อยแค่ไหน?"
"จ๊อบหนึ่งเสร็จ คำาสั่งใหม่ก็มาถึงเกือบ
ทันที "
"จ๊อบของเธอคืออะไร?"
"บินไปรอบโลก เพื่อทำาตัวเป็นนางฟ้าใน
นิทาน!"
ไอซิสพูดกลั้วหัวเราะ มะแมสยายยิ้มตาตื่น
อย่างเริ่มเกิดนิมิต
"ช่วยบรรดาผู้คนที่อยู่ในขอบข่ายความ
สามารถของเธองั้นเหรอ?"
"ใช่แล้ว! บอสให้ซีอุสเลือกครอบครัว หรือ
คนที่กำาลังมีปัญหาหนักในชีวิต หรือกำาลังจะเลือก
ตัดสินใจทำาอะไรผิดๆ ส่งมาให้ฉัน ไล่จากง่ายไป
หายาก"
"เล่าแค่นี้เห็นเป็นฉากๆเลยนะเนี่ย... เธอ
แฝงตัวเข้าไปตีสนิทใกล้ชิดกับคนพวกนั้นแบบ
เนียนๆ อาศัยความสามารถต่างๆ แปลงร่างเป็น
นักร้อง นักดนตรี นักกีฬา นักธุรกิจ ครูสอนไฮ
สกูล แล้วก็ ... โห! ทำาไมยาวเป็นหางว่าวอย่าง
นี้ ?"
"นั่นไง ถ้าอยากรู้ว่าเราเก่งได้แค่ไหน ก็
ต้องมีแรงบันดาลใจให้เอาไปใช้ทำาประโยชน์อะไร
สักอย่าง หรือหวังผลอะไรสักเรื่อง"
"อย่างกับ เจมส์ บอนด์ ปลอมตัวไปฆ่าคน
อันนี้แปลงร่างไปเปลี่ยนใจมนุษย์ !"
"เงินและอำานาจของบอสบันดาลให้ฉันเป็น
อะไรก็ได้โดยไม่ต้องปลอมตัว ในบางประเทศฉัน
เป็นเศรษฐีนีที่เข้าไปว่าจ้าง ให้โอกาส ให้งาน ให้
เงิน ตลอดจนคำาแนะนำา ให้คนดีๆกลุ่มหนึ่งที่
ตกยากสามารถตั้งเนื้อตั้งตัว แต่ในบางประเทศ
ฉันก็เป็นคนธรรมดา เคียงบ่าเคียงไหล่กับวัยรุ่น
สักคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย หรือคู่รักที่ใกล้วิบัติ หรือ
อีกทีก็พ่อแม่ที่ดูแลลูกผิดๆ... สารพัดที่ซีอุสจะ
สรรให้ "
"สำาเร็จทุกจ๊อบ?"
"ซีอุสไม่เคยให้ฉันเหนื่อยเปล่า แล้วบอสก็
สร้างบันไดให้เป็นขั้นๆ ช่วงแรกบอสเป็นคน
วางแผนให้ ทุกอย่างลงเอยดีเสมอเมื่อฉันทำาตาม
คำาสั่ง แต่เมื่อฉันเห็นว่าได้ผล และสนุกกับความ
สามารถของตัวเองมากพอ ฉันก็ขอคิดแผนเอง
โดยอาศัยซีอุสสนับสนุนอยู่ห่างๆ"
"น่าสนุกจัง บอสสร้างนางฟ้าในนิทานขึ้น
มาจริงๆ อาจจะหนึ่งเดียวในแบบของเธอเลยนะ
นี่ "
"หลายคนเป็นหนึ่งเดียวในแบบของตัวเอง
ฉันแค่แฮปปี้ที่ได้ตระหนักว่าการเป็นหนึ่งเดียว
ไม่ใช่ความผิดพลาด!"
"ถึงวันนี้เธอรับคำาสั่งจากบอส แล้วขอความ
ช่วยเหลือจากซีอุสได้โดยตรง?"
"ซีอุสเป็นการสื่อสารทางเดียว มันจะเลือกจ๊
อบเหมาะให้ แล้วส่งเมสเสจมาให้คำาแนะนำาเป็น
ครั้งๆตามโอกาสเหมาะ"
"เธอไม่มีสิทธิ์ขอความช่วยเหลือหรือค้นหา
อะไรด้วยตัวเองหรอกหรือ?"
"คนที่ 'มีสิทธิ์ถาม' ซีอุสได้ คือคนที่สมควร
ครองโลกเท่านั้น! เท่าที่รู้มีบอสกับอีกคนที่ร่วมมือ
กันสร้างซีอุสขึ้นมา คนของบอสที่เหลือจะได้รับ
ความช่วยเหลือตามแต่ซีอุสจะเห็นควร หลังจาก
คำานวณแล้วว่าไม่ฝืนธรรมชาติ "
"อ๋อ..."
นึกถึงแผ่นแก้วมหัศจรรย์ที่อัคระมอบให้มา
ก็คิดว่าไอซิสน่าจะมีอะไรแบบหล่อนนี่เอง
"เอาแต่ถามเรื่องของฉัน เล่าเรื่องของเธอ
ให้ฟังมั่งสิมะแม"
หลายชั่วโมงบนเครื่องบินผ่านไปอย่าง
รวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องของกันและกัน
เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างไม่รู้เบื่อ
ปกติพอมนุษย์หันหน้าเข้าหากัน ก็จะหา
ข้อดีข้อด้อยของแต่ละฝ่ายมาเปรียบเทียบเพื่อ
ริษยากัน หรือไม่ก็เอาโต๊ะเอากระดานอะไรสัก
อย่างมากั้นระหว่างกัน เพื่อประลองว่าใครฉลาด
กว่า หรือมีฝีมือเหนือกว่า
แต่การนั่งหันหน้าเข้าหากันระหว่างมะแม
กับไอซิส ดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเอา
ข้อดีของกันและกันมาร่วมกันทำาประโยชน์
มากกว่าอย่างอื่น ความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นเบื้อง
หน้าย่อมไม่มีคำาว่าแพ้ชนะ จะมีก็เพียง "แตกต่าง
ในทางดีขึ้น" สถานเดียว!

_________________________________________________________________________________
บทที่ ๒๙
นิวซีแลนด์ผุดเด่นเป็นแผ่นดินโดดเดี่ยวใน
มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ เป็นต่างหาก
จากทุกประเทศในโลก ออสเตรเลียที่ใกล้ที่สุดก็
ห่างออกไปถึงสองพันกิโลเมตร
มันคือสองเกาะขนาดมหึมาที่มีมนุษย์มา
จับจองเป็นเจ้าของ และกลายเป็นประเทศที่มีภูมิ
ภาพน่าตื่นตาที่สุดแห่งหนึ่งบนผืนพิภพนี้
เวลาของที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย ๖ ชั่วโมง รุ่ง
เช้าของนิวซีแลนด์จึงยังเป็นเวลานอนตามปกติ
ของคนไทย แต่มะแมและไอซิสงีบสั้นๆกันแล้ว
ประกอบกับระบบปรับอากาศของเจ็ตส่วนตัว
ราคาแพง ที่ให้ความสดชื่นเหมือนยืนบนยอดเขา
ช่วยให้ตาตื่นไม่ง่วงเหงา โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าใกล้
จะได้พบ "บอส" เสียที
สนามบินควีนส์ทาวน์ตั้งอยู่ริมทะเลสาบวา
กาติปูที่กว้างไกล ท่ามกลางการโอบล้อมของ
เทือกเขาสลับซับซ้อน ขณะเครื่องร่อนลงเห็น
เหมือนกำาแพงหิมะขาว สูงต่ำารายเรียงรอบด้าน
ชวนให้เผลอคิดว่ากำาลังดำาดิ่งลงสู่เมืองในฝันอัน
ยิ่งใหญ่ฉะนั้น
จากควีนส์ทาวน์ มีคนมาพามะแมกับไอซิส
ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ขนาด ๖ ที่นั่งผู้โดยสาร ซึ่งถูก
ออกแบบไว้บินชมภูเขาโดยเฉพาะ
"ทำาไมไม่ให้ไปด้วยเจ็ตต่อเนอะ เสียงคอป
เตอร์หนวกหูจะตาย"
มะแมบ่นเมื่อมานั่งบนเครื่อง
"สุดที่รัก! ในนิวซีแลนด์มีสนามบินแยะก็
จริง แต่ส่วนใหญ่เอาไว้สำาหรับเครื่องประเภทชม
ภูเขา ถ้าเป็นเจ็ตที่เรามาน่ะ ลงได้แต่ขึ้นไม่ได้
เพราะรันเวย์ยาวไม่พอจะให้เทคออฟ"
ไอซิสเอียงหน้าพูดแข่งกับเสียงเครื่อง แต่
มะแมยังบ่นอีก
"บ้านบอสอยู่อีกไกลแค่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อยจะ
แย่ "
"อย่างเก่งก็ไม่เกิน ๗๐๐ กิโล เครื่องยูโร
เปี้ยน เอเอส๓๕๕ นี่พาไปได้แค่นั้น"
สาวไทยเผยอปาก หันมามองเพื่อนสาวลูก
ครึ่งตาค้าง ด้วยความทึ่งที่รู้เรื่องการบินไปหมด
"เธอเป็นนักบินหรือเปล่านี่ ?"
"บอกแล้วไงว่าฉันแปลงร่างเป็นอะไรได้ทุก
อย่าง ตามแต่บอสจะสั่ง"
"ให้ไปรบในอิรักได้ไหม?"
ไอซิสยักไหล่หัวเราะนิดๆ
"ถ้าบอสสั่งก็จะไป"
"บอสเป็นเจ้าชีวิตเธอเหรอ?"
"อือ..." เป็นคำาตอบง่ายๆ แต่ฟังดูจริงจัง
อย่างน่าขนลุก "พอฟังคำาสั่งบอสมาเป็นปีๆ
เหมือนอย่างฉัน แล้วจะรู้ว่าวันไหนบอสสั่งให้ไป
ตาย เธอก็คงไม่กล้าขัดขืน"
"อุ้ย!"
มะแมฟังแล้วชักฝ่อ ไม่แน่ใจว่าอยากมอบ
กายถวายชีวิตให้ใครได้ขนาดนั้น แต่พอใช้ใจวัด
ใจไอซิส ก็ประเมินถูกว่าผลจากการที่ฝ่ายนั้นทำา
ตามคำาสั่งของบอสมา ได้สั่งสมความภาคภูมิไว้
จนเกินการอยากรักษาชีวิตไปมากแล้ว
คอปเตอร์พาบินตัดอากาศผ่านภาคพื้น
เขียวยาวไกล เสียงเครื่องที่ดังทำาให้ไม่มีแก่ใจคุย
กับเพื่อนใหม่ดังเคย มะแมจึงหลับๆตื่นๆ กระทั่ง
ไอซิสสะกิดมือ
"นักบินพาเราบินวนชมวิวแน่ะ ลืมตาขึ้นดู
หน่อยสิ "
ลืมตาอย่างงัวเงีย แต่แล้วเมื่อเหลือบแล
ผ่านหน้าต่างลงมองเบื้องล่าง ก็ถึงกับลืมหายใจ
ไปชั่วขณะ เพราะมันคือผืนทะเลสาบกว้างใหญ่
ไพศาลสีฟ้าสด สะท้อนแดดสว่างสวย เป็น
ทิวทัศน์งามกระจ่าง อย่างที่ชั่วชีวิตหล่อนไม่เคย
เห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน
ชายหนวดเฟิ้มที่พาสองสาวมาจากควีนส์
แลนด์ อธิบายจากที่นั่งผู้โดยสารด้วยกัน
"นี่คือทะเลสาบปูคากิ ที่มันมีสีฟ้าอย่าง
ประหลาด ก็ด้วยสารตกตะกอนเป็นเม็ดละเอียดที่
แตกตัวจากหินสีฟ้า แล้วไหลมากับธารน้ำาแข็ง...
เห็นจากทางอากาศว่าเหมือนสระว่ายน้ำาขนาด
ยักษ์ รูปทรงเกือบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างนี้เถอะ
ถ้าเราลงไปมองจากชายฝั่ง คุณอาจเผลอนึกว่า
มันคือทะเลจริงๆ เพราะกินพื้นที่ถึง ๑๖๙ ตาราง
กิโลเมตร มองทางไหนก็แทบไม่เห็นฝั่งไปหมด"
"ว้าว!"
มะแมอุทานเบาๆด้วยความตะลึงตะลาน สี
ฟ้าที่ล้อกันระหว่างน้ำากับฟ้า ชวนให้นึกว่าเป็น
ภาพบนผืนผ้าใบของจิตรกรผู้มีสิทธิ์แต้มสีตาม
อำาเภอใจ มากเสียกว่าจะเป็นงานรังสรรค์ของ
ธรรมชาติโดยเดิม
ขณะนั้นชายหนวดเฟิ้มก็ยกมือชี้ให้มองยอด
เขาที่พุ่งลิ่วเสียดฟ้า
"นั่นคือเม้าท์คุก เป็นยอดเขาสูงที่สุดในซีก
ใต้ วัดได้ ๑๒,๐๐๐ ฟุต เดิมมันชื่อ 'อาวราคี '
ตามที่เผ่าเมารีเรียกมาก่อน แต่พอกัปตัน เจมส์
คุก แล่นเรือสำารวจรอบประเทศนิวซีแลนด์สำาเร็จ
เป็นคนแรก ชาวตะวันตกเลยมีการตั้งชื่อตาม
กัปตันคุกเป็นที่ระลึก"
ไอซิสเอียงหน้ามากระซิบเสริม
"สิบกว่าปีที่ผ่านมาทางการพยายามให้
เรียกเป็น 'อาวราคี -เม้าท์คุก' เพื่อเอาใจทุกฝ่าย
แต่คนเรียกเม้าท์คุกกันติดปากไปแล้ว เลยไม่มี
ใครอยากเรียกชื่อยาวๆกันหรอก"
มะแมเหลือบตามองคนข้างตัว แม่คนนี้น่า
จะอ่านหนังสือวันละเล่ม และมีความจำาแบบ
ภาพถ่าย ถามอะไรเกี่ยวกับประเทศไหนคงรู้หมด
สมกับเป็นสาวลึกลับผู้ตระเวนสร้างความแตก
ต่างไปรอบโลกจริงๆ
เมื่อพาชมความงามของธรรมชาติครู่ใหญ่
นักบินก็บังคับเครื่องร่อนลงทางตะวันตกของ
ทะเลสาบ ซึ่งภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทิวเขา และ
สองสาวในเฮลิคอปเตอร์ก็ต้องห่อปากพร้อมกัน
เมื่อเห็นปราสาทใหญ่สร้างจากหินอ่อนสีขาว สูง
๗ ชั้นอยู่เบื้องล่าง หว่างเขาตอนหนึ่ง
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของปราสาทที่
โดดเด่น คือโดมหรือหอคอยจำานวนมากตาม
สไตล์ศิลปะแบบอิตาลี หน้าปราสาทปูลาดด้วย
สนามหญ้าเขียวขจี ขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอล
สองสนามต่อกัน บนผืนหญ้าเขียวประดับด้วยทุ่ง
หญ้าดอกไม้หลากสีละลานตาแห่งช่วงฤดูใบไม้
ผลิ อันเป็นทัศนียภาพสวยที่สุดในแต่ละปีของ
นิวซีแลนด์
สุดเขตหญ้าห่างจากถนนเลียบทะเลสาบ
ประมาณ ๑๐๐ เมตร ถ้านั่งมองออกมาจากห้อง
ใดห้องหนึ่งของปราสาท คงเร้าอารมณ์ฝันให้ตื่น
เพริดน่าดู เพราะจะเห็นทั้งทะเลสาบปูคากิและ
ยอดเขาเม้าท์คุกอยู่ในคลองสายตาพร้อมกัน
ลานจอดเฮลิคอปเตอร์เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่ง
ของลานกว้างหน้าปราสาท ใกล้กับน้ำาพุทรงกลม
ขนาดใหญ่ ๗ ชั้น ชั้นยอดกำาลังส่งน้ำาพวยพุ่งถะ
ถั่งขึ้นสูง ๓ เมตร ก่อนตกลงมาเป็นม่านน้ำาตาม
แต่ละขั้น
ชายหนวดเฟิ้มนำาสองสาวลงจากคอปเตอร์
เดินตัดตรงสู่ประตูใหญ่ โดยมีคนงานผิวดำา
หน้าตาเป็นชาวพื้นเมืองเผ่าเมารี มาช่วยขน
กระเป๋าเดินทางสองนาย
อากาศกำาลังสบาย อันที่จริงนิวซีแลนด์เย็น
พอดีตลอดปี แม้ฤดูร้อนอากาศก็ยังเย็นอยู่ แต่
ฤดูหนาวกลับไม่หนาวจัด ราวจะเลียนแบบ
บรรยากาศดาวดึงสเทวโลกก็ไม่ปาน
เข้าสู่ตัวปราสาท ภายในถูกออกแบบไว้
คละกันระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ได้ลงตัว มีทั้งรูป
ปั้น มีทั้งการแกะสลักลึกเข้าไปในผนังและเพดาน
แต่ขณะเดียวกันก็มีโคมไฟและไฟระย้ารูปลักษณะ
ทันสมัยประดับตามจังหวะเหมาะ แลแพรวพราว
ไพจิตรยิ่งกว่าโรงแรมหรูหลายเท่า
แม่บ้านในชุดกระโปรงขาวดำา ซึ่งเป็นพวก
ผิวขาววัยกลางคน ได้มารับช่วงต่อจากชาย
หนวดเฟิ้ม นางพาสองสาวขึ้นลิฟต์ไปชั้น ๖ เพื่อ
เข้าห้องรับรอง
"พักผ่อนตามสบาย บอสจะกลับมาที่นี่และ
เชิญพวกคุณร่วมรับประทานอาหารกลางวันเวลา
เที่ยงครึ่งนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ"
ไอซิสเป็นคนเอ่ย จากนั้นแม่บ้านก็รูดคีย์
การ์ดเปิดประตูห้องติดกันให้สองสาวคนละห้อง
คนงานวางกระเป๋าเดินทางไว้ตรงนั้นแล้วแยก
ย้ายจากกันไปโดยไม่สนใจทิป
"อาบน้ำาสะสางแล้วนอนสักงีบเนอะ"
มะแมบอก ไอซิสพยักหน้ารับ
"โอเค... อืมม์ ... ชีวิตฉันใกล้ถึงยอดแห่ง
ความลุ้นแล้ว รอมาหลายปี พอเห็นหน้าบอสก็
ไม่รู้จะลุ้นอะไรต่อล่ะทีนี้ "
"ฉันก็จินตนาการไม่ถูกหรอกว่า ชายชรา
อายุเกือบร้อยในร่างหนุ่ม ๓๐-๔๐ จะเป็นยังไง
คงเนียนกว่าพลาสติกเยอะแหละ"
"หือ! ใครอายุเกือบร้อย?"
"ก็บอสไง!" มะแมดีใจที่รู้ในสิ่งที่ไอซิสไม่รู้
เสียบ้าง "จริงๆบอสอายุกว่า ๙๐ แล้ว แต่เสียง
ยังใส พลังความเป็นหนุ่มยังล้นเหลือให้พวกเรา
รู้สึก ก็ด้วยสารพัดเทคโนโลยี ทั้งปลูกถ่าย ทั้ง
ชะลอวัย ทั้งใช้สมาธิช่วย"
ไอซิสย่นคิ้วสงสัย
"เธอไปรู้มาจากไหน?"
"บอยเฟรนด์ของฉันที่เล่าให้เธอฟังบน
เครื่องบิน เคยทำางานใกล้ชิดกับบอสมาก่อน"
"อ้า! งั้นเหรอ?"
"รู้ไว้เถอะว่าคนที่เธอกำาลังจะเห็นในอีกไม่กี่
ชั่วโมงข้างหน้านี้ เป็นพ่อของคุณปู่พวกเราได้
เลย!"
เนินสูงบริเวณนั้น เป็นจุดที่เห็นทิวทัศน์
ได้กว้างไกล ไม่มีสิ่งใดบดบัง เบื้องล่างลงไปใน
ระยะกว่าร้อยเมตรคือผืนทะเลสาบสีฟ้าสดกระ
จ่าง เบื้องไกลคือยอดเขาเม้าท์คุกห่มหิมะขาว
สะอาด ได้ยลแค่นี้ก็คุ้มแล้วกับการเดินทางอัน
ยาวไกลนับหมื่นกิโล
ศาลาแปดเหลี่ยมขนาด ๒๐x๒๐ ฟุต เสา
ขาว หลังคาสีส้มสามชั้นยอดแหลม ถูกจัดให้เป็น
สถานที่เลี้ยงมื้อกลางวันสำาหรับสองสาวจากแดน
ไกล
บนยกพื้นในศาลา คือโต๊ะปูผ้าขาว ตรง
กลางประดับด้วยแจกันดอกไม้สีฟ้า มีจาน ช้อน
ส้อม มีด แก้วเปล่า และผ้ากันเปื้อน จัดไว้อย่าง
เป็นระเบียบเรียบร้อย ๓ ชุด
แม่บ้านนำาสองสาวมาถึงที่ และให้นั่งหัน
หน้าออกชมวิวตระการ มะแมอยู่ในชุดสูทขาวตัว
เก่ง ส่วนไอซิสอยู่ในเดรสเขียวเข้ารูปเก๋ไก๋
ภายนอกเหมือนสองสาวสงบนิ่งสง่างาม
แต่ภายในมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่ากำาลังใจสั่น
ด้วยความตระหนักว่าบุคคลที่จะมาร่วมรับ
ประทานมื้อกลางวันด้วยกัน คือบุรุษผู้กำาลังจะ
ก้าวขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิ กุมสิทธิ์ขาด ถือ
อำานาจเหนือโลกทั้งใบด้วยการปกครองระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ในไม่ช้านี้ !
บัดนั้น เสียงย่ำาหญ้าดังใกล้เข้ามาจากเบื้อง
หลัง สองสาวพร้อมกันลุกขึ้นเพื่อเตรียมต้อนรับ
ด้วยการยืนประสานมือก้มหน้า ต่างไม่กล้าเงย
ขึ้นมองบอสโดยมิได้นัดหมาย
รองเท้าเบอร์ใหญ่กระทบยกพื้นของศาลา
แม้ดังธรรมดา แต่สองสาวก็ผวาหน่อยๆ ไอซิส
ย่อเข่าถอนสายบัว มะแมค้อมศีรษะพนมมือไหว้
เป็นไปตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของแต่ละคน ด้วย
ความรู้สึกออกมาจากภายใน ไม่ใช่ด้วยคิดว่า
สมควรทำาตามธรรมเนียมใดๆ
"นั่งเถอะ"
เซธเชื้อเชิญเป็นภาษากลาง แล้วก้าวไปนั่ง
ฝั่งตรงข้ามสองสาว ซึ่งเป็นด้านหันหน้าเข้าหา
ปราสาท
มะแมนั่งตามคำาสั่ง แต่ยังก้มหน้าก้มตา ไม่
กล้าเงยขึ้นมองบุรุษที่ตนเคยอยากพบใจแทบ
ขาด คล้ายถูกมหิทธิพลังจากเบื้องบนกดคออยู่
อย่างไรอย่างนั้น
เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเหตุใดคนโบราณ
บางหมู่เหล่าถึงไม่กล้ามองหน้ากษัตริย์ นอกจาก
กฎมณเฑียรบาลบางยุคที่ห้ามสบพระพักตร์แห่ง
เจ้าเหนือหัวแล้ว รัศมีแห่งผู้เป็นเจ้าแผ่นดินเอง
อาจแรงกล้าประดุจแสงอาทิตย์ เกินกว่าจะเอาตา
ไปมองได้ตรงๆ!
"เอ้า! เอาแต่นั่งก้มหน้าทั้งคู่ ยังไงกันนี่
ไหนบอกว่าอยากเจอไง?"
เซธทักทายอย่างอารมณ์ดีและเป็นกันเอง
ลดพลังแก้วเสียงแบบเจ้านายลง คู่หูสาวทั้งสอง
จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น และแล้วก็ชะงักค้างด้วยแวว
ประหลาดใจพร้อมกัน
บอสดูองอาจน่าเกรงขามตามคาด แต่
หน้าตาใจดีกว่าที่คิด รูปศีรษะทุย ผมสีน้ำาตาล
ทองตัดสั้น หน้าผากกว้างอย่างปราชญ์ ตาโตสี
เหล็กทอแววกรุณา จมูกโด่งเป็นสันตรงและปลาย
งุ้ม ริมฝีปากหยัก คางบุ๋มเล็กน้อย อกผายไหล่ผึ่ง
ข้อลำาใหญ่ อยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายชายยาวแบบลำาลอง
เข้ากันกับธรรมชาติรอบด้าน กระแสความเป็น
เขาโดยรวมมีเสน่ห์แบบนุ่มนวล ขัดกับน้ำาเสียง
วางอำานาจเป็นคนละเรื่อง
"ฉันไม่เหมือนคุณครูที่ถือไม้เรียวคอยตีก้น
พวกเธอใช่ไหมมะแม?"
มะแมผวา ก้มหน้าคอหด เอาล่ะซี ตอนอยู่
บนเครื่องเผลอนินทาอะไรบอสไว้บ้าง และที่ผ่าน
มาแอบคิดอะไรไว้แค่ไหน เดี๋ยวจะถูกขุดขึ้นมา
ประจานสักกี่ชุดก็ไม่รู้
เมื่อใดบอสกลายเป็นศูนย์กลางการ
ปกครอง เมื่อนั้นจะไม่มีหน่วยงานตลอดจน
ราษฎรใดหลอกลวงหรือปกปิดผู้ปกครองสูงสุด
ได้แน่ !
"ฉันยึดตรงนี้เป็นที่พำานัก ก็เพราะเป็นที่ที่
ทำาให้รู้สึกไป ว่าทั้งโลกยังสวยอย่างนี้อยู่ มัน
ทำาให้ฉันมีพลังใจไม่ขาดสาย ในอันที่จะคงความ
เป็นเช่นนี้ไว้ "
ขณะพูดก็มองมาทางไอซิส ซึ่งยังเงยหน้า
ให้สบตาได้อยู่ ฝ่ายนั้นฟังแล้วยิ้มแหยๆ เพราะ
ทราบว่านั่นเป็นคำาอธิบายต่อข้อสงสัยของหล่อน
กับมะแม ที่อยากทราบว่าบอสมายึดที่นี่เป็นที่พัก
ผ่อนหรือที่ทำางานกันแน่
สบตาได้แค่ครู่เดียวสาวเลือดผสมก็รู้สึกตะ
ครั่นตะครอ เหลือบหลบลงต่ำา แต่ไม่ถึงกับก้ม
หน้างุดแบบมะแม
และพอตาเหลือบลงต่ำา ไอซิสก็แอบสำารวจ
แผงอกของบอส จากที่ทราบว่าบุรุษตรงหน้าอายุ
เฉียดร้อย พอเห็นสภาพทางกายยังหนุ่มแน่นเช่น
นี้ อายุก็กลายเป็นเพียงส่วนเสริมความยิ่งใหญ่
และเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถอยู่รอด
เอาชนะได้แม้การตัดสินใจของธรรมชาติไป
เขาคนนี้แหละ คู่ควรกับการพลิก
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ไม่อาจเอาตัวรอด
กัน!
ขณะนั้น คนงานเผ่าเมารีชายหญิงเริ่ม
ทยอยลำาเลียงอาหารมาวาง แจกันดอกไม้บนโต๊ะ
ถูกแทนที่ด้วยจานไก่งวงอบ เนื้อสไลด์ย่าง สเต็ก
ปลา ซุปข้น สลัดผัก และเครื่องประกอบอื่นๆ จน
เต็มโต๊ะ
"มื้อนี้ สิ่งที่ฉันเอามาต้อนรับพวกเธอ คือ
อาหารของคนในยุคต่อไป"
ทั้งไอซิสและมะแมแลมองจานอาหารแล้ว
ทำาหน้าพิศวง เพราะเห็นชัดๆว่ามันก็คือเนื้อสัตว์
ชนิดต่างๆที่เจอะเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง ไม่
เห็นแตกต่างตรงไหน
"นึกว่าเหมือนๆที่พวกเธอเคยเห็น เคยได้
กลิ่น แล้วก็เคยลิ้มรสมาแล้วใช่ไหมล่ะ? แน่นอน
มันเหมือนกันไม่มีผิด รวมทั้งคุณค่าทางอาหาร
ด้วย สิ่งที่แตกต่างไป คือไม่มีสัตว์สักตัวที่ต้อง
ตายสังเวยมื้อกลางวันนี้ของพวกเรา!"
"นาโนเทค สังเคราะห์จุดเล็กที่สุดของเนื้อ
แต่ละแบบ ประกอบรวมขึ้นแทนของจริงหรือคะ
บอส?"
ไอซิสทำาใจกล้าแสดงความรู้ เพื่อโต้ตอบ
สนทนากับบอสบ้าง
"ใช่แล้ว!"
"หนูนึกว่าเป็นเทคโนโลยีที่ต้องรออีกนาน
กว่าจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ "
"มา! ลองดูซิ พวกเธอจะจับได้ไหมว่า
รสชาติผิดแผกแตกต่างจากของจริงยังไง"
ทั้งสามร่วมลงมือรับประทาน และความ
แตกต่างเดียวจากเนื้อสัตว์ของจริง เท่าที่ไอซิ
สกับมะแมสัมผัสผ่านลิ้น ก็คือความอร่อย รสเนื้อ
สังเคราะห์นี้อร่อยอย่างไม่เคยได้ลิ้มที่ไหนเท่า!
"อร่อยจริงๆค่ะบอส!" ไอซิสชมหลังกลืน
เนื้อไก่งวงเทียม "บอสไม่เอามาแจกจ่ายชาวโลก
ล่ะคะ สัตว์จะได้ไม่ต้องตายตั้งแต่วันนี้ "
"อือ... สัตว์ไม่ตาย แต่ฉันจะตายแทนน่ะสิ "
เซธเอ่ยพลางหัวเราะหึหึ "คิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น
กับสายโซ่ของธุรกิจผลิตอาหาร นับแต่โรงฆ่าสัตว์
ไปจนถึงนายหน้าค้าเนื้อ"
ไอซิสมองเซธตาเป็นประกาย ก่อนหัวเราะ
ออกมาได้
"ลืมคิดไปค่ะ บอสคงไม่อยากเป็นศัตรูกับ
นักธุรกิจเนื้อสัตว์ทั้งโลกแน่ๆ"
มะแมชำาเลืองแลเพื่อนสาว เห็นฝ่ายนั้นเริ่ม
กล้าทำาเสียงเป็นกันเองกับบอส จึงเอาบ้าง
"บอสคงซ่อนเทคโนโลยีไว้อีกเยอะใช่ไหม
คะ มะแมเพิ่งเกิดความรู้สึกระหว่างนั่งเครื่องเจ็
ตมาที่นี่ เหมือนเทคโนโลยีทางอากาศที่ต้องใช้
น้ำามัน กำาลังเป็นของโบราณที่หนาเทอะทะ บินช้า
และใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที "
จิตของมนุษย์จูนเข้าหากันผ่านการสนทนา
และมะแมก็รู้สึกว่าพอพูดจบได้ก็เป็นกันเองกับ
ท่านผู้ยิ่งใหญ่มากขึ้น
"ถึงยุคของฉันเมื่อไหร่ จะไม่มีใครได้เห็น
พาหนะเคลื่อนที่ด้วยน้ำามันกันอีก และพวกเธอจะ
บินจากไทยมาหาฉันที่นี่ได้ภายในชั่วโมงเดียว
ไม่ใช่เป็นสิบชั่วโมงอย่างนี้ !"
"โอ้โห!" ไอซิสหัวเราะ "ถ้าขืนงัดเอา
เทคโนโลยีทั้งหมดของบอสออกมาใช้ตอนนี้ คง
โดนตั้งค่าหัวแพงกว่า บิน ลาดิน เยอะเลยค่ะ...
สรุปคือทางออกของพลังงานอยู่ที่บอสนี่เอง หนู
เคยคิดมานานว่าจะทำากันยังไงได้อีกกี่น้ำา ในเมื่อ
โลกวิ่งมาถึงจุดที่หยุดใช้น้ำามันไม่ได้ แต่น้ำามันก็
หายากขึ้นทุกที "
เซธพยักพเยิดนิดๆ
"ตั้งแต่มนุษย์มีรถ เครื่องบิน และไฟฟ้าใช้
กัน ก็นับถอยหลังสู่หายนะของสิ่งแวดล้อมกันมา
แต่นั้นแล้ว รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังต้องใช้กันต่อ เราไป
หยุดเขา เขาก็หมายหัวเราเป็นเป้ารับกระสุน"
"มีซีอุสช่วยอยู่ทั้งที บอสยังกลัวใครตามล่า
อีกหรือคะ?"
มะแมยื่นหน้าถาม
"ไม่ใช่ว่าซีอุสช่วยได้ทุกเรื่องนะ ถ้าเราไป
รบกวนวิถีโลกมากๆ ซีอุสก็ชี้ให้ไม่ถูกหรอกว่าเรา
ต้องซ่อนตัวตรงไหน ถึงจะไม่ได้รับผลอันเกิดจาก
การรบกวนโลกเอาไว้ "
"อ๋อ... ค่ะ"
สาวไทยทำาหน้าละห้อย เพราะคำานั้นสะกิด
เตือนให้นึกถึงผลสุดท้ายที่อัคระได้รับ หลังจาก
ล้ำาเส้น พยายามเบี่ยงเบนทางเดินของโลกด้วย
วิธีที่ท้าทายธรรมชาติเกินงาม
เซธลอบสังเกตแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยสืบต่อเป็น
คนละเรื่องแบบทำาเป็นไม่เห็น
"ที่ฉันหลงใหลเป็นอันดับหนึ่งมาแต่ไหนแต่
ไร คือเรื่องการทำาชีวิตให้เป็นอมตะ แล้วก็เริ่มเห็น
ทางรำาไร เมื่อพบวัยรุ่นคนหนึ่งที่ผิดปกติแต่
กำาเนิด อายุเกือบ ๒๐ แล้ว แต่ยังมีรูปร่างหน้าตา
เท่าเด็กอายุ ๑ ขวบอยู่ พูดง่ายๆว่าไม่มีการแก่
เกิดขึ้นเลย ต่างจากมนุษย์ปกติที่เริ่มกระบวนการ
แก่ชราตั้งแต่ลืมตาดูโลก... เด็กคนนั้นทำาให้ฉัน
กับทีมนักวิทยาศาสตร์เข้าใจเบื้องหลังความ
ชราภาพ และต่อยอดไปพบวิธีเอาชนะความแก่
เฒ่าได้สำาเร็จ... แต่เธอลองนึกภาพดูซิว่าถ้าฉัน
ปล่อยเทคโนโลยีที่ว่าออกไปตอนนี้ จะเกิดอะไร
ขึ้น?"
"ผู้คนที่ล้นโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทะลักล้นจน
ทรัพยากรหมดเกลี้ยง และเหลือแต่ทะเลทรายให้
อยู่อาศัย!"
"นั่นแหละ... ฉันจึงไม่ย่ำาซ้ำารอยเท้าที่เดิน
ผิดทางของพวกบุกเบิกเทคโนโลยีทั้งหลาย คือ
ไม่ใช่แค่คิดประดิษฐ์อะไรได้ก็เข็นออกมาขายกัน
ทันที สิ่งที่ฉันต้องถามเป็นข้อแรกเสมอคือ ความ
สะดวกสบายของเรา ไปรบกวนโลกให้เดือดร้อน
ได้แค่ไหน? โลกพังเพราะเราตั้งคำาถามนี้กันช้า
ไป เสร็จแล้วก็หาตัวคนผิดไม่เจอ เพราะทุกคน
เหมือนมีส่วนร่วมโดยไม่รู้ตัวกันหมด"
ไอซิสหรี่ตามอง "เจ้านาย" ของตนอย่าง
เริ่มหมดความรู้สึกแปลกหน้า หายประหม่า ดัง
นั้นจิตสัมผัสจึงกลับมาทำางาน แล้วเห็นว่าชีวิต
ของเซธเหมือนถูกกำาหนดให้มีเวลามากพอจะ
ปฏิรูปโครงสร้างโลกใหม่ทั้งหมดได้ทัน
"บอสคะ? ระบบการผลิตพลังงาน เส้น
ทางการคมนาคม ตึกรามบ้านช่อง คงเปลี่ยน
โฉมไปอย่างสิ้นเชิงเลยใช่ไหม? หนูเห็นเหมือนใน
ยุคของบอสนี่ ปัจจัยสำาคัญในการดำารงชีวิตกลาย
เป็นของฟรีหรือเกือบฟรี ผู้คนทำางานเหมาะกับ
ความสามารถของตัวเอง ประมาณตั้งหน้าตั้งตา
ช่วยกันสร้างโลกใหม่ โดยไม่จำาเป็นต้องกังวล
เรื่องการกินอยู่กันเท่าไหร่ "
"ก็ต้องอย่างนั้น"
"บอสทำาให้หนูนึกถึงนักวิทยาศาสตร์
อัจฉริยะอย่างเทสล่านะคะ ที่เคยคิดจะแจกจ่าย
ไฟฟ้าให้ทุกคนฟรีๆ โดยการทำาโลกทั้งใบเป็น
ไดนาโม แล้วก็ดูมีความเป็นไปได้ด้วย... แต่พอ
มาเจอคำาถามเดียวจากนายทุน คือแจกฟรีแล้ว
พวกเขาจะทำากำาไรกันยังไง? เท่านั้นเอง โปร
เจกต์ก็ปิดตัวลงสนิท... ไม่มีใครในระบบทุนนิยม
อนุญาตให้มีไฟใช้ฟรี แต่ดูเหมือนยุคของบอส
กำาลังจะมีใช้กัน... ระบบเศรษฐกิจในยุคของบอส
ต้องไม่ใช่แบบทุนนิยมแน่ๆ"
"อือ..." เซธรับ "ระบบเศรษฐกิจในยุคของ
ฉัน จะเป็น 'โลกนิยม' คือ ไม่ใช่สังคมนิยมที่ฝัน
จะให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ทุนนิยมที่เปิดอ้าให้
ใครมือยาวสาวได้สาวเอา แล้วก็ไม่ใช่พวก
ชาตินิยมที่แบ่งพรรคแบ่งพวกไว้รบราชิงเขตแดน
กัน"
"ไม่ใช่อะไรสักอย่างที่เคยๆนิยม แล้วงั้น
'โลกนิยม' นี่คือยังไงล่ะคะ?"
"คือโลกที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน... จะไม่มี
ใครได้กินถ้าอีกหลายคนยังอด!"
"เท่จัง! หนูเห็นภาพความเคลื่อนไหวในโลก
ใหม่เป็นฉากๆเลย ไม่มีใครงอมืองอเท้า ขณะ
เดียวกันก็ไม่มีใครแบมือขอกิน!"
มะแมมีเรื่องติดใจ จึงถามเมื่อเห็นสบ
โอกาส
"บอสคะ ถ้าไม่พูดกันเรื่องบารมีเก่า เอา
เฉพาะชาตินี้ บอสได้แรงขับดันจากไหนมาทำา
อะไรอย่างที่ทำาไปทั้งหมด?"
เซธปรายตามองมะแม
"ความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต
มาดร้าย และความอยากเอาชนะปีศาจที่ปะปน
มาอยู่กับหมู่มนุษย์ นั่นแหละแรงขับสำาคัญที่ทำาให้
ฉันอยากเอาชนะความตาย เพื่อสร้างโลกใหม่ให้
เสร็จเสียก่อน!"
คำาตอบนั้นเรียกความสนใจจากสองสาวให้
ตาตื่นอีกครั้ง
"ฟังดูเหมือน... บอสเคยเจออะไรที่มันแย่
มากๆมางั้นแหละ"
"พ่อของฉันเป็นเยอรมัน ส่วนแม่เป็นยิว
แบบว่ารักแรกพบน่ะนะ... ฉันเกิดในปี ๑๙๑๘
หลังจากอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมัน
ประมาณหนึ่งปี ... พ่ออยู่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าตอน
อายุ ๑๕ ฉันต้องพาแม่หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี "
สาวแสนสวยทั้งสองพากันอึ้งสนิท โดย
เฉพาะสำาหรับไอซิส พอนึกตามคำาของบอสที่ว่า
"พาแม่หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่ฆ่าล้างเผ่า
พันธุ์ " ก็ถึงกับรู้สึกว่าเกิดมาตนไม่เคยมีปัญหา
เกี่ยวกับชาติพันธุ์เลยสักนิดเดียว
"ฉันเกิดมาในยุคที่ฆ่ายิวไม่เป็นไร แต่ถ้า
เป็นลูกยิวมีโทษสมควรตาย! ฉันจึงรู้ดีกว่าใครว่า
โลกนี้ไม่น่าอยู่ขนาดไหน ยิ่งโตฉันก็ยิ่งพบว่า
ไม่ใช่แค่พวกนาซีหรอก ที่อยากให้เผ่าพันธุ์ยิว
หมดไปจากโลก ชนชาติอื่นๆก็คิดคล้ายอย่างนั้น
คือไปพิพากษาว่ายิวนั้นหลงตัว เห็นแก่ตัว และ
ชั่วร้ายที่สุด!"
ไอซิสโคลงศีรษะ
"มนุษย์พร้อมจะเชื่ออะไรบ้าๆตามกัน ไม่รู้
ทำาไม"
"ฉันเคยเงยหน้ามองฟ้าแล้วปฏิญาณว่า
คอยดู ! วันหนึ่งฉันจะบีบให้ทั้งโลกรู้สึกเป็นหนี้
ความรัก ความเมตตากรุณาจากคนยิวที่รังเกียจ
การแบ่งแยกให้จงได้ !"
ปณิธานนั้นชวนให้มะแมทอดสายตามองผู้
ที่ตนนับถือเป็นนาย ก่อนออกความเห็นด้วย
อาการสะท้อนใจ
"ที่ผ่านมา บุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่าง จีซัส ไค
รสต์ ก็เป็นชาวยิว อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็น
เยอรมันเชื้อสายยิว เท่านี้น่าจะเพียงพอให้โลก
ยอมรับแล้วนะคะว่าชาวยิวพร้อมจะเผื่อแผ่ความ
รัก และกระทำาตนเป็นผู้เปลี่ยนโลกทัศน์แก่
มนุษยชาติได้ "
"หลายคนแกล้งลืมว่าจีซัสกับไอน์สไตน์เป็น
ยิว แต่ดันแกล้งจำาว่าไชล็อกพ่อค้าหน้าเลือดมีตัว
ตนอยู่จริง ทั้งที่เป็นแค่ตัวละครของเชกสเปียร์
แถมยกให้ไชล็อกเป็นภาพแทนชาวยิวทั้งหมด
เสียอีก คือขูดรีด เอารัดเอาเปรียบ ไร้ความเป็น
ธรรม แล้วก็แกล้งเฉือนเนื้อลูกหนี้เล่นเพื่อความ
สะใจได้้ลงคอ"
มะแมยิ้มกร่อยๆ เมื่อนึกได้ว่าแม้แต่คนไทย
ก็ยังชอบด่าคนขี้งกว่า "แกนี่มันยิวจริงๆ" ทั้งที่
อาจไม่รู้ที่มาที่ไปแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำา จึงเริ่ม
เห็นภาพว่าชาวยิวส่วนใหญ่ต้องเจออะไรมาบ้าง
ไอซิสซึ่งมีประสบการณ์คบหาชาวยิวมาบ้าง
อดคิดไม่ได้ว่ายิวชั่วมันก็ชั่วจริงๆ เห็นแก่ตัวและ
ดูถูกคนอื่นได้เหมือนเป็นโรคจิต ด้วยความทะนง
ในความเป็นชาติพิเศษที่ฉลาดเกินเผ่าพันธุ์อื่นๆ
แต่ยิวดีก็ดีใจหาย ทุ่มเทตนเองให้ใครต่อใครโดย
ไม่หวังผลตอบแทนใดๆได้เช่นกัน
"พอถึงเวลาที่โลกต้องการความช่วยเหลือ
ต้องการการรวบอำานาจเพื่อความเป็นปึกแผ่น
และบอสก็เป็นคนเดียวที่เตรียมไว้เพื่อการนั้น...
คราวนี้คงบันทึกไว้ในความทรงจำาของมนุษยชาติ
อย่างถาวรเลยค่ะ ว่ายิวใจดีขนาดไหน"
เซธหัวเราะเอื่อยๆในลำาคอ
"เดี๋ยวก็มีคนด่าอีกนั่นแหละว่าเห็นไหม นึก
แล้ว ยิวมันอยากครองโลก และแล้วก็ได้ครอง
จริงๆ... ฟ้าลิขิตซะด้วยนะ จับพลัดจับผลู ฉันเป็น
คนหนึ่งที่รู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับหายนภัยระดับ
โลกาวินาศ แต่เป็นคนเดียวที่มีเวลาพอจะอุทิศ
ชีวิตให้กับการรับมือมันอย่างเป็นรูปธรรม"
ไอซิสจ้องเซธเขม็ง ดวงตามรกตทั้งคู่ส่อง
แววอยากรู้เจิดจ้า
"บอสเห็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะว่าโลกจะหมุน
เข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ?"
"เมื่อฉันค้นพบวิธีพยากรณ์อันเป็นต้นแบบ
ของซีอุส"
"แล้วบอสได้ต้นแบบการพยากรณ์มาจาก
ตำาราไหน?"
"มันมาจากฟิสิกส์ ก่อนที่จะมาผสมกับ
โหราศาสตร์ ... เล่าแบบรวบรัดคือเมื่อ ๖๐ ปีก่อน
ฉันมีโอกาสอยู่กับพวกนักฟิสิกส์ร้อนวิชากลุ่มหนึ่ง
ที่เห็นโลกและจักรวาลเป็นเครื่องจักร พวกเขา
สันนิษฐานว่าถ้าหาชิ้นส่วนสำาคัญที่สุดของ
จักรวาลได้ ก็จะเข้าใจและพยากรณ์จักรวาล
ทั้งหมดได้ "
"แล้วชิ้นส่วนที่ว่านั้นคืออะไรคะ?"
"แรงดึงดูดไง!"
ขณะที่มะแมฟังงงๆ ไอซิสกลับเห็นภาพได้
ทันที เนื่องจากมีความรู้ทางฟิสิกส์และ
ดาราศาสตร์สมัยใหม่รองรับ
"อย่างที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าแรงดึงดูดมี
มาก่อนกาลเวลาและอวกาศ กับทั้งเป็นต้นเค้าว่า
ทำาไมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล จึงถูกสร้างขึ้น
อย่างเป็นไปเองโดยปราศจากผู้อยู่เบื้องหลังใช่
ไหมคะบอส?"
"ใช่ ! ทุกคนงงกันหมดว่าก่อนมีกาลเวลา
และอวกาศ แรงดึงดูดมันมาจากไหน แล้วมันคือ
อะไรกันแน่ ... วันหนึ่งฉันอยู่ในสมาธิ และสัมผัส
ถึงแรงดึงดูด รู้สึกว่ามันไม่ใช่พลังงาน แต่มันก็
เป็นแรงเดียวที่ยึดเหนี่ยวเราไว้กับพื้นโลก
แรงดึงดูดเป็นธรรมชาติที่น่ากลัว ชวนขนหัวลุก
เพราะมันไม่มีตัวตน แต่เป็นนามธรรมขั้นปฐม ที่
เป็นส่วนสําคัญให้นามธรรมอื่นๆ ตลอดจนรูป
ธรรมทั้งหลาย ปรากฏมีขึ้นมา และเกาะติดอยู่กับ
กันและกันได้ "
ไอซิสพยักหน้า
"ทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาล ก็เพื่อความ
พอดีที่จะมีชีวิตได้ "
"นั่นแหละ เมื่อรู้เหตุผลของความมีชีวิตได้
ก็เท่ากับทําความรู้จักต้นกําเนิดของจักรวาลได้
เช่นกัน!"
สาวเลือดผสมย่นคิ้วอย่างพยายามคิดตาม
"บอสจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย คือ
เหตุผลของการมีแรงดึงดูด?"
"ไม่ใช่ ! เหตุผลของการมีชีวิตนั่นแหละ คือ
ตัวแรงดึงดูดโดยตรง!"
"แปลว่าถ้าเรารู้เบื้องหลังการมีชีวิต เราก็
รู้จักตัวแปรสำาคัญที่สุดในการคำานวณเกี่ยวกับ
จักรวาล อย่างนั้นใช่ไหมคะ?"
เซธผงกศีรษะ
"ความดึงดูดไม่ได้มีผลกับวัตถุอย่างเดียว
มันยังทำาให้จิตหลงติดได้ด้วย เมื่อจิตหลงติดอยู่
ย่อมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สำาคัญมั่นหมายว่ามีตัว
มีตน... และความไม่รู้นั้นเอง ได้ก่อภาวะแห่งรูป
นามขึ้นด้วยกรรมขาวบ้าง กรรมดำาบ้าง ทั้งหมด
ทั้งปวงในจักรวาล มันคือสภาพแวดล้อมเพื่อตก
รางวัลและลงโทษสัตว์ผู้ก่อกรรมเท่านั้นเอง"
"หนูพอจะเข้าใจรางๆแล้ว" มะแมเอ่ย "พอ
บอสหันมาสนใจศึกษา จนเกิดสัมผัสเห็นแจ้งใน
กรรมวิบาก บอสก็เริ่มคิดสูตรพยากรณ์จักรวาล
จากแรงขับดันของกรรมวิบาก ด้วยวิธีจำาแนก
มนุษย์และสัตว์ออกเป็นต่างๆ แล้วหาความ
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับจักรวาล เหมือนหลักขั้น
พื้นฐานของโหราศาสตร์ใช่ไหมคะ?"
เซธทอดตามองสาวไทยด้วยความระลึกถึง
อัคระ ครั้งแรกที่คุยกับอัคระเกี่ยวกับสูตรการ
พยากรณ์จักรวาล อัคระก็หัวไวและเข้าใจเขาได้
เร็วเหมือนอย่างนี้
"ฉันเริ่มคลำาทางมะงุมมะงาหรามาจากจุด
เริ่มต้นนั้นอย่างเธอว่า มะแม"
"แล้วบอสจะยกพุทธศาสนาเป็นศาสนาของ
โลกใหม่หรือเปล่าคะ?"
"เดิมทีศาสนาของฉันคือวิทยาศาสตร์๋ นัก
วิทยาศาสตร์คือศาสดาร่วมกัน แต่เมื่อพุทธ
ศาสนาตอบคำาถามที่วิทยาศาสตร์ไม่มีวันตอบได้
พระพุทธเจ้าก็กลายเป็นศาสดาของฉันแทน... แต่
โลกใหม่ต้องการความสามัคคีกันเหนือสิ่งอื่นใด
ฉันจะสร้างแรงยึดเหนี่ยวพลโลกด้วยแนวทางของ
ลัทธิยูนิตาเรี่ยน คือ นับถือองค์จีซัสในฐานะ
มนุษย์ธรรมดาผู้มีอำานาจความรักที่ยิ่งใหญ่ ขณะ
เดียวกันก็เปิดใจรับพุทธศาสนาว่าเป็นวิถีแห่งการ
ไขความลับจักรวาล ด้วยวิธีที่ลองเองก็รู้ได้เอง"
ไอซิสฟังแล้วทักย้ิมๆ
"ลัทธิยูนิตาเรี่ยนนี่ นักบวชยิวก็เป็นคน
ริเริ่มใช่ไหมคะบอส?"
เซธยักไหล่ตอบ
"ใครเริ่มไม่สำาคัญเท่าใครได้ใช้ ในยุคของ
ฉัน ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้รับคำาพยากรณ์จากซีอุส
เพื่อให้รู้ตัวว่ามีสิทธิ์เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ที่
สําคัญกว่านั้น คือจะได้พิสูจน์ว่าสัตว์โลกย่อมเป็น
ไปตามกรรม ทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้น เรื่องร้ายจะ
บรรเทาลง เมื่อสามารถหักห้ามใจ เอาชนะสิ่งยั่ว
ยุให้ผิดศีล ๕ ได้ทุกข้อ เป็นเวลาต่อเนื่องนาน
พอ"
มะแมยิ้มสดชื่น นึกถึงยุคที่ผู้คนพากันตั้ง
ความคิดไว้พร้อมๆกันว่า ยอมอดตายดีกว่าผิด
ศีล แล้วสัมผัสได้ชัดทีเดียวว่าทั้งโลกจะสว่างเรือง
รองประดุจดาวฤกษ์
"บอสคะ" สาวผิวสีแทนทำาหน้าจริงจังขึ้น
"จนป่านนี้พวกหนูยังไม่รู้เสียที ว่าระดับ ๕ คือ
อะไร"
นัยน์ตาสีเหล็กของเซธทอดมองตอบอย่าง
อ่อนโยน
"นั่งอยู่ด้วยกันอย่างนี้ น่าจะสัมผัสรู้ได้ด้วย
ตัวเองแล้ว"
ไอซิสทำาหน้าสงสัย ก่อนสำารวมใจเป็น
อุเบกขา แผ่จิตเปิดกว้างรับสัมผัสทุกสิ่งรอบตัวที่
ปรากฏอยู่ ณ บัดนั้น นิ่งครู่หนึ่งก่อนลืมตาโพลง
แล้วโพล่งออกมาดังๆ
"เป็นเมียบอส?"
"ทำาไมต้องตะโกนด้วย" เซธดุขรึมๆ "ไม่
อายบ่าวไพร่บ้างหรือไง?"
สาวเลือดผสมทำาหน้าเหรอหรา หันมาถาม
มะแม
"เมื่อกี๊ฉันพูดดังเหรอ?"
สาวไทยอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็เงียบๆไม่
ตอบคำาหรือแสดงท่าทีใดๆ เนื่องจากกำาลังใจสั่น
เมื่อทราบความจริงทั้งหมด
ขณะนั้น เซธโบกมือเป็นสัญญาณให้บรรดา
คนงานซึ่งยืนคอยปรนนิบัติอยู่ในระยะ ๒๐ เมตร
นอกศาลาแปดเปลี่ยม มานำาของคาวออกไป
แล้วยกของหวานเข้ามาแทน
เรือพายลำาใหญ่ กั้นแดดด้วยหลังคา
ผ้าใบโค้งสีขาว มีนายท้ายคอยยืนพายให้ลอยลำา
เอื่อยไปในทะเลสาบ รอบด้านเหมือนหยุดนิ่งให้
ใจพลอยนิ่งตาม แผ่นฟ้าและผืนน้ำาสุดลูกหูลูกตา
พลอยเปิดใจให้ว่างโล่ง แต่ละขณะท่ามกลาง
ความสงัดงาม คือการดื่มด่ำาไปกับสีสันอันเป็น
อมตะแห่งธรรมชาติ สรรพสิ่งรอบรายดูจะคงอยู่
แต่ในนาทีนี้ และทำาท่าว่าจะไม่มีนาทีสุดท้าย
บนเบาะแดงหนาหนุ่มตรงกลางเรือ หนึ่ง
บุรุษกับสองสตรีนั่งหันหน้าเข้าหากัน และเริ่มสน
ทนาเบาๆหลังออกจากฝั่งมาเป็นครู่
"เมื่อถึงเวลาสถาปนาอาณาจักร และ
ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ ฉันจำาเป็นต้องมีทุก
องค์ประกอบของจักรพรรดิ และองค์ประกอบหนึ่ง
ที่สำาคัญอย่างขาดไม่ได้คือมเหสี พิธีแต่งตั้งพร้อม
งานอภิเษกสมรสจะมีขึ้นในวันเดียวกัน มีศักดิ์
เทียบเท่ากัน ไม่มีใครใหญ่หรือเล็กกว่า"
เซธเอ่ยเสียงเรียบ
"ควีนของบอสมีทั้งหมดกี่คนคะ?"
แน่นอน มีแต่ไอซิสที่กล้าถามเช่นนั้น
"เจ็ด!" ตอบแล้วเบือนหน้าไปเมียงมอง
ยอดเม้าท์คุกนิ่ง "แผ่นดินของโลกจะเปลี่ยนไป
จำานวนประเทศจะน้อยลง แต่ฉันก็ไปนั่งคุม
ทั้งหมดไม่ไหวอยู่ดี ต้องส่งพวกที่ฉันไว้ใจในระดับ
๕ ไปเป็นตัวแทนกันทั่วๆ"
"ว่าที่ควีนทั้งหลายมาพบบอสหมดแล้ว?"
"ครบหมดแล้ว... มเหสีแบ่งออกเป็น ๓
กลุ่ม เธอสองคนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาทำาความ
รู้จักกัน"
"แบ่งกลุ่มด้วยอะไรคะ?"
"ความเข้ากัน และสายสัมพันธ์ที่จะมีต่อไป
ถึงลูก"
"ก็แปลว่าการแบ่งข้าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จะ
ไม่หมดไปอยู่ดี "
"การจัดแบ่งอย่างถูกต้อง ดีกว่าการรวมกัน
อย่างผิดพลาด"
"ถามหน่อยเถอะ จริงๆหนูไม่ได้น้อยใจ
หรอกนะ แต่สงสัยว่าทำาไมมะแมถึงได้ระดับ ๕
ทั้งที่ยังไม่เคยทำางานให้บอสเลย? หนูอยู่กับบอส
มาตั้งกี่ปีเพิ่งมีสิทธิ์เจอหน้าเดี๋ยวนี้เอง"
"เธอถึงระดับ ๕ นานแล้ว แต่ต้องรอมาพบ
ฉันพร้อมมะแม ไม่งั้นถ้ามาก่อนนานๆ ก็อาจเข้า
กันยาก หรือรู้สึกเสมอกันยากขึ้น"
มะแมเหลือบแลเพื่อนสาวด้วยความฝืน
เกร็งหน่อยๆ และชิงถามเซธด้วยความอยาก
เบี่ยงเบนประเด็น
"ระดับ ๕ เป็นใครได้บ้างคะ?"
"มเหสี โอรส ธิดา แล้วก็มุขมนตรี พูด
ง่ายๆคือคนใกล้ชิดสนิท ที่ฉันไว้ใจให้ทำาหน้าที่
สำาคัญแทนได้ นำาผู้คนแทนฉันได้ ... แต่แน่นอน
ว่าเมียของฉันและสายเลือดของฉันเท่านั้น ที่ภาย
ภาคหน้ามหาชนจะให้การยอมรับเป็นตัวแทนสืบ
ราชวงศ์จริงๆ"
"หนูว่าไอซิสต้องเป็นคนโปรดของบอสยิ่ง
กว่าใคร"
เซธหันมายิ้มให้มะแม
"ทำาไมถึงคิดอย่างนั้น?"
"หนูไม่เคยเห็นใครทั้งสวย ทั้งเก่ง แล้วก็มี
ออร่าเจิดจ้าเท่าเขามาก่อน เมื่อครู่จะมาลงเรือ
หนูเห็นสัดส่วนและความสูงของเขาตอนเดินคู่กับ
บอสเหมาะกันยิ่งกว่าอะไร คนไทยเรียกกิ่งทองใบ
หยก"
ไอซิสเอียงคอหัวเราะอย่างรู้ทันว่ามะแม
พยายามยกให้ตนเด่นกว่า จึงเอนกายสวมกอด
อีกฝ่ายด้วยสองแขนเรียว
"ยังไงเราก็จะเป็นเพื่อนที่มีความรู้สึกเสมอ
กันตลอดไปนะจ๊ะที่รัก"
ว่าแล้วก็ยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มเพื่อนรักทีหนึ่ง
ก่อนคลายวงแขนหันมาถามเซธ
"ลูกๆของพวกหนูจะเป็นที่รักของมหาชนใช่
ไหมคะบอส นิมิตของหนูเกิดจากความเข้าข้างตัว
เองหรือเปล่า?"
"ทั้งราชวงศ์ของฉัน จะเหนือสามัญชนขึ้น
มาอย่างรู้ตัวว่าทุ่มเทสร้างโลกใหม่มากกว่าคนอื่น
ไม่ใช่เพราะสำาคัญว่ามีกำาเนิดสูงส่งกว่าคนอื่น
ฉะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจหากจะเป็นที่รัก เป็น
ขวัญใจของประชาราษฎร์กันหมด"
"หนูเห็นนิมิตเหมือนมีหนุ่มหล่อสาวสวย
เดินตามลูกๆของหนูกันเป็นพรวน บนเส้นทางสู่
ภูเขาที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง มันหมายความว่ายัง
ไงคะ?"
"หมายความว่าลูกๆของพวกเธอจะรูปร่าง
หน้าตาดีไปเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชน
ศรัทธาความดีที่สวยงาม ต่างจากปัจจุบัน ที่
บรรดาเทวดานางฟ้าตกสวรรค์ทั้งหลาย พากัน
แปลงร่างเป็นดาวโป๊บ้าง เป็นพวกถือโอกาส
ขายตัวบ้าง เป็นมิจฉาชีพหน้าซื่อใจคดบ้าง เลย
ชวนให้ผู้คนนึกถึงรูปงามคู่ความใจดำา ตลอดจน
เลิกเชื่อเรื่องเทวดานางฟ้ากันไปหมด"
มะแมฟังแล้วเห็นภาพเปรียบเทียบ โลก
มนุษย์วันนี้เหมือนสถานีเปลี่ยนศิริให้เป็นกาลกิณี
ราวกับบรรดาคนมีบุญเก่าทั้งหลายจะนัดกัน
กระตุ้นมวลชนให้อยากไหลลงนรก เห็นคนดีเป็น
ตัวตลก เห็นคนทำาเรื่องสกปรกเป็นเพื่อนกัน
ส่งตาแลยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตามเซธ
ความงามของเม้าท์คุกเหมือนลางสวรรค์ และนั่น
ก็เตือนให้นึกถึงอัคระขึ้นมา เขาไม่เคยวาดแผน
สร้างโลกใหม่ได้ชัดเจนเป็นฉากๆเท่าเซธเลย
อย่างมากก็พูดถึงความฝันอันแรงกล้า ที่จะ
เปลี่ยนโลกใบเก่าด้วยกำาลังใจเกินมนุษย์เท่านั้น
เซธสัมผัสความคิดของมะแม จึงเอ่ยอย่าง
ปรานี
"ความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ บางครั้งก็ไม่น่า
ภูมิใจเท่าความยิ่งใหญ่ที่ได้พยายาม"
มะแมสะดุ้ง หันขวับมาสบตาเซธ ก่อนเบือน
หน้าไปมองชายฝั่งแทนโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้
บุรุษผู้จะได้เป็นเจ้าของโลกกล่าวต่อ
"สำาหรับจักรพรรดิผู้หลงโลก มักได้อำานาจ
มืดมาจากการรบราและเข่นฆ่าผู้คน แต่จักรพรรดิ
ผู้เป็นธรรม ล้วนได้อำานาจสว่างมาจากการให้
ทานกับสิ่งมีชีวิตไม่เลือกหน้า อัคระไม่ได้ตาย
เปล่า เส้นทางการเกิดตายของเขาแค่ทอดยาวไป
บนวิถีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีธรรมเป็น
แสนยานุภาพอันเกรียงไกร และจะไม่มีใคร
เอาชนะได้ "
มะแมพยักหน้าน้อยๆพลางพึมพำา
"ยกเว้นบอส"
"ใครบอกเธอล่ะ"
"ก็บอสจะได้เป็นจักรพรรดิ ... ไม่ใช่พี่อัค"
เซธหัวเราะกระหึ่ม มะแมแปลความหมาย
ไม่ออก แล้วก็คร้านจะพยายามแปล เพราะอาจ
ชวนให้นึกว่าเซธกำาลังหัวเราะแบบผู้ชนะที่อยู่
เหนือผู้ชนะทั้งปวง
ถึงรู้ว่าอัคระเสวยสุขอยู่บนสวรรค์อย่างทรง
เกียรติ แต่เมื่อนึกถึงร่างไร้วิญญาณที่ถูกทิ้งไว้
อย่างเดียวดายในรถ เพียงเพื่อให้คนเลวคนหนึ่ง
รอดไปเป็นคนดีได้ น้ำาตาก็รื้นขึ้นมาด้วยความ
สงสารจับใจ ศพของเขาเหมือนคนแพ้หมดรูป
ที่ไหนจะเหลือศักดิ์ศรีไปเทียบกับเซธได้เล่า?
ถ้าอัคระไม่เอาตัวมาบัง ปล่อยให้หล่อนถูก
ยิงตายตั้งแต่ตอนอยู่ในเรือ มะแมอาจเป็น
วิญญาณที่มองย้อนกลับมาแล้วภูมิใจในตัวเอง
มากกว่านี้ ไม่น่าทำาให้หล่อนต้องถามตัวเองไปจน
ชั่วชีวิตที่เหลือ ว่ามีค่าแค่ไหน ถึงเอาชีวิตเขามา
แลกเพื่อให้หล่อนได้อยู่ต่อ?
ตั้งปณิธาน หากพบกันอีก หล่อนจะเป็น
ฝ่ายพลีชีวิตให้เขาบ้าง!
"เศร้าไปทำาไม เดี๋ยวก็เจอกัน"
เซธเอ่ยมาเนือยๆ แต่น้ำาเสียงของคนรู้ล่วง
หน้าได้จริง ก่อให้เกิดความอยากถามขึ้นมา
ทันใด
"เมื่อไหร่เหรอคะ?"
"อยากรู้จริงๆหรือ?"
มะแมชักเอะใจ สายตาและรอยยิ้มชนิดนั้น
เหมือนแฝงเลศบางอย่างอยู่ แต่จะกลัวอะไร ใน
เมื่ออยากรู้รุนแรงเกินห้ามใจขนาดนี้
"จริงสิคะบอส หนูอยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะได้
เจอพี่อัคอีก"
ปากแข็ง แต่หางเสียงสั่นพลิ้วด้วยความ
เกรงในสายตามีอำานาจของเซธ
"เธออาจจะต้องเสียใจในภายหลังนะ"
หญิงสาวผู้รอคำาตอบด้วยใจระทึกกัดริม
ฝีปาก หากการรู้ความจริงทั้งหมดจะต้องทำาให้
เสียใจ หล่อนควรจะยังยินดีที่ได้รู้อยู่หรือไม่ ?
"ค่ะบอส อย่างน้อยหนูไม่ต้องเสียใจที่รู้
ความจริงเพียงครึ่งเดียวก็แล้วกัน!"
เซธหัวเราะเบาๆก่อนทำาหน้านิ่ง ระบายลม
หายใจยืดยาวก่อนเผยความลับที่สำาคัญบาง
ประการ
"ถึงแม้ค้นพบเทคโนโลยียืดอายุ แต่ฉัน
ประจักษ์ว่าตราบเท่าที่จำาตัวตนเดิมได้อย่างต่อ
เนื่อง เราก็ไม่อาจปรับสภาพความรู้สึกให้เป็นอีก
คน การปรับสภาพร่างกายให้สดใหม่ในแต่ละ
ครั้ง อาจช่วยให้รู้สึกเหมือนกลับเป็นหนุ่มก็จริง
แต่จะเกิดความเบื่อหน่ายเยี่ยงคนดูโลกมานาน
แบบคนแก่อยู่ดี "
ไอซิสนึกออก และยิงคำาถามเข้าเป้า
"บอสวางแผนไว้ว่าจะอยู่กี่ปีคะ?"
"ไม่เกิน ๑๔๐ คือนับจากนี้อีก ๕๐ ปี เมื่อ
โลกใหม่ตั้งมั่นสมบูรณ์แล้ว ฉันจะเลิกต่ออายุ เพื่อ
เข้าสู่กระบวนการลืมเลือนตามธรรมชาติ ได้จาก
ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามทางของฉัน"
มะแมยังข้องใจ จู่ๆเซธเปลี่ยนเรื่องอัคระมา
เป็นเรื่องอายุขัยของเขาได้อย่างไร และกระแส
ความข้องใจนั้น ก็ดึงสายตาของเซธมาสบด้วย
เต็มๆ
"หลังฉันตาย ก็ต้องมีลูกสืบทอดบัลลังก์ ...
เธอทายซิว่าใคร?"
ดุจพื้นเรือทะลุหาย มะแมคล้ายร่วงหล่นลง
สู่ธารน้ำาแข็งยะเยียบเบื้องล่าง ตัวชาจากหัวจรด
เท้า แทบหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ
อะไรๆที่นึกว่าเข้าใจมาทั้งสิ้นทั้งปวง พลัน
หายวับไปกับตา สัมผัสทางใจบอกว่าเซธพูด
ความจริงทุกคำา ใจหล่อนเท่านั้นกำาลังอยากเป็น
เท็จอย่างที่สุด!

_________________________________________________________________________________
บทที่ ๓๐
หลังกลับจากนิวซีแลนด์ ชีวิตยังคงดำาเนิน
ตามปกติ ยกเว้นอภิสิทธิ์ที่เพิ่งได้รับมา นั่นคือ
สามารถเป็นฝ่ายโทร.หาเซธได้ตามต้องการ
โทรศัพท์ไม่ได้ปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
หล่อนแค่รู้วิธีโทร.ออก คือกดปุ่มรับสายแช่ไว้
นานพอก็เท่านั้น
เคยลองใช้สิทธิ์พิเศษของว่าที่ราชินีแห่ง
องค์จักรพรรดิไปสองหน ทว่าทั้งสองหนนั้นก็
ปรากฏข้อความขึ้นมาบนหน้าจอว่า "กรุณารอ
สัญญาณเรียกกลับ" ตั้งแต่นั้นมะแมเลยไม่
โทร.อีกเลย
อย่างไรก็ตาม เซธโทร.มาสม่ำาเสมอ ให้
เวลาหล่อนวันละ ๕ นาทีบ้าง ๑๐ นาทีบ้าง เพื่อ
เป็นการสร้างความผูกพันตามธรรมชาติของคนที่
กำาลังจะใช้ชีวิตด้วยกัน หากวัดตามเกณฑ์ของ
การคบหาสานสัมพันธ์รัก ก็อาจดูเหมือนเขาเจียด
เวลาให้หล่อนน้อยไป แต่หากมองว่าเซธเอาเวลา
๑๐ นาทีไปทำางานใหญ่ วางแผนสร้างโลกใหม่ได้
เป็นอเนกอนันต์ ก็ต้องเรียกว่าเขาใจดี มอบอะไร
ให้หล่อนยิ่งกว่าทองคำาแท่งวันละหลายหีบแล้ว
น้ำาเสียงทุ้มลึกของบุรุษผู้ทรงอำานาจมาก
ที่สุดในโลก เหมือนหลอมหล่อนให้ละลายได้ทุก
ครั้ง ลืมตัวลืมตนไปหมดว่าเป็นใคร ควรจะมีค่า
น่าต่อรองได้แค่ไหน
แต่พอวางสาย มะแมก็ชอบมานั่งนึกเปรียบ
เทียบ เมื่ออยู่กับอัคระนั้น แน่ใจว่าตนเป็นคนที่
เขารักและยอมแลกทุกสิ่งเพื่อให้ได้หล่อนมา แต่
กับเซธ หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำาว่าตนอยู่ในฐานะอะไร
กันแน่ ...
ตลอดเวลาที่อยู่ในปราสาทของเซธ มะแม
ไม่เคยเห็นเขามองเนื้อตัวหล่อนด้วยไฟปรารถนา
เลยสักหน ซึ่งแง่ดีคือไม่รู้สึกว่าตนเป็นเพียงวัตถุ
ทางเพศชั้นสูงที่เอาไว้ประดับบัลลังก์จักรพรรดิ
แต่แง่เสียคือได้เห็นว่าหล่อนมาอยู่ตรงนี้ เพียง
เพราะมีดีพอจะช่วยงานสร้างโลกใหม่ ไม่ใช่
เพราะมีเสน่ห์พอจะมัดใจเซธไว้ได้
จากการเสียความเชื่อมั่น กลายเป็นชนวน
ให้คิดมาก เช่น พอมานั่งนับลำาดับการมีโอกาส
ติดต่อทำาความรู้จักกับเซธแล้ว หล่อนอยู่อันดับ
๗...
พูดง่ายๆคือมาที่โหล่ !
แต่ความหมายทางใจกับเซธล่ะ หล่อนเป็น
ที่เท่าไหร่ ?
ด้วยความเป็นผู้หญิงสวย หล่อนเคยชินกับ
การเป็นที่ปรารถนาของผู้ชายทุกคน และด้วย
ความเป็นผู้หญิงเก่ง หล่อนเคยชินกับการเป็น
หมายเลขหนึ่งมาตลอด
จู่ๆวันหนึ่งก็ต้องมาตั้งคำาถามว่านี่หล่อน
เป็นที่โหล่ในสายตาใครหรือเปล่า?
หรือหล่อนไม่ควรจะคิดมาก เมื่อโลกถึงกาล
เปลี่ยนโฉม แผ่นดินใหม่ปรากฏ อย่างไรก็ต้องอยู่
ในความปกครองของเซธอยู่ดี ไม่ว่าจะอยู่แห่งหน
ตำาบลใด หากไม่สมัครใจอยู่ในอาณาจักรของเซธ
ก็เหลือทางเลือกที่เป็นไปได้ คือดวงจันทร์กับดาว
อังคารเท่านั้น!
นี่แบเบอร์ออกมาแล้ว กรรมดีที่สร้างไว้
ตอบแทนด้วยการให้หล่อนอยู่ในอาณาจักรแห่ง
องค์จักรพรรดิเยี่ยงนางพญา เป็นรองก็แต่
พระเจ้าเซธมหาราช แค่นี้ไม่พอแล้วแค่ไหนถึงจะ
พอ?
เกือบๆจะปลงตกก็คิดขึ้นมาอีก ตลอดทั้งรัช
สมัยของเซธซึ่งรู้ล่วงหน้าว่ามีกำาหนดระยะเวลา
ประมาณ ๕๐ ปีนั้น ถามว่าเซธจะมาอยู่กับหล่อน
นานแค่ไหน เขาอาจแค่ "ทำาตามหน้าที่ " สร้าง
ทายาทระดับ ๕ ทิ้งไว้กับหล่อนสักคนสองคน
ส่วนจะมาเมื่อใดก็คงต้องรอฟังฤกษ์สมควรจาก
ท่านปุโรหิตซีอุสอีกที
เวลานอกเหนือจากนั้น อาจต่างคนต่างอยู่
ไม่เจอหน้าแบบสองต่อสองอีกเลย ถ้าเจอก็
ประเภทวันรวมญาติ ได้ทักทายพูดคุยไม่กี่คำา
หล่อนคงมีหน้าที่หลักในการฟูมฟักลูกในช่วง ๑๐
ปีแรก แล้วก็นำาลูกไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อบ้างเป็นครั้ง
คราว ไม่บ่อยนัก
สรุปคือหล่อนจะเป็นความสุขให้คนอื่นได้
แน่ แต่ไม่รู้จะเป็นสุขอยู่กับตนเองหรือเปล่า
นึกถึงคำาของอัคระตอนอยู่ในเรือที่ว่า กับ
หล่อน เขาอยากเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง...
คำานั้นแหละที่ผู้หญิงอย่างหล่อนต้องการ
ไม่ใช่บัลลังก์จักรพรรดิ !
เห็นภาพความเป็นมหาอำานาจแห่งราชวงศ์
ที่ตนกำาลังจะมีส่วนร่วม สำาเหนียกว่าคนทั้งแผ่น
ดินต้องยอบกายพินอบพิเทาให้ ยอมรับว่ารู้สึกดี
กับเงื้อมเงาความเป็นใหญ่ในวันหน้า ตื่นเช้ามาก็
อาจนั่งนึกว่าจะออกไปแจกของย่านไหน หรือไม่ก็
ถามซีอุสว่ามีใครควรได้รับการอนุเคราะห์จาก
หล่อนบ้าง เสร็จแล้วตกเย็นกลับมานั่งอิ่มใจ ลง
บันทึกว่าวันนี้สร้างผลงานในโลกใหม่ไว้กี่ชิ้น
เซธออกปากจะยกแว่นแคว้นให้ปกครอง
มะแมไม่สนหรอกว่าแว่นแคว้นดังกล่าวใหญ่โต
มโหฬารปานไหน แต่คงสนุกพิลึก หากภายในสิบ
ปีหล่อนเปลี่ยนทะเลทรายให้กลายเป็นสวนนันท
วันชั้นดาวดึงส์ขึ้นมา แข่งกับความเจริญหูเจริญ
ตาในเขตที่ปกครองโดยนางพญาอื่นได้
เคยเล่นเกมสร้างเมืองในคอมพิวเตอร์
หล่อนว่าหล่อนมีไอเดียบรรเจิดอยู่ไม่น้อย กับทั้ง
เคยรู้สึกวูบๆวาบๆ หมายมั่นปั้นมืออยากลองของ
จริงอยู่หลายครั้ง...
ใครจะรู้ว่าวันนี้มีโอกาสเป็นจริงเป็นจังขึ้น
มาแล้ว!
แค่นิมิตแห่งนางพญาในพัสตราภรณ์พิลาส
ปรากฏกับใจ มะแมก็ขนลุกเกรียว เพราะรู้สึกถึง
ตัวตนอีกแบบ ที่อาจสั่งให้สร้างหรือทำาลายอะไรๆ
ในแผ่นดินของตนก็ได้ ถึงเวลานั้น คำาว่า "โลกนี้
เป็นของเรา" จะต่างจากการอุปมาอุปไมยยาม
ผู้คนได้สิ่งที่ต้องการเป็นคนละเรื่อง
แต่ ... เมื่อลองนึกถึงอีกภาพหนึ่ง ภาพของ
หล่อนกับอัคระอยู่ด้วยกันตามลำาพัง ไร้ทรัพย์ ไร้
อำานาจวาสนา ไร้บารมีปกครองแผ่นดิน มะแม
กลับรู้สึกถึงความสุขเรียบง่ายที่น่าปรารถนากว่า
กันเยอะ
หากเลือกได้ ... หล่อนจะขออยู่กับอัคระ
เงียบๆตลอดไป ไม่แยแสการเถลิงอำานาจเหนือ
โลกเลยจนนิดเดียว!
สำาคัญคือเลือกไม่ได้นี่สิ เพียงด้วยคำาไม่กี่
คำาของเซธที่เผย "ความจริงทั้งหมด" ออกมา
อย่าว่าแต่จะหมดหวังเรื่องการครองคู่แบบมีเนื้อ
หนังมังสากอดกระหวัดรัดเกี่ยวกัน แม้หวังจะให้
อัคระมองดูหล่อนด้วยดวงตาสวรรค์ ก็หมดสิทธิ์
แล้ว
อัคระจะถูกกรรมอันสมบูรณ์แบบ ขับดันให้
มุ่งสู่ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์ต่อไป และ
วิถีที่เหมาะสมคือมาเกิดในท้องของราชินีองค์ใด
องค์หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่หล่อน เขาจะเป็นพระบรมวงศา
นุวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาลพระองค์แรก ที่สมควร
ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสันตติ
วงศ์ โดยปราศจากข้อขัดแย้งหรือเสียงคัดค้าน
ใดๆ
นั่นแปลว่าอีกไม่นาน หลังราชพิธีแต่งตั้ง
พระมเหสีทั้ง ๗ อย่างเป็นทางการ จะมีเด็กทารก
คนหนึ่งเกิดมา
เมื่อได้เห็นหน้าทารก สาวเจ้าน้ำาตาคนหนึ่ง
จะหายไป กลายเป็น "คุณน้า" ที่ส่งสายตาเอ็นดู
เฝ้ามองการโตวันโตคืน จากเด็กตีนเท่าฝาหอย
ไปเป็นเด็กหนุ่ม ชายหนุ่ม และชายวัยกลางคน ผู้
สมควรสืบบัลลังก์ต่อจากพระบิดา
ระหว่างอยู่ที่นิวซีแลนด์ เซธถามให้คิดว่า
ถ้าหล่อนเป็นผู้หญิงของอัคระจริง ทำาไมถึงไม่ได้
อยู่ด้วยกัน ทำาไมอัคระถึงไม่ยอมแตะต้องทั้งที่
อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งแค่ไหนก็ได้ และสุดท้ายคือ
ทำาไมกำาลังจะต้องกลับมาเกิดร่วมสมัย ตำาตาตำา
ใจให้เห็นว่าเป็นรุ่นลูกกันอย่างนั้น?
คำาตอบคือหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงของอัคระ แต่
เป็นผู้หญิงของเซธต่างหาก!
ความทรงจำาเกี่ยวกับอ้อมกอดอุ่นหายไป
กลายเป็นความเห็นซึ้งถึงความไม่แน่นอน ไม่มี
ใครเป็นเจ้าของใครจริง แม้กับเซธ เดี๋ยวก็ต้อง
จากกันใน ๕๐ ปีอยู่ดี
เคยคิดว่าคุ้มที่จะเกิดตาย คุ้มที่จะทนทุกข์
แบบมนุษย์ เพียงเพื่อให้ได้พบอัคระไปทุกชาติ
ตอนนี้ความสมเหตุสมผลทั้งหลายดูเหมือนหาย
ไปสิ้น
แต่หล่อนจะเอาความทรงจำาอะไรเกี่ยวกับ
อัคระจากเด็กหน้าใหม่ได้เล่า? เขาจะมองตาแป๋ว
เรียกหล่อนว่าคุณน้า และจะได้เห็นหล่อนอยู่บน
บัลลังก์เคียงข้างกับเซธมาแต่อ้อนแต่ออก
นั่นแหละความจริงที่กำาลังจะเกิดขึ้น!
เมื่อเหตุผลที่สมควรเกิดตายหายไป สิ่งที่
เหลืออยู่ในใจคืออะไรกัน?
แค่คิดว่าจะเกิดตายเพื่อติดตามเป็น
บาทบริจาริกาของเซธ ไปเป็นราชินีของเซธทุก
ภพทุกชาติ ก็ชักเหนื่อยอ่อนขึ้นมารอนๆ
คิดดู บารมีของเซธล้นฟ้าปานไหน ขนาด
ไอซิสที่เหนือกว่าหล่อนทุกประตูยังเป็นได้แค่
หมายเลข ๖!
หากอยากเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง สงสัยต้อง
บำาเพ็ญบารมีอีกหลายชาติ กว่าจะได้เป็น
หมายเลข ๑ กับเขาบ้าง!
ลงเอยคือเมื่อไม่มีหล่อน เซธก็มีคนอื่นอยู่ดี
ถ้าหล่อนหายไป ใจเซธก็น่าจะยังเท่าเดิม ไม่
แหว่งวิ่นแม้แต่น้อย เหมือนของเล่นชิ้นเล็กๆที่ใคร
ทำาหายก็ไม่รู้ ไม่ทันสังเกต
เริ่มโตขึ้นมาทุกคนจะเรียกร้อง "ของเล่น"
สำาหรับตัวเองก่อน รอจนโตขึ้นอีกนิดจึงอาจเรียก
หา "ของจริง" สำาหรับชีวิตกัน
ของจริงอาจไม่ใช่บุคคลหรือวัตถุ แต่อาจ
เป็นทิศทางที่ใช่ หรือเป้าหมายที่ดีที่สุด และ
สำาหรับเซธนั้น ทิศทางและเป้าหมายกลายเป็น
ของจริงจับต้องได้ที่สุดแล้ว
หล่อนไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเซธ
แน่นอน ก็แล้วสำาหรับหล่อนล่ะ เซธคือเป้าหมาย
สุดท้ายหรือเปล่า?
เคยสนุกไปวันๆกับการเปลี่ยนชีวิตคนอื่น
ให้ดีขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ชักรู้สึกว่าการเปลี่ยนชีวิตคน
อื่นนั้นง่าย เพราะชีวิตใครๆต้องเปลี่ยนแปลงไป
เรื่อยๆอยู่แล้ว แต่การหยุดความเปลี่ยนแปลง
ชีวิตของตนเองให้นิ่ง คงที่อยู่กับความสุขความ
สบายใจต่างหาก ที่ยาก และเหมือนเป็นไปไม่ได้
เลย!
หลับสนิทอย่างสุขสบายเนิ่นนาน ก่อน
ปรากฏนิมิตฝันแจ่มชัดอย่างรู้สึกตัวว่ากำาลังฝัน
มะแมเห็นเด็กแรกเกิดมากมายที่ไม่ยอม
ลืมตา เอาแต่แหกปากร้องไห้จ้าแข่งกันเป็นร้อย
เป็นพันคน เน่ินนานจนมะแมรู้สึกว่าเสียงเด็ก
ร้องไห้ช่างหนวกหู ดุจข่ายคลื่นความทุกข์แห่ง
มหาจักรวาลที่ลั่นระงม กระหน่ำาซัดแก้วหูไม่รู้เลิก
และในระหว่างนั้นเอง เด็กบางคนก็เหมือนร้องสุด
เสียงเกินกำาลัง จนกระทั่งตาค้างในอาการขาดใจ
สิ้นลมไปเป็นร้อยอย่างน่าขนพองสยองเกล้า
ถัดจากนั้น บรรดาเด็กอ่อนที่นอนร้องไห้ก็
หายไป กลายเป็นเด็กหญิงเด็กชายวัยประมาณ
๕ ขวบหลายร้อยคนกำาลังกระโดดโลดเต้น
หัวเราะร่าอยู่ในสนามเด็กเล่น บางคนก็ลื่นล้ม
แสดงสีหน้าเจ็บปวด บางคนตกจากกระดานลื่น
ยกมือลูบหัวมาดู พอเห็นเลือดก็แผดเสียงร้องไม่
เป็นภาษา แต่บางคนหนักกว่านั้น ปีนต้นไม้สูง
แล้วพลัดหล่นลงมา นอนตาเหลือกคอหักตายคา
ที่อยู่บนพื้นนั่นเอง
ถัดจากนั้น บรรดาเด็ก ๕ ขวบหายไป
กลายเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาววัยประมาณ ๑๔ หลาย
ร้อยคน กระจัดกระจายอยู่กลางพื้นที่เต้นรำากว้าง
ใหญ่กว่าสนามฟุตบอล ส่ำาเสียงดนตรีสาดคลื่น
ความเย้ายวนใส่ราวจงใจกระตุ้นอารมณ์เพศ บ้าง
ก็ชม้อยชม้ายตาสนใจกัน บ้างก็จับคู่เล็งตาทอด
แขนเหนี่ยวคอกัน บ้างก็จับคู่ทอดร่างนอนกระสับ
กระส่าย เปลือยกายในอาการพยายามสมสู่ด้วย
ความลำาบาก บ้างก็แสดงอาการหึงหวงวิวาท
บ้างก็มองหน้าแล้วฆ่ากันด้วยดวงตาขุ่นขวาง
ถัดจากนั้น บรรดาวัยรุ่นหายไป กลายเป็น
คนวัยทำางานและวัยกลางคนนับร้อย กำาลังนั่ง
สัมภาษณ์เข้างานบ้าง วิ่งวุ่นหัวปั่นด้วยความรีบ
ร้อนเหมือนจะไม่ทันนัดบ้าง กำาลังหน้าเศร้าคอตก
หอบของออกจากที่ทำางานบ้าง กำาลังยืนเท้าเอว
เล็งแลทาวเฮาส์ที่กำาลังสร้างบ้าง กำาลัง
เหน็ดเหนื่อยลองชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวบ้าง กำาลังตื่น
กลางดึกมาป้อนนมลูกที่เรียกร้องลั่นบ้านบ้าง
กำาลังฟุบหน้ากับโต๊ะด้วยอาการเครียดจัดจน
ร่างกายทนไม่ไหว ออกอาการพยศหยุดหายใจ
ไปดื้อๆบ้าง
ถัดจากนั้น บรรดาหนุ่มสาวหายไป กลาย
เป็นหมู่คนผมหงอกไม่ถึงร้อย กำาลังเดินเข้าออก
สวนกันในโรงพยาบาล บ้างก็นั่งสนทนากันบนม้า
ยาวรำาลึกถึงความหลัง บ้างก็หัวร่อร่าเมื่อทราบ
ว่าลูกหลานมาเยี่ยม บ้างก็ร้องไห้ระทมที่ไม่เหลือ
ใครเลย บ้างก็พยายามปีนกำาแพงบ้านพักคนชรา
เพื่อหลบหนี บ้างก็ใจแข็งพยายามปีนราวกั้น
เหล็กของเตียงคนไข้ เพื่อให้ร่างอันผอมเหลือแต่
กระดูกตกกระทบพื้น จะได้ตายดับพ้นเวรพ้น
กรรมไปเสียที
ถัดจากนั้น บรรดาคนแก่คนเฒ่าหายไป
กลายเป็นภาพในศาลาสวดศพที่เต็มไปด้วยผู้คน
แต่งชุดดำานั่งหน้าสลอน บ้างก็ร้องไห้ตาบวม บ้าง
ก็ยิ้มกริ่มอย่างคนได้มรดก บ้างก็ทำาหน้าเฉยชา
อย่างไม่เข้าใจว่าคนเรากลายเป็นศพไปนอนใน
โลงกันทำาไม
ถัดจากนั้น ญาติโยมแต่งชุดดำาหายไป
กลายเป็นศพในโลงแก้วใสนับไม่ถ้วน ไม่ทราบว่า
กี่ร้อย กี่พัน หรือกี่หมื่นกันแน่ แต่ละศพมีผิว
พรรณต่างกัน บ้างก็ขาวใสน่าชื่นใจ บ้างก็ดำามืด
น่าเวทนา บ้างก็กะดำากะด่างอย่างไม่รู้จะเอา
อย่างไรแน่
ถัดจากนั้น โลงศพทั้งหลายหายไป เหลือ
แต่ศพเปล่าๆวางนอนเรียงราย บางศพกลายเป็น
รัศมีสุกสว่างเป็นวงกว้างแล้วปฏิรูปเป็นเทวดา
นางฟ้าสวมชฎาบ้าง บางศพกระจายตัวแล้วจุด
พลุความสว่างขึ้นในท้องมนุษย์ผู้หญิงบ้าง บาง
ศพกลายเป็นกลุ่มหมอกควันดำามืดหนาทึบ แล้ว
ม้วนตัวก่อรูปอสูรร้ายเขี้ยวงอกเขาโง้งบ้าง บาง
ศพยุบตัวลงควบแน่นเป็นหลุมดำาในท้องส่ำาสัตว์
นานาชนิดบ้าง
ถัดจากนั้น การเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย
หายไป กลายเป็นทิวแถวคนรู้จัก ค่อยๆทยอยเข้า
มาทักหล่อนทีละคน เริ่มจากพี่ป้าน้าอาซึ่งเคยเห็น
เคยรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อหล่อนยังเล็ก บ้างก็แยก
ไปสู่เบื้องหลังด้านซ้ายของหล่อนซึ่งเป็นข้างมืด
บ้างก็แยกไปสู่เบื้องหลังด้านขวาของหล่อนซึ่ง
เป็นข้างสว่าง
มะแมยืนหนาวเหน็บ นับในใจว่าชีวิตนี้คน
รู้จักของหล่อนตายให้ดูแล้วเป็นจำานวนเท่าไร เอา
เฉพาะที่ปรากฏนิมิตให้ระลึกยามนี้ นับเรื่อยๆอยู่
อึดใจใหญ่นาน ก็ปาเข้าไป ๒๖ คนแล้ว
แถวสั้นลงเหลือเพียง ๓-๔ คน ขนลุกซู่เมื่อ
เห็นแจ๊บยิ้มเย็นชาให้ เดินเข้ามาหาหล่อนไม่ต่าง
จากพี่ป้าน้าอาอื่นๆ ก่อนแฉลบผ่านไปทางด้าน
ซ้ายอันเป็นข้างมืด
จากนั้นเป็นรัฐกร ยิ้มสดใสและยกมือไหว้
หล่อนทีหนึ่ง ก่อนเดินผ่านไปสู่เบื้องหลังด้านขวา
อันเป็นข้างสว่าง
ถัดจากนั้นมาแปลก ตำารวจในเครื่องแบบ
คนหนึ่ง ยิ้มกล้า สีหน้าสีตายอมพลีชีพต่อหน้าธง
ไตรรงค์ได้ เขาตรงมาหาเหมือนสายตาไม่เห็น
หล่อน แล้วผ่ากลาง ทะลุหายไปข้างหลังเฉยๆ ซึ่ง
สลัวราง ไม่สว่างแต่ก็ไม่มืด เพิ่งนึกได้หลังจากที่
เขาลับหายไปแล้ว ว่าเป็นนายตำารวจที่หล่อนไม่
เคยเห็นหน้า แต่ก็พยายามช่วยสุดฤทธิ์ เสียดาย
ที่ชีวิตดีๆของเขาคงหมดเวลาอยู่ในโลกนี้ต่อ จึง
ต้องตายดับไป โดยไม่มีใครยื้อจากมือโจรผู้
กระทำาตนเป็นมัจจุราชมาได้
คนสุดท้ายในแถว กำาลังยืนหันหลังให้ ร่าง
สูงที่โดดเด่นจับตานั้น ตายกี่ชาติหล่อนก็จำาได้ ...
อัคระ!
นึกดีใจ บอกตนเองว่าฝันถึงเขาเป็นครั้ง
แรกเสียที นี่คงมาเข้าฝันหล่อนตามคำาเรียกร้อง
แล้วกระมัง?
แต่ทำาไมเป็นอย่างนั้น อัคระไม่หันกลับมา
เลย เขากำาลังเล็งแลอะไรอยู่ ในระยะห่างเพียงไม่
เกิน ๕ ก้าวเช่นนี้ ก็น่าจะรู้แล้วนี่นาว่ากำาลังอยู่
ใกล้แค่เอื้อมกับหล่อน
ไม่เป็นไร หล่อนเป็นฝ่ายทักเรียกเขาก่อน
ก็ได้
"พี่อัค!"
แก้วเสียงของหล่อนสดใสแบบผู้หญิงดีใจ
แต่นั่นไม่ได้ทำาให้อัคระขยับเขยื้อน เขายังคงแน่
นิ่งอย่างเงียบเชียบ ไร้สัญญาณบอกว่ารับรู้ถึง
การทักทายจากคนข้างหลัง
"พี่อัคคะ หันมาทางนี้สิ มะแมยืนอยู่นี่ไง"
แปลกที่ขาของหล่อนก้าวไม่ออก ได้แต่
ตะโกนเรียกท่าเดียว
"พี่อัค... พี่อัคไม่ได้ยินเสียงมะแมเหรอ?"
เนื้อตัวของอัคระคล้ายหุ่นปั้น แต่หล่อน
ทราบดีว่าเขามีชีวิต มีวิญญาณ และน่าจะตอบรับ
เสียงเรียกได้ ขอเพียงเขาเต็มใจ
"พี่อัค..." เสียงของมะแมเริ่มอ่อยลง "พี่
อัคแกล้งไม่ได้ยินมะแมใช่ไหมคะ?"
ร่างสูงสงบงันเย็นชาอยู่อย่างไร ก็เย็นชาใน
ความสงบงันอยู่เช่นนั้น นี่หรือคือคำาตอบสุดท้าย
จากความตายของบุคคลอันเป็นที่รัก ที่หล่อนหวัง
จะเกิดตายร่วมกับเขาไปทุกภพทุกชาติ ?
เม้มปากอย่างน้อยใจ น้ำาตาค่อยๆไหลลง
มา
ไม่เอา! หล่อนจะไม่ร้องไห้ ถ้าเขาหันหลังให้
หล่อนอย่างนี้ หล่อนก็จะไปอยู่กับเซธ ไม่เห็นต้อง
ง้อเลย นึกว่าหล่อนไม่มีทางไปหรือ?
แค่คิดถึงเซธนิดเดียว ภาพแผ่นหลังของอัค
ระก็หายไป โลงแก้วใสเป็นรูปโค้งมนผุดขึ้นตรง
หน้า ในนั้นคือศพของชายชรา ผมหงอก ผิวหนัง
เหี่ยวย่น อายุน่าจะเกินร้อยไปมาก จึงไม่มีความ
ชวนดูเอาเลย
มะแมยกมือปิดปากอย่างผวาหน่อยๆ แต่
แล้วยิ่งตกใจหนัก เมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
บางอย่างที่ฝ่ามือตน พอยื่นออกไปในระยะที่
สายตาเห็นได้ ก็พบท่อนแขนเหี่ยว หลังมือย่น
เส้นเลือดและเส้นเอ็นปูดโปนแบบยายแก่เหนียง
ยานเต็มขั้น
ลูบแก้มก็พบรอยย่น ทึ้งเส้นผมออกมาดูก็
พบว่าขาวโพลนทั้งกระจุก นี่หล่อนกลายเป็นนัง
หง่อมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คนเราหลงเพลินกับชีวิต
จนไม่รู้ตัวว่าแก่เร็วได้ขนาดนี้เลยหรือ?
ด้วยความอกสั่นขวัญผวา เกลียดกลัว
ความชรา มะแมฝืนเกร็งและพยายามดิ้นรน จน
กระทั่งสำานึกคิดอ่านแบบคนตื่นนอนกลับมา และ
ในขณะนั้น หล่อนยังพบว่าตนเองพยายาม
ลูบคลำาเนื้อตัว กับทั้งลืมตาขึ้นดูหลังมืออยู่ไม่วาย
อึดใจใหญ่กว่าจะเปลี่ยนตระหนกกลับมา
เป็นตระหนักเต็มร้อย ว่าเมื่อครู่ฝันไป และตนเอง
ยังไม่ได้เหี่ยวย่นลงจริงๆ หล่อนยังมีเนื้อหนังเต่ง
ตึง นุ่มนวล ฝาดเลือดสาวโสภา ไม่ต่างจาก
นางฟ้าเดินดินอยู่เช่นเดิม
ถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก แต่แล้ว
ก็ต้องผวาเยือก เมื่อเห็นว่าใครมายืนอยู่ข้างเตียง
ในความมืดเกือบสนิทนั้น
"อิ๊ก!"
"คุณแม่ฝันร้ายเหรอคะ?"
เดี๋ยวนี้หล่อนไม่ค่อยนอนล็อกประตู เพ
ราะอิ๊กชอบมาหาชอบมาเคาะเรียกบ่อยๆ พอขี้
เกียจเดินไปเปิดรับมากเข้า จึงปล่อยให้เข้ามาได้
ตามสบายเสียเลย
มะแมถอนใจซ้ำา ดึงตัวขึ้นนั่งพิงพนักเตียง
ลูบหน้าอย่างจะปัดความงัวเงียทิ้ง เพียงเพื่อพบ
ว่ามีหยาดน้ำาตาเปื้อนแก้มอยู่ด้วย ตอนแรกว่าจะ
เอื้อมมือเปิดไฟหัวเตียงเลยเปลี่ยนใจ
"เมื่อกี๊แม่ละเมอร้องดังหรือ?"
"ค่ะ"
"แล้วแม่ละเมอว่าอะไร?"
"ละเมอเรียกชื่อคุณพ่อ"
มะแมสะอึก นิ่งอั้นไปเป็นครู่ อย่างเพิ่งระลึก
ถึงความฝันก่อนหน้าฉากสุดท้ายได้
"อ้อ! เหรอ... ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่ฝัน
เรื่อยเปื่อย น้องอิ๊กกลับไปนอนเถอะไป"
"คุณแม่คะ" หนูอิ๊กดึงมือคุณแม่ยังโสดไป
กุม "มะรืนนี้วันหยุดของคุณแม่ เราไปหาแม่ใหญ่
กันไหมคะ?"
"ได้ซี ... แม่ก็ตั้งใจอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวคราว
นี้เราพาพี่หยิมไปด้วยดีไหม?"
"ดีค่ะ!"
เด็กน้อยทำาหน้าดีใจอยู่ในเงาสลัวราง
"งั้นคืนนี้เราต่างคนต่างแยกย้ายไปนอนต่อ
นะ อีกสองชั่วโมงค่อยตื่นมาทำาสมาธิกัน"
"ค่ะ"
เมื่อน้องอิ๊กออกจากห้อง มะแมก็ขบริม
ฝีปาก แล้วแอบสะอื้นเบาๆ เปิดทำานบน้ำาตา
ระบายความอัดอั้นที่ข่มไว้เมื่อครู่ออกมา ตามแรง
ขับดันท่วมอก
ความฝันมีอิทธิพลขนาดไหน วัดได้จาก
ความรู้สึกที่ตกค้างอยู่หลังจากตื่นมานี่เอง เคย
นึกว่าสะเด็ดความอาลัยได้ขาดแล้ว แต่แค่ฉาก
ฝันฉากเดียว กลายเป็นปฏักทิ่มแทงให้เจ็บปวด
ราวกับย้อนวันคืนกลับไปสู่จุดที่ไม่เคยทำาใจได้อีก
ครั้ง
รอกระทั่งแรงขับให้สะอื้นลดน้อยถอยลง
น้ำาตาเหือดแห้งแล้ว จึงลากลมหายใจยาวเพื่อตั้ง
สติ ย้อนระลึกแล้วทราบว่านิมิตอัคระเมื่อครู่ คือ
การปรุงแต่งแบบครึ่งฝัน ครึ่งสัมผัสจริง อัคระหัน
หลังให้ มิใช่เพราะหมดความไยดีหล่อนแล้ว แต่
ดวงจิตจริงๆของเขาถูกกรรมปรุงแต่งให้อยู่ใน
ภาวะพักรอการเกิดใหม่ ไม่วอกแวก ไม่พะวงมอง
ย้อนหลังกลับมาหาภพชาติที่ล่วงผ่านเหมือน
ปุถุชนธรรมดาทั่วไป
ระลึกถึงวาระสุดท้ายของเขา ช่วงอัคระจูบ
ตอบหล่อน หากเป็นคนปกติก็คงขาดใจไปด้วย
อาการผูกติดอยู่กับความรักความอาลัย เป็นเหตุ
จุดชนวนจิตดวงใหม่ที่ฝังใจอยู่กับคนรักในภพเก่า
ไม่เลิก
แต่ทั้งชีวิตของอัคระสร้างกรรมอันควรแก่
การมีจิตใหญ่เกินนั้น คือมุ่งประโยชน์ต่อโลกจน
นาทีสุดท้าย โดยไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่เลย
ความเมตตาไพศาลปานมหาสมุทรจึงทรง
อานุภาพใหญ่ ตัดใจจากภาวะเดิมได้เด็ดขาด
กระแสจิตเข้ารวมดวงเป็นหนึ่ง เป็นฌาน เป็น
สมาธิจิตระดับพรหมภูมิ ล่วงเลยสวรรค์ชั้นฟ้าที่
ยังมีมายาแห่งกามคุณอันเป็นทิพย์ไป
ภาวะแห่งพรหมภูมิเป็นอย่างไรมะแมไม่
อาจเห็นได้ สัมผัสแต่ว่าสุขุมนุ่มนวล ละเอียดอ่อน
และมีความไพจิตรเหลือประมาณ
กำาเนิดในพรหมภูมิของอัคระมิใช่เพื่อความ
ได้ดีเฉพาะตน แต่เป็นไปเพื่อรอฤกษ์เกิดขององค์
พระเจ้าจักรพรรดิราช อันสมควรแก่กรรมเดิมที่
ปรารถนาประโยชน์สุขต่อปวงชนอย่างไม่มี
ประมาณ
ความฝันของหล่อนยังบอกอะไรอีก? ก่อนนิ
มิตอัคระ คือนิมิตหมายแบบจิตสอนจิต ว่าเกิด
แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ ไม่ควรลุ่มหลงยึดติด ไม่
ควรสำาคัญว่ากระโดดลงแหวกว่ายในห้วงทะเล
ทุกข์เป็นของสนุก
แต่ถึงแม้เข้าใจลึกซึ้งถึงจิตเพียงไร ตราบใด
ที่ยังรัก ยังหลงเพศตรงข้ามได้ จิตก็ยังยึด ยัง
หวงแหนภาวะการเกิด แก่ เจ็บ ตายไว้ไม่เลิก
อยู่ดี
ชักง่วงงุนขึ้นมาอีก มะแมจึงหลับตา ตัดใจ
จากอาลัยในฝันเก่า หวนกลับมาอยู่กับนิทรา
สวัสดิ์เฉพาะหน้าแทน
พลังความปรุงแต่งแบบฝันชัดยังไม่สิ้น เมื่อ
ก้าวล่วงลงสู่ความหลับใหลอีกครั้ง ฝันใหม่จึง
ปรากฏในเวลาไม่นาน ภาพ เสียง และสัมผัส
ทั้งหมด ดูเป็นจริงเป็นจัง มีตัวตนจับต้องได้
ราวกับตื่นอยู่
เวิ้งฟ้ามืด จุดดาวไกล สายลมหนาว และ
แผ่นอกอุ่น ทุกอย่างกระจ่างยิ่ง หล่อนกำาลังนั่งซุก
ตัวแอบอิงอยู่กับชายที่สำาเหนียกรู้สึกว่าเป็นอัคระ
ปริมณฑลอันมีเพียงเขากับหล่อนอวลไอสุขเหลือ
จะกล่าว
โลกนี้ไม่มีใครให้ความอบอุ่นกับหล่อน
ท่ามกลางลมหนาวได้เท่าอัคระอีกแล้ว
รอบตัวมืดมิด แต่กลางใจกลับสว่างไสว ไม่
น่ากลัวแม้แต่น้อย มะแมค่อยๆเบนหน้าช้อนตา
หวังมองชายผู้เป็นที่รักให้สมกับความคิดถึง
แสงจากจันทร์เสี้ยวส่องแรง คล้ายเจาะจง
ฉายให้เห็นใบหน้าของเขาโดยเฉพาะ แต่แล้ว
มะแมก็ผงะ เมื่อพบว่านั่นไม่ใช่ใบหน้าของอัคระ
เป็นเซธต่างหาก!
ใจหล่นวูบแบบเดียวกับความรู้สึกตกหลุม
รักครั้งแรก ความรักหนึ่งแปรเป็นอีกความรักหนึ่ง
อย่างง่ายดาย ขอเพียงแรงดึงดูดประมาณ
เดียวกัน
เซธค่อยๆแปรสายตาจากฟ้ามืดเบื้องบนมา
มองหล่อน ดูเป็นชายเหนือชาย ไร้จุดอ่อน ล้อม
รอบด้วยสนามพลังแห่งความเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์
และสัตว์ไม่เลือกหน้า เช่นเดียวกับแผ่นดินพร้อม
จะให้แหล่งอาศัยกับใครก็ตามที่มาถึง
เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนอาจเอื้อมไปหน่อย ที่ขึ้น
มานั่งตักของ "ท่าน" ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว มะแมจึง
ถอยหลังไปนั่งพับเพียบก้มหน้าก้มตาเรียบร้อย
ก่อนเงยขึ้นมองผู้สมควรเป็นจักรพรรดิใหม่อีก
ครั้ง ด้วยความสำาเหนียกถึงการเปลี่ยนแปลงบาง
สิ่งที่ผิดปกติ
ตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าใน
แสงจันทร์ส่องที่เพิ่งดูหนุ่มแน่นอยู่หยกๆ กลับ
กลายเป็นเหี่ยวย่นลงทีละน้อย กระทั่งผิวหนัง
เหมือนเหือดแห้งได้ต่อหน้าต่อตา เหลือเพียงเนื้อ
บางๆที่ฉาบกะโหลก นัยน์ตาทรงอำานาจกลับฝ้า
ฟางไร้แวว แบบคนแก่ที่ทอดอาลัยตายอยาก รอ
คอยนาทีสุดท้ายที่จะมาถึงในไม่ช้า
มะแมยังไม่ทันขยับปากหวีดร้อง ร่างนั้นก็
ถล่มครืนลงมา เสื้อผ้าล่องหนหาย กลายเป็นกระ
ดูกขาวที่หักไปหักมาหลายท่อน แล้วเปลี่ยนเป็น
ผงกระดูกป่นเป็นกองใหญ่
จ้องมองตะลึงตะไล สายลมแรงค่อยๆพัด
พาผงกระดูกลอยตามไป มากบ้าง น้อยบ้าง นาน
อึดใจหนึ่ง ก็เหลือแต่พื้นหญ้าว่างเปล่า อัน
แสงจันทร์เสี้ยวสาดส่องเฉพาะที่ ไม่ต่างจาก
ลำาแสงบนเวทีละครฉากสุดท้ายฉะนั้น
มะแมชะงักค้างอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน
ทุกอย่างตกอยู่ในภาวะว่างเปล่าไร้ความหมาย
เหมือนจะไม่ให้รู้ด้วยซ้ำาว่าความมีชีวิตกับการสิ้น
ชีวิตแตกต่างกันอย่างไร
โหวงลึกก่อนรู้สึกตัวตื่น ราวกับเพิ่งผ่านการ
เห็นกายมนุษย์แตกสลายกลายเป็นผงมาสดๆ
ร้อนๆ ไม่ใช่เพิ่งผ่านฝันชั่วครู่ชั่วยามแต่อย่างใด
ชีวิตเป็นสิ่งโหดร้าย เพราะในที่สุดมันจะฆ่า
ทุกคนตายหมด!
เซธกับอัคระเก่งแค่ไหนก็ไม่เกินความตาย
อัคระตายไปแล้ว และอีกไม่กี่สิบปีเซธก็วางแผน
จะตายตามไป ถึงแม้ว่ากายจะถูกต่ออายุได้ แต่
ใจก็ทนเอือมชีวิตอมตะไม่ไหวอยู่ดี
แม้พระเจ้าจักรพรรดิยังเป็นหลักประกันให้
ตนเองไม่ได้ แล้วหล่อนจะไปยึดไว้เป็นสรณะ
อย่างไรเล่า?
ความเข้มแข็งที่สุดในโลกเป็นแค่ของ
ชั่วคราวอย่างหนึ่ง ไม่ใช่หลัก ไม่ใช่ที่พึ่งถาวรให้
ใครได้เลย
ถ้าชีวิตเป็นสุข เด็กคงไม่ร้องไห้เป็นลาง
ตอนเกิด แล้วญาติก็คงไม่ร้องไห้ส่งท้ายตอน
ตาย!
รุ่งขึ้นลูกค้าสิบเอ็ดโมงครึ่งผิดนัด มะแม
รออยู่เกือบสิบห้านาที เห็นว่ารอเก้อแน่ก็เปิด
ประตูลงบันไดมาชั้นล่าง
หยิมกำาลังดูโทรทัศน์ พอเห็นมะแมลงมาก็
เงยหน้าทัก
"พี่มะแม สงสัยรอบสิบเอ็ดครึ่งเบี้ยวค่ะ"
"จ้ะ ถึงมาก็คงต้องให้จองใหม่แล้ว"
ปลายเสียงหายไป ทำาไมหมู่นี้ชักนึกบ่อย
ขึ้นทุกทีว่าอย่าเปิดรับนัดเลย พอดีกว่า หล่อนน่า
จะพักร้อนยาวๆเหมือนชาวบ้านชาวเมืองบ้าง
สองปีที่ผ่านมามีแต่วันหยุดปกติ ไม่เคยมีวันหยุด
ยาวกับใครเขาเลย
"พี่มะแมจะกินข้าวเลยไหมคะ? เดี๋ยวหยิม
จัดให้ "
"รอเที่ยงตามเวลาก็ได้ ... นี่ดูอะไรอยู่ล่ะ?"
"ข่าวด่วนน่ะค่ะ ภูเขาไฟเมราปีที่
อินโดนีเซียระเบิด ตายกันอื้อเลย เห็นว่าเพิ่มขึ้น
เรื่อยๆด้วย โอ๊ย! โลกจะแตกหรือไงคะพี่มะแม
ช่วงนี้เริ่มมีสกู๊ปโลกาวินาศถี่ขึ้นทุกที เดี๋ยวช่อง
นั้นเอามาออก เดี๋ยวผู้เชี่ยวชาญด้านไหนออกมา
แสดงความเห็น บางคนบอกให้เตรียมตัว บางคน
บอกว่าอย่าไปเชื่อ เฮ้อ! แต่หยิมรู้สึกอย่างกะว่า
มันจะเกิดแน่ๆภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้งั้น
แหละ"
มะแมมาลงนั่งทอดตามองภาพภูเขาไฟพ่น
เถ้าถ่านสีเทาจากปากปล่อง พวยพุ่งขึ้นสูงร่วมหก
พันเมตร ด้วยความรู้สึกเฉยเมย โลกาวินาศ
สำาหรับหล่อนเกิดขึ้นไปแล้วตั้งแต่วันที่อัคระตาย
ถ้าแผ่นดินตรงหน้าจะยุบลงไปเดี๋ยวนี้ หล่อนก็
อาจทอดตามองอย่างเฉยเมยไม่ต่างจากดูภัย
พิบัติทางธรรมชาติในจอแก้วนั่นเอง
ชีวิตเป็นของเปราะบาง แต่ความคงรูปคง
ร่างทางกายหลอกความรู้สึกเราเหมือนชีวิตจะคง
อยู่อย่างนี้ตลอดไป...
รอบตัวคือแผ่นดินนิ่ง ชวนให้รู้สึกมั่นคง
เหมือนฝากชีวิตไว้บนฐานอมตะ ต่อเมื่อแผ่นดิน
สั่นไหวขึ้นมา จึงค่อยแก้ความเข้าใจใหม่ ได้รู้สึก
ตัวว่าชีวิตบนโลกนี้แขวนอยู่บนเส้นด้ายด้วยกัน
ทั้งนั้น
ไม่มียุคไหนที่มนุษย์เห็นเหตุผลว่าควร
เตรียมตัวตายเท่ายุคปัจจุบัน เพราะไม่มีกาลใดที่
โลกพังตัวเองให้ดูทีละส่วน ทีละภาคถึงขนาดนี้มา
ก่อน แถมยุคไอทียังมีกล้องไว้ถ่ายทอดความ
ภินท์พังได้ทุกวันจากทั่วทุกมุมโลกอีกต่างหาก
ว่ากันโดยเจตนา มะแมไม่เคยตั้งใจเตรียม
ตัวตาย แต่ว่ากันโดยพฤติกรรม หล่อนเตรียมตัว
ตายมาเป็นสิบปีแล้ว
คนเรากลัวตายเพราะห่วงข้างหลัง หรือหวัง
ข้างหน้า อยากโน่นอยากนี่จนหาความสบายใจ
ไม่ได้ ความไม่สบายใจนั่นแหละทำาให้กลัวตาย
ความไม่สบายใจนั่นแหละคือความไม่พร้อมจะ
ตาย และไม่คู่ควรกับการไปดี
แต่หล่อนสร้างความสบายใจให้คนอื่น หวัง
ให้คนอื่นพบชีวิตใหม่ที่ดีกว่า หล่อนเองจึง
สบายใจกว่าใคร และถึงแม้ไม่หวัง ก็รู้อยู่เต็มอก
ว่าชีวิตใหม่ของตนต้องดีกว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ จะ
เป็นสวรรค์ชั้นไหนหรือกลับมาเป็นมนุษย์ใหม่อีก
ไม่สำาคัญเลย
เมื่อวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมา อัคระโทร.มา
แต่เช้ามืด เพื่อเตือนให้ระลึกถึงวันเกิดอย่าง
เป็นสุข นาทีนั้นหล่อนรู้สึกเหมือนอัคระนั่นเอง คือ
ของขวัญให้กับการเกิดมา ตลอดจนเป็นรางวัล
ปลอบใจให้กับการยังมีชีวิตอยู่
แต่แค่เพียงข้ามวันไม่ทันไร ความตายของ
เขาก็กลายเป็นบทลงโทษอย่างอุกฤษฏ์ให้กับการ
มีลมหายใจของหล่อน ถ้ารู้ว่าเกิดมาแล้วจะมี
เรื่องเศร้าสาหัสขนาดนั้นรออยู่ ก็ขอเลือกไม่เกิด
มาเสียดีกว่า
แต่วันนี้ มีรางวัลใหม่มาล่อใจอีก...
โลกที่กำาลังแตกเป็นเสี่ยงๆทีละน้อย กำาลัง
จะสงบเรียบร้อยในไม่นาน เพื่อมาอยู่ในอุ้งมือ
ของหล่อน ในฐานะสตรีผู้ประทับอยู่เคียงข้าง
สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราช!
นึกถึงพระวัจนะของพระพุทธองค์ แล้วเริ่ม
เข้าใจผ่านประสบการณ์ตรงขึ้นมารำาไร รักหนึ่ง
ทุกข์หนึ่ง รักร้อย ทุกข์ร้อย
ความรักครั้งก่อนใช้เวลาไม่กี่เดือน ผูกใจ
หล่อนให้ยึดแน่น จนทุกข์ปางตายเมื่อถึงกาลต้อง
พลัดพรากจากกัน นี่หล่อนกำาลังจะผูกพันกับเซธ
ไปอีก ๕๐ ปี บุรุษผู้มีความเหนือกว่าคนรักเดิมทุก
ด้าน หากระหว่าง ๕๐ ปีมีแต่ดีกับดี มีกาย วาจา
ใจอันสว่างให้แก่กันไปเรื่อย วันไหนได้เวลาเขา
จากโลกนี้ไป อะไรจะเกิดขึ้น?
ตรอมใจตายตามเป็นอย่างไร อาจได้รู้ก็วัน
นั้นแหละ!
หยิมลุกขึ้นเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารกลาง
วันให้ มะแมจึงกดรีโมตเปลี่ยนช่องด้วยความ
เอือมข่าวภัยพิบัติ
แต่ช่องใหม่ก็เจอข่าวใหม่ คราวนี้ในไทย
ภาพที่เห็นเป็นรถโดยสารประจำาทางที่มีตำารวจขึ้น
ลงสำารวจความเสียหาย โดยผู้สื่อข่าวให้เสียง
รายงานประกอบภาพ ว่าวัยรุ่นเขวี้ยงระเบิดใส่
คู่อริบนรถเมล์ มีการบาดเจ็บระนาว ทั้งผู้
เกี่ยวข้องและคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ส่ายหน้าน้อยๆ เกิดเป็นมนุษย์สักกี่ครั้งก็คง
ได้เห็นอย่างนี้ร่ำาไป อะไรดีๆต้องพยายามทำาให้มี
ขึ้นมา แต่อะไรเลวๆไม่ต้องขวนขวายเลย เดี๋ยวมี
ได้เอง
พูดง่ายๆ ถ้าไม่พยายามดี ก็พร้อมจะเลว
แล้ว!
แต่ในเมื่อต้องเกิดใหม่กับความลืมตัว
ลืมตนเดิม ไม่รู้ว่าเข้าท้องพ่อท้องแม่คู่ไหนด้วย
เหตุผลกลใด แล้วจะมีกำาลังใจพยายามดีไป
เรื่อยๆทุกภพทุกชาติได้อย่างไร? มันต้องพลาด
บ้างล่ะ จะเป็นหล่อน หรือต่อให้แสนดีขนาดเซธ
กับอัคระก็ตาม
จากข่าวในประเทศ ตัดไปสู่ข่าวต่าง
ประเทศ สงครามยังส่งเสียงตูมตามขึ้นที่นั่นที่นี่
ไม่จบสิ้น ด้วยเหตุผลที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ
ว่าจะเอาอะไรกันไปทำาไมแน่
ไม่มีผู้ปกครองประเทศมหาอำานาจหน้าไหน
หรอก จะออกมายืดอกพูดกับประชาชนว่า
ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่จำาเป็น
ต้องหาเรื่องทำาสงครามไปเรื่อยๆ เนื่องจาก
สงครามเป็นรากฐานสำาคัญสำาหรับเศรษฐกิจ
ประเทศเรา ยิ่งเราก่อสงครามได้มากเท่าไร เงิน
ทุนก็จะไหลเข้าประเทศมากขึ้นเท่านั้น เป็น
หนทางฟื้นเสถียรภาพค่าเงินได้ทันใจดี ส่วนเหตุ
ผลอื่นๆเพื่อใช้ก่อสงคราม ข้าพเจ้าพูดตามที่ควร
พูดไปอย่างนั้นเอง คิดเสียว่าเป็นนิทานปลุกขวัญ
และกำาลังใจเพื่อชาติก็พอ
มะแมสลดใจ แผ่นดินแผ่กว้าง ถ้าเทียบ
ขนาดกัน มนุษย์เราก็เล็กแค่เศษฝุ่น แต่ทว่าเป็น
เศษฝุ่นที่สำาคัญผิด นึกว่าตนเองคือเจ้าของแผ่น
ดินทั้งหมดไปได้ !
อำานาจของผู้นำาประเทศทุกยุคทุกสมัย ดีแต่
เปลี่ยนคนอิสระให้กลายเป็นข้าทาสของตน จะไป
ยิ่งใหญ่น่านับถือสักเท่าใดกัน?
อำานาจของผู้ยิ่งใหญ่ในธรรม ที่ปลดแอกข้า
ทาสของกิเลสให้กลายเป็นไทต่างหาก จึงสมควร
เรียกว่าเป็นยอดแห่งอำานาจ เพราะไม่ต้องมีใคร
มาเป็นข้าทาสใครด้วยความจำาใจชั่วคราว มีแต่
คนหลุดพ้นจากความเป็นทาสมาให้ความนับถือ
กันด้วยหัวใจเต็มดวงตลอดไป
คนในโลกอยากเป็นหมายเลขหนึ่ง หรือไม่
ก็เป็นหนึ่งเดียว แต่มะแมชักโหยหาการไม่ต้อง
เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์
กับอะไรสักหนึ่งเดียว!
ความรู้สึกยามมาถึงสำานักชีเชิง
ตะกอนคราวนี้ เหมือนได้กลับบ้าน อาจเพราะ
นึกถึงจิตที่เป็นอิสระของแม่ใหญ่แล้วพลอยใจว่าง
หรืออาจเพราะนึกถึงความ "ไม่มีอะไร" ของ
สถานที่แล้วใจวาง เหมือนตัดขาดจากความผูก
พันใดๆในโลกเบื้องนอกลงได้อย่างสิ้นเชิง
อยู่ในอาณาจักรของเซธ มีแต่ของดี ของ
วิเศษ ชวนให้หลงนึกไปว่าชีวิตเป็นของดี ของ
วิเศษ
แต่อยู่ในสำานักชีของแม่ใหญ่ มีแต่ของ
ธรรมดา ของพอใช้ยังชีพให้อยู่รอด จึงพาให้เห็น
ว่าชีวิตเป็นของธรรมดา อยู่รอดเอาไว้เพียรเพื่อ
พ้นจากความหลงผิดเท่านั้นพอ
วันหนึ่ง ของวิเศษจะเป็นผุยผงไป และวัน
หนึ่ง ของธรรมดาก็ไม่รอดจากความเป็นผุยผง
เช่นกัน ยึดจับไว้ได้ชั่วคราวเท่าๆกัน โจทย์จึง
ไม่ใช่อยู่ที่ไหนดี แต่อยู่ที่ต้องการอะไรจากที่ไหน
ก่อน
เมื่อมะแมพาอิ๊กกับหยิมขึ้นมานั่งกราบแม่
ใหญ่บนชานเรือน ชายคนหนึ่งพร้อมด้วยภรรยา
กำาลังสนทนาอยู่กับท่าน
"ผมไปนึกถึงความตายตามที่แม่ใหญ่สอน
จิตใจมันหดหู่ แล้วตอบตัวเองไม่ถูกว่าทำาไมเรา
ต้องมานึกถึงเรื่องน่าหดหู่อย่างนี้ด้วย"
"ถ้านายพงศ์นึกถึงความตายที่จะทำาให้สูญ
เสียความสุข ต้องจากลาเมียหน้าตาจิ้มลิ้มข้างๆนี่
ไป ความตายก็ดูน่าหดหู่เป็นธรรมดา แต่ถ้านาย
พงศ์นึกถึงความตายที่จะทำาให้ได้ทิ้งความทุกข์
ได้หนีเจ้าหนี้หน้าเลือดไป ก็ชวนให้สบายใจไม่
น้อยเลยใช่ไหมล่ะ?"
นายพงศ์หัวเราะแหะๆ ย้ิมอายๆ พนมมือ
รับ
"ครับ... ต้องอย่างนั้นครับแม่ใหญ่ หลายปี
ก่อนผมเคยแทบจะฆ่าตัวตายก็เพราะอยากหนี
เจ้าหนี้นั่นแหละ"
"นั่นไง! แต่ไหนแต่ไรคนเรามีปัญหารุมเร้า
กดดันให้หนักอกมาตลอด เธอจึงรู้สึกว่าทุกข์เป็น
ของติดตัว และจะแกะไม่ออกตลอดไป... การมี
คำาว่า 'ตลอดไป' อยู่ในหัวนั่นแหละ คือความหลง
ยึดมั่นสำาคัญผิดว่าความทุกข์โทมนัสนั้นเที่ยง
อย่างไรเธอก็ไม่มีทางหายทุกข์ ... แต่หากฝึก
ระลึกถึงความตาย เจริญมรณสติให้มาก ก็จะเกิด
ความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบ เหมือนนับถอยหลังว่า
เราจะอยู่กับทุกข์ทางกาย ทางใจ อีกไม่นาน"
"แปลว่านึกถึงความตาย จะได้รู้สึกว่าไม่
ต้องเจอเรื่องร้ายๆอีกต่อไปใช่ไหมครับแม่ใหญ่ ?"
"นึกแบบนั้นถึงทำาให้คนอยากตายเร็วไง
เรื่องจะได้จบๆ"
นายพงศ์หัวเราะ
"งั้นจะต้องนึกถึงความตายให้ถูกต้องตรง
ทางอย่างไรครับ?"
"การเห็นความตายว่าเป็นประตูหนีทุกข์
คือการนึกถึงความตายแบบโลกๆ พระพุทธเจ้า
ท่านสอนให้นึกถึงความตายโดยความเป็นธรรมะ
คือ เห็นว่าความตายเป็นเครื่องหมายของการสูญ
เสียสิ่งที่นึกว่าเราเคยมี เราเคยเป็น เราเคยครอง
เมื่อตรองด้วยมุมมองนี้แล้ว ใจก็จะเกิดปัญญา
รู้สึกถึงความไม่ได้เคยมีอะไร แล้วก็ไม่เคยเป็น
ใครจริง ที่ผ่านมาสักแต่หลงยึดในสมมุติว่าเราชื่อ
นั้นนามสกุลนี้ มีบ้านมีรถ มีลูกมีเมียกันชั่วคราว
เท่านั้น"
แม้นายพงศ์ไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกสบายใจที่ได้
ฟัง
คนที่ได้ไปเต็มๆ กลับเป็นผู้มาทีหลัง มะแม
มองแม่ใหญ่ด้วยความเข้าใจภาวะของท่านมาก
ขึ้น แม่ใหญ่เป็นคนหนึ่งที่จะไม่มีโลกใหม่ จึงไม่มี
ความหวังใหม่ และสอนให้เตรียมรับมือกับ
โลกาวินาศเฉพาะตนด้วยใจที่ว่างจากอาการยึด
เท่านั้น
อยู่บนกุฏินี้ทีไร ตาสว่างขึ้นทุกที คน
ธรรมดาเอาตัวตนมาข่มกัน แต่ใจท่านแม่ใหญ่
เอาความรู้สึกไม่มีตัวตนมาสอนแทน แค่เห็นหน้า
ท่านก็พลอยเบาตามแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง มะแมรู้สึกถึงความเป็นตนที่นั่ง
อยู่แบบโง่ๆในกรงขังแห่งรูปสวย ทึบแน่นด้วย
เมฆหมอกอุปาทาน
แล้วพร้อมกันนั้น ก็สัมผัสรู้สึกถึงแม่ใหญ่ที่
นั่งสบายอยู่ด้วยปัญญาอันเป็นอิสระไร้ประมาณ
แม้กายท่านจะเต็มไปด้วยรอยย่นแห่งชราภาพ
แต่ดวงจิตอันแผ่รัศมีอุเบกขาเท่าฟ้า ก็หารอยยับ
มิได้เลย จะมีก็แต่ความสดชื่นตื่นเต็มสถานเดียว
นั่นคือวาระแรกที่ปรารถนาจะเป็นอย่างแม่
ใหญ่ ท่านพูดอะไรก็พูดด้วยเมตตาจากจิตที่ว่าง
จากความคิดเบียดเบียน ท่านสอนอะไรก็สอน
ด้วยความรู้แจ้งจากจิตที่ว่างวายอุปาทานในตัว
ตน ท่านดูใครก็ดูอุปสรรคที่ขวางเขาไม่ให้เข้าถึง
จิตที่ว่างจากความทุกข์ร้อน
อย่างนี้เองที่แม่ใหญ่เคยบอกหล่อน ตัวเรา
เป็นอย่างไร ก็เป็นประตูสู่ความเป็นเช่นนั้นให้คน
อื่น!
สำาหรับเพศหญิง ไม่มีแรงบันดาลใจใดดีไป
กว่าเห็นผู้หญิงด้วยกันประสบความสำาเร็จบนเส้น
ทางธรรม แม่ใหญ่นี้แหละที่จะช่วยให้หล่อนเกิด
ศรัทธา อยากเอาดีถึงที่สุด ด้วยการมีแก่ใจดู
ความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของกายใจให้ต่อเนื่อง
แค่เพียงนั่งใกล้และฟังธรรมจากท่านผู้
บริสุทธิ์ครู่ใหญ่ ใจก็เหมือนจะรับกระแสวิเวกสงบ
เย็นเข้าสู่ตนเต็มเปี่ยม เหมือนจิตปฏิรูปการรู้ เป็น
รู้ที่ใส รู้ที่เบา รู้ที่ไม่มีฉัน รู้ที่ไม่มีการแบกไว้
เลียนแบบแม่ใหญ่ได้รำาไร
เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ว่าผลสุดท้ายของการ
ปฏิบัติแบบพุทธแท้ เป็นอะไรที่ไม่มีใครคิดไปได้
ถึง เพราะจะเข้าถึงได้ต้องใจเด็ด สลัดเปลือกหนัก
ที่ห่อหุ้มเป็นอุปสรรคขัดขวางออกไปให้หมดเสีย
ก่อน
นายพงศ์และภรรยาพูดคุยสอบถามธรรมะ
แบบชาวบ้านอีกพักหนึ่ง ก็หันมายิ้มและหลีกทาง
ให้กลุ่มของมะแม
แม่ใหญ่ยิ้มทักมะแม แต่หันไปเอ่ยคำาแร
กกับอิ๊กก่อน
"เป็นไง... พิรมล... ฉันจำาชื่อใหม่ของเธอ
ไม่ได้ เรียกอย่างเดิมก่อนแล้วกันนะ"
"เจ้าค่ะ"
หนูอิ๊กพนมมือรับด้วยปีติ เพราะใจก็อยาก
ให้แม่ใหญ่จำาตนโดยความเป็นคนเดิมเช่นกัน
"แล้วหนูหน้าใหม่นี่ตามเขามาด้วยความ
สนใจอีกคนหรือ?"
แม่ใหญ่หันมาทางหยิม ซึ่งกำาลังกระสับ
กระส่ายอยากเสนอหน้าอยู่ก่อน
"หนูชื่อหยิมเป็นลูกจ้างของพี่มะแมเจ้าค่ะ...
น้องอิ๊กเล่าเกี่ยวกับแม่ใหญ่ให้หยิมฟังแล้วอยาก
มากราบมาก วันนี้เป็นบุญจริงๆที่ได้มา"
"มาหาธรรม ก็คือมาหาความชื่นใจนั่นเอง
ลูกเอ๋ย"
ทั้งที่ถ้อยคำาธรรมดา แต่กระแสที่ออกมา
จากคำาของแม่ใหญ่เหนี่ยวนำาให้หยิมตื้นตันจนตา
เปียกชื้น
ขณะนั้น มะแมสัมผัสถึงความเกาะเกี่ยว
ความผูกพันกับสองนางที่ขนาบข้างตนในฐานะ
บริวาร กับทั้งสำาเหนียกได้ว่าเงาร่างทั้งสองเบ่ง
บานอยู่ด้วยความลิงโลดที่แม่ใหญ่เอ่ยปาก
ทักทายเจรจาด้วย
ส่วนร่างหล่อนที่นั่งอยู่ตรงกลาง มีความ
ว่างอย่างรู้ รู้ว่าตนมีสองหูเป็นเครื่องรับเสียง มี
สองตาเป็นเครื่องรับภาพ กับใจดวงหนึ่งที่สันโดษ
ปรารถนาเพียงสัมผัสรสธรรมตรงหน้าอันว่างจาก
ทุกข์ ไม่มีความถือมั่นว่านี่หน้าตาเรา นั่นหน้าตา
เขา จึงไม่มีอาการรอคำาทักทายให้ความสำาคัญ
กับตนเลย
ขณะนั้นเอง แม่ใหญ่ค่อยๆเบนสายตามา
ทางมะแม แย้มยิ้มงดงาม ก่อนเทศนานิ่มนวล
ตรงกับภาวะที่หล่อนกำาลังประสบ
"กายแบบนี้ กับใจแบบนี้ กระตุ้นให้เกิด
จินตนาการขึ้นมาแบบหนึ่ง แบบที่ทำาให้นึกว่ามี
เราจริงๆขึ้นมาคนหนึ่ง และจะเป็นคนๆนั้นตลอด
ไป ต่อเมื่อสักแต่เห็นว่ามันเป็นแค่เครื่องรับภาพ
เครื่องรับเสียง เครื่องรับสัมผัส ร่างกายก็ไม่ต่าง
จากโพรงไม้กลวงๆ ที่ไม่มีบุคคลอาศัยอยู่ มีแต่
ธาตุจิตอาศัยรู้ไปต่างๆนานา"
มะแมกะพริบตายกมือไหว้รับธรรมอย่าง
อ่อนน้อม เมื่อครู่ตอนเห็นว่าตนเป็นแค่กาย
เปล่าๆกับใจเปล่าๆ ก็เหมือนไม่มีค่าอะไร แต่
พอใจโดนปรุงแต่งจากความใส่ใจของแม่ใหญ่ ก็
เกิดความรู้สึกว่ามีหน้ามีตา กายใจเหมือนมี
ความสำาคัญเกินจริงขึ้นมาทันที
สภาพทางกายเหมือนเดิม แต่สีสันปรุงแต่ง
ทางใจต่างไป นั่นนับเป็นวาระแรกที่รู้สึกถึง
อาการปรุงแต่งทางใจชัดๆ
เมื่อรู้ชัดว่าสักแต่เป็นอาการปรุงแต่ง
อาการปรุงแต่งก็เลือนหายไปให้ดูเหมือนพยับ
แดด เหลือแต่ความว่างใสอย่างรู้ว่านี่แค่สภาวะ
ชั่วคราวหนึ่งของจิต
"ต้องเกิดตายกันหลายครั้งนะ กว่าจะสั่งสม
บุญ สะสมปัญญามากพอกับการเห็นได้ขนาดนี้ ...
นับแต่กายใจบนดินไปจนสิ้นดาวบนฟ้า ไม่เคยมี
ไว้ให้ใครยึดครอง มีแต่ให้ทอดทิ้งไว้กับความว่าง
ทั้งหมด ถึงใจเราจะทุกข์เพราะไม่รู้ หรือเป็นสุข
เพราะเห็นแจ้ง ทุกสิ่งและทุกคนก็จะล่องหนหาย
ไป เท่ากับจำานวนที่ปรากฏขึ้นมานั่นเอง!"
มะแมใช้เวลาระหว่างขับกลับจากสำานักชี
มาถึงบ้าน ถามใจตัวเองจนเกิดความหนักแน่น รู้
ชัดว่าตนต้องการอะไรจากชีวิตที่เหลือ
ปล่อยให้ลูกสาวขึ้นไปอาบน้ำา แต่รั้งหยิมไว้
ไม่ให้แยกไปไหน
"หยิม"
"ขา"
"ลูกค้าคนล่าสุดอยู่เดือนไหน?"
"ปลายมกราฯค่ะพี่ "
"โอเค... งั้นเราทำางานกันอีกสามเดือน
ตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ต้องรับนัดแล้วนะ"
หยิมอ้าปากค้าง
"พี่มะแมจะ..."
"พี่จะไปอยู่กับแม่ใหญ่ !"
หยิมเงียบงันด้วยความใจหาย รู้ว่าการ
ตัดสินใจของนายสาวมิใช่เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่น
แต่อย่างใด แต่ก็ถามแบบติดปาก
"แน่ใจหรือคะพี่ ?"
"เธอเอาญาติจากต่างจังหวัดมาอยู่ที่นี่ได้ พี่
จะโอนบ้านให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเธอ รถนี่ก็จะให้
เธอ พร้อมทั้งทุนก้อนใหญ่พอตั้งเนื้อตั้งตัว ทำา
ร้านทำาอะไรที่เธอต้องการ"
สาวลูกจ้างอึกอักแบบเกรงใจ แต่ก็ปีติกับ
ชีวิตใหม่แค่เอื้อมเป็นระลอก
"ขอบคุณค่ะ" ยกมือไหว้ท่วมหัว "แล้วพี่
มะแมมีเงิน..."
"อย่าห่วง พี่ได้เงินจากเทวดามาเยอะ และ
ตอนนี้รู้ชัดแล้วว่าท่านต้องการให้ใช้ทำาอะไรบ้าง"
พูดจบก็เดินขึ้นชั้นบน เข้าห้องทำางาน หยิบ
โทรศัพท์พิเศษขึ้นมากดปุ่มค้างไว้ ภาวนาให้เซ
ธรับสาย และเขาก็รับเป็นครั้งแรก โดยไม่ต้องมี
ข้อความรอเรียกกลับเหมือนเช่นที่ผ่านมา
"สวัสดีค่ะบอส"
"อือ... สวัสดี "
เขาตอบเนือยๆเป็นภาษาไทย ไม่ต้องเดาก็
รู้ว่าเขารู้ ในเมื่อเจตจำานงของหล่อนตรงแน่วและ
เข้มข้นเสียขนาดนี้
"หนูรักบอส"
นั่นเป็นคำาสารภาพที่เขาไม่เคยเอ่ยกับ
หล่อน และมะแมก็ไม่นึกอายที่เป็นฝ่ายพูดก่อน
"ฉันรู้ "
เสียงของเซธซึมลง มะแมเชิดคางนิดหนึ่ง
"นาทีแรกที่ได้ยินเสียงบอส ยอมรับว่าหนู
โมโห แล้วก็คิดไปต่างๆนานา ใจสงสัยว่ากล้าดี
ยังไง ถึงมาบงการให้เราทำานู่นนี่นั่น สั่งกันราวกับ
เห็นเป็นคนใช้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมักจี่เลยสักนิด"
ว่าที่พระเจ้าจักรพรรดิหัวเราะเอื่อยเฉื่อยใน
ลำาคอ
"ฉันชินของฉันอย่างนั้น ถ้าทำาให้เธอไม่
พอใจก็ขอโทษด้วย"
"ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เพราะหนูกำาลังจะ
บอกว่าแปลกดี ตั้งแต่ครั้งแรก หนูก็อยากได้ยิน
เสียงสั่งของบอสอีก เหมือนมันมีเสน่ห์ติดหู หรือ
มาก้องในหัวให้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา... คงเพราะ
บุญญาบารมีที่บอสสั่งการให้ใครต่อใครทำาแต่
เรื่องดีๆมาเกือบร้อยปีกระมัง"
"ตอนหนุ่มๆฉันก็เคยสั่งให้คนทำาชั่วเหมือน
กันแหละ คนที่โตมากับสงครามล้างโลกควรเป็น
ยังไง เธอน่าจะเดาถูก"
"ค่ะ... จิตของบอสก็ยังมีความเป็นนักรบ
อยู่นะคะ เพียงแต่ตอนนี้เอามาใช้ในทางสร้าง
ไม่ใช่ทำาลาย"
"อือม์ ..."
"ถามหน่อยเถอะ เบอร์หนึ่งในใจบอสสวย
กว่าหนูเยอะไหม?"
"อย่าถามอย่างนั้นเลยน่า เธอก็รู้ว่าฉันต้อง
มีราชินีหลายองค์ไม่ใช่ด้วยความมักมาก... ต่อ
ไปพรมแดนประเทศต่างๆจะถูกทำาลายลง และมี
การแบ่งเขตการปกครองกันใหม่ ทางลัดที่สุดที่
จะรวมศูนย์อำานาจไว้ที่ฉัน ก็คือต้องใช้นางพญา
หรือสายเลือดที่เป็นระดับ ๕ ของฉันไปดูแล"
"หนูถามเรื่องสวย บอสเลี่ยงไปพูดเรื่อง
ระดับ ๕ ทำาไมเนี่ย?"
"เธอยังอยากฟังคำาตอบแบบชาวโลกอยู่อีก
หรือ? คนแบบพวกเราน่าจะคิดเรื่องเอาความ
สวยที่มีไปสร้างความแตกต่างได้แค่ไหน
มากกว่า"
มะแมลดเปลือกตายิ้มนิดๆก่อนเอ่ย
"ไม่มีผู้หญิงคนไหนคิดแบบบอสหรอกค่ะ...
ตอนนึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก มะแม
ก็ไม่เคยสนใจเปรียบเทียบกับใครหรอก แต่พอรู้
ว่ามีผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกอยู่อีก ๖ คน แถม
ทั้งหมดมีสิทธิ์เหนือกว่ามะแมเสียด้วย ขอบตาก็
ชักร้อนๆขึ้นมาบ้างแล้ว!"
"เชื่อเถอะ ค่าของพวกเธอในใจฉันเสมอกัน
หมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่าใครเลย"
"มันจะเป็นไปได้ยังไงคะ? ขนาดหนูนั่งอยู่
กับไอซิสสองคน ถึงบอสจะทำาเป็นแจกจ่าย
สายตาเฉลี่ยมาครึ่งๆ แต่หนูก็รู้ว่าเสน่ห์ของแม่
นั่นแรงกว่า ดึงดูดใจให้บอสวูบไปทางนั้นได้บ่อย
กว่า... บอสจะปฏิเสธไหม?"
"นั่นอาจจะเป็นเพราะไอซิสมีใจฝักใฝ่กับฉัน
มานาน เลยกล้าเล่นกล้าเย้ามากกว่าเธอ ใจเธอ
เกินครึ่งยังผูกพันกับอัคระ... และอีกอย่างเธอคง
ไม่อยากเห็นฉันแสดงกิริยาก้อร่อก้อติกแม้ด้วยใจ
ไม่ใช่หรือ?"
มะแมอึ้ง แต่พอเถียงไม่ออกก็รีบตัดบท
แบบไม่ยอมจนแต้ม
"หนูรู้น่า บอสไม่ต้องพูดหรอก!" กลอกตา
คิดแวบหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ย "แล้วที่บอกว่าหนู
กับไอซิสน่าจะเข้ากันได้ดี หนูว่าใช่นะ แต่ก็รู้ใจตัว
เองค่ะว่าเจอผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่ทำาให้อิจฉาได้
เข้าแล้ว... ผู้หญิงอิจฉากันนี่จะรักกันยืดหรือคะ
บอส"
"ยืดสิ ! ถ้าสนใจผลของงานที่เกิดจากการ
ร่วมมือกัน มากกว่าสนใจว่าวันไหนใครดูเด่นกว่า
ใคร"
หญิงสาวหัวเราะหึหึ
"หนูชอบฉายเดี่ยวเสียด้วยสิคะ... ตอนไป
หาบอส ยายไอซิสบอกหนูว่าไงรู้ไหม? บอกว่าถ้า
บอสสั่งให้ไปตายเขาจะไป... หนูก็คิดว่าบ้าหรือ
เปล่า เป็นเจ้าชีวิตเหรอถึงจะยอมกันง่ายๆ... แต่
หลังจากใกล้ชิดบอสมากขึ้น หนูก็ชักเข้าใจนะ ไม่
เกินปีเดียวหนูคงรู้สึกแบบเดียวกับยายลูกครึ่ง
อียิปต์นั่นแน่ๆ!"
"อย่างมากตอนหนุ่มๆฉันก็สั่งให้คนเสี่ยง
ตาย แต่เกิดมาไม่เคยสั่งให้ใครไปตายเลย
สาบานได้ "
เซธตอบอย่างอารมณ์ดี แต่มะแมก็เปลี่ยน
อารมณ์เร็ว ถามมาอีกทาง
"บอสรักหนูบ้างหรือเปล่า หรือคิดจะเอาไว้
ใช้งานอย่างเดียว?"
บุรุษผู้กำาลังจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของโลก
มนุษย์ทั้งใบ กระแอมขลุกขลักก่อนตอบเบาๆไม่
ค่อยเต็มคำา เพราะประดักประเดิดที่โดนรีดไถคำา
สารภาพกันดื้อๆ
"รักสิ ... เธอกับฉันผ่านภพผ่านชาติมาด้วย
กันไม่น้อยหรอก"
"ส่วนใหญ่ในฐานะอีหนูของบอสใช่ไหม?"
"ครองคู่ผัวเดียวเมียเดียวก็บ่อยน่า"
มะแมเม้มปากครู่ใหญ่ อย่างไรหล่อนก็รู้สึก
เหมือนเป็นแค่หนึ่งในสมบัติล้ำาค่าของเซธ ช่าง
แตกต่างอย่างเหลือเกินกับการเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด
ของอัคระ
"ความรู้สึกที่มีให้บอส หนูไม่เคยมีให้ใคร
เท่า บางทีหนูก็สงสารพี่อัค พอนึกเทียบดูแล้วว่า
หลังจากอยู่กับบอสนานๆ หนูอาจรักบอสมาก
กว่าพี่อัคเสียอีก ทั้งๆที่พี่อัคให้ค่าหนูยิ่งกว่าบอส
ไม่รู้กี่เท่า... หนูรู้สึกผิด หนูน่าจะหาคำาอื่นที่มา
แทนคำาว่ารักได้เจอ จะได้เอามาใช้กับบอสอย่าง
สนิทใจหน่อย"
"ก็รักนั่นแหละ อย่าคิดมาก"
"โอเค! สรุปว่าหนูรัก... แต่หนูไม่อยาก
ร้องไห้อีก... ไม่อยากอีกเลยตลอดไป!"
นึกถึงช่วงเวลาร้องไห้จนน้ำาตาแทบเป็นสาย
เลือด แล้วกลั่นคำาพูดออกมาได้จริงใจดีแท้
"ฉันเข้าใจ และจะไม่ขัดขวางการตัดสินใจ
ของเธอ"
เซธเอ่ยด้วยน้ำาเสียงปรานีประดุจพ่อ
"หนูขออนุญาตทิ้งโทรศัพท์บอสนะคะ"
"ได้ ... ฉันจะส่งรหัสทำาลายตัวเองไปจัดการ
มันพรุ่งนี้ เธอเอาไปหย่อนถังขยะที่ไหนก็ได้ "
ต่างฝ่ายต่างเงียบ มะแมไม่อยากรู้สึกอาลัย
อาวรณ์ไปกว่านั้น เดี๋ยวจะใจอ่อนโลเลเปล่าๆ
"บอสขา... หนูกราบลา"
"ขอให้เธอไปถึงที่สุดทุกข์ตามปรารถนานะ
มะแม"
ต่างฝ่ายต่างกดปุ่มวางสายด้วยความนุ่ม
นวล และไม่มีสิ่งใดติดค้างคาใจต่อกันอีก
มาถึงแผ่นแก้วสีนิลในกระเป๋าถือบ้าง
หล่อนหยิบมาจับด้วยสองมือ อยากดูซิว่าจะได้
รับคำาทักทายอย่างไร
สวัสดีมะแม
อนุโมทนาด้วยนะกับการตัดสินใจที่เกิด
ขึ้น... ไม่ต้องแปลกใจ แผ่นแก้วไม่วิเศษขนาด
อ่านความคิดมะแมออกขนาดนั้นหรอก และนี่ก็
ไม่ใช่การประดิษฐ์เรียบเรียงคําของซีอุส แต่เป็น
พี่เขียนไว้เอง ข้อความนี้จะปรากฏต่อเมื่อแผ่น
แก้วรายงานว่ามะแมไปถึงจุดนัดพบความสว่าง
ขั้นสูงสุด ในวัน เดือน ปี ที่ทางเปิด
ถ้าวันนี้มะแมไม่ไปที่นั่น พี่ก็เขียนข้อความ
นี้เปล่าๆ แต่หากสัมผัสล่วงหน้าของพี่ไม่มีผิด
พลาด มะแมคงตัดสินใจสละเครื่องรุงรังทั้งหลาย
แล้ว
สบายใจเถอะ มะแมไม่ใช่ผู้หญิงของเซธ
หรอก เพราะเป็นคนเดียวที่ไม่เกิดในโรงพยาบาล
ให้เซธพบเอง พี่ต้องเป็นคนจูงมือมาให้เซธคิด
แย่งในภายหลังต่างหาก และมะแมก็ไม่ใช่ผู้หญิง
ของพี่ด้วย เพราะพี่อยู่ไม่นานพอจะให้มะแมรู้สึก
อย่างนั้นได้
ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากมะแมในสํานักชี
ถ้าเทียบปริมาณก็น้อยกว่าเมื่อมะแมอยู่ใน
อาณาจักรของเซธมาก แต่หากเทียบเป็นคุณค่า
ที่แท้ ก็ต้องบอกว่าคนในสํานักชีได้ประโยชน์
ถาวร ไม่กลับไม่เปลี่ยนอีก ต่างจากคนใน
อาณาจักรของเซธ แม้รับประโยชน์จากมะแมไป
ชั่วคราวในชาตินี้ ก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าต้องระหกระ
เหินขึ้นฟ้าหรือลงดินกันอีกนานแค่ไหน
เส้นทางในสังสารวัฏคงเหงาเมื่อขาดมะแม
ไป แต่นี่ก็จะเป็นการยืนยันว่าพี่ไม่ได้ดีแต่พูด
หากมะแมมีความสุขตลอดไป พี่นี่แหละจะดีใจ
เป็นที่สุด
ลาชั่วนิรันดร์
พี่อัค
มะแมสะอึกอั้น ตีบตันคอหอย แต่ไม่ร้องไห้
เพราะเมื่อนึกถึงเด็กอ่อนที่กำาลังจะมาเกิดในไม่ช้า
ก็รู้ว่าเจ้าของข้อความไม่ได้มีชีวิตจิตใจแบบ
มนุษย์หรือแบบเทพยดาไหนๆอีกแล้ว จึงไม่ทราบ
จะส่งใจไปอาลัยอาวรณ์ใครคนไหนดี
เดินกลับไปกลับมา ทบทวนทุกสิ่งที่พลิก
ชีวิตหล่อนหลายตลบ แล้วฉุกคิดขึ้นได้ว่าน้องอิ๊ก
เป็น "แผนสอง" ของอัคระอย่างไร ถ้าไม่มีหนูอิ๊ก
หล่อนคงไม่ได้พบแม่ใหญ่ และถ้าไม่พบแม่ใหญ่
หล่อนคงไม่ปลงสังเวชกับความตาย ได้สว่างใน
ธรรมจนอยากสละโลกขนาดนี้
ยิ้มนิดๆอย่างรู้ใจคนรักเก่า เขาทนไม่ได้ที่
จะยกหล่อนให้เซธ... เมื่อเขาไม่ได้ เซธก็ต้องไม่
ได้ !
อัคระคงเดาทางถูก ว่าเซธจะบอกความลับ
สุดท้ายเรื่องการเกิดใหม่ของเขา โดยหวังปลด
ล็อกให้ใจหล่อนตัดเยื่อใยจาก "เด็กแบเบาะ"
เสียได้ แต่ด้วยการเผยความลับเช่นนั้น กลับ
กลายเป็นเข้าทางอัคระแทน เพราะเมื่อสลดอย่าง
รุนแรงจากการเห็นธรรมชาติการเวียนว่ายตาย
เกิด ไม่มีใครเป็นที่มั่นให้ใครได้ หล่อนจะเลือก
ทางอื่นที่ดีกว่าอาณาจักรของเซธ
สรุปคืออัคระไม่ใช่แค่ทำาตัวหวงแหนคนรัก
เก่าเฉยๆ เขายังมุ่งหวังให้หล่อนได้ดีที่สุดตาม
ทางอีกด้วย
ชาติก่อนๆหล่อนอาจเป็นสมบัติผลัดกันชม
ของเหล่าจักรพรรดิหรืออย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าชาตินี้
ขอเลือกที่จะไม่เป็นสมบัติของใครดีกว่า เมื่อ
ตัดสินใจหันหลังให้โลก มะแมเกิดความรู้สึกเป็น
ตัวของตัวเอง ไม่ใช่ผู้หญิงของใครเลยจริงๆ
ตอนนี้หล่อน "ไม่มีอะไร" ไม่มีความรัก
ไม่มีแม้กระทั่งความมุ่งมาดคาดหวังจะได้รักใหม่
หัวอกจึงโปร่งโล่ง ดวงจิตถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ
สะอาดหมดจดจากต้นเหตุแห่งทุกข์หนักใน
วัฏสงสาร
โลกในความหมายที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
คือกายอันยาววาหนาคืบก้อนนี้ กับใจอันไร้รูป
ดวงนี้
โลกาวินาศที่แท้ จึงเป็นของเฉพาะตน เมื่อ
กายแตกครั้งหนึ่ง ก็คือโลกาวินาศครั้งหนึ่ง ไม่ว่า
ผู้ครองโลกอยู่จะเป็นจิตของคนธรรมดา หรือเป็น
จิตของพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม
ต่อเมื่อพาตนไปได้ถึงนิพพาน อันเป็น
มหาสมุทรแห่งความว่าง ไร้รูป ไร้โลก ไร้เครื่อง
อาศัย จึงได้ชื่อว่าถึงซึ่งการปราศจากโลกาวินาศ
ไปจนชั่วกัลปาวสาน
มะแมเดินออกจากห้องทำางาน ตรงไปสู่ห้อง
พระ เพื่อสวดมนต์หลายๆรอบเป็นการเฉลิมฉลอง
ชีวิตใหม่ที่ไร้ต้นเหตุทุกข์ หล่อนสัญญากับตนเอง
ว่าจะไม่หันหลังกลับมามองสะพานที่ตนเผาทิ้งกับ
มืออีกเลย

