Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...

เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: Smile Siam on 22 December 2012, 07:17:55

Title: ทางนฤพาน โดย ท่านดังตฤณ ( บทที่ ๑ ถึง ๒๙ จบบริบูรณ์ )
Post by: Smile Siam on 22 December 2012, 07:17:55
ทางนฤพาน โดย ท่านดังตฤณ ( บทที่ ๑ ถึง ๑๐ )


บทที่ ๑  รักแรกพบ

    มันเกิดขึ้นอีกแล้ว...

    เกาทัณฑ์เห็นตนเองขับรถคู่ใจไปบนถนนยาวเหยียด ไม่รู้ทางกลับบ้าน ไม่ทราบจุดหมายปลายทาง เขารู้สึกเดียวดายเหมือนถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ในอีกมิติหนึ่งเพียงลำพัง เบื้องหน้าเป็นท้องฟ้าที่ดูคับแคบ หม่นมืดน่าอึดอัด ชวนให้จิตใจหดหู่วังเวงอย่างยากจะบรรยาย

    นี่ต้องไม่ใช่โลกใบเก่าแน่ๆ

    สะกิดใจด้วยความเคยคุ้นที่ฝึกถามตนเองบ่อยๆขณะตื่น ว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ชายหนุ่มรีบยกฝ่ามือข้างขวาขึ้นดู เพ่งพินิจลายมืออย่างตั้งใจ ทีแรกปรากฏเป็นเส้นสายยุ่งเหยิงดูไม่คุ้นตา จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอึดใจหนึ่ง เส้นลายมือก็เริ่มโย้เย้ ขาดความชัดเจน จึงรู้ตัวในบัดนั้นว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน และเป็นฝันอันไม่พึงปรารถนาเสียด้วย

    พอรู้ตัว เกิดสติทราบชัดว่ากำลังหลับ กำลังอยู่ในโลกที่ถูกจิตสร้างขึ้น เกาทัณฑ์ก็ตระหนักว่าตนสามารถบงการทุกสิ่งให้เป็นไปดังใจ เขากำหนดให้สภาพของรถเปลี่ยนเป็นอื่น ด้วยเคล็ดคือปิดตาลงนึกถึงสภาพภายในห้องโดยสารเครื่องบินเล็ก แล้วลืมตาขึ้น

    เป็นไปตามต้องการ พวงมาลัยรถเปลี่ยนเป็นคันบังคับเครื่องบินเล็ก

    นักบินในโลกความฝันดึงคันบังคับขึ้นเพื่อให้เครื่องเชิดหัวทะยานสู่ท้องฟ้า หลบหนีจากทางร้างวังเวงน่าทรมานไปเสีย เขาพยายามสังเกตรายละเอียดของเครื่องบิน เช่นเหลียวไปนอกหน้าต่าง ดูปีกขวาที่ยื่นยาวออกไป โดยกำหนดมองไม่นานนัก เพราะทราบว่าถ้ามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ภาพจะเปลี่ยนเป็นอื่นตามธรรมชาติของผู้เริ่มฝึกสติขณะฝัน

    ปรับระดับการบินคงที่ ชะโงกหน้าก้มลงมองต่ำผ่านกระจกหน้าต่าง บัดนี้เขาลอยตัวขึ้นมาอยู่สูงเหนือพื้นดินลิบลับ เบื้องล่างคือความเวิ้งว้างของผืนดินสีน้ำตาล บอกตนเองว่านี่มันแดนสนธยาชัดๆ นึกดีใจที่หนีมาเสียได้

    ขยับตัวมองตรง ความกดอากาศข้นหนักจนอึดอัด ทำไมความอึดอัดยังตามขึ้นมาอีก ลอยตัวสูงขนาดนี้ อากาศน่าจะสดชื่นได้แล้ว เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วเคร่ง จิตประหวัดถึงความจริงที่ตนบังคับเครื่องบินเล็กไม่เป็น เคยแต่นั่งโดยสาร จะหาจุดหมายปลายทางมาแต่ไหน

    จะเดินทางกลับบ้านได้อย่างไร ถ้าในหัวเต็มไปด้วยความไม่รู้

    หลงอีกแล้ว คราวนี้ยิ่งเคว้งคว้างเข้าไปใหญ่ เพราะทุกทิศทุกทางคืออากาศว่างเปล่า บังเกิดความกลัวขึ้นมาขณะหนึ่ง หากความฝันคือการหลงติดอยู่กับความคับแคบ เขาก็อยากออกจากฝันเสียโดยพลัน

    มีอาการควานหาทาง ซึ่งครั้งนี้มิใช่ทิศทางพุ่งไปของเครื่องบิน ทว่าฉลาดขึ้นมาหน่อย คือหาทางออกจากฝัน...

    ขณะค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น เกาทัณฑ์หายใจถี่เหมือนคนออกแรงไปมาก เขาต้องปรับสติเป็นครู่ กว่าจะแน่ใจว่าหลุดออกมาจากกรงแห่งความฝันแล้ว

    รอจนอาการทางกายสงบเป็นปกติ ชายหนุ่มจึงลืมตามองเพดานห้อง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แทบจะคืนเว้นคืนในช่วงหลังที่เขาต้องทรมานกับฝันประหลาด ฝันว่าหลงทาง ขี่จักรยานเสือหมอบไปตามทุ่งร้างบ้าง เดินเท้าเปล่าไปตามถนนในเมืองที่ปราศจากผู้คนบ้าง มาคืนนี้ขับรถไปในแดนสนธยา ยิ่งร้ายกว่าทุกคืนตรงที่แม้เกิดสติ พยายามหนีขึ้นฟ้าแล้วก็ยังหลงอยู่นั่น

    แต่ละปีมีคนเป็นโรคประสาทเพราะฝันร้ายกันมาก ทางจิตวิทยายืนยันว่าถ้าคนเราฝันผิดปกติรบกวนจิตใจซ้ำๆ ต้องเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง จะปมในอดีตหรือเรื่องคาใจในปัจจุบันก็ตาม

    คงน่ากังวลน้อยกว่านี้ หากเขาจะรู้ตัวว่ามีปมปัญหาอยู่จริง แต่นี่จะให้สืบเค้าจากไหน ในเมื่อเขาเกิดมาท่ามกลางความพรั่งพร้อม กับทั้งกำลังอยู่ท่ามกลางความมั่งคั่งและมั่นคง อัตราส่วนของรายรับกับรายจ่ายผิดกันแทบเป็นสิบต่อหนึ่ง รถมีให้ขับ ห้องหับมีให้อยู่เป็นของตนเอง ทุกอย่างได้มาจากน้ำพักน้ำแรงในทางอันชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรมทั้งสิ้น ที่จะต้องหวาดระแวงสักน้อยว่าตำรวจมาจับหรือศัตรูมาล้างนั้น ไม่มีเลย

    แรงผลักดันในชีวิตโดยรวมคือความเป็นหมายเลขหนึ่ง นับแต่วัยเรียนที่ผลสอบเป็นเกรดเอรวด หรือคะแนนเต็มคนเดียวในวิชายาก มาจนถึงวัยทำงานที่ความรู้ความสามารถโดดเด่น การงานลุล่วงและดีเลิศ รวยโดยไม่ต้องโกง มีความสุขโดยไม่ต้องเบียดเบียนคนอื่น แถมรู้จักวิถีทางชีวิตของตนเอง วางแผนไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะเอาอะไรเมื่ออายุเท่าไหร่

    แต่ทำไมส่วนลึกยังรู้สึกว่าหลงทาง โดยเฉพาะเมื่อมาถึงขีดความมั่นคงในชีวิตอย่างที่สุดแล้วนี้?

    เกิดความกลุ้มจนเมื่อหลายวันก่อนต้องยอมเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศ เพื่อปรึกษากับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นจิตแพทย์ แต่ฝ่ายนั้นคงไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าฟรีๆเพื่อล้วงตับไตไส้พุงของเขาเอาไปวิเคราะห์เท่าไหร่ ฟังแล้วจึงให้คำแนะนำมาง่ายๆ คือลองฝึก ‘รู้ตัว’ ขึ้นมาในฝัน ด้วยเคล็ดคือถามตนเองบ่อยๆระหว่างวัน ว่ากำลังฝันหรือตื่น พอถามตัวเองทีก็ยกมือดูลายมือเสียที ว่าชัดหรือจาง หากชัดก็บอกได้ว่ากำลังตื่น หากจาง และเส้นสายเปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่าเป็นฝัน ให้กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไรในจังหวะที่รู้ตัวแล้วนั้น

    ฝรั่งมังค่าวิจัยและบันทึกผลเกี่ยวกับความรู้ตัวชัดในฝัน หรือที่เรียกเป็นศัพท์เฉพาะว่า Lucid Dreaming มาเนิ่นนาน เป็นที่รู้จักและปฏิบัติได้ผลกันอย่างกว้างขวางพอควร มีเรื่องบันทึกเล่าขานมากมาย พอสรุปได้ว่าจะเอาอะไร แก้ปมเครียดชนิดใด หรืออยากสนุกสุดเดชแค่ไหน ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ขอเพียงสั่งสมทักษะในการควบคุมฝันไว้อยู่มือ

    เขาทำตามคำแนะนำอย่างดิบดี โดยมากกำหนดไว้คือเมื่อไหร่รู้ตัวว่าฝันหลง จะหลบทางร้างเสียด้วยการเหาะหนี ซึ่งก็สำเร็จอยู่หรอก ปลูกเชื้อจิตสำนึกขณะตื่นไว้จนสามารถติดตามมาเชื่อมติดกับจิตขณะฝันได้ อีกทั้งกำหนดให้ตนพ้นจากพื้นแล้ว แต่พอล่องฟ้าก็ยังหลงอยู่ดี แบบที่เขาเรียกหนีเสือปะจรเข้อย่างไรอย่างนั้น

    ส่ายหน้าดิก ถ้าฝันแค่หนสองหนก็ช่างเถิด แต่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ตื่นขึ้นมาแล้วถามตัวเองว่าลืมอะไร หลงอย่างไรเข้าบ้าง ระยะยาวคงบั่นทอนสุขภาพจิตจนหมดความสุขในชีวิตเอาทีเดียว

    เอ...หรือว่าน่าจะไปเปิดหัวให้ไกลๆ เดินทางแบบสุดเหนือสุดใต้ประชดฝันเสียเลย

    ทีแรกแค่คิดแบบวูบวาบเรื่อยเปื่อย แต่พอเวลาผ่านไปนิดหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกจริงจังตึงตังขึ้นมา โปรเจ็กต์ขนาดกลางซึ่งเขารับผิดชอบเพิ่งเรียบร้อยไปเมื่อวาน น่าจะให้นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ได้หยุดเฉยสักสองสามวัน ท่องเที่ยวไปตามต่างจังหวัดให้สบายใจ

    แวบหนึ่งคิดอยากชวนเพื่อนตามประสาคนชอบเฮฮากับหมู่ แต่ใครจะไปตกค้างอ้างแรมกับเขาได้ ในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันทำงาน

    ลังเลอยู่เพียงครึ่งนาทีก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าฉายเดี่ยวดูสักครั้ง นี่จะเป็นหนแรกอย่างแท้จริง ที่คิดแล่นไกลตามลำพัง ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของสาวสวยและเสียงเอะอะโวยวายของเพื่อนขี้เมารอบรายพะรุงพะรัง

    นึกวาดภาพการท่องเที่ยวอันโดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว ก็รู้สึกขึ้นมาขณะจิตหนึ่งว่า เออ...สบายดี ได้ลองพูดน้อยๆ เห็นผู้คนน้อยๆ จะไปไหนทีไม่ต้องพะวงถามไถ่ความเห็นชอบจากใคร ช่างเป็นประสบการณ์สดใหม่อย่างประหลาด ราวกับกำลังจะออกผจญภัยครั้งแรกในโลกกว้างที่ไม่เคยรู้จักฉะนั้น

    ส่วนลึกแล้วเห็นว่านี่น่าจะแก้เคล็ดฝันหลงได้ เขาแน่ใจว่าตนเองไปไกลทั่วไทยโดยไม่หลง ทั้งสติปัญญา ทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์พร้อมพรักออกอย่างนี้ หากบ้องตื้นขนาดขับรถไปหลงที่ไหนก็ไม่ต้องกลับเข้าเมืองอีกแล้ว สมัครทำไร่ไถนาชดใช้ความบื้ออยู่แถวๆที่หลงนั่นแหละ

    สะสางธุระยามเช้าในห้องน้ำ ออกมาโทรศัพท์หาเจ้านาย เขามีความสำคัญกับบริษัทและสนิทกับเจ้านายมากพอจะโทร.ขอลาหยุดงานได้ปุบปับ ฝ่ายนั้นรับฟังและอวยพรให้เที่ยวสนุกอย่างง่ายดาย เขาทำงานตลอดเจ็ดวันอยู่หลายช่วง อีกทั้งเพิ่งจะปิดโปรเจ็กต์ไปเมื่อวาน สองสามวันสำหรับเปิดหัวจึงนับเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว

    ใส่เสื้อฮาวายหลวมสบายและกางเกงยีนส์ตัวโปรด ยัดเสื้อผ้าหลายชุดใส่กระเป๋าสะพาย ก็พร้อมเดินทางทันที นับเป็นความรู้สึกอิสระไร้กังวลอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่จุดหมายปลายทาง แผนการท่องเที่ยวก็ยังไม่ปรากฏขึ้นในหัวเลย ขอให้เดินทางพ้นไปจากกรุงเทพฯก่อนเถอะ

    เคลื่อนรถออกจากที่จอด แม้กระทั่งเกือบถึงประตูทางออกจากเขตคอนโดมิเนี่ยม ก็ยังไม่ตกลงปลงใจอยู่ดี ว่าจะไปไหน เหนือ ใต้ ออก หรือตก จนเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่นั่นแหละ ถึงปลงใจว่าให้ถนนพาไปก็แล้วกัน

    ขับเรื่อยเฉื่อย ไม่ทำความเร็วอย่างเคย กระทั่งพบว่าตนเองอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต และอีกสิบนาทีต่อมา ก็แฉลบมาวิ่งบนเส้นทางที่จะไปเมืองกาญจ์

    เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องหาอาหารเช้าใส่ท้องเสียหน่อย จึงจอดทานที่ร้านนั้น ทานอิ่มก็ขึ้นรถสตาร์ทเครื่องเดินทางต่อ เกาทัณฑ์ยิ้มอยู่กับตนเอง เหมือนเมื่อครู่ได้ทำสิ่งพิเศษ ตอนนี้เขาเป็นอิสระจริงๆ ทั้งจากการงาน จากสังคม และแม้กระทั่งจากความต้องการของตนเอง ไร้แผนการในหัว ได้แต่ทอดตาไปเบื้องหน้าเพื่อมุ่งเดินทางอย่างเสรี หิวก็หาทาน ง่วงก็หานอน เดินทางต่อแล้วต่ออีก ไม่มีใครให้ห่วง ไม่มีภาระให้พะวงถึง

    ยิ้มออกมาเฉยๆ ต้องอย่างนี้กระมัง ที่สร้างความรู้สึกใหม่ได้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    ความสดชื่นรื่นเริงกับเสรีภาพไร้ขอบเขตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว ก็ต้องมลายวับ เมื่อช่วงหนึ่งถึงถนนเหยียดยาว แลเห็นท้องฟ้าว่างเปล่าเบื้องหน้า สะกิดให้นึกถึงภาพฝัน และเกิดคำถามในหัวว่า ‘นี่เรากำลังจะไปไหน?’

    อารมณ์สดชื่นแผ่วซึมลงถนัด เกาทัณฑ์หรี่ตากับตนเอง เบี่ยงรถเข้าจอดที่ไหล่ทาง และเหมือนพยายามให้คำตอบกับตนเองเป็นเหตุเป็นผล ว่าที่ขับรถออกมาอย่างไร้จุดหมายนี้ ก็เพื่อสร้างบรรยากาศเลียนแบบฝัน และหาทางออกด้วยภาวะจิตใจที่เต็มตื่นบริบูรณ์

    ตอนนี้เหมือนอยู่ในฝันเปี๊ยบ ต่างกันตรงที่มีสติคิดอ่านพรักพร้อม

    สว่างวาบขึ้นมากะทันหัน เกาทัณฑ์ใช้หางตามองกระจกหลัง แล้วเบนไปมองเบื้องหน้า เมื่อเห็นถนนปลอดก็หักพวงมาลัยเหยียบคันเร่ง พุ่งรถวนย้อนสวนทางกลับคืนเมือง นี่ยังไง คราวนี้ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึก รู้ตื่น รู้ตัว ว่าเขากำลังจะวิ่งกลับบ้าน ชายหนุ่มซึมซับความรับรู้ชนิดนั้นไว้อย่างเต็มตื้น เกิดความสุข ความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง นี่อาจเป็นเกมแก้ฝันที่ต้องลงทุนลงแรงและเปลืองเวลานิดหน่อย แต่ก็คุ้ม หากฝันอีก เขาจะนึกถึงการวกกลับมาสู่ฐานที่มั่นของชีวิตเช่นกำลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้

    ท่องซ้ำๆด้วยความโสมนัส ว่าจะจำการย้อนทางกลับบ้านอย่างนี้ จะจำการย้อนทางกลับบ้านอย่างนี้ เยาะในใจว่าเขาหาทางออกได้เก่งกว่าจิตแพทย์เสียอีก

    ต่อโทรศัพท์มือถือ กรอกเสียงลงไปอย่างรื่นเริงฝากเลขาฯของเจ้านายว่าพรุ่งนี้เขาจะไปทำงานตามปกติ ยกเลิกวันลาที่ขอไว้ เจ้านายคงงง แต่น่าจะชินแล้วกับความเป็นคนตัดสินใจเร็วตามสถานการณ์เฉพาะหน้าของเขา อาจคิดว่าเขาเจออุปสรรคบางอย่าง หรือเกิดไอเดียใหม่ที่ร้อนใจอยากเริ่มต้นเสียแต่พรุ่งนี้ก็ได้

    ขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง หนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความรู้จักมักคุ้น ภาพความว่างเปล่าไร้จุดหมายสลายหายหนไปสิ้น อิสระที่แท้จริงสำหรับชีวิตเขาคือการงานซึ่งชูตัวตนให้สูงเด่นเป็นสง่า เมื่องานอยู่ในมือ เขาสามารถทำอะไรก็ได้ ทุกคนต้องเงี่ยหูฟังเขาพูด ทุกคนต้องให้น้ำหนักกับความเห็นและการตัดสินใจของเขาก่อน นั่นแหละตัวตนของเขา นั่นแหละจุดหมายปลายทางในชีวิตเขา และเขาก็อยู่ที่จุดหมายปลายทางของชีวิตแล้ว

    ใกล้เข้าเขตกรุงเทพฯ สายตาเหลือบซ้ายเห็นป้ายบอกทางเข้าวัด เมื่อขามาไม่สังเกต แต่ขากลับเห็นเด่นถนัดตา แล้วก็ถึงกับขนลุกซู่กับชื่อบนแผ่นป้ายไม้หนา

    วัดทางนฤพาน

    ความเร็วของรถชะลอลงทันใด นึกออกเดี๋ยวนั้นว่านี่เป็นปากซอยเข้าบ้านปู่ซึ่งเขาห่างหายหน้า ไม่แวะมาเยี่ยมเยียนหลายปีดีดัก เขาจำชื่อวัดได้ เพราะเห็นสะดุดตา ฟังสะดุดหูผิดแผกแตกต่างจากชื่อวัดอื่น เมื่อก่อนเคยมาบ้านปู่กับพ่อสองสามหน เหลียวมองป้ายชื่อวัดด้วยความสนใจทุกครั้ง คล้ายมีมนต์ขลังบางอย่างดึงให้ต้องมอง แม้เมื่อสายตากำลังจับที่อื่น ก็จะเหมือนเผอิญหันขวับมาเจอทุกคราวไป

    ปุบปับตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอย ดีเหมือนกัน จะได้มาไม่เสียเที่ยว ลองเข้าไปดูเสียหน่อย ว่าสภาพวัดเป็นอย่างไร ใจไม่คาดหวังอะไรเลย เพราะเห็นมาจนรู้ดีว่าวัดก็คือวัด ที่อยู่ของพระสงฆ์ และพระสงฆ์ก็มีมากมายหลายประเภท ทั้งพวกชาวบ้านที่วันดีคืนดีหยิบจีวรมานุ่งห่มตามประเพณี และพวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับชีวิตบางอย่างซึ่งเขาไม่เข้าใจ คือ ‘เห็น’ ขนาดพร้อมจะสละบ้านเรือนและทรัพย์สินอย่างไร้ความอาลัยไยดี

    ผ่านหน้าบ้านปู่ ทีแรกเกือบเลยไปด้วยความขี้เกียจแวะทักญาติผู้ใหญ่วัยชรา ปกติเขามักพบท่านที่บ้านญาติเช่นลุงหรืออา น้อยครั้งจะมาหาถึงนี่

    ความจำด้านดีเกี่ยวกับปู่แวบเข้ามาในหัว ปู่เป็นคนพิเศษ เป็นคนแก่ที่ดูไม่แก่ มีคำพูดสะกิดใจ ชวนคิดได้เกือบทุกคำ นั่นทำให้ตัดสินใจฝืนความรู้สึก ไหนๆก็กำลังเบื่อ ลงเยี่ยมคนแก่ให้เกิดความเบื่อลบล้างความเบื่อ อาจกลับออกมาด้วยความกระชุ่มกระชวยขึ้นก็ได้

    นึกเล่นๆว่าอาจเจออะไรไม่คาดฝันเข้าบ้าง…

    มองปราดเดียวรู้เลยว่าบ้านไม้สองชั้นของปู่เก่าแก่นมนาน ทว่าได้รับการดูแลซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นป่านนี้ก็คงเห็นผุพังไม่เจริญตานัก เกาทัณฑ์จอดรถลงมากดออดหน้าประตูบ้าน รอบบริเวณเงียบเชียบอย่างไม่น่าจะมีคนอยู่  ชวนให้คิดว่าคนในบ้านอาจออกไปข้างนอก ซึ่งนั่นก็แปลว่าเขาแวะลงเสียเที่ยวเปล่า

    กำลังหันรีหันขวางจะขึ้นรถหนีด้วยความอดทนต่ำ ก็เผอิญเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากเรือนชั้นล่างและเมียงมองมา เกาทัณฑ์เขม้นตาจ้องหล่อนด้วยความแปลกหน้า ความที่เคยตามพ่อมาเยี่ยมปู่น้อยหน ทำให้ไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร สมาชิกในเรือนมีอยู่กี่คน จำได้หลักๆเพียงปู่ชนะ ย่าเล็กซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว กับเด็กอีกสองสามคน

    ผู้หญิงคนนั้นเดินมาใกล้ประตู ลมหายใจเกาทัณฑ์ถึงกับขาดห้วง งันนิ่งไปเมื่อเห็นหล่อนถนัด

    "มาหาใครคะ?"

    กังวานใสของแก้วเสียงวิเวกหวานนั้นทำให้เขารู้สึกตัว และเปิดยิ้มปราศรัยได้

    "ปู่ชนะอยู่ไหมครับ? ผมเป็นหลาน"

    ชอบกล ที่เขาเห็นหน่วยตาของหล่อนขยายขึ้นหน่อยๆ ฉายแววคล้ายเปลี่ยนจากลังเลเป็นมั่นใจ และมองมาด้วยท่าทีแปลกกว่าเดิม

    "อยู่ค่ะ" ตอบแผ่วแล้วไขประตูเปิดให้ “กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ชั้นบน"

    ชายหนุ่มก้าวเข้ามาข้างใน มีความสงบอกสงบใจเกิดขึ้นพร้อมกับการวางเท้าลงในเขตบ้านของปู่ สาวงามยิ้มให้เขาบางๆ ทำท่าจะปลีกตัว ทว่าความอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยชีวิตชีวาอย่างประหลาดนั้น รัดรึงใจให้เกาทัณฑ์ไม่นึกอยากปล่อยหล่อนห่างไปเร็วนัก จึงรีบตั้งคำถามที่พอจะนึกได้ปุบปับทันด่วน

    "คุณเป็นหลานปู่ ลูกพี่ลูกน้องของผมหรือเปล่าเอ่ย?"

    วงศ์วานว่านเครือของปู่และย่ามีอยู่มากมายก่ายกอง เขาจำไม่หมด โดยเฉพาะที่ห่างหน้าหายตากันหลายๆปี ทบทวนดูแล้วเชื่อว่าสมัยเด็กเขาไม่เคยเห็นหล่อนที่นี่มาก่อนแน่ๆ

    สบตากัน นิลเนตรมีประกายสงบซึ้งที่สะท้อนความเรียบนิ่งของจิตใจอันงดงาม หายากที่จะพบดวงตาชนิดนี้ เหมือนมองแผ่นน้ำที่ทำให้ใจใสเย็นและอ่อนโยนตามได้ฉะนั้น

    "ก็ไม่เชิงค่ะ...เดี๋ยวจะทำน้ำส้มขึ้นไปให้ เชิญก่อนนะคะ"

    เกาทัณฑ์ฟังหล่อนพูดตอบ แต่จิตใจมัวจดจ่อกับเรียวปากสวยที่ขยับเจรจาได้งามปานวาด หญิงสาวผายมือไปทางบันไดขึ้นเรือน ระบายยิ้มอ่อนและก้าวเท้าลับหายไปทางหนึ่ง ไม่เปิดโอกาสให้เขาทันต่อความยาวสาวความยืดนานกว่านั้น

    เดินขึ้นเรือนอย่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว รูปติดตา เสียงติดหูตามมาทุกฝีก้าว หนทางในทิศที่ปราศจากหล่อนดูไร้ความหมายขึ้นมากะทันหัน

    พื้นที่กลางเรือนชั้นบนจัดวางด้วยโต๊ะเก้าอี้  ทีวี  ตู้เย็นและพัดลมเก่าแก่ ราวกับหยุดยุคสมัยไว้กับวันวาน เกาทัณฑ์พบคุณปู่นั่งเอกเขนกกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่บนเก้าอี้โยก ท่านไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยจากการมองผาดทีแรก

    "สวัสดีครับปู่"

    ชายหนุ่มส่งเสียงนำ เมื่อเห็นท่านเงยหน้ามองก็พนมมือไหว้ ปู่ลดหนังสือพิมพ์ลงวางกับตัก เกาทัณฑ์มองท่านอย่างเกรงว่าจะจำตนไม่ได้ แต่ปรากฏว่าท่านมองด้วยตาเปล่าปราศจากแว่นอยู่ครู่ก็ทักเรียบๆอย่างคนมีสติระลึกรู้แจ่มชัด

    "อ้าว! เป็นไงนายเต้ มาถึงนี่ได้"

    ชายหนุ่มยิ้มและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง แค่ได้ยินเสียงก็ระลึกได้หมดถึงบรรยากาศเก่าๆในวันก่อน บังเกิดความยินดีที่ได้พบท่านอีกครั้ง

    "อยากมาเยี่ยมปู่สิฮะ"

    เพิ่งอยากเอาจริงๆก็ตอนที่พูด แปลกที่นึกรักปู่ขึ้นมากมายปุบปับ อาจเป็นด้วยความเย็นใจรอบกาย อาจเป็นด้วยดวงตาดำสนิทราวกับหนุ่มฉกรรจ์ผู้รู้คิดและเปี่ยมเมตตา อาจเป็นด้วยท่าทีทรงภูมิและสุขุมคัมภีรภาพของท่าน...

    หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเพิ่งรู้ว่าในบ้านนี้มีสาวแสนสวยคนหนึ่งอาศัยอยู่

    "ผมไม่ได้มาเยี่ยมปู่เสียสามสี่ปี"

    เอ่ยคล้ายสารภาพผิด ผู้อาวุโสพับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะ

    "เจ็ดปี" ท่านแก้ด้วยน้ำเสียงแน่นของผู้มีสมองประจุไว้ด้วยความจำอันชัดเจนเท่ากับหรือมากกว่าคนรุ่นหนุ่ม "ตอนมาครั้งสุดท้ายน่ะแกเรียนวิศวะฯปีสองไง ฉันยังทักเลย เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็ขึ้นปีสองแล้ว และถามว่าพอจบจะไปต่อโทเมืองนอกเลยหรือเปล่า”

    เกาทัณฑ์อ้าปากค้างเป็นครู่ด้วยความงงงัน นึกไม่ถึงว่าท่านจะจำรายละเอียดเกี่ยวกับหลานผู้ห่างเหินอย่างเขาได้แม่นยำขนาดนั้น

    "อ้อ…เอ่อ ปู่สบายดีใช่ไหมฮะ? ดูก็รู้"

    "ก็เท่าที่คนแก่จะสบายได้นั่นแหละ...หน้าตาท่าทางแกเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะนี่ ถ้าเดินสวนกันข้างนอกคงจำไม่ได้ ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งส่วนสูง ทรงผมทรงเผ้า ท่วงทีนั่งเดินภูมิฐานกว่าสมัยวัยรุ่นเป็นคนละคน"

    ชายหนุ่มยิ้มเฉียง

    "บ้านปู่เงียบยังไงก็อย่างนั้นเลย ดีจริงๆที่ได้อยู่กับอากาศอย่างนี้ ปู่คงแข็งแรงไปอีกนาน”

    "อยากมาอยู่มั่งไหมล่ะ?"

    เกาทัณฑ์ไม่ได้นึกถึงสถานที่กลางสิ่งแวดล้อมดีๆ แต่ไพล่ไปนึกถึงแม่งามผู้น่าใกล้ชิดเสียแทน ปากจึงตอบเรื่อยเปื่อยตามประสา

    "อยู่ได้ก็ดีสิฮะ บ้านแสนสุขอย่างนี้" แล้วก็วกมาถามถึงเจ้าหล่อนนางนั้นอย่างสบจังหวะ "ผู้หญิงที่เปิดประตูให้ผมเมื่อกี้ใครครับ? ถามแล้วเห็นว่าไม่ใช่หลานปู่"

    ปู่ชนะหยิบหูถ้วยแก้วข้างตัวขึ้นจิบน้ำชา

    "แกจำยายแพไม่ได้เหรอะ?"

    เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วงง

    "แพ? ผมเคยรู้จักเขาด้วยหรือครับ?"

    ถามอย่างนึกไม่ออกจริงๆ ปู่ชนะพยักหน้าแล้วพูดปัดตัดบท

    "เอาเถอะ ก็หลานฉันคนหนึ่งน่ะแหละ"

    “เอ๊ะ! ยังไงกัน เขาบอกไม่ใช่ แต่ปู่บอกใช่”

    ชายชราผ่อนลมหายใจ เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ

    "นี่กินอะไรมารึยังล่ะ?"

    "เรียบร้อยฮะ ปู่ล่ะครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจะออกไปซื้อให้ไหม?"

    "ไม่ต้องหรอก เพิ่งกินกับยายแพไปเมื่อกี้เหมือนกัน"

    พอดี ‘ยายแพ’ เดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมกับแก้วน้ำส้มคั้น เกาทัณฑ์ชะงักไป และมองหล่อนนำเครื่องรับรองมาวางตรงหน้าด้วยดวงตาจับนิ่ง ใจคล้ายถูกแช่เย็นไปชั่วขณะด้วยอิทธิพลเหนือคำบรรยายในหล่อน

    "แพ นี่เต้ หลานปู่ รู้จักพี่เขาไว้นะลูก"

    หญิงสาวพนมมือไหว้ตามมารยาทและยิ้มให้เขาบางๆ เกาทัณฑ์รับไหว้และยิ้มตอบด้วยท่าทีของพี่ชาย ท่วงทีกิริยาของหล่อนฉายความบริสุทธิ์สะอาดไปตลอดทั้งกายใจเยี่ยงผู้เป็นอยู่เรียบง่ายสันโดษ ทว่าดวงตาแฝงแววฉลาดรู้ลึกซึ้ง ทำให้ภาพร่างชวนทัศนานั้น ยิ่งดูยิ่งมีค่าขึ้นอย่างประหลาดล้ำ

    อยากยินเสียงหวานใสและแสนจะนุ่มหูของหล่อนอีก ทว่าเมื่อเสร็จจากยิ้มให้เขาพอเป็นพิธีแล้ว ก็หันกลับและเดินหลีกลงบันไดไป ชายหนุ่มมองตามจนลับสายตาด้วยความอยากจะหาเชือกมาทำบ่วงบาศก์เหวี่ยงไปคล้องตัวดึงหล่อนกลับมานั่งคุยกับเขาและปู่ต่อ ไม่ใช่ขึ้นมาทำให้ตาสว่างแล้วเดินหายไปเฉยๆ ราวกับตัวละครที่โผล่ออกมาจากม่านเรียกความสนใจคนดูให้เริ่มตั้งตาโตชม แต่แล้วยังไม่ทันแสดงบทบาทสำคัญก็แวบเข้าหลังเวทีเสียนี่

    ได้สติเมื่อปู่กระแอมเบาๆ เกาทัณฑ์หันกลับมายิ้มเก้อๆ อยากจะถามอะไรเกี่ยวกับหลานสาวของปู่อีกมากๆ แต่ก็ให้รู้สึกประเจิดประเจ้อไปหน่อย จึงเลี่ยงถามเรื่องอื่นเสียพ้นๆเป็นการพักยก

    "ปู่ยังนั่งวิปัสสนาอยู่หรือเปล่าครับ?"

    ดึงเข้าเรื่องนั้นเพราะบุคลิกลักษณะของปู่ยังดูเป็นผู้ทรงธรรมไม่สร่างซา ท่านคงยินดีคุยเกี่ยวกับของชอบเป็นแน่ สมัยเด็กพ่อเคยพูดเข้าหูบ่อย ว่าปู่รักการนั่งวิปัสสนาเป็นชีวิตจิตใจ

    “อือม์ ก็นั่งอยู่นะ ปะเหมาะเคราะห์ดีก็เดินวิปัสสนา ยืนวิปัสสนา หรือกระทั่งนอนวิปัสสนาด้วยเหมือนกัน”

    “นอนก็วิปัสสนาได้หรือครับ?” เกาทัณฑ์ทักกลั้วหัวเราะ “เอ สงสัยผมคงรู้จักคำนี้น้อยไปหน่อย”

    ทำใจให้นึกอยากรู้ความหมายและต้นสายปลายเหตุจริงจัง จะได้คุยกับปู่แบบออกรส ความรู้ความสามารถอันหลากหลายของเขามีส่วนช่วยเปิดใจให้ยอมรับข้อมูลใหม่เพื่อเข้ามาเก็บเป็นวัตถุดิบโดยปราศจากกำแพงกั้น แม้ส่วนลึกลงไปที่ก้นบึ้งหัวใจจะนึกปฏิเสธอยู่เต็มประตู สาเหตุก็มิใช่อะไรอื่น ปัจจุบันพระสงฆ์องค์เจ้าและการวิปัสสนาธุระทั้งหลายกลายเป็นภาพเสื่อมเสียที่ถูกตีแผ่แฉตามสื่อหลักต่างๆมั่วไปหมด ขุดคุ้ยแล้วมีแต่เรื่องหลอกลวงทั้งเพ แทบกล่าวได้ว่าใครเริ่มสนใจเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณหรือการศาสนา ก็เริ่มมีสิทธิ์เข้ารกเข้าพงแล้ว

    “แล้วแกนึกน่ะ วิปัสสนาเป็นยังไง ต้องนั่งอย่างเดียวหรือ?”

    ปู่ย้อนถาม เกาทัณฑ์คิดเล็กน้อยก่อนตอบตามจริง

    “พอได้ยินคำนี้ ผมจะนึกถึงภาพคนใส่ชุดขาว นั่งหลับตา หรือเดินจงกรมกลับไปกลับมา เพื่อทำจิตใจให้สงบ ปล่อยวางทางโลก หันหลังให้กับความบันเทิงทุกชนิด”

    “ถ้าเดินกลับไปกลับมาแล้วใจสงบ ปล่อยวางทางโลกได้ พวกชอบเดินเล่นหลังกินข้าวคงได้ดี บันเทิงใจเท่าพระกันไปแล้ว”

    เกาทัณฑ์หัวเราะ

    “ทราบอยู่ครับปู่ ว่าต้องมีวิธีกำหนดใจอยู่ข้างในด้วย”

    แล้วชายหนุ่มก็ถึงบางอ้อด้วยคำโต้ตอบของตนเอง เข้าใจในบัดนั้นว่าวิธี ‘ทำ’ วิปัสสนาไม่ขึ้นอยู่กับอิริยาบถภายนอก แต่เป็นวิธีการทางใจ

    “อย่างที่นึกดูลมหายใจไปเรื่อยๆแล้วเกิดฌาน เกิดญาณขึ้นมานี่ เรียกว่าวิปัสสนาใช่ไหมครับ?”

    “ถ้าทำสมาธิจนเกิดความนิ่ง แต่ไม่เปลี่ยนความเชื่อเก่าๆ ก็ได้ชื่อว่ามาแค่ปากประตูวิปัสสนาเท่านั้น”

    ชายชราตอบเอื่อยๆ ทว่าแฝงด้วยพลังล้นลึกชวนให้สงบและอยากฟังต่อ ฝ่ายหลานฟังพลางยกมือลูบคาง อมยิ้มและพยายามซ่อนแววตา มิให้ฉายความคิดชัดนัก ความเชื่อแบบไหนกันที่เป็นเป้าหมายของวิปัสสนา แบบที่ล้างสมองจนเห็นว่าควรหันหลังและทิ้งขว้างความสนุกบรรดามีในโลกอย่างนั้นหรือ?

    “ความเชื่อเก่าๆเสียหายตรงไหนครับ?”

    “ตรงที่มันคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้ดวงจิตอยู่ในสภาพเชื้อของทุกข์น่ะซี”

    “ความเป็นจริง? ปู่คงหมายถึง เอ้อ...อะไรที่เขาเรียกกันว่าความจริงสูงสุดใช่ไหมฮะ? ถ้าว่ากันแบบปรัชญา ทางพุทธอนุญาตให้ความจริงผูกอยู่กับมุมมองของแต่ละคนได้หรือเปล่า? ผมเคยคุยกับเพื่อนครั้งหนึ่ง ไม่ได้แย้งปู่นะครับ คือเรามองกันว่าคนเลือกเชื่อยังไง ก็มีความจริงรองรับอยู่อย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเชื่อว่าชีวิตคือหน้าที่ เราก็จะพบหน้าที่สักอย่างที่สมตัว และอยู่กับมันไปได้จนตาย”

    เกาทัณฑ์ควบคุมเสียงไม่ให้มีน้ำหนักเกินออกมาจนกลายเป็นการชวนปู่โต้วาที

    “ก็จริง” ปู่รับด้วยสีหน้าออกยิ้ม “บางคนก็รักหน้าที่ ยึดมั่นในหน้าที่ขนาดยอมตายได้”

    “นั่นซีครับ” ชายหนุ่มรีบเสริม “แสดงให้เห็นว่าใครตั้งมุมมองเพื่อเชื่ออะไรสักอย่าง ชีวิตก็จะเป็นไปตามนั้น มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่พิสดารกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็ตรงความหลากหลาย ความเป็นอิสระในการเลือกเชื่อ และเล่นแร่แปรธาตุความเชื่อให้กลายเป็นรูปธรรม กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ขึ้นมา ผมถึง...สงสัยอยู่บ้าง เมื่อมีการบัญญัติคำว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ไว้ในคัมภีร์ของแต่ละศาสนา เราเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัดว่านั่นแน่นอนแล้ว ชนิดดิ้นเป็นอื่นไม่ได้?”

    “ก็คงต้องดูที่พระศาสดาแต่ละองค์ตรัสมั้ง ว่าเมื่อมาตามทางของศาสนาแล้ว จะเกิดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นความจริงชนิดไหน ถ้าสาวกต่างๆทำตามกติกาแล้วพบความจริงตามนั้น ก็ถือว่าใช่”

    ชายหนุ่มเอียงคอนิดหนึ่ง น่าประหลาดแท้ เขาเคยเรียนพุทธศาสนาในหลักสูตรมาก่อน แต่ตอนนี้ลืมแล้วว่าเป้าหมายของพุทธศาสนาคืออะไร

    “แล้วผลลัพธ์ของการมาตามทางพุทธ หรืออีกนัยหนึ่งการทำวิปัสสนานี่ คืออะไรครับปู่?”

    “การดับทุกข์...ดับชนิดที่กลับกำเริบขึ้นไม่ได้อีกเลย”

    คราวนี้เกาทัณฑ์แอบหัวเราะอยู่ในใจ คนตายไงล่ะ หัวใจไม่กลับเต้นอีก ก็คือสิ้นทุกข์อย่างสนิท นั่นแหละความจริง นั่นแหละสิ่งที่ประจักษ์ตาว่าเป็นปลายทางของทุกชีวิต เขาไม่เห็นเลยว่ารางวัลของพุทธจะแตกต่างจากโบนัสของธรรมชาติตรงไหน

    อ้อ...ลืมไป อย่างปู่คงเชื่อเรื่องชีวิตหน้า โลกสวรรค์ โลกนิพพาน

    สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่า ‘ความจริง’ อย่างไรได้ ในเมื่อไม่มีอะไรมารองรับสักอย่างนอกจากความเชื่อ เป็นการเชื่อโดยปราศจากพื้นยืนโดยแท้

    แต่ราวกับปู่ล่วงรู้ว่าเขาคิดอะไร ท่านเอ่ยเนิบว่า

    “ถ้าเหลือแต่ใจที่เสมอกับธรรมชาติ เลิกดิ้นรน เลิกเป็นเชื้อไฟอย่างสิ้นเชิง คนเราเป็นสุขได้ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก เพราะบนสวรรค์อาจมีความน่าขัดใจ จัดเป็นทุกข์ทางใจชนิดหนึ่ง การดับทุกข์อย่างสนิทเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน พิสูจน์ได้ก่อนตาย เชื่อได้สนิทใจเดี๋ยวนี้ ต่างจากโลกหน้า ที่ต้องตายเสียก่อนถึงรู้ว่าเรื่องกุหรือของจริง”

    “เข้าใจล่ะครับ พอจำได้แล้วว่าพุทธศาสนาเน้นเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ก่อนอื่นต้องเริ่มด้วยการเห็นทุกข์ เหมือนมองให้ออกว่ามีไฟไหม้ แล้วก็ต้องหาน้ำมาดับไฟ ซึ่งน้ำนั้นคือวิปัสสนานี่เอง ถูกไหมครับ?”

    “บางทีน้ำที่เอามาดับไฟอาจเป็นแค่สติปัญญารู้ตัวธรรมดาๆก็ได้ เอางี้ แกเชื่อไหมว่าโดยธรรมชาติน่ะ คนเราหวงทุกข์ ทั้งรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้น ก็ยังทู่ซี้จะรักษาเอาไว้”

    เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง

    “เหรอครับ? เอ ผมไม่เคยคิดอย่างนี้เลย ใครๆก็เกลียดทุกข์กันทั้งนั้น จะหวงไว้ทำไม”

    “ใช่ คนเราเกลียดทุกข์ แต่เมื่อทุกข์เกิดแล้ว ก็เหมือนแกล้งตัวเอง เก็บมันไว้ในที่ที่เกิดนั่นแหละ”

    ชายหนุ่มครางอ้ออย่างพอมองเห็นรางๆ รอฟังปู่ขยายความต่อ

    “ลองตัดความรู้สึกในตัวตนออกไปนะ ให้เหลือใจอย่างเดียวพอ ถ้าว่ากันตามเหตุผล เมื่อเกิดทุกข์แล้วก็ควรจะตัดทิ้งจากใจใช่ไหม?”

    “ครับ”

    “ถ้าใจมันมีปัญญากำกับก็ควรทำอย่างนั้นแหละ แต่นี่เปล่า อย่างเช่นเกิดโทสะ เกิดความอาฆาตมาดร้าย มีความรุ่มร้อนขึ้นในอก แทนที่จะรู้ตัวว่าเกิดความทุกข์เพื่อผลักไสออกไป กลับออกอาการอุ้มทุกข์นั้นไว้ บางทีขยายผลด้วยซ้ำ ทำให้เกิดพฤติกรรมภายนอกเป็นการอาละวาดหัวฟัดหัวเหวี่ยง หรือกระทั่งตีรันฟันแทงให้ตายกันไปข้าง

    ลองตรองดูนะ เมื่อพลิกอาการของจิตจากอุ้มทุกข์ ประคบประหงมทุกข์ เป็นรู้ตัวว่ากำลังทุกข์ มีสติพอจะถามตัวเองว่าต้นเหตุทุกข์คือใครหรืออะไร ถ้าโมโหโกรธา ก็สืบจนพบว่ามีภาพใครปรากฏอยู่ในโทสะ

    พอทำได้อย่างนั้น ก็เท่ากับเห็นอาการที่ใจจับยึดต้นเหตุทุกข์ เมื่อเห็นแล้วว่าอาการจับยึดเป็นอย่างไร ก็เกิดสัญชาตญาณเองว่าจะปล่อยวางด้วยท่าไหน ปล่อยใครคนที่ทำให้เกิดทุกข์นั่นแหละ ปล่อยเสียได้ก็เบาโล่งในหัวอก ลิ้มรสความสุขที่เกิดจากการดับทุกข์ขึ้นเอง เห็นไหม ไม่ต้องใช้วิปัสสนาเลย เอาแค่ความฉลาดทางจิตก็พอแล้ว”

    เกาทัณฑ์ยิ้มแบบเห็นด้วย แต่ไม่ใช่เห็นจริง เพราะจังหวะนั้นปราศจากตัวอย่างโทสะในอกตนเป็นเครื่องสาธิตและทดลองให้เห็นตาม

    “ก็เข้าหลักจิตวิทยาดีนี่ฮะ แต่คงประยุกต์ใช้กับทุกเรื่องไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่ก่อไฟโทสะมีน้ำหนักแตกต่างกัน คนเราถูกตีให้เจ็บ ถ้าความเจ็บกายยังอยู่ คงยากจะข่มใจไม่ให้เจ็บตาม”

    “นั่นแหละเหตุผลที่ต้องมีวิปัสสนาธุระไว้ดับกิเลส ดับเชื้อโทสะให้สนิท ถ้าปราศจากเชื้อโทสะเสียอย่างเดียว ใครก็ทำให้เราทุกข์ด้วยไฟโกรธไม่ได้ด้วยวิธีใดๆเลย”

    “เชื้อโทสะคือ…?”

    “ภาวะไม่รู้ของจิตไงล่ะ พอไม่รู้มันก็คิดไปเรื่อยเปื่อย บาปบ้าง บุญบ้าง เป็นที่ตั้ง ที่อิงอาศัยของอุปาทานในตัวตนแบบหนึ่งๆ ถ้าปลุกจิตให้ตื่นขึ้นด้วยการเห็นในวิปัสสนาขั้นสูงจนสุดสายเมื่อไหร่ ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนแบบไหนๆก็ไม่เหลืออยู่เลย เหลือแต่จิตที่ปลอดโปร่งจากเงื่อนไขและการร้อยรัดทุกชนิด”

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วกังขา

    "แปลว่าที่ทุกคนในโลกเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกในตัวตนนี่ ผิดหมด?"

    "ถ้ามองว่ามีผิดมีถูกนี่ไม่จบหรอก อย่างที่แกว่านั่นแหละ มีความจริงรองรับทุกความเชื่ออยู่เสมอ แต่ความจริงของคนในโลกนี่มันหนัก เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา เป็นเหตุให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะ หรืออีกนัยหนึ่งความดิ้นรนกระสับกระส่ายของจิต ซึ่งอาการนั้นเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า 'เป็นทุกข์' พูดให้ง่ายว่าเชื่อแบบคนในโลก ยึดแบบคนในโลกแล้วต้องทุกข์นี่ ทางพุทธศาสนาปฏิเสธ"

    เกาทัณฑ์อึ้งไปพักใหญ่ ประเด็นสงสัยเกี่ยวกับคำว่า ‘วิปัสสนา’ ถูกปัดตกไปได้ นึกในใจว่าพุทธศาสนามีเหตุผลรองรับเหมือนเสาค้ำคานมั่นคงดี แต่ส่วนลึกไม่ค่อยเชื่อนักว่าการกำจัดกิเลสอย่างเด็ดขาดนั้นเป็นไปได้ หรือถึงเป็นไปได้ ก็ไม่รู้จะกำจัดทำไม ในเมื่อทุกวันนี้มีกิเลสก็เป็นสุขสนุกสนานดีจะตาย

    อย่างไรก็ตาม การสนทนาดำเนินมาจนถึงจุดที่เขาขี้เกียจแหย่ต่อ ยังไงก็ต้องให้ความเคารพเกรงใจปู่บ้าง มิเช่นนั้นจะเหมือนทำตัวเป็นคนช่างจับผิด และจับปู่มาแต่งตั้งเป็นทนายแก้ต่างให้พระศาสนา เกาทัณฑ์จึงค่อยๆเบี่ยงหัวเรื่อง

    "แพ...หลานสาวปู่คงได้รับอะไรไปจากปู่เยอะ ปู่คงสอนเรื่องดีๆไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะธรรมะในพระศาสนา ท่าทางฉลาดคิดอ่านมากเลย"

    "ก็ไม่เชิง ฉันแนะแต่เรื่องที่จำเป็น ไม่ได้สั่งสอนมากมายนักหรอก ยายแพเป็นเด็กดี รู้อะไรดีๆด้วยตัวเองอยู่แล้ว"

    "ปู่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดหรือฮะ?"

    "อือม์"

    "เรียนจบรึยังครับนั่น?”

    "เรียนครุศาสตร์ปีสุดท้าย"

    เกาทัณฑ์ขยับจะถามรายละเอียดให้มากกว่านั้น แต่ปู่ชิงถามถึงสารทุกข์สุขดิบของญาติๆเสียก่อน ซึ่งเขาก็จาระไนไปตามเพลง รวมถึงความก้าวหน้าในชีวิตการงานของตนเองด้วย

    “เอาล่ะ” ปู่เงยหน้ามองนาฬิกา “เดี๋ยวได้เวลาพระผู้ใหญ่ที่ฉันนับถือมาออกรายการแสดงธรรม แกจะดูกับฉันไหม?”

    “เอ้อ…ไม่ล่ะครับ ผมรบกวนปู่แค่นี้ดีกว่า”

    บอกกล่าวว่าจะหมั่นมาเยี่ยมเยียนท่านอีก แล้วเกาทัณฑ์ก็ไหว้ลา

    จิตใจคึกคักขึ้นทันใด เขาลงบันไดมาถึงข้างล่าง เหลียวไปรอบๆด้วยหวังจะได้พบกับหญิงสาวที่ตนสะดุดตาสะดุดใจ อย่างไรเสียก็ต้องหาหล่อนให้พบเพื่อวานช่วยมาเปิดประตูอยู่แล้ว คงเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความรู้จักกับหล่อน ไหนๆนับศักดิ์แล้วไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ในเมื่อปู่ยกเป็นหลานแท้ๆอย่างนั้น

    บ้านปู่มีอาณาเขตพอควร เกาทัณฑ์เดินเลียบมาถึงด้านหลังก็พบหล่อนคนนั้นนั่งลิดกิ่งไม้ด้วยกรรไกรอยู่ที่ริมรั้วด้านหนึ่ง ดีใจอย่างประหลาดแม้เมื่อเห็นเพียงด้านหลัง เขาผ่อนฝีเท้าลงหยุดยืนแย้มริมฝีปากยิ้ม เบิกตาเฝ้าพินิจเงียบๆ รูปศีรษะหล่อนมนสวย ผิวพรรณมีน้ำมีนวลเฉิดฉายเสียจนส่องรอบด้านให้ดูสว่างตา

    ในท่ามกลางความสะพรั่งแห่งไม้ดอกไม้ประดับรอบราย หล่อนคล้ายนั่ง ณ ศูนย์กลางความสดชื่นอ่อนหวานอันดึงดูดให้น่าเข้าใกล้ที่สุด เห็นหล่อนแล้วใจเปิดราวกับมองทะเลกว้าง ผู้หญิงคนนี้ทำให้ที่ที่หล่อนปรากฏกลายเป็นเขตเฉพาะอันวิเศษ และทำให้วันที่พบหล่อนกลายเป็นวันอันทรงความหมายยิ่ง

    ดูเหมือนฝ่ายถูกจับจ้องจะมีสัญชาตญาณรู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งลอบพินิจอยู่เบื้องหลัง จึงเหลียวหน้ามาและสบตากัน ชายหนุ่มเกือบเก้อไป เพราะรู้ตัวว่าทำลับล่อเสียมารยาทอยู่เป็นนาน แต่ก็ทำทีปกติ คือส่งยิ้มให้อย่างจะขอผูกมิตร ทว่าหล่อนเพียงมองตอบด้วยดวงตาทอแววนิ่ง มิได้ยิ้มรับแต่อย่างใด

    ไม่ปล่อยเวลาให้ทอดนานนัก เกาทัณฑ์เปล่งคำทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

    "รู้สึกว่าแพจะรักต้นไม้มากนะฮะ"

    โดยคิดว่าปู่แนะนำแล้ว จึงถือสนิทเรียกหล่อนได้เต็มปาก หล่อนลุกขึ้นยืนและแย้มยิ้มอย่างคนมีอัธยาศัยดี

    "คงอย่างนั้นแหละค่ะ" แล้วก็ถามในฐานะผู้มีหน้าที่อำนวยความสะดวกแขกไปใครมา "จะกลับใช่ไหมคะ?"

    ถามแล้วทำท่าขยับจะนำทางไปเปิดประตูรั้วให้ แต่เกาทัณฑ์ไม่รู้ไม่ชี้ เสยื่นหน้าเข้าไปดูดอกไม้สีแดงใกล้ตัวอย่างใจเย็น แล้วถามอย่างจะดึงให้หล่อนต้องหยุด

    "แพคงหามาเองทั้งนั้น แปลกตาเยอะแยะไปหมด นี่เรียกว่าอะไรฮะ?"

    หญิงสาวผินหน้ามองตาม ทอดระยะนิดหนึ่งก่อนตอบ

    "ดอกพวงแก้วค่ะ"

    เอื้อนเอ่ยไม่ดังนัก น้ำเสียงไม่ส่อแววอยากสนทนาหาความยาวกับคนช่างไก๋หาเรื่องถามเท่าไหร่ เกาทัณฑ์เหลียวหน้ามาหา ปั้นหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเคร่งแบบนักวิชาการผู้ทราบว่าจะชวนคนรักต้นไม้คุยอย่างไรให้สบอารมณ์

    "ดอกของมันรูปเหมือนหัวใจนะ คงมีใครตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับหัวใจไว้บ้างใช่ไหม?"

    นัยน์ตาคู่งามเหลือบมาทางเขาแวบหนึ่งก่อนตอบ

    "ฝรั่งเรียกดอกพวงแก้วว่า Bleeding Heart ค่ะ เพราะมีกลีบเทียมรูปหัวใจ กับกลีบดอกและเกสรยื่นออกมาเหมือนหยดเลือด รวมทั้งดอกเลยคล้ายหัวใจที่ถูกคั้นจนเลือดหยด”

    เกาทัณฑ์ห่อปากครางอย่างคนเพิ่งสังเกตตาม

    “เออ จริงด้วยแฮะ ช่างตั้งชื่อกันจริง”

    ฟังจากคำตอบแค่นั้น ก็เดาว่าหล่อนคงเป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้รู้รอบ มีความผูกพันกับหลากไม้นานาพันธุ์เกินกว่าคนทั่วไปมาก ที่สำคัญดูมีความรักและจินตนาการอันอ่อนโยนต่อพฤกษาทั้งหลายราวกับพวกมันเป็นน้องสาวน้องชาย เกาทัณฑ์คิดในใจว่าคราวหน้าคราวหลังคงต้องเอาพันธุ์อะไรที่มีค่าหายากมากำนัลเสียหน่อย

    "ถ้าผมเข้าถึงความรู้สึกของไม้ดอกพวกนี้ได้” เขามองแถวแนวดอกพวงแก้วที่ห้อยตัวอยู่บนกิ่งและสงบกับธรรมชาติอันบอบบางของพวกมัน "ผมคงรู้จักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบ้าง"

    เกาทัณฑ์หันมายิ้มให้ หญิงสาวสบตาด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะกะพริบเนิบช้าและเบนห่างไปทางอื่น

    "นั่นดอก Forget-Me-Not ใช่ไหมฮะ?" เขาชี้ไปที่ดอกไม้สีฟ้าซึ่งตนพอรู้จัก  "ชื่อเหมือนเศร้า แต่ก็ฟังดูซึ้งดี...อย่าลืมฉัน...แพพอจะรู้ที่มาของชื่อนี้ไหม?"

    หญิงสาวทอดตามองดอกไม้อันเป็นเป้าคำถาม มีความงันนิ่งชวนให้รู้สึกผิดสังเกต ราวกับหล่อนถูกสะกิดให้ระลึกถึงความหลังบางอย่าง เกาทัณฑ์สำเหนียกถึงกระแสเศร้าที่กระจายจางออกมา เกือบขยับจะเปลี่ยนเรื่อง แต่หล่อนเอ่ยตอบเสียก่อน

    "ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนตำนานออสเตรีย-ฮังการีสมัยศตวรรษที่สิบสองจะกล่าวไว้ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่ง ชะโงกจากริมผาเอื้อมมือจะเด็ดดอกไม้นี้ส่งให้คนรัก แต่พลาดตกลงไปสู่กระแสน้ำเชี่ยวเบื้องล่าง ฝ่ายหญิงได้ยินแต่เสียงแว่วจากสายน้ำว่า ‘รักฉัน...อย่าลืมฉัน' ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อน่ะค่ะ"

    เกาทัณฑ์จินตนาการตาม และอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก เขานึกอยากให้ตนเองเป็นชายดวงกุดเมื่อชาติก่อน และให้หล่อนคนนี้เป็นหญิงสาวคนรัก เรื่องคงบรรเจิดแท้ถ้าระลึกได้อย่างนั้นแล้วเด็ดดอก ‘อย่าลืมฉัน' ส่งให้หล่อนสักดอกเดี๋ยวนี้

    "เศร้านะฮะ เด็ดดอกไม้แล้วตาย รู้อย่างนี้เดินไปซื้อจากตลาดดีกว่า”

    พูดติดตลก แต่หล่อนทำหน้าเฉยเป็นเชิงแสดงว่าไม่มีอารมณ์ขันร่วมด้วย

    "ที่จริงถ้าหนุ่มคนนั้นอุทานอะไรธรรมดาๆออกมาให้คนรักได้ยินก่อนตกน้ำล่ะก็ ดอกไม้นี้น่าจะชื่อ ‘เวรแล้วที่รัก' มากกว่านะ"

    คราวนี้หล่อนเผลอหัวเราะออกมาได้ แต่หัวเราะนิดเดียวแล้วรีบเงียบตามประสาผู้หญิงมาดสวย ไม่ปล่อยเอิ๊กอ๊ากนานๆต่อหน้าผู้ชายแปลกหน้า เกาทัณฑ์อมยิ้ม สายลมอ่อนพัดมาระลอกหนึ่ง ความสงบจากธรรมชาติรอบตัวและจากคนงามตรงหน้าทำให้อยากยืนอยู่ตรงนั้นนานแสนนาน

    "แพ..."

    เสียงปู่ชนะดังมาจากชั้นบน หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อยและรีบหันไปขานรับ

    “ขา”

    “โทรศัพท์หนูน่ะ”

    “ค่ะ ขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”

    แล้วก็หันมามองเขา เกาทัณฑ์ยิ้มเจื่อน

    “เห็นทีผมคงต้องขอตัวแล้วมั้ง”

    ราชินีแห่งสวนดอกไม้เงียบเสียง ได้แต่เดินนำมาออกมาหน้าบ้าน ซึ่งชายหนุ่มจำต้องเดินตาม

    “ขอบคุณฮะ” พูดเมื่อก้าวพ้นเขตรั้วที่หล่อนเปิดประตูให้ “ผมคงหาโอกาสมาเยี่ยมปู่อีกเร็วๆนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่หลานที่ดีมาเสียนาน”

    “โชคดีค่ะ”

    อวยพรพอเป็นพิธีเพื่อหมุนตัวกลับ ผละจากไปรับโทรศัพท์ เกาทัณฑ์รู้สึกว่าบางสิ่งในทรวงอกวูบไหว ใจส่วนหนึ่งแล่นตามหลังหล่อนไป แม้หญิงสาวขึ้นเรือนลับตาแล้ว ก็ยังมองค้างอยู่เป็นนาน

    แก้วล้ำค่า หายาก และคงได้มายาก

    แต่คนอย่างเขา

    ถ้าอยาก...ต้องได้!



บทที่ ๒  เอกาปีติ

แพตรีกลับมาถึงบ้านก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย ล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นไปดูคุณปู่ข้างบนเรือน เห็นหลับอยู่ก็ลงมาข้างล่างเพื่อพบปะกับน้องน้อยทั้งหลายของหล่อนเสียหน่อย ก่อนเข้าครัวทำอาหารเย็น

น้องๆเรียงรายอยู่รอบบ้าน รอการรดน้ำรินใจจากหล่อนสลอน แพตรียิ้มมุมปากนิดๆอย่างคนที่สามารถมีความสุขอยู่กับตนเอง หล่อนมองไม้ดอกไม้ประดับแต่ละต้นด้วยความรักสนิท สัมผัสชัดถึงกระแสแห่งความมีชีวิตและวิญญาณของพวกมัน เคยชินกับการเห็นรอยยิ้มที่ส่งออกมาจากแต่ละไม้ใบ แต่ละกลีบดอก พวกมันถือกำเนิดมาจากมือหล่อน หล่อนเป็นผู้เลี้ยงดูทะนุถนอมให้แตกกิ่งก้านสาขาออกมาวันต่อวันอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย

‘ถ้าผมเข้าถึงความรู้สึกของดอกไม้พวกนี้ได้ ผมคงรู้จักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบ้าง’

คำพูดของใครคนหนึ่งกลับมากลับมากระซิบก้องอยู่ในหู อารมณ์ไหวไกวเล็กน้อย แล้วกลับสงบเยือกเย็นลงราบคาบ สายลมอ่อนพัดกิ่งใบมวลไม้รอบข้างพลิ้วไหว มือน้อยยกขึ้นเสยปอยผมที่ต้องแรงลมเข้าที่ สยายยิ้มกว้างขึ้น สีชมพูสดฉ่ำของกอกุหลาบซึ่งเข้าประทับกลางตาเวลานั้นช่างให้ความหวานแหลมล้ำลึกต่างจากธรรมดา หล่อนรินรดสายน้ำจากถังติดฝักบัวลงดินจนชุ่มพอประมาณไปทั่วบริเวณ ตั้งความคิดให้น้ำนั้นซึมลงถึงทุกรากทุกแขนงของไม้พุ่มหอมเบื้องหน้า จินตนาการเห็นความเอิบอาบอันแผ่ซ่านขึ้นเลี้ยงทั่วทุกอณูลำต้น กิ่งใบ และกลีบดอกสีชมพู ดวงจิตดิ่งลงเป็นสมาธิ รู้ชัดถึงความอิ่มเกษมสดชื่นในตัวกุหลาบ เท่ากับความปิติเบิกบานในตนเอง

กำหนดรู้การเข้าออกของสายลมหายใจอันนิ่มนวลและยืดยาวชัดลึกกว่าปกติ กลิ่นอายความสดฉ่ำระรื่นจากมวลพฤกษ์พันธุ์รอบด้านรวมอยู่ในสายลมหายใจนั้น กระจายเข้าสู่ทรวงอก แลเห็นในมโนนึกดุจธารทิพย์ที่ไหลบ่าสู่ข่ายประสาททั่วร่างจนเต็มปีติ ชั่วขณะนั้นหล่อนสามารถจับต้องกลีบใบของกุหลาบด้วยสายตาที่เปิดกว้างกว่าปกติ จนสำเหนียกความเนียนแน่นทว่าบางเบาละเอียดอ่อนด้วยใจโดยตรง ราวกับปราศจากประสาทตากั้นขวาง

จากความอาบเอ่อแห่งกระแสปีติทวีขึ้นหลามล้นท้นอกในชั่วขณะนั้น ประกอบกับความเห็นแน่วเพียงลมหายใจและกลีบกุหลาบหวาน รวมกันดึงดวงจิตแพตรีดิ่งล่วงเข้าสู่ห้วงแห่งสมาธิอันล้ำลึกโอฬาร ดวงสำนึกแปรเป็นเปลวมหัศจรรย์ลุกโพลงซ่านไสวไปทุกทิศทุกทาง ภายในอันผนึกแน่นมั่นคงรู้เห็นแต่รสหวานแห่งสีชมพูอันงามตระการ ลอยล่องอยู่ในสรวงสวรรค์อันรังสรรค์ขึ้นจากสัมผัสละไมลึกซึ้งระหว่างวิญญาณมนุษย์กับดอกไม้ ทั้งสุขสงบปราณีต ทั้งปรีดาปราโมทย์ราวกับทะยานขึ้นสู่ห้วงหฤหรรษ์อันไร้เขต ไร้พรมแดน ไปสถิตอยู่ในที่ที่ดีที่สุดนอกเขตพิภพหยาบไกลโพ้น

การสังสรรค์ระหว่างวิญญาณมนุษย์และพฤกษ์พันธุ์ดำรงอยู่เพียงชั่วไม่นานก็แปรไปตามธรรมชาติแห่งพระอนิจจัง แพตรีอ้อยอิ่งอาวรณ์กับความยิ่งใหญ่น่าพิสมัยนั้น ทว่ายังมีความชำนาญน้อย โดยเฉพาะในขณะแห่งการลืมตา จึงต้องปล่อยให้ละลายหายไปตามยถา

สมาธิจิตระดับเฉียดฌานหรือที่เรียก อุปจารสมาธิ นับเป็นของสูง มิใช่สภาวะอันเป็นสาธารณะแก่ปุถุชน ภาวะนั้นคล้ายลอยคออยู่กลางทะเลเมฆอันละมุนเสมอกัน แผ่ผายขยายกว้างสุดประมาณ แม้เท้าติดพื้นก็เหมือนยืนอยู่บนหมอนนุ่ม เหตุเพราะธรรมชาติสมาธิยังผลให้กายเบาด้วยการหลั่งสารอันให้รสเกษมอาบตนเอง

 

สองปู่หลานรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเงียบๆเมื่อได้เวลาทุ่มครึ่ง ทั้งสองเป็นมังสวิรัติ หรือผู้ปราศจากความยินดีในเนื้อสัตว์ อาหารที่วางบนโต๊ะจึงหาจานเด็ดตามรสนิยมของคนทั่วไปไม่ได้ แต่ก็หน้าตาน่าทานด้วยความสามารถเฉพาะตัวของแม่ครัวสาว

“สอบเป็นไงมั่ง?”

ปู่ชนะถามเหมือนชวนสนทนามากกว่าอยากรู้ เสียงของปู่มีกังวานนุ่มลึกชวนฟังและก่อให้เกิดความอบอุ่นใจแก่ผู้ได้ยินเสมอ

“ก็ดีค่ะ เหลือวิชาสุดท้ายวันจันทร์”

“สอบเสร็จก็จบแล้วสินะ”

“ค่ะ”

แพตรียิ้มๆ การคุยกับปู่เป็นอีกความสุขหนึ่งในชีวิต

“ตกลงยังแน่ใจอยู่รึเปล่าว่าอยากจะสอนหนังสือเด็ก?”

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ปู่ถามถึง หญิงสาวแกล้งเลิกคิ้วทำตาเป็นประกาย

“อยู่เฉยๆได้ไหมคะ ให้ปู่เลี้ยงไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ”

หล่อนยังอยากอยู่ในวัยเยาว์และช่างฉอเลาะเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าปู่ ปู่ชนะยิ้มอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาดำสนิทผิดวัยทอดจับหลานสาวเปี่ยมด้วยแววห่วงใยปรานี

“เป็นต้นไม้หรือไงถึงจะอยู่เฉยๆให้ปู่เลี้ยง”

“ค่ะ แพเป็นต้นไม้” หญิงสาวหัวเราะนิดๆ “บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นต้นกระถินในบ้าน”

ปู่ชนะหัวเราะในลำคอ ทว่าสายตายังรั้งคำถามเดิมเพ่งมองหล่อน

“แพแน่ใจว่าต้องการสอนเด็กตลอดไปค่ะปู่”

ขยับเรียวปากตอบในลักษณาการแย้มยิ้ม แต่น้ำเสียงจริงจังขึ้น ชายชราถอนใจ

“สมัยนี้...เป็นครูในแบบที่แพอยากเป็นน่ะ ไม่ง่ายหรอกนะ”

หลานสาวพยักหน้า

“ทราบค่ะ” ตาคู่งามทอประกายรู้ตามคำกล่าวของตน “แต่แพก็มองไม่เห็นว่าตัวเองจะทำอะไรได้มีความสุขเท่ากับเป็นครูของเด็กเลย”

ชายชราเคี้ยวคำข้าวเรื่อยๆจนละเอียด กลืนแล้วจึงเปรย

“ทุกวันนี้ผู้คนถูกมอมเมา ถูกฝังนิสัยร้ายกันตั้งแต่ยังเล็ก ครูบาอาจารย์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมสำคัญ บางทีก็กลับมีพฤติกรรมชั่วร้ายเสียเอง ถ้าได้แพเป็นแสงนำทางดีๆไว้สักดวง ก็คงช่วยรักษาภาพพจน์ของครูดีๆบ้างล่ะนะ”

แพตรียิ้มอย่างเชื่อมั่น

“แพจะทำให้เด็กนับถือ และคล้อยตามในทางดี เหมือนอย่างที่แพนับถือและคล้อยตามปู่มาตั้งแต่เด็กให้ได้ค่ะ”

ปู่ชนะพยักหน้า ใช้ส้อมเขี่ยข้าวจากช้อน ก่อนตักน้ำแกงจากชามพลางถามคล้ายหยั่งเชิง

“หากมีเวลาจำกัด ระหว่างเด็กดีกับเด็กดื้อ หนูจะเลือกดูแล หรือให้ความสำคัญกับใครก่อน?”

แพตรีคิดนิดหนึ่ง ก่อนให้คำตอบ

“คงต้องเป็นเด็กดีค่ะ เพราะเด็กดีอาจจะยังไม่ดีจริง แต่อยู่ในวิสัยง่ายที่จะเป็นได้ เมื่อโตขึ้นแล้วก็อาจเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ส่วนเด็กดื้อนั้นอาจไม่เลวจริง แต่ความรั้นจะดึงเวลาของเราไปมาก และไม่มีอะไรประกันว่าเราสามารถชนะความรั้นของเขาได้หรือเปล่า”

ว่าที่คุณครูคนงามเม้มปากเล็กน้อย

“ในความเป็นจริง แพคงมีเวลาเพียงพอจะดูแลทั้งเด็กดีและเด็กดื้อมั้งคะ ถ้าปล่อยให้เด็กดื้อกลายเป็นคนเลว วันหนึ่งเขาอาจสร้างผลสะเทือนด้านร้ายได้อย่างประมาณไม่ถูก สิ่งดีที่คนดีๆสร้างสรรค์ไว้มากและใช้เวลายาวนานแค่ไหน ก็อาจพินาศจนหมดสิ้นในชั่ววันเดียวด้วยน้ำมือคนเลว”

เห็นความมุ่งมั่นและยินน้ำเสียงจริงจังของหลานสาวแล้ว ปู่ชนะต้องเผยอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไฟฝันและพลังอุดมคติแห่งวัยสาว ประติมากรมองผลงานอันน่าภาคภูมิของตนเช่นไร ท่านก็มองแพตรีด้วยท่าทีเช่นนั้น

“ปรัชญาในการให้ความรู้ ความคิด ความดีงามของหนูเป็นยังไง?”

แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง

“จากที่แพเคยฝึกสอนมาบ้าง ก็พอมองเห็นค่ะว่าเราให้ความรู้ก็เมื่อขณะพูดอยู่ฝ่ายเดียว ให้ความคิดได้ตอนถามหรือโต้ตอบกับพวกเขา ส่วนความดีงาม คงต้องถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาผ่านการกระทำเป็นหลัก”

ปู่ชนะผงกศีรษะน้อยๆ

“แค่เด็กได้ยินเสียงหนูทุกวัน เขาก็รับกระแสความดีไปเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งในใจแล้วล่ะ”

 

เสร็จจากโต๊ะทานข้าว สองปู่หลานออกมาเดินตากน้ำค้างเล่นในบริเวณทางเดินของเขตบ้าน ชายชราจามเบาๆทีหนึ่งแล้วแหงนหน้ามองดาว บางค่ำคืนท้องฟ้าราตรีแถบชานเมืองก็มีดาวสวยๆพร่างพราวละลานตาให้เพลินพิศ อย่างเช่นคืนนี้เป็นอาทิ

“อายุยี่สิบเอ็ดใช่ไหมแพน่ะ?”

ปู่ถามลอยๆคล้ายแค่ให้การดูดาวไม่เงียบจนเกินไป

“อีกห้าเดือนน่ะค่ะ”

หล่อนตอบเสียงใสด้วยความรู้สึกแบบเด็กน้อยที่อบอุ่นและร่าเริงเมื่ออยู่ใกล้ชิดบิดา คืนนี้กลุ่มดาวนายพรานขึ้นตั้งแต่หัวค่ำ หล่อนติดใจดาวกลุ่มนี้มาแต่ไหนแต่ไร อาจเป็นเพราะปู่ชี้ให้ดูและแนะนำให้รู้จักเป็นกลุ่มแรก มันทำให้หล่อนมีจินตนาการบรรเจิด มีความช่างฝันและรู้จักอารมณ์อ่อนอุ่นที่เกิดจากหัวใจบริสุทธิ์เสมอมา

“พอเรียนจบก็เป็นผู้ปกครองตัวเองได้แล้วสินะ”

ปู่ยังคงพูดในลักษณะเรื่อยเปื่อย ทว่าทำให้หญิงสาวใจหายอย่างประหลาด หล่อนตอบด้วยเสียงเบาและสั่นในอึดใจต่อมาด้วยอารมณ์ที่แปลกเปลี่ยนกะทันหัน

“คงยังไม่ได้มั้งคะ”

“ปู่อยากบวชเสียทีแล้วนะแพ”

แม้จะทอดอ่อนนุ่มนวลเช่นเคย แต่คำประกาศนั้นก็แฝงสำเนียงเป็นงานเป็นการด้วยเจตนาจะให้หลานสาวรับรู้ว่าหล่อนต้องตั้งใจฟังเรื่องสำคัญ แพตรีเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน

“ทุกวันนี้ก็เหมือนบวชอยู่แล้วนี่คะ”

ในที่สุดหล่อนก็เอ่ยคำนั้นออกมาได้เพียงแผ่ว

“ไม่เหมือน...ปู่ยังมีแพเป็นแก้วตาดวงใจ ยังเป็นห่วงหนู อย่างนี้ไปถึงที่สุดไม่ได้หรอก”

แพตรีเม้มปากอยู่ในเงามืด ความเดียวดายและความเงียบเหงาอย่างลึกซึ้งแล่นเข้าจับใจจนเกิดก้อนสะอึก แต่ก่อนจะทวีตัวถึงขั้นแปรเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ชิงตัดอารมณ์เศร้าทิ้ง และแทรกแทนด้วยจิตอนุโมทนาเปี่ยมล้น ที่ทำได้ก็เพราะหล่อนรู้ดีว่ารสธรรมนั้นล้ำเลิศเพียงไหน สมควรที่เวไนยชนจะพึงแสวงและควรรักษาไว้เพียงใด หล่อนต้องดีใจกับปู่ถึงจะถูกที่ท่านกำลังจะได้ครองธรรมอันประเสริฐขั้นสูงสุด

เมื่อจิตอันเป็นกุศลผุดขึ้นชัดเต็มดวง แพตรีจึงยกมือพนมไหว้ไปทางผู้มีพระคุณล้นเกล้า

“แพขออนุโมทนาด้วยค่ะปู่”

“อือม์”

ปู่เอื้อมมือไปลูบศีรษะหล่อนอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่งก่อนกล่าวคำ

“ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียวหรอก  อีกไม่นานแพก็จะมีครอบครัวของแพเอง มีคนที่แพจะรักและรักแพแทนปู่ มีลูกหลานที่จะทำให้แพต้องวุ่นวายดูแล”

“คงไม่หรอกค่ะ” หล่อนตอบปู่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าปู่บวชแพก็จะบวชชีตาม และเพื่อความสบายใจไม่เป็นห่วงใยซึ่งกันและกัน แพจะบวชให้ไกลจากที่ที่ปู่อยู่ ไม่มาพบปู่อีกเลยชั่วชีวิต”

ปู่ชนะเหลือบตามองสาวน้อยใกล้ตัวแล้วหัวเราะหึๆ ซ่อนแววรู้เห็นเช่นผู้ใหญ่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวไว้ในเงามืด

“จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ”

ชายชรากับหลานสาวทอดเท้าเดินต่อเอื่อยๆ แว่วเสียงหรีดหริ่งเรไรจากรอบด้านกลางความสงัดเงียบของค่ำคืน ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดอีก หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น แต่อย่างไรก็กลั้นไม่อยู่ ต้องก้มหน้าร้องไห้ออกมาจนได้



บทที่ ๓  คู่บุญ

แพตรีจัดของสังฆทานใส่ถัง เตรียมตัวไปทำบุญกับปู่ที่วัดทางนฤพาน นั่นเป็นสิ่งที่หล่อนกับท่านปฏิบัติอยู่เป็นนิจศีล อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง นอกเหนือจากการใส่บาตรพระทุกเช้าซึ่งเป็นกิจวัตรของหล่อนอยู่แล้ว

เสร็จจากการจัดของ หญิงสาวก็เดินออกไปหน้าปากซอยเพื่อเรียกแท็กซี่มาขนของและรับปู่ เดิมทีบ้านนี้มีรถเก่าของปู่ให้หล่อนขับไปไหนมาไหน แต่เพราะถึงอายุขัย จึงเพิ่งขายไปเมื่อเร็วๆนี้เอง

บอกโชเฟอร์รอหน้าบ้านแล้วขึ้นเรือนเพื่อบอกปู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“แท็กซี่มาแล้วนะคะ”

บอกเสร็จก็ต้องชะงักด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นปู่ยังอยู่ในชุดเสื้อนอนคอกลมกางเกงแพรบนเก้าอี้โยก ท่านยิ้มตอบ พยักหน้านิดหนึ่ง

“หนูไปเถอะ” ปู่บอกง่ายๆ “ลองไปคนเดียวดูบ้าง”

หญิงสาวยืนงงอย่างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ที่สุดก็ถามเสียงแผ่ว

“ทำไมล่ะคะ?”

ปู่เอนหลังหลับตาและโยกเก้าอี้เฉย หญิงสาวมองผู้อุปการะตนมาด้วยความไม่เข้าใจพักใหญ่ แต่แท็กซี่ที่กำลังรอก็ทำให้หล่อนไม่อาจยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นได้นาน จำต้องก้มหน้าก้มตาหิ้วถังสังฆทานสองใบแรกลงเรือนไปใส่ท้ายรถที่เรียกมา แล้วกลับขึ้นมาอีกครั้งเพื่อขนสองถังที่เหลือตามลำพัง

แต่ขณะจะดึงหูหิ้วของถังเข้ามือ ปู่ก็เรียกไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว…หนูช่วยชงชาให้ปู่ก่อนนะแพ”

แพตรีต้องประหลาดใจอีกคำรบ ย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยรั้งหล่อนด้วยธุระเล็กน้อยเช่นนี้เลย ทว่าก็ก้าวไปจัดแจงชงชาตามคำสั่ง ทั้งที่พะวงกับการคอยของคนขับแท็กซี่ หล่อนทำอย่างค่อนข้างเร่งรีบ พอเสร็จก็วางบนโต๊ะข้างเก้าอี้โยกของปู่เรียบร้อย แต่เมื่อจะหยิบถังปู่ก็เรียกไว้อีก

“ปู่อยากดูตารางอะไรในหนังสือพิมพ์ฉบับวันศุกร์ที่ยี่สิบของเดือนก่อนหน่อย แพช่วยลงไปเอาจากกองมาให้ปู่ทีนะ เช้านี้แข้งขาขัดชอบกล ไม่อยากขึ้นลงบันได”

หญิงสาวชักนึกโมโห แต่พอรู้ตัวก็รีบสะกดลงอย่างรวดเร็ว เม้มปากเดินลงบันไดไปค้นหนังสือพิมพ์จากห้องเก็บของ ต้องเสียเวลาพอควรเนื่องจากถูกซ้อนไว้หลายชั้นด้วยความที่ไม่นึกว่าจะต้องรื้อกลับใช้อีก หล่อนหาอย่างตั้งใจจนพบ ตลอดมานับแต่จำความได้ปู่ไม่เคยสั่งอะไรไร้เหตุผลผิดกาลเทศะ คิดว่าท่านคงมีความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่

พอขึ้นเรือนวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะข้างปู่เสร็จก็ทำท่ากระวีกระวาดเป็นพิเศษ ฉวยถังได้รีบก้าวลงบันไดราวกับแมวกระโจน ด้วยเกรงจะได้ยินเสียงปู่ทักรั้งเอาไว้อีก แล้วก็โล่งอกที่ออกมาถึงหน้าบ้านจนได้

เมื่อเช้ามืดฝนหลงฤดูตกลงมาปรอยปราย อากาศจึงยังโปร่งเย็นชุ่มชื่นแม้จะล่วงเข้าแปดโมงครึ่งแล้ว แพตรียิ้มให้คนขับแท็กซี่แทนการขอโทษที่ทำให้ต้องรอนาน พอเห็นยิ้มของหล่อนเท่านั้น หน้าตาที่เริ่มจะบูดบึ้งของชายร่างอ้วนใหญ่ก็ดูผ่อนคลายลง แถมเดินมาช่วยยกถังใส่ท้ายรถให้อีก

วางถังสุดท้ายเข้าที่ ยังไม่ทันปิดฝากระโปรง หางตาแพตรีก็เห็นเงารถคันหนึ่งโฉบเข้ามาเทียบรั้ว ต่อท้ายแท็กซี่ ประตูด้านคนขับเปิดปับ เงาร่างสูงของชายคนหนึ่งโผล่พรวดออกมายืนเด่น

“จะไปไหนหรือฮะแพ?”

หญิงสาวมองหน้าเขา น้ำเสียงค่อนข้างกระตือรือร้นกับนัยน์ตาสีเหล็กที่จ้องจับเขม็งทำให้หล่อนหน้าขึ้นสีชมพูนิดหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวก็จางไป เหลือไว้แต่ความสงบและรอยยิ้มเย็นของคนมีความสุขอยู่กับตัวเอง

“ไปทำสังฆทานค่ะ” แล้วหล่อนก็เบือนหน้าไปทางตัวบ้าน “คุณปู่อยู่ข้างบนแน่ะค่ะ”

เกาทัณฑ์ชักกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงยีนส์ ดึงธนบัตรใบละร้อยออกมาจากร่องเก็บยื่นให้คนขับแท็กซี่หน้าตาเฉย

“เอาไปเลยลุง เดี๋ยวฉันพาน้องสาวไปเอง”

พอมอบเงินซึ่งแน่ใจว่าเกินเลขมิเตอร์เสร็จก็ไปเปิดกระโปรงท้ายรถของตน แล้วหันมากุลีกุจอหยิบยกถังสังฆทานโยกย้ายถ่ายเทเป็นการด่วน แพตรีเบิกตามองอย่างสุดทึ่ง ได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกสักคำ

จนธุระถ่ายเทเรียบร้อย แท็กซี่วิ่งหายลับตาไป และเกาทัณฑ์ปิดกระโปรงท้ายแล้วนั่นแหละ ถึงได้มายืนสบตากันนิ่ง สายตาหญิงสาวไม่เชิงไม่พอใจ ทว่าก็มิได้ส่อแววยินดี หรือมีการกล่าวขอบคุณแต่ประการใด ต่างเป็นตรงข้ามกับสายตาของชายหนุ่ม ที่เปล่งประกายยินดีปรีดาจัดจ้า

“ไปกันเถอะฮะ”

เกาทัณฑ์อมยิ้ม เดินไปเปิดประตูด้านซ้ายและทำหน้าใสค้อมตัวให้ล้อๆราวกับข้าราชบริพารรอเสด็จ ดูเหมือนรู้จักมักจี่สนิทสนมกับหล่อนเสียเต็มประดา หญิงสาวยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง เขาอาศัยความเป็นหลานปู่ถือสนิทช่วยเหลือเยี่ยงคนในครอบครัว หล่อนไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ แม้กระอักกระอ่วนใจอย่างยากจะกล่าว ที่สุดคือต้องยอมเดินไปขึ้นรถเนือยๆ

เมื่อเห็นหล่อนลงนั่งเรียบร้อย เกาทัณฑ์ก็ปิดประตูให้ แล้วเดินอ้อมหน้ารถมาทางด้านคนขับ รอไว้สนิทกันมากกว่านี้หน่อย จะบอกว่าพิธีเปิดปิดประตูรถให้สาวตามธรรมเนียมรุ่นปู่นี้ เขาเพิ่งปฏิบัติกับหล่อนเป็นคนแรก

“ไปวัดไหนฮะ?”

ชายหนุ่มกดปุ่มหรี่เครื่องเสียงถาม หญิงสาวนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน ใจกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดจึงประจวบเหมาะเหลือเกิน ปู่ไม่ยอมไปกับหล่อนอย่างเคย ส่วนเขาคนนี้ก็เผอิญมาแทนพอดี จนเมื่อเกาทัณฑ์ถามซ้ำ แพตรีจึงตอบเบาๆ

“วัดทางนฤพานค่ะ”

คนขับร้องอ๋อ เพราะคราวก่อนแวะเข้ามาก็ด้วยความอยากจะเห็นวัดชื่อสะดุดหูสะดุดตาแห่งนี้เอง ทว่าขากลับจากบ้านปู่ดันลืมไปเสียสนิท เนื่องจากมัวแต่เหม่อลอย ใจถูกใบหน้าสวยหวานครอบงำจนความคิดอ่านเตลิดเปิดเปิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว

เกาทัณฑ์ออกรถเชื่องช้า ท่าทางมีความสุขอย่างล้นเหลือกับการถ่วงเวลาอยู่กับหล่อนให้นานที่สุด

“ทำบุญเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”

แพตรีมองตรงไปเบื้องหน้า ทอดจังหวะเล็กน้อยก่อนตอบ

“ทำกับปู่ทุกเดือนค่ะ ไม่ใช่โอกาสพิเศษ”

“อ้อ” ทำทีรับรู้และเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วก็ทักว่า “อ้าว...แล้วปู่ล่ะครับ วันนี้ไม่ออกมาด้วยหรือ?”

ชะลอรถลงมองกระจกหลัง นึกว่าตนเองทิ้งปู่ไว้ที่บ้านโดยไม่เจตนา

“คงต้องการพักผ่อนมั้งคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่ติดใจ

“ผมเองกำลังนึกๆอยากทำบุญอยู่พอดี สบโอกาสเลย ขอร่วมด้วยคนนะ รังเกียจหรือเปล่าฮะนี่?”

หันมาดูท่าที เห็นหล่อนเงียบเหมือนปล่อยให้คิดเองอย่างคลุมเครือ จึงรีบเบี่ยงประเด็น

“ดีนะ ปู่ยังแข็งแรงอยู่เลย โชคดีที่มีแพดูแลอย่างนี้”

เกาทัณฑ์หักเลี้ยวขวา ทางต่อจากนั้นค่อนข้างขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อจนต้องชะลอความเร็วลงวิ่งแค่เกียร์ต่ำ เลื่อนมือไปเปลี่ยนเพลง เลือกหมายเลขที่ตรงกับอัลบั้มโรแมนติกจากซีดีเชนเจอร์ เพิ่มเสียงขึ้นเล็กน้อยอวดความนุ่มลึกของชุดเครื่องเสียงราคาแพงที่เขาภาคภูมินักหนา ทุกสิ่งดูสดใสชวนกระหยิ่มยิ้มย่องไปหมดในสายตายามนี้

“คุณปู่กับแพคงศรัทธาพุทธศาสนามาก ท่าทางใจบุญด้วยกันทั้งคู่ นี่ผมคุยกับปู่แล้วได้ซึมซับอะไรมาเยอะ ค่อยตาสว่างเห็นธรรมกับเขาบ้าง”

คลื่นความไม่จริงใจที่แฝงมากับน้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้แพตรีผินหน้าเมินออกข้างทางและรักษาความเงียบไว้ เกาทัณฑ์รู้สึกถึงความห่างเหินที่หล่อนจงใจก่อ เขาซ่อนยิ้ม ยังดูไม่ออกทะลุปรุโปร่งว่าหล่อนเป็นผู้หญิงอย่างไรกันแน่ เขาเคยชินกับอาการเล่นตัวของผู้หญิงสวยมามากต่อมาก หากแต่สัมผัสใจพวกหล่อนได้เสมอว่าแท้จริงแล้วอยากให้เขาอ้อนหนักๆเท่านั้นแหละ

ทว่าสำหรับหลานปู่คนนี้ เวลานี้ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดหรือพะวงอะไรอยู่สักอย่างมากกว่าจะวางมาดเพราะเห็นเขาแสดงท่าทีอยากตีสนิท

เมื่อมีโอกาสใกล้ ก็ยิ่งเห็นเป็นสิ่งแปลกและท้าทาย หล่อนเยือกเย็นอย่างชนิดที่เข้าใกล้แล้วมีความสุขประหลาด กับหญิงอื่นนั้น ความปรารถนาอันเป็นที่สุดเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังก็คือการได้เข้าไปค้นหารายละเอียดในเรือนร่างของพวกหล่อนตามวิสัยชาติเจ้าชู้ แต่กับสาวน้อยนางนี้ น่าฉงนนักที่ความปรารถนานั้นไม่ปรากฏแก่ใจเลย ความดึงดูดที่เกิดเป็นอีกแบบแตกต่างออกไป เหมือนก่อร่างอันผาสุกสงบขึ้นแทนตัวตนเดิม คล้ายเป็นอีกภาคหนึ่งที่ปรากฏขึ้นรองรับภาวะเคียงคู่กับหล่อนโดยเฉพาะ เป็นสัมผัสกระจ่างชัดจากภายในอยู่ตลอดเวลา มิใช่เพียงคิดไปเองชั่วครู่ด้วยอารมณ์หลง

ความนิ่งด้วยสติกับรัศมีอาภาพิเศษชนิดนั้นของหล่อน ทำให้อยากศึกษา อยากค้นหาว่าหล่อนรู้อะไร และคิดอย่างไรบ้าง

“นอกจากอยู่กับต้นไม้แล้ว แพชอบทำอะไรอีกฮะ?”

เกาทัณฑ์ถามอย่างแน่ใจสนิทว่าคำถามนั้นคงไม่ทำให้หล่อนประดักประเดิด เพราะดูออกว่าหล่อนไม่ใช่ประเภทบังอรเอาแต่นอน

“แล้วแต่โอกาสค่ะ”

คำตอบของหล่อนคล้ายหลีกเลี่ยงที่จะตอบตามตรง

“ถ้าเดาไม่ผิดแพคงชอบนั่งสมาธิทั้งวัน”

เขาเสี่ยงทายดูเล่นๆ แต่หล่อนก็งดที่จะเฉลยว่าผิดหรือถูก

“สมัยเรียนมัธยมปลายผมเคยฝึกสมาธิกับเขาเหมือนกัน มีพวกไปสอนนักเรียนเป็น

กลุ่ม ว่ากันว่าเป็นเทคนิคที่ได้ผลมาก แต่เสียดายผมนั่งแบบนั้นแล้วเกิดพลังจิตมากไปหน่อย ถึงขั้นเอาหัวไปโขกโป๊กกับเพื่อนข้างๆ ตาเหล่ทั้งคู่”

กะพูดให้ขำ แต่พอหันไปเห็นหล่อนเฉยสนิทเป็นเทวรูปก็เลยต้องอ้าปากหัวเราะเองแก้เก้อ ชักแน่ใจว่าหล่อนกำลังขุ่น เหตุอาจด้วยการจุ้นถือสนิทเกินงามของเขากระมัง แต่ก็ช่างเถิด มีปู่เป็นสะพานเชื่อมอยู่ทั้งคน ถือว่าเขามีศักดิ์เป็นพี่ในครอบครัวเดียวกันเสียอย่าง จีบสาวครั้งนี้เหมือนมีเรี่ยวแรงกำลังวังชาล้นเหลือ เชื่อแน่ว่าต่อให้ต้องเพียรเป็นปีก็ทำได้สบายมาก

แทนการชวนคุยต่อ ชายหนุ่มทำเป็นฮัมเพลงตามเสียงจากลำโพงซึ่งกำลังกระจายคลื่นความไพเราะเสนาะโสตอยู่รอบทิศ หวังว่าท่าทีผ่อนคลายสบายใจของเขาจะทำให้หล่อนเกิดความสนิทใจขึ้นบ้าง สำหรับเขาแล้ว แม้หล่อนทำทีขรึมอย่างนี้ ก็ยังให้ความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก เย็นรื่นชื่นใจจนยิ้มอยู่คนเดียวก็ยังได้

กระซิบกับตนเองว่ามาพบใครบางคนที่มีความหมายกับเขาเหลือเกิน เรื่องจะให้เขาท้อง่ายๆนั้น อย่าหวังเลย

“เลี้ยวขวาค่ะ”

หญิงสาวบอกเตือนค่อนข้างดังเมื่อเห็นเขาขับเพลินจนเลยซอยแยก ความจริงเกาทัณฑ์เห็นป้ายชี้ทางไปวัดอยู่แล้ว แต่แกล้งทำเป็นวิ่งเลยเพื่อให้หล่อนเปิดปากพูดเสียบ้าง ซึ่งเมื่อหล่อนทักตามคาดก็เหยียบเบรกพรืด เข้าเกียร์ถอยหลังยิ้มๆคล้ายเพิ่งตื่นจากเหม่อ

“วัดทางนฤพาน...” เขาพึมพำขณะส่งสายตาพินิจป้ายไม้เก่าคร่ำคร่า “ผมสะดุดตากับป้ายบอกหน้าซอยมาตั้งแต่ครั้งที่เคยมาเยี่ยมปู่เมื่อหลายปีก่อนโน้น อยากเห็นมานาน คราวที่แล้วว่าจะเข้าไปดูเสียหน่อยก็ลืม”

รถวิ่งไปตามทางซึ่งดีกว่าเดิมอีกราวสองร้อยเมตรก็ถึงรั้ววัด เกาทัณฑ์หักหน้ารถคลานเข้าไปอย่างแช่มช้า กดสวิทช์ปิดเครื่องเสียงลง คิดว่าหล่อนคงพอใจหากเห็นเขาให้ความเคารพต่อสถานที่ ยิ้มมุมปากหน่อยๆเมื่อเห็นตนเองห่วงใยความรู้สึกหล่อนแม้เล็กน้อยขนาดนี้

บอกตนเองว่าวัดนี้คงไม่มีพระเด่นๆให้คนศรัทธาเท่าไหร่ สังเกตได้จากโบสถ์และกุฏิพระที่วิ่งผ่านล้วนแล้วแต่เก่าแก่ไม่แจ่มตาแจ่มใจเหมือนวัดดังซึ่งมีเศรษฐีมาขึ้นกันเยอะ พูดง่ายๆคือดูหรูน้อยกว่าที่ควรจะสมชื่อแปลกน่าเลื่อมใส แต่สิ่งน่าชอบใจอย่างหนึ่งคือความร่มรื่นของแมกไม้น้อยใหญ่ซึ่งดกดื่นอยู่ทั่วบริเวณนับแต่ทางเข้าเป็นต้นมา ทำให้อารมณ์เย็นและอยากทำบุญทำกุศลได้เหมือนกัน

“นฤพานนี่อย่างเดียวกับนิพพานหรือเปล่านะแพ?”

ถามขอความรู้จากหล่อน แพตรีรับว่า

“ค่ะ ความหมายเดียวกัน นิพพานเป็นคำนามบาลี นฤพานเป็นคำนามสันสกฤต โบราณบางแห่งใช้นิรพาณหรือนิรวาณก็มี”

เกาทัณฑ์ปรายตาแลหญิงสาวข้างกายแวบหนึ่ง หล่อนเป็นคนรู้จริงในเรื่องที่สนใจ และเขาเริ่มพบว่าถ้าเข้าเรื่องธรรมะ หล่อนจะตอบยาวกว่าปกติ ก็วกถามอีก

“ถ้าจำไม่ผิด นิพพานแปลว่า ‘เย็น’ ถูกไหม?”

หญิงสาวมีทีท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง ก่อนตอบคล้ายระวังอยู่ในทีว่า

“คำแปลตามพจนานุกรมคือ ‘ความดับกิเลสและกองทุกข์’ ความหมายอื่นแม้มีอยู่โดยเดิมก่อนหน้า ก็ไม่ใช่พุทธประสงค์ที่ตรงแท้...จอดใต้ต้นไม้นี่ก็ได้ค่ะ”

เกาทัณฑ์เบนหน้ารถไปจอดตามที่หล่อนบอก แต่ยังไม่ดับเครื่อง อย่างจะขอคุยต่อในรถอีกสักครู่

“หลังคุยกับปู่เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมพยายามจับจุดหลักของพระศาสนาเรา จะเข้าใจผิดไปไหม ถ้าสรุปคือท่านว่าหมดความรู้สึกในตัวตน หมดอาลัยไยดี เลิกดิ้นรนแสวงหาอะไรๆทั้งปวง ก็คือถึงที่สุด ขึ้นชื่อว่าดับทุกข์ลงได้”

“ค่ะ”

“ผู้คนทั้งหลายต่างพอใจอยู่กับความสุข ความมีตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งในโลก ถ้านิพพานคือหนีโลก ก็คงหาคนอยากไปได้น้อยเต็มที น่าจะสมัครใจทุกข์บ้างสุขบ้างตามประสาคนตาฝ้าฟางเสียมากกว่า อาจกล่าวได้ว่าศาสนาเราเป็นศาสนาสำหรับชนหมู่น้อยสินะ”

พูดโดยมีเจตนายั่วให้แย้ง หางตาเห็นหญิงสาวหันมองเขา อึดใจนั้นคล้ายหล่อนอยากโต้ตอบ แต่แล้วก็ตัดสินใจเงียบ เปิดประตูก้าวลงจากรถไปรอเขา เกาทัณฑ์ดับเครื่อง ดึงคันโยกข้างเบาะเปิดกระโปรงท้ายรถแล้วก้าวตามลงมา เมื่อเดินมาใกล้ก็เห็นหล่อนยืนเม้มปากนิดๆอย่างคิดอะไรอยู่

“เคยถวายสังฆทานไหมคะ?”

หญิงสาวเงยหน้าถาม ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

“เคยแต่ใส่บาตรพระตอนเช้าฮะ อ้อ ตอนทำบุญขึ้นบ้านใหม่กับเลี้ยงพระวันแต่งงานเพื่อนอย่างนี้ถือว่าใช่สังฆทานหรือเปล่า?”

หญิงสาวตัดบทว่า

“ธรรมเนียมของที่นี่พระท่านจะให้ญาติโยมกล่าวถวายกันเอง ถ้าท่องไม่ได้ก็คงต้องขอหนังสือมนต์พิธีจากท่าน”

เกาทัณฑ์เลิกคิ้วอย่างพอจะนึกออกถึงพิธีกรรมในการถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ตามที่เคยเห็นมา

“แพกล่าวนำให้ผมก็ได้นี่”

แพตรีส่ายหน้า

“คงไม่เหมาะหรอกค่ะ”

ชายหนุ่มมองหน้าหล่อนด้วยแววใสแบบที่ปนด้วยอารมณ์ขบขัน หัวเราะออกมาหน่อยหนึ่งอย่างเข้าใจ หล่อนถูกถนอมเลี้ยงดูมาโดยปู่ซึ่งเป็นชายที่น่าเคารพนับถือ กับทั้งอยู่ในกรอบของธรรมเนียมนิยมสมัยเก่า จึงอาจติดความคิดประเภทชายเท้าหน้า หญิงเท้าหลังอยู่

“งั้นเอางี้ ไม่ต้องรบกวนพระท่านยุ่งหยิบหนังสือหรอก แพลองบอกผมซิ ท่องสดๆตอนนี้เลย เผื่อจะจำได้”

แพตรีเห็นแววเชื่อมั่นพอดีๆในตาญาติหนุ่มแล้วก็ทดลองบอกให้ทีละช่วง

“อิมานิ มะยังภันเต สังฆทานิ สะปะริวารานิ...”

เกาทัณฑ์มองตาหล่อนแน่วและท่องตามยิ้มๆ

“ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโนภันเต ภิกขุสังโฆ...อิมานิ สังฆทานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ...อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ”

เขาสามารถว่าตามโดยไม่สะดุดหลุดแม้แต่คำเดียว แถมพอแพตรีบอกจบทั้งหมดก็ทวน

ใหม่ให้ฟังตั้งแต่ต้น ถูกต้องบริบูรณ์หาที่ติไม่ได้จนหล่อนต้องจ้องมองอย่างสงสัยครามครันว่า

เขารู้อยู่แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้หรือเปล่า

“ตอนเป็นประธานนักเรียนสมัยอยู่มัธยมผมเคยนำนักเรียนสวดมนต์ตอนเช้าและตอนพิธีไหว้ครูฮะ ท่องจำบาลีนี่งานถนัดเก่า”

สุ้มเสียงของเกาทัณฑ์ออกโอ่หน่อยๆ แพตรีกะพริบตาเนิบช้า

“หลังจากนั้นให้กล่าวแปลด้วยนะคะ” แล้วหล่อนก็ว่ารวดเดียวจบไม่พักวรรค “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย สังฆทาน กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ สังฆทานกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญ อ้อแล้วตอนต้นต้องว่านะโมฯสามจบก่อนด้วย”

พูดจบก็มองเขานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละไมและหัวเราะหึๆ รู้ว่าหล่อนไม่เชื่อว่าเขาเพิ่งท่องได้ ถึงกับแกล้งบอกคำแปลเสียเร็วจี๋ แถมไม่เว้นช่วงให้เขาลองท่องตามอย่างนี้

“จำได้ไหมคะ?”

เกาทัณฑ์กระแอมทีหนึ่ง ลองตั้งต้นทวนให้หล่อนฟังทั้งบาลีและไทย ที่จริงเขาจำได้

ทะลุปรุโปร่ง แค่นี้สบายๆอยู่แล้ว แต่บางทีคุณภาพหน่วยความจำดีเกินเหตุก็พานพาความเข้าใจผิดมาหาตนได้ง่ายๆ เขาจำต้องแกล้งทำเป็นลืมนั่นนิดนี่หน่อยพอลบแววคลางแคลงออกจากดวงตาคู่งาม ไม่เป็นการดีหากหล่อนจะมองว่าเขาพูดจาโกหกเพื่ออวดเก่งกล้าสามารถเอาโก้

พอซักซ้อมจนเห็นเขาขึ้นใจดี แพตรีก็หยิบถังสองใบออกมา เกาทัณฑ์หยิบที่เหลือตามก่อนปิดท้ายรถ จากนั้นก็เดินคู่กันไปตามทาง

มีชาวบ้านเดินสวนมาสองคน คงรู้จักหญิงสาวดีจึงทักทายและยิ้มแย้มให้ แถมปรายตาช่างสังเกตมาทางเขาเป็นพิเศษ เขาเห็นหล่อนยิ้มตอบพอเป็นพิธีแล้วก้มหน้าเหมือนจะหลบหน่อยๆ เห็นแก้มแดงเรื่อที่สุดซ่อน เกาทัณฑ์จึงถึงบางอ้อว่าการสอดมือเข้ามายุ่มย่ามกับการทำบุญของหล่อนให้ผลเช่นไร

แต่แรกเพียงต้องการช่วยเหลือหล่อนให้ได้รับความสะดวกเป็นหลัก ไม่ทันคิดว่าจะทำให้คนละแวกบ้านหล่อนเข้าใจภาพที่ปรากฏผิดไป การทำบุญร่วมกันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวนั้นพิจารณาด้วยสามัญสำนึกไทยๆได้สถานเดียวคือเป็นคู่รักกัน หรือหนักกว่านั้นหน่อยก็คือเป็นสามีภรรยาไปเลย ใครจะคิดเล่าว่าเพิ่งคุยกันแค่สองคำแล้วจะมาทำสังฆทานร่วมกันได้อย่างนี้

หล่อนคงอาย แต่ช่างปะไร เขายืดอกกระหยิ่มยิ้มย่องผ่องใส ภูมิอกภูมิใจอย่างล้นเหลือกับการเดินเรียงเคียงหล่อนคนนี้ จะเพื่อความรู้สึกดีๆของตัวเองหรือเพื่อให้ชาวบ้านอิจฉาตาร้อน ล้วนแล้วแต่ใช่ทั้งนั้น

กุฏิเจ้าอาวาสเป็นเรือนไม้เก่า แต่ก็ท่าทางแข็งแรงยากจะผุพัง แพตรีนำชายหนุ่มขึ้นบันไดไปนั่งที่ชานเรือน ท่านสมภารกำลังคุยอยู่กับญาติโยมสองสามคน ในความสังเกตของเกาทัณฑ์ ท่านเป็นคุณตาใจดี ไม่ใช่ผู้คงแก่เรียน ไม่ใช่ผู้คงแก่วิชาอาถรรพณ์ และไม่ใช่แม้แต่คนสูงอายุที่ยังมีหลังตรงกับสติตั้งได้สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างปู่ชนะ ดูจากสายตากับอาการพูดจากับญาติโยมแล้ว เขาว่าคงอยู่ในช่วงว่างสบายของชีวิต ท่าทางอาจชอบคุยถึงอดีตอันฟุ้งเฟื่องมากกว่าสวดมนต์หรือทำกิจอื่นของสงฆ์

พอหันมาเห็นหญิงสาวที่เพิ่งเข้านั่งพับเพียบต่อท้ายญาติโยมอื่น ท่านก็ทักว่า

“ว่าไงหนูแพ ปู่ไม่ได้มาด้วยเหรอ แล้วเอาใครมาด้วยล่ะนั่น?”

“ปู่พักผ่อนเจ้าค่ะ”

แพตรีตอบคำถามท่านแค่ครึ่งเดียว ครึ่งหลังเงียบเสีย เกาทัณฑ์ได้ยินสมภารหัวเราะยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวเราะอะไร คนแก่บางทีได้ยินใครบอกว่าเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ก็หัวเราะแล้ว

ครู่หนึ่งท่านสมภารตะโกนสั่งพระลูกวัดให้นิมนต์พระสี่รูปแล้วหันกลับมาคุยกับญาติโยมชุดเก่าต่อ พอจับความได้ว่ากำลังสนทนาเรื่องพระลูกชายของโยมซึ่งมาบวชที่นี่ มีการถามไถ่ทำนองว่าอยู่ดีมีสุขหรือไม่ ปฏิบัติกิจของสงฆ์บกพร่องอย่างไรรึเปล่า ซึ่งก็ดูท่านสมภารจาระไนตามสะดวกว่าพระลูกชายสุขสบายทุกประการ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน บิณฑบาตได้ข้าวฉันอิ่มทุกมื้อ ปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างขยันขันแข็ง ไม่เอาแต่ง่วงเหงาหาวนอนหรือปูเสื่อฉันของถวายตลอดเช้าสายบ่ายค่ำ

เกาทัณฑ์ฟังแล้วคิดว่าคงเป็นการสนทนาแบบขอให้เสร็จไปทีเพื่อเอาใจผู้เป็นพ่อแม่ จริงๆท่านคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระรูปที่ถูกกล่าวถึงนั่นเท่าไหร่ สังขารท่านเป็นแบบนี้จะให้ลุกไปสำรวจพระลูกวัดทั่วๆได้อย่างไร

พอพระสี่รูปที่ถูกนิมนต์ทยอยขึ้นมาบนกุฏิจนครบ ญาติโยมชุดเก่าก็เห็นสมควรแก่กาล ควรกราบลาไปเยี่ยมพระลูกชาย ทำให้เกาทัณฑ์นึกในใจว่าพวกนี้แปลก แทนที่จะเยี่ยมลูกก่อนเพื่อดูเอาเองกับตาว่าอยู่ดีมีสุข เอกเขนกสบายอารมณ์บนกุฏิหรือปฏิบัติตนสมสมณะวิสัย กลับมาหาสมภาร ถามสมภารแทน อย่างนี้ก็มีด้วย ทำราวกับท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์ บอกได้ดีกว่าตนเองไปเห็นด้วยตาเปล่า

คงอีหรอบเดียวกับที่เขาเคยรู้จักมาบ้าง ประเภทผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในวัยรุ่นผิดพลาด เสียผู้เสียคนไปพักหนึ่ง พ่อแม่จับบวชล้างมลทิน หวังว่าห่มผ้าเหลืองแล้วตัวจะกลายเป็นทองขึ้นมาทันตา เกาทัณฑ์แอบแค่นยิ้มเยาะว่าแค่เครื่องแบบจะช่วยอะไรได้ จนถึงยุคนี้ ป่านนี้ ยังเชื่อกันอยู่อีกหรือว่าผ่านการบวชหมายถึงเข้าเตาชุบหรือเตาหลอม ออกมากลายเป็นชายเต็มตัว กลัวการทำบาป หันมาเป็นคนดีแท้ได้ชนิดสำเร็จรูป

พระที่ขึ้นมาล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยหนุ่ม มีอยู่รูปหนึ่งเท่านั้นที่ท่าทางจะเลยสี่สิบ เขาไม่ได้พิจารณาละเอียดนักว่าดูดีมีสกุลแค่ไหน นั่นเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของคนเรา คือจะไม่พิจารณาสิ่งที่รู้สึกแต่แวบแรกว่าอยู่คนละระดับกับตน หรือถ้าพิจารณา ก็ให้คะแนนติดลบไว้ก่อน

เมื่อพระมาปูอาสนะและเข้าที่นั่งเรียบร้อย แพตรีก็พยักหน้าให้เกาทัณฑ์ช่วยหล่อนนำถังไปวางไว้ตรงหน้าพระแต่ละรูป ชายหนุ่มกระตือรือร้นขึ้น เมื่อเห็นกิริยาแววไวสละสลวยดูแนบเนียนชวนมองเพลินของแพตรี จะเป็นยามที่หล่อนหยิบยกถังไปวางข้างหน้าตักพระ หรือเป็นยามที่ดึงกายกลับมานั่งสำรวม ทุกการเคลื่อนไหวสะท้อนให้เห็นจิตใจอันเปี่ยมด้วยความเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาเหนือเกล้า

อย่างนี้เองกระมังลักษณะของผู้แช่มชื่นในงานบุญ เขาสัมผัสถึงความอ่อนโยนมีชีวิตชีวาอีกแบบหนึ่งในใจตนเอง และชั่วขณะที่ช่วยหล่อนนำถังไปวางเข้าที่ ก็เริ่มซึมซับทีละน้อยว่าการทำบุญ ‘ร่วมกัน’ นั้นเป็นอย่างไร มันเหมือนมีแรงสองแรงเสมอกันผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว ปราศจากความแบ่งแยกสักน้อย แม้กายก็ปรากฏต่อหางตาเป็นปฏิภาค เป็นคู่ตรงข้ามที่เคลื่อนไหวกลมกลืน เหมือนรับกันสนิทในที

พอเสร็จสรรพหญิงสาวก็นั่งคุกเข่าเทพธิดาทางขวามือของเขา ขมุบขมิบปากให้เขาดูเป็นรูป ‘นะโมฯ’ อย่างบอกเป็นนัยให้ขึ้นนะโมฯพร้อมกันเพื่อเริ่มถวายสังฆทาน เกาทัณฑ์คุกเข่าเทพบุตร เปล่งเสียงเริ่มกล่าวถวายด้วยท่าทีเชื่อมั่นและเป็นสุขไปพร้อมกันกับหญิงสาวผู้อยู่เคียง

เสียงชายหญิงที่ร่วมกิริยาบุญคล้ายสายใยแก้วบางใสที่ถักทอร้อยรัดใจเข้าหากัน เกาทัณฑ์ประจักษ์ในความชุ่มชื่นชนิดนั้น หัวใจของเขาสะอาดใสขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจนน่าแปลกใจว่าตนอาจนึกเมตตาเอ็นดูผู้หญิงสักคนอย่างบริสุทธิ์ใจได้ปานนี้ บริสุทธิ์ชนิดที่ยินดีช่วยเหลือหรือเสียสละให้หล่อนทุกอย่างแม้พลาดจากการร่วมครองคู่กัน…

พลาดจากการร่วมครองคู่กัน

ชั่วขณะนั้น แค่คิดก็ทนไม่ได้แล้ว…

พอเสร็จจากการกล่าวถวาย ทั้งสองก็ช่วยกันประเคนคนละสองถัง เกาทัณฑ์สังเกตเห็นพระรับประเคนแพตรีด้วยผ้าแทนที่จะรับด้วยมือเปล่า หลังๆเห็นพระหนุ่มรุ่นใหม่ใช้มือรับของจากสีกากันเป็นแถว เมื่อพิจารณาแล้วเพิ่งเกิดความรู้ใหม่ว่าแม้การส่งของให้แก่กันก็ก่อความรู้สึกผูกพันฉันหญิงชายได้ ถึงต้องมีกฎมีระเบียบให้ใช้ผ้ารับแทนเป็นการกีดขวางความรู้สึกดังกล่าว เมื่อชายรับของจากหญิงด้วยวิธีนี้บ่อยเข้า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะยาวก็คือความมีใจเหินห่างและเห็นเป็นสิ่งต้องห้าม สายตาช่างวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาบอกเขาเช่นนั้น

พระทั้งหมดดูสำรวมจนแปลกตา ราวกับหมู่ทหารที่พร้อมกันอยู่ในกรอบระเบียบวินัยชั้นสูง ผ่านหลักสูตรอบรมขัดเกลาอันทรหดมาแล้ว พวกท่านไม่ชำเลืองมองแพตรีเลยแม้ด้วยหางตา เกาทัณฑ์ลอบสังเกตเกือบตลอดเวลา และชักนึกเลื่อมใสพระที่นี่ วัดนี้ต้องมีอะไรดีบางอย่างเป็นแน่ แต่ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ว่าท่านสมภารจะเป็นหมุดใหญ่ที่ตรึงทุกอย่างให้อยู่นิ่ง ดูท่านไม่น่ามีบารมีพอจะเข้มงวดกวดขัน ปลูกสำนึกให้บรรดาหนุ่มทั้งหลายกลายเป็นพระจริงพระแท้แบบโบราณกาลไปได้

ประเคนเรียบร้อยแพตรีก็เลื่อนเต้ากรวดน้ำให้เขาพร้อมกระซิบเร็วๆ

“รินน้ำลงขันรองนี่ตอนพระองค์หัวหน้าท่านขึ้นยถา พยายามให้น้ำไหลต่อเนื่องไม่ขาดสายจนหมดพอดีเมื่อท่านลงคำว่ายถายาวอีกครั้ง ระหว่างน้ำรินอยู่จะตั้งใจอุทิศบุญกุศลให้ใครก็ได้ที่ล่วงลับไปแล้ว”

ตลอดมาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องอุทิศบุญที่มองไม่เห็น แต่ครั้งนี้ลองดูเสียหน่อย จะว่าตกกระไดพลอยโจนก็ได้ เมื่อยินเสียงหัวหน้าพระขึ้นคำว่ายถา เกาทัณฑ์ก็เริ่มรินน้ำลงขันด้วยความตั้งใจที่ไหลรวมกับสายน้ำว่า

‘ความสุขจงมีแก่ปู่ชนะและแพ’

มีความบันเทิงใจเมื่อตั้งจิตเช่นนั้น ไม่สำคัญว่าจะเกิดผลจริงหรือเปล่า เขาพอใจเสียอย่าง นึกๆไปก็เห็นคุณค่าของพิธีการทั้งหลายแหล่ของคนโบราณ ซึ่งล้วนเป็นอุปเท่ห์ทางจิตวิทยานำสุขมาสู่ใจอย่างได้ผล อย่างน้อยก็เป็นหนทางอ้อมๆสร้างความรู้สึกด้านบวกให้แก่ผู้ที่ตนอุทิศบุญ แพตรีบอกให้เขาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ แต่เขาว่าไม่ได้ประโยชน์เท่ากับให้คนยังมีชีวิตอยู่ด้วยประการทั้งปวง

พอพระจบยถา เกาทัณฑ์ก็คว่ำเต้ากรวดขาดน้ำพอดี พระทั้งหมดรวมทั้งท่านสมภารเริ่มสวดสัพพีพร้อมกันและต่อด้วยชะยันโตเป็นกรณีพิเศษ เกาทัณฑ์นั่งพนมมือหลับตาฟังตามที่เห็นหญิงสาวทำ เขาตั้งใจฟังอย่างเบิกบาน แม้จะไม่รู้เรื่องว่าพระสวดอะไรบทไหนหรือมีความหมายอวยพรประการใด พอใจที่หลับตาแล้วเกิดความรู้สึกปลอดโปร่งสว่างนวลน่าพิสมัย เพิ่งเห็นว่าการถูกห่อหุ้มด้วยข่ายคลื่นเสียงสวดมนต์อันมีพลังลึกของหมู่สงฆ์นั้นอบอุ่นเป็นสุขน่าพึงใจเพียงไร ทั้งวิเวกชวนเคลิ้มสงบ ทั้งไพเราะน่าฟังให้เกิดปีติเมื่อเงี่ยหูสดับ ที่ว่าทำสังฆทานได้บุญมากก็คงเพราะมีสุขมากอย่างนี้นี่เอง

เสร็จสิ้นทุกกระบวนการแล้วสองหนุ่มสาวก็กราบสงฆ์สามครั้ง พระสี่รูปนั้นทยอยลงจากกุฏิไป

“ปู่เราเป็นไงฮึแพ ไม่สบายรึเปล่า ทำไมไม่มา?”

ท่านสมภารถามฉันคนรู้จักคุ้นเคย ฟังดูคล้ายท่านกับปู่ชนะมีความเป็นเพื่อนกันอยู่แต่เก่าก่อน

“เปล่าหรอกค่ะ”

แพตรีตอบอ้อมแอ้ม ภิกษุชราหัวเราะออกมาอีก ดูท่านหัวเราะง่ายเสียจริง

“ถามนี่ไม่ใช่อะไรหรอก คนแก่น่ะ ฉันรู้ว่าโรคมันมาก อย่างหลวงตาใกล้จะลงโรงที่นั่งอยู่นี่เป็นต้น สามวันดีสี่วันไข้ แต่ก็ดีไปอย่างนะที่ได้มรณานุสติโดยไม่ต้องกำหนดกันมาก เอาแค่เห็นอาการร่อแร่จะจะนี่ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว”

เสียงท่านพูดอย่างอารมณ์ดีราวกับเล่าให้ฟังว่าวางแผนจะไปเที่ยวตากอากาศ เกาทัณฑ์อดขันไม่ได้ การอยู่ในพุทธศาสนามานานคงทำให้ท่านสมภารเชื่อนรกสวรรค์ เชื่อว่าตายในผ้าเหลืองแล้วไปสบาย นี่เป็นแง่หนึ่งที่เขานึกตั้งแง่กับศาสนาทั้งหลาย คนเราคงเลิกทำอะไรหมดถ้าเชื่ออย่างนี้กันสักครึ่งโลก บวชครองผ้าเหลืองรอรางวัลลี้ลับในชาติหน้าดีกว่า เขาว่าเผลอๆคนส่วนใหญ่บวชก็เพราะเหตุนี้ ดูแล้วน่าเสียดายที่ไปเชื่อมั่นชีวิตหลังความตายอันเลิศเลอทว่าเลื่อนลอย ไม่ไยดีกับชีวิตปัจจุบันซึ่งเห็นตำตาอยู่ชัดๆ

“พ่อหนุ่มนี่ทำมาหากินอยู่แถวไหนล่ะ บ้านอยู่ละแวกใกล้นี่รึเปล่า?”

ท่านหันมาทางเกาทัณฑ์อย่างชวนปราศรัย ชายหนุ่มมองตอบด้วยสายตาและรอยยิ้มแสดงความเคารพ เพราะสังเกตดูแพตรีให้ความนับถือสูงมาก

“ไกลเหมือนกันครับ บ้านกับที่ทำงานผมอยู่ในตัวเมือง”

“อ้อ”

ท่านครางรับรู้ ยิ่งดูยิ่งเห็นไม่ต่างจากคนแก่ที่ว่างงานตรงไหน ทั้งการพูดการจา ทั้งอิริยาบถต่างๆ ปู่ชนะยังดูทรงภูมิและเปี่ยมบารมีน่ายำเกรงเยี่ยงผู้สูงวัย สูงประสบการณ์กว่าตั้งหลายเท่า ปู่กับหลานสาวเลื่อมใสหลวงตาองค์นี้ที่ตรงไหนหนอ? ถ้าให้เดาก็คงพอประมาณได้แหละว่าวัดแถวนี้มีน้อย เจอองค์ไหนก็เอาองค์นั้นไว้ก่อน

“หน้าตาเหมือนพระเอกหนังดีจริงๆ”

ท่านชมเกาทัณฑ์ประสาคุณตา แล้วคว้าหนังสือพิมพ์ใกล้ตัวขึ้นมาทำทีเหมือนอยากอ่านข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง นี่คงตั้งท่าไล่เขากับหล่อนแล้วกระมัง

“คนสมัยนี้เขาไปถึงไหนกันแล้วล่ะ หลวงตาเดินเหินไปดูไปฟังไม่ไหว แต่เห็นข่าวที่เขาเอามาให้อ่านนี่แล้วก็เข้าใจว่าโลกเหมือนจะลุกเป็นไฟ...”

ขณะที่ท่านทอดตามองหนังสือพิมพ์และพูดไปเรื่อยนั้น เปลวไฟก็ค่อยๆก่อตัวและลามเลียมแผ่นกระดาษทีละน้อย

“สิ่งยั่วยุมันมีมาก ถ้าเราไม่รู้ว่าเป็นไฟ และปล่อยให้ลุกลามเป็นกองโตขึ้นเรื่อยๆโดยไม่หาทางดับ ไฟก็จะนำความพินาศที่นึกไม่ถึงและไม่เคยรู้จักมาสู่”

หนังสือพิมพ์กลายเป็นไฟกองโตที่ลุกโพลงและมียอดเปลวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจรดเพดานกุฏิท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของสองหนุ่มสาว ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเดียวกับฝัน คือไม่มีต้นสายปลายเหตุสมจริง ความรู้สึกของเกาทัณฑ์และแพตรีจึงคล้ายฝันเช่นกัน ไม่มีใครกระดิกกระเดี้ยได้เลยสักนิดเดียว

เสียงฮือของเปลวเพลิงดังขึ้นเรื่อยๆอย่างน่ากลัว ไฟเริ่มแผ่ลามไปบนเพดาน และบัดนั้นเองเกาทัณฑ์ก็ได้สติลุกพรวดขึ้นยืนเหมือนหลุดออกจากกรงแห่งอาการช็อก สมองสั่งงานว่าจะต้องหาทางดับไฟให้ได้โดยเร็วที่สุด

“เพียงเรารู้วิธี ก็ดับไฟได้โดยไม่ต้องวิ่งไปหาเครื่องมือจากไหน”

ท่านสมภารพูดอย่างเยือกเย็นทว่าทรงอำนาจชนิดที่ทำให้เกาทัณฑ์ต้องขนลุกเกรียว เห็นถนัดตาว่าท่านยังถือไฟกองโตไม่ปล่อย นับเป็นภาพที่น่าตระหนกและชวนพิศวงงงงวยเหนือคำบรรยาย แม้ยืนห่างออกมาสองสามก้าวยังสัมผัสถึงความแผดร้อนผะผ่าว กองเพลิงอันร้อนระอุคุคลั่งคล้ายมีแรงพิโรธกราดเกรี้ยวในตนเองเห็นปานนั้น ท่านสมภารทนอยู่ได้อย่างไรไหว

ภิกษุชราปิดตาลงครู่หนึ่งเป็นดุษณี ก่อนเปิดเปลือกตาขึ้นเป่าลมปากพรวดลงไปบนกองเพลิงระหว่างแขนเบาๆ มันดับพรึ่บในพริบตาเดียว เศษขี้เถ้ากระดาษฟุ้งกระจายทั่วห้อง เล่นเอาตาคนเห็นเบิกโพลงอย่างยากจะเชื่อตนเองอีกคำรบ

แล้วอย่างต่อเนื่อง ท่านเงยหน้าขึ้นมองเพดานซึ่งบางส่วนกำลังถูกริ้วไฟแดงฉานคุกคามหนักขึ้นทุกขณะราวกับมีเชื้ออย่างดีฉาบไว้ หรือเหมือนเพดานสร้างขึ้นด้วยฟางแห้ง ท่านสูดหายใจเต็มปอดแล้วป่องปากเป่าลมพุ่งขึ้นไปดังฟู่ใหญ่ เกาทัณฑ์และแพตรีรู้สึกเหมือนมีแรงลมมหาศาลส่งออกมาจากต้นทางที่เล็กไม่สมขนาด มันเป็นพลังลมที่หนักหน่วงรุนแรงราวกับพายุสลาตัน สะเทือนโยกไปทั้งกุฏิ ได้ยินเสียงออดเอียดของไม้คล้ายปรากฏมือยักษ์ไร้ตนมาตบ

ผลคือไฟดับสนิท

เกาทัณฑ์ปากคอสั่น เกิดมาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจออะไรอย่างนี้เลย เขาทรุดกายนั่งลงพับเพียบด้วยอาการของคนขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะ

ท่านสมภารทอดตาดำลึกและฉายแววพิสดารลี้ลับไปทางแพตรี กล่าวด้วยน้ำเสียงการุณย์ว่า

“กลับไปก่อนนะแพเอ๊ย หลวงตาจะปลงอาบัติ...ต้องนั่งสมาธิขอขมาธรรมกันนานล่ะ”

พูดแล้วก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดและปิดตาลง ยามนั้นเกาทัณฑ์ไม่รู้สึกว่าท่านเป็นคนแก่อีกแล้ว

สองหนุ่มสาวกราบลาแล้วลงจากกุฏิของท่านสมภารอย่างเงียบเชียบ พูดอะไรไม่ออกกันแม้แต่คำเดียว



บทที่ ๔  อกหัก

เมื่อมาถึงบ้านของปู่ชนะ เกาทัณฑ์ก็ยังคงเงียบราวกับถูกมัดปากอยู่นั่นเอง เขาจอดรถที่หน้าประตูรั้วและเดินตามหญิงสาวเข้าบ้านงกๆเงิ่นๆอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เมื่อมาถึงบ้านของปู่ชนะ เกาทัณฑ์ก็ยังคงเงียบราวกับถูกมัดปากอยู่นั่นเอง เขาจอดรถที่หน้าประตูรั้วและเดินตามหญิงสาวเข้าบ้านงกๆเงิ่นๆอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“แพ” ชายหนุ่มเรียกเบาๆเมื่อกำลังจะผ่านโต๊ะหมู่ม้าหินใต้ร่มไม้ใหญ่ “นั่งคุยกันก่อนสิฮะ”

เขาสบตาด้วยลักษณะเรียกร้องของเพื่อนที่ร่วมประสบเหตุการณ์สุดระทึกมาด้วยกัน แพตรีเริ่มระงับอารมณ์ได้ แม้ยังไม่ปกติดีนัก แต่พอหันมาเห็นท่าทีเก้ๆกังๆน่าขันของเขาแล้วก็สงบเย็นลงทันที ด้วยถือว่าตนใกล้ชิดบุคคลผู้ทรงคุณมานาน จึงสมควรทำใจหนักแน่นได้มากกว่า ‘ไก่ตื่น’ ตรงหน้า

หญิงสาวลงนั่งบนม้าหินตามคำขอ ทำให้เกาทัณฑ์โล่งอกและนั่งตาม

“เมื่อกี้หลวงตาท่าน...”

ปลายเสียงขาดห้วงอย่างคนหายใจผิดจังหวะ เคยเสียงหล่อตอนนี้หายหมด แพตรีเห็นเขาพูดติดๆขัดๆเลยชิงตอบเสียก่อนอย่างรู้คำถามในใจเขาดีอยู่แล้ว

“หลวงตาแขวนท่านคงเมตตาคุณน่ะค่ะ”

“อะไรครับ?” เพิ่งทราบนามท่านสมภาร “หลวงตาแขวนท่านเมตตาอะไรผม?”

ถามอย่างปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูกจริงๆ

“อย่าให้ดิฉันพูดเลยค่ะ ทบทวนและคิดดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน ถ้อยคำของท่านน่าจะชัดเจนพออยู่แล้ว”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้า กระดาษหนังสือพิมพ์ที่กลายเป็นไฟกองมหึมาอย่างพรวดพราดยังติดตาติดใจมาจนบัดนี้ เล่นเอาความคิดอ่านติดขัดไปสิ้น

“อธิบายหน่อยเถอะ อย่างน้อยให้ผมเข้าใจบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น หลวงตาท่านทำได้ยังไง”

เกาทัณฑ์อ้อนวอน และนี่ก็มิใช่การหาเรื่องคุยกับสาวน้อยที่เขาพึงใจ แต่เป็นการแสวงหาคำตอบจากผู้ที่น่าจะให้ความกระจ่างได้ เขาเคยเข้าชมมายากลระดับโลกชนิดนั่งติดเวทีมาหลายครั้ง แต่บรรยากาศต่างกันเป็นคนละเรื่อง เพราะนี่เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในมิติเหนือธรรมดา กับทั้งมีพลังเข้มข้นบางชนิดกระทบกระเทือนจิตใจผิดปกติ

“ทำไมไม่สนใจหาเจตนาของท่านล่ะคะ ท่านทำได้ยังไงนี่เกินกำลังสติปัญญาของดิฉันเหมือนกัน”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอีกครั้ง

“ท่านมีเจตนาอะไร? ยอมรับว่าผมงงไปหมดแล้ว”

“เชื่อแน่ว่าคุณจำได้ว่าท่านพูดไว้อย่างไรบ้าง รวมแล้วจะพบข้อสรุปเอง ลองอยู่คนเดียวเงียบๆใช้เวลาทบทวนดูเถอะค่ะ “

ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม เพราะสะดุดกับคำแนะของหล่อนที่ให้ ‘ลองอยู่คนเดียว’

“แพทำเหมือนรังเกียจผมจังนะ ตั้งท่าจะไล่ให้พ้นๆอยู่เรื่อย”

หญิงสาวชะงักนิดหนึ่งกับคำที่เหมือนตัดพ้อกลายๆของเขา เกรงจะเอาไปฟ้องปู่ เลยแก้ด้วยกิริยาที่ลดความหมางเมินลง

“เปล่าหรอกค่ะ เพียงแต่ดิฉันมีความสามารถน้อยเกินกว่าจะไขข้อข้องใจต่างๆของคุณได้ นี่พูดจริงๆนะคะ อย่าหาว่าถ่อมตัวเลย อยู่ใกล้กาสาวพัสตร์ของหลวงตาท่านมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยเห็นท่านแสดงฤทธิ์ถึงขนาดนี้ ทราบเพียงว่าท่านสอนทุกคนที่อยู่ใกล้ด้วยกุศโลบายหลากหลาย และ...ต้องเป็นกรณีพิเศษจริงๆถึงจะ...”

เกาทัณฑ์เม้มปาก เลิกคิ้วมองหญิงสาว เมื่อเห็นเงียบนานก็คาดคั้น

“ถึงจะอะไรฮะ?”

แพตรีอึ้ง ว่าไปหล่อนก็พิศวงใจระคนคร้ามเกรงเดชะแห่งพระคุณเจ้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เจตนาของพระระดับเกจิผู้ปฏิบัติชอบนั้นลึกซึ้งนัก ความคิดกระทำการของพวกท่านมิได้เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่นเฉกเช่นสามัญมนุษย์ ทว่ามักเกิดจากการเพ่งประโยชน์ที่อาจทอดระยะยาวไปในอนาคตเบื้องหน้าเสมอ การแสดงฤทธิ์เดชในตนจัดเป็นอาบัติอย่างหนึ่ง หลวงตาแขวนท่านเห็นอย่างไรจึงยอมฝืนนั้น สุดที่หล่อนจะกล้าคาดเดา

ทบทวนพระวินัยเกี่ยวกับการนี้ ก็สบายใจนิดหนึ่ง เพราะพระพุทธองค์ระบุไว้ว่าภิกษุ ‘ไม่พึง’ แสดงอิทธิปาฎิหาริย์แก่คฤหัสถ์ หากรูปใดแสดง รูปนั้นต้องอาบัติทุกกฏ ซึ่งว่าไปอาบัติทุกกฏจัดว่าเบาสุดในบรรดาอาบัติทั้งปวง คือเป็นการกระทำอันไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ แต่หากแสดงฤทธิ์ชนิดจัดฉากกลลวงหวังลาภสักการะชื่อเสียง อย่างนั้นโทษจะกระโดดจากเบาสุดเป็นหนักสุด คือเข้าขั้นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระชนิดที่กลับมาบวชใหม่ไม่ได้อีกเลย

แพตรีชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนตอบเกาทัณฑ์ถึงสิ่งที่ยังค้างคา

“ไว้ถ้ามีโอกาส คุณถามจากท่านเองดีไหมคะ? ดิฉันไม่กล้าเดาใจท่าน ถ้าพูดผิดเดี๋ยวจะเป็นบาปเปล่าๆ”

เกาทัณฑ์หัวเราะ แม้ไม่ทราบเหตุผลที่หล่อนบ่ายเบี่ยงแน่ชัด เขาก็ได้เห็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของหล่อน นั่นคือความระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำของตนเอง พอรู้อยู่บ้างหรอกว่าในโลกนี้มีหลายสิ่งทำแล้วให้คุณอนันต์แต่ก็อาจยื่นโทษมหันต์ ทว่ากรณีนี้แค่หล่อนตอบคำถามเขาสองสามคำ จะไปเกิดผลลบผลร้ายชนิดใดได้

“ดูนัยน์ตาแพแล้วเหมือนคนรู้ดีสารพัดเลยนะ แบ่งปันให้ผมรู้มั่งสิว่าแพเก็บอะไรไว้บ้าง”

“น้อยค่ะ น้อยมาก อย่าว่าถ่อมตัวเลย ดิฉันอ่านน้อย ฟังน้อย แล้วก็รู้เห็นคับแคบ ถ้าอยากได้ความรู้แจ้งแทงตลอดล่ะก็ คุยกับหลวงตาแขวนหรือคุณปู่สิคะ”

สำเนียงอันเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมาของหล่อนทำให้เขาส่ายหน้ากับตนเองเหมือนอับจน

“ทราบจากปู่ว่าแพเรียนครู…แพมีคุณสมบัติที่ดีของครูอยู่ข้อหนึ่ง คือไม่พูดอย่างคนรู้มาก แต่จะพูดอย่างคนรู้จริง”

เขาเริ่มสงบบ้างแล้ว สงบพอที่จะนั่งไขว่ห้างให้สบายอารมณ์ขึ้น หญิงสาวไม่โต้ตอบประการใดกับคำสดุดีกรุยทางอันหรูหราของเขา

“แต่ความรู้นี่ถึงน้อยก็เป็นทุนไว้เพิ่มวันหน้าได้ แค่เพียงให้เฉพาะส่วนที่แพรู้ หรืออย่างน้อยคาดคะเนจากที่เคยรู้ ก็ถือว่าเป็นการจุดแสงสว่างให้คนที่ยังมืดสนิท จริงไหม?”

แพตรีถอนใจ

“อยากรู้อะไรคะ?”

“หลวงตาแขวนท่านทำได้ยังไง?”

หญิงสาวกะพริบตาเนิบช้า

“ตามตำรา เมื่อมนุษย์ทำสมาธิได้อยู่ตัวถึงระดับหนึ่ง กระแสจิตจะผนึกรวมหนักแน่นทรงพลังมหาศาล เพ่งจับสิ่งใดก็มีอำนาจเหนือสิ่งนั้น หากเพ่งไฟแน่แน่วจนจิตกลายเป็นไฟ มีไฟอยู่ในจิต กระทั่งจิตทรงอิทธิพลอยู่เหนือเตโชธาตุรอบตัว ก็อาจบันดาลความร้อนให้เกิดขึ้นจริงได้ตามปรารถนา

ทำนองเดียวกับดิน น้ำ และลม ขอเพียงฝึกจิตจนมีธาตุเหล่านี้ขึ้นใจ กระทั่งเข้าใจอำนาจของตนที่มีเหนือธาตุเหล่านี้ ก็อาจใช้จินตนาการปรุงแต่งให้เกิดความเป็นไปต่างๆตามต้องการ เนื่องจากจิตวิญญาณมีความสัมพันธ์แนบแน่น และอยู่เหนือดิน น้ำ ลม ไฟโดยเดิม”

คล้ายปรากฏพานทองแห่งการยอมรับผุดขึ้นที่กลางใจ เหมือนมีความทรงจำเก่าวูบไหวขึ้นมาใจกลางสมอง ราวกับภายในนั้นแจ้งประจักษ์สิ่งที่หล่อนพูดถึงอยู่แล้ว แต่เพิ่งถูกเปิดเผยในบัดนี้ เกาทัณฑ์ย่นคิ้วน้อยๆและเงี่ยหูตั้งใจฟังเต็มที่

“หลวงตาท่านเป็นพระปฏิบัติ ผ่านแนวทางกรรมฐานมานานชั่วชีวิต คนใกล้ชิดจะทราบว่าท่านมีอภิญญาประเภทรู้วาระจิต คือใครกำลังคิดอะไรอยู่ หรือมีอารมณ์ชนิดไหนนี่อ่านออกหมด ดิฉันเองก็ประจักษ์กับตัวมาหลายหน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะ...มีอภิญญาแก่กล้าขนาดนี้”

เกาทัณฑ์ยกมือลูบคาง

“นิยามของอภิญญาคืออะไรฮะ?”

“ความรู้ยิ่งที่ได้มาจากอภิจิต เป็นจิตในอีกระนาบหนึ่งที่อยู่สูงเหนือสามัญจิตอย่างพวกเรา มีอยู่ทั้งหมดหกชนิด ชนิดแรกก็เช่นที่เห็นหลวงตาท่านบันดาลลมไฟ เรียกว่าเข้าข่ายรู้วิธีแสดงอิทธิฤทธิ์ ชนิดที่สองคือหูทิพย์ ชนิดที่สามคือญาณรู้ใจคนอื่น ชนิดที่สี่คือญาณระลึกชาติ ชนิดที่ห้าคือตาทิพย์ และชนิดที่หกคือความรู้วิธีที่จะทำให้เกิดธรรมชาติแห่งการล้างกิเลสออกจากใจอย่างเด็ดขาด...”

เมฆกลางฟ้าเคลื่อนคล้อยจากการบดบังดวงอาทิตย์ แสงแดดที่แผดกล้าส่วนหนึ่งฉายลอดเงาไม้ลงมาเป็นลำ พร้อมกันขณะเดียวกับวูบสายลมรำเพยผ่านสองหนุ่มสาว

“ธรรมชาติแห่งการล้างกิเลส?”

เกาทัณฑ์ทวนคำของหล่อนแผ่วเบา คล้ายมีคลื่นปฏิรูปสะท้อนก้องอยู่ในหัว ทำให้งงเคว้งไปชั่วขณะ

“สิ่งนี้ใช่ไหม ที่เรียกว่ามรรคผล?”

น่าแปลกที่เนื้อหาทางพุทธศาสนาในตำราที่เคยศึกษาในชั้นเรียนมัธยมค่อยๆทยอยขึ้นสู่จิตสำนึกทีละระลอกอย่างเป็นไปเอง

หญิงสาวพยักหน้า

“ค่ะ อภิญญาขั้นสุดท้ายนี้เป็นอภิสิทธิ์เฉพาะผู้เดินตามทางอริยมรรค เพิ่มขึ้นจากอภิญญาห้าของฤาษีชีไพรธรรมดา”

“ถ้าผมจำไม่ผิดและเข้าใจไม่คลาดเคลื่อน การชะล้างกิเลสนี่ก็มีลำดับขั้นเหมือนกันใช่ไหม? ไม่ใช่ล้างทีเดียวสะอาดบริสุทธิ์ได้เลย”

แพตรีตรึกทวนถ้อยคำที่ปู่ชนะเคยแจกแจงครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มถ่ายทอดด้วยใจเคารพธรรม

“ธรรมชาติการล้างมีสี่ครั้ง พระพุทธเจ้าบัญญัติเรียกครั้งแรกว่าโสดาปัตติผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่เหมือนตอนเป็นคนธรรมดา เพราะธรรมชาติจิตยังย้อมติดกับอารมณ์ได้แนบแน่นอยู่ ต่างแต่เข้ากระแสพระนิพพานแล้ว รู้นิพพานแล้ว เที่ยงที่จะหมดกิเลสสิ้นเชิงในกาลต่อไป ครั้งที่สองเรียกสกทาคามิผล เกิดขึ้นแล้วราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงมาก เพราะธรรมชาติจิตแยกจากอารมณ์ได้ง่ายเอง

ครั้งที่สามเรียกอนาคามิผล เกิดขึ้นแล้วหมดกามราคะ หมดโทสะอย่างสนิท เพราะธรรมชาติจิตมีความสม่ำเสมอในกระแสสมาธิ แต่ยังมีโมหะขั้นละเอียด เพราะอวิชชายังบดบัง ยังหลงคิดว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่ ส่วนครั้งที่สี่...ครั้งสุดท้าย เรียกว่าอรหัตตผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วจิตแทงขาดจากความครอบงำทั้งปวง แม้อวิชชาว่ากายนี้ใจนี้คือบุคคลเราเขาก็ไม่ปรากฏสักนิดเดียว จิตบริสุทธิ์ตั้งมั่น คงที่ถาวรจริง ไม่กลับคืน ไม่ปฏิรูปเป็นอื่นอีก”

ด้วยน้ำหนักคำ การให้จังหวะวรรคตอนอันกลมกลืน และวิธีออกเสียงควบกล้ำชัดเจนน่าฟัง รวมแล้วได้ผลเป็นลีลาการถ่ายทอดที่ถูกรับรู้และคล้อยตามได้ง่ายดาย จนเกาทัณฑ์ต้องลอบมองอย่างแอบทึ่งในความเป็นสตรีที่กอปรพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติชั้นเลิศของหล่อน

กระแอมทีหนึ่งอย่างพยายามเอาตัวเองออกมาจากบ่วงเสน่ห์ที่หล่อนมิได้มีเจตนาคล้อง

“หลวงตาท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าฮะ?”

“นั่นแหละค่ะสิ่งที่ดิฉันตอบไม่ได้อย่างแน่นอน และก็ไม่อาจเอื้อมที่จะเดาด้วย ใครจะเป็นพระอริยบุคคลระดับไหนนั้นท่านรู้อยู่แก่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันบอกได้ก็คือผู้สามารถแสดงฤทธิ์ใช่จะต้องพระอริยบุคคลเสมอไป อย่างที่บอกแล้วว่าอภิญญานั้นมีหลายชนิดและก็แยกกันเด็ดขาด บางท่านอาจมีหนึ่งอย่าง บางท่านอาจมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับวาสนาเฉพาะตัว ถ้าท่านมีบารมีสูงมากก็อาจมีอภิญญาครบพร้อมทั้งหก คือมีความสามารถพิสดาร แล้วก็เป็นพระอรหันต์ด้วย ซึ่งเท่าที่รู้...หายากมาก”

อีกระลอกสายลมหนึ่งพัดผ่านมา เกาทัณฑ์เห็นหล่อนทอดตามองกิ่งไม้ไหว เห็นความสงบใจในดวงตาสวยหวาน ดูทีหล่อนเป็นคนมีความสุขได้ง่ายๆอย่างน่าอิจฉา ใครอยู่ใกล้ก็พลอยรู้จักความสงบชนิดนั้นตามไปด้วย

“เพราะอะไรฮะ เมื่อมีพลังจิตสูงพอ ทุกอย่างก็น่าจะอยู่ในวิสัยไม่ใช่หรือ หากมีกำลังจิตสูงขนาดลุอภิญญาขั้นสุดท้ายได้ ก็น่าจะครอบคลุมอภิญญาขั้นต้นทั้งหมดเหมือนกัน อ้า...นี่คิดเอาตามการคาดหมายของผมนะ ว่าสิ่งดีที่สุดน่าจะครอบงำสิ่งที่อยู่ล่างๆลงมา”

“อภิญญาขั้นสุดท้ายที่มีไว้ล้างกิเลสนั้น จัดว่าประเสริฐสุด แต่ใช่ว่าทรงอำนาจครอบงำสูงสุดนะคะ คนละอย่างกันเลย เหมือนคนจบปริญญาแล้ว ทำงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาเก่งเท่าเด็กมัธยมบางคน อย่างที่บอกแต่แรกว่าอภิญญาแต่ละชนิดแยกเป็นเอกเทศจากกันเด็ดขาด ไม่อิงอาศัย หรือมีอย่างหนึ่งแล้วต้องมีอีกอย่างด้วย

และตามที่เคยได้ยิน พระอริยบุคคลท่านไม่ค่อยนิยมเรื่องฤทธิ์เดชกันเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเป็นเรื่องสนุกเกินไปสำหรับดวงจิตที่รักสุญญตภาพของท่าน ผู้ที่ชอบเรื่องพรรณนี้โดยมากเป็นพระโพธิสัตว์ พวกท่านมีบารมีสูงกว่าพระอริยบุคคล ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเบื้องหน้า ไม่อยากถึงนิพพานด้วยการเป็นสาวก ต้องการถึงด้วยตนเองกับทั้งสามารถนำพาคนอื่นไปด้วยมากๆ แล้วก็มีอัจฉริยภาพทางจิตสูง อุดมด้วยอิทธิบาทสี่เหมาะกับการเล่นฤทธิ์เล่นเดชสร้างบารมี”

เขาเคยได้ยินคำว่า ‘พระโพธิสัตว์’ มาหลายครั้งหลายครา แต่คราวนี้ฟังดูมีความพิเศษน่าฉงน อาจเป็นเพราะหล่อนโยงมาเกี่ยวข้องกับฤทธิ์อภิญญา หรือเพราะหล่อนขยายคุณสมบัติด้วยการบวกคำว่า ‘อัจฉริยภาพทางจิต’ เข้าไป เขาชอบคำนี้ เพราะปลุกเร้าสำนึกในอัตตาทั้งส่วนตื้นและส่วนลึกเอาเรื่อง

โดยนัยการจาระไนไขความของหญิงสาว เกาทัณฑ์เกือบสรุปว่าหลวงตาแขวนไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ นั่นเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเขา เพราะส่วนลึกรู้สึกว่าตนห่างไกลจากคำว่า ‘อรหันต์’ พิกล สัมผัสแผ่วเต็มที

“พระโพธิสัตว์นี่ทำยังไงถึงจะได้เป็นฮะ?”

“ก็...”

หล่อนอึกอักไปชั่วขณะ เมื่อหันมาเห็นดวงตาดำลึกที่ฉายอำนาจประหลาดของเขา

“แค่อยากเป็นก็ได้เป็นตอนนั้นแล้วล่ะค่ะ”

เกาทัณฑ์เลิกคิ้วเล็กน้อย

“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”

“ค่ะ” คิดหาอุปมาอุปไมยเป็นครู่ ก่อนอรรถาธิบาย “เหมือนตื่นเช้าตั้งใจว่าวันนี้จะทำแต่ความดี ขณะที่คิดนั้นก็เป็นคนดีแล้ว ยังไม่ต้องลงมือก่อกุศลด้วยการพูดหรือลงมือกระทำจริง”

“แต่ระหว่างวันพอเจอเรื่องยั่วใจให้เขวอยากทำชั่ว ก็เปลี่ยนเป็นคนชั่วได้ใช่ไหม?”

ชายหนุ่มแย้งเบาๆตามความน่าจะเป็น

“ค่ะ ชาวพุทธทั่วไปเมื่อศึกษาพุทธศาสนา เห็นค่าของพระธรรมคำสอน เห็นคุณของพระพุทธองค์ที่โปรดเวไนยสัตว์ได้มากมาย บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์กว้างขวาง หลายคนก็นึกปรารถนาจะทำเช่นนั้นบ้าง โดยมีความคิดอุทิศตนเป็นทานแก่หมู่ชนไม่เลือกหน้าเป็นที่ตั้ง ก็ได้จิตชนิดที่เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว แต่แค่เพียงด้วยเจตจำนงและแรงปรารถนาประการเดียว ยังไม่เที่ยงที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตชาติหรือไม่ ท่านให้เรียก ‘อนิยตโพธิสัตว์’

หลังจากอนิยตโพธิสัตว์ผ่านการเวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญคุณงามความดี พบพุทธศาสนาหลายๆครั้งเข้า เห็นพุทธคุณแล้วปลาบปลื้ม คิดปรารถนาจะทำมหากรุณาเช่นพระพุทธเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเงากรรมที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าแจ่มชัดพอ กับทั้งได้พบพระพุทธเจ้าสักพระองค์เพื่อตรัสพยากรณ์ เป็นกำลังใจให้ทราบชัดว่าตนเที่ยงที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตแน่แล้ว อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าเป็น ‘นิยตโพธิสัตว์’ เหตุที่มั่นใจก็เพราะคำของพระตถาคตนั้นไม่เป็นสอง เมื่อตรัสว่าสิ่งใดจะเกิด สิ่งนั้นเหมือนเกิดแล้ว รอแต่เวลาคลี่คลายมาถึงเท่านั้น”

เกาทัณฑ์กะพริบตาสองหน

“ทีแรกผมนึกว่าพระโพธิสัตว์หมายถึงผู้มีจิตใจประเสริฐสูงส่งหาที่ติไม่ได้ หรือเทพเจ้าในตำนานซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์อะไรทำนองนั้น”

“ถ้านับกันโดยนัยของขณะจิตที่คิดเสียสละ อธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อนำเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ ตัวเองเดือดร้อนทรมานเนิ่นนานอย่างไรก็ช่าง ต้องถือว่าเป็นผู้มีจิตใจประเสริฐสูงส่งจริงๆค่ะ ท่านว่ากำลังใจต้องยิ่งใหญ่เหมือนแผ่นฟ้ามหาสมุทร”

“ฉะนั้นควรสันนิษฐานว่าเมื่อเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว จะต้องมีนิสัยเสียสละ ประเสริฐสูงส่งสมภูมิความดีดั้งเดิมใช่ไหม?”

แพตรีมองเขาด้วยแววนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนตอบเรียบๆว่า

“ก็ไม่จำเป็นนักหรอกค่ะ บางชาติอาจเด่นเพียงบารมีด้านใดด้านหนึ่ง บางชาติอาจเด่นหลายด้าน หรือบางชาติก็แทบไม่มีโอกาสสะสมอะไรเพิ่ม โดยเฉพาะเมื่ออยู่สูงหรือต่ำกว่าภูมิมนุษย์”

“เอ…ถ้าการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต้องใช้เวลาเป็นชาติๆ อย่างนี้ก่อนอื่นต้องเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม?”

“ค่ะ ถ้าขาดปัจจัยให้พร้อมลงอธิษฐาน เช่นขาดความแจ่มแจ้งถ่องแท้เกี่ยวกับภพชาติและการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่เกิดจิตคิดปรารถนาขึ้นมาได้ตามจริงหรอก”

เกาทัณฑ์เม้มปาก กะพริบตาถี่ๆ

“ถามหน่อยนะ แพเชื่อเรื่องชาติก่อนชาติหน้ารึเปล่า?”

“ค่ะ…เชื่อ”

“เรื่องทำนองนี้มีวิธีพิสูจน์ที่แน่นอนไหมฮะ?”

“มี...แต่ยากมาก อย่างที่เมื่อกี้คุยกันไปแล้วไงคะ การระลึกชาติเป็นอภิญญาชนิดที่สี่ หากทำสมาธิจนแก่กล้าเข้าขั้นอภิจิต ก็ฝึกระลึกเอาได้”

“แพเห็นด้วยตัวเองแล้วจากอภิญญาชนิดนั้น?”

คราวนี้หล่อนส่ายหน้า ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย

“งั้นเล่าให้ฟังถึงเหตุจูงใจให้เชื่อหน่อยได้ไหม?”

พอเห็นหญิงสาวทำทีอึดอัดที่จะเฉลย ก็ปลอบแกมคะยั้นคะยอ

“อย่าเข้าใจว่าซักไซ้ไล่เลียงวุ่นวายเลยนะ ผมเห็นแพอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ผู้รู้ธรรมถึงสองท่าน คงไม่ใช่สักแต่เชื่อตามตำราหรือโบราณว่าไว้ หากมีหลักการที่ขยายความคิดผมให้กว้างขวางตามได้ ก็อาจเป็นประโยชน์ เปิดหูเปิดตา เหมือนอย่างที่ประจักษ์อิทธิฤทธิ์อภิญญาจากหลวงตาท่านมาแล้ว”

แพตรีทอดจับใบหน้าของเขาเต็มหน่วยตา จนเกาทัณฑ์ให้ฉงนขึ้นมาอีกคำรบว่าแฝงเลศนัยชนิดใดไว้กันแน่ รู้ว่าหล่อนคิด แต่คิดอะไรไม่รู้นี่ชวนให้จุกอกจุกใจเสียจริง เดี๋ยวก็ฝึกอภิญญาอ่านใจคนมาเจาะดูเสียหรอก

นานครู่หนึ่งก่อนหล่อนจะตอบเสียงนิ่ม

“มีบางสิ่งในชีวิตที่ทำให้ดิฉันรู้ว่า ‘ใช่’ แต่ขอให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวเถอะค่ะ อย่าเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เพราะถามจากคนอื่น ผู้รู้ท่านไม่สรรเสริญ”

“แพปิดเป็นความลับอย่างนี้ ถ้าผมอยากรู้ หรือเชื่อมั่นได้เหมือนแพบ้าง จะทราบยังไงว่าต้องเริ่มจากตรงไหน?”

ถามยิ้มๆแบบให้เห็นว่าเขาวอนขอคำตอบดีๆ แพตรีมองคนช่างซักอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยทั้งสายตาจับอยู่กับใบหน้าเขาสนิท

“บางเรื่องคงเป็นวิถีทางเฉพาะตัว เหมาะสำหรับคนบางคนเท่านั้นมั้งคะ ถึงใช้คาถาบทเดียวกัน ต่อให้สวดร่วมเรียงเคียงข้าง ก็อาจให้ผลแตกต่างเป็นคนละแนว”

ชายหนุ่มอึ้งงันด้วยความแปลกใจ อุปาทานหรือเปล่านี่ ตอนท้ายคล้ายสำเนียงหล่อนแปร่งปร่าไป และปุบปับเหมือนเขาถูกรายล้อมด้วยกระแสเศร้าที่กระจายจางมาจากหล่อน เมื่อกี้ยังเย็นสนิทเหมือนสายธารสะอาดใสอยู่แท้ๆ

“ฮะ…เอาเป็นว่าผมใช้วิธีเดียวกับแพไม่ได้ ช่างเถอะ ใครจะรู้ ผมอาจมีพรสวรรค์ในเรื่องการระลึกชาติเป็นพิเศษ ถ้าขอฝึกกับหลวงตาแขวนอาจสำเร็จภายในครึ่งชั่วโมงก็ได้”

มีแววสมเพชจากดวงตาที่เคยวางอุเบกขาเป็นนิจ แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วจนเกาทัณฑ์ไม่แน่ใจว่าแววชนิดนั้นเกิดขึ้นหรือเปล่า เขายิ้มนิดหนึ่ง อยากให้หล่อนรู้เห็นว่าที่ผ่านมา เมื่อตั้งใจจริงแล้ว เขาเป็นทำได้สำเร็จเสมอ แม้ต้องใช้ความพยายามจนดูเหลือวิสัยปานใดก็ตาม

ชายหนุ่มผินหน้าไปทางทิศที่ตั้งของวัดทางนฤพาน สายลมเย็นหอบมาอีกระลอก คราวนี้แรงกว่าครั้งก่อนๆจนเหมือนพัดพาบางส่วนในตัวเขาปลิวหายไปด้วย

เว้นระยะระบายลมหายใจยาวอย่างคนที่ผ่อนคลายลงได้ชั่วขณะหนึ่ง

“วัดในกรุงเทพฯนี่มีแต่ชาวบ้านนุ่งจีวร หาพระไม่ค่อยเจอ เล่นเอาผมนึกว่าโลกสิ้นพระเสียแล้ว ตอนเด็กๆเคยชอบใส่บาตรเหมือนกัน แต่โตๆมานี่ไม่เคยเลย เพราะเห็นพวกชาวบ้านนุ่งจีวรแล้วเสื่อมศรัทธา”

แพตรีฟังเขาพูดโดยปราศจากความเห็น

“เรื่องคิดจะบวชตามประเพณียิ่งไปกันใหญ่ ผมไม่ใช่คนยึดถือความเชื่อสืบต่อกันมา จะทุ่มเททำอะไรต้องเห็นประโยชน์ตามจริง เคยเข้าไปเยี่ยมเพื่อนที่ลาบวชสิบห้าวัน เห็นสภาพแล้วอายแทน คือมันขอข้าวจากชาวบ้านกินไปวันๆอย่างกับ...”

เกือบหลุดคำพูดค่อนข้างแรงออกไป หากแต่ยั้งไว้เมื่อจังหวะนั้นพอดีกับที่เหลือบมาเห็นดวงหน้าสงบละไมของหญิงสาว

“...อย่างกับสิ้นปัญญาต้องลวงข้าวชาวบ้านกิน”

ต่อคำพูดตัวเองจนจบอย่างไม่ชอบค้างคา ทว่าดัดแปลงให้นุ่มนวลลงกว่าที่ตั้งใจพูดแต่แรก

พอเขาเงียบหล่อนก็เงียบ สบตากันพักใหญ่ เขาว่าเขาเห็นรอยระคางซ่อนอยู่เบื้องหลังประกายอ่อนและเปี่ยมไมตรีจิตแน่ๆ ตาไม่ฝาด ไม่ได้คิดไปเอง อยากถามตรงๆให้หายข้องใจ แต่จะปั้นคำพูดอย่างไรดีล่ะ…

แพโกรธผมหรือเปล่านี่?

มีความผิดอะไรที่ผมควรจะรู้ตัวบ้างไหม?

ผมทำให้แพรำคาญมากกระมัง?

คำถามวิ่งวนอยู่แต่ภายในขอบขังของตนเอง แต่ก็อาจสื่อผ่านประกายยิ้มในดวงตาออกไป เมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งในความแปลกหน้าที่คล้ายเคยคุ้น สุดท้ายก็เหมือนลองดีกันอยู่ในที ต่อเมื่อนานครู่หนึ่งหญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเลี่ยงไปเมื่อเห็นว่าหาสาระมิได้

“นึกออกแล้ว!”

แพตรีสะดุ้งนิดๆ อยู่ไม่อยู่เขาก็แกล้งตบเข่าฉาด ระเบิดอุทานดังๆราวกับพวกเชียร์มวยตู้

“หลายปีก่อนที่ผมเคยมาเยี่ยมปู่กับพ่อ เห็นเด็กผู้หญิงผมม้านั่งบีบนวดปู่บนเรือนก็แพนี่เอง แพเปลี่ยนไปเสียจนผมเห็นทีแรกจำไม่ได้นะนี่”

คราวนี้หญิงสาวปรายตาเฉี่ยวผ่านเขาแวบหนึ่ง เป็นแวบที่เผยร่องรอยขุ่นขึ้งอย่างไม่ปิดบังเป็นครั้งแรก

แต่ขุ่นที่เขาแกล้งให้ตกใจเดี๋ยวนี้ หรือขุ่นที่เขาทำสิ่งใดไว้เมื่อหนไหนนี่ยังน่ากังขาอยู่...

“ผิวสวยขึ้นราวกับเป็นคนละคนเลย แพว่าเป็นอิทธิพลของพระศาสนาหรือเปล่า ใครปฏิบัติดีก็เห็นผลดีทันตาอย่างนี้เอง”

หล่อนคงถูกผู้ชายรุมจีบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนชินกระมัง จึงมีสีหน้าท่าทางเป็นปกติทุกอย่าง

“ถ้าจับแพไปออกรายการธรรมะทางทีวี คดีอาชญากรรมอาจลดลงก็ได้นะ ดูสิเนี่ย ไม่ยิ้มก็เหมือนยิ้ม ตอนชักชวนใครทำดี ยืนยันว่าสวรรค์มีจริง ลูกเด็กเล็กแดงคงเชื่อหมด”

แม่งามงอนยังเฉยเมย ริมฝีปากปิดสนิท แน่นิ่งราวกับดิ่งอยู่ใต้น้ำ เกาทัณฑ์ชักนึกสนุก อยากดูซิว่าตอนหล่อนหมั่นไส้ใครจนหน้าเขียว จะออกหัวออกก้อยอย่างไร

“ว่าไปแล้วผมนี่ก็เป็นคนใจบุญสุนทานอยู่เหมือนกันนา ของแบบนี้ถึงไม่ปรากฏชัดให้คนอื่นเห็น แต่เราเองก็รู้สึกอยู่ในใจ…”

คำท้ายๆกล่าวลากช้าพร้อมกับโหย่งมือเกาะอก

“ถ้าผลกรรมติดตามเรามาแต่ชาติปางก่อนจริง ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ประจักษ์ว่ามีบุญตามมาอุปถัมภ์ผมแล้ว ชาตินี้เกิดมาไม่เดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่ ถึงเวลาก็ได้ปู่ชี้ทางธรรมะ ได้แพพาไปพบพระดี เรียกว่าบุญต่อบุญ เห็นได้ชัดว่าชาติหน้าเกิดใหม่คงหล่อเหลาเหมือนพระเอกหนังอย่างที่ตะกี้หลวงตาท่านชมอีก”

รู้สึกรื่นรมย์เมื่อเห็นมุมปากของหล่อนเบะนิดๆจนได้ ผู้หญิงคนนี้ขนาดเบะปากยังสวยเลย เพิ่งซึ้งว่าจิตใจที่งดงามอย่างแท้จริงย่อมไม่ปรุงกิริยาน่าชังออกมา แม้เขม่นใครสุดจะกลั้นก็ตาม

ขณะที่กำลังจะทำก้อร่อก้อติกเป็นเรื่องเป็นราวอยู่นั่นเอง ก็ให้มีเสียงขัดจังหวะดังมาจากหน้าประตูรั้วเสียก่อน

“พี่แพฮะ”

เกาทัณฑ์เห็นหญิงสาวเหลียวไปตามเสียงเรียก ม่านตาเบิกกว้างด้วยความยินดี

“มติ!”

หล่อนร้องออกมาเสียงแหลม ก็ไม่เบานักหรอกสำหรับความดีใจของผู้หญิงคนหนึ่ง เกาทัณฑ์เหลียวตาม ต้องชะโงกนิดหน่อยเพราะต้นไม้บัง แพตรีรีบลุกออกไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นทันที ดูท่าว่าจะลืมสนิทไปเลยว่ามีเขานั่งอยู่ด้วย

“เป็นไง กลับมาถึงเมื่อไหร่?”

ห่างกันแค่เกาทัณฑ์ได้ยินถนัด เห็นผู้เป็นอาคันตุกะหน้าเรี่ยลงเมื่อหันมาสังเกตเห็นเขาเข้า นายคนนั้นกระซิบอุบอิบแบบที่หญิงสาวได้ยินเพียงคนเดียว

“ไม่ทราบว่าพี่แพมีแขก นึกว่านั่งคนเดียว ขอโทษที่เรียกฮะ”

หญิงสาวยังอมยิ้ม ไขกุญแจเปิดประตูรับแขกใหม่หน้าตาเฉย

“เข้ามาก่อน”

นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เกาทัณฑ์ลุกขึ้นยืน

“ผมขอตัวขึ้นไปหาคุณปู่นะฮะแพ”

ฝืนทำเสียงเป็นปกติ แต่คนคุยด้วยมาก่อนรู้ดีว่ากร่อยลงกว่าเดิมเยอะ

“ค่ะ”

ได้เห็นเรียวปากคู่งามสยายเป็นรอยยิ้มรื่นเหมือนโล่งอก ยังผลให้แสบคันคะยิกที่กลางอกแทบดิ้นแล้ว เกาทัณฑ์ก็กลับหลังหันก้าวดุ่มขึ้นเรือนทันที สติขาดหาย อกใจไหวสั่น เดินอย่างไม่เป็นอันรู้ว่าเดินไปทำไม ขนาดเห็นปู่ยังไม่รู้เลยว่าเห็น

“อ้าว! ว่าไงนายเต้ มาอีกแล้ว”

เกาทัณฑ์ได้สติ ยกมือไหว้ปู่แล้วนั่งลง หน้าตาหม่นหมองจนปู่ต้องทัก

“ไปทำอะไรมาล่ะนี่ หน้าตาถึงได้ช้ำๆพิกล วันนี้โชคไม่เข้าข้างรึไง?”

ผู้เป็นหลานยิ้มไม่ออก

“สบายดีเหรอฮะปู่?”

ถามเสร็จก็คิดได้ว่าเพิ่งมาเยี่ยมปู่เมื่อวาน คำถามนี้เอาไว้สำหรับคนไม่เจอกันนานๆต่างหาก จึงรีบกลบเกลื่อนก่อนปู่ทันตอบ

“ผมซื้อองุ่นกับเงาะมาฝาก”

ว่าแล้วก็แทบตบหน้าผากตัวเอง เพราะกระเช้าผลไม้ยังอยู่ในรถ ลืมนำติดมือขึ้นมาด้วย นี่เดินขึ้นเรือนตัวเปล่าแท้ๆดันบอกออกไปแล้ว

ปู่ชนะพยักหน้า

“อือม์ ขอบใจ วางไว้แถวๆนั้นแหละ เดี๋ยวหิวแล้วจะกิน”

ปู่ช่วยแก้เก้อหรือประชดก็ไม่ทราบ เกาทัณฑ์รู้สึกแน่นหน้าอกจนต้องแค่นหัวเราะระบาย

“ปู่นั่งอยู่แต่บนนี้ทั้งวันไม่เบื่อมั่งหรือไงฮะ?”

ถามด้วยเสียงพาล

“เอ้า! คนแก่จะให้ทำอะไรล่ะ อยู่บนนี้ไม่ต้องไปนอนโรงพยาบาลหรือสถานเลี้ยงดูคนชราให้เดือดร้อนลูกหลานก็ดีขนาดไหนแล้วฮึ”

โสตประสาทคล้ายใกล้หยุดทำงาน ชายหนุ่มทอดตามองออกไปนอกเรือนซึมๆ เห็นแวบเดียวก็รู้ว่าสนิทกันขนาดไหน ส่งเสียงเรียกเสียแหลมเปี๊ยวไปเลย ยินดีปรีดาออกนอกหน้าเหมือนจะบอกเขาให้ทราบเป็นนัยอย่างนี้คงชัดพอแล้วกระมัง

น่าแปลก เขาไม่เคยยี่หระเลยถ้าจะต้องต่อกรทำศึกชิงนางกับใคร แต่ทำไมแค่เห็นหน้าไอ้หนุ่มเมื่อวานซืนท่าทางเหมือนไม่มีสตางค์ขึ้นรถเมล์คนนั้นทีเดียว ถึงกับรู้สึกเหมือนคนแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มสู้อย่างนี้ได้

จริงซี...รอยยิ้มโล่งอกที่มีเหตุมาผลักไสเขา มีคู่ตุนาหงันมาปรากฏอวดต่างหาก ที่บาดจิตบาดใจ กัดลึกเกินจะรับ คนอย่างเขาเคยเจอยิ้มชนิดนี้เสียที่ไหน

“นั่นซีฮะ” เขาต้องคิดทบทวนอยู่อึดใจกว่าจะนึกได้ว่ารับคำปู่เรื่องอะไร “ดีแล้วที่ปู่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา มีหลานดีๆคอยดูแลก็หยั่งงี้แหละ”

ปู่ชนะจิบน้ำชาซึ่งเห็นวางอยู่ข้างกายท่านเสมอ เกาทัณฑ์มองตาม แล้วจู่ๆก็คิดถามท่าน

“ตอนปู่มีย่า ปู่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากลำบากไหมฮะ ผมหมายถึงว่าเวลาเราเจอใครสักคนที่อยากอยู่ด้วยตลอดไป เราอ่อนไหวจนเห็นเรื่องขี้ผงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเหลือฝืนเสมอหรือเปล่า?”

นัยน์ตาอันดำสนิทต่างจากผู้สูงวัยทั่วไปเล็งแลมายังชายหนุ่ม แล้วเบนไปทางอื่นเชื่องช้า ก่อนหัวเราะเอื่อยๆในลำคออย่างคนผ่านร้อนหนาวมาจนเจนใจ จะเพราะอะไรก็ตาม เกาทัณฑ์เกิดความอบอุ่นและเหมือนได้รับการปลอบประโลมจากเสียงหัวเราะต่ำทุ้มนั้น

“ก็เจอกันทุกคนแหละเต้”

ปู่ชนะกล่าวในที่สุด เกาทัณฑ์นิ่งฟังอย่างเงียบงัน

“และต่อไปเมื่อมีลูกเมียให้รับผิดชอบ แกจะย้อนมองกลับมาเห็นความเหลือฝืนอย่างเดี๋ยวนี้เป็นแค่ปัญหาขั้นเริ่มต้น เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องราวน้อยใหญ่ประจำชีวิตคู่ มันก็แค่ความรู้สึกวูบวาบนั่นแหละที่ใหญ่เกินตัวปัญหาไปจนถึงกับเห็นว่าเหลือฝืน”

“เหรอฮะ”

เกาทัณฑ์เอ่ยรับเป็นทำนองทอดอาลัยระคนขบขันวิธีเล่นตลกของชีวิต พยายามเลื่อนตัวขึ้นนั่งตรงเมื่อร่างคล้ายจะเลื้อยตกเก้าอี้ลงไปทุกที

“เมื่อก่อนผมว่าบรรดาพรรคพวกที่จริงจังกับความรักนี่มันโง่เง่า” ชายหนุ่มยิ้มเฉียง “แต่เดี๋ยวนี้ชักเห็นใจไอ้พวกนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว”

ปลายเสียงของเขาหายไปลอยๆ

“ก็งั้นแหละ” ปู่ชนะว่า “เราจะเห็นใจใครได้จริงๆก็ต้องมีหัวอกเดียวกันเสียก่อน ม่ายงั้นจะรู้รึว่าความทุกข์ของเขาน่าเห็นใจยังไง”

“ถ้าคำสอนของพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้สนิทจริง ผมก็ชักเห็นค่าบ้างแล้ว”

เกาทัณฑ์ว่าแบบลอยตามลมไปแกนๆ

“ยังไม่ต้องไปถึงขั้นดับทุกข์สนิทก็เห็นค่าเดี๋ยวนี้ได้”

น้ำเสียงทอดเนิบของปู่มีแรงจูงใจให้ตามฟัง

“อย่างที่เราคุยกันวันก่อนไง เรื่องทุกข์เรื่องร้อนอะไรนี่แหละ วันนั้นยังว่างๆ ไม่มีตัวอย่าง ตอนนี้ทุกข์มาแสดงตัวแล้ว ลองดูที่อกใจของแกซี ถอดโขนของหน้าตาตัวตนแกออกไปให้หมด เหลือแต่ใจอย่างเดียว จะเห็นเองว่าหน้าตาความทุกข์เป็นยังไง”

เกาทัณฑ์สังเกตจิตใจตนเอง เห็นความว้าวุ่นอยู่กลางอกจริงๆ

“ในทุกข์นั้นมีภาพใครคนหนึ่งปรากฏร่วมอยู่ด้วยใช่ไหมล่ะ ใครคนนั้นแหละที่เขาเรียก ‘ต้นเหตุทุกข์’ ถ้าแกนึกถึงภาพตัวต้นเหตุได้ ก็จะรู้ว่าอาการยึดไว้เป็นอย่างไร พอรู้จักอาการยึดก็มองออกว่าจะปล่อยด้วยท่าไหน ปล่อยเมื่อไหร่ใจสบายวาบขึ้นมาเมื่อนั้น”

ชายหนุ่มนึกถึงดวงหน้าเด่นของหญิงสาวที่คล้ายคมมีดกรีดอก สัมผัสได้ถึงใจที่พุ่งเข้าสู่มโนภาพดวงหน้าหล่อนอย่างแรง เห็นจริงเห็นจังว่านั่นเองอาการที่จิตเข้ายึดเหตุ อันได้ผลเป็นความทุกข์ พอลองเปลี่ยนเป็นตรงข้าม ถอนอาการยึด อาการหลงหาเสีย ก็คล้ายมโนภาพงามที่ตามหลอกหลอนทุกขณะจิตพลอยสลายตัวเป็นอากาศธาตุไปด้วย สบายหัวอกขึ้นทันที

เหมือนปล่อยมือจากเชือกให้ว่าวหลุดลอยลม ไม่หนักมืออีกต่อไป

“ตัวปล่อยนั่นแหละที่ท่านเรียก ‘ทาง’ ตัวสบายที่ขึ้นมาแทนที่ความวุ่นวายใจนั่นแหละที่ท่านเรียก ‘ความดับทุกข์’ เมื่อทำได้ ก็เหมือนรู้จักอริยสัจสี่เบื้องต้นแล้ว”

เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆ โล่งอกไปถึงไหน ว่างสบายอย่างน่าพิศวง เหมือนเส้นผมบังภูเขาถูกย้ายออก พ้นความเขลาที่เคยหวงต้นเหตุทุกข์ไว้นิดเดียว พอเลิกหวงได้ ปล่อยวางต้นเหตุออกจากใจได้ ก็กลายสภาพใหม่เป็นตรงข้ามทันที เหมือนพลิกฝ่ามือจริงๆ

เมื่อชายชราเห็นผู้เป็นหลานกระจ่างใจในอริยสัจสี่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ก็กล่าวเสริม

“อุปาทานดับชั่วคราวก็ดับทุกข์ชั่วคราว เชื้ออุปาทานดับสนิทก็ดับทุกข์ได้สนิท แกจะเห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนมากกว่านี้ ถ้าได้รู้ และได้ประสบพบว่าความทุกข์รออยู่เท่ากองภูเขาในอนาคตช่วงอื่นๆอีกและอีก กับทั้งเห็นซึ้งว่าภาวะของการดับทุกข์อย่างสนิทนั้นแสนสบายเหลือเชื่อยังไง”

หลานชายตรองนิ่งเป็นครู่ ภาพบาดใจของหญิงสาวเวียนผ่านมาเข้าหัวอีกระลอก คราวนี้เขาไม่ตั้งใจขจัดทิ้ง ความรุ่มร้อนอ่อนใจก็เกิดขึ้นอีก จนต้องหัวเราะหึๆ

“ปู่ไม่ถามเลยนะว่าเธอที่เป็นต้นเรื่องคือใคร บ้านช่องอยู่แถวไหน”

“ถามไปทำไม ปู่เคยรู้จักผู้คนในชีวิตแกสักรายเมื่อไหร่ พอแกบอกจะให้ปู่ร้องอ๋อออกมายาวๆเหรอะ?”

ค่อนข้างโล่งอกที่ปู่ไม่ระแคะระคาย ทั้งที่เรื่องมันจุดไต้ตำตอแท้ๆ

“ก่อนผนวช พระพุทธเจ้าท่านเคยมีทุกข์มามากหรือฮะ ถึงต้องออกแสวงทางพ้นทุกข์”

“ก็แล้วแต่ว่าแกจะถืออะไรเป็นมาตรวัดความทุกข์ อย่างถ้าเอาเรื่องความรักไปวัดล่ะก็ พระองค์ท่านไม่ได้มีความทุกข์เหมือนอย่างแกหรอก ตรงข้าม พระองค์ทรงมีชายาอันเป็นที่รัก พระนางมีคุณสมบัติเลอเลิศเหนือสตรีนางใดในยุคเดียวกัน คิดเอาง่ายๆนะ ขออนุญาตยกตัวอย่างใกล้ๆ อย่างยายแพของฉันนี่ ไม่ได้หนึ่งในร้อยหรอก”

ชายหนุ่มสะดุ้งไหวอยู่ภายใน เหลือบตามองปู่ก็ไม่เห็นพิรุธ จึงค่อยๆผ่อนลมหายใจทีละน้อย พูดโต้ตอบตามปกติ

“อย่างที่ปู่บอก ถ้าไม่ใช่หัวอกเดียวกันก็ไม่เห็นใจกัน พระองค์เผยแผ่พระสัทธรรมก็ด้วยต้องการให้ใครๆพ้นทุกข์ตามพระองค์ ทีนี้พระองค์มีทุกข์อย่างไรล่ะครับ...เรื่องครองราชสมบัติ?”

