Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
วิถีสู่ชีวิตแห่งความพอเพียง => การแพทย์ทางเลือก => Topic started by: Smile Siam on 29 December 2012, 08:36:27
-
สู้ “มะเร็ง”ด้วยแพทย์ทางเลือก
เมื่อกล่าวถึง “มะเร็ง” หลายคนที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งต่างหมดสิ้นความหวังในชีวิตไปตามๆ กัน เพราะเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของคนไทย ซึ่งมะเร็งที่พบบ่อยนั้น หากแยกเป็นเพศชาย จะได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ ส่วนที่พบบ่อยในเพศหญิง คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อไม่นานมานี้เอง กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการระดมความคิดเห็นในเรื่องของการสร้างองค์ความรู้ใหม่ในการรักษาโรคมะเร็งด้วยการใช้ “ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก”
**แผนปัจจุบัน ไม่ใช่ทางออกเสมอไป
นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต ให้ความเห็นไว้ว่า การรักษาโรคมะเร็งในแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบันตอนนี้จะเน้นไปที่การใช้เคมีบำบัดเพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง แต่ปัญหาก็คือ การฉายแสงด้วยเคมีนั้นมีผลข้างเคียง ทำให้ภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกายตกลงไป ถึงแม้จะได้ผลในการรักษาระยะแรกๆ ที่ทำให้ก้อนเนื้อร้ายยุบลง แต่ไม่นานเนื้อร้ายก็จะกลับขึ้นมาใหม่ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่มะเร็งกลับมาคือ การได้รับผลข้างเคียงจากการรับเคมีบำบัด นอกจากมีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันแล้วนั้นยังไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรค ที่เกิดจากการกลายพันธุ์อย่างมะเร็งได้จนถึงที่สุด
ฉะนั้นบทบาทของแพทย์ทางเลือกจึงมีสูงเพื่อการรักษาเสริมร่วมกับการรักษาจากแผนปัจจุบัน และจะเป็นผลดีอย่างมากในกรณีที่การรักษามะเร็งนั้นไม่สนองตอบการรักษาโดยเคมีบำบัดหรือการฉายแสง ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่มาก เช่น มะเร็งปอด เป็นต้น
“มะเร็งบางตัวไม่ตอบสนองต่อการใช้วิธีการเคมีบำบัดซึ่งให้ผลการรักษาที่ต่ำ ทำให้คนไข้อาการทรุดทุกราย หากเรามาใช้การแพทย์ทางเลือกคุณภาพชีวิตจะดีกว่า อัตราการอยู่รอดหรือการยืดอายุที่เรียกว่า อัตราการรอด 5 ปีของมะเร็งชนิดที่ไม่ตอบสนองด้วยเคมีนั้นการใช้วิธีการแพทย์ทางเลือกอัตราการรอด 5 ปีจะสูงกว่า ทำให้ยืดระยะเวลา ความสูญเสียน้อย การดูแลรักษาง่ายกว่า เพราะการรักษามะเร็งต้องบูรณาการ คือจะยึดมั่นอยู่กับแนวความคิดเดียวไม่ได้ เนื่องจากมะเร็งตอบสนองกับวิธีการรักษาไม่เหมือนกัน หากชนิดไหนตอบสนองกับเคมีดีๆ ให้เคมีไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าเรื่องจะจบ แต่อัตราการกลับมาของมะเร็งก็สูงไปด้วย เพราะว่าการรักษาเองนั้นเป็นตัวก่อมะเร็งเสียเอง คือฆ่ามะเร็งในระยะต้นแต่ไปก่อมะเร็งในระยะถัดมา”
นพ.ฉัตรชัยอธิบายเสริมด้วยว่า วิธีการของแพทย์ทางเลือกนั้นมีอยู่หลายแนวทาง อาทิ การใช้ออกซิเจนบำบัด (Oxidation Theraphy) คือการเพิ่มโมเลกุลออกซิเจนเข้าไปในร่างกาย มีผลทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดสูงขึ้นทำให้เลือด มีความสามารถในการทำลายเชื้อโรคสูงขึ้น เพิ่มการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กลับมาปกติ เพิ่มระดับความทนทานให้แก่ร่างกายต่อการใช้เคมีบำบัด
นอกจากนี้อีกวิธีคือ การรักษาด้วยโอโซน (Ozone Theraphy) เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยผสมเข้ากับโอโซนหรือออกซิเจนจากภายนอก แล้วฉีดคืนสู่ร่างกายซึ่งได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า โอโซนช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนสำหรับการหายใจของเซลล์ ซึ่งมีผลต่อการกักบริเวณมะเร็ง