จบบริบูรณ์

________________________________________________________________________________
ขอเชิญดาวน์โหลดเพื่อนำไปแบ่งปัน หรือ นำไปอ่านได้อีกหลายช่องทาง ที่ไม่ต้องออนไลน์ ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ

http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=103&Itemid=278



6
จิตจักรพรรดิ
ตอน ลายเซ็นจักรพรรดิ
ดังตฤณ
แจกจ่ายฟรีได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องขออนุญาต
ห้ามนําไปใช้ทางการค้าไม่ว่ากรณีใดๆก่อนได้รับอนุญาต

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๑

การไม่มีใครเลยสักครู่หนึ่ง หาใช่ความ
เปล่าเปลี่ยวที่น่ารังเกียจนัก การคิดถึงใครสักคน
ตลอดเวลาต่างหาก ที่ชวนให้เห็นโลกอ้างว้าง
อย่างน่ากลัว
มะแมพยายามเป็นตัวของตัวเองมาทั้งชีวิต
แต่แปลกที่หล่อนถวิลหาทุกนาทีที่สูญเสียความ
เป็นตัวเองต่อหน้าอัคระเหลือเกิน
ตัวตนอันทรงพลังของเขา ฝากแรงประทับ
ไว้ดุจมนต์สะกดอันยากจะถ่ายถอน รู้สึกแย่ที่ยิ่ง
วันผ่านไป ความคิดถึงยิ่งทวีแรงขึ้นทุกที อย่าว่า
แต่จะหวังให้จางลงตามเวลา
วันนี้เป็นวันแรกที่คิดถึงอัคระจนไม่มีกะจิต
กะใจทำางาน ดังนั้นเมื่อพบว่าลูกค้า ๔ โมงครึ่ง
แจ้งยกเลิกนัด มะแมจึงดีใจยิ่ง เห็นเป็นโอกาส
เหมาะที่จะปลีกตัวไปหาที่สงบนั่งเล่นคนเดียวใน
ยามเย็นเสียบ้าง
ขับรถออกจากบ้าน ตรงไปที่วัดริมคลองไม่
ใกล้ไม่ไกล มะแมชอบมานั่งในศาลาท่าน้ำาหลังวัด
ซึ่งมีอยู่หลายหลัง และหล่อนเองก็ร่วมบริจาค
สร้างใหม่ไว้หลังหนึ่งด้วย ตอนได้เงินสมนาคุณ
ก้อนใหญ่จากลูกค้าเมื่อปีกลาย
พอมาเจอลำาคลองที่กล่อมใจให้สงบเยือก
เย็นลง ความคิดถึงอัคระก็เปลี่ยนรูปแบบ จาก
กระวนกระวายอยากเห็นหน้า เป็นเอื่อยเฉื่อยอยู่
ในอารมณ์หวาน
ขณะฝันหวาน มะแมรู้สึกเหมือนคนไม่รู้
อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย ผ่านมาทั้งวันหล่อน
ตอบคำาถามลูกค้าได้อย่างไรก็ไม่รู้
ทอดตามองน้ำาในคลองนิ่ง เห็นประกาย
แดดบนยอดคลื่นระยิบระยับแล้วอารมณ์ละเมียด
กว่าเดิม เมื่อระลึกถึงเขา ก็ระลึกได้แจ่มชัด
ราวกับสัมผัสได้จากตรงหน้า
หล่อนจำาคนเป็นรูปร่างหน้าตาได้เลือนราง
แต่จำารัศมีชีวิตได้ชัด และคราใดที่รำาลึกถึงอัคระ
หล่อนจะสำาเหนียกถึงรัศมีพลังชีวิตที่แผ่กว้าง
สาดแสงอบอุ่นลุ่มลึก ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ใน
อาณาจักรยิ่งใหญ่ที่ไหนสักแห่ง
นึกไม่ออกว่าครั้งสุดท้ายเป็นเมื่อใด ที่
อยากอยู่ในเขตรัศมีความอบอุ่นของผู้ชาย ระยะ
หลังเรียกว่าจงใจเลี่ยงด้วยซ้ำา แต่ตอนนี้ ... อาจ
เปลี่ยนใจแล้ว!
มือถือดังขึ้นเป็นเสียงเป็ดร้องก้าบๆ มะแม
ถอนใจยาว เพราะนั่นคือริงโทนที่หล่อนตั้งไว้บอก
ว่าเป็นหยิม หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มากดรับและ
พึมพำาเนือยๆ
"จ้ะหยิม มีอะไร?"
"ลูกค้าอยากคุยกับพี่มะแมค่ะ ให้เบอร์เขา
ไหมคะ?"
"บอกแล้วไงว่าไม่รับสายตรงจากลูกค้า"
ทำาเสียงเหมือนตำาหนิที่อีกฝ่ายลืมกฎเหล็ก
ทั้งที่ทำางานด้วยกันมานานนมขนาดไหนแล้ว
"โอเคค่ะ! งั้นหยิมบอกคุณอัคระตามนี้นะ
คะ"
มะแมลืมตาโพลง ยืดตัวขึ้นนั่งตรง ราว
ตกใจกับแสงรุ้งที่สาดจ้าขึ้นมาจากรอบด้านโดย
กะทันหัน
"ว่าไงนะ! คุณอัคระเหรอที่ขอ?"
ถามเร็วปรื๋ออย่างเกรงว่าอีกฝ่ายจะวางสาย
ไปเสียก่อน
"ค่ะ! คุณอัคระโทร.มาขอเบอร์พี่มะแม และ
หนูก็กำาลังพักสายรออยู่ จะให้ปฏิเสธยังไงดี ?"
นายจ้างสาวกะพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสติ มัน
ช่างยากเย็นกับการกล้ำากลืนก้อนปีติลงคอ เพื่อ
พูดด้วยสำาเนียงเนือยลง
"อ๋อ... พี่บอกเขาเองแหละว่าจะโทร.กลับ
เพราะวันก่อนดูๆอะไรให้เขาค้างอยู่ แต่หมดเวลา
เสียก่อน"
"แปลว่าให้เบอร์ใช่ไหมคะ?"
"อือม์ ... ก็ได้ ... ให้เขาไปเถอะ"
"ค่ะ! แต่เดี๋ยวหยิมจะแกล้งอิดเอื้อน ทำา
เสียงเฉยๆเนือยๆนิดหน่อยนะคะ เขาจะได้ไม่ดีใจ
เกินเหตุ "
ว่าแล้วเด็กสาวตัดสายไป ใบหน้ามะแม
แดงระเรื่อ ครึ่งโกรธครึ่งอาย นึกอยากหยิกหยิม
ให้เนื้อขาดที่แกล้งพูดกระเซ้าเหมือนเห็นหล่อน
เป็นเพื่อนเล่น แต่พริบตาเดียวก็เลิกถือสา เพราะ
ใจเต้นแรงจนสมองชาไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มที่รบกวนจิตใจหล่อนได้ตลอด ๒๔
ชั่วโมงกำาลังจะโทร.มา...
อารมณ์แอบฝัน เยียบเย็นตอนฝัน แต่กลับ
เร่าร้อนตอนเจอของจริง!
ไม่ถึงสองนาที เลขสวยตามแบบฉบับเบอร์
แพง แย่งกันด้วยราคาหลักล้าน ก็ปรากฏวาบบน
หน้าจอ แล้วตามด้วยเสียงสัญญาณเรียก
เสียงโทรศัพท์ครั้งนี้ มีอิทธิพลเป่าหัวใจให้
ฟูฟ่องเหลือหลาย มะแมลากลมหายใจยาว อยาก
ยิ้ม อยากหัวเราะ แต่ไม่ได้ ต้องเชิดคางปั้นหน้า
ขรึม เพื่อกดให้สุ้มเสียงฟ้องอารมณ์น้อยที่สุด
"สวัสดีค่ะ"
"คุณมะแม ผมอัคระนะ"
"ค่ะคุณอัคระ ขอโทษนะคะที่มะแมรับปาก
ว่าจะโทร.กลับแล้วไม่ได้โทร. คือ... มะแมต้องใช้
เวลา"
"ผมเข้าใจ"
น้ำาเสียงของเขาทุ้มนุ่ม กล่อมโสตอย่างยาก
ที่จะฟังแล้วไม่เคลิ้ม
"มะแมพยายามดูให้อยู่นะคะ แต่ดูยังไงก็ดู
ไม่ออก ขอโทษจริงๆที่ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ "
"ถ้าผมจะลองเล่ารายละเอียดให้คุณมะแม
ฟัง จะพอมีส่วนช่วยหรือเปล่า?"
"ไม่แน่ใจค่ะ"
"ถ้าลองก็ไม่เสียหายอะไรนี่ใช่ไหม?"
"ค่ะ! งั้นลองเล่ามา มะแมจะฟัง"
"รังเกียจหรือเปล่าถ้าผมจะขอเลี้ยงมื้อเย็น
เพื่อเล่าให้ฟังต่อหน้า เพราะมันอาจจะยาวสัก
หน่อย"
หญิงสาว ณ ริมคลองใจสั่น เงียบงันเพราะ
คิดคำาพูดโต้ตอบไม่ทัน
"ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณมะแมไม่สะดวก"
อัคระเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเกรงใจ
"อือม์ ..." มะแมลากเสียงเบาๆพอให้เขา
ได้ยินว่าหล่อนคิดอยู่ "อันที่จริงมะแมก็อยากช่วย
ไม่ได้อยากปฏิเสธหรอกนะคะ แต่เย็นนี้สงสัย
ไม่ทัน เพราะอยู่ข้างนอก"
"เหรอครับ ไม่เป็นไร แล้ว... ถ้าวันอื่น..."
"วันอื่นเหรอคะ ยังไงดีเอ่ย..." นิ่งไตร่ตรอง
ก่อนเลือกแบบทิ้งระยะพองาม "มะรืนนี้ได้ไหม?"
"ครับ! ได้แน่นอน"
"จะให้มะแมไปที่ไหน?"
"ขออนุญาตให้ผมไปรับคุณที่บ้านได้ไหม?"
"มะแมว่ามะแมขับไปเองดีกว่าค่ะ"
"โอเค! งั้นเอาที่คุณมะแมสะดวก"
"มะแมให้คุณอัคระเลือกที่เห็นว่าเหมาะ
สำาหรับคุยงานก็แล้วกัน แต่กรุณาอย่าไกลบ้าน
มะแมมากนะคะ"
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น
กลายเป็นกิจวัตรที่อิ๊กจะต้องตื่นนอนพร้อม
กับมะแม และเข้าห้องทำาสมาธิด้วยกัน
มะแมไม่ได้บังคับว่าเป็นคนในปกครองแล้ว
ต้องทำาตามหล่อน อย่างเช่นเมื่อครั้งพยายาม
สอนหยิม แล้วหยิมขี้เกียจตื่นมานั่งสัปหงกต่อใน
ห้องทำาสมาธิ หล่อนก็ปล่อยไป แต่สำาหรับอิ๊ก
เพียงทราบว่าหล่อนตื่นเช้ามาทำาสมาธิ ฝ่ายนั้นก็
ตื่นตาม และมายืนแก้มยุ้ยทำาหน้าสนใจอยู่ตรง
ประตูห้อง ซึ่งพอมะแมเห็นครั้งแรกก็ลากมาสอน
ทันที โดยอิ๊กไม่ทันต้องเอ่ยปากขอแต่อย่างใด
หล่อนเคยสอนเด็กทำาสมาธิมาบ้าง จึง
ทราบว่าเด็กแต่ละคนต่างกัน ส่วนใหญ่ยัง
หลุกหลิก วอกแวกง่าย หรือถ้านิ่งหน่อยก็โงกเงก
หลับในเวลาไม่นาน
อิ๊กเป็นเด็กคนแรกที่มะแมคิดว่ามีพรสวรรค์
และพรสวรรค์ก็แสดงตัวในรูปของความสนใจจริง
สนใจต่อเนื่อง ไม่ว่าสอนสมาธิแบบไหน จะรู้ลม
บริกรรมคำาในใจ หรือสร้างกสิณนิมิต อิ๊กรับได้
หมด และทำาทุกวันไม่เลิกราด้วย
เด็กที่มีความสนใจสมาธิจะได้เปรียบผู้ใหญ่
อยู่อย่างหนึ่ง คือพายุความฟุ้งซ่านยังมีกำาลังอ่อน
เมื่อได้รับคำาแนะนำาอย่างถูกวิธี ให้ทำาด้วยความ
ผ่อนคลาย ไม่ตั้งใจเพ่งเล็งกำาเกร็งเกินไป พอเอา
จิตไปจับกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งพักใหญ่ ก็เกิดความตั้ง
มั่น จิตเต็มดวงสาดสว่างขึ้นมาได้
หลายเช้าที่ผ่านมามะแมบำาเพ็ญสมาธิใน
ส่วนของตนแค่ครึ่งเวลา อีกครึ่งที่เหลือเอามาดู
ความคืบหน้าของเด็กในอุปการะ ยิ่งอิ๊กสนใจ
สมาธิมากขึ้นเท่าไร หล่อนยิ่งสนใจสภาวะทางจิต
ของอิ๊กมากขึ้นเท่านั้น
เช้านี้อิ๊กนั่งขัดสมาธิอย่างมีพลังตั้งแต่นาที
แรก มะแมตามดูแล้วรู้สึกเลยว่าอิ๊กอาศัยอำานาจ
ทางใจสร้างนิมิตวงกลมได้อย่างรวดเร็วและหน่วง
ได้นานกว่าวันก่อนๆเยอะ
กล่าวถึงประสบการณ์ภายในของอิ๊ก เธอ
เองก็แปลกใจที่นิมิตวงกลมสีขาวสาดแสงจ้า
ตั้งแต่ยังไม่ทันต้องกำาหนดอะไรมาก อาจเป็น
เพราะเดี๋ยวนี้เธอใจจดใจจ่ออยู่กับนิมิตวงกลมทั้ง
วัน ไม่ว่าลืมตาหรือหลับตา เป็นสุขเย็นรื่นทุกครั้ง
ที่หน่วงเส้นรอบวงให้กลมดิกไว้ได้ และพบว่ายิ่ง
นิ่ง ยิ่งนาน ยิ่งสว่าง ก็ยิ่งเป็นสุขขึ้นทุกที
อันเนื่องจากพี่มะแมผู้มีพระคุณของเธอ
สอนไว้ว่าให้ทำาเป็นเฉยๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่ยินดี
ยินร้าย แม้นิมิตจะปฏิรูปไปเป็นอย่างไรก็ตาม อิ๊ก
จึงดำารงสติรับรู้การเปลี่ยนสภาพแห่งนิมิต รักษา
ใจไม่ให้ลิงโลดไปกับปรากฏการณ์แปลกใหม่ที่
เพิ่งมีมาให้เห็นเดี๋ยวนี้
ความขาวจ้าค่อยๆเบ่งบานขึ้น ราวกับมี
พระอาทิตย์ดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า หาก
เปรียบเทียบกับตอนลืมตา ก็คงคล้ายนั่งมอง
ทะเลกว้างจนสุดขอบฟ้า และเหนือขอบฟ้า
ปรากฏดวงตะวันที่ขยายทั้งขนาดและทั้งความ
จัดจ้าสัก ๕ เท่าตัวของของจริง แต่ไม่ยักแสบจิต
เหมือนกับที่แสบตายามสบดวงตะวันตรงๆ
เวลาดำาเนินไป ดวงตะวันหายลับตั้งแต่เมื่อ
ใดไม่รู้ตัว อิ๊กหมดความรับรู้ไปวูบใหญ่ แล้วตื่น
ขึ้นในสำานึกคิดอ่านอีกแบบ เหมือนเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
พร้อมจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
ไม่อาจประมาณว่าเธออยู่ในอาณาเขตกว้าง
ยาว ลึกเพียงใด ความฟุ้งซ่านยังลอยวนอยู่จางๆ
เหมือนถามตัวเองว่านี่เราเป็นใคร ช่างคุ้นกับ
สภาพเช่นนี้เหลือเกิน
เพียงจดจ่อกับภาวะทางใจที่คุ้นเคยเพียงครู่
นิมิตขุนเขาสูงก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ถึงตรงนั้น
อิ๊กเปลี่ยนความรู้สึกไปอีก เห็นตนกลายเป็นคน
นุ่งขาวห่มขาวผู้ขึ้นมาบำาเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำาบน
ยอดเขาสูงตามลำาพัง และทอดทัศนาทัศนียภาพ
รอบด้านด้วยความอาลัย เยี่ยงคนรู้วันตายล่วง
หน้า!
ไม่กี่อึดใจถัดจากนั้น นิมิตทั้งหมดก็จืดจาง
ลง อิ๊กค่อยๆเปิดเปลือกตา เหลือบมองด้านข้างก็
พบหญิงสาวหน้าสวยมองมายิ้มๆ
"วันนี้นั่งได้นิ่งมากเลยนะ"
มะแมทัก หล่อนเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายน้ำาตา
ไหลเป็นทางยาว แต่เข้าใจว่าเป็นผลจากรสวิเวก
ซ่านปีติสุขล้ำาลึกมากกว่าอย่างอื่น
อิ๊กปาดน้ำาตาที่เปื้อนแก้มออก
"ความเกิดและความตายเป็นเรื่องน่ากลัว
จริงๆเลยนะคะพี่มะแม..."
นั่นเป็นคำาแรกที่เธอเอื้อนเอ่ย มะแมกะพริบ
ตาถี่ๆ เดาไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น แม่หนูน้อยนั่ง
สมาธิไปเห็นอะไรมา
"ทำาไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?"
หนูอิ๊กเอาแต่ก้มหน้านิ่ง จนมะแมตัดสินใจ
ร่ายยาว
"เอ่อ... อิ๊กจ๊ะ... จำาที่พี่มะแมบอกได้ใช่ไหม
ว่านิมิตวงกลมที่เราสร้างขึ้นเนี่ย กลมอย่างไรก็
ไว้ใจได้อย่างนั้น เพราะตอนนั้นมันอยู่ในการ
ควบคุมของเรา แต่ถ้าเห็นอะไรแปลกไปกว่า
วงกลม ก็อย่าเพิ่งไว้ใจ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรให้มาก
เหมือนกับที่เราไม่ควรเชื่อความฝันเพียงเพราะ
มันชัด"
"ค่ะพี่มะแม"
แล้วแม่หนูน้อยผู้มีพรสวรรค์ทางสมาธิกสิณ
ก็ทอดตามองพื้นข้างหน้า ไม่พูดไม่จาอันใดอีก
"ไหนเล่าให้ฟังซิ เมื่อกี๊เห็นอะไร"
อิ๊กกะพริบตาทีหนึ่ง
"หนูเห็นดวงตะวันชัดมาก แต่ดูอยู่เพลินๆ
ดวงตะวันก็หายไป กลายเป็นภูเขา แล้วก็เห็นตัว
เองนั่งในถ้ำา รู้สึกเหมือนกำาลังจะตาย"
มะแมส่งใจตาม น้องอิ๊กถ่ายทอดภาพในใจ
ของตัวเองผ่านคำาพูดได้แจ่มชัด จนสามารถดึง
หล่อนเข้าไปร่วมเห็นภาพ แวบหนึ่งมะแมเกือบ
ตัดสินทันทีว่าของจริง แต่อีกใจก็ไม่อยากเชื่อ
เพราะนักเรียนของตนเพิ่งอยู่ในช่วงตั้งไข่ล้มต้ม
ไข่ลุกเท่านั้น
"แล้วความรู้สึกที่ตกค้างจากการเห็นนิมิต
บอกเป็นคำาสั้นๆได้ไหมว่าตอนนี้รู้สึกยังไงแล้ว?"
อิ๊กหรี่ตาลง ทบทวนความรู้สึกสุดท้ายขณะ
เห็นภูเขาใหญ่ เยี่ยงคนรู้ตัวว่าอีกไม่นานกำาลังจะ
ตาย
"เศร้าใจ อาลัย ยังไม่อยากตาย เหมือนยัง
ทำางานอะไรสักอย่างไม่เสร็จน่ะค่ะ"
"พอจำาได้ไหมว่ากำาลังอยู่ในชุดอะไร?"
"ชุดขาว..."
"ตัวที่นุ่งชุดขาวนั้นเป็นอิ๊ก หรือเป็นคน
อื่น?"
"เหมือนเป็นอิ๊กค่ะ แต่รู้สึกว่าอิ๊กแก่ ไม่ใช่
เด็ก"
"นึกซิ ตอนนั่งในถ้ำา ชื่ออิ๊ก หรือว่าชื่อ
อะไร?"
เด็กน้อยขมวดคิ้วอย่างเริ่มสับสน ไม่แน่ใจ
มะแมจึงรีบบอก
"อย่าไปสนใจดีกว่า พี่มะแมถามเพื่อให้อิ๊
กนึกออกชัดๆว่านิมิตในสมาธิมันเหมือนความฝัน
เห็นไหม ทบทวนแล้วหยิบจับเอามาใช้ประโยชน์
ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น คราวหน้าถ้านิมิตปรากฏ
อีก ก็ให้ทำาเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เตือนตัวเองให้กลับมามี
สติอยู่กับดวงตะวันต่อไป ถึงจะเรียกว่ากลับมามี
สมาธิ ไม่ใช่เลื่อนลอยไปฝันเลอะเทอะ เข้าใจ
ไหม?"
อิ๊กคลายสีหน้าลง เหลือบตากลมแป๋วสบ
กับครูสมาธิคนสวย
"เข้าใจแล้วค่ะ... พี่มะแมคะ ทำาไมคนเรา
ต้องเกิดมาด้วย?"
"อือม์ ..." หญิงสาวพินิจดวงหน้าอ่อนเยาว์
ในอาการตริตรองครู่หนึ่งก่อนตอบ "คำาถามนี้
เป็นเรื่องใหญ่มากนะ มันทำาให้คนฆ่ากันตายได้
เลยล่ะ"
"ทำาไมต้องฆ่ากันด้วยล่ะคะ?"
"เพราะชีวิตเป็นเรื่องใหญ่ เราปักใจเชื่อ
เกี่ยวกับชีวิตยังไง ก็เท่ากับเราเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น
พอใครมาบอกว่าผิดแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เราเชื่อสัก
หน่อย ก็เหมือนเขามาทุบความเป็นเราทิ้ง หรือ
เหมือนถูกแย่งพลังส่วนหนึ่งของเราไป สุดท้าย
เลยต้องรบกันเพื่อพิสูจน์ว่าชีวิตตามความเชื่อ
แบบไหนสมควรจะได้อยู่ต่อ"
"แล้วความเชื่อแบบไหนถึงจะถูกคะ?"
"เกิดเป็นพุทธก็ต้องเชื่อว่าพุทธถูกสิจ๊ะ"
"มีวิธีพิสูจน์ไหมคะ?"
"พุทธเป็นศาสนาของการพิสูจน์เลยล่ะ!"
"ศาสนาพุทธบอกว่าเกิดมาเพื่อทำาบุญ
มากๆใช่ไหมคะ? พระใกล้บ้านอิ๊กบอกว่าให้ทำา
บุญมากๆ ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ "
"พระบอกอิ๊กถูกแล้ว บุญที่สะสมไว้จะทำาให้
จิตสดใสเมื่อใกล้ตาย ได้ไปสุคติภูมิ แต่ถ้าสะสม
บาปไว้เกินบุญ พอใกล้ตายจะเป็นพวกจิตเศร้า
หมอง ได้ไปอบายแทน"
"พี่มะแมเคยเห็นคนตอนตายว่าเขาไปไหน
ไหมคะ?"
"เคย!" ตอบหนักแน่นเต็มปากเต็มคำา "พี่
มะแมเคยเห็นทั้งแบบที่ตายตอนจิตเศร้าหมอง
กับแบบที่ตายตอนจิตสดใส ถึงเชื่อสนิทแบบไม่มี
ข้อกังขา มันมีทุคติภูมิสำาหรับคนตายตอนใจเศร้า
หมอง แล้วก็มีสุคติภูมิสำาหรับคนตายตอนใจ
สดใสอยู่จริงๆ"
"ถ้าอิ๊กนั่งสมาธิกับพี่มะแมทุกวัน อิ๊กก็จะได้
ขึ้นสวรรค์ใช่ไหมคะ?"
"แน่นอน! เพราะสมาธิทำาให้จิตสดใสอย่าง
ที่อิ๊กก็พบด้วยตัวเองแล้ว"
"งั้นอิ๊กก็ไม่ต้องสนใจอะไรมากไปกว่าเกิด
มานั่งสมาธิ เพื่อสุดท้ายจะได้ไปสวรรค์กับพี่
มะแมใช่ไหมคะ?"
"นั่งสมาธิน่ะ แค่ส่วนหนึ่งของการมีจิต
สดใสเป็นสมาธิ เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ
สมาธิจิตที่สดใสด้วย มันถึงจะตั้งมั่น"
"ใช้ชีวิตยังไงคะ"
"คิดดีก่อนจะเลือกคำาพูดให้ดี พูดดีแล้วทำา
ตรงกับที่พูดเอาไว้ "
"แล้วความดีคืออะไรคะ?"
"เห็นแก่คนอื่นก่อนเห็นแก่ตัว"
อิ๊กนิ่งไปคู่ ก่อนจะยิงคำาถามที่มะแมนึกไม่
ถึงว่าจะได้ยินจากปากเด็กน้อยวัยต่ำากว่าสิบ
"พอเราเลิกเห็นแก่ตัวแล้วได้ไปสวรรค์ เรา
จะกลับจากสวรรค์ลงมาเห็นแก่ตัวอีกได้ไหมคะ?"
"ได้สิ ! สวรรค์ไม่ใช่ที่สุดท้ายที่เราจะอยู่ได้
ตลอดไปหรอกนะ เหมือนปราสาทราชวัง ต่อให้
ใหญ่โตแข็งแรงแค่ไหนก็ต้องถล่มลงมาในวันหนึ่ง
พอปราสาทพัง คนที่อยู่ในวังก็ต้องสร้างกันใหม่
ไม่ต่างกับปราสาททรายบนชายหาด ซึ่งจะสร้าง
ได้เหมือนเก่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ "
"แล้วไม่มีที่ที่เราจะอาศัยอยู่ได้ตลอดไปเห
รอคะ?"
"มี ! แต่ไม่ใช่สถานที่นะ เป็นอะไรอีกอย่าง
หนึ่งที่พ้นไปจากทุกที่ ทุกภาวะ ทุกสภาพ"
"ที่หนูเคยได้ยินพระบอกว่านิพพานใช่ไหม
คะ?"
"ใช่แล้ว!"
"พระบอกว่านิพพานดีที่สุดจริงหรือเปล่า?"
"จริงสิ !"
"แล้วนิพพานหน้าตาเป็นยังไง พี่มะแมเคย
เห็นไหม?"
"ไม่เคย!"
"แล้วพี่มะแมรู้ได้ยังไงว่าดีที่สุด?"
คำาถามไม่รู้จบของเด็กน้อยทำาเอาสาว
พลังจิตชักคิดหนัก
"บางอย่างเราก็ต้องเชื่อด้วยเหตุผล ก่อน
ดั้นด้นไปเห็นกับตา"
"เหตุผลยังไงคะ?"
"อย่างเช่น... ถ้าสวรรค์เปลี่ยนได้ ก็แปลว่า
กลับมาทุกข์ได้ ถูกไหม?"
"ถูกค่ะ!"
"แต่นิพพานไม่เปลี่ยนอีก ก็แปลว่าสุขถาวร
ใช่ไหม? อะไรสุขถาวรได้ อันนั้นต้องนับว่าดีที่สุด
ไง"
"แล้วเขาไปนิพพานกันยังไงคะ?"
มะแมเอียงหน้ายิ้ม สายตาเล็งแลอีกฝ่าย
ด้วยแววชื่นชม ยกนิ้วชี้ขึ้นและเขย่ามือหน่อยๆ
"ถามคำาถามนี้ได้เองตั้งแต่เด็กเนี่ย ถือว่า
ออกตัวแรงนะ... สำาหรับคำาตอบ อ้า! ให้บอกตาม
ตรงนะจ๊ะ พี่มะแมก็ไม่รู้เหมือนกัน!"
หญิงสาวสารภาพดื้อๆอย่างคนไม่มีมายา
และนั่นก็ทำาให้อิ๊กงุนงงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากภาพของมะแมเหมือนมีทุกคำาตอบให้
กับทุกคำาถาม
"ทำาไมล่ะคะ เขายังไม่พบคำาตอบกันหรือ?"
"คำาตอบน่ะพบแล้ว เจอแล้ว พระพุทธเจ้า
เคยบอกไว้ชัดๆแล้ว แต่ ... คนสมัยนี้เขายังเถียง
กันไม่จบน่ะจ้ะ ว่าพระพุทธเจ้าบอกไว้ยังไงกันแน่ "
อิ๊กทำาตาโตแบบไม่เข้าใจ
"มีงี้ด้วยหรือคะ?"
มะแมหัวเราะ ยื่นหน้า ยื่นมือไปหยิกสอง
แก้มยุ้ยเบาๆอย่างมันเขี้ยว
"น้องอิ๊กนี่อยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าพี่มะแม
อีกนะ"
"แล้วคำาตอบมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ
คะ?"
"ถ้าง่ายนัก คนก็ไปนิพพานกันหมดน่ะสิ ...
เอางี้ ! ไว้ถ้าพี่มะแมเจอคนที่สอนพี่มะแมได้ เรา
ค่อยไปเรียนพร้อมกัน ตกลงไหม?"
"ตกลงค่ะ!"

____________________________________________________________________________
บทที่ ๑๒
มะแมมาถึงสถานที่นัดอันเป็นสวนอาหาร
ใหญ่ แยกเป็นเรือน เป็นห้องย่อย เป็นหย่อมพื้นที่
จัดเลี้ยง ตั้งอยู่ริมคลอง บรรยากาศด้านหน้าดู
วุ่นวายด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกพลุกพล่าน
แถมมีฝูงคนหน้ามุ่ย นั่งรอยืนรอเป็นจำานวนมาก
แสดงว่าต้องมีอะไรดีให้ติดใจเป็นพิเศษถึงยอม
คอยคิวกันขนาดนั้น
เมื่อมะแมบอกพนักงานต้อนรับว่ามีที่นั่ง
จองในชื่อคุณอัคระ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็พาเดิน
มายังเรือนใหญ่มุมสงบติดคลอง กว้างขวาง
โอ่โถงอย่างออกแบบไว้รองรับแขกเหรื่อสัก ๒๐-๓๐ ที่
เด็กหนุ่มเปิดประตูให้มะแมก้าวเข้ามาข้าง
ใน เงาร่างของใครคนหนึ่ง นั่งเด่นเป็นสง่ารอที่
กลางโต๊ะยาวอยู่ก่อนแล้ว และเป็นอีกครั้งที่รัศมี
ความเป็นเขาคนนั้นบีบหล่อนให้รู้สึกตัวลีบ
เหมือนเด็กกลัวผู้ใหญ่
"สวัสดีค่ะคุณอัคระ"
มะแมค้อมศีรษะพนมมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนรับไหว้
"สวัสดีคุณมะแม"
แย้มยิ้มเชื้อเชิญให้นั่ง มะแมหย่อนกายลง
นั่งตามคำาเชิญ วางกระเป๋าถือแล้วเหลือบซ้ายแล
ขวา
"จองห้องใหญ่เชียวนะคะ กินกันแค่สอง
คน"
"ผิดหลักฮวงจุ้ยหรือเปล่า จะได้รีบเปลี่ยน
ห้อง เดี๋ยวกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มเสียที "
มะแมหัวเราะรื่น อัคระใส่เชิ้ตแขนสั้น
เหมือนเพิ่งกลับจากสนามกอล์ฟ ดูผ่อนคลาย
เป็นกันเองกว่าวันก่อน ส่วนหล่อนเลือกใส่สูทขาว
ชุดทำางานเดิม เพื่อให้มื้อเย็นครั้งนี้ดูเป็นส่วนหนึ่ง
ของงานที่ยังสะสางไม่เสร็จ หาใช่ดินเนอร์หวาน
แหววแต่อย่างใด
พนักงานมายืนรอจดรายการอาหาร ซึ่ง
อัคระก็พยักหน้าให้มะแมช่วยคิด
"สั่งเลยนะ"
"คุณอัคระเลือกเถอะค่ะ มะแมได้ทุกอย่าง"
"งั้นผมเลือกแบบกินแล้วทายอนาคตแม่นก็
แล้วกัน"
หญิงสาวเอียงคอหัวเราะนิดๆ ชายหนุ่มสั่ง
กับไป ๔ จาน และเมื่อพนักงานเดินออกไป ทั้ง
ห้องก็เหลือเพียงเขากับหล่อนตามลำาพัง อัคระนั่ง
นิ่ง ขณะที่มะแมขยับตัวเคอะเขิน
"กินแค่สองคน เขายอมให้จองห้องใหญ่
ด้วยหรือคะ?"
"ไม่เห็นเจ้าของว่าอะไรนะ" คำาตอบบอก
เป็นนัยว่าเขาสนิทชิดเชื้อกับนายใหญ่ของที่นี่ดี
พอ "คุณมะแมเป็นยังไงบ้าง วันนี้ให้คำาปรึกษา
เหนื่อยไหม?"
กังวานเสียงนุ่มหูนั้น ฟังอบอุ่นจนมะแมต้อง
แกล้งเหลียวหลังสำารวจโน่นนี่เพื่อซ่อนยิ้ม กระทั่ง
แน่ใจว่าปรับริมฝีปากให้รอยยิ้มเลือนลงจนหุบ
สนิทได้ จึงค่อยหันกลับมาตอบ
"อ๋อ! วันนี้เหรอคะ ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แค่
คุยกับลูกค้าสิบกว่าคน คุณอัคระคุมคนเป็นร้อย
น่าจะเหนื่อยกว่า"
อันที่จริงมะแมไม่รู้สึกเลยว่าเขาเหนื่อย
เพลีย อ่อนเปลี้ย เพราะดูออกจะเป็นหนุ่มทรงพล
กำาลังเหลือเฟือ เยี่ยงนักกีฬาที่ออกกำาลัง
สม่ำาเสมอ แถมน่าจะเล่นกล้ามด้วย แต่หล่อนก็
แย็บไปเรื่อง "คุมคน" เพื่อเลียบเคียงถามถึง
อาชีพการงานของเขาบ้าง อย่างไรก็ต้องคุยกัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
"ผมหาคนมาช่วยได้เยอะ ไม่เหนื่อยเท่า
ไหร่ "
"เป็นงานเกี่ยวกับอะไรหรือคะ?"
"ปกติคุณมะแมดูให้ลูกค้าออกไหมว่าทำา
อาชีพอะไรแบบไหน?"
"ก็ออกบ้างไม่ออกบ้างค่ะ ถ้าเป็นหมอใจดี
มีประกายความเป็นนักรักษาฉายชัด มะแมจะเห็น
รัศมีสว่างอบอุ่นจากการเยียวยาผู้คนให้หมดทุกข์
ทางกาย อย่างนี้ทายไม่ยากว่าเป็นหมอ แต่
หลายๆอาชีพที่มีพฤติกรรมซับซ้อน ส่วนใหญ่
มะแมจะไม่แน่ใจจนกว่าจะคุยกันสักพัก ถึงค่อย
เห็นนิมิตพฤติกรรมในสาขาอาชีพของเขาได้ "
"คือเล็งให้เห็นเองตั้งแต่มองหน้าครั้งแรก
ไม่ได้ ?"
"ไม่ได้ค่ะ"
"อย่างคุยกับผมมาพักหนึ่งนี่ มีนิมิตอะไร
เกิดขึ้นแล้วบ้างไหม?"
"ก็มีเหมือนกัน"
"นิมิตอะไร?"
"นั่นเป็นสิ่งที่มะแมกำาลังสับสน เพราะมองที
ไร ก็ไม่เหมือนเดิมสักที งานของคุณอัคระอาจมี
หลายแง่หลายมุม แบบที่มะแมไม่รู้จัก ไม่เคยเจอ
มาก่อน"
"อย่างเช่นยังไง?"
"แรกสุด เหมือนเห็นคุณอัคระยืนแจกจ่าย
ความเย็นให้กับผู้คนที่มารายล้อมมากมาย"
อัคระทำาหน้าตกใจ
"นี่หมายความว่าอนาคตผมต้องไปยืนขาย
ไอติมหรือ?"
มะแมหัวเราะออกมาดังๆ แต่แล้วก็รีบ
สำารวม เหลือแค่ยิ้มขำา
"มิได้ค่ะ... นิมิตความเย็นที่แผ่รอบ เป็น
สัญลักษณ์แทนน้ำาใจยิ่งใหญ่ อันนี้ไม่ได้มายอกัน
แต่พูดตามเนื้อผ้าเท่าที่เห็น จิตของคุณอัคระตั้ง
ต้นจากตรงนั้น"
ชายหนุ่มทำาท่าผ่อนคลายโล่งอก
"แล้วไป..."
หญิงสาวหัวเราะอีก วันก่อนอัคระฝากเสน่ห์
ลึกลับที่สะกดให้คิดถึงได้ไม่เลิก แต่วันนี้เขาเปิด
ฉากด้วยเสน่ห์แห่งการเป็นคนร่ำารวยอารมณ์ขัน
ชวนให้อยากปล่อยตัวปล่อยใจตามสบาย
มะแมอดคิดไม่ได้ว่าหัวใจหล่อนกำาลังยอม
เป็นลูกไก่ในกำามือของเขา มันจะง่ายไปไหมนี่ ?
กะพริบตาทีหนึ่ง ถอนจิตจากอาการถลำา
เข้าไปติดบ่วงเสน่ห์ คอตั้งหลังตรง เอ่ยสืบต่อ
แบบเรื่อยๆ สีหน้าไม่ถึงกับเคร่งเป็นงานเป็นการ
"แต่เมื่อมะแมสัมผัสกระแสที่แผ่ออกมาจาก
คุณอัคระเป็นปกติ ก็รู้สึกว่าเป็นกระแสของนายที่
ต้องออกคำาสั่ง นิมิตที่เกิดขึ้นจากกระแสแบบนี้
จึงเป็นผู้บริหารที่คุมคน หรือกุมชะตาชีวิต
พนักงานเป็นร้อยเป็นพัน แถมเกี่ยวข้องกับการเท
เงินออกและโกยเงินเข้ามหาศาลด้วย แต่
แปลก..."
ขมวดคิ้วนิดๆอย่างจะหาคำาพูด
"แปลกยังไงครับ?"
"ใจมะแมไม่ตัดสิน ว่าภาพที่เห็นคือภาพ
ของนักธุรกิจ"
"ชักสนุกแล้วสิ มีคำาอธิบายไหมว่าทำาไม?"
"คือ... นิมิตการทำางานที่เด่นชัดของคุณ
อัคระ ไม่ใช่การบริหารหรือการเจรจาต่อรองแบบ
นักธุรกิจ แต่เป็นแบบ... เกลี้ยกล่อมคน"
"เหมือนนักการเมืองตอนหาเสียงหรือ
เปล่า?"
"ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่แบบหาเสียงหรือเอาดีเข้า
ตัว โยนชั่วให้คนอื่น คือเหมือนงานของคุณอัคระ
ต้องตั้งเป้าว่าจะเปลี่ยนใจคนให้ได้ "
"นิมิตทั้งหมดมีอยู่แค่นี้ ?"
"ยังค่ะ ยังมีอีก"
"งั้นต่อเลย เรื่องของตัวเองนี่ยิ่งฟังยิ่งน่า
สนใจนะ"
อัคระทำาท่ากระตือรือร้น จนมะแมต้องปราย
ตาเหลือบแลเขาอย่างระแวง
"มะแมเกริ่นตั้งแต่ต้นนะคะ ว่าสับสน ไม่รู้
นิมิตไหนจริงนิมิตไหนเท็จ หวังว่าคงไม่ได้กำาลัง
พูดขายตัวเองไปเรื่อยๆ"
ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือวุ่น
"ตรงข้ามเลย ไม่มีเรื่องตลกให้ผมจี้สักคำา
พูดต่อเถอะ ยังมีนิมิตอะไรอีก"
"พอมะแมพยายามเล็งลึกลงไป ก็เห็น
เหมือนคุณอัคระทดลองจับโน่นผสมนี่อย่างนัก
ประดิษฐ์คิดค้น ซึ่ง... ผลที่ออกมาก็มักจะ
ประมาณว่า ไม่มีใครเคยทำาได้มาก่อน หรือคนอื่น
คิดกันแทบตายก็คิดไม่ออก"
แววตาคนพูดเองเคลือบอยู่ด้วยความสงสัย
เพราะนิมิตไม่เคยพันกันจนสับสนขนาดนั้นมา
ก่อน
"แล้วบอกได้ไหมว่าผมวิจัยทดลองเกี่ยวกับ
อะไร?"
"พ้นจากพิสัยสัมผัสของมะแมค่ะ ทราบแค่
ประมาณว่าไฮเทคมากๆ อีกอย่าง มองๆไป
เหมือน..."
สาวพลังจิตเว้นวรรคนาน กระทั่งคนรอฟัง
เลิกคิ้วเหมือนชักสงสัย
"เหมือนอะไร?"
"เหมือนคุณอัคระพยายามสร้างอาณาจักร
ใหม่ขึ้นมา!"
พูดเองขนลุกเอง และแอบลูบปลายแขน
เบาๆอยู่ใต้โต๊ะ
ฝ่ายชายหนุ่มนิ่งเงียบ เป็นความเงียบที่แฝง
พลังใหญ่อย่างลึกลับ
"อาณาจักรของผมสร้างไปได้กี่เปอร์เซ็นต์
แล้ว?"
สีหน้าของอัคระอ่านยากว่าคำาถามนั้นเป็น
ไปแบบไหลตามน้ำาหรืออยากรู้จริงๆ
"มะแมเห็นแต่ความยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เพิ่งวางรากฐาน เพิ่งก่อปราสาทราชวัง แต่ยังไม่
ใกล้เคียงคำาว่า 'สร้างเสร็จ' เพราะงั้นบอกเป็น
เปอร์เซ็นต์ไม่ถูกหรอกค่ะ"
"จะเป็นอย่างนี้ไหม เขาว่าการเริ่มสร้าง
ธุรกิจ ก็เหมือนการสร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมา
ต้องมีประมุข ต้องมีข้าราชบริพาร ต้องมีพสก
นิกร ต้องมีอริราชศัตรู คุณมะแมเห็นองค์
ประกอบเหล่านี้ครบเลยไหม?"
หญิงสาวสั่นศีรษะ
"อาณาจักรที่มะแมเห็น ไม่ใช่อุปมาอุปไมย
เทียบเคียงกับธุรกิจใหญ่ มะแมว่ามันคือ
อาณาจักรในความหมายของอาณาจักรของจริง!"
"เอาล่ะ! งั้นผมถามอย่างนี้แล้วกัน
อาณาจักรของผมจะสร้างสำาเร็จหรือเปล่า?"
พลังจิตสาวเงียบนาน มองลึกลงไปแล้วเห็น
พลังความยิ่งใหญ่ของอัคระ จนเกินกว่าจะสัมผัส
ถึงความล้มเหลวในภายภาคหน้า แต่แปลก ใจไม่
ยอมรับ ไม่รู้สึกใช่ เมื่อคิดถึงนิมิตอาณาจักรที่
สร้างเสร็จสมบูรณ์ คล้ายเต็มไปด้วยคลื่นรบกวน
ให้ภาพพร่าเลือน หรือเป็นภาพเสร็จครึ่งๆกลางๆ
คาราคาซังชอบกล
"เกินความสามารถที่จะรู้สำาหรับมะแมค่ะ"
"อ้าว!"
"มะแมเห็นอย่างไรก็บอกอย่างนั้นนะคะ ไม่
ได้หยั่งรู้ทั้งหมด กรณีของคุณอัคระ มะแม
สารภาพว่าไม่มั่นใจอะไรเลย ทุกอย่างดูขัดแย้ง
เกินความเข้าใจ ทั้งที่พยายามทำาความเข้าใจเต็ม
ที่แล้ว"
"แปลว่ายิ่งเห็นนิมิตมากขึ้นเท่าไหร่ ความ
ขัดแย้งยิ่งมากขึ้นเท่านั้น?"
"ค่ะ! เอาง่ายๆ บางสัมผัสบอกมะแมว่าคุณ
อัคระกำาลังทำาเรื่องใหญ่ มีผลดีกับสาธารณชน
โดยตรง แต่กลับทำาในสถานที่ลับ ปกปิดยิ่งยวด
มะแมนึกไม่ออกว่าอะไรดีๆทำาไมถึงเปิดเผยไม่
ได้ "
ดวงตาอัคระทอประกายวาบวาว ก่อนจะ
เลือนแสง เบนสายตามองไกลและยิ้มซึม
"งานบางอย่าง เปิดเผยไปก็โดนหาว่าบ้า
เปล่าๆ"
พลังจิตสาวโน้มตัวมาข้างหน้า คราวนี้เป็น
ฝ่ายซักบ้าง
"แปลว่าที่มะแมดูไว้ ตรงหมดเลยหรือคะ?"
อัคระตวัดหางตาแลมะแมแวบหนึ่งก่อนเมิน
ไปอีกทาง ตอบด้วยสำาเนียงขรึมกว่าเมื่อครู่
"ในระดับของคุณ เรียกว่าแม่นอย่างน่าทึ่งก็
แล้วกัน!"
มะแมตัวชาด้วยความงงงัน คำานั้นของเขา
หมายความว่าอย่างไร... ในระดับของหล่อน... นี่
เขาจัดหล่อนเข้าระดับไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
วูบหนึ่ง คำาพูดประกอบกับอำานาจในตัวอัคร
ะ สะกิดใจให้ระลึกถึงบอส และความเหมือนกัน
นั้น มีผลให้หล่อนได้แต่กะพริบตาปริบๆคล้าย
เด็กน้อยรอดูการเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่ โดยไม่
กล้าเอ่ยคำาถามใดต่อ
แม้อยู่ในความเงียบ แต่กลับไม่อึดอัด
ระหว่างเขากับหล่อนปราศจากแรงผลัก ไร้
กำาแพงกั้น และไม่มีความแปลกหน้าต่อกัน ถึงขั้น
ที่มะแมกล้ามองหน้าเขาข้างเดียว ไม่ละสายตา
ไปไหน
ขณะนั้นเอง พนักงานชายหญิง ๓ คนก็นำา
อาหารทยอยมาเสิร์ฟ และตักข้าวใส่จานให้ พอ
ทุกอย่างบนโต๊ะเสร็จเข้าที่ก็พากันเดินออกจาก
เรือน เหลือเด็กสาวไว้คนหนึ่งยืนรอคำาสั่งตรงมุม
ห้อง แต่อัคระโบกมือไหวๆเป็นสัญญาณให้ออก
ไปได้
ชายหนุ่มมองตามหลังเด็กสาวอย่าง
ปราศจากความหมาย แต่แล้วก็ทนกระแสจาก
สายตาของมะแมไม่ได้ จนต้องค่อยๆเบนไปสบ
นัยน์ตาของทั้งสองฝ่ายมีความตรงไปตรง
มาเสมอกัน ไม่กลัวที่จะพูดความจริงเหมือนๆกัน
พอประสานกันจึงกลายเป็น ณ ขณะแห่งการ
สัมผัสใจ แจ่มชัดแทบไม่ต่างจากมือเปล่าสัมผัส
มือเปล่า
หญิงสาวเป็นฝ่ายทำาลายความเงียบก่อน
"ถึงตอนนี้มะแมยังสงสัยอยู่ไม่หายนะคะ
ว่าทำาไมคนใหญ่คนโตอย่างคุณอัคระ ถึงต้องมา
ใช้บริการเด็กๆอย่างมะแม"
"รู้ได้ยังไงว่าคนใหญ่คนโต?"
เขาถามยิ้มๆ
"รู้ก็แล้วกัน!"
หล่อนตอบแบบยิ้มๆไปกับเขา
"ผมยังไม่โตจริงหรอก และอีกอย่าง ต่อให้
โตแค่ไหน ทุกคนก็ต้องการที่ปรึกษากันทั้งนั้น...
ว่าแต่เราเริ่มลงมือกันดีกว่านะ เดี๋ยวกับข้าวจะชืด
เสีย"
ระหว่างรับประทานมื้อเย็นด้วยกันเงียบๆ
เขาชวนหล่อนคุยเรื่องอื่นที่ไกลตัว หยอกเย้าให้
ขำาได้บ้าง ซึ่งมะแมก็เอออวยไปตามธรรมเนียม
แต่ใจชักอยากรู้เพิ่มขึ้นทุกทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
แน่ ทราบแค่ว่าเขาไม่ได้ต้องการคำาตอบจาก
หล่อนจริงจังนัก คำาของหล่อนเหมือนเสียง
สนับสนุน หรือไม่ก็แรงใจให้เขาครึกครื้นเล่นชั่ว
ครู่เท่านั้น
ตอนนี้คล้ายคำาถามจะผุดขึ้นในหัวเสียเอง
ว่าหล่อนกำาลังนั่งอยู่กับใครกันแน่ ...
กระทั่งต่างฝ่ายต่างรวบช้อนส้อม มะแมจึง
ตัดสินใจถามตรงๆ
"ตกลงจะเฉลยให้มะแมทราบไหมคะว่าคุณ
อัคระกำาลังทำาอะไรอยู่ ?"
ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามด้วยยิ้ม
ละไมครู่หนึ่งก่อนตอบ
"บอกก็ได้ "
มะแมใจเต้นระทึก เพราะไม่นึกว่าบทจะง่าย
เขาก็ไม่มีลีลาโยกโย้ใดๆเลยสักนิด
อัคระเอื้อมไปลากซองจดหมายฉบับหนึ่ง
ซึ่งมะแมเห็นวางอยู่ห่างออกไปทางด้านซ้ายมือ
ของของเขาตั้งแต่แรก แค่คิดไม่ถึงว่าจะมามีส่วน
เป็นบทเฉลยอย่างนี้
"เปิดอ่านดูสิ "
เขายื่นให้กับมือแบบไม่มีพิธีรีตอง หญิงสาว
จดจ้องด้วยประกายพิศวงครู่หนึ่ง ก่อนรับมาแกะ
ด้วยมือสั่นเทา
กระดาษจดหมายไร้เส้น ปรากฏลายมือที่
เคยคุ้นมาระยะหนึ่งในช่วงหลัง กับข้อความสั้น
กระชับตรงไปตรงมา...
คนที่คุณเคยอยากสื่อสารสองทาง กำาลังนั่ง
อยู่ตรงหน้าแล้ว!
อกใจไหวหวิวคล้ายจะเป็นลม รู้ตัวเลยว่า
หน้าซีดค้าง และเป็นนานกว่าจะกล้าช้อนตาขึ้น
มองใครคนหนึ่ง ที่ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้พบ
หน้า
ในความเงียบขนาดยินเสียงระบายลม
หายใจได้ถนัด อัคระหันไปพยักเรียกเด็กที่ยืนเฝ้า
อยู่นอกประตู
"เอาผลไม้รวมมาจานหนึ่งนะ"
"ค่ะ"
จานชามถูกเก็บออกจากโต๊ะโดยผู้ช่วยสอง
คนที่ตามเข้ามาทีหลัง และเพียงเมื่อโต๊ะว่างลง
จานผลไม้ก็ถูกนำามาวางแทนในเวลาไม่นาน
อัคระใช้ส้อมจิ้มชิ้นสับปะรดใส่ปาก และบุ้ย
ปากให้มะแมจิ้มตาม ทว่าหญิงสาวเอาแต่นั่งแข็ง
ทื่อ มองเขานิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นเทวรูปไป
แล้ว
"เป็นอะไร ทำาอย่างกับเห็นเทวดา"
นั่นเอง มะแมจึงหัวเราะเฝื่อนๆออกมาได้
"ก็เคยนึกว่าเป็นเทวดาจริงๆนี่คะ"
"ตอนนี้เห็นแล้วนี่ว่าไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเลิก
ทำาท่าเป็นมนุษย์น้ำาแข็งได้แล้ว เธอกับพี่ไม่ใช่อื่น
ไกลที่ไหน"
มะแมกะพริบตาถี่ๆ สลัดหน้าอย่างมึนงงไม่
หาย
"คุณอัคระ... นี่เป็นคุณจริงๆหรือคะ?"
"เรียกพี่อัคเถอะ"
"เรียกไม่ออกหรอกค่ะ คุณเหมือนไม่ใช่คน
ธรรมดา"
"ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วอะไร จะให้เป็นลิงพูด
ได้เหรอะ?"
มะแมอยากขำาแต่ขำาไม่ออก วางหน้าไม่ถูก
"ไม่รู้จะว่ายังดีค่ะ... เอ่อ... แหม..."
"เอาน่า! พูดอย่างที่พูดมาตั้งเยอะแล้วนั่น
แหละ"
เขายิ้มมุมปากและมองลึกลงไปในตาหล่อน
ซึ่งหล่อนก็ตอบตาด้วยแววขลาด
"ขอบคุณนะคะ ที่ให้เกียรติมะแมขนาดนี้
แต่ ... เอ่อ... คุณ..."
"ไหนเรียกพี่อัคซักคำาซิ "
"พี่อัค..."
"เห็นไหม! คุ้นแล้ว"
หญิงสาวเกิดอาการวิงเวียนเป็นระลอก จ้อง
เขาอย่างทึ่งไม่หาย ปากหัวเราะทั้งที่ใจอยาก
ร้องไห้
"นี่มันอะไรกันคะ?"
"มันก็อย่างที่เห็นน่ะแหละ"
"แล้ว... ทำาไปเพื่ออะไรคะ?"
"มะแมเก่งไม่ใช่เหรอ ลองรู้เอาเองสิว่าเพื่อ
อะไร ต้องถามพี่ทำาไม"
"ไม่ได้เก่งขนาดรู้ไปทุกอย่างนี่ "
"ไม่รู้ทุกอย่าง แล้วรู้ใจตัวเองหรือเปล่าว่า
คืนนี้อยากไปนั่งดูทะเลกับพี่ไหม?"
หญิงสาวอึ้งอย่างตามไม่ทัน ตอบแบบ
สับสนใจสุดขีด
"เพิ่งรู้จักกันวันเดียวจะชวนไปทะเลดึกๆ
ดื่นๆ เห็นมะแมเป็นอะไรคะ?"
"ตอบพี่ซิ ! อยากไปหรือเปล่า?"
ต้องเป็นนาน กว่าจะมีเสียงอุบอิบเล็ดรอด
ผ่านริมฝีปากของหญิงสาวออกมาได้ว่า
"อยาก..."
ด้วยอัตราเร่งทะยานจากตำาแหน่งหยุดนิ่ง
พุ่งไปถึง ๑๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในชั่วเวลา ๖
วินาที เผลอนับดาวบนห้วงฟ้ามืดแค่ไม่กี่ดวง
บูกัตตี้ เวย์รอน ก็พาสองหนุ่มสาวพุ่งลิ่วข้ามทาง
ลอยฟ้าบูรพาวิถี มาแล่นเรื่อยบนถนนเลียบ
ชายหาดบางแสน ราวกับสายลมแห่งความ
มหัศจรรย์หอบพัดมาก็ไม่ปาน
อัคระลดประทุนลง ปล่อยให้ลมทะเลราตรี
อันฉ่ำาชื่นเข้ามาปะทะหัวใจยิ้มได้ เขาขับวนบน
เส้นทางรอบเขาสามมุก แล้วที่สุดก็เลือกจอด
บริเวณว่างวายเหล่ามนุษย์ หันหน้าออกทะเล
เพื่อเสพบรรยากาศยามค่ำาคืนที่เหมือนทั้งโลก
เหลือเพียงเขากับหล่อนสองคนตามลำาพัง
มะแมทอดตามองห้วงทะเลมืดและท้องฟ้า
ประดับดาวด้วยใจสงบนิ่ง ความรู้สึกเกร็งจนตัว
ลีบผ่านพ้นไปแล้ว เหลือแค่ความสงสัยนิดหน่อย
ว่านี่หล่อนกำาลังทำาอะไรอยู่ คิดอย่างไรถึงยอมมา
กับเขาขนาดนี้
เอียงหน้าเหลือบมองพวงมาลัยสามแฉก ที่
ตรงกลางมีอักษร E กลับข้างประกบ B อันเป็น
ตราสัญลักษณ์ของบูกัตตี้ แล้วไล่สายตาขึ้นจับ
จ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มเจ้าของรถ สัมผัส
ทั้งหมดคล้ายภาพฝันที่นึกไม่ถึงว่าจะมาปรากฏ
กับตาได้จริงๆ
ความรู้สึกตลอดทางยามนั่งข้างเขาในรถ
คันนี้ คือการเป็นศูนย์กลางจักรวาล ที่รวมเอาทุก
สายตามาจ้องมองด้วยความสนใจ ตลอดจนมอบ
ความยำาเกรงให้อย่างรู้ว่าคันนี้เกิดมาเพื่อเร่งแซง
นำา โดยไม่มีใครหาญกล้าไล่กวดตาม
ทุกวินาทีบนบูรพาวิถี จุดเล็กๆเบื้องหน้าไม่
เคยอยู่ไกลเกินแรงกระโจน แต่กลับห่างไกลจาก
ภยันตรายหลายขุม แม้หลายครั้งที่ต้องหลีกหลบ
ข้ามเลนฉับพลัน ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกมั่นคง
ไหลรื่น เยี่ยงยนตรกรรมล้ำาเลิศที่คอยช่วยระวัง
ไม่พาคนในรถเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง
ใดๆ
ความเป็นหนึ่งบนทางลอยฟ้าที่ผ่านมา อาจ
เป็นวิธีแนะนำาตัวให้หล่อนรู้จักเขาลัดๆ ส่วน
ชายทะเลสงบปลอดผู้คนแห่งนี้ อาจเป็นวิธีบอก
ให้ทราบว่า เขาต้องการพาหล่อนมาถึงจุดหมาย
แบบไหน
สำาเหนียกสัมผัสใจอัคระ อารมณ์ของเขา
กำาลังผ่อนคลายเต็มที่ แต่ขณะเดียวกันก็มีสติ
อย่างใหญ่ รู้ตัวว่ากำาลังทำาอะไรอยู่ที่ไหน ไม่มีสัก
ขณะที่ปราศจากเหตุผล และนั่นก็ชวนให้มะแม
ใคร่ถาม
"มีเหตุผลที่เราต้องรีบสนิทกันขนาดนี้ใช่
ไหมคะ?"
"ใช่ ..." อัคระตอบเรียบเนือย ไร้พิธีรีตอง
แต่ก็ฟังมีน้ำาหนักเป็นจริงทุกคำา "ถ้าจะต้องเปิด
เผยความลับสำาคัญที่สุดให้ใครรู้ คนๆนั้นก็ควร
เป็นคนสนิท ไม่ใช่คนแปลกหน้า จริงไหม?"
หญิงสาวระบายลมหายใจเหยียดยาวและ
นุ่มนวล เบนสายตาไปร่วมทัศนาทัศนียภาพร่วม
กับเขา ณ ขอบโลกกว้างเบื้องไกล ความไพศาล
ของแผ่นดินแผ่นน้ำาแผ่ตัวสงบเงียบ ราวศานติจะ
เป็นใหญ่ได้เน่ินนาน
"มะแมกำาลังรอฟังค่ะ"
อัคระเงียบเป็นครู่ก่อนเอ่ยด้วยอารมณ์สงบ
ราบคาบ
"อีกไม่นาน สิ่งที่เรากำาลังเห็นอยู่ในขณะนี้ 
จะแตกต่างไปมาก"
"โลกจะแตกหรือ?"
ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย
"แตกต่าง ไม่ใช่แตกดับ"
"ผู้คนจะล้มหายตายจากไปกันเยอะใช่
ไหม?"
คราวนี้เขาผงกศีรษะ ซึ่งก็ไม่ทำาให้มะแม
ประหลาดใจนัก เนื่องจากเค้าลางปรากฏชัดขึ้น
ทุกวันอยู่แล้ว
"พี่อัครู้จากอะไร?"
"การคำานวณ"
"ไม่ได้ใช้สัมผัสหรอกหรือคะ?"
"ก็ประกอบกัน แต่จิตสัมผัสบอกได้คับแคบ
จำากัดเป็นบางเวลา เหมือนอย่างที่มะแมเคยฝัน
เห็นแผ่นดินไหว ก็ตั้งใจรู้เอาไม่ได้ และเมื่อรู้ก็ไม่
อาจระบุขอบเขตความเสียหาย จะมีการตายเท่า
ไหร่ รายชื่อผู้ตายมีใครบ้าง"
"การคำานวณของพี่อัคทำาได้ ?"
"ยังแปลกใจอยู่อีกหรือ?"
หญิงสาวอึ้ง ความใกล้ชิดเยี่ยงคนปกติ
ธรรมดา ทำาให้ลืมไปว่ากำาลังนั่งคุยอยู่กับใคร
"แล้ว... การคำานวณของพี่อัคบอกอะไร
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโลกหรือคะ?"
"ที่ผ่านมาก็บอกถูกว่าที่ไหน เมื่อไหร่ จะมี
การกวาดล้างผู้คนออกจากโลกด้วยวิธีตายหมู่
เรือนร้อย เรือนพัน เรือนหมื่น หรือเรือนแสน แต่
ที่น่ากลัวคือมันฟันธงไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยว่า
เร็วๆนี้การตายหมู่จะยกระดับขึ้นเป็นเรือนล้าน!"
"มันนี่คือคอมพิวเตอร์พยากรณ์ ?"
"เปล่า... ซีอุสไม่ได้พยากรณ์ แต่มันเปิด
เผยความลับของโลกและจักรวาลต่างหาก!"
"ซีอุส..." หล่อนทวนชื่อระบบคอมพิวเตอร์
ที่อัคระเอ่ยถึง "คุ้นๆว่าเป็นชื่อของเทพอะไรสัก
อย่างใช่ไหมคะ?"
"ซีอุสเป็นนามมหาเทพผู้มีหน้าที่ตรวจตรา
ควบคุมจักรวาล หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้มองโลกลง
มาจากท้องฟ้า ด้วยดวงตาสวรรค์ "
"แล้วใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา?"
"เซธกับพี่ "
"เซธคือ... เขา?"
"เขานั่นแหละ!"
มะแมถอนใจ นึกแล้วว่าเทวดาทั้งสององค์
รู้จักมักจี่กัน เพียงแต่ไม่นึกว่าจะสนิทขนาดเป็น
เพื่อนร่วมงานกันมาก่อน!
"นึกว่าเขาแก่แล้วเสียอีก"
"ก็แก่แล้วน่ะสิ !"
"แค่ไหน?"
"เก้าสิบกว่า"
มะแมสะดุ้งและร้อง "ฮ้า?" ออกมาดังๆ
เพราะตอนคุยโทรศัพท์กับ "บอส" ทั้งสองครั้ง
หล่อนสัมผัสถึงความเป็นบุรุษร่างใหญ่ รูปศีรษะ
สูง บารมีและอำานาจในตัวเหมือนนักปกครองวัย
๖๐ แต่ความสดใหม่แห่งพลังชีวิตชวนให้นึกว่าไม่
น่าถึง ๔๐ ด้วยซ้ำา!
ชายหนุ่มอธิบายอย่างรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไร
"วิทยาการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมของ ๒๐ ปี
ข้างหน้า เซธครอบครองไว้ตั้งแต่เมื่อ ๒๐ ปีก่อน
แถมยังรู้จักศาสตร์ที่จะใช้ฌานสมาธิรักษาพลัง
ความเป็นหนุ่มให้คงอยู่ไม่หายไปไหนด้วย"
"ชีวิตอมตะ?"
"ไม่มีอะไรเป็นอมตะหรอก เรียกว่าต่อชีวิต
ได้เท่าที่จะพอใจก็แล้วกัน"
"วาว..." มะแมอุทานเป็นเสียงครางแผ่ว
"รู้สึกเหมือนกันค่ะว่าบอส... เอ่อ... เซธ... มีพลัง
ชีวิตแปลกๆ แต่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาชอบกล"
"อือ... ตั้งแต่แรกเห็น พี่ก็รู้สึกว่าเซธแปลก
ไปหมด แต่พอคุ้นๆกันก็เหมือนคนธรรมดาที่รัก
โลภ โกรธ หลงได้นี่เอง"
"สัมพันธภาพระหว่างพี่อัคกับเขา ดีหรือ
ร้ายแค่ไหนกันแน่คะ?"
"เรื่องมันยาว..."
ดูเหมือนเขามีแก่ใจเล่าเพียงสั้น
"บอสเคยเรียกพี่อัคว่าหัวขโมยด้วยล่ะ!"
หญิงสาวแกล้งฟ้อง เผื่อจะได้ฟังความเป็น
มาของเทวดาสององค์มากกว่านี้ ซึ่งได้ผล เขาทำา
หน้าเข้มก่อนพูดหนักๆ
"ก็แล้วแต่จะมองนะ!" ทว่าเพียงครู่เดียวก็
สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างคนคุมอารมณ์ได้เร็ว
"สูตรการพยากรณ์เป็นของเซธ แต่การสร้าง
เครื่องสืบค้นที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เป็นหมื่นเป็น
แสน ให้ตอบคำาถามได้ครอบจักรวาลเหมือน
ปัจจุบัน คือผลงานของพี่คนเดียว! เครดิตคนละ
ครึ่งอย่างนี้ สมควรเรียกพี่ว่าเป็นหัวขโมยแน่
หรือ?"
"อ้อ... ค่ะ... มิน่าล่ะ คำาว่า 'หัวขโมย' ที่
ออกจากปากบอสถึงฟังเอ็นดูชอบกล ใจจริงบอส
คงไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก... ว่าแต่ที่จุดเริ่มต้นนี่
บอสได้ตัวพี่อัคมายังไง ไปทำาอะไรเข้าตาเขาเห
รอ?"
"อย่างเซธไม่สนใจคนที่ทำาอะไรเข้าตา
หรอก เขาสนคนที่ฤกษ์เกิดเข้าท่ามากกว่า!"
"แล้วบอสได้ฤกษ์เกิดของพี่อัคมาจาก
ไหน?"
"ตั้งแต่สี่สิบปีก่อนเป็นต้นมา เซธค่อยๆ
สร้างโรงพยาบาลขึ้นทั่วโลก จุดประสงค์หลักคือ
เพื่อเก็บข้อมูลเด็กเกิดใหม่ทุกคน ไม่เฉพาะแค่วัน
เดือนปีและนาทีเกิด แต่รวมไปถึงตัวอย่าง
เนื้อเยื่อด้วย"
มะแมพยักหน้าช้าๆอย่างคนเข้าใจเร็ว
"ฤกษ์เกิดกับรหัสในยีนของพี่อัค บอกบอส
ว่าเหมาะจะเอามาทำางานใหญ่ด้วยกันใช่ไหม
คะ?"
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก พี่มารู้ทีหลังว่าตัวเอง
เป็นพวกเกิดใต้ฤกษ์จักรพรรดิ แต่ขณะเดียวกันก็
มีดวงเกื้อหนุนเซธ เซธเลยคิดว่าแทนที่จะต้อง
แข่งกัน สู้มาช่วยกันสร้างโลกใหม่ให้สมบูรณ์จะดี
กว่า!"
"บอสคงไม่ฉกพี่อัคมาจากพ่อแม่ดื้อๆใช่
ไหมคะ?"
"ตอนแปดขวบ อยู่ๆครูใหญ่เรียกพ่อแม่ไป
พบ แล้วแจ้งว่าไอคิวของพี่สูงเกินกว่าจะมัวมา
เสียเวลานั่งเรียนรวมกับเด็กทั่วไป โตขึ้นอาจจะ
กลายเป็นเด็กมีปัญหา แต่หากเรียนในโรงเรียนที่
สร้างขึ้นเพื่อรองรับเด็กอัจฉริยะโดยตรง ก็อาจ
กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกได้ "
"อย่างนี้เอง..."
แน่นอนว่าพ่อแม่ย่อมอยากให้ลูกโตขึ้นเป็น
บุคคลระดับโลก และคิดปกป้องทุกวิถีทางเพื่อไม่
ให้ลูกต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหา
"พ่อแม่ของพี่สอบถามครูใหญ่ด้วยความไว้
เนื้อเชื่อใจในทันที ว่าควรเอาพี่ไปเข้าโรงเรียนดีๆ
ที่ไหน แล้วครูใหญ่ก็พาพ่อแม่พี่ไปรู้จักกับ
โรงเรียนเด็กอัจฉริยะ ซึ่งเซธสร้างขึ้นมาอย่างถูก
ต้อง เพื่อเป็นสถานีรวบรวมเด็กไทยโดยเฉพาะ"
"โห! มีทั้งเครือข่ายโรงพยาบาล มีทั้งเครือ
ข่ายโรงเรียน เพียงเพื่อใช้เลือกเลี้ยงคน!"
"นั่นแหละ! บันไดสร้างโลกใหม่ของเซธล่ะ
โรงเรียนของเขาที่สร้างขึ้นในแต่ละประเทศ ทั้ง
ทันสมัย ทั้งอลังการ แถมค่าเทอมไม่แพงเกิน
เอื้อม หรือไม่ก็มีข้อเสนอให้ทุนเรียนฟรีแลก
เปลี่ยนเงื่อนไขนิดหน่อย พ่อแม่ของเด็กทุกคน
ที่มาก็ต้องเอาหมด"
"มีขั้นตอนล้างสมองอะไรหรือเปล่าคะ?"
"ยังหรอก... ไม่มีใครรู้จักเซธด้วยซ้ำา
ระหว่างเรียน และหลักสูตรการเรียนก็แหวกแนว
กว่าโรงเรียนเด็กอัจฉริยะอื่นด้วย เพราะเด็กแต่ละ
คนจะถูกกำาหนดให้เรียนแบบเน้นตามความถนัด
โดยไม่ต้องถาม ไม่ต้องสอบความถนัดเสียก่อน"
"สร้างคนให้สอดคล้องกับเส้นทางกรรม
เก่า?"
อัคระยิ้มแฝงนัยเยาะหน่อยๆ
"สร้างคนให้เหมาะกััััับความต้องการใช้งาน
มากกว่า"
"แล้วเมื่อไหร่คะที่บอสให้พี่อัครู้จักเขา?"
"พอเรียนถึงระดับหนึ่ง จะมีการคัดตัวไป
เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ซึ่ง
โรงเรียนออกทุนให้ทั้งหมด โดยพ่อแม่ไม่ต้องเสีย
สักบาท ข้อแลกเปลี่ยนเดียวคือต้องทำางานให้
เครือข่ายของเซธเป็นการใช้ทุนคืน และด้วยข้อ
แลกเปลี่ยนนั้นแหละ ที่เซธให้คนมาพาพี่ไปหา"
"เป็นมหาวิทยาลัยของบอสเองอีกหรือ
เปล่า?"
"เซธไม่ต้องการให้คนของตัวเองอยู่ในโลก
แคบขนาดนั้นหรอก พี่เข้าเรียนในยูเหมือนเด็กวัย
รุ่นทั่วไป"
"จบจากไหนคะเนี่ย?"
"เอ็มไอที "
"ปริญญาเอก?"
"อือ..."
หญิงสาวสัมผัสถึงความอ่อนเยาว์ขณะรับ
ปริญญา จึงถาม
"จบตอนอายุเท่าไหร่คะ?"
"สิบเก้ามั้ง"
มะแมทำาปากจู๋เงียบๆโดยไม่ส่งเสียง "อู้หู !"
ออกมา นี่ถ้าตอนพยายามใช้กูเกิ้ลสืบหาอัคระ
หล่อนสะกดชื่อเป็นภาษาอังกฤษก็คงเจอเรื่องของ
เขาได้ไม่น้อย
"ยังไงบอสคงไม่สนใจเรื่องแค่ดอกเตอร์จบ
เร็วกระมังคะ สิ่งที่บอสต้องการจากพี่อัคจริงๆ คง
มีแต่พี่อัคที่ทำาได้ "
"ก็ประมาณนั้น"
"เกี่ยวกับเครือข่ายระบบพยากรณ์อะไรนั่น
ใช่ไหม?"
"ใช่ ... ช่วงสามสิบสี่สิบปีก่อน เซธยังไม่
ต้องการอะไรมากไปกว่าคัดเลือกเด็กคนไหนมีด
วงสร้างโลกใหม่ที่เกื้อกูลเซธได้ ตอนข้อมูลยังไม่
มาก แค่ใช้คอมพิวเตอร์โบราณก็ตอบโจทย์นั้นได้
แล้ว แต่ยี่สิบปีที่ผ่านมาเซธเริ่มมีวิธีแทรกซึม
เข้าไปเอาข้อมูลจากโรงพยาบาลได้เกือบหมด
โลก อีกทั้งวิทยาการเครือข่ายกับระบบสืบค้น
พัฒนากว่ายุคแรกมาก จนเซธเห็นความเป็นไป
ได้ที่จะสร้างกุญแจไขจักรวาลขึ้นมา..."
มะแมเผยอปากอย่างเริ่มกระจ่าง
"แล้วก็ทำาได้จริงๆนะคะ!"
"ไม่ใช่มีวิทยาการรองรับแล้วทุกอย่างจะ
ตามมาเองหรอกนะ 'รหัสมนุษย์ ' เป็นพันล้านคน
ถ้าคิดวิธีสร้างระบบสืบค้นให้มามีความเชื่อมโยง
กันไม่ได้ ก็เหมือนได้ภูเขาข้อมูลที่กองไว้อย่าง
เปล่าประโยชน์มาลูกหนึ่ง"
"ก่อนหน้าพี่อัค คงไม่มีใครเคยทำาได้ "
"สิ่งที่เซธค้นพบมันเป็นเรื่องเกินจินตนากา
รพอๆกับทฤษฎีสนามรวมของไอน์สไตน์ มีไม่กี่
คนในโลกที่ฟังเข้าใจ ฉะนั้นถึงโปรแกรมเมอร์เก่ง
แค่ไหน แต่ถ้าคุยกับเซธไม่รู้เรื่อง ก็สร้างซีอุสไม่
ได้ แม้แต่เซธพยายามเองยังจนแต้มเลย"
เขาพูดยิ้มๆอย่างภาคภูมิที่เหนือกว่าเซธได้
เรื่องหนึ่ง
"ขนาดระบบสืบค้นข้อความธรรมดายัง
ทำาให้ดีๆได้ยากเลยนะคะ นี่จะทำาระบบสืบค้น
รหัสมนุษย์เป็นพันล้าน แถมเอามาตีความให้เกิด
ความหมาย ตอบโจทย์ได้ตามต้องการอีก ต้องมี
ใครคนหนึ่งเกิดมาเพื่อจะสร้างมันจริงๆ"
"คนแบบนั้นแหละที่เซธชอบเลี้ยงไว้ใกล้
ตัว... ทำาในสิ่งที่คนอื่นทำาไม่ได้ "
"ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะครองโลกแล้วใช่
ไหมคะ?"
"ถ้าหมายถึงออกแรงยึดครองโลกที่กำาลังผุ
พังตอนนี้ ไม่ใช่เลยมะแม เซธรอเวลาจัดระเบียบ
โลกใหม่อยู่ต่างหาก"
"ด้วยการสร้างกองกำาลัง รอถึงเวลาโลก
เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ?"
"ใช่ ! ทุกวันนี้เซธไม่ใช้วิธีล่าอาณานิคม แต่
จะใช้วิธีสร้างพระราชาน้อยๆที่เขาไว้ใจขึ้นมาปก
ครองอาณาจักรย่อยๆ ที่โน่น ที่นี่ แล้วให้
อาณาจักรเหล่านั้นประสานกันเอง สร้างผลผลิต
และรายได้ในลักษณะแยกกันมี แต่ร่วมกันใช้ "
พอมะแมรับฟังจนเริ่มคุ้น นิมิตต่างๆก็
ค่อยๆทยอยผุดโพลงขึ้นในห้วงมโนทวาร ทุกสิ่ง
กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สัมผัสได้จริง ผิดกับที่ผ่าน
มา ที่อะไรๆไกลเกินสัมผัส หรือพยายามสัมผัส
แล้วโดนกางกั้นด้วยกำาแพงแห่งความไม่เข้าใจ
หรือเข้าไม่ถึงเรื่องใหญ่ระดับมหภาค
ยามนี้ หล่อนเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่วัยกลาง
คนนั่งเด่นเป็นสง่าบนยอดเขา นั่นคงเป็นนิมิต
บัลลังก์โลก ที่เบื้องล่างลงมา ณ เชิงเขาเต็มไป
ด้วยจิตวิญญาณชั้นสูง แข่งแสงสว่างเรืองรอง
ฤานั่นจะเป็นภาพแทนอาณาจักรแห่ง
พระเจ้าจักรพรรดิองค์ใหม่ ?!?
ฟ้าแลบแปลบที่ขอบทะเลเบื้องไกล ดึง
มะแมให้ละจากนิมิตทางใจไปมองฟ้าภายนอก
นิ่งเป็นครู่ก่อนห่อไหล่ด้วยความหนาวสะท้าน ดู
เหมือนที่หล่อนเต็มใจเรียกบุรุษผู้นั้นว่า "บอส"
เห็นทีจะน้อยไปเสียแล้ว
"บอสพูดถึงการแบ่งคนออกเป็นระดับต่างๆ
แล้วก็บอกว่ามะแมอยู่ระดับสี่ มันยังไงคะ?"
อัคระขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
"เซธคุยกับมะแมเรื่องนี้ด้วยเหรอ?"
"เป็นความลับมากหรือคะ? คือ... ครั้งหนึ่ง
มะแมขอพบบอส บอสบอกว่ามะแมแค่ระดับสี่ รอ
ให้ถึงระดับห้าก่อน ถ้ามะแมพบบอสหรือรู้เรื่อง
มากเกินไปอาจถึงขั้นรื้อบันไดอนาคต"
อัคระหัวเราะหึหึอย่างพยายามล้างกระแส
ความกังวลออกไปไม่ให้มะแมสัมผัสได้ และพูด
ด้วยสำาเนียงปกติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
"สี่ระดับแรกน่ะ รู้ไปก็ไม่เป็นไรหรอก"
"รู้ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นค่ะ อยากรู้ใจจะขาด
อยู่แล้ว!"
ชายหนุ่มชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเผย
"ระดับหนึ่ง คือมีชีวิตรอดหลังจากโลก
เปลี่ยนครั้งใหญ่ "
เพียงข้อแรกที่ฟังก็เหน็บหนาวอย่าง
ประหลาด มะแมถึงกับถอนใจเฮือก
"แปลว่ามะแมก็รอดกับเขาด้วย คนรอดนี่
ควรดีใจหรือเสียใจคะ?"
"ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นมนุษย์ระดับไหน ยิ่ง
สูงขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีส่วนทำาโลกอนาคตให้น่า
อยู่ขึ้นเท่านั้น"
"แล้วตอนรอดนี่ รอดแบบไม่มีริ้วรอยเท่า
แมวข่วน หรือรอดแบบต้องถลอกปอกเปิกหัวร้าง
ข้างแตกคะ?"
"ดวงที่ทำาให้คนเรารอดตาย มันแข็งแกร่ง
ยิ่งกว่าเกราะกันกระสุนหรือบังเกอร์หลบ
นิวเคลียร์เสียอีก ต่อให้ใครคิดเอาปืนมายิง
เผาขน กระสุนก็ด้านขึ้นมาได้เฉยๆ"
"โอเคค่ะ... แล้วระดับสอง?"
"ระดับสอง คือจิตต้องสว่างเจิดจ้า เป็นตัว
ของตัวเอง รอดจากการถูกกลืนด้วยพลังบาปที่
ก่อตัวเป็นหลุมดำาเข้มข้นขึ้นทุกวัน"
"อ๋อ..."
มะแมครางอย่างเข้าใจและเห็นภาพมากขึ้น
"ระดับสาม คือมีน้ำาใจ สามารถคิดช่วยคน
อื่นก่อน และระดับสี่ มีสัมผัสพิเศษ เหมาะจะเป็น
กำาลังให้กับโลกใหม่ที่ต้องการการฟื้นฟูจิต
วิญญาณมหาชนนับไม่ถ้วน!"
"แล้วระดับห้าล่ะคะ... บอกไม่ได้ ?"
คำาถามนั้น ดูจะเป็นไปเพื่อพบสีหน้าสลดขอ
งอัคระ
"อย่าเพิ่งรู้เลย"
ทีท่าของเขาชัดเจนว่าเป็นเรื่องคอขาดบาด
ตาย ปล่อยให้หล่อนรู้ตามใจชอบไม่ได้จริงๆ
มะแมจึงตัดความอยากรู้อยากเห็นทิ้ง เลิกเซ้าซี้
"ค่ะ! เอาตามนั้น ไม่รู้ก็ได้ "
แต่อย่างไรก็ดี พลังจิตสาวยังอุตส่าห์
พยายามฉวยโอกาสเล็งภาวะสลดที่เกิดขึ้นในชั่ว
เวลาสั้นๆของชายหนุ่ม เผื่อจะได้นิมิตอะไรเป็น
เค้าเงื่อนให้ปะติดปะต่อได้บ้าง ทว่าก็ไม่พบอะไร
เป็นเรื่องเป็นราว คล้ายเขาสลดให้กับเรื่องน่า
เศร้าที่ไม่จำาเป็นต้องเกิดขึ้นเลย
"ดีแล้ว..." อัคระเงยหน้าขึ้นตั้งตรงใหม่
เป็นปกติ "ในที่สุดทุกเรื่องก็ต้องเปิดเผยตัวเอง
เมื่อถึงเวลา"
"เอาล่ะ! มะแมเข้าใจความเป็นมาแล้ว ทีนี้
บอกได้ไหมว่าทำาไมพี่อัคกับบอสถึงลงเอยเหมือน
คู่แข่งกันไปได้ ?"
อัคระทอดมองไปไกล มีความละเหี่ยใจอยู่
ในกระแสตา
"พี่กับเซธไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกันหรอก
พี่แค่รู้มากไป แล้วก็สนิทกับเขาจนกล้าเห็นต่าง"
"ยังไงคะ?"
"เซธกำาลังสร้างโลกใหม่ให้สมบูรณ์แบบ
ขณะที่พี่อยากเปลี่ยนโลกเก่าให้ดีขึ้น"
เขาสรุปสั้นที่สุด
"อยากช่วยให้คนที่ไม่มีสิทธิ์รอด กลายเป็น
คนมีโอกาสรอด อย่างนั้นใช่ไหม?"
"ใช่ ..."
อัคระรู้สึกดีที่มะแมตามเขาทัน และเข้าใจ
อย่างลึกซึ้ง
"แล้ววิธีของพี่อัค?"
"ด้วยพลังของซีอุส พี่ค้นพบว่าภัยพิบัติทาง
กายภาพอาจเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่หายนะทาง
วิญญาณเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ รวมทั้งไม่จำาเป็น
ต้องมีการกวาดล้างครั้งใหญ่ด้วย ขอแค่
เปลี่ยนแปลงบุคคลสำาคัญในโลกนี้ได้เพียงหยิบ
มือเดียว!"
"น่าสนใจจังค่ะ"
"คนส่วนใหญ่ไม่มีทิศทางของตัวเอง ต้อง
รอดูว่าสังคมไหลไปทางไหน ผู้นำาประพฤติตน
อย่างไร นั่นแปลว่าโลกนี้หมุนผิดทางด้วยอิทธิพล
ของคนบารมีมากเพียงไม่กี่ร้อยกี่พัน ถ้าเปลี่ยน
คนเหล่านี้ได้พร้อมกันในช่วงเวลาสั้นๆ ก็จะเกิด
ความโยงใยครั้งมโหฬาร ทุกอย่างจะถูกจัด
ระเบียบใหม่หมด"
"บอสฟังไอเดียนี้แล้วว่าไง?"
"ตอนแรกก็ยังไม่ว่าไง เพราะแม้แต่เซธก็ไม่
เคยคำานวณตามมุมมองนี้มาก่อน แต่เพื่อให้เขา
เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ข้อสันนิษฐาน พี่ใช้ซีอุสสร้างโลก
จำาลองขึ้นมาแสดงให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน โดย
คัดเอาบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกมาเป็น
ตัวตั้ง ทั้งผู้นำาประเทศ ผู้นำาศาสนา ดารานักร้อง
นักกีฬา ไล่ลงไปจนถึงมาเฟียใหญ่ในวงการต่างๆ
แสดงให้เห็นว่าถ้าคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงพร้อม
กัน ก็จะเกิดการระงับหายนะทางวิญญาณเป็น
ปฏิกิริยาลูกโซ่ แบบเดียวกับโดมิโนล้ม"
"อยากรู้จังค่ะว่าถ้าเกิดขึ้นจริงจะเป็นยังไง
นี่มันพลิกประวัติศาสตร์เลยนะคะ... แล้วบอสรับ
ฟังแค่ไหน?"
อัคระทำาท่าเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงคำาปฏิเสธ
ของเซธ
"เซธบอกว่านี่ไม่ใช่การเอาชนะดวงคน แต่
เป็นการเอาชนะดวงโลก มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
หลายคนในลิสต์รายชื่อของพี่ล้วนเป็นพวกบอด
สนิทเกือบทั้งสิ้น บอดระดับนรกบังตาเลยทีเดียว
ถึงวาดสวรรค์ให้ดู เซธก็ไม่เชื่อว่าพวกนั้นจะชม"
"นั่นสิ ! มะแมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่อัคจะ
มีวิธีทำาให้เกิดขึ้นจริงได้ยังไง"
"ก็ทำาตัวเป็นจอมพยากรณ์ บอกกับพวกนั้น
ว่าด้วยการตัดสินใจแบบวันนี้ของเขา จะเกิดอะไร
ขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า พอเริ่มเชื่อก็จะ
เริ่มรับคำาแนะนำาทีละน้อย"
"ชักนึกถึงตัวเองแล้วสิ "
"มันซับซ้อน และต้องใช้กำาลังคนมากกว่าที่
ส่งจดหมายถึงมะแมเยอะ"
"แล้วยังไงคะ ฟังดูน่าจะเป็นไปได้ออก
อย่างนี้ บอสยังค้านอีก?"
"เซธแย้งว่าโลกมีแรงต้านทานการ
เปลี่ยนแปลง และแรงต้านทานนั้นก็ทรงพลัง
มหาศาลเกินกว่าที่พี่กับเขาจะเอาชนะได้ ซึ่งพี่ก็รู้
ว่ามันยาก แต่พยายามโน้มน้าวว่าอะไรอย่างซีอุ
สน่าจะมีได้ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
และนั่นก็เท่ากับเป็นโอกาสเดียวของมนุษยชาติ
ด้วย ทำาไมถึงไม่ลองใช้โอกาสเดียวที่มาอยู่ในมือ
แล้วแท้ๆให้คุ้ม"
"คำาตอบสุดท้ายจากบอส?"
"เซธยืนกรานว่าศักยภาพของมนุษย์มีขีด
จำากัด คนๆหนึ่งอาจเขย่าโลกได้ด้วยระเบิด
ปรมาณู หรือครองโลกได้ด้วยกองทัพเกรียงไกร
แต่ไม่มีทางเปลี่ยนโลกได้ด้วยความปรารถนาดี
อย่างเด็ดขาด!"
มะแมพยายามลองใช้จิตสัมผัสดูตาม ก็เห็น
ว่าการพยายามเปลี่ยนดวงโลกย่อมก่อให้เกิด
ความโกลาหลเกินจะนึกฝัน เพียงแต่เห็นไม่ขาด
ว่าผลลัพธ์ออกหัวหรือออกก้อยท่าไหนกันแน่
"สรุปคือบอสไม่เอาด้วยกับพี่อัค?"
อัคระแค่นยิ้ม
"พี่รู้สึกได้ว่าเซธอ้างโน่นอ้างนี่โดยไม่คิดจะ
ลองพยายามตามแนวทางที่พี่บอก เหตุผลที่แท้
คือกลัวไม่ได้ผูกขาดอำานาจไว้ในมือเพียงคนเดียว
เพราะถ้าเป็นไปตามที่พี่จำาลองสถานการณ์ให้ดู
ผู้คนจะรอดกันมากจนมีอำานาจอธิปไตยได้ ไม่
ต้องมาสวามิภักดิ์กับจักรพรรดิที่ก่อร่างสร้าง
อาณาจักรรอไว้แล้ว!"
"แล้วตอนนี้พี่อัคยังคุยกับบอสดีๆหรือ
เปล่า?"
"ก็คุยๆกันอยู่บ้าง พออารมณ์ขัดแย้ง
เบาบางลง พี่ก็คร้านจะโน้มน้าวเซธให้เห็นอย่างที่
พี่มอง และเซธเองก็เลิกพูดอะไรให้พี่กลับไป
ตามใจเขาอีก ต่างฝ่ายต่างลดราวาศอก อีกคน
อยากทำาอะไรก็ทำา"
"บอสไม่คิดว่าพี่อัคเป็น... ก้างขวางคอ?"
"กลัวว่าเซธจะกำาจัดพี่น่ะหรือ? ไม่หรอก!
เราสองคนเข้าใจอะไรดีกว่านั้นเยอะ ความจริงก็
คือเซธรู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ เขาแค่
เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกื้อกูลกันกับพี่ เพราะถ้าไม่มีพี่ ก็
ไม่มีซีอุส ถ้าไม่มีซีอุส งานรวมโลกเป็นอาณาจักร
เดียวก็ยากขึ้นอีกหลายเท่า หรือทำาไม่ได้เลย"
"แต่พังเพยบอกไว้นี่คะ เสร็จนาฆ่าโคถึก
เสร็จศึกฆ่าขุนพล"
อัคระหัวเราะเอื่อย
"ความรู้บางอย่างก็ทำาให้คนเป็นคนดีได้นะ
เซธกับพี่รู้ชัดว่าฆ่าคนอื่นก็คือการเปลี่ยนดวงตัว
เองไปในทางร้าย ยิ่งถ้าหวังจะสร้างโลกใหม่ให้
สว่างขึ้น ก็ไม่มีทางทำาสำาเร็จถ้าเริ่มต้นด้วยมือ
เปื้อนเลือด"
มะแมระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
"แล้วมะแมล่ะคะ จับพลัดจับผลูอีท่าไหน มี
ประโยชน์ยังไง พี่อัคถึงมาหา อยู่ๆหมอดู
คอมพิวเตอร์ของพี่อัคแนะนำาให้มาเอามะแมไปใช้
งานหรือ?"
ชายหนุ่มส่ายหน้า
"เดิมทีซีอุสไม่มีข้อมูลของมะแมหรอก"
"อ้อ! มะแมเป็นบุคคลตกสำารวจ"
"ข้อมูลของซีอุสมาจากโรงพยาบาล แต่
มะแมเกิดที่สถานีอนามัยไง"
หญิงสาวอมยิ้ม
"รู้ด้วย... งั้นพี่อัครู้จักมะแมได้ยังไง?"
"ลืมแล้วหรือว่าเคยดัง แล้วก็ให้สัมภาษณ์
มาตั้งเท่าไหร่ "
"อ้อ! ลืมจริงๆแหละค่ะ ว่าแต่ตัวเล็กๆอย่าง
มะแมสำาคัญขนาดไหน พี่อัคถึง... ให้เกียรติ
ขนาดนี้ ?"
ตอบได้ไหลรื่นมาตลอด อัคระเพิ่งอึกอัก
เป็นครั้งแรก
"ทำาไมคะ ไม่มีคำาตอบหรือ?"
ชายหนุ่มหัวเราะแก้เก้อ
"มะแมรู้อยู่แล้วน่า..."
"ที่มะแมรู้แต่แรกคือพี่อัคเจตนาจะใช้
จดหมายสื่อสารไปเรื่อยๆ คืนนี้พอฟังเรื่อง
ทั้งหมดก็เข้าใจแล้ว สาเหตุที่ไม่ให้เจอหน้าตรงๆ
ก็เพราะไม่อยากผูกพันกันมาก เดี๋ยวจะตะลอนๆ
ทำางานใหญ่ไม่สะดวก"
หญิงสาวพูดในสิ่งที่เห็นตรงไปตรงมา ชนิด
ที่ทำาให้ชายหนุ่มเกือบพูดไม่ออก
"เก่ง"
เขาได้แต่ชมสั้นๆ
"แต่ยังสงสัยค่ะ ทำาไมในที่สุดถึงเปลี่ยน
ใจมาปรากฏตัว?"
"ความจริงที่ไปหามะแมตอนแรก แค่
เพราะ..." เว้นวรรคขยับตัวอย่างจะคลายอาการ
เกร็งๆด้วยความเขิน "เอ่อ... ก็ไม่มีเหตุผลมาก
ไปกว่าอยากเจอตัวจริง อยากเห็นหน้า อยากพูด
คุยด้วยบ้าง ไม่คิดจะต่อความยาวมากไปกว่า
นั้น"
"อ้าว!"
มะแมร้องออกมาแล้วยิ้มเฉยด้วยอารมณ์
สนุก เนื่องจากพอเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร
"พี่พลาดให้เซธรู้ความเคลื่อนไหว เลย...
โดนแกล้งให้เสียเส้นด้วยการโทร.มาขู่ว่าจะเอา
มะแมไปใช้ เพราะฤกษ์เกิดของมะแมเป็นบริวาร
เขา"
หญิงสาวฟังแล้วคิดตาม และสามารถปะติด
ปะต่อทุกสิ่งได้ในรวดเดียว
"ก็น่าจะจริงนะคะ" ทำาเป็นรับลูกหน้าตา
เฉย "เขาบอกให้เรียกบอส มะแมก็เต็มใจเรียก
ด้วยความรู้สึกว่าใช่เลย แล้วบอสก็เข้าใจเล่น ยก
ระดับการสื่อสารให้เป็นสองทาง เหนือกว่าทาง
เดียวแบบพี่อัค มะแมยังนึกน้อยใจเลยว่าทำาไมพี่
อัคให้น้อยกว่าบอส ทั้งที่มาก่อน"
"เห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่ารายนั้นร้ายขนาด
ไหน"
"มือถือที่บอสให้มามีอะไรพิเศษหรือเปล่า
คะ? มะแมเคยส่องดู รู้สึกว่าไม่ใช่แค่อุปกรณ์
สื่อสารธรรมดา"
"แค่มะแมใช้มือจับตัวโทรศัพท์ยกแนบหู
คลื่นไฟฟ้าจากร่างกายจะถูกสแกน เซธจะเห็น
ทะลุปรุโปร่งไปถึงการไหลเวียนของเลือดในสมอง
แล้วทำานายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่ามะแมคิด
ได้แค่ไหน ไอคิวน่าจะอยู่ช่วงใด แล้วก็พยากรณ์
ถูกว่าถ้ากำาลังเจอเรื่องจำาเป็นต้องตัดสินใจ แรง
ขับจากภายในมีแนวโน้มให้ตอบตกลงหรือ
ปฏิเสธ เครื่องมือของเซธจะพยากรณ์ถูกแม้มะแม
ยังลังเล ไม่ตกลงปลงใจอยู่ด้วยซ้ำา"
"โอ... น่ากลัวจริงๆ... พี่อัคคะ แล้วที่มะแม
รับโทรศัพท์ของบอสมาใช้อย่างนี้ มิแปลว่ามะแม
เป็นคนของบอสไปแล้วหรือ?"
"มะแมเป็นของพี่ ไม่ใช่ของเขา!"
หากคนอื่นขืนมาตู่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่าง
นี้คงมีเคืองกัน แต่เพราะเป็นอัคระ มะแมจึงแค่
ยิ้มไก๋ถามลอยๆ
"เหรอคะ?"
ชายหนุ่มรู้สึกตัว ค่อยๆหันมาสบหญิงสาว
เต็มตา
"ขอโทษที พี่ควรพูดอย่างนี้ก่อน..." เขา
ทอดเสียงอ่อนโยนจากใจให้กับคำาต่อมา "พี่รัก
มะแมนะ"
ขณะสารภาพรักเยี่ยงชายคนหนึ่งพึงกระทำา
ต่อหญิงของตน อัคระเอื้อมไปดึงมือมะแมมากุม
ความอบอุ่นที่แผ่ผ่านฝ่ามือทรงพลังนั้นยิ่งใหญ่จน
เกินกว่าที่หญิงสาวจะคิดออกแรงขืน รู้สึก
ปลอดภัย มั่นคง กระทั่งไม่แม้แต่จะขวยเขินกับ
สัมผัสแรกระหว่างกันเลยด้วยซ้ำา
มะแมสานตากับเขา สัมผัสถึงสายใย
เข้าใจถึงความรัก และรู้ว่านี่คือหนึ่งในนาทีอมตะ
อันจะไม่ตายไปกับตัว..

_____________________________________________________________________________
บทที่ ๑๓
เช้าวันนั้นมะแมสดชื่นและมีพละกำาลังเป็น
พิเศษ
การพบกับอัคระช่วยให้หล่อนเห็นภาพตัว
เองชัดขึ้น ทั้งอดีตที่เป็นมา ทั้งปัจจุบันที่เป็นอยู่
และรวมถึงอนาคตที่จะเป็นไป
เกิดมาในโลกนี้ แต่ละคนเป็นแค่หุ่นยนต์ที่
ถูกสร้างขึ้นมาให้เต็มไปด้วยปัญหา เพราะ
เคลื่อนไหวโดยไร้หัวใจมนุษย์ เอาแต่รอความ
ช่วยเหลือ โดยไม่คิดหยิบยื่นความช่วยเหลือ
หล่อนเป็นหนึ่งในหุ่นยนต์จำานวนน้อย ที่ได้
หัวใจมา และจะไม่มีวันยอมกลับไปเป็นหุ่นยนต์
เจ้าปัญหาอีก โดยเฉพาะในยามนี้และกาลอันใกล้
ที่โลกต้องการหัวใจมนุษย์เกินกว่าเครื่องจักรล้ำา
ยุคใดๆ
ลูกค้าเก้าโมง... คนแรกของวัน
เป็นชายวัย ๔๐ ที่เพิ่งถูกโกงเงินไปจนเกือบ
หมดตัว และมาหามะแมเพราะอยากรู้ว่าจะมีทาง
ได้เงินคืนไหม ทุกวันนี้หน้ามืดอยากฆ่าตัวตาย
เต็มทน มะแมทำาความรู้สึกเข้าไปแล้วเห็นว่าหวัง
ยาก เนื่องจากเป็นเงินจำานวนมาก ฝากไว้ในมือ
ลูกน้องที่สนิทชิดเชื้อและไว้ใจกันมาเป็นสิบปี เข้า
ทำานองฝากปลาย่างไว้กับแมว ป่านนี้แมวเผ่นไป
ถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เท่าที่มะแมสัมผัสคือหนีออก
นอกประเทศเรียบร้อย แล้วก็ไกลแสนไกลเกินจะ
กู่ให้กลับด้วย
มะแมได้แต่เห็นใจ ไม่ทราบจะช่วยอย่างไร
เรื่องเงิน ต่อให้ตามตัวเจอก็ต้องฆ่ากันตายเปล่า
เพราะลูกน้องจอมโกงน่าจะเอาเงินไปแปรรูปจน
เกือบสิ้น จึงต้องเลือกคำาแนะนำาประเภทที่ให้
ความชุ่มชื่นเป็นกำาลังหนุนใจ คือ หมดตัวด้วย
จำานวนเงินเท่าไรจำาไว้ อย่าฆ่าตัวตาย แต่ให้
ตั้งใจใช้ชีวิตที่เหลือหาใหม่มาทำาบุญเกินจำานวน
เงินที่เสียไปให้จงได้
ความตั้งใจอันประกอบขึ้นด้วยพลังบุญ จะ
ช่วยให้ฉ่ำาใจพอจะเกิดลูกฮึด นำาทางชีวิตไปสู่ทิศ
ของความสำาเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ และก่อน
ลูกค้าออกจากห้อง หล่อนฝากคาถาลืมศัตรู ทำา
หัวให้โล่งไว้ให้ใช้ในระยะสั้นเฉพาะหน้า นั่นคือ
คนที่ทำาให้เจ็บใจคือเขา แต่คนที่เอาเขามาใส่ใจ
คือคุณ
ลูกค้าเก้าโมงครึ่ง
เป็นหญิงวัย ๓๐ ที่เปลี่ยนงานแทบไม่เว้น
แต่ละปี เคยพยายามทำากิจการเล็กๆของตัวเองก็
เจ๊งไม่เป็นท่า คุณเธอมาพร้อมกับเสียงบ่น อยาก
รู้ว่าเคยทำากรรมอะไรมา ถึงเจอแต่งานที่ไม่ชอบ
และเจ้านายกับเพื่อนร่วมงานที่น่าชัง
มะแมค่อยๆงัดปมปัญหาทางใจของเธอคน
นั้นขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความไม่
น่าพอใจของงาน ปมใหญ่สุดคือเธอไม่พอใจใน
ตนเองต่างหาก ตำาแหน่งก็ไม่เคยพอ เงินเดือนก็
ไม่เคยพอ ความนับหน้าถือตาก็ไม่เคยพอ เมื่อ
ความไม่พอใจอุดปากอุดจมูกแน่นอยู่ ก็ย่อมไม่
อยากยิ้มให้ใคร ไม่มีใจให้กับงานไหนๆทั้งนั้น
คำาแนะนำาที่มะแมมีให้คือ อย่ามัวเดาว่า
อดีตเราทำาบาปอะไรมาจึงต้องทำางานที่ไม่ชอบ
ให้หมั่นพิจารณาว่าปัจจุบันเราทำาบุญอะไรขาดไป
จึงไม่ได้ทำางานที่ใจรัก
คนส่วนใหญ่รักเงิน รักตำาแหน่ง รักหน้า แต่
ไม่ได้รักงาน จึงไม่ได้งานที่รัก ขอเพียงรู้จักทำาบุญ
เสียสละกำาลังแรงและพลังใจ ให้ทานด้วยการทำา
ประโยชน์กับผู้คนผ่านงานสักอย่างที่ใจชอบ ก็จะ
เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้งานอันเป็นที่รักแล้ว
ลูกค้าสิบโมง
เป็นหนุ่มวัย ๒๐ ต้นๆที่มีความเบี่ยงเบน
ทางเพศ หน้าตาดูมีความสุขดี และจากที่มะแม
สัมผัส ก็พยายามเป็นคนดีในสังคม แต่ลำาบาก
ตรงที่ครอบครัวต่อต้าน ญาติๆเป็นชายแท้กัน
หมด พยายามเกลี้ยกล่อมหรือพูดกระแนะ
กระแหนทุกครั้งที่ถึงวันรวมญาติ อยากให้หันมา
เป็นชายแท้ ชอบผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนเสียที และ
นั่นก็เป็นข้อปัญหาที่เขาอยากขอคำาปรึกษา
มะแมดูแล้วเห็นว่าเขาเป็นพวกจิตบิดเบี้ยว
มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พยายามไปก็เหนื่อยเปล่า จึง
งัดเอาคุณงามความดีของเขาขึ้นมาชื่นชม ทำาให้
เขาประหลาดใจ และปลื้มใจว่าถึงใครไม่เห็น ก็ยัง
มีคนอย่างมะแมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกมอง
เห็น
คำาที่มะแมติดตั้งไว้ในหัวของเขาก่อนออก
จากห้องคือ เกย์คิดดี มีความสุขกว่าชายคิดมาก
และที่สำาคัญคือมีสิทธิ์ทำาคุณกับโลกยิ่งกว่าชาย
ใจแคบอีกตั้งไม่รู้เท่าไร
ลูกค้าสิบโมงครึ่ง
เป็นหนุ่มน้อยนักศึกษา วัยไม่น่าจะเกิน ๒๐
เดินเข้าห้องพร้อมกับใบหน้าของคนอกหัก และ
นั่งลงพร้อมกับการเริ่มเสียงคร่ำาครวญว่าตนถูก
ทิ้งทั้งที่ไม่ผิดอะไรเลย ไม่เข้าใจว่าทำาไม อยากรู้
ว่าเมื่อไรฝ่ายหญิงจะหวนกลับมาคืนดีด้วย
มะแมพิจารณาจากเสียงพูดอู้อี้ คำาพูดเรียก
ร้องความสงสาร ตลอดจนทีท่าอ่อนแอ หาความ
น่าอบอุ่นไม่เจอ ก็ช่วยให้ตัดสินโดยแทบไม่ต้อง
ใช้จิตสัมผัส หมอนี่ช่างคิดช่างฝัน ชวนให้ผู้หญิง
หลงเคลิ้มกับบทกวีหรือคำาซึ้งแสนหวานได้ในช่วง
ต้น แต่ทำาไปทำามาฝ่ายหญิงค่อยๆรู้ตัวว่าถูก
หลอกให้คว้าไม้หลักปักขี้เลน ไม่มีเสามั่นคงใดๆ
ให้ยึดเกาะ บ่อยครั้งจะต้องช่วยออกแรงประคอง
เสาไม่ให้ล้มอีกต่างหาก
อยากบอกตรงๆว่าคุณมีความผิดอยู่ หาใช่
ไม่ผิดอะไรเลย ที่ถูกทิ้งก็ด้วยโทษฐานทำาตัว
อ่อนแอน่าเบื่อหน่าย แต่เดี๋ยวก็จะกลายเป็น
เหยียบย่ำาซ้ำาเติมกัน จึงเบี่ยงมุมมองไปเป็นว่า ผู้
หญิงทุกคนอยากได้ความอบอุ่น หลังจากคบกับ
ผู้ชายสักคน ก็จะตัดสินว่าความอบอุ่นจากผู้ชาย
คนนั้นใช่หรือยัง
แล้วหล่อนก็บอกเขาว่าโอกาสยังมี แต่ต้อง
ท่องไว้ให้ขึ้นใจข้อหนึ่งการเรียกร้องให้สงสาร
คือความหนาวเย็นที่เคยผลักเธอออกไป ส่วนการ
รู้จักเห็นอกเห็นใจ คือความอบอุ่นที่จะดึงดูดเธอ
กลับมา
ลูกค้าสิบเอ็ดโมง
เป็นสาววัยเรียน วัยไม่เกิน ๒๐ เช่นกัน
สัมผัสได้แต่ไกลว่าจิตใจหดหู่ ให้ความรู้สึก
เหมือนเธอตัวเล็กนิดเดียว แต่ร่างป้อมๆนั้นกลับ
คล้ายตุ่ม ๑๐๐ ลิตรที่เอาไว้ขังน้ำาตาเค็มๆ
มากกว่าอย่างอื่น
เธอเพิ่งถูกแฟนทำาร้ายร่างกายและบอกเลิก
อย่างไม่มีเยื่อใย แต่แม้โดนทำาร้ายทั้งกายใจ
แม่คุณทูนหัวก็อุตส่าห์โศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ไม่
เลิก นับเป็นเรื่องแปลกของมนุษย์มนาจริงๆ
มะแมได้แต่พูดตามเนื้อผ้าว่าที่เจ้าหล่อนยัง
หลงอาลัยอยู่ ก็เพราะหวนคิดถึงอดีตหนึ่ง และ
รู้สึกไร้ค่าหนึ่ง หากเห็นตัวเองมีค่า สามารถหา
อนาคตเอาใหม่ได้ ก็จะตัดเยื่อตัดใยทิ้งได้เหมือน
ถ่มเสลดออกจากปาก
แล้วหล่อนก็ฝากว่า เขาทำาร้าย แต่ไม่ได้
ทำาให้ค่าของชีวิตคุณน้อยลง จนกว่าคุณจะลดค่า
ของชีวิตตัวเองด้วยการเอาแต่หมกมุ่นร้องไห้
คิดถึงเขา
ลูกค้าสิบเอ็ดโมงครึ่ง
เป็นหนุ่มวัย ๓๐ ที่ต้องทนทำางานกับเพื่อน
ร่วมทีมที่ใจแคบ เปลี่ยนงานก็เจอแบบเคยๆ นี่ก็
กำาลังจะย้ายงานใหม่ อยากรู้ว่าจะต้องเจออีหรอบ
เดิมอีกหรือเปล่า
มะแมรู้สึกถึงความคิดอ่านเป็นเหตุเป็นผล
ของเขา เสียตรงที่อารมณ์รุนแรง ตรงไปตรงมา
แบบขวานผ่าซาก ปล่อยหลายคำาแข็งๆให้โพล่ง
ออกทางปากแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
มะแมได้แต่ชี้ว่าความขัดแย้งจะเป็นเงาตามตัว
คุณไปทุกที่ ถ้าไม่เลือกคำาพูดให้ดีหน่อย พอเวลา
ผ่านไป เขาจะจำาได้แต่ว่าคุณด่าเขา แต่จำาไม่ได้
ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
และหล่อนก็เปลี่ยนมุมมองเขา ด้วยการชี้ว่า
เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ใจแคบอะไร
แต่เป็นพวกลมเพลมพัดตามอารมณ์ เปิดใจกว้าง
แบบไร้หลักยึด ไม่ใช่เปิดใจกว้างอย่างมีจุดยืน
เหมือนเขา ขอเพียงเขาใจเย็นและทำาให้คนเหล่า
นั้นเห็นจุดยืนถนัดกว่านี้ ก็อาจไม่ต้องเดือดร้อน
วิ่งเต้นเปลี่ยนงานอีก
ลูกค้าบ่ายโมง
เป็นสาววัย ๓๐ เศษที่ช่วยกันสร้างเนื้อสร้าง
ตัวมากับสามี ทีแรกก็ซื่อสัตย์ต่อกันดี แต่นานไป
พอสามีเดินทางบ่อยก็ชักเหงา เพื่อนบ้าน
พยายามเป็นหมาหยอกไก่พักเดียวก็เสร็จเขา
เจ้าหล่อนมาพบมะแมเหมือนอยากหาคน
ช่วยไถ่บาปให้มากกว่าอย่างอื่น เพราะเรื่องน่า
อดสูนี้เล่าให้ใครฟังไม่ได้เลยแม้แต่แม่ของตัวเอง
ทราบล่วงหน้าทีเดียวว่าแม่จะด่า ซ้ำาเติม และไม่มี
วันให้อภัย
มะแมดูแล้วว่าสาวเจ้าสำานึกผิดและเสียใจ
จริงๆ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นบนเตียงที่นอนร่วม
กับสามีมาตลอด ดังนั้น หลังจากแอบปลูกต้นงิ้ว
ไว้บนเตียงเสร็จ ทุกครั้งที่ล้มตัวลงนอนกับสามี
จะเหมือนมีแผลใหญ่ที่แผ่นหลัง กระสับกระส่าย
ไม่อาจนอนสบายได้เต็มหลังอีกเลย แม้จะเอา
ผ้าปูที่นอนไปเผาและซื้อใหม่มาเปลี่ยนสักกี่ผืน
ก็ตาม
มะแมปลอบว่า ความผิดในอดีต ชดใช้ได้
ด้วยการป้องกันความผิดในอนาคตและเพื่อจะ
ป้องกันความผิดในอนาคตอย่างได้ผล ก่อนอื่น
ต้องฝึกอภัยตัวเองให้เป็น เพื่อจะได้เยือกเย็นพอ
จะมีสติคุมตัวเองให้อยู่ในวินัยกับก้าวต่อๆไปได้
อย่างสบายใจ ไม่ใช่ก่นด่าตนเองจนขาดความ
เชื่อมั่นเหมือนอย่างนี้
สรุปสั้นๆ บทเรียนจากความพลาดพลั้ง คือ
อย่าทรมานใจเลย แต่ก็อย่าปล่อยใจอีก
ลูกค้าบ่ายโมงครึ่ง
เป็นชายวัยเบญจเพสหน้าตากลัดกลุ้ม เล่า
ว่าตลอดมาจะกลัวบาปกลัวกรรม แต่เป็นความ
กลัวที่งอกเงยมาจากความเชื่ออย่างเดียว ช่วง
หลังๆมีเพื่อนชวนทำาตัวเหลวแหลก ถ้าไม่ทำาตาม
ก็เข้ากับกลุ่มไม่ได้ จึงหลงๆไปพักหนึ่ง ไหลลงไป
ทำาเรื่องเลวๆหลายอย่าง ทั้งมั่วยา ทั้งมั่วหญิง ทั้ง
มั่วพนัน
พอเรื่องแดงให้ที่บ้านรู้ คุณยายที่เลี้ยงตน
มาก็เสียใจ ร้องไห้ เป็นลมล้มหมอนนอนเสื่อ แล้ว
ทำาท่าเหมือนจะตรอมใจตาย จึงสำานึกผิด กลัว
บาปกลัวกรรมขึ้นมาใหม่ อยากรู้ว่าจะต้องตก
นรกหมกไหม้ไหม
มะแมตอบว่านรกสมควรกับคนเลว วิธีหนึ่ง
ที่ใช้สำารวจและตัดสินว่าเรากำาลังเป็นคนดีหรือคน
เลว ให้คำานึงว่า ความเลวที่สำานึกได้คือสมบัติ
ของคนดี ความดีที่กลับกลอกได้คือสมบัติของคน
เลว
ลูกค้าบ่ายสองโมง
เป็นหญิงวัย ๔๐ หน้าเก่าที่เคยมาขอคำา
ปรึกษาจากมะแมไปเมื่อปีกลาย เธอรายงานว่า
เริ่มลดความเกลียดชังคนรอบข้าง ที่มักเนรคุณ
หรือไม่ก็ลืมบุญคุณคน และที่ลดความเกลียดได้ก็
เพราะทำาตามคำาแนะนำาของมะแม คือ ฝึกช่วย
เหลือ ฝึกให้ทาน ด้วยการไม่คิดว่าจะเสียแรงให้
ใคร ไม่คิดว่าจะเอาข้าวของไป "ให้ " ใคร แต่คิด
ว่าไป "เอา" ความสุข ความสบายใจ และบุญ
ใหญ่มาจากพวกเขาแทน
เธอหัดสังเกตเปรียบเทียบความรู้สึกทางใจ
จนเริ่มรู้สึกถึงจิตใจที่ปลอดโปร่งขึ้นเมื่อละความ
ตระหนี่ถี่เหนียวเสียได้ เหมือนปัดกวาดหยากไย่
และสิ่งหมักหมมออกจากห้องหับของตน กระทั่ง
เห็นจริงเห็นจัง เข้าใจซึ้งว่า ได้ตั้งแต่ให้ ไม่ใช่ให้
แล้วต้องรอว่าเมื่อใดจะได้คืนเสียที
นอกจากมาขอบคุณ วันนี้เธอให้มะแมช่วย
ตัดสินใจว่าควรร่วมธุรกิจกับเพื่อนรักหรือไม่ เมื่อ
มะแมส่องดู ก็พบว่าทั้งคู่เหมือนคนทั่วไป ที่ได้ชื่อ
ว่าเป็นเพื่อนเพราะมีแต่เรื่องคุยเจ๊าะแจ๊ะและเรื่อง
เที่ยวสรวลเสเฮฮา แต่จะหมดความเป็นเพื่อน
ทันทีเมื่อมีเรื่องผลประโยชน์ ได้เปรียบเสียบ
เปรียบเข้ามาเกี่ยวข้อง
มะแมจึงแนะเป็นกลางๆว่า เพื่อนมีไว้คิด
แบ่งปันว่านี่ของเธอ หุ้นส่วนมีไว้คิดแบ่งแยกว่านี่
ของใครถ้าทำาใจได้ว่าเพื่อนกำาลังจะหายไป หุ้น
ส่วนกำาลังจะมาแทน ก็เอาเลย ไว้มีปัญหาอะไร
ค่อยแก้กันทีหลัง
ลูกค้าบ่ายสองโมงครึ่ง
เป็นหญิงวัยเกือบ ๕๐ เข้ามาถึงก็ฟูมฟาย
ถามว่าชาติก่อนเคยทำากรรมอะไรมา ทำาไมถึงถูก
ทำาร้ายจิตใจด้วยคำาพูดเป็นประจำา มะแมใช้ตากับ
หู โดยแทบไม่ต้องอาศัยสัมผัสทางจิตใดๆ ก็รู้ว่า
ยายเจ๊คนนี้เป็นโรคขี้สงสารตัวเองอย่างแรง
ได้ยินอะไรแค่นิดหน่อยก็หาว่าคนอื่นด่า หาว่าคน
อื่นคิดไม่ดีกับตน
มะแมชี้แจงว่า ใจที่หดหู่ กับกิริยาท่าทางที่
ห่อเหี่ยว คือตัวดึงดูดเสียงด่าชั้นดี ยิ่งจ๋อง ยิ่ง
เศร้า ยิ่งสงสารตัวเองเท่าไร ก็ยิ่งกระตุ้นให้คน
อยากด่าเท่านั้น นั่นก็เพราะเราทำาให้พวกเขา
พบเห็นภาพไม่เจริญหูเจริญตา หรือกระทั่งดึงจิต
ให้ตก ทำาลายพลังความสดใสในตัวเขา เขาจึง
อยากว่าเอา
ลูกค้าบ่ายสามโมง
เป็นหญิงวัย ๒๐ ปลายๆ หน้าตาเอาเรื่อง
พกพาความเครียดเข้ามาด้วยกระบุงหนึ่ง เปิด
ฉากก็เล่าว่ามีกรรมมีเวรกับผู้ชายคนหนึ่ง อยากรู้
ว่าจะต้องมีไปถึงไหน
คำาถามทำานองนี้มะแมได้ยินบ่อยราวกับ
ถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน แล้วก็แปลกแต่จริงที่
คนถามนั่นแหละ เป็นคนไปตอแยกับอีกฝ่ายเอง
อยากหาเรื่อง อยากเอาเรื่องไม่เลิกเอง เหมือน
อีกฝ่ายยังเป็นหนี้ความดีของตน ตนยังไม่ได้รับ
รางวัลที่คุ้มค่าหรือคู่ควรเลย
มะแมบอกว่าแม้เจตนาดี เราก็อาจพูดหรือ
แสดงออกด้วยท่าทีบังคับข่มขู่ จนดูกลายเป็น
ประสงค์ร้าย หรือหมายจะบีบให้เขาเป็นลูกไล่ที่
อยู่ในอำานาจ อย่าว่าแต่ถ้าจะต้องเถียงกันเอาผิด
เอาถูก อย่างไรก็ต้องหัวชนฝาพาตัวเองไปถึงเส้น
ชัยก่อนให้จงได้
ทางที่ดีแล้ว อย่าพยายามเอาชนะผู้ชาย
ด้วยการเป็นชายในร่างหญิง เพราะผลสุดท้ายจะ
เหลือแต่หญิงที่แพ้ภัยตัวเองคนหนึ่ง จมทุกข์อยู่
กับชีวิตที่ไม่สมตัวไปจนตาย
ถ้าเลิกคิดเอาชนะด้วยฝีปาก แต่ฝึกชนะใจ
ชายด้วยความดีและความนุ่มนวลแบบหญิง จึง
ถึงเวลา "หมดเวร" กับผู้ชาย กลายเป็น "ต่อ
บุญ" กับเขาได้อย่างแท้จริง
ลูกค้าบ่ายสามโมงครึ่ง
เป็นผู้ชายท่าทางเด๋อด๋า โผล่มาเอาสอง
นาทีก่อนสี่โมง หยิมจึงต้องใช้มาตรการใจแข็ง
บอกให้กลับไปก่อนแล้วค่อยนัดใหม่อีกที คิวว่าง
อีกประมาณ ๓ เดือนข้างหน้า แม้ลูกค้าจะทำาท่า
ฮึดฮัดอย่างไร หยิมก็ไม่อาจยินยอมอะลุ้มอล่วย
เนื่องจากลูกค้าบ่ายสี่โมงเข้าไปในห้องแล้ว
ลูกค้าบ่ายสี่โมง
เป็นเด็กสาวมากับคุณแม่ ขอคำาปรึกษา
เรื่องจะสอบเข้าคณะอะไรดีถึงจะเหมาะ และจะ
สอบติดมหาวิทยาลัยดีๆกับเขาบ้างไหม
มะแมยังไม่ทันตั้งจิตนิ่งพอจะดูให้ คุณน้องก็
บ่นแล้ว หนูว่าไม่เป็นธรรมเลยนะ ช่วงวัยที่กำาลัง
สับสนที่สุดในชีวิต ชีวิตดันบีบให้เลือกเส้นทางที่
สำาคัญที่สุด
แปลกที่มะแมฟังคำาบ่นซื่อๆจากเจ้าทุกข์เช่น
นั้นแล้ว ก็บังเกิดความคิดคล้อยตาม และนึก
สงสารทุกชีวิตบนโลกขึ้นมาอย่างจับใจ กระทั่ง
เกิดแรงบันดาลใจจะบอกเด็กสาวสั้นๆว่า เลือก
ทางเรียนรู้ตัวเองให้ถูกอย่างเดียว แล้วจะเลือก
ทางชีวิตที่เหลือได้ไม่พลาดเลย
ลูกค้าบ่ายสี่โมงครึ่ง คนสุดท้ายของวัน
เป็นผู้หญิงมาดดี เดาอายุยาก ท่าทาง
เหมือนเป็นเจ้าคนนายคน คือเป็นฝ่ายว่าคนอื่น
สั่งคนอื่น ไม่ใช่จะยอมให้คนอื่นมาต่อว่าหรือสั่ง
การตน
แต่ทันทีที่อ้าปากเล่าปัญหา ทุกอย่างก็เป็น
ตรงข้ามสิ้น เธอขึ้นต้นด้วยคำาถามชัดถ้อยชัดคำา
ว่าชาติก่อนไปทำาอะไรมา ถึงต้องตกเป็นฝ่ายถูก
กระทำาอยู่ร่ำาไป
มะแมชี้แจงว่าพวกที่สมควรถามเรื่องชาติ
ก่อนไปทำาอะไรมา คือพวกเกิดมาไม่มีทางเลือก
อย่างเช่นเด็กที่ถูกขายเข้าตลาดค้ามนุษย์ ส่วน
คนธรรมดาทั่วไปที่มีสิทธิ์เลือกทางให้ตัวเอง พอ
เป็นฝ่ายถูกกระทำา ก็สมควรถามตัวเองง่ายๆว่า
ชาตินี้เคยเป็นฝ่ายทำาใครไว้อย่างนี้บ้างหรือเปล่า
ถามตัวเองทุกครั้ง เดี๋ยวจะค่อยๆนึกออก
เป็นลำาดับขึ้นมาเอง และเมื่อนึกออกว่าเราก็เคย
เป็นฝ่ายกระทำาคนอื่นไว้เหมือนกัน บ่อยเข้าจะ
ซึมซาบว่า เรื่องกงกรรมกงเกวียนนั้นไม่จำาเป็น
ต้องรอพิสูจน์กันข้ามชาติ เมื่อคิด พูด ทำาแบบใด
บ่อย ก็เกิดแรงดึงดูดให้คนมากระทำากับเราใน
แบบที่สอดคล้องกันไปเอง
ฟังแค่นั้น เธอก็ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าตอน
สาวๆเธอแค่ทารุณจิตใจผู้ชายที่มาหลงชอบ เหตุ
ใดพอมีสามีจึงโดนทารุณทรมานทั้งร่างกายและ
จิตใจขนาดนี้
มะแมอึ้ง และอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้น อาจ
เป็นผลของกรรมแต่ปางก่อนก็ได้ หรือเป็นผลของ
กรรมในชาตินี้ที่รวมตัวกันได้มากพอ ยากจะคะเน
หรือคาดเดาด้วยความคิด ขอให้มองเป็นภาพ
คร่าวๆให้เข้าใจก็แล้วกัน เมื่อเราเห็นคนรักเป็น
ทาสได้ วันหนึ่งก็ถูกสิ่งลึกลับบีบให้รักคนที่เขา
เห็นเราเป็นทาสได้
มะแมเห็นเจตนาอันเป็นบาปใหม่ที่ซุกซ่อน
อยู่ในใจเธอ หยั่งรู้ว่าเธอกำาลังรอความใจเด็ดของ
ตนเอง วันไหนใจเด็ดพอ วันนั้นคือวันตายของ
สามีและตัวเธอเองพร้อมกัน!
จึงได้แต่เตือนแบบดักใจว่า ผลของความ
เคียดแค้นคือใจที่ดำา และสิ่งเดียวที่เธอจะได้รับ
จากความตายในขณะใจดำาคือภพที่มืด ขณะนี้เธอ
ยังอยู่ในภพสว่าง มีทางออกที่สว่างได้ง่ายกว่า
ภพมืดมาก
มะแมเล็งดูเห็นฝ่ายชายเหมือนเป็นโรคจิต
ไปแล้ว บันดาลโทสะแล้วยั้งมือไม่อยู่ท่าเดียว ก็
จนปัญญาจะให้แนะทางออกอื่น เหลือแค่ทาง
เลือกสุดท้ายคือเลิกกันดีๆเถอะ แม้ขอหย่าแล้ว
ถูกตามฆ่า ก็ยังดีกว่าอยู่กันแล้วต้องเป็นฝ่าย
ลงมือฆ่าเสียเอง
เย็นวันนั้น มะแมกำาลังนั่งอ่าน
หนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่หูก็เงี่ยฟังเสียง
หนุงหนิงระหว่างเด็กในอุปการะของหล่อนกับเด็ก
ลูกจ้างไปด้วย
"น้องอิ๊กไม่ต้องค่ะ ไปนั่งกับพี่มะแมไป"
"แต่น้องอิ๊กอยากช่วยพี่หยิมทำากับข้าวนี่
คะ"
"วันนี้ทำาแค่นิดเดียวค่ะ พี่หยิมทำาคนเดียว
พอ"
"อิ๊กจะเป็นลูกสมุนของพี่หยิม"
"โห! ลูกสมุนหน้าตาดีนะคะเนี่ย หุ่นไม่ให้
เลย อ้ะ! งั้นหยิบขวดซีอิ๊วให้พี่หยิมหน่อย"
ริมฝีปากของหญิงสาวระบายยิ้มอย่าง
เป็นสุข สามคนในบ้านหลังเดียวกัน แม้ไม่มี
ความเกี่ยวดองกันฉันญาติ แต่บรรยากาศก็
บรรเจิดกว่าการรวมญาติเชื้อของหลายบ้านเป็น
ไหนๆ
เจอเรื่องเครียดของมนุษย์มาทั้งวัน พอมา
พบกับเสียงเสนาะโสตของ "คนในครอบครัว"
อย่างนี้ มะแมค่อยผ่อนคลายได้ยิ่งกว่าฟังดนตรี
สบายอารมณ์เสียอีก
เสียงของน้องอิ๊กเป็นเสียงเด็กที่น่ารักน่าฟัง
และเติมเต็มความรู้สึกมะแมได้ราวกับชีวิตเพศ
หญิงของหล่อนสมบูรณ์แล้ว เต็มตัวแล้ว รู้จักการ
อุปการะชีวิตอื่นแล้ว แม้จะยังไม่เป็นคุณแม่ด้วย
ตนเองก็ตาม
ไม่เคยลืม และระลึกถึงทุกครั้งที่มองหน้าอิ๊ก
อัคระส่งเด็กคนนี้มาให้ ...
เมื่อถามถึงอิ๊ก เขาบอกว่าอิ๊กมีเกณฑ์วิบาก
กรรมที่จะต้องถูกบีบคั้นให้ลงมือฆ่าตัวตาย แต่ก็
มีเกณฑ์รอดด้วยสิ่งลึกลับยื่นมือมาแทรกแซง กับ
ทั้งได้รับการช่วยเหลือในลักษณะเปลี่ยนชีวิตแบบ
ตายแล้วเกิดใหม่ หักเหจากวิกฤตจนตรอกเป็น
โอกาสแก้ตัวใหม่
หมายความว่าคืนนั้น ถ้าไม่ใช่มะแม ก็ต้อง
เป็นคนอื่น แต่เมื่อมีหล่อน ก็ไม่มีใครไหน
อัคระคำานวณให้แล้วว่าระหว่างหล่อนกับอิ๊ก
เป็นประเภทมีกรรมสัมพันธ์แบบผลัดกันอุปถัมภ์
เมื่ออิ๊กรอดตายจากอัตวินิบาตกรรมในวัยเด็ก ก็
จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีบทบาทสำาคัญกับโลก
ใหม่ต่อไป โดยพัฒนาตัวเองไปได้ถึงระดับ ๔
เท่ากับหล่อนตอนนี้
เมื่อย้อนถามว่าอิ๊กจะย้อนกลับมาอุปถัมภ์
หล่อนอย่างไร เขาพูดแค่ครึ่งๆกลางๆ ทำานองว่า
เขาเองก็เห็นไม่ชัดนัก
มะแมรู้สึกขึ้นมาเป็นแวบๆว่าเขาเห็นชัด แต่
ทำาไมไม่พูดก็ไม่รู้
เรื่องของอนาคตของน้องอิ๊กนั้นช่างไว้ก่อน
เถอะ ไม่รู้ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าในปัจจุบันหล่อน
พิศวาสแทบขาดใจก็พอ
แต่เรื่องปัจจุบันของหล่อนเองนี่สิ ...
มือซ้ายคลึงโทรศัพท์ไทเทเนียมมาพักใหญ่
นึกอยากคุยกับบอส และหวังว่าการสัมผัส
โทรศัพท์จะเป็นการส่งสัญญาณเรียกขอที่ได้ผล
แต่ผลคือความเงียบเชียบไร้การตอบสนองใดๆ
น่าแปลกอยู่อย่าง แทนที่อัคระจะสั่งให้ทิ้ง
ขว้างโทรศัพท์ที่เป็นเสมือนเครื่องผูกมัดหล่อนไว้
กับคู่แข่งกลายๆ เขากลับบอกหน้าตาเฉยว่าให้
เก็บไว้ เผื่อวันหนึ่งเซธอยากติดต่อมา จะได้ไม่
เลือกวิธีอื่น และเขาก็ไม่อยากให้เซธนึกเขม่น
หล่อนด้วย อำานาจของเซธน่าครั่นคร้ามเกินกว่า
จะท้าทายเล่น
การเงียบเสียง ไม่ยอมติดต่อมาอีก ทำาให้
มะแมมองว่าที่ผ่านมาบอสแค่แกล้งให้อัคระเสีย
เส้นจริงๆ พอบีบให้อัคระเปิดเผยตัว มาคบกับ
หล่อนสำาเร็จ ก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ อ้อนวอน
ด้วยจิตและฝ่ามือเท่าไรก็ไม่ไยดีตอบสนองเลย
ส่วนลึกรู้สึกว่าบอสยังไม่ไปจากชีวิตหล่อน
วันหนึ่งเมื่อถึงเวลา เขาจะกลับมาอีก
มะแมละสายตาจากหนังสือพิมพ์เมื่อหยิม
กับอิ๊กทยอยนำาจานอาหารเย็นมาวางบนโต๊ะ
หยิมเลือกเมนูง่ายๆเป็นเส้นหมี่ผัดขี้เมาหมูโปะไข่
ดาว พร้อมแกงจืดเต้าหู้ กลิ่นหอมจากจานร้อน
ชวนให้รู้สึกหิวกว่าความเป็นจริง ฝีมือครัวของ
หยิมดีขึ้นทุกวัน หลังจากฟังหล่อนติโน่นทักนี่มา
เรื่อยๆ
"ท่าทางจะอร่อยกว่าอาทิตย์ก่อนแน่ๆ"
ชมก่อนชิม มะแมหมายถึงครั้งล่าสุดที่หยิม
ทำาเมนูนี้
"น้ำามันไม่เยิ้มแล้วใช่ไหมคะพี่ ?"
"อือม์ ! ดีมาก"
ขยับช้อนจะตักคำาแรก เสียงโทรศัพท์มือถือ
ก็ดังขึ้นเสียก่อน มะแมเดินไปคว้ามันมาจากโต๊ะ
พลิกดูหน้าจอเห็นเป็นสารวัตรกฤษฎาก็กดปุ่มทัก
เสียงใส
"สวัสดีค่ะพี่กฤษฎา"
"น้องมะแมเหรอ สะดวกคุยหรือเปล่า"
"ได้ค่ะ"
"เอ่อ... เกรงใจน้องมะแมมากเลยนะ แต่
คืนนี้ขอรบกวนหน่อยจะไหวไหม ด่วนนิดหนึ่ง"
มะแมระลึกถึงความห่วงใยและน้ำาใจของ
นายตำารวจใหญ่ ที่อุตส่าห์บึ่งรถมาช่วยดู
สถานการณ์ถึงบ้านหล่อนในคืนวิกฤต ด้วยความ
กระวนกระวายเกรงหล่อนจะตกอยู่ในอันตราย
เมื่อระลึกเช่นนั้นแล้ว หล่อนก็เอ่ยด้วยน้ำาเสียง
หนักแน่นอย่างเต็มใจทันที
"บอกมาเถอะค่ะ มะแมช่วยพี่เต็มที่
แน่นอน!"
"พี่นับถือกันกับคุณหญิงของรัฐมนตรีท่าน
หนึ่ง ตอนนี้กำาลังมีปัญหาแบบว่า ยังไงดี ... จิตใจ
แกไม่ค่อยสบาย โรคเครียด โรควิตก เห็นอะไร
หลอนๆเพ้อเจ้อน่ะ"
หญิงสาวค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา ใบหน้าสว่าง
ขึ้น
"เธอชื่ออะไรคะ?"
"คุณหญิงรักสุรีย์ ... คืองี้ แกว่าหมอไม่
เข้าใจแก แกเห็นผีจริงๆ แต่โดนให้ยาระงับ
ประสาท ระงับอาการหลอน แกไม่ยอม มา
ปรึกษาพี่ จะให้หาคนทรงเจ้าหรือหมอผีอะไรให้
พี่เลยคิดว่าปรึกษาน้องมะแมจะเหมาะกว่า ขืนพา
ไปหาพวกไสยศาสตร์ ดีไม่ดีโดนมันต้มจะยิ่ง
หนัก"
"เข้าใจแล้วค่ะ แล้วจะให้มะแมช่วยยังไง
ดี ?"
"พี่โฆษณาสรรพคุณของน้องมะแมจนแก
อยากเจอด่วน แต่รู้ว่าคิวน้องมะแมคงไม่ว่างเร็วๆ
นี้ และคุณหญิงก็ร้อนใจ เอ่อ... คืนนี้ ..."
"ได้เลยค่ะ! พี่กฤษฎาช่วยส่งแฟกซ์แผนที่
บ้านคุณหญิงรักสุรีย์มาแล้วกัน มะแมจะออกไป
พบท่านคืนนี้เลย"
มีเสียงถอนใจโล่งอกมาจากนายตำารวจ
"หวังว่าพี่คงไม่เป็นต้นเหตุให้น้องมะแม
ต้องเหนื่อยเกินกำาลังนะ พวกเจ้าใหญ่นายโตก็งี้
แหละ คำาว่ารอไม่มีอยู่ในหัว"
"ไม่เป็นไร พอดีวันนี้ร่างกายพร้อมอยู่ค่ะพี่ "
"โอเค! ถ้าได้อย่างนั้นก็ขอบคุณมากๆ"
"ส่งแผนที่มาเลยค่ะ จดเบอร์แฟกซ์ของ
มะแมนะคะ..."
มะแมตื่นเต้นไม่น้อย ก็อัคระบอกหล่อนไว้นี่
นา ว่ากำาลังจะมีช่องทางเข้าหานักการเมืองคน
สำาคัญ ถ้าเป็นไปตามแผนเดิมของชะตากรรม
นักการเมืองคนนี้ไม่จำาเป็นต้องโคจรมาพบหล่อน
แต่หากหล่อนอยากจะช่วยกันเปลี่ยนโลก
ร่วมกับเขา ก็ต้องเล่นนอกแผนเก่า ด้วยการ
กำาหนดชะตากรรมให้นักการเมืองคนนี้เสียใหม่ !
นักการเมืองคนนี้ฉลาด ถ้าคิดปฏิรูป
การเมือง ก็มีศักยภาพพอจะเป็นชนวนสำาคัญยิ่ง
กว่าจุดพลุให้เห็นลางสวยได้ เสียดายแต่ว่ายังไม่
เคยคิด และไม่มีแก่ใจพยายาม ด้วยเพราะรู้สึกว่า
บ้านเมืองไม่ใช่ของตนคนเดียว จึงไม่ใช่ธุระของ
ตนคนเดียวเหมือนกัน
คล้ายโลกโคลงเคลงวูบวาบออกมาจาก
ภายใน ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนกำาลังจะเริ่มก้าวแรก
ให้ความร่วมมือกับคนรัก ช่วยเขาเปลี่ยนโลกอยู่
เดี๋ยวนี้แล้ว