“เรื่องการงานและความสามารถทางโลกน่ะพระองค์ไม่ทรงเกี่ยงงอนหรอก แกเคยได้ยินข่าวเด็กอัจฉริยะประเภทเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุสิบเอ็ดใช่มั้ย นั่นแหละ เท่าหนึ่งในร้อยหนึ่งในพันของพระองค์สมัยปฐมวัย แค่เรื่องครองบ้านครองเมืองน่ะสบายมาก เพียงแต่พระองค์ไม่ทรงยินดีในราชสมบัติและความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น”

เกาทัณฑ์เกือบจะหลุดคำถามว่า ‘รู้ได้อย่างไร’ ออกไป แต่ด้วยกำลังโศกเลยคร้านที่จะซัก ชายาก็ดีกว่าหลานสาวคนดีร้อยเท่า ตอนปฐมวัยก็เก่งกว่าเด็กอัจฉริยะยุคไฮเทคร้อยเท่า ปู่คงจำจากตำรามาขยายความตามอัธยาศัยกระมัง

“สรุปแล้วผมไม่เห็นเลยว่าพระองค์จะต้องเป็นทุกข์ด้วยเรื่องอะไร ใช้สามัญสำนึกเอาได้นี่ครับ ผู้ชายสักคนดีพร้อมไปหมด แถมมีคู่ที่ต้องตาต้องใจให้อีกคน อย่างนี้จะรู้จักทุกข์ยังไงไหว”

“ทุกข์ที่พระองค์มีเหมือนทุกคนคือเกิด แก่ เจ็บ ตายไงล่ะเต้”

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อทันที

“ผมเคยเรียนมาฮะ แล้วจากวันแรกที่เห็นเหตุผลของพระองค์ในแบบเรียนจนกระทั่งคิดอะไรเองได้ทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่เชื่อจากต้นจนปลายว่าคนเราเห็นทุกข์แค่นั้นแล้วถึงกับจากบ้านจากเมืองและสิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลายเข้าป่าเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น พระองค์ต้องไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริงแน่ถ้าถือว่าตำรากล่าวไว้ถูก”

เกาทัณฑ์เม้มปาก เห็นปู่ยิ้มๆโดยไม่ตอบโต้ ตอนนี้เหมือนเครื่องติด เขาว่าพอได้ใช้เหตุผล ได้พูดจาเสียบ้าง ก็ทำให้ความโศกจางลงดีเหมือนกัน จึงนึกอยากว่าต่อตามความเห็นอันเต็มไปด้วยความรู้จักคิดของตนให้แตกกิ่งก้านยิ่งขึ้น

“ด้วยวัยยี่สิบเก้าซึ่งยังหนุ่มแน่น ร่างกายแข็งแรงขนาดบุกป่าฝ่าดงตามลำพังได้ มีที่ไหนจะสัมผัสทุกข์อันเกิดจากความเจ็บความแก่ล่ะครับ แล้วอย่างเรื่องที่พระองค์บรรลุธรรมก็เหมือนกัน ตำรากล่าวไว้คลุมเครือเหลือเกิน ตอนท่องหนังสือสอบนี่ผมสงสัยเป็นที่สุดว่าขั้นตอนในการนึกรู้วิธีบรรลุธรรมของพระองค์เป็นยังไง เพราะเบื้องต้นก็กล่าวว่าพระองค์หนีจากบ้านเมืองมาใช้ชีวิตแบบฤาษี แต่ทำๆไปก็เห็นว่ายังไม่ใช่ทางออกที่ถูก

เสร็จแล้วเกิดความคิดขึ้นใหม่ว่าถ้าลองทรมานตัวเองลดกิเลสลงอาจได้ผล แต่ลองดูหลายปีก็เห็นว่าไม่ใช่อีก เลยคิดอีกครั้ง เอาทางสายกลาง ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่ามรรคแปด มีอะไรมั่งผมลืมไปหมดแล้ว นั่งอยู่ใต้ต้นไม้คืนเดียวบรรลุเลย ผมไม่เข้าใจว่าการเอาความไม่สุขไม่ทุกข์มาเป็นตัวยืนแล้วจะโยงมาถึงความรู้ในเรื่องมรรคแปดได้อย่างไร ปู่ไม่เคยสงสัยมั่งหรือฮะ?”

“ก็เคยอยู่เหมือนกัน” ปู่ชนะผงกศีรษะ “คล้ายกับนักเรียนวิทยาศาสตร์อย่างพวกแกที่ไม่อาจหยั่งว่าไอน์สไตน์รู้ได้ยังไง ใช้จินตนาการท่าไหน จึงเข้าถึงความเห็นว่าสสารกับพลังงานเป็นสิ่งเดียวกัน เท่าที่เชื่อก็เพราะไอน์สไตน์มีวิธีพิสูจน์เป็นสูตรคณิตศาสตร์ ซึ่งเอาไปทดลองเป็นรูปธรรมได้ผลลัพธ์ตรงจริงเหมือนกันหมดทุกมุมโลกนั่นแหละ”

ปู่ค่อยๆยืดตัวตรง บรรยากาศเปลี่ยนไป คล้ายท่านสำรวมอยู่ในฐานะหรือหน้าที่อีกอย่าง

“ต้องยอมรับนะเต้ว่าโลกเรานี้มีบุคคลพิเศษประเภทหนึ่งในพันล้านอยู่จริง บุคคลอย่างนี้ไม่ได้มีอยู่ในตัวแก ไม่ได้มีอยู่ในคนรู้จักหลักร้อยหลักพันในชั่วชีวิตของแก ไม่ได้มีให้แตะต้องเป็นประสบการณ์ทั่วไป แต่มีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ อาจจะห้าสิบ ร้อย สองร้อย หรือพันปีครั้งถึงจะมีคนประเภทไอแซค นิวตันหรืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดขึ้นมาสักคน คนพวกนี้เขย่าโลกได้ก็ด้วยความคิดที่เป็นหนึ่งในพันล้านนั่นแหละ หากใครเท่าทันดวงจิตขณะคิดงานยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ พวกเขาก็คงจะไม่มีชื่อเสียงและถูกถือเป็นหนึ่งในพันล้านแน่ๆ”

เกาทัณฑ์ชักเริ่มทึ่ง นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่เคยคิดแบบปู่ ตำราทางวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนไม่เคยสอนให้เขามองอัจฉริยบุคคลเหล่านั้นด้วยมุมมองเช่นนี้เลย

“การเกิดมาของไอน์สไตน์ทำให้มนุษย์ได้ความรู้ที่มีค่ามหาศาล เขาทำให้นักศึกษาบางกลุ่มเปลี่ยนโลกทัศน์ที่มีต่อธรรมชาติแตกต่างไปจากสามัญสำนึกของคนธรรมดา เขาทำให้เรามีพลังงานรูปแบบใหม่ไว้ใช้ เขาทำให้จินตนาการของคนยุคใหม่บรรเจิดขึ้นเป็นคนละระนาบกับสมัยอื่น แต่ไตร่ตรองดูนะเต้ เคยมีใครสักคนไหมที่อ้างว่าศึกษาและรับผลพวงจากงานของไอน์สไตน์แล้วมีมโนธรรมสูงขึ้น จิตใจสูงขึ้น หรือกระทั่งพ้นกิเลสพ้นทุกข์ไม่ต้องทรมานใจกับแง่มุมใดๆของชีวิตอีกเลย?”

ชายชราแย้มยิ้มเล็กน้อย เกาทัณฑ์เห็นเป็นรอยยิ้มที่งามจับตา

“มหาบุรุษเช่นพระพุทธองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าหนึ่งในพันล้าน และความรู้ของพระองค์ก็มีค่ามากกว่านั้น พบได้ยากยิ่งกว่านั้น การมีใครสักคนพูดว่า ‘สภาพจิตที่เป็นสุขถาวรนั้นมีจริง เข้าถึงได้จริงด้วยวิธีปฏิบัติที่แน่นอน’ ฟังดูแสนแปลกแสนมหัศจรรย์ขนาดไหน โลกอาจต้องรอการเกิดของนิวตันและไอน์สไตน์นับร้อยนับพันปี แต่โลกจะต้องรอการอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนปีที่แกไม่เคยรู้จัก มันมากขนาดข้ามวัฏจักรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นานขนาดที่แกอาจเร่ร่อนไปสงสัยรูปแบบชีวิตต่างๆกี่แสนกี่ล้านครั้ง ก็ยังไม่มีโอกาสพบบุคคลเช่นพระองค์ซ้ำ”

หลังจากทอดระยะ ปู่ชนะก็สรุปแก้ปม

“ดังนั้นถ้าแกหวังจะให้ตำราเรียนอธิบายว่าพระพุทธเจ้าทรงเข้าสู่การรู้ทางมรรคผลได้อย่างไร ก็ต้องแน่ใจเลยว่าคนเขียนตำราเล่มนั้นเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง และจะต้องบรรยายเป็นมิติที่พิสดารเหนือตัวหนังสือธรรมดาอย่างคาดไม่ถึงด้วย จิตของพระองค์ในขณะจะบรรลุธรรมน่ะเป็นจิตของผู้อยู่เหนือคำว่าอัจฉริยะ เกี่ยวข้องกับฌานญาณและวิธีใช้ปัญญาในรูปแบบที่แกไม่เข้าใจ เป็นการสืบเหตุสืบผลที่เรียกพิจารณาปัจจยาการอันเกินหยั่ง เป็นจิตที่ก่อตัวขึ้นด้วยบารมีสั่งสมบำเพ็ญมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เป็นธรรมชาติตัวเดียวอันเดียวในอนันตจักรวาลชั่วคาบเวลาหนึ่งๆ

และทำนองเดียวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฐานะอย่างแกหรือปู่และคนรอบๆตัวน่ะมองให้เห็นเป็นก้อนทุกข์ไม่ออกหรอก บารมีไม่ถึง โดนธรรมชาติครอบงำให้ทะยานอยากเฉพาะหน้าครั้งต่อครั้งไปเรื่อยเท่านั้น ต้องอย่างพระองค์ท่าน จิตที่สั่งสมบารมีมาพอนั้นรู้ลึกรู้ซึ้ง ฉุกคิด เฉลียวรู้ และกระจ่างในภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยตนเอง หาทางออกทางพ้นได้ด้วยตนเอง กับทั้งสามารถนำความรู้แจ้งมาเผยแผ่เป็นมหาคุณกับชาวโลกได้”

เกาทัณฑ์นิ่งงันอย่างจุกคอหอย ในบัดนั้นเหมือนปู่มีรัศมีสว่างและเหมือนอยู่สูงเกินกว่าจะพูดจาถกเถียงหรือแตะต้องแม้เพียงน้อย

“ปู่ว่าแทนที่แกจะมานั่งสงสัยประวัติของพระองค์หรือวิธีค้นพบของพระองค์ ก็น่าจะลองหาทางพิสูจน์เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า ‘อี’ เท่ากับ ‘เอ็มซีกำลังสอง’ เป็นความจริงหรือเปล่า สูตรของพระพุทธองค์คือมรรคแปดประชุมพร้อมกันสี่ครั้ง เท่ากับภาวะดับทุกข์และกองกิเลสอย่างถาวร”


บทที่ ๕  เข้าสมาธิ


    เป็นเช้าที่เกาทัณฑ์นอนแช่บนเตียงนานผิดไปกว่าเคย เหมือนไม่พร้อมจะทำอะไรทั้งนั้น สมองปั่นป่วนสับสนคล้ายคนป่วย ภาพหญิงสาวกับชายชราสลับกันเวียนวนอยู่ในหัวแบบลอยไปลอยมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นไม่ใช่แบบแผนระบบความคิดของเขาเลย

    ความเนือยนายและความเชื่อมั่นที่ถูกสั่นคลอนแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก หลานสาวคนสวยของปู่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าต่ำต้อยกว่าเจ้าหนุ่มน้อยผอมแห้งท่าทางกระจอกๆ ส่วนปู่ชนะก็ทำให้เขาเกิดความคิดถกเถียงอยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง เหมือนสงสัยชีวิตขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งที่ผ่านมาชีวิตเขาให้คำตอบกับตัวเองเป็นฉากๆ เริ่มต้นด้วยความพร้อมทางกำลังกาย กำลังสติปัญญา ตามด้วยความสำเร็จ ผลงาน และลงเอยด้วยสง่าราศีจับตาคนรอบข้างทั้งใกล้และไกล เขาควรอยู่ในครรลองแห่งตัวตนอันน่าภาคภูมิจวบถึงอายุขัย

    ภาพลักษณ์ชีวิตปรากฏคล้ายธงชัยแห่งความเป็นหนึ่งที่ชูสูงตลอดกาล จู่ๆจะให้ยอมรับหรือว่าทั้งหมดคืออุปาทานทั้งเพ ที่ขยับแขนขาได้ อ้าปากพูดได้นี่เป็นก้อนอนัตตาในระหว่างแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายอันเป็นทุกข์ทั้งสิ้น

    ชีวิตคือผลงาน ทำงานสำเร็จชีวิตก็สำเร็จ ทำงานชนะชีวิตก็ชนะ เขาเห็นจริงมาตลอดตามนั้น และมีสัจจะสูงสุดอยู่เท่านั้น

    แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อคืนเขานอนก่ายหน้าผาก...

    ถ้าหากคนโบราณพูดถูก สมมุติว่านรกสวรรค์เป็นเรื่องจริง สมมุติว่าชีวิตนี้เป็นแค่รูปแบบหนึ่งระหว่างการคลี่คลายของกระบวนการเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มิแปลว่าคนทั้งโลกสั่งสอนและร่ำเรียนกันผิดๆ เอาแค่ชีวิตรอดไปวันๆ โดยมองไม่เห็นภยันตรายใหญ่หลวงที่รออยู่ข้างหน้า ไม่มีการเน้นหนักเอาจริงเอาจังกับการเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในกาลต่อไปหรอกหรือ?

    พลิกตัวจุดบุหรี่สูบมวนหนึ่งแล้วนอนหงายหน้ามองเพดาน ห้องนี้เป็นเขตส่วนตัว เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เป็นเครื่องแสดงความสามารถเอาตัวรอดได้ ในวันที่เขาซื้อด้วยเงินสดโดยไม่ต้องผ่อนอย่างคนอื่น วันนั้นเขาเห็นตนเองมีหลักประกันชีวิต หรือใบรับรองความสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองเต็มภาคภูมิ และเป็นผลให้วันนี้เขากำลังคิดก้าวต่อไปอีก คืออยากมีบ้านที่ใหญ่ขึ้น ในสิ่งแวดล้อมระดับสูงขึ้น แสดงพัฒนาการของชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ถูกจังหวะจะโคนตามกาล

    เขายังซื้อบ้านหรูหลังใหญ่ด้วยเงินสดไม่ได้เหมือนซื้อห้องเป็นกล่องๆแบบนี้แน่ ถ้าคิดครอบครองบ้านใหญ่ ก็คงต้องใช้เงินผ่อน ซึ่งก็พอไหวอยู่ ต่อให้เดือนละหลายๆหมื่นก็เถอะ ปัญหาคือเขาเกลียดการเป็นหนี้ยืดเยื้อยาวนาน ความรู้สึกมันวิ่งไปไม่ไกลถึงขีดของการครอบครองเต็มภาคภูมิ เขาจะต้องทำงานแบบห้ามพัก มีรายได้ประจำต่อเนื่องนับสิบปี ซึ่งคนเราต้องมีสิ่งผลักดันหรือแรงบันดาลใจใหญ่พอ จึงจะมุแบกภาระยืดยาวปานนั้นโดยไม่ท้อเสียกลางคัน

    แรงผลักดันอะไรล่ะที่ทำให้คนเรายอมแบกงานหนักได้นานๆ? การเป็นหมายเลขหนึ่ง การเป็นที่รู้จักทั่วประเทศหรือกระทั่งทั่วโลกอย่างนั้นหรือ? เกาทัณฑ์แวบคิดขึ้นมาว่าหากชื่อเสียงและเงินทองเป็นเพียงเหยื่อล่อให้โถมตัวไปข้างหน้า หลงตามเหยื่อไปเรื่อยๆ ก็ควรแก่การอ่อนล้าระย่อ วันหนึ่งอาจเฉลียวคิดได้ว่าตัวเองสู้เหนื่อยตามเหยื่อไปทำไม ในเมื่อกินอิ่มเพียงพออยู่แล้ว

    เขาผ่านจุดของความสำเร็จมาหลายครั้ง นับแต่เรื่องกีฬา เรื่องเรียน มาถึงเรื่องงาน ทุกครั้งพบรางวัลใหญ่เดียวกันเป็นประจำ นั่นคือการดับความกระวนกระวาย ดับความทะยานอยากชนะชั่วแล่น แต่ละจุดของความสำเร็จไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ

    เพิ่งได้คำตอบชัดๆว่าคนเราต้องมีครอบครัว มีความอบอุ่นในรักแท้เป็นเครื่องหนุนหลัง เพื่อไม่ให้คิดพักนิ่งอยู่กับที่ ครอบครัวจะเป็นเหตุผลและคำตอบให้ใจตัวเองได้ว่าที่ก้าวรุดๆไปข้างหน้านั้น จะเพื่ออะไร

    หรี่ตาลงเป็นเส้นตรงจนสามารถเห็นภาพสาวน้อยในบ้านปู่ผุดชัดขึ้นในมโนนึก หล่อนวิเศษสักแค่ไหนหรือ จึงทำให้เขาคิดถึงการมีครอบครัว คิดถึงการลงหลักปักฐานเป็นฝั่งฝาชั่วข้ามคืนที่รู้จัก

    เขาเป็นพวกเกิดมากับความพรั่งพร้อมทุกด้าน ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ พูดง่ายๆว่าหล่อ รวย เก่ง อันเป็นที่ไขว่คว้าโหยหาของเพศตรงข้าม และหมายความว่าวิถีทางย่อมเรียงรายด้วยการหยิบยื่น การกลุ้มรุมเสนอตัว กระแสสังคมปัจจุบันโยนสาวเนื้อหวานมากหน้าหลายตามาให้เขาเชือดราวกับผักปลา มีหรือชายหนุ่มอย่างเขาจะไม่หลงตัว และเห็นเพศสตรีเป็นเพียงเครื่องบำรุงสุขชั่วคราว

    แต่สาวน้อยนางนั้นพลิกมุมมองชีวิตของเขาได้เพียงชั่วระยะเวลาที่พบปะกันเพียงผ่านเผิน อย่างน้อยเขาต้องทบทวนและถามตนเองจริงจัง ว่าสุดยอดของชีวิตควรจะเป็นอย่างไร สะดุดเข้ากับรักแท้ ตกร่องปล่องชิ้น แล้วครองเรือนร่วมกันอย่างผาสุกสวัสดีเหมือนบรรทัดสุดท้ายของนิทานก่อนนอนอย่างนั้นหรือ?

    สลัดความฟุ้งซ่านทิ้ง หยิบรีโมทคอนโทรลจากโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาเล็งไปที่โทรทัศน์แล้วกดปุ่มเปิด ภาพแรกที่เห็นคือข่าวปล้นฆ่ากลางเมือง ชายร่างใหญ่นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดกับพื้นบ้านของตัวเอง เกาทัณฑ์ดูอยู่ครึ่งนาทีแล้วเปลี่ยนไปยังช่องทีวีต่างประเทศ เจอข่าวเครื่องบินตกกลางมหาสมุทรแปซิฟิก คนตายไปสองร้อยกว่าๆ สำนักข่าวต่างประเทศประโคมกันเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะถือว่าการตายนับร้อยชีวิตพร้อมกันบนเครื่องบินคือโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญระดับโลก

    ชายหนุ่มปรือตาหัวเราะหึหึ โธ่เอ๋ย แค่สองร้อยกว่าเอง คงมีน้อยคนที่ทราบสถิติขององค์กรอนามัยโลก ว่าปีหนึ่งๆมีคนตายตั้ง 56 ล้าน หรือเฉลี่ยกว่าแสนห้าคนหมื่นต่อวัน เมื่อวานแสนห้า วันนี้อีกแสนห้า พรุ่งนี้จะอีกแสนห้า นี่สิโศกนาฏกรรมของแท้ สองร้อยกว่าชีวิตบนเครื่องบินก็แค่ส่วนกระจิ๋วที่จะถูกนำไปนับรวมกับอีกแสนห้าเท่านั้น ทิ้งคนในโลกให้ตื่นเต้นกับข่าวเครื่องบินตกโดยไม่อาจกลับมาร่วมตื่นเต้นและตั้งตาคอยการสืบหาสาเหตุเช่นเดียวกับคนตายกลุ่มอื่นๆ

    เปอร์เซนต์การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุก็ต่ำเพียงหนึ่งในสิบของสาเหตุการตายทั้งหมด แต่ข่าวการตายด้วยอุบัติเหตุหรือการทำร้าย ข่มขืนฆ่า กลับถูกหยิบยกมานำเสนอเป็นหลัก ด้วยเหตุผลคือการแก่ตายและเป็นโรคตายนั้น ไม่สะเทือนขวัญเท่า ทั้งที่จริงมันก็ตายเหมือนกัน

    ความตายมีค่าเสมอกันสำหรับคนตาย จะพิเศษอยู่บ้างก็สำหรับคนเป็นเท่านั้นกระมัง

    ฉุกคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เพิ่งคำนึงเมื่อครู่ ถ้าหากการตายไม่ใช่การดับสูญ ยังมีทางต่ออีกล่ะ เช่นนี้ความตายก็มีค่าไม่เสมอกันแม้สำหรับคนตายด้วยกันแล้วซี?

    ความทรงจำรางเลือนสมัยเด็กผุดขึ้นมา เคยได้ยินว่าพระพุทธองค์ตรัสเกี่ยวกับคติ หรือที่ไปของคนตาย ว่าร่วงลงสู่อบายนั้นเหมือนจำนวนขนบนตัววัว ส่วนที่ขึ้นสูงสู่สวรรค์หรือกลับมาโลกมนุษย์นั้น น้อยเท่าจำนวนเขาของวัว

    ขนหัวลุกขึ้นมาหน่อยๆ เพราะถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ก็แปลว่ามีภาพใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นทุกวันโดยไม่เป็นที่รู้ นั่นคือมนุษย์นับแสนคนต้องไหลลงเหวนรกอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากทำเป็นข่าวได้ถึงทางไปอันแท้จริงของคนตายทั้งหมดถ้วนทั่วเพียงวันเดียว ก็คงสะเทือนขวัญ ช็อกโลกให้แข้งขาสั่นยิ่งกว่าทุกข่าวโศกนาฏกรรมทั้งหมดในประวัติศาสตร์ทีเดียว!

    ที่ผ่านมาเขาก็เหมือนคนอื่นๆ คือรับรู้ข่าวคราวการตายอย่างผิวเผิน ถ้าทราบสถิติก็สักแต่เป็นเรื่องของตัวเลขในหน้ากระดาษที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง อาจตื่นเต้นฉาบฉวยแบบเดียวกับที่ทราบว่าเดิมทีเมื่อหลายพันปีก่อน โลกมีประชากรอยู่ราว 150 ล้าน เพิ่งพุ่งขึ้นเป็น 500 ล้านในกลางศตวรรษที่ 17 และกระโดดพรวดอย่างน่าตกใจเป็นหนึ่ง 1,000 ล้านเมื่อสองร้อยปีก่อน แถมอีกร้อยปีต่อมาพุ่งกระฉูดแทบเป็นกราฟตั้งฉากถึง 2,000 ล้าน และในร้อยปีเดียวกันนั้นเอง เหมือนมีใครปล่อยกรงจากแหล่งลี้ลับให้วิญญาณมาครองอัตภาพมนุษย์ทั้งหมดร่วม 6,000 ล้าน!

    ตัวเลขนั้น ต่อให้ใหญ่โตแค่ไหนก็ก่อความยินดียินร้ายขึ้นในใจมนุษย์ไม่ได้ ต่อเมื่อมนุษย์คิดถึงข้อเท็จจริงในแง่มุมต่างๆของตัวเลข นั่นแหละความยินดียินร้ายจึงค่อยครอบงำหรือคุกคามเข้าได้

    เกาทัณฑ์บังเกิดความประหวั่นพรั่นในส่วนลึกเมื่อคำนึงคำนวณเกี่ยวกับมนุษย์จำนวนมหาศาลที่ทยอยไหลลงอบาย คนเราอาจตายในวันใดวันหนึ่งก็ได้ อันนั้นเป็นความจริงแท้ และคนเราถูกกระทบให้คิด ให้ตรอง ให้กล้า ให้กลัว หรือให้เปลี่ยนความเชื่อไปเรื่อยๆได้สารพัดทุกวัน เท่ากับว่าใช้ชีวิตมาถึงความเชื่อแบบไหน ก็จัดว่าเตรียมตัวตายในแบบนั้นนั่นเอง

    เสียแต่คนส่วนใหญ่อาจใช้ชีวิตแบบผิดๆ เรียกว่าเป็นการเตรียมตายแบบไม่พร้อม หรือเตรียมแบบไม่รู้ จึงต้องร่วมเป็นหนึ่งในจำนวนขนวัวที่จะเดินทางไปอบาย

    ชั่วขณะต่อมา เกาทัณฑ์ก็บังเกิดความตระหนักว่าทั้งหมดในหัวเป็นเรื่องของจินตนาการเท่านั้น จินตนาการที่จิตสร้างภาพปลอมๆในอากาศขึ้นมาจากตัวเลขซึ่งเป็นของจริง เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็หัวเราะขบขันให้กับตนเองที่คิดเพ้อเป็นตุเป็นตะอย่างไร้สาระไปได้

    เปลี่ยนไปอีกช่องที่มีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดฉายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หนังที่ฉายเป็นเรื่องของเด็กสาวหน้าตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาผู้มีชีวิตผันผวนเข้ามาพัวพันกับอันธพาล ฉายมาได้ถึงกลางเรื่องแล้ว เป็นฉากประเภทสูตรสำเร็จที่พระเอกบุกรังผู้ร้ายเพื่อช่วงชิงนางเอกกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้อง เกาทัณฑ์ยิ้มหยัน โลกนี้มีสักกี่คนที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเอก พยายามกลับเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี แต่ละคนทำเพื่อความอยู่รอด ใช้ศักยภาพเพื่อสนองความอยาก ความต้องการเฉพาะหน้าของตัวเองกันทั้งนั้น

    เหม่อมองจอแก้วแล้วสะดุดหูสะดุดตา เมื่อยินนางเอกเรียกชื่อพระเอกเสียงหลง ช่วยไม่ได้ที่มันสะกิดแผลเขา ให้ใจประหวัดถึงเสียงร้องยินดีของหลานสาวปู่ ที่ขานเรียกหนุ่มน้อยผู้ทะเล่อทะล่ามาขัดจังหวะเขา ราวกับหมอนั่นเป็นกรรมการตีระฆังพักยกให้หล่อนปลีกตัวจากบุคคลอันไม่พึงประสงค์

    ทั้งภาพและเสียงยังบาดเข้าไปทุกอณูสำนึกจนลมหายใจล่าสุด ไหนจะรอยยิ้มโล่งอกเมื่อเห็นเขาลาผละขึ้นเรือนอีกล่ะ ช่างน่าคับแค้นขนาดไหน ความเป็นชายที่พร้อมไปทุกสิ่งทำให้เกาทัณฑ์ไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อน ยิ่งคิดยิ่งเดือดปุดจนร่ำๆนึกอยากเป็นโจรร้าย วางแผนฉุดคร่ามาขยี้ขยำให้สาแก่ใจ รับรองครั้งเดียวเท่านั้นจะเอาให้อ่อนเปียกลงกอดขาเขาแน่นทีเดียว เขาทำได้แน่อยู่แล้ว

    กำหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความมันเขี้ยว การอยู่คนเดียวตามลำพังโดยมีหนังยั่วยุปลุกเร้าสัญชาตญาณเถื่อนเยี่ยงนี้ ก่อความคิดชั่วร้ายขึ้นมาโลดแล่นชะงัดนัก ผู้ร้ายที่แสดงบทฉุดคร่านั้น บางทีทำให้คนดูสะใจและส่งเสียงเชียร์ในส่วนลึกเสียยิ่งกว่าพระเอกที่เข้าไปปลดพันธนาการจากข้อมือข้อเท้านางเอกเสียอีก คนเราไม่สนใจหรอกว่าใครคือผู้ร้าย ใครคือพระเอก สนแต่สิ่งที่เห็นแล้วเร่งเร้าสัญชาตญาณดิบเท่านั้นแหละ

    ความคิดด้านมืดดำเนินต่อเนื่องไปเป็นฉากๆอยู่พัก ก็เกิดคำเด่นขึ้นมาในหัว

    ผู้ร้าย...

    ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ สมัยนี้คำว่าผู้ร้ายหรือวายร้ายกวนเมืองกลายเป็นคำเรียกเท่ๆไปแล้วด้วยซ้ำ วัยรุ่นวัยคะนองหลายคนใส่เสื้อกางเกงรูปกะโหลกกะลาตาปลิ้นลิ้นแลบ แสดงความฝักใฝ่ในบรรยากาศผีห่าซาตานกันให้เกลื่อน

    ไม่เคยมีสถานการณ์คับขันบีบคั้นให้เขาสำแดงแปลงกายเป็นวีรบุรุษ แบบเหาะไปช่วยสาวออกมาจากตึกไฟไหม้ หรือจับเหล่าร้ายมัดรวมเหมือนหมูรอตำรวจมารับไปนอนซังเต ถ้าอย่างประเภทฉวยลูกหมาให้รอดจากการโดนรถทับอย่างหวุดหวิดนี่เคยมาบ้างนิดหน่อย หรือเห็นยายแก่เดินโต๋เต๋จะเป็นลมแล้วช่วยพาส่งบ้านนี่ก็พอมี แต่ล้วนเป็นเรื่องดาษๆที่ใครเขาก็ทำกันทั้งโลก หากละเลยเฉยเมยต่างหาก ถึงจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนใจดำไป

    สรุปแล้วชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีโอกาสเป็นพระเอกใหญ่ แต่วันนี้ร่ำๆจะกลายเป็นวายร้ายตัวเอ้ คิดฉุดคร่า ‘นางเอก’ มาสนองสันดานเถื่อนเสียแล้ว

    เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก ใจภาคหนึ่งกระซิบตนเองด้วยกระแสกุศลประหลาด ว่าหากเขาจะได้หล่อน ต้องไม่ใช่ด้วยวิถีทางโสโครกของยักษ์มาร แต่ด้วยวิถีทางอันสะอาดของมนุษย์ดีๆคนหนึ่ง ตลอดมาไม่เคยรู้สึกละเอียดอ่อนกับผู้หญิงคนไหนเท่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็อยากรักษาไว้ เพราะถ้าทำลายแล้ว ก็ไม่ทราบว่าชั่วชีวิตที่เหลือจะยังมีโอกาสพบเจอหัวใจตนเองอีกหรือเปล่า

    กดสวิทช์ปิดทีวี นอนปิดตาฟังเสียงลมหายใจตนเองกลางห้องนอนฉ่ำเย็นสงบเงียบ เหมือนถูกทิ้งไว้คนเดียวในโลก เหลือแต่เขาผู้มีใจกระสับกระส่ายสับสนนอนนิ่งไร้ประโยชน์ตามลำพัง อัดควันบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลืมตาลุกขึ้นเดินย่ำพรมนุ่มไปขยี้ก้นกรองที่เหลือกับจานรอง

    เดินไปเดินมา ความคิดกระโดดไปจับที่การสนทนาระหว่างเขากับปู่ชนะ ชักนึกขัดอกขัดใจที่ต้องเอาแต่ยอมรับคำพูดลุ่มลึกของท่าน ชนิดที่ต้องกลับมานอนก่ายหน้าผาก สมองอึงอลไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เขาอยากผูกมัดความเชื่อแบบเก่าๆเอาไว้ ถ้าถูกสั่นคลอนไป ระบบความคิดคงระส่ำระสายอีกนาน

    คงต้องตั้งอกตั้งใจศึกษาและวินิจฉัยประเด็นหลักทางศาสนาให้แยบคายแล้วกระมัง เขาเชื่อล่ะว่าพุทธศาสนาพูดถึงเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ แต่ปัจจุบันก็มีเทคนิควิธีร้อยแปดพันเก้าเอาไว้ดับทุกข์ ตั้งแต่ของดีราคาถูกไปจนถึงของหรูราคาแพง ทั้งวิธีอันเป็นธรรมชาติ และทั้งเทคโนโลยีแสงเสียงชั้นสูงที่ปู่คงไม่เคยรู้จัก

    ทราบดีว่าความเชื่อทางศาสนาสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใครต่อใครได้หลายคน ตรงนั้นแหละที่เขาอยากจับเป็นประเด็น เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ขอให้ยกไว้เสีย เพราะเป็นเรื่องที่ใครๆก็พูดขึ้นมาเป็นบทตั้งได้อยู่แล้ว วิธีการหรือกลยุทธ์ในการดับทุกข์ต่างหาก ที่น่าวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้สูงหรือต่ำเพียงใด

    ใจที่มีพื้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ขนานแท้ ทำให้เกาทัณฑ์ปักใจเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง คือคำพูดของคนโบราณผิดได้เสมอ ต่อให้เป็นปราชญ์ผู้ชาญฉลาดล้ำลึกเพียงใดก็ตาม เครื่องไม้เครื่องมือและระบบวิธีหาคำตอบ หาความจริงยังล้าสมัย เช่นที่สมัยหนึ่งอริสโตเติลแทบจะเป็นศูนย์กลางการอ้างอิงความรู้และความเชื่อ ยังเคยปล่อยไก่สรุปง่ายๆว่าของหนักย่อมตกถึงพื้นก่อนของเบา ที่ด่วนสรุปก็เพียงเพราะเห็นของแข็งร่วงลงพื้นเร็วกว่าขนนก ยังไม่ได้ทดลองให้เห็นจริงอย่างกาลิเลโอเลยว่าแม้ของแข็งน้ำหนักต่างกันมากก็ตกถึงพื้นพร้อมกันได้ ที่ขนนกตกลงมาช้าก็เพราะเบาเสียจนถูกแรงลมต้าน ถ่วงเวลาเอาไว้ต่างหาก

    เขาอยากมองให้ออก อ่านให้ขาดด้วยมันสมองของคนยุคใหม่ ว่ารายละเอียดต่างๆในเนื้อหาพระธรรมวินัยนั้น ตรงไหนบ้างที่ขัดกับความจริง ชนิดที่ลองชี้ให้ปู่เห็นแล้ว จะได้ทราบว่าความเชื่อของปู่ อาจมีจุดด่างพร้อยอยู่ และเมื่อมีจุดด่างพร้อย ก็แปลว่ามรดกทางศาสนาน่าจะปรับประยุกต์ไปตามยุคสมัย เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ยอมรับทฤษฎีใหม่ที่ค้านทฤษฎีเก่าอย่างเต็มอกเต็มใจ ถ้าพิสูจน์กันเจ๋งๆได้ว่า ‘ใช่ยิ่งกว่าเดิม’

    มาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูสารรูปตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นชายวัยเบญจเพส หนวดเคราเขียวครึ้ม หัวหูยุ่งเหยิงอย่างคนนอนดิ้น อยู่ในชุดเสื้อกางเกงแพรยับยู่ยี่ ดวงตาที่เคยสดใสและแรงด้วยรังสีทรงภูมิดูแห้งๆชอบกล ไม่ชอบเงาตัวเองตอนนี้เลย

    เหลือบตามองดูหนังสือธรรมะที่ปู่ยื่นให้ก่อนกลับ มีอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งชื่อ ‘พุทธธรรม’ อีกเล่มหนึ่งเป็นพจนานุกรมพุทธศาสน์

    หรี่ตาลงเล็กน้อย ปู่คงหวังจะให้เขาซาบซึ้งในธรรมะล่ะสิ ฝันไปเถอะ โครงสร้างทางจิตใจของเขามันรับเรื่องไร้รสเผ็ดร้อนทำนองนี้ไม่ไหวหรอก เขายังหนุ่ม ยังชอบสัมผัส ยังโหยหิวความเข้มข้นของชีวิต ยังใจร้อนและมีไฟกับความก้าวหน้าใหม่ๆ ใครล่ะจะทิ้งความสนุกสุดเหวี่ยงแห่งวัยได้ลงคอ คนวัยปู่เหมาะจะใช้เวลาว่างที่เหลือเตรียมทิ้งชีวิตด้วยความคิดและความทรงจำเก่าๆ ส่วนคนที่ยังหนุ่มแน่นอย่างเขาเหมาะกับการใช้เวลาอันมีค่าสร้างชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงมากกว่า

    แต่นาทีนั้น หนังสือพุทธธรรมถูกมองเป็นอาหารสมองจานใหญ่ หาก ‘วิธีดับทุกข์’ ถูกแสดงไว้อย่างเปิดเผย ถือเป็นสรณะ เป็นหลักปฏิบัติในปัจจุบันของปู่มีจุดน่าสนใจให้จับผิด คราวหน้าคงมีประเด็นต่อความยาวได้อีกไกล เขาจะเลิกเป็นฝ่ายฟังข้างเดียวเสียที

    หยิบหนังสือปกแข็งขนาดใหญ่ติดมือมานั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟโคม วางคัมภีร์อันหนักอึ้งลงบนแผ่นหนังรองพื้น เหลือบดูชื่อผู้เขียนตามนิสัยนักอ่านที่ดี เห็นชื่อพระธรรมปิฎกและมีวงเล็บว่า ‘ประยุทธ์ ปยุตฺโต’ แล้วพลิกเปิดดูเนื้อหาภายใน โดยเริ่มต้นที่หัวข้อทั้งหมดในหน้าสารบัญตามแบบวิธีของนักศึกษายุคใหม่

    เป็นหนังสือที่เหมาะกับคนเก่งวิชาการอย่างเขา ทั้งเล่มเต็มไปด้วยความรัดกุมในการนำเสนอ ทุกขั้นตอนประจุด้วยจุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระตามหัวข้อกำหนดเป๊ะ กับทั้งมีแหล่งที่มาอ้างอิงละเอียดยิบแทบทุกประโยค ทุกย่อหน้า เรียกว่ามั่นใจได้ว่าเป็นการกรองเอาพระไตรปิฎกมาเป็นประเด็นธรรมอันครอบคลุมความใฝ่รู้ของผู้ศึกษาครบถ้วน

    เขาอ่านได้อย่างง่ายดายด้วยบรรยากาศการทำงานของสมองแบบเดียวกับอ่านตำราใหญ่ๆในรั้วมหาวิทยาลัย ได้เข้าใจประเด็นหลักของพระพุทธศาสนาทีละจุด เริ่มจากการมองชีวิตเบื้องต้นในแง่ต่างๆ ตลอดจนกระทั่งคำแนะนำเกี่ยวกับชีวิตในอุดมคติเชิงพุทธปรัชญา ได้ทบทวนศัพท์แสงกับรายละเอียดที่หลงลืมไปหมดแล้ว อย่างเช่นขันธ์ 5 อายตนะ 6 ไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปปบาท กรรม นิพพาน มัชฌิมาปฏิปทา และสรุปด้วยอริยสัจ 4

    เกาทัณฑ์มารวมความเข้าใจเชิงประเด็นสัมพันธ์ว่าเนื้อหาหลักแห่งพุทธศาสนากล่าวถึงการประกอบขึ้นเป็นตัวตนของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆด้วยขันธ์ห้า มีกรรมวิบากเป็นปัจจัยปรุงแต่ง มองความต่อเนื่องของสายชีวิตได้แบบปฏิจจสมุปบาท มีผลลัพธ์เป็นทุกข์ จะดับทุกข์ได้ก็ด้วยมรรคแปด

    เขาพบความเชื่อมโยงมากมายที่ค่อนข้างซับซ้อนระหว่างจุดต่างๆ มีศัพท์เฉพาะหลากหลายที่บางครั้งพูดถึงสิ่งเดียวกัน แต่เป็นคนละนัย ทว่าด้วยความปราดเปรื่องและวิธีอ่านอันแยบคายมีขั้นตอน กระโดดผ่านเป็น ปะติดปะต่อเป็น ตั้งคำถามดักรอคำตอบเป็น ผนวกเข้ากับความสามารถอ่านเร็วและอ่านทนยิ่งยวด อีกทั้งมีพจนานุกรมพุทธศาสน์เป็นคู่มือช่วย การสร้างสะพานเชื่อมความรู้ให้เป็นโครงข่ายใยมหึมาจึงเกิดขึ้นในเวลาอันลัดสั้น เพียงเจ็ดชั่วโมงเศษๆจากเช้าถึงบ่าย เกาทัณฑ์ก็คิดว่าเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสน์ไว้ในหัวเพียบแปล้ตามต้องการ ถึงแม้จะไม่ละเอียดจบกระบวนความทั้งหมดของหนังสือ ก็พอพูดได้ว่าบัดนี้กระบะสมองบรรทุกสาระอันเป็นแก่นสำคัญที่เอาไว้สนทนากับปู่ได้อย่างถึงรสไหวแล้ว

    ด้วยสายตาของคนช่างจับผิดทำให้ชายหนุ่ม ‘ไม่รับ’ เนื้อธรรมไปทำความสว่างให้จิตใจเท่าไหร่ ข้อธรรมมากมายเป็นเรื่องเกินวิสัยพิสูจน์ นับแต่กรรมวิบาก ปฏิจจสมุปบาท หรือกระทั่งเป้าหมายสูงสุดเช่นพระนิพพาน ทว่าก็มีข้อธรรมน่าสนใจที่ทำให้เห็นมุมมองอันน่าทึ่งของปราชญ์ผู้ปรากฏตัวอยู่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เช่นขันธ์ห้า คือการแยกแยะมนุษย์ออกเป็นองค์ประกอบต่างๆ เพื่อง่ายต่อการศึกษาและเข้าถึงความจริงในแต่ละองค์ประกอบ อันนี้เป็นหลักการเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน

    เช่นทางจิตวิทยาก็แยกแยะมนุษย์ออกโดยนัยเดียวกับสิ่งที่เรียก ‘ขันธ์ห้า’ กล่าวคือเลิกมองมนุษย์เป็นบุคคล เพราะหากมองเช่นนั้นจะมีการผูกโยงเข้ากับตัวตนอันน่ารักหรือน่าชัง ทำให้การวิเคราะห์วิจัยเป็นไปโดยอคติหรือลำเอียง ทางที่ดีคือแยกออกเป็นส่วนๆเสีย ได้แก่ระบบประสาททางกาย ความรู้สึกรู้สา ความกำหนดจดจำ ความมีเจตจำนง และความมีสำนึกรู้ น่าแปลกที่สอดคล้องกับเกณฑ์การแยกแยะของพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

    สิ่งที่สรุปไว้ใกล้เคียงกันอีกอย่างคือระบบประสาท อันเป็นส่วนของกายนั้น มีส่วนสัมพันธ์ตรงไปตรงมากับจิตใจ พูดให้ฟังง่ายกว่านั้นคือทางประสาทวิทยา ‘เชื่อ’ ว่าจิตใจก็คือกิจกรรมของเครือข่ายประสาทอันสลับซับซ้อนนั่นเอง ทางพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าผัสสะดีร้ายทางกายเป็นปัจจัยให้เกิดการเสวยอารมณ์ เมื่อเสวยอารมณ์ก็เกิดการหมายรู้ เมื่อหมายรู้ก็เกิดการตรึกนึกต่างๆนานาในอารมณ์นั้นๆ

    อย่างไรก็ตาม เส้นแบ่งแยกอย่างเป็นขั้วตรงข้ามระหว่างจิตวิทยากับพุทธศาสนาก็คือเรื่องของตัวตน ทางจิตวิทยายอมรับว่าผลผลิตอันเกิดจากการผสานงานระหว่างกายใจ อันได้แก่ความรู้สึกในตัวตนนั้นถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุด ในขณะที่พุทธศาสนามองว่า “ความยึดมั่นในตัวตน” เป็นเพียงสิ่งที่เรียก ‘อุปาทานขันธ์ห้า’

    ถ้าจินตนาการว่าคนๆเดียวในยุคสองพันกว่าปีก่อนสามารถคิดได้เท่ากับศาสตร์สมัยใหม่ของตะวันตก กับทั้งล้ำหน้าไปขั้นหนึ่งด้วยมุมมองสรุปรวบยอดที่ว่าความรู้สึกในตัวตนเป็นเพียงอุปาทาน หรือความยึดมั่นผิดๆในของสิ่งที่ปรุงประกอบกัน ก็ต้องนับว่าเป็นแนวคิดที่เกินธรรมดา เหลือเชื่อว่าสามัญมนุษย์สามารถตีโจทย์แตก และจับประเด็นความจริงในชีวิตเพื่อดับทุกข์ได้น่าทึ่งปานนี้

    หากพูดแบบไม่อ้อมค้อม เขาเห็นทฤษฎีทางพุทธศาสนาทั้งหมดเป็นผลงานของสมองปราชญ์โบราณขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยผู้ฉลาดคิดเกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิตใจสักกลุ่ม ตั้งไอเดียเพื่อบรรเทาทุกข์แก่คนทั้งหลาย จากนั้นก็มีการสืบทอดมรดกทางปัญญา ค่อยๆพัฒนาทฤษฎีต่างๆขึ้นหลายยุคหลายสมัยจนดูสมจริงสมจังและมีน้ำหนักเหตุผลน่าเชื่อถือจนถึงที่สุด ชนิดมีหลักฐานความรู้ประกอบอุดช่องโหว่จนหมดสิ้น ทำนองเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์สืบทอดความก้าวหน้าจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งนั่นเอง

    ครั้งเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในโรงเรียน ซึ่งเขาให้ความสนใจอ่านแบบท่องจำก่อนสอบ ความรู้เชิงจริยธรรมที่ปะปนมากับองค์ความรู้สำคัญของพุทธทำให้มองข้ามความน่าสนใจเกี่ยวกับแก่นศาสนาไป เพิ่งมาเริ่มอ่านด้วยสายตาช่างคิดช่างวิเคราะห์ก็คราวนี้

    สัจจะในมุมมองของปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ยุคใกล้กับพระพุทธองค์คือการมองไปรอบๆ แล้วพูดอย่างไรก็ได้ให้ธรรมชาติเข้ามาอยู่ในการรับรู้ ด้วยลักษณะเป็นเหตุเป็นผล ทว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จะฉีกแนวออกไป กล่าวโดยย่นย่อคือความจริงสูงสุดจะสืบสาวได้จากกายตนเองและใจตนเอง โดยตั้งสติรู้เข้าไปตรงๆ ตั้งสติพิจารณาเข้าไปตามจริง กระทั่งลุถึงเป้าหมายสูงสุดในเชิงปฏิบัติ อันได้แก่ ‘เห็น’ เหตุแห่งทุกข์คือเชื้อกิเลส และมีความสามารถทางจิตที่จะล้างเชื้อกิเลสอย่างหมดจด

    พูดให้ง่ายคือพระพุทธเจ้าและพระสาวกจะพึงพอใจกับคำตอบที่เป็นตัวสภาวะ เมื่อไหร่จิตถึงสภาวะที่ไม่ทำตัวเป็นเชื้อกิเลส เมื่อนั้นถือว่าจบปริญญาเอกทางพุทธศาสนา ไม่มีอะไรต้องทำ ไม่มีอะไรต้องขวนขวาย ไม่มีอะไรเป็นคำถามในประเด็นธรรมชาติว่าด้วยทุกข์และการดับทุกข์อีกเลย

    ในสายตาของคนเริ่มศึกษาผู้มีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมกับชีวิต ชีวิตปรากฏเป็นความกระจ่างแจ้งในวิถีทางแห่งความสุขโดยตัวเองเช่นนี้ พอรู้เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ว่าราคะ โทสะ โมหะเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ต้องล้างผลาญให้หมดจดจากใจ ก็ต้องนึกค้านเป็นธรรมดา ในเมื่อปักใจเชื่อแนบแน่นอยู่ ว่าสีสันสนุกสนานกับกามคุณทั้งปวงเป็นของน่ายินดี มีเหตุผลเพียงพออย่างไรถึงจะห้ามมันเล่า

    เมื่อวานเขานึกท้อและหดหู่จากการเมินของผู้หญิงคนหนึ่ง ยอมรับว่าทุกข์หนักและเจ็บลึกจนห่อเหี่ยวไปหมด แต่นั่นก็คือรสชาติอีกแบบ เป็นสภาวะทางใจอีกชนิดหนึ่ง ที่บัดนี้ถูกแทนแล้วด้วยกำลังสมาธิแรงๆอันเกิดแต่การอ่านตำราอย่างต่อเนื่องยาวนาน

    หากการดับทุกข์ถาวรคือการปลิดสุขทุกข์ทิ้งไปเสียทั้งยวง แม้ทำได้จริง แต่แน่หรือว่าเป็นคุณค่าสูงสุดที่ควรไขว่คว้า รสชาติของการผิดหวัง แล้วกลับลำตั้งความหวังใหม่ด้วยกำลังกายกำลังใจ มิใช่สีสันของการมีชีวิตมนุษย์หรอกหรือ?

    จุดแตกหักอยู่ที่ตรงนี้ หากเชื่อว่าคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว ก็ควรสรุปว่าปล่อยให้จิตใจเสพความเป็นชีวิตอย่างครบเครื่องน่ะดีแล้ว ควรแล้ว เพราะนั่นคือวิถีทางของธรรมชาติ แต่หากเชื่อว่ายังมีการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ อย่างนั้นก็ต้องถามหา ‘ตัวเลือกที่ดีที่สุด’ กันใหม่

    ด้วยความเป็นมนุษย์ในยุคบริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างเขา ควรใช้เกณฑ์อย่างไรในการเลือกเชื่อ ระหว่างมีหรือไม่มีชาติก่อนชาติหน้า?

    ทางแพทย์ทราบแล้วว่าศูนย์รวมประสาทใหญ่อยู่ที่สมอง เพราะฉะนั้นสมองก็คือจิตใจ หากจิตใจเป็นอื่นจากสมอง และสามารถสืบค้นจนเจอร่องรอยของจิตใจด้วยวิทยาการยุคนี้ชัดๆ ความคลางแคลงทั้งหลายคงปลาสนาการไปโดยง่าย

    แต่นี่อย่างไรเล่า เมื่อครั้งศึกษาอยู่ต่างแดน เขาเคยเข้าร่วมฟังสัมมนาว่าด้วยเรื่องชาติภพในเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูลใหม่ๆลึกๆเกี่ยวกับผลการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทและสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตใจ’ และแสดงผลการวิจัยอย่างเป็นกลาง ปราศจากอคติและลำเอียง ที่ผลการค้นคว้าจริงจังให้ผลโน้มเอียงไปทางปฏิเสธความเชื่อเก่าแก่ทั้งสิ้น

    เป็นต้นว่าเราอาจลบแทรกข้อมูลความจำหรือมโนภาพในมนุษย์ได้จริงด้วยวิธีจี้ไฟฟ้าลงไปบนจุดต่างๆของสมอง หรือเด็ดกว่านั้นคือการค้นพบเค้าเงาวิธียักย้ายถ่ายเทข้อมูลความจำในเยื่อประสาทสมองของคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าวันหนึ่งวิทยาศาสตร์อาจสร้างหรือปรับแต่ง ‘ตัวตน’ ในมนุษย์อย่างไรก็ได้ ขอเพียงมีเทคโนโลยีสูงพอจะจัดการกับระบบสมองให้ครบวงจร

    ถ้าตัวตนเป็นสิ่งสร้างได้ ทำลายได้ ปลูกสำนึกใหม่ได้ ก็แปลว่าภพชาติ กรรมวิบาก นรกสวรรค์ เรื่องราวบรรดามีทั้งหลายในพระคัมภีร์ศาสนาต่างๆ ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น

    เมื่อข้อมูลหลายชิ้นประกอบเข้าด้วยกันเป็นภาพใหญ่ โดยรวมจึงต้องสรุป ‘แบบวิทยาศาสตร์’ ว่าถึงวันนี้ เทคโนโลยีบอกเราว่ามนุษย์นั้น...

    เกิดหนเดียว ตายหนเดียว

    สมองหยุดทำงานเมื่อไหร่ จิตใจก็ดับลงเมื่อนั้น

    นับจากวันที่เข้าฟังสัมมนา เกาทัณฑ์ก็สบายใจมาตลอด ปักใจเชื่อว่าโลกหน้าเป็นเรื่องหลอกของคนโบราณ ศาสนาเป็นแค่การสอนจริยธรรมให้สังคมมนุษย์สงบสุขร่มเย็น ซึ่งนั่นก็ดี และต้องมีไว้หน่อย แต่เรื่องขู่ประเภทนรกสวรรค์หรือรางวัลเป็นนิพพาน คงถึงเวลาต้องเก็บใส่ลิ้นชักเสียทีแล้ว เพราะวิทยาการเจริญขนาดนี้ ผู้คนมีภูมิคุ้มกันทางปัญญามากพอ เกินกว่าจะหลอกล่ออะไรแล้วเชื่อหมด

    เกาทัณฑ์ทบทวนความรู้และการตัดสินใจเลือกเชื่อมาถึงจุดนั้น ก็พักทานข้าวปลาโดยสั่งจากร้านข้างล่าง พอทานเสร็จ แทนที่จะหันเหความสนใจไปทางอื่น กลับรู้สึกว่าไฟแห่งปัญญาคิดอ่านยังลุกโพลงท่วมหัว จึงเปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเตอร์เน็ต ตระเวนกว้านหาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาที่มีอยู่ดาษดื่น เริ่มสนุกกับการเจาะและจับประเด็นทางศาสนศาสตร์ ไม่เฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ แต่ยังรวมถึงศาสนาและปรัชญาอื่นๆ นึกพอใจที่มีบางแหล่งทำวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบไว้แล้วเป็นแนวทาง

    ยิ่งค้นยิ่งสนุก ปัจจุบันมีคนฉลาดคิด หรือกระทั่งนักปฏิบัติในไทยมากมายพยายามรวมศาสนาทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว เขาพบการพยายามบรรยายหรือพรรณนาสภาวะวิเศษเหนือชั้นที่ประจักษ์ได้ด้วยการฝึกจิตสารพัดรูปแบบ แต่ละคนบอกว่าของตนถูก เป็นของแท้ทั้งนั้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ไม่ใช่อะไรอื่น

    มุมมองของมนุษย์นั่นเอง...

    เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนตัวเองไปเที่ยวป่า เขาไม่อยู่ป่าหรอก แต่จะชมให้เพลินทั่วๆเสียหน่อย เชื่อใจตนเองว่าไม่มีวันหลงเด็ดขาด คนจับทิศเก่งแบบเขา แค่เข้ามาเอาความรู้จากป่าเท่านั้น

     

    แรงจูงใจให้เดินทางมาวัดทางนฤพานอีกครั้งคืออภินิหารเกินสามัญมนุษย์ของหลวงตาแขวนโดยแท้ เกาทัณฑ์เคยเห็นจากทางทีวีและนิตยสารประเภทท้าพิสูจน์เรื่องพิสดารมาบ้าง แต่ไม่เคยประจักษ์ตาตนเองอย่างคราวก่อน เขาพอจะรับได้เกี่ยวกับเรื่องอำนาจเหนือธรรมดา เพราะตนก็เกี่ยวข้องอยู่กับอภินิหารเหนือธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผิดแต่มิใช่อภินิหารทางพลังจิต แต่เป็นอภินิหารทางพลังสมองอันเต็มไปด้วยระบบตรรกะที่ผนวกเข้ากับจินตนาการของผู้ผ่านการศึกษาในซีกโลกสว่างสุด

    ภาพชีวิตคงถูกแต้มเพิ่มขึ้นมาอีกสี หากหลวงตาแขวนจะสอนวิชาให้แก่เขา มัคคุเทศก์สาวผู้นำเขามาพบท่านเคยบอกว่าหลวงตาแขวนแสดงฤทธิ์ให้ดูนั้น น่าจะเพราะท่านเมตตา ถึงแม้จะไม่เข้าใจกระจ่าง แต่เกาทัณฑ์ก็เชื่อว่าหญิงสาวคงรู้อะไรลึกๆเกี่ยวกับเจตนาของพระสงฆ์องค์เจ้าเป็นแน่ ในเมื่อหล่อนคลุกคลีใกล้ชิดมาแต่เด็ก ดังนั้นถ้าเขาจะมาขอความเมตตาจากท่านคราวนี้ ก็มีเหตุผลควรเชื่อว่าน่าจะสมหวัง

    ชายหนุ่มขึ้นไปบนกุฏิเมื่อท่านฉันเช้าเสร็จพอดี เห็นพระลูกวัดและเด็กวัดกำลังจัดแจงเก็บกวาดสำรับเครื่องถวายอยู่ ตัวหลวงตาแขวนกำลังยืนบ้วนปากที่ราวชานกุฏิ เกาทัณฑ์คุกเข่ากราบโดยไม่เคอะเขินเมื่อท่านกลับมานั่งประจำที่ซึ่งใช้ต้อนรับญาติโยม พอท่านเห็นเขาก็ยิ้มให้

    “ว่าไงพ่อหนุ่ม?”

    “ผมอยากมาขอเรียนสมาธิกรรมฐานกับหลวงตาครับ”

    โยมหนุ่มเข้าหาจุดประสงค์อย่างไม่อ้อมค้อมตามนิสัย ขณะประกาศความปรารถนาก็ทรงกายตรง กระพุ่มมือไหว้นอบน้อม ดวงตามีประกายมุ่งมั่นจัดจ้า คล้ายบอกอยู่ในทีว่าท่านจะสั่งบุกน้ำลุยไฟอย่างไรก็ยอมทั้งสิ้น ขอเพียงแลกกับวิชาความรู้เท่านั้น

    หลวงตาแขวนยิ้มกว้างกว่าเดิม ลุกขึ้นกวักมือเรียกเขา

    “ตามมา”

    ทุกสิ่งง่ายดายจนเกาทัณฑ์งง จำได้จากหนังสือบางเล่มที่ขวนขวายซื้อมาตลอดอาทิตย์ว่าเกจิอาจารย์ที่เก่งกาจนั้นรับใครเป็นลูกศิษย์ลูกหายาก ต้องมีพิธีรีตองและการพิสูจน์ใจกันอย่างเต็มกำลังเสียก่อน แต่นี่ดูสะดวกโยธินผิดสังเกต

    หลวงตาลุกนำ แต่ก่อนออกเดินก็หันไปสั่งความกับพระที่อยู่ใกล้สองสามคำ จับความได้ว่าจะยังไม่รับแขก ขอให้บอกปัดญาติโยมจนกว่าท่านจะออกจากห้อง นั่นยิ่งทำให้เกาทัณฑ์แอบฉีกยิ้มอยู่ในใจ นึกกระหยิ่มว่าตนนี่คงบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นแน่แท้ หลวงตาท่านจึงให้ความเมตตาเป็นพิเศษเห็นปานนี้

    พอเกิดสติว่าอัตตาโตไปหน่อยก็รีบสะกดใจ เท่าที่ทราบ พระป่าพระธุดงค์ท่านไม่โปรดคนทะนงหลงตัวนัก เพราะอัตตาหยาบเป็นที่ระคายเคืองกับจิตอันละเอียดสุขุมของพวกท่าน

    ตามหลวงตาเข้าไปในห้องที่แบ่งไว้สำหรับจำวัด ไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากมุ้งที่ตลบไว้ หมอนอีกใบพิงฝา ย่ามพระเก่าๆ และพระพุทธรูปบนโต๊ะเล็ก ทั้งห้องสะอาดเรี่ยม ปราศจากสิ่งของอื่นใดสักชิ้น ไม่มีแม้แต่พัดลมสักตัว

    ทว่าห้องเล็กนั้นก็ให้สัมผัสเยือกเย็นขรึมขลังอย่างน่าพิศวง เกาทัณฑ์งงๆเคว้งๆคล้ายดิ่งสู่น้ำลึกเงียบงันก่อนจะทันตั้งตัว หน้าต่างไม้บานกว้างเปิดออกเต็มที่ ทำให้เกิดภาพโดยรวมเป็นความสว่าง โปร่งสบาย ปราศจากพันธะผูกพัน คล้ายลานพื้นดินใต้ร่มไม้ที่เชิญคนผ่านทางมาพักนอนชั่วคราวแล้วจากไปไม่ต้องอาลัยกัน ท่านคงปฏิบัติตามแนวสันโดษ ทำตัวเหมือนอยู่กลางป่าลึกตามลำพัง แม้จะอยู่ท่ามกลางชุมชนสะดวกสบายเช่นนี้

    หลวงตาแขวนสั่งให้เขาปิดประตูและลงนั่งกลางพื้นห้อง

    “เอ็งเป็นหนุ่มสมัยใหม่” ท่านเริ่มเมื่อต่างนั่งเข้าที่เรียบร้อย “ต้องเริ่มด้วยความเชื่อของตัวเอง”

    เกาทัณฑ์ตั้งใจฟังอย่างสงบ สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดความเป็นกันเองใกล้ชิดท่านมากขึ้น ยามนี้เขาเห็นท่านมีความขลังน่ายำเกรงอย่างประหลาด ดูต่างจากคนแก่ธรรมดาๆอย่างเมื่อตอนพบครั้งแรกชนิดหลังมือเป็นหน้ามือ ต่อภายหลังเขาจึงทราบว่าผู้ทรงฤทธิ์อย่างแท้จริงนั้น อาจกำหนดจิตให้มีความนิ่มนวล ก่อบรรยากาศเยือกเย็นสบายกับผู้อยู่ใกล้ หรือจะกำหนดให้เข้มข้นคมกริบเพื่อสยบมานะของลูกศิษย์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับวาระโอกาสอันเหมาะควร

    หลวงตากายสิทธิ์เอี้ยวตัวไปล้วงกระดาษดินสอจากย่ามมายื่นส่งให้เขา

    “เขียนเลขหนึ่งถึงเก้าให้ดูซิ เอาตัวเล็กหน่อย ติดกันพอดีๆ แล้วก็ให้เสร็จเร็วที่สุด ห้ามหวัดแบบไก่เขี่ยนะ”

    เกาทัณฑ์ทำใจเหมือนหุ่นยนตร์ที่ถูกกดปุ่มสั่ง เจ้าของสั่งอย่างไรก็ทำ ตัดความสงสัยไม่ให้เหลือในใจแม้น้อย เขาปฏิบัติตามคำท่านทันที และทำได้อย่างครบถ้วน นั่นคือเร็ว ไม่หวัด ขนาดเล็กเท่ากันและมีช่องไฟห่างสม่ำเสมอ เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองท่านอย่างจะรอคำสั่งต่อไป

    “สังเกตความรู้สึกตอนนี้ไว้นะ เอ้า ลองใหม่อีกที ทำเหมือนเดิม แต่ขึ้นบรรทัดใหม่แล้วเรียงเลขให้ตรงกันด้วย”

    ชายหนุ่มทำตาม เขาทำได้เร็วกว่าเดิมเล็กน้อย โดยพยายามให้ตัวเลขต่างกันน้อยที่สุด เพราะนึกเดาว่าท่านอาจมุ่งเอาเรื่องของความแตกต่าง

    “เอาอีกสามหน”

    เขาปฏิบัติตามคำสั่งและสังเกตความรู้สึกในใจทุกระยะ เริ่มถึงบางอ้อเมื่อเห็นภายในสงบลงเรื่อยๆ กับทั้งเข้าใจวิธีเขียนให้เร็วยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากทำซ้ำกันหลายหนจนขึ้นใจ

    ปฏิบัติเสร็จสิ้น ก็ได้รับคำสั่งใหม่

    “บวกกันให้ดูซิ”

    ไม่มีปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว เกาทัณฑ์เห็นทางลัดโดยพลัน ก็แค่เอา 9 คูณ 5 ในตั้งแรก เอา 8 คูณ 5 ในตั้งที่สองแล้วบวกด้วยทด 4 และทำอย่างเดียวกันนั้นอีกเรื่อยๆจนถึงเลขหนึ่งอันเป็นหลักร้อยล้าน ความเฉียบไวของสมองบวกกับสายตาคมเป็นเหยี่ยวทำให้ใช้เวลาเท่ากับที่ต้องออกแรงจรดปากกาเขียนผลลัพธ์นั่นเอง

    เกินจะห้ามความคิด ถ้าท่านจะทดสอบเชาว์ไวไหวพริบเขาด้วยวิธีนี้ล่ะก็ คงยากจะทราบอย่างแท้จริงว่าเขามีสติปัญญาทางคณิตศาสตร์ล้ำลึกปานใด ความเป็นคนคลั่งไคล้ตัวเลข ชื่นชอบเรขาคณิต สถิติประยุกต์ และทฤษฎีคณิตศาสตร์ชั้นสูงทุกแบบมานมนาน ส่งผลให้เกิดความแตกฉานและมีสมองดุจเครื่องคำนวณชั้นเลิศ จึงเหมือนถูกกดลงต่ำกว่าภูมิรู้และความสามารถที่แท้จริง ระดับเขาจะทำปริญญาเอกทางคณิตศาสตร์ด้วยการเอาตัวเข้าไปทุ่มเทกับการทำทฤษฎียากๆที่แสนท้าทายขุมพลังสมองของมนุษย์ยังไหว แต่นี่ให้ต้องมานั่งบวกเลขระดับประถม เฮ้อ…

    “ดูไว้นะ” ท่านว่า “ลองสังเกตดูการควบคุมข้อมือของตัวเองแล้วเอ็งจะเห็นความอ่อนหยุ่นไม่กำเกร็งเหมาะกับการใช้งาน ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะจิตเอ็งเขาฉลาดที่จะควบคุมเครื่องมือของเขา ยิ่งเอ็งตั้งใจจดจ่ออยู่กับตัวเลขหนึ่งถึงเก้ามากเท่าไหร่ ทำตากับมือให้กลมกลืนเป็นอันเดียวกับความตั้งใจนานแค่ไหน ผลงานก็ออกมาตามข้อจำกัดที่ข้าให้ไว้ได้ครบ และก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ”

    บทวิเคราะห์ของหลวงตาท่านเป็นที่ถูกใจเขาพอควร อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าท่านยืนอยู่บนระนาบการใช้ความคิดแบบเดียวกับเขา ไม่ใช่พูดกันคนละภาษา

    “ทางพุทธศาสนาเรียกตัวเลขในงานของเอ็งครั้งนี้ว่า 'อารมณ์' หมายถึงเครื่องยึดหน่วงจิต หรือเครื่องตรึงจิตให้รู้อยู่ ถ้าจิตยึดอารมณ์ไว้ได้นานๆ จะเป็นอารมณ์ชนิดไหนก็ตาม ผลคือมีธรรมชาติของความตั้งมั่นเป็นสมาธิเกิดขึ้น แต่ต่างกันที่คุณภาพ ความหนักแน่นและความละเอียดสุขุมของดวงสมาธิ เอ็งลองเปรียบเทียบเอาเองนะ ว่าระหว่างใช้มือเขียนเลขมากๆ กับใช้ความคิดบวกเลขมากๆน่ะ อันไหนให้สมาธิมากกว่ากัน”

    เกาทัณฑ์เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่แท้ท่านเพียงต้องการให้ปฐมบทแห่งการฝึกสมาธิ มิใช่การทดสอบเชาว์ไวดังที่ตนนึกเอาเองแต่แรก

    “เอ็งเห็นฤทธิ์ของจิตไหม มันนึกสิ่งไหนสิ่งนั้นก็เกิด คงรู้นะว่าอำนาจการนึกของแต่ละคนผิดแผกแตกต่างกัน แข่งกีฬาแพ้ชนะก็ตรงอำนาจการนึกนี่แหละ นึกเร็วกายก็ไปเร็ว นึกช้ากายก็ไปช้า จิตคนเราเมื่อฝึกถึงจุดๆหนึ่งแล้วก็อาจนึกอะไรได้พิสดารมากมายไม่จำกัด ถึงขั้นที่ ‘ความจริง’ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องคอยให้เกิดก่อนแล้วค่อยเห็น แต่อาจ ‘นึก’ อยากเห็นแล้วมันก็เกิด”

    ท่านหยิบกระดาษดินสอไปวางใกล้ตัก พลิกกระดาษไปอีกด้านหนึ่ง ก้มหน้าจรดดินสอเหนือแผ่นกระดาษครู่หนึ่งเหมือนจะรวบรวมสมาธิ แล้วก็ลากมือพรืดไปบนที่ว่างของกระดาษ เกาทัณฑ์เบิกตาแทบปะทุเมื่อเห็นตัวเลขเรียงกันเป็นตับวัดได้คืบหนึ่ง ใช้สายตากะคร่าวๆว่าไม่น่าต่ำกว่าห้าสิบหลัก

    ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าใครลากดินสอเหมือนขีดเส้นบรรทัดแล้วปรากฏตัวเลขขึ้นมาได้อย่างนี้ ต่อให้เป็นนักจดชวเลขมือหนึ่งของโลกก็เถอะ

    แต่ในเมื่อเขาเห็นแล้วจะบอกว่าไม่เห็นได้ยังไง

    “จิตเขาทำ” ท่านเงยหน้าขึ้นมาพูด “มือมันทำไม่ได้หรอก”

    แล้วท่านก็ก้มลงขีดเส้นของท่านอีกสิบบรรทัด ล้วนแล้วแต่กลายเป็นตัวเลขสุ่มปราศจากการเรียงลำดับ พอเสร็จก็ผลิตตัวเลขบรรทัดสุดท้ายห่างจากบรรทัดอื่นๆหน่อยหนึ่ง

    “เอาไว้กลับไปถึงบ้านแล้วดูซิว่าข้าบวกถูกไหม ถ้าถูกก็ขอให้รู้ว่าจิตเขาบวก สมองบวกไม่ได้อย่างนี้”

    เกาทัณฑ์พูดอะไรไม่ออก เหมือนเจออัดชายโครงด้วยลูกรักบี้เต็มรัก รับแผ่นกระดาษจากท่านมาพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา ขนลุกเกรียวเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง เคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับมนุษย์ที่มีความสามารถบวกลบคูณหารเลขจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว แต่ให้ติดฝุ่นของฝุ่นของหลวงตาแขวนนั้น คงเหลือวิสัย

    “อย่างที่บอกน่ะว่าอารมณ์จิตต่างๆมันให้คุณภาพสมาธิหยาบละเอียดผิดกัน สังเกตไหมว่าตอนแรกเอ็งต้องใช้ทั้งตา ทั้งมือ ทั้งความคิดถึงตัวเลข จิตถูกใช้งานหลายทาง พอสงบก็เลยสงบแบบงั้นๆ แค่ให้รู้สึกว่าดวงตานิ่งขึ้นมานิดหน่อย แต่ขณะที่เอ็งคิดหาทางลัดในการบวกเลขและลงมือบวกในใจ จิตมันผูกอยู่กับตาและความคิดเพียงสองอย่าง และระดับความนึกคิดของงานนี้ก็ต้องการพลังสนับสนุนที่แน่นหนา เพราะภาพตัวเลขในหัวเป็นสิ่งไหวเลือนง่าย ต้องอาศัยใจหนักแน่นอย่างน้อยชั่วระยะหนึ่ง พอจิตมันแน่วแน่เป็นสมาธิเข้าก็ได้คุณภาพที่ลึกซึ้งกว่ากัน ดวงตานิ่งกว่า ให้จิตตานุภาพมากกว่า”

    ชายหนุ่มฟังอย่างเข้าอกเข้าใจแจ่มแจ้ง เขาคลุกคลีและเล่นสนุกกับตัวเลขมาแต่เด็ก ทว่าไม่เคยสังเกตและแยกแยะได้ละเอียดลออเหมือนอย่างกำลังฟังหลวงตาแขวนอธิบายเลย

    “นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของอารมณ์สมาธิที่เอ็งประสบพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยังมีอารมณ์สมาธิที่ใจเอ็งจับแล้วตื้นกว่านี้บ้าง ลึกกว่านี้บ้าง จากการเล่นกีฬา ทำงาน หรือแม้แต่วางท่าเดินโก้เก๋อวดใครต่อใคร คิดอะไรยังไงมันเป็นอารมณ์จิตไปได้ทั้งนั้น เพียงถ้าเอ็งมีสติจับเข้าไปในอารมณ์นั้นอย่างเดียวสักระยะ เดี๋ยวจิตก็รวมเป็นสมาธิได้”

    เกาทัณฑ์ผงกศีรษะนิดหนึ่งพร้อมยกมือไหว้รับ และเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ

    “แต่สมาธิที่ได้จากการทำงานแบบโลกๆน่ะ เป็นสมาธิวุ่น เพราะจิตต้องหมุนไปเรื่อย รวมนิ่งกับที่ไม่ได้ ก็ไม่เกิดธรรมชาติความสงบสว่าง ยังเต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกใหญ่น้อย เมื่อไม่สงบสว่าง แม้จิตมีพลังมากก็หน่วงรวมมาใช้ก่ออิทธิฤทธิ์ไม่ได้

    ขั้นแรกเอ็งต้องรู้จักวางตัวให้เบาสบายอยู่กับอารมณ์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่กับมันเพื่อเรียนรู้วิธีรวมจิตจนเกิดพลังเป็นปึกแผ่น พื้นฐานสติสัมปชัญญะนั้นเอ็งมีอยู่แล้วจากงานทางโลก หากตั้งใจจริงและทำให้ต่อเนื่อง ก็จะง่ายเข้า”

    หลวงตาแขวนเว้นระยะสำรวจชายหนุ่ม สายตาท่านทรงอำนาจและมีประกายกล้าแข็งด้วยตบะเดชะผิดมนุษย์ ชายหนุ่มคอหดโดยไม่รู้สึกตัว ท่านเคยมีสายตาใจดีของคุณตาแก่ๆคนหนึ่ง ใครจะนึกว่าแท้จริงแล้วซ่อนแววดุยิ่งกว่าเสือ สะท้านขวัญได้มากมายเพียงนี้

    “อารมณ์สมาธิที่ถือกันว่าประเสริฐสุด และมีอยู่คู่กายเรามาแต่เกิด ได้แก่ลมหายใจ นอกจากจะเป็นตัวอารมณ์ให้จิตจับแล้ว ธรรมชาติลมหายใจเองยังเป็นตัวปรุงแต่งจิตให้เดินกระแสหยาบละเอียดตามได้ด้วย ลมหายใจหยาบจิตก็หยาบ ลมหายใจละเอียดจิตก็ละเอียด จึงเหมาะจะใช้ทั้งในเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย สติกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ท่านเรียก ‘อานาปานสติ’ ซึ่งเอ็งคงได้ศึกษามาจากหนังสือหนังหาบ้างแล้ว”

    เกาทัณฑ์พยักหน้ารับและกล่าวว่าครับ

    “เอา” หลวงตาแขวนพยักหน้า “นั่งขัดสมาธิ์ ขาขวาซ้อนขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งหลังตรง”

    เกาทัณฑ์ปฏิบัติตามทันทีด้วยอาการกระตือรือร้นเงียบๆ

    “ท่านั่งนี่ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญของสมาธิ แต่เป็นตัวคุมสติที่จำเป็นอย่างหนึ่งในการเริ่มต้น กายเป็นอย่างไรก็ปรุงจิตให้มีความเป็นอย่างนั้น วางกายไว้สบายจิตก็สบาย หลังตั้งคอตรงก็ช่วยทรงความรู้ตัวได้ดี จำไว้นะว่าความสบายกับความตื่นพร้อมเป็นบันไดขั้นแรก อย่าเริ่มด้วยการใส่อาการเพ่งเข้าหาลมหายใจ ให้เริ่มด้วยอาการรู้สึกตัวก่อน”

    เกาทัณฑ์เป็นคนนั่งตรงเดินตรงหลังไม่งอได้นานๆอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงผ่านตลอด เขานั่งทรงกายอย่างสบายตามหลวงตาสั่ง พร้อมกับตั้งใจว่าจะให้มันทรงในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆไม่เผลอหลังงอ

    "ด้วยความรู้สึกตัวอย่างนี้ เอ็งทอดตามองตรงไปข้างหน้าสบายๆ รักษาความนิ่งไว้อย่าให้กลอกหลุกหลิก แล้วปิดตาลงทั้งยังทอดตรง จะได้ความรู้ตัวแบบเปิดพร้อม เวลากำหนดรู้ลมหายใจจะได้ไม่จดจ้องคับแคบ"

    ชายหนุ่มปิดเปลือกตา มีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์เป็นหลักเป็นฐานการปฏิบัติ คิดในใจว่าคนเราต้องมีอาจารย์ก็เพราะอย่างนี้เอง

    “ลมหายใจมีอยู่แล้ว สิ่งที่ยังไม่มีคือสติ อุบายสร้างสติตามลมหายใจของพระพุทธเจ้าประการแรกคือให้กำหนด ‘รู้’ ลมหายใจออกก่อน คืออัดลมหายใจเข้าเต็มปอดแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พอคืนลมหายใจออกสู่ภายนอก ค่อยกำหนดรู้ว่านี่คือการหายใจออก เริ่มตั้งหลักอย่างนี้จะทำให้ไม่จ่อเพ่งอยู่กับการหายใจเข้ามากเกินไปเหมือนปกติ เอ้าลองดู”

    เกาทัณฑ์ดึงลมหายใจเข้าเต็มปอดเร็วๆโดยสักแต่เป็นอาการเหมือนหายใจทั่วไป ไม่ได้ตั้งท่ารู้เห็นเป็นพิเศษ แต่พอผ่อนระบายลมหายใจออกจึงเริ่มกำหนดสติถึงความเป็นลมหายใจที่ส่งจากภายในกายออกสู่ภายนอก

    “พอลมหยุดก็รู้ว่าลมหยุด ถึงเวลาที่กายเรียกลมเข้า ก็รู้ตามจริงว่านี่คือการหายใจเข้า ระลึกให้เสมอกันกับการหายใจออกที่เป็น ‘ตัวตั้ง’ เมื่อกี้”

    ชายหนุ่มพบว่าเมื่อกำหนด ‘ลมออก’ เป็นตัวตั้ง ปรากฏว่าสามารถรู้ตลอดทั่วถึงได้อย่างรวดเร็ว

    “นี่คือขั้นแรกของอานาปานสติ คือมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า พระพุทธองค์สอนไว้อย่างนี้ เป็นอุบายลัดที่จะทำให้สติอยู่กับลมหายใจเสมอกันทั้งขาออกและขาเข้า อย่ามองข้ามไป”

    ฝ่ายลูกศิษย์ดูใจตัวเอง ว่ามีสติขณะหายใจออก มีสติหายใจเข้า ภายในปลอดโปร่งขึ้นทันที ก็รับทราบตามจริงว่าผ่านขั้นแรกอย่างง่ายๆได้แล้ว

    “สังเกตนะ พอทำความรู้สึกได้ทั่ว ไม่มีส่วนใดกำเกร็ง และเฝ้ารู้ลมหายใจออกกับเข้าตามสบาย ผลคือเหมือนทั้งตัวมีลมหายใจปรากฏเด่นอยู่อย่างเดียว นี่คือการเริ่มต้นที่ถูกต้อง จำไว้ว่าต้องเริ่มอย่างนี้ทุกครั้ง”

    การเริ่มต้นที่เรียบง่าย ทำให้ความคิดฟุ้งที่ครอบงำจิตใจเป็นปกติหายหนไปชั่วคราว พร้อมรับฟังและปฏิบัติตามพระอาจารย์อย่างปราศจากข้อสงสัย

    “ลองดูว่าลมหายใจในช่วงเริ่มกำหนดสตินั้นจะลากยาวกว่าปกติ ก็ให้รู้ว่าอย่างนี้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้ามีความยาวเสมอกัน นี่คืออีกขั้นของอานาปานสติ คือรู้ชัดว่าหายใจออกยาว รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว”

    เกาทัณฑ์จำลักษณะลากยาวของลมหายใจออกและเข้าไว้ กับทั้งพยายามรักษาให้สม่ำเสมอ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าเกินพอดี มีความอึดอัดคับแน่นอกขึ้นมา เป็นจังหวะที่ถูกพระอาจารย์ทักว่า

    “หลักการทำอานาปานสตินั้นให้ความสำคัญที่สติรู้ตามจริง ไม่ใช่บังคับลมหายใจให้ยาวหรือสั้น อย่าบีบบังคับฝืนกายให้ทำงานผิดธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาจะต้องออกสั้นก็ให้มันออกสั้น เมื่อถึงเวลาจะต้องเข้าสั้นก็ให้มันเข้าสั้น สติเราเท่านั้นที่รู้ตามจริงว่าอย่างนี้คือลมต้องสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือรู้ชัดว่าหายใจออกสั้น และรู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น”

    พอเข้าใจหลักการดังนั้นก็เริ่มสนุก เพราะเหมือนเขาเริ่มไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้กายหายใจออกหายใจเข้าตรงกับความเรียกร้องตามธรรมชาติที่เป็นจริง หน้าที่คือเพียงรู้เท่าทันว่าเที่ยวนี้ยาวหรือสั้น

    “จิตที่เป็นผลของการตามรู้อย่างถูกต้องนั่นแหละ จะเหมือนแยกออกไปเป็นผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูเฉยๆในกองลมทั้งปวง ไม่ว่าจะออกหรือเข้า ไม่ว่าจะยาวหรือสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือขณะแห่งลมออกและลมเข้า จิตตั้งมั่นอยู่ในอาการรู้ชัดตามจริงในฐานะของผู้สำเหนียกเห็นลักษณะของลมขณะนั้นๆ”

    เกาทัณฑ์พบด้วยตนเองว่าเมื่อจิตเอาแต่จดจ่อลมหายใจด้วยอาการตื่นรู้พอดีๆ ผลคือความสงบลงทางกาย คอตั้ง หลังตรงไม่กระดุกกระดิก แม้ยังมีคลื่นความคิดแทรกแซงเป็นระยะ ก็ไม่รำคาญ และไม่ส่งผลให้กายไหวติง และพอถึงจุดนั้นก็ได้ยินหลวงตาแขวนสอนต่อ

    “ความรู้สึกสงบทางกายนั้นเป็นของดี เพราะความที่กายไม่กวัดแกว่งนี่เอง จะยิ่งเน้นให้ลมหายใจถูกรับรู้ได้เด่นชัดยิ่งขึ้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ เห็นกายนิ่งแล้วก็ประคองความนิ่งนั้นไว้ มีแต่ทางเดินลมหายใจที่ยังเคลื่อนไหวอยู่อย่างเป็นอัตโนมัติ”

    หลวงตาแขวนเงียบไปพักหนึ่งก่อนกล่าวสืบต่อเมื่อเห็นลูกศิษย์หนุ่มชักเกิดอาการฝืน

    “หลักของการเริ่มกำหนดสติรู้ลมหายใจมีอยู่เท่านี้ ถ้าหากพลัดหลงจากลม หรือหากคิดฟุ้งแน่นขึ้นมา ก็สำรวจว่าจิตเรายังเหลือสติอยู่ในขั้นไหน ถ้าไม่เหลือเลย คือจิตไม่จับที่ลม กายยังกระสับกระส่าย ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ท่องคาถา ‘นับหนึ่งใหม่’ ไว้ให้ดี เพราะจะขลังที่สุดสำหรับการเริ่มภาวนา สำหรับอานาปานสตินั้น การนับหนึ่งคือมีสติรู้ ว่ากำลังหายใจออกหรือหายใจเข้า ต่อมารู้ว่าลมนั้นยาวหรือสั้น ถ้ารู้ได้เรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติ จิตก็จะแยกออกไปเฝ้าดูลักษณะลมตามจริงอยู่เฉยๆ และเมื่อแยกออกมาเป็นผู้รู้ตั้งมั่นถูกต้อง ก็จะสงบจากความต้องการขยับไหวส่วนเกินของกายที่ไม่เกี่ยวข้องกับลมหายใจไปเอง”

    เกาทัณฑ์เข้าใจกระจ่างด้วยประสบการณ์ภายในประกอบพร้อมอยู่ด้วย ทว่าพักใหญ่ต่อมา จิตก็เริ่มซึมลงในลักษณะเคลิ้มสบาย หมดแรงจับลมหายใจ หลวงตาแขวนก็ทักอีก

    “คอยสำรวจตัวเองบ่อยๆหน่อยไอ้หนุ่ม พอเริ่มจะฟุ้ง หรือเริ่มจะเลื่อนลอยลืมลมหายใจ ก็กลับมารู้ตัวที่กำลังนั่ง แล้วกำหนดระลึกใหม่ตั้งแต่ขั้นแรก”

    ที่จุดนั้นเกาทัณฑ์จึงเริ่มระวังความเคลิ้มเหม่อ ตามดู ตามรู้ลมหายใจไม่ลดละ กระทั่งจิตแยกออกมาตั้งรู้ เห็นลมหายใจเป็นสายเดียว เมื่อระดับน้ำหนักลมเสมอกันต่อเนื่องถึงระดับหนึ่ง จึงเกิดภาพภายในหรือ ‘นิมิต’ เป็นหนึ่ง คล้ายเส้นเชือกเส้นหนึ่งที่ชักรอกขึ้นลงด้วยมือจับปลายทั้งสองด้าน หน้าที่ของจิตมีเพียงเฝ้าตามอาการออก อาการเข้า ซ้ำไปซ้ำมาตามลีลาของกลไกธรรมชาติแห่งกายเท่านั้น

    เมื่อเห็นลูกศิษย์มีใจจดจ่อต่อเนื่องดีแล้ว พระอาจารย์ก็บอกบทต่อ

    “จิตตั้งไว้ถูกส่วนแล้ว แต่กายยังรับกันไม่สนิทนัก ถ้าจะให้เกิดความแช่มชื่นหนักแน่นกว่านี้ ลมหายใจต้องยาวขึ้น ตอนหายใจเข้าให้เริ่มด้วยการขยายหน้าท้องพองขึ้นนิดหนึ่ง จะเห็นว่าเมื่อมีอาการขยายหน้าท้อง ก็มีลมเข้าเอง พอสุดหน้าท้องก็เลื่อนไปดึงลมตามปกติ”

    เกาทัณฑ์ปฏิบัติตาม และพบว่าลมหายใจยาวขึ้น นุ่มนวลขึ้น มีความปลอดโปร่งอย่างคนหายใจทั่วท้องมากกว่าเดิมจริงๆ สิ่งที่ตามมาคือการทวีตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของความสุข ความคิดทั้งมวลสงัดเงียบลง หายใจออกก็ร่าเริงเป็นสุข หายใจเข้าก็ร่าเริงเป็นสุข สภาพกายดำเนินโดยอัตโนมัติราวกับเครื่องสูบลมที่ทำงานด้วยอัตราคงตัว เห็นแต่สายลมผ่านออกผ่านเข้า ผ่านออกผ่านเข้า มีอยู่แค่นั้น เรียบง่ายเสียจนลืมสิ้นว่าโลกนี้เคยซับซ้อนเพียงใด

    ถึงจุดๆหนึ่งก็สำเหนียกอาการควบแน่นของกระแสจิต เหมือนกลุ่มน้ำขาวที่เข้าผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียว มีศูนย์กลางจับอยู่ที่การไหลเข้าออกของลมหายใจอย่างมั่นคง เกาทัณฑ์รู้ทันทีว่านี่คือภาวะสมาธิขั้นต้น เห็นอาการปรากฏนั้นด้วยความรู้พร้อมทั่วองคาพยพ

    ภาวะนั้นจะดำรงอยู่สักกี่วินาทีไม่อาจทราบ แต่รู้ตัวอีกครั้ง ก็เห็นความคิดหลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมดแล้ว ได้เห็นชัดถึงตัวเหม่อเผลอสติ รวมทั้งอาการรู้ตัวตั้งสติใหม่ เมื่อตั้งสติกำหนดลมหายใจในสภาพเดิมใหม่ได้ จิตใจก็เปิดออก เห็นนิมิตลมแช่มชัดอีกครั้ง

    เหตุถูก ผลก็ถูก เหตุผิด ผลก็ผิด เกาทัณฑ์ถึงกับเผลอออกอาการพยักหน้าด้วยความเข้าอกเข้าใจเต็มตื้น แต่แล้วก็รู้ตัวว่านี่ก็ความคิด นี่ไม่ใช่ตัวสมาธิ จึงพยายามเพิกและเฝ้าดูลมหายใจนิ่งๆจนกระแสความคิดเลือนหายไปเองโดยปราศจากความพยายามขับไล่

    อิ่มเอมเปรมใจเนิ่นนานจนเกิดอาการล้าและเหน็บกินตลอดช่วงขา อันเป็นเครื่องหมายว่าจิตถอนแล้วจากอารมณ์สมาธิ และเกินกว่าจะกลับเข้าลู่เดิม หลวงตาแขวนเห็นเช่นนั้นจึงสั่งให้เตรียมกำหนดเลิก โดยหายใจสบายๆและปรับความรู้สึกนึกคิดเป็นปกติเสียก่อน ทบทวนการทำสมาธิแต่ต้นจนจบว่าเป็นอย่างไร เพื่อว่าเมื่อหลับตาลงเริ่มทำสมาธิในครั้งต่อไปจะได้นึกออกง่าย ถัดจากนั้นจึงค่อยลืมตาขึ้นทีละน้อยเหมือนตื่นนอนยามเช้า

    หลวงตาแขวนให้ข้อปฏิบัติเป็นขั้นๆซ้ำอีกครั้งเพื่อให้เกาทัณฑ์นำไปใช้ในการทำสมาธิด้วยตนเอง รวมทั้งชี้แจงล่วงหน้าเกี่ยวกับปีติและนิมิตชนิดต่างๆที่เข้ามาดึงจิตให้เขวจากทางสมาธิ ให้คำแนะนำรวบยอดว่าเพียงทำใจวางเฉย สักแต่รู้สิ่งแปลกปลอม จะน่ารักหรือน่ากลัวก็ตาม รู้ไปจนกว่าจิตจะย้อนกลับมาสนใจจิตเอง และเห็นปฏิกิริยาของจิตมีความเป็นกลางต่อสิ่งรบกวน ทุกอย่างก็จะสลายไปในที่สุด

    เมื่อชายหนุ่มกล่าวทบทวนให้ท่านแน่ใจว่าเขาจดจำถี่ถ้วนถ่องแท้ หลวงตาแขวนก็นิ่งไป ทอดตามองอีกฝ่ายด้วยแววเมตตา สำทับซ้ำถึงจุดหมายที่ควรทำให้ถึงในแต่ละครั้ง

    "ของมันต้องหมั่นฝึกบ่อยๆถึงจะชำนาญ ระหว่างวันทำงานทำการไปตามปกติ นึกได้เมื่อไหร่ก็กลับมาระลึกถึงลมสักครั้งสองครั้งก็ยังดี ถ้ามีเวลาพักว่างจากงานมากหน่อย อาจจะสักห้านาที ก็ตั้งเป้าว่าจะทำจนเห็นเหมือนจิตนิ่งเป็นผู้รู้ผู้ดูลมหายใจอยู่เบื้องหลัง ลมหายใจเป็นเหมือนสายเชือกชักขึ้นลงให้ดูอยู่เบื้องหน้า ช่วงฝึกแรกๆหากทิ้งลมหายใจนานนัก จิตจะกลับไปจับไม่ถูก อย่างเอ็งหากขยันก็คงสำเร็จง่ายอยู่"

    ท่านเว้นจังหวะคล้ายไตร่ตรองบางสิ่ง แล้วก็กล่าวว่า

    "อยากเห็นความจริงเรื่องชาติก่อนไหม?"

    เกาทัณฑ์หูผึ่ง ทำตาโตเหมือนถูกตบหลังหนักๆ

    "อยากครับ!"

    คำตอบนั้นหลุดจากปากโดยอัตโนมัติ

    "ข้าจะทำให้เอ็งได้เห็น" ท่านสมภารพูดเสียงเรียบ "แต่มีข้อแม้ว่าเอ็งต้องได้สมาธิขนาดที่ข้าพอใจภายในอาทิตย์หน้า"

    ชายหนุ่มเม้มปาก ความทะยานอยากของเขาก็เปี่ยม แนวทางที่ถูกเขาก็มีพร้อม แถมท่านยังรับรองให้อีกว่าถ้าขยัน เขาต้องทำได้ อย่างนี้ถ้ายังขาดความเชื่อมั่นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

    "ผมจะไม่ทำให้หลวงตาผิดหวังครับ"

    "จะทำสมาธิน่ะ ไม่ใช่แค่อยาก ไม่ใช่แค่ทำถูกแล้วก็จะได้ผลเสมอไป วิถีชีวิตต้องอยู่ในกรอบด้วย จิตถึงจะพร้อม...เอ็งเลิกกินเหล้าเมายาสักอาทิตย์ได้ไหม?"

    "ได้ครับ"

    พนมมือรับอย่างแข็งขันทันที เพราะคิดล่วงหน้าอยู่แล้วว่าพระอาจารย์ท่านต้องห้ามเรื่องนี้

    "ไม่เสพกามได้ไหม?"

    เกาทัณฑ์เกือบอึ้ง แต่พริบตาก็ให้คำตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

    "ได้ครับ!"

    "ไม่โกหก ไม่พูดนินทาส่อเสียด ไม่พูดตลกคะนองไร้สาระให้จิตขุ่นมัวได้ไหม?"

    คราวนี้เขานิ่งไปนาน นึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า เห็นภาพตัวเองเป็นเบื้อใบ้ พูดตลกโปกฮากับเพื่อนที่ทำงานคลายเครียดไม่ได้ อย่างนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน แต่พอนึกต่อไปว่าอาทิตย์หน้าจะรู้เห็นเรื่องภพชาติให้หายสงสัย ก็ตอบออกมาสั้นๆเหมือนเดิม

    "ครับ ผมทำได้"

    "ดี!" หลวงตาแขวนลงเสียงหนักๆ "เอ็งอยู่ต่อหน้าข้า มีความเชื่อมั่น ละทิ้งความห่วงหน้าพะวงหลังทั้งหมดได้ ถึงเป็นสมาธิง่าย แต่เมื่ออยู่กับตัวเองแล้ว ความเคยชินแบบโลกๆจะนำกิเลสกลับมาครอบงำเต็มหัวใจ เป็นอุปสรรคกับสมาธิจิตโดยตรง ข้าถึงให้เอ็งปฏิญาณไว้ ว่าจะเลิกข้องแวะกับต้นเหตุกิเลสหลักๆของเอ็งเสีย

    กิเลสที่ขวางกั้นความก้าวหน้าในการภาวนาเรียกว่า ‘นิวรณ์’ มีความพอใจในกามคุณ ความคิดร้ายพยาบาท ความหดหู่ง่วงเหงา ความฟุ้งซ่าน แล้วก็ความลังเลสงสัยในธรรมปฏิบัติ ถ้าเกิดนิวรณ์ข้อไหนขึ้นมา วิธีแก้ง่ายที่สุดคือเห็นมันเป็นโทษ เป็นเครื่องร้อยรัดจองจำให้จิตอึดอัด สมควรละทิ้ง ผละหนี ก็จะปลอดโปร่งโล่งใจ เป็นอิสระ เป็นไทแก่จิตเองเหมือนนักโทษที่หลุดจากพันธนาการและห้องคุมขัง

    พอจิตสดชื่นและคุ้นกับการเป็นอิสระจากนิวรณ์ ความน้อมใจใฝ่สงบ ใฝ่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิก็จะเกิดขึ้นเอง และเกิดขึ้นบ่อย ระหว่างวันจึงควรกำหนดสติดักไว้ดีๆ ว่ามีนิวรณ์เกิดขึ้นเกาะจิตหรือยัง ถ้ามีก็ละเสีย ทิ้งเสีย ด้วยอุบายของพระพุทธองค์ที่ข้าว่า"

    "ครับ หลวงตา ผมจะระวังป้องกันจิต กั้นจากนิวรณ์ทั้งหมดให้ได้ครับ"

    "เออ! ข้าขออวยพรให้เอ็งประสพความสำเร็จ เอาล่ะ วันนี้กลับไปได้ เดี๋ยวข้ามีธุระจะต้องทำ"

    ชายหนุ่มยกมือไหว้รับพร แต่ก่อนกราบลาก็ถามสิ่งที่ค้างใจออกไป

    "ผมไม่ต้องทำพิธีหรือนำดอกไม้มาบูชาอาจารย์หรือครับ?"

    "ข้าชอบการบูชาด้วยใจ เอ็งมีให้ข้าแล้ว ข้าเห็น ข้าไม่ได้จะสอนไสยศาสตร์ แต่จะสอนตามแนวของพุทธิปัญญา ดอกไม้ธูปเทียนและพิธีขึ้นครูจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ถ้ามันเป็นศรัทธาอยากทำ จะเอามาถวายบ้างก็ตามใจ"

    เกาทัณฑ์กราบลาด้วยความสดแจ่มแช่มชื่นอย่างประหลาด ชีวิตมีแรงบันดาลใจใหม่ๆ มีเครื่องกระตุ้นความอยากใหม่ๆ ยังให้เกิดพลังแห่งความกระตือรือร้นแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย


บทที่ ๖  จอมศิลปิน

ออกจากวัดทางนฤพาน ขับรถมาเกือบถึงหน้าบ้านปู่ ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเบาะด้านข้าง มีหนังสือที่ปู่ให้มาสองเล่มคือพุทธธรรมกับพจนานุกรมพุทธศาสน์ เขาเตรียมจะคืนในวันนี้ เพื่อเป็นเหตุประเภทติดไม้ติดมืออ้างมาหาปู่อีกครั้ง

ตั้งใจมาต้อนคนแก่ให้จนมุมเต็มที่ คราวนี้กับคราวที่แล้วจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมีการตระเตรียมเป็นเรื่องเป็นราว จะไม่มีการเหวี่ยงแหไร้ทิศทางอย่างเมื่อก่อนอีก โดยเฉพาะประเด็นหลักของพุทธ คือทุกข์และการดับทุกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระองค์ตรัสสอนแต่เรื่องนี้เท่านั้น

เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่งด้วยความรู้สึกกึ่งขัดแย้ง บัดนี้เขาได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของ ‘พระ’ ในพุทธศาสนา เริ่มเข้าใจการตั้งจิตเป็นสมาธิ ยอมรับว่าเบื้องแรกไม่ได้มองหลวงตาแขวนเกินไปกว่าผู้วิเศษ แน่ใจเพียงว่าท่านมิใช่นักมายากล หรือผู้มีอำนาจจิตสะกดให้เห็นไปต่างๆเพียงชั่วขณะ เพราะหนังสือพิมพ์มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านจริง และเมื่อลอบสังเกตเพดานกุฏิในวันนี้ ก็ยังพบร่องรอยไหม้เกรียมซึ่งเกิดจากลิ้นไฟเนรมิตของท่าน เมื่อฝากตัวเป็นสานุศิษย์ก็ให้ความเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ทว่าก็ด้วยประสงค์เพียงเรียนรู้ศาสตร์แขนงหนึ่ง ทำนองเดียวกับที่ยกย่องนักกีฬาเก่งๆเป็นครูฝึกสอน โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมใจยอมคล้อยตาม 'ความเชื่อ' ทั้งหมดของท่าน

อย่างไรก็ตาม ท่านทิ้งท้ายไว้เป็นที่ปลุกเร้าความสนใจลงไปถึงราก นั่นคือประเด็นเกี่ยวกับภพชาติ ซึ่งกำลังวนเวียนอยู่ในความสงสัยของเขาพอดี เพราะเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในเชิงอรรถแล้ว พบว่าจะมีความหมายต่อชีวิตที่สุขพร้อมสมบูรณ์แบบเช่นเขา ก็ต่อเมื่อตระหนักแน่แก่ใจว่าการ 'ดับทุกข์' นั้น คือเลิกเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บอดใบ้เรื่องกฎกติกาว่าทำเหตุอย่างไรจะถูกเหวี่ยงไปเกิดในภพไหนภูมิไหน

เกาทัณฑ์สรุปได้อย่างหนึ่งว่าถ้าทฤษฎีเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของพุทธเป็นของจริง ก็แปลว่าธรรมชาติออกจะโหดเหี้ยมเอามาก คือไม่บอกกฎให้ใครรู้ แต่ใครผิดกฎเมื่อไหร่ ก็เสร็จเมื่อนั้น ไปเกิดร้ายตายดีก็ด้วยความไม่รู้ หลงก่อกรรมทำเข็ญจนวิญญาณชุ่มบาปอย่างน่าอเนจอนาถ เสร็จแล้วต้องก้มหน้าก้มตาไปรับกรรมแล้วๆเล่าๆอย่างปราศจากที่สิ้นสุด เพราะเหตุแห่งการเกิดยังสืบเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปเรื่อย

ถ้าอาทิตย์หน้าเขารู้ว่าชาติก่อนชาติหน้ามีจริง หมายความว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด ความคิดอ่านกับความเชื่อที่ผ่านมานับแต่จำความได้ ล้วนต้องถูกจัดเป็นความบื้อ ความหลงละเมอเพ้อพกของสิ่งมีชีวิตอีกหน่วยหนึ่ง ที่ทะนงนึกว่าตนทรงภูมิ ทรงความรู้ล้ำลึก ทว่าแท้จริงไม่ได้รู้อะไรเลย

ไม่รู้จักกระทั่งตนเอง แล้วจะขึ้นชื่อว่า 'รู้' ได้อย่างไร

ใจแกว่งเล็กน้อยเมื่อชะลอความเร็วของรถ เป็นความหวั่นไหวชนิดหนึ่งที่เขาไม่กล้าสำรวจหาสาเหตุ เท้าแตะเบรกเตรียมหยุดรถเทียบข้างประตูรั้ว แต่แล้วก็แตะค้างเมื่อเหลียวไปเห็นสองหนุ่มสาวใต้ร่มไม้หน้าบ้าน เป็นแวบเดียวแห่งการเห็นและถูกสารพันความรู้สึกจู่โจม จนต้องย้ายเท้ามาลงน้ำหนักเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งฉิวห่างหายไปจากที่นั้นในพริบตา

แพตรีมองตามการจากไปของเรือนรถเพรียวลมสีสดสะดุดตาด้วยแววเฉยนิ่ง

"ดูเหมือนจะเป็นคนนั้นใช่มั้ยฮะ?"

เป็นเสียงถามอ่อนๆจากมติ

"คนไหน?"

หญิงสาวถามกลับ

"ก็...ที่เขานั่งคุยกับพี่แพเมื่ออาทิตย์ก่อน"

"คงใช่มั้ง"

มติรู้เห็นเรื่องราวเพียงน้อย แต่เขาก็เป็นผู้มีสามัญสำนึกดีเท่าๆชายทั่วไป และด้วยปกติของสามัญสำนึกดังกล่าว ก็ทำให้ทราบว่าไม่ธรรมดาเลย ที่รถคันนั้นชะลอลงเหมือนจะจอดแล้วกลับบึ่งจากไปเฉยๆ

อย่างปราศจากความไยดีคั่งค้าง แพตรีก้มหน้าพิจารณากรอบภาพสีน้ำมันบนผ้าใบผืนใหญ่บนโต๊ะ มติเอามาให้หล่อนดู มันเป็นภาพสายลูกไฟที่ยืดยาวไร้ต้นไร้ปลายในห้วงว่างมหันต์ คล้ายสร้อยไข่มุกที่เรียงเม็ดคดเคี้ยวอยู่บนสายยาวจากอนันตภาพเบื้องลึกสู่อนันตภาพเบื้องไกลโพ้น การนำเสนอของภาพเน้นไปที่ลูกไฟใหญ่สองสามดวงใกล้ตา นั่นคือฝีมือนักศึกษาวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งทางนี้ แนวคิดของภาพทำให้มันได้ชื่อว่า ‘สังสารวัฏ'

มีเศษกระดาษต่างหากอีกแผ่นบรรจุถ้อยคำที่เรียงร้อยบรรยายไว้ หญิงสาวนั่งอ่านในใจเงียบๆอย่างมีจินตภาพละเอียดอ่อนตามกลอนแต่ละบาทแต่ละบท

อันเปลวไฟใดก่อก็รอลับ                จะวับดับกลับวายสลายร้อน

นี่ยับย่อยร่อยหรอแล้วต่อตอน          พอรอนลับกลับฟื้นคืนวังวน

เป็นโซ่ห่วงล่วงดับสลับถ่าย             สืบทอดเยื่อเชื้อร้ายขยายผล

ดวงต่อดวงลวงตาเป็นตัวตน           ให้สับสนหนทางอันร้างรา

ก่อรูปคุดุแดงดูแรงร้าย                 แล้วกลับกลายฉายแสงเสน่หา

เป็นนรกผกผันสวรรคา                  เมื่อหันหาสิหายหนทุกตนจร

ตะลอนต่อตลอดหนไร้ต้นปลาย        คายไว้เพียงทุกข์กับทิ้งสิ่งลวงหลอน

เรียกวังวน 'สังสารวัฏ' ไม่ตัดตอน    ให้ไฟร้อนประการเดียวเที่ยวเกิดตาย!

เมื่ออ่านจบแพตรีก็สยายยิ้มกว้าง มติจะนำงานชิ้นนี้ไปประกวดในงานทางพุทธศาสนาที่ภาคเอกชนร่วมกับสถาบันศึกษาใหญ่จัดขึ้น หญิงสาวเหลือบตามองรูปแล้วพยักหน้านิดๆเป็นเชิงชม

"อื้อม์..."

"พอใช้ได้ไหมฮะ?"

แพตรีพยักหน้าซ้ำอย่างเต็มใจ

"อย่างนี้เรียกเยี่ยมเลยไม่ใช่แค่พอใช้ ต้องรับรางวัลใดรางวัลหนึ่งแน่ๆ พี่ไม่อวยพรล่ะ แต่ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าไว้ก่อนเลย"

มติเป็นจิตรกรที่เล่นสีเก่ง ลูกไฟบางดวงแดงโชติฉานดูน่าสะพรึงกลัวดุจจะแทนไฟนรกได้จริงๆ บางดวงก็มีสีสันวิจิตรน่าหลงมองเพลินตาราวกับลูกไฟสวรรค์ได้ปานกัน วิธีวางตำแหน่งอย่างถูกหลักการสร้างมิติที่สามทำให้คนดูรู้สึกเป็นจริงเป็นจังถึงอนันตภาพทั้งของสายลูกไฟอันยืดยาวและห้วงมืดอันลี้ลับ

มาบวกเข้ากับแนวคิดและคำกลอนกำกับภาพกินใจอย่างนี้ จึงน่าจะจัดเป็นผลงานประกวดที่เข้าตากรรมการง่ายหน่อย

"ในวันตัดสินเขาจัดนิทรรศการให้คนทั่วไปเข้าชมด้วย พี่แพไปกับผมนะฮะ"

เขาชวนอย่างรู้ว่าหล่อนจะไม่ปฏิเสธ และหล่อนก็พยักหน้ารับง่ายๆดังคาด

"ได้สิ ไปดูเธอรับรางวัล จะได้ดีใจด้วย"

หญิงสาวทอดตามองภาพ แล้วยกมือชี้ไปยังลูกไฟดวงเด่นที่สุดในภาพ

"นี่คงแทนมนุษยภูมิใช่มั้ย?"

"ฮะ เป็นลูกไฟที่แปลกและแตกต่าง ปราศจากเอกภาพ บางส่วนดูสวย บางส่วนดูพลุ่งพล่านรุ่มร้อน ขาดความสม่ำเสมอ"

"ถ้ามีความรู้ทางพุทธศาสนาดี คงดูภาพของเธอเข้าใจและแปลความหมายออกทุกอย่างนะ แค่รู้ชื่อภาพก็พอแล้ว"

ชายหนุ่มลดสีหน้ายิ้มลงนิดหนึ่ง

"เพื่อนผมบางคนบอกว่า...ถ้ากรรมการไม่เชื่อ ความหมายของภาพนี้จะด้อยไปมาก"

แพตรีลดเปลือกตาลง นิ่งคิดแล้วก็เห็นตาม จริงแหละ พุทธศาสนิกชนมีหลายประเภทนัก ล้วนมีทรรศนะและความเชื่อส่วนตัวแตกต่างกันไป น้อยเสียเมื่อไหร่ที่คนตำแหน่งสูงๆและมีบทบาทต่อวงการศาสนาพุทธไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาบางคำสอนอันเป็นหลักสำคัญยิ่งอย่างเช่นภพภูมิและการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ

หญิงสาวมองภาพบนผืนผ้าใบตรงหน้าด้วยอาการใคร่ครวญนิ่งเป็นดุษณี หล่อนกำลังคิด และมติก็เพลินมองอาการนั้นของหล่อนด้วยสายตาของศิลปินที่ไวกับรายละเอียดความงดงามทุกชนิด เขาชอบพินิจดูหล่อนในอิริยาบถตริตรอง ดวงหน้าอ่อนเยาว์ปราศจากริ้วรอยความกังวลทั้งปวง ตัดกันกับนัยน์ตาฉายแสงแห่งความคิดฉลาดลึกซึ้งอย่างผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางปัญญาและอารมณ์ ทุกมุมสะท้อนแสงของแก้วตาแพตรีทอประกายงามราวกับเครื่องประดับในฝัน หากเชื่อว่าคนเราวาดรูปตัวเองด้วยกรรม อดีตและปัจจุบันของหล่อนก็คงเป็นจิตรกรผู้มีฝีมือน่าพิศวงชวนเลื่อมใสยิ่ง

"น่าเสียดายนะ" หล่อนเอ่ยขึ้นในที่สุด "ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ลองเปลี่ยนแนวคิดของภาพเป็น ‘ตรัสรู้’ แทนได้ก็ดีหรอก ให้ปลายทางของสายลูกไฟเป็นดวงประกายพรึกเด่นที่แทนความหมายของการสว่างรู้ เต็มตื่นเป็นไฟล้างตัวเองจากเชื้อร้าย แล้วลูกไฟที่ผ่านมาจะได้ใช้แทนความหมายของการหลงทุกข์หลงสุขชั่วครู่ชั่วคราว อย่างนี้จะมีความหมายกับศาสนิกชนทุกทรรศนะ เพราะจุดหมายอันเป็นที่สุดของเนื้อหาในพุทธศาสน์คือการมีดวงจิตสว่างรู้หลุดพ้นจากความทุกข์และความขึ้นลงไม่เป็นสาระต่างๆ"

มติเบิกตาโพลง จับมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววจรัสแสงกล้าของศิลปิน

"เออแฮะ" เขายิ้มกระจ่าง "ไอเดียนี้เข้าท่าจริงๆ ผมไม่ทันคิดสะระตะเสียก่อน มัวแต่คิดถึงความยืดยาวไม่รู้จบของสังสารวัฏซึ่งน้อยคนจะอ่านออกและคล้อยตาม สู้ความเชื่อซึ่งเป็นสาธารณะเช่นการสว่างรู้เหนือทุกข์สุขไม่ได้ ยังไม่สายหรอกฮะ ผมใช้เวลาวาดสักสองสามอาทิตย์ ทันส่งถมเถ"

ความจริงการเสกสรรค์ปั้นแต่งงานที่ลุล่วงไปแล้วขึ้นมาใหม่หมดนั้นควรแก่การเบือนหน้าหนีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับงานศิลป์ที่ต้องการความละเอียดปราณีตและการทุ่มเทแรงกายแรงใจมากๆอย่างนี้ แต่มติกลับไม่นำพาความเหนื่อยยาก แสดงให้เห็นถึงศรัทธาปสาทะและแรงบันดาลใจทางศาสนาอย่างเปี่ยมล้น

เมื่อหญิงสาวทราบเจตจำนงของน้องเช่นนั้น ก็ชำเลืองตาจ้องยิ้มๆ

"ศรัทธาแก่กล้าดีจริง"

"ภาพนี้ผมให้พี่แพก็แล้วกัน"

เขายกให้ง่ายๆ แพตรีเบิกตาเล็กน้อย

"ไม่ขายล่ะ? ถึงคนดูไม่รู้เรื่องก็อยากซื้อได้นะ ภาพสวยออกอย่างนี้"

"ไม่ตั้งใจจะขายอยู่แล้วนี่ฮะ"

หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนจะกวาดตาพินิจรายละเอียดบนแผ่นภาพและยิ้มรับ

"งั้นก็...ขอบใจนะ"

รู้ว่าปู่ก็ต้องชอบ นึกหาที่แขวนเหมาะๆได้เดี๋ยวนั้น มติกับหล่อนมอบของน้อยใหญ่ให้แก่กันมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่จำเป็นต้องย้ำคะยั้นคะยอหรือกระทำพิธีบ่ายเบี่ยงใดให้มากความ

พอพูดถึงปู่ มติก็เปลี่ยนเรื่องอย่างนึกขึ้นได้

"วันก่อนปู่คุยกับผม บอกผมว่าพอพี่แพเรียนจบ มีงานทำเลี้ยงตัวได้ ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว...ปู่จะบวช"

ด้วยความเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา มติไม่เห็นแม้แต่ความกระเพื่อมไหวในแววตาสงบดุจแผ่นน้ำนิ่งของแพตรี หล่อนยังระบายยิ้มอ่อนให้กับภาพตรงหน้าเฉย แต่เพราะมติรู้จักใกล้ชิดมาเนิ่นนานจนเข้าถึงและสัมผัสได้กระทั่งส่วนลึก จึงทราบดีว่าภายใต้ความไม่ไหวติงนั้น ที่แท้หล่อนเก็บซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้อย่างเงียบเชียบ

มติถอนใจ จะให้เขานิ่งดูดายได้อย่างไร

"พี่แพรู้แล้วใช่ไหมฮะ?"

"รู้แล้ว"

หล่อนตอบเบาๆ ปราศจากวี่แววสะเทือนใจปนออกมา

"แล้วคิดยังไงต่อไปฮะ?"

หญิงสาวเหลือบตาขึ้นสบกับเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทคุ้น แล้วเบนไปทางตัวเรือนซึ่งปู่คงกำลังนั่งอ่านหนังสือธรรมะหรือเดินจงกรมอยู่ในห้องพระตามลำพัง สิ่งเหล่านั้นเป็นกิจวัตรของปู่เมื่อท่านปิดประตูห้อง

"พี่อนุโมทนากับความตั้งใจของท่าน พี่คงทำงานทำประโยชน์ให้สมค่าความรู้ที่ร่ำเรียนมาสักสองสามปี แล้วจากนั้น..." ปลายเสียงของหล่อนแผ่วลง แต่แล้วก็กลับหนักแน่นขึ้นอีกครั้ง "พี่จะบวชชี อยู่ในเพศพรหมจรรย์บูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณปู่"

ถ้อยคำบ่งบอกเจตนารมณ์นั้นทำให้มติงันนิ่งไป เด็กหนุ่มเม้มปากและมีคิ้วเคร่งเล็กน้อย

"แน่ใจแล้วหรือฮะ?"

แพตรีพยักหน้าช้าๆ เป็นความเนิบช้าที่ทำให้มติสัมผัสความพะวงบางประการที่แอบแฝงอยู่ในชั้นลึกสุด

"เป็นความตั้งใจที่ดี"

เขาบอกอย่างนั้น แต่มิได้กล่าวอนุโมทนาด้วย กลับเปลี่ยนเรื่องถามมาอีกทาง

"พี่แพเอาไม้แคระไปไว้มุมไหน"

บ้านซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางไม้ดอกไม้ประดับนั้น ทำให้เขาขี้เกียจกวาดตาควานหาพันธุ์ไม้แคระซึ่งตนอุตส่าห์ซอกซอนไปพบถึงบนยอดเขาใกล้กับหมู่บ้านชนบทที่กลุ่มอาสาพัฒนาของเขายกขบวนไปถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนๆ

"หลังบ้าน"

แพตรีตอบทั้งยิ้ม อันที่จริงมติไม่ใช่นักเลงต้นไม้ แต่นานทีก็หาพันธุ์แปลกมากำนัลหล่อน ไม่ว่าจะแปลกขนานแท้หรือเขานึกเอาเองว่าแปลกก็ตาม มันมีค่าเสมอ เพราะเขาไม่เคยซื้อมาโดยง่าย แต่หามาด้วยลำแข้ง...ลำแข้งจริงๆไม่ใช่อุปมาอุปไมย มติชอบท่องเที่ยวไปตามป่าเขาและชายทะเล นั่นทำให้เขามีโอกาสเสาะสำรวจธรรมชาติได้หลากหลายภูมิประเทศ

"บางครั้งผมเกือบเข้าใจว่าสัมผัสพิเศษที่พี่แพมีต่อต้นไม้เป็นยังไง" เขากล่าว "เวลาผมมองดีๆแล้วรู้สึกว่าพวกมันมีสัญญาณชีวิต สำเหนียกรู้ได้ว่านั่นคือวิญญาณ คือพลังที่ให้ความอ่อนโยนกับโลก อารมณ์ของผมจะแปลกไป คือกลมกลืนไปกับความเยือกเย็น สงบเรียบง่าย และเหมือน...เอ่อ"

เด็กหนุ่มหรี่ตาพักเฟ้นคำ

"ไม่เคยต้องคิด ชีวิตไม่มีเรื่องน่ากังวลอยู่เลย"

แพตรีต่อคำให้เมื่อเห็นมติเหมือนจะจนด้วยถ้อย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยตาสดใส

"ใช่...แบบเดียวกับที่เต๋าชี้ให้เห็นการเติบโตอย่างง่ายดายตามธรรมชาติ ถ้าเข้าถึงได้ก็มีความดื่มด่ำเยือกเย็น เพราะจิตเสมอกับธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นไปอย่างไร จิตก็ปรับแปรตามนั้น พอปราศจากความขัดแย้งกับธรรมชาติ ก็เหลือแต่ความเรียบง่ายที่เป็นไปเอง"

หญิงสาวคลี่ยิ้ม มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแห่งการถ่ายทอดสัมผัสโดยตรงจากใจ

"ถ้าเธอรักพวกมันมากพอจะ ‘คุย’ กับมันได้เหมือนอย่างที่คุยกับเพื่อนสนิทสักคน เธอจะเข้าใจ ‘เสียงเงียบ’ ที่สื่อกันอยู่ระหว่างฝั่งเราผู้เฝ้ามอง และฝั่งชีวิตที่ถูกมอง เป็นคลื่นสัญญาณอีกแบบหนึ่ง บอบบาง แต่ก็มีกระแสแรง"

มติหัวเราะเอื่อยๆ ใช่จะเยาะด้วยความขบขัน แต่หัวเราะอย่างรู้ตัวว่ายังไม่อาจเข้าถึงรหัสสัญญาณชีวิตระดับนั้น เข้าใจแต่ว่าเมื่อจิตมนุษย์เพ่งอยู่กับอะไรบางอย่างชั่วนาตาปี เมื่อแนบแน่นมากเข้าก็จะเกิดภาวะ ‘เห็น’ ความเป็นสิ่งนั้นๆขึ้นมาอย่างกระจะกระจ่าง หยั่งลงสู่สัมผัสพิเศษที่คนอื่นดูด้วยตา ฟังด้วยหูแล้วไม่เข้าใจ

"พี่แพถึงเหมือนต้นไม้เข้าไปทุกวัน...เคยสับสนไหมฮะเมื่อต้องกลับมาพูดภาษามนุษย์ ถ้าผมคุยกับต้นไม้ได้บ้าง เราอาจคุยกันในรูปแบบที่แปลกขึ้นกว่าเดิมก็ได้นะ"

มติพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง แพตรีหัวเราะหน่อยๆแล้วเงียบ

"ว่าแต่ว่าพี่พูดกับต้นไม้ยังไง ได้ความหมายเป็นใจความเหมือนอย่างติดต่อกับผู้คนหรือเปล่า?"

หญิงสาวส่ายหน้า

"มนุษย์เราสื่อสารกันด้วยการถ่ายทอดความคิด ความคิดเป็นเปลือกที่อยู่ผิวนอกของใจ ถูกขับออกมาเป็นระลอกด้วยเจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง หากเจตนาเป็นโทษ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาหยาบๆน่าระคาย หากเจตนาเป็นคุณ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาละเอียดน่าสบายหน่อย แต่ส่วนใหญ่เราไม่ทันซึมซับรับรู้ลักษณะคลื่นของจิตมนุษย์มากนัก เพราะใจมัวไปทำงานแปลความหมายของภาษาพูดเสียหมด เราถึงถูกหลอกบ้าง ถูกทำให้เขวบ้าง เพราะฟังเฉพาะภาษาเป็นคำๆ"

พูดแล้วก็เบนสายตาไปจับดอกพิกุลซึ่งอยู่ห่างจากตรงนั้นเพียงสี่ห้าก้าว ดวงหน้าของหล่อนอ่อนสงบยิ่งในการเฝ้ามองของมติ

“แต่สัญญาณสื่อสารจากต้นไม้ไม่ได้มาจากระบบความคิด ไม่ได้มาจากภาษา ปราศจากเจตนาดีร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีการปรุง ไม่มีการปั้น ทุกอย่างถ่ายทอดตรงไปตรงมาจากความเป็นต้นไม้เองทั้งร่าง สื่อสารกันจากวิญญาณถึงวิญญาณ ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาดีๆ ก็แปลว่ามันกำลังเป็นอยู่เหมือนคนที่มีสุขภาพดีและร่าเริง ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาอับหมอง ก็อาจสันนิษฐานว่ามีบางอย่างผิดปกติไป อาจจะเพลี้ยลง หรือได้น้ำได้ปุ๋ยน้อย ดีอย่างนี้แหละที่เราสามารถรู้จักพวกมันโดยปราศจากภาษาขวางกั้น เพราะเราจะไม่มีวันเข้าใจผิดหรือถูกหลอกให้เลี้ยงดูคลาดเคลื่อนจากที่ควรเลย”

มติยิ้มกว้าง

"อย่างนี้เองพี่แพถึงไวนัก กับการหลบคนใจร้าย ใจกระด้าง เพราะคุ้นที่จะสัมผัสแต่สิ่งละเอียดอ่อน" พักมองโดยรอบ แล้วเอ่ยถาม "เคยได้ยินว่าความสั่นสะเทือนจากจิตวิญญาณเจ้าของ จะติดอยู่กับต้นไม้ด้วย เวลาดูต้นไม้นอกบ้านนี่พี่แพอ่านออกจากสัมผัสพิเศษไหมว่าเจ้าของเป็นคนนิสัยใจคอยังไง"

แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง หล่อนคุยกับมติโดยไม่จำเป็นต้องเก็บงำสิ่งใดไว้เป็นความลับ

"ถ้าฝากสัญญาณไว้เด่นพอ ก็อาจจับได้อยู่บ้างมั้ง อย่างเรื่องความสดใสเนี่ย ถ้าเจ้าของมีจิตใจที่สว่างและเดินมารดน้ำต้นไม้ รินใจเผื่อแผ่ต้นไม้บ่อยๆ พวกมันก็จะมีความสว่างตาม เราสัมผัสแล้วสดชื่นตามได้ง่ายๆ แต่ถ้าเจ้าของปล่อยให้ต้นไม้ยืนอยู่ตามยถากรรม รอฝนตกลงมาเลี้ยงเอง ก็ไม่มีคลื่นความใส่ใจของมนุษย์ฝากไว้"

มตินิ่งฟังอย่างสนใจ พอแพตรีพูดจบก็เล่าว่า

"ผมเคยเห็นอยู่รายหนึ่งบอกว่าเขารู้ความต้องการของต้นไม้ที่เลี้ยงไว้ รู้หมดเลยว่ามันอยากได้ดินใหม่ อยากให้งดปุ๋ยที่กำลังใช้ หรือต้องการน้ำมากขึ้นอะไรทำนองนั้น ผมฟังแล้วบางทีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขารักต้นไม้มากจนเกิดอุปาทาน หรือคลุกคลีผูกพันจนเกิดความหยั่งรู้พิเศษขึ้นมาเอง ใช่ว่าได้รับการติดต่อจากต้นไม้ แต่ฟังจากที่พี่แพพูดแล้ว ก็ทำให้คิดว่าอาจมีบางอย่างที่ก้ำกึ่งกันระหว่างอุปาทานกับ ‘เสียงจริง’ จากต้นไม้”

"จะอุปาทานหรือของจริงก็ไม่น่าสนใจไปกว่าที่ว่า เมื่อทำตามต้นไม้ต้องการแล้วต้นไม้ดีขึ้นหรือเลวลง"

เด็กหนุ่มครางในลำคอเบาๆอย่างเห็นด้วย เคยได้ยินมานานแล้วเรื่องความเจริญงอกงามเป็นพิเศษของต้นไม้ถ้าคนเลี้ยงมีใจให้ บางรายเลี้ยงได้ถึงขั้นมหัศจรรย์ โตเร็ว เติบใหญ่กว่าธรรมชาติ และงดงามกว่าของชาวบ้านทั่วไปทั้งที่มีพืชพันธุ์ ดิน แดด และปุ๋ยอย่างเดียวกันทุกประการ

“คนมีความสุขกับต้นไม้นี่ดูสันโดษและเหมือนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่รักต้นไม้ อยู่กับต้นไม้ก็พอ นับว่าพี่แพนี่น่าอิจฉาเหมือนกันนะ"

“แต่เธอคงไม่อิจฉาพี่มั้ง เพราะรู้จักบรมสุขในงานศิลปะอยู่แล้วนี่ อย่างที่เคยเห็นเธอทำงาน ดูหน้าตาอิ่มเอิบดีออก”

แพตรีหมายถึงเมื่อครั้งเขานั่งวาดรูปเหมือนให้หล่อน

“ตอนวาดได้อย่างใจก็อิ่มเอิบดีหรอกฮะ แต่ถ้าเป็นตรงข้าม ก็หงุดหงิดเอาบ่อยๆเหมือนกัน ต่างจากความสุขสนิทใจที่ได้จากต้นไม้อย่างพี่แพ มีแต่สุขเย็น ไม่ต้องหงุดหงิดเลย”

แพตรีเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน รู้จักกันมาแต่เล็ก เห็นหน้าเห็นตาในสารพัดเหตุการณ์ หากคัดเป็นภาพก็คงได้นับพันนับหมื่น จำได้ว่าไม่เคยเห็นสีหน้าขุ่นขึ้งของเขาแทรกขึ้นมาเลยสักภาพเดียว

“อย่างเธอเคยหงุดหงิดด้วยหรือ?”

“เคยสิฮะ”

เขาตอบกลั้วหัวเราะ

“ไม่รู้สินะ ในความรู้สึกของพี่เธอเหมือนคนที่เข้าถึงศิลปะลึกซึ้งมาก เห็นเธอทำงานแล้วเหมือนกำลังแยกตัวเองไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ล่องลอยเบาสบายอยู่ตามลำพัง อีกอย่าง เธอเข้าใจพระธรรมคำสอนดี แล้วก็ทำสมาธิได้ผลกว่าพี่มาก ยังหงุดหงิดกับอารมณ์หยาบๆได้อีกหรือ?”

“ศิลปินส่วนใหญ่ฝันแรง แล้วก็อยากแรงฮะ ตราบใดที่ยังกลมกลืนไปกับศิลปะบริสุทธิ์ไม่ได้อย่างถ่องแท้ พี่แพอาจมีโอกาสรู้จักพวกมีหัวทางนี้น้อย แต่ละคนปึงปังเป็นฟืนไฟง่ายจะตาย”

"สำหรับเธอ ความหงุดหงิดคงถูกขังไว้แต่ข้างในแหละนะ ข้างนอกเธอสงบมาตลอดนี่ พี่ยังเผลอนึกว่าเธอหมดโกรธ หมดอยากไปแล้วด้วยซ้ำ" หล่อนกล่าวทั้งกลั้วหัวเราะ "คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นแหละนะที่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้หมดไปหรือยัง"

มติมองหญิงสาวรุ่นพี่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป คล้ายจุดประกายความมาดหมายเร้นลับทอตัวเป็นแสงเข้มในแก้วตาที่เคยเยือกเย็นอ่อนโยนเป็นนิจ

"ผมเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนจบความอยากได้เพียงเพราะมีใจฝักใฝ่ศิลปะและสมาธิ ผมมีอยากที่ยิ่งกว่าศิลปะและสมาธิ ผู้ชายอื่นทะยานยังไง ผมก็ไม่ต่างจากนั้น”

หญิงสาวสะอึกอึ้งนิดหนึ่ง แต่ทำเป็นไม่เห็นสายตาชนิดนั้นของเขา เสมองไปทางอื่นและพูดเอื่อยๆคล้ายผสมโรง

"ใช่ พอพี่ตื่นจากโลกของต้นไม้ พี่ก็พบว่าความเป็นมนุษย์นี่ยุ่งเหยิงด้วยความอยากหลายๆอย่าง แล้วก็น่าตลกที่บางทีมันขัดกันเอง"

ก็เช่นที่หล่อนอยากให้ปู่บวชตามความปรารถนาของท่าน อยากจริงๆมิใช่การเสแสร้งทำใจเป็นหลานผู้ประเสริฐ แต่ขณะเดียวกันหล่อนก็มีความอยากทั้งในส่วนตื้นกับส่วนลึกที่จะให้ปู่อยู่กับหล่อนตลอดกาล...อย่างน้อยก็จนกว่าสังขารของท่านจะพาท่านไปจากหล่อนเองในวาระอันควร

มติใช้ข้อนิ้วเกลี่ยปลายจมูก ขยับจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง แต่แล้วก็เสพูดไปอีกอย่าง

"ครั้งหนึ่งผมเคยวาดรูปชื่อ ‘ตามนุษย์' ไว้ รู้สึกจะไม่เคยเอามาให้พี่แพดู ขายไปแล้วล่ะฮะ สะใจกับความไม่อาจถูกหยั่งถึงก้นบึ้งของมัน ผมว่าตามนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของความซับซ้อนหาที่สุดไม่เจอ สลับสับเปลี่ยนแวว เปลี่ยนนัยได้สารพัดในกาลเทศะต่างๆ เข้าใจยากยิ่งกว่าความลี้ลับของร่างกาย ของถนนหนทางคดเคี้ยว ของน้ำดินหรือดวงดาวและจักรวาลไหนๆทั้งหมด"

แวบหนึ่ง แพตรีนึกถึงประกายตาคมกล้าของเกาทัณฑ์ จริงแหละที่มันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสุดยอดความซับซ้อน อำนาจโลกียวิสัยที่เขามีคงมาจากพลังในขุมสมองและกิเลสหยาบเยี่ยงคนเมือง ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นความวิจิตรพิสดารของดวงจิตในภูมิที่ความใฝ่สูงและความใฝ่ต่ำทะยานเข้าชนกันอย่างบ้าคลั่ง ภูมิที่ดวงวิญญาณมีอุปกรณ์และศักยภาพที่บันดลบันดาลสารพันดีเลวใดๆให้เกิดขึ้นก็ได้ทั้งสิ้น

ฝ่ายมติ ขณะพูดก็พินิจแพตรีไปด้วย เห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายฉลาดล้ำทว่าส่องแววซื่อจนคล้ายอ่อนเดียงสาของหล่อนแล้วเกิดความต้องการปกป้อง อยากคุ้มครอง อยากเป็นปราการกั้นหล่อนจากความสับสนวุ่นวายและความพลิกไปพลิกมาของผู้คนรอบด้าน เขาเจอมาแล้ว ทุกคนเจอมาแล้ว และหล่อนก็คงไม่แคล้วต้องเจอมาแล้วเช่นกัน จะอ้อนวอนอะไรมาช่วยปกป้องในวันต่อๆไปเล่า? เขาไม่ใช่วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจตามไปพิทักษ์หล่อนทุกฝีก้าว

นึกแล้วก็ชักเห็นดีเห็นงามกับเจตนาออกบวชของแพตรี เขาห่วงหล่อนจากใจ และเข้าใจศาสนาพุทธจนไม่เห็นที่พึ่งอื่นปลอดภัยไปกว่าการปฏิบัติธรรมหาทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

ทว่าแม้เห็นจริงดังนั้น ใจก็ยังไม่อาจอนุโมทนาได้อยู่ดี...เพราะกิเลสมันกั้นไว้หนาแน่น

"ชาตินี้ผมอาจไม่รวย"

ดวงตาของมติเหม่อจับยอดไม้เบื้องไกลขณะเปรยลอยๆ เขาอายุน้อยกว่าแพตรีเกือบสองปี ทว่ามีความสามารถเชิงวิจิตรศิลป์เข้าขั้นหารายได้มานานแล้ว และนั่นก็ทำให้เห็นชัดว่าหากไม่มีทางลัดอื่น กว่าจะมีเงินหลายๆล้านคงนานเน เขาเคยใช้เวลานับเดือนวาดภาพชนิด 'สุดฝีมือ' เพื่อฝากขายในราคาระดับดาวน์รถมือสองมาขับได้ แต่วางอยู่เป็นปียังไม่มีเศรษฐีคนไหนตัดสินใจซื้อ อาจเพราะฝากวางได้แค่กับร้านเล็ก ร้านใหญ่ยังไม่กล้าเสี่ยงกับจิตรกรหน้าใหม่ โอกาสที่ลูกค้ากระเป๋าหนักจะกรายมาชมจึงพลอยยากไปด้วย นั่นเองมติจึงได้บทเรียนมาตระหนักว่าเขาเพิ่งเริ่มต้น ต้องสร้างงานแบบไต่ระดับขึ้นไปอีกนาน จะหวังข้ามขั้นด้วยความมั่นใจในคุณภาพอย่างเดียวนั้น เห็นทีคงเหลือวิสัย

แพตรีประหลาดใจกับคำเปรยของเขาอยู่บ้าง

"ก็ดีแล้วนี่ เธอจะได้ไม่ต้องทุกข์กับความรวยและความอยากอันเป็นสิ่งแปลกหน้า แล้วมีความสุขต่อไปกับความสมถะประจำตัวที่สนิทคุ้นเคยเรื่อยมาและน่าจะเรื่อยไป"

"แต่สมมุติว่าผมจะต้องมีผู้หญิงสักคน กับเด็กเล็กให้ช่วยกันเลี้ยงดู ผมก็คงทำให้พวกเขาลำบากและไม่เป็นสุขกับความสันโดษชนิดนี้แน่"

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน แต่หันมองหล่อนด้วยสายตาตรง ฉายเจตจำนงบางอย่างแรงจนดึงหล่อนมาสบได้ มติดูเป็นหนุ่มที่คมคายและเก่งกาจในยามนั้น แต่อย่างไรก็คือน้องชายหล่อนอยู่นั่นเอง

"พี่ว่าทั้งผู้หญิงและเด็กไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเธอหรอกมั้ง"

แพตรีทำเสียงให้ออกทำนองสันนิษฐานมากกว่าสรุปเดาใจ

"เหรอฮะ?" มติเลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างแสร้งฉงน "เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เอง"

แล้วเขาก็ส่งสายตาเลยหล่อนไปทางอื่น แพตรีอึกอัก การสนทนาเริ่มหักเหและอ้อมค้อม หล่อนไม่ชอบ มติกับหล่อนไม่เคยต้องพูดจากันด้วยวิธีพรางเจตนาเช่นนี้ มันทำให้การต่อคำสนทนาฝืดลง

แต่ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยด้วยปลายเสียงทอดเนิบเป็นปกติ

"พี่แพไม่ได้ไปบ้านผมนานแล้ว มีภาพใหม่ๆเยอะเลย อยากดูไหม?"

"อยาก"

ห่างจากบ้านหล่อนไปเพียงสองหลังก็ถึงบ้านมติ ตัวบ้านดูโกโรโกโสสักหน่อยเพราะขาดการบำรุงภายนอกซึ่งนับวันมีแต่เสื่อมลงตามอายุ มติอยู่กับพ่อและน้องชายเพียงสามคน ไร้แม่บ้านคอยดูแล แต่ทุกห้องหับจัดวางข้าวของเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบ ไม่รกรุงรังขนาดหาของทีเหงื่อตกกีบอย่างบ้านชายล้วนบางแห่ง

อันเนื่องจากเข้าออกบ้านของแต่ละฝ่ายมาแต่เด็ก เลยมีความสนิทคุ้นไม่เห็นเป็นอื่น แม้บัดนี้โตเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว แพตรีก็ยังแวะเวียนเข้ามาช่วยตัดแต่งต้นไม้รอบบ้านให้เกือบทุกเดือน เหตุหนึ่งเป็นเพราะบ้านปู่ชนะมีบริเวณไม่พอจะรับพฤกษานานาพันธุ์ของหล่อนได้ทั้งหมด จึงต้องแบ่งมาให้บ้านมติช่วยรับไว้บ้าง และนั่นก็เป็นผลให้เกิดความห่วงตามมาดูแล บำบัดทุกข์บำรุงสุขบริวารซึ่งบางครั้งอดๆอยากๆด้วยความไม่เอาใจใส่ของเจ้าบ้าน

มติมีแบบฉบับคล้ายศิลปินที่สร้างโลกเงียบส่วนตัวให้ตนเอง แต่งตัวง่ายๆ แค่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มอซอ ผอมแห้งและเหมือนเซื่องเฉยในบางครั้ง ห้องนอนของเขาสะท้อนบุคลิกชนิดนี้ คืออวลกลิ่นอายสี กาว และดูคล้ายโรงเก็บเครื่องเคราศิลปะเสียมากกว่าจะเป็นสถานที่เอนกายหลับ ขนาดที่แพตรีก้าวเข้ามาแล้วไม่เกิดความตะขิดตะขวงก็แล้วกัน

ทั้งบ้านปลอดคน มติเปิดประตูหน้าต่างโดยรอบ ปล่อยให้พี่สาวเข้าไปดูภาพซึ่งเรียงเป็นตั้งพิงผนังห้องหลายสิบกรอบตามลำพัง

"เอาโกโก้ไหมพี่แพ?"

เสียงเด็กหนุ่มดังออกมาจากห้องครัว แพตรีส่งเสียงตอบปฏิเสธพลางพินิจดูภาพสีน้ำมันทีละกรอบ มติเป็นคนมีพลังสร้างสรรค์ งานของเขาสะท้อนให้เห็นชัด เกือบทุกภาพชวนทัศนาไม่จืดตา กับทั้งสามารถจุดประกายความคิดได้เสมอ นั่นเป็นแรงดึงดูดใจให้แพตรีนึกอยากชมงานใหม่ๆของเขาอยู่เรื่อย

"เธอน่าจะมีแกลอรี่เป็นของตัวเองนะมติ"

หล่อนเอ่ยเชิงชมด้วยระดับเสียงธรรมดา เขาควรจะได้ยินในความเงียบของบ้านและความห่างไม่เกินสิบก้าวนั้น

"ถ้ามีเงินก็ทำได้สิฮะ"

เขาตอบกลับมา แพตรีมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสนใจ ภาพที่กำลังพินิจนั้นเป็นแก้วเจียระไนทรงสูง แบบบางและงดงามระเหิดระหง สะท้อนแสงทองออกมาเป็นหลากสีแพรวใสจับตายิ่งนัก ทว่าในแก้วกลับบรรจุอยู่ด้วยเลือด...ที่รู้ว่าเลือดก็เพราะนอกแก้วซึ่งเป็นพื้นโต๊ะปูผ้าขาวนั้น เต็มไปด้วยหยดเลือดและมีดแหลมคมเปื้อนเลือดวางอยู่ใกล้ๆ

หลังภาพมีกระดาษเขียนปิดไว้ว่า ‘ความสุขบนความตาย'

เป็นภาพที่สะเทือนอารมณ์และนึกไปได้ถึงหลายเรื่องหลายราวบนโลกที่พ้องพาน มติไม่นิยมเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิต เขาคงไปพบข่าวหรือเหตุการณ์ใกล้ตัวบางอย่าง แล้วเกิดแรงบันดาลใจจะใช้ความเป็นศิลปินสะท้อนความรู้สึกที่ได้รับออกมาเท่านั้น อีกทั้งคงไม่ตั้งใจจะขายภาพนี้แต่อย่างใด...มันน่ากลัวเกินไป

นำภาพที่ชมแล้วไปวางพิงผนังด้านว่าง แล้วกลับมาเลือกดูภาพต่อๆไป มติวาดหลายแบบ มีทั้งธรรมชาติ วัดวาอาราม เหตุการณ์สับสน คนเหมือน ตลอดจนรูปทรงพิสดารหลากหลายจากจินตนาการ ล้วนทรงชีวิตชีวาให้สัมผัสรู้สึก อย่างรูปคนเหมือนนี่ราวกับจ้องมองหล่อนด้วยกระแสตาของคนจริงๆ คล้ายกอปรพร้อมด้วยชีวิตวิญญาณที่อาจขยับเขยื้อนหรือเปล่งเสียงพูดกับหล่อนได้เดี๋ยวนั้น

มติทำให้แพตรีซาบซึ้งว่าศิลปินฝากพลังและวิญญาณไว้กับงานอย่างนี้เอง ภาพวาดของเขามีความ 'จริง' เสียยิ่งกว่าภาพถ่าย ก็ด้วยใจที่ฝากไว้นี่แหละ

มีอีกภาพที่กว้างใหญ่ผิดจากกรอบอื่นค่อนข้างมาก ให้หล่อนกางแขนทั้งสองออกจนสุดก็ยังกว้างไม่เท่า เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจแต่แรก มันเป็นภาพดวงประกายพรึกฟ้าอมทองสว่างไสวงามงดดวงหนึ่งในห้วงมืด ล้อมรอบด้วยวงรี มองผาดๆแล้วคล้ายภาพดาวเสาร์กับวงแหวนนั่นเอง ต่างกันตรงที่ดาวเสาร์ถูกแทนด้วยดวงประกายพรึก และวงแหวนถูกแทนด้วยพระพุทธเจ้าหลายองค์ขัดสมาธิคู้บัลลังก์เรียงรอบ

ยิ่งแปลกตรงที่รูปโฉมของแต่ละพระองค์ต่างกันมาก ปราศจากเอกภาพโดยสิ้นเชิง บางองค์มีพระกรัชกายตามมหาปุริสลักษณะ เช่นพระหนุดุจคางราชสีห์ บางองค์มีพระหนุเหลี่ยมดุจชายผู้ทรงภูมิทั่วไป บางองค์มีพระฉัพพรรณรังสี บางองค์แค่มีรัศมีสง่า บางองค์มีมวยเกศา บางองค์ปราศจากเกศา บางองค์ดูท้วม (ตามลักษณะการสร้างพระพุทธรูปของบางประเทศ) บางองค์ดูสมส่วนองอาจ ผิดแผกแตกต่างนับแต่พระพักตร์ไปจนถึงพระกาย ราวกับมิใช่รูปพระมหาบุรุษองค์เดียวกัน ทว่าพิศผาดแล้วทราบทันทีว่าเป็นพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

นี่คงเป็นรูปที่มติคิดวาดแบบเผื่อเลือกเพื่อนำเข้าประกวดอีกชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ตัดสินใจส่งด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งของเขา แพตรีพยายามตามความคิดมติ ภาพนั้นชื่อ ‘พระพุทธเจ้า' ดูผิวเผินเหมือนมีเจตนาเหนี่ยวนำให้นึกถึงดาวพระเสาร์ หล่อนตาสว่างและคิดขึ้นได้ว่าเมื่อพูดถึง ‘ดาวเสาร์’ เรารู้ว่าคือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีวงแหวน แต่เราจะไม่นึกว่าดาวเสาร์คือวงแหวน เช่นเดียวกับเมื่อพูดถึง ‘พระพุทธเจ้า’ เราก็ไม่ควรนึกถึงพระกรัชกายที่เป็นเนื้อหนังมากกว่าพระธรรมกายอันเป็นเนื้อแท้ เราเถียงกันเสมอว่าพระองค์มีรูปโฉมผิดแผกหรือเหมือนสามัญชน ซึ่งเถียงให้คอเป็นเอ็นอย่างไรก็ไม่มีวันพิสูจน์ได้ ในเมื่อพระกรัชกายอันเป็นรูปธรรมสิ้นสูญไปแล้ว

ดวงจิตของพระองค์ต่างหากที่พิสูจน์ได้ เพราะถ้าเป็นของจริง คำสอนก็ต้องจริงตาม ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นประกายพรึกชนิดเดียวกันไปด้วย

รูปโฉมอันเป็นกายหยาบนั้นอยู่เพียงรอบนอก ขอเพียงพระรูปหนึ่งๆโน้มใจให้ศรัทธาและระลึกถึงพระทัยอันบริสุทธิ์ทรงคุณได้ก็เพียงพอแล้ว ใจที่นึกถึงพระองค์แล้วเป็นกุศลได้จริงๆนั่นแหละควรเป็นสิ่งน่าคำนึง

เพียงด้วยรูปนั้น จินตภาพเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าของแพตรีเกือบถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นภาพแทนพระสุคตที่ลึกซึ้งมาก ดวงประกายพรึกสื่อถึงจิตสว่างรู้พ้นกิเลสของพระสัมมาสัมพุทธะ ควรเป็นสิ่งเด่นชัดที่น่ามองให้เห็นมากกว่ารูปพระกายของพระองค์

นี่เองหน้าที่หนึ่งของศิลปิน คือเปลี่ยนโลกทัศน์ของผู้พินิจงานของพวกเขาด้วยมุมมองภายในที่แตกต่าง ผ่านภาพวาดอันเป็นรูปธรรมจับต้องได้

แพตรีมีความรู้และสายตาที่ไม่คมลึกนักกับงานศิลปะ แต่วัดด้วยความเป็นผู้มีตาช่างสังเกตให้กับสิ่งสวยงาม หล่อนก็พอบอกได้ว่าไม่แปลกเลย ถ้าต่อไปมติจะโด่งดังขึ้นมาในวงการสักคน

ภาพเขียนดีๆเป็นสิ่งมีพลังดึงดูดสายตาในตัวเอง เป็นสิ่งที่เห็นแล้วก่อความสุขให้แก่คนรู้จักดู รู้จักพิจารณาได้ เป็นสื่อจินตนาการจากใจถึงใจได้ เป็นความหมายแทนคำพูดพันคำได้ และเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างสุดแล้วแต่ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะมีความกว้างยาวลึกทางอารมณ์และความคิดสอดรับกันเพียงไร

"ถ้าภาพพวกนี้ถูกขายออกไปสมค่าตามจริง แค่สิบภาพพี่ก็ว่าเธอน่าจะมีแกลอรี่ของตัวเองแล้วล่ะ เป็นห้องโตๆด้วย"

แว่วเสียงหัวเราะขันเหมือนมติกำลังเดินใกล้เข้ามา

"เธอเก่งมากนะมติ"

แพตรีชมซ้ำ พลางนำภาพพระพุทธเจ้าแยกไปวางต่างหากในที่สูงกว่าภาพอื่น ออกจะนึกตำหนิน้องชายอยู่ในใจที่ไม่คัดแยกกลุ่มภาพให้เหมาะควร รวมภาพทุกประเภทไว้ในตั้งเดียวกันบนพื้นอย่างนี้ อย่างไรก็ตามใบหน้าของหล่อนยังคงบ่มด้วยความพอใจสบายตาไม่สร่าง ทว่าเมื่อหันกลับมายังภาพสุดท้าย ก็ชะงักงัน หน้าซีดลงเกือบจะในทันที ก่อนที่ครู่หนึ่งจะกลับแดงขึ้นจนเข้ม

นานครั้งที่หล่อนจะเกิดอาการตะลึงตะไลไม่คาดฝันอย่างเดี๋ยวนี้ ตรงหน้าคือภาพคู่บ่าวสาวในชุดวิวาห์ที่งามเกินจริงสมกับเป็นรูปวาด ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคู่บ่าวสาว รอยยิ้ม ช่อกุหลาบสีชมพู และกลิ่นไอความสุขสีขาวอมฟ้ากว้างไกล ภาพดูมีชีวิต มีมิติเคลื่อนไหวได้ ราวกับหนุ่มสาวในรูปกำลังส่งยิ้มถึงหล่อนโดยเฉพาะ

มติเป็นคนมีฤทธิ์ และเขาก็ฝากฤทธิ์แรงที่สุดไว้กับภาพนี้

"อย่างที่บอกใช่มั้ยฮะ ชีวิตผมยังมีอยากที่ยิ่งไปกว่าศิลปะ"

หญิงสาวหันขวับไปทางต้นเสียง ถึงกับมือไม้สั่น เขากำลังยืนพิงกรอบประตูห้อง แววตาที่ทอดสบกับหล่อนดูสงบเงียบนิ่งเย็นไม่เป็นอันตรายอย่างไรก็อย่างนั้น

ภาพชื่อ ‘สมรส' เจ้าบ่าวคือเขา เจ้าสาวคือหล่อน...


บทที่ ๗  อุปจารสมาธิ

เกาทัณฑ์ขับรถกลับที่พักด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างประหลาด มีความอาลัย เสียดาย คล้ายทำสิ่งหวงแหนหาย

หวงแหน…

เคยหวงมานับครั้งไม่ถ้วน ผิดกันก็แต่คราวนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป กับทั้งรุนแรงและกัดลึกอย่างน่าอับอาย จิตใจวนเวียนอยู่กับภาพบาดตาที่บ้านปู่ชนะเมื่อครู่จนคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันหลอน

ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อรถจอดที่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง หัวเราะเพราะขบขันความบ้าบอของตนเอง กะแค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่...น่าสนใจ...อยู่กับชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เขา ถึงกับเกิดอาการวังเวงเชียวหรือ? หล่อนมีดีอะไรกัน ก็แค่สวย เขาหาสวยๆ อย่างนี้ได้เยอะแยะ

หรี่ตามองออกไปนอกกระจกรถ สบตากับสาวน้อยในรถด้านข้าง หล่อนนั่งอยู่ริมซ้ายและเผอิญหันมาจังหวะพอดีกัน

กะพริบตาทีหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างมีแรงดึงดูดที่ทำให้ไม่อาจถอนสายตาจากกันง่ายนัก แต่ชั่วขณะเมื่อใจเกิดนึกเปรียบเทียบกับผู้หญิงอีกคนที่บ้านปู่ เกาทัณฑ์ก็เบือนหน้าไปทางอื่น ได้คำตอบบางอย่างให้ตนเอง

เกือบจะเป็นครั้งแรกๆในชีวิตที่นึกขึ้นได้ ว่าตลอดมาเขาตีค่าผู้หญิงด้วยรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก เพียงเพราะหลงใหลอยากกอดจูบสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ภายนอก ถ้ารวย เก่ง พูดจาดี ก็จะเป็นแค่ปัจจัยเสริมให้รู้สึกเร้าใจขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เขาจะคำนึงถึงและยกย่องว่าควรค่าแก่การฝากใจอะไรเลย

เดี๋ยวนี้รู้แล้ว ว่าค่าทางใจมีความหมายอย่างไร...

มาถึงห้องพักและเปิดตู้เย็นทำแซนด์วิชทานไปแกนๆ เลิกคิดวกวนและพยายามกลับมาเป็นตัวของตัวเอง เขาเกลียดเรื่องรบกวนจิตใจที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทุกชนิด

เมื่อทานอาหารเที่ยงมื้อง่ายเสร็จก็เข้าห้องน้ำ ขัดสีฉวีวรรณเสียใหม่จนแจ่มใส ผิวปากหลอกตัวเองว่ากำลังสดชื่น เห็นเจ้าหล่อนที่รบกวนจิตใจเขาเป็นแค่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หล่อนไร้รสนิยมจนมองไม่เห็นค่าในตัวเขา ทำไมเขาจะต้องพยายามลืม แบบหล่อนนี่น่าลืมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

หลอกตัวเองให้คิดและเชื่อเช่นนั้น ก็ดันนึกขึ้นมาได้อีกว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเห็นค่าหล่อน รสนิยมชั้นสูงของเขานี่แหละที่ให้ค่าหล่อนปีนระดับขึ้นจนเกินขีด ต้องว้าวุ่นอย่างน่ารำคาญตัวเองอยู่นี่ เสียเชิงพิลึกล่ะ

เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย มายืนอยู่นิ่งๆกลางห้องโดยไร้ความคิดหลอกตัวเอง ก็พบความจริงที่เหลือฝืนจะยอมรับ นั่นคือเขากระวนกระวาย คิดถึงหล่อน อยากคุยกับหล่อน อยากให้ตนไปถึงบ้านปู่เร็วกว่านั้น ก่อนหน้าที่ใครมาชิงจับจองเวลาไปก่อนเขา

ชายหนุ่มยกมือเสยผม เกลียดความหดหู่ที่เกิดจากเพศตรงข้าม แบบเดียวกับคนเชื่อมั่นว่าต้องสอบได้คะแนนเต็มเสมอ ต้องมาพบว่าครั้งหนึ่งตกรูดอย่างหมดท่า

สั่งตัวเองว่าต้องเคลื่อนไหว ต้องหาอะไรทำให้ลืมหล่อน ซึ่งดูไม่น่าจะยากนัก

หยิบวารสารต่างประเทศที่ชอบขึ้นมากางอ่าน เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆจับใจเขาได้เสมอมา เขาสามารถอ่านหนังสือเชิงเทคนิคที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนได้ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบเดียวกับหนังสืออ่านเล่น สงบใจขลุกขลุ่ย เพลิดเพลินอยู่ได้เป็นวันๆ

ลำบากตอนรวบรวมสติให้มีใจนึกตามข้อความที่กำลังผ่านตา แต่ความเคยชินในการไล่สายตาแบบไล่กวาดลงทีละบรรทัดบังคับให้เกิดการรวมกระแสสติในเวลาอันสั้น สายตาของเขาเห็นได้กว้าง เก็บได้ครบ เข้าอกเข้าใจถี่ถ้วน และจำได้แม่น คลื่นความปั่นป่วนในสมองเมื่อครู่ถูกแทรกแซงด้วยคลื่นความคิดอ่าน ความคำนึงนึกต่างรูปแบบที่เป็นระบบระเบียบมากกว่ากัน

อ่านจบไปสองเรื่องก็ลุกขึ้นรินน้ำอัดลมใส่แก้ว เปิดสเตอริโอฟัง แล้วกลับมานั่งเอกเขนกอย่างบรมสุข หยิบหนังสือขึ้นพลิกหาเรื่องอ่านต่อ ปากดูดน้ำจากแก้วในมือแล้ววางลงบนโต๊ะกระจกข้างตัวดังกริ๊กเล็กๆ เกิดความรู้สึกขึ้นมาในชั่วขณะนั้นว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยรายละเอียดและสีสันหลายหลาก หากจะพลิกจากทุกข์เป็นสุข หรือสุขเป็นทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกหยิบสิ่งที่มีอยู่รอบตัวแต่ละคนขึ้นมา

ลืมน้ำผึ้งผสมบอระเพ็ดอึกเดิมไปเสียได้ มีใจเต็มๆให้กับข่าวคราวทันสมัยเรื่องแล้วเรื่องเล่า หมดเรื่องน่าสนใจเล่มหนึ่งก็หยิบอีกเล่มขึ้นอ่านต่อ กระทั่งเงยหน้าดูนาฬิกาบนผนังห้อง เห็นได้เวลาออกกำลังก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เขาชอบกีฬาหลายอย่าง ต่อให้เป็นวันทำงานก็ต้องหาเวลาเล็กๆน้อยๆยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ก็มีโอกาสบันเทิงกับการกีฬาได้มากขึ้น

เลือกไปว่ายน้ำ เกาทัณฑ์โทร.ไปชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกัน แต่หมอนั่นออกไปข้างนอก เลยตัดสินใจไปคนเดียว

สระว่ายน้ำแห่งนั้นอยู่บนยอดตึกโรงแรมชั้นหนึ่งกลางกรุงซึ่งใกล้กับที่พัก มีคนมาลงว่ายประปรายทั้งไทยและฝรั่ง เป็นผู้ใหญ่ล้วนๆ ส่วนมากรวย เพราะค่าบริการและค่าสมาชิกแพงหูฉี่สมกับที่อยู่ชั้นลอยฟ้า

วันนี้พอมาถึงก็กระโจนลงว่ายเอาๆเป็นปลา ไม่รู้ว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ถ้านับเป็นระยะคงเกือบสองกิโลฯ เขาว่ายน้ำทน เมื่อสมัยเรียนมัธยมเคยเล่นกีฬาให้โรงเรียน ได้ยืนบนแป้นหมายเลขหนึ่งบ่อยกว่าใครเพื่อน

ขึ้นจากสระด้วยอาการมึนนิดๆ ปีนี้เขายังไม่ถึงยี่สิบหก แต่เหมือนร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ความอึดความทนลดน้อยลง นั่นทำให้ไพล่นึกถึงความเป็นอนิจจังแห่งสังขารขึ้นวูบหนึ่ง คิดแล้วก็หัวเราะ ถ้าเห็นอะไรๆเข้าข่ายความเป็นอนิจจังอย่างนี้บ่อยๆคงแก่ทันปู่ชนะในเร็ววัน

เช็ดตัว เช็ดผม แล้วลงนั่งผึ่งลมบนเก้าอี้ยาวริมสระ ทอดตาดูน้ำสีฟ้าสวยใสที่มีชาวไทยและเทศลงไปสำเริงสำราญกัน 4-5 คน มันเป็นยามเย็นที่น่าระรื่นบนตึกสูงขนาดควันรถขึ้นมากวนไม่ถึง ลมพัดเฉื่อยฉิวท่ามกลางบรรยากาศสบายด้วยสวนหย่อมประดับพื้นที่ แถมมีตาสีเขียวมรกตปิ๊งๆของสาวผมทองส่งมาให้จากฝั่งสระตรงข้ามอีกต่างหาก

ชายหนุ่มส่งตาตอบพลางจุดยิ้มมุมปากหน่อยๆ ท่าทางหล่อนเอกเขนกตรงนั้นนานแล้วและกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ทุกขณะ การว่ายไปว่ายมาไม่หยุดก็เป็นจุดเด่นของสระได้เหมือนกัน เพื่อนๆวิจารณ์ด้วยความอิจฉาเสมอเกี่ยวกับความกำยำได้รูปสวยของเรือนกายเขา โดยเฉพาะเมื่อกำลังว่ายฟรีสไตล์หรือท่าผีเสื้ออยู่ในน้ำ และจากการเห็นเองแทบทุกครั้งเมื่อขึ้นจากน้ำ ก็มักพบสายตาชนิดนี้จากเพศตรงข้ามส่งมาให้เป็นประจำ

เกาทัณฑ์ยีผมบนศีรษะเบาๆด้วยผ้าขนหนู สายตายังวางจับแน่นิ่งไปทางสัดส่วนโดดเด่นในชุดว่ายน้ำเว้าแหว่งล่อตาจนหล่อนต้องแสร้งเมินไปทางอื่นอย่างมีมายา สะสวยไม่ใช่เล่นทีเดียวล่ะ ประมาณจากตาเปล่าเดี๋ยวนี้ เก็งดูอายุแค่เฉียดสามสิบ ทรวดทรงองค์เอว ขา แขน ผิวกายยังไร้ที่ติไปทุกกระเบียดเนื้อ ท่วงทีสำรวยระเหิดระหงเท่าที่เห็น ชวนให้นึกชมมองไม่เบื่อ ต่อให้ถูกบังคับห้ามถอนสายตาไปจากหล่อนสักชั่วโมงก็ตาม

ดูท่าคงไม่ใช่แหม่มที่มาเมืองไทยตัวคนเดียว หล่อนอาจมากับแฟน กับเพื่อน หรือกับพ่อแม่ แต่สายตาที่หวนกลับมาสบอย่างเปิดเผยนั้นประกาศให้ทราบชัดราวกับมีโทรจิตสื่อกันว่าเขาอาจเดินเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับหล่อนได้ และหล่อนก็พร้อมที่จะมีเพื่อนชายชาวไทยสักสองสามวันโดยไม่มีใครมากั้นขวางขัดกลาง

ความคิดของเกาทัณฑ์ลึกลงไป คนเจนโลกีย์ด้วยกันย่อมดึงดูดเข้าหากันโดยง่ายคล้ายมีแม่เหล็กคนละขั้วฝังอยู่ในตัวแต่ละฝ่าย เชื้อชาติที่แตกต่างคือรูปแบบแปลกตาน่าระทึก วาดได้เป็นฉากๆว่าหากต้องการรู้จักหล่อน เขาจะต้องเข้าไปด้วยลีลาเช่นไร เริ่มต้นทักด้วยคำพูดใด และหล่อนจะมีทีท่าโต้ตอบมาไม้ไหน ในที่สุดเขาจะต้อนหล่อนเข้ามุม ลงเอยเกษมสันต์หรรษากันครั้งแรกถึงใจเพียงใด ความขึ้นใจกับเกมชีวิตประเภทนี้ทำให้เขามีสัมผัสต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงได้ชัดเจนราวกับเกิดขึ้นแล้ว

เกาทัณฑ์รู้ว่าถ้าปล่อยหล่อนผ่านไป พลาดโอกาสทำความรู้จักเสียเดี๋ยวนี้ คงหมายถึงการจากกันชั่วนิรันดร์ เหมือนไอศกรีมสุดอร่อยที่จ่อปากอยู่รอมร่อ จะอ้างับก็ง่ายนิดเดียว แต่เมื่อรอนาน มันก็จะละลายหาย หมดเวลารับรางวัลสำหรับคนอ้อยอิ่ง

ร่ำๆจะลุกขึ้นและก้าวเดินไปสู่อนาคตคือวิมานฉิมพลี แต่เวรกรรมที่ยังจำได้ชัดว่าให้สัญญากับหลวงตาแขวนไว้อย่างไร ตลอดอาทิตย์นี้เขาจะต้องงดเสพกาม…

ถอนใจเฮือก เตือนตนเองว่าแม้สบตาด้วยกระแสความรู้สึกใคร่อยากเช่นนี้ก็เท่ากับละเมิดสัญญาทีละน้อย เหมือนปล่อยข้าศึกให้เข้าประชิดเมือง ขึ้นชื่อว่าข้าศึกนั้น เมื่อถึงเมืองแล้วจะให้อยู่เฉยหรือถูกเชิญถอยไปดีๆคงไม่มี อย่างไรก็ต้องปะทะ อย่างไรก็ต้องล้มตายกันในที่สุด

ดีเหมือนกัน เมื่อทุกอย่างผ่านเลยไปแล้วๆเล่าๆ ถึงเวลาเสียทีกระมังที่เขาจะปรารถนาบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าการเสพสมเนื้อหนังมังสา ถึงเวลาแสวงหาผู้หญิงสักคนที่ทำให้รู้จักโลกนี้ในอีกมิติหนึ่ง ที่ห่างไกลจากเบื้องต่ำอันอุดมด้วยความหยาบโลนชั่ววูบผ่านผิวเผิน

เกาทัณฑ์ลุกขึ้นเดินจากสระแห่งนั้นไปไม่เหลียวหลัง ตอนนี้จะคิดอะไร ทำอะไร ให้มาลงเอยที่เจ้าหล่อนหลานปู่ชนะจนได้ซีน่า

 

ทานข้าวเย็นคนเดียวจนอิ่มตื้อ นี่เห็นจะเป็นการอยู่ตามลำพังที่ยาวนานทำลายสถิติทั้งหมดในชีวิตกระมัง เขาเดินขึ้นลิฟท์เข้าห้องพักคนเดียว ไม่ขับรถไปที่บ้านเพื่อนคนไหน ไม่แวะเคาะประตูห้องใคร และหนักที่สุดคือไม่แยแสเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ดังขณะไขกุญแจประตูห้อง ปล่อยให้เครื่องตอบรับอัตโนมัติทำงานแทน

"นี่แอ้พูดนะคะ เพื่อนๆนัดเจอกันที่เดิมคืนนี้สี่ทุ่มครึ่ง ไปให้ได้นะ...ปิดมือถือไว้เหรอ ติดต่อทั้งวันไม่ได้เลย"

เสียงแจ๋วๆจากลำโพงเครื่องตอบรับมิได้ทำให้เขายินยลสักนิด ถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อน เขาคงวิ่งหน้าตื่นไปปิดเครื่องตอบรับและคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นพูดโดยพลัน เพราะหล่อนที่เรียกตัวเองว่า ‘แอ้’ กำลังเป็นปลามันชิ้นงามที่เขากับเพื่อนสนิทคนหนึ่งออกแรงแย่งกันอย่างสนุกสนาน ยิ้มเปิดโลกกับท่วงทีเก๋ไก๋เฉพาะตัว รวมทั้งแบบฉบับสาวเก่งผิดวัย ทำให้หล่อนมีเอกลักษณ์พิเศษบาดใจเกินใคร

ยืนฟังเพื่อนสาวตัดพ้อต่อว่าอย่างเซื่องเฉยคล้ายสมองเลิกทำงาน เชื่อแล้วว่าตนกำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่อย่างไม่อาจเปิดหูเปิดตาให้ใครอื่น

จนเสียงจากลำโพงเครื่องตอบรับเงียบสนิท จึงเดินเข้ามายกกระบอกโทรศัพท์ขึ้น กดเบอร์ต่อสายไปที่บ้านพ่ออย่างปราศจากจุดหมาย

"ฮัลโหล"

เสียงห้าวลึกตอบมาเมื่อสัญญาณดังเพียงสองครั้ง

"พ่อเหรอฮะ" เกาทัณฑ์ทัก "ผมนะ"

"ไง นายเต้ หายเงียบไปเลย"

พ่อทักตอบเนือยๆ มีเสียงพลิกกระดาษแว่วเข้าหู เกาทัณฑ์จึงรู้ว่าพ่อกำลังนั่งตรวจงาน อันเป็นกิจวัตรที่เขาเห็นจนคุ้นมาแต่ไหนแต่ไร

"ฮะ" เขาพูดซึมๆ "ไม่เจอกันนานแล้ว วันอาทิตย์พรุ่งนี้ผมจะไปทานข้าวเช้าด้วย"

"เออ ดี แม่บ่นคิดถึงแกอยู่เมื่อวานนี้เอง ทำอะไรอยู่ไม่โผล่หัวมาเลย"

"กำลังสนุกกับชีวิตน่ะฮะ"

ลูกชายตอบกลั้วหัวเราะเอื่อย

"เสียงเหมือนไม่สนุกอย่างปากพูดเลยนี่ฮึ"

พ่อของเขาไวและแม่นเสมอกับความจริง โดยเฉพาะความจริงที่ถูกซ่อนไว้ด้วยความพยายามของมนุษย์ เกาทัณฑ์หัวเราะออกมาอีก แต่คราวนี้ขบขันตนเองที่ปล่อยให้พ่อรู้ว่ากำลังห่อเหี่ยว แม้เพิ่งได้ยินเสียงแค่สองสามคำ

"มีอะไรให้ทำเยอะฮะ ชีวิตมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาได้เรื่อยๆ…"

เขาหมายความตามนั้น แล้วก็แต่งเสียงใสขึ้นเหมือนจะเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาให้ร่าเริง

"พ่อ…ผมไปเยี่ยมปู่ชนะมา!"

"เหรอะ" พ่อทำเสียงไม่คาดฝัน "ขับไปแถวนั้นแล้วน้ำมันหมดพอดีรึไง?"

เกาทัณฑ์ยิ้ม พูดแล้วก็เพิ่งรู้ว่าโทร.หาพ่อทำไม เขาต้องการคุยกับใครสักคนที่น่าจะรู้จักหล่อนคนนั้น อยากฟังอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหล่อน

“ตั้งใจไปเยี่ยมสิฮะ เกิดไปติดเนื้อต้องใจสาวสวยในบ้านปู่มาด้วย"

ชายหนุ่มอำพรางความในใจด้วยการพูดเรื่องจริงให้ฟังเหมือนเล่น พ่อเงียบเหมือนอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยเนิบ

“แกไม่ไปหาปู่ตั้งหลายปีแล้วนี่ ก่อนไปเรียนโทใช่ไหม?”

“ฮะ นานไปหน่อย…แปลกนะพ่อ ผมน่าจะรู้จักแพมาได้ตั้งนานแล้ว ทำไมเหมือนเพิ่งมาเห็นก็ไม่รู้”

“สงสัยเพราะเพิ่งสวยน่ะซี”

ผู้เป็นพ่อทำเสียงรู้แกว ทำให้ฝ่ายลูกหัวเราะเก้อๆ

“พอนึกออกเหมือนกันแหละฮะว่าเคยเห็นเขายืนเดินอยู่ในบ้านปู่ แต่เหลือเชื่อที่โตแล้วต่างกับสมัยก่อนอย่างกับเป็นคนละคน”

“แกก็ไปบ้านปู่ไม่กี่ครั้งนี่นะ ส่วนใหญ่ฉันพาไปไหว้ตอนปู่มาค้างที่บ้านอา แล้วตอนวัยรุ่นน่ะแกเต๊ะยังกับอะไร ท่าทางเหมือนไม่เคยมองหน้ามนุษย์ คนเราต่อให้อยู่บ้านติดกัน แต่ถ้าไม่เคยมองหน้าให้เต็มตา เจอข้างนอกก็นึกว่าคนอื่น”

เกาทัณฑ์เห็นจริงตามนั้น คำพูดของพ่อทำให้เพิ่งตระหนักว่าสมัยก่อนเขาไม่เคยมองหน้าหล่อนให้จะแจ้งเลยสักครั้งเดียว อีกอย่างช่วงนั้นบ้านปู่มีคนเยอะ เขาติดจะขี้รำคาญ ขนาดญาติที่ต้องยกมือไหว้ยังขี้เกียจมอง ประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงที่ยังปราศจากฝาดเลือดสาวสะพรั่งอย่างหล่อน

"ปู่ได้มายังไงฮะ?"

“เห็นว่าเป็นลูกหลานของคนรู้จักเก่าแก่น่ะ ปู่แกไปเยี่ยมแล้วเห็นเพิ่งเสียชีวิตกะทันหัน ญาติๆเกี่ยงกันเพราะต่างมีภาระ มีลูกเต้ากันอยู่แล้ว ปู่สงสารเลยขอรับมาเลี้ยงเอง”

ชายหนุ่มยิ้มแหย

“จดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมหรือฮะ?”

“เปล่า ช่วงนั้นลุงของแกอายุมากพอจะเป็นธุระให้แล้ว ปู่เลยขอให้เป็นพ่อในนามแทน แต่ตลอดมาปู่เป็นคนเลี้ยงเอง”

เกาทัณฑ์ถอนใจโล่งอก ถ้าปู่รับหล่อนเป็นลูกบุญธรรม แม้จะเป็นเพียงในนาม ก็คงต้องถือว่าหล่อนเป็นน้องสาวพ่อเขา

"รู้ชื่อจริงเขาไหมฮะ ผมได้ยินแต่ปู่เรียกแพ"

"แพตรี"

เกาทัณฑ์ตาสว่าง เป็นนามที่ฟังสะดุดหู

"แพตรี…” เขาทวนคำ “เก๋ดีแฮะ เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน”

ยิ่งทวนชื่ออยู่ในใจยิ่งรู้สึกว่าหล่อนโดดเด่นอย่างประหลาด พ่อลูกเงียบเสียงกันพักหนึ่ง อย่างที่ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง

"ดูตอนปู่มองแพหรือพูดถึงแพ รู้สึกท่านรักเหมือนเป็นลูกจริงๆ"

"คงธรรมะธัมโมเหมือนๆกันมั้ง เลยอาจถูกใจเอ็นดูยายแพเป็นพิเศษ"

"เอ่อ...แล้วมีแฟนรึยังพอรู้มั้ยฮะ?"

ฝ่ายพ่อหัวเราะหึๆ ตั้งแต่ลูกชายแตกเนื้อหนุ่มและริจีบสาว เพิ่งเคยมีก็นี่แหละที่มาพูด มาถามซอกแซกกับตนขนาดนี้

“นี่แกจริงจังมากหรือเต้?”

เกาทัณฑ์เงียบไปหน่อยหนึ่ง

“ถ้าจริงล่ะฮะ?”

“จริงก็ดีไป แต่เขาเหมือนญาติ เกี้ยวพาราสีได้เป็นแฟนแล้วทิ้งขว้างกันง่ายๆไม่ได้นา พ่อเองก็เอ็นดูเขา เคยนึกอยากชวนให้แกคบหาเหมือนกัน ผู้หญิงอย่างนี้ใครได้ไปก็ยิ่งกว่าได้แก้ว แต่เห็นความช่างเปลี่ยนและขี้เบื่อของแกแล้วกลัวใจว่ะ”

“อย่าว่าแต่จะมีโอกาสทิ้งขว้างเลยฮะ แค่จีบให้ติดยังไม่รู้จะไหวหรือเปล่า เขา…มีบางอย่างที่เข้าถึงยาก สิ่งที่เขาเลือกเหมือนจะไม่มีอยู่ในผมหรือใครทั้งนั้น พ่อเคยได้ยินว่าเขามีแฟนไหมล่ะฮะ?”

“ก็…เห็นเด็กใกล้บ้านติดพันสนิทสนมกันแต่เล็กนี่นะ ที่ชื่อ…อะไรล่ะ ลืมแล้ว”

เสียวหัวใจปลาบ รู้ทั้งรู้ว่าอาจได้ยินอะไรอย่างนี้ยังดันถามออกไปอีก เกาทัณฑ์แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปทางการเมืองหน้าตาเฉย ไม่แวะเวียนมาใกล้เรื่องราวในบ้านปู่ชนะอีกเลย

เป็นครู่จึงขอวางสาย และยืนยันว่าพรุ่งนี้จะไปทานข้าวมื้อเช้าด้วย ล่ำลาเรียบร้อยจึงวางโทรศัพท์ลง กลับมานั่งถอนใจตามลำพัง นึกถึงแต่ชื่อแพตรีวนไปเวียนมา กระแสใจไหลวนเข้าไปรวมอยู่กับมโนภาพความเป็นหล่อน แต่พอนึกถึงไอ้หนุ่มที่มากดออด ก็หงุดหงิดหัวใจขึ้นมารำไร คำพูดของพ่อยืนยันว่าสายตาคนภายนอกเห็นแพตรีกับหมอนั่นเป็นแฟนกัน เพราะคบหาสนิทสนมมาแต่เล็ก เหลือเชื่อเลยว่าเป็นไปได้ แค่ความสวยหวานที่เป็นผิวนอกของหล่อนก็เพียงพอที่จะดึงดูดลูกชายอาเสี่ยร้อยล้านพันล้านมาติดพัน ชนิดยินดีรับบัญชา พร้อมจะเอาเบนซ์สปอร์ตพุ่งปร๊าดมารับไปจ่ายตลาดหน้าปากซอยทันใจ ขอเพียงหล่อนโทร.ไปเรียก นี่ตลกอย่างไร แพตรีถึงเลือกเอาแค่นี้?