**กินอาหารถูกต้องป้องกันมะเร็งได้
สำหรับวิธีการที่จะช่วยป้องกันการเกิดสารก่อมะเร็งนั้น นพ.ฉัตรชัยแนะนำว่า 70% ของการเกิดมะเร็งสามารถป้องกันได้ แนวทางง่ายๆ คือการรับประทานผักสีเขียว เช่น บรอกโคลี ซึ่งจะมีสารสีเขียว(Chlorophylin)อยู่มากและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี โดยผักสีเขียวสามารถป้องกันมะเร็งได้ถึง 50% อีกทั้งช่วยยับยั้งการกลายพันธุ์ของเซลล์ได้ถึง 90% และสารก่อมะเร็งกว่า 50 ชนิดที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารจะถูกจัดการไว้โดยสารสีเขียวนี้เอง
ส่วนการรักษามะเร็งโดย การใช้อาหารบำบัด (Gerson Theraphy) นพ.สำราญ อาบสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาแนวอาหารบำบัด และยังเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้แนวทางนี้รักษาอยู่อธิบายว่า การรักษามีหลักสำคัญอยู่ 4 ข้อ ได้แก่
1. การดึงจิตใจขึ้นมาในการรักษาโรคคือ เราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อการรักษา 2. การใช้อาหารบำบัด 3. การทำดีทอกซ์ (Detox) ด้วยกาแฟ และสุดท้าย การใช้น้ำผัก ผลไม้บำบัด
ทั้งนี้ หลักการอาหารบำบัดมีสิ่งต้องห้ามในการรับประทานคือ เนื้อสัตว์ทุกชนิด ผลเบอรีทุกชนิด แตงกวา เกลือ สับปะรด ไขมัน ปลา ไข่ เห็ด ของหมักดอง นมและผลิตภัณฑ์อะโวคาโด น้ำตาลทรายขาว แป้งขัดขาว อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ชาจีน กาแฟ แอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การใช้เครื่องครัวอะลูมิเนียม ยาสีฟันมีฟลูออไรด์ ยาทาเล็บ ยาล้างเล็บ สเปรย์แต่งผม น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาดับกลิ่น ยาฆ่าแมลง น้ำหอม ซึ่งเมื่อคิดจะใช้แนวทางนี้รักษาเพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการก็ต้อง ลด ละ เลิก สิ่งเหล่านี้ให้หมด การปฏิบัตินั้นจึงต้องทำด้วยความตั้งใจจริง
สำหรับอาหารที่รับประทานควรจะประกอบด้วยข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ หรือทำซุป ไม่ใช้เกลือ ไขมัน น้ำมัน เนื้อสัตว์ นมหรือผลิตภัณฑ์ ไม่กินอาหารกระป๋อง หรืออาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป ส่วนผลไม้แห้งกินได้บ้างอาหารเสริม โพแทสเซียมน้ำ ,สารละลายลูกอล ( ไอโอดีน) ,วิตามิน บี 12 สารสกัดจากตับสด, ฮอร์โมนไทรอยด์, เอนไซม์แพนครีเอตินแบบไม่เคลือบ , แลทริล ,โคเอนไซม์คิวเท็น, ไนอาซิน วิตามิน 3 และ เอซิดอลเปปซิน และดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสดให้ได้วันละ 13 แก้ว
** ‘สวนลำไส้ล้างพิษ’ อีกวิธีลดการเกิดมะเร็ง
นอกจากการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัดแล้วนั้น นพ.สำราญ กล่าวเสริมอีกว่า ต้องเพิ่มกระบวนการ สวนลำไส้ล้างพิษ(Detox) ด้วยกาแฟเข้าไปด้วย โดยจะทำทุก 4 ชั่วโมงต่อวันและสวนด้วยน้ำมันละหุ่งวันเว้นวันควบคู่ไปด้วย เว้นแต่ผู้ป่วยที่เคยรับการรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัดไม่ต้องใช้น้ำมันละหุ่งสวนล้างลำไส้
ทั้งนี้ การสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ ทำได้ง่ายและสามารถทำเองที่บ้านได้ “ประโยชน์คือ ชำระอุจจาระที่ตกค้างในลำไส้ ที่สำคัญคือ ฤทธิ์กาแฟจะซึมเข้าทางผนังลำไส้ เส้นเลือดและตับ ซึ่งช่วยให้ตับซึ่งทำหน้าที่กรองของเสียให้ร่างกาย สะอาด และกลับมาทำงานได้ดีขึ้น และหากทำตามแนวทางการรักษานี้ทั้งการรับประทานอาหารและการสวนลำไส้ด้วยกาแฟอย่างเคร่งครัดภายใน 3 เดือนก้อนเนื้อร้ายจะยุบลง และภายใน 2 ปี จะกลับมาเป็นปกติ อัตราการรอด 5 ปีจะสูงถึง 42%” นพ.สำราญให้ข้อมูล
...อย่างไรก็ตาม ถึงตรงนี้ คำถามที่อยากให้ถามตัวเองก่อนก็คือ ก่อนที่มะเร็งจะเข้ามาอยู่ในตัวของเรานั้น เราเองได้ระวังป้องกันมากน้อยแค่ไหน เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่ก่อความเสี่ยงขึ้นทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากอาหารการกินต่างๆ การเผชิญกับมลพิษทางอากาศ การได้รับสารเคมีโดยตรง หรือการสูบบุหรี่ เป็นต้น
ที่มา ..ผู้จัดการออนไลน์
http://women.thaiza.com/detail_79800.html