______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๔
รถคันเล็กจ้อยของมะแมคลานผ่านประตู
โค้งเข้ามา ดูไม่เข้ากันนักกับหมู่บ้านโอ่อ่าอัคร
ฐานย่านรามอินทรา-เอกมัย ที่ราคาเริ่มต้นกัน
หลังละหลายสิบล้าน และจบสูงสุดที่เกือบสอง
ร้อยล้านแห่งนั้น
สิ่งก่อสร้างทั้งหมด นับแต่ป้ายชื่อหมู่บ้าน
บนหินอ่อนหลังน้ำาพุใหญ่ รูปปั้นกับเสาแบบกรีก
โรมัน หมู่ปาล์มเรียงตัวเป็นแนวกว้าง ไล่เรื่อยไป
จนถึงกำาแพงสูงสง่าที่ล้อมรอบอาณาเขตนับร้อย
ไร่ คล้ายยินดีต้อนรับให้รถหรูยืดอกสมฐานะ แต่
เชิดหน้าเบ่งให้รถต๊อกต๋อยช่วยทำาตัวลีบอย่าง
เจียมหน่อย
เมื่อผ่านเข้ามาข้างใน ความจอแจวุ่นวาย
ภายนอกหายไป กลายเป็นทางเรียบเงียบสงบ
สะอาดตา ประดับโคมไฟสวยส่องให้เห็นพรรณ
ไม้ในภูมิสถาปัตย์งามวิจิตรโดยรอบ มะแมรู้สึก
ราวอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาถึง และ
หล่อนก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่มีสิทธิ์เข้ามายล
เพียงชั่วคราว
ลึกเข้ามาเล็กน้อยเป็นด่านแลกบัตร พอ
มะแมหยุดรถลดกระจกลง หนุ่มหน้าแขกในชุด
รปภ. ก็ยื่นหน้ามาถามด้วยความสุภาพ แต่เข้ม
แข็งอยู่ในที
"มาพบท่านใดครับ?"
หญิงสาวอึกอัก ลืมถามสารวัตรกฤษฎาให้รู้
ว่ารัฐมนตรีเจ้าของบ้านชื่ออะไร รปภ. จะรู้จักหรือ
เปล่าก็ไม่ทราบ
"คือ... จะไปบ้านคุณหญิงรักสุรีย์น่ะค่ะ"
แทนการทำาหน้าสงสัยไม่รู้จักดังที่มะแม
เกรง หนุ่ม รปภ. รีบหันไปผายมือชี้ทางประกอบ
คำาอธิบายทันที
"วิ่งตรงไปจนเห็นป้ายซอยแปด เลี้ยวขวา
หลังที่สามนะครับ คุณผู้หญิงกรุณาแลกบัตรด้วย
ครับ"
มะแมเบิกตานิดหนึ่ง ดูท่าทุกคนในหมู่บ้าน
นี้จะมีตัวตน มีความสำาคัญกันหมดกระมัง
บ้านของคุณหญิงรักสุรีย์เป็นแบบสแปนิช
ตระหง่านอยู่ในอาณาเขตสองไร่ เปิดไฟสว่างโร่
เมื่อหล่อนมาจอดเทียบด้านหน้า ก็มีเด็กลูกจ้าง
มาพาหล่อนเข้าข้างใน ผ่านโถงวงกลมแล้วแยก
ขวาตัดไปสู่ห้องรับแขก ซึ่งแลโปร่งด้วยพื้นที่
กว้าง ฝ้าเพดานสูงห้อยโคมระย้าคริสตัลขนาด
ใหญ่ตื่นตาชวนพิศ เดาว่าแค่โคมระย้านั้นก็ต้อง
เกินล้านแล้วแน่ๆ
แม้ห้องรับแขกจะฉายบารมีเจ้าของด้วย
เครื่องตกแต่งราคาแพง แต่การออกแบบก็ให้
ความรู้สึกอบอุ่น เรียบหรูดูได้นาน อยู่ได้จริง น่า
จะเป็นฝีมือมัณฑนากรค่าตัวสูง ไม่ใช่ขนเครื่อง
เรือนเข้ามาวางตามใจชอบ เพราะทุกชิ้นเข้า
กันลงตัวเป็นหนึ่งเดียว ไม่แปลกแยกจากกันเลย
โซฟาที่เด็กพาหล่อนมาหย่อนร่างลงนั่งนั้น
นุ่มนิ่มราวกับอาสน์ทิพย์ เด็กอีกคนนำาน้ำาส้ม
เย็นๆใส่แก้วเจียระไนมาให้ มะแมขอบคุณและรับ
มาจิบ แม้แต่น้ำาส้มคั้นก็รสหวานชื่นใจ อะไรๆดูดี
มีระดับไปหมด
ครู่หนึ่ง คุณหญิงวัย ๕๐ ผิวขาว หน้าตา
อวบอูมอย่างคนมีอันจะกิน ก็เดินเข้ามาในห้อง
ด้วยท่วงทีสง่าผ่าเผย ในชุดกระโปรงลำาลองเนื้อ
ผ้าพลิ้วไหว มะแมลุกขึ้นพนมมือไหว้ ซึ่งฝ่ายนั้นก็
รับไหว้พร้อมเอ่ยทัก
"สวัสดีจ้ะ นายกฤษบอกว่ายังสาว แต่ไม่
นึกว่าดูเด็กขนาดนี้นะ"
สำาเนียงเจืออยู่ด้วยอารมณ์แปลกใจ เหมือน
ไม่อยากเชื่อมือชอบกล ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่มะแมชิน
ชาเสียแล้ว ได้แต่อมยิ้มนิ่งสงวนท่าทีอยู่
"หนูชื่ออะไรนะ?"
"มะแมค่ะ"
"เกิดปีมะแมเหรอ?"
"เปล่าค่ะ แต่พ่อแม่อยากให้ชื่อนี้ "
รวบรัดเป็นคำาสั้นๆให้กับคำาถามที่ต้องตอบ
มาทั้งชีวิต
รักสุรีย์นั่งลงและพยักหน้าเชิญให้คนอ่อน
วัยนั่งตาม
"รู้จักกฤษฎามานานหรือยัง?"
"เป็นปีแล้วค่ะ"
"เขาว่าเขาประทับใจหนูมากเลย งานของ
หนูนี่ยังไงเหรอจ๊ะ ดูหมอแบบนั่งทางในอะไร
อย่างนั้นหรือเปล่า?"
มะแมพิจารณาว่าคุณหญิงตราตั้งคนนี้ไม่ได้
ต้องการนักจิตวิทยาแน่ๆ จึงไม่อ้างถึงปริญญา
ประกาศนียบัตรอื่นใด นอกจากความสามารถที่
ฝ่ายนั้นต้องการ
"หนูใช้จิตสัมผัสช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าน่ะ
ค่ะคุณหญิง"
"งั้นเธอก็รู้น่ะสิว่าฉันกำาลังคิดอะไร"
เสียงลองเชิงนั้น ไม่กระตุ้นให้มะแมใคร่อวด
ฤทธิ์นัก เพราะอยากตัดตรงเข้าทำางานแก้ปัญหา
ทางใจของฝ่ายนั้นมากกว่า แต่ก็ทราบว่่าถ้าไม่
เลื่อมใส ใจก็ไม่เปิด งานอาจไม่เดิน หล่อนจึงทำา
ตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ
สัมผัสแรกรู้สึกถึงความเจ้ายศเจ้าอย่าง
สำาคัญตนเป็นนางพญา ยิ้มปรานีได้ถ้าถูกใจ แต่ก็
เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงพร้อมจะตวาดกราดเกรี้ยวได้
ทันทีเช่นกันถ้าฟังอะไรผิดหู
สัมผัสต่อมา มะแมรู้สึกถึงอารมณ์ที่ลึกลง
ไปจาก "หน้ากากคุณหญิง" เป็นความกังวล
ความเคร่งเครียดแบบคนธรรมดานอนไม่หลับ
เพราะกลัวอะไรบางอย่าง
อีกสัมผัสหนึ่ง มะแมรู้สึกถึงคลื่นความคิด
ชนิดที่รบกวนจิตใจหล่อนโดยตรง ซึ่งแน่นอน มัน
หมายถึงความสงสัยไม่นึกอยากเชื่อ ตลอดจน
ระแวงอะไรไปเรื่อย ประสาคนระวังตัวกลัวถูก
หลอก
มะแมปล่อยใจให้นิ่งสบายรับรู้คลื่นรบกวน
ชนิดนั้น จับได้ว่ามีกระแสเผื่อไปทางสารวัตร
กฤษฎาด้วย จึงรวมสรุปเป็นคำาตอบว่า
"คุณหญิงสงสัยว่าสารวัตรกฤษฎาเห็นดี
อะไรในตัวเด็กเมื่อวานซืนอย่างหนู ถึงส่งมาให้คำา
ปรึกษาปัญหาขั้นคอขาดบาดตายกับคุณหญิงได้ "
สีหน้าเคร่งเล็กๆของรักสุรีย์คลายลง อันที่
จริงหล่อนเคยพบพวกมีความสามารถทางในมา
หลายเจ้า จึงไม่ค่อยประหลาดใจกับเรื่องสัมผัส
พิเศษเท่าใดนัก แต่ประหลาดใจกับความสามารถ
ของเด็กรุ่นลูกมากกว่า
"ก็จริงแหละ โทษกันไม่ได้นะ อย่างหนูนี่ดู
แล้วหุ่นไม่ค่อยให้เล้ย ความจริงมีคนที่ฉันนับถือ
ให้พึ่งพาอยู่หรอก เสียแต่ว่าพักหลังนอนโรง
พยาบาลตลอด แล้วก็ฟังความหรือพูดจาไม่ถนัด
เหมือนที่ผ่านมา ฉันเลยต้องหาใครมาช่วยไป
พลางๆก่อน"
เป็นคำาพูดไว้เชิง เหมือนจะให้โอกาสมะแม
พิสูจน์ตัว ถ้าแน่จริงถึงค่อยชื่นชมกัน
ใจของมะแมนิ่งเย็นเป็นน้ำา หล่อนผ่านทีท่า
ชนิดนี้ของลูกค้ามามาก ประเภทอยากได้ความ
ช่วยเหลือ แต่ก็ยโสโอหังข่มกัน เพื่อให้รู้สึกว่าตน
ยังเหนือชั้นอยู่เสมอ
"คุณหญิงพอจะเล่ารายละเอียดของปัญหา
ให้มะแมฟังได้ไหมคะ?"
พยายามตัดตรงเข้าสู่ประเด็น ซึ่งตาม
สามัญสำานึกแล้ว อีกฝ่ายน่าจะพูดตอบกันดีๆ แต่
รักสุรีย์กลับแค่นหัวเราะพูดเฉไฉ
"ถ้าเป็นคนมีญาณสัมผัสแบบที่ฉันเคยเจอ
ไม่ต้องเล่าเลยนะเนี่ย แค่เดินเข้าไปนั่งตรงหน้าก็
ทักและให้คำาแนะนำาได้หมดแล้ว ไม่ต้องถามสัก
คำา"
หากป็นสมัยทำางานใหม่ๆ มะแมอาจถอดใจ
ลุกขึ้นเดินหนีไปเฉยๆ แต่ประสบการณ์ผ่านร้อน
ผ่านหนาวช่วยให้หนักแน่นเกินกว่าจะใส่ใจกับ
อารมณ์ไร้สาระของมนุษย์
พยายามคิดเข้าข้าง ปัญหาของคุณหญิง
อาจไม่ธรรมดา หรือมีประเด็นอ่อนไหวบางอย่าง
ที่เล่ากันซื่อๆไม่ถนัด
ด้วยจิตที่หนักแน่นไม่ขุ่นมัว มะแมเล็งที่อา
การยึกยักของรักสุรีย์ แล้วก็สัมผัสพบว่าเป็น
ปัญหาใหญ่ มีลับลมคมนัยให้ต้องซ่อนเร้นจริงๆ
เท่าที่ทราบจากสารวัตรกฤษฎาคือรักสุรีย์
เห็นผี แล้วก็เหมือนเกิดอาการทางจิตประสาท
มะแมจึงลองโยงอาการเครียด กังวล หวาดกลัว
เข้ากับการเผชิญหน้าปีศาจดู
ไม่ผิดแน่ มันเป็นอะไรปนๆกันระหว่างความ
หวาดกลัว ความเคียดแค้นชิงชัง และความวิตก
กังวลชนิดถึงเลือดถึงเนื้อ
หันมาจับกระแสจากนัยน์ตาเย่อหยิ่ง พร้อม
จะดูถูกคนของรักสุรีย์ ก็พบว่าลึกๆแล้วแฝงอยู่
ด้วยแววอำามหิตระดับตัดสินใจฆ่าคนได้ และด้วย
กระแสดังกล่าวนั่นเอง ที่มะแมใช้สาวลึกเข้าไปถึง
ต้นตอ พบเจตนาประทุษร้ายรุนแรงที่เพิ่งเกิดขึ้น
เมื่อไม่นาน
สืบกระแสมาถึงตรงนั้น นิมิตชัดเจนก็
ปรากฏขึ้นในห้วงมโนทวารโดยไม่ต้องหลับตา...
โดยคำาสั่งของคุณหญิงรักสุรีย์ มีสาวน้อย
นางหนึ่งถูกชายฉกรรจ์หลายคนรุมข่มขืน ก่อน
แขวนคอให้ขาดใจตายอย่างทรมานในเรือน
เปลี่ยว
เบื้องแรกมะแมเกือบตกใจ เพราะความ
แจ่มชัดชนิดนั้น เหมือนลากหล่อนเข้าไปมีความ
รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเหยื่อสาว สัมผัสถึง
ความจนตรอกคล้ายสัตว์น้อยถูกฝูงสัตว์ใหญ่รุม
ขย้ำา สัมผัสถึงความน่าสยดสยองขณะถูกบังคับ
ยกร่างขึ้นแขวนคอ สัมผัสถึงอาการดิ้นรนที่สูญ
เปล่าของเพศหญิงตัวคนเดียวในอุ้งมือเหล่า
ทรชน
มะแมเห็นภาพจากมุมสูง ที่เบื้องล่างเต็มไป
ด้วยชายหน้าเหี้ยมมองสวนขึ้นมาด้วยแววตา
ดุดัน รู้สึกถึงอาการอึดอัดทรมานจากการหายใจ
ไม่ออกที่ทวีตัวขึ้นทุกที โดยไม่อาจหลุดรอดไป
ไหนได้
ปิดตาลง ข่มความสงสารผู้หญิง ข่มความ
เกลียดชังนางปีศาจผู้บงการฆ่า ทำาใจเป็น
อุเบกขากับนิมิตบรรยากาศน่าสะพรึงกลัว การ
เคยเห็นน้องอิ๊กผูกคอตายมาก่อน บวกกับที่เคย
เห็นภาวะหลังความตายของแจ๊บมาแล้ว มีส่วน
ช่วยให้ไม่ตกตื่นเกินไปนัก
ก็แค่ความจริงที่ว่า ความตายไม่ใช่จุดจบ
และบางความตายหมายถึงฝันร้ายอันน่าขนพอง
สยองเกล้าเหลือประมาณ
หลังขาดใจตาย เกิดอะไรขึ้นกับหญิงชะตา
ขาดคนนั้น?
สัมผัสแรกคือความอาฆาตพยาบาท มัน
ท่วมท้นและมีกระแสเชี่ยวกราก อย่างที่ชวนให้
นึกถึงพลังถะถั่งของน้ำาตกที่มะแมเคยเอาตัวไป
ต้านเล่น เพียงแต่นี่ไม่ใช่น้ำาตกเย็นๆ แต่เป็นธาร
ลาวาร้อนๆแทน
ในความร้อนของมหาเพลิงพยาบาท
พลังจิตสาวสำาเหนียกถึงความเห็นแก่ตัวอย่างเลว
ร้ายที่เป็นพลังขับดันอยู่ และด้วยความสำาเหนียก
ถึงพลังชนิดนั้น จิตจึงรู้ขึ้นมาว่าหญิงผู้ประสบ
เคราะห์ หาเรื่องสร้างเคราะห์ให้ตัวเองด้วยการ
เป็นเมียน้อย แม้ถูกเตือน ถูกขู่ ก็ยังขืนดื้อด้วย
ความเชื่อมั่นเกินงาม
มะแมลอบระบายลมหายใจยาว ที่แท้ก็เป็น
เรื่องชู้เลือด จองเวรกันต่อ แม้ตัวตายไปแล้วก็ไม่
เลิก นับว่าน่าลำาบากใจเอาการ เพราะท่านี้แม้สืบ
ด้วยจิตจนเห็นต้นเห็นปลาย ก็ไม่ใช่จะมีทางออก
ช่วยแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นง่ายๆ
ตรึกตรองว่าจะคุยกับรักสุรีย์ท่าไหนถึงจะ
เหมาะ ชักบังเกิดความเห็นใจขึ้นมาจางๆ เพราะ
อย่างน้อยรักสุรีย์ก็เป็นฝ่ายเจ็บช้ำาก่อน ไม่ใช่อยู่
ดีๆนึกอยากประหัตประหารกันเล่นโดยขาดมูล
เหตุจูงใจ
คิดทั้งปิดตาอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เจ้าของ
สถานที่เข้าใจว่าหล่อนยัง "นั่งทางใน" ไม่เลิก
อยู่ร่วมบ้านกับศัตรูที่เกลียดชัง ยังง่ายกว่า
โดนวิญญาณอาฆาตหลอกหลอนกัน พอตายแล้ว
จะให้จูงมือมาเจรจารู้เหตุรู้ผลแบบมนุษย์มันไม่ได้
ชั่งน้ำาหนักดู ต่อให้ทำาสังฆทานอุทิศส่วน
กุศล ม่านพยาบาทของคุณเมียน้อยก็บังไว้ไม่ให้
มีแก่ใจรับเป็นแน่ จิตของเธอดิบ มืดทึบ แล้วกระ
แสความประสงค์ร้ายที่หนุนหลังก็เชี่ยวกราก
เหลือเกิน
มะแมไม่เคยเข้าโรงเรียนปราบผี แต่ก็เชื่อ
ว่าผีร้ายที่คอยรังควานคน ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นเอง
ลอยๆ แต่ต้องมาจากเหตุปัจจัยบางอย่าง ถ้า
ทำาลายเหตุปัจจัยนั้นได้ สภาพผีย่อมเสื่อมไปเป็น
ธรรมดา เช่นเดียวกับคนชั่วย่อมเปลี่ยนเป็นคนดี
เมื่อเหตุแห่งความชั่วถูกทำาลายลง
ก่อนอื่นใด หล่อนต้องเข้าใจให้ได้ว่าผีเมีย
น้อยตามจิก ตามหลอกหลอนรักสุรีย์ได้อย่างไร
ทำาไมบางคนฆ่าศัตรูด้วยความโหดเหี้ยม
เป็นสิบเป็นร้อย กลับไม่ถูกรบกวน แต่บางคนเช่น
คุณหญิงรักสุรีย์ ฆ่าเมียน้อยแค่คนเดียว ไฉนจึง
ถูกตามราวีได้ไม่เลิกรา?
ระลึกถึงฮั่นกับตุ่ย สองโจรที่เคยจับหล่อนจะ
เอาไปเชือดด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นสาย
ตำารวจ
ทั้งสองต้องเคย "ลงมือ" มาก่อนแน่ เพราะ
มีกระแสเพชฌฆาตให้รู้สึก เพียงแต่เป็นระดับ
สมัครเล่น ห่างจากขั้นมืออาชีพที่เลือดเย็น ฆ่าได้
โดยตาไม่กะพริบ
เลือกจับกระแสความเป็นเพชฌฆาตของฮั่น
หล่อนว่าอย่างมากก็ฆ่ามาไม่เกิน ๓-๔ ราย
เพราะก่อนฆ่ายังมีอาการละล้าละลัง ขณะฆ่ายังมี
อาการฝืดฝืนไม่อยากทำา และหลังฆ่ายังมีอาการ
สลดซึมตามมา
สัมผัสว่าคนที่โดนฮั่นเชือด ล้วนไม่รู้จัก
ผูกพันหรืออาฆาตแค้นต่อกันมาก่อน ขณะจะตาย
ก็เอาแต่ตกประหวั่นพรั่นพรึง นึกถึงพ่อแก้วแม่
แก้ว นึกถึงลู่ทางหลบหนีเอาตัวรอด นึกถึงเทวดา
ช่วยส่งปาฏิหาริย์มาช่วย ไม่มีแก่ใจผูกเจ็บ จึง
ไม่มีความอยากเอาคืนกับเพชฌฆาตที่ตนไม่รู้จัก
เป็นส่วนตัวเลย เมื่อตายจึงไปผุดเกิดตามกรรม
อันเหมาะสม ไม่ต้องติดวนเป็นวิญญาณอาฆาต
ให้เหนื่อยยาก
ต่างจากวิญญาณอาฆาตของเมียน้อย ที่
ก่อนตายเต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น รุกรานกัน
เล่นแง่เชือดเฉือนกัน ร้ายใส่กันกับคุณหญิงรัก
สุรีย์ เรียกว่าผูกสายโยงพันสายใยเหนียวแน่น
จนนึกถึงกันและกันได้ขึ้นใจ อีกทั้งก่อนตายก็
ทราบชัดว่างานนี้ใครเป็นคนสั่ง ความคุมแค้นจึง
มีทิศทางแน่วแน่มาก พุ่งมาที่รักสุรีย์เดี่ยวๆ
เท่าที่มะแมรู้สึกถึงใบหน้าสวยๆบวกความ
บ้าพลังในขณะเป็นมนุษย์ของคุณเมียน้อย ก็
แน่ใจว่าคุณเธอคงมีบุญเก่าแน่นหนา เมื่อตายไป
ทั้งบุญเก่ายังไม่หมด ย่อมฤทธิ์แรง หวนกลับมา
เล่นงานคนที่ตนผูกใจแค้นได้ไม่ยาก แต่ไม่อาจ
ทำากันโต้งๆเหมือนคนทำากับคน อย่างมากก็
หลอกหลอนขณะหลับ ซึ่งจิตคนหลับมีกำาลังอ่อน
แล้วก็อยู่ในภาวะพร้อมเห็นนิมิตปรุงแต่งต่างๆ
นานา
อาศัยกระแสบาปจากการสั่งฆ่าของคุณ
หญิงรักสุรีย์เป็นสื่อ เป็นประตู เป็นช่องทาง แค่
เธอกระแทกพลังแค้นคุกคามขวัญ หรืออยาก
แยกเขี้ยวทำาเขางอกหลอกหลอน จิตขณะหลับ
ของคุณหญิงก็จะเห็นตามนั้นอย่างไม่อาจหลีก
เลี่ยง
สรุปแล้ว อำานาจความผูกโยงกันด้วยความ
เกลียดชังคับแค้นนั่นเอง เป็นตัวแปร เป็นปัจจัย
เชื่อมให้จองเวรได้ถึงพริกถึงขิงขนาดนี้
แต่แล้ว ขณะหยั่งดูระดับความอาฆาตของ
วิญญาณเมียน้อย ฉับพลันมะแมก็สัมผัสถึงพลัง
ความฉุนเฉียวอย่างจะกินเลือดกินเนื้อของฝ่าย
นั้น คราวนี้แตกต่างจากการ "ดูอยู่ห่างๆ" เพราะ
รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอากาศ
รอบตัวที่ชวนให้หนาวสันหลัง คล้ายตกเข้าไปอยู่
ในมิติลี้ลับต่างจากธรรมดา
อันเนื่องจากเริ่มคุ้นเคยกับโลกวิญญาณ
มากขึ้น สาวสองโลกจึงทราบด้วยสัญชาตญาณ
ทางจิตว่าตัวจริงของเจ้าหล่อนที่ถูกฆาตกรรม ได้
มาวนเวียนอยู่แถวนี้เอง
มันเป็นความไม่รู้ของมะแม การจ่อใจสัมผัส
วิญญาณนานๆ เท่ากับไปสะกิดเรียกเขามา...
ปกติคนในโลกมนุษย์จะทักใครที่หันหลังให้
ก็อาจเอื้อมมือไปสะกิดให้รู้สึกได้ไม่ยาก แต่ใน
โลกวิญญาณง่ายกว่านั้น แค่ทำาความรู้สึกถึงอีก
ฝ่ายชัดๆและอยู่ในโฟกัสนานพอ จิตก็สัมผัส
ถึงกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าตัวกำาลังวน
เวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กับทั้งมีเรื่องให้อยาก
ติดต่ออยู่ด้วย
ฉับพลันมะแมก็รู้สึกคล้ายมีร่างแหหนักๆ
ร้อนๆไร้ตนเหวี่ยงมาครอบ ความนึกคิดและ
อารมณ์ภายในเปลี่ยนแปลงฉับพลัน อึดอัดคัด
แน่น อยากดิ้นพล่าน จิตใจอลหม่านอึงอลไปด้วย
คำาผรุสวาทสาปแช่ง ตลอดจนบังเกิดแรงขับดัน
หนักหน่วง ให้อยากลุกขึ้นเอาอะไรแทงๆๆ หรือ
ทุบๆๆคุณหญิงรักสุรีย์ให้ตายคามือ ตายใน
สภาพตาเหลือก ตายแบบนองเลือดน่าสยอง
เกล้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ !
ขนลุกทั้งตัว สติเลอะเลือนไปครู่หนึ่ง ก่อน
กลับวางจิตเป็นอุเบกขา กุมสติมั่นได้ใหม่
แม้เป็นประสบการณ์ครั้งแรก ก็ทราบทันที
ว่านั่นคือการพยายามเข้าครอบงำาด้วยอำานาจ
พลังอาฆาต มะแมเปิดประตูให้ก่อนโดยเอาใจไป
สัมผัสกระแสอาฆาต กระแสอาฆาตจึงได้ช่อง
กระแทกเข้าใส่เต็มเหนี่ยว หากหล่อนกำาลังอยู่ใน
ภาวะจิตอ่อน ฟุ้งซ่านหรือเหม่อลอยไม่เป็นโล้เป็น
พาย ก็คงเสร็จเหมือนกัน แต่ขณะที่ฐานสมาธิยัง
มั่นคงคลอนแคลนยากเยี่ยงนี้ พลังแปลกปลอมก็
เป็นแค่คลื่นกระแทกที่ซัดแรง แต่ทำาให้เสียหลัก
ล้มไม่ได้
ผีสิงเป็นอย่างนี้เอง ได้ยินมาแต่เด็ก เชื่อ
ครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอเจอเป็นประสบการณ์ตรงจึง
หายสงสัย
มะแมทราบด้วยสัญชาตญาณของสมาธิชั้น
ดีว่า แค่ไม่ปล่อยให้ความเกลียดครอบงำา แค่ไม่
ปล่อยให้ใจฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิง มีสติอยู่กับเนื้อ
กับตัว ไม่ว่าผีสางหรือไสยศาสตร์ที่ไหนก็ไม่มี
ทางเข้ามามีอิทธิพลควบคุมบังคับอะไรได้เลย
ยืดตัวตรง ดำารงสติมั่น ค่อยๆเปิดเปลือก
ตาขึ้น เจอเข้ากับตัวเองจังๆก็ดีอยู่อย่าง คือมั่นใจ
ในสิ่งที่สัมผัสรู้มาทั้งหมด โดยไม่จำาเป็นต้องถาม
รักสุรีย์สักคำา แถมพอจะคลำาทางถูกด้วยว่าจะ
ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ท่าไหน
สบตากับอีกฝ่ายและฝืนยิ้มให้ แต่ใน
สายตาของคนมีชนักปักหลัง กลับดูเหมือนรอย
ยิ้มรู้ทัน รักสุรีย์จึงไม่นึกชอบรอยยิ้มของมะแม
เอาเลย
"หายไปเสียนาน พยายามดูอะไรอยู่หรือ?"
ถามพลางคิดในใจว่าถ้าตอบไม่เข้าท่า
ปล่อยให้เสียเวลารอเก้อ ก็จะไล่กลับบ้านเดี๋ยวนี้
เลย
"คุณหญิงคะ... ถ้าจะให้มะแมช่วย เราคง
ต้องคุยกันตรงไปตรงมา และอย่ากลัวว่ามะแมจะ
หักหลังด้วยการแฉคุณหญิงในวันหน้า"
รักสุรีย์ได้ยินคำาว่า "แฉ" แล้วสะดุ้งสุดตัว
เยี่ยงคนมีพิรุธ แต่พอตั้งสติได้ก็ทำาตาวาวถลึง
จ้องอีกฝ่าย คล้ายจงอางยืดตัว ชูหัวแผ่แม่เบี้ยขู่
ฟ่อ
"นี่ ! บอกตรงๆนะว่าฉันโดนผีหลอก ฉันแค่
อยากได้หมอผีหรือคนทรงที่ถนัดทางนี้มาปัด
รังควานให้เท่านั้นแหละ มันจะเป็นไรไปนักเชียว
จ้างมาไล่ผีนี่ถึงกับเอาไปแฉให้เสียชื่อได้เลย
หรือ? เธอทำาแบบหมอผีได้หรือเปล่า? ถ้าทำาไม่
ได้ก็ไปๆซะเถอะ!"
ปฏิกิริยาร้อนแรงแบบเป็นเอามากขนาดนั้น
ทำาให้มะแมถึงกับนั่งอึ้ง ใจหนึ่งอยากถอนตัวขึ้น
มาอีก แต่อีกใจก็นึกถึงอัคระ ที่เขาเจอคงโหดหิน
กว่าของหล่อนหลายร้อยเท่า คิดเช่นนั้นแล้วก็เกิด
กำาลังใจอีกระลอก
รักสุรีย์เต้นงิ้วท่านี้คงต้องคุยกันแบบ
อ้อมค้อมก่อน ขืนโพล่งออกไปว่าหนูรู้ไส้คุณหญิง
หมดแล้ว ก็อาจโดนสั่งลากไปหลังบ้าน ควักไส้
ของหล่อนออกมาดูบ้างเท่านั้น
"เอาเป็นว่า... มะแมช่วยคุณหญิงได้ค่ะ
และอาจช่วยได้ดีกว่าหมอผีด้วยซ้ำา เพราะหมอผี
แค่ไล่ผี เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ แต่มะแมทำาให้ศัตรู
ของคุณหญิงหายไป ชนิดที่ไม่ต้องกลับมาเจอะ
เจอกันอีกเลย"
น้ำาเสียงนุ่มนวลของคนที่พร้อมจะอภัยใคร
ทั้งโลก คล้ายกลุ่มน้ำาใหญ่ที่โถมเข้าดับไฟกองโต
ให้มอดเร็ว รักสุรีย์มีสีหน้าดีขึ้น ด้วยความเข้าใจ
ว่ามะแมจะ "ทำาลายศัตรู " ของตนทิ้งอย่างสิ้น
ซาก
"ได้อย่างนั้นก็เหมาะ ฉันจะตกรางวัลเธอ
อย่างงามถ้าทำาสำาเร็จจริง"
"มาตรวจสอบกันก่อนว่ามะแมเห็นถูกหรือ
เปล่า... ผีที่คุณหญิงเจอ เป็นสาววัยสักยี่สิบใช่
ไหมคะ?"
รักสุรีย์คอแข็ง มองมะแมด้วยสายตาต่าง
ไป คือเริ่มทึ่งเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่ด้วยความทึ่งนั้น
เอง ก็แฝงแววหวาดว่าจะมารู้ความลับของตนเข้า
ให้ด้วย จึงตอบรับอย่างระวัง
"น่าจะอย่างนั้นนะ"
"ทุกครั้งที่น้องเขามา คุณหญิงจะรู้สึกมืด
ร้อน อึดอัดเหมือนเจอใครมาทวงแค้นใช่ไหม
คะ?"
หญิงอาวุโสกลืนน้ำาลายฝืดๆ
"ก็ประมาณนั้นแหละ"
"ถ้าเดาไม่ผิด คืนที่คุณหญิงรู้สึกเหมือน
อยากคลุ้มคลั่งเป็นบ้า คือคืนที่คุณหญิงฝันว่า
ลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วเห็นผู้หญิงแขวนคอ
ตายอยู่บนเพดานใช่ไหมคะ?"
ฝ่ายถูกจี้ให้ตอบถึงกับเกร็งแน่นไปทั้งตัว
ปากคอสั่นระริก ซึ่งนั่นเป็นการยอมรับที่ดีที่สุด
เมื่อมั่นใจในข้อมูลจากนิมิต กับทั้งได้ใจ
ลูกค้ามาฟังกัน มะแมค่อยปลอดโปร่งขึ้น พูดต่อ
ได้รื่นขึ้น
"มะแมขอเวลาไม่เกินสองคืน จัดการกับ
ปัญหาของคุณหญิงให้จบ"
"แล้วสำาหรับคืนนี้ล่ะ?"
รักสุรีย์ถามเสียงละห้อย
"คืนนี้สำาคัญที่สุด คุณหญิงต้องเชื่อตาม
และห้ามคัดค้านใดๆทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นพิธีจะเสีย
หมดตั้งแต่เริ่ม"
คนสูงวัยกว่าพยักหน้า เอวอ่อนระแน้
โอนเอนมารับคำาสั่งจากมะแมอย่างเต็มใจ สิ้น
ลายนางพญา
"จะให้ฉันทำายังไง?"
"ท่องไว้นะคะ ศัตรูของคุณหญิงไม่ใช่ผี แต่
เป็นใจที่เคียดแค้นชิงชังของคุณหญิงเอง!"
ความสว่างบางอย่างที่แฝงมากับพลังเสียง
ของหญิงสาว คล้ายน้ำาสะอาดสาดมาล้างปม
สกปรกในใจหญิงวัยกลางคน จนสีหน้าสีตาผ่อน
คลาย แทบไม่เหลือร่องรอยความเครียดจัดแบบ
เมื่อ ๕ นาทีที่แล้ว
"แปลว่าทั้งหมดที่ฉันเห็น เป็นแค่เรื่องเพ้อ
เจ้อหรือ?"
"ลืมบอกไปค่ะว่านอกจากห้ามค้านแล้ว ก็
ห้ามถามอะไรทั้งสิ้นด้วย เพราะความสงสัยของ
คุณหญิงจะทำาให้พิธีแตก เขาจะผ่านเข้ามารบก
วนได้อีก และคราวนี้อาจยิ่งหนัก เนื่องจากไหวตัว
แล้วว่าคุณหญิงพยายามหาทางกำาจัดอยู่ "
"ได้ " รักสุรีย์รีบรับลิ้นพัน "ไม่สงสัยก็ไม่
สงสัย จะท่องไว้ว่าศัตรูของฉัน คือความเพ้อเจ้อ
ของฉันเอง"
"เมื่อกี๊มะแมไม่ได้บอกอย่างนั้นนี่คะ ย้ำาอีก
ทีก็ได้ ศัตรูของคุณหญิงไม่ใช่ผี แต่เป็นใจที่
เคียดแค้นชิงชังของคุณหญิงเอง ถ้าจำาไม่ได้ก็
ท่องไว้สั้นๆ คือ อย่าเกลียด อย่าโกรธ อย่าให้
ความแค้นครอบงำาคุณหญิงได้ "
รักสุรีย์เม้มปาก กล้ำากลืนก้อนน้ำาลายขื่นๆ
ลงคอ
"โอเค..." รับแบบไม่ยอมทวนคำา
"นอกจากให้นึกอย่างที่เธอว่านี่ จะไม่ให้เกราะ
คุ้มครองที่เป็นรูปธรรมอะไรหน่อยหรือ?"
"คุณหญิงก็ทราบอยู่แล้วนี่คะว่าวัตถุมงคล
ศักดิ์สิทธิ์ล้นบ้าน ช่วยอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อจิต
ของคุณหญิงยังมีโทสะเป็นตัวเปิดทางเข้าให้สิ่ง
ชั่วร้ายเต็มประตู ถึงมะแมให้เพิ่ม คุณหญิงนึกว่า
จะมีประโยชน์หรือ?"
"งั้น... คาถาหรือบทสวดกันผีล่ะ ให้มาให้
ฉันอุ่นใจหน่อยได้ไหม? หลายคืนที่ผ่านมาฉัน
สวดเป็นชั่วโมงๆ แต่ไม่มีความสุข และไม่ได้ช่วย
ป้องกันอะไรเลย"
"นั่นเพราะคุณหญิงไม่ได้สวดด้วยความ
เข้าใจ แต่ด้วยความรักตัวกลัวผี "
"สวดด้วยความเข้าใจ สวดยังไง?"
"อย่าสวดคาถาไล่ผี อย่าสวดบทที่ร่ำาลือว่า
คุ้มครองได้ครอบจักรวาล เพราะบทสวดเหล่านั้น
ถึงศักดิ์สิทธิ์จริง ก็ไม่ดับความเร่าร้อนในใจที่
อยากเอาชนะของคุณหญิงลง แถมคาถาขับไล่ไส
ส่งกลับจะยิ่งเพิ่มความเร่าร้อน เหมือนทุ่มไฟใส่
กันไป ทุ่มไฟใส่กันมา"
"แล้วบทไหนที่ว่าเย็น?"
"ตามหลักทางศาสนานะคะ ไม่ว่าศาสนา
ไหน บทสวดที่เย็นที่สุดคือบทสรรเสริญพระ
ศาสดาของตนค่ะ เพราะเป็นบทที่ปรุงใจให้คิดดี
ตกแต่งจิตให้มีประกายเลื่อมใสเบื้องสูง ไม่แฝง
อารมณ์ร้อนแบบไหนๆ อย่างของพุทธเรา ก็ได้แก่
บทสวดอิติปิโส คุณหญิงน่าจะท่องได้ขึ้นใจ"
รักสุรีย์ผงกศีรษะ
"ท่องได้ แต่ไม่ค่อยได้ยินใครบรรยาย
สรรพคุณมากเหมือนบทอื่น เลยสวดนิดหน่อยแค่
เป็นพื้น"
"ยิ่งฟังสรรพคุณมากก็ยิ่งโลภมากค่ะ ใจจะ
บริสุทธิ์เป็นดวงกุศลใสๆ คุ้มครองตัวได้อย่างไร
คะ เล็งเข้ามาที่จิต วัดผลออกมาเป็นความเยือก
เย็น ความสว่าง แล้วคุณหญิงจะทราบคำาตอบ
ด้วยตนเองว่าบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก คือ
บทที่ทำาให้จิตของเราเย็นมาก สว่างมาก และ
กลมกลืนกับพระศาสดามาก เพราะเท่ากับ
อัญเชิญกระแสของพระองค์มาไว้ที่จิตเราเอง
ไม่ใช่เรียกกองทัพสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปกป้องที่ข้าง
นอก"
"แปลว่าหนูจะให้ฉันท่องอิติปิโสบทเดียว
หลายๆจบหรือ?"
"ค่ะ!"
"เข้าใจแล้ว... นายกฤษบอกแล้วล่ะว่าค่า
ปรึกษาของเธอเท่าไหร่ แต่นี่มาที่บ้าน ฉันจะเพิ่ม
ค่าน้ำามันให้ ห้าพันพอไหม?"
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ สารวัตรกฤษฎา
ดีกับมะแมมาก มะแมถือว่าตอบแทนสารวัตรผ่าน
คุณหญิงก็แล้วกัน"
รักสุรีย์ส่ายหน้าแบบคนที่ไม่ชอบได้รับ
ความช่วยเหลือเปล่าๆ
"เขาส่วนเขา ฉันส่วนฉัน คนละคนกัน ยังไง
เธอก็ต้องรับ"
"งั้นเอาเป็นว่าเมื่อเรื่องจบเรียบร้อย มะแม
กำาจัดศัตรูให้ได้ราบคาบเมื่อไหร่ คุณหญิงค่อย
ตกรางวัลมะแมดีไหมคะ?"
"อย่างนั้นก็ได้ ... แล้วยังไง พรุ่งนี้เวลาเดิม
หรือเปล่า?"
"ค่ะ! พรุ่งนี้มะแมจะมาดูผลว่าคุณหญิงให้
ความร่วมมือดีแค่ไหน ถ้าปัจจัยฝั่งคุณหญิงดีพอ
มะแมค่อยช่วยจัดการฝั่งผีให้ดีที่สุด"
"เอาเบอร์มือถือของฉันไปนะ" เมื่อบอก
เบอร์ให้มะแมบันทึกลงโทรศัพท์เสร็จก็ลุกขึ้นยืน "ฉันจะไ
ส่ง"
รักสุรีย์เดินมาส่งสาวพลังจิตถึงที่รถด้วย
ตนเอง มะแมได้แต่นึกดีใจที่ตนไม่หมดความ
อดทนกับผู้หญิงบ้าอำานาจคนนี้ไปเสียตั้งแต่ห้า
นาทีแรก มิฉะนั้นคงเสียเวลามาตั้งไกลให้กับ
ความสูญเปล่า
อเนจอนาถใจเหลือหลาย ฝ่ายหนึ่งก่อเวร
ด้วยการทำาให้อีกฝ่ายเจ็บใจ พอเจ็บใจมากเข้าก็
ฆ่าแกงกัน กลายเป็นการผูกเวรแน่นหนาถาวรไป
เลย
ถ้าให้ถามใจ ทุกคนย่อมบอกว่ารักชีวิต
เห็นชีวิตตนเองมีค่ากว่าความเจ็บใจ แต่ความ
เจ็บใจของตนมักมีค่ากว่าชีวิตคนอื่นเสมอ
มะแมเห็นประจักษ์ข้ามมิติชัดแจ้ง ไม่มี
หายนะใดรุนแรงไปกว่าหายนะอันเกิดจากความ
เกลียด ความเคียดแค้นชิงชังทำาให้ตายร้าย และ
กลายเป็นวิญญาณร้าย สูญเสียสิ่งดีงามที่เคย
สะสมมาไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเคยมีดีขนาดไหน
ก็ตาม
แอบสลดเมื่อแล่นรถออกห่างจากหมู่บ้าน
เศรษฐีมาได้ โลกนี้ช่างหลอกตา บ้านช่องสว่าง
สวยรุ่งเรืองเหมือนสวรรค์ แต่บางทีจิตใจคนอยู่
กลับมืดดำาอำามหิตดุจบรรยากาศนรก
สู้บ้านเล็กๆของหล่อนก็ไม่ได้ ดูเหมือนไม่มี
อะไรเลย แต่แท้จริงแล้วเต็มแน่นไปด้วยแสงสว่าง
แห่งความรักระหว่างคนในครอบครัว ใครมาก็
บอกว่ารู้สึกโปร่งสบายเหมือนสวรรค์กันทั้งนั้น!
เกือบแปดโมงเช้า
โทรศัพท์มือถือส่งเสียงกุ๊งกิ๊งในแบบที่มะแม
ตั้งค่าไว้แจ้งเมสเสจเข้า ใจประหวัดถึงอัคระ รู้สึก
เหมือนเป็นข้อความจากเขา จึงรีบคว้าโทรศัพท์
ขึ้นดู
ปรากฏว่าเป็นเมสเสจประจำาสัปดาห์จาก
ธนาคาร เพื่อแจ้งยอดเงินที่ใช้ได้ มะแมทำาหน้า
เมื่อย เกือบวางโทรศัพท์ลง แต่หางตาเห็นตัวเลข
แว้บๆแล้วรู้สึกผิดปกติ เพราะจำาได้ว่ายอด
สุดท้ายเป็นหกแสนเศษ แต่ตัวเลขบนหน้าจอ
เหมือนเหลือแค่เก้าหมื่นปลายๆ ไม่ถึงแสน
พลิกดูหน้าจอใหม่ดีๆ ปรากฏว่าไม่ใช่เก้า
หมื่น แต่เป็น 97,743,322.95!
หญิงสาวย่นคิ้ว เข้าใจว่ามีการแสดงผลผิด
พลาดคลาดเคลื่อน จึงลุกเดินไปยังคอมพิวเตอร์
เพื่อเช็คออนไลน์จากเว็บของธนาคารแทน เพราะ
ถ้ามีความผิดพลาดแบบตลกร้ายเกิดขึ้น ก็หวังว่า
จะไม่ใช่ความเสียหายของฝ่ายหล่อน
คลิกๆพิมพ์ๆในเวลาไม่นานก็ได้คำาตอบ
ตัวเลขจากหน้าเว็บยืนยันว่าเมสเสจแจ้งยอดเงิน
ทางมือถือถูกต้อง ตอนนี้หล่อนมีเงินในครอบ
ครองร่วมร้อยล้าน!
นี่มันอะไรกัน?
ใจเต้นตึกๆ รอบตัวคล้ายควันขึ้นโขมง
มะแมไม่ได้หัวช้าขนาดคิดไม่ออกว่าแหล่งที่มาคือ
อัคระ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี
ตัวเลขที่เพิ่มพรวดพราดขนาดนั้น เลยขีดความ
ตื่นเต้นปรีดา ทะลุเพดานไปถึงอารมณ์ตื่น
ตระหนกตกใจ ไม่เข้าใจเหตุผล และว้าวุ่นจนอยู่
เฉยไม่ได้มากกว่าอย่างอื่น
ตั้งแต่เขาเข้ามาในชีวิต ดูเหมือนมีเรื่อง
ทำาให้หล่อนต้องกลายเป็นผู้หญิงขี้ตื่นตกใจได้
บ่อยๆ มะแมไม่ชอบภาวะเกินคาดหรือคาดไม่ถึง
เพราะรบกวนจิตให้เสียสมดุลความเป็นปกติสุข
ไป
เมื่อตกอยู่ในภาวะเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรดีไป
กว่าคว้ามือถือกดเบอร์หาเขาด่วน นี่เป็นเรื่อง
ใหญ่เกินกว่าจะมัวคิดเกรงเขาติดธุระยุ่งอยู่
ประเทศไหนเหมือนเช่นที่ผ่านมา
โชคดีที่เขาว่างรับสาย อัคระทักทายด้วย
เสียงนุ่มนวล ร่าเริง
"อรุณสวัสดิ์ มะแม!"
"พี่อัค... สวัสดีค่ะ ว่างคุยไหมคะ?"
น้ำาเสียงหล่อนสั่นพร่า เกือบๆจะร้อนรน
"มะแมไม่ต้องกลัวพี่ไม่ว่างหรอกนะ
โทร.มาเมื่อไหร่ก็ได้ "
"พี่อัคโอนเงินมาให้มะแมทำาไม?"
"เอ๋ ... เงิน? อ๋อ! ค่าจ้างน่ะ"
เขาตอบเหมือนไม่มีความหมาย และไม่มี
อะไรเกิดขึ้น แถมแกล้งทำาราวกับจะลืมไปแล้ว
ด้วยซ้ำา มะแมขบริมฝีปากนิดหนึ่ง สามล้าน
ดอลลาร์อาจเป็นเศษเงินสำาหรับคนมี
คอมพิวเตอร์ตาทิพย์ที่ทำานายหุ้นได้ไม่พลาดเลย
แต่มันคือการพลิกชีวิตคนธรรมดาหาเลี้ยงตัว
แบบเดือนต่อเดือนเช่นหล่อน และหล่อนก็ไม่
แน่ใจว่าต้องการหรือเปล่า
"ไม่ทราบว่ามะแมทำาอะไรให้พี่อัคพอใจ
มากมายขนาดนั้นหรือคะ?"
"พี่บอกมะแมแล้วไม่ใช่เหรอว่าพี่กำาลังทำา
อะไร เพื่ออะไร"
"ค่ะ... บอกแล้ว"
"แล้วมะแมยินดีให้ความร่วมมือหรือ
เปล่า?"
"ยินดีค่ะ"
"เมื่อคืนมะแมเริ่มงานไปบ้างแล้วนี่ใช่
ไหม?"
"รู้ได้ยังไง?"
"ใจของมะแมเชื่อมเข้ากับงานของพี่ พี่รู้สึก
ได้ "
มะแมนึกถึงการเล็งเป้าหมาย คือนักการ
เมืองสามีคุณหญิงรักสุรีย์ ความตั้งใจนั้นกระมังที่
กลายเป็นสัมผัสกระทบจิตอัคระ
"โห! ทำาให้งานเดียวได้ค่าจ้างร้อยล้าน
ทำาให้ร้อยงานมิรวยกว่าพี่อัคหรือคะ?"
"ให้ก้อนเดียวนี่แหละ แล้วมะแมก็รับเหมา
ทั้งร้อยงานที่เหลือไปเลย ตกลงไหม?"
"ขอบคุณค่ะพี่อัคสำาหรับเงินก้อนนี้ แต่
มะแมรู้สึกว่ามันมากผิดปกติ แล้วก็เลยไม่แน่ใจ
ว่ามันจะมาทำาให้ชีวิตของมะแมผิดปกติในทางใด
ทางหนึ่งไปด้วยหรือเปล่า พี่อัคน่าจะเข้าใจดีอยู่
แล้วว่าของอะไรที่หนักเกินตัว มันจะทำาให้เราเดิน
เป๋ไปจากเคย ไม่ว่าของหนักนั้นจะเป็นกรวดหิน
หรือเงินทอง!"
อัคระหัวเราะในลำาคอ เป็นครั้งแรกที่มะแม
ได้ยินแล้วไม่ชอบใจ เพราะเหมือนเขาหัวเราะ
เยาะคำาพูดของหล่อนอยู่
"เอาคืนไปเถอะค่ะพี่อัค มันไม่ใช่ของ
มะแม"
"ตอนนี้ยังไม่รู้สึกว่าใช่ก็ไม่เป็นไร อีกหน่อย
พอจำาเป็นต้องใช้ค่อยรู้สึกก็ได้ จำาได้ว่าครั้งแรกที่
พี่เห็นเงินในบัญชีเป็นร้อยล้าน พี่ก็ตาเหลือก และ
รู้สึกว่าชีวิตไม่ใช่ชีวิตแบบเดิมอย่างนี้เหมือนกัน
แต่ต่อมาเมื่อพบว่ามีเส้นทางชีวิตอีกแบบมารอง
รับอย่างสมเหตุสมผล ก็เปลี่ยนเป็นเฉยๆแทน"
"แล้วอะไรคือความสมเหตุสมผลของเงิน
เป็นร้อยล้านสำาหรับมะแมคะ?"
"ถ้าจะเปลี่ยนโลกลงมาจากยอด บางทีก็
จำาเป็นต้องมีที่ยืนสบายๆใกล้ยอดอย่างสง่า
ผ่าเผย ไม่ใช่ยืนในที่คับแคบแถวยอดด้วยอาการ
ตัวลีบ พูดแค่นี้เข้าใจไหม?"
หญิงสาวอึ้งไป นึกถึงเมื่อคืนที่ขับรถเข้า
หมู่บ้านมหาเศรษฐีแบบตัวลีบหน่อยๆ ก็เริ่มเห็น
อะไรขึ้นมาบ้าง
"แล้วเขาให้กันง่ายๆอย่างนี้หรือคะ?"
"เขาน่ะ ใคร?"
"ก็พี่อัคนั่นแหละ!"
"แล้วพี่เป็นใครสำาหรับมะแม?"
คนอยู่เมืองไทยกะพริบตาถี่ๆ
"ก็ ..."
เพิ่งรู้สึกว่าความเป็นคนรักระหว่างหล่อน
กับเขามันลอยๆชอบกล ไม่มีรากหยั่ง ไม่มีปฏิ
สัมพันธ์ใดๆเป็นฐานยืนพื้นเอาเลย กระทั่งจะคิด
อยู่ในใจว่าเป็นแฟน ยังกระดากบอกไม่ถูก
"ก็อะไร หือม์ ?"
"ก็รู้สึกแปลกๆอยู่นะคะ"
"ภายในไม่กี่วันนี้ พี่มีเวลาไปอยู่กับมะแม
ได้พักหนึ่ง ตั้งใจจะพาไปหาพ่อแม่ของพี่อยู่แล้ว
มะแมจะได้เลิกรู้สึกแปลกเสียที ดีไหม?"

______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๕
ในความน่ารักของเด็กหญิงอิ๊ก สองสามวัน
นี้มีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป เหมือนหงอยลง
และซ่อนความคิดบางอย่างไว้ มะแมสังเกตได้แต่
ยังไม่ไถ่ถาม รอจังหวะว่าเมื่อใดเธอจะเปิดปาก
เอง
ทว่าจนแล้วจนรอดแม่หนูน้อยแก้มยุ้ยก็ยัง
ไม่ปริปาก และยิ่งวันยิ่งดูซึมๆจ๋อยๆลงทุกที
กระทั่งเช้ามืดวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเข้าห้องสมาธิ
แล้วน้องอิ๊กไม่มาตามนัด มะแมจึงต้องเดินไป
เคาะประตูห้องของเธอก๊อกๆ
"อิ๊ก"
เรียกแล้วเคาะซ้ำา อึดใจจึงค่อยมีเสียงอู้อี้
ตอบรับ
"ขา..."
"ไม่มานั่งสมาธิกับพี่มะแมเหรอคะ?"
เด็กในห้องเงียบเสียง มะแมจึงตัดสินใจ
หมุนลูกบิดประตูบุกเข้าไปหา กดสวิทช์เปิดไฟ
กลางเพดาน
อิ๊กนอนหันหลังให้ ซึ่งมะแมสัมผัสได้ทันที
ว่าร่างน้อยส่งกระแสเรียกร้องความสนใจมาถึง
ตน จึงเลิกคิ้วสูง ลอบถอนใจยาว ได้รู้สึกเหมือน
เป็นแม่จริงๆก็ตอนนี้เอง
ก้าวเดินเนิบนาบไปถึงตัวเด็กในอุปการะ
หย่อนกายลงนั่งขอบเตียง ยกมือลูบศีรษะละมุน
แผ่ว และแทนการถามว่า "เป็นอะไรไป?"
เหมือนอย่างที่พ่อแม่ทั่วไปถามลูก มะแมเลือก
คำาถามที่ฟังแล้วน่าตอบกว่านั้น
"คิดอะไรอยู่ ให้พี่มะแมรู้ด้วยคนได้ไหม?"
ถามเสร็จก็นิ่งรออย่างใจเย็น แต่แล้วคำา
ตอบของหนูอิ๊กก็เล่นเอากระตุก
"อิ๊กกลัวตาย..."
หญิงสาวมองหนูน้อยนิ่งไปครู่ เข้าใจว่าฝ่าย
นั้นฝันร้าย จึงปลอบ
"เห็นตัวเองผูกคอตายเหรอลูก?"
อิ๊กสั่นศีรษะอยู่ในหมอน
"เปล่าค่ะ"
"แล้วอยู่ๆทำาไมกลัวขึ้นมาได้ล่ะ อะไรทำาให้
หนูกลัว?"
"สมาธิ ..."
"หือ? ยังไงนะจ๊ะ สมาธิทำาให้หนูกลัวตาย
หรือ?"
เด็กน้อยตอบด้วยการจีบปากผงกศีรษะ แต่
หลบตา บ่ายเบี่ยงไม่ยอมสบกับผู้ใหญ่ที่จ้องมา
อย่างค้นหา
มะแมกะพริบตางง ทบทวนสองสามวันที่
ผ่านมา สัมผัสได้ว่าฝ่ายนั้นเข้าถึงภาวะสงบล้ำาลึก
ยังนึกชื่นชมผลงานของตัวเองอยู่เลย ค่าที่ตัวเอง
ฝึกตั้งหลายปีกว่าจะสงบได้ขนาดนั้น แต่อิ๊กเริ่ม
ยังไม่ทันไรก็ได้ดี เพราะมีพี่เลี้ยงคอยกำากับให้
ทักให้ว่าผิดตรงไหน เสริมให้ว่าถูกอย่างไร จึง
ก้าวรุดเอาๆจนทำาท่าจะแซงหน้าคุณครูอยู่รอมร่อ
ไฉนในที่สุดจึงกลายเป็นว่าสมาธิทำาให้ชีวิต
หนูน้อยผิดปกติไปได้ ?
"อือม์ ... อือม์ ... อือม์ ... สงสัยเราคุยกัน
น้อยไปหน่อยแล้ว" มะแมรวบร่างแบบบางบนฟูก
ออกแรงช้อนตัวขึ้นมาตั้งในท่านั่ง ก่อนสวมกอด
แนบอกอย่างทะนุถนอม ราวกับน้องอิ๊กเป็นตุ๊กตา
ของเล่น "เกิดประสบการณ์ทางสมาธิแล้วทำาไม
ถึงไม่เล่าให้พี่มะแมฟัง?"
"พอเห็นนิมิต อิ๊กก็พยายามไม่สนใจอย่างที่
พี่มะแมสอน แต่ยิ่งไม่สนใจ ก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นทุกที "
"คราวหลังต้องรายงานให้พี่มะแมรู้สิ พี่เป็น
ครูสมาธิของหนูนะ"
"กลัวโดนว่าว่าไม่รู้จักวางเฉยอย่างที่พี่สอน
นี่คะ"
"โถ... โอเคจ้ะ! ต่อไปนี้พี่ไม่ว่าละ ไหน...
นิมิตเป็นยังไงเหรอ?"
"เหมือนครั้งแรกที่อิ๊กเล่านั่นแหละค่ะ แต่
เริ่มมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อิ๊กรู้สึกถึงความ
ตาย เหมือนความตายเป็นเงามืดของสัตว์มีพิษ
ตัวใหญ่ ที่ค่อยๆคลานเข้ามา และอิ๊กก็ไม่มีเวลา
เตรียมตัวหนีมันได้ทัน"
มะแมทำาหน้าครุ่นคิด ใช้สัมผัสทางใจเล็งดู
ความกลัวตายของอิ๊ก ก็พบว่ามันไม่เกี่ยวกับเมื่อ
ครั้งผูกคอตายเลย ตรงข้าม ขณะแห่งการฆ่าตัว
ตายของเด็กน้อยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คือการ
อยากจบชีวิตอย่างแท้จริง ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับ
ครั้งนี้ ที่เหมือนใจอิ๊กตั้งนิ่ง ไม่ได้ดิ้นรนตัดช่อง
น้อยแต่พอตัว แต่บังเกิดความกลัวขึ้นเองอย่าง
ขาดเหตุขาดผลอันสมควร
อารมณ์มนุษย์นี่แสนแปลก แต่ละวันเหมือน
ไม่ใช่คนๆเดียวกัน แล้วความตายคืออะไร ทำาไม
บางครั้งมนุษย์ถึงหวาดกลัวอยากหลบหนีให้พ้น
แต่บางครั้งกลับอยากเผชิญหน้ากับมันเสียเต็ม
ประดา?
อยากเชื่อว่ากรณีของอิ๊กเป็นผลตกค้างจาก
ความตระหนกในขณะเผชิญหน้าพญามัจจุราชตัว
จริง หลังทิ้งตัวลงมาให้แรงดึงดูดโลกฆ่า แต่อีก
ใจก็สังหรณ์ว่าอาจมีอะไรซ่อนอยู่จริง คล้ายความ
ลึกลับบางอย่างรออยู่ และท้าทายให้ค้นหา ส่วน
จะดีหรือร้ายกันแน่ มะแมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
คงเป็นการดีหากหล่อนจะเอาจริงเอาจัง ไม่
ดูดายหรือเห็นเป็นเรื่องเล็กของเด็กน้อย เพราะ
ความจริงก็คือไม่มีเรื่องไหนใหญ่เกินปมปัญหาใน
วัยเด็กที่ไม่ได้รับการแก้ไข
"เอางี้ !" มะแมตัดสินใจ "ทุกครั้งที่เกิด
สมาธิ อิ๊กจะเห็นเหมือนตัวเองนั่งอยู่ในถ้ำาบนเขา
เสมอใช่ไหม?"
"ค่ะ เหมือนใจมีคอ แล้วถูกล่ามติดกับนิมิต
นั้นเลย"
มะแมยิ้มขันสำานวนเด็ก
"นั่นมันเป็นเพราะอิ๊กผูกยึดอยู่กับนิมิต
ปักใจตรงนั้นอย่างไม่รู้เหตุผล ถ้าเข้าใจที่มาที่ไป
ก็จะหลุดออกมาได้ไม่ยาก เดี๋ยวพี่มะแมจะช่วย
ถอนจิตที่หลงปักอยู่กับความยึดติดผิดๆให้ก็แล้ว
กัน"
"ขอบคุณค่ะ!"
"งั้นเราไปที่ห้องทำาสมาธิกันเลยดีไหม?"
"ดีค่ะ!"
"อ้ะ! งั้นลุกได้ "
ทั้งสองเดินจูงมือย้ายมายังห้องที่มีเบาะนั่ง
สมาธิโดยเฉพาะ และเมื่อเข้าที่เรียบร้อย มะแมก็
สั่งว่า
"หลับตาตั้งกสิณไปตามปกตินะ"
อันเนื่องจากแต่ละวันอิ๊กไม่มีเรื่องนอกตัวให้
พะวงถึงเท่าใดนัก จิตจึงไม่แส่ส่าย เข้าสู่สภาพ
เคยชินทางสมาธิง่าย คล้ายชำานาญขี่จักรยาน
แล้วก็จับขึ้นทรงตัวได้เลย ไม่ปัดเป๋แกว่งไปแกว่ง
มาอย่างคนเพิ่งหัด
มะแมยิ้มมุมปากหน่อยๆ หล่อนเล่นสมาธิ
มาเป็นสิบปี จนถึงวันนี้ยังจับหลักนิ่งไม่ได้เร็วเท่า
อิ๊กซึ่งเพิ่งเริ่มเตาะแตะมาไม่ถึงสิบวันเลย!
ยามนิ่ง ทั่วร่างอิ๊กแผ่รังสีประหลาดออกมา
มะแมโฟกัสสายตาแบบหนึ่งที่จะเห็นแสงเรือง
ออกมาจากเส้นขอบรอบร่างเด็กน้อย หล่อนไม่
ชำานาญการอ่านความหมายของสีรัศมีมนุษย์นัก
ทราบแต่ว่าสมาธิของอิ๊กกำาลังบอกอะไรบางอย่าง
ที่น่าสนใจอยู่
เชื่อโดยไม่ต้องหาข้อพิสูจน์มากกว่าที่กำาลัง
เห็นกับตา อิ๊กมีของเก่าติดตัวมาอย่างหนาแน่น
และ "ของเก่า" นั้นก็สว่างจ้าน่าชมยิ่ง สมาธิขอ
งอิ๊กกลายเป็นจุดนัดพบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
ยิ่งปัจจุบันนิ่งขึ้นเท่าไร รายละเอียดความสว่างใน
อดีตก็ยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้นเท่านั้น
คุณครูจดจ้องลูกศิษย์นิ่ง ใช้สายตาจับแสง
ออร่า และใช้ใจกำาหนดประมาณความกว้างของ
ฐานแห่งสมาธิจิตไปด้วย จากนั้นก็รอดูเฉยๆ
อย่างมีอุเบกขา ว่าจะเกิดนิมิตใดในห้วงมโนทวาร
ตน
เกือบครึ่งนาทีต่อมาก็ได้เห็นจริงๆ เหมือน
ในร่างหยาบของอิ๊กมีร่างละเอียดซ้อนอยู่ กาย
ทิพย์ของฝ่ายนั้นปรากฏเป็นแม่ชีในชุดขาว
บริสุทธิ์ มีความผุดผ่องสว่างไสว สวยใสยิ่งกว่า
ความน่ารักน่าเอ็นดูที่เห็นได้ทางประสาทตา
หลายเท่านัก
ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง มะแมทราบดีว่าไม่
ได้มี "แม่ชี " ซ้อนอยู่ข้างใน หรือกระทั่งมีตัวตน
จริงๆอยู่ที่ไหนทั้งนั้น นิมิตแม่ชีเป็นร่องรอยกรรม
เก่าที่สะสมมาแบบชี และจะคงอยู่ตราบเท่าที่
กรรมแบบชียังให้ผลอยู่ไม่เสื่อม แต่เมื่อใดผล
กรรมแม่ชีในอดีตหมดกำาลัง ถ้าส่องดูเข้าไปอีกที
ก็จะไม่เห็นเป็นชีอย่างนี้แล้ว
ผลของกรรมจากการเคยเป็นแม่ชีดีๆคือ
อะไร? ก็คือสภาพทั้งหมดที่หล่อนกำาลังเห็นด้วย
ตาเปล่า ตั้งแต่รูปร่างหน้าตาไปจนกระทั่งชะตา
ชีวิต
กรรมของผู้มีความประพฤติอันงาม บันดาล
รูปงาม และคุมรูปให้น่ารักน่าเอ็นดูตั้งแต่ยังตัว
น้อย
กรรมของการเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
ไว้มาก ส่งผลให้ได้ผู้เต็มใจอุปการะในคราว
ลำาบาก
กรรมที่เคยบำาเพ็ญภาวนาไว้แบบทุ่มเทชีวิต
เข้าแลก ส่งผลให้มีจิตหนักแน่น เก่งสมาธิ
บันดาลกำาลังค้ำาชูสมาธิให้ตั้งมั่นได้เร็ว แทบไม่
ต้องลงทุนออกแรงพยายามใดๆ
ไม่มีคุณสมบัติใดที่ได้มาโดยบังเอิญ!
แต่แล้วมะแมก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าเคย
ผุดผ่องปานนั้น เหตุไฉนจึงกำาพร้าพ่อแม่ตั้งแต่
เล็ก แถมมาเจอญาติลวนลามเข้าให้อีก?
ความสงสัยมีผลให้จิตหวั่นไหว สายตา
เคลื่อนจากโฟกัสเดิม ใจถอนจากสัมผัสทางจิต
มโนทัศน์ทั้งหมดเสียไป จึงเป็นอีกครั้งที่มะแมได้
ทราบว่าจิตของตนยังขาดกำาลังเพียงพอจะไปส่อง
ดู ส่องรู้ได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปล่อย
ให้ความสงสัยเข้าเคลือบจิตแม้แต่นิดเดียว
หวนกลับมาตั้งสติกำาหนดใจอีกฝ่ายด้วยใจ
ตนใหม่ คราวนี้ระวังไม่ให้วอกแวก เพื่อติดตาม
อาการทางใจของอิ๊กอย่างต่อเนื่อง
จิตของอิ๊กทรงนิ่งไม่หวั่นไหวอยู่เกือบ ๕
นาที ด้วยแรงตรึงของนิมิตวงกลมอันปราศจาก
มลทินรบกวน แต่แล้วตรงหน้าอิ๊กก็เกิดการก่อตัว
ของภาวะอะไรอย่างหนึ่ง อธิบายเป็นคำาพูดยาก
เหมือนคลื่นไร้ตน ม้วนตัวในลักษณะอุโมงค์ดึงดูด
มะแมทราบได้เดี๋ยวนั้นว่านิมิตวงกลมอันเป็น
เครื่องตรึงจิตของอิ๊กแปรสภาพไปแล้ว และถูก
แทนที่ด้วยอะไรบางอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็น กับ
ทั้งไม่รู้ว่าคืออะไร
ถามใจอันวางเฉยว่ารู้สึกเกี่ยวกับ "สิ่งนั้น"
ในแวบแรกอย่างไร ก็ตอบตนเองว่าเหมือน
สัญญาณเรียก หรือเหมือนกริ่งนาฬิกาปลุกที่ถูก
ตั้งไว้ และเมื่อมะแมส่งใจเข้าไปสัมผัสชัดขึ้น ก็
ค่อยๆกระจ่างทีละน้อย
ที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาขณะนี้ คือสัญญาณ
เรียกจากอดีตชาติ แม่ชีอะไรท่านหนึ่งเป็นคน
สร้างมันขึ้น และชีวิตในชาติต่อมาของท่านก็เป็น
ทายาท เป็นผู้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยสัญญาณ
เรียกนั้น!
พอประจักษ์ว่านิมิตของอิ๊กเป็นของจริง
ไม่ใช่ภาพปรุงแต่งลมแล้ง มะแมก็กะพริบตาที
หนึ่งอย่างจะตั้งหลัก ก่อนเปล่งเสียงนุ่มเย็นแผ่ว
ชัด อย่างระวังไม่รบกวนให้อิ๊กเขว แต่ก็แน่ใจว่า
เสียงจะถึงหูได้ถนัด
"เอาล่ะ... อิ๊กเริ่มเห็นอะไรบางอย่างแล้วใช่
ไหม?"
จิตของอิ๊กรอการนำาทางจากมะแมอยู่ก่อน
จึงไม่ตกใจ และตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ
"ค่ะ"
"บอกซิว่าเห็นอะไรบ้าง"
พอปรับตัวคุ้นกับภาพนิมิตภายใน ประกอบ
เสียงของมะแมจากภายนอก ทุกอย่างก็ดูธรรม
ดาๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป
"ข้างหน้าเป็นภูเขาค่ะ อิ๊กนั่งอยู่บนภูเขาฝั่ง
ตรงข้าม อยู่ในถ้ำา"
"ตอนนี้อิ๊กอยู่ในอีกร่างหนึ่งนะ ไม่ใช่เด็ก
หญิงอิ๊กตัวน้อย ฉะนั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดจะ
ไม่เกี่ยวกับร่างกายเดิมแล้ว ลองนะ... ถ้าก้มลง
มองเสื้อผ้าของตัวเอง จะเห็นเป็นชุดขาว เห็น
ไหม?"
ถ้อยคำานำาทางของมะแม กลายเป็นเครื่อง
ปลดพันธนาการ ใจอิ๊กหลุดจากการยึดติดกับร่าง
เดิม เข้าไปรวมกับอีกร่างเต็มสภาพ เหมือนฝัน
ทั้งรู้สึกตื่นเต็มตัว หรือเหมือนตื่นอย่างทราบว่า
มาอยู่อีกโลกหนึ่ง
ก้มลงมองเครื่องนุ่งห่มของตนตามคำาสั่ง
แล้วก็เห็นกระจะว่าเป็นชุดชีสีขาวหม่นจริงๆ จึง
ตอบว่า
"เห็นค่ะ"
"สิ่งที่อิ๊กเห็นทั้งหมดคือภาพความทรงจำา
เพราะฉะนั้นเราจะใช้ความทรงจำาหลักนี้ ระลึก
ย้อนไปถึงรายละเอียดความทรงจำาอื่นๆ... เงย
หน้าขึ้นดูภูเขาตรงหน้าใหม่นะ ยังเห็นชัดอยู่
ไหม?"
"ชัดค่ะ"
"คราวนี้ลองลุกขึ้นยืน ยืนได้ไหม?"
"ได้ค่ะ"
"หันมองรอบๆซิ เห็นอะไรบ้าง?"
อิ๊กนิ่งไปครู่หนึ่ง จนมะแมต้องลุ้นรอผลว่า
จะออกหัวออกก้อยท่าไหน หรือภาพนิมิตทั้งหมด
จะสลายตัวไป ซึ่งถ้าสลายได้ก็ดี เพราะทั้งหล่อน
และอิ๊กจะได้เลิกสนใจ เห็นเป็นแค่ภาพความฝัน
ไร้ความหมาย
แต่ในที่สุดผลก็ออกมา
"อิ๊กอยู่ในถ้ำาตื้นๆค่ะ มีมุ้งขาวกางอยู่ ข้าง
ในเป็นเสื่อและหมอน..." คำาแรกๆออกเฉื่อย แต่
เมื่อทุกอย่างชัดขึ้น อิ๊กก็บอกเล่าด้วยความเร็ว
ปกติ "มีกระติกน้ำาสีเขียว มีถุงข้าวสาร มีกระป๋อง
อาหารแห้ง"
"อิ๊กมาค้างกี่คืนเนี่ย?"
"สามคืนค่ะ แม่ใหญ่อนุญาตให้มาได้ไม่เกิน
สามคืน แล้วต้องลงไปรายงานตัว ไปสวดมนต์
ไปช่วยกันดูแลสถานที่ร่วมกับเพื่อนๆ"
เหมือนบังเกิดอีกสำานึกหนึ่ง เต็มตื่นกว่า
เดิมขึ้นเรื่อยๆ อิ๊กตอบคำาถามเร็วขึ้น เป็นตัวของ
ตัวเองในอีกแบบหนึ่งมากขึ้น
"แม่ใหญ่กับเพื่อนๆเรียกอิ๊กว่ายังไง?"
"พิรมล!" อิ๊กตอบเสียงดังทันควัน เหมือน
คนจำาเพื่อนเก่าได้ และอุทานลั่นขานชื่อออกมา
ด้วยความยินดีปรีดา "พิรมล พิเศษสุทัศน์ !"
แก้วเสียงแจ่มชัดที่ประกาศความระลึกได้
จริงนั้น มีผลให้มะแมขนลุกหน่อยๆ ก็หล่อนเอง
ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมา แต่กำาลังมา
ช่วยให้คนอื่นระลึกได้อยู่นี่
กลืนน้ำาลายและกระแอมเบาๆทีหนึ่ง ก่อน
ถามต่อ ระวังไม่ให้สำาเนียงส่อว่าพลอยตื่นเต้น
"แม่ชีพิรมลอายุเท่าไหร่จ๊ะ?"
คราวนี้หนูอิ๊กไม่ตอบทันที เหมือนต้องเค้น
นึก ซึ่งพอมะแมเห็นอาการย่นคิ้วเคร่งหน่อยๆ ก็
รีบเบี่ยงคำาถามเป็นการช่วยให้ตอบง่ายขึ้น
"แม่ชีพิรมลแก่หรือยัง?"
"แก่แล้ว สุขภาพไม่ค่อยดีด้วย"
หญิงสาวขนลุกอีกระลอก เพราะคราวนี้น้ำา
เสียงของอิ๊กไม่เหมือนเด็กน้อยคนเดิม แต่เปลี่ยน
ไปเป็นแหบพร่า และใบหน้าเคร่งก็ง้ำาลงแบบหญิง
มีอายุ มะแมถึงกับต้องยกมือเสยผมตนเอง
เป็นการแก้ระทึก
"แม่ชีพิรมลกำาลังจะตายหรือ?"
ด้วยคำาถามสุดท้าย ปฏิกิริยาทั้งหมดแตก
ต่างไป ร่างที่เห็นว่าเป็นเด็กหญิงนิ่งไปนาน ก่อน
จะค่อยๆก้มลงสะอึกสะอื้นน้ำาตาไหลพราก มะแม
หน้าตื่น ไม่แน่ใจว่าขณะนี้สำานึกคิดอ่านของอีก
ฝ่ายอยู่ในร่างของแม่ชีหรือเด็กหญิงอิ๊กกันแน่ จึง
รีบเอ่ยเป็นกลางๆอย่างคนรู้หลักถอนการสะกด
จิต
"เอาล่ะ! ทุกอย่างที่เห็นคือความฝัน และ
ฝันก็จบไปแล้ว คราวนี้ฟังเสียงนับหนึ่งถึงสาม
แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความสบายใจ ไม่ต่างกับ
ตอนโล่งใจที่ได้ตื่นจากฝันร้ายนะ หนึ่ง..." หล่อน
ใช้เสียงหนักแน่น แต่ทอดอ่อน และเว้นระยะห่าง
พอควร "สอง... สาม... ลืมตาจ้ะ!"

______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๖
การขับรถผ่านเข้ามาในแหล่งรวมคนรวย
อันดับต้นๆของประเทศไทยคราวนี้ มะแมรู้สึก
แตกต่างไปจริงๆ ถึงแม้รถยังเล็ก แต่ความรู้สึก
ไม่เล็กแล้ว
เงินร้อยล้านในธนาคารมีผลจริงๆ เหลียว
มองคฤหาสน์รอบด้านแล้วอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าคง
มีไม่กี่หลังในหมู่บ้านนี้ ที่หล่อนซื้อไม่ไหว
เมื่อมานั่งตรงหน้าคุณหญิงรักสุรีย์ ก็เห็น
ความแตกต่างอีกครั้ง ร้อยล้านที่หนุนหลังอยู่ช่วย
ให้รู้สึกทัดหน้าเทียมตา หล่อนไม่ได้มาที่นี่ด้วย
ความหวังสินจ้าง ไม่ได้มาเพื่อเปลี่ยนคนบ้า
อำานาจให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้มาเพื่อ
ช่วยเปลี่ยนคนหลงทางให้เป็นคนพบทาง
แต่มาเพราะหล่อนร่วมขบวนการเปลี่ยน
โลกกับอัคระ!
เขาทำาให้หล่อนคิดการใหญ่ขึ้น และเริ่มมอง
ชีวิตตนเองแบบขั้นบันได การช่วยทีละคนที่ผ่าน
มา คือการสะสมบารมี คือการค่อยๆยกระดับ
วิสัยทัศน์ให้เห็นลู่ทางช่วยทีละกลุ่ม กว้างขึ้น
เรื่อยๆ แม้บ้านหลังนี้ก็อาจเป็นแค่ก้าวแรกๆบน
เส้นทางยาวไกล ยังมีอะไรน่าตื่นเต้นรออยู่อีก
มากนัก
ถึงอัคระจะไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ มะแมก็รู้สึก
ราวกับกำาลังนั่งทำางานร่วมกับเขา ซึ่งหมายความ
ว่าทรัพย์สิน ชื่อเสียง ตลอดจนผลตอบแทนทาง
ตรงและทางอ้อมใดๆ ล้วนไร้ความหมาย ในเมื่อ
จิตคิดถึงงานอันเป็นที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำาได้แล้ว
"เมื่อคืนดีขึ้นไหมคะ?"
"ก็ดีขึ้น"
รักสุรีย์พยักหน้าตอบเรียบๆ อาการไว้ตัว
หวนกลับมาอีก แต่เลิกมองหล่อนเป็นเด็กเมื่อ
วานซืนเสียได้
มะแมนิ่งพินิจด้วยจิตสัมผัส ก่อนซัก
"เมื่อคืนคุณหญิงเห็นว่าเขามา มีกระแสรุก
รานหนักๆ ร้อนๆ มืดๆ ตามเคย แต่เหมือนฝั่งเรา
มีเกราะแก้วเย็นๆ สว่างเรืองจากภายใน แยกเด่น
เป็นต่างหาก และเขาเข้าถึงตัวไม่ได้ใช่ไหมคะ?"
ภรรยาท่านรัฐมนตรีพยักหน้าก่อนเสเมินไป
ทางอื่น ไม่พูดไม่จา
"ความสว่างเย็นแบบนั้นแหละค่ะ เป็นต้น
กำาเนิดน้ำาใจคิดให้อภัยได้จริง ไม่ใช่ต้องแกล้งกัน
และคุณหญิงก็คงเห็นได้ว่าความสว่างเย็นแบบ
นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบเท่าที่เรายังคิดทำาลาย
เขา หรือเสียเวลาสวดมนต์ไล่ผีอยู่ "
"อือ... สวดอิติปิโสด้วยความเลื่อมใสอย่าง
เดียวนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆแหละ ครูบาอาจารย์ของ
เธอสอนมาใช้ได้นะ"
"ค่ะ!" รับยิ้มๆ แล้วเว้นวรรคครู่หนึ่งก่อน
เอ่ยต่อ "คุณหญิงคงเห็นแล้วว่าตอนเราไม่รู้จะ
ป้องกันตัวอย่างไร เช่นขณะหลับ แก่นแท้ของใจที่
มีเมตตา คือเครื่องต้านภยันตรายจากฝันร้ายได้
ดีที่สุด... พูดง่ายๆคือถ้าเมตตาดี ก็เหมือนมีผู้
ช่วยอยู่ในฝัน"
"จ้ะ... เห็นด้วยนะ"
มะแมเห็นได้จังหวะสำาคัญ ก็เปล่งเสียงแบบ
หนึ่งออกมาจากน้ำาใจใสสะอาด เปิดจิตคนฟังให้
กว้าง พร้อมรับความจริงโดยง่าย
"ทำานองเดียวกันนะคะ ขณะตื่น ตอนกำาลัง
คิดได้อยู่อย่างนี้ เกราะคุ้มครองตัวที่ดีที่สุดคือ
การคิดอโหสิ เลิกแล้วต่อกันเสีย!"
หลากหลายความรู้สึกประดังขึ้นพร้อมกัน
รักสุรีย์หันมาทำาตาเขียว แต่แล้วเมื่อปะทะกับ
สายตาคมกริบอันเกิดจากจิตตานุภาพที่แรงกว่า
ก็ชะงักอาการอวดศักดา อารมณ์กระด้างลดฮวบ
ส่งเสียงได้แค่อ่อนอ่อย
"ขยายความให้ชัดขึ้นอีกหน่อยได้ไหม เลิก
แล้วต่อกันหมายความว่ายังไง ฉันเคยไปมีเวรมี
กรรมกับนังผีนี่ตั้งแต่เมื่อชาติปางไหน?"
มะแมทอดตามองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อน
หน้านี้หล่อนกลัวๆเหมือนกันว่าถ้าพูดทุกอย่างที่รู้
ก็อาจเกิดผลกระทบกับความปลอดภัยในชีวิต แต่
ยามรู้สึกว่าเป็นคนของอัคระ ได้รับการสนับสนุน
จากเขาเต็มตัว ก็สัมผัสคล้ายมีกองกำาลังรายล้อม
คอยพิทักษ์ดูแลสวัสดิภาพให้อยู่ตลอด ๒๔
ชั่วโมงฉะนั้น
อย่าว่าแต่คุณหญิงจอมบงการฆ่าตรงหน้านี้
เลย ต่อให้เป็นมาเฟียใหญ่ในวงการเมืองการ
ปกครอง หล่อนก็ชักไม่นึกกลัวแล้ว!
"คุณหญิงคะ ขอให้เชื่อใจกันก่อน มะแม
ไม่ใช่ตำารวจที่มีหน้าที่จับฆาตกรเข้าคุก แล้วมะแม
ก็ไม่ใช่ผู้หญิงปากสว่างที่จะเอาความผิดของใคร
ไปแฉ"
"งั้นเหรอ?" ฝ่ายนั้นทำาหน้าเครียด แต่ใจ
เริ่มสับสนด้วยหลากความรู้สึกคละกัน ทั้งระวังตัว
ทั้งถือดี และทั้งต้องการความช่วยเหลือ "ว่าแต่นี่
มาประกาศให้ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่อะไรบ้างไปเพื่อ
อะไร?"
มะแมไม่สนใจคำาพูดอันเป็นกำาแพงชั้น
สุดท้ายของคุณหญิงโหด แต่เอ่ยสืบเนื่องราวน้ำา
ริน
"มะแมสัญญาว่าจะทำาหน้าที่เดียว คือเป็นที่
ปรึกษา ช่วยเหลือให้ชีวิตของคุณหญิงดีขึ้น
รอดพ้นจากการครอบงำาของศัตรูภายในเช่น
ความอาฆาตมาดร้าย ตลอดจนรอดพ้นจากการ
คุกคามของศัตรูภายนอก ซึ่งได้แก่เธอที่มาทำาให้
คุณหญิงเจ็บใจขณะมีชีวิต แล้วยังมีหน้าย้อนมา
หลอกหลอนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วอีก!"
คำาพูดที่อาบพลังเมตตา ปรารถนาเพียงได้
อนุเคราะห์ผู้อื่น ปลดเปลื้องปมวิตกแบบวัวสัน
หลังหวะได้หมดเกลี้ยง รักสุรีย์ยกมือปิดหน้า
สะอื้นออกมาอย่างผู้หญิงธรรมดาที่อ่อนแอเป็น
แต่ด้วยความเป็นคนใจแข็ง และไม่อยากแสดง
ความปวกเปียกให้สาวรุ่นลูกเห็น แค่ไม่กี่พริบตา
ก็ข่มสะอื้น ปาดน้ำาตาระลอกแรกที่ล้นเบ้าออกมา
แล้วลดมือลงวางตัก เชิดหน้าเป็นปกติ
"จะเอายังไงก็ว่ามา ให้ฉันทำายังไง"
มะแมทอดมองมหาเศรษฐีนีคนบาปด้วย
อารมณ์อุเบกขา แม้กายของฝ่ายนั้นจะยัง
ลอยนวลอยู่ในวิมานร้อยล้าน แต่ใจกลับเหมือน
ถูกคุมขังอยู่ในคุกแคบ ต้องสูดดมกลิ่นขี้กลิ่น
เยี่ยวที่ตัวเองทิ้งเรี่ยราดไว้
สำาหรับคนบาป สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย
คือสิ่งที่ทำาไว้ก่อนตาย!
หากหล่อนเป็นข้าราชการรักษากฎหมาย
สิ่งที่สมควรทำาคงเป็นการคิดหาพยานหลักฐาน
เอารักสุรีย์เข้าคุก แต่นี่หล่อนเป็นอาสาสมัคร
เปลี่ยนโลก สิ่งที่สมควรทำาน่าจะเป็นการเอาคน
ออกจากคุกมากกว่า!
"เราต้องช่วยกันทำาเรื่องนี้ให้จบ"
"นั่นสิ ! เธอจะให้ฉันทำายังไงล่ะ?"
"หนูไล่ผีให้คุณหญิงไหว แต่ไล่ความโกรธ
แค้นให้คุณหญิงไม่ได้ และถ้าไล่ไม่ได้ คุณหญิงก็
มีสิทธิ์สร้างผีตัวอื่นขึ้นมารังควานอีก ในเมื่อโลกนี้
ยังมีสาวสวยอีกมาก ที่ต้องการทางลัดไปสู่การมี
บ้าน มีรถ จากสามีของคุณหญิง"
รักสุรีย์แค่นหัวเราะ เปิดอกพูดเป็นครั้งแรก
"รู้ไหมมันคิดได้ขนาดไหน อายุยังไม่ถึง
ยี่สิบ แต่วางแผนเป็นชั้นๆ จะขึ้นมาแทนที่ฉันเต็ม
ตัว ไม่ใช่แค่ยอมเป็นบ้านเล็ก" เพลิงพิโรธก่อตัว
ขึ้นในดวงตาระหว่างรื้อฝอยหาตะเข็บ "จะให้เลิก
โกรธ เลิกผูกใจเจ็บผู้หญิงที่พยายามฮุบทุกอย่าง
ไปจากฉัน เธอนึกว่าง่ายใช่ไหม?"
"รู้ว่าไม่ง่ายหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณหญิงรับ
คาถาไล่โทสะไว้ท่องสักบท ความอาฆาต
พยาบาทก็ตั้งอยู่ไม่ได้ แล้วผีตัวอื่นจะไม่มีทาง
แจ้งเกิดตามมาแน่ๆ"
คุณหญิงตราตั้งย่นคิ้ว
"มีเหรอคาถาไล่โทสะ? เกิดมาเพิ่งเคย
ได้ยิน"
"คำาธรรมดาสั้นๆที่จำาได้ และเอามาใช้งาน
จริงได้เรื่อยๆ เรียกว่าคาถาได้หมดแหละค่ะ
เช่น... ยกโทษให้เขา คือเอาโทษออกจากเรา"
หญิงอาวุโสฟังตามแล้วคลายหัวคิ้วออก ซึ่ง
ก็เป็นเครื่องหมายของการคลายใจออกจากปม
ขุ่นแค้นด้วย ความเหนื่อยอ่อนที่ผ่านมา มีส่วน
ผลักดันให้รักสุรีย์ลดกำาแพงทิฐิ เปิดรับแสงสว่าง
ได้เร็ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะสั้นๆนี้
มะแมยิ้มละไมเมื่อเห็นรักสุรีย์ยอมทำาใจ
ตามคาถา
"ที่ผ่านมาเราไม่ได้คุยกันเรื่องความเชื่อ
แล้วก็ไม่ได้ตั้งหน้าหาปรัชญาชีวิต ว่าอะไรควร
อะไรไม่ควร แต่เรากำาลังช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิด
ขึ้นจริงกับตัวคุณหญิงเอง ตอนนี้คุณหญิงประจักษ์
กับตัวว่าบาปคืออะไร ผลของบาปคืออะไร ฉะนั้น
ก็ควรมองออกเช่นกันว่าจะแก้บาปกันด้วยวิธี
ไหน"
ไม่รู้ตัวว่าเผลอเลือกคำาผิด มาตระหนักก็
เมื่อเห็นคนที่สงบเยือกเย็นลงกลับหุนหันพลัน
แล่น เดือดดาลพาลแหวขึ้นมาอีก
"บาปหรือ? ที่ฉันเจอมาคือความอยุติธรรม
มันก็ต้องล้างกันด้วยความอยุติธรรมให้สมน้ำาสม
เนื้อต่างหากล่ะ!" ยกมือชี้หน้ามะแมด้วยนัยน์ตา
กร้าว "เธอยังสาว ยังสวย พูดเรื่องบาปเรื่องบุญ
ได้ง่ายๆ รอให้มีอย่างที่ฉันมี เหี่ยวอย่างที่ฉัน
เหี่ยว ถูกกระทำาอย่างที่ฉันถูกกระทำา ถึงวันนั้นฉัน
อยากดูเหมือนกันว่าเธอยังมีหน้ามาตัดสินว่า
อะไรดี อะไรชั่ว อะไรบุญ อะไรบาปได้ง่ายๆ
เหมือนวันนี้ไหม"
ท่างอแขนยกมือชี้หน้าของคุณหญิงรักสุรีย์
ให้อารมณ์ประมาณแม่มดร่ายมนต์สาปแช่งอันชั่ว
ช้า เล่นเอาลำาคอมะแมตีบตันไปชั่วขณะ
ร้อนวูบและคันคะยิกขึ้นมาในอก เกือบสวน
บางคำาออกไปอย่างมีอารมณ์ตาม แต่เสี้ยววินาที
ก่อนจะหลุดอะไรแรงๆ ก็เกิดสติยับยั้งเสียได้
และด้วยสติยับยั้งได้นั้นเอง จึงมองเห็น
อย่างที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน วิญญาณหล่อน
เกือบถูกเผาด้วยไฟโทสะ และถ้าโดนไฟโทสะเผา
ได้ มันจะต่างอะไรกับวิญญาณอาฆาตที่กำาลังเป็น
ปัญหาแก้ไม่ตกอยู่เดี๋ยวนี้ ?
วูบแห่งโทสะหายไป กลายเป็นความว่างอัน
เยือกเย็นอย่างลึกซึ้ง และด้วยความเยือกเย็นใน
ตนนั้นเอง ก่อให้เกิดสัมผัสรู้สึกถึงกระแสร้อนแรง
ที่กำาลังพลุ่งพล่านอยู่รอบตัวขึ้นมาได้ชั่วขณะ
แหล่งกำาเนิดความร้อนแรงที่รู้ง่ายก็ไม่ใช่
ที่ไหนอื่น คุณหญิงรักสุรีย์นี่แหละ แต่มะแมยัง
รู้สึกถึงคลื่นความร้อนอีกกระแสหนึ่ง ที่เคลื่อนอยู่
รอบๆห้อง...
เริ่มจำาแนกได้แล้ว นั่นไม่ใช่กระแสความ
ร้อนแบบมนุษย์ !
ด้วยใจที่สงบประณีตยามนี้ หล่อนสัมผัสชัด
ด้วยใจราวกับจับต้องด้วยมือทีเดียว ไม่ผิดแน่
เธอคนนั้นที่ตายไปแล้ว กำาลังวนเวียนจ้องหา
จังหวะอยู่ โดยไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนล่วงรู้ได้
หล่อนเป็นคนเดียวในห้องนี้ ที่ทำาตัวเป็นนัก
ดับเพลิงได้ หากเสียความเย็นให้โทสะไปอีกคน
จะเหลือใครไว้ดับเพลิงอีก?
เพื่อจะดับคลื่นพลังความร้อนถึงสองกระแส
หล่อนต้องเย็น และดวงจิตต้องใหญ่กว่าจิตอีก
สองดวงรวมกัน แต่เมื่อกำาหนดดูแล้ว มะแมก็เห็น
ว่าเป็นไปไม่ได้ จิตของหล่อนยังไม่ทรงฌาน จึง
ยังไม่เป็นมหัคคตะยิ่งใหญ่ขนาดครอบจิตที่กำาลัง
ลุกเป็นไฟถึงสองดวงพร้อมกันไหว
นั่นเป็นความรู้ใหม่ทางจิตที่เกิดขึ้นสดๆ
ร้อนๆ สำาหรับวิญญาณอาฆาตนั้น ไม่ต้องคิด
เจรจาเสียให้ยาก เพราะพ้นภาวะคิดนึกแบบมี
เหตุผลเยี่ยงมนุษย์ไปแล้ว จะปักใจทำาอะไรตาม
อารมณ์ร้ายที่ฝังแน่นท่าเดียว
แต่สำาหรับมนุษย์ที่มีจิตอาฆาต การเจรจา
ยังคงเป็นไปได้ เพราะวิธีคิดยังตั้งมั่นอยู่บนฐาน
ของเหตุผล ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหล่อนสมควร
ทุ่มแรงกับคุณหญิงรักสุรีย์เต็มที่ตามเดิม
"มีเรื่องสำาคัญที่มะแมต้องเรียนให้คุณหญิง
ทราบ"
เสียงใสของหล่อนรินออกมาจากจิตที่ปลอด
โปร่ง เยือกเย็น เนิบนิ่ง คงเส้นคงวาเป็น
ธรรมชาติ
"อะไร?"
เสียงขุ่นของคุณหญิงกระแทกออกมาจาก
จิตที่ทึบแน่น รุ่มร้อน งุ่นง่าน พลุ่งพล่านพร้อม
อาละวาดได้ทุกเมื่อ
"คุณหญิงเข้าใจว่าโดนเธอเล่นงานเฉพาะ
ตอนนอน แต่ความจริงไม่ใช่ ..."
ทิ้งท้ายให้ฉุกใจได้ผล ล่อรักสุรีย์ออกมา
จากหลุมดำาแห่งความขัดเคืองได้ชั่วขณะ สัมผัส
อาการคลายตัว เปิดจิตสว่างขึ้นนิดหนึ่ง
"หมายความว่ายังไง?"
"หมายความว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันตาม
ลำาพัง และคุณหญิงก็กำาลังโดนเล่นงานโดยไม่รู้
ตัว"
รักสุรีย์ฟังแล้วถึงกับหน้าซีด ลืมอารมณ์ขุ่น
มัวที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเกือบสิ้น
"จริงเหรอะ?"
"ธรรมชาติของคู่แค้นที่กลายเป็นวิญญาณ
อาฆาต ไม่หวนกลับมาบีบคอศัตรูเหมือนที่เรา
เห็นๆกันในหนังหรอกค่ะ เขาใช้วิธีกระแทกให้ขุ่น
กระตุ้นให้โกรธ"
"เป็นไปได้เหรอ?"
"คุณหญิงเคยไหมคะ ไปยืนค้ำาหัวใครแล้ว
ตั้งใจเค้นเสียงพูดให้เขาเจ็บใจ หรือแค่ใช้สายตา
ส่งกระแสหาเรื่องให้เขาบันดาลโทสะ อยากเอา
เรื่องกลับด้วยอารมณ์วู่วาม นั่นแหละค่ะ วิญญาณ
อาฆาตทำาได้เนียนกว่านั้น เพราะสามารถอัดแรง
โทสะในตนออกมากระแทกคู่แค้นเป็นระลอก มี
ผลให้เราเหมือนโดนรมควันไฟเป็นระยะ อยู่ไม่
เป็นสุข หงุดหงิดพร้อมระเบิดได้ตลอดเวลา แม้
กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็บานปลายเป็นเรื่อง
ใหญ่โตเอาง่ายๆ"
รักสุรีย์เร่ิมโน้มเอียงจะคล้อยตาม เพราะ
ตั้งแต่สั่งฆ่านังหน้าด้านอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์
หล่อนก็ไม่เคยจิตใจสงบสุขแม้แต่วินาทีเดียว แต่
นึกว่าเป็นธรรมดาของคนสะใจแรง ระบายโทสะ
ออกไปแรง ยังเคยมาเสียดาย นึกอยากทรมานอี
ชั่วให้นานกว่านั้นด้วยซ้ำา!
"ฉันจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าที่เธอพูดเป็นเรื่อง
จริง?"
"มะแมไม่มีวิธีพิสูจน์ แต่คุณหญิงถามใจตัว
เองได้ว่าน่าจะจริงไหม"
"ฉันว้าวุ่นขนาดนี้ ไม่มีแก่ใจตัดสินใจหรอก
ว่าจริงหรือไม่จริง"
"นั่นก็ส่วนหนึ่งไงคะ คุณหญิงกำาจัดตัว
รบกวนชีวิตไป แต่ได้คลื่นรบกวนจิตใจกลับมา
แทน ถามตัวเองว่าความเร่าร้อนระส่ำาระสายที่
เกิดขึ้น มันได้น้ำาหนักสมน้ำาสมเนื้อกับวิธีกำาจัด
เธอคนนั้นไปหรือเปล่า"
รักสุรีย์นิ่งไม่พูด
"มะแมจะให้ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็ได้ ทุกวัน
นี้อาจมีใครต่อใครมองคุณหญิงด้วยสายตา
ยำาเกรง หรือกระทั่งหวาดกลัว แต่คุณหญิงลอง
กวาดมองสายตาร้อยคู่ จะพบสักกี่คู่ที่มองตอบ
กลับมาด้วยความเป็นมิตร ด้วยความน่าให้ไว้ใจ
จริงๆ"
"หมายความว่าเขาพยายามครอบงำาทุกคน
รอบตัวฉันหรือ?"
"เขาไม่มีกำาลังทำาได้ขนาดนั้นหรอกค่ะ
ขอบเขตการใช้กำาลังมันกว้างเกินไป ถ้าจะต้อง
ครอบงำาทุกคนที่คุณหญิงรู้จัก"
"แล้วมันทำายังไง?"
"ง่ายๆค่ะ เขาเป็นคลื่นรบกวนให้คุณหญิง
ไม่สบายใจได้ ขุ่นเคืองได้ คุณหญิงก็เป็นคลื่น
รบกวนให้คนอื่นไม่สบายใจได้อีกทอดหนึ่ง คน
เราพอขุ่นเคืองอย่างไม่สมเหตุสมผลอยู่ตลอด
เวลา ก็ต้องมีใครสักคนล่ะที่คับแค้น แอบคิดร้าย
ได้ พอนึกออกไหมคะ? เธอที่ตายไปแล้ว หยิบ
ปืนมายิงคุณหญิงไม่ได้ แต่รู้วิธีกระตุ้นให้คุณหญิง
บีบคนอื่นให้หยิบปืนมายิงแทนเธอได้ !"
เหมือนรักสุรีย์เริ่มเข้าใจขึ้นมารางๆ จึงมอง
ที่ปรึกษาทางวิญญาณแบบเปิดใจรับมากขึ้น
"เอาล่ะ... บอกอีกทีซิว่าเธอจะให้ฉันทำายัง
ไงบ้าง"
"ทบทวนตั้งแต่ต้นนะคะ ก้าวแรกของคุณ
หญิงไม่ใช่ไล่ผีข้างนอก แต่เป็นไล่ผีข้างใน ซึ่งเมื่อ
คืนก็เริ่มไปบ้างแล้ว โดยการสร้างศรัทธา สร้าง
ใจที่ดีงามผ่านการสวดมนต์ พอใจสว่างก็มีแก่ใจ
ต่อยอดเป็นก้าวที่สอง ซึ่งมะแมบอกในวันนี้ นั่น
คือยกโทษให้เขา ให้อภัยเขา เลิกฝังใจเกลียด
เขา"
"แค่นี้เขาก็จะไม่มารบกวนฉันอีกหรือ?"
"มันไม่ง่ายแค่นั้นหรอกค่ะ สิ่งที่คุณหญิงทำา
กับน้องเขา คือการทำาให้ตายทรมาน ตายไป
พร้อมกับความเจ็บแค้นสาหัส แล้วบุญเก่าน้อง
เขาก็ยังไม่หมด ถึงมีฤทธิ์ตามมาราวีได้อีกนาน"
รักสุรีย์ฟังแล้วใจฝ่อ แต่รัศมีสว่างเย็นอาภา
ที่ฉายชัดออกมาจากร่างของมะแม ก็เหมือนหลัก
ประกันให้อุ่นใจขึ้น
"แล้วฉันควรทำายังไงอีก?"
"น้องเขาชื่ออะไรคะ?"
คุณหญิงนายเพชฌฆาตหน้าตึง ตอบเสียง
ห้วนแบบไม่เต็มใจเอ่ยชื่อให้เป็นเสนียดแก่ปาก
"ถ้าเธอจะเอาไปทำาพิธีถ่วงน้ำา ฉันจะหาชื่อ
พร้อมนามสกุลให้เดี๋ยวนี้เลย!"
"มะแมไม่ทำาพิธีอะไรหรอกค่ะ แค่อยากลอง
คุยกับน้องเขาดู "
เป็นความอยากลองขึ้นมาอย่างนั้นเอง จู่ๆ
มะแมก็รู้สึกว่าน่าจะทำาได้ เหมือนกับทุกครั้งที่
ไว้ใจสัญชาตญาณทางจิตของตน แล้วก็ประสบ
ผลสำาเร็จเรื่อยมา
คุณหญิงมาเฟียกลั้นใจอยู่ครู่ ก่อนหลับหู
หลับตาเอ่ยนามหนามหัวใจ
"ใจมาตา!"
มะแมฟังแล้วยิ้มๆ มองนิ่งไปครู่ก่อนเผย
"ดีนะคะที่คุณหญิงไม่ค่อยอยากเอ่ยชื่อน้อง
ใจมาตาเท่าไหร่นัก ขืนเอ่ยบ่อยๆคงได้เดือดร้อน
กว่านี้ ... รู้ไหมว่าเมื่อกี๊มะแมเห็นอะไร?"
รักสุรีย์ผวาหน่อยๆ
"เห็นอะไร?"
"ลองทบทวนดู ตอนคุณหญิงเอ่ยชื่อน้อง
เขา เหมือนมีคลื่นโทสะกระแทกออกมาจากคุณ
หญิง กระจายออกไปรอบตัว จริงไหมคะ?"
"ประมาณนั้น ก็มันเกลียดนี่หว่า!"
"ชื่อที่ขับจากปากด้วยรากเหง้าของความ
คุมแค้น มันกระตุ้นเจ้าของชื่อให้เกิดอารมณ์พาล
ได้นะคะ สมมุติว่าน้องใจมาตาแอบซุ่มมองเราอยู่
แถวๆนี้ เขาคงรู้สึกเหมือนคุณหญิงจิกหัวเรียกเขา
มาพบด้วยอารมณ์ไม่พอใจ คุณหญิงว่าไหม?"
รักสุรีย์ถึงกับตัวชา สะบัดร้อนสะบัดหนาว
จ้องมะแมบึ้งตึง
"เอ๊ะ! รู้อย่างนี้ยังใช้ให้ฉันพูดชื่อมันทำาไม
จะแกล้งกันหรือ?"
"เปล่า! มะแมจะแกล้งไปทำาไม บอกแล้วไง
คะว่าอยากคุยกับน้องเขา คุณหญิงจะคุยกับใคร
ดีๆก็ต้องเรียกชื่อเขาถูกใช่ไหมคะ? นี่มะแมเห็น
อะไรไม่ชอบมาพากลก็อุตส่าห์เตือนด้วยความ
หวังดี ช่วยแนะว่าทีหลังอย่าขานชื่อน้องเขาด้วย
โทสะ มันเหมือนเรียกมาหาเรื่องกัน มะแมจะไปรู้
หรือว่าปกติคุณหญิงเอ่ยชื่อเขาเหมือนเรียกคนใช้
อย่างนี้ "
อีกฝ่ายรับฟังแล้วยอมนิ่งแบบจำานนด้วย
อารมณ์ขุ่นมัว เพราะคิดว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ยายหน้า
สวยนี่จะพาความซวยมาสู่ตน
"คุณหญิงลองฟังมะแมขานชื่อน้องเขานะ
คะ... น้องใจมาตา" มะแมทอดเสียงอ่อน ริน
เมตตาออกมาจากใจจริง "เห็นไหมคะ รู้สึกไหม
ว่าอากาศรอบๆตัวมะแมขณะเรียกชื่อเขา มันชวน
ให้เข้ามาคุยกันขึ้นเยอะเลย"
รักสุรีย์ใจหายวาบ ขนลุกเกรียวจากต้นคอ
ไล่ไปถึงหนังหัว แม้เคยอยู่ในพิธีไสยศาสตร์เข้า
เจ้าเข้าทรงมาก่อน ยังไม่รู้สึกเหมือนสัมผัสมิติ
ลี้ลับได้เป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เลย
"นี่ ! เธอจะทำาอะไรของเธอก็ทำาไปเถอะ จะ
ต้องมาบอกฉันทำาซากอะไร"
พึมพำากระชากๆอย่างหัวเสีย แต่มะแมก็
ตอบด้วยความเยือกเย็นเสมอต้นเสมอปลาย
"ถ้าไม่บอกคุณหญิงจะเข้าใจหรือคะ มะแม
จะจบความสัมพันธ์ที่เลวร้ายระหว่างคุณหญิงกับ
น้องใจมาตา ก็ต้องขอความร่วมมือจากทั้งสอง
ฝ่าย เหมือนคนกลางไกล่เกลี่ยน่ะ"
คนวางท่าเป็นนางพญาเขม่นมองที่ปรึกษา
สาวอย่างไม่ทราบจะรู้สึกอย่างไรดี ยอมรับว่าใน
ภาพที่ดูเด็ก กล้าต่อล้อต่อเถียง แล้วก็สวยอย่าง
น่าหมั่นไส้นั้น มะแมมีดีจริง แน่จริง แถมกิริยา
วาจานิ่มนวลฉลาดเฉลียว แฝงความอ่อนน้อมอยู่
ในที นึกไม่ออกว่าจะติตรงไหน จึงเลิกอ้อมค้อม
"เอาอย่างนี้ ! ฉันขอร้องให้เธอทำาพิธีไปโดย
ไม่ต้องดึงฉันเข้าไปเกี่ยวข้องจะได้ไหม?"
มะแมยิ้มนิ่งเป็นครู่ ก่อนรับว่า
"ก็ได้ค่ะ"
เลิกใส่ใจคนตรงหน้า ปิดตาพริ้ม นั่งตัวตรง
ทรงจิตอยู่กับกสิณวงกลมขาวอันเป็นของถนัด ครู่
หนึ่งหลังจากเข้าที่เข้าทาง ก็รู้สึกถึงพลังสัมผัส
แจ่มชัดกว้างใหญ่ จึงเพิกนิมิตกสิณ แล้วจ่อใจ
เข้าไปที่กระแสอาฆาตของวิญญาณเมียน้อยผู้เป็น
คู่กรณีคุณหญิง
นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนตั้งใจคุยกับผี แต่ก็ไม่
เชิงไม่รู้อะไรเลย มะแมเข้าใจหลักขั้นพื้นฐานใน
การสื่อจิตประการหนึ่ง นั่นคือถ้าฝ่ายหนึ่งรุ่มร้อน
ทรมาน แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเยือกเย็นสบาย ถ้ามีการ
เปลี่ยนแปลงตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แปลว่ามีการ
สื่อสารจากจิตถึงจิตเกิดขึ้นแล้ว
คล้ายคนใจร้อนกับคนใจเย็นเจรจากัน คำา
พูดไม่สำาคัญนัก แต่ตัดสินกันง่ายๆคือถ้าลงเอย
เป็นร้อนใจทั้งคู่ ก็แปลว่าสื่อสารกัน "ไม่ได้เรื่อง"
ส่วนถ้าลงเอยเป็นเย็นใจทั้งสองฝ่าย ก็หมายถึง
สื่อสารกัน "รู้เรื่อง"
จริงๆระหว่างสนทนากับคุณหญิงรักสุรีย์
มะแมก็ส่งจิตสัมผัสใจมาตาเป็นระยะ หล่อนจับ
จุดได้อย่างหนึ่ง คือ การรับรู้ของวิญญาณอาฆาต
คล้ายไฟร้อนที่ดับๆติดๆ ไม่ใช่ร้อนตลอด บางที
เลื่อนลอยแบบฝันวกวนอยู่นาน ก่อนตื่นขึ้นมา
ด้วยอาการฉุนกึก แล้วตั้งหน้าตั้งตาจองเวรต่อ
เป็นครู่ จากนั้นก็พร่าเลือนไปอีก
มนุษย์มักงงว่าตัวเองเกิดมาทำาอะไร แต่
วิญญาณอาฆาตจะไม่งง พอรู้ตัวว่ามีตน ก็ทราบ
ชัดเดี๋ยวนั้นว่าเกิดมามีจุดหมายเดียว คือเพื่อ
ตามราวีศัตรูคู่อาฆาตทั้งวันทั้งคืน จนกว่าจะล้าง
แค้นสำาเร็จ หรือจนกว่าจะขาดใจกันไปข้าง
การที่คุณหญิงรักสุรีย์ส่งใจมาตาไปอยู่ใน
ปรโลก ก็เหมือนเปิดโอกาสให้ใจมาตาได้เปรียบ
เต็มประตู กล่าวคือคุณหญิงยืนอยู่ในที่โล่งแจ้ง
กว่ากลางสนาม ส่วนใจมาตาแฝงอยู่ในเงามืดที่
เร้นลับยิ่งกว่าก้นถ้ำา ได้เวลาเมื่อไรก็ออกมาเป็น
ฝ่ายกระทำาเอาข้างเดียว
ใจมาตายังมีบุญเก่าอุดหนุนอยู่มาก แล้ว
บาปที่รักสุรีย์ก่อไว้กับเธอก็หนาแน่นเหลือเกิน
ใจมาตาจึงมีศักยภาพในการเอาคืนสูง กับทั้งมี
ความเข้มแข็งยิ่ง ต่อให้หมอผีจอมขมังเวทย์ระดับ
ประเทศ ก็ใช่จะปราบสำาเร็จโดยง่าย
ยามนี้ เมื่อมะแมเอาใจไปพัวพันกับกระแส
เข้มข้นรุนแรงของวิญญาณอาฆาต จนกระแสจิต
เชื่อมถึงกันติด ก็เจอแรงปะทะที่เคยคุ้น คล้ายร่าง
แหหนักๆร้อนๆเหวี่ยงเข้ามาครอบ ความรู้สึก
เกลียดชัง ความคิดมุ่งร้ายหมายขวัญ พุ่งไปที่คุณ
หญิงรักสุรีย์ ให้ความรู้สึกราวกับหล่อนเป็นคนคิด
เอง เกลียดเอง
แต่เพราะเตรียมต้านทานไว้ล่วงหน้า ด้วย
ฐานพลังความเย็นที่หนักแน่น ดุจกำาแพงที่ก่อขึ้น
ด้วยฉนวนใยแก้วกันความร้อน มะแมก็ไม่หลง
ตาม กับทั้งทรงจิตอยู่ในอาการรวบรวมพละกำาลัง
ครู่หนึ่ง แล้วส่งแรงผลักออกไปเบาๆ
สำาเหนียกรู้สึกได้ถึงอาการแตกกระจายของ
กลุ่มความร้อน แต่ก็ไม่ถึงกับสลายกลายเป็นเย็น
ถึงตรงนั้นจิตของมะแมแปรสภาพไป หน้าผาก
ปรากฏคล้ายหน้าต่างที่ให้ความรู้สึกว่าเปิดได้
หล่อนจึงทดลองใช้ใจเปิดผลัวะออกไป แล้วก็
เหมือนลืมตาขึ้นอีกแบบเพื่อพบกับอะไรอย่าง
หนึ่ง ซึ่งหากเห็นขณะอยู่นอกสมาธิคงขวัญหนี
ดีฝ่อตายกันตรงนั้น
ตรงหน้าคือภาพกระจะตาของปีศาจแสยะ
เขี้ยว เค้าโครงรูปร่างหน้าคล้ายผู้หญิง ตาแดง
เรียวยาว จมูกโด่ง หูแหลม ปากกว้าง ผิวดำา นุ่ง
ห่มชุดนักศึกษาหญิงขาดวิ่น
ภาวะแห่งปีศาจนั้นให้เปรียบคงคล้าย
หมาบ้า นางปีศาจยืนยงโย่ยงหยกพร้อมกระโจน
เข้าขย้ำาหล่อน เพียงแต่รีรอหาช่องโหว่อยู่
ด้วยอำานาจปีติสุขอันฉ่ำาเย็นของสมาธิ
ทำาให้มะแมไม่สยองขนไปกับรังสีอำามหิตชนิดนั้น
แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าเพียงด้วยความ
สว่างและฉ่ำาเย็นแห่งจิตตน อย่างไรก็ "เปลี่ยน
ใจ" นางปีศาจไม่ไหว
ปรับสติให้เข้าที่ ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
อย่างรู้ตัว พอจิตกลับมารับรู้ผ่านแก้วตา เห็นคน
มีเนื้อมีหนังนั่งอยู่ ก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง
ตระหนักแล้วว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่
คิด ตอนแรกกะคุยกันดีๆกับวิญญาณใจมาตา แต่
พอเห็นนิมิตปีศาจเต็มขั้นเข้าให้ทีเดียว ก็รู้เลยว่า
เจรจากับหมาบ้าที่กำาลังกระหายเลือดน่าจะง่าย
กว่า
ระหว่างทำาอาชีพที่ปรึกษา หล่อนด้นสด
เชื่อความสามารถของตนมาตลอด ว่าจะรู้ทางแก้
ปัญหาเฉพาะหน้าได้เองเมื่อถึงเวลา แต่ครั้งนี้ พอ
เห็นว่าอะไรเป็นอะไร และเข้าใจสถานการณ์จริงดี
ขึ้น ก็ชักใจฝ่อระย่อท้อ จวนเจียนจะยกธงขาว
ขอตัวกลับไปตั้งหลักอีกที
ใจมาตาเล่นไม่มีสำานึกเป็นเหตุเป็นผลหลง
เหลืออยู่เลยแบบนี้ จะให้เจรจาต่อรองอย่างไร
ไหว
มองหน้าคุณหญิงรักสุรีย์ เห็นตาคมเหมือน
เหยี่ยว สัมผัสความทึบของจิตที่ดำามืด มีแต่เอา
เข้าตัว แล้วก็กลัวถูกทำาร้าย ฉับพลัน มะแมก็เห็น
ความคล้ายคลึงกันระหว่างมนุษย์ใจดำากับเปรต
อาฆาต รวมทั้งความเป็นขั้วต่อระหว่างคุณหญิง
กับนางปีศาจ
มีผีใจร้ายเพราะมีคนใจร้าย!
นางปีศาจถือกำาเนิดขึ้นจากความมีใจทมิฬ
หินชาติของคุณหญิง และดำารงอยู่เพื่อทำาลายล้าง
คุณหญิง หากความมีใจทมิฬหินชาติของคุณหญิง
เปลี่ยนไปล่ะ สภาพปีศาจร้ายจะสลายสูญได้
ไหม?
หากข้อสันนิษฐานของหล่อนถูกต้อง ขอ
เพียงทำาลายความเป็นคนใจทมิฬของคุณหญิงได้
ความเป็นปีศาจของใจมาตาก็น่าจะสิ้นสุด หรือ
แปรไปในทางที่ดีขึ้น
โจทย์คือความมีใจทมิฬของคุณหญิงมันตั้ง
อยู่ตรงไหน และจะถูกทำาลายได้อย่างไร?
วัดด้วยจิต ณ บัดนั้นแล้ว มะแมก็ตอบตัว
เองได้ทันที คุณหญิงรักสุรีย์มีใจทมิฬหินชาติได้
ด้วยความเห็นแก่ตัว คิดทำาอันตรายผู้อื่นได้โดย
ขาดสำานึกผิดชอบชั่วดี
เพื่อทำาลายความมีใจทมิฬหินชาติ ก็ต้อง
ปลุกมนุษยธรรมในตัวคุณหญิงให้กลับมาทำางาน
ใหม่ !
"เอ้า! ว่าไง" รักสุรีย์ทัก สีหน้าบ่งบอกว่า
ยังเคลือบแคลงความสามารถของมะแมในการ
ปราบปีศาจ "เจรจาสำาเร็จหรือเปล่า?"
มะแมไม่เสียเวลาตอบ แต่เดินหน้าไปตามที่
เห็นว่าเป็นทางสว่างทันที
"สมัยคุณหญิงเป็นนักศึกษา เคยต้องนั่ง
แท็กซี่ หรือซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้าซอยบ้านตอน
กลางคืนบ่อยๆใช่ไหมคะ?"
"อือ..."
รักสุรีย์รับงงๆ ไม่ได้ประหลาดใจที่มะแมรู้
แต่ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับนังผีใจมาตา
"จำาช่วงที่คุณหญิงต้องมองคนขับแท็กซี่
อย่างระแวง ไม่กล้านอนหลับทั้งที่เหนื่อย แล้วก็
นึกออกใช่ไหมคะว่าตอนพวกวินมอเตอร์ไซค์
แกล้งเบรกกะทันหัน เหมือนมีเจตนาจะให้หน้าอก
เราไปโดนหลังเขา มันน่าโมโห แล้วก็ชวนให้
ขยะแขยงขนาดไหน"
"จำาได้ ... เธอนี่รู้ละเอียดดีจริงๆ กระทั่ง
อดีตผ่านมานานจนฉันลืมไปแล้ว ยังอุตส่าห์ไป
ขุดมาให้นึกถึงอีก"
"เงาอารมณ์มันไม่มีอายุหรอกค่ะ ถ้าเกิดขึ้น
จริง ก็ถูกรู้ได้ว่าเคยเกิดขึ้นแล้ว"
ภรรยาท่านรัฐมนตรีใหญ่หัวเราะหึหึ แกล้ง
ชมแบบติดใบมีดไว้ที่ปาก
"เก่งขนาดเธอนี่น่าจะไปทำาอาชีพแฉความ
ลับ ขู่กรรโชกทรัพย์ชาวบ้านนะ ท่าทางคงรวย
ขาด"
มะแมอมยิ้ม แอบคิดว่าคุณหญิงคนนี้
นอกจากใจไม่ดีแล้วยังปากไม่ดีอีก
"สำาหรับคุณหญิง น่าจะบุญเก่าคุ้มครอง
ตัวดี เพราะไม่เคยเจอคนขับหื่น แม้แต่พวก
โรคจิตมาอวดอะไรให้ตกใจเล่นก็ไม่มี "
พอสาวพลังจิตบอกว่าเป็นคนมีบุญเก่าดี
รักสุรีย์ก็ยิ้มออก แต่ยิ้มไม่นานอีกฝ่ายก็พูดให้
กระตุก
"แต่คุณหญิงก็เคยหวาดกลัวเรื่องพวกนี้เข้า
กระดูก เรียกว่าเป็นเอามากนะคะ ถ้ามะแมเดาไม่
ผิด คงเหมือนผู้หญิงอีกหลายคนที่เกรงจะโดน
พวกป่าเถื่อนบุกห้องนอน คืนไหนต้องนอนมืดๆ
คนเดียวก็จินตนาการเขย่าขวัญสั่นประสาท
ขนาดเก็บเอาไปฝันร้ายเป็นตุเป็นตะ"
รักสุรีย์ชักใจไม่ดี มองมะแมด้วยหางตา
"แม่คุณจ๊ะ เชื่อแล้วว่าเก่ง แต่ไม่ทราบจะ
พูดไปทำาไมหือ ชอบขุดคุ้ยเรื่องน่าอายของชาว
บ้านมาตอกหน้ากันเล่นหรือไง?"
"คุณหญิงเคยฝันว่าถูกบุกห้อง ต้องตกเป็น
เหยื่อพวกหน้ามืดบนเตียงของตัวเอง ต้องต่อสู้
เตะถีบหยิกข่วนด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ภายใต้
ความสนุกสนานของเดนคน แต่ตื่นขึ้นมาได้ก็โล่ง
อกที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ใช่ไหมคะ?"
"เธอรู้เข้าไปถึงความฝันได้เลยเหรอ?"
"บางฝันนี่ฝันครั้งเดียวก็จำาติดใจไปตลอด
ชีวิต เหตุผลเพราะมันประทับแรงจนเกิดอารมณ์
ตกค้าง เหมือนแผลเป็นที่ไม่มีทางหาย แต่ก็ไม่
เจ็บปวดไปกับมัน"
"อือม์ ... ก็จริงนะ แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ
เหมือนแผลแบบไหน?"
"สำาหรับผู้หญิง ถ้าถูกรุมชำาเราจริง จะ
เหมือนแผลสดขนาดใหญ่ที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย
ค่ะ เพราะมันบาดลึกจนปวดแสบปวดร้อนทุกครั้ง
เมื่อเจอเรื่องกระตุ้นให้นึกถึง"
รักสุรีย์ยิ้มแหย กลืนน้ำาลายลงคอฝืดๆ แม้
เคยฝันว่าถูกรุมโทรมครั้งเดียว ก็ยังอุตส่าห์จดจำา
มาได้หลายสิบปีจริงๆ นึกถึงทีไรยังแจ่มชัดว่ามัน
ขมขื่น มืดมนปั่นป่วน ชวนให้คลุ้มคลั่งวิกลจริต
เพียงใด
ภาวนาด้วยความเกร็งเนื้อเกร็งตัวมาตลอด
วอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขออย่าให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิด
ขึ้นกับชีวิตตนจริงๆเลย
"เก่งนะ ที่เธอเห็นแล้วแยกแยะถูกอีก"
คุณหญิงพูดอ่อยๆ และมะแมก็รับช่วงต่อ
ด้วยการพูดเสียงอ่อน
"ผู้หญิงเราเป็นเพศน่าสงสารทุกครั้งที่ถูก
กระทำาย่ำายี ร้องขอความสงสารโดยไม่ได้รับ
ความสงสาร แต่เมื่อไหร่ที่โกรธจัดและได้ทีเป็น
ฝ่ายกระทำา หลายครั้งเราก็ลืมตัว..."
รักสุรีย์หลบตา เมินมองไปห่างไกล สองมือ
แม้วางอยู่บนตักก็เริ่มสั่นอย่างไม่อาจระงับ
มะแมเว้นระยะเล็กน้อย ก่อนค่อยๆพูดต่อ
"ตอนอยากสั่งสอนให้ศัตรูที่เป็นผู้หญิงด้วย
กันรู้สำานึก เราก็ขาดสำานึกได้ขนาดผลัก
จินตนาการที่ตัวเองหวาดกลัวที่สุด ไปใส่ชีวิตจริง
ของเขา อย่างที่นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่ง ตัวเองจะทำา
เรื่องอำามหิตขนาดนั้นได้ลงคอ"
เมียหลวงผู้เคยแสนเจ็บช้ำากัดริมฝีปาก
อย่างแรง เกร็งไหล่คล้ายทำาท่าจะยกมืออุดหู
"มะแมนึกไม่ออก แล้วก็ไม่อยากจะนึกเลย
ว่าถ้าต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาตัวรอด
เหมือนสัตว์เล็กที่ถูกฝูงสัตว์ใหญ่รุมขย้ำา ซ้ำายังถูก
ลากคอขึ้นไปแขวนให้ดิ้นตายอย่างทรมาน จะ
เป็นประสบการณ์ที่ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะหาย
เจ็บ!"
น้ำาเสียงตัดพ้อแทนคนตาย มีพลังทุบ
ทำาลายทำานบพยาบาทที่กลบทับความรู้สึกผิดมา
พักหนึ่ง และแล้วก็ไม่รู้ความเสียใจทะลักทลายมา
จากทิศใด รักสุรีย์น้ำาตาไหลอาบแก้ม เบนร่างไป
ก้มหน้าปล่อยโฮเต็มเสียง มือขวาปิดหน้า มือ
ซ้ายกุมหน้าอกด้วยความรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
มะแมปล่อยให้ฝ่ายนั้นร้องไห้ยืดยาว
สงสารทั้งคนตาย เห็นใจทั้งคนเป็น
ฤาโลกนี้จะไม่มีคนชั่ว มีแต่คนไม่รู้ตัวว่าทำา
อะไรลงไป!?!
"ใจมาตา... ฉันขอโทษ..."
เสียงโหยหวนนั้นเปล่งด้วยความรันทดจาก
ก้นบึ้งวิญญาณ แล้วตามมาด้วยการพนมมือไหว้
อากาศเยี่ยงทาสแห่งความสำานึกผิด ที่พร้อมจะ
ติดตามกราบแทบเท้าขอขมาไปทุกภพทุกชาติ
ภาพและเสียงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นไปเอง
ไม่มีใครบังคับฝืนใจนั้น มีความสะเทือนแรง
ราวกับแผ่นดินไหว และคล้ายโซ่ตรวนบางชนิด
ขาดสะบั้นลงหลายเส้น ลดความอึดอัดได้เกิน
ครึ่ง
กำาลังใจมาเป็นกอง มะแมเชื่อมั่นว่าผล
สะเทือนนั้นต้องมีไปถึงใจมาตาแน่นอน และเพื่อดู
ให้รู้ หล่อนค่อยๆปิดตาลง จับกระแสพิโรธของ
เปรตสาว แล้ว "เปิดหน้าผาก" พรวดเดียวออก
ไปดูโดยไม่ต้องตั้งกสิณนำาเสียก่อน เพราะจิตยัง
มั่นคงต่อเนื่องอยู่
ใช่จริงๆ! นิมิตนางปีศาจปฏิรูปไป กลาย
เป็นหญิงหน้าตาสะสวย แต่ยังมีแววกริ้วในตาก
ร้าว เขี้ยวยังโง้งออกมานอกริมฝีปาก สีผิวยังช้ำา
เลือดช้ำาหนอง ชุดนักศึกษายังขาดวิ่น เจ้าหล่อน
กำาลังเล็งแลรักสุรีย์ด้วยความฉงนครามครัน
ลักษณะเหมือนเกิดอาการใจอ่อนขึ้นมาชั่วขณะ
แน่แล้ว! รูปร้ายของนางปีศาจหล่อเลี้ยงไว้
ด้วยสองขั้วอาฆาต ทั้งขั้วของเธอเอง และทั้งขั้ว
ของคนบงการฆ่า ฝ่ายหนึ่งต้องทำาหน้าที่หลอก
หลอน ส่วนอีกฝ่ายต้องถูกหลอกหลอน เป็น
วัฏจักรจองเวรกันไม่สิ้นสุด
แต่ยามนี้ เมื่อขั้วอาฆาตหนึ่งเสื่อมสภาพลง
ความเป็นปีศาจก็ลดลงครึ่งหนึ่งเช่นกัน และเมื่อ
เห็นเช่นนั้น จิตของมะแมจึงบังเกิดปีติใหญ่
ซาบซ่าน เพราะเมื่อเปรตกลายสภาพจากปีศาจ
เจ้าอารมณ์ให้เห็นเป็นนิมิตมนุษย์ได้ ก็แปลว่าพอ
เจรจากันรู้เรื่องแล้ว
"อภัยได้ เป็นสุขได้ "
มะแมยิงภาษาจิตสั้นๆผ่านข่ายคลื่นเมตตา
กระทบใจนางปีศาจด้วยความนุ่มนวล อิ่มพลัง
และมีความเสถียร
แม้มนุษย์ในร่างหยาบ ใบหน้าก็สว่างขึ้นได้
ทันตาเห็นถ้าจิตรับธรรมะจริง จะป่วยกล่าวไปไย
สำาหรับเปรตที่ปราศจากร่างหยาบห่อหุ้ม เพียงใจ
เปิดรับภาษาจิตและรัศมีเมตตาของมะแมชั่วขณะ
หนึ่ง ตากร้าวและเขี้ยวโง้งก็ค่อยๆเลือนหายไป
เหลือแค่สาวน้อยหน้าตาช้ำาๆ ผิวหยาบ สิ่งกลิ่น
เหม็นเยี่ยงสตรีผู้มักโกรธ ซึ่งมะแมรับรู้ได้ด้วย
"จมูกทางจิต"
เธอเหลียวมองมะแมในลักษณาการของคน
ฟื้นสติ รับรู้ ตลอดจนน้อมใจเลื่อมใสในผลของ
การให้อภัย มะแมบังเกิดปีติแรงขึ้น บอกตนเอง
ว่าเพิ่งทำาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ แล้วก็
ง่ายดายเหลือเชื่อเสียด้วย
เรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้เหตุที่จะให้เป็น
ไป แต่เมื่อรู้เหตุให้เป็นไป บางทีก็แค่พลิกฝ่ามือ
ให้ถูกจังหวะเท่านั้น
ในภาวะที่นึกอะไรอย่างอื่นไม่ออก นอกจาก
คิดแก้แค้น แก้แค้น และแก้แค้น จิตวิญญาณก็
เหมือนหมาบ้าที่จ้องเล่นงานเหยื่อแบบไม่คิดชีวิต
ต่อเมื่อมีอะไรสักอย่างชะลอพิษความแค้นลงได้
หมาบ้าก็อาจเกิดสำานึกยับยั้งชั่งใจ ไม่หุนหันจะ
พุ่งกระโจนพรวดพราดท่าเดียวดังเคย
และยิ่งสุดท้ายเมื่อเลื่อมใสในการให้อภัย
ใจก็เย็นลง ก็ยกระดับสำานึกเป็นคิดอ่านมีเหตุมี
ผลขึ้นเท่ามนุษย์ !
มะแมเคยทราบว่าภาวะแห่งเปรตกลับไป
กลับมา แปรปรวนได้เร็ว และบัดนี้ก็ได้ประจักษ์
กับจิตแล้วว่าเป็นจริงได้อย่างไร
และเพราะตระหนักว่าเปรตกลับไปกลับมา
แปรปรวนง่ายนั่นเอง มะแมจึงยังไม่ไว้ใจ และ
อาศัยจิตสัมผัสควานหาทางช่วยให้เปรตสาว
พอใจอย่างถาวร
ไม่ต้องใช้ความพยายามนานนัก แค่ระลึก
ถึงชื่อ "ใจมาตา" ก็รู้สึกแล้วว่าเหมือนแก้วตา
ดวงใจแม่ เธอสมชื่อใจมาตาจริงๆ เพราะคุณแม่
ทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งอยากให้ได้ดีสุดใจ มะแมเห็น
ถนัดจากรังสีความอบอุ่นที่แม่แผ่มาปกเกล้าก่อน
ตาย และแม้ตายแล้วก็ยังฉายอยู่ไม่จาง
ส่องดูความโยงใยผูกพันระหว่างสองแม่ลูก
แม้ใจมาตาจะรำาคาญและกะบึงกะบอนใส่แม่
บ่อยๆ แต่ใจจริงก็รักและห่วงใยแม่ไม่แพ้กัน เห็น
ได้จากส่วนหนึ่งของจิตระดับใต้สำานึก ที่ยังโยงไป
ข้างหลัง มะแมตามนิมิตสายใยนั้น ก็พบว่าโยง
ไปสุดทางที่หญิงวัยกลางคนผู้เป็นมารดา
แม่ของใจมาตายังพออยู่ได้ตามอัตภาพ
เพราะเงินทองที่ใจมาตาได้มานั้น นอกจากซื้อ
ของฟุ่มเฟือยให้ตัวเองแล้ว ที่เหลือก็เพื่อแม่
นั่นเอง
มะแมมั่นใจว่านี่แหละ ช่องทางชำาระหนี้
สุดท้ายให้หายกัน ระหว่างคุณหญิงกับเมียน้อย
มองเปรตสาวอย่างบังคับให้เกิดกระแสการ
สบตาตรง เชื่อมใจถึงใจ แล้วมะแมพูดกับฝ่ายนั้น
ด้วยอาการนึก
"แม่เธอรักเธอเสมอ แม่เธออยู่ข้างหลัง"
จิตของเปรตสาวเกิดอาการประหวัดไปถึง
มารดา นึกถึงฝ่ายนั้นขึ้นมาได้เป็นครั้งแรกหลัง
จากตายดับ ฉับพลันก็บังเกิดความเศร้าหมอง
ทำาท่าเหมือนจะร้องไห้
"เลิกเป็นห่วงแม่ได้ คุณหญิงจะส่งเสีย ต่อ
ไปพวกเธอไม่ใช่ศัตรูกันอีกแล้ว"
ใจมาตาค่อยๆเบนหน้าไปเล็งแลรักสุรีย์ซึ่ง
ยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าน้ำาตาที่นอง
หน้า มาพร้อมกับน้ำาใจที่ยอมทำาอะไรให้ได้ทุก
อย่าง ขอเพียงจะได้ชดใช้ความผิดอุกฉกรรจ์ให้
ขาด
และเพราะสัมผัสรู้ด้วยสัญชาตญาณ เปรต
สาวจึงเชื่อคำาของมะแมอย่างหัวอ่อนและว่าง่าย
รัศมีความสบายใจฉายเรืองเป็นแสงสวย
ริมฝีปากระบายยิ้มพึงใจ สายธารแห่งการอภัย
และความรู้สึกหายห่วง ช่วยตกแต่งจิตวิญญาณ
ใจมาตาให้งามขึ้นอย่างรวดเร็ว
มะแมทราบว่าภาวะเปรตของใจมาตาจะไม่
หมดลงเร็วนัก จำาต้องบ่มเพาะความสุกสว่างให้
อิ่มตัวอีกนาน กว่าจะจุติ เคลื่อนจากความเป็น
เช่นนี้ได้ แต่อย่างไรก็ไม่น่าห่วง เพราะคงไม่ทุกข์
ทรมาน ไม่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงโทสะอีกแล้ว
"ใจมาตา..." มะแมเปล่งเสียงออกปาก
เรียกเปรตสาวอย่างนุ่มนวลเพื่อให้รักสุรีย์พลอย
ได้ยินไปด้วย "คุณหญิงจะให้เงินก้อนหนึ่งกับคุณ
แม่ไว้เลี้ยงตัว และจะทำาบุญส่งไปให้เธอทุก
วันพระนะ"
"ไม่ใช่อย่างนั้น!" รักสุรีย์เงยหน้าขึ้น
ประกาศด้วยแววร้าวในดวงตา เยี่ยงคนที่เจ็บ
ปวดกับความสำานึกผิดขั้นรุนแรงที่สุด "ใจมาตา!
ฉันสาบาน! นอกจากฉันจะเลี้ยงดูคุณแม่ของเธอ
ให้ดีที่สุดแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะไปที่
วัด ทำาบุญกับมือของฉันเองเพื่ออุทิศให้เธอทุกวัน
จนกว่าชีวิตจะหาไม่ !"