เขาเองออกจะพร้อมไปทุกสิ่ง สายตาของผู้หญิงที่ผ่านมายืนยันให้เชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างล้นเหลือ แต่กำลังคุยกับหล่อนแท้ๆ พอหนุ่มรุ่นน้องมาเรียกทีเดียวถึงกับกระวีกระวาดลุกไปเปิดประตู ลืมสนิทว่ากำลังคุยกับเขาอยู่ก่อนหน้า

คนเคยเป็นหนึ่ง เป็นตัวเลือกแรกมาตลอดอย่างเขาน่ะหรือ ด้อยกว่าเจ้านั่น?? หน้าตาท่าทางเหมือนขอมดำดินอย่างนั้น เกาทัณฑ์เชื่อว่าแม้แต่ผู้หญิงที่เขาทิ้งได้ในคืนเดียวยังเมินเลย

เอาก็เอาซี มันต้องมีครั้งแรกเสมอ เกิดมาเคยแต่ชกกับรุ่นใหญ่ ถ้าต้องลดชั้นลงไปฟัดกับมวยวัดมั่ง ก็ทำใจคิดเสียว่ายอมเปื้อนเพื่อควานหยิบเพชรซึ่งเผอิญหล่นไปอยู่ในตมแล้วกัน

เล่ห์รักมีออกเต็มกระเป๋าจะไปกลัวอะไร ถ้าเล่ห์รักหมดกระเป๋าก็งัดกล งัดลูกไม้มาต่อ และถ้าลูกไม้ไม่ได้ผล...เขากำลังสั่งสมพลังจิตให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ จะแปลกอะไรที่ขั้นสุดท้ายจะทุ่มด้วยมนตร์คาถาเพื่อเอาหล่อนมาเป็นของเขา

คิดชั่วได้ดังนั้นก็ชักกระฉับกระเฉง นึกขึ้นมาว่าน่าจะได้เวลาฝึกหัดภาวนาสมาธิเสียที

เข้าห้องน้ำชะล้างคราบไคลและกลิ่นคลอรีนจากสระ เพียงสิบนาทีให้หลัง เกาทัณฑ์ก็มานั่งเข้าที่ ขัดสมาธิคู้บัลลังก์กลางห้อง ตัวตรงไม่เกร็ง มือขวาทับมือซ้าย ขาขวาซ้อนขาซ้าย เลิกคิด เลิกพะวงเรื่องอื่นใดทั้งหมด

สำรวจตลอดองค์ร่างที่นั่งคู้บัลลังก์อยู่ ดูว่ามีส่วนใดเครียดหรือเกร็งบ้าง ก็พบว่าส่วนหลังและน่องซ้ายเกร็งๆอยู่เล็กน้อย จึงทำตามสูตร คือสั่งกายให้ละลายความเกร็งทั้งหมดนั้นลง กล้ามเนื้อทุกส่วนจึงวางอยู่บนรูปนั่งที่ผ่อนคลายไม่ไหวติง มีศูนย์และสมดุลที่เหมาะแก่การคงสติระลึกรู้อารมณ์สมาธิ

กายที่สบายนั้นเองปรุงให้ใจสบายตาม กายที่ตั้งตรงนั้นเองค้ำสติให้ดำรงมั่น

อากาศเย็นพอเหมาะและความเงียบรอบด้านช่วยได้มาก ชายหนุ่มกำหนดสติเข้ามาที่กายนั่ง ทราบจังหวะความต้องการดึงลมหายใจเข้าตามจริง ก็อัดลมเข้าเต็มปอด แล้วผ่อนระบายออกพร้อมกับเริ่มกำกับสติรู้ว่าหายใจออก เมื่อรู้จนสุดลมก็กำหนดสติอยู่กับกาย เมื่อกายต้องการลมเข้า ก็ลากลมด้วยสติรู้ว่ากำลังหายใจเข้า กับทั้งทราบชัดว่ายาวหรือสั้นด้วย

ทำไปทำมาเข้าออกเพียงสองสามครั้งอย่างถูกต้อง ทุกอย่างก็เหมือนเข้าที่อัตโนมัติ เมื่อกายกับใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน ใจทำหน้าที่เพียงมีสติจ่อกับกาย ทราบความต้องการของกายอย่างตรงจังหวะ ว่าเมื่อไหร่ควรคายลมออก เมื่อไหร่จะควรดึงลมเข้า ไม่เร่งร้อนตามอำเภอใจ นานไปลมหายใจก็ปรากฏเป็นสายเดียว จิตแยกไปตั้งมั่นเป็นฝ่ายรู้ เรียบง่ายตรงไปตรงมา ส่งผลให้กายนิ่ง ไม่ไหวติงส่วนอื่นใดนอกเหนือทางเดินลม

พอกายกับใจปรับตัวเข้าสู่ภาวะละเอียดขึ้น จิตก็เห็นนิมิตสายลมหายใจนิ่มนวลและเหยียดยาวเหมือนสายน้ำตก ความรู้สึกแผ่ออกสบายไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งให้อึดอัด เมื่อจิตดิ่งลงสู่ความเงียบนิ่ง เมื่อนั้นเสียงความคิดในคลื่นสมองก็เงียบตามไปด้วย มโนภาพและหน้าตาของผู้ทำสมาธิหายไป สายลมหายใจเป็นเสมือนแท่งแม่เหล็กดึงดูดกระแสจิตให้เข้ามาผนึกตัวรวมกัน ยิ่งรู้ชัดในสายลมหายใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแน่วนึกแนบนิ่งเป็นหนึ่งเดียว มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เกาทัณฑ์เริ่มตื่นพร้อมเต็มที่ จิตจับลมถนัดอย่างนี้เป็นที่น่าสนุกดีนัก อาการนึกก็เกิดแล้ว อาการเข้าคลุกวงในก็เกิดแล้ว ความสงบเย็นแบบที่เรียก ‘ปัสสัทธิ’ ก็เกิดแล้ว ลักษณะกระแสจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่สภาพล็อกนิ่งรวมดวงชั่วขณะ บอกตนเองว่านั่นเองคือขณิกสมาธิหรือสมาธิชั่วคราวเต็มบริบูรณ์

ที่ว่าชั่วคราวเพราะรวมเดี๋ยวหนึ่ง ก็คลายออกอย่างไม่อาจรั้ง กับทั้งยังไม่เกิดปีติชนิดที่ให้ผลเป็นความสุขเอิบอาบซาบซ่าน

อย่างไรก็ตาม เมื่อใดกระแสจิตดึงดูดเข้ารวมที่ศูนย์กลางคือสายลมหายใจ ก็เหมือนทั้งร่างผนึกติดแน่นเป็นอันเดียวกันทุกส่วน ทำให้รู้ตลอดองค์ร่างได้ทั่วพร้อม จิตเหมือนมีกำลังในภายใน กำหนดจี้ลงจับอารมณ์ได้สนิท เช่นเดียวกับรู้จักใช้มือจับราวโหนให้แน่น

เกาทัณฑ์สำเหนียกถึงขุมพลังที่ซ่อนอยู่มหาศาลในกายใจ บอกตนเองว่าเขาพร้อมจะกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้อีกและอีก ในเมื่อมองเห็นทางสมาธิชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีอะไรมาก ไม่ยุ่งยากอย่างที่คนส่วนใหญ่ท้อกัน ขอเพียงนั่งให้ถูก ตั้งจิตให้สบาย ทราบความต้องการของกายตามจริง ลมหายใจออกก็รู้ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจหยุดก็รู้ ถ้าฟุ้งซ่านขึ้นมาก็เท่าทัน แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ เบนความสนใจกลับมาอยู่กับขั้นตอนระลึกลมตามแนวอานาปานสติ

นานไปเกาทัณฑ์ยิ่งกำหนดรู้ได้ถึงความแช่มชื่นเมื่อนำลมบริสุทธิ์เข้าร่าง และกำหนดรู้ถึงความผ่อนกายสบายใจเมื่อกลุ่มลมที่อัดอยู่ในอกถูกระบายออก ชักเกิดความสุขเย็นแปลกๆ เขาสามารถจับอาการรวมนิ่งเป็นดวงสว่างน้อยๆของจิตได้แต่แรกเริ่ม และเกือบจะทันรู้ว่ามันเสียอาการทรงตัวไปเมื่อไหร่ ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นแทนเมื่อใด คล้ายเห็นหลอดไฟดับๆติดๆ ติดทีก็เกิดกำลังใจที

ครั้งหนึ่งจิตประหวัดถึงแหม่มคนสวยในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่สระน้ำ เกิดอาการดิ้นรนซัดส่ายกระหายอยากขึ้นมาวูบหนึ่ง ในบัดนั้นเองเพิ่งเกิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้รู้จักว่า 'ตัดไฟแต่ต้นลม' เป็นอย่างไร เสมือนเขาเป็นช่างตัดต่อภาพผู้ชำนาญ เมื่อเห็น 'ภาพผิด' โผล่ขึ้นมา ก็รีบเปลี่ยนไปหาภาพที่ถูกแทน คือรีบกลับมาปักสติกำหนดรู้ลมแทนมโนภาพบาดจิต คลื่นกามปั่นป่วนก็พลันสงบรำงับลงทันใด

ความดิ้นรนอันทนได้ยากนั้น หากยังไม่ลุกลามเกาะกินแก่นกายแน่นหนาเกินแก้แล้ว จะคล้ายลมแผ่วที่ฤทธิ์น้อยจนไม่อาจกระชากสติให้หลุดจากราวยึดได้ไหว แต่ถ้าปล่อยปละละเลย สติวิ่งไล่กวดภาพเก่าที่เร้าใจในหัวไม่ทัน ปล่อยให้เกิดปฏิกิริยาสนองตอบทางกายเต็มที่แล้ว ก็เหมือนนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมาก อาจกดคนกำลังอ่อนให้จมน้ำมิดหัวได้ง่ายดาย

ขยายหน้าท้องออกอย่างใจเย็นและมีมานะ เห็นสายลมหายใจออกและเข้า ตั้งสติรู้ไม่ลดละ เมื่อเกิดความคิดนอกลู่นอกทางอีก ก็หันเหความสนใจกลับมาเพ่งลมหายใจอีกและอีก

ด้วยความมีไฟอันโชติแรง บวกกับการปฏิบัติที่ถูกวิธี จึงไม่ทำให้เกาทัณฑ์ง่วงงุนหรือหลงสติ ภาวะจิตทรงตัวดีขึ้นเรื่อยๆจนกายกับจิตผสานกันถูกส่วนถึงที่สุด ณ จุดนั้นเขาเกิดความเข้าใจว่าจะคุมจิตให้เปิดโล่งแผ่ออกเป็นวงกว้างได้อย่างไร ฉับพลันก็บังเกิดความสว่างไสว เบาตัวและเกิดผัสสะกระจะกระจ่าง แช่มชัดละเอียดอ่อนผิดไปจากธรรมดา ลิ้มรสปีติสุขแปลกใหม่ที่เยือกเย็นปราณีตแตกต่างจากสุขอื่นที่เคยรู้จักมาก่อนทั้งหมด

บอกตัวเองทันทีว่านี่คือภาวะการรวมตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของจิต เกาทัณฑ์ค่อนข้างจะตื่นเต้น แล้วก็ต้องพบกับความเสียดายที่ไม่มีความสามารถจะประคองภาวะนั้นให้เนิ่นนานออกไป ความสว่างโรยลง และเขาก็ไม่สามารถผสานการนึกเข้ากับสายลมหายใจต่อไปได้ เสมือนแม่เหล็กเสื่อมแรงดึงดูดลงทีละน้อยจนหมดสภาพ

เอ...นี่เองกระมังเรียกว่าอุปจารสมาธิ ทั้งสุกสว่าง ทั้งปีติสุขในรสวิเวกดื่มด่ำล้ำคำบรรยาย แต่คงเป็นอุปจารสมาธิอย่างอ่อน เพราะวูบมาเพียงนาทีเดียวก็เหี่ยวเฉาโรยราลงเสียแล้ว

โยคาวจรหนุ่มพยายามตั้งสติให้มั่นคง สำรวจความพร้อมของร่างกายก็พบว่ายังอยู่ในสภาพที่มีกำลังใช้งานได้ นึกถึงภาวะนิ่งปราณีตด้วยความหวนคิดอยากกลับไปมีความสุขเช่นนั้นอีก คิดอยู่แต่ว่าจะเข้าถึงภาวะนั้นอีกให้จงได้ จึงมีกำลังใจขึ้น ตามรู้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้านับครั้งไม่ถ้วน บังคับตนเองไม่ให้คลาดสติสักครั้ง แต่น่าเจ็บใจที่ยิ่งนานจิตยิ่งมืด นอกจากไม่รวมเป็นสมาธิสว่างเย็นแล้ว ยังเกิดความฟุ้งซ่านกระวนกระวาย ทุรนทุรายจนต้องเปิดตาขึ้นในที่สุด

ด้วยโครงสร้างทางจิตใจที่เต็มไปด้วยความพิเคราะห์ แทนที่จะล้มตัวลงนอนแผ่หราอย่างคนทั่วไป เกาทัณฑ์กลับครุ่นคิดและถึงบางอ้อภายในพริบตาเดียว ว่าเขาไม่สามารถเร่งรัดตัวเองให้เข้าสู่สภาวะสมาธิได้เลยถ้าขาดเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง ถึงจะเคยรู้จักสภาวะสมาธิมาแล้วก็เปล่าประโยชน์ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวิถีทางอย่างมีลำดับ เขาก้าวเข้าไปถึงเส้นชัยโดยเริ่มจากหนึ่ง สอง สามมิใช่กระโดดพรวดเดียวถึงเส้นชัย หากจะไปให้ถึงเส้นชัยอีกครั้ง ก็ต้องย้อนกลับมาเริ่มจากหนึ่งใหม่

ชายหนุ่มมีจิตใจที่เยือกเย็นลงในบัดดล ด้วยไหวทันแล้วว่าความเร่งร้อนนั่นเองเป็นอุปสรรคใหญ่ เขาจะเริ่มทุกขั้นตอนใหม่หมดด้วยกำลังสติและกำลังปัญญาที่ไม่เจือด้วยความโลภทั้งมวล

ลุกขึ้นเดินไปเดินมาเพื่อบรรเทาความเมื่อยขบและเหน็บชาที่กัดกินไปทั้งขา แรกๆถึงกับต้องโขยกเขยก เดาด้วยปัญญาในขณะนั้นว่าอย่างนี้เองพระสงฆ์องค์เจ้าถึงต้องเดินจงกรม ที่แท้ก็เอาไว้แก้เมื่อยขบหลังนั่งสมาธินี่เอง

เดินจนพอหายขาแข็ง แล้วก็เลื่อนประตูกระจกเปิดออกไปยืนริมระเบียง มองมหานครพราวแสงจากตึกรามยามราตรี สำเหนียกว่าภาวะหลังสมาธิก่อความคิดนึกแปลกๆแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง เริ่มต้นที่ความเข้มข้นเกี่ยวกับตัวตน ภาวะเข้มแข็งของจิตใหญ่ทวีอัตตาให้ยิ่งยงขึ้นอย่างเหลือคณานับ ทั้งความนิ่งทรงอำนาจในตาและพลังที่ประจุแน่นในร่าง ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติความยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ชายหนุ่มมองเลยไปไกล อะไรๆดูเหมือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขาไปเสียทั้งนั้น

เงยหน้ามองดาวดวงหนึ่ง คิดถึงแพตรี…คล้ายเห็นดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาว่าเขายื่นมือไปคว้าเมื่อไหร่ก็ได้...

ความเย็นสบายของสายลมและความบางเบาในอากาศระดับสูง กล่อมเกลาให้ใจเคลิ้มลงสู่ความสงบ อยู่ๆเกาทัณฑ์ก็นึกอยากปิดตากำหนดลมหายใจในท่ายืนนั้นเอง

กระแสจิตควบเข้าหาศูนย์กลางเป็นหนึ่งเดียว เด่นดวงเหนือการปรากฏของกายและสรรพสิ่งรอบข้าง ทั้งโลกปรากฏแต่ลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก ผ่านเข้าผ่านออก  ในที่สุดก็เกิดธรรมชาติการรวมจิตผนึกแน่นเป็นดวงสว่างเงียบเยือกเย็นขึ้นอีกครั้งในอิริยาบถยืนนั่นเอง

เกาทัณฑ์วางอุเบกขา ไม่ตื่นเต้นกับการรวมตัวครั้งใหม่ เฝ้าดูและประคองจิตไปเรื่อยๆ มีความโคลงเคลงกระเพื่อมไหวอยู่บ้าง แต่ความแรงของจิตอันเด่นดวงเป็นเสมือนคบเพลิงนำทาง ขจัดแมงหวี่แมงวันที่เข้ามารบกวนประปรายเสียได้โดยง่าย

เมื่อเดินกำลังมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนจะคล้อยหลับ เคลิ้มสติลง และถัดจากนั้นอีกหน่อย กายที่เหมือนหายหนไปก็เริ่มปรากฏขึ้นอีก และปรากฏชัดกว่าปกติมาก อีกทั้งเริ่มชาเห่อแปลกๆตามอวัยวะใหญ่น้อย คล้ายตัวเขาเป็นลูกโป่งที่ถูกอัดตัวขยายขึ้น ใหญ่โตผิดปกติจนชักกลัวว่าจะปริระเบิดออกไป กลายเป็นข่าวประหลาดพาดหัวหนังสือพิมพ์ในวันรุ่ง

ชายหนุ่มสะกดใจ ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นหวา ร่ำๆจะลืมตาขึ้นด้วยความปอดลอย ยังดีที่ได้สตินึกถึงคำเตือนของพระอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการเกิดปิติในรูปแบบต่างๆ เป็นต้นว่าคล้ายตัวโย้ไปมา ขนลุกน้ำตาไหล ร่างขยายขึ้นคล้ายจะคับห้อง เบาเหมือนกำลังลอยขึ้นไปเรื่อยๆ หรือเห็นภูตผีเทวดานางฟ้า ล้วนแล้วเป็นสิ่งน่าประหวั่นสำหรับผู้เริ่มต้น ให้แก้ด้วยวิธีง่ายและตรงที่สุดคือวางใจเป็นกลาง สักแต่รู้อาการนั้นๆกระทั่งจิตย้อนกลับมารู้ตัวเอง เห็นปฏิกิริยาของตนเป็นความนิ่งเฉย

ระลึกได้เช่นนั้นก็ข่มใจแบบทำใจดีสู้เสือ ดึงสติมาฝากไว้กับตัวรู้ภายใน เอาความเชื่อมั่นในพระอาจารย์เป็นหลักยึด เฝ้าดูกายเหมือนขยายขึ้นแล้วหดลงเป็นช่วงคล้ายจะแกล้งให้ใจคอตุ๊มๆต่อมๆเล่น มันไม่อยู่ในความควบคุมเอาเลย ราวกับไม่ใช่ร่างกายและจิตใจของเขาอีกแล้ว

ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นถนัดที่สุดตั้งแต่เกิดมา มันดังตุบๆๆไม่หยุด แทบเห็นหัวใจเป็นก้อนอยู่ในอกเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกอาการของกายถูกเพ่งจับ ถูกยึดติดแนบแน่นจนไม่อาจกำหนดได้ว่าจิตอันเป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้เฝ้าสังเกตนั้นอยู่ตรงไหน ต่อเมื่อค่อยๆพิจารณา ว่าอาการทางกายนั้นเป็นเพียงอารมณ์ที่ถูกรู้ ไม่ต่างกับลมหายใจ ไม่ต่างกับวัตถุต่างๆ จึงถอยมากำหนดได้ ว่าภาวะอันเป็นนามธรรม ตั้งอยู่ในอาการรู้ อาการนิ่งเป็นกลางนั่นเอง คือธรรมชาติที่เรียกว่าจิต

เมื่อเห็นจิต ก็เห็นปฏิกิริยาของจิตอย่างแจ่มชัดว่าขณะนี้คือกลัว และพอเห็นตัวความกลัวเป็นเพียงปฏิกิริยาทางจิตชนิดหนึ่ง เป็นของภายใน มิใช่เสือสิงห์ภายนอกมาขย้ำหัวแต่ไหน จิตก็เริ่มออกอาการทราบชัด ว่าความกลัวก็ส่วนหนึ่ง ตัวจิตผู้รู้ผู้ดูก็ส่วนหนึ่ง แยกจากกันได้เด็ดขาด

พอประจักษ์ธรรมเช่นนั้น จู่ๆทุกอย่างก็สงบเงียบลงเฉยๆ เหมือนหลุดผลัวะออกมาสู่แสงสว่างทั้งที่เพิ่งมีพายุฝนมืดครึ้มครืนครั่น จิตยวบตัวยุบลงมาปับหนึ่ง แล้วกายกับจิตก็มีขนาดคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งสงบอย่างยิ่ง สว่างยิ่ง เป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยมที่ชายหนุ่มต้องฉงนระคนปรีดา

ในความสว่างไสวเอกานั้น เขาเห็นสายลมหายใจใสสะอาดเหยียดยาว มันชัดเสียยิ่งกว่าชัด ขณะนั้นมีแต่ลมหายใจที่เป็นความจริง ร่างกายและความคิดกลายเป็นสิ่งเลือนราง กล่าวได้อีกอย่างว่ามีอัตตาที่อยู่สูงกว่ากายและความคิดอันเป็นจุดอ้างอิงเดิม

นั่นคือการถึงอุปจารสมาธิอีกครั้ง คราวนี้ลงมาอยู่ที่ฐานอุปจาระหนักแน่น ยืดยาว เพราะประกอบด้วยสติและกำลัง โดยปราศจากความตื่นเต้นต่อรสปีติและสุขอันเย็นแปลกเหมือนพ้นสภาวะบุคคลออกไป

การทำสมาธิภาวนาช่างเป็นกิจกรรมอันแสนสนุกเพลินใจและมีสีสันพันลึก สมาธิไม่ใช่สิ่งจืดชืดไร้รสอย่างที่เขาเคยประมาณเอาจากการเห็นคนนั่งเฉยเมยเป็นแท่งหิน อาการไม่ไหวติงภายนอกที่แท้มีความเคลื่อนไหวและการรู้เห็นอันโอฬารภายในอย่างนี้เอง

เพลินสุขได้เพียงช่วงลมหายใจร้อยกว่าครั้ง กำลังก็ถดถอย เขาสังเกตรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความเสื่อมถอย เพราะใจจดอยู่แล้ว มันเริ่มด้วยความคลายจากอาการดึงดูดเหมือนแม่เหล็กอ่อนแรง จิตไม่ผนึกรวมเป็นดวงเด่นอีกต่อไป พยายามยับยั้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล ตามด้วยความสุขที่มอดลงกลายเป็นความชืดชาสามัญ อาการล็อกจิตติดกับลมหายใจหมดไป เห็นเป็นลมหายใจเข้าออกธรรมดา มิใช่สายน้ำตกใสสว่าง เข้าอกเข้าใจถ่องแท้ในบัดนั้นว่ากำลังจิตเป็นอย่างไร มีความหมายเพียงใด เมื่อเสื่อมไปแล้วตกกลับมาสู่สามัญภาพเช่นไร

ครั้งนี้ชักเหนื่อย ร่างกายอ่อนแรงลงมาก อยากหงายหลังลงนอน แล้วเขาก็โอนอ่อนตามใจ เดินกลับเข้าห้องแล้วเอนหลังนอนบนฟูกจริงๆ ใจยินดีปรีดากับความสำเร็จในการทำสมาธิ นี่เป็นแค่การหัดทำสมาธิจริงจังครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่กุฏิหลวงตาแขวน แต่เขาทำได้น่าพึงใจปานนี้ จึงเห่อเหิมและนึกลำพองสงสัยขึ้นมาว่าจะมีใครในโลกทำสมาธิได้ดี ได้ไวเท่าเขาหรือไม่

ว่ากันว่าบางคนเพียรทำสมาธิอยู่ในป่าในเขาตั้งสิบยี่สิบปียังเข็นให้ถึงอุปจารสมาธิไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แต่เขาลุถึงในวันเดียว!

เกาทัณฑ์มารู้ในภายหลังว่าเมื่อสองพันห้าร้อยปีล่วงแล้ว ยังมีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง นั่งขัดสมาธิรอผู้เป็นพ่ออยู่คนเดียวใต้ร่มไม้ สงบใจหลับตาตามรู้ลมหายใจโดยไม่มีใครสอน แล้วจิตก็ปฏิรูปตัวเป็นเปลวมหัศจรรย์ เพราะล่วงเข้าถึงสมาธิระดับปฐมฌาน แนบแน่นและยิ่งใหญ่กว่าสมาธิที่เขาทำได้เพราะมีคนสอนหลายเท่านัก

และเด็กคนนั้นก็คือสิทธัตถกุมาร ผู้ที่เจริญวัยต่อมาเห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ออกบำเพ็ญเพียรหาทางหลุดพ้นจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาผู้เป็นอาจารย์ของอาจารย์เขาอีกที!


บทที่ ๘  ฝันหวาน

ในความหลับใหลอย่างอิ่มเอมเปรมสุข เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนความรับรู้แผ่กว้างออกไปในอาณาเขตห้อง สว่างไสวเรืองรอง ตัวสติทั้งเหมือนมีและไม่มีครือกัน คล้ายใจรู้ตัวว่าเป็นนายเกาทัณฑ์ แต่คิดอย่างที่นายเกาทัณฑ์คิดไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้

เลือนรางเหมือนอุปาทาน ในความสว่างที่แผ่ไปนั้นส่องกระทบข้าวของต่างๆและส่งภาพกลับมาให้ใจเห็นเป็นเค้าเป็นเงา ดูคล้ายเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อจิตสว่างและแผ่พ้นกายก็ต้องเห็นรอบกายไปด้วย

แล้วก็เกิดชั่วขณะแห่งการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาด คล้ายตกไปอยู่ในห้วงภวังค์ครู่ใหญ่ จากนั้นกลับมารู้สึกตัวว่าตนมีร่างเหยียดนอน แล้วเหมือนเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็วจากนอนกลายเป็นเดิน

เคยเต็มตื่นอย่างไรก็อย่างนั้น เกาทัณฑ์เห็นตนเองก้าวเข้าไปในเขตบ้านของปู่ชนะ และด้วยตาเปล่าที่มองทุกสิ่งได้ชัดผิดปกติ เขาเห็นรังสีกุศลฉายแสงอยู่ทั่วไป คล้ายกับอากาศสว่างในตัวเองด้วยแสงทองงามละไมเย็นตาเย็นใจ รู้สึกเป็นสุขและปลอดภัยยิ่ง

ลมหายใจสดชื่นบริสุทธิ์ราวกับอยู่บนยอดผาสูงในเวลาเช้าตรู่ มีกลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้นานาพันธุ์กระจายตัวอย่างอ่อนโยนทั่วทุกหนทุกแห่ง บังเกิดความคิดขึ้นมาในบัดดลว่าปู่ชนะกับแพตรีมีบุญมากจริงๆ ที่อยู่อาศัยจึงเอิบอาบไปด้วยสันติสุขควรพิสมัยปานนี้ น่าปลาบปลื้มชื่นชมด้วยเหลือเกิน

ในเขตอันชะโลมไปด้วยความฉ่ำชื่นอย่างบอกไม่ถูกนั้นทำให้เขาเปิดยิ้ม เป็นยิ้มอิ่มใจที่เป็นไปเองโดยปราศจากเจตนาช่วย

เดินอ้อมไม้ใหญ่หน้าบ้าน บ้านปู่ดูกว้างโล่งกว่าเคย เรียงรายด้วยบุปผชาติอันทรงชีวิตชีวาเหลือคณานับ ในชั่วเวลานั้นเกาทัณฑ์เกิดความเข้าอกเข้าใจว่าดอกไม้ส่งยิ้มให้คนได้อย่างไร พวกมันยิ้มได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่น เพียงแต่มิได้ใช้ปากเหมือนอย่างคน ทว่าใช้ความมีชีวิตชีวาทั้งหมดนั่นแหละยิ้ม

ด้วยนิสัยช่างหาเหตุผลประจำตัว เกาทัณฑ์คิดๆแล้วก็บอกตนเองว่าเพียงสัมผัสถึงความมีชีวิตของต้นไม้ กระแสใจที่เข้าถึงจะทำให้เกิดภาวะเห็นที่แตกต่างไป เราจะรู้ได้ว่ามันกำลังแย้มยิ้มหรืออับเฉา ปกติเราไม่รับรู้สุขทุกข์ของต้นไม้เพราะไม่ใส่ใจ ไม่สัมผัสเข้าถึงความมีชีวิตของมัน คนจึงเห็นต้นไม้เป็นวัตถุธรรมดาเช่นเดียวกับอิฐปูน ภาวะการเห็นจึงไม่ผิดไม่ต่างไปจากภาวะการเห็นสิ่งไร้ชีวิต ต่อเมื่อสำเหนียกกำหนดถึงความมีชีวิต จึงจะมีคลื่นความรู้บวกเข้าไปในคลองสายตาได้

บัดนี้เขาเห็นความมีชีวิตของบรรดาพฤกษ์พันธุ์อย่างชัดเจนเหลือเกิน ไม่ว่าจะนิ่งหรือไหวไกวตามสายลมผ่าน ทั้งหมดล้วนเป็นกิริยาของสิ่งมีชีวิตชัดตาชัดใจราวกับถูกขยายด้วยแว่นวิเศษไร้ตน เหมือนพวกมันจะพูดทักทายยินดีต้อนรับเขาได้ฉะนั้น

ขณะเพลินกับมิติใหม่แห่งสัมผัสภายในนั่นเอง ก็เผอิญเหลือบแลไปเห็นสาวน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่บนชิงช้ากลางลานหญ้าขจีนุ่ม ชายหนุ่มหันขวับไปมองตรงๆ หล่อนอยู่ในชุดขาวสะอาดและมองจับมาทางเขาอยู่ก่อนด้วยนิลเนตรทอดสงบ

เกาทัณฑ์ยิ้มกว้างขึ้น ผู้หญิงคนนั้นมีความงดงามที่ก่อความรู้สึกแสนดีได้ล้นใจ ดีจนแทบไม่อาจเห็นด้วยซ้ำว่าเป็นเพียงอิตถีเพศ ราวกับหล่อนมีภาวะที่ดูเกินความเป็นอิสตรีไปอย่างยากจะอธิบาย

เดินเข้าไปหาหล่อน เหมือนคนกันเอง อยู่บ้านเดียวกันมานมนาน ถึงจะห่างกันไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็กลับมาอยู่ด้วยกันได้ด้วยบรรยากาศความสนิทแน่นแฟ้นดังเดิม

"แพนั่งอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ?"

ได้ยินตนเองกล่าวทักออกไปเช่นนั้น เขาเห็นหล่อนพยักหน้ายิ้มให้ เป็นยิ้มละไมที่แฝงความเศร้าอย่างน่าประหลาดชวนใจหาย

"แพรอพี่เต้อยู่นานแล้ว"

กระแสเสียงนุ่มเย็นนั้นเป็นเสมือนไฟฟ้าแรงสูงที่ทำเอาเขาชาดิกไปทั้งร่าง หล่อนเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก แถมด้วยความในใจที่เกินเชื่อว่าจะเป็นจริง นั่นแลกได้กับรางวัลมีค่าที่สุดเท่าที่เขาเคยรับมาชั่วชีวิตทีเดียว

"รอพี่..." เขาชักเงอะงะ เพราะตื้นตันจนพูดอะไรไม่ถูก "พี่อยู่ตรงนี้แล้ว จะช่วยอะไรแพได้บ้างล่ะ?"

สายลมหอบหนึ่งรำเพยผ่าน ปอยผมบนหน้าผากของหล่อนไหวตัวน้อยๆ ดวงตาคู่งามเหมือนจะส่งแสงพ้อมายังเขา เกาทัณฑ์รู้สึกผิดและอบอุ่นยินดีปนเปกันอย่างยากจะแยก

"แพเหงากับการรอจนกลายเป็นสุขที่ได้เลิกรอแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องช่วยแล้ว..."

บรรยากาศทั่วบริเวณกลายตัวจากความอบอุ่นเป็นวังเวงไปในทันที เกาทัณฑ์เกิดความเวทนาหล่อนอย่างจับใจ

"พี่จะอยู่เป็นเพื่อน"

ชายหนุ่มลดตัวลงนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง วางมือลงบนตักหญิงสาวอย่างปลอบประโลม สายตาที่ส่งไปยังหล่อนเปี่ยมไปด้วยความเห็นใจอย่างลึกซึ้ง เขายิ้มอย่างชาย รู้สึกถึงไหล่ที่ตั้งผงาดและพลังความเข้มแข็งในตัว บอกตนเองว่าพร้อมจะปกป้องหล่อนจากทุกสิ่ง

แพตรีทอดตาลงมอง เกาทัณฑ์สัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อถือในตาคู่นั้น

"ทำไมถึงไม่เชื่อพี่ล่ะ?"

เขาถามออกมาตรงใจ ที่นั่นเขากับหล่อนสามารถคุยกันได้โดยไร้ม่านอันใดปิดบัง แพตรีขยับหน้าตักและผลักมือเขาออกโดยละม่อม

"พี่มองเห็นแต่ความสวยของผู้หญิง ไม่เคยเห็นตัวของแพหรอก วันที่แพไม่สวย พี่ก็จะมองผ่านแพไป อย่าว่าแต่คิดอยู่เป็นเพื่อนเลย"

เกาทัณฑ์ส่ายหน้า

"วิธีคิด วิธีพูดของแพนี่หลับตาก็รู้ได้ว่าสวย แต่แพคงกำลังพูดถึงความสวยที่ต้องลืมตาเสียก่อนถึงจะเห็น ถ้าอย่างนั้นพี่เห็นวิธีที่แพยิ้ม วิธีที่แพใช้สายตามองคนอื่น นั่นก็พอแล้วกับการผูกใจให้อยู่นิ่ง ถ้านิสัยใจคอยังเป็นอยู่อย่างนี้ จะมีวันไหนที่แพไร้ความสวยให้พี่มองผ่านได้?”

แพตรีนิ่งไป เขาน่าจะได้เห็นหล่อนโอนอ่อน แต่ก็ไม่ใช่

"คำพูดของพี่ลบความจำแพไม่ได้เสียด้วยสิคะ ในวันที่แพดูต่ำต้อย พี่มองผ่านแพไปเหมือนไม่มีแพอยู่ในทางตา ทั้งที่...นานมาแล้ว เราเคยอธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันว่าจะรักและจดจำกันไปทุกภพทุกชาติ"

ชายหนุ่มเย็นวูบไปตลอดสันหลัง ขนลุกเกรียวตั้งแต่หนังศีรษะแล่นลงไปจนถึงฝ่าเท้า ณ บัดนั้นเขาพบบางสิ่งที่ขาดหายไป บางสิ่งที่เคยถวิลหา ทว่าตลอดมาไม่รู้ว่าคืออะไร

"พี่..."  เกาทัณฑ์นึกหาคำแก้ตัวไม่ทัน "ตอนที่เรายังเด็กอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นพี่ค่อนข้างจะ...ไม่ชอบมองคน"

"ค่ะ ถ้าคนไม่สวยจะไม่ชอบมองเลย"

เป็นคำตัดพ้อที่ทำให้เกาทัณฑ์สะอึกอึ้ง กระแอมทีหนึ่งอย่างเกือบจนปัญญา ทำไมถึงเค้นหาคำพูดยากนัก สมองว่างวายราวกับกำลังอยู่ในฝัน…นี่เขากำลังฝันไปหรือเปล่า? ถ้าเป็นฝันทำไมสาวน้อยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าถึงดูมีชีวิตจิตใจ คิดอ่านโต้ตอบได้ปานนั้น?

หลังจากเพียรสรรถ้อยอยู่นานก็นึกออกจนได้ว่าควรจะพูดอะไร คำแก้ตัวพรั่งพรูออกจากปากอย่างรวดเร็วราวกับน้ำไหล

"ในความเป็นเด็ก เรารู้จักแต่สิ่งกระตุ้นความสนใจที่เด่นชัด แต่เมื่อโตขึ้น เราก็จะรู้จักสำรวจคุณค่าของสิ่งต่างๆ แยกแยะได้ออกว่าหลายสิ่งในโลกนี้ไม่ควรมองผ่าน และถ้าได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมองผ่านสิ่งมีค่ามาแล้วด้วยความโง่เขลา ทั้งหมดที่ทำได้ก็คือสำนึกเสียใจและอยากพูดว่า...พี่ขอโทษ"

ถ้อยสุดท้ายนั้นหนักแน่นด้วยสำนึกอย่างชาย ทว่าแฝงกระแสความอ่อนโยนจริงใจจนทำให้แววหมางในตาสวยจางลง

"พี่พูดเก่งนะคะ" หล่อนลุกขึ้นยืน "แต่คนไม่จริงใจเท่านั้นแหละที่พูดเก่ง"

เกาทัณฑ์ลุกขึ้นยืนตาม

"ถ้าไม่ให้พูดพี่ก็จะแทนด้วยการทำให้แพเห็น…พี่จะจริงใจกับแพ"

หญิงสาวช้อนตาขึ้นสบ นัยน์ตาเงางามทอแสงเข้มกว่าเมื่อครู่

“อย่าเลยค่ะ แพเห็นอนิจจังแล้ว ต่อให้เคยครองกัน อธิษฐานร่วมกัน ซื่อสัตย์ต่อกันจนนาทีสุดท้าย เมื่อถึงเวลาก็ต้องลืม ต้องพรากจาก ต้องกลายเป็นคนแปลกหน้ากัน…แพลาพี่ไปตามทางดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอให้จำแล้วลืมกันอีก”

แม้ฟังไม่เข้าใจกระจ่างนัก เกาทัณฑ์ก็ใจหายจนเผลอยึดข้อมือหล่อนไว้

“แพพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ? ถ้าทำผิดเพราะเจตนา พี่จะชดใช้ให้จนกว่าแพจะพอใจ แต่ถ้าหากเกินวิสัยที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะรู้ ก็ขอให้บอกดีๆ อย่าเก็บงำแล้วตัดบทอย่างไม่ให้โอกาสกัน”

หญิงสาวดึงข้อมือออกจากการกุมของเขา

“ของแบบนี้ถ้าไม่รู้เองก็อย่ารู้จากคนอื่นเลยค่ะ”

เกาทัณฑ์ถอนใจเฮือกก่อนหัวเราะอย่างอัดอั้น

“แพเป็นเสียอย่างนี้”

“ค่ะ…เป็นอย่างนี้แหละ”

แล้วหล่อนก็หันหลัง ท่าทางกำลังจะเดินจากไปเฉยๆ

“เดี๋ยวซี่แพ…”

ชักงงเมื่อรู้สึกว่าเท้าชา มือชาอย่างรวดเร็ว และไล่ลามไปถึงประสาทรับรู้ส่วนกลาง เหลือเพียงสายตาที่ยังเห็นภาพตรงหน้า แพตรีกำลังเดินห่างออกไป หล่อนจะรู้หรือเปล่าว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา

“แพ…”

เหมือนมีนุ่นยัดลงไปในคอ จะอ้าปากก็อึดอัด ยิ่งฝืนก็ยิ่งเลือน จนกระทั่งที่สุดเห็นหล่อนเหลียวกลับมา ซึ่งก็คงหันตามเสียงเรียกสุดท้ายของเขา เกาทัณฑ์เห็นแววหมางเมินเหินห่าง รู้สึกทรมานกับภาพชนิดนั้น หล่อนกำลังตั้งใจเดินจากเขาไป…

ภาพฝันจางลง แต่ยังทิ้งร่องรอยไว้กับความรู้สึกชัดลึกเสมือนจริง เหมือนจะขาดใจเมื่อพบว่าภาพร่างไกลๆของแพตรีคืออากาศธาตุ และจะเป็นอากาศธาตุไปชั่วนิรันดร์ เกาทัณฑ์ลืมตาตื่นขึ้นด้วยกิริยายกมือคว้าอากาศตรงหน้า ใจเต้นด้วยความเสียใจรุนแรง

ช่างเป็นฝันที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยรายละเอียดแจ่มชัดอะไรปานนั้น ทั้งสว่างหวานตรึงใจ และทั้งเศร้าสร้อยกัดลึกปนกันจนหยุดความคิดทุกชนิดลงพักใหญ่ เกาทัณฑ์นอนตาค้างก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งนิ่ง บอกตนเองด้วยใจชื้นว่าในโลกแห่งความจริง หล่อนยังอยู่ ยังรอให้เขาใช้ความพยายามไขว่คว้ามา

นาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม เขาเห็นแค่นั้น แล้วเหมือนมีแรงผลัก มันไม่ใช่ตัวเขาเองเลยที่ลุกขึ้นคว้ากุญแจรถ เปิดปิดประตูห้องปึงปังลงไปยังลานจอดรถ นำพาหนะคู่กายโลดแล่นออกสู่ถนนสีชมพูอันวายรถอย่างเป็นใจให้กดเท้าเหยียบคันเร่งลึก ทะยานตัวด้วยประสิทธิภาพเครื่องยนต์กำลังสูง พุ่งปราดไปจนภาพถนนและไฟท้ายรถข้างหน้าถูกดูดเข้ามาฮวบฮาบภาพแล้วภาพเล่า รถวิ่งเร็วราวกับลูกปืน แต่ก็ไม่ด่วนเท่าทันใจเขาในยามนี้เลย

ดับเครื่องแต่ไกล ปล่อยให้รถคลานด้วยแรงเฉื่อยมาจอดเทียบหน้าบ้านกลางซอยอย่างแช่มช้า สติค่อยกลับมาเป็นตัวของตัวเองเหมือนกายเพิ่งตามใจทัน

เกาทัณฑ์มาบ้านนี้จนมีโอกาสสังเกตรู้ว่าห้องของแพตรีคือส่วนใด ไฟห้องหล่อนสว่างเรือง แสดงว่ายังไม่หลับ เป็นอันแน่ล่ะว่าเมื่อครู่เขาฝันละเมอเพ้อพกไปคนเดียว หล่อนอาจจะกำลังอ่านตำราเรียน หรือหนังสือเกี่ยวกับต้นไม้ที่หล่อนรัก หรือนั่งทำสมาธิภาวนาอย่างสุขสบายเอกา เขาอยากรู้แต่คงรู้ไม่ได้ มีสิทธิ์อย่างมากแค่เห็นแสงไฟห้องเปิด กับรับทราบว่าหล่อนอยู่ในนั้น

นั่งกอดอกยิ้มมองหน้าต่างห้องของหญิงสาวด้วยแรงประทับล้ำลึก เคยเห็นเพื่อนทำอย่างนี้แล้วขำ แต่ตอนนี้เข้าใจเลย มันไม่ใช่หน้าต่างหรอกที่ทำให้เขายิ้ม ความรู้สึกว่าใกล้หล่อนแค่นี้ต่างหากที่ก่อสุข คิดอยากนั่งมองไปเรื่อยๆจนกว่าใจจะพอ

ได้หล่อนมากอดคงดีกว่าฝัน…

ทั้งซอยปราศจากการสัญจร ในความเงียบของยามดึกมีแต่เสียงจักจั่นเรไรจากพงหญ้า ยามนี้ช่างฟังเพราะและขับกล่อมให้ใจสงบ เป็นครั้งแรกที่เขาเงี่ยหูฟังอย่างดื่มด่ำ แสงไฟจากห้องหล่อนดูสวยหลอกตาน่าเพลินหลงเสียยิ่งกว่าคมเสี้ยวจันทร์สีเงินยวงเบื้องบน

ใจที่ฝันเพ้อทำให้โลกเปลี่ยนไปได้อย่างนี้เอง

เกือบตีหนึ่งแสงไฟจึงปิดมืด หล่อนคงเข้านอนแล้ว เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาขณะหนึ่ง เหมือนตอนนั้นเขาคอยเฝ้าระวังภัยให้ และแน่ใจว่าจะไม่มีใครผ่านเขาเข้าไปหาหล่อนได้เลย

หลับตานิ่งเป็นครู่ ก่อนลงจากรถโดยตั้งใจจะเข็นไปสตาร์ทไกลๆไม่ส่งเสียงให้แพตรีได้ยิน เพราะใจนึกเกรงไปเองว่าหล่อนคงจำเสียงเครื่องรถเขาได้และอาจชะโงกมองลงมา กลัวเดารู้ว่าเขามาด้อมๆมองๆเหมือนกระต่ายแหงนคอมองกระต่ายอีกตัวบนดวงจันทร์ ขายหน้าตายชัก

แต่ขณะที่กำลังออกแรงดันหน้ารถก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินกังวานเสียงนุ่มของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ

"มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?"

ชายหนุ่มหันขวับ แพตรี! หัวใจเต้นแรงเหมือนจะวาย หล่อนมายืนชิดรั้วแค่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เป็นนานกว่าจะปรับสติและออกแรงยิ้มเจื่อนๆสำเร็จ

"อ้อ…แพ"

เอ่ยออกมาได้เท่านั้นจริงๆ หล่อนคงลงมาเดินเล่น เขาผิดเองที่นึกว่าไฟห้องปิดหมายถึงหล่อนเข้านอน

"รถเสียหรือคะ?"

เป็นเสียงถามตามซื่อ ชั่วขณะนั้นหล่อนอาจยังไม่แน่ใจนักว่าอะไรเป็นอะไร

"เปล่าฮะ"

วูบนั้นเกาทัณฑ์บังเกิดความกล้าเดิมๆขึ้นมา อาการตกประหม่าแบบวัยรุ่นเพิ่งเริ่มจีบสาวปลาสนาการเป็นปลิดทิ้ง

"รถเป็นปกติดี แต่พี่อยากเข็นไปสตาร์ทไกลๆ เสียงเครื่องจะได้ไม่กวนแพกับปู่"

แพตรีมองไปที่รถเขาเหมือนคิดตาม อย่างนี้แปลว่าอะไรก็ไม่ยากแล้ว ครู่หนึ่งก็กอดอกนิ่งไม่พูดจา เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาได้ เขารักทุกกิริยาของหล่อน สิ่งที่แฝงอยู่ในความนิ่งและการเคลื่อนไหวของแพตรีช่างก่อความรู้สึกแสนดีให้กับคนเห็น

"เมื่อกี้แพอ่านหนังสือหรือฮะ?"

ถามอย่างใจอยากรู้ ราวกับสนิทกันพอ หญิงสาวปรายตาสบ แสงสลัวเลือนจากไฟแรงเทียนต่ำข้างทางพอทำให้เห็นแววห่างเหินที่ส่งมาอย่างจงใจ

"ทำธุระส่วนตัวน่ะค่ะ…คุณล่ะคะ?"

เกาทัณฑ์หน้าชา เอ่ยคำต่อมาถึงกับอึกอัก

"พี่...เอ่อ ผม..."

อากาศชื้นน้ำค้างทำให้แยกแยะรับรู้ความแตกต่างระหว่างฝันกับจริง ตอนนี้ของจริง

ก็ถ้าจริงแล้วทำไมต้องกลัว…

"ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนแพเลย แค่อยากรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้แพสักพักหนึ่งเท่านั้น"

ไร้ร่องรอยเคอะเขินหรือคาดไม่ถึงใดๆในดวงตาสงบเฉย เกาทัณฑ์เจ็บแปลบเพียงนึกว่าตนอาจเป็นไอ้หนุ่มหัวใจละลายอันดับหนึ่งร้อยที่เอารถมาจอดแหงนหน้าฝันหาดาวตรงนี้

"น่าเสียดาย..."  เขาพูดคล้ายอับจน "ทำไมเราไม่สนิทกันเสียตั้งแต่เด็กนะ ถ้าเคยคุยกันแล้วเห็นผมเป็นญาติ…ป่านนี้แพอาจชวนผมเข้าไปนั่งเล่นข้างในมั่ง”

แพตรีเบนหน้าไปอีกทางอย่างรู้นัย

“คุณกลับเถอะค่ะ”

เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว ห้วงฟ้ามืดดูกว้าง ลึก อลังการด้วยดวงดาวและเยือกหนาวด้วยความห่าง เขาเงยหน้ามองเบื้องบนขณะยิ้มรับคำไล่ของหล่อน

“ฮะ…” ตาจับดาวดวงหนึ่งไม่วางพลางเอ่ยเนิบแผ่ว “แถวนี้ดีจัง น่าปูเสื่อนอนมองฟ้านะ”

เว้นระยะไปครู่อย่างเตรียมตัดใจเอ่ยลาและหันหลังกลับ แต่เหมือนข้างในมันเฉื่อยและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำตามสมองสั่ง เบนสายตากลับมามองดวงหน้าที่ดูสงบละไมอยู่ในเงามืด หล่อนนิ่งมองทิศทางอื่นที่ไกลจากเขามาก

"ผมรักแพ!"

เป็นเสี้ยววินาทีที่เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าคำสารภาพหลุดจากริมฝีปากไปได้ เสียวปลาบไปตลอดทรวงอกเมื่อหลุดคำนั้นออกมา แต่ก็ดีไปอย่าง สติถูกเรียกกลับคืนมาสานต่อความเผลอไผลอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจเสี่ยงทิ้งไพ่ใบสุดท้ายทั้งที่รู้เห็นแค่ครึ่งๆกลางๆ

“รู้ว่าเราเพิ่งพูดกันแค่สองสามคำ รู้ว่าแพเห็นผมเป็นแค่นายอะไรคนหนึ่งที่มาติดหลงหน้าตา แต่ความจริงไม่ใช่ ถ้าอธิบายด้วยคำพูดที่ดีที่สุด ตรงจริงที่สุด อย่างมากก็แค่ทำให้แพหัวเราะเยาะผมน้อยลง เพราะฉะนั้นอย่าเพ้ออะไรให้เห็นผมเป็นตัวตลกให้มากจะดีกว่า ขอแค่พูดว่า…ถ้าแพจำผมได้ ก็อย่าแกล้งเมินกันอีกเลย”

หญิงสาวหันมาจ้อง หล่อนยืนเม้มปากอยู่นานมาก เกาทัณฑ์ไม่กล้าพูดต่อ เพราะลึกๆก็ไม่แน่ใจว่าตนเป็นบ้าไปคนเดียวหรือเปล่า อดทนรอดูทีท่าของแพตรีจนหล่อนกล่าวอะไรออกมาได้เอง

"ขอโทษนะคะ ดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง"

แล้วหล่อนก็หมุนตัวกลับ ทำท่าจะสาวเท้าขึ้นเรือนหนีเขา

"แพ!"

เป็นเสียงเรียกที่ประกาศิตพอใช้ หญิงสาวหยุดกึกเหมือนถูกสะกดด้วยฤทธิ์พ่อมด

"ถ้าผมละเมอเพ้อพกจนคุณคิดว่าเสียสติอยู่คนเดียวก็ช่างเถอะ เราเพิ่งรู้จัก และคุยกันแค่นับคำได้นี่นะ แต่สังหรณ์ว่าผมเกือบจะทำสิ่งมีค่าบางอย่างหายไป เพียงเพราะเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้…และความลืม เหมือนอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งเขาเป็นกัน”

ชายหนุ่มหรี่ตาลงนิดหนึ่ง ขณะกำลังพูดได้มีสัญชาตญาณบางอย่างเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น เหมือนกับเป็นตัวเขาเอง ทว่าเป็นอีกภาคหนึ่งซึ่งอยู่ลึกลงไป และไม่เคยปรากฏแม้กับความรับรู้ของตนเอง

“ผมเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจคุณนะแพ ทุกครั้งที่คุณมองผม แววตาเหมือนบอกว่าคุณรู้…หรือจำอะไรที่เกินวิสัยผมจะเดา แต่เสียดายที่คุณคงไม่คิดบอกเล่าให้ผมฟังตลอดไป”

แพตรีขยับเหมือนจะเหลียวหน้ากลับมา แต่แล้วก็หยุดชะงักนิ่งเสียกลางคัน เกาทัณฑ์ยกมือเกาะซี่กรงประตู

“ผมเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีอำนาจวิเศษเหนือมนุษย์ มีแต่นิสัยอย่างหนึ่ง คือเมื่อแน่ใจว่าอะไรควรเป็นสมบัติของตัว ก็ต้องเอาคืนมาให้ได้ แม้จะเคยเผลอทำหายไปครั้งหนึ่งด้วยความรู้เท่าไม่ถึง”

หล่อนยังนิ่งอยู่กับที่ ไม่เหลียวกลับ ไม่เดินหน้าต่อ ทว่าแค่นั้นเกาทัณฑ์ก็พอใจแล้ว

ชายหนุ่มกลับขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องและขับจากไปเงียบๆ เหมือนมีตาที่สามมองเห็นได้ว่าเบื้องหลังที่เขาจากมานั้น คือร่างนิ่งของหญิงสาวซึ่งยังยืนค้างอยู่ตรงจุดเดิมอีกเนิ่นนาน…

 

เกาทัณฑ์ยกมือไหว้ปู่อย่างนอบน้อม ไหว้แล้วก็อดเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่กไม่ได้

"มองหาอะไร?"

ปู่ถามพลางไขกุญแจประตูให้

"หาแพครับ"

เป็นคำตอบตรงไปตรงมา ต่อไปนี้เขาจะเลิกอมพะนำเสแสร้ง...ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

ปู่ชนะหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทำให้หลานชายกระอักกระอ่วนด้วยการซักถามว่าจะหาแพไปทำไม แค่เดินนำขึ้นเรือนเงียบๆเท่านั้น

"ผมเอาหนังสือมาคืนปู่"

ชายหนุ่มยื่นหนังสือพุทธธรรมและพจนานุกรมพุทธศาสน์วางไว้บนโต๊ะกลาง

"อ่านจบแล้วรึ?"

"ผมซื้อไว้เองครบชุดแล้วครับ" ฉับพลันก็เบนเรื่อง "แพไม่อยู่หรอกหรือฮะ?"

"เห็นน้องเขามาชวนไปซื้อของ"

"น้อง?"

แปลบกลางอกขึ้นมาอีกกับแค่ได้ยินคำนั้น เข้าใจแล้วว่าตอนผีดูดเลือดถูกทิ่มอกด้วยเหล็กแหลมมันปวดเสียวอย่างไร

"ชื่อมติน่ะ เด็กใกล้บ้านนี่แหละ โตมาด้วยกัน"

"สนิทกันมากไหมฮะ?"

เป็นคำถามที่แผ่วสิ้นดี

"ก็เห็นแพเขาคบอยู่คนเดียวนี่"

เกาทัณฑ์สะอึกอึ้ง เริ่มท้อขึ้นมาอีก เขากำลังจะเปิดศึกตีชิงกับเจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง ซึ่งอาจชวนหล่อนไปเที่ยว และให้หล่อนเป็นฝ่ายออกค่ารถเมล์ ช่างเป็นเรื่องเหลือฝืนเสียจริงๆ

แต่ก็ทำเป็นใจเย็น ยิ้มเหมือนพระอิฐพระปูน ชวนปู่คุยเรื่องแพตรีต่อโดยไม่เบี่ยงเบนไปทางอื่น

"ชื่อเต็มของแพคือแพตรีใช่ไหมฮะ? เข้าใจว่าปู่เป็นคนคิดตั้งให้"

ปู่พยักหน้า

"อือม์"

"ปู่ตั้งใจให้มีความหมายยังไงฮะ?"

ปู่ชนะยกชาขึ้นจิบ เกาทัณฑ์คิดว่าอีกหน่อยตอนเขาแก่และนึกถึงปู่ เขาคงจำภาพท่านยกถ้วยน้ำชาได้มากกว่าภาพอื่นหมด

"ก็ไม่มีอะไรมาก พุทธศาสนามีพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นหลักที่พึ่งทางใจ มีสุจริตสามคือกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริตเป็นหลักพึงกระทำ มีสิกขาสามคืออธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาเป็นหลักศึกษาและปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป และที่สุดมีญาณสามคือสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณเป็นปริโยสาน ฉันคิดถึงหมวดสามเหล่านี้แล้วก็รวมลงตั้งชื่อให้เขา เวลาสอนให้เขารู้ความหมายจะได้จำง่ายว่าถ้าจะไปนิพพานต้องขึ้นยานแห่งความเป็นสามใดในพุทธศาสนาบ้าง"

เกาทัณฑ์อึ้งไป ความคิดอ่านของปู่ชนะไม่ธรรมดาเลย เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแปร่งไปเล็กน้อยในเวลาต่อมา

"หมวดสามอื่นผมพอเข้าใจอยู่ แต่ญาณสามคือสัจจญาณ กิจจญาณ กับกตญาณนี่ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ?"

ผู้อาวุโสตอบทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิดทบทวน

"สัจจญาณคือญาณหยั่งรู้อริยสัจสี่ คือเท่าทันว่าอย่างนี้ทุกข์ อย่างนี้ไม่ทุกข์ ทำอย่างไรจึงทุกข์หรือไม่ทุกข์ ส่วนกิจจญาณคือญาณหยั่งรู้กิจที่ต้องทำเพื่อให้หลุดจากข่ายทุกข์ ปฏิบัติจิตเช่นไรแล้วล้างกิเลสจากสันดานได้ สุดท้ายกตญาณคือญาณหยั่งรู้ว่ากิจแต่ละอย่างได้ทำไปแล้ว ทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว ต้นเหตุทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว ทางดับทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว ที่สุดคือความดับทุกข์ได้เกิดขึ้นก็รู้แจ้งแล้ว"

เกาทัณฑ์กะพริบตา พุทธศาสน์มีความลาดลึก แจกแจงเป็นทางตรงและปริยายต่างๆได้พิสดารยิ่ง นับวันผูกพันใกล้ชิดก็เห็นมากขึ้นทุกที แค่มองจากผิวนอกทางปริยัติในคัมภีร์ที่มีแต่ตัวหนังสือ ก็จะเหมือนศาสตร์ทางโลกศาสตร์หนึ่งซึ่งต้องใช้กำลังสมองอย่างใหญ่หลวงในการแทงให้ทะลุ

ความคิดจะชวนปู่ถกเถียงหัวข้อธรรมเพื่อจับผิดแบบเด็กไม่รู้ประสาเหือดหายไปเฉยๆ เขากระแอมนิดหนึ่ง ก่อนเล่าด้วยเสียงสั่นหน่อยๆ เพราะทราบแก่ใจว่ามีเจตนาเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไรในการเริ่มเล่านั้น

"ตอนนี้ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาแขวน"

ปู่ยิ้มและรับฟังโดยไม่ขัดจังหวะ อีกทั้งปราศจากวี่แววประหลาดใจอันใดทั้งสิ้น

"เดือนหน้าผมอยากลางานสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อทุ่มเทจริงจังกับการเรียนทำสมาธิภาวนา ปัญหาของผมคือยังไม่พร้อมแม้แต่จะถือศีลหรือนุ่งขาวห่มขาว เพราะไม่แน่ใจในกิเลสตัวเอง กลัวว่าถ้าเข้าไปอยู่ในวัดแล้วจะเป็นสิ่งแปดเปื้อนแก่วัด แต่ขณะเดียวกันก็ทนปฏิบัติอยู่ในห้องพักหรือบ้านพ่อแม่ไม่ได้ด้วย เพราะต้องมีสิ่งดึงใจให้ไขว้เขวไหลมาเทมาตลอดเวลาแน่นอน ผมจึงอยากขอปู่ จะเป็นการรบกวนไหมฮะถ้าขออาศัยที่นี่สักอาทิตย์? บ้านปู่ไม่มีข้อบีบรัดให้ต้องกังวลว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเป็นความผิดความถูก แต่ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยผมออกจากเครื่องของและผู้คนแวดล้อมเดิมๆ เป็นสัปปายะเหมาะตัวที่สุดเท่าที่ผมจะนึกออกในเวลานี้"

หลานรูปหล่อร่ายยาวแต่ต้นจนจบชุดจากต้นสายถึงปลายสายแบบไม่ให้ตั้งตัว ปู่ชนะหัวเราะเล็กน้อย สายตาไม่ส่งกระทั่งแววรู้ทันออกมา

"อยู่ไหวเหรอะ ห้องหับกลายเป็นที่เก็บของ ทิ้งตู้เตียงไปหมดแล้ว"

"ผมตั้งใจว่าจะขอนอนบนแคร่ในห้องเก็บของใต้บันไดใกล้ห้องครัวนั่นแหละครับ"

เกาทัณฑ์พูดด้วยท่าทางน่าสงสารเหมือนคนไร้ที่อยู่อาศัย หมดทางเลือกแล้วอย่างสิ้นเชิงจึงบากหน้าหนีร้อนมาขอพึ่งเย็น

"อยากถ่อสังขารมาลำบากถึงนี่ก็ตามใจแก"

เป็นคำตอบตกลงที่ง่ายดายเกินคาด ชายหนุ่มตาสว่างราวกับติดนีออนเป็นแผง ไม่นึกว่าเรื่องจะง่ายขนาดนี้

"ปู่อนุญาตหรือครับ?"

"เออ!"

ชายหนุ่มระงับความดีใจแทบออกนอกหน้าอย่างยากเย็น กลัวปู่จะเอะใจเสียก่อน

"บ้านนี้มีผู้หญิง" ปู่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมากลางความลิงโลดของเขา "อยู่นี่ก็ทำอะไรให้เหมาะควรหน่อย"

"ครับ!"  รีบรับปากทันควันอย่างกลัวปู่จะเปลี่ยนใจเพราะฉุกคิดได้  "ขอให้ปู่ไว้ใจ ผมอาจดูไม่ใช่คนดีนัก แต่เรื่องนี้ผมรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร"

"ไปเป็นลูกศิษย์ท่านแขวนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?"

ชายชราเบี่ยงเรื่องถามมาอีกทาง

"เมื่อวานนี้เองฮะ เผอิญเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเห็นแพกำลังจะไปทำสังฆทาน กำลังหอบถังขึ้นแท็กซี่อยู่พอดี เลยอาสาช่วยเอาขึ้นรถผมแทน แล้วก็ได้ไปพบท่าน เกิดความเลื่อมใสบางอย่าง คิดอยากเรียนฝึกสมาธิภาวนาดูบ้าง เมื่อวานเลยไปฝากตัวเป็นศิษย์ และเพราะได้อาจารย์ดี ตอนนี้ผมพบว่าตัวเองอยากจะเอาดีตามท่าน เลยคิดจริงจัง มาขอร้องปู่เรื่องสถานที่"

ปู่พยักหน้าตามเคย สงบคำตามนิสัย ทั้งคู่เงียบเสียงกันไป แพตรียังไม่มาสักที แต่ต่อให้ต้องรอถึงค่ำ เขาก็จะทู่ซี้อยู่นี่แหละ ยังไงต้องเห็นหน้าให้ได้

 เกาทัณฑ์นึกว่าปู่จะแปลกใจบ้าง ซักถามอะไรเกี่ยวกับการเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวนของเขาเสียหน่อย แต่ก็เปล่า จนต้องเป็นฝ่ายเลียบเคียงเสียเอง เงียบนานๆเดี๋ยวปู่เอ่ยปากไล่เท่านั้น

"ปู่รู้จักท่านมานานหรือยังฮะ?"

"ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่วัดเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน"

"อ้อ นับว่านานเหมือนกัน แล้วก่อนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ผมยังไม่มีโอกาสถามประวัติหรือเรื่องราวของท่านเลย"

"บ้านเดิมท่านอยู่นครสวรรค์ แต่ปักหลักที่กรุงเทพฯตั้งแต่วัยรุ่น บวชที่วัดทางนฤพานเมื่ออายุได้เกือบสามสิบ ร่ำเรียนและรับใช้พระอุปัชฌาย์แค่ห้าพรรษาก็ออกเดินทางธุดงค์จากเหนือจดใต้ตลอดอายุบรรพชิต เพิ่งเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนคราวมาเยี่ยมพระอุปัชฌาย์ครั้งสุดท้าย ได้รับการขอร้องให้ช่วยสืบตำแหน่งเจ้าอาวาสแทน ท่านแขวนก็เห็นสังขารตัวเองโรยราไม่เหมาะแก่การธุดงค์แล้ว จึงรับรักษาวัดซึ่งเก่าแก่หลายชั่วอายุคนนี้เรื่อยมา"

"อือม์" เกาทัณฑ์ครางเบาๆ "พระอุปัชฌาย์ท่านมรณภาพนานหรือยังครับ?"

"วันเดียวหลังจากที่ท่านแขวนรับจะดูแลวัดให้"

ชายหนุ่มขนลุกหน่อยๆ แต่แล้วก็ทำใจสงบเฉย

"แล้วที่ท่านสละเพศฆราวาสออกบวชเป็นพระตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นนี่มีเหตุผลอะไรฮะ?"

"จริงๆท่านศึกษาพระธรรมคำสอนและมีศรัทธาปสาทะมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนร่ำเรียนจบมาทำงานทำการเหมือนหนุ่มๆทั่วไป แต่วันหนึ่งบุญพาวาสนาส่งให้ท่านไปพบกับพระดีที่วัดทางนฤพาน เห็นปฏิปทาน่าเลื่อมใส ก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตั้งใจถือบวชจริงจังหันหลังให้กับความก้าวหน้าที่รออยู่ในอาชีพการงานทั้งหมด"

ฟังแล้วเกาทัณฑ์ชักหนาวๆร้อนๆ เพราะดูวิถีทางท่านแล้วเผอิญคล้ายเขาอย่างไรพิกล บอกตนเองว่าต่อให้ศรัทธาพระอาจารย์หรือพระธรรมคำสอนมากกว่านี้อีกร้อยเท่า เขาก็คงกิเลสหนาเกินกว่าจะอุทิศตัวบวชเป็นพระภิกษุไปตลอดชีวิตอย่างหลวงตาแขวนแน่ๆ ถ้าสักสามเดือนค่อยว่าไปอย่าง

"ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมอ่านหนังสือธรรมะและปรัชญาไปหลายเล่ม บางเล่มที่น่าสนใจก็อ่านตลอด บางเล่มอ่านคร่าวๆพอให้รู้ว่าทรรศนะของคนเขียนเป็นอย่างไร ผมพบว่า..."

คำพูดตั้งประเด็นธรรมสากัจฉานั้นขาดห้วงไป เมื่อหางตาเห็นเงาร่างใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบกริบ


บทที่ ๙  ตามฝัน

แพตรีก้าวขึ้นมาบนเรือนด้วยฝีเท้าเงียบเชียบราวกับเป็นแค่เงา เกาทัณฑ์หันไปเห็นแล้วลืมหมดทุกสิ่งชั่วคราว เอาแต่จ้องมองร่างสะคราญสว่างตาในชุดขาวแน่นิ่ง

หล่อนยิ้มให้ปู่อย่างดี แต่เมื่อเหลือบตามาสบกับเขาก็ลดทั้งคุณภาพและปริมาณลง ไม่ว่าจะเป็นแววตาสวยหรือรอยยิ้มใสที่เพิ่งส่งให้ปู่หยกๆ เหมือนผ่านตามองพอให้รู้ว่าหน้าแบบนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า แล้วก็ปลีกตัวเข้าห้องของหล่อนไปเงียบๆ ไม่ได้หยุดลงพูดจากับปู่หรือเสียเวลาทักเขาแต่อย่างใด เกาทัณฑ์รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเหลียวหลังตามผู้หญิงค้างเติ่งทั้งที่เจ้าตัวลับหายไร้เงาไปแล้วเป็นนาน

เสียงกระแอมของปู่ปลุกเขาจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบหันหน้ากลับมาและปั้นยิ้ม

"อ้า..."

เกาทัณฑ์ทำท่าคิด นึกไม่ออกว่าเมื่อครู่พูดอะไรค้างไว้ หัวใจเต้นตึกๆไม่หยุด

"ผม...อ้อ...อ่านหนังสือไปแล้วหลายเล่ม"

ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่นึกออก แต่แล้วก็ตันคำพูดอีก การปรากฏตัวอันเงียบกริบของแพตรีทำให้เขาสับสนไปหมด จนท่าเข้าก็หัวเราะดังๆขัดจังหวะ ถ้าไม่ปะติดปะต่อเหตุการณ์ก็ดูเหมือนคนบ้า อยู่ไม่อยู่ก็หัวเราะออกมาเฉยๆ

แล้ววินาทีหนึ่งเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ชายหนุ่มก็สานรอยกิริยาประหลาดของตนด้วยปฏิภาณอันว่องไว

"ผมว่าหนังสือบางเล่มนี่ตลกชวนขำมากกว่าเป็นหนังสือจูงให้สนใจหรือเข้าใจธรรมะและปรัชญา นึกถึงบางประโยคที่คนเขียนแทรกความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว ยังตามมาจี้เส้นได้จนถึงเดี๋ยวนี้"

พูดเสร็จก็ทำเป็นหัวเราะออกมาอีก ภาวนาอย่าให้ปู่ขอตัวอย่าง เพราะยังคิดไม่ทันว่าจะเอาอะไรที่ชวนขำจริงๆมาสาธก

"แต่ก็มีหลายเล่มที่ดึงผมเข้าสู่บรรยากาศใหม่ๆ" คราวนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้น "บางครั้งผมวูบวาบขึ้นมา เห็นตัวเองเป็นแค่สิ่งเล็กกระจ้อยร่อยในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไพศาล หากยืนอยู่ที่ขอบจักรวาลแล้วสามารถมองเห็นสิ่งเล็กใหญ่พร้อมกันได้ทั้งหมด ก็คงเกิดความเห็นชัดแจ้งว่าชั่วอายุขัยของคนเราเป็นแค่ธุลีของธุลีที่ปรากฏปลิวขึ้นวับเดียวในห้วงเวลาและอากาศว่างไร้กำหนด หาสาระไม่ได้เลย”

"ก็ใช่ แกกับฉันเป็นเศษธุลี แต่เป็นเศษธุลีที่คิดได้ สำคัญว่าตัวเองยิ่งใหญ่ได้ รู้สึกสุขทุกข์ได้ แล้วก็กลัวตายได้ ดาวฤกษ์ที่ยิ่งใหญ่กลางจักรวาลเสียอีก คิดไม่ได้ สำคัญว่าตัวเองใหญ่ไม่ได้ สุขทุกข์ไม่ได้ กลัวตายไม่ได้"

เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง นึกในใจว่าปู่เป็นคนเข้าใจพูดและมีแง่คิดละเอียดอ่อนกับทุกมุมมอง ท่านคงใช้เวลาหลายสิบปีในชีวิตขบคิดถึงสิ่งต่างๆจนตีแตกถี่ถ้วนแล้วกระมัง ชั่วขณะนั้นเขาอยากให้ตนเองในวันหน้าได้เป็นคนแก่อย่างปู่...แก่และเต็มไปด้วยภูมิปัญญาลึกซึ้ง

"ถ้าแกปฏิบัติวิปัสสนาถึงจุดที่แม้ลืมตาก็ไม่รู้สึกว่ามีตัวตนกำลังมอง มีแต่ ‘การเห็น’ เท่านั้นที่ปรากฏกับตัวรู้ แกจะตระหนักว่าดวงตาคู่นี้เคยขังเราไว้กับความคับแคบอย่างไร เมื่อมองลงพื้น แกเห็นสิ่งที่อยู่ห่างจากสายตาแค่ไม่กี่ศอก บอกตัวเองได้ว่าแกสูงแค่ไหน

แต่เมื่อมองขึ้นฟ้า แกเห็นความว่างเวิ้งสุดตาหาตำแหน่งคำนวณระยะไม่ได้ ก็ไม่รู้จะบอกตัวเองยังไงว่าแกเล็กเตี้ยสักปานใด สายตาคู่นี้ของมนุษย์มันให้แกได้แค่มุมมองที่แคบเล็ก หากปราศจากสติปัญญาของนักคิด นักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยกันสั่งสมความรู้สืบทอดกันมา ก็คงไม่มีชาวโลกธรรมดาที่ไหนคาดคิดไปถึงว่าพ้นจากโลกนี้ไป สิ่งที่เรียก ‘ท้องฟ้า’ นั้นคือมหาจักรวาลที่กว้างและลึกจนแม้แต่แสงอาทิตย์ที่บาดตาคนบนโลกให้บอดได้ ก็กลายเป็นแค่หิ่งห้อยเพียงจุดหนึ่ง”

เกาทัณฑ์ค่อยๆผินหน้าไปมองท้องฟ้าเบื้องไกล เมื่ออาศัยอยู่บนโลก พระอาทิตย์คือไฟฉายดวงมหึมาที่ส่องให้ทุกคนมองเห็นสิ่งต่างๆทุกซอกมุม ทั้งที่พ้นโลกไปนิดเดียว พระอาทิตย์ก็แค่แสงดาวเล็กเท่าปลายเข็มเช่นจุดดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาล ต่อให้มารวมกันเป็นกระจุกนับหมื่นนับแสนล้านดวง ก็ปรากฏเป็นได้เพียงคบเพลิงดวงน้อยในถ้ำมืดกว้างใหญ่มโหฬารเท่านั้นเอง

“และดวงตาที่มนุษย์คิดว่าเป็นประตูเข้าบานใหญ่ของปัญญานั้น ก็ไร้ความสามารถกระทั่งเปิดให้แกเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เวลา’ มันไม่เคยแสดงให้แกเห็นว่าแม้สิ่งที่อยู่นิ่งตรงหน้า ก็กำลังลอยเลื่อนอยู่ในกระแสเวลา ทุกสิ่งรอบตัวที่กำลังเห็นและไม่อาจเห็น ปรากฏอยู่ได้ก็เพราะพวกมันไหลเลื่อนในมิติเวลาระนาบเดียวกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงของแก หากสิ่งใดหยุดอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา ก็แปลว่าโลกนี้จะมีอะไรมากมายที่จู่ๆหายไปอย่างปราศจากร่องรอยต่อหน้าต่อตาเรา”

ชายหนุ่มหันมามองโต๊ะตรงหน้า คิดตามด้วยฐานจิตที่มีเศษสมาธิค้างอยู่ แล้ววูบหนึ่งก็เกิดสัมผัสรู้ขึ้นมาว่าแม้โต๊ะที่ถูกเห็นนั้นก็เลื่อนไหลในกระแสเวลาอยู่จริงๆ เทียบสัมพัทธ์ได้กับกายเขาที่หายใจเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เกิดความรู้แจ้งวาบในบัดนั้นว่าเวลาเป็นองค์ประกอบมูลฐานหนึ่งของสรรพสิ่ง ธาตุเย็นร้อนอ่อนแข็งในร่างกายเขาเองเป็นตัวเวลา มันเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆภายใต้ความทรงตัวหลอกตา

เศษสมาธิที่ช่วยเปิดประสาทตาและประสาทหูเต็มที่นั้น เมื่อมีเจตนานำให้จิตพิจารณาไป ก็ผุดความเห็นชนิดหนึ่งขึ้นมาเหมือนถูกสะกดให้พ้นสภาพบุคคลไปครู่หนึ่ง มีแต่การเห็นออกไปข้างหน้าเป็นสีสันรูปทรงต่างๆที่ดูแปลกและปราศจากความหมายอย่างสิ้นเชิง

เพราะทุกสิ่งต้องไหลเลื่อนตามเวลา ทุกสิ่งจึงต้องเปลี่ยนแปลง…

ไม่ใช่สิ…ตัวรู้ที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลันบอกตัวเองว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงต่างหาก กาลเวลาจึงเกิดขึ้น

เกาทัณฑ์กะพริบตาถี่ๆ วูบแห่งความเห็นอันประหลาดสลายตัวอย่างรวดเร็วและเหมือนอุปาทาน กระแอมทีหนึ่งก่อนเบี่ยงข้อสนทนาให้สมองคิดแทนจิตรู้เสีย

"เรามีพุทธอยู่หลายนิกาย ทุกนิกายทำให้เราเห็นธรรมชาติได้อย่างถ่องแท้ และทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์เหมือนๆกันหรือเปล่าฮะ?"

เขาอ่านมามากพอจะทราบว่าแนวคิดของแต่ละนิกาย แต่ละความเชื่อนั้น ถูกบันทึกถ่ายทอดสืบเนื่องกันมาโดยบุคคลที่มีภูมิรู้แตกต่างกัน ตีความและแปลความหมายคำสอนดั้งเดิมของพระตถาคตผิดกัน เมื่อถามปู่เช่นนั้น เกาทัณฑ์รู้สึกว่าตนถามด้วยความอยากรู้จริงๆ ใช่จะถามเพื่อหาทางต้อนอะไร

"บอกว่าจุดประสงค์คือต้องการดับทุกข์เหมือนกันดีกว่า ต่างที่ความเห็นในการปฏิบัติ คือมีความหย่อนตึงผิดกัน พุทธเรามีความเห็นเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆคือมหายานกับหินยาน มหายานเน้นเรื่องดับทุกข์เป็นหลัก ไม่สนใจเรื่องระเบียบหรือธรรมเนียมอะไรเท่าไหร่ ซึ่งเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความแตกแยกฟั่นเฝือไปมาก เหมือนจะไปเมืองเดียวกันแต่มีทางให้เลือกเยอะเกินไป เอาแน่ไม่ได้ว่าเลือกแต่ละเส้นแล้วจะเจออะไรเข้าระหว่างทาง ทำไปทำมากลายเป็นความเข้าข้างตัวเองว่าอันนี้ผ่อนปรนได้ อันนั้นลดความเคร่งลงเพื่อความเหมาะสม เปิดช่องให้คลุกคลีกับญาติโยม กลายเป็นพระนักธุรกิจบ้าง พระนักการเมืองบ้าง หรือหนักกว่านั้นเป็นสมี พูดจาโกหกพกลมไปวันๆได้เพราะหย่อนวินัยมาทีละข้อ-สองข้อนั่นแหละ

ต่างกับหินยาน หรือที่ทางเราเรียก ‘เถรวาท’ ที่ออกจะเคร่งครัด แต่ก็ประกันได้ว่าถึงที่หมายแน่ เพราะเป็นวาทะของพระเถระผู้เป็นอรหันต์ซึ่งหลุดพ้นตามพระพุทธองค์โดยตรง หลายคนบ่นว่าเคร่งเกินเหตุจนสุดวิสัยจะปฏิบัติได้จริง แต่หากศึกษาให้ดีจะพบว่ามีการอนุโลมให้กับสถานการณ์จำเป็นในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ใช่กระดิกแล้วผิดไปหมด"

"คือนิกายนี่ที่แท้ก็เป็นเรื่องของวินัยสงฆ์?"

"เรื่องของคำสอนด้วย เถรวาทยึดเอาหลักการสอนจากพระพุทธพจน์เป็นเกณฑ์ทั้งทางโลกและทางธรรม จะปรุงแต่งอะไรก็มีพระพุทธพจน์มาเป็นลู่ทาง ไม่แสดงอภินิหารฉีกแนวไปคนละแพร่ง แต่สำหรับมหายานนั้นบางครั้งก็เอาปัญญาของอาจารย์แต่ละนิกายย่อยเป็นหลัก ซึ่งบางคราวได้ผู้รู้จริงมานำก็พอทำเนา แต่บางทีได้ผู้รู้เทียมมาจูงก็นับเป็นคราวเคราะห์ เพราะตั้งต้นว่าจะไม่เชื่อตำราเสียแล้ว ก็ต้องไปเชื่อเอาตามเจ้ากูที่ตนเลื่อมใส ดีเลวผิดถูกอย่างไรก็ฝากไว้กับผู้เป็นใหญ่ในนิกายนั้นลูกเดียว"

"งั้นเถรวาทเราเชื่อได้ยังไงฮะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกบิดเบือน ไม่ได้ถูกดัดแปลงโดยเจ้ากูที่ถูกอำนาจความถือดีครอบงำในแต่ละยุค เวลามันผ่านมาเป็นพันๆปีอย่างนี้?"

"ดูกันที่หลักปฏิบัติใหญ่ๆในวงของศีล สมาธิ และปัญญา ถ้ากี่คนๆตั้งใจปฏิบัติจริงแล้วได้ดี  ไม่เสียสติ ห่างจากการครอบงำของกามคุณ บรรลุถึงความสว่างแจ้งพ้นทุกข์ได้อย่างปลอดภัยตาม พุทธประสงค์ อย่างนี้ก็นับได้ว่าถูกต้องตามพุทธพจน์แน่”

เกาทัณฑ์พยักหน้าหงึกหงัก จับทางได้แล้วว่าเพียงอยู่ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อการพ้นทุกข์ ปู่สามารถตอบปัญหาได้ครอบจักรวาล เพราะนี่คือจุดใหญ่ใจความของพุทธแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของสำนวนโวหารหรือวิธีถกเถียงด้วยการยกประเด็นใดๆขึ้นมาตั้ง

“พูดก็พูดเถอะนะครับ ข่าวเสียหายที่เกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาเรามาจากน้ำมือของคนห่มผ้าเหลืองของทั้งฝ่ายเถรวาทและมหานิกาย อย่างนี้พอแสดงได้หรือเปล่าว่าหลักปฏิบัติไม่ได้เป็นประกันอะไรเลย ขึ้นอยู่กับบุคคลเสียมากกว่า ปู่บอกว่าความแตกต่างระหว่างมหายานกับหินยานคือวินัยและหลักคำสอน ทีนี้ถ้าพวกที่ลากๆกันบวชนั่นแค่ประกาศตัวว่าเป็นเถรวาทหรือหินยานโดยขาดใจยึดวินัยและหลักคำสอน ผลก็เหมือนกันนั่นเอง อยู่ฝ่ายเดียวกันคือขอลดหย่อน ขอพังกรอบที่พระพุทธเจ้าวางไว้…อย่างนี้โลกยุคเราที่มันสืบสันดานแบบเดียวกันหมดควรมีแค่หลักธรรมแบบเถรวาทไว้ศึกษากันตามใจสมัครดีไหมครับ? มีวัดยิ่งดึงศรัทธาคนให้ตกต่ำลงเปล่าๆ”

“ไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ จริงอยู่บ้านเมืองเรากำลังเต็มไปด้วยลูกชาวบ้านห่มผ้าเหลือง เข้าใจแค่กติกาว่าบวชเพื่อนุ่งห่มจีวรออกเดินรับข้าวและนอนสบายในที่พัก แต่ก็ยังมีคนรู้แจ้งและเข้าใจจริงถึงข้อตกลงที่ว่าเรามีวัดไว้เป็นเขตแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างสงฆ์กับฆราวาส ฝ่ายฆราวาสเต็มใจสร้างบริจาค เพื่อรักษาคำสอนที่เชื่อตรงกันว่ามีค่ายิ่งกว่าเงินทองซึ่งถูกแปลงเป็นโบสถ์ศาลาและข้าวถวายพระ ฝ่ายสงฆ์เป็นฝ่ายรักษาคำสอนไว้ด้วยการปฏิบัติอย่างเต็มที่ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะต้องแก่งแย่งชิงดีทางการงานกับใคร ปฏิบัติได้เย็นแค่ไหนก็เอามาพรมแจกญาติโยมด้วยธรรมเทศนาที่มาจากความรู้จริง

ทีนี้ถ้าคิดตัดโอกาสด้วยการรื้อถอนวัดวาอารามหมด เพียงเพราะเห็นว่าบ้านเมืองเรามีนักบวชทุศีลครองวัดกันมากนัก ก็เป็นอันว่ายอมรับพร้อมกันว่าทุกคนเห็นแต่นักบวชทุศีล ไม่เหลือใครเห็นค่าของหลักธรรมคำสอนอีกแล้ว ไม่ต้องเปิดทางให้คนปรารถนาจะเข้าให้ถึงธรรมด้วยทางตรงอีกแล้ว ไม่ต้องการฐานะอ้างอิงให้มีฝ่ายนั่งอยู่สูงเพื่อพูดถึงของสูงอีกแล้ว

คิดดูนะเต้ ถ้าหลวงตาแขวนนั่งอยู่ในบ้าน เป็นคุณตา เป็นคนชราสูงอายุที่อาจเกษียณแล้วหรือยังต้องทำงานงกๆเงิ่นๆ แกจะเอาธรรมเนียมอะไรมาก้มลงกราบไหว้ท่านให้สมกับความเคารพบูชาสุดหัวใจ แกคิดว่าท่านจะมีเวลาสั่งสมตบะเดชะจนแก่กล้าขนาดที่ใครนั่งใกล้ก็ถูกดึงดูดให้ใจคล้อยลงเป็นสมาธิได้ขนาดนั้นหรือเปล่า? คำสอนในคัมภีร์เป็นสิ่งที่ทุกคนอ่านได้เหมือนกันก็จริง แต่กี่คนสามารถนำมาปฏิบัติให้เข้าถึง ทั้งที่ยังต้องแย่งงาน แย่งตำแหน่ง มุ่งหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆอย่างเราๆ”

เกาทัณฑ์ย่นคิ้วตรองตาม อดคิดไม่ได้ว่าที่สุดก็ต้องยอมให้กาฝากกลุ่มใหญ่ตักตวงประโยชน์จากช่องว่างที่เปิดไว้ไปเรื่อยๆอย่างนั้นหรือ? เกือบถามปู่ไปว่าอย่างนี้ควรแก้ไขอย่างไร แต่ก็นึกได้ว่าปมนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ด้วยการถามตอบง่ายๆในบ้านหลังหนึ่ง ที่คู่สนทนาปราศจากบทบาทสำคัญในสังคมระดับประเทศ ระบบการกลั่นกรองบุคคลเข้าสู่มรรคาของสงฆ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องทำกันจริงจังในยุคที่ธรรมเป็นใหญ่ ผู้คนเกรงกลัวบาปเองโดยไม่ต้องพร่ำสอนกันมาก จู่ๆจะหวังให้มีใครคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาปรับเปลี่ยนระบบสงฆ์ให้เข้าลู่เข้าทางทั้งหมดในเดือนเดียวปีเดียวนั้น มันเหลือวิสัยเป็นอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มหรี่ตานิดหนึ่ง เลี่ยงถามมาอีกทาง

"เมื่อพ้นทุกข์แล้วไม่มีตัวตน เราจะพ้นไปทำไมฮะปู่? เราเพียรปฏิบัติธรรมไปก็เพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์และมีสุข แต่เห็นอยู่ว่าบั้นปลายของการปฏิธรรมในศาสนาพุทธไม่มีตัวตนหลงเหลือไว้รับรางวัลอันหวานชื่นเสียแล้ว แบบนี้จะทุกข์แบบเก่าหรือสุขแบบใหม่มันก็ครือๆกันนั่นเอง"

“จับทางใหม่นะเต้ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยประเด็นของอัตตาและการดับอัตตา เพราะฉะนั้นหากต้องการตระหนักถึง ‘รางวัล’ อันเป็นปลายทางของพุทธ แกต้องเริ่มต้นที่นี่ ฟังท่านแจกแจงว่าอย่างไรเรียกทุกข์ อย่างไรที่จิตเป็นทุกข์ อย่างไรคือการเวียนว่ายหลงลืมแล้วกลับจำอยู่กลางน้ำขึ้นน้ำลง มีเพื่อหมด พบเพื่อพราก อยู่เพื่อไป เกิดเพื่อตาย วนกลับสลับไปสลับมาแล้วๆเล่าๆ

ผู้ปฏิบัติถึงธรรมย่อมเห็นว่าโดยแท้แล้วเราคือจิตที่หลงแล่นไปด้วยความไม่รู้ สร้างโลกสร้างตัวตนขึ้นมาแบกไว้อย่างไร้แก่นสาร ตัวตนหนึ่งสร้างกรรมให้อีกตัวตนหนึ่งรับผล อย่างเช่นที่แกกำลังรับผลหลายๆอย่างจากความคิดของวัยเด็ก จากการกระทำของร่างกายเมื่อยังเล็ก ตัวตนในวัยเด็กของแกมันแปรไปแล้ว สลายตัวไปหมดแล้ว แกลืมอะไรๆในช่วงนั้นไปหมดแล้ว แต่ตัวตนของแกในตอนนี้ ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ ยังต้องมาเสวยผลที่ทำไว้ในครั้งก่อนอยู่"

เกาทัณฑ์คิดถึงแผลเป็นบางแห่งในร่างกาย อันเป็นของฝากจากความคะนองในวัยเด็ก นึกถึงเพื่อนร่วมก๊วนตอนสิบขวบคนหนึ่งที่ตาบอดเพราะเล่นขี่จักรยานผาดโผนกับเขา หมอนั่นยังเป็นไอ้ตาเดียวที่น่าสงสารมาจนถึงทุกวันนี้ ทั่งที่ร่างกายและจิตใจเติบโตเปลี่ยนแปลงจากวัยซนมาแล้วเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

ตัวตนในวันนี้มาจากตัวตนเมื่อวาน…

"ถึงไม่พ้นทุกข์ ไม่เข้าถึงธรรม ก็ไม่มีตัวตนไหนได้รับผลที่มันสร้างขึ้นอย่างถาวรอยู่แล้วล่ะเต้เอ๋ย มันเป็นความสืบเนื่องของธรรมชาติที่หลอกจิตเราให้หลงละเมอเพ้อพกเรื่องตัวตนเดิม ตัวตนเดียวไปวันๆเท่านั้น ไอ้ที่เห็นเราเป็นเรานี่แท้จริงคืออุปาทานที่เกิดสืบเนื่องเหมือนคลื่นทะเล หลอกตาให้เห็นเป็นลูกคลื่นเดียวกันวิ่งเข้ามา ทั้งที่ความจริงเป็นน้ำคนละกลุ่มแท้ๆ”

ปู่ชนะกระแอมทีหนึ่ง

"หากมีพลังสติพอจะสนับสนุนการพิจารณากายและจิตตามจริง ตัดคิดตัดความหมายจำตัวตนที่ผ่านมา เหลือแต่กายใจที่ปราศจากชื่อแซ่ในวินาทีนี้ ความจริงในเรื่องความไร้ตัวตนจึงปรากฏให้จิตประจักษ์ได้สมเหตุสมผล เมื่อพิสูจน์ความจริงเบื้องต้นได้อย่างนี้ จิตจึงค่อยเชื่อว่าการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากทุกข์ จากอุปาทานอย่างถาวรนั้นคือสิ่งควรพยายาม เพราะจิตนี้เองเที่ยวทุกข์ไปในตัวตนต่างๆที่มันสร้างขึ้น ไม่มีตัวตนไหนหรอกที่ตามไปทุกข์กับจิตด้วย ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาสามารถเห็นชัดเป็นขณะๆว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ เราไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาด้วยเจตนาดับตัวตน เพราะไม่เคยมีตัวตนให้ดับ เราต้องการดับอุปาทานว่ามีตัวตน อันเป็นปัจจัยของการสืบสายทุกข์ต่างหาก”

"แล้วตัวจิตตัวใจของเราอยู่ที่ไหนกันแน่ล่ะครับ ตอนยังเป็นทุกข์กับตอนที่ดับทุกข์แล้วมันอยู่ตรงที่เดียวกันหรือเปล่า?"

"ตรงที่เดียวกัน"

"ตรงไหนครับ?"

"ตรงที่มันรู้น่ะซี"

เกาทัณฑ์เอนหลังพิงพนัก เกิดประสบการณ์เห็นจิตทั้งยังลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ตรงที่กำลังรู้อยู่เดี๋ยวนี้เองคือจิตของเขา เอ…หรือของธาตุรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ?

คลื่นความคิดอีกระลอกหนึ่งทยอยไล่เข้ามาแทนที่ การมีอุปาทานเห็นตัวเห็นตนนี้น่ะหรือคือทุกข์? เขามีอุปาทานติดตัวมาแต่เกิดจนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นมีทุกข์อะไรที่ทำให้อยากบวชหนีโลกเลย เขาพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ ถ้าเจอปัญหาใหญ่เล็กก็แก้ตกได้ง่ายๆเสมอ และที่สำคัญคือรู้จักวิธีโกยสุขสารพัดรูปแบบ ไหนกันที่น่าหนี?

หากมองตามความเหลื่อมล้ำที่แต่ละคนมีความสามารถจัดการกับทุกข์ เผชิญหน้ากับทุกข์เช่นนี้ ก็แปลว่าประเด็นหลักของศาสนาพุทธไม่เป็นสาธารณะเท่าไหร่ อย่างน้อยก็มิได้มีประโยชน์กับคนที่มีความสุขพอตัวอยู่แล้วอย่างเขา

แล้วคำตอบของปู่ก็ผุดขึ้นในใจอย่างรู้โดยไม่ทันต้องถาม ปู่จะบอกว่าเมื่อไหร่เจอทุกข์ที่ฉลาดแค่ไหนก็แก้ไม่ตกถึงจะรู้สึก มุมมองแบบของเขาต่างกับพระพุทธเจ้าและสาวก อย่างเขาแค่อยากแก้ทุกข์ไปวันๆ แลกกับการได้บริโภคกามคุณเป็นพอ แต่อย่างพระผู้รู้ท่านแก้ทุกข์ระยะยาว แก้ทีเดียวจบ สุขแล้วสุขเลยไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเขาพอใจจะอยู่บริโภคกามของเขาอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของทางเลือกอันเป็นสิทธิ์เฉพาะ ตราบใดที่ความดับทุกข์สนิทไม่ปรากฏเป็นข้อเปรียบเทียบ ตราบนั้นเขาก็ยังคงเลือกสิ่งที่ง่าย สิ่งที่เห็นเองด้วยตาเปล่า อันเป็นวิสัยปกติของคนทั่วไป

พยายามนึกถึงประเด็นโน้นประเด็นนี้ แต่ทุกประเด็นก็ได้ยินคำตอบของปู่ผุดขึ้นมาดักคอกลางสมองไปเสียหมด ในที่สุดจึงแบมือทั้งสองออกกว้าง

"มีอะไรมั่งไหมฮะที่ปู่ยังไม่รู้เกี่ยวกับตื้นลึกหนาบางของพุทธศาสนา?"

ถ้าปู่ตอบว่า 'ไม่มี' เขาอาจจะยอมเชื่อก็ได้ แต่กลับกลายเป็นว่า

"บานตะเกียง" ปู่ตอบยิ้มๆ "ความรู้ในวงพุทธนั้นลาดลึกและห่างพ้นจากคำพูดไปเรื่อยๆ ยิ่งเรียนมากยิ่งรู้มาก คิดมาก เทียบกับท่านแขวนแล้วฉันรู้แค่หางอึ่ง"

เกาทัณฑ์ยิ้มเหมือนพอจะนึกออก

"งั้นก็แปลว่าหลวงตาแขวนท่านรู้มาก รู้ครบล่ะสิฮะ”

"ยังไงไม่ทราบ เคยถามอยู่เหมือนกัน เห็นท่านบอกว่าตัวท่านเหมือนขี้เล็บในซอกหัวแม่ตีนอาจารย์ ถึงท่านพยายามเรียนเท่าไหร่ๆก็ขึ้นมาไม่พ้นหัวแม่ตีนอาจารย์สักที"

"โอ้โฮ" เกาทัณฑ์แกล้งร้องออกมา "อย่างนี้ผมก็มีความรู้แค่น่องกิ้งกือมั้ง"

ปู่หัวเราะหึๆ เงียบไปพักหนึ่ง

“ถ้าว่ากันแบบโลกๆน่ะ รู้มากรู้น้อยวัดกันด้วยการสอบ การตอบคำถามปากเปล่าแล้วจัดอันดับเชิดชูยกย่องขึ้นแป้นหนึ่ง สอง สามได้ง่ายอยู่ แต่ทางธรรมแท้น่ะ เทียบรู้กันด้วยนิ่ง เทียบความเข้าถึงกันด้วยความสงบ หากสงบได้ราบคาบถาวร ก็ถือว่าชนะเหมือนกัน ครองฐานะเท่าเทียมกัน ขอให้รู้เอาตัวรอดจากทุกข์ได้อย่างเดียว จะรู้มากกว่านั้นเท่าไหร่ไม่สำคัญเลย"

"แปลว่าผมยังไม่รู้จักเอาตัวรอดจากทุกข์ ก็ถือว่าผมยังไม่รู้อะไรในความเป็นพุทธเลยใช่ไหมฮะ?"

"ก็คล้ายๆอย่างนั้น"

เกาทัณฑ์ถอนหายใจเฮือก ประตูห้องของแพตรีเปิดออก มีผลให้เขาลืมปู่ชนะไปในบัดดล หญิงสาวอยู่ในอีกชุดหนึ่งต่างกับเมื่อครู่ เป็นเสื้อกระโปรงสีฟ้าอ่อนเข้ากัน

"จะทานมื้อเที่ยงไหมคะปู่?"

ปกติชายชราทานแค่มื้อเช้ากับมื้อเย็นร่วมกับหล่อน แต่ในวันเสาร์อาทิตย์อย่างนี้ก็ไม่แน่ ถ้าหิวท่านก็จะทาน ถ้าไม่หิวก็ให้หล่อนทานเองคนเดียว

"เอา...เผื่อให้เต้เขาที่หนึ่งด้วย"

"ค่ะ"

หญิงสาวรับคำแล้วก้าวลงบันไดไป เกาทัณฑ์รีบบอกปู่ทันทีที่ร่างหล่อนลับตา

"ให้ผมลงไปช่วยแพนะครับ"

โดยไม่ต้องมีมารยาทรอแม้แต่อาการพยักหน้าของปู่ แค่ขาดคำร่างสูงก็ย้ายผลุบลงจากเรือนไปทันใด

มาทันหญิงสาวเมื่อหล่อนเข้าห้องครัวแล้ว แพตรีเหลียวหลังมาเห็นเกาทัณฑ์เข้าก็แปลกใจ ส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถาม เมื่อเห็นเขาไม่พูด เอาแต่ยิ้มยิงฟันก็สอบว่า

"ต้องการอะไรคะ?"

"ปละ...เปล่า"

"งั้นตามดิฉันลงมาทำไม?"

หล่อนเคยนิ่มนวลเช่นไรก็ยังคงนิ่มนวลเช่นนั้น ทว่าถ้อยคำที่ส่งออกมาแสดงออกถึงความต้องการช่องว่างอย่างเห็นได้ชัด

"ตามลงมาดูว่าผมจะพอเป็นลูกมือแพบ้างได้ไหม ผมทำกับข้าวเก่งนะ"

"ไม่รบกวนหรอกค่ะ ดิฉันตั้งใจจะทำข้าวผัดง่ายๆ ทำคนเดียวก็พอ"

"ผมคอยช่วยแพจัดจานชาม ยกถาดก็แล้วกัน"

"แค่สามจานเบานิดเดียว ปล่อยเป็นหน้าที่ดิฉันดีกว่า ไปนั่งคุยกับคุณปู่ต่อเถอะนะคะ"

พูดแล้วก็หันไปจัดข้าวของ นำจานถั่วฝักยาวมาหั่นเป็นท่อนสั้นๆที่โต๊ะกลาง ชายหนุ่มยิ้มกริ่มยืนอยู่ที่เดิม หล่อนไล่ด้วยคำพูดปฏิเสธการต่อรองเสนอตัวของเขา ทว่ามิได้หันมาสำทับด้วยสายตาจริงจังแต่อย่างใด คงแปลว่าถ้าเลือกที่ยืนดีๆ ก็คงไม่ถูกมองว่าเกะกะเท่าไหร่

ครู่หนึ่งเมื่อสำเหนียกรู้ว่าเขาปักหลักกับที่แน่ แพตรีก็พึมพำ

"เราทานอาหารมังสวิรัติกัน อาจไม่ถูกปากคุณ"

"งั้นหรือฮะ" เกาทัณฑ์เบิกตาเล็กน้อย "อยากรู้เหมือนกันว่าอาหารมังสวิรัติรสชาติเป็นยังไง เผื่อติดใจอาจคิดทานไปเรื่อยๆมั่ง"

พูดพลางวิตกเล็กๆ รู้จักหล่อนเพิ่มขึ้นอีกนิด ในแง่มุมที่ค่อนข้างน่าลำบากใจ แค่นึกว่าวันหนึ่งถ้าพาไปทานข้าวมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นนอกบ้าน จะหาร้านมังสวิรัติที่ไหนดีก็เหนื่อยแล้ว

“แพกับปู่คงเคร่งน่าดูเลย ออกข้างนอกก็ทานกันอย่างนี้หรือฮะ?”

เกาทัณฑ์ถามให้ฟังปกติ แพตรีไม่ทันคิดว่าเขาถามด้วยความกังวลไปถึงอนาคตก็ตอบตามซื่อ

“ค่ะ”

“คงหาร้านยากเหมือนกันใช่ไหม?”

พูดแล้วนึกได้ว่านั่นเป็นการถามเชิงบ่นในเรื่องส่วนตัวหล่อนก็รีบเปลี่ยนเรื่อง

"ผมถือว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณแพเรื่องหนึ่ง"

ชายหนุ่มทอดตามองงานในมือแม่ครัวสาว ชอบกิริยานิ่มนวลทว่าฉับไวชวนมองเพลินอันเป็นหนึ่งในคุณลักษณ์ของหล่อน ท่าทางแพตรีคงเก่งงานบ้านไปทุกอย่าง

"เรื่องอะไรคะ?”

เกาทัณฑ์ถอยเท้าไปพิงขอบโต๊ะ ยกแขนกอดอก

"แพนำผมไปพบกับพระดี เชื่อไหมว่าตอนนี้ผมฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว?"

หญิงสาวเงียบเป็นครู่ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบานุ่มทว่ามีกังวานและน้ำหนักจริงใจ

"อนุโมทนาด้วยค่ะ"

วางมือจากมีดแล้วหันไปตั้งกระทะ เทน้ำมันพืชและเจียวกระเทียมบนเตา

"ไม่ถามหรือฮะว่าผมเรียนอะไรมาบ้าง ถึงอ้างได้ว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน"

"ค่ะ ถาม...คุณเรียนอะไรมาบ้างคะ?"

ชายหนุ่มหัวเราะตาเป็นประกาย คำพูดของแพตรีมีเสน่ห์บางชนิดที่ตรึงใจคนฟังอย่างละเมียดละไม อยู่ใกล้หล่อนเหมือนห่างไกลออกมาจากสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยินมาก่อนทุกอย่าง

"ท่านสอนให้ผมทำสมาธิ และตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าพระดีท่านบวชกันเพื่อกิจชนิดไหน"

ด้วยสติสตังในขณะนั้น เกาทัณฑ์รู้สึกตัวขึ้นมาว่ากำลังจะทำตนเป็นฆ้องที่อยู่ๆก็ดังขึ้นเอง อยากคุยโวจนคันปากยิบๆว่าได้ลุถึงสมาธิระดับใด รวดเร็วน่าอัศจรรย์ปานไหน แต่ก็ประจักษ์ใจในบัดนั้นว่าเรื่องสมาธินี่เอามาอวดกันเหมือนโชว์ฟอร์มเด่นในเกมกีฬาไม่ได้ มันเป็นของข้างใน พูดออกไปแล้วคนฟังจะรับอะไรนอกจากฝอยน้ำลาย

ด้วยดำริประการฉะนี้ เกาทัณฑ์จึงเบนเข็มไปสรรเสริญผู้อื่นเสียแทนความอยากโอ้อวดฤทธิ์เดชในตน

"อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนวัยรุ่นผมเคยเข้าคอร์สฝึกสมาธิกับเขามาแล้วแต่เหลว นึกด้วยซ้ำว่าคงเอาถ่านทางนี้ไม่ไหว ใจมันคะนองเกินกว่าจะบังคับตัวนั่งนิ่งๆยังกับถูกสาปให้เป็นใบ้ มาวันนี้เพราะพระที่ทรงคุณอย่างหลวงตาแขวนแท้ๆทำให้ผมตาสว่าง ได้รู้จักรสชาติหวานชื่นของสมาธิกับท่านบ้าง ถึงจะเตาะแตะไม่ประสีประสาเท่าไหร่ ก็นับได้ว่าเริ่มอยากสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเองบ้างแล้ว”

เว้นจังหวะนิดหนึ่ง เอียงคอเพ่งตานิ่ง หวังว่าหล่อนจะเหลียวมามอง แต่ก็เปล่า

“และจะใครถ้าไม่ใช่แพ ที่นำผมไปพบกับหลวงตาแขวน ผมจึงถือว่าแพมีบุญคุณกับผม ผมจะจำไว้"

"เป็นวาสนาของคุณต่างหากล่ะคะ ดิฉันไม่ได้มีส่วนช่วยด้วยเจตนาสักหน่อย อยู่ๆก็เป็นธุระขนถังสังฆทานให้เอง"

พูดเท้าความถึงวันที่เขาเจ้ากี้เจ้าการอาสาช่วยเหลือโดยหล่อนไม่ได้วานขอ พลางตักข้าวจากหม้อหุงซึ่งอุ่นและทิ้งให้เย็นล่วงหน้าไว้แล้วลงกระทะน้ำมันร้อนได้ที่ ตามด้วยเครื่องปรุงอื่นๆพวกถั่วฝักยาว ถั่วแดง ถั่วลิสง ซอส ซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทราย ลงตะหลิวผัดคลุกแกร๊กๆ

"อือม์ จริง นึกได้ล่ะ เพราะความยุ่มย่ามอยากช่วยเหลือคนดีอย่างแพ จึงนำผลดีๆกลับมาตอบแทนอย่างนี้"

เกาทัณฑ์เออออรับยิ้มๆ

"รู้ไหม ผมเคยได้ยินมานะ ว่าเข้าใกล้คนมีบุญนี่จะมีจิตใจเป็นบุญตาม ผมก็ฟังแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอก เพราะตลอดมาเคยแต่เข้าใกล้คนมีจิตใจชุ่มบาปด้วยกัน และผมก็คงพบเห็นอยู่แค่นั้นตลอดไป ถ้าวันก่อนผมไม่คิดมาเยี่ยมปู่ที่นี่"

หล่อนง่วนผัดข้าวหอมฉุยโดยไม่โต้ตอบ เกลี่ยข้าวไปรอบกระทะ เหลือที่ว่างตรงกลางเติมน้ำมันตอกไข่ใส่ รอจนเหลืองจึงนำข้าวกลับมาผัดคลุก

เกาทัณฑ์มองหล่อนทำอาหารจากด้านหลังแล้วเกิดความรู้สึกแสนดี สาวที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนสมัยนี้หายาก แบบแผนของสังคมรุ่นใหม่เลิกยกย่องเสน่ห์ปลายจวักของเพศหญิงมานานแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกุ๊กตามเหลาตามร้านนอกบ้านไป นานๆแหละถึงเจออย่างแพตรีที่หน่วยก้านบอกเลยว่าใช่อะไรที่เขาเรียกแม่ศรีเรือน ผู้ทำให้บ้านมีความหมายในใจเหนือกว่าอิฐปูนคุ้มแดดคุ้มฝน

"ผมอยากได้ส่วนบุญจากแพบ้าง...นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเปรตนะ อย่าเข้าใจผิด เป็นมนุษย์นี่แหละ แต่ยังไม่ประสาเรื่องบุญเรื่องกุศลเท่าไหร่ ต้องพึ่งพาคนอิ่มบุญอย่างแพไปก่อน"

เห็นเสี้ยวหน้าของหล่อนจากมุมเยื้องว่ายิ้มขันในวิธีพูดของเขา โดยพื้นฐานแล้วแพตรีน่าจะเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ธรรมะในจิตใจเท่านั้นที่ยกหล่อนขึ้นสูงจนเหมือนเกินเอื้อม

"ถ้าได้แพเป็นกัลยาณมิตร เป็นพี่เลี้ยงคอยชี้นำ คอยบอกว่าอย่างนี้ชอบ อย่างนี้ไม่ชอบ วันหน้าผมคงไปรอด ไม่โดนมารฮุบไปกินเสียก่อนถึงฝั่ง"

"คุณก็ศิษย์มีอาจารย์ อย่ามาถ่อมตัวรับการตักเตือนติติงจากดิฉันอีกเลย"

"อาจารย์อยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลาไม่ได้นี่ฮะ"

พูดเฉียดๆจะลดเลี้ยว คล้ายบอกว่าต่อไปอยากให้หล่อนอยู่กับเขาตลอดเวลา และเป็นธรรมดาที่แพตรีคงพบกับพวกช่างเกี้ยวมาแต่แรกสาว หล่อนจึงพอจะไหวตัวทันและสงบคำไป

"ผมเชื่อว่าใจบุญอย่างแพยินดีช่วยคนเพิ่งเริ่มหัดว่ายน้ำให้เอาตัวรอดได้แน่ๆ จริงไหม?”

หญิงสาวเงียบอย่างคิดหาคำพูด ที่สุดก็เอ่ยออกมา

"อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ แพ...ดิฉัน..."

เกาทัณฑ์หูผึ่ง ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเต็มปาก อย่างนั้นซี่แม่เอ๋ย ใจหล่อนคงเริ่มรู้สึกคุ้นสนิทกับเขาแล้ว ถึงเผลอเรียกชื่อเล่นตัวเองออกมา ประเดี๋ยวเถิด เขาจะพังกำแพงที่หล่อนตั้งขึ้นกั้นชายแปลกหน้าให้สำเร็จในเร็ววัน

"เกรงว่าคุณจะเข้าใจบางอย่างผิดไป ดิฉันยังไม่ได้ดีอะไรเลย ใจยังมีกิเลสอยู่มาก รู้สึกว่ายังบุญน้อย ไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยใครให้ได้ดีขึ้นมา"

"บ้านนี้ชอบถ่อมตัวกันจัง แพกับปู่ถ่อมตัวทีไรผมสะดุ้งทุกที ถ้าอย่างแพบุญน้อย ผมไม่กลายเป็นองคุลีมาลเหรอะ"

แพตรีปล่อยหัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง ที่ตรงนั้นเกาทัณฑ์คิดว่าหล่อนเริ่มมาอยู่ในบรรยากาศของเขาบ้างแล้ว

“ท่านองคุลีมาลความจริงเป็นคนดีนะคะ ที่พลาดผิดไปชั่วขณะ ไล่ฆ่าคนไม่เลือกหน้าก็เพราะถูกหลอกให้อยากได้วิชา เมื่อพบพระพุทธองค์แล้วก็สำนึกเร็ว และออกถือบวชจนสำเร็จมรรคผลขั้นสูงสุด เป็นพระผู้หมดกิเลสในเวลาอันสั้น เราต้องกราบไหว้บูชาฐานะสุดท้ายของท่านเท่าพระอรหันต์องค์อื่น”

"อ๋อ…ฮะ"

เกาทัณฑ์ครางรับรู้ ผู้ศรัทธาจริงย่อมละเอียดอ่อนแม้กับสิ่งที่ถูกมองข้ามโดยคนหมู่มาก ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

“ผมต้องเร่งทำความดีให้เร็วหน่อยเหมือนกัน ไม่งั้นเดินไปเดินมาในบ้านนี้อยู่ดีๆ…อาจถูกธรณีสูบจ๊วบเดียวหายไปเลย”

เขาทำทีวิตกร้อนตัวและใช้สุ้มเสียงได้น่าขัน ส่งผลคือหญิงสาวยืนหัวเราะร่วนให้ได้ยินเป็นครั้งแรก เกาทัณฑ์นิ่งฟังด้วยนัยน์ตาเป็นประกายสุข อึดใจต่อมาหล่อนจึงหยุด หยุดแบบเงียบไปเฉยๆ ก่อนเหลียวหน้ามาหาเขาเนิบช้า สบตาและส่งยิ้มให้

"ส่งจานให้หน่อยสิคะ"

เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง สะบัดมองซ้ายขวารวดเร็ว เมื่อเห็นชั้นวางจานก็รีบก้าวไปหยิบมาสามใบ แล้วเข้าไปยืนรีรอใกล้ๆเตรียมยื่นส่ง เมื่อแพตรีผัดจนร้อนทั่วแล้วก็หันมารับจานจากเขาไปตักข้าวใส่ทีละใบ

ใกล้หล่อนเพียงก้าวเดียว รู้สึกเย็นเข้าไปถึงกลางอก หล่อนคนนี้แน่แล้วที่เขาต้องการ หวั่นใจก็แต่ว่าเขาอาจไม่เป็นที่ต้องการของหล่อน ครั้งเมื่อแพตรียังอยู่ในวัยช่างฝัน ไม่รู้จักโลก ไม่ซึ้งรสธรรมะ เห็นเด็กหนุ่มรูปงามเป็นเจ้าชายในนิทานไปหมด เขาเคยทำลายความรู้สึกของหล่อนมาแล้วด้วยสีหน้าเย็นชาตอบยิ้มทอดไมตรี เข้าใจดีว่าหล่อนเคยรู้สึกอย่างไร เดาไม่ถูกเท่านั้นว่าเดี๋ยวนี้ยังจำยังย้ำคิดแค่ไหน ความหลงที่กลายเป็นเกลียดของผู้หญิงส่วนมากยากนักจะแก้กลับให้เป็นตรงข้าม

เกาทัณฑ์เป็นคนนำจานข้าวมาวางบนโต๊ะ เพียงเห็นข้าวเรียงเม็ดสวยและได้กลิ่นหอมโชยแตะจมูกก็รู้เลยว่าอร่อย แพตรีเอามะเขือเทศมาใส่พร้อมแตงกวากับผักกาดหอม ระหว่างที่หล่อนจัดหน้าให้ดูดีอยู่นั้น เขาก็ช่วยหยิบกระปุกพริกไทย น้ำส้ม น้ำตาล กับซีอิ๊วขาวซึ่งผู้นิยมมังสวิรัติใช้แทนน้ำปลามาวางร่วมกันในถาดเล็ก ปากก็ถามเอื่อยๆ

"บอกได้ไหม ที่สุดของความพอใจสำหรับแพคืออะไร?"

เมื่อเขาทำท่าเข้าใกล้เกินจำเป็น แพตรีก็ขยับห่างไปยืนล้างมือที่อ่างอะลูมิเนียมอีกทาง

“การได้อยู่อย่างสบายใจ ไม่มีใครมาเบียดเบียนมั้งคะ”

ชายหนุ่มตะแคงหน้ามอง ยิ้มมุมปาก หล่อนยืนหันหลังให้เขาอีกแล้ว เชื่อเชียวล่ะว่าผู้หญิงคนนี้อยู่คนเดียวได้ด้วยความสุขกับตัวเองตามลำพัง เสียงที่หล่อนใช้ตอบแฝงสำเนียงปิดกั้นการพยายามตีสนิทของเขาค่อนข้างชัด เกือบล้อว่าถ้าชอบอย่างนั้นสงสัยต้องไปอยู่ป่าแบบทาร์ซาน แต่ไม่แน่ใจว่าหล่อนจะขำด้วยหรือเปล่า เลยพูดอีกอย่าง

“สันโดษดีนะ คงต้องขอวิธีปฏิบัติจิตให้เกิดความสุข ความพอใจจะได้อยู่คนเดียวแบบแพบ้าง ทุกวันนี้ผมค่อนข้างจะติดเพื่อน ติดญาติมากไปหน่อย”

หญิงสาวปิดน้ำ เช็ดมือกับผ้าบนผนัง แล้วหยิบถาดใหญ่จากชั้นวางเดินกลับมาที่โต๊ะ ระหว่างทางก็ตอบว่า

"คุณเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวนแล้วนี่คะ สักวันดิฉันอาจต้องถามขอวิธีปฏิบัติจิตให้เกิดความสุขจากคุณบ้างก็ได้"

"ถึงวันนั้นผมก็คงบอกแพทันทีว่า...จงเป็นตัวเองต่อไป"

"ดิฉันก็จะตอบค่ะว่า...แค่นั้นไม่พอหรอก"

เมื่อจัดจานใส่ถาดเรียบร้อย แพตรีทำท่าจะยกขึ้น

"ให้ผมยกไปเถอะครับ"

แขนมาซ้อนกันแนบเนื้อแตะเนื้อนิดหนึ่ง หญิงสาวรีบหลีกตัวออกมาอย่างทราบเจตนาล่วงเกินของอีกฝ่าย เกาทัณฑ์หันไปพบแววระคางในดวงตาคู่งาม จึงรู้ตัวว่าพลาดไปหน่อย อดใจไม่ไหวจริงๆที่จะแตะต้องตัวสักนิดเมื่อสบโอกาส

วันหนึ่งเขาจะเป็นเจ้าของทั้งหมดที่เป็นหล่อนไม่ว่ากายหรือใจ


บทที่ ๑๐  ผู้วิเศษ

มหานครยามราตรีดูสวยแพรวจากมุมมองบนตึกสูง เกาทัณฑ์ยืนระบายยิ้มรับลมเย็น มองแสงสีที่ตัดกับเงามืดยามค่ำคืนด้วยความรู้สึกอิ่มเอมแตกต่างไปจากที่เคย

ทบทวนช่วงเวลาสั้นๆที่ผ่านมา นับเริ่มจากฝันหลงทาง บันดาลใจให้อยากขับรถไปไกลตามลำพัง กระทั่งผ่านบ้านปู่ชนะ คิดเข้าเยี่ยมและพบกับแพตรี สืบสานไปถึงโอกาสอันประเสริฐได้ไปกราบไหว้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวน บุคคลและเหตุการณ์ต่างๆผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วทว่าร้อยรัดสนิทลึกราวกับรู้จักกันแล้วแสนนาน

ถึงวันนี้เขาเลิกฝันว่าหลงทางอย่างสิ้นเชิง จะเพราะบังเอิญแก้ต้นเหตุแห่งฝันทรมานไปอย่างไรก็ขี้เกียจสืบค้น รู้แต่ว่าชีวิตจริงๆที่กำลังดำเนินอยู่มันต่างไปจากเดิมมาก จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตามทีเถอะ

ความติดพันที่เกิดขึ้นกับแพตรีไม่ธรรมดาเลย หล่อนมีความหมายอย่างน่าฉงน จนเดี๋ยวนี้ก็แยกแยะและอธิบายให้ตัวเองเข้าใจไม่ได้ เห็นแต่ว่าชีวิตมันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในความจำความลืม รูปร่างหน้าตาของหล่อนเป็นแรงสะเทือนบางชนิดที่สะกิดให้เกิดความคุ้นแปลก เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้อยู่รอมร่อ แต่เค้นนึกจริงๆก็ติดอยู่แค่ความคุ้นเท่านั้น

เคยคิดเล่นๆเกี่ยวกับความเป็นเนื้อคู่ การเคยทำบุญร่วมกันมา หรือเป็นสามีภรรยาในอดีตชาติ โดยทั่วไปถ้าเชื่อเรื่องพวกนี้ก็จะทึกทักเพียงว่าคู่แล้วไม่แคล้วกัน เคยเป็นคู่ผัวตัวเมียมาก่อน ร่วมชาติกันมาก่อน ก็ต้องเป็นกันต่อไปในชาตินี้และชาติหน้า

แต่ถ้าลองมองโลกด้วยตาเปล่า ดูจากที่เห็นปรากฏอยู่จริงกับแก้วตาในชาติปัจจุบัน เขาเห็นแต่หญิงชายมากรัก มากคู่ทั้งนั้น ความหมายของการร่วมชาติ ร่วมชีวิตมันอยู่ที่ตรงไหน? เกี่ยวก้อยกันวันหนึ่ง นอนด้วยกันคืนหนึ่ง แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวสักปีหนึ่ง หรือต้องมีลูกให้ร่วมเลี้ยงดูกันอย่างน้อยสักคนหนึ่ง? เขารู้จักผู้ชายที่แต่งงานมีลูกมาสามหน หมายความว่าผู้ชายคนนั้นมีคู่ชีวิตที่ต้องตามกันไปเรื่อยๆสามคนอย่างนั้นหรือ?

หญิงชายต้องทำบุญร่วมกันสักแค่ไหนจึงเจอแล้วไม่แคล้วกัน เห็นปุ๊บจำได้ปั๊บว่านี่เองคู่เรา และมีโอกาสอยู่เรียงเคียงครองจนกระทั่งเห็นลมหายใจสุดท้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บุญแต่ละชนิดมีความแรงมากน้อยต่างกันเพียงใด เขาเคยทำสังฆทานกับแพตรีหนหนึ่งด้วยความปีติยินดียิ่ง แถมยังอธิษฐานกำกับว่าขอให้ได้ทำอะไรอย่างนี้กันอีกตลอดไป แค่นั้นพอหรือเปล่าสำหรับการไปร่วมบุญกันอีกในปรภพ?

หากภพชาติมีจริง ตายแล้วไปเกิดเป็นนั่นเป็นนี่อีกเรื่อยๆ ถ้าได้ดีเป็นเทวดาก็เดาง่ายอยู่หรอก คงครองกันอีกด้วยความสุขสมท่ามกลางสมบัติทิพย์อันวิลาส แต่หากจับพลัดจับผลูหล่นผลุลงไปเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่ หรือกระทั่งสัตว์นรก อย่างนี้จะต้องจับคู่อยู่ร้อนกินร้อนอีกหรือเปล่า?

ถ้านับตามบันทึกของพุทธ ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์ คนหนึ่งตายแล้วอาจไปนรก ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน มันขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น

ตรงข้าม คู่ผัวตัวเมียที่มีบารมีอันได้แก่ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาเสมอกัน หรือคล้อยตามกัน ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับร่วมกันเสมอๆ ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคงและเป็น ‘ตัวจริง’ ของกันและกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่

แต่เห็นคู่ไหนในโลกความเป็นจริงล่ะ ที่กลมเกลียวสนิทแนบ ไม่เขินอายกับการกล่าวอธิษฐานด้วยดวงใจอันแน่วแน่ ขอพบกันทุกชาติไป แค่ให้เชื่อว่าภพชาติมีจริงยังยากแล้ว แถมยังมาติดความน่าเบื่อเมื่อครองเรือนร่วมกันเข้าอีก ใครจะไปอยากเจอ ‘ไอ้แก่’ หรือ ‘อีแก่’ ข้างตัวบ่อยๆ เรื่องการผูกมัดจองตัวกันข้ามภพข้ามชาติด้วยแรงอธิษฐานจึงเป็นไปได้น้อยเท่าน้อย

และสมมุติว่าตามไปเจอกันข้ามชาติจริง พบใครสักคนที่รู้สึกว่า ‘ใช่’ จะเอาอะไรมายืนยันประกันถูกผิด เส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบสู่ประตูวิวาห์อย่างนั้นหรือ? ได้ยินว่าบางคู่เคยครองรักหวานชื่น แต่เพราะทำบาปร่วมกันบ่อยๆ พอเจออีกชาติเลยประสบแต่เรื่องร้าย บาดหมางกันเอง อย่างที่เขาเรียกว่า ‘ดวงไม่สมพงศ์’

ความเข้ากันได้ระหว่างสองบุคคลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่ยอมรับว่าลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะก่อลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆขึ้นมา ซึ่งเมื่อใกล้กันก็รู้สึกได้ว่าพอจะ 'รับ' กันได้ไหม ถัดจากนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก ทั้งความคิด คำพูด และปฏิกิริยาที่กระทำต่อกัน เป็นตัวตัดสินว่าเข้ากันได้สนิทจริงหรือไม่ ตรงนี้น่าคิดว่าถ้าเคยร่วมบุญกันมา ทว่าเข้ากันยากด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละฝ่าย แม้มีเวลากระดี๊กระด๊าด้วยกันในช่วงแรกอยู่บ้าง ต่อไปก็น่าจะฝ่อลงจนแหนงหน่ายในที่สุด

เคยทำบุญร่วมกันมาก็เรื่องหนึ่ง ลักษณะกระแสจิตคล้ายกันก็เรื่องหนึ่ง เจอกันแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างก็เรื่องหนึ่ง มีโอกาสใช้เวลาในชีวิตด้วยกันนานช้าแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง

สรุปแล้วหากว่าตามหลักอนิจจัง หญิงชายในสังสารวัฏต่างท่องเที่ยวไปไกลตามลำพัง ผลัดเปลี่ยนเวียนจับคู่ด้วยความผูกพันมากน้อย แล้วถอยฉากจากกันไปเรื่อยๆ หาคู่แท้ถาวรมิได้?

เกาทัณฑ์ส่ายหน้านิดหนึ่ง ถ้าเชื่ออะไรสักอย่างที่จับต้องได้ สามารถศึกษาและพิสูจน์ให้เป็นที่ยอมรับได้ในยุคที่มนุษย์คิดกันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์นี้ ความเชื่อนั้นก็เป็นเรื่องชัดเจน มีกรอบ มีพื้นยืนบนความจริง ไม่ต้องสับสนคลางแคลง

แต่ถ้าเกิดเริ่มเชื่อ หรือเริ่มสงสัยอะไรที่ใช้ตาหูมาดูฟังไม่ได้ ก็จะเกิดคำถามวุ่นวาย หาข้อยุติไม่เจอตามไปด้วยดังที่เขากำลังเป็นอยู่

มองย้อนไปในวันก่อนๆ เขาออกท่าต่อต้านเรื่องภพชาติเต็มที่ ด้วยเหตุผลหลักคือปักใจเชื่อตามนักวิจัยหลายต่อหลายกลุ่ม ว่าการทำงานของสมองนั่นเองคือความรู้สึก นึกคิด และจิตใจต่างๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือรูปธรรมเป็นเหตุเกิดของนามธรรม

แต่มาวันนี้ หลังจากมีปัจจัยให้ 'เริ่มเชื่อ' พุทธศาสนามากเข้า ความคิดเขาเริ่มแปรไปอีกอย่างด้วยใจที่เปิดกว้างขึ้น คือเห็นว่าแม้นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยทั้งหลายจะฉลาดปานใด ก็ติดอยู่แค่ความคิดและมุมมองของวิธี 'พิสูจน์ความจริง' เท่านั้น ตัวอย่างเช่นจี้ลงไปบนจุดใดจุดหนึ่งบนสมอง หรือเห็นสมองส่วนหนึ่งชำรุดแล้วมีผลกับความทรงจำและอารมณ์ชุดหนึ่งๆ ก็ด่วน 'ตีความ' ว่าสมองนั้นเองคือที่มาทั้งหมดของความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณ

ธรรมชาตินั้นแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้ามนุษย์พอใจจะเลือกมองอย่างไร หรือตั้งข้อสันนิษฐานเพื่อนำไปสู่การสรุปความ หรือตีความตามความชอบใจของตัวแบบไหน ก็เหมือนจะมี 'ความจริง' แบบนั้นๆมารองรับ หรือช่วยยืนยันเป็นการเอาใจอยู่เสมอ

อย่างเช่นสัจจะทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงว่าขัดแย้งกันอย่างน่าเหลวไหล ก็ได้แก่เรื่องของแสงอันเป็นสิ่งถูกรู้โดยตามนุษย์ทั่วไปนี่เอง หาก 'คิดมาก' สักหน่อย ตั้งคำถามขึ้นมาว่าแสงเป็น 'คลื่น' ต่อเนื่องเหมือนระลอกน้ำ หรือว่าเป็น 'อนุภาค' ละเอียดยิบยับที่เป็นต่างหากจากกันเหมือนก้อนหิน ก็จะพบคำตอบที่ชัดเจนจากการทดลองระดับนักเรียนมัธยมต้นทั่วโลก ว่าเป็นได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน! ขึ้นอยู่กับจะจัดตั้งมุมมองแสงด้วยวิธีไหน

ขนาดเรื่องของแสงอันเป็นรูปธรรมขั้นพื้นฐานยังปรากฏเป็นสิ่งชวนฉงนขนาดนั้น แล้วเรื่องของจิตอันเป็นนามธรรมขั้นละเอียดสูงสุด จะมีแง่มุมให้มอง และชวนคิด ชวนตีความเข้าข้างตนเองกันด้วยทิฏฐิไปต่างๆนานาขนาดไหน?

ความจริงเกี่ยวกับจิตมีกี่แง่นั้นยกไว้ ตอนนี้เขาเห็นจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าคุณภาพของจิตเป็นอะไรที่พัฒนาได้แน่ กับทั้งแปลกสภาพ แปลกรสไปกว่าภาวะที่รู้สึกนึกคิดตามปกติยิ่ง

เข้าที่ทำสมาธิด้วยกำลังกายและกำลังใจพรักพร้อม การทำอย่างมีเป้าหมายก็ดีตรงนี้ คือตื่นตัวพร้อมปฏิบัติอยู่เสมอ เกาทัณฑ์หมายมั่นว่าหากทำได้ผลและหลวงตาแขวนเปิดตาในให้เขาเห็นอดีตอันฝังลืม นอกจากจะรับรู้ด้วยตนเองว่าจริงเท็จเกี่ยวกับชาติก่อนเป็นอย่างไรแล้ว เขาจะต้องสืบทราบให้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับแพตรีนั้น มีความเป็นมาอย่างไร

ปิดตาเหลือบต่ำแล้วสนิทนิ่งกับที่ อัดลมหายใจ เริ่มกำหนดสติเมื่อหายใจออก จิตเหมือนพร้อมรวมนิ่งอยู่ล่วงหน้า ปลดพันธะระหว่างจิตกับระบบประสาทตาลงได้แทบทันที เพียงแค่ไม่กี่ระลอกลมหายใจที่กำหนดรู้อาการหายใจออกและหายใจเข้า ก็เกิดความเห็นราวกับส่วนหัวเปิดโล่งไปครึ่งหนึ่ง คล้ายตำแหน่งบนสุดของศีรษะย้ายมาอยู่ที่จุดลมหายใจลากผ่าน หัวหูดูว่างโล่งเหมือนถ้าเอามือวาดผ่านก็จะไม่กระทบกับอะไรเลย

ระบบประสาททั่วร่างผ่อนพักลงทั้งหมด สบายกายสบายใจดีเหลือเกิน

ทว่าเมื่อกระแสจิตเกือบๆจะรวมศูนย์เป็นอันเดียว ล็อกตัวเป็นขณิกสมาธิครอบกายหนักแน่นสมบูรณ์ เกาทัณฑ์ก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนไหวบางอย่างรบกวน เริ่มจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่ค่อนข้างผิดปกติ วันนี้เขาอยู่ใกล้แพตรีแค่เอื้อม และกระแสความใกล้นั้นก็เหมือนเวียนวนตวัดรัดให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่ตลอดเวลา ต่อเนื่องมาจนกระทั่งยามนี้ แม้ความจริงจะห่างกายออกมามากแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการตั้งหลักเข้าที่ทำสมาธิก็ตาม

พยายามเพิกเฉยกับชนวนแห่งความคิดฟุ้งซ่านซัดส่ายนั้น กำหนดเห็นความออกและเข้าของสายลมหายใจใหม่ ซึ่งก็เป็นไปได้ด้วยฐานจิตมีกำลังมากพอ ทว่าผ่านลมหายใจที่สาม ก็เกิดความสะเทือนไหวขึ้นอีก เห็นชัดถึงความกระสับกระส่ายในช่องอกที่ต่อยอดเป็นมโนภาพสวยหวานของแพตรี

วันนี้เขาเข้าใกล้หล่อนมากเกินไป

ความรัก ความติดหลง ความใกล้ชิดกับมาตุคามเป็นศัตรูต่อองค์สมาธิอย่างไรเพิ่งได้ประจักษ์ซึ้ง มันคุกรุ่นเหมือนรมควันอัดอกอัดใจ ยากจะสะกดระงับให้สงบเยี่ยงนี้เอง

หลวงตาแขวนให้เขาสัญญาว่าจะงดเสพกาม ก็นึกถึงแต่การเสพแบบถึงเนื้อถึงหนัง บัดนี้จึงทราบว่าถ้ามองในมุมของโยคาวจรผู้อยู่ในระหว่างปฏิบัติภาวนา ระดับของการเสพมันมีแยกย่อยมากมาย ผัสสะอะไรก็แล้วแต่ที่ก่อกวนให้ใจป่วนปั่นระส่ำระสายในลักษณะนี้ได้ ควรนับรวมเข้าเป็นการส้องเสพอารมณ์ที่เป็นอันตรายต่อสมาธิทั้งหมด

เกิดความเข้าใจว่าด้วยเหตุนี้เอง กติกาการปฏิบัติเพื่อตัดขาดจากโลก จึงต้องเว้นขาดจากเรื่องเพศ ระงับอารมณ์จากกามฉันทะหรือความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสให้สนิท ขนาดเขามีฐานสมาธิดีพร้อม ยังไม่อาจผนึกรวมเป็นดวงเดียวดังเคย เพียงเพราะปล่อยให้เกิดความเวียนวนครุ่นคิดถึงหญิงอันเป็นที่รักเกินไป

ถอนใจเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นด้วยความรำคาญตัวเอง หันมองทางอื่นเป็นครู่ เห็นอุปสรรคสมาธิชัดแจ้ง จึงคิดทบทวนดูว่ามีลู่ทางใดสามารถขจัดอุปสรรคนั้นได้บ้าง

ที่ใจโคลงเคลงเหมือนเรือถูกคลื่นลมโยกไปมานี้ พินิจแล้วเป็นเพราะเริ่มรู้สึกสนิท และเห็นทางเป็นไปได้ที่จะเข้าหาแพตรี หล่อนอยู่ไหนเขารู้ดี และเดินทางไปถึงได้ภายในเวลาอันสั้นด้วยพาหนะคู่ใจ แถมไม่จำเป็นต้องลำบากนัดแนะให้เสียเวลาในเมื่อความเป็นหลานปู่ชนะนั้นเพียงพอกับการเข้านอกออกในอย่างสะดวก ถึงหล่อนไปธุระข้างนอกเขาก็นั่งคุยกับปู่รอสบายๆ ใครจะว่าอะไร

พยักหน้ากับตนเอง ถ้านี่เป็นต้นเหตุแห่งความจับจิตตั้งยาก เขาก็จะตั้งสัตย์กับตนเองว่าพ้นช่วงเก็บตัวฝึกสมาธิแล้วเท่านั้น จึงจะคิดเหยียบย่างเข้าบ้านปู่ชนะ ก็แค่อาทิตย์เดียวเอง คงไม่ถึงกับทำลายสัมพันธภาพที่เริ่มก่อตัวให้พังครืนลงเหมือนอย่างปราสาททรายเจอคลื่นทะเลหรอกน่า

เมื่อปลงใจกำหนดได้อย่างเด็ดขาดเช่นนั้น ก็เหมือนก้อนอะไรแข็งๆกลางอกถูกยกไป รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาในบัดดล เกิดความเข้าใจกระจ่างขึ้นว่าความเด็ดเดี่ยวในขณะตั้งเจตนาใดๆมีผลกระทบกับสภาวะจิตขนาดไหน

เหลือแต่ความเบิกบานพรักพร้อมอย่างเดียว เกาทัณฑ์เข้าที่ทำสมาธิด้วยกำลังสติเต็มแน่น คล้ายขุนศึกขึ้นหลังม้าด้วยความเชื่อมั่นในพลกำลังและความเจนศึกแห่งตน

การตั้งต้นจับอารมณ์สมาธิเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมีแรงขับดันจากปีติสุขอย่างเหลือเฟือ ความฟุ้งซ่านขาดสายหายหนไปจนสิ้น เมื่อเห็นผลเช่นนั้นก็ได้ใจ เกิดเจตนาเพ่งรวมให้จิตควบแน่นเป็นปึกแผ่น เฝ้าตามลมหายใจอันแช่มชัดอย่างสบายอารมณ์ด้วยความเห็นแจ้งว่าการรู้ลมชัดควบคู่กับความปล่อยใจสบายนั้นเองเป็นตัวปรับสภาพจิตให้สว่างขึ้น มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ

เกือบชั่วโมงโดยประมาณ กว่าที่จิตจะคล้อยลงทรงตัว เห็นลมหายใจเป็นสายชัดราวกับธารทิพย์ ถึงขั้นอุปจารสมาธิ ทว่าทรงอยู่เพียงระยะเวลาอันสั้นก็คลายแรงดึงดูดออกมา ซึ่งเมื่อคลายแล้วก็รู้ได้เอง ว่าที่ผ่านมาทั้งวันจิตดิ้นรนอยู่ในวังวนกิเลสนานเกินไปจนอ่อนแรง เมื่อพยายามผนึกรวมให้ถึงฐานสมาธิจึงยากเย็นและสลายตัวง่ายเยี่ยงนี้

รู้สึกเหนื่อยและอยากพักจากสมาธิ กำหนดจิตปล่อยอารมณ์และลืมตาเนิบช้า หงุดหงิดหน่อยๆคล้ายนักกีฬาที่เห็นตัวเองฟอร์มตก ผลการปฏิบัติเมื่อคืนก่อนทำให้นึกว่าจะสามารถไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆวันต่อวัน ทว่าตระหนักแล้วว่าหากขาดเหตุและปัจจัยอันเหมาะสม ปล่อยตัวปล่อยใจให้สมาธิถูกกิเลสแทะ กลับเปลี่ยนเป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างง่ายดาย

ลุกขึ้นเดินไปเดินมา เหตุแห่งความฟุ้งนั้นไม่ต้องกังขา หนีไม่พ้นแพตรีอีกนั่นเอง วนไปวนมาเหมือนพายเรือในอ่าง แม้ตัดใจว่าจะห่างหล่อนอย่างเด็ดขาดระยะหนึ่ง เป็นเหตุให้เลิกถวิลหาขนาดอยากพุ่งตัวไปบ้านปู่อยู่ทุกนาทีแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็ยังมีใจจ่อตลอดในลักษณะก้อนอารมณ์ตกค้าง พอพยายามกำหนดใจให้นิ่งแล้วเห็นชัดถึงแรงดันในอก เหมือนพวยน้ำที่ถูกกักไว้ และรอเวลาพลุ่งขึ้นทันทีที่ได้โอกาส

เขาเป็นประเภทที่เมื่อคิดแล้วคิดแรง อารมณ์ปั่นป่วนแรง โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องที่ติดใจมากๆขนาดจ่อไม่หลุด จะเหมือนคลื่นพลังระลอกใหญ่ก่อตัวขึ้นเป็นแรงอัดภายในกาย หากพลังดังกล่าวไม่กระจายออกเป็นงานหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้หมดสิ้น ก็จะขุ่นคลุ้งทรมานทรกรรม กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเลยทีเดียว

มาหยุดเดินตรงหน้ากลองบองโก ซึ่งเป็นกลองตีมือขนาดย่อมสองลูกคล้ายกระถางต้นไม้ เขาตั้งไว้ตรงตำแหน่งที่ดูเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับห้องนอนชายมากกว่าจะชอบเล่นจริงจัง ยามนี้นึกอยากรัวกลองแก้ฟุ้งซ่านเสียหน่อย เลยลงสองมือตบหน้ากลองซ้ายขวาถี่ยิบ

เกิดเสียงเป๊าะๆๆๆยืดยาว ไม่หวังอะไรมากไปกว่าระบายความฟุ้งที่กักและเหมือนเก็บกดในหัวให้พ้นๆ แต่ด้วยความคาดไม่ถึง และมิได้กำหนดความตั้งใจไว้ล่วงหน้า ด้วยกำลังความสงบที่เหลือเป็นเศษจากการนั่งสมาธิเมื่อครู่ เกาทัณฑ์พบออกมาจากภายในว่าเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นกลาง รู้ผัสสะรัวกระทบอย่างต่อเนื่อง ผลที่เกิดคือความเงียบลงอย่างสงัดของคลื่นลมความคิดความฟุ้ง

นั่นเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนทีเดียว จิตที่จ่อเฉพาะมือกระทบกลองนั้นเอง เป็นจิตที่ปราศจากความคิด มีแต่ความรู้ตัวแบบว่างๆเกิดขึ้นแทน

หยุดมือลง ปล่อยตัวตามสบายสังเกตใจตนเอง พบว่าอาการเงียบจากความคิดยังคงดำเนินไปอีกพักใหญ่ กว่าที่คลื่นลมความคิดจะกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง

ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง อ๊ะ! แปลว่าอย่างนี้ได้อุบายกำจัดความฟุ้งอย่างง่ายๆแล้ว ความช่างสังเกตและเปิดใจกว้างรู้จักเหตุรู้จักผลที่แท้จริง ไม่ยึดติดกับรูปแบบตายตัวในการระงับจิตให้เงียบลง ทำให้ทราบว่าอารมณ์สมาธิอาจเป็นอะไรก็ได้ ขอเพียงรู้จักรักษาใจจ่อไว้กับอารมณ์นั้นให้ต่อเนื่องเป็นพอ

เขาเคยตีกลองมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหน แต่ไม่เคยเลยที่จะสังเกตว่าขณะรัวหน้ากลองอยู่นั้น ความคิดอ่านสงบเงียบเชียบลงอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เคยตั้งใจรักษา หรือยืดเวลาของความสงบเงียบดังกล่าวให้ยาวออกไป

มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ถ้าเคาะกลองแล้วสงบ ก็แปลว่าเคาะอย่างอื่นน่าจะสงบได้เช่นกัน ลองหลับตาเอาอุ้งมือขวาวางแนบกับต้นขา ใช้นิ้วทั้งสี่ตบหน้าตักเป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว ไม่หนักและไม่เบา ใจรู้อยู่เฉพาะที่เกิดผัสสะกระทบเปาะๆๆๆ

เห็นชัดว่าด้วยใจที่ราบเรียบแล้วระดับหนึ่ง จึงลดความเร็วลง เมื่อเคาะเพียงช้าและเบา ก็อาจรักษาความสงบว่างจากความคิดไว้ได้อย่างดี แต่ถ้าฟุ้งจัด ก็อาจตบเร็วและแรงหน่อยเป็นการใช้ผัสสะเรียกจิตมาจ่อ

เลี้ยงความนิ่งว่างจากกระแสความคิดได้เพียงนาทีเดียว ความรู้สึกเหมือนเหลือเพียงจังหวะกระทบเปาะๆๆๆกับใจที่สงบอยู่ตรงกลาง ก็บังเกิดรสแห่งปีติสุขขึ้นท่ามกลางความเงียบที่จิตเสมอพอดีกับผัสสะเปาะๆๆๆนั้น

เกาทัณฑ์ยิ้มชื่นใจ เมื่อเมื่อยมือขวาก็เปลี่ยนเป็นมือซ้ายแทน รักษาไว้แต่กระแสปีติสุขอันเกิดแต่จิตตวิเวกไปเรื่อย ซึ่งเมื่อประณีตเข้า ทดลองขยับนิ้วชี้เพียงหนึ่งเดียวให้เกิดกระทบช้าและแผ่วเบา ก็เพียงพอแล้วที่จะเลี้ยงสติรู้ มั่นคง ทรงปีติสุขเอกาได้อีกยืดยาว

ยิ้มอย่างปลาบปลื้มยินดี อย่างนี้เท่ากับเขาได้อุบายไว้ปฏิบัติ เลี้ยงสติให้อยู่ในร่องรอยความตั้งมั่นทั้งวัน เพราะเคาะมือหรือเคาะนิ้วนั้น ทำเล่นกันเป็นปกติไม่มีใครเห็นแปลกอยู่แล้ว แตกต่างกันก็ภายใน ที่จิตดำเนินอย่างรู้สติต่อเนื่องจนเกิดความสงบลงถึงปีติได้

นี่เป็นทำนองเดียวกันกับที่คนทั้งหลายหายใจกันตลอดเวลา แต่แทบไม่มีสักขณะที่รู้ว่าตอนไหนหายใจออก ตอนไหนหายใจเข้า จิตจะส่งออกเหม่อ หรือหมกมุ่นกับความรู้สึกนึกคิดอยู่ร่ำไป

เบาสบายไปทั้งตัวราวกับสลายตนกลมกลืนกับอากาศโดยรอบ รู้สึกสดชื่นตื่นเต็มบริบูรณ์ จิตเหมือนดำเนินมาติดตันกับความเบาเป็นปีติ ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้อีก

นี่ยังเพิ่งหัวค่ำ อีกนานกว่าจะง่วง นิสัยช่างอ่านทำให้ชายหนุ่มเลือกหยิบดูหนังสือที่ซื้อมาเรียงไว้เป็นตับบนชั้นวาง มีหลายเล่มที่ซื้อทิ้งไว้แบบหาเวลาว่างอ่านทีหลัง แต่ก็มีหลายเล่มที่ซื้อมาด้วยความสนใจด้านจิตวิญญาณในช่วงนี้

เลือกได้เล่มหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้พลังจิตที่ฝรั่งรวบรวมไว้ เอามานั่งพลิกๆหาหัวข้อน่าสนใจ การเผยแพร่เรื่องราวทางจิตวิญญาณอันลึกลับเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นทางสื่อต่างๆ เขาสามารถค้นอ่านได้มากมายทั้งจากสิ่งพิมพ์และสื่อกลางครอบโลกเช่นอินเตอร์เน็ต ข้อมูลแปลกใหม่ทั้งที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์น่าเชื่อถือ และทั้งที่มั่วไปมั่วมาตามหลักนักเดา กระจายตัวเกลื่อนกลาดดาษดื่น ซึ่งอะไรที่ดาษดื่นหาง่ายนั้น ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป แม้เคยถูกมองว่าเป็นสิ่งลี้ลับเข้าถึงยากมาก่อน

หนังสือเล่มที่กำลังอยู่ในมือเขากล่าวถึงพลังจิตอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เริ่มด้วยการชี้ให้เห็นว่าคนเราสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนระดับพลังกายได้ด้วยตนเองจากภาวะอารมณ์ต่างๆ เช่นเพิ่มกำลังขึ้นกว่าปกติมากมายเมื่อเกิดฮึดฮัดบันดาลโทสะเพราะถูกแกล้ง หรือเมื่อตื่นเต้นปีติมากๆตอนเล่นเกมกีฬาชนะ

ระบบพลังงานในร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน เข้าถึงให้ทะลุปรุโปร่งได้ยาก อย่างเช่นที่ต่อมต่างๆสามารถหลั่งฮอร์โมนและอัดฉีดไปทั่วร่างในเวลาอันรวดเร็วผ่านกระแสเลือด หากศึกษาเหตุปัจจัยและผลลัพธ์ผลต่างในแต่ละรายแล้วจะทราบว่าชวนอัศจรรย์ปานไหน

ว่ากันตามประสบการณ์ที่รู้ได้ในคนปกติ เมื่อฮอร์โมนบางชนิดเพิ่มระดับขึ้นมามากๆ จะมีผลทั่วไปทั้งกำลังวังชา ความไวของระบบประสาท ซึ่งเมื่อมองกันที่ความรู้เห็น ทุกสิ่งจะดูเหมือนแตกต่างจากเคย อย่างเช่นจับมองภาพมุมกว้างได้ชัดขึ้น เห็นรายละเอียดมากขึ้น

และเมื่อมีการตรวจวัดด้วยเครื่องไม้เครื่องมือจริงจัง ก็พบว่าผู้มีพลังจิตกระทำเรื่องเหนือสามัญเช่นหักงอช้อน หรือเคลื่อนย้ายวัตถุได้ ล้วนหลั่งฮอร์โมนออกมามากผิดมนุษย์มนา ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าความสามารถในการบังคับรูปวัตถุนอกตัวด้วยกำลังจิตนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยสิ่งที่แฝงเร้นในธรรมชาติความเป็นกายใจมนุษย์นี่เอง

ความแตกต่างคือน้อยคนนักจะรู้ทางเข้าถึงขุมพลังในตนเอง คล้ายเจ้าของที่ดินผู้ไม่รู้ว่าลึกลงไปใต้พื้นในอาณาเขตของตน คือบ่อน้ำมันกว้างใหญ่ไพศาล หรือถึงแม้ระแคะระคาย ก็จนปัญญาจะขุดขึ้นมาขาย เพราะขาดอุปกรณ์ ขาดความรู้ ขาดผู้แนะนำช่วยเหลือ

ปัจจุบันเป็นที่กล่าวกันทั่วไปว่าปฐมบทของการขุดพลังจิตขึ้นมาใช้ ต้องมาจากการควบคุมจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ ทว่าก็มี 'ของเล่น' บางอย่างที่อาจทำให้มั่นใจในเบื้องต้น ว่าทุกคนสามารถก่อพลังชนิดพิเศษขึ้นในเวลาอันสั้นและอาศัยสมาธิเพียงเล็กน้อย เพียงใช้บางจุดในร่างกายที่มีสนามพลังแรงอยู่แล้วในตัวเองให้เป็น

ขั้นแรกให้ถูฝ่ามือเข้าหากันแรงๆจนเกิดความร้อนสักครู่ แล้วแยกมือออกห่างสักหนึ่งฟุต จากนั้นจึงเคลื่อนช้าๆเหมือนจะให้มาประกบ แต่พอเข้าใกล้เกือบสัมผัส ก็ค่อยๆเลื่อนห่างออกจากกันอีก จังหวะใดจังหวะหนึ่งในระยะประชิดนั้นเอง ที่จะเกิดสนามพลังระหว่างฝ่ามือให้รู้สึกได้

เกาทัณฑ์อ่านขั้นตอนปฏิบัติจบก็วางหนังสือแล้วทดลองตามทันที โดยนั่งหลังตรง ถูมือจนร้อนแล้วแยกออกจากกันนิดๆ เขาเคยถูมือมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จับสังเกต ว่าหลังจากถูแล้วมีไอร้อนลอยวนอยู่ระหว่างฝ่ามือ คล้ายคลื่นที่ส่งออกมาปะทะกันระหว่างสองมือ

ชายหนุ่มแยกฝ่ามือที่หันเข้าหากันออกห่างประมาณหนึ่งฟุต แล้วขยับเข้าหากันเชื่องช้าเหมือนจะให้มาประกบกัน ยิ่งฝ่ามือใกล้กันเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ว่ามีแรงกระทำต่อกันเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามระยะ พอเข้าประชิด เหลือช่องว่างเพียงหนึ่งนิ้วฟุต แล้วขยับผละห่างจากกันอีกครั้ง หน่วยตาก็เบิกขึ้น เมื่อรู้สึกคล้ายแยกฝาแม่เหล็กสองข้างซึ่งมีแรงดึงดูดออกจากกัน

ขยับเลื่อนเข้าออกช้าๆหลายรอบจนแน่ใจว่ามิใช่อุปาทาน มีแรงดึงดูดระหว่างฝ่ามือกระทำต่อกันจริงๆ เกาทัณฑ์ก็ทดลองตั้งระยะฝ่ามือให้ห่างจากกันคงที่ แล้วกำหนดนึกให้พลังดึงดูดเข้มขึ้น ยิ่งหน่วงนึกถึงพลังนานเท่าไหร่ ความเข้มข้นก็ยิ่งทวีราวกับกำลังแม่เหล็กขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันก็สำเหนียกไอร้อนจัดที่แฝงมากับแรงกระทำ

หายสงสัยทันทีเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยพลังจากฝ่ามือ ไอร้อนอันเป็นพลังจากมนุษย์ด้วยกันนี่เอง คืออำนาจรักษาได้จริง หาใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์หรือการดลบันดาลจากสิ่งเหนือโลกชนิดใดเลย

ด้วยความเป็นคนช่างทดลอง เกาทัณฑ์อยากดูว่าไอร้อนนั้น เป็นเตโชธาตุที่อยู่ใต้การควบคุมของอำนาจการกำหนดนึกหรือเปล่า เขาคิดให้ความร้อนในมือเปลี่ยนเป็นไอเย็น พอนึกเท่านั้น ความเย็นก็แผ่กระจายเต็มมือเกือบจะทันทีทันใด ส่งผลให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างด้วยความสนเท่ห์ การเล่นสนุกทางจิตเป็นอย่างนี้เอง ทุกอย่างเป็นไปได้ ภายใต้อำนาจการควบคุมของจิตที่นึกคิดไปต่างๆ

แรงกระทำที่ส่งจากฝ่ามือนั้น เหนี่ยวนำเอาแรงกระทำจากจุดอื่นในร่างให้โลดเต้นขึ้นมาด้วย เกาทัณฑ์สังเกตว่าเมื่อสายตาเขาจับนิ่งไปยังวัตถุใด ก็จะมีสายพลังผลักออกกระทำต่อวัตถุนั้นๆ เขาทดลองมองพร้อมสำเหนียกถึงสายพลังระหว่างตากับวัตถุ ก็พบด้วยความตื่นเต้นว่าเห็นเป็นกระไอประหลาด คล้ายมองฝ่าคลื่นความร้อนเหนือยอดเปลวไฟฉะนั้น

เมื่อลองเล่นดูจนชำนาญ เกาทัณฑ์พบว่าพลังชนิดเดียวกันนี้ อาจถูกส่งออกจากจุดใดๆก็ได้ ขอเพียงกำหนดนึกไปที่จุดนั้น เช่นปลายนิ้ว กระหม่อม ฝ่าเท้า ฯลฯ เมื่อนึกถึงตำแหน่งที่ตั้งของอวัยวะหนึ่งๆแล้วกำหนดขับพลังออกมา ก็ได้ผลใกล้เคียงกัน แตกต่างเพียงความเข้มความอ่อนของแต่ละจุดเท่านั้น

กลับมาอ่านหนังสือต่ออย่างจดจ่อขวนขวายหาของเล่นเพิ่มเติม หนังสือให้คำแนะนำสั้นๆเกี่ยวกับการสร้างจินตภาพและวิธีบังคับการไหลเวียนของพลัง เช่นเพื่อหักงอช้อน เคลื่อนย้ายวัตถุขนาดเบา การบังคับให้เมฆปรากฏเป็นรูปทรงตามปรารถนา ตลอดจนกระทั่งการฝึกเพื่อแข่งนั่งสมาธิลอยตัวตามชมรมพลังจิตในต่างแดน เร้าความสนใจเอาเรื่อง

คว่ำหนังสือลงบนโต๊ะเล็กข้างตัว หันรีหันขวางแล้วนึกสนุกขึ้นมากะทันหัน ลุกขึ้นเดินไปหยิบช้อนมาคันหนึ่งจากหลังตู้เย็นแล้วกลับมานั่งที่เดิม จับด้ามช้อนไว้ในมือมั่น เพ่งพิศและคิดใคร่ครวญหาเหตุผลที่เหล่านักพลังจิตชอบเอาช้อนส้อมมาเล่นกันนัก

ทบทวนความรู้ที่พอจะเคยได้ยินได้ฟังมาจากหลวงตาแขวน พลังจิตก็คืออำนาจของการนึก เขาลองนึกให้ช้อนในมืองอ โดยกำหนดสำเหนียกพลังที่ขับออกมากับกระแสตา นึกไปๆจนหน้าท้องแขม่วเกร็งอึดอัด แล้วที่สุดก็เลิกนึกและหัวเราะพรืดหนึ่ง คิดในใจว่าของมันจะงอได้อย่างไร แข็งออกอย่างนี้ อย่าว่าแต่แรงนึกเลย ขนาดแรงมือซึ่งเป็นรูปธรรมด้วยกันก็คงต้องเกร็งกันมากหน่อยสำหรับช้อนโลหะชนิดแข็งตรงหน้า

หรือว่ากำลังจิตเขายังแกร่งน้อยไป อำนาจนึกจึงให้ผลเป็นความว่างเปล่า?

ชายหนุ่มลองคิดใหม่อีกครั้ง ถ้าช้อนคันนี้อยู่ในมือหลวงตาแขวนจะเกิดอะไรขึ้น เกจิอย่างท่านคงทำให้มันหักงอได้แน่ เขาเชื่อเช่นนั้น

จึงกำหนดจิตนึกใหม่ให้จริงจังกว่าเดิม ยึดเอาสัมผัสในตบะเดชะแห่งครูบาอาจารย์เป็นสรณะ กำด้ามช้อนมั่น ถ่ายเทความรู้สึกนึกคิดทั้งมวลไปที่ตัวช้อนอย่างเดียว เริ่มเห็นความโน้มเอียงบางประการ จับเหตุผลได้แล้วว่าทำไมจึงนิยมเอาช้อนมางอด้วยพลังจิตกัน ที่แท้ก็เพราะเมื่อจับมันไว้ในมือแล้วสร้างความเชื่อได้ง่ายว่าจะงอลงได้สำเร็จนั่นเอง คอช้อนดูแบบบางปานนั้น หัวช้อนที่ป้านออกและดูมีน้ำหนักเหมือนพร้อมจะช่วยถ่วงตัวงอลงมาดังใจนึกอยู่แล้วอย่างนั้น

เมื่อใคร่ครวญได้ความเห็นจริงดังกล่าว เกาทัณฑ์ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลอีกต่อไป เขาขยับตัวตรงและเพ่งความนึกคิดอย่างแน่วแน่ สร้างจินตภาพเหนี่ยวหัวช้อนลงมา และด้วยเพราะเพิ่งออกจากสมาธิได้ไม่นาน ทำให้มีกำลังจิตพอจะรักษาอาการนึกไว้ได้คงที่ เมื่อรู้สึกเกร็งหน้าท้องก็พยายามผ่อนมันออกเป็นอาการหายใจตามปกติ

แจ่มแจ้งในบัดดลว่าการทำสมาธิแตกต่างกับการใช้พลังจิตอย่างไร สมาธิคือการกำหนดจิตติดตามอาการที่เกิดขึ้นเป็นปกติของอารมณ์ เป็นต้นว่าลมหายใจมันไหลเข้าไหลออกอยู่แล้ว หน้าที่คนภาวนาก็แค่เฝ้าตามมันไปเรื่อยๆจนจิตแทรกเข้าไปรวมกับความเป็นอย่างนั้นของกลุ่มลม แต่การใช้พลังจิตนั้นเป็นการนึกให้เกิดผลบางอย่างที่ผิดธรรมดาต่อวัตถุที่ใช้เป็นอารมณ์ อย่างเช่นช้อนซึ่งเป็นรูปธรรมในมือเขาเดี๋ยวนี้ มันไม่มีทางงอเองได้เลย แต่เขาปรารถนาให้มันงอ เขามีจินตภาพที่สร้างขึ้นในใจ เห็นมันค่อยๆงอลง บีบบังคับให้มันยอมตาม ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่ามันเป็นสสารแข็งแรง มีเสถียรภาพอันยากจะดัดแปลงได้

เริ่มรู้สึกถึงสนามพลังที่เกิดขึ้นจากความเพียรนึกนั้น ทว่าไม่เข้มข้นขนาดสำเหนียกว่ามีอิทธิพลกระทำกับความแข็งของช้อน ช้อนแข็งยังคงเป็นช้อนแข็งในความเป็นจริง แม้ใจจะเห็นมันโน้มเอียงที่จะอ่อนลงอยู่บ้าง ทั้งนี้ก็คงเพราะความต่อเนื่องของการสะกดจิตตนเองให้เชื่อเช่นนั้น

เกาทัณฑ์จี้อาการเพ่งนึกเข้าไปที่ตัวช้อนอย่างไม่ยอมแพ้ รู้สึกว่าตนถลำลึกเข้ามาจนถึงขั้นต้องเอาให้ได้อย่างรุนแรงเสียแล้ว ความเด็ดเดี่ยวมุทะลุบังเกิดขึ้นท่วมท้น เขาไม่ลุกจากที่แน่จนกว่าจะสำเร็จ

การใช้พลังจิตเป็นเรื่องของการเสียพลังอย่างนี้เอง เขาเพ่งจนเหงื่อตก เกิดความปักใจเชื่อเข้มข้นขึ้นทุกทีว่าจะสามารถงอช้อนลงได้ โลกดูเปลี่ยนไป มีความอึมครึมอันเกิดจากสนามพลังที่อัดตัวแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ ศูนย์กลางการรับรู้มารวมแน่วอยู่ที่ช้อนจนตัวช้อนดูใหญ่โตผิดจากเดิมอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งเขารู้สึกงงเคว้ง แต่ก็ปรับสติให้เข้าที่ได้ดุลตามเดิมในเวลาอันสั้น เพราะเศษสมาธิยังเป็นฐานรองรับมั่นคงพอควร

และที่สุดจากความรู้สึกถึงสนามพลังที่กระจายรอบตัวเหมือนคลื่นน้ำ ก็กลายเป็นปึกพลังที่หนักแน่นจนเหมือนส่งกระแสคลื่นอันมีตัวตนไปเหนี่ยวจับเอาหัวช้อนได้ เขารู้สึกจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นอีกต่อไป อำนาจจิตหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง

เหมือนมีมือไร้ตนอยู่ในการควบคุม และเขาก็กำลังพยายามหักงอบางสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง การนึกจนมีจินตภาพเห็นมันค่อยๆงอลงนั่นเองเป็นตัวส่งพลังออกไป รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ไม่ยินยล เขากำลังจะทำสำเร็จอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว รู้สึกว่ามันกำลังจะสยบอยู่ใต้อำนาจนึกอีกอึดใจนี้แล้ว

อุ้งมือร้อนและแฝงพลังมากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วัตถุในมือกำลังถูกความร้อนและพลังกระทำในตัวเขาหลอมให้อ่อนลงและหักงอตามแรงประสงค์

ต๊อด!

เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เกาทัณฑ์สะดุ้งสุดตัว โลกทลายลงทั้งใบ หัวใจเต้นถี่โครมครามเหมือนกำลังจะตาย เขาค่อยๆวางช้อนลงบนโต๊ะและเอื้อมมือไปยกกระบอกโทรศัพท์จากแป้นด้วยมือไม้สั่นเทางกเงิ่น

"ฮัลโหล…"

พูดแหบพร่าและสับสนมึนงง อาการรับโทรศัพท์เกิดจากความเคยชินเดิมมากกว่าเจตนา

"นี่แอ้นะคะ" เสียงจากฝ่ายโน้นก้องอยู่ในหูเหมือนปิศาจ "หายไปไหนมา มือถือก็ปิด รังเกียจกันแล้วหรือไง เพจเรียกก็เงียบไม่ตอบกลับ"

ชายหนุ่มนิ่งอยู่อึดใจ ค่อยๆเรียกสติคืนมาอย่างยากลำบาก

"เอ่อ..."

"หลับอยู่ล่ะซีท่า"

เลอะเลือนอยู่อีกพัก ก่อนกลับเข้าที่แบบเคว้งๆ

"แอ้เหรอ?"

"ค่า...แอ้เอง เมาหรือเปล่านะนั่น"

"อ้า...ก็คล้ายๆอย่างนั้น ผมขอเวลาล้างหน้าหน่อยได้ไหม แล้วจะโทร.กลับไปในห้านาทีนี้แหละ"

"ตามสบายค่ะ"

ฝ่ายนั้นตัดสวิทช์ไปฉับพลันอย่างมีอารมณ์หน่อยๆ ชายหนุ่มยังงงไม่สร่าง เหมือนกำลังเมาเหล้าอยู่จริงๆ การถูกปลุกจากภาวะจิตที่กำลังดิ่งลึกกะทันหันมันอันตรายอย่างนี้ คราวหน้าเขาต้องระมัดระวังมากขึ้น

ลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้า พอเริ่มแจ่มใสบ้างก็นึกเสียดายเป็นกำลัง เหมือนมีมารมาขัดจังหวะในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ทุกอย่างมันเข้าไคลอยู่แล้ว จู่ๆก็มีอันต้องพับฐานล้มเหลวไปอย่างง่ายๆ มันน่าบีบคอยายแอ้นัก ยามนี้หล่อนช่างไม่น่าพิศวาสเอาเลยจนนิดเดียว

ออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาและนั่งปรับสติอีกพักใหญ่ อย่างไรก็ได้รู้แล้วว่าภาวะเหนือสามัญวิสัยเป็นอย่างไร ต้องฝ่าฟันด้วยวิธีใดจึงได้มา ก่อนอื่นเขาต้องมีกำลังจิตเป็นพื้นพอประมาณ จากนั้นต้องสร้างจินตภาพให้แน่วแน่ เพ่งและเพ่งอยู่อย่างนั้น จนสนามพลังในตัวกลายเป็นปึกพลังเข้มข้นถึงขีด นั่นเองคงเป็นจุดที่ฮอร์โมนหลั่งออกมามาก คลื่นพลังเริ่มกระจายตัวจากขุมลับในกาย

อย่างไรก็ตาม ที่จุดนั้นไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เขาเพียงส่งพลังต่อไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าความร้อนในอุ้งมือหรือเปล่าที่เป็นกุญแจสำคัญ มันเกิดขึ้นในวินาทีที่ดวงจิตสัมผัสถึงความเป็นไปได้จริงที่ช้อนกำลังจะหักงอ ถ้าใช่ดังคิด คราวหน้าคงหาทางลัดได้ไม่ยาก มือคนเรามีอุณหภูมิให้รู้สึกอยู่แล้วเมื่ออยู่ในท่ากำ เพียงเพ่งเห็นความร้อนในมือไปเรื่อยๆควบคู่กับการสร้างจินตภาพบังคับช้อนให้งอ ภาวะแบบเมื่อครู่ก็คงเกิดเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

เกาทัณฑ์ต่อโทรศัพท์เข้ามือถือของหญิงสาวผู้นำความล้มเหลวมาให้ตามสัญญา

"ผมเต้พูดนะ"

น้ำเสียงของเขาเนือยนายเป็นอย่างยิ่ง อีกฝ่ายฟังรู้ทีเดียว

"จะออกมาเจอกับพวกเราไหม?"

หล่อนถามห้วน ชนิดที่เห็นหน้าคว่ำตาเขียวลอยมาทีเดียว

"พรุ่งนี้ทำงานไม่ใช่เหรอ?"

จงใจใช้เสียงเอื่อยเฉื่อยให้รู้ว่านั่นคือคำปฏิเสธ

"งั้นก็นอนหลับฝันดีไปแล้วกันนะคะ พ่อคนรักงาน!"

หญิงสาวตัดสวิทช์ไปอย่างคนสวยที่ชอบเอาแต่ใจตัว และเกาทัณฑ์ก็ไม่หลงเหลือความไยดีในตัวหล่อนเอาเลย ทั้งที่ติดหล่อนแจมาเป็นนาน อาจเพราะต่างคนต่างรู้ว่าแต่ละฝ่ายมีตัวเลือกสำรองอยู่เยอะกระมัง เขาพิศวาสรอยยิ้มและท่าทีเก๋ไก๋ ถูกใจสีสันหลากหลายในตัวหล่อน หรือจะบังคับให้รับว่าหลงใหลได้ปลื้มเป็นที่สุดก็ยอมล่ะ แต่ทั้งหมดนั่นก็แค่ทำให้แต่ละวันสดชื่นรื่นใจ จะมาเทียบอะไรกับแพตรีที่มีอิทธิพลขนาดเปลี่ยนชีวิตเขาได้ทั้งชีวิต

นั่งกะพริบตาทบทวนเหตุการณ์เหนือสามัญเมื่อครู่ บัดนี้สนามพลังอันเข้มข้นเริ่มจางตัวลง อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอย่างธรรมดากลับมา สิ่งที่เลือนไปก็คล้ายอุปาทานหรือฝันผ่าน ลังเลหน่อยๆว่าที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันใช่การก่อตัวของอำนาจจิตแน่หรือเปล่า

ความคิดเรื่อยเปื่อยสุดทางลงเมื่อเกิดแรงบันดาลใจอยากทำสมาธิขึ้นมาอีก ชายหนุ่มเข้าที่พริ้มตาหลับลงง่ายๆ กำหนดภาวนาเห็นสายลมหายใจเข้าออกด้วยวิธีการหายใจตามแบบหลวงตาแขวนสอน

งวดนี้เข้าท่ากว่าเดิม จริงๆแล้วเขาอ่อนเพลียน่าดูชมเหมือนกันที่เล่นพลังจิตไปเมื่อครู่   คล้ายเหนื่อยจากการวิ่งทางไกลหลายกิโลเมตรอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อทำความสงบกำหนดลมสบายๆ พอตัวความแช่มชื่นเกิดขึ้นกำลังก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว เข้าอกเข้าใจเดี๋ยวนั้นว่าสมาธิเป็นการประจุพลังกายใจอันยอดเยี่ยมเหนือวิธีอื่นใด

ความคิดฟุ้งซ่านสลายไปหมดสิ้นด้วยความอิ่มเอมเปรมใจในรสสมาธิ ดวงจิตทวีตัวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เกาทัณฑ์เรียนรู้ที่จะเพ่งนึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวด้วยพลังกายใจทั้งหมดมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปกับการเพ่งภาวนาตามสายลมหายใจเข้าออกอย่างนี้

นานสักครึ่งชั่วโมงในอาการทรงตัวแนบแน่นของขณิกสมาธิเฉียดอุปจาระ แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ขณะที่จิตเหมือนจะดิ่งลงสู่ความดึงดูดจากศูนย์กลาง มีพลังอะไรอย่างหนึ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้นในตัว มันปุบปับฉับพลันเหมือนการลั่นเปรียะของสายฟ้า ร่างของเขาคล้ายเกิดกลุ่มพลังมหาศาลขึ้นข้างใน มันแล่นปราดพรวดเดียวจับไปทั่วร่าง ยังผลให้เกิดสำนึกรู้สึกที่ผิดไป บอกตัวเองว่านี่อาจเป็นอาการหนึ่งของปีติ ให้ใจเย็นไว้ แต่มันก็ช่างคงที่จนเหมือนจะไม่แปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว

สำนึกของนายเกาทัณฑ์ถูกลบไปเกือบสิ้นเชิง รู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์ ทรงอำนาจร้าย พลังมหาศาลที่อัดแน่นในตัวทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมด แม้ลืมตาขึ้น ก็พบว่าพลังนั้นยังอยู่กับตัว ดูไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ความคิด ความเห็น และมโนภาพในตัวตนพลิกผันเป็นอื่นอย่างสิ้นเชิง ณ เวลานั้นสำนึกและโลกทัศน์เยี่ยงมนุษย์ธรรมดาสาบสูญไปหมด เหลือแต่การรับรู้ถึงอำนาจ ความแข็งกร้าว และความต้องการแบบดิบๆ เป็นอีกอัตตาที่ชวนคร้ามเกรงยิ่ง

หยิบช้อนขึ้นมาด้วยเจตจำนงเดิมอันค้างคา สัมผัสถึงปึกพลังอันแน่นหนาราวกับผาหินในตน ก้มหน้าลงจ้องช้อนด้วยลูกตาเบิ่งโปนถมึงทึง แค่กำหนดเรียกความร้อนในอุ้งมือก็บันดาลพลังร้อนมากมายชวนกระหยิ่ม รูปช้อนดูแปลกไปเป็นคนละอย่างกับเมื่อก่อน ส่วนเว้าส่วนโค้งของหัวช้อนที่เข้าตาช่างพิลึกกึกกือ สีสันของสิ่งรอบข้างเข้มชัดและดูทะมึนประหลาด เกาทัณฑ์ทุ่มพลังนึกให้ช้อนงอลง มันเป็นคำสั่งที่เด็ดขาดแน่วแน่ ไม่หลงเหลือความลังเลสงสัย ไม่เจือปนความคิดอื่นใดแม้แต่น้อย

ในภาวะอันถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มพลังยิ่งใหญ่เช่นนั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกเลยที่ช้อนมันงอลงต่อหน้า งอทีละน้อยแต่ลงเรื่อยคงที่กระทั่งเกือบจรดด้าม จิตจึงบอกว่าจบงาน ถอนกำลังออกมา

แล้วสำนึกแบบเดิมๆก็คืนกลับ กลุ่มพลังแรงสูงที่จับไปตลอดกายหายไป กระแสธารแห่งความคิดหลั่งไหลเป็นปกติ มโนภาพของนายเกาทัณฑ์ฟื้นคืน มิใช่ยักษาผู้ทรงฤทธิ์ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป

เกาทัณฑ์หายใจโดยปราศจากอาการหอบ จังหวะเต้นของหัวใจยังเป็นปกติ เขามองช้อนที่เห็นงอก่องอขิงเหมือนเพิ่งตื่นจากหลับ มันงอลงแล้วจริงๆ หาใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด ยามนั้นบรรยายความรู้สึกยาก ไร้ความตื่นเต้นทะนงตัวที่จู่โจมทันควันดังควร เป็นแค่ความเฉยเมยชอบกล ดูแล้วดูอีกให้แน่ใจว่าช้อนมันงอแน่ งอเกือบพับลงมาทับด้ามทีเดียว

ทำไมถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้วิเศษ?

เอนตัวหลับตานอนบนพื้นพรมนั่นเอง อ่อนเพลียเหลือเกิน พลังชีวิตขอดแห้งไปสิ้น ความเหนื่อยล้าคล้ายมีแรงดึงมหาศาลฉุดเขาเข้าสู่ภาวะดับสติปุบปับ เหมือนตายอย่างไรอย่างนั้น

 

คืนวันจันทร์ อังคาร และพุธเขามีเวลาว่างที่จะทำสมาธิเต็มที่ แต่คืนวันพฤหัสกับศุกร์ต้องไปสอนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัย กลับมาก็เปลี้ยเพลียเต็มแก่ ไหนจะงานประจำตอนกลางวัน ไหนจะงานสอนตอนกลางคืนซึ่งเผอิญต้องคุมแล็บกันเหน็ดเหนื่อย นั่งจับอารมณ์แค่ห้านาทีก็ต้องโงนเงนลุกขึ้นพุ่งตัวใส่ที่นอนแล้ว

มีความเข้าถึงภาวะรวมตัวแบบลุ่มๆดอนๆ เขาพยายามควบคุมคำพูด และการกระทำให้อยู่ในร่องในรอยที่พระอาจารย์กำหนดไว้ถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่วายมีเรื่องรุงรังรกใจ ก่อนิวรณ์ขัดขวางความก้าวหน้าในสมาธิจนได้ ในเมื่อยังต้องคลุกคลีอยู่กับหมู่คนที่ต้องการปลดภาระบนบ่าของตนไปไว้บนบ่าคนอื่น

เคยลองเอาช้อนมางอด้วยพลังจิตดูอีก แต่ก็ไม่อาจรวมกลุ่มพลังให้เป็นปึกแผ่นได้เลย ท่าทางเขาจะได้เป็นผู้วิเศษแค่คืนเดียวเท่านั้นล่ะกระมัง? ได้แต่เก็บช้อนไว้ในตู้โต๊ะหัวเตียงอย่างดี และคงไม่อาจนำไปโฆษณาว่านั่นเป็นผลของพลังจิต เพราะทุกคนที่ได้ยินจะหัวเราะก๊ากและบอกว่ามันเป็นพลังมือต่างหาก

การรวมจิตส่วนใหญ่อยู่ในขั้นขณิกสมาธิ จะถึงอุปจารสมาธิบ้างก็แบบแป๊บๆ ที่จะประคองรักษาสภาวะให้แนบแน่นนับชั่วโมงยังเป็นสิ่งไกลเกินเอื้อม จึงกระวนกระวายนิดๆ ว่าเท่าที่ทำได้นี้หลวงตาแขวนท่านพอใจแล้วหรือยัง

ชายหนุ่มหวังไว้มากเหลือเกินเรื่องพิสูจน์ภพชาติ ไม่อาจทราบว่าพระอาจารย์ท่านจะสอนแบบไหน หรือมีวิธีการพิสดารประการใดในอันที่จะเปิดหูเปิดตาเขา มีแต่ความมั่นใจอย่างเดียวว่าท่านต้องทำตามที่รับปากได้แน่ ตัวเขาเองเท่านั้นแหละมีปัญญาทำจิตให้ถึงระดับที่ท่านกะเกณฑ์เป็นเงื่อนไขไว้หรือไม่

ถึงกำหนดวัน เกาทัณฑ์ตื่นนอนตอนตีสามด้วยความวิตกอยู่ลึกๆ ลองนั่งสมาธิอีกครั้งก่อนจะไปพบพระอาจารย์ คงรอไม่ไหวหากท่านบอกว่าจะต้องปฏิบัติให้ได้ดีกว่านี้ ซึ่งอย่างต่ำๆก็ต้องรอไปอีกอาทิตย์หนึ่ง อย่าว่าแต่อาทิตย์หนึ่งเลย พรุ่งนี้เขาก็ขาดใจเสียก่อนแล้ว

ทำสมาธิได้ผล มีความอิ่มเอิบพอประมาณ สำรวจดูความเป็นไปและประเมินความก้าวหน้าถึงขั้นนี้ ก็ได้ความว่าตนสามารถทำจิตให้ถึงอุปจารสมาธิอย่างอ่อนๆในช่วงกำหนดลมประมาณห้าสิบครั้ง ซึ่งนับว่าดีกว่าวันแรกๆซึ่งต้องใช้ช่วงลมอย่างต่ำกว่าร้อยหรือสองร้อยครั้ง เสียตรงที่หน่วงภาวะผนึกแน่นแห่งจิตอันเอิบอาบปีติสุขล้นหลามนั้นได้ราวสามสิบช่วงลมก็สลายแรงดึงดูดลง และยากจะเอากลับมาใหม่

อีกอย่างที่นับเป็นความก้าวหน้าคือการมีสติควบคุมนิมิตได้มั่นคง เมื่อเริ่มเกิดอาการเปลี่ยนแปลงภาวะจิต ปราศจากความมึนงงและนิมิตบิดเบี้ยวทั้งปวง สามารถติดตามวิถีจิตไปตลอดสายโดยไม่คลาดเคลื่อน หน่วงยึดแต่ลมหายใจเป็นสรณะอย่างเหนียวแน่น ด้วยความสังเกตรู้ว่าความสม่ำเสมอของการเห็นอารมณ์คือปัจจัยหลักในการรักษาสภาวะให้คงที่

อาบน้ำล้างหน้าอย่างดี อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว หากพระอาจารย์ท่านยังไม่พอใจก็สุดวิสัยจะทำประการใดให้ดีขึ้นกว่านี้

แวะซื้อดอกไม้ธูปเทียนและข้าวถุงกับอาหารแห้งที่ตลาดใกล้ซอยบ้านปู่ชนะ เพิ่งเกือบหกโมงเท่านั้น หวังว่าจะได้ใส่บาตรเช้าสักที ครั้งสุดท้ายที่ใส่บาตรพระนานเท่าไหร่ก็ลืมไปแล้ว วันนี้กำลังสดชื่นและอยากได้ฤกษ์งาม จึงตั้งใจจะไปดักขบวนพระแถวหน้าวัดเลยทีเดียว

ชาวบ้านแถวนั้นตั้งโต๊ะเตรียมใส่บาตรกันแทบจะหลังเว้นหลัง เดี๋ยวนี้หาดูชาวบ้านรอทำบุญกันเป็นทิวแถวได้ยากแล้ว มีแต่ที่ต่างจังหวัดซึ่งก็เริ่มร่อยหรอเช่นเดียวกับในกรุงเทพฯ

ดีใจจนบอกไม่ถูก เมื่อผ่านหน้าบ้านปู่ชนะเห็นใครคนหนึ่งยืนรอใส่บาตรเช่นเดียวกับชาวบ้านละแวกเดียวกัน เกาทัณฑ์เปลี่ยนความตั้งใจที่จะไปรอขบวนพระถึงหน้าวัดทันที จอดรถไว้ใต้ร่มไม้ของอีกฝั่งถนนแล้วเปิดประตูลงมา

"สวัสดีฮะแพ"

เขาทักมาจากอีกฝั่ง หญิงสาวยิ้มให้

"ค่ะ สวัสดี"

"ขออาศัยโต๊ะวางของด้วยคนนะ"

แช่มชื่นเหมือนงานรื่นเริงตามเทศกาล มีผู้คนมากมายรอคอยทำบุญ แม้ห่างกัน ก็ร่วมบรรยากาศเดียวกัน เป็นเช้าที่อากาศดูโปร่งโล่งเย็นสบายไปทั่วฟ้า เกาทัณฑ์เปิดประตูตอนหลังและเดินข้ามถนน นำเครื่องของไปวางบนโต๊ะหน้าหญิงสาวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

"ปู่ตื่นหรือยัง?"

"ตื่นตั้งแต่ก่อนตีสี่ทุกเช้าแหละค่ะ แต่ท่านจะลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิไปจนถึงเจ็ดโมงเป็นอย่างต่ำ"

"โอ้โฮ นั่งเก่งนะฮะ…แล้วท่านไม่มาใส่บาตรกับแพบ้างหรือ?"

"เลือกเฉพาะวันพระน่ะค่ะ"

"แพคงทำเป็นประจำทุกเช้าเลยสินะ?"