________________________________________________________________________________
บทที่ ๑๗
คืนนี้ประตูห้องนอนของอิ๊กแง้มอ้าไว้ แทน
เสียงเรียกร้องให้เข้าไปหาตามเคย ในการเรียก
ร้องบ่อยๆแบบนี้ มะแมรู้ว่าผสมอยู่ด้วยอารมณ์
หลากหลาย ทั้งอยากได้ความรักความอบอุ่น ทั้ง
อยากลองว่าหล่อนจะให้ความสนใจแค่ไหนด้วย
ไม่อยากตามใจมากจนสร้างความเคยชิน
ผิดๆให้กับเด็ก แต่ช่วงแรกที่เพิ่งมาอยู่ด้วยกันนี้
ยิ่งหล่อนใส่ใจมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นหลักประกัน
เพิ่มความรู้สึกมั่นคงให้กับเด็กมากขึ้นเท่านั้น
อิ๊กจะไม่มีทางลืมว่าตัวเองเป็นเด็กกำาพร้า
แต่จะลืมอย่างสนิทว่าเธอไม่เหลือใครแล้วในโลก
นี้
ความจริงมะแมเหนื่อยอ่อนเอาเรื่อง ไหนจะ
งานปรึกษาระหว่างวัน ไหนจะธุระหนักอึ้งเกี่ยวกับ
คุณหญิงรักสุรีย์ เล่นเอาเมื่อ ๑๐ นาทีก่อน
อ่อนเพลียจนแทบอยากหลับระหว่างทางด้วยซ้ำา
ใจแข็งสูดลมหายใจลึก เหลือบดูเวลาบนข้อ
มือ เห็นเลยสี่ทุ่มมาได้นิดหน่อย จึงลองผลักประตู
เยี่ยมมองเผื่อแม่หนูน้อยหลับแล้ว ตั้งใจว่าถ้า
ไม่มีปฏิกิริยาเคลื่อนไหวใดๆก็จะงับปิด เป็น
เครื่องหมายให้อิ๊กรู้ตอนเช้าว่าเมื่อคืนหล่อนแวะ
มาหาแล้ว ไม่ใช่ไม่มา
ประตูอ้านิดเดียว ผ้าห่มที่คลุมร่างน้อยก็
ไหวตัวทันที แสดงว่านอกจากจะยังไม่หลับ แม่
หนูน้อยยังได้ยินเสียงหล่อนเดินขึ้นบันไดมา และ
ใจจ่อรออยู่ว่าจะเข้ามาหาตนไหม
ความดีใจส่งมาให้สัมผัสชัด กระตุ้นมะแม
ให้พลอยเป็นสุขไปด้วยหน่อยๆ นี่ถ้าไม่ติดว่า
เพลียเต็มแก่ คงร่วมปรีดาที่จะได้จ๊ะจ๋ากับหนูน้อย
ผู้น่ารักมากกว่านี้
ก้าวเนิบมาเปิดไฟอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง นั่ง
บนขอบฟูก ใช้มือเสยหน้าผากเด็กน้อยอย่างอ่อน
โยน
"เป็นไงมั่ง..."
ตอนท้ายของการทักเกือบหลุดคำาว่า "ลูก"
ออกไป แต่ยั้งไว้ ขืนเผลอพูดบ่อยเกินไป อาจ
เป็นการสนับสนุนทางอ้อมให้อิ๊กยึดหล่อนเป็นแม่
เข้าให้จริงๆสักวัน
"วันนี้คิดมากค่ะ"
"เรื่องไหน... แม่ชีพิรมล?"
เด็กหญิงอิ๊กพยักหน้ารับ
"อ๋อ... อือม์ ... เอางี้ พี่มะแมถามแล้วน้
องอิ๊กตอบเป็นข้อๆนะ"
"ค่ะ"
"จำาได้ไหมเมื่อคืนฝันอะไรบ้าง?"
อิ๊กทำาหน้าตรึกนึกทบทวนอยู่นานก่อนตอบ
"พี่มะแมพาอิ๊กไปเที่ยวค่ะ"
"เที่ยวไหน?"
"ต่างจังหวัด มีภูเขาเยอะ..." พอจับฉาก
หลักเป็นตัวตั้งได้ ฉากย่อยก็เริ่มทยอยตามมา
"พี่มะแมชี้ให้ดูนกบินเรียงกันเป็นตัววี ถามอิ๊
กด้วยว่าสวยไหม อิ๊กตอบว่าสวยค่ะ"
"เหรอ..."
หญิงสาวง่วงขึ้นมาวูบหนึ่ง เลยงงๆ ฟังอิ๊ก
เล่าไม่ครบดีนัก
"อิ๊กมีความสุขจริงๆเลยตอนอยู่กับพี่มะแม
แม้แต่ในความฝัน"
เด็กหญิงพูดเสียงซื่อ มะแมหัวเราะเบาๆ
"อือม์ ... จ้ะ พี่ก็เหมือนกันนะ" แล้วหล่อนก็
ตัดสินใจเอนกายลงนอนชันศอกค้ำาศีรษะตะแคง
ข้างๆอิ๊ก ซึ่งก็ช่วยคลายความเมื่อยล้าได้ดีทีเดียว
"เอาล่ะ... ไหนบอกซิ อิ๊กรู้ได้ยังไงว่าที่พี่มะแมพา
ไปเที่ยวเมื่อคืนเนี่ย มันเป็นแค่ความฝัน?"
หนูน้อยฟังแล้วชะงักงงว่าทำาไมคุณพี่ของ
เธอถึงถามเช่นนั้น แต่ก็ตอบไปตามแกน เพราะ
ทราบว่ามะแมมีเหตุผลอยู่ในทุกคำาถามเสมอ
"เพราะอิ๊กตื่นขึ้นมา แล้วมันก็หายไป"
"แค่ตื่นขึ้นมา ยังไม่พอจะพิสูจน์หรอกนะว่า
มันเป็นความฝัน เพราะบางทีคนเราก็ฝันซ้อนฝัน
ได้ ฝันว่าตื่นขึ้นมาจากอีกฝันหนึ่งได้ อิ๊กเคย
ไหม? นึกว่าตื่นขึ้นมาแล้ว ที่ไหนได้ ยังมีการตื่น
ของจริงอีกที "
อิ๊กมองเพดานตาแป๋ว ก่อนพึมพำาตอบ
"ดูเหมือนจะเคยนะคะ"
"นั่นแหละ... เห็นไหม แสดงว่าแค่รู้สึก
เหมือนตื่นขึ้นมา ยังไม่แปลว่าเจอของจริงแล้ว
เสมอไป"
"ค่ะ"
"เวลาอยู่ในสมาธินิ่งๆ มันเหมือนตื่นยิ่งกว่า
ตอนลืมตาเสียอีก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะดูเป็นจริงเป็น
จังไปหมด ถูกไหม?"
"ค่ะ"
"นั่นเพราะขณะอยู่ในสมาธิที่สะอาดจาก
คลื่นความฟุ้งซ่านวกวน จิตรับรู้อะไรได้ชัดเจน
แจ่มแจ้ง ไม่วอกแวกเปลี่ยนไปคิดเรื่องโน้นทีเรื่อง
นี้ทีเหมือนตอนตื่น"
"ค่ะ จริงด้วย"
"ความชัดอาจทำาให้เราเผลอนึกไป ว่านั่น
คือการตื่นที่แท้จริง ทั้งที่มันไม่มีอะไรจริงเลย"
"แล้วจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าอันไหนจริง อันไหน
ไม่จริง?"
"อิ๊กจำาคนชื่อหยิมได้ไหม?"
แม่หนูน้อยหัวเราะเบาๆ
"จำาได้สิคะ วันนี้พี่หยิมดูหัวโตกว่าทุกวัน
ด้วย"
"ทำาไมอย่างนั้นล่ะ?"
"ไปทำาผมทรงกระบุงอะไรมาก็ไม่ทราบค่ะ"
คราวนี้มะแมเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง สติค่อย
กลับมาเต็มตื่นกว่าเมื่อครู่ เว้นวรรคเงียบเสียงไป
อึดใจก่อนเอ่ยต่อ
"รู้จักพี่หยิมตั้งแต่เมื่อไหร่ ?"
"ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้ค่ะ"
"พรุ่งนี้จะยังจำาพี่หยิมได้อยู่ไหม?"
"จำาได้แน่นอนค่ะ! วันนี้แค่เห็นเงาพี่หยิม
เดินมายังจำาได้เลย"
"นั่นแหละ! ตัวช่วยพิสูจน์ความจริง เราจะ
แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไปก็ต่อเมื่อมีตัวช่วยเช็คความ
จริงมาสนับสนุน... ทำานองเดียวกัน ถ้าแม่ชีพิรมล
เคยมีตัวตนอยู่จริง เราก็ต้องหาใครที่จำาแม่ชีพิร
มลได้มาช่วยยืนยัน"
"ทำาไมพี่มะแมไม่สะกดจิตอิ๊กอีกล่ะคะ? เผื่อ
อิ๊กจะได้รู้มากกว่านั้น"
มะแมโคลงศีรษะปฏิเสธ ก่อนพลิกร่างนอน
หงาย ค่อยสบายขึ้นอีกนิด
"สารภาพว่ากรณีของอิ๊ก พี่เจอเข้ากับอะไร
ที่เกินความสามารถ พี่ไม่อยากเสี่ยง สะกดไป
แล้วไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่ง..."
เว้นวรรคก่อนตัดสินใจบอก "พี่ค้นหาจาก
ทะเบียนราษฎร ไม่เคยมีนามสกุล 'พิเศษสุทัศน์ '
อยู่ในประเทศไทยมาก่อนเลย"
อิ๊กใจแป้ว ในความทรงจำาชัดๆก่อนมโน
นิมิตทั้งหมดจะเลือนหาย เธอจำาทั้งชื่อและ
นามสกุลตัวเองได้อย่างแม่นยำา มันแน่นอน
เท่ากับที่จำาชื่อและนามสกุลปัจจุบันได้เดี๋ยวนี้
น่าขัดใจตรงที่ลืมตาแล้วลืมหมด เหมือน
ขาดการติดต่อกับตัวตนในอดีตอย่างสิ้นเชิง แม้
พยายามระลึกถึงที่อยู่เดิม ญาติเชื้อ เพื่อนสนิท
มิตรสหาย นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก แบบเดียวกับ
ตื่นนอนแล้วลืมฝันนั่นเอง
มะแมเห็นอาการย้ำาคิดไม่เลิกของอิ๊กแล้ว
ชักกลุ้ม ถ้ายังตกค้างอยู่ก็อาจสับสนเกี่ยวกับตัว
ตน เหมือนต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่
และในที่สุดตอนโตก็อาจมีบุคลิกภาพแปรปรวน
พยายามพิสูจน์ตัวเองแบบผิดๆ ไม่ยอมรับความ
จริงตรงหน้า จะเอาแต่ความจริงที่ตนทึกทักว่าใช่
เหลือกตามองเพดานอย่างจนปัญญา การ
ช่วยสะกดจิตให้อิ๊กย้อนความทรงจำานับเป็น
ประสบการณ์พิเศษ หล่อนได้เฝ้าสังเกต
ปรากฏการณ์ทางจิตเหนือธรรมดา ได้เห็นหลาย
สิ่งที่ไม่เคยเห็น แต่ก็อธิบายอะไรไม่ได้ชัดสักเรื่อง
และเมื่อใดประสบเข้ากับสิ่งที่อธิบายไม่ได้
มะแมก็จะปิดจิตสัมผัส แล้วเปิดความคิดแบบ
วิทยาศาสตร์ทันที นั่นคือมีจุดยืนที่จะเชื่อหลัก
ฐานและการพิสูจน์แบบจับต้องได้ ไม่ดันทุรังเชื่อ
อะไรที่ดูเหมือน "ต้องใช่แน่ๆ" ท่าเดียว
"อิ๊กจ๊ะ..." มะแมขานชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียง
ง่วงงุน "ต่อให้แม่ชีพิรมล พิเศษสุทัศน์ เคยมีตัว
ตนอยู่จริง ก็สูญสลายหายเป็นเถ้าธุลีปลิวลมไป
แล้ว แล้วจะเอาแม่ชีพิรมลมาใช้ประโยชน์อะไรได้
อีก อย่าให้ความสำาคัญกับแม่ชีที่ตายไปแล้ว
มากกว่าน้องอิ๊ก เด็กหญิงอนิทรา ที่กำาลังมีเลือด
เนื้ออยู่เดี๋ยวนี้เลย..."
แล้ววูบนั้น จู่ๆความสามารถในพูดคุยของ
มะแมก็ขาดหายไป นั่นอาจนับเป็นการเผลอหลับ
ทั้งยังทรงชุดทำางานเป็นครั้งแรกของหล่อนก็ว่าได้
มันทำาให้อิ๊กอมยิ้มที่ได้นอนกอดผู้หญิงที่อบอุ่น
ที่สุดในโลกทั้งคืน ไม่ต่างจากตอนนอนกอดแม่
เลยแม้แต่นิดเดียว
มะแมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เหมือนกัน ว่าการยืน
รอคนรักก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ยืนคนเดียว
คิดถึงใครอีกคน อย่างรู้ว่าเดี๋ยวเขาจะปรากฏ
กายให้เห็น เป็นความเปลี่ยวที่ปราศจากความ
เหงา ท่ามกลางความพลุกพล่านที่ไม่มีใคร แต่มี
เขาอยู่ในใจเพียงคนเดียว
หลังจากรอแล้วได้เห็นหน้าที่อยากเห็น
ความสุขยิ่งเบ่งบานจนกลั้นยิ้มไม่อยู่ ยิ้มที่มีให้
เขาจึงไม่ใช่ยิ้มทักทาย แต่เป็นยิ้มปีติออกมาจาก
ภายใน
อัคระเดินมาตามทางออกผู้โดยสารขาเข้า
ใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีนส์ฟอกและ
รองเท้าผ้าใบเท่ๆ อวดสัดส่วนสมชายตั้งแต่แผง
อกกว้างไปจนถึงมัดเนื้อที่น่ามอง ช่างเป็นคนที่น่า
มองจริงๆ ไม่ว่าระยะใกล้หรือระยะไกล ไม่ว่าหยุด
ยืนหรือเดินเหิน
เขาแสดงความเป็นเศรษฐีใหญ่โดยการไม่มี
กระเป๋าใหญ่ติดตัวมาเลยสักใบ แม้จะเดินทาง
ข้ามน้ำาข้ามทะเลมาตั้งไกล ก็จะแบกทำาไมให้
เมื่อยในเมื่อมีบ้านหรือห้องพักส่วนตัวอยู่เกือบทุก
ประเทศ!
ประสานตากันนิ่ง ตั้งแต่ไกลมาจนใกล้แค่
เอื้อม และที่สุดมะแมก็ก้มหน้าพนมมือไหว้อย่าง
อ่อนน้อม
"สวัสดีค่ะพี่อัค"
ชายหนุ่มรับไหว้
"รอนานไหม?"
มะแมอมยิ้ม สั่นศีรษะนิดๆอย่างรู้ว่าน่ารัก
"เครื่องลงตรงเวลานี่คะ"
"ขอบใจนะที่มารับ รู้ไหม ลงจากเครื่องมา
เจอหน้ามะแมแล้วรู้สึกยังไง?"
หญิงสาวก้มหน้าเขินๆ
"รู้สึกยังไงคะ?"
"รู้สึกอยากแต่งเพลง"
"เพราะอะไร?"
"เพราะแต่งเพลงมันง่ายและทำาได้เลย ไม่
เหมือนแต่งงาน ต้องเตรียมกันนานกว่า"
คนฟังคำาตอบหัวเราะพรืดด้วยความคาดไม่
ถึง
"โห... มุขอะไรเนี่ย!"
"มุขให้คนหน้าแดงกลางสนามบินไง"
มะแมเม้มปากหันไปทางอื่นเพื่อซ่อนหน้า
อัคระยิ้มมองอาการเอียงอายอย่างเป็นสุขครู่หนึ่ง
ก่อนเลิกคิ้วสูงยกข้อมือดูนาฬิกา ขณะนั้นเป็น
เวลา ๑๘.๐๕
"งั้นเราไปกันเลยไหม คุณพ่อคุณแม่พี่กิน
ข้าวเย็นกันทุ่มตรง พอไปถึงคงเหลือเวลานั่งคุย
กันได้นิดหนึ่ง"
"ค่ะ"
สิ้นคำาหล่อน อัคระก็คว้ามือน้อยมากุมและ
จูงออกเดินหน้าตาเฉย มะแมทำาปากยื่นและเกือบ
ขืนอย่างไม่คุ้น แต่พอถูกลากให้เดินตามสองสาม
ก้าวก็ยิ้มๆ หัวเราะหึหึและยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
โดยดี
แม้ไม่อุ่นซ่านไปถึงหัวใจเหมือนครั้งแรกที่
เขากุมมือในรถ แต่ก็คุ้นเร็วราวกับเคยเดินจูงกัน
มานาน เหมือนเป็นคนรักของเขาเต็มตัวก็ตอน
เดินเคียงกันท่ามกลางผู้คนมากมายเดี๋ยวนี้เอง
พยายามวางหน้าเฉย แต่ริมฝีปากเจ้ากรรมดัน
ระบายยิ้มอยู่ตลอดเวลา นึกอายเหมือนกันที่
แสดงความสุขโจ่งแจ้งไปหน่อย
มาถึงจุดหนึ่งที่ผู้คนเบาบาง อัคระชะลอลง
และเบี่ยงเท้าจากเส้นตรงเคลื่อนมาหยุดใกล้แผง
เหล็กกั้น มะแมกำาลังก้มหน้าก้มตาเดินต้องหยุด
ตามและเงยขึ้นมองงงๆ
เขากำาลังจ้องพินิจเด็กผิวดำาคนหนึ่ง อายุไม่
ถึงวัยรุ่น ทรงหน้าเรียว นัยน์ตาโต ผมหยิก ร่าง
ผอมเกร็ง นั่งขัดสมาธิข้างกองกระเป๋าเดินทาง
ก้มหน้าก้มตามองพื้นอย่างไม่มีอะไรทำาระหว่าง
รอผู้ใหญ่
หญิงสาวแปรสายตามองตาม ไม่เห็นอะไร
มากไปกว่าเด็กผู้ชายอารมณ์หงอยคนหนึ่ง แต่
สงสัยคนรักของตนคงเห็นบางสิ่งที่พิเศษ เพราะ
หลังจากนิ่งพินิจอยู่อึดใจ อัคระก็ปล่อยมือหล่อน
เข้าไปนั่งขัดสมาธิกับพื้นเป็นเพื่อนกับเด็ก
"ฮาย!"
เขายิ้มกว้างทัก และเด็กชายผิวดำาก็เงย
หน้าขึ้นขมวดคิ้วมองอัคระงงๆ
"เยส?"
พอเด็กตอบโต้ด้วย อัคระก็ใช้ภาษากลาง
พูดราวคุ้นเคยกับเด็กคนนั้นมานาน
"รู้ไหมทำาไมคนแพ้ถึงหมดแรง?"
เด็กผิวสีจ้องชายหนุ่มอย่างพิศวงงงงวย แต่
ที่สุดก็สั่นหน้าเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่รู้
"เพราะต้องเสียกำาลังส่วนหนึ่งในชีวิต แบ่ง
ไปเสริมพลังของผู้ชนะไง... แล้วรู้ไหม ทำาไมคน
ได้ที่โหล่ถึงหมดแรงมากกว่าเพื่อน?"
เด็กคนนั้นสั่นหน้าอีก นัยน์ตาโชนแววสงสัย
จ้า
"เพราะคนได้ที่โหล่ต้องแบ่งสรรปันส่วน
พลังในชีวิตให้กับทุกคนที่เข้าร่วมแข่งไง... แล้วรู้
ไหม ทำายังไงถึงจะได้ที่โหล่แบบไม่ต้องหมด
แรง?"
เด็กชะงักค้าง สั่นหน้านิดเดียว แต่ตาดำาโต
ทอแววตั้งใจฟังนิ่ง
"คำาตอบคือ อย่าเก็บคำาว่า 'ขี้แพ้ ' ไว้ใน
ใจ!" อัคระตอบหนักๆ "ความพ่ายแพ้ไม่ได้ทำาให้
เราอ่อนแอ การถอดใจยอมแพ้ต่างหากที่ทำาให้
เราหมดรูป และทำาให้คนอื่นรู้สึกอยากล้อเลียน
เราด้วยคำานั้น... ไอ้ขี้แพ้ !"
เด็กก้มหน้าสลด แต่อัคระก็ไม่หยุด
"เกมแพ้เป็นเรื่องของเกม แต่ใจไม่แพ้เป็น
เรื่องของเรา ถ้าไม่เสียใจอย่างเดียว ก็เท่ากับไม่
เสียอะไรไปเลยแม้แต่พลังก็อยู่กับเราครบ เราจะ
ไม่รู้สึกเหมือนแพ้ ดังนั้นคำาว่าขี้แพ้ก็ไม่มีทางมา
อยู่ในหัวของเราได้ "
สีหน้าของเด็กคลายจากความสลด เปลี่ยน
เป็นสดชื่นขึ้นเล็กน้อย
"รู้ไหม นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเขาคิด
กันยังไง?"
ถึงจุดนี้ มะแมเริ่มสัมผัสถึงพลังบางอย่างที่
แผ่กว้างออกมาจากชายหนุ่ม กระจายรัศมีเป็นวง
ครอบทั่วทั้งบริเวณ สัญชาตญาณทางจิตบอกว่า
อัคระกำาลัง "ทำางานใหญ่ " ที่หล่อนไม่เข้าใจ
"ผมไม่รู้ "
เด็กเอ่ยปากตอบเป็นคำาแรกออกมาได้ ทั้ง
ยังทำาหน้างงไม่เลิก
"โอเค!" อัคระทำาเสียงอาสาว่าจะช่วยไขให้
"คืองี้นะ ก่อนนักกีฬาระดับโลกเข้าสนามแข่งครั้ง
สำาคัญ ประเภทโอลิมปิกหรืออะไรเทือกนั้น เขา
มั่นใจว่าตัวเองแน่พอจะชนะคนได้ทั้งโลก ไม่ใช่
เฉพาะเหล่าคู่แข่งขันในสนามหรอก เข้าใจไหม
เขาเชื่อว่าเขาชนะโลกได้เลย!"
คนฟังจ้องคนพูดตาค้าง และเหมือนไม่อาจ
อ้าปากเอ่ยคำาใดขัดจังหวะ
"แล้วรู้ไหม ก่อนเขาจะเป็นนักกีฬาระดับ
โลกได้ เขาคิดยังไง?"
"ผะ... ผมไม่รู้อีกเหมือนกันฮะ"
"เขาไม่อายที่จะแพ้คนได้ทั้งโลก! ขอข้อแม้
แค่อย่างเดียว แพ้แต่ละครั้งแล้วได้เรียนรู้ว่าจะ
เล่นให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็แล้วกัน!"
เด็กผมหยิกขยับริมฝีปาก แต่ก็เหมือนจุกที่
คอหอย ปล่อยให้หนุ่มไทยถ่ายเทถ้อยคำาเข้าไป
ประดิษฐานในหัวตนอยู่ฝ่ายเดียว
"แพ้บ่อยไม่ได้ช่วยให้รู้จักแพ้ แต่การหัด
ยอมรับรสชาติของความพ่ายแพ้บ่อยๆ จะทำาให้
เรียนรู้ว่าขมมากได้ เดี๋ยวก็ขมน้อยลงได้ แล้วพอ
รู้สึกขมน้อยลงนะ เราจะเริ่มลิ้มรสความหวานของ
การเรียนรู้เพิ่มขึ้นทุกที "
"ฮะ..."
"เคยได้ยินไหม?" อัคระเอ่ยต่อ "ไม่มีใคร
จำาผู้ชนะคนที่สองได้ ใครๆก็จำาแต่ผู้ชนะเลิศได้แค่
คนเดียว"
"เคยได้ยินฮะ"
"แต่รู้อะไรไหม? ความจริงก็คือโลกจำาไม่ได้
อยู่ดีว่าหมายเลขหนึ่งมีใครบ้าง และหมายเลข
หนึ่งถูกยันไปเป็นหมายเลขสองเมื่อไหร่ หรือ
กระทั่งถูกถีบตกกระป๋องไปเป็นที่โหล่กี่ครั้งกี่หน
ในเวลาต่อมา"
เด็กผิวดำาค่อยๆเม้มปาก หรี่ตาตั้งใจฟัง
อย่างเข้าอกเข้าใจ และดูเหมือนมีความหมายกับ
ชีวิตตนเป็นที่สุด
"เบอร์หนึ่งมันก็แค่สมบัติผลัดกันชม ไม่มี
ที่ไหนครองมันไว้ได้ตลอดไปหรอก แล้วใครจะไป
จำาไหวว่าก่อนเป็นหมายเลขหนึ่ง เราแพ้หมดรูป
มากี่หน เขาจะจำากันแต่ว่าเราเป็นหนึ่งในคนกล้า
กล้าแพ้พันครั้ง เพื่อเป็นแชมป์โลกให้ได้สักครั้ง
หนึ่ง!"
แล้วอัคระก็ตบบ่าของเด็ก
"จำาไว้ ! คนจะก้าวไปเป็นหมายเลขหนึ่งเขา
ไม่วอกแวกเรื่องแพ้คนอื่น แต่มุ่งเอาชนะตัวเอง
ก่อน เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะชนะคนอื่นวันนี้
เราอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าชนะตัวเอง เราดีขึ้น
กว่าเมื่อวานแน่นอน!"
ในสายตาของเด็กชาย อากาศรอบกายของ
ชายไทยตรงหน้าคล้ายสุกสว่างเรืองรองอย่าง
ประหลาด
"ฮะ..."
ชายหนุ่มหรี่ตาเล็งแลอีกฝ่ายด้วยกระแส
คาดคั้น
"ให้เพื่อนมันดูถูกหรือหัวเราะเยาะจนหูชา
หรือจนกว่าใจจะลืมเรื่องแพ้ เพื่อมีสมองไว้จำาเรื่อง
เดียว คือทุ่มเทเพื่อความเป็นหนึ่ง!"
พลังโน้มน้าวที่ยิ่งใหญ่ ดูเหมือนจะให้ผล
หนักแน่นเฉียบพลัน เด็กผิวดำาคนนั้นเบะปากน้ำา
ตาไหล แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆจึงมีชายต่าง
เชื้อชาติเข้ามาคุยกับตน แต่ก็แจ่มแจ้งจับใจไปถึง
ก้นบึ้งของจิตวิญญาณ
"ขอบคุณนะฮะ"
เจ้าหนูยกมือปาดน้ำาตา อัคระยิงฟันยิ้ม อ้า
สองแขนเปิดอกรอ และแล้วเด็กที่เขาจัดการ
เปลี่ยนชีวิตให้ก็โผเข้ากอดคอเต็มอ้อม
พ่อแม่ของเด็กยังไม่มา คนรอบด้านก็ไม่มี
ทีท่าสนใจนักว่าอัคระคุยอะไรกับเด็ก แต่ภาพที่
เด็กผมหยิกโผเข้ากอดคออัคระแน่นทั้งน้ำาตา มี
บางสิ่งที่เรียกความสนใจจากสายตาหลายคู่ให้
เหลียวดูได้
มะแมกะพริบตาปริบๆ ตอนนี้หายงง นิมิต
ค่อยปรากฏเป็นฉากๆ ทำาให้เข้าใจที่มาที่ไปของ
อารมณ์หงอยของเด็กคนนั้น หล่อนคีบทิชชูจาก
กระเป๋าถือแล้วโน้มร่างลงซับน้ำาตาให้ พลางเอ่ย
ปลอบเสริมด้วยคำาอังกฤษที่ฟังไพเราะและอบอุ่น
"ก่อนมาทัวร์กับพ่อแม่ หนูออกจากประเทศ
อย่างคนที่แพ้คนอื่น แต่ขากลับประเทศ ขอให้
กลับไปอย่างคนที่ชนะตัวเอง เพื่อจะไม่เสียใจถ้า
ต้องแพ้ใครอีก!"
นี่จะเป็นวันที่ชวนฉงนที่สุด และกระจ่างที่สุด
พร้อมกันสำาหรับเด็กคนหนึ่ง คู่หนุ่มสาวเดินจาก
มา ทิ้งเด็กคนนั้นไว้กับเส้นทางชีวิตใหม่ของ
ตนเองต่อไป
เขาจูงมือหล่อนต่อ และคราวนี้มะแมก็
กระชับอุ้งมือตอบด้วยความปรีดาร่วมกัน
"พี่อัคเพิ่งเปลี่ยนโลกไปอีกส่วนหนึ่งหรือ
คะ?"
"อือ... เขาจะเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ แทนที่
จะเป็นตัวตลกสกปรกหรืออาชญากรร้าย แต่นั่น
ไม่สำาคัญนัก คำาที่เราช่วยกันเพาะไว้ในหัวของเขา
จะแตกกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผล คือหลังจาก
ประสบความสำาเร็จระดับโลก เขาจะเป็นนักพูด
สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนจำานวนมหาศาล
อยากทำาเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
เหมือนกับที่เขาได้รับกำาลังใจจากคนแปลกหน้า
ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนในวันนี้ !"
หญิงสาวเล็งแลด้วยจิตแล้วตาสว่างแพรว
หัวเราะใสอย่างสามารถเห็นนิมิตตาม นี่คือการ
เปลี่ยนแปลงโลกด้วยปฏิบัติการฝืนธรรมชาติ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่อยู่ในแผนของชะตากรรมที่
จะให้อัคระและเด็กผิวดำาได้โคจรมาเกื้อกูลกัน อีก
ทั้งเด็กก็ไม่ได้อยู่ในลิสต์ "บุคคลสำาคัญ" ที่อัคระ
วางแผนจะเปลี่ยนแปลงด้วย
"พี่อัคเห็นศักยภาพใหญ่ของเขาได้ตั้งแต่
แวบแรกเลยหรือคะ? ครึ่งนาทีแรกมะแมมองไม่
เห็นอะไรเลยนอกจากเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง"
"พอต้องพัวพันกับพวกมีอิทธิพลต่อโลก
สูงๆ มันก็สัมผัสได้ขึ้นมาเองแหละ ไอ้หนูนี่ตอน
เศร้ามันเก็บกดแรง มะแมลองทบทวนดูสิ รัศมี
ความน้อยใจ คลื่นความเกลียดเสียงล้อเลียน กับ
ไฟทะเยอทะยานอยากเป็นหนึ่งน่ะ มันครอบพื้นที่
กว้าง เหมือนเชื้อเพลิงปริมาณมากพอจะเผาเมือง
ได้ "
มะแมทบทวนดู นึกถึงวาระแรกที่สายตา
ปะทะภาพเด็กผิวสีคนนั้น มันมีความอัดอั้น
มโหฬารอยู่จริงๆ แต่หล่อนไม่เห็นขนาดที่จะ
ครอบเมืองหรือเผาเมืองได้อย่างไร
นั่นสะท้อนว่าเห็นเหมือนกัน แต่ระดับการ
เห็นต่างกันได้ขนาดไหน
"ไว้มะแมจะลองเรียนรู้และหัดสังเกตดูบ้าง
นะคะ"
เอ่ยปากอย่างหมายมั่น ชีวิตจะมีค่าขึ้น
ขนาดไหน หากรู้ชัดว่าจะสละเวลาสัก ๕ นาทีให้
กับใครเพื่อเปลี่ยนชีวิตที่เหลือของคนๆนั้น ตลอด
จนผู้คนที่จะได้รับผลกระทบต่อเป็นทอดๆอีกไม่รู้
เท่าไร!
ถ้าทำาได้ ก็แปลว่านาทีใดนาทีหนึ่งในชีวิต
หล่อน อาจสามารถเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่ง
ของโลก ถ้าไม่เดี๋ยวนี้ก็ในอนาคตอันใกล้ !
เดินข้ามสะพานมาถึงอาคารจอดรถ พอ
ใกล้แจ๊ซของหล่อนเข้าไป มะแมก็เปรยลอยๆ
"ตอนเข้าไปนั่งในรถมะแม พี่อัคจะรู้สึก
แปลกๆขนาดไหนก็ไม่รู้นะคะ ปกติเคยแต่ขี่ราช
รถคันละเป็นร้อยล้าน"
"พี่เคยขี่อูฐไปช่วยคน มันก็เหมือนขึ้น
สวรรค์ได้นะ อยู่ที่ใจมากกว่า"
มะแมยิ้มเบะหน่อยๆ แต่แอบนึกอยากซ้อน
หลังอูฐไปกับอัคระดูเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง
พอกดปุ่มรีโมทคอนโทรลเปิดล็อกให้ อัคระ
ก็อาสาว่า
"พี่ขับให้เอาไหม?"
"ให้มะแมบริการดีกว่าค่ะ"
"ไม่ไว้ใจกลัวขับรถใหม่ไปเฉี่ยวเหรอ?"
เขาแกล้งถามขำาๆ
"เปล่า... มะแมมารับพี่อัค ก็อยากให้พี่อัค
นั่งสบายๆสิคะ"
พอเข้ามานั่งประจำาที่ทั้งสองคนใน
อาณาเขตแคบ ไหล่ห่างกันนิดเดียว มะแมก็บิด
กุญแจสตาร์ทเครื่อง แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยแบบ
เก้ๆกังๆ จู่ๆก็เงอะงะขึ้นมาเฉยๆ อาจเพราะ
ประหม่ากับการมีผู้โดยสารกิตติมศักดิ์มานั่ง
ข้างๆในพาหนะคันจิ๋วของตนกระมัง
คาดเข็มขัดเสร็จก็ตั้งสติทบทวนนิดหนึ่งว่า
ต้องทำาอะไรต่อ คล้ายเด็กหัดขับรถที่ยังไม่คล่อง
ดี ไม่ขึ้นใจว่าเกียร์กับคันเร่งอยู่ตรงไหน แล้ว
มะแมก็ลอบถอนใจ อยู่กับเขาบางทีก็เหมือนเป็น
ตัวของตัวเองที่สุด ทว่าบางขณะทุกอย่างรอบตัว
ก็ดูแปลกและแตกต่างไปหมด
อัคระลากสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดสบายๆ
ชวนมะแมคุยอย่างจะให้หล่อนผ่อนคลายลง
"ตอนทำาสมาธิใหม่ๆ พี่อยากเห็นสวรรค์
ก่อนเลย"
"แล้วได้เห็นไหม?"
"มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก"
"มะแมก็เคยอยากรู้จักความรู้สึกตอนอยู่
บนสวรรค์นะคะ ว่ามันเพริดแพร้วพรรณรายซัก
ขนาดไหน"
"อือม์ ..." เขาทอดสายตาในลักษณาการ
มองไกลกลับไปในอดีต "เชื่อไหมพี่รู้ด้วยว่าจูบ
นางฟ้าเขารู้สึกกันยังไง"
"จริงเหรอ? รู้สึกยังไงคะ?"
ถามพาซื่อ แต่ไม่ทันขาดคำา อัคระก็โน้ม
กายอันแฝงอำานาจแห่งชายผู้ทรงพลัง ยื่นหน้ามา
ประทับจุมพิตลงบนเรียวปากอิ่มชั่วอึดใจ ก่อน
เอียงหน้ากระซิบข้างใบหูหล่อน
"ดูเอาเองสิว่าพี่รู้สึกยังไง"
มะแมตะลึงงันราวถูกสาปให้เป็นหุ่น มี
แรงดึงดูดอ่อนหวานระหว่างสองฝั่งริมฝีปากที่
ชวนพิสมัย ตรึงตราจนชาไปทั้งร่างชั่วขณะ แต่
พอรู้สึกตัวในวินาทีต่อมาก็เบนหน้าหนี ให้คล้าย
กับเมื่อครู่หลบไม่ทัน ไม่ใช่เพราะยอม
พวงแก้มขึ้นสีชมพูจัด แต่ที่สุดก็หัวเราะสะ
ดุดๆ ดันอกเขาออกห่าง ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะก้ม
หน้าหรือเงยหน้าดี
"กลางที่จอดรถเลยนะพี่อัค"
"เรียกให้หรูหน่อยสิ นี่มันกลางท่า
อากาศยานนานาชาติต่างหาก"
"โอ๋ย! พี่อัคอ้ะ..." หญิงสาวได้แต่หัวเราะ
แปร่งๆ ขำาก็ขำา เขินก็เขิน สติสตังไม่อยู่กับเนื้อ
กับตัวอีกต่อไป จึงกดปุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยมือไม้
สั่น เปิดประตูก้าวออกมายืนนอกรถ "มะแม
เปลี่ยนใจแล้วค่ะ พี่มาขับดีกว่า!"

_____________________________________________________________________________
บทที่ ๑๘
คฤหาสน์ที่อัคระปลูกไว้ให้พ่อแม่ ตั้ง
ตระหง่านในรั้วรอบขอบสูงริมถนนกาญจนาภิเษก
ใช้เวลาจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง ๒๐ นาทีก็
ถึง
ในตัวอาคารอันโอ่โถงโปร่งสบาย สไตล์โม
เดิร์นทรอปิคอล มีการตกแต่งที่สง่างามตามแบบ
ของอัคระ เขาพามะแมมาที่ห้องรับแขก ซึ่งผู้เป็น
บุพการีทั้งสองนั่งอ่านหนังสือคอยอยู่เงียบๆ
"พ่อครับ แม่ครับ นี่มะแม"
หญิงสาวคุมตนเองให้ดูดี ไม่ตื่นสถานที่
และไม่เคอะเขินเมื่อต้องพนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
ท่าน
"สวัสดีค่ะคุณพ่อ สวัสดีค่ะคุณแม่ "
นายอัษฎา บิดาของอัคระ เป็นชายวัยใกล้
ชราร่างท้วม นัยน์ตาฉายแววลึก คล้ายเห็นมา
หมด เข้าใจไปหมด และพูดน้อยกว่าที่คิดมาก
ส่วนนางอรุณี มารดาของอัคระนั้น เหมือน
แม่บ้านธรรมดาที่ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ดวงหน้า
กลมดูสดใส ยิ้มง่ายคล้ายพร้อมจะทำาความรู้จัก
มักคุ้นกับคนแปลกหน้าได้ทุกคน
"นั่งสิจ๊ะหนูมะแม"
"ขอบพระคุณค่ะ"
สาวน้อยหน้าใหม่ก้าวมาลงนั่งบนโซฟา
เดี่ยวตัวหนึ่งตามคำาเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน ขณะนั้น
เด็กรับใช้นำาน้ำาทับทิมมาวางให้สองแก้วแล้วจาก
ไป ถือเป็นช่วงสั้นๆที่มะแมได้ปรับตัว นั่งชิดเข่า
ประสานมือให้เข้าที่เรียบร้อยพอดี
อัษฎาพินิจร่างระหง คอตั้งหลังตรง ดูสง่า
งามของหญิงสาวด้วยรอยยิ้มพึงใจ
"หน้าตาหนูเด่นมากนะ พ่อจำาได้ติดตา
ตั้งแต่เห็นครั้งแรกช่วงที่เป็นข่าวทำานายแผ่นดิน
ไหว"
มะแมยิ้มหวาน มือประสานนิ่ง รู้สึกนิ่ม อุ่น
ไม่เกร็ง ไม่ชื้นเหงื่อแห่งความประหม่า จึงทราบ
ว่าตนใจสบายเป็นปกติ ทำาตัวกลมกลืนกับ
บรรยากาศในบ้านได้ดีกว่าที่คิด
"นายอัคบอกแม่ว่าหนูจบจิตวิทยาใช่
ไหม?"
"ค่ะคุณแม่ "
"พี่เอาเรื่องของมะแมมาขายหมดแล้วล่ะ"
อัคระพูดพลางหย่อนตัวลงนั่งเอนหลังบน
โซฟาเดี่ยวอีกตัว หลังจากไถลเดินรอบห้องเป็น
ครู่ มะแมแวบส่งใจไปทางเขา แต่สายตายังอยู่
กับคุณแม่อรุณี ที่ทำาท่าเหมือนอยากคุยกับหล่อน
มากมาย
"นายอัคพูดถึงหนูให้แม่ฟังมาเป็นปีๆแล้ว"
ประโยคสั้นๆนั้นสร้างความรู้สึกประหลาด
ใจให้มะแม ขนาดหันไปส่งสายตาทอประกายเป็น
เครื่องหมายปรัศนีให้อัคระ ซึ่งเขาก็ยักคิ้วข้าง
เดียวตอบหน่อยๆแล้วเมินไปทางอื่น
มะแมค่อยๆลากลมหายใจยาว แค่นั้นก็
บอกแล้วว่าอัคระคงไม่มีเรื่องปิดบังกับพ่อแม่
และหล่อนก็ตกอยู่ในสายตาของทุกคนในห้องนี้
มานานโดยไม่รู้ตัว
อัษฎาเอ่ยเสียงทุ้ม
"หนูเป็นคนแรกนะที่นายอัคพามาหาพ่อ นี่
เป็นคืนที่แปลกดี "
มะแมใช้สัมผัสกวาดดู พบว่าภายนอกที่ดู
ขรึม คุณพ่ออัษฎาเป็นผู้ใหญ่ใจดี และกระแสจิตก็
เป็นคนธรรมดา คิดนึกปกติ ไม่ใช่ผู้วิเศษล่วงรู้
อะไรได้เกินสามัญมนุษย์
"มะแมก็รู้สึกอบอุ่น และปลื้มใจที่มีโอกาส
มาพบกับคุณพ่อคุณแม่มากค่ะ"
เลือกตอบด้วยคำากลางๆตามธรรมเนียม
ตั้งใจจะไม่เผลอหลุดออกมาว่าปลื้มลูกชายของ
ท่านทั้งสองปานใด
"แม่เห็นหน้าหนูนาทีเดียวก็นึกรักเสียแล้วสิ
ไม่สงสัยเลยว่าทำาไมนายอัคถึงแอบหลงเงียบๆ
มาได้นานขนาดนี้ คุยกับแม่นะ คำาก็นางในฝัน
สองคำาก็นางในฝัน"
อรุณีเล่าซื่อๆแบบคนไม่มีชั้นเชิงซ่อนเบื้อง
หน้าเบื้องหลัง และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่มะแมเผลอ
ย่นคิ้ว เหลียวมองอัคระอย่างสุดสนเท่ห์ ตอนนี้
เขากำาลังยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ในท่ากลุ้มใจ กับ
ทั้งปลงตกแล้วว่าอย่างไรคืนนี้คงถูกเปิดโปงหมด
โดยฝีมือแม่เป็นแน่แท้
มะแมเหลียวกลับมาพูดยิ้มๆกับมารดาของ
คนรัก
"คุณแม่แน่ใจว่าพี่อัคพูดถึงมะแมนะคะ?"
"แน่สิ ! ผู้หญิงชื่อมะแมในประเทศนี้จะมีสัก
กี่คนล่ะ"
"ไม่ต้องสงสัยหรอก หนูเป็นคนเดียวที่นา
ยอัคมาคุยให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็ได้แต่ถามว่าเมื่อ
ไหร่จะพามาหา ถ้าแน่ใจว่าใช่ " อัษฎาเสริม "แต่
เขาเป็นคนวางแผนนาน พ่อกับแม่ก็รออย่างไม่
ค่อยเข้าใจนักหรอก"
"แม่ก็ถามนะจ๊ะ ว่าไม่กลัวใครมาคว้าไป
ก่อนหรือ เขาบอกว่าไงรู้ไหม...?"
มะแมทำาหน้าตั้งใจฟัง แต่พอคุณแม่อรุณีนึก
ขึ้นได้ว่าคำาเฉลยอาจไม่เหมาะก็ยกมือขึ้นทาบอก
แล้วเงียบไปดื้อๆ จนมะแมต้องเร่ง
"บอกว่ายังไงคะ?"
อรุณีหัวเราะขัดๆ ลดมือลงจากอก ปราย
ตามองลูกรักอย่างจะถามว่าให้พูดไหม พอเห็น
ฝ่ายนั้นเอาแต่นั่งปิดหน้า อรุณีก็หันมาบอกอุบอิบ
"นายอัคอยากให้บอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยว
หนูกลับไปจะมาต่อว่าว่าแม่ปากโป้ง"
นั่นยิ่งกลายเป็นตัวเร่งให้มะแมอยากรู้เพิ่ม
ขึ้นอีกหลายเท่า จึงเสริมสร้างกำาลังใจให้ฝ่ายนั้น
ด้วยการพยักหน้ายิ้มกว้าง
"บอกเถอะค่ะ!"
"อ้า... ก็ได้ " คุณแม่เผยเนิบๆ "นายอัค
บอกว่านอกจากเขาแล้ว หนูมะแมชอบผู้ชายอื่น
ได้ไม่เกินสองวันหรอก เดี๋ยวก็เบื่อเอง"
รอยยิ้มของมะแมหดลงหน่อยหนึ่ง เพราะ
แต่แรกนึกว่าจะเป็นคำาตอบเช่น อัคระไม่มีวันยอม
เสียหล่อนไป ต้องทวงผู้หญิงของเขากลับคืนมา
จนได้ ไม่คาดฝันว่าที่แท้เห็นหล่อนเป็นของตาย
ในมือนี่เอง
แต่พอรู้สึกตัวว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ก็จำาต้อง
เอียงคอฉีกยิ้ม พูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานกลั้ว
หัวเราะ ราวกับเจอเรื่องน่าขำาเต็มประดา
"พี่อัคนี่นอกจากเสน่ห์แรงแล้ว ยังเชื่ออะไร
แปลกๆที่คนอื่นนึกไม่ถึงด้วยนะคะคุณแม่ "
อัษฎาได้ยินแล้วหัวเราะร่วน นึกชอบใจว่าที่
ลูกสะใภ้ขึ้นมาติดหมัด ส่วนอรุณีพอรู้ตัวว่าพลาด
เผยคำาที่คนรักของลูกฟังแล้วอาจผิดหู ก็เสทำาเป็น
หัวเราะกลบเกลื่อน
"ไว้ไปตกลงกันเองก็แล้วกัน... มาเถอะ! จะ
ทุ่มหนึ่งละ เราย้ายไปห้องอาหารกันทีดีไหม?"
มื้อเย็นกับการเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัวขอ
งอัคระ คือความครื้นเครงอย่างเป็นไปเอง ตัวตน
ของอัคระในขณะอยู่บ้านไม่ได้ต่างจากหนุ่มวัย
สามสิบทั่วไปที่ตรงไหน เหมือนจะเผยต่อหล่อน
ตรงๆด้วยซ้ำาว่านี่ต่างหากคือตัวจริงของเขา หา
ใช่บุรุษลึกลับบนยอดเขาหิมพานต์แต่อย่างใด
อรุณีดูท่ารักลูกชายสุดสวาทมาก แล้วก็คง
เอ็นดูมะแมไม่น้อยเช่นกัน อัคระมีเรื่องน่าขาย
หน้าเท่าไรในวัยเด็ก คุณแม่ขนเอามาเปิดโปง
หมด ยิ่งเห็นลูกชายยิ้มๆไม่ว่าอะไร ก็ยิ่งมั่นใจว่า
มาถูกทาง ผูกขาดหัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารอยู่
คนเดียว
มะแมเผลอนึกว่าสนิทกับที่บ้านของอัคระมา
นาน หัวเราะเต็มเสียงเป็นครั้งคราว
"ตอนหกเจ็ดขวบเนี่ยร้ายมากนะ เย็นวัน
หนึ่งเขาคิดถึงคุณพ่อ โทร.ไปเร่งให้กลับบ้าน จะ
อวดผลงานประดิษฐ์อะไรของเขาสักอย่าง..."
อรุณีทำาหน้านึกทบทวน มะแมตั้งใจฟังตา
แป๋ว ส่วนคนอื่นก้มหน้าตักกับข้าวใส่ปากอย่าง
ไม่สนใจนัก
"ทีนี้คุณพ่อก็วุ่นๆอยู่ที่ทำางาน เลยรับปาก
ส่งๆว่าไม่เกินหกโมงเย็นถึงบ้านแน่นอน เขาก็
จ้องนาฬิการอเลย... แต่ปรากฏว่าคุณพ่อมาเสีย
เกือบทุ่มครึ่ง เขาก็ทำาหน้าปกติ ออกไปต้อนรับถึง
โรงรถ จูงมือเข้ามานั่งโต๊ะกินข้าว คุณพ่อมาถึง
เหนื่อยๆเห็นลูกต้อนรับดีก็ทำาตัวผ่อนคลาย
ที่ไหนได้ พอหย่อนตัวลงเท่านั้น นายอัคกระชาก
เก้าอี้หลบวืด ปล่อยให้นั่งลงไปบนอากาศ หงาย
หลังก้นกระแทกพื้นซะอย่างนั้น"
คราวนี้มะแมกลั้นไว้ไม่กล้าหัวเราะดัง
เพราะเป็นรายการตลกเจ็บตัวของผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่
ใกล้ๆ
"แล้วคุณพ่อทำายังไงคะ?"
"ก็หวดก้นตามระเบียบน่ะสิ นายอัคก็แน่นะ
ยืนกอดอกนิ่งให้หวดไม่ร้องซักแอะ จนคุณพ่อ
ละเหี่ย ต้องเป็นฝ่ายปรับความเข้าใจ และยอม
ขอโทษที่มาช้า ผิดสัญญาเดิม"
"อือ..." อัษฎาเพิ่มเติมให้ครบ "มันมีวิธี
ลงโทษพ่อของมันได้หน้าตายมาก บอกว่านี่แหละ
ความรู้สึกตอนโดนหลอกให้ดีใจ มันวืดอย่างนี้ "
ฟังดังนั้น มะแมค่อยกล้าหัวเราะรื่นขึ้น
"เขาถึงว่าเด็กเก่งมักกล้าทำาเรื่องแผลงๆใช่
ไหมคะ?"
เป็นอีกที่มาที่ไปหนึ่ง ที่ทำาให้อัคระดูมีตัวตน
จับต้องได้ เขาเคยเป็นเด็กดื้อ เคยเล่นซนไม่รู้
ภาษา เคยเอาแต่ใจไร้เหตุผล ไม่ใช่จู่ๆก็โผล่มา
ปรากฏตัวในโลกเหมือนเทวดาอย่างที่หล่อนรู้จัก
แต่แรก
พอของหวานผ่านไป อัษฎาก็ชวนทุกคน
ออกไปเดินเล่นเป็นการย่อยอาหาร พ้นเขตรั้ว
ด้านหลังออกไป เป็นบึงใหญ่ขนาด ๖ ไร่ เห็น
รำาไรจากระดับพื้นอาคาร ที่ยกสูงกว่าระดับน้ำา
ราว ๓ เมตร แสงบนทางเดินส่องให้เห็น
ทัศนียภาพรอบด้าน ราวกับรีสอร์ทงามตาม
จังหวัดท่องเที่ยวไกลๆ
อัษฎาถามถึงงานของมะแม เป็นการแสดง
ความสนใจในเรื่องของหล่อนบ้าง ทั้งอัษฎาและ
อรุณีเป็นคนธรรมดาที่รู้ว่าสัมผัสพิเศษมีจริง แต่
ไม่รู้ว่ามีได้อย่างไร มะแมถ่อมตัวว่าเทียบกับอัคร
ะแล้ว หล่อนยังรู้วิธีใช้สัมผัสแค่หางอึ่งเท่านั้น
ร่วมเดินกินลมชมวิวเกือบ ๒๐ นาที คุณแม่
อรุณีก็ขอตัวเข้าบ้าน คุณพ่ออัษฎาเห็นเช่นนั้นจึง
ขอตัวตาม อย่างจะเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้อยู่
ด้วยกันตามลำาพังบ้าง
"งั้นพ่อแม่ขึ้นข้างบนเลยนะ คืนนี้ลากันตรง
นี้แหละ"
"กราบสวัสดีค่ะคุณพ่อ กราบสวัสดีค่ะคุณ
แม่ "
"จ้ะ" อรุณีรับไหว้ "หนักนิดเบาหน่อย
ค่อยๆพูดกันนะ อย่าผลักพี่เขาตกน้ำาล่ะ"
คำาฝากฝังสุดท้ายนั้น คงเผื่อไว้ว่ามะแมอาจ
ยังติดใจ ที่อัคระเคยบอกแม่ว่ามะแมเป็นของตาย
จะคว้าเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวใครมาแย่ง
ชายหนุ่มกับหญิงสาวปักหลักยืนอยู่ที่เดิม
สายตามองผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเดินห่างออกไป
เรื่อยๆจนลับตา
อัคระเหลียวมาจ้องเสี้ยวหน้าหวาน ที่
เหมือนอาบมนต์ดึงดูดสายตาให้เพลินมองไม่รู้
เบื่อ และยิ่งมองก็เหมือนของต้องห้ามที่ยากจะ
ห้ามใจยิ่งขึ้นทุกที
"ไปพายเรือเล่นกันไหม?"
"ตามใจพี่อัคสิคะ"
อยู่กับเขา ความมืดของบึงใหญ่ไม่น่ากลัว
สักนิด ชั่วเวลาไม่กี่นาทีต่อมา สองหนุ่มสาวก็ลง
มาลอยในเรือกลางน้ำาเวิ้งว้าง ชมเสี้ยวจันทร์สีเงิน
ยวงบนฟ้ามืดด้วยอารมณ์กระจ่างใส
มะแมสูดอากาศยามราตรี อันอวลกลิ่นหอม
ของธรรมชาติท้องทุ่งรอบนอก เสี้ยวจันทร์ที่มี
อัคระนั่งอยู่ด้วย ช่างเป็นเสี้ยวจันทร์ที่แตกต่าง
จากทุกหนแห่ง ราวฉากฝันกับความจริงจับต้อง
ได้ มารวมอยู่ในที่เดียวกันเป็นครั้งแรก
"พี่อัคอยู่เมืองไทยปีละกี่วันคะ?"
"เอาอดีตหรืออนาคต?"
"อดีตก่อน"
"ปีละไม่เกินหกสิบวัน"
"แล้วอนาคตล่ะ?"
"เท่าจำานวนวันที่อยากอยู่กับมะแม!"
หญิงสาวยิ้มซึมในเงามืด ก้ำากึ่งระหว่าง
ความรู้สึกภูมิใจในตนเอง กับความรู้สึกหนักใจที่
กลายเป็นตัวถ่วงงานของเขา
ความเป็นคู่กันระหว่างหล่อนกับเขาเหมือน
ถูกเตรียมไว้พร้อมแบบสำาเร็จรูป แค่เจอกันก็พอ
อะไรๆจะถูกขับดันให้เดินไปข้างหน้าบนทางโรย
กลีบกุหลาบได้เอง
ด้วยความเป็นเขากับหล่อน คงไม่ต้องเสีย
เวลาโอ้โลมปฏิโลมหรือเล่นบทพ่อแง่แม่งอนกัน
มาก แค่พบครั้งแรกมะแมก็รับแล้วว่าหล่อนยอม
เป็นผู้หญิงของเขาได้ทุกเมื่อ
ทว่านึกถึงภาพที่มีหล่อนติดตามเขาไป
ทุกหนทุกแห่งไม่ออก อยู่แยกเป็นต่างหากที่ตรงนี้
หล่อนมีงานของตัวเอง มีผลงานอันน่าภูมิใจเป็น
ตัวเป็นตน มันจะต่างกันขนาดไหนก็ไม่ทราบ กับ
การตะลอนๆตามอัคระเป็นเงา เพื่อทำางานที่เกิน
ตัว หรือไม่ก็เพื่อเป็นเพียงเครื่องประดับบารมีให้
เขา
สายลมวูบหนึ่งพัดกลุ่มผมยาวปลิวตามแรง
มะแมหรี่ตาเงยหน้ามองดาวอันปรากฏประดุจ
จินตนาการสวรรค์ บางดวงดูเด่นหลอกตาจนไม่รู้
ว่าอยู่ใกล้หรือไกลกันแน่ แค่เขย่งเอื้อม หรือต้อง
ทะยานไกลไปในการเดินทางชั่วนิรันดร์ กว่าจะถึง
ซึ่งเป้าล่อตานั้นได้สำาเร็จ
"งานของพี่อัคมีเป้าหมายแน่ชัดไหมคะ ว่า
เมื่อไหร่ หรือแค่ไหนถึงจะเสร็จสิ้น บรรลุผล
สมบูรณ์ ?"
อัคระส่ายหน้าน้อยๆก่อนสารภาพ
"ถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากเซธ ก็ไม่มีอะไร
แน่นอนหรอก แต่ละงานอาจสำาเร็จเร็วกว่าที่คิด
หรืออาจบานปลายไปเรื่อยๆจนต้องตัดใจ"
"แล้วอะไรเป็นเครื่องชี้ความสำาเร็จในแต่ละ
แห่ง?"
"พอคนมีอิทธิพลสูงเปลี่ยนไป เหตุการณ์
เลวร้ายที่เหมือนกำาหนดไว้แล้วว่าต้องเกิดด้วย
น้ำามือเขา จะเลือนหายไป อาชญากรรมลด งาน
กุศลเพิ่ม รวมทั้งเกณฑ์วัดอื่นๆอีกหลายแบบ ซึ่ง
พิสูจน์เทียบเคียงกับข้อมูลของซีอุสแล้วว่าเกิด
การเปลี่ยนแปลงไปจากเส้นทางชะตาเดิมจริงๆ!"
"มะแมเข้าใจถูกไหม? การเปลี่ยนโลก คือ
การจงใจออกนอกเส้นทางของชะตาเก่า"
"ทำานองนั้น การสร้างชะตาใหม่ อาศัย
ความช่วยเหลือจากซีอุสได้เพียงบางส่วน ที่เหลือ
ต้องใช้สามัญสำานึก มันสมอง สองมือ และกำาลัง
ใจแบบว่ายน้ำาข้ามมหาสมุทร"
"อย่างเด็กผิวสีวันนี้ พี่อัคก็ใช้สัมผัสเอา
ล้วนๆตอนเจอหน้า ไม่ได้รับการแนะจาก
คอมพิวเตอร์ตาทิพย์ของพี่เลย?"
"ใช่ ! ซีอุสเปรียบเหมือนแผนที่จาก
ดาวเทียม ถึงละเอียดแค่ไหนก็ไม่เท่าตอนลงมา
เดินเท้าให้เห็นกับตา และความจริงก็คือเส้นทาง
ชะตากรรมถูกซ่อนอยู่ในเงามืด จะเห็นได้ก็เท่าที่
แสงไฟฉายในมือช่วยส่องไปถึง ไม่เกินไปกว่า
นั้น"
มะแมนึกภาพหนทางในความมืดตามคำา
อุปมาอุปไมยของอัคระ สิ่งที่หล่อนเห็นในห้วง
มโนทวารคือความรกชัฏ เต็มไปด้วยขวากหนาม
น่าพรั่นพรึง แต่เขาก็ด้นดั้นฟันฝ่าไปเยี่ยงคนที่
กลัวเป็นอย่างเดียว คือจะไม่ได้ถึงจุดหมายที่
ต้องการ!
ก้มหน้ามองพื้นเรือ ก่อนพึมพำาถามคล้าย
ให้โอกาสอัคระว่าจะแกล้งทำาเป็นไม่ได้ยินก็ได้
"ตอนที่พี่อัคส่งจดหมายมาเตือนให้ระวัง
เรื่องความรัก พี่อัคหมายความว่ายังไงหรือคะ?"
"ก็ ..." อัคระละมือข้างหนึ่งจากด้ามพาย
ปล่อยเรือให้ลอยเฉื่อย เอานิ้วเขี่ยปลายจมูก
"ก่อนหน้าวันนัดที่พี่จะไปเจอมะแม อยู่ๆก็นึก
อยากใช้ซีอุสคำานวณเรื่องหัวจิตหัวใจของมะแมดู
เล่นๆ เห็นมีเกณฑ์จะเกิดไปปิ๊ง ไปพิศวาส
วาบหวามกับใครบางคน ซึ่งพอเล็งดูด้วยจิตก็
สัมผัสว่าหมอนั่นมีแรงดึงดูดมหาศาล เลย... ไม่
อยากให้มะแมเขวเสียก่อน"
สารภาพหมดเปลือก ซึ่งพอมะแมฟังจบก็
ยิ้มชื่นมื่น เพราะทราบว่าเขาต้องกัดฟันสู้กับ
ความเขินไม่น้อยกว่าจะพูดจบ
ในเงามืดเกือบไม่เห็นกัน มะแมเงยหน้าเชิด
คางใส่เขานิดหนึ่งก่อนประชดเรียบๆ
"จะกลัวอะไร ยังไงมะแมก็ของตาย ถึงไม่
ต้องแย่งก็กลับมาอยู่ในมือเอง!"
ประโยคสุดท้ายเน้นเสียงช้าชัด อัคระยิ้ม
เฝื่อนพูดอู้อี้
"ก็ไม่ถึงขนาดน้าน..."
"มะแมเจอหนุ่มคนหนึ่งจริงๆแหละค่ะ หล่อ
อย่าบอกใคร" ใช้สำาเนียงยั่วหน่อยๆ เว้นวรรคครู่
หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ "ถ้าไม่โดนจดหมายจากพี่อัค
เบรกเสียก่อน พอเจอเขาก็อาจไม่เกร็ง ไม่ระแวง
และไม่ตั้งกำาแพงต้านเสน่ห์ เผลอๆอาจแบ่งรับ
แบ่งสู้ ไม่ปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยอย่างที่ทำาไปก็ได้
นี่คือการเปลี่ยนโลกเพื่อตัวเองใช่ไหมคะ?"
อัคระยังคงทำาหน้าไม่ถูกที่ต้องคุยกันเรื่องนี้
"บางทีพี่ก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันแหละ ที่เอา
อาวุธเหนือโลกมาใช้งานส่วนตัว แต่ ... พี่ก็ไม่รู้สึก
ผิดนะ!"
มะแมเอียงคอยิ้มหวาน คิดว่าไหนๆเขา
เปิดอก ไม่เต๊ะท่ากับหล่อนเลย หล่อนก็ควรเผย
ความในใจให้เขารับรู้อย่างตรงไปตรงมาบ้าง
"คิดอีกทีก็จริงของพี่อัคค่ะ ถึงมะแมจะลุ่ม
หลงความหล่ออย่างร้ายกาจของคุณปาย สักพัก
คงเบื่อไปเอง เพราะชีวิตของเขายังอีนุงตุงนังด้วย
ปัญหา เป็นคนธรรมดาที่อยากหายทุกข์โดยไม่
อยากเลิกสร้างเหตุแห่งทุกข์ พอเป็นทุกข์ที ก็คง
ต้องหันมาพึ่งพามะแมที ในที่สุดคงเห็นเขาเป็น
ลูกแหง่มากกว่าคนรัก"
โดยอารมณ์พาไป มะแมเกิดความรู้สึก
เหมือนผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่อยากถามถึง
อดีตของอัคระ อยากรู้เรื่องผู้หญิงที่ผ่านมาของ
เขาบ้าง
"พี่อัคเอาเปรียบมากเลย รู้เรื่องมะแมหมด
แล้วของตัวเองล่ะ จะเปิดเผยบ้างได้ไหมว่ามีใคร
มากี่คนแล้ว?"
"ดวงพี่ไม่ใช่จะแวดล้อมด้วยผู้หญิง
มากมายนักหรอกนะ ต้องผ่านความผูกพันเป็น
พิเศษกันมา ค่อยเข้าถึงตัวกันได้ "
เล่าแบบพยายามตัดบท แต่นั่นก็เพียง
พอแล้วที่มะแมจะอาศัยเป็นพาหะให้สัมผัสรู้
อัคระผ่านการคบหากับเพศตรงข้ามในแบบ
ผูกพันหลายด้าน เป็นเพื่อนร่วมเรียน เป็นเพื่อน
ร่วมเที่ยว เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่มีสักคนที่
พร้อมจะเป็นเพื่อนร่วมชีวิต...
แล้วหล่อนล่ะ?
จู่ๆก็ตั้งคำาถามที่รู้แก่ใจว่าตอบยากสำาหรับ
เขา
"มะแมมีค่ากับพี่อัคแค่ไหนคะ?"
อัคระนิ่งงันเป็นครู่ ก่อนจะค่อยๆเบนสายตา
มาสบกับคนรักในเงามืด
"จนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้อีกหรือ?"
มะแมตอบสวนทันควัน
"ค่ะ! ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ " กระแสจากตา
จริงจังขณะตัดสินใจถามแบบเสี่ยงที่จะต้องเสีย
เขาไป "พี่อัคคะ... ถ้าเพื่อแลกกับมะแมมา พี่อัค
ไม่ไปเป็นจักรพรรดิจะได้ไหม?"

________________________________________________________________________________
บทที่ ๑๙
ตีสี่ครึ่ง
มะแมตื่นนอนด้วยความเคยชินเหมือนทุก
เช้า แต่สิ่งที่เช้านี้ไม่เคยชินคือความรู้สึกเหมือน
อยากร้องไห้ ...
นอนแช่อยู่กับเตียงในอาการซึมนิ่ง นาน
เท่าไรไม่ทราบ ในที่สุดก็ยกมือขึ้นปิดหน้าร้อง
กระซิก
แต่ก่อนเห็นจากจิตคนอื่น เดี๋ยวนี้รู้ด้วยตัว
เองแล้ว รักที่สุดคืออาการยึดที่สุด ยึดที่สุดคือ
ต้นทางทุกข์ที่สุด...
ดูเหมือนหล่อนจะเสียเขาไปง่ายๆด้วยคำา
เพียงไม่กี่คำา ที่พูดออกไปโดยไม่ทันคิดให้ดีเสีย
ก่อน
อัคระคงไม่รู้หรอกว่าก่อนจะขอเขาอย่างนั้น
หล่อนคิดมากี่ชั้น รู้สึกถึงอนาคตมากี่หน
นึกภาพวันสมรสระหว่างหล่อนกับเขาออก
แต่มองไม่เห็นเลยว่าบัลลังก์จักรพรรดิจะมีเขาอยู่
หรือจะมีหล่อนเคียงได้อย่างไร
ถ้าไม่ใช่บัลลังก์จักรพรรดิ ก็เส้นทางสู่ความ
เป็นจักรพรรดินั่นเอง ที่พรากหล่อนกับเขาออก
จากกัน!
อัคระมีคุณสมบัติทุกอย่างของพระเจ้า
จักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นฤกษ์เกิด รูปลักษณะ
ความรู้ความสามารถ ตลอดจนศักยภาพในการ
ปกครองคน
แต่คุณสมบัติข้อเดียวของจักรพรรดิที่ขาด
ไป ก็คือความอยากเป็นจักรพรรดิ !
เขาแค่ติดใจการเปลี่ยนโลกเข้าขั้นเสพติด
อยากพิสูจน์ว่าตัวเองเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้กับมือ
ไม่ปล่อยให้โลกเสื่อมเองตามกาลอย่างเซธ
เขาอยากเอาชนะเซธ ปักใจว่าพระเจ้า
จักรพรรดิที่แท้ ควรมีจิตเมตตาประดุจฝนตกทั่ว
ฟ้า ไม่ใช่เลือกตกเฉพาะอาณาจักรของตน
ในภาพมุ่งมั่นเหมือนเต็มไปด้วยพละกำาลัง
มหาศาล หล่อนสัมผัสได้ถึงความอัดอั้น อ่อนล้า
เหลือความหวังเพียงเลือนราง ช่างต่างจากเซธที่
ปลอดโปร่ง หนักแน่น รู้จริงเป็นขั้นๆ ว่าอยากได้
อะไร เพื่ออะไร จะต้องทำาอะไรกับก้าวนี้และก้าว
ต่อๆไป ทุกความคิดในหัวของเซธแจ่มชัด
ประหนึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วไปหมด
อัคระเดินปะปนไปกับคนธรรมดาได้ แต่เซธ
จะบินเหนือเมฆด้วยเครื่องเจ็ตส่วนตัวเท่านั้น
อัคระอยู่กับฝันที่เสมือนเป็นไปได้จริง
สำาหรับตัวเอง ส่วนเซธอยู่กับความจริงที่เสมือน
ฝันเกินเอื้อมสำาหรับคนอื่น
อัคระอยากช่วยคนทั้งโลก ขณะที่เซธอยาก
ปกครองโลกทั้งใบ
สรุปให้สั้นที่สุด คือ ลายเซ็นมหาอำานาจ
แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ เซธมีอยู่ชัดกว่าอัคระ!
แต่กระนั้น คำาไม่กี่คำาที่หล่อนอาจหาญไป
ทำาลายความฝันของอัคระ เหมือนไม่คำานึงถึง
ความเหนื่อยยากที่ผ่านมา และเหมือนไม่รู้ว่าเขา
หวังให้หล่อนเป็นกำาลังใจขนาดไหน ก็เสมือน
มนต์สาปอัคระให้แน่นิ่งเป็นหุ่นปั้นไร้วิญญาณไป
ครู่ใหญ่
สัมผัสได้ว่าเขาเสียใจอย่างใหญ่หลวง
มะแมอยากถอนคำาพูด อยากแก้ทุกคำาที่หลุดจาก
ปาก อยากบอกว่าแค่สั่งคำาเดียว จะให้ทำาอย่างไร
ตามใจเขาท่าไหน หล่อนจะไม่อิดเอื้อนเลยสักนิด
หลังการร้องขอแบบโง่ๆของหล่อน ก็ไม่มี
คำาพูดใดต่อกันอีกแม้แต่คำาเดียว กระทั่งเขา
เคลื่อนไหวได้ ก็พายเรือเข้าฝั่งเดินพามาส่งขึ้นรถ
หล่อนยกมือไหว้ลา อัคระทำาเหมือนไม่เห็น ไม่
ยอมรับไหว้เลยด้วยซ้ำา คล้ายหล่อนกลายเป็น
อากาศธาตุไปแล้ว
ย้อนทบทวนไปถึงวันแรกที่เขามาหา และ
ถามอย่างคนอยากรู้ผลแพ้ชนะ เขารู้อยู่แล้วว่า
หล่อนไม่รู้ ก็แค่อยากดูว่าส่วนลึกของหล่อนจะ
เชื่อเขาไหม
แค่อยากรู้ว่าโลกทั้งใบ ยังเหลือใครเชื่อเขา
อยู่บ้าง!
ฝ่ายหล่อน เพียงเพราะกลัวเสียเขาให้กับ
อะไรก็ไม่รู้ กลับกลายเป็นว่าหล่อนอาจเสียเขา
สังเวยความไม่รู้ ไม่ทันคิดของตัวเองไปแล้ว
กระมัง!
คำาพูดแต่ละคำาหลุดจากปากไปแล้ว ต่อให้
เสียใจแค่ไหนก็เอาคืนไม่ได้ ข้อนี้ทุกคนทราบดี
แต่ไม่ทราบเท่านั้นว่าคำาไหนบ้าง ที่หลุดออกไป
แล้วจะต้องเสียใจ
สำาหรับหล่อน ให้เลิกทำาอะไรก็ได้ ไม่ต้อง
มานั่งเหนื่อยช่วยใครต่อใครอีกแล้วก็ได้ เป็นคน
ธรรมดานั่งตามแผงลอยขายของก็ได้ แค่เขาขอ
คำาเดียว และหล่อนขอแค่มีเขาคนเดียว
คงจะดีพอ ถ้าตื่นเช้าขึ้นมาตอนอายุ ๗๐
แล้วยังเห็นเขาอยู่ข้างๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนโลก
ไม่ต้องทำาให้โลกแตกต่างไป แม้ว่าโลกตอนนั้นจะ
เน่าเหม็นสักขนาดไหนก็ตาม...
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงเล็กๆ
น่ารักน่าฟังของน้องอิ๊ก
"พี่มะแมคะ"
หญิงสาวชะงักนิ่ง ระงับเสียงสะอื้น แม่หนูผู้
ทำาตัวเหมือนลูกสาวขึ้นทุกวันคงมาเรียกให้ไปนั่ง
สมาธิ เพราะเห็นหล่อนไม่ยอมออกจากห้องเสียที
พอเคาะแล้วหล่อนไม่ตอบ เดี๋ยวนี้อิ๊กกล้า
ถือวิสาสะหมุนลูกบิดประตูบุกเข้ามาเอง ปกติ
มะแมจะกดปุ่มล็อกไว้ทุกคืน แต่เมื่อคืนผิดปกติ
จนลืมกิจวัตรปกติทั้งหลาย จึงปล่อยให้อิ๊กเข้ามา
ได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่ยามนี้หล่อนไม่พร้อมจะ
ต้อนรับใครทั้งนั้น
เมื่อประตูเปิดอ้า แสงไฟจากนอกห้องก็
กระจายเข้ามา แต่มะแมรีบปาดแก้มทัน ก่อนอิ๊ก
จะรู้ว่ามีคราบน้ำาตาบนใบหน้าหล่อน
ร่างน้อยเคลื่อนด๊อกแด๊กมาที่เตียงอย่าง
รวดเร็ว มีชีวิตชีวาราวตัวการ์ตูนที่ถูกสร้างขึ้นมา
ให้ร่าเริงเป็นอย่างเดียว และพลังความเบิกบาน
นั้น ก็เสมือนแสงตะวันช่วยขับไล่ความหม่นหมอง
ในใจหล่อนได้แบบฉับพลันทันใด
หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ทันรับร่าง
น้อยที่พุ่งดิ่งหัวซุกหัวซุนเข้ามากอด
"พี่มะแมลืมตื่นมานั่งสมาธิเหรอคะ"
เด็กหญิงส่งเสียงถามมาจากอ้อมอกหล่อน
"ไม่ได้ลืม เมื่อกี๊ลุกไม่ขึ้นน่ะจ้ะ หมดพลัง
แต่ตอนนี้เติมพลังจากอิ๊กแล้ว ลุกไหวแล้ว"
หมายความตามนั้น มะแมดันไหล่เด็กหญิง
ออกจากอ้อมกอด ก้มหน้าไปหอมซ้ายหอมขวา
หลายฟอด ก่อนจ้องดวงหน้าใสซื่อในเงาสลัวราง
แน่นิ่ง แฝงนัยลึกซึ้งที่แม่ตัวน้อยไม่มีทางเข้าใจ
อัคระส่งเด็กคนนี้มาให้หล่อน ถึงเขาจะทิ้ง
หล่อนแล้ว หล่อนก็จะไม่มีทางทิ้งเด็กคนนี้ของเขา
อย่างเด็ดขาด!
ลูกค้ารายแรกของเช้านั้น เป็นเด็กสาว
คนหนึ่ง เอวองค์สมส่วนราวกับนางแบบอินเตอร์ 
คาดหมายได้ว่าน้ำาลายผู้ชายหกราดถนนต้อนรับ
มาแล้วทั่วประเทศ
เธอคนนั้นมานั่งกระแทกตัวโครมบนเก้าอี้
หน้าโต๊ะทำางาน เล่นเอามะแมซึ่งกำาลังอยู่ใน
อารมณ์หม่นจางๆ ถึงกับไม่อยากรับปรึกษาขึ้น
มาดื้อๆ สัมผัสได้โดยไม่ต้องเงยหน้ามอง โทสะ
กับอารมณ์ฉุนเฉียวไม่รู้จักคิดของฝ่ายนั้น พร้อม
จะก่อตัวขึ้นตลอดเวลา โดยไม่จำาเป็นต้องมี
เหตุผลอันสมควร
ภาวนาขออย่าเพิ่งถามเรื่องความรัก หรือ
ขอวิธีตัดใจจากคนรักที่เพิ่งเลิกกันเลย นาทีนี้
หล่อนไม่พร้อมจะให้คำาตอบจริงๆ...
มะแมก้มอ่านแผ่นรายชื่อลูกค้าประจำาวันที่
หยิมพิมพ์ส่งมาให้ ฝืนข่มใจให้ราบคาบก่อนเอ่ย
ถามโดยไม่มีการเงยหน้าสบตา
"วันนี้มีอะไรให้ช่วยคะคุณไก๋ "
"พี่ ... เมื่อเดือนก่อนตอนจองคิว หนูมี
ปัญหาเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนั้นรู้ผลไปแล้วว่าแฮปปี้
ตอนนี้ดันมีปัญหาใหม่ล่ะ กลุ้มชิบหาย"
จิตร้อนๆกับคำาหยาบๆที่ยิงมาจากอีกฝ่าย
กระแทกจิตมะแมให้ตกร่วงลงไปอีก และต้อง
อาศัยกำาลังใจตั้งลำากันใหม่ หล่อนเจอมานักต่อ
นัก แค่วัยรุ่นไม่รู้คิดคนเดียวทำาไมจะรับไม่ไหว
เล่า
เงยหน้าขึ้นนั่งคอตั้งหลังตรง ลากลมหายใจ
ยาวประจุพลัง กำาหนดรัศมีเมตตาให้กว้างครอบ
ทั่วบริเวณ เพื่อให้เด็กสาวรู้สึกดีและมีความ
เกรงใจหล่อนกว่าเดิม
"ปัญหาอะไรหรือคะ?"
"มีไอ้เวรตะไลตัวหนึ่งมันขู่จะฆ่าหนู ! คืน
ก่อนหน้าเสือกฝันเห็นตัวเองนอนในโลงศพอีก
อื๋ย! รับมุขกันดีเหลือเกิน"
สาวเซ็กซี่ส่งเสียงแปร๋นๆแบบไม่เกรงใจ
มะแมมองปลงๆ ท่าทางตอนนี้หล่อนคงกะปลกกะ
เปลี้ยไปหน่อย รัศมีเมตตาจึงจืดจาง ไม่ช่วยให้
สาวน้อยตรงหน้านิ่มนวลลงเลยสักนิด
จิตที่ชุ่มไปด้วยกามาและโกธะนั้นดูง่าย แต่
คุยยาก สัมผัสแวบเดียวก็รู้แล้วว่าแม่คนนี้เผื่อ
เนื้อแผ่หนังให้ชายมากหน้าหลายตา ความรู้สึก
บอกว่าไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว ไม่ถึงขนาดเป็นนักล่า
แต้ม แต่ประมาณว่าชอบตามใจตัวเองอย่างแรง
เห็นใครหล่อ ขอให้พอใจเถอะ ยอมหมด!
หรือถ้าพูดสั้นๆให้ตรงกว่านั้นคือ "อยากไป
หมด!"
ผู้หญิงที่พัวพันทางเพศเปรอะนั้น เหมือนมี
ข่ายใยขะมุกขะมอมเลอะเทอะพันเนื้อพันตัวอยู่
ไม่ชวนให้รู้สึกว่ามีค่าเป็นสาวน้อยร้อยชั่ง ควร
จับจองด้วยสินสอดราคาแพงสักเท่าใด
ตาเปล่าของคนเราช่างไม่รู้ เซ็กส์ในสิ่งมี
ชีวิตชั้นสูงระดับมนุษย์นั้น ไม่ใช่แค่การเอาสนุก
จากรสเสียดสี แต่มันคือการแสดงความผูกมัด
เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ความสัมพันธ์ทางเพศเป็นกระบวนการที่
จริงจัง ไม่ใช่แค่สัมผัสอ่อนไหวที่ฉาบฉวย สำาหรับ
ผู้หญิง มันคือการยอมให้ใครบางคนเข้ามากระ
ทบจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่หลังปราการแห่งยางอาย แต่
ถ้าโดนมากหน้าหลายตานัก ปราการป้องกันก็
ค่อยๆลด กระทั่งกลายเป็นคนไร้ยางอายไปจนได้
แต่ละครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ จะมีการถ่ายเท
รัศมีชีวิตเข้าหากัน ยิ่งต่างฝ่ายต่างร่วมกันสนุก
เมามันเพียงใด ความปั่นป่วนของการถ่ายเทแลก
เปลี่ยนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเพียงนั้น นั่นเป็นสิ่งที่รู้ด้วย
ตาเปล่าถ้าใครสามารถโฟกัสเห็นรัศมีมนุษย์ได้
หากจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว มีคู่นอนคน
เดียว คุยกันรู้เรื่อง รักใคร่กลมเกลียวดี ไปไหน
มาไหนคนจะทักว่าหน้าตาคล้ายกัน ทั้งที่เค้าโครง
ไม่ได้มีส่วนเหมือนเลยสักนิด นั่นเพราะออร่าของ
ทั้งสองฝ่ายถ่ายเทเข้าหากันจนกลมกลืนเป็นหนึ่ง
จึงดูละม้ายคล้ายคลึงราวกับเป็นพี่น้องคลานตาม
กันมา
ส่วนพวกนิยมเปลี่ยนคู่นอน ถึงจับคู่เดินกับ
"แฟน" ที่หน้าคล้าย ใครเห็นก็ไม่อยากทักว่า
เหมือน นั่นเพราะรัศมีที่ฉายออกมากระทบตากระ
ทบใจไม่กลมกลืน ก็จะกลมกลืนอย่างไรในเมื่อใจ
พันอยู่กับคนโน้นคนนี้ ยุ่งเหยิงจับฉ่ายมั่วไปหมด
หาภาวะเข้าคู่ที่แน่ชัดไม่ได้
เท่าที่มะแมดูยายน้องไก๋ตรงหน้า ก็คงต้อง
ทำาไก๋สมชื่อ แค่ช่วงสัปดาห์นี้ คุณเธอน่าจะโรมรัน
พันตู เป็นแหล่งรวมออร่าของผู้ชายสัก ๓ คนเป็น
อย่างต่ำา ซึ่งแบบนั้นจะไม่ให้ไก๋อย่างไรไหว คง
ต้องสับรางรถไฟด้วยวิธีโกหกตอแหลตลอดศก
นั่นเอง
แล้วจะแปลกอะไร หากคลื่นความคิดจะ
โกลาหล ฟุ้งซ่านหาความเป็นตัวของตัวเองไม่เจอ
ผู้หญิงหากินที่ถูกตราหน้าว่าต่ำาตม เนื้อตัวเป็น
สาธารณะ บางทียังอาจจะนิ่งเสียกว่า ร้อนใจน้อย
กว่า เพราะไม่ต้องโกหก ไม่ต้องหลอกใครให้ซับ
ซ้อนว่าไปทำาอะไรที่ไหนมา อีกทั้งไม่ต้องมานั่ง
ว้าวุ่นทั้งวันว่าจะเอาใครไว้หรือเขี่ยใครทิ้งดี !
"น้องไก๋อยากให้พี่แนะนำาใช่ไหมคะ ว่าจะ
เอายังไงกับผู้ชายคนนั้นดี และคงอยากให้ดูด้วย
ว่าเขาจะพยายามฆ่าเราจริงหรือเปล่า"
"น่านแหละค่ะ!"
ไก๋ยิ้มร่าอย่างรับรองว่าตรงจุด แต่แม้ยิ้มอยู่
ก็ดูเหี้ยมๆ หน้าดำาๆพิกล มะแมไม่อยากสัมผัส
ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้เลย มันช่าง
เหมือนมีความคิดของหลายคนเข้ามาแย่งกันพูด
อยู่ในหัวคุณเธอ อันเป็นสภาพทางใจของคนที่
พร้อมจะทะเลาะกับตัวเอง ไม่รู้จะทำาอย่างไร ไม่
ทราบจะเลี้ยวซ้ายหรือบ่ายขวากันแน่
เฮ้อ! วันนี้ไม่อยากทำางานเล้ย...
นั่นเป็นเสียงร่ำาร้องอยู่ในหัว แต่งานแบบ
หล่อนจะหยุดอย่างไรได้ ในเมื่อนัดแล้ว ลูกค้า
เรียงคิวมาจ่อรอกันเป็นทิวแถวทั้งวันแล้ว
จู่ๆก็ผุดนิมิตของแม่คนนี้โดนแทงตายขึ้นมา
แต่มะแมปัดนิมิตนั้นทิ้งไปเสีย เพราะเข้าใจว่าน่า
จะเป็นนิมิตที่ก่อขึ้นจากอคติส่วนตัวผสมคำาบอก
เล่าของยายไก๋เอง
"ขอดูบัตรประชาชนหน่อยได้ไหมคะ พี่จะ
จับพลังในรหัสชีวิตของน้องดูก็แล้วกัน"
"ได้เลยค่ะ!"
ตอบตกลงเสียงห้าวพลางล้วงกระเป๋าซวบๆ
ครู่เดียวก็หยิบบัตรประชาชนมาวางบนโต๊ะให้แม่
หมอรับไป
มะแมเหลือบตาดูเนือยๆ แต่แล้วในบัดดล
นั้นเอง ความมัวมนทั้งหลายก็สลายไป เมื่อชื่อ
พร้อมนามสกุลของลูกค้ากระทบคลองจักษุ
คล้ายเกิดฟ้าผ่า สว่างเปรี้ยงตรงหน้า
ระนงค์ วิเศษสุทัศน์ !
ไม่ได้ตาฝาด และอ่านไม่ผิดแน่ นามสกุล
วิเศษสุทัศน์มีอยู่ในประเทศไทยจริงๆ แปลว่าสิ่งที่
น้องอิ๊กพูดออกมา หาใช่ฝันเพ้อเจ้อแต่อย่างใด
ไม่ !
แต่เอ... อะไรมันขาดๆหายๆไปหนอ สมอง
หมุนจี๋ทบทวนด่วน ก่อนจะได้คำาตอบอย่าง
รวดเร็ว อ๋อ! ที่น้องอิ๊กบอกคือ "พิเศษสุทัศน์ "
ไม่ใช่ "วิเศษสุทัศน์ "
มิน่าล่ะ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ!
มันช่างใกล้เคียงกันจนชวนให้จำาไขว้เขว
มะแมเองเคยมีประสบการณ์ฝันชัด เหมือนตื่น
เต็มอยู่ตามปกติ แต่กลับได้ยินคนเรียก
"กระแต" ด้วยความรู้สึกว่ามันคือชื่อหล่อน เป็น
ชื่อติดตัวหล่อนมาแต่อ้อนแต่ออก
จะแปลกอะไร หากข้ามชาติแล้วน้องอิ๊ก
จดจำานามสกุลเพี้ยนไปนิดหนึ่ง จาก "วิเศษ" เป็น
"พิเศษ"
มะแมทำาหน้าเฉย ข่มความตื่นเต้นตูมตามที่
ภายในลง นี่อาจเป็นอีกความบังเอิญหนึ่ง และ
หล่อนก็ต้องการรู้เดี๋ยวนี้ว่าบังเอิญหรือเปล่า ด้วย
การช้อนตาขึ้นถามน้องไก๋เรียบๆ เหมือนชวนคุย
ธรรมดาแบบที่ใครๆก็ทำา
"นามสกุลวิเศษสุทัศน์นี่พี่เคยรู้จักอยู่คน
หนึ่งนะคะ ดูเหมือนจะชื่อพิรมล ไม่ทราบเคย
ได้ยินไหม?"
คนนามสกุลเดียวกัน ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกัน
เลยให้เกลื่อน แต่สำาหรับไก๋ เธอรีบตอบทันที
"อ๋อ! คุณย่าค่ะ แต่เสียไปนานแล้วนะ พี่
รู้จักด้วยเหรอ?"
คำาตอบธรรมดาสำาหรับไก๋ แต่มีความหมาย
ไม่ธรรมดาสำาหรับมะแม มันทำาให้ใจกลับเต้นแรง
ขึ้นมาอีก และต้องแอบหลบตาอีกฝ่ายเพื่อซ่อน
ความตื่นเต้นเหลือจะกล่าวเอาไว้
มะแมข่มอารมณ์อยู่อึดใจ กว่าจะเอ่ยได้
คล้ายโต้ตอบสนทนาต่อเป็นปกติ
"ค่ะ... พี่เคยได้ยินเรื่องดีๆของท่านจาก
น้องคนหนึ่งน่ะ... มาว่ากันเรื่องของไก๋ต่อดีกว่า
นะ"
พูดได้เนียน แต่หัวใจยังคงสูบฉีดผิดจังหวะ
ทว่านั่นก็กลายเป็นยากระตุ้นให้หายเฉื่อยชาได้
ชะงัดทีเดียว มะแมลืมความหม่นหมองเกี่ยวกับ
อัคระสนิท
พอเครื่องร้อนแล้วตื่นตัวตาใส หลังจาก
ตั้งใจอ่านรายละเอียดตามบัตรประชาชนของ
นางสาวระนงค์ วิเศษสุทัศน์ และนำามาโยงกับ
ชายมากหน้าหลายตาของเจ้าหล่อน นิมิตเจ้า
หล่อนถูกแทงตายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
นิมิตคราวนี้มีรายละเอียดชัดขึ้น เห็นน้องไก๋
ในชุดนักศึกษานอนตายบนเตียง เลือดแดงนอง
ไปตลอดเสื้อขาว ซึ่งก็คงเกิดจากการแทงหลาย
แผลด้วยความแค้นจัด
เป็นอันว่านิมิตก่อนหน้ามีน้ำาหนักขึ้นมา
รำาไร ไม่ใช่ว่าจิตไพล่เห็นไปเองตามคำาบอกเล่า
โต้งๆของน้องไก๋ เพราะขณะนี้จิตหล่อนอยู่ใน
สภาพใช้งานได้จริงตามปกติ ไม่ปรุงไปตามเสียง
เล่าจากลูกค้าอีกแล้ว
การที่เจ้าตัวบอกว่ามี "ไอ้เวรตะไล" ขู่ฆ่า
สัมผัสบอกมะแมว่าไม่ใช่คนนั้นหรอกที่จะมาแทง
เพราะเขาคนนั้นขุ่นเคือง แต่ไม่ถึงขั้นคับแค้น
อยากลงมือฆ่าจริง ยังมีแก่ใจห่วงสวัสดิภาพของ
ตน กลัวเสียอนาคต กลัวกลายเป็นไอ้ขี้คุก ไม่ได้
หน้ามืดไปกับความคับแค้นจนหมดความยับยั้ง
ชั่งใจแต่อย่างใด
แล้วตกลงฝีมือใคร?
มะแมหรี่ตาเล็กน้อย จับหลักตั้งต้นจากนิมิต
เสื้อแดงฉานด้วยเลือดหลายหย่อม เป็นร่องรอย
ของจิตที่คับแค้นสุดขีด ความคับแค้นนั้นเกิดขึ้น
จากการรู้สึกว่าตกเป็นเหยื่อ เป็นไอ้หน้าโง่ที่ถูก
เขี่ยทิ้งเมื่อใดก็ได้
ถัดจากนั้นอึดใจหนึ่ง นิมิตหนุ่มหน้าตี๋ ท่า
ทางจ๋องๆ ก็ปรากฏขึ้นรองรับความเป็น "ไอ้หน้า
โง่ " ของน้องไก๋
"น้องไก๋คะ"
มะแมขานชื่อลูกค้าด้วยสีหน้าเป็นงาน
เป็นการ
"คะพี่ ?"
"เรามาคุยตรงๆกันนะ นี่เป็นเรื่องคอขาด
บาดตาย พี่เห็นหนุ่มสูง ผอม ผิวขาว หน้าตาลูก
จีน ใส่แว่น ดูซื่อๆเหมือนไม่มีพิษไม่มีภัยอยู่คน
หนึ่ง เขามีแฟนอยู่แล้ว หน้าตาหมวย ตัวเตี้ยป้อม
แบบที่น้องไก๋ชอบแอบหัวเราะกับเพื่อนอยู่เรื่อย
ตอนเห็นคู่นี้เดินมาด้วยกัน"
ลูกค้าแต่ละคนมีท่าตกตะลึงจังงังต่างๆกัน
ไป สำาหรับยายไก๋ร้อง "เฮ้ย!" ออกมาดังๆ คล้าย
ถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ หน้าถอดสี
"พี่รู้ขนาดนี้ ?"
มะแมขี้เกียจเสียเวลากับฉากจังงังอันน่า
จำาเจสำาหรับหล่อน จึงรีบตัดบท
"รู้สิคะ... ในอารมณ์แอบหัวเราะ พี่เห็น
ภาพการพนันขันต่อระหว่างน้องไก๋กับเพื่อน
ประมาณว่าคู่ตี๋หมวยนี้ดูรักกันมาก ไปไหนมา
ไหนด้วยกันตลอดอย่างน่าหมั่นไส้ อยากรู้ว่า
เสน่ห์น้องไก๋จะทำาให้นายตี๋ทิ้งแฟนได้ภายในสาม
วันไหม"
เด็กสาวลมแทบจับ ถ้าแก่กว่านี้คงต้องหา
ยาดม แต่เพราะยังแข็งแรงดีเลยเอาแต่ขมวดคิ้ว
จ้องหน้ามะแม
"พี่รู้จักพวกหนูหรือเปล่าคะนี่ ใครแอบมาบ
อกพี่ใช่ไหม?"
"เปล่าค่ะ พี่เพิ่งเห็นจากเงาอารมณ์ในอดีต
ของน้องไก๋เดี๋ยวนี้แหละ"
"แล้วพี่บอกถูกเป๊ะๆได้ยังไง อย่างพนัน
กำาหนดเวลาสามวันน่ะ?"
"ประมาณจากอารมณ์พนันขันต่อที่เห็นน่ะ
อธิบายยากค่ะ เรามาคุยกันเรื่องสำาคัญกว่านั้น
กันดีกว่านะ"
"ก็ได้ค่ะ แต่พี่ไม่ได้รู้เรื่องของหนูจากใคร
มาก่อนแน่นะ?"
มะแมพยายามตัดความรำาคาญและมีสมาธิ
กับทิศทางสู่เป้าหมาย
"น้องไก๋ ฟังพี่ดีๆนะ... คนที่ขู่ฆ่าน้องน่ะ เขา
ไม่ทำาหรอก เขาแค่เจ็บใจที่น้องไก๋พูดไม่ดีเลย
ตอนจะสลัดเขาทิ้ง ซึ่งการที่น้องไก๋เขี่ยผู้ชายทิ้ง
บ่อยๆ ทำาให้ย่ามใจเกินไป แต่ละครั้งใช้คำาหนัก
ขึ้นทุกที นึกว่าทุกคนจะหน้าเศร้า ยอมผละไปโดย
ดีเหมือนๆกัน"
ไก๋อึ้ง
"ก็ ... มันไม่ยอมไป เลยต้องเหวี่ยงทิ้งกัน
แรงๆสิคะ"
"น้องไก๋สะสมความแรงในการทิ่มแทงให้
ผู้ชายเจ็บใจมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว จนถึงวันนี้
ขอให้รู้ไว้ แค่สีหน้าสีตาบวกคำาด่าเล็กๆ บางทีมัน
มีพลังกระทุ้งให้เขาเจ็บปวดกันยิ่งกว่าโดนผู้ชาย
ด้วยกันเอาเท้าลูบหน้าเสียอีก"
"เหรอ..."
เด็กสาวทำาเสียงอ่อยอย่างไม่นึกโกรธ
เพราะเห็นภาพของตนเองตามคำาของสาวสวยใน
สูทขาวแจ่มชัด หลายครั้งต้องยอมรับว่าหล่อน
ไม่รู้ตัวเอาจริงๆว่าพูดอะไรไปบ้าง กระทั่งมารู้สึก
ทีหลัง คลับคล้ายคลับคลาว่าฝัน แต่ที่แท้เคยพ่น
พิษออกไปด้วยคำาแรงๆเหล่านั้นจริงๆ หลักฐาน
คือคนโดน ได้หวนมาย้ำาถามว่าพูดแบบนั้นได้
อย่างไร ทำาไมช่างป่าเถื่อนไร้ความเป็นคนกับเขา
ถึงขนาดนั้น
อย่างเช่นช่วงหลัง ไก๋สนุกกับการวิจารณ์
อวัยวะเพศด้วยคำาที่น่าเกลียด ทิ่มแทงใจให้อาย
จำาไม่ได้ว่าเริ่มมาตั้งแต่เมื่อใด รู้ตัวอีกทีก็ใช้ไม้นี้
กับผู้ชายทุกคนที่อยากเหวี่ยงทิ้งแล้ว
"น้องไก๋คะ หนุ่มหน้าตี๋ที่พี่พูดถึง เขาไม่ใช่
อย่างที่เห็นข้างนอก ตอนคั่งแค้นสุดขีดขึ้นมา เขา
ทำาได้ทุกอย่างที่เราไม่นึกว่าจะทำาได้ "
"เจาะจงให้ชัดๆได้ไหมคะว่าจะเกิดอะไร
ขึ้น?"
"ให้พี่เดาใจน้องไก๋นะ ที่ผ่านมา ตอนแรก
กะหว่านเสน่ห์เล่น แต่ทำาไปทำามาน้องไก๋เกิด
อยากลองเสียหน่อย ว่าตาคนนี้จะมีลีลาบนเตียง
ยังไง เสร็จแล้วก็รู้สึกว่า เออ... แปลกดีเหมือน
กัน"
"อ๊าย!" ไก๋ยกสองมือปิดหน้า ร้องเหมือน
โดนมะแมโยนแมลงสาบใส่ แต่ออกแนวแกล้งๆ
ดัดจริตขำาๆมากกว่าอย่างอื่น "ไม่ต้องพูดตรง
มากก็ได้พี่ หนูอาย หนูกลัวแล้ว!"
"อย่าอายเลยค่ะ น้องไก๋คุยกับเพื่อนถึงลูก
ถึงคนกว่านี้เยอะ!"
ไก๋เริ่มปรับสติให้คุ้นกับฤทธิ์ของมะแมได้
จึงหัวเราะร่วน
"ค่ะ! งั้นหนูคุยกับพี่หน้าตาเฉยๆแบบนี้
แหละ แล้วไงต่อคะ?"
"อีกครั้งสองครั้งน้องไก๋จะเบื่อ แล้วก็อยาก
เขี่ยทิ้งตามเคย คราวนี้หนักกว่าทุกครั้งตรงที่มีใจ
อยากเยาะเย้ยอยู่แล้ว เห็นเขาเป็นตัวตลกอยู่แล้ว
แถมยังได้เงินพนันจากเพื่อนมาให้กระหยิ่มใจ
อีก... ประมาณอารมณ์ตัวเองถูกไหมว่าจะนึก
เหยียดหยาม ชิงชัง เห็นเขาเป็นไอ้หน้าโง่ยังไง"
ไก๋ยิ้มเย็น
"ประมาณถูกค่ะ สรุปคือมันจะฆ่าหนูหรือ
คะ? ไม่น่าเป็นไปได้เลย ผอมแห้งแรงน้อยอย่าง
นั้น หนูว่าหนูตบผัวะเดียวก็กลิ้งโคล่ "
มะแมเบือนหน้าไปทางหนึ่งอย่างเริ่มระอา
รำาพึงในใจว่าโลกนี้ช่างเปลี่ยนยากจริงหนอ...
เด็กสาวเห็นอีกฝ่ายทำาหน้าเซ็งก็หัวเราะ
ปลอบ
"เอาล่ะค่ะ สรุปคือหนูมาถามพี่ด้วยความ
หวั่นคนหนึ่ง แต่กลับได้คำาเตือนให้เกรงๆอีกคน
หนึ่งไว้ หนูจะเชื่อพี่ก็แล้วกัน สรุปคือไม่ให้โอกาส
อยู่กับนายหน้าตี๋ที่พี่ว่าแบบสองต่อสองอีกแล้ว"
มะแมหันกลับมา สีหน้าดีขึ้น
"แค่นั้นไม่พอนะ พี่ให้คาถากันภัยกับน้อง
ไก๋ไว้บทหนึ่งจะเอาไหม?"
"เอาสิคะ"
"แฟนคนอื่นมีไว้ห้ามใจ ส่วนแฟนตัวเองมี
ไว้ทำาใจ! อย่าตามใจตัวเองให้มากนัก ใจจะได้
สบายกว่านี้ "
"สาธุ ! ไว้ว่างๆหนูจะพยายามท่องให้ขึ้นใจ"
ทำาเป็นพนมมือท่วมหัวเพื่อก้มหน้าหลบตา ซ่อน
แววลิงหลอกเจ้า แต่ก็เงยหน้าขึ้นทำาตาใสออกมา
จากใจจริงเมื่อจะพูดอีกประโยค "ขอบคุณนะคะ
หนูสบายใจขึ้นเยอะเลยที่รู้ว่าไม่ต้องตาย เสียงขู่
ของมันน่ากลัวมาก"
"ค่ะ ไม่เป็นไร"
"บนอินเตอร์เน็ตมีคนโฆษณาว่าทำาได้แบบ
พี่กันเยอะนะ แต่หนูเพิ่งเจอของจริงวันนี้แหละ ไป
มาหลายเจ้าแล้ว ถูกต้มตลอด"
"บนอินเตอร์เน็ตก็มีอะไรดีๆที่เป็นของจริง
อยู่เยอะแหละค่ะ"
เกือบแนะให้เข้าเว็บดีๆ หาความสว่างใส่ตัว
บ้าง แต่ก็จุกที่คอหอย เห็นหน้าสาวไก๋แล้วไม่
ค่อยมีกำาลังใจจะพูดเอาเลย
"หนูไม่รู้เป็นไงนะพี่ ถามอะไรจากเน็ตชอบ
ถูกหลอก ถูกตุ๋น จนเห็นอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่ง
รวมคำาลวงโลกไปแล้ว"
มะแมมองคนพูดค้าง คุณเธอคงไม่เข้าใจ
เอาจริงๆว่าตัวเองลวงโลก ก็ต้องอยู่กับโลกลวง
เป็นธรรมดา นี่เหมือนเข้าใจว่าตัวเองทำาอย่างไร
ก็ได้ แต่ไม่ควรได้รับการสนองกลับแบบเดียวกัน
เลย
"มันขึ้นอยู่กับที่ที่เราไปด้วยน่ะค่ะ" หล่อน
เลือกพูดแบบไม่กระทบกระทั่ง "จริงๆแล้ว เรามี
ทุกคำาตอบที่ดีที่สุดอยู่บนอินเตอร์เน็ต ปัญหาคือ
เราไม่ค่อยมีคำาถามที่ดีที่สุดอยู่ในใจ"
ไก๋หัวเราะหึหึ
"คำาถามที่ดีที่สุดคืออะไรคะ?"
"มันเปลี่ยนไปเป็นวันๆ เหมาะกับตัวเราใน
วันหนึ่งๆน่ะค่ะ อย่างสำาหรับของน้องไก๋วันนี้
คำาถามที่ดีที่สุด คือ ทำายังไงจะเลิกอยากพูดให้
คนเจ็บใจ เห็นไหม ถ้ามีคำาถามนี้อยู่ในใจแล้วเอา
ไปหาบนเน็ต น้องไก๋อาจพบความเห็นดีๆทั้งไทย
และเทศเอาไปใช้ได้จริงทันที "
"หนูว่าถามเอาจากพี่นี่แหละ เร็วดี "
"อยากได้คำาตอบหรือคะ?"
ไก๋ยักไหล่
"ความจริงมันก็รู้ๆอยู่น่ะพี่ แต่หนูเป็นของ
หนูหยั่งงี้จะให้ทำาไงล่ะ... ยังไงหนูก็ตั้งใจนะ จะไม่
ยุ่งกะไอ้ตี๋นั่นอีกแล้ว ไม่ไปว่าอะไรมันด้วย พี่ไม่
เสียแรงให้คำาแนะนำาเปล่าหรอก"
"ดีค่ะ"
"แหม! พี่อย่าทำาหน้าอ่อนอกอ่อนใจขนาด
นั้นได้ไหม ไว้วันหนึ่งหนูเจอหล่อๆ ล่ำาๆ รวยๆ ก็
เลิกนิสัยเสียๆไปเองแหละ เห็นมั่วๆอย่างนี้ อันที่
จริงหนูก็อยากหยุดกับใครสักคนหนึ่งเหมือนกัน
นะ"
"รู้ค่ะ ลูกผู้หญิงยังไงก็อยากใช้ชีวิตเป็นฝั่ง
เป็นฝากันทั้งนั้น โดยเฉพาะพอผ่านวัยเอาแต่สนุก
จะรู้สึกเคว้งคว้างมากหากหาหลักเกาะไม่เจอ"
"แล้วหนูจะเจอเมื่อไหร่พี่ ?"
"เมื่อน้องไก๋แยกออก ว่าแฟนกับความรัก
ต่างกันยังไง"
ไก๋ยิ้มมุมปาก
"ต่างกันยังไงคะ?"
มะแมเบนสายตาไปทางประตู ใจย้อนนึกถึง
วาระแรกที่อัคระเดินเข้ามา ยังติดตา ประทับตรึง
อยู่ในใจจนกระทั่งบัดนี้
"แฟนเป็นแค่ตำาแหน่งอุปโลกน์ ริบคืนเมื่อ
ไหร่ก็ได้ อาจแค่โทร.บอกก็จบ แต่ความรักเป็น
ของจริงในใจเรา แกล้งทำาให้เกิดไม่ได้ สั่งให้หาย
ไปก็ไม่ได้ "
"แฟนพี่นี่ต้องหล่อโคตรๆชัวร์ "
มะแมก้มหน้า ก่อนเงยขึ้นถามอีกทาง
"เอ้อ... น้องไก๋คะ รบกวนถามนิดหนึ่ง
คุณย่าพิรมลของน้องไก๋นี่ ก่อนเสียท่านบวชชีใช่
หรือเปล่า?"
"ค่ะ"
"รู้ไหมบวชที่ไหน?"
"โอ๊ย! ตั้งเป็นสิบปีแล้ว ตอนนั้นหนูยังเด็ก
อยู่เลย จะไปจำาได้ยังไง"
"งั้นพี่ขอรบกวนหน่อยเถอะ ขอเบอร์
โทร.ของคุณพ่อน้องไก๋ หรือของใครที่พอจะให้
รายละเอียดเกี่ยวกับคุณย่าพิรมลได้ไหม คือมี
อะไรอยากสอบถามเกี่ยวกับคุณย่าพิรมลนิดเดียว
อย่างมากคุยกันไม่เกินห้านาทีน่ะค่ะ"
ไก๋เห็นไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงก็ให้ง่ายๆ
"เอาสิคะ เบอร์โทร.พ่อหนูก็ได้ อ้อ! แล้วพี่
อย่าให้เขารู้ว่าพี่สวยขนาดนี้ล่ะ ไม่งั้นจะเสียใจ
โดนตามมาดูหน้าถึงบ้านไม่รู้ด้วย!"

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๐
หลังเลิกงาน มะแมนั่งมองเบอร์มือถือคุณ
พ่อของน้องไก๋อย่างชั่งใจว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไร
ดี
กรรมเก่าจัดสรรให้เจ้าของกรรมได้รับสิ่งที่
ควรได้เสมอ บางทีก็มาในรูปของความประจวบ
เหมาะ ซึ่งหมู่มนุษย์ขนานนามให้มันว่า "ความ
บังเอิญ"
มะแมรู้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างเด็ด
ขาด เส้นทางชีวิตของน้องอิ๊กมีลำาดับขั้นตอนที่
ชัดเจน แบบการวางหมากเป็นชั้นๆจากมหิทธิ
อำานาจ ที่สามารถลากจูงเอาบุคคลมากมายเข้า
มาเกี่ยวข้อง
มองจากสายตามนุษย์อาจยุ่งยากซับซ้อน
ไม่น่าเป็นไปได้ แต่พลังธรรมชาติแห่งกรรมวิบาก
จะบอกว่านี่ก็แค่อีกหนึ่งในเรื่องขี้ผง เป็นของ
ธรรมดาที่จะทำาให้ลงตัวได้ สบายๆ
อิ๊กเป็นพวกได้ชีวิตมาอย่างมีจุดประสงค์ชัด
ทิศทางชีวิตของเธอตรงดิ่งไปสู่จุดประสงค์ดัง
กล่าวราวกับมีใครตัดทางลัดไว้ให้
หนึ่ง เป็นกำาพร้า สูญเสียบุพการีไปตั้งแต่
ยังเอาตัวรอดด้วยตนเองไม่ได้
สอง ประสบทุกข์ทั้งทางกายทางใจ เห็น
ชีวิตเป็นทุกข์ อยากทิ้งชีวิตตั้งแต่ตัวยังน้อย
สาม พบกับคนอุปการะเลี้ยงดู สอนทำา
สมาธิ และเก่งสมาธิอย่างรวดเร็ว
สี่ ในสมาธิมีพลังดึงดูดให้กลับไปหาอดีต
ห้า วันนี้เอง มีคนมาช่วยยืนยันว่าอดีตขอ
งอิ๊กเป็นเรื่องจริง!
จุดประสงค์แห่งกำาเนิดนี้ อาจเปิดเผย
กระจ่างแจ้งขึ้น ณ ที่ที่เคยตาย...
กระทั่งมะแมยังสงสัยว่ามีเหตุผลอะไร ใน
เมื่อเพิ่งเกิดมาแท้ๆ ทำาไมจะต้องรีบร้อนกลับไป
หาจุดที่เคยตายด้วยเล่า?
ความรัก ความผูกพัน ทำาให้ลังเลและขัด
แย้ง ตอนนี้แม้ไม่รู้อะไรเลย น้องอิ๊กก็อยู่ดีมีสุขกับ
หล่อนที่นี่ แต่ถ้า "รู้อะไร" แล้วต้องเสียน้องอิ๊กไป
ล่ะ หล่อนเองจะรับได้ไหม?
นึกถึงพวงแก้มยุ้ยที่หอมกี่ฟอดก็ไม่เบื่อ
นึกถึงร่างน้อยที่กอดแล้วรู้สึกเหมือนลูก นึกถึง
ดวงตากลมแป๋วที่เฝ้าจ้องมองหล่อนเสมอ อย่าง
รอว่าเมื่อไหร่พี่มะแมจะว่างเสียที จะได้เดินเข้ามา
หา
สุดท้ายนึกถึงการไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก นึกถึง
บ้านที่ไม่มีน้องอิ๊กวิ่งเล่น ใจก็จะขาดเดี๋ยวนี้แล้ว...
สลัดศีรษะขับไล่ความคิดท่ี่เริ่มเตลิดไกล
ใครจะมาเอาน้องอิ๊กไปได้ ในเมื่อหล่อนเป็นผู้
ปกครองอยู่แท้ๆ นามสกุลก็ใช้นามสกุลหล่อน
เตียงนอนกับอาหารการกินก็เงินของหล่อน นาที
นี้มีอะไรในตัวอิ๊กบ้างที่ไม่ใช่ของหล่อน?
ใครจะมาเอาตัวอิ๊กไปจากหล่อนได้ ?
ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าอัคระหมดเยื่อใย ทิ้ง
หล่อนไปตามหาความฝันของเขา น้องอิ๊กจะเป็น
สมบัติที่ระลึกอันทรงชีวิตชีวา จดจำาได้เสมอว่า
น้องอิ๊กมาจากไหน หล่อนต้องเดินทางไกลไปใน
คืนนั้นเพราะจดหมายจากใคร...
หลังจากคิดออกว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรกับ
พ่อน้องไก๋ มะแมก็กดเบอร์ที่ได้รับมา ไม่ว่าอะไร
จะเกิดขึ้น นี่คือหน้าที่ที่หล่อนต้องทำาในฐานะองค์
ประกอบหนึ่ง ที่ถูกวางตัวไว้บนเส้นทางวิบาก
กรรมของน้องอิ๊ก อย่างไรก็ต้องทำาหน้าที่ไปก่อน
ทำาแล้วเกิดผลท่าไหนค่อยว่ากันอีกที
สัญญาณเรียกดังขึ้นเป็นห้วง แต่ละห้วง
คล้ายเสียงร้องถามว่าแน่ใจแล้วหรือ? คิดดีแล้ว
หรือ? อยากให้มีคนรับสายหรือ?
มาแน่ใจว่าไม่อยากให้มีใครรับสายเลย ก็
เมื่อสัญญาณเรียกดังซ้ำาแล้วซ้ำาเล่า เนิ่นนานเกิน
ระยะเวลาที่กำาหนด กระทั่งผู้ให้บริการส่งเสียง
แจ้งว่าไม่มีผู้รับสาย โปรดติดต่อกลับมาใหม่อีก
ครั้ง
โล่งใจอย่างประหลาด แอบบอกตัวเองว่า
หล่อนทำาหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่จำาเป็นต้องทำาซ้ำา
แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย!
เดินลงมาชั้นล่าง อันที่จริงไม่อยากรบกวน
สมาธิของน้องอิ๊กซึ่งกำาลังเรียนพิเศษอยู่ แต่ทน
คิดถึงไม่ไหว อยากเห็นหน้าสักนิด และคิดจะเดิน
เลยไปหลังจากเห็นสมใจแล้ว
ได้ยินเสียงคุณครูกำาลังเอื้อนเอ่ยสาธยาย
เกี่ยวกับการตีโจทย์คณิตศาสตร์ รู้สึกถึง
บรรยากาศของการศึกษาเล่าเรียนในวัยเด็ก วูบ
หนึ่งก็ตีบตื้นขึ้นมาเฉยๆ ชีวิตช่างเป็นเรื่องน่า
เหนื่อย ตอนเด็กไม่มีใครรู้อะไรเลย ต้องรับข้อมูล
ใส่หัวท่าเดียว ซึ่งก็ไม่มีใครประกันได้ว่าข้อมูลที่
ใส่เข้ามา จะพาลงเหวหรือเปล่า
บางคนเรียนๆยังไม่ทันใช้งาน ไม่ทันมี
โอกาสตอบแทนผู้มีพระคุณ ก็ด่วนตายไปเสีย
ก่อน โดยไม่มีใครแจ้งให้เตรียมตัว และธรรมชาติ
ก็ไม่ส่งนิมิตหมายมาให้เตรียมใจ หากมีวาสนา
เกิดใหม่ได้เป็นมนุษย์อีก ก็ต้องเริ่มเรียนกันใหม่
อีก วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้
เท้าแตะพื้นชั้นล่าง คุณครูผู้หญิงวัยเกิน ๓๐
ซึ่งนั่งหันมาทางบันไดก็เงยหน้ายิ้มให้หล่อน มีผล
ให้หนูอิ๊กเหลียวตาม มะแมเห็นดวงหน้าที่สวย
หวานขึ้นทุกวันนั้นแล้วนึกอยากเดินเข้าไปจุ๊บสักที
แต่ก็ตัดใจ โบกมือบ๊ายบายเป็นเครื่องหมายว่า
หล่อนแค่เดินผ่านมา ให้น้องอิ๊กสนใจเรียนต่อไป
โล่งหัวอกเมื่อคิดออก บอกย้ำากับตนเอง
หนักแน่น อย่างไรหล่อนก็จะไม่ยอมเสียน้องอิ๊ก
ให้ใครเด็ดขาด
ทำาไมถึงต้องคิดอย่างนี้ก็ไม่รู้ รู้แต่จะคิด
อย่างนี้แหละ!
ออกมาหน้าบ้าน มะแมเปิดประตูเล็กก้าว
เท้าออกมาหงอยๆ อยากสูดอากาศให้โล่งหัวหลัง
อุดอู้อยู่ในบ้านทั้งวัน แต่บริเวณนั้นก็ไม่มีที่เดิน
เล่น ใจหนึ่งอยากไปนั่งริมคลองที่วัด แต่อีกใจก็ขี้
เกียจขับรถไปแล้วต้องรีบขับกลับให้ทันเวลามื้อ
เย็นร่วมกับสมาชิกอีกสองคนในบ้าน
จังหวะนั้นเอง รถโตโยต้า อัลติส สีขาวคัน
หนึ่งก็คลานเอื่อยเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน
พอดี และความพอดิบพอดีชนิดนั้นก็ชวนให้คิดใน
แวบแรกว่าคนขับอาจจอดเพื่อถามทาง แต่แล้ว
เมื่อเห็นว่าใครลงมาจากรถ มะแมก็ถึงกับอ้าปาก
ค้าง ร่างแข็งทื่อราวถูกสาปให้เป็นหุ่นใบ้เบื้อ
ยิ้มละไมที่ให้ความเย็นใจเสมอมา กับเงา
ร่างสูงที่ก่อแรงปีติจนผลักดันให้อยากถลันเข้าไป
กอดอย่างลืมอาย ใบหน้าที่ไม่นึกว่าจะได้เห็นใน
เร็ววัน กลับได้เห็นในวันนี้โดยไม่คาดฝัน!
บันดาลแรงอัดขึ้นที่กลางอก อยากเปล่ง
อุทานขานชื่อเขา ทว่าความตกตะลึงพรึงเพริดกด
ไว้ มิให้เสียงเล็ดรอดออกมาได้สักแอะเดียว
จนอัคระทอดเท้าเอื่อยเนือยเข้ามายืนตรง
หน้านั่นแหละ สติจึงค่อยกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
ได้ มะแมพนมมือไหว้เขาและทักทายตะกุกตะกัก
"เอ่อ... สะ... สวัสดีค่ะพี่อัค"
กะพริบตาถี่ๆอย่างรู้ว่าน้ำาตากำาลังจะไหล
ออกมา ตอนนี้หล่อนอยากมองเขาให้เต็มตา
มากกว่า
"ลูกค้ากลับไปหมดแล้วใช่ไหม?"
ชายหนุ่มทักทายเบาๆด้วยอารมณ์ผ่องใส
"ค่ะ"
ความปลอดโปร่งฉ่ำาชื่นกระจายไปทั่ว
บริเวณ เพียงเพราะรับความกระจ่างใสจากรัศมี
อารมณ์ของเขาคนเดียว มันเป็นอากาศยามเย็นที่
ให้ความรู้สึกแสนสบายหายเหนื่อย แค่อัคระเดิน
มา ทุกอย่างก็ต่างไป
"กำาลังจะเดินเล่นเหรอ?"
"กะไปนั่งศาลาท่าน้ำาที่วัดใกล้ๆน่ะค่ะ"
มะแมรีบบอก
"โอเค... ไปกัน!"
อัคระช่วยเปิดประตูรถตอนหน้าให้ ซึ่ง
มะแมก็ยิ้มแหยด้วยความเกรงใจ ยอบกายตัวลีบ
ก้าวเข้าไปนั่ง
ด้วยเวลาไม่นานนัก สองหนุ่มสาวก็ล่วงถึง
ศาลาท่าน้ำา ซึ่งครั้งหลังมะแมมาอาศัยที่นี่นั่งฝัน
ถึงอัคระ แต่คราวนี้มากับเขา ก็คงต้องเรียกว่าฝัน
ที่เป็นจริงกระมัง...
ต่างเงียบมาตลอดทาง กระทั่งหย่อนกาย
เคียงกันบนกระดานนั่งในศาลา หันหน้ามองน้ำา
มะแมใจเต้นไม่เป็นส่ำา และคิดหาสักเรื่องมา
ทำาลายความเงียบบ้าง
"ขับรถที่เอาไว้ซื้อกับข้าวออกมา คุณ
พ่อคุณแม่ไม่ถามหรือคะว่าจะไปไหน?"
อัคระหัวเราะเบาๆ
"บางทีพี่ก็เอาคันนี้ออกมาทำาธุระง่ายๆบ่อย
ไป"
"คงเป็นคันเดียวในบ้านพี่อัคที่เหมาะกับ
สภาพแวดล้อมแถวบ้านมะแมนะคะ"
คุยกับเขาคำาไหนก็ได้ เหมือนอวลไอสุข
ชวนให้อารมณ์ดีไปหมด
แต่พอหล่อนเงียบ เขาก็เงียบอย่างไม่มีทีท่า
จะเอ่ยคำาใดต่อ จนกระทั่งมะแมคิดว่าสมควรแก่
กาลเอ่ยคำาที่คาใจ
"พี่อัคคะ มะแมกราบขอโทษ" ขณะเอ่ยก็
ยกมือไหว้เขาอย่างสวยที่สุด "มะแมโง่มากที่ขอพี่
อัคไปอย่างนั้น ขอถอนคำานะคะ และต่อไปจะเป็น
กำาลังให้พี่อัคทุกประการ พี่อัคสั่งให้มะแมทำาอะไร
ก็จะทำา แม้แต่ให้หายไปจากชีวิตพี่อัค เพื่อไม่ต้อง
มาเกะกะขวางตากันอีก"
อัคระหัวเราะเฉื่อย ก่อนจะหันมาจับศีรษะ
คนรักโยกไปมาด้วยความเอ็นดู
"ทำาเป็นพูดดีนะเรา เมื่อเช้ามืดนอนร้องไห้
ตั้งนานใช่ไหมล่ะ?"
มะแมยิ้มนิดๆ แต่ก็ทำาตาแดงๆ ฝ่ามือที่
สัมผัสศีรษะหล่อนอบอุ่นประดุจแสงตะวันปกเกล้า
ชายหนุ่มลดแขนลง หันกลับมาทอดตามอง
น้ำาต่อ
"มาถึงตรงนี้ พี่เรียนรู้อย่างหนึ่ง... ความ
เชื่อมีอิทธิพลยิ่งกว่าความคิด เพราะเมื่อถึงที่สุด
ของความเชื่อ มันทำาให้เรารู้สึกว่าได้ปักหลัก
มั่นคง ต่างจากความคิดที่กลับไปกลับมาได้
ตลอด"
"และสำาหรับพี่อัค ก็เชื่อว่าตัวเองสามารถ
เปลี่ยนแปลงโลกได้ใช่ไหมคะ?"
"โง่ดีไหมล่ะ?"
มะแมสั่นหน้าอย่างแข็งแรง
"เป็นความเชื่อที่บังคับให้คนเราต้องฉลาด
อย่างที่สุดต่างหาก!"
อัคระหรี่ตายิ้มแบบอ่านนัยยาก เงียบเฉย
เป็นครู่ก่อนเอ่ย
"แต่ละคนมีจุดอ่อน และจุดอ่อนของพี่ก็คือ
มะแม" น้ำาเสียงของเขานุ่มเย็น กลมกลืนกับ
สายน้ำาตรงหน้า "แต่จุดอ่อนนั่นเองที่บันดาลให้
ทำาได้ทุกอย่าง หรือไม่ก็ทิ้งได้ทุกอย่าง รู้สึก
เหมือนมะแมขอคำาเดียว พี่ทำาให้ได้หมด"
"ต่อไปนี้ มะแมจะขอให้พี่อัคเป็นตัวของตัว
เองค่ะ..."
หางเสียงสั่นพร่า แต่น้ำาหนักคำามั่นคง ชาย
หนุ่มฟังแล้วถอนใจยาว
"พอคนเราได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้ ถึง
เพิ่งรู้ตัวว่ามีส่วนเกินอยู่เก้า แต่มีสิ่งน่าพอใจจริง
แค่หนึ่ง"
"มันยากที่ใครจะเจอสิ่งน่าพอใจจริงให้ได้
สักชิ้นนี่คะ..."
"พี่เหมือนทำางานหนักมาตั้งแต่เด็ก เหนื่อย
นะ แต่ไม่เคยอยากหยุด"
"เป็นมะแมก็คงไม่อยากหยุด เพราะแค่
ลูกค้าที่เป็นคนธรรมดา มะแมช่วยเปลี่ยนชีวิตให้
พวกเขาได้ยังสนุกอยู่ทุกวัน แล้วพี่อัคเปลี่ยนคนที่
มีอิทธิพลสูงๆกับโลกได้ขนาดนี้ จะรื่นเริงถึงใจสัก
ขนาดไหน"
"ใครบอก?" เขาขัดขรึมๆ "คนมีอิทธิพล
สูงๆน่ะ มะแมน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขี้ยวลากดินกันแค่
ไหน"
"ค่ะ... พอรู้ "
"เอาที่คิดว่ามะแมพอรู้ คูณร้อยเข้าไป นั่น
แหละของจริงที่พี่เจอมา"
หญิงสาวเงียบงัน จ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างเดา
ใจไม่ถูก ปล่อยให้เขาระบายออกมาเองดีกว่า
"ตอนเจอข้อความลึกลับจากพี่ พวกนี้จะส่ง
คนตามสืบแบบกัดไม่ปล่อยว่าพี่เป็นใคร มาจาก
ไหน เพราะถ้าเป็นผู้นำาประเทศ ก็เข้าใจว่าเป็นกล
ลวงของผู้ก่อการร้ายหรือฝ่ายตรงข้าม ถ้าเป็น
พวกมาเฟียใหญ่ ก็จะเข้าใจว่าเป็นแผนล่อของ
ทางการ ส่วนถ้าเป็นผู้นำาศาสนา ก็จะเข้าใจว่า
เป็นฝีมือของจอมซาตานออกโรงเอง เพื่อเริ่มแผน
ปกครองโลกตามคำาทำานาย"
มะแมสยายยิ้มและหยอดเสียงหัวเราะน่ารัก
เพื่อทำาตนเป็นตัวประกอบ เพราะประโยคสุดท้าย
ของเขาถือว่าตลกได้ แต่เมื่อส่งเสียงสั้นๆเสร็จก็
หุบยิ้ม นิลเนตรจับจ้องอัคระเฉยด้วยแววจดจ่อรอ
ฟังนิ่ง
ชายหนุ่มเหลือบตาแลคนรัก แต่พอสบดวง
หน้างามสมส่วนในยามตะวันยอแสง และรู้สึกถึง
รัศมีเสน่ห์ที่ฉายแรงเป็นวงกว้างเพียงแวบเดียว ก็
ชะงัก รีบเบือนหลบไปอีกทาง เยี่ยงคนไม่อยาก
ตกอยู่ใต้อำานาจแห่งมนต์สะกดใดๆ
"บนเส้นทางของพวกมีอิทธิพลกับโลก
แต่ละคนเหมือนมีพลังหนุนลึกลับที่คอยรักษาไว้
ไม่ให้เปลี่ยนแปลงเส้นทางง่ายๆ และเมื่อรวมกัน
หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นคนเข้า ก็ผลักดัน
ให้โลกหมุนตามทิศทางผิดๆอย่างที่เห็นและเป็น
ไป ยากที่ใครจะฝืนต้าน"
"ก็ต้องรอสักยุคไงคะ ที่จะมีคนใจดี มี
อำานาจพอ เข้ามาช่วยปฏิรูป"
อัคระหัวเราะขื่นๆ
"พี่คิดมาระยะหนึ่ง แต่ไม่กล้ายอมรับกับตัว
เอง ว่าน่าจะถูกของเซธ เราหวังช่วยโลกได้ แต่ให้
คิดเปลี่ยนโลกน่ะ มันเกินไป"
"มะแมก็เพิ่งคิดอย่างนี้เมื่อเช้าค่ะ สร้างคน
ง่ายกว่าเปลี่ยนคน สร้างโลกใหม่ง่ายกว่าเปลี่ยน
โลกเก่า"
ชายหนุ่มพยักหน้าหน่อยๆ
"เซธเห็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก และมาถูกทาง
ตั้งแต่ต้น คือสร้างคนในเวลาที่ยังเป็นไม้อ่อนดัด
ง่าย ดีกว่าพยายามฝืนเปลี่ยนตอนเป็นไม้แก่ดัด
ยากไปแล้ว"
"แล้วบอสก็มีเครื่องทุ่นแรงที่ยิ่งใหญ่เสีย
ด้วยนะคะ รวมคนฤกษ์เกิดดีๆไว้ในปกครองได้
มหาศาล คนเราขึ้นต้นมาถ้าดวงดี รายละเอียด
ดีๆก็ตามมาเอง ไม่ต้องออกแรงมาก"
"ความหยั่งรู้ของเซธ พอบวกเข้ากับเครือ
ข่ายซีอุสที่พี่สร้างให้เขาน่ะ ไม่ใช่แค่รู้โดย
ประมาณว่าดวงดีแล้วจะมีอะไรดีๆตามคนๆหนึ่ง
มา แต่รู้ลึกลงไปกระทั่งว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจับ
เอากลุ่มคนดวงดีมาทำางานด้วยกัน โดยวาง
ตำาแหน่งไว้ถูกที่ ถูกเวลา"
"เคยพลาดไหมคะ? มะแมเคยได้ยินว่า
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดในโลกก็ต้องมีข้อ
บกพร่องไม่ใช่หรือ?"
"ซีอุสถูกออกแบบมาให้ไม่พลาด พี่ทดสอบ
อยู่ห้าปีกว่าจะเอามาใช้งานจริง และต่อให้ซีอุส
พลาด ก็มีญาณของเซธคอยกรองอยู่อีกชั้น เวลา
ต้องตัดสินใจครั้งสำาคัญ"
"เรื่องยากถูกทำาให้ง่ายหมดแล้ว แค่รอ
เวลาอย่างเดียว พี่อัคเท่มากเลยนะคะที่อยาก
เหนื่อยต่อ กล้าฉีกทางออกมาลุยกับพวกไม้แก่
ดัดยาก เริ่มต้นนับหนึ่งกับสิ่งที่ไม่อาจพยากรณ์
กันใหม่ "
อัคระยิ้มปลง
"ไม่หรอก... ทบทวนภาพรวมดีๆแล้ว ใน
ที่สุดพี่ก็พบว่าตัวเองตระเวนรอบโลก เพียงเพื่อ
เดินตามรอยเท้าเซธมากกว่าจะสร้างรอยเท้าใหม่
ทั้งหมด หลังๆพี่ก็เน้นสร้างขุมกำาลังที่เป็นเด็กรุ่น
ใหม่ แทนการพยายามเปลี่ยนคนแก่รุ่นเก่าท่า
เดียวเหมือนช่วงแรก"
"คนธรรมดาอยากเปลี่ยนโลกด้วยคำาด่า
แต่พี่อัคอยากเปลี่ยนโลกด้วยการสร้างบารมี ยัง
ไงก็ไม่เหมือนใครอยู่แล้วค่ะ มะแมก็ฝันให้บ้าน
เมืองมีคนใจดีจริงๆมาปกครอง ทวงศีลธรรมกลับ
คืนจากกำามือของนรกมาตั้งนานแล้ว"
ชายหนุ่มตะแคงหน้ามองหญิงสาวยิ้มๆ
"วันนี้ให้กำาลังใจดีจังนะ จะชดเชยที่คืนก่อน
ตัดกำาลังใจกันหรือ?"
มะแมยิ้มตอบและยอมรับหน้าตาเฉย
"ค่ะ!"
"อือม์ ..." เขาเหลือบตามองฟ้าสูง "ถ้า
ไม่ใช่เพราะเกิดมาพร้อมฤทธิ์ระดับเทวดา อย่างที่
เรียกกันว่าพระเจ้าจักรพรรดิในตำานาน โลกนี้ก็
ต้องปกครองกันด้วยความโหดเหี้ยม ไม่ใช่ด้วย
ความใจดี ... ต่อให้มีอำานาจขนาดไหน ก็ใช้ความ
ใจดีได้แค่ในอาณาจักรเล็กๆ แต่ไม่ใช่จะขยาย
อาณาจักรให้ครอบโลกได้ "
"ยังไงพี่อัคก็ต้องพักบ้างนะคะ เดินทางไกล
ต้องหาศาลาร่มๆไว้นั่งเล่นบ้าง"
อัคระส่ายหน้าแช่มช้า เป็นการส่ายหน้าที่
ยืดยาวทีเดียว
"ไม่มีศาลาพักบนเส้นทางนี้หรอก... มีทาง
เดียวคือต้องหยุดเดินแล้วหันหลังกลับบ้านไป
เสีย"
มะแมหูผึ่ง
"นี่พี่อัคหมายความว่ายังไงคะ?"
"พอเจอมะแม... พี่อยากหยุดเสียที "
เขาเปิดใจสารภาพ หญิงสาวไม่อยากเชื่อหู
ถามเสียงสูงอย่างสุดปีติ
"จริงเหรอคะ?"
"ที่พี่รีรอ ไม่ออกมาเจอมะแมเสียนาน ก็
เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ "
หญิงสาวเม้มปากกลั้นยิ้ม ก่อนยกมือลูบต้น
แขนเขาในท่าประจบ
"ไม่หลอกให้ดีใจเล่นนะ?"
"เมื่อคืนพี่ไม่ได้โกรธมะแมหรอกนะ แต่
หลายอารมณ์มันประดังกันเข้ามาจนทึบๆตันๆ
คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะตอบยังไง หรือควรแสดง
ท่าไหน แทบหาทางกลับห้องนอนไม่ถูกด้วยซ้ำา"
"มะแมไม่ดีเอง ไม่น่าทำาให้พี่อัคเสียความ
รู้สึกอย่างนั้นเลย"
"พี่จะเดินทางไปสางเรื่องใหญ่ที่ค้างไว้ให้
เสร็จ จากนั้นจะไม่มีการเดินทางลงพื้นที่จริงรอบ
โลกอีก อย่างมากก็พยายามเปลี่ยนโลกออกมา
จากห้องนอน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น"
"แล้วกว่าจะอยู่กับที่ ไม่เดินทางอีกนี่ ...
นานไหมคะ?"
หญิงสาวลากเสียงสุดท้ายให้ละห้อย
หน่อยๆ
"ก็หวังว่าจะเร็วๆนี้ " เขาตอบแบบเริ่มพะวัก
พะวนเล็กๆ "พี่ไม่อยากโยนอะไรที่สะสมมานาน
ทิ้งน้ำาไปง่ายๆหรอกนะ"
มะแมก้มหน้า แกล้งแต่งจิตให้สลดซึมก่อน
รับอ่อยๆ
"ค่ะ..."
"จวนมืดแล้ว กินข้าวกันแถวนี้ไหม?"
"กลับไปกินที่บ้านได้ไหมคะ บอกให้หยิม
ทำาไว้ "
"ตกลง!"
มะแมขอแวะซื้อกับข้าวเพิ่มอีกสองสาม
อย่างจากตลาดใกล้วัด อัคระตามลงไปช่วยเลือก
ด้วย และนั่นก็เป็นโอกาสให้มะแมจดจำาเป็นครั้ง
แรกว่าเขาชอบผัดเผ็ด ชอบปลาดุกย่าง ชอบน้ำา
พริกปลาทู
อยากสะกดจิตให้เขารู้สึกเหมือนหล่อน
เหลือเกิน ชีวิตคนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกง มี
เวลาอยู่กับดวงหน้าอันเป็นที่รัก ออกจะแสนสุข
แสนสบายขนาดนี้ ไยต้องดิ้นรนเหนื่อยยาก เสีย
เวลาในชีวิตไปกับการเข็นครกขึ้นภูเขาเพื่อความ
สูญเปล่าด้วยเล่า?
หยิมถึงกับอ้าปากหวอเมื่อพบว่าใครเดิน
ตามมะแมเข้าบ้านมาด้วย
"คุณอัคระ! สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีจ้ะน้องหยิม"
เด็กสาวผมสั้นถึงกับดีใจเนื้อเต้นที่เขาเรียก
ชื่อตนถูก
"อุ๊ย! รู้จักชื่อหยิมด้วยเหรอคะ?"
"พี่มะแมของหยิมเขาเรียกให้ฟังบ่อยๆ"
มะแมยื่นถุงกับข้าวให้เด็กสาว
"เอาไปใส่จานซะนะ"
"ค่ะพี่ !"
หยิมลนลานรับอย่างตื่นเต้นไม่หาย ก่อน
เดินเข้าครัวไป ขณะนั้นเด็กหญิงอิ๊กเดินลงมาจาก
ชั้นบน เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกางเกงนอน แสดงว่า
ไปอาบน้ำามาเรียบร้อย
"น้องอิ๊ก มานี่มาลูก"
เรียกเสร็จก็สะอึกนิดหนึ่ง เผลอเรียกอย่างนี้
อีกแล้ว แต่ก็คิดว่าช่างเถอะ นานๆทีไม่เป็นไร
แม่หนูน้อยแก้มยุ้ยจ้องมองบุรุษร่างสูงด้วย
ตาดำาแจ๋วแหววมาแต่ไกล กระทั่งเดินมายืนตรง
หน้าจึงยกมือไหว้โดยไม่ต้องให้มะแมบอก
"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีจ้ะลูก" อัคระทรุดกายลงนั่งชันเข่า
ข้างหนึ่งและฉีกยิ้มกว้าง ทักทายด้วยเสียงอบอุ่น
สดใสแบบคนรักเด็ก "ชื่ออะไรคะ?"
"ชื่ออิ๊กค่ะ"
"เป็นลูกสาวของแม่มะแมเนอะ"
"ค่ะ!"
ฟังเสียงรับซื่อๆนั้นแล้วอัคระก็หัวเราะอย่าง
สำาราญใจ ตรงข้ามกับมะแมที่หน้าชาเพราะทราบ
ว่าถูกแหย่
"ไม่เอา! เป็นน้องสาวของพี่มะแมต่างหาก"
"เอ๊า!" อัคระร้องเบาๆและแกล้งทำาหน้างง
"เมื่อกี๊ได้ยินกับหู เพิ่งเรียกลูกอยู่หยกๆ"
มะแมทำาปากดังจุ๊
"เขาเรียกเด็กอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ พี่อัค
อย่าทำาให้น้องอิ๊กสับสนสิคะ"
"งั้นให้น้องอิ๊กตัดสิน อยากเรียกแม่หรือ
อยากเรียกพี่หือ?"
"อยากเรียกแม่ค่ะ!"
"พี่อัคอ้ะ!"
หญิงสาวหัวเราะถอนฉิว ก่อนเลี่ยงไปนั่งโซ
ฟางอนๆ
อัคระยังคงหัวเราะเรื่อยๆอย่างนึกสนุก แต่
ครู่หนึ่งก็จับไหล่สองข้างของเด็กน้อยแล้วอธิบาย
"คืออย่างนี้นะ พี่มะแมเขากลัวว่าถ้าเดินไป
ไหนมาไหนกับน้องอิ๊ก แล้วโดนน้องอิ๊กเรียกแม่
เดี๋ยวใครต่อใครหันมามอง นึกว่าเขาไม่ใช่สาว
น้อยแล้ว เขาจะอาย เข้าใจไหม?"
หนูอิ๊กขมวดคิ้วหน่อยๆอย่างไม่เข้าใจว่า
ทำาไมต้องอาย
"เอางี้ !" อัคระต่อรอง "ไว้พี่มะแมเขามีลูก
แล้วค่อยเรียกแม่ดีไหม? ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่ว่า
แล้วล่ะ"
"อีกนานไหมคะ?"
"ไม่นานเกินรอ รับรอง!" แล้วก็ยกมือเอา
หัวแม่โป้งชี้อกตัวเอง "แต่คนนี้ไม่ว่านะ อิ๊กอยาก
เรียกอะไรอนุญาตให้เรียกได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย...
ป๊ะป๋าเอาไหม?"
เด็กหญิงจ้องหน้าชายหนุ่มที่ตนไม่เคยเห็น
มาก่อน ก่อนฉีกยิ้มหัวเราะคิก เพราะไม่ไร้เดียง
สาขนาดไม่เข้าใจความนัยที่สื่อมา คือจะให้หล่อน
เป็นลูกของเขากับมะแม
"ตกลงค่ะ!"
อิ๊กรับคำาอย่างง่ายดายและหัวเราะพอใจ ดู
เข้ากันกับอัคระได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ทีแรกมะแม
มองมาด้วยสายตาขุ่นๆ แต่พอได้ยินสองคน
ประสานหัวเราะเริงรื่นราวกับเป็นพ่อลูก สายตาก็
อ่อนโยนลง ริมฝีปากระบายยิ้มออกมาในที่สุด
น้องอิ๊กชักชวนอัคระมาดูรูปที่เธอวาด มัน
เป็นรูปภูเขาสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม และที่พิเศษ
คือมีพระปฏิมาองค์โตนั่งขัดสมาธิบนยอดเขา
โดยดวงตะวันฉายรัศมีอยู่เบื้องหลังองค์พระ
นั่นเอง
อัคระชมว่าเป็นภาพที่มีจินตนาการดี แล้ว
ก็ได้พลังความสว่างด้วย เหมือนพระพุทธเจ้านั่ง
อยู่บนหลังคาโลก สาดส่องแสงธรรมแทนแสง
อาทิตย์ อย่างนี้ถ้าหนูอิ๊กวาดแล้วปลื้มมาก
เป็นสุขมาก ก็แปลว่าได้บุญมากมหาศาลเลย
อิ๊กถามว่าวาดรูปแค่นี้บุญมากได้อย่างไร
อัคระก็อธิบายว่าความสุขความโสมนัสนั่นแหละ
มาตรวัดบุญที่สำาคัญ ทำาอะไรดีๆแล้วมีความสุข
มาก มีความสุขนาน แปลว่าขีดของบุญพุ่งจู๊ด
สำาคัญคือพระพุทธเจ้าเหมือนเครื่องขยาย
บุญขนาดใหญ่ ทำาอะไรให้ใจเป็นบุญเกี่ยวกับ
พระพุทธเจ้าได้ ก็คล้ายตะโกนใส่โทรโข่งยักษ์
เสียงเดิมดังอยู่แล้ว ยิ่งดังไปแปดบ้าน ได้ยินกัน
ทั่ว
ฝ่ายมะแมเอาแต่นั่งพินิจภาพแห่งความสุข
เบื้องหน้า ที่เปิดประสาทหล่อนให้ตื่นเต็มด้วย
ความเต็มตื้น ตาดู หูฟัง และใจสัมผัสทุกราย
ละเอียด ด้วยความปรารถนาจะบันทึกลงไปใน
ความทรงจำาไม่ให้ตกหล่นเลยสักนิด
แต่แล้วสัมผัสที่ละเอียดอ่อนเกินมนุษย์
นั่นเอง ก็รวมเอาทุกสิ่งที่กำาลังปรากฏมาประมวล
ลงเป็นหนึ่งเดียว แล้วก่อความตะครั่นตะครอเนื้อ
ตัวขึ้นมาอย่างประหลาด
สายใยผูกพันระหว่างอัคระกับน้องอิ๊กไม่
เหมือนคนเพิ่งพบกัน คล้ายเป็นพ่อลูกมาตั้งแต่
ต้น แล้วน้องอิ๊กยามอยู่ใกล้อัคระก็แปลกไป ไม่
เหมือนเด็กในอุปการะคนเดิมของหล่อน
ประดุจใครเอาผ้าห่มแห่งความกลัวมาคลี่
คลุม ค่อยๆไล่ตั้งแต่ต้นคอเรื่อยมาจนถึงปลาย
แขน มะแมกะพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งเพ่ง
ภาพตรงหน้าก็ยิ่งเห็นคล้ายเกิดนิมิตซ้อนหลาย
ชั้นให้งงงวย แยกไม่ออกว่าตาฝาดหรือเห็นจริง
กันแน่
อิ๊กเหมือนร่างสูงขึ้น สูงมาก มีพลังมาก
ส่วนอัคระเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เป็นอะไรที่
มะแมตัดสินไม่ถูกว่าแค่ไหน เพียงใด
ขยับตัวนั่งหลังตรง ปิดตาลงลากลมหายใจ
เข้ายาวแล้วระบายออกยาว เพื่อถอนการรับรู้
ภาพและเสียงด้วยหูตาออกให้ทั้งหมด แต่แม้ทำา
เช่นนั้น สุดท้ายสัมผัสทางจิตเกี่ยวกับอิ๊กก็ยังแจ่ม
ชัดอยู่ดี เด็กคนนั้นไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดา แต่ยัง
เป็น... ยังเป็นอะไรกันนะ?
กระแสขมวดมุ่นสงสัยของมะแมแรงจน
เรียกอัคระให้เหลียวมาได้ แล้วจังหวะนั้นหล่อนก็
บังเอิญเปิดเปลือกตาขึ้นพอดี
สบตากันอย่างจัง แรงปะทะทางตานั้นจุด
ประกายให้ถ้อยคำาหนึ่งผุดชัดขึ้นในหัว
น้องอิ๊กคือแผนสองของอัคระ!
ความกลัวแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้บันดาลซ้ำาอีก
ระลอก จิตส่วนลึกคล้ายเห็นเค้าลางทะมึนมืดของ
อะไรบางอย่างข้างหน้า ที่พลิกหลายสิ่งที่ผ่านมา
ให้กลับตาลปัตรไปหมด!
ตาประสานกัน มะแมจ้องลึกอย่างขุดค้น
ขณะที่อัคระเปิดความว่างเปล่าให้ค้นได้ตาม
สบาย หญิงสาวไม่อยากรู้สึกเลยว่าแววว่างชนิด
นั้น คือแววตาจักรพรรดิที่พร้อมจะเห็นทุกคนบน
โลกเป็นตัวหมาก เอาไว้เล่นเกมให้สำาเร็จลุล่วง
ตามเป้าหมายของตนประการเดียว!