"แค่เกือบเท่านั้น บางวันก็ตื่นสาย หรือต้องทำธุระอื่นเหมือนกัน"

"สั่งสมบุญไว้เยอะน่าดูเลย"

เขากล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

"ไม่เท่าไหร่หรอก ต้องคุณยายคนนั้นสิคะ"

หล่อนหันหน้าไปทางหน้าบ้านติดกันขวามือ ชายหนุ่มมองตามและเห็นคุณยายผมขาวใส่แว่น รูปร่างอ้วนท้วน นั่งประจำที่เตรียมใส่บาตร ล้อมรอบไปด้วยเด็กสาวๆผู้เป็นบริวารคอยช่วย หลายคนในกลุ่มนั้นเมียงมองมาทางเขาและแพตรีเช่นกัน

"เชื่อไหม ท่านใส่บาตรตั้งสามสิบกว่าปีไม่เคยขาดสักวัน ต่อให้เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ให้เด็กเข็นรถออกมาดูคนอื่นใส่บาตรแทนใกล้ๆ"

เกาทัณฑ์อึ้ง คนปกติที่ไหนทำได้ถึงปานนั้น สามสิบปีไม่ขาดสักวัน!

"ต้องมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจแน่เลยใช่ไหมฮะ?"

"สามีคุณยายเสียตั้งแต่ยังอยู่ในวัยกลางคนน่ะค่ะ ก่อนเสียเคยสัญญากันต่อหน้าพระพุทธรูปไว้ว่าถ้าใครตายก่อนจะมาบอกอีกฝ่ายว่าไปอยู่ที่ไหน สัมปรายภพมีจริงหรือไม่ แล้ววันหนึ่งท่านก็เห็นสามีมาหาในฝัน ฉายราศีสวรรค์งดงามมาก บอกว่าตอนนี้อยู่เบื้องบน มีความสุขสบายเหลือล้น ถ้าอยากมาอยู่ด้วยก็หมั่นทำบุญสุนทานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำแล้วก็ย้ำอธิษฐานมาอยู่ร่วมกันข้างบน นับแต่นั้นมาชีวิตของท่านก็ประกอบแต่งานบุญ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสารพัดพิธี เห็นอย่างนี้สติยังแจ่มใสมากเลยนะคะ"

เกาทัณฑ์ฟังเพลิน แก้วเสียงหล่อนเหมือนเครื่องดนตรีสักชิ้นที่เล่นยาวแล้วเปลี่ยนอารมณ์คนฟังให้เป็นกุศลได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

"คนใจบุญอยู่บ้านติดกันอย่างนี้ก็ยิ่งดีสิฮะ แพคงสนิทกับแกมากนะ"

"ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่แหละค่ะ"

พระองค์แรกเดินมาถึงบ้านคุณยาย แพตรีรีบถอดรองเท้าเตรียม เกาทัณฑ์เห็นหล่อนทำอย่างนั้นก็ชักเงอะงะไป เขาใส่คัทชูมา ถ้าถอดก็เกรงถุงเท้าจะเปื้อน จึงตัดสินใจใช้วิธีถอดแล้วเหยียบไปบนรองเท้านั่นเอง ซึ่งแพตรีก้มลงมาเห็นแล้วก็ยิ้มขัน

"ผมทำผิดเหรอฮะ?"

ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความร้อนตัวกลัวเปิ่นเทิ่น

"ท่านให้ถอดรองเท้าเพราะไม่อยากให้เรายืนสูงกว่าพระซึ่งยืนเท้าเปล่าน่ะค่ะ คุณทำแบบนี้ใส่อย่างเดิมจะดีกว่า"

"อ้าว! เหรอฮะ นึกว่าถอดแสดงความเคารพ"

หญิงสาวหัวเราะนิดหนึ่ง ก่อนสำรวมสงบ เกาทัณฑ์ตัดใจยอมให้ถุงเท้าเปื้อนดิน ก้าวออกมายืนบนพื้นเต็มๆฝ่าเท้า แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ายอมเปื้อนเพื่องานบุญนี่อิ่มใจแปลกๆ เลิกเป็นหนุ่มสำรวยกลัวถุงเท้าสกปรกได้โดยไม่ต้องฝืน

เกาทัณฑ์คุ้นหน้าพระองค์นั้น ท่าทางมีอายุแล้วพอควร ท่วงทีเดินเหินดูมีสติสำรวมน่าเลื่อมใส ไม่ช้าไม่เร็วและก้มมองต่ำอยู่ตลอดเวลาอย่างมีสมณสารูปอันงาม ต่างกับพระกรุงทั่วไปที่ชอบเดินท่อมๆอย่างคุ้นชินกับวิธีเดินสมัยเป็นฆราวาส ท่านคงอยู่ที่วัดทางนฤพานนั่นเองจึงมีราศีความเป็นพระฉายให้เห็นเช่นนี้

"นิมนต์ด้วยครับ"

เกาทัณฑ์แสดงความรู้ออกมาหน่อย รีบชิงส่งเสียงนิมนต์พระตั้งแต่ท่านเพิ่งปิดบาตรจากบ้านคุณยายราวกับเกรงว่าช้าไปจะต้องให้แพตรีเป็นฝ่ายใช้เสียง หญิงสาวเบือนหน้าไปซ่อนยิ้มทางอื่น พวกเด็กหน้าบ้านโน้นปิดปากหัวเราะกันคิกคักและมองมาเขาด้วยประกายขัน

เมื่อหลวงพ่อมาถึงและเลิกชายจีวรแง้มฝา แพตรีตักข้าวในขันด้วยทัพพี ยื่นใส่ลงไปในลูกบาตรซึ่งกำลังอวลไอข้าวกรุ่นของญาติโยมคนก่อนๆ ภาพที่เห็นและกลิ่นที่ได้รับกับบรรยากาศรอบข้างทำให้ชายหนุ่มมีจิตใจสบายเป็นกุศลยิ่ง มันเป็นกลิ่นไอการทำบุญที่ชาวกรุงใจกลางเมืองทั่วไปเห็นทีจะสัมผัสได้ยาก เมื่อถึงคราวเขา เกาทัณฑ์นำถุงอาหารส่วนของตนวางบนฝาบาตรที่ท่านหงายรับแล้วพนมมือไหว้

แพตรีวางขันข้าวลงบนโต๊ะ ยอบกายลงคุกเข่าพนมมืออย่างรู้ว่าองค์นี้ท่านสวดสัพพีสั้นๆให้เสมอ เกาทัณฑ์รีบทำตาม เขาได้ทำบุญร่วมกับหล่อนอีกแล้ว

"พระที่บิณฑบาตแถวนี้มาจากวัดทางนฤพานแห่งเดียวหรือเปล่านะแพ?"

ชายหนุ่มถามเมื่อหลวงพ่อท่านเดินจากไปและต่างลุกขึ้นยืน

"ใช่ค่ะ แห่งเดียว"

"เป็นวาสนาของชาวบ้านแถวนี้นะ ได้ทำบุญกับพระแท้ แพรู้ไหม เวลาที่ผมรู้สึกว่าจิตใจเป็นกุศลมากๆอย่างนี้ ใครมาพูดเรื่องสวรรค์ให้ฟังนี่มันโน้มเอียงไปเชื่อได้ง่ายๆเลย"

หญิงสาวพยักหน้า แล้วเขาจะเข้าใจเองว่าจิตชนิดที่เป็นตัวสร้างสวรรค์ย่อมให้กลิ่นอายสวรรค์ในตัวเอง อย่าพักต้องรอให้ใครพูดถึงเลย มันเกิดความรู้สึกขึ้นมากลางใจได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

"แพ"

"คะ?"

"รู้ไหมทุกครั้งที่ผมทำบุญร่วมกับคุณ ผมอธิษฐานว่ายังไง"

หล่อนสงบคำ สายลมระลอกน้อยรำเพยผ่าน เกาทัณฑ์กล่าวต่อโดยไม่เหลียวมา

"ผมขอให้มีโอกาสร่วมทำบุญกับแพตลอดไป ยังไม่รู้หรอกว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า แต่ถ้ามี คำว่าตลอดไปของผมก็ขอจองเอาทุกภพทุกชาติสืบไปตราบจนเราสองคนเข้าถึงพระนิพพาน"

แพตรียังสงบเป็นปกติ เกาทัณฑ์ยกมือพนมจรดหน้าผาก กระแสใจที่แผ่จากร่างนิ่งนั้นอ่อนโยนทว่าหนักแน่นนัก น่าแปลกที่เผอิญมีสายลมกรูเกรียวเกิดขึ้นในบัดดล ทำให้กลุ่มผมและชายกระโปรงของแพตรีพลิ้วไสวตามแรง หญิงสาวนิ่งสงบดุจเดิม แต่ริมฝีปากค่อยๆสยายออกเป็นรอยยิ้มงามละมุน ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อเกาทัณฑ์หันมาเห็น ก็รู้สึกในชั่วขณะนั้นว่าแพตรีสวยเกินจริงราวกับไม่ใช่มนุษย์

Title: ทางนฤพาน โดย ท่านดังตฤณ ( บทที่ ๑๑ ถึง ๒๐ )
Post by: Smile Siam on 22 December 2012, 07:22:33
ทางนฤพาน โดย ท่านดังตฤณ ( บทที่ ๑๑ ถึง ๒๐ )


บทที่ ๑๑  อดีตชาติ

ที่นั่นเป็นชายหาดเปลี่ยวร้างของจังหวัดทางตะวันออกแห่งหนึ่ง ห่างไกลจากแหล่งชุมชนมาหลายกิโลเมตร ด้านหลังเป็นภูเขาเตี้ย ด้านหน้าแผ่กว้างด้วยแผ่นน้ำสุดลูกหูลูกตาจดขอบฟ้าละลิ่วลิบ ไม่เห็นอะไรนอกจากคลื่นน้ำเลยแม้แต่เรือหาปลาเล็กๆสักลำ

ลมทะเลยามเช้าพัดฉิว อากาศเย็นสดชื่นและมีกลิ่นหอมระรวยของน้ำเค็ม มติเปิดกระโจมผ้าร่มออกมายืนรับลมบริสุทธิ์ด้วยความเบิกบานเป็นสุข เขารักสถานที่เช่นนี้ ชอบมาอยู่ตามลำพังอย่างนี้ มันทำให้รู้สึกเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในโลก และคล้ายทะเลกับลูกเขาทั้งหมดเป็นบ้าน

บรรยากาศเป็นสัปปายะเหมาะแก่การแสวงวิเวกตามอัธยาศัย เขามาถึงที่นี่ช่วงเย็นวาน รับลมชมดาวอิ่มเอมมาแล้วหนึ่งคืน

เด็กหนุ่มเงยหน้าดูเมฆขาวที่ลอยสูงนิ่ง ส่งใจขึ้นไปเนาสนิทอยู่บนนั้นเป็นครู่ ก่อนจะลดตาลงทอดมองระนาบขอบฟ้าเหยียดยาวสุดหางตา เงี่ยหูฟังเสียงระลอกคลื่นกระทบฝั่งอ่อนโยน อารมณ์สงบและคลื่นความคิดราบคาบดุจเดียวกับผืนทะเลยามนี้ นับเป็นการตื่นเช้ามาพบกับสิ่งวางจิตอันเป็นสันติ ชวนใจให้คล้อยเงียบและใฝ่ความเป็นนิรันดร์แห่งอิสรภาพตามกัน

เคยคิดอยากอยู่คนเดียวเช่นนี้ตลอดไป แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ ทั้งส่วนตื้นส่วนลึกของจิตใจยังเต็มไปด้วยห่วง เกลื่อนกล่นไปด้วยความพะวง

ยืดอกกางแขนรับลม สูดหายใจเต็มปอด อยากเป็นนกนางนวลที่สามารถกระพือปีกทะยานขึ้นฟ้ากว้าง แผ่ปีกลอยละล่องในอากาศเบื้องสูง ก้มลงทัศนาทัศนียภาพเบื้องล่างกว้างละลานตา ใจหมดห่วง หมดพันธะ ไร้เขตจำกัดใดมาขวางทางไป

หอบลมทะเลปะทะหน้าและเรือนกายต่อเนื่องกันเป็นเวลานานก่อนจะหยุดลงครู่หนึ่ง เขาชอบให้โสร่งขาวและเสื้อหลวมบนร่างปลิวลม มันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักบุญอิสระที่แสวงสัจธรรมไปในโลกกว้าง มีแต่เครื่องนุ่งห่มมอซอติดตัวชุดเดียว ปราศจากพันธนาการปรุงแต่งอื่นใดรัดรึงกายใจ

เด็กหนุ่มลืมตาและค่อยๆก้าวเดินเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่ม ที่นี่ไม่ใช่หาดสวยขนาดชักนำมนุษย์มาทำลายความสวยของมัน ทว่าก็เป็นหาดที่มีเสน่ห์สำหรับเขา เสน่ห์นั้นคือความไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรมชาติบริสุทธิ์ดุจโลกเพิ่งถูกสร้าง และยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอุบัติขึ้นแม้แต่ชนิดเดียว

ร่างผ่ายผอมดุ่มเดินไปเรื่อยอย่างคนมีเวลาทั้งหมดให้กับอิสรภาพและความโดดเดี่ยวว่างวาย กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่สติตื่นพร้อม และนึกอยากเปิดประสาทเสพรสแห่งทะเลให้เต็มที่ จึงหยุดเดินลงนั่งวางขาขวาซ้อนขาซ้าย สองมือวางลงบนเข่าแต่ละข้าง พริ้มตาปิดเฉยเตรียมเปลี่ยนสภาวะจิตให้เปิดรับผัสสะอย่างบริบูรณ์

ตัดการผูกพันกับประสาทตาได้ฉับพลัน เห็นสัณฐานของกายภายใน เลื่อนฐานความรับรู้ไปจับที่ความเคลื่อนไหวของลมหายใจ จิตผนึกนิ่งด้วยความชำนาญ สามารถกำหนดนึกนิมิตเหยียดยาวแช่มชัดของสายลมหายใจ เกิดภาวะสว่างนวลทันทีคล้ายจุดไฟติดอย่างรวดเร็วด้วยเชื้อดี

ทุกอย่างเกือบเป็นไปโดยอัตโนมัติ ทั้งความเคลื่อนไหวทางกายเพื่อดึงลมเป็นสายยาวสม่ำเสมอ และทั้งวิธีวางจิตกำหนดนึกหน่วงนิมิตให้คมชัดไม่คลาดเคลื่อน ด้วยเพราะปฏิบัติภาวนามาเป็นเวลาหลายปีจนเกิดความเคยชินและสัญชาตญาณทางสมาธิ ประกอบกับกำลังจิตที่ค่อนข้างอยู่ตัวทรงดุลยภาพ ปลอดโปร่งด้วยสภาพแวดล้อมจูงจิตในปัจจุบันขณะ

แม้เสียการทรงตัววูบไหวให้กลุ่มความคิดที่ก่อตัวขึ้นมาบ้างในช่วงแรก กลุ่มความคิดนั้นก็ปรากฏเป็นส่วนเกินอยู่ในความรับรู้ คล้ายหมอกควันที่จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสามารถตรึงนิมิตลมและสัณฐานแห่งกายอันเป็นจุดผ่านลมให้ทรงนิ่งต่อเนื่องครู่เดียว

 กระแสสุขแผ่ตัวออกกว้างไปในเขตโล่งรอบกาย อาการขยายหน้าท้องดึงลมเข้าและการเห็นสายลมรี่ผ่านโพรงจมูกลงสู่ทรวงอกเป็นเสมือนแรงดึงดูดกระแสจิตอันทรงพลัง ความที่จิตละเอียดและติดตามการเดินทางของลมเข้าสู่โพรงว่างในเรือนกาย ทำให้เห็นกายทั่วพร้อมคล้ายลืมตามองออกมาจากภายใน ดูกระดูกฉาบเนื้อนี้คล้ายร่างหุ่นกระบอกไร้ชีวิต ดำรงอยู่เพียงเพื่อเป็นที่ตั้งของการรับรู้นิ่งเฉย หมดสภาพตัวตนที่เคยคุ้นขณะลืมตาอย่างสิ้นเชิง

ฟังเสียงคลื่นเซาะทรายเปราะเปรียะ ประสาทหูที่เปิดรับเสียงเต็มประสิทธิภาพจากการขยายผลของจิตทำให้คลื่นทะเลฟังแปลกกว่าปกติ ทั้งชัดเจน ทั้งเก็บเสียงใกล้ไกลได้ครบถ้วนพร้อมกัน และมีมิติลึกลงไปกว่าการได้ยินตามธรรมดา นั่นคือการเข้าถึงมิติแห่งความจริง ความเคลื่อนไหว ความแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา รายละเอียดทั้งหมดที่ธรรมชาติส่งเสียงคุยกับเขาถูกเก็บเกี่ยวเข้าสู่ความรับรู้อย่างสมบูรณ์

เมื่อว่างจากความรู้สึกในตัวตน กับจับถนัดชัดเจนทั้งกลุ่มลมเข้าออกและเสียงดนตรีแห่งแผ่นน้ำ มติก็แยกภาคตัวรู้ออกไปอีกชั้น กำหนดดูความเป็นกายในองค์นั่ง เห็นคลุมทั่วเป็นแท่งเดียว เกิดนิมิตภายในเหมือนกายเป็นวัตถุรับผัสสะก้อนหนึ่ง ประดิษฐานอยู่บนผืนทรายนุ่ม รับแรงลมปะทะส่วนต่างๆ แน่นิ่งตามอาการของจิตที่ครองกายอยู่

จี้พิจารณาดูทีละส่วน เริ่มต้นที่ศีรษะ เห็นว่าการรับรู้เสียงเกิดขึ้นที่ร่องรูในแอ่งกลางใบหู มันเปิดรับคลื่นเสียงจากรอบทิศทั้งใกล้และไกล ทั้งค่อยและดัง โดยมีแหล่งรับเสียงจริงลึกลงไปไม่มากจากร่องรูนั้น

มติกำหนดหมายทันทีที่รู้ตำแหน่งแก้วหูอันเป็นต้นแหล่งรับเสียง เห็นสักแต่เป็นเพียงอายตนะในการฟัง ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีชื่อ ไม่มีโคตร ไม่มีใครครอบครอง ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน และกำลังจะแตกดับไปในเวลาอันสั้น โดยไม่อาจพยากรณ์วันเดือนปี

ขณะแห่งความรับรู้เช่นนั้น เหมือนเหลือเพียงคู่ประสาทหูลอยนิ่งในอากาศว่าง ไร้หน้าตา ไร้สำนึกแบบบุคคลผู้ได้ยินได้ฟังเสียงธรรมชาติ มีแต่จิตโปร่งใสดำรงรู้อยู่ในความกว้างโล่งรอบด้าน

นานเป็นครู่ใหญ่ จิตเลื่อนระดับความรู้ขยายตัวลึกลงอีกชั้น เห็นล่างลงไปเป็นกายที่ทรงตั้งอยู่ได้ด้วยกระดูกสันหลังเป็นข้อๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สามารถสัมผัสรู้จากความนิ่งใสของจิตระดับอุปจารสมาธิ สำเหนียกทราบว่ากายประกอบด้วยซี่โครงและระยางยื่นออกไปเป็นส่วนแขนขามือเท้า โครงกระดูกนั้นห่อหุ้มด้วยเลือดเนื้อสกปรก ยามใดที่ลมทะเลหยุด ก็จะรู้ได้ถึงความเหนียวตัวเพราะคราบไคลที่ไม่ได้รับการชำระล้างจากน้ำจืด

กายเป็นแค่สุสานเก็บศพสัตว์และพืชผักนานาชนิด ตั้งอยู่เพื่อรับรู้ผัสสะร้อนเย็นอ่อนแข็งชั่วเวลาช่วงหนึ่ง ไม่นานร่างนี้จะลงวางเหยียดยาวไร้ลมหายใจ ยิ่งเปื่อยยิ่งหาชื่อเรียกไม่ถูกว่าเป็นใคร หรือกระทั่งเป็นอะไร มีรูปทรงสัณฐานแบบไหน

แล้วกลับไปกำหนดลมใหม่อีกรอบ คราวนี้เพ่งความละเอียดยืดยาว เพื่อประจุพลังให้เกิดภาวะทรงตัวแน่นขึ้น สว่างไสวและรู้เท่าทั่วพร้อมกว่าเดิม เหมือนสร้างศูนย์กลางอันใหญ่ครอบกายขึ้นมาควบคุมภาครู้ที่กำลังจะแตกแขนงไปต่างๆ

ด้วยความระวังประคองดวงนิ่งหนักแน่นไว้นั้น มติเพ่งรู้แบ่งจิตเป็นสองภาค ภาคหนึ่งตรึงนิมิตภายในไว้ไม่ให้คลาดเคลื่อน อีกภาคหนึ่งตามอาการเปิดเปลือกตาขึ้นแช่มช้า รับรู้แสงสีที่กระทบจักษุประสาทอย่างมีสติ เท่าทันว่าอย่างนั้นสี อย่างนั้นวัตถุ หน่วยตารับภาพเบื้องหน้าเต็มจอทั้งหลักและรองสุดแนวกว้างลึก เมื่อได้ภาพเต็มที่ก็เห็นเป็นท้องทะเลอันเดิม แต่ชัดใหญ่กระจะตาดูแปลกไปกว่าเก่า

คงเหลือแต่การเห็นแผ่นน้ำเท่านั้นดำรงอยู่ หากตัดสัญญาทางภาษาไม่เรียกว่า ‘ทะเล' เสียอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรเหลือให้หมายจำนอกจากความเคลื่อนไหวของธาตุน้ำก้อนมหึมาในแอ่งใหญ่ เหนือน้ำมีธาตุลมแปรทิศไปมา สูงขึ้นไปเป็นอากาศธาตุเวิ้งว้างกว้างไกล

แก้วตาทำหน้าที่ของมันไป แผ่นน้ำกว้างก็ดำรงอยู่ของมันไป ปราศจากตัวตนที่ฝั่งนี้และฝั่งโน้น ทุกอย่างอยู่ในสภาพธรรมดาดั้งเดิม ในมิติสำนึกรู้สึกที่แตกต่างไปจากยามมีตัวตนประกอบ เมื่อจิตเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยนตามได้เช่นนี้เอง

รู้เห็นครอบคลุมกว้างไกลและคมชัดดุจเหยี่ยวที่มีพรสวรรค์ในการเห็นล้ำลึก ศูนย์กลางสติตั้งนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหวแห่งภาพและเสียงละเอียดยิบ

ธรรมตรงหน้ามีอยู่ เมื่อตาประจวบเข้าก็เห็นเป็นรูปคลื่นน้ำ เมื่อหูประจวบเข้าก็ได้ยินเป็นเสียงคลื่นลม เมื่อจมูกประจวบเข้าก็ได้กลิ่นเป็นไอน้ำเค็ม เมื่อกายประจวบเข้าก็ได้สัมผัสเป็นลมรำเพยและกลุ่มเม็ดทรายมหาศาล

สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน สักแต่ได้กลิ่น สักแต่สัมผัส ปราศจากตัวตนผู้ครองผัสสะทั้งมวล

เนิ่นนานในช่วงจำกัดหนึ่งของศักยภาพความทรงตัวแห่งจิต ท่ามกลางความเลื่อนไหลแปรรูปไปของมหธรรม เมื่อจิตเสียดุล ไม่อาจทรงนิมิตภายในให้คงที่ ลีลาธรรมชาติก็ดำเนินไป คล้ายน้ำแข็งที่ถูกความร้อนไม่อาจทรงตัว เหลวละลายกลายเป็นสายน้ำ พอทำนบสมาธิพังลง ดวงจิตก็ก่อกระแสความคิดหลั่งไหลออกมาในที่สุด

ภาษาจิตดั้งเดิมนั้นมีแต่ความเงียบรู้ สมาธิเฉียดฌานมีความเข้าใกล้ความเงียบรู้ชนิดนั้น เมื่อภาษาคิด ภาษาพูดปรากฏขึ้นในหัว ก็กลายเป็นเสียงดังฟังชัด ดูประหลาด และเห็นว่ากลุ่มความคิดไม่ใช่เสียงของตัวเอง เหมือนเสียงที่ลอยขึ้นมาโดยปราศจากคนพูดในห้องอันว่างวาย และคล้ายภาษาต่างด้าวที่ต้องนึกคำแปลกันใหม่หมด

มติเกิดความเห็นเช่นนั้นด้วยเคยฝึกพิจารณากลุ่มความคิดมาก่อน คือฝึกมองกระแสความคิดเป็นเพียงระลอกกระเพื่อมไหวที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเสียดุลจากการดิ่งนิ่ง ความกระเพื่อมไหวนี้เองแปรสัญญาณเป็นความกำหนดหมาย กลายเป็นอุปาทานสำคัญไปว่ามีเราผู้คิด มีเราผู้ครองกาย โดยที่เนื้อแท้แล้วคลื่นความคิดก็เหมือนคลื่นทะเลที่แปรรูปไปเรื่อยๆ หาตัวตนติดตามความปรวนแปรตลอดเวลานั้นไม่ได้เลย

ความคิดเป็นสิ่งไร้รูป ก่อตัวมลังเมลืองเหมือนหมอกควันไร้เงา ทว่าความมนมัวไร้ตนนี้เองที่สร้างความรู้สึกในตัวตนอย่างแจ่มชัดขึ้นมา เมื่อตัวตนแจ่มชัด ดวงรู้ธรรมตามจริงก็เลือนพร่าลงตามลำดับ

มติกะพริบตาทีหนึ่ง ค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างโลกของความมีตัวฉันกับโลกของธรรมชาติบริสุทธิ์ที่เพิ่งประจักษ์ กระแสความคิดดำเนินไปตามครรลองที่เคยมีเคยเป็น แล้วจังหวะหนึ่งโลกของตัวตนก็เข้าครอบงำดวงจิตไว้ทั้งหมดเมื่อเกิดความรู้สึกหิวขึ้นในช่องท้อง มีความแห้งอยากเกิดขึ้นที่นั่น สติสตังถูกปล่อยหลุดไปง่ายๆเพราะไม่เคยผ่านการฝึกชนิดสมบุกสมบันเยี่ยงพระธุดงค์ผู้หมดอาลัยกับร่างกายและความเป็นมนุษย์

เคลื่อนตัวไปตามวิถีทางที่ควรจะเป็น เดินกลับจุดพักแรม เข้าไปหยิบเสบียงในกระโจมผ้าร่มแล้วออกมานั่งทานเงียบๆ ทอดมองดูโพ้นฟ้าเบื้องไกลไปด้วย

กระแสนัยน์ตาจะยังแรงด้วยพลังสติอันเป็นเศษสมาธิ ใจว่างเฉยเหมือนอากาศธาตุ แต่เมื่อขนมปังตกสู่ท้องทีละชิ้น ทีละก้อนโดยปราศจากการกำหนดจิตตาม ความคิดอันคุ้นเคยก็ผุดพรายขึ้นมาเป็นระลอก

คิดถึงแพตรีขึ้นมาจางๆ แต่พอเท่าทันว่าเป็นเหตุแห่งความกระวนกระวาย ก็ใช้ธารปีติแห่งอารมณ์วิเวกที่ยังเอ่ออยู่เต็มอกหลั่งลงดับความคิดถึงชนิดนั้นเสียได้ง่ายๆ

ความนิ่งดำเนินไป แต่ก็กลับแปรเป็นความคิดถึงหล่อนขึ้นมาอีก จะตัดใจซ้ำก็ชักนึกขี้เกียจ ก็หล่อนมิใช่หรือที่ทำให้นึกอยากปลีกตัวมาไกลๆอย่างนี้ ทั้งที่เพิ่งกลับจากค่ายพัฒนาชนบทได้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

ยังนึกเสียใจที่ประกาศความในผ่านภาพสีน้ำมันเมื่อวันก่อน สัมพันธภาพดูแปร่งแปลก เจื่อนจืดลงอย่างน่าใจหาย ดูออกว่าหล่อนฝืนยิ้ม ฝืนพูด และพยายามทำให้ทุกอย่างดูคล้ายปกติ แต่แค่แววกังวลที่ฉายออกมายามสบตากัน ก็รู้ไปถึงไหนแล้วว่าแพตรีกำลังลำบากใจ เขากับหล่อนสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้อง ยิ่งกว่าเพื่อน กล้าพูดกล้าเล่าทุกเรื่อง แล้วจู่ๆวันหนึ่งทุกอย่างก็กลับหัวกลับหาง เมื่อน้องชายหรือเพื่อนสนิทคนเดียวแจ้งให้ทราบว่าอยากเปลี่ยนชนิดของความสัมพันธ์เสียที

หยั่งใจแพตรีได้จะแจ้งเช่นเดียวกับดูใจตนเอง ยกเว้นเรื่องนี้ หากให้ปรับฐานะมาเป็นคนรัก รอครองเรือนกัน หล่อนจะว่าอย่างไร เดาไม่ได้เลย เท่าที่รู้คือตลอดมาเขาเป็นคนเดียวที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นคนเดียวที่สนิทขนาดเคยให้นอนเฝ้าเมื่อครั้งหล่อนเป็นไข้หวัดใหญ่

เขาอาจเป็นได้แค่น้องชาย เดินไปไหนมาไหนกับหล่อนแล้วถ้าผ่านกระจกเงาก็ชำเลืองรู้ว่าไม่ใช่คู่ที่ควรกัน แต่มติถือว่าภาวะโดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่งพาในระยะยาวของหล่อน นับเป็นปัญหาที่คนสนิทเช่นเขามีสิทธิ์แจ้งความจำนงขออยู่เคียงข้าง ถึงแม้ไม่อาจเป็นฝ่ายเลี้ยงดูให้สุขกายสบายใจอย่างชายผู้มั่งมีจะสามารถทำ ก็ขอเป็นคนที่จะไม่หายหน้าไปไหนในเวลาหล่อนต้องการใครสักคนช่วยจัดวางสิ่งต่างๆในแต่ละวันให้เข้าที่เข้าทาง

เคยถามหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่พอใจใครบ้างหรือ หลายรายที่เข้ามาตีสนิทก็ออกพรั่งพร้อมทั้งรูปสมบัติคุณสมบัติ แพตรีปฏิเสธมาโดยตลอด บอกอย่างเดียวว่าอึดอัดเมื่อต้องอยู่กับคนที่จิตไม่นิ่ง จะชายหรือหญิงก็ตามที

สรุปแล้วคือพูดด้วยปากว่าไม่อยากอยู่กับใคร แต่บอกผ่านการกระทำว่าพึงใจเพียงพอจะใกล้ชิดกับเขาได้?

และหล่อนก็บอกเขาเสมอว่าเป็นเรื่องโชคดี ถ้ามีใครสักคนพูดคุยกับเราได้โดยปราศจากการฝืนใจ มติทราบว่านั่นคือการบอกว่าเขาคือความโชคดีของหล่อน

ครั้งสุดท้ายที่พบกัน มติชวนหล่อนไปซื้อของถวายสังฆทานในวันเกิดของเขา ทุกอย่างปกติและเป็นไปด้วยดีเหมือนเคย ยกเว้นบัตรอวยพรวันเกิดที่ทำให้เขาต้องระเห็จมานั่งมองฟ้าเงียบๆอยู่เดี๋ยวนี้

สุขสันต์วันเกิดนะน้องรัก

ปีนี้นึกอยากเจ้าบทเจ้ากลอนขึ้นมาแทนซื้อของขวัญนะ

นั่งคิดอยู่เป็นชั่วโมง

ถ่ายทอดใจจริงทั้งหมดที่มีให้เธอครบแล้ว

และหวังว่าคงมีค่าพอจะเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งได้…

อยากมอบทองของกำนัลอันสูงค่า     แต่จนใจไร้ปัญญาจะหาไหว

ถ้าซื้อแล้วคงแก้วขุ่นไม่ถูกใจ          เมื่อให้ไปคงไม่แลแค่วางดิน

จึงขอให้แก้วใสเป็นใจนี้                เจียระไนไว้ดูดีกว่าทุกชิ้น

น้ำใจรักฉันพี่สาวจะลงริน              ขังในแก้วแพรวจนสิ้นอายุเรา

หล่อนอวยพรบรรทัดเดียว ที่เหลือเป็นถ้อยแถลง เขาอ่านแค่หนึ่งรอบแต่จำสนิท เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าหล่อนใจร้ายไปหน่อย เลือกวันเกิดของเขาเป็นเวลาทำลายวิมานอากาศกันลงคอ

ถอนใจเฮือก เมื่อสงบสติลง และมองหล่อนด้วยสายตาของคนรู้ใจ ก็พอเห็นแหละว่านั่นเป็นวิธีของหล่อน แพตรีพยายามอย่างที่สุดที่จะถนอมน้ำใจเขา ทั้งสรรคำพูดให้แนบเนียน และทั้งเลือกจังหวะที่พอจะพูดอะไรชนิดนั้นได้โดยไม่เห็นแปลก

รู้สึกเจ็บ ใช่เพราะหล่อนปฏิเสธ แต่เพราะเห็นขีดจำกัดของตนเอง หากเขารูปร่างหน้าตาดีกว่านี้ ดูเข้มแข็งเป็นผู้นำได้หน่อย ก็เชื่อว่าแพตรีคงเปลี่ยนใจได้บ้าง

นึกถึงชายหนุ่มมาดคมคนล่าสุดที่เห็นมาทำท่าทางติดพัน ดูเหมือนเป็นคนแรกที่เข้ามาได้ถึงในบ้าน แต่เมื่อทราบฐานะว่าเป็นหลานปู่ชนะ มติก็ลดความแปลกใจลงนิดหนึ่ง

ย้อนไปถึงวันที่เห็นแพตรีนั่งคุยกับหนุ่มคนนั้นใต้ร่มไม้หน้าบ้าน พอเห็นเขามายืนอยู่หน้าประตู หล่อนก็แสดงกิริยาบางอย่างที่เขารู้สึกแปลก คือเบิกตา ส่งเสียงทักแหลมใสด้วยความยินดี ราวกับว่าเขาจากไปไหนนานจนคิดถึงเสียนักหนา ความจริงก็คือแพตรีไม่เคยดีอกดีใจกับการปรากฏตัวของเขาขนาดนั้น ต่อให้ต้องห่างไปต่างจังหวัดกี่อาทิตย์ก็เถอะ

เหมือนหล่อนอยากแกล้งให้นายคนนั้นเจ็บใจเล่น นั่นเป็นสิ่งที่มติไม่เคยเห็น วิสัยแพตรีต่างกับหญิงทั่วไป ต่อให้รำคาญคนตามตื๊อขนาดไหน ก็จะไม่มีการดึงหุ่นมาเชิดใส่ใครเลย หล่อนไร้มายา ไร้ความคิดทำร้ายจิตใจใคร

แค่เห็นร่างสูงสง่าที่ลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสัดของหลานปู่ชนะ มติก็บอกตนเองว่าหากแพตรีจะติดเนื้อต้องใจผู้ชายสักคน ก็น่าจะเป็นแบบที่เห็นนั่นแหละ

แต่ทำไมกลับกลายเป็นว่าหล่อนมีทีท่าเมินออกห่าง ไม่ใส่ใจไยดี มิหนำซ้ำยังทำทีว่ามีคนพิเศษเช่นเขาอยู่แล้ว ขนาดมาถึงปุ๊บหลานปู่หมดค่าปั๊บ มติดูออกว่าหล่อนเมินจริง ใช่ว่าเสแสร้งแกล้งสร้างความเข้าใจผิดเพื่อปิดบังความพึงใจตามประสาหญิงที่ยังขวยเขินกับสัมพันธภาพใหม่

หรือนี่มีเบื้องหลังอะไร?

คำว่า ‘หลานปู่’ สะกิดเตือนให้นึกถึงบางเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นานจนเขาเกือบเลือนไปในรายละเอียด

ช่วงที่เริ่มสนิทและคบหาประสาเด็ก เขากับหล่อนคุยกันสารพัดเรื่องอย่างถูกคอและมีความผูกพันใกล้ชิดกันมาก อาจเป็นเพราะเจอกันในงานบุญที่วัดทางนฤพานบ่อย และมีเพียงเขากับหล่อนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน

ตอนยังเล็กเขาเป็นเด็กช่างถามและขี้สงสัย เห็นหล่อนตัวโตกว่า กับทั้งประพฤติตัวสุภาพเรียบร้อยเป็นนิจ วิธีพูด วิธีทอดเสียงแต่ละคำคล้ายผู้ใหญ่ ก็สนิทใจถามโน่นถามนี่เอาคำตอบ ยึดเป็นขุมทรัพย์ทางความรู้ ความคิด ชนิดที่หล่อนบอกอะไรเชื่อหมด

อย่างเช่นสงสัยว่าทำไมพระถึงต้องโกนหัว ผีมีไหม นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า เทวดานางฟ้าหน้าตาเป็นยังไง ทำไมคนถึงต้องเกิดมา เมื่อหล่อนตอบคำถามหนึ่ง ก็มักเป็นประเด็นของปัญหาข้อต่อไปยืดยาว

คุยไปคุยมาจนแน่นแฟ้นถึงระดับหนึ่งที่ไม่รู้สึกเป็นอื่นอย่างแท้จริง นอกจากเป็นพี่เป็นน้องกัน มองย้อนไปมติจึงทราบว่าการสนทนาธรรม แม้เป็นในระดับเด็กๆ ก็จัดเป็นบุญกิริยาใหญ่ร่วมกัน และทำให้เกิดความผูกพันสนิทได้ขนาดนั้น

จนครั้งหนึ่ง เขากับหล่อนนั่งรอผู้ใหญ่อยู่ล่างกุฏิหลวงตาแขวน มีแมววัดเดินผ่านมา เขาไปจับมันอุ้มเล่นด้วยความเอ็นดู เพ่งพินิจหู ตา จมูก ปากของแมวด้วยนิสัยประจำตัวช่างสังเกตแต่ไหนแต่ไร จู่ๆก็เกิดสงสัยขึ้นมา

‘พี่แพฮะ ตอนแมวมองตาเรานี่มันคิดอะไรอยู่หรือเปล่าฮะ?’

เพิ่งจะเดี๋ยวนั้นที่เขานึกว่าสัตว์น่าจะมีความคิด มติสนเท่ห์มาก สัตว์มีความคิดหรือเปล่า ถ้าคิดคิดอย่างไร?

‘คิดสิ แต่ต่างจากพวกเรานะ เพราะมันไม่มีภาษาเป็นสื่อชักนำความคิด’

มติขมวดคิ้วย่น

‘แมวคิดชั่วได้ไหมฮะ?’

‘ได้สิ เราถึงเรียกแมวบางตัวว่าแมวอันธพาลไง’

‘งั้นมันก็ไปนรกได้สิฮะ’

‘ใช่’ แล้วหล่อนก็พูดเหมือนเสริมว่า ‘สัตว์มีวิญญาณน่ะ ไปไหนๆตามกรรมได้ทั้งนั้นแหละ อย่างแมวตัวนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นคนนะนั่น ตอนมีใจสูงก็เป็นคน ตอนมีใจต่ำก็มาเป็นแมว’

มติตะลึง แพตรีพูดไปตามธรรมดาของหล่อน ทว่ามีผลกระทบใจอย่างแรง เขาสะดุดกึกและครุ่นคิดใหญ่โต

แมวตัวที่เขาอุ้มอยู่น่ะหรือเคยเป็นคน คนหน้าตาอย่างไร หญิงหรือชาย ข้ามวันเวลาอย่างไรทำไมกลายสภาพมาเป็นสิ่งที่แตกต่างได้ถึงเพียงนี้?

แม้เชื่อแพตรีมาตลอด แต่คราวนั้นอดสงกาไม่ได้

‘แมวตัวนี้เคยเป็นคนด้วยหรือฮะ?’

‘เคยซี่’

‘พี่แพรู้ได้ยังไงฮะ?’

‘พระท่านบอกไว้จ้ะ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ตามแรงกรรม เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นเทวดาอะไรต่ออะไรมาแล้วทั้งนั้น’

‘แล้วพระท่านรู้ได้ไงฮะ?’

‘ท่านรักษาศีล รักษาธรรม ฝึกปฏิบัติจนจำความเป็นมาของตัวเองได้สิจ๊ะ’

เขายังขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกสัมผัสแม้แต่น้อยว่านั่นเป็นความจริง แมวขนนุ่มๆในมือของเขาคือสิ่งจับต้องได้ ส่วนที่ว่ามันเคยเป็นคนมาก่อนช่างฟังเลื่อนลอยไร้น้ำหนัก

‘แล้วพี่แพจำได้ไหมฮะว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมาก่อน?’

เขาเดินเข้ามานั่งข้างหล่อน ยังอุ้มแมวไว้ในมือ แต่เพ่งตาถามจริงจัง ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเผอิญตั้งคำถามเอากับคนที่เป็นหนึ่งในร้อย หนึ่งในล้าน

จำอาการนิ่งอึ้งเหมือนชั่งใจของแพตรีได้จนบัดนี้ หล่อนมองไปข้างหน้าด้วยแววตาของคนที่กำลังระลึกถึงบางสิ่ง

‘พี่แพจำได้เหรอฮะ?’

เมื่อเขาคาดคั้น ก็ได้คำตอบที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็กขี้สงสัย

‘จ้ะ จำได้’

‘พี่แพเคยเป็นอะไรมาฮะ?’

แพตรีอ้ำอึ้งคล้ายจะปล่อยให้เขาเลิกสนใจไปเองถ้าเงียบนานหน่อย แต่พอเขาถามซ้ำก็เอ่ยคล้ายจำใจ

‘ก็เป็นคนอย่างนี้แหละ’

‘แล้วผมเคยเป็นอะไรมาก่อนฮะ?’

‘ไม่รู้สิจ๊ะ พี่รู้เฉพาะเรื่องของตัวเอง เรื่องของมติไม่รู้หรอก’

หล่อนตอบยิ้มๆ

‘แล้วพี่แพจำได้ยังไงฮะ ทำแบบพระเหรอ?’

‘เปล่า’

‘แล้วทำไงฮะ?’

‘ก็…’ เด็กหญิงพยายามคิดเพื่ออธิบาย ‘อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้นะ วันหนึ่งมองพระพุทธรูปแล้วเหมือน…นึกได้ว่าเมื่อวานพี่เป็นอะไรมาก่อน คล้ายมติตื่นแล้วจำได้ว่าก่อนนอนทำอะไรบ้างน่ะ’

มติเอียงคอทำปากยื่น

‘แล้วทำไมผมมองพระพุทธรูปไม่เห็นนึกได้มั่งล่ะฮะ?’

แพตรีหัวเราะนิดหนึ่ง

‘พี่นึกได้เพราะแรงอธิษฐานน่ะ คนอื่นไม่เป็นอย่างพี่หรอก’

หล่อนใช้ศัพท์แปลกหูสำหรับเขาในวัยสิบขวบ คำสนทนาถัดจากนั้นเลือนๆไป มติพยายามซักถามซอกแซกมากมาย แต่ดูเหมือนถูกปิดกั้นให้ยุติการรับรู้แค่ว่าหล่อนเคยเป็นคนเหมือนชาตินี้เท่านั้น

นานต่อมาพักหนึ่งจนโตขึ้นหน่อย วันหนึ่งไปช่วยแพตรีขนของย้ายห้อง เมื่อจัดจนเกือบเสร็จเขาพบลังหนังสือเก่าของหล่อนก็ลงนั่งรื้อๆหาเรื่องน่าสนใจอ่าน ซึ่งก็พบอยู่หลายเล่มจึงยืมกลับบ้าน แพตรีกำลังเหนื่อยก็พยักหน้าตกลงโดยไม่ทันสังเกตว่าเขาหยิบเล่มไหนไปบ้าง

ใส่ถุงถือกลับมาจนถึงบ้านแล้วนั่นแหละ มติจึงพบว่าระหว่างหนังสือต่างๆเป็นสมุดไดอารี่เล่มหนาของพี่สาว…

จากเลขปีบนปกสมุดทำให้ทราบว่าเป็นเรื่องบันทึกที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ความสนิทบวกกับความที่คิดว่าเป็นเรื่องเก่านานนมทำให้มติถือวิสาสะเปิดอ่านประสาวัยอยากรู้อยากเห็น

แพตรีเป็นเด็กผู้หญิงที่ช่างสังเกต ช่างคิด ช่างเขียน เรื่องราวในชีวิตประจำวันถูกบันทึกไว้อย่างกระชับคล้ายสรุปว่าได้รับอะไรจากแต่ละวันบ้าง หล่อนขยันเขียนราวกับเป็นหน้าที่หลัก อย่างมากก็ขาดหายไปสาม-สี่วัน ส่วนใหญ่จะต่อเนื่องไม่เว้นเลยนับอาทิตย์ มตินั่งอ่านด้วยความเพลิดเพลิน ในความเรียบง่ายแพตรีมีความคิดอ่านหลักแหลม ร้อยเรียงคำพูดได้ชวนอ่าน และมักทิ้งท้ายเป็นบรรทัดสรุปของแต่ละวันไว้น่าคิด ชวนฉงน

ความชวนอ่านในภาษาของหล่อนนั่นเองที่ทำให้มติอ่านเรื่อยทุกหน้า ทุกคำ จนกระทั่งพบว่าหลายหน้าในสมุดเล่มนั้น ทำให้คนอ่านใจเต้นแรงได้…

มติชอบไดอารี่เล่มนั้นมาก ถึงขนาดคิดครอบครองไว้เสียเอง เขาแกล้งถามแพตรีว่าตอนขนของย้ายห้อง มีอะไรสูญหายไปบ้างหรือเปล่า หล่อนนิ่งทบทวนเป็นนานกว่าจะบอกว่าเปล่า เห็นอย่างนั้นก็รู้ว่าแพตรีมิได้ระลึกถึงหรืออยากใช้สมุดบันทึกในอดีตอีกต่อไป มติรวบรัดว่าถ้าอย่างนั้นขอหนังสือทุกเล่มที่ยืมหล่อนมาไว้เลยได้ไหม เพราะเขาชอบมากและอยากอ่านทบทวนอีกในอนาคต แพตรีทำหน้าสงสัยนิดเดียวก่อนตอบตกลงอย่างง่ายดาย

นั่นทำให้เขาเป็นเจ้าของไดอารี่อย่างสมบูรณ์ และสามารถนำติดเป้มาด้วยในวันนี้…

เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อย มติเข้ากระโจมรื้อเป้ ดึงสมุดส่วนตัวของแพตรีมาพลิกเปิดไปยังหน้าที่จำได้เจนใจ

ในที่สุดฉันก็ได้พบเขา ตอนเปิดประตูรับเขากับคุณพ่อ ฉันดีใจจนเกือบร้องไห้ เห็นแค่แวบแรกก็รู้ว่าใช่เขาแน่

 แต่เขามองฉันแล้วเฉย มองแล้วเมินเหมือนเห็นนกกา ฉันเสียใจและรู้สึกกลัว…ถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่จำอะไรไม่ได้ ก็แปลว่าที่ถือฤกษ์เกิดตามแรงบุญร่วมกันคือสูญเปล่า ชาตินี้คงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ทั้งที่เกิดมาก็เพื่อเขาคนเดียว

 ตลอดเวลาที่นั่งบนเรือน เขาเอาแต่นั่งทำหน้าเบื่อ ฟังปู่คุยกับคุณพ่ออย่างเสียไม่ได้ ฉันรู้สึกกระวนกระวาย พยายามวนไปเวียนมา หาน้ำหาขนมให้ทุกคน และพยายามสบตากับเขา แต่เขาไม่มองฉันเลย เหมือนใจกำลังหมกมุ่นกับเรื่องในใจบางอย่างตลอดเวลา

 เขากลับไป…ไม่แม้แต่ชายตาดูกัน ฉันอยากเข้าไปคร่ำครวญตัดพ้อ อยากทวงถามหลายสิ่ง แต่จะเอาความกล้ามาจากไหน ทำไม…

ข้อความประจำวันขาดหายไปเพียงเท่านั้น เดาว่าแพตรีคงเขียนต่อไม่ไหว เพราะร้องไห้ออกมาเสียก่อน ความจริงหล่อนอาจร้องมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่เมื่อถึงจุดที่ขาดหาย ก็คงมือไม้อ่อนจนยากจะเขียนอะไรต่อได้อีก

มติรู้สึกสงสารพี่สาวจับใจ หลายปีก่อนเคยอ่านหน้านี้ด้วยความฉงนฉงาย จับต้นชนปลายไม่ติด แต่ ณ เวลาปัจจุบันเริ่มเดาถูกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร

ถัดจากบันทึกวันนั้น มีแต่ถ้อยคำอันแสดงถึงจิตใจที่เวียนว่ายวกวนอยู่กับชายที่ดูเหมือนหล่อนรอคอยมาตั้งแต่เกิด…หรือท่าทางจะตั้งแต่ก่อนเกิด จนเดี๋ยวนี้มติก็ยังมึนงงเหมือนกึ่งฝันกึ่งจริง แน่นอนหล่อนบันทึกไว้เป็นความลับสุดยอด มิได้มีเจตนาให้มือที่สองมาอ่านหรือคิดเชื่อตาม ซึ่งนั่นแหละทำให้เขาขนลุก หล่อนอยู่อีกโลกที่เขาไม่รู้จัก โลกของความรักข้ามภพข้ามชาติ โลกที่ทำให้ชีวิตจริงเห็นได้ด้วยตาเปล่าของคนทั่วไปถูกแยกเป็นอีกระนาบ

บางวันแพตรีพร่ำพรรณนาถึงเรื่องในอดีตที่จับความยาก เพราะหล่อนเขียนแบบอ่านรู้อยู่คนเดียว แต่บางวันก็ขยายความชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปู่ชนะเล่าที่มาของหล่อนให้รับรู้ แพตรีเขียนแบบระลึกความหลังคล้ายไม่อยากใส่ใจกับเรื่องราวในปัจจุบันอีกต่อไป

ปู่ทราบว่าแพตรีจำอดีตของตัวเองได้ตั้งแต่ย่างหกขวบ และหล่อนก็เหมือนเด็กระลึกชาติได้ทั่วไปที่มีความขัดแย้งในตนเอง แม้ผิวนอกเป็นเด็ก แต่เนื้อในมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เนื่องจากความหมายจำเก่าๆยังตกค้าง และไม่อาจกลืนกันสนิทกับอัตภาพใหม่ที่ยังคงอ่อนเยาว์เอามาก

เมื่อหล่อนถามถึงความเป็นมาของตนเองละเอียดกว่าความรู้ผิวๆเช่นพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่แท้จริงเป็นใคร ปู่จึงเล่าตามจริงว่าย้อนไปก่อนหน้าหล่อนเกิดประมาณห้าปีเศษ ขณะปู่ทำสมาธิทรงตัวได้ที่อยู่ในห้องพระบนบ้าน ท่านเกิดนิมิตเห็นวิญญาณชั้นสูงปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด ในนิมิตท่านไม่รู้สึกกลัว ตรงข้าม มีความคุ้นเคยสนิทสนมเหมือนได้พบญาติที่ห่างหายกันไปนานจนเลือนหน้าเลือนตา ปู่ดีใจอยู่ลึกๆที่พบกัน

วิญญาณนั้นมีนิวาสสถานอยู่บนพรหมภูมิ แนะนำตัวว่าเคยเป็นน้องชายของท่านมาก่อน และเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันหลายภพหลายสมัย เวลานั้นกำลังจะกำหนดจิตลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ โดยจะมีฐานะเป็นหลานปู่ ระบุชื่อที่จะถูกตั้งไว้เสร็จสรรพ เพื่อรอการพิสูจน์ว่านิมิตนั้นมิใช่อุปาทานลวงอันเกิดแต่สมาธิจิตปรุงแต่งหลอกท่านแต่อย่างใด

ธุระที่มาปรากฏในนิมิตไม่ใช่เพื่อบอกเก้าเล่าสิบว่าจะมาเกิด แต่มาเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับใครคนหนึ่งที่จะตามมาเกิดด้วยอำนาจแรงอธิษฐานร่วมกัน ใครคนนั้นจะเกิดเป็นหญิง และด้วยกรรมบางอย่างหล่อนจะกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังไม่รู้ความ

วิญญาณนั้นกล่าวว่าหล่อนพอมีวาสนา เคยเกื้อกูลกับปู่มาก่อน เมื่อพบกันจะเกิดความ เมตตาเอ็นดู เต็มใจช่วยเหลืออุ้มชูทันที จะไม่ลังเลตะขิดตะขวงหรือลำบากใจอย่างใดเลย

สุดท้ายวิญญาณในนิมิตสมาธิระบุว่าแดนเกิดของหล่อนคือสองสามีภรรยาที่ปู่รู้จักอยู่แล้ว ขอเพียงไปเยี่ยมเยียนให้ตรงเวลาเท่านั้น

ปู่มีความแคลงใจเป็นอันมาก ท่านถูกสอนไม่ให้เชื่อนิมิตสมาธิประเภทจู่ๆก็เกิดขึ้นเอง จะชัดเจนแน่ใจขนาดไหน ถูกอุปถัมภ์ด้วยกำลังฌานสูงส่งเพียงไรก็ตาม ตราบใดที่ยังรู้ตัวว่ามีกิเลส ก็ต้องรู้ความจริงว่าจิตมันสร้างเรื่องหลอกตัวเองได้สารพัดพิสดาร ยิ่งสมาธิดีเพียงใด ก็ยิ่งก่อภาพลวงได้สนิทแนบเนียนเพียงนั้น ทางที่ปลอดภัยคือให้ทำใจเป็นกลางลูกเดียว รอการพิสูจน์เสียก่อน แล้วค่อยรับว่าจริงหรือเท็จ หากทึกทักปักใจว่าจริงเสียแต่ต้นมือ แล้วปรากฏในภายหลังว่าผิดพลาด กำลังใจจะฝ่อ เกิดผลเสียกับการปฏิบัติภาวนาเปล่าๆ

วันคืนผ่านเรื่อยไปตามจังหวะและลีลาเดิม ปู่รอฟังข่าวการตั้งท้องของลูกสาว ลูกสะใภ้ทุกคน และตั้งใจกับตนเองเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ถามนำ ไม่ก้าวก่ายกับชื่อเสียงเรียงนามของเด็กที่จะเกิด ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อแม่ตั้งกันเอาเองตามชอบ เพื่อพิสูจน์เทียบว่าวิญญาณในนิมิตบอกไว้ตรงจริงเพียงใด

แล้ววันหนึ่ง ปู่ก็ได้รู้ว่าเขามาเกิดจริง...

เมื่อตระหนักว่านิมิตสมาธิครั้งนั้นมิใช่ของหลอก สิ่งที่เกิดขึ้นในใจก็คือความสุขอย่างประหลาดกับการรอคอยหลานสาวคนใหม่

ปู่ชนะเดินทางไปเยี่ยมคนรู้จักทางเหนือตามกำหนดเวลาซึ่งจดไว้เป็นมั่นเหมาะ เพื่อพบว่าคนรู้จักที่ว่านั้นตายเสียแล้วก่อนหน้าปู่ไปถึง ทั้งคู่สามีภรรยาออกจากบ้านขึ้นรถโดยสารที่วิ่งไปเทกระจาดกลางถนน คนตายกันเกือบหมดคันรถ

แม่หนูน้อยผู้มีอายุเกือบครบขวบจึงกลายเป็นเด็กกำพร้า รออยู่ว่าญาติฝ่ายสามีหรือภรรยาที่จะยื่นมือมารับ ยังดีหน่อยระหว่างนั้นคนใช้เก่าแก่ผู้ซื่อสัตย์คอยประคบประหงมเลี้ยงดูไปพลางๆ

การเจรจาขอรับเด็กมาเลี้ยงเองเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าง่าย แค่พูดสองสามคำ พยักพเยิด ขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรกับบางคนที่ถูกอุปโลกน์เป็นผู้ปกครองเท่านั้นก็เรียบร้อย ปู่ได้หลานสาวคนใหม่กลับบ้านด้วยหัวใจที่ชื่นบาน มาถึงก็เปลี่ยนชื่อและสกุลหล่อน กับให้ลูกชายคนโตจดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรม จากนั้นก็นำมาเลี้ยงดูเองเหมือนหลานแท้ๆคนหนึ่ง

ในไดอารี่ช่วงนี้แพตรีบรรยายความรู้สึกของตนเองว่าสำนึกบุญคุณของปู่เพียงใด หล่อนพยายามอยู่อย่างเจียมตัวเจียมตน ทำงานทุกอย่างในบ้านเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่ง และแม้ปู่หยิบยื่นข้าวของมีราคาให้ก็ปฏิเสธทั้งหมด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่มติเป็นพยานเห็นจริงมาตลอด

พร้อมกันแพตรีก็กล่าวถึงบุญคุณของวิญญาณในสมาธิจิตของปู่เป็นทำนองที่ว่าถ้าปราศจาก ‘เขา’ ป่านนี้หล่อนคงถูกจับหักแขนหักขามาแต่เด็กเพื่อเอาไปนั่งขอทานตามสะพานลอย มติอ่านด้วยความขันและคิดว่าแพตรีคงประชดประเทียดแบบกึ่งรักกึ่งแค้นมากกว่าด้วยความสำนึกลึกซึ้งล้วนๆ

ถึงอีกหน้าหนึ่งของไดอารี่ซึ่งห่างกันหลายเดือนจากวันแรกที่ ‘หลานปู่’ ปรากฏโฉมให้เห็น เขาคนนั้นกลับมาเยี่ยมปู่พร้อมพ่อเป็นรอบสอง

ในบันทึกหน้านั้น แพตรีเริ่มต้นด้วยความเศร้าสร้อยเช่นเคย ชนิดที่มติทราบตั้งแต่บรรทัดแรกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เขากลับมาอีกแล้ว ตอนเห็นหน้ากัน ฉันนึกขึ้นได้ว่าสภาพของตัวเองคือเด็กรับใช้มอมแมมที่เพิ่งออกมาจากห้องครัว เห็นเขาพยายามหลีกห่างๆฉันเวลาเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว นึกน้อยใจจนอยากฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนั้น

ฉันเพิ่งรู้ว่าเหงาจนร้องไห้อยู่ข้างในนั้นเป็นอย่างไร เขาไม่เหลียวแลฉันเลย การพยายามพูดจาทักทาย ส่งยิ้มให้ คงทำให้เขารำคาญมากกว่าจะคิดหันมาสบตากันบ้าง วิธีที่เขามองแล้วเมินผ่านมันบอกให้รู้ได้ ไม่ต้องแปลเลย

ฉันพยายามทุกอย่างที่จะเห็นหน้าเขาให้นานที่สุด เมื่อขึ้นเรือน ฉันไม่ไปไหน นั่งบีบนวดปู่อยู่ตรงนั้นทั้งที่รู้ว่าไม่เหมาะเท่าไหร่

แต่จะเอาประโยชน์อะไรได้ เขาหันมาบ้างเหมือนกัน แต่มองอากาศว่างเปล่าข้างหลังฉันมากกว่า ฉันสังเกตสายตาของเขาอยู่ทุกขณะ จึงรู้ว่าเขาไม่เคยมองมาที่ฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันคงเป็นแค่เด็กแก่แดดที่หน้าด้านรอสบตากับเขาอยู่ฝ่ายเดียวกระมัง

ฉันได้ยินคุณพ่อของเขาคุยให้ปู่ฟังถึงความเก่งกล้าสามารถ สอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะดีๆได้ตั้งแต่อายุสิบหก กำลังจะจบตรีอีกไม่นาน วางแผนจะส่งไปเรียนต่อโทและทำงานที่เมืองนอกระยะหนึ่ง ฉันใจหาย ความรู้สึกบอกว่าอาจไม่ได้เห็นเขาอีกแล้ว

เมื่อออกมาส่งเขากับคุณพ่อกลับ ฉันตั้งใจไหว้เขาสวยที่สุด เขาจะเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พร้อมกับไหว้ครั้งนั้น คือการคิดตัดใจ ทุกอย่างที่ผ่านมาขอให้เหมือนฝันไป นับแต่ชาตินี้ขอให้ต่างคนต่างแยกกันไปตามทางของตัวเอง เคยอธิษฐานร่วมกันแต่มีคนเดียวได้รับผลอธิษฐาน จะหมายความว่าอย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนเดียวที่ทำไปด้วยใจจริง

ฉันแอบมานั่งคนเดียวที่หลังบ้าน คิดตั้งใจเลิกร้องไห้ เพราะตัดใจขาดกันไปแล้ว แต่ระหว่างข่มสะอื้น ปู่ก็เดินเข้ามาลูบหัว ฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นที่สุดรดลงมาจากสวรรค์ ปู่บอกสั้นๆว่ายังไม่ถึงเวลานะ…

ฉันรู้ว่าปู่หมายถึงอะไร แต่ไม่ใส่ใจอีกแล้ว เหมือนฉันข้ามสะพานภพชาติมาคนเดียว ทุกคนสูญหายอยู่ข้างหลังไปหมด ฉันรู้สึกเหมือนนักท่องเที่ยวที่หลงทาง และรู้สึกกลัวการเกิดตายตามลำพัง ไม่มีใครประคองคู่กันไปได้ตลอด ถึงจะเคยอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง รักใคร่แน่นแฟ้นขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังคิดเสี่ยงเดินทางต่อไปกับเขา ชีวิตหน้าฉันจะต้องเจออะไรยิ่งกว่านี้อีก?

พอกันที ภพชาติคือการหลงลืมและการสิ้นสูญ คนที่จำได้คือผู้ทรมานกับความยึดติด คนที่ลืมหมดก็น่าสงสารกับความลังเลสงสัยสารพัด

ฉันจะเลิกคิดถึงเขาให้เด็ดขาด ไม่ใช่อย่างหญิงที่ผิดหวังและเลิกรักชายคนหนึ่ง แต่อย่างเวไนยสัตว์ที่หมดอาลัย เลิกหลงเดินคู่กับคนแปลกหน้าไปบนทางของความไม่รู้อย่างไร้จุดหมายปลายทาง…

บันทึกในไดอารี่ถัดจากนั้นจนสิ้นปีบอกให้ทราบว่าใจแพตรีเด็ดเดี่ยวเพียงไร หล่อนไม่เอ่ยถึงหลานปู่อีกเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหล่อนตัดใจ…หรืออย่างน้อยพยายามตัดใจจากเขาคนนั้นได้เด็ดขาดจริงๆ

ระบายลมหายใจยาว ทบทวนความเป็นแพตรีจากประสบการณ์ของตนเอง วัยเด็กหล่อนดูขรึม ท่าทางเหมือนติดวัด ตามปู่ชนะต้อยๆไปทุกงานบุญ แต่มติรู้สึกว่าเป็นความขรึมชนิดอมทุกข์ คล้ายใจหล่อนอยู่อีกที่หนึ่งห่างออกไปเกือบตลอดเวลา แม้พูดได้คล้ายผู้ใหญ่ อ้างธรรมะ อ้างคำสอนหลวงตาแขวนเพื่อแก้ความขัดข้องสารพันให้คนอื่นและตนเอง ก็ยังเหมือนติดอยู่กับพันธนาการบางอย่างที่ลึกลับ ซ่อนเร้น ไม่ปริปากบอกใคร

ต่อเมื่อเจริญวัยขึ้นมา และมติประมาณเอาว่าคงหลังวันเวลาตามบันทึกในไดอารี่เล่มนี้เอง ที่หล่อนกลับกลายเป็นอีกคน สดใสและเฉิดฉายอาภา ความขรึมเศร้าถูกแปรเป็นความอ่อนโยนทรงชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความสุขที่สามารถกระจายแบ่งให้คนรอบตัวได้ราวกับฝนทิพย์

ความเป็นแพตรีในช่วงหลังคือแรงบันดาลใจหลายๆอย่างสำหรับเขา ความสนใจศิลปะที่มีอยู่แล้วเป็นทุนถูกเร่งเร้าทวีตัวขึ้นจริงจัง เมื่อขอร้องหล่อนช่วยนั่งเป็นแบบวาดให้เป็นครั้งแรกนั้น จำได้ว่าทุ่มเทความตั้งใจมากที่สุด ความงามของหล่อนเป็นสิ่งวาดยาก ใช่แต่รู้จักบรรจงจัดสัดส่วน ปั้นแต่งรูปทรงให้เกิดมิติแล้วจะเหมือนได้โดยง่าย ทว่ายังต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการผสมสีเพื่อให้เกิดความเรืองรองบางชนิดที่แปลกตาแต่เห็นได้จริงจากหล่อน

ความพยายามถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในแพตรีออกมาเป็นภาพให้ได้นั้นเอง เหนี่ยวนำมติเข้าสู่วิถีทางของหล่อนไปด้วย เขาฝึกที่จะดำรงตนท่ามกลางความวุ่นวายด้วยใจสูงอันเป็นธาตุเดิมของมนุษย์ ฝึกตั้งสมาธิจดจ่อกับงาน จดจ่อกับลมเข้าออก จนยกจิตขึ้นเหนือระดับความคิดสามัญได้ กับทั้งฝึกที่จะมองสรรพสิ่งด้วยดวงตาเพ่งมองให้เห็นธรรมเยี่ยงโยคาวจรผู้แสวงทางหลุดพ้น

สมาธิและแรงบันดาลใจอย่างเอกอุในการมองให้เห็นความงาม ส่งฝีมือเชิงศิลป์อันบ่มเพาะมาแต่เล็กกระโจนตัวขึ้นถึงสุดโต่ง เมื่อตา มือ และใจผนึกรวมผสมตัวทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ถึงขั้นใช้มือลากดินสอได้ดังใจ หยั่งรู้ที่จะเลือกผสมและลงสีได้ตรงจริงยิ่งกว่ารูปถ่าย มติตระหนักว่าหากสามารถสร้างเส้นและสีได้เหมือนกับที่เห็น ก็จะสามารถจำลองโลกมาไว้บนแผ่นภาพได้ทั้งหมด

หากไม่ใกล้ชิดกับแพตรี แม้อยู่ใกล้วัด ใกล้พระ มติก็คิดว่าตนคงเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง รู้อรรถรู้ธรรมแค่พอสวดมนต์และใส่บาตรเป็นเท่านั้น

แพตรีจึงเป็นศูนย์รวมความคิดอ่านเกือบทั้งหมด แม้ในยามที่ปลีกตัวออกมาด้วยความตั้งใจห่างหล่อนเช่นนี้

เดาว่าหล่อนเลิกเขียนไดอารี่ เลิกบันทึกชีวิตประจำวันไปแล้ว แต่ก็นึกอยากรู้ว่าถ้ายังเขียน…ข้อความพักหลังจะเป็นอย่างไร

เหน็ดหน่ายเนือยนายขึ้นมาจุกอก จู่ๆก็ถามตนเองขึ้นมาว่าวันหนึ่งหากแพตรีหายไปเพื่อสร้างบ้านสร้างเรือนกับใครสักคน เขาจะมีวันคืนที่แปลกเปลี่ยนไปขนาดไหน…

แวบนึกถึงหลวงตาแขวนขึ้นมา พักหลังๆมติมักได้ยินท่านเปรยท่ามกลางญาติโยมพลางปรายตามายังเขาเสมอ เป็นทำนองว่า

"พระพุทธเจ้าสนับสนุนและสรรเสริญผู้บวชตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น เพราะวัยนี้มีกำลังวังชาเยอะ สติปัญญายังแจ่มใส ปฏิบัติธรรมก็อึดทน ถ้าปลุกความคะนองในธรรมให้เกิดขึ้นมาได้ล่ะก็ไปไม่หยุดฉุดไม่อยู่ มีเวลาเรียนรู้ ซึมซับ แก้ผิดให้เป็นถูก และทำถูกทำดีให้แก่กล้าถมเถ ต่างกับตอนอายุมากขึ้น เริ่มงุ่มง่าม สติปัญญาพร่าเลือน กำลังวังชาถดถอย จะร่ำเรียนหรือปฏิบัติอะไรก็ให้ติดขัดสภาพสังขาร ถ้าผิดก็ไม่ค่อยมีเวลาแก้ ถ้าถูกก็ไม่ค่อยมีเวลาบ่มให้เข้มข้น คาดหวังเอาดีอะไรไหวล่ะถ้าจะบวชกันตอนแก่..."

แล้วท่านก็ยกตัวอย่างตัวท่านเอง โชคดีมีสติบวชเสียตั้งแต่ยังอยู่ในวัยปราดเปรียว เห็นชัดถึงความได้เปรียบระหว่างวัย วัยหนุ่มเป็นวัยที่ทำอะไรได้มาก อยากเรียนอะไรก็เรียนได้ อยากปฏิบัติแบบเข้มข้นก็ไม่เหลือวิสัย ความเด็ดเดี่ยว ความแข็งขันมันจุได้เต็มอัตรา ทุกวันนี้ได้ดีอยู่ตัวก็ผลบุญเก่าจากสมัยเมื่อยังหนุ่มทั้งนั้น  ลำพังอัตภาพยามชราจะให้ขวนขวายอะไรเพิ่มน่ะล้าเสียแล้ว

ท่านให้ดูแขนขาที่ลีบและเนื้อหนังที่เหี่ยวแห้งแฟบฟุบของท่าน แล้วให้นึกจินตนาการเอาว่าถ้าใครมีร่างกายแฟบๆแบบนี้ ขยับทีเมื่อยขบอ่อนแรงไปหมด ถามหน่อยว่าใจมันจะคึกอยากปฏิบัติให้เหนียวๆไหม แล้วถ้าไม่ปฏิบัติแบบเหนียวๆ จะให้เอาดี ได้สมาธิ-วิปัสสนาญาณ โสฬสญาณอะไรไหว?

มติเกิดความเห็นจริงตามท่านว่า ถ้าจะไปให้ถึงที่สุดต้องเริ่มตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ไม่ใช่ไปเริ่มตอนแก่

แล้วเด็กหนุ่มก็นั่งมองห้วงฟ้าว่าง โลกเงียบและกว้างใหญ่ มีเขานั่งอยู่ในโลกนี้อย่างเดียวดาย เลื่อนลอยปราศจากจุดหมาย ปราศจากความหวัง และนึกสงสัยว่าถ้านุ่งเหลืองห่มเหลืองเพื่อแปรอิสรภาพไร้ขอบเขตเป็นหน้าที่อย่างถาวร

จะไหวไหม?


บทที่ ๑๒  พุทธภูมิ


    มีความเชื่อมั่นและสัญญาแห่งความสมหวังในกระแสกุศลจิต เกาทัณฑ์ยิ้มเบิกบานเมื่อลงจากรถและเดินตรงไปยังกุฏิเจ้าอาวาส ด้วยจิตใจที่หนักแน่นเต็มอิ่มถึงที่สุดเยี่ยงนี้ ชายหนุ่มบอกตนเองว่าหากลงมือทำสมาธิ จะต้องประสพความสำเร็จแน่นอน เขาปราศจากความกังวลอย่างสิ้นเชิง

    ในมือถือดอกไม้และธูปเทียนที่เตรียมมาถวายพระอาจารย์ตามความปรารถนาที่จะบูชาท่านจากใจ มิได้นำมาเพราะเห็นว่าเป็นธรรมเนียมประเพณีพิธีการใดๆทั้งสิ้น

    ขึ้นมาถึงชานกุฏิไม่พบท่านนั่งอยู่ ก็นึกเงียบๆว่าท่านอาจไปทำกิจสงฆ์ หรืออาจไปเดินเล่นแถวนี้ บนกุฏิและละแวกข้างเคียงว่างวาย ปราศจากพระเณรและญาติโยมแม้สักคน เกาทัณฑ์ตั้งใจจะนั่งกำหนดสติดูลมแบบลืมตา รอพระอาจารย์ไปเรื่อยๆตรงนั้นเอง

    "เข้ามานี่"

    เสียงหลวงตาแขวนดังออกมาจากห้องของท่าน ทำเอาเกาทัณฑ์ผงะหน่อยหนึ่ง

    "ข้าไม่ชอบเดินเล่น ถ้าเดินก็เดินจงกรมหรอกน่ะ"

    ชายหนุ่มได้ยินชัดเต็มสองหูด้วยความสะดุ้งใจ เพิ่งในบัดนั้นเองที่ประจักษ์ว่าความคิดเป็นสิ่งกระจายออกนอกหัวและถูกล่วงรู้ได้ราวกับพูดจากปาก นั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรก และทำให้บังเกิดความยั่นระย่อคร้ามเกรงผู้เป็นอาจารย์ยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ

    ที่แท้ท่านรออยู่ในห้อง รู้ว่าเป็นเขาทั้งมีประตูหับปิดบังตามิดชิด แถมหยั่งรู้ลึกเข้าไปอีกชั้นว่าเขานำความคิดใดติดตัวมาด้วย ชักนึกกระดากและบังเกิดความละอาย นี่แปลว่าความคิดเหลวแหลกทั้งหลายที่มีต่อท่านในวันแรกได้แบออกมาหมดจดโจ่งแจ้งเรียบร้อย ต่อไปนี้คงต้องสำรวมระวังทั้งกิริยาและความคิดกันแจเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน

    เปิดประตูเข้าไปด้วยท่าทีของศิษย์ผู้มีความสง่างามองอาจ แต่ข้างในประหม่าและประหวั่นจนเกือบเป็นเกร็ง ทรุดกายลงคลานเข่านำดอกไม้ไปถวาย กราบสามหน แล้วนั่งนิ่งเงียบรอการปราศรัยจากท่านก่อน

    "เป็นไง?"

    ท่านถามรวมๆ เกาทัณฑ์คิดนิดหนึ่งก่อนตอบอย่างสุภาพ

    "ปฏิบัติพอเห็นผลบ้างครับ แต่ยังไม่แน่นอน ควบคุมไม่ได้"

    หลวงตาแขวนหัวเราะหึๆ

    "เอ็งมันเด็กเมือง ทำได้แค่นี้นับว่าแปลกแล้ว"

    เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาอย่างเป็นปลื้ม ดูทีท่านคงรู้เป็นแน่ว่าเขาทำได้แค่ไหน

    "ทรงสมาธิระดับนี้ ถือว่าเริ่มมีคุณวิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปนิดๆหน่อยๆ ค่าที่ประจักษ์รสชาติสุขเวทนาอันเป็นทิพย์ ไม่เป็นสาธารณะแก่สัตว์โลก แล้วก็เป็นจิตที่สามารถใช้ชำแรกกำแพงกั้นมิติหยาบกับละเอียดได้ด้วย ถ้าจะรู้เห็นอะไรที่ตาหยาบหูหยาบมันทำไม่ได้ก็ไม่ถือเป็นเรื่องเกินตัวเท่าไหร่...เพราะฉะนั้นข้าจะทำตามที่สัญญา เอ็งจะเห็นอดีตชาติของตัวเอง"

    ชายหนุ่มพนมมือกราบขอบพระคุณครั้งหนึ่งด้วยทีท่าปกติ ทว่าข้างในลิงโลดยินดีเป็นล้นพ้น

    “ดูนี่แล้วคิดดีๆนะ…” ท่านยื่นแขนอันเหี่ยวย่นลีบเล็กออกมาข้างหน้านิดหนึ่ง “นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างใช่ไหม?”

    เกาทัณฑ์เพ่งตามองอย่างตั้งใจใคร่ครวญ ความยับของเนื้อหนังที่ดูคล้ายกระดาษย่น พร้อมจะยุ่ยขาดด้วยตนเองนั้น บันดาลความสลดแก่เขาวูบหนึ่ง เมื่อทบทวนคำถามท่าน นั่นใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างหรือเปล่า พลันก็ตาสว่างเหมือนมีแสงวาบขึ้นมาตรงหน้าผาก

    “ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างครับ…” เขาพนมมือตอบ “นี่แหละคือตัวของธรรมชาติ!”

    นึกต่อในใจว่ากายอันเกิด แก่ เจ็บ และจะตายลงทั้งหลายนี่เอง คือเนื้อแท้ธาตุธรรมโดยตัวเอง ถ้ายังนึกว่ามีฝั่งผู้สร้าง แม้สรรคำว่า ‘ธรรมชาติ’ มาเป็นประธาน ก็หลอกจิตให้เห็นบิดเบือนไปเป็นทิศตรงข้ามได้อยู่ดี

    “อือม์…” หลวงตาครางรับ “ภพชาติแสดงตัวด้วยความเป็นกายนี้ กายนี้ถูกปรุงแต่งเป็นความหยาบหรือประณีตด้วยวิธีคิด วิธีพูด และวิธีกระทำที่เกิดเป็นนิจศีลในอดีต ทุกคนถือกำเนิดในสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับกรรมของตัวเอง เป็นฐานที่ตั้งให้ก่อกรรมดีร้ายเพื่อบันดาลอัตภาพหน้า ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทั้งหมดรวมกันนั่นแหละคือสังสารวัฏ การย้อนดูอดีตก็แค่การนึกให้ออกว่าเราเคยครองกายแบบไหน มีหลักแหล่งที่อยู่สมตัวอย่างไรในกาลก่อน

    ทางพุทธถือว่าเป็นประโยชน์ถ้าการเห็นนั้นประกอบด้วยปัญญา เหนื่อยหน่ายกับการเกิดตาย เปลี่ยนเพศ เปลี่ยนฐานะไปเรื่อยๆไร้ที่สิ้นสุด แต่ทางกลับกันอาจเป็นข้อเสีย ถ้าการเห็นนั้นประกอบด้วยโมหะ ลำพองจองหองว่าเคยเป็นใหญ่ หรือหดหู่ห่อเหี่ยวว่าเคยต่ำต้อย ฝังใจยึดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น แม้ชาติปัจจุบันเป็นอะไรก็แทบจะลืมไป”

    เมื่อท่านหยุด เกาทัณฑ์ก็พนมมือรับว่า

    “ครับ”

    “จิตที่อยู่ข้างในก็เป็นส่วนหนึ่งของภพชาติ ภาวะจำชั่วครู่ และภาวะลืมเป็นช่วงๆ ก็คือธรรมชาติโดยตัวเอง มีลิขิตของตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นอยู่เฉยๆจะให้เกิดสิ่งที่ฝืนลิขิตเดิมของธรรมชาติ เช่นเนรมิตให้ระลึกอดีตความเป็นมาก่อนภพนี้น่ะ ไม่ใช่เรื่องที่ถูก”

    เกาทัณฑ์พยักหน้ารับทราบ เม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างพร้อมรับฟังทุกสิ่ง

    "โดยความสามารถของเอ็งเดี๋ยวนี้ เอ็งยังไม่มีสิทธิ์ฝืนธรรมชาติ รู้ตัวไว้ด้วย อำนาจจิตของเอ็งยังเอาชนะธรรมชาติข้อที่ว่าด้วยการลืมเลือนภพชาติไม่ได้ แต่เผอิญด้วยนิสัยที่ข้าเคยให้เอ็งมา ข้าพอจะละเมิดข้อห้าม ช่วยสงเคราะห์เอ็งเพื่อประโยชน์บางอย่างในอนาคต"

    เกาทัณฑ์ไวพอจะคิดรู้ว่าควรเอ่ยคำใดออกไป

    "ครับ ผมจะสำนึกสังวรณ์ไว้ตลอดเวลา ว่าตัวเองยังอยู่ในอำนาจลิขิตของธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความอนุเคราะห์จากหลวงตามาแต่เริ่ม"

    "ดี...จริงๆแล้วจะระลึกชาติอย่างชนิดถูกกฎน่ะ เอ็งต้องมีมหากำลังระดับฌานมาหนุน ต้องฝึกกสิณภาพให้คล่องจนจิตทำตัวเป็นจอรับนิมิตแห่งการระลึกได้ดี จากนั้นจึงใช้จิตในภาวะอุปจาระมานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา จากเมื่อครู่ ค่อยๆถอยย้อนไกลกลับไปเรื่อยๆ ตัวรู้ชัดจากกำลังสมาธิจะช่วยยืนยันว่าสิ่งที่นึกได้นั้นเป็นความจริง ไม่ใช่ของหลอก”

    ชายหนุ่มพยักหน้ารับอีก เขาพอจะเคยอ่านหลักการเหล่านี้มาบ้างแล้ว รวมทั้งเคยลองทำแบบแหย่หยั่งดูวาบๆวับๆด้วย เพื่อพบว่าเป็นเรื่องยากเหมือนพยายามมองให้เห็นสิ่งต่างๆขณะลืมตาในน้ำ โดยเฉพาะเมื่อคิดข้ามขั้นระลึกถึงเหตุการณ์ช่วงวัยเด็ก

    จากประสบการณ์ เกาทัณฑ์ตระหนักว่าเพื่อสมาธิจิตไปใช้งานนั้น ต้องมีกำลังอันเป็นฐานใหญ่มาตั้งจิตให้คงที่ หากยังปราศจากกำลังค้ำจุนอย่างเหลือเฟือแล้ว ลำพังจะทรงสภาวะอยู่นานๆก็ยากเต็มที อย่าว่าแต่จะเอาไปใช้งานตามปรารถนาได้

    การบรรลุจิตถึงขั้นได้ฌานสมาบัติเสียก่อนจึงจำเป็นยิ่งด้วยประการฉะนี้

    "เข้าสมาธิเสีย พอได้ที่หน่อยข้าจะคุมให้เอ็งเห็นสมใจ"

    ชายหนุ่มจัดองค์นั่งให้ได้ฐานสติอันควร ความคิดในหัวสงัดเงียบลงทันทีเพียงเมื่อแรกขยายหน้าท้องส่งแรงฉุดลมหายใจเข้าสายแรก แล้วกำหนดสติรู้ลมหายใจออก

    ภาพสายลมปรากฏชัดฉับพลันในภายใน และด้วยอาการของจิตที่หยุดนิ่งล็อกอารมณ์ได้ถูกส่วนนั้น เมื่อรวมกับความฉ่ำชื่นเยือกเย็นด้วยพื้นกุศลจิตที่สั่งสมมานับแต่ลืมตาตื่น ก็ช่วยก่อให้เกิดความสว่างผุดโพลงจากภายใน จิตเบา เปิดแผ่ออกกินรัศมีกว้างไกล นับเป็นการจุดสมาธิติดที่เร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มฝึกมาทีเดียว

    ในความวิเวกและฉ่ำเย็นอย่างประหลาดนั้น มีเพียงนิมิตสายลมหายใจปรากฏเป็นลำยาวเด่นชัดเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งร่างกาย ความคิด และสรรพสิ่งในโลกหล้าหลงเหลือให้รู้ว่ามีอยู่ก็แต่เพียงเบาบาง สัจจะความจริงในบัดนี้จึงไม่มีอะไรเกินการมีลมหายใจและกระแสจิตแผ่กว้างเป็นดวงนิ่ง โดยตัวผู้รู้ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง ใกล้จะกล่าวได้ทีเดียวว่าลมหายใจและดวงจิตเท่านั้นที่เป็นจริง อย่างอื่นเป็นเท็จไปหมด ความสุขอันล้ำลึกทำให้หมดความกระวนกระวาย แม้การเห็นอดีตชาติก็มิใช่เรื่องน่าคำนึงอีกต่อไปด้วยซ้ำ

    เกาทัณฑ์ตามรู้ลมหายใจที่ผ่านไปประมาณสิบรอบเข้าออก แล้วพลันสนามพลังอันยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้น ตรึงจิตเขาให้แน่นิ่งกับที่โดยไม่ต้องประคองรักษา รับรู้ด้วยสัญชาตญาณสมาธิทันทีว่านั่นเป็นพลังที่ส่งมาช่วยค้ำจุนจากภายนอก หาได้เกิดจากกำลังจิตของตน ซึ่งเทียบแล้วคล้ายเด็กหัดเดินผู้ทำได้เพียงก้าวระยะสั้น ถูกประคับประคองโดยผู้เดินแข็งแล้ว และอาจเดินทางไกลเท่าใดก็ได้ตามปรารถนาของผู้ใหญ่

    ไม่มีความตื่นเต้นอันใดในภาวะจิตแบบนั้น มีแต่ความหนักแน่นมหึมา และคล้ายทำให้จิตขยายตัวและแยกออกเป็นสองชั้นสองภาค ภาคหนึ่งกำหนดลมหายใจ เสพรสปีติสุขแห่งจิตวิเวกไป อีกภาคหนึ่งคล้ายรอรับบัญชาจากอำนาจเบื้องบนให้เป็นไปตามบันดาล ไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้คิดถอนสมาธิในบัดนี้ก็เกินจะทำ

    ภาวะจิตเกือบเหมือนฝันอยู่อย่างหนึ่ง คือนิ่งในแบบที่อาจเห็นภาพอะไรสักอย่าง

    สมาธิระดับกลางทำให้รู้สติ เห็นตนเป็นนายเกาทัณฑ์ได้อยู่ ทว่าอัตตาของความเป็นนายเกาทัณฑ์เริ่มแผ่วหายไปทีละน้อยอย่างไม่อาจหน่วงรั้ง จนที่สุดก็ถูกแทรกแทนด้วยดวงรู้เฉยเป็นกลาง เนื้อตัวชาและหนัก บอกยากว่าร่างที่ตั้งอยู่นี้เป็นใคร หรือกระทั่งอะไร เพราะไร้สัญลักษณ์บ่งบอกลักษณะอย่างสิ้นเชิง

    แล้วอีกเจตสิกหนึ่งก็ถูกแทรกแทนขึ้นมาคล้ายสติที่คืบคลานเข้ามายามตื่นจากหลับ โดยผุดขึ้นเป็นความรู้สึกในตัวตนก่อน แล้วตามด้วยสำนึกชัดเจนเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา มนุษย์นั้นคือ ‘ตัวเขา’ แต่ไม่ใช่นายเกาทัณฑ์...

    ทุกอย่างเป็นปกติยิ่ง ปราศจากพิรุธปลอมปนแต่อย่างใด เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่กลางชานอาศรม รอบตัวเป็นราวป่าโปร่ง ข้างบนเป็นฟ้าใส เบื้องหน้าเบื้องหลังเต็มไปด้วยความสงัดเงียบบริสุทธิ์

    รู้สึกถึงความชราภาพแห่งสังขาร ทว่าดวงสำนึกแน่วนิ่งทรงกำลังอย่างเอกอุ มีความตรงไปตรงมา มีความเป็นอยู่อย่างปอนๆ และมีความปนกันระหว่างเมตตาอันเกิดแต่ธรรมภาวนา กับความกร้าวแกร่งดุดันอันเกิดแต่ความห้าวที่เร้นระอุอยู่ภายใน

    จำตัวเองได้แจ่มชัดและผุดความคิดภายในขึ้นมาว่า ‘นี่คือเรา’

    คล้ายผู้ยืนอยู่ในห้องใหญ่หนาทึบ เห็นแต่สิ่งประดับประดาอันเป็นฉากของห้อง ฉับพลันรอบตัวก็โปร่งใส และสามารถเห็นทะลวงผ่านพื้นล่างและผนังด้านข้างทั้งหมด เมื่อความจำห้วงหนึ่งกลับมา ความจำก่อนหน้านั้นก็พลอยไหลตามมาด้วย เห็นเป็นลำดับชัดเจนเหมือนชั้นของตึกที่เรียงซ้อนทับกันอยู่ เมื่อเพ่งตามองชั้นใดก็เห็นชั้นนั้น ที่อยู่ใกล้ก็เห็นง่าย ที่อยู่ไกลก็ต้องออกกำลังเพ่งกันหนักหน่อย

    จำได้ถึงพื้นเพความยากจน จำได้ถึงการมีเหย้ามีเรือน จำได้ถึงการออกผนวช ดำรงตนเยี่ยงฤาษีที่นับถือพุทธศาสนา จำได้ว่าตนลุถึงฌานฝ่ายโลกียะขั้นสูงสุด บันดาลอภินิหารได้ดังใจ ทว่าทุกอย่างที่จำได้เหล่านั้นรวบรัดรวดเร็วประเดี๋ยวประด๋าว คล้ายมีใครเอาข้าวของสารพัดมายัดทะนานในถุงใส แล้วให้ดู ให้จำในการมองปราดเดียวว่ามีอะไรอยู่บ้าง

    สำนึกแห่งความเป็นฤาษีผู้ทรงตบะยิ่งใหญ่ค่อยๆถอยคืน กำลังวังชาและเนื้อหนังแห่งความเป็นหนุ่มกลับแทรกเข้าแทนที่ในสำนึกรับรู้ นี่ก็จริงอีกเหมือนกัน รับทราบมโนภาพแห่งตัวตนอันแตกต่าง ทว่าความกำหนดหมายว่าตนเป็นฤาษีก็ยังซ้อนอยู่รางๆ เหมือนมีสองวิญญาณในร่างเดียว

    แล้วความเหลื่อมซ้อนทั้งปวงก็ขาดสายหายหน เหลือความเป็นนายเกาทัณฑ์และตัวกำเนิดกลุ่มความคิดอันมีโครงสร้างซับซ้อนเป็นระเบียบอย่างหนุ่มเมืองปรากฏแจ่มชัดเพียงหนึ่งเดียว ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างมีสติ สมาธิยังมีแรงเฉื่อยอยู่อีกครู่ ก่อนจางตัวสลายลงหมดสิ้น เหน็ดเหนื่อยคล้ายออกแรงวิ่งทางไกลมาหลายร้อยเมตร แต่ไม่หอบ

    เกาทัณฑ์แลตามองพระอาจารย์นิ่ง ดุจทุกสิ่งกลายเป็นก้อนหินแข็งทื่ออยู่อีกพักใหญ่

    "พอใจรึยัง?"

    น้ำเสียงมีเมตตานั้นปนมากับกังวานอำนาจแห่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน  เกาทัณฑ์ขยับกายเปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบ

    "ครับ"

    “ข้าให้ได้แค่ทางลัดเท่านี้แหละ เอ็งไม่ต้องดั้นด้นผ่านกำแพงจุติและปฏิสนธิเหมือนอย่างคนอื่นเขา ต่อไปใช้กำลังจิตของตัวเองหมั่นระลึกอย่างมีสติ ก็จะนึกจำได้มากขึ้นเรื่อยๆ การพิสูจน์ว่าระลึกได้จริงหรือเป็นเพียงอุปาทานลวง ดูกันที่ความสามารถสืบกลับไปได้เหมือนเดิมทุกครั้ง และเห็นรายละเอียดได้มากขึ้นตามระดับกำลังจิต”

    เกาทัณฑ์หรี่ตา พยายามนึกทบทวนภาพและสัมผัสที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทุกอย่างรางเลือนเช่นเดียวกับภาพฝันคืนก่อน ต่างแต่สัมผัสรู้ว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ เป็นความจำชนิดเดียวกับที่รู้ว่าสมัยวัยรุ่นเคยเรียนที่ไหน สมัยเด็กเคยมีกีฬาโปรดอะไร ใครคือเพื่อนสนิทที่ห่างหายไปแล้ว มิใช่การปรุงแต่งลอยๆเช่นนิมิตสมาธิปกติ

    กำแพงที่ขวางคั่นสองตัวตนถูกทำลายลง…เป็นบางส่วน

    บัดนี้เขาสามารถมองลอดทะลุไปยังอีกเขตที่เคยถูกกำแพงปิดหูปิดตาทึบสนิทจนหลงเชื่อว่ามีแต่เขตที่กำลังยืนนี้เท่านั้นที่มี เขตอื่นไม่มี

    ถึงแม้ว่าความสามารถในการมองทะลุให้เห็นเขตอื่นยังจำกัดจำเขี่ย มัวมนเหมือนเต็มไปด้วยหมอกทึบคลุมบัง ทว่าก็ทราบแน่แล้วว่ามี

    กะพริบตาถี่ เมื่อย้อนนึกถึงภาวะความเป็นฤาษีที่นั่งอยู่กลางอาศรมซอมซ่อ ช่างยากลำบากยิ่งกว่าทบทวนชื่อที่ถูกลืมแล้วติดอยู่แค่ริมฝีปาก หรือคล้ายพยายามมองให้เห็นสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ใต้น้ำลึกสลัวเลือน ตระหนักว่าในเวลานั้นจิตขาดแสงสมาธิส่องลงไปให้เห็นดังปรารถนา จิตยามปกติช่างมัวมนสิ้นดี ใช้หยั่งรู้อะไรไม่ได้เลยแม้แต่สิ่งที่อยู่ในตนเองแท้ๆ

    ตัวตนเก่าที่ถูกหลงลืมไป

    เผลอตัวย้อนนึกถึงอัตภาพในอดีตจนลืมว่ากำลังอยู่ที่ไหนกับใคร กระทั่งหลวงตาแขวนเตือนขึ้น

    “อย่าเพ่งนึกขณะขาดสมาธิ จะวกวนและเครียดเปล่าๆ ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”

    ชายหนุ่มเห็นจริงตามนั้น และคิดขึ้นมาว่าถ้าย้อนระลึกความเป็นอดีตได้ทุกอย่างก็คงดีหรอก แม้สัมผัสความเป็นตนเองในอัตภาพเก่าเพียงชั่วอึดใจ ก็รู้ซึ้งว่าครั้งหนึ่งเคยมีตบะเดชะแก่กล้าขนาดไหน คงสนุกพิลึกถ้าใช้ชีวิตธรรมดาตามปกติ ขณะเดียวกันก็สามารถบันดาลปรากฏการณ์เหนือสามัญวิสัยได้เช่นเดียวกับตัวตนเก่า

    “ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกไอ้หนุ่ม…”

    เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆด้วยความงงงัน เพราะวูบของความคิดอยากได้อยากดีเกินวิสัยเกิดขึ้นเพียงชั่วลัดนิ้วมือ กระทั่งแทบจับต้นชนปลายไม่ติด เกือบฟังไม่รู้ว่าเหตุใดหลวงตาแขวนจึงเอ่ยเช่นนั้น

    “ขณะของจิตที่ระลึกความหลังได้กับความสามารถกระทำการในปัจจุบันเป็นคนละเรื่องกัน แบบเดียวกับที่เอ็งฝันว่าเหาะเหินเดินอากาศยังไงก็ได้ แต่ตื่นแล้วอย่างมากก็แค่โดดได้ห่างพื้นสองศอก”

    เกาทัณฑ์รู้สึกว่าความคิดของตนมีเสียงดังเกินไปเสียแล้ว เริ่มเห็นว่านี่มิใช่เรื่องปาฏิหาริย์เกินปกติวิสัยอีกต่อไป ในกุฏินั้น เขาสามารถสัมผัสได้ว่ารอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นความเคลื่อนไหว ทั้งคลื่นความคิด คลื่นเจตนา และคลื่นอารมณ์ดีเลวต่างๆ ทุกสิ่งถูกเคี่ยวให้เข้มชัดในบรรยากาศละแวกรอบข้างพระผู้ทรงอภิญญาองค์นี้

    ผลของการระลึกชาติได้เป็นครั้งแรกมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าเห็นตนเคยเป็นอะไร และปัจจุบันชาติมีพื้นเพภูมิหลังแตกต่างกันเช่นใด สำหรับเกาทัณฑ์นั้น นอกจากเลิกสงสัยแล้ว ยังมองต่อยอดออกไปอีกด้วยนิสัยช่างคิด ช่างพิจารณาประจำตัว เห็นแจ้งว่าการเกิดคือการสืบต่อ หาใช่การเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนที่ตาเห็นอุแว้แรกในห้องคลอดอย่างผิวเผิน

    เมื่อฐานแห่งความเชื่อดั้งเดิมพังทลายลง โลกทัศน์และความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองก็พลอยเปลี่ยนแปรไปด้วย อย่างน้อยก็มากพอจะย้อนพินิจว่าตลอดมาที่นึกว่าเข้าใจอะไรๆเกี่ยวกับชีวิตดีแล้วนั้น ผิดถนัด และแม้ปรัชญาชีวิตของนักปราชญ์ผู้เรืองนามก็อาจกลายเป็นมุมมองของผู้ไม่รู้จริงอีกคนหนึ่ง

    "...ผมเคยเป็นฤาษี คงมีฤทธิ์เดชพอจะเห็นทะลุไปในภพชาติได้ แต่...เหมือนเปล่าประโยชน์ มาเกิดเป็นผมในชาตินี้ก็มืดบอดเหมือนสัตว์โลกอื่นๆ เห็นว่าชาติหน้าชาติก่อนไม่มี"

    เกาทัณฑ์รำพึง หลวงตาแขวนเห็นลูกศิษย์บังเกิดความสังเวชในธรรมก็กล่าวอย่างปรานีว่า

    "อย่าคิดว่าฤาษีนั่นเป็นเอ็งเลย เขาตายไปแล้ว สิ้นสภาพไปแล้ว กรรมที่เขาเคยทำไว้ก็แค่ปูวิถีชีวิตนี้ให้กับเอ็งเท่านั้น ร่างกาย ความรู้สึกนึกคิด เรื่องน่าหัวเราะ น่าร้องไห้ต่างๆน่ะดับไปพร้อมกับสังขารของเขานั่นแหละ เอ็งต้องมาพบกับสิ่งใหม่ สร้างกรรมใหม่ เรียนรู้และจดจำใหม่ เพื่อเป็นตัวตนในปัจจุบัน จะแบกคุณวิเศษเก่าพ่วงมาใช้ดังใจนึกน่ะ ไม่ได้หรอก"

    "แล้วผมก็ต้องลืมไปอีกเมื่อถึงเวลาตาย และก็ต้องมีอีกอัตภาพหนึ่งที่จะเกิดมารับกรรมซึ่งผมสร้างทำไว้เดี๋ยวนี้..."

    เกิดความหยั่งเห็นขึ้นมาแวบหนึ่งว่าตัวที่กำลังรู้สึกและนึกคิดได้อย่างเดี๋ยวนี้…

    วันหนึ่งจะดับลง

    นึกหวาดกลัวภัยมืดอันแฝงเร้นอยู่ในความเกิดตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ นี่หากเขาไร้วาสนามารับการอุปถัมภ์จากหลวงตาแขวน ชาตินี้ก็คงดำเนินชีวิตไปอย่างเรื่อยเปื่อยตามกระแสโลก ไม่เชื่อเรื่องภพชาติ ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งกระทำการอันจะเป็นผลประโยชน์เข้าตัวมากขึ้น มีความคำนึงน้อยลงๆเกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรม เช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไปผู้ถูกดึงดูดให้คล้อยตามทิฐิและความหลงบารมีอันเกิดแต่อายุ

    ชาติต่อๆไปเขาจะโชคดีเหมือนชาตินี้และชาติก่อนไหม?

    "ถูกแล้ว จิตได้แต่ท่องเที่ยวไปทึกทักเอาอัตภาพต่างๆเป็นของตนด้วยอวิชชา นานเท่านานกว่าจะพบผู้เปิดโลก ผู้รู้ทางไปสวรรค์และนิพพาน การเกิดตายส่วนใหญ่จะไหลไปตามกระแสกิเลส ถ้าเป็นคนก็ครึ่งดีครึ่งร้าย โดยมากสัตว์ถึงพบตัวเองถูกแรงกรรมโยนขึ้นลงเหมือนถูกหลอกล่อปั่นหัวให้ดีใจและเสียใจสลับกัน"

    เกาทัณฑ์ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นคล้อยตาม ชาตินี้เขารู้ตัวดีว่าตนชุ่มไปด้วยบาปเพียงไร จะให้หลีกเลี่ยงอย่างไร ในเมื่อเกิดมาก็อยากโน่นอยากนี่ และไม่มีใครทำให้เชื่อได้เลยว่าบาปบุญมีจริง

    อย่างนี้เป็นผู้วิเศษไปจะมีประโยชน์อะไรเล่า? เขาเคยเป็นมาแล้ว พอตายไปก็ไม่วายหวนกลับมามืดบอดอีก จุ่มวิญญาณตัวเองลงไปในบ่อแห่งบาปให้มันชุ่มยิ่งๆขึ้นไปอีก มีสิทธิ์เท่าเทียมมนุษย์กิเลสหนาทั่วไปที่จะร่วงหล่นสู่ความหายนะทุกประการ

    "นี่ใช่ไหมครับ กำเนิดธรรมะของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นมาเพื่อให้หาความเป็นที่สุด ไม่กลับไม่กลายเปลี่ยนไป?"

    "ใช่..." น้ำหนักเสียงของเกจิเจ้าอ่อนโยนยิ่งนัก "เอ็งไม่ได้เป็นฤาษีชีไพรมาชาติเดียวเท่านั้นหรอกนะ นับกันเป็นล้านเป็นโกฏิทีเดียวล่ะ พอเป็นผู้วิเศษทีก็เข้าใจเรื่องเหนือโลก เหนือวิสัยสามัญชนเสียที แต่แล้วก็กลับเสื่อมจากความรู้ความเข้าใจอย่างนั้น กลายมาเป็นคนธรรมดา กลายมาเป็นคนสงสัยโลกอีกเหมือนคนอื่นๆ ถ้าเอาความวิเศษไปเทียบกับมนุษย์เดินดินด้วยกันน่ะนะ อาจดูสูงส่งน่าเลื่อมใสดีหรอก แต่ถ้าเอาไปเทียบกับความตายแล้ว ความวิเศษก็ไอ้แค่ขี้ตีน หาดีอะไรได้ ตายจากความเป็นผู้วิเศษเมื่อไหร่ก็ฉิบหายได้อีก...และอีก"

    ฟังแล้วเกาทัณฑ์ได้แต่กะพริบตาสองสามทีติดกัน แม้ครั้งหนึ่งเคยพุ่งไปถึงจุดสูงสุดของศักยภาพมนุษย์ บำเพ็ญตบะจนได้มหัคตะกุศล สำเร็จฌาน บรรลุอภิญญา เปิดตาในตานอกให้สว่างถึงที่สุด เป็นอยู่อย่างสะอาดหมดจดในพรหมจรรย์มรรค ก็ยังผันแปร เปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นเขา นายเกาทัณฑ์ผู้สำคัญตัวผิด มองโลกด้วยตาใสใจบอด และได้ก่อกรรมอันเป็นทางทรมานไว้แล้วอย่างมากมาย

    อย่างนี้จะเป็นมันทำไม...ผู้วิเศษ

    เป็นให้ลืม แล้วเวียนกลับมาเป็นนายต๊อกต๋อยสักคน ไขว่คว้าหาทางวิเศษวิโสกันใหม่ แล้วลืมอีก

    คนเราเกิดมาเหมือนสัตว์ที่ถูกคาดตาด้วยผ้าดำ ขยอกเขย่าให้งงได้ที่ แล้วก็ปล่อยออกจากกรง เดินเป๋ไปเป๋มา ชนโน่นชนนี่ล้มระเนระนาด ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและบาดแผลร้ายแรงหลายแห่ง กว่าจะค่อยๆได้สติ ประคองตัวอยู่พอหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง ก็กินเวลาเนิ่นนานหลายปีดีดัก

    กระนั้นก็ยังมีผ้าผูกตาปิดบังโลกที่แท้จริงไว้ตลอดเวลา ทว่าก็นึกสำคัญว่าตนประจักษ์โลกอย่างถ่องแท้แล้ว

    ถูกผูกตาไว้ และยังไม่เห็นอะไรเลย กะแค่ที่มาของตน เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแท้ๆ ฝังอยู่ในความทรงจำของตัวแท้ๆ ยังบอดใบ้ถึงอย่างนี้

    เหมือนทุกสิ่งถูกต้อนให้กลับสู่จุดเริ่มต้นใหม่หมด ชายหนุ่มค่อยๆยืดตัวขึ้นตรง แสงตาทวีตัวเข้มขึ้นทีละน้อย จนที่สุดก็เป็นประกายแรงด้วยความปรารถนาครั้งใหม่

    "หลวงตาสอนผมด้วยเถอะครับว่าทำอย่างไร จึงจะรู้…โดยไม่กลับกลายเป็นลืม แม้เมื่อความตายมาถึง"

    พระครูผู้เมตตาหัวเราะในลำคอ ดวงตาอันฉาบชราภาพแลนิ่งมายังลูกศิษย์หนุ่ม

    “ภาวะคงที่ ไม่กลับไม่เปลี่ยน ตื่นตลอดเวลา แม้หลับก็ไม่ฝันนั้น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของของพระผู้เป็นอรหันต์ เอ็งกำลังอยากเป็นพระอรหันต์หรือไง?”

    เกาทัณฑ์อึ้งคิดไปชั่วครู่ ก่อนเรียนท่านตามตรงว่า

    “ผมกลัวการลืม กลัวการเกิดมาอย่างไร้ความจำ ไร้แนวทางแน่นอน ผมไม่ได้อยากเป็นพระอรหันต์”

    หลวงตาแขวนพยักหน้าช้าๆ

    “ถ้าคิดแบบนั้นก็เข้ามาใกล้ต้นทางนะ เพราะผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดมากมายไม่แม้แต่จะคิดอยากเป็นพระอรหันต์ ถ้าต้นทางเห็นภัยคิดผละจาก ปลายทางถึงจะผละจากได้จริง เมื่อสิ้นอวิชชา สิ้นทุกข์เด็ดขาดแล้ว จะเรียกอรหันต์หรืออะไรก็ช่าง”

    “ครับ”

    “ปิดตาเข้าสมาธิแล้วฟังข้าพูดไปเรื่อยๆ”

    เกาทัณฑ์ปิดตาเฝ้าตามลมเข้าออกจนจิตรวมเป็นดวง เบาลงจากกิเลสทุกชนิดจนทอแสงสว่างนวล เห็นสายลมหายใจเป็นสายทิพย์ไปได้เช่นเคย

    จิตที่เป็นอุปจารสมาธิยังคิดได้ ฟังคนอื่นพูดรู้เรื่อง แต่ปราศจากความยินดียินร้าย เพราะความแช่มชื่นระรื่นสุขมีความเป็นใหญ่เกินอารมณ์อื่น โยคาวจรหนุ่มได้ยินคำสั่งจากอาจารย์เป็นเสียงกลางๆว่า

    "เอาสติจ่ออยู่กับความสว่างของจิตนะ จ่อไว้กับความสว่างนั่นแหละ จะเห็นสว่างขึ้นเรื่อยๆ"

    เกาทัณฑ์กำหนดตามท่านสั่ง เห็นสว่างขึ้นได้จริงๆ นึกไม่ถึงว่าพอจิตนิ่งแล้วจะเร่งไขแสงเพิ่มง่ายดายเพียงจ่อสติไว้กับความสว่างของจิตเท่านี้เอง

    "น้อมเอาแสงจากกลางอกระลึกเข้ามาในความรู้สึกตัวทั่วร่าง จะเห็นกายสว่างเห็นชัดทุกส่วน ทุกชิ้น"

    ลูกศิษย์หนุ่มปฏิบัติตาม เค้าโครงรูปพรรณสัณฐานปรากฏตามจริงต่อแสงรู้ของจิต ราวกับห้องมืดที่ถูกแสงสว่างขับไล่ เห็นหมดว่าภายในมีข้าวของรูปทรงไหนวางอยู่บ้าง

    "กำหนดดูว่ากายมีความนิ่งอยู่ที่ไหนบ้าง มีอาการเคลื่อนไหวอยู่ที่ไหนบ้าง"

    โดยภาคของความรู้สึกว่าเป็นตัวนายเกาทัณฑ์ เขาเห็นกายเป็นภาวะต่างหากจากตน มันนั่งนิ่งขัดสมาธิมือขวาซ้อนมือซ้าย ขาขวาทับขาซ้าย ทุกส่วนที่ดามด้วยกระดูกนับแต่ศีรษะลงมาถึงปลายเท้าแน่นิ่งไม่ไหวติง จะมีก็แต่ส่วนหน้าท้อง ชายโครง และส่วนอก ที่ขยายแล้วสลับยุบตัวเป็นจังหวะต่อเนื่องกันเพราะมีเจตนากำหนดไว้ก่อน

    ด้วยการกำหนดตามวาระจิตของผู้เป็นศิษย์ ท่านทราบว่าชายหนุ่มได้ฐานรู้คือกายนิ่งทั้งแท่งไว้แล้ว จึงสั่งต่อ

    "กำหนดดูว่า มีอะไรบ้างที่เป็นต่างหากจากใจเรา"

    เกาทัณฑ์พบอย่างไม่เคยพบมาก่อนในบัดนั้นว่า ส่งใจไปเห็นอะไรได้ สิ่งนั้นก็กลายเป็นอื่นจากใจไปหมด ลมหายใจก็ต่างหากจากใจ กายอันเป็นที่ตั้งกองลมก็เป็นต่างหากจากใจ เสียงหลวงตาแขวนที่สะเทือนผ่านอากาศมากระทบแก้วหูก็เป็นต่างหากจากใจ ใจเป็นแต่เพียงผู้ดูอย่างเดียว ใจไม่ได้มีความเป็นอะไรทั้งหมดที่ถูกเห็นแม้แต่อย่างเดียว

    “กำหนดดูความเป็นต่างหากจากกันระหว่างรูปกับนามอยู่อย่างนั้นนะ อย่าวอกแวก พอตั้งมั่นแล้วจะเหมือนมีช่องว่างระหว่างตัวรู้กับสิ่งถูกรู้… จากนั้นพิจารณาว่าลมหายใจมีความอยู่นิ่งในที่ตำแหน่งไหนได้ไหม ทนอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในกายได้ไหม”

    จิตซึ่งกำลังมีสภาพเป็นตัวรู้เต็มดวงตอบอยู่ในภายในทันทีว่าไม่…ไม่พบที่สถิตของสายลมหายใจแม้แต่จุดเดียวตลอดเส้นทางผ่านเข้าออกโพรงอันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ธรรมชาติการไหลรี่เร็วของสายลมไม่เคยแตะต้องหรือทนหยุดพัก ณ จุดใดได้เลย

    “ลมหายใจมาจากนอกกาย เคยเป็นอื่นจากร่างกาย เข้ามาอยู่ในร่างกายชั่วครู่ แล้วถูกถ่ายคืนกลับสู่ภายนอกอีก ทนเป็นสมบัติ เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไม่ได้ อย่างนี้ถือว่าลมหายใจเป็นตัวตนเราเขาคนไหนได้ไหม?”

    จิตเห็นอย่างแจ่มชัดว่าลมหายใจปราศจากอัตตาตัวตน เป็นเพียงเครื่องหล่อเลี้ยงกายให้ตั้งอยู่ได้ หากขาดลมระยะหนึ่ง กายดิ้นรนไขว่คว้าหาอากาศแล้วยังติดขัดอยู่อีก ก็คือการมาถึงของมรณะเท่านั้น

    ภาวะนิ่งอย่างเอกอุซึ่งประกอบพร้อมด้วยอาการพิจารณาเห็นธรรมดำเนินต่อไป ได้ยินคำสั่งจากพระอาจารย์ต่อมา

    "พิจารณากาย เริ่มจากมือที่วางซ้อนกันอยู่บนหน้าตัก ถามตัวเองว่าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาหรือเปล่า?"

    ด้วยเพราะเพิ่งผ่านการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแห่งลมหายใจมาหยกๆ พอพิจารณามือตามพระอาจารย์สั่ง เมื่อเห็นนิมิตอุ้งมือและลำนิ้วทั้งสิบชัด ก็ตระหนักด้วยจิตเหนือสำนึกทันทีว่าเขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ไม่มีส่วนรู้เห็นเลยว่ามันถูกสร้างมาได้อย่างไร

    "เมื่อเราไม่ได้สร้าง แล้วอย่างนี้ควรยึดถือไหมว่าเป็นของเรา?”

    จิตพิจารณาตามแล้วตอบทันทีว่าไม่เลย ในเมื่อไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ ไม่ได้เป็นผู้ลงมือก่อร่างสร้างมันขึ้นมา กับทั้งไม่อาจควบคุมให้ทรงอยู่ยั่งยืน จะยึดว่าเป็นของเราได้อย่างไร

    ใจว่างและวางทันที เป็นวาระจิตแรกในชีวิตที่เกิดความปล่อยวางกายอันยึดถือตลอดมาว่าเป็นตน คล้ายอุ้มหินไว้ในอ้อมแขนแล้วปล่อยลงให้พ้นตัว เกิดความเบาโล่งชนิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

    อโหธรรมา...อโหธรรมา

    "รักษาอาการเห็นมือไว้ ไล่ต่อมาถึงช่วงแขน ถามตัวเองว่าอย่างนี้เป็นธรรมชาติอันเดียวกับมือหรือเปล่า"

    ใช่แล้ว เขาเห็น มันก็เป็นรูปธรรม สังขารธรรมที่เขาไม่เคยมีส่วนปรุงแต่งขึ้นมาเช่นเดียวกับลมหายใจและมือนั่นเอง

    "รักษาอาการเห็นมือและช่วงแขนไว้ ไล่ต่อมาถึงส่วนหัว ไล่ลงไปถึงช่วงตัว ไล่ต่อไปถึงช่วงขา สิ้นสุดลงที่ส่วนเท้า เห็นอาการนิ่งและเคลื่อนไหวทั้งหมดใหม่อีกครั้ง ถามตัวเองว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งที่แตกต่างไปไหม มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จิตเราเป็นผู้สร้างทำขึ้นมาไหม"

    ไม่มี...ไม่มีเลย อโหธรรมา... แปลกเหลือเกิน รูปกายที่เคยยึดถือว่าเป็นของเรานี้ ทำไมดูกลายเป็นอื่น เป็นของนอกตน พิลึกกึกกือแตกต่างจากมโนภาพรูปร่างหน้าตาชายคนเดิมที่คุ้นเคยมาเนิ่นนานว่าเป็นตน

    จิตนิ่งฉายสว่างเต็มกำลังอุปจารสมาธิจิต ขณะเดียวกันก็ประกอบพร้อมด้วยอาการพิจารณารู้อันเป็นลักษณะของปัญญา เป็นวาระที่รูปและนามประสานกันได้ผลลัพธ์เป็นธรรมคือดวงรู้ละวาง ปราศจากสำนึกแห่งความเป็นสัตว์ คน เทวดา พรหม หรือสมมุติใดๆ

    ผู้เป็นธรรมาจารย์ปล่อยให้ภาวะรู้เห็นของศิษย์ดำเนินต่อเนื่องจนกระทั่งตกผลึก ทรงตัวโดยปราศจากการควบคุม จึงแทรกจิตเข้ากำกับเพื่อลัดทางให้สั้นเข้า

    เกาทัณฑ์เห็นนิมิตของสัณฐานกายเริ่มผิดแผกจากเดิม ภาคสำนึกรู้ตัวของนายเกาทัณฑ์จับมองนิมิตใหม่ด้วยความประหลาดใจ แต่ปราศจากความตื่นกลัว เหมือนมองตัวเองมาจากด้านหลังด้วยตาอันผูกติดอยู่กับกระดูกและเลือดเนื้อในกายเอง กายปรากฏเป็นข้อกระดูกสันหลังเรียงกันจากคอถึงก้นกบ มีซี่โครงแยกจากโครงกระดูกสันหลังเห็นคล้ายก้างปลา ห่อหุ้มก้อนเนื้อซึ่งปรากฏเพียงเลือนราง สุมๆกันแออัด มีก้อนที่เต้นตุบๆกลางอกชัดหน่อยว่าเป็นหัวใจ

    ไม่เคยเห็นกายตนเองเป็นเหมือนอย่างนี้มาก่อน เมื่อเห็นแล้วก็ได้แต่รับทราบว่าสิ่งต่างๆตั้งอยู่เช่นนั้นจริง ขึ้นอยู่กับว่าจะปรับสภาพจิตให้เข้าเห็นภายในได้อย่างไร หยาบละเอียดเพียงไหน

    กลไกภายในกำลังทำงานอยู่อย่างเป็นระเบียบโดยปราศจากเจตนานำ นี่ถ้าหากกลไกทุกชิ้นต้องอาศัยคำสั่งจากความคิดของเขา เขาคงวุ่นวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่เป็นทำอะไรอื่นแล้ว

    “นี่แหละสิ่งที่กำลังดำรงอยู่ และกำลังจะแตกดับไป”

    เสียงของหลวงตาแขวนดังขึ้นในท่ามกลางการเห็นกายเป็นสิ่งที่สร้างจากองค์ประกอบแยกย่อย ในทันทีทันใดนั้นจิตก็เกิดความเห็นขึ้นมาอย่างเต็มตื้น

    กายมนุษย์

    ยกขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง

    ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ

    เมื่อแยกเป็นส่วนๆ

    ไม่เหลือมนุษย์

    ไม่เหลือเราเขา

    เหลือแต่ท่อนกระดูกกับเลือดเนื้อ

    ว่างเปล่า

    รอวันแตกดับ

    ไร้แก่นสาร

    หากนำจิตที่ประมวลรู้นิมิตกายเป็นปัญญาคิดของเกาทัณฑ์มาปฏิรูปเป็นภาษา ก็คงถอดความได้ตามนั้น…

    จิตบังเกิดความกลัวรูปกายที่ตนกำลังครอง เห็นเป็นอื่น เป็นของแปลกปลอม เป็นโครงสร้างสัณฐานที่เป็นธรรมชาติโดยเดิม ปราศจากผู้เป็นเจ้าของ มีกฎแห่งกำเนิดและมรณะอันไม่เป็นที่ได้รับการเห็นชอบจากใคร

    “ดูความว่างและนิ่งรู้ที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ นี่คือภาวะหนึ่งของจิต แล้วดูตัวที่กำลังได้ยินเสียงอยู่เดี๋ยวนี้ ดูว่านี่ก็เป็นอีกสภาพหนึ่งของการรู้ มองให้เห็นว่าเนื้อแท้เป็นสิ่งเดียวกัน จำแนกแตกต่างจากกันด้วยประสาทหูเท่านั้น”

    ดวงรู้อันปราศจากรูปทรงสัณฐาน ปรากฏเป็นเพียงความว่าง ขาวโพลนอยู่ในอาการรู้ตนเองนั้น สดับตรับฟังคลื่นเสียงผู้เป็นอาจารย์ที่ส่งทอดมาตามลำดับ และบังเกิดความเห็นเป็นขณะๆว่าการได้ยิน การรู้ความหมายของคำพูด ล้วนเป็นอาการหมายรู้ทางจิตทั้งสิ้น

    "มองให้เห็นว่าแม้ตัวรู้ก็เปลี่ยน เสียงที่ได้ยินก็เปลี่ยน เกิดขึ้นเพื่อตั้งอยู่ชั่วครู่ แล้วลงเอยยังไงก็ต้องดับไป"

    ใช่...อาการกำหนดหมายรู้เป็นสิ่งไหลเลื่อนอยู่ตลอดเวลา แม้ตัวรู้ก็เป็นอนัตตา ดวงนิ่งที่ปรากฏสว่างโพลนอยู่นี่ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นภาวะชั่วครู่ของจิตอันเป็นสมาธิ

    หลุดโล่งจนถึงที่สุด ฐานที่มั่นของตัวตนทั้งรูปและนามทลายลงสิ้น จิตนิ่งรู้เด่นดวงอยู่เพียงเดียว ลิ้มรสความว่างอันประกอบด้วยตัวเห็นอนัตตธรรมนำหน้า สุดขั้วของสุขอันไร้รู้สึก เป็นยอดของภาวะอันไร้สัมผัสแห่งภาวะ ไร้การแตะต้องสังขารธรรมใดๆทั้งปวงโดยแท้

    นี่ใช่ไหมนิพพาน? นี่ใช่ไหมมรรคผล? เขากลายเป็นพระอริยบุคคลไปแล้วกระมัง...

    แต่แล้วความว่างเปล่าก็กลับกลาย เมื่อแรงดึงดูดที่รวมกระแสจิตให้เต็มดวงคลายตัว

    นี่หรือไม่ ที่ท่านเรียกบรมธรรม? สิ่งที่ไม่กลับไม่เปลี่ยน แต่ไฉนบัดนี้จึงแปรไป?

    เกาทัณฑ์ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ปรับการมองได้แจ่มชัดในที่สุด ได้ยินพระอาจารย์ตอบความกังขาของจิตขณะสุดท้ายก่อนลืมตา

    "เพราะนั่นไม่ใช่บรมธรรม นั่นเป็นแค่จิต จิตยังอยู่ในข่ายพระอนิจจัง แค่เหมือนจะข้าม แต่ไม่ข้าม บรมธรรมที่แท้คือจิตที่หลุดจากความปรุงแต่งอย่างหมดจด ไม่เคลื่อนตามเวลาในมิติไหนๆ เป็นดวงรู้ที่ปราศจากภาวะปรุงแต่งใดมาห่อหุ้มได้"

    ชายหนุ่มตั้งสติให้เข้าที่ คืนกลับมาอยู่ในอัตภาพเดิมครบถ้วน จึงคลานเข้าไปกราบพระอาจารย์ เจาะจงให้หน้าผากสัมผัสฝ่าเท้าของท่าน เป็นการแสดงความคารวะจากใจขั้นสูงสุด

    "ฟังข้าพูดให้ดี"

    เกาทัณฑ์กลับมานั่งที่เก่า สีหน้าสงบเฉย ทว่าเปล่งสว่างด้วยรัศมีแห่งความรู้ธรรมและความรู้คุณ นัยน์ตาจับมองพระผู้ให้ความสว่างแก่ตนอย่างบูชาด้วยชีวิต

    "อย่าหลงคิดว่าพบธรรมชั้นสูงแล้ว ธรรมแท้น่ะไม่มีสูงมีต่ำหรอก ถ้าใครถึงจริง ถึงเป็นปกติ ต้องรู้สึกว่างๆเป็นกลาง ถ้าแค่เข้าขั้นรู้สึกว่าตัวเองสูงส่ง ก็แปลว่าโดนกิเลสเอาไปกินเสียก่อนจะถึง เอ็งเพิ่งเห็นแบบแตะๆต้องๆแค่นี้ ยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะไปถึงความเป็นที่สุด"

    ภิกษุชราระบายลมหายใจยาว ท่าทางท่านเหน็ดเหนื่อยพอดู ต้องใช้ทั้งกำลังจิตช่วย ใช้ทั้งกำลังปัญญาสั่งสอนศิษย์ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน เกาทัณฑ์คิดไม่ออกว่าชาตินี้จะหาทางทดแทนพระคุณท่านได้อย่างไรถูก

    การเข้าเห็นสัจภาวะเป็นประสบการณ์ที่ควรซื้อแม้ด้วยชีวิต เพราะถ้าเห็นจริง จะทำให้ตั้งเข็มไปในทางดีได้ถูก เป็นที่พึ่งของตัวเองให้พ้นภัยในวันหน้า

    ผู้นำความเห็นชนิดนี้มาให้ ย่อมสมควรถูกยกไว้บูชาในที่สูงสุด

    พระพุทธเจ้าช่างเป็นมหาบุรุษผู้แสนประเสริฐ เหนื่อยยากเพื่อคนอื่น ยอมลำบากแทบเลือดตากระเด็นนับอนันตชาติเพื่อเอาพระสัพพัญญุตญาณมาโปรดสัตว์

    โปรดสัตว์เช่นเขา เขาคือผู้มีโชคอันประเสริฐที่เป็นหนึ่งในกลุ่มเวไนยสัตว์แห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นี้

    ด้วยความซาบซึ้งในรสธรรม และด้วยความผูกพันที่มีต่อบุคคลอันเป็นที่รัก เกาทัณฑ์ปิดตาลง ตั้งความปรารถนาให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นสุขอยู่ในความประจักษ์ธรรมะลึกซึ้งเช่นเขา จัดเป็นเมตตาภาวนาอันบริสุทธิ์

    แล้วเมตตานั้นก็เปลี่ยนกระแสเป็นการุณยภาพแผ่กว้างไปอย่างไร้ประมาณ ด้วยเหตุที่ใคร่ลงมือนำธรรมซึ่งตนรู้นั้นออกแจกจ่ายใครก็ได้ไม่เลือกหน้าทุกทิศทาง

    การุณยภาพปรากฏเป็นรสสุขชวนพิศวง นึกรักภาวะชนิดนี้ขึ้นมาจับใจ อยากเข้าไปสถิตอยู่ในความเป็นเช่นนั้นตลอดกาล

    ราวกับเข้าบ้านที่เคยคุ้น ราวกับเพิ่งค้นหาตัวเองพบในยามนี้

    กำลังจิตทวีตัวขึ้นเรื่อยๆจนรู้สึกชัดเป็นจริงเป็นจัง เห็นเป็นรัศมีแผ่ผ่านไปราวจะอาบผืนโลกให้ฉ่ำเย็นอาภา

    ในความเป็นดวงรู้แผ่ไปไร้ประมาณชนิดนั้น คล้ายกระแสจิตปรับคลื่นของตนเข้าปะทะอย่างแรงกับคลื่นทุกข์อันลอยตัวอยู่ทั่วไปบนพื้นพิภพ ได้ยินเสียงร่ำร้องโหยไห้อย่างน่าเวทนา มันดังออกมาจากจิตมนุษย์และสัตว์แทบทุกรูปนามบนแผ่นดิน ฟังชัดราวกับอึงอลอยู่ในโสตประสาทจริง เริ่มจากแว่ว แล้วทวีขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นกระหึ่มเช่นเดียวกับฝันร้าย

    สนามคลื่นแห่งทุกข์ของคนทั้งแผ่นดินนั้น ครุวนาดั่งมหาสมุทรที่อาจโถมทับทุกสิ่งให้ล่มจมฉิบหายสิ้น เกาทัณฑ์สำเหนียกทราบถึงความน่าสะพรึงกลัวอันผนึกรวมกันเป็นข่ายคลื่นมหายักษ์ ช่างทะมึนมืดน่าขนลุกเหลือประมาณ การุณยภาพที่แผ่สว่างออกจากดวงจิตของเขาถูกกลบกลืนหม่นมัวไปหมดสิ้น สู้ไม่ได้ ทัดทานไม่ไหว เทียบอะไรไม่ติดเลยกับมหาทุกข์ของปวงมนุษย์และสัตว์บนแผ่นดินและใต้แผ่นน้ำ

    ความทุกข์...ของจริงที่ยั่งยืนมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และจะต่อเนื่องไปในอนาคต

    อาจเป็นอุปาทาน หรืออาจเป็นความหยั่งรู้อะไรสักชนิด แต่เกาทัณฑ์ก็เกิดความสะเทือนใจ บันดาลความสมเพชเวทนาอย่างท่วมท้น และอยากช่วยปวงวิญญาณอันจมทุกข์เหล่านั้น...

    ความอยากช่วยทวีตัวแรงขึ้นเรื่อยๆตามการขยายผลของกำลังสมาธิจิต ที่สุดรวมลงเป็นดวงอธิษฐาน จิตตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะเจริญรอยตามพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เข้าสู่เส้นทางพุทธภูมิ ปรารถนาพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนับแต่ขณะจิตนี้เป็นต้นไป

    ‘สักวันเราจะเป็นพระพุทธเจ้า เราจะช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์ด้วยทศบารมี'

    สำเหนียกถึงพลานุภาพแห่งภาวะอธิษฐานในตน ขนลุกขนชันไปทั่วสรรพางค์ เขาจะไม่ไปสบายคนเดียว แต่จะพาเวไนยสัตว์ตามไปนิพพานด้วยมากที่สุดเท่าที่จะมากได้!

    บังเกิดความตื่นเต้นแปลกใหม่ สีสันแห่งสุขทุกข์อันลี้ลับเบื้องหน้าบนเส้นทางสู่พระโพธิญาณช่างท้าทายชวนระทึก เขารู้สึกว่าความเป็นตนทอดยาวไปไกล...ไกลมาก

    เสียงหัวเราะเอื่อยๆดังมาจากหลวงตาแขวน โพธิสัตว์หนุ่มลืมตาขึ้นมองท่าน นึกเกรงขึ้นมาว่าตนทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือเปล่า

    “ทางตรงที่คนอื่นปูไว้ให้เดินสบายๆไม่เอา จะเลือกอ้อมป่าอ้อมเขาซะเอง”

    คล้ายคนเคยอยู่ในบ้านมีที่มุงบัง ปกปิดจากสายตาคนภายนอก แล้ววันหนึ่งก็ถูกรื้อกำแพงและหลังคาทิ้ง เขาจะเดินไปซอกไหนมุมใด ขยับท่าไหน หลวงตาแขวนท่านเห็นได้อย่างสะดวกดายหมด ทว่าเกาทัณฑ์ก็แน่ใจว่าสิ่งที่ตนปักมั่นลงไปนั้น คือเจตนาอันแน่วแน่บริสุทธิ์ มิใช่ความคิดชั่วร้ายหรือกระทั่งอยากดึงใครมาร่วมลำบากด้วยเลย

    ที่สำคัญ นั่นคงมิใช่การสำแดงความอวดดีหรือทำตัวเป็นหัวล้านนอกครู ท่านสอนให้ละอย่างหนึ่ง ก็ดื้อไปยึดอีกอย่างหนึ่ง เจตนานั้นมาจากใจจริง เกิดขึ้นเอง มีเมตตาและกรุณานำ ทบทวนดีแล้วก็พนมมือกล่าว

    “ครับ…พุทธภูมิคือทางไปพระนิพพานที่ผมเลือก”

    ภิกษุชราเอนกายหัวเราะเอื่อยเฉื่อย

    "เป็นพระโพธิสัตว์น่ะสนุก เพราะรากฐานของใจเป็นกุศลยิ่งใหญ่ มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แล้วก็บากบั่นขยันขันแข็ง ทำอะไรลุล่วงได้เสมอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้มีความเป็นใหญ่ เฉลียวฉลาด และมีกำลังมาก"

    ฟังท่านกล่าวเช่นนั้น เกาทัณฑ์ก็รู้สึกถึงพลังอันประจุแน่นในกายแกร่งล่ำสันของตน เห็นว่านั่นเป็นอุปกรณ์ของจิตที่ช่วยให้เกิดความฮึกเหิมไม่ระย่องานอันยากลำบาก จากนั้นก็พิจารณาเห็นฉันทะในงานตามหน้าที่ของตน เขาทำโน่นทำนี่ลุล่วงอยู่ตลอดเวลาด้วยความรับผิดชอบสม่ำเสมอ ซึ่งทำให้บังเกิดความมั่นใจสูงมากว่าคิดอะไร หวังอะไร เป็นต้องสำเร็จได้ทั้งนั้น

    ความหยิ่งทะนงในสติปัญญา เชื่อมั่นในพลกำลังและความสามารถ อย่างนี้จะเข้าข่ายผู้มีบุญเยี่ยงพระโพธิสัตว์หรือเปล่า?

    หรือว่าที่แท้เขาก็เป็นโพธิสัตว์อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว?!

    “ความหมายมั่นและความสามารถทำเรื่องยากให้ลุล่วงเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของพระโพธิสัตว์ ทำให้เป็นผู้มีตบะเดชะ นับเป็นด้านดีที่มีด้านร้ายแฝงอยู่ คนเป็นโพธิสัตว์ส่วนใหญ่หลวมตัวให้กิเลสข้อที่ว่าด้วยโมหะ ถึงมีปัญญาแค่ไหนก็อดหลงตัวเองไม่ได้ พอทำดีก็ทุ่มตัวสุดกำลัง พอทำร้ายก็ปล่อยใจจนสุดขั้ว หาคนห้ามยาก เพราะฉะนั้นต้องสั่งสมคุณงามความดีไว้เป็นเสบียง และเป็นสัญญาณนำร่องให้กับจิตเอง ถึงจะไม่ตกไปสู่อบายบ่อยนัก"

    เกาทัณฑ์รับฟังและพิจารณาตาม ความอยากทั้งฝ่ายดีและร้ายที่ผ่านมาของตนนั้น ถูกเติมเต็มด้วยความสำเร็จสมใจมาตลอด จึงได้ฉุกคิดว่าหากมีสวรรค์เป็นรางวัลตอบความดี และหากมีนรกเป็นโทษทัณฑ์สนองความชั่ว เขาก็จะได้รับไปเต็มๆ ขณะที่คนอื่นซึ่งสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้างในกรรมแต่ละวาระ ก็ย่อมพลาดรางวัลบ้าง พ้นโทษทัณฑ์บ้างตามวิถีลุ่มๆดอนๆ

    พูดง่ายๆ โพธิสัตว์มักไม่พลาดสุขที่สุดและทุกข์ที่สุดเหมือนสังสารสัตว์สามัญ เจอแน่ทั้งรางวัลใหญ่และโทษทัณฑ์หนัก

    "การเดินทางไปในสังสารวัฏน่ะ ไม่มีใครชั่วจริงตลอดไป ไม่มีใครดีทนตลอดกาล ดีชั่วเพราะตัวกิเลสและความไม่รู้บันดาลทั้งนั้น เมื่อทำดีไว้มาก พอเสวยกุศลวิบากเข้าก็เหลิงอำนาจบุญ ถูกกิเลสยุให้ทำชั่วสารพัดโดยอาศัยบารมีเก่านั่นเอง เอ็งเห็นกี่คนที่ใช้วิบากด้านดีเช่นความร่ำรวย ความมีอำนาจ ความมีรูปงาม หรือแค่กระทั่งความเป็นมนุษย์ เพื่อใช้ในการต่อบุญให้ตัวเอง มันก็ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ทำสิ่งที่อยากทำเฉพาะหน้ากันทั้งนั้น จะเป็นพระโพธิสัตว์หรือสังสารสัตว์ธรรมดาก็เถอะ”

    เกาทัณฑ์พิจารณาและเห็นจริงตาม ยกมือพนมรับพลางผงกศีรษะลงเล็กน้อย คิดว่าหลวงตาท่านกำลังโน้มน้าวให้เลิกล้มความตั้งใจ เบนเข็มเข้าสู่นิพพานในชาตินี้ดีกว่า มีโอกาสสบายเห็นๆอยู่แล้ว ทว่าความซาบซึ้งในรสการุณยภาพที่บังเกิดจริงยิ่งใหญ่ในตนเมื่อครู่นั้นแรงกล้ายิ่งนัก เพียงคำพูดโน้มน้าวเท่านี้ คงเปรียบได้แค่การใช้สองมือผลักภูเขาหินเท่านั้น

    ได้ยินหลวงตาท่านหัวเราะเป็นเสียงออกไปในทางเยาะ ซึ่งก็คงมาจากการหยันความคิด ความเชื่อในหัวของเขานั่นเอง เกาทัณฑ์พยายามหักห้ามมิให้เกิดความคิดโต้ตอบหรือคัดง้างเต็มกำลังแล้ว ทว่ายังอุตส่าห์หลุดรอดออกไปให้ท่านจับได้และแค่นว่าทุกที

    “อยู่ในกายมนุษย์น่ะ สบายๆก็คิดไปได้เรื่อยอย่างนี้แหละ เห็นอยู่แค่นี้ ได้ยินอยู่แค่นี้…”

    แล้วหลวงตาแขวนก็เพ่งตาเขา เกาทัณฑ์รู้สึกถึงสนามพลังที่ก่อตัวขึ้นฉับพลัน และตระหนักว่ากำลังมีบางสิ่งผิดปกติไป

    "ข้าจะให้ดูอะไรนี่!"

    ขาดคำท่าน ชายหนุ่มก็หน้ามืดวิงเวียน เปลี้ยเพลียคล้ายคนใกล้หมดความรู้สึกด้วยฤทธิ์ยาสลบ ไม่อาจยื้อสติและความรู้สึกทางกายให้คงอยู่ โลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นฉากใหม่ขึ้นมาแทน กึ่งฝันกึ่งจริง เขาไม่เคยเห็นที่ราบกว้างใหญ่กระจะตาอย่างนั้นมาก่อน มันยิ่งกว่าความราบกว้างของพื้นทะเลสุดลูกหูลูกตา ทุกหนทุกแห่งคลาคล่ำด้วยวิญญาณบาปรูปร่างวิกลวิการ  คล้ายพวกมนุษย์เปลือย ทว่าปราศจากราศีของความเป็นมนุษย์ติดตัวแม้แต่น้อย กำลังเป็นอยู่ด้วยการรับทารุณกรรมต่างๆกันไป บอกตนเองทันทีว่าที่ปรากฏแก่ตานั้นคือสัตว์นรก และที่ราบกว้างนั้นก็คือพื้นที่ส่วนหนึ่งของนรกภูมิ!

    หลุดจากครอบกะลาหนึ่ง ไปเห็นอีกครอบกะลาหนึ่ง…

    เสียงโอดโอย เสียงร่ำร้องด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสอึงอลเต็มสองหู บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยคลื่นความทรมานที่ส่งออกมาจากดวงวิญญาณของสัตว์บาป สัมผัสในอากาศคล้ายความพลุ่งพล่านของน้ำเดือดจัด เกาทัณฑ์เวียนๆงงๆเป็นครู่ ก่อนจะสามารถปรับสติ แยกมองให้เห็นเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งลงไป

    ภาพสัตว์นรกตนหนึ่งถูกดูดเข้ามาใกล้ตา ช่างน่าหวาดเสียวและชวนอาเจียนกับการเห็นวิญญาณบาปที่มีรูปเป็นผู้ชายกำลังนอนบิดตัวไปมา โดนหนอนนรกขนาดเท่าปลายก้อยนับพันนับหมื่นชอนไชไปทั่วร่าง วิญญาณนั้นแหกปากอันกว้างใหญ่เต็มอ้า แผดเสียงแหลมบาดหู แลบลิ้นอันเหยียดยาวและมากแฉกออกมาจนสุด แต่ละแฉกเต็มไปด้วยเลือดและแผลสด ท่าทางปวดแสบทรมานไปทุกหย่อมเนื้อตั้งแต่หัวจดเท้า

    เหมือนเขาเริ่มมีกายไปยืนอยู่ตรงหน้าวิญญาณต้องทัณฑ์ตนนั้น มันไม่เห็นเขา ไม่รับทราบว่ามีวิญญาณจากมนุษยโลกมาปรากฏ เกาทัณฑ์นึกแผ่เมตตา อยากให้มันรับรู้การอุทิศส่วนกุศล และพ้นๆไปจากสภาพอันน่าอเนจอนาถเหลือจะกล่าวนี้ ทว่ามันก็ไม่มีท่าทีรับรู้เลย เอาแต่ส่งเสียงร้องโหยหวนเพราะความเผ็ดแสบไปทั้งเนื้อตัวท่าเดียว

    พยายามส่งสายตาไปพินิจรายละเอียด สิ่งแรกที่ดวงจิตให้ความสนใจคือลูกตาอันเหลือกถลนของวิญญาณบาป พอเห็นชัดก็สยองไปทั้งเกล้า ช่างน่ากลัวเหลือเกิน มันไม่มีตาดำ มีแต่ความขาวช้ำด้านชาไร้แวว กลอกหลุกหลิกส่งกระแสความเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง

    มีสิ่งที่เป็นเหมือนเส้นผมขอดติดหนังหัว เนื้อหนังอวัยวะส่วนต่างๆถอดแบบมาจากรูปกายมนุษย์เกือบทุกอย่าง มีเล็บ มีข้อนิ้ว มีอะไรๆบ่งความเป็นเพศชาย ทว่าดูช่างวิปริตผิดแบบ เห็นแล้วทราบทันทีว่าไม่ใช่กายมนุษย์อย่างแน่นอน และนี่ก็ไม่ใช่การพรางแต่งด้วยเครื่องมือของกองถ่ายภาพยนตร์ระดับโลก แต่มันคือของจริงที่ปรากฏต่อดวงจิตอีกระนาบหนึ่ง

    ของในหนังนั้นตกแต่งน่ากลัวอย่างไรก็ขาดไปอย่าง...กระแสวิญญาณของสัตว์นรก

    บัดนี้เขาประจักษ์แล้ว เมื่อประสบเฉพาะหน้า สัมผัสได้ถึงความกระหายอิสรภาพ สัมผัสได้ถึงไอร้ายแห่งทุกข์อันแข็งกล้าผิดไปจากมนุษย์และสัตว์ที่เขาเคยพบเจอมาทั้งหมด ไม่มีท่าทีว่าวิญญาณบาปจะมีความรับรู้หรือนึกคิดถึงสิ่งใดนอกจากเสวยทุกข์อันเกิดกับตัวเรื่อยไป

    แต่ร่างนั้นก็คล้ายมนุษย์เสียเหลือเกิน คล้ายจนเขานึกเวทนาเช่นเดียวกับที่เคยให้ความเวทนามนุษย์ด้วยกันมาก่อน ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยว่ารูปนี้คงมิได้ถูกหล่อเลี้ยงด้วยหนอนนรกเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นมันมีสิ่งใดเป็นอาหารกัน

    “กายนี้เป็นอกุศลวิบาก หล่อเลี้ยงด้วยอกุศลวิบาก ถ้ามีอาหารก็บันดาลขึ้นจากอกุศลวิบากเช่นกัน”

    เป็นเสียงตอบของหลวงตาแขวน ซึ่งทำให้เกาทัณฑ์รู้สึกตนว่ามีอีกภาคหนึ่งนั่งอยู่ในกุฏิท่าน เมื่อมีสติรู้เช่นนั้นก็นึกสงสัยอีก ว่าสัตว์นรกตนนี้ทำกรรมอะไร จึงต้องมาทรมานทรกรรมสาหัสน่าสยองเกล้าเหลือทน

    "มันกำลังรับกรรมจากครั้งที่เคยเป็นนักบวชผู้ทรงคุณ แต่บ่อนทำลายตนเองในบั้นปลายด้วยการกระทำอันเป็นทุศีล เมื่อเพื่อนนักบวชผู้มีศีลบริสุทธิ์พยายามตักเตือนและโน้มน้าวให้แก้ไข ก็เกิดโทสะ พูดหยาบช้าลามก บริภาษต่างๆนานา แถมยังชักจูงบริษัทบริวารให้เชื่อว่าผู้มีศีลนั้นเป็นตัวตลก มีกิริยาน่าขบขัน และเป็นนักบวชทุศีลเสียเอง พาคนมากมายให้มีบาปมีมลทินอย่างหนักตามไปด้วย"

    ดวงจิตของเกาทัณฑ์ร้อนผ่าวเหมือนถูกทรายพิษซัด ด้วยเพราะระลึกได้ว่าตนก็เคยทำกรรมคล้ายๆอย่างนั้นมาก่อน เรื่องหมั่นไส้คนดีน่ะเป็นธรรมดาของคนชั่วอยู่แล้ว เขาเคยค่อนแคะนินทาเพื่อนร่วมงานบางคนที่ทำตัวสมถะเรียบง่าย ใจดีเหมือนพ่อพระ เป็นที่กล่าวขวัญของสาวๆ ใช้คำพูดชวนขันจนหลายคนมองหมอนั่นเป็นตัวตลก และกระทั่งสงสัยว่าเต็มเต็งหรือเปล่า

    แปลว่าเข้าข่ายมาอยู่ในบัญชีนรกชนิดเดียวกับสัตว์ตนนี้?

    เปลี่ยนจากร้อนมาเป็นหนาวสะท้าน กระทั่งเกิดความยะเยือกลึกด้วยความกลัวบาปอันเคยก่อไว้แล้ว นี่สักวันเขาก็จะต้องมานอนบิดไปบิดมา หนอนขึ้นตัว ลิ้นยาวฉีกเป็นแฉกเหมือนอย่างนี้หรือ?

    โอย...

    สัตว์นรกตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนจากอาการบิดทุรนทุรายเป็นดิ้นปัดเร่าๆ แล้วกระแทกตัวกับพื้นขึ้นลงตั้บๆด้วยฤทธิ์ทรมานอันเผ็ดร้อนกล้าแข็งถึงขีดสุด มือไม้ปัดหนอนวุ่น ทั้งขยุ้มขยำ ทั้งล้วงเข้าไปในแผลใหญ่ กำหนอนนรกออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเพื่อปาทิ้ง แต่ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดจำนวนลงสักนิด ยังคงไต่ยุ่บยั่บยั้วเยี้ยไม่รู้จักกี่หมื่นกี่พันตัว ยิ่งดูยิ่งขนหัวลุก มองเห็นเป็นตัวๆกำลังปีนป่ายเข้านอกออกในร่างร้ายของวิญญาณบาปอย่างครึกครื้น มากมายจนล้น ต้องปีนป่ายอยู่บนหลังพวกเดียวกันเองก็เยอะ

    ถ้ามีกายหยาบอยู่ด้วยป่านนี้เขาอ้วกไปแล้ว

    เป็นนานกว่าที่สัตว์ต้องทัณฑ์กรรมตนนั้นจะทุเลาเจ็บลงนอนดิ้นน้อยลงเหมือนตอนแรก เกาทัณฑ์ได้เห็นด้วยตาว่าความเผ็ดร้อนแห่งกรรมชั่วนั้นก็ยังมีหนักบ้างเบาบ้างสลับกัน ใช่จะรับแต่รสกล้าแข็งคงเส้นคงวาตลอดไป

    "มีอยู่"

    เสียงหลวงตาแขวนดังขึ้นอีก ไม่แน่ใจว่าแว่วอยู่ในจิตหรือยินผ่านประสาทหูกันแน่

    "มีนรกบางขุมที่สัตว์บาปได้รับทุกขเวทนากล้าแข็งเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีบรรเทาลงเลยสักขณะจิตเดียว อย่างเช่นอเวจีมหานรกที่พระเทวทัตกำลังเสวยวิบากอยู่เดี๋ยวนี้ ที่เอ็งเห็นนี่เป็นแค่นรกขุมกลางๆ เทียบแล้วไม่ทุกข์สาหัสสากรรจ์นัก มีผ่อนหนักผ่อนเบาบ้างตามวาระ คล้ายคนระบมไข้บนโลกนั่นแหละ"

    อะไรกัน...นี่น่ะหรือไม่ทุกข์สาหัสสากรรจ์นัก คุณพระคุณเจ้า เขานึกว่ากำลังดูทัณฑ์กรรมที่โหดเหี้ยมที่สุดในนรกเสียอีก!

    เกาทัณฑ์เบือนหน้าหนีไปจากภาพชวนสะอิดสะเอียนอย่างเกินกว่าจะรับภาพโหดเหี้ยมระดับนั้น หรือแม้น้อยกว่านั้นอีกต่อไป

    ดวงจิตเหมือนส่งกระแสวิงวอนมาถึงหลวงตาแขวน ขอตื่นจากฝันร้ายนี้ที

    อย่างช้าๆ ภาพที่เห็นจางหายไปเหมือนเงาฝัน แล้วเกาทัณฑ์ก็กลับสู่ภาวะปกติ รู้สึกว่าตนเองหน้าซีดเล็กลงเหลือเท่าไม้ขีด นรกมีจริง ไม่ใช่แบบสวรรค์ในอกนรกในใจ แต่เป็นอีกมิติหนึ่งที่ไปได้ อยู่ได้ สยดสยองอย่างที่ทำให้เขาต้องใบ้กินไปชั่วขณะ

    "เป็นไง?"

    ท่านถามสั้นๆ เกาทัณฑ์มองพระอาจารย์ด้วยดวงตานิ่งทื่อ มือสั่นระริก ตระหนักหากท่านต้องการ ก็อาจใช้กระแสความเป็นศิษย์อาจารย์สะกดเขาให้เห็นอะไรก็ได้ โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิรองรับเสียก่อน

    "น่ากลัวเหลือเกินครับ"

    ชายหนุ่มประนมมือตอบตามใจจริง หมดมาดทะนงลงสิ้น

    "ภูมิเดิมของพระเทวทัตน่ะ เคยเป็นอนิยตโพธิสัตว์มาก่อน แล้วข้าจะให้รู้ไว้ ว่าสัตว์ที่กำลังหนอนขึ้นตัว แลบลิ้นได้เป็นแฉกๆนั่นน่ะ ก็เป็นโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งเหมือนกัน"

    เกาทัณฑ์เบิกตาโพลง ตกตะลึงเหมือนโดนทุบที่หัวอย่างแรง

    "เคยเป็นเพื่อนห่างๆกับเอ็ง เอ็งก็คือคนที่เขาเล่นล้อหยาบช้าด้วยนั่นแหละ เป็นไง สะใจไหม คนที่เคยเสียดสีเอ็งตอนนี้ลงไปนอนดิ้นในนรกแล้ว"

    ผู้เป็นศิษย์ทำหน้าตื่นอยู่อย่างนั้น เมื่อจำไม่ได้ก็ไม่อาฆาต เมื่อไม่อาฆาตก็ไม่เกิดความสะใจแต่อย่างใด ตรงข้าม สงสาร หดหู่ อยากให้วิญญาณบาปนั้นพ้นทุกข์เสียโดยเร็ว นึกอยู่ในใจคำเดียวว่า ‘อโหสิ...อโหสิ' นี่แหละหนอ ก่อกรรมทำเข็ญ ทำเวรทำกรรมกันมาแล้วต่างฝ่ายต่างลืม ทว่าต้องชดใช้ และรับวิบากที่ก่อตามทางของแต่ละรูปนามอย่างนี้

    "เอ็งแผ่เมตตาหรือยกโทษให้เขาไม่ได้หรอก เพราะที่เห็นนั่นเป็นการสะกดจากข้า อีกอย่างจิตของเขาไม่อยู่ในสภาวะที่จะติดต่อกับเอ็ง หรือรับรู้กระแสบุญที่ใครอุทิศให้ไหว เพราะมัวแต่แด่วดิ้นจนลืมอะไรหมด เอ็งคงได้แต่เห็นไว้เป็นเยี่ยงอย่างว่าเมื่อรับผลอย่างนี้ มันก็ได้แต่จมลงแบบโงหัวไม่ขึ้น สังวรระวังอย่าให้ถอยหลังลงอบายแบบเขาก็แล้วกัน"

    "ครับ"

    หลวงตาแขวนพยักหน้า

    "ถ้าพลาดตอนจะตาย จิตเป็นอกุศล พลัดไปอยู่ในอบายภูมิล่ะเอ็งเอ๋ย อกุศลวิบากมันเรียงคิวเข้ามาไม่รู้เท่าไหร่ ตระเวนเสวยกรรมจากขุมนั้นมาขุมนี้ หมดขุมนี้ต่อขุมโน้น ที่เอ็งเห็นนั่นเป็นแค่หนึ่งในหลายสิบอัตภาพที่ยังรอเสวยวิบากชั่วอีกบานตะไทของเขา"

    เกาทัณฑ์รับทราบด้วยความสมเพชยิ่ง

    "ข้าต้องการบอกให้เอ็งเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ต่อไปชาติใดชาติหนึ่งเอ็งพลาดอย่างเขา เอ็งก็ต้องไปเป็นเหมือนเขา หรือยิ่งกว่าเขา จะกลับใจเสียก็ยังทันนะ ตอนนี้ศาสนาพุทธยังอยู่ หากคิดถอนพุทธภูมิก็พอมีทาง เร่งพากเพียรบำเพ็ญภาวนาหน่อย จบชาตินี้จะได้ลาขาดจากสังสารทุกข์ให้พ้นๆ จิตเอ็งมีบารมีธรรมพร้อมอยู่แล้ว"

    เกาทัณฑ์กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ งันงกไปชั่วขณะ นี่มันเรื่องล้อเล่นที่ไหน ใครจะไปรู้ว่าต่อไปเขาจะก้าวพลาดลงนรกสักกี่ขุม นิสัยห่ามๆไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างเขา...

    เมื่อคิด เขาจะเป็นคนฉลาด มีสติปัญญารอบคอบถี่ถ้วนที่สุด ตริตรองมองการณ์ได้ไกลที่สุด แต่เมื่อไม่คิด เขาก็โง่ได้เท่าคนปัญญาอ่อน ขาดสติ ไร้การไตร่ตรองใดๆ หุนหันพลันแล่นอยู่เรื่อย

    ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นเบือก็เคย ขโมยของก็เคย เป็นชู้กับเมียเพื่อนก็เคย โกหกพกลมปั้นน้ำเป็นตัวก็เคย กินเหล้าเมายาจนโอ้กอ้ากน่าทุเรศก็เคย

    ดูแล้วเหมือนบ้าแน่ๆ โอกาสหลุดหนี้กรรมมาถึงแล้วในชาตินี้ จะสละไปง่ายๆอย่างนั้นหรือ?

    ความประหวั่นในผลกรรมท่วมทับจนใจสั่น ถ้าปล่อยโอกาสทองซึ่งนานครั้งจะมีนี้หลุดไป เขาจะต้องไปก่อกรรมทำเข็ญด้วยความไม่รู้อีกมากเท่าไหร่ และจะต้องไปชดใช้กรรมในมิติมืดอีกเยิ่นยาวยืดเยื้อแค่ไหน?

    เกาทัณฑ์ขบฟันแน่น เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดซึมขึ้นมาบนขมับ ขอบตาขยิบหลายหน ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าต้องตัดสินใจเสียเดี๋ยวนี้ ชีวิตคงยังอยู่อีกหลายปี ไว้รอคิดไปเรื่อยๆก็ได้

    ไม่สิ...จะเป็นถึงพระพุทธเจ้า มาเริ่มต้นด้วยลังเลคิดดูก่อนเสียอย่างนี้น่ะหรือ คนขลาดเยี่ยงนี้น่ะหรือจะทำงานระดับไตรภูมิ ปั้ดโธ่เอ๊ย...นรกก็นรกสิน่า!

    กลับจากกลัวเป็นกล้าอย่างบ้าบิ่นขึ้นมาในพริบตาเดียว ใจที่สั่นกลับปักมั่นยิ่งกว่าเสาเหล็กที่ถูกตอกลงลึกทะลุชั้นหินแข็ง

    ‘กูยอมลงนรกเพื่อพระโพธิญาณ เวไนยสัตว์อีกมากมายจะได้สบายเพราะกู'

    เห็นแล้วว่าจิตชนิดนี้เท่านั้นที่สมควรมุ่งบำเพ็ญพุทธบารมี ไม่มีใครยอมแลกตัวเองเพื่อคนอื่น...ไม่มี...พระพุทธเจ้าคืออดีตผู้บำเพ็ญบารมีอันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะทำ และเขาก็จะเป็นหนึ่งในนั้น!

    เกาทัณฑ์เหลือบตาอันโชนกล้าด้วยรังสีเจตนาอันแน่วแน่ขึ้นมองอาจารย์ ทรงด้วยตบะอันข่มความกลัวไว้ใต้อำนาจได้สิ้น ไม่ระย่อ ไม่ยี่หระกับหนทางทุกข์ร้อนอันทอดยาวยืดไกลเบื้องหน้าแม้แต่น้อย

    "ถ้าการเป็นพระพุทธเจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเกิดเป็นมนุษย์สามัญธรรมดา ผมก็จะขอเกิดเป็นมนุษย์ทุกชาติ ทุกครั้ง แม้แตกตายลงต้องไปรับผลกรรมอันเนื่องด้วยความไม่รู้ใดๆ ผมก็ยอมครับหลวงตา ขอยืนยันว่าผมจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้!"

    น้ำเสียงมั่นคงที่ฟังสะเทือนโลกนั้นทำให้หลวงตาแขวนตบเข่าฉาด หัวเราะออกมาดังลั่น นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาเห็นกิริยาเช่นนั้นของท่าน สำเหนียกว่าหัวเราะนั้นซ่อนไว้ทั้งความพึงใจและความรักใคร่ห่วงใยอาทร มิใช่หัวเราะด้วยความขบขันขาดสติอย่างปุถุชนทั่วไป

    หัวเราะอยู่พักหนึ่งท่านก็หยุดกะทันหัน

    "อย่างนี้สิวะมันถึงจะไปตลอดรอดฝั่ง เอานรกมาขู่ก็ไม่กลัว ดึงดันจะไปให้ได้ คนปรารถนาโพธิญาณน่ะมีเยอะ แต่ที่ไปถึงจริงน่ะน้อยเท่าน้อย ทนทุกข์ในสังสารวัฏกันไหวสักกี่น้ำ"

    แล้วหลวงตาท่านก็ยิ้มเย็น เปลี่ยนสำเนียงเป็นอ่อนโยนลง

    "เอ็งกับข้าน่ะบำเพ็ญบารมีกันมาคนละมากต่อมากแล้ว มาได้เกินครึ่งทางพุทธภูมิแล้ว เอ็งอธิษฐานไปเมื่อกี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นการอธิษฐานสำทับย้ำซ้ำครั้งที่หมื่น แสน ล้าน เข้าลึกจนถอนไม่ขึ้นแล้ว ต่อให้ขู่ตัดหัวขั้วแห้งยังไงก็เปลี่ยนใจไม่ได้หรอก"

    เกาทัณฑ์ตาใสขึ้นมาทันที รับรู้ว่าที่แท้นั่นคือการลองใจ แถมพกด้วยการเพิ่มบารมีว่าด้วยความปักใจหนักแน่นในพุทธภูมิอีกโสดหนึ่ง

    "แปลว่าผมเคยได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้วในอดีต ชาติใดชาติหนึ่งใช่ไหมครับ?"

    หลวงตาแขวนจ้องหน้าศิษย์หนุ่มนิ่งไปเป็นครู่ ก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆ ยังผลให้เกาทัณฑ์ลิงโลดและยิ้มแทบเป็นหัวเราะ

    ทว่าพระอาจารย์ก็ปรามความฟูเฟื่องลิงโลดของผู้เป็นศิษย์ให้รำงับลงด้วยความนุ่มนวล

    “ทางไปสู่พระนิพพานมีอยู่หลายสาย สายของข้ากับเอ็งมันยาวไกลกว่าชาวบ้านเขา อย่าตื่นเต้นดีใจไปเลย ไม่มีรางวัลพิเศษอะไรรออยู่เกินไปกว่าพระนิพพานหรอก หาเรื่องเดินอ้อมเอง จะเป็นอรหันตสาวกในชาตินี้หรือรอเป็นสัมมาอรหันตสัมพุทธเจ้าเบื้องหน้าโพ้นน่ะ ก็ได้ไปนิพพานที่เดียวกัน ไม่แตกต่างกันเลย ระลึกไว้ก็แล้วกันว่าเอ็งเลือกเอง ไม่มีใครบังคับ อย่าเสียใจในภายหลัง ตั้งจิตไว้ให้หนักแน่น...อย่าเสียใจ แล้วเอ็งจะเดินไกลไปได้ถึงฝั่งสมปรารถนา"


บทที่ ๑๓  เจ้าชู้ยักษ์


    แดดร่มลมตกในยามเย็น แพตรีออกดูแลรดน้ำต้นไม้ตามปกติ สีหน้าหล่อนเต็มไปด้วยความสงบสุขและเหมือนได้รับความฉ่ำเย็นตามน้ำที่ลงรดแต่ละพันธุ์ไม้ไปด้วย

    จากเช้าถึงเย็น ดูเวลาลัดผ่านไปรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ หล่อนทำงานบ้านละเอียดลออทุกซอกมุมด้วยใจจดจ่อเพื่อกันจิตมิให้ฟุ้งซ่านวกวน แต่งานบ้านอาศัยความเคยชินในการเคลื่อนไหวทางกาย ใช้ใจคิดอ่านเพียงเศษเล็กเสี้ยวเดียว เปิดช่องให้เรื่องอื่นแทรกแซงได้มากมาย จึงน่าอายที่ทบทวนแล้วพบว่าตนวกวนคิดถึงอยู่แต่คำพูด ท่วงที และสายตาของเขาคนนั้นตลอดวัน…

    บอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความปรารถนาเดิมที่จะตัดใจให้ขาด เขาไปขวาหล่อนจะไปซ้าย ทว่าแค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนนี้หัวใจหล่อนอ่อนแรงต้านลงทุกที

    รดน้ำเสร็จมาลงนั่งพรวนดินให้กุหลาบกอหนึ่งที่หลังบ้าน สีสันออกชมพูแดงเรื่อลานตาชวนให้เกิดความรู้สึกอ่อนหวานขึ้นมาในอก แพตรีระบายยิ้ม นึกถึงคำกล่าวลาของเขาเมื่อเช้าหลังจากใส่บาตรเสร็จ

    ‘ผมต้องไปพบหลวงตาท่าน…แล้วผมจะกลับมาหาแพนะฮะ'

    ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไร หรือแม้กระทั่งทำสีหน้าแบบไหน จึงจะเหมาะกับโอกาส นึกอยากหลบหน้าไปจากบ้านตลอดบ่ายด้วยซ้ำ การอยู่รอพบเขาอาจเหมือนตอบรับสัมพันธภาพอยู่ในที แย่ตรงที่มีทางเลือกน้อย เพราะนี่เป็นบ้านปู่ และเขาก็เป็นหลานแท้ๆ อยากเข้าออกเมื่อไหร่ก็อ้างว่ามาหาปู่ได้ตลอด

    "กุหลาบสวยจัง"

    แพตรีสะดุ้งสุดตัว หันขวับมาทางต้นเสียงก็พบเขาผู้กำลังมีบทบาทกับความคิดของหล่อนอยู่เดี๋ยวนั้น

    ชายหนุ่มซ่อนหัวเราะไว้ มันเป็นนิสัยเสียๆอย่างหนึ่งที่ชอบทำให้คนกำลังเผลอตัวตกใจ เขาเป็นฝ่ายเลื่อนไปนั่งตรงหน้าหญิงสาว จ้องหน้าหล่อนยิ้มๆอย่างเอ็นดู เอ่ยต่อด้วยสุ้มเสียงนุ่มแน่น

    "ผมเคยนั่งทานข้าวกลางวันบนตึกที่ทำงาน มองออกมานอกหน้าต่าง เห็นตึกรามบ้านช่อง เห็นรถราวิ่งขวักไขว่ แล้วก็เห็นต้นไม้บนเกาะกลางถนน"

    แพตรีรักษาสีหน้าเป็นปกติ มิได้มีปฏิกิริยาอย่างใดกับการที่จู่ๆเขาก็เข้ามาแกล้งให้ตกใจเล่นเพื่อความบันเทิงเฉพาะตัว ฟังเขาด้วยนัยน์ตาทอดนิ่งราวกับคุยกันมาอย่างต่อเนื่อง

    "รู้ไหมผมคิดอะไร ผมคิดว่าตึกกับรถนี่ถ้าใช้เวลาศึกษาเสียหน่อย ผมคงเข้าใจ สามารถออกแบบ หรือคุมงานสร้างได้ไม่ยาก จะให้เป็นรูปร่างสมทรงแข็งแรงทันสมัยยังไงก็ได้ ไม่เกินปัญญาผมหรอก แต่ว่า...สำหรับต้นไม้ ผมคงไม่มีทางเข้าใจเลยว่าธรรมชาติทำอย่างไร ถึงมีการแตกกิ่งก้านสาขา ยื่นยาวออกไปในทิศต่างๆรอบตัว และผลิดอกออกใบอย่างที่เราเห็นกัน ขั้นตอนการงอกเงยจากความเป็นเมล็ดพันธุ์ออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้น่ะ คิดดูแล้วลี้ลับจริงๆเลย มนุษย์อาจทำได้อย่างเดียวคือใส่เมล็ดพันธุ์ต้นกำเนิดลงไปในดิน แล้วก็ให้ปัจจัยในการเจริญเติบโตแก่มันบ้าง นอกนั้นเป็นหน้าที่ของธรรมชาติทั้งหมด"

    หญิงสาวยังฟังเขานิ่ง ประกายตาทอแววขัน มุมปากเริ่มแย้มออกหน่อยๆ อาจเห็นว่าอยู่ๆเขาก็เอาอะไรมาเพ้อเจ้อให้ฟังกระมัง เกาทัณฑ์สบตาตอบด้วยใจที่เปิดเผย ก่อนเสหันมองหลังคาบ้าน

    "บ้านหลังนี้ดีนะ มีต้นไม้เยอะ และทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าธรรมชาติการเติบโตของต้นหมากรากไม้ มีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจิตใจของผู้เลี้ยงยังไง เคยได้ยินว่าคนมือร้อนปลูกต้นไม้แล้วชืดเฉา ต้องคนมือเย็นถึงจะปลูกแล้วงามตา ผมลองสังเกตดูแล้ว ทุกต้นในบ้านนี้ดูมีชีวิตชีวาและเหมือนส่งยิ้มทักทายผู้มาเยือนให้สดชื่นได้ทุกเมื่อ เรียกว่าเห็นต้นไม้แล้วรู้เลยว่าใจคอเจ้าของเป็นอย่างไร และมีมือเย็นขนาดไหน"

    ชายหนุ่มหันกลับมามองมือเรียวสมส่วนของแพตรี ก่อนเหลือบขึ้นมองหน้า เห็นหล่อนกำลังมองพินิจเขาด้วยดวงตาคู่สวย นิลเนตรฉายแววนิ่งดูมีพลังสะกดผู้ถูกจับจ้องให้อ่อนระยอบอยู่ในอำนาจอิตถี กระแสความดีที่ผนวกกับรูปกายอันเกิดแต่บุญเก่าอย่างลงตัว ส่งให้หล่อนเป็นเสมือนสิ่งมีค่าถูกตั้งไว้บนที่สูงอย่างน่ากลุ้มเมื่อคิดไขว่คว้า

    เกาทัณฑ์คุมสติและสั่งตนเองไม่ให้เกิดความหลง ยิ่งหลงเท่าไหร่ยิ่งอ่อนแอเท่านั้น ใครจะไปอยากพิศวาสคนอ่อนแอเล่า

    "แพรู้ไหม ทำไมต้นไม้ต่างชนิดต่างพันธุ์พวกนี้ถึงมีกิ่งก้านสาขาตามแบบที่เราเห็น มีเหตุผลอะไรกับการเป็นดอกกุหลาบสีแดง มีเหตุผลอะไรกับการมีหนามแหลม?"

    แพตรีฟังคำถามอจินไตยนั้น นัยน์ตายังจ้องเขาไม่วาง มุมปากยังแต้มยิ้ม ริมฝีปากอิ่มล่างบางบนขยับเหมือนจะลังเลหาคำพูดอยู่เป็นครู่ ก่อนตอบในที่สุดว่า

    "เพื่อให้เราเห็นมันเป็นอย่างนั้นมั้งคะ"

    เกาทัณฑ์เลิกคิ้วคิดตามคำพูดหล่อนเล็กน้อย ก่อนเม้มปากลากเสียงยาวราวกับเกิดความเข้าอกเข้าใจเต็มตื้น

    "อื๊อม์!...”

    ความหน้าตายของเขาทำให้แพตรีอดหัวเราะไม่ได้ตามเคย

    ”ที่แท้ธรรมชาติก็ต้องการเอาใจมนุษย์และสัตว์ เข้าทีมาก น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มองข้ามความน่าชื่นใจของธรรมชาติไปนะ เห็นต้นไม้บ้านนี้แล้วผมอยากมานอนเล่นที่นี่ทุกวันเลย คงหลับสบายน่าดู”

    หญิงสาวเบนมองทางหน้าบ้านแล้วถามว่า

     “เข้ามาได้ยังไงคะ คงปีนรั้วใช่ไหมนี่?”

    “เปล่าฮะ ยังกลางวันอยู่ ไม่ได้เวลาปีน…เผอิญปู่ลงมานั่งเล่นหน้าบ้านน่ะ”

    “แล้วทำไมไม่อยู่คุยกับท่านล่ะคะ?”

    “รู้ใจฮะ เห็นหน้าผมปู่ก็นึกรำคาญแล้ว รีบเลี่ยงมาหาแพดีกว่า แพคงไม่รำคาญผมหรอก”

    “รู้ได้ยังไง?”

    ประสานตากันนิ่ง ชายหนุ่มยิ้มอ่อน สงสัยขึ้นมาเล่นๆว่าถ้าตอนนี้เขารวบร่างกลมกลึงตรงหน้าเข้ามากอดแนบอกตามใจตนเอง จะโดนปู่เล่นงานถึงขั้นหัวร้างข้างแตกหรือเปล่า

    “เมื่อกี้พอไหว้ปู่ ปู่รีบบอกว่าแพอยู่หลังบ้าน”

    แพตรีวางเสียมเล็กในมือลงข้างกาย ก่อนกล่าวเชื้อเชิญเขาด้วยท่าทีมีมารยาทเยี่ยงผู้มีหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะ

    “ไปนั่งที่ดีๆเถอะค่ะ เดี๋ยวจะหาน้ำให้”

    ชายหนุ่มรู้ทันว่าหล่อนคงพาไปนั่งใกล้ปู่เป็นแน่ จึงวิงวอนว่า

    “ขอนั่งสบายๆบนหญ้านุ่มนี่สักพักเถอะฮะแพ ผมชอบกลิ่นมะลิแรงๆปนกลิ่นไอดินหลังรดน้ำต้นไม้อย่างนี้จัง อยู่แต่บนตึก ห่างดินห่างหญ้ามานานเต็มที…นะ”

    “ชอบธรรมชาติด้วยหรือคะ?”

    ถามอย่างดูออกว่าเขาเป็นประเภทชอบเสพเฟอร์นิเจอร์หรูและไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเสียมากกว่า เกาทัณฑ์ลืมตาโพลง มองหล่อนด้วยท่าทีขึงขัง

    “ผมน่ะ นักธรรมชาตินิยมตัวยงเชียวนา เอาไหมล่ะ ให้มาช่วยแพรดน้ำพรวนดินทุกวันเลยยังไหว”

    พูดจบก็ยิ้มพราย มองหล่อนด้วยนัยน์ตาแฝงแววกรุ้มกริ่มเล็กๆ แพตรีเห็นเข้าก็ถามมาอีกทางเพื่อลดแววชนิดนั้นในตาเขา

    "เป็นไงคะวันนี้ ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว?"

    ได้ผล หน้าตาเกาทัณฑ์ดูธรรมะธัมโมขึ้นกว่าเดิมทันที

    “ก้าวหน้าหรือ? หลวงตาให้ผมถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่งต่างหาก เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองและพร้อมจะเริ่มนับหนึ่งใหม่จริงจัง”

    หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างนึกฉงน ดูท่าทางเขาไร้แววเล่นเช่นผู้รู้อรรถรู้ธรรมพึงปฏิบัติยามกล่าวถึงของสูง แต่ถ้อยคำก็ดูเหมือนเจตนาเล่นลิ้นให้ดูขลังอย่างเลื่อนลอยเสียมากกว่า

    “หมายความว่ายังไงคะ?”

    เกาทัณฑ์เกือบเล่าตรงๆ แต่ชะงักไว้ กล่าวอ้อมมาอีกทาง

    “ตั้งแต่ทำสมาธิได้ เข้าเห็นสายลมหายใจชัดเจนต่อเนื่องเป็นนิมิต ผมก็รับรู้แล้วนะว่า ‘การเห็น’ นั้นมีมิติพิสดารเกินกว่าการใช้สองแก้วตาคู่นี้มองโลก ความจำก็เหมือนกัน ด้วยเพียงภาวะจิตปกติ มีสำนึกคิดอ่านตามธรรมดาอย่างนี้ อย่างดีก็ทบทวนไปได้เพียงอดีตใกล้ และเห็นเป็นมโนภาพเท่าที่ฝังใจอย่างรางเลือน ขาดลำดับ ขาดศักยภาพในการสืบสาวไปไกลได้ตามต้องการ”

    ลมหายใจของแพตรีผ่อนแผ่วลงเมื่อเริ่มจับทิศถูก ทอดมองเขาอย่างรอคอยว่าจะพูดคำใดต่อ พอเห็นเงียบนาน ก็เป็นฝ่ายเตือน

    “แล้วยังไงคะ เมื่อมีศักยภาพในการสืบกลับไปไกล…คุณเห็นอะไร?”

    เกาทัณฑ์ยิ้มนิดหนึ่ง แม้ไวสัมผัสน้อยกว่านี้อีกสิบเท่าเขาก็ทราบได้ว่านั่นเป็นอาการอยากรู้อยากเห็นที่ผิดวิสัยของหล่อนมาก

    “ผมควรจะเห็นอะไรฮะ?”

    หญิงสาวอึกอัก ก่อนรู้สึกตัวและรักษากิริยาเป็นปกติดังเดิม

    “ก็นั่นสิคะ เห็นเล่าเหมือนกับรู้อะไรดีๆมา นึกว่าจะถ่ายทอดให้ฟังบ้างในฐานะศิษย์อาจารย์เดียวกัน”

    “แพเป็นศิษย์รุ่นพี่นี่ ต้องรู้ดีกว่าผมเยอะแน่เลย”

    แพตรีเงียบ ตัดความกระวนกระวายใคร่รู้ที่เกิดขึ้นปุบปับออกจากใจไปสิ้น และเสมองผีเสื้อสองตัวที่กำลังขยับปีกอวดลายสวยห่างออกไป

    “คำว่า ‘ชาติก่อน’ นี่ดูตลกและไกลตัวจริงๆนะ ฟังทีไรผมขำทุกที ต่อเมื่อเรารู้จักมันในฐานะความทรงจำของตัวเอง ย้อนได้ชัด รู้ได้จริงเท่ากับที่สามารถนึกได้ตลอดเวลาว่าเมื่อวานเป็นอย่างไร เราไปทำอะไรมา ชาติก่อนก็คืออีกกายหนึ่งก่อนกายนี้ จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องโกหก จำได้เมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องจริงไป”

    หญิงสาวเฉย ทว่าสังเกตจากสายตาที่เล็งนิ่ง เกาทัณฑ์ก็ทราบว่าหล่อนกำลังเงี่ยหูฟังอย่างมีใจจดจ่อ

    “สมมุติว่าแต่ก่อนผมเคยบำเพ็ญตบะ เป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์เดช รู้แจ้งแทงตลอดในการใช้อำนาจจิตมาแล้ว นั่นก็แค่ปรากฏการณ์หนึ่งในอดีตที่สูญหายตายจากไป ถ้าใครมาบอกด้วยปากเปล่าให้รับรู้เดี๋ยวนี้ ผมคงหัวเราะก๊าก และเห็นเป็นเรื่องขบขันไร้สาระมากกว่าจะนึกเชื่อ…นั่งขับรถไปติดไฟแดงทุกวันอย่างผมน่ะหรือเคยเป็นฤาษี เหาะเหินเดินอากาศได้”

    แพตรีเหลียวมามองดังคาด สีหน้าบอกชัด หล่อนทราบว่าคำพูดคล้ายเปรยเป็นตัวอย่างของเขามิใช่เพียงสมมุติเล่น เพราะหล่อนรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วว่านั่นคือเรื่องจริง

    เกาทัณฑ์เกิดความฉลาดแกมโกงขึ้นมาทันใด แม้ถึงตอนนี้ยังไม่รู้อะไรเลย เขาก็จะลักไก่

    “ทำไมแพต้องรอให้ผมรู้เรื่องระหว่างเราด้วยตัวเอง เห็นผมลืมก็น่าจะปรานีบอกกล่าวกันบ้าง ถ้าชาตินี้ผมจำสัญญาระหว่างเราไม่ได้ และหายหน้าตลอดไปเพราะน้อยใจท่าทีเมินเฉยของแพ แพจะทนเสียใจไหวหรือ?”

    แพตรีเขม้นมองทั้งหน้าเขาแน่วนิ่งคล้ายพยายามผ่านให้เห็นถึงข้างใน

    “ทำไมถึงจะไม่ไหวล่ะคะ เราผูกพันกันแน่นหนานักรึไง?”

    “คำว่า ‘ผูกพัน’ น้อยเกินไป…”

    แล้วชายหนุ่มก็ขยับเข้ารุกประชิด ดึงมือซ้ายบนตักหล่อนขึ้นกุม แพตรีมองเขาตื่นๆด้วยความคาดไม่ถึงกับการจู่โจมชนิดนั้น พลังและไออุ่นในอุ้งมือแกร่งมีอิทธิพลเฉียบพลันให้อ่อนลงได้ทั้งร่าง หล่อนใช้มือข้างที่เป็นอิสระยันพื้นเอนกายอย่างพยายามหนี พลางเค้นเสียงเขียวด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัวของหญิง

    “เอ๊ะ! จะทำอะไรคะ?”

    ปลายเสียงพร่าสั่นเต็มทนจนเกินกว่าจะน่าเกรง เกาทัณฑ์มองริมฝีปากสั่นระริกของหล่อนด้วยความรู้สึกเป็นต่อ แพตรีก้มหน้าหลบอย่างรู้ว่าเขากำลังโน้มเข้ามาจะหอมแก้ม

    “แพ…”

    เสียงมีเมตตาของปู่เรียกดังแต่ไกลและฟังรู้ว่ากำลังเดินใกล้เข้ามา เกาทัณฑ์ถึงกับผวา ปล่อยมือหญิงสาวทิ้งทันที และรีบดึงกายขึ้นนั่งตรงเป็นปกติ ใจเต้นตึกๆ ส่วนแพตรีหน้าแดงราวกับทาด้วยชาด เบี่ยงกายไปทางอื่นที่เมื่อปู่มาถึงแล้วจะเห็นเพียงด้านข้าง

    “เตรียมจัดข้าวเย็นเถอะลูก”

    ปู่ปรากฏตัวและยืนห่างแค่สิบก้าว พอบอกหล่อนเช่นนั้นแล้วก็หันมาสั่งหลานชาย เสียงเข้มแตกต่างจากที่พูดกับแพตรีอย่างเห็นได้ชัด

    “แล้วนายเต้ มานั่งคุยกับปู่ข้างบนมา!”

    เกาทัณฑ์เงอะงะ แต่ก็รับคำเสียงดังผิดปกติแบบเด็กขี้ขโมยถูกจับได้

    “อะ…ครับ!”