______________________________________________________________________________
ขอเชิญดาวน์โหลดเพื่อนำไปแบ่งปัน หรือ นำไปอ่านได้อีกหลายช่องทาง ที่ไม่ต้องออนไลน์ ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ

http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=101&Itemid=278




7
กรรมพยากรณ ตอน เลือกเกิดใหม
โดย ดังตฤณ

สารบัญ
ตอนที่  ๑ ตัวซวย_________________________________________________________________________________๓
ตอนที่  ๒ ความเชื่อ _____________________________________________________________________________๑๔
ตอนที่  ๓ ผูบุกรุก ______________________________________________________________________________๒๒
ตอนที่  ๔ อุบัติเหตุ_____________________________________________________________________________๓๕
ตอนที่  ๕ ใจจริง _______________________________________________________________________________๔๓
ตอนที่  ๖ เลือกเกิดใหม__________________________________________________________________________๕๓
ตอนที่  ๗ ขามรุน ______________________________________________________________________________๖๒
ตอนที่  ๘ สังหรณ______________________________________________________________________________๗๑
ตอนที่  ๙ แอบถาย______________________________________________________________________________๗๗
ตอนที่  ๑๐ แฮกเกอร____________________________________________________________________________๘๖
ตอนที่  ๑๑ ติดใจ________________________________________________________________________________๙๖
ตอนที่  ๑๒ คําทา _____________________________________________________________________________๑๐๓

ตอนที่  ๑ ตัวซวย
อุปการะ ตโมไพรี ชายวัยกลางคนนั่ งประจําซุ มหมอดูของหางใหญแหงนั้ นมาเปนวันที่  ๓  ซึ่งลูกคาเริ่ มเยอะขึ้น
กวาสองวันแรกอยางผิดหูผิ ดตา  สวนใหญก็คื อลูกคาในสองวันแรกนั่ นเองที่ เวียนกลับมาซ้ํา   และพาญาติสนิทมิตรสหาย
พวงมาดวย
จากสิบเอ็ดโมงถึงบายสามครึ่ งของวันนั้น  เขาแทบไมได พั กหายใจหายคอ กระทั่ งลูกคารายลาสุดลุกจากโต ะ ก็ คิ ด
จะพักเหนื่ อยลุกไปรับประทานอาหารกลางวันเสียหนอย แตปรากฏวามีสองสาววัยรุ นกรายรางเขามาดักไวเสียกอน จึ ง
ชะงักกิริ ยาลุกยืนกลับลงนั่งตามเดิม
“สวัสดีค ะพอหมอ”
ละอองฝนยกมือไหวพ อหมอของหลอนพรอมรอยยิ้ มศรัทธา อุปการะรับไหวด วยสีหนาสงบ ไมถื อสาวาใครจะ
เรียกตนไปตางๆนานาอยางไร  สุดแลวแตความถนัด
“วันนี้ หนูพาน องสาวมาใหพ อหมอชวยดูใหด วยคะ ”
“ไดครับ”
อุปการะพยักหนานิดหนึ่ งและรับคําอยางสงบ เมื่ อเบนสายตาไปทางผู เปนนองสาวของลูกคาเกา  ก็เห็นฝายนั้น
พนมมือไหวเขาตามพี่ สาวเงียบๆ จึงตองรับไหวอี กที
“สวัสดีครับ” แลวเขาก็พู ดไมอ อมคอม“มีปญหาอะไรวามาไดเลย”
ณชะเลปดปากเงียบอยู ครู  ยนคิ้ วครุ นคิดกอนเอยอึกอัก
“คือ… หนูไมสบายใจกับเรื่ องที่ เพิ่ งเกิดขึ้ นนะคะ  หนูเพิ่ งทําใหเพื่ อนๆเดือดรอน พอดี พี่สาวของหนูบอกวาควรมา
ปรึกษาพอหมอ เผื่ อไดคํ าแนะนําอะไรที่ จะทําใหสบายใจขึ้ นบาง”
อุปการะเล็งตากําหนดจะดูกรรมของเด็กสาว แตรู สึ กวิงเวียนเพราะใช กําลังจิตอยางตอเนื่ องมาหลายชั่ วโมง จึงป ด
ตาลงสู สภาพนิ่ งของจิตเพื่ อบมกําลังชั่ วคราว สายตาของคนภายนอกอาจนึกวาเขาเขาฌานนั่ งทางใน มีแตเขาเทานั้ นที่รูวา
ตนเองเพียงสงบใจพักผอนเยี่ ยงผู เปนนักเลงสมาธิชั้ นออง มิไดกํ าหนดดูสิ่ งใดทั้ งสิ้น
เกือบสามนาทีชายวัยกลางคนจึงลืมตาขึ้ นใหม และใชเวลาเพียงชั่ วแวบเล็งดูเด็กสาวตรงหนา  ก็เห็นชัดทะลุปรุ
โปรงในเงากรรมที่ติดตามตั วหลอนมา เห็นวาไมมี เงากรรมดานมืดเกาะกุม ถาจะมีก็ เพียงความกังวลใจอันทําให รู สึ กอึดอั ด
คับแคบหรือฟุ งซานกระวนกระวายถายเดียว พูดงายๆวาเปนอีกคนหนึ่ งที่ทุ กขเพราะความคิ ด ไมใชทํ าผิดใหญหลวงอะไร
มา
หมอดูหนาใหมระบายลมหายใจยาว กอนเอยดวยความการุณยดุ จกลาวกับลูกสาว
“หนูทํ าใหงานของเพื่ อนๆเสียหาย สงครูกั นไมทั นกําหนดเพราะความรู เทาไมถึ งการณใชไหม?”
ณชะเลลืมตาโพลง รองดังๆเหมือนคําอุทานมากกวาเปนคําตอบยอมรับ
“คะ!”
“แตก็ดี นี่  เพื่ อนๆหนูก็ เขาอกเขาใจวาไมใชความผิดของเรา นับวาน้ํ าใจประเสริฐกันทุกคน แลวหนูจะเศราไป
ทําไม?”
ไดยิ นคําพูดแทงใจดําจากผูวิ เศษ ณชะเลถึงกับทําตาแดงๆ

“ถาพวกเขาดาวาหรือตบตีหนูเสียยังอาจรูสึ กผิดนอยกวานี้ ”
อุปการะหัวเราะเอื่ อยๆกอนปลอบ
“ความสํานึกผิดเปนของดี ใครสํานึกผิดงายแปลวาทําเรื่ องชั่ วรายไดยาก ตางจากคนขาดสํานึกที่ทํ าใหโลกตกอยู
ในอันตรายโดยไมเคยเสียใจ”
เมื่ อสังเกตวาเด็กสาวตั้ งตาฟงโดยดี พอหมอก็เอยตอ
“แตหนูก็ ไมจํ าเปนตองสํานึกผิดมากเกินเหตุ ความเศราโศกไมรู เลิกนั้ นเปนแคเพียงสวนเกินที่ เปลาประโยชน
รองไหอี กกี่ป ก็ ไมมี อะไรดี ขึ้น ใจเราขังตัวเองไวกั บทุกขอยู คนเดียว สูเอาเวลาที่สู ญเปลานั้ นไปทําประโยชนเพื่ อละลาย
ความสํานึกผิดจะดีกวา ”
กระแสเสียงนุ มนวลปรานีมี ผลใหณชะเลรูสึ กสงบและตาสวางอยางประหลาด ความกังวลเศราโศกแทบมลายเป น
ปลิดทิ้ง  เอาแตเงียบฟงนิ่ งอยู
“นั่นแหละคะ ” ละอองฝนกลาวแทนนองสาว“เรื่ องของเรื่ องคือยายทรายเขาเปนคนกลัวบาปกลัวกรรมมาแตไหน
แตไร เรียกวากลัวขึ้ นสมองจนเปนโรคจิตชนิดหนึ่ งละกั น วันกอนเผลอเหยียบจิ้ งจกตายยังคร่ํ าครวญเหมือนอยากฆาตั ว
ตายตาม นี่ทํางานเพื่ อนเสียหายก็แทบกินไมไดนอนไมหลับเพราะกลัวกรรมสนอง หนูเลยพาเขามาหาพอหมอ เพื่ อใหเชื่อ
วาที่ เขาทํานั้ นไมใชความผิ ด เหมือนอยางที่พ อหมอบอกหนูเมื่ อคราวกอนวาถาไมมี เจตนาเปนประธาน ก็ไมถื อวาเรากอ
กรรมขึ้ นเต็มรูปแบบ”
อุปการะพยักหนาคลายชวยรับรองให คนเรามีความรูสึ กผิ ด มีความรูสึ กพะวงกับความพลาดพลั้ งที่ เผลอทําไป
แลวแตกตางกัน  เรื่ องคอขาดบาดตายของคนหนึ่ งอาจแสนธรรมดาสําหรับอีกคนหนึ่ง  เหตุก็ เพราะพื้ นฐานความรู สึ กยึดมั่น
ถือมั่ นไมเหมือนกัน  บวกกับความไมรู จริงเรื่ องการสนองกรรมเขาไปดวย
ชายวัยกลางคนทําหนาเครงเล็กนอย กําหนดดูด วยจิตแลวเห็นเปนนิ มิตแปลกและไมเปนที่ เขาใจสําหรับคนเคยอยู
แตในวัดหางไกลเทคโนโลยี
“ผมเห็นจากนิ มิตเหมือนหนูทรายเอาเครื่ องกักกัน  หรือตุ มถวงหนวงเหนี่ ยวอะไรสักอยางไปใสเครื่ อง
คอมพิวเตอรของเพื่ อนโดยไมไดเจตนา ตรงขาม เปนความหวังดี นึกวาใสอะไรนั่ นเขาเครื ่องเพื่ อนแลวจะชวยเปนโล
ปกปองคุ มครองภัยใหเขา พูดงายๆวาความตั้ งใจของเราเปนกุศลเสียดวยซ้ํา ”
ณชะเลขนลุกขึ้ นมาซู หนึ่ง  แตไมถึ งขนาดตะลึงงันเกินคาด เนื่ องจากละอองฝนเลาใหฟ งถึงอํานาจหยั่ งรู เหลือเชื่อ
ของอุปการะมากอนแลว
“คะ หนูเปนคนเอาไวรัสคอมพิวเตอรมาแจกจายเพื่ อน เพราะถูกหลอกวาเปนโปรแกรมปองกันไวรัส ”
อุปการะทําหนาสงสัยอยากรู
“ผมเคยไดยินบอยเหมือนกัน  ไวรัสคอมพิวเตอรเนี่ย  มันเปนยังไงหรือ  ชวยอธิบายใหฟ งหนอยเถอะ”
เด็กสาวยืดตัวตรงอยางผูมี ความกระตือรือรนขยายความรู แจกคนอื่น
“ที่ไดชื่ อวาไวรัสเพราะมันทําตัวเหมือนเชื้ อโรคนะคะ คือติดคอมพเครื่ องไหนแลวก็จะแพรกระจายโรคเดียวกั น
นั้นตอไปยังคอมพเครื่ องอื่ นๆผานอินเตอรเน็ต ”
“มันทําใหคอมพิวเตอรพั งหรือยังไง?”

“แลวแตสายพันธุ ไวรัสคะ  บางสายพันธุก็ ร ายกาจขนาดทําเครื่ องพังไดจริงๆ แตกรณีของหนู คือมันมาหลอกให
หนูเขาใจวาจัดเก็บเอกสารเรียบรอย แตจริงๆไมมี การจัดเก็บเลย”
อุปการะไมเขาใจเรื่ องการจัดเก็บเอกสารในคอมพิวเตอร แตพอเขาใจไดว าณชะเลทํางานฟรีโดยไมมี ข อมูลไปสง
ครู
“แลวหนูก็ทํ าใหเพื่ อนของหนูจั ดเก็บงานไมไดเหมือนกัน ?”
“คะ… ถือวาหนูเปนตัวซวยของพวกเขา คือแนะนําใหเพื่ อนในกลุ มอีกสองคนไปเอาไวรัสนี้ มาดวย แบบวา …”
ณชะเลพยายามเรียบเรียงคําอธิบายใหง ายสําหรับคนไมรู คอมพิวเตอร อุปการะทราบเจตนาจึงพยักพเยิด
“เอาเถอะ อธิบายตามสบายของหนู ใชศั พทแสงเหมือนพูดใหคนเขาใจคอมพิวเตอรด วยกันฟงก็ได ความเขาใจ
ของหนูจะทําใหผมเขาใจตามไดคราวๆ เอาตั้ งแตเริ่ มเรื่ องเลยวาหนูไปเอาไวรัสนี่ มาอยางไร ผมพยายามจะแปลใหออก
เทานั้ นวานิมิ ตที่ เห็นนี่คื ออะไร มันมี ลักษณะกรรมของผู กระทําและผู ถู กกระทําที่ แปลกประหลาด ผมไมเคยเห็นอยางนี้ มา
กอน”
“พอหมอเห็นอยางไรหรื อคะ?”
ละอองฝนเปนคนถามดวยความอยากรู มากกวาจะลองภูมิ
“พอสาวไปถึงกรรมของตนตอผู กระทําผิดที่ แทจริ ง นิ มิตที่ ผมเห็นนั้ นคลายกับวาใครคนหนึ่ งจุดไฟประหลาดขึ้น
ราวกับใชมายากล คือมันไมน าจะเกิดขึ้ นได แตก็ เกิดขึ้ นแลว  ไฟนั้ นตั้ งอยู บนคอมพิวเตอรที่ เปนศูนยกลางขนาดใหญเครื่ อง
หนึ่ง  พอไฟสวางขึ้น  คนเห็นแลวนึกวาจะเปนคุณ  เลยพากันวิ่ งไปเอามาติดไวกั บคอมพิวเตอรของตัวเอง แตปรากฏวา
กลายเปนไฟที่ เผางานของตัวเองมอดไหมไปแทน และไฟนั้ นลุกลามขยายวงกวางออกไปทุกที แมขณะนี้ก็ยั งไมหยุด
เพราะยังมีคนหลงชวยแพรกระจายตอดวยความรู เทาไมถึ งการณเปนจํานวนมาก”
“เขาเคาคะ ”  ละอองฝนชิงนองสาวอธิบาย“ในแวดวงคอมพิวเตอรนี่ คนเชี่ ยวชาญมากๆขนาดรู ไสรูพุ งระบบ
เครือขายทะลุปรุโปรงจะถูกขนานนามเปน  ‘แฮกเกอร’ แฮกเกอรที่ เกงระดับเซียนมักทําอะไรไดเหมือนนักมายากล และถ า
เลวพอก็จะแกลงคนอื่ นดวยการสงไวรัสไปในอินเตอรเน็ต  ทําใหเกิดการแพรกระจายทํานองเดียวกับโรคระบาด คน
เดือดร อนมักเปนใครก็ตามที่ เอาคอมพิวเตอรเชื่ อมตอเขากับอินเตอรเน็ต ”
อุปการะสงบฟงเสียงละอองฝนเพื่ อใหคลื่ นจิตหลอนเขามากระทบจิตเขาโดยตรง เปนอุปเทหวิ ธี เรียนรู ทางมโน
ทวารอยางหนึ่ง  คือพอละอองฝนพูดคําวา ‘แฮกเกอร’ จิตเขาจะเห็นกลุ มคนจําพวกหนึ่ งที่มี จิ ตหมกมุ นกับคอมพิวเตอรเกิ น
คนปกติ วันทั้ งวันเอาแตนั่ งหันหนาเขาหาคอมพิวเตอรแทบไมเปนอันกินอันนอน จิตของแฮกเกอรจะใสใจกับรายละเอียด
ยิบยับ  ในหัวมีแตเรื่ องขอมูล ชองทางลับ  สายสนกลใน และการเอาชนะขอจํากัด  ปนกําแพงเขาปลนสิ่ งที่ต องการอยู
ตลอดเวลา
อุปการะเคยเห็นจิตของเด็กเลนเกมคอมพิวเตอร อาการจะคลายกั น เพียงแตนิ มิ ตของพวกแฮกเกอรปรากฏไปอี ก
แบบ คือเหมือนคนเลนเกมสนุกที่สุ ดในโลก และถาชนะจะไดรางวัลใหญกั นในโลกความจริ ง อาจเปนเงินลาน หรืออาจ
เปนการโคนศัตรูคู อริใหล มหายตายจากโดยปราศจากรองรอยผู ลงมือ !
เมื่ อหยั่ งทราบลักษณะจิตของแฮกเกอรแลว  อุปการะก็กํ าหนดรูต อไปวาแฮกเกอรผู เปนตนเหตุความเดือดรอนของ
เด็กสาวตรงหน าคือใคร…
หลับตาลงครู หนึ่ง  แลวเปดขึ้ นมองณชะเลยิ้ มๆกอนกลาว

“นาสนใจนะ แฮกเกอรนี่ เปนพวกทํากรรมหนักทีเดียว ทาทางหนูทรายโดนเขาหลอกดวยอุบายที่ แยบคายดวยนี่
ใชไหม?”
“คะ”
ณชะเลตอบทันที และเมื่ อเห็นวาพอหมอตรงหนาเปนคนเขาใจอะไรงาย จึงเลาเต็มที่
“หนูเปนหนึ่ งในเหยื่ อนับลานๆคนของเขา!เขาใชเวลาไมถึ ง ๒๔ ชั่วโมงหลอกคนครึ่ งโลกจนเปนขาว
ใหญซี เอ็นเอ็นอยู ในเวลานี ้ กวาเหยื่ อของเขาจะรูตั วก็พากั นชวยลากพาญาติ สนิทมิตรสหายมาใหเขาเชือดกั นระนาว และถึง
ขณะนี้ คนที่ยั งไมรูข าวก็ส งไฟลตอๆไปให คนรูจั กอยางตอเนื่ อง”
เวนวรรคครู หนึ่ง  เมื่ อรูสึ กวาพอหมอเขาใจอะไรงายเกินคนธรรมดา จึงตัดสินใจพูดแบบไมออมรายละเอียดใน
ฐานะผูมี ความรู ทางคอมพิวเตอรดี คนหนึ่ง
“ความจริงอาชญากรรมที่ เขากอครั้ งนี้ ไมเชิงวาเปนไวรัสที่ แพรระบาดดวยตัวเองอยางพี่ สาวของหนูเลา แตจะเป น
เหมือน ‘มาไมโทรจั น’  ที่ชาวกรีกสงใหเมืองทรอยโดยหลอกวาเปนของขวั ญ แตที่ แท มี ทหารซอนอยู และออกมาทําความ
วอดวายแกเมืองทรอยในตอนกลางคื น โปรแกรมนี้ เมื่ อคนนึกวาเปนของดี ของจําเป น ก็ ชวยสงตอกันใหญ ซึ่งนั่ นแปลวา
การแพรกระจายอาจหนักกวาไวรัสเสียอีก ”
“อือม… เทคโนโลยีสมัยใหมนี่น ากลัวจริ ง เขาหลอกวาจะสงอะไรใหหนูละ ? แลวมีเหตุผลอะไรถึงตองทําอยาง
นั้น?”
“เหตุผลของพวกแฮกเกอร เทาที่ หนูทราบคือบางทีแคอยากอวดความสามารถขนาดเจาะระบบยากๆได สําเร็ จ อยาง
รายนี้เขาเจาะระบบของผู ผลิตซอฟตแวรใหญเจาหนึ่ง  แลวนําโปรแกรมโทรจันไปฝงไวในสวนที่ เปดเผยให ทุกคนมาดาวน
โหลดไปได จากนั้ นก็กระจายเมลไปทั่ วทั้ งอินเตอรเน็ ต หลอกใครตอใครวาขณะนี้มี ไวรัสพันธุร ายแรงที่สุด  ขอให ทุกคน
รีบไปเอาไฟลป องกันมาจากบริ ษัทซอฟตแวรนั้น  ซึ่งทุกคนตองหลงเชื่อ  เนื่ องจากที่ อยู ของโปรแกรมเปนของบริ ษัทนั้น
จริงๆ แมแตคนในบริ ษัทดวยกันเองทีแรกยังพลอยหลงตกเปนเหยื่อ  พอเอาโปรแกรมนี้ มาทํางาน ทุกอยางจะยังเปนปกติ
แมกระทั่ งสั่ งจัดเก็บขอมูล ก็เห็นวาเก็บไดไมมี ป ญหา ธรรมดาคนก็จะไวใจ ปดโปรแกรม ปดเครื่ อง… พอกลับมาเป ด
เครื่ องอีกทีจะทํางานตอก็ลมแทบจับเมื่ อพบวางานที่ทํ าไปลาสุดไมไดมี อยู เลย!”
อุปการะพยักหนายิ้ มอยางเข าใจ และพูดสรุปเขาจุดสั้ นๆ
“เขาทําไปเพื่ อตบหนาบริษั ทที่ เขาหมั่ นไสเทานั้ นเอง”
“คะ โดยอาศัยคนโงๆอยางหนูเปนเครื่ องมือ !”
ณชะเลกลาวดวยความเจ็บแคน  จุกเสียดแนนอก
“หนูไมโงหรอก เหมือนเจอหมาทาทางจะซื่ อกับเรา เฝาบานใหเราได พอเอามาเลี้ ยงมันกลับกัดเราดวยนิ สัยชั่ วราย
แถมฝากโรคมาติดเราอี ก อยางนี้ ไมมี ใครวาเราโง แตจะเห็นวาเราเปนแคมนุษยธรรมดาที่รู เทาไมถึ งการณไดคนหนึ่ง …
แฮกเกอรสิ โง เพราะเอาความรู และสติป ญญาเหนือมนุษยไปสรางความเดือดร อนใหตั วเองอยางสาหั ส เขาเปนนักประดิษฐ
ที ่ฉลาดขนาดสามารถสรางผลงานมหัศจรรย แตแทนที่ จะสรางเทคโนโลยี นําความเจริญมาสู โลก กลับสรางเครื่ องจองจํา
ทรมานตัวเองใหเจ็บปวดอยางยืดยาว”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ
“เขาจะไดรั บผลกรรมอยางไรหรื อคะ?”

“หนูลองถามตัวเองซิ วาเรื่ องครั้ งนี้ทํ าใหหนูรูสึ กอยางไรเปนอันดับแรก เอาที่ เดนที่สุ ดเมื่ อรู ว าคอมพิวเตอรโดน
ไวรัสเลนงานนะ ”
“ก็… เจ็บปวด เหนื่ อยใจ เสียใจ ออนลาสายตัวแทบขาด เพราะทราบวาอยางไรก็ส งงานชวงบายนั้ นไมทั นแน”
“นั่นแหละ เขาตองประสบเหตุคาดไมถึง  เตรียมปองกันตัวไมทัน  และเสวยความรูสึ กแบบเดียวกันกับหนูด วย”
“ทุกขเทาหนูเปะเลยหรือคะ?”
“ก็ไมเปะนั ก ตามกฎวิทยาศาสตรนี่ เขาวาถาเราเอาหัวโขกผนังแรงเทาไหร ก็จะเทากับเอาผนังมาโขกหัวเราแรง
เทานั้น  กฎแหงกรรมก็คลายกันอยูบ าง เราขวางบุญบาปออกไปใสใคร ก็จะมีผลสะทอนดี รายขวางกลับมาใสเราดวย
เพียงแตอาจจะหนักเบาไมเทากับที่ เราขวางออกไป เหมือนคนถูกขวางเปนกําแพงที่มี อํ านาจสะทอนตางกั น ขวางโดนคน
บุญมากก็เหมือนเจอกําแพงศักดิ์สิ ทธิ์ สะทอนกลับมาปะทะเราหนักหนวงขึ้ นกวาเดิ ม ขวางโดนคนบุญนอยก็เหมือนเจอ
กําแพงกระจอกสะทอนกลับมาปะทะเราออนๆ หนูประพฤติตนมีศี ลมีสั ตย ไมกลั่ นแกลงหรือจองเวรใคร ก็ จัดเปนกําแพงที่
มีแรงสะทอนคอนขางสูง  พูดงายๆสมมุติว าเขาตั้ งใจทําใหหนูทุ กขเพียงคนเดียวดวยการทําขอมูลเสียหายบางสวน ก็อาจรั บ
ผลคืนเปนความเสียหายของขอมูลในเครื่ องทั้ งหมดไดแลว ”
“ทําไมกฎแหงกรรมตองมีลํ าเอียงอยางนี้ด วยคะ?”
“ไมไดเรียกวาเปนความลําเอียงของใคร แตเปนไปตามเหตุป จจัยที่สั่ งสมไวต างกัน  ยกตัวอยางงายๆนะ ถา
ผูใหญบ านชวยเหลือลูกบาน เปนที่รั กของลูกบาน โดนใครตี หัวแตกหนอยเดียว คนตี หัวอาจรับโทษคืนเปนการรุม
ประชาทัณฑจากคนหลายสิบจนนวมและตองนอนแบ็บใหน้ํ าเกลือไปหลายเดือน แตถ าเหนือขึ้ นมาอีกระดับหนึ่ง  เปน
พระราชาซึ่ งทําคุณแกแผนดินมาเกินจะนั บ แคใครเอารูปเคารพมาเหยียบย่ํา  คนนั้ นอาจถูกคนทั้ งประเทศไลล าฆาแกงให
ตายดับไดแลว ”
“เขาใจละคะ  เห็นภาพชัดเลย… แตดู จากประวัตศาสตรที่ผ านมา ถาผูนํ ามีใจเมตตา สั่งสอนใหชุ มชนที่รั กทาน
อโหสิ ใจที่ร อนก็กลับเย็นได อยางนี้ คนทํารายทานก็ไมต องรับกรรมเลยสิ คะ?”
“กรรมหมู บางที ก็มี ทิศทางเปนไปตามคุณธรรมของผูนํ าไดเหมือนกั น เคยผูกใจเจ็บกันมาหลายภพหลายชาติ ถึ ง
เวลาก็ ลางเวรลางภัยพรอมกันเสี ย… แตถึ งอยางไรกรรมของผู ทํ ารายหรือลบหลู เบื้ องสูงก็ ตองยอนกลับมาใหตนถูกทําราย
หรือเหยียดหยามโดยตัวเองอยูดี ”
ณชะเลพยักหนา  เริ่ มเห็นรําไรวากรรมที่ร วมทํากันมากๆนั้น  ชนวนกําหนดทิศทางใหเปนไปอยางไรๆอาจมาจากผู
ทรงอิทธิพลเพียงคนเดียว นึกถึงแฮกเกอรที่  ‘เสกความเดือดรอน’ และบันดาลใจใหคนเคียดแคนไปทุกหยอมหญ า โดยไม
มีใครมาชวยไกลเกลี่ย  ไมมี ใครชวยใหหมู ชนคิดอโหสิ  ก็นับเปนการผูกใจเจ็บเปนเครือขายใหญหลวงอยางนาสังเวช
“ตอนแรกหนูไมรู หรอกคะวาเจอดีเขา นึกวาโปรแกรมทํางานผิดพลาด เอาแตว าวุ นทุรนทุรายพยายามกู ข อมูลคื น
แตควานหาหนทางอยางไรก็ไมพบวิธี  จนกระทั่ งเพื่ อนในกลุ มอีกสองคนโทร.มาบอกวาเจอเรื่ องแบบเดียวกั น ถึงนึกขึ้ นได
วาอาจเปนไวรั ส เลยเขาเน็ตเพื่ อสืบขอมูล แลวก็พบขาวมาโทรจั น เลยทราบวาหลวมตัวไปแลว นาที นั้นก็ คิ ดวาทําไมตอง
ทํากับฉันอยางนี้  ฉันไปทําอะไรใหเธอ”
ณชะเลเอยคลายตัดพอราวกับแฮกเกอรตั วแสบมาปรากฏตรงหนา สะทอนใหเห็นภาวะจิตใจที่ หดหูน าเวทนาราว
กับจําลองเหตุการณจริงขึ้ นอีกครั้ง  จึงเห็นไดไมยากวาณชะเลมีกรรมอันเปนปฏิกิริ ยาเชนใด

“ก็ ยังดี ที่หนูไมไปสาปแชง  หรือคิดอยากฆาเขาใหตายเหมือนผูถู กกระทําใหเจ็บแคนแรงๆรายอื่น  ซึ่งอยางนั้น
เทากับเปนมโนกรรมในทางอกุศล ทํารายตัวเองใหบาดเจ็บทางวิญญาณหนักขึ้ นไปอีก ”
“เขาทํากับคนไมรูอี โหนอี เหนอยางเลือดเย็น ไรความยุติ ธรรมจริงๆคะ แตเมื่ อสิบป กอนบานหนูเคยประสบ
หายนะยิ่ งกวานี้  จากที่ เคยมีฐานะดีกลับกลายเปนยากจนแทบอดตายไปพักใหญ พอแมยั งมีแกใจสอนลูกๆไมให ผูกอาฆาต
จองเวรกับคนที่ทํ ากับเรา หนูเลยติดนิสั ยอภัยไดไมจํ ากัดมาจากพวกทาน”
อุปการะพยักยิ้ม
“อือม… การอภัยไมต องเสียอะไรเพิ่ม  การจองเวรสิ ตองเสียยิ่ งกวาเดิมไมรู เทาไหร ทั้งเวลา ทั้งกําลังกายกําลังใจ
บุญบาปทําหนาที่ อยู แลว  เราปลอยเขาไปตามทางที่ เขาสรางเอง เดินเอง และเสวยผลเองนะดี ที่สุด ถาผูกใจเจ็บก็เทากั บ
พลอยกระโจนไปรวมรับบาปอยางใดอยางหนึ่ งบนเสนทางของเขาดวย”
เด็กสาวทําหนาสงสัย
“แคผู กใจเจ็บนะหรือคะทําใหเราตองรวมรับบาปกับเขา?”
“การผูกกรรมมีความพิสดารลึกซึ้ง  หนูคาดไมถึ งหรอก เรานึกวาแคผู กใจเจ็บก็เปนเรื่ องสวนตัวในใจ แตความจริ ง
มันเกิดกระแสเวรผูกพันระหวางวิญญาณขึ้ นมา แมเราไมเคยเห็นหนาคาตาเขาก็ตาม เขาเปนฝายกระทําตอเราวันนี้  อนาคต
จะตองมีเรื่ องมีราวใหเรามีอํ านาจเหนือกวา  และกรรมเกาจะยั่ วยุใหเราคิดเอาคืนบาง ซึ่งก็แปลวาเราจะมีโอกาสทําบาปและ
รับผลจากบาปนั้ นคืนในกาลตอไป”
ลูกคาสาวคลายสีหนาอยางเข าใจเต็มตื้น
“หนูจะไมจองเวรเขาคะ ”
“ไมจองเวรกับแฮกเกอรไดก็ดี  เพราะวงเวียนอันเปนวังวนกรรมของพวกนี้น าเหนื่ อยหนายไมมีที่สิ้ นสุด ”
“ไมมีที่สิ้ นสุดเลยเหรอคะ?”
“ผมหมายถึงไมสิ้ นสุดงายๆในชาติ ปจจุบั นนะ  กรรมที่ เขากอนั้ นใหญหลวงนั ก เพราะเปนชนิดกระทํากับคนไม
เลือกหนา  ไมอาจประมาณถูกวาจะโดนใครเขาบาง และผู ไดรั บความเสียหายจะประสบวิกฤตรุนแรงเพียงใด ยิ่งหนูบอกวา
ออกขาวมามี ตัวเลขคนรับผลกระทบเปนลานอยางนี้ นะ ก็แปลวาผลกรรมตองถูกขยายใหยื ดเยื้ อยาวนานเกินกวาจะชดใช
กันไดหมดในชาติเดียว ผมประมาณจากขอบเขตความกวางยาวของเงากรรมที่ แผออกไปแลวสงสารเขามากกวาอยางอื่น
เพราะกรรมที่มีอิ ทธิพลกระทบกับคนเรื อนลานนั้ นมักเนิ่ นนานนับกัปนับกัลป”
คําอธิบายเนิบนาบของคนรูว าตัวเองกําลังพูดถึงอะไร มีน้ําหนักพลังที่ทํ าใหคนฟงรู สึ กเชื่ อถื อ เด็กสาวทั้ งสองที่นั่ง
ฟงอยูถึ งกับสลดวูบ
“แยนะคะ” ละอองฝนออกความเห็ น“เขาอุตสาหทุ มเทกําลังกายและกําลังปญญานับเดือนไมพอ ยังไดรางวัลเป น
ภัยรายแกตั วเองเกินคํานวณซะอีก ”
“นั่นแหละ ธรรมชาติ มักหาเรื่ องหลอกลอใหมนุษยใชความฉลาดไปในทางโงเสมอ ยิ่งฉลาดมากขึ้ นเทาไหรยิ่ งทํา
เรื่ องโงไดรุ นแรงขึ้ นเทานั้น  สํารวจดูเถอะ ความเดือดรอนนานัปการทุกวันนี้ เริ่ มตนจากการใชความฉลาดของมนุษยแทบ
ทั้งสิ้น ”
ณชะเลผงกศีรษะรับอยางแข็งแรง