    ดึงกายขึ้นยืนด้วยความเสียดายใจแทบขาด อุตส่าห์ได้มือนุ่มนิ่มราวกับสำลีสวรรค์มาถือไว้แล้ว และกำลังจะเข้าถึงแก้มหอมอยู่รอมร่อ ทำไมฝันที่เป็นจริงถึงพังครืนลงได้อย่างนี้

     

    นั่งลงตรงข้ามปู่ เกาทัณฑ์รู้สึกหนาวๆร้อนๆชอบกล แม้สายตาของท่านยังเปี่ยมเมตตา ทว่าทีท่าขรึมกว่าเคย ประกอบกับที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเพิ่งก่อคดีอาจเอื้อมเชยชมแก้วตาดวงใจของท่านมาหยกๆ บรรยากาศเลยเหมือนห้องสอบสวนผู้ร้ายที่เพิ่งถูกรวบตัวได้อย่างไรอย่างนั้น

    “ปู่มีลูกหลายคนทั้งหญิงชาย” ท่านเริ่มด้วยเสียงเป็นกังวานราวกับเพิ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์ “รักและห่วง เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมเท่าเทียมกัน เข้าใจดีว่าแค่ไหนถึงเรียกรักลูก รักหลาน”

    ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อก อารัมภบทแค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าเมื่อกี้ปู่เห็นแหงๆ จะจากมุมมองไหนนั่นสุดจะหยั่งทราบ ในเมื่อควรเป็นบริเวณที่มีแมกไม้มุงบังลับตาที่สุดของบ้านแล้ว

    “ต่อเมื่อเลี้ยงยายแพ ถึงรู้ว่ารักยิ่งกว่าลูกเป็นยังไง”

    หลานชายยิ้มแห้งๆ

    “นั่นสิครับ ก็น่าอยู่หรอก”

    “ทุกวันนี้ถ้ามีห่วง ก็ห่วงเดียวคือยายแพ ฉันคงตายตาหลับยากถ้ายังไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่กลางดงเสือ สิงห์ กระทิง แรดอย่างไร”

    เกาทัณฑ์ฝืนยิ้มให้ต่อเนื่อง ได้แต่พยักหน้ากระตุกๆเป็นระยะอย่างไม่ทราบจะทำอะไรดีกว่านั้น เพราะชัดแล้วว่าปู่กำลังเริ่มเทศนา

    “ฉันเคยเป็นหนุ่มมาก่อน ถึงรู้ว่าคนที่น่าเชื่อถือ น่าไว้ใจน่ะ ต้องไม่ใช่คนปากว่ามือถึง เพราะความประพฤติแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าเคยชินที่จะใช้สัญชาตญาณเบื้องล่างนำความรู้สึกฝ่ายสูง ทำกับคนหนึ่งได้ก็สามารถทำกับผู้หญิงคนต่อๆไปทุกเวลา ทุกที่ ต่อให้ออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา สมควรควบคุมตัวเองให้อยู่ในร่องในรอยแล้ว ก็จะยังไม่วายเอาแต่ใจตัว เจ้าชู้ไปทั่ว”

    ฝ่ายถูกเทศนาสะอึกหน่อยหนึ่ง นึกแย้งในใจว่าแพตรีคือคนสุดท้ายที่เขาจะแตะต้อง ถ้าได้หล่อนมา ผู้หญิงทั้งโลกก็หมดความหมายตลอดไป อย่างไรก็ตาม เหมือนเขาย่ามใจมาเชยชมสมบัติต้องห้ามกลางบ้านเจ้าของ เป็นฝ่ายผิดวันยังค่ำ จึงจำก้มหน้าก้มตาขอโทษขอโพยเสียงอ่อยตามระเบียบ

    “ผมผิดไปแล้วครับปู่ เผลอตัวใจเร็วไปหน่อย”

    “ไม่หน่อยล่ะ แกคงทำบ่อยจนชินแล้วต่างหาก เห็นหลานสาวฉันเป็นอะไร มาลวนลามกันกลางสนามหญ้าได้”

    แค่จับมือหน่อยเดียวคนรุ่นปู่เรียกลวนลาม? เกาทัณฑ์ปิดตาลง งอหลังระทดระทวย ก่อนฝืนอธิบายว่า

    “ผมเสียใจหากทำให้ปู่เห็นและเข้าใจว่าภาพที่เกิดขึ้นมาจากความมักง่ายไร้สำนึก แต่ความจริงก็คือ ผมรู้ตัวว่าสัมผัสทั้งหมดละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยความให้เกียรติ มองแพด้วยความรู้สึกด้านสูง ต่างจากที่ปู่เข้าใจเป็นตรงข้ามนะฮะ”

    “หมายความว่าแกรักยายแพรึ?”

    ปู่ถามตรงไปตรงมาจนเหมือนเอาเข็มแหลมทิ่มหลัง เกาทัณฑ์อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ใช่เพราะลังเลที่จะตอบ แต่ออกประหม่าที่ต้องสารภาพกับปู่ซื่อๆโดยมิได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวล่วงหน้า

    “ครับ”

    เขายอมรับฝืดๆในที่สุด

    “แล้วคิดว่าเขารักแกรึเปล่า?”

    เกาทัณฑ์กะพริบตาสองสามหน

    “ไว้มีโอกาสดีเมื่อไหร่ผมจะลองถามเขานะครับ”

    “ฉันแค่อยากรู้ว่าแก ‘คิด’ ว่าเขารักแกหรือเปล่า ย่ามใจขนาดจะกอดจูบเขากลางวันแสกๆน่ะ ถ้าขาดความมั่นใจใครจะกล้าล่ะ”

    ฝ่ายถูกคาดคั้นทำหน้าเรี่ยด้วยความลำบากใจ

    “คงอย่างนั้นมั้งครับ ผมต้องเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน เวลาคบหาสั้นจนเจาะจงยากว่าควรเรียกอะไรก็จริง แต่ของแบบนี้เมื่อเกิดขึ้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมก็พอบอกได้ว่าใช่หรือเปล่า”

    ปู่ชนะยิ้มเล็กน้อย

    “แกเข้าข้างตัวเองแบบนี้บ่อยไหมนี่?”

    หลานชายสะอึกอีกคำรบ

    “ปู่ให้ผมตอบตามความรู้สึกนะครับ”

    ชายชราพยักหน้า

    “ให้พูดแบบไม่อ้อมค้อมนะ ปู่ไม่นิยมคนเจ้าชู้ยักษ์ จะว่าหัวเก่าก็ตามใจ ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาตกลงปลงใจทำพิธีตกล่องปล่องชิ้นให้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วมาคิดหากำไรล่วงหน้าน่ะ ฝ่ายหญิงเสียเปรียบฟรีมานักต่อนักแล้ว เริ่มจากนิดหน่อยหอมปากหอมคอ เดี๋ยวก็ลามถึงขั้นรังแกกัน ตัดไฟแต่ต้นลมน่ะดีที่สุด แกจะทึกทักตามอัธยาศัยยังไงก็ช่าง แต่ห้ามแตะ!”

    เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่ง ไม่ได้ตระเตรียมล่วงหน้ามาก่อนเลยสำหรับวินาทีนั้น

    “ปู่ครับ” เขาเริ่มต้นหนักแน่นอย่างรู้ว่ากำลังจะพูดอะไรต่อไป “ผมขอโทษอีกครั้ง และอยากพิสูจน์ตัวเองว่าแม้ล่วงเกินแพน้อยหรือมากกว่าที่ปู่เห็น ก็พร้อมจะรับผิดชอบทั้งหมด ไม่ใช่ความมักง่ายใจเร็วเลย เดี๋ยวถ้าถามขอความยินยอมจากแพได้ และปู่ยอมรับ อาทิตย์หน้าผมพาพ่อแม่มาหมั้นแพนะครับ”

    ด้วยเพราะมองปู่อยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มจึงไม่คิดว่าตนตาฝาดที่เห็นปู่ระบายยิ้มโล่งใจ คล้ายคนยกภูเขาออกจากอกได้เสียที หลังแบกไว้หนักอึ้งแสนนาน แต่ชั่วพริบตาปู่ก็ปั้นหน้าขรึมพูดเป็นงานเป็นการเหมือนเดิม

    “อะไรกัน ฉันเห็นแกคุยกับยายแพนับคำได้ ถือสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงคิดมาหมั้นล่ะนี่”

    เมื่อปู่เริ่มอ้อมค้อมอย่างสงวนทีเพราะอยู่ฝ่ายหญิง เกาทัณฑ์ก็เป็นฝ่ายตัดตรงเข้าหาจุดบ้าง

    “พูดเปิดอกกับปู่อย่างหลานนะครับ ผมรักแพ ต้องการแต่งกับเขา ระหว่างนี้เมื่อไปมาหาสู่เพื่อทำความสนิทชิดเชื้อและทอดระยะเวลาพิสูจน์ตัวเอง จะให้ผมเป็นสุภาพบุรุษแค่ไหนก็ยอม แต่ขนาดห้ามแตะแม้ปลายเล็บนี่ ผมคงขาดใจตายเสียก่อนถึงวันแต่ง เพราะฉะนั้นเพื่อความสบายใจ ก็น่าจะมีพิธีหมั้นเพื่อให้โอกาสเราแสดงสนิทสนมกันตามโอกาสโดยไม่เสียเกียรติใคร อย่างที่ยอมรับกันตามประเพณีเรา”

    ผู้อาวุโสหัวเราะเอื่อย

    “เคยพูดกับแพเรื่องนี้หรือเปล่า?”

    ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

    “ไม่เคยครับ และรู้ดีว่าเธออาจปฏิเสธเพราะเร็วเกินไป แต่ก็ยินดีเก้อเพื่อบอกว่าผมพบเธอแล้วเกิดความรักจริงรุนแรงขนาดไหน ให้รู้ว่าต้องการเธอตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และรอได้นานเท่าที่อยากพิสูจน์กัน กับทั้งอยากทราบด้วยว่าผมละเมอเพ้อพกอยู่ตามลำพังหรือเปล่า หากหลงเข้าใจผิด ก็จะได้ถอนเท้าไปก้าวหนึ่งและเริ่มเข้ามาใหม่อย่างรู้จักเจียมตัวประมาณตน ปู่อย่าห่วงว่าผมหุนหันพลันแล่นเป็นเด็กๆเลยฮะ ผมโตแล้ว แน่ใจว่าสร้างตัวไว้มั่นคงพอ ปลูกบ้านปลูกเรือนได้ พอๆกับที่สามารถปลูกรักและเลี้ยงดูให้เติบโตอย่างผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบดีคนหนึ่ง”

    เว้นระยะขบริมฝีปากหน่อยหนึ่ง

    “ผมรู้อย่างที่ปู่รู้ ถ้าคิดมีชีวิตคู่ เลือกแพน่ะไม่ผิดแน่ แต่เลือกผมอาจไม่แน่ว่าจะผิดหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ปู่กับแพอยากให้ผมทำอะไร เลิกทำอะไร ระหว่างหมั้นผมจะให้เห็นก็แล้วกันว่าเป็นไปได้ไหม”

    ปู่ชนะยังยิ้มอยู่ในความสงบเยือกเย็น มองหลานชายด้วยสายตาของคนอยู่ในโลกมานาน

    “เดี๋ยวให้ฉันถามแพเป็นส่วนตัวนะว่าแกพูดเองเออเองไปคนเดียวหรือเปล่า เรื่องการงานความมั่นคงของแกน่ะรู้อยู่หรอก ยังไงก็หลานแท้ๆของฉัน ฐานะยายแพก็เหมือนลูกพี่ลูกน้อง ถ้าได้กันมันก็ทำนองเรือล่มในหนองน่ะแหละ แต่ความในใจของเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาต้องเลือกเองว่าจะหมั้นหรือเมินใคร”

     

    ค่ำนั้นแพตรีทำข้าวอบสับปะรดกับลาบเห็ดมาวางพอทานสามคน ตลอดเวลาหล่อนก้มหน้างุด ปู่ถามคำตอบคำ ส่วนเกาทัณฑ์ชวนปู่พูดคุยเป็นปกติ ว่างๆก็ออกปากชมรสอาหาร พยายามพูดให้แพตรีโต้ตอบ แต่หล่อนเงียบและก้มหน้าก้มตาเฉยคล้ายเข้าใจว่าเขาพูดกับลมแล้ง

    “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ผมอยากชวนปู่กับแพไปทำบุญด้วยกันไกลๆ"

    เขาพูดขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง

    "เนื่องในโอกาสอะไร?"

    เกาทัณฑ์หยุดคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า

    “โอกาสที่ผมมีความรู้สึกดีพอ พร้อมจะทำบุญฮะ และอยากพาปู่กับแพไปไกลถึงต่างจังหวัดให้สบายใจบ้าง”

    ปู่หัวเราะหึๆ

    “ฉันอยู่นี่ก็สบายใจดีนี่นา ให้คนแก่นั่งอุดอู้ในรถออกต่างจังหวัดนึกว่าเมื่อยน้อยอยู่รึ”

    ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบอย่างหมดหวัง แต่แล้วก็หูผึ่ง

    “ลองชวนแพดูสิว่าเขาอยากจะไปไหม”

    สองหนุ่มสาวมองปู่เป็นตาเดียวด้วยความคาดไม่ถึง ปู่พยักพเยิดกับแพตรี

    “อยากไปทำบุญต่างจังหวัดกับพี่เขาไหม?”

    เกาทัณฑ์ชักมองออกว่านั่นเป็นการสอบดูว่าหลานสาวมีใจให้เขาแค่ไหน หรืออีกนัยหนึ่งอาจเป็นการจงใจให้เขารับรู้ว่ากะแค่เดินทางไปเที่ยวกันสองต่อสองนี่แพตรีก็ไม่เอาด้วยแล้ว อย่าว่าแต่ขอเจรจาหมั้นหมายอะไรเลย

    แพตรีหันขวับมาจ้องเขา หากสังเกตจะเห็นหน้ามุ่ยนิดๆ หล่อนเกือบบอกปู่ตรงๆว่า

    ‘ไม่อยากค่ะ เขาไว้ใจไม่ได้!’

    แต่ถ้าพูดแล้วคงเหมือนหักหน้าให้สะเทือนใจกันมากไปหน่อย จึงตวัดหางตาผ่านเขานิ่มๆ หันไปมองปู่ และเรียบเรียงประโยคปฏิเสธเสียใหม่เป็นน้ำเสียงทอดอ่อน

    “พรุ่งนี้แพอยากตื่นขึ้นมาใส่บาตรตามปกติค่ะปู่ แล้วตอนกลางวันถ้าได้พักผ่อนอยู่กับบ้านก็คงสบายดี”

    ปู่ชนะครางรับอือม์ ก่อนหันมาทางหลานชายเพื่อถ่ายทอด

    “แพเขาไม่อยากไปกับแกน่ะเต้”

    เกาทัณฑ์หน้าเจื่อนลง เริ่มเปล่าเปลี่ยวที่หาพรรคพวกเข้าข้างไม่ได้สักคน

    “ช่างเถอะครับ เอาไว้โอกาสหน้าปู่เกิดอยากนั่งรถ แล้วแพมีธุระทำน้อยลง ก็ขอให้บอกแล้วกัน สำหรับผมพร้อมเสมอ”

    การสนทนาถัดจากนั้นเป็นการผูกขาดระหว่างปู่กับหลานชาย ซึ่งก็กะพร่องกะแพร่งลงถนัด แพตรีเหมือนแยกตัวออกไปอยู่ต่างหาก พอหล่อนอิ่มก็เดินหายไปทำอะไรก็อกแก็กในครัวซึ่งอยู่ห้องติดกันทันที

    “ปู่เอาเบอร์ผมไว้นะฮะ ถ้ามีธุระด่วนอะไรก็อยากให้เรียกใช้ผมก่อนคนอื่น”

    เกาทัณฑ์ควักนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์มาเขียนหมายเลขโทรศัพท์ในห้องพักเพิ่มเติมจากเบอร์มือถือและเบอร์วิทยุติดตามตัวที่ปรากฏอยู่แล้ว พอเขียนเสร็จก็ยื่นส่ง ปู่รับมาดูแวบหนึ่งก่อนหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อด้วยท่าทางคล้ายพร้อมจะลืมภายในห้านาที

    สองปู่หลานอิ่มในเวลาต่อมา เกาทัณฑ์ยกสำรับใส่ถาดตามแพตรีไปจะช่วยล้าง คิดว่าจะหาโอกาสคุยกับหล่อนอีกสักหน่อย แต่ก็เห็นหายไปจากครัวเสียก่อนหน้านั้นแล้ว จึงลงมือล้างถ้วยชามตามลำพังจนเสร็จ ชักนึกท้อขึ้นมาสำหรับคืนนั้น พอเช็ดมือแห้งเลยไปลาปู่ซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน

    “ผมกลับล่ะครับปู่”

    “อ้าว กินเสร็จกลับเลยเหรอะ?”

    ปู่ถามแบบกระเซ้าเล่น

    “ช่วยล้างจานแล้วนี่ครับ หรือว่ามีฝาบ้านตรงไหนโหว่ ผมจะได้ช่วยซ่อมก่อนกลับ”

    “เอาเถอะ ไว้กินบ่อยกว่านี้หน่อยค่อยไหว้วาน”

    แล้วปู่ก็ไขกุญแจประตูให้ เกาทัณฑ์เดินข้ามออกไปยืนนอกเขตบ้าน แต่หันกลับมาทิ้งท้าย

    “ปู่ครับ ผมรักแพจริงๆนะ”

    แล้วก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เดินขึ้นรถขับหายจากไปในความมืดของซอย

    แพตรีเงี่ยหูฟังเสียงรถเขาหายไปอยู่ในห้อง น้อยครั้งที่หล่อนนั่งเหม่อเซื่องเฉยอย่างคนว่างงานเช่นนั้น อุ้งมืออบอุ่นของเขาทำให้ระบบความคิดทั้งหมดสะดุดชะงักลงจนกระทั่งบัดนี้

    โกรธเขาหรือ? เปล่าเลย หล่อนเปิดใจรับและโหยหาอาวรณ์เขาเสียจนนึกละอาย ต้องแกล้งทำตัวเป็นปฏิปักษ์เพื่อปกปิดตนเองต่างหาก เขาเคยเมินจนหล่อนรู้สึกไร้ค่า และต้องเดียวดายมากี่ปี วันหนึ่งเมื่อเขากลับมา จะให้พบว่าหล่อนยังคงเปิดประตูไว้กว้างๆเหมือนเดิมทุกประการอย่างนั้นหรือ เขาคงเห็นเป็นก้อนกรวดน่ะซี

    “แพ”

    เสียงปู่เคาะประตูเรียก หล่อนจึงลุกขึ้นเปิด ทั้งที่เหนื่อยล้าและอยากพักผ่อน ทว่าแพตรีฟังว่าปู่สั่งอะไรก่อนฟังความต้องการของตนเองเสมอมาและจะเป็นเช่นนี้เสมอไป

    เห็นปู่นั่งรอที่เก้าอี้โยกก็เดินไปนั่งสงบเสงี่ยมใกล้ๆ

    “เขาขอหมั้นแพน่ะ…”

    หญิงสาวชะงักกึก ตะลึงตะไล หน้าซีดแล้วกลับฝาดชมพูจัด

    “จะให้ปู่ตอบเขาว่ายังไงดีล่ะ?”

    แพตรีเรียกความคิดอ่านเป็นครู่ ก่อนหลบตาปู่ มีความสะเทิ้นอายให้เห็นอยู่ในที

    “เขาต้องเป็นบ้าแน่ๆค่ะ เพิ่งรู้จัก เจอหน้าค่าตากันเท่าไหร่เอง”

    “อือ นั่นสิ สรุปคือจะฝากบอกเต้มันอย่างนี้ใช่ไหม รอเวลาเห็นหน้าค่าตากันเยอะๆหน่อย หายบ้าแล้วค่อยคิดใหม่อีกที”

    หลานสาวก้มหน้าจีบปากซ่อนยิ้ม กิริยาเช่นนี้เข้าใจง่ายยิ่งกว่าอะไรหมด

    “ปู่คอยติดตามถามไถ่ความเป็นไปของเจ้าเต้มาตลอด พอรู้ล่ะว่าหมอนี่ไม่ยอมลงเอยสร้างหลักปักฐานกับใครเร็วนักหรอก เพราะยังมีเวลา มีโอกาสเลือกอีกเยอะ นี่ปุบปับมาขอแพ แสดงว่าตกหลุมรักจนลืมตัว ลืมอะไรหมดแล้ว”

    แพตรีสะกดยิ้มเอาไว้

    “ตกได้ก็ขึ้นได้มั้งคะ”

    ผู้เป็นเจ้าของเรือนถอนใจ

    “ความจริงเจ้าเต้ก็เข้าทีนะ ถึงจะใจร้อนไปหน่อย แต่ก็มีดีพร้อมทุกด้าน ถ้ารักแพจริง ก็คงร่วมกันช่วยสร้างบ้านสร้างเรือนให้อยู่เย็นได้ง่ายหรอก ฝากแพไว้ในมือคนวางใจได้เมื่อไหร่ ปู่คงหายห่วง เป็นคนแก่ใกล้ตายอย่างสบายใจ”

    “ถึงยังไง แพก็รู้สึกว่าเขาเข้ามาเร็วเกินไปค่ะปู่ ถ้าได้ทุกอย่างตามใจนึก เขาคงเห็นแพไร้ค่าอีก”

    ปู่ชนะพยักหน้า

    “ก็จริง”

    หลานคนงามเงยหน้าชำเลืองสบตา ถามตามตรง

    “ทุกวันนี้แพเป็นภาระให้ปู่อึดอัดหรือเปล่าคะ?”

    ชายชราหัวเราะในลำคอ

    “แพเลี้ยงปู่มาตั้งนานแล้ว ใครเป็นภาระใครกันแน่ล่ะ ทุกอย่างให้เป็นไปตามความสมัครใจของแพเถอะ” แล้วท่านก็ถามแบบยิ้มในหน้า “ว่าแต่พรุ่งนี้อยากอยู่บ้านเฉยๆแน่เหรอะ?”

     

    มีความหวานในรสรักลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในอก ใจนึกถึงแต่มือนุ่มน่ากุมตลอดเวลา หล่อนอาจรักนวลสงวนตัวจนคิดโกรธที่เขาก้าวรุกรวดเร็วเกินไป แต่เกาทัณฑ์ก็แน่ใจว่าตนไม่ได้แสดงออกเกินเลยด้วยใจด้านหยาบแม้แต่นิดเดียว

    ดูเหมือนกระแสโลกดึงดูดกลับไปเกือบหมดตัวแล้ว เพราะนึกอยากดื่มเหล้ากับเพื่อนสนิทสองสามคนที่ห่างหน้ากันมาเป็นอาทิตย์ ไม่มีสิ่งใดห้ามใจ เมื่อคิดหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเรียกและนัดแนะว่าจะไปรับ ช่วงถนนนั้นเปิดให้วิ่งเพียงเลนเดียวเพราะขุดเจาะสร้างสะพาน รถเครนตั้งตระหง่านกั้นอีกเลนไว้ แถมกำลังมีรถบรรทุกเทดินทราย รถจึงติดออเป็นตังเมอยู่อย่างนั้นนานเน พอจะให้เขานัดหมายเพื่อนได้สองคน

    ปิดโทรศัพท์นั่งเงียบครู่หนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์ก็กรีดแทรกความเงียบในรถขึ้นมา เกาทัณฑ์เอื้อมหยิบและกดปุ่มรับ กรอกเสียงลงไปเนือยๆ

    “ว่าไง”

    คิดว่าคงเป็นเพื่อนที่เพิ่งโทร.นัดกันนั่นเอง รอฟังว่ามีสิ่งใดติดขัด ก็ต้องแปลกใจที่ต้นสายเงียบนิ่งอยู่เป็นนาน

    “ปู่ใช้ให้โทร.มานะคะ…”

    ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงนุ่มเย็นดังขึ้น ซึ่งก็ถึงกับทำให้ตาโตเป็นไข่ห่าน

    “แพ!”

    พักตั้งสติอึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเป็นปกติได้

    “มีอะไรให้ช่วยบอกมาเลยฮะแพ”

    “ยังมีศรัทธาจะไปทำบุญต่างจังหวัดพรุ่งนี้อยู่หรือเปล่า?”

    คราวนี้เกาทัณฑ์ถึงกับอ้าปากค้าง แต่พริบตาเดียวก็พยักหน้าแข็งขัน ราวกับหล่อนอยู่ใกล้และมองเห็นได้ แต่ก่อนหลุดเสียงตอบก็ได้ยินแตรไล่หลัง เมื่อเงยหน้าก็พบว่าขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวห่างออกไปแล้ว

    “แน่นอน!”

    รีบตอบแล้วเข้าเกียร์เหยียบคันเร่ง ส่ายตาหาซอยเหมาะได้ก็เข้าจอดแอบทันที ขับต่อมีหวังชนแน่ถ้ามือไม้สั่นอย่างนี้

    “วางแผนไว้ยังไงคะ?”

    “มีเวลาแค่ไปเช้าเย็นกลับนี่คงต้องเลือกที่ใกล้ เท่าที่ผมทราบพระสายวัดป่าผู้เป็นสุปฏิปันโนทางภาคอีสานยังอยู่ให้กราบไหว้อีกมาก แพแนะนำดีกว่าฮะ ผมเองเพิ่งเข้ามา ยังรู้น้อย”

    “ถ้าเป็นจังหวัดใกล้และดิฉันนับถืออยู่มากก็คงเป็นหลวงพ่อพุธ ฐานิโยค่ะ ท่านเดินทางเทศน์บ่อย เพราะมีวัดสาขาอยู่หลายแห่ง แต่เท่าที่เผอิญทราบมาเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ท่านพำนักอยู่วัดป่าสาละวันที่โคราช”

    “ได้เลยฮะแพ”

    เกาทัณฑ์ยิ้มเปี่ยมปีติสมใจ ไม่ต้องการรู้เหตุผลในการเปลี่ยนใจของหล่อน รับรู้เพียงการตัดสินใจที่แน่นอนนี้แล้วเป็นพอ

    “แพจะให้ผมไปรับกี่โมง”

    “คุณสะดวกกี่โมงล่ะคะ?”

    ชายหนุ่มนึกถึงนัดทานข้าวกับพ่อแม่ ปกติบ้านเขาทานเช้ากันเจ็ดโมง คำนวณเวลาแล้วก็บอกไปว่า

    “แปดโมงครึ่งได้ไหม?”

    “ค่ะ…ก็ได้” หล่อนรับง่ายๆ “เท่านี้นะคะ”

    พูดจบก็วางสายไปเลย เกาทัณฑ์ลดแท่งโทรศัพท์ลงจากหู ตาเป็นประกายวาววามอยู่ในความมืด เหมือนกริ่งแก้วนับร้อยส่งเสียงเป็นกังวานใสในอากาศฉ่ำเย็นรอบกาย เอนหลังพิงพนักปิดตาลงอย่างเป็นสุข เสพความอิ่มเอมชนิดนั้นจนเต็มตื้นก่อนโทร.หาเพื่อนเพื่อบอกเลิกนัดทั้งยังหลับตา

    เพื่อนโหวกเหวกโวยวายกับการเบี้ยวนัดดื้อๆของเขา พอเกาทัณฑ์บอกว่าเพิ่งนึกได้พรุ่งนี้ต้องทำบุญ เพื่อนยิ่งด่าหนักกว่าเดิม หาว่าเขาทำเป็นตลก น่าถีบมากที่เพิ่งโทร.นัดเองเมื่อกี้แล้วจู่ๆก็บอกเลิก หลอกให้อาบน้ำแต่งตัวคอยเก้อ ถ้าอย่างนายเกาทัณฑ์เลี่ยงเหล้าเตรียมทำบุญ ชาวบ้านคงต้องเลิกกินเนื้อสัตว์ หันมาถือศีลแปดนอนพื้นกระดานกันทั่วประเทศแน่นอน

    นั่นทำให้เกาทัณฑ์เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อวานของตนเป็นเช่นไรในสายตาคนอื่น และพรุ่งนี้กำลังจะเปลี่ยนไปเช่นไรในความรับรู้ของตนเอง


บทที่ ๑๔  ร่วมทาง

ตื่นนอนขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันนั้น สิ่งแรกที่เกาทัณฑ์ต้องการคือนั่งลงทำสมาธิ ด้วยคิดถึงปีติ สุข และความเงียบเย็นละเมียดละไม อันเป็นรสสมาธิระดับที่ตนเข้าได้ถึง นั่นทำให้ทราบว่าเขาเริ่มติดสมาธิแล้ว อยากทำเองโดยปราศจากจุดหมายล่อใจอันใดนอกเหนือจากรสสงบวิเวกอันเยี่ยม

การเสพปีติ สุข และความสว่างอันเกิดจากการรวมจิตนิ่งนั้น ใครทำได้สม่ำเสมอทุกวันสักช่วงหนึ่งแล้วละเว้นสักหน่อย จะรู้สึกเหมือนขาดบางอย่างไป คล้ายพลังงานบางส่วนแห้งหายและไม่ถูกนำมาเติมให้เต็ม

และนั่นเป็นอีกเช้าหนึ่งที่เขาทำสมาธิได้แนบนิ่ง เนิ่นนาน เมื่อลืมตาขึ้นแล้วก็มีกำลังวังชา เดินเหินได้คล่องแคล่วสบายตัวสบายใจหน่อย กับทั้งจิตมีสภาพพร้อมจะขึงนิ่ง เข้าล็อกขณิกสมาธิอยู่ตลอดเวลา ขอเพียงนึกเท่านั้น ทำให้เกาทัณฑ์คิดว่าการฝึกจิตช่างคุ้มค่าเหลือหลาย ลงทุนแค่ความเพียรในช่วงต้นนิดเดียว แต่ชีวิตที่เหลือทั้งหมดสามารถเสพสุขอันประณีตได้ดังใจนึก จิตโปร่งโล่งเหมือนไม่อาจถูกกระทบจากสิ่งใด อะไรก็ตามผ่านเข้ามาจะแล่นล่องเลยไป เช่นเดียวกับที่ฝุ่นทรายไม่อาจซัดเข้ากระทบอากาศว่างและแสงสว่างอาภา

ใจคอของเขาเยือกเย็นลง คล้ายปลีกตัวไปอยู่อย่างสงบผาสุกตามลำพังในที่ห่างไกลความวุ่นวาย ถึงแม้ความเป็นจริงยังขยับกายอยู่ท่ามกลางส่ำเสียงความเคลื่อนไหวรอบตัว และนั่นคงมิใช่การทึกทักตามอัตโนมัติของตนเองคนเดียว เพราะระหว่างร่วมโต๊ะทานข้าว แม่ทักขึ้นว่า

“ดูเต้หน้าตามีสง่าราศีแปลกไปนะ ยังกับเพิ่งออกมาจากวัด”

ชายหนุ่มยิ้มหน่อยๆ ทำสมาธิบ่อยจนจิตใจผ่องแผ้วนั้นเป็นเช่นนี้เอง

“พักนี้เต้มันไปเยี่ยมคุณพ่อบ่อยน่ะ”

อารามหันไปให้ความรู้แก่ผู้เป็นภรรยา ธารีเลิกคิ้วนิดหนึ่ง

“จริงเหรอ?”

ฝ่ายสามีพยักหน้าและเสริมมาอีก

“คงไปติดพันบรรยากาศดีๆในบ้านคุณพ่อมานั่นเอง มีของหวานเย็นดึงดูดก็งี้แหละ”

ธารีเริ่มรู้ เพราะทราบดีว่าบิดาของสามีเลี้ยงหลานสาวแสนสวยไว้คนหนึ่ง

“อ้อ อย่างนี้เอง”

“แกอย่าทำเล่นไปนาเต้ หนูแพเขาเหมือนน้อง และถ้านับกันก็มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ด้วย”

อารามสำทับลูกชายซ้ำจากครั้งสุดท้ายที่เคยคุยกันหนหนึ่งทางโทรศัพท์ เกาทัณฑ์หัวเราะนิ่มๆ

“อะไรกันฮะ ไม่ให้ผมพูดสักคำ ถูกพ่อตักเตือนแล้ว”

“เอาน่า แกเป็นลูกฉัน อ้าปากหรือหุบปากก็เห็นลิ้นไก่อยู่ดี”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างแสดงในทีว่ายอมรับการรู้ทันของพ่อ อารามผ่านสายตาดูหน้าลูกแวบหนึ่งแล้วว่า

“ก็ดีเหมือนกัน เข้าออกบ้านธรรมะเลยท่าทางจะติดธรรมะมาด้วย”

“ทำไมฮะ หน้าตาท่าทางของผมเปลี่ยนไปจริงๆเหรอ?”

“ถามแม่เขาสิ”

เกาทัณฑ์หันมองผู้เป็นมารดา ธารีขี้เกียจวิจารณ์ก็ก้มหน้าตักแกงในชามขึ้นจิบ ชายหนุ่มปลื้มใจนิดหนึ่ง ค่าที่เขาพารังสีธรรมมาเผื่อแผ่พ่อแม่ในเช้านี้ได้ คนอิ่มธรรมนั้น แค่ปรากฏตัวก็เป็นความสบายตา หรือกระทั่งบันดาลกุศลจิตให้เกิดแก่ผู้พบเห็นได้แล้ว เรียกว่าสำเร็จทั้งประโยชน์เราและประโยชน์เขาด้วยประการฉะนี้

เสียงสัญญาณโทรศัพท์บนโต๊ะมุมห้องดังขึ้น เกาทัณฑ์เป็นฝ่ายลุกเดินไปรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

“สวัสดีครับ”

“ฮัลโหล…” เสียงจากต้นสายดังแว่วมา “ขอสายจุกหน่อยครับ”

“เดี๋ยวนะครับ”

เขาหันมาถามพ่อแม่ให้แน่ใจว่ารับคนชื่อจุกเข้ามาทำงานบ้างหรือเปล่า เมื่อพ่อสั่นหน้าก็กลับมาตอบว่า

“สงสัยต่อเบอร์ผิดนะครับ บ้านนี้ไม่มีคนชื่อจุกหรอก”

“เอ๊ะ ไม่มีหรือครับ? ที่นั่นเบอร์ 519-….”

ฝ่ายนั้นระบุหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งตรงกับของบ้านเขา เกาทัณฑ์ฟังแล้วรู้ว่ามีการให้เบอร์ผิดหรือจดเบอร์ผิด ก็กล่าวอย่างใจเย็น

“ครับ เขาคงให้เบอร์มาผิดแล้ว บ้านนี้ไม่มีคนชื่อจุก”

ฝ่ายเรียกสายเงียบไป ชายหนุ่มเกือบวางหู แต่ก็ถูกทักขึ้นมาอีก

“ต้องเป็นเบอร์นี้แน่ๆครับพี่”

เสียงออกเหน่อแบบเพิ่งเดินทางมาถึงท่ารถหมอชิตนั้นทำให้เกาทัณฑ์ชักรำคาญ

“ใช่ เบอร์ที่น้องบอกน่ะถูก แต่ผิดบ้าน ลองดูดีๆเถอะ บางเลขอย่าง 3 กับ 9 นี่คล้ายกัน น้องอาจดูผิดไป นะ”

เขาลงเสียงแบบตั้งท่าชวนเลิกสาย ฝ่ายนั้นคงรับรู้ จึงอ้อมแอ้มตอบ

“อ้อ ครับๆ”

เมื่อวางหูลงได้ค่อยโล่งหน่อย ย่างเท้าพาร่างสูงกลับมาที่โต๊ะอาหาร สีหน้าสีตายังคงบ่มยิ้มเย็นเช่นเดิม

“แล้วนี่วันนี้จะไปไหนหรือเปล่า เห็นแต่งตัวหล่อเหลือเกิน”

อารามถาม เกาทัณฑ์เลือกเสื้อผ้าที่ดูสุภาพเรียบร้อย แต่เป็นของดีมีราคา ส่งบุคลิกให้ดูเฉียบและเนี้ยบตามสไตล์หนุ่มมีเกรด

“จะพาแพไปกราบหลวงพ่อพุธที่โคราชน่ะฮะ”

พูดแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้น นึกดีใจที่ทำให้พ่อแม่หันมาเบิกตาจ้องได้พร้อมๆกัน

“อือ สนิทกันแล้วรึนี่?”

อารามทำท่าแปลกใจ

“ก็คงเริ่มสนิทมั้งฮะ ผมควรจะพามาหาพ่อแม่ที่นี่บ้างนะ”

“แล้วลูกเข้าหาพระหาเจ้านี่ก็เพราะหนูแพเขาชวนหรือ?”

ธารีถามสวนมา ซึ่งนั่นทำให้เกาทัณฑ์สำรวจความสงบสุขในใจตน ยอมรับโดยดุษณีว่าหล่อนเป็นแรงจูงใจสำคัญ ลำพังเขาเองหรืออยู่ดีๆจะอยากหาพระหาเจ้า

“แม่ว่าแพเขาเป็นยังไงฮะ?”

ยิ่งคุยถึงแพตรีก็ยิ่งรู้สึกรื่นรมย์ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เกาทัณฑ์เป็นฝ่ายเดินไปรับอีกตามเคย ทั้งเพิ่งเริ่มเรื่องที่อยากคุยมาก

“สวัสดีครับ”

เขาทักเป็นปกติ

“ฮัลโหล…ขอสายจุกหน่อยครับ”

เป็นเสียงไม่ประสีประสาของเด็กต่างจังหวัดคนเดิมที่ทำให้เกาทัณฑ์ยิ้มหุบและขมวดคิ้วย่น

“น้อง…” เขาลากเสียงอย่างพยายามลดความคุกรุ่นในใจตนเอง “น้องโทร.ผิดอีกแล้วนะ นี่เป็นเบอร์ที่น้องโทร.มาเมื่อกี้ เบอร์นี้ไม่มีคนชื่อจุก”

ต้นสายเงียบไป ท่าทางกำลังขมวดคิ้วกังขาอยู่เหมือนกัน

“ผมล่ะแปลกใจจริงๆนะพี่ ทำไมเบอร์นี้ไม่ใช่ล่ะครับ”

คำว่า ‘แปลกใจ’ ที่ถูกเน้นแบบตุ่นๆตึ๋งๆของฝ่ายนั้นทำให้เกาทัณฑ์ชักยัวะถึงขีด เพราะคล้ายถูกปรักปรำจากเด็กเมื่อวานซืนว่าโกหก เกือบตวาดแว้ดว่า ‘กูจะไปรู้มึงเหรอะ…เอ๊!’

อย่างไรก็ตาม สติที่ถูกอบรมมาในช่วงหลังทำให้ทราบว่าถ้าหลุดขึ้นมึงขึ้นกูออกไปในขณะเกิดโทสะ ก็จะส่งผลเป็นอกุศลทั้งแก่ตัวผู้พูด ผู้เป็นเป้าหมาย และแม้กระทั่งผู้ได้ยินได้ฟังเช่นพ่อแม่ของเขาในบัดนี้ เมื่อกี้พวกท่านเพิ่งชื่นชมว่าเขาดูธรรมะธัมโม พลอยสบายใจกับสีหน้าสีตาสงบเย็นของเขา ถ้าหากหลุดวจีทุจริตอันเผ็ดร้อนด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ ก็แปลว่าที่เห็นเมื่อครู่คือพยับแดดลวงตาแท้ๆ

ข่มโทสะไว้ได้ เม้มปากแน่น นับหนึ่งถึงห้าเพื่อทอดระยะดูใจตัวเองว่าเป็นปกติพอจะพูดเสียงเรียบหรือยัง

“เอางี้นะน้อง ถ้าน้องโทร.หาจุกไม่ได้ น้องกลับบ้านแล้วพยายามหาทางอื่นติดต่อดูใหม่ โทร.สาธารณะแบบนี้เสียตังค์ฟรีหลายบาทเปล่า พี่รับรองว่าบ้านนี้ไม่มีคนชื่อจุกแน่ๆ ให้น้องโทร.อีกกี่ทีก็ไม่มี เข้าใจนะ?”

แว่วเสียงพ่อแม่หัวเราะขบขันคำพูดกลั้นโทสะของเขาจากเบื้องหลัง ทำให้เกาทัณฑ์ยิ่งโมโหจี๊ดขึ้นมาอีก ถ้าหนุ่มบื้อคนนั้นอยู่ตรงหน้าคงถูกดีดกระเด้งกระดอนเป็นกระป๋องนมไปแล้ว

“ครับๆ ขอโทษครับพี่”

ฝ่ายนั้นล่าถอยไป เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก วางโทรศัพท์อย่างพยายามให้เบาที่สุด ก่อนเดินกลับมานั่งกับพ่อแม่ ฝืนปั้นสีหน้าเรียกความผ่องใสกลับคืนมา แต่ก็ยากเต็มทน รู้จากตัวเองในบัดนั้นว่า ‘ตะกอนกิเลส’ มีหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อถูกข่มทับด้วยดวงสมาธิแล้วเหมือนหายหนไปอย่างไร ถูกกวนให้ขึ้นขุ่นอีกได้ท่าไหน เขาเป็นคนโกรธง่ายและหายยาก นั่นเป็นข้อเสียที่ยังคงอยู่ครบถ้วน เหตุการณ์เล็กน้อยนั้นช่วยพิสูจน์แล้ว

จิตที่ดูโปร่งว่างไม่ใช่จิตสิ้นกิเลส…

อย่างไรก็ตาม ความรู้บางอย่างเกิดขึ้นในใจบัดนั้น ชนิดของอกุศลจิตวัดได้จากการปรุงแต่งหลายระดับ ถ้าปรุงแต่งแค่ระดับความคิดก้องอยู่ในหัวตัวคนเดียว อกุศลก็แรงระดับต้น หากระงับไม่อยู่ปรุงแต่งเป็นระดับพ่นคำผรุสวาทให้คนอื่นได้ยิน อกุศลก็แรงระดับกลาง และหากหลุดต่อไปอีกเป็นความปรุงแต่งระดับลงมือตุ้บตั้บอย่างที่นึกอยากถองหนุ่มบ้องตื้นในโทรศัพท์สักที อกุศลก็แรงระดับปลาย

ต้นแหล่งคือจิตดวงเดียว…

เคยอ่านผ่านตาว่าถ้าโกรธแล้วรู้ตัว ระงับได้ ผลที่เกิดจะเป็นมหากุศลจิต สำรวจใจตนยามนี้ท่าทางไม่ใช่มหากุศลแน่ เพราะขาดความชื่นบานอันเป็นสามัญลักษณ์ของกุศลจิต ถ้าเช่นนั้นนี่ก็เป็นแค่เพียงการระงับมิให้มโนทุจริตบานปลายเป็นวจีทุจริต ยังจัดเป็นอกุศล เนื่องจากแรงเฉื่อยของโทสะยังตามมารังควานได้ เรียกว่ายังผูกใจเจ็บ เห็นชัดว่ายังอ่อนอภัยทาน ไม่เคยฝึกให้ทานเป็นการอภัยเสียบ้าง จึงปล่อยข้าศึกสมาธิคือโทสะครอบงำง่ายอย่างนี้

ต้นทางปฏิบัติธรรมต้องมาจากการฝึกใจให้ทานจริงๆ

“ถ้ามีพวกนี้โทร.มาสักสิบหน วันๆคงไม่ต้องทำอะไร”

พ่อช่วยบ่นให้ เกาทัณฑ์ฝืนแค่นหัวเราะ แม่เป็นฝ่ายชวนกลับเข้าเรื่องเดิมที่ค้างไว้

“หนูแพก็ดีนะ เท่าที่เคยคุยกับเขายาวๆสองสามหน แม่รู้ว่าเป็นคนหนึ่งที่เรียนครูเพื่อเป็นครูจริงๆ อ่อนหวานเพราะจิตใจอ่อนโยนจริงๆ ข้างนอกกับข้างในเขาตรงกันทุกอย่าง”

นั่นส่งผลทันตากับเกาทัณฑ์ คือเหมือนหัวเปิดโล่ง ลืมความขุ่นใจไร้สาระทันที

“ผมก็ดีใจที่ทั้งพ่อและแม่ถูกใจ งั้นผมแต่งกับคนนี้นะฮะ”

กระโจนผลุบตรงเข้าเป้าแบบที่ทำให้พ่อแม่เงยหน้ามองมาเป็นตาเดียว เพราะเป็นครั้งแรกสำหรับการปริปากเกี่ยวกับการแต่งงานของเขา

“พูดเล่นหรือพูดจริง”

ธารีเป็นคนซักลูก

“จริงครับ”

ผู้เป็นบุพการีทั้งสองอึ้งกันเป็นครู่ ก่อนธารีจะเอ่ยถาม

“ไปทำความสนิทกับหนูแพมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาตกลงปลงใจด้วยแล้วหรือ?”

“คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรฮะ แต่บอกพ่อแม่ไว้ก่อน ผมคงพาเขามาที่นี่บ้าง แล้วถ้ายังไง…เกิดโอเคปุ๊บปั๊บ ถ้าขอให้พ่อแม่ไปหมั้นหมาย จะได้ไม่แปลกใจกัน”

อารามกะพริบตามองลูกชาย

“โทร.คุยกันวันก่อนนึกว่าแค่ครึ้มๆสักอาทิตย์-สองอาทิตย์เสียอีก”

“คิดว่าผมเป็นเพลย์บอยหรือไงฮะ เปลี่ยนใจเป็นรายอาทิตย์ รายปักษ์”

“ไม่ได้คิดว่าแกเป็นเพลย์บอย แต่รู้ดีว่าแกเป็นเพลย์บอย”

เกาทัณฑ์หัวเราะออกมาได้

“เจอแพก็เลิกแล้วฮะ”

ผู้เป็นบิดาหรี่ตาลงนิดหนึ่ง เล็งลูกชายด้วยแววมองคนลึก

“เคยสำรวจดูบ้างหรือเปล่าว่ามีความไม่ลงตัว หรือว่าช่องว่างอะไรบ้างระหว่างแกกับหนูแพเขา?”

“ก็มีฮะ แต่ไม่ใช่ชนิดที่จะทำให้มีความสุขน้อยลงตอนอยู่ใกล้กัน”

ฟังคำตอบแล้วผู้นั่งหัวโต๊ะก็ปรือตายิ้มอย่างเข้าใจ ความเชื่อในรักทำให้ทุกอย่างถูกต้องไปหมด จึงได้แต่ทักเอื่อยๆว่า

“นิสัยแกเป็นคนโลดโผนโจนทะยานนะเต้ ในขณะที่หนูแพเขาเรียบมาก และเรียบจริงอย่างที่เห็นข้างนอก เหมือนแม่แกเขาว่านั่นแหละ เห็นข้างนอกเป็นยังไง ข้างในก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีลับไม่มีเหลี่ยมกลับไปกลับมายอกย้อนอย่างคนอื่น อย่างแกชอบแบบเขาแน่หรือ?”

เกาทัณฑ์ทำหน้าแปลกใจทั้งยิ้ม

“เอ นี่พ่อกำลังบอกว่าผมไม่คู่ควรกับแพหรือฮะ?”

“เปล๊า ฉันแค่ว่าโดยพื้นแล้วแกกับหนูแพแตกต่างกัน คู่ควรหรือเปล่าเป็นคนละเรื่อง ฉันนึกว่าแกชอบสาวที่สวยเฉี่ยว ประเปรียว ทันๆกันหน่อย เลยสงสัยว่าแกติดเนื้อต้องใจแพเขาจริงจังจากตรงไหน”

ชายหนุ่มชะงักไปครู่ใหญ่ นึกถึงดวงหน้างามละมุนของแพตรี ก่อนตอบออกมาด้วยหัวใจอ่อนโยนแท้จริง

“เขาทำให้ผมคิดถึงบ้านที่ร่มเย็นเป็นสุข และอยากกลับไปหาเสมอ”

เป็นคำพูดจริงใจที่ก่อให้เกิดความเงียบขึ้นมาขณะหนึ่ง กระทั่งอารามกระแอมเอ่ย

“ฟังดูดีนี่”

“ผมรู้ว่าพ่อก็เอ็นดูแพ เหมือนอย่างที่ทุกคนเอ็นดูเขา และผมก็รักเขา ถึงผิวนอกจะต่างกัน แต่ความสุขภายในน่าจะเป็นเครื่องชี้ว่าควรคู่หรือเปล่าใช่ไหมฮะ?”

พ่อถอนใจ พูดทั้งไม่อยากขัดคอลูกนัก

“เท่าที่ฉันรู้จัก คู่ที่แตกต่างกันมากอาจมีความสุข มีแรงดึงดูดเข้าหากันในช่วงแรก แต่ไม่ใช่อย่างที่แม่เหล็กรักความเป็นขั้วตรงข้ามได้ตลอดเวลานะ อยู่กินร่วมกันในระยะยาวต้องการอะไรบางอย่างชวนใจให้อยู่ใกล้กันทุกวันได้โดยไม่อึดอัด ถ้าต่างคนต่างอยากทำสิ่งที่ตัวเองพอใจแล้วลืมเลยว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน หรือมุมไหนของบ้าน วันหนึ่งก็กลายเป็นความห่างเหินโดยปริยาย”

เกาทัณฑ์รับฟังโดยดี

“แล้วถ้าสามารถคุยกันอย่างมีความสุข อยู่ใกล้กันแล้วไม่เป็นอื่น ข้ามพ้นไปจากเรื่องของเสน่ห์ภายนอกและความขัดแย้งภายใน เหลือแต่ความผูกพันที่แน่นแฟ้น ผูกพันกันโดยปราศจากเหตุผล อย่างนี้พอไหวไหมฮะ?”

“หญิงชายมาเข้าคู่กันช่วงแรกด้วยความถูกใจก็รู้สึกชมพูๆหวานแหววอย่างนี้แหละ แบบโรมิโอกับจูเลียตน่ะ ใครจะรู้ว่าถ้าโรมิโอกับจูเลียตแต่งงานอยู่กินกันเหมือนคู่ผัวตัวเมียอื่น อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง อาจตีกันหัวหูฉีกในปีแรกก็ได้”

ถึงจังหวะที่เกาทัณฑ์คิดว่าตนควรสงบปากสงบคำ เพราะไม่อยากโต้แย้งกับพ่อ ทราบดีว่าพ่อเห็นเขาตื่นเต้นชั่ววูบชั่ววาบกับเสน่ห์และความสวยหวานของแพตรี มีแต่เขาเองที่เข้าใจดีว่าประสบการณ์ทางความรู้สึกของตนแสนพิเศษเพียงใด

ใกล้หล่อนทำให้เข้าใจซึ้งสนิทว่า ‘เหมือนอยู่ร่วมกันมาก่อน’ นั้นเป็นอย่างไร แม้เคยคบหากับผู้หญิงมากมาย เคยนึกรัก นึกเสน่หา ก็ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่ทำให้สัมผัสอะไรบางอย่างในอากาศระหว่างกายเมื่ออยู่ใกล้กันเช่นที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่กับแพตรี

อะไรบางอย่างระหว่างกันที่เรียก…สายใย เป็นสายใยไร้ตน สัมผัสได้ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ จนเลิกสงสัยแล้วว่าเป็นแค่อุปาทานหรือของจริง

“ฉันเปล่าว่านะ แกเป็นตัวของตัวเอง รู้จักตัวเอง ตัดสินความชอบใจของตัวเองได้ว่าถูกผิดแค่ไหน และส่วนลึกก็ดีใจถ้าแกจะอยู่กินกับน้องเขา”

อารามแก้เมื่อเห็นลูกชายเงียบนาน

“ชีวิตคู่จะประสพความสำเร็จหรือล้มเหลวใช่ว่าเกิดจากการสำคัญถูกหรือสำคัญผิดในเบื้องต้น ที่ว่าใช่แน่เหมือนกิ่งทองใบหยก วันหนึ่งกลายเป็นใบข่อย ใบมะกรูดไปก็มาก หรือที่ว่าเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัด วันหนึ่งหมาวัดกลายเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองก็มีให้เห็น หรืออีกทางหนึ่ง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันมาก นานไปก็อาจรักกันน้อยลง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันน้อย นานไปก็อาจรักกันมากขึ้น ของแบบนี้เอาพฤติกรรมปัจจุบันมาเป็นแนวโน้มพอได้ แต่ไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก”

เมื่อดูว่าผู้เป็นลูกยังฟังดีอยู่ ก็เคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างชั่งใจ ก่อนกล่าวตามที่คิดหลังจากอ้อมค้อมมานาน

“ฉันนึกห่วงยายแพเสียยิ่งกว่าแกอีกนะ เพราะเทียบแล้ว แกมีพื้นยืนที่แข็งแกร่ง มั่นคงทางความคิดและอารมณ์ ในขณะที่พื้นยืนของแพเขาเปราะบาง ถึงดูผิวเผินเหมือนเขามีทัศนคติเป็นบวก มีบุคลิกภาพเป็นผู้ใหญ่ รู้คิดอ่าน แต่พ่อเห็นตอนเผลอตัวบางทีก็เหมือน…นกที่พร้อมจะหลงฝูง ถึงพวกเรายอมรับออกหน้าออกตายังไง เขาก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัว ทำท่าคล้ายเด็กรับใช้อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมนับตัวเองถือสนิทรวมญาติกับใครเลย แบบนี้ถ้าเจ็บจากชีวิตคู่ ก็เดายากว่าจะหาทางออกในรูปไหน หันหน้าไปพึ่งใคร อือ…แกพอจะเข้าใจที่ฉันพูดไหม?”

เกาทัณฑ์หัวเราะเฉื่อย

“เข้าใจฮะ พ่อรักและเป็นห่วงแพยิ่งกว่าผมอีก กลัวว่าวันหนึ่งผมจะทำให้เขาเสียใจ เบื่อแล้วนึกอยากทิ้งขว้างง่ายๆ”

“อือม์…” อารามรับ “แกเหมือนเหล็กนะ ต้องใช้ความร้อนสูงมากๆ ถึงจะตีให้งอได้ แต่แพเขาเหมือนไม้ ถึงดูภายนอกแข็งแรงดี แค่ตีนิดเดียวก็จะรู้ว่าหักพังง่ายนัก”

ชายหนุ่มฟังแล้วนิ่งไป ตลอดมาเขาตามใจตัวเองจนลืมคิดถึงคนอื่นเสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สัญญากับตัวเองเงียบๆว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นในวันหน้า เขาจะคิดถึงความรู้สึกของแพตรีก่อน

ธารีเห็นลูกชายนิ่งก็นึกว่าไม่พอใจที่พ่อพูดคล้ายคาดคั้น และเข้าฝ่ายหลานสาวเกินลูกตัวเอง จึงเปรยเพื่อสับหลีกแนวเสียบ้าง

“อย่างนี้หนูแพก็โชคดีกว่าสาวอื่นนะ ถ้าแต่งกับเต้ เขาก็เป็น แพตรี พีรนัยน์ เหมือนเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนนามสกุล”

 

ในห้องครัวของบ้านปู่ชนะ แพตรีกำลังจัดอาหารใส่สำรับไว้ให้ปู่เป็นมื้อกลางวันและเผื่อถึงมื้อเย็น แล้วเอาเข้าชั้นวางในตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ ปู่บอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเช้านี้จะเข้าสมาธินาน ซึ่งหล่อนคุ้นแล้วกับการที่ท่านจะอยู่ในห้องพระยาวๆแบบนั้นในบางวัน และจนป่านนี้ปู่ก็ยังปิดห้องเงียบเชียบ หากไม่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าก็คงทำให้หล่อนเป็นห่วงเป็นใยเอาการสำหรับคนวัยท่าน

เสียงกริ่งเรียกจากหน้าบ้านดังขึ้น เงยมองนาฬิกาบนผนังก็เห็นตรงเวลานัดเป๊ะ เขามารับแล้ว…

กำลังดึงแผ่นฟิล์มใสจากม้วนมาห่อสำรับเพื่อถนอมอาหารและกันกลิ่น ใจที่เต้นผิดจังหวะขึ้นมานิดหนึ่งทำให้นึกอยากถ่วงเวลาออกไปหน่อย โดยห่อสำรับต่อจนกว่าจะเสร็จ ซึ่งก็เหลืออีกแค่สองจาน แต่ครึ่งนาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงกริ่งเรียกซ้ำ คราวนี้ยาวกว่าเมื่อครู่ ทำให้เกิดความพะวงขึ้นมาว่าอาจเป็นคนอื่น อีกทั้งเสียงกริ่งอาจรบกวนสมาธิปู่ได้ จึงวางจานที่เหลือ และก้าวเท้าออกจากครัว

ร่างสูงยืนอมยิ้มอยู่หน้าประตูรั้ว แพตรีทอดจังหวะเดินเป็นปกติ เมื่อมาหยุดยืนห่างแค่รั้วคั่น แทนที่จะไขกุญแจเปิดรับ กลับกอดอกถามเสียงขุ่นหน่อยๆ

"กดทำไมตั้งสองครั้งคะ รอหน่อยไม่ได้หรือไง?"

เกาทัณฑ์เลิกคิ้วหัวเราะ แพตรีปั้นหน้าเฉยเมยอย่างนี้แล้วดูเหมือนคุณครูที่กำลังมีหน้าที่คุมแถวเด็กนักเรียนตอนเคารพธงชาติ

“เปล่าเร่งนะฮะ กดครั้งแรกสั้นไปหน่อย แพอาจนึกว่าตุ๊กแกร้อง”

“ตุ๊กแกที่ไหนคะร้องเหมือนออด คราวหลังถ้ากดมากกว่าหนึ่งครั้งดิฉันจะนึกว่าเป็นพวกขายประกัน และทำเหมือนไม่มีคนอยู่”

ชายหนุ่มหันหน้าไปทางปุ่มกดบนเสา แล้วหันกลับมาเสนอความเห็นว่า

“ผมแกล้งทำไฟรั่วให้เอาไหม ต่อไปใครกดหนึ่งครั้ง ก็จะโดนไฟช็อตจนอ้าปากตาเหลือกหนึ่งครั้ง เป็นการทำโทษฐานรบกวนความสงบของแพ รับรองสะดุ้งกันเฮือกเดียวเข็ดหลาบ ไม่อยากกดซ้ำอีก”

แพตรีพยายามกลั้นหัวเราะไว้

“ทำไว้รับแขกของคุณสิคะ ช่างแนะดีนัก”

“นี่ปู่สั่งห้ามแพเปิดประตูรับผมหรือ?”

“จะเข้ามาทำไมคะ?”

“อ้าว…” คราวนี้เขาอ้าปากหวอ “ผมจะได้เข้าไปไหว้ปู่ ขอรับแพไงฮะ”

“อ้อ…”

ทำเสียงรับรู้แค่นั้นก็ยืนมองเขาเฉย เล่นเอาเกาทัณฑ์ชักใจตุ๊มๆต่อมๆด้วยนึกหวาดว่าหล่อนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมานาทีสุดท้ายหรือเปล่า

แต่แล้วก็โล่งอก เมื่อได้ยินหล่อนแถลง

“ปู่อยู่ในห้องพระ ไม่ต้องเข้ามาไหว้หรอกค่ะ ความจริงดิฉันสะสางงานจวนเสร็จแล้ว คุณเร่งให้ออกมาเลยช้าลงหน่อย รอเดี๋ยวนะคะ”

โทษฐานกดกริ่งสองหนทำให้เกาทัณฑ์ต้องนั่งแกร่วรอในรถอยู่พักใหญ่ ก่อนหญิงสาวปรากฏตัวอีกครั้ง ก้มหน้าเดินมาคล้ายจำใจอยู่ในที เห็นแล้วถึงกับต้องช่วยภาวนาให้เดินถึงรั้วโดยไม่เปลี่ยนใจหันหลังกลับไปเสียก่อน

เมื่อแพตรีไขกุญแจก้าวออกมา เกาทัณฑ์รีบอ้อมรถไปเปิดประตูด้านตรงข้ามซึ่งเขาหันรอรับหล่อนไว้แล้ว ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับเพิ่งรู้ว่าเงินเดือนขึ้น

"ไม่ต้องบริการมากหรอกค่ะ เกรงใจ"

หล่อนบอกขณะมายืนข้างๆ

"เกรงใจทำไมฮะ ทีผมยังไม่เห็นเคยบอกเลยว่าเกรงใจแพ"

แพตรีผ่านสายตามองเขาหน่อยหนึ่ง ก่อนย่อกายลงเข้านั่งประจำที่ เกาทัณฑ์ปิดประตูตามแล้วผิวปากหวือ เดินอ้อมมานั่งด้านคนขับ

“คาดเข็มขัดหน่อยนะ ทางไกล มีช่วงวิ่งเร็วยาว”

เขาบอกเมื่อเห็นหล่อนนั่งเฉย แพตรีหันมามองหน้า พบยิ้มวอนอย่างแสดงความห่วงใยก็ยอมทำตามเนือยๆ

“รู้ไหม ความเร็วแค่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่ ทำผู้หญิงเสียโฉมมากี่รายแล้วตอนเบรกหรือชนกะทันหัน”

พูดอย่างแสดงเหตุผลแกมขู่ โดยคาดไม่ถึงว่านั่นทำให้แสงตาหล่อนเรืองขึ้นมาได้

“เสียโฉมก็ดีนี่คะ จะได้ดูว่ามีใคร หรืออะไรเปลี่ยนไปจากที่กำลังเป็นอยู่บ้าง”

เกาทัณฑ์บิดกุญแจเดินเครื่องแล้วออกรถอย่างนิ่มนวล ทำเป็นหูทวนลม

“แพชอบเพลงประเภทไหน จะได้เลือกเปิดให้ฟัง ผมเตรียมมาเยอะ”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจก่อนตอบ

“ตามสบายเถอะค่ะ อย่าถามคนชอบความเงียบอย่างดิฉันเลย”

“ดีนะ นึกว่าผมกำลังอยากฟังความเงียบอยู่คนเดียวเสียอีก”

พยายามพูดให้รับกับหล่อนเป็นปี่เป็นขลุ่ย เปล่งเสียงทุ้มแน่นเป็นกังวานสดใสชวนฟังพอจะดึงหล่อนเข้าสู่บรรยากาศการสนทนาในทางไกลนี้

ชุดขาวและความเป็นสุขุมาลชาติแท้ของหล่อนทำให้เกาทัณฑ์เห็นทางหางตาคล้ายอากาศข้างกายสว่างเรืองกว่าปกติ กระแสวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนมีอิทธิพลกับความรู้สึกของผู้ใกล้ชิดเสมอ จะอ่อนหรือแรงก็ขึ้นอยู่กับพลังที่สั่งสมจากเอกลักษณ์ประจำตน

อย่างแพตรีเข้าที่ไหนก็สว่างที่นั่น ใครเห็นเมื่อไหร่ก็รักเมื่อนั้น แม้แต่ปู่กับพ่อแท้ๆยังรักและห่วงใยยิ่งกว่าเขาอีก วันหน้าถ้าพลาดพลั้งทำน้ำตาหล่อนหล่นลงมาหยดเดียว ก็เตรียมตัวโดนประชาทัณฑ์ได้กระมัง

 ระบายลมหายใจยาวด้วยความชื่นมื่นในอารมณ์ นั่งกับหล่อนใกล้แค่นี้รู้สึกคุ้นสนิทจนเชื่อเลยว่าวันหนึ่งต้องได้เคียงกันตลอดไป

“จะเปิดเพลงก็ตามสบายนะคะ”

พอรู้ตัวว่าเสียงคล้ายถอนใจทำให้หล่อนเข้าใจผิด เกาทัณฑ์ก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน

“ผมเบื่อฟังเพลงแล้วจริงๆ ว่าจะเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงให้ธรรมดาหน่อยด้วยซ้ำ เพราะกำลังอัดของชุดนี้หนักจนบางทีชักปวดจี๊ดๆขึ้นมาแถวกกหู กลัวแก่ลงกว่านี้แล้วมีปัญหา ให้เปิดเบาก็เสียดายของแพง”

พูดด้วยความรื่นรมย์โดยมิได้เสแสร้ง อาจเป็นเพราะแพตรีแสดงทีมีแก่ใจห่วง เกรงเขาอยู่กับหล่อนแล้วอึดอัด สะท้อนให้เห็นความมีไยดีและเต็มใจเป็นเพื่อนร่วมทางไปด้วยกัน

“แพทานข้าวเช้าหรือยังนี่?”

“ทานแล้วค่ะ คุณล่ะคะ?”

“เรียบร้อย เพิ่งไปทานกับพ่อแม่ เผื่อท้องมาด้วย นึกว่าจะได้ทานกับแพอีก…ออกมาเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยไหม?”

“ก็…นานทีค่ะ”

“ถ้าให้เลือก อยากเที่ยวภูเขาหรือทะเลมากกว่ากัน?”

“พอกันมั้งคะ”

หล่อนตอบแบบขอไปที เพราะทราบว่านั่นเป็นคำถามกรุยทางสู่การชักชวนตระเวนเที่ยวครั้งหน้า

“ผมชอบภูเขานะ ชอบขึ้นที่สูง ชอบดูทะเลหมอก ชอบดูพระอาทิตย์ตกด้วยมุมมองระดับเดียวกับนก วันหนึ่งอยากให้เรานั่งจับมือมองพระอาทิตย์เลื่อนหายจากเหลี่ยมโลกด้วยกัน…ถึงเวลานั้นผมคงรู้ว่าเทวดาอยู่กันยังไง”

เกาทัณฑ์ทำตาใสกับการวาดวิมานอากาศอย่างเปิดเผย แพตรีฟังแล้วเงียบพักหนึ่ง ก่อนเขาจะได้ยินเสียงพึมพำเหมือนหูแว่ว

“ฝันไปเถอะ”

ชายหนุ่มเม้มปากกลั้นยิ้ม ที่หล่อนนั่งอยู่ข้างเขาตอนนี้ก็ฝันหวานกระมัง?

“สมัยยังเรียนผมมีเวลาเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยนะ แต่พอทำงานแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป บางทีเสาร์-อาทิตย์อยากออกไปดูทะเลหมอกแถวภูเรือบ้าง ก็ติดโน่นขัดนี่อยู่เรื่อย มาช่วงนี้ค่อยดีหน่อย เสาร์และอาทิตย์เป็นสุดสัปดาห์เปิดหูเปิดตาได้จริงๆ ทำให้คิดถึงอดีต สมัยเที่ยวไปไหนกับเพื่อนฝูงตามใจนึกตลอดปี”

“ทุกคนสูญเสียอดีตให้กับวันเวลาเสมอแหละค่ะ”

เสียงหล่อนฟังเหม่อจนเขาต้องหันดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แพตรีผินหน้าออกข้างทาง บางมุมมองหล่อนดูคล้ายภาพวาดที่ถูกวาดระบายให้งามอย่างมีปริศนาแห่งความเศร้าแฝงเร้นอันยากจะเข้าถึง อย่างนี้เองกระมังที่ชวนให้ใครต่อใครนึกเวทนาและเป็นห่วงเป็นใยได้มากมาย

“ถึงวันนี้ผมเข้าใจอยู่อย่างว่าการสูญเสียเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักร ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป ไม่มีอะไรจากเราไปตลอดกาล ถ้าคลี่เวลาออกเป็นเส้นตรงและสามารถเห็นได้จริงทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตพร้อมกัน เราคงเห็นตัวเองได้ของรักแล้วเสียของรัก หัวเราะแล้วร้องไห้ พบแล้วพลัดพราก ย้อนเวียนกลับไปกลับมา สลับกันเป็นสายโซ่ยืดยาว”

แพตรีหรี่ตาลงจนเกือบชิด

“ค่ะ ตัดสายโซ่เสียได้ก็ดีหรอก”

คำรำพึงนั้นปราศจากความหนักแน่นอย่างสิ้นเชิง คล้ายนักโทษในเรือนจำบ่นกับเพื่อนร่วมห้องว่าถ้าแหกกรงขังได้เดี๋ยวนี้คงจะดีแท้ บ่นโดยปราศจากเจตนาและแผนการลงมือกระทำจริง

“บอกได้ไหมคะว่าถึงวันนี้คุณรู้เห็น หรือคิดปลงไปแค่ไหนแล้ว”

“ปลงหรือฮะ?” เกาทัณฑ์หัวเราะคล้ายขันตนเอง “ผมมันคนกิเลสหนา เท่าที่มีโอกาสแตะๆต้องๆอรรถธรรมนิดหน่อยก็เป็นบุญเหลือจะกล่าวแล้ว”

กล่าวอย่างตระหนักในสถานภาพตามจริงของตนเอง มิใช่เสแสร้งถ่อมตัวหรือยกตน

“ระหว่างเรา ผมควรเป็นฝ่ายฟังแพมากกว่า ว่าช่วงหลายปีที่ใกล้วัดทางนฤพาน ได้รับประสบการณ์รู้เห็นชนิดไหนควรถ่ายทอดให้รุ่นหลังฟังบ้าง”

“คงมีเรื่องน่าฟังอยู่น้อยเต็มทีค่ะ ถ้าคิดว่าแกล้งถ่อมตัวก็ขอยืนยันว่าดิฉันเป็นคนมีวาสนาด้านนี้เพียงปานกลาง รักชอบสภาพจิตที่เป็นกุศล ใส่บาตร ฟังธรรมตามโอกาส แต่พูดถึงการพัฒนาจิตให้เต็มรูปด้วยสมาธิและปัญญาพิจารณาธรรม ต้องยอมรับว่ามีพื้นกำลังค่อนข้างอ่อน ก้าวหน้าแล้วถอยกลับสลับกัน เมื่อถึงเพดานระดับหนึ่งก็เหมือนหยุดอยู่แค่นั้น ถ้าจะไปต่อคือต้องตัดใจเปลี่ยนวิถีทางอย่างสิ้นเชิง”

“เท่าที่ผมเห็น วิถีทางของแพทุกวันนี้แทบเหมือนคนในวัดอยู่แล้วนี่ฮะ เพลงไม่ฟัง เนื้อสัตว์ไม่ทาน มีความสุขกับต้นไม้ แยกตัวเองจากความวุ่นวายได้หมด”

“คำว่า ‘วิถีทาง’ น่าจะหมายรวมทั้งภายนอกและภายในนี่คะ ภายนอกดูว่าใช่อาจหลอกตาคนเห็น แต่ภายในที่ไม่ใช่นี่เจ้าตัวรู้เองกับใจดีกว่าคนอื่น ดิฉันจำคำหลวงตาท่านได้ขึ้นใจอยู่คำหนึ่ง คือเป็นชาวพุทธชั้นเลิศนั้น ใช่ว่าวัดกันที่ความผ่องใสของหน้าตา ทำบุญมากน้อย นั่งสมาธิสำเร็จฌาน หรือกระทั่งเข้าถึงวิปัสสนาญาณรู้เห็นธาตุธรรมสูงส่งเท่าไหร่ แต่วัดกันง่ายๆว่าทำใจตัด ทำใจละวางได้แค่ไหน เสมอต้นเสมอปลายเพียงใด”

เกาทัณฑ์คิดตาม ขณะนี้เขาเป็นพุทธที่เข้าใจเนื้อหาและแก่นสารของพุทธ ทว่าใจมิได้คิดตัด คิดวางอย่างเด็ดขาดเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ทันตา เพราะมีเป้าหมายอื่นที่ต้องรอเกิด รอตายอีกเป็นอนันตชาติกว่าจะถึงเวลาวางจริง…

จุดยืนนี้อาจทำให้เกิดความได้ใจ คิดอยาก คิดเอา โดยไม่ต้องพะวงฝึกละวางหรือตัดอาลัย เพราะรู้ว่าพยายามจนตายก็หมดสิทธิ์ไปถึงที่สุดเช่นสาวกธรรมดา

ถ้าเช่นนั้นผู้ปรารถนาโพธิญาณก็ไม่อาจเป็นชาวพุทธชั้นเลิศในพุทธกาลใดๆอย่างนั้นหรือ?

แล้วก็ระลึกขึ้นได้ถึงวาทะของพระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายปัญญาของพระพุทธโคดม ผู้กล่าวว่าการเสพโลกียสุขอย่างเลวคือเสพโดยคิดว่าสุขนี้คือยอดสุด ส่วนการเสพโลกียสุขอย่างเลิศคือเสพทั้งอนุสติรู้ดีว่ามีสุขอื่นที่เหนือกว่า ได้แก่วิมุตติสุข คือฌานและสภาวะไร้อุปาทานของจิต

คิดได้ก็สบายใจขึ้นมาว่าแม้ความปรารถนาในพุทธภูมิจะปิดกั้นมิให้ตัดห่วงโซ่สัญโยชน์ขาดสิ้นในชาตินี้ เขาก็สามารถเป็นผู้เสพสุขในโลกียวิสัยได้อย่างรู้เท่าทัน ว่ามีสุขอื่นพึงปรารถนายิ่งกว่านั้น เหตุที่รู้เท่าทันได้เพราะเคยอบรมจิตจนเข้าถึงมาแล้ว ทั้งสมาธิและวิถีญาณปล่อยวางเบื้องต้น

อีกข้อหนึ่งคือเล็งเห็นคุณค่าของพระสูตร เมื่อเกิดปัญหาคาใจแล้วทบทวนสิ่งที่พระตถาคตหรือพระเถระผู้เป็นอรหันต์กล่าวไว้ ก็สามารถปัดตกไปได้เช่นนี้

“ตอนแรกที่ไปกราบหลวงตาแขวนขอเป็นศิษย์ ในใจมีแต่นึกอย่างเดียวว่าอยากร่ำเรียนวิชา แสดงฤทธิ์เดชได้เหมือนอย่างท่าน ต่อเมื่อท่านทำให้มองเห็นว่ากายนี้เป็นเพียงภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง และจำอดีตของตัวเองได้แบบ เออ…มีเราในร่างอื่นมาก่อนจริงๆด้วย ก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาอีกอย่างว่าเรากำลังดิ้นรนเอาตัวรอดให้พ้นๆไปคราวหนึ่ง เพื่อไปต่อเอาคราวหน้า เกิดทีก็ลืมที

ผมกลับมานอนคิด แต่ละชีวิตมีชัยภูมิประจำตัว จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทุกคนกำลังเดินทางไกล และใช้ชัยภูมินั้นสั่งสมเสบียงเพิ่ม หรือตัดทอนเสบียงทิ้งอยู่ทุกวัน ผมเห็นตัวเองเคยเป็นฤาษีชีไพร เคยเป็นผู้วิเศษมาก่อน และเดาว่าในชาตินั้นคงบำเพ็ญบุญบารมีตามทางของผู้ถือพรหมจรรย์ไว้พอควร แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผ่านมา ชัยภูมิที่เหมาะกับการเป็นฤาษีได้จบลงไปแล้ว

ชีวิตนี้ได้ชัยภูมิคนละแบบ จะเพราะวิบากกรรมไหนแต่งสร้างกำหนดไว้ก็เถอะ ผมเห็นว่าฐานที่มั่นนี้เหมาะกับการใช้กำลังสมองมากกว่ากำลังจิต และตลอดมาก็อยู่ในทางของตัวเองอยู่แล้ว เลยเลิกใส่ใจกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เสีย เพราะรู้ว่าถึงได้มีได้เป็นก็คงลุ่มๆดอนๆ หลงตัวชั่ววูบชั่ววาบก็ขาดสายหายหนแบบเดียวกับพวกพ่อมดหมอผีกระจอก มากกว่าจะเป็นผู้วิเศษที่มีอภิญญาชั้นสูง ฉะนั้นเสบียงที่ได้จากชาตินี้ควรเป็นการสั่งสมปัญญาและความคิดอ่านจะเหมาะที่สุด”

เกาทัณฑ์ลังเลอยู่ครู่ ก่อนกล่าวต่อตามตั้งใจแต่แรก

“เมื่อพบพระพุทธศาสนา ทุกคนควรฉกฉวยโอกาสตัดสายโซ่เสียอย่างที่แพพูดนั่นแหละ แต่ผมก็รู้ตัวว่ายัง…ผมยังขาดชัยภูมิที่จะตัด เพราะมีความปรารถนาอื่นยิ่งกว่าการเข้าให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้”

แพตรีฟังรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร เส้นทางไปนิพพานของเขาคือสายไหน ก็ไม่เลวนักที่เขาพูดให้หล่อนคิดตามได้ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่คิดถึงชัยภูมิในชาติปัจจุบันของตนเอง

คิดถึงความตั้งใจจะเป็นครู คิดถึงความสับสนลังเลในการรอคอยรักแท้ นั่นหรือคือทั้งหมดในการใช้ชัยภูมิปัจจุบัน?

คำอธิษฐานที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำชัดเด่นราวกับชโลมอาบด้วยน้ำอมฤต จนมีความเป็นอมตะ ตัดไม่ตายขายไม่ขาด

ขอตามกันไปทุกภพ จดจำกันได้ทุกชาติ…

กะพริบตาถี่ๆอย่างจะสกัดกั้นกลุ่มน้ำที่เริ่มรื้นนัยน์ตาขึ้นมาไม่รู้เหนือรู้ใต้ เหมือนมีหล่อนคนเดียวที่ยังไม่ตาย หล่อนคนเดียวที่ยังยึดมั่นถือมั่น คนอื่นตายหมดแล้ว ต่อให้นั่งอยู่ข้างๆเดี๋ยวนี้ก็แค่ชายแปลกหน้าที่เข้ามาติดพันรูปโฉมภายนอก หาใช่ชายคนเดิมผู้น่าศรัทธาเชื่อมั่นพอจะทำให้ยิ้มกล้าแม้กำลังเผชิญกับความตายไม่

หวังให้หล่อนเล่าเพื่อรื้อฟื้นความหลังน่ะหรือ เพื่ออะไร? เท่าที่เขาเป็นเขายามนี้ ก็คงไม่แคล้วเพื่อครอบครอง เป็นเจ้าของหล่อนโดยง่าย ไม่ต้องเหนื่อยแรงนั่นเอง คุณค่าที่เกิดจากความทรงจำอันแสนดีอย่างแท้จริงนั้น จะหาจากไหนได้เล่า

เกาทัณฑ์เหลียวมองหญิงสาวข้างกายเมื่อสัมผัสกระแสความเศร้าสร้อยประหลาดที่กระจายมาจากหล่อน

“แพกำลังคิดอะไรหรือฮะ?”

เขาถามนุ่มนวลแสดงความอาทร ฟังอบอุ่นจนแพตรีรู้สึกดีพอจะเปิดใจรับกระแสชนิดนั้น หล่อนฝืนยิ้มและพยายามออกเสียงใสขึ้น เป็นกันเองมากกว่าเดิม

“คุณเรียนรู้เร็วดีนะคะ แค่ชั่วเวลาสั้นก็มองเกมสังสารวัฏออก ขนาดรู้ตัว แบ่งแยกได้เป็นชาติๆเลยว่าเมื่อไหร่เป็นใคร ควรทำอะไรกับครั้งหนึ่งๆ”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้า

“เป็นทางลัดที่หลวงตาแขวนท่านปูให้ทั้งนั้น ขาดท่านผมก็เห็นได้แต่สิ่งที่อยู่ในกะลาของตัวเองเรื่อยไป ว่าตามจริง…ผมคบสนิทกับคนมากมาย และยิ่งคบมากเท่าไหร่ วิถีทางยิ่งหลากหลายซับซ้อนเท่านั้น วันหนึ่งอาจหลงเป็นมิจฉาชีพไปกับเพื่อนบางกลุ่ม ถ้าไม่รู้จักความจริงเกี่ยวกับกรรมวิบากและการวนเวียนเกิด แก่ เจ็บ ตายเสียก่อน ตอนนี้รู้แล้ว ก็คงต้องก้มหน้าก้มตาปิดกั้นตัวเองจากทางอบายให้มากที่สุด ต่อให้ล่อใจว่าเป็นทางลัดรวยเร็วยั่วยวนแค่ไหนก็ตาม”

เหมือนแพตรีถูกสะกดให้ซึมลงอีก เกาทัณฑ์ได้ยินหล่อนรำพึงแผ่ว

“มีสติพิจารณาโดยแยบคายอย่างนี้หายากนะคะ ถ้ารู้แล้วเป็นคุณ ก็นับว่าดีที่ได้ความรู้นั้นมา ต่างกับหลายคนที่รู้แล้วเป็นโทษ ระลึกชาติได้แล้วหลงยึด หลงท่องอยู่แต่ว่าเคยเป็นนั่นเป็นนี่ และกระทั่งเผลอคิดว่ายังเป็นอยู่”

ชายหนุ่มปรายตามาทางด้านข้างหน่อยหนึ่ง ก่อนเลียบเคียง

“คงเป็นเพราะมีสิ่งอ้างอิงติดตามมาด้วยมั้งฮะ ถึงยังเผลอคิดอย่างนั้น?”

แพตรีเงียบกริบ เกาทัณฑ์ส่งใจหยั่งใจ ก็ทราบว่าหล่อนจะปิดกั้นตลอดไป ไม่มีวันเปิดเผยความหลังระหว่างกันด้วยการใช้ปากเล่า จึงเลิกคิดพยายาม และพูดตัดว่า

“ความจริงการเข้าถึงแก่นธรรม สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลนี่ไม่จำเป็นต้องเห็นอดีต อนาคต นรก และสวรรค์เสียก่อนเลย เห็นแค่กายมนุษย์ของตัวเองในปัจจุบันก็พอแล้ว ขอเพียงมีพุทธิปัญญาขึ้นมาสักวาบหนึ่ง เช่นที่เณรน้อยบางองค์สำเร็จอรหัตตผลได้เพียงเมื่อถูกจดมีดโกนปลงผมจากหนังศีรษะขณะเตรียมบวช เพราะพิจารณาเห็นจริงว่าสิ่งที่หลุดจากกายเป็นอนัตตา เดิมเมื่ออยู่ติดกายก็ย่อมเป็นอนัตตาเช่นกัน ท่านสำเร็จได้โดยไม่ทันต้องคิดด้วยซ้ำว่ามิติภพภูมิที่ยิ่งไปกว่าปัจจุบันขณะมีอยู่หรือเปล่า

เสียดายคนส่วนใหญ่ไม่มีแรงจูงใจพอจะพิจารณาให้เห็นธรรม จะเห็นทุกข์ขึ้นมาทีก็ตอนซมไข้หนัก พลัดพรากของรัก หรือใกล้สิ้นเนื้อประดาตัวเท่านั้น โดยทั่วไปคนเราอยู่เป็นสุขตามอัตภาพ เพราะมีเนื้อหนังมังสาหุ้มห่อสบายตัว ถึงจะถูกพยาธิเบียดเบียนก็ซ่อนจากสายตา รบกวนอยู่ข้างใน ไม่ทันรู้สึกเท่าไหร่ ถ้าทุกคนมีสิทธิ์เห็นนรกสักครั้ง ได้เปรียบเทียบว่าทุกข์ในโลกชนิดที่สาหัสสากรรจ์เหลือประมาณนั้น เทียบแล้วก็แค่ขี้ผง…เห็นทุกข์จังๆคงทำให้ขยาดและอยากหนีสังสารวัฏกันบ้าง”

หยีตานิดหนึ่งเมื่อนึกถึงหนอนตัวเท่าปลายก้อยนับหมื่นรุมเร้าเข้าออกสัตว์นรกที่หลวงตาแขวนพาไปดู คิดถึงแวบเดียวก็ชวนขยักขย้อนจะแย่แล้ว

“เคยนึกเหมือนกันค่ะว่าเราโชคดีได้แค่พบพุทธศาสนา พ้นจากนั้นเป็นอันหมดเรื่องโชค ต้องใช้ความเพียรและปัญญาของแต่ละคนกันแล้ว ใครไปไกลแค่ไหนก็สุดแท้แต่กำลัง”

“ใช่…น่าท้อด้วยที่กำแพงขังพวกเราถูกออกแบบมาไว้ดีเกินเหตุ ล้อมหน้าล้อมหลังไว้หลายชั้น คิดจะปีนป่ายต้องมีอัตภาพชั้นสูงอย่างมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ก็น่าอนาถเหลือเกิน เกิดมาลืมหมด เติบโตแบบถูกบังคับให้เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองรู้ ตัวเองเชื่อ แถมถูกจำกัดเวลาให้ต้องดิ้นรนเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ว่างขึ้นมาก็อยากโน่นอยากนี่ จะฟังเรื่องสวรรค์ นิพพานสะดุดพอให้เงี่ยหูฟังก็ต้องอาศัยบุญเก่านำร่อง และถ้าเชื่อขึ้นมา ปรารถนานิพพานกันที ก็ยากอีกที่จะไปให้ถึงจุดสรุปทางจิตว่าด้วยการเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน สลัดคืนอุปาทานเห็นนั่นเห็นนี่เป็นตัวตนอย่างเด็ดขาด”

แพตรีส่ายหน้า

“มรรคแปดที่พระพุทธองค์ประทานไว้เป็นบันได เป็นขั้นเป็นตอนปีนกำแพงนั้นมีอยู่แล้ว ยากก็แค่หาคนตัดใจจากคุก คิดอยากปีนกำแพงมั้งคะ”

เกาทัณฑ์ผงกศีรษะ ยิ่งฟังเสียงหล่อนนาน ก็ยิ่งเป็นสุขขึ้นเรื่อยๆ จะให้ตัดใจอย่างไรไหวเล่า

“เพราะในคุกมีสุขเวทนา มีเสน่ห์ดึงดูดที่รุนแรงอยู่จริง คนคุกถึงยังติดยังหลง อยากวนเวียนหาความสุข ความเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น”

“ค่ะ ถ้าสังสารวัฏมีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขเลย ทุกรูปนามคงใคร่พ้น ต้องการปีนกำแพงหนีกันหมด”

“ตอนเด็กผมมีเพื่อนในหมู่บ้านเยอะ เข้านอกออกในบ้านคนโน้นทีคนนี้ทีทุกวัน ก็ได้รับรู้ว่าแม้อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แต่ละครอบครัวก็ช่างดูแตกต่างราวฟ้ากับดิน สภาพที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ไม่ใช่มีแต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และบรรยากาศอบอุ่นเหมือนที่พ่อกับแม่ของผมปลูกสร้างไว้ บางบ้านรกรุงรังยังกับอู่ซ่อมรถข้างทาง บางบ้านประดับประดาเครื่องแต่งยิ่งกว่าวังเจ้า บางบ้านเอะอะตึงตัง บางบ้านสงบร่มรื่น ทั้งกลิ่นอายและความเป็นอยู่อาจผิดเพี้ยนไปหมดเพียงช่วงห่างแค่รั้วกั้น ขนาดที่อาจทำให้งงเคว้งและถามตัวเองว่านี่มันโลกเดียวกันหรือเปล่า

โตขึ้นผมยิ่งคบหาคนมากขึ้น เห็นรูปชีวิตหลากหลายซับซ้อนกว่าเดิม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โลกมนุษย์ในความรับรู้ก็ยิ่งดูกว้างขวางและมีความพิสดารน่าตื่นตาขึ้นอีกหลายร้อยเท่า ผมเคยนั่งรถคาดิแลคของเพื่อนเข้าคฤหาสน์ที่ฟลอริดาด้วยความรู้สึกว่าความโอ่อ่าอลังการแบบนี้เองคือสวรรค์ในแบบที่คนโบราณวาดไว้ แล้วก็เคยตามเพื่อนที่มีพ่อเป็นพัสดีเรือนจำไปดูความเป็นอยู่ในคุกของอินเดียด้วยความรู้สึกว่าความสกปรกโสโครกและเครื่องทัณฑกรรม กลิ่นเหม็นฉุนเฉียวเหล่านั้นเองคือนรกที่ใครๆเล่าขานกันมา…”

เกาทัณฑ์เว้นจังหวะ ตรึกนึกถึงประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวาน

“เมื่อวานนี้ประสบการณ์และความเชื่อทั้งหมดของผมถูกปรับเปลี่ยนไปอย่างถาวร หลวงตาแขวนท่านสะกดให้เห็นนรกภูมิ ไม่รู้หรอกว่าขุมที่เท่าไหร่ ตั้งอยู่ที่ไหน รู้แต่คำว่า ‘อีกโลก’ หนึ่งนั้น เป็นคนละครอบฟ้ากับโลกใบนี้ ภาพของจักรวาลที่กว้างใหญ่และมิติของภพภูมิที่ซ่อนซ้อนได้ปรากฏกับใจของผมเป็นคนละเรื่องกับที่เคยจินตนาการเอาไว้

ผมยังไม่เคยเห็นสวรรค์ แต่จากการเห็นนรกบวกกับอนุมานตามสัจจะเกี่ยวกับขั้วตรงข้าม ก็ทำให้เชื่อแล้วว่าสวรรค์คงมีอยู่ และทำให้เห็นด้วยว่าเมื่อนรกทุกข์ร้อนสาหัสได้ปานนั้น สวรรค์ก็ต้องร่มเย็นเป็นสุขได้ที่สุดขั้วตรงข้ามปานกัน

มองรอบตัวที่เราเห็นได้แต่โลกใบเดียวนี้ จินตนาการยากนะว่าที่แท้เป็นการล่องลอยอยู่ในท่ามกลางไตรภูมิอันกว้างใหญ่มโหฬาร มีเงื่อนกรรม เงื่อนเวลามาผูกมัดให้เห็นสิ่งหนึ่งๆ รับรู้สิ่งหนึ่งๆเป็นขณะ เชื่อได้เฉพาะสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าเท่านั้น”

เกาทัณฑ์พยายามสูดลมหายใจให้รู้กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนกายแพตรี เมื่อวานมีโอกาสเข้าใกล้จนรู้ชัดและจำได้ดี เสียดายตอนนี้อยู่ห่างไปหน่อย กลิ่นกายที่ระเหยมากับไอฉ่ำเย็นของเครื่องปรับอากาศจึงเข้ากระทบจมูกได้เพียงครึ่งหนึ่งของความน่าชื่นใจทั้งหมด

“มีแพ…ผมกำลังอยู่ในสวรรค์บนดิน”

เขาลงเสียงนุ่มมาก แพตรีเผลอยิ้มหน่อยหนึ่งอย่างคาดไม่ถึงว่าที่พูดยืดยาวก็เพื่อสรุปลงเกี้ยวหล่อน

รถแล่นเรื่อยกระทั่งเลยรังสิตมาระยะหนึ่ง เมื่อเห็นถนนหนทางโล่งกว้างขาวสว่างและมองไกลได้สุดโค้งฟ้า ใจพลอยปลอดโปร่งกว่าเดิม ขนาดที่ทำให้แพตรีเอ่ยขึ้นได้ลอยๆ

“เมฆเรียงสวยดีนะคะ”

เกาทัณฑ์เหลือบตามองตาม เห็นคล้อยตามหล่อนจนอมยิ้มปลื้ม โดยไม่สังเกตสังกาว่าปุยเมฆที่เรียงสวยนั้น อาจเปลี่ยนรูปเป็นอื่น แยกแฉกสลายตัวลงได้เพียงคลาดสายตาแค่อึดใจเดียว

ทางเบื้องหน้าปรากฏเหยียดยาว เขากับหล่อนกำลังนั่งมอง และร่วมเคียงกันพุ่งตรงไปคล้ายเลื่อนลิ่วบนรางเมฆ…


บทที่ ๑๕  กราบพระ

ห้องโถงชั้นล่างของกุฏิเจ้าอาวาสอุ่นหนาฝาคั่งด้วยญาติโยมที่ตั้งใจมานมัสการกราบหลวงพ่อพุธจากทั่วทุกสารทิศ เกาทัณฑ์กับแพตรีซึ่งเข้ามาใหม่จึงต้องนั่งอยู่รั้งท้ายสุด

หลวงพ่อพุธกำลังนั่งอยู่บนอาสนะของท่านเห็นไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป มีภิกษุผู้เป็นสัทธิวิหาริกนั่งคอยดูแลอำนวยความสะดวกอยู่ด้านข้าง บรรยากาศในห้องเยือกเย็นน่าอยู่อย่างประหลาด ใครเข้าไปนั่งในนั้นจะต้องรู้สึกอยากอยู่ที่นั่นนานๆ ไม่อยากกลับออกไปเร็วนัก

หลวงพ่อท่านมิใช่พระผู้มีกิตติศัพท์เรื่องปลุกเสก ญาติโยมส่วนใหญ่มาเพื่อกราบเรียนถามข้อธรรมที่ติดขัด จึงบ่อยครั้งที่จะได้ยินท่านเทศนาธรรมหัวข้อสั้นๆ อย่างเช่นในวาระที่สองหนุ่มสาวเพิ่งเข้ามานี้ เผอิญเป็นจังหวะแห่งธรรมเทศนาพอดี

"…การฟังธรรมเป็นการฟังเสียงคนอื่นพูด ทีนี้วิธีรู้อริยสัจสี่นั้นฟังเสียงคนอื่นเฉยๆไม่ได้ ต้องหันมาฟังเสียงของหัวใจตัวเอง ให้กำหนดจดจ้องลงที่จิต กำหนดลงตรงที่ตัวผู้รู้ภายในจิตของตัวเอง ความรู้สึกมีอยู่ที่ไหน ตัวผู้รู้ก็มีอยู่ที่นั่น คอยจดจ้องดูว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นภายในจิต ก็ตามกำหนดรู้สิ่งนั้น อย่าปล่อยโอกาส เอาตัวรู้ตัวเดียวตามรู้ตามเห็นไปทุกวาระจิตที่เรามีความคิดขึ้น อันนี้สำหรับผู้ที่เคยภาวนามาจนชำนิชำนาญแล้ว”

กังวานเสียงทุ้มแน่นที่ขับออกมาจากดวงจิตเห็นธรรมนั้นจูงให้ผู้ฟังคล้อยลงสู่กระแสสงบพร้อมจะสดับฟังและตรึกนึกตาม เป็นอีกประสบการณ์ใหม่ของเกาทัณฑ์ ถ้อยคำที่เหมือนเคยได้ยินมาก่อนกลับกลายเป็นของใหม่ที่ฟังกระจ่างอย่างน่าฉงน

“สำหรับผู้ที่เริ่มใหม่ ซึ่งจิตยังไม่เคยมีสมาธิ และไม่เคยเกิดภาวะตัวผู้รู้ขึ้นมาในจิต ให้อาศัยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกบ้าง หรือกำหนดบริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนเองชอบใจ เช่น ‘พุทโธ' เป็นต้น

ให้กำหนดจดจ้องลงที่จิต แล้วเอาจิตนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ นึกอยู่อย่างนั้น นึกอยู่เฉยๆ    อย่าไปทำความรู้สึกว่าเมื่อไรจิตของเราจะเกิดความสงบ เมื่อไรจิตจะเกิดความสว่าง เมื่อไรจิตจะเกิดความรู้ความเห็นขึ้นมา

การภาวนาในเบื้องต้นนี้ ไม่ใช่เพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นสิ่งอื่น แต่เพื่อให้รู้ให้เห็นความเป็นจริงของจิต รู้อย่างไร รู้ตรงที่จิตของเรากับการบริกรรมสัมพันธ์กันหรือไม่ มันไปด้วยกันหรือไม่ จิตอยู่กับพุทโธไหม หรือว่ามันลืมพุทโธเป็นบางครั้งบางขณะ ไปอยู่กับสิ่งภายนอกซึ่งเป็นอดีต เป็นสิ่งอื่นนอกจากพุทโธ นั่นแสดงว่าจิตเราละพุทโธ เป็นอาการของจิตฟุ้งซ่าน

แต่ถ้าจิตละจากพุทโธไปอยู่กับความนิ่งว่าง ก็อย่าไปสร้างความรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมา ขอให้กำหนดรู้ความว่างอยู่อย่างนั้น…"

ทุกปลายเสียงที่ทอดเนิบด้วยพลังเมตตาเมื่อสิ้นแต่ละวรรคแต่ละประโยคของหลวงพ่อพุธนำมาซึ่งความสงบซึ้งในวิเวกธรรม เกาทัณฑ์ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้เดี๋ยวนั้นว่า ‘การฟังธรรม' คืออะไร ไม่ใช่เพียงรับคำพูดของผู้แสดงธรรม แต่ยังเป็นการซึมซับเอาความสงบ ความรู้แจ้งที่ถ่ายทอดผ่านกระแสเสียงอันทรงธรรมมาก่อกุศลจิตในปัจจุบันอีกโสด

ทำนองเดียวกับคนในโลกชอบฟังดนตรีที่ตนโปรดไม่อิ่มไม่เบื่อ ผู้ปรารถนาธรรมย่อมชอบฟังธรรมจากผู้ทรงคุณบ่อยๆมิรู้หน่ายเช่นกัน แม้จะฟังซ้ำแล้วสักกี่รอบก็ตามที

เหมือนธรรมะอันสูงส่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมและอาจแตะต้องได้ เพียงด้วยความเชื่อมั่นและอยู่ใกล้หลวงพ่อพุธท่าน สิ่งนี้นับเป็นปาฏิหาริย์ล้ำค่า ให้คุณเหนือการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อื่นใดทั้งปวง เพราะเป็นอำนาจวิเศษที่ชักจูงจิตวิญญาณให้คล้อยสู่กระแสนิพพานอันประเสริฐสุด เมื่อถึงแล้วจะสถิตถาวรชั่วกาลนาน ฤทธิ์ของท่านมิใช่เพียงปาฏิหาริย์ชักจูงให้เกิดความทึ่งหรืออัศจรรย์ใจชั่วครู่ชั่วคราว

ชายหนุ่มจดจ้องดูความผ่องใสฉายราศีสง่าจับตาของหลวงพ่อพุธ แม้จะอยู่ในวัยชรา ท่านก็คล้ายมากไปด้วยพลกำลัง ซึ่งแน่นอนย่อมเกิดจากธรรมานุภาพในดวงจิตโดยแท้

สง่าราศีที่เห็นในท่านมีความแตกต่างจากสามัญชน คนในโลกนั้นให้สูงส่งแค่ไหนก็ไปหยุดกันที่ความน่าเลื่อมใส ความน่าเทิดทูน หรือความน่ายำเกรง แต่สำหรับหลวงพ่อพุธนั้น ภาพปรากฏของท่านเป็นอารมณ์จิตให้ผู้พบเห็นแล่นเลยมาถึงการสัมผัสความปล่อยวาง และความน่าบูชาเหนือโลก ทั้งที่มิได้อยู่ในเครื่องแต่งกายภูมิฐานหรือสถิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอลังการอันใด

เห็นแสงแฟลชวาบอยู่เป็นระยะ ทุกคนคงปรารถนาจะเก็บภาพท่านนั่งเด่นเป็นประธานธรรมไว้ไปบูชา นั่นทำให้เกาทัณฑ์นึกขึ้นได้ แกะกล้องของตนออกจากซองบ้าง ยกขึ้นเล็งและปรับซูมให้เข้าระยะโฟกัสเหมาะ แล้วชันเข่าขึ้นกดชัตเตอร์ คิดในใจว่าควรถ่ายไว้เพียงสองภาพ แบบจับหน้าใกล้และดึงออกไกลตามระยะจริง ไม่มากกว่านั้น ด้วยเกรงแสงแฟลชจะเป็นที่รบกวนทั้งหลวงพ่อและญาติโยมด้วยกัน

กลับลงนั่งเก็บกล้องเข้าที่ เหลือบแลและลอบสังเกตรอบด้าน เห็นอุบาสกอุบาสิกาบางคน บางกลุ่ม นั่งปิดตาสงบในกิริยาสมาธิเพื่อรับฟังธรรมด้วยจิตที่เข้าใกล้ท่านมากขึ้น ก็เกิดความเห็นดีเห็นงามตาม หันมาตั้งหน้าตรง ดำรงสติมั่น ปิดตากำหนดจิตเข้าสู่ความทรงนิ่ง สงัดราบคาบจากความคิดทั้งมวล กระทำประสาทหูให้เป็นที่รับธรรมเทศนาชั้นดี บังเกิดความตระหนักว่าเมื่อฟังธรรมจากผู้มีจิตเป็นสมาธิ ก็ควรมีจิตเป็นสมาธิตามท่าน เพื่อรับกันได้สนิทเช่นนี้

แจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดพระผู้ปฏิบัติชอบจึงถือเป็นนาบุญของโลก หากปราศจากปูชนียบุคคลผู้สืบทอด ผู้เป็นแบบอย่าง ผู้นำความเลื่อมใสศรัทธาเหล่านี้ ใครเล่าจะเชื่อหรือมีกำลังใจอยากปฏิบัติให้ถึงซึ่งวิมุติตามพระพุทธองค์

เมื่อใดโลกว่างจากพระอริยเจ้า ต่อให้ท่องบ่นสาธยายธรรมกันมากมายเพียงใด ก็ย่อมเกิดวิจิกิจฉา สงสัยลังเลว่าสุดทางปฏิบัติคือดวงธรรมอันประเสริฐ หรือว่าคือความสูญเปล่าไร้ประโยชน์ และผลการปฏิบัตินั้นประจักษ์ได้ในปัจจุบัน หรือว่าต้องรอแตกดับไปพบพานในปรภพ

ต่อเมื่อมีท่านผู้เป็นหลักฐานธรรมเช่นหลวงพ่อพุธอยู่ แม้เพียงสัมผัสพบเห็นและฟังท่านกล่าวพอสังเขป ใจส่วนหนึ่งก็พร้อมจะซึมซับรับรู้ของจริง โน้มเอียงไปในทางเชื่อได้แล้วว่าสวรรค์ มรรคผล นิพพานนั้นคือปลายทางการปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบ ไม่ใช่เรื่องกุแต่อย่างใด

หลวงพ่อพุธตอบคำถามญาติโยมอีกพักใหญ่ก็ขอตัวไปทำกิจของท่าน  เกาทัณฑ์กับแพตรีได้แต่กราบลาอยู่ห่างๆโดยไม่ทันมีโอกาสไถ่ถามธรรมะข้อใด เนื่องจากเผอิญมาในวันที่ญาติโยมออกันข้างหน้าเยอะ

 

ใจโปร่งเบาเป็นที่สุดเมื่อเดินออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาส สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันเงียบเชียบบนทางร่มด้วยเงาสน เมื่อผ่านโบสถ์พระประธาน เห็นประตูแง้มเปิดอยู่ เกาทัณฑ์ก็เกิดความคิดฉับพลันและชวนขึ้นว่า

"เข้าไปกราบพระประธานกันไหม?"

หล่อนพยักหน้าและเดินตามเขาไปโดยดี

ในโบสถ์มีแม่ชีคนหนึ่งกวาดพื้นอยู่ตามลำพัง เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวก้าวเข้ามาก็ให้ความสนใจมองเพียงเล็กน้อยแล้วทำความสะอาดเก็บกวาดฝุ่นผงของตนต่อ

เกาทัณฑ์และแพตรีมาก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์พร้อมกันหน้าองค์พระปฏิมาด้วยลักษณาการอ่อนน้อมนอบนบ เมื่อกราบแล้วก็นั่งนิ่งอยู่ด้วยความสำรวมในที

ใจเหมือนทะเลเรียบและกว้างโล่ง ชายหนุ่มเงยหน้ามองพระพักตร์ฉายสงบขององค์ปฏิมาแล้วบังเกิดความอิ่มละไมออกมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ผู้สร้างช่างมีศรัทธาแก่กล้าจริงหนอ ประดิษฐ์พระพักตร์ยิ้มรู้เยือกเย็นไร้มลทินจนมองแล้วคล้อยซึ้งถึงเพียงนี้ การสร้างถาวรวัตถุอันก่อกุศลจิตอันยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้พบเห็นนั้นควรได้รับรางวัลสนองตอบจากธรรมชาติบุญกรรมสักเพียงใด?

คิดแล้วก็ยิ้มออกมาด้วยใจอนุโมทนา เชื่อมั่นว่าผู้เป็นช่างและผู้ให้ทุนสร้างคงมีรูปโฉมงามหมดจดเจริญตาเจริญใจผู้พบเห็นไปทุกภพทุกชาติตราบเข้าถึงพระนิพพาน เกิดไปเถอะ กี่ชาติๆจะต้องได้อัตภาพอันงดงามยิ่งใหญ่เป็นหนึ่ง น้อมใจให้นึกรัก เลื่อมใส อยากใกล้ชิดเกินใคร

นี่แหละหนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นครั้งหนึ่งเปิดทางให้ผู้คนมีโอกาสสร้างบุญได้มากมายเหลือคณานับ แรงปีติในบัดนี้ก็ดี ธรรมเทศนาของหลวงพ่อพุธก็ดี วัดนี้และวัดอื่นทั่วตลอดทั้งเจ็ดแผ่นดินก็ดี ล้วนปรากฏมีปรากฏเป็นด้วยต้นทางคือพระมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว

คิดถึงสังสารวัฏอันน่าสะพรึงกลัว ความไร้ที่จบสำหรับสัตว์ที่ท่องไปโดยปราศจากจุดหมาย ก่อเวรก่อกรรมโดยมีเงื่อนธรรมชาติแกล้งไม่ให้รู้ว่ามีนรกสวรรค์ดักรออยู่เป็นจุดๆ แล้วคิดถึงพระสัพพัญญูผู้กระทำความจบให้เกิด และตรากตรำตลอดพระชนมพรรษาเพื่อรื้อขนเวไนยสัตว์จากทางวิบากอันไร้แก่นสารเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ยิ่งตรึกนึกระลึกถึงพระคุณของตถาคต ก็ยิ่งบังเกิดแรงบันดาลศรัทธาขึ้นล้นเกล้า ชนิดที่เข้าใจเลยว่าความเคารพรักและบูชาขนาดยอมตายให้ใครสักคนได้นั้นเป็นอย่างไร

คิดถึงพระพุทธวจนะแล้วระลึกได้ว่าสิ่งบูชาที่พระองค์พอพระทัยสูงสุด มิใช่ดอกไม้หรือชีวิตใคร แต่เป็นธรรมบูชา ปฏิบัติภาวนาจนจิตเห็นแจ้งในธรรม แล้วน้อมความเห็นนั้นเป็นเครื่องถวายพระองค์

ปลงใจเห็นชอบดังนั้นก็หันมาทางแพตรี

"ผมขอเวลาทำสมาธิสักพักหนึ่งได้ไหม?"

หญิงสาวกำลังมองพระพักตร์และระลึกถึงพระพุทธคุณอยู่เช่นกัน เมื่อได้ยินเขาถามแสดงเจตจำนงก็เหลียวมาหาและกระซิบ

"ตามสบายค่ะ"

เห็นรอยยิ้มตอบของหล่อนในบัดนั้นแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกสนิทแน่นแฟ้นฉันสหธรรมิก หรือเพื่อนผู้ยินดีร่วมเสพธรรม เป็นความรู้สึกแสนสะอาดที่ไม่เคยเกิดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน หากแม้ต่อไปแพตรีปฏิเสธความสัมพันธ์ฉันคนรัก เขาก็จะคงยังผูกพันและมีความปรารถนาดีให้ พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยความจริงใจของเพื่อนแท้ถึงที่สุด

ลุกไปถามแม่ชีว่าจะมีการทำกิจของสงฆ์ในช่วงใกล้หรือไม่ แม่ชีตอบว่าบ่ายสามโมงพระจะมานั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐานด้วยกัน ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือดูเห็นเหลือเวลาอีกถมเถก็สบายใจ เนื่องจากคิดจะนั่งสำรวมสติถวายธรรมเป็นเครื่องบูชาพระปฏิมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น

กลับมานั่งตรงที่เก่า หันไปยิ้มให้แพตรีนิดหนึ่งแล้วเบือนหน้ากลับมาปิดเปลือกตาลงกำหนดจิตวางไว้กับสายลมหายใจออกและเข้า จับอารมณ์ติดทันทีด้วยศักยภาพอันเจริญขึ้นตามวันเวลาที่ฝึกจิตอย่างต่อเนื่อง

แพตรีเห็นความสงัดงันเงียบนิ่งอย่างรวดเร็วของเกาทัณฑ์แล้วก็หยั่งทราบได้ว่าเขาเข้าถึงภาวะสมาธิไปแล้ว เป็นขั้นแนบแน่นพอควรเสียด้วย เนื่องจากตลอดองค์แห่งกายขัดสมาธิ์แน่วนิ่งไม่ไหวติงและดูแกร่งในตัวเองด้วยการค้ำจากพลังจิตที่ก่อตัวขึ้นภายใน

เห็นแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำสมาธิตาม หันมาตั้งหน้าพริ้มตาลง กำหนดนึกถึงความสุขอันคุ้นเคยในภาวะสมาธิ ค่อยๆหย่อนความรับรู้ทั้งมวลไปรวมลงที่ลมหายใจโดยไม่ต้องตั้งสติเคร่งครัดมากนัก เนื่องจากมีพลังปีติในธรรมที่ยังค้างคาเป็นตัวช่วยรวมกระแสจิต เรียกตัวรู้ให้เข้าตั้งนิ่งในที่ที่เป็นดุลอยู่แล้ว

เมื่อตัวรู้ได้ที่ตั้งมั่นกลางฐานสติ ก็เกิดเป็นความเห็นกว้างขวางแผ่ไปตลอดสัณฐานแห่งกายนั่ง ขยายซ่านไปรอบด้าน มีลมหายใจเข้าออกเป็นตัวหล่อเลี้ยง ตัวประคองให้จิตทรงอยู่ในสภาพนิ่งฉายรัศมีเช่นนั้น

แพตรีกำหนดสติรู้อาการระบายลมออกและดึงลมเข้าด้วยความแช่มชื่นอยู่นาน ลืมทุกสิ่งทั้งหมด คงไว้แต่ลมหายใจกับความสุขเหลือจะพรรณนา เพลินนานจนตัวอนุสติที่รู้ว่านั่งในโบสถ์เลือนไป

ฐานรู้ในกายเคลื่อนไปนิดหนึ่ง แต่นิดหนึ่งนั้นมากพอจะทำให้หมดสภาพรู้สึกตัวโดยรวม มีแต่ความนิ่งว่างแบบหลับสนิท ต่างจากหลับก็ตรงที่มีความใสสว่างนวลลออจากกลางสภาวะรู้ และท่วมท้นพ้นประมาณด้วยกระแสปีติสุข ตัวตนทั้งหมดเหลือเพียงนามธรรมไร้รูปชนิดที่จะก่อรูปเป็นรอยยิ้มเกษมสำราญ

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หล่อนเคลิ้มอยู่ในภวังค์สมาธิ จิตเปิดออกรับสัมผัสภาพใกล้ไกลนอกกาย และเหมือนกำลังคิด พูด หรือทำบางสิ่งตามปกติ ราวกับลืมตาอยู่ข้างในและอยากเคลื่อนไหวไปทำอะไรสักอย่าง

สิ่งแรกที่ปรากฏทางมโนทวารคือความหมายรู้ศรัทธาในองค์พระปฏิมาเบื้องหน้า แล้วตามด้วยแสงทองรองเรืองฉายเข้ามาในดวงจิตราวกับรัศมีตะวันทองยามเที่ยง ทุกสิ่งกระจ่างใสไปหมด สัมผัสที่เกิดขึ้นคมชัดยิ่งเสียกว่าเห็นด้วยตาเนื้อ ตรงหน้าหล่อนเป็นพระประธานองค์เดิม แต่ฉายรัศมีงดงามพิลาสเกินจะพรรณนาถูก แท่นประดิษฐานแพรวพราวด้วยเครื่องประดับบูชาอันล้วนประณีต มีดอกบัว หลากดอกไม้สี และนานาแก้วนวรัตน์เป็นต้น วาบวับจับจิตเยี่ยงสมบัติเทวดา นิมิตของทิพยสภาพย่อมละเอียดอ่อนสุขุมเช่นนั้นเอง เป็นสิ่งที่แพตรีเคยพบเห็นมาก่อน จึงมิได้เกิดความตื่นเต้นแต่อย่างใด

ความรู้สึกทางด้านข้างคือเขาผู้ที่นำหล่อนมาสู่สถานที่นี้ หญิงสาวอยากหันไปมอง แต่ทำไม่ได้ คล้ายมีกำแพงพลังบางอย่างกั้นขวางไว้ ทำได้เพียงมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างเดียว

ความหม่นมืดโรยตัวเข้าแทรกแทนแสงสว่าง คล้ายเกิดภาพในห้วงฝัน เห็นเหมือนตนเองกำลังพายเรือข้ามคลองสกปรก และความรู้สึกบอกว่าเกาทัณฑ์นั่งช่วยออกฝีพายอยู่เบื้องหลัง หล่อนวาดซ้าย เขาวาดขวาอย่างได้ดุลพอดีให้ลำเรือแหวกน้ำนิ่งไป

ตรงหน้าใกล้หล่อนคือแผ่นหลังของชายในชุดขาว นั่งสงบไม่ไหวติงที่หัวเรือ รอบทิศคือกระแสเงียบอันน่าฉงน ถามตนเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นนิมิตหรือของจริง ทั้งที่เกิดอนุสติบอกตนเองว่านี่เป็นนิมิต แต่ใจก็เชื่อว่าเป็นของจริง ด้วยสีสันความคมชัดของภาพที่ปรากฏ และความเห็นวงแขนตนขยับวาดพายอย่างต่อเนื่อง จับสัมผัสได้ละเอียดลออแม้เมื่อเกร็งช่วงแขนดันพายต้านกลุ่มน้ำเพื่อให้เรือเคลื่อนไป

น่าแปลกที่ริมฝีปากหล่อนระบายยิ้มปรีดา ทั้งที่ใจเป็นกลางเฉย คล้ายกายแยกไปทำตามตัวเองต้องการได้

เรือแล่นเรียบมาใกล้ฝั่ง เกาทัณฑ์คัดท้ายพายราน้ำให้หัวเรือเบนจากแนวเส้นตรง เอาข้างเข้าเทียบตลิ่งด้วยพลกำลังแห่งชายบวกกับความชำนิชำนาญ ไหวลำเล็กน้อยเมื่อกราบเรือกระทบขอบตลิ่ง ก่อนหยุดสนิทพร้อมให้ขึ้นฝั่ง

ขึ้นฝั่ง...หล่อนยังอยากอยู่ในเรือต่อกับนายท้าย

ร่างผอมของชายในชุดขาวลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเท้าเหยียบแผ่นดิน เขาหันมามองหล่อน พอเห็นว่าเป็นใครแพตรีก็ขนลุกเกรียว…มติ

มติยิ้มละไม ท่าทางมีความสุข หมดห่วง และได้ยืนบนแผ่นดินอันมั่นคง ต่างกับหล่อนซึ่งยังอยู่บนแผ่นน้ำที่เต็มไปด้วยความเลื่อนไหลโยกคลอน

เกาทัณฑ์ใช้หัวพายดันตลิ่งเพื่อส่งเรือออกสู่น้ำต่อไป หล่อนยังจับตามองร่างน้องชายจนหมดแก่ใจช่วยลงพายต่อ เกิดความอาลัยอาวรณ์อย่างยากจะกล่าว ใจบอกว่าเป็นพี่เป็นน้องกับเขาแท้ๆ วันนี้ต้องมาจากกันแล้ว

ละสายตาจากมติเมื่อมาได้ไกลจนสุดจะเอี้ยวคอ ใจตัดไปเบื้องหน้า เหลือบมองกลุ่มน้ำรอบตัว เพิ่งได้กลิ่นเหม็นคลุ้ง เพ่งตรงไปในลู่ยาวก็เห็นลำน้ำคล้ำกลาดเกลื่อนด้วยเศษขยะน่ารังเกียจ อากาศหม่นน่าอึดอัดคล้ายถูกคลุมด้วยมลพิษจากสภาพแวดล้อมทั่วไป

แล่นเรืออยู่กลางน้ำเน่า ด้วยความอบอุ่นใจที่มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…

ภาพนิมิตจางลง ขณะจิตกำลังคืนจากสภาวะรวมตัว ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์และวาบแสงแฟลชผ่านเปลือกตาเข้ามา แพตรีค่อยๆลืมตาด้วยความก้ำกึ่งในสำนึกระหว่างตื่นกับภวังค์สมาธิ

ปรับสติอยู่เป็นอึดใจ ก่อนเหลียวมองทางขวามือ ชะงักไปหน่อยเมื่อเห็นดวงตาชายหนุ่มเพ่งจับอยู่ก่อนแล้วยิ้มๆ เหลือบลงต่ำก็เห็นกล้องถ่ายรูปในมือเขา

“เวลาแพนิ่งนี่อย่างกับเทวรูปเลย” เขาชูกล้องอวด “ผมจะเอาภาพนี้ไว้หัวนอน”

เกาทัณฑ์เพิ่งถอนจิตก่อนหน้าแพตรีเพียงนาทีเศษ เป็นช่วงเวลาอันสั้นกับการได้พินิจอย่างใกล้ชิดขณะหล่อนไม่รู้ตัว สรีระที่ถูกสร้างไว้สมส่วนรับกันสนิทตลอดร่างแพตรีส่งเสริมให้ลักษณาการขณะเป็นสมาธิชวนมองน่าจับตายิ่ง รูปศีรษะมน ดวงหน้าฉายสงบ ลำคอระหง และช่วงไหล่กลมกลึงรับกับเรือนกายตั้งตรงเป็นสง่า เสียดายที่นึกได้ว่าควรบันทึกภาพเก็บไว้ก็เมื่อหล่อนใกล้ออกจากสมาธิ มิฉะนั้นคงมีโอกาสชักไว้อีกหลายมุม

แพตรีมองทางเขา ทว่าใจพยายามย้อนนึกและตีความนิมิตในสมาธิ ความจริงระยะหลังนี้หล่อนห่างเหินจากนิมิตสมาธิไปมาก เนื่องจากรู้ทางดำรงสติเกาะกาย อันเป็นผลมาจากการสั่งสมประสบการณ์แรมปี เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่เกิดนิมิตขึ้นราวกับหลับฝัน

“ถ้าแสงแฟลชสะกิดให้ออกจากสมาธิก็ขอโทษด้วยนะ”

กล่าวทั้งที่หยั่งรู้ด้วยใจว่าเมื่อครู่จิตหล่อนดิ่งเกินกว่าประสาทตาจะรับแสงแฟลชได้ เป็นความเผอิญที่หล่อนหยุดกำหนดจิตพอดีเองขณะเขาลั่นชัตเตอร์ ตอนนี้เกาทัณฑ์กำลังเป็นห่วงมากกว่า เพราะดูแววตาหล่อนคล้ายครุ่นคิดผิดสังเกต

ด้วยคำถามของเขา ทำให้แพตรีรู้สึกตัว ตัดออกจากห้วงคำนึงนึกภายใน

“ชอบแอบถ่ายรูปคนอื่นเป็นประจำหรือคะ?”

เกาทัณฑ์หัวเราะ

“ภาพบางภาพเหมือนของขวัญจากธรรมชาตินะ มัวขออนุญาตใครก็หายไปก่อนน่ะซี…นับเป็นนิมิตหมายที่ดี รูปแรกที่ถ่ายแพก็ได้ตอนอยู่ในสมาธิ ก่อนนอนทุกคืนผมจะดูรูปนี้ แล้วคิดว่าแพกำลังนั่งบำเพ็ญเพียร ผมจะได้นึกอยากนั่งตาม”

ทีแรกฟังแล้วแพตรีคิดจะห้าม เพราะคงประเจิดประเจ้อไปหน่อยถ้าเพื่อนเขาเห็น แต่รู้ว่าห้ามก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อฟิล์มอยู่กับเขา ใครจะสั่งได้ว่าเมื่ออัดล้างแล้วให้เอาไปตั้งวางที่ใด จึงปลงใจเฉยเสีย

“ผมเพิ่งเคยนั่งสมาธิในโบสถ์เป็นหนแรก จิตเที่ยงอยู่ตรงกลางได้ดุลพอดีแต่ต้นจนจบทีเดียว คงเพราะพระท่านมาร่วมทำสมาธิด้วยกันทุกวัน แถมมีกิจสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นประจำ เลยมีสนามพลังกุศลตกค้างอยู่เยอะ เราปรับจิตหน่อยเดียวก็คล้อยตามกระแสได้ง่าย”

แพตรียิ้มตอบ

“ค่ะ รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”

“เป็นอีกวันที่ผมคิดถึงพระนิพพานขึ้นมาแบบรู้สึกใกล้จะเอื้อมถึง สัมผัสพระอย่างหลวงพ่อพุธท่านแล้วเป็นอย่างนี้เอง อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ บางทีรู้วิชาโดยยังไม่ทันต้องเรียน”

แล้วเขาก็เลิกคิ้ว

“เราน่าจะตระเวนกราบพระที่ท่านถึงธรรมให้ทั่ว ใช้เวลาวันเดียวแบบนี้แหละ ถ้าอยู่ห่างมากก็ไปเครื่องบิน ช่วยกันตั้งเข็มอาทิตย์ละครั้งเลยดีไหม?”

หญิงสาวเมินไปทางอื่นคล้ายจะปฏิเสธ ไม่ยินดีรู้หรือยินดีชี้ แต่ริมฝีปากกลับระบายยิ้มที่ชวนให้ตีความหมายว่า ‘ขอคิดดูก่อน’

“พอจิตตั้งนิ่งได้ที่ แพใช้พิจารณาอะไรบ้างฮะ?”

“หลวงตาแขวนสอนให้รู้อาการสงบ และรู้ทันอาการไหว โดยเห็นว่าที่เกิดความไหวนั้นก็เพราะมีธรรมอย่างหนึ่งเข้ากระทบใจ เมื่อจิตไหวจากความสงบก็คือหมายรู้ หมายจำได้ว่าธรรมนั้นคือบุคคล สถานการณ์ หรือเหตุการณ์ใดๆ อาการหมายรู้ที่เรียกว่า ‘สัญญา’ นั้นเหมือนพยับแดด คือเหมือนมีจริง แต่ครู่เดียวก็เลือนไป”

เกาทัณฑ์พยักหน้า

“ผมสังเกตว่าถ้าช่วงเริ่มสมาธิแรกๆ หากเราตั้งจิตไว้กลางๆ รับรู้ที่ตั้งของแก้วหูทั้งคู่ จะทรงสติรู้ตัวได้ดีและมีจิตเปิดกว้างเป็นธรรมชาติ สมตามความจริงที่เรามีประสาทหูเป็นตัวเลี้ยงสมดุลในกายทั้งหมด เมื่อรักษาความรู้ทางสองหูไว้ ก็เท่ากับรักษาดุลอันเป็นปกติเดิมไปด้วย”

แพตรีรับฟังด้วยความสนใจ ปกติหล่อนจะทำความรับรู้เฉพาะนิมิตของฐานลมหายใจคือโพรงจมูก และตัวลมหายใจอันมีลักษณะเป็นสายยาวเท่านั้น แต่ตรึกนึกแล้วก็เห็นจริงว่าเพื่อให้เกิดตัวสติรู้ในสัณฐานกายและปริมณฑลโดยรอบ การตั้งจิตรับรู้คู่ประสาทหูทั้งสองข้าง เป็นอุปเท่ห์ หรือกลวิธีการกันจิตมิให้หลงตกไปในภวังค์ได้ คงเหมาะสำหรับผู้ที่นั่งแล้วมักหลงหลับ

“ใกล้ๆนี้ผมจะลางาน และขอปู่ไปปฏิบัติธรรมที่บ้าน แพคงไม่รังเกียจนะ”

ใบหน้างามละมุนหันขวับมาทันที

“ทำอะไรอย่างนั้นคะ?”

อ่านตาหล่อนก็รู้ว่าคิดอะไร เกาทัณฑ์กะพริบตาถี่ๆ รีบแก้ความเข้าใจ

“ผมคุยกับปู่แล้วล่ะ ไม่ใช่อย่างที่แพมองหรอก แค่อยากได้อาวาสเป็นสัปปายะ ห่างจากสภาพแวดล้อมเคยชินดั้งเดิม แต่ก็ไม่ถึงวัดที่ควรนุ่งขาวห่มขาว กำหนดใจถือศีลเป็นเรื่องเป็นราว รับรองจะดูแลตัวเองเกี่ยวกับที่หลับที่นอน อาหารการกิน และรักษาความประพฤติให้อยู่ในร่องในรอยโยคาวจร ไม่มาวอแวกับแพเด็ดขาด”

ก็ใช่อยู่หรอก เจตนาเดิมน่ะ เป็นอย่างที่แพตรีเข้าใจจริงๆ คืออยากเข้ามาใกล้หล่อนให้มากที่สุด จะอ้างอะไรบังหน้าก็ยอม ตอนนั้นรู้จักบาปบุญคุณโทษเสียเมื่อไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ หลังจากเห็นธรรมจนเกิดเป็นใจจริงขึ้นมา ก็มีกุศลจิต คิดหาเวลาอันปลอดโปร่งเพื่อหยุดตัวเอง สร้างความตั้งมั่นอย่างต่อเนื่องดูสักครั้ง และสอดรับกันได้กับที่ขอปู่ไว้ก่อนแล้ว

หญิงสาวมองเขาด้วยหางตาอย่างแคลงใจ

“ใครเขาออกจากบ้านเพื่อปลีกตัวแสวงวิเวกในอีกบ้านหนึ่งกันคะ มีแต่ออกต่างจังหวัดไกลๆ หรือเข้าวัดเข้าวาทั้งนั้น”

“นี่ไม่ได้แกล้งพูดนะ ผมเคยนั่งสมาธิสั้นๆที่บ้านปู่แล้วสงบเร็ว อาจเพราะได้ไอเย็นจากความร่มรื่นของกลุ่มไม้ เชื่อว่าถูกกับสภาพแวดล้อมที่เป็นเขตของปู่กับแพ แบบพระท่านแนะว่าอยู่ที่ไหนใจสงบ ก็ควรอยู่ที่นั่นให้มาก เข้าข่ายมีอาวาสอันเป็นสัปปายะ นั่นคือเหตุผลของการเลือก”

เกาทัณฑ์สบตาหล่อนอย่างเปิดเผยขณะพูด

“ถ้าแพไม่ยินดีผมก็จะยกเลิกแผนเดิม เปลี่ยนสถานที่ก็ได้ ผมจะไม่ฝืนใจเจ้าถิ่น นี่ถือว่าเป็นการถามขอความยินยอมจากแพอีกคนก็แล้วกัน”

แพตรีนิ่งไป บางสิ่งในความเป็นเขาดูน่าเชื่อถือเมื่อปราศจากร่องรอยช่างเล่น ในที่สุดก็เอ่ย

“ถามเจ้าของบ้านตัวจริงท่านอนุญาตก็แล้วไปสิคะ ขัดศรัทธาโดยไม่มีเหตุอันควรเดี๋ยวบาปแย่เท่านั้น”

พอเห็นรอยยิ้มเปิด เกาทัณฑ์ก็ทราบว่าหล่อนเต็มใจต้อนรับแล้ว

พยักหน้าชวนกันกราบลาพระประธาน เดินออกมาจากโบสถ์ เมื่ออยู่ข้างนอก เงยหน้าเห็นฟ้าใสๆ ใจที่แช่มชื่นอยู่แล้วก็เกิดปีติฉีดซ่านราวกับอยู่ในอุปจารสมาธิ

ด้วยสติที่กำลังแรง เมื่อจับพิจารณาสิ่งใดก็เกิดความเห็นแยกแยะได้เป็นชั้นๆ ชัดเจนราวกับรูปและนามน้อยใหญ่วางอยู่บนกระจกใสคนละแผ่น เกาทัณฑ์รับรู้ถึงกายที่เคลื่อนเดินไปของตนและหญิงสาวผู้อยู่เคียงข้าง กับทั้งสัมผัสชัดถึงกระแสธรรมชนิดเดียวกัน เชื่อมให้รู้สึกสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียว

บุญเป็นสิ่งมีอานุภาพ เมื่อสร้างร่วมกันแล้ว จะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม ผลคือนามธรรมชนิดหนึ่งคล้ายใยแก้วสานกันให้เกิดความรู้สึกเยือกเย็น งดงาม

ด้วยจิตอันคมกล้าในบัดนั้น เกาทัณฑ์หยั่งรู้ว่าผู้อยู่แต่ละปลายฝั่งสายใย จะเก็บสัญญาณฝ่ายของตนไว้ในจิตใต้สำนึก เป็นคนละชนิดที่ลึกกว่าความทรงจำอันเป็นสิ่งตื้นเขินผิวนอก แม้เมื่อจิตวิญญาณเคลื่อนจากอัตภาพเดิมไปครองอัตภาพใหม่ ก็จะนำสัญญาณนั้นติดตัวไปด้วย เมื่อพบกันอีกด้วยอำนาจดึงดูดฝ่ายบุญ ก็จะเตือนให้คุ้นกัน และรู้สึกเยือกเย็น งดงามเมื่ออยู่ใกล้

จะรักกันฉันพ่อแม่ลูก พี่น้อง เพื่อนพ้อง หรือสามีภรรยา ก็ขึ้นอยู่กับฐานะระหว่างกันขณะร่วมบุญ หากมีปัจจัยบวกใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไม่อิ่มไม่เบื่อในกันและกันเลย อยู่ใกล้กันได้เรื่อยๆ ชนิดเดียวกับที่ทุกคนปรารถนาจะเข้าหาเงาไม้หลบแดด หรืออาศัยศาลาริมน้ำหลบร้อน

เบื้องแรกเมื่อพบและรู้จักแพตรี เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกแสนพิเศษอย่างนี้ลอยลมมาจากไหน ต่อเมื่อจิตกับจิตทั้งสองฝั่งร่วมกันเปล่งรัศมีจัดจ้าไร้สิ่งคลุมบังถึงที่สุดหลังปฏิบัติธรรมเดี๋ยวนี้แล้ว จึงเกิดความ ‘เห็น’ โดยปราศจากความเคลือบแคลงใดๆอีก

เงาร่างของอีกฝ่ายอยู่เรียงเคียงข้างด้วยน้ำหนักเสมอกันทั้งระดับความคิดอ่าน ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาธรรม ดุจเดียวกับวางของสองชิ้นบนคันชั่งสองแขนได้ดุลพอดี

สัญญาณแห่งกุศลซึ่งใจส่งถึงกันนั้น เมื่อประจักษ์จึงรู้ว่าเป็นสิ่งพิเศษเหนือวิสัยชู้สาวสามัญ เกาทัณฑ์บอกตัวเองว่าต่อให้ใบหน้าของหล่อนน่าเกลียดน่ากลัวลงด้วยพิษน้ำกรดเสียเดี๋ยวนี้ ขอเพียงยังมีประกายสว่างจากหัวใจถึงหัวใจเช่นที่เป็นอยู่ เขาก็จะไม่รักหล่อนน้อยลงเลย

หมดห่วงแล้ว นี่เป็นการต่อ มิใช่การเริ่มนับหนึ่ง สอง สาม

หล่อนคือคู่แท้ของเขา

 

เกาทัณฑ์พาแพตรีมาที่ศูนย์การค้าของจังหวัดเพื่อทานข้าวกลางวันและเลือกซื้อของถวายสังฆทานกันเอง สองหนุ่มสาวมาอยู่ที่ศูนย์รวมอาหารของห้าง ซึ่งเผอิญมีร้านหนึ่งในนั้นขายอาหารมังสวิรัติโดยเฉพาะ ถูกกับความชอบใจของแพตรี

เป็นครั้งแรกที่ทานข้าวร่วมกันนอกบ้าน ด้วยความอยากเอาใจและให้เห็นว่าเขาอยากเป็นพวกเดียวกัน เกาทัณฑ์จึงเลือกสั่งอาหารจากร้านเดียว และอย่างเดียวกับหล่อนนั่นเอง

“ถ้าไม่เจอร้านเจหรือมังสวิรัตินี่…หิวขึ้นมาแพทำยังไง?”

“ก็สั่งเขาได้นี่คะ กับข้าวมีหลายอย่างที่ไม่ต้องใส่เนื้อ อย่างผัดผักบุ้งอะไรอย่างนี้”

เกาทัณฑ์ก้มหน้ามองผัดหมี่เห็ดหอมในจานตน แพตรีมองตามแล้วบอกว่า

“อย่าฝืนใจเลย มาด้วยกันไม่ได้หมายความว่าต้องกินอย่างเดียวกันนี่นา”

ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อย เลือกพูดเฉพาะส่วนที่เป็นความจริง

“ผมชอบเห็ดหอมขนาดไหนแพรู้ไหม ร้านนี้ให้เห็ดหอมอย่างดีด้วย นี่หมดแล้วว่าจะไปเอามาอีกจานต่างหาก”

“จะชอบทานอย่างนี้ได้นานกี่มื้อคะ?”

ฟังรู้ว่าสำเนียงหล่อนออกไปทางล้อ เพราะทราบว่าเขาทำไปเพื่อเอาใจ เกาทัณฑ์หัวเราะเก้อๆ อ้อมแอ้มว่า

“แพทำกับข้าวอร่อยจะตาย ผมคงติดใจไปเรื่อยถ้ามีโอกาสทานทุกมื้อที่เป็นฝีมือของแพ”

“แน่เหรอ?”

หญิงสาวทำเสียงทีเล่นทีจริง ตาทอประกายขึ้นมา

“แน่…”

เขาตอบเสียงอ่อย น่าหนักใจล่ะถ้าแพตรีขอร้องให้เป็นมังสวิรัติแบบหล่อน จะได้ทำกับข้าวง่ายๆ กินร่วมกันง่ายๆ แค่นึกก็รู้แล้วว่าตนคงโหยหาหมูเห็ดเป็ดไก่แทบชักดิ้นชักงอตาย

ก็คงต้องรอดูไปว่าแพตรีชอบบังคับจิตใจคนใกล้ชิดหรือเปล่า ดูจากผิวนอกแล้วคงไม่

มีมือใครคนหนึ่งวางบนบ่า เกาทัณฑ์เอี้ยวคอเงยหน้ามอง พอเห็นว่าเป็นเพื่อนก็ยิ้มร่า

“เฮ้ย! เชิง”

เชิงไทตบบ่าเพื่อนอีกทีหนึ่งอย่างจะทักซ้ำ ก่อนถือวิสาสะดึงเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะหย่อนตัวลงนั่ง วางจานข้าวขาหมูกับแก้วน้ำอัดลมที่เพิ่งนำมาจากร้านวางลงบนโต๊ะ

“มาทำอะไรที่นี่ล่ะเต้” พูดกับเกาทัณฑ์แต่หน้าหันไปยิ้มให้แพตรีและทักก่อน “สวัสดีครับ”

หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง ก่อนรับตามมารยาท

“สวัสดีค่ะ”

เกาทัณฑ์ดูแววตาเพื่อนที่จับมองหญิงสาวแล้วเห็นว่าขึ้นเงาเป็นประกายจัดเกินงามไปหน่อย ก็ใช้ปลายนิ้วสะกิดหัวไหล่เพื่อเรียกให้หันมามองเขาแทน

“มาไหว้หลวงพ่อพุธ”

เชิงไทรู้สึกยากจะถอนสายตาจากดวงหน้าสวยหวาน สวยชนิดที่เห็นปุ๊บเหมือนสะดุดล้มหล่นลงหลุมรักทันใด แต่จำใจต้องหันมาโต้ตอบเพื่อนตามเพลง

“โอ๊ เดี๋ยวนี้ไหว้พระเป็นด้วยรึ”

“อือ มึงล่ะ มาทำไม?”

“มาพักรีสอร์ตริมน้ำของพ่อไอ้ปี่ไง ล่องแก่งกันด้วย ที่กูชวนตอนบ่ายวันศุกร์แล้วมึงบอกติดธุระน่ะ ที่แท้มานี่เอง”

เกาทัณฑ์เห็นเพื่อนทิ้งท้ายแบบทำตารู้กันแล้วก็รีบแก้ความเข้าใจเสียใหม่

“เออ ธุระสำคัญน่ะเมื่อวานทำเรียบร้อยไปแล้ว วันนี้เพิ่งมาถึงได้พักใหญ่”

“อ๋อเหรอ...” รับรู้แล้วเวียนหน้ามาหาหญิงสาวอีก “ผมเป็นเพื่อนที่ทำงานเดียวกับเต้น่ะครับ พักหลังทำตัวห่างเหินเพื่อนฝูงไป กำลังตั้งข้อสงสัยกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น”

แพตรีมองเพื่อนของเกาทัณฑ์ด้วยยิ้มในที หน้าใสแบบหนุ่มเจ้าสำราญที่ฝังไว้ด้วยดวงตาทรงอำนาจฉลาดเฉลียวเยี่ยงผู้ประสพความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ของเขาดูเข้ากันเป็นพรรคเป็นพวกดีกับเกาทัณฑ์

“ชื่อเชิงไทนะครับ”

หนุ่มหน้าใสควักกระเป๋ายื่นนามบัตรให้หล่อน แพตรีรับมาวางไว้กับขอบโต๊ะ ทว่าไม่ได้แลดูตราทองของบริษัทยักษ์ข้ามชาติ กับตำแหน่งใหญ่ระดับรองหัวหน้าแผนกของเขาแต่อย่างใด

เชิงไทหันมาเสวนากับเพื่อนชายแบบสับจังหวะเสียหน่อย

“รู้แหล่งเที่ยวที่นี่หรือเปล่า จะได้แนะนำให้”

เกาทัณฑ์ทำหน้าเมื่อย

“รู้น่า…”

“อ้อ ลืมไป ดันหวังดีจะแนะที่เที่ยวให้กับนักเที่ยวตัวฉกาจได้ ฮ่ะๆ อุปมาเหมือนสอนลิงขึ้นต้นไม้”

น้ำเสียงเชิงไทมีพลังแห่งความรื่นรมย์ที่จะสะกดคนอื่นมาอยู่ใต้บรรยากาศของเขา แพตรีเห็นเกาทัณฑ์ถูกสัพยอก เปรียบเป็นลิงเป็นค่างเช่นนั้นก็หัวเราะออกมากิ๊กหนึ่ง แต่ฝ่ายเกาทัณฑ์พอเห็นหล่อนขำก็ชักไม่สบอารมณ์เพื่อนตงิดๆ

“โลกกลมเนอะ ดันมาเจอมึงได้ยังไงวะเนี่ย”

เชิงไทยักคิ้วหัวเราะอย่างสนุกที่เห็นเกาทัณฑ์เริ่มทำหน้าบูด

“แถวนี้หาที่กินเย็นๆยาก ข้างนอกร้อนตับจะแตก เข้าห้างว่าจะกินสุกี้ก็เจอคนเยอะซะนี่ เหลือโต๊ะว่างไม่พอ ยายแอ้ขี้เกียจรอเลยชวนมานี่”

เกาทัณฑ์ชักอึดอัด ความจริงเชิงไทเป็นเพื่อนที่สนิทกับเขามาก คบหากันตั้งแต่สมัยเรียนตรี แยกย้ายไปเรียนโทคนละแห่ง เขาจบก่อน เมื่อเข้าบริษัทก็เป็นคนชักชวนมาทำด้วยกันในตำแหน่งและสายทางที่เกื้อกูลกัน เขาทำทางเทคนิค เชิงไททำด้านตลาด ต่างก้าวหน้าเร็วเพราะสอบเข้ากับบริษัทแม่ที่เมืองนอกโดยตรง แสดงฝีมืออยู่ทางโน้นพักใหญ่ก่อนถูกย้ายมาประจำสาขาในเมืองไทยพร้อมกัน เพื่อเป็นตัวเชื่อมประสานระหว่างบริษัทแม่กับเครือข่ายอีกแรงหนึ่ง

หากเชิงไทมาคนเดียว ควรจะยินดีด้วยซ้ำที่เพื่อนเผอิญโคจรมาเห็นหวานใจโดยไม่ต้องรอจังหวะพาไปอวดเอง แต่นี่ ‘ยายแอ้’ ที่เขากับเชิงไทเพิ่งจะเปิดศึกประลองกระบี่ชิงนางกันหยกๆเกิดพ่วงมาด้วยน่ะซี…

บุคคลที่เกาทัณฑ์อยากเลี่ยงการเผชิญหน้าเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเชิงไทชูแขนขึ้นกวักมือเรียกใครบางคน และชี้โบ๊ชี้เบ๊คล้ายจะให้ใครคนนั้นเรียกเพื่อนที่กระจัดกระจายมารวมกันตรงนี้ พักเดียวก็มีหญิงชายถือจานข้าวบ้าง ถาดใหญ่บ้างทยอยเดินตามกันมา

“ให้พวกเรานั่งด้วยได้ไหมครับ?”

เชิงไทกวักมือเรียกพวกเสร็จค่อยถามแพตรีให้พอดูมีมารยาท ซึ่งแน่นอนหล่อนต้องตอบว่าเชิญตามสบาย ด้วยเห็นเป็นเพื่อนสนิทของเขา เกาทัณฑ์ฝืนยิ้มต้อนรับทุกคนอย่างดี

อ้าว! พี่เต้ หวัดดีครับ…อุ๊ย! พี่เต้นี่ สวัสดีค่า…

นึกอยากเตะเชิงไทสักป้าบ ความจริงเขากำลังจะออกปากไล่ ขอความเป็นส่วนตัวอยู่ทีเดียว แต่นี่คงสายเกินไปแล้ว เชิงไทถือสนิทจนขาดความเกรงใจเสมอ ลากเอาหญิงสามชายสองทั้งน้องและเพื่อนร่วมบริษัทมาตั้งวงได้ลงคอ ทั้งที่เห็นเขาอยู่กับแพตรีตามลำพัง คราวนี้จะไล่อย่างไรไหว พอทักทายเขาแล้วก็กระจายกันนั่งบนโต๊ะรอบๆนั่นเอง

เกาทัณฑ์คิดว่าโดยความสัมพันธ์ขณะนี้ แพตรีอาจยังไม่สานสนิทกับเขาพอจะสละอัธยาศัยรักสันโดษ ขนาดสบายใจร่วมนั่งท่ามกลางคนแปลกหน้าที่เป็นพรรคพวกเขาล้วน เผลอๆอาจขัดเคืองกับการเสียบรรยากาศเดิมจนแกล้งขอตัวหนีไปทางอื่นเนิ่นนานจนเขาต้องเหนื่อยตามก็ได้

ชำเลืองสังเกตเกร็งๆ ผิดคาดที่เห็นหล่อนยิ้มรับทักใครบางคนอย่างปกติ เป็นตัวหล่อนเองตามธรรมชาติ นั่นทำให้เขาถอนใจโล่งอก ก็ดีอย่าง สถานการณ์เล็กๆนี้พอเป็นมาตรวัดใจได้ว่าหล่อนยินดีไปไหนต่อไหนออกหน้าออกตากับเขาหรือยัง ดูแล้วท่าทางแพตรีพอใจให้เพื่อนที่ทำงานเห็นหล่อนอยู่กับเขาด้วยซ้ำ

“พี่เต้หนีมาเที่ยวในโลกส่วนตัวนี่เอง พวกผมเหงาแย่”

น้องคนหนึ่งแกล้งโวยวาย พอเขาหันไปจะดุให้หุบปากหุบคำก็จ๊ะเอ๋กับสายตาคมปลาบของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านนั้นพอดี เกาทัณฑ์รักษาหน้าเป็นปกติ พยักพเยิดส่งยิ้มทัก แต่เรือนแก้วขว้างค้อนกลับมาวงหนึ่ง เบะปากแถมท้ายเป็นเครื่องหมายแทนการร้อง ‘เชอะ!’ ใส่เขาดังๆ แล้วเสหันไปพูดกับสาวข้างตัวหน้าตาเฉย

ในฐานะเพื่อนร่วมงาน เกาทัณฑ์มีความรู้สึกด้านดีกับเรือนแก้วมิใช่น้อย แค่ความเก่งงานก็เป็นเสน่ห์แล้ว พลิกลิ้นได้คล่องแคล่วถึงสามภาษาเทศ ทั้งอังกฤษ จีน และญี่ปุ่น มีรอยยิ้มพิมพ์ใจไฉไลพอจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับบริษัท ฉลาดพูดขนาดมีส่วนช่วยเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงมาแล้วหลายครั้ง เขาเคยต้องเดินทางร่วมกับหล่อนสามหน ประจักษ์ในฝีมือระดับอินเตอร์เป็นอย่างดี หล่อนหันหน้าไปพูดกับลูกค้าคนไหน ก็กลายเป็นคนชาตินั้นได้อย่างน่าทึ่ง แถมรอบรู้เกี่ยวกับรายละเอียดความเคลื่อนไหวในระบบแบบที่คุยด้วยสักทีจะทราบเลยว่าเอกสารทุกชิ้นถ้าเวียนถึงหล่อนจะถูกอ่านทุกบรรทัด ต่อให้ปึกหนาและเต็มไปด้วยตารางตัวเลขน่าสับสนก็เถอะ

เรือนแก้วคบกับเขาและเชิงไทแบบเพื่อน ถึงแม้จะมีอายุงานนานกว่า และสนิทกับผู้ใหญ่ระดับบนจนไม่จำเป็นต้องคลุกคลีกับ ‘รุ่นหนุ่ม’ ความเป็นกันเองที่หล่อนหยิบยื่นให้นั้น แม้ฉาบมากับหน้าที่การงาน ก็ดูจริงใจ ปราศจากการเสแสร้งแกล้งหลอก

ว่าไปแล้วสมองหล่อนอยู่ในเกณฑ์ฉลาดปกติ แต่เมื่อรวมกับความสวย ความเชื่อมั่น ไฟทะเยอทะยาน และทักษะทางภาษาชั้นเลิศ เรือนแก้วก็กลายเป็นกลจักรสำคัญชิ้นหนึ่งขององค์กรไปง่ายๆ แม้โดยตำแหน่งจะเป็นผู้ช่วยผู้บริหารที่ก้าวขึ้นมาจากการเป็นเลขาฯ ในทางปฏิบัติก็ ‘ใหญ่’ และเป็นที่เกรงใจของใครต่อใครอยู่มิใช่น้อย

ผู้ใหญ่ชื่นชมกันเป็นแถว แถมรู้ความลับมากมายก่ายกองปานนั้น ขอเพียงหล่อนรักหรือชังพอ ก็อาจมีสิทธิ์ให้คุณให้โทษใครก็ได้

วันก่อนเขาเพิ่งปฏิเสธอย่างงัวเงีย ไม่มีเยื่อใยเท่าที่ควรเมื่อหล่อนโทร.มาชวนเที่ยว วันนี้หล่อนเผอิญมาได้เห็นมูลเหตุของการปฏิเสธนั้น

ต่อไปเขาสมควรจะได้คุณหรือโทษจากหล่อนก็คงพอเดาถูกอยู่

หล่อนไม่ถึงขนาดรักชอบเขาจนเจ็บปวดรวดร้าวราวถูกมีดกรีดกลางใจหรอก เมื่อเห็นเขานั่งกับผู้หญิงอื่นอย่างนี้ ในเมื่อยังมีเชิงไทอีกทั้งคน แถมด้วยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ข้างนอกข้างในบริษัทอีกบานพะเรอ แต่คงคันๆใจที่เขาถอนตัวกะทันหันในเวลาที่หล่อนทำท่าจะเลือกมาเป็นคู่ควงคนล่าสุด เขารู้ตัวว่ามีภาษีเหนือเชิงไทในช่วงปลาย ตอนเที่ยวด้วยกันหล่อนเลือกนั่งข้างเขา บางทีก็กระแซะนิดๆ และเขาก็เคยถือโอกาสหาเศษกำรี้กำไรไปหลายหน

แพตรีนั่งอยู่ตรงข้ามแค่เอื้อม เลยออกไปหน่อยคือเรือนแก้วนั่งอยู่อีกโต๊ะ เป็นภาพเข้าทางตาพร้อมกันที่ก่อสังหรณ์กวนใจบางชนิดขึ้นในอากาศ...

 

แยกจากหมู่เพื่อนมาได้ค่อยเบาใจลง ในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างของห้างคลาคล่ำด้วยผู้คนจับจ่ายซื้อของวันอาทิตย์ เกาทัณฑ์ลากรถเข็นมาคันหนึ่ง ใจเปิดโล่งเป็นสุขอย่างประหลาด เพียงด้วยความตั้งใจว่าจะเลือกของไปถวายสังฆทาน ก็แตกต่างจากการเดินจับจ่ายซื้อของปกติเป็นคนละเรื่องแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกสำหรับการเลือกซื้อของถวายสังฆทานของเขา ขณะที่สำหรับแพตรีเป็นกิจวัตรประจำ เกาทัณฑ์จึงให้หล่อนเป็นฝ่ายนำร่อง ขอเป็นเพียงผู้เข็นรถตามไปรับของจากมือหล่อน หรือช่วยหยิบจากชั้นตามแต่แพตรีจะชี้

ชิ้นแรกที่หยิบเป็นแชมพูสูตรเย็น หญิงสาวนำมาใส่กระบะตะแกรงเพียงสี่ชิ้นตามจำนวนถวายซึ่งหล่อนปฏิบัติมาเป็นประจำ สี่ชิ้นหมายถึงให้พระสี่รูป ซึ่งเป็นจำนวนนับครบองค์เรียก ‘สงฆ์’ ได้ แต่เกาทัณฑ์รู้สึกว่านั่นน้อยไป ไม่อิ่มใจ ก็หยิบเพิ่มอีกห้าขวด

“ถวายเก้าองค์เถอะฮะ ตอนท่านช่วยกันสวดให้พรจะได้ดังกระหึ่มเพราะหูดี”

แพตรีอึ้ง มองเขาอย่างชั่งใจก่อนกล่าวว่า

“อย่าว่าขัดศรัทธาเลยนะคะ คือ…ตั้งใจจะช่วยกันออกคนละครึ่ง”

ฟังเท่านั้นเกาทัณฑ์ก็ทราบว่าหล่อนมีติดตัวมาน้อย เกือบบอกไปง่ายๆว่าอย่าห่วงเลยเรื่องเงินเรื่องทอง เขาจะออกให้ทั้งหมด วันนี้ต่อให้ทำร้อยแปดองค์ก็สบายมาก แต่คิดได้ว่านั่นอาจเป็นการทอนกำลังใจในการถวายของหล่อนลง เพราะถูกกดให้คิดเกี่ยวกับฐานะการเงิน จึงว่า

“แพช่วยออกค่าน้ำมันรถได้ไหม ถือว่าเราช่วยคนละครึ่งเสมอกัน ผมออกค่าของถวาย แพออกค่าเดินทาง นะ”

หญิงสาวยิ้มหน่อยๆ แปลว่าหล่อนตกลง เกาทัณฑ์ชวนเลือกของต่อตามจำนวนที่ตั้งใจได้

แต่ละชิ้นที่เลือกหยิบจากชั้นวางล้วนสั่งสมความแช่มชื่นให้พูนทวีขึ้นตามลำดับ ในเมื่อรู้แก่ใจว่าเจตนาจะนำไปถวายสงฆ์โดยปราศจากการเจาะจงเลือกภิกษุองค์ใดองค์หนึ่ง ถวายเพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ประพฤติธรรมอยู่สบายตามอัตภาพ สามารถสืบทอดแนวทางปฏิบัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยชอบ

อีกทั้งทราบว่าของแต่ละชิ้นที่หยิบติดมือขึ้นมาพวกท่านจะนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันด้านไหน แจ่มแจ้งว่าของแต่ละชิ้นมีคุณภาพดีเพียงใด บางทีเมื่อแพตรีจะผ่านของบางอย่างที่หล่อนไม่เคยซื้อ อย่างเช่นครีมโกนหนวด เกาทัณฑ์ก็เป็นฝ่ายเลือกยี่ห้อโปรดของตน กอบมาลงวางอย่างหมายรู้ว่ากลิ่น ความนุ่มของโฟม และความสบายสัมผัสของมันเป็นอย่างไร สงฆ์ก็จะรับเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้

นำของใส่รถเข็นได้เพียงห้า-หกชนิดก็เกือบล้นแล้ว เนื่องจากแต่ละอย่างมีจำนวนถึงเก้าชิ้น เฉพาะผงซักฟอกนี่แพตรีจะเลือกขนาดกลาง เกาทัณฑ์ก็ขอเปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่เสียอีก หล่อนเกรงรวมของมากมายที่เขาหยิบๆๆแล้วจะล้นถัง เกาทัณฑ์บอกถ้าล้นก็ซื้อตุ่มใส่ถวายให้เป็นประวัติศาสตร์ไปเลย ทำเอาแพตรีหัวเราะออกมาได้

รับรู้ว่านั่นคือความเป็นเกาทัณฑ์ ต้องดีที่สุด ประณีตที่สุด ใหญ่ที่สุด เพื่องานที่เขาศรัทธา ทุกอย่างต้องสุดตัว ซึ่งก็จะให้ผลอันเป็นกำลังจิตในปัจจุบัน และวิบากในภายภาคหน้าสอดคล้องตามนั้น

หล่อนกำลังอยู่กับเขา ความเป็นเขา เหมือนชีวิตเปลี่ยนไป จากเช้าจนถึงยามนี้รวมลงเป็นวันที่มีความสุขอย่างไม่เคยมาก่อน อากาศรอบกายสบายผิดแปลก รสสุขหวานแหลมเห็นปานนี้เองที่ดึงวิญญาณโบกโบยขึ้นสูงได้ยิ่งกว่าปีกนก และพากายทะยานแล่นไกลได้ยิ่งกว่าแรงพายุกล้า

เกาทัณฑ์เดินผละจากจุดวางผงซักฟอก กำลังจะตรงไปหาน้ำยาล้างจาน ไม่ทันสังเกตว่าแพตรีตามมาด้วยหรือเปล่า กระทั่งชะงักกึกเพราะเสียงเรียกจากเบื้องหลัง

“พี่เต้!”

เย็นวาบในอก เกาทัณฑ์กลับหลังหันมอง แพตรียืนเว้นระยะห่างออกไปหลายก้าว หญิงสาวผมยาว สะสวย อ่อนหวานในชุดกระโปรงขาว โดดเด่นเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนในละแวก ด้วยแก้วเสียงใสที่เปล่งออกมาอย่างมีความหมายนั้น จับใจคนได้ยินยิ่งกว่าดีดแก้วเจียระไนสักร้อยใบพร้อมกัน

“แพเอารถเข็นมาเพิ่มนะคะ พี่เลือกของไปเรื่อยๆก่อน”

บอกเขาทั้งยิ้มกระจ่าง ทั้งโลกเหมือนสว่างให้หล่อนคนเดียว

เกาทัณฑ์พยักหน้า มองร่างระหงหมุนตัวเดินย้อนทางห่างไปด้วยดวงตาที่เหม่อลอยงงงันจากมนต์สะกดอันทรงฤทธิ์ของรูปและเสียงอิสตรี

แค่ถูกเรียกชื่อเป็นครั้งแรกก็แทบลืมหายใจอย่างนี้ ต่อไปถ้าหล่อนบอกว่ารักเขาสักคำ ไม่หมดสติเป็นคนขวัญอ่อนไปเลยหรือ…


บทที่ ๑๖  ฝันร้าย

ห้องโถงชั้นล่างของกุฏิเจ้าอาวาสอุ่นหนาฝาคั่งด้วยญาติโยมที่ตั้งใจมานมัสการกราบหลวงพ่อพุธจากทั่วทุกสารทิศ เกาทัณฑ์กับแพตรีซึ่งเข้ามาใหม่จึงต้องนั่งอยู่รั้งท้ายสุด

หลวงพ่อพุธกำลังนั่งอยู่บนอาสนะของท่านเห็นไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป มีภิกษุผู้เป็นสัทธิวิหาริกนั่งคอยดูแลอำนวยความสะดวกอยู่ด้านข้าง บรรยากาศในห้องเยือกเย็นน่าอยู่อย่างประหลาด ใครเข้าไปนั่งในนั้นจะต้องรู้สึกอยากอยู่ที่นั่นนานๆ ไม่อยากกลับออกไปเร็วนัก

หลวงพ่อท่านมิใช่พระผู้มีกิตติศัพท์เรื่องปลุกเสก ญาติโยมส่วนใหญ่มาเพื่อกราบเรียนถามข้อธรรมที่ติดขัด จึงบ่อยครั้งที่จะได้ยินท่านเทศนาธรรมหัวข้อสั้นๆ อย่างเช่นในวาระที่สองหนุ่มสาวเพิ่งเข้ามานี้ เผอิญเป็นจังหวะแห่งธรรมเทศนาพอดี

"…การฟังธรรมเป็นการฟังเสียงคนอื่นพูด ทีนี้วิธีรู้อริยสัจสี่นั้นฟังเสียงคนอื่นเฉยๆไม่ได้ ต้องหันมาฟังเสียงของหัวใจตัวเอง ให้กำหนดจดจ้องลงที่จิต กำหนดลงตรงที่ตัวผู้รู้ภายในจิตของตัวเอง ความรู้สึกมีอยู่ที่ไหน ตัวผู้รู้ก็มีอยู่ที่นั่น คอยจดจ้องดูว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นภายในจิต ก็ตามกำหนดรู้สิ่งนั้น อย่าปล่อยโอกาส เอาตัวรู้ตัวเดียวตามรู้ตามเห็นไปทุกวาระจิตที่เรามีความคิดขึ้น อันนี้สำหรับผู้ที่เคยภาวนามาจนชำนิชำนาญแล้ว”

กังวานเสียงทุ้มแน่นที่ขับออกมาจากดวงจิตเห็นธรรมนั้นจูงให้ผู้ฟังคล้อยลงสู่กระแสสงบพร้อมจะสดับฟังและตรึกนึกตาม เป็นอีกประสบการณ์ใหม่ของเกาทัณฑ์ ถ้อยคำที่เหมือนเคยได้ยินมาก่อนกลับกลายเป็นของใหม่ที่ฟังกระจ่างอย่างน่าฉงน

“สำหรับผู้ที่เริ่มใหม่ ซึ่งจิตยังไม่เคยมีสมาธิ และไม่เคยเกิดภาวะตัวผู้รู้ขึ้นมาในจิต ให้อาศัยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกบ้าง หรือกำหนดบริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนเองชอบใจ เช่น ‘พุทโธ' เป็นต้น

ให้กำหนดจดจ้องลงที่จิต แล้วเอาจิตนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ นึกอยู่อย่างนั้น นึกอยู่เฉยๆ    อย่าไปทำความรู้สึกว่าเมื่อไรจิตของเราจะเกิดความสงบ เมื่อไรจิตจะเกิดความสว่าง เมื่อไรจิตจะเกิดความรู้ความเห็นขึ้นมา

การภาวนาในเบื้องต้นนี้ ไม่ใช่เพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นสิ่งอื่น แต่เพื่อให้รู้ให้เห็นความเป็นจริงของจิต รู้อย่างไร รู้ตรงที่จิตของเรากับการบริกรรมสัมพันธ์กันหรือไม่ มันไปด้วยกันหรือไม่ จิตอยู่กับพุทโธไหม หรือว่ามันลืมพุทโธเป็นบางครั้งบางขณะ ไปอยู่กับสิ่งภายนอกซึ่งเป็นอดีต เป็นสิ่งอื่นนอกจากพุทโธ นั่นแสดงว่าจิตเราละพุทโธ เป็นอาการของจิตฟุ้งซ่าน

แต่ถ้าจิตละจากพุทโธไปอยู่กับความนิ่งว่าง ก็อย่าไปสร้างความรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมา ขอให้กำหนดรู้ความว่างอยู่อย่างนั้น…"

ทุกปลายเสียงที่ทอดเนิบด้วยพลังเมตตาเมื่อสิ้นแต่ละวรรคแต่ละประโยคของหลวงพ่อพุธนำมาซึ่งความสงบซึ้งในวิเวกธรรม เกาทัณฑ์ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้เดี๋ยวนั้นว่า ‘การฟังธรรม' คืออะไร ไม่ใช่เพียงรับคำพูดของผู้แสดงธรรม แต่ยังเป็นการซึมซับเอาความสงบ ความรู้แจ้งที่ถ่ายทอดผ่านกระแสเสียงอันทรงธรรมมาก่อกุศลจิตในปัจจุบันอีกโสด

ทำนองเดียวกับคนในโลกชอบฟังดนตรีที่ตนโปรดไม่อิ่มไม่เบื่อ ผู้ปรารถนาธรรมย่อมชอบฟังธรรมจากผู้ทรงคุณบ่อยๆมิรู้หน่ายเช่นกัน แม้จะฟังซ้ำแล้วสักกี่รอบก็ตามที

เหมือนธรรมะอันสูงส่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมและอาจแตะต้องได้ เพียงด้วยความเชื่อมั่นและอยู่ใกล้หลวงพ่อพุธท่าน สิ่งนี้นับเป็นปาฏิหาริย์ล้ำค่า ให้คุณเหนือการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อื่นใดทั้งปวง เพราะเป็นอำนาจวิเศษที่ชักจูงจิตวิญญาณให้คล้อยสู่กระแสนิพพานอันประเสริฐสุด เมื่อถึงแล้วจะสถิตถาวรชั่วกาลนาน ฤทธิ์ของท่านมิใช่เพียงปาฏิหาริย์ชักจูงให้เกิดความทึ่งหรืออัศจรรย์ใจชั่วครู่ชั่วคราว

ชายหนุ่มจดจ้องดูความผ่องใสฉายราศีสง่าจับตาของหลวงพ่อพุธ แม้จะอยู่ในวัยชรา ท่านก็คล้ายมากไปด้วยพลกำลัง ซึ่งแน่นอนย่อมเกิดจากธรรมานุภาพในดวงจิตโดยแท้

สง่าราศีที่เห็นในท่านมีความแตกต่างจากสามัญชน คนในโลกนั้นให้สูงส่งแค่ไหนก็ไปหยุดกันที่ความน่าเลื่อมใส ความน่าเทิดทูน หรือความน่ายำเกรง แต่สำหรับหลวงพ่อพุธนั้น ภาพปรากฏของท่านเป็นอารมณ์จิตให้ผู้พบเห็นแล่นเลยมาถึงการสัมผัสความปล่อยวาง และความน่าบูชาเหนือโลก ทั้งที่มิได้อยู่ในเครื่องแต่งกายภูมิฐานหรือสถิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอลังการอันใด

เห็นแสงแฟลชวาบอยู่เป็นระยะ ทุกคนคงปรารถนาจะเก็บภาพท่านนั่งเด่นเป็นประธานธรรมไว้ไปบูชา นั่นทำให้เกาทัณฑ์นึกขึ้นได้ แกะกล้องของตนออกจากซองบ้าง ยกขึ้นเล็งและปรับซูมให้เข้าระยะโฟกัสเหมาะ แล้วชันเข่าขึ้นกดชัตเตอร์ คิดในใจว่าควรถ่ายไว้เพียงสองภาพ แบบจับหน้าใกล้และดึงออกไกลตามระยะจริง ไม่มากกว่านั้น ด้วยเกรงแสงแฟลชจะเป็นที่รบกวนทั้งหลวงพ่อและญาติโยมด้วยกัน

กลับลงนั่งเก็บกล้องเข้าที่ เหลือบแลและลอบสังเกตรอบด้าน เห็นอุบาสกอุบาสิกาบางคน บางกลุ่ม นั่งปิดตาสงบในกิริยาสมาธิเพื่อรับฟังธรรมด้วยจิตที่เข้าใกล้ท่านมากขึ้น ก็เกิดความเห็นดีเห็นงามตาม หันมาตั้งหน้าตรง ดำรงสติมั่น ปิดตากำหนดจิตเข้าสู่ความทรงนิ่ง สงัดราบคาบจากความคิดทั้งมวล กระทำประสาทหูให้เป็นที่รับธรรมเทศนาชั้นดี บังเกิดความตระหนักว่าเมื่อฟังธรรมจากผู้มีจิตเป็นสมาธิ ก็ควรมีจิตเป็นสมาธิตามท่าน เพื่อรับกันได้สนิทเช่นนี้

แจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดพระผู้ปฏิบัติชอบจึงถือเป็นนาบุญของโลก หากปราศจากปูชนียบุคคลผู้สืบทอด ผู้เป็นแบบอย่าง ผู้นำความเลื่อมใสศรัทธาเหล่านี้ ใครเล่าจะเชื่อหรือมีกำลังใจอยากปฏิบัติให้ถึงซึ่งวิมุติตามพระพุทธองค์

เมื่อใดโลกว่างจากพระอริยเจ้า ต่อให้ท่องบ่นสาธยายธรรมกันมากมายเพียงใด ก็ย่อมเกิดวิจิกิจฉา สงสัยลังเลว่าสุดทางปฏิบัติคือดวงธรรมอันประเสริฐ หรือว่าคือความสูญเปล่าไร้ประโยชน์ และผลการปฏิบัตินั้นประจักษ์ได้ในปัจจุบัน หรือว่าต้องรอแตกดับไปพบพานในปรภพ

ต่อเมื่อมีท่านผู้เป็นหลักฐานธรรมเช่นหลวงพ่อพุธอยู่ แม้เพียงสัมผัสพบเห็นและฟังท่านกล่าวพอสังเขป ใจส่วนหนึ่งก็พร้อมจะซึมซับรับรู้ของจริง โน้มเอียงไปในทางเชื่อได้แล้วว่าสวรรค์ มรรคผล นิพพานนั้นคือปลายทางการปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบ ไม่ใช่เรื่องกุแต่อย่างใด

หลวงพ่อพุธตอบคำถามญาติโยมอีกพักใหญ่ก็ขอตัวไปทำกิจของท่าน  เกาทัณฑ์กับแพตรีได้แต่กราบลาอยู่ห่างๆโดยไม่ทันมีโอกาสไถ่ถามธรรมะข้อใด เนื่องจากเผอิญมาในวันที่ญาติโยมออกันข้างหน้าเยอะ

 

ใจโปร่งเบาเป็นที่สุดเมื่อเดินออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาส สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันเงียบเชียบบนทางร่มด้วยเงาสน เมื่อผ่านโบสถ์พระประธาน เห็นประตูแง้มเปิดอยู่ เกาทัณฑ์ก็เกิดความคิดฉับพลันและชวนขึ้นว่า

"เข้าไปกราบพระประธานกันไหม?"

หล่อนพยักหน้าและเดินตามเขาไปโดยดี

ในโบสถ์มีแม่ชีคนหนึ่งกวาดพื้นอยู่ตามลำพัง เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวก้าวเข้ามาก็ให้ความสนใจมองเพียงเล็กน้อยแล้วทำความสะอาดเก็บกวาดฝุ่นผงของตนต่อ

เกาทัณฑ์และแพตรีมาก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์พร้อมกันหน้าองค์พระปฏิมาด้วยลักษณาการอ่อนน้อมนอบนบ เมื่อกราบแล้วก็นั่งนิ่งอยู่ด้วยความสำรวมในที

ใจเหมือนทะเลเรียบและกว้างโล่ง ชายหนุ่มเงยหน้ามองพระพักตร์ฉายสงบขององค์ปฏิมาแล้วบังเกิดความอิ่มละไมออกมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ผู้สร้างช่างมีศรัทธาแก่กล้าจริงหนอ ประดิษฐ์พระพักตร์ยิ้มรู้เยือกเย็นไร้มลทินจนมองแล้วคล้อยซึ้งถึงเพียงนี้ การสร้างถาวรวัตถุอันก่อกุศลจิตอันยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้พบเห็นนั้นควรได้รับรางวัลสนองตอบจากธรรมชาติบุญกรรมสักเพียงใด?

คิดแล้วก็ยิ้มออกมาด้วยใจอนุโมทนา เชื่อมั่นว่าผู้เป็นช่างและผู้ให้ทุนสร้างคงมีรูปโฉมงามหมดจดเจริญตาเจริญใจผู้พบเห็นไปทุกภพทุกชาติตราบเข้าถึงพระนิพพาน เกิดไปเถอะ กี่ชาติๆจะต้องได้อัตภาพอันงดงามยิ่งใหญ่เป็นหนึ่ง น้อมใจให้นึกรัก เลื่อมใส อยากใกล้ชิดเกินใคร

นี่แหละหนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นครั้งหนึ่งเปิดทางให้ผู้คนมีโอกาสสร้างบุญได้มากมายเหลือคณานับ แรงปีติในบัดนี้ก็ดี ธรรมเทศนาของหลวงพ่อพุธก็ดี วัดนี้และวัดอื่นทั่วตลอดทั้งเจ็ดแผ่นดินก็ดี ล้วนปรากฏมีปรากฏเป็นด้วยต้นทางคือพระมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว

คิดถึงสังสารวัฏอันน่าสะพรึงกลัว ความไร้ที่จบสำหรับสัตว์ที่ท่องไปโดยปราศจากจุดหมาย ก่อเวรก่อกรรมโดยมีเงื่อนธรรมชาติแกล้งไม่ให้รู้ว่ามีนรกสวรรค์ดักรออยู่เป็นจุดๆ แล้วคิดถึงพระสัพพัญญูผู้กระทำความจบให้เกิด และตรากตรำตลอดพระชนมพรรษาเพื่อรื้อขนเวไนยสัตว์จากทางวิบากอันไร้แก่นสารเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ยิ่งตรึกนึกระลึกถึงพระคุณของตถาคต ก็ยิ่งบังเกิดแรงบันดาลศรัทธาขึ้นล้นเกล้า ชนิดที่เข้าใจเลยว่าความเคารพรักและบูชาขนาดยอมตายให้ใครสักคนได้นั้นเป็นอย่างไร

คิดถึงพระพุทธวจนะแล้วระลึกได้ว่าสิ่งบูชาที่พระองค์พอพระทัยสูงสุด มิใช่ดอกไม้หรือชีวิตใคร แต่เป็นธรรมบูชา ปฏิบัติภาวนาจนจิตเห็นแจ้งในธรรม แล้วน้อมความเห็นนั้นเป็นเครื่องถวายพระองค์

ปลงใจเห็นชอบดังนั้นก็หันมาทางแพตรี

"ผมขอเวลาทำสมาธิสักพักหนึ่งได้ไหม?"

หญิงสาวกำลังมองพระพักตร์และระลึกถึงพระพุทธคุณอยู่เช่นกัน เมื่อได้ยินเขาถามแสดงเจตจำนงก็เหลียวมาหาและกระซิบ

"ตามสบายค่ะ"

เห็นรอยยิ้มตอบของหล่อนในบัดนั้นแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกสนิทแน่นแฟ้นฉันสหธรรมิก หรือเพื่อนผู้ยินดีร่วมเสพธรรม เป็นความรู้สึกแสนสะอาดที่ไม่เคยเกิดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน หากแม้ต่อไปแพตรีปฏิเสธความสัมพันธ์ฉันคนรัก เขาก็จะคงยังผูกพันและมีความปรารถนาดีให้ พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยความจริงใจของเพื่อนแท้ถึงที่สุด

ลุกไปถามแม่ชีว่าจะมีการทำกิจของสงฆ์ในช่วงใกล้หรือไม่ แม่ชีตอบว่าบ่ายสามโมงพระจะมานั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐานด้วยกัน ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือดูเห็นเหลือเวลาอีกถมเถก็สบายใจ เนื่องจากคิดจะนั่งสำรวมสติถวายธรรมเป็นเครื่องบูชาพระปฏิมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น

กลับมานั่งตรงที่เก่า หันไปยิ้มให้แพตรีนิดหนึ่งแล้วเบือนหน้ากลับมาปิดเปลือกตาลงกำหนดจิตวางไว้กับสายลมหายใจออกและเข้า จับอารมณ์ติดทันทีด้วยศักยภาพอันเจริญขึ้นตามวันเวลาที่ฝึกจิตอย่างต่อเนื่อง

แพตรีเห็นความสงัดงันเงียบนิ่งอย่างรวดเร็วของเกาทัณฑ์แล้วก็หยั่งทราบได้ว่าเขาเข้าถึงภาวะสมาธิไปแล้ว เป็นขั้นแนบแน่นพอควรเสียด้วย เนื่องจากตลอดองค์แห่งกายขัดสมาธิ์แน่วนิ่งไม่ไหวติงและดูแกร่งในตัวเองด้วยการค้ำจากพลังจิตที่ก่อตัวขึ้นภายใน

เห็นแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำสมาธิตาม หันมาตั้งหน้าพริ้มตาลง กำหนดนึกถึงความสุขอันคุ้นเคยในภาวะสมาธิ ค่อยๆหย่อนความรับรู้ทั้งมวลไปรวมลงที่ลมหายใจโดยไม่ต้องตั้งสติเคร่งครัดมากนัก เนื่องจากมีพลังปีติในธรรมที่ยังค้างคาเป็นตัวช่วยรวมกระแสจิต เรียกตัวรู้ให้เข้าตั้งนิ่งในที่ที่เป็นดุลอยู่แล้ว

เมื่อตัวรู้ได้ที่ตั้งมั่นกลางฐานสติ ก็เกิดเป็นความเห็นกว้างขวางแผ่ไปตลอดสัณฐานแห่งกายนั่ง ขยายซ่านไปรอบด้าน มีลมหายใจเข้าออกเป็นตัวหล่อเลี้ยง ตัวประคองให้จิตทรงอยู่ในสภาพนิ่งฉายรัศมีเช่นนั้น

แพตรีกำหนดสติรู้อาการระบายลมออกและดึงลมเข้าด้วยความแช่มชื่นอยู่นาน ลืมทุกสิ่งทั้งหมด คงไว้แต่ลมหายใจกับความสุขเหลือจะพรรณนา เพลินนานจนตัวอนุสติที่รู้ว่านั่งในโบสถ์เลือนไป

ฐานรู้ในกายเคลื่อนไปนิดหนึ่ง แต่นิดหนึ่งนั้นมากพอจะทำให้หมดสภาพรู้สึกตัวโดยรวม มีแต่ความนิ่งว่างแบบหลับสนิท ต่างจากหลับก็ตรงที่มีความใสสว่างนวลลออจากกลางสภาวะรู้ และท่วมท้นพ้นประมาณด้วยกระแสปีติสุข ตัวตนทั้งหมดเหลือเพียงนามธรรมไร้รูปชนิดที่จะก่อรูปเป็นรอยยิ้มเกษมสำราญ

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หล่อนเคลิ้มอยู่ในภวังค์สมาธิ จิตเปิดออกรับสัมผัสภาพใกล้ไกลนอกกาย และเหมือนกำลังคิด พูด หรือทำบางสิ่งตามปกติ ราวกับลืมตาอยู่ข้างในและอยากเคลื่อนไหวไปทำอะไรสักอย่าง

สิ่งแรกที่ปรากฏทางมโนทวารคือความหมายรู้ศรัทธาในองค์พระปฏิมาเบื้องหน้า แล้วตามด้วยแสงทองรองเรืองฉายเข้ามาในดวงจิตราวกับรัศมีตะวันทองยามเที่ยง ทุกสิ่งกระจ่างใสไปหมด สัมผัสที่เกิดขึ้นคมชัดยิ่งเสียกว่าเห็นด้วยตาเนื้อ ตรงหน้าหล่อนเป็นพระประธานองค์เดิม แต่ฉายรัศมีงดงามพิลาสเกินจะพรรณนาถูก แท่นประดิษฐานแพรวพราวด้วยเครื่องประดับบูชาอันล้วนประณีต มีดอกบัว หลากดอกไม้สี และนานาแก้วนวรัตน์เป็นต้น วาบวับจับจิตเยี่ยงสมบัติเทวดา นิมิตของทิพยสภาพย่อมละเอียดอ่อนสุขุมเช่นนั้นเอง เป็นสิ่งที่แพตรีเคยพบเห็นมาก่อน จึงมิได้เกิดความตื่นเต้นแต่อย่างใด

ความรู้สึกทางด้านข้างคือเขาผู้ที่นำหล่อนมาสู่สถานที่นี้ หญิงสาวอยากหันไปมอง แต่ทำไม่ได้ คล้ายมีกำแพงพลังบางอย่างกั้นขวางไว้ ทำได้เพียงมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างเดียว

ความหม่นมืดโรยตัวเข้าแทรกแทนแสงสว่าง คล้ายเกิดภาพในห้วงฝัน เห็นเหมือนตนเองกำลังพายเรือข้ามคลองสกปรก และความรู้สึกบอกว่าเกาทัณฑ์นั่งช่วยออกฝีพายอยู่เบื้องหลัง หล่อนวาดซ้าย เขาวาดขวาอย่างได้ดุลพอดีให้ลำเรือแหวกน้ำนิ่งไป

ตรงหน้าใกล้หล่อนคือแผ่นหลังของชายในชุดขาว นั่งสงบไม่ไหวติงที่หัวเรือ รอบทิศคือกระแสเงียบอันน่าฉงน ถามตนเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นนิมิตหรือของจริง ทั้งที่เกิดอนุสติบอกตนเองว่านี่เป็นนิมิต แต่ใจก็เชื่อว่าเป็นของจริง ด้วยสีสันความคมชัดของภาพที่ปรากฏ และความเห็นวงแขนตนขยับวาดพายอย่างต่อเนื่อง จับสัมผัสได้ละเอียดลออแม้เมื่อเกร็งช่วงแขนดันพายต้านกลุ่มน้ำเพื่อให้เรือเคลื่อนไป

น่าแปลกที่ริมฝีปากหล่อนระบายยิ้มปรีดา ทั้งที่ใจเป็นกลางเฉย คล้ายกายแยกไปทำตามตัวเองต้องการได้

เรือแล่นเรียบมาใกล้ฝั่ง เกาทัณฑ์คัดท้ายพายราน้ำให้หัวเรือเบนจากแนวเส้นตรง เอาข้างเข้าเทียบตลิ่งด้วยพลกำลังแห่งชายบวกกับความชำนิชำนาญ ไหวลำเล็กน้อยเมื่อกราบเรือกระทบขอบตลิ่ง ก่อนหยุดสนิทพร้อมให้ขึ้นฝั่ง

ขึ้นฝั่ง...หล่อนยังอยากอยู่ในเรือต่อกับนายท้าย

ร่างผอมของชายในชุดขาวลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเท้าเหยียบแผ่นดิน เขาหันมามองหล่อน พอเห็นว่าเป็นใครแพตรีก็ขนลุกเกรียว…มติ

มติยิ้มละไม ท่าทางมีความสุข หมดห่วง และได้ยืนบนแผ่นดินอันมั่นคง ต่างกับหล่อนซึ่งยังอยู่บนแผ่นน้ำที่เต็มไปด้วยความเลื่อนไหลโยกคลอน

เกาทัณฑ์ใช้หัวพายดันตลิ่งเพื่อส่งเรือออกสู่น้ำต่อไป หล่อนยังจับตามองร่างน้องชายจนหมดแก่ใจช่วยลงพายต่อ เกิดความอาลัยอาวรณ์อย่างยากจะกล่าว ใจบอกว่าเป็นพี่เป็นน้องกับเขาแท้ๆ วันนี้ต้องมาจากกันแล้ว

ละสายตาจากมติเมื่อมาได้ไกลจนสุดจะเอี้ยวคอ ใจตัดไปเบื้องหน้า เหลือบมองกลุ่มน้ำรอบตัว เพิ่งได้กลิ่นเหม็นคลุ้ง เพ่งตรงไปในลู่ยาวก็เห็นลำน้ำคล้ำกลาดเกลื่อนด้วยเศษขยะน่ารังเกียจ อากาศหม่นน่าอึดอัดคล้ายถูกคลุมด้วยมลพิษจากสภาพแวดล้อมทั่วไป

แล่นเรืออยู่กลางน้ำเน่า ด้วยความอบอุ่นใจที่มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…

ภาพนิมิตจางลง ขณะจิตกำลังคืนจากสภาวะรวมตัว ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์และวาบแสงแฟลชผ่านเปลือกตาเข้ามา แพตรีค่อยๆลืมตาด้วยความก้ำกึ่งในสำนึกระหว่างตื่นกับภวังค์สมาธิ

ปรับสติอยู่เป็นอึดใจ ก่อนเหลียวมองทางขวามือ ชะงักไปหน่อยเมื่อเห็นดวงตาชายหนุ่มเพ่งจับอยู่ก่อนแล้วยิ้มๆ เหลือบลงต่ำก็เห็นกล้องถ่ายรูปในมือเขา

“เวลาแพนิ่งนี่อย่างกับเทวรูปเลย” เขาชูกล้องอวด “ผมจะเอาภาพนี้ไว้หัวนอน”

เกาทัณฑ์เพิ่งถอนจิตก่อนหน้าแพตรีเพียงนาทีเศษ เป็นช่วงเวลาอันสั้นกับการได้พินิจอย่างใกล้ชิดขณะหล่อนไม่รู้ตัว สรีระที่ถูกสร้างไว้สมส่วนรับกันสนิทตลอดร่างแพตรีส่งเสริมให้ลักษณาการขณะเป็นสมาธิชวนมองน่าจับตายิ่ง รูปศีรษะมน ดวงหน้าฉายสงบ ลำคอระหง และช่วงไหล่กลมกลึงรับกับเรือนกายตั้งตรงเป็นสง่า เสียดายที่นึกได้ว่าควรบันทึกภาพเก็บไว้ก็เมื่อหล่อนใกล้ออกจากสมาธิ มิฉะนั้นคงมีโอกาสชักไว้อีกหลายมุม

แพตรีมองทางเขา ทว่าใจพยายามย้อนนึกและตีความนิมิตในสมาธิ ความจริงระยะหลังนี้หล่อนห่างเหินจากนิมิตสมาธิไปมาก เนื่องจากรู้ทางดำรงสติเกาะกาย อันเป็นผลมาจากการสั่งสมประสบการณ์แรมปี เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่เกิดนิมิตขึ้นราวกับหลับฝัน

“ถ้าแสงแฟลชสะกิดให้ออกจากสมาธิก็ขอโทษด้วยนะ”

กล่าวทั้งที่หยั่งรู้ด้วยใจว่าเมื่อครู่จิตหล่อนดิ่งเกินกว่าประสาทตาจะรับแสงแฟลชได้ เป็นความเผอิญที่หล่อนหยุดกำหนดจิตพอดีเองขณะเขาลั่นชัตเตอร์ ตอนนี้เกาทัณฑ์กำลังเป็นห่วงมากกว่า เพราะดูแววตาหล่อนคล้ายครุ่นคิดผิดสังเกต

ด้วยคำถามของเขา ทำให้แพตรีรู้สึกตัว ตัดออกจากห้วงคำนึงนึกภายใน

“ชอบแอบถ่ายรูปคนอื่นเป็นประจำหรือคะ?”

เกาทัณฑ์หัวเราะ

“ภาพบางภาพเหมือนของขวัญจากธรรมชาตินะ มัวขออนุญาตใครก็หายไปก่อนน่ะซี…นับเป็นนิมิตหมายที่ดี รูปแรกที่ถ่ายแพก็ได้ตอนอยู่ในสมาธิ ก่อนนอนทุกคืนผมจะดูรูปนี้ แล้วคิดว่าแพกำลังนั่งบำเพ็ญเพียร ผมจะได้นึกอยากนั่งตาม”

ทีแรกฟังแล้วแพตรีคิดจะห้าม เพราะคงประเจิดประเจ้อไปหน่อยถ้าเพื่อนเขาเห็น แต่รู้ว่าห้ามก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อฟิล์มอยู่กับเขา ใครจะสั่งได้ว่าเมื่ออัดล้างแล้วให้เอาไปตั้งวางที่ใด จึงปลงใจเฉยเสีย

“ผมเพิ่งเคยนั่งสมาธิในโบสถ์เป็นหนแรก จิตเที่ยงอยู่ตรงกลางได้ดุลพอดีแต่ต้นจนจบทีเดียว คงเพราะพระท่านมาร่วมทำสมาธิด้วยกันทุกวัน แถมมีกิจสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นประจำ เลยมีสนามพลังกุศลตกค้างอยู่เยอะ เราปรับจิตหน่อยเดียวก็คล้อยตามกระแสได้ง่าย”

แพตรียิ้มตอบ

“ค่ะ รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”

“เป็นอีกวันที่ผมคิดถึงพระนิพพานขึ้นมาแบบรู้สึกใกล้จะเอื้อมถึง สัมผัสพระอย่างหลวงพ่อพุธท่านแล้วเป็นอย่างนี้เอง อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ บางทีรู้วิชาโดยยังไม่ทันต้องเรียน”

แล้วเขาก็เลิกคิ้ว

“เราน่าจะตระเวนกราบพระที่ท่านถึงธรรมให้ทั่ว ใช้เวลาวันเดียวแบบนี้แหละ ถ้าอยู่ห่างมากก็ไปเครื่องบิน ช่วยกันตั้งเข็มอาทิตย์ละครั้งเลยดีไหม?”

หญิงสาวเมินไปทางอื่นคล้ายจะปฏิเสธ ไม่ยินดีรู้หรือยินดีชี้ แต่ริมฝีปากกลับระบายยิ้มที่ชวนให้ตีความหมายว่า ‘ขอคิดดูก่อน’

“พอจิตตั้งนิ่งได้ที่ แพใช้พิจารณาอะไรบ้างฮะ?”

“หลวงตาแขวนสอนให้รู้อาการสงบ และรู้ทันอาการไหว โดยเห็นว่าที่เกิดความไหวนั้นก็เพราะมีธรรมอย่างหนึ่งเข้ากระทบใจ เมื่อจิตไหวจากความสงบก็คือหมายรู้ หมายจำได้ว่าธรรมนั้นคือบุคคล สถานการณ์ หรือเหตุการณ์ใดๆ อาการหมายรู้ที่เรียกว่า ‘สัญญา’ นั้นเหมือนพยับแดด คือเหมือนมีจริง แต่ครู่เดียวก็เลือนไป”

เกาทัณฑ์พยักหน้า

“ผมสังเกตว่าถ้าช่วงเริ่มสมาธิแรกๆ หากเราตั้งจิตไว้กลางๆ รับรู้ที่ตั้งของแก้วหูทั้งคู่ จะทรงสติรู้ตัวได้ดีและมีจิตเปิดกว้างเป็นธรรมชาติ สมตามความจริงที่เรามีประสาทหูเป็นตัวเลี้ยงสมดุลในกายทั้งหมด เมื่อรักษาความรู้ทางสองหูไว้ ก็เท่ากับรักษาดุลอันเป็นปกติเดิมไปด้วย”

แพตรีรับฟังด้วยความสนใจ ปกติหล่อนจะทำความรับรู้เฉพาะนิมิตของฐานลมหายใจคือโพรงจมูก และตัวลมหายใจอันมีลักษณะเป็นสายยาวเท่านั้น แต่ตรึกนึกแล้วก็เห็นจริงว่าเพื่อให้เกิดตัวสติรู้ในสัณฐานกายและปริมณฑลโดยรอบ การตั้งจิตรับรู้คู่ประสาทหูทั้งสองข้าง เป็นอุปเท่ห์ หรือกลวิธีการกันจิตมิให้หลงตกไปในภวังค์ได้ คงเหมาะสำหรับผู้ที่นั่งแล้วมักหลงหลับ

“ใกล้ๆนี้ผมจะลางาน และขอปู่ไปปฏิบัติธรรมที่บ้าน แพคงไม่รังเกียจนะ”

ใบหน้างามละมุนหันขวับมาทันที

“ทำอะไรอย่างนั้นคะ?”

อ่านตาหล่อนก็รู้ว่าคิดอะไร เกาทัณฑ์กะพริบตาถี่ๆ รีบแก้ความเข้าใจ

“ผมคุยกับปู่แล้วล่ะ ไม่ใช่อย่างที่แพมองหรอก แค่อยากได้อาวาสเป็นสัปปายะ ห่างจากสภาพแวดล้อมเคยชินดั้งเดิม แต่ก็ไม่ถึงวัดที่ควรนุ่งขาวห่มขาว กำหนดใจถือศีลเป็นเรื่องเป็นราว รับรองจะดูแลตัวเองเกี่ยวกับที่หลับที่นอน อาหารการกิน และรักษาความประพฤติให้อยู่ในร่องในรอยโยคาวจร ไม่มาวอแวกับแพเด็ดขาด”

ก็ใช่อยู่หรอก เจตนาเดิมน่ะ เป็นอย่างที่แพตรีเข้าใจจริงๆ คืออยากเข้ามาใกล้หล่อนให้มากที่สุด จะอ้างอะไรบังหน้าก็ยอม ตอนนั้นรู้จักบาปบุญคุณโทษเสียเมื่อไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ หลังจากเห็นธรรมจนเกิดเป็นใจจริงขึ้นมา ก็มีกุศลจิต คิดหาเวลาอันปลอดโปร่งเพื่อหยุดตัวเอง สร้างความตั้งมั่นอย่างต่อเนื่องดูสักครั้ง และสอดรับกันได้กับที่ขอปู่ไว้ก่อนแล้ว

หญิงสาวมองเขาด้วยหางตาอย่างแคลงใจ

“ใครเขาออกจากบ้านเพื่อปลีกตัวแสวงวิเวกในอีกบ้านหนึ่งกันคะ มีแต่ออกต่างจังหวัดไกลๆ หรือเข้าวัดเข้าวาทั้งนั้น”

“นี่ไม่ได้แกล้งพูดนะ ผมเคยนั่งสมาธิสั้นๆที่บ้านปู่แล้วสงบเร็ว อาจเพราะได้ไอเย็นจากความร่มรื่นของกลุ่มไม้ เชื่อว่าถูกกับสภาพแวดล้อมที่เป็นเขตของปู่กับแพ แบบพระท่านแนะว่าอยู่ที่ไหนใจสงบ ก็ควรอยู่ที่นั่นให้มาก เข้าข่ายมีอาวาสอันเป็นสัปปายะ นั่นคือเหตุผลของการเลือก”

เกาทัณฑ์สบตาหล่อนอย่างเปิดเผยขณะพูด

“ถ้าแพไม่ยินดีผมก็จะยกเลิกแผนเดิม เปลี่ยนสถานที่ก็ได้ ผมจะไม่ฝืนใจเจ้าถิ่น นี่ถือว่าเป็นการถามขอความยินยอมจากแพอีกคนก็แล้วกัน”

แพตรีนิ่งไป บางสิ่งในความเป็นเขาดูน่าเชื่อถือเมื่อปราศจากร่องรอยช่างเล่น ในที่สุดก็เอ่ย

“ถามเจ้าของบ้านตัวจริงท่านอนุญาตก็แล้วไปสิคะ ขัดศรัทธาโดยไม่มีเหตุอันควรเดี๋ยวบาปแย่เท่านั้น”

พอเห็นรอยยิ้มเปิด เกาทัณฑ์ก็ทราบว่าหล่อนเต็มใจต้อนรับแล้ว

พยักหน้าชวนกันกราบลาพระประธาน เดินออกมาจากโบสถ์ เมื่ออยู่ข้างนอก เงยหน้าเห็นฟ้าใสๆ ใจที่แช่มชื่นอยู่แล้วก็เกิดปีติฉีดซ่านราวกับอยู่ในอุปจารสมาธิ

ด้วยสติที่กำลังแรง เมื่อจับพิจารณาสิ่งใดก็เกิดความเห็นแยกแยะได้เป็นชั้นๆ ชัดเจนราวกับรูปและนามน้อยใหญ่วางอยู่บนกระจกใสคนละแผ่น เกาทัณฑ์รับรู้ถึงกายที่เคลื่อนเดินไปของตนและหญิงสาวผู้อยู่เคียงข้าง กับทั้งสัมผัสชัดถึงกระแสธรรมชนิดเดียวกัน เชื่อมให้รู้สึกสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียว

บุญเป็นสิ่งมีอานุภาพ เมื่อสร้างร่วมกันแล้ว จะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม ผลคือนามธรรมชนิดหนึ่งคล้ายใยแก้วสานกันให้เกิดความรู้สึกเยือกเย็น งดงาม

ด้วยจิตอันคมกล้าในบัดนั้น เกาทัณฑ์หยั่งรู้ว่าผู้อยู่แต่ละปลายฝั่งสายใย จะเก็บสัญญาณฝ่ายของตนไว้ในจิตใต้สำนึก เป็นคนละชนิดที่ลึกกว่าความทรงจำอันเป็นสิ่งตื้นเขินผิวนอก แม้เมื่อจิตวิญญาณเคลื่อนจากอัตภาพเดิมไปครองอัตภาพใหม่ ก็จะนำสัญญาณนั้นติดตัวไปด้วย เมื่อพบกันอีกด้วยอำนาจดึงดูดฝ่ายบุญ ก็จะเตือนให้คุ้นกัน และรู้สึกเยือกเย็น งดงามเมื่ออยู่ใกล้

จะรักกันฉันพ่อแม่ลูก พี่น้อง เพื่อนพ้อง หรือสามีภรรยา ก็ขึ้นอยู่กับฐานะระหว่างกันขณะร่วมบุญ หากมีปัจจัยบวกใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไม่อิ่มไม่เบื่อในกันและกันเลย อยู่ใกล้กันได้เรื่อยๆ ชนิดเดียวกับที่ทุกคนปรารถนาจะเข้าหาเงาไม้หลบแดด หรืออาศัยศาลาริมน้ำหลบร้อน

เบื้องแรกเมื่อพบและรู้จักแพตรี เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกแสนพิเศษอย่างนี้ลอยลมมาจากไหน ต่อเมื่อจิตกับจิตทั้งสองฝั่งร่วมกันเปล่งรัศมีจัดจ้าไร้สิ่งคลุมบังถึงที่สุดหลังปฏิบัติธรรมเดี๋ยวนี้แล้ว จึงเกิดความ ‘เห็น’ โดยปราศจากความเคลือบแคลงใดๆอีก

เงาร่างของอีกฝ่ายอยู่เรียงเคียงข้างด้วยน้ำหนักเสมอกันทั้งระดับความคิดอ่าน ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาธรรม ดุจเดียวกับวางของสองชิ้นบนคันชั่งสองแขนได้ดุลพอดี

สัญญาณแห่งกุศลซึ่งใจส่งถึงกันนั้น เมื่อประจักษ์จึงรู้ว่าเป็นสิ่งพิเศษเหนือวิสัยชู้สาวสามัญ เกาทัณฑ์บอกตัวเองว่าต่อให้ใบหน้าของหล่อนน่าเกลียดน่ากลัวลงด้วยพิษน้ำกรดเสียเดี๋ยวนี้ ขอเพียงยังมีประกายสว่างจากหัวใจถึงหัวใจเช่นที่เป็นอยู่ เขาก็จะไม่รักหล่อนน้อยลงเลย

หมดห่วงแล้ว นี่เป็นการต่อ มิใช่การเริ่มนับหนึ่ง สอง สาม

หล่อนคือคู่แท้ของเขา

 

เกาทัณฑ์พาแพตรีมาที่ศูนย์การค้าของจังหวัดเพื่อทานข้าวกลางวันและเลือกซื้อของถวายสังฆทานกันเอง สองหนุ่มสาวมาอยู่ที่ศูนย์รวมอาหารของห้าง ซึ่งเผอิญมีร้านหนึ่งในนั้นขายอาหารมังสวิรัติโดยเฉพาะ ถูกกับความชอบใจของแพตรี

เป็นครั้งแรกที่ทานข้าวร่วมกันนอกบ้าน ด้วยความอยากเอาใจและให้เห็นว่าเขาอยากเป็นพวกเดียวกัน เกาทัณฑ์จึงเลือกสั่งอาหารจากร้านเดียว และอย่างเดียวกับหล่อนนั่นเอง

“ถ้าไม่เจอร้านเจหรือมังสวิรัตินี่…หิวขึ้นมาแพทำยังไง?”

“ก็สั่งเขาได้นี่คะ กับข้าวมีหลายอย่างที่ไม่ต้องใส่เนื้อ อย่างผัดผักบุ้งอะไรอย่างนี้”

เกาทัณฑ์ก้มหน้ามองผัดหมี่เห็ดหอมในจานตน แพตรีมองตามแล้วบอกว่า

“อย่าฝืนใจเลย มาด้วยกันไม่ได้หมายความว่าต้องกินอย่างเดียวกันนี่นา”

ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อย เลือกพูดเฉพาะส่วนที่เป็นความจริง

“ผมชอบเห็ดหอมขนาดไหนแพรู้ไหม ร้านนี้ให้เห็ดหอมอย่างดีด้วย นี่หมดแล้วว่าจะไปเอามาอีกจานต่างหาก”

“จะชอบทานอย่างนี้ได้นานกี่มื้อคะ?”

ฟังรู้ว่าสำเนียงหล่อนออกไปทางล้อ เพราะทราบว่าเขาทำไปเพื่อเอาใจ เกาทัณฑ์หัวเราะเก้อๆ อ้อมแอ้มว่า

“แพทำกับข้าวอร่อยจะตาย ผมคงติดใจไปเรื่อยถ้ามีโอกาสทานทุกมื้อที่เป็นฝีมือของแพ”

“แน่เหรอ?”

หญิงสาวทำเสียงทีเล่นทีจริง ตาทอประกายขึ้นมา

“แน่…”

เขาตอบเสียงอ่อย น่าหนักใจล่ะถ้าแพตรีขอร้องให้เป็นมังสวิรัติแบบหล่อน จะได้ทำกับข้าวง่ายๆ กินร่วมกันง่ายๆ แค่นึกก็รู้แล้วว่าตนคงโหยหาหมูเห็ดเป็ดไก่แทบชักดิ้นชักงอตาย

ก็คงต้องรอดูไปว่าแพตรีชอบบังคับจิตใจคนใกล้ชิดหรือเปล่า ดูจากผิวนอกแล้วคงไม่

มีมือใครคนหนึ่งวางบนบ่า เกาทัณฑ์เอี้ยวคอเงยหน้ามอง พอเห็นว่าเป็นเพื่อนก็ยิ้มร่า

“เฮ้ย! เชิง”

เชิงไทตบบ่าเพื่อนอีกทีหนึ่งอย่างจะทักซ้ำ ก่อนถือวิสาสะดึงเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะหย่อนตัวลงนั่ง วางจานข้าวขาหมูกับแก้วน้ำอัดลมที่เพิ่งนำมาจากร้านวางลงบนโต๊ะ

“มาทำอะไรที่นี่ล่ะเต้” พูดกับเกาทัณฑ์แต่หน้าหันไปยิ้มให้แพตรีและทักก่อน “สวัสดีครับ”

หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง ก่อนรับตามมารยาท

“สวัสดีค่ะ”

เกาทัณฑ์ดูแววตาเพื่อนที่จับมองหญิงสาวแล้วเห็นว่าขึ้นเงาเป็นประกายจัดเกินงามไปหน่อย ก็ใช้ปลายนิ้วสะกิดหัวไหล่เพื่อเรียกให้หันมามองเขาแทน

“มาไหว้หลวงพ่อพุธ”

เชิงไทรู้สึกยากจะถอนสายตาจากดวงหน้าสวยหวาน สวยชนิดที่เห็นปุ๊บเหมือนสะดุดล้มหล่นลงหลุมรักทันใด แต่จำใจต้องหันมาโต้ตอบเพื่อนตามเพลง

“โอ๊ เดี๋ยวนี้ไหว้พระเป็นด้วยรึ”

“อือ มึงล่ะ มาทำไม?”

“มาพักรีสอร์ตริมน้ำของพ่อไอ้ปี่ไง ล่องแก่งกันด้วย ที่กูชวนตอนบ่ายวันศุกร์แล้วมึงบอกติดธุระน่ะ ที่แท้มานี่เอง”

เกาทัณฑ์เห็นเพื่อนทิ้งท้ายแบบทำตารู้กันแล้วก็รีบแก้ความเข้าใจเสียใหม่

“เออ ธุระสำคัญน่ะเมื่อวานทำเรียบร้อยไปแล้ว วันนี้เพิ่งมาถึงได้พักใหญ่”

“อ๋อเหรอ...” รับรู้แล้วเวียนหน้ามาหาหญิงสาวอีก “ผมเป็นเพื่อนที่ทำงานเดียวกับเต้น่ะครับ พักหลังทำตัวห่างเหินเพื่อนฝูงไป กำลังตั้งข้อสงสัยกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น”

แพตรีมองเพื่อนของเกาทัณฑ์ด้วยยิ้มในที หน้าใสแบบหนุ่มเจ้าสำราญที่ฝังไว้ด้วยดวงตาทรงอำนาจฉลาดเฉลียวเยี่ยงผู้ประสพความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ของเขาดูเข้ากันเป็นพรรคเป็นพวกดีกับเกาทัณฑ์

“ชื่อเชิงไทนะครับ”

หนุ่มหน้าใสควักกระเป๋ายื่นนามบัตรให้หล่อน แพตรีรับมาวางไว้กับขอบโต๊ะ ทว่าไม่ได้แลดูตราทองของบริษัทยักษ์ข้ามชาติ กับตำแหน่งใหญ่ระดับรองหัวหน้าแผนกของเขาแต่อย่างใด

เชิงไทหันมาเสวนากับเพื่อนชายแบบสับจังหวะเสียหน่อย

“รู้แหล่งเที่ยวที่นี่หรือเปล่า จะได้แนะนำให้”

เกาทัณฑ์ทำหน้าเมื่อย

“รู้น่า…”

“อ้อ ลืมไป ดันหวังดีจะแนะที่เที่ยวให้กับนักเที่ยวตัวฉกาจได้ ฮ่ะๆ อุปมาเหมือนสอนลิงขึ้นต้นไม้”

น้ำเสียงเชิงไทมีพลังแห่งความรื่นรมย์ที่จะสะกดคนอื่นมาอยู่ใต้บรรยากาศของเขา แพตรีเห็นเกาทัณฑ์ถูกสัพยอก เปรียบเป็นลิงเป็นค่างเช่นนั้นก็หัวเราะออกมากิ๊กหนึ่ง แต่ฝ่ายเกาทัณฑ์พอเห็นหล่อนขำก็ชักไม่สบอารมณ์เพื่อนตงิดๆ

“โลกกลมเนอะ ดันมาเจอมึงได้ยังไงวะเนี่ย”

เชิงไทยักคิ้วหัวเราะอย่างสนุกที่เห็นเกาทัณฑ์เริ่มทำหน้าบูด

“แถวนี้หาที่กินเย็นๆยาก ข้างนอกร้อนตับจะแตก เข้าห้างว่าจะกินสุกี้ก็เจอคนเยอะซะนี่ เหลือโต๊ะว่างไม่พอ ยายแอ้ขี้เกียจรอเลยชวนมานี่”

เกาทัณฑ์ชักอึดอัด ความจริงเชิงไทเป็นเพื่อนที่สนิทกับเขามาก คบหากันตั้งแต่สมัยเรียนตรี แยกย้ายไปเรียนโทคนละแห่ง เขาจบก่อน เมื่อเข้าบริษัทก็เป็นคนชักชวนมาทำด้วยกันในตำแหน่งและสายทางที่เกื้อกูลกัน เขาทำทางเทคนิค เชิงไททำด้านตลาด ต่างก้าวหน้าเร็วเพราะสอบเข้ากับบริษัทแม่ที่เมืองนอกโดยตรง แสดงฝีมืออยู่ทางโน้นพักใหญ่ก่อนถูกย้ายมาประจำสาขาในเมืองไทยพร้อมกัน เพื่อเป็นตัวเชื่อมประสานระหว่างบริษัทแม่กับเครือข่ายอีกแรงหนึ่ง

หากเชิงไทมาคนเดียว ควรจะยินดีด้วยซ้ำที่เพื่อนเผอิญโคจรมาเห็นหวานใจโดยไม่ต้องรอจังหวะพาไปอวดเอง แต่นี่ ‘ยายแอ้’ ที่เขากับเชิงไทเพิ่งจะเปิดศึกประลองกระบี่ชิงนางกันหยกๆเกิดพ่วงมาด้วยน่ะซี…

บุคคลที่เกาทัณฑ์อยากเลี่ยงการเผชิญหน้าเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเชิงไทชูแขนขึ้นกวักมือเรียกใครบางคน และชี้โบ๊ชี้เบ๊คล้ายจะให้ใครคนนั้นเรียกเพื่อนที่กระจัดกระจายมารวมกันตรงนี้ พักเดียวก็มีหญิงชายถือจานข้าวบ้าง ถาดใหญ่บ้างทยอยเดินตามกันมา

“ให้พวกเรานั่งด้วยได้ไหมครับ?”

เชิงไทกวักมือเรียกพวกเสร็จค่อยถามแพตรีให้พอดูมีมารยาท ซึ่งแน่นอนหล่อนต้องตอบว่าเชิญตามสบาย ด้วยเห็นเป็นเพื่อนสนิทของเขา เกาทัณฑ์ฝืนยิ้มต้อนรับทุกคนอย่างดี

อ้าว! พี่เต้ หวัดดีครับ…อุ๊ย! พี่เต้นี่ สวัสดีค่า…

นึกอยากเตะเชิงไทสักป้าบ ความจริงเขากำลังจะออกปากไล่ ขอความเป็นส่วนตัวอยู่ทีเดียว แต่นี่คงสายเกินไปแล้ว เชิงไทถือสนิทจนขาดความเกรงใจเสมอ ลากเอาหญิงสามชายสองทั้งน้องและเพื่อนร่วมบริษัทมาตั้งวงได้ลงคอ ทั้งที่เห็นเขาอยู่กับแพตรีตามลำพัง คราวนี้จะไล่อย่างไรไหว พอทักทายเขาแล้วก็กระจายกันนั่งบนโต๊ะรอบๆนั่นเอง

เกาทัณฑ์คิดว่าโดยความสัมพันธ์ขณะนี้ แพตรีอาจยังไม่สานสนิทกับเขาพอจะสละอัธยาศัยรักสันโดษ ขนาดสบายใจร่วมนั่งท่ามกลางคนแปลกหน้าที่เป็นพรรคพวกเขาล้วน เผลอๆอาจขัดเคืองกับการเสียบรรยากาศเดิมจนแกล้งขอตัวหนีไปทางอื่นเนิ่นนานจนเขาต้องเหนื่อยตามก็ได้

ชำเลืองสังเกตเกร็งๆ ผิดคาดที่เห็นหล่อนยิ้มรับทักใครบางคนอย่างปกติ เป็นตัวหล่อนเองตามธรรมชาติ นั่นทำให้เขาถอนใจโล่งอก ก็ดีอย่าง สถานการณ์เล็กๆนี้พอเป็นมาตรวัดใจได้ว่าหล่อนยินดีไปไหนต่อไหนออกหน้าออกตากับเขาหรือยัง ดูแล้วท่าทางแพตรีพอใจให้เพื่อนที่ทำงานเห็นหล่อนอยู่กับเขาด้วยซ้ำ

“พี่เต้หนีมาเที่ยวในโลกส่วนตัวนี่เอง พวกผมเหงาแย่”

น้องคนหนึ่งแกล้งโวยวาย พอเขาหันไปจะดุให้หุบปากหุบคำก็จ๊ะเอ๋กับสายตาคมปลาบของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านนั้นพอดี เกาทัณฑ์รักษาหน้าเป็นปกติ พยักพเยิดส่งยิ้มทัก แต่เรือนแก้วขว้างค้อนกลับมาวงหนึ่ง เบะปากแถมท้ายเป็นเครื่องหมายแทนการร้อง ‘เชอะ!’ ใส่เขาดังๆ แล้วเสหันไปพูดกับสาวข้างตัวหน้าตาเฉย

ในฐานะเพื่อนร่วมงาน เกาทัณฑ์มีความรู้สึกด้านดีกับเรือนแก้วมิใช่น้อย แค่ความเก่งงานก็เป็นเสน่ห์แล้ว พลิกลิ้นได้คล่องแคล่วถึงสามภาษาเทศ ทั้งอังกฤษ จีน และญี่ปุ่น มีรอยยิ้มพิมพ์ใจไฉไลพอจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับบริษัท ฉลาดพูดขนาดมีส่วนช่วยเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงมาแล้วหลายครั้ง เขาเคยต้องเดินทางร่วมกับหล่อนสามหน ประจักษ์ในฝีมือระดับอินเตอร์เป็นอย่างดี หล่อนหันหน้าไปพูดกับลูกค้าคนไหน ก็กลายเป็นคนชาตินั้นได้อย่างน่าทึ่ง แถมรอบรู้เกี่ยวกับรายละเอียดความเคลื่อนไหวในระบบแบบที่คุยด้วยสักทีจะทราบเลยว่าเอกสารทุกชิ้นถ้าเวียนถึงหล่อนจะถูกอ่านทุกบรรทัด ต่อให้ปึกหนาและเต็มไปด้วยตารางตัวเลขน่าสับสนก็เถอะ

เรือนแก้วคบกับเขาและเชิงไทแบบเพื่อน ถึงแม้จะมีอายุงานนานกว่า และสนิทกับผู้ใหญ่ระดับบนจนไม่จำเป็นต้องคลุกคลีกับ ‘รุ่นหนุ่ม’ ความเป็นกันเองที่หล่อนหยิบยื่นให้นั้น แม้ฉาบมากับหน้าที่การงาน ก็ดูจริงใจ ปราศจากการเสแสร้งแกล้งหลอก

ว่าไปแล้วสมองหล่อนอยู่ในเกณฑ์ฉลาดปกติ แต่เมื่อรวมกับความสวย ความเชื่อมั่น ไฟทะเยอทะยาน และทักษะทางภาษาชั้นเลิศ เรือนแก้วก็กลายเป็นกลจักรสำคัญชิ้นหนึ่งขององค์กรไปง่ายๆ แม้โดยตำแหน่งจะเป็นผู้ช่วยผู้บริหารที่ก้าวขึ้นมาจากการเป็นเลขาฯ ในทางปฏิบัติก็ ‘ใหญ่’ และเป็นที่เกรงใจของใครต่อใครอยู่มิใช่น้อย

ผู้ใหญ่ชื่นชมกันเป็นแถว แถมรู้ความลับมากมายก่ายกองปานนั้น ขอเพียงหล่อนรักหรือชังพอ ก็อาจมีสิทธิ์ให้คุณให้โทษใครก็ได้

วันก่อนเขาเพิ่งปฏิเสธอย่างงัวเงีย ไม่มีเยื่อใยเท่าที่ควรเมื่อหล่อนโทร.มาชวนเที่ยว วันนี้หล่อนเผอิญมาได้เห็นมูลเหตุของการปฏิเสธนั้น

ต่อไปเขาสมควรจะได้คุณหรือโทษจากหล่อนก็คงพอเดาถูกอยู่

หล่อนไม่ถึงขนาดรักชอบเขาจนเจ็บปวดรวดร้าวราวถูกมีดกรีดกลางใจหรอก เมื่อเห็นเขานั่งกับผู้หญิงอื่นอย่างนี้ ในเมื่อยังมีเชิงไทอีกทั้งคน แถมด้วยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ข้างนอกข้างในบริษัทอีกบานพะเรอ แต่คงคันๆใจที่เขาถอนตัวกะทันหันในเวลาที่หล่อนทำท่าจะเลือกมาเป็นคู่ควงคนล่าสุด เขารู้ตัวว่ามีภาษีเหนือเชิงไทในช่วงปลาย ตอนเที่ยวด้วยกันหล่อนเลือกนั่งข้างเขา บางทีก็กระแซะนิดๆ และเขาก็เคยถือโอกาสหาเศษกำรี้กำไรไปหลายหน

แพตรีนั่งอยู่ตรงข้ามแค่เอื้อม เลยออกไปหน่อยคือเรือนแก้วนั่งอยู่อีกโต๊ะ เป็นภาพเข้าทางตาพร้อมกันที่ก่อสังหรณ์กวนใจบางชนิดขึ้นในอากาศ...

 

แยกจากหมู่เพื่อนมาได้ค่อยเบาใจลง ในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างของห้างคลาคล่ำด้วยผู้คนจับจ่ายซื้อของวันอาทิตย์ เกาทัณฑ์ลากรถเข็นมาคันหนึ่ง ใจเปิดโล่งเป็นสุขอย่างประหลาด เพียงด้วยความตั้งใจว่าจะเลือกของไปถวายสังฆทาน ก็แตกต่างจากการเดินจับจ่ายซื้อของปกติเป็นคนละเรื่องแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกสำหรับการเลือกซื้อของถวายสังฆทานของเขา ขณะที่สำหรับแพตรีเป็นกิจวัตรประจำ เกาทัณฑ์จึงให้หล่อนเป็นฝ่ายนำร่อง ขอเป็นเพียงผู้เข็นรถตามไปรับของจากมือหล่อน หรือช่วยหยิบจากชั้นตามแต่แพตรีจะชี้

ชิ้นแรกที่หยิบเป็นแชมพูสูตรเย็น หญิงสาวนำมาใส่กระบะตะแกรงเพียงสี่ชิ้นตามจำนวนถวายซึ่งหล่อนปฏิบัติมาเป็นประจำ สี่ชิ้นหมายถึงให้พระสี่รูป ซึ่งเป็นจำนวนนับครบองค์เรียก ‘สงฆ์’ ได้ แต่เกาทัณฑ์รู้สึกว่านั่นน้อยไป ไม่อิ่มใจ ก็หยิบเพิ่มอีกห้าขวด

“ถวายเก้าองค์เถอะฮะ ตอนท่านช่วยกันสวดให้พรจะได้ดังกระหึ่มเพราะหูดี”

แพตรีอึ้ง มองเขาอย่างชั่งใจก่อนกล่าวว่า

“อย่าว่าขัดศรัทธาเลยนะคะ คือ…ตั้งใจจะช่วยกันออกคนละครึ่ง”

ฟังเท่านั้นเกาทัณฑ์ก็ทราบว่าหล่อนมีติดตัวมาน้อย เกือบบอกไปง่ายๆว่าอย่าห่วงเลยเรื่องเงินเรื่องทอง เขาจะออกให้ทั้งหมด วันนี้ต่อให้ทำร้อยแปดองค์ก็สบายมาก แต่คิดได้ว่านั่นอาจเป็นการทอนกำลังใจในการถวายของหล่อนลง เพราะถูกกดให้คิดเกี่ยวกับฐานะการเงิน จึงว่า

“แพช่วยออกค่าน้ำมันรถได้ไหม ถือว่าเราช่วยคนละครึ่งเสมอกัน ผมออกค่าของถวาย แพออกค่าเดินทาง นะ”

หญิงสาวยิ้มหน่อยๆ แปลว่าหล่อนตกลง เกาทัณฑ์ชวนเลือกของต่อตามจำนวนที่ตั้งใจได้

แต่ละชิ้นที่เลือกหยิบจากชั้นวางล้วนสั่งสมความแช่มชื่นให้พูนทวีขึ้นตามลำดับ ในเมื่อรู้แก่ใจว่าเจตนาจะนำไปถวายสงฆ์โดยปราศจากการเจาะจงเลือกภิกษุองค์ใดองค์หนึ่ง ถวายเพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ประพฤติธรรมอยู่สบายตามอัตภาพ สามารถสืบทอดแนวทางปฏิบัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยชอบ

อีกทั้งทราบว่าของแต่ละชิ้นที่หยิบติดมือขึ้นมาพวกท่านจะนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันด้านไหน แจ่มแจ้งว่าของแต่ละชิ้นมีคุณภาพดีเพียงใด บางทีเมื่อแพตรีจะผ่านของบางอย่างที่หล่อนไม่เคยซื้อ อย่างเช่นครีมโกนหนวด เกาทัณฑ์ก็เป็นฝ่ายเลือกยี่ห้อโปรดของตน กอบมาลงวางอย่างหมายรู้ว่ากลิ่น ความนุ่มของโฟม และความสบายสัมผัสของมันเป็นอย่างไร สงฆ์ก็จะรับเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้

นำของใส่รถเข็นได้เพียงห้า-หกชนิดก็เกือบล้นแล้ว เนื่องจากแต่ละอย่างมีจำนวนถึงเก้าชิ้น เฉพาะผงซักฟอกนี่แพตรีจะเลือกขนาดกลาง เกาทัณฑ์ก็ขอเปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่เสียอีก หล่อนเกรงรวมของมากมายที่เขาหยิบๆๆแล้วจะล้นถัง เกาทัณฑ์บอกถ้าล้นก็ซื้อตุ่มใส่ถวายให้เป็นประวัติศาสตร์ไปเลย ทำเอาแพตรีหัวเราะออกมาได้

รับรู้ว่านั่นคือความเป็นเกาทัณฑ์ ต้องดีที่สุด ประณีตที่สุด ใหญ่ที่สุด เพื่องานที่เขาศรัทธา ทุกอย่างต้องสุดตัว ซึ่งก็จะให้ผลอันเป็นกำลังจิตในปัจจุบัน และวิบากในภายภาคหน้าสอดคล้องตามนั้น

หล่อนกำลังอยู่กับเขา ความเป็นเขา เหมือนชีวิตเปลี่ยนไป จากเช้าจนถึงยามนี้รวมลงเป็นวันที่มีความสุขอย่างไม่เคยมาก่อน อากาศรอบกายสบายผิดแปลก รสสุขหวานแหลมเห็นปานนี้เองที่ดึงวิญญาณโบกโบยขึ้นสูงได้ยิ่งกว่าปีกนก และพากายทะยานแล่นไกลได้ยิ่งกว่าแรงพายุกล้า

เกาทัณฑ์เดินผละจากจุดวางผงซักฟอก กำลังจะตรงไปหาน้ำยาล้างจาน ไม่ทันสังเกตว่าแพตรีตามมาด้วยหรือเปล่า กระทั่งชะงักกึกเพราะเสียงเรียกจากเบื้องหลัง

“พี่เต้!”

เย็นวาบในอก เกาทัณฑ์กลับหลังหันมอง แพตรียืนเว้นระยะห่างออกไปหลายก้าว หญิงสาวผมยาว สะสวย อ่อนหวานในชุดกระโปรงขาว โดดเด่นเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนในละแวก ด้วยแก้วเสียงใสที่เปล่งออกมาอย่างมีความหมายนั้น จับใจคนได้ยินยิ่งกว่าดีดแก้วเจียระไนสักร้อยใบพร้อมกัน

“แพเอารถเข็นมาเพิ่มนะคะ พี่เลือกของไปเรื่อยๆก่อน”

บอกเขาทั้งยิ้มกระจ่าง ทั้งโลกเหมือนสว่างให้หล่อนคนเดียว

เกาทัณฑ์พยักหน้า มองร่างระหงหมุนตัวเดินย้อนทางห่างไปด้วยดวงตาที่เหม่อลอยงงงันจากมนต์สะกดอันทรงฤทธิ์ของรูปและเสียงอิสตรี

แค่ถูกเรียกชื่อเป็นครั้งแรกก็แทบลืมหายใจอย่างนี้ ต่อไปถ้าหล่อนบอกว่ารักเขาสักคำ ไม่หมดสติเป็นคนขวัญอ่อนไปเลยหรือ…


บทที่ ๑๗  สาวเก่ง


    เป็นเวลาเกือบทุ่มครึ่งที่เกาทัณฑ์วางมือจากงาน ลุกจากโต๊ะ ลงลิฟต์ไปเข้าห้องประชุมเล็กตั้งความคาดหวังว่าจะได้นั่งจิบโกโก้ เอกเขนกมองแสงสีกรุงเทพฯยามราตรีจากมุมมองบนตึกสูงตามลำพัง ลืมงาน ลืมผู้คนเป็นการคลายเครียดเสียหน่อย

    เปิดประตูเดินเข้าไปแล้วชะงัก เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวกำลังนั่งสนทนาอยู่ มีแฟ้มวางตรงหน้า แสดงให้เห็นว่ากำลังคุยงาน

    “อ้าว! โทษที นึกว่ากลับกันหมดแล้ว”

    ทำท่าจะถอยฉาก แต่เชิงไทเรียกไว้เสียก่อน

    “เฮ้ย! เสร็จธุระเรียบร้อย กำลังพูดถึงมึงอยู่พอดี มาคุยกันโว้ย”

    “เหรอะ”

    ความจริงเกาทัณฑ์สมัครใจจะย้อนกลับทางเก่ามากกว่า เพราะหญิงสาวผู้ร่วมโต๊ะประชุมกับเชิงไทมิใช่ใครอื่น เรือนแก้วนั่นเอง รู้สึกฝืนๆชอบกลนับแต่วันเจอกันที่โคราช จากที่เคยสนิท เคยเจอหน้ากันแล้วยืนทักทายหัวร่อต่อกระซิก เดี๋ยวนี้กลายเป็นสวัสดีแกนๆเฉพาะเมื่อเดินสวน บางทีถ้าอยู่ห่างหน่อยเดียว ก็เห็นหล่อนทำทีหมางเมินอย่างจงใจ

    ตอนนี้เจอเข้าอย่างจัง แถมเชิงไทดันชวนให้อยู่คุยด้วย ถ้าหลบก็เหมือนประกาศเป็นไม้เบื่อไม้เมากับหล่อนโดยใช่เหตุ จึงเลยตามเลย เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะตามคำเชิญ โต๊ะนั้นกว้างยาวแค่พอนั่งแบบวางแฟ้ม วางกาแฟกันได้ประมาณแปดคน มีถ้วยใสเห็นเศษกาแฟติดก้นอยู่สองที่ แสดงว่าผู้ร่วมประชุมเพิ่งออกจากห้องเมื่อเร็วๆนี้ เหลือเพียงเชิงไทกับเรือนแก้วคุยค้างตามลำพัง

    “ไงวะ วันนี้หน้าตาเอางานเอาการ มืดค่ำป่านนี้ยังไม่ไปหาน้องแพเหรอะ?”

    เชิงไทกระเซ้า เกาทัณฑ์ยักคิ้วตอบเอื่อยเฉื่อย

    “ว่าจะลาสักพักน่ะ ช่วงนี้เลยอยู่สะสางงานให้หมด”

    “อะฮ้า! อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่เลวนี่ รอบนี้คงนัดหวานใจไปสร้างหนังนิยายรักเรื่อง ‘เจ็ดวันรอบโลก’ กระมัง?”

    เกาทัณฑ์อึดอัดกับความพยายามของเชิงไทที่ตั้งหน้าตั้งตามุ่งเข้าหาแพตรีเป็นหลัก ที่จริงถ้าอยู่กันตามลำพังประสาชายก็คงไม่กระไร ทว่านี่มีเรือนแก้วอยู่อีกคน แม้เค้าหน้างามในชุดสูทเนี้ยบกริบจะเบนมองไปทางหนึ่งห่างไกล แต่เกาทัณฑ์ทราบว่าหล่อนจะฟังทุกคำโต้ตอบระหว่างเขากับเชิงไท ก็เชิงไทเพิ่งบอกหยกๆว่าเมื่อครู่ประเด็นสนทนาคือเรื่องของเขาอยู่นั่นไง

    “ลาพักเพราะเหนื่อย ไม่ใช่มีโครงการนัดเที่ยวที่ไหน กูยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขามากมายขนาดนั้น”

    เชิงไทฟังคำแถลงนั้นแล้วแปลความหมายว่าเพื่อนจะแทงกั๊ก แบบบอกผ่านเข้าหูเรือนแก้วว่าที่จริงยังโสดสนิท จึงร้องว่า

    “แอ๊ะๆ...แฮ่! พูดอู้อี้เหมือนอมลูกแตงโมไว้ในปาก ฮะๆ ไอ้บั่วเอ๊ย”

    เรือนแก้วอดขำสำเนียงเสียดสีของเชิงไทไม่ได้ หล่อนเสเปิดแฟ้มตรงหน้า ทำทีคล้ายปลีกตัวออกนอกวงสนทนา เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว เป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน

    “แอ้”

    หล่อนเงยหน้ามอง ก่อนขานรับด้วยเสียงหวานเจื้อยแจ้ว

    “ขา...”

    แถมด้วยการโปรยยิ้มโลกเปิดที่บาดใจเขามานาน เกาทัณฑ์รู้สึกแปลกๆ ดูทีเรือนแก้วทอดสนิทคืนเป็นปกติรวดเร็วเหลือเกิน สงสัยก่อนหน้าเขาเข้ามา คงมีรายการยำใหญ่ใส่ไข่จนชื่นมื่นได้ที่เหมาะแล้วกระมัง

    กระแอมเล็กน้อย ทำอย่างไรได้ เรียกไปแล้วก็ต้องทักทายโอภาปราศรัยตามเรื่องตามราว

    “วันนี้ดูสดชื่นดีนะ ถ้าจะเงินเดือนขึ้น”

    “อ๋อ เปล่า...เปล่า เงินเดือนเท่าเดิม” หล่อนโต้ตอบอย่างคล่องแคล่ว “แต่สาวน้อยร้อยชั่งที่ยังโสดก็ดูหน้าระรื่นอย่างนี้แหละค่า มีเวล่ำเวลาตะแล้ดแจ๊ดแจ๋ไปเรื่อย เป็นเรื่องธรรมดา ประสาคนไร้ห่วง อิจฉาเหรอคะ?”

    เกาทัณฑ์หัวเราะกร่อย เอานิ้วก้อยเขี่ยปลายจมูกเพราะคันคารมยั่วนั้น โดยเฉพาะที่หล่อนใส่จริต ออกเสียงควบกล้ำ ร. เรือเสียชัดเกินเหตุทุกคำ

    “เปล่าอิจฉาแอ้หรอก คงอิจฉาเจ้าเชิงมากกว่ามั้ง เห็นมันมีเวลาส่วนตัวหลังประชุมกับสาวอย่างนี้”

    “สาวคนนี้ไม่น่าปลื้มพอหรอกค่ะ สู้น้อง...น้องอะไรนะ?”

    แสร้งเอียงหน้าถามเชิงไท ฝ่ายถูกถามซ่อนยิ้มไว้ ก่อนตอบสั้นๆ

    “แพ”

    “อ้อ ค่ะ ใครจะไปน่าปลื้มเท่าน้องแพคนสวยของเต้ล่ะ เมื่อกี้ก็เพิ่งปรึกษากับเชิงว่าวันแต่งจะช่วยใส่ซองเท่าไหร่ดี”

    เชิงไทรับลูก

    “กูจะให้เป็นคูปองแลกอาหารมังสวิรัติ”

    แล้วสองหนุ่มสาวก็หัวเราะฮึ่มพร้อมกัน ทำเอาคนถูกรุมต้องพยักพเยิดผสมโรงห้วนๆ

    “งั้นมึงไม่ต้องกินของในงานกู!”

    “น้าน!” เชิงไทร้องเสียงหลง “ยอมรับแล้วใช่ไหมว่ากำลังจะแจกบัตรเชิญ?”

    เกาทัณฑ์ยักไหล่ ถือคติพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง เรือนแก้วเห็นเขาเหลือบตาลงต่ำเช่นนั้นก็ดุเชิงไท

    “เชิงอย่าถามเสียงดังสิคะ ฟังแล้วไม่น่าตอบเลย”

    ดุคนหนึ่งเสร็จก็ยื่นหน้าถามอีกคนด้วยยิ้มอันน่าพิสมัยคล้ายปลอบเด็ก

    “ตกลงพระคุณท่านจะแต่งเมื่อไหร่เจ้าคะ?”

    เกาทัณฑ์เบือนหน้ายิ้ม ขำก็ขำ รำคาญก็รำคาญ เลยตอบส่งเดช

    “พรุ่งนี้บ่ายๆมั้ง กะว่ากินข้าวเที่ยงเสร็จถ้าไม่จู๊ดๆก็คงพร้อม”

    “โธ่โถ...เต เต่ เต้ เต๊ เต๋ ตอบเป็นเล่นอย่างนี้แสดงว่าจะทำตัวเป็นผู้โชคดีที่ปากแข็งอย่างเสมอต้นเสมอปลายสินี่ แล้วเรื่องของเรา...ว้าย! พูดไม่ชัดเดี๋ยวเข้าใจผิด แล้วตกลงนับแต่นี้แปลว่ากลุ่มเราถูกเต้ตัดตายขายขาด ไม่มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอีกแล้วใช่ไหม มีเจ้าของแล้วนี่?”

    สายตาจรดนิ่งของหญิงสาวมีแรงดึงดูดรบกวนจิตใจเอาเรื่อง เกาทัณฑ์ไม่อยากหันมามองตรงๆ วันนี้หล่อนสวยเฉี่ยวบาดอารมณ์อย่างน่าแปลก ความเรียกร้องอันเร้นลับระอุไปทุกกระเบียดเนื้อ แค่ส่วนปลายเนินอกที่พ้นขึ้นมาจากคอเสื้อ ก็เห็นแหลมคมจัดจ้านพอจะเป็นชนวนระทึกใจได้ชะงัดแล้ว

    หล่อนมีศิลปะในการแต่งหน้า แต่งองค์ทรงเครื่องให้เฉียบคมไฉไล และเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของแต่ละวันได้อย่างน่าทึ่ง เขาสังเกตวิธีปรุงแต่งสีสันของเรือนแก้วเสมอ ความเก่งรอบตัว ผสมกับความรู้จักเครื่องหน้าตัวเอง เข้าใจเนื้อหาของเครื่องสำอางกับกลิ่นน้ำหอม ทำให้หล่อนมีบุคลิกอะไรก็ได้ที่อยากจะเป็นไป

    อย่างเช่นวันนี้แต่งเฉี่ยว ประทินโฉมไว้เข้ม ใส่น้ำหอมชนิดแรงจัดจ้าน แสดงอารมณ์กล้าและความเชื่อมั่นที่จะดึงดูดคนให้หันความสนใจจับตา ก็แทบทำให้ชายมโนธรรมต่ำทั้งหลายที่เฉียดผ่านนึกมันเขี้ยวอยากกระโดดกอดรัดฟัดเหวี่ยงดื้อๆ

    มาดหล่อนก็เป็นอีกอย่างที่ดึงดูดใจได้ผลเสมอ ตอนใส่สูทสีขรึมแล้วนั่งนิ่งๆนี่ ทีแรกเห็นจากระยะไกลอาจนึกว่าเป็นผู้บริหารสักคน แต่หลังเลิกงานเมื่อคุยกันเองกับเพื่อน ก็ออกบุคลิกสาวรุ่นกระเตาะ พร้อมจะใส่เสื้อยืดรัดรูป กางเกงยีนส์ขากระดิ่งได้ไม่ขัดเขินทันทีเช่นกัน

    เรือนแก้วทำงานตั้งแต่อายุ 17 ด้วยปัญหาการเงินทางบ้าน สามารถส่งตัวเองเรียนจบตรีได้ด้วยความขยันผิดวัย นับแต่รับจ้างพิมพ์วิทยานิพนธ์ให้พวกนักศึกษารวยแต่ขี้เกียจ รับแปลเอกสารอังกฤษและญี่ปุ่นตามความถนัด จนกระทั่งโชคดีมีผู้ใหญ่ในบริษัทนี้เห็นความสามารถ จ้างเป็นเลขาฯพาร์ทไทม์ให้ดูแลงานเอกสารต่างประเทศโดยเฉพาะ

    พอจบตรีพร้อมทำงานเต็มเวลา ก็เลื่อนขั้นปุบปับเป็นผู้ช่วยผู้บริหารระดับสูง อันเป็นตำแหน่งพิเศษ เป็นหูเป็นตา และเผลอๆก็คิดแทนผู้ใหญ่ได้สารพัดเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับคู่ค้าต่างประเทศ เหลือเชื่อที่งานใหญ่บางงานเริ่มเจรจากันได้เพียงเพราะทางโน้นทราบว่าจะมีหล่อนเป็นผู้ประสาน

    จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่หล่อนทำอยู่นั้นง่ายมากต่อการล้ำเส้นผู้ใหญ่ แต่เรือนแก้วก็สามารถรักษาระดับของตัวเองไว้ได้พอเหมาะพอเจาะ ขนาดที่ไม่ถูกใครเพ่งเล็งจับผิดด้วยความหมั่นไส้เอาเลย

    ด้านอุปนิสัย ถ้าตัดความเอาแต่ใจในบางครั้งทิ้ง ก็นับว่าเรือนแก้วเป็นคนน่ารัก น่าคบหายิ่ง หล่อนยกย่องส่งเสริมเพื่อนทั้งต่อหน้าและลับหลัง กับทั้งไม่ถือเนื้อถือตัว ปรับสติให้อยู่ในสภาพพร้อมทำงานและพร้อมเล่นได้เสมอ น้องๆทั้งพิศวาสและทั้งยำเกรง ซึ่งยากที่ใครจะสลับบทบาทให้คนอื่นรู้สึกสองด้านได้เช่นนั้นในตัวคนเดียว

    กับคำถามของเรือนแก้วที่ว่าเขาจะปลีกตัวห่างหายไปจากกลุ่มเที่ยวหรือไม่ เกาทัณฑ์คิดเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรื่อย

    “แอ้เฮไหนผมก็ตามไปเฮด้วยเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่พักนี้เพลาลงเพราะเหนื่อยจริงๆ อยากพักยาวเลยต้องเต้นแร้งเต้นกาหนักหน่อย พอถึงเวลาหยุดจะได้สบายใจ”

    เชิงไทออกความเห็นกับเรือนแก้ว

    “พักนี้เจ้าเต้มันหน้าตาสว่างไสว เอิบอิ่มละมุนละไมเหมือนเณรน้อยเจ้าปัญญา เผลอๆที่จะหยุดยาวนี่ แทนการวางแผนแต่งงานสร้างลูกสร้างเมีย อาจพนมมือหันหลังลาความวุ่นวาย โกนหัวบวชและออกธุดงค์หายไป”

    หญิงสาวหัวเราะฮ่า

    “เพิ่งมีนางฟ้าเหาะลงมาเกาะไหล่ ใครจะบวชเข้าไปลงจ๊ะเชิง ฟังแล้วขัดๆนา”

    “แบบว่าได้รับการสนับสนุนให้บวชก่อนเบียดไงล่ะ ดูแวบเดียวก็รู้แล้ว นางฟ้าของเจ้าเต้น่ะเข้าวัดบ่อยกว่าเข้าบ้านตัวเองอีก ที่เจอกันโคราชเห็นบอกไปกราบพระกันก็คงเพราะเจ้าเต้ถูกชวนนั่นเอง”

    เรือนแก้วเท้าศอกเอามือรองคาง ปรือตาเปรยกับเกาทัณฑ์

    “ท่าทางเขาเป็นตัวของตัวเองในแบบที่แปลกดีนะ เห็นแล้วนึกถึงคำว่า ‘แสนดี’ ขึ้นมาเชียวล่ะ...”

    “ใครจะเหมือนเทพธิดาได้เท่าแอ้ล่ะ”

    ได้ยินเช่นนั้นเรือนแก้วก็ร้องดังๆ

    “อุ๊ย! เดี๋ยวลอยเลย”

    เกาทัณฑ์หัวเราะเล็กน้อย

    “เมื่อเช้าเห็นคุณพิจัยบอกว่ามะรืนนี้แอ้จะไปสิงคโปร์ใช่ไหม?”

    “นั่นแน่! เปลี่ยนเรื่องเชียว คุยกันเรื่องน้องคนสวยหน่อยน่า”

    “ก็เกิดอยากถามจริงๆ จะฝากซื้อกล้องดิจิตอลด้วยถ้าไปแน่น่ะ”

    “เอ ผู้ชายบริษัทนี้ยังไงนะ เห็นนังแอ้เป็นคนใช้หลังบ้านกระมัง ไปไหนล่ะฝากซื้อของยันเต ทำไมไม่ยักมีใครอาสาไปช่วยหิ้วของ ออกค่าเดินช็อปปิ้งมั่งน้า”

    เชิงไทฟังเช่นนั้นก็ทำตาโต โพล่งออกมาทันที

    “ผมไง เริ่มจากเที่ยวนี้เลย ไปช่วยแอ้หิ้วของ”

    “ก็ดีสิค้า...”

    เรือนแก้วเอียงหน้าทำตาชม้าย เพื่อนหนุ่มทำท่าขึงขัง

    “อือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำเรื่องขอซะ นายชุนที่แอ้จะไปหาน่ะ คุยโทรศัพท์กับผมหลายหนแล้ว ถือว่าเป็นการไปเยี่ยมเยียนทักทาย”

    พอเห็นเชิงไทจะเอาจริง หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าที กลัวจะไปเกะกะและแย่งความสำคัญจากหล่อน

    “อย่ารบกวนเลยค่ะ แอ้ไปกับน้องจ๋ายสองคนพอ เดินทางคืนวันศุกร์ กลับเย็นวันอาทิตย์แค่นี้ เอาไว้งวดหน้าเดินทางหลายๆวันดีกว่า”

    เชิงไทชินกับท่าทีเหมือนอ่อยเหยื่อ แต่เมื่อปลาจะฮุบก็ชักหนีแบบนี้ของเรือนแก้วเสียแล้ว จึงไม่ว่าอะไร ความจริงก็ขี้เกียจผ่านขั้นตอนวุ่นวายเหมือนกัน เดินทางด้วยธุระบริษัทนั้นง่ายเหมือนติดรถไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัดที่ไหน

    เบนทิศหันมาพูดกับเกาทัณฑ์แทน

    “วันก่อนโทร.คุยกับไอ้หม่อง” เขาหมายถึงเพื่อนร่วมรุ่น “เห็นว่ามึงโทร.ชวนกินเหล้า มันอุตส่าห์อาบน้ำแต่งตัว มึงก็โทร.ไปบอกเลิก ให้เหตุผลว่าจะเลี่ยงเหล้าเตรียมทำบุญ ฮะๆ จี้ว่ะ กูเลยเล่าให้มันฟังว่าสงสัยจะเรื่องจริง เพราะบังเอิญไปเจอมาพอดี งงกันเท่านั้นแหละ เกิดอะไรขึ้นเพิ่งชวนกินเหล้าแล้วกลับใจกะทันหัน”

    เกาทัณฑ์หัวเราะหึๆ ไม่ทราบจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับกรณีนี้ จึงเงียบอีก ยอมให้เพื่อนด่ากันสุดแต่ใจจะนึก

    “คงจะเอาดีทางธรรมจริงๆมั้งคะ ไหนเอาแสงสว่างมาเผื่อแผ่เพื่อนฝูงมั่งซีเต้ เล่าให้ฟังหน่อยเกิดซาบซึ้งธรรมะข้อไหนยังไง”

    เกาทัณฑ์ชักหนาวๆร้อนๆ เมื่อเห็นแนวโน้มว่าจะต้องคุยธรรมะกับหนุ่มเก่งและสาวเซ็กซี่ บรรยากาศไม่ค่อยจะใช่ที่เท่าไหร่ แค่ฟังเรือนแก้วพูดถึง ‘แสงสว่าง’ อย่างเห็นเป็นเรื่องชวนหัวนี่ก็ทำให้ประหวัดถึงวันแรกๆที่เข้าไปคุยธรรมะกับปู่ขึ้นมาทันควัน แล้วเกิดความกลัวว่าบาปกรรมกำลังจะตามเล่นงาน ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเปลี่ยนฐานะผู้ต้อนเป็นผู้ถูกต้อนเอาไว้ จึงกล่าวตอบอย่างสงวนท่าที

    “ผมมันบาปหนา รู้ตัวขึ้นมาเลยเข้าวัดเข้าวาเสียมั่ง แต่ไม่ถึงกับจะหันไปเอาดีทางบวชหรอก”

    “นั่นน่ะซี กูก็ว่างั้นแหละ”

    เชิงไทมองเพื่อนด้วยสายตาอ่านใจ ความจริงก็คือก่อนหน้าเกาทัณฑ์จะเข้ามา เขากับเรือนแก้วกำลังเปรยกันเล่นๆว่าหน้าตาท่าทางเกาทัณฑ์ดูออกมีสง่าราศีแปลกไปกว่าเดิม คล้ายพวกชอบทำสมาธิวิปัสสนา น่าจะไถ่ถามเสียหน่อยว่าหาพระเจ้าแล้วได้ดีอย่างไร หรือว่าเพื่อนพลาดท่าเข้ารกเข้าพงเหมือนอย่างดอกเตอร์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังก้องฟ้าเมืองไทยหลายต่อหลายคน

    “อย่างมึงกับกูนี่...” เชิงไทกล่าวอย่างพยายามจี้จุด “ร่ำเรียนมาจนมีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นคนในโลกใหม่เกินกว่าจะยอมรับเรื่องของจิตวิญญาณและภพหน้าภูมิหลังที่ล้าสมัยแล้ว สมควรรับมรดกตกทอดเฉพาะที่เป็นความรู้แจ้ง พิสูจน์ได้ ประยุกต์ได้ เหมือนอย่างการประดิษฐ์หลอดไฟของเอดิสัน หรือทฤษฎีคณิตศาสตร์ของพิธากอรัส ไม่ไปสนใจเรื่องพิสูจน์ยาก ประยุกต์ยากให้เสียเวลา”

    ว่าจะทำเป็นเบื้อใบ้อยู่แล้วเชียว พอได้ยินเชิงไทกล่าวเรื่อยเจื้อยก็ตบะแตก

    “พิธากอรัสในความรับรู้ของมึงเป็นใคร?”

    เชิงไทนึกลำดับข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เลือนๆเป็นครู่ ก่อนเอ่ยตอบอย่างจะให้ได้รายละเอียดอันชัดเจนของปราชญ์กรีกโบราณนามนั้น ชนิดที่ไม่ให้เพื่อนดูแคลนได้ว่าอ้างนามใครโดยปราศจากความรู้เพียงพอ

    “ก็...บรมครูทางคณิตศาสตร์คนหนึ่ง ถูกยอมรับว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ขนานแท้คนแรกของโลก เป็นลูกศิษย์ธาเลส ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเพลโต ดูเหมือนพวกเรารู้จักพิธากอรัสจากทฤษฎีสามเหลี่ยม อ้า...ที่ว่าจัตุรัสของสองด้านที่ตั้งฉากกัน รวมกันเท่ากับจัตุรัสของด้านลาดเอียง แล้วอย่างเลขคู่ เลขคี่ เลขจำนวนปฐม และรากฐานทางเรขาคณิตที่สำคัญหลายแง่มุม ก็ถูกพัฒนาขึ้นโดยพิธากอรัสกับสานุศิษย์ในสายทางพิธากอเรียนนั่นแหละ”

    เกาทัณฑ์พยักหน้า

    “มึงว่านักคณิตศาสตร์นี่เป็นต้นแบบของตรรกะ และกรอบความคิดที่ชัดเจนของอารยธรรมยุคใหม่ของเราหรือเปล่า?”

    “แน่นอนซิ คณิตศาสตร์ทำให้คนรู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผล จัดระเบียบความซับซ้อนด้วยกระบวนวิธีชาญฉลาด ขุดเอาศักยภาพทางสมองของมนุษย์มาใช้ให้เต็มที่ ใครมีโครงสร้างทางความรู้ความคิดแบบคณิตศาสตร์ดี จะใฝ่พิสูจน์หาข้อเท็จจริง แก้ปัญหาเก่ง ไม่เชื่ออะไรเหลวไหลง่ายๆ โดยเฉพาะที่เป็นนามธรรมจับต้องยาก”

    ท่อนหลังเชิงไทมีเจตนาพูดกระทบเล็กๆ เกาทัณฑ์รับรู้ ทว่าไม่นำพามาเป็นอารมณ์

    “มึงรู้ไหมว่าพิธากอรัสนอกจากสอนคณิตศาสตร์ รัฐศาสตร์ และปรัชญาแล้ว ยังสอนเรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ ความมีชาติก่อนชาติหน้า มีการเคลื่อนที่ของวิญญาณจากร่างหนึ่งย้ายไปอยู่ในร่างใหม่ เหตุผลคือเขาระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นยูฟอร์บัส นักรบในสงครามโทรจันระหว่างเมืองทรอยกับกรีก แถมยังระบุอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นอภิสิทธิ์วิญญาณ ได้รับการยกเว้นไม่ให้ลืมเลือนอดีตที่ผ่านๆมาทุกภพชาติ ซึ่งแปลว่าเขาเห็นย้อนหลังกลับไปมากกว่าที่เคยเป็นยูฟอร์บัสเสียด้วย”

    “เหรอะ?”

    เชิงไทกะพริบตาปริบๆ รู้จักกันมานานจนทราบว่าเพื่อนไม่ใช่ประเภทให้ข้อมูลแบบยกเมฆลอยลมเพื่อเอาชนะคัดง้างกันเล่น จึงรับว่า

    “คุ้นๆว่าสอนเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาทางจิตวิญญาณ แต่นึกไม่ถึงว่าขนาดประกาศตัวเองเป็นผู้ระลึกชาติได้”

    “อือ ก็อย่างที่มึงว่า ใครมีโครงสร้างจิตใจเป็นคณิตศาสตร์ดี ก็คงไม่เชื่อหลงเรื่องเหลวไหลง่ายนัก ประเภทหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้นมาทึกทักว่าเป็นเรื่องจริง แจ้นไปประกาศหน้าลานกลางตลาดน่ะ ไม่ใช่ต้นแหล่งมหาปัญญาทางคณิตศาสตร์อย่างพิธากอรัสแน่ และกูก็คิดว่ามันสมองของโลกอย่างเขา คงไม่คิดกุเรื่องหลอกลวงเพื่อเอาชื่อเสียงในด้านที่ไม่เกี่ยวกับงานหลักของตัวเองหรอก”

    เชิงไทประสานมือรองท้ายทอย เอนหลังพิงพนักด้วยท่าทีเริ่มคิดใคร่ครวญจริงจังกว่าเมื่อเริ่มจุดประเด็น เป็นครู่จึงเอ่ย

    “เอาล่ะ สรุปคือนักวิทยาศาสตร์ อ้า…เรียกนักปราชญ์ดีกว่า นักปราชญ์บางยุคนี่เชื่อ และสอนเรื่องจิตวิญญาณ การข้ามภพข้ามชาติได้ เพราะงั้นเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นปราชญ์ระนาบเดียวกับพิธากอรัส?”

    “ปราชญ์เมธีทั้งหลายแหล่สืบสานความรู้ความคิดตกทอดกันหลายรุ่นหลายสมัย จนได้ลูกหลานเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเอดิสัน ประดิษฐ์แสงไฟให้โลกสว่าง ผลประโยชน์หลักคือผู้คนในโลกมองเห็นในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องจุดตะกุ้งตะเกียงกันให้เมื่อย

    ความจริงมีสิ่งประดิษฐ์อีกเยอะแยะที่ช่วยให้เราชนะข้อจำกัดทางหูตา ไปเร็วมาเร็วกว่าคนยุคไหนๆ แต่ยังไงก็ตาม สุขกายยังอาจลำบากใจ ยิ่งถ้าใครขัดสนก็หมดสิทธิ์เสพแสงและสิ่งประดิษฐ์ราคาแพง ถ้าอยากเสพขึ้นมาจัดๆบางทีต้องฆ่าแกงแย่งกัน

    แต่พระพุทธองค์ได้สาวกเป็นผู้สืบทอดจิตว่างใจสว่าง ถึงแม้ทุกข์กาย ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ทันสมัยติดตัวสักชิ้น ก็อาจเป็นสุขได้ที่ใจ ยากดีมีจนรับสิทธิ์เสมอกันหมด ปรารถนาแล้วก็เพียงปฏิบัติเฉพาะตน ไม่ต้องฆ่าแกงใคร เทียบอย่างนี้แล้วยังน่านับว่าพระพุทธองค์อยู่ระนาบเดียวกับปราชญ์อื่นหรือเปล่า?”

    เชิงไทหัวเราะอย่างเข้าใจจุดสรุปของเพื่อน

    “เพราะงั้นเรียก ‘ศาสดา’ เพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ มึงไม่ยอมให้ปนกับปราชญ์หรือนักวิทยาศาสตร์ว่างั้นเถอะ”

    “อือ จะพูดอย่างนั้นก็ได้ เรื่องของใจที่ขยายความสว่างได้เหมือนเทียนต่อเทียนนี่ คนมีประสบการณ์ในทุกศาสนาสามารถรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งได้เหมือนกันหมด”

    เรือนแก้วแทรกขึ้นเป็นครั้งแรก

    “เธอให้นิยามความศักดิ์สิทธิ์ไว้ยังไง? อย่าพูดตามพจนานุกรมนะ”

    เกาทัณฑ์แปรสายตามาทางหล่อน พบดวงตาแจ่มกระจ่าง สะท้อนโครงสร้างความคิดที่ยืนอยู่บนสติอันสมบูรณ์ ท่าทางพร้อมจะร่วมร่ายยาวไปกับเขาและเชิงไทเต็มสภาพ คุ้นเป็นอันดีว่าเนตรงามจะฉายชัดเสมอเมื่อเจ้าตัวต้องการเค้นสิ่งที่ปรารถนาจะรู้

    “ความศักดิ์สิทธิ์ในใจผม ก็คงจา...เป็นความอบอุ่น น่าเชื่อมั่น มีความวิเศษแฝงอยู่ เราสัมผัสได้ด้วยใจว่าเหนือธรรมดา...มั้ง”

    อันเนื่องจากถูกบังคับให้คิดตอบปุบปับกะทันหัน เกาทัณฑ์จึงพูดได้แค่นั้น ทั้งที่ไม่แน่ใจว่านิยามดั้งเดิมคืออะไร เรือนแก้วยิ้มเย็น นัยน์ตาฉายแววลึกชนิดหนึ่ง ยังดูไม่ออกทันทีว่ามีความหมายเช่นใด กระทั่งพูดออกมาเอง

    “แอ้ไม่เคยเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่เต้ว่าเลยนะ ตอนเด็กแอ้ใส่บาตร ให้สตางค์ขอทานตลอด เพราะแม่บอกเสมอว่าทำบุญแล้วจะได้ดี มีความสุข ชีวิตจะรุ่งเรือง ซึ่งก็มาจากพระสอนนั่นแหละ แต่เท่าที่เห็น...มันไม่อย่างนั้น”

    มีร่องรอยของความขมบางอย่างที่แฝงอยู่ในหางเสียงปร่าพร่า จนเรียกให้เกาทัณฑ์และเชิงไทจรดมองเพื่อนสาวนิ่ง ดูเหมือนหล่อนจะรู้สึกตัว และปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติเมื่อพูดสืบต่อ

    “แอ้ถูกปลูกฝังให้นับถือพระสงฆ์องค์เจ้า เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อในบาปบุญและเวรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการทำดีแล้วต้องได้ดี แต่ในโลกของความเป็นจริง มีปัจจัยหลายอย่างในชีวิตที่ทำให้มองเห็นว่าเราจะสุขหรือทุกข์ ขึ้นหรือลง ใช่ว่าอยู่ที่เราทำดีชั่วอย่างเดียว คนอื่นที่แวดล้อมมีส่วนผลักดันด้วยอย่างมาก...หรือเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อเรายังอยู่ในภาวะต้องพึ่งพา เป็นช่วงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

    เกาทัณฑ์พยักหน้า

    “ใช่ เราต้องเจอคนมากมายตั้งแต่เกิด ซึ่งคนใกล้ชิดที่สุดคือคุณแม่ของแอ้ ก็เป็นแรงผลักดันให้ใฝ่ดี นับว่าโชคดีแล้วนี่”

    เรือนแก้วส่ายหน้า ชั่งใจอยู่เป็นครู่ เพิ่งรู้ในบัดนั้นว่ามีความรู้สึกสนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อนชายทั้งสองเพียงใด เมื่อตัดสินใจเล่าอดีตหนหลังของตนอย่างเปิดเผย

    “ตอนเด็กบ้านแอ้จัดว่ารวยพอตัวนะ เพราะมีกิจการของตัวเองหลายอย่าง ขนาดเคยทำบ้านจัดสรรเล็กๆมาแล้ว ช่วงนั้นพ่อกับแม่ปรองดองกันดี ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

    แต่พอพ่อรวยก็มีผู้หญิงมาติดพันเยอะ กลิ่นเงินมันแรงน่ะ ผู้ชายพอมีบ้านสองบ้านสาม ก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ห่างเหิน จากห่างเหินกลายเป็นแปลกหน้า จากแปลกหน้ากลายเป็นศัตรู แอ้เคยเห็นพ่อตบหน้าแม่กับตา เพราะแม่ด่าพ่อแรงๆออกไปคำหนึ่ง ขุดโคตรขุดเหง้ากันน่ะ”

    หล่อนขยายภาพละเอียดแบบระบายให้เพื่อนสนิทรับรู้ตาม เชิงไทลดมือที่ประสานท้ายทอยลง เปลี่ยนเป็นกอดอก ทอดตามองเรือนแก้วด้วยแววเห็นใจ

    “ผมก็เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน แต่อาจโชคดีที่ไม่เห็นอะไรน่าสะเทือนใจขนาดนั้น ความจริงผัวเมียเคยทะเลาะกันทุกคู่นั่นแหละ แต่จะรุนแรงขนาดไหน จำกัดอยู่ในสถานที่ลับตาเท่าไหร่ ยอมปล่อยให้เด็กมาเป็นพยานเรื่องระหองระแหงรึเปล่าเท่านั้น”

    เรือนแก้วยักไหล่

    “แค่ทะเลาะหรืออย่างมากตบตีก็ช่างเถอะ เป็นเรื่องทำใจได้ ตอนนั้นแอ้ก็ไม่ใช่เด็กอมมือขนาดเห็นผู้ใหญ่ขึ้นเสียงเถียงตีเถียงตบกันแล้วขวัญเสีย”

    อั้นอึ้งไปพักใหญ่ สองหนุ่มรู้ว่าหล่อนยังพูดไม่จบก็รอฟัง

    “มีอยู่วันหนึ่งแม่บ้าเลือดขึ้นมา พอถูกตบก็ไปคว้าปืนมายิงพ่อ แอ้กำลังอ่านหนังสืออยู่ชั้นบน ได้ยินเสียงปืนก็วิ่งลงบันไดมา เห็นพ่อนอนจมกองเลือด ก็ร้องไม่เป็นผู้เป็นคน ยังจำติดตาเลยนะ...”

    เรื่องพ่อแม่ฆ่าแกงกันในบ้านตัวเองเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์ และสิ่งที่ประทับอยู่ในความทรงจำของเรือนแก้ว ก็ฉายออกมาทางแววร้าวในดวงตาชัดยิ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่เกาทัณฑ์และเชิงไทเห็นแววชนิดนั้นจากหล่อน

    “จะเคราะห์ดีหรือร้ายไม่รู้ พ่อแค่แผลใหญ่ เสียเลือดมาก แต่ไม่ตาย นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีเมียใหม่คอยดูแล แม่สำนึกผิด พยายามขอโทษขอโพย แต่พ่อไม่ยอม บอกว่าจะเอาเรื่องถึงที่สุด ไปจ้างทนายมาฟ้องหย่าและจะจับแม่เข้าคุกให้ได้

    ทนายพยายามให้ออมชอมกัน เพราะถ้าสู้แล้วเรื่องจะยาว ถ้าแม่ยอมหย่าโดยรับส่วนแบ่งสินสมรสนิดเดียว ฝ่ายพ่อก็จะตอบแทนด้วยการช่วยกลบเกลื่อน และทำให้กลายเป็นเรื่องปืนลั่น วันหนึ่งแม่กลับมาบ้านและบอกแอ้ว่าเราต้องออกไปอยู่บ้านใหม่ แอ้ก็เก็บข้าวของ...”

    เรือนแก้วสะอึกเล็กน้อย คงเป็นเพราะเข้าลึกไปในอดีตที่ยังติดตามากขึ้นเรื่อยๆ ใจหนึ่งเกาทัณฑ์อยากฟังต่อให้จบ แต่ก็คิดไว้ว่าถ้าเห็นหญิงสาวตาแดงเมื่อไหร่จะขอให้พัก

    “ย้ายไปอยู่ในห้องเช่า วันๆแม่เอาแต่นั่งเศร้า แอ้ไปเรียนบางทีกลับมาก็ต้องนั่งเศร้าตาม ตอนนั้นเริ่มถามหาความยุติธรรมในโลก ถามหาผลบุญที่แม่กับแอ้เคยสร้างกัน ถามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้ชีวิตอบอุ่นและรุ่งเรือง แต่คำตอบที่ได้คือความเงียบในอากาศ เห็นแต่ตัวเองกับแม่และความมืดมนของอนาคต”

    หรี่ตา พลิกแหวนเพชรน้ำงามบนนิ้วชี้ให้ต้องแสง ส่งเปลวโชติไสวบาดตา เป็นการช่วยให้ตนตระหนักว่าอดีตอันมืดมนนั้นผ่านพ้นไปแล้ว เพื่อเล่าต่อได้ด้วยเสียงปกติอีกครั้ง

    “วันหนึ่งฉันกลับจากโรงเรียน เห็นคนมุงกันแถวบันได...ไฟดับ ลิฟต์เสีย แม่ต้องเดินขึ้นบันไดเอง แต่เพราะผอมแห้งแรงน้อย ไม่ค่อยออกกำลัง เลยหน้ามืด หงายหลังตกบันไดตาย ตำรวจกำลังชันสูตรศพพอดีตอนฉันไปเห็น”

    สองหนุ่มผู้ตั้งใจฟังมาตลอดถึงกับใจอ่อนยวบพร้อมกัน นึกไม่ถึงว่าเรือนแก้วในวันนี้ที่มีพร้อมทุกสิ่ง ทั้งตำแหน่งหน้าที่ในบริษัทข้ามชาติ ทั้งเงินทองและความเชื่อมั่น และทั้งความรักใคร่เอ็นดูจากรอบด้าน จะผ่านพบสถานการณ์เลวร้ายขนาดนั้นมาก่อน

    “แล้วช่วงนั้นแอ้อยู่กับใคร กลับไปหาพ่อหรือเปล่า?”

    เชิงไทตั้งคำถามตามที่น่าจะสงสัย

    “หัวเด็ดตีนขาดฉันไม่ยอมกลับไปหาพ่อหรอก จะไม่ไปเผาผีด้วย เพราะถือว่าเขาเป็นคนทำให้แม่ตาย แถมไม่ยอมไปงานศพเลยแม้แต่วันเดียว”

    เสียงของหล่อนแฝงด้วยแรงกริ้ว แสดงให้เห็นว่ายังมีความอาฆาตผู้เป็นบิดาอันเป็นมหาอกุศลตามครอบงำจิตใจมาถึงปัจจุบัน เกาทัณฑ์เม้มปาก เห็นใจแต่ไม่ทราบจะช่วยอย่างไร ของแบบนี้เจอเองจึงจะรู้ว่าเจ็บเข้าไส้ขนาดไหน ให้ปลอบง่ายๆ ขอให้เลิกโกรธเกลียด เห็นแก่ความที่เป็นผู้ให้กำเนิดนั้นอย่าหวัง หากปราศจากความเข้าซึ้งถึงธรรมดายถากรรมเราเขาตลอดสาย ก็แทบไม่มีทางเกิดจิตคิดอโหสิที่เด็ดขาด ปลดเปลื้องนรกจากหัวใจตัวเองได้เลย

    “ทีแรกน้าสาวรับไปอยู่ด้วย แต่ก็มีไอ้เวรตะไลในบ้านตัวนึงมันย่องเข้าหากลางดึก ดีที่ฉันจิ้มตามันแทบบอด เลยรอดมาได้...จากนั้นก็เหลือฉันคนเดียว แยกออกมาอยู่ข้างนอกน่ะ ไม่กล้าพึ่งพาใครอีก โชคดีที่มีความสามารถทางภาษาติดตัวอยู่บ้าง น้าสาวเลยพอช่วยติดต่องานให้ได้ ก็พี่อนงค์นั่นแหละ อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง”

    แล้วเรือนแก้วก็จ้องเกาทัณฑ์เขม็ง

    “วันที่แม่เสีย ฉันนั่งในห้องคนเดียว คิดจะฆ่าตัวตายตาม รู้สึกอยู่ใกล้ความตายจนนึกโล่งขึ้นนะ ฉันถามหาบุญเก่า ข้าวที่เคยใส่บาตร เงินที่เคยให้ขอทาน ศีลที่ฉันเคยรักษา มันหายไปไหนหมด ฉันกำลังตกที่นั่งลำบาก ร้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ได้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้ง...สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือความเงียบและอากาศว่างเปล่าตลอดกาล”

    “แต่แอ้ก็ได้งานแปล...”

    “นั่นเป็นการช่วยเหลือของญาติ เป็นเรื่องที่แอ้ขวนขวายเอง ช่วยตัวเอง และถึงน้าจะอยู่เบื้องหลังเช่นติดต่อคนให้ หาหลักแหล่งที่พักให้ เซ็นโน่นเซ็นนี่ให้ แต่แอ้ก็ต้องต่อสู้ ลำบากสารพัด มีแต่เงาที่กระจกโต๊ะทำงานเท่านั้นที่เป็นเพื่อน เหงา หวาดกลัว ฟุ้งซ่านจนต้องเลือกที่จะบ้างานแทบเป็นบ้าตาย...”

    เกาทัณฑ์เงียบคิด สิ่งที่เขาเห็นประจักษ์คือหล่อนสามารถผ่านความเลวร้ายขนาดนั้นมาถึงวันอันงดงามขนาดนี้ได้ ก็น่าจะชวนคิดแล้วว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้อง โอบอุ้มค้ำชู น่าแปลกที่หล่อนกลับไม่มองให้เห็นบ้าง

    “แอ้ต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยยังไง คืนแม่กลับมาให้?”

    “เปล่า...ไม่เอาแม่ไปต่างหาก”

    ปลายเสียงหญิงสาวเครือนิดๆ เป็นวินาทีที่เกาทัณฑ์มาถึงจุดของความเข้าใจ เหตุการณ์เลวร้ายทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลั่นแกล้งหล่อนนั่นเอง เขาได้แต่ลอบระบายลมหายใจยาว คนเรามีมุมมองที่เป็นจุดบอดอยู่เสมอ แล้วก็ยากเย็นแสนเข็ญถ้าจะคิดลบจุดบอดนั้นทิ้ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในหัวของคนมีการศึกษา มีความรู้ความคิดระดับหนึ่ง

    เรือนแก้วว่าต่อตามใจคิดเมื่อเห็นเขาไม่โต้ตอบ

    “ความอบอุ่นและความรู้สึกแสนวิเศษยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออ้อมอกของแม่ แต่หลังจากแม่เสีย สิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวที่เหลือคือตัวของแอ้เอง ถ้าเป็นเหมือนอย่างแอ้ เต้จะคิดเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอยู่อีกไหม?”

    เกาทัณฑ์กำหนดจิตให้โปร่งโล่ง คิดฉายความสุขในตนส่งถึงหล่อนก่อนเอ่ยตอบ

     “ผมไม่ได้เจอเรื่องโหดร้ายเหมือนอย่างแอ้ แต่เชื่อเถอะว่าเข้าใจ และเห็นใจ รวมทั้งพลอยปลื้มที่แอ้เจอทางออกสุดท้ายที่สวยพอ”

    แล้วเกาทัณฑ์ก็ดึงตัวนั่งตรง ตื่นพร้อมสำหรับการพูดแบบน้ำไหล

    “แต่แอ้ไม่ใช่คนแรกที่ตั้งคำถามหาความศักดิ์สิทธิ์ทำนองนี้จากศาสนา เป็นคำถามที่สาวกของทุกศาสนามีในใจตลอดมาขณะตกทุกข์ได้ยาก หากเป็นผม ผมก็คงสงสัยขึ้นมาว่าเมื่อแรกเกิดยังไม่ทันทำบุญสักแอะ ทำไมมีบ้านช่อง มีอ้อมอกพ่อแม่พรั่งพร้อม อยู่เป็นสุข เห็นเรื่องสบายตาทุกอย่าง แต่พอรู้ความ ทำบุญไปได้หน่อย เมื่อโตขึ้นกลับตกระกำลำบาก จะให้เชื่อได้ยังไงว่าทำดีแล้วได้ดีตอบ”

    เรือนแก้วกะพริบตา พยักหน้ารับ เกาทัณฑ์จึงเอ่ยต่อ

    “ผู้คนส่วนใหญ่พอมีความคิดหันหลังให้ศาสนา เห็นว่าควรพึ่งพาตัวเอง ก็มักหมายถึงมีใจคิดเลิกนับถือ หรือกระทั่งต่อต้านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเกลียดชังคั่งแค้นไปเลยที่ไม่ยอมช่วย ทั้งที่ความหมายอันแท้จริงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่มือไร้ตนที่คอยหยิบยื่นหอกดาบช่วยเรารบ แต่หมายถึงสิ่งดลใจให้เราทนสู้อยู่ในโลกด้วยกำลังฝ่ายดีต่างหาก

    ผมบอกแอ้ได้สองอย่าง ประการแรก ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะแก้ปัญหาปากท้องหรือลดความขมขื่นให้ใครชนิดลัดสั้นชั่วข้ามคืน ประการที่สองคือเรื่องของเป้าหมายในศาสนานั้น เพื่อให้ดับทุกข์ทางใจอย่างเด็ดขาด ดับกันที่ใจ ไม่ใช่เพื่อพยายามสร้างแต่เหตุการณ์ดีๆให้เกิดสุขตลอดกาล เพราะสัจธรรมข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสอยู่ตลอดเวลาก็คือโลกนี้ต้องมีดีร้ายสลับกัน

    แม้พระองค์เองสมัยทรงพระชนม์ก็เสวยทุกข์ทางกรัชกายจากการเบียดเบียนภายนอกและภายในยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียอีก อย่างเช่นผลตกค้างเรื้อรังในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากการบำเพ็ญทุกรกิริยาถึงหกปีก่อนตรัสรู้ หรืออย่างที่พระองค์กับสาวกระดับผู้ใหญ่ถูกประทุษร้ายต่างๆนานา ได้รับความทุกข์ทางกายเสมอพวกเรา หรือยิ่งกว่าพวกเรา นั่นเป็นหลักฐานว่าแม้แต่ผู้เป็นประมุขสูงสุดของศาสนาก็ใช่จะหลีกเร้นไปอยู่บนวิมานห่างจากดินนะแอ้

    เพราะงั้นเรื่องร้าย เรื่องน่าเศร้าจึงไม่ใช่ของแปลกปลอมในโลกนี้ แต่สำคัญที่จังหวะเกิดเรื่องน่าเศร้านั้น ใจรับได้ด้วยภาวะปลอดโปร่งเป็นสุขแค่ไหน ขึ้นอยู่กับใครปฏิบัติจริง ออกภาคสนามจริงตามหลักสูตรในศาสนาเพียงใด แอ้จะเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของแท้ในตัวเอง เมื่อเจอเรื่องร้ายแล้วยิ้มได้ ปล่อยวางได้สักขณะหนึ่ง”

    เรือนแก้วตั้งใจฟังมาตลอด แต่พอเขาลงสรุปเช่นนั้นก็หัวเราะขัน

    “ความปล่อยวางเป็นยังไง มองให้เห็นทุกสิ่งว่างโบ๋อย่างที่พูดกันน่ะหรือ? แอ้ว่าเกินไปหน่อยล่ะ ถ้าใครมาตัดมือเต้ทิ้งนี่ จะเห็นมือที่ขาดไปเป็นความว่างเปล่าได้ไหวงั้นซี? หรือให้สลัดคราบมนุษย์ กลายเป็นสิ่งไร้ชีวิตจิตใจ สุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ไม่เป็นแบบตุ๊กตุ่นตุ๊กตา?”

    “ไม่ใช่...ไม่ใช่การเห็นสี่เหลี่ยม วงกลม แล้วหลอกตัวเองว่าไร้รูปทรง ว่างกลวงเหมือนอากาศธาตุ แล้วก็ไม่ใช่สมมุติตัวเองเป็นสิ่งไร้ชีวิตจิตใจ ปราศจากอารมณ์สุขทุกข์”

    พักคิด ยกมือลูบคาง พิศดวงตาที่กำลังทอรัศมีสุกปลั่งราวกับดาวรุ่งของเรือนแก้ว ซึ่งส่อให้เห็นว่าเพิ่งใช้สมาธิกับการประชุมที่มีรายละเอียดซับซ้อนนานต่อเนื่องหลายชั่วโมง นับว่ามีความตั้งมั่นอยู่พร้อมพอควร จึงตัดสินใจบอก

    “ขอเวลาแอ้หนึ่งนาทีลองทำตามที่ผมพูดได้ไหมล่ะ เป็นหนึ่งนาทีที่ตั้งใจจริงๆ ไม่แกล้งทำแบบขอไปที แล้วจะเห็นว่าความปล่อยวางหน้าตาเป็นยังไง”

    ริมฝีปากเรือนแก้วค่อยๆคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม

    “จะทำอะไร สะกดจิตแอ้เหรอ?”

    “เปล่า” เกาทัณฑ์ปฏิเสธหนักแน่น “สะกดจิตคือทำให้สักแต่เชื่อ สักแต่คิด หรือยอมตัวเองตกอยู่ใต้อิทธิพลของอำนาจจิตหรือคำพูดจูงใจคนอื่น แต่สิ่งที่จะให้แอ้ลอง คือการ ‘พิจารณา’ ซึ่งเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อแอ้เองมีสติสมบูรณ์ เริ่มต้นด้วยตัวคิดเล็งความจริง และลงท้ายเป็นการตระหนักเห็นความจริง คำพูดของผมเป็นเพียงแนวทางที่มีอยู่แล้วในแก่นสารของพุทธเท่านั้น”

    พื้นนิสัยเรือนแก้วชอบทดลอง อยากรู้เห็น ยิ่งเมื่อเกาทัณฑ์ตกปากรับคำว่าใช้เวลาเพียงนาทีเดียว ปลอดจากการสะกดจิตนะจังงังอันใด ประกอบกับเชิงไทก็นั่งเป็นเพื่อนอีกคน เลยเอียงคอเบะปากรับ

    “ได้เลย เจ้าพ่อจะสั่งอะไรลูกช้างก็ว่ามา”

    “นั่งตรงๆนะ หลับตาลง”

    เรือนแก้วทำตาม เกาทัณฑ์สะดุดนิดหนึ่ง เพราะเห็นยิ้มหยันปรากฏที่มุมปากเพื่อนสาว ทำให้เกิดความไม่มั่นใจนักว่าความพยายามของตนจะเกิดผลสักแค่ไหน ได้แต่มองข้าม ปลงใจคิดว่าทำตามหน้าที่หนึ่งในบริษัทสี่ คืออุบาสกผู้ช่วยสืบทอดพระศาสนาตามกำลังและโอกาส จึงค่อยรู้สึกดีขึ้น

    “วางแขนราบบนที่เท้าแขน ปล่อยให้ข้อมือตกลงมาตามสบาย อย่าเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะหัวไหล่”

    เมื่อเห็นหญิงสาวขยับตัว วางอิริยาบถตามที่เขาบอกพร้อม และลดรอยยิ้มหยันที่มุมปากลงแล้ว เกาทัณฑ์จึงเอ่ยต่อ

    “ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นตรงข้อมือนะ ที่ปล่อยห้อยจากมุมแขนเก้าอี้อย่างนี้ เป็นความรู้สึกที่นิ่งสบาย ผ่อนคลาย เรียกได้ว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่ง ลองตั้งสติจ่อดูเฉพาะตัว ‘ความสบาย’ ที่ข้อมือไว้ให้ได้ต่อเนื่องกันสักครึ่งนาที ตั้งใจนะ นับหนึ่ง สอง สาม ไปจนถึงสามสิบให้สม่ำเสมอ แต่ละครั้งที่นับให้นึกสำรวจเสมอว่าเรากำลังตามดูข้อมือที่ห้อยลงอย่างสบายหรือเปล่า”

    ด้วยสติและสมาธิที่อยู่ตัวในขณะนั้น ทำให้เรือนแก้วปฏิบัติตามได้โดยง่าย ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่หล่อนต้องมาตั้งใจจับความสบายข้อมือที่ตกห้อยอย่างต่อเนื่อง

    เพียงนับหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เมื่อยังสามารถหน่วงนึกถึงความสบายที่ข้อมือชัดอยู่ หล่อนก็เกิดความรู้สึกพอใจขึ้นมาอย่างน่าแปลก เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนเองอาจเป็นสุขกับสิ่งเล็กน้อยได้ขนาดนั้น แค่เพียงจับสังเกตความสบายที่ข้อมือเท่านี้เอง

    พอนับได้ถึงสิบห้า ‘ความเห็น’ จากภายในก็ขยายขอบเขตไปตลอดช่วงปลายแขนซึ่งวางราบ เกิดความสงบใจและจดจ่อกับข้อมือมากขึ้นกว่าเดิม พบว่าตัวความสบายที่จ่อรู้อยู่นั้น แผ่ออกไปทั่วทั้งลำแขน มิใช่เฉพาะที่ข้อมือจุดเดียวดังเห็นเมื่อแรก เหตุเพราะกล้ามเนื้อตลอดช่วงนิ่งวางผ่อนพักเต็มที่ ไม่ขยับเขยื้อนเลย

    ตอนนั้นใจชักเริ่มเบี่ยงเบนไปคิดเรื่องอื่น เรือนแก้วก็ดึงความรู้ตัวกลับมาจดจ่อกับข้อมือใหม่อย่างรวดเร็ว เนื่องจากสำรวจทุกครั้งที่นับว่าใจยังอยู่กับข้อมือหรือไม่ พบว่าความสงบสุขทวีขึ้นเป็นเงาตามระยะเวลากำหนดรู้สิ่งเดียวเช่นนั้น แม้เมื่อลมหายใจผิดจังหวะ ก็รู้เองว่าควรกำหนดเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ลดความเกร็งลง

    นับเกินสามสิบมาเยอะแล้ว แต่ยังติดความสบายที่เกิดขึ้นในภายใน เรือนแก้วจึงหลับตาค้างเติ่งมาเรื่อย กระทั่งเกิดกลุ่มความคิดกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขจำกัดเวลาของเกาทัณฑ์ ถึงลืมตาขึ้นได้

    “เป็นไงมั่ง?”

    เกาทัณฑ์ถาม

    “ก็โอเค สงบดี” หญิงสาวตอบเสียงเนือย แล้วถามกลับ “นี่น่ะหรือความว่าง?”

    “เปล่า นี่แค่เริ่มต้น เขาเรียกว่าการ ‘จ่อรู้’ เท่านั้น เข้าข่ายการตั้งสมาธินั่นแหละ หากแอ้จะได้ความสุข ความสงบจากการจ่อรู้เมื่อครู่ ก็เป็นในระดับของสมาธิ ทีนี้เพื่อเข้าให้ถึงความว่าง ต้องมีการ ‘พิจารณา’ เสริมเข้าไปด้วย ขอเวลาอีกครึ่งนาที คราวนี้แอ้จะได้ลองทั้งกำหนดสติรู้และพิจารณา...เอารึยัง?”

    หญิงสาวปิดตาลง ผงกศีรษะเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะปฏิบัติตาม เกาทัณฑ์ก็บอกทันที

    “ตั้งตัวรู้ดูความสบายที่ข้อมืออย่างเมื่อกี้ แต่คราวนี้ให้คิดสมมุติว่ากำลังวางกระดูกท่อนแขนที่เราไม่ใช่เจ้าของ เป็นท่อนกระดูกของใครไม่รู้เอามาฝากไว้กับตัวเรา เราไม่ใช่ผู้สร้าง วางทิ้งได้โดยไม่ต้องเป็นห่วง”

    ด้วยกระแสสติที่ตกค้างจากเมื่อครู่ ทำให้ต่อติดโดยง่าย เพียงคิดสมมุติตามเกาทัณฑ์พูด เรือนแก้วก็เห็นจากใจว่าท่อนแขนตนกลายเป็นกระดูกแปลกปลอมชิ้นหนึ่งซึ่งหล่อนวางฝากไว้กับแขนพักของเก้าอี้ นับสิบแรกเกิดความเห็นสัณฐานของช่วงปลายแขนชัด เป็นกระดูกตั้งแต่ศอกถึงปลายนิ้วมือแหลมๆทั้งห้า เห็นจริงเห็นจังว่าท่อนกระดูกที่วางอยู่นี้มิได้ถูกสร้างขึ้นโดยหล่อน เมื่อคิดวางทิ้งไว้เหมือนซากไม้ไร้เจ้าของแล้วก็สบายใจ โปร่งโล่งหมดห่วงหมดความยึดถือ

    ด้วยความต่อเนื่องของการสมมุติ ในที่สุดเมื่อใกล้การนับสามสิบ ก็บังเกิดเป็นตัวตระหนักขึ้นมาปุบปับว่าท่อนแขนนี้ไม่ได้มาจากหล่อนจริงๆ เมื่อถูกสร้าง หล่อนไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆเลย สมควรถูก ‘วาง’ ไว้โดยปราศจากการเข้าถือครองจากใครทั้งสิ้น

    นั่นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดของการย่างเข้าสู่ภาวะปล่อยวาง คือเหลือแต่อาการรู้ท่อนแขนเฉยๆโดยไม่คิด ไม่พิจารณาอะไร เพราะติดอยู่ในความหมายรู้เรียบร้อยแล้วว่าแขนที่ถูกรู้มิใช่สิ่งที่หล่อนสร้าง เป็นเพียงธรรมชาติอันว่างเปล่าจากตัวตน หาได้อยู่ในความครอบครองของใคร เสมอกันกับกระดูกศพที่ถูกทิ้งขว้างในป่าช้า

    เมื่อเห็นความว่างจากผู้ครอง ใจก็วางลงได้เช่นกัน

    วาง… สิ่งที่ว่าง

    น้ำหนักแขนที่ถูกวางราบนั้นคืออาการทางกาย บัดนี้กลืนเป็นอันเดียวกับการวางด้วยใจ จิตผนึกนิ่งอยู่กับความวางนั้นชั่วขณะ บังเกิดความสุขไร้เขตจำกัดเป็นวาระแรก

    เมื่อเกาทัณฑ์เห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายยิ่งของเพื่อนสาว ก็รับทราบว่าเรือนแก้วลิ้มรสธรรมขั้นต้นที่พ้นจากการอธิบายด้วยคำพูดแล้ว

    รอจนกระทั่งเรือนแก้วลืมตาขึ้นเอง ซึ่งนานหลายนาที ความจริงหล่อนเหนื่อยอ่อนจากการทำงานมาทั้งวัน เมื่อเคลิ้มสบายเข้าก็งีบหลับ มารู้สึกตัวตื่นด้วยจิตใต้สำนึกที่ผูกกับพันธะคือกาลและสถานที่

    “เป็นไงมั่ง?”

    คราวนี้เรือนแก้วยอมรับโดยปราศจากท่าทีแสร้งอำพราง

    “อือ รู้สึกว่างได้จริงๆแหละ”

    “ย้อนนึกกลับไปในอดีตนะ ถ้าช่วงเวลาเศร้าโศกอย่างที่สุด แอ้รู้จักความสุขจากการปล่อยวางง่ายๆนี้ อย่างน้อยทุกวันจะมีหนึ่งนาทีที่สามารถหลีกทุกข์ได้จริง และสิทธิ์ในการหลีกทุกข์นี้ก็ไม่จำกัดแค่หนึ่งนาที แอ้พ้นทุกข์ได้นานเท่าที่จะมีกำลังรู้และพิจารณา นี่คือตัวอย่างของแก่นพุทธ ถึงแม้ทุกข์หนักจะเป็นจะตายแค่ไหน ขอเพียงมีความรู้ และมีกำลังเหลือพอจะพิจารณาธรรม ก็เปลี่ยนภาวะจิตใจให้เป็นตรงกันข้ามกับทุกข์ได้ตลอดเวลา เนื่องจากกำจัดต้นเหตุทุกข์ทางใจที่แท้จริง คืออุปาทานยึดมั่นถือมั่นลงได้

    วกไปพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แอ้พบอยู่ในความว่างเปล่าของอากาศ แน่นอนเมื่อแอ้เรียกร้องอยู่ในใจของตัวเองและมองออกไปในอากาศว่าง สิ่งที่จะพบย่อมไม่ใช่ผู้วิเศษตนใดตนหนึ่ง แต่เป็นอากาศว่างนั่นแหละ พูดปลอบไม่ได้ ยื่นมือมาฉุดให้เราลุกไม่ได้อยู่อย่างนั้นเอง

    ถ้าตอนนั้นแทนการเรียกร้องจากลมแล้ง แอ้ฟังธรรม อ่านธรรม แล้วเข้าถึงการพิจารณาเพื่อปล่อยวางต่างหาก ถึงจะเจออะไรที่เป็นของแท้ ศักดิ์สิทธิ์จริงอย่างนี้”

    เรือนแก้วใคร่ครวญ เกิดความเข้าอกเข้าใจขึ้นมาว่าความว่าง ความปล่อยวางนั้นคือการกำหนดสติรู้และพิจารณาด้วยอาการเช่นไร ทว่าไม่เห็นด้วยกับเกาทัณฑ์ทั้งหมด

    “การพิจารณาธรรมเช่นนี้ต้องพร้อมพอควร เพราะอาศัยทั้งสติและความตั้งใจอย่างต่อเนื่อง คนจมทุกข์ที่ไหนจะเอากำลังกายกำลังใจมาตั้งสติพิจารณา”

    ชายหนุ่มผงกศีรษะรับอย่างแข็งแรง เป็นเครื่องหมายแทนการยอมรับเต็มที่

    “ถูก! เมื่อจิตตกต่ำขนาดเรียกสติไม่ได้ จะฟื้นให้กลับเป็นกุศลทันทีน่ะเหลือวิสัยแน่ ต้องนอนหลับพักผ่อนเอาแรงสักงีบ แต่สำคัญว่าตื่นขึ้นมาต้องรีบฉวยจังหวะที่กำลังกายดีพร้อม เอามาใช้พิจารณาให้เกิดวิถีจิตด้านดี เสียดายนี่เรากำลังพูดย้อนกลับไปข้างหลัง ไม่อย่างนั้นถ้าทดลองดู แอ้จะรู้ว่าแอ้เริ่มวันใหม่ด้วยการวางความว่างได้จริงๆ

    การพิจารณาธรรมขั้นต้นอย่างนี้ ก็คงไม่อาศัยแรงกำลังมากไปกว่าที่แอ้รับงานแปลจากพี่อนงค์ในช่วงวิกฤตสักเท่าไหร่ ว่าไปอาจน้อยกว่าด้วยซ้ำ เพราะใช้เวลาแค่นาทีเดียว ขณะที่งานแปลอาจกินเวลาเป็นสิบชั่วโมงต่อเนื่อง ในเมื่อตอนนั้นเป็นทุกข์แล้วยังตั้งสติทำงานได้ ก็แปลว่ามีกำลังเหลือเฟือสำหรับการพิจารณาให้เห็นความว่าง จริงไหม?”

    เรือนแก้วเริ่มเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาเป็นอีกแบบได้บ้าง อย่างน้อยก็ย้อนคิดว่าพระพุทธองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเผยแพร่แก่นธรรมชนิดนี้ มิใช่ปราถนาจะกระทำพระองค์เป็น ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ปกป้องคุ้มครอง ให้ความช่วยเหลือใครเพียงเพราะเชื่อตามพระองค์ในขั้นให้ทาน รักษาศีล ทว่าทรงปรารถนาจะเป็นผู้บอกวิธีพ้นทุกข์ให้แก่คนปฏิบัติด้วยตนเอง

    เชิงไทกอดอกเฝ้าดูแบบเสมอนอกมาตลอด เห็นแปลกอยู่บ้างกับสีหน้าสงบสุขยิ่งของเรือนแก้ว สัมผัสว่านั่นแตกต่างจากสุขเพราะเกิดภวังค์หลับสบายไปมากโข ทว่าตัวเขาเองเพียงนึกถึงข้อมือตามเกาทัณฑ์พูดแวบเดียวแบบคนได้ยินอะไรก็คิดอย่างนั้น ทว่ามิได้ใส่ใจให้ต่อเนื่องตามไปด้วย จึงเกิดความเห็นแย้งขึ้นมา

    “ถึงมึงจะบอกว่านี่ไม่ใช่การสะกดจิต กูก็ว่าใช่อยู่ดี เป็นการสะกดตัวเองอย่างมีสติ สะกดด้วยความคิดจูงจิตให้เห็นตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ กูเคยเห็นแบบสะกดหมู่ให้นึกว่าเป็นนกพร้อมๆกันด้วยซ้ำ กางแขนบินกันใหญ่เลย อันนี้มึงให้แอ้ ‘สมมุติ’ ตัวเองเป็นกระดูกแปลกปลอมแยกออกมาชิ้นหนึ่ง ก็ธรรมดาแหละวะที่จะเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูกผีขึ้นมา”

    เกาทัณฑ์ขบริมฝีปากหน่อยๆ นั่งฟังพร้อมกัน ร่วมเวลาเดียวกัน สองบุคคลอาจ ‘เห็น’ ต่างไปเป็นคนละระนาบอย่างนี้เอง เช่นที่เชิงไททำตัวเป็นเพียง ‘ผู้เฝ้าสังเกต’ และจดจ้องจะพูดถึงสิ่งที่ตนเห็น ตนประจักษ์ในฐานะบุคคลที่สามเท่านั้น ไม่คิดเป็นตัว ‘ผู้ทดลอง’ เพื่อประจักษ์เองแม้แต่น้อย

    “โดยนัยของการสะกด น่าจะหมายถึงการพยายามเบี่ยงเบนความเห็นให้ผิดเพี้ยนไปจากของจริง อย่างคนไม่ใช่นกก็ให้นึกว่าเป็นนกที่มึงว่า แต่โดยนัยของการพิจารณาธรรม ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นตัวชี้ความแตกต่างอย่างชัดเจนคือสติและความตระหนักตามจริง รู้ว่าที่คิดและพิจารณานั้นไม่ได้เสริมแต่งให้ผิดเพี้ยนไปเลย

    ตอนเราไม่ดู ไม่พิจารณาต่างหาก ที่ถูกผัสสะภายนอกภายในสะกดให้เห็นไปว่ากายนี้ของเรา ความรู้สึกนึกคิดนี้ของเรา ซึ่งพระพุทธองค์พบว่าอย่างนี้คือทางสายทุกข์ เพราะทำให้จิตระส่ำระสาย อยากได้ อยากเสีย เป็นชนวนให้คิดดีร้าย ก่อกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง รับผลกันเดี๋ยวนั้นบ้าง รอรับผลข้างหน้าที่มองไม่เห็นบ้าง

     ต่อเมื่อพิจารณาแยกเป็นชั้นๆด้วยกำลังจิตที่นิ่งอยู่ตัว ก็จะเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นได้ เมื่ออยู่ในสภาพหมดอุปาทาน จะชั่วขณะหรือถาวร ก็จะได้รสเดียวกันคือความว่างจากทุกข์ทางใจ อย่างนี้เป็นทางสายดับทุกข์ เพราะงั้นเมื่อกี้สาระไม่ได้อยู่ที่แอ้เขาเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูกหรือเปล่า แต่เกิดภาวะจิตรู้แจ้งความจริงจนปล่อยวางได้ต่างหาก

    เป้าหมายสุดท้ายของการพิจารณาปล่อยวางบ่อยๆก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากการสะกดจิต ปลายทางของการสะกดจิตอาจให้ผลเป็นการเปลี่ยนบุคลิกภาพให้ดีขึ้นหรือเลวลง แต่การพิจารณาธรรมจนแก่รอบแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงจิตให้กลายเป็นอีกสภาวะหนึ่ง ขาดสิ้นจากการปรุงแต่งระคายใจอย่างถาวร ไม่ต้องเพ่งพิจารณาอีก”

    เชิงไทลดรอยยิ้มขันในหน้าลง แต่ยังข้องว่า

    “รู้ดีอย่างนี้แล้วทำไมมึงไม่ปลงผมบวชเสียเลยล่ะ? จะได้หมดทุกข์ถาวร”

    “มึงลองทำดูเองสิ แล้วจะรู้ว่าการ ‘เห็น’ ในเบื้องต้นแค่นี้ เพียงพอจะทำให้ ‘ตัดใจ’ ได้ปุบปับง่ายดายหรือเปล่า คนเราให้คิด ให้พูดยังไงก็ได้ เหมือนวางแผนปกครองพลเมืองกันหลายชั้นหลายซ้อน แต่เอาเข้าจริงควบคุม ปราบปรามได้สักแค่ไหน ของแบบนี้ต้องสั่งสม ต้องหัดวางจนใจพร้อมจะว่างจริง ซึ่งกูยังไม่มีวาสนาถึงขนาดหรอก”

    เชิงไทกัดปากและย่นคิ้วนิดๆ

    “เป้าหมายของการปล่อยวางถึงที่สุดคือการเป็นพระอริยบุคคลใช่ไหม? ไหนมึงบอกหน่อยเถอะ พระอริยะนี่เขาเป็นกันยังไง เอาอะไรมาวัด? แบบแอ้เมื่อกี้ใช่รึยัง เป็นอริยะชั่วขณะหรือเปล่า?”

    เกาทัณฑ์ชะงักคิด คำถามนั้นต้องการคนรู้แจ้งเห็นจริงเป็นผู้ตอบ ตัวเขาเองเป็นประจักษ์พยานในรสธรรมขั้นพื้นฐานเท่านั้น จะให้พูดเรื่องสูงทั้งหมดคงไม่ได้

    อีกอย่าง บรรยากาศสนทนาเป็นไปแบบมึงๆกูๆ หรืออย่างเบาก็คุณผม ไม่ใช่โยมหรืออาตมา รู้เห็นกันอยู่ว่าต่างฝ่ายต่างยังมีกิเลส จะเอาอะไรเป็นแกนอ้างอิง หรือชั่งวัดได้ว่าคำพูดถึงสิ่งสูงมีน้ำหนักแค่ไหน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระอริยบุคคล

    “กูบอกตามนิยามในคัมภีร์ได้ว่า พระอริยบุคคลก็คือผู้ปฏิบัติธรรมจนหมดกิเลสไปตามลำดับ ส่วนจะเอาอะไรมาวัดนั้น คงต้องพูดกันยาว แบบแอ้เมื่อกี้นี้แค่ ‘เห็นธรรม’ ขั้นต้น ซึ่งจะนำไปสู่ปลายทางข้างหน้าได้ หากมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    และ...พูดตรงไปตรงมานะเชิง ที่เราคุยกันอยู่นี่ เขาเรียก ‘ถกธรรม’ เพราะมีฝักฝ่ายของผู้ปลงใจเชื่อ ปลงใจยอมรับ กับผู้ที่ยังข้องใจ ไม่เชื่อถือ ประกอบกับพวกเราอยู่ในฐานะเท่ากัน เป็นเพื่อนฝูงที่รู้อยู่ว่าทำงานเพราะอยากได้ตังค์มาใช้ชีวิตแบบโลกๆให้สุโขเหมือนๆกัน มึงมองยังไงก็ไม่เห็นกูแตกต่างจากมึงตรงไหน

    ถ้าจะคุยกันแบบเห็นตาม ส่งเสริมกัน หรือเรียก ‘สนทนาธรรม’ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์อย่างผู้ปฏิบัติจริง ต่างฝ่ายต่างต้องเสมอกันทางธรรม ซึ่งกูเองก็เพิ่งเริ่มต้น แค่แตะๆต้องๆนิดหน่อย ตัวเองยังไม่ถึงใจเท่าไหร่เลย ส่วนมึงยิ่งแล้วใหญ่ กับแค่ต้นทางยังไม่เห็น แล้วจะหวังเข้าใจปลายทางด้วยการรับฟังกูบอกน่ะคงยาก

    เรื่องเกี่ยวกับการเป็นผู้เข้าถึงศาสนานี่ ในใจมึงอาจคิดว่าเป็นคำถามง่ายๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ถ้าอยากรู้ว่าพระอริยบุคคลเป็นกันยังไง เอาตรงไหนมาวัด มึงต้องเจอตัวจริงของท่าน ยอมรับให้ท่าน ‘แสดงธรรม’ แจกแจงให้ฟังว่า ‘สิ่งนั้น’ เป็นอย่างไร แล้วตัวมึงเองก็ต้องมีฐานหรือทุนเพียงพอจะซึมซับเอาตรงๆจากท่านด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความคิด เพราะจิตพระอริยะนั้นเป็นคนละรส เป็นคนละกระแสกับจิตคิดแบบปุถุชนเรา”

    เชิงไทตะแคงหน้า เหล่ตามองอีกฝ่าย

    “แสดงว่าพุทธเป็นศาสนาที่หาหลักฐานยาก อย่างที่เน้นการเวียนว่ายตายเกิดนี่ เท่าที่มึงปฏิบัติมา พอบอกได้ไหมว่าชาติก่อนมีจริงหรือเปล่า และจะพิสูจน์หรือจับต้องได้ยังไง”

    “ชาตินี้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ของชาติก่อน”

    ครั้งนี้เกาทัณฑ์ตอบทันทีโดยไม่พักคิด

    “เพราะการมีร่างกายที่เป็นฐานให้กำลังนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ การมีโอกาสมาเกิดกับพ่อแม่คู่นี้ และได้อยู่ในหลักแหล่งอาศัยอย่างทุกวันนี้ ก็คือวิบากกรรม การให้ผลของสิ่งที่เราทำมาแล้วในอดีต ส่วนจะพิสูจน์ยังไงว่าอัตภาพนี้มาจากกรรมเก่า ก็พอมีหนทางอยู่ แต่ไม่ใช่ด้วยการถามมาตอบไป ต้องอาศัยแนวปฏิบัติจริงที่ค่อนข้างยาก”

    เชิงไทเลิกคิ้ว

    “ต้องนั่งทางในงั้นสิ เคยฟังมาบ้างเหมือนกัน เห็นว่าบางคนนั่งจนเหงือกแห้งก็ไม่ได้สมาธิสมาแทะหรือทางในอะไรขึ้นมาซักกะติ๊ด”

    “ถ้าเรียกนั่งทางใน มึงคงนึกถึงแนวทางในสำนักหมอผีหรือกุมารทองใบ้หวยมากกว่าจะเข้าใจตามจริงว่าเป็นอย่างไร คิดงี้ดีกว่า เราต้องทำจิตให้ขึงตึงเหมือนจอหนังที่เรียบ ปราศจากความขรุขระบิดเบี้ยว พร้อมจะรับแสงจากเครื่องฉายได้ ซึ่งเครื่องฉายก็ต้องส่งแสงได้แรงพอถึงจะเกิดความคมชัด ทั้งจอและทั้งเครื่องฉายนั่นแหละคือจิตที่อยู่ในภาวะสมาธิ

    แต่ละชาติเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ฉายจบม้วนก็ฝังดินไว้ลึกๆ เป็นดินแข็งชนิดที่เอามือเปล่าตะกุยไม่ไหว ต้องอาศัยเครื่องทุ่นแรงเช่นจอบเสียมที่แข็งกว่า ซึ่งนั่นก็คือกำลังที่เกิดจากสมาธิระดับสูงอีกเช่นเคย ถ้าทำถึงแล้วก็เหมือนมีจอบเสียมอยู่ในมือไว้ขุดคุ้ยความทรงจำที่ฝังลืมไว้ใต้จิตสำนึกเราเอง

    ส่วนที่นั่งกันไม่ค่อยสำเร็จน่ะ มีเหตุผลอยู่ร้อยแปด นับแต่โครงสร้างจิตใจบอบบาง อ่อนแอ ขาดความฝักใฝ่ให้ต่อเนื่องจริงจัง อีกอย่างเรื่องสมาธินี่ต้องการความช่างสังเกตสังกาและความฉลาดภายใน แบบเดียวกับใช้ความฉลาดพัฒนาฝีมือทางการกีฬานั่นแหละ คนส่วนใหญ่นึกว่านั่งเพ่งๆๆ พอไม่สำเร็จก็เลิก ขี้เกียจต่อแล้ว ไร้วาสนาแล้ว ไม่คิดว่าการทำสมาธิเป็นเรื่องต้องลงแรง ลงเวลา และใช้สมองกันพอควร”

    “ถ้าได้สมาธิอย่างเดียวนี่ก็กลายเป็นผู้วิเศษ คิดถึงชาติก่อนก็เห็นเลย?”

    เกาทัณฑ์ส่ายหน้า

    “เหมือนมึงเต็มตื่นอยู่ตอนนี้ แล้วย้อนนึกถึงเมื่อก่อนกูเดินเข้ามาในห้อง ความจำยังแจ่มชัดและเป็นจริงเป็นจัง เพราะเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ หรือย้อนนึกถึงสมัยมึงเพิ่งอยู่สักประถมสาม ความจำก็ยังคงอยู่ แม้ว่าจะพร่าเลือนไป เพราะผ่านนานและถูกความจำอื่นถมทับไว้หนามากแล้ว

    จะสั้นหรือยาว ชัดหรือเลือนก็เถอะ ตราบใดที่ยังรู้ตัว ตื่นเต็มตาอยู่อย่างนี้ ก็จะย้อนนึกได้ และรู้ว่าเคยเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ลองสังเกตจะเห็นว่าแค่มึงมีกำลังสติดีๆ การย้อนระลึกจะชัดเจนกว่าตอนเหม่อมากแล้ว บางขณะอาจเหมือนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งทีเดียว

    แต่เมื่อได้สมาธิ ภาวะความตื่นรู้จะเต็มรอบกว่าสติธรรมดาอย่างเดี๋ยวนี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า เพราะสติจะนิ่งต่อเนื่อง และจิตจะสว่างฉายภาพในมโนนึกแจ่มชัด เมื่อพยายามย้อนระลึกจะเห็นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ไม่ว่าจะถอยกลับไปในอดีตไกลแค่ไหน ยิ่งสั่งสมกำลังจิตไว้มากเท่าไหร่ ก็จะคมชัดและไปได้ไกลเท่านั้น ขนาดที่สามารถแทงทะลุความทรงจำ ความรู้สึกก่อนลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก และถอยย้อนกลับไปก่อนวิญญาณเคลื่อนมาปฏิสนธิ ซึ่งถึงตรงนั้นแหละคือเริ่มเห็นอัตภาพในอดีต สรุปคือต้องมีสมาธิชั้นเลิศด้วย และมีตัวความพยายามย้อนระลึกด้วย ถึงจะเกิดความเห็นขึ้นมา ไม่ใช่มีสมาธิหรือตัวสติอย่างใดอย่างหนึ่งโดดๆ”

    “ถ้าไม่เห็นชาติก่อน ไม่เชื่อเรื่องภพภูมิ ก็แปลว่าเข้าไม่ถึงแก่นพุทธ?”

    “เปล่าเลย อย่างแอ้เมื่อกี้ก็เรียกว่าแตะๆต้องๆแก่นแล้ว ถึงใจเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องภพภูมิก็ตาม แล้วแต่จริตคนด้วย บางรายนี่ยังไม่ต้องคิดเรื่องภพชาติก็เข้าทางดับทุกข์ได้ แต่ส่วนใหญ่ต้องเชื่อสักระดับหนึ่ง ถึงจะเห็นประโยชน์ของการพยายามดับทุกข์”

    “มึงเห็นชาติก่อนหรือยังวะ?”

    เกาทัณฑ์อึกอักนิดหน่อย คราวนี้รู้แล้วว่าเมื่อซักแพตรีเกี่ยวกับอดีต เหตุใดจึงเห็นหล่อนฝืนตอบกึ่งรับกึ่งสู้เสมอ ถ้าบอกตามจริงก็เป็นชนวนให้เกิดคำถามยืดเยื้อต่อไปอีก ถ้าบอกปัดว่าไม่เคยก็กลายเป็นมุสา แต่แล้วเขาก็พบทางออก คือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว

    “สมาธิจิตของกูเป็นแบบผิวเผิน ไม่ใช่จิตของนักปฏิบัติจริงที่มีความคมกล้าพอจะย้อนเห็นขนาดนั้น แต่ก็ฝึกๆแบบตามมีตามเกิดอยู่นะ อย่างน้อยมีกำลังแรงขนาดย้อนเห็นเหตุการณ์สมัยอนุบาลชัด...คือไม่ขนาดเห็นเป็นภาพเหมือนดูหนัง แต่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาว และรู้รายละเอียดครบเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จำได้หมดเลย ความรู้สึกนึกคิดเมื่อเริ่มท่องกขค. เริ่มหัดคิดบวกลบคูณหาร หน้าตาและชื่อเพื่อนกับครูแต่ละคน บางอย่างลืมไปแล้วอย่างสนิท ขนาดที่ว่าต่อให้พยายามนึกยังไงก็ไม่มีทางได้ด้วยสติธรรมดา

    ถึงจะยังไม่เก่งพอระลึกชาติก่อน แต่ก็ระลึกชาตินี้ได้อย่างละเอียด ทำให้มองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้จิตสำนึก และตระหนักว่าเรามีสิ่งฝังลืมแบบปิดตายอยู่จริงมากมายมหาศาล ถ้าอยากขุดขึ้นดูก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพให้กับจิตจนเกิดความเป็นไปได้ขึ้นมา”

    เชิงไทหรี่ตามองเพื่อนซึ่งคบกันมานาน รู้เห็นไส้พุงกันหลายขด ทราบว่านั่นเป็นการพูดฉีกทางให้เขาลืมคำถามเดิม จึงสังหรณ์ว่าเพื่อนเห็นมากกว่าที่พูดบอก ก็ถามจี้ลงไปซ้ำอีกครั้ง

    “สรุปคือมึงยังไม่เคยเห็นชาติก่อนเลย จะโดยปริยายไหนๆก็แล้วแต่?”

    เกาทัณฑ์นิ่ง อันเนื่องจากความเห็นอัตภาพในอดีตเป็นการช่วยเหลือจากคนอื่น มิใช่กำลังตนเอง อีกทั้งเห็นเพียงแวบเดียว แค่สาๆว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่เกิดความภาคภูมิลำพองที่จะโอ่อวด ได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้แบบติดตลก

    “อย่างกูไม่ใช่พระราชาแน่ และมึงก็ไม่ใช่มหาดเล็กของกู”

    เชิงไทเงียบไปชั่วขณะ เลิกพยายามเพราะรู้ว่าเพื่อนจะไหลไปเรื่อย พลิกข้อมือดูเวลา ชักหิวและขี้เกียจหาข้อซักเรื่องเถียง จึงตัดบท

    “ไปกินข้าวเหอะ”


บทที่ ๑๘  เจ้าเสน่ห์


    เกาทัณฑ์และเรือนแก้วกำลังท้องร้องจ๊อกๆอยู่พอดี เมื่อเชิงไทชวนทานข้าวจึงตกลงตามกัน

    “กินไหนดี?”

    เรือนแก้วถามด้วยเสียงติดเบื่อหน่อยๆเมื่อคิดถึงร้านใกล้ละแวก ช่วงค่ำคืนเช่นนี้เหลือตัวเลือกน้อยเต็มที

    เชิงไทเอ่ยชื่อร้านสเต๊กแห่งหนึ่ง เพิ่งเปิดใหม่และเนื้ออร่อยนุ่ม เรียกน้ำลายชุ่มลิ้นชะงัด เสิร์ฟพร้อมไวน์แดง ช่วงแนะนำตัวราคาถูกอีกต่างหาก เพื่อนทั้งสองฟังเขาพรรณนาแล้วเกิดอยากลองทันใด เผื่อวันหลังจะได้พาใครไปร่วมอร่อยบ้าง

    เชิงไทบอกคร่าวๆว่าร้านตั้งอยู่ตรงไหน แต่อันเนื่องจากเป็นกลางซอยไม่คุ้นถิ่นไกลออกไป จำเป็นต้องเขียนแผนที่ ชายหนุ่มขี้เกียจขึ้นมา เลยชวนขึ้นรถตนเองคันเดียวสิ้นเรื่องสิ้นราว จะได้ถึงพร้อมกัน ไม่ต้องมีใครนั่งแกร่วรอด้วย

    สองหนุ่มและหนึ่งสาวมานั่งรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน ท่ามกลางแสงเทียนและเสียงดนตรีละเมียด สนทนาเรื่องเบาหัว เรือนแก้วเป็นสีสันสดใสและความน่ารักน่าใคร่ของโต๊ะ ทำให้เวลาชั่วโมงครึ่งผ่านไปด้วยความเพลิดเพลินเจริญอาหาร

    เกาทัณฑ์ดื่มไวน์ทั้งรู้ว่าเป็นของมึนเมา ผิดศีล ขณะนี้เขาไม่นับตนเองเป็นคนถือศีล แต่ตระหนักว่าเมื่อละเมิดข้อใดข้อหนึ่งแล้วเป็นภัย จึงตั้งสติรู้ตัวว่าดื่มเพราะอยากในรสนุ่มลิ้นทว่าบาดคอนั้น แต่ไม่ปล่อยให้มึนเมา เอาพอกำซาบร่วมหมู่กับเพื่อนได้ตามปกติ กับทั้งกำหนดใจว่าจะพิจารณาให้เห็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ปรุงขึ้นโดยปราศจากเจตนาใช้เป็นตัวยานั้น บ่อนทำลายสติ ฉุดวิญญาณให้ตกต่ำลง เพื่อว่าวันหนึ่งจิตจะเห็นจริง และคิดผละจากไปเองโดยปราศจากการบังคับ

    จวนห้าทุ่ม เป็นเวลาร้านใกล้ปิด สามหนุ่มสาวเดินออกมาตามทาง บรรยากาศสรวลเสเฮฮาประสาเพื่อนสนิทยังกระจายรอบ เชิงไทกดรีโมตคอนโทรลปลดล็อกประตูแต่ไกล เรือนแก้วได้ยินเสียงสัญญาณแล้วหัวเราะออกมาเอิ๊กอ๊ากตามอารมณ์ไวน์

    "ตุ๋ย...ตุ๋ย"

    หญิงสาวร้องเลียนรีโมตฯ เกาทัณฑ์กับเชิงไทหัวเราะตาม เมื่อเกาทัณฑ์มาที่ประตูหน้าด้านข้างคนขับขยับจะเปิด เรือนแก้วก็ชิงเบียดเขี่ยเขาออกนอกทางด้วยสะโพกกลมมนเสียก่อน

    “ให้แอ้เป็นตุ๊กตาหน้ารถของเชิงมั่งซิ”

    หล่อนเอ่ยเสียงปกติ แต่ตาฉ่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ เกาทัณฑ์ผายมือสองข้างออกอย่างเชื้อเชิญตามอัธยาศัย ความจริงเรือนแก้วอยากเอนเบาะนอนพักตานั่นเอง

    เมื่อรถเคลื่อนจากที่และเชิงไทจะเบนทิศกลับบริษัทเพื่อให้เพื่อนหญิงชายไปเอารถของแต่ละคน เรือนแก้วก็ห้ามไว้และขอว่า

    “ตรงนี้อยู่ครึ่งทางระหว่างออฟฟิศกับห้องพักแอ้แถวพัฒนาการ เชิงช่วยส่งหน่อยได้ไหม อยากงีบน่ะ ขี้เกียจกลับไปเอาแล้ว พรุ่งนี้เช้ามาแท็กซี่ดีกว่า”

    เชิงไทพยักหน้าด้วยความเต็มใจ

    “ได้ซี่”

    หญิงสาวบอกที่หมายว่าถึงศูนย์การค้าใหญ่แห่งหนึ่งให้ปลุก หล่อนจะลุกขึ้นมาบอกทางต่อ เกาทัณฑ์อยู่ในเงามืดตอนหลัง รู้สึกนุ่มสบาย อากาศเย็นฉ่ำ ก็เอนตามยาวเหมือนกัน แต่ไม่หลับ ยังคงส่งเสียงคุยเป็นเพื่อนเชิงไทเรื่อยๆ

    ทีแรกก็คุยกันเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องทิศทางของนโยบายบริษัท ซึ่งมีเนื้อหาใหญ่น้อยกินเวลานานเอาการ แต่พอถึงจุดหนึ่งเมื่อต่างเงียบกันเป็นครู่ เชิงไทซึ่งยังคาใจกับเรื่องที่เหมือนค้างๆไว้ในห้องประชุมเล็ก ก็เอ่ยขึ้นมา

    “ตอนนี้มึงเป็นพุทธเต็มตัว เต็มใจแล้วสิ”

    ช่วงทานข้าวเย็นและบทสนทนาเรื่องทั่วไปที่พักคั่นมาระยะหนึ่งทำให้กลับมาคุยประเด็นธรรมะต่อได้ราบรื่นขึ้น สุ้มเสียงเชิงไทฟังลดความตั้งแง่ยียวนลงกว่าเดิมเยอะ

    “ก็คงงั้น”

    “เล่าให้ฟังหน่อยซิเป็นไงมาไง จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันเกี่ยวกับอะไรเทือกนี้เมื่อหลายปีก่อน มึงยังออกท่าแอนตี้อยู่เลย”

    “หรี่แอร์หน่อยดิ๊เฮ้ย เร่งเข้าไปได้เกือบสุด หนาวจะตายชัก”

    “ยายแอ้เป็นคนเร่งนี่หว่า”

    เชิงไทหรี่ให้ตามคำขอ แล้วถามซ้ำ

    “เล่าให้ฟังหน่อยสิ เป็นไงมาไงถึงเจอพระดีได้ อยู่ๆมึงคงไม่ขับรถเข้าไปฟังเทศน์ในกุฏิเองแน่”

    เกาทัณฑ์เอาสองมือหนุนศีรษะ ขี้เกียจเล่า แต่ก็รวบรัดอย่างเสียไม่ได้

    “เมื่อเดือนก่อนไปเยี่ยมปู่ คุยไปคุยมาเกี่ยวกับธรรมะแล้วติดลมน่ะ เผอิญวัดใกล้บ้านปู่มีพระดี ทำให้กูเข้าใจและรู้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ความศรัทธาเลยมาเอง”

    “น้องแพเป็นคนพาไปล่ะสิ?”

    เชิงไทดักคอ เกาทัณฑ์เงียบ

    “กูฟังมึงพูดก็ชักสนใจเหมือนกันโว้ย วันหลังพาไปหาพระอาจารย์ของมึงหน่อยสิ ท่านต้องมีดีอะไรสักอย่างทำให้เห็นจริงเห็นจังได้ ลำพังข้อธรรมะอย่างเดียวคงไม่ทำให้มึงเลื่อมใสศรัทธาเร็วอย่างนี้”

    เกาทัณฑ์มองเพดานรถนิ่ง จับน้ำเสียงแล้วพอเดาถูกว่าเพื่อนอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอย่างอื่น ก็คล้ายตนเองตอนเริ่มแรกนั่นแหละ

    แต่ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในพระอาจารย์ คิดว่าถ้าบุญพาวาสนาส่ง เชิงไทเคยมีนิสัยกับท่านมาก่อน อาจเกิดโอกาสได้ดี ก็ตกปากรับคำเบาๆ ทว่าหนักแน่น

    “โอเคเลยเชิง”

    “พาแอ้ไปด้วยนะ”

    เรือนแก้วพึมพำ

    “อ้าว ไหนว่าหลับไงล่ะนี่”

    เชิงไทหันมองข้างกาย ทักยิ้มๆ

    “กำลังละเมอมั้ง”

    หล่อนตอบทั้งยังปิดตา

    “ใกล้ถึงตรงที่แอ้ให้ปลุกพอดีแหละ”

    เมื่อคนขับบอกเช่นนั้น หญิงสาวจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมา รถกำลังเร่งความเร็ว จังหวะเดียวกับที่หล่อนเห็นเงาคนวูบไหวจะข้ามถนน จึงยกมือชี้เตือนดังๆ

    “คน…คน!”

    เชิงไทยิ้มเย็น

    “ก็คนน่ะสิ กลัวผมเห็นเป็นลิงเหรอะ”

    แล้วก็หักเบี่ยงขวาอย่างรู้ว่าคนข้ามถนนคงไม่เสียสติกระโจนตามหัวรถมาแน่ๆ เกาทัณฑ์หัวเราะมาจากด้านหลัง ถนนว่างโล่งและติดไฟแดงแต่ละจุดครู่เดียว สองอึดใจต่อมาเรือนแก้วก็บอกให้เชิงไทเข้าซอยหนึ่งทางซ้ายมือ ลัดเลาะตามทางได้เกือบสามร้อยเมตรก็ถึงอาคารสูงหลายสิบชั้นอันเป็นที่พักอาศัยของหล่อน

    หญิงสาวบอกตำแหน่งจอด เชิงไททำตามบัญชา แต่ขยับหลุกหลิกเหลียวล่อกแล่ก

    “ชั้นล่างมีห้องน้ำให้เข้าไหม?”

    เรือนแก้วหันมองท่าทีรุ่มร่ามของเพื่อนหนุ่ม ทีแรกจะบอกทางไปห้องน้ำของยามและคนเฝ้าเคาน์เตอร์ แต่เปลี่ยนใจคิดให้ความเอื้อเฟื้อ ไหนๆเขาก็อุตส่าห์มาส่ง และตึกนี้ก็ต่างคนต่างอยู่ ใครคิดไม่ดีเห็นหล่อนหิ้วหนุ่มติดมาเข้าห้องสองคนก็ช่างหัว

    “เข้าในห้องแอ้แล้วกัน”

    เชิงไทยิ้มออก เปลี่ยนกิริยาเป็นนิ่งตามปกติ หญิงสาวชี้ทางลงที่จอดรถชั้นใต้ดินซึ่งมีช่องจอดเฉพาะของห้องหล่อนอยู่ ยามเห็นหน้าจำได้ก็ปล่อยรถผ่านไปโดยดี

    ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นยี่สิบสาม สภาพภายในอาคารใกล้เคียงกับโรงแรมหรู พื้นปูหินอ่อนแล่นรอบตลอดชั้น ผนังและเพดานเรียบกริบดูแข็งแรง กันเสียงรบกวนข้ามห้องอย่างเด็ดขาด ระบบป้องกันอัคคีภัยวางไว้ถูกตำแหน่งตามเกณฑ์ รวมแล้วรู้ว่าเป็นหลักแหล่งอาศัยของคนรายได้สูงลิ่วแน่นอน

    เรือนแก้วนำสองสหายมาถึงประตูห้อง 2307 ไขกุญแจสองระดับ เปิดออกกว้างแทนคำกล่าวเชื้อเชิญ พอหล่อนกดปุ่มบนแผงควบคุมที่ผนังด้านหน้า ทั่วทั้งห้องก็สว่างโร่ด้วยแสงไฟหลากชนิด ไอเย็นตามมาในเวลาไม่ช้านานโดยปราศจากเสียงหึ่งรำคาญหูของเครื่องปรับอากาศ

    “ไม่เลวแฮะ”

    เกาทัณฑ์เปรย ขณะที่เชิงไทปราดไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเรือนแก้วให้ไปเข้าห้องชั้นใน เนื่องจากประปาของห้องน้ำชั้นนอกชำรุด ความจริงเขาไม่ถึงขนาดเดือดร้อนหนักหนาสาหัส ที่แท้แค่อยากยลรังนอนของเรือนแก้วเท่านั้น

    พื้นห้องปูพรมน้ำตาลอ่อน เข้ากับผนังสีเหลืองอมขาว ที่ประดับประดาด้วยภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่สองสามกรอบ สะท้อนสายตาที่มีให้กับงานศิลป์อันลุ่มลึกของผู้เป็นเจ้าของ ทว่าบางมุมก็ประดับประดาด้วยตุ๊กตาการ์ตูนหลากหลาย แสดงให้เห็นว่าเรือนแก้วยังคงไว้ซึ่งจินตนาการและอารมณ์แบบเด็กซุกซ่อนอยู่ เหมือนกับหญิงสาวหลายคนที่โตมากับครอบครัวอบอุ่น มีความสุขในช่วงต้นชีวิต

    นึกแล้วเกาทัณฑ์ก็สะท้อนใจอีกครั้ง ความน่าสงสารของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป อย่างเรือนแก้วที่ปรากฏในวันนี้ด้วยลีลาของสาวเก่ง เชื่อมั่น และงดงามในทุกทาง น่าอิจฉาสำหรับหญิงอื่น ดูไม่ออกเลยว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กสาวตัวคนเดียวที่ผ่านความเจ็บ ต้องทนปวดแสบปวดร้อนอย่างสาหัสมาก่อน นั่นทำให้เขานึกเวทนาย้อนหลัง และอยากมีส่วนช่วยเหลือบ้างในทางใดทางหนึ่ง

    “ห้องสวยกว่าของผมเยอะเลย”

    ยืนใกล้แค่เอื้อม เรือนแก้วเพียงกระซิบตอบก็ได้ยินชัด

    “ห้องเต้คงจะรกน่าดูสิท่า หนุ่มโสดก็หยั่งงี้แหละ”

    เกาทัณฑ์สั่นศีรษะ และเป็นฝ่ายขยับตัวหลีกห่างออกมาหน่อย แต่ตาเหลียวจับดวงหน้าคมคายนิ่งอย่างอดพิศวาสไม่ได้

    “ผมจัดข้าวของเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเสมอ แต่ขาดหัวคิดซื้อเครื่องตกแต่งจัดวางให้ดูเข้าท่า เตะตาน่ารักอย่างนี้”

    เขาชมการแต่งห้อง แต่หล่อนกลับถามมาอีกทาง

    “แอ้น่ารักเหรอ?”

    ลีลากระดกอวดปลายลิ้นแตะฟันหน้าในการสะกดบางคำนั้น ทำเอาเกาทัณฑ์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ดวงหน้าเนียนแฉล้มดูเย้ายวนรัญจวนใจราวกับมายาฝัน กลิ่นไวน์ในลมหายใจของตนและหล่อนระคนกับกลิ่นน้ำหอมบาดฆานประสาทที่ยังค้างจางในเรือนร่างสาว ก่อให้เกิดความปรารถนาล้ำลึกขึ้นมาฉับพลันทันใด

    เรือนแก้วเอนหลังพิงผนังอย่างต้องการพักเข่า แต่ดูทีปรือตายิ้มเยื้อนมองลึกเข้ามาในตาเขาแล้วคล้ายหล่อนกำลังเชิญชวนให้เสี่ยงเดาใจว่าคิดอะไรอยู่ จังหวะนั้นหากเขาก้มลงเอาจมูกแตะปลายคางหล่อนสักหน่อย คงไม่ถูกต่อว่าต่อขานกระมัง...

    กลิ่นอายน้ำเมายวนใจให้ม้วนดิ่งไหลหลงลงสู่อิฏฐารมณ์ มองตาหล่อนด้วยความลังเลสองจิตสองใจ ทางเปิด โอกาสอำนวยอย่างไม่เคยมีมาก่อน ร่ำๆจะทำตามบงการแห่งดำฤษณา ทว่าสติของผู้ผ่านการอบรมมาแล้ว ยับยั้งไว้และให้คิดถึงสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น

    หากทำอย่างที่กำลังอยากทำ เรือนแก้วจะเปลี่ยนฐานะจากเพื่อนเป็นอื่นทันที

    อุตส่าห์เฝ้าง้อแพตรี งัดสารพัดกลเม็ดเด็ดพรายมาใช้จนหล่อนตกปากรับคำแล้วว่าสุดสัปดาห์นี้จะไปหาฤกษ์หมั้นด้วยกัน รวมทั้งเดินทางไปบอกกล่าวลุงคามภีร์ของเขา ผู้มีศักดิ์ตามกฎหมายเป็นพ่อของหล่อน ให้รับรู้ถึงสัมพันธภาพและเจตจำนงที่มี

    ถ้าว่าตามกฎหมาย หรือกติกาจารีตประเพณี เขายังเป็นโสด อิสระเสรีบริบูรณ์ อยากบุกฮาเร็มไหน วิมานฉิมพลีใด ก็คงไม่มีใครว่า แต่ใจนั้น ตอนนี้ไม่โสดแล้ว เขานั่นแหละที่จะเป็นคนว่าตัวเองถ้าทำเรื่องนอกลู่นอกทาง

    ตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยการกลืนก้อนฝืดแห่งความฝืนใจลงคอ ดึงสายตาออกจากร่างงามตรงหน้า ยากราวกับถอนเสาหนักที่ปักลึกในดินเหนียว

    เหทิศกวาดสำรวจทั่วๆ หันหลังกลับไปพบเป้าโฟมซ้อมยิงที่มีรูเล็กๆพรุนบนผนังด้านหน้าห้อง หากระยะยืนเล็งห่างพอประมาณก็ต้องนับว่าแม่นเอาเรื่อง เนื่องจากรอยกระสุนเกาะกลุ่มกลางหนาแน่นเป็นพิเศษราวกับมีแม่เหล็กดูดขี้เหล็กอยู่ตรงนั้น

    แลหาโดยรอบก็พบทั้งปืนอัดลมและคันธนูบนชั้นวางใกล้เตาอบไมโครเวฟ เพียงเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัวของเรือนแก้วก้าวแรก ก็เห็นแล้วว่าหล่อนหลากหลายขนาดไหน

    กำลังจะชมความแม่นที่ปรากฏหลักฐานบนเป้า เชิงไทซึ่งคงทำธุระด่วนเรียบร้อย ก็ล้งเล้งมาจากด้านใน

    “แอ้เล่นเปียโนด้วยเหรอะ?”

    เรือนแก้วดีดรองเท้าส้นสูงทิ้ง ก้าวเท้าเข้าสู่บริเวณที่กั้นไว้เป็นครัวย่อมๆเพื่อล้างหน้าล้างตาและจัดหาน้ำท่าให้เพื่อนฝูง ไม่โต้ตอบคำของเชิงไทผู้เห็นเปียโนอยู่ทนโท่ในห้องนอนหล่อน ยังอุตส่าห์ถามอีกว่าเล่นเปียโนหรือเปล่า

    เกาทัณฑ์เดินตามเพื่อนเข้าไป ซึ่งเป็นจังหวะที่เสียงเปียโนแนวแร็กไทม์กำลังเริ่มกระโดดโลดเต้น เชิงไทนั่งคร่อมม้านั่ง อวดลีลาทะมัดทะแมง แต่ดูๆแล้วขัดตาพิกล

    “เคาะผิดเคาะถูกแสดงว่าเรื้อไปนานแล้วซี”

    มายืนทักอยู่เกือบชิดหลังนักเปียโนสมัครเล่น เห็นมือเพื่อนออกเกร็งชอบกลเมื่อตะปบไปตามกลุ่มคีย์ขาวดำ

    “เออ ไม่มีเวลาซ้อมนี่หว่า”

    เชิงไทตอบกลับมาทั้งยังลงนิ้วบรรเลงเพลง The Entertainer อย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่ำคืนดูรื่นเริงมีชีวิตชีวา คึกคักสำเริงสำราญราวกับอยู่ในงานสังสรรค์ยามเที่ยงวัน เมื่อเริ่มคุ้นกับกลุ่มคีย์ของเปียโนจากเยอรมันหลังนั้น เชิงไทก็ใส่สีสันระบายอารมณ์สนุกได้คล่องแคล่วกว่าเมื่อแรก นิ้วยาวและแข็งแรงของเขาทำให้การเติมลูกเล่นเกินโน้ตเดิมสะดวกดายและพลิ้วลื่นเป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ

    เกาทัณฑ์เหลียวไปเห็นชั้นตั้งเสียบซีดีเพลงสูงปรี๊ดวางเป็นตับอยู่ไม่ห่าง ก็ออกสำรวจเพื่อให้รู้แนวฟังเพลงของเรือนแก้ว เขามีโอกาสนั่งรถหล่อนน้อยครั้ง แต่ละครั้งคุยกันโขมงโฉงเฉงกับเพื่อนในกลุ่มเกินกว่าจะใส่ใจรับรู้ประเภทเพลงที่ติดรถ

    ท่าทางหล่อนจะเป็นนักฟังตัวยง ทั้งแถบนั้นเรียงรายด้วยชั้นซีดีถึงห้าตั้ง แต่ละตั้งอัดแน่นไร้ช่องว่างด้วยสันซีดีกว่าสองร้อยแผ่น เมื่อไล่ดูก็พบว่าถูกเรียงเข้าหมวดหมู่เป็นระเบียบ นั่นคือนิสัยของเรือนแก้ว ทุกอย่างถูกจัดวางระเบียบเป็นหมวดหมู่เสมอ

    หล่อนฟังแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไทยเดิม ไทยสากลเก่า-ใหม่ ไล่ไปถึงเพลงนิวเอจ คลาสสิค และป๊อบ-ร็อค แต่ละประเภทสะท้อนให้เห็นความชอบใจด้านนั้นๆผ่านศิลปินโปรด อย่างเช่นถ้าเป็นร็อค จะเห็นดนตรีดุอย่างมีรสนิยมของ โรเบิร์ต พาล์มเมอร์ เกือบทุกอัลบั้ม หรืออย่างถ้าเป็นคลาสสิค ก็จะเห็นงานของราชาไวโอลินเช่นวิวาลดี้เต็มเอี้ยด

    มองมุมห้องด้านบนเห็นเป็นลำโพงชุด ยี่ห้อที่เลื่องชื่อลือชาว่าขับเสียงได้ยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง ท่าทางหล่อนจะมีความสุขกับการลงนั่งฟังเพลงอย่างจริงจังตรงกึ่งกลางห้องซึ่งมีโซฟาหนังแท้วางอยู่โดยเฉพาะ เมื่อว่างคงชอบถูกห่อหุ้มด้วยสนามพลังคลื่นเสียงทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่

    จินตนาการถึงความเป็นเรือนแก้วอยู่ในใจ จำนวนแผ่นของเพลงแต่ละประเภทบอกอยู่ในตัวว่าหล่อนไม่ผิวเผินกับอะไรสักอย่าง จังหวะการเปลี่ยนอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้คงเดายากเอาเรื่อง ในเมื่อมีพื้นจิตใจที่สามารถจมจ่อมอยู่กับทุกแบบการปรุงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นการขับขานตามแนวไทยเดิมเช่นลาวเทียน ที่ลากช้าเยือกเย็นขนาดกล่อมให้เกิดสมาธิได้ หรือการบรรเลงอันอลังการเบิกชัยเช่น La Primavera ของวิวาลดี้ ที่อาจบันดาลความรู้สึกสง่างามสมบูรณ์แบบแก่ผู้สดับอย่างละเอียด ไปจนกระทั่งการกระชากกระชั้นเผ็ดมันสุดเดชเช่นในเพลง Simply Irresistible ของ โรเบิร์ต พาล์มเมอร์ ที่เตะอารมณ์คนฟังให้พุ่งโด่งได้ถึงสุดโต่งความคะนองใจ

    ยิ่งหยิบค้นเห็นแนวหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งประหลาดใจกับความเป็นหล่อนขึ้นทุกที บางครั้งถึงกับอุทานกับตนเองว่าอะไรวะเนี่ย เพราะแม้แต่เพลงนิทานกล่อมเด็กยังฟัง!

    เหมือนเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ซึ่งจัดงานพบปะมิตรสหาย ปรากฏว่าเจอคนแรกเป็นชายชราในชุดราตรีท่าทางสุขุมสง่างาม เดินไปอีกหน่อยเจอสาวเปรี้ยวออกท่าดิบๆกระโดกกระเดก เหลียวซ้ายเจอหนุ่มน้อยในชุดลำลองพร้อมท่องทะเลด้วยเรือยอร์ช เหลียวขวาอีกทีดันเจอเด็กผู้หญิงน่าเอ็นดูอายุแค่เก้าขวบมายืนอยู่กลางงานกับเขาด้วย เล่นเอางงงวยพิศวงว่ามันงานอะไรกันแน่ล่ะนี่

    เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆ โล่งใจอยู่หรอกที่หาทั่วแล้วไม่เจอสมุนซาตานปนอยู่ด้วย

    เรือนแก้วปรากฏกายตามเข้ามา บัดนี้ถอดเสื้อนอกออก เหลือเสื้อแขนยาวสีชมพูเข้มที่ม้วนปลายไว้เหนือศอก หน้าตาดูสดใส ท่าทางกระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดิม สองมือกำกระป๋องน้ำผลไม้ นำไปวางบนหลังเปียโนให้เชิงไทหนึ่ง แล้วที่เหลือมายื่นให้เกาทัณฑ์ จากนั้นมาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้อง มองเชิงไทเล่นเปียโนสร้างบรรยากาศครึกครื้นยิ้มๆ

    เกาทัณฑ์ดูดน้ำผลไม้กระป๋องรวดเดียวเกลี้ยง หาถังผงทิ้ง แล้วจึงเดินมานั่งข้างเพื่อนสาว โซฟานั้นพอจุสองคนกำลังสบาย

    “พาเพื่อนมาที่นี่บ่อยไหม?”

    “ก็เป็นครั้งคราว”

    เกือบบอกว่าต้องสนิทกันจริงๆ และเพิ่งเขากับเชิงไทนี่แหละเป็นเพศชายสองรายแรกที่มีโอกาสมาเยือนถิ่น แต่กลัวรู้แล้วเหลิง เลยเก็บไว้

    “ดูแอ้ฝักใฝ่ทางดนตรีเอามากเลยนะ นี่ผมมองหากล่องไวโอลินอยู่ เอาไปซ่อนไว้ที่ไหนล่ะ?”

    “รู้ด้วยเหรอว่าแอ้เล่น ใครบอกน่ะ?”

    “ก็สะสมวิวาลดี้ยังกับสะสมแสตมป์อย่างนั้น เปียโนของโชแปงกับฟรังก์ ลิสต์รวมกันยังน้อยกว่าอีก ต้องให้ใครบอกล่ะ”

    “อ้อ ช่างสังเกตจริงนะ”

    “ไปกว้านซื้อมาจากหลายประเทศเลยซี เฉพาะเดอะแพลเน็ตส์ของ กุสตาฟ โฮลต์ ชุดเดียวก็ปาเข้าไปสี่วง”

    เรือนแก้วแค่ยักคิ้วรับเนิบๆ ตบมือเปาะแปะให้เชิงไทเมื่อเล่น The Entertainer จบลง และเริ่มโหมเพลงอื่น ซึ่งยังคงเป็นแนวแร็กไทม์มันๆเช่นเคย

    “ถามหน่อยเถอะ ช่วงที่เพิ่งออกจากบ้านพ่อ หาลำไพ่ทางดนตรีบ้างไหม?”

    หญิงสาวสั่นศีรษะ

    “ช่วงนั้นยังอ่อนหัด เพิ่งมาจริงจังก็หลังจากแม่เสีย แม่ของแอ้เล่นดนตรีเก่ง พยายามหัดให้ตั้งแต่เด็ก แต่แอ้ขี้เกียจ เพิ่งขยันก็เพราะคิดถึงแม่...”

    ได้ยินคำตอบดังว่า เกาทัณฑ์ก็ชักอยากฟังเรือนแก้วเล่นเปียโนเป็นกำลัง จึงตะโกนดังๆใส่หลังเพื่อนหนุ่มเบื้องหน้า

    “เบื่อฟังดนตรีกระป๋องแล้วโว้ย กระแทกตุ้งๆยังกับจิงโจ้”

    เชิงไทชะงักกึก ความบันเทิงในอากาศดับวูบ

    “โธ่...มึงมีปัญญาเล่นหยั่งงี้รึเปล่า? ถ้าตกงานกูไปเล่นตามบาร์เลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้แล้วกันวะ หน็อย! ทำเป็นด่าคนอื่นเขา”

    พอเพื่อนหันมาสบตาด้วย เกาทัณฑ์ก็ขยิบเหล่ไปทางเรือนแก้ว เชิงไทจึงเข้าใจ

    “แอ้เล่นแทนแล้วกัน”

    ขอแล้วลุกจากม้านั่ง คว้ากระป๋องน้ำผลไม้อัดลมติดมือมาด้วย

    “เชิงก็เล่นไปดิ้ แอ้กำลังฟังเพลินๆ”

    “หน่อยน่า เจ้าเต้มันรำคาญ ผมไม่ใช่สก๊อต จอปพลิน ผมมันสก๊อตไบร๊ท์”

    เรือนแก้วยิ้มขัน เชิงไทเดินเข้ามานั่งบนเท้าแขนโซฟาขนาบหล่อนอีกข้างแบบดาวล้อมเดือน

    “เจ้าของห้องปล่อยให้แขกเป็นฝ่ายจัดหาความสำราญได้ไง...ไป๊”

    ว่าแล้วก็ใช้มือรุนหลังหน่อยๆ พอเพื่อนถูกเนื้อต้องตัวในที่รโหฐาน หญิงสาวก็ลุกพรวด

    “อยากฟังเพลงอะไรล่ะ”

    “เอาแบบร้องด้วยเล่นด้วยน่ะ อะไรก็เอา เคยได้ยินแต่เสียงผ่านไมค์คาราโอเกะ วันนี้ฟังเสียงแท้ซะมั่ง ดูซิไม่มีเครื่องช่วยแล้วจะยังไพเราะเพราะพริ้งอยู่อีกหรือเปล่า”

    “ไม่มีเนื้อแล้วนึกไม่ค่อยออกนี่”

    “เหอะ! เล่นเปียโนแล้วร้องลิเกคลอก็ได้เอ้า เดี๋ยวจะช่วยโก่งคอเป็นลูกคู่ถ้าหลง”

    เชิงไทบอกส่งๆ อยากฟังการลงลูกคอนุ่มหูของเรือนแก้วเต็มแก่

    อันเนื่องจากเคยร่วมร้องรำทำเพลงกันมาจนชิน หญิงสาวจึงไม่อิดเอื้อนนานนัก ก้าวไปหย่อนตัวบนม้านั่ง ตั้งหลังตรง วางมือเข้าตำแหน่ง ทีแรกคิดตามใจเพื่อน นึกถึงเพลงฮิตที่ร้องกันบ่อยจนจำขึ้นใจ แต่แล้วก็กลับลำ เลือกอวดฤทธิ์เดชเต็มกำลังศักยภาพของตนแทน

    ลงนิ้ว ขยับพลิกมือซ้ายเดินคู่เบส ขณะที่มือขวาเลื่อนพลิ้วจากช่วงกลางไปหาสูง กระจายคอร์ดซีชาร์ปไมเนอร์ดุจการกวดไล่กันของฝีเท้าขบวนม้าเร็ว ปรากฏเป็น Moonlight Sonata มูฟเมนต์ที่สามของบีโธเฟ่น อัตราเร็วเม็ดเสียงแต่ละโน้ตสม่ำเสมอ ไต่จากเบาขึ้นไปกระแทกหนักปึงปังตามลำนำของคีตกวีอารมณ์แรงในยุคระบายฝันตามใจ

    แต่เล่นไปได้เพียง 8 ห้อง พอตบห้าโน้ตแรกของห้องที่ 9 ก็หยุดกึกกลางคัน สะบัดหน้าเหลียวหลังมาแจกยิ้มใส เชิงไทซึ่งเข้าใจเปียโนดีถึงกับอ้าปากหวอ สำเนียงที่มากับต้นมูฟเมนต์ที่สามของ Moonlight นั้น ทรงพลังเข้มขลังอลังการ ยิ่งใหญ่ราวกับบีโธเฟ่นมาเอง หล่อนเลือกที่จะ ‘เล่าเรื่อง’ แบบเร็วจัด คือเล่น 8 ห้องแรกใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเศษ ลงนิ้วไม่ผิดเลยแม่แต่โน้ตเดียว

    “แม่เจ้าโว้ย!”

    เชิงไทอุทานแผ่วๆ หูตาเปิดค้าง สำหรับเกาทัณฑ์ แม้ไม่เข้าใจความยากง่ายของเปียโน แต่แค่เห็นลีลากระแทกโน้ตสูงปังๆแล้วย้ายไปไล่เสียงกลางใหม่อย่างรวดเร็วไหลรื่น โดยที่ตัวคนเล่นยังนิ่ง ก็ทราบได้ว่าฝีมือเรือนแก้วนั้นต้องจัดเข้าชั้นครูทีเดียว

    “ต่อให้จบสิ”

    เชิงไทขอร้อง

    “ไม่หรอกค่ะ เล่นเพลงนี้ต้องออกแรงเยอะ แอ้ยอมเหนื่อยให้คนที่แอ้รักเท่านั้น”

    ท้ายประโยคหรี่ตายั่วเล็กๆ เล่นเอาเชิงไทจุ๊ปากจิกจัก วางกระป๋องน้ำลงกับโต๊ะข้าง ลุกขึ้นมายืนประกบหลัง ขอซ้ำด้วยท่าทีจริงจัง

    “เล่นให้ฟังหน่อยสิแอ้”

    หญิงสาวเหยียดยิ้มเมื่อเพื่อนหนุ่มทำท่าราวกับจะเข้ามาเค้นคอ

    “ก็ได้ กลับไปนั่งห่างๆเด้ะ มายืนจ่องี้ใครจะเล่นออกล่ะ”

    เมื่อเชิงไทถอยกลับไปนั่งที่เดิม เรือนแก้วก็นึกเห็นใบหน้าอันหักงอของ ลุดวิก ฟาน บีโธเฟ่น เข้ามาแทรกแทนมโนภาพใบหน้าตน กำหนดใจให้ดุดันเป็นพายุร้ายในคืนอาบแสงจันทร์สีเลือด แล้วเริ่มร่ายเสียงใหม่ตั้งแต่ต้นด้วยเรียวมืออิ่มพลัง เร้าทุกอณูในห้องให้เริงโรจน์ด้วยความรวดเร็วและรุนแรงแห่งลำนำขลังของคีตกวีอัจฉริยะ

    เชิงไทฟังได้เดี๋ยวเดียวก็นั่งไม่ติด ต้องขยับลุกขึ้นยืนในมุมที่สามารถเห็นการเริงรำอันเร็วรี่ของนิ้วมือเรือนแก้วถนัด กอดอกจ้องตะลึง รู้จักหล่อนมาก็นานโข เพิ่งวันนี้ที่เห็นความสามารถอีกด้านนอกเหนือจากการงาน หล่อนต้องร่ำเรียนกับครูเปียโนระดับประเทศ และต้องซ้อมวันละไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงทีเดียว กำลังมือจึงอยู่ตัว กับทั้งเกิดทักษะและสัมผัสภายใน ควบคุมให้สิบนิ้วไหลเลื่อนประสานความคิดถ่ายทอดได้น้ำหนักและจังหวะจะโคนชั้นนี้

    เกาทัณฑ์ก็นั่งมองค้าง จรดใจฟังความวิจิตรอึงอลในบทเพลงที่บรรยายอิทธิพลแห่งแสงจันทร์ด้วยลักษณาการเดียวกับเชิงไท เพิ่งตระหนักว่าเพื่อนสาวเป็นผู้สำเร็จฤทธิ์ขั้นสูงทางดนตรีคนหนึ่ง ส่ำเสียงอันยุ่งยากซับซ้อนขนาดฟังแล้วขนลุกเยี่ยงนี้ ต้องใช้กำลังภายใน ทั้งสติและสมาธิผลักดันในระดับ ‘เนรมิต’ แล้ว

    หล่อนเป็นบุคคลพิเศษที่รักและเข้าถึงเป็นอันเดียวกับเปียโนจนบันดาลเสียงชวนอัศจรรย์ เหมือนกับที่ฤาษีเข้าถึงดิน น้ำ ลม ไฟจนอาจก่อมายาการได้ตามปรารถนานั่นเอง

    เรือนแก้วเก่งขนาดถ่ายทอดให้เขาเข้าใจอารมณ์เกรี้ยวของบีโธเฟ่น ที่แสดงออกด้วยลวดลายรูปเสียงอันเพริดแพร้ว บางจังหวะเห็นร่างแบบบางตรงหน้าปรากฏเป็นเครื่องจักรที่ไล่คีย์เปียโนได้คงเส้นคงวาไม่หยุดหย่อน ไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทว่าเป็นเครื่องจักรที่วิเศษกว่าทุกชิ้น ตรงที่มีหัวใจและอารมณ์ มีความหฤหรรษ์ที่จะระบายสีสันพันลึก ลากพาคนสดับฟังให้ดิ่งจมลงสู่ข่ายคลื่นมหรรณพแห่งดนตรีการไปจนสุดสาย

    บุคลิกภาพของเรือนแก้วเองเป็นเสมือนท่วงทำนองอันเป็นสุดยอดของเพลง ดีกว่าตรงที่หล่อนคงรูปอยู่เนิ่นนาน พร้อมให้จับต้องเรื่อยไป ไม่สลายง่ายเพียงวูบผ่านเหมือนดนตรีการ ขอเพียงมีสิทธิ์จองเป็นเจ้าของหล่อนเท่านั้น...

    จับมองแผ่นหลังของร่างเปรียวแล้วนึกเสียดายที่เส้นผมถูกซอยสั้น ถ้าไว้ยาวคงดูเป็นนักเปียโนได้เด่นกว่านี้เยอะ แต่เคยเห็นตอนผมยาวอยู่ช่วงหนึ่ง ก็ยอมรับว่าบุคลิกเช่นเรือนแก้วต้องส่งด้วยผมสั้นอย่างนี้เอง

    ตลอดเวลาประมาณเจ็ดนาทีเศษที่เล่น มีเพียงสองสามจุดเท่านั้นที่เรือนแก้วพลาด คลาดเคลื่อนหรือสะดุด แต่โดยรวมแล้วเมื่อฟาดมือซ้ายขวากระหน่ำสองกลุ่มโน้ตสุดท้ายสุดแรงเกิดราวกับจะพังเปียโนทั้งหลัง ก็รวบยอดเป็นความโอฬารเกินภาพปรากฏและสิ่งแวดล้อม อันได้แก่หญิงสาวร่างแน่งน้อยที่อาศัยอัพไรท์เปียโนธรรมดาเป็นเครื่องมือ โดยที่แท้ความยิ่งใหญ่เยี่ยงนั้นควรเกิดขึ้นพร้อมกับภาพนักดนตรีใส่ทักซีโด้หรูหน้าแกรนด์เปียโนบนเวทีของสเตเดี้ยมขนาดยักษ์ที่มีผู้ชมนับพันเสียมากกว่า

    สองหนุ่มปรบมือดังๆพร้อมกันเป็นเวลานาน เต็มแรง เต็มใจ เรือนแก้วเชิดคาง เบนหน้าชำเลืองแลมาทางเชิงไทซึ่งอยู่ใกล้ ยิ้มดุ ตาดุตามอารมณ์เพลง ชายหนุ่มเห็นเข้าถึงกับเข่าอ่อนกับอำนาจสายตาเจ้าแม่ แต่พอรู้ตัวว่าเผลอระย่อไปชั่ววูบ ก็แก้เกี้ยวด้วยการทำทีถลาเป็นนกปีกหักเข้าไปทรุดตัวคุกเข่าข้างม้านั่ง

    “โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วยเถิด”

    ไม่พูดเปล่า สองมือเกาะเอวกิ่วอย่างแสนพิศวาส เรือนแก้วตีมือเผียะ ตวาดเบาๆ

    “เดี๋ยวเถอะ!”

    ความสามารถเชิงดนตรีคือเสน่ห์อันทรงพลังให้ติดหลงได้รวดเร็ว สำหรับเชิงไทนั้นเป็นคนเดียวที่ขณะนี้ ‘ยังมีสิทธิ์’ จึงแทนที่จะนึกคร้ามแววคมกล้าด้วยแรงฤทธีในตาสาว ก็กลับย่ามใจตวัดเหนี่ยวเกี่ยวเอวคอดคล้ายคอแจกันนั้น และเอนศีรษะแนบแขนหล่อนนิ่งอย่างถือสนิทจนเลยเถิด

    “มากไปแล้วพ่อ!”

    เรือนแก้วลุกขึ้นอย่างไว้ตัว เสียงชักเข้ม แต่ไม่ถึงกับแข็ง เกาทัณฑ์เห็นอาการหมาหยอกไก่ที่ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วหัวเราะเย้ยเพื่อนอยู่ในใจ ครั้งหนึ่งเร็วๆนี้เมื่อส่งเรือนแก้วตรงที่จอดรถยามวิกาล เขาเคยดึงเอวหล่อนเข้ามากอดแบบหยอกๆ เรือนแก้วแค่ดันด้วยศอกหน่อยเดียว และเอ่ยราตรีสวัสดิ์ทั้งยังอยู่ในอ้อมแขนเขา

    “เก่งสุดเดชเลยแอ้”

    เกาทัณฑ์ชมด้วยปาก และต้องชมซ้ำในใจเมื่อเห็นปลายเสียงของตนติดสั่นเล็กน้อย แสดงให้เห็นอิทธิพลของฝีมือหล่อนที่กระทบใจเขาจนแกว่งได้อย่างนี้

    “แอ้คงต้องรับสอนเปียโนอยู่แน่ๆ”

    หญิงสาวยักไหล่

    “เปล่า”

    “ผมเรียนกับแอ้ได้ไหม คิดชั่วโมงเท่าไหร่ว่ามา”

    เรือนแก้วปรายตามองเกาทัณฑ์ ดูไม่ออกว่าเขามีความตั้งใจตามพูดหรือเปล่า จึงโปรยยิ้มแฝงเลศนัย

    “อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวนางฟ้าของเต้รู้เข้าเขาจะว่าแอ้”

    เชิงไทลุกขึ้นยืน โพล่งทันที

    “คนมันหลายใจ ไม่ค่อยกลัวถูกว่าหรอก”

    เกาทัณฑ์หัวเราะเอื่อย เงียบเสียงไป กะจะปล่อยให้เชิงไทแสดงบทอี๋อ๋อคนเดียวตามสถานภาพชายโสด ส่วนตนพักตาตามประสาคนหัวใจไร้ห้องว่างเสียแล้ว

    พอเชิงไททำแต้มด้วยการโจมตีเพื่อนแล้วก็เกิดเมื่อยหลังและสองขาขึ้นมาเพราะยืนเกร็งอยู่นาน ประกอบกับเริ่มเพลียเนื่องจากได้เวลานอน แต่เห็นโซฟากลางห้องถูกเกาทัณฑ์ยึดครอง จึงเดินเลยไปล้มตัวนอนบนฟูกนิ่มของหญิงสาวหน้าตาเฉย

    “นี่! พระคุณท่านเจ้าขา ลุกค่ะลุก ใครใช้ให้นอนเจ้าคะนั่น?”

    “อะไร แค่นี้หวงด้วย มีผ้าคลุมเตียงอยู่ตั้งชั้น”

    เชิงไทพึมพำกลั้วหัวเราะ ยังทำดื้อนอนต่อ เรือนแก้วชักฉิว ปราดมายืนเท้าเอวแหว

    “กลับได้แล้ว ทั้งสองคนเลย!”

    เชิงไทยกต้นคอหรี่ตาเหลือบลงต่ำ เห็นคนสวยทำหน้ามุ่ยก็หัวเราะขบขัน

    “แอ้นี่ยิ่งดูยิ่งน่ารักแฮะ”

    ว่าแล้วก็ปิดเปลือกตาอย่างสุโขสโมสร แถมแกล้งยั่วด้วยการพลิกหน้าสูดกลิ่นหอมจากเตียงอย่างชื่นใจ เรือนแก้วต้องขบริมฝีปากสงบสติเป็นครู่ ก่อนใช้ไม้อ่อน

    “เชิง...ถ้าจะพักตาก็นอนโซฟาห้องนั่งเล่นค่ะ ไม่เอา”

    เชิงไทซึ่งย่างเข้านิทราไปแล้ววูบหนึ่งปรือตาถามงัวเงีย

    “ขอค้างได้หรือเปล่าคนสวย? ขี้เกียจกลับแล้วจริงๆ ตีหนึ่งกว่าอย่างนี้”

    ความจริงอยากอยู่ใกล้ชิดหล่อนให้นานที่สุด ด้วยความถือสนิทบวกกับความเห็นว่าเรือนแก้วเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว จึงไม่น่าเกรงใจ

    เรือนแก้วทำหน้าเคร่ง กอดอก

    “เมื่อกี้จะให้ขึ้นมาเข้าห้องน้ำเดี๋ยวเดียวนะ นี่ตอนเช้าหอบกันลงไปทั้งหมดอย่างนี้จะให้คนเห็นเขาคิดว่าแอ้เป็นผู้หญิงยังไงไม่ทราบ?”

    “เขาก็คิดว่าแอ้มีอำนาจวาสนา เปี่ยมด้วยบุญญาบารมี จิกลูกสมุนมาดูดฝุ่นและขัดส้วมทั้งคืนได้ถึงสองหน่อ”

    “ไม่ขำหรอก” หล่อนเอ็ด แล้วก็หันมาพึ่งเพื่อนหนุ่มอีกนาย “เต้! ดูเพื่อนเธอสิ”

    เกาทัณฑ์ลืมตา เกาต้นคอแกร็กๆที่ต้องกลายเป็นตัวกลาง รู้ว่าที่จริงเชิงไทแค่แหย่เล่น แต่การเย้าแหย่ผิดจังหวะก็น่ารำคาญชวนขี้เกียจทนได้เหมือนกัน ท่าทางเรือนแก้วคงถือสาที่เชิงไทนอนเตียงหล่อนมากพอดู

    “ไปเหอะ เชิง”

    พยายามชวนด้วยเสียงเรียบธรรมดาเหมือนมีเจตนาอยู่เอง มิใช่เพราะรับการร้องขอมาจากเรือนแก้ว แต่เชิงไทฟังแล้วแปลความหมายไปอีกอย่าง คือเกาทัณฑ์จะทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกจากการถูกคุกคามรังแก หมั่นไส้จนหัวเราะ ดึงตัวขึ้นนั่งที่ปลายเตียงพักหนึ่ง ก่อนหยัดกายลุกยืน ล้วงกระเป๋าส่งกุญแจรถให้

    “กูขับไม่ไหวว่ะ ตอนค่ำคุยธรรมะกับมึงเสียกำลังงานเยอะ ขับให้หน่อย”

    เกาทัณฑ์รับมาโดยดี เรือนแก้วเห็นท่าเพลียจริงของเชิงไท ก็สอบเกาทัณฑ์อย่างมีแก่ใจ

    “เต้เหนื่อยด้วยหรือเปล่า?”

    “ยังไหว อย่าห่วง”

    เขาทำตาแจ่ม ทว่าเรือนแก้วรู้สึกได้ถึงความซึมที่แฝงอยู่ จึงอึกอักเป็นครู่ ก่อนลังเลถามเสียงอ่อนลง

    “จะนอนนี่ไหม?”

    เกาทัณฑ์เลิกคิ้วสูง เขาเองก็เพลียไม่น้อย เพราะนอกจากทำงานเต็มอัตรามาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงทุ่มครึ่ง ยังต้องทุ่มเทสมาธิแก้ปัญหาธรรมกับเพื่อนหนุ่มสาวต่ออีกเป็นชั่วโมง

    เหลียวไปทางเชิงไท เห็นหมอทำตาเขียวเอานิ้วชี้หน้า เป็นทำนองบอกในทีว่าถ้าปฏิเสธจะถูกเตะ เลยผายมือกว้าง

    “ถ้าแอ้ไม่ถึงกับหนักใจนะ”

    เรือนแก้วยักคิ้วตอบเย็นชา

    “ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีใครมาฉีกอกแอ้ก็คงไม่หนักใจมั้ง”

    เกาทัณฑ์ส่ายหน้ายิ้ม ผู้หญิงก็คือผู้หญิง

    “ไม่หรอก”

    “แอ้จะอาบน้ำนอนล่ะ มีแปรงสำรองอยู่อันเดียว เดี๋ยวแบ่งใช้กันเอง ถ้าทำใจรับความน่าพะอืดพะอมไม่ไหวก็เป่ายิ้งฉุบแย่งเอานะ ใครดีใครได้ ใช้อ่างในครัวละกัน แล้วก็ขอเชิญคุณสุภาพบุรุษทั้งสองเสด็จเลยเจ้าค่ะ ห้องนี้ไม่ต้อนรับแล้ว”

    ประโยคหลังสั่งพลางเดินไปดึงลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบแปรงในกล่องใหม่เอี่ยมพร้อมยาสีฟันหลอดเล็ก แล้วมามองสองหนุ่ม สลับซ้ายทีขวาที ชั่งใจเป็นครู่ ก่อนกระดกแขนเหมือนท่อนไม้ที่ถูกสปริงดีดดึ๋งขึ้นมา ยื่นของในมือให้เกาทัณฑ์

    “อึ้!”

    ชายหนุ่มผู้ถูกเลือกกล่าวขอบใจและรับมาโดยดี เรือนแก้วทิ้งค้อนให้วงหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินไปฉวยผ้าเช็ดตัวจากราว แล้วหันกลับมาส่งตาสำทับหนุ่มๆให้ออกพ้นเขตของหล่อนได้ ซึ่งครั้งนี้เกาทัณฑ์กับเชิงไทยอมปฏิบัติตามโดยดี พอคล้อยหลังทั้งสอง ประตูห้องหญิงสาวก็ถูกปิดปัง ได้ยินเสียงลงกลอนแน่นหนา

    เมื่ออยู่ตามลำพังประสาหนุ่ม เกาทัณฑ์กับเชิงไทก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะขึ้นมาเฉยๆ

    “มึงเอาไป!”

    เกาทัณฑ์ส่งแปรงให้เพื่อน เชิงไทรับมา แต่วางไว้แถวนั้น

    “ช่างเหอะ แฟร์ๆโว้ย แค่คืนเดียวฟันไม่ผุ ปากไม่บูดหรอก ยังไงตอนนี้ยังไม่มีสิทธิ์จูบสาวที่ไหนอยู่แล้ว”

    พูดเสร็จก็เกาหัว

    “ยายแอ้ปิดห้องอย่างนี้กูปวดอึขึ้นมาจะทำยังไงวะ? ถ้าเคาะเรียกมีหวังหาว่าแกล้ง”

    เกาทัณฑ์หัวเราะหึๆ

    “มึงก็แกล้งแต่แรกจริงๆนี่”

    ชวนกันมาหย่อนตัวนั่งบนโซฟาซึ่งแต่ละคนหมายตาใช้เป็นที่หลับนอน หันหน้าคุยกันก่อนเอน

    “เด็ดดวงเลยว่ะเฮ้ย เก็บเม็ดโน้ตได้อร่อยเหาะแท้”

    เชิงไทเอ่ย ซึ่งฝ่ายฟังรู้แน่นอนว่าเขากำลังชมใคร นั่นเป็นการเริ่มมีมุมมองให้เรือนแก้วแปลกไปกว่าเคย ปกติเมื่อคุยกันเองเช่นนี้ มักเป็นการแวะเวียนวิพากษ์วิจารณ์ความน่ากินของหล่อน หรือไม่ก็เถียงกันอย่างออกรสว่าหวงตัวได้เสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ที่แท้ยังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า

    “ถ้าเป็นนักดนตรีอาชีพหรือจบโททางเปียโนโดยเฉพาะก็ว่าไปอย่าง นี่มีงานประจำต้องทำงกๆ สงสัยจริงเอาเวลาที่ไหนซ้อม”

    ชมเปาะด้วยสีหน้าสีตาตื่นเต้นบอกความเห่อ ออกท่าคลั่งไคล้เต็มที่ ด้วยรู้ดีว่าเล่นได้ขนาดให้อารมณ์ตัวเองพาเพลง ไม่ใช่ให้โน้ตพามือไปอย่างนี้หายากนัก ถ้าได้เป็นแฟนเต็มตัว มีโอกาสนั่งฟังทุกวันคงเพลินแท้

    เกาทัณฑ์พยักหน้า แม้เล่นดนตรีได้เพียงผิวเผิน หรืออาจกล่าวว่าฟังเป็นอย่างเดียว ก็พอทราบว่าเรือนแก้วมิได้ใช้เพียงสัญชาตญาณที่เกิดจากความเคยชินในการฝึกซ้อม ทว่ามีความคิดเพ่งลงไปในโน้ตทุกกลุ่มอย่างเข้าใจความสัมพันธ์ขึ้นลงลึกซึ้งตลอดสาย เช่นเดียวกับคนเล่านิทานกล่อมเด็กที่ทราบจังหวะการให้เสียงหนักเบาเร้าใจอย่างเหมาะเจาะทุกถ้อยประโยค ก็ขนาดคนฟังยังเกิดโสมนัสเริงแรงขึ้นได้ แล้วคนเล่นล่ะจะไปไกลเกินนั้นสักขนาดไหน

    “อือ นึกว่าร้องเพลงเก่งอย่างเดียว”

    ออกความเห็นแกนๆ เนื่องจากไม่สันทัดพอจะวิจารณ์ถึงแก่นอย่างเชิงไท

    “อ๋อ ฝีมือร้องเพลงน่ะเหรอ ยายแอ้ใช้ได้อยู่หรอก เสียงใส ลูกคงลูกคอพลิ้ว แต่โหนสูงแล้วยังเพี้ยน น้ำหนักกับสำเนียงยังไม่เป็นเอกลักษณ์เด่นจนน่าจะดัง ต้องฝึกอีกยาวถ้าคิดเอาดีทางร้อง แต่ฝีมือเปียโนนี่มึงเอ๊ย ขึ้นเวทีเก็บตังค์หัวละสี่หลักได้เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องซ้อมเพิ่มกันเลย”

    เกาทัณฑ์เพลียจะหลับมิหลับแหล่ แต่ก็ต้องทนฟังหมอจ้อ ท่าทางจะหยุดยาก จำต้องรับไปตามเรื่อง

    “อือ รู้เลยว่าที่ผ่านมาเขาใช้อะไรเป็นเพื่อนเมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียว...”