“แฮกเกอรที่ ชอบทําความเดือดรอนรําคาญใจใหคนอื่ นสวนใหญเปนพวกฉลาดจัด  อยากรู อยากเห็นเกินคน
ธรรมดา คือชอบสํารวจซอกแซกไปทุ กมุมลับในโลกคอมพิวเตอรที่ คนอื่ นมองไมเห็ น แลวก็จะภูมิ ใจมากถาทะลวงกําแพง
ผานเขาเขตหวงหามไดสํ าเร็จ  บางทีแคเพื่ อสนองความรูสึ กวาตัวเองยิ่ งใหญที ่สุ ดเทานั้น  และวิ ธี ที่จะใหทุ กคนประจักษ
ความยิ่ งใหญของตน ก็คือทําอะไรแลวเปนขาวระดับโลกทางซีเอ็นเอ็น ”
ละอองฝนเสริม
“และรายนี้ก็ทํ าสําเร็จ  ปานนี้นั่ งอมยิ้ มดูผลงานกระฉอนโลกของตัวเองอยู ในหองนอนดวยความปลื้ มอยางหาที่
เปรียบไมได”
อุปการะนึกตาม และเห็นจิตของแฮกเกอรปลาบปลื้ มยินดีกั บผลงานวินาศกรรมของตนอยู จริงๆ
“ยิ่งเขาปลื้ มมากเทาไหร ก็ยิ่งย้ํากรรมให หนักแนนมากขึ้ นเทานั้น  กอนทําเขาตองปรารถนารุนแรง ขณะทําเขาตอง
ทุมกําลังกายกําลังใจสุดตัว  หลังทํายังอิ่ มเอมเปรมใจไมสํ านึกผิดเสียอี ก ผมไมค อยเห็นคนอยูดี ๆทํารายตัวเองในระดับนี้ ได
บอยนักหรอก ”
ละอองฝนหรี่ ตาสยอง
“หนูเคยไดยิ นวากรรมชั่ วใดก็ตาม ถาทําดวยใจหนักแนนโดยไมตระหนักวาเปนบาป จะมีผลรุนแรงที่สุ ดใชไหม
คะ?”
“ใช!ทางพระทานเปรียบเหมือนจับถานรอนโดยไมรูว ารอน ก็จะฉวยขึ้ นกําแนน ทําใหพุ พองไดมาก ตางจากคนที่
รูวาถานรอน ถึงจําใจกําก็หลวมๆ เนื้ อหนั งไหมพองนอยกวา ”
พี่นองสองสาวพยักหนาพร อมกั นอยางเห็ นภาพ
“ผมแนะนําใหหนูทรายแผเมตตา คนกอความโกลาหลในสังคมดวยความปรีดาปราโมทยมั กจะตองเผชิญทุกข
สาหัสซ้ํ าซาก โอดครวญก็ไมมี ใครเห็นใจ มีแตโดนสมน้ํ าหนา  ชนิดที่ คนสมน้ํ าหนาเองก็อธิบายไมถู กวาทําไมอยาก
สมน้ํ าหน า เขาจะเจอเรื่ องรายให ตองหาทางปองกันตนเองอยางนาเหนื่ อยหนายยาวนานยิ่ งกวาคนเดินทางไกลถูกสัตวเล็ ก
ใหญรบกวนไปตลอดทาง”
“แลวที่ หนูเปนตัวนําเคราะหใหเพื่ อนพลอยเสียงานไปดวย หนูก็ทํ าทั้ งไมรู เหมือนกั น แถมตอนแรกยังปลื้ มป ติเสี ย
ดวยที่ช วยคาบขาวไปบอกเพื่ อนกอนใคร อยางนี้มิต องรับผลไปเต็มเหนี่ ยวดวยหรือคะ?”
“หนูก็ อาจไดรั บผลกรรมบาง เรียกวาเปนผลขางเคียงมากกวา  เชนถาเพื่ อนขาดการพิจารณาก็อาจตอวาเราจนเสี ย
กําลังใจ แตนี่ เรามีเพื่ อนที่ดี  รับรู ความหวังดีของเรา เขาก็ใหอภั ย… เจตนาเปนใหญ เปนประธานในกรรมทั้ งปวง แม
ผลลัพธของการกระทําออกมาเปนลบ แตเจตนาที่ แทจริงของหนูคื อคิดชวยปกปองเพื่ อน ไมใชทํ ารายเพื่ อน หากหนูมี
เจตนานี้ ไปเรื่ อยๆตลอดชี วิตที่ เหลื อ ชาติ ปจจุบั นแมเจออุปสรรคก็จะผานไปไดไมยากนั ก เกิดใหมชาติหนาจะเจอแตคน
หวังดี คิดชวยเหลือเกื้ อกูลใหหนูปลอดภัย  มีชีวิตที่ร มเย็นเปนสุข”
ณชะเลยิ้ มออกมาไดกั บคําพยากรณของบุคคลผูพิสู จนตั วแลววานาเชื่ อถือพอ
“คะ หนูไมอยากเปนตัวซวยของใครอีก  จะอธิษฐานเอาไดไหมคะ?”
“คนเราอาจเลือกเปนตัวซวยหรือตัวนําโชคได ดวยกรรมในปจจุบั น ถาหากหนูทํ าดี พาโชคมาใหคนอื่ นดวยความ
จงใจอยางสม่ํ าเสมอ ก็สามารถอธิษฐานได วาทั้ งชาติ นี้ชาติหนาขอเปนผูนํ าแตความสุขความเจริญมาสู ญาติ มิตร อยาไดพา
เคราะหร ายมาหาพวกเขาดวยความรู เทาไมถึ งการณอยางนี้อี กเลย”
๑๐
ละอองฝนถามบาง
“หนูเห็นทรายเขาสวดมนตไหวพระทุกวั น อยางนี้ ไมเปนกรรมดีพอใหคุ ณพระคุ มครองหรือคะ ทําไมยังติดกลุม
โดนจระเขฟาดหางไดอยู ?”
“พวกหนูจ ายคาคุ มครองเปนเสียงสวดมนตเทานี้ เองหรือ ?”
สองสาวหัวเราะ อุปการะถามอีก
“หนูทรายสวดบทไหน?”
“อิติปโสฯคะ ”
เจาตัวเปนคนตอบเอง
“สวดกี่ จบ”
“จบเดียวคะ ”
“รูไหม บทสวดอิติป โสฯกลาวถึงอะไร?”
“ก็เปนบทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ  และสังฆคุณ  ผูใหญบอกวาเมื่ อเราสรรเสริญสิ่ งศักดิ์สิ ทธิ์ ใด ก็เทากับรั บ
กระแสความศักดิ์สิ ทธิ์นั้ นๆมาคุ มเกลาแลว ”
“ก็ ถูก มี สวนจริงอยู มากนะ ทํานองเดียวกับเอาตัวไปสัมผัสแดดอุ นก็หายหนาว หรือเอาแสงสวางแหงกองกุศลมา
ตั้งไวในใจยอมขับไลความคิดดานมื ด และเทากับเปนการเอาตัวมาอยู ใตร มเงาของคุณพระ ภยันตรายก็มาถึงตัวยากเปน
ธรรมดา เอางายๆไมต องสวดมนตก็ ได กอนออกจากบานแคระลึกในใจ หรือเปลงวาจาเต็มปากเต็มคํา  วา ‘พระพุทธเจ า
เปนผู ไมประสบภั ย’  เพียงเทานี้ เราก็จะพลอยไดส วนในสัจจะความจริงที่มี อยู ในพระองคไปดวยแลว  แมอาจถึงคราวพบ
ภยันตรายจากกรรมเกา  ก็สามารถผอนหนักใหเปนเบาไดอั กโข”
ณชะเลลองนึกตาม หลอนมีความรูพื้นฐานอยูบ าง และทราบวาไมอาจมีสั ตว มนุษย เทวดา มาร หรือแม พระพรหม
ใดทํารายใหพระพุทธองคสิ้ นพระชนม พอกําหนดนึกวา  ‘พระพุทธเจาเปนผู ไมประสบภั ย’  เทานั้น  ก็คลายแสงสวางแจง
ปรากฏขึ้ นในภายใน บังเกิดความโปรงโลงอบอุนใจเสมื อนเขาไปอยู ในเขตรัศมีความปลอดภัยของพระพุทธองคทั นที
ผลสําเร็จจากอุปเทหวิ ธี เล็กๆนอยๆทางจิตเพียงเทานี้  ก็ ทําใหหลอนบังเกิดความเขาใจหลักการ ‘อางสัจจะความ
จริง ’ ขึ้นมา คิดถึงสิ่ งใดที่มี อยู จริง  สิ่งนั้ นยอมมาปรากฏในใจเราทันที ถามีพลังคุ มครองก็จะเหมือนปรากฏเกราะแกวไรตน
แตสั มผัสรูด วยใจทันใด จะมากหรือนอยก็ ขึ้นอยูกั บกําลังใจตนเองและพลังความศักดิ์สิ ทธิ์ ของเปาหมายที่ ระลึกถึ ง หลาย
ศาสนาที่มี การพรอมใจสวดระลึกถึงคุณของพระศาสดาบอยๆ จึงประสบปาฏิหาริ ยของพลังศักดิ์สิ ทธิ์ที่มี อยู จริงในทาง
นั้นๆมาบอกตอกันไดไมขาด
“ที่ผานมาทรายเขาก็ออกเปนคนดี ชอบชวยเหลือใครตอใคร ทําไมยังไมพ นภัยคนพาลละคะ”
ละอองฝนไมวายกังขา
“ปที่ผานมาหนูทรายโดนแกลงใหเดือดร อนกี่ ครั้ง ?”
“เพิ่ งครั้ งนี้ แหละคะ ”
ณชะเลเปนคนตอบ
๑๑
“งั้นยอนไปทั้ งชี วิตเลยแลวกัน  กี่หนที่ หนูโดนทํารายรางกายและจิตใจชนิดจําไดแมน  คิดถึงทีไรนึกออกวา
เจ็บปวดมาก?”
เด็กสาวอึ้ งคิดอยู ครู  กอนตอบเสียงแผว
“สองสามครั้ งมั้ งคะ หนูแคนคนมาทําพอแมหนูรองไห มากกวาโดนใครทําตัวเอง”
“นั่นแหละนะ แสดงใหเห็นวากรรมของความเปนคนพุทธที ่ไมจองเวรใคร มี จิตใจเอื้ อเฟ อชอบชวยเหลือผู อื่ นนั้น
ทําใหเรามี ชี วิตที่ สงบสุขอยู แล ว พระพุทธเจาสอนวา ‘ควรทําตนใหเปนที่พึ่ งแหงตน’  ซึ่งก็ ดวยสติ ปญญาและกรรมดีของ
ตัวเอง ใครเชื่ อคําสอนทาน ก็ยอมไดรับการปกปองจากความศั กดิ์สิ ทธิ์ ของกรรมดีในตนเองอยู แลว  ไมจํ าเปนตองสวดมนต
ดวยเจตนาออนวอนขอความคุ มครองจากสิ่ งศักดิ์สิ ทธิ์ที่ มองไมเห็นก็ได”
แลวอุปการะก็ขยายที่ มาแหงวิบากกรรม
“ที่หนูเปนหนึ่ งในผูถู กหลอกใหหลงเชื่ อครั้ งนี้  ก็เพราะเศษกรรมในอดีตชาติ ที่เคยหลอกสัตวเลี้ ยงซึ่ งปวยหนักให
กินยาพิ ษ ดวยเจตนาสงเคราะหให มั นพนทรมาน กับทั้ งไมต องเอาโรคไปติดสัตวตั วอื่น  แตยาพิษซึ่ งหนูเขาใจวาจะชวยให
มันตายอยางสงบนั้น  ความจริงชวยแคใหสงบแตกิริ ยาภายนอก แตจิ ตมึนเมาป นปวนดวยฤทธิ์ ยา และเคลื่ อนไปสู ภพที่ต อง
ใชกรรมเกาตออีก  แทนที่ จะใชกรรมเสียใหหมดในการปวยคราวเดียว”
ณชะเลตาคาง
“เหรอคะ?”
“ตอนหนูทรายอายุประมาณ ๗-๘ ขวบเคยกินยาแลวแพอยางแรงดวยความสะเพราใหยาผิดของหมอ ตองนอน
แบ็บแทบไมไดสติอยู สองวันใชไหม?”
พี่นองสองสาวขนลุกเกรียวครั้ งใหญ พึมพําออกมาพรอมกัน
“ใชคะ ”
“นั่นแหละ เปนการใชกรรมเกาโดยตรง แตครั้ งนั้ นหนูคิ ดเคืองหมอมาก และรวมกับที่บ านไปเอาเรื่ องเอาราวกั บ
หมอ กรรมจึงเหลือเศษ ดลใจใหเราตองไปเจอและหลงเชื่ อเอาไวรัสคอมพิวเตอรมาทําใหงานการลาชาในครั้ งนี้อีก ”
ละอองฝนถามเสียงสูงดวยความประหลาดใจ
“แตเศษกรรมหรือหางเลขงวดนี้ ไมเห็นเกี่ ยวกับยาหรือสุขภาพทางกายโดยตรงเลยนี่ คะ?”
“ก็ใช แตมั นก็เกี่ ยวกับความเขาใจผิด  นึกวาจะไดของดีมาเยียวยาหรือแกไขใชไหมละ ”
ณชะเลหอปาก ยังขนลุกเล็กๆอยางตอเนื่ อง เพราะรูสึ กราวกับนั่ งฟงคําพิพากษาจากพญายมราชตัวจริงผูมี หนาที่
รักษากฎแหงกรรม
“การใหผลของกรรมพิสดารจังคะ  ไมตรงไปตรงมาอยางที่ หนูนึ กเอาไวเลย”
“กรรมบางอยางเวลาใหผลนั้น  รูปเหตุการณอาจกอปปกั นได เชนเราดักตี หัวคนวันนี้  อาทิตยหนาอาจโดนคนดักตี
หัวคืนบาง แตโดยทั่ วไปการใหผลของกรรมไมไดตรงไปตรงมาตายตั ว อยางถาใหหนูเห็นภาพใหญเขาใจงายๆ ก็เชนการ
ดาพระผู บริสุ ทธิ์  ซึ ่งเปนการทํากรรมดวยปากเพียงอยางเดี ยวเทานั้น  ผลรายอาจเกิดขึ้ นอยางใดอยางหนึ่ งหรือพรอมกั น เชน
เปนโรคอยางหนั ก ถึงความเปนบามี จิตฟุ งซาน สิ่งสะทอนเกิดขึ้ นจากกายใจตัวเอง ไมใชต องใหคนอื่ นมาดาคื น แถมรั บ
กรรมในชวงชีวิ ตที่ เหลือไมพอ ยังอาจตองไปเสวยผลตอในนรกอีก ”
“แปลวา … นรกสวรรคมี จริงใชไหมคะ?”
๑๒
พออุปการะอางถึงนรก ณชะเลก็ถามในสิ่ งที่ คาใจมานานทันที โดยครั้ งนี้รูสึ กวาจะได รั บคําตอบจากผู น าเชื่ อถื อ
พอ
“ผมบอกไปหนูก็ เห็นดวยตาเปลาไมได เอาที่ เห็นดวยตา ไดยิ นดวยหูกั นดีกวา อบายภูมิ น ะไมใชแดนนรก แดน
เปรต หรือแดนอสุรกายนอกโลกเทานั้น  แตยั งรวมไปถึงแดนเดรัจฉานดวย ซึ่งพวกมันก็ปรากฏตัวอยูร วมโลกกับเรานี่
แหละ ตอนนี้ หนูทรายเลี้ยงหมาฝรั่ งตัวเล็กขนยาวเหมือนตุกตาของเลน  หนาหวานคลายลูกหมีไวตั วหนึ่ งใชไหม?”
ณชะเลเริ่ มแปลกใจนอยลงกับความสามารถลวงรู ราวกับตาเห็นของอุปการะ เพราะเมื่ อทึ่ งถึงขีดสุดก็ ยอม
ไมเหลืออะไรเกินนั้ นไดอีก  ปฏิกิริ ยาจึงเปนอาการยอมรับตามปกติ ไมตื่ นเตนตกตะลึงเทาเกา
“คะ ชื่อเจาอุ ยโหย”
มันคือสุนั ขพันธุ ยอรกเชียร เทอเรียที่ หลอนซื้ อมาเลี้ ยงไดประมาณปเศษ หลอนตั้ งชื่ อตามคําอุทานของตนเมื่ อเห็ น
มันเปนครั้ งแรกในกรงที่ร านขาย
“ระลึกดู กอนหนานั้ นถึงแมหนูทรายจะรักสัตว ก็ไมเคยคิดเลี้ ยงลูกหมา แตจู ๆก็นึ กอยากเลี้ ยงขึ้ นมาเฉยๆใชไหม?”
“คะ”
เจาของเทอเรียจําเปนตองยอมรับอี ก นึกยอนทบทวนแลวก็จํ าไดสนิทวานั่ งรถอยูดี ๆก็อยากไดลู กสุนั ขมาเลี้ ยงที่
บาน โดยไมไดเห็น  ไมไดยิ นอะไรมาเปนเครื่ องกระตุ นใหเกิดความอยากทั้ งสิ้น
“หนูและคนธรรมดาทั่ วไปจะไมสามารถแยกแยะไดเลยวาอะไรเปนความคิดอยากของเราเอง อะไรเปนแรงกระทํา
ภายนอกที่จี้ ให นึ กอยาก อยางเชนกรณี นี้ ในภูมิ มนุษยเมื่ อหลายสิบชาติ กอนหนูเคยเปนแมของมันมา ในภพของความเป น
แมลู กครั้ งนั้ นไดร วมกันฝาฟนความยากลําบาก หนูเลี้ ยงดูเขาอยางดี ยอมอดเพื่อเขาได  และเขาก็สนองพระคุณดวยการยอม
ตายแทนหนูตั้ งแตเด็ก  คือเห็นคนจะรังแกแมแลวทุ มตัวเขาปกปองสุดฤทธิ์ จนพบจุดจบ ครั้ งนั้ นจิตที่มื ดมนดวยพิ ษบาดแผล
และความอาฆาตศัตรูกดใหวิ ญญาณเขาถือกําเนิดในภพต่ํา  เปนสัตวอยางนี้ มาหลายรอยครั้ งแลว แตทุ กครั้ งจะนารักนา
เอ็นดูเสมอ เพราะบุญที่ เคยกตัญูต อแม พูดจาออนหวานเอาใจแม”
ระหวางอุปการะกลาว ณชะเลถึงกับน้ํ าตาไหลลงมาเปนทางโดยไมรูตั ว คิดถึงเจาอุ ยโหยที่บ านจับใจ มันเปนจุด
นุมนวลกลางอกเสมอมา นัยนตาโศกละหอยผิดพันธุ จะแปรเปนประกายดีใจทุกครั้ งเมื่ อเห็นหลอน นั่นคือแมเหล็กดึงดูด
ใหอยากกลับบานเร็วมาตลอด แมจะใหคนอื่ นเรียกมันวาอุ ยโหย แตหลอนกลับเรียกมันวา  ‘ลูก’  ทุกคํา  และนึกวาตน
อุปาทานไปคนเดียวดวยอํานาจความพิศวาสแทบขาดใจ
อุปการะขยายความตอ
“วันที่ อยากไดลู กหมามาเลี้ ยง ใจหนูนึ กวาสุ มไปเลือกตัวไหนก็ไดจากลูกหมานับรอยนับพันตั ว แตความจริงคื อ
กรรมสัมพันธไดเลือกไวใหเราแลว  คือตัวที่ หนูกํ าลังเลี้ ยงอยูนี่ เอง เมื่ อใดก็ตามที่ เกิดรวมยุคกัน  มันจะอยู ในที่ที่ หนูไปเอามา
ชุบเลี้ ยงใหความรักความอบอุ นไดเสมอ เพราะผลของกรรมที่ ยอมตายแทนกันนั้ นจะสงกระแสเรียกใหกลับมาสงเคราะห
กันในชาติใหมไดแรงกวากรรมชนิดอื่น … คราวนี้ หนูคงเชื่ อแลวสินะวาภพภูมิ และการเวียนวายตายเกิดมีจริง ”
“ไมสงสัยอีกแลวคะ ” ณชะเลปาดน้ํ าตาตอบเสียงเครือ “แลวหนูจะทํายังไงถึงจะชวยสงให มั นไปเกิดในภพที่ดี กวา
นี้ไดคะ?”
๑๓
“สิ่งมี ชี วิตแตละเผาพันธุ จะมีสภาพเดนที่มั นติดของอยู  อยางภพหมาสวยๆที่ หนูเลี้ ยงอยูนี่ จะติดความเยอหยิ่ง
ความอาจหาญเกินตั ว ถามีหนทางกลอมใหมั นละความติดของกับภพแหงความเปนเชนนี้  ก็จะหลุดจากภพแหงความเป น
เชนนี้ ได”
“กลอมมันยังไงคะ?”
“สัตวที่ถู กมนุษยเลี้ ยงอยางใกลชิ ดจะมีสิ ทธิ์พั ฒนาจิตวิญญาณใหสู งสงขึ้ นไดไมยากหรอก เจาของเปนอยางไร มั น
ก็ ซึมซับมาอยางนั้น  สัมผัสทะนุถนอมของคนมี ศีลสัตยจะชวยใหคลื่ นจิตของมันสงบ ออนโยน ยิ่งหนูพู ดและทํากับมั น
ดวยขายคลื ่นธรรมะมากขึ้ นเทาไหร ก็พลอยเหนี่ ยวนําใหจิ ตของมันคลอยตามกระแสธรรมะไปดวยมากขึ้ นเทานั้น ”
ณชะเลเล็งแลอุปการะดวยลักษณาการเงียบนิ่ งเปนดุษณี ตั้งใจแนวแนว าจะทําทุกวิ ถีทางเพื่ อเหนี่ ยวนําจิตเจาอุ ย
โหยใหเปนกุศล ทุกวันนี้ หลอนก็ นํามันมาหมอบขางๆทุกครั้ งที่ สวดมนตไหวพระ ซึ่งเปนการเปลงเสียงแสดงความเคารพ
นบนอบตอสิ่ งศักดิ์สิ ทธิ์ อยู แลว  แตต อไปจะทํายิ่ งกวานั้น  เชนใหมั นเห็นหลอนใสบาตรพระถี่บ อยที่สุ ดจนกลายเป นภาพติด
ตา!
ละอองฝนเห็นนองสาวนั่ งเงียบขรึมก็เปนฝายถามหมอดูบ าง
“ที่หมาแมวมีความผูกพันเปนพิเศษ และมักไดรั บอภิสิ ทธิ์ เปนสัตวเลี้ ยงในบานคนนี่ก็เพราะชาติ ใกลเคยเปนมนุษย
หรือเปลาคะ?”
“มี สวนใชนะ คนเราลดชั้ นลงไปเกิดเปนหมาแมวกันเยอะ โอกาสเจอญาติเกาในรางหมาแมวจึงสูงกวาสัตวชนิ ด
อื่น กรรมจะทําใหหมาแมวมีขนาดไมเล็กไมใหญเกินไป กับทั้ งตกแตงรูปรางหนาตาใหมูทูน าเอ็นดู โดยเฉพาะลูกหมาจะ
ขาสั้น  ตัวสั้น  เตะตาใหเกิดความอยากเลี้ ยงทันที โดยเฉพาะเด็กผู หญิงจะถูกชะตากับสัตวเลี้ ยงหนาตานารักที่มีสั ญชาตญาณ
ขี้ออน ยอมเหนื่ อยเลี้ ยงดูมั นงายเปนพิเศษ”
“อยางถาไปเกิดเปนปลาชะโด โอกาสที่ เจอแลวป งก็ไมมีสิ คะ? ตัวกลมฟนแหลมไมน ารักอยางนั้น ”
อุปการะหัวเราะ
“เห็นไหมละวากําเนิดตางๆจะใหโอกาสผิดแผกกั น กรรมของพวกปลาชะโดตกแตงรูปรางหนาตาใหน าเกลียด
สรางสัญชาตญาณดุร ายกาวราวติดตัวมาแตเกิด  และดลใจใหมนุษยเราเรียกมันไปในทางตลก”
กลาวจบก็ยกขอมือดูนาฬิกา ซึ่งพอเปนสัญญาณใหพี่น องสองสาวทราบวานาจะสมควรแกเวลาแลว
“สรุปคือที่ ทรายเขาตองทํา  คืออโหสิใหกั บแฮกเกอร แลวก็เลิกทรมานใจกับการโทษตัวเองเสียที วาเปนคนผิดที่
ลากเพื่ อนมารวมเคราะหร ายใชไหมคะ?”
ละอองฝนถามแทนนองดวยความหวงใย
“ใช ครั้ งนี้ หากหนูไมอาฆาตแคน  คิดอโหสิใหกั บแฮกเกอรโดยดี ก็ ถือวาสะสางกรรมชุดที่ ไปวางยาพิษสัตวเลี้ ยง
ในอดีตชาติเรียบรอย”
“หนูอโหสิใหเขาคะ ”
ณชะเลรีบพูดและหมายความตามนั้น  อุปการะเห็นจิตของเด็กสาวใหอภัยอยางสะอาดสะอานจึงพยักหนาชาๆ
คลายเปนสัญญาณรั บรองวากรรมเปนอโหสิจริง
“ดีแลว ”
ละอองฝนเหลียวมองนองสาว เห็นทาทางสดชื่ นหายวิตกก็หั นกลับไปหาพ อหมออยางขอถามเปนขอแถมสุดทาย
๑๔
“อยากรูจั งคะวาแฮกเกอรจะเปนตัววิ บั ติไปอีกนานแคไหน กวาจะสํานึกผิดและตองชดใชกรรม บางทีกฎแหง
กรรมก็ทํ างานชาจัง  คนชั่วลอยนวลสรางความเสี ยหายกับสังคมไดหลายปไมยั กเปนไร”
“ที่กรรมชั่ วใหผลชา  บางทีเพราะไดรั บเอกสิทธิ์คุ มครองจากบุญเกาชวยพยุงไวนาน อยางคนที่สุ ขภาพแข็งแรง
เพราะออกกําลังกายดี ถึงกินเหลามากก็เหมือนไมเปนไร ตอเมื่ อถึงจุดหนึ่ งความแข็งแรงชวยไมไหว ก็กลายเปนโรคตั บ
แข็งขึ้ นมา”
สีหนาของเด็กสาวคลายอาการสงสัยลงอีกครั้ง
“ก็จริงนะคะ แฮกเกอรกี่ รายตอกี่ รายที่ สรางความเสี ยหายมากๆ ลงเอยดวยคุกทั้ งนั้น  เพราะทางการตามลาอยางเอา
เปนเอาตาย  ขามประเทศ ขามป”
อุปการะยิ้ มเล็กนอยเยี่ ยงผูรูนั ยแหงกรรมอันซับซอนลึกซึ้ง
“คนบางคนตองทําบาปอยางมหันตแลวสํานึกผิดเสียกอน ถึงจะมีแรงบันดาลใจทําบุญเปนอนันตเพื่ อไถโทษ คนที่
สามารถทําใหใครๆเดือดรอนไดเปนลานนะ บารมีเกายอมไมใชน อยๆนะ ไมอยางนั้ นธรรมชาติไมใหอํ านาจลนเหลือมา
ขนาดนั้ นหรอก วันหนึ่ งหนูอาจเห็นเขาทํ าอะไรไดอยางที่ ไมมี ใครเคยทํามากอนก็ได”
“เชนอะไรคะ ?”
“เชนเปลี่ ยนความเชื่ อของคนเกือบครึ่งโลกให เปนไปในทางเดียวกันไง!”
ตอนที่  ๒ ความเชื่อ
“เหนื่ อยวะ ”
พฤหัสบนดังๆพลางปาดเหงื่อ  กาวเทาเดินออกจากสนามแบดมินตันพรอมกับเพื่ อน ความแตกตางอยางเห็นได ชั ด
ระหวางเขากับอีกฝายคือฝายนั้ นไมไดมีท าทีอิ ดโรยสักนิ ด ผูชนะมักจะเปนอยางนี้ เอง เหมือนมีพลังพิเศษประจุแนนไปทุก
รูขุมขน กาวยางเปนสงานาอิจฉาและชวนใหเกิดความหมั่ นไสเปนที่สุด  เดินตามหลั งแลวอยากถีบใหหมดสงาดูสั กที
วันนี้ เขาดวงตกอยางนาแปลกใจ กําลังตบอยางเมามันดันติดเน็ตงายๆ ก็ มี โดนเพื่ อนหลอกหยอดนิดหนอยแล ว
หลงกลก็มี  นี่ยังไมนับการเสิร ฟลูกเสียเองบอยๆ นาโมโหอยาบอกใคร
ผูแพมั กขี้บน  เกมจบอารมณไมจบตาม  พฤหัสกระแทกเสียงสวดเพื่ อนทันทีที่ มานั่ งดื่ มน้ําดวยกันขางสนาม
“ทําไมเสือกชวนเลนแตวั นวะเนี่ย ? เดี๋ ยวก็ไมต องทําอะไรกัน ”
คูแขงผู เงียบขรึมใชผ าขนหนูเช็ดเหงื่ อกอนตอบดวยยิ้ มเย็น
“เลนดึกเดี๋ ยวนอนไมหลับ อีกอยางเล นชวงนี้ ไมต องแยงสนามกับใคร”
เปนความจริงที่ถ าเลนกีฬาเชนแบดมินตันในชวงกลางคื น แมเหนื่ อยออนเพียงใดรางกายก็ ตื่นตั ว นอนกันไมค อย
ลง พฤหัสสายหนาดิกพลางบนอุบ
“ทีหลังกูไมมาแตวั นกะมึงหรอก ไอเวร!”
จองฤกษยังคงยิ้ มสงบ ไมถื อสาหาความอยางรูจั งหวะอารมณพาลของผู ปราชัย
“โอเค เอาไวกู จะชวนเฉพาะเวลาที่มึ งมือขึ้น ”
๑๕
พฤหัสคอแข็งไปนิดหนึ่ง  เพราะฟงน้ํ าเสียงแฝงแววหยันนั้ นออก ความจริงเขารูสึ กอยูว าหลายเดือนที่ผ านมา
จองฤกษพั ฒนาทักษะไปไกลขึ้ นมาก ไมทราบวาเจาเพื่ อนยากไปฝกความวองไวในการเคลื่ อนตัวและความรุนแรงในการ
ตบลูกมาจากไหน แถมรังสี อํามหิตของผู กํ าชัยที่มี ความเชื่ อมั่ นสูงสงจนขมขวัญเขาได นั่นอี ก สงสัยนักวาเพื่ อนไปเติมพลั ง
ประหลาดชนิดนั้ นมาจากไหนมากมายเหลือเกิน
“ไมช าย…” เด็กหนุ มลากเสียงหนี บ รู สึกวาตัวถูกบีบใหเล็กลง ผูแพ พูดอยางไรก็ ฟ งบอทาไปหมด “จะไปเลือกได
ยังไงวะ ใหมึ งชวนเฉพาะวันมือขึ้น  แตบ ายสองยังรอนจะตายชัก  ทีหลังรูจั กรอใหมั นเย็นๆหนอย”
จองฤกษหั วเราะหึ ๆ กมหนาสางผมเผาที่ชื้ นเหงื่ อของตนโดยไมโตตอบอะไร ขณะนั้ นเองสองหญิงตางวัยเดินเขา
มาในเขตสนามเพื่อแทนที่ สองหนุม ภาพที่ เห็นทําใหพฤหัสตาตื่น  ลืมเรื่ องขุ นใจชั่ วคราว
“เฮย !” เด็กหนุ มอุทานไมดั งนัก  พอไดยิ นถึงหูเพื่ อน “บังเอิญจริง  เจอแมลู กคูนี้อี กแลว”
จองฤกษเงยหนาขึ้ นชําเลือง เห็นเด็กสาวหนาตานารักก็จํ าไดว าเพิ่ งเจอกันคราวกอน แลวก็เคยชายตามาสบกับ
พฤหัสแบบป งๆกันอยู  นับเปนความบังเอิญยิ่ งที่ ไดเจอกันอีก
“สงสัยเนื้ อคู ของมึงมั้ง ”
เขาออกความเห็ นแบบทีเลนทีจริง
“กูก็วานาจะเปนไปได!”
พฤหัสเออออหอหมกหนาตาเฉย จองหญิงผูน ารักตาคางดวยความอยากรูว าแมนางมีชื่ อเสียงเรียงนามวากระไร
“เสียดายเอวหนาไปนิด ”
จองฤกษวิจารณยิ้ มๆ แตพฤหัสมองปราดเดียวก็รูว าเปนแคการปลอยเนื้ อปลอยตัวชั่ วคราว
“เฮย ! พออยู ในคอนโทรลแลวสั่ งลดดาย”
เด็กหนุ มโตพลางคิดคอนขอดอยู ในใจ อยางเพื่ อนเขานี้ ประเภทมีตาหามีแววไม ไมรู หรอกวาหนาสวยๆกับอก
เดงๆในสนามแบดนี่ ควรใหกี่ ดาว มัวแตไปตั้ งขอสังเกตในจุดที่ ไมจํ าเปนตองถือสาใหป วยการ
สองแมลู กเริ่ มเลน  และทาทางฝายลูกสาวก็กรี๊ ดกราดเปนพิเศษ โดนคุณแมหยอดนิดหยอดหนอยหรือตบไปไกล
บางก็ อุ ย! วาย! อาย! บางที ทําหนาสงสัยโลก หรือไมก็ หั วรอเอิ๊ กอากอยางไมมี เหตุผลบอยๆ เห็นได ชั ดวาสายตาเฝาชมการ
เลนของสองหนุ มขางสนามมีอิ ทธิพลตอจิตใจเด็กสาวมิใชน อย
อันที่ จริงการเฝาชมคนอื่ นเลนเปนเรื่ องปกติของกีฬาทุกประเภท แตจ องเอาๆราวกับเสือใหญเตรียมตะครุบนาง
กวางอยางนี้  ก็แนนอนวายอมกอความวอกแวกใหกั บอีกฝายเปนอันมาก โดยเฉพาะอยางยิ่ งเมื่ อนางกวางก็มี ใจอยากให
ตะครุบอยูด วย!
จองฤกษเคยเห็นอิทธิฤทธิ์ แหงใบหนาอาบเสนห ของเพื่ อนมาหลายครั้ งหลายหน จนตองยอมรับโดยดี วาเจาเพื่ อน
คนนี้ เกิดมาเพื่ อทําใหสาวแกแมม ายหมดความยับยั้ งชั่ งใจทางเพศโดยเฉพาะ เพียงการปรากฏตัวของพฤหัสก็เปนแมเหล็ ก
ทรงพลังพอจะดึงดูดใจเพศตรงขามใหไขวเขวจากกิจกรรมที่ทํ าอยูทุ กชนิดไดแลว
“มึงนี่ หลอแบบไมต องพึ่ งคุณไสยฯเลยนะ”
พฤหัสยืดอกอยางปลาบปลื้ มที่ เพื ่อนพูดเหมือนยอมรั บในความเปนคนเจาเสนห ของตน นับวาชดเชยความพายแพ
ลุยหูเมื่ อครู ไดเยอะ แมไมโชคดีคงเส นคงวาในเกมกีฬา ก็จัดวาโชคดีในเกมรักตลอดกาล
๑๖
“พึ่งคุณไสยฯทําไม แคความเชื่ อมั่ นอยางเดียวก็เอาอยู แล ว ความเชื่ อมั่ นของผู ชายนั่ นแหละคลื่ นรบกวนจิตใจ
สาวๆที่ แรงที่สุดในโลก !”
“มึงเชื่ อมั่นอะไรในตั วเองบาง?”
“ถามออกมาไดยั งไง เห็นๆอยู  ก็ความหลอสิวะ”  พฤหัสเปดอกแบบไมต องบันยะบันยั ง“แลวกูมั่ นใจดวยวาพน
จากความชวยเหลือของความหลอ  ก็ยังมีคารมกับสารพัดวิธี ใหหญิงถึงใจไดครบวงจรดวย”
“ดีนะ” จองฤกษพยักหนาหงึก “เกิดเปนมึงนี่มี โอกาสชิมหญิงเยอะ อายุยั งไมถึ งยี่สิบ ฟนคนสวยไปกี่สิ บแลว ?”
พฤหัสยิ้ มลําพอง
“ไมไดนั บหรอก แตเฉพาะที่ สวยนาจดจําจริงๆและกูแอบถายลงคอมพไวก็  ๔ คน!”
จองฤกษเบิกตากวาง
“แอบถาย?”
“เดี๋ ยวนี้เขาเก็ บไวดู เลนตอนแกกั นทั้ งนั้ นแหละ”
“ไอบ ากาม! มึงทําอยางนี้ ไมดี เลย” จองฤกษขมวดคิ้ วใชเสียงตําหนิเต็มที่ “ไมเห็นเคยเอามาแบงใหกูดู ”
พฤหัสหัวเราะประสาวั ยรุ นที่ ไมค อยคิดอะไรไกลเกินกวาการไดมาซึ่ งกามรส
“มึงไมไดช วยกูซ อนกลองนี่ โวย  เหนื่ อยคนเดียว เสี่ ยงถูกตบคนเดียว สมควรแบงปนรางวัลใหคนอื่ นรวมตื่ นตาตื่น
ใจดวยเหรอะ?”
จองฤกษแคยิ้ มแคนๆไมว าอะไร สมัยนี้รู ปเปลือยของโฉมงามใชจะหาดูไดยากลําบากแตอยางใด แคอยู บนทอง
ถนนธรรมดาก็เห็นผู หญิงสวยที่สุ ดในประเทศมาเปลือยกายแทบลอนจอนทาทายสายตาตามปายรถเมลเปนประจําอยู แลว
จึงไมจํ าเปนตองกระตือรือรนเห็นไสเห็นพุงสาวของเพื่ อนขี้ หวงแตประการใด
ระหวางสนทนากั น สองสหายยังคงจับตามองสาวนอยหนาใสในสนามแบดไมวาง จองฤกษเกิดความรูสึ กขึ้ นมา
เดี๋ ยวนั้ นวาตนรูน อย คนสวยมีรายละเอียดอยางไร นิ สัยใจคอผิดแผกจากสาวธรรมดาอื่ นๆขนาดไหน ไมมี ข อมูลและ
ประสบการณเอาเลย ไดแตเลียบๆเคียงๆถามจากเพื่ อนผูมีกิ ตติศั พทเลื่ องลือวาเปนเสือราย
“ผูหญิงสวยๆนี่  มักจะเปนยังไง มีอะไรที่ เหมือนกันบางวะ? ชนิดที่มึ งรู เลยวาเปนจุดออน จับจุดถูกแลวจีบงาย
ขึ้น”
พฤหัสยิ้ มกวาง นึกดีใจที่ เพื่ อนเขามีความเปนไกอ อนใหเขาสอนอะไรบาง
“กอนกูตอบ กูถามมึงกอน ในสายตาคนขรึ มๆที่ ไมสุ งสิงกะหญิงแบบมึงเนี่ย  ผูหญิงสวยเปนยังไง?”
จองฤกษเหลือบตามองพื้ นครู หนึ่ง  กอนพึมพําตอบ
“ผูหญิงสวยก็… โงคอมพน ะซี”
“ฮะๆ ไอเวร”
“จริงๆ!  อยางยายเนื้ อคู ของมึงเนี่ย  รับประกันวาไมรู ความแตกตางระหวางบิตกับไบต มีคอมพไวเปดเพลง หรื อ
อยางมากก็เอาไวทํ าการบานสงครูเทานั้น ”
“มึงสันนิษฐานอยางนี้ คงเพราะพวกผู หญิงเกิดปญหาเรื่ องคอมพเปนตองวิ่ งโรมาหามึงนะซี ”
“คงงั้ นมั้ง ”
๑๗
แนนอนวาประสบการณอาจทําใหคนๆหนึ่ งเกิดมุมมองดานเดียว พอไมมี มุ มมองอื่ นมาแทรกแซงก็กลายเปน
ความปกใจเชื่ อไปโดยปริยาย พฤหัสยังอยากซักตอ
“สรุปจากประสบการณ ของมึง  ความโง ความฉลาดเรื่ องคอมพนี่ เปนของประจําเพศหรือเปลา ?”
จองฤกษสั่นศีรษะเกือบทันทีแทบไมเสียเวลาคิด
“มียายอะไรคนหนึ่ง  รูจักกันในนามซูซาน ธันเดอร อีเปนแฮกเกอรมือวางอั นดับตนๆของโลก แลวก็ ยั งมีแฮกเกอร
หญิงดังๆรายอื่ นอีก  ที่เปนหลักฐานยืนยันไดว าขอเพียงมีความสนใจทุมเทพอ  จะเพศไหนก็เชี่ ยวคอมพไดทั้ งนั้น ”
“เอาอะไรมาวัดวะวาเปนแฮกเกอรมือวางอั นดับตนๆของโลก?”
“ก็เชนพิสู จนใหกองทัพสหรัฐเห็นวาถาจะเอาจริง  ยายซูซานสั่ งปลอยนิวเคลียรไดก็ แลวกัน ”
“ฮา!” พฤหัสละสายตาจากสนามแบดชั่ วคราวแลวหันมาจองเพื่ อนหนุม เพราะรูว าขอมูลเกี่ ยวกับโลกคอมพิวเตอร
ของเจานี่ ไมเคยมั่ว “นิวเคลียรอะไรมันจะปลอยกันงายๆขนาดนั้น ?”
“มันมีการเล นลูกชิ่ งที่ เปนไปได พวกแฮกเกอรจะเหมือนหัวขโมยฉลาดๆที่รูว าการฉกสมบัติ ไมใชทํ าไดด วยวิธีปน
กําแพงหรือระเบิดเซฟ มันมีการลอหลอก มีการใชทางออมไดสารพัด  แตก็ ไมง ายประเภทนั่ งกดปุ มจากคอมพในบาน
หรอก ยายซูซานนี่พิสู จนใหทางการสหรัฐมองเห็ นชองโหวมาแลวเมื่ อหลายปก อน”
“นังคนนี้ท าทางจะเซียนคอมพ มาแตเกิดเลยซี”
“เปลา ! ตรงขามเลย อีเคยเปนกะหรี่ มากอนดวยซ้ํา  คนเห็นนึกวาโง ที่ไหนได พอมีแฟนเปนแฮกเกอรเลยอยากเปน
กับเขามั่ง  แลวก็ดั นขึ้ นทําเนียบสิบอันดับที่ ทางการตองการตัวเสียดวย!”
พฤหัสยนคิ้ วนิ่ งไปอึดใจ ลืมไปสนิทวาแตแรกตนเปนฝายถูกถาม
“แปลวาตองสวยเทานั้ นถึงจะมีสิ ทธิ์ โงคอมพ?”
“กูแครู ว าถาสวยก็คิ ดมากเรื่ องสวย ถาไมสวยก็ มี เวลาไปคิดมากเรื่ องอื่น  ก็อยูที่ แรงบันดาลใจของแตละคน อยาง
ยายซูซานนี่  ขาววาอยากเปนแฮกเกอรเพราะคิดเอาชนะแฟนเกาเซียนคอมพที่ ทอดทิ้ งกันไปอะไรทํ านองนั้น ”
“อือ… นาทึ่ งดีวะ  จากกะหรี่ผั นตัวเองมาเปนแฮกเกอรระดับโลกได”
“แลวมึงละ  ยังไมตอบกูเลย ผูหญิงสวยๆมั กจะเปนยังไง?”
“ก็…” พฤหัสยักไหล“ไมว าจะเกิดราศีไหน วันอะไร โดยทั่ วไปผู หญิงสวยจะเขาขางตัวเองเกง ประเภททึกทักวา
ใครๆตองมาตกหลุมรักฉัน ”
จองฤกษยิ้ มเห็นฟ น กระแสคําพูดของพฤหัสทําใหเขารูสึ กเหมือนกําลังนั่ งฟงคําตอบจากผู เชี่ ยวชาญเฉพาะทาง
อะไรสักสาขา
“แปลวาถาเราทําหยิ่ งๆ เมินๆ ไมสนใจมาก หรือแกลงมองเหยียดๆไปเลย เดี๋ ยวก็เปนจุดเดนเรียกความสนใจ ท า
ทายใหคนสวยอยากพยายามมาจับเราเองหรือเปลา ?”
“นั่นมันวิ ธี คิดแบบเด็กๆ ไอเรื่ องแกลงทําเปนปฏิ ปกษเรียกรองความสนใจนะ  ไมใชสะพานเชื่ อมที่ดี หรอก ไปทํา
เปนศัตรูกั บเขา เขาเกลียดขี้ หนาขึ้ นมาจริงๆจะเรียกคะแนนคืนลําบาก คือมันตองมี ศิลปะ อยางตอนนี้มึ งเห็นไหมกูมองเขา
ไมวางตา แสดงความสนใจอยางเปดเผย แตข างในกูก็ยั งรั้ งตัวเองไว ไมปลอยใจถลําไปหลงชนิดโงหัวไมขึ้น  นี่แหละ… ถา
เริ่ มตนดวยใจที่ ครึ่ งๆระหวางสนมากแตไมตกหลุมจนมิดกบาล ก็ ทําคะแนนแตกตางจากพวกหนาโงที่ ออกอาการลิ้ นหอย
น้ําลายหกตั้ งแตแรกมากแลว ”
๑๘
ฟงผูชํ านาญการดานหญิงสวยพูดแลวจองฤกษชั กเลื่ อมใสเพื่ อนรักมากขึ้ นทุกที
“มึงพูดเข าทา  แลวยังไงอีก  ทําเหตุการณแรกพบสบตาใหเหมาะ เสร็จแลวตองตอดวยอะไร?”
“ตอดวยการทํายังไงก็ได ใหเขารู สึ กตัววาเปนนางเอก สาวสวยเนี่ ยชางฝนเกือบทั้ งนั้น  ยิ่งถามึงทําใหเขาเชื่ อไดวา
เปนคู แทที่ หอบหิ้ วตามกันมาแตชาติปางกอนไดนะ เรียบรอย… หาที่ เหมาะๆทําการสําเร็จโทษไดเลย”
จองฤกษไมได ฟ งอยางเดียว แตคิ ดตอดวย เขาวามนุษยมี มุ มมองที่จํ ากั ด อยางเชนเพื่ อนซี้ ของเขาเจออยู แคนี้ก็ เห็ น
ไดแคนี้  จากการไปงานสมรสลาสุดของเขา เขาเห็นเจาสาวแสนสวยยืนเคียงบาเคียงไหลกั บเจาบาวหนาเหลี่ ยมๆหัวลานๆ
นั่นแปลวาพอพนวัยหนึ่ งผู หญิงสวยอาจเลิกชางฝ น เปลี่ ยนไปคิดฟนกําไรจากการแตงงานกับเจาบาวผู เปนทาสตัณหาทา
เดียว เพราะเมื่ อมายืนอยู ในโลกความเปนจริงเต็มตั ว ผูหญิงสวยคงเห็นความจริงไดเร็วกวาใคร นั่นคือความฝนเปนสิ่ งจั บ
ตองไมได ความหลอไมทํ าใหอิ่ มทอง เงินทองตางหากที่ทํ าได
“แลว … ที่มึงทําใหเขารูสึ กวาเปนนางเอกนี่ยั งไงวะ ลองยกตัวอยางหนอยได ไหม?”
“ก็ทําตัวเปนพระเอกซีวะ พอมึงเปนพระเอก คนที่ถู กมึงจีบก็จะมีสถานภาพเปนนางเอกโดยอัตโนมั ติ  พระเอกกั บ
นางเอกเปนยังไงก็ดู ไดจากละครที่ คนติดกันมากๆนะ ”
“พระเอกตองหลอ พูดเกง อันนี้มึ งได แตเรื่ องรวยนี่ยั งขาดไป มึงยังขึ้ นรถเมลอยูนี่ หวา ตอให ถึ งอายุขอใบขับขี่ ได
พอมึงก็ไมซื้ อรถใหแหงๆ”
“ของแบบนี้ ลงทุนเพื่ อยกระดับไดเปนครั้ งคราวนา  แท็กซี่ หรูๆมีถมไป วิ่งใหเกลื่ อนขนาดยืนรอกวักมือเรียก
ตรงหนาบานยังไหว อีกอยาง ตอนที่ต างฝายตางแบมือขอตังคพ อแมกั นอยูนะ  ความรวยไมใชเรื่ องสําคัญอันดับหนึ่ งหรอก
ความฝนตางหาก  มึงทําใหเขาฝนได มึงก็ฟ นเขาได”
จองฤกษหัวเราะเบาๆ
“เชนฝนวาอะไร?”
“ฝนวาจะรักและติดตามกั นไปทุกภพทุกชาติ ไง”
“สรุปงายๆวามึงหลอกเขาทั้ งที่มึ งก็ไมเชื่ อเรื่ องเหลวไหลพวกนี้ ?”
“ไมใชหลอก… กูทําตัวเหมือนเซลลแมนไง แคใหในสิ่ งที่ลู กคาอยากได ทุกคนตองการสิ่ งลอใจทั้ งนั้น ”
“โอเค สรุปคือเพื่ อที่ จะเจาะไขแดงหญิ ง มึงมี วิ ธี ที่แนบเนียนตั้ งแตเริ่ มลงมือจี บ แลวคราวนี ้ลงเอยยังไง ตอนเบื่อ
แลวอยากทิ้ งนะ ?”
พฤหัสยักคิ้ วเบะปากนิดๆ
“ก็ลบความจําในสมองพวกเธอซะ แปลงรางจากเทพบุตรเป นซาตานพักเดียวก็เผนกันไปเอง ”
“อือม…” จองฤกษครางอยางคนตาสวาง “มึงนี่ ระยําใชไดเลยนะเนี่ย !”
สองเกลอหัวเราะพรอมกันอยางไม เห็นเปนเรื่ องจริงจังนัก
“สมัยนี้ ไมต องหวงหรอก ผูหญิงใจงายแลวก็ยอมรับการเปลี่ ยนแปลงไดเร็วขึ้น  ไมมี ใครถือสาหรือยึดติดมากมาย
หรอก สนุกกันพักหนึ่ง  พอเบื่ อก็หารสชาติใหมๆ  สาวยุคกอนถูกสอนใหเห็นเซ็กซเปนการเสียทาหรือเสียตัว  แตเดี๋ ยวนี้ โลก
เปดกวางใหเห็นเปนการรวมสนุกไปแลว ”
๑๙
“ถาเปนอยางนั้ นจริงทําไมขาวฆาแกงดวยเรื่ องชู สาวถึงเพิ่ มขึ้ นผิดปกติ ละ? พอกูบอกวาสมัยพวกเราเพิ่ งเกิดไม
ฆากันถี่ยิ บราวกับเห็นแฟนเปนเปาซอมปนอยางนี้ หรอก มึงเพลินไปเพลินมาระวังเจอของแข็งเขาก็แลวกัน ”
“โอย! ไมมี ทาง” พฤหัสยิ้ มหยัน  และเอยดวยความเชื่ อมั่น  “กูนี่แหละของแข็ง !”
จองฤกษกะพริบตาทีหนึ่ง  สัมผัสถึงความเชื่ อมั่ นอยางนาหมั่ นไสของเพื่ อนแลวคิดในใจวาอยางนี้น าจะเจอดีสั กที!
“ไหนบอกแผนซิ มึงจะจีบคนสวยตรงหนานี่ยั งไง บอกตามตรงกูอยากดูมึ งสาธิตจะจะสักทีเหมือนกัน ”
พฤหัสกมหนาแลวสั่ นศีรษะเล็กนอย
“แมอยูด วยแบบนี้ ยากวะ ”
“แนจริงตองไมเกี่ ยงสถานการณซิ  คิดเสียวาถาตอไปมึงเปดมหาลัยสอนจีบหญิ ง ลองตั้ งโจทยท าทายดู เชนจะเขา
ไปทาไหนดีถ าสาวที่ สนกําลังมีคุ ณแมประกบติ ดแจ”
หนุ มหนาหลอหัวเราะ เพราะรูว าเพื่ อนของเขาตองการรู ผลจริงๆวาเขาจะทําเรื่ องยากไดสํ าเร็จหรือไม
“ฤกษ… เทาที่รูจั กมึงมาตั้ งแตเด็ ก กูเห็นมึงเปนคนเงียบๆ แตชอบลองของ ชอบทาทาย ชอบเลนอะไรเสี่ ยงๆเสมอ
รูตัวหรือเปลา  ตามึงเปนประกายแบบพวกโรคจิตอยู เรื่ อยตอนอยากทําอะไรแผลงๆ”
ถูกสะกิดเชนนั้น  ทาทีกระตือรือรนของจองฤกษก็ คลายลงเล็กนอย แตยั งไมวายออกแรงยุ
“แคมี แมอยูด วยคนเดียว ถือวาทําอะไรแผลงๆแลวเหรอะ? กูอยากเห็นมึงแสดงฝ มือในทางที่ ถนั ด ทํานองเดียวกั บ
มึงอยากดูมวยหมัดหนักถลมมวยการดแข็ง อยากดูปาฏิหาริ ยที่เกิดขึ้ นอยางรวดเร็วทันใจอะไรทํานองนั้น  เอาสิวะ โชว
หนอยดิ้ ”
พฤหัสหุบยิ้ม ชักนึกเคืองที่ เพื่ อนคะยั้ นคะยอใหทํ าในสิ่ งที่กํ าลังขี้ เกียจทํา  และถาไมทํ าก็เหมือนไมแนจริง
“เอางี้  สัญญากับมึงเลย เจอหนายายนี่ คราวหนากูจีบ ไมว าจะพกแมมาดวยหรือเปลา  วันนี้กํ าลังเหนื่ อยโว ย แลวอี ก
อยางเพิ่ งแพ มึ งหมดรูป  กําลังเซ็งในอารมณ หลักการเขาหาผู หญิงที่มี แมมาดวยนะงายนิดเดียว จีบแมติ ดได ก็ได ลูกมาเอง
เรื่องเข าผู ใหญน ะกูไมเกี่ ยงอยู แลว  ผลัดเปนคราวหนาตอใหมากะแฟนกูก็ จะแสดงฝมื อใหมึ งชมเปนขวัญตา!”
ประกายสนใจถูกจุดขึ้ นในตาจองฤกษอี กครั้ง  พฤหัสเหลือบมาเห็นแลวคิดในใจวาไอหมอนี่ช างคลั่ งไคลโจทยยาก
เสียจริงๆ ไดยิ นอะไรทาทายหนอยไมได เปนตองยิ้ มพึงใจเหมือนเด็กจอมขโมยเสมอ และนี่ก็ เปนสิ่ งที่ พฤหัสเพิ่ งเรียนรู
เกี่ ยวกับเพื่ อนรั ก จองฤกษจะหยุดเซาซี้  เลิกสนใจโจทยยากขอเดิ ม ขอเพียงมีโจทยใหมที่ ยากเย็นทาทายกวา  นารูน าเห็น
มากกวาเกามายื่ นให!
และเพราะโดนจี้ เรื่ องจีบสาว เลยพานทําใหพฤหัสเบื่ อหนายความนารักของเจ าหลอนขึ้นมาแบบปุ บปบฉับพลัน
“ไปกันเหอะ! กินขาวกะมึงเสร็จกูต องรีบกลับ”
“นัดสาว?”
พฤหัสโคลงศีรษะไปมา
“เปลา … เจอเปรตที่ ไหนไมรู  สงเมลมาหลอกใหไปดาวนโหลดโปรแกรมปองกันไวรัสมาติดตั้ง  แมม ! พอติดตั้ง
เสร็จถึงรู ว าเปนกับดักระดับโลก ทําให กูเสียเวลาครึ่ งคอนวันไปเปลาๆ ตองทํางานใหมหมด มึงระวังๆให ดี นะ เจอแหกตา
กันเปนลานเลย”
“เหรอ…”
น้ําเสียงของจองฤกษเปลี่ ยนไป แตพฤหัสไมทั นสังเกต
๒๐
“ไอพวกแฮกเกอรที่ แกลงปลอยไวรัส  แกลงสงโทรจันไปใสเครื่ องคนอื่ นนี่ ไมรูมั นจะเกิดมาใหหนักกบาล
ชาวบานทําไม อยาใหรูว าใครนะมึง  กูจะไปเผาบานมันจริงๆ”
พฤหัสไดยิ นจองฤกษหั วเราะหึ หึ แปลกที่ เพื่ อนรักหัวเราะคราวนี้ฟ งดูชวนใหอยากตบกะโหลกสักผัวะ เพราะ
สําเนียงหยันเยาะพิลึก
“กูดูขาวเหมือนกั น” จองฤกษเอยเสียงปกติ“เจาแฮกเกอรมั นก็เกงนะ อุตสาหเจาะระบบของบริ ษัทผลิตโอเอส
หมายเลขหนึ่ งของโลก เอาไฟลไปวางไวที่นั่ นรอคนมาโหลด แมแตพนักงานของบริ ษัทเองยังหลงกล เรียกวาคาย
ซอฟตแวรยั กษโดนตบหนาแรงที่สุ ดเทาที่ เคยโดนมา”
“เกงเกิ่ งอะไรวะ สงสัยเปนคนในที่มี ความแคนเคืองอะไรกันนะซี ขาววากําลังสืบหารองรอยกันจาละหวั่น  ขาว
บอกเปนไปไมไดที่ คนนอกจะเจาะสําเร็จ ”
จองฤกษหั วเราะฮาๆดังเปนกังวาน เปนเสียงหัวเราะที่มี แรงอัดกระทุ งแกวหูขนาดทําเอาพฤหัสสะดุง  และเรียก
ความสนใจจากสองแมลู กในสนามแบดใหเหลียวมาดูว าเกิดเหตุพิ เศษอันใดขึ้น
“มึงขําใครวะ?”
“ขําพวกปญญาออนที่ เสียหนา  พลาดทาแลวโยนบาปใหคนในกันเองนะซี”
พฤหัสตะแคงหนามองเพื่ อนหนุ มดวยความฉงน เสียงหาวลึกของจองฤกษฟ งแลวชักสะดุด  ชวนใหรูสึ ก
ตะครั่ นตะครอหนาวสันหลังชอบกล
“พวกแฮกเกอรคงจะเลวชาติ คุยกับคนธรรมดาอยางพวกเราไมรู เรื่ องหรอกนะ มึงวาไหม?”
“กูเชื่ อวาทุกคนในโลกมีเชื้ อความเลวในตัวเอง และกําลังทํารายคนอื่ นในทางใดทางหนึ่ งอยูทั้ งนั้ นแหละ”
มีความเย็นชาที่น าขนลุกอยางประหลาดขณะจองฤกษ ตอบ พฤหัสถึงกับนิ่ งงันและไมอยากคุยอะไรตออีก
จองฤกษกั บพฤหัสออกจากสนามแบดมินตันมาทานขาวกลางวันดวยกันที่ร านตึกแถวในละแวกใกล พฤหัสทาน
ขาวหมูแดงไปเพียงจานเดียวก็อิ่ม  ในขณะที่ จองฤกษเอี้ ยวตัวสั่ งกวยเตี๋ ยวตออีกชาม
“งั้นกูกลับกอนนะฤกษ”
พฤหัสขอตัวดวยความเพลี ย อยากรีบกลับไปพั ก ดวยเห็นวาอยางไรก็กลับคนละทางอยู แล ว จองฤกษพยักหน า
หงึกหนึ่ งกอนไลสง
“มึงไปเถอะ”
พฤหัสผลุนผลันลุกจากโต ะทันที
“คาขาวมึงละ ?”
จองฤกษประทวงทาทีอั นนาเสียวไสของเพื่ อน เกรงวาตนจะตองเป นฝายเลี้ ยงโดยไมมีการหาร
“อาว! ก็มึงใหกู ไปเถอะ กูก็ลุกตามคําสั่ งสิวะ”
พฤหัสพูดกลั้ วหัวเราะพลางลวงกระเปาสตางค ควักเงินออกมาจายใหเพียงครึ่ งหนึ่ งของคาอาหารและน้ํ าที่ ตน
บริโภคเสร็จไป
“ที่เหลือชวยหนอยละกัน  ติดกระเปาอยูร อยเดียวกูอยากเอาไปนอนในแท็กซี่  เมื่ อคืนอยูดึ กแลวมึงมาชวนเลนแบด
แตวั นอีก  ถือวาเปนคาจางกูมาเลนเปนเพื่ อนละกัน ”
๒๑
สิ้นคําพฤหัสก็สะพายเปอุ ปกรณกี ฬาขึ้ นหลั ง หมุนตัวจากไปทันที ปลอยจองฤกษใหอ้ํ าอึ้ งพูดไมออกอยูข าง
หลัง
เด็กหนุ มทานกวยเตี๋ ยวดวยอารมณขุ นมัวตออีกพักใหญก็ เรียกเด็กมาเก็บเงิ น กอนลุกขึ้ นเดินลึกเขาไปในรานเพื่อ
เขาหองน้ํา  ซึ่งตนรู แหลงดีว าเปนหองขนาดเล็กใตบั นได
เนื่ องจากเห็นวาประตูแงมอยู เล็กนอย จึงผลักเปดโดยไมระมัดระวังคอนขางแรง ผลที่ผิ ดคาดคือบานประตูไมได
เจออากาศวางเปลา  แตไปปะทะอยางจังกับหลังของใครคนหนึ่ งเขา  ซึ่งก็ปรากฏวาเปนบุรุ ษรางโตที่กํ าลังยืนระบาย
ความเครียดจากทองนอยอยู  พอโดนแรงกระแทกของประตูก็ตกใจ รางคะมําไปอัดโถฉี่ เต็มรัก
“โอย !”
ชายผู เคราะหร ายอุทานลั่ นดวยความตระหนกมากกวาเจ็บปวด จองฤกษผงะดวยความตกใจในฐานะผู กระทําโดย
ไมเจตนาเชนกัน  แตพอหายตกใจ แทนที่ จะขอโทษกลับเผลอหัวเราะเหมือนเยาะซ้ํ าอยางอดขํ าไมได
คนอยู หลังประตูห องน้ํ าจัดการธุระตอดวยความขลุกขลักทุลั กทุเลชั่ วอึดใจเดียว ก็เปดประตูออกมาประจัญหนาผู
บุกรุกดวยสีหนาถมึงทึง
“ทําไมเปดประตูซุ มซามอยางนี้ วะไอน อง?”
สีหนาคุกคามจะเอาเรื่ อง บวกกับวาจานักเลงโตนั้น  แทนที่ จะทําใหจองฤกษ หวาดกลัว  กลับกลายเปนเลื อดขึ้ นหนา
และพูดสวนทันควัน
“แลวพี่ เสือกไมล็ อกประตูเองทําไมละครับ ?”
“ใสกลอนแลวแตมั นขัดไมอยูนี่ โวย ”
“งั้นก็ช วยไมได”
ชายวัยฉกรรจตาลุกวาบ โกรธจนนิ่ งเงียบไปชั่ วขณะ
"นองไมชอบหนาพี่ ใชไหม?"
จองฤกษมองอีกฝายดวยแววตาเย็นชา
“พี่เยี่ ยวเสร็จก็หลีกทางผมหนอยเถอะ จะยืนขวางหาพระแสงอะไร ผมจะเขาหองน้ํ าบาง”
คนรางใหญหนามืดและหูอื้ อจนฟงคําพูดเด็กหนุ มไมรู เรื่ อง
“เฮย ! ตัวแคนี้ทํ าไมทํากรางนักวะ? ขอโทษซักคําก็ไมมี ”
“เออ! โทษที หลีกหนอย”
น้ําเสียงกระดางไม กลัวตีนนั้ นทําใหนักเลงโตหมดความอดทน  ใชมื อขวาผลักหนาอกเด็กหนุ มวัยรุ นเต็มแรง
“มึงจะเอายังไงกะกูวะ?”
รางบางของจองฤกษปลิวควางไปปะทะกับตั้ งรังใสขวดน้ํ าอัดลมลมครูดผนังระเนระนาด เด็กหนุ มเดงพรวดขึ้ นมา
ทันทีพรอมกับขวดเปบซี่ ในมือ
“เอาอยางนี้ก็ แลวกัน !”
ไมทั นขาดเสียงเหี้ ยมนั้น  น้ําอัดลมขวดเล็กก็ถู กเขวี้ ยงเขาใสเปาหมายคือศีรษะของฝายตรงขามแบบไม ใหตั้ งตัว
“โอย!”
๒๒
พี่เบิ้ มยกมือไมป ดปองรองสุดเสียง จองฤกษขวาหันดีดตัวหนี ทันทีโดยไมดู ผล มือควาเปบนโตะอาหารเผน
โผนโจนทะยานจากรานสุดฝเทาทามกลางความตกตะลึงของเหลาลูกคาโดยไมทั นมีเวลาจายสตางคใหถู กตองเสี ยกอน
วิ่งออกมาไดประมาณ ๓๐ เมตรก็เหลียวหลังกลับไปมอง จึงทราบวาลูกพี่ที่ โดนเขาเลนงานไปมีพรรคพวกมาดวย
หลายคน ไดยิ นเสียงซอยเทากรูตามเขามาเปนขบวน จองฤกษบั งเกิดความตระหนกกลัวขนหัวพองขึ้ นมาชั่ ววาบ แตก็
พยายามตั้ งสติ สะบัดหนาหันมองตรงและเพิ่ มความเร็วในการวิ่ งอยางไมคิ ดชี วิ ต พยายามใชความสามารถของนักกีฬา
ลมกรดใหเปนประโยชน ขืนอืดอาดใหถู กจับตัวไดล ะก็ไมทราบจะออกหัวออกกอยอยางไร อยางเบาะๆก็เจอยําปลาหมึ ก
รสเผ็ดเลือดกบปากเปนแน
ในความตื่ นเตนสุดระทึ ก จองฤกษไมปลอยใหจิ ตใจตนเองเตลิดผวา เขาเลี้ ยวซายเขาซอยหมูบ านที่ ใกลที่สุด
พยายามทําระยะหางจาก ๓๐ เมตรใหเพิ่ มขึ้ นเรื่ อยๆ ความหางขนาดนี้ เปนโอกาสไดเปรียบ กลายสภาพเปนมนุษยล องหน
ไดไมยากจนเกินไป
หลังจากเลี้ ยวซาย จองฤกษวิ่งมาตามทางเปดโลงประมาณ ๒๐ เมตร พอเจอบานหลังแรกทางขวามือก็ ป นรั้ วสูงแค
เกินศีรษะฟุตเดียว โดดตุ บลงไปโดยปราศจากการกดออดขออนุญาตเจาของบาน จากนั้ นซอยเทาวิ่ งตื๋ อโดยไมเจอใครยื น
ขวาง เพียงไดยิ นเสียงวี้ ดวายจากในบานเสียงเดียว พอถึงหลังบานก็กระโดดเกาะขอบกําแพงเหวี่ ยงตัววาดขาขึ้ นครอมแล ว
หยอนรางลงเขตบานหลังติดกัน
บานหลังนี้ เงียบสนิ ท แตเร็วเกินไปถาจะเสี่ ยงซอนตัวที่นี่  เพราะบานหลังกอนเห็นตัวเขาแล ว และมี สิทธิ์ บอกทาง
ใหบรรดาชายฉกรรจที่ แหตามมารุมกินโตะได จองฤกษหั วใจเตนแรง แตขณะเดียวกันก็เริ่ มสนุกกับการถูกไลล าที่ เขา
นําหนามากอน กับทั้ งมีโอกาสและชองทางหนีรอดเห็นๆ เขาไมเคยตองถูกกวดตามกระทืบมากอน เพิ่ งรู ว าในความกลัวมี
ความสนุกเจืออยูยิ่ งกวาเกมไหนๆ เพราะขืนพลาดก็ไมใชแคเจ็บใจ แตจะตองโดนลงโทษใหเจ็บกายขนาดรองโอยลั ่น
หมูบ าน นึกแลวทําใหฉี กยิ้ มตาวาวราวกับสนุกกับการแขวนชีวิ ตไวบนเสนดายนักหนา
วิ่งมาปนรั้ วออกทางหนาบาน ขามถนนไปปนรั้ วบานที่ อยู เยื้ องซายไปสามหลั ง นี่คือการผจญภัยที่ทํ าใหเห็นความ
แตกตางของบรรยากาศของเขตบานหลายๆแหงในเวลาไลเลี่ ยกั น บางบานก็เงียบวังเวง บางบานก็มี เสียงเอะอะมะเทิ่ง
ตอนรับการปรากฏตัวของผู บุ กรุก  จองฤกษป นบานขามซอยแลวซอยเลา  โดยเดินทางเปนแนวทะแยงไปเรื่ อยๆ ประสาท
ตื่นเพริดลืมความเหน็ดเหนื่ อย กระทั่ งกะวาจุดเชื่ อมตอของสายตาผู พบเห็นเขาขาดจากกันอยางยากจะสืบทราบแล ว อี ก
ทั้งปนเขาบานที่ เงียบกริบสองหลังติดกัน  ก็ตกลงใจเลือกบานหลังสุดทายนั้ นเองเปนแหลงกบดานชั่ วคราว
ตอนที่  ๓ ผูบุกรุก
บายคลอย ณชะเลออกมานั่ งที่ซุ มชิงช า โดยมีเจาอุ ยโหย สุนัขพันธุ ยอรกเชียร เทอเรียนั่ งหนาตั้ งตาแปวอยู เคียง
กาย เด็กสาวกําลังอานหนังสือธรรมะใหสุนั ขคู ใจฟงดวยความเชื่ อวานั่ นจะเปนนิสั ยปจจัยสงมันใหไปเกิดภพหนาในสุคติ ภู
มิได
ความจริงสุนั ข  โดยเฉพาะที่ แสนรู อยางยอรกเชียรนั้น มี บุญเกาสงใหมาเกิดในเผาพันธุที่ ฉลาดและตื่ นตัวในการ
รับรู มากกวาสัตวอื่ นอยู แล ว หลอนสังเกตสังกามาแตไหนแตไร เมื่ อเปรียบเทียบระหวางอุ ยโหยกับสุนั ขทั่ วไปตามทอง
๒๓
ถนน จะพบรายละเอียดขอแตกตางหลายตอหลายประการ  เชนอุ ยโหยออกทาเหมอลอยนอยกวา มี ทาทีอยากรู อยากเห็ น
อยากเคลื่ อนไหวทําโนนทํานี่ มากกวา
เมื่ อทดลองอานธรรมะใหมั นฟงนั้น  แรกๆเจาอุ ยโหยทําทาแปลกใจที่ หลอนไมเจาะแจะเลนหัวคลอเคลียกับมั น
อยางเคย และพอเห็นหลอนกมหนากมตาพูดกับหนังสือทาเดียวอยูพั กหนึ่ง  ไมหั นมามองมันเลยแมจะพยายามนัวเนียหรื อ
เหาเรียกอยางไรก็ตาม ในที่สุ ดก็ออกทาหลุกหลิก  หันเหความสนใจไปทางอื่น
แตเมื่ อหลอนอดทนอานหนังสือธรรมะใหอุ ยโหยฟงหลายครั้ งเขา ก็ดูเหมือนมันจะรับทราบผานกระแสเสียง
ตั้งแตเริ่ มอาน วาหลอนกําลังทําบางสิ่ งที่พิ เศษ กอใหเกิดบรรยากาศเยือกเย็นผิดแผกแตกตางจากธรรมดา สมควรสงบ
เสงี่ ยมรับฟงโดยดี มันเริ่ มมองหลอนเขม็งดวยอาการตั้ งใจจริงจังนานขึ้น  นั่นทําใหเด็กสาวดีใจ และมี กําลังใจทําเพื่ อมั น
ยิ่งขึ้ นเรื่ อยๆไปดวย
“ไฟรอนมี อํานาจเผาผลาญ ระเบิดเวลามี อํานาจทําลาย แตกรรมชั่ วมี อํานาจเผาผลาญและทําลายสมบั ติ ตางๆใน
ชีวิตผูก อกรรมโดยไมจํ าเปนตองใชไฟรอนหรือระเบิดเวลาใดๆ…
“อกุศลกรรมที่ทุ กคนกอไว ไมต องการพื้ นที่จั ดเก็บ  ไมต องอาศัยสิงสู อยู ในกายเรา ไมต องแทรกตัวอยู ในอากาศ แต
เหมือนเงามืดไรตนที่ สามารถติดตามจิตวิญญาณเราไปทุกหนแหง ประดุจศัตรูผู คอยจดจองเลนงานกันในจังหวะโอกาส
เหมาะ…
“เรากอกรรมได พิสดารเหลือแสน และวิบากกรรมก็ปรากฏแสดงไดหลากหลายเหลือคณานับ  ทั้งแบบ
ตรงไปตรงมาเหมือนกับที่ เราทํา  และทั้ งแบบออมๆคลายไมเกี่ ยวเนื่ องกันกับที่ เราทําลงไปเลย อีกทั้ งการใหผลก็ไม
เรียงลําดับแนนอนเหมือนตอนเราเข าคิวชมมหรสพ…
“ไมมี ใครสามารถรู กฎแหงกรรมไดละเอียดเหมือนพระพุทธเจา  รูแตว าทําดีไดดี  ทําชั่ วไดชั่ว  ผู สั่งสมบุญยอมเสวย
สุขกับการลอยคอในทะเลบุญ  ผู สั่งสมบาปยอมเสวยทุกขกั บการจมปลักในหลมบาป ตัวเรายอมรู ความจริงนี้ อยู แกใจ ไม
จําเปนตองใหใครยืนยันวาทําบุญเปนสุข ทําบาปเปนทุกข ความรู สึ กที่ ปรากฏอยู ตลอดเวลายอมชัดเจนพอ เวนแตจะไมใส
ใจสังเกต…
“หลายบางครั้ งบุญกับบาปอาจไมปรากฏเปนแสงสวางหรือความมืดทึบตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในขณะที่ต อง
ตัดสินใจเลือกกอกรรมอะไรสักอยาง สถานการณบี บคั้ นเฉพาะหนาอาจทําใหเรามึนงงวาเสนคั่ นแบงระหวางความดี กั บ
ความชั่ วอยูที่ ตรงไหน และการกระทําซ้ํ าๆจนเคยชินเปนนิสั ยก็มั กทําใหเราเขาขางตัวเองวาอยางนี้ ไมผิด  อยางนี้ ไมใชความ
เลว อยางนี้ ไมน ารังเกียจ หากปราศจากการไตรตรองดวยปญญาแล ว คนเราอาจหลงเห็นกงจักรเปนดอกบัวได งายๆ เพียง
เพราะไมเคยเห็นเปรียบเทียบใหชั ดๆวากงจั กรเปนอยางไร  และดอกบัวเปนอยางไร …
“เมื่ ออานหรือฟงธรรมะสักพักหนึ่ง  ขอให สั งเกตเถิ ด แมจะจําไมได ทั้งหมดวารับเนื้ อหาธรรมะประการใดเขาไป
บาง แตอยางนอยที่สุ ดความรูสึ กเปนสุข  ความรูสึกโปรงเบา ความรูสึกสวางจากประกายศรัทธาจะคอยๆกอตัวขึ้ นทีละนอย
ในดวงจิ ต เสมือนน้ํ าที่ เออขึ้ นจนเต็มสระ นั่นแหละตัวอยางของกุศล นั่นแหละตัวอยางของดอกบัวที่ พรอมจะบานขึ้น
เหนือน้ํา  เปนตรงขามกับกงจักรที่ยิ่ งหมุนก็ยิ่ งผันตัวลงต่ํ าไปถึงกนเหวแหงความหายนะ…”
๒๔
อานมาถึงตรงนั้น  ณชะเลเกิดความเห็นจริงตามดวยกระแสจิตอันวางเบาเบิกบานในภายใน จนตองปดหนังสื อ
วางขางตัวชั่ วคราว เพื่ อเอื้ อมมือลูบขนอั นละเอียดนิ่ มนวลดุจแพรไหมของเจาอุ ยโหย ดวยความปรารถนาจะฝากปญญาทาง
ธรรมในจิตตนผานสัมผัสละเมียดละไมไปถึงมันใหถนัดขึ้น
เด็กสาวรูสึ กถึงสนามพลังอันเปนกุศลสวางรอบๆตัว  ซึ่งแนนอนยอมเกิดจากตนแหลงคือดวงจิตอันดื่ มด่ํ ารสธรรม
ของหลอนนั่ นเอง นาที ที่รับรสธรรมปรุงแตงจิตใจใหเปนมหากุศลนั้น  ดวงจิตมี คุณภาพพอจะหยั่ งรู ได วาสัตวเลี้ ยงของตน
พลอยรับอานิสงสไปดวยอยางแนนอน คือมันมีใจยินดีในคําพูดและสัมผัสอันเปนธรรมของหลอน ดุจเดียวกับผู เดินทาง
กลางเปลวแดดยอมยินดีในรมเงาของไมใหญ และผู อยู ใตร มไมย อมคิดอานกอกรรมบนพื้นฐานของความเยื อกเย็นใจเสมอ
ทวาในบัดนั้ นณชะเลก็มาถึงความตระหนักประการหนึ่ง  คือเรื่ องของธรรมะนี้  ตองสื่ อกันดวยภาษามนุษยจึ ง
พัฒนาเปนปญญาขั้ นสูง  จะสื่ อผานกระแสจิ ตตรงๆไมได เพราะแมมนุษยด วยกัน  กอนเปดหูเปดตารั บขอมูลใดๆ ใจต องสน
หัวขอนั้ นๆเปนอันดับแรก และแมเมื่ อสนแลวก็ใชจะรับขอมูลไดครบหมดทุกกอน บางกอนเดนหนอยก็ รับรูง ายและถูก
จดจําไดสนิท บางกอนปรากฏเพียงพราเลือนก็รั บรู ยากและถูกหลงลื มไปสิ้น  ขึ้นอยูกั บพื้ นหลังของแตละคน วาสงเสริมให
เห็นขอมูลสวนไหนรับยาก สวนไหนรับงาย สวนไหนนาจดจํา  สวนไหนนาทิ้ งขวาง
เชนนี้ จะหวังใหสั ตวฟ งหลอนสาธยายธรรมะเขาใจทุกคํา  จดจําไดทุ กตอนละหรือ ? คงเปนไปไมไดเลย ตอใหสุนัข
พันธุ ฉลาดขนาดเทียบไอคิวไดกั บเด็ก  ๕ ขวบหรือ  ๑๐ ขวบ อัตภาพของสัตวก็ย อมกีดกันปญญาระดับสูงไวไมใหเกิดขึ้น  มี
แตอั ตภาพมนุษยนี่ แหละที่ เหมาะแกการเรี ยนรู และยอมรับธรรมะเขามาประดิษฐาน ณ ดวงจิตเต็มรอย
เงยหนาขึ้ นเล็กนอย เหมอมองปุยเมฆขาวเบื้ องบน แลวลดสายตาลงมามองแคระดับหลังคาบานตรงขาม จับจอง
จานรับสัญญาณดาวเทียม พึมพํารําพึงกับเจาอุ ยโหยไมดั งนัก
“บานคนมีแตจานรับสัญญาณภาพเสียงสรางความบันเทิ ง ถาใครประดิษฐจานรับกระแสความดีจากสรวงสวรรค
ไดโดยตรงก็คงวิเศษเลยเนอะอุ ยโหย ทุกคนจะไดรู ทางสวางไปเกิ ดในที่ดี กวานี้กัน ”
เจาอุยโหยครางอิ๋ง  ราวกับตอบวาเพียงฟงเสียงหลอนแคนี้ก็ คลายรับกระแสความดีจากฝ งฟาแดนสรวงอยู แลว
ขณะนั้ นเอง ผีเสื้ อสองสามตัวบินเรี่ ยพื้ นหญาใกลๆ  สายตาเจาอุ ยโหยถูกดึงไปมองจอง แลวเสียงครางอิ๋ งก็แปรเป น
เสียงเหาแหลมๆทันที มันโดดแผล็วจากแทบตักเจานายไปทางกลุ มผีเสื้อ  และใชเทาตะปบอยางจะขอเลนดวย
ปกติยอรกเชียรจะสนใจสัตวเล็กเคลื่ อนที่ เร็วจําพวกหนูมากกวาอยางอื่น  แตแปลกที่ คราวนี้ เจาอุ ยโหยลงไปเลนกั บ
ผีเสื้อ  คงนาจะเปนเพราะถึงคราวฆาตของสัตวป กตัวนอย เพราะพอเจาอุ ยโหยตะปบทีเดียว ชี วิตผีเสื้ อตัวหนึ่ งก็ถึ งกาล
อวสานทันที
ณชะเลเหลือบตาตามไปเห็นแลวตกใจแทบสิ้ นสติ กรีดรองลั่น  ถลันรางไปยอลงตีเจาอุ ยโหยดังปาบ ยังผลให สุนั ข
แสนรักรองเอ งดวยความเจ็บปวดและตระหนกยิ่ง
“อยานะ! ไปฆามันทําไม?”
เด็กสาวตวาดเสียงเกรี้ ยวหวังยับยั้ งฆาตกรรมกอนสายเกินการณ แตช าไปเสียแลว ผีเสื้ อดวงกุดกลายเปน
แผนกระดาษเล็กๆสีสวยที่ ขาดวิ่ นออกจากกันดวยแรงฉีกของมือซน รางที่ เคยบินไดบั ดนี้ ไรวิ ญญาณครองเสียแลว
ณชะเลหนาซีดเผือด อุมเจาอุ ยโหยชูขึ้ นระดับสายตา จองตาลุกราวกับกําลังจะเคนคอมัน
“อยากเปนหมาไมไดผุ ดไมไดเกิดหรือไง?”
๒๕
สุนัขตัวนอยอกสั่ นขวัญแขวน ดวยเพราะไมเคยเห็นเจานายทําหนาดุราวกับนางยักษเยี่ ยงนี้ มากอน มันรองงี้ ดๆ
หัวหดดวยความหวาดกลัวลนลาน พยายามดิ้ นหนีใหหลุดรอดจากเงื้ อมมือนายผูกํ าลังแผรั งสี อํามหิตปกคลุมไปทั่ วอาณา
บริเวณ ทาทางเจาอุ ยโหยยังไมเขาใจวาเกิดอะไรขึ้น  รูแตว ามันอาจโดนอาญารายแรงไดทุ กเมื่อ
พอเห็นสุนั ขหัวแกวหัวแหวนตัวสั่ นเทา เอาแตดิ้ นขลุกขลัก  ไมพยายามใชเล็บหรือเขี้ ยวกับเจานายแมอาจเปนวาระ
สุดทาย ณชะเลก็กลับสติ เปลี่ ยนจากโกรธสุดขีดเปนสงสารแทบขาดใจแทน เด็กสาวเบะปากรองไหโฮ ดึงรางเจาตัวนอย
เขามากอดถนอม สํานึกผิดที่ ตนทํารุนแรงเกินกวาเหตุ สุนัขพันธุ เปราะบางเชนยอรกเชียรอาจช็อกตายได งายๆเพียงเพราะ
ถูกตีและตะคอกคุกคามแรงๆ ปกติ วิ ธีลงโทษสถานหนักก็แคดี ดปากและตวาดหามคําเดียวเทานั้น  ที่ผานมาหลอนก็ ทํากั บ
มันแรงสุดเพียงมวนหนังสือพิมพเคาะกะโหลก เพราะมันเชื่ องและเชื่ อฟงหลอนขนาดเรียกชื่ อทีเดียวก็หยุดทําอะไรทุก
อยางหมดแลว
เมื่ อครู หลอนขาดสติเอาจริงๆ ดวยความกลัวบาปแทนมันนั่ นเอง แตหลอนกลับแกไขบาปดวยการเพิ่ มบาปอื่ นให
มันเขาไปอี ก คือปอนกระไอรายแหงโทสะเขาสูหั วจิตหัวใจมันตรงๆ ยามนี้ พอกลับสติไดก็ เจ็บยิ่ งกวามันถูกตีชนิดคูณสิ บ
เขาไป ณชะเลกอดอุ ยโหยแนนแนบชิดอกดวยความอยากใชความอบอุ นจากเลือดเนื้ อของตนถายถอนความเจ็บออกจาก
กาย ละลายความกลัวออกจากใจมันเร็วที่สุด
“แมขอโทษ…”
พึมพําแบบจอริมฝปากแนบใบหู ครู หนึ่ งเนื้ อตัวสั่ นเทาของเจาอุ ยโหยก็สงบนิ่ง  มันพลิกหนายื่ นปากแลบลิ้ นเลี ย
คางเจานายเปนสัญญาณวามันเขาใจความอาทรและเปนสุขอยู ในออมกอดของหลอนแลว ณชะเลหัวเราะแผว  กมลงจูบ
หนาผากมันทีหนึ่ งแลวอุ มกลับไปนั่ งที่ซุ มชิงชาตามเดิม พูดประโลมราวกับมันเปนมนุษย
“แมไมอยากให ลูกกอบาปกอกรรมเปนเวรภัยติดตัวตอไปอี ก ลูกจะเกิดเปนอยางนี้ เพียงครั้ งสุดทาย แมจะทําทุก
อยางเพื่ อใหลู กพนจากกําเนิดเดรัจฉาน”
น้ําตาคอยๆไหลรินลงมา ทวาน้ํ าเสียงเรียบนิ่ งนุ มนวลปราศจากความสั่ นเครือแมแตน อย
“หนูต องรู ว าการฆาสัตวเปนกรรมดํา กรรมดําจะทําให จิ ตวิญญาณของหนูมื ดบอด กรรมดําจะเปนแรงยึดเหนี่ ยว
ใหหนูต องวนเวียนอยูกั บอบายภูมิ  โดยเฉพาะขณะที่ หนูมี ภพชาติแบบนี้  ก็ยากที่ จะมีกรรมขาวมาฉุดให ขึ้นสูงไดอยู แล ว ถ า
หนูยิ่ งทํากรรมดําซ้ํ าเติมตัวเองเขาไปอีก  ก็จะถูกขังใหติ ดอยูกั บความเปนอยางนี้ ไมรู จบรูสิ้น ”
อยากใหมั นเขาใจทุกถอยคํา  เปนแรงปรารถนาที่ยิ งตรงจากจากกนบึ้ งหัวใจหลอนสูจิ ตใจมันอยางแน วแน  และโดย
ทางใดทางหนึ่ งที่ อธิบายใหเชื่ อไดยาก ณชะเลก็ รูวาเจาอุ ยโหยสามารถรับสารจากหลอน แมจะไมใชแบบที่ มนุษยสื่ อสาร
กั น อยางนอยเหตุการณตามขั้ นตอนทั้ งหมดที่ เกิดขึ้ นก็ต องทําใหมั นซึมซับรับรู แนๆวาการพรากชี วิตสัตวอื่ นเปนเรื่ อง
ตองหาม และมันจะตองไมทํ าอยางนี้อี กอยางเด็ ดขาด
เด็กสาวลูบหัวลงไปตลอดหลังสัตวเลี้ ยงที่ ใจนับเปนบุตรในอุทรดวยความทะนุถนอม สัมผัสนั้ นทําใหหล อนเพลิน
แลวก็รูว ามันเพลินตาม  เพราะเจาอุ ยโหยหมอบนิ่ งอยูกั บตักหลอนราวกับกําลังทําสมาธิฉะนั้น
ตางฝายตางเพลินในอาการเปนดุษณีอยู นานหลายนาที กระทั่ งเกิดเสียงตุ บใหญที่ข างกําแพง ทั้งคนทั้ งสัตวต าง
สะดุ งโหยง สะบัดหนาขวับไปทางตนเสียงพรอมกันทั้ งคู  พอเห็นเปนหนุ มแปลกหนาก็ลุ กพรวดขึ้ นยืนตรงทันที
๒๖
เด็กหนุ มผูบุ กรุกยืดตัวจากอาการยองขึ้ นยื น ณชะเลไมกรีดรองอยางที่น าจะเปน  อาจเพราะแปลกใจมากกวา
หวาดกลั ว เมื่ อเห็นชุดเสื้ อยืดกางเกงขาสั้น  หลังสะพายเป กับถุงเทารองเทานักกีฬา บวกกับหนาตาทาทางหอบเหนื่ อยของ
หนุ มแปลกหนาแลวรูสึ กในพริบตาเดียววาเขาหนีร อนมาพึ่ งเย็นมากกวาเขาบานดวยประสงคร ายอันใด
จองฤกษเองก็ทํ าหนาคาดไมถึ งเมื่ อเห็นเด็กสาวยืนอุ มสุนั ขตัวเล็กเหมือนตุ กตาหางไปไมถึ งสิบกาว ตางฝายตาง
จองจังงังครู หนึ่ง  เด็กหนุ มก็เอยขึ้ นกอนแบบหอบระหวางคํา
“ขอโทษครับ  ผมหนีนั กเลงมา พวกมันตามทําราย ขอหลบเดี๋ ยวเดียวก็จะไป”
เขาขอเชนนั้ นทั้ งที่ สามารถขามบานไปไดอีก  อาจเปนเพราะความรูสึ กบางอยางบอกตนเองวาพึ่ งหลอนคนนี้ ได
เจาอุ ยโหยเริ่ มเหาและคํารามขู  ทาทางอวดศักดาเกินตัวตามนิ สัยประจําเผาพันธุ ของยอรกเชียร ณชะเลยกมือเช็ด
คราบน้ํ าตาที่ อาจตกคาง ปรับสติใหเขาที่ ไดแลว  และตบหัวสุนั ขของตนเบาๆ กระซิบสั่ งใหหยุดเหา  ซึ่งก็ไดผลทันใจ
เพราะเจาอุ ยโหยถูกฝกใหเชื่ องและปฏิบัติ ตามคําสั่ งของณชะเลเสมอ
เงยหนาขึ้ นสํารวจรางโทรมเหงื่ อของเด็กหนุม เนตรงามฉายแววระแวงภัย  เอยถามแบบคอนขางคาดคั้น
“คุณไปทํ าอะไรเขาถึงตามทํ าราย?”
“รับรองวาผมไมได กออาชญากรรมอะไร ผมเพิ่ งเลนแบดกับเพื่ อนเสร็ จ…” เขาพลิกเปสะพายหลังมายืนยั น“โชค
ไมดี เดินไปเหยียบเทานักเลงใหญเขา  เขาเลยยกพวกวิ ่งตามมากระทืบอยูนี่ ”
เลาแบบรวบรั ดชนิดมีเคามูลความจริงแตขาดรายละเอียด
“มาคนเดียวเหรอ?”
“มากับเพื่ อน แตเขาขอตัวกลับกอนจะเกิดเรื่ อง”
“เอะ …” ณชะเลเอียงคอยนคิ้ วฉงนดวยความคลับคลายคลับคลา “นี่… ฤกษหรือเปลานะ ?”
จองฤกษตาเบิกโพลง ที่คุนแตแรกเปลี่ ยนเปนนึกออกทันที
“ทรายใชไหม?”
แมห างหายจากกัน  ๕-๖ ป ก็ยังมีเคาหนาแบบเดียวกับที่ เคยรวมหองเรี ยนสมัยประถมปลายพอให ระลึกถึงกันได
เด็กหนุ มยิ้ มกวางขวางขณะที่ เด็กสาวทําทาตะลึงแปดตลบ ทั้งสองหัวเราะพรอมกัน  เหลือเชื่ อที่ เรื่ องประจวบ
เหมาะขนาดพาเขาและหลอนมาพบกันอีกในสถานการณชนิดนี้  เหมือนมานแหงกาลเวลากระชากวูบเดียว เจอกันอีกที ตาง
ฝายตางก็เปลี่ ยนรูปรางเป นคนละคนแลว  เพียงแตยั งคงจําไดว าเปนเพื่ อนกันอยู
“ขอหลบแปบเถอะนะทราย”
“อือ… มากกวาแปบก็ได ไปเหยียบเทานักเลงมาจริงๆหรือ?”
จองฤกษเดินเขามาใกล เพราะบัดนี้ ไมใชคนแปลกหนาตอกันอีกแลว  เขารูสึ กโลงอกและหายเหนื่ อยไปกวาครึ่ง
“ยิ่งกวาเหยียบเทาหนอยหนึ่ง  เราเปดประตูห องน้ํ าไปชนเขา ทาทางคงคะมําไปโดนโถฉี่  เห็นโกรธจนลมออกหู
เลย”
ยังคงขยักไว ไมเลาใหแจมแจงแทงตลอดวาตนไปกวนประสาทสวนลางของฝายนั้ นอยางไร แตก็ทํ าเอาณชะเล
หัวเราะกิ๊ กไดเมื่ อจินตนาการตาม  เห็นฉากสั้ นๆคือเขาซุ มซามเปดประตูชนหลังนักเลงโตจนหัวเสียและวิ่ งไลตามมาเหยียบ
ทันที
๒๗
“นั่งกอนสิ”
เด็กหนุ มนั่ งลงพรอมกับหลอนตามคําเชิญ
“ทรายสบายดีเหหรือ ?”
“อื อ… ก็โอเค” เด็กสาวขี้ เกียจถามกลับตามธรรมเนียม เพราะทราบวาเพื่ อนชายกําลังอยู ในระหวางดวงไมดี แนๆ
“กอนวิ่ งพนมือพนเทามาไดนี่โดนไปตุ บสองตุ บหรือเปลา ?”
“ยัง”
“ตามมาหลายคน?”
“สักหาหกคนไดมั้ง แตเราลัดเลาะปนเขาบานคนมาเรื่ อยๆ นาจะพลัดกันเด็ดขาดแลว  แตกลัวพวกนั้ นอาจดอมๆ
มองๆคุมเชิงตามทางออกอยู  เลยอยากขอทรายหลบภัยสักเดี๋ ยวหนึ่ง ”
“เอาเถอะ ไมต องหวง ทรายมีองครักษพิทั กษความปลอดภัยให”
ณชะเลพูดยิ้ มๆพลางกมมองสุนั ขแสนรักของตน จองฤกษมองตาม พอจองมันก็โดนเหาบอกหนึ่ งเปนการประกาศ
วาอยาไดลองดี คิดกล้ํ ากรายเจานายของมันเชียวนะ เด็กหนุ มรู ส ึกขบขันและเห็นวาแมแตสั ตวก็ มี ความเชื่ อเฉพาะตั ว ถึงแม
ตัวกระจิ๋ วหลิว  โดนตบทีเดียวก็แดวดิ้ นแลว  ยังอุตสาหเชื่ อวามันมีหนาที่ ปกปองเจานายซึ่ งตัวโตกวาเปนสิบๆเทาไดอยางนี้
อีก นึกแลวนาฉงนนักวามันเอาความเชื่ อพรรคนี้ มาจากทองแมหรืออยางไร
“นารักดีนะเจานี่ ”
“ฤกษเรียนอยูที่ ไหนเนี่ย ?”
“ไผทพัฒน”
เด็กสาวพยักหนาอยางพอจะเคยไดยิ นชื่ อโรงเรียนมัธยมเอกชนแหงนั้ นมาบาง
“กะเอ็นฯคณะอะไร?”
“ยังไมคิ ดเลย”
“จําไดสนิทวาตอนเด็กๆเธอหมกมุ นกับคอมพมากที่สุ ดในโรงเรียน นาจะเลือกเรียนคอมพ นะ”
จองฤกษเหยียดยิ้ม ครานที่ จะตอบวาถาเลือกเรียนคอมพ  ก็กลัววาตนจะตองเป นฝายไปสอนอาจารยแทน!
ตางฝายตางพักเงียบ อาการจุกเสียดจากการวิ่ งยาวเริ่ มแผลงฤทธิ์  เด็กหนุ มงอตัวหนอยๆกอนยืดกายตรงและหายใจ
ลึกๆ ณชะเลนึกไดว าเพื่ อนอาจกระหายน้ํ าก็เบิกตานิดหนึ่ง
“วิ่งมาไกลคงเหนื่ อยแย เดี๋ ยวทรายเขาไปเอาน้ํ ามาใหดี กวา ”
“ไมต องหรอกทราย ความจริงเพิ่ งกินอิ่ มมาหยกๆ ตองวิ่ งยาวเลยจุกแอด  นั่งพักเฉยๆเดี๋ ยวก็หาย”
เด็กสาวยิ้ มให และเขาก็ยิ้ มตอบ เปนฝายถามหล อนบาง
“ทรายละ  ตั้งใจไวหรือยังวาจะเลือกอะไร?”
“ก็คงจะคอมพนี่ แหละมั้ง  รูสึกวาวิศวคอมพดึ งดูดใจดี”
เด็กหนุ มจองหนาเพื่ อนสาวดวยแววทึ่ง  เคาหนาเรียว นัยนตาดํากลมโตสองประกายสวย รูปทรงองคเอวแบบบาง
แตไมถึ งกับผายผอม รวมแลวชวนฝนเหมือนรูปการตู นญี่ปุน  โตขึ้ นหลอนยิ่ งนารักกวาที่ เขาเคยชอบแอบมองตอนเด็กๆ
เสียอี ก แตพอไดยิ นวาหลอนจะเลือกเรียนวิศวคอมพิวเตอร ก็ ทําใหประหวัดคิดถึงคําปรามาสของตนเองเมื่ อหยกๆ ที่วา
๒๘
ตามสถิ ติ ผูหญิงสวยมักปญญาออนในเรื่ องคอมพิวเตอร ยังไมทั นขามวันเขาก็มาสะดุดเขากั บ ‘ความจริ ง’ ที่ขัดกันกั บ
‘ความเชื่อ ’ ของตนเองเสียแลว
จองฤกษชอบบุคคลที่ เปนขอยกเวน  โดยเฉพาะอยางยิ่ งถาเปนขอยกเวนที่ค านกับความเชื่ อสวนตัวของเขา
ณชะเลเปนเพื่ อนในยามเยาววั ยเพียงคนเดียวที่ เขาระลึกถึงเสมอมา เคยนึกอยากรู มาตลอดวาปานนี้ชี วิ ตหลอนจะ
ยังเหมือนเขาอยู ไหม และเสียดายเสมอวาสมัยประถมไมตี สนิทใหมากกวานั้น  อยางนอยสืบถามที่ อยู หรือเบอรโทรศัพท
ติดตอไวเสียหนอยก็ยั งดี จะไดไมต องเอาแตคิ ดถึงอยางสูญเปลาอยู ตามลําพัง
หลอนเปนใครบางคนในชี วิตที่ เขาจดจําไดอยางแมนยําดวยเหตุผลหลายข อ ขอแรกคือดวงหนาชวนพิสมัยไม
เหมือนใคร ขอสองคือตางฝายตางเปนเด็กเงียบขรึ ม ไมสุ งสิงกับเพื่ อนๆเทาไหร เอาแตก มหนากมตาทําธุระของตัวเอง ซึ่ง
ไมค อยสมวัยเทาไหรนั ก  คุณสมบั ติ นี้ทําใหเขามองหลอนเสมอตน เหมือนสิ่ งที่ เขาคูกั นได ดี  เสียแตครั้ งอดีตนั่ งหางกั น
เกินไป
เพื่ อนหญิงคนนี้ยั งมีความพิเศษอีกอยางหนึ่ งที่ทํ าใหโดดเดนไมเหมือนใคร นั่นคือชื่อ  ‘ณชะเล’ ซึ่งหลอนเคยลุก
ขึ้นตอบครูภาษาไทยวาคุณพอคุณแมตั้ งใหเพราะเกิดที่ โรงพยาบาลชายทะเล พอคุณครูติ ดใจถามตอวาพี่ สาวหรือนองสาวมี
ที่มาของชื่ ออยางไรอี ก หลอนก็ตอบวามี พี่สาวชื่ อละอองฝนเพราะวันเกิดคุณพอตองพาคุณแมเขาโรงพยาบาลขณะสายฝน
เริ่ มโปรยลงมาเย็นฉ่ํา  จองฤกษฟงที่ มาของชื่ อหลอนแลวจําสนิท เพราะนึกถึงทีไรจะเห็นหลอนยืนเดนสดใสที่ ชายทะเลวั น
ฟาโปรยฝนทุกครั้ง
ที่พิเศษสุดคือหลอนมี วันเดือนปเกิดตรงกับเขา เพียงแตไมแนใจนักวาหางกันกี่ชั่ วโมง ชั่วชี วิตคนเรามีโอกาส
พบปะและรู จั กกับผู เปนสหชาติได นอยนั ก ตามสถิ ติคนสวนใหญไมเจอเลย หรือเจอก็แครู จั กกันหางๆอยางเขากับหลอน
จึงเคยนึกอยากเห็นกับตาประสาเด็กชอบตั้ งโจทยแปลกๆ วาถาเกิดวันเดือนปเดียวกั น ทุกอยางในชี วิตจะตองเดินตามรอย
เดียวกันไปดวยหรือไม โดยเฉพาะอยางยิ่งหากอยูร วมกัน  จะเกิดเรื่ องดีร ายพรอมกัน  หรือวายิ่ งคูณสองเข าไปอีก ?
วันที่ ชะตาลากเขากับหลอนมาพบกันควรเรียกอะไร วันแหงความบังเอิญมหาวินาศ วันแหงโชควาสนา หรือวา …
วันแหงความสมหวัง ? เขานาจะรู มาตลอดวาวันหนึ่ งตองเจอหลอนอีก  เปนความเชื่ ออยู ในสวนลึก  และมันก็กลายเปนความ
จริงในบัดนี้ แลว!
“ลูกสมุนของทรายจองเราจัง  ทาทางหวงเจานายนาดู ยังเปนลูกหมาอยูรึ เปลาเนี่ย ?”
“โตแลว แตจะดูเหมือนลูกหมาไปตลอดชีวิ ตนั่ นแหละ พันธุนี้สั งเกตงายๆ ถาเปนลูกหมาจะขนสั้น  ไมลากยาวเปน
ไมกวาดอยางที่ เห็น ”
“พันธุ อะไร?”
“ยอรกเชียร เทอเรีย”
“ออ… คุนๆหูนะ ทาทางเพาะไวขายลูกสาวเศรษฐีโดยเฉพาะ”
แคดูด วยตาเปลาใครก็รูว ามันเปนหมาไฮโซไว ประดับบารมี แตณชะเลรีบปฏิเสธพัลวัน
“ทรายเอาความนารักเปนหลักหรอก ไมไดกะไวอวดใครนะ แลวคนขายก็เปนญาติ กั น เลยซื้อไดถู กกวาราคาจริ ง
ในตลาดมากดวย”
“ชื่อมันละ ?”
๒๙
“อุยโหย!”
จองฤกษอมยิ้ม
“ดูหุนกับฟงชื่ อแลวนึกถึงตุกตาของเล นมากกวาอยางอื่น ”
“เขาถึงเรียกเจาพวกนี้ว าเปนพันธุตุ กตาหรือพันธุ ของเลนไง เห็นแลวมันเขี้ ยว”
พูดจบก็ประคองเจาตัวเล็กขึ้ นใกลใบหนา ยนจมูกทําทาคลายอยากฟดใหสมใจ ซึ่งมันก็กระดกลิ้ นเลียปลายจมูก
หลอนดวยความจงรักภักดี จองฤกษมองนายบาวดวยความรูสึ กผอนคลาย สัมผัสไดถึ งสายใยผูกพันแนนแฟนระหวาง
มนุษยกั บสัตว หายสงสัยวาทําไมธุรกิจเกี่ ยวกับสัตวเลี้ ยงจึงผุดขึ้ นเปนดอกเห็ ด ดูตัวอยางจากเพื่ อนสาวตรงหนาเขาแล ว ก็
เชื่ อเลยวาคงยอมเทหมดกระเปาใหกั บสิ่ งที่ หลอนพิศวาสแทบขาดใจขนาดนี้
ธรรมชาติของสัตวเลี้ ยงบางพันธุ เอื้ อใหจั บตัดนั่ นแตงนี่ จนเกไกดั งใจนึ ก เจาชี วิตผูมี สิ ทธิ์ผู กขาดสามารถกําหนด
ชะตากรรมของพวกมันยอมเกิดความผูกพั น ยอมทุ มเวลาดูแลรับผิดชอบยิ่ งขึ้ นเรื่ อยๆ โดยเฉพาะถาได รั บคําชมจากใครตอ
ใครวามี สุนัขนารักนาอุ มเหลือเกิ น หรือเปนที่ หนึ่ งในการประกวดสุนั ขแสนสวยสักครั้ง  ก็รับประกันวามีอะไรเปนตอง
ประเคนใหมั นหมด
สงยิ้ มผูกไมตรี กับเจาอุ ยโหย รู สึกออนโยนลงมากพอจะยื่ นมือไปใกลมั น ซึ่งก็ ยังความแปลกใจให กั บณชะเลเป น
ลนพน  ที่เห็นหมาจอมหยิ่ งของตนยื่ นปากเลียมือเพื่ อนหนุ มแผล็บๆ ทั้งที่ เพิ่ งเจอกันแคห านาที
“ประหลาดแฮะ มันยอมเลียมือฤกษด วย สงสัยเสนห แรง”
“ทาทางทรายรักมันมากนะ”
“เหมือนลูกเลยละ ”
“แสดงวาตองหวงนาดู ขออุ มคงไมให”
“ทรายนะใหฤกษอุ มมันได แตอุ ยโหยมันจะไมยอมให อุมนะซี แมแตคนในบานจะแตะหรืออุ มมันก็ไมยอม ยอม
ทรายคนเดียว ลองสิ”
หลอนยื่ นให และจองฤกษก็ทํ าทาจะยื่ นมือมารั บ แตผลก็อยางณชะเลบอกไวล วงหนา  เจาอุ ยโหยรีบมวนตัวหั น
หนากลับเขาสูอ อมอกนายสาวทันที แถมเหาบอกหนึ่ งเปนเชิงตวาดวาอยามายุ งกับชั้น  ซึ่งนั่ นคอนขางเปนธรรมชาติ วิ สั ย
ของหมาไฮโซจําพวกนี้
เด็กหนุ มหัวเราะหึหึ อยางไมติ ดใจถือสา
“พอแมทรายยอมลงทุนซื้ อเปนเครื่ องดึงดูดใหอยูติ ดบานมั้ง  ตอนทรายไมอยู  มันก็คงไมเลนกับใครและเหงา
นาดู อยางนี้ ทรายจะยอมตัดใจหางมันไปนานๆไดไง จริงไหม?”
“อิ อิ แมทรายรู อยางนี้  แลวก็คิ ดอยางนี้ จริงๆแหละ เคยเปรยดวยซ้ํ าวาพวกหมาของเลนนี่ เหมือนเกิดมามีหนาที่
เปนโซทองคล องขอมือลูกสาวไวอยูติ ดบานชอง ไมต องเรออกไปติดยาอีที่ ไหน”
ณชะเลคุยใหฟ งเรื่ องเจาอุ ยโหยดวยสุ มเสียงของคนมีความสุข ทาทางชี วิตหลอนคงเหมือนไขในหิ น เติบโต
ทามกลางความรักความอบอุ นในบานที่ เต็มไปดวยบรรยากาศปรองดอง  จองฤกษนิ่งมองดวยสายตาเล็งแลลึกซึ้ง  เขาเกิ ดวัน
เดือนปเดียวกับหลอน แตไมไดรั บการดูแลเอาใจใสในระดับเดียวกันเลย ดูหนาตัวเองในกระจกกี่ ครั้ งก็ไมเคยมี รังสี
‘คุณหนู’ ฉายเดนเฉกเชนที่ เห็นจากณชะเลแมแตน อย
๓๐
ทวานั่ นไมไดทํ าใหเกิดความริษยาแตอยางใด ตรงขาม เขากลับมองหลอนอยางชื่ นชมยินดี และมีความรูสึ ก
คลายไดร วมสวนแบงความอบอุ นในชีวิ ตหลอนมา เหมือนณชะเลเปนตนธารแหงความสุขที่ ใครๆเขามาในรัศมีแลวพลอย
ไดลอยคอสําราญไปดวย
“ทาทางชีวิตทรายเป นสุขดีนะ”
เอยทักอยางใจคิด  ณชะเลเหลือบแลเขาดวยแววฉงน
“เราเกิดวันเดือนปเดียวกัน  ชะตาก็น าจะใหเปนสุขพอๆกันไมใชเหรอ?”
จองฤกษตาโตดวยความคาดไมถึง
“ทรายจําไดด วยวาเราเกิดวันเดียวกัน ?”
“จะลืมไดไง คนเกิดวันเดือนปเดียวกันมีผ านมาใหรูจั กซักกี่ ราย”
เด็กหนุ มหัวเราะยินดี อยางนอยเขาก็ มี ความหมายพิเศษในความทรงจําของหลอนมากกวาแคเปนเพื่ อนนักเรียน
ประถม
“ชี วิตเราสนุก  แตไมเคยเปนสุขเทาทรายหรอก อยางนอยพอแมเราก็ไมเอาใจใสลู กๆเทาพอแมทรายแนนอน นี่ก็
สะทอนนะวาแคบั งเอิญเกิดวันเดือนปเดียวกันยังวัดไมไดว าจะโชคดีหรือโชครายกวากัน ”
เด็กสาวชะงักเล็กนอย ไมแนใจวาเขาเอยดวยอารมณไหน จึงไมกลาปลอบประโลมเหมือนจะแสดงความเห็นใจ
ใดๆ ไดแตเบี่ ยงประเด็นไปอีกทาง
“เจอฤกษแลวทําใหนึ กถึงโรงเรียนเกากับพวกคุณครูจัง ”
“นั่นสิ บังเอิญจริงๆนะที่ เรามาเจอกันอีก ”
ณชะเลยิ้ มแบบคนที่คิ ดอีกอยาง
“ทรายถูกสอนใหเชื่ อวาความบังเอิญไมมี ในโลก มีแตเหตุผลที่ เราไมรู ”
จองฤกษยิ้มแบบคนที่ เคยครุ นคิดเกี่ ยวกับเรื่ องทํานองนี้ มาแลวอยางละเอี ยด
“ถาพูดแบบคนขี้ เกียจคิดมากก็เรียกวาบังเอิ ญ ถาคิดแบบศาสนาอื่ นก็ต องบอกวาฟาเปนผูลิ ขิ ต  ถาคิดแบบพุทธก็
ตองบอกวากรรมเปนตัวกําหนด อยางนั้ นใชไหม?”
เด็กสาวยิ้ มพรายอยางสบอารมณ รูสึกวาเขาเปนเพื่ อนคุยที่ถู กคอดี
“ใช!” ชั่งใจครู หนึ่ งกอนหยิกนิดๆ“คนเราอยากมองแบบไหนก็มี ความจริงใหเห็นตามนั้น  อยางจะมองวาฤกษ
‘บังเอิญ ’ ตองเปนผูบุ กรุกก็ได หรือ  ‘ฟาขีดชะตา’ ใหจํ านนจนยอมเปนผู บุ กรุกก็ได หรื อ ‘เจตนากอกรรมทางกาย’ ปนปาย
กําแพงบานคนอื่ นจนตกอยู ในฐานะผูบุ กรุกก็ได สําหรับทรายสมัครใจเชื่ อวาคนเราอยู ในฐานะอะไรก็ด วยกรรมที่ ตนกอ ”
เด็กหนุ มหัวเราะเอื่ อย เพิ่ งตระหนักวาเพื่ อนสาวนอกจากนารักแลวยังฉลาดพูดดวย
“ถาเล็งกันในเรื่องกรรม ก็ ตองวาเมื่ อกี้ เราเพิ่ งวิ่ งหนีกรรมที่ ไปทําใหเขาโกรธมา แตถ าคิดยอนไปกอนหนาที่ เราจะ
กอกรรมละ  อะไรทําใหเราผลักประตูไปโดนลูกพี่ เขาในจังหวะนั้ นพอดี? แลวหลังจากวิ่ งหนาตื่ นใชกรรมอยูพั กหนึ่ง  อะไร
ละที่ส งทรายมานั่ งรอรับเราพอเหมาะพอเจาะในบานหลังนี้ ?”
“แรงดึ งดูดที่ มองไมเห็นไง”
คําตอบนั้ นทําเอาจองฤกษชะงักอึ้ง  และถึงกับครางทวนคํา 
๓๑
“แรงดึ งดูดที่ มองไมเห็น ?”
ณชะเลแปรสายตาไปมองกราดสิ่งแวดลอมรอบดาน
“ทุกวัตถุเหมือนมีแรงแมเหล็กดึงดูดอยูรู ไหม ตอนกําลังวิ่ง  ฤกษไมมี ทางสังเกตหรอกวาตัวเองกําลังแลนมาตาม
การนํารองของบางสิ่ งที่ อยู เหนือการรับรู ”
เด็กหนุ มขมวดคิ้ วจองมองเพื่ อนสาวดวยแววทึ่ง
“แลวเราจะพิสู จนไดยั งไงวาแรงดึงดูดนั้ นมีจริง  ไมใชแรงผลักของความบังเอิญ ?”
“เอาอยางนี้ก อน…” เด็กสาวขยับตัวตั้ งตรงดวยความกระตือรือรนเหมือนคนที่ เพิ่ งคนพบความลับแลวอยากบอก
ตอ“เธอวาฝามือเธอมีแรงดึงดูดแบบแมเหล็กไดไหม?”
จองฤกษหรี่ ตาแยกยิ้ มมุมปากขางหนึ่ง  กอนสายหนาอยางไมมั่ นใจนั ก ทาทางณชะเลเหมือนรูว ากําลังพูดอะไร
ในขณะที่หั วของเขาเต็มไปดวยความวางเปลา และเขาก็ ตองการทราบคําเฉลยมากกวาจะยอมรับวาเขาไมรู แมกระทั่ งเรื่ อง
มือของตัวเอง
“อยางนั้ นทรายจะใหทดลองอะไรงายๆที่ ฤกษจะไดอะเมซิ่ งทันที ลองนะ”
“โอเค!”
“ถูมือแรงๆสองสามหนจนรูสึ กรอน”
ณชะเลบอกเปนขั้ นๆ ซึ่งจองฤกษก็ทํ าตามทันทีอยางจะเอาใจ
“นั่นแหละ พอแลว  แรงมากเดี๋ ยวไฟลุก ” หามเขาหัวเราะๆ“คราวนี้ แนบมือประกบกั น”
เด็กหนุมประกบมื อพนม เคาหนาสงบเหมือนไหวพระ เด็กสาวเห็นแลวยิ้ มขําเล็กๆ
“คอยๆแยกมือออกหางกันสักฟุตหนึ่ง  ชาๆนะ สังเกตไอรอนระหวางฝามือที่ยั งตกคางอยูนิ ดๆ ถึงออกหางกันแล ว
ก็ยังชาๆนั่ นแหละ…  ที นี้คอยๆเคลื่ อนเขาหากันใหมช าๆ สังเกตดวยนะวาระหวางฝามือเหมือนเกิดแรงกระทําขึ้ นมา
ออนๆ”
จองฤกษยังไมรูสึ กชัดนักในรอบแรก แตพอแยกมือแลวเคลื่ อนกลับมาอีกหนจนเกือบประกบชิด  ก็เริ่ มตระหนักวา
มีพลังกระทําบางอยางเกิ ดขึ้ นระหวางฝามือจริ งๆ
“รูสึ กไหม?”
เด็กหนุ มพยักหนา
“อือม… รูสึกแลว ”
“ทําความรู สึ กไวที่ สนามพลังระหวางฝามือนั่ นนะ คราวนี้ตั ้งใหห างกันคงที่สั กครึ่ งฟุต  นั่นแหละ แคนั้ นแหละ…
แลวนึกกําหนดใหมั นเปนแรงดึงดูดที่ เขมขนขึ้น  คราวนี้ จะรูว าเธอมีอํ านาจควบคุมพลังที่ ไมเคยรูจักมาก อน”
เพียงณชะเลพูดนํานิดเดียว จองฤกษก็ พบดวยความอัศจรรยใจวาฝามือตนเกิดแรงดึงดูดราวกับมีกระแสแมเหล็ก
เหนี่ ยวนําใหเคลื่ อนเขาหากัน  หนวยตาของเขาเบิกกวางขึ้ นอยางทึ่ งๆ ริมฝปากเผยอยิ้ มงงงั น เคลื่ อนฝามือเขาออกทีละนอย
อยางเห็ นเปนการคนพบที่ แปลกใหม
“เปนไง?”
เด็กสาวถามกลั้ วหัวเราะ สมใจที่เห็นประกายตาเย็นชาเปนนิตยของเพื่ อนหนุ มทอแววจรัส 
๓๒
“เหมือนเลนกลเลยนะ”
เขาพึมพํา  และรับทราบดวยตนเองวาอาจกําหนดนึกใหสนามพลังอัดกันเปนกอนใหญก็ ได เปนแรงดึงดู ดก็ ได  เปน
แรงผลักก็ได เรงใหแรงก็ได ผอนใหเบาก็ได
“นี่แหละ พวกฝกรักษาโรคดวยพลังจิตบางสายก็เริ่ มตนจากการรู จั กแรงดึงดูดระหวางฝามือแบบนี้  ถาเธอรูสึ กถึ ง
พลังไดแลวเอาไปจอหนาผากคนปวดหัว  เขาก็อาจหายปวดหัว  ศาสตรเกี่ ยวกับปราณจะอธิบายวาเปนการเอาปราณของเธอ
ไปชดเชยปราณที่ ขาดไปของคนไข”
จองฤกษเมมปากยิ้ มและวางมือลงตัก  เงยหนามองเพื่ อนสาว
“ไมเจอกันนาน ทรายกลายเปนแมมดไปแลว ”
ณชะเลหัวเราะเสียงใส
“ความจริงนี่ ไมใชศาสตรลี้ลั บอะไรเลย เปนเรื่ องธรรมดาที่ เปดเผยอยู ตลอดเวลา ทุกคนมีเครื่ องมือรักษาโรคติดตั ว
มาแตเกิด  แตเราก็ไมรู จนกวาจะมีใครบอกใหลองใช”
เด็กหนุ มผงกศีรษะยอมรับ
“นาทึ่ งดี เพิ่ งรูว ามีพลังแฝงซอนอยู ในฝามือเราดวย นึกวามีแตในหนังจีนกําลังภายใน”
“นั่นแหละ อํานาจกรรมนาอัศจรรยยิ่ งกวานั้น  มันดึงดูดเธอไปเจอกับนักเลงได มันผลักเธอพนจากอันตรายแลว
ดึงดูดมาถึงบานทรายได”
ชั่ววูบนั้น  จองฤกษขนลุกแปลกๆ รูสึกเหมือนภาพที่ ปรากฏตรงหนาทั้ งหมดเปนการแสดงตัวของพลังบางอยาง
ใบหนาอันเปนที่รูจั กดวงนี้มิ ไดปรากฏในยามคั บขันโดยบังเอิญ บุคคล กาล สถานที่ต างมีสายใยถักทอเขาหากัน  สวนจะสง
แรงผลักไสหรือแรงดึงดูด  ก็ขึ้นอยูกั บเหตุป จจัยหนุนหลังที่ลึ กลับเหนือการรับรู  เขาเปนแคตั วอะไรตัวหนึ่ งที่ถู กคลื่ นกรรม
ซัดไปทางโนนทีทางนี้ที โดยไมทราบเหตุผล แลวพยายามเรียกความประจวบเหมาะทั้ งหลายวา  ‘ความบังเอิญ ’
สั่นศีรษะสลัดวูบความเห็นอันประหลาดนั้ นทิ้ง  กอนวกกลับไปถามจุดเดิม
“แลวอํานาจกรรมอะไรดึงดูดใหเราไปเจอนักเลง? คนแปลกหนาที่ ไมเคยรู จั กกันมากอนแท ๆ อยูดี ๆทําไมตองมี
เรื่ องกัน ?”
“ไมรู ” เด็กสาวตอบพลางยิ้มละไม “ทรายไมมี ญาณสัมผัสวากรรมในอดีตชนิดไหนสงฤกษไปเจอเขา ทรายแครู วา
การถูกตามไลล าครั้ งนี้ต องมีพลังอกุศลกรรมบางอยางอยู เบื้ องหลัง เพราะผลคือความเดือดรอนใจ และหวุดหวิดจะ
เจ็บปวดกาย”
จองฤกษก มหนาหลบ แวบนึกยอมรับวาถาเพียงเขาขอโทษขอโพยหมอนั่ นดีๆโดยไมมี ทิ ฐิ ก็ คงสิ้ นเรื่ องที่ หนา
ประตูห องน้ํ านั่ นเอง แตจะใหเขายิ้ มรับหนาชื่ นวาเปนฝายผิดคงยากหนอยละ  เจาเบื๊ อกนั่ นเสือกตะคอกคุกคามเขากอน
ทําไม
“จะบาปแตหนหลังปางไหนก็ ดี แลว เพราะในที่สุ ดก็ ทําใหเราไดมาเจอเพื่ อนเกา ทรายอาจเปนเหตุผลแทจริ ง การ
ประสบเหตุใหโดนไลกวดคงเปนเพียงตัวแปรตอนเรามา”
“ถาชะตาจะตองเจอกั น ถึงวันนี้ ไมวิ่ งหนี นักเลง พรุ งนี้ก็ ต องเดินชนกันในหาง” ณชะเลแยงดวยความเชื่ อมั่น “ทุก
คนบนโลกตางเป นกลไกอยู ในเครื่ องจักรขนาดมหึมา และทุกกลไกก็พรอมจะทํางานตามการควบคุมดูแลของกรรมเสมอ”
“ทรายรูเรื่ องอะไรพวกนี้ เยอะจังนะ ถากรรมวิบากมีจริง  เขาบอกไวไหมวามันแฝงอยู ในรูปพลังแบบไหน?”
๓๓
“บอก…” แลวหลอนก็สาธยายเสียงเรียบสม่ํ าเสมอคลายอานเอาตรงๆจากหนังสื อ“พลังของดินอยู ในรูปของ
ความแข็ ง พลังของน้ํ าอยู ในรูปของความเอิบอาบ พลังของไฟอยู ในรูปของความรอน พลังของลมอยู ในรูปของความพั ด
ไหว แตพลังกรรมจะอยู ในรูปของ‘ความจริง ’ ที่เคยมีเหตุเปนกุศลหรื ออกุศล”
จองฤกษเมมปากกอนทวนคําแบบคิดตาม
“พลังที่ อยู ในรูปของความจริง ?”
“ใชแลว  พวกเรารูจั ก  ‘ความจริ ง’  กันนอยไป ความจริงเปนสิ่ งไมกิ นพื้ นที่  ไมมี ขนาดรูปทรง และความจริงใด
เกิดขึ้ นแลวจะไมบิ ดเบี้ ยวตามเวลาที่ผ านไป แมความทรงจําของเราแปรปรวนเปนอื่น  จํากรรมเกาไมไดแลวก็ตาม”
เด็กหนุ มพยักหนาชาๆอยางคนเข าใจอะไรเร็ว
“อือม…”
“ขอเพียงมีเจตนากอเหตุการณ และมีเหตุการณเกิดขึ้ นจริงตามเจตนา เหตุการณนั้ นๆจะกลายเป น ‘สัจจะ’  ขึ้นมา
ทันที พลังแหงสัจจะนั้ นเองถืออํานาจดลบันดาลสูงสุด และทํางานทํานองเดียวกับกระจกเงา ใครกอภาพความสงบสุขแก
ผู อื่น วันหนึ่ งยอมเห็นภาพสะทอนเปนความสงบสุขของตนเอง ใครกอภาพความเดือดรอนแกผูอื่น  วันหนึ่ งยอมเห็นภาพ
สะทอนเปนความเดือดร อนของตนเอง”
จองฤกษกะพริบตาปริบๆ หนาวสันหลังยะเยือกชอบกล
“นากลัวนะ…” เอยแลวหัวเราะแปรงๆ“ความจริงคือเกิดมาเราไมค อยทําใหใครมีความสุขบอยเทาไหร”
“บอยเหมือนกันแหละนา ” หลอนรีบใหกํ าลังใจ“ฤกษเคยสอนเลขเพื่ อนๆเปนประจําไง ทรายเองก็เคยตองถาม
ฤกษสองสามหน จําไดสนิทวารู สึ กขอบคุณมากๆ เวลาออกจากทางตันได นี่คนเราจะปลอดโปรงโลงอกมากนะ วิทยาทาน
ที่เธอเคยทํานะ  ขอใหรู เถอะวาสรางความสุขกับเพื่ อนๆไวไมใชน อย”
ความดีในวัยเด็กยอนกลับมาสู ความทรงจํา  เขาไมเคยนึกถึง  อาจเปนเพราะชวงหลังคอนขางหวงวิชา หรือไมอยาก
เสียเวลาเพื่ อคนอื่ นนั ก คนเราพอประพฤติอยางใดนานเขาก็ลื มความประพฤติ ที่เปนตรงขามกันในอดีตไดสนิ ท แตยามนี้
เมื่ อเพื่ อนสาวเตือนใหระลึกถึง ‘ทาน’ อันเปน ‘ความจริง ’ ที่เคยทํา  ก็บังเกิดความอิ่ มอกอิ่ มใจอยางบอกไมถูก
“แคความดีเล็กๆนอยๆตอนยังเด็กเทานั้น  ทรายอุตสาหจํ าไดด วย”
ณชะเลยื่ นหนายิ้ มหวานใหราวกับยื่ นดอกไมแสนสวยเปนรางวัล
"เปนเด็กก็ ทําดี ยิ่งกวาผู ใหญไดนี่  ใครแบงละวาเล็กนอยหรือใหญโตแคไหน อาจเปนเพราะผลกรรมดี ขอนี้ก็ ไดที่
เบรกฤกษไวที่บ านทราย ทรายเคยคิดจริงๆนะวาอยากตอบแทนฤกษบ าง แตสมัยเรียนดวยกันไมมี โอกาสเลย”
“ขอบใจนะที่ทํ าใหระลึกถึงความดีเกาๆ เราเองลืมไปแลวดวยซ้ํา ”
เด็กสาวเลิกคิ้ วขึ้ นสูงดวยความรู สึ กแปรงๆกับคําพูดและทาทีของเขา นาที นั้นณชะเลพบวาหลอนและจองฤกษไม
เคยสนิทสนม ไมเคยรูจั กมักจี่กั นจริงจังเลย และชวงเวลาที่ห างเหินมานานก็ไมทราบวาเขากอกรรมดี รายมากมายเพียงใด
ดวย
ทั้งสองตกอยู ในความงันนิ่ งครู หนึ่ง  กอนที่ จองฤกษจะเหลือบไปเห็นหนังสือขางกายหลอน จึงไดเรื่ องทักทําลาย
ความเงียบ
“กอนเรามาถึงนี่ ทรายกําลังทําอะไร อานหนังสือธรรมะเหรอ?”
๓๔
แมอั กษรกลับหัวในมุมมองของเขาก็ไมไดเปนอุปสรรคในการรับรู แตอยางใด เห็นถนัดวาชื่ อหนังสือคื อ ‘เลือก
เกิดใหม’
“ใช… คงไมหาวาทรายแกแดดนะที่อ านหนังสือธรรมะ”
จองฤกษหัวเราะเบาๆ
“ทรายพูดจนเราเลื่ อมใสไดขนาดนี้  ถาไมมี ความชอบใจฝกใฝอ านหรือฟงธรรมะก็คงแปลกไปละ… ขอเราดู
หนอยไดไหม? ชื่อหนังสือนาสนใจดี”
ณชะเลหยิบและยื่ นหนังสือใหเขาตามคําขอทันที มันเปนพอคเกตบุคหนาประมาณ ๒๐๐ หนา ปกออนรูปประตู
๑๐ บาน เรียงกันเปนวงกลม ประตูแตละบานมี สี สันและลวดลายแตกตางกั น ทั้งสดใสเปนแกวเจียระไน ทั้งขาวสวางสาด
รัศมีกระจาง ทั้งแดงเขียวลายพรอย ทั้งทาเทาทึบทึ ม ไปจนกระทั่ งดํามืดขรุขระประดุจถาน ตรงใจกลางเปนคําโปรยปก
สองบรรทัดสั้ นๆวา
ใชชีวิ ตมาถึงไหน
คือเลือกเกิดใหมไปถึงนั่น
จองฤกษพลิกดูปกหลังเพื่ ออานขยายความตามวิสั ยทัศนของผู เขียนอีก
ชาติหนามีจริงหรือเปลาก็ไมรู
ผูใดตองพะวงกับเรื่องเกิ ดใหม?
ไวใกลตายคอยคิดกันทีหลังไมดี หรือ ?
ใช! เรื่ องนี้ เหมาะสําหรับคนใกลตาย!
เชนชายหญิงวัยทะนงในขาวอุบัติ เหตุ
หรือเด็กนาสังเวชในขาวเชื้ อโรคราย
และอาจรวมไดถึ งคนอานขอความนี้
ที่ไมอาจพยากรณการมาถึงของมัจจุราช
วาพลาดเมื่ อวานแลวจะเปนวันไหน!
ขนลุกอีกระลอก ปดหนังสือเงยหนามองณชะเลแลวพูดจากความรูสึก
“นาสนใจเหมือนกันนะ”
“เอากลับไปอานสิ ทรายให”
“แตเหมือนทรายอานคางไว  ยังไมจบไมใชเหรอ?”
“จบแลว แคเอามาอานซ้ํ าเพราะชอบนะ  ฤกษเอาไปเถอะ”
๓๕
หลอนคะยั้ นคะยอดวยรอยยิ้ มของคนอยากใหด วยความเต็มใจ จองฤกษสัมผัสกระแสความปรีดาจากการคิดให
ของณชะเลชัดกระจาง ขณะหลอนเอยคําสุดทายคลายมีประกายรัศมี สุขสวางวาบออกมา ราวกับแสงฟาที่ เห็นไดด วยตา
เปลา  เพิ่ งทราบจากประสบการณตรง วาคนที่ ใหอยางไมเสียดาย ใหอยางไมมี เงื่ อนไข ใหโดยหวังความเจริญรุ งเรืองแก
ผูรับนั้น  มีความนาอบอุ นชวนพิศวงเพียงใด
และประสบการณพิ เศษเพียงชั่ วขณะเดียวก็ จุดประกายความคิดไดมากมาย จองฤกษเพิ่ งเห็นประจักษ วาแมแตการ
ใหทานก็ มี ระดับสมัครเลนไปจนถึงระดับมืออาชี พ ณชะเลเพิ่ งสอนเขาผานความเปนตัวหลอนเอง นั่นคือผู ให ยอมเปนสุข
และผู ใหยอมไม เปนผู ขาด
“ขอบใจมากนะทราย…”
เอยไดเพียงสั้น  ความจริงเขาอยากตอใหมากกวานั้น  ทวาเต็มตื้ นกับคําวา ‘ขอบใจ’ ของตนเองวากลั่ นออกมาจาก
น้ําจิตบริสุ ทธิ์ลึ กซึ้ งปานใด เขายังไมเชื่ อเรื่ องกฎกรรมในธรรมชาติ แตเขานี่ แหละจะเปนผู สรางกฎแหงกรรมให กั บณชะเล
หลอนใหเขาหลายสิ่ งในวันเดียว วันหนาเขาจะใหหลอนมีทุ กสิ่ งตามปรารถนาไปทั้ งชีวิต !
ตอนที่  ๔ อุบัติเหตุ
ผูโดยสารซึ่ งเปนเด็กหนุ มในชุดเสื้ อยืดกางเกงสั้ นสะพายเปเครื่ องกีฬาบอกแท็ กซี่ ใหชะลอลง
“หลังขวามือขางหนานี่ แหละ”
รถจอดแอบทางซาย พฤหัสยื่ นแบงกร อยไปให โชเฟอรรั บมา เหลือบดูมิ เตอรเห็นเลขคาโดยสารขึ้ นมา ๕๕ บาท
พอดีก็ ถามวา
“มีเศษ ๕ บาทไหมครับ ?”
“ไมมี เลยพี่  ทั้งเนื้ อทั้ งตัวเหลือรอยเดียว”
คนขับเห็นผู โดยสารหนาตายังวัยรุ นเลยยกประโยชนให ทอนแบงก ๕๐ มาให ถวนๆ อยางคนมี น้ําใจ เด็กหนุ มยิ้ม
ที่ประหยัดลงตั้ง  ๕ บาท ใครวาสมัยนี้ เศษเงินไมมีความหมาย  อยางนอยก็ทํ าใหตาเปนประกายตอนไดเปรียบคนอื่น
“อา! ขอบคุณมาก โชคดีนะเฮีย ”
อวยพรเสร็จก็เถิบไปทางขวา ผลักประตูเปดผางเต็มอาตามนิ สัยชอบทําอะไรพรวดพราด ทันใดนั้ นเอง รถเจา
กรรมที่วิ่ งตามหลังมาเงียบๆ ก็เฉี่ ยวปลายประตู เกิดเสียงลั่ นกรุบของบานพับที่หั กกะทันหั น ประตูทั้ งบานหลุดกระเด็น
ออกไปกระแทกพื้ นโครมใหญและนอนแองแมงบนถนนใกลๆ  จากนั้ นจึงตามมาดวยเสียงเบรกลากยาวชวนสะดุง
“เฮย !!”
ทั้งโชเฟอรและผู โดยสารอุทานออกมาดังๆ พรอมกัน  โดยเฉพาะพฤหัสถึงกับมือเทาหดอยางใจหายใจคว่ํา  รู สึกวา
ขางตัวเปดกวางวางโลงชวนหวิ ว ผลของการอวยพรอยางขาดสติ สัมฤทธิ์ ผลทันใจ แตเปนในทางตรงขามกับคําอวยพร
สิ้นเชิง
“โอ ! ชิบหายเลย ทําไมนองเปดประตู ไมดู ตามาตาเรือยังงี้ละ ?”
๓๖
คนขับโวยวายทันทีหลังจากผานอาการตกตะลึงจังงัง  เด็กหนุ มขมวดคิ้ วเครง  แทนที่ จะสํานึกผิดกลับมองอีกฝาย
ตาขวาง
“ก็รถมันซี้ซั้ ววิ่ งเบียดขนาดนี้  เฮียจะใหผมทําไงเลา ?”
โชเฟอรหั นทั้ งตัวมาเมมปากจองผู โดยสารวัยรุ นดวยสายตาขุ นเคือง นึกอยากตบกะโหลกสักผัวะ คาที่ทํ าผิดแลว
ยังทะลึ่ งโยนบาปใหคนอื่ นอี ก แตเผอิญเด็กตัวโตกวา เกรงวาตบไปแลวจะเจอตบกลับเลยขี้ เกียจมีเรื่ อง และเมื่ อเหลือบไป
เห็นเจาของรถอีกคันเดินลงมาก็เปดประตูผลุนผลันลงไปเพื่อเจรจาค าเสียหาย
“เปนอะไรมากไหมครับ?”
โชเฟอรวั ยกลางคนถามนําเปนการแสดงความหวงใย พฤหัสมองตาม เมื่ อพบวาเจาของรถเคราะหร ายเปนผู หญิ ง
แถมสวยเสียดวย จึงทําใหลื มรักตัวกลัวความผิ ด ปนหนาสงบลุกขึ้ นยืนแสดงรางสูงเต็มสัดสวนบาง ทั้งที่ ตอนแรกกะวาจะ
นั่งคุมเชิงดูเหตุการณเฉยๆ กอน
สาวในชุดสูทสีครีมขยับจะตอบโชเฟอรแท็กซี่  แตพอเห็นพฤหัสก็หั นขวับมาทางเขาแทน ตางสบตากันนิ่ งใน
ระยะหาง รอบดานราวยุติ ความเคลื่ อนไหวลงชั่ วขณะ สีหนาเครงเครียดของหลอนคลายลงราวกับมีกระแสพลังเย็นเฉียบ
โจมจับฉับพลัน
ความคมคายในรางสูงของหนุ มนอยเสมือนมนตสะกดตรึงใหอึ้ งเฉย กระทั่ งเขาเปนฝายเอยกอนอยางสุภาพ
“ขอโทษนะครับพี่  ผมเผลอไป”
อเวรากะพริบตาถี่ๆ
“เออ ...คะ” แลวหลอนก็เบนสายตามาทางแท็ กซี่ “เดี๋ ยวคงตองเรี ยกประกันกอน ชวยเรียกของฝายคุณดวยนะคะ”
ทาทางหลอนลุกลี้ลุ กลนเล็กนอยเมื่ อเปดกระเปาหยิบโทรศัพทมื อถื อ ทั้งที่ เมื่ อครูยั งดูสงบนิ่ งอยางหญิงเกงที่ เผชิ ญ
ทุกสถานการณไดอยูดีๆ
พฤหัสเหลือบมองประตูแท็กซี่ บนพื้ นซึ่ งนอนงอเล็กนอย กระจกราวเปนใยแมงมุมทั้ งบาน แลวสะบัดหนาไม
แยแส พารางสูงไปสํารวจความเสียหายของโตโยตาวีออสสีบรอนซเงินซึ่ งดับเครื่ องจอดเปดไฟกะพริบอยูข างหนากวาสิ บ
เมตร กมๆ เงยๆ ดูทั่วแลวพบวามุมซายดานหนาบุบไปพอสมควร แตไมถึ งกับยับเยินเพราะแคกระแทกผาน มิใชการชน
ของทึบหนัก
สรุปคือฝายแท็กซี่ เปนผู ไดรั บความเสียหายมากที่สุด  ประตูด านขวาตอนหลังหลุดออกมาทั้ งกระบิ พฤหัสเดิ น
กลับมาดวยสีหนาเรียบเฉย เห็นโชเฟอรท าทางหัวเสียงุ นงานมากขึ้ นเรื่ อยๆ พยายามพูดอธิบายผานโทรศัพทมื อถือให
พนักงานประกันภัยเขาใจเหตุการณทั้งหมด  หญิงสาวเจาของวีออสก็เชนกั น ทุกฝายกําลังสงสัยวาใครผิ ด ใครจะตองชดใช
คาเสียหาย
ธรรมดาโลกก็อยางนี้ เอง พอเกิดเรื่ องเกิดราวขึ้ นทุกคนรู ว าตองมีใครสักคนรับผิดชอบ เพียงแตส วนใหญไมรู กฎ
และตองรอคนอื่ นซึ่ งรับหนาที่  ‘ดูแลกฎ’ มาตัดสิ น โดยเฉพาะกฎซึ่ งไมมี อยูก อนในธรรมชาติ แตมาเกิดขึ้ นหลังจากมนุษย
พากันสราง ‘กฎหมาย’ ขึ้นมา
พอคู กรณีต างพูดโทรศัพทกั บประกันของตนเสร็จก็หั นหนาเขาหากัน
“ซวยชะมัด  อยางนี้ ผมคงวิ่ งไมไดอี กหลายวัน ”
๓๗
อเวราทําหนาเห็นใจ แตไมทราบจะปลอบอยางไรถูก  เพราะรถของหลอนก็ช้ํ าไปเหมือนกัน  จึงแคพึ มพํา
“นั่นสิ”
แท็กซี่หันมามองเด็ กหนุ มเคืองๆ
“เฮ อ! นองไมน าเลย ประกันฯ บอกมาแลววานองผิดเต็มประตู พี่จอดแอบซายถูกตอง นองเรียกพอมาจายทั้ งสอง
ฝายเถอะ นี่ไมไดวิ่ งอีกหลายวันคงตองขอคาเสียหายเพิ ่ม”
“เอายังไงก็เอาเถอะ เดี๋ ยวใหประกันฯ มาตัดสินกอน”
พฤหัสพูดแบบแข็งใจขมโทสะ ไมใชเรื่ องนาพิสมัยนักกับการโดนแท็กซี่ด าทอตอหนาสาวสวยเมื่ อแรกพบ
“เขาไปรอประกันฯ ในบานเถอะครับ นี่บานผมเอง”
หันมาชักชวนหญิงสาวแบบเจาะจง
“ไมล ะคะ  ขอบคุณ  พี่ขอนั่ งรอในรถแลวกัน ”
เด็กหนุ มยิ้ มแบบไมขั ดใจ
“ก็ไดครับ งั้นเดี๋ ยวผมเขาไปเอาน้ํ ามาให”
โดยไมฟ งคําทัดทาน พฤหัสเดินไปฉวยเปเครื่ องกีฬาจากเบาะทายแท็กซี่  แลวเปดประตูรั้ วหายเขาบานไปครู หนึ่ง
กอนออกมาพรอมน้ํ าแกวเดียว เดินดุ มไปยังรถวีออส
“พี่ครับ...น้ํา”
อเวรารับแกวพรอมจานรองดวยมือขวา แยมยิ้ มแทนคําขอบคุณ  หลอนเปดประตูด านคนขับไวครึ่ งหนึ่ งและกําลั ง
คุยโทรศัพทค างกับใครอยู  พฤหัสลงนั่ งที่ ขอบปูนหางออกไปเล็ กนอยเปนการแสดงท าวาจะเฝารอเปนเพื่ อน หญิงสาวปราย
หางตาหวานเหลือบมอง เจอยิ้ มซื่ อดูน าอบอุ นของเด็กหนุ มที่ยิ งเขาตาแลวเสียวหัวใจขึ้ นมาแปลบหนึ่ง  จึงกดปุ มพักสายกั บ
คูสนทนาชั่ วคราว
“นองเขาไปรอในบานก็ไดนะคะ เดี๋ ยวประกันฯ มาแลวพี่ จะกดออดเรียก”
“ไมเปนไรครับ ขอนั่ งเปนเพื่ อนพี่ สบายใจกวา ”
อเวราอ้ําอึ้ง  เขาแสดงความรับผิดชอบแบบไรมารยาทสิ้ นดี หลอนคุยโทรศัพทอยู เห็นๆ ยังมานั่ งเสียใกลราวกับจะ
ขอฟงดวยคน แตหญิงสาวกลับปราศจากความขุ นใจใดๆ เพราะแมใบหนาอีกฝายเยาววั ยกวามาก แตสายตาของฝายนั้ นมี
แรงดึงดูดราวกับแมเหล็กทรงอํานาจเหนือหลอน สามารถสะกดใหนึ กอยากโอนออนยินยอมตามใจ ลมลางเหตุผล
ตามปกติของคนแปลกหนาที่ เพิ่ งพบกันไดสิ้น
“เออ . . .พี่หนอง” หลอนหันกลับไปพูดกับผู อยู ในสาย“ขอคุยกับนองในรถแท็กซี่ก อนนะคะ อื อ. . .เดี๋ ยวประกันคง
มา ไมกี่ นาทีหรอกมั้ง  คะๆ...แลวเดี๋ ยวโทร.ไปเลาใหฟ งวาเปนไง”
พอหญิงสาวพับปดมือถือ  พฤหัสก็ยิ งคําถามทันที
“แฟนพี่ เหรอครับ ?”
ความจริงไมใช แตอเวราไมเห็นความจําเปนตองตอบอยาง จึงทําทีเมินเก็บมือถือเขาซองเฉย
“ผมชื่ อตอยนะพี่  พี่ชื่ออะไรครับ?”
อเวราเกือบไม ตอบ แตแลวก็เปลี่ ยนใจยอมบอก
“ชื่อเคกคะ ”
๓๘
“โอโฮ! ชื่อนากินจัง ”
หญิงสาวเบนหนาไปอีกทางหนึ่ง  สุมเสียงกับวาจาที่ เปลงจากปากเขาแตละคําสอชัดถึงเจตนาไตกระไดขามรุน
คะเนวาอยางนอยเขาตองออนกวาหลอนไมต่ํ ากวา ๕ ป ขึ้นไป นาแปลกบางก็ตรงที่ จนแลวจนรอดหลอนยังไมยั กนึกอยาก
ปดประตูรถใสหนาเขาอยูดี
“เราอยู หมูบ านเดียวกันแทๆ  แตผมไมเคยเห็นพี่ เคกเลย”
“พี่อยู มานานแลวคะ  เกือบสิบปแลว  ตั้งแตน องตอยอายุไมถึ งสิบขวบมั้ง ”
อเวราใชน้ํ าเสียงเตือนอยู ในทีใหระลึกถึงความตางระหวางวัย  ทวานั่ นดูเหมือนไมไดทํ าใหเด็กหนุ มรูสึ กรู สาเทาใด
นัก
“โห! นานขนาดนั้ นเลยเหรอ? ผมนาจะเจอพี่ เคกที่ ไหนบาง อยางนอยก็ตอนกินขาว”
“พี่ก็ขับผานหนาบานตอยมาตลอดนั่ นแหละ แตไมค อยทานขาวแถวนี้บ อยนักหรอก ”
พูดแลวเอี้ ยวตัวไปควาโนตบุ กคอมพิวเตอรมาจากเบาะดานหลั ง กางขึ้ นกดปุ มเปดเครื่ องเพื่ อใหเกิดมานบางๆ ลด
ความรูสึ กวากําลังสนทนากับเด็กหนุ มโดยตรงอยางเดี ยว
“เปดคอมพวิ เคราะหดวงเหรอฮะ? ดีเหมือนกัน  ผมกําลังอยากรูว าทําไมวันนี้มื อซวยนัก ”
อเวราอดหัวเราะไมได หมอนี่ท าทางเจาชู และมี ลูกเลนแพรวพราว อยางนอยก็ทํ าใหหลอนเผลอนึกสนุก รูสึ ก
คลายกลายเปนเด็กสาวรุ นกระเตาะที่ถู กหนุ มนอยวัยเดียวกันตามจีบ
“พี่ไมเชื่ อหรอกคะวาวันเดือนปมาเกี่ ยวกับความเฮงความซวย คนเราประพฤติใหเฮงมันก็เฮง”
พฤหัสยิ้ มนิดๆ หลอนละคําที่ ควรเติมใหเต็มคือ ‘ประพฤติใหซวยมันก็ซวย’ ไวไดอยางนารัก  จึงชักถูกใจพี่ สาวคน
นี้มากขึ้ นเรื่ อยๆ
“ถาการดูดวงคือการเอาสถิ ติมาพูด สวนใหญก็ ตรงนี่ ฮะ อยางผมเกิดวันพฤหั ส ตามดวงคือมองโลกในแงดี  ไม
อยากทําใหคนอื่ นเจ็บปวด แลวก็รักใครรั กจริง  ใจนิ่ งกับคนรั กคนเดียว ผมวาตรงเผงเลย”
อเวรายิ้มมุมปาก ในเมื่ อเขาตีสนิทรวดเร็ว  หลอนก็ถื อวาพูดไดไมต องเกรงใจเชนกัน
“บังเอิญมั้ งคะ ที่พี่เห็นนะ ถานิ สัยแทจริงออกมาไมตรงกับดวงประจําวันเดือนป ก็จะมีหมอดูแกแบบดิ้ นไปได
เรื่ อยๆ เชนเวลาตกฟากหรือขางขึ้ นขางแรมมีส วนกําหนดใหความรูสึ กนึกคิดดั้ งเดิมแปรปรวน”
“แตของผมไมแปรปรวน!”
เด็กหนุ มยิ้ มเถียงแบบดื้อตาใส  หญิงสาวเลิกคิ้ วเล็กนอย
“ก็ ดี คะ เพราะคุณสมบั ติ ของคนวันพฤหัสที่น องวามา ทําใหพี่ เกิดไอเดียอยางหนึ่ง  คือถาทุกคนสั่ งหมอผาทองเอา
ลูกตัวเองออกในวันพฤหัสเหมือนกันหมด โลกคงเต็มไปดวยคนหนาใสใจซื่ อมั้ง ”
“แลวพี่ เคกละ  เกิดวันอะไร? ผมจะทายใหดู ”
อเวราเห็นความแนบเนียนของเด็กหนุ มในการเขาถึงเรื่ องสวนตั ว เพื่ อกอความรู สึ กเปนกันเองดวยคําพูดเพียงไมกี่
คํา ใจหนึ่ งเกือบตอบเพื่ อลองดูว าเขาจะใชความรูแบบหมอดูกํามะลอพยากรณ อะไรหลอน แตอี กใจก็ไมอยากเปดทางสนิ ท
กับเด็กเร็วนัก  มิฉะนั้ นเด็กจะหาวา  ‘เลนดวย’ และสรุปวาเขามีสิ ทธิ์ข ามรุน 
๓๙
หญิงสาวใชสายตามองหนาจอคอมพิวเตอรเฉย นิ้วเคาะปุ มคี ยบอรดตอกๆ ๆ เลื่ อนดูข อมูลในโปรแกรมไดอารี่
ที่ปรากฏขึ้ นมาโดยอัตโนมัติ
“พี่เคกทํางานอะไรครับ ? ทาทางเหมือนนักวิเคราะหประจําบริษั ทใหญที่ ไหนสักแหง ”
“ไมใชนั กวิเคราะหหรอกคะ  เปนแคเลขาฯ เทานั้น ”
“สมัยนี้ เลขาฯ ถูกใชเสียหัวป นจนไมมี เวลานินทานายเลยใชไหมพี่ ?”
เลขานุการณีสาวหัวเราะออกมาอีก
“ก็นินทาไดเรื่ อยๆ เมื่ อมีโอกาส แตเผอิญเจานายคนปจจุบั นนี้ดี  เรื่ องนานินทาเลยนอยหนอย”
พฤหัสระบายยิ้ มกริ่ มไมจางจากใบหนา  เลขานุการที่มี เงินเติมน้ํ ามันรถคงไมใชไดเงินเดือนแค ๗-๘ พันแนนอน
หลอนคงเป นเลขาฯ ระดับที่ต องจบโทกระมัง
“พูดเหมือนเปลี่ ยนนายมาหลายคน แสดงวาพี่ เคกทํางานมาหลายปหรื อ? ทําไมหนาตาออนจั ง ตอนแรกเก็งวาหาง
จากผมไมเกิน  ๓ ปเปนอยางสูง ”
“นองตอยอายุเทาไหร?”
“สิบเจ็ด ”
อเวราถอนใจ
“ของพี่ยี่สิ บสี่  คนละรุ นกันเลย!”
หญิงสาวบอกด วยเสียงขึ้ นจมูก  ตอนทายลงน้ํ าหนักแบบขมเด็กหนอยๆ
“ฮา!” เขาทําเสียงตกอกตกใจ “ตั้ง ๒๔ แลว? ถาหลอกผมวาเปนรุ นนอง ม.๔ ยังอยากเชื่ อซะมากกวา ”
“ประกันฯ เมื่ อไหรจะมาก็ไมรู เนอะ นานจัง ”
อเวราเบี่ ยงเบนทิศทางสนทนาอยางจงใจขอคุยเรื่ องไกลตัว
“เดี๋ ยวก็มาครับ เพิ่ งไมกี่ นาทีเอง”
“นองตอยโทร.บอกคุณพอหรือยังคะ?”
“ยังครับ ตองโทร.เลยเหรอ?”
“ก็ควรจะอยางนั้น  ใหคุ ณพอรับรู  เพราะตอยเปนคนผิดแนๆ และคงเซ็นยอมรับอะไรเองไมไดอยู แลว  พี่คุยกั บ
ประกันฯ เห็นเขาว านะ”
“แลวพอผมจะตองโดนแคไหนเนี่ย ?”
“ก็ตองดูพวกประกันฯ ประเมินความเสียหาย...พี่ใหยื มมือถือเอาไหม?”
“ดีเหมือนกันฮะ”
อเวรายื่ นโทรศัพทเครื่ องจิ๋ วใหกั บ  ‘ตัวซวย’ ประจําวันเงียบๆ พฤหัสรับแบบลอบชอนมือสัมผัสหลังมือนิ ่มของ
หญิงสาวจนฝายนั้ นกระตุกกลั บ ขมวดคิ้ วจองดวยสีหนาไมพอใจ เด็กหนุ มทําเปนไมรู ไมชี้  กดเบอรบิ ดาแลวยกขึ้ นแนบหู
รอ พอผู อยู ปลายทางรับสายก็เอยเสียงเรื่ อยเฉื่ อยเหมือนทักทายธรรมดา
“พอเหรอ นี่ตอยพูด ...แปบเดียวพอ  ไมมี อะไรมาก คือรถมาชนกันหนาบานเรา ตอนนี้ รอประกันฯ อยู . . .ออ. . .เออ. . .
จะเรียกวายังไงดี คือเปนความเกี่ ยวของกับตอยโดยบังเอิญนะ. . .โอ ย!  ไมขนาดนั้ นหรอก ผมเปดประตูแท็กซี่ แลวมี พี่คน
๔๐
หนึ่ งขับรถผานมา เขาเลยสอยรางวัลใหญไปพอดี. . .ไมโวยวายหรอกพอ  พี่เขาเปนคนนารั ก เวลามองผมทาทางเหมือน
สงสารลูกหมาตัวหนึ่ งดวยซ้ํา . . .ครับๆ นั่นแหละ ทุกคนกําลังรอประกันฯ อยู  พี่เขาแนะใหผมโทร.มาบอกพอกอน. . .นั่งอยู
ตรงหนานี่ แหละ ถาเขาโวกเวกปานนี้พ อไดยิ นแลว ...นั่นสิ ผมก็ วางั้ นแหละ โอเค เดี๋ ยวมีความคืบหนายังไงจะโทร.บอกอี ก
ที พอไมต องหนักใจนะ เรื่องเล็ กครับ”
พฤหัสกดปุ มตัดสัญญาณและยื่ นคืนเจาของ อเวรามองหนาเขาแบบกลั้ นยิ้ม
“ใครมองใครเหมือนสงสารลู กหมาตัวหนึ่ งไมทราบ?”
“ลอเลนนา  พอผมเขาเปนหวง กลัวโดนคู กรณีรั งแก ผมพยายามใหเขารูอ อมๆ ไงวาพี่ เปนผู หญิง ”
“ตอใหเปนผู ชาย ใครจะรังแกเธอได ตัวสูงเหมือนตนตาล ”
“ผมตัวสูงเสียเปลา  แตไมค อยชอบตอสู  พอเลยเปนหวงเสมอ ขนาดโดนตบบองหูหยามศักดิ์ ศรี ยังเฉย ไมโตตอบ
สักนิด ”
“ใครตบ?”
“หลานผม!” เขาตอบหน าตาย“อายุแคสองขวบผมยังไมกลาทําอะไรมันคืนเลย”
อเวราหัวเราะออกมาเต็มเสียง พฤหัสยิ้ มนิ่ง  เสียงหัวเราะเปดเผยของผู หญิงบงบอกถึงการยอมสนิ ท ไมแปลกหนา
ตอกันเทาไหรแลว
“แปลกนะ” พฤหัสรําพึงดวยความรูสึ กที่ แทจริง “ทําไมผมไมเคยเจอพี่ เคกมาก อนเลย”
“ก็ไมเห็นแปลกนี่  หมูบ านเราไมใชเล็กๆ ถาพี่ ออกไปซื้ อของปากซอยก็จะเดินหรือขี่จั กรยานอีกทาง” อเวราเบะ
ปากยิ้ มและกอดอกกระตุกไหลหนอยๆ“ตอใหอยู หมูบ านเดียวกันก็เถอะ เราอาจไมไดเจอกันเลยทั้ งชาติ ถาเมื่ อกี้ต อยแค
เปดประตูอยางมีสติ!”
“พี่เคกเชื่ อเรื่ องพลังลึกลับไหม?” เขาพูดดวยน้ํ าเสียงทีเลนทีจริ ง “คนเรามักเจอพลังภายนอกบางอยางมากระทํา
อาจทําใหขาดสติ หรืออาจตัดสินใจแปลกๆ อยางที่ ไมเคยเปนมากอน”
อเวราอดยิ้ มขันไมได เริ่ มใชหางเสียงสะบัดเหมือนตอปากตอคํากับหนุ มรุ นเดียวกัน
“อํานาจพลังซุ มซามนะสิ! ทาทางเธอมีอยู อยางเหลือเฟอเลยละ ”
“มาย…” เขาปฏิเสธยานคาง“ผมกําลังพูดถึงพลั งบางอยางที่ส งมาจากดวงดาวตางหาก ”
หญิงสาวหรี่ ตานิดหนึ่ง  ทาทางเขารวยอารมณขั นและใหความบันเทิงกับผู หญิงทุกคนที่ อยู ใกลไดตลอดเวลา คุย
กันพักเดียวเหมือนรูจั กมาหลายป ใจหนึ่ งเตือนตัวเองใหระวั ง แตอี กใจหนึ่ งก็สดชื่ นเหมือนดอกไมบานและไมอยากหุบลง
เร็วนัก
“แปลวาดวงดาวสงเธอมาหาพี่ เหรอ?”
อเวราขยายหนวยตาจับจองเด็กหนุม  เริ่ มจุดยิ้ มเลนนัยกับเขาบาง ไมรูสึ กวาตนเปนไกแกแมปลาชอนสักเทาไหร
ในเมื่ ออีกฝายเปนคนเริ่ มกอน พฤหัสสานตากับหญิงสาวดวยแววรื่ นรมย และคราวนี้ หลอนก็ไมหลบเลี่ ยง คลายเริ่ม
ประกาศวาถาเธอแนฉั นก็แนเหมือนกัน !
มอเตอรไซคคั นหนึ่ งชะลอความเร็วลงและจอดสนิทใกล กั บแท็กซี่  เรียกความสนใจจากสองหนุ มสาวให หั นเหไป
ทางนั้ นแทน
๔๑
“ประกันฯ มาแลวมั้ งพี่ เคก ”
พฤหัสเดาวาคงเปนเจาหนาที่ จากบริ ษัทแนนอน ผูมาใหมเปนชายรางอวนใหญ หนาตาเครงเครียด ทาทางเหมือน
พรอมจะหาเรื่ องกับทุกคนในโลกไดตลอดเวลา นายคนนั้ นพูดเปนงานเปนการกับแท็กซี่ อยู ครู เดียวก็หั นมาทางพฤหัส
กับอเวรา กอนเดินดุ มมาหา พอใกลระยะก็ถามเด็กหนุ มดวยทาทีของคนที่ ถนัดจู โจมเปาหมายทุกเมื่ อเชื่ อวัน
“นองใช ไหมเปนคนเปดประตู เปดู รถวิ่ งมาเลยเหรอ?”
“คุณเปนประกันฯ ฝายไหนครับ?”ดไมได
พฤหัสยอนถามดวยน้ํ าหนักเสียงของคนไม ยอมใหใครขมงายๆ
“ฝายแท็กซี่ ! โชเฟอรเขาทําถูกตองแล ว คือจอดแอบซายตามกฎ แลวปกติ ผูโดยสารตองออกทางดานซาย อยางนี้
คนขับไมต องรับผิดชอบ อายุเทาไหรแลวเรา?”
ลีลาพูดและวิ ธีถามแบบทนายทําใหพฤหัสเลือดขึ้ นหนา  เพราะไมอยากใหอเวราเห็นเขาเปนเด็กที่ถู กใครขี่ เลน
งายๆ หากอยูกั นเดี่ ยวๆ ตัวตอตั ว ใครมาทานี้ คงโดนเขาเตะกลางถนนเขาใหสั กปาบแลว  สูงพอๆ กันดันทะลึ่ งจะขยมกั น
ตั้งแตแรกพบทีเดียว
“สิบเจ็ด !” ตอบหวนสั้น  “ผมจะไปรู ไดยั งไงวาใครออกกฎใหลงทางซาย ไมเคยมี ใครบอกซักคํา ”
เจาหนาที่ ประกันฯ โยกศีรษะไปมาอยางแรง
“ไมด าย! กฎหมายบอกไวว าทุกคนตองรู กฎ!”
“บะ! อยางนี้ก็ ไมยุติ ธรรมนะซี คนไมรู จะบังคับใหรู ไปทุกอยาง กฎมีตั้ งกี่ หมื่ นขอ ”
ทราบดีว าเถียงไปก็ป วยการเปลา  แตทั ้งนี้จุ ดประสงคของพฤหัสแคจะอัดกําลังเสียงสูกั บชายรางใหญมากกวาอยาง
อื่น ซึ่งก็ไดผล เจาหนาที่ ประกันฯ เริ่ มเสียงออนลงดวยเห็นวาอีกฝายไมทํ าตัวเปนหมูใหเคี้ ยวงายนั ก เขาถูกสอนมาใหเห็ น
ฝายตรงขามของลูกคาเปนเปาจู โจมไวก อน การถลมเปาให พั งไดอาจหมายถึงการเรียกคาเสียหายเปนกอบเปนกํามากขึ้น
“ธรรมชาติของกฎเปนอยางนั้ นแหละ ไมว าจะกฎหมายประเทศไหน ใครผิดก็ ตองตัดสินตามกฎ มายงั้ นคนก็ อาง
ไมรูถื อวาไมผิ ดกันทั้ งเมืองนะซี...บานนองหลังไหน ตามพอแมมาคุยดีกวา ”
“หลังนี้ แหละ” พฤหัสชี้ ตอบหวนๆ“พอผมยังมาไมไดหรอก”
“ถามาเดี๋ ยวนี้ ไมไดก็ ไปวากันที่ โรงพัก !”
นายอวนกระแทกคําวา ‘โรงพั ก’ ดวยหวังจะใหเด็กหนุ มฝอและจินตนาการไปถึงการติดคุกติดตาราง แตเด็กหนุม
กลับหัวเราะหึหึ และลากเสียงยาวตอบ
“ดาย! สารวัตรธงไชย สน.ใกลๆ นี้กินเหลากับพอผมเปนประจํา  เดี๋ ยวไปถึงแลวใหช วยไกลเกลี่ ยคงงายขึ้น ”
ตัวแทนประกันภัยผินหนาไปอีกทาง เขาทําคดี ที่มีเด็กเกี่ ยวของมาหลายหน และเห็นความคลายคลึงชนิดนี้ หลาย
ครั้ งจนไดข อสรุปวาเด็กสมัยนี้ กลาสู  กลาเถียง แลวก็มี ความกาวราวสูง  ทําใหเลนงานไดไมถนัดนัก
“ถามหนอยเถอะคะ  สําหรับดิฉั นมีขั้ นตอนอะไรยุ งยากมากไหม?”
นายอวนหันมามองหญิงสาว พูดจานุ มนวลตางจากที่คุ ยกับพฤหัสเปนคนละคน
“เดี๋ ยวประกันฯ ฝายของคุณมาก็คงซักอะไรแท็กซี่จิ ปาถะ เปนตนวาทําไมไมล็ อกเบบี้ เซฟ ซึ่งก็เอาผิดอะไรกับ
แท็กซี่ ไมไดหรอก คุณกับแท็กซี่ เซ็นอะไรที่นี่ สองสามแกร็กก็กลับบานได แตน องคนนี้ คงมี ธุระยาวนิดหนึ่ง  เดี๋ ยวผมกั บ
๔๒
ประกันฯ ฝายของคุณคงต องพาเขาไปโรงพักดวยกันเพื่ อที่ จะลงบันทึกประจําวันวาเขาเปนฝายผิดและตองชดใช แคไป
ถึงนี่ก็ต องเสียคาปรับแลวสี่ร อย แลวพอของเด็กก็ต องมาเซ็นยินยอมรับผิ ด ทางบริ ษัทจะเรียกเก็บคาซอมจากพอเขา
ภายหลัง ”
“แยจัง  ถาชวยอะไรนองเขาไดก็ คงจะดีนะคะ”
น้ําเสียงของอเวรามีความเอื้ ออาทรพอจะชวยปรับบรรยากาศใหผ อนคลายลงไดมาก
“ออ...เดี๋ ยวมีขั้ นตอนผอนหนักใหเปนเบาอยู แลวครับ ไมต องหวงหรอก ”
นายประกันไมขยายความมากกวานั้น  เนื่ องจากคนผิดยืนหัวโดอยู ตรงหนา อันที่ จริงถาพอของเด็กเขี้ ยวลากดิ น
หนอยจะยึกยักไมจ ายก็ ยังได ซึ่งนั่ นหมายความวาตองมีการดําเนินคดี ฟองรองกันตอไป และแมพ อเด็กตกลงจาย ก็ มักไม
ตองเสียเต็มจํานวนคาอะไหลกั บคาแรงที่ สองบริ ษัทประกันภัยตองชวยกันชดใชอยู แลว ขึ้นกับศาลวาจะใชดุ ลพิ นิ จ
พิจารณาสั่ งใหจ ายเทาไหร โดยเฉพาะคดีที่ เด็กกอขึ้ นใหผู ปกครองรับผิดชอบ ศาลมักปรานีเปนพิเศษ
กฎหมายของมนุษย คิดโดยมนุษย ผอนปรนใหมนุษยด วยกันอยางนี้ เอง มนุษยพยายามจะยุติ ธรรมตอกันดวย
ความคิดและการพิ จารณาตามสมควรแกฐานะ
ครู ใหญผ านไป หลังจากตัวแทนบริ ษัทประกันทั้ งสองฝายมาถายรูปและมอบใบรับรองการเกิดอุบั ติ เหตุโดยไม
เจตนา ไมไดประมาท และมีผูอื่ นเปนชนวนกอความเสี ยหาย ธุระของอเวรากับแท็กซี่ เสร็จเรียบรอยในเวลาคอนขางสั้น  แต
ธุระของเด็กหนุ มผู ประมาทขาดสติ ยังไมจบ นายประกันทั้ งสองพยายามไลบี้จี้ ใหผู ปกครองคนใดคนหนึ่ งของพฤหัสมา
เซ็นรับผิดชอบที่ สถานี ตํารวจ ซึ่งเมื่ อติดตอทั ้งพอทั้ งแมแลวปรากฏวาไมมี ใครวางมาไดเดี๋ ยวนี้  จึงจําเปนตองนัดหมายกั น
วันอื่น  ซึ่งนายประกันทั้ งสองก็ไมเดือดรอนมากนั ก เนื่ องจากเหตุเกิดถึงหนาบานของเด็ก เห็นหลักแหลงที่ อยูกั นทนโท
อยางนี้ แลว
อเวรามีน้ําใจอยู เปนเพื่ อนพฤหัสจนเจรจาทุกอยางเสร็จสรรพ แท็กซี่กั บนายประกันหายหนากันไปหมดแลว  เหลื อ
แตหลอนกับเขาตามลําพัง
“เหนื่ อยแฮะ”
เด็กหนุ มทําเสียงครวญเรียกคะแนนสงสารขณะเดินเคียงหญิงสาวเพื่ อมาสงหลอนที่ รถ
“ทีหลังจะไดเข็ดไง พอรูว าตองเหนื่ อยอยางนี้  สติคงดีขึ้ นแยะ”
“ครับพี่ เคก ผมคงเข็ดละคราวนี้  กอนเปดประตูรถครั้ งตอไปคงตองพนมมือทวมกระหมอมเพื่ ออาราธนาสิ่ง
ศักดิ์สิ ทธิ์ เสียกอน”
หญิงสาวหัวเราะพลางส ายหนาดวยความอนาถ
“แคเหลือบดูซ ายขวาหนาหลังดีๆ  ก็พอแลว ” เงียบเสียงครู หนึ่ งก็ปลอบบาง“ชางเถอะ อยานึกถึงมันอีกเลย เปนอี ก
เหตุการณหนึ่ งที่ผ านตอยไป”
มายืนนิ่ งดวยกันที่ หนาประตูรถ พฤหัสแลลึกลงไปในตาอี กฝาย
“วันนี้ ผมทําอะไรแยๆ ผมขอโทษอีกครั้ งนะครับพี่ เคก ”
อเวราอมยิ้ม เปดประตูก าวเขาไปนั่ งประจําที่ คนขับ
๔๓
“ไมเปนไร เดี๋ ยวพอเอารถเขาอูพี่ก็ คงนั่ งแท็กซี่ ไปทํางานไมกี่วั นหรอก” บิดกุญแจสตารทเครื่ อง กอนกลาวลา
พรอมโบกมือบายบาย“ไปละ ”
“เดี๋ ยวครับพี่ เคก ”
พฤหัสเกาะขอบประตู เหนี่ ยวไวไมยอมใหหลอนปด  อเวราเลิกคิ้ วสูงเปนเครื่ องหมายคําถามวามีอะไรอีก
“ขอเบอรมื อถือของพี่ ใหผมไดไหม?”
“จะเอาไปทําอะไร?”
“ผมจะชวยใหพี่ เช็กความสามารถของมือถือไง วารับสัญญาณจากที่ ไหนไดบ าง”
อเวราหัวเราะคิก
“มุขเยอะจริงนะ”
แลวหลอนก็เปดเผยหมายเลขเครื่ องของตนชัดถอยชัดคําแตเร็วปรี๊ ดเปนปนกล จากนั้ นปดประตูป ง  เหยียบคันเรง
บึ่งรถหนี ทันที ทิ้งใหเด็กหนุ มยืนมองตามหลังจนลับตา จะรู จั กกันตอหรือจบสิ้ นความสัมพันธเพียงแคนั้ นก็ขึ้ นอยูกั บ
ความสามารถจดจําเบอรโทรศัพทของเขาที่ หลอนยิงใหรวดเดียวหนเดียวในเวลาอันแสนสั้ นแลว!
ตอนที่  ๕ ใจจริง
เคาหนาและสุ มเสียงของณชะเลติดตามมารบกวนจิตใจของเขาไมจางหาย หลอนทั้ งสวยทั้ งนารักราวกับจะไมเป ด
โอกาสให คิ ดไดไกลเกินมอง หรือเหมือนยอดสุดแหงความสุขที่ จะไดจากหลอนคือการเห็นกับตาวานางฟามีจริ ง ไมใชให
เชื่ อวานางฟามีไวหวังครอง
คืนนั้ นจองฤกษนั่ งเลนกีตารอยู หนาโทรศัพทเกือบสองชั่ วโมง เพียงเพื่ อคิดคําทักทายประโยคแรกใหออก นา
แปลก นักเลงตัวโตกวาเขาตั้ งเยอะยังไมกลัว  ทําไมอีแคต อสายถึงผู หญิงคนเดี ยวถึงกลัวไดขนาดนี้
แปลกจริงๆ ตลอดบายก็เพิ่ งคุยกันดิบดีไมมี เงอะงะเลยสักนิ ด เพิ่ งไมทั นขามวันเขาสูญเสียความเชื่ อมั่ นในตัวเอง
ไปไหนหมด? การพบหนาใครแลวหางออกมาพักหนึ่ งบอกได วาใครคนนั้ นมี น้ําหนักอิทธิพลทางใจกับเราเพียงใด ณชะเล
ชางเปนอะไรที่ เหนือคําบรรยาย เพียงการปรากฏตัวในวันธรรมดาๆของหลอนก็อาจกลายเปนวันสุดพิเศษของผู มี โอกาส
พบเห็นเชนเขาได รวมทั้ งขังใหจั บเจาอยู ตรงหนาโทรศัพทอยางกึ่ งสุขกึ่ งทรมานได
ถาเขาโทร.หาหลอนทั้ งที่ เพิ่ งล่ํ าลากันเมื่ อไมกี่ชั่ วโมงกอน ยอมหมายถึงการประกาศชัดวาฉันจะจีบเธอละ  เกิดมา
จองฤกษไมเคยมีแฟน ไมเคยแมแตจะโทร.จีบใคร จึงไมรู เลยวาตองชวนผู หญิงคุยทาไหนเธอถึงจะพอใจยอมแชโทรศัพท
อยูกั บเขานานๆ
ทําไมตอนเจอหนากันชัดๆถึงหยิบจับอะไรมาคุยไดเยอะแยะนั ก? อ อ! บรรยากาศแบบเพื่ อนเกากลับมาพบกันเอื้อ
ใหชวนรื้ อฟ นความทรงจําโดยไมต องขัดเขิน  แตนี่ อยู เปลาๆจะใหโทร.ไปชวนระลึกอดีตอะไรอีก ?
เจาหมาตัวเล็กชื่ ออุ ยโยนั่ นอี ก ตอนอยู ใกลจะใหชื่ นชมวานารักเพื่ อเอาใจหลอนอยางไรคงไมแปลก แตนี่จู ๆถา
โทร.ไปชมซ้ํ าคงพิลึ กพิกล
๔๔
ครั้ นจะคุยเรื่ องกรรม เรื่ องหนังสือที่ หลอนใหยื มมาอาน ก็เพิ่ งพลิกๆผานๆไปไดไมเทาไหร อยากสรางความ
ประทับใจใหหลอนเห็นวาเขาอานรวดเดียวจบก็ไมมี แกใจมากไปกวาฝ น ฝ น และฝนถึงใบหนาหลอน ครั้ นจะถามสงเดช
เพื่ อใหหลอนเปนฝายตอบไปเรื่ อยๆ ก็ไมทราบวาตนสงสัยอยากรู เรื่ องอะไรบาง
สํารวจไปสํารวจมาจึงรูตั ววาเขาไมไดกลัวณชะเล แตกลัวตัวเองพูดไมออก กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวหลอนเบื่ อและ
ขอวางสายเร็ ว และถาเปนอยางนั้ นจริงก็จะทําใหเขารู สึ กไมดี  พานโกรธหรือนอยใจหลอนได เนื่ องจากเขาเปนพวกอัตตา
ใหญ ออนไหวงายเวลาใครทําใหรูสึ กไมมีคา
แตการนั่งงอเข าเจาจุกอยางนี้ก็ ไมใชนิสั ยถนัดของเขาเชนกัน  เขาชอบเอาชนะ และเขาก็เชื่ อวาคนเราคิดเอาชนะได
แมในเรื่ องที่ ตนไมถนั ด เหมือนคนเขียนหนังสือมือขวา เริ่ มตนไมมี ใครรูสึ กวาตัวเองจะสามารถเขียนดวยมือซายไดไหว
แตหากกัดฟนฝกหัดทีละนอย ผานเดือนผานปก็ กลายเปนชํานาญเท ามือขวาเขาจนได
เมมปากแนน  เปนไงเปนกัน  เขาจะจีบผู หญิงใหไดเกงเทาที่ เกงคอมพิวเตอร! ตอนไมรู คอมพเขาก็เคยกลัวคอมพมา
กอน เดี๋ ยวนี้ เขาชนะความกลัวคอมพไดแลว  เปนเจาใหญนายโตในอาณาจักรคอมพแลวดวยซ้ํา  ทําไมอีกหนอยเขาจะ
เอาชนะความกลัวผู หญิงไมสํ าเร็จ  ทําไมเขาจะเอาณชะเลมาเปนแฟนไมไดเลา ?
วางกีตารลงกับพื้ นขางตัวกอนเอื้ อมมือไปทางโทรศัพท เปาหมายจะอยู ใกลหรือไกล ยาก หรืองาย ก็ ตองเริ่ มดวย
กาวแรกเหมือนๆกันหมด และการหยิบกระบอกโทรศัพทเดี๋ ยวนี้ก็คื อกาวแรกที่ว านั้น !
มือเกือบแตะกระบอกโทรศั พทอี กนิดเดียว เสียงตอดๆก็ดั งลั่นออกมาจากเครื่ อง จองฤกษสะดุ งเฮือกทั้ งตั ว หัวใจที่
เตนผิดจังหวะอยู แลวกลายเปนเตนแรงโครมครามราวกับจะเดงหลุดจากขั้ว !
เด็กหนุ มสูดลมหายใจลึกและคอยๆผอนระบายออกมาทีละนอย บังเกิดความคาดหวังริบหรี่ว านั่ นอาจเปนณชะเล
โทร.มา เขาคงดีใจจนบอกไมถูก
“ฮัลโหล…”
กรอกเสียงลงไปอยางแผวเบาและหางเสียงสั่น
“เฮย ! ฤกษเหรอ ชวยกูทีดิ้ ”
เปนเสียงของเจ าเพื่ อนจอมกวน มันทําใหจองฤกษ คอตก
“เออ… วาไง”
พฤหัสมี ปญหาบางอยางอันเกิดจากความจําเปนตองลงซอฟตแวรใหมหมด เนื่ องจากเสียบการดแปลกๆไวเยอะ
ระบบปฏิ บัติการติดตั้ งไดรเวอรอั ตโนมัติ ใหไมไดครบ จองฤกษช วยคลําปมและบอกวิ ธีคลี่ คลายปญหาตามลําดับจน
เรียบรอยในเวลาไมนานนัก  แตระหวางนั้ นก็ต องทนฟงพฤหัสกนดาและสาปแชงวายรายที่ เลวยิ่ งกวาเด็กเลี้ ยงแกะในนิทาน
อีสป ปลอยโปรแกรมมาเลนงานชาวโลกไดลงคอทั้ งที่ ไมเคยไปทําอะไรให
เมื่ อทําตามคําแนะนําของจองฤกษจนไดผลสําเร็จเปนที่ เรียบรอย ทีแรกพฤหัสบอกขอบใจและเกือบขอวางสาย
แตความชางสังเกตอารมณมนุษยทํ าใหมี แกใจไถถาม
“มึงเปนอะไรไปหรือเปลาวะ สุมเสียงทําไมซึมกะทืออยางนั้น ?”
“ไมมี อะไรนี่ ”
๔๕
ตอบตามอัตโนมั ติ ของคนธรรมดาที่ ชอบปฏิเสธไวก อน แตแลววินาทีหนึ่ งก็ ฉุกใจขึ้ นมาได พฤหัสเปนเพื่ อนที่
จัดวาสนิทมาก แลวก็เปนผู เชี่ ยวชาญดานผู หญิงอยางหาตัวจับยากคนหนึ่ง  จะเสียหายอะไรหากเขาขอคําปรึกษาสักหนอย
ในเมื่ อที่ผ านมาพฤหัสก็ใชเขาเป นที่ ปรึกษาเรื่ องคอมพิวเตอรมานักตอนัก
“เออ … อันที่ จริงก็มี อะไรอยู เหมือนกัน  ใหมึ งแนะนํากูบ างก็ดี … เรื่ องผู หญิงนะ ”
พอคําวา  ‘เรื่ องผู หญิง ’ หลุดจากปาก จองฤกษก็รูสึกถึงความตื่ นตัวกระตือรือรนของเพื่ อนขึ้ นมาเปนพิเศษทันที คง
เพราะรอยวันพันปเขาเขาไม เคยเอยปากขอความช วยเหลือเกี่ ยวกับเรื่ องพรรคนี้ มากอนเลยสักครั้ง
“ฮึ! เจอคนที่ เขาตาแลวเหรอวะมึง? ไหนเปนไงเลาซิ”
พฤหัสจินตนาการถึงเด็กสาวรูปรางผอมกะหรอง พูดจาไมเป น และเกิดมาไมเคยทําอะไรมากไปกวาเรียนๆๆจน
ตองใสแวนหนาเตอะ แตเขาก็ใหความสนใจ เพราะลุ นอยากเห็นแฟนคนแรกของเพื่ อนซี้ มาชานาน
จองฤกษเงียบไปครู หนึ่ง  ไมทราบจะเริ่ มเลาอยางไร คิดไปคิดมาเลยตัดสินใจไมเอยถึงรายละเอียด แตเปลี่ ยนเป น
คําถามเลียบเคียงแทน
“ตอย… มึงเคยรูสึ กไหม วามีใครบางคนจะเดินวนเวียนอยู ในชี วิตของเราเสมอ ถึงแมตาไมเห็น ใจก็จะคิดถึงอยู
เรื่ อยๆอยางไม เคยลืม และรูสึ กลึกๆวาวันหนึ่ งจะตองโคจรมาพบกันอีก ?”
พฤหัสพยายามกลั้ นหัวเราะไว
“เพื่ อนสมัยประถมเหรอะ?”
เดาสงเดชแตดั นถูก  เพราะจองฤกษยอมรั บงายๆ
“อือ”
“เจอะกันวันนี ้?”
“เพิ่ งเจอเมื่ อบาย หลังจากที่ แยกกับมึง ”
“งาน… เหรอะ!” แกลงลากเสียงยาวเหมือนคนอุทานดวยความตกตะลึ ง“เสียดายกูน าจะอยูต ออีกแป บ แตเจอ
แฟนที่ร านกวยเตี๋ ยวนี่ ไมโรแมนติกเลยวะพับผา  รานนั้ นแคบก็แคบ รอนก็ร อน”
จองฤกษยิ้มนิดๆกับคําวิจารณอั นเกิดจากความเขาใจผิด  แตก็ ไมพยายามแกความเขาใจของเพื่ อน เพราะถาจาระไน
วิธีพบณชะเลวาจัดอยู ในประเภทหนีบาทามาหารั ก ฟงแลวจะยิ่ งไมโรแมนติกหนักเขาไปใหญ จึงอยากตัดตรงเขาประเด็ น
ที่นาสนใจกวานั้น
“เขาทําให กูเริ่ มนึกถึงสิ่ งที่ เรามองไมเห็น สัมผัสไมได แตควบคุมเสนทางโคจรระหวางมนุษยเอาไว คําถาม
คือ… มึงไมเชื่ อเรื่ องบุญบันดาลหรือบุพเพสันนิวาสอะไรทํานองนี้ ใชไหม?”
พฤหัสเลิกคิ้ วสูง  แสดงความเห็นแบบตรงไปตรงมา
“เรื่ องรวมบุญมาแตปางกอน เรื่ องบุพเพอาละวาดอะไรเทือกเนี้ ยนะ ถึงมีจริงก็ไมยิ่ งไปกวาปจจัยแวดลอมที่ ปรากฏ
อยู เดี๋ ยวนี้ หรอกโวย คิดงายๆนะ เขาวารักแรกพบหมายถึงการเจอเนื้ อคูที่ แท ที่ติดตามกันมาแตอดีตชาติ แลวเกิ ด
ปรากฏการณ ‘รักทันที ที่เห็น ’ ใชไหม? กูวากูฝ กสะกดใหผู หญิงเห็นกูแลวรู สึ กเหมือนเจอรักแรกพบมาไดหลายคนแล ว นี่
ฟงพวกอีบอกเองกับปากนะ ไมไดถามไถ ไมไดเพอเจอเขาขางตัวเอง”
๔๖
จองฤกษกะพริบตาปริบๆ เงี่ ยหูฟ งดวยความสนใจ เพราะเมื่ อบายนี้ สบตากับณชะเลแลวนึกถึงคําวา  ‘รักแรก
พบ’ ขึ้นมาจริงๆ
“เหรอ?”
"เชื่ อเหอะ รักแรกพบนะอธิบายเปนวิทยาศาสตรได ชนิดที่ว าถาจัดฉาก เตรียมองคประกอบฝายพระฝายนาง ทั้ง
ระยะหาง บรรยากาศแวดลอม กับจังหวะที่หั นมาเห็นกั น ถาลงตัวเหมาะเจาะนะ รอยทั้ งรอยสบตากันวูบเดียวเสียวหัวใจ
แปล บ รู สึกเหมือนเคยอยูกิ นกันมาแตชาติปางกอนหมดแหละ แตอยูกั นเดือนเดียวอาจตบกันหัวหูฉี กไดเพราะเห็นไสเห็ น
พุงกันถนัด  ‘รักแรกพบ’ แลว  ‘คบจนเกลียด’ นี่มีใหเห็นเปนหลักฐานของแทใหเกลื่ อนโลก อยาเอานิยมนิยายอะไรมากเลย
วะ ไอเรื่ องป งๆปรู ดปราดตอนแรกพบสบตานะ "
อันที่ จริงพฤหัสคิดมากกวาที่พูด  นั่นคืออาการรักแรกพบจะเกิดขึ้ นงายกับพวกสวยหลอที่มี ประกายเสนห บาดตา
บาดใจ แตเนื่ องจากไมคาดวาผู หญิงของจองฤกษจะเขาขายจึงละไว
“มึงวาเปนเรื่ องที่ฝ กกันไดด วยเหรอ รักแรกพบเนี่ย ?”
“เออสิวะ!” พฤหัสยืนยันอยางแข็งขัน “อยางถามึงแขงอะไรชนะบอยๆ เวลาลงสนามจะรู สึ กเชื่ อมั่ นวาตองชนะอี ก
แคนั้ นก็เหมือนพลังสะกดใหคูต อสูรูสึ กฝอแลว  เหนี่ ยวนําใหอี กฝายเชื่ อตั้ งแตปะหนากันแลววาตองแพมึ งแน ผลจริงๆจะ
ออกมาจะแพหรือชนะไมรู  แตความรูสึ กแรกที่ เริ่มลงสนามจะมีอิ ทธิพลทางใจไปกวาครึ่ง  ทํานองเดียวกันถามึงชนะในเกม
รักมาตลอด มองใครก็จะแนใจวาเดี๋ ยวตองเสร็จมึงแน ความรูสึ กฝายมึงที่มี อยู อยางนี้ แหละ ไปสรางความรูสึ กเหมือนรั ก
แรกพบขึ้ นในอีกฝาย”
“อือม… ฟงเขาเคา ”
“ความรูสึ กอ้ํ าอึ้ งตะลึงงันหรือเสียวหัวใจแปลบปลาบเนี่ ยนะฤกษ ถาชั่ วชีวิ ตมึงเจอหนเดียวจะอยากปกใจเชื่ อว านั่น
คือการพบรักแท แตถ าเจอเดือนละสามหนอยางกู มึงจะรูสึ กชินชา เห็นเหมือนรสเปบซี่ที่ เปดขวดกินกี่ ครั้ งก็ ซาและนาติ ด
ใจแบบเดิ ม แตขอโทษ เปบซี่ ไมใชน้ํ าอมฤตนะครั บ น้ําอมฤตเปนแคเรื่ องเหลวไหลในนิทาน… สรุปคือที่มึ งเจอไมใช
รักทงรักแทติ ดตามมาแตปางไหนทั้ งนั้น  มันเปนเรื่ องแรกพบสบตาแลวเกิดประกายแมเหล็กไฟฟาขึ้ นมาดวยความ
ประจวบเหมาะตางหาก  มึงก็เลาเองวารูจั กเขามาแตเด็กไง ใจเลยมีเขาฝงอยูในความทรงจํ าสวนลึก  เจอปบเลยอยากจะนึ กวา
เปนเจาขาวเจาของกันมาแตอดีตชาติ บรรยากาศอดีตๆมันมีมนตขลังเวย  แคเพิ่ งผานไปได หาหกปเจออีกที ก็ ซึ้งสุดๆเหมือน
จากพรากมาชั่วกัปชั่ วกัลปได”
“อือ…”
จองฤกษเริ่ มตระหนักวาโอกาสเจอผู หญิงนอยๆอยางเขา ไมมี ทางเขาใจเรื่ องรักๆใครๆดีไปกวาผู เปนสหายอยาง
แนแท
พฤหัสซักตอ
“เด็กมึงชื่ ออะไรวะ?”
“ทราย…”
จองฤกษตอบดวยความรู สึ กละเมียดละไม เหมือนมีสายน้ํ าเย็นรินผานหัวใจ พฤหัสฟงน้ํ าเสียงออนโยนของเพื่ อน
แลวหัวเราะหึหึ 
๔๗
“เทาที่กู เก็บสถิติ มานะ ชื่อทรายนี่ฟ นงายทุกคน เพราะฉะนั้ นถามึงมีโอกาสจงอยาชา ”
จองฤกษสะอึก  อารมณละมุนสะดุดกึกทันที เปลี่ ยนเปนฉุนขาดแทน
“มึงไมงมงายเรื่ องบุพเพสันนิวาส แตทํ าไมมางมงายเรื่ องชื่ อแซละ  มีอยางเหรอวะชื่ อทรายแลวฟนงาย อยางนี้ คง
ไมมีพ อแมคนไหนเอาไปตั้ งใหลู กสาวหรอก”
พฤหัสหัวเราะกาก
“สถิ ติโว ย! สถิ ติ! ไมใชเลือกเชื่ องมงายสงเดช มึงลองสังเกตสิ พวกชื่ อโหลๆนะมักมี คุณสมบั ติ สามัญบางอยาง
รวมกันอยู  อยางคนชื่อ  ‘ปญญา’ เงี้ย  มักเกงกันทุกคน”
จองฤกษขมวดคิ้ วนิดหนึ่ง  พฤหัสเปนตัวอยางของคนจํานวนหนึ่ งที่ภ ูมิ ใจกับการไมงมงายแบบสืบๆกันมา
อยางเชนปฏิเสธนรกสวรรคและการเวียนวายตายเกิ ด แตก็ ทะลึ่ งไปภูมิ ใจสรางความเชื่ อสวนตัวขึ้ นมาไวเปนความงมงาย
เฉพาะตน
ดวยวิ ธีเชื่ อแบบเขา กอนอื่ นจองฤกษจะยอมรับวาเขาไมรู  คนชื่อ ‘ปญญา’ จะตองเกงเสมอไปหรือเปลานั้น  ถา
อยากรูขึ้ นมาจริงๆก็ควรเอาคนชื่อ ‘ปญญา’ มาเรียงคิวทดสอบสั ก ๑๐๐ นาย หากเกินกวา ๗๕ นายเกงกาจผิดธรรมดาเกิ น
คนชื่ ออื่น  จึงคอยคลอยตามความเชื่ อของพฤหัสได สวนพฤหัสคงไมต องการพิ สูจนใหเปนทฤษฎี ยุงยากเปลา แคเจอคนชื่อ
‘ปญญา’ สองสามนายแลวบังเอิญเกง  ก็เปนอันสรุปวาใช ปกใจยึดมั่ นวาความเชื่ อของตนถูกตองแนแลว
แตย อนกลับมามองตัวเอง เขาเจอรักแรกพบหนเดียวก็เหมือนอยากจะปกใจเชื่ อเรื่ องบุพเพสันนิวาสทันทีเชนกั น
เปนความเชื่ อแบบไมรู เหนือรู ใต ทั้งที่ผ านมาใครจะวาอยางไรไมเคยสน แคปฏิเสธงายๆวาไมเชื่ อหรอก ปางกอนปางหลั ง
อะไร
นึกแลวปลงสังเวช คนเราชอบเถียงในเรื่ องที่ต างฝายตางรู แคครึ่ งๆกลางๆ จองฤกษจึงสรุปวา
“งั้นเอาไวมึ งมี ลูกแลวเลือกชื่ อหนอยดิ้  แบบที่ สถิ ติ ฟองวาจริงใจกับผู หญิงซะมั่ง  ไมใชตั้ งหนาตั้ งตาแตจะฟนมั่ว
เหมือนพอ ”
พฤหัสอดหัวเราะไมได
“กูยังไมเคยเห็นเลยวะฤกษ จริงใจกับผู หญิ ง จะชื่ อโหลหรือชื่ อเปนเอกลักษณ ผูชายเรามันก็อยากฟนดะไปเรื่ อย
แหละ สมัยนี้ แลว  ยังพูดเรื่ องความจริงใจทางเพศไดลงคอ มึงมัวไปอยูที่ ไหนมาวะหา?”
“กูก็อยูที่บ านกูนี่ แหละ แลวก็เชื่ อวาความจริงใจกับเพื่ อนตางเพศมี ได ถาเจอใครที่ทํ าใหใจเราออนโยนพอ”
“ฤกษ… มึงฝนไปเถอะวาเจอใครที่ทํ าใหหั วใจนุ มนิ่ม  มีแรงบันดาลใจยิ่ งใหญใหมเอี่ ยม เรียนจบทํางานแลว
แตงงานอยางมีความสุขไปจนชั่ วชีวิต  กูจะบอกใหนะ โลกยุคเรามีแตความโหดรายโวย  อานขาวเมื่ อเร็วๆนี้ ไหม? คูบาวสาว
ชาวแอฟริกาใตไปฮันนีมู นกันแลวเจาสาวถูกฮิปโปกัดตาย ไมรู เจาบาวแกลงพาไปให ฮิ ปโปกัดหรือเปลา  มีอยางที่ ไหนใคร
เขาฮันนีมู นกันในเขตอันตรายอย างนั้น ”
จองฤกษยิ้มขันที่ เพื่ อนของเขามองโลกในแงร ายไปไดเรื่ อย ชักนาสงสัยวาระหวางเขากับเพื่ อน ใครโชคดีหรือโชค
รายกวากัน  ใบหนากระชากใจสาวชวยใหพฤหัสมีประสบการณทางเพศเร็ว  ถึงที่ หมายไดด วยทางลัดเสมอ จึงเบื่ อง ายเพราะ
ชาชินกับการถึงเนื้ อถึงตัวโดยไมต องออกแรงนาน เมื่ อขลุกกับเรื่ องใตเข็มขัดจนกลิ ่นกามขึ้ นจมูกอยู ตลอดเวลา สมองจึ ง
มึนเมาจนรูสึ กเหมือนทั้ งโลกมีแตของเหม็น  หาของหอมของสะอาดไมเจอ
๔๘
จองฤกษรูตัวดี ในสายตาเพื่ อนแลว  เขาคงเปนไกอ อนดวงอับอดลิ้ มลองของอรอยหลายๆแบบ  แตในสายตาของ
เขายามนี้  พฤหัสเปนเสือรายดวงซวยที่ หมดสิทธิ์รูจั กกับ ‘ใจจริง ’ ระหวางหญิงชายวาใหความรูสึ กแสนดีขนาดไหน
“เฉลี่ ยแลวมึงมีแฟนปละกี่ ราย?”
จองฤกษถามเลน  พฤหัสหัวเราะโอ
“ไมเคยนับหรอก นี่วันนี้ก็ เพิ่ งเจอป งใหมอี กหนึ่ง ”
“หมายถึงที่ สนามแบดนะเหรอ?”
“เปลา … เด็ดกวานั้น !”
จองฤกษเบิกตากวางนิดๆ ปวยการถามวานี่ เรื่ องจริงหรืออําเลน  เพราะที่ผ านมาพฤหัสไมจํ าเปนตองมุสาเรื่ อง
ผูหญิง
“เจอที่ ไหน เมื่ อไหร?”
“หนาบานกูเอง หลังจากแยกกะมึงนะแหละ!”
จองฤกษทําหนาฉงนวาอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น  เลนแบดเสร็จเจอผู หญิงกันคนละคน
“เขามาขายประกัน ?”
“อยาเดา รับรองไมมี ทางถูกหรอก คนนี้ เปนสาวออฟฟศโวย  อาจจะเลขาฯหรือผูช วยทานประธานบริ ษัทใหญ
อะไรสักแหง ”
“ออ! ขามรุ นแลวนะมึง ”
“ก็อยากลองรสชาติใหมมั่ งดิ้  เห็นอีบอกวาอายุ ๒๔ แกกวาพวกเราเจ็ดแปดป”
“ฮื้อ! รุนนั้ นมาใหมึ งป งถึงหนาบานไดยั งไง รถเสียแลวมึงไปชวยเข็น ?”
พฤหัสหัวเราะแปรงๆ
“ก็ ทํานองนั้ นแหละ” แลวเขาก็ ตัดเขาสู บทสรุปโดยปราศจากที่ มาที่ ไป“เมื่ อชั่ วโมงกอนกูก็ เพิ่ งโทร.คุยดวย ยิ่งคุย
ยิ่งชอบ”
“ตางรุ นขนาดนั้ นคุยกันรู เรื่ องเหรอะ”
“ชวนคุยเรื่ องที่ เรารู  มันก็ต องรู เรื่ องซีวะ”
“ระวังนา ยี่สิบกลางๆแลว นี่ไมพู ดเลนนะ แถวบานกูตามเตาะเมียนอยเสี่ ยโดยไมรูตั ว  เจอคนตามยิงขู จนขี้ขึ้น
สมอง หลบไปกบดานตางจังหวัดเปนเดือนๆ ผูหญิงพวกนี้ พรอมจะปนรั้ วออกมามี ชูอยูทุ กวั น ดูดีๆกอนเถอะวาป งใหมมึ ง
มีเจาของหรื อเปลา ”
“ก็ไมเห็นเขาบอกวามีนี่  เผลอๆอาจจะกําลังเหงากูก็ ไดโอกาสทําบุญสงเคราะหซะ สมัยนี้ยี่สิ บกลางๆไปถึงสามสิ บ
ตนๆนะ หัวใจกําลังวาง แลวก็เล็งหาตัวจริงกันอยูทั้ งนั้น  ถาเคยผานมือผู ชายมากอนเนี่ ยจะไมคิ ดมากเรื่ องเสียเนื้ อเสียตั ว
หรอก ของเคยคันมาแลวก็ต องหาไมเกากันตอไป ตามสถิติ จะกลาลองของใหมไดเรื่ อยๆ”
จองฤกษหัวเราะอยางอนาถใจ
“สถิติอี กแลว ! เรื่ องผู หญิงนี่มึ งเปนจอมสถิติ ซะจริงๆ ตอไปจะทําอาชีพอะไรวะ?”
“อาจจะเปนพวกจัดประกวดนางงาม”
“นาจะออกแนวพอเลามากกวา  รอบรู เหลือเกิน ”
๔๙
พฤหัสระเบิดหัวเราะ
“ถาเปนพอเลาแลวไดลองของใหมไปเรื่ อยๆกูก็ ยอม!”
“ถามมึงคําเถอะ” จองฤกษพูดแบบเปนงานเปนการหลังจากหายกระดากแลว “ทํายังไงถึงจะมั่ นใจได วาเรามีเสนห
พอจะมัดใจสาว? เออ … มึงเขาใจไหม กูหมายถึงหนาตาธรรมดาๆแบบกูเนี่ย  อยากใหเขาหลงรักเรา เห็นเรามีค านะ ”
พอเพื่ อนถามเสียงขรึม พฤหัสก็ช วยตอบแบบจริงจังเชนกัน
“เอาจากความเขาใจของมึงกอน มึงคิดวาเสนหคื ออะไร?”
จองฤกษอึ้งคิดพักใหญ กอนเลือกคําตอบที่ เชื่ อวาใชที่สุด
“ความจริงใจ”
ตอบเสร็จก็แทบจะเห็นเพื่ อนหนุ มสั่ นหนาใสอยางแรง
“ไมช าย!  มึงจําไว วาความจริงใจไมใชเสนห  เพราะความจริงใจเปนนามธรรม มันยิงใสตาสาวใหสาวตาบอด
ไมได”
เด็กหนุ มผูรูตั ววาเปนไกอ อนอึกอัก
“เออ … งั้นอะไรละ ? รูวาคนยิ่ งโงๆก็เสือกลองภูมิ อยูนั่ นแหละ”
พฤหัสทําตัวเหมือนครูใหญโรงเรียนสอนทําเสนหทั นที
“กูจะคอยๆใหมึ งเขาใจอยางลึกซึ้ งดวยการถามเปนขอๆ ถามึงตอบคําถามแต ละขอได ถูก ก็จะเหมือนคนพบภูเขาที่
ซอนอยู หลังเสนผมเสนเดียว”
จองฤกษลอบถอนใจยาว แตด วยความอยากไดวิ ชาเลยจําใจเอยอยางสุภาพนอบนอม
“โอเคครับพี่ ”
“มึงเคยเห็นผู ชายหลอๆที่ผู หญิงกรี๊ ดใสในตอนแรกแลวรองยี้ ในตอนหลังไหม?”
“เคย… อยางไอ แจมไง หนาตาหลออยางกับนายแบบ แตประพฤติตั วตองๆ ยายกุ กที่ เคยเปนแฟนมันบอกกูกั บปาก
วาเลิกกันเพราะนอกจากไดความหลอแลวยังมีความเสี่ ยวเปนของแถม”
พฤหัสหัวเราะกึกๆในลําคอ ผงกศีรษะใหกระบอกโทรศัพท
“เพราะฉะนั้ นเสนห ไมไดอยูที่ หนาตาเสมอไป มึงจําไวนะ ความหลออาจเปนสวนประกอบที่สํ าคั ญ แตไมใชสู ตร
สําเร็จเด็ดขาด ไมใชหลออยางเดี ยวชนะใจสาวไดตลอดไป”
จองฤกษหงายหนาราวกั บจะลมลงนอนแผด วยความหมั่ นไส ลี ลาครูใหญของเพื่ อน แตก็ กั ดฟนดึงศีรษะกลับมาตั้ง
ตรงและเออออ
“โอเค! เขาใจละ  แลวยังไงตอ ”
“คราวนี้ ตอบคําถามอีกขอ  คนที่มึ งเห็นวาเหมือนเปนแมเหล็ก  มีกระแสดึงดูดตาดึ งดูดใจคนรอบตั วๆได เนี่ย  พวกนี้
มีอะไรที่ แตกตางจากคนธรรมดา?”
จองฤกษเริ่ มคิดจริงจัง  เพราะคําถามชวนใหจิ ตประหวัดถึงณชะเลขึ้ นมา
“อือม… มันเหมือนมีรั งสีเสนห  หรือสนามพลังแมเหล็กบางชนิดที่ มองดวยตาเปลาไมเห็น …”
๕๐
“เฮย ! อยาตอบแบบนักวิทยาศาสตรผสมหมอผี ซีวะ จําไว วาถามึงคิดอะไรเปนศัพทแสงไกลตั ว หรือหางจากคํา
ที่ใชกั นในชี วิตประจําวัน  มึงจะไมรูสึ กวาตัวเองสามารถเปนคนมีเสนห อยางนั้ นไดเลย คําวารังสีเสนห เงี้ย  สนามพลัง
แมเหล็กเงี้ย  ใจมึงเห็นวาตัวเองมีกับเขาได ไหมละ ?”
ทีแรกจองฤกษทําหนาเหยอยางเสี ยความมั่ นใจและเกาศีรษะดวยความหงุดหงิ ด แตพอกะพริบตาตรองดูก็ คลายจะ
ตาสวาง และเห็นตามเพื่ อนวาตนเองคิ ดเชนนั้ นจริงๆ
“อือม…” เขาครางดวยหางเสียงยอมรั บ“ใช! คนสวนใหญยอมปลอยใหคนอีกพวกหนึ่ งมีเสนห  โดยไมคิ ดวาวั น
หนึ่ งจะมีสิ ทธิ์มี เสนห ไดเทา ”
“นั่นแหละ ถามึงไปซื้ อหนังสือจําพวก ‘ทําอยางไรให มี เสนห ’ มาอานนะ มึงจะเห็นคําแนะนําที่อ อมโลกและไม
สามารถทําตามไดจริงหรอก อยางนอยคนทั่ วไปก็ไมมี ทางทําตามสูตรสําเร็จไดครบ แตถ ามึงทําอยางกูวา  รับรองสําเร็จ
ภายในเวลาไมนานเกินรอ!”
“อือ… ทํายังไง?”
จองฤกษถามแบบตัดใจยอมถวายหัวเปนลูกศิษย
“มีสติสิ วะ!”
พฤหัสพูดเรียบๆ แตเลนเอาจองฤกษงงเป นไกตาแตกดวยความคาดไมถึง
“สติ?”
“เออ!”
“สติ?”
จองฤกษครางซ้ํ ารอบสองพรอมกลั้ วหัวเราะออยๆ
“ใชแลวเพื่ อน! เหลือเชื่ อไหมละวาคนสวนใหญเรียกไมถู กวา ‘สิ่งนั้น ’ คือสติ! โดยมากมักพรรณนาวาเสนหคื อมาด
ที่คมคายบาง บุคลิกที่ดูดีมี ระดับบาง หรือหนวยกานที่ เขาทาเขาทีบ าง เลยเกกกันจนนาอึดอัด  ความจริงคือตอนที่ ใครสักคน
เขมแข็ ง มีสงาราศี ดูอบอุ นนาใกลชิ ด  เขาไมไดทํ ามากไปกวารูตั ววากําลังอยูที่ ไหน กําลังนั่ งหรือยื น กําลังเห็นหรือไดยิ น
อะไร ยิ่งถาทําไดในระดับรูว ากําลังคิดอะไรนะ จะเปนพวกมีสติจริ ง จิตใจสดชื่ นตื่ นเต็มออกมาจากขางใน อัดฉีดละออง
เสนห ออกมาแรงเปนพิเศษ”
จองฤกษชักตามไมทั นกับคําแนะนําแปลกๆของเพื่ อน
“คุณสมบัติข ออื่ นๆไมต องนับเลยเหรอะ? อยาง… ความดี”
“ก็นับ แตไมเทาสติ มึงเคยเห็นคนเลวสติเขมๆมีความนามองกว าคนดีสติอ อนๆไหม?”
“อือม…” ตรองตามแลวจําตองยอมรับ“เคยวะ  จริงของมึง  เชนมึงเนี่ ยนามองกว าคนดีๆอยางกูเยอะเลย”
พฤหัสหัวเราะหยัน
“โถ! ไอคนดี ถุย!”
“มีคําอธิบายประกอบทฤษฎี ไหมวาทําไมสติถึ งเปนหัวหนาใหญสุ ดของการเปนคนเจาเสนห ?”
“มีซี่” พฤหัสสวนคํ าตอบแบบคนรูถ วนถี่ ไมตี บตันอั้ นตู “ใครๆมักเจาะลึกรายละเอียด สังเกตสังกาวาคนเสนห แรง
ตองมี คุณสมบั ติ กี่ขอ แตกู มองไปอีกแบบหนึ่ง  คือสังเกตวาคนทั่ วไปที่ อยู รอบๆตัวเรา ที่เสนหน อย หรือขาดเสนห อยาง
๕๑
รุนแรงนะ  มีคุณสมบัติสํ าคัญแตกตางจากคนเสนห แรงอยางไร  คําตอบนั้ นงายมาก คนเกือบทั้ งโลกขาดสติ และปลอยตั ว
ปลอยใจไปกับความเลื่ อนลอย ความฟุ งซานหอเหี่ ยว ขณะที่ พวกพวกเจาเสนห จะสติแรง มีความเปนตัวของตัวเองเกือบ
ตลอดเวลา โดยเฉพาะขณะที่กํ าลังอยูกับคนอื่น ”
ผูฝากฝงตัวเปนศิษยครุ นคิดตาม  แลวจํานนดวยความจริงที่ เคยผานพบ
“อือม…”
“มึงคงไมรูตัว  ตอนทําอะไรที่ ถนัดอย างเลนแบดหรือตอนนั่ งเล็งโปรแกรมหมื่ นบรรทัดอยู หนาคอมพ มึงดูดี ไมใช
เลนเหมือนกันนะ คนเราตอนอยู บนเวทีถนัดที่ เอื้ อใหสติฉายรัศมีออกมา ยังไงมันก็ นามองดวยกันทั้ งนั้ นแหละ กูจะเปรียบ
ใหเขาใจงาย มึงนะเหมือนสิงหร ายในสนามกีฬา เหมือนราชาที่ หนาคอมพ แลวก็เหมือนไอค อมตอนใกลหญิง !”
“อือม…”
จองฤกษครางรับแบบเดิมอยางติดนิสัย
“มึงครางอือมๆๆดวยความเคยตั ว เห็นไหม? ถูกดายังเสือกครางออกมาอี ก เหมือนอึ่ งอางขางคันนาไมมี ผิ ด  นี่คื อ
ตัวอยางที่ เห็นกันชัดๆ และนี่ แหละความนาเบื่ อที่กูสั งเกตไดจากคนทั่ วไป ตอนครางอยางนี้มั นทําให จิ ตใจคนฟงพลอยมั ว
มน ถามึงไปครางตอหนาหญิงบอยๆ รูไวเถอะวาเขาจะเบื่ อมึงเร็ว ”
จองฤกษกะพริบตาปริบๆและเริ่ มสงบลง
“จริงวะ … แตคนก็ครางอือออกันเปนปกติไมใชหรือ ?”
“ครางดวยความเคยตัวกับครางรับรู อยางเต็มตื่ นมันตางกั น นานๆครางทีอยางมี จังหวะนะโอเค แตถ าติดกันบอยๆ
โดยไมมี เหตุสมควร แปลวามึงกําลังเลื่ อนลอยเรื่ อยเจื้ อยเปนวาวไมมี หาง มันเปนเครื่ องสะทอนอยางหนึ่ง  และนี่ เปนแค
หนึ่ งในตัวอยาง ความจริงมึงทําอะไรเหยๆไดเยอะนักตอนขาดสติไปตัวเดียว”
จองฤกษตั้งใจฟงพฤหัสพูดตอโดยไมคิ ดสับสนวุ นวายเหมือนเมื่ อครู
“โอเค พอจะเก็ตละ ”
“คนปกติ ทั่วไปจิตใจมัวมน ฟุงซานมากบาง นอยบาง ใจแตละคนไมค อยอยูกั บเนื้ อกับตัวหรอก มึงลองทบทวนดู
ถานั่ งใกล ไดพู ดคุย  หรือแคเห็นสีหนาสีตา อากัปกิ ริยาของพวกเหมอจั ด ฟุงจั ด เครียดจั ด เดี๋ ยวเดียวใจเราจะพลอยฟุ งยุง
หรือมัวมนไมสบายตามไปดวย คลื่ นจิตเปนสิ่ งที่ รบกวนกันได อันนี้ทุ กคนรู  แตไมเคยสังเกตจริงจั ง แลวก็ไมมี หลักสูตร
ปรับปรุงกันเปนเรื่องเป นราว”
จองฤกษทบทวนแลวพยักหนาชาๆ
“เออวะ  นั่งใกลบางคนกูมึ นๆเพลียๆอยางกับไปวายน้ํ าวนมางั้ นแหละ”
“คนไมมั่ นใจในเรื่ องรักมักใชวิธีทํ าตัวนาสงสาร พูดจาใหผู หญิงเห็นใจ แตลองนึกดูว าตอนเจอพวกขี้ สงสารตัวเอง
เนี่ย  มึงอยากใหความสงสารบางไหม? พวกนั้ นดีแตส งคลื่ นรบกวนมาทําให จิ ตใจมึงพลอยมึนซึมหรือพลอยเปนเดือดเป น
รอน แตนี่ แหละ รูตัวเถอะ เสียงจอยๆอยางมึงตอนเนี้ ยฟองวาเริ่ มเขาขายเปนแบบพวกนั้นแลว ”
จองฤกษพยักหนาอีก  เพราะตระหนักวาเมื่ อครู ใหญตอนละลาละลังไมกลาโทร.นั้น เขาสงสารตัวเองมากมายเพียง
ไหน
“อีกขอ…” พฤหัสขยายตออยางติดลม “สติ ยังเปนที่ มาของความเปนตัวของตัวเอง ความเปนตัวของตัวเองเปน
ที่มาของความแตกตาง ความแตกตางเปนที่ มาของความโดดเดน  ความโดดเดนทําใหกลาคิดกลาพูดดวยความเชื่ อมั่ นตาม
๕๒
แบบฉบับของตัวเอง คนสวนใหญติ ดนิสั ยเอาตามอยาง เลยตกอยู ในสภาพโหล ไมนาสนใจ  แมพยายามพูดจาหรือแสดง
กิริยาทาทีใหน าสนใจก็ต องคิดเลียนแบบดาราคนโปรดเสี ยกอน ซึ่งดูแลวขัดแยง  เหมือนกําลังทําอะไรเวอรๆ  ไมใชตั วจริง ”
“แลวทําไงกูจะมีสติไดดี ๆอยางมึงมั่ง ?”
จองฤกษพยายามหาขอสรุป
“ก็ หัดคิดถึงสิ่ งที่กํ าลังจะตองทํา อยาไปคิดถึงสิ่ งที่ทํ าอะไรไมไดแล ว หรือยังทําอะไรไมไดเลย ถาปลูกฝงนิ สัยคิ ด
ตัดใจทําอะไรเฉพาะหนาบอยเข า นานไปสติ ก็จะคอยๆแข็งแรงขึ้ นเอง อยางกรณีของมึงเนี่ย  ก็ ตองฝกคิดถึงสิ่ งที่ต องพูด
แลวก็สิ ่ งที่ต องฟง  เพราะสวนใหญมึ งขาดสติตอนคุยกับคน และที่ เปนอยางนั้ นก็เพราะมึงไมค อยเอาใจใสสนใจมนุษยมนา
เขา!”
จองฤกษสู ดลมหายใจลึ ก ยอมรับจากกนบึ้ งวาเมื่ อครู เขามัวแตคิ ดวางแผนวาจะพูดอะไรเสียจนลืมคํางายๆพูดได
สบายๆเชน  ‘สวัสดี’ ถาเพียงคิดคํานี้ ออก เขาคงคุยกับณชะเลมาเปนชั่ วโมงแลว
พอคิดใหยาก สมองก็ทํ างานยุ งเหยิงไปหมด  แตถ าคิดใหง าย สมองก็ทํ างานสะดวกขึ้ นเยอะ
“มึงไปรู เรื่ องพวกนี้ มาจากไหนนักวะ?”
“สังเกตเอาซิ! มึงเชื่ อไหมวาคนทั้ งโลกไมกลาแมแตสั งเกตสิ่ งที่ เห็นกันอยู จะจะ ไมกลาหาคําอธิบายใหตั วเอง ไม
กลาสรุปสิ่ งที่ตั วเองรู เห็นออกมาเปนคําพูด  เพราะไมเชื่ อวาสามารถคิดเองไดถูก ”
เปนนาที ที่จองฤกษเพิ่ งรู จั กเพื่ อนในอีกแงมุ มหนึ่ง  เขารูสึ กทึ่ง  เพราะที่ผ านมาตลอดเห็นแคพฤหัสดีแตเจาชู หลอก
ฟนสาวไปวันๆ เพิ่ งเห็นเดี๋ ยวนี้ว าพวกเสนห แรงที่มี โอกาสจีบสาวบอยๆจะเขาใจอะไรเกี่ ยวกับความเปนมนุษยลึ กซึ้ งยิ่ง
“อือม…” จองฤกษเผลอครางแบบสติมั วๆเชนเคย แตพอรูสึ กตัวก็เกือบกัดลิ้น “มึงนี่ก็ ไมเลวนะ”
“ใชซี  กูเปนคนดีนี่  จะเลวไดยั งไง”
จองฤกษยิ้มมุมปาก สมองปลอดโปรงกวาชั่วโมงที่ผ านมาอยางประหลาด เหมือนเห็นทางโปรงโลงไปหมด
“ขอบใจมากนะตอย ทีแรกกูเกือบจะตองพึ่ งคุณไสยเสียแลว ”
พฤหัสฟงแลวชักอยากรู อยากเห็นขึ้ นมาตงิดๆ เพราะหากสาวที่ จองฤกษกํ าลังคิดจีบเปนยายแหงไรราคาดังคาด
ทาทีของเพื่อนคงไม เหมือนคนกําลังพยายามเอื้ อมมือเด็ดดอกฟาขนาดนี้
“สวยเหรอวะ เด็กมึง ?”
“ก็เทาที่มึ งจะจินตนาการไดว าสวยที่สุ ดเปนยังไง”
“นั่นแน! ชักพูดเกงนะมึง …”
พูดพลางยิ่ งทวีความอยากเห็นหนาสาวของจองฤกษมากขึ้ นถึงระดับรุนแรงปุบปบฉับพลัน
“ขอดูรู ปหนอยไดป าววะ?”
“ไมมี  บอกแลวไง เพิ่ งเจอวันนี้ เองหลังจากหางไปเสี ยหลายป”
คําตอบทําใหพฤหัสคันคะยิกขึ้ นมาในอกเพราะอยากเห็นแลวไมไดเห็น
“ยังไงพามาดูตั วบางก็แลวกั น”
“เออ! ไวสนิทกวานี้ จะชวนมาใหดูตัว ”
สุมเสียงอยากอวดของจองฤกษยิ่ งเหมือนเปนเครื่ องประกันวายายคนชื่ อทรายนี่ ไมกระจอกแน พฤหัสหัวเราะอย าง
มีอารมณร วมครึ้ มใจ
๕๓
“ดีเหมือนกั น มึงจะไดเปดบริ สุทธิ์ ซะที ไมมี ประสบการณก อนยี่สิ บนะคนเขาจะนึกวามึงถูกตอนตั้ งแตเด็กๆ
ยังหนุ มยังแนนเนี่ ยมึงรีบฟนซะเถอะสาวเอาะๆนะ  ไมงั้ นตอนแกตองเสี ยแพงนะโวย ”
จองฤกษฟ งคํายุแลวหนาเครงลงเล็กนอย คําแนะนําอื่ นของเพื่ อนเขารับหมด แตมาถึงทางแยกก็ตรงเรื่ องพรรคนี้
เอง แมไมเขาใจธรรมชาติของจิตและอารมณคนเทาพฤหั ส แตจองฤกษก็ เชื่ อมั่ นวาตัวเองมีใจจริ ง กับทั้ งเชื่ อดวยวาใจจริ ง
เทานั้ นทําใหคนเราเก็บความรูสึ กดีๆระหวางมีความรั กไวได!
ตอนที่  ๖ เลือกเกิดใหม
เมื่ อวางโทรศัพทจากพฤหั ส เพียงคิดวาจะยกหูโทร.หาณชะเล จองฤกษก็ เกิดความตื่ นเตนขึ้ นมาอี ก เด็กหนุม
เมมปากแนน พยายามทําใจใหสบาย ไมเห็นเปนเรื่ องพิเศษ พยายามจดจองโทรศัพทอยางมีสติ หลายวูบนึกอยากให ณ
ชะเลเปนฝายโทร.หาเขากอน เพื่ อที่ว าเมื่ อหลอนครานจะคุยกับคนนาเบื่ ออยางเขา เขาจะไดไมต องเสียหนามากนั ก แต
เมื่ อรูตั ววาขี้ ขลาดขนาดคิดเชนนั้ นก็นึกอนาถใจตนเองและพยายามขจั ดมันทิ้ งไปจากหัว
แลวในที่สุ ดลูกฮึดก็มา จองฤกษกระตุกกระบอกโทรศัพทออกจากแปนแบบปุบปบฉับพลั น รัวนิ้ วกดเบอรยิ บดวย
ความชํานาญของนักพิมพสั มผั ส หูแนบกระบอกนิ่ง  แตพอไดยิ นสัญญาณตู ดยาวก็ใจสั่น  ตองกระเดือกน้ํ าลายลงคอฝดๆ
เสียงสัญญาณในสายโทรศัพทธรรมดาๆ ฟงหลอนหูไดอยางนาแปลก คลายมันเตือนวาอีกไมกี่อึ ดใจขางหนาจะถึงเวลา
สอบปากเปลาครั้ งสําคัญ หากสอบไมผานจะถูกตราหนาเปนนายกระจอกจีบผู หญิงไมติด
แตขณะรอการรั บสายจากปลายทางดวยใจที่ เตนระทึกโครมครามนั้ นเอง จองฤกษก็ มี ความสุขแปลกๆ ไปดวย แม
เปนสุขทึบๆ อยางคนยืนทามกลางหมอกมัวมองไมเห็นจุดหมายชัดเจน อยางนอยเขาก็ไมเคยสัมผัสค่ํ าคืนชนิดนี้ เลยตลอด
ชวงเวลาแหงความเปนวัยรุน  เหมือนบังคับตัวเองใหลองกินน้ํ าหวานรสแปลกใหม มีฤทธิ์ สะกดใหมึ นเมา แตเราใจ อยาก
ไหลไปตามฝน  แมหวั่ นกับปลายทางอยู ในสวนลึก
ลมหายใจสะดุดขาดหวงเมื่ อมีเสียงตอบรับจนได
“ฮัลโหล”
เสียงทักนั้ นปลุกเขาจากฝนสวนตัวขึ้ นสูฝ นในโลกที่มี ตั วตนของณชะเลอยู จริ ง บังเกิดความประหมาเมื่ อเดาวาคง
เปนหลอนนั่ นเอง
“ทรายเหรอ?” เขาพยายามราเริง  แตช วยไมไดที่ หางเสียงสั่ นพรา “นี่เราฤกษนะ”
“ไมใชทรายคะ  รอสักครู นะ”
จองฤกษปดตาลง ผอนระบายลมหายใจยาวเหยียด อยางนอยก็มีจั งหวะพักยกใหคลายสภาพกดดั นนิดหนึ่ง
“สวัสดีคะ ”
และแลวเจาหลอนก็มา เสียงหวานใสที่ก อมโนภาพเหมือนรอยยิ้ มของดอกไม จองฤกษอั ดลมเขาปอดลึกๆ ราวกั บ
ถึงเวลาออกเวทีในละครโรงใหญเปนครั้ งแรก
“ทราย… นี่ฤกษพู ดนะ” สําเหนียกเสียงจากปากตนเอง รู สึกวาไมพราเพี้ ยนอยางเมื่ อครูค อยโลงอก“ทําธุระอะไร
อยู หรือเปลา ?”
๕๔
นั่นคือประโยคทักทายที่ เพื่ อนธรรมดาเริ่ มเปดฉากโอภาปราศรัยทางโทรศัพทกัน  เบิกตานิดหนึ่ งเมื่ อคิดวา
ไดผล จิตใจเขาสงบลง
“อื้อม! วางอยู พอดี วาไง?”
สัมผัสไดถึ งความเต็มใจจะคุยจากปลายสาย หรือกระทั่ งมี วี่แววดีใจเล็กๆ แฝงอยู ในน้ํ าเสียงนั้ นดวยซ้ํา  และนั่ นก็
ทําใหจองฤกษใจชื้ นขึ้ นอักโข ครูที่ผ านมาหวาดกลัวก็เพียงเพราะคิดมากไมเขาเรื่ องไปเอง เสียเวลานั่ งคิดมุขพิสดารเปน
ชั่วโมงดวยความโงเงาเตาตุ นแทๆ
“เราดีใจนะที่ เจอทรายอีกในวันนี้ ”
เขาพูดโดยไมไดตระเตรียมไวล วงหนา  แตกลั่ นออกจากความรูสึ กที่ แทจริงในขณะนั้น  ชั่ววินาทีที่ เกิดความเปนตั ว
ของตัวเองเต็มบริ บูรณ จองฤกษรูสึ กถึงมิตรภาพนาอบอุน  และสายสัมพันธอั นดี นั้นก็ทํ าใหทราบเองวาควรพูดอะไร ไม
มากเกินไป ไมน อยเกินไป
“ทรายก็ดี ใจเหมือนกัน ”
เพื่อนสาวตอบกลั บโดยปราศจากความเคอะเขิน  เพราะเปนขอบเขตที่ เพื่ อนเกาจะรูสึ กตอกันได
“โดนพอแมดุ หรือเปลา ?”
“เรื่ องที่ ฤกษเขามาอยู ในบานนะเหรอ? ไมว าอะไรหรอก ทรายไมเคยโกหก เพราะงั้ นพูดคําไหนคุณพอคุณแมก็
เชื่ อหมดแหละ”
นั่งคุยกันเกือบสองชั่วโมงถึ งเพิ่ งรูว าทั้ งบานมีแตหลอนกับเขาตามลําพัง  เมื่ อพอแมของหลอนกลับมา นาทีแรกที่ณ
ชะเลพาไปไหวนั้ นพวกผู ใหญทํ าหนาประหลาดใจเพราะไมเคยเห็นณชะเลพาใครมาบาน พรอมกันก็ ชักสีหนาดวยความ
ไมพอใจที่ เห็นลูกสาวอยูกั บเพื่ อนผูชายตามลํ าพัง
แตพอณชะเลเลาความเปนมาเปนไปทุกประการตามจริ ง ผูเปนบุพการี ก็รับทราบดวยความเขาใจ แถมคุณพอ
ของณชะเลยังมีน้ํ าใจเอารถออกมาสงถึงเขตที่คิ ดวาปลอดภัยพอเสียอีก
“ความจริงเรื่ องมันบังเอิญเสียจนเหลือเชื่ อนะ”
เด็กหนุ มเปรย
“ก็ งั้นแหละ พอฤกษกลับก็โดนซักนิดหนอยเหมือนกันวาเปนเพื่ อนตั้งแตสมัยไหน จะรู ไดไงวาฤกษไมไดก อคดี
แลวหนีตํ ารวจมา”
จองฤกษหัวเราะเสียงดัง  ถึงเวลานี้ เขารูสึ กผอนคลายเต็ มที่ แลว
“แลวทรายอธิบายวาไง?”
“ก็บอกวาฤกษ เหมือนเพิ่ งเลนกีฬามาจริงๆ เหงื่ องี้ท วมเลย”
“เหงื่ อจากการวิ่ งหนีกลุ มชายฉกรรจที่ ไรรอยยิ้ มตางหาก  เลนแบดไมโทรมขนาดนั้ นหรอก”
ณชะเลหัวเราะสํานวนอันเกิดจากประสบการณฉิ วเฉียดจวนเจียนของเขา
“เกงนะที่ หนีทัน  ตอนแรกฤกษหนาตื่ นมากเลยละ  เห็นแลวรูว าตองหนีอะไรที่น ากลัวมาจริงๆ”
“เขาเรี ยกวิ่ งไมคิ ดชีวิ ตไง เกิดมาไมเคยโดนสหบาทา แตเดาถูกวาเจอทีเดียวหนาตาคงเปลี่ ยนไปเยอะ”
“พวกผู ชายนี่ ชอบมีเรื่ องกันจัง  ทรายเกลี๊ ยดเกลียด”
“แตเราไมไดไปหาเรื่ องเขากอนนะ”
๕๕
“ก็ดีแลว  ถารูวาพาลหาเรื่ องคนอื่ นกอนยังไงทรายก็ไมช วยหรอก”
จองฤกษอึกอักเล็กนอย
“เออ … ฝากขอบคุณคุณพอทรายอีกครั้ งนะที่ช วยขับรถออกมาสงถึงปายรถเมลห างจากหมูบ านตั้ งหลายกิโล”
“โอเค แลวจะบอกให… ฤกษมาเลนแบดแถวนี้ ประจําเหรอ?”
“พอดีเปนครึ่งทางระหว างบานเรากับเพื่ อนนะ ”
“คราวนี้ก็ คงตองยายที่ เลนแลวดิ้ ”
จองฤกษหัวเราะกรอย
“ก็คงสักพัก  ไมรู เขาอยู แถวนั้ นกันหรือเปลา  แตหนาตาเราลืมงาย สองสามเดือนเห็นอีกทีเขาก็คงไม แนใจแลวมั้ง ”
“แตทรายยังจําฤกษ ไดนะ แลวก็เปนฝายจําไดก อนดวย แสดงวาตองมีเอกลักษณ”
“งั้นชางเถอะ ถาจําไดก็ วิ่ งหนีเขาบานทรายใหม คราวนี้รู ทางแล ว… ทรายกับพี่ สาวมาเลนแบดกับพวกเรามั่ งไหม
ละ?”
“ไมเอาหรอก” ณชะเลตอบแบบยนจมูกพูด “เลนแบดไมเห็นมันเลย”
“งั้นเลนอะไรแลวมัน ?”
“เลนกับอุ ยโหย”
จองฤกษอาปากคางไปนิดหนึ่ง  ชักไมชอบหนาหมาตั วนั้ นขึ้นมาตงิ ดๆ นึกถึงสํานวน‘ถารักฉันก็จงรักหมาของฉั น
ดวย’ ขึ้นมาทันที ตอนเห็นมันก็ นึ กเอ็นดูอยู หรอก แตพอณชะเลบอกวาไมชอบกิจกรรมอื่ นใดนอกจากเลนกับมั น เขาก็ ชั ก
ละเหี ่ยกับอนาคตยาวๆ ขางหนาเสียแลว
“เลนกับหมาไมใชการออกกําลังนี่ ”
“ใครบอก” เด็กสาวสวนคําทันที“พาเจาอุ ยโหยไปวิ่ งหรือเลนซอนหากับมันทีไรทรายก็ไดเหงื่ อทุกทีแหละ”
คําพูดทุกคําของณชะเลทําใหรูสึ กวาชีวิตของหล อนหายใจเขาออกเปนเจาอุ ยโหยเสียจริงๆ
“โลกนี้ ไมมี ความยุติ ธรรมเลยนะ แมแตสั ตวก็มี ระดับชั้ นวรรณะ บางตัวมี สิทธิ์ เลนกับคน ครองเวลาสวนใหญของ
คนเสียดวย”
บนแกมประชด แตณชะเลไมทั นรูสึก  จึงโตตอบไปตามเรื่ อง
“กรรมจําแนกไง วิบากกรรมนั่ นแหละตุลาการผู เที่ ยงธรรมที่สุด  ถาจะถามหาความยุติ ธรรมจากโลกนี้  ก็ มีแตกฎ
แหงกรรมที่ หวังพึ่ งได”
เมื่ อไมเห็นกันตอหนา  จองฤกษก็ ลอบเหยียดยิ้ มนิดหนึ่ง  ไมเชิงวาหยัน แตด วยความรูสึ กวาณชะเลนาจะมี สิ่งที่
หลอนยึดมั่ นและพูดถึงบอยอยู แคสองเรื่ อง คือเจาอุ ยโหย แลวก็เรื่ องกรรม คิดจีบหลอนเขาคงตองพูดสองเรื่ องนี้ ใหเกงบาง
“แลวกรรมแบบไหนที่ทํ าใหสั ตวบางพวกเกิดมาพรอมโอกาสคลุกคลีและไดรั บความเมตตาเอ็นดูเปนพิเศษจาก
มนุษย ในขณะที่ เพื่ อนสัตวอี กคอนโลกไมได รั บโอกาสนั้น ? อยางยอรกเชียรของทรายเนี่ย  จะไมมี ใครเห็นมันวิ่ งเปนหมา
ขางถนนเด็ดขาด เพราะถาหลุดจากบานไหน ตองมีใครจับไปเลี้ ยงทันที”
“จับไปขายมากกวา ” ณชะเลบอกยิ้ มๆ กอนไขขอกังขาของเขาในขอบเขตความรู ที่ ได รั บจากหมอดูอุ ปการะ“พวก
หมาที่มี เสนหดึ งดูดมนุษยใหยอมเหนื่ อยประคบประหงมดูแลเปนอยางดีเนี่ย  มักจะเคยมีความผูกพันที่พิ เศษกับมนุษยมา
กอนนะ อยางทรายกับอุ ยโหยอาจเปนแมลู กกันมาก็ได ทรายถึงพิศวาสมันสุดใจตั้ งแตแรกเห็น  และที่มั นนารั ก มีขนเงางาม
๕๖
มี รูปรางนาเอ็นดูกวาสัตวอื่น  เหมาะกับการเปนเครื่ องประดับบารมีคน อันนี้ อาจเพราะตอนอุ ยโหยเปนลูกเราเคยทําตั ว
นารัก  พูดจาออนหวาน อยู ในศีลธรรมอันดีก็ ได”
ปลายประโยคเสียงสั่ นเครือขึ้ นมาเฉยๆ แมหลอนไมอาจทราบอดีตชัด  แตพอพูดแลวคลายเกิดหวงความรูส ึก
สัมผัส ‘ความจริง ’ ขึ้นมาวูบหนึ่ง  ชัดลึกพอจะสะเทือนเขาไปถึงหัวใจ
จองฤกษเมมปากซอนยิ้มราวกั บกลัวณชะเลมองเห็น  เขาเอยถามอยางระมัดระวังไมใหเจืออาการหัวเราะ
“ตกลงมันเคยเปนคน เปนลูกทราย?”
“นาจะ”
“แลวที่มั นกลาเกินตัว  ที่มันเยอหยิ่งจองหองขนาดนี้ละ  กรรมอะไรจัดสรรมา?”
“มันอาจจะเคยปกปองทรายทั้ งที่ยั งเล็กอยู มากมั้ง  ความกลาเกินตัวกับความเยอหยิ่ งนี่ พรรคพวกกันอยู แลว ”
เด็กหนุ มอดหัวเราะไมได เพราะนึกวาเปนเพียงการสันนิษฐานเรื่ อยเฉื่ อยของเพื่ อนสาว แตท าทางตอบเปนตุเปน
ตะฉาดฉานราวกับรู จริง  ซึ่งก็เปนปกติของเด็กสาวชางคิดฝนและชอบปกใจเชื่ อจินตนาการของตัวเอง
“แปลวาพวกหมาอวดเกงอยางเจ าอุ ยโหยนี่ เคยสละชีพเพื่ อนายมากอนทั้ งนั้ นเหรอ?”
คําถามของจองฤกษทํ าใหณชะเลตระหนักวาตนเองชางรู เห็นคับแคบ หลอนเพียงทราบตามทฤษฎี วากรรมจําแนก
สัตวเปนตางๆ แตถ าไมมี คนบอก ก็จะไมรู เลยวายอรกเชียรตั วอื่ นๆ ไปทําอะไรมาพวกมันถึงชอบแสดงความเกงกลาเกิ น
กําลัง
“ไมรูซี …” เด็กสาวยอมรับตามตรง ไมฝ นแสดงความเห็นที่ ตนไมแนใจ“ทรายรู แตว าสัตวแตละสายพันธุ จะมี
คุณสมบัติ สามัญเหมือนๆ กัน และที่ เปนอยางนั้ นก็ด วยสูตรผสมกรรมแบบเดียวกันนั่ นเอง”
จองฤกษอมยิ้ม  คําวา ‘สูตรผสมกรรม’ ของณชะเลทําใหเขานึกถึงเครื่ องดื่ มผสมแบบที่ เรียกวา ‘ค็อกเทล’ แตละ
สูตรอาจมี ทั้งน้ํ าผลไม น้ําหวาน และแอลกอฮอล สุดแทแตใครจะริเริ่ มหรือกระทั่ งอุตริทดลองใหวิ จิ ตรพิสดารไปตางๆ
ตามอัธยาศัย
“ถากรรมเปนผูจํ าแนกสัตวจริง  แตละสายพันธุสั ตวก็ เปนรสของ‘ค็อกเทลกรรม’ นั่นเองนะ”
ณชะเลยิ้ มกวางอยางสนุกกับคนมีจิ นตนาการทันๆ กัน
“ถาเปรียบกับค็อกเทล คนเราสวนใหญจะเปนเจาของสูตรเหม็นขม กินแลวหนักไปทางมึนเมา นอยรายเปน
เจาของสูตรหอมหวาน กินแลวหนักไปทางสดชื่น … วาแตฤกษกิ นเหลาหรือเปลา ?”
“ถากินนี่มี ความผิดขนาดโดนทรายเลิกคบเลยไหม?”
เด็กสาวหัวเราะใส
“ทรายไมไดธั มมะธัมโมขนาดนั้ นหรอก ถามดูเพราะเห็นเอาเรื่ องกรรมไปโยงกับค็อกเทลได”
“เราก็ กิ นมั่ง  แตไมชอบเทาไหร เคยกินที่บ านเพื่ อนแลวเมาจนพวกตองพยุงไปนอนอวกริมนา ตั้งแตนั้ นเลยเข็ ด…
เราวาสูตรผสมกรรมของเจาอุ ยโหยทําใหมั นโชคดีนะที ่เปนสัตวบ าน อยู รวมกับคนได  และรับความเผื่ อแผต างๆ จากคนได
ถาเกิดเปนสัตวป าก็หมดสิทธิ์ เลย ชีวิตพวกมันไมเอื้ ออํานวยกับการมาอยู คน คิดงายๆ เฉพาะในไทยนี้ถ าเอาสัตวป ามาเลี้ ยง
ก็ผิดกฎหมายแลว  เพราะถือวาเปนการทรมานสัตว ทําใหการกินอยู และการแพรพั นธุผิ ดธรรมชาติ”
ณชะเลพยักหนาใหกั บกระบอกโทรศัพท
๕๗
“ถาเอามาอยู ในที่ แคบ สัตวป าสวนใหญจะออนแอและเซื่ องซึมไร ชี วิ ตจิตใจ ซึ่งก็แปลวาค็อกเทลกรรมของมั น
สงใหเกิดมาเหมาะจะนอนกลางดินกินกลางทรายเทานั้น ”
จองฤกษแวบคิดขึ้ นมาปุบปบวาสัตวป าในถิ่ นหางไกล โอกาสยกจิตเลื่ อนชั้ นใหเทามนุษยย อมยากกวาสัตวเลี้ ยงที่
สัมผัสใกลชิ ดกับมนุษย นาสนใจวาโอกาสที่ แตกตางกันนั้น  เปนเพียงโชคที่ ไดมาโดยบังเอิญ  หรือวาเปนวาสนาที่ ‘บางสิ่ง ’
กําหนดใหเปนไป? เมื่ อยางเข ามาในขอบเขตความเชื่ อเกี่ ยวกับกรรมวิบาก เขาก็เริ่ มเห็นความเปนไปได ที่จะอธิบายเรื่ องนา
สงสัยตางๆ อยางสมเหตุ สมผล
“ชวงเย็นเราอานหนังสือที่ ทรายใหยื มมาบางแลว  เปนอะไรที่ดี มากเลย”
เด็กหนุ มเลาเพื่ อใหเพื่ อนสาวพอใจที่เขาไม ปลอยใหสมบัติ หลอนเปล าประโยชน
“เหรอ?”
ทาทางณชะเลดีใจที่ ไดยิ นเชนนั้น  ฟงออกวาน้ํ าเสียงกระตือรือรนของหลอนเกิดจากความภูมิ ใจที่ ไดใหอะไรดี ๆ
กับคนอื่น
“ทรายเองก็ไดข อคิดจากหนังสือเลมนี้ มากอยางคาดไมถึ งเหมือนกัน  แตบอกตามตรง ตอนแรกที่ เลือกจากรานมาก็
เพราะชื่ อหนังสือตรงกับใจ ทรายกําลังอยากเลือกที่ เกิดใหมใหเจาอุ ยโหยนะ !”
จองฤกษเบิกตานิดหนึ่ง
“ฮา?”
“อยาหัวเราะเยาะนะ แตทรายเชื่ อจริงๆ วาถาอานธรรมะดี ๆ เขาหูมั น  ใสบาตรพระให มั นเห็นบอยๆ ก็จะทําให มั น
จําภาพเสียงที่ เปนกุศล ปรุงแตงจิตมันใหเปนกุศล นํามันไปเกิดใหมในภพที่ดี กวานี้ ได”
เสียงบรรยายจอยๆ บันดาลใหจองฤกษยิ้ มผอนคลาย เขายังไมทราบหรอกวากรรมวิบากมีจริงหรือเปลา  แตแค
กระแสเสียงแหงศรัทธาเชื่ อมั่ นของณชะเลก็เหนี่ ยวนําจิตเขาใหเอนเอียงจะคลอยตามไดทุ กครั้ งแลว
“เสียงทรายกลอมคนใหคิ ดเรื่ องดีๆ  ได ทําไมจะกลอมหมาใหใจเย็นลงไมได”
จองฤกษใหกํ าลังใจ ซึ่งณชะเลก็หั วเราะขําคําพูดของเขา
“แลวฤกษละ  ไดข อคิดดีๆ  ยังไง ไหนขยายความใหทรายฟงหนอย”
“ก็… แบบกระตุกใจนะ  ทํานอง… ฉลาดแลวทําความเดือดร อนก็ไมเรียกวาฉลาด”
ไมขยายความใหบริ บูรณ วาที่ กระตุกเขาไดเพราะแคเปดสุ มมั่ วก็ดั นเจอขอความแทงใจราวกับหนังสือเปน
สิ่งมีชีวิ ตพูดกับเขาได โดยตรง คือ…
มนุษยเปนสัตวประเสริฐที่มี เหตุผล เพราะเหตุผลทําใหมนุษย คิ ดในทางประเสริฐไดมากกวาสัตวโลกทุกชนิ ด แต
หลายครั้ งเหตุผลก็ ทําใหมนุษยเลวทรามไดโดยปราศจากความสํานึกผิ ด เพราะฉลาดอธิบายไปตางๆ นานาวาที่ก อเรื่ อง
อยางนั้ นอยางนี้  มีเหตุผลอันควรอยางไร
ถาคุณคิดวาตัวเองฉลาด บอกไดไหมวาฉลาดไปเพื่ ออะไร?  หากเปนไปเพื่ อทําความเดือดรอนแกผู อื่น  อันจะ
สะทอนกลับมาเปนความเดือดรอนตอตัวคุณเองทั้ งชาติ นี้และชาติหน า เชนนี้ อาจแปลวามันสมองของคุณฉลาดเฉลียว แต
จิตวิญญาณของคุณโงงม อาจโงกวาหลายคนที่คุ ณไปดูถู กเขาเสียดวยซ้ํา
สรุปให งายที่สุด  คุณจะฉลาดกี่ เรื่ องก็ตาม ถาโงเรื่ องกรรมเรื่ องเดียว ก็แปลวาคุณเอาตัวรอดไมได และเมื่ อคุณเอา
ตัวรอดไมได ก็แปลวาคุณเปนคนโงไดมากที่สุ ดคนหนึ่ง !
๕๘
ถาหนังสือเปนดาบก็ นั บเปนดาบที่ เสียบแทงทะลุยอดอกของเขาพอดี พอดีเสียจนตองปดหนังสือลงดวยความ
ตระหนกและยังไมอยากเปดขึ้ นอานอีกเลย!
“ทรายบอกไดไหม…” เด็กหนุ มกระแอมถาม“ที่ทรายนั่ งอานหนังสือธรรมะใหเจาอุ ยโหยฟง  จะทําใหมั นเกิดใหม
เปนอะไร?”
“มนุษยมั้ง ”
จองฤกษเดาอยู แลววาณชะเลจะตอบเชนนั้น  และเขาก็มีคํ าถามเตรียมไวในใจอยู แลวเชนกัน
“ในเมื่ อมันไมรู ภาษา ทําไมถึงจะไดเลื่ อนภูมิ เพียงเพราะฟงเจานายอานธรรมะละ ?”
“เทาที่ ทรายรู มาจากคนนาเชื่ อถือ  เขาวาแมเปนสัตวก็ คิ ดดีได เกิดกุศลจิตได ขอเพียงมีเสียงและภาพดี ๆ ไปกระทบ
หูกระทบตา ถึงแมสมองมันไมเขาใจเนื้ อความตามภาษาพูดยากๆ ของพวกเรา แตจิ ตวิญญาณเปนสิ่ งรับกระแส รับแสงจาก
จิตวิญญาณดวงอื่ นได ถาฝากสัมผัสเปนกุศลใหมัน  จิตวิญญาณมันจะสวางขึ้ นเรื่ อยๆ และเมื่ อไหรถึ งจุดที่มั นฟงเสียง
ธรรมะแลวเกิดโสมนัสเปนปกติ เขาขั้ นไมเอาบาป สะดุ งกลัวตอบาปได เมื่ อนั้ นก็ นับวามี คุณสมบั ติ ขั้นพื้ นฐานของมนุษย
จิตวิญญาณสวางพอจะเขาไปตั้ งอยู ในครรภมนุษยได”
จองฤกษกะพริบตาถี่ๆ  ไดแตครางเพียงสั้น
“อือม…”
“ทรายรู มาดวยนะ วาอานิสงสที่มั นไดเพลิดเพลินกับเสียงธรรมะ พอเปนมนุษยแลวไดยิ นเสียงพระเทศนจะเกิ ด
ความชอบใจโดยไมรูต นสายปลายเหตุ ตอใหฟ งเนื้อความไมรู เรื่ องก็จะเกิดความปรีดาปราโมทยเสมอ”
“คนที่ ทรายเชื ่อถือนี่คื อใคร ทํายังไงถึงแนใจวาเขารู จริง ?”
“ก็… เปนพวกมีญาณนะ  พี่สาวของทรายพาไป”
“หมอดู?”
“อือ… แตทรายไมอยากเรียกเขาอยางนั้ นเลย เพราะรูสึ กวาเขาทํามากกวาดูหมอ”
“ทําอะไร?”
“ทําใหทรายกับพี่ สาวเขาใจและเชื่ อเรื่ องกรรมหนักแนนขึ้น ”
“ทรายไปดูหมอเรื่องเจ าอุ ยโหยโดยเฉพาะหรือ ? เชื่ อแลววารักมันมากขนาดไหน มีใครเขาทํากันบาง ดูดวงใหหมา
ดวย”
“เปลา … ไปหาเพราะเรื่องอื่น  ฤกษไมเจอเองไมเชื่ อหรอก เห็นหนาครั้งแรกเขารู เลยวาทรายกําลังกลุ มเรื่ องอะไร”
ขยับจะเลารายละเอียดเกี่ ยวกับความเดือดเนื้ อรอนใจในเบื้ องแรกของตน แตแคคิ ดก็ รูสึ กขุ นเคืองเจาแฮกเกอรตั ว
แสบขึ้ นมาอีก  เลยยับยั้ งคําพูดไว เพราะตั้ งใจแลววาจะไมผู กพยาบาทแมทางความคิด  จึงเบี่ ยงเบนตัดบทมาสูจุ ดสรุป
“พอเขาไขขอของใจเรื่ องที่ ทรายกลุ มได พูดไปพูดมาก็โยงถึงเรื่ องเวียนวายตายเกิ ด แลวก็ทายทักวาถาอยากพิ สูจน
งายๆ ก็ให ดูเรื่ องเจาอุ ยโหยที่มี ความผูกพันกับทรายมา เขารู กระทั่ งวาตอนจะซื้ ออุ ยโหยทรายคิดยังไง… นั่นแหละ พอเชื่อ
เรื่องภพชาติ จริงๆ แบบมีตั วอยางใหเห็นจะจะ ทรายเลยเกิดกําลังใจ อยากใหมั นมีชาติใหมที่ดี กวานี้ ”
จองฤกษพยักหนา
“คนเรารักใคร ก็อยากใหสิ่ งที่คิ ดวาดีที่สุ ดกับเขาเสมอ”
๕๙
“ใชเลย!  แตก อนทรายตั้ งคาความรักเจาอุ ยโหยไวด วยการเลี้ ยงดูมั นอยางดี ที่สุด อยากใหทุ กสิ่ งทุกอยางที่มี อยู
เพื่ อปรนเปรอมั น รูไหม ทรายเคยอดออมคาขนมไว ซื้ออุปกรณตั ดขนสุนั ขชุดใหญที่ ราคาแพงพอๆ กับตัวเจาอุ ยโหย เพียง
เพราะไดของแถมเปนสิทธิ์ อบรมการตัดแตงขน ทรายอยากแตงอุ ยโหยเองกับมื อ ไมต องใหที่ร านไหนมายุง … แตเดี๋ ยวนี้
สิ่งดี ที่สุดที่ ทรายคิดวาจะใหมั นไมใชแคเรื่ องผิวเผินพรรคนั้ นแลว  ทรายจะกําหนดเลือกภพใหมที่สู งกวาอบายภูมิ ใหกั บ
มัน!”
น้ําเสียงหนักแนนจริงจังนั้ นถึงกับทําใหคนฟงอึ้ง
“แปลวาถาภพภูมิมี จริง  การเปนมนุษยดีที่สุ ดหรือ ?”
“ดี ที่สุดในมุมมองแตละคนไมเหมือนกั น เอาเปนวาตามที่ ทรายรู จากหนังสื อ คือเปนมนุษยนี่ เลือกทําอะไรไดยิ่ง
กวาภพภูมิ ไหนๆ ทั้งหมด อยากเสวยสุขสนุกพิสดารหลากหลายไมซ้ํ าซากจําเจก็ ตองที่นี่  อยากเปลี่ ยนนิ สัยที่สั่ งสมขามภพ
ขามชาติมานานก็ ตองที่นี่  อยากชวยคนเอาบุญหวังสวรรคก็ ต องที่นี่  อยากสั่ งสมเสบียงเตรียมเดินทางไกลไปในทามกลาง
อันตรายของการเวียนวายตายเกิดก็ต องที่นี่  หรือกระทั่ งอยากถึงความสิ้ นสุดทุกขก็ต องที่นี่ ”
“งั้น… ถาเปนมนุษยอยางเราแลว  ก็ตองคิดเรื่ องการเลือกอยูต อใหนานที่สุด  แทนการคิดเรื่องเลื อกเกิดใหมสิ นะ”
ณชะเลฟงแลวสะดุดอีก  ผุดยิ้ มพึงใจในความเปนคนรู เพียงนอยแตตั้ งขอสังเกตไดมากของเพื่ อนหนุม
“เออเนาะ ถารู ทางบุญแลว  ยิ่งอยู นานเทาไหรก็ยิ่ งสั่ งสมบุญไดมากขึ้ นเทานั้น  แตสมัยนี้ทํ างานกันงกๆ อยู แค ๔๐ ก็