    เชิงไทไม่มีแก่ใจสัมผัสความเหงาของมนุษย์เท่าไหร่นัก ก็ว่าตามความคิดอยากพูดของตนไปเรื่อย

    “เมื่อกี้มึงสังเกตหรือเปล่า บนโต๊ะหัวเตียงมีกล่องฟลุตด้วย ท่าทางจะเหมาเล่นแหลกเลย เก่งดนตรีอย่างนี้เอง ถึงดูมีอารมณ์แบบติสต์ๆแรงนัก ผู้หญิงเล่นดนตรีเก่งจัดเนี่ย มึงเอ๊ย...”

    ขาดคำก็ทำปากซี้ดแผ่วอย่างคนมีประสบการณ์ เกาทัณฑ์รู้ความหมาย แต่ขณะนี้นึกอยากมองเรือนแก้วสูงกว่าที่ตรงนั้น จึงพยายามเบี่ยงเบน

    “ท่าทางยิงปืนแม่นด้วยนะมึง เป้ากระดาษพรุน จับกลุ่มใจกลางแน่นเชียว”

    เกาทัณฑ์บุ้ยปากไปทางผนังหน้าห้อง เชิงไทมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างเห็นกระจอก

    “อีคงยืนห่างแค่ห้าคืบม้าง อีกอย่างวิถีกระสุนปืนลมจะวัดแน่วัดนอนอะไรได้ ยายแอ้คงไม่กล้ายิงปืนไอ้ที่ดังปั้งๆแบบพวกเราหรอก”

    “กูเคยเห็นซิกซาวเออร์ในกระเป๋าถือแอ้นะ”

    เชิงไทเบิกตาหน่อยๆ

    “เหรอะ?”

    “อือ...เห็นแค่ปากกระบอก แต่รับรองไม่ผิดแน่ คงเอาไว้ยิงคนคิดจะปล้ำน่ะ”

    คราวนี้เชิงไทยิ้มเลี่ยน เพิ่งเข้าใจว่าเพื่อนเริ่มออกลายหวงก้าง

    “เฮ่ย...”

    ครางลากแล้วหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาเคาะ คีบส่งให้มวนหนึ่ง เกาทัณฑ์เหลือบมอง ใจไม่นึกอยากเลยสั่นหน้า ปล่อยให้เพื่อนจุดสูบ อัดควันเข้าปอดคนเดียว

    “เต้...มึงอยู่นอกวงแล้วนา”

    เชิงไทใช้เสียงต่ำ ยื่นคางคายควันขาวทึบให้ลอยจากร่องปากขึ้นข้างบน จ้องเกาทัณฑ์ด้วยดวงตาดำลึกเบื้องหลังม่านควัน

    เกาทัณฑ์สบตากับผู้นั่งตรงข้าม คงรู้สึกผิดบาป หากทำเป็นไขสือ ไม่รับรู้นัยของเพื่อน หรือกระทั่งแสร้งส่อแววดื้อดึงดันทุรังจะแย่งกันต่อ เขามีพันธะแล้ว และเพิ่งฉายบทฝ่ายธรรมะไปเมื่อช่วงค่ำ หากไร้ความสัตย์ซื่อถือมั่นกระทั่งรักเดียวใจเดียว ก็คงน่าเกลียด น่าหัวร่อเยาะพิลึก

    “เออวะ กูเลิกแย่งแล้ว ต่อไปนี้แอ้คือเพื่อนคนหนึ่งเท่ากับที่มึงเป็น”

    เกาทัณฑ์ใช้เสียงเป็นมิตรและเปิดเผย เชิงไทหัวเราะฮ่า ชะโงกหน้ายื่นมือให้เพื่อนจับ เกาทัณฑ์เม้มปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะยื่นมือไปบีบกระชับ

    จับมือกับเชิงไทมาไม่รู้กี่ครั้ง ด้วยความหมายของการร่วมแสดงความยินดีบ้าง นึกซึ้งใจในมิตรภาพยามจากลาบ้าง ขอบอกขอบใจที่ช่วยเหลือกันบ้าง ประสพความสำเร็จร่วมกันบ้าง ทุกครั้งเต็มไปด้วยความอบอุ่น ปราศจากความเคลือบแคลงคาใจอันใดสิ้น

    แต่ครั้งนี้เกาทัณฑ์รู้สึกแปลกมาก สัมผัสฝ่ามือเพื่อนที่สื่ออารมณ์แรง ยินดีปรีดา ขณะที่ฝ่ามือตนชื้นเหงื่อแห่งความอสัตย์ที่แฝงเร้น แม้เป็นฝ่ายเริ่มบีบกระชับก่อน ก็ปราศจากพลังมั่นคง ผิดกับแรงตอบกลับของเชิงไทลิบลับ คงเป็นเพราะก่อนเกิดสัมผัสเพียงพริบตา เกิดสะดุดเข้ากับคำถามในหัวเข้าข้อหนึ่ง

    ทำไมเขานึกเสียดาย และเป็นกังวลละล้าละลังขึ้นมาอย่างนี้?

     

    เรือนแก้วอาบน้ำเสร็จก็เข้านอนด้วยความเพลียกาย แต่สบายใจจนนึกสงสัยว่าวันนี้มีสิ่งใดพิเศษไปกว่าคืนก่อนๆนักหนา

    ปกติก่อนปิดตาหลับ หล่อนจะหยิบรีโมทคอนโทรลจากโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาชี้ไปที่เครื่องเล่นสเตอริโอเพื่อเลือกเปิดเพลงนุ่มเย็น คุ้นเคยกับการเงี่ยหูสดับเสียงดนตรีไปจนกว่าจะเคลิ้มหลับอย่างเป็นสุข ทว่าคืนนี้แปลกกว่าเคย หล่อนอยากนอนเงียบๆ ไม่นึกต้องการสรรพเสียงอันใดเอาเลย

    สำรวจใจ ตั้งคำถามกับตนเองว่ามีสิ่งใดน่าสบายใจนักหรือ?

    จับความรู้สึกโดยรวม ผุดความคิดขึ้นมาจากการจับสังเกตนั้นว่าคล้ายบางสิ่งที่เป็นมลทิน บางสิ่งที่บดบังใจให้มืดคลุ้มมาเนิ่นนาน ได้ถูกถอดถอน โยกย้ายออกไป ตัวตนบางส่วนในอดีตคืนกลับมา คือใจที่ยิ้มเอง และฉายใสได้คล้ายแสงจันทร์ที่ไขแขเต็มดวง ปราศจากเมฆหมอกปกคลุม

    อะไรที่ถูกโยกย้ายออกไป?

    ทบทวนอย่างเป็นกลางคล้ายมองด้วยสายตาบุคคลที่สองเข้ามา ก็ได้คำตอบว่าเป็นความคิดอาฆาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจ ความคิดในทางลบสารพันที่มีต่อพระศาสนาและกองบุญแห่งตน เคยเสื่อมศรัทธา บัดนี้กลับใจบูชาได้ใหม่อีกครั้งแล้ว

    โล่งเหมือนออกจากถ้ำทึบ เบาอกเหมือนพ้นจากการทับของหินหนัก หล่อนเคยกระทั่งกล่าวผรุสวาท กล่าวประณามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร้ตนคล้ายคนคลุ้มคลั่ง นึกย้อนทบทวนแล้วเกิดความเห็นชัดว่าเคยปักใจผิดลู่ผิดทางมาอย่างไร

    ระบายยิ้มนิดหนึ่งเมื่อคิดทำในสิ่งที่ว่างเว้นมาหลายปีดีดัก...สวดมนต์ก่อนนอน

    อบอุ่นใจอย่างประหลาด เมื่อเข้านั่งพับเพียบหน้าหมอนแล้วรู้สึกเหมือนแม่มายืนที่ข้างเตียง ดูหล่อนสวดมนต์เช่นสมัยอายุ 7-8 ขวบ พริ้มตาปิดลง พนมมือเป็นพุ่มด้วยใจคิดว่าจะใช้แทนดอกบัวบริสุทธิ์ถวายพระ แล้วท่องนะโมฯสามจบ ออกเสียงแผ่วชัด

     

    นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

     

    น้ำตาแห่งความปีติเอ่อซึมขึ้นมาจนรู้สึกได้ถึงความชื้นของขนตา มีความโยงใยระหว่างใจที่เป็นบุญกับมโนภาพอันงดงามของแม่เสมอ

    พอว่านะโมฯจบก็นึกอะไรต่อไม่ได้ ปีติสุขอันคุ้นเดิมแต่วัยเยาว์แล่นจับใจจนแทบสะอื้น โลกในวันวานอ่อนอุ่น จำได้ถึงความรัก ความผูกพันที่ทำให้ทุกซอกมุมในบ้านดูสว่างไสว หล่อนเคยเป็นคุณหนูที่แจกยิ้มใสกระจ่างได้อย่างรู้ว่าทุกคนรักเอ็นดู เป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อแม่โอ๋ราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ครั้งนั้นมีกำลังใจทำความดี อยู่ใต้โอวาทของพ่อแม่ทุกอย่าง ขยันเรียน พูดจาสุภาพอ่อนหวาน และมีใจเจือจานไม่เลือกหน้า

    น้ำตาคลอขอบ ทำไมโลกถึงต้องมีเรื่องน่าร้องไห้มากมายนัก คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อเมื่อครั้งยังเป็นคนเก่า คิดถึงความรู้สึกว่าตนเป็นผีเสื้อในบ้าน บินว่อนไปจับทุกหนแห่งที่เรียงรายด้วยของเล่นแปลกตา พ่อแม่หาให้ใหม่แทบไม่เว้นแต่ละอาทิตย์ เคยนอนพังพาบจ้องมองพ่อประกอบเมืองตุ๊กตาเป็นชั่วโมงด้วยความอบอุ่นที่ประทับลงล้ำลึกสุดใจ ปรารถนาให้ภาพเหล่านั้นย้อนคืนมาเป็นความจริงอีกครั้ง หล่อนจะยอมถูกสาปเป็นเด็กหญิงตลอดไป หากนั่นคือข้อแลกเปลี่ยนที่สมกัน

    พ่อยังรักและเป็นห่วงหล่อนอยู่เสมอ ตัวหล่อนเองนั่นแหละที่ยอมรับไม่ได้แม้กระทั่งเรียกท่านว่า ‘พ่อ’

    เรื่องราวหนหลังที่เล่าให้เพื่อนชายฟังเมื่อหัวค่ำนั้น เป็นเพียงเสี้ยวของเสี้ยว หล่อนวาดภาพพ่อให้เป็นผู้ร้าย เป็นปีศาจที่นำความพินาศมาสู่ครอบครัว ความจริงมีเรื่องสลับซับซ้อนระหว่างพ่อกับแม่มากมายที่หล่อนร่วมรู้เห็น แต่ละไว้ไม่กล่าวถึง

    พ่อไม่เคยคิดทอดทิ้งหล่อน เมื่อก่อนหย่าก็วิงวอนให้หล่อนอยู่ด้วย รวมทั้งเกือบใช้ไม้ตายทางศาลมาบังคับแม่ แต่หล่อนเองที่ทำให้พ่อถึงกับหน้ามืด จุกแน่นคับอก ยังไม่ลืมแววปวดร้าวสาหัสในดวงตาพ่อ เมื่อหล่อนทำทีก้มลงกราบแทบเท้า แล้วเงยขึ้นจ้องหน้า พูดชัดถ้อยชัดคำตอบคำอ้อนวอนขอให้อยู่กับท่าน

    “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะแสดงความเคารพพ่อ กายหนูต้องเป็นลูกพ่อ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งชาติ แต่ใจขอตัดขาดกัน ถ้าชาติหน้ามีจริงและพ่อมีบุญได้เป็นคน หนูจะขอยอมเป็นลูกสัตว์แทนมาเกิดเป็นลูกพ่ออีก!”

    เสียใจตลอดมาที่พูดหยาบช้าออกไปเช่นนั้น แต่ภาพที่พ่อนอนบนเตียงคนไข้ เคียงข้างด้วยเมียใหม่ ตะโกนไล่แม่เหมือนหมูเหมือนหมา ดึงดันจะเอาแม่เข้าคุกท่าเดียว ทั้งที่แม่ฟูมฟายขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ทำให้หล่อนบันดาลโทสะ และนึกเกลียดพ่อเข้ากระดูกดำ อยากคืนแค้นของแม่ให้บ้าง

    คนเรามีเรื่องให้สำนึกผิดมากมาย แต่สำหรับหล่อนแล้ว เรื่องนี้ใหญ่หลวงจนแม้พยายามลืมและคิดว่าสมควรแก่เหตุ ก็ยังคงเป็นจุดด่างพร้อยกลางใจ สลัดล้างไม่หลุด จะด้วยลูกไม้ตั้งแง่คิดเกลื่อนกลบลบลืมใดๆก็ตาม

    คืนนี้ เดี๋ยวนี้ มีเหตุให้ใจอันเป็นกุศลเดิมๆหวนคืนมา ดลให้เกิดความคิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตลอดเวลาอันเลวร้ายยาวนานหลายขวบปี

    คือขอโทษพ่อ...

    ทำงานมานานนมจนหยิบโทรศัพท์พูดกับคนระดับรัฐมนตรีได้ด้วยท่าทีเชื่อมั่น บัดนี้เพื่อต่อสายถึงพ่อตนเอง กลับสั่นไหวอย่างน่าอาย

    กดเบอร์บ้านเก่า เป็นชุดตัวเลขที่เหมือนฝังลืม ไม่เคยคิดขุดขึ้นมาอีก บัดนี้ก่อความรู้สึกอ่อนโยนขึ้นมากลางใจเมื่อเลขเหล่านั้นปรากฏในหัว

    “ฮัลโหล...”

    จำเสียงเมียใหม่ของพ่อได้ เกือบตัดสายแล้วรอโทร.ใหม่วันหลัง แต่แล้วก็เกิดความเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาความตั้งใจเดิม คืนนี้หล่อนต้องขอโทษพ่อให้ได้

    “เรียนสายคุณจอมภพค่ะ”

    ฝ่ายโน้นเหมือนอึ้งไป ก่อนถามเสียงกระชาก

    “นั่นใครไม่ทราบยะ? โทร.มาดึกดื่นป่านนี้”

    เรือนแก้วหรี่ตาลง คงนึกว่าสาวที่ไหนโทร.มาตามพ่อถึงบ้านล่ะซี เกือบแกล้งมารยาสาไถยสวมรอยเป็น ‘หญิงอื่น’ ของพ่อให้นังหน้าด้านอกไหม้ไส้ขมเสียบ้าง แต่แล้วก็ระงับไว้ หล่อนจะโทร.มาล้างบาป ไม่ใช่ก่อความเดือดร้อนรำคาญใจให้ใครอีก

    “น้าสาย...นี่แอ้ลูกพ่อจอมนะคะ”

    เกือบต้องกัดลิ้น เมื่อฝืนเรียกฝ่ายนั้นว่า ‘น้าสาย’ เป็นครั้งแรก

    “อ้อ...”

    สายชลเสียงอ่อนลง เงียบพักใหญ่คล้ายแปลกใจ แต่แล้วก็ตอบจนได้

    “เขาไม่อยู่หรอก ไปพัทยา พรุ่งนี้ถึงจะกลับ”

    เรือนแก้วเม้มปากด้วยความผิดหวัง เกือบถอยฉากโดยดี แต่แล้วก็ถาม

    “ขอเบอร์มือถือพ่อจอมหน่อยเถอะค่ะ แอ้มีเรื่องด่วน”

    คราวนี้สายชลเงียบไปนานมาก คงระแวงอยู่กระมังว่าหล่อนจะรบกวนทางใดทางหนึ่ง ได้แต่หวังว่าฝ่ายนั้นคงรู้ความเคลื่อนไหวในชีวิตหล่อนบ้าง จะได้ทราบว่าทุกวันนี้คนอย่างเรือนแก้วไม่อยู่ในภาวะต้องพึ่งพาใครเลย

    เมียพ่อไม่ใช่คนใจดำอะไร พักเดียวก็ตัดสินใจบอก เรือนแก้วกล่าวขอบคุณและกดปุ่มตัดสาย มิได้รีรอตอแยอันใดอีก

    ถือกระบอกโทรศัพท์ค้าง ชั่งใจหน่อยหนึ่ง ทำไมต้องรีบร้อนเอาดึกดื่นค่อนคืนอย่างนี้? พ่อคงหลับไปแล้ว และอาจปิดโทรศัพท์ไว้ด้วย

    ส่ายหน้ากับตนเอง ตอนนี้ใจร้อนเหมือนไฟเผา ยังไงก็ขอลองสักครั้ง หล่อนกดตามเบอร์ที่รับรู้มา ค่อยๆกดทีละปุ่มอย่างจะให้แน่ใจว่าต้องใช่ พร้อมทั้งภาวนาให้พ่อเปิดเครื่องไว้

    “สวัสดีครับ!”

    เสียงห้าวของพ่อดังมาตั้งแต่สัญญาณเรียกที่สองไม่ทันขาด เรือนแก้วใจเต้นถี่ เอาเข้าจริงกลับส่งเสียงให้ผ่านริมฝีปากยาก ไม่สมความมุ่งมาดเดิม

    “ฮัลโหล! ได้ยินไหมครับ?”

    พ่อคงอยู่ในสถานบันเทิงที่ไหนสักแห่ง เพราะเสียงอึกทึกของเครื่องดนตรีและผู้คนสรวลเสรอบข้างแทบกลบมิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป เสียงแทรกก็ซาลง แสดงว่าปลีกตัวห่างออกมา

    “พ่อคะ นี่แอ้นะ”

    เรือนแก้วพยายามสะกดเสียงให้เรียบ ความเงียบเกิดขึ้นที่ปลายสายไปชั่วขณะ คล้ายฝ่ายนั้นตกตะลึงจังงัง ก่อนตามมาด้วยเสียงละล่ำละลัก

    “นั่นแอ้เหรอลูก?”

    “ค่ะ แอ้เอง”

    ต่างเงียบงันกันไปอย่างไม่รู้จะเริ่มสานต่อประโยคทายทักอย่างไร ในเมื่อห่างเหินกันจนกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว เรือนแก้วไม่ได้เตรียมคำพูดไว้ เมื่อครู่หล่อนเพียงเกิดความปรารถนารุนแรงที่จะโทร.หาพ่อ ขอโทษพ่อ แต่บัดนี้เมื่อถึงเวลาเผชิญกันจริงๆ ทุกอย่างกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น ทิฐิและความโกรธเกลียดคล้ายหวนกลับมาตั้งมั่นในอกอีก

    “ลูกอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ยังอยู่กับน้าจี๊ดหรือเปล่า? พ่อเคยไปหา ก็เห็นย้ายจากบ้านเดิมกันหมดแล้ว เจ้าของใหม่ไม่ยอมให้ที่อยู่เสียด้วย”

    “เปล่าค่ะ แอ้อยู่คนเดียวมาตลอด อาศัยน้าจี๊ดแค่สองสามเดือนเท่านั้น”

    หล่อนตอบสั้น และไม่พยายามที่จะเค้นคำให้ต่อเนื่อง กลายเป็นว่าจอมภพต้องสืบสานเสียเอง

    “ดีใจเหลือเกินที่ได้ยินแอ้เรียกพ่ออีก พ่อรอมานานแล้วนะ”

    ได้ยินเพียงนั้นเรือนแก้วก็รู้ตัวว่ายังรักพ่อมากแค่ไหน ต้องฝืนกลืนก้อนสะอึกลงคออย่างยากเย็น

    “ว่าแต่ลูกมีปัญหาเดือดร้อนรอให้พ่อช่วยเหลือหรือเปล่า? บอกมาว่าอยู่ไหน พ่อจะไปหาเดี๋ยวนี้”

    เรือนแก้วกะพริบตาถี่ๆ

    “หนูสบายดี ไม่มีปัญหาหรอก ถ้ามีก็จะไม่รบกวนพ่อเด็ดขาด!”

    ปลายสายปลอดเสียงไปอีกครั้ง ความเงียบของพ่อทำให้คำขอโทษและความคิดจะพูดดีของหล่อนสะดุดชะงักลงชั่วขณะ

    “ทำไมพ่อไม่ไปงานศพแม่?”

    ถามห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำอย่างหาเรื่อง ไอร้อนเริ่มไต่ขึ้นมาเป็นริ้ว จอมภพอึกอัก ผ่านโลก ผ่านสถานการณ์ฉับพลันกะทันหันมาร้อยแปด กระทั่งตั้งสติ คิดรู้ได้เร็วว่าจู่ๆลูกสาวคงไม่โทร.มากลางดึกเพื่อทวงถามเรื่องเก่าแค่นี้ จึงตอบอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    “แอ้...พ่อเคยมีความโกรธ เคยมีทิฐิมานะ แต่ทุกวันนี้คิดถึงสิ่งที่ผ่านมาและเริ่มสำนึก ถ้าหากลูกยังเกลียด ยังอยากด่าว่าพ่อก็ไม่เป็นไรนะ ขอบอกเท่านั้นว่าพ่อเสียใจที่ทำให้ลูกรักและเข้าใจไม่ได้เท่าแม่ พ่อผิดที่นอกใจ แต่แม่ของลูกก็โมโหร้าย และเล่นกันถึงโคตรเหง้าเทือกเถาเหล่ากอ เป็นสิ่งที่...”

    “พ่อไม่ต้องแก้ตัวหรอก หนูไม่ได้โทร.มาฟังพ่อพูดถึงความผิดของคนตาย แล้วเรื่องเทือกเถาเหล่ากอน่ะ ถ้าใครมายืนชี้หน้าด่าพ่อของหนู หนูจะไม่ตบเขาหรอก จะไม่โกรธตอบด้วย!”

    จอมภพระบายลมหายใจยาว

    “เอาล่ะ แอ้เข้าข้างแม่ก็ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้ลูกโตแล้ว เห็นแก่ความรักและความดีที่พ่อให้กับลูกมาตลอด บอกสักคำเถอะว่าจะให้พ่อเห็นหน้าอีกสักครั้งได้ไหม? พ่อจะนอนตายตาไม่หลับถ้ายังติดค้างว่าลูกอยู่ไหน อยู่กับใคร ทำอะไรเลี้ยงตัว...”

    ไม่แน่ใจนักว่าโทรศัพท์เบอร์ที่ขึ้นอยู่ที่หน้าปัดเครื่องมือถือของเขาจะเป็นหลักแหล่งอาศัยของลูกหรือเปล่า แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเริ่มสืบหาจากเบอร์นี้ หากเรือนแก้วปฏิเสธที่จะเปิดเผย

    “อย่าห่วงเลยค่ะ” ทำเสียงเยาะ ปั้นหน้าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ กระแทกเสียง “หนูขายตัวมานานแล้ว! สุขสบายดี พ่อจะแนะนำใครมาซื้อหนูไปค้างคืนด้วยก็ได้นะ”

    จอมภพตระหนกจนแทบปล่อยโทรศัพท์ร่วงลงพื้น เสียงขื่นเขียวกร้านกระด้างของลูกสาวทำให้เชื่อทันทีว่าเป็นเรื่องจริง

    “แอ้...” เสียงสั่นอย่างระงับไม่อยู่ “หนูพูดจริงหรือเปล่าลูก?”

    เรือนแก้วกระตุกยิ้มหยัน สะใจที่ทำให้อีกฝ่ายเสียงรัวเป็นเจ๊กตื่นไฟ

    “ไม่เชื่อก็มาดูเอาเองสิ”

    “โธ่!...ลูก”

    “โธ่ทำไมคะ นี่แหละผลผลิตของบ้านแตกสาแหรกขาด! ใครล่ะเป็นคนทำ? เคยคิดบ้างไหมว่าไล่แม่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับแอ้? เงินที่พ่อเจียดให้มาน่ะ ปีเดียวก็หมดเกลี้ยง รู้ไหมแม่เอาไปลงทุนแล้วขาดทุนป่นปี้ ที่เป็นลมตกบันไดตายก็เพราะหมกมุ่นคิดมาก ต้องใช้หนี้เขานั่นแหละ แม่ตายแล้วจะให้แอ้เอาเงินจากไหนซื้อข้าวกรอกปากล่ะ ถ้าไม่ใช่สมบัติเก่าที่แม่ให้ไว้!”

    พ่นพิษเสร็จก็กรีดหัวเราะแหลม จอมภพนิ่งไป ก่อนเอ่ยเสียงเครือ

    “เลิกเถอะลูก มาอยู่กับพ่อนะ”

    หญิงสาวยิ้มเกรียม

    “หนูจะวางล่ะ”

    “เดี๋ยว...เดี๋ยว”

    พ่อรีบห้าม เสียงอ่อนล้าเหมือนใจจะขาด

    “แอ้จะให้พ่อทำยังไงก็บอกมานะ พ่อยอมทุกอย่าง พ่อขอโทษ อย่าปล่อยให้ตัวเองเหลวแหลก พ่อทนไม่ได้”

    เรือนแก้วหรี่ตา ปลายนิ้วโป้งรออยู่ที่ปุ่มปิด

    “หนูโทร.มาบอกพ่อแค่นี้แหละ จะไม่กวนอีกแล้วตลอดไป ขอให้อยู่เป็นสุข ไม่ต้องโทร.มาเบอร์นี้นะ ห้องเสี่ยหน้าโง่มันซื้อทิ้งไว้ เดี๋ยวเสี่ยอยู่เห็นเป็นเสียงผู้ชายจะเข้าใจผิด หรืออยากให้หนูถูกตบก็ตามใจ”

    “แอ้...”

    หญิงสาวขยับนิ้ว แต่แล้วเสี้ยววินาทีเดียวก่อนลงแรงกด สำนึกฝ่ายดีก็รั้งไว้ทัน ระลอกขมพลุ่งผ่านลำคอขึ้นโจมจับจมูก ไม่อาจเก็บเสียงสะอื้นฮักได้อีกต่อไป ที่สุดก็ปล่อยโฮให้ผู้บังเกิดเกล้าได้ยินเยิ่นยาว จอมภพแทบเป็นบ้าเป็นหลังเดี๋ยวนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกกันแน่

    “แอ้...คนดีนะลูกนะ ลูกเป็นอะไร ถูกใครทำร้ายหรือเปล่า?”

    “พ่อขา...”

    น้ำตาไหลเป็นสาย มือที่ถือกระบอกโทรศัพท์สั่นระริก ทิฐิมานะพังทลายลงสิ้น

    “แอ้ขอโทษที่ทำให้พ่อเสียใจค่ะ”

    จอมภพสะกดอารมณ์ไว้อย่างยากเย็นเพราะตามอารมณ์ลูกสาวไม่ทัน

    “ครั้งไหนล่ะที่แอ้ทำให้พ่อเสียใจ? เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่พ่อจะอกแตกเพราะรู้ว่าลูกทำตัวตกต่ำ บอกพ่อซิว่าจะมาอยู่ด้วยกัน พ่อจะไปรับ”

    “เปล่าค่ะ เรื่องนั้นแอ้โกหก อย่าห่วงเลย แอ้มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งอย่างผู้หญิงดีๆคนหนึ่ง”

    บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปทันที

    “พูดจริงหรือลูก แน่นะ?”

    น้ำเสียงฝ่ายนั้นแช่มชื่นขึ้น

    “ค่ะ”

    จอมภพหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะปรีดาของผู้เป็นพ่อ

    “บอกซิว่าลูกอยู่ที่ไหน พ่อจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย”

    เรือนแก้วข่มสะอื้น ก่อนตอบว่า

    “แล้วหนูจะติดต่อไปนะคะ และจะไปหาพ่อเอง”

    “แอ้ พ่อฝันเสมอนะว่าวันหนึ่งเราจะกลับมาดีกัน ได้มาอยู่ด้วยกันอีก”

    “ค่ะพ่อ ที่ผ่านมาหนูเลวมาก พ่ออโหสิให้หนูนะคะ ทั้งที่พูดชั่วๆกับพ่อไปเมื่อหลายปีก่อน และที่เพิ่งพล่อยเหมือนผีสิงเมื่อกี๊อีก”

    “ลูกรัก พ่ออโหสิ”

    ถ้อยคำอันหนักแน่นนั้นทรงความหมายยิ่งนัก ได้ยินแล้วอกใจคล้ายเปิดโล่งออกกว้าง สบายถึงที่สุด ใครว่าสายสัมพันธ์อันร้าวฉานนั้นเหมือนแก้วแตก ที่แท้ไม่จริงเลย สายใยระหว่างใจสมานคืนได้เสมอเมื่อแหว่งวิ่นไปบ้าง ดีใจที่พ่อยังอยู่และเอ่ยคำอโหสิเข้าหู คงสายไปหากหล่อนสำนึกได้เมื่อแก่

    “ถ้าบาปกรรมมีจริง แอ้ก็คงไปเกิดเป็นสัตว์ชดใช้คำพูดของตัวเอง แต่อย่างน้อยเดี๋ยวนี้แอ้ก็สบายใจขึ้น ขอบคุณนะคะพ่อ”

    “ไม่เลย พ่ออโหสิแล้ว ลูกไม่ต้องไปชดใช้ ไม่ต้องเป็นสัตว์ที่ไหนทั้งนั้น”

    เรื่องบุญกรรมที่ถูกปลูกฝังมาตลอด ทำให้คิดขึ้นมาว่าถ้าหล่อนจะไปเกิดในที่ต่ำ ก็ด้วยคำพูดของตนเองส่งไป ไม่อาจถูกผลักไสหรือยับยั้งไว้ด้วยคำพูดเข้าข้างของพ่อ หญิงสาวปลงใจก้มหน้ารับอยู่ในที ทว่ามิได้โต้ที่จุดนั้นอีก

    “พ่อกลับไปสนุกต่อเถอะค่ะ แอ้จะเข้านอนแล้ว”

    “คืนนี้พ่อมีความสุขที่สุด ขอบใจนะลูก” จอมภพกล่าวด้วยความเบิกบาน “ก่อนวางหูจะไม่บอกให้พ่อรู้หรือว่าชีวิตลูกเป็นยังไงบ้าง ยังอยู่ตัวคนเดียวหรือเปล่า? คงมีแฟนแล้วสินะ”

    แวบหนึ่งที่ฟังคำถามพ่อ เรือนแก้วเกิดประหวัดถึงใบหน้าของเกาทัณฑ์ขึ้นมา แต่ก็แวบเดียวเท่านั้น…

    “ยังค่ะ แอ้ยังเป็นโสด แล้วก็ค่อนข้างจะบ้างาน ไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” แล้วก็ทิ้งท้ายแผ่วหวานเหมือนเด็กๆ “หนูรักพ่อค่ะ”

    นั่นคือถ้อยคำที่รู้ว่าจะทำให้พ่อดีใจกว่าอะไรทั้งหมด เรือนแก้วหมดห่วง หมดพะวง วางโทรศัพท์คืนแป้น ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาอีกครั้ง ก่อนกลับขึ้นที่นอน ซึ่งคราวนี้เมื่อเอนกายกอดหมอนข้าง ก็ถึงกับยิ้มกว้างอย่างสุขสม เพราะปลดเปลื้องมลทินจากใจได้ราบคาบสนิทแล้ว


บทที่ ๑๙  ใจแกว่ง


    เกาทัณฑ์กำลังหลับสบาย เมื่อได้ยินเสียงกระซิบปลุกที่ข้างหู

    “เต้...”

    ลืมตาตื่นขึ้น มีสติชัดพอจะรู้ทันทีว่าไม่ได้อยู่ในห้องนอนตนเอง แต่เป็นของเพื่อนสาว และเสียงนั้นก็มิใช่ใครอื่น เรือนแก้วนั่นเอง บัดนี้ดวงหน้าสะอ้านมาลอยอยู่ใกล้เพียงสัมผัสลมหายใจได้

    ดึงตัวนั่ง พลิกข้อมือดูเวลา เพิ่งตีห้า หันมองเชิงไทก็เห็นยังนอนกอดหมอนเค้เก้บนโซฟาฝั่งตรงข้าม นึกทบทวนความรู้สึกเมื่อครู่ว่าตนนอนอ้าปากหวอไร้สติอย่างที่เห็นเพื่อนเป็นอยู่อย่างน่าอับอายขายขี้หน้าในตอนนี้หรือเปล่า

    “มีอะไรเหรอ?”

    ถามเรือนแก้วพลางกวาดสำรวจร่างงาม พบว่าอยู่ในชุดเสื้อยืดกระโปรงยาวเลยเข่าสีชมพูหวาน ดูเป็นเลดี้กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

    “ตามแอ้มานี่หน่อยสิ”

    หญิงสาวดึงมือเขาอย่างสนิทสนม ทำให้เกาทัณฑ์ต้องเดินตามไปงงๆ และยิ่งประหลาดใจเมื่อทิศทางที่เรือนแก้วพาเดินนั้น คือห้องนอนชั้นในที่เปิดไฟไว้เพียงสลัวของหล่อนเอง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านล่วงเข้ามา หล่อนผลักประตูเปิดค้างไว้เกือบสุด อีกทั้งเดินนำเขาตัดผ่านห้องทะลุออกระเบียงเล็กอันเป็นจุดหย่อนใจด้านนอก ขณะนั้นทุกหนแห่งยังหม่นมืด กรุงเทพฯยามใกล้รุ่งมีสีกระดำกระด่างไปทั่ว เบื้องใกล้เป็นตึกเตี้ยแบบย่านเมืองใหม่ เบื้องไกลเป็นตึกสูงเกาะกลุ่มอยู่ลิบๆ

    ความสดชื่นของอากาศเบื้องสูงทำให้ตาตื่นขึ้นเต็มหน่วย เกาทัณฑ์ปรับสติ รับรู้ว่าเพื่อนสาวอาจมีธุระอยากคุยด้วยเป็นส่วนตัวนั่นเอง เขารอให้หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

    “ขอบใจนะเต้”

    เรือนแก้วเอ่ยขณะวางศอกประสานปลายแขนกับราวกั้น เกาทัณฑ์เบิกตาอย่างนึกไม่ออกว่าหล่อนหมายถึงอะไร

    “เรื่อง?”

    “ที่เธอทำให้ฉันกลับมามีความรู้สึกด้านดีกับ...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อีก”

    เกาทัณฑ์คลายสีหน้าอย่างถึงบางอ้อ

    “อ๋อ...”

    ขานรับรู้เพียงเท่านั้น มิได้เอ่ยต่อความยาว เนื่องจากเห็นว่าตนพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อคืนวาน

    หญิงสาวพักเงียบเป็นครู่ก่อนเอ่ย

    “นั่นแหละสิ่งที่อยากบอก เช้านี้แอ้มีความสุขมาก” หล่อนยิ้มจนสุด “รบกวนเธอมากไหมที่ปลุกนี่? จำได้ว่าเคยบอกตื่นตีห้า”

    “อือม์ เมื่อคืนนอนผิดเวลานิดหน่อย เลยไม่ตื่นเองอย่างเคย แต่หลับเต็มตาแล้ว”

    “ถ้าอยากเข้าห้องน้ำเชิญตามสบายนะ ใช้ผ้าเช็ดตัวแอ้ก็ได้”

    “ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวคงได้เวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องอยู่ดี”

    “นัดกับเชิงหรือเปล่าว่าจะออกกี่โมง?”

    “คิดว่าสักตีห้าครึ่ง รถรายังบาง พอวิ่งสะดวก”

    “มีธุระช่วงเช้าหรือเปล่า?”

    “ไม่มี”

    “แอ้อยากชวนใส่บาตรด้วยกัน ก้นซอยมีอยู่วัดหนึ่ง เราไปทำกันตอนพระจะออกบิณฑบาตช่วงหกโมง เสียเวลาสักห้านาที-สิบนาที คิดว่ารวมเวลาพวกเธอกลับไปเปลี่ยนเสื้อแล้วก็คงทันเข้างานเก้าโมง”

    เกาทัณฑ์เห็นแววตั้งใจดีจริงจังของเพื่อนสาวแล้วก็ไม่อยากขัดศรัทธา ตอบเกือบเป็นอัตโนมัติ

    “โอเค ถึงสายหน่อยจะเป็นไรไป เราสามคนถึงที่ทำงานเจ็ดโมง-แปดโมงเป็นประจำอยู่แล้ว ต่อให้ไปถึงเอาเกือบเที่ยงสักวันหนึ่ง ก็คงไม่มีใครเหล่หรอก”

    เรือนแก้วสยายยิ้มยินดี แล้วเดินกลับไปกลับมาผ่านหลังของเขา เกาทัณฑ์เหลียวมองอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมาเล็งแลเบื้องบน เพดานโลกกลางใจเมืองประดับกระจุกดาวเพียงหย่อมหยิบมือ ห่างชั้นกับความน่าซาบซึ้งในถิ่นห่างไกลแสงสีลิบลับ

    หญิงสาวกลับมาหยุดยืนข้างๆ แล้วโดยที่เกาทัณฑ์ไม่คาดคิด หล่อนกลับหลังหันสปริงตัวขึ้นนั่งบนราวกั้น ทำเอาชายหนุ่มถึงกับผวา ขยับแขนจะคว้า เพราะระดับที่อยู่ด้วยกันนั้นเป็นชั้น 23 ก้มมองลงไปเห็นพื้นไกลลิบ ถ้าหล่อนสปริงตัวเกินแรง หรือคว้าราวยึดพลาด หงายหลังพลัดตกลงไป ก็คงมีสภาพเหมือนกุหลาบถูกขยี้เท่านั้น

    แต่เรือนแก้วก็ใช้ข้อเท้าเกี่ยวซี่กรงไว้ ประดิษฐานเด่นแน่วนิ่งบนราวมั่นคงดี ดูไม่น่าเป็นห่วง เกาทัณฑ์จึงได้แต่ส่งสายตาตำหนิว่าเสี่ยงเล่นอะไรเป็นเด็กซนอย่างนี้ กับทั้งเป็นหน้าที่ของเขาจะต้องจับตาระแวดระวังไม่กะพริบนับแต่นั้น จับพลัดจับผลูเสียหลักจะได้ฉวยทัน

    เบื้องหลังหล่อนคืออากาศว่างเวิ้งละโล่งลิ่วชวนเสียวสันหลังแทนเป็นอย่างยิ่ง เรือนแก้วเห็นสายตาพะวงของอีกฝ่ายแล้วนึกอยากยั่วให้เป็นกังวลหนักขึ้นอีก จึงเอนหลัง เกร็งหน้าท้องเอี้ยวตัวก้มมองย้อนลงไปตามแนวดิ่ง กางสองแขนกระพือคล้ายจะเลี้ยงตัวไม่อยู่และร้องออกมาดังๆ

    “เจ้าข้าเอ๊ย! สูงอะไรอย่างนี้!”

    ภาพน่าหวาดเสียวนั้นทำให้คนเห็นถึงกับโหวงหวิวไปจนสุดท้องน้อย เกาทัณฑ์เกรงว่านั่นจะกลายเป็นตลกเลือด ขอเพียงเรือนแก้วหมดแรงทรงกำลังหน้าท้อง หรือเท้าหลุดจากการยึด และเขาคลาดสายตาเพียงกะพริบ มัจจุราชที่กำลังส่งเสียงหวีดแผ่ววังเวงในสายลมก็พร้อมจะกระชากคนอวดดีให้ปลิวร่วงลงสู่แท่นประหารเบื้องล่างโพ้น มอบความเจ็บร้าวตั้งแต่ข้อกระดูกถึงวิญญาณเป็นรางวัลก่อนถึงแดนพญายมทันที

    รำคาญที่ต้องฝืนเกร็งขาแข้งไม่เป็นสุข จึงตัดสินใจก้าวประชิด ตั้งหลักอย่างมั่นคง อ้อมปลายแขนช้อนเอวกิ่วออกแรงดึงกลับเข้ามา เรือนแก้วหัวเราะใส สองเท้าหย่อนตุ้บลงพื้นด้วยพลกำลังของเขา

    “คึกอะไรขึ้นมานะเช้านี้? ถ้าพลั้งไปไม่คุ้มกันเลย”

    ทำเสียงเอ็ดคล้ายพี่ปรามน้อง เรือนแก้วหัวเราะก้องอยู่ในสายลมผ่าน พลางถอยเท้าห่างออกไปแลบลิ้น ยกสองนิ้วฉีกตายียวน เกาทัณฑ์ส่ายหน้าดิก

    “เพิ่งรู้นะว่าเป็นโรคชอบทำให้คนอื่นห่วง”

    “ใครใช้ให้ห่วงล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”

    ชายหนุ่มเท้าเอว ไม่แน่ใจว่านั่นคือตัวอย่างอาการเรียกร้องความสนใจของอดีตเด็กมีปัญหาหรือเปล่า

    “ตอนยังเล็กแอ้คงน่าตีพิลึกนะ”

    “ตอนนี้ก็น่า...” จีบปากยิ้มท้า “อยากตีไหมล่ะ?”

    เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว ก่อนชวน

    “เข้าข้างในกันเถอะ”

    “ทำไมอ้ะ อุตส่าห์จะชวนออกมาดูวิวสวยๆ กลัวความสูงเหรอ มองนานๆแล้วหวิว ลมจะใส่กระมัง?”

    “ฮื่อ ผมมันปอดแหก...เตรียมของใส่บาตรหรือยัง อีกเดี๋ยวจะได้เวลาแล้ว”

    “ยังไม่ได้เตรียม”

    “งั้นไปเถอะ”

    “ไปก็ไป”

    หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเย้า เกาทัณฑ์ยอมรับว่าทีท่าน่าพิสมัยของหล่อนทำให้จิตใจเขาว้าวุ่นไปหมด

    เข้าข้างในด้วยกัน เรือนแก้วสาวเท้าเนิบๆไปหมุนปุ่มเพิ่มความสว่างจากเดิมสลัวเป็นกระจ่างจ้า แล้วเปิดตู้เสื้อผ้า รื้ออยู่อึดใจเดียวก็นำผ้าเช็ดตัวพับหนึ่งมาส่งให้

    “อาบน้ำสิ เดี๋ยวใส่บาตรจะได้ใจดีๆ”

    ก้มมองผืนผ้าตรงหน้า อยากอาบน้ำอยู่เหมือนกัน จึงรับมา น่าแปลกที่หล่อนไม่ยักนึกรังเกียจดังควรจะเป็น อาจเพราะตัดใจบริจาค เสร็จแล้วทิ้งเลยก็ได้

    “ขอบใจนะ”

    จากนั้นก็แยกย้าย เรือนแก้วเข้าครัวเพื่อเตรียมของใส่บาตร มีกับข้าวสำเร็จรูปอยู่หลายชิ้นที่นำมาปรุงได้ทันที ส่วนข้าวสวยก็ใช้เวลาหุงหน่อยเดียว ทันเวลาถมเถ

    เกาทัณฑ์ขัดสีฉวีวรรณอย่างละเอียด รวมทั้งทำกิจธุระหนักเบาในช่วงเช้าครบ ฟันก็บีบยาใส่นิ้วถูเอา และสุดท้ายถือวิสาสะ ในเมื่อเพื่อนสาวอนุญาตแล้วก็ใช้เจลแต่งผม กับนึกครึ้มใส่น้ำหอมผู้หญิงเสียเลย

    หากขณะนั้นไตร่ตรองสักนิด เขาจะพบว่าเหตุผลในส่วนลึกที่ผลักดันให้ใช้น้ำหอมขวดนั้นก็เพราะติดใจ อยากใกล้กลิ่นที่ระเหยออกมาจากเนื้อหล่อนนั่นเอง…

    จัดเสื้อกางเกงที่ยู่ยี่ให้เรียบร้อยขึ้น มองเงาในกระจก เกิดความรู้สึกสนิทคุ้นถิ่นราวกับเป็นห้องพักของตนเอง นี่ถ้าอยู่ด้วยกันคงแทบไม่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีทางเดิมๆเลยสักอย่าง

    สะดุ้งกับความคิดนั้นและรีบสลัดไล่โดยเร็ว กลับหลังหันเปิดประตูก้าวออกมา ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเชิงไทยืนขวางอยู่

    “เอ้อ...เชิง”

    เก้อขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อเห็นสายตาเย็นชาและอาการยืนทะมึนของเพื่อน

    “อาบน้ำสิ ผ้าเช็ดตัวแขวนบนราวนั่น แอ้ใจดีว่ะเช้านี้”

    เขาชี้มือกลับเข้าไปในห้องน้ำ เชิงไทยังยืนนิ่งเป็นครู่ ก่อนทิ้งหางตาให้เพื่อน แล้วเดินสวนเข้าห้องน้ำด้วยกิริยาเป็นปกติ

    เกาทัณฑ์ยังยืนค้างที่หน้าห้องน้ำพักใหญ่หลังจากเพื่อนปิดประตูแล้ว ทบทวนวิธีทิ้งหางตาของเชิงไท ก่อนยักไหล่ ก้าวมานั่งหน้าเปียโน ยกฝาครอบขึ้น เล่นมือเดียวเป็นโน้ตเดี่ยวๆกะต๊องกะแต๊ง พยายามให้เป็นเพลงโน้นเพลงนี้อย่างปราศจากจุดหมายแน่ชัด พอจับคลำมั่วไปได้นิดหน่อยตามสัญชาตญาณเพราะเคยหัดเล่นเมโลเดียนเมื่อครั้งยังอยู่ประถม

    เล่นได้หน่อยก็เห็นจากหางตาว่าเงาร่างหญิงสาวกรายโฉบมาทางเบื้องหลัง แล้วหย่อนตัวลงนั่งหมิ่นๆที่ขอบฝั่งขวา

    “โห…หอมฉุยเชียวนะหนุ่มเจ้าสำอางคนนี้”

    หล่อนทักและแวะเวียนจมูกมาใกล้บ่าเขา เกาทัณฑ์ชะงักนิ้วทันใด

    “หยุดทำไมล่ะ เล่นไปสิคะ”

    ร่างสูงผุดยืนขึ้นเต็มสัดส่วน

    “มือเปียโนตัวจริงมาแล้วนี่ มือกำมะลอต้องหลบล่ะ” แล้วเขาก็ขอว่า “แอ้เล่นให้ผมฟังสักเพลงซิ”

    หญิงสาวขยับตัวเข้าที่ ชายตาตอบรับอย่างง่ายดาย

    “ได้ค่ะท่าน”

    เมื่อเขาถอยฉากออกมาก้าวหนึ่ง หล่อนก็ถาม

    “ไม่ทราบจะรับฟังเพลงอะไรดีคะเจ้านาย?”

    รายชื่อเพลงมากมายผุดรายเรียงอยู่ในหัว แต่แล้วก็บอก

    “เพลงที่แอ้กำลังอยากเล่นที่สุด”

    รอยยิ้มผุดพรายที่เรียวปากหยักสวยแปลก หล่อนยืดหลังทรงกายตั้งลำคอตรง วางมือเข้าตำแหน่ง พร้อมสภาพกับการปล่อยปลายนิ้วให้โลดเต้นไปบนคีย์เปียโนอันเป็นเวทีแสดงฤทธิ์ของนิ้วทั้งสิบอีกครั้ง

    ลำนำเริ่มต้นขึ้นด้วยการแผ่มือซ้ายวางจับเบสซีชาร์ปคู่แปด พร้อมกับที่มือขวากระจายเสียงซีชาร์ปไมเนอร์จังหวะละสามตัวเนิบช้า ซึ่งเล่นเพียงจังหวะเดียวเกาทัณฑ์ก็จำได้ทันทีว่าเป็น Moonlight Sonata มูฟเมนต์ที่หนึ่งของบีโธเฟ่นนั่นเอง

    แม้เป็นเพลงเดียวกันกับที่หล่อนเล่นเมื่อคืน ทว่ามูฟเมนต์นี้ก็แตกต่างกับมูฟเมนต์ที่สามจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือเชื่องช้า เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ระบายภาพดวงจันทร์ทอแสงหม่นซึ้ง เยือกเย็นอย่างจะบอกความหงอยเหงา เรียบง่ายอย่างจะซ่อนความคุกรุ่นซับซ้อนไว้ภายใต้ผิวนอก อ้อยอิ่งอย่างจะรอเวลาทะยานขึ้นหารอยแตกเพื่อระบายสิ่งที่ถูกเก็บกักอัดอั้น

    เป็นนาทีที่สีหน้าสีตาเรือนแก้วดูเรียบเย็นลงได้จริงๆ ทว่าหล่อนเหมือนเข้าซึ้งถึงก้นบึ้งอารมณ์บีโธเฟ่นเต็มตัวมากไปหน่อย เพราะภายใต้ความเรียบเย็นละไมตาของร่างในชุดหวานนั้น แทรกแฝงไว้ด้วยกระแสความขัดแย้งอันยากจะบรรยาย ภายนอกเหมือนอิ่มสุข แต่ภายในคล้ายปรากฏร่องรอยขมขื่นอยู่จางๆ เมื่อเห็นหล่อนเหลือบต่ำและส่ายหน้าแช่มช้าเพราะถูกไล้อารมณ์ด้วยโน้ตบางกลุ่มแล้ว รู้สึกราวกับเรือนแก้วกำลังส่ายหน้าให้กับชะตากรรมอันน่ารันทดที่ยากจะแก้ไขของใครบางคน

    สัมผัสชัดถึงอิทธิพลของดนตรีที่อาจแปรจิตวิญญาณมนุษย์ให้โดดดิ้นเร่าร้อน แล้วกลับดิ่งลงสงบราบคาบ หรือลอยเคว้งกระวนกระวายอยู่ในระหว่างสุดโต่งสองขั้ว ทุกอารมณ์เป็นของจริง มีสีสันในตนเอง รวมแล้วชวนให้ติดหลงมิติอันหลากหลายไม่รู้จบของความเป็นมนุษย์ยิ่งนัก

    จับมองร่างหญิงสาว จิตเกิดสภาพรู้ขึ้นมาชั่วขณะ เห็นแง่หนึ่งของความวิจิตรแห่งจิต จิตเป็นผู้ปรุงแต่ง ปัจจัยภายนอกปรุงแต่งจิตให้แปรไปต่างๆ หาที่สุดมิได้

    เย็น ร้อน อ่อนไหว หนักแน่น สงบ โลดเร่า เศร้าหมอง โสมนัส...

    ล้วนแปรกลับไปกลับมา ไม่อาจทนอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่ง เหตุเพราะการเกิดขึ้นของสภาวะปรุงแต่ง ย่อมตั้งอยู่ด้วยความขยับเปลี่ยนไปเป็นอื่น เช่นที่บทเพลงไม่อาจเป็นบทเพลง หากปราศจากการเลื่อนขยับสลับเสียงจากต้นสู่ปลาย

    ขณะจิตนั้นเกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนเรือนแก้วกำลังแสดงบทเพลงแห่งความน่าสงสาร และนั่นก็ทำให้เขานึกเวทนาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งตนเอง ที่ตกอยู่ภายใต้ความบีบคั้นทางอารมณ์ประการต่างๆ ถูกเสือกไสให้มุ่งสู่ความเกิดตายทั้งปิดหูปิดตา ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังเพื่อกลั่นแกล้ง ไม่มีสัญญาว่ารวมดีชั่วผสมกันชั่วชีวิตหนึ่งแล้วจะให้ผลเป็นฉากใหม่ที่ต้องการหรือเปล่า ไม่มีแม้ตัวตนใครสักคนที่ท่องเที่ยวไป มีแต่ดวงจิตถูกลากพาไปสู่อัตภาพต่างๆอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ เพียงเพราะเหตุคือถูกเกาะกุม ชักจูงด้วยอวิชชาเท่านั้น

    เพลงดำเนินไปราวหกนาทีก็สิ้นสุดด้วยการวางมือซ้ายขวาลงบนสองกลุ่มโน้ตอย่างแผ่วอ่อนอาลัย เรือนแก้วหยุดนิ่งกับที่ครู่หนึ่ง ก่อนเหลียวซ้าย เงยหน้ายิ้มให้เพื่อนชาย เกาทัณฑ์สบตาคู่นั้น เห็นแววโศกเชื่อมอันเป็นมายาฉาบภายนอก ลึกลงไปคือความระริกไหวซุกซน บอกตนเองว่ายังไม่เคยเห็นใครมีความซับซ้อนทางอารมณ์เท่าผู้หญิงคนนี้มาก่อนเลย

    ทั้งที่ภาพปรากฏเบื้องหน้าคือความสวยหวานและรอยยิ้มซื่อ ปราศจากวี่แววความน่าสะพรึงกลัวอันใด เกาทัณฑ์กลับขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างหาคำอธิบายไม่ได้ กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงปร่า

    “เล่นมูฟเมนต์ที่สองต่อเลยสิ”

    ราวกับเช้านี้หล่อนยอมตัวเป็นข้าทาสเขาอย่างไร้เงื่อนไข เรือนแก้วหันกายลงนิ้วเริ่มลีลาจังหวะวอลต์ซของ Moonlight Sonata มูฟเมนต์ที่สองอันเต็มไปด้วยความสดใส ระบายภาพจันทร์อร่ามสีเงินยวง ที่ส่งยิ้มกระจ่างมายังโลก ชวนใจเริงรื่น ลืมโศก ลืมเหนื่อย ลืมความน่าเหน็ดหน่ายบรรดามีทั้งหมด

    นักเปียโนสาวยิ้มน้อยๆ เอียงคอโยกตัวนิดหน่อยกับการลงจังหวะหยุดเป็นพัก ดูทีราวกับจะผันกายเต้นรำไปในตัว เกาทัณฑ์ถึงกับอมยิ้ม เพราะบางขณะวิธียักย้ายปลายนิ้วของหล่อนดูคล้ายสนุกหยอกเอินกับคีย์ขาวดำที่มีชีวิต มองรวมทั้งคนทั้งเปียโนเหมือนกำลังเต้นรำกัน ตลกน่าเอ็นดูดี

    มูฟเมนต์ที่สองสิ้นสุดลง ชายหนุ่มตบมือให้ และชมว่า

    “ถ้าบีโธเฟ่นถูกจำกัดให้มีลูกศิษย์ได้คนเดียว เขาคงไม่ลังเลที่จะเลือกแอ้”

    “ว๋าย! ไม่เอาล่ะค่ะ เป็นศิษย์คีตกวีขี้โมโห ขัดใจขึ้นมาเดี๋ยวเจอเครื่องนับจังหวะยัดปาก”

    เกาทัณฑ์หัวเราะออกจมูก

    “บีโธเฟ่นต้องการเล่าระบายอะไรให้ฟังนี่ดูแอ้เข้าอกเข้าใจตลอดทุกห้องเพลงเลยนะ แนวเพลงของเขาตรงใจมากหรือไง?”

    “ไม่ถึงขั้นเข้าใจตลอดหรอก คีตกวีระดับนี้เขาเห็นอะไรบางอย่าง...”

    พักหรี่ตานึก

    “บางอย่างที่วิลิศมาหราเสียจนเราตามไปร่วมเห็นทั้งหมดไม่ไหว แอ้ทดลองเล่นหลายแบบเพื่อหาวิญญาณของเขาให้เจอ แต่อย่างมากได้แค่เฉียดๆจะสัมผัสเท่านั้น”

    “เคยอยากย้อนเวลากลับไปดูบีโธเฟ่นตัวจริงเล่นเพลงที่เขาแต่งบ้างไหม?”

    เรือนแก้วพยักหน้า และเสริมว่า

    “เสียดายที่เครื่องบันทึกภาพ-เสียงเกิดไม่ทันยุคสมัยของอัจฉริยะพวกนี้ แอ้อยากเห็นเหมือนกันว่าถ้าเขาเล่นเพลงแต่งเอง จะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน นึกท่าเซอร์ๆ โทรมๆ ที่เต็มไปด้วยสารพัดพลังอารมณ์ของบีโธเฟ่นตอนนั่งหมกมุ่นประดิษฐ์เสียงแล้วคงเหมือน...”

    เว้นวรรคนึกสรรคำพูดที่เหมาะเจาะ เกาทัณฑ์ต่อให้

    “อือม์ คงเหมือนปรากฏการณ์ชวนระทึกที่หายากนะ ความจริงเห็นแอ้เล่นแล้วทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันแหละ”

    หญิงสาวย่นคิ้ว เอียงคอยิ้ม

    “ขนาดนั้น?”

    ประตูห้องน้ำเปิดออก เชิงไทก้าวออกมา พร้อมกับถามเปรย

    “ไปกันเลยไหม?”

    เรือนแก้วกับเกาทัณฑ์หันมอง เห็นเชิงไทหน้าบึ้งตึงชอบกล

    “อือม์” หญิงสาวเป็นผู้เอ่ยตอบ “ข้าวคงสุกได้ที่พอดี”

    ตระเตรียมข้าวของเล็กน้อยก็พาสองหนุ่มออกจากห้องราวกับนางพญาเดินนำองครักษ์เสด็จประพาส ให้เชิงไทอุ้มขันเงินใบใหญ่ซึ่งปกติหล่อนมีไว้ใช้เป็นสำรับเมื่อทำอาหารไทยกับเพื่อนบางกลุ่ม ส่วนถุงกับข้าวและโต๊ะพลาสติกพับได้ให้เกาทัณฑ์ช่วยถือ ตัวหล่อนเองสองมือว่างเปล่าสบายเฉิบ

    ลงลิฟต์มาขึ้นรถ ตอนเดินผ่านพนักงานประจำอาคารชั้นล่าง เรือนแก้ววางท่าสง่าจนทำให้เห็นแล้วเชื่อเลยว่าหนุ่มที่ตามหลังมาเป็นลูกกระจ๊อก แม้แต่เกาทัณฑ์กับเชิงไทยังรู้สึกอย่างนั้น เชิงไทนึกหมั่นไส้ขึ้นมาก็เอื้อมมือไปเขกศีรษะหล่อนป๊อกหนึ่งเมื่อใกล้ถึงรถและปลอดสายตาคนอื่น

    หญิงสาวหยุดกึก หันมามองตาขวาง

    “เขกหัวแอ้ทำไมคะเชิง?”

    เชิงไททำหน้าตกใจ

    “เอ๊ย! เปล๊า ไอ้เต้ต่างหาก”

    เรือนแก้วกอดอก

    “เป็นลูกผู้ชายหน่อยซีคะ ทำเองแล้วยังมีหน้ามาใส่ร้ายชาวบ้านอีก”

    “แน้! เอาล่ะซี รู้ได้ไงว่าใครเขก มีตาหลังเหรอ?”

    หญิงสาวส่ายหน้า

    “เต้เขาถือทั้งถุง ทั้งโต๊ะ จะมีมะเหงกที่ไหนว่างมาเขก ฮึ?”

    เชิงไทนึกขึ้นได้ก็ทำตาโต หัวเราะแหะๆ

    “อ้อ ลืม”

    “เล่นของสูงแอ้ไม่ชอบนะ บอกไว้ก่อน คราวหลังอย่าทำอีก”

    เกาทัณฑ์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วหัวเราะด้วยความอนาถใจ เลยพลอยหางเลข โดนทำตาเขียวไปอีกคน

    เหตุการณ์เล็กน้อยนั้นทำให้เข้าใจว่าอารมณ์เด็กของเรือนแก้วใช่จะเกิดเมื่อนึกสนุกกับใครก็ได้ เบื้องหน้าหล่อนฉาบด้วยตัวตนผู้หญิงที่เก่งจริง ไว้ตัวจริง ถ้าใครจะผ่านไปหาตัวตนชนิดอื่น ก็ต้องมีความสำคัญทางใจถึงระดับหนึ่งเสียก่อน

    นึกเช่นนั้นก็ภาคภูมิในตนเองขึ้นมา เขาอาจเป็นคนแรกก็ได้ที่เห็นอารมณ์คะนองในวัยเยาว์ที่ฝังแฝงอยู่ในหล่อน แต่พอรู้สึกตัวก็รีบถอนความภาคภูมินั้นทิ้ง เขาไม่มีสิทธิ์...

    พอข่มใจหลายครั้งเข้า ความเครียดก็ชักก่อตัวทีละน้อยในส่วนลึก เริ่มคิดสะระตะว่าทางที่ดีควรตัดใจปลีกตัวออกห่างจากเรือนแก้วให้มาก เพราะในที่สุดความไขว้เขวอาจกลายเป็นการหลวมตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง นำไปสู่ความกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนได้

     

    เมื่อรถเข้าใกล้วัด ก็เห็นญาติโยมยืนรอใส่บาตรตรงปากทางเข้าออก 2-3 กลุ่ม เรือนแก้วให้เชิงไทจอดรถบริเวณนั้น แล้วลงมาตั้งโต๊ะรอต่อจากญาติโยมก่อนหน้า

    พอวางขันข้าวลงบนโต๊ะที่เกาทัณฑ์กางออกมา เชิงไทก็ถามเรือนแก้ว

    “มารอใส่บาตรที่นี่บ่อยไหม?”

    “เคยแค่ตามเพื่อนที่คอนโดฯมาทำบุญวันเกิดของเขาครั้งเดียว”

    ตอบเช่นนั้นแล้วก็ตั้งใจว่านับแต่นี้จะหาโอกาสทำสม่ำเสมอ

    “ทำไมไม่ยืนรอที่หน้าคอนโดฯล่ะ?”

    “ทางโคจรของพระไปไม่ถึงหรอก”

    “เมื่อไหร่จะออกมากันล่ะนี่ หกโมงแล้ว แต่ละวัดเขาออกบิณฯกันยังไงนะ มีเวลาตายตัวเป็นธรรมเนียมประเพณีหรือเปล่า?”

    “สมัยก่อนยึดเอาตามแสงสว่างน่ะ เห็นลายมือเมื่อไหร่ก็ออกได้เมื่อนั้น แต่ที่เห็นเดี๋ยวนี้นัดเป็นเวลาให้ญาติโยมรอกันถูกมากกว่า”

    เกาทัณฑ์เงี่ยหูฟังทั้งหมดก็นึกชมว่าเรือนแก้วมีความรู้ทางนี้เหมือนกัน มองหล่อนสำรวมสงบยิ้มอิ่มบุญ แฝงด้วยภูมิรู้พอตัว ท่าทางพึ่งพาได้ ทำให้นึกถึงชื่อจริงของหล่อนขึ้นมา

    “สงสัยตอนพ่อแม่แอ้ตั้งชื่อนี่ คงอยากเห็นแอ้เป็นที่พึ่งพา ให้พ่อแม่และคนใกล้ชิดอยู่เย็นเหมือนอาศัยเรือนแก้วเรือนทองนะ”

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เรือนแก้วในความหมายที่เป็นเป็นศัพท์เฉพาะก็มี หมายถึงกรอบมีลวดลายล้อมประดับพระปฏิมาหรือรูปวาด เคยได้ยินไหม อย่างซุ้มเรือนแก้วพระพุทธชินราชสวยๆน่ะ”

    เกาทัณฑ์เบิกตา

    “เหรอ”

    เพิ่งรู้ว่ากรอบลวดลายกนกเครือวัลย์อันงามช้อนขึ้นเหมือนความโชติไสวของเปลวเทียน นั้นเรียก ‘เรือนแก้ว’ นี่เอง หญิงสาวเสริมท้ายมาอีกหน่อย

    “บางแหล่งก็บอกว่าเรือนแก้วคือที่เดินจงกรมของพระพุทธองค์หลังตรัสรู้ เทวดาเนรมิตขึ้นถวาย”

    ขบวนแถวพระสงฆ์เริ่มทยอยออกมา ญาติโยมเคลื่อนไหวเตรียมตัวกัน บ้างก็ถอดรองเท้ารอ บ้างก็ขยับเปิดภาชนะขึ้น

    เกาทัณฑ์ชำเลืองมองเพื่อน เห็นทั้งเรือนแก้วและเชิงไทยืนเฉย ไม่ยอมถอดรองเท้า ก็กลัวถอดแล้วตัวเองจะเด๋ออยู่คนเดียว เลยเฉยตาม พลางนึกว่าธรรมเนียมเหล่านี้มีใครเป็นผู้กำหนด และที่ถูกที่ควรนั้นคืออะไร

    คิดไปคิดมาก็เห็นว่ากิริยาหรือการแสดงออกอันใดบ่งถึงการให้ความเคารพสงฆ์ได้ ล้วนควรทำ ถ้าใจสามารถสัมผัสรู้สึกเองว่าใช่ ไม่จำเป็นต้องเปิดตำราอ้างอิงเลย

    ทว่าอาการเดินท่อมๆของพระวัดนี้ก็ไม่อาจฉุดปีติแห่งความเลื่อมใสศรัทธาของเขาขึ้นมากพอจะทำตัวแปลกแยกจากเพื่อนฝูง แต่ละรูปหน้าตาเหมือนชาวบ้านธรรมดาๆที่แหกขี้ตาตื่นด้วยความง่วงงุน ปราศจากความสำรวมสมควรแก่สมณสารูป เวลาเปิดบาตรรอข้าวก็จ้องหน้าญาติโยม ยิ่งถ้าสีกาล่ะจ้องเอาๆ

    บางรูปเดินอาดๆแบบนักเลง ร่างใหญ่กายบึก ดิบดำล่ำสัน คิ้วขมวดมุ่น มองคล้ายจับกังขโมยจีวรมาสวม ตาขุ่น แก้มฉุชวนให้เดาว่าคงกินอยู่ในวัดด้วยการละเมิดศีลเป็นอาจิณ เกาทัณฑ์มองรวมๆแล้วแทบอยากปลีกตัวไปนั่งรอในรถ เร็วๆนี้เขาเพิ่งทำบุญกับพระวัดทางนฤพานมา พอเจออย่างที่เห็นนี่เลยกำลังใจตก ทำไปก็ไม่รู้สึกเป็นบุญอยู่ดี

    วัดส่วนใหญ่บวชกันง่าย เดินชนใครตามฟุตบาทก็จับมาโกนหัวห่มผ้าเหลืองได้หมด คนธรรมดานั้นอยู่ดีๆจะให้เป็นพระเพราะนุ่งห่มผิดแปลกไปหน่อยเดียวได้อย่างไร กลุ่มบุคคลที่เขากำลังมองเห็นล้วนเป็นนายป๊อกนายแป๊กมาก่อน และยังเป็นนายป๊อกนายแป๊กอยู่จนถึงลมหายใจนี้ ให้ท่องศีลห้าคงผิด อย่าว่าแต่หลักธรรมวินัยสงฆ์อันเป็นของสูงเลย

    หนังตาขยิบยิก ได้เห็นชัดว่าเจ้าอาวาสมีส่วนสำคัญมาก ทั้งในขั้นตอนการคัดพระบวช การอบรมควบคุมให้มีความประพฤติอยู่ในกรอบพระวินัย หลวงตาแขวนดีองค์เดียว พระลูกวัดโดยรวมก็ดีตามไปด้วย ท่าทางเจ้าอาวาสวัดนี้คงประพฤติอีเหละเขละขละ พระลูกวัดเลยพลอยเขละตาม ไม่น่าทำนุบำรุงเอาเลย ทั้งวัดนั่นแหละ

    แต่แล้วก็เกิดสติกลับใจคิดได้ใหม่ เขายังไม่เห็นกับตาว่าพระเหล่านี้ทุศีล อีกทั้งขาดญาณหยั่งรู้อันเที่ยงว่าใครเป็นใคร ปฏิบัติอยู่ในกรอบพระวินัยมากน้อยแค่ไหน ถ้าด่วนพิพากษาให้เป็นอลัชชีหรือสมีเสียแต่แรกเห็นแล้ว ก็คงเหมือนตำรวจเห็นคนเดินโซเซหน่อยรีบกรากเข้าไปรวบตัวขึ้นโรงพัก ปรักปรำทันทีว่าเดินก๋าตาปรืออีหรอบนี้เมายาแน่นอน ไม่ต้องตรวจของ ไม่ต้องดมกลิ่นพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น

    ถอนใจยาว เขาไม่ได้มาเพราะเจาะจงเลี้ยงมารในคราบผ้าเหลือง และนี่ก็ไม่ใช่เวลาคิดกำจัดเหลือบริ้นของพระศาสนาด้วย เป็นเวลาใส่บาตรเลี้ยงพระต่างหาก

    พระรูปแรกมาถึงตรงหน้า เกาทัณฑ์พยายามก้มมองเฉพาะชายกาสาวพัสตร์ ซึ่งจะเก่าใหม่ก็เป็นธงชัยพระอรหันต์เหมือนกันหมด ตั้งเจตนาว่าจะถวายกับแกงเป็นจังหัน เพื่อรักษากาสาวพัสตร์นี้ไว้ให้เวไนยชนแท้ได้มีโอกาสสวมครอง มีฐานะอันควร มีเวลาปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงความเป็นที่สุดคือมรรคผลนิพพาน ในจำนวนกาสาวพัสตร์แสนผืน ขอเพียงตกถึงมือพระอรหันต์ขีณาสพผืนเดียว ก็นับว่าข้าวชาวบ้านทั้งหมดที่ช่วยกันรักษากาสาวพัสตร์ไว้ไม่เสียเปล่าแล้ว

    พลิกความคิดแค่นิดเดียว จิตใจก็แช่มชื่นขึ้น เมื่อเรือนแก้วใช้ทัพพีคดข้าวใส่บาตรเสร็จ เขากับเชิงไทก็หย่อนถุงกับข้าวตาม เมื่อใส่เสร็จก็น้อมไหว้ได้ด้วยใจเคารพบูชา และทำเช่นนั้นจนกระทั่งของหมดด้วยใจเบิกบานเป็นกุศลไม่ขาดสาย

    ถุงกับข้าวหมดก่อนใส่ได้ครบองค์ แต่ข้าวสวยยังมีเหลือเฟือ จึงเหลือเรือนแก้วทำหน้าที่อยู่ตามลำพัง อีกสองหน่อยืนรอข้างๆ ยิ่งดูยิ่งเหมือนเด็กรับใช้ติดสอยห้อยตามนายแม่มาทำบุญขึ้นทุกที

    เมื่อพระหมดขบวน เรือนแก้วก็หันมาบอกเพื่อนทั้งสอง

    “รอแป๊บนะ”

    ว่าแล้วก็วางขันเงินลงบนโต๊ะ เดินตัวปลิวไปเจรจาซื้ออะไรบางอย่างจากเพิงร้านอาหารฝั่งตรงข้าม หนุ่มๆมองตาม ครู่หนึ่งเห็นหญิงสาวถือถุงใส่ไม้หมูย่างจำนวนมากก็คาดหวังว่าคงซื้อมาเลี้ยงพวกตนเป็นการรองท้องก่อนมื้อเช้า แต่ที่ไหนได้ เดินแฉลบเลยไปหาฝูงหมาวัดซึ่งยืนออรอส่วนบุญต่อจากพระเณรตรงปากทางเข้าออกนั่นเอง

    เรือนแก้วรวบชายกระโปรง ค้อมกายลงนั่งยอง ดึงไม้หมูย่างออกจากถุง รูดชิ้นเนื้อออกจากไม้โยนลงพื้นทีละชิ้น เท่านั้นเองฝูงหมาวัดก็พุ่งกรูกันเข้ามาเกือบสิบตัว มองดูเหมือนแร้งลงไม่มีผิด

    “เวร...กูนึกว่าจะได้กิน”

    เชิงไทบ่นกับเพื่อน พลางหันมองคนขายหมูย่าง

    “ฮะๆ อาแป๊ะค้อนปะหลับปะเหลือกเลยว่ะ ซื้อของมาแจกหมาหมดต่อหน้าต่อตา”

    เกาทัณฑ์ไม่หันไปสังเกตอาแป๊ะตามเชิงไท สายตายังคงจับเฉพาะร่างที่นั่งค้อม ทยอยปลิดชิ้นเนื้อให้เป็นทานแก่สัตว์ เป็นบุญกิริยาที่ก่อกระแสอ่อนโยนเย็นตายิ่ง หล่อนทำอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำด้วยความรู้สึกเป็นสุข ยังให้คนเห็นพลอยยินดีตามไปด้วยอย่างเต็มตื้น

    ผู้หญิงคนนี้ทำบุญเป็น ท่าทางฉลาดในการทำจิตให้อิ่มเอิบทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ เหมาะที่จะเป็นเป้าสายตาชนหมู่ใหญ่ เช่นในบัดนี้เหมือนสายตาทุกคู่ในละแวกใกล้จะจับไปที่หล่อนเป็นจุดเดียว เกาทัณฑ์แน่ใจว่าผู้มองต้องได้ส่วนความชื่นใจอันเป็นบุญติดไปไม่มากก็น้อย

    หญิงสาวนั่งกอดเข่าดูหมากินหมูอยู่ตรงนั้นจนหมด หลายตัวชักทำตาปรอยกระดิกหางจะขออีก หล่อนก็ออกท่าออกทางพลิกมือบ๋อแบ๋ ขมุบขมิบปากพูดกับพวกมันสองสามคำ ก่อนลุกขึ้นนำถุงและไม้ไปทิ้งถังขยะข้างทางเข้าวัด แล้วหมุนตัวเดินกลับมาหาเพื่อนที่ยืนเป็นทหารรอเสด็จอยู่

    พอเข้ามาใกล้ เห็นเค้าหน้าถนัด ทั้งเกาทัณฑ์และเชิงไทก็แทบตาค้างด้วยความพิศวง หล่อนดูสวยแปลกไป กรอบหน้าสว่างชัด นัยน์ตาทอแสงจัดราวกับเอาดาวรุ่งสักสิบดวงไปขัง รอยยิ้มอวดไรมุกที่เคยโดดเด่นอยู่แล้วพลอยฉายจับตาขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า ล้วนเป็นหลักฐานประจักษ์ว่าใจหล่อน ‘ถึงบุญ’ เพียงใดในช่วงเวลาอันลัดสั้นแค่นี้

    เรือนแก้วเข้าถึงทุกสิ่งที่หล่อนตั้งใจทำ ทางโลกเป็นอย่างไร ก็ติดมาทางธรรมเช่นนั้น!

    “ไปเถอะ ขอบใจมากที่ยอมเสียเวลากัน”

    เสียงหล่อนเปลี่ยนระดับสูงขึ้น เหมือนมีห่อแก้วสักสองชั้นมาหุ้มเพิ่มความแพรวพริ้งให้กับกังวานเสียงจนฟังวิเวกหวานติดหู คล้ายละอองแก้วก่อตัวกลอกกลิ้งสะท้อนสะเทือนอยู่กับโสตชั้นใน เกาทัณฑ์ถึงกับเผลอมองซ้ำว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใครกันแน่

    ธาตุอิตถีมีธรรมชาติล่อตาให้ใหลหลงอยู่แล้ว เมื่อประกอบเข้ากับรัศมีฉายในทางใดทางหนึ่ง ย่อมยิ่งสะดุดหูสะดุดตาขึ้นเป็นเท่าทวีเช่นนี้เอง

    หล่อนเดินไปนั่งรอในรถแล้วเพราะเชิงไทไม่ได้ล็อกไว้ สองหนุ่มเก็บข้าวของคนละมือ เพราะเหลือแต่ขันเปล่า ทัพพีอัน และโต๊ะพลาสติกเท่านั้น ออกท่าเหม่อมองตามเรือนแก้วนิดๆ เห็นตรงกันแน่ล่ะว่าเงาแห่งบุญญาธิการระดับที่ไม่ธรรมดาแผ่ผายฉายชัดออกมาจากร่างสะคราญปานใด

    ขณะเดินเคียงกัน เชิงไทเอียงหน้ากระซิบกระซาบ

    “แฟนกูสวยนิเช้านี้ เพิ่งรู้ว่าใจบุญสุนทานขนาดหนัก”

    เกาทัณฑ์ย่นคิ้ว เกือบถามตอกไปว่า ‘ใครแฟนมึงวะ?’ แต่ยั้งไว้ทัน ถ้าหลุดจากปากก็แสดงความพัวพันที่ยังแกะไม่หลุดแจ่มแจ้งไปหน่อย

    โรคด่วนสรุปแบบนี้เป็นเรื่องแสนจะธรรมดา พอเชิงไทเห็นเขาพ้นทาง ก็เหมาแล้วว่าเรือนแก้วเป็นของตน ทั้งที่จริงมีเรื่องต้องก่อต้องสานอีกเยอะแยะเพื่อให้ฝ่ายหญิงยอมรับ

    ขึ้นรถกันครบทุกคน เชิงไทบิดกุญแจเดินเครื่องแล้วเปรยว่า

    “โอกาสหน้าทำด้วยกันอีกนะแอ้ มีความสุขดีจัง”

    ความจริงเพิ่งมาเริ่มสุขก็ตอนเห็นเรือนแก้วสวยขึ้นเป็นกองนี่แหละ

    “อือ”

    หล่อนตอบมาจากเบื้องหลัง แล้วหันพูดกับเกาทัณฑ์

    “ตอนนี้เต้คงชำนาญทางนี่ เอาไว้นำไปวัดดีๆสิ”

    ทั้งที่เป็นเรื่องชวนกันทำบุญ เป็นกุศลกิจ แต่เกาทัณฑ์ฟังแล้วชักเห็นเค้าเงาน่ากลัดกลุ้มก่อตัวขึ้น ไม่ใช่ข้างนอก แต่เป็นในใจตนเอง อย่างนี้จะมีอะไรเป็นแรงเหวี่ยงให้อยากหนีหาย...?

    ถึงกับยกศอกซ้ายเท้าขอบประตู เอามือป้องขมับโดยไม่รู้ตัว หน้าตาวิตกครุ่นคิดเพราะเห็นความวุ่นวายกายใจวางชัดอยู่แค่เอื้อม

     

    เมื่อเกาทัณฑ์เดินมาถึงโต๊ะทำงานตอนเก้าโมงครึ่ง เผอิญสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี

    “สวัสดีครับ”

    “พี่เต้คะ คุณพิจัยเชิญพบที่ห้องค่ะ”

    เสียงจากเลขาฯเจ้านายบอกมาตามสาย

    “โอเคจ๋าย”

    ยังไม่ทันนั่งก็ต้องจรเสียแล้ว แถมชื่อพิจัยที่กำกับคำสั่งนั้น ก็ทำให้ต้องเร่งเดินเร็วเสียด้วย

    ขึ้นลิฟต์มาสองชั้น เลี้ยวซ้ายไปจนสุด มาหยุดเคาะประตูไม้สักหนาหนักก๊อกๆ ก่อนหมุนลูกบิดเปิดเข้าไปสู่ความกว้างเงียบ ดูขรึมขลังของห้องผู้บริหารใหญ่

    “ไง วันนี้มาสายเหรอ?”

    บุรุษวัยห้าสิบเศษผู้เป็นเจ้าของห้องทักทั้งยังก้มหน้าเขียนเอกสารขยุกขยิก เขาเป็นคนร่างใหญ่ เสียงใหญ่ จะขยับหรือพูดจาดูมีอำนาจไปหมด คำทักนั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้านายให้เลขาฯต่อสายเรียกเขาก่อนหน้าอย่างน้อยครั้งหนึ่งแล้ว

    “ครับ เมื่อคืนค้างที่อื่น ตอนเช้าเดินทางกลับห้องช้ากว่าที่คิด คุณพิจัยมีธุระด่วนหรือครับ?”

    “อ๋อ เปล่า ไม่ใช่ต้องเร่งทำตอนนี้”

    เจ้าของห้องยังคงง่วนเขียนเอกสารไม่วาง เกาทัณฑ์คุ้นกับการเห็นฝ่ายนั้นทำสองอย่างพร้อมกัน ไม่ยอมเสียเวลาไปสักวินาทีโดยเปล่าประโยชน์ เช่นถ้าเห็นว่าคู่สนทนาเป็นเด็ก ก็จะทำสิ่งที่ค้างไปเรื่อย ไม่เงยหน้าขึ้นมองกัน ดังที่กำลังเป็นอยู่

    “จำได้ใช่ไหมที่ผมบอกคุณว่าแอ้จะไปคุยกับมิสเตอร์ชุนที่สิงคโปร์ ทางโน้นเขาเพิ่งอีเมลมาถึงว่าอยากให้เอาคนไปบรรยายและตอบคำถามเชิงเทคนิคประกอบโอเวอร์วิวด้วยเลย แบบมีชุดสไลด์น่ะ ท่าทางจะตกลงง่ายกว่าที่คิด ผมให้คนสืบๆดูแล้ว ช่วงนี้ทางโน้นงานล้นมือ ต้องพึ่งเราแน่ คุณช่วยเตรียมวันนี้แล้วเดินทางกับแอ้พรุ่งนี้เลยนะ สโคปงานไปเอาที่แอ้ได้”

    พิจัยสั่งเป็นชุดแบบม้วนเดียวจบ กะให้ชายหนุ่มรับทราบแล้วถอยไปได้ทันที แต่เกาทัณฑ์ฟังแล้วถึงกับยืนคอแข็ง ย่นคิ้วทำหน้าลำบากใจ นึกถึงนัดวันเสาร์กับแพตรี นึกถึงการเดินทางใกล้ชิดกับเรือนแก้ว แล้วถามนายใหญ่อย่างผิดกาลเทศะเป็นครั้งแรก

    “ทำไมไม่ให้เชิงไทไปล่ะครับ? น่าจะเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว”

    พิจัยชะงักมือ เงยหน้าจากเอกสารทันที เหลือบจ้องหนุ่มรุ่นลูกเขม็ง สายตาคู่นั้นทำให้เกาทัณฑ์รู้สึกตัวว่าเพิ่งหลุดคำพูดโง่ๆออกไป ต่อหน้าบุคคลที่ชี้เป็นชี้ตายให้อนาคตเขาได้เสียด้วย

    “คุณติดปัญหาอะไรหรือคุณเกาทัณฑ์?”

    พิจัยลงปลายเสียงขรึม เพราะรู้กันเป็นทางการว่าวันเสาร์สำหรับบริษัทนี้หยุดก็จริง แต่อาจเผื่อเรียกใช้สอยได้เสมอ ชายหนุ่มฝืนยิ้มไม่สนิทนัก

    “เปล่าครับ ผมเพียงแต่เกรงจะล้ำเหลื่อมกับเชิงไท เพราะเห็นเขาคุยๆกับมิสเตอร์ชุนอยู่ อันที่จริงผมอยากไปซื้อของที่โน่นอยู่พอดี”

    ชายผู้มีอำนาจบริหารสูงสุดถอนใจ คลายความเคร่งในสีหน้าลง

    “วันเสาร์นี้ผมว่าจะชวนคุณเชิงไทไปกินข้าวเย็นกับดอกเตอร์โตมรน่ะ เขาคุ้นเคยกับรายนั้นอยู่แล้ว คุณไปสิงคโปร์แทนหน่อยแล้วกัน”

    “ไม่มีปัญหาครับ”

    เกาทัณฑ์รับคำ ฟังเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเดิม

    “หวังว่าคงไม่รบกวนเวลาส่วนตัวมากนะ”

    พิจัยเหน็บทิ้งท้าย เกาทัณฑ์ตอบนายด้วยกิริยายิ้มแย้ม แต่ถ้าเอากระจกวิเศษส่อง ก็อาจเห็นเปลี่ยนเป็นอาการแยกเขี้ยวยิงฟัน ช่างไม่รู้เลยว่าเขายิ่งอยากปลีกตัวออกห่างเรือนแก้วให้เลิกใจแกว่งอยู่...

     

    เมื่อไปสอนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยในคืนนั้น ก่อนหมดเวลาเกาทัณฑ์ต้องแจ้งเลื่อนเวลาสอนในคืนวันศุกร์ไปเป็นช่วงคืนวันจันทร์ นักศึกษาบางคนหันหน้าเข้าหากันและบ่นพึม เพราะชนเวลากับวิชาอื่น

    จากนั้นใช้เวลาชั่วโมงครึ่งกว่าจะวิ่งจากในเมืองมาถึงบ้านปู่ชนะ ใกล้ห้าทุ่มแล้ว เขาไม่ได้โทร.บอกแพตรีล่วงหน้าว่าจะมาเยือน ตอนนี้สนิทกันขนาดถือกุญแจสำรองเปิดปิดประตูเข้าออกได้เอง เมื่อจอดรถเสร็จจึงผ่านรั้วมาแหงนหน้าเรียกคนรักที่ใต้หน้าต่างโดยสะดวก

    “แพ!”

    หญิงสาวกำลังนั่งอ่านนิตยสารรายเดือนอยู่กับโต๊ะทำงาน เมื่อยินเสียงเรียกก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร จึงลุกมายืนชิดหน้าต่างมุ้งลวดเหล็กดัด เลิกม่านก้มลงมาเห็นเกาทัณฑ์ยืนเงยหน้ายิ้ม มือไขว้หลังเป็นเงาตะคุ่มอยู่เบื้องล่าง

    “พี่เต้ จะมาทำไมไม่บอกก่อนคะ?”

    “มีธุระด่วนจี๋เลย แพเปิดประตูบ้านให้พี่หน่อยสิ”

    “ปู่นอนแล้วค่ะ มีเรื่องสำคัญมากหรือ ขึ้นมาเดี๋ยวทำหนวกหู”

    “งั้นลงมาหาพี่ข้างล่างก็ได้”

    “ดึกแล้วนี่...”

    เห็นหล่อนอิดเอื้อนเช่นนั้นก็ขู่ว่า

    “ถ้าโอ้เอ้พี่จะคุกเข่าแล้วแหกปากดังๆขอให้แพเปิดประตู ลองรึ?”

    แพตรีรีรอเป็นครู่ รู้ว่าเกาทัณฑ์มีความห่ามพอจะกล้าทำเช่นนั้นจริง จึงบอกอย่างตัดรำคาญ

    “แค่ห้านาทีนะ”

    ผละจากหน้าต่าง อึดใจต่อมาเกาทัณฑ์ก็เห็นประตูเรือนเปิด ปรากฏเงาร่างโปร่งเคลื่อนลงมา ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเดินไปรับ

    หยุดเผชิญหน้ากันเพียงเอื้อมเมื่อแพตรียืนบนบันไดขั้นแรก เห็นเกือบอยู่ระดับสายตาเดียวกับเขา ชายหนุ่มยิ้มกว้าง สะบัดแขนจากอาการไพล่หลัง เผยช่อดอกไม้ใหญ่ยื่นให้หล่อน แพตรีเหลือบมอง ก่อนจะรับมาถือยิ้มๆ แสงไฟนีออนใต้หลังคาส่องให้เห็นสีแก้มเรื่อขึ้นมาหน่อย

    “ขอบคุณค่ะ”

    รอดูหล่อนก้มลงชื่นชมดมดอม แต่ก็เห็นแค่มองอย่างเดียวอยู่เป็นนาน เลยชวนว่า

    “ไปนั่งในห้องทานข้าวได้ไหม?”

    หญิงสาวเดินนำเขาไปง่ายๆ เมื่อเข้ามาในห้องรับประทานอาหารก็เปิดไฟสว่าง วางช่อกุหลาบแดงซึ่งประมาณคร่าวแล้วคงไม่ต่ำกว่า 40 ดอกลงบนโต๊ะ ทุกดอกยังสดฉ่ำราวกับเพิ่งเฉือนจากต้นได้พักใหญ่ แสดงว่าไปรับจากร้านเมื่อช่วงค่ำนี่เอง

    ชายหนุ่มย่องกริบมาทางเบื้องหลัง พอเข้าใกล้ก็คล้องวงแขนตระกองกอดไว้เต็มอ้อมอย่างแสนรัก แพตรีชะงักด้วยความตกใจ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทีแรกขืนกาย แต่เมื่อสัมผัสว่าอ้อมแขนและแผ่นอกนั้นมากับความรู้สึกประณีตละเอียดอ่อน ก็ยอมยืนนิ่งให้กอด

    ในความสงบเงียบ มีความรักอันงดงามล้นกระจายออกมาจากดวงจิตที่ผูกพันแน่นแฟ้น ต่างฝ่ายต่างซึมซับรับรู้ด้วยความสว่างจากกลางใจ เสมือนทุกสิ่งยุติการเคลื่อนไหวเป็นนิรันดร์ในความลึกซึ้งนั้น

    เกาทัณฑ์บอกตนเองว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่เขามีสิทธิ์จะทำ เขากอดธาตุแท้แห่งความดีที่ไม่แปรปรวนกลับไปกลับมา กอดผู้หญิงที่ใจบอกตนเองว่าอยู่คู่กันมาแสนนาน

    ล่วงเลยจนได้เวลาหนึ่งที่แพตรีขยับตัวจะแกะแขนออก เกาทัณฑ์ก็โน้มหน้าลงหอมแก้มนวลทีหนึ่งและกระชับปลอกแขนแน่นขึ้นอย่างไม่ยินยอมปล่อยตัว

    “กล้าดีขนาดนี้แล้วหรือคะ?”

    แพตรีถามด้วยเสียงดังกว่ากระซิบหน่อยเดียว เกาทัณฑ์ถอนมือข้างหนึ่งลากเก้าอี้ใกล้ตัวแล้วหย่อนกายนั่งลง เป็นผลให้ร่างนุ่มในอ้อมกอดลงนั่งบนตักตาม ชายหนุ่มเอียงหน้าแนบแผ่นหลังหล่อน พลางพึมพำตอบ

    “ที่ผ่านมาถือว่าขี้ขลาดด้วยซ้ำ สัญญาว่าจะไม่เกินเลยไปกว่านี้ก่อนแต่ง”

    ต่างนิ่งกันพักใหญ่ แพตรีเป็นคนเอ่ยถามทำลายความเงียบ

    “นี่หรือธุระด่วนจี๋?”

    เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยืดยาว

    “เจ้านายเพิ่งสั่งให้บินไปสิงคโปร์พรุ่งนี้ กว่าจะกลับคงเช้าวันอาทิตย์”

    แพตรีฟังแล้วเฉยไป

    “ที่นัดซินแสไว้คงต้องเลื่อนแล้วล่ะ ลุงเอกด้วย”

    เขาหมายถึงลุงคามภีร์ ผู้เป็นบิดาตามกฎหมายของหล่อน แพตรีอึ้งอยู่อีกพัก ก่อนแหย่ว่า

    “ถ้าแพไม่ให้พี่ไปสิงคโปร์ล่ะ?”

    “พี่ก็ไม่ไป พรุ่งนี้จะลาออกจากบริษัท และจะเอากระปุกเสียบปากกาปาหน้าอกคนสั่งเป็นการทิ้งทวนทีหนึ่ง”

    “อื้อม์...” ขานรับรู้แล้วก็หัวเราะนุ่ม “ช่างเถอะค่ะ งานสมัยนี้หายาก รักษาไว้เถอะ เขาสั่งให้ไปก็ไปซะ”

    เกาทัณฑ์พลิกหน้ากลับมาฝังจมูกผ่านม่านผมลงกลางแผ่นหลังคนรัก สูดกลิ่นหอมรื่นเข้าเต็มอก

    “เฮ้อ! นี่ถ้าไม่ขัดใจผู้ใหญ่พี่ก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องหาฤกษ์ยามเล้ย ฤกษ์ซินแสมั่วหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาฤกษ์ของพระพุทธองค์น่ะประเสริฐที่สุด ทำดีเมื่อไหร่เมื่อนั้นคือฤกษ์งาม ความดีเป็นฤกษ์งามในตัวเอง เราเคยร่วมบุญกันมา จะอยู่กินกันก็เพื่อการต่อบุญ หมั้นหรือแต่งนาทีนี้นาทีหน้าก็เป็นฤกษ์ดีทั้งนั้นแหละ”

    “รู้ได้ยังไงคะว่าเคยร่วมบุญกันมา?”

    “รู้ซี่ ก็ที่เคยยืนใส่บาตรด้วยกัน ไปกราบหลวงพ่อพุธด้วยกัน ไปวัดทางนฤพานด้วยกัน แพลืมแล้วเหรอ?”

    “อ้อ...”

    แพตรีรับเก้อๆ เพราะฟังทีแรกแปลความหมายไกลเกินไปหน่อย เกาทัณฑ์หัวเราะครึ้ม

    “แพช่วยนัดลุงเอกใหม่นะ ขอเป็นช่วงสายวันอาทิตย์ ส่วนซินสงซินแสนี่ช่างเถอะ เรามั่วเองก็ได้ เอาฤกษ์สะดวกแหละดี ตอนเช้าตั้งใจทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา ซื้อจากตลาดแบบที่เขากำลังจะฆ่าจริงๆน่ะ เสร็จแล้วไปบริจาคเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ทำสังฆทานเลี้ยงพระทั้งวัด ถ้ายังสร้างฤกษ์งามไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป ส่วนเรื่องเวลาสวมแหวนก็บอกเป็นบ่ายสามจุดศูนย์เจ็ดอะไรก็ได้ให้ดูเหมือนมาจากปากซินแสหน่อย เท่านี้ผู้ใหญ่ก็ไม่สงสัยแล้ว”

    หญิงสาวยิ้มหน่อยๆกับท่าทีหัวใหม่ของว่าที่คู่หมั้น

    “แพเคยศึกษาเรื่องฤกษ์งามยามดีมาบ้าง แล้วก็รู้สึกว่าเพื่อเริ่มต้นบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมาย ถ้าได้เวลาอันเป็นจุดตัด จุดประจวบของมงคลปัจจัย หรือช่วงให้ผลของบุญเก่า ก็จะเกิดอิทธิพลเสริมให้ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดี สมัยก่อนจะออกศึกหรือสมัยนี้จะลงหลักปักเมือง ก็ต้องหาฤกษ์หาชัยกันทั้งนั้น แม้แต่โทเลอมี่ที่บุกเบิกด้านดาราศาสตร์ ก็ทุ่มเทศึกษาหาข้อเท็จจริงเชิงโหราศาสตร์เกี่ยวกับอิทธิพลของดวงดาวที่มีต่อชีวิตบนโลกเหมือนกัน

    แต่แพก็เห็นด้วยกับพี่ ที่ว่าซินแสหรือหมอดูมีหลายตำรา หลากทักษะความสามารถ ขนาดระดับทำพิธีสำคัญของชาติยังเคยคำนวณดวงเมืองผิดมาแล้ว ศาสตร์ทำนองนี้ลี้ลับซับซ้อนหาคนรู้จริง แม่นจริงยาก ได้ฤกษ์ยามตามเขาบอกมาแล้วก็แค่สบายใจว่าได้มา ผิดถูกยากจะเอาอะไรวัด

    ฤกษ์พระพุทธองค์ที่ว่าเช้า สาย บ่าย เที่ยง ทำดีเมื่อไหร่ก็ได้ฤกษ์งามเมื่อนั้นน่าจะทำให้เราสบายใจกว่ากัน นี่แพก็เห็นด้วย เพราะอิทธิพลของแรงกระทำจากดวงดาว อาจด้อยกว่ากรรมดีร้ายของเราในปัจจุบันได้ อย่างถ้าฆ่าตัวตายด้วยโทสะหรือโมหะครอบงำ ต่อให้เป็นขณะดาวทำมุมดีที่สุด ก็หนีประตูนรกไม่พ้นอยู่วันยังค่ำ

    แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ติดใจถามว่าได้ฤกษ์มาจากไหน พี่จะตอบว่ายังไงล่ะคะ จะโกหกหรือ? แพว่าเราน่าจะหาบุคคลอ้างอิงที่น่าศรัทธา ฟังแล้วผู้ใหญ่ไม่ขัด อย่างหลวงตาแขวน ท่านว่าเวลาไหน จะใช้เกณฑ์ยังไง เราก็เอาตามนั้นดีไหม?”

    เกาทัณฑ์ยิ้มหน้าใส กระชับกอดแน่นขึ้นนิดหนึ่งด้วยความปลื้ม

    “ต่อไปพออยู่ด้วยกัน พี่คงต้องเป็นช้างเท้าหลังแน่ๆเลย”

    แพตรีฟังแล้วสะดุด เงียบไปพักก่อนเอ่ย

    “อย่าพูดให้เสียกำลังใจสิคะ แพให้เหตุผลดีๆนะ ไม่ใช่ว่าเอาความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าพี่เข้าใจว่าแพเจ้ากี้เจ้าการ จะเอายังไงก็สุดแล้วแต่เถอะ”

    ชายหนุ่มเบิกตาโต หัวเราะเสียงดัง

    “โอ โอ่ โอ้ โอ๊ โอ๋...นี่แหละน้า เป็นมนุษย์สื่อสารกันด้วยคำพูดอย่างเดียวเข้าใจไขว้เขวกันง่ายๆอย่างนี้เอง พี่เห็นด้วยกับแพทุกอย่างต่างหาก ที่บอกว่าต่อไปอยู่ด้วยกันพี่คงเป็นช้างเท้าหลังนั่นก็ด้วยความชื่นชมจากใจจริงหรอก ไม่ได้ประชดประชันอะไรเลย เหตุผลของแพฟังแล้วเย็น คิดตามแล้วไม่อยากแย้งจริงๆ พี่เสียอีกที่เมื่อกี้พูดดุ่ยๆแบบคนหัวแข็งจะเอาตามใจ แพอย่าเข้าใจพี่ผิดนา”

    พูดจบก็หัวเราะอีก แล้วเอียงแก้มซบไหล่หล่อนด้วยความเอ็นดู

    “อย่างนั้นก็แล้วไปเถอะ”

    แพตรีพึมพำ ฟังปลายเสียงรู้ว่าติดงอนหน่อยๆ

    “วันอาทิตย์พอไปหาลุงเอกเสร็จ เรามากราบหลวงตาแขวนกันเลยนะ”

    “เพิ่งเสร็จจากงาน ลงจากเครื่องตอนเช้าแล้ววิ่งรอก ไม่กลัวเหนื่อยหรือคะ?”

    “แค่นี้จะเหนื่อยขนาดไหนกัน ว่าแต่…เป็นไปได้ไหม ถ้าขอให้แพเดินทางกับพี่ด้วย?”

    เขาเต็มไปด้วยความในใจที่พูดลำบาก ภาวนาให้หล่อนตอบตกลง ทั้งรู้ว่าความหวังริบหรี่เท่าแสงหิ่งห้อยกลางทะเลทรายคืนเดือนมืด

    “ไม่ล่ะค่ะ เป็นอะไรกันถึงหอบหิ้วตามไปธุระอย่างนี้ แล้วถ้าแพไปใครจะดูแลปู่”

    “อือ” เขารับซึมๆอย่างเข้าใจ “ไอ้พวกนั้นมันทำงานกันตลอดเจ็ดวัน ชาวบ้านเขาจะหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ลากไปเข้าปิ้งด้วย”

    “ดีแล้วล่ะค่ะ ห่วงงานเถอะ”

    “อาทิตย์หน้านี้พี่มีอะไรให้แพแปลกใจ”

    “อะไรคะ?”

    “บอกแล้วไงว่าจะให้แปลกใจ เฉลยตอนนี้แล้วจะแปลกใจได้ไง”

    “พูดให้อยากรู้แล้วอมพะนำยั่วโมโหนี่นึกว่าดีนักหรือ?”

    “อย่างแพโมโหเป็นด้วย?”

    “เป็นสิ”

    “โมโหแล้วทำไง?”

    ขาดคำเกาทัณฑ์ก็ร้องลั่น เมื่อแขนถูกปลายเล็บจิกหยิกเต็มแรง

    “อู๊ย!...เดี๋ยวนี้ทำร้ายคนเป็นแล้วเหรอ”

    “พี่กลับเถอะค่ะ”

    “ไล่อีกละ”

    “บอกไว้แต่ต้นไง แค่ห้านาทีพอ นี่ตั้งเท่าไหร่เข้าไปแล้ว มาก็ดึกดื่น จะอยู่ให้ถึงเช้าหรือคะ ปู่ตื่นลงมาเห็นอย่างนี้เดี๋ยวก็ถูกห้ามเข้าบ้านหรอก”

    “ก็ได้...ก็ด้าย”

    ชายหนุ่มลากเสียงยานคาง ทิ้งท้ายด้วยการรัดร่างนุ่มแน่นเข้า อย่างจะเข้ารู้ให้ถึงก้นบึ้งหัวใจตนเอง ว่ายังรักและปรารถนาในหล่อนเพียงไหน

    หักห้ามใจ คลายอ้อมแขนออกด้วยความเสียดาย แพตรีลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องอาหารทันที ไม่อ้อยอิ่งรีรอ บังคับให้เกาทัณฑ์ต้องลุกตาม

    ทันกันที่หน้าประตูรั้ว ชายหนุ่มมองรอสบตา เห็นหล่อนก้มมองพื้นท่าเดียวก็เอานิ้วเชยคางขึ้น แพตรียกมือปัดเบาๆ

    “พอแล้วค่ะ”

    เกาทัณฑ์ยิ้มรับ เท่าที่หล่อนยอมก็อิ่มใจพอจริงๆ เลยอำลาโดยดี

    “เช้าวันอาทิตย์พอถึงดอนเมืองพี่จะรีบโทร.หา แล้วมารับทันทีเลย เตรียมตัวไว้นะ”

    กล่าวด้วยความเชื่อว่าวางแผนไว้อย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น เสร็จงานวันเสาร์หมายความว่าเช้าวันอาทิตย์กลับไทยได้โดยสวัสดิภาพ

    เส้นทางชีวิตคนมักมีความแน่นอนตามตารางเวลา น้อยครั้งจะเกิดเรื่องไม่คาดหมาย จึงทำให้หลงคิด หลงรู้สึกว่าสามารถลิขิตเหตุการณ์ประจำวันของตนได้เสมอไป


บทที่ ๒๐  กรรม

เมื่อเรือนแก้วมาถึงเคาน์เตอร์เช็กอิน ก็เห็นร่างสูงของเกาทัณฑ์กำลังยกกระเป๋าเดินทางขึ้นสายพานลำเลียงอยู่พอดี หล่อนยิ้มนิดหนึ่ง รีบลากกระเป๋าของตนรุดไปหา และส่งเสียงเหมือนลูกน้องเจอเจ้านาย

“สวัสดีค่ะท่าน”

พอเขาหันมามองตามเสียงทัก เรือนแก้วก็นึกสนุกพนมมือไหว้ ยอบกายถอนสายบัวอย่างพินอบพิเทา เกาทัณฑ์เห็นแล้วเกือบหัวเราะ หล่อนไหว้สวย ดูชดช้อยนอบนบ อ่อนโยนจริงใจจนต้องรับมุขด้วยการพยักหน้าหงึกหนึ่ง

“อือม์ ไหว้พระเถอะหนู”

นั่นกลายเป็นละครโรงเล็กที่แต่ละฝ่ายลวงตาด้วยภูมิอันมีจริงในตน สบตาแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน ถอดโขนกลับสู่สภาพปกติ

“มานานแล้วเหรอ?”

เรือนแก้วถามพลางเตรียมยกข้าวของขึ้นสายพานเอ็กซเรย์

“ก็เดี๋ยวนี้แหละ”

เกาทัณฑ์ตอบแล้วช่วยเป็นธุระ ออกแรงยกของหนักให้

“จ๋ายมารึยัง?”

“ไม่เห็นนี่ อาจเข้าไปนั่งรอข้างในแล้วมั้ง”

สองหนุ่มสาวผ่านขั้นตอนเช็กอินและเสียค่าธรรมเนียมต่างๆเรียบร้อยแล้วเดินเข้าห้องโถงผู้โดยสารรอขึ้นเครื่องด้วยกัน

“ได้ตั๋วบิสเน็ซคลาสหรือเปล่า?”

หญิงสาวถามอย่างกะจะชวนเขาใช้สิทธิ์พิเศษเข้าไปนั่งในเลานจ์เพื่อทานของว่างและเครื่องดื่ม แต่เกาทัณฑ์สั่นศีรษะ

“ยายจ๋ายเพิ่งจองให้ตอนเช้าวันพฤหัส ก็เหลือแต่ที่นั่งด้านหลังน่ะซี คุณพิจัยเล่นสั่งปุบปับอย่างนี้”

มานั่งเคียงข้างกันที่เก้าอี้รับรองธรรมดา เรือนแก้วแอบยิ้มสะใจไม่ให้เขาเห็น แต่ถามเสียงรื่นฟังเป็นปกติ

“แล้วไงจ๊ะ งานด่วนพิเศษกะทันหันนี่ทำให้ผิดแผนสุดสัปดาห์กับใครหรือเปล่า?”

ถามจี้ใจดำแท้ ชายหนุ่มแสยะยิ้มหน่อยหนึ่งก่อนวางหน้าเป็นปกติ ขณะคิดหาคำตอบอยู่นั้น เผอิญเงาร่างจ้อยผ่านเข้าหางตาดึงความสนใจให้เหลือบมอง ลูกสาวฝรั่งอายุประมาณ 2 ขวบ ตาสีฟ้า ผมสีทองเดินกะด๊อกกะแด๊กเหมือนตุ๊กตาจวนหมดลานใกล้เข้ามา แม่หนูน้อยเงยหน้าขึ้นเห็นสาวผมสั้นนั่งไขว่ห้างแล้วชะงัก ทำตาแป๋วจับจ้องคล้ายสงสัยติดใจอะไรบางอย่าง เรียกว่าตุหรัดตุเหร่มาสะดุดของแปลกแล้วถึงกับมองค้าง

“อุ๊ย! น่ารัก!”

หญิงสาวอุทาน แต่พอหล่อนยิ้มใจดี แบสองมือยื่นเหมือนจะขออุ้ม แม่หนูก็ลังเล เริ่มหันรีหันขวาง และที่สุดคือตัดสินใจหมุนตัว ซอยเท้าปร๋อกลับไปหาแด๊ดดี้กับมัมมี่ที่ยืนหัวร่อเอิ๊กอ๊ากอยู่กับชายไทยคนหนึ่ง

“เฮ้อ! ทำงานจนลืมอยากมียังงี้มั่ง”

เรือนแก้วเปรยบ่นอย่างปราศจากความขวยเขิน

“โถ แม่คุณ ทำเป็นบ่นแล้ว เพิ่งอายุเท่าไหร่เอง”

“ก็เท่าที่สมัยก่อนเขามีลูกกันครึ่งโหลล่ะน่า”

ชายหนุ่มยิ้มในหน้า คนเราพอมีความมั่นคงในอาชีพการงานถึงจุดหนึ่ง เมื่อเห็นเด็กน่ารักเข้าก็มักเกิดแรงบันดาลใจอยากมีของตัวเองไว้อุ้มเล่นบ้าง

“เห็นลูกคนอื่นน่ารัก อยากมีลูกกับเขามั่ง พอลูกออกมาหน้าเหมือนหนูถีบจักรก็เสร็จเลยนะเธอ”

เขาพยายามเบี่ยงเบนให้เป็นเรื่องชวนหัว

“ถ้าพ่อหล่อแม่สวยลูกออกมาต้องน่ารักอยู่แล้วล่ะ ไม่กลัวหรอก”

เรือนแก้วโต้คล้ายค้าน มีนัยแฝงในน้ำเสียงและวิธีปรายหางตาที่พอเชื่อว่าเจตนาจูงใจให้คิดถึงเงาร่างที่เคียงข้างกันระหว่างหล่อนกับเขา และเห็นความเข้าคู่เหมาะเจาะราวกับเป็นสองข้างปีกผีเสื้อลายเท่แปลก ซ้ายขวาดุจเงาสะท้อนที่รักษาดุลของแต่ละฝ่ายไว้พอดีกัน

เกาทัณฑ์พลอยนึกตามถึงความน่าจะเป็นที่ลูกผู้มาเกิดกับตนและเรือนแก้วคงน่าเอ็นดู สังสารสัตว์มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เมื่อมาเกิดกับพ่อแม่คู่ไหน ก็ต้องอาศัยระดับบุญบารมีที่คล้องจองตามนั้น ช่วงชีวิตนี้ของเขากับหล่อนมีแต่น้ำขึ้นกับขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าวิบากดีกำลังให้ผลเต็มกำลัง ดังนั้นเมื่อได้ลูก ก็ควรเป็นวิญญาณที่มีดีพอมาร่วมเสวยสุขที่พ่อแม่สั่งสมไว้ปูพรมรอรับ

จับตาเล็งแลแม่หนูน้อยผมทองคนนั้น ซึ่งบัดนี้ไปยืนเกาะขาแหม่มผู้เป็นแม่แจ รู้สึกครึ้มจนเผลอระบายยิ้มอยู่พักหนึ่ง ก่อนหุบลงก้มหน้าขมวดคิ้วตำหนิตนเองเมื่อรู้ตัวว่าคิดเลยเถิดมาถึงไหนแล้ว

ใจ…

อยู่ใกล้ใครก็ไขว้เขวมาหาคนนั้น

“เต้ เธอเชื่อไหมว่าคู่สร้างคู่สมนี่จะหน้าตาคล้ายกัน?”

เรือนแก้วถามเหมือนลืม…ลืมสนิทว่าเขากับหล่อนมีความละม้ายจนใครต่อใครทักถามหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า

“ก็…”

เกาทัณฑ์คิดอยู่ครู่ ถ้าสมัยก่อนเขาคงตอบกลั้วหัวเราะทำนองเห็นเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้ว

“ถ้าเอาที่ผมเชื่อตอนนี้ คนเราหน้าตาคล้ายกันก็เพราะทำอาจิณณกรรม หรือกรรมที่ทำจนสั่งสมเป็นความเคยชินมาทำนองเดียวกัน ถ้าทำด้วยกันก็เป็นความผูกพันดึงดูดมาเข้าคู่ได้ แต่ถ้าต่างคนต่างทำ ก็คงไม่มีความเกี่ยวพันอะไร แบบดารานำที่ดูละม้าย สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่เห็นมาจับคู่กันนอกจอเลย”

เรือนแก้วคิดครวญแล้วพึมพำ

“แอ้ก็เคยนึกนะว่าในบรรดาการเข้าจับคู่กันของสิ่งต่างๆในธรรมชาติ การจับคู่ของมนุษย์หญิงชายมีเงื่อนไขซับซ้อนพิสดารกว่าอย่างอื่นหมด...”

เมื่อคิดถึงคำว่า ‘อาจิณณกรรม’ ที่เกาทัณฑ์ใช้เมื่อครู่ ก็ถามสืบต่อมา

“ว่าแต่กรรมนี่คือการกระทำใช่ไหม?”

เกาทัณฑ์พยักหน้า

“นั่นคือคำแปล แต่เมื่อพูดว่า ‘การกระทำ’ นี่คนมักนึกถึงการลงไม้ลงมือทำเรื่องราวให้เกิดอะไรขึ้นสักอย่าง พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนคือ ‘เรากล่าวว่ากรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม’ หมายความว่าแค่คิดก็เป็นกรรมได้แล้ว ยังไม่ต้องพูด ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวมือไม้กันเลย”

เรือนแก้วเอียงคอข้องใจ

“แอ้มักหงุดหงิด ขับรถแล้วนึกด่าพวกซิ่ง พวกปาด พวกเร่งจี้หลังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็ถือว่าเป็นอาจิณณกรรม เป็นตัวนำมาเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ได้?”

เกาทัณฑ์ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะผนึกจิตให้รวมแน่นอยู่ในสภาพเห็นกายเป็นอนัตตา แล้วจึงทบทวนคำถามของเรือนแก้วใหม่ อาศัยจิตของตนเป็นเวทีทดสอบของจริง ชั่งน้ำหนักแล้วกล่าวตอบอย่างละเอียดตามความเห็นที่เกิดขึ้น

“สมมุติว่าแอ้ขับรถอยู่เพลินๆ จู่ๆมีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งปาดหน้าแซงเข้าเลน ทำให้ต้องเหยียบเบรกกะทันหัน แอ้ตกใจและเกิดความโมโหจัด พร้อมกันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมักเป็นคำด่าสั้นๆในหัว โดยไม่ต้องเค้นคิด หรือตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าพอโมโหแล้วเราจะคิดอย่างนี้ ใช่หรือเปล่า?”

เรือนแก้วจินตนาการตามแล้วพยักหน้ารับไม่คัดง้าง

“นั่นคือความเคยชินที่จิตคัดสรรคำร้ายๆขึ้นมากระแทกใส่คนขับมารยาททราม จะเป็นคลื่นความคิดอย่างเดียว หรือเป็นตะคอกออกจากปากก็ขึ้นอยู่กับระดับความตกใจที่จุดโทสะขึ้นมา อันนี้แหละจัดเป็นอาจิณณกรรม เพราะทำจนเคยชิน

ทีนี้ว่ากันในแง่นำให้เกิดเป็นนั่นเป็นนี่ จะเล็งเอาเฉพาะตอนอยู่ในรถอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูจังหวะอื่นเช่นตอนขัดแย้งกับคนอื่นในห้องประชุม ตอนหาของไม่เจอ ตอนแอร์เสียในหน้าร้อน และอีกสารพัดเหตุการณ์วัดใจ คือดูโดยรวมว่าเมื่อเกิดโทสะขึ้นแล้วสิ่งที่ตามมาคืออะไร คำหยาบในหัว เจตนาร้าย กิริยากระบึงกระบอน หรือสติสัมปชัญญะ ความข่มใจ ความฉลาดในการเปลี่ยนอารมณ์

พูดง่ายๆ วัดเอาจากทั้งชีวิตว่าช่างโกรธไปหมดทุกเรื่องหรือเปล่า ผลของความช่างโกรธเสมอๆนั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวสร้างอัตภาพใหม่ เช่นทำให้มีผิวพรรณไม่น่าดู ทำให้รูปทรามแสลงตาคนเห็น

แต่ถ้าเคราะห์หามยามร้าย ก่อนตายเกิดโมโหโกรธาอะไรขึ้นมาแล้วจิตดับขณะเป็นอกุศล เช่นกำลังนึกด่ารถกระบะคันหน้าแล้วรถเครนล้มตึงลงทับเราขาดใจตายคาที่ อกุศลกรรมนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เรียก ‘ชนกกรรม’ ส่งให้เป็นเปรต หรือผีตายโหงวนเวียนแถวที่เกิดเหตุ หรือดีไม่ดีอาจพุ่งหลาวลงนรกไปเลย กระแสวิญญาณมันสร้างรูปสร้างเรือนให้ตัวเองอยู่ตามสภาพล่าสุดของตัวเองเสมอ”

“สรุปแล้วแอ้เป็นคนขี้โมโห ตายไปเกิดใหม่จะรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว?”

“ผมไม่มีญาณหยั่งรู้หรอก เพราะแอ้มีอะไรมากกว่าความ ‘ขี้โมโห’ อยู่มาก และที่ผมพูดถึงโทษของความเป็นคนขี้โมโหนี่ก็ว่าตามเนื้อผ้า เอาตามที่พระพุทธองค์เคยตรัสกับมเหสีกษัตริย์ใหญ่องค์หนึ่งว่ามาตุคามผู้มักโกรธจะมีรูปทราม ใช่จะสรุปรวบรัดว่าคราวหน้าแอ้เกิดแล้วจะขี้เหร่แน่ๆ”

“ผู้หญิงก็ยัวะเก่งทั้งนั้นแหละ”

“ถึงหาที่ผิวสวย หน้าใส ดูชื่นตาชื่นใจยากไง”

“หลายคนที่แอ้รู้จัก เห็นผิวสวย หน้าใส ก็ด่าเก่งเป็นไฟแลบเยอะแยะ เรียกว่าทั้งมโนทุจริต วจีทุจริตเหมาหมด ทำไมเป็นงั้นล่ะ? ผลของความสวยใสน่าจะเกิดจากอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลของชาติใกล้ ซึ่งเป็นผู้ไม่มักโกรธนี่นะ ทำไมถึงไม่ติดนิสัยมาถึงชาติปัจจุบันกันบ้าง?”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้ายิ้ม

“ยังไงไม่รู้แฮะ ผู้หญิงสวยกับความปากจัด ความเจ้าอารมณ์นี่มักจะมาด้วยกันจริงๆ อาจเป็นเพราะความเคยชินที่ได้รับการพะนอเอาใจมาก เลยอ่อนไหวกับเรื่องขัดใจมั้ง พอสวยแล้วลืมนิสัยเก่าหมด ดูง่ายๆในช่วงชีวิตเดียวก็ได้ อย่างคนจนที่เคยเสงี่ยมเจียมตัว พอรวยก็ยะโสโอหังกันไป

และก็ใช่ว่าความเก่งในการระงับโกรธจะผูกขาดเป็นตัวสร้างอัตภาพที่สวยงามอย่างเดียว ศีลบริสุทธิ์ก็ทำให้สวยได้ ขัดล้างทำความสะอาดพระพุทธรูปก็ทำให้สวยได้ หรือแม้ไม่ใช่บุญกิริยาในพุทธมณฑลก็อาจทำให้สวยได้อีกเหมือนกัน ขอให้เป็นอาจิณณกรรมเข้าล็อกที่จะให้เกิดการบันดาลรูปอันเป็นฝ่ายกุศลอย่างสม่ำเสมอเถอะ เช่นถ้าเคยชินกับการมองคนและสัตว์ด้วยความรักออกมาจากใจจริง ก็ทำให้นัยน์ตางามอย่างที่เขาว่าแลตะลึง”

เรือนแก้วย่นจมูกนิดหนึ่ง

“อย่างกับคนในโลกนี้น่าให้มองด้วยความรัก ความจริงใจนักล่ะ”

เกาทัณฑ์หัวเราะหึๆ

“เหมือนเล่นเกมไง สภาพแวดล้อมถูกออกแบบไว้ให้เข้ารกเข้าพงกันเกือบหมด เหลือหลุดรอดเข้าปราสาท เข้าวิมานกันน้อยเท่าน้อย รอบด้านบีบคั้นให้เราครึ่งดีครึ่งร้าย ไม่ผิดแผกจากกันเท่าไหร่นัก อย่างลูกฝรั่งเมื่อกี้เนี่ย โตขึ้นตาสวยหาตัวจับยากแน่ ถ้าแอ้เห็นอย่างนี้บ่อยๆจะร้องออกมาดังๆเหรอว่าน่ารัก นั่นแสดงว่าเขาเคยฝ่าด่านยากมาไม่เหมือนใคร”

“พูดก็พูดเถอะ เท่าที่แอ้คบสนิทกับเพื่อนสวยๆหลายคน ยิ่งเห็นจิตใจ เห็นไส้เห็นพุงกันมากเท่าไหร่ ยิ่งไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากรรมเวรมีจริง คนเราถ้าเคยแสนดีมาจนแสนสวย รวยหรูกันได้ขนาดนั้นก็น่าจะเหลือเค้า เหลือร่องรอยกันบ้าง นี่อะไร เลวตลอดศกอย่างกับยักษ์มารมาเกิด”

“เรื่องกรรมนี่ซับซ้อนมากนะแอ้ ถ้าศึกษาลงไปลึกๆแล้ว จะเห็นว่าสิ่งที่เรียก ‘เจตนา’ นั้น เป็นประธานการปรุงแต่งจิตอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ลองคิดว่าชั่วชีวิตเราสั่งสมนิสัยและความเคยชินไว้ตั้งหลายอย่าง ก็ต้องมีบ้างที่ขัดแย้งกันเอง

แถมกรรมบางชนิดนั้น แค่ทำครั้งเดียวอาจชนะกรรมฝ่ายตรงข้ามรวมกันเป็นร้อยชาติ เช่นถวายดอกบัวขาวบริสุทธิ์แก่สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยศรัทธาแก่กล้า ด้วยเจตนาเคารพบูชาอย่างลึกซึ้ง ถวายแล้วเกิดโสมนัสแรงต่อเนื่องเป็นชั่วโมงๆ อย่างนี้ผลที่เกิดจะยากแก่การประมาณ และเกินจะกำหนดที่สิ้นสุด ต่อให้มักโกรธไปบ้างก็ยังสวยอยู่นั่นเอง แม้จะกร่อยลงตามส่วนก็เถอะ”

เรือนแก้วขบริมฝีปากหน่อยๆ

“ถ้าผู้หญิงสองคนระงับโกรธได้เก่งตลอดชีวิต และถือศีลบริสุทธิ์ได้คงเส้นคงวาเหมือนกัน อย่างนี้ทำให้เกิดใหม่แล้วสวยสไตล์เดียวกัน หน้าตาเหมือนๆกันหรือเปล่า?”

“คำตอบอยู่ในคำถามแล้วนี่ แม้ชีวิตคนเรามีอาจิณณกรรมอยู่หลายประเภท หลายชนิด แต่ก็มีสายหลัก สายลึกอยู่ไม่เท่าไหร่ โอกาสที่คนเราจะหน้าตาดีและคล้ายกันจึงพอมีอยู่ และหาไม่ยากจนเกินไปนัก ตัวอย่างง่ายที่สุดเห็นจะได้แก่คู่แฝดทั้งหลาย”

ใบหน้าของเรือนแก้วกราดด้วยรอยยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย หล่อนดีดหลังมือปัดปลายผมที่สปริงตัวได้อย่างมีชีวิตชีวาของตนแล้วถามว่า

“แอ้ล่ะ สวยแบบไหน?”

เกาทัณฑ์ยิ้มเมิน จนหล่อนต้องเขย่าแขนเร่งร้องเซ้าซี้

“บอกหน่อยดิ้”

“แบบที่…ไม่มีใครเหมือนมั้ง”

หญิงสาวหัวเราะเป็นกังวานกระจาย ทั่วอาณาบริเวณดูกระจ่างใสขึ้นตามพลังอัดในคลื่นเสียงแห่งความเบิกบานนั้น

“แสดงว่าแอ้ทำกรรมดีมาแปลกกว่าชาวบ้านงั้นสิ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ลองดูร่องรอยจากตัวเองในปัจจุบันสิว่าเหมือนใครเขาไหม”

เรือนแก้วหัวเราะอีก ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง วี่แววร่าเริงลดลง

“ถ้าทำกรรมร้ายๆไว้มากนี่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ใช่ไหม?”

“แค่ขาดความละอายต่อบาปก็เป็นสัตว์ได้แล้ว ไม่ต้องทำกรรมหนักไว้มากหรอก”

คนหน้าสวยเก๋อึกอักไปชั่วขณะ

“ก็แปลว่าคนที่เห็นเดินๆนั่งๆกันอยู่นี่อีกหน่อยอาจแปลงร่างเป็นหมูหมากาไก่ซีนะ บางทีเห็นสัตว์แล้วก็ทำใจเชื่อยากว่าครั้งหนึ่งพวกมันเคยเป็นอย่างอื่นมาก่อน วันๆเอาแต่เดินต้วมเตี้ยม ไม่เห็นทำอะไรนอกจากรอตายไปตามเวลา เว้นแต่คนจะเอามาฝึกใช้งาน จินตนาการให้คล้อยตามได้ยากเหลือเกินว่าอาจเคยเป็นแม้กระทั่งมนุษย์อย่างเราที่คิดได้ พูดได้ ก่ออารยธรรมเป็นตึกรามบ้านช่องได้”

“แอ้ต้องมองว่าอัตภาพแต่ละชนิดเป็นพืชพันธุ์ตามธรรมชาติ เหมือนต้นหมากรากไม้ที่แตกต่างกันจนไม่อาจเทียบเคียง เช่นต้นปาล์มกับต้นเข็มอย่างนี้ เมื่อโตขึ้นมาตามเมล็ดพันธุ์ไหนแล้วก็จะมีลักษณะความเป็นเช่นนั้น แตกต่างสิ้นเชิงกับพันธุ์อื่น

พระพุทธองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่ากรรมเหมือนเนื้อนา วิญญาณเหมือนพืช วิญญาณที่เหมาะกับความเป็นสัตว์ เมื่อเคลื่อนมาสู่อัตภาพของความเป็นสัตว์ ก็ไม่หลงเหลือเค้าเงาของมนุษย์ให้เห็นอีก จะรูปร่างหน้าตาหรือความคิดอ่านก็ตาม ธรรมชาติที่รองรับความเป็นอย่างนั้นคือพืชพันธุ์เฉพาะตัว เอาไปเทียบข้ามพันธุ์ด้วยตาเปล่าก็เชื่อยากเป็นธรรมดา แต่ถ้าเทียบด้วยประเภทของจิตใจแล้ว อาจเห็นความละม้ายคล้ายคลึงได้อยู่ อย่างที่เราได้ยินคำเปรียบเปรยเช่นซนเหมือนลิง ดุเป็นเสืออะไรทำนองนั้น”

เกาทัณฑ์พูดโดยไม่เหลียวมาสังเกตว่าเรือนแก้วเงื่องหงอยลงถนัด

“คำพูดคำเดียวส่งให้คนไปเกิดเป็นสัตว์ได้ไหม?”

“ก็ต้องแล้วแต่ว่าพูดอะไร พูดกับใคร ด้วยใจที่แรงขนาดไหน ส่งผลร้ายทางยืดเยื้อยาวนานเพียงใด ถ้าหากว่าคำพูดคำเดียวนั้นมีผลสำคัญ โดยเฉพาะกระทบผู้ทรงคุณ หรือผู้เป็นบุคคลพิเศษของเราอย่างพ่อแม่บังเกิดเกล้า ทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายในทางใดทางหนึ่ง อันนี้ก็คิดว่ามีน้ำหนักพอจะส่งไปเป็นสัตว์ได้นะ”

“เป็นไปทุกชาติเลยเหรอ?”

เกาทัณฑ์แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเรือนแก้วบีบมือเข้าหากันขณะก้มหน้าถามเสียงอ่อย

"เท่าที่รู้มา พอถอยหล่นจากความเป็นมนุษย์ลงภูมิสัตว์ ก็มักจะหาทางขึ้นยาก ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างเช่นสัตว์มีแต่สัญชาตญาณ โอกาสจะพัฒนาจิตให้สูงนั้นน้อย คือต้องมีโอกาสคลุกคลีกับมนุษย์ใจสูง อีกอย่าง พระท่านว่าสัตว์แต่ละชนิดมักติดอยู่ในกามแบบของตน ถึงบางทีจะมีบุญวาสนาหนุนหลัง ถ้าติดใจกามในอัตภาพหนึ่งๆแล้ว ก็จะวนเวียนอยู่ในภพแบบนั้นเอง"

“อย่างถ้าแกล้งพูดทิ่มตำให้พ่อแม่ช้ำใจ ทำนองว่าเกิดเป็นลูกสัตว์ยังดีกว่าเป็นลูกท่าน อย่างนี้ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ไปเรื่อยๆ หาชาติสุดท้ายไม่เจอน่ะซี? เป็นสัตว์ฟังธรรมไม่รู้เรื่องนี่”

เกาทัณฑ์บดริมฝีปากใคร่ครวญ เพราะสังหรณ์ว่าถ้าตอบผิดนิดเดียว ผลที่ตามมาอาจเป็นความกังวลใจไม่รู้เลิกของเรือนแก้วไปจนชั่วชีวิต และนั่นแหละจะกลายเป็นของจริง ถ้าก่อนตายเกิดไพล่ประหวัดกังวลขึ้นมา ความคิดกังวลนั้นจะเป็นชนกกรรม หรือกรรมนำเกิดเป็นร่างร้ายไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมหนักขนาดที่หล่อนว่านั้น ใช่ว่ามีโทษแค่เป็นสัตว์ตามคำพูด แต่ความหยาบคายที่ก่อความเสียใจรุนแรงให้เกิดขึ้นในบุพการี เป็นบาปอันกล้าแข็ง มีแรงเหวี่ยงส่งตรงได้ถึงนรกทีเดียว ความที่เขาเป็นผู้เคยเห็นนรกมาก่อนทำให้ซึมซับและพอจะชั่งน้ำหนักกรรมได้อยู่

“ผมไม่ได้มีญาณหยั่งรู้เรื่องกรรมวิบากลึกซึ้งนะแอ้ ใจรู้ได้แต่หน้าตาของกรรม แต่ผลกรรมนั้นต้องศึกษาตามพุทธดำรัสไปพลางๆ ว่าทำอย่างไร จะได้ผลอย่างไร

คนเรานี่ เพราะมองไม่เห็นวิบากกรรมที่เกิดจากการกระทำหนึ่งๆ ทำให้กล้าก่อบาปหยาบช้าสารพัด ขนาดพระเทวทัตนะ สำเร็จอภิญญา มีตาทิพย์ หูทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศได้ ยังมองไม่เห็นเลยว่าคิดประทุษร้ายพระพุทธเจ้าแล้วโทษที่ตามมาคือความร้อนในอเวจีมหานรก อย่าต้องนับมาถึงพวกเราที่จิตขุ่น ปราศจากญาณหยั่งรู้เลย

แต่ผมแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่ากรรมเป็นสิ่งมีอายุขัย หมายความว่าให้ผลจนหมดแรงเมื่อไหร่เป็นอันเลิกเมื่อนั้น คล้ายกับที่เราออกแรงถีบจักรยานไปครั้งหนึ่ง ถ้าเบาก็เคลื่อนแค่ใกล้ ถ้าแรงก็พุ่งได้ไกล ทำกรรมหนักขนาดไหนก็คงชดใช้จนหมดเข้าสักวัน

ที่สำคัญกรรมแต่ละชนิดอาจหย่อนแรงลงได้ถ้ามีปัจจัยตรงข้ามมาแทรกแซง เช่นสมมุติว่าด่าพ่อแม่แรงๆแล้วต้องเกิดเป็นสัตว์เจ็ดครั้ง หากสำนึกได้ ขออโหสิ และไม่ทำกรรมหนักชนิดเดียวกันซ้ำอีกเลย ก็อาจลดลงเหลือแค่เกิดเป็นสัตว์หนเดียว ไม่มีความยืดเยื้อ เพราะระงับเวรได้ด้วยคู่กรณีเอง และที่สำคัญคือเมื่อใกล้ตาย จิตจะไม่ประหวัดถึงเลย เพราะโล่งไปแล้ว เหมือนผ่านหายไปแล้ว เมื่อจิตก่อนตายไม่ประหวัดถึงกรรมชั่ว ก็เบาใจได้ว่ากรรมชั่วนั้นๆจะไม่เป็นชนกกรรมนำเกิดเป็นวิญญาณบาป”

สีหน้าของเรือนแก้วดีขึ้นหน่อยหนึ่ง เพิ่งรู้ว่าการขออโหสิ ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดที่ทำไว้กับพ่อมีความหมายเพียงใด

“แล้วมีไหมที่เราสามารถลบล้างบาปด้วยบุญอย่างเด็ดขาด?”

เกาทัณฑ์ตรึกนึก เผอิญวันก่อนเขาเพิ่งอ่านเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าอโศก ซึ่งมีตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาธรรมเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้พอดี

“ครั้งหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชเคยตรัสถามพระโมคคัลลีบุตรผู้เป็นอรหันต์ ว่ากรรมดีและกรรมชั่วลบล้างกันได้หรือไม่ พระมหาเถระทูลตอบโดยจับเค้าจาก ‘โลณกสูตร’ ซึ่งพระพุทธองค์เคยเทศน์โปรดไว้ คือถ้าแทนคำว่า ‘ลบล้าง’ ด้วย ‘ละลาย’ จะฟังง่ายขึ้น ความดีสามารถละลายความชั่วให้จางหายได้ เช่นเดียวกับที่นำเกลือกำมือหนึ่งใส่ลงไปในอ่างที่มีน้ำปริมาณน้อย เราจะเห็นว่าน้ำในอ่างนั้นมีรสเค็มอยู่ แต่เมื่อเติมน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มนั้นจะจางลงทุกที กระทั่งหายไปไม่เหลือรสเค็มเลย โดยเฉพาะเมื่อปริมาณของน้ำนั้นมากเหลือเกิน ทั้งที่จริงเกลือก็ยังคงอยู่ในอ่างไม่ระเหยหายไปไหน อย่างนี้ท่านเรียกทำกรรมชั่วให้อยู่ในสภาพ ‘มีเหมือนไม่มี’ นั่นเอง”

กระแสปีติบังเกิดขึ้นในใจของเรือนแก้ว บันดาลยิ้มใสขึ้นได้ เพราะรู้กำลังตัวเองว่ามีความฉลาดที่จะทำให้คนรอบข้างเป็นสุขเพียงใด จะยากอะไรกับการแก้มือ ‘เติมน้ำ’ ใส่หัวจิตหัวใจพ่อมากๆ

“เต้เพิ่งสนใจศาสนาไม่นาน ท่าทางรอบรู้ดีนะ มีทางลัดที่จะรู้เนื้อหาในพระไตรปิฎกเร็วๆหรือเปล่า?”

เกาทัณฑ์ผงกศีรษะ

“มีอยู่ นับว่าคนไทยโชคดีมากที่ท่านอาจารย์ สุชีพ ปุญญานุภาพ รวบรวมและย่อความจากฉบับบาลี 45 เล่มไว้เป็นเล่มเดียวคือพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ท่านคัดข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก และตามด้วยย่อความพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรมไว้ครบ ทำให้เป็นไปได้จริงที่จะเลือกอ่านจุดสำคัญที่สุดจนครบโดยไม่ซ้ำซ้อน ราคาถูกเหมือนได้เปล่าด้วย”

เรือนแก้วเบิกตา นึกอยากได้ขึ้นมาทันที

“หาได้จากไหนล่ะ?”

“เห็นว่าเป็นของมหามกุฏราชวิทยาลัยนะ แต่ก็เอามาวางตามร้านหนังสือแล้ว ผมก็ซื้อจากร้านธรรมดานี่แหละ คงหาง่ายอยู่หรอก เพราะพิมพ์ครั้งล่าสุดตั้งแสนเล่มแน่ะ ถ้าแอ้อยากได้เดี๋ยวกลับกรุงเทพฯผมซื้อให้เลย”

เรือนแก้วยิ้มหวาน

“ขอบพระคุณนะเจ้าคะ”

ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เรือนแก้วจำได้ว่าเป็นเสียงเครื่องตนก็เปิดกระเป๋าและหยิบขึ้นมากาง

“สวัสดีค่ะ”

“หนูแอ้เหรอจ๊ะ นี่ป้าจุ้มนะ”

“ค่ะป้า ว่าไงคะ หนูกำลังรอน้องจ๋ายอยู่เนี่ย กำลังจะโทร.เช็กพอดี”

ฝ่ายนั้นอึกอักเป็นครู่ ก่อนเอ่ยสั่นๆ

“อยู่ที่โรงพยาบาลจ้ะ อาหารเป็นพิษ นี่จ๋ายเขาบอกให้ป้าโทร.หาหนูน่ะ เขาสติเลอะๆเลือนๆบอกเบอร์หนูผิด ป้าต้องโทร.ให้คนที่บ้านหาอยู่นานกว่าจะเจอในสมุดของเขา”

“อาการหนักมากไหมคะ?”

“หน้าเหลือสองนิ้วเลยหนูแอ้ แย่จัง งานเสียหายมากไหมถ้า...”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

เรือนแก้วตัดบท ความจริงน้องจ๋ายนี่มีหน้าที่แค่ถือโน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ให้หล่อนตอนเดินเข้าไปหาคู่ธุระเท่านั้น เรื่องของเรื่องคือหล่อนต้องการเพื่อนเดินทาง หรือจะเรียกให้โก้หน่อยว่าคนติดตามก็ได้ ทุกเที่ยวธุระต่างประเทศของหล่อนจะมีน้องคนนี้ตามประกบเสมอ เพราะสนิทคุ้นเคยกัน จะไหว้วานทำสิ่งใดก็คล่องแคล่วรู้ใจทุกอย่าง พิจัยเห็นหล่อนทำประโยชน์ไว้มาก ขอแค่นี้เป็นเรื่องเล็ก จึงอนุญาตมาตลอด

คุยกับญาติของน้องอีกสองสามคำ ถามไถ่อาการและบอกว่ากลับจากสิงคโปร์จะไปเยี่ยม พอตัดสาย หันมาเห็นเกาทัณฑ์มองค้างอยู่ก่อนก็ยิ้มให้

“ขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนแอ้แทนน้องจ๋ายนะ”

 

ได้ที่นั่งคู่ริมหน้าต่างซีกซ้าย เกาทัณฑ์กางหนังสือพิมพ์อ่าน ส่วนเรือนแก้วผินหน้าสอดสายตาสู่ความมืดไร้จุดหมายเบื้องนอกหน้าต่างอันแคบเล็ก พลางเคี้ยวขนมพายที่แอร์โฮสเตสนำมาเสิร์ฟตุ้ยๆ

เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไปด้วยความเงียบระหว่างกัน ขณะสายตาเกาทัณฑ์กำลังกวาดข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับที่สอง ศีรษะของหญิงสาวก็ยื่นเข้ามาแทรกระหว่างเขากับหน้ากระดาษ

“ลองชี้ซิข่าวไหนน่าสนใจกว่าแอ้”

ปลายจมูกของเขากับกลุ่มผมสั้นสลวยราวมุ่นไหมของหล่อนห่างกันแค่หายใจรดถึง กลิ่นผมกรุ่นกำจายมากระทบฆานประสาทถนัด เรือนแก้วค้างนิ่งในท่านั้นอย่างจะรอให้เขาชี้จริงจัง เกาทัณฑ์กลั้นใจ สั่งตนเองมิให้เผลอลอบยื่นจมูกเข้าดอมดมเครื่องล่อตรงหน้า ทุกส่วนในร่างเรือนแก้วเป็นสิ่งต้องห้าม เผลอแตะเมื่อไหร่เป็นเรื่องเมื่อนั้น

พับหนังสือพิมพ์สอดเก็บลงกระเป๋าหลังพนักเป็นการกำจัดเครื่องยึดหล่อนให้ค้างคารอคอย เพราะนานไปเขาเองคงหมดความอดกลั้นกับระยะประชิดยวนใจเข้าจนได้ เรือนแก้วดึงกายไปนั่งหลังตรงตามเดิมก่อนอุบอิบกระเง้ากระงอด

“พอขึ้นเครื่องก็ตัดไมตรีเชียวนะ เห็นแอ้เป็นกระเป๋าเดินทางหรือไง ไม่เหลียวแลเลย”

“ก็เห็นกินของว่างแกล้มวิวนอกหน้าต่างอยู่นี่ ใครจะรู้ว่าอยากให้ขัดจังหวะ”

แล้วเกาทัณฑ์ก็พลิกนาฬิกาขึ้นปรับเวลาเร็วขึ้นกว่าเดิมชั่วโมงหนึ่งและเปรยแกมบ่น

“กว่าจะถึงชางจียังอีกเกือบสองชั่วโมง เพลียนะ อยากหลับมากเลย พยายามอ่านหนังสือพิมพ์ให้ง่วงก็กลายเป็นตาแข็งหนักเข้าไปอีก”

“อยากหลับให้ฝันเห็นแม่เทพธิดาที่กรุงเทพฯกระมัง”

หญิงสาวสันนิษฐานด้วยท่าทีกระแนะกระแหน

“ลืมตาก็เห็นนางฟ้าอยู่แล้ว จะรอฝันทำไม”

เกาทัณฑ์ตอบด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ เรือนแก้ววาดสายตามามองตรงทันที

”จริงเหรอ?”

เสียงคาดคั้นของอีกฝ่ายทำให้เกาทัณฑ์หัวเราะเอื่อยเฉื่อย ระงับใจไม่คะนองลิ้นไปกว่านั้น

“แอร์โฮสเตสเขาเรียกนางฟ้านี่นะ”

หญิงสาวหรี่ตา ยกมือกอดอก ปั้นปากถาม

“แล้วนังคนที่นั่งอยู่ข้างตัวนี่เรียกอะไร?”

ชายหนุ่มยิ้มเฉียง ทำเป็นยกมือป้องหน้าผากเบิ่ง

“แม่มดร้าย”

แม้รู้กันว่าเป็นคำหยอกเย้าเล่น แต่ก็ทำให้เค้าหน้าเรือนแก้วสลดลงได้

“แย่จัง...แล้วทำไงจะเป็นนางเอกในสายตาของเต้ล่ะ ต้องนุ่มนิ่มเป็นนางในวรรณคดีเหมือนคุณน้องที่กรุงเทพฯสินะ?”

“ล้อเล่นน่า อย่างแอ้ถ้าเป็นแม่มดก็แม่มดเจ้าเสน่ห์ มีฤทธิ์เดชแพรวพราว ใครเห็นใครก็ต้องยกให้เป็นนางเอก อยากได้เป็นแฟนกันทั้งเมือง”

“รวมทั้งเต้ด้วยเหรอ?”

หญิงสาวลดระดับเสียงลงเป็นกระซิบ มองเพื่อนหนุ่มที่ปรับพนักเอนอย่างผ่อนคลาย เขาสบตาตอบหล่อนด้วยกังวานเสียงทอดนุ่ม

“สำหรับผมน่ะเกินเอื้อม อย่าให้คิดดีกว่า”

“ก็ไม่ลองดูล่ะ?”

“เคยลองแล้วไง”

สานตากันนิ่งและนาน กระทั่งเรือนแก้วเป็นฝ่ายกะพริบก่อน และโน้มกายเข้าหาชายหนุ่มเพื่อให้แน่ว่าเขาจะตั้งใจฟัง

“ถามอะไรอย่างได้ไหม?”

เมื่อเขาพยักหน้าจึงเอ่ย

“มีอยู่คืนหนึ่งที่เต้เดินไปส่งแอ้ที่รถ แล้วดึงเอวแอ้เข้ามากอดน่ะ หมายความว่ายังไง คิดยังไงเหรอ?”

เกาทัณฑ์กะพริบตาอย่างนึกไม่ถึงว่าหล่อนจะมาด้วยคำถามนี้ พอเขาอ้ำอึ้ง เรือนแก้วก็กล่าวต่อด้วยเสียงเรียบ

“ไม่ใช่จะต่อว่าย้อนหลังอะไรหรอกนะ แค่อยากแก้ความเข้าใจเสียใหม่ ถ้าคิดว่าแอ้ไม่ค่อยมีค่านัก ความจริงก็คือแอ้ไม่เคยยอมให้ใครทำอย่างนั้นมาก่อนเลย”

ลักษณาการตัดพ้อทำเอาเกาทัณฑ์ค้างงันไป รู้สึกคล้ายกลายเป็นจำเลยผู้กระทำผิดเพิ่งถูกจับมาตั้งข้อหา ความจริงเขาแตะเนื้อต้องตัวหล่อนมาหลายครั้ง และหล่อนเองก็กระแซะเขาออกบ่อย ทำไมแค่ดึงเข้ามากอดหน่อยเดียวถึงจดจำและทวงถามราวกับถือเป็นเรื่องใหญ่เอาตอนนี้ด้วย?

เรือนแก้วเป็นฝ่ายถอนสายตาออกจากอาการสบกัน นั่งพิงพนักด้วยท่าทีผ่อนคลายตามเขา และพูดเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เคยนั่งสมาธิเห็นนางฟ้าตัวจริงมั่งไหม?”

เกาทัณฑ์กระแอมกุ๊กหนึ่ง

“ใช่จะเห็นกันง่ายๆเมื่อไหร่ล่ะ ของแบบนี้”

หญิงสาวผินมองออกนอกหน้าต่างอีกครั้ง พักคิดเรื่อยเปื่อย หล่อนเป็นมนุษย์ในยุคที่สามารถล่องฟ้า ขึ้นมาเห็นโลกเป็นภาคพื้นไพศาล อาจจะแบบเดียวกับมุมมองของเทวดาตามอุดมคติโบราณ แต่ก็ยังรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าเป็นมนุษย์ คงเพราะมีกายหยาบ และตระหนักดีว่าหากหลุดจากโครงอากาศยานแล้ว หล่อนจะดิ่งลิ่วๆลงกระแทกพื้นแหลกเหลวในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

รู้สึกคล้ายเศษผงปลิวเข้าตา ดึงหนังตาเข้าออกเบาๆก็ไม่หายเคือง จึงล้วงกระเป๋าถือหยิบตลับแป้งออกมากางเพื่อใช้กระจกเล็กส่องชิดๆ กลอกตาหาผงอันเป็นต้นเหตุความระคาย เกาทัณฑ์เห็นเช่นนั้นก็ช่วยยกมือเปิดไฟส่วนของหล่อนให้

เรือนแก้วพบเส้นขนตาของตัวเองบริเวณตาขาวในเวลาต่อมา จึงใช้มุมผ้าเช็ดหน้าเขี่ยออก ใจหนึ่งอยากวานเพื่อนชายให้ช่วย แต่อีกใจคิดว่าช่วยตัวเองดีแล้ว ใครว่าผงเข้าตาต้องพึ่งพาคนอื่น อัตตาหิ อัตโนนาโถ ดีกว่าค่ะ มีเครื่องช่วย เครื่องทุ่นแรงออกเยอะ ไม่เห็นต้องง้อเลย...ชิ!

พอหมดความระคายเคือง หญิงสาวยังมองหน้าตนเองในกระจกเล็กค้าง ยื่นมือออกห่างจนเห็นทั้งดวงหน้าคมขำ แล้วเปรยออกมาคล้ายพูดกับเงา

“ถ้าเกิดมีศาสตราจารย์สติเฟื่องประดิษฐ์กระจกวิเศษ ส่องแล้วเห็นวิญญาณตัวเองเป็นเทพยดาหรืออสุรกาย อะไรจะเกิดขึ้นบ้างนะ โลกคงถึงอีกยุคปฏิวัติ จากสังคมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีไปเป็นสังคมโลกอุดรเลยเชียว”

เกาทัณฑ์หัวเราะ คิดในใจว่าแม่คนนี้มีแววเป็นนักเขียนเรื่องสั้นแนวแฟนตาซี

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...” เขาช่วยนึกวาด “คงรู้ดำรู้แดงแหละว่าทำกรรมชนิดไหนเรื่อยๆแล้วฟอกจิตให้สะอาดขึ้นจนเป็นเทวดาได้ คนก็คงแห่ทำตามกันอย่างคึกคัก อาจมีแนวทางที่พัฒนาขึ้นเป็นหลักสูตรเรียนกันตั้งแต่อนุบาล วิชาว่าด้วยการยกจิตขึ้นเป็นเทวดาโดยเฉพาะ และนักปฏิบัติกับนักเดาสวดทั้งหลายก็คงสร้างหลักสร้างเกณฑ์การเลือกเกิดใหม่ในสวรรค์กันจ้าละหวั่น ตั้งราคาแยกขายถูกบ้างแพงบ้างตามเทคนิคที่ชัดเจน ลัดสั้น เห็นผลทันตาของแต่ละเจ้า”

เรือนแก้วหัวเราะกิ๊กที่เกาทัณฑ์ฝอยเฟื่องตามหล่อนเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น

“ใช่...แล้วลัทธิอุบาทว์ประเภทฆ่าแพะบูชายันต์เพื่อให้ขึ้นสวรรค์คงเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยเนอะ เพราะทำปุ๊บคงเห็นเลยว่าวิญญาณสกปรกมอมแมมทันที”

“อือ คนในศาสนาต่างๆก็คงมีโอกาสส่องดูผลสะท้อนที่ตัวเองปฏิบัติบำเพ็ญกันมาอย่างเอิกเกริก ถ้ารัฐบาลเร่งผลิตกระจกของแอ้ออกแจกจ่าย หรือขายประชาชนในราคาถูก คุกตะรางอาจถูกทุบทิ้งเพื่อเปลี่ยนเป็นสนามเด็กเล่น ตำรวจคงต้องถอดหมวกแก๊ปเริ่มเรียนวิชาชีพใหม่กันทั้งกรม นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกคงระงับโครงการวิจัยอื่นหมด หันมาทุ่มตัวคิดประดิษฐ์เครื่องมือกระตุ้นใจให้ใฝ่ดีกันอย่างโจ๋งครึ่ม ทั้งนอกแล็บและในแล็บ รางวัลโนเบลคงต้องเพิ่มสาขาสร้างโลกอุดรอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาด้วย ในฐานะที่ช่วยคนตายให้ขึ้นสวรรค์ได้อย่างมั่นใจ”

ใบหน้าเรือนแก้วยังคงกราดด้วยรอยยิ้มเพลิน พับตลับแป้งเก็บแล้วสานต่อด้วยคำถามที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้น

“ถึงวันนี้มีเทคโนโลยีอะไรที่ใกล้เคียงมั่งไหมล่ะ?”

เกาทัณฑ์ยกแขน เอาปลายนิ้วโป้งเกลี่ยคาง ก่อนตอบช้าๆ

“มีกล้องเกอเลี่ยนนะที่บันทึกรัศมีกายของสิ่งมีชีวิตได้ แต่ก็แค่เห็นออกมาทำนองว่าเมื่อโกรธจะมีสีอะไร เมื่อใจผ่องใสจะดูดีแค่ไหน ซึ่งนั่นก็พอรู้กันทางตาเปล่าอยู่บ้างแล้ว ไม่เห็นจะทำให้ใฝ่ดีอยากผ่องใสแข่งกันเลย อีกอันหนึ่งเร็วๆนี้มีกล้องที่ใช้เทคนิคแสงอินฟาเรดส่องทะลุเสื้อผ้าได้ เห็นเข้าไปใต้ร่มผ้าเป็นเค้าเป็นเงาแบบแว่นวิเศษ อันนั้นยิ่งออกห่างการสร้างเทวดาเข้าไปใหญ่ เพราะเห็นแต่ของหยาบที่ทำให้เกิดกิเลสหนักกว่าเดิม”

“เหรอ” ตาหล่อนเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ “อย่างนี้ก็แปลว่ากระจกวิเศษสะท้อนกายทิพย์คงพอมีสิทธิ์ในอนาคตมั้ง?”

ชายหนุ่มยักไหล่ รับว่า

“ไม่รู้ซี แต่ถ้าเอาจริงคงต้องสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องของแสงอีกชนิดหนึ่ง แตกต่างจากแสงที่เราเคยรู้จักกันอย่างสิ้นเชิง เพราะกายทิพย์เปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง คนละเรื่องกับแสงที่เข้ากระทบตาอย่างนี้”

แบมือวาดอากาศซึ่งสว่างด้วยไฟนีออนในห้องโดยสารประกอบคำสุดท้าย

“จะใช้ความรู้สึกธรรมดาซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้วัดได้หรือเปล่าว่าเรากำลังเป็นวิญญาณที่จะไปอยู่สูงหรือต่ำแค่ไหน?”

“คงไม่ได้หรอก เพราะบางคนแม้ทำชั่วเป็นอาจิณ ก็ทำไปด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้คิดฉลาดเฉลียว แม้เป็นอกุศลก็ปรุงจิตให้เกิดโสมนัส ซึ่งอยู่ข้างเดียวกับความสว่าง ทำให้เกิดสามัญสำนึกว่าตัวเองอยู่สูง”

นั่นทำให้เรือนแก้วคิดถึงมาเฟียใหญ่บางคนที่ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ ค้าผู้หญิง สั่งฆ่าคนมานับไม่ถ้วน แต่กลับมีหน้าตาอิ่มเอิบ อ้วนท้วนราวกับนักบุญผู้มีเมตตา แล้วก็เห็นจริงตาม บุคคลเหล่านี้มีความเป็นผู้บริหาร รู้จักคุมคน รู้จักวินัย รู้จักเจรจา ซึ่งล้วนแล้วแต่อาศัยความมีสติ ความฉลาดคิด อันอยู่ข้างกุศลทั้งสิ้น เสียแต่ว่าฐานกุศลถูกนำไปใช้ก่ออาจิณณกรรมอันสามานย์เท่านั้น

“ถ้าคนเราจำได้ว่าเคยขึ้นสวรรค์ลงนรกมาก่อน คงทำให้กลัวบาป โลกคงน่าอยู่ขึ้นบ้างนะ”

“จำได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้ทางขึ้นสวรรค์ลงนรกด้วย เคยมีมาแล้วที่พระราชาบุญมากแต่ขาดปัญญาฝันเห็นสวรรค์ ตื่นขึ้นมาตาลีตาเหลือกถามปุโรหิตคนสนิทว่าจะขึ้นสวรรค์ทำไง ปุโรหิตมีเรื่องเคืองอยู่กับพระโอรสของพระราชามาก่อน เลยทูลส่งเดชให้ตัดหัวโอรสธิดาเพื่อบูชายัญ ไอ้คนเราด้วยความที่ไม่รู้ก็เชื่อตาม เพราะกระสันอยากขึ้นสวรรค์จัด เลยจับลูกเมียเตรียมบูชายัญเกลี้ยง ยังดีมีเหตุให้แคล้วคลาดไปได้

ถ้าคนเราจำติดหัวว่าเคยนอนบนสวรรค์ เคยกลิ้งในนรก ใครจะรู้ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน แอ้กับผมอาจกำลังจาริกแสวงบุญไปตามป่าเขา แทนที่จะเดินทางไปธุระหน้าที่เพื่อแลกกับความเป็นอยู่สุขสบายในช่วงชีวิตปัจจุบัน แต่เพราะจำไม่ได้...โลกถึงกำลังเป็นอย่างที่เป็น”

“วิทยาศาสตร์อธิบายเกี่ยวกับเรื่องของความจำใกล้ไกลไว้ยังไง?”

“อือม์...ลองจำเลขนี้นะ สองเจ็ดเก้าแปดสองสองสามห้าสี่เก้าเก้า...”

เขาพูดเร็วๆแบบให้ผ่านหู แล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนถามว่า

“ไหนลองทวนซิ”

“สองเจ็ดเก้าแปดสองสองสามห้าสี่เก้าเก้า”

เรือนแก้วทวนคำที่ติดหูและเจตนาบันทึกไว้ไม่ตกหล่นได้ครบถ้วน เกาทัณฑ์ยิ้มนิดหนึ่งกับสีหน้าเชื่อมั่นในตนเองของอีกฝ่าย

“คิดว่าอีกสิบชั่วโมงข้างหน้ายังจำได้หรือเปล่า?”

หญิงสาวลังเล

“อาจจะ”

“อีกสิบเดือนข้างหน้าล่ะ?”

เรือนแก้วย่นคิ้ว

“ถ้าไม่หมั่นท่องก็ต้องลืมเป็นธรรมดาซิ”

“นั่นแหละ ทางประสาทวิทยามองความจำช่วงสั้นแบบนี้ว่าเป็นการกระตุ้นโปรตีนในกลุ่มเส้นประสาทขึ้นมา ถ้าโปรตีนถูกลดการกระตุ้นลงความจำก็หมดไปด้วย ซึ่งตัวที่ ‘กระตุ้น’ นั้น มองด้วยสามัญสำนึกก็คือเจตนาจดจำนั่นเอง

แต่ความทรงจำในระยะยาว เช่นหลายเหตุการณ์ที่ประทับลงในใจโดยรู้หรือไม่รู้ตัว จะถูกพิจารณาว่าเป็นการจัดเก็บโดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในกระบวนการทางประสาท เช่นจำนวนสาขาเส้นประสาทสมองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกเช่นจิตวิญญาณ อย่างน้อยก็เท่าที่ค้นพบและเชื่อกันจนถึงวันนี้“

เรือนแก้วซอยเปลือกตาถี่ๆ

“อ้าว! แปลว่าความจำไม่เกี่ยวกับการบันทึกลงจิตลงใจ?”

“สำหรับนักประสาทวิทยาบางกลุ่มที่อยากจะเชื่ออย่างนั้นนะ มีถึงขนาดเห็นว่าอาจสร้างเครื่องสแกนข้อมูลจากเยื่อประสาทสมองหนึ่ง คัดลอกไปใส่อีกสมองหนึ่งได้กันเลยทีเดียว”

“แล้วที่เต้เชื่อ?”

"ระบบประสาทมนุษย์ซึ่งเป็นฝ่ายรูปธรรมนี่นะแอ้ มันมีส่วนช่วยจัดเรียงความจำให้ถูกดึงขึ้นมาได้ง่ายหรือยาก เราผ่าสมองเพื่อติดตามการทำงาน สำรวจระบบประสาทหรือกระบวนการเคมีต่างๆได้ แต่ก็พบว่าเต็มไปด้วยความลึกลับน่าพิศวงที่เข้าถึงยากอีกมากมาย ทว่าตัวความหมายรู้หมายจำอันเป็นฝ่ายนามธรรมยิ่งน่าพิศวงกว่านั้น ความจำได้หมายรู้ไม่เหมือนก้อนข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ถูกบันทึกลงไปในพื้นที่เก็บเป็นสัดส่วนแน่นอน แต่เป็นสภาวะเชื่อมโยงจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง อย่างถ้าหมายรู้ว่านี่เพื่อนเรา ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนคนนั้นก็เกิดขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้นก็ผุดขึ้น เช่นชื่ออะไร เคยประสบเหตุการณ์ใดร่วมกับเรามา พูดสั้นๆว่าถ้าไม่มีนิมิตหมายของเพื่อนให้หมายรู้ ก็ไม่มีที่ตั้งของความจำเกี่ยวกับเพื่อนอยู่ตรงไหนเลย เข้ากับหลักธรรมชาติอันลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่าเพราะสิ่งนี้มี อีกสิ่งจึงมีได้ ต่างเป็นเหตุเป็นปัจจัยของการปรากฏ ใช่ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งดำรงตนอยู่อย่างเป็นเอกเทศ

  "การที่คนเราระลึกได้เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาติปัจจุบัน ประการแรกก็เพราะข้อจำกัดทางประสาทสมองซึ่งช่วยดึงความจำได้เฉพาะที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายนับจากแรกเกิดกำเนิดกายนี้เท่านั้น ประการที่สองคือไม่มีนิมิตหมายเกี่ยวกับอดีตชาติใดๆมากระตุ้นให้เกิดความหมายรู้หมายจำ หรือถึงแม้เห็นบางสิ่งที่สะกิดให้คุ้นเคย ก็หยุดอยู่ตรงความคุ้น จะรู้ทะลุปรุโปร่งตลอดสายไม่ได้ เนื่องจากนิมิตหมายต่างๆในตัวเราและภายนอกเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว กล่าวอย่างรวบรัดได้ว่าชาตินี้คือกาย กายนี้แหละปิดบังชาติอื่นๆไว้"

คนฟังตรองตามแล้วเกิดความสงสัย

"เราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่สะกิดให้คุ้น เป็นความคุ้นสภาวะอดีตชาติแน่ๆ?"

"เอาง่ายๆอย่างนี้ ทำไมเราเห็นหนังหรือได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับนรกแล้วถึงกลัว ก็เพราะภาพและเรื่องราวของนรกมันไปสะกิดให้นึกออกเป็นเลาๆว่าอย่างนี้เราเคยผ่านมาก่อน แต่เหตุที่ประสาทกายอันเป็นชาตินี้เดี๋ยวนี้มันตรึงไว้กับความรู้สึกแบบมนุษย์ นิมิตหมายเกี่ยวกับกายสัตว์นรกที่เราทุกคนเคยเป็นกันมาจึงไม่ชัด เมื่อไม่ชัดก็ได้ผลคือความกึ่งเชื่อกึ่งลังเล"

"สรุปคือถ้าใจผูกอยู่กับระบบประสาท ก็ระลึกได้เท่าที่ระบบประสาทเก็บกักความจำไว้ในร่างนี้ ชีวิตนี้ และในเมื่อยังต้องอยู่กับกายกันทุกลมหายใจ ก็เป็นอันว่าหมดสิทธิ์รู้เรื่องเก่าๆน่ะซี?"

เกาทัณฑ์สั่นศีรษะ

"มีระดับจิตที่อยู่เหนือวิสัยคิดอ่าน จะเรียกจิตเหนือสำนึกหรืออะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าฝึกหัดกันได้ ทำให้มีได้ และใช้เอาชนะข้อจำกัดของระบบประสาทหยาบ ย้อนระลึกไปไกลกว่าเมื่อแรกเกิดได้"

"หมายถึงต้องฝึกสมาธิให้เกิดจิตเหนือสำนึก?"

"มากกว่านั้น ต้องมีการฝึกสะกดรอยย้อนเหตุการณ์ต่างๆตามลำดับ โยงจากจุดหนึ่งไปหาจุดหนึ่ง ไล่จากใกล้ออกไปไกลห่างเรื่อยๆ จดจำพฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิดกระทำการต่างๆ ซึ่งจะเหมือนเกิดขึ้นอีกครั้งแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกำลังจิตที่บ่มได้จากสมาธิ อันนี้ก็คือใช้หลักเอาความจำหนึ่งเรียกความจำก่อนๆ ย่อมเป็นที่รู้แน่แก่ใจเฉพาะตนว่าใช่"

หญิงสาวเลิกคิ้ว พอเขาพูดถึงการย้อนรอยการกระทำต่างๆก็เกิดประกายความคิดบางอย่างขึ้นมา

“นานมาแล้วแอ้เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิต ที่ว่าให้ย้อนไปเห็นอดีตได้ชัดเจนเหมือนเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เลยเกิดความสงสัยว่าถ้าเป็นเรื่องจริง เราจะถูกสะกดกลับไปหาอดีตแล้วเปลี่ยนภาพการกระทำใหม่ เช่นที่ผ่านมาเกิดลุแก่โทสะฆ่าใครตาย ก็ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์นั้นแล้วเปลี่ยนเป็นยับยั้งชั่งใจ ถอนตัวไม่ลงมือฆ่า จะเป็นการสลัดคืนบาปกรรมได้หรือเปล่า?”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะทันที

“การย้อนนึกและสร้างมโนภาพใหม่ขึ้นทับของเดิมเป็นเพียงกลการเล่นทางจิตซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน เหมือนเราลบคำผิดด้วยการเอาแถบกระดาษมาปิดแล้วเขียนข้อความใหม่ทับลงไป ซ่อนจากสายตาได้ แต่ตัวที่เป็นข้อความเก่าแท้ๆยังอยู่ และคงเป็นอันเดียวกับข้อความอื่นบนหน้ากระดาษเดิม แถบใหม่ต่างหากที่เป็นของแปลกปลอม และไม่มีทางกลืนเป็นอันเดียวกับหน้ากระดาษเดิมแท้”

“หลักวิชาสะกดนี่มีอยู่จริงและเป็นวิทยาศาสตร์ใช่ไหม?”

“ใช่ ทุกวันนี้จิตแพทย์สะกดจิตคนไข้กันเป็นเรื่องปกติ เพราะพิสูจน์กันหลายแสนหลายล้านรายแล้วว่าสามารถบำบัดอาการผิดปกติทางจิตได้จริง โดยเฉพาะบาดแผลที่มาจากต้นเหตุซับซ้อนซ่อนเงื่อน บำบัดด้วยวิธีการธรรมดาแล้วไม่ได้ผล

แต่จิตแพทย์ก็ต้องได้รับการฝึกอบรม และมีความเข้าใจสถานการณ์ สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยไหวพริบและปฏิภาณเฉพาะตัว เพราะบางครั้งแทนที่จะได้ผลดี กลับกลายเป็นซ้ำเติม เปิดแผลคนไข้ให้ฉีกกว้างขึ้นอีก”

เรือนแก้วชักนึกอยากรู้อยากเห็นตามนิสัย

“เธอสะกดเป็นหรือเปล่า?”

“รู้หลักการ แต่ไม่เคยลองหรอก ความจริงถ้าศึกษาแล้วจะเห็นว่าการสะกดจิตเป็นเรื่องธรรมดามาก แทบไม่ต้องอาศัยเวทมนตร์หรือคุณวิเศษใดๆในผู้ทำการสะกดเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ตัวผู้ถูกสะกดเองเป็นหลัก อย่างผมบอกให้แอ้นึกเดี๋ยวนี้...”

พอเห็นเรือนแก้วตั้งตาตั้งใจฟังเขม็ง เกาทัณฑ์ก็เผลอยิ้มอย่างนึกเอ็นดูออกมาเล็กน้อย

“นึกถึงสมัยเรียนอยู่อนุบาล มีภาพเหตุการณ์อะไรปรากฏขึ้นในหัวบ้างไหม?”

หญิงสาวลองย้อนนึกตาม สะเก็ดความจำคนเราจะผูกอยู่กับเครื่องแบบและสถานที่ในสมัยหนึ่งๆของแต่ละช่วงชีวิต ในวาระแรกที่คิดตามเกาทัณฑ์พูดนั้นเอง สมองที่ทำงานแบบสุ่มดึงความจำก็ฉายภาพทางมโนนึกทันที

“มี”

“เห็นเป็นอะไร?”

“ฉันเล่นกับเพื่อนๆในสนามเด็กเล่นของโรงเรียน แต่นึกรายละเอียดไม่ออก”

“สะเก็ดความจำไม่มีรายละเอียดหรอก อาจจะเพราะเมื่อกี้ผมบอกไว้กว้างเกินไป และจูงความนึกตามด้วยคำว่า ‘อนุบาล’ ซึ่งไปโยงกับเครื่องแบบเด็ก แอ้เลยนึกถึงภาพชินตาที่เห็นเพื่อนนักเรียนอนุบาลเป็นหลัก คราวนี้ลองใหม่ นึกดูว่าในวัยเดียวกันนั้น แอ้เคยถูกเพื่อนกอดบ้างไหม?”

สมองของเรือนแก้วสุ่มหาเหตุการณ์จากเบื้องลึกความจำเพียงอึดใจเดียวก็ได้คำตอบ

“เคย”

“ลองบรรยายซิรายละเอียดเป็นไง”

“มีเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งสะกิดชวนให้เงยหน้าดูพุ่มเมฆบนฟ้า บอกว่า ‘ดูสิเธอ เหมือนยักษ์เลย’ แอ้เงยหน้าดูตามก็เห็นว่าจริง เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา ต่างคนเลยต่างกอดกันแน่น”

“ลองเจาะลงไปในรายละเอียดนะ ถ้าแอ้จำได้ขนาดนี้ก็ต้องนึกได้ลึกลงไปอีก เพราะแสดงว่านี่เป็นเหตุการณ์เด่นที่ถูกประทับไว้ในส่วนความทรงจำระยะยาว ลองทบทวนดูว่าในขณะที่กอดกันกลมกับเพื่อนคนนั้น ใจแอ้คิดอะไรบ้าง”

เรือนแก้วหยั่งความรู้สึกทวนกลับไปหาเหตุการณ์ลึกลงไป พบว่าสัมผัสและความรู้สึกนึกคิดถูกดึงกลับมาใกล้เหมือนเกิดขึ้นอีกครั้ง

“แอ้คิดหยิ่งๆว่าทำไมต้องกอดกับยายนี่ด้วย เนื้อตัวสกปรกมอมแมม อ้วนก็อ้วน”

เกาทัณฑ์กลั้นหัวเราะไว้ ด้วยเกรงเรือนแก้วจะเห็นว่าเขามองสิ่งที่หล่อนบรรยายเป็นเรื่องขบขัน

“แล้วปล่อยจากการกอดด้วยความรู้สึกนึกคิดยังไง?”

“ความกลัวมันจางไปเอง ต่างคนต่างไป ไม่มีใครสนใจ”

“จากนั้นแอ้ไปไหน ทำอะไรกับใคร?”

เรือนแก้วพยายามเค้นนึกอยู่นาน แต่คราวนี้ลงเอยด้วยการสั่นศีรษะ

“นึกไม่ออก”

“นี่แหละเป็นตัวอย่าง สะเก็ดความจำมักเป็นเหตุการณ์ประทับเด่นชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ในภาวะที่ถูกสะกดนี่แอ้จะเห็นชัดกว่านี้ เนื่องจากความรู้สึกในกายจะหายไป จิตเปิดรับผัสสะในอดีตเต็มที่

การนึกเป็นหน้าที่ของจิตใจแอ้เอง แม้แต่ตัวผู้สะกดก็ไม่ได้ล่วงรู้อะไรเลย เป็นแต่อยู่เบื้องหลัง เป็นผู้นำร่องด้วยการใช้คำพูด ซึ่งถ้าผู้ถูกสะกดยอมเชื่อแต่แรก ทุกอย่างก็เข้าล็อกหมด”

“ตอนเริ่มสะกดนี่เขาทำยังไงน่ะ”

“มีอยู่หลายกลวิธี แต่เท่าที่รู้ว่านิยมมากคือสั่งให้ทำใจนึกตามเพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆค่อยๆคลายตัวลง และทำให้เกิดสมาธิอยู่กับจุดใดจุดหนึ่ง เช่นบอกว่าขณะนี้กล้ามเนื้อบนใบหน้าคุณกำลังผ่อนคลาย เนื้อตัวส่วนอื่นๆก็หย่อนสบายตามลำดับ เหลือแต่ลมหายใจเข้าที่นำความรู้สึกเป็นสุขมาให้ และลมหายใจออกที่ระบายความตึงเครียดออกจากกายอะไรทำนองนั้น”

หญิงสาวสยายริมฝีปากจนเห็นลักยิ้ม ตะแคงร่างหันมาทางเขา เท้าศอกเอาปลายนิ้วชี้เกลี่ยจอนผมข้างหนึ่ง ถามด้วยตาเป็นประกายหน่อยๆ

“เต้สะกดให้แอ้เที่ยวไปในอดีตมั่งได้ไหม?”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้า

“ไม่ดีหรอก ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ของแบบนี้ต้องมีประสบการณ์ มีความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญต้องมีเป้าหมายบางอย่าง เช่นบำบัดโรคหลอนหรือความกลัวอย่างไร้สาเหตุ ไม่ใช่เรื่องน่านึกสนุกทำเล่นตามใจชอบ”

“แต่แอ้เชื่อมือเต้นะ” หล่อนหมายความตามที่พูด “ใครจะรู้ว่ามีประโยชน์รออยู่แค่ไหน เคยได้ยินว่าในทางจิตวิทยาแล้ว ทุกคนมีบาดแผลทางใจเสมอ จะมากหรือน้อย จะหนักหรือเบาเท่านั้น แอ้อยากขุดคุ้ยดูว่าชีวิตที่เห็นๆแค่ในชาตินี้ เรามีแผลที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาอยู่สักเท่าไหร่ บอกตามตรงแอ้ก็รู้ตัวนะ ว่าเพี้ยนๆเป็นบางครั้ง”

“เช่น?”

“อย่าให้เล่าเลย เล่าแล้วอายน่ะ”

“อ๊ะ! งั้นตอนโดนสะกดไม่กลัวถูกสั่งให้เล่าโน่นเล่านี่ เปิดโปงโล่งโจ้งหมดหรือ?”

“ถึงบอกไงว่าในความไม่เป็นตัวเองนั้นแอ้เชื่อและไว้ใจเต้ คิดเสียว่าเล่นอะไรสนุกๆด้วยกัน ฉันยอมเป็นหนูทดลองให้ ส่วนเธอก็จะมีโอกาสเป็นรัสปูตินสักชั่วโมงหนึ่ง ดีไหม?”

วูบหนึ่งเกาทัณฑ์เกิดนึกสนุกตามขึ้นมา เพราะเขารู้ทฤษฎี รู้หลักวิธีเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างละเอียดจากการอ่านขนานใหญ่นับแต่หลวงตาแขวนสะกดให้เห็นอัตภาพในอดีตอันน่าระทึกและนรกภูมิอันน่าสยดสยอง ด้วยนิสัยนักศึกษาผู้ต้องการคำอธิบายให้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่เคยได้ลองใช้ความรู้ที่อ่านๆมาให้เกิดผลกับใครสักที

เงื่อนของการสะกดจิตมีความซับซ้อน ตื้นลึกหนาบางอยู่มากมาย หลวงตาแขวนท่านมีอภิญญาชั้นสูง ตบะเดชะแก่กล้าขนาดสะกดคนที่ยังลืมตา มีสติสมบูรณ์ให้อยู่ในอำนาจ เห็นไปต่างๆได้ ซึ่งภายหลังเขามารู้ว่าฤทธิ์ระดับนั้นอยู่ในขั้นเทวดาทีเดียว ใช่ว่าทำสมาธิ ได้ฌานสมาบัติ และพยายามฝึกหัดแล้วจะทำปาฏิหาริย์ขนาดท่านได้ทุกคน ต้องมีแรงหนุนจากอดีตที่เคยสำเร็จอภิญญาแก่กล้ามานับภพนับชาติไม่ถ้วนเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย

สำหรับเขาและคนทั่วไปซึ่งเทียบกำลังจิตกับหลวงตาแขวนแล้ว เหมือนเด็กหัดตั้งไข่ล้ม ต้มไข่ลุก ถ้าคิดสะกดจิตใครล่ะก็ จะต้องได้รับการยอมรับจากผู้ถูกสะกดเป็นขั้นพื้นฐานพอควร เรียกว่าอ่อนให้อยู่ก่อนด้วยความนับถือบารมีบางประการที่เหนือกว่าอยู่แล้ว กับทั้งจะต้องรู้และเข้าใจหลักการสะกดโดยปริยายต่างๆอย่างชัดเจน เพื่อความสัมฤทธิ์ผลจริงในการบันดาลภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นให้เกิด

และตัวภาวะถูกสะกดเองก็ใช่จะเหมือนกันเสมอไป เป็นที่รู้ในหมู่จิตแพทย์ว่าคนไข้บางรายมีพรสวรรค์ในการเข้าสู่ภาวะถูกสะกดดี บางรายก็เข้าสู่ภาวะถูกสะกดยากมาก

ทุกอย่างเป็นปัจจัยให้เกิดความสำเร็จและล้มเหลวได้หมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงของจิตแพทย์ สภาพที่นอน อุณหภูมิห้อง หรือกระทั่งความไม่เข้ากันที่ลอยอยู่ในอากาศระหว่างจิตแพทย์กับคนไข้

เรือนแก้วทำให้เขาเกิดนึกอยากรู้ขึ้นมาว่าเขามีความสามารถทำหน้าที่เป็นผู้สะกดได้แค่ไหน และตัวหล่อนเองมีพรสวรรค์ในการถูกสะกดเพียงใด หล่อนเป็นคนมีความสามารถหลากหลาย กับทั้งมีกำลังจิตแรง แปรจิตจับสิ่งต่างๆได้ไวกว่าคนทั่วไป และที่สำคัญหล่อนพูดกับปากว่าเชื่อมือเขา ปัจจัยทุกอย่างเหมือนถูกเตรียมไว้พร้อมมูลล่วงหน้า ชวนให้นึกอยากนำมาใช้เป็นอย่างยิ่ง

“จะเอาจริงเหรอ?”