หัวใจวายตายกันเปนใบไมร วง หรือถึงอยู อยางมีสุ ขภาพดีหนอย ราวๆ ๗๕ ก็ตองไป”
“ไมใชอยางนั้ นหรอก ถายังไมอยากไปก็ผลัดวันตายกันได อันนี้ต องดูจากคนอายุมากที่สุ ดในโลกเทาที่ เคยมี
บันทึกกันมา แลวจะรูว ารางกายนี้ อยู ไดนานกวาที่คิด ”
“เขาอยู ไดแคไหนละ ?”
“ทายซิ”
“๑๔๐“
ณชะเลนึกตัวเลขที่น าจะสูงติดเพดานความเปนไปได แลว
“ไมใช”
“โห! สูงกวานั้ นอีกเหรอ? ไมน าเชื่ อเลย เฉลยเถอะ”
“๒๕๖!”
“ฮา! จริงอะ ?”
“จริง ! และที่สํ าคัญคือเขาลบลางความเชื่ อที่ว าคนแกต องหลังโกง  ผิวหนังเหี่ ยวยนเสมอ เพราะจนตายก็ ยั งหลังตรง
หนังตึง  ไมมี ใครเห็นเขามี สภาพเกินชายวัย  ๕๐ เลยดวยซ้ํา !”
“ไมหงําเหงอะแมแตนิ ดเดียว?”
“แนนอน! คิดดูนะ สุขภาพแข็งแรง สายตาไมฝาฟาง เสนผมกับฟนยังเปนของแทตามธรรมชาติ”
“ชื่ออะไร ชาวอะไรนะ?”
“ลี ชุงยุน  เปนชาวจี น เกิดในป ๑๖๗๗ ตายในป ๑๙๓๓ และนี่ก็ ไมไดเปนเพียงความเชื่อ  เพราะมีพยานหลักฐาน
พิสูจนได รัฐบาลจีนรับรูว าลีชุ งยุนมีตัวตนตอนเขาอายุ  ๑๕๐ แตเขายังคงอยูต อมาไดอี กรอยกวาป!”
“วาว!”
๖๐
“พอมีคนแบบลีชุ งยุน  ทรายรู ไหมวาคําถามที่ เขาตองตอบเปนประจําคืออะไร?”
“ทํายังไงถึงจะอายุยื นนะสิ!”
“ใช! และคําตอบจากคนอายุยื นตัวจริ ง ก็ มี น้ําหนักนาเชื่ อถือวานักวิทยาศาสตรที่ ไดชื่ อวารู เรื่ องวิ ธีชะลอความแก
มากนัก ”
“เขาตอบวาไง มีเคล็ดลับหรือบังเอิญเอง?”
“มีเคล็ดลับนะสิ ไมบั งเอิญหรอก ลี ชุงยุนเนนการประพฤติปฏิ บั ติตนไวหลายอยาง นับแตการรูจั กมี อิ ริยาบถที่
ถนอมสภาพความเยาววั ยไวนานๆ เชนกลาวเชิงอุปมาอุปไมยใหนั่งนิ่ งเหมือนเตาหมอบ เดินเหินปราดเปรียว
กระฉับกระเฉงเหมือนนกพิราบ นอนหลับสนิทเหมือนสุนั ข แลวก็ มี หั วใจที่ สงบเงียบในการดํารงชี วิ ต นอกจากนั้ นนายลี
ยังเปนมังสวิรัติ  แลวก็เปนคนรอบรู ในเรื่ องการใชสมุนไพรอยางหาตั วจับไดยาก เหลานี้ รวมกันทําใหเขาไมรูจั กแก”
“แปลวาเขาจงใจเลือกที่ จะเปนหนุ มตลอดกาล ใครสอนเขา แลวเปนวิชาสืบทอดไดผลแนๆ กับทุกคนที่ทํ าตาม
หรือเปลา ?”
“เห็นวาลีไดแรงบันดาลใจตอนชวงอายุราว ๕๐ คือไปเจอชาวธิเบตชราคนหนึ่ง  เดินเหินคลองแคลว  อาจจะยิ่ งกวา
เขาซึ่ งแข็งแรงเหนือคนวัยเดียวกันมาก ตรงนี้ เปนจุดเริ่ มความเชื่ อที่ว าการเดินเหินวองไวกระฉับกระเฉงจะมี สวนชวยให
สุขภาพดีและยืดอายุใหยื นยาวขึ้ นกวาปกติ”
ณชะเลยิ้ มแบบเชื่ อครึ่ งไมเชื่ อครึ่ง
“แคอิริ ยาบถก็ช วยยืดอายุได?”
“เมื่ อกี้ บอกไงวาเขารอบรู เรื่ องสมุนไพรดวย เห็นเชี่ ยวชาญเกี่ ยวกับยาอายุวั ฒนะ”
“เปนยาประเภทไหนเหรอ?”
“ก็ประเภทที่ทํ าใหธาตุไฟภายในยังทํางานเผาผลาญ ชวยกระตุ นใหระบบประสาทตื่ นตัวไดตลอด เขากินอาหาร
สมุนไพรทุกวันจนตาย นักวิทยาศาสตรเอามาวิเคราะหดูก็ พบวาเปนอาหารจําพวกกรดอะมิโนในธรรมชาติ ซึ่งรางกายผลิ ต
ไดเองอยู แลว  แถมยังเจอดาษดื่ นในอาหารที่ เราๆ กินกันนี่ แหละ ความแตกตางคือสารชวยยืดอายุเหลานั้ นถูกทําลายไป
ในขณะปรุงอาหารเสียหมด คนทั่ วไปเลยชะลอนาฬิกาชีวิ ตไมค อยอยู ”
“สงสัยเจอหองสมุดเคลื่ อนที่ตั วจริงแลวสิเรา ฤกษนี่ท าทางรู มากจังนะ”
จองฤกษยืดอกยิ้ มปลื้ มที่ เพื่ อนสาวทําเสียงชื่ นชม
“เราเปนคนชอบอาน” เด็กหนุ มบอกสั้ นๆ แลววกกลับมาที่ ประเด็นเดิ ม“สรุปคือสําหรับมนุษยนั้น  ถาแครู วิ ธี  และ
เลือกที่ จะอยูต อนานๆ ความคิดเกี่ ยวกับการเลื อกเกิดใหมก็คงไมน าสนใจนักใชไหม? พวกเราไมรูด วยตัวเองจริ งๆ หรอกวา
ชาติหนามีแนหรือเปลา  และถึงถามีจริง  ก็ไมรูว าจะดีกวาที่กํ าลังเปนอยู ไหม”
ณชะเลครางอือออในลํ าคออยางเข าใจกระจางวาเพื่ อนหนุ มคิดอะไร
“ทรายก็ยั งไมอยากรีบเกิดใหมหรอกนะ อยางพวกเราเพิ่ งลืมตาดูโลกไดไมถึ ง ๒๐ ปเอง แตทรายก็สงสัยวาถานาย
ลี มีอายุยื นเกือบสามศตวรรษไดจริ ง เขาจะพอใจอยู ไปนานๆ เพื่ ออะไร ฤกษรู ไหมวาจุดยืนหรือปรัชญาของเขาอยู
ตรงไหน?”
“ไมรู แฮะ อานๆ มาแคนี้ แหละ… แตฟ งทรายถามแลวทําใหเรานึกถึงชายอายุยื นอีกคน ดูเหมือนจะเปนชาวญี่ปุน
อายุร อยกวาๆ พอใครถามเคล็ดลับของการมีอายุยื น  เขาตอบวาไงรู ไหม?  ก็แคกิ นงายอยูง าย และไมมี เซ็กซสั กแอะเดียว
๖๑
ฮะๆ คนถามก็มานั่ งเมาทกั นตอวาฮวย! แลวอยางนั้ นจะอายุยื นไปทําซากอะไร? นี่แหละ… แปลวามาตรฐานความรู สึ ก
ของคนทั่ วไป การมีอายุยื นคงหมายถึงความหวังจะไดเสพกามไปนานๆ”
ณชะเลหนาแดง หลอนไมค อยทันยุคนั ก ยังไมอาจรับฟงหรือพูดคุยพาดพิงเรื่ องเสพกามแบบหนาตาเฉยเชนสาว
ยุคเดียวกัน  แตความที่ เพื่ อนหนุ มไมไดส อเจตนาลามก จึงกลั้นใจถามด วยความอยากรู
“แลวนายลีของเธอใหคํ าแนะนําแบบเดียวกันหรือเปลา ?”
“เปลา ! ตรงกันขามเลย ตอนตายนะเขามีเมียคนที่  ๒๔ เชียวนะ! จํานวนเมียที่ มากขนาดนั้ นก็เปนหนึ่ งในขอพิ สูจน
วาเขาอายุยื นผิดมนุษยมนาจริงๆ แลวก็ไมไดอยู อยางซังกะตายดวย”
“แหยะ… มีอายุยื นไดขนาดนั้ นนาจะเขาวัดเขาวา เอาเวลาไปอานพระไตรปฎกใหจบ หรือไมก็ทํ าตัวเปน
ประโยชนกับโลกมั่ง ”
“ก็เขาชอบใจของเขาอยางนั้ นนี่  แลวเขาก็ไมไดยื ดชี วิตออกไปเพื่ อมีเมี ย ๒๔ คนอยางเดียวหรอก ตอนชวงอายุ
๒๐๐ ยังสอนในมหาวิทยาลัยจีนไดเลย มีไตเติ้ ลเปนศาสตราจารยด วยนะ”
“การครองตนของคนสูงอายุแตกตางกันไดอยางนี้  แปลวาไมมี ‘เคล็ดลับ’ ที่แทจริงสําหรับการเปนบุคคลอายุ
ยืนนะสิ?”
“เอาไวถึ งยุคที่ เราแกตั ว  คงไมต องคิดมากเรื่ องเคล็ดลับมั้ง  นาโนเทคโนโลยีอาจเปนคําตอบสุดทายสําหรับชี วิ ต
อมตะ อวัยวะสวนไหนสึ กหรอก็สังเคราะหเอามาเปลี่ ยนใหม”
ณชะเลจีบปาก เหลือบตามองขึ้ นมองแสงจันทรนอกหนาตางกอนรําพึง
“อีกหนอยคงมีคํ าถามที่น ากลัวนาดูละ  วาเราจะเอาชีวิตอมตะไปทําอะไรกันดี?”
“ก็อาจจะ… เอาไว หาคําตอบวาชีวิ ตคืออะไร ถายังหาคําตอบไมเจอก็ยื ดอายุออกไปอีกเรื่ อยๆ”
เด็กสาวหัวเราะแผว
“เพิ่ งอานจากกินเนสบุ กนะ ผูหญิงฝรั่ งเศสชื่ ออะไรหลุยส ๆ สักอยาง อายุ ๑๒๒ ป เพิ่ งตายเมื่ อไมนานนี้ เอง รูไหม
บันทึกที่น าจดจําเกี่ ยวกับชี วิตเธอคืออะไร? ขอแรกคือเปนคุณยายอายุมากที่สุ ดในโลก ไมมี ผู หญิงคนไหนใน
ประวัติ ศาสตรเทาที่บั นทึกไวเอาชนะเธอได  ขอสองคือเกิดทันหอไอเฟลสรางเสร็จ  ขอสามคือเปนคนแอ็กทีฟอยู ตลอด อายุ
รวมรอยยังขี่ มอเตอรไซคได แลวก็ไดชื่ อวาเปนดาราอาวุโสสุดขีด  คือแสดงหนังตอนอายุ ๑๑๔“
จองฤกษหัวเราะตาม
“ก็ไมเลวนะ”
ณชะเลสายหนา
“ถาความหมายของการมีอายุมากคือแรงบั นดาลใจใหคนอื่นอยากมี อายุมากตาม รวมทั้ งพิสู จนใหเห็นวาอายุร อยป
ยังขี่ มอเตอรไซคได ทรายก็ไมอยากอยู บนเสนทางของคนมีอายุยื นหรอก เลนบทในละครโรงใหญนานแคไหน ในที่สุ ดก็
ตองเลนบทศพไรวิ ญญาณครองกันอยูดี ”
“งั้นทรายอยู เปนเพื่ อนเราสักรอยปสิ  ลองมาคุยกันอีกที ดูซิวาถามีอายุยื นขนาดนั้ นเราสองคนจะทําอะไร
ไดบ าง!”
๖๒
ตอนที่  ๗ ขามรุน
“โอโหเฮะ!” พฤหัสรองดังๆพลางยกสองมือดีดนิ้ วเปาะแป ะ“เหลือเชื่ อไหมละพี่ เค ก? บานเราหางจากกันแคไมกี่
ซอย แถมโรงเรียนผมใกล กั บที่ทํ างานพี่ เคกแทบจะรอนเครื่ องบินกระดาษสงความคิดถึงกันไดอยางนี้อี ก  นี่คงไมใชเรื่ อง
บังเอิญแลวมั้ง ”
อเวราเงียบไปครู หนึ่ง  ความบังเอิญเปนสิ่ งที่น ากลั ว เพราะมนุษยธรรมดาไมมี ทางอธิบายวาความประจวบเหมาะ
ทั้งหลายบังเกิดขึ้ นไดอยางไร  และโดยเฉพาะอยางยิ่งควรเตรี ยมตัวรับมือกับมันอยางไร !
“แตเชานี้คงไม ใชความบังเอิญหรอกนะ”
หญิงสาวพูดดักคอ เมื่ อคืนเขาเพิ่ งหลอกถามวาปกติหลอนออกจากบานเวลาไหนจึงไมเคยเจอกันเลยสักครั้ง
หลอนพาซื่ อไมทั นคิดอะไรมากก็ตอบไปตามจริ ง เพราะเห็นวาเวลาออกจากบานของตนคงตองสายกวาเขามากแนๆ แต
แลวก็ไดเรื่ องทันที เชานี้ พอขับผานมาก็เจอเด็กหนุ มซุ มยืนรออยู หลังพุ มไมใกลหนาบานเขา
พฤหัสยืนยิ้ มแปนเอามือไพลหลังอยู เฉยๆ ไมไดโบกเรียกหรือแสดงทาทีขอโดยสารแตประการใด ทวาแนละ  มี
หรือที่ อเวราจะใจจืดใจดําขนาดขับผานไปเฉยๆได ในเมื่ อเพิ่ งคุยโทรศัพทกั นเมื่ อคืนหยกๆ และมองตาแลวรู กั นวาเขายอม
โดดเรียนชวงเชาเพื่อพบหลอนโดยเฉพาะ
ทีแรกนึกวาอาจตองสงเขาลงตรงปายรถเมลหนาหมูบ าน หรืออยางเกงก็หยอนทิ้ งไวตรงไหนสักแหงระหวางทาง
แตพอพฤหัสบอกที่ อยู ของโรงเรียนเขา อเวราถึงกับเผลออุทานวาอยู ใกลที่ทํ างานหลอนนิดเดียว และนั่ นเปนที่ มาของการ
ทําสุ มทําเสียงตื่ นเตนของเขา
“ผมยอมรับวาจงใจดักรอพี่ เคก  แตนี่ ไมใชลู กไมเพื่ อประหยัดคารถเมลหรอกนะครับ”
“งั้นดักรอเพื่ ออะไร?”
“เพื่ อใหพี่ เห็นใบหนาสํานึกผิดของผมซ้ํ าอีกครั้ง ”
อเวราอดหัวเราะไมได
“พี่เห็นใบหน าเธอมีแตความเปนเด็กเจาเลหน ะซี!”
“นอกจากอยากใหเห็นหนาแลวยังอยากใหเห็นเขาอีกดวย”
หญิงสาวละสายตาจากทางขางหนาเหลือบมองมาทางหนาตักของเด็ กหนุ มอยางฉงน
“เห็นทําไม?”
“เขาเคล็ดจนเดินกระโผลกกระเผลกนะซี เมื่ อกี้ ตอนกระยองกระแยงขึ้ นรถพี่ เคกสังเกตหรือเปลา ?”
อเวราขมวดคิ้ วเปนหวงเปนใย ใจไพลนึ กไปถึงอุบัติ เหตุเมื่ อวาน
“ไปโดนอะไรมา?”
พฤหัสทอดจังหวะเล็กนอยกอนลดเสี ยงลงเปนแผวรําพึง
“เมื่ อวานเย็นตกหลุมรัก ”
คําตอบอันไมเปนที่คาดฝนทําใหอเวราหั วเราะยาวดวยความขบขันเกือบครึ่ งนาที พอหยุดก็เอยยิ้ มๆในหนา
“คราวหลังเดินระวังหนอยแลวกัน ”
“ระวังยังไง ไมมีป ายเตือน”
๖๓
อเวราเบะปากยิ้ มเงียบ แตนั ยนตาสองแวววับวาม รอบตัวของเขาเต็มไปดวยความเพลิดเพลินนาสบาย จุด
ประกายรื่ นรมยใจใหแกคนเขามาใกลไดง ายยิ่ง
“แลวพี่ เคกจะเอารถเขาอูซอมเมื่ อไหร?”
“คงสักพักหนึ่ง  ความเสียหายไมมากแตต องทิ้ งไวหลายวัน  พี่เอาไวใชงานก อนดีกวา ”
“ผมยอมเปนโชเฟอรชดใชที่ทํ าใหพี่ เคกตองเสียเวลาก็ไดนะ รับรองจะขับใหอยางนิ่ มนวล ตรงเวลา แลวก็ไมรั บ
คาจางกับคาทิปดวย”
“จริงอะ ?”
“จริงซี่ !”
พฤหัสยืดตัวตรงรับคํากระตือรือรน  แสดงใหเห็นวาหมายความตามนั้น  ไมใชแคพู ดเลนสงๆ
“ไมต องหรอก” อเวรายิ้มเลนตัว “ขับเองได ยังไมใชยายแกที่ต องมีสารถี”
เด็กหนุ มทําหนาผิดหวังอยางรูว าที่ แทอเวราแกลงออยเหยื่ อใหหลงดีใจเลนเทานั้น
“ผมก็ไมไดเห็นพี่ เคกเปนยายแก ตรงขาม อยากชวยใหดู เปนคุณหนูไง… ตอไปถาพี่ เคกมี ธุระปะป ง จะเดินทาง
ใกลไกลแคไหนเรียกใชผมได คิดเสียวาใหโอกาสผมทําบุญลบลางบาปที่ผ านมา นี่ตั้งใจจริงไมใชอํ าชุย ”
“อยากทําบุญก็ไปทําที่วั ดสิ มาทําอะไรในรถ”
“วัดมีแตพระ ไมมี คนสวยแบบพี่ เคกอยูที่นั่ นนะสิครับ”
พฤหัสทดลองหมัดแย็บอีกหนอยางจะลองวาอเวรามีใจตอบรั บ ‘ลูกเลน ’ ของเขาแคไหน ดวยความคิดวาถาอยาก
จีบหวังผลตองไมทํ าตัวเปนนอง แตใหรู ๆไปเลยวาจะบุก  เขามั่ นใจเสนห ของตนวามีมากพอจะกลบเกลื่ อนสถานภาพดอย
วัยวุฒิ ไดอยางสบาย หรือไมก็ แปรความดอยวัยวุฒิ ใหกลายเปนสีสั นแปลกใหมสํ าหรับหลอนไดไมยาก
ฝายอเวราฟงแลวกะพริบตาทีหนึ่ง  สุมเสียงของพฤหัสนาฟงทุกคําสําหรับหวงเวลาที่กํ าลังเหงาๆของหลอน เขามี
เสนห แหงความเปนชายที่น าทึ่ งไปทุกกระเบียด แมแตท าตั้ งสองมือดีดนิ้ วเปาะแปะติดๆกันก็เกไกดู ชวนเพลินและฟง
เพราะ ราวกับทุกจุดในรางเขาเป นที่ลั่ นไกเสนห ไดหมด อะไรๆนาตื่ นหูตื่นตาไปทั้ งสิ้น
แตจะให ‘เลน’ กับเขางายๆนั้ นคงเปนเรื่ องประดักประเดิดเกินไปหนอย อยางไรหลอนก็ ตองไวตั วและไมแสดง
อาการดวนหลงใหลประเจิดประเจอจนเกินไป
“ถาบอกวาที่วั ดมีแตพระ ไมมี คนสวย แปลวาเธอคงไมเขาวัดบอยนั ก เดี๋ ยวนี้มี เด็กสาวๆสวยๆรุ นๆเธอเขากันตรึ ม
พี่ไปประจําแลวก็เห็นเยอะขึ้ นทุกที ลองเถอะ เขาวัดเขาวาสงบอกสงบใจ อาจไดของแถมเปนเนื้ อคู กลับมาดวย”
“อะ! มีดวยเหรอ ยุใหเขาวัดหาเนื้ อคู ?”
“เธอนะไมรู อะไร โบราณวาเนื้ อคู อยูที่วัด ”
เด็กหนุ มอาปากหวอ
“ฮา! จริงอะ ?”
“ก็เปนความเชื่ อแบบไทย สําหรับไทยเราแตไหนแตไรมา วัดคือศูนยรวมอะไรดีๆในชี วิตของชาวบานทุกอยาง
อยากทําบุญใหจิ ตใจสบายก็ไปวัด  อยากฟงเทศนใหผ องแผวก็ไปวัด  อยากเจอหนุ มสาวอัธยาศัยดี มีใจเปนบุญก็ไปวัด
โดยเฉพาะเชื่ อกันวาถาชาติก อนทําบุญมาดวยกัน  บุญจะชักนําใหมาเจอกันในงานบุญอีก ”
๖๔
พฤหัสเอียงคอชําเลืองอเวราดวยแววขบขั น สรุปกับตัวเองวาผู หญิงคนนี้ท าทางจะเปนเอามาก เชื่ อเรื่ องลี้ลั บพา
ฝนแบบสาวยุคเกาที่ นอนอานนิยายอยู แตในหองนอน เขายอมพนันแบบเทหมดหนาตักวาหลอนกําลังหัวใจวาง เพราะ
สัมผัสถึงความเหงาที่ แฝงอยูลึ กๆเกือบตลอดเวลาในแววตาคูนั้ นได อาจจะเพิ่ งเลิกกับแฟนคนลาสุด  แมอาจจะมีหนุ มมาก
หนาหลายตามาพัวพันก็ยั งไมเจอใครใหความอบอุ นได
ก็ดีแลวที่รูว ามีใจใฝบุญ อยางนอยคนไวสัมผัสอยางเขาก็พบแนวทางจีบหลอนใหติ ดโดยพลัน
“งั้นพี่ เคกพาผมไปวัดมั่ งไดไหมละ ? เผื่ อขากลับจะไดรู ซะทีว าเนื้ อคู เปนใคร”
หญิงสาวขยับตัวนั่ งตรงขึ้ นคลายจะเรียกสติกลับมาบาง เขาหยอดแบบทีเลนทีจริงอยู ตลอดเวลา จะฟงแบบเบา
สมองก็ได หรือฟงแบบยั่ วใหอยากลองเอาจริ งก็ใช
อันที่ จริงอเวราเริ่ มเขาวัดไดไมนานนั ก เอาให ชั ดคือเพิ่ งเมื่ อสามเดือนเศษที่ผ านมานี่ เอง หลังจากอกหักครั้ งลาสุด
หลอนเปนเพียงผู หญิงธรรมดาคนหนึ่ งที่ ซมซานหนีรอนไปพึ่ งเย็นตามสูตรสําเร็จของคนไทย ทั้งที่ก อนหนานั้ นไมค อยนึ ก
ถึงวัดสักเทาไหร หลอนเติบโตมากับการบริโภคขาวฉาวของอลัชชี ผานหนาหนังสือพิมพ ฉะนั้ นที่ จะใหอยูดี ๆมีความนั บ
ถือพระนับถือเจา  เขาวัดเขาวา ยอมลงนั่ งพนมมือฟงเทศนจากคนนุ งเหลืองนั้ นเห็นทีคงยาก
แตเมื่ อชี วิตดําเนินมาถึงจุดที่ต องรองไหแรง ตองอยู ในสภาพเหมือนคนใกลจมน้ํ าที่ ใครโยนฟางมาเสนหนึ่ งก็ ต อง
ควาไว ญาติหลอนก็ สงเทปธรรมะมาให ฟ ง และนั่ นเปนจุดเริ่ มตนที่ทํ าให รับรู ว าพระมีหนาที่ สรางความรมเย็นให กับโลก
และพระดี ก็ ยังมีอยู มาก ความรู สึ กจึงใสขึ้น  ยอมไปทําบุญบอยขึ้น  รวมทั้ งตามญาติไปรวมกิจกรรมทางศาสนาตามโอกาส
บางแลว
คําวา  ‘เนื้ อคู อยูที่วั ด ’ นั้นหลอนก็เอามาจากญาติ ผูพี่คนนี้ เอง ถอยคําอันเปนความเชื่ อตางๆถายทอดเขามาเก็บใน
สมองหลอนมากมาย เพราะพักหลังญาติผูพี่ กลายเปนที่ ปรึกษาไปทุกเรื่ อง
และบัดนี้ หลอนก็รูสึ กวาคงตองโทร.หาญาติผูพี่อี กครั้ งเสียแลว …
“ฮัลโหลคะ ”
“สวัสดี คะพี่ หนอง เคกนะคะ” หลังจากหยอนพฤหัสลงไปตามทางของเขา อเวราก็ต อสายทันที“กําลังยุ งอยู หรื อ
เปลา ?”
“ออ! เคก … ตอนนี้ ไมยุ งจะ  แตอี กหานาทีตองเข าประชุมนะ มีอะไรวามาเลย”
รสรินเปนลูกลุง  แตอายุห างจากหลอนเกือบยี่สิ บป เคยคลุกคลีสนิทกันสมัยหลอนยังเด็ก  หลังๆพบเจอก็ต อเมื่อ
วงศาคณาญาติรวมตัวกันในงานใดงานหนึ่ง  และเพิ่ งเมื่ อไมช าไมนานมานี้ พอพบกับรสรินอีกครั้ง  ก็เปนชวงจังหวะที่ หลอ
นอกหักครั้ งสําคั ญ ความอบอุ นและวิ ธีประโลมปลอบของรสรินทําให รูสึ กตาสวาง คลายทุกขคลายโศกไดรวดเร็วราวกั บ
ปาฏิหาริ ย และนั่ นเปนเหตุใหติ ดใจขอใชบริการจากรสรินมาตลอด ไมว าเรื่ องเล็กเรื่ องใหญหลอนโทร.ปรึกษาหมด จะวา
เหมือนลูกติดแมก็ ได
“เออ …”
อเวราอ้ํ าอึ้ง  เมื่ อครู เหมือนมี คําพูดรอพรั่ งพรูผ านริมฝปากมากมาย แตพอเอาเขาจริงกลับไมกลาเอยเต็มปากเต็มคํา
เทาใดนัก  รสรินเห็นอาการพูดไมออกบอกไมถู กของนองสาวก็ดักคอเพื่ อใหอี กฝายปลดปลอยถอยคําไดง ายขึ้น
“มีหนุ มมาจีบเหรอ ?”
๖๕
หญิงสาวหัวเราะเขินๆ
“ก็… คงทํานองนั้ นมั้ งคะ” แลวหลอนก็ต อคําเร็วปรื๋อ “แตเคกวาคนนี้  ‘ไมใช’ ชัวรๆเลยคะ  เพราะอายุห างกันมาก”
“เขาอายุน อยกวา ?”
“คะ”
ผูใหคํ าปรึกษางุนงงเล็กนอย
“อาว! แลวเธอสงสัยอะไรในเมื่ อรู อยู แลวไมใชแนๆ?”
พูดพลางรสรินก็นึ กไปดวยวาอีกหนอยถานั่ งอยู ใกลกั นยายนองคนนี้ คงปรึกษาวาควรหายใจหรือยัง
“คือ… พี่หนองเคยบอกใชไหมคะวาเลือกคบกับผู ชายคนไหน ก็คือการยอมใหกรรมของผู ชายคนนั้ นเขามาเกื้ อกูล
หรือรบกวนวิ ถี ชี วิตของเรา เขาจะมี สวนทําใหกรรมทางความคิ ด คําพูด  และการกระทําตางๆของเราเปลี่ ยนแปลงไปไม
มากก็น อย”
รสรินรับฟงดวยความรู สึ กวาญาติ ผู นองกําลังชักแมน้ํ าทั้ งห า ไมกลายิงคําถามตรงไปตรงมา แตก็ ตอบนองไปตาม
เพลง
“อยางนั้ นสิจะ  นี่เปนสิ่ งที่ พวกเราทุกคนรู ไดด วยสัญชาตญาณอยู แล ว ถึงไมคบใครมั่ วไง จะเลือกคบก็เฉพาะที่ ธาตุ
นิสัยเขากับเราได อยูก อน”
“แปลวาถาอยู ใกลแลวสบายใจ เอ อ… มีความสุข มีความดึงดูด  มีหนาตาและสุ มเสียงของเขาตามรบกวนจิตใจเรา
ไปตลอด ก็แปลวาธาตุนิสั ยเสมอกัน  มีกรรมโดยรวมใกลเคียงกันใชไหมคะ?”
รสรินลอบถอนใจ
“ไมเชิงวาอยางนั้ นเปะๆหรอกเคก ผูชายบางคนทําใหเราออนไหวงายเพียงเพราะเขามีเสนห แรงเสียจนหยุด
ความรูสึ กนึกคิดของเราไดหมด ขนาดที่ อาจลืมความเปนตัวของตัวเอง ลืมวาเราเคยชอบหรือไมชอบอะไร แลวเราก็จะ
อยากทึกทักวาเขากับเราได  เขาเป นคู แทมาแตปางไหน”
“พี่หนองคะ คือจะพูดไงดี… เคกเหงา” คอยๆเปดอก หลอนไมมี อะไรตองปดบังรสริ น เพราะเคยแมกระทั่ งกรี ด
หัวใจตัวเองเลาเรื่ องเรนลับสารพันให พี่สาวคนนี้ฟ งมานักตอนักแล ว “หลายเดือนที่ผ านมาเคกอยูตั วคนเดียว เขาเขามาเร็ ว
แลวก็แรงมาก ทําให จิตใจเคกเตลิดเปดเปงไปทุกทาง… เคกขอถามพี่ หนองตามตรงไมอ อมคอม มันจะเปนบาปไหมถ า
เรา… ปลอยตัวปลอยใจไปบาง?”
รสรินเงียบกริบเพราะรูทั นที วานองสาวหมายถึ ง ‘ปลอยตัวปลอยใจ’ แคไหน และทาทางอเวราก็ไมไดโทร.มาขอ
ความเห็นวาจะเอาดีหรือไมเอาดี แตอยากไดเสียงสนับสนุนจากหลอนวายอมใหผู ชายฟดเลนเสียทีไมเปนบาปมากกวา
ยังไมทั นคิดออกวาจะตอบอยางไรถูก  อเวราก็โพลงออกมาอีก
“เขามาเพื่ อจุดประสงคนั้ นอยางเดียวเลยพี่ หนอง เด็กกวาเราตั้ง  ๗ ป ไมมี ทางเอาจริงหรอก แตถ าทําใจไวแตแรก
วาคบกันเดี๋ ยวเดียวแกเหงา ตางฝายตางได ในสิ่ งที่ตั วเองตองการ ก็คงไมมีใครเสียหายใชไหมคะ?”
รสรินกมหนากุมขมั บ การแนะนําเด็กรุ นใหมที่ถู กติดตั้ งมุมมองและความเห็นไวแตกตางกันมากจากผู คนยุคเกา
นั้น นับเปนเรื่ องยากยิ่ง  ถาคิดจะหักดามพราดวยเขา ออกกฎออกขอหามไปตรงๆก็คงไมฟ งกั น สวนจะโคงงออะลุ มอลวย
ตามนักก็จะเหมือนยุยงสงเสริมใหยิ่ งหลงผิดเขาไปอีก  นับเปนโจทยข อยากหากจะแกใหพอดีอยางที่สุด 
๖๖
ความจริงหลอนก็ไมถึ งขนาดอยู ในยุค  ‘หัวโบราณ’  เสียทีเดียว กอนแตงกับสามีหลอนก็ยอมใหเขาทําอะไร
พอสมควร เพียงแตยั งมีขอบเขต ไมมี การลวงล้ํ าแนวกั้ นเขตแดนสนธยากั น ทวาเด็กสมัยนี้พู ดถึงการไดเสียงายๆราวกั บ
เปนแฟนหรือคู ควงชั่ วคราวของใคร ก็ตองมีหนาที่ หลับนอนกับคนนั้ นแลว
หญิงวัยปลายสาวพลิกขอมือดูนาฬิกาอยางเปนกังวลกับการประชุม  แตขณะเดียวกันก็รูสึ กเปนหวงนองสาว แต
พะวาพะวังอยู ครู หนึ่ งก็ตั ดสินใจ
“รอแปบนะเคก ”
สลับสายโทร.บอกลูกนองใหเลื่ อนประชุมไปอี ก ๑๕ นาที แลวจึงกลับมาคุยกับนองสาวตอเต็มที่ โดยไมมี ความ
พะวงนัดอยู ในหัวเหมือนเมื่ อครู
“หนุ มที่ มาจีบรายนี้ห างกับเธอ ๗ ป แปลวากําลังเรียนราวๆมัธยมหรืออยางมากก็ป หนึ่ งเองใชไหม?”
“คะ… เมื่ อกี้ เคกยังไปสงเขาใกลโรงเรียนอยู เลย อยู  ม.๖ นะ”
“ระวังจะติดนิสั ยนะ เธออายุแค ๒๔ ยังสาว ยังสวย แตยอมไปกั บเด็กที่ยั งเรียนไมจบ พอเธอแกตั วลงกวานี้มิ อยาก
วิ่งไลตะครุบเด็กออนๆไมเลือกหนาเหรอ?”
“เคกสัญญากับตัวเองและพี่ หนองคะ  วาพอเจอคู แทที่ จะอยูด วยกันตลอดไป เคกจะไมนอกใจ แลวก็เปนโสเภณี
ประจําตัวของสามีเพียงคนเดียว”
รสรินเมมปากหนอยหนึ่ง
“คนเขาสัญญากันเปนลายลักษณอั กษรเรื่ องคอขาดบาดตายตั้ งเทาไหรยั งฉีกสัญญาทิ้ งกันลงคอ นี่สัญญาปากเปลา
นึกวาใจเธอจะซื่ อกับตัวเองตลอดไปหรื อ? เขายังเปนเด็ ก อยูต่ํ ากวาเรา เราเอาตัวไปเกลือกกลั้ วดวยก็เทากับยอมตกต่ํ าลง
เห็นๆ เมื่ อเธอตกต่ํ าลง ความยับยั้ งชั่ งใจตางๆนานาก็จะพลอยนอยลงตามไปดวย ถาเธออยากหลับหูหลับตาแกเหงาจริงๆ ก็
ควรหาผู ชายที่ เสมอตัวหนอย มีมารุมจีบตั้ งเทาไหรก็ เลือกเอาสักคนสิ อยางนายสุ… อะไรสุๆนั่ นที่ เธอเคยเลาใหพี่ฟ งเมื่อ
อาทิตยก อนก็ฟ งดูเขาทาออก”
“นายสุรดิษเหรอคะ  เคกสืบแลวละ  มีเมียเรียบรอยตามคาด เขากะมาเอาเคกไปเปนเมียนอยนะ ”
รสรินถอนใจ ผูชายดีๆทาทางไมมี เหลือใหเลือกเอาจริงๆ ถาหลอก็เจาชู ดะ ถาดูภูมิ ฐานนาเชื่ อถือก็ มี ครอบครัวแล ว
เปนอยางนี้ เหมือนกันหมด โดยเฉพาะที่ ถลารอนเขามารุมจีบอเวราทั้ งหลาย!
“คนอื่ นๆละ  เธอเคยขาดคนรุมตื๊ อเสียที่ ไหน”
“มัน…” อเวราเสียงออย“ไมมี ใครดึงดูดใจไดใกลเคียงนองคนใหมนี่ เลยนะพี่ หนอง”
รสรินขมวดคิ้ วยุง  ถามเพื่ อจะไดไมต องใชสรรพนามอื่ นในการอางถึงเขา
“ชื่ออะไรนะ  นายคนนี ้?”
“ชื่อตอย”
“หา! อะไรนะ? มีดวยหรือคนชื่ อกรอย”
รสรินแกลงพูดตลกเพื่ อคลายเครียดใหตั วเอง อเวราหัวเราะขํา
“ตอยคะ  ตอยมวย ตอยตี”
หญิงวัยกลางคนคลายสี หนาที่ เริ่ มตึงๆลงเล็กนอย
“ความจริงชื่ อนารักดี ถาเปนนองชายเธอก็เหมาะเลย อายุรุ นราวคราวเดียวกับลูกๆพี่  เทียบแลวก็รุ นหลานเธอแนะ ”
๖๗
“แหม! พี่หนองก็… เขาใจเทียบศักดิ์ ใหเคกอายดีนะคะ แตอยาลืมวายายฝนกับยายทรายเรียกเคกวานากันเขินๆ
ทุกที ความรูสึ กที่ แทน ะเจาพวกนั้ นมันนองนุ งชัดๆ…” แลวอเวราก็รวบรัดถามตรงๆ“ถาเคกจะมีอะไรกับตอยบางนี่ ไม
บาปใชไหมคะ? ตามความเขาใจของเค ก ศีลขอกาเมเนี่ ยจะผิดตอเมื่ อผู ชายทําอะไรผู หญิงที่มี เจาของหรือผู ปกครอง แตถา
เขาทํากับเคกที่มี อาชีพการงานแลว  ก็ถือวาไมมีผู เสียหาย ถูกไหม?”
“แตเขาก็ยั งเรียนอยู นา…”
“พี่หนองเคยบอกไงวาธรรมชาติของผู ชายไมใชผู เสี ย แตเปนผู ได ถึงเขายังเด็กก็เปนฝายไดอยูดี  แบมือขอเงินพอ
แมอยู หรือทํางานรับผิดชอบตัวเองแลวจะแตกตางกันตรงไหน?”
“ใครรู เขามันจะไมงามไง ”
“รับรองคะวาเคกจะไมติ ดประกาศไวตามเสาไฟวามีอะไรกับเด็ก  จะทําแบบหลบๆซอนๆรูกั นแคสองคน… อ อ! มี
พี่หนองเป นพยานคนเดียวพอ”
รสรินเจอลีลาโตตอบของเด็กรุ นใหมเขาก็ก มหนากุมขมับถอนใจเฮือกอีกรอบ เกือบหมดความอดทนตอบไปสงๆ
วาเอาเถอะ อยากทําอะไรก็ทํ าไป แตในที่สุ ดความหวงของพี่ สาวก็ส งใหยั งทนพยายามชี้ กงจักรวาเปนกงจักร
“พี่ไมพู ดเรื่ องบาปเรื่ องบุญ เรื่ องผิดเรื่ องถูก  เรื่ องเหมาะเรื่ องควรอะไรกับเคกดีกวา แตอยากชี้ ใหเห็นวาถาเธอหน า
มืดกับเสนห ของผู ชายโดยไมคํ านึงถึงความรู สึ กภายในวาใชหรือไมใช ตอไปเธอจะไมเหลือเครื่ องชวยตัดสินใจไหนๆเลย
ถาชอบคือใชหมด เอาหมด!”
“แลว  ‘ใช’ หรือ  ‘ไมใช’ นี่มันอยูที่ ตรงไหนละคะ?”
รสรินไมตอบทันที แตถามกลับ
“เขาทําอะไรเธอไปบางแลวหือ ?”
“เมื่ อกี้ก อนลงจากรถเขาจับมือเคกไปกุม แลวขอนัดเจอเย็นนี้ ”
“แลวเธอทํ าไง?”
“ก็… เอียงคอหนอยๆ”
“ตอบโอเค?”
“เออ … คะ”
บีบเสียงเหมือนอาย แตรสรินฟงแลวไมรูสึ กวานองสาวขวยอายแมแตนิ ดเดียว จึงกระทุ งไปแบบทีเลนทีจริง
“แหม! ทําไมงายจัง !”
“ไมง ายนะพี่ หนอง เคกบังคับใหเขามารอที่ป ายรถเมลตรงเวลา ยื่นคําขาดเลยวาเคกมาแลวไมเจอจะขับผานไป
เลย”
“เงื่ อนไขแคเนี้ ยนะถือวายากแลว ? เฮอ… แลวตอนโดนจับมือเธอไมมี ความรูสึกอะไรบ างหรือ ?”
“ก็รูสึก… อยากนะสิคะ”
“โธถัง ! ฉันหมายถึงไมรูสึ กผิด  ไมรูสึ กขนลุกขนชันเหมือนตัวเองเปนไกแกแมปลาชอนบางหรือ ?”
“เขาเริ่มกอนนี่ คะ เคกอยู ของเคกเฉยๆ จะมาวาเคกไดไง”
“ถาอยู ของเธอเฉยๆจริง  ก็ตองไมรับนัดซิ”
“มันเผลอรับไปแลวอะ ”
๖๘
“งั้นรับขึ้ นรถก็คิ ดเสียวาสงเคราะหเด็ก  พาเด็กไปสงบานละกัน  ไมต องตอความยาวมากกวานั้น ”
ตัดสินสรุปใหเชนนั้น  แตพอพูดไปอเวราก็เงียบกริ บ ไมตอบอะไรกลับมา รสรินสัมผัสไดชั ดถึงอาการตัดสินใจ
แนวแนแลวของนองสาว และเบื้ องหลังการตัดสินใจก็มาจากแรงขับดันทางธรรมชาติที่ เขมขนยิ่ง !
ความดื้อเพราะมี ราคะกลานั้ นนากลัวยิ่ งกวาดื้ อเพราะมี ทิ ฐิแรง มนตสะกดจากสํานักไสยศาสตรใดก็ไมทรงอํานาจ
มืดยิ่ งใหญเทามนตสะกดจากราคะอันเปนของภายใน รสรินไดแตพู ดตะลอมตามที่ เห็นควร
“คนเราเนี่ ยนะ ที่จะใชหรือไมใช เหมาะหรือไมเหมาะ ใจตัวเองบอกอยู  โดยเฉพาะอยางยิ่ งหากผิดฝาผิดตัวชัดๆ
อยางนี้ นะ เราจะตามใจฝายผิดของตัวเองทําไม เดี๋ ยวก็ต องมีผลกระทบขางเคี ยงเกิดขึ้น ”
“พี่หนอง… เขาผานมาแลวจะผานไปอยางรวดเร็ ว เด็กอยางเขาไมมี ทางยึดติดอยูกั บผู หญิงที่ แกกวานานนักหรอก
คะ ที่โทร.มาถามนี่ เคกแคอยากรูว าบาปหรือไมบาป จะมีวิ บากรายในอนาคตไหมถาเราใหความรวมมือกับเขา”
“เจอกันมานานแคไหน?”
“เมื่ อวาน… เด็กในแท็กซี่ที่ เคกเลาใหพี ่ หนองฟงนั่ นแหละ”
รสรินกะพริบตา เอนหลังพิงพนั กอยางปลงอนิจจังกอนใชอี กไมหนึ่ง
“แมเธอเลาให พี่ฟ งวาตอนเธอยังวัยรุ นนี่ เนื้ อหอมจั ด แลวก็ รั บนัดใครยากเย็นแสนเข็ญนักหนาไมใชหรื อ? บางคน
คบกันเปนปกวาจะเอาเธอไปเที่ ยวสองตอสองได”
อเวรากมหนาลงเล็กนอย เหมือนอดีตมีไวใหหวนระลึกถึงและรับรู ตามจริงวามันผานพนไปแลว หลอนเงียบอยู
อึดใจกอนเชิดหนาขึ้ นอยางทะนง ทราบดีว าพี่ สาวเปนหวงเปนใย และนั่ นก็ทํ าใหรูสึ กสะใจที่มี ใครบางคนรับรูว าหลอนทด
ทอจนอยากประชดชีวิ ตดวยการทําตนใหตกต่ํ าลงแบบเห็นดําเห็นแดงเสียทีแลว
“ไมบาปใช ไหมคะ?”
หญิงสาวจี้ เอาคําตอบเดิมจากผูพี่  และน้ํ าเสียงอวดดื้ อถือดีของหลอนก็ ทําใหรสรินหมดความอดทน เลิกหวังเกลี้ย
กลอม แตทุ มเสียงตอบหนักๆคําเดียว
“เออ!”
“ขอบคุณคะ  คอยฟงเขาใจงายหนอย ถึงที่ทํ างานพอดี เคกลาเทานี้ก อนนะคะ”
ตางฝายตางวางสาย รสรินนั่ งหนามุ ยอยูพั กใหญ พยายามขมความรูสึ กขัดเคืองนองสาวที่ ไมไดอยางใจ หลอนให
คําแนะนํานองสาวดวยความเยือกเย็นมาตลอด เพิ่ งนาที นี้เองที่ฉุ นขาด หลอนอุตสาหปลื้ มใจในผลงานตัวเองที่ฉุ ดนองสาว
ขึ้นจากหลมน้ํ าตาสําเร็ จ เอาตัวเขาวัดเขาวาได ดิ บดี แตมาวันนี้ จะเริ่ มทําตัวเหลวแหลกงายๆ นอนกับหนุ มกระทงหนาใหม
ที่ไหนก็ไมรู  ไมหวงเนื้อหวงตัวเพราะถือวาผานมือชายมาแลว  ขอใหไดสนุกเปนหลัก
นี่มันเทากับเปดประตูบานใหมไปสู เสนทางปญหาที่ คาดไมถึ งไดสารพั น และนี่ก็ แปลวาความพยายามชวยเหลือที่
ผานมาของหลอนอาจเป นความสูญเปลาอยางแทจริง
เสียดาย เพียงถาใจเย็นสักนิด  ก็อาจคิดคําพูดไดดี กวา  ‘เออ!’ สั้นๆอยางตัดรําคาญสงเดชเชนที่ หลุดปากออกไปแล ว
หลอนนาจะคอยๆชี้ แจงวากรรมบางอยางแมไมบาป ไมผิ ดศีลก็จริ ง แตเมื่ อขัดกับสํานึกผิดชอบก็อาจเปนหัวขบวนรถจักร
นําบาปตามมาเปนพรวนได โดยเฉพาะถาหัวขบวนนั้ นเห็นชัดๆวามุ งเข็มลงต่ํา !
๖๙
บางคนพอเชื่ อเรื่ องเวรกรรมขึ้ นมาในขั้ นที่ยั งหยาบอยู  ก็จะเจาะจงคัดเลือกกระทําเฉพาะสิ่ งที่รู แนว าไมบาป
เหมือนถาใครบอกวานี่สี ดํ าปห ามเลือก ก็ คอยตัดใจไมเลือก ยังมองไมเห็นตลอดสายวาพฤติกรรมมักงายบางประเภทนั้น
กอขึ้ นแลวอาจกลายเปนตนทางหายนะไดยิ่ งกวาบาปชั่ วรายหลายชนิดเสียอีก !
ถอนใจเฮือก คงไดแตทํ าจิตเปนอุเบกขา กรรมใครกรรมมัน  หากนองสาวหลอนมี บุญเกาอยูบ าง บุญนั้ นคงบันดาล
ใหเกิดความละอาย หรือกอเหตุการณไมเปนใจอยางใดอยางหนึ่ง  แตหากไฟกิเลสโชติโชนจนไมมี บุ ญญาบารมีใดๆชวยไว
ได เรื่ องก็คงตองเปนไปตามครรลองโลก สมัยนี้ จะคาดคั้ นใหใครบันยะบันยังเรื่ องนาอดสูอยางไรไหว ในเมื่ อเกือบทุกคน
เห็นดีเห็นงามตามกันไปหมดวาทําได ไมเปนไร ไมเสียหาย ใครๆเขาก็ทํา !
รางที่ยื นสงบนิ่ งนั้ นขยับไหวในทันทีที่ เห็นรถหลอนคลานมาจอดเทียบ อเวราสามารถเห็นไดกระทั่งแววปรี ดาสอง
ประกายชัดในดวงตาเขา
ประตูเปดออก พฤหัสแทรกตัวเขามานั่ งดานขางดวยความปราดเปรียว มีความสดใหมของวัยเยาวในอากาศรอบ
กายพฤหัสที่ พลอยทําใหอเวรารูสึ กราวกลับไปเปนเด็กสาวรุ นๆ อีกครั้ง
“หวัดดีครับพี่ เคก ”
พฤหัสทักดวยน้ํ าเสียงแจมใสเปนกังวาน
“หวัดดี”
อเวรารับทักเบาๆ รถเคลื่ อนออกจากที่ แบบกระตุกเล็กๆ หญิงสาวรูสึ กประดักประเดิดเล็กนอย แตขณะเดียวกันก็
ออนเปยกลงทุกที ยอมรับวารางนั้ นพาความอบอุ นเขามาบรรจุอยู เต็มรถที่กํ าลังอวลดวยไอหนาว
“ผมนึกวารอเกอเสียแลว  ใจเตนตุ มๆตอมๆอยู เนี่ย ”
อเวราเงียบ เพราะนั่ นเปนการเจตนาใหเขารอรวมครึ่ งชั่ วโมงเพื่ อพิ สูจนใจ หลอนแคเล็งตาแลเบื้ องหนายิ้ มๆและ
ปลอยใหเขาเป นฝายเปดฉาก
“ไปเดินเลนในหางไหมพี่ เคก  เดี๋ ยวผมเลี้ ยงขาว”
หญิงสาวสายหนา  ปรายตาชําเลืองมองชุดนักเรียนเขานิดหนึ่ งแลวยักไหลเบะปากหนอยๆ พฤหัสหัวเราะอยางรู
อันที่ จริงเขาก็ไมไดหมายความตามนั้ นจริงจังนัก
“งั้นพี่ เคกไปนั่ งเลนบานผมไหม ผมเจียวไขไดอรอยที่ หนึ่ง ”
“สงสัยหนวยกานพี่ เหมือนคนเห็นแกกิ นมากเลยนะ ชวนแตละอยาง!”
พฤหัสเลิกคิ้ วสูง  ผูหญิงบางคนเอาใจยากและมีความสุขกับการชอบใหหนุ มๆเดาทางเอง และเขาก็ยิ้ มดวยความ
เต็มใจคาดเดา
“งั้น… ผมขอติดตามไปทุ กหนทุกแหงที่พี่ เคกอยากไป”
ใชน้ํ าเสียงแบบหนึ่ งที ่ชวนใหฝ นถึงการเปนเงาของกันและกันไปจนชั่ วนิ รันดร จะฟงเปนเรื่ องเลนตลกเหมือนเขา
แกลงซอมเสี ยงนักพากยละครรักหวานซึ้ งก็ได หรือจะฟงวาเขามีความปรารถนาอยู เชนนั้ นจริงในสวนลึกก็ใช
อเวราสลัดตนเองออกจากตาขายฝนที่ พฤหัสใชกระแสเสียงถักทอขึ้ นลอมรัด  ถามเขาเสียงเนือยนาย
“นี่เธอนัดเจอพี่ทํ าไมเนี่ย ?”
“อยากคุยกับพี่ เคก  อยากเลนกีตารใหพี่ เคกฟง ”
๗๐
“เลนกีตารเปนดวย?”
“กําลังคิดอยากหารายได พิ เศษจากการไปเลนตามผับเลยละ  วันนี้ ผมจะลองเลนเพลงตามคําขอจากลูกคารายแรกดู
ถาเขาหูเขาตาเป นที่ พอใจขั้ นตอไปก็จะเอาจริงซะที”
อเวรานึกถึงมาดหนุ มรูปงามผูมี กี ตารเปนอาวุธจีบสาวของเขาแลวชักอยากดูอยากฟงขึ้ นมาเปนกําลั ง คะเนจาก
อากัปกิริ ยาและสุ มเสียงทุ มแนนยามเจรจาของเขาแลวชวนใหเก็งวายามเลนเพลงคงเทและกลอมโสตประสาทใหหลงเคลิ้ม
ดีพิลึก
เด็กหนุ มสังเกตทีท าของคนนั่ งขวาแลวคิดวานาจะยิงเขาเปา  จึงคะยั้ นคะยอ
“ไปนั่ งบานผมนะ จะเลนกีตารใหฟง ”
“ตอนนี้มี ใครอยูมั่ง ?”
“แคคนใชคนเดียวฮะ กวาพอแมกั บพี่ ชายผมจะกลับคงพักใหญ เพราะเขาชอบกลับแบบเลี่ ยงรถติ ด บางที ก็เกือบ
สามทุ มถึงออกจากที่ทํ างาน”
อเวราใชความเงียบแทนคําตอบตกลง พฤหัสชวนคุยจอและทําใหหลอนหัวเราะไดไมขาด ผูชายบางคนเหมือนถูก
ติดตั้ งเครื่ องสรางความบันเทิงทุกรูปแบบมาไวพรอมตั้ งแตเกิ ด อเวราทําใจไวว าตนเปนเพียงผู ใชบริการรายหนึ่ งของเขา
สัญญากับตนเองวาจะไมลุ มหลงคิดผูกยึดเขาไวแนนหนาเกินแก เพราะอยางไรเขาก็ไมมี ความเหมาะสมกับหลอนเลยดวย
ประการทั้ งปวง โดยเฉพาะอยางยิ่ งความตางระหวางวัย
พอมาถึงหนาบานของพฤหั ส อเวรามองเขาไปแลวเกิดความลังเลขึ้ นมาชั่ วขณะหนึ่ง  เกรงวานั่ งๆอยู แลวเดี๋ ยวญาติ
คนใดคนหนึ่ งของเขากลับมา หลอนไมอยากอยู ในสายตาใคร ถาวัยเดียวกันกับเขาก็ว าไปอยาง จึงตัดสินใจสั่ งวา
“ลงไปเอากีตารเธอมาสิ”
“ไปเลนบานพี่ เคกเหรอ?”
“ถาพี่ อยากฟ งที่ริ มบึงหลังหมูบ าน เธอจะตามใจไหม?”
เด็กหนุ มหนาเหยทันที
“อูย! ตอนเย็นคนเยอะแยะ”
“อายก็ไมต องไป!”
“ก็ไดๆ ”
รีบตอบตกลงทันทีอยางรูจั งหวะวาถาขัดใจนิดเดียวคงชวดหมด ในระยะของการจีบนั้ นแตมตออยูที่ผู หญิ ง พฤหั ส
อาฆาตไวในใจวาใหจี บติดกอนเถอะ จะสั่ งใหกอดขาเขาเหมือนนางทาสทีเดียว คอยดู!
“เดี๋ยวผมขอเปลี่ ยนเสื้ อผาไมเกินสองนาทีนะครับ”
เนื่ องจากอเวราจอดแอบขวา พฤหัสจึงตองเหลียวหลังสํารวจดูดี ๆวามีรถตามหลังมาทางซายหรือไม อุบั ติเหตุเมื่อ
วานยังทําใหผวาไมหาย และคงทําใหเข็ดกับนิสั ยเปดประตูพรวดพราดไมดู ตามาตาเรื อไปจนชั่ วชีวิต
กลับมาอีกครั้ งดวยเครื่ องแตงกายลําลอง เนื้ อตัวหอมฟุ งในแบบที่ ไดกลิ่ นแลวกอใหเกิดความรัญจวนใจ มือถื อ
กีตารท าทางทะมัดทะแมงราวกับศิลปนดังที่ เพิ่ งเดินออกมาจากหลังเวที อเวราชายตามองแวบหนึ่ งแลวยอมรับวาเขาเท
พอจะกระชากความยับยั้ งชั่ งใจของหลอนใหขาดวิ่ นไมมีชิ้ นดีไดจริงๆ
๗๑
พฤหัสเปดประตูวางกีตารไวบนเบาะหลังแลวกาวขึ้ นมานั่ งประจําที่ เคียงขางคนขับสาว หันไปยิ้ มเด็ดขั้ วหัวใจ
ชนิดที่ อเวราเห็นแลวถึงกับหักพวงมาลัยเบนทิศจากทางไปบึงมุ งสูบ านตนเองแทน!
ตอนที่  ๘ สังหรณ
พฤหัสไมแสดงทาแปลกใจแมแตน อยเมื่ อรถแลนมาจอดหนาบานสองชั้ นในพื้ นที่ เกือบรอยตารางวาใจกลาง
หมูบ าน แทนที่ จะเปนริมบึงดังที่ อเวราบอกไวแตแรก ผูหญิงเปนสิ่ งมี ชี วิตที่ เปลี่ ยนใจงาย และทุกสิ่ งมักขึ้ นอยูกั บ
อารมณพอใจไมพอใจเฉพาะหนาเสมอ เขาชินจนเฉยเสียแลว
แคเห็นบานจากดานหนาก็ทราบทันทีว าเปนจังหวะปลอด  เด็กหนุมแบมื อขอกุญแจดวยน้ํ าเสียงสดใส
“มะ… ผมลงไปเปดประตูให”
หญิงสาวหยิบกุญแจจากกระเปาสตางคใหเขาไป มือหลอนสั่ นและเอี้ ยวตัวเงอะงะอยางคนเริ่ มไมมั่ นใจขึ้ นมาวา
กําลังทําอะไรอยู  พฤหัสยิ้ มเย็น  ในบัดนั้ นรูสึ กขึ้ นมาวาตนนิ่ งกวา  และคนนิ่ งกวายอมเป นฝายคุมเกมในนาทีสํ าคัญ
อเวรานํารถเขามาจอดและเดินนําพฤหัสเขาบาน เขาถือกีตารตามมาโดยสงบ ทั้งบานปดเงียบไมมี วี่ แววใครอยูสั ก
คน
“ผมตองสวัสดีผีบ านผีเรือนตรงมุมไหนกอนหรือเปลา ?”
อเวราหัวเราะออกมาเสียงใส คอยคลายความเกร็งลงไดนิ ดหนึ่ง  วางกระเปาถือและเดินไปเปดหนาตางใหลมเขา
พฤหัสยืนมองรางงามเคลื่ อนไหวเปดหนาตางเฉยโดยไมช วยเหลือ  เพราะกําลังสะกดใจตนเองมิใหบุ มบามกอนกาลอันควร
“ปกติคนในบานพี่ เคกกลับกันชวงไหนหรือครับ?”
“เดี๋ ยวก็กลับมั้ง ”
ฟงจากเสียงตอบแลวพฤหัสเดาวาเขายังมีเวลาอีกพอสมควร
“ทาทางพี่ เคกไมค อยไดอยูบ านเทาไหร”
“ทําไม… รกเหรอ?”
“เปลา… ดูขาวของเขาที่ เขาทางดีออก แตจากการแตงตัวของพี่ เค ก ผมรู สึ กวาพี่ เคกเปนคนพิ ถี พิ ถั น และนิ สัยแบบ
นี้ก็นาจะแตงบานเกง ”
“พี่ไมไดเปนเจาของบานอยู คนเดียวนี่  แคใหตามไลเก็บขาวของที่ พวกผู ชายทิ้ งๆไวอี เหละเขละขละเขาที่ เขาทาง
ไหวก็นั บวาบุญแลว ”
เด็กหนุ มหัวเราะ
“ผูชายนี่ เกิดมาเพื่ อสรางความรําคาญใจเรื่ องบานชองใหผู หญิงจริงๆนะ ทําชุ ยไมเขาทาไปหมด ”
“ก็หาอยู เหมือนกันวาผู ชายเนี้ ยบๆในโลกนี้มี ไหม”
๗๒
หญิงสาวเดินเขาครัวแลวเดินกลับออกมา มือถือแกวน้ํ าพรอมจานรองยื่ นใหเขา พฤหัสวางกีตารพาดกับผนั ง
ใกลตั ว  รับแกวมาแบบถือโอกาสใชฝ ามือปาดผานหลังมือนอย อเวราสะดุ งหนอยๆ รีบผละออกหาง กมหนางุดๆไปนั่ งที่
โซฟาทันที
เด็กหนุ มกลั้ นยิ ้ม ดื่มน้ํ าจนหมดแลวนําแกวไปวางบนโตะอาหาร จากนั้ นควาคอกีตารเดินตามไปนั่ งฝ งตรงขามกั บ
เจาของบาน วางกีตารพาดตั ก มองหญิงสาวผูนั่ งกมหนาแกะเล็บเฉยแลวอารมณนั กแสดงเอกก็ผุ ดขึ้น  เชิดหนาตั้ งตัวตรง
วาดลวดลายทันที
“สวัสดีครับแขกผูมี เกียรติ ลูกคาผูมี อั นจะกินทั้ งหลาย…” เสียงทุ มนุ มดังกังวานราวกับพูดผานไมโครโฟนในผั บ
ยามราตรี“ก็ดีใจที่ทุ กทานใจดีใหเกียรติมาฟงดนตรี กันอีกโดยไมเบื่ อหนายเสียกอน หนาตาเดิมๆมานั่ งซุ มตามมุมมืดๆ
อยางนี้ คงคุ นเคยกับฝมื อของผมอยู แลว  ที่ผานมาทุกคืนแตละทานก็ขอเพลงกันเกงเหลือเกิน … เลนไมไดซักเพลง ”
อเวราชอนตาขึ้ นมองนักดนตรี ยกสองมือปดปากหัวเราะจนตัวเขยากับมุขตลกหนาตายของเขา
“วาแตคุ ณผู หญิงที่ท าทางเสนตื้ นโตะนั้ นจะวายังไง คงมาใหมกระมั ง มาถึงก็ นั่งขํานักรองเลยทีเดียว จะทดลองขอ
เพลงกับเขาบางไหมครับ?”
หญิงสาวลดมือลง แกมแดงราวกับทาดวยชาด สั่นศีรษะปฏิเสธอยางนารัก  ทําใหนั กดนตรีเอกลืมตาโพลง
“อาว! รสนิยมลูกทุ งหรือลูกกรุงละเนี่ย  ไมขอแลวจะรู ใจไดอยางไร ?”
อเวราหัวเราะกอนเมมปากยิ้ มยื่ นหนาขอในที่สุด
“เอาเพลงของนายอุ บแลวกัน ”
หลอนหมายถึงดาวรุ งซึ่ งกําลังพุ งแรงประจําพ.ศ.และสวนหนึ่ งที่ เลือกเพลงของนักรองหนุ มคนนั้ นก็เพราะรูปราง
หนาตาละมายเขาคนนี้ด วย
“เพลงไหน?”
“เพลงไหนก็ได”
พฤหัสเงยหนามองเพดานนึกอยู ครู หนึ่ง  กอนสับมือลงคอรด ขึ้นอินโทรเพลง‘ความจําที่ หายไป’ ซึ่งกําลังติ ด
อันดับหาดาวของหลายคลื่ นในขณะนี้  ฝไมลายมือของพฤหัสแพรวพราวราวกับดนตรี ที่ดังออกมาจากแผนซี ดี และเมื่ อเริ่ม
เปลงเสียงรอง ก็ทําเอาอเวราถึงกับนิ่ งซึม ทอดตามองเขาดวยแววเผลอ
กาลครั้ งหนึ่ งเมื่ อนานมา
มีเวลาโทร.หากัน
มีคืนวันเปนสวนตัว
กาลครั้ งหนึ ่งเมื่ อนานมา
เรามองตาเปนสุขจริง
เรายอมทิ้ งทุกสิ่ งไป
วันที่ ถามหารัก  คืนที่พั กอิงกัน 
๗๓
หาไดเกิดจากการหลับฝน
คืนวันเหลานั้ นเปนความจริง
แตจริงที่ แปรผัน  ตางจากฝนที่ ตรงไหน?
ฝนยังดีไมอาลัย  จริงสิใจแทบแหลกลง
กาลครั้ งนี้ที่ ตรงหนา
คือบรรดาเครื่องเตื อนใจ
คือสายใยที่ เลือนลืม
กาลครั้ งนี้ที่ ตรงหนา
เรามีท าเหมือนคนอื่น
เราเหมือนตื่ นเพื่ อลืมกัน …
ทั้งเนื้ อรองและทํานองที่บี บคั้น  ผนวกกับน้ํ าเสียงกรีดหัวใจไดของพฤหัส  มีอิทธิพลกับอเวราจนเกินหามน้ํ าตาไหว
หลอนคิดถึงคนรักเกา  คิดถึงอดีตหวานละไมที่ หลงเหลืออยูก็ เพียงรูปรอยในความทรงจํา  ถึงวันนี้ก็ยั งไมอยากเชื่ อวาวันวาน
ผานไปแลวเหมือนฝน  ชางไมเหมือนเพลงตอนจบเอาเสี ยเลย หลอนไมเคยตื่ นเพื่ อลืมใคร
แตใครทั้ งโลกสั่ งใหหลอนลืม…
ขณะกมหนาเริ่ มเบะปากสะอึกสะอื้ นแรงขึ้น  ก็ รูสึกถึงออมโอบจากรางอุน  หัวตาถูกซับน้ํ าดวยทิชชูหอมนุ มโดย
ละมอม สัมผัสทั้ งหมดทรงพลังมากพอจะหยุดอาการสะเทือนสั่ นจากภายในไดเฉียบพลั น ราวกับจิตวิญญาณถูกชอนลอย
ขึ้นจากหนองน้ํ าแหงความโศกดวยพรมวิเศษจากสวรรค
ทีแรกอเวราขยับหนีหนอยหนึ่ งเมื่ อสํานึกวานั่ นเหมือนยอมตัวตกอยู ในมือเขาเร็วเกินไป แตเพียงหางออกมานิ ด
เดียวก็เปลี ่ยวหนาวและออนแอราวกับเด็กนอย จนตองเปนฝายเอนกลับมาซบซอกไหลเขาเสียเอง หลอนปลอยใหหยาด
น้ําตารินไหลลงรดเสื้อเขาจนชุม และไมขั ดขืนเมื่ อรูสึ กวารางถูกชอนลอยขึ้ นจากพื้ นดวยปลอกแขนมั่นคงของหนุ มรุ นนอง
มีสติทราบตลอดวาเขากําลังพาไปไหน กลิ่ นหอมรัญจวนจากรางเขาเรงเราใหเกิดความวาบหวามจนตองขบริ ม
ฝปากโดยไมรูสึ กตัว  แตในความรัญจวนใจนั้ นอเวราก็ขนหัวลุกดวยสังหรณประหลาด หาคําอธิบายไมไดว าคืออะไร  คลาย
มีเงามืดอันเย็นยะเยือกติดตามขึ้ นบันไดมาดวยฉะนั้น
มีอยูวิ นาทีหนึ่ง  ที่หลอนอยากขอใหเขาวางหลอนลง คลายภาคหนึ่ งเตือนตนเองดวยเสียงกระซิบในหัววา ‘ยังไม
สาย…’ แตนั่ นก็เปนแควิ นาที สั้นๆที่ถู กวินาที อื่นๆกลบทับเสียสิ้ นดวยเสียงตะโกนหนุนหลังวา‘เอาเลยๆ!’ เหมือนหลอน
กลายเปนใครคนใหมที่ง ายและกรานโลกพอจะเห็นตัณหาเฉพาะหนาสมควรไดรั บการสนองตอบทันทีโดยไมต องรีรอ
ทํานองเดียวกับที่ ไมควรอั้ นอุจจาระปสสาวะยามปวดสุดขีดเอาไว เดินทางไปถึงตรงไหนก็ปลอยลงที่นั่น  ใครจะทําไม
อเวราปดตาลงสนิ ท ปลอบตนเองวาหลอนไมใชสาวบริ สุทธิ์  จึงไมมี อะไรตองเสี ย พฤหัสเปนแคเครื่ องมือชวย
บรรเทาความทุรน เขาผานมาอยางรวดเร็วดวยไฟราคะแหงวัย  แลวในที่สุ ดก็จะผานไปดวยความเบื่ องายกระหายเนื้ อสดชิ้น
ใหม หลอนมองผูชายอย างเขาออก และไมไรเดียงสาขนาดหวังวาเขาจะมีหลอนเพียงคนเดียวไปจนชั่ วชีวิต 
๗๔
ประตูห องชั้ นบนหับปดหมดจนเขาตองถามวาหองไหน อเวราแกวงแขนนิดหนึ่ งไปทางหองริมขวาสุด  ยามนี้
หลอนอุปาทานคลายกับวาประตูห องของตนแปะปาย‘ยินดี ตอนรั บ’ ไวหรา นาใหผลักเปดโดยไมต องคิดหนาคิดหลั ง ใน
ชี วิตจริงคนเราก็มั กดวนเปดประตูแตละบานแบบพรวดพราดอยู แลว  ไมค อยกลัวกันหรอกวาเปดผางออกไปแลวมันจะ
กระทบกระแทกอะไรเขาบาง ถาจะดวนเปดอีกสักครั้ งในวันเงียบเหงาถึงที่สุดอย างนี้ จะเปนไรไป
กามารมณไมเคยมีวั ยวุฒิ  มีแตสองรางที่สงพลั งแมเหล็กดึงดูดยิ่ งใหญ ยากจะหาสิ่ งใดมากั้ นขวางมิใหประกบ
เขาหากัน  ทุกฉากดําเนินไปตามครรลองราวกับภาพยนตรที่ทุ กคนเดาพล็อตเรื่องได ตลอดสาย แตก็ ยั งอยากรู อยากเห็ น ใคร
ดูซ้ําแลวซ้ํ าเลาไมเบื่ อหนาย เขาเป นพระเอกมือดีดั งคาด และหลอนก็เปนนางเอกในแบบที่ ไมห วงภาพเจาหญิงในนิทานนัก
ขณะอยู บนเตียงไมมี คํ าวาเด็กหรือผู ใหญ ไมมี คํ าวาเหมาะสมหรือผิดฝาผิดตั ว มีแตความแปลกใหมเหมือนอาหารตองหาม
รสชาติเผ็ดมันเทานั้น
กระทั่ งภาพยนตรจบและปดฉากดวยการชวยกันเขยงเทาตีรวงดาวแตกกระจาย ตางฝายตางเหนื่ อยออนนอนนิ่ง
พฤหัสหลับตายิ้ มสมใจ สวนอเวราถอนใจยาว หันมากะพริบตาปริบๆคลายคนเพิ่ งสรางเมารสฝนในวันประหลาด หลอน
กําลังนอนอยูข างเด็กหนุ มรุ นนองคนหนึ่ งที่ เพิ่ งเจอกันเดี๋ ยวเดียว แตไดมาเรียนรูกั นในแงมุ มระทึกลึกซึ้ งยิ่ งกวาแฟนดี ๆ
หลายตอหลายคนในอดีตเสียอีก
ภาษากายของเขามีหลายแบบ ทั้งแบบเริ่ มตนที่ทํ าให รูสึ กเหมือนหลอนเปนของขวัญที่น าแกะหออยางทะนุถนอม
และทั้ งแบบสิ้ นสุดที่ทํ าใหรูสึ กเหมือนหลอนเปนหญิงบริการหรือตุ กตายางไรคา  ไมมี การคลอเคลียเอาใจ ไมมี คํ าหวาน
กลอมโสต ไมมี แมแตจุ มพิตฝากรอยสุ ขสมกอนผละจาก มีแตการถอนตัวไปเฉยๆดุจเดียวกับผู ตั กตวงประโยชนจากสินค า
ลุลวงแลวก็แลวกัน
นึกเสียดายคาของตนขึ้ นมาวูบหนึ่ง  เรือนกายอิสตรี นี้ชางเหมือนสินคาเสียจริงๆ ใครเห็นคาก็ ทําทาหวงแหนแสน
ถนอม แตถ าคาไมมี ใหเห็นก็เหมือนเปนของราคาถูกที่ เขาพรอมทิ้ งขวางเมื่ อใชเสร็ จ หลอนเคยคุ นแตการถูกเอาใจในวาระ
แรกๆของการคบหา ทวานี่ ไมมี อะไรเลยนอกจากการสมสู อยางวู วาม มันชางสมความตั้ งใจคิดใชเขาเปนเครื่ องมือบําบั ด
ความใครเสียจริงๆ
หลายสิ่ งหลายอยางขาดหายไป นึกอายตัวเองจนตองดึงผาหมขึ้ นคลุมรางมิดชิ ด แลวจากความอายก็พั ฒนาเปน
ความรูสึ กผิ ด เพิ่ งตระหนักวาตนกาวมาถึงอีกขั้ นหนึ่ งของชี วิ ต ระดับที่ นอนกับผู ชายไดโดยไมต องรูจั กมักจี่  ไมต องมีสาย
สัมพันธฉั นคนรักกันเสียกอน!
ไมบาป… แตรูสึ กผิด
หลอนเคยสะอาดกวานี้  อยางนอยก็จั ดลําดับเพศสั มพันธไว ขางหลังความรักที่อ อนหวาน เคยนึกสะอิดสะเอียนกั บ
ความมั่ วซั่ วของสังคม ที่เหมือนทุกคนพรอมจะเปนเปรตเปลือยลอนจอนสมสูกั บใครบนเสนทางระหวางบานกับที่ทํ างาน
ก็ได อยากเสพกามขึ้ นมาก็พยักหนาตกลงกับใครอีกคนที่กํ าลังนึกๆอยากอยู เหมือนกั น ตั้งใจเด็ดเดี่ ยววาจะไมเปนหนึ่ งใน
นั้น แตทวาบัดนี้ดู เหมือนจะหลวมตัวมาเขากลุ มเสียแลว !
ปดตาลง คิดไปคิดมาน้ํ าตาก็ซึ มออกมาเอง โลกนี้ เต็มไปดวยเรื่ องบีบคั้น  พอหาทางออกจากความบีบคั้ นเปลาะ
หนึ่ งก็ ตองมาเจอกับความบีบคั้ นขั้ นตอไป เศราเหงาจนตองพลิกรางตะแคงหันหลังให กั บเด็กหนุ มเพื่ อแอบรองไหเงียบๆ
สงสารตัวเองเพราะรูว าจะไมมี ใครมาสงสารหลอนอี ก ชี วิตจริงเปนอยางนี้  แตละคนโดดเดี่ ยวอยู บนเสนทางตามลําพัง
สังสรรคเพียงเพื่ อใหรูว าบางทีหั นหลังใหกั นเสียยังดีกวาหันหนาเขาหา…
๗๕
ออนเปลี้ ยหลับใหลลงสูฝ นมัวมน ความรูสึ กผิดติดตามเกาะกุมหัวใจไปถึงในฝ น ขณะแหงความสะลึมสะลื อ
ครึ่ งหลับครึ่ งตื่ นครั้ งหนึ่ง  อเวราถูกพลิกรางใหนอนหงาย หลอนบังเกิดความขยะแขยง ละอาย เสียใจ แตก็ ไมอาจปดปอง
ปฏิเสธใดๆกับการกอบโกยผลประโยชนรอบใหมของเขา ครั้ งนี้มี แตความอึดอัด  เห็นตนเองเปนสิ่ งรองรับความหื่น
กระหายอันโสมมของเพศชาย
เพิ่ งเห็นชัดๆวาการรวมเพศเป น‘ของต่ํา ’  อยางไรก็เมื่ อขาดความสมัครใจยินดี และยิ่ งตระหนักวานาอดสูขนาด
ไหนก็เมื่ อประตูห องถูกเคาะรัว
“เคก … เคก ”
เสียงพอของหลอน!
การเคลื่ อนไหวทั้ งหมดหยุดชะงักลงเปนความตกตะลึงของทั้ งหลอนและหุ นสวน อเวราสะบัดหนาไปทางประตู
ขวับ สองแกมขึ้ นสีแดงจัด  รูสึกวาตองหนาดานมากๆถึงจะขานรับพอไดในทันทีนั้น
“เคก … หลับอยู เหรอลูก ? อาธนิตมา เขาอยากใหช วยติดตอกับเจานายเคกนะ ”
หญิงสาวตาเหลือกคาง ใจหายวาบเหมือนอยากเปนลมใหได นอกจากพอจะกลับบานเร็วกวาเคยแลวยังพาใครมา
ขอคุยกับหลอนอีก !
ครู หนึ่ งกวาจะผลักเด็กหนุ มออกไปพนตัว  แลวตะโกนตอบพอเสียงสั่น
“รอสิบนาทีนะคะพอ  เดี๋ ยวเคกตามลงไป”
“โอเค”
พอรับรูง ายๆและผละจากไป อเวรายกมือเสยผม อาธนิตเปนคนที่ หลอนตองใหความเคารพและเกรงใจเพราะรู จั ก
กันมานาน อีกทั้ งยังเคยใหความชวยเหลือเรื่ องการงานกับหลอน ปกติพ อจะพาอาธนิตมานั่ งกินเบียรที่บ านเรื่ อยๆ ดังนั้ นจึ ง
ไมแปลกที่ ไมมี การนัดหมายลวงหนา
หันมามองพฤหัส  เห็นเขากํ าลังจองเขม็งก็หลบตา
“อยู ในหองอยาออกไปไหนนะ”
ตระหนักในบัดนั้ นวาตน‘หนามื ด’ เพียงใดจึงกลาพาเขาเขาบานไดอยางนี้  ยามถลําตัวเผลอไผลนั้น  ราคะไมเคย
ปรานี ไมเคยใจดี ผอนผั น แตหลอนสาบานวาจะไมมี ครั้ งที่ สองเปนอันขาด เพิ่ งรู เหตุผลวาทําไมบริการมานรูดถึงขายดี นั ก
ทั้งที่ เดี๋ ยวนี้ เสี่ ยงยิ่ งตอการกลายเป นดาราหนังโปที่ถู กลักลอบถายทําโดยไมรูตัว
พฤหัสบีบสองไหลมนของหญิงสาว
“อีกนิดไดไหมกอนลงไป”
อเวราปดมือเขาออกอยางแรงพร อมตวาดเบาๆ
“อยาทําทุเรศนา !”
หญิงสาวลุกขึ้ นฉวยผาเช็ดตัวจากราวตาก และเนื่ องจากหองน้ํ ารวมอยูด านนอก หลอนจึงจําเปนตองคอยๆแงม
ประตูก อนกาวออกไป เพื่ อใหแนใจวาไมมี ใครบังเอิญยืนอยู แถวนั้ นแลวมองลอดเขามาเห็นพฤหัสนอนอยู บนเตียง
เคยเขาหองน้ํ าเพื่ อสะสางกายลางคราบความเหนี ยวตัวออกจากเนื้ อหนัง  แตยามนี้อเวรารูสึ กชัดวานอกจากตองการ
‘ชําระสิ่ งสกปรก’ ออกจากรางกอนมีหนาไปพบใคร หลอนยังอยากทํายิ่ งกวานั้ นคื อ‘ชะลางมลทิ น’ ออกจากใจ แตก็
ตระหนักวาทําเชนนั้ นกันในหองน้ํ าไมได
๗๖
กลับเขาหองนอน เลือกชุดที่ ปกปดมิดชิดเปนพิเศษแลวแอบแตงตัวขางตู เสื้ อผา  ระหวางนั้ นก็สั่ งคู ขา
“ถาจะออกไปเขาหองน้ํ าก็แงมประตูดู ลาดเลาดีๆกอนละ เดี๋ ยวมืดกวานี้ จะมีทยอยกลับมากันอีกสองสามคน ล็อก
หองดวย เพราะบางที ชอบมีใครถือวิสาสะเขามารื้ อซีดี ไปฟง … ดึกๆพอคนหลับกันแลวเธอค อยแอบยองออกไป”
พฤหัสเดินเขามาตระกองกอดจากเบื้ องหลัง
“กลับมาเร็วๆนะพี่ เคก ”
อเวราขมวดคิ้ วหงุดหงิดกับการถูกแตะตองในยามนี้  คําขอของเขาเหมือนเด็กเรียกรองจะเอาของเลนไวๆดังใจนึ ก
นารําคาญ
“เธออยาทํารุ มรามนา  เห็นอยูว ามีคนกลับบานแลว ”
“เออ … บานนี้ติ ดกลองไวส องดูข ามหองวาใครกําลังกอดกันไดด วยเหรอะ?”
หญิงสาวอดหัวเราะไมได
“มันก็รูสึ กไมดี แหละ ตอนนี้ ไมใชบ านวางแลว … ปลอยเร็ว ”
หลอนสั่ งพรอมกับดิ้ นใหพ นจากวงแขนของเขา เด็กหนุ มเลิกคิ้ว  ปลอยใหหญิงสาวหลุดรอดออมกอดไปโดยไม
เหนี่ ยวรั้ งอีก
อเวราออกจากหองดวยใจไมปกติ นั ก เหมือนตองเดินในบานของตัวเองแบบลักลอบหลบๆซอนๆชอบกล กลั ว
ใครรูว าหลอนแอบเอาผู ชายขึ้ นมานอนบนหอง ภาวนาอยาใหพฤหัสทําเสียงกุกกักเปนพิรุ ธเลย
พอกับอาธนิตกําลังนั่ งคุยกันที่ โตะทานขาว พอเห็นหลอนเดินลงมาอาธนิตก็ทั กทายกอน
“วาไง! เคก ”
หญิงสาวพนมมื อไหวเกร็งๆ
“สวัสดีค ะอา”
“อาเลยมาปลุกเคกนะ แยจริง  เห็นพอบอกวาเราหลับอยู ”
“ออ… ไมเปนไรคะ ”
ยิ้มเจื่ อนกัดฟนตอบ
“นั่นกีตารใครนะ ? วางอยูข างโซฟา”
ผูเปนบิดาถามลอยๆแบบไมตั้ งใจเอาคําตอบจริ งจังนัก  แตทํ าเอาอเวราถึงกับหนาถอดสี
“เอ อ… อ อ… กีตารหรือคะ เคกยืมรุ นนองมาหัดเลนนะคะ  เกิดนึกสนุกขึ้ นมา แตพรุ งนี้ เอาไปคืนดีกวา เลนแคนิ ด
หนอยเจ็บนิ้ วไปหมด”
ปกติหลอนไมใชคนชอบโกหก เมื่ อจําตองโกหกจึงไมสนิทแนบเนียนนั ก คือออกอาการกมหนาเกาจมูกเหมือน
อยากซอนเรน‘ตัวมุสา’ ที่กระโดดพนริมฝปากออกมาพรอมกับคําพูด  อเวรานึกถึงคําพูดบางคําของรสริ น ที่วาปากกับใจ
มนุษยไมไดถู กออกแบบมาใหร วมมือกันโกหก เห็นไดจากความติดขั ด อาปากยากขณะมี จิตคิดบิดเบือนความจริ ง คลาย
ปากเกิดสภาพบิดเบี้ ยวตามจิตไปดวย
ทวาสําหรับผู เปนบิดา กีตารเปนเรื่องเล็ กเกินกวาจะสังเกตเห็นพิรุ ธที่ ฉายเต็มหนาเต็มตาลูกสาว แคกวักมือเรียกให
มานั่ งคุยเรื่ องธุระการงานโดยไมเหลียวไปทางกีตารอี กเลย
๗๗
อเวราใจเตนไมเปนส่ํา  เพศสัมพันธกั บหนุ มรุ นนองบาปหรือไมบาปไมรู  แตการดวนไดไมรู จั กกาลเทศะตองมี
ความผิดอยู แนๆ  เพราะถาไมผิ ดคงไมต องปดบั ง และถาไมป ดบังคงไมต องมุสา หลายเดือนที่ผ านมาหลอนถูกรสรินพูด
กลอมให ถื อศี ล ๕ สําเร็ จ จิตใจสะอาดปลอดโปรงมาระยะหนึ่ง  พอตองฝนใจโกหกมดเท็จจึงเหมือนสาดโคลนใสผ าขาวที่
อุตสาหลําบากซั กรีดและจัดเก็บกับมือมาอยางดี นาเสียดาย เพราะแมโคลนหยอมนอยก็ทํ าใหตองเสี ยเวลาซักรีดกันใหมอีก
เซ็กซเปนเรื่ องบาดใจ ยามที่ คนสองคนกลัดมันพอจะตะกายขึ้ นเตียงรวมสนุกกันสุดเหวี่ ยงแบบกะทันหันนั้น
อุปสรรคหรือขอจํากัดทั้ งหลายกลายเปนเรื่ องขี้ ผงไปหมด แตยามเมื่ อกระบวนกามจบลงแล ว รองรอยทั้ งหลายมักเตือนให
รู สึกถึงความ‘ผิดปกติ’ ที่ผานไปไดอยางดี หลอนเพิ่ งกังวลเดี๋ ยวนี้ เองวาพอจะอกไหมไสขมขนาดไหนถาทราบวาลูกสาว
คนดีทํ างามหนา  เอาเด็ กรุ นนองมาทําเรื่ องบัดสีบั ดเถลิงถึงบนบาน
คุยกับอาธนิตแบบไมค อยปะติดปะตอ ตองถามซ้ํ าเชน ‘อะไรนะคะ?’ หลายหน ทั้งนี้ก็ เพราะในหัวมีแตความ
หมกมุ นครุ นคิดไปทางอื่ นจนเหมอลอย หลอนรู แกใจวามีบางสิ่ งบางอยางที่ผิ ดพลาดเกิดขึ้ นในบานหลังนี้  และมันก็เริ่ม
จากที่มี ความผิดพลาดบางอยางเกิ ดขึ้ นในใจหลอนกอน
สังหรณชอบกล ไมรู เหมือนกันวาสังหรณอะไร…
ตอนที่  ๙ แอบถาย
จองฤกษต องรวบรวมความกลาอีกครั้ง  หัวใจของเขยังคงเตนผิดจังหวะขณะกดเบอรโทรศัพทถึ งณชะเล เขานึ ก
สงสัยวาจะตองคบกับหลอนอีกนานเทาใดกวาที่ ใจจะเลิกตื่ นเตนยามโทร .หาอยางนี้
“ฮัลโหลคะ ”
เสียงของหญิงวัยกลางคนทําใหเด็กหนุ มเดาวาคงเปนคุณแมของเพื่ อนสาว เขาจึงทําเสียงนอบนอมเปนพิเศษ ทั้งที่
ปกติไมค อยจะเสียงออนใหใคร ไมว าจะเปนผู ใหญหนาไหน
“สวัสดีครับ  ขอสายทรายครับ”
อีกฝายเงียบไปครู  แตความเงียบเพียงครู เดียวนั้ นก็ทํ าใหจองฤกษสั มผัสไดถึ งความเครงเครียดในกระบอก
โทรศัพท คลายเกิดมโนภาพมารดาของณชะเลจองทะลุ เครื่ องมือสื่ อสารมาเห็นเขาไดที เดียว
“ใครจะพูดดวยจะ ?”
คําซักถามนั้ นใชกั นปกติ ทั่วไป แถมมี จะมี จาเปนคําลงทายเสียดวย แตจองฤกษฟ งน้ํ าเสียงเขมงวดราวกับตํารวจ
หญิงของแมณชะเลแลวเกิดความรูสึ กวานั่ นเปนการสอบสวนเพื่ อเก็บขอมูลของเธอเองมากกวาอยางอื่น  ถาเกิดโทร.มา
บอยๆ จะไดหมายหัวไวเปนพิเศษวาหนุ มชื ่ออะไรกําลังตามจีบลูกสาวเธออยู
“ผมฤกษครับ… จองฤกษ”
เขาตอบไมเต็มปากเต็มคํานัก  ราวกับตองบอกรหัสลับใหถู กเพื่ อผานเขาเขตหวงหาม
“รอเดี๋ ยวนะ”
จองฤกษระบายลมหายใจโลงอก ครู หนึ่ งแหงการรอคอยอันออนหวาน เขาก็ไดยิ นเสียงเหาเล็กแหลมของสุนั ขสาย
พันธุ ยอรกเชียรนํ าทางมา กอนตามดวยเสียงขุ นมัวของเพื่ อนสาว
๗๘
“ฤกษเหรอ?”
ใจแปวไปนิดหนึ่ง  เมื่ อทราบจากน้ํ าเสียงวาอารมณของณชะเลนาจะกําลังไมค อยดีนัก
“ใช… เออ … ทรายกําลังธุระยุ งอยู หรือเปลา ?”
“อือ… ก็วุนๆ อยูนิ ดหนอย แตวุ นวายใจมากกวานะ ไมถึ งกับติดธุระอะไร”
“ออ…”
พอเห็นเขาเงียบเหมือนคนคอตีบตันพูดไมออก เพราะไมมี หั วขอสนทนาเตรียมไวล วงหนา  ณชะเลก็ออกอาการ
หงุดหงิด
“โทร.มาทําไมเหรอ?”
จองฤกษเสียกําลังใจทันที ที่เพื่ อนสาวถามเหมือนไมค อยสบอารมณ นั่นทําใหเขาตองตั้ งหลักใหมและสงสัยอี ก
ครั้ งวาการโทร.มาของเขาเปนที่ ชอบใจของหลอนหรือไม จิตหดเหลือเทาไม ขี ด เกือบขอวางสายอยางคนขี้น อยใจ แตปาก
ยังนึกอยากถามไถด วยความหวงใยแทจริง
“ทรายกําลังมีเรื่ องอะไรวุ นวายใจเหรอ? บอกเรา เผื่ อบังเอิญเรารูวิธีช วยไดบ าง”
น้ําเสียงที่ เรียบ ซื่อ และดูมี ใจสะอาดหมดจดทําให หั วคิ้ วของเด็กสาวคลายออกจากอาการขมวด หลอนตวาดสุนั ข
ตัวโปรดบนตักเบาๆ ใหหยุดเหา  กอนตอบเขาดวยเสียงเปนปกติ
“โดนพวกโรคจิตสวมรอยนะ ”
“ยังไง?”
เสียงของเขาเขมขึ้ นอยางเปนกังวลรวมไปกับหลอนทันที ณชะเลเห็นเพื่ อนหนุ มเปนเดือดเปนรอนแทนก็ รู สึ กอุน
ใจกวาเดิม แมไมคิ ดวาเขาจะชวยอะไรหลอนได
“ในเว็บ  ‘ติดลม’  นะ มีคนเอารูปในชุดนักเรียนของทรายไปลงเปนเซ็ต  เสร็จแลวแกลงใชชื่อ  ‘ไอโกะ’  พูดจา
ยั่วยวนผู ชายใหญเลย”
จองฤกษฟงแลวคลายใจลงบ าง เพราะอยางนอยก็ไมใชเรื่ องปองรายคอขาดบาดตาย เขาหมุนเกาอี้ เลื่ อนไปหาหนึ่ง
ในสามจอมอนิเตอรบนโตะทํางานเพื่ อเรียกดูเว็บติดลมทันที เพราะคอมพิวเตอรของเขาเชื่ อมตอกับอินเตอรเน็ตความเร็ ว
สูงตลอดเวลาอยู แลว
ระหวางคียที่ อยู ของเว็บก็คุ ยกับเพื่ อนสาวไปดวย
“เขาไดรู ปทรายไปแสดงวารูจั กกันสิ?”
“เปนการแอบถายทีเผลอนะ  ทาทางใชซู มระยะไกล ไมแนใจวารู จั กกันหรือเปลา ทรายเห็นรูปตัวเองตอนไมรูตั ว
เยอะๆ แลวกลัวจนนั่ งไมเปนสุขเลยละ ”
“อาจเปนคนในโรงเรียน”
เขาพยายามตีวงใหแคบ
“นาจะอยางนั้น  เพราะทรายโดนในโรงเรียน แถวโรงอาหาร”
“เพิ่ งมีคนมาจีบแลวทรายตัดเยื่ อตัดใยไปแบบเมินๆ หรือเปลาละ ?”
๗๙
พยายามทําตัวเปนนักสืบ อาศัยความจริงที่ แรงอาฆาตของคนยุคนี้น ากลัวขึ้ นทุกวัน  ขับรถปาดหนายังฆากันตาย
ประสาอะไรกับการถูกผู หญิงที่ ตนหมายปองเชิดใส ชายสิ้ นคิดบางคนที่ถื อวาหมิ่ นศักดิ์ ศรี ยิ่งกวาขับรถปาดหนาอาจแก
แคนไดทุ กวิถี ทางเกินกวาจะเดาใจถูก
“ทรายไมใชคนเชิดใสใคร… แตเงียบๆ ไมพู ดกับพวกขี้ หลีนี่มีบ าง”
จองฤกษพยักหนาหงึกๆ อยูอี กทาง จังหวะนั้ นเขาโหลดหนาแรกของเว็บติดลมซึ่ งกําลังโดงดังในหมูวั ยรุ นครบ
แลว  จึงสามารถเห็น  ‘ดาวเดนประจําสัปดาห’ ซึ่งเกิดจากการโหวตของผู เขาเยี่ ยมชม ชําเลืองแวบเดียวจากรูปยอเทาเล็บหั ว
แมมื อก็รูว าหมายเลขหนึ่ งจากจํานวนดาวสามดวงคือณชะเลนั่ นเอง
คลิกที่รูป รอชั่ วลมหายใจเขาออกไมทั นสุดก็เห็นเว็บเพจแสดงรูปยอของณชะเลเรียงแถวนับแลวไดสองโหลพอดี
บางรูปก็เหมือนเผลอตัว  แตหลายรูปสงยิ้ มและเหมือนโพสตท าใหกลองราวกับนางแบบ
“เราเขามาที่ เว็บแลวนะ เออ … แต… บางรูปเหมือนทรายเต็มใจใหเขาถายนี่ ”
“ไมเลย! ไมใชเลย!” ณชะเลปฏิเสธพัลวั น“แลวก็ นี่แหละที ่ทรายขนลุก  เพราะแสดงวาจะตองสะกดรอยตามอยาง
ใกล ชิ ดเปนเวลานาน เทาที่ ทรายทบทวนความจําจากอิ ริยาบถตางๆ นะ ทั้งหมดนั่ นนาจะเปนการตามยิงช็อตหลายวั น และ
ตองมีความมานะพยายามมากๆ ดวยถึงเก็บทาเก็บทางคลายทรายเต็มใจใหถ ายขนาดนี้  บางรูปที่ ฤกษเห็นทรายทําทาทําทาง
เออ… ยิ้มๆ ยวนๆ เหมือนทาทายกลอง แบบวากําลังหยอกเยากับเพื่ อนซี้  คงเขาใจนะ ผูหญิงเลนกันนะ  จังหวะมันบังเอิ ญ
เขาทางจริงๆ”
จองฤกษเมมปากกลั้ นหัวเราะ พอเดาออกวาณชะเลพาดพิงถึงรูปไหน แตเขาไมสนใจรูปดังกลาวนั ก เพราะกําลั ง
พิ นิจอีกรูปที่น าพิสมัยกวา  เมื่ อคลิกเพื่ อขยายดูเต็มขนาดเห็นณชะเลกําลังยืนใชแขนขวากอดกระเปาหนังสือแนบอก เอียง
หนาเล็กๆ ชมายตาสุกใสไปทางดานขางคลายแอบชําเลืองใคร แกมใสในเคาหนายาวเรียวชางเยายวนใหอยากลอบยื่ นจมูก
เขาไปหอม ปากแดงอิ่ มเต็มเผยอเล็ กๆ ในลักษณาการแยมยิ้ มพึงใจกับสิ่ งที่ เห็นเบื้ องไกล ผิวขาวซานเลือดฝาดแหงวัยกําดั ด
ในชุดนักเรียนมัธยมน้ํ าเงินขาวคมชัดตัดกับฉากหลังที่ พรามั ว โฟกัสของภาพรวมเนนใหเห็นรูปทรงสี สันโดดเดนกระจะ
ตาของเทพธิดารางนอย สดฉ่ําราวกั บมีละอองชมพูพรางพรมไปรอบบริเวณที่ หลอนยืนอยูก็ ไมปาน
รูปๆ เดียวแสดงบรรยากาศอันเกิดจากความเปนณชะเลเกือบครบ ทั้งความซุกซนแหงวัยในตาใส ทั้งรอยยิ้ มจาง
แฝงน้ํ าใจปรานีในปากอิ่ม  ทั้งความสวางขาวอมชมพูในผิวนิ่ มเยี่ ยงทาริกา รวมแลวบันดาลใหเกิดจิตลุ มหลงเสนหา ดึงดูด
ใหติดตาติ ดใจไดปุ บปบภายในชั่ ววูบแรกที่ จดจอง จองฤกษเพิ่ งมีโอกาสจับมองเครื่ องหนาณชะเลโดยไมต องเกรงใจเจาตั ว
ถึงกับนิ่ งเหมอไปชั่ วขณะ เพิ่ งประจักษว าเสนห ของหลอนมีอานุภาพสะกดปานใด โดยเฉพาะ‘มุมสวย’ ที่เสนโคงมนแหง
สรีระอิตถีและสี สันทั้ งหลายภายในองคประกอบภาพ ชวยกันเสริ ม ชวยกันเชิดชูจนไมต องกังขาวาสามารถตีระฆังหัวใจ
ใครตอใครใหกั งวานไกลไดปานไหน
เด็กหนุ มสลัดหนาเพื่ อใหใจหลุดจากมนตครอบงําแหงรูปหญิง  กลืนน้ํ าลายอึกใหญขณะคลิกกลับมาที่ หนารวมรูป
ยอ พยายามหักหามโดยคิดวายังมีเวลายลอี กเยอะ ตอนนี้ต องทําหนาที่ เปนเดือดเปนรอนรวมกับเพื่ อนสาวเสียกอน
ปกติเว็บทํานองนี้มั กอนุญาตใหแฟนๆ ของเว็บสงสารเพื่ อสารภาพรัก  สารภาพวาหลงใหลคลั่ งไคลเจาของรูปปาน
ใด แลวก็จะมีประมาณหมาวัดมาเหาดอกฟาเลนเปนถอยคําหยาบโลนลามกจกเปรตบาง หรือวิจารณรู ปแบบสาดเสียเทเสี ย
ใหเจาตัวอับอายแทบแทรกแผนดินหนีบ าง
๘๐
แตเว็บ ‘ติดลม’  มีแนวคิดโปรโมทสมาชิกสาวๆ แปลกไป และกําลังไดรั บความนิยมเพิ่ มขึ้ นเรื่ อยๆ กลาวคื อ
แทนที่ จะปลอยใหสาวเปนฝายถูกโหวตฝายเดียว ทางเว็บยังเปดโอกาสใหฝ ายสาวใหคะแนนผู ชมบาง
สาวเจาของภาพจะไดสิ ทธิ์ เขาไปดู‘ความเห็น ’ หรือ ‘คําวิจารณ’ ของหนุ มๆ กอน และจะมีสิ ทธิ์คั ดกรองเอาเฉพาะ
ความเห็นกับคําวิจารณที่ พอใจมาแสดงตอสาธารณชน เปนการตัดทางอยางเด็ดขาดไมใหมี การโพสตข อความหยาบโลน
จาบจวงกัน  อีกทั้ งสามารถแปะดาวเปนจํานวนดวงตามความพอใจ เลือกปายคําวิจารณสั้ นๆ เชน ‘หวานไป!’, ‘ขี้จุ!’, ‘ตลก
จัง!’, ‘เด็ดดี!’, ‘วาว!’ หรือ ‘อันนี้ โดนใจใชเลย!’ ฯลฯ หรือถานึกสนุกจะโตตอบความเห็นนั ้นๆ ดวยถอยคําของตนเองก็ ยั ง
ได เปนการใหกํ าลังใจหนุ มๆ ที่มารุมตอม จะไดสรางสรรคคํ าปอมาแขงกันใหม จับพลัดจับผลูอาจไดนั ดทานขาวกับตั ว
เปนๆ ของสาวในรูป!
และเพราะสมาชิกผู โพสตรู ปสามารถคัดกรองความเห็นทั้ งหมดได จึงไมมี ประโยชนหากตัวจริงเสียงจริงของณ
ชะเลคิดจะแฉกลับวางานนี้ เปนเรื่ องแหกตา เวนแตณชะเลจะแสดงตัวกับเจาของเว็บเทานั้น
ไอโกะไดรั บคะแนนโหวตทวมทนรวมหมื่น  จองฤกษแทบไดยิ นเสียงกรีดรองโหยหวนดวยความคลั่ งไคลของ
บรรดาหนุ มๆ ดังระเบิดเถิดเทิงออกมาจากชองแสดงคะแนนเลยทีเดียว คะแนนดังกลาวเชื่ อได ทั นที ดวยตาเปลาวาเปนของ
จริ ง ไมใชหนามาแกลงกลับเขามาเชียรซ้ํา  และไมใชเจาตัวแกลงป นเอาเองอยางแนนอน แคใชสามัญสํานึกก็ รูได รูปสวย
ชวนหลงออกปานนั้น
เมื่ อเด็กหนุ มสํารวจขอความของแฟนๆ  ที่ไดรับการ  ‘คัดแลว ’ ทางดานลาง ก็พบกับคําปอยอจํานวนมหึมานาตื่ นใจ
เหยียบพั น เขาคลิกอานทีละความเห็นอยางรวดเร็ ว สวนใหญหลงใหลไดปลื้ม  พร่ํ าเพอพรรณนาถึงความสวยหวานหยาด
ฟามาดินของณชะเลเกือบทั้ งสิ้น  แสดงวาเจอมนตสะกดชุดเดียวกันถวนหนา
จองฤกษถอนใจเฮือก หัวใจเตนตึกๆ ผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง  ดวยสํานึกวาในขณะที่ หนุ มๆ คอนเมืองกําลังละเมอ
หาณชะเลอยางสิ้ นหวัง  เขากลับโชคดีไดรั บอภิสิ ทธิ์ มานั่ งคุยกับดวงดาวตัวจริงเสียงจริงอยู เดี๋ ยวนี้ โดยไมรู เนื้ อรูตัวเอาเลย !
สงเสียงหัวเราะไปตามสาย  แกลงพูดใหเปนเรื่ องเบาสมองไปเสีย
“ทรายเลยกลายเปนคนดังไปแลว  เตรียมรับคาพรี เซ็นเตอรโฆษณาแพงๆ ได เดี๋ ยวแมวมองติดตอมาแน ความจริงก็
ดีเหมือนกันนะ”
“ดีตายละ!  ฤกษอ านที่ เจาโรคจิตมันสวมรอยทรายในบางความเห็นสิ มีอยางที่ ไหน บอกเขาไปวาอยากอวดรูป
ตอนใสชุ ดวายน้ํา  ใครอยากดูใหยกมือขึ้น  ถานับเสียงโหวตไดเกินรอยจะทยอยโพสตใหตามคําเรียกรอง เนี่ย ! ทรายอยาก
รองไหจริงๆ ถามีพวกบาจี้ เรียกรองมากๆ  เจาตัวแสบมันตองแกลงตัดตอรูปทรายสงใหดู แหงเลย”
หนวยตาเด็กหนุ มเบิกขึ้ นนิดหนึ่ง  คอแข็งอั้ นอึ้ งกลืนน้ํ าลายแทบไมลงในทันใด เขายังไมเจอขอความสวมรอย
ดังกลาว แตเขาเป นคนเดียวในโลกกระมังที่ ไดฟ งจากปากเจาตัวเองวา‘ใครอยากดูยกมือขึ้น ’ แนนอนวานั่ นทําใหเขาอยาก
ยกมือยิ่ งกวาพวกที่ ไดแตอานทางเว็ บอยางเดี ยวหลายรอยเทา !
เว็บติดลมดอทคอมอนุญาตใหสมาชิกผู เปนเจาของอัลบัมเพิ่ มเติมหรือคัดรูปเกาออกได โดยเฉพาะถาอัลบัมใดมี
คนสนใจมากก็จะยิ่ งไดอภิ สิทธิ์ เพิ่ มพื้ นที่จั ดเก็บเปนพิเศษ ฉะนั้ นจึงมีความเปนไปไดสู งที่ ไอโมงจะทําตามที่ลั่ นวาจาไว
จริงๆ นี่ไมใชเรื่ องนานิ่ งนอนใจนัก
“ทรายรูว าโดนสวมรอยตั้ งแตเมื่ อไหร?”
๘๑
“ตั้งแตตอนกลางวั น มีคนไมรูจั กเดินเขามาทั ก เรียกทรายวา  ‘ไอโกะ’  พอเราถามวาไอโกะอะไร เขาก็บอกวา
เห็นจากเว็บติดลมนี่ แหละ นี่ยังไมรวมที่ มองหางๆ แลวซุบซิบกันทาทางไมแนใจอีกนะ เพราะเจาตัวดีใชโฟโตช็ อพลบ
อักษรยอของโรงเรียนออก  เลยไมมี อะไรชี้ชั ดวาเปนทรายแนๆ ”
เด็กสาวเสียงเครือคลายจะรองไห ทําใหจองฤกษยิ่ งเครียดและพูดเปนงานเปนการกวาเดิมหลังจากดูรายละเอียด
การโพสตข อความเสร็จสิ้น
“อัลบัมนี้ เริ่ มเปดขึ้ นเมื่ อสามวันกอนนี่ เอง เอาเถอะทราย เราจะชวยนะ กอนอื่ นจะเอารูปแอบถายพวกนี้ ออกไปให
หมด”
“ขอบใจ แตเราสงเมลบอกผูดู แลเว็บแลวละ ”
“ไมใช!” จองฤกษเสียงเขมขึ้ นเล็กนอย“เราจะเปนคนเอาออกใหเองภายในไมกี่ นาทีข างหนา !”
ณชะเลถึงกับเงียบกริ บ ทีแรกอยากเขาใจวาเพื่ อนหนุ มลอเลน แตน้ํ าเสียงและภาพลักษณของเขาชางไมขี้ เลนเอา
เสียเลย
“เธอจะ…”
“เดี๋ ยววางสายแคนี้ก อนนะ พึ่งพาผูดู แลเว็บนะไมทั นใจหรอก กวาเขาจะตรวจสอบความจริ ง กวาเขาจะมีเวลา
จัดการทุกอยางให อยางนอยก็คงหนึ่ งวันเต็มๆ เคราะหร ายหนอยเจอพวกเชาชามเย็นชามอาจเปนอาทิตย แตเราจะทําให
ทรายเดี๋ ยวนี้ แหละ! จัดการเสร็จจะโทร.บอกอีกที ทรายรอตรงหนาเครื่ องเลยก็ได”
“อะ… เออ … ขอบใจ”
เด็กสาวรับคําอยางงุนงง พอไดยิ นเสียงตู ดๆ แสดงการวางสายของฝายโนนเลยวางตามดวยสีหนาคลายคนครึ่ง
หลับครึ่ งตื่น
แมยองเข ามาขางหลังตั้ งแตเมื่ อไหรไมทราบ ถามเสียงดังจนหลอนสะดุง
“พวกโรคจิตหรือเปลา ?”
ณชะเลหันขวับ พอรูสึ กถึงน้ํ าหนักตัวของเจาอุ ยโหยที่ หนาตักตน ก็อุมขึ้ นกอดและปลอยใหมั นเลียแกม ตอบ
คําถามคุณแมหางเสียงติดสั่น
“ไมใชคะ  เพื่ อนของทราย ที่วันกอนคุณพอขับพาไปสงใหพ นนักเลงนะคะ ”
ระบุเชนนั้ นเพราะมารดาหลอนก็เห็นเขา ความจริงรสรินจําไดตั้ งแตเด็กหนุ มบอกหลอนวาชื่อ ‘ฤกษ’ แล ว แตถาม
ไปอยางนั้ นเองเปนการอุ นเครื่ องกอนซักไซไลเลียงตอ
“หาเจอหรือยังวาใครเป นตัวการ?”
ถามลูกสาวถึงเรื่ องแอบถายและสวมรอย
“โธ! คุณแมขา ไมใชสื บกันงายๆ ขนาดนั้ นหรอกคะ ”
“ก็นาจะเปนคนรู จั กเรานั่ นแหละ ใชพ อฤกษพ อแรกอะไรนี่ หรือเปลาก็ไมรู  โผลเขาบานเราเหมือนโจร ที่โทร.เมื่อ
กี้อาจตามจะเยาะเยยก็ได”
ณชะเลหัวเราะขําปนฉิวที่ แมมองเพื่ อนตนในแงร ายขนาดนั้น  เกือบจะรับประกันวาคนอยางเขาไมก อเรื่ องพรรคนี้
แนนอน แตก อนจะเอยคําก็ชะงักกึ ก เอะใจขนาดตองเหลือบลงต่ํา  ถามตนเองวาเหตุใดจองฤกษจึ งมั่ นอกมั่ นใจนักหนาวา
เขาสามารถโละรูปและขอความทั้ งหมดทิ้ งไปจากเว็บได?
๘๒
หรือที่ แทเขาเป นเจาของเว็บสวมรอยซอนอีกทีเพื่ อเอาหนา ?
หรือวาเขานั่ นแหละตัวดีแอบถาย จึงรูจั งหวะโทร.ไดอยางพอดิบพอดีราวกับอัศวินขี่ม าขาว ทําเปนไกอาสาชวยแก
สถานการณร อนใจใหหลอนอยางแนบเนียน มันจะเปนการโกยคะแนนอยางมโหฬารได จริงๆ เสียดวย
หลอนรู อะไรเกี่ ยวกับเขาบาง? ไมมี เลย! นอกจากการหางหายไปหลายปตามวิ ถีทาง แลวจูๆ  ก็กระโดดพรวดเขามา
ในบานแบบไมมี ปมีขลุย  เรื่ องนักเลงไล เรื่ องหลบหนี หัวซุกหัวซุน ทั้งหมดคือการอํากันแบบหนาตายหรือเปลาก็ไมมี ทาง
ทราบเชนกัน !
เด็กสาวเมมปาก สีหนาครุ นคิดจริงจังทําใหผู เปนแมสั งเกตเห็นและกอดอกซักเสียงขรึม
“นึกอะไรออกเกี่ ยวกับตาคนนี้ เหรอ?”
“เออ … ก็ไมเชิงนะคะ เพียงแตรูสึ กวามีเรื่ องบังเอิญเกี่ ยวกับเขาเยอะจัง ”
“นั่นนะสิ” ผูเปนแมหยอนตัวลงนั่ งทันทีพรอมสําทั บ“แมตงิดๆ อยูตั้ งแตแรกแลว มีอยางที่ ไหน เพื่ อนเกาบังเอิ ญ
ปนบานมาขอหลบภัยเอากับเรา เขาสืบรูที่ อยู ทรายแลวจงใจมากกวา ”
“เขาจะคิดใหซั บซอนทําไมคะ? ถาสืบไดขนาดไดที ่ อยู  แคโทร.มาดีๆ  ก็ได”
“ก็จะเซอรไพรสเราไง หรือไมก็ … คิดมิ ดี มิ ราย!  ดูซิเลือกเอาจังหวะเหมือนรู ล วงหนางั้ นแหละวาหนูจะอยูบ าน
ตามลําพังพักใหญ ทั้งที่ ปกติร อยวันพันปอยางนอยก็ต องมีคนใชอยูบ านเปนเพื่ อน”
พอแมพู ดแบบคนขี้ ระแวง ณชะเลก็รูสึ กวาเรื่องไมสมเหตุสมผลทันที หากจองฤกษวางแผนไว กอนดวยเจตนาราย
อยางนอยก็ต องแกลงชวนหลอนเขาที่ลั บตาบาง นอกจากนั้ นคงตองคิดแนบเนียนเสียจนกลายเปนขี่ช างจับตั๊ กแตน ไหนจะ
วิ่งไกลเสียจนหอบซี่ โครงบาน ไหนจะปนบานคนอื่ นกอนโดดเขาบานหลอน ไหนจะป นสีหนาตื่ นเตนดีใจเหลือประมาณ
กับการกลับมาพบหลอนอีก
“เรื่ องวันนั้นคงไมมี อะไรนาเคลือบแคลงมั้ งคะแม เพียงแต…”
ลูกสาวลังเล เหลือบตาในแนวทแยงต่ํ าคลายคนกําลังคิดเถียงกับตัวเองอยางหนัก
“เพียงแตอะไร?” คุณแมทํ าทีเบนหนาเหลือบมองพื้ นจุดเดียวกับที่ สายตาคุณลูกเล็ ง“เจอตุ กแกดึงดูดความสนใจรึ
ไง? อ้ําอึ้ งอยูนั่ นแหละ”
ณชะเลหัวเราะออกมาได
“หนูกํ าลังคิดวาทําไมเขาโทร.มาพอดี จังหวะจัง  แถมยังเสนอตัวจะชวยลบขอมูลทั้ งหมดออกจากเว็บติดลม
ดอทคอมดวย”
รสรินขมวดคิ้ วมุน  ทําหนาทําตาสงสัยเต็มที่ ประสาคนไมรู เรื่ องไอที
“ลบยังไง?”
ณชะเลสายหนาเปนเครื่ องหมายวาไมรู พอๆ กับแม
“หนูก็ งงๆ เหมือนกันคะ  ทราบแตวาเขาจะตองเป นแฮกเกอรที่ ไมธรรมดาเลยถาทําไดอยางนั้ นจริง ”
“เปนยังไงนะ แฮกกงแฮกเกอรเนี่ย  ทําอะไรไดมั่ง ?”
“เหมือนโจรนะคะ  เกงกวาโจรทั่ วไปตรงที่ นอกจากชํานาญการปนกําแพง ยังงัดแงะแกะรหัสตู เซฟยากๆ ได ทุกรุน
ถาเปรียบบานเปนคอมพิวเตอร เขาก็เกงขนาดรู จั กเครื่ องมือทะลวงกําแพงทุกชนิ ด รู จักน็อตทุกตัวและไมกระดานทุกแผน
๘๓
ชนิดที่ แทบรื้ อหมดแลวประกอบใหมไดด วยอุปกรณน อยชิ้น  แถมยังรูจั กเวลาเขาออก อุปนิ สั ย และจํานวนคนในบาน
อยางละเอี ยดอีกดวย”
“ถาเกงขนาดนั้ นทําไมไมประดิษฐเครื่ องรุ นใหมๆ  เสียเอง?”
“อาจจะ… เพราะถาประดิษฐอะไรใหมๆ  ไดแลวยังไมประกันวาเปนที่ยอมรั บในฐานะผู ชนะมั้ งคะ เดี๋ ยวนี้มี การตั้ง
ปอมแขงกันเปนล่ํ าเปนสันเลยวาใครจะทําสถิติ แพรไวรัสใหระบาดไดมากกวากั น เอาผู ใชคอมพตาดําๆ นี่แหละเปนสนาม
รบ”
“อื๊อ! พวกนี้ โรคจิตนี่ ” รสรินพึมพํา“ตาจองฤกษนี่ทํ ากรรมแบบเพาะนิ สัยโจร แลวก็ปรากฏตัวแบบโจรดวยการ
ปนกําแพงบานเรา เหมาะเจาะจริงๆ เลย”
“อุย! เขาไมไดเจตนามาเอาของของเรา ที่ปนบานก็เพราะมีเหตุบั งคับนี่ คะแมขา”
รสรินทําเปนไมไดยิน  แตรวบรัดตัดบทสั่ งวา
“หนูกํ าลังจะเรียนคอมพ  อยาเผลอพลัดเขาไปเปนเพื่ อนกับโจรพวกนี้ แลวกัน ”
ณชะเลลดเปลือกตาลงเล็กนอย นั่นอาจเปนสัญญาณบอกกลายๆ วาแมไมไวใจจองฤกษ ไมค อยอยากใหหลอนคบ
กับเขาเสียแลวกระมัง  หลอนคงเล าและใชคํ าที่น ากลัวโดยไมทั นคิดหนาคิดหลังใหดีก อน
“แฮกเกอรไมจํ าเปนตองเลวรายหรอกคะแม เหมือนอยางพอมดหมอผี บางพวกก็เรียนไสยขาว บางพวกก็เรียน
ไสยดํา  บางพวกก็เรียนทั้ งไสยขาวไสยดํา  แตพอมี วิชาแลวเอาไปใชทางไหนก็ ขึ้นอยูกั บเจตนา ถาโลกนี้ ไมมี คนเกงระดั บ
แฮกเกอรอยูล ะก็ เกิดปญหาเกี่ ยวกับระบบคอมพใหญๆ ขึ้นมาจะไมมี ใครชวยเหลือไดเลย แลวซอฟตแวรดี ๆ ที่นาเชื่ อถือก็
จะไมมี ใหพวกเราใชด วย”
เด็กสาวกลาวในฐานะคนมีความรู ทางนี้ พอ
“แตแมไมชอบหนาหมอนี่ เลยละ  โหงวเฮงเปนภัย ”
รสรินเริ่ มลงดาบตรงๆ
“ตําราไหนคะ?”
“ตําราแมนี่ แหละ! จะบอกใหนะ ถึงสมมุติว าเขาไมมี เจตนาประทุษรายตอนบุกบานเรา แตอยางนอยก็วิ่ งหนีนั กเลง
มา ลูกรู เหรอวาเขามีเรื่ องอะไรกัน ? คนดีไมต องวิ่ งหนีหรอก”
“แตก็ เคยมีข าวเผลอเหยียบเทานักเลงแลวถูกเสียบกันจริงๆ นี่คะแม ทั้งที่ คนเหยียบก็ไมใชจะเลวรายอะไรเลย ”
รสรินสะบัดหนาเชิดไปทางหนึ่ง
“ไมรุ …” รองเสียงสูง  แลวลดระดับลงเปนพึมพําเบาๆ อยางไมอยากขึ้ นเสียงเผด็จการเต็มที่นั ก “แมว าหนูตั้ง
ระยะหางๆ ไวก็ดีสํ าหรับตานี่ ”
“เมื่ อกี้ เขาพูดจาขาดสัมมาคารวะกับแมหรือเปลาคะ?”
ถามอยางพยายามสืบหาที่ มาที่ ไป
“เปลา … ก็เจรจาตามปกติ แตพระทานบอกวาที่ เราจะรูจั กกันวาใครมีศี ลบาง ก็ ตองคุยกันนานๆ คนเราทําเปนพูดดี
มีความนุ มนวลเมื่ อแรกทักได แตระยะยาวดีจริงหรือกาวราวแคไหนเปนอีกเรื่ องหนึ่ง ”
“เขาคุยธรรมะกับหนูด วยละคะ  หายากนะคะแม”
ณชะเลชวยพูดแทนอยางสงสารเพื่ อน
๘๔
“เขาสนใจดวยตัวเองอยูก อนหรือวาเห็นหนูสนใจเลยแกลงสนใจตาม ?”
ถูกถามเขาเชนนั้ นณชะเลก็อ้ํ าอึ้ง  รสรินเห็นลูกสาวอึกอักอยางเด็ กในมือที่ ไมเคยโกหกกันก็ไดที
“ธรรมะไมไดมี ไวเอาใจใครนะลูก  ถาเขาศึกษาโดยไมไดชอบดวยใจ วันหนึ่ งเขาอาจใชธรรมะบังหนาในการกลั บ
ขาวใหเปนดําเพื่ อผลประโยชนส วนตัว  แมเห็นมาเยอะ”
“แตแมเคยบอกวาทุกคนตองมี จุดเริ่ มตนไมใชหรือคะ? แมแตฆาตกรอยางองคุลี มาลก็อาจวิ่ งเขาหาธรรมะโดยไม
รูตัว ทั้งที่มีจิ ตคิดประทุษรายพระพุทธเจาในเบื้ องแรกดวยซ้ํา ”
“หนูเปนแรงบันดาลใจใหเขาแลวนี่  เสร็จธุระก็ห างๆ ออกมาซะเถอะ ถาเขารักดีก็ คงไปดีไดด วยตัวเอง”
นาที นั้นณชะเลชักรูสึ กวาแมเผยเจตนากีดกันไมอยากใหหลอนคบจองฤกษเอาจริงๆ มิใชเพียงคอนขอดเลนดวย
ความไมถู กชะตา ซึ่งก็เดาวาแมติ ดใจกับเรื่ องที่ เขาปนบานเปนหลัก แมถื อนักถือหนาวาถาเจอกันในสถานการณไมดี
แปลวาเคยรวมบาปรวมกรรมกันมา ขืนคบกันเดี๋ ยวก็ไดทํ าบาปรวมกันอีก
แตหลอนทบทวนดีๆ  ก็เห็นวาไมมี ใครเปนพิษเปนภัยตออีกฝายเลย  จองฤกษแคหนีร อนมาพึ่ งเย็น  หลอนใหที่ หลบ
ภัยแกเขา เขาไมได ทํารายหลอน อีกทั้ งหลอนก็ รู สึ กถูกชะตาดวย เรียกวาเปนเพื่ อนเกาที่ทํ าให ดี ใจมากเมื่ อเจอ แถมคุยแลว
สบายใจ ไมรั งเกียจที่ เขาโทร.หา อีกทั้ งยามเดือดร อนพอเห็นเขาเสนอตัวชวยเหลือก็รูสึ กอบอุน
“แมกลัวหนูไปชอบเขาหรื อคะ?” ยิ้มแยมถามตรงๆ“ทรายพิศวาสแตหมาจนพิศวาสผู ชายไมเปนแลวละคะ ”
พูดพลางลูบหัวลูบตัวเจาอุ ยโหยซึ่ งบัดนี้ นอนสงบนิ่ งบนตักหลอนเยี่ ยงสัตวเลี้ ยงที่ จงรักภักดี ตอเจานายอยาง
เหลือลน
“ถาหนูเห็นเขาเปนแคเพื่ อนเกาก็แลวไปนะ แตไหนแตไรมาแมไมเคยกะเกณฑเรื่ องคบเพื่ อน ตรงขามออกจะเป น
หวงที่ หนูค อนขางเก็ บเนื้ อเก็บตัวเกินไปดวยซ้ํา  เพิ่ งครั้ งนี้ แหละที่ อยากพูดใหรูว าแมเห็นหนาหมอนี่ แลว …”
รสรินพยายามเฟนหาคําพูด  แตเจาะจงเลือกใหไดอยางใจไมถูก
“เห็นแลวเปนไงเหรอคะ ?”
ณชะเลถามสําเนียงแบบทั้ งอยากรู และอยากเอาใจแมพรอมกัน
“แมว าขางนอกเขาเหมือนเด็กธรรมดารุ นเดียวกับหนู แตสายตาของเขามันดูเย็นชาผิดวัยนะ เหมือนกําลังดูถู กคน
ทั้งโลกวาโงเงาเตาตุน  รูไมทั นเขา คนประเภทนี้มั กโตเปนผู ใหญที่ เห็นแกตั วรุนแรง ไมสนวาใครจะเปนอยางไร ขอให ขา
ไดทํ าในสิ่ งที่ต องการ”
ฝายลูกสาวฟงเฉลยแลวอดคิดไมไดว าแมอุปาทานไปเอง แตขณะเดียวกันก็เผื่ อใจไวครึ่ งหนึ่ง  เคยไดยิ นมาหลาย
หนวาผู ใหญมั กมีสั มผัสพิเศษที่ แตกตางจากเด็ ก เพราะผานพบคนมามาก เห็นพฤติกรรมคนลักษณะตางๆ มาเยอะ ใครเป น
อยางไรจึงอานออกไมยากนัก  ผิดกับวัยรุ นที่ยั งเห็นโลกตามที่ ตนคิดฝนอยากใหเปน  ไมใชเห็นตามที่มั นเปนอยู จริงๆ
ณชะเลลูบขนยาวนิ่ มมือของเจาอุ ยโหยพลางถาม
“แมคะ… ถาเราเจอคนเห็นแกตั ว  หรือสอเคาวาเขาจะเปนคนราย เราไมควรไปยุ งกับเขาเลย และปลอยใหเขาเป น
ภัยกับสังคมตอไปหรือคะ?  หนูไมไดเถียง แลวก็ไมไดอยากคบกับเขาจนตัวสั่ นนะคะ แตสงสัยจริงๆ วาเราควรยินดีใน
กรรมแบบไหน ระหวางไมเอาตัวเขาไปเสี่ ยงเลย กับลองยอมเสียเวลาให กั บเขาบาง ดวยความหวังวาเราอาจเปนจุดเปลี่ ยน
เล็กๆ สักจุดหนึ่ งในเสนทางชีวิ ตเขา”
๘๕
รสรินทําตาโต เพราะแมลู กสาวบอกวาไมเถียง แตก็ เหมือนเถียงไปแลว  เนื่ องจากหลอนไมสามารถหาคําตอบที่
เหมาะสมชนิ ดทําใหตนเองยั งดูดีมีน้ํ าใจได
“โอย ! วันนี้ เปนยังไงเจอแตคนดื้อ  ตอนเย็นนองสาว ตกดึกลูกสาวอีกคน บาผู ชายกันไปหมด!”
โวยวายเสร็จก็ ลุกขึ้ นยืนเหมือนจะเดินหนีไปพนๆ ทําใหณชะเลใจหาย วางเจาอุ ยโหยไวกั บเกาอี้ แลวปราดมาจั บ
แขนแม
“ทรายขอโทษคะแม” ละล่ํ าละลักพูดพลางกอดประจบออดออน“หนูแคอยากรู  ไมไดตั้ งใจเถียงจริงๆ”
รสรินไดสติ บําเพ็ญตนอยู ในเสนทางธรรมะมานาน แตยั งน็อตหลุดทุกทีเวลาคนในปกครองไมไดอยางใจ หลอน
ตองสงบสติอยู เปนครูก อนปรับทาทีเสียใหม
“แมรู ว าหลายเรื่ องเจอกันตรงกลางยาก” ยกมือลูบศีรษะธิดา น้ําเสียงเยือกเย็นเปลี่ ยนไปเปนคนละคน“ลูกแม แม
รัก แมห วง แมหวง เห็นอะไรไมชอบมาพากลก็โดดเขาขวางตรงๆ ไมอยากเสียเวลาออมคอม แตลู กอาจรู สึ กวาแมหั กหาญ
น้ําใจ ขาดเหตุผลที่ดี พอ จริงอยู แมพยากรณไมไดว าถาหนูคบกับเขาแลวผลออกมาจะดีหรือราย หนูจะชวยใหเขาหันมา
ชอบธรรมะ ทําคุณใหกั บสังคมได สั กแคไหนแมก็ ไมรู  แมดู ไดแคที่ต นทางอยางมนุษยธรรมดาคนหนึ่ง  เห็นตามจริงวาเขา
โดดเขามาหาหนูด วยสถานการณร อนๆ เหมือนกําลังจะพาความรอนตามมาดวย แถมหนูก็ บอกเองวาเขาเกงจนเปนโจรใน
โลกคอมพิวเตอรได แมยิ่ งไมสบายใจ”
“หนูคงอุปมาอุปไมยพลาดไปหนอยนะคะแม หนูเปรียบวาเขามีคุ ณสมบัติ แบบโจร แตไมไดหมายความวาเขาเป น
โจรสักหนอย… แลวอีกอยาง การถูกนักเลงไลลา อาจเปนนิ มิตหมายบอกวาเขาถูกขับไสใหจนตรอก ตองหาทางออกดวย
ธรรมะ พอเจอหนูครั้ งแรกเขาก็ไดหยิบยืมหนังสือธรรมะไปอานเลย ใครจะรู  วันนี้ เขายืมหนังสือธรรมะ วันหนาเขาอาจ
เปนพระมาสอนหนูก็ ได”
รสรินทําหนาตึง  ใชมื อยันรางลูกสาวออกห าง นึกเสียใจที่ สอนใหลู กพูดเกงเกินขนาด
“ตามใจ แมจะไมห ามละ ”
“เดี๋ ยวสิคะ” เด็กสาวกลับมากอดแขนแมอี ก “เอาอยางนี้ ไดไหม หนูจะไมขั ดใจแม เขาพูดอะไร ชวนทําอะไร หนู
จะเลาใหแมฟ งตลอด ทุกอยางอยู ในสายตาของแมทั้ งหมด ขอเวลาเดือนเดียว รับประกันวาจะคบกับฤกษแบบเพื่ อน ถา
พฤติกรรมของเขาไมน าประทับใจ แมสั่ งมาเลย จะใหคบนอยลงหรือเลิกคบเด็ดขาด ที่ตรงนั้ นหนูจะไมมี เงื่ อนไขกับแม
อีก”
ณชะเลอธิบายไมถู กเหมือนกันวาเหตุใดตนจึงตองตอสู เพื่ อใหไดคบกับจองฤกษต อถึงขนาดนั้น  สับสนตนเอง
เล็กๆ หลายสิ่ งหลายอยางทางความรู สึ กนั้ นอธิบายยาก แตส วนลึกก็ ยั งยืนยันตรงตามปากวาไมใชเพราะความพิศวาสเชิงชู
สาวแนนอน
รสรินยืนคอแข็งเฉยอยางชั่ งใจ แตยั งไมทั นที่ จะวาอยางไรเสียงกริ่ งโทรศัพทดั งขึ้น  ณชะเลเหลียวไปมองแลวนึ ก
ในใจวาอาจเปนจองฤกษ หลอนรูสึ กละลาละลั ง หันกลับมาสบตาแม ยกสองมือแปะๆ อากาศเปนความหมายวาขอตัวไป
รับโทรศัพทก อน
เมื่ อปราดไปรับสาย ก็พบวาเสียงทักจากตนทางเป นจองฤกษจริงๆ
“ทรายเหรอ?”
“อือ…”
๘๖
รับเสียงเรียบเนือยดวยความพะวงอยูกั บมารดา ซึ่งไมต องหันไปดูก็รูชั ดวากําลังจองหลังหลอนเขม็ง
“เราจัดการใหแลวนะ”
ณชะเลลืมตาโต รองออกมาดังๆ
“ฤกษลบรูปใหทรายแลวเหรอ?”
“ใช! แลวจะทําอะไรมากกวานั้ นดวย”
“รอเดี๋ ยวนะ”
เด็กสาวกดปุ มตัดเสียงเพื่ อใหเพื่ อนหนุ มฟงดนตรีรอ กอนหันมาแจงขาวดวยสีหนาตื่ นเตน
“ฤกษเขาลบรูปทรายออกจากเว็บติดลมแล วคะแม เห็นไหมวาคบคนเกงๆ ไวไมเสียหลายหรอก”
รสรินทําหนาชอบกล ไมเชิงวาเห็นคานั ก เนื่ องจากไมทราบวาเปนเรื่ องยากเย็นที่ต องใชความสามารถสุดพิสดาร
ปานใดจึงลบขอมูลจากเว็บอะไรสักเว็บได
“เดี๋ ยวหนูขอไปดูก อนนะคะ”
รางเปรียวถลันจากหอง ซอยเทาขึ้ นไปบันไดไปชั้ นบน เพื่ อเขาหองนอนตอเน็ตพิ สูจนความจริ ง พักหนึ่ งก็
เดินหนามุ ยกลับลงมา สายตามองเครื่ องโทรศัพทด วยความขุ นขึ้ งกอนควากระบอกขึ้ นกรอกคํา
“ยังอยู เหมือนเดิมเลยนี่ ฤกษ หมายความวายังไง จะหลอกใหดี ใจเลนเหรอ?”
“เฮอ ! ก็เมื่ อกี้ เรายังพูดไมทั นจบทรายก็ตั ดเสียงไปเสียกอนนี่ … ทีแรกเราก็ตั้งใจจะเอาออกใหหมด แตคิ ดใหม ไดวา
ไอโมงตัวแสบยังอาจหวนกลับมาทําความเสื่ อมเสียใหทรายอี ก ถึงไมใชเว็บนี้ก็ เว็บอื่น  เพราะฉะนั้ นเราจึงลบรูปใหญรูป
สุดทายออกไปรูปเดียวเพื่ อใหทรายสบายใจวาเราทําไดจริง  สวนอื่นคงไว ตามเดิมเพื่ อรอใหไอโมงกลับมาสวมรอยตอ แล ว
คอยดักจับกันคาหนังคาเขา เรามี วิ ธีใหเขาเข็ดและกลั ว ไมกลาคิดทําอยางนี้อี กเลยจนชั่ วชี วิ ต!  พอเสร็จงานแลวเราถึงจะ
ลบทิ้ งใหเกลี้ ยง”
สีหนาณชะเลเปลี่ ยนไป คราวนี้ชั กเกิดความระยอตอฝมื อของเพื่ อนหนุม
“เธอเกงขนาดนั้ นเลยอะ ?”
“ทรายรอดูก็ แลวกัน  เราตั้ งสัญญาณดักจับไวแลว คืนนี้ถ าโผลมาในชื่ อไอโกะอีกก็เสร็จแน!”
ตอนที่  ๑๐ แฮกเกอร
ขณะนั่ งทานขาวกลางวันที่ โรงอาหาร ณชะเลมีแตความกระวนกระวายอยู ไมสุข  เหลียวหนาเหลียวหลังอยู
ตลอดเวลา ผิดปกติวิสั ยจนปาเจราตองถามอยางอดรนทนไมได
“เปนอะไรของเธอหือ ?”
ณชะเลสะดุ งเล็กนอยกับเสียงถามดุๆ  นั้น กมหนากมตาเคี้ ยวขาวกอนตอบอุบอิบ
“รูๆ อยู  กลัวโดนโรคจิตแอบถ ายอีกนะซี หันไปหันมาจะไดยิ งไมทัน ”
เพื่ อนสาวสองคนหัวเราะพรอมกัน  ปาเจรามองณชะเลดวยสายตาสงสารแกมอนาถใจ
“เพื่อความสบายใจ  เอาถุงกอบแกบคลุมหัวเลยสิเธอ เดี๋ ยวฉันเจาะรูลู กตาใหเอง”
๘๗
ใบหยกชวยแซวอยางเห็ นเปนเรื่ องขบขัน
“ทรายจะมี สิทธิ์ขึ้ นปกนิตยสารก็คราวนี้อ ะมาง อันที่ จริงตากลองลึกลับนี่ก็ ไมใชเบานะ สงสัยเปนมืออาชี พ เขาใจ
ถายเหลือเกิน ”
ณชะเลคอนเพื่ อนตาคว่ํา
“ยังไปชมอีก !”
“ฝ มือดี ก็ ตองชมซิ วากันตามเนื้ อผา บางมุมนี่ฉั นวาสวยที่สุ ดเทาที่ เคยเห็นรูปเธอมาเชียวละ  พี่ชายฉันเขาซี้ ดซาด
ใหญ ออนวอนขอใหพามาเจอเธออยู เนี่ย  จะรับใบสมัครไหม? เขากลับจากอังกฤษเดือนหนานี้ พอดี”
ณชะเลเงยหนาทําตาเขี ยว
“นี่หยกไปชวยเจาโรคจิตนั่ นเผยแพรรู ปทรายตออีกเหรอ?”
“จะเปนไรไปลาว รูปหมู พวกเราฉันก็เคยสงใหพี่ฉั นดูบ อยๆ เพียงแตไมโคลสอัพแจมแจวสะกดหัวใจขนาดนี้ ”
“เธอบอกหรื อเปลาวาฉันไมไดเปนคนเขียนขอความยั่ วน้ํ าลายพวกนั้น ?”
ใบหยกหัวเราะไถล
“เออ ! อันที่ จริงนอกจากตากลองจะมีฝมื อแอบถายเนี้ ยบและแนบเนียนแลว  ยังเขียนยั่ วผู ชายให ฝ นไปไกลไดชะงั ด
อีกดวยนะ ความสามารถหลากหลายซะจริงๆ เธอแนใจนะวาเธอเปลา ?”
“หยก… นี่เธอเห็นเปนเรื่ องสนุกเหรอ?”
พอเห็นณชะเลหนาเข ม ใบหยกก็ ลุกขึ้ นยืนครึ่ งตัวยื่ นสองมือขามฝ งไปประคองใบหนาอีกฝายและยีแกมเลนอยาง
เอ็นดู
“อยาซีเรียส ขอบอก ตอนแรกฉันรู เขายังชวยเธอตกใจทางโทรศั พทอยู เลย จําไมไดเหรอ?”
ณชะเลโยกศีรษะหลบจากมืออีกฝาย
“เธอตื่ นเตนวี้ ดวาย ไมไดตกใจอะไรเลย แลวก็หั วเราะหนาเปนมาตลอด”
ใบหยกหัวเราะซ้ํา  กลับลงนั่งตามเดิ มกอนกลาว
“ทรายจะไปเครียดทําไมละ  เขาอุตสาหช วยโปรโมทหนาตาให เดี๋ ยวนี้ เดินไปทางไหนมีแตคนเรียกไอโกะๆ”
“เธอลองบางไหมละ  มีแตคนจับกลุ มจองแลวสุมหัวซุบซิบนินทานะ ”
“แบบนั้ นนะโดนประจํามาแตไหนแตไรอยู แลวไมใชเหรอ?  เถอะนา … คิดมากตอนกินขาวระวังโตขึ้ นจะเปน
หมันนะยะ”
ปาเจราถามยิ้ มๆ
“เกี่ ยวดวยเหรอะ?”
“พวกเธอไมรู อาราย ภาวะมีบุ ตรยากเริ่ มมาจากโรคคิดมากเนี่ ยแหละ กินขาวกินปลายังไมเว น ยิ่งโตถึงได ยิ่งเครียด
พอเขาพิธี สมรสก็หมดอารมณพอดี”
ปาเจราฟงอรรถาธิบายแลวอดหัวเราะซ้ํ าไมได กอนหันไปทางณชะเลแลวตําหนิตรงๆ
“เธอนี่ อะไรๆ ก็ ดีหรอก เสียอยางเดียวชอบทําหนาเหมือนคุณหนูเก็บกด ฉันวาเธอเลิกวอรี่ เถอะทราย ใครถามก็
บอกตามจริงแลวกันวาหนูเปลา  หนูไมรู  อยางที่ บอกๆ ไปแลวนะ  ลิงที่ ไหนไมเชื่ อฉันจะชวยตบใหหนาหันมาเชื่ อเอง นี่เธอ
ก็เขียนขอรองเจ าของเว็บแลวไมใชเหรอวานอกจากชวยลบแลวใหช วยลงประกาศแจงดวยวาเธอโดนสวมรอย”
๘๘
ณชะเลยังทําหนายุ งไมเลิก
“พวกเธอไมมี วั นคิดอยางที่ฉั นคิดจนกวาจะโดนดวยตัวเอง เรื่ องที่ผ านไปแลวนะ  มันเปนแคจุ ดเริ่ มตน  แตที่ จะ
ตามมาละ  นี่ไอโมงไปประกาศแลวเห็นไหมวาจะสงรูปในชุดวายน้ํ าไปใหดู  ทานี้ฉั นโดนตัดตอแหงๆ เลย”
ปาเจราเริ่มเห็นใจ แตขณะเดียวกันยิ่ งเห็นอาการทุรนทุรายของเพื่ อนก็ยิ่ งคึก
“เปนไปได…” เอยพลางทําคอออนยกมือลูบแกมในทาเอียงอาย“ความจริงฉันก็ นารักพอๆ กับเธอนั่ นแหละ นั่ง
กับเธออยางนี้ อาจตกเปนเหยื่อ  พลอยโดนลูกหลงจากพวกโรคจิตไปดวยแนเลย… ดีจัง”
ใบหยกเห็นเพื่ อนซี้ทํ าทาทําทางแลวหัวเราะใหญด วยความเปนคนเสนตื้น  และพอปาเจราเห็นเพื่ อนหัวเราะเลย
ชวยกันหัวเราะตามเปนที่ สนุกสนาน
ณชะเลยกมือปดหนา  เริ่ มสะอึกสะอื้ นทีละนอย ยังผลใหสาวอารมณดีทั้ งสองชะงักกึก
“ทราย…” ปาเจรายื่ นมือไปจับขอมืออีกฝาย“อยาคิดมากซี่ที่รัก ”
ณชะเลลดมือลง มองเพื่ อนทั้ งสองผานน้ํ าตาคลอเบา
“ฉันจะคิดนอยลงถาพวกเธอเห็นใจฉันมากกวานี้ หนอย”
“โอ!” ใบหยกรองดวยความรําคาญ“เจอเทานี้ทํ าโอด คนอื่ นเขาโดนหนักเสียจนอยากผูกคอตายกั น เปนผู หญิงยุค
เรานะ  แคเขาสวมสาธารณะแบบพรวดพราด หยอนกนสุ มสี่สุ มหาไมดู ตามาตาเรือให ดี ก็เสร็จแลวแกเอ ย กลายเปนดาวโป
ไมรูตั วมาตั้ งเทาไหร… เอางี้ ! เดี๋ ยวเราขอใหเจาของเว็บชวยสืบหาว ามือดีนี่ เปนใคร  แลวเราไปชวยกันแอบถายมันคืนมั่ง ”
“เออ! ดี” ปาเจราเอออวย“ใหมั นรู ซะบางวาทําเพื่ อนเราจะตองโดนเอาคืนขนาดไหน”
ทั้งสามทานขาวทานปลาตอ  ณชะเลกมหนางุดดวยอาการนอยใจ อดเปรียบเทียบไมไดว าเพื่ อนสนิทที่ คบกันมา
เกือบสามปยั งเปนหวงเปนใย เดือดร อนแทนหลอนไมเทาหนึ่ งในรอยของมิตรเก าผูห างหายไปนานอยางจองฤกษ สองสาว
ที่นั่งตรงหนานี้ดี แตคิ ดชวยคลายเครียดดวยการลอเลียนใหเห็นเปนเรื่ องตลกขบขั น อาจเพราะมุมมองตางกั น สองคนนี่ ไม
รูสึกวาสิ่ งที่ หลอนประสบนั้ นรายแรงอะไรนั กหนา ขณะที่ทํ าใหหลอนถึงขั้ นเห็นเปนสัญญาณภัยอันเกิดจากบุคคลลึกลับที่
พึงระวังเลยที เดียว ใครจะรู  วันนี้ เขาแอบถาย วันหนาจะกาวล้ํ าไปอีกกี่ขั้น ?
ขณะนั้ นเอง มีเด็กสาวรางทวมคนหนึ่ง  เดินมานั่ งลงขางปาเจรา ใชสายตาจองมองณชะเลซึ ่งอยูฝ งตรงขามเครียดๆ
“พี่ทรายใชไหม?”
ณชะเลเงยหนาขึ้น  พอเจอหนายุ งๆ กับสายตาเครียดๆ นั้นแลวรูสึ กไมอยากคุยดวยทันที
“ใช…”
หลอนตอบตามมารยาท
“หนูมาขอโทษ”
ทุกคนฟงออกวารุ นนองตองฝนกัดฟนแทบตายเพื่ อพูดคํานั้ นออกมา อีกทั้ งยังอุตสาหยกมือไหวท วมหัวเปนของ
แถม แตนั่ นก็เหมือนหุ นกระบอกที่สั กแตกระดกอะไรอยางหนึ่ งใหดู เทานั้น  ไมมี ใจจริงเปนผูชั กใยอยู เบื้ องหลัง
“บอกแฟนพี่ด วยวาหนูทํ าตามคําสั่ งเขาแลวนะ พูดขอโทษแลว  ยกมือไหวแลว เอาพาสเวิ รดมา และตอไปอยามา
ยุงกับหนูอีก !”
ทามกลางการตกตะลึงจังงังของสามสาว รุนนองคนนั้ นพูดจบก็ลุ กพรวดพราดเดินลงสนตึงๆ จากไปทันที ไม
เหลียวหลังกลับมาอีกเลย
๘๙
“ใครอะ ?”
ปาเจราถามงงๆ ไมเจาะจงวาอยากใหใครตอบ สามสาวหันหนาเขาหากั น ใบหยกพึมพําวิพากษวิ จารณตามที่ ตา
เห็น
“หนาโหล แถมทองปอง นองทู  ดูกาวราวอีกตางหาก  เปนไปไดยากที่ จะอยูในความทรงจํา ”
ปาเจราหัวเราะดังๆ แบบไมหุ บปาก ขณะที่ ณชะเลครุ นคิดทบทวน
“ทรายเคยเห็น ” เด็กสาวบอกตามจริง “รูสึกจะยืนอยู ในแถวนักเรียนชั้น  ม.๔ พวกเราเดินสวนกับเขาอยู เรื่ อย แลวก็
มักจะมองทรายเขม็งบอยๆ”
“อยู โรงเรียนเดียวกันก็ต องสวนกันทั้ งนั้ นแหละ” ปาเจราเอย“แตจะเห็นบอยหรือไมบ อยก็ขึ้ นอยูกั บมีแรงดึงดูดแค
ไหน สําหรับยายคนนี้ คงมองเธอคนเดียว เลยดึงดูดตาเธออยู คนเดียว เพราะเกิดมาฉันวาฉันไมเคยเห็นซักกะครั้ง … วาแต
ยายนี่ ขอใหทรายทําอะไรหวา ? พูดจาไมรู เรื่ อง”
ใบหยกเสริมทันที
“แลวเธอไปมี แฟนตั้ งแตเมื่ อไหรไมเห็นบอกยะ?”
ณชะเลเริ่ มเอะใจตั้ งแตรุ นนองใหหลอนไป ‘บอกแฟน’ แลว  รูสึกสังหรณว านี่น าจะเกี่ ยวของกับจองฤกษในทางใด
ทางหนึ่ งอยางแนนอน และถาเกี่ ยวกับจองฤกษ ก็ ตองเกี่ ยวกับไอโมงที่ หลอนเฝาวนเวียนคิดถึงจนแทบกินไมไดนอนไม
หลับอยู เปนแน
ร่ําๆ จะลุกขึ้ นเดินตามไปถามไถรุ นนองรางทวมคนนั้ นให รูเรื่ อง แตหนาตาไมรั บแขกของอีกฝายทําใหไมกล า
และคิดวาเดี๋ ยวคืนนี้ค อยถามจองฤกษเพื่ อซักไซใหรู แจงจะดีกวา  เพราะอยางไรเขาก็คงโทร.มาหาหลอนแนอยู แลว
คืนนี้ เด็กหนุ มกระตือรือรนเปนพิเศษ ไมมี ความขลาดกลัวกับการโทรศัพทหาเพื่ อนสาวเหมือนสองคืนกอน เห็น
ไดชั ดวาผลงานทําใหคนเรากลาหาญและมีเรื่ องพูดคุยมากมาย
“ฮัลโหลคะ ”
เสียงมารดาของณชะเลเป นผูรั บสาย
“ขอสายทรายครับ ผมฤกษนะครับ”
เขาเอยขอแบบเปดเผยตัวไมกลัวเกรงอะไร วันนี้ตั้ งใจจะขอเบอรมื อถือของลูกสาวหลอนเปนรางวัลดวยซ้ํา
รสรินอึ้ งไปอึดใจ กอนบอก
“รอเดี๋ ยวนะจะ ”
สุมเสียงยังชวนใหรูสึ กคลายแมของณชะเลชายตามองเขาดวยความไมไววางใจอยู เหมือนเดิ ม แตจองฤกษก็ สั มผั ส
ไดว าหลอนลดกําแพงลงพอสมควร เปดโอกาสใหชะเงอมองลูกสาวหลอนจากระยะไกลไดถนัดกวาเกา  และนั่ นก็น าจะ
เปนเพราะ ‘เห็นผลงาน’ ของเขาบางแลว
ครู หนึ่ งณชะเลก็มา
“ฤกษเหรอ?”
หลอนทักดวยน้ํ าเสียงตื่ นเตนยินดี และนั่ นก็ทํ าใหจองฤกษยิ้ มแกมปริ
“ใชแล ว!”
“กําลังจะโทร .ไปหาพอดีเลย”
๙๐
“เห็นแลวใชไหม?”
“ใช! เห็นแล ว เพิ่ งเมื่ อกี้นี้ เอง ความจริงจะไปดูว าผู ดู แลเว็บจัดการอะไรบางหรือยั ง แต… แหม! ดีใจที่สุด  ขอบใจ
ฤกษมากๆ นะ”
“ไมเปนไร”
“เธอทําไดยั งไงเนี่ย ? นาอัศจรรยจริงๆ!”
เสียงของผู หญิงเวลายินดีปรีดาเปนลนพนนั้น  เปนกําลังใจอยางสูงที่ จะบันดาลใหหนุ มผู มาติดหลงทําอะไรเพื่ อเจ า
หลอนก็ได จองฤกษสูดลมหายใจเขาเต็มปอดยืดอกกอนเอย
“บอกใหคนอื่ นๆ ในบานทรายสบายใจไปดวยแลวใชไหม?”
“บอกแลว !  ตอนแรกทุกคนกังวลและเปนหวงทรายกันหมด พอเห็นอยางนี้ก็ สบายใจแลวทรายบอกดวยวาเปน
ฝมือของฤกษคนเดียวเลย”
จองฤกษยิ้มไมหุบ รูสึกวาไดใชฝมื อทําบุญทํากุศลใหกั บทุกฝาย ฝายหนึ่ งโลงอก อีกฝายหนึ่ งควรสํานึกผิดและเข็ ด
หลาบไปจนกวาจะหาไม อยางนอยก็ตระหนักวาแอบทําชั่ วบนเน็ตนึกวาไมมีวั นที่ ใครจะจับไดนั้น  ผิดถนัด
พอมดในยุคมืดใชพลังจิตกับลูกแกววิเศษเพื่ อการหยั่ งรูฟ าดิน  แตพ อมดในศตวรรษที่  ๒๑ อาศัยเพียงแปนพิมพกั บ
จอคอมพิวเตอร ก็สามารถรู เห็นแทบทุกสิ่ งบนโลกที่ข ายใยคอมพิวเตอรครอบคลุมทั่ วทุกตารางนิ้ วใบนี้  นั่นเรียกวา
เหนือกวาความสามารถของพอมดโบราณเสียอีก !
เมื่ อคืนเขารอการปรากฏตัวของ ‘ไอโกะ’ จอมแสบแบบที่ ไมต องลุ นมากนัก  เพราะกําลังฮอตสุดๆ มีหนุ มๆ มาหอม
ลอมโขยงใหญ ดังนั้ นจึงตองติดพันเขามาตอบขอความมือเปนระวิงวันละหลายรอบอยู แลว
เมื่ อไอโกะล็อกอินเขามา โปรแกรมตรวจจับของเขาก็ สงสัญญาณแจงทันที จองฤกษจึ งเขาลุยโดยพลันดวยอาการ
ของโจรผูชํ านาญทาง เทคนิควิ ธีทางคอมพิวเตอรอั นชาญฉลาดล้ํ าลึกชวยใหเขาเจาะตรงเขาถึงเครื่ องไอโกะ สามารถเห็น
ไฟลข อมูลทั้ งหมดในเครื่ องของฝายนั้ นภายในเวลาไมนาน อีกทั้ งไอโกะก็ไมทั นรูตั ววามีการลักลอบดูดขอมูลจากระบบ
ไฟลด วย เนื่ องจากมัวแตอ านและพิมพโตตอบขอความเกี้ ยวพาราสีของบรรดาหนุ มๆ เปนเวลายาวนาน จึงไมทั นสังเกตวา
มีการลักลอบถายเทขอมูลเกิดขึ้ นแลวในเครื่องของตนจนความเร็ วทั่ วไปอืดลงถนัด
จองฤกษใช วิ ธี สุมเดาอยางมีหลักเกณฑ ตระเวนเก็บขอมูลสําคัญเกี่ ยวกับไอโกะ ไมว าจะเปนอีเมล หมายเลขไอซี
คิว ตลอดจนทะเบียนพรอมพาสเวิร ดทางอินเตอรเน็ตตางๆ แลวคอยๆ กวาดดูแหลงเก็บไฟลส วนตัวทั้ งหลาย
แทบทุกคนโดยเฉพาะวัยรุ นปจจุบั นจะตองมี รูปตัวเองและเพื่ อนรักอยู ในเครื่ องเสมอ เพราะสมัยนี้ถ ายรูปและ
บันทึกลงฮารดดิสกไดง ายยิ่ งกวาอะไร ดังนั้ นเมื่ อกวาดหาไฟลรู ปภาพทั้ งหมดในเครื่ องแลวใชหลักคาดเดาอยางมีเหตุผล
เชนจากการกรองชื่ อกับนามสกุลไฟล ขนาดไฟล รวมทั้ งหลักแหลงในการจัดเก็บ  จองฤกษก็ดู ดเอารูปที่คิ ดวานาจะเปน
‘ตัวจริง ’ ของไอโกะมาไดชุดหนึ่ง
จากชื่ อไฟลรู ปประมาณวา ‘ฉันกับเพื่ อน’ บวกกับรูปเดี่ ยวอีกสองสามรูป ทําใหแนใจได วาไอโกะตัวจริงเสียงจริ ง
ตองเปนสาวนอยหนาหัก  ทาทางบอกบุญไมรั บคนหนึ่ง
โชคเขาขางยิ่ งกวานั้น  เมื่ อรื้ อคนอานอีเมลขาเขาและขาออกเพียงไมกี่ ฉบั บ ก็เผอิญเจอการสงขอมูลประเภทที่ ใช
รับเอกสารแจกฟรี ซึ่งตองปอนทั้ งชื่อ  นามสกุล  ที่อยู  เบอรโทรศัพทพรอมเสร็จ  จองฤกษจึ งไมจํ าเปนตองแสวงหาดวย
อุบายวิธี แยบคายใดๆ อีกตอไป
๙๑
เมื่ อไดทุ กอยางตามตองการ จองฤกษก็ ส งโปรแกรมเพชฌฆาตเขาเครื่ องสาวหนาโหดทันที ระหวางนั้ นก็ พิ มพ
ขอความไปดวยอยางรวดเร็ว  กะใหทั นเวลาสงโปรแกรมไปติดตั้ งเสร็จพอดี
นังจุ บแจงตัวราย!  ฉันเปนเพื่ อนกับทราย คนที่ แกแอบถายรูปเขามาสวมรอยใช ชื่อไอโกะไปสําเร็จความใครทาง
วาจาในเว็บติดลม คงไมต องให พูดอะไรมาก ฉันรู ว าแกอยู โรงเรียนเดียวกับทราย พรุ งนี้ จงเขาไปยกมือไหวขอโทษทราย
ดวยตัวเอง บอกวาสํานึกแลว  และจะไมทํ าอีก
ถาไมทํ าตามก็ไมมี อะไรมาก แกเตรียมซื้ อคอมพิวเตอรใหมได ขอมูลที่มี อยู ในปจจุบั นทั้ งหมดจะไมสามารถกู คื น
และฉันก็ไมสามารถรับรองวาคนในบานเลขที่  ๒๒/๗๑ ประจําหมูบ านชื่ อโหลอยางธงทองนิเวศน จะประสบพบเจออะไร
เขาใหบ าง
พรุ งนี้ฉั นจะถามทรายวาแกทําตามคําสั่ งหรือยั ง ถาทําแล ว ดึกๆ ฉันจะโทร.ไปบอกทางหมายเลขที่ขึ้ นตนดวย
๙๔๕ นะ แกรู อยู แลววาสายไหน
คําเตือน!  หลังจากปดเครื่ องคราวนี้ห ามเปดอีกจนกวาจะแนใจวาไดรหัสผานไวแล ว ถาขืนเปดอีกครั้ งโดยไมมี
รหัสผาน เครื่ องของแกเหมาะจะดัดแปลงเปนตู กั บขาวเทานั้น  ไมมี ประโยชน ที่จะพยายามเปดดวยระบบปฏิ บั ติการอื่น  แต
ถาอยากลองดวยบทเรียนราคาแพงก็ได ไมว ากัน !
สิ่งที่  ‘นังจุ บแจงตัวราย’ ไดพบดวยความตกตะลึงพรึ งเพริดในไมกี่ นาทีต อมา คือโปรแกรมที่กํ าลังรันอยูป ดตัวเอง
ทั้งหมดไปเฉยๆ แลวปรากฏขอความตามที่บุรุ ษลึกลับเพิ่ งเขียนขึ้ นขมขูคุ กคามสดๆ รอนๆ มันยิ่ งกวาผีหลอก เพราะ
ผีหลอกเสร็จแลวยังหายตัวไป แตนี่ เปนความจริงที่ ปรากฏชัดถาวร แมหลอนพยายามกดแปนพิมพหรือคลิกเมาสอยางไร
หนาจอเดิมก็ไมกลับมา ขอความเอาเรื่ องยังคงคางเติ่ งอยู เหมือนเดิมไมเปลี่ ยนแปลง กระทั่ งตองตัดใจปดเครื่ องจนได จึ ง
มั่นใจวาตนกําลังเผชิญหนากับแฮกเกอรมหาภั ยตัวจริง  และเขาสามารถเลนงานหลอนตามที่พู ดไดแน!
ที่แทคํ าขูมี ทั้ งสวนจริงและสวนหลอก สวนจริงคือเปดมาหลอนจะเจอหนาตางถามหาพาสเวิ รดเพื่ อกลับเขาสู
ระบบตามปกติ สวนหลอกคือหลอนอาจใชระบบปฏิ บั ติการอื่ นในการบูตเครื่ องได ไฟลข อมูลตางๆ ยังอยู ครบและกอปป
ไดตามปกติ จองฤกษไมกะจะพิฆาตเขนฆาใหอาสัญอยู แลว แตด วยสันดานแฮกเกอรทํ าใหอดเกทับไมได เพราะทราบแน
วาหลอนตองกลัวจนขี้ขึ้ นสมองเกินกวาจะลองดีกั บเขา
ภารกิจสําคัญที่ เขาตองทําอยางแทจริงคือสงรูปจุ บแจงขึ้ นไปแทนที่รู ปของณชะเลทั้ งหมดยกเวนในหนาแรกสุด
รวมทั้ งเขียนขอความใหมขึ้ นเองโดยไมต องรอการกลั่ นกรองจากผูดู แลเว็บแตอยางใด
ฉันชื่ อจุ บแจง แปลงรางเปนไอโกะ ตัวเดิมหนาตาเปนอยางนี้  อยูชั้น  ม.๔ โรงเรียนตั้ งอยู บนถนนลาดพราว ที่ผาน
มาแอบอางใชชื่ อไอโกะกับภาพถายของรุ นพี่ชั้น  ม.๖ บัดนี้สํ านึกผิดและละอายใจยิ่ง  กราบขอขมาทุกทาน
อันที่ จริงจองฤกษอยาก ‘ลงโทษ’ ใหสาสมกวานั้น  แตชั่ งใจแลวแคสั่ งสอนเบาะๆ ดีกวา เพราะจุ บแจงอยู โรงเรียน
เดียวกับณชะเล ถาทําใหเดือดรอนมากๆ อาจอาฆาต แลวเรื่ องก็จะลุกลามไมมี ที่สิ้ นสุด  เขาพิพากษาใหจุ บแจงรับกรรมอั น
ควรจะรับไปก็พอ แคนี้ คงอับอายขายหนาไมทราบจะแทรกแผนดินหนีไปไหนพนอยู แลว 
๙๒
ฟงเสียงชื่ นมื่ นขณะรับโทรศัพทแตแรกก็เดาไดว าณชะเลคงเปดเน็ตเขาไปเห็นคําสารภาพประกอบรูปหนา
จุบแจงแลวเรียบรอย หรือถายังไมเขาเน็ตเลยจุ บแจงก็คงไปยกมือไหวขอโทษดวยตนเอง ถานับเปนคะแนนก็ ตองเรียกวา
งานนี้‘ทวมทน ’ เลยทีเดียว
แตขณะที่กํ าลังยิ้ มๆ พองอกภูมิ ใจอยูนั้ นเอง ณชะเลก็เคนถามเสียงเขม
“วาแตวา … นายไปบอกนองจุ บแจงวานายเปนแฟนฉันเหรอ?”
จองฤกษหนาตื่น  รีบปฏิเสธทันที
“ฮึ้ย! อะไรกัน  บอกวาเปนเพื่ อน ไมไดบอกเลยสั กนิดวาเปนแฟน ทําไมทรายเขาใจวาเราบอกนองเขาอยางนั้น ?”
“ไมรู เหรอ เห็นวันนี้ เดินเขามาสั่ งทรายใหบอกแฟนดวยวาอยามายุ งกับเขาอีก ”
แมเพื่ อนสาวพูดหวนๆ อยู ในทีคลายไมพอใจ แตหางเสียงก็ยั งมีแววปลื้ มเขาอยู ไมจาง นั่นทําใหจองฤกษทราบ
วาณชะเลไมถื อสาหรือคิดมากคิดมายอะไรนัก
“เราอางตัวแควาเราเป นเพื่ อนทรายจริงๆ นะ แตก็ห ามความคิดกับปากของนองเขาไมไดนี่ ”
ประโยคสุดทายหยอดสําเนียงคลายนอยใจไปดวย ซึ่งก็ไดผล ณชะเลเสียงออนลงทันที
“ชางเถอะ ทรายก็ขี้ เกียจหาความอะไร ไหนๆ เขาขออโหสิ ที่แลวก็ใหแลวกันไป”
ตางฝายตางยิ้ มอยู เงียบๆ คนละฝ งสายโทรศัพท ในที่สุ ดครู หนึ่ งณชะเลก็ถอนใจบน
“โดนกับตัวเองจังๆ อยางนี้  ปลงสังเวชกับยุคเราจริงๆ เลย ระวังความปลอดภัยบนถนนหนทางกลับบานไมพอ
ตองประสาทกินกับอันตรายบนโลกอินเตอรเน็ตเขาใหอีก ”
“ทําไงไดละ ”
“วาแตเธอแฮกใครตอใครอยางนี้ ไมกลัวเขาสืบยอนมาหาเธอบางเหรอ  ตองมีรองรอยทิ้ งไวนี่ ”
จองฤกษปรือตาเหยียดยิ้ มใหกั บความหวงใยจากความรูชั้ นประถมของหลอน แตแทนที่ จะคุยโมโออวดวาขนาด
FBI เขาก็เคยลูบคมเลนมาแลว  และยังลอยนวลจนถึงทุกวันนี้ โดยไมมี ใครจับได ก็เปลี่ ยนเปนพูดเรียกคะแนนนิยมเสียแทน
“เอาเถอะ ไมเปนไรหรอก ไดยิ นเสียงทรายมีความสุขความโลงใจอยางนี้  ตอใหตองเข าคุกก็ยอม”
จบคําเด็กหนุ มก็บอกตัวเองวาเขาพูดเกงขึ้ นภายในชั่ วขามคื น นี่ก็เห็นจะเปนฤทธิ์ ของความมั่ นใจอยางแทจริ ง
คนเราพอมีผลงานเขาตากรรมการ จะพูดจะจาก็ดู ฉาดฉานรื่ นไหลไปหมด
ณชะเลเงียบไปอึดใจ กอนเอยถามมาอีกทาง
“ฤกษขูจุ บแจงยังไงเขาถึงยอมโพสตคํ าขอขมา แถมยังมายกมือไหวทรายไดอยางนี้ ?”
“ก็ทํานอง… เขารบกวนเรา เราก็รบกวนเขาบาง”
“บอกหนอยไมไดเหรอวาพูดอะไร?”
“ไมมีอะไรมากหรอก  แคใหเขาสํานึกวาทําอะไรลงไป”
“จุบแจงบอกทรายวาเขาไหวขอโทษทรายแลว  ใหฤกษเอาพาสเวิร ดให แลวอยามายุ งกับเขาอี ก แสดงวาฤกษต องจู
โจมเขานาดูเหมือนกัน ”
“เขาก็ฉลาดนะ”  จองฤกษเบี่ ยงเบนประเด็ น“คงรู แหละวาอาจโดนสืบหาตัวผานผู ใหบริการอินเตอรเน็ต เลยใช
บริการชนิดแพ็กเก็จ  แบบชั่ วโมงหมดแลวทิ้ งเลย”
๙๓
“แตก็ เสร็จฤกษจนได เธอนี่น ากลัวจริงๆ เลย” แลวก็เปลี่ ยนสําเนียงเปนรําพึ ง“ไมรูจุ บแจงทํารายทรายอยางนี้
เพื่ ออะไร ไมเคยรูจัก  ไมเคยมีความแคนตอกันซักหนอย ที่เขาทักคําแรก เหมือนไมแนใจดวยซ้ํ าวาทรายชื่ ออะไร”
“เว็บประเภทติดลมดอทคอมนี่มี ไวใหสาวๆ ขายความนารัก  ความลอตาลอใจ เพื่ อประกาศวาฉันยังโสด เป ดสนาม
ใหหนุ มๆ ประลองฝมื อแยงชิงกันได อะไรมันจะสนุกไปกวาเห็นใครตอใครชิงหัวใจเราคนเดียวเลา? ที นี้ลองคิดดู ถาอยาก
ใหคนแยงกันจีบ แตไมมี หนาตาเชิ ญชวนใหมาจีบ จะทําอยางไรไดนอกจากแหกตากัน ”
“แนใจเหรอวาเขาทําไปดวยความตั้ งใจแบบนั้น ?”
“ทรายอยากรู เรื่ องเขาไหมละ ? รองรอยบนเน็ตฟองตัวเองอยางดีเลย”
ณชะเลเขาใจวาเปนเรื่ องรายๆ ที่จุบแจงเคยทําไว ก็เกิดความอยากรู อยากเห็นวาเคยมีใครโดนกอกรรมทําเข็ญไว
แบบเดียวกับหลอนบาง
“อยากรู  เลาใหฟ งหนอยสิ”
“สูใหดูด วยตาตัวเองไมได เจอกันทางเอ็ มเอสเอ็นไหม? เราจะสงสิ่ งที่ เขาเคยเขียนๆ ไวตามเว็บบอรดใหดู ”
“โอเค” หลอนตอบตกลงทันที“ออนไลนเลยนะ นี่เบอรเอ็มเอสเอ็นของทราย”
บอกเบอรใหเขาไปอยางรวดเร็ว  อึดใจตอมาทั้ งสองก็พบกันบนเน็ตผานขอความอักษร
“หวัดดีทราย”
“หวัดดี”
“ความจริงจุ บแจงไมไดเลวรายอะไรหรอกนะ แตท าทางเก็บกดนาดู”
“เหรอ”
ณชะเลเปดดูหนาตางบอกสถานะการเชื่ อมตอ  เขมนมองขอมูลวาไหลเขาไหลออกสมเหตุสมผลหรือไม ดวยความ
ระแวงวาจะโดนเพื่ อนหนุมลอบเจาะเข าเครื่ องหลอนเหมือนอยางที่จุ บแจงโดนเขาให บาง พอเห็นไมมี อะไรผิดปกติ ก็ พิมพ
คุยกับเขา แตยั งคงหันมาสังเกตหนาตางบอกสถานะอยู เรื่ อยๆ
“รูไดไงละ ?”
“เราตามรอยเขาสืบยอนไปเปนเดือนๆ ก็ไดเบาะแสวากอนสวมรอยเป นไอโกะ มีเหตุการณสํ าคัญแบบไหนเกิ ดขึ้น
บาง”
ความอยากรู อยากเห็นประสาผู หญิงพุ งพรวดขึ้ นถึงขีดสุด
“มีอะไรใหดูก็ส งมาดิ้ ”
ณชะเลคาดการณไปตางๆ นานาวาอาจเปนรูปถาย วี ดิโอคลิ ป หรือขอความลับบางอยาง แตผิ ดคาด เพราะสิ่ งที่ เขา
สงใหเปนอันดับแรกคือกระทู หนึ่ งในเว็บติดลมดอทคอม นั่นหมายความวาเปนขอความเป ดเผยที่ทุ กคนรู เห็นได เหมื อนกัน
หมด หาใชเรื่ องลี้ลั บชั่ วรายแตประการใด
กระทูนั้ นชื่อ  ‘เหงาจัง … ชวยกันเขามาอวยพรวันเกิดใหเราหนอยดิ้ ’ ตามวันเวลาเห็นวาเปนกระทู ที่ตั้ งไวเมื่ อเกือบ
ครึ่ งเดือนมาแลวโดยใชชื่อ ‘จุบแจง’ จริงๆ พอคลิกเขาไปดูก็ พบขอความตามขอกระทู
“แงบๆ… แงบๆ… วันนี้ ไมมี ใครจําไดเลยละ วาสําคัญกับเรายังไง ชวยๆ กันหนอยไดไหม เราไมอยากได
ของขวัญเปนความเงียบอยางนี้ เลย เขียนใสการดบอกกันตรงๆ ยังดีกวา  วาเราเกิดมาไมมี ความหมายกับใครซักคน…”
๙๔
ขอความสั้ นๆ ที่นาสงสารนั้ นทําเอาณชะเลซึมลงอยางรวดเร็ว  นึกถึงใบหนาเครงเครียดอยางเด็กเก็บกดของ
จุบแจงที่ โรงอาหารแลว  ก็ไมนึ กเลยวาจะพูดจาขอความเห็นใจจากคนอื่ นไดอยางนี้  เปลือกนอกคล ายพรอมจะพาลพาโลหา
เรื่ องกับคนทั้ งโลกเสียมากกวา
มีคนสงคําอวยพรวันเกิดใหจุ บแจงสองสามโหล เรียกวาไดคะแนนสงสารทวมท น ทั้งแบบสั้ นเชนสุขสันตวั นเกิ ด
เฉยๆ และแบบยาวประเภทให ขอคิดน้ํ าไหลไฟดับดวยความเวทนาจุ บแจงจริงๆ อยากชวยเปนกําลังใจ และชวยให จุ บแจง
เห็นคาของการเกิดมาวาไมสู ญเปลา และไมขึ้ นอยูกั บใครจําไดหรือจําไมไดว าเราลืมตาดูโลกขึ้ นมาในวันไหน เพราะมั น
ผานมานานมากแลว
แตประเภทใจราย โยนของขวัญที่ แกะออกมากลายเปนระเบิดก็มี  เชน
“โอย ! อีโบะเอย  ทาทางจะอวนล่ํ าดําป  ไมมี ใครเอา กลิ่ นเตาแรงหรือเปลาก็ไมรู  บนๆ ทานี้ นะ เทาที่ เคยเห็นตัวจริ ง
จะเกลียดโลก เลยโดนโลกเกลียดคืน  หัดคบคนซะบาง พัฒนาตัวซะหนอย จะไดไมต องมาสําออยอยางนี้อีก !”
หรืออยางเชน
“เด็กสมัยนี้กิ นนมผงสูตรสรางหมีควายกันเยอะ อาจจะโตเร็วจนหนุ มๆ กลัวโดนตะปบหนังหัวขาดละมั้ง  เลยไมมี
ใครกลาเอาเปนแฟน”
หรืออยางเบาลงมากวานั้น  ก็ยังจิกใหเจ็บลึกไดอยูดี  เชน
“สังเกตซิว าคนที่มี ใครตอใครรักมากๆ ใหความชื่ นชมมากๆ เขาแตกตางจากเรายังไง แลวพยายามเปนอยางเขามั่ง
อยาเอาแตคร่ํ าครวญตีอกชกหัว  เพราะจะมีพวกขี้ สงสารมาปลอบเฉพาะบนเน็ตเทานั้ นแหละ ในโลกความเปนจริงไมมี ใคร
อยากโอคนงอมืองอเทาทอดอาลัยตายอยากหรอก”
ณชะเลอานขอความทิ่ มแทงซ้ํ าเติมเหลานั้ นแลวเมมปากแนน อยากวานจองฤกษใหสื บหาที่ อยูผู เขียนเหลือเกิ น
อยากเห็นหนาเห็นตานั กวาจะดูเปนคนใจดําอํามหิตสักขนาดไหน
เงียบอึ้ง  และรูสึ กวาโลกรอบตัวก็เงียบตาม ยิ่งคิดยิ่ งเขาใจจุ บแจงจนลําคอตีบตื้น
“นาสงสารเหมือนกันนะ…”
เด็กสาวพิมพข อความสงใหเพื่ อนหนุม จองฤกษพิมพตอบ
“คําพูดยุยงแคสองสามคํา อาจทําใหใครคนหนึ่ งนึกฮึ ด อยากประชดชี วิ ต หรืออยากทําเรื่ องบาๆ โดยไมสนใจ
ความเดือดร อนของคนอื่ นไดอยางนี้ เอง อาจบังเอิญดวยก็ได ยายจุ บแจงดันอวนอยางเขาวาจริงๆ”
“บา! ไมไดอ วนเสียหนอย เขาแคท วมๆ นิดเดียวเอง”
“มีพร่ํ าพรรณนาไวที่อื่ นอีกเยอะ จะคัดมาให ดูเปนตัวอยางนะ ”
แลวจองฤกษก็ส งใหเพื่ อนสาวดูอี กกระทู หนึ่ง
“ชอบพี่ แถวบานมาก แตเขาไม เอาดวย เลยตองทําเปนไมชอบบาง ทั้งที่ จริงคือรู สึ กเสียหน า แถมประกาศบอกใคร
ตอใครวาเกลี๊ ยดเกลียดอีตานี่  เขาหันมาเห็นก็ทํ าเปนเบหนาเบะปากเมิน  เหมือนเซ็งที่ต องมาเจอกันอีกแลว  แตความจริงดีใจ
จะตาย เบื่ อตัวเองอยางบอกไมถูก …”
ณชะเลกะพริบตาปริบๆ ความโกรธจุ บแจงหายไปจากอกเปนปลิดทิ้ง
“กรรมเกาทําใหคนเราเกิดมายืนบนจุดที่ต างกันเหลือเกินนะ”
๙๕
จองฤกษยั กไหล วันนี้ พายุความคิดในงานจารกรรมทางคอมพิวเตอรทํ าใหเขาไมค อยมีอารมณอยากเชื่ อเรื่ อง
บุญกรรมสักเทาไหร ทวาก็พู ดเอออวยไปตามเพลง
“นั่นสิ ชาตินี้น ารักสู ทรายไมได เลยขอยืมความนารักของทรายมาใชแอบอาง เรียกรองความสนใจจากใครตอใคร
ซะ”
“ทรายก็ไมเห็นจะนารักซักเทาไหร…”
“อูย! เวรกรรม… ถอมตัวให มั นมีมู ลความจริงหนอยเถอะแมคูณ !”
ณชะเลยิ้ มนิดหนึ่ง  น้ําตาพานจะไหล เขาใจมุมมองของคนอื่น  เขาใจมุมมองของจุ บแจง จึงบังเกิดความสงสารและ
เห็นใจขึ้ นมาอยางทวมทนลนอก ราวกับสามารถเอาหัวใจเงียบเหงาของจุ บแจงมาใสแทนหัวใจตน อยากไดความอบอุน
อยากไดรับความสนใจ  อยากมีแตคนรักเยอะๆ…
“ฤกษ… ชวยเอารูปจุ บแจงออกหนอยไดไหม? อยาประจานเขาอี กเลย”
จองฤกษพยักหนากอนพิมพตอบ
“ได! ทันทีเดี๋ ยวนี้ เลย”
“ขอบใจ”
ลําคอแหงผาก นัยนตารื้ นน้ํ าจนไมมี แกใจอยากพิมพคุ ยกับเพื่ อนหนุ มมากกวานั้น
“เดี๋ ยวทรายไปทําการบานตอกอนนะ”
“โอเค… วาแตทรายสบายใจแลวขอเบอรมื อถือใหเราหนอยเถอะ”
ณชะเลชั่ งใจ เพราะนั่ นเหมือนเปนการขอใหหลอนตกรางวั ล ครั้ นจะปฏิเสธก็ ดูใจจืดใจดําไปหนอย จึงจําตองให
ใหทั้ งรูว านั่ นเปนการขยับยกความสัมพันธขึ้ นมาอีกระดับ ใหทั้ งรูว าถาแมทราบแมคงเช็ กการใชระหวางเขากับหลอนอยาง
เขมงวดนาดู
“เจาอุ ยโหยมาตามแลว  สงสัยจะใหรี บไปทําการบาน ไปนะ”
“ราตรีสวัสดิ์ ”
จองฤกษเอยลาดวยหัวใจโปงพอง เขานั่ งยิ้ มกริ่ มตาลอยอยู เกือบหานาที กอนลุกเดินออกจากบานเพื่ อบอก
รหัสผานกับจุบแจงตามสั ญญา เขาฉลาดพอจะปองกันตัวดวยการใชโทรศัพทสาธารณะ แมมี โอกาสเพียงหนึ่ งในหมื่ นหรื อ
หนึ่ งในแสนที่ ขณะนี้ฝ ายจุ บแจงกําลังรวมมือกับองคการโทรศัพทซุ มดักจับเขาอยู
“ฮัลโหล”
เสียงหวนดังมาจากปลายทาง
“ขอสายจุ บแจงครับ”
“กําลังพูด ”
“โทร.มาบอกพาสเวิร ดนะ คียลงไปแคสามตัว  เลขอารบิก 555”
เขาไมทําเสียงหัวเราะเยาะเยยดังๆ อยางที่ตั้ งใจไวแตแรก นอกจากนั้ นยังพูดนิ่ มๆ อีกดวย
“เลิกแลวแตกั นนะ เครื่ องจะกลับมาใชงานได ทุกอยาง โปรแกรมจะลบตัวเองทิ้ งทันที ที่คี ยเลข555 แลวเคาะเอน
เตอร ออ! จะบอกใหอยางหนึ่ง  เราไมไดเปนอะไรกับทราย แครูจั กกันหางๆ และเผอิญเห็นเขากํ าลังเดือดเนื้ อรอนใจเทานั้น
ทรายแทบไมรูจักเราด วยซ้ํา ”
๙๖
ฝายนั้ นยังเงียบเชนเคย เขาจึงลา
“ไปละ … ขอใหใชชีวิ ตอยางมีความสุข ”
ตอนที่  ๑๑ ติดใจ
อเวรากดออดรออยู ครู หนึ่ งก็มี เด็กสาวคนหนึ่ งเดินมาเปดประตู
“สวัสดีค ะนาเคก ”
คนเปดประตู ยกมือไหว ซึ่งอเวราก็ยกมือรับไหวเขินๆ เล็กนอยที่ เด็กวัยออนกวาตนเพียง ๖-๗ ปเรียก‘นา’
“เปนไงมั่ งทราย ไดข าวจากพี่ หนองวาเพิ่ งโดนแอบถายเอารูปไปโพสตในเน็ตมาเหรอ?”
“ออ! ไมมี อะไรมาก เรื่ องจบไปแลวละคะ … เดี๋ ยวทรายชวยนาเคกถือนะคะ”
เด็ กสาวดึงกระเชาผลไมไปจากมื อผู เปนนา  อเวราสั่ นศีรษะ
“ไมเปนไรหรอก เบาแคนี้ เอง”
ณชะเลสั่ นศีรษะบาง
“ไมเปนไรหรอก ทรายกินไดหลายอยาง”
สองนาหลานหัวเราะเบาๆ พรอมกั น เด็กสาวพาอาคันตุกะผู เปนญาติเขามาในหองรับแขก เปดเครื่ องปรับอากาศ
เชื้ อเชิญใหนั่ง  แลวรินน้ํ าจากตู เย็นใกลๆ  ใสจานรองมาวางบนโตะกลาง
“คุณแมเพิ่ งแตงตนไมเสร็จเลยขึ้ นไปอาบน้ํ าคะ  ลืมไปวามีนัด  สั่งใหทรายมานั่ งคุยเปนเพื่ อนกอน”
“ออ… ไมเปนไรจะ  พี่… เอย ! นานั่ งรอคนเดียวได ถาทรายทําอะไรอยูก็ ไปทําตอเถอะ ไมใชคนอื่ นคนไกล”
“วางคะ  อยากคุยกับนาเคกอยู แลวดวย คราวกอนตอนไปทําบุญดวยกันมีโอกาสคุยกันสองสามคําเอง”
ขณะนั้ นเองสุนั ขยอรกเชียรแสนรักแสนหวงของณชะเลวิ่ งมาถึงก็กระโดดแผล็ วขึ้ นนั่ งบนตักเจานายและลงหมอบ
ดวยอาการประจบ ซึ่งณชะเลก็ยกมือลูบหัวลูบตัวมันดวยความถนอม
“สวัสดีน าเคกซิลูก ”
ดวยความประหลาดใจของผู มาเยือน เจาหมายอรกเชียรลุ กจากอาการหมอบ หยัดตัวขึ้ นตั้ งดวยสองขาหลั ง หั น
หนามาทางอเวราและประกบสองขาหนาเขาหากันทีหนึ่ง  กอนทรุดลงกลับไปหมอบตามเดิม
“เอย ! สอนเกงนี่ !”
หญิงสาวอุทานตาเปนประกาย แทนที่ จะชมหมากลับชมเจาของ ซึ่งณชะเลก็ ยิ้มรับคําชม เอียงคอเหลือบตาลงมอง
สุนัขแสนรู ของตน เอามือจับขาหนาขางหนึ่ งของมันขึ้ นสั่ นนิดๆ
“เสียดาย ทรายยังสอนใหมั นพูดสวัสดีไมได”
อเวราหัวเราะ
“ชื่ออะไร?”
“อุยโหยคะ ”
“นาฟดจริงๆ เลย… นาเคยมีอยูตั วหนึ่ง ”
๙๗
บอกยิ้ มๆ พลางมองสิ่ งมีชีวิ ตตัวนอยบนตักหลานดวยแววเอ็นดู
“ยอรกเชียรน ะเหรอคะ?”
“เปลา … นาหมายถึงเปนหมาของเล นเหมือนกัน  พุดเดิ้ ลนะ ”
“ฉลาดจัดเลยนะคะนั่น  เขาวาไอคิวสูงที่สุ ดเลยทีเดียว”
“สูงสุดนี่ คอลลี่ ไมใชเหรอ? พุดเดิ้ ลอันดับสอง ถาวัดจากความสามารถในการฝกเรียนรู ”
“แหม!  ก็พอๆ กันนั่ นแหละคะ  ทรายวาถาเอามาเทียบกันตัวๆ นี่กินกันไมลงหรอก อยางยอรกเชียรของทรายอยู
อันดับตั้ งสามสิ บ จัดวาแคปานกลาง แตทรายก็ วามันฉลาดแสนรู อยางนาอัศจรรยแลวนะ” แลวณชะเลก็ใชสองมือชอนคอ
เจาอุ ยโหยขึ้น  กมลงจุ บกลางหนาผากลูกรัก “จริงมั้ ยลูก ? ลูกแมเกงออก”
นาสาวหัวเราะเบาๆ
“เนอะ… ดูฉลาดเปนกรด เหมือนรู หมดทุกอยาง เพียงแตใชภาษาไมไดอยางมนุษยเรา”
“ยังมีภาษากายกับภาษาใจที่ เปนสากลนี่ คะ ทรายวาทรายคุยกับมันรู เรื่ องนะ สัตวยิ่ งฉลาดเทาไหร ก็ ยิ่งเหมือนจะ
สื่อกับมนุษยเขาใจไดมากขึ้ นเทานั้น  พวกหมาของเลนเนี่ย  ทรายวามันมี บุญเกาหนุนอยู เยอะ หลายครั้ งทําใหเรารูสึ ก
เหมือนกับเปนเด็กเจาปญญาคนหนึ่ง  เสียแตเปนใบ พูดเปนคําๆ ไมได”
อเวรายิ้ มพิ นิจและครุ นคิดถึงความจริงที่ ปรากฏตรงหนา  แมเปนสัตวเดรัจฉานก็ ยังมีระดับชั้ นวรรณะ หากกรรม
เปนผูจํ าแนก เปนผู แบงชั้ นสัตวทั ้ งหลายจริ ง หลอนก็อยากรู เหลือเกินวากรรมใดทําใหเกิดความเปนไปได พิ สดารเห็นปาน
นี้
“แสดงวาเจาอุ ยโหยตองเคยทํากรรมประเภทที่ เกิดสติป ญญาระดับหนึ่ง  ถึงไดเกิดในสายพันธุ ไอคิวสูงอยางพุดเดิ้ล
กับยอรกเชียร ถาต่ํ ากวานั้ นก็ตองไปเข าพวกไอคิวเตี้ ยอยางบุลดอกกับอาฟกันฮาวดใชไหม?”
“ที่ทรายเคยอานเจอมา เขาบอกวาแตละเผาพันธุมี ล็ อกของตัวเองเปะๆ อยางเจาอุ ยโหยขั้ นแรกก็ต องเคยทําบาป
บุญประมาณไดเกิดเปนหมากอน จากนั้ นมีบาปบุญระลอกสองสามสี่ เขาตกแตงใหเปนเพศผู เพศเมี ย สงใหเขาสายพันธุที่
นารักหรือนาชัง  อยู ในที่ สบายหรือลําบาก ตลอดจนกระทั่ งฉลาดหรือโง สัดสวนของบุญกรรมหนึ่ งๆ จะลงตัวให มี อั ตภาพ
เหมาะสมไดยิ่ งกวาเราสั่ งตัดเสื้ อผาตามสเปกใหเหมาะกับบุคคล กาล และสถานที่ เสียอีก ”
อเวราพยักหนาอยางเริ่ มสนุกกับการทําความเขาใจ รวมทั้ งรู สึ กคลอยตามวาถาไมต องการเชื่ อวาระดับชั้ นวรรณะ
ทั้งหลายเปนเรื่ องบังเอิญ ก็ตองเชื่อเรื่ องวิบากกรรมจําแนกใหเปนไปนี่ เอง
“แปลวาถาเปนคน เจาอุ ยโหยคงหนาตาดี รวย แลวก็ฉลาดมากสินะ”
“แนนอนคะ  รับรองเปนพอรูปหลอที่ สาวติดตรึมไมแพลี โอนารโด ดิคาปริโอ”
“โห! ปานนั้น … งั้นก็ นาเสียดายที่ โอกาสของมันมีอยู แคนี้ ” เวนวรรคกะพริบตาปริบๆ ครุ นคิดจริงจั ง“แสดงวา
กรรมที่กํ าหนดใหเปนคนนี่สํ าคัญเหนือสิ ่งอื่ นใดเลยนะ ถาอดเปนคนเสียอยางเดียว กรรมดี ๆ แคไหนก็ใหผลในแบบที่ เอา
ไปทําอะไรไมไดมาก”
สองนาหลานพากันมองสุนั ขซึ่ งเป ยมดวยคุณสมบั ติ เลอเลิศเหนือชาติ สุนัขดวยกั น สายตาของมนุษยทํ าให ทั้งสอง
เกิดความรูสึ กพรอมกันขึ้ นมาขณะหนึ่ง  วาชาติ นี้จิตวิญญาณที่มี วาสนาสูงของเจาอุ ยโหยถูกกักขังไวในอัตภาพต่ํ าตอยนา
สังเวชยิ่ง
“แลว … กรรมอะไรเหรอที่ส งวิญญาณมาอยู ในภพมนุษย?”
๙๘
อเวราถามดวยความอยากรูขึ้ นมาจริงๆ และคาดหมายวาหลานสาวคงมีคํ าตอบให
“พระพุทธเจาตรัสวากรรมที่ทํ าบนพื้ นฐานของความไมโลภ ไมโกรธ ไมหลง อยางใดอยางหนึ่ งนะคะ  สงใหได
เปนมนุษย”
นาสาวฟงแลวยังกังขา มองมาดวยสีหนาสงสัย  ณชะเลจึงหาคําอธิบายใหง ายขึ้น
“กรรมที่ทํ าดวยความไมโลภก็คื อสละออก หรือใหทาน กรรมที่ทํ าดวยความไมโกรธก็คื อใจดีมีเมตตา  หรืออภัยได
กรรมที่ทํ าดวยความไมหลงก็ คื อการไมเห็นผิดเปนชอบ หรือไมเห็นกงจักรเปนดอกบั ว โดยยอคือมีใจประเภทที่รั กบุญรั ก
กุศล ละอายตอบาปผิดทั้ งปวง”
“แปลวาถาสัตวรูจั กเสียสละเปน  รูจักระงับความโกรธเปน  มันก็มีสิ ทธิ์ มาเปนมนุษยสิ นะ?”
“ใชเลยคะ แตหาสัตวแบบที่ว าไดยากขนาดไหนลองคิดดูเถอะ มีแตจะแยงชิ ง มีแตจะกัดกันเปนแผลเหวอะหวะ
ทั้งนั้น ”
“แลวเอามนุษยที่ ไหนมาเกิดมากมาย? นี่ตั้งเกือบหมื่ นลานแลวโลกเรา”
“แคสั ตวในโลกก็มากกวามนุษยไมรูกี่ล านเทาแลวนี่ คะ ไดยิ นวาพวกชาง มา วั ว ควาย ถาใชกรรมหมดและมี บุญ
เกาหนุน  ก็มาเปนคนไดคะ  ขอแคหนึ่ งในรอยหนึ่ งในพันของพวกมันมี สิทธิ์ เขาทองมนุษย เราก็จะเห็นการไหลมาเทมา
อยางที่กํ าลังเห็นไดแลว ”
“อือม… คิดอยางนั้ นก็เขาเคาเนาะ แตทุ กชี วิตทําทั้ งบุญทั้ งบาป แลวจะเอาอะไรเปนเกณฑว าบุญหรือบาปจะใหผล
กอน?”
“ธรรมชาติกรรมวิบากเขามีเครื่ องชั่ งตวงวัดที่ปุถุ ชนอยางเราเดาไมถู กหรอกคะ  แตโดยรวมอํานาจกรรมจะสงเรา
มาเกิดเปนมนุษย ขอเพียงน้ํ าหนักบุญของเราอยู ในชวงที่มี มากกวาบาป อันนี้พิ สู จนไดด วยความจริงที่ว ามนุษยมี พื้น
ฐานความรูผิ ดรู ชอบติดตัวกันทุกคนโดยไมต องสอน”
อเวราฟงแลวทอดตามองยอรกเชียรในมือคนพูดซึมไป นึกถึงการสมสู ของสัตวที่ ไมต องมีความรั ก ไมต องมีความ
อายฟาดิ น ไมต องคํานึงถึงสิ่ งใดๆ มากไปกวาการเปนเพศตรงขามกัน  แลวเห็นจริงวาพื้ นฐานจิตวิญญาณสัตวต างจาก
มนุษยก็ ตรงความละอายนี่ เอง
ณชะเลเงยหนาเห็นนาสาวเหมอๆ เหมือนมีอะไรในใจ ก็ถามแบบชวนคุย
“วาแตตอนนี้พุ ดเดิ้ ลของนาเคกไมอยู แลวหรือคะ?”
ผูเปนนากระแอมเล็กนอย
“ไปนานแลว  เลี้ ยงมาตั้ งแตน ายังเด็ก  พอเขาวัยรุนเขาก็ จากเราไป”
“คนเราวาอายุสั้ นแล ว เจาพวกนี้ยั งสั้ นกวาหลายเทานะคะ ถามันกลับมาเกิดใหมกั บเราได ก็อาจโตขึ้ นแลวตายให
เราดูเปนสิบครั้ งกวาพวกเราจะถึงคราวบาง”
“ก็แปลวาตองรองไหเพราะมันเปนสิบรอบ ไมเอาดีกวา… นารองไหหนักๆ ให มั นไปหนเดียวเข็ดเลย เหมือนจะ
ขาดใจตายตามนะ  วันกอนไปทํ าบุญกับพี่ หนองยังอุทิ ศสวนกุศลให มั นอยู เลย ตายไปเกือบสิบป ยังไมลื ม คิดดู ถึงตาทรายก็
ระวังเถอะ แลวจะรูว าวันนั้ นเปนยังไง ทาทางรักและผูกพันกับเจาอุ ยโหยไมใชน อยๆ”
“ไมแนนะคะ ทรายอาจเปนเจาของหมาคนเดียวที่ ไมรองไห ตอนมันตายก็ได”
อเวรายิ้มนิดๆ
๙๙
“แนรื้อ ? ทําใจเกงขนาดนั้น ?”
“ทรายเปนคนทําใจไมเกงหรอกคะ  แตถ าแนใจวามันจะไปเกิดในภพที่ สบายกวานี้  ก็เดาวาตัวเองคงไมร องไห อาจ
เศราบาง แตนึ กปลื้ มที่มั นจะไดสบายกวาตอนอยูกั บเรา”
”ฮื้อ! ของอยางนี้รูกั นไดด วย?”
“ไดสิ คะ ทรายสรางความมั่ นใจมากับมือ ”
อเวราเอียงคอฉงน
“ยังไง?”
“ก็ อานหนังสือธรรมะใหมั นฟ ง ใสบาตรใหมั นดู มีคนบอกวากระแสกุศลจะยอมติดจิตติดใจมั น ทําใหรั กบุญ  ทํา
ใหละอายบาปได เอง ถาตายดีก็ ไปสูงขึ้ นกวานี้ แนนอน”
นาสาวผู สาวเกินศักดิ์ทํ าหนาเหมือนพูดไมออก จนหลานตองเลิ กคิ้ วถาม
“ไมเชื่ อเหรอคะ?”
“ปละ… เปลา  ทุกวันนี้ แมของทรายทําให นาเชื่อและวนเวียนคิดเกี่ ยวกับเรื่ องบุญทํากรรมแตง เรื่ องการเวียนวาย
ตายเกิดอยู ตลอดเวลา เพียงแตสงสัยวาหมามั นจะฟงธรรมะรู เรื่องไดยั งไง”
“นาเคกเลี้ ยงหมามา นาไมเชื่ อเหรอวามันฟงภาษาเราออก”
“ก็ใช แตเปนคําสั่ งงายๆ หรือคําพูดสั้ นๆ ที่เราพูดซ้ํ าใหมั นไดยิ นบอยๆ ตางจากธรรมะนี่ นะ เพราะธรรมะเปน
ภาษาที่ต องการจิตวิญญาณอีกระดับหนึ่ง  คิดดูซิ ขนาดมนุษยเรายังมีไมกี่ คนที่ เปดหัวใจรับฟงธรรมะ และแมเปดหัวใจรั บ
แลวก็น อยลงไปอีกที่ จะเขาใจกันจริงๆ นาเองทุกวันนี้ยั งงงๆ วาอะไรเปนอะไรอยู เลย สารภาพกันตรงๆ นะ เรื่ องบุญบาปนี่
ยังโงๆ  เซอๆ อยู มาก ทรายไดเปรียบนาที่ซึ มซับขอมูลจําพวกนี้ มาตั้ งแตเด็กๆ”
“นาเคกวายังไมค อยเขาใจ ยังงงๆ ตอนฟงธรรมะ แตถ าตั้ งใจฟงก็จะรู สึ กสบาย เยือกเย็ น แลวก็สงบสวางนี่ ใชไหม
คะ?”
ณชะเลกลาอธิบายแบบตะลอมปลอบ เพราะไมรูสึ กวาหางรุ นกับนาเทาใดนัก  อเวรานึกตามแลวยอมรับ
“ก็ใช”
“นั่นแหละคะ  ตอใหยั งไมเขาใจกระจาง แตจิ ตนาเคกมีความเคารพธรรม ซึมซับกระแสกุศลอันสวางเยือกเย็นเขา
มา จะผานกระแสเสียงหรือกระแสจิตของพระผู ทรงคุณใดๆ ก็เปนการเลื่ อนชั้ นใหจิ ตได ทําใหโอกาสตอๆ ไปซึมซับรับรู
และเขาใจธรรมะไดง ายขึ้ นเรื่ อยๆ แตสํ าหรับภพเดรัจฉานแลวไมต องใหเขาอกเขาใจถึงแกนธรรมะขนาดนั้น  ขอเพียงจิ ต
พวกมันซาบซึ้ งในกระแสกุศลนิดเดียว ก็มากพอจะพลิกจากภพที่ คว่ํ าลงมืดใหหงายขึ้ นสวางได เหมือนอยู ในกะลามืดทึ บ
นาอึดอัดนานๆ ไมทราบจะทําอยางไร พอใครชวยแงมกะลานิดเดียวก็เกิดความเปลี่ ยนแปลงครั้ งใหญทั นที ไดเห็นทั้ งแสง
ไดสั มผัสทั้ งอากาศโปรง  มันจะเกิดสัญชาตญาณดีดตัวออกไปเปนอิสระกันเอง”
อเวราจองหลานสาวทึ่งๆ แตอดแยงไมได
“กรรมดีมาจากความคิดตั้ งใจในทางกุศลไมใชหรื อ? เห็นพี่ หนองบอกวาถายทอดให กั นไมได แตนี่ เหมือนทราย
เอาธรรมะไปกรอกหูเจาอุ ยโหยแลวมันจะไดดีขึ้ นมาเฉยๆ งั้นแหละ”
“กรรมคือเจตนา คือความตั้ งใจ ตอนอานหนังสือธรรมะให อุ ยโหยฟ ง สิ่งหนึ่ งที่ ทรายสังเกตเห็นคือมั น‘ตั้งใจฟ ง’
โดยดีนะคะ จะเรียกวายอมสงบรับสิ่ งดีงามก็ได ถือวามีมโนกรรมไปในทางกุศลแลวไง”
๑๐๐
คําตอบที่ตี โจทยตกได ทุกประเด็นทําให ผูเปนนาอาปากคางนิดๆ ตระหนักวาหลานวั ย ๑๗ ของตนไมธรรมดา
เลย เด็กวัยเดียวกันกับณชะเลอาจมีแรงบันดาลใจสรางความเปนเอตทัคคะ มีความสามารถโดดเดนเฉพาะทางเชนเลนกีฬา
ควาเหรียญทองโอลิมป ก หรืออาจเขาแขงขันรู รอบตอบคําถามวิทยาศาสตรระดับนานาชาติ ตามคานิยมที่สั งคมใหเกียรติ
เชิดชู แตณชะเลคงมี แรงบันดาลใจที่ตางออกไป  และกลายเปนเอตทัคคะในทางที่ หาไดยากยิ่ง
“รูมากจัง  นานาจะมาเกิดในบานนี้มั่ง  จะไดรั บอะไรดีๆ  มีแรงบันดาลใจในทางบุญทางกุศลตั้ งแตเล็กอยางทราย”
“ไมขนาดรู มากหรอกคะ  ทรายก็ ยั งอยู ในระดับดีแตอ าน ยังไมใชผู รู แจงเห็นจริงลึกซึ้ งที่ ไหน ทุกวันนี้ยั งตองใช วิ ธี
เก็บตกจากใครต อใครเพิ่ มไปเรื่ อย ถาธรรมะเปนของลาดลึกเหมือนทะเล ก็ ถือวาทรายลงทะเลหางจากชายฝ งมาไดไมกี่คื บ
หรอก”
“แตอยางนอยทรายก็ออกทะเลแลว  สวนนายังแกรวอยู แถวดอยจุ กกรูอะไรสักแหงโนนมั้ง ”
ณชะเลหัวเราะขันแลวเอียงคอยิ้ม
“สําเนียงถอมตัวไมเหมือนคนอยู บนดอยหรอกคะ  คนไมมี ธรรมะถอมตัวไมเปนหรอก”
ขณะนั้ นเองรสรินก็เดินเขามาในหอง
“วาไง! เคก ”
เสียงทักดึงสายตาอเวราไปอีกทาง  พอเห็นพี่ สาวตางรุ นก็รี บยกมือไหว
“สวัสดีค ะพี่ หนอง”
“ไดยิ นคุยกับยายทรายกระจุ งกระจิ๋ งแตไกลทีเดียว ฉันหมดหนาที่ หรือยัง ? ยกหนาที่ ใหลู กสาวแทน”
“คุยกับทรายเหมือนคุยกับพี่ หนองเลยละ  รูมากจริงๆ”
“อือ… บางทีเกินหนาแมเสียดวย”
“แหม! ไมจริงหรอกคะแม” แลวเด็กสาวก็ขอตัวอยางรู หนาที่ “หนูไปเลนกับอุ ยโหยกอนนะคะ”
เมื่ อณชะเลพนออกจากหองไป  รสรินก็ส ายหนาบนพึมพํา
“วันๆ ไมทํ าอะไร เลนกับหมา”
“เห็นใจเขาเถอะคะ  ถาพี่ หนองไม เคยเลี้ ยงเจาตัวแบบนี้ ไมมี ทางรูหรอกว านาติดใจยังไง”
“ออกไปนั่ งหลังบานดีกวา  เผื่ อเธออยากคุยเปนสวนตัวจะไดถนัดหนอย”
“ดีคะพี่ หนอง”
พี่นองเดินตามกันมานั่ งในซุ มชิงชา
“ใหฉั นแทงหวยกอน” รสรินเปดฉาก“เธอเสร็จไอหมอนั่ นแลว ”
“อุยตาย! ทําไมแมนนักละคะ?”
ใจจริงอเวราขวยเขิ น แตพอพี่ สาวเปดฉากดวยคําถามแบบนั้ นก็ไมอยากทําทาอายมวนตวนใหเห็ น รสรินมองดวง
หนาสะสวยของนองสาวดวยแววปลงสังเวช ความที่ เคยสั่ งสอนกันมาทําใหไมเกรงใจ ยิงคําถามตรงๆ เหมือนเอาขวานจาม
เขาใหอีก
“โดนมากี่ที แลว ?”
อเวราหนาเจื่ อน ทําเสียงอึกอัก
“โธ… พี่หนองอะ ”
๑๐๑
“อยากเห็นนัก  หมอนั่ นมันหลอสักขนาดไหนเธอถึงได… เฮอ !”
หญิงสาวควักโทรศัพทมื อถือซึ่ งมีกลองดิจิตอลในตั วออกมากดปุ มอวดทันที
“นี่คะ”
รสรินผงะนิดหนึ่ งกับอุปกรณอเนกประสงคที่ยื่ นมาตรงหนา  ชะงักคางพูดไมออกไปเปนครู อยางนึกไมถึ งวาแค
เปรยแบบบนๆ ก็จะไดดูทั นที พอกมหนามองจอดิจิ ตอลแลวก็ถอนใจเฮือก หายสงสัยในบัดดล ประเภทหลอล่ํ าหนําใจสาว
อยางนี้ อยาวาแตกํ าลังเหงาอย างอเวราเลย ตอใหควงแฟนอยูดีๆ  ก็มีสิทธิ์ เขวไดง ายๆ
“เธอก็ท าทางไปดีแลวนี่ ” รสรินเอยปลงๆ“แลววันนี้ จะมาหาฉันทําไม? หรือแคอยากเอารูปมาอวด?”
อเวราเก็บโทรศัพท กมหนากมตาจองๆ ไป
“ถาแคอยากอวดรูปก็ส งใหดู ทางอีเมลสิคะ”
ทีแรกรสรินมองนองสาวเมินๆ แตในที่สุ ดก็อดสงสารไมได ทั้งสงสารและเห็นใจ เพราะอเวราเคยทําตัวดี ไมใช
เหลวแหลกมาแตไหน ทวาชะตากรรมที่ผ านมาสงพวกเจาชู ประตูดิ นมาใหตลอดศก กี่ครั้ งๆ ก็เหมือนถูกหลอกทุกทีไป
“เคกเอย …” พี่สาวทอดเสียง“เธอก็ รูอะไรทุกอยางดีแล ว พี่คงบอกแคว าอดไมได ก็ ไมเปนไร แตหยุดใหเปนก็แล ว
กั น”
“หยุดใหเปน … หยุดยังไงดวยวิธี ไหนหรือคะพี่ หนอง? คนที่ เขา‘หยุดเปน ’ เขาทํากันยังไง?”
รสรินอึ้ งไปนิดหนึ่ง  ดวยความที่ ครองตัวสะอาดปราศจากมิจฉากาเมมาตลอดทําให นึ กคําตอบไมออกทันที ทันใด
เพราะเคยแตป องกัน  ไมเคยมีประสบการณแกไข ไมเคยตองฝนใจหยุดเรื่ องนาอายกับใครเขา
แตหลอนก็เปนมนุษยปุถุ ชนที่รู และเขาใจ เครื่ องเพศเปนของติดตั ว เปนกายทั้ งแทง เปนธรรมชาติ ซี กหนึ่ งที่ รออี ก
ซีกตรงขามมาประกบ ธรรมชาติ มักสรางสถานการณกดขี่ ใหเกิดความอยาก แตหลายครั้ งพอทําตามอยากขึ้ นมาก็โดน
ลงโทษใหรูสึ กละอายเสียอีก  ไมรู จะเอาใจธรรมชาติอยางไรดี
“เธอดูผู คน…” ในที่สุ ดพี่ สาวก็เอยไปอีกทางหนึ่ง  ไมตอบตรงคําถาม“มองใหเปนภาพงาย ทุกวันนี้ส วนใหญเป น
สุขหรือเปนทุกข? แตละคนกมหนากมตาทําในสิ่ งที่ หลงนึกวามันเปนสุข ทั้งที่สุ ขเดี๋ ยวเดียว ที่เหลืออีกยืดเยื้ อยาวนานมั น
คือนรกแทๆ ”
อเวราผินหนาไปอีกทางหนึ่ง  ทอดตามองเหมอ นาที นี้หลอนยังไมไดลงนรกหมกไหม แตก็ มี ความหวาดหวั่ นบาง
ประการที่ทํ าใหจิ ตใจกระวนกระวายไมเปนสุขนัก
“เธอกําลังกลัวใชไหมเคก ?”
รสรินดักทาง  ซึ่งก็ทํ าใหน องสาวกมหนายอมรั บโดยดี
“คะพี่ หนอง เคกกลัววาเขาจะไมใชแคสิ่ งที่ จะผานมาแลวผานไปงายๆ อยางที่นึ กไวแตแรก เคกกลัวความติดใจ
ของตัวเอง…”
ฝายพี่ สาวหรี่ ตาครุ นคิ ด โลกเต็มไปดวยปญหา อเวราพูดแตละคําเหมือนประกาศอยู ในที วาทุกอยางเพิ่ งเริ่ มตน
และยังไมมี เคาของการจบสิ้ นแมแตน อย
“ลองพยายามไหม? ตัดใจเดี๋ ยวนี้น าจะยังไมสาย”
อเวราสายหนา 
๑๐๒
“ถาใจเหมือนเชือกใหเอากรรไกรตัดงายๆ ก็ ดี สิคะ เคกขยะแขยง แตพอหมดความขยะแขยงก็ถู กแทนที่ด วย
ความอยากอีก  มันทรมาน…”
รสรินเมมปาก ปวยการซ้ํ าเติมวาเห็นหรือยัง  วาใหห ามใจหลังจากที่ ปลอยใจไปแลวมันลําบากเพียงใด เหตุใดผู คน
จึงเขาใจกันยากนักวาสรางเหตุแหงทุกขแลวตองทุกข โลกพากันเปนเสียอยางนี้  อยากกอตนเหตุทุ กขตามเดิ ม แตไมอยาก
ทุกขเทาเดิม รสรินตองปลอบตนเองวาดีแลวที่ เปนแคน อง ไมใชลู กสาว มิฉะนั้ นคงช้ํ าใจแทนยิ่ งกวานี้ หลายเทา
“เคก …” รสรินลากเสียงยาว ออนโยน“เวลาพี่ ถามตัวเองวาเคยโงที่สุ ดในชี วิตตอนไหน พี่ตอบตัวเองวาตอนเสียรู
คน ถูกหลอกตมเอาเงินไปจนเกือบลมละลาย เดือดร อนถึงลูกถึงผัว  พี่เขาใจเลยวาคนเราอยากฆ าตัวตายกันไดยั งไง”
อเวราเงี่ ยหูฟ งอยางตั้ งใจ เพราะเหมือนพี่ สาวจะเปลี่ ยนเรื่ อง ขอเปนฝายระบายทุกขบ าง แตแลวก็ไมใช
“ในอีกทางหนึ่ง  เวลาพี่ ถามตัวเองวาเคยตัดสินใจฉลาดที่สุ ดเมื่ อไหร พี่ตอบตัวเองวาตอนเลือกคู !  พี ่ใจเย็น ไม
บุมบาม แลวก็ไมใชวิ ธี เลือกแบบฉาบฉวย ซึ่ง… เธอเขาใจไหม อยูๆ  คนเราไมไดใจเย็นกันดวยความบังเอิ ญ แตต องดวย
นิ สัยที่สั่ งสมมามากพอ ถาวันนี้ เธอยอมปลอยตัวปลอยใจไปกับเด็กที่อ อนกวาถึ ง ๗ ป เธอจะไมมี นิ สั ยของความใจเย็นนั้น
และในที่สุ ดวันหนึ่ งขางหนาเมื่ อเธอถามตัวเองวาชี วิตนี้ เคยโงที่สุ ดกับการทําอะไรลงไป เธออาจตอบไมถูก  เพราะทุกการ
ตัดสินใจจะมาจากความมักงายไปหมด”
รสรินพูดจบก็พั กนิ่ง  รอวานองสาวจะตอบกลับมาอยางไร  แตพอเห็นอีกฝายนิ่ งนานก็เอยตอ
“ใหพี่พู ดตรงๆ เปนเหตุเปนผล อยานึกวาพี่ด านะ กิ ริยาบางอยางของผู หญิงเรามันนาละอาย ควรใหผู ชายที่ เรารั ก
เห็นอยู คนเดียวพอ แตถ าใหใครตอใครเห็นไดเรื่ อยๆ ก็แปลวาเราเป นคนหนาไมอาย เซ็กซที่ ขาดสํานึกจะทําใหเราหน าด าน
ขึ้นเรื่ อยๆ โดยไมรูสึ กตัว ”
ชั่วโมงกอนอเวราตอบตัวเองไมได วามาหาพี่ สาวทําไม แตตอนนี้รู แลววาหลอนอยากไดหลุมหลบภั ย อยากใหรส
รินดาเจ็บๆ เผื่ อจะตัดใจไดอยางนอยก็ชั่ วคราว
“คะพี่ หนอง” อเวรายอมรับเสียงออย“เคกก็รูสึ กวาตัวเองหนาดานอยางไม เคยเปนมากอน”
รสรินพยักหนาดวยทาทีของพี่ที่ยื นอยูขางเดี ยวกับนองเสมอ
“อบายมีเสนทางพัฒนาตัวเอง เริ่ มตนที่สุ ดอาจเปนการหยวนใหกั บความอยากเล็กๆ นอยๆ จากหยวนหนึ่ งเปน
หยวนสอง หยวนสาม แลวแกกลาขึ้ นเรื่ อยๆ เปนความมักงาย อยากมากอยากนอยก็ปราศจากความยับยั้ งชั่ งใจ ไมมี กรอบ
ไมมี เครื่ องหามใดๆ ทั้งสิ้น  ในที่สุ ดก็พานดูถู กกรรมเวรเปนเรื่องเหลวไหลหลอกเด็ก ”
เหมือนไดแสงที่ทํ าใหตาสวาง อเวราบอกตนเองวาหลอนจะเห็นแกอนาคต คิดตัดใจตั้ งแตบัดนี้
รสรินแยมยิ้ม  เพราะเคยเห็นอาการคิดได คิดตก คิดเปลี่ ยนแปลงตัวเองของนองสาวมากอน และบัดนี้ อเวราก็มี
นาทีนั้ นอีกครั้ง  หลอนจึงมีแกใจสําทับ
“สําหรับผู ชาย ถาเปนของใหมจั บตองแลวจะรูสึ กมันมือไมอิ่ มไมเบื่อ  แตถ าเริ ่มชิ น ความแปลกใหมหมดไป เขาก็
จะไมสนุกอี ก ตรงนั้ นถาไมมี ความรักมาชอนรั บ เราก็จะเหมือนทิชชูที่ เขาสั่ งขี้มู กเสร็จก็อยากปาทิ้ งถังผง ถนอมตัวไวรอ
เจอคนที่ เขารักและพรอมจะรับผิดชอบเรา ทําใหเรารูสึ กเหมือนเปนดอกกุหลาบมี คา นาปกในแจกันหองนอนของเขา
ตลอดไปเถอะ”
อเวราเงยหนาขึ้ นดวยรอยยิ้ มกระจาง แมไมเอยคําใดก็ดูรู ไดว ามีการตัดสินใจที่ เด็ดเดี่ ยวฉายชัดอยู ในประกายตาเงา
งามคูนั้ นแลว!
๑๐๓
ตอนที่  ๑๒ คําทา
จองฤกษทั้ งแปลกใจทั้ งหงุดหงิดที่ โทรศัพทมื อถือรุ นลาสุดของตนใชงานไมได ทั้งที่ เพิ่ งซื้ อมาใหมเอี่ ยมถอดดาม
เมื่ อตรวจสอบดูจนแนใจวาเปนความบกพรองของฮารดแวร จึงโทร.ไปถามฝายขายวาจะเปลี่ ยนเครื่ องใหมใหไดหรือไม
เนื่ องจากซื้ อมาเพียงอาทิตยเศษ คําตอบที่ ได รั บคือถาพ น ๗ วันทางบริ ษัทจะเปลี่ ยนอะไหลใหโดยไมคิ ดคาบริการ แตอาจ
ตองรอสักอาทิตยหนึ่ งจึงจะมารับเครื่ องได
เด็กหนุ มพยายามออนวอนวานี่ เพิ่ งพนสิทธิ์ แลกเครื่ องใหมมาเพียง ๓ วั น ควรจะหยวนๆหนอย เปลี่ ยนเครื่องให
ใหมเลยดีกวา  เพราะเขาจําเปนตองใชงานสํ าคัญจริงๆ แตก็ ไดรั บคํายืนยันแบบกระตายขาเดียววาพ น ๗ วันจะไมเปลี่ ยนให
เพราะเงื่ อนไขถือวายุติ ธรรมที่สุ ดแลว  คือลูกคานําเครื่ องมาจะซอมฟรีไมมี ค าใชจ าย จองฤกษอธิบายวาเวลาซอมหนึ่ง
อาทิตยที่ เขาตองรอนั่ นแหละคือคาใชจ ายมหาโหด เพราะเขาจําเปนตองติดตามขอมูลสําคัญบนอินเตอรเน็ตจากนอกบาน
เปนขอมูลที่ เขารอมานาน หากพลาดไปอาจหมายถึงการสูญมากกวาเงินคาเครื่ องใหมเสียอี ก ที่เขายอมลงทุนซื้ อมือถื อ
แพงๆก็เพื่ อชวงเวลานี้ โดยเฉพาะ เครื่องเก าก็ขายทิ้ งไปแลว  ไมเหลืออะไรใหใชสํ ารองไดอีก
ยื้อกันไปยื้ อกันมาเปนนานสองนาน ในที่สุ ดพนักงานก็ยื่ นขอเสนอแบบตัดรําคาญวาใหลองไปที่ศู นยซ อม
โดยตรง และขอใหช างทดสอบเครื่ องที่ เคานเตอร หากเห็นวาเปนปญหาเพียงเล็กนอยก็อาจเปลี่ ยนอะไหลใหได ทั นที นี่คื อ
ทางออกสุดทาย
รู ทั้งรู ว ามีโอกาสเพียงริบหรี่ที่ช างซอมจะใจดีเช็กดูแลวเปลี่ ยนอะไหลใหรวดเร็วดังคําตัดรําคาญของพนักงานขาย
แตจองฤกษก็ต องจําใจยอมถอสังขารแบบขามเมืองมาที่ อาคารอันเปนศูนยซ อมของบริ ษัทเจากรรม มิฉะนั้ นก็ต องอาศั ย
ทางเลือกอื่น  เชนยอมโดดเรียนเปนอาทิตยๆเพื่ ออยูกั บบานนั่ งเฝาขอมูลที่ ตนรอคอย หรือไมก็ ซื้ อโทรศัพทมื อถือรุ นตอเน็ ต
ไดเครื่ องใหมไปเลย ซึ่งทั้ งสองทางเลือกลวนแลวแตสิ้ นเปลืองเวล่ํ าเวลาหรือไมก็ เงินทองเกินกวาจะทําใจยอมรับ
ยามนี้ ในหัวจองฤกษเหมือนหองที่ คละคลุ งดวยหมอกควันโทสะรอนแรง คอยดูเถอะ ถาบริ ษัทไมช วยเหลือเขา
เต็มที่ก็ จะไดเห็นดี กั น เลนกับใครไมเลน  เขาจะทําใหพวกไรสํ านึกไดสั งวรเสียบางวาในกลุ มลูกคาหมื่ นคนแสนคนนั้น
อาจมีคนธรรมดาที่น าครั่ นครามปะปนอยูด วย ถาขืนบริการไมดีก็อาจเจอบทเรี ยนแสบสันอันยากจะลืมเลือนไดทุ กเมื่อ !
กินสมตําดับโมโห เวลาเจอจานเด็ดเผ็ดแสบเรียกน้ํ าตาให ซึ มไดแลวเขามักจะอารมณเย็นลง ระยะหลังเริ่ มรู สึ กตั ว
วาพอปลอยใหเกิดอาการโกรธเปรี้ ยงปรางและคิดแคนไมหยุดแลวจะมึนๆทึบๆไปทั้ งวั น หัวไมค อยแลน  ซึ่งเปนผลเสียกั บ
งานชิ้นโบแดงที่ เขากําลังทําอยู
รานเจาประจําหนาปากซอยเปนแหลงพึ่ งพิงของเขามาแตเด็ก  เรื่ องความสะอาดไวใจไดเพราะไมเคยมี ปญหามา
กอน แตแลววันนั้ นก็เกิดประสบการณครั้ งแรก เมื่ อเริ่ มขึ้ นรถประจําทาง ทุกอยางยังคงเปนปกติ ดี ไมมี อะไร แตพอกําลังนั่ง
มองนอกหนาตางเพลินๆไดสั กครึ่ งชั่ วโมง ทองไส ก็ ชั กป นปวนขึ้ นมา ตอนอยู ในขั้ นของสัญญาณเตือนธรรมดานั้ นเขานึ ก
วามันลอเลน  แตพอเริ่ มมีการทุบประตูโครมครามถี่ขึ้น  จองฤกษก็ทราบวานั่ นไมน าจะใชเรื่ องลอเลนเสียแลว
เพิ่ งมาไดแคครึ่ งทาง เสียดายคารถโดยสารปรับอากาศจะแย แตทํ าอยางไรได ขืนไมลงปายเดี๋ ยวนั้ นเหตุการณจะยิ่ง
เลวรายขึ้ นอีกเปนทวีคูณ  เพราะรถติดเปนแพยาวเหยียด เกือบสิบนาทียั งจอดแชแบบมองไม เห็นอนาคตอยูกั บที่ เชนนั้น
จองฤกษลงมาเดินเมมปากบนฟุตบาท เหลียวซายแลขวารอบดาน ภาวนาใหมี ป มน้ํ ามันอยู แถวนั้ นสักแหง  แตก็
ตองพบกับความผิดหวังที่ ไมมี ใหเห็นแมแตเงา รอบทิศเต็มไปดวยตึกแถวอาคารรานคา  หาสุขาสาธารณะไมเจอ
๑๐๔
ฝนทําหนาเปนปกติ คนอยางเขาไม ใชไอเสี่ ยวที่ จะลุกลี้ลุกลนแสดงท าตื่ นตูมกลางถนน เขาเก็บอาการไดแมใน
ยามคับขัน  และที่ จะใหหนาซีดเหงื่ อแตกถามใครตอใครวาหองน้ํ าไปทางไหนนั้ นเมินเสียเถิด  คนอยางเขาตองเดิ นเนิบๆเข า
หองน้ํ าเหมือนไมมี อะไรเกิดขึ้น
ลังเลอึดใจหนึ่ง  เลือกระหวางรานกวยเตี๋ ยวฝ งตรงขามซึ่ งตองเดิ นขามสะพานลอยไป กับอาคารสํานักงานตรงหน า
แลวเด็กหนุ มก็ตั ดสินใจเลือกที่พึ่ งใกลตั วกวา  โดยไมมี แกใจดูด วยซ้ํ าวาบริ ษัทชื่ อเสียงเรียงนามใด เห็นแตภายนอกเปน
อาคารเกาๆ กาวเทาเขาเขตรั้ วไปแลววังเวงใจชอบกล
เมื่ อเขาสูตั วอาคารก็ ชั กเรงรีบขึ้ นกวาเดิ ม สํานักงานไมได มี ปายแสดงความเอาใจใสบอกทิศบอกทางลูกคาเหมือน
หางสรรพสินคาทั้ งหลาย เด็กหนุ มเริ่ มหันรี หันขวาง กําลังตัดสินใจวาจะเสี่ ยงเดินไปจนสุดทางขางซายหรือขางขวาดี เกรง
วาเลือกผิดเพียงในเวลาสั้ นๆทุกอยางอาจสายเกินไปแลวก็ได
ชั่วเวลาหางกันเพียงไมกี่อึ ดใจ สถานการณเริ่ มเลวรายขึ้ นกวาเดิมหลายเทาตั ว บางครั้ งตองหยุดยืนกลั้ นหายใจดวย
ความประหวั่ นพรั่ นพรึงสุดขีดวาอาจจะทนตานทานไมไหวในอีกไมกี่ พริบตาขางหนา เขาจําเปนตองรู จุ ดหมายปลายทาง
ของชีวิ ตในระยะสั้ นใหไดเดี๋ ยวนี้ว าควรจะเปนไปในทิศทางใด
โชคเขาขางอยูบ าง ผูชายอวนๆหนาตาใจดีคนหนึ่ งเดินลงบันไดมาจากชั้ นสอง จองฤกษเห็นเขาก็ปราดเขาไปถาม
ฉับพลัน  ลืมมาดสุขุ มที่ตั้ งใจรักษาไวเสียสนิท
“พี่ครับ ชั้นนี้มีห องน้ํ าหรือเปลา ?”
ชายคนนั้ นเห็นทาทางตื่ นเตนประกอบคําพูดของเด็กหนุ มแปลกหนาก็รูว ากําลังมีเรื่ องดวนประเภทใด จึงเปลี่ ยน
จากสีหนายิ้ มๆเปนขึงขัง  พูดจาเปนงานเปนการทันที
“นองไปทางซายนะ” เขาปาดแขนไปตามทิ ศที่ บอก“สุดทางแลวเลี้ ยวขวา พอไปจนสุดอีกทีก็ เจอแลว ”
“ขอบคุณมากครั บพี่ !”
“ไมเปนไร รีบไปเถอะ”
จองฤกษเลิกสงวนทาปดบังอาการใดๆ พอยินวจีเผยทางสวรรคจบก็แทบวิ่ งจู ดเปนลูกธนูแลนจากแลง  ราวกับ
กําลังแขงเวลากับความเปนความตาย  เกิดมาเปนตัวเปนตนไมเคยตกอยู ในสภาพนาอดสูเยี่ ยงนี้ มากอน แตก็ ช างเถอะ ชายที่
ฟาสงมาชวยสงเคราะหเขาคงไมไดเห็นหนากันอีกจนชั่ วกัลปาวสาน ฉะนั้ นคงไมกระไรนักหรอกกับการขายหนานาที
เดียว
วิ่งปรี่ ไปจนสุดทาง เลี้ ยวขวาแลวตรงดิ่ งตอแบบไมปลอยเวลาให ลาช า แรงกระแทกที่ เกิดจากการรีบวิ่ งไมส งผลดี
ตอสภาพเพียบหนักในขณะนั้ นเทาใดนั ก เหมือนดานนอกประตูเมืองมี ทอนซุงกระทุ งอยูป งๆไมพอ ในเมืองยังไดทหาร
ทรยศชวยเขยาๆเสริมดวยอีกแรง ยิ่งรูสึ กวาใกลห องน้ํา  รางกายคลายยิ่ งตอบสนองเปนพิเศษ คลายมีทหารเลวขออนุญาต
ยิงปู ดออกไปใหไดเดี๋ ยวนั้น  เรียกวานับเวลาถอยหลังเขาสู ภาวะปลดปลอยเปนวินาทีตามการคํานวณระยะทางกันเลย
ทีเดียว
ทวายิ่ งวิ่ งใกลที่ หมายเขามา สังหรณก็ยิ่ งเริ่ มทํางานมากขึ้ นทุกที บริเวณนั้ นมืดๆทึมๆเหมือนไมค อยนาจะมี
กิจกรรมของมนุษยผู ใดเทาไหรนั ก กระทั่ งทายสุดตองตัวแข็งทื่ อราวกับถูกไฟช็อตเมื่ อเจอปาย ‘ไมมีกิจหามเข า!’ แปะไว
เหนือขอบประตูข างซายสุดทาง จองฤกษชะงักกึกขนลุกซู  จองปายแทบตาถลนอยางไมเชื่ อสิ่ งที่ ตนเห็ น พยายามอานใหม
ใหเปนอื่น  แตมั นก็ไมเปนอื่ นอยู เชนนั้น 
๑๐๕
ความทอที่ จะมี ชี วิตตอกอตัวขึ้ นทวมทน  เรียกวาหมดความไยดี ตั้งแตฝ าเทาขึ้ นมาถึงศีรษะ อยากนั่ งแปะ
ปลดปลอยทุกสิ่ งทุกอยางใหเปนไปตามเวรตามกรรม คับแคนจุกอกแนนเสียดเมื่ อรูตั ววาถูกหลอก เรื่ องแคนี้ทํ าไมตอง
หลอกกันดวย? ใหตายเถอะ!นึกไมถึ งวาจะมีใครใจไมไสระกําอยางระยําไดเทาเจาอวนนั่ นเลย
ขบฟนแนน  เปนนาที ที่เขารูสึ กวาตนกลายเปนเด็กนอยรางกายออนแอถูกรังแกอยางไรเหตุผล ไมเขาใจโลก ไม
เขาใจชีวิต  สงสัยวาทําไมคนเราจึงตองเลวรายตอกันทั้ งที่ ไมเคยรูจั กมักจี่ มากอน อยาวาแตทํ าเรื่ องแคนเคืองอันใดให
เกร็งแนนทั้ งตัวเหมือนกลามเนื้ อทุกมัดเขม็งเกลียวเตรียมระเบิดเปนเสี่ ยงๆ นี่คือวิกฤตที่ร ายแรงเกินประมาณ แต
แลวพออัดอั้ นตันใจมากๆเขา  ธรรมชาติทางกายก็เหมือนจะผอนปรนใหบ าง คอยรูสึ กทุรนทุรายนอยลง จึงใจชื้ นขึ้ นมา
หนอย รีบหันทิศกลับดุ มเดินยอนกลับทางเกา  ไมแนใจวาถาเจอชายอวนผู สวมหนากากนักบุญนั่ นยืนรออยู  เขาจะยอมขี้
แตก ขอเพียงใหไดเตะกนมันสักปาบหรือไม
ระหวางเดินซอยเทา  ยิ่งคิดถึงสีหนาแสดงความเปนหวงเปนใยเป ยมน้ํ าใจเอื้ ออาทรแลว  ก็ ยิ่งคันคะยิกขึ้ นมากลาง
อกดวยความคั่ งแคน  จนกระทั่ งตองกัดริมฝปากแทบหอเลือด เกิดมาไมเคยเจอใครเหี้ ยมโหดอํามหิตไดสนิทแนบเนียน
ภายใตหนากากพอพระไดเหมือนอยางนั้ นมากอนเลย
ถึงทางแยก เจอผู หญิงคนหนึ่ งเดินมา จองฤกษกัดกรามแนน  คราวนี้ ไมกลาแสดงความดี ใจออกนอกหนาเทาใดนัก
“พี่ครับ… หองน้ํ าไปทางไหน?”
ผูหญิงคนนั้ นปรายตามาเห็นสภาพเลิ่ กลั่ กตัวลีบของเขาแลวเบะปากยิ้ มนิดๆ เออ… เห็นคนเหงื่ อแตกถามหาทาง
ไปหองน้ํ าเปนเรื่ องตลกนักหรือไง? กําลังตกอยู ในสถานการณลํ าบากแทนที่ จะสงสาร กลับสงสายตาเยาะหยันสมน้ํ าหนา
กันแบบไมเก็บงําแบบนี้
“ชั้นนี้ ไมมีหรอกน อง ตองขึ้ นไปขางบน”
“ไมมีที่ชั้ นลางหรอกหรือครับ?”
เด็กหนุ มขมวดคิ้ วนิ่ วหนา หลุดปากถามอยางกังขาสุดขีดวาไมมี ไดอยางไรกั น ผิดหลักเปนอยางยิ่ง  บังเกิดความ
ระแวงขึ้ นมาทันทีว าอาจถูกหลอกซ้ํ าสองเขาใหแลว
“อือ!ไมมี  ตึกเรามันยากจน คนสรางเขาประหยั ดงบ ทําชั้ นเวนชั้น  ความจริงสมัยกอนก็ มี อยู นอกอาคาร แตเขาทุบ
ทิ้งไปนานแลว  เปลี ่ยนเปนที่ จอดรถแทน เพราะที่ จอดรถมันไมพอ อยู ในเมืองก็อยางนี้ แหละนอง ที่จอดรถมี คากวาหอง
สวม คนขางนอกทะเลอทะลาเขามาก็หาลําบากหนอย”
ยายนั่ นสาธยายยืดยาวเสียงยานๆคล ายจะถวงเวลาหนาตาเฉย เวรกรรมที่ดั นมาเจอคนขี้ แกลงเขาอีกรายจนได
“ครับ… ขอบคุณครับ เออ !แลวขางบนนี่มุมไหนครับ?”
“พอไปถึงก็เลี้ ยวซาย พอสุดทางก็เห็นเอง”
จองฤกษไมขอบคุณซ้ํา  แตรุ ดขึ้ นบันไดลิ่ วๆแบบกาวทีละสองขั้ นสามขั้ นไปในทันที ระหวางทางก็ภาวนาขออยา
ใหเกิดอาการเขาขั้ นตรี ทูตขึ้ นมาอี ก เอาแคตอดนิดตอดหนอยแบบใหโอกาสปลอดภัยไดตลอดรอดฝ งกันบางเถอะ และถา
คราวนี้ถู กหลอกอีกหน ก็ขอให ฟาดินเปนพยาน เขาจะตามลาเด็กเลี้ ยงแกะชายหนึ่ งหญิงหนึ่ งใหพบทั้ งสองคนแลวลงโทษ
อยางสาสมที่สุด !
๑๐๖
ขึ้นมาถึงชั้ นบน เลี้ ยวซายวิ่ งขโยกเขยกไปจนสุดทาง ประตูอยูที่นั่ นจริงๆ กลิ่ นหองน้ํ าที่ โชยออกมาเตะจมูกชาง
หอมหวนทวนลมไมมี อะไรเกิน  เพิ่ งเขาใจคําวา ‘สุขา’ อยางถองแท ก็ วั นนี้ เอง เด็กหนุ มกาวพรวดเขาคอกหนึ่ง  ปดประตูป ง
ปงกลับหลังหันปลดกางเกง กระแทกตัวลงนั่ งโครมทันเวลาแบบฉิวเฉียดขนาดเสนยาแดงผาแปด
ถอนใจเฮือกแลวเฮือกเลา  คลายผานมรสุมชี วิตมาอยางยากเย็นเหลือพรรณนา  หลายนาที ผานไป ทุกอยางกลับสงบ
ลงเหมือนทะเลป วนที่คื นสูสภาวะราบคาบ  จองฤกษยิ้มกับตนเองเหี้ ยมๆ พยักหนาหงึกๆอยางเพิ่ งนึกออกเกี่ ยวกับความจริ ง
ในชี วิตขอหนึ่ง  คือคนเราไมจํ าเปนตองเกลียดกันเสียกอนถึงคอยคิดกลั่ นแกลงกันได ขอเพียงมี นิ สัยเด็กเกเรติดตัวอยู เป น
ทุนเทานั้น
ความแคนของจองฤกษเมื่ อถึงขีดหนึ่งจะปราศจากปฏิกิริ ยาปงปงโวกวาก ทวาจะเงียบสงบแบบคนเลือดเย็ น หรี่ ตา
ครุ นคิดหาวิ ธีจองลางจองผลาญอยางเอาจริงเอาจั ง หากยังตกลงปลงใจเลือกวิ ธี ดับแคนไมไดก็ จะคิ ด คิ ด และคิดตอไป
เรื่ อยๆจนกวากระดิ่ งแหงความชั่ วรายจะลั่ นเปรี้ ยงขึ้ นมาในหัว
วางแผนเปนขั้ นๆวาจะตามลาตัวยักษใหญใจมารตนนั้ นดวยวิ ธี ใด ลักษณะเครื่ องแตงกายลําลองแบบคนมาสะสาง
งานวันอาทิตยทํ าใหทราบวาตองเป นคนในบริ ษั ท และนาจะประจําอยูที่ตึ กนี้ แน ฉะนั้ นถามีความอุตสาหะเพียงพอ เดินหา
ทีละหอง ก็ ตองไดพบไดเจออยู แลว  ถาใครถามวามาดอมๆมองๆดูอะไร เขาก็จะบอกวาตองการพบชายสูงประมาณ ๑๗๐
เซนติเมตร รูปรางอวนทวน หนาตาใจดี ผิวขาว ไมไวหนวด วันนี้ ใสเสื้ อเชิ้ ตสี ฟามาทํางาน หากถูกซักวาตองการพบดวย
ธุระอันใด ก็จะตอบวาเมื่ อครู ชายคนนั้ นฝากอะไรบางอยางไวกั บเขา และเขากําลังจะเอามาคืน …
คนคงไมสงสัย  เนื่ องจากเขาเปนวัยรุ นดูไรพิ ษสง อยางนอยคงบอกชื่ อเสียงเรียงนามพรอมหองที่ อยู ใหโดยดี ซึ่งขอ
เพียงรูชื่ อนามสกุลพรอมที่ทํ างานเชนนี้  แฮกเกอรอยางเขาสามารถเลนงานใครใหบอบช้ํ าแคไหนก็ได โดยที่ เจาตัวจะไมมี
วันรู เลยวาชะตากรรมอันย่ํ าแยเหลือเชื่ อนั้น  ใครเปนผูกํ าหนด!
ไมมีวั นรูวาใครเป นผูกํ าหนดชะตา…
คลายความคิดที่ผุ ดขึ้ นระลอกนั้น  พลิกผันปฏิ รูปตัวเปนมนตบั นดาลใจใหหวนระลึกถึงณชะเลอยางไมรู เหนือรู ใต
หลอนและหนังสือของหลอนอางเสมอวาเรื่ องราวทั้ งหลายในชีวิ ตถูกลิขิ ตขึ้ นจากกรรมเกา อาจจะชาติ นี้หรือชาติ กอน และ
เมื่ อเกิดเรื่ องขึ้ นมา ก็จะเปนเหตุกระตุ นใหมนุษยเกิดปฏิกิริ ยาทางใจ บันดาลใหทํ ากรรมดีร ายตอบสนองตอไปอีก  กลายเปน
ปฏิกิริ ยาลูกโซไมรู จบ
กะพริบตาสองสามครั้ง  หากคิดถึงปฏิ กิ ริยาลูกโซที่ เกิดขึ้ นในกรอบของกรรมวิบาก ก็คงตองบอกวาผู แกลงคนอื่น
ยอมถูกคนอื่ นกลั่ นแกลงคื น เมื่ อใครถูกกลั่ นแกลงก็ย อมผูกใจเจ็ บ อยากกลั่ นแกลงกลั บ แลวก็ ตองโดนแกลงอี ก หมุนวน
เปนวัฏจักรแหงความชั่ วรายอยู อยางนี้
หากการเจอเจาอวนใจรายคือผลกรรมเกา  แลวเขาไปกลั่ นแกลงหมอนั่ นไวตั้ งแตปางไหนในเมื่ อเกิดมาไมเคยเจอ
กันสักหน? ถาบอกวาเปนอดีตชาติแลวจะไปรู ไดอยางไร ใครจะอยากเชื่ อวาไอคนลวงโลกนั้ นเปนเจาหนี้ เกาที่มี สิ ทธิ์ ทวง
แคนคืนตามกฎแหงกรรม?
ขณะที่ยั งไมทันสามารถตอบคําถามเดิมของตนเองได ก็เกิดคําถามใหมแทรกซอนขึ้ นมาอีกชนิดที่ทํ าใหชะงักกึ ก
เพราะเปนคําถามซักคานของคนที่ พรอมจะเถียงแมแตตั วเอง ตามแบบฉบับนิ สัยของแฮกเกอร นั่นคื อ จะรู ไดอยางไรวาเจ า
อวนนั่ นไมเคยถู กเขากลั่ นแกลงในชาติป จจุบัน  โดยทางตรงหรือทางออม?
แตละคนมีสิ ทธิ ์กอกรรมชนิดที่ส งผลกระทบตอวงกวางได เสมอ ทั้งที่ ตระหนักและไมตระหนัก …
๑๐๗
นึกถึงกรรมใหญที่ ตนเพิ่ งกอ คือใชความรู ความสามารถทางคอมพิวเตอรกลั่ นแกลงผู คนไปทั่ วโลก มันเปน
การแกลงแบบเหวี่ ยงแห ไมจํ าเพาะเจาะจง ไมเลือกหนาอินทรหนาพรหมใด หลอกคนเปนลานดวยอุบายลวงแยบยลดุจคน
ที่คิดอยากชวยเหลือกั น แตที่ แทเปนการตมตุ นแบบตลกเลือด เชือดกระเดือกชาวบานเลนโดยไมต องมีเหตุบาดหมางมา
กอน
หนึ่ งในลานของเหยื่ อเหลานั้ นอาจเปนคนที่ เพิ่ งหลอกใหเขาหลงทางไปสดๆรอนๆก็ได ใครจะรู !
ระบายลมหายใจยาว คิดถึงกรรมที่ ตนเพิ่ งทําไป เหตุผลแทจริงที่อุ ตสาหอดตาหลับขับตานอนอยู หลายเดือนมากอ
การรายผานอินเตอรเน็ตครั้ งนี้  ก็เพียงแคอยากมี ชัยเหนือบริ ษัทซอฟตแวรอั นดับหนึ่ งของโลก เพียงแคอยากตบหนายักษ
ใหญที่ ชอบอวดโอและสงคําทาทายไปยังเหลาแฮกเกอรใหทะลวงผานรั้ วปองกันเวอรชั่ นลาสุดของตนดู ประมาณวาใคร
ทําไดถื อเปนเทวดาอะไรทํานองนั้น
ความสําเร็จของเขาเทากับการประกาศศักดาวามี ชัยเหนือกลุ มโปรแกรมเมอรซึ่ งฉลาดที่สุ ดของบริ ษัทซอฟตแวร
เจาใหญที่สุ ดบนพื้ นพิภพไปแลว  แมไมไดโลรางวัลจากสถาบันใด แตก็ เปนที่ โจษจันระดับโลก และเปนความนาทึ่ งในหมู
จารชนคอมพิวเตอรด วยกั น หาอานตามเว็บบอรดชุมนุมแฮกเกอรที่ ไหนก็ มี แตคนกลาวขวัญถึงเขาอยางชื่ นชม ในขณะที่
เขานั่ งผยองลําพองขนอยู ตามลําพังเงียบๆในประเทศเล็กๆที ่ยังไรวี รบุรุ ษทางดานนี้  ไมมี ใครนึกถึ ง และไมมี ร องรอยใดๆ
ใหใครสาวมาเจอตัวเขาไดเลยแมแตน อย เพราะเขาใชเทคนิคแบบเซี ยนเหยียบเมฆที่ ไมเคยมีใครใชมากอน
แตถ ามองวาวิบากหรือผลกรรมมีจริ ง เหตุการณวั นนี้ อาจเปนการประกาศศักดาของธรรมชาติใหเขาประจักษบ าง
วาเหนือฟายังมี ฟา เหนือมนุษยยั งมีกฎแหงการสนองกรรม!เขาโดนเลนงานแบบถึงเนื้ อถึงตัวโดยไมต องมีการสืบหา
เบาะแส ไมต องมีการแกะรอย ไมต องมีการใชเทคโนโลยีชั้ นสูงใดๆมางัดขอกัน
นึกถึงคําถามของตัวเองเมื่ อครูที่ วนซ้ํ าๆอยู ในหั ว วาทําไมมันทําหยั่ งงี้ วะ? กูไปทําอะไรใหมึ งวะ? ทําไมเรื่ องแคนี้
ถึงตองหลอกกันดวยวะ? เหลานั้ นจะเปนคําถามเดียวกันกับที่อึ งอลอยู ในหัวของเหยื่ อผู เคราะหร ายนับลานของเขาดวย
หรือไม?
กะพริบตาถี่ ๆอยางมึนงง เพราะวูบหนึ่ งคลายตระหนักวาเสียงในหัวที่ เกิดขึ้ นกับผู ถู กกระทําอยางไร เสียงเดียวกั น
นั้นจะยอนกลับมาดังขึ้ นในหัวของผู กระทําเขาใหจนได…
นึกถึงการตีบทแตกของชายหนาตาใจดี ที่คลายพลอยตระหนกเปนเดือดเปนรอนแทนเขา ก็ ยิ่งสะกิดให ยอนนึกถึ ง
อุบายลวงโลกของตนที่พู ดแบบหวังดี ชักชวนใหไปดาวนโหลดโปรแกรมปองกันไวรัสมาติดตั้ง  แตพอผู ใชคอมพิวเตอร
ทั่วโลกเอามาติดตั้ งจริงกลับกลายเปนตัวคายพิษไปเสียฉิบ!
เคยหัวเราะเยาะคนอื่ นที่รู ไมทั นตนลับหลัง  บัดนี้ตองมากลายเป นไอหนาโงที่ถู กหัวเราะเยาะไลหลังเขาใหบ าง
ชางเถอะ คงแคเรื่ องบังเอิญเทานั้น …
จองฤกษปลอบใจตนเอง ความประจวบเหมาะระหวางสองเหตุการณที่ ละมายคลายคลึงกัน  ไมจํ าเปนตองเกี่ ยวโยง
กันแมแตน อย ทุกเรื่องเป นอิสระจากกัน  มนุษยมีอิ สระที่ จะเลือกเดินไปเจอสิ่ งตางๆ และสิ่ งตางๆก็ มี สิ ทธิ์ที่ จะเลือกตอนรั บ
มนุษยตามอําเภอใจ ซึ่งมันก็แคบั งเอิญมาซ้ํ ารอยกัน
แคบั งเอิญ…
เอ… หรือวาไมบั งเอิญ?
เขาจะรู ไดอยางไรกัน ? หากนี่ เปนวาระแรกแหงการปรากฏตัวของวิบากกรรมขึ้ นมาจริงๆอะไรจะเกิดขึ้น ?
๑๐๘
เรื่ องนากลัวมีอยูว าถานี่ เปนแคจุ ดเริ่ มตน  ก็แปลวาชีวิ ตเขากําลังเขาสู เสนทางแหงความหายนะเกินกวาจะเดาผล
สุดทายไดถูก  เพราะการทําใหคนเดือดร อนเปนลาน คงไมใชแคโดนหลอกเรื่ องหองน้ํ าในนาทีวิ กฤตเทานี้ หรอก
ยอนทวนขึ้ นไปแลวตองหนาวยะเยือก เขาลืมไปสนิทวาที่ ออกจากบานวันนี้ก็ เพราะเกิดเหตุไมคาดฝนขึ้ นเปน
อันดับแรก คือกําลังจําเปนตองใชอุ ปกรณสื่ อสารเพื่ อติดตามขอมูลสําคัญอยางตอเนื่ อง อุปกรณดั นเสียขึ้ นมาเฉยๆราวกั บ
ถูกกําหนดเวลาไวพอดิบพอดีใหพ นระยะเปลี่ ยนเครื่องได ใหม
จากความเย็นสันหลังแปรเปนอาการขนหัวลุก  นี่เปนเรื่ องนาสะพรึงกลัวยิ่ งกวาภูติผีป ศาจ เพราะภูติผีป ศาจจะเลน
งานใครยังมี รูปแบบ ยังมีเงื่ อนไขขอจํากัดเกี่ ยวกับเวลาและสถานที่ ในการหลอกหลอน แตวิ บากกรรมนั้ นหากมีจริงแลวละ
ก็ จะเลนงานผู เปนเปาหมายดวยรูปแบบใดก็ไดไมจํ ากัด  ในเมื่ อทุกชี วิ ต ทุกวินาที และทุกหนแหงที่ เขาผานไปพบบนโลกใบ
นี้ อาจแปรเปนเครื่ องมือของวิบากกรรมไดทั้ งหมดทั้ งสิ้น !
ทําอยางไรจะรู ไดว าวิบากกรรมเปนของจริ ง และบัดนี้ เขากําลังเผชิญหนากับมันอยางเต็มตัว? ไมเคยรูสึ กการ
พิสูจนใดๆจําเปนเทานี้ มากอนเลย เขาจะตองรู ใหได เพื่ อเตรียมรับสถานการณข างหนาที่กํ าลังจะมาถึง
ในหนังสือเลือกเกิดใหมระบุไวว ากรรมคืออะไรอยางหนึ่ งที่ ปราศจากรูปรางหนาตา ปราศจากความรูสึ กนึกคิ ด
ปราศจากเจตจํานง ไมมี แมกลุ มพลังให สั มผัสไดอยางเปลวแดดหรือควันไฟ มีแต‘ความจริ ง’ ให รั บรู ว ามันเปนเงาตามทุก
คนและคอยทําหนาที่บั นดาลเหตุการณดี ร ายอยางปราศจากอคติอยู เทานั้น  ถาอยากใหกรรมออกจากที่ซ อนและแสดงตั ว
เปนรูปธรรมทันใจ ก็ใหเลือกเอากุศลกรรมเดนๆที่ทํ าประจํามาเปนตัวตั้ง  จากนั้ นจงเอยปากแบบเสียงดังฟงชั ด อธิษฐานวา
หากกรรมวิบากมีจริ ง ก็โปรดบันดาลเรื่ องดีสมกับกรรมดี ที่ทํา เพื่ อเปนขอพิ สูจน เพื่ อเปนกําลังใจ เพื่ อให มี มานะในการ
บําเพ็ญบุญกุศลยิ่ งๆขึ้ นไปดวยเถิด
พลังแหงความจริงนั้ นนาพิศวงเหนือพลังอื่ นใด เมื่ อใดอางถึงความจริ ง ทุกคนยอมสามารถสัมผัสรู สึ กได ถึ งพลังที่
มีอยู จริง  โดยเฉพาะอยางยิ่ งหากเปนกุศลผลบุญอันหนักแนนที่สั่ งสมมานาน
แตนาที นั้น ขณะแหงความรูสึ กบีบคั้น  และประหวั่ นพรั่ นพรึงในบาปอกุศลที่ เพิ่ งทุ มใสผู คนนับลาน ทําใหจอง
ฤกษนึ กไมออกวาตนเคยประกอบกรรมดีอั นใดไวบ าง ยอนนึกควานคนในสมองก็เจอแตเรื่ องเลวๆ แมกระทั่ งการช วยณชะ
เลใหหลุดรอดจากการสวมรอยของจุ บแจง เขาก็อุ ตสาหทํ าความเจ็บช้ํ าน้ํ าใจใหจุ บแจงดวยการเอาไปประจานเสียอีก
พอนึกไปนึกมาหาความดีของตัวเองไมเจอ หนักเขาจองฤกษก็ โกรธตัวเอง โกรธกฎแหงกรรม โกรธสิ่ งศักดิ์สิ ทธิ์
ในพุทธศาสนา เมื่ อบวกกับความเลือดรอนแหงวัยจึงทําใหหนามืดไปชั่ ววูบ  แทนที่ จะนึกอธิษฐานอางอิงกรรมดีตาม
คําแนะนําในหนังสือ  เด็กหนุ มกลับพูดออกมาลั่ นหองสวมวา
“ถากรรมที่ทํ าใหคนตองทุกขหนักมีผลสนองไดจริง  ก็ขอใหเลนงานกูภายในวันนี้อี กรอบเถอะ อยากพิสู จนวะ !”
นั่น!ตองอยางนั้น !พูดแลวอดสะใจในความบาดีเดือดของตนเองไมได จะมัวหัวหดอยูทํ าไม สงคําทาใหเห็นดํา
เห็นแดงกันไปเลย!ถาวิบากกรรมมีจริงก็อยากทาชกกั นตัวๆไปเลย
แตอึ ดใจเดียว จองฤกษก็ ขนลุกเกรียวอยางประหลาด วูบหนึ่ งคลายหนามื ด สายตาพราพรายเห็นทุกอณูอากาศ
รอบตัวปรากฏเงาดําทะมึนหลอกหลอน เขาปดเปลือกตาลงบีบแนนแลวลืมตาขึ้ นใหม แตความรู สึ กหนักๆทึบๆนั้ นที่นา
พรั่ นพรึงยังคงลอยวนอยู รอบรายไมหายไปไหน จนตองสูดหายใจเขาปอดยาวๆเพื่ อสรางความปลอดโปรงใหตนเอง
หลายๆหน จึงคอยรูสึ กดีขึ้ นเล็กนอย
๑๐๙
กลืนน้ํ าลายอึกใหญ คงไมมี อะไร แคอุ ปาทานไปเอง…
แตถ าความจริงคือไมมี อะไร แลวอะไรเลาที่ทํ าใหเขาขนลุก? นี่เขาเพิ่ งพูดอะไรนากลัวที่สุ ดในชี วิตออกไปหรื อ
เปลา ?

________________________________________________________________________________


8
เชิญคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ เพื่อเริ่มอ่านเรื่อง กรรมพยากรณ์ ฉบับการ์ตูน

http://www.dungtrin.com/kampayagorn_cartoon/main.html

9
ยิ้มเลยครับคุณลุง ทั้งภาพและข้อมูล โดยเฉพาะภาพคุณลุงถ่ายเอง ดูแล้วชื่นใจมากๆ เชียวครับ
(แล้วใช้กล้องอะไรถ่ายครับเนี่ย...)

ชอบมากๆ ที่สุดครับ ของไทยแท้ ...



10
....................................................................................ใครเคยเห็นทางช้างเผือกชัดๆ กันบ้าง.....................................................................




<a href="http://www.youtube.com/v/e-GYrbecb88" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/e-GYrbecb88</a>


11
จะมีแฟน อยู่หรือเปล่า ไม่สำคัญ
ขอยืนยัน สานสัมพันธ์ กับป้าเหลา
ขอตัวผม ถามคืน ให้มืนเมา
หลานป้าเล่า ถามจริงจริง มีกี่คน


มีหนึ่งคน จะดูแล ดั่งดวงจิต
อยู่ใกล้ชิด ถนุถนอม ทุกแห่งหน
จะล้างชาม จะหุงข้าว ล้างรถยนต์
ซักผ้าจน สะอาดลื่น ชื่นอุรา


มีหลายคน ผมจะยึด เสียงส่วนใหญ่
หลักประชา ธิปปะไตย ที่ใฝ่หา
เสียงข้างมาก โหวตอย่างไร ผมนำมา
เพื่อนำพา ทุกทุกคน สุขล้นใจ


ยื่นสมัคร ณ บัดนาว คราวเดี๋ยวนี้
ยื่นไมตรี ที่ผมมี ไปมอบให้
หลานหลานป้า ทุกคนเลย ที่สนใจ
ทุกถ้อยความ ที่กล่าวไป จากใจจริง


ที่มา : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=1584.0

(ดูท่า..ป้าเหลาจะเป็นแฟน ลุงหมูหวาน นะเนี่ย)

12
มีแฟนรึยังจ๊ะ

ขยับกลอนวอนถามนามหนุ่มโค
ไม่เยโยน่ารักเป็นนักหนา
อ่านจากถ้อยร้อยลักษณ์อักษรา
อยากถามว่าหนุ่มโคนี้มีแฟนรึยัง


หากว่ายังอยากถามต่อขออีกนิด
ว่าตั้งจิตชอบสาวน้อยแม่ร้อยชั่ง
หรือสาวใหญ่เก่ง ดี มีพลัง
หนุ่มโคหวังสเป็คไว้อย่างไรกัน


ลุงหมูหวานพอมีลูกหลานคนบ้านข้าง
สวยสะอางน่านิยมอารมณ์ขัน
ความประพฤติดีพอน้อขอยัน (ยืนยันนะจ๊ะ)
การครัวนั้นหุงข้าวเป็นจงเย็นใจ


หากมอคค่าสนใจจงรีบแจ้ง
ยื่นแสดงเงินเดือนและรายได้
โฉนดบ้านที่ดินทรัพย์นับเท่าไร
ใบรับรองแพทย์ไซร้มาทันที....


ที่มา : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=1584.0

13
อันว่ากลอน นั้นไม่ยาก หากฝึกฝน
ต้องอดทน หัดเรียน และเขียนอ่าน
ฝึกบ่อยบ่อย จะได้มา ประสบการณ์
ฝึกนานนาน พื้นฐาน จะมั่นคง


ขั้นที่หนึ่ง ต้องเข้าใจ ข้อบังคับ
สัมผัสรับ สัมผัสนอก ที่ประสงค์
และถูกต้อง ตามใจความ เจตจำนงค์
แล้วค่อยชง ให้สวยงาม ตามศรัทธา


ขั้นที่สอง สัมผัสใน ให้ไพเราะ
เพื่อให้เพราะ คล้องจอง ของภาษา
กลั่นความคิด ออกจากใจ และชีวา
จะได้มา ซึ่งบทกลอน สะท้อนใจ


ขอหนับหนุน พี่ทิมมี่ และป้าเหลา
ที่ปลุกเล้า ให้พวกเรา ทุกเพศวัย
ร่วมสืบสาน ความสวยงาม ของกลอนไทย
ให้ดำรง ตลอดไป มิล้างเลือน



ที่มา : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=1584.0


14
พูดถึงกลอนแปดนี้ ต้องยกย่องบรมครูสุนทรภู่
ผู้พัฒนากลอนแปดในสมัยรัตนโกสินทร์จนเป็นที่นิยมของกวีต่างๆมาถึงทุกวันนี้
โดยเพิ่มสัมผัสในที่หมายถึงสัมผัสสระและสัมผัสอักษรในแต่ละวรรค
ทำให้กลอนแปดมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น

จากหนังสือฉันทลักษณ์ไทยของคุณพรทิพย์  แฟงสุด
บอกไว้ว่า  กลอนแปด หมายความรวมไปถึง
กลอนสักวา,กลอนเสภา, กลอนดอกสร้อย, กลอนเพลงยาว,
กลอนนิยายหรือกลอนนิทาน


ตัวอย่างการสัมผัสในที่เห็นชัด
เช่นจาก กลอนจารึกเรื่องสร้างภูเขาทองที่วัดราชคฤห์
ของ เจ้าพระยาพระคลังหน

กระแตแย้ตุ่นตุดตู่ร้อง
กระต่ายลองเชิงโลดแล่นหา
ลิงจุ่นลิงลมลิงคณา
เลียงผาเผ่นผาเป็นน่ากลัว

ชะนีห้อยโหนไม้หกหัน
เมื่อสายัรห์เหมือนจะร้องคะนึงผัว
มยุรารำฟ้อนชะอ้อนตัว
มีทั่วทุกพันธุ์สกุณา


สัมผัสในที่เห็นได้ชัดเจนคือสัมผัสอักษร
ได้แก่   -

กระแตแย้ตุ่นตุดตู่ร้อง
กระต่ายลองเชิงโลดแล่นหา
ลิงจุ่นลิงลมลิงคณา
เลียงผาเผ่นผาเป็นน่ากลัว

**************

และกลอนอีกบทหนึ่งของ พล.ร.ท.จวบ หงสกุล
ชื่อ เบญจลักษณะของกลอน
กล่าวถึงลักณะของกลอนที่ดีไว้ ห้าลักษณะ  ดังนี้


กวีไทยไม่แล้งแหล่ง]สยาม
ถ้าแต่ง]ตามเบญจลักณะได้
หนึ่งสัมผัสนอกถูกผูกกลอนไว้
สองต้องให้ใจความชัดเจนดี

สามสัมผัสนอกนั้นต้องสรร]คำ
ใช้เสียงสูงกลาง]ต่ำถูกตามที่
สี่สัมผัสในเหมาะไพเราะทวี
ห้าสัมผัสอักษรมีกลอนดีเอย..


ที่มา : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=1584.0


15

*ถึงบางพูด  พูดดี  เป็นศรีศักดิ์
มีคนรัก  รสถ้อย  อร่อยจิต
แม้นพูดชั่ว  ตัวตาย  ทำลายมิตร
จะชอบผิด  ในมนุษย์ เพราะพูดจา..


*ถึงโรงเหล้า  เตากลั่น ควันโขมง
มีคันโพง  ผูกสาย  ไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรม  น้ำนรก เจียวอกเรา
ให้มัวเมา  เหมือนหนึ่งบ้า  เป็นน่าอาย.....


กลอนท่าน สุนทรภู่ทั้ง สองบท


Pages: [1] 2 3 ... 17
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.779 seconds with 20 queries.