ในที่สุดเขาก็หันมาถาม มีความรู้สึกเหมือนกำลังมองคู่หูที่ดึงกันและกันลงเล่นเกมสนุกแปลกใหม่ ท้าทายความกล้าซน กล้าได้กล้าเสีย เรือนแก้วยักคิ้วให้ทีหนึ่ง เปิดยิ้มอวดเขี้ยวน่ารักตรงมุมปากเป็นคำตอบ

Title: ทางนฤพาน โดย ท่านดังตฤณ ( บทที่ ๒๑ ถึง ๒๙ จบบริบูรณ์ )
Post by: Smile Siam on 22 December 2012, 07:30:44
ทางนฤพาน โดย ท่านดังตฤณ ( บทที่ ๒๑ ถึง ๒๙ จบบริบูรณ์ )


บทที่ ๒๑  สะกดจิต

เช้าวันนั้น เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วออกจากโรงแรมในย่านออร์เชิร์ดสตรีท ทอดเท้าเรื่อยเฉื่อยปะปนไปกับลูกจีนชาวสิงคโปร์ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เนื่องจากออฟฟิศของ เดวิด ชุน อยู่ห่างออกไปเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น

เช้านี้เรือนแก้วคมคายไปทั้งตัว เรือนผมหล่อนแสกกลางโหย่ง เห็นไรผมแหลมจิกกลางหน้าผากส่วนบนเก๋ไก๋ สูทสีน้ำตาลอ่อนเรียบกริบดูภูมิฐาน ท่วงทีแต่ละย่างก้าวประเปรียวเชื่อมั่นราวกับกำลังเดินแบบบนแคตวอล์คอวดความเฉิดฉาย เกาทัณฑ์สังเกตเห็นทั้งหนุ่มทั้งแก่บนฟุตบาทที่เดินสวนต่างเหลียวตามราวกับเจอมนต์สะกด เขาเองขนาดเห็นหล่อนมานานยังลอบชำเลืองเป็นพักๆเลย บางวันเรือนแก้วมีอำนาจเสน่ห์ดึงดูดความสนใจราวกับแม่เหล็กแรงสูง โดยเฉพาะขณะกำลังมาดมั่นเอางานเอาการอย่างเดี๋ยวนี้

ทั้งสองมาถึงก่อนเวลา และถูกเชื้อเชิญเข้าห้องทำงานของนายชุนทันที นายชุนยิ้มแย้มโอภาปราศรัยกับเรือนแก้วราวกับญาติสนิท เพราะเคยคุ้นกันมาก่อน และหล่อนก็พูดจีนกลางกับฝ่ายนั้นเป็นต่อยหอย เกาทัณฑ์กลายเป็นใบ้และหูหนวกไปโดยปริยาย เนื่องจากฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว จึงนั่งเป็นตัวประกอบ หรือพูดให้ชัดคือส่วนเกิน ฟังคู่สนทนาส่งภาษาหว่าๆเหวยๆไปเรื่อย

บางทีเรือนแก้วก็หัวเราะแฮะๆๆๆเหมือนเพื่อนเล่น และท่าทางนายชุนเจอมุขเด็ดเข้าไปหลายขนาน บางทีถึงกับหัวเราะจนตาปิด อย่างนี้ไม่ต้องรู้ภาษา เกาทัณฑ์ก็ทราบได้ว่าบทสนทนาทั้งหมดทั้งปวงห่างไกลจากการงานสุดกู่ เห็นนายชุนคึกคักกระชุ่มกระชวย ยิ้มไม่หุบจ้องเรือนแก้วตาเป็นมันอย่างกับหนุ่มละอ่อนแล้วชักนึกหมั่นไส้ขึ้นมารำไร

กระทั่งได้เวลานัด ผู้จัดการฝ่ายอีกคนก็เคาะประตูเดินทื่อราวกับผีดิบเข้ามาสมทบ และหลังจากทักทายเสวนากับเรือนแก้วได้เดี๋ยวเดียว ผีดิบก็เปลี่ยนสภาพเป็นปลากระดี่ได้น้ำตามนายชุนไปอีกราย เกาทัณฑ์ชินเสียแล้ว เสน่ห์น่าทึ่งของหล่อนนอกจากไม่หย่อนลง บางทีจะแรงขึ้นตามวัยและชั่วโมงบินด้วยซ้ำ

อพยพจากโต๊ะทำงานนายชุนไปนั่งที่ชุดรับแขก หันหน้าคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อให้ ‘ส่วนเกิน’ อย่างเขาเข้าร่วมวงได้

เรือนแก้วทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษ หล่อนใช้ภาษาอังกฤษที่ไพเราะและชัดเปรี๊ยะไร้ที่ติในการปูพื้นเกี่ยวกับความพร้อมทั้งกำลังคนและเทคโนโลยีซึ่งถูกกับงาน จากนั้นค่อยๆผ่อนจังหวะ ถ่ายเทบทบาทด้านเทคนิคมาทางเขาทีละเปลาะ สร้างบรรยากาศเป็นกันเองให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งถึงเวลาที่ต้องฉายไฟล์สไลด์ด้วยมัลติมีเดียโปรเจ็คเตอร์ เกาทัณฑ์ต้องไปยืนชี้รายละเอียดหน้าสกรีน ความแรงของแสงกว่าหนึ่งพันแอนซีลูเมนส์จากเครื่องฉายทำให้ไม่ต้องหรี่ไฟห้องให้ต่ำลงกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อมองเข้าหาโต๊ะประชุมจึงเห็นความเป็นไปอย่างถนัด ว่าพ่อเจ้าประคุณทั้งสองไม่ได้ให้สมาธิกับการฟังเขาบรรยายสักเท่าไหร่ เอาแต่แวะเวียนสายตาไปทางเรือนแก้ว บางคราวก็ทำทีสงสัย เขายืนอยู่ข้างหน้าทั้งคนไม่ถาม ไปถามเอากับสาวสวยนั่นแหละ พอเรือนแก้วอึกๆอักๆจะเบนมาถามเขาต่ออีกทอด ก็ทำเป็นโบกมือหัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งแปลว่าที่แท้ไม่อยากรู้คำตอบ หรือรู้แล้วแต่แกล้งถามเพราะอยากคุยด้วยเท่านั้นเอง

เสียสมาธิจากคนฟังผู้เป็นเป้าหมายไม่พอ บางทีถูกล่อตาจากกิริยายกเรียวขาไขว่ห้างอย่างแนบเนียนของเพื่อนร่วมงานสาวเข้าอีก ปุบปับชะวากลึกเห็นถึงไหนต่อไหน ทำเอาเขาพูดอยู่แทบอ้าปากค้าง ผู้หญิงเป็นเสียอย่างนี้ แกล้งยั่วให้อยากถลาใส่ พอเกิดเรื่องก็โวยวายโทษความหน้ามืดของเพศชายฝ่ายเดียว น่าอ่อนใจน้อยอยู่เมื่อไหร่

นายชุนนำไปเลี้ยงข้าวกลางวันในภัตตาคารหรูเกินเหตุ เกาทัณฑ์ทราบชัดเลยว่านั่นคือการได้กินบุญของเรือนแก้ว สองชั่วโมงเศษบนโต๊ะจีนแพงระยับนั้น เกลื่อนไปด้วยอาหารโอชารสชั้นอ๋องที่ทยอยมาจานแล้วจานเล่า เจ้าภาพใช้งบส่วนตัวด้วยความต้องการเอาใจหล่อนเพียงคนเดียว

ช่วงบ่ายแก่ๆ กลับมานั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับงานต่ออีกพักใหญ่ ทำวิเคราะห์เบื้องต้นให้เดี๋ยวนั้นทั้งยังไม่ตกลงเซ็นสัญญา เกือบหนึ่งทุ่มจึงจับมือเซย์กู๊ดบายกันได้ ทั้งเกาทัณฑ์และเรือนแก้วรู้สึกเหนื่อย แต่ก็สนุกพอควร เนื่องจากนี่เป็นงานช้าง และนายชุนบอกอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่าโอเคแน่ โดยทิ้งท้ายด้วยการหยอดว่าขอให้เรือนแก้วประสานงานไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนโปรเจ็คต์ก่อนๆ

เห็นกันและกันเป็นสองแรงเสมอกัน ช่วยผลักดันให้งานสำเร็จอย่างงดงาม เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วมานั่งชนแก้ว ทานข้าวเย็นในห้องอาหารของโรงแรมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แม้เคยเดินทางร่วมกันมาก่อน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่อยู่ในต่างประเทศตามลำพังสองต่อสอง

ช่วงแรกคุยกันเรื่องงานอย่างติดใจ แต่พอถึงเวลาของหวาน เรือนแก้วก็ยักคิ้วให้

“ว่าไง จะสะกดจิตแอ้คืนนี้เลยไหม?”

เกาทัณฑ์เบิกตา ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปแล้วอย่างสนิท เพราะนับแต่เครื่องบินย่างเข้าสู่น่านฟ้าสิงคโปร์ ในหัวมีแต่งานเท่านั้น

“อยากลองจริงๆน่ะเหรอะ?”

เขาย่นคิ้วถามยิ้มๆ

“จริงสิ แอ้โลเลเปลี่ยนใจง่ายเหมือนเต้เสียที่ไหน”

เรือนแก้วถือโอกาสเหน็บนิดเหน็บหน่อย เกาทัณฑ์แยกเขี้ยว

“ห้องแอ้หรือว่าห้องผมดีล่ะ?”

“ห้องแอ้!”

 

เกาทัณฑ์อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวมาอยู่ในชุดลำลอง ออกจากห้องพักขึ้นลิฟต์ กดปุ่มตรงไปสู่ชั้นของเรือนแก้ว

เมื่อย่างเท้าออกจากลิฟต์ เดินทอดน่องไปตามทางปูพรมสีเลือดนกอันเงียบเชียบนั้น เพิ่งใจเต้นผิดจังหวะ และถามตนเองว่าเป็นการสมควรแล้วหรือที่เขาจะเข้าหาหล่อนและอยู่ด้วยกันตามลำพังในยามวิกาล

พยายามไม่คิดอะไรให้มากนัก เที่ยวบินกลับกรุงเทพฯของเขาเป็นเวลาเช้าตรู่ของที่นี่ ส่วนของเพื่อนสาวเป็นช่วงเย็น เพราะหล่อนเตรียมแผนช็อปปิ้งต่อ หากเลื่อนไปเป็นเวลาอื่นในไทย ก็อาจได้สถานที่ที่ไม่เหมาะ ไม่เป็นข้ออ้างแบบผลพลอยได้เหมือนเมื่อมางานด้วยกันอย่างนี้

หยุดยืนหน้าประตูสีเหลืองอ่อนของห้องแรกปีกขวา สูดลมหายใจลึกๆ กำหนดจะรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร ก่อนยกมือเคาะเรียกเพื่อนสาวด้วยใจเกือบปกติ เงียบเป็นครู่ก่อนประตูจะแง้มเปิดเล็กน้อย เขาต้องเป็นฝ่ายดันออกกว้างเนื่องจากเรือนแก้วแง้มค้างไว้แค่นั้น

ก้าวเท้าล่วงเข้าสู่เขตส่วนตัวของหล่อน รู้สึกงงเคว้งขึ้นมาในหัววูบหนึ่ง สัญชาตญาณเก่าๆแวบเวียนมาเยือนเป็นระลอก บรรยากาศฉ่ำเย็นวังเวงในห้องพักโรงแรมหรูกับสาวสวยยวนตาไม่ค่อยจุดชนวนความคิดอันดีงามได้เท่าไหร่ สถานที่และสถานการณ์จริงไม่เชิญชวนให้นึกถึงการทดลองเล่นวิชาเช่นขณะคุยวางแผนกันตอนอยู่บนเครื่องบินหรือห้องอาหารเอาเลย

กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ สายตาตามร่างงามในชุดเสื้อยืดกางเกงยาวที่เดินไปหย่อนกายรอบนม้านั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สีหน้าหล่อนสงบเฉยขณะทอดมองมาทางเขา

ชายหนุ่มเกิดความลังเลว่าควรแง้มประตูไว้เล็กน้อยหรือปิดสนิท แต่แล้วเมื่อคิดถึงกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง ทว่าไม่ลงล็อก คือแค่ผลักบานประตูคืนที่ เพื่อสกัดกั้นใจจากความเห็นห้องนอนของเรือนแก้วเป็นเขตลับสนิท

แม้ทำไปด้วยเจตนาดี แต่ก็เกิดความสังหรณ์ขึ้นมาแปร่งๆ คล้ายมีเสียงกระซิบแว่วมาจากส่วนลึกบอกให้ล็อกเถิด ล็อกเถิด...

เดินมานั่งลงที่ปลายเตียงห่างจากหล่อนหลายก้าว พยักพเยิดไถ่ถาม

“เพลียหรือเปล่า?”

เรือนแก้วสั่นศีรษะ

“แปลกเหมือนกันนะ สงสัยตื่นเต้นมั้ง พออาบน้ำเสร็จรู้สึกสดชื่นยังกับเพิ่งตื่นเช้าแน่ะ เต้ล่ะ เหนื่อยไหม?”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะเช่นกัน

“มาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เรือนแก้วลุกขึ้นในท่าพร้อมอย่างง่ายๆ

“จะให้นั่ง นอน ยืน หรือเดินยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าต้องห้อยหัวลงมาจากเพดาน”

เกาทัณฑ์หัวเราะ ก่อนมองรอบตัว

“มานอนบนเตียงมา”

ผายมือให้นิดๆ เรือนแก้วพยักหน้า มาหย่อนร่างเอนนอนราบบนอีกเตียงหนึ่งซึ่งอยู่คู่กับเตียงที่เขานั่ง เกาทัณฑ์คุมสติแน่น เริ่มสะกดตนเองเป็นคนแรกให้อยู่ในสถานะจิตแพทย์ใจซื่อ ลุกจากที่ เดินขึ้นมานั่งบนขอบฟูกหันหน้าเข้าหาเตียงของเรือนแก้วซึ่งเปรียบเสมือนคนไข้ทดลอง

“ก่อนอื่นมาตกลงเรื่องเป้าหมายกันก่อน ถึงทำเล่นสนุกๆก็ควรมีจุดกำหนดเอาไว้ ทั้งแอ้และผมจะได้ตั้งกรอบให้ตัวเองแต่แรก แอ้ไม่ใช่คนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน นี่จึงไม่ใช่การรักษา เอาเป็นว่าผมพยายามทำให้แอ้รู้สึกดีกับตัวเอง คงพอนะ”

เรือนแก้วยักไหล่

“แอ้แค่อยากรู้ว่าถูกสะกดจิตเป็นยังไง เราเห็นอดีตตัวเองได้แค่ไหน และถ้า...เต้พบอะไรที่เป็นปม เป็นแผล หากมีวิธีบรรเทาลงได้ก็เชิญแสดงความสามารถเต็มที่ แอ้จะยินยอมตกอยู่ในอาณัติทุกประการ”

ฟังเช่นนั้นแล้วเกาทัณฑ์มีสติรู้ว่าในหัวเกิดความคิดชั่วร้ายแล่นวาบขึ้นมา เขาไม่เคยผ่านการอบรมแบบจิตแพทย์ ไม่เคยอยู่ในแล็บทดลองอย่างเป็นวิชาการ จู่ๆได้อำนาจโดยปราศจากการสร้างสมจรรยาแพทย์อย่างนี้ ประโยคสุดท้ายของเรือนแก้วจึงเป็นเสมือนแรงยั่วยุให้จินตนาการเตลิดล่วงหน้าสารพัด

เบนความสนใจจากร่างเหยียดนอนของหญิงสาว ปิดตาสำรวมจิตเพ่งสายลมหายใจเข้าออก อธิษฐานว่าถ้าใจยังไม่นิ่ง ยังวางอารมณ์ใคร่ไม่ลง ก็จะไม่ลืมตาขึ้นอีกเลย

เป็นธรรมดาของผู้มีตบะอันบำเพ็ญแล้วด้วยดี พูดจริงทำจริง ทำเสร็จ ทำสำเร็จเสมอ ย่อมมีกำลังหนุนอยู่ภายในดุจกลุ่มน้ำใหญ่ที่พร้อมจะเข้าท่วมทับข้าศึกทุกชนิด เพียงอึดใจเดียวเกาทัณฑ์ก็ลืมตาขึ้นอย่างสบายอก ทั้งกายอัดแน่นด้วยพลังมหาศาล รู้ชัดด้วยใจสำเหนียกในบัดนั้นว่าตนจะไม่หลงรี่ลงต่ำอีกเลยตลอดกระบวนการที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดนับจากนี้

เกาทัณฑ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงซึ่งถ่ายทอดออกมาจากจิตใจที่มั่นคงและเจตนาเกื้อกูลกัน

“หลับตาลง...”

หล่อนทำตามเขาสั่ง ในเบื้องแรกเกาทัณฑ์ทราบดีว่าจะใช้กลวิธีไหนก็ได้ทำให้ผู้ถูกสะกดอยู่ในภาวะสบาย ผ่อนพักที่สุด เพื่อให้ย่างเข้าสู่ความรู้ตัวครึ่งๆกลางๆ ฉะนั้นจึงคิดปูพื้นให้หล่อนเกิดฐานปัญญาเห็นรูปนามไปในตัว

“ดูตรงแผ่นหลังที่วางน้ำหนักราบอยู่นี้”

เขาสั่งสั้นที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าเกิดการรับรู้ตาม ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ

“คิดว่ากายที่นอนอยู่คือโครงกระดูกเปล่าๆโครงหนึ่ง เราอาศัยพักอยู่ชั่วคราว สักแต่มีไว้เพียงให้ระลึกรู้ว่ายังปรากฏ”

ด้วยเพราะเรือนแก้วเคยเพ่งพิจารณาเห็นข้อมือและปลายแขนเป็นอนัตตามาก่อน จึงเข้าใจวิธีกำหนดหมายตามได้ง่าย และสิ่งที่เกาทัณฑ์หรือแม้แต่หล่อนเองไม่ทราบก็คือหล่อนมีพรสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่งวิถีรู้รูปนามติดจิตติดวิญญาณอยู่ ฉะนั้นเมื่อถูกกำหนดแนะให้ดูนิดเดียวก็คุ้นทางโดยง่าย ซึ่งอย่างนี้เป็นอาการของผู้เคยสั่งสมวิปัสสนาญาณมาแต่ปางก่อน

เพียงอึดใจเดียวหลังจากเรือนแก้วเพ่งดูส่วนหลังที่วางลงรับน้ำหนักส่วนใหญ่ของกาย ก็เห็นสัณฐานคร่าวของโครงกระดูกตนเองอย่างชัดเจน และเหมือนโพรงว่างระหว่างกระดูกช่วงไหปลาร้ากับซี่โครงเป็นแหล่งอาศัยของตัวรู้ นิ่งดูสัณฐานกายโดยรวม

ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของผู้มีบารมีมาทางนี้คือเมื่อเกิดความเห็นขึ้นแล้วจะรู้จักรักษาความเห็นไว้ด้วยความพึงพอใจ ไม่สงสัยกับนิมิตภายในที่เกิดขึ้น ฉะนั้นเกาทัณฑ์ผู้สังเกตสีหน้าของเรือนแก้วตลอดเวลา จึงเห็นความนิ่งอยู่ในอาการเล็งรู้อย่างรวดเร็วน่าแปลกใจ

เพิ่งมีโอกาสสังเกตคนอื่นทำสมาธิอย่างละเอียด แม้ดูภายนอกเหมือนสงบ แต่สัมผัสภายในก็บอกว่าจิตของเรือนแก้วยังไหว หาหลักยึดแน่นอนไม่ได้ เขานึกถึงอุบายที่เคยมีให้ตนเองคือเคาะนิ้วเพื่อสร้างผัสสะกระทบให้เกิดความรู้เฉพาะจุดถี่ๆ ซึ่งถ้าทำอย่างถูกต้อง จิตไม่หนีไปไหนครู่เดียว ก็เกิดการรวมลงสู่ภาวะสงบได้ระดับหนึ่ง

เขาทดลองแบบเหวี่ยงแหไปเรื่อย เคาะกับวัตถุนอกกายได้ความรู้ตัวแบบหนึ่ง เคาะหน้าตักตอนนั่งเล่นได้ความสบายแบบหนึ่ง เคาะหน้าผากตอนเครียดได้ความผ่อนคลายแบบหนึ่ง แต่พบว่าจุดกระทบซึ่งทำให้จิตรวมอย่างดี รวดเร็วที่สุด กับทั้งให้ผลเป็นความรู้พร้อมทั่วตัวที่สุด เห็นจะไม่มีอะไรเกินเคาะแผ่นกระดูกเหนือร่องอก

ชายหนุ่มตัดสินใจลองกับเพื่อนสาว โดยสั่งว่า

“ยกมือวางทาบอก ให้ปลายนิ้วกลางแตะอยู่กับกระดูกเหนือร่องอก”

เมื่อหล่อนทำตามแบบเก้ๆกังๆ เกาทัณฑ์สังเกตว่าส่วนใดเกร็ง ก็บอกเป็นจุดๆ เช่นให้วางราบทั้งมือบนอกและศอกบนฟูก กับทั้งไหล่ตกไม่ยกเกร็งแล้วบอกต่อ

“ขยับนิ้วเคาะขึ้นลงเบาๆ แต่เร็วนิดหนึ่ง เหมือนเคาะเล่นเพื่อให้รู้อาการขยับไหวของนิ้ว”

เรือนแก้วทำตาม ในความสบายตลอดกายใจนั้นรู้อยู่เฉพาะอาการขยับไหวขึ้นลงของนิ้ว เกาทัณฑ์สัมผัสได้ถึงกระแสความคิดฟุ้งที่แปรเป็นคลื่นเงียบ รวมรู้อยู่เฉพาะความขยับของลำนิ้วที่ปราศจากความเกร็ง

“เคาะไปเรื่อยๆนะ คราวนี้นอกจากรู้นิ้วขยับ ลองดูที่จุดกระทบด้วย แอ้จะไม่รู้สึกถึงอะไรอื่นเลยนอกจากนิ้วกระทบกระดูกป๊อกๆๆอยู่”

เมื่อจ่ออยู่กับกายกระทบ จิตก็เข้ามาอยู่ในขอบเขตของกาย เรือนแก้วเห็นตลอดตัวด้วยความแจ่มชัดอีกระดับหนึ่งเมื่อจิตอยู่นิ่งกับที่

เพลินนานพักใหญ่ เรือนแก้วก็หลงเคลิ้ม และหยุดขยับนิ้วเคาะไปโดยไม่รู้สึกตัว เกาทัณฑ์สังเกตอยู่แล้ว เพราะเคยผ่านจุดนี้มาก่อน หากปล่อยให้หลับก็อาจหลับเพลินยาวไปทั้งคืน แต่หากสะกิดให้ตื่นรู้ขึ้นอีกครั้ง ก็จะมีความไวสัมผัสราบรื่นสม่ำเสมอกว่าเดิม จึงเรียกเตือนเสียงแผ่วให้เรือนแก้วขยับเคาะต่อ

เมื่อสังเกตรู้สึกถึงโฟกัสของจิตที่คงเส้นคงวาดีพร้อม เกาทัณฑ์ก็ไม่ปล่อยให้จิตหล่อนดำเนินไปถึงความเคลิ้มหลับอีก แต่ส่งช่วงต่อมาถึงอารมณ์สมาธิที่จะจูงจิตให้เข้าสู่สภาพรู้พร้อมนิ่มนวลขึ้นกว่าเก่า

“แอ้นิ่งดีแล้วนะ หยุดเคาะ วางมือลงข้างตัว คราวนี้มาจับลมหายใจกันต่อ”

เมื่อเห็นหล่อนปฏิบัติตามโดยดีก็สั่งว่า

“ตอนหายใจเข้าให้พองหน้าท้องขึ้นก่อนแล้วค่อยดึงลมยาวๆสบายๆ เมื่อรู้ลมหายใจเข้า ให้คิดว่าเราสูดเอาความสดชื่นเข้าร่าง เพื่อพยุงความรู้ตัวให้เพิ่มขึ้น เมื่อผ่อนลมหายใจออก ให้คิดว่าเราระบายเอาความเครียด ความเหน็ดเหนื่อยทิ้งออกนอกร่าง”

เรือนแก้วสูดลมหายใจด้วยการตั้งความคิดตามเกาทัณฑ์บอก พบว่าเมื่อตั้งเจตนาเห็นลมหายใจเป็นพาหะนำความสดชื่นและพลังระลอกใหม่เข้าร่าง ก็เกิดความชุ่มฉ่ำกายใจขึ้นนิดหนึ่งได้จริงๆ

และเมื่อผ่อนลมหายใจออก เห็นเป็นการถ่ายเทเอาความเครียด ความอ่อนล้าออกสู่ภายนอก ก็ยิ่งมีความรู้สึกเป็นสุข ความสบายใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“อย่าปล่อยให้ความคิดไหนๆแทรกเข้ามาแทนที่ลมหายใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรมีค่าเกินลมหายใจเข้า และไม่มีอะไรน่าสนใจเกินลมหายใจออก”

เขาตะล่อมตามจังหวะ คิดเอาจากการที่เคยกล่อมตนเองสำเร็จมาแล้วในการทำสมาธิปกติ สังเกตความสม่ำเสมอ และคอยเตือนเรือนแก้วเมื่อเห็นลมเบาลงหรือแรงขึ้นกว่าเดิม ต่อเมื่อดูเข้าที่เข้าทางแล้ว จึงดำเนินการขั้นต่อไป

“ค่อยๆสำรวจทีละส่วนว่ามีจุดไหนในร่างที่ยังเกร็ง ไม่ผ่อนพักตามสบาย ไล่จากส่วนหน้า...” เขาค่อยๆพูดทอดจังหวะทีละจุดให้เรือนแก้วส่งใจตาม “ส่วนคอ...ส่วนหลัง...ส่วนแขน...ส่วนขา”

หญิงสาวพบว่าส่วนหลังยังเกร็งอยู่บ้าง เมื่อรู้ตัวจึงหย่อนกล้ามเนื้อส่วนที่เกร็งลง เกาทัณฑ์สามารถรู้ได้ด้วยตาเปล่าว่าทั้งร่างหล่อนผ่อนพักเต็มที่แล้ว จึงตรวจดูความสม่ำเสมอของลมหายใจอีกครั้ง เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง พบว่าผ่อนแผ่วลงอย่างที่จะนำไปสู่ภาวะใกล้หลับ ก็เตือนด้วยเสียงเนิบนาบ

“อย่าลืมว่าเวลาเข้าให้ขยายหน้าท้องพองขึ้นก่อน ลมหายใจจะได้เข้ามากกว่าปกติ”

เรือนแก้วกำลังอยู่ระหว่างเคลิ้ม เมื่อได้ยินเสียงก็กลับตื่นตัวรับรู้ลมหายใจใหม่ เสียงสั่งของเกาทัณฑ์กลายเป็นตัวกั้นไม่ให้จิตซัดส่ายสุ่มหาอารมณ์เอง ประคองให้พุ่งแน่วลงในลมหายใจเป็นหนึ่งเดียว รวมทั้งไม่เผลอไหลลงหลับ

ถึงจุดหนึ่งหญิงสาวเกิดความเพลินที่จะรับคำสั่ง เวลานั้นเริ่มถอยจากความเป็นตัวของตัวเอง แต่กลับเกิดศักยภาพที่จะรับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ใจทรงนิ่งอยู่กับฐานคือกายอันวางนอน เห็นความปรากฏของกายคงที่ พลังอันเกิดจากการเล็งรู้อยู่ตัวโดยไม่ต้องประคองมากนัก

เมื่อเกาทัณฑ์จับสังเกตสติของหญิงสาวนานไป ที่สุดก็เกิดสติ และจับเป็นขณิกสมาธิเองด้วย กระแสจิตเขายามนี้มีสภาพคล้ายผ้าอ่อนเนื้อแน่นที่พร้อมจะทิ้งตัวลงห่มคลุมสนิทแนบกับวัตถุใดๆที่ใจเจตนาเข้าจับ เรียกว่าบำเพ็ญสมาธิภาวนามาถึงขั้นอ่อนตัว พร้อมใช้งานดังประสงค์

สัมผัสพลังที่รวมกลุ่มเป็นอันเดียวในกายตน และเกิดความรู้ขึ้นมาเองว่าจิตที่เป็นสมาธิสามารถช่วยประคองคนอื่นได้ เช่นในขณะนี้เขาเกิดความเห็นอาการเป็นไปในหญิงสาวซึ่งยากจะอธิบายเป็นคำพูด เมื่อแลเห็นหล่อนดึงลมหายใจเข้าและผ่อนลมหายใจออกแล้ว เกิดการแปลความหมายขึ้นในหัวว่านั่นเป็นอาการลงตัวของสมาธิชนิดถูกสะกด ถูกจูงโดยผู้อื่น หากเขาบังคับกระแสในตนเข้าช่วยประคองกระแสในหล่อน ก็อาจทรงอยู่ได้นาน และสัมผัสรู้แผ่วๆคล้ายแตะตัวกันอยู่ด้วยปลายนิ้ว

หล่อนกำลังนิ่งในภาวะพร้อมถูกสั่งเต็มที่ เรือนแก้วให้ความร่วมมืออย่างดี จึงบังเกิดผลรวดเร็วขนาดนี้

“เอาล่ะแอ้ พูดกับผมนะ บอกซิว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง”

เรือนแก้วนิ่งเป็นครู่ ก่อนขมุบขมิบปากพูดกับเขาตามปกติ

“มีความสุข เห็นร่างกายออกมาจากข้างในตลอดเวลา”

เกาทัณฑ์ย่นคิ้วเล็กน้อย เพราะคาดหมายว่าหล่อนจะพูดคล้ายละเมออยู่ในภวังค์ เขาเพิ่งมาเรียนรู้ว่าอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นในภาวะสะกดนั้น ครึ่งหนึ่งหลับ ครึ่งหนึ่งตื่นจริงๆ รับฟังได้ พูดและคิดตามได้เป็นปกติเกือบสมบูรณ์

ถึงขั้นนี้เขาต้องการให้หล่อนหมดจากความรู้สึกทางกาย เพื่อให้เหลือแต่จิตสว่างพร้อมฉายภาพนิมิตอย่างมั่งคั่งด้วยกระแสสติเหมือนฝันดี จึงสั่งว่า

“แอ้...คิดไปนะว่าเนื้อของเราเหลวลงนิดหนึ่ง” เว้นจังหวะเป็นครู่แล้วถามว่า “คิดได้ไหม?”

“ได้”

หญิงสาวตอบเกือบทันที เพราะความรู้สึกทางกล้ามเนื้อตลอดร่างมลายหายไปเกือบหมด เพียงคิดว่าเนื้อส่วนบนเหลวลงนิดเดียว

“คราวนี้...” เกาทัณฑ์สั่งต่อ “คิดว่าฟูกกับเนื้อเราละลายกลืนเป็นอันเดียวกัน”

หยุดเว้นดูท่าทีของหล่อน พลางส่งใจจับอาการทางกล้ามเนื้อทั่วกายหญิงสาวเท่าที่ตาเห็น

“ยังมีกายอยู่อีกไหมในความรู้สึก?”

“มี...มีลมหายใจเข้าออก”

เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าระดับลมหายใจของหล่อนยังค่อนข้างแรง จึงบอกไป

“ถูกแล้ว ลมหายใจจะยังอยู่กับเราเสมอ ต่อไปนี้เมื่อหายใจเข้า แอ้จะเห็นแสงสว่างเพิ่มขึ้นในตัวทีละน้อย ลมหายใจกับแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน”

พักนิดหนึ่ง เพื่อให้เรือนแก้วจินตนาการตามเฉพาะลมหายใจเข้า เมื่อเห็นระบายลมออกจึงมอบจินตภาพต่อมา

“ลมหายใจออกจะพาความรู้สึกในกายที่หลงเหลืออยู่ให้หมดลง เพราะลมหายใจออกกับความรู้สึกในกายเคยคลุกเคล้าเป็นอันเดียวกัน”

พอเขาเห็นหล่อนหายใจเข้าและผ่อนออกจนสุดในครั้งถัดมา ก็ถามทันที

“รู้สึกสว่างขึ้น และเหมือนกายหายไปไหม?”

“รู้สึก”

เรือนแก้วตอบราบเรียบ ริมฝีปากระบายยิ้มเล็กน้อย

“สนใจสายลมเข้าและแสงสว่างให้มากกว่านี้ แล้วจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ”

หญิงสาวจับคำพูดของเกาทัณฑ์ด้วยสติที่เปลี่ยนไปอีกรูปหนึ่ง ทุกสิ่งปรากฏขึ้นตามคำของเขาราวกับเป็นการบันดาลจากเวทมนตร์ ในหัวเรืองแสงสว่างไสวขึ้นจริงๆ คล้ายเกาทัณฑ์หมุนปุ่มเร่งนีออนรอบๆกายหล่อนได้

กว่าสิบครั้งของลมหายใจเรือนแก้วที่เกาทัณฑ์คุมด้วยคำพูดอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอัตราเร็วและน้ำหนักลมให้คงตัว ในที่สุดหล่อนก็รายงานว่า

“สว่างเหลือเกินเต้...แอ้ไม่เคยเห็นใจตัวเองสว่างสวยเท่านี้มาก่อนเลย”

เกาทัณฑ์ซึ่งเป็นผู้ทำการสะกดเองก็กะพริบตาทึ่ง สัมผัสทางใจบอกว่าเรือนแก้วพบสภาวะที่น่าปีติชื่นใจจริงๆ เพิ่งซึมซับและตระหนักถึงอำนาจดลบันดาลจากปากตนว่าน่าอัศจรรย์ปานใด แม้คิดพูดตามอัตโนมัติตามที่เห็นควรเฉพาะหน้า ก็อาจให้ผลเกินความคาดหมายได้ขนาดนี้

“อย่าตื่นเต้น…” เขาบอกหล่อนทั้งที่ตัวเองนั่นแหละชักใจเต้นกับผลลัพธ์ “แสงสว่างและความสุขสบายนี้จะอยู่กับแอ้ตลอดเวลา แอ้สามารถรู้สึกได้ใช่ไหมว่ามันคงตัวอยู่อย่างนั้นโดยไม่ต้องบังคับ”

เรือนแก้วนิ่งไปนานเกือบครึ่งนาที ก่อนรายงานตามจริง

“แสงหรี่ลง...”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเก้อๆ พยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะไม่ให้เสียความเชื่อมั่น คิดว่านั่นเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง เขาไม่ควรพูดตามอำเภอใจจนเกินไป ประเภทสั่งว่าจะให้คงอยู่ จะให้ตรึงสภาพไว้อะไรทำนองนี้ ทุกจุดมีจังหวะเฉพาะหน้าของตัวเองเสมอ

“ถ้าอย่างนั้นหายใจเข้าใหม่ดีๆ และคิดว่าเราดึงแสงเข้ามาทางลมหายใจ เรามีความอบอุ่นสบายใจเพิ่มขึ้นเพราะลมหายใจเข้านั้น”

เรือนแก้วหายใจยาวลึกกว่าปกติ พักหนึ่งก็ยิ้มแช่มชื่นออกมาอีก เกาทัณฑ์รับรู้ได้ว่านั่นเป็นอาการเฉียดสมาธิระดับที่มีปีติหล่อเลี้ยง ทว่าต่างจากสมาธิปกติคือหล่อนไม่อาจค้ำยืนโดยปราศจากการช่วยประคับประคองจากเขา

“ต่อไปนี้หายใจเข้าทุกครั้ง ให้แอ้คิดว่าเพื่อรักษาแสงสว่างในหัวให้คงที่นะ”

ปล่อยให้หล่อนหายใจอีกสี่-ห้าหนจึงถามใหม่

“แสงสว่างเป็นปกติดีไหม?”

“เป็นปกติ สดชื่นมาก...”

หญิงสาวยิ้มกว้างราวกับยืนสูดอากาศบริสุทธิ์บนผาสูงยามเช้าตรู่ เกาทัณฑ์จับตามองด้วยความพึงพอใจ สูดลมหายใจด้วยความสดชื่นตามไปด้วย เกิดความรู้สึกว่าตนประสพความสำเร็จอย่างงดงามในเบื้องต้นนี้

คล้ายเรือนแก้วเตาะแตะหัดเดิน เขาเป็นพี่เลี้ยงเบื้องหลังด้วยความจดจ่อ มีความนุ่มนวลอ่อนโยนเกิดขึ้นอย่างท่วมท้น

“ผมจะเริ่มให้แอ้ย้อนนึกถึงอดีตแล้วนะ ตั้งต้นกันที่จุดใกล้สุด ให้คิดว่าเราจะเห็นทุกสิ่งตามที่เคยเกิดขึ้นจริงเท่านั้น”

เมื่อเรือนแก้วเงียบพร้อม เกาทัณฑ์ก็สั่งแผ่วชัด

“นึกถึงตอนที่ได้ยินผมเคาะประตู ผมเคาะกี่ครั้ง?”

คล้ายเสียงก๊อก ก๊อกเกิดขึ้นในหัว หญิงสาวรายงานตามที่ระลึกได้

“สองครั้ง”

“บอกซิว่าแอ้ทำอะไรบ้างเมื่อมาเปิดประตูให้ผม”

หญิงสาวตรึกนึกทบทวน เริ่มจากจุดที่ตนเองนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนได้ยินเสียงเคาะประตู เบื้องแรกเหมือนศีรษะหล่อนเป็นถังแก้วที่บรรจุเต็มด้วยน้ำขุ่น เห็นภาพความจำไม่ถนัดนัก แต่ด้วยแรงดันของสมาธิที่เกิดจากการสะกด คล้ายน้ำในถังลดฮวบลงเผยให้เห็นภาพชัดสนิท ปราศจากสิ่งปกคลุมมัวมน นั่นเป็นการพลิกตัวของสมาธิจิตที่ระลึกภาพความจำ

ภาพที่เห็นในหัวปรากฏเป็นรูปทรงสัณฐานสองมิติคับแคบ แตกต่างจากของจริงที่เป็นสามมิติกว้างโล่งโดยรอบ ทั้งนี้เพราะภาพที่จิตฉายออกมายังผูกติดกับกายประสาทอันเป็นเสมือนเครื่องขัง เครื่องมุงบังในเขตแคบจำกัด

และแสงของจิตที่ปราศจากกำลังฌานสนับสนุน ก็ฉายตัวเพียงมลังเมลือง คล้ายอยู่ในห้องใต้ดินที่มีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างริบหรี่ ภาพนิมิตจึงปรากฏเป็นรูปทรงสีสันชัดเจนในเงาสลัว มิใช่ชัดเจนในแสงสว่างกลางแจ้ง

ด้วยความทรงจำอันสดใหม่ใกล้ปัจจุบัน เรือนแก้วเห็นตนเองกำลังนั่งสำรวจความพร้อมของหน้าตาในเงากระจก จำได้ถึงความกระวนกระวายนิดๆเพราะรู้ว่าใกล้เวลานัด และเกาทัณฑ์จะตรงเวลาเสมอ

เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น หล่อนดีใจหน่อยๆ ลุกขึ้นจากม้านั่ง หมุนตัวเดินมาทางประตู ตอนแรกภาพกระโดดๆน่าอึดอัดรำคาญ แต่พอใจคล้อยลงในภาพความทรงจำมากกว่าเก่า ก็เห็นต่อเนื่องราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง เรือนแก้วสนุกกับประสบการณ์แปลกใหม่นั้นมาก ก้ำกึ่งในความรู้ตัวว่านั่นเป็นอดีต คละกันกับความรู้สึกตัวบนเตียงนอนในปัจจุบัน

“แอ้ลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง เดินมาเปิดประตูให้เต้”

เมื่อหล่อนพูด ภาพชะงักค้างคล้ายเครื่องฉายหยุดเดินลงชั่วขณะ

“พอเปิดประตูแล้วแอ้ก็กลับมานั่งที่เดิม”

เกาทัณฑ์พยักหน้า

“ย้อนกลับมาตอนยังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งใหม่ แอ้ก้าวเท้าแรกเป็นซ้ายหรือขวา”

เรือนแก้วคิดตาม แล้วเห็นตนเองย่างเท้าขวาออกเป็นก้าวแรก

“ขวา”

ชายหนุ่มพยายามให้หล่อนเจาะลึกลงไปในรายละเอียดรอบด้าน เพราะเห็นมีความสำคัญในอันที่จะทำให้ตัวรู้ตัวคิดทั้งหมดในอดีตย้อนกลับมา ให้ทบทวนแม้ความรู้สึกขณะยื่นมือไปสัมผัสลูกบิดประตู หรือกระทั่งเมื่อเท้าสัมผัสพรมในห้องขณะเดินไปเดินกลับ

“พอนึกถึงรายละเอียดอย่างนี้ทำให้ความเห็นชัดขึ้นไหม?”

ถามอย่างทราบอยู่แล้วเนื่องจากเคยปฏิบัติเองมาก่อน

“ชัดขึ้น”

“คราวนี้ย้อนนึกไปถึงเมื่อตอนเช้า เราเข้าห้องทำงานของนายชุน...”

เขาให้เรือนแก้วทบทวนบทสนทนา ซึ่งหล่อนเล่าได้อย่างถูกต้องละเอียดลออเป็นฉากๆ กับทั้งสามารถหัวเราะออกมาได้เบาๆกับบางถ้อยคำและท่าทางที่ออกรสออกชาติของตนเอง ด้วยเจตนาจะให้นายชุนนึกเอ็นดู

เมื่อเห็นกิริยาและได้ยินน้ำเสียงของตนเองด้วยใจที่กำลังสว่างนิ่งอยู่เหนือภาวะสามัญ บางทีก็คล้ายเป็นคนหนึ่งเฝ้าดูอีกคน ตลกชอบกล

เรือนแก้วไหลไปตามแรงดึงดูดของกระแสความทรงจำ บางจังหวะถึงกับตกใจที่สีสันและเส้นสายในภาพมีความคมชัดจนเชื่อสนิทว่าเป็นปัจจุบัน เพราะสำนึกของตัวตนที่นอนบนเตียงหายหนไปหมด หล่อนยังคงสภาพรู้เห็นออกมาจากมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง เป็นศูนย์กลาง เป็นผู้ประจักษ์ ผู้ร่วมโต้ตอบ บางทีเหลือเพียงอนุสติบางๆว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาพอดีตที่จบลงแล้ว ผ่านเลยไปแล้ว

ภาพส่วนใหญ่แม้คมกริบ ก็มีลักษณะกระโดดบ้าง ทั้งนี้เนื่องจากยามปกตินั้นคนเราหมกมุ่นฟุ้งซ่าน สติขาดตอนเป็นห้วงๆ จะเห็นภาพ ได้ยินเสียงที่มีอิทธิพลขนาดสมองเก็บบันทึกลงจิตแค่ครึ่งต่อครึ่งสำหรับคนสติดีทั่วไป ถ้าใครเหม่อมากหน่อยอาจไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งรอบตัวเลยเป็นนาที

เกาทัณฑ์เริ่มสอบถามเป็นระยะว่าเหนื่อยไหม ความทรงจำที่ทยอยลำดับมายังชัดเจนอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าเรือนแกัวยังชอบใจที่จะเกาะติดอยู่กับกระแสความทรงจำอย่างต่อเนื่อง กระปรี้กระเปร่าพร้อมจะขยับถอยกลับไปเรื่อยๆไม่เหนื่อยล้า

ครึ่งชั่วโมงแรกเกาทัณฑ์ให้หล่อนพูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ที่มีเขาร่วมอยู่ด้วย เพื่อความแน่ใจว่าหล่อนสามารถระลึกได้จริง และถูกต้องครบถ้วน เป็นการพิสูจน์ว่าครึ่งที่ตื่นของหล่อนในบัดนี้ เต็มไปด้วยสติแจ่มใสสมบูรณ์แบบ

ถัดจากนั้นจึงเริ่มย่างเข้าสู่โลกส่วนตัวของหล่อนที่เขาไม่เคยรับรู้ โดยตัดสินใจทดลองให้ย้อนแบบก้าวกระโดด

“นึกถึงช่วงวัยรุ่น...”

เขากล่าวสั่งอย่างคลุมเครือ เพื่อให้ใจหล่อนสุ่มเลือกโดยอิสระ ไม่ผูกโยงอยู่กับเครื่องแบบนักเรียนหรือชุดลำลองในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดๆ

“ตรวจดูซิว่ามีเรื่องราวอะไรที่แอ้ประทับใจ มีความสุขกับมันมากที่สุด และเด่นขึ้นมาก่อนเพื่อน”

ด้วยเพราะเกาทัณฑ์รับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเพื่อนสาวมีปมทุกข์ใหญ่หลวง จึงจงใจกระโดดข้ามด้วยการใช้คำพูดให้หล่อนตรึกนึกย้อนเฉพาะเหตุการณ์ที่เป็นสุข เพื่อผลของการสะกดเริ่มแรกจะได้ไหลลื่นด้วยกำลังปีติจนสุดทาง

อีกอย่างคือในการสะกดครั้งนี้เขาให้หล่อนระลึกถึงสะเก็ดความจำที่ผุดเด่นขึ้นมาเอง ไม่ให้ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะความพยายามนั่นแหละคือตัวสกัดกด มิได้ช่วยดึงความจำขึ้นมาแต่อย่างใด

หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจ ก่อนแย้มยิ้มระรื่นและเล่าว่า

“แอ้ซ้อนท้ายจักรยานเพื่อน มืออุ้มลูกหมาที่พ่อซื้อให้ เป็นพันธุ์ปักกิ่ง ขนยาวขาวนุ่ม ชื่อก๋วยจั๊บ”

เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วหน่อยๆ

“กำลังซ้อนจักรยานใครไปไหน?”

ใบหน้าเรือนแก้วเปื้อนด้วยรอยยิ้มสดใส

“เขามารับไปกินไอติมด้วยกันที่หน้าหมู่บ้าน”

เป็นวาระที่เกาทัณฑ์รู้ใจตนเองชัดเดี๋ยวนั้น ว่าความผูกพันที่มีต่อเรือนแก้วไม่อาจเรียกว่าเป็นเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจ เพราะอารมณ์เริ่มเจือด้วยความขุ่น สิ่งที่ผุดพลุ่งขึ้นมาจากอกในยามนั้นคือความริษยาเจ้าหนุ่มนิรนามผู้ถือแขนจักรยานนำหล่อนในอดีตไปสวีทจี๋กันตามประสาวัยรุ่น สีหน้าเรือนแก้วฟ้องชัดว่าหลงใหลได้ปลื้มหมอนั่นเพียงใด รักแรกก็อย่างนี้แหละ...

แปลบปลาบอยู่ชั่วครู่ก่อนข่มอกข่มใจให้เป็นปกติ ระลึกว่าตนกำลังทำหน้าที่ใดอยู่ อย่างไรก็ตาม คำถามต่อมาก็สนธิมาจากความรู้สึกค้างคาที่เจือด้วยการเอาตัวเองเข้าไปพัวพันนั่นเอง

“แอ้รักเขามากไหม?”

ถามเสร็จจึงเพิ่งสำนึกว่าเป็นการซอกแซกเรื่องส่วนตัว เสียมารยาทยิ่ง และนั่นก็ถูกสะท้อนด้วยปฏิกิริยาปฏิเสธจากหญิงสาว หล่อนไม่ถูกสะกดลึกขนาดถูกครอบงำจนไร้ความเป็นตัวของตัวเองถึงที่สุด จึงมีความคิดยับยั้ง ตอบเขาเพียงด้วยรอยยิ้มเฉยเมย

เกาทัณฑ์รู้ตัวว่ากำลังออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งอาจฉุดให้การสะกดสะดุดอยู่แค่นั้น จึงรีบจินตนาการเห็นตนเองเป็นสุญญากาศ เพื่อให้น้ำเสียงและความต้องการที่เข้ากระทบใจเรือนแก้วเป็นกลางที่สุด

“ไอติมที่แอ้สั่งมาทานคราวนั้นรสอะไร?”

“ช็อกโกแล็ต...ช็อกโกแล็ตซันเดย์ แอ้ชอบที่สุด”

“จำความเย็น จำรสที่แตะลิ้นในคราวนั้นได้ไหม?”

“จำได้”

“ลองนึกถึงกลิ่น นึกถึงบรรยากาศทั่วไปในร้าน ชัดไหม?”

“ชัด ในร้านเปิดไฟนีออนสว่าง อากาศโปร่ง เย็นสบาย กลิ่นใหม่สะอาด โต๊ะเก้าอี้ลายไม้สีน้ำตาลอ่อนกับข้างฝาทาสีครีม มีภาพไอติมแปะอยู่แบบลดหลั่นต่ำสูง มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หลังบาร์เคาน์เตอร์...”

“จำได้ไหมว่าวันนั้นเป็นวันอะไร?”

แม้ความคิดและความรู้สึกขณะทานไอศกรีมจะเด่นชัดในหัวราวกับอยู่ในอดีตจริงๆ แต่การย้อนนึกวันเวลากลับต้องอาศัยความพยายามในภาวะปัจจุบัน เพราะตัวตนในร้านไอศกรีมไม่ได้มีจุดใดโยงใยถึงวันเวลาให้ระลึกได้

เรือนแก้วหยุดทบทวนเป็นครู่จนหัวคิ้วขมวด ก่อนตอบด้วยเสียงค่อยลง

“จำวันไม่ได้ รู้แต่เป็นวันเรียน เพราะใส่ชุดนักเรียนอยู่”

นั่นเป็นอีกข้อเท็จจริงหนึ่ง จิตซึมซับไว้เฉพาะการประมาณเวลาและเหตุการณ์สำคัญ ไม่ใช่วันที่ เดือน และปีละเอียดชัดเหมือนอย่างบันทึกของนักสะกดจิตบางเจ้าที่ระบุได้เป็นตุเป็นตะ ราวกับมีปูมบันทึกฝังอยู่ในหัวผู้ถูกสะกด

“อย่าเคร่งเครียด คราวหลังถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต้องเค้นนะ...แอ้รู้ตัวไหมว่ากำลังเป็นเด็กลง?”

เรือนแก้วทบทวนคำถามเขา ประมวลอยู่ครู่หนึ่ง ใจย้อนกลับเป็นตัวของตัวเองในปัจจุบันชั่วขณะ แต่แวบเดียวก็หันกลับไปหาอดีตหวานชื่นมื่นในร้านไอศกรีม ความคิดในหัวยามอยู่ในวัยนั้นกระจัดกระจาย ไม่คมกริบเป็นหนึ่งเดียวเหมือนวัยใส่สูททำงานในบริษัทใหญ่ หัวอกหัวใจเคยมีแต่สีชมพู มองโลกอภิรมย์ ต้องการการเอาอกเอาใจและคำพูดอ่อนโยนเหนือสิ่งอื่นใด

“ใช่ เหมือนแอ้เป็นวัยรุ่นอีกครั้งจริงๆ แอ้เห็นหน้าเขา ได้ยินเสียงเขา รู้ความคิดในหัวของตัวเอง แปลกดีจังเลยเต้ มันไม่เหมือนความคิดเดี๋ยวนี้เลย อย่างกับเป็นคนละคนแน่ะ”

ในที่สุดหล่อนก็ตอบแผ่วเบา ภาคของจิตที่คิดพูดเช่นนั้นคล้ายเจือจางอยู่ที่สุดพื้นของสำนึกรู้ว่าหล่อนเป็นหล่อนบนเตียงนอนเดี๋ยวนี้

เกาทัณฑ์เห็นเพื่อนสาวตระหนักเช่นนั้น ตนเองก็เกิดความเห็นอนิจจตาตามไปด้วย และผุดคำพูดอันปรุงขึ้นด้วยอนิจจสัญญาโดยแทบมิได้เจตนา

“ตัวที่เห็นกายใจเป็นเรานั่นแหละคืออุปาทาน แท้จริงร่างกายและความนึกคิดคลี่คลายไปเป็นอื่นตลอดเวลา กายใจในเวลานี้ วันหนึ่งก็จะเป็นอดีตเมื่อมองย้อนกลับมาจากอนาคตที่แตกต่างออกไป”

ขณะพูด เกาทัณฑ์เกิดความรู้สึกราวกับไม่ใช่เขา แต่เป็นอีกตัวตนหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่าจิตสำนึกยามปกติ เรียกว่าเป็นภาวะเกินตัวจริงไปชั่วขณะที่เกิดปัญญาธรรม

ฝ่ายเรือนแก้ว แม้เป็นขณะแห่งการสะกด มิใช่ด้วยปัญญาส่องรู้ด้วยเจตนาของตนเอง หล่อนก็พิจารณาและเห็นตามได้ จิตเกิดความสลดสังเวชขึ้นมาวูบวาบเมื่อตระหนักว่าอดีตแสนหวานเลือนหายไปหมดแล้ว...

”ลองสืบสาวดูซิว่าหลังออกจากร้านไอศกรีมแอ้ไปเที่ยวไหนกับเขาคนนั้นต่อ”

“เขาพาแอ้กลับมาส่งที่บ้าน แล้วแยกกลับไป”

“แล้วแอ้ทำอะไรต่อ?”

คราวนี้ภาพความจำเริ่มสะดุดอีก คล้ายกระโดดจับราวโหนตัวอันแรกไว้ได้ แต่เมื่อจะเหวี่ยงขึ้นคว้าราวต่างระดับที่อยู่สูงขึ้นไป ก็คว้าพลาดแบบฉิวเฉียดเพราะกำลังที่ใช้เหวี่ยงตัวยังไม่แรงพอ

“นึกไม่ออก”

หล่อนรีบบอก เพราะเกาทัณฑ์เคยสั่งไม่ให้เค้นนึก

“ช่างเถอะ แสดงว่าเหตุการณ์ต่อมาไม่น่าสนใจพอ”

ไล่เลียงความเป็นมาสมัยวัยรุ่นอีกพักใหญ่ ฟังเรื่องราวในโรงเรียนมัธยม ในบ้าน และสถานที่ท่องเที่ยว จากนั้นเกาทัณฑ์ให้เรือนแก้วย้อนนึกถึงวัยเรียนชั้นประถม จึงได้มีโอกาสเห็นกับตา ได้ยินกับหูว่าผู้ถูกสะกดที่ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนั้น กิริยาท่าทางขณะเล่าดูเหมือนกลายเป็นเด็กน้อยจริงๆ

“...แอ้นอนตัวร้อน แต่ก็มีความสุขมากที่พ่อยอมเสียเวลาก่อนไปทำงานมาป้อนข้าวต้มให้ ถึงจะแค่สิบนาทีก็เหมือนได้พ่อไว้เป็นของแอ้ทั้งวัน...”

เกาทัณฑ์มองหล่อนด้วยแววปรานี แท้จริงเรือนแก้วผูกพันกับพ่อไม่น้อยกว่าแม่เลย เขาจี้ให้ระลึกถึงพ่อในแง่ดีอีกหลายๆครั้ง โดยคาดหมายว่าเมื่อตื่นจากสะกด หล่อนจะมีความรู้สึกกับพ่อดีขึ้นมาก

กระทั่งอดีตดำเนินย้อนมาตามลำดับ เกาทัณฑ์ลองลงลึกไปอีกขั้น ตัดสินใจให้ย้อนไปถึงเบื้องต้นชีวิตอย่างเตรียมจบการสะกดครั้งแรก

“คิดถึงเหตุการณ์ที่สนุกที่สุดสมัยเรียนอนุบาล...”

ดังกำหนดไว้แต่แรกว่าการสะกดครั้งนี้จะให้เรือนแก้วเห็นว่าชีวิตตนเป็นบรมสุข เมื่อหล่อนตื่นจากการสะกดจะแช่มชื่นเบิกบานเป็นพิเศษ เขาจึงไม่สะกิดปมร้ายขึ้นมาเลย แม้ทราบว่าโดยหลักการแล้ว นั่นเป็นวิธีรักษาบาดแผลที่ดีเยี่ยม เกาทัณฑ์อยากมั่นใจกับตนเองว่าการสะกดครั้งแรกนี้จะไม่มีสิ่งเกินความคาดหมายเหนือการควบคุมใดๆ

นั่งฟังเพื่อนสาวเล่าถึงชีวิตยามเป็นหนูน้อยตัวจ้อย ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียงเล็กใส วิธีเลือกคำพูด วิธีแสดงความคิด หรืออาการลังเลสับสนวกวนในบางคราว ล้วนแต่เป็นกิริยาของทาริกาผู้เยาว์ต่อโลกทั้งสิ้น ชักนึกเสียดาย ถ้ารู้ว่าจะได้ผลอย่างนี้ เขาจะยอมควักกระเป๋าซื้อเครื่องบันทึกเสียงจากร้านขายในออร์เชิร์ดสตรีทมาเก็บความน่าประทับใจไว้ฟังเล่นนานๆ

“...แม่เป็นคนตั้งชื่อให้ แอ้รักเจ้าเอ้เตมากกว่าจุ้มปุ๊ก”

หล่อนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อกระต่ายน้อยสองตัวในครอบครอง

“ตอนเจ้าเอ้เตจับผักบุ้งเคี้ยวมันทำท่าน่ารักดี...”

ชายหนุ่มหัวเราะโดยปราศจากสุ้มเสียง ความรู้สึกคล้อยลงอ่อนโยนตามราวกับโลกใสในวัยเด็กมาปรากฏตรงหน้าตนด้วย เขาปล่อยให้หล่อนวิ่งเริงร่าโดยยืนระวังเฝ้าดูอยู่ที่ข้างสนาม รู้ว่าเรือนแก้วจะไม่พลัดหลงไปไหน

เรือนแก้วระลึกดิ่งกลับไปไกลขนาดนี้ ไม่ถือว่าธรรมดาเลย โดยเฉพาะในการสะกดครั้งแรก เขาเพลินฟังเรื่องราวในวัย 2-3 ขวบของหล่อน และถอยกลับไปก่อนหนึ่งขวบในที่สุด

“...ตอนแอ้อยากให้แม่อุ้ม แอ้ขยับมือเท้าไม่ได้ ความรู้สึกอยากร้องไห้มันออกมาเอง...”

นั่นคือความก้ำกึ่งมีสติคิดพูดได้อย่างหญิงสาวที่โตแล้ว กับความอ้อแอ้ของเด็กแบเบาะ เกาทัณฑ์อยากทดลองอะไรบางอย่าง ตามความรู้จากการอ่าน เขาทราบว่าเด็กแบเบาะนั้น แม้ยังไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ไม่รู้ความ แต่กลับหลับฝันได้อย่างชวนให้พิศวงสนเท่ห์ยิ่ง ทางแพทย์รู้ว่าใช่แน่เพราะอาการกลอกตาขณะหลับอย่างคนฝัน ไม่รู้เท่านั้นว่าเด็กๆเห็นหรือได้ยินสิ่งใดในหัว

ตอนนี้เขาอาจมีโอกาสสืบรู้ ไขภาพและเสียงอันลี้ลับน่าใคร่รู้ในหัวของเด็กหญิงเรือนแก้วได้

“นึกถึงตอนแอ้ปิดตาง่วงจะหลับลงกับบ่าของคุณแม่” เขาสั่งอย่างนุ่มนวลแบบพูดกับเด็ก “จำภาวะความรู้สึกได้ไหม?”

“จำได้”

หล่อนตอบทันที

“ลองนึกให้ดีซิว่าพอปิดตาหลับแล้วฝันอะไรชัดๆบ้าง”

คราวนี้เรือนแก้วนิ่งไปนาน อาการนอนราบของหล่อนดูเป็นปกติ แต่ใบหน้าเริ่มปรากฏริ้วรอยเคร่ง ซึ่งเกาทัณฑ์จับสังเกตเห็นได้ถนัด

“เต้...เหมือนเตียงหมุน”

หล่อนหมายถึงเตียงที่กำลังนอนอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ความจำในวัยเด็กอีกต่อไป กระแสแปลกชนิดหนึ่งซึมแทรกเข้ามาทีละน้อย ปั่นวนอยู่ในหัว และทำให้เห็นเหมือนเตียงหมุนเวียนจากซ้ายไปขวาแรงขึ้นทุกขณะ

เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง ด้วยเพราะเตรียมรับมือกับสิ่งไม่คาดฝันมาแต่ต้น จึงตั้งสติได้ไวเท่ากับที่รู้เห็นอาการผิดปกตินั้น

“แอ้...” เขาเรียกหล่อนเสียงเข้ม “ผมนั่งอยู่ข้างๆ เห็นชัดเลยว่าเตียงไม่ได้หมุน นี่เป็นแค่ความไม่สมดุลในร่างกายแอ้นิดหน่อย อย่ากลัว ลองยกมือซ้ายขึ้นซิ”

เรือนแก้วต้องใช้ความพยายามเป็นครู่ กว่าจะดึงความรู้สึกทางกายกลับมา และทราบว่ามือซ้ายอยู่ตรงไหน ตอนสมองสั่งให้ยกขึ้นนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างหนักราวกับมือตนเองเป็นของจับแล้วหลุด จับแล้วหลุด

“นี่มือผม” เกาทัณฑ์กล่าวขณะรวบมือหล่อนไว้ในอุ้งมือตนมั่นคง “รู้สึกได้ใช่ไหม?”

“รู้สึก”

“จับสัมผัสที่มือไว้ เพราะผมอยู่ที่ความหยุดนิ่ง แอ้ก็ต้องนิ่งด้วยเช่นกัน”

พลังในน้ำเสียงมั่นคงของเขาที่แฝงกระแสบางอย่างมาในอากาศ เมื่อรวมเข้ากับไออุ่นในอุ้งมือแข็งแรง ทำให้ความเคว้งงงและการหมุนของเตียงค่อยๆจางลงราวกับม้าหมุนจะหมดรอบ และในที่สุดก็แน่นิ่ง ปลอดภัยเป็นปกติจนได้

“หยุดหมุนแล้ว...”

เกาทัณฑ์ถอนใจโล่งอก ปล่อยมือหล่อนวางราบตามเดิม เตรียมสั่งให้หล่อนถอยย้อนกลับสู่สภาพปกติเพื่อยุติการสะกด

“หายใจเข้าให้เต็มปอด แล้วระบายช้าๆ...”

ประวิงเวลาก่อนตื่นของเรือนแก้วเพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจคืนสู่สภาพสมดุลเดิม กล่อมให้หล่อนเห็นตนเองในปัจจุบันไล่มาเรื่อย กระทั่งบุคลิกทั้งหมดกลับเป็นปกติแน่แล้ว เกาทัณฑ์จึงบอกในขั้นสุดท้าย

“แอ้อยู่กับผมในห้องพักของแอ้เอง ตอนนี้เหมือนเราไปเที่ยวและกลับถึงบ้านเรียบร้อย ฟังผมนับห้าถึงหนึ่งเพื่อให้แอ้เตรียมใจตื่น พอได้ยินเสียงดีดนิ้วให้ลืมตาช้าๆ”

เขานับ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง แล้วลัดนิ้วแป๊ก เปลือกตาหญิงสาวแย้มเปิดขึ้นครึ่งหนึ่งทันที แล้วจึงค่อยๆเบิกเต็มหน่วยในเวลาต่อมา

นัยน์ตาหล่อนกลอกมาหาเขา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข เกาทัณฑ์ยักคิ้วให้ทีหนึ่ง

“เป็นไงมั่ง?”

เรือนแก้วมองเพื่อนชายด้วยแววทอดสนิท เมื่อครู่หล่อนยอมตกอยู่ในมือเขา ให้เขาชักจูงไปทุกหนทุกแห่ง บัดนี้คล้ายเขาผูกพันกับหล่อนมาทั้งชีวิต นั่นเป็นผลลัพธ์อย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น นึกอยากลุกขึ้นกอดเขาอย่างจะแสวงหาความอบอุ่นสักครั้ง แต่เกรงจะเข้าใจผิดและนึกดูถูก จึงได้แต่ดึงกายขึ้นนั่ง ปัดผมเผ้าให้เรียบร้อย

“เพิ่งเคยสะกดแอ้เป็นคนแรกจริงๆเหรอ?”

“จริงสิ”

“รู้สึกยังกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเลยนิ”

แล้วหล่อนก็หรี่ตารำพึง

“รู้สึกแปลกดีจัง”

ทดลองเลื่อนแขนเปลี่ยนที่วางมือ สัมผัสแห่งความเป็นปัจจุบันช่างน่าจับสังเกตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หล่อนขยับเขยื้อนอย่างมีสติเดี๋ยวนี้ อีกสิบนาทีข้างหน้าจะยังประทับอยู่ในความทรงจำให้สามารถย้อนระลึก ประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์มีความหมายเพียงเพื่อให้ถูกจำและถูกลืมเท่านี้เองล่ะหรือ?

“ขอบใจนะที่พยายามทำให้แอ้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีความสุข”

สายตาที่เบนมามองเขาทอดอ่อนด้วยกระแสความขอบคุณ

“แอ้ชักสนุกกับการสังเกตสัมผัสและรายละเอียดต่างๆในปัจจุบันแล้วสิ…”

“นั่นแหละเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรมในวิถีพุทธ มีสติอยู่กับรายละเอียดจนเกิดตัวรู้ มองเห็นกาย มองเห็นความคิดแยกกันเป็นชั้นๆ เพียงแค่ถามตัวเองว่ากำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไรต่อผัสสะหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อปฏิบัติถึงระดับ ‘ขึ้นใจ’ แล้วจะเกิดผลมากมาย อย่างถ้าย้อนระลึกอดีต ก็จะเกิดตัวรู้ตัวเห็นที่ชัดเจนสมจริงมาก”

เรือนแก้วอ้าปากจะพูดโต้ตอบ แต่ก็ต้องตกใจสะบัดหน้าและอุทานอุ๊ยเบาๆเมื่อประตูห้องเปิดผางโดยแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ อาคันตุกะหน้าเหี้ยมสองคนรุกล้ำเข้ามาอย่างพรวดพราด คนหนึ่งงับประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว อีกคนกรากเข้าชี้ปืนขู่เจ้าของห้องในระยะห่างเพียงสองเมตร

“เฉยๆแล้วกูจะไม่ทำอะไรพวกมึง!”

เสียงสั่งเป็นภาษาอังกฤษกระชากห้วน ปืน .38 ออโต้ในมือแผ่กระไอทมิฬมืดออกมาจากรูกระบอกดำลึก กดให้รู้สึกอยากหดหัว น่ากลัวจนเชื่อได้ทันทีว่ามีลูกปืนในรังเพลิง พร้อมระเบิดออกมาทะลุเป้าหมายอย่างมนุษย์เนื้ออ่อนให้เจ็บดิ้นหรือสิ้นชีพเพียงลงมือกระดิกนิ้ว

สองหนุ่มสาวเบิกตาค้าง ตะลึงงันจนลำคอตีบตัน พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว กลิ่นอายเพชฌฆาตอันเหม็นหืนที่ลอยมาจากร่างป้อมเป็นมะขามข้อเดียวนั้น กลบกลิ่นหอมอวลในห้องลงสิ้น บางคนที่ฆ่ามนุษย์ไว้มากจะมีกลิ่นขื่นเขียวชวนสะอิดสะเอียนเฉพาะตัวที่ฟอกล้างด้วยสบู่ไม่ออก เกาทัณฑ์เคยพบมาก่อน และทำให้ทราบทันทีว่าหมอนี่ฆ่าเขาง่ายเป็นผักปลาดังตาประกาศแน่

เรือนแก้วเหมือนถูกตรึงด้วยตะปู เพราะหวาดกลัวจนระบบประสาทชาไปหมดทั้งร่าง สิ่งแรกที่ทำเมื่อคลายจากอาการแข็งค้างได้หน่อยคือถลันข้ามเตียงไปขออาศัยร่างเพื่อนหนุ่มเป็นกำบัง เบียดกอดเกาทัณฑ์จากเบื้องหลังแน่นทั้งเนื้อตัวสั่นเทา ขณะโจนตัวก็ขนหัวลุกเพริดแทบอยากหวีดร้องด้วยเกรงจะยินเสียงปืนลั่น และมีพญายมมากระชากวิญญาณตน

ยังดีที่หมอนั่นรู้ว่าเป็นกิริยาที่เกิดจากความประสาทเสีย เยือกเย็นพอจะจ่อปืนเฉย เรือนแก้วซุกหน้าแอบลงกับต้นคอเพื่อนหนุ่ม เผยตาข้างเดียวดูชายผู้มีใบหน้าเหลี่ยมหักราวกับยักษ์มาร นัยน์ตาโปนโตอำมหิตที่เพ่งอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญใกล้ตัวในบัดนี้ สร้างความหมายของคำว่า ‘ประสบการณ์’ ขึ้นใหม่ในใจหล่อน เอี่ยมอ่องที่สุดในชีวิต

“เต้...”

สุ้มเสียงสั่นกระเส่าอย่างน่าสงสารนั้น ปลุกเกาทัณฑ์ให้ตั้งสติกลับสู่สถานการณ์จริงอย่างฉับพลัน อย่างน้อยก็รับรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และเป็นเรื่องที่เขาต้องคิดอ่านรับมือโดยด่วน ถ้าปล่อยให้ความตกใจกลัวเข้าครอบงำ สิ่งเลวร้ายอาจยิ่งร้ายถึงที่สุดเกินกว่าจะผ่อนหนักเป็นเบาได้

เรื่องไม่คาดฝันมีอยู่มากมาย จะร้ายหรือดีล้วนปรากฏเหมือนความบังเอิญ แต่น้อยคนจะรู้ว่าเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับวิถีชีวิตอย่างแรงนั้น ที่แท้เป็นวิบากกรรมอันมีจริง เห็นได้จริง ไม่มีเรื่องใดบังเอิญเลย จะเป็นเวลาไหน โยงใยกับใคร กรรมเป็นผู้คัดเลือกทั้งสิ้น

มีเริ่มต้องมีจบ ทุกคนที่เผชิญเหตุร้ายต่างภาวนาให้จบลงด้วยดีที่สุด โดยเร็วที่สุด

แต่คนเราให้เล่นกีฬาที่ไม่เคยลงสนามจริงนั้น ใครเล่าประมาณแพ้ชนะ ประมาณช้าเร็วได้ว่าเมื่อไหร่จบ?


บทที่ ๒๒  คราวเคราะห์


    ขณะแห่งความหน้าสิ่วหน้าขวาน มึนมืดอึมครึมด้วยคลื่นความชั่วช้าที่กระจายมาจากสองคนร้าย เกาทัณฑ์สามารถข่มความหวาดผวาเยี่ยงปุถุชนลงได้เกือบราบคาบ เปิดทางให้เกิดสติวิเคราะห์สถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างถ้วนถี่ในเวลาเพียงสองสามพริบตา

    คนยืนเอาปืนขย่มขวัญเขาอยู่บัดนี้ ต่างจากลูกจีนสิงคโปร์ ดูออกไปทางชาวอาทิตย์อุทัยชัด ท่วงทีราศีฉายเหนือกว่าโจรกระจอก ออกเค้าว่าเป็นชั้นลูกพี่ในแก๊งยากูซ่าสักกลุ่ม ชุดสูทที่สวมอยู่นั้น ทำให้รูปหน้าเหี้ยมเกรียมดูทรงภูมิ หากใส่แว่นดำปิดบังดวงตากร้าวผิดสุจริตชนสามัญ ก็พอหลอกว่าเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆกับเขาได้อยู่ หมอนี่คงอายุมากแล้ว เกือบครึ่งศตวรรษเห็นจะได้ แต่ร่างกายยังดูบึกบึนแข็งแกร่งเป็นแรดแบบนักมวยปล้ำ ถ้าไม่ใช่ทีเผลอคงโค่นลำบาก

    ส่วนคนยืนคุมเชิงที่ประตูนั้น สูงโย่งและท่าทางหนังเหนียว อาจทนมือทนเท้าได้แบบนักรบกระดูกเหล็ก มองผาดหรือมองจ้องก็สังหรณ์ได้ทันทีว่าผ่านการฆ่ามือเปล่ามาแล้วอย่างโชกโชน แค่นัยน์ตาที่เขม็งจ้องมาทางเขานั้น ก็ซ่านเลือดและแข็งค้างราวกับวิญญาณอาฆาตมาขอชำระหนี้แล้ว หลบห่างได้เป็นดีที่สุด

    ทั้งลูกพี่ลูกน้องเหงื่อกาฬแตกพลั่กราวกับวิ่งหนีเสือมา ฉะนั้นการจู่โจมยึดห้องครั้งนี้ น่าจะไม่ใช่เพื่อเข้ามาฆ่า ไม่ใช่เพื่อรื้อค้นปล้นทรัพย์ แต่เพื่อขู่เจ้าของห้องพักไว้เป็นตัวประกัน เกาทัณฑ์สันนิษฐานว่าคงหนีตำรวจมาด้วยพฤติกรรมสามานย์ชนิดหนักแผ่นดินสักคดีนั่นเอง สีหน้าสีตาจึงเครียดเคร่งอย่างผู้อยู่ในฐานะครึ่งเป็นครึ่งตายดังฟ้องชัด

    สิ่งน่าประหวั่นคือทั้งสองอาจเผื่อแผ่ฐานะครึ่งเป็นครึ่งตายมาให้เขากับเรือนแก้วไปด้วย ดูประกายตาร้อนรนถึงขีดแล้วเดาว่านี่คงเป็นเรื่องใหญ่ระดับนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือฝ่ายนี้ยอมสู้ถวายหัวดีกว่าถูกจับ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น คงหวังการลงเอยด้วยดีไม่มีริ้วรอยขีดข่วนยากยิ่ง

    และต้องยอมรับอย่างไม่น่าอับอายนักว่าปืนพกที่ชี้เล็งแสกหน้าอยู่ในขณะนี้ ทำให้เขาเกิดความเสียวหน้าผากยิ่งกว่าใครเอาแหลนเหล็กแหลมมาจี้จ่อ เพราะพิษสงของลูกปืนขนาด .38 นั้น แม้ไม่เคยโดนก็รู้ว่าเจ็บถึงใจแน่ ให้เจาะเนื้อลงตรงจุดไหนก็เถอะ โดยเฉพาะถ้าเข้าแสกหน้าเขาตามวิถีเล็งในบัดนี้ รับรองกลายเป็นศพสวัสดีทันที

    เขาหวังจะตายแบบท้ายทอยปิดๆ อย่าต้องเปิดเว่อแบบเจ้าพ่อในรถเบนซ์หลายๆคันเลย ขยาดกับจินตนาการเห็นภาพตนอ้าปากหวอเลือดโทรมในหนังสือประเภทเจาะข่าวอาชญากรรม มันคงทุเรศน่าอ้วกไม่ต่างจากมาเฟียทั้งหลายนั่นเอง

    สรุปคือตอนนี้ต้องห้ามมือห้ามเท้าตนว่าอย่าบุ่มบ่ามฮึดสู้แบบโง่ๆ

    ยุ่นร่างบึกจ้องอย่างชั่งใจเป็นครู่ เห็นเขาสงบพอดีๆ ไม่ถึงกับแหยแฝ่น ขณะเดียวกันก็ไร้วี่แววหือสู้จากดวงตาและแข้งขา จึงหย่อนน้ำหนักตะคอกขู่ขวัญลงหน่อยหนึ่ง

    “บอกเมียมึงให้สงบซะ อย่าหวีดร้อง อย่าทำตัวรุ่มร่ามเป็นปัญหา ให้เข้าใจว่ากูรักษาอาการขวัญกระเจิงเป็นอยู่วิธีเดียว คือยิงทิ้ง!”

    ยังคงลงเสียงสรรพนามยูไอแบบกระแทก สื่อความหมายสำรากกูมึงไม่สร่าง ที่บอกผ่านเขาเพราะคิดเผื่อว่าเรือนแก้วจะฟังอังกฤษไม่ถนัด

    “ตกลง พวกเราจะอยู่เฉย ผมจะบอกเธอว่าคุณจะไม่ทำร้าย”

    คำสั่งของผู้รุกรานเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุยกับเรือนแก้วถนัด เกาทัณฑ์เอี้ยวตัวยกมือตบปลอบเบาๆลงบริเวณขมับเพื่อนสาวผู้ถูกมองว่าเป็นเมีย

    “มันคงหนีตำรวจมาน่ะแอ้ เฉยไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลให้มันทำร้ายพวกเราหรอก แค่อาจยึดห้องเป็นที่หลบชั่วคราว เดี๋ยวคงไป”

    ปลอบให้สถานการณ์ดูเบาลง ทั้งที่ใจคิดอีกอย่าง

    “แอ้กลัว...”

    “ผมก็เหมือนกัน”

    เขายอมรับ ใครเอาปืนมาจ่อหน้าใกล้แค่นี้แล้วทำเก่ง ยืดอกคุยโตว่าไม่กลัวเลยน่ะโม้แน่ แต่ร่างสั่นเป็นลูกนกของเพื่อนสาวที่เบียดชิดหลัง และช่วงแขนที่คล้องรัดเอาเขาเป็นโล่บังนั้น ก็ปลุกสัญชาตญาณปกป้องของชายให้เขารำงับความตระหนกประหม่าลงมาก อีกทั้งคิดคำปลอบได้เรื่อยๆ

    “แต่ตอนนี้ถ้าเราใจฝ่อ คุมสติไม่อยู่ หากคับขันจะคิดอ่านนัดแนะรับมือพวกมันลำบาก”

    ความเย็นทั้งกิริยาและวาจาของเขาช่วยบรรเทาความกระสับกระส่ายของเรือนแก้วได้นิดหน่อย อย่างน้อยเขาก็ปักหลักบังกระสุนให้หล่อนเฉย ไม่ส่อเค้าขอผลัดมาอยู่ข้างหลังบ้าง พอเป็นความอุ่นใจในคราววิกฤตขีดสุด รวมทั้งสร้างจิตวิทยาให้โน้มเอียงที่จะเชื่อว่าสถานการณ์คงคลี่คลายไปในทางดีในบั้นปลาย

    โคเฮจิเริ่มประเมินสถานการณ์ของฝ่ายตนเองเช่นกัน แม่สาวหน้าสวยนั่นท่าทางดีดพลั่กเดียวปลิว ไร้พิษสงอย่างสิ้นเชิง ส่วนหนุ่มที่นั่งเฉยเป็นรูปปั้นนั้น แม้มีสัดส่วนและกล้ามเนื้อสมบูรณ์อย่างคนเล่นกีฬาเป็นกิจวัตร ทว่าหน้าตาคมสันสะอาดสะอ้านอย่างนายแบบเจ้าสำอาง ก็ไม่เรียกศรัทธาให้เชื่อว่ากระดูกจะแข็งสักเท่าไหร่ ทิ้งหมัดเดียวคงกองนิ่งกับพื้น ไม่ควรวิตกให้กลุ้มเปล่าเช่นกัน

    สบายใจขึ้นเมื่อแน่แล้วว่าเจอหมู เขากับลูกน้องใช้ลิฟต์หนีตายจากชั้นที่พัก และวิ่งขึ้นบันไดเพื่อลวงตำรวจอีกสามชั้น กะหลอกแขกเปิดประตูรับเพื่อยึดห้องและจับไว้เป็นตัวประกัน หรือถ้าเห็นจวนตัวจวนเวลาหาหมูหลอกไม่เจอ ผิดนักก็ยอมสร้างพิรุธยิงลูกบิดเปิดเข้าไปเอง นึกไม่ถึงว่าจะโชคดี เสี่ยงหมุนห้องแรกก็เข้ามาได้สะดวกดายแบบโชคช่วย แถมเจอผัวหนุ่มเมียสาวที่ดูรักกันปานจะกลืน ท่าทางละอ่อนและขยาดความรุนแรงทุกชนิด เพียงจิกหัวใครไว้จ่อปืนขู่ อีกคนคงยอมถวายชีพ ยินยอมปฏิบัติตามทุกคำสั่งเพื่อรักษาลมหายใจคนรักไว้แน่ๆ

    คู่นี้เป็นคนไทย เขาหมายตาหญิงสาวที่ถ้ายึดไว้ก็เปรียบเสมือนลูกไก่ในมือ จึงตะแคงหน้าเล็กน้อยสั่งความกับคนของตนเป็นภาษาญี่ปุ่น

    “ไซ! เดี๋ยวเราหลบกันในห้องน้ำ ยึดตัวนังคนสวยนี่ไว้เป็นประกัน จับแก้ผ้าเสียด้วยเผื่อโดนขอค้น อาจหลุดตรวจ”

    โคเฮจิไม่ทันเฉลียวใจว่าหญิงไทยผู้กำลังงันงกจะรู้ญี่ปุ่นทะลุปรุโปร่งแทบเทียบเท่าภาษาแม่ อีกทั้งชะล่าว่าสองหนุ่มสาวนี่ขยำทีก็บี้แบน ต่อให้ฟังออกก็หือไม่ขึ้นอยู่แล้ว

    เรือนแก้วแทบน้ำลายติดคอ อกสั่นขวัญแขวนเพราะได้ยินถนัด กระซิบบอกเกาทัณฑ์อย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    “เต้ มันว่าจะเอาแอ้เป็นตัวประกัน ซ่อนตัวในห้องน้ำ แล้วจะ...จะแก้ผ้าแอ้ด้วย”

    คำหลังแผ่วระโหย มือไม้อ่อนเปียกไปหมด เกาทัณฑ์รับทราบแล้วสามารถวาดภาพได้เป็นฉากๆ วายร้ายหน้าหักคงกะลวงตำรวจโดยให้เรือนแก้วนุ่งผ้าเช็ดตัวเปิดประตูห้องน้ำยื่นหน้าแบบเปียกๆ โดยเอาปืนจี้หัวไว้ข้างหลัง ถึงแม้ตำรวจพบพิรุธก็เปลี่ยนแผนเป็นขู่ฆ่าได้ทันควัน เหตุการณ์ถัดจากนั้นยากจะเดา ตำรวจจะเลือกสวัสดิภาพของแขกบ้านแขกเมืองหรือมรณกรรมของคนร้ายเป็นหลักก็ไม่ทราบ และฝ่ายคนร้ายที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาติดตันในโรงแรมจะใช้ตัวประกันแหวกผ่านวงล้อมสันติบาลแบบไหน ล้วนเกินความหยั่งรู้

    แต่ที่แน่คือตราบใดที่พวกมันยังไม่ถึงถิ่นตัวเองหรือเขตปลอดภัย เรือนแก้วก็จะยังคงถูกยึดตัวไว้อย่างเหนียวแน่นแทนโล่ป้อง เพราะนี่คือจุดประสงค์ของการบุกห้องพักแขกอยู่แล้ว

    เรือนแก้วคงหมดประโยชน์เมื่อถึงรัง เพราะพวกนี้ไม่ใช่โจรลักตัวเรียกค่าไถ่ รูปร่างหน้าตาอย่างหล่อนคงกลายเป็นของแถมจากการฉุดคร่าที่น่าปู้ยี่ปู้ยำอีกโสด ถ้าไม่โดนข่มขืนฆ่าก็ถูกจับขายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหละ ที่จะทิ้งไว้ตามโคนต้นไม้ให้หาทางกลับเองโดยไม่ตะกุยข่วนเลยสักรอยนั้นอย่าหวัง

    สำหรับเขาเองคงอยู่ในข่ายปลอดภัย เพราะมีหน้าที่เปิดประตูรับตำรวจ และเสแสร้งแกล้งทำว่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์เลวร้ายอันใด กับทั้งเมื่อถูกขอค้น ก็ต้องอ้างว่ามีเมียอีกเพียงคนเดียวอยู่ในห้องน้ำ ประกอบธุระส่วนตัวของหล่อน ตำรวจจะได้กระอักกระอ่วนในการขอตรวจอย่างละเอียดทุกซอกมุม

    หนังตาขยิบแปล๊บ เขาจะปลอดภัยอย่างลอยลำเพียงเมื่อตำรวจมาถึง...

    ประสาทเกาทัณฑ์ชักเครียดเขม็ง ฝ่ายลูกน้องร่างโย่งคล้ายออกความเห็นแย้งความคิดลูกพี่ ซึ่งลูกพี่ก็ดูท่าวางตำแหน่งอีกฝ่ายไว้ในฐานะกุนซือ ไม่ใช่แค่ลิ่วล้อไว้เป็นมือเท้าอย่างเดียว ยังรับฟังและโต้ตอบเป็นเรื่องเป็นราวยาวอยู่

    นั่นเองเกาทัณฑ์จึงมีโอกาสสั่งเสียกับเรือนแก้ว

    “เราต้องชิงเล่นงานมันก่อน ให้แอ้อยู่ในมือพวกนี้เท่ากับกระโจนลงนรกดีๆนี่เอง แอ้เลือกเอานะ จะเสี่ยงตายกับผมหรือยอมรอเสี่ยงตายในมือพวกมัน”

    เขาถามความสมัครใจและบอกความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ถึงแม้เรือนแก้วจะกลัวจนขึ้นสมองจี๊ด ก็หลับตากัดฟันตอบอย่างรู้ว่าถึงนาทีจวนตัวเข้าด้ายเข้าเข็ม ตัดสินใจช้าไม่ได้แล้ว

    “แอ้จะตายกับเต้”

    ควานหามือเขา เมื่อพบก็ยึดไว้มั่น

    “ขอบใจนะที่ไม่คิดทิ้งกัน”

    เกาทัณฑ์กระชับมือตอบ

    “ผมไม่ให้แอ้อยู่ในมือคนอื่นหรอกน่า”

    เสียงปรานีจริงใจนั้นมีผลให้เรือนแก้วค่อยๆลืมตาขึ้น ลำคอตีบตัน ไออุ่นจากเขาช่วยให้จิตใจมั่นคงขึ้นทีละน้อย

    “เต้...”

    “หือม์?”

    “อยากด่าว่าหน้าไม่อายก็ตามใจนะ ฉัน...ฉันรักเธอ”

    สารภาพปลายเสียงสั่นพลิ้วอย่างตระหนักว่าอาจไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว เกาทัณฑ์อึ้งไปชั่วขณะ ในโลกใกล้ดับที่มีเขากับหล่อนตามลำพัง ทุกสิ่งถูกลืมหมดสิ้น เหลือไว้แต่อารมณ์จากแก่นแท้ภายในที่ถูกเร่งให้แสดงโดยปราศจากมารยาแสร้งเส

    “ผมก็รักแอ้...”

    เหมือนกระแสน้ำอุ่นหลามไหลเข้าสู่หัวใจเยียบเย็นของคนที่ยืนอยู่หว่างรอยต่อความเป็นกับความตาย ความซ่านระทึกในวิกฤตถูกท่วมทับจนมิดด้วยรสสงบสุขในรัก เรือนแก้วบีบมือแน่นขึ้น อย่างจะขอรับการถ่ายทอดกระแสใจจากเขาเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับตน

    “โลกหน้าจะเป็นสวรรค์หรืออะไรก็ช่าง ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันก็แล้วกัน”

    หล่อนกระซิบ เกาทัณฑ์ยกมือของหญิงอันเป็นที่รักขึ้นจุมพิตแผ่ว

    “อย่าให้ผมสับสน และเพิ่งได้รู้ใจแอ้เอานาทีสุดท้ายเหมือนชาตินี้อีกล่ะ”

    เรือนแก้วตอบด้วยรอยยิ้มเงียบเชียบที่เบื้องหลัง บังเกิดความตื้นตันใจจนวูบคิดอธิษฐานอย่างแรงกล้าว่าตนจะยากกับชายทั้งโลก แต่ง่ายกับเขาเพียงคนเดียวไปทุกภพทุกชาติ!

    การเกิดใหม่มีกระบวนการซับซ้อนอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าขอเพียงมีใจกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวเสมอกัน หมดวาระจากฉากนี้เมื่อไหร่ ก็ได้ผจญภัยในฉากใหม่ร่วมกันแน่แล้ว

    “จะให้แอ้ทำยังไงบ้าง?”

    น้ำเสียงหล่อนสะท้อนใจที่นิ่งเหมือนน้ำ กายที่เคยสั่นบัดนี้สงบลง เหลือเพียงความเย็นใจในรักแท้

    “ยิงปืนที่เห็นในมือไอ้เบื๊อกข้างหน้านี่ไหวไหม?”

    “ไหว”

    “งั้นคอยตะครุบให้ดีแล้วกัน”

    เรือนแก้วพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่วายห่วง

    “แล้วอีกคนล่ะ?”

    “เถอะน่า...”

    ลอบอัดลมหายใจยาวลึกรวดเร็วสองสามครั้งราวกับกระบอกสูบลมขนาดยักษ์ เก็บเกี่ยวพลกำลังจนเต็มแน่น เริ่มจับจังหวะนับแต่นั้น ขอทีเผลอเพียงพริบตาเดียวเถอะ

    เกาทัณฑ์เป็นผู้ที่เกิดมามีสัดส่วนและสรีระเป็นอาวุธร้ายคนหนึ่ง ทั้งข้อลำ ทั้งน้ำหนักหมัดเท้า ทั้งสปริงตามจุดส่งแรงต่างๆ จัดว่าถูกสร้างไว้เพื่อให้พร้อมระดมหมัด เท้า เข่า ศอกแจกได้ดุดันเป็นฟ้าแลบ ช่วงวัยรุ่นเคยมันเขี้ยวคะนองกำลังวังชาแห่งตน ตระเวนลองของมาเยอะ ถึงเรื้อไปบ้างก็ซ้อมชกกระสอบทรายในห้องพักเกือบทุกวัน รักษาน้ำหนักไว้ได้คงเส้นคงวา ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาใช้ประโยชน์รักษาสวัสดิภาพของตนและหญิงสาวในคราวนี้ เขามั่นใจว่าถ้ารีบก็อาจเผด็จศึกโดยเร็ว ฉวยความได้เปรียบที่ศัตรูประมาท หย่อนความระวังเปิดช่องให้เข้าทำก่อน

    และแล้ววินาทีที่รอคอยก็มาถึง ดูเหมือนนายบ่าวคู่นั้นจะตกลงกันได้ว่าจะเอาไงแน่ ฝ่ายยืนคุมประตูห้องจึงหันไปยื่นหน้าจ่อตากับรูแก้วเพื่อสอดส่องความเป็นไปภายนอก ส่วนตัวหัวหน้าก็พะวงใช้มือซ้ายล้วงท่อเก็บเสียงจากชายเสื้อนอกด้านใน ลดความเกร็งข้อแขนและข้อมือข้างที่จับปืนลงแบบการ์ดตก เนื่องจากตายใจแล้วว่าสองหนุ่มสาวเป็นเด็กหัวอ่อนในความควบคุมโดยดี

    เกาทัณฑ์ทะลึ่งพรวดขึ้นดีดปลายเท้าซ้ายเตะข้อมือเจ้าตัวร้ายเต็มเหนี่ยว ปืนกระเด็นหลุดผลัวะ จากนั้นไม่รอช้า หมายตาไปยังลูกสมุนหน้าห้อง มือขวาเอื้อมไปทางด้านหลัง คว้าจานเขี่ยบุหรี่เหล็กจากโต๊ะหัวเตียง วาดแขนสะบัดมือเขวี้ยงใส่กบาลหมอนั่นกะตำแหน่งท้ายทอย อาศัยเชื่อความแม่นยำของตนที่สั่งสมจากการเล่นกีฬาขว้างๆเหวี่ยงๆมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเปตอง ขว้างจักร หรือปาลูกดอก ผสมผเสกันแล้วหวังผลพอได้ว่าระยะครึ่งห้องพักแค่นี้ถ้าเข้าเป้าจังๆคงสลบเหมือดคาที่

    ยินเสียงเหล็กกระทบกะโหลกมนุษย์โป๊กใหญ่คล้ายกระหน่ำทุบค้อนปอนด์ ตามด้วยเสียงร้องอุ๊บหนึ่งแอะ เกาทัณฑ์ไม่มีเวลาชมผลงาน เพราะต้องหันกลับมาทางชายร่างป้อมใกล้ตัวทันที ร่างบึ้กตั้งหลักได้เร็วและกำลังสวิงหมัดซ้ายใส่แบบโต้ตอบก่อนสมองสั่ง หมายตะบันหน้าหล่อให้หงายเก๋ง เกาทัณฑ์เพียงค้อมร่างหลบหน่อยเดียว กะให้หมัดเฉี่ยวถากวืดคร่อมศีรษะ เพื่อไม่ให้เสียหลักเข้าจู่โจมมากนัก

    พอหมัดข้าศึกวืดและเปิดช่องท้อง เกาทัณฑ์ก็ฉวยโอกาสสะอึกตวงซ้ายสั้นเข้าลิ้นปี่สองหมัดซ้อนจนคู่อริตัวงอลงหน่อย แล้วซ้ำด้วยการย่อขวาง้างหมัดยิงปัง หมายเสยเข้ากระโดงคางสุดแรงเกิดแบบไม่ออมแรงไว้ เพราะแม้ดูท่าว่าเจ้านั่นแก่เกินสี่สิบ ก็ยังแกร่งขนาดมีสิทธิ์ฟาดเขาหมอบ หรือยิงเขาตายได้ชนิดตาไม่กะพริบ อย่างนี้คงไม่เจอข้อหารังแกคนแก่อย่างน่าเกลียดกันล่ะ

    อย่างไรก็ตาม หมัดตันๆเป็นตุ้มเหล็กที่เคยต่อยคู่ต่อสู้กร้วมเดียวล้มตึงนั้น บัดนี้สยบยุ่นร่างบึ้กไม่ลง แม้อายุมากก็ยังแกร่งกล้าทายาด เพียงโซเซแกว่งไปแกว่งมาแบบตาพร่าพรายเห็นดาว ทั้งที่ควรหงายหลังแผ่หราได้แล้ว

    เห็นจะเป็นเพราะเขาจับเป้าน็อคไม่ถนัด กะคางแต่เป้าไหวเสียก่อน น้ำหนักหมัดเพียงเฉี่ยวกรามจึงอ่อนไปสำหรับผู้โชกโชนศึกที่ร่างหนาปึกราวกับนักมวยปล้ำเก่า ทำเอาหนุ่มไทยชักหนักใจ เนื่องจากยังมีเจ้าโย่งตาอำมหิตที่หน้าประตูอีกรายให้ติดตามผล แค่ด่านแรกยังคว่ำช้าอย่างนี้ ขืนปล่อยไว้ เกิดลุกขึ้นตั้งหลักได้พร้อมกันสองคน เขาคงโดนลงแขกแจกหมากน่วมก่อนยิงทิ้งทารุณ หรือใช้วิธีห้ำหั่นสยดสยองตามตำนานยากูซ่าที่เคยแว่วมา

    ใช้เวลาเสี้ยววินาทีเดียวตัดสินใจเลือกเผด็จศึกหัวมังกรใกล้ตัวให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก่อน ค่อยตามเช็กบิลหางมังกรในภายหลัง ถ้าหางมังกรสะบัดลายขึ้นมาตอนนี้ก็ต่อโลงรอเถอะ ใครไปจับศึกสองด้านพร้อมกันไหว พยายามดีที่สุดได้แค่นี้

    ย่างเท้าเข้าหาสิงห์เฒ่า กำสองหมัดแน่น ยกสองแขนเอี้ยวตัวอย่างกับจะหวดกอล์ฟ ก่อนประเคนฟาดต้นคอของผู้เป็นเป้าหมายอย่างจังด้วยหมัดคู่และสองข้อมือคมที่ประสานลงพร้อมเพรียง ส่งเสียงตึ้บหนักๆเป็นมะพร้าวตกจากต้น ยังผลให้ร่างบึกทรุดฮวบคลานสี่ตีนทันใด

    เมื่อทรุดลงดังใจนึกแล้ว เกาทัณฑ์จึงดับเครื่องฝ่ายนั้นด้วยการถอยเท้าออกไปสองจังหวะ แล้วสืบซ้ายปักหลัก หวดแข้งขวาช้อนเข้าใต้ท้องแบบอัดฟุตบอลจากจุดโทษโหดเหี้ยม เรียกว่าถ้าเป็นบอลก็กะตูมเดียวตุงตาข่ายเกือบฉีกชนิดผู้รักษาประตูไม่กล้ารับ เล่นเอาร่างบึกเด้งเยือกขึ้นตามแรง แล้วพับฐานพังพาบยุติการเคลื่อนไหวลงสนิท

    อย่าเพิ่งฟื้นนะไอ้แก่...เกาทัณฑ์คิด ต่อให้สมัยหนุ่มเคยเป็นนักมวยปล้ำจริงก็คงจุกลำแข้งเขาไปหลายนาทีล่ะคราวนี้

    อย่างไหลลื่นต่อเนื่อง กระทิงหนุ่มหันตัวปราดเข้าชาร์จเจ้าโย่งที่โดนอาวุธลับลงไปกองเค้เก้กราบประตูหน้าห้อง แง่หรือสันจานบินเหล็กคงไม่เข้าเป้าท้ายทอยถนัดนัก เพราะยังอุตส่าห์หยัดกายขึ้นยืนอย่างทรหด เดชะบุญหมอนั่นมืออ่อนทำปืนร่วงกับพื้น และเพิ่งกลับหลังหันโงนเงนงงงวยขึ้นมา ท่าทางกำลังพยายามนึกให้ออกว่าชาตินี้กูคือใคร พอเขาไปถึงจึงเลือกเล่นงานได้ตามสะดวก งัดหัวเกือกซ้ายเข้าผ่าหมากเต็มตีนชนิดขอเก็บคุณธรรมเข้ากระเป๋าเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของข้าพเจ้าไว้ก่อน

    แต่สัญชาตินักสู้ของจอมทรหดนั้นทำให้ยากจะเคี้ยวง่าย เจ้านั่นคืนสติเห็นขีปนาวุธจับเป้าตนได้อย่างว่องไว สมอาชีพคนบาปที่ต้องมีตาประดุจเหยี่ยวไว้ระวังภัยเสมอ สองมือปามจับข้อเท้าเขาได้ทัน กับรีบเลื่อนมือซ้ายตะปบปลายเท้าปับ ออกแรงบิดหักสุดฤทธิ์ หวังให้เขาเสียหลักล้มลงกับพื้น และกะตามกระทืบซ้ำฉับพลันทั้งที่ตนยังไม่สร่างงงดี

    เกาทัณฑ์ใจหายวาบ แต่เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกบิดให้คว่ำก็ตั้งสติ สปริงเท้าขวาลอยขึ้นสูง นอนตัวขนานกับพื้น ใช้สะโพกเป็นศูนย์ ออกแรงบิดเหวี่ยงเพื่อตามข้อเท้าตัวเองที่กำลังถูกบิดหมุน แถมตวัดซ่นเกือกขวาหมายก้านคอที่เปิดหรา มฤตยูโย่งมัวยึดเท้าเขาไว้เหมือนของรักของหวงจึงหมดสิทธิ์ปกป้อง

    แรงเหวี่ยงจากการหมุนตัวกลางอากาศไม่ได้มีผลช่วยเท่าไหร่นัก เพราะเป็นกึ่งจระเข้ฟาดหางเท่านั้น แต่การส่งแรงจากข้อพับขาซัดซ่นเท้าลงตรงเป้าหมายอย่างทรงกำลังแม่นยำนั่นเองที่ทำเอาจอมอึดคอพับคออ่อนอย่างกับดวดเหล้าสาเกไปสองไห เกาทัณฑ์รู้สึกว่าข้อเท้าซ้ายหลุดเป็นอิสระทันที

    หนุ่มไทยล้มคว่ำลงพื้นด้วยสองมือยันโดยสวัสดิภาพ ก่อนดีดตัวขึ้นราวกับตุ๊กตาล้มลุก จิกหัวคู่เวรขึ้นกระแทกประตูโครมสนั่น แล้วงอศอกขวาคมกริบวัดเข้าขมับฉัวะ ย่อซ้ายอีกนิดเพื่อใช้ท่างอศอกให้เป็นประโยชน์ต่อเนื่อง คือเกร็งสันมือแบบคาราเต้ฟันฉับเข้าคอหอยเต็มแรง หมอนั่นร้องอึ๊กไอโขลก โซซัดโซเซมือตะกายอากาศจะร่วงลงพื้น

    เกาทัณฑ์ยังไม่หายมันในอารมณ์ดิบที่ถูกปลุกให้โลดเร่า เห็นท่าเจ้าโย่งกำลังงอได้ที่เหมาะ ก็แทงเข่าเข้าปักลิ้นปี่สองทีซ้อน จนผู้รับเกิดอาการสะอึกกิน ลูกตาเหลือกถลนแทบพลัดเบ้า ไม่หนำใจกดหัวโน้มใบหน้าฝ่ายนั้นลงรับเข่าเสยอีกคำรบ เข้าดั้งจมูกเต็มๆ เห็นเลือดกำเดาทะลักพลั่กทันตา

    กระทิงหนุ่มเริ่มเหนื่อย หวังจะเห็นคู่เวรป้อแป้แพ้แรงอัด แต่ก็เพิ่งประจักษ์ว่าตนผ่านสังเวียนมาน้อยไป ประเมินผู้มีชั้นเชิงและน้ำอดน้ำทนเหนือตนไม่ถูก ศัตรูผู้เกิดใต้ฤกษ์เพชฌฆาตนั้น แม้คะมำลงกับพื้นเหมือนหมอบกระแตแน่แล้ว ยังอุตส่าห์ยื่นมือกระชากข้อเท้าเขาหงายตึงลงได้ด้วยกำลังราวช้างสาร เล่นเอาเกาทัณฑ์เย็นสันหลังยะเยือก เพราะรู้แต่ต้นว่าถ้าเปิดโอกาสให้เจ้านี่ตอบโต้ได้แม้เพียงแอะเดียว เขาจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าด้วยมือเปล่าอย่างง่ายดาย วิญญาณนักฆ่าที่ปะทุจากทุกขุมขนของมันฟ้องให้ตระหนักเช่นนั้น

    อาจเพราะดวงยังไม่ถึงฆาต หางตาเห็นโต๊ะกลมเล็กขาเดี่ยวติดผนังข้างตัว เสี้ยววินาทีเดียวโดยไม่ต้องคิดก็คว้าขาโต๊ะยกขึ้นประเคนสันกลมเข้ากลางกระหม่อมซึ่งอยู่ในจังหวะโงหัวขึ้นรับพอดี เขาอยู่ในท่าไม่ถนัดนักจึงรู้ว่าคงแรงไม่ถึงขนาดกะโหลกชำรุดจนวายชีวาตม์ กะแค่ให้มฤตยูโย่งรู้สึกคล้ายฟ้าผ่าหัว มึนงงมะงุมมะงาหราให้เขาตั้งตัวสักอึดใจหนึ่ง อย่างมากหัวเจาะเลือดท่วมหน้าเท่านั้น

    มือพระกาฬจากแดนซามูไรทรงกายขึ้นคุกเข่าและพยายามปรับสายตาให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เกาทัณฑ์ลนลานลุกขึ้นหลับหูหลับตาเหวี่ยงเท้าตูมเข้ากกหูศัตรูถนัดถนี่ ภาวนาว่าครั้งนี้ขอให้จอด เพราะถ้ามันยังหยัดกายอยู่ได้อีก ฝ่ายเขาอาจเริ่มลดน้อยถอยกำลังลงเรื่อยๆ เผลอๆอาจเพลี่ยงพล้ำถลำคว่ำเอง เนื่องจากหวดแขนขาสุดตัวแบบไม่ได้พักหายใจมานาน ชักออกอาการเหนื่อยล้าสายตัวจะขาด แข้งขาสั่นพั่บๆแล้ว

    สมคำภาวนาของเกาทัณฑ์ โย่งกระดูกเหล็กจากถิ่นซากุระบานเอียงกระเท่เร่ลงคว่ำราวกับต้นไม้โค่น เพราะจุดที่หลังเท้าเข้าเมื่อครู่คือตำบลทัดดอกไม้เต็มๆ ขนาดตัวเกาทัณฑ์เองต้องเขย่งยกเท้ากุมด้วยความเจ็บราวกับเตะเสา

    ตลอดเวลาระทึกยิ่งกว่าดูฉากบู๊ในหนัง เรือนแก้วเอาแต่เบิกตาตะลึง นึกไม่ถึงว่าเพื่อนชายจะร่ายรำหมัดเท้าได้ราวลูกหลานเทพสงครามเช่นนี้ ลืมหมดที่เขาสั่งให้ตะครุบ .38 ของคนร้าย อันเป็นที่รู้ว่าเอาไว้ขู่คุมเชิงระวังหลัง แบ่งเบาภาระให้กับเขา

    โคเฮจิสมควรได้สมญามหาอึดเช่นเดียวกับลูกน้อง เพราะแม้อายุเกือบเข้าไปครึ่งศตวรรษแล้ว ก็ยังรวบรวมสติสัมปชัญญะได้ทีละน้อย กระทั่งหยัดกายลุกขึ้นได้ใหม่ สลับฉากพอดีกับจังหวะที่สมุนคู่ใจของตนนอนลงให้กรรมการนับสิบนั่นเอง

    สิงห์เฒ่าโผเผกระชากปืนพกสำรองจากชายเสื้อนอกขึ้นมาเล็งหนุ่มไทยทั้งตาพร่า สติเลือนไม่เข้าที่เข้าทางดีด้วยความจุกเสียดท้องแน่นตึ๊บ เรือนแก้วซึ่งเห็นตลอดทุกจุดของเขตทำศึก ถึงกับเย็นวาบตะโกนเสียงหลง

    “เต้! ระวัง!!”

    เกาทัณฑ์ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกเขย่งเก็งก็อยหอบตัวโยน สะบัดหน้ามาทางจงอางที่เขาหวดหลังไว้ไม่หัก ตกตะลึงตาเบิกโพลง ความรู้สึกบอกว่านั่นคือวาระสุดท้ายของตน

    ใจหล่นวูบกับคำรามปืน ขนหัวลุกทั้งแผง หนุ่มไทยวิ่งหลบกระหืดกระหอบ สองมือแบยื่นออกมาปิดป้องด้วยความกลัวตาย คนเราถ้าวิ่งหนีขณะกลัวตายเตลิดเพริดล่ะก็ ร้อยทั้งร้อยท่าไม่สวย ต่อให้ฝึกคอมมานโดมาก็เถอะ ที่จะให้ม้วนตัวสวยเก๋แบบในหนังนั้น อาจมีได้ก็ต่อเมื่อสติสตังยังอยู่กับเนื้อกับตัวครบถ้วนเท่านั้น

    กระโจนผลุบเข้าแอบหลังโซฟาตัวหนึ่ง ทั้งสำนึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าหัวกระสุนคงสามารถตัดชำแรกแทรกผ่านพนักมาเข้าร่างตนได้ราวกับผ่านอากาศธรรมดา แม้ถูกหักเหบ้างก็คงไม่พ้นตัว ต้องดิ้นพราดกับที่ให้โจรโหดตามมากระหน่ำซ้ำอย่างสะดวกดาย

    ฝ่ายเรือนแก้วเห็นการณ์วิกฤตของเกาทัณฑ์ก็เพิ่งได้สติ ผุดความจำว่าตนก็ใช้อาวุธปืนเป็น แถมยิงแม่นแบบพร้อมจะทำบาปขึ้นเสียด้วย จึงกลิ้งตัวกับฟูกเข้าเอื้อมคว้าปืนกระบอกที่เห็นแต่แรกว่าตกอยู่แทบปลายเตียงทันที

    เมื่อคว้าได้ก็ดึงกายขึ้นชันเข่าตั้งหลัก หางตาเห็นเซฟถูกปลดไว้แล้ว สองมือจึงกุมด้ามแน่น ยกเหยียดขึ้นเล็งตรงด้วยมาดของผู้ช่ำชองการใช้อาวุธ สายตาพุ่งตรงจับเป้าหมายไปทางเดียวกับลำกล้อง สอดนิ้วเข้าโกร่งไกพร้อมกระดิก พิชานในการเล็งเกิดขึ้นในคราวคับขันกับผู้ฝึกยิงมาก่อน ทีแรกเป็นศีรษะโจรร้ายที่ยังสะโหลสะเหลมือสั่นตั้งศูนย์ไม่เสร็จ ก้าวสะเงาะสะแงะไปทางโซฟาซึ่งเกาทัณฑ์ใช้เป็นที่กำบังตน แต่เปลี่ยนใจชั่วพริบตา เบนปับทั้งตาและมือพร้อมกันไปจับลำปืนของฝ่ายนั้น แล้วเหนี่ยวไกยิงเปรี้ยง

    โคเฮจิสะดุ้งเฮือก แทบหายมึนเมื่อเห็นปืนกระเด็นหลุดจากมือวับไปกับตาจากแรงปะทะมหาศาลไร้ตน แถมได้ยินเสียงตวาดเฉียบขาดราวกับประกาศิตเกรี้ยวจากนางพญาตามมาว่า

    “อย่าขยับ!”

    หมดข้ออ้างฟังไม่ออก ปฏิบัติตามไม่ถูก เพราะคำบัญชานั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแท้ เล่นเอาพ่อยุ่นตะลึงอ้าปากหวอ หันมองอย่างงงงัน สาวสวยที่นึกประมาทไว้แต่แรกว่าเป็นนางสมัน บัดนี้โผนขึ้นยืนผงาดบนเตียงราวกับนางเสือดาว ชี้ปืนของตนมายังตน นัยน์ตาเปล่งประกายลุกวาวสีน้ำตาลไหม้จัดจ้า คล้ายจะแผดเผาสิ่งถูกเพ่งให้เป็นจุณได้เดี๋ยวนั้น

    ดูรู้ว่าตั้งใจยิงจริงถ้าเขาอยากลองดี และลงถ้าแม่นขนาดดีดปืนจากมือเขาทิ้งได้ ก็คงเล็งกะโหลกโตๆได้ไม่พลาดเช่นกัน โคเฮจิจึงยกสองมือแสดงการยินยอมปราชัย รู้จักประกายกระหายเลือดของมนุษย์ดีเกินกว่าคิดเสี่ยงขัดขืน

    เมื่อยิงปืนเข้าเป้าสำเร็จไปครั้งหนึ่ง กับทั้งขณะนี้สติยังรวมศูนย์กับสองมือที่จับด้ามและสายตาที่เล็งตรง เรือนแก้วรู้สึกว่าจิตใจตนเปลี่ยนรูปไป ในความสงบอย่างเอกอุนั้น มีความกระเหี้ยนกระหือรือพลุ่งพล่านมาจากหัวใจ จิตที่จับเครื่องมือประหัตประหารย่อมถูกจูงให้คิดอยากฆ่า โดยเฉพาะคนมีนิสัยเดิมติดตัวมาก่อนอย่างหล่อน

    นั่นเป็นสิ่งที่มือปืนสาวยังไม่เข้าใจตนเอง หล่อนอยากฆ่าคนแทบทุกครั้งที่จับอาวุธ เมื่อรู้ตัวก็ข่มใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสมอมา กระทั่งความคิดร้ายกาจจางตัวลงบ้างตามเวลาที่อบรมตนเองทีละน้อย ทว่าเพิ่งมาถูกกวนตะกอนให้กลับขุ่นขึ้นอีกในบัดนี้

    “เต้! ออกมาได้แล้ว!”

    เมื่อคิดว่าคุมสถานการณ์ได้ หญิงสาวก็ส่งเสียงเรียกเกาทัณฑ์ก้อง อย่างต้องการให้เขามาคุมเกมแทน แต่นัยน์ตายังจับนิ่งอยู่กับชายหน้าหัก พร้อมกันก็ระแวดระวังผ่านหางตา สังเกตความเคลื่อนไหวของมฤตยูโย่งที่นอนหมอบอยู่อีกทางไปด้วย

    เรือนแก้วรู้สึกหนาวๆร้อนๆเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากหลังโซฟา ต้องตะโกนเรียกซ้ำอีกครั้ง

    “เต้! เป็นอะไรรึเปล่า?”

    หวิวคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาทันใดเมื่อคำตอบยังคงเป็นความเงียบ ไร้เงาเกาทัณฑ์โผล่ขึ้นมาให้เห็น คิดในแง่ดีว่าเพื่อนชายอาจแกล้งเงียบให้หล่อนใจแป้วเล่น แต่พอเรียกซ้ำถี่ๆอย่างคาดคั้นเสียงเขียว ก็รู้แน่ว่าผิดปกติแล้ว

    เหงื่อผุดซึมตามไรผมทั้งที่หนาวสะท้าน ริมฝีปากสั่นระริก นัยน์ตาที่เล็งจับลูกหลานซามูไรเริ่มชาด้านคล้ายฆาตกรโรคจิตขึ้นทุกขณะ ราวกับมีใครอีกคนมาสวมร่าง แทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าหลุดคำญี่ปุ่นออกไปเช่นใด

    “ถ้าผัวกูมีอันเป็นไป มึงจะตายทรมาน!!”

    อึดใจหนึ่งก็เสี่ยงเรียกเกาทัณฑ์ซ้ำอีก สองจิตสองใจไม่กล้าขยับตัว กลัวฉลาดน้อยกว่ามารเฒ่าตรงหน้าในชั่วพริบตาที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

    ปะทุโทสะถึงขีดหนึ่ง ความโกรธเกลียดโจมจับใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คำว่า ‘เจ้ากรรมนายเวร’ ผ่านเข้ามาในหัวอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ สิ่งหนึ่งในอากาศกระซิบสั่งว่าฆ่า...ฆ่า!!

    ภาพที่ปรากฏต่อโคเฮจิคือนัยน์ตาลุกโพลงดุจมีเพลิงร้อนถูกรุนอยู่เบื้องหลัง กระแสวิญญาณนางเสือร้ายดูทะมึนครึ้มหลอกตาเหมือนร่างหล่อนสูงเงื้อมจรดเพดาน ชวนให้นึกถึงพญามัจจุราชผู้ทรงมหิทธิอำนาจในการลงทัณฑ์ส่ำสัตว์ ลูกซามูไรถึงกับคร้ามระย่ออยากหลบเพราะนึกรู้ท่านี้ว่าคงโดนแน่แล้ว

    เรือนแก้วกระดิกนิ้ว ลูกปืนแลบผ่านกระบอกเข้าเป้าดังลั่นราวเสียงเดือดจากอเวจีมหานรก

    จอมทรชนแหกปากอย่างขวัญกระเจิงกระจุย หมดลายสิงห์ลงสิ้น ก้มหัวยกมือไม้ป่ายซ้ายขวาอุตลุดอย่างสุดจะกลั้นความผวาประสามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

    แต่เมื่อรู้สึกตัวว่านอกจากความกลัวแทบเยี่ยวแตกเยี่ยวแตนแล้ว ส่วนหัวอันน่าจะเป็นจุดเล็งของมือพิฆาตสาวยังอยู่ดี ลูบคลำเปะปะแล้วไม่แหว่งหายหรือเกิดรูเล็กขาเข้า รูใหญ่ขาออก ก็บังเกิดความโล่งอกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หล่อนแกล้งยิงเฉียดกบาลให้ขี้ขึ้นหัวเท่านั้น

    “ไปเปิดประตู!”

    เสียงตวาดสั่งจากเบื้องบนทำให้สะดุ้งแทบลอยทั้งตัว รู้ว่าทำให้หล่อนโกรธและอาจบ้าดีเดือดคิดลงทัณฑ์กับเขาด้วยวิธีที่เลือดเย็นผิดมนุษย์ ตากลับๆแบบนั้นเขาซึ้งแก่ใจดีว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเฉียดใกล้ระหว่างสติกับวิปลาส นังนี่ต้องคุ้มดีคุ้มร้ายผิดธรรมดาแน่

    เดินเก้ๆกังๆไปทางหน้าห้องเพื่อเปิดประตูตามโองการพญายม คิดอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าจะแก้ลำพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร แต่ก็นึกไม่ออกเอาแต่กลอกหน้า ด้วยความตระหนักว่าแม่นั่นจะยิงเข้าจุดตายอย่างโหดเหี้ยม ขอเพียงเขาตุกติกกระดิกกระเดี้ยไปในทางแว้งกัดแม้แต่น้อย ในเวลานี้รู้สึกไม่ต่างอะไรกับมีอสรพิษตัวเมียจ่อหลังพร้อมฉก ขนลุกซ่าจากตีนผมแล่นไปตลอดแผ่นหลังทุกขณะจิต

    หมุนลูกบิดประตู อ้าออก สัญชาตญาณสั่งว่าเป็นโอกาสรอดสุดท้าย คิดพุ่งตัวหนีให้ลับมุม แต่ยังไม่ทันอ้าบานประตูกว้างพอจะเล็ดรอดออกไปได้ ก็ได้ยินกัมปนาทปืนของตนเองดังจากเบื้องหลัง กระสุนเข้าเจาะขาทั้งสองบริเวณเหนือข้อพับอย่างแม่นยำ ซ้ายแล้วตามด้วยขวาห่างกันเพียงสองพริบตาก่อนคะมำ แสดงให้เห็นความสามารถของนักแม่นปืนที่ควบคุมแรงสะบัดและเบนทิศเล็งเป้าเหลื่อมระยะได้เหนือชั้น

    โคเฮจิแหกปากโหยหวนครวญคราง มือที่คาลูกบิดอยู่ในจังหวะกระชากเตรียมหนีพอดี ประตูจึงเปิดออกให้ล้มป้าบลงดิ้นเลือดสาดคาธรณี ส่วนบนของลำตัวโผล่ออกไปข้างนอก กระเสือกกระสนทุลักทุเลราวกับปลาช่อนถูกทุบหัวบนเขียง ก่นด่านังคนใจร้ายด้วยสุ้มเสียงสำเนียงคล้ายสัตว์ป่ายาวยืด นึกไม่ถึงว่าจะถูกสั่งเปิดประตูเพื่อให้หล่อนเจาะยางล้มคาที่ไปไหนไม่รอดเช่นนั้น

    เสียงกลุ่มคนวิ่งใกล้เข้ามา เรือนแก้วตะโกนขอความช่วยเหลือเป็นภาษาอังกฤษด้วยความคาดหมายว่าคงใช่กลุ่มตำรวจที่ไล่ล่าสองเดนคนนี่อยู่ แต่แล้วก็หันเล็งจังหวะเดียว ยิงอีกเปรี้ยงฉีกพื้นพรมขู่ เมื่อเห็นเจ้าโย่งสะลึมสะลือยื่นมือจะคว้าด้ามปืนที่ตกอยู่ไม่ห่าง เป้าหมายของหญิงสาวคือทำลายปืนกระบอกนั้นทิ้งให้สิ้นเรื่อง

    จอมอึดมหากาฬถึงกับมือหด เงยหน้าประสานตาจ้องกับนางเสือร้ายอย่างผูกอาฆาต ซึ่งเจ้าหล่อนก็สานตอบไม่หลบและส่งแรงตาควบคู่แรงเล็งของวิถีปืนเข้าแสกหน้าคู่พยาบาท อย่างจะให้มันรู้สึกถึงน้ำหนักมหาหายนะแห่งชีวิต รับทราบได้ว่าฝ่ายนั้นกำลังเสียวสยองทั้งแผงหน้าผากราวกับถูกจี้ด้วยเข็มแหลม แม้ฝืนเปิดตาค้าง จดจ้องหล่อนดุดันเป็นงูพิษสะกดเหยื่ออยู่ก็ตาม

    ต่อเมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มายืนแอบข้างประตูและส่งเสียงถามความเป็นไปภายในห้อง เรือนแก้วจึงร้องตอบไปว่าโจรอีกนายล้มลุกคลุกคลานแอบซอกประตูอยู่ ไม่มีอาวุธแล้ว และหล่อนจะคุมเชิงให้ นั่นเองสันติบาลหนุ่มนายแรกจึงถีบประตูผลัวะไปอัดกระทบเป้าหมายเป็นการชิมลาง ก่อนย้ายร่างข้ามตัวโคเฮจิเข้ามาสะบัดสองมือจ่อปืนเล็งหัวไอ้ก้านยาว พลางกระดืบถอยไปยืนพ้นระยะปะทะ

    มารก้านยาวเห็นตนตกอยู่ในมือตำรวจแน่แล้วก็ชูสองมือขึ้นสูง มีตำรวจกรูตามเข้ามาอีกหลายนาย พอเรือนแก้วแน่ใจว่าบัดนี้หมดห่วงจากทุจริตชนผู้นิยมวิธีโสมมในการเอาตัวรอด ก็ตาลีตาเหลือกถลันจากเตียงไปที่หลังโซฟาซึ่งเกาทัณฑ์นอนหมอบเงียบเชียบอยู่

    “เต้!!”

    ส่งเสียงนำตั้งแต่แล่นจากแหล่ง กระทั่งมายืนในตำแหน่งที่เห็นภาพนอนคว่ำคุดคู้ของเพื่อนชายปรากฏต่อสายตา เลือดเข้มหย่อมใหญ่ที่แฉะโชกหลังของชายหนุ่มคล้ายสายฟ้าฟาดใกล้ตัวให้สะเทือนทั้งกระหม่อม หญิงสาวกรีดเสียงดังที่สุดในชีวิต โจนพรวดเดียวถึงตัว พลิกร่างเขา ประคองช้อนขึ้นวางบนตัก กลิ่นคาวเค็มจากหย่อมของเหลวที่คลุ้งเข้าจมูกทำให้มือสั่น ตัวสั่นเหมือนเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เขย่าทุกสิ่งให้วูบไหวอลหม่านไม่รู้ขวารู้ซ้าย...

     

    ชีวิตเป็นของแตกพังง่ายจริงหนอ ในวัยหนุ่มแน่น ไม่มีชายใดคิดว่าจะได้นอนเป็นคืนสุดท้าย ไม่เคยคิดว่าออกจากบ้านแล้วจะหมดโอกาสกลับ ไม่เคยคิดว่าระหว่างเดินทางไปทำงานจะประสบอุบัติเหตุถึงแก่กรรม

    โดยเฉพาะไม่เคยคิดว่าจะเจอเจ้ากรรมนายเวรบุกเข้ามาฆ่าในห้องพักโรงแรมที่ดูปลอดภัยไร้กังวล...

    เคยเล่นเกมชีวิตมาซับซ้อนซ่อนเงื่อนปานใด กำหัวใจใครเขามากมายกี่คน ครองชัยชนะยิ่งใหญ่มาแค่ไหน สุดท้ายก็พ่ายให้แก่ความตาย กระเด็นหลุดออกนอกทางโคจรเดิมกันหมด ทิ้งให้คนข้างหลังเห็นแต่ความว่างเปล่าหลังเลิกเล่น และร่องรอยที่มีเหมือนไม่มีในความทรงจำอันเปรียบได้กับเมฆหมอกลวงใจ

    บันทึกแพ้ชนะ ความสมหวังผิดหวัง เหตุการณ์อันทรงความหมายระหว่างมีชีวิต ไม่ได้ตามตัวไปด้วยเลย ดีชั่วเท่านั้นที่อยู่ในกระแสวิญญาณ ก่อภพก่อภูมิหน้าให้เหมาะแก่อัตภาพใหม่ได้

    ชีวิตกับความตายอาจเฉียดใกล้กันแค่กระสุนนัดเดียวคั่นบางๆนี่เอง ความรู้ ความสามารถ ความทะนงภาคภูมิ ความสุข ความสมหวังในรักที่สั่งสมมา ล้วนมลายหายให้ต้องไขว่คว้าแสวงหาเอาใหม่ในฉากหน้า เพียงเมื่อกายหมดสภาพให้วิญญาณถือครองต่อ

    พบเพื่อไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจาก พรากเพื่อไม่รู้ว่าจะเจออีกที่ไหน

    วิสัยปุถุชนผู้ไม่ฝึกมองมรณภัย มีแต่คนตายจริงเท่านั้นที่เลิกประมาทในชีวิต เมื่อดำรงอยู่ด้วยความประมาท ไม่พิจารณาสังขาร มองไม่เห็นอุปาทาน ไม่พยายามกำจัดอุปาทาน ก็ยังมีเชื้อต่อให้ต้องตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อย หาภพชาติสิ้นสุดมิได้ สมกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าความประมาทเป็นทางแห่งความตาย

    ปุถุชนผู้เห็นโลกแค่ด้วยตาเปล่าย่อมถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่าชาติหน้ามี ชาติหน้าไม่มี คนตายเท่านั้นที่เลิกเถียง และหมดทางหันกลับมาบอกพรรคพวกที่ยังเดากันส่งเดชอยู่เบื้องหลัง

    กระแสทุกข์ของสังสารวัฏเชี่ยวกรากนัก เหมือนมีแรงปรารถนาให้ส่ำสัตว์เวียนว่ายไปชั่วอนันตกาล เห็นแล้วลืม ลืมก็คือไม่รู้ ไม่รู้แล้วก่อร่างสร้างชาติ แต่ละชาติก็รู้คิดแค่เท่าที่ตาเห็น เป็นอยู่ได้แค่เท่าที่กำเนิดอำนวย ฉวยได้แค่ความสุขเท่าไอน้ำที่มากับลมแล้ง เกาะมือแล้วระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว ย่ำลุยขี้เยี่ยวของตนเองในบั้นปลายจึงค่อยสำนึกว่าในวัยต้นชีวิตถูกหลอกให้หลงรูป หลงเสียง ปิดบังความแก่ ความเจ็บ ความตายที่ปรากฏทนโท่รอบตัว ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมาถึงตน

     

    เมื่อเกาทัณฑ์ได้ยินเสียงปืนลั่นในขณะวิ่งหนีวิถีส่องของยมทูตนั้น เขารู้สึกชาหนึบที่สีข้างด้านขวา คล้ายอุปาทาน ทว่าคล้อยเวลาน้อยกว่าครึ่งนาทีที่หลบสวบหัวซุกหัวซุนหลังโซฟา ชายหนุ่มก็บอกตัวเองว่าเขาถูกยิงเข้าให้แล้ว เมื่อความเจ็บปวดประดังขึ้นมาราวกับเสียงตะโกนเรียกกึกก้องจากขุมนรก และก้มหน้าเห็นเลือดทะลักพลั่กเป็นลิ่มๆขณะขยับตัวให้ถนัด เลือดที่ปนกับเหงื่อแห่งความเหนื่อยหอบทำเอาหน้ามืดวูบวาบอย่างคนช็อก

    หัวใจที่สูบฉีดแรง ขับให้เลือดทะลักออกมาก โดยเฉพาะส่วนหลังที่เปิดโหว่ เขากลืนน้ำลายแห่งความตระหนกสุดขีดอันหนืดเหนียวติดๆกัน ส่ายหน้าหายใจทางปากขาดห้วงอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ปรารถนาให้เวลาย้อนคืน อำนวยโอกาสหลบกระสุนใหม่อีกครั้ง เขาจะพุ่งสุดตัวกว่านี้โดยไม่กลัวหัวร้างข้างแตก

    ขบกรามแน่น ได้ยินตลอดนับแต่เสียงปืนนัดที่สอง ซึ่งนึกว่าจะส่งมาถึงร่างตน ไล่ไปจนกระทั่งเสียงเรือนแก้วตวาดขู่โจรและพยายามเรียกชื่อเขา ทว่าขากรรไกรขัดค้างเมื่อคิดตะเบ็งตอบจนสุดหลอดลม เขาอยากขอความช่วยเหลือ เขายังไม่อยากตาย เขายังน่าจะมีเวลาสร้างสมกรรมดีไว้เป็นเสบียงเดินทางอีกยาวนาน จิตซึ่งอาศัยกายอันใกล้แตกดับบอกตนเองว่าโอกาสเกิดแล้วพบพุทธศาสนานั้นหายาก โอกาสพบพุทธศาสนาแล้วเข้าใจเนื้อหาธรรมจนเกิดศรัทธาปสาทะท่วมท้นล้นใจยิ่งยากกว่านั้น

    เขาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เกิดศรัทธาปสาทะแล้ว เหตุใดไม่เฉลียวรู้เอาเลยว่าเวลาในชีวิตหดสั้นลง เหลือเพียงเดือนเศษให้ตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเสบียงเดินทางไกลไปมากสุดเท่าที่จะมากได้ บัดนี้สายเสียแล้ว หมดเวลาแล้ว

    ชาตินี้ตักบุญไปแค่ช้อนเดียว กระจอกเหลือเกิน...

    กัดฟันน้ำตาคลอเบ้าเมื่อความวิงเวียนเกิดขึ้นอย่างพ้นวิสัยข่ม แขนขากระตุกเยือกเมื่อความเย็นชนิดหนึ่งลามจากเท้าขึ้นมาหาหัวใจ เป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยม เหงื่อเม็ดโป้งผุดพรายโซมร่าง บังเกิดความสยองเกล้าคล้ายหมาวิ่งหางจุกตูดรู้ตัวว่าถูกไล่ฆ่าไปจนตรอก

    สติขาดหายเป็นห้วงๆอย่างเห็นกายกำลังโบกมือลา มีความเคลื่อนไหวโกลาหลเกิดขึ้นรอบด้าน มีการเคลื่อนย้ายร่างเขา แต่ทุกอย่างแผ่วเลือนในสัมผัส เหลือเพียงความคิดอันเกิดจากความตระหนกอกสั่นที่ยังคงพล่านวนทุรนทุรายในหัว

    ภาพเหตุการณ์ใกล้ไล่เรียงเข้ามาก่อน เห็นตนเองทำร้ายคู่ต่อสู้ ถูกล่ะว่านั่นเป็นการป้องกันตัว แต่เจตนาทุบตีให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวดนั้น เจือด้วยโทสะอย่างยากจะแยก เมื่อภาพย้อนมาหา จิตย่อมเป็นอกุศล เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอยู่กับความมืดที่คืบคลานจากหัวใจมาปกคลุมการรับรู้ทางประสาทตา ถ้าสลัดนิมิตเหนี่ยวจิตเป็นอกุศลไม่หลุด เขาจะต้องไปนรกล่ะซีนี่?

    หนาวสะท้านเมื่อนึกถึงภาพร้อนร้ายในนรก ไม่...ต้องไม่ไปนรก เขาทำดีมาตั้งมาก ใครจะยอมหล่นลงไปง่ายๆ

    จริงซี…เกาทัณฑ์นึกขึ้นได้ ก่อนหน้าอาชญากรร้ายจะพรวดพราดเข้าห้อง เขาสะกดจิตเรือนแก้วให้เป็นสุข เขามีกุศลเจตนาที่จะทำให้หล่อนเห็นธรรมในตนเอง เขาจะยึดความแช่มชื่นที่เกิดจากผลกรรมดีนี้ไว้ เพ่งจิตคิดถึงกุศลกรรมเข้าไว้

    นั่นดีไม่พอหรืออย่างไร นิมิตจึงหลุดลื่นราวกับปลาไหลดิ้นจากมือ คราวนี้เกิดภาพมากมายเรียงราย คล้ายในหัวเป็นที่ว่างสามมิติกว้าง ยาว ลึกใหญ่โตเท่ากระบุง และมีใครเอาแผ่นภาพใสวางแถวเป็นตับเป็นตั้งในกะโหลกจากส่วนหน้ามาถึงส่วนหลัง หรืออีกทีเป็นกลุ่มความคิดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาถึงปัจจุบัน ผุดขึ้นพลัวะๆแบบควันไฟที่ยังไม่ทันจางก็มีสายใหม่เข้าแทรก ระลึกได้ว่าเหล่านั้นตนเคยคิดไว้ทั้งสิ้น บางกลุ่มความคิดดูเลอะเทอะน่าอดสูนัก

    คนไม่เคยคำนึงระลึกถึงความตายเป็นอย่างนี้หรือ? หากมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งเขาจะฝึกจินตนาการเห็นลมหายใจแต่ละเฮือกเป็นลมสุดท้าย หมั่นระลึกถึงกุศลอยู่เนืองๆ เพื่อซ้อมให้ชินก่อนเจอของจริงไว้ก่อน จะได้ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ใจสามารถตั้งสติระลึกถึงกุศลที่ทำมาทั้งชีวิต บัดนี้ภาพเหตุการณ์และบุคคลอันเป็นที่รัก ที่ห่วงหา แถทับโถมใส่จนสับสนงุนงง เลือกไม่ถูกว่าจะให้ใจดิ่งจับสิ่งไหนไว้เป็นยานไปสู่ปรโลก

    อดีตนับแต่ปฐมวัยที่ยังเป็นเด็กชายฮ่องเต้ของคุณพ่อคุณแม่ย้อนเข้าสู่หัวโดยไม่ต้องเค้นระลึก เคยดีเด่ เคยร้ายกาจ เกลียดการข่มเหงแต่ก็หมั่นข่มเหงคนอื่น นิยมความยุติธรรมแต่ก็หมั่นทำลายความยุติธรรมด้วยกลเล่ห์เพทุบาย รักพ่อแม่แต่ก็หมั่นออกลายดื้อให้พ่อแม่เสียใจ

    ทำไมถึงนึกได้แต่เรื่องชั่วๆ จิตพิพากษาว่าโดยรวมแล้วชีวิตนี้ชั่วร้ายนักหรือ? หรือว่าความทรมานกระสับกระส่ายทางกายมีส่วนกวนให้จิตกระเจิงฟุ้งซ่าน? หรือว่าเขาเคราะห์ร้ายที่ก่อนตายอยู่ใกล้เหตุการณ์เหนี่ยวนำอกุศลจิตมากเกินไป? หรือว่า ฯลฯ

    หายใจไม่ออก...

    กำลังจมน้ำอย่างทารุณทรมาน...

    แพตรี...

    เรือนแก้ว...

    วางพวกหล่อนชั่งบนมือซ้ายขวา จะไม่มีใครน้ำหนักเกินกันเลย เขาได้ใจทั้งคู่มาเป็นของตนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องทั้งส่วนตื้นและส่วนลึก แต่เอาใครไปด้วยไม่ได้สักคน เจออีกทีก็ต้องทำความรู้จักกันใหม่ เล่นบทพ่อแง่แม่งอนกันอีก

    สำคัญคือที่ไหน นานเพียงใดก็ไม่รู้...

    เหมือนหายใจเฮือกใหม่ในอีกมิติ อีกรูปแบบที่ซ้อนลึกลงไป เกิดภาพหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตปัจจุบัน เห็นกำมือตนเองโปรยทรายเป็นสาย คิดอธิษฐานรู้อยู่แก่ตนคนเดียวว่า ‘เมื่อนางไม่ทิ้งเรา เราก็จะไม่ทิ้งนางเป็นจำนวนชาติเท่าเม็ดทรายในมือนี้’

    จิตใช้ทรายเป็นสื่อยึดเหนี่ยวอารมณ์ หมายรู้ว่าทรายในมือนั้นมากจนไม่อาจนับได้ จึงหมายความว่าจะไม่ทอดทิ้งกันจนสิ้นอนันตชาติ!

    เพียงหนึ่งภาพนิมิตเท่านั้น ก็เป็นรหัสบอกเรื่องราวแก่จิตอย่างรวดเร็วคล้ายหยิบรูปถ่ายเก่าแก่ที่หลงลืมมาดู ก็รู้หมดว่าบุคคลในภาพเป็นใคร มีเหตุการณ์ก่อนหลังถ่ายภาพอย่างไร เขาเคยเป็นเศรษฐีใหญ่ ไถ่หนี้แก่เพื่อนบ้านด้วยใจกรุณา เพื่อนบ้านนั้นสำนึกบุญคุณ มอบธิดาเป็นเครื่องตอบแทน

    เมื่อได้นางมาก็นึกเอ็นดู ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเสน่หาในความงามกิริยา แม้หน้าตาเพียงสวยเรียบ ก็เปรียบได้กับแก้วน้ำดีไร้ตำหนิ คิดตกแต่งแทนภรรยาเก่าที่ถึงแก่กรรมไปแล้วหลายปี

    แต่ระหว่างชั่งใจประกาศเจตนาให้นางรู้ ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน มีศัตรูใส่ไคล้ให้เสียหาย เขากลายเป็นบุคคลต้องโทษของทางการ ต้องหลบหนีข้ามทุ่งข้ามนาทั้งกลางวันกลางคืน มีคนเดียวที่กล้าติดตาม กล้าร่วมลำบากนอนกลางดินกินกลางทรายกับเขา...

    คือแพตรีในฉากชีวิตหนนี้!

    จิตบอกตนเองว่านั่นมิใช่ชาติใกล้ เป็นบุพกาลนานเนไกลห่าง แต่แรงอธิษฐานโปรยทรายนั้นเองปฏิรูปเป็นสัญญาณติดจิตติดใจที่ทำให้ตนไม่อาจคิดทอดทิ้งหล่อนได้ตลอดกาล โดยเฉพาะเมื่อสอดรับซับซ้อน ผูกพันแน่นหนาด้วยเงื่อนปมจากการร่วมภพร่วมชาติ อธิษฐานย้ำมากรูปแบบขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในรูปความคิดส่วนตัวและออกปากร่วมกับหล่อนระหว่างการเดินทางบนเส้นทางพุทธภูมิของเขา

    จากความเป็นชาติใหญ่หนึ่งโยงไปสู่ความเป็นอีกชาติใหญ่หนึ่ง จำได้แบบหมายรู้ลอยๆว่าเคยผ่านงานบุญยิ่งใหญ่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมานับครั้งไม่ถ้วน เคยกระทั่งเป็นมหาราช คุกเข่าต่อพระพักตร์ หลั่งน้ำทักษิโณทกเปล่งประกาศถวายแผ่นดินไพศาลให้เป็นพุทธเขต ขอเพียงเป็นพุทธบัญชา แม้เศียรแห่งราชาก็สั่งตัดถวายได้เดี๋ยวนั้น อย่าพักต้องกล่าวถึงพระพุทธประสงค์ใหญ่น้อยอื่นใดที่มีต่อสรรพสิ่งในมหาอาณาจักรอันเกรียงไกรแห่งตน

    ชื่นใจเมื่อนึกได้ ชาตินั้นเองที่ได้รับลัทธยาเทศ พุทธพยากรณ์เป็นนิยตโพธิสัตว์เต็มภูมิ!

    สะอึกเฮือก ความชื่นใจและความระลึกได้ดับหาย

    เจ็บ...

    ซ่าไปทุกหย่อมเนื้อ เหมือนกายจะปริแตกอยู่เดี๋ยวนี้

    อยากครวญครางระบายความเจ็บ แต่ไร้เสียงเล็ดรอดจากลำคอ มีแต่น้ำตาที่พรั่งพรูราวกับท่อแตกทะลักหลั่งออกจากเบ้ากลวง ที่ปรากฏคล้ายสองหลุมศพฝังก้อนเนื้อลูกตาทรงกลมอันตายแล้วจากแสงสี

    มีหลายสิ่งให้เสียดาย มีเรื่องมากมายยังสะสางไม่เสร็จ

    เหมือนมีเขาหลายคนพร้อมกัน เพราะขณะแห่งความสับสนเลอะเลือนขึ้นทุกที อีกชั้นของภาครู้กลับเกิดสติชัดเจน เห็นอะไรเป็นของเก๊ ของลวงตาชั่ววูบชั่ววาบไปหมด แม้แต่ความทรงจำในปัจจุบันชาติที่เริ่มทยอยผุดพรายขึ้นมาอีกรอบ จิตก็หยั่งรู้ว่าเป็นเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นจริง แต่ไม่มีอะไรเป็นของจริงสักอย่าง เพราะสาบสูญไปหมด ทิ้งหายไว้เบื้องหลังทั้งหมด จะเป็นรูปร่างหน้าตา สมบัติเก่า ความสัมพันธ์ หรือกระทั่งการกำหนดหมายว่าข้านี้เป็นนั่นเป็นนี่

    มองมาที่กายอันใกล้แตกดับ จึงรู้ว่ากูในกายไม่มี

    มองย้อนไปที่ความคิด ความหมายรู้อันดับสูญเบื้องหลัง จึงรู้ว่ากูในใจก็ไม่มีอีก

    ท่ามกลางกระแสภาพอดีตที่ทยอยฉายไม่หยุดยั้ง ตัวรู้ที่กำลังจะหมดขาดจากความเป็นเกาทัณฑ์เริ่มเห็นแสงรำไร จิตกำลังยึดจับวิปัสสนาญาณที่เคยอบรมมาแล้วกระมัง? จิตช่างไม่ใช่เขาที่เป็นตัวคิดนึกในบัดนี้เลย จิตเป็นแค่กระแสอะไรชนิดหนึ่ง สั่งสมมาอย่างไรก็ทำงานตามนั้น

    เร่งข่มสติคิดเผชิญหน้าความตายอย่างคนกล้า และอย่างไม่เสียทีได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ถึงตายโหงอย่างน่าทุเรศก็เรียกความตายเหมือนกัน เหมือนเฒ่าชะแรแก่ชราตายนั่นแล เสียใจอยู่ทำไม จะกลัวไปใยเล่า?

    พุทโธ พุทโธ พุทโธ...

    ยึดพระพุทธเจ้าไว้เหมือนก้มกอดพระบาทไม่ให้หลุดมือ ตายแล้วไปไหนก็ไปกัน เสียดายที่ไม่ท่องให้ติดหัวไว้เป็นอัตโนมัติ ต้องมานอนเค้นเมื่อร่อแร่ใกล้หมดสภาพเอาตอนนี้...

     

    เข็มวินาทีของนาฬิกาในโลกเคลื่อนไปตามจังหวะเดิม ส่วนธรรมชาติก็ดำเนินความว่างเปล่าปราศจากผู้ครอบครองเรื่อยเฉื่อย ไร้ความผูกพันกับเข็มวินาทีของมนุษย์ บันดาลความเกิดขึ้นให้ตั้งอยู่ บันดาลความตั้งอยู่ให้ดับลง

    ที่อยู่ก็อยู่ไป ที่ดับก็ดับไป

    ลืมตาขึ้นในแสงสว่างยามสาย ปวดเสียวทั้งแถบชายโครงด้านขวา

    สำนึกแรกบอกตนเองว่ายังไม่ตาย

    เขาผ่านประตูมรณะ ผ่านภวังค์ ผ่านภาพหลอนสารพัน

    คุณพระคุณเจ้า กลิ่นคนไข้หลังผ่าตัด ผ้าพันแผลหนาเตอะรอบเอว และสภาพห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลบอกได้นับแต่ขณะจิตแรกว่าเขารอดพ้นจากหัตถ์มัจจุราช มีชีวิตต่อ…

    น้ำตาคลอ ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะมีชีวิตที่เหลือทดแทนความปรานีทุกวิถีทาง

    ใบหน้าอันเป็นที่รักปรากฏให้เห็นราวกับเทพธิดามาโปรด

    “ตื่นแล้วเหรอ?”

    เรือนแก้วยิ้มใส ดูสวยกว่าครั้งใดๆ อบอุ่นใจกับภาพปรากฏนั้น เกาทัณฑ์ขยับปากจะโต้ตอบ แต่คอแห้งเป็นผง ต้องไอค่อกไอแค่กเค้นกว่าจะหลุดรอดคำแรกออกไป

    “แอ้…”

    ยังดีชื่อเล่นเรียกง่ายหน่อย อ้อแอ้ยังไงก็เรียกถูก เจ้าของชื่อยกมือเขาขึ้นกุมอย่างแผ่วเบา ขานเสียงหวานรื่นหู

    “ขา…”

    “ขอน้ำ”

    หล่อนปล่อยมือและรีบไปรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วมายื่นตรงหน้า กับทั้งช่วยประคองช้อนต้นคอเขาขึ้นอย่างรู้ว่าคงไม่มีแรง

    เมื่อน้ำสองสามอึกผ่านลำคอได้ เกาทัณฑ์ก็ละริมฝีปากจากแก้ว นอนลงมองสายและขวดน้ำเกลือ ไถ่ถามเพื่อนสาว

    “เพิ่งสายหรือนี่? ผมรู้สึกเหมือนหมดสติไปนานจัง”

    “ก็นานน่ะสิ นี่มันใกล้เที่ยงวันจันทร์นะจ๊ะ อย่าเข้าใจผิด แค่เข้าห้องผ่าตัดห้ามเลือดก็เกือบถึงเช้าวันอาทิตย์แล้ว”

    เกาทัณฑ์สะดุ้ง แต่แล้วก็สงบสติ

    “ผมรอดมาได้ยังไงนะ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกลับบ้านเก่าแน่ จิตเริ่มทบทวนอดีตแล้วด้วย”

    เรือนแก้วเลิกคิ้วสูง เกือบถามว่าทบทวนอย่างไร แต่ก็ละความสนใจไปตอบข้อข้องใจแรก

    “โชคดีเข้าเส้นเลือดเล็กน่ะ หัวกระสุนทะลุผ่านไปเฉยๆ ไม่โดนอวัยวะสำคัญ แต่เสียเลือดมากหน่อย ถ้าถึงมือหมอช้ากว่านั้นก็...”

    หล่อนละไว้ อาศัยกิริยายักไหล่เป็นตัวเติมช่องว่าง

    “แอ้ปลอดภัยดีหรือเปล่า?”

    หญิงสาวยิ้มแต้ ผายมือกว้าง หมุนตัวให้เห็นโดยรอบ อวดร่างในชุดกระโปรงเสื้อแขนกุดที่เปลือยตลอดลำแขนเรียวกลมกลึงยวนตายวนใจ

    “อาการครบสามสิบสอง อยากตรวจให้ชัดกว่านี้ไหม?”

    คนไข้กลืนน้ำลายลงคอ ทำหูทวนลมกับถ้อยคำยั่วกิเลสชนิดนั้น เพลียง่วงและอยากนอนจัด แต่พะวงกังวลหนักจนไม่อาจรอหลับแล้วตื่นขึ้นเสียก่อนค่อยสะสาง

    หรี่ตาขมวดคิ้วยุ่ง ครุ่นคิดอยู่นานก่อนถามหาโทรศัพท์มือถือ เรือนแก้วชะงักนิดหนึ่ง ก่อนสะบัดหน้าค้อน เดินไปรื้อหยิบจากกระเป๋าถือของตนมาส่งให้โดยดี เขาส่งตาขอร้อง สื่อความหมายได้ว่าต้องการเขตส่วนตัวชั่วคราว

    เรือนแก้วเข้าใจ หล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม ก้มลงไล้ใบหน้าเขาด้วยสัมผัสละมุนและแววพิศวาสในตา

    “แอ้จะลงไปหาข้าวเที่ยงทานสักครึ่งชั่วโมงนะคะ…ที่รัก”

    ท่วงทำนองสูงต่ำและถ้อยคำดูอ่อนหวานนุ่มหู หากแต่ทว่ามีกังวานดุเร้นฝากแฝงอยู่ในที โดยเฉพาะคำลงท้าย

    เอวองค์งามตาของหญิงสาวผ่านประตูออกไปแล้ว เกาทัณฑ์ยังอึ้งสนิท นี่มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาพูดหรือทำสิ่งใดลงไปบ้าง?

    กางโทรศัพท์ กดปุ่มเปิดเครื่อง ก่อนอื่นโทร.เช็กว่ามีข้อความจากใครฝากถึงตนหรือเปล่า เมื่อพบแค่ข้อความไร้สาระจากเพื่อนสองสามคนก็เปลี่ยนทิศทาง กดเบอร์ข้ามประเทศเข้าบ้านปู่ชนะ

    “สวัสดีค่ะ”

    เสียงเบานุ่มที่ทำให้เขาใจเต้นได้ทุกครั้งดังขึ้นที่ปลายทาง เกาทัณฑ์เบิกตาโตอย่างยินดี ทั้งที่สติสตังชักเลือน ด้วยเพราะร่างกายเริ่มหนักอึ้งจากพิษแผลบอบช้ำและการอดอาหารเกือบสองวัน

    “แพ…นี่พี่เต้นะ”

    หล่อนเงียบ ซึ่งไม่ยากที่จะคาดหมาย เขาผิดนัดเช้าวันอาทิตย์

    “พี่ขอโทษ คือเกิดเรื่องขึ้นที่นี่…”

    “ทราบจากหนังสือพิมพ์แล้วค่ะ”

    หล่อนชิงบอกก่อนเขาพูดจบ เล่นเอาเกาทัณฑ์ชะงักเหมือนแท่งโทรศัพท์หลุดเข้าปาก หล่อนพูดอะไร? ทราบจากหนังสือพิมพ์?

    “ยินดีด้วยนะคะที่มีส่วนช่วยตำรวจจับคนร้ายค้ายาเสพย์ติดข้ามชาติ กลายเป็นวีรกรรมหน้าหนึ่งโด่งดังไปทั่วประเทศ ถูกยิงก็พ้นขีดอันตรายอย่างรวดเร็ว”

    เกาทัณฑ์ผงะหน่อยๆ

    “แพ…”

    “ขอให้มีความสุขกับคู่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพี่นะคะ”

    จบเสียงเศร้าลึกอย่างน่าใจหายนั้น สัญญาณก็ตัดไป เกาทัณฑ์ตัวชาเห่อ มึนเคว้งเหมือนเจอฟาดด้วยซุง ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องเรียกแพตรีหน่อยเดียวก็เจ็บบาดแผลจี๊ดจนต้องแยกเขี้ยวกระแทกท้ายทอยลงกับหมอนอย่างแรง

    เวรแล้วไหมล่ะ ประจักษ์ฤทธิ์ของสื่อมวลชนกับตนเอง คนมาทำงานด้วยกันแท้ๆ เสือกหาว่ามาฮันนีมูน สู่รู้อย่างบัดซบ!

    แต่เมื่อคิดทบทวนก็เดาได้รางๆ เรือนแก้วอาจถูกสอบปากคำ อาจถูกนักข่าวถาม อาจจะอะไรต่ออะไรร้อยแปด สรุปแล้วน่าจะหลุดบางคำเพื่อชี้ให้เห็นว่าที่อยู่กับเขาสองต่อสองในยามวิกาลนั้น ไม่ใช่ด้วยฐานะที่เสียหาย โดยเฉพาะบัดนี้ เรือนแก้วมีสิทธิ์อ้างได้เต็มปากเต็มคำว่าเขาเป็นคนรัก จะนับกันที่ความรู้สึกทางใจหรือถ้อยคำที่เปล่งประกาศแก่กันในขณะแห่งความเป็นความตายก็ใช่ทั้งนั้น

    ถ้าเรือนแก้วบอกตำรวจหรือนักข่าวว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน คงงามหน้าฝ่ายหล่อนดีแท้

    นึกเห็นใจและไม่โทษหล่อน คนมันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็อย่างนี้แหละ

    พยายามต่อสัญญาณหาแพตรีอีก แต่สายไม่ว่าง หล่อนคงจงใจยกหูโทรศัพท์ขึ้น

    ยุติความพยายาม เหนื่อยล้าอยากพักผ่อนเต็มที เพราะขับเคี่ยวกับความบาดเจ็บมานานเกินพอ แต่ก็คิดอะไรขึ้นได้ เขาควรรีบโทร.ขอโทษลุงคามภีร์ และถือโอกาสให้ท่านช่วยปรับความเข้าใจกับแพตรีล่วงหน้า

    ขณะจะลงมือกดปุ่ม เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นเสียก่อน เขายิ้มดีใจนึกว่าเป็นแพตรี แต่พอเห็นหมายเลขบนหน้าปัดก็หุบยิ้มสนิท

    “กูเอง”

    เกาทัณฑ์ส่งเสียงทักก่อนแบบคนจะหลับมิหลับแหล่

    “ไงพระเอก ฟื้นแล้ว?”

    เชิงไททักอย่างร่าเริง

    “อือ…กำลังจะต้องนอนต่อพอดี”

    “อะไรวะ ได้ยินเสียงกูจะลาหลับเลย คุยก่อนซีโว้ย”

    เกาทัณฑ์หัวเราะแค่นๆ

    “คิดถึงกูมากหรือไง?”

    “เออ โคตรคิดเลยล่ะ”

    “เหนื่อยจริงๆว่ะเชิง ขอพักเหอะ”

    เขาหมายความตามนั้น งงเคว้งจะร่วงอยู่แล้ว และอยากใช้กำลังเฮือกสุดท้ายก่อนหลับโทร.หาญาติผู้ใหญ่ของตนมากกว่า

    “เหม่...รอดตายก็คิดฉลองด้วยการตื่นซะให้คุ้มหน่อยซีเพื่อน น่าจะค้นพบแล้วว่าชีวิตตอนลืมตาดูและเปิดหูฟังมีค่าขนาดไหน หลับกับตายน่ะคล้ายกันมาก อย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง เสียเวลาในชีวิตเปล่าเลยสหาย”

    เกาทัณฑ์เบือนหน้าจุ๊ปาก

    “แกล้งคนป่วยบาปกรรมนาเฮ้ย”

    “เล่าให้ฟังหน่อยสิ อยากรู้ข่าววงในก่อนใครน่ะ”

    คนไข้ถอนใจเบาๆ

    “ให้หลับอีกตื่นนะ สัญญาจะโทร.ไปเล่าให้หมดเปลือก”

    “กูคุยกับแอ้ก็ได้วะ ถ้าเกร่อยู่แถวนั้นเรียกให้หน่อย”

    “ลงไปทานข้าวข้างล่าง”

    เชิงไทเงียบไปอึดใจจนเกาทัณฑ์นึกว่าเพื่อนจะเลิกกวนแล้ว แต่หมอก็สืบความมาอีกจนได้

    “งั้นถามนิดเถอะ ตอบสั้นๆคำเดียวไม่เหนื่อยมาก”

    “ก็ถามซี ตอบเสร็จกูวางเลยนะบอกไว้ก่อน”

    “อือ ได้ จะถามแค่ว่าคืนนั้น ‘มัน’ ไหมวะ?”

    เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอย่างระอิดระอากับการล้อเล่นของเพื่อนซี้

    “มันบ้ามันบออะไรล่ะ เกือบไปเมืองผีน่ะ โจรจริง ปืนจริง ไม่ใช่ฉากหนังเฉินหลง”

    “อ๋อ เปล่า กูถามถึงฉากเด็ดที่มาก่อนฉากบู๊น่ะ”

    ตาขวาของเกาทัณฑ์ขยิบ นึกรู้แล้วว่าเพื่อนหมายถึงอะไร

    “เชิง…ไม่ใช่อย่างนั้น”

    “คนเรานี่ก็แปลก…”

    เสียงของเชิงไทยังเรื่อยเฉื่อย

    “เอะอะอะไรปฏิเสธไม่ๆๆไว้ก่อน ทั้งที่ควรจะรับว่าใช่ๆๆ กูว่าจะหัดเป็นคนตรงไปตรงมาเสียที มึงเอามั่งซี น่าจะถือเป็นความดีชนิดหนึ่งนะเต้ เช่นเดี๋ยวนี้จะบอกมึงตามตรง กูรักยายแอ้ว่ะ รักชิบหายเลย ตั้งแต่เดือนแรกที่รู้จักแล้ว ที่เห็นจีบเหมือนเล่นนั่น ข้างในไม่เล่นหรอก แย่งๆกับมึงเหมือนเอาสนุก แต่ความจริงทุ่มสุดตัว และเห็นมึงเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องฟาดฟันให้ตายไปข้าง...”

    เชิงไทพักเค้นหัวเราะ

    “เพื่อนส่วนเพื่อน แฟนส่วนแฟน พอบังเอิญมาเป็นเรื่องเดียวกันก็กระอักกระอ่วนนักล่ะ วันก่อนกูเห็นมึงสัญญาจะเลิกยุ่ง ก็สบายใจและรักมึงเพิ่มขึ้นเป็นกอง เห็นมีน้องแพมาใหม่ก็ยินดีปรีดาไปด้วย เชื่อนะโว้ย กูหลงเชื่อว่ามึงพูดจากใจจริง ฮ่ะๆ นึกไม่ถึงว่าแค่ข้ามคืนมึงก็ฟันซะแล้ว โธ่เอ๊ย! คิดว่าเป็นพ่อพระ หันมาศึกษาธรรมะแล้วจะพูดจริงทำจริง ที่ไหนได้ จอมปลอม มือถือสากปากถือศีลทั้งเพ ไอ้ระยำ!”

    จบคำด่าก็ตัดสาย เกาทัณฑ์สะอึก ตาตื่นหายเพลีย เลิกเมามึนไปชั่วขณะ ขบกรามแน่น นึกชังน้ำหน้าเชิงไทขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลายสิ่งประดังเข้าสมอง ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผลแย้งคำเพื่อน และทั้งความเข้าข้างตัวเองตามวิสัยปุถุชน แต่เชิงไทไม่เปิดโอกาสให้เขาโต้ตอบ ชิงวางหูอย่างนี้ สมควรถูกตั๊นหน้านัก!

    เสียเพื่อนเพราะผู้หญิง…

    ส่ายหน้าระโหย เพลียกายไม่พอ ต้องมาละเหี่ยใจเข้าอีก ดวงมันถึงคราวตก เรื่องเลวร้ายทุกชนิดทำท่าจะเรียงคิวเข้ามาตุ๊ยแล้วตุ๊ยเล่าไม่รามือง่ายๆ

    ผิดใจกับเชิงไทไม่ใช่เรื่องเล็ก ทั้งนับที่ความเป็นเพื่อนรัก รู้ใจกันมานาน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมามาก และทั้งนับที่ความเป็นเพื่อนร่วมงาน ต้องพึ่งพาอาศัยกันให้เกิดความราบรื่น หากมองหน้ากันไม่ติดหรือคิดแกล้งประสาคนเกลียดขี้หน้า ระยะยาวคงหมดความสุขด้วยกันทุกฝ่าย

    พยายามเอาใจเพื่อนมาใส่ใจตน เชิงไทอาจพูดจาก้าวร้าวรุนแรงด้วยความเจ็บใจประสาคนถูกหลอก ความรู้สึกของคนชนะที่ถูกถีบโครมลงไปอยู่ในตำแหน่งแพ้ แกล้งให้ดีใจแล้วเผยความจริงอันน่าขมขื่นทีหลังนั้น พอเป็นที่เข้าใจได้ว่าน่าจะเดือดดาลสักขนาดไหน

    โดยเฉพาะถ้าเชิงไทรักและหมายปองเรือนแก้วจริงจัง ที่เคยเผื่อใจไว้ครึ่งเดียวเพราะต้องช่วงชิงกับเขา บัดนี้คงเปลี่ยนเป็นทุ่มเต็มร้อยเพราะหลงนึกว่าเขาสละสิทธิ์ พอพบว่าธงขาวเป็นแค่กลลวงก่อนชักธงรบขึ้นสุดเสาเมื่อเอาจริง เชิงไทจึงหมดความยับยั้งชั่งใจ ประกาศความเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยเข้าบ้าง

    ต่อเมื่อนานไปหลังจากนี้ เกาทัณฑ์ย้อนมองกลับมาจึงได้เข้าใจ และเห็นโดยปราศจากการเข้าข้างตนเอง ว่าการรักษาสัจจะมีความสำคัญเพียงใด บางครั้งแม้ถูกอารมณ์เหนี่ยวโน้มรุนแรง ก็สมควรรั้งดึงไว้ด้วยความพยายามทั้งหมด ถ้าการคล้อยตามแรงจูงใจมันขัดกับสัจจะที่เคยลั่นไว้กับคนอื่นหรือแม้ตนเอง

    หากไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ก็ไม่ควรลั่นสัจจะ!

    ถ้าเขารักแพตรี ให้ใจกับหล่อนเพียงคนเดียวดังควร และดังที่เคยจับมือรับรองไว้กับเชิงไท ทั้งหมดทั้งปวงจะไม่นำมาสู่จุดตัดในปัจจุบันเลย รสแห่งการรักษาสัจจวาจามีค่ากว่ารสแห่งหญิง และให้ผลเป็นความราบรื่นชื่นใจ ถ้าเขาไม่เข้าหาเรือนแก้ว ก็จะไม่พบโจร ไม่บาดเจ็บแทบล้มตาย และที่สำคัญไม่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนยากคายยากอย่างนี้

    ยังดีหรอกที่ความอ่อนล้าของร่างกายมากพอจะท่วมทับความวุ่นวายใจ เหมือนคลื่นยักษ์โถมถาเข้ากลบความระเกะระกะบนภาคพื้นมิดเม้น เกาทัณฑ์หลับไปทั้งยังกำโทรศัพท์มือถือด้วยความตั้งใจว่าจะติดต่อหาลุงคามภีร์อย่างนั้น

     

    เรือนแก้วอาสาป้อนข้าวต้มมื้อเย็นให้อย่างเอาอกเอาใจ ดูแสนดีและภักดีเกินกว่าจะแข็งใจปฏิเสธ ทั้งที่เขาสามารถเคลื่อนไหว หยิบจับช้อนส้อมได้เองถนัดในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนอิงพนักหัวเตียง ตื่นคราวนี้เขามีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก

    ระหว่างทานก็ฟังหล่อนจาระไนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเขาสิ้นท่า รวมทั้งการบอกเล่าจากตำรวจเกี่ยวกับความเป็นมาของโคเฮจิและไซ สำหรับโคเฮจินั้นเป็นกัปตันเรือสินค้า ขนยาบ้า เฮโรอีน และโคเคนซ่อนใต้ตู้คอนเทนเนอร์เข้าสิงคโปร์มานานนับปีแล้ว ตำรวจหวังจับกุมพร้อมของกลางโดยละม่อมขณะกำลังเจรจาซื้อขายครั้งใหญ่ในห้องพักโรงแรม แต่เผอิญความแตก โคเฮจิและพวกช่วยกันฆ่าหน่วยทะลวงฟันแล้วหนีขึ้นลิฟต์เสียก่อน เนื่องจากรู้แกวว่าตำรวจแห่มาดักล้อมปิดทางหนีด้านล่างสิ้น

    “หนังสือพิมพ์ไทยลงข่าวของเราแอ้รู้หรือเปล่า?”

    หญิงสาวซ่อนยิ้ม

    “อ๋อ แค่บางฉบับมั้ง ไม่ถึงขนาดเกรียวกราวพาดหัวข่าวถ้วนหน้าหรอก ยาเสพย์ติดข้ามชาติมูลค่านับร้อยล้านน่ะ เรื่องคอขาดบาดตายของที่นี่ แต่เมืองไทยแค่หนึ่งในข่าวใหญ่ที่จะถูกลืมภายในสองวัน เด่นหน่อยตรงรูปหนุ่มไทยอาการสาหัส กับสาวไทยหน้าตาสวยๆอย่างแอ้เป็นภาพข่าวเท่านั้นแหละ”

    เกาทัณฑ์กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

    “เจอนักข่าวด้วยเหรอะ?”

    “เจอ เป็นนักข่าวไทยด้วยสิ”

    ชายหนุ่มเกือบถามว่าให้สัมภาษณ์อย่างไรบ้าง แต่เปลี่ยนใจ รับข้าวต้มที่หล่อนป้อนจนหมดสำรับโดยสงบคำ ข้างในชักกลัดกลุ้มเจียนโอ๊ย

    แล้วนี่จะทำอย่างไรต่อไปดี?

    บอกรักเรือนแก้วไปแล้วด้วยปาก ฝากใจจริงกันแล้วด้วยชีวิตทั้งชีวิต ที่แย่คือถ้าให้เขาพูดถึงความรู้สึกจากใจจริงกันใหม่เดี๋ยวนี้ ก็คงต้องพูดเหมือนเดิมเสียด้วย

    เขารักหล่อน...

    เรือนแก้วเห็นเกาทัณฑ์ทำหน้าอมทุกข์ ก็พอเดาทางถูก ได้แต่แบะปากยิ้มเย้ยลมแล้ง หล่อนยืนแอบฟังเขาคุยโทรศัพท์ แม้จับความยากมาก แต่เสียงร้องเรียกชื่อเป็นคำสุดท้ายดังๆนั้นเข้าหูที่แนบบานประตูชัดเจนดี เดาว่าป่านนี้แม่นั่นคงนั่งน้ำตาตกในอยู่บนเตียงนอน ทราบจากการคุยโทรศัพท์กับพิจัยว่าหนังสือพิมพ์ระดับชาวบ้านทุกฉบับลงข่าวประกอบรูปหราทีเดียว เพราะได้แหล่งกระจายข่าวประเทศเพื่อนบ้านรายเดียวกัน

    ที่บอกทั้งตำรวจและนักข่าวคือหล่อนกับเกาทัณฑ์เป็นคนรักมาเที่ยวกัน แต่วิธีคัดเลือกถ้อยคำพาดหัวข่าวถูกดัดแปลงเสริมแต่งไปตามถนัด ซึ่งเรือนแก้วก็ไม่อินังขังขอบนัก เนื่องจากอยากให้ ‘ใครคนหนึ่ง’ อ่านพบทำนองนั้นอยู่แล้ว

    เกิดมาไม่เคยแข่ง ไม่เคยแย่งผู้ชายกับใคร ชีวิตสาวเหมือนมีขบวนกระจิบกระจอกเรียงสลอนเข้ามาให้เลือกและปฏิเสธ รู้ตัวตั้งแต่เพิ่งเริ่มรุ่นว่านัยน์ตาหล่อนมีอำนาจสะกดใครให้หลงรักก็ได้ ขอเพียงเล็งนิ่งๆตอนสบกันอย่างจังด้วยความรู้สึกเหนือกว่าทีเดียวเท่านั้น สำเหนียกเลยว่ามโนภาพหล่อนก่อเป็นรูปกระแสพลังเร้าส่งเข้าประทับกลางใจฝ่ายตรงข้ามชนิดลบไม่ออก ต้องกลับไปนอนทรมานทุกราย

    ครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าไปแก่งแย่งหรือต้องออกกำลังแข่งขันกับแม่คนนั้น เกาทัณฑ์ตามจีบหล่อนต้อยๆ ถึงกับเข่นเพื่อนรักเพื่อแย่งหล่อนด้วยซ้ำ หล่อนต่างหากเพิ่งรู้ตัวว่าต้องการตอบตกลงกับเขา และเขาก็ยังคงอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ไม่ได้ห่างหายไปไหนเลย

    เชิดหน้านิดๆ ถ้าบังคับให้ยอมรับ ก็จะยอมรับว่ามีครั้งเดียวที่รู้สึกเหมือนถูกกดค่าให้ต้อยต่ำลง เมื่อรู้ชัดและเห็นกับตาว่าเกาทัณฑ์ทำทีห่างเหิน เหตุเพราะติดเนื้อต้องใจสาวงามที่ดูดีไปทุกกระเบียดอีกคน รุ่มร้อนราวกับสวมวิญญาณนางอิจฉาเมื่อเห็นความสวยหวานปานหยาดฟ้าของแม่นั่น ท่วงทีสงบกิริยาเป็นกุลสตรีแท้ที่หายากทำให้ย้อนกลับมาเปรียบเทียบกับตนเอง และรู้ว่าแตกต่างกันราวกับสีอ่อนตัดสีเข้ม

    เกาทัณฑ์เลือกไปอยู่ทางโน้น จึงคันคะยิกในอกว่าหล่อนแรงไม่พอจะยื้อเขาไว้ หรืออีกทีก็เพราะไม่น่าถูกใจอย่างแม่สีอ่อน

    พอนอนไม่หลับหลายคืนติดกันนั่นแหละ หล่อนจึงรู้ว่าเกาทัณฑ์มีอิทธิพลกับตนเพียงใด

    เขากินข้าวต้มอิ่ม เรือนแก้วใช้ทิชชูเช็ดมุมปากให้ เกาทัณฑ์รู้สึกแปลกๆ คล้ายเห็นประธานาธิบดีถูบ้าน อย่างเรือนแก้วไม่ใช่คนที่จะบริการเอาอกเอาใจคนอื่นถึงขนาดนี้

    “เราผ่านคืนนั้นมาได้ยังไงนะ นึกว่าเสร็จเสียแล้ว”

    เกาทัณฑ์พึมพำ เรือนแก้วเบื่อพูดถึงเรื่องร้าย จึงหันเหไปอีกทาง

    “คืนนั้นกำลังจะถามเลยว่าที่แอ้รู้สึกเหมือนเตียงหมุนเกิดจากอะไร”

    ชายหนุ่มกะพริบตาสองสามที

    “ร่างกายคงเสียดุล หรือจิตใจอาจเคลื่อนไหวในทิศทางที่พ้นภูมิรู้ของผม ถ้าผมมีกุญแจ ก็อาจไขประตูเปิดขุมทรัพย์มีค่าในตัวแอ้ออกมาก็ได้นะ ในจังหวะนั้น”

    “เช่นเห็นตัวเองในอดีตก่อนมาเป็นอย่างนี้?”

    เพื่อนชายสั่นศีรษะ

    “ไม่รู้”

    เรือนแก้วยื่นฝ่ามือมาลูบหนามเคราแหลมที่คางเขาให้ตัวเองจั๊กจี้เล่น

    “โกนหนวดให้เอาไหม?”

    เกาทัณฑ์ปิดตา ผงกศีรษะนิดหนึ่ง กายเป็นทุกข์ ปวดเสียวบาดแผลเกือบตลอดเวลา แต่ตาเริ่มเป็นสุข เมื่อเห็นภาพเอื้ออาทรของเรือนแก้วอย่างต่อเนื่อง นับเป็นการผสมผัสสะที่ก่อให้เกิดความผูกพันแน่นหนาเข้าทุกที

    ยังคงปิดตาอยู่เช่นนั้น เมื่อหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งในสองของดวงใจผูกผ้าขนหนูคล้องคอให้หลวมๆ ไอร่างสาวที่ส่งถึงฆานประสาทยวนใจให้ใฝ่นึกถึงเนียนเนื้ออุ่นและรูปริมฝีปากอิ่มน่าจูบ นี่เองเครื่องร้อยรัด นี่เองสิ่งตรึงยึดผู้คนไว้กับเรื่องวุ่นวายร้อยแปด แก้ไม่ตก

    เรือนแก้วเอามือยีครีมโกนหนวดป้ายทีละนิดจนกลบครึ่งหน้า แล้วบรรจงลากมีดโกนจากบนลงล่างทีละจุดด้วยฝ่ามือเบานุ่ม ไม่ระคายสัมผัสแม้แต่น้อย ทว่าก็มีน้ำหนักพอจะกดคมใบมีดกวาดเส้นขนน้อยใหญ่ออกจนเกลี้ยงเกลาทุกแถบพื้นที่ที่ปาดผ่าน ทำให้ผ่อนคลายลงราวกับเปลื้องทุกข์จากใบหน้าและจิตใจพร้อมกัน

    ยามหล่อนใช้มือข้างที่ว่างจากมีดโกนจับใบหน้าเขาพลิกหัน และค้างแนบประคองแก้มไว้เพื่อโกนด้านตรงข้ามให้ถนัด เป็นนาทีที่รู้สึกสุขสบาย สว่างรอบ เพลิดเพลินอย่างยากจะหาอะไรเทียบ

    อยากให้หนวดเคราของตนยาวกว่านี้สักสามเท่า เพราะได้เวลาเสร็จสิ้น หล่อนใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดผิวหน้ากับซอกคาง และผละออกห่างเร็วเกินไป เขายังเสพสุขไม่อิ่มพอ

    เรือนแก้วหายเข้าห้องน้ำไปพักหนึ่ง เกาทัณฑ์เปิดตารอ ต้องลดตัวเลื่อนลงนอนด้วยความปวดสีข้างในท่านั่งนานๆ พักหนึ่งก็เห็นหล่อนกลับออกมาด้วยท่าทีของนกน้อยในกรงทอง

    “แอ้ออกไปเที่ยวนะ ดึกๆกลับ”

    ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

    “เที่ยวไหนค่ำๆมืดๆ”

    “เก๊าะ...ไปนั่งดริ๊งก์มั่งฮี่ อุดอู้เฝ้าเธออยู่แต่ในห้องสองวันแล้ว เห็นใจกันมั่ง”

    “เที่ยวยังไง ผู้หญิงตัวคนเดียวเนี่ยนะ?”

    เรือนแก้วยักคิ้ว ลดราวกั้นข้างเตียงลง ก่อนขึ้นนั่งเบียดสะโพกชิดร่างเขา

    “นึกว่าในตัวแอ้มีผู้หญิงกี่คนล่ะ ไม่ใช่ผู้สำเร็จฤทธิ์แยกกายได้นี่คะท่านพี่ จะได้เที่ยวแบบคนเดียวหลายตัว”

    เกาทัณฑ์ชักหงุดหงิด

    “ต้องมีคนไปด้วย”

    “ช่วยไม่ได้ค่ะ เห็นจะต้องเดินต๊อกๆไปนั่งฟังเพลงคนเดียวอย่างนี้แหละ บอดี้การ์ดวิ่งหนีลูกปืนไม่ทัน โป้งเดียวนอนเป็นอึ่งอ่างหงายท้องเลย”

    คนเจ็บนึกถึงสภาพนอนมองเพดานของตนแล้วหัวเราะ แต่แล้วก็รีบทำขรึมเอ็ด

    “ออกไปได้ยังไงเล่า อันตราย เพิ่งเจอเรื่องมาแท้ๆ ยังมีกะจิตกะใจกล้าฉายเดี่ยวอีก”

    “สิงคโปร์ปลอดภัยออก คืนก่อนมันวันซวยน่ะ เจอแจ๊คพ็อตชนิดหนึ่งในแสนเข้าให้ ปกติคงไม่มีเสือ สิงห์ กระทิง แรดคอยขย้ำแอ้หรอก ขอรับรองความปลอดภัยให้ตัวเองค่ะ”

    ว่าแล้วก็ขยับลุกไปหยิบกระเป๋าสะพาย หันมายิ้มหวาน โบกมือบ๊ายบายด้วยท่าทีที่สะกิดให้นึกถึงการจากไกลแสนนาน

    “ไปนะ”

    “แอ้น่า...ขอร้องเถอะ”

    “ก็ร้องสิคะ ทำไมต้องขอแอ้ด้วย เอ๊อ! หาว่าอุดปากไว้รึ?”

    “อย่าออกไปเลยนะ”

    “ยังไงกันล่ะนี่ ห้ามๆๆ...หวงเหรอ?”

    “ห่วง!”

    “ตัวเองเป็นใครคะ คุณพ่อเค้าเหรอ? พูดว่าห่วงแล้วฟังแปลกๆ เออถ้าบอกหวงค่อยน่าอยู่ในโอวาทหน่อย”

    เห็นท่าลอยหน้าฉอดๆเช่นนั้นแล้วเกาทัณฑ์เฉลียวรู้ว่าตนถูกต้ม ค่อยเบาใจลง หล่อนคงอยากฟังบางคำนั่นเอง เลยแกล้งยั่วให้ว้าวุ่นไปอย่างนั้นแหละ อาจมีวงเล็บนิดๆว่าถ้าเขาขัดขืน ไม่ยอมกล่าวตามใจ หล่อนก็จะออกไปเที่ยวจริงด้วยมานะประจำตัว

    “ผมหวง...”

    พูดอ้อมแอ้ม

    “หวงใครไม่ทราบ?”

    “หวงแอ้ เดี๋ยวหนุ่มๆเข้ามาล้อม”

    กลั้นใจเอ่ย เสร็จแล้วก็มือสั่น เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกไม่ควร

    เรือนแก้วทิ้งกระเป๋าลงแถวนั้นอย่างไม่แยแส เดินเข้าหาเขา ยิ้มเยื้อนอย่างผู้กำชัย แม้ริมฝีปากหล่อนยังระบายยิ้มงาม แต่ประกายตากลับระยับเลศนัยประหลาด

    “ก็ได้ จะให้หวงนะ”

    มาถึงเตียงและเสปัดผงข้างหมอนเขา ก่อนขมวดปมทิ้งท้าย

    “แต่ต่อไปนี้แอ้ก็มีสิทธิ์หวงเต้เหมือนกัน!”


บทที่ ๒๓  ใจสลาย


    บนเครื่องแอร์บัสเที่ยวบินกลับกรุงเทพฯนั้น ครึ่งทางช่วงแรกเรือนแก้วผูกขาดการสนทนาตลอด ทว่าสุ้มเสียงที่กระจายแรงหฤหรรษ์ได้สะพัดของหล่อนแทบไม่สะกิดให้เกาทัณฑ์หันเหมาสนใจเอาเลย เนื่องจากยิ่งใกล้น่านฟ้ากรุงเทพฯเข้าไปเท่าไหร่ ใจยิ่งเป็นกังวล ตะครั่นตะครอกับสถานการณ์ลำบากที่กำลังจะเผชิญมากขึ้นเท่านั้น

    ปัญหาคาราคาซังที่กำลังเป็นชนักปักหลังนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาติดต่อถึงลุงคามภีร์สำเร็จ เพื่อรับรู้ว่าลุงพูดมึนชาใส่ราวกับคนแปลกหน้า และเมื่อโทร.หาพ่อ พ่อก็พูดแค่สั้นๆว่าอย่าเพิ่งคิดหมั้นคิดแต่งเลย ถ้ายังทำตัวเหลวไหล สองจิตสองใจเป็นเด็กอมมือ นั่นก็จะเอา นี่ก็จะเอาเหมือนอย่างนี้

    ลิ้นจุกปากเพราะปฏิเสธพันธะทางใจที่มีต่อเรือนแก้วไม่ได้ ประเภทบอกว่าเป็นแค่เพื่อน เพิ่งแตะได้แค่ปลายเล็บตอนยื่นมือรับเอกสารงานบริษัทนั้น รู้แก่ใจชัดว่ามุสาแท้

    ล่าสุดเมื่ออาการกระเตื้องขึ้นจนเลิกกระย่องกระแย่ง พอมองเนื้อตัวหล่อนแล้วก็ยิ่งคุกรุ่นไปด้วยความฟุ้งซ่านอุทธัจ ร่ำๆจะหมดความอดทน ย่องไปทำมิดีมิร้ายกลางดึกก็หลายครั้ง ก็เล่นหลับนอนอยู่ห้องเดียวกันตั้งหลายคืน ปรนนิบัติใกล้ชิดแค่เอื้อมถึงเพียงนั้น ถ้าปราศจากความรู้สึกเลื่อนเปื้อนอย่างว่าโดยสิ้นเชิง ก็คงต้องเป็นขันทีเสียก่อนหรอก

    หากสุดกลั้น ระงับยับยั้งไว้ไม่อยู่ ป่านนี้คงยิ่งกลุ้มเป็นสองเท่า อ้อ...หรืออาจจะปลอดโปร่งโล่งใจไปเลย เพราะเป็นอันว่าหมดสิทธิ์ในตัวแพตรีอย่างเด็ดขาดตลอดชาติแล้ว

    วานซืนมีนักข่าวขอเข้าสัมภาษณ์ ทำให้รู้ว่าสื่อมวลชนเล่นข่าวต่างประเทศที่มีคู่หนุ่มสาวไทยเข้าไปเอี่ยวนี้กันหลายวัน อาจหลงเป็นข่าวเล็กข่าวน้อยประเภทรายงานความคืบหน้าอาการบาดเจ็บของเขา หรืออาจผูกเป็นตอนต่อดุเด็ดเผ็ดมันวันต่อวันตามอัธยาศัย ซึ่งสรุปแล้วจะอย่างไรก็ตามที หากแพตรีติดตามอ่านล่ะก็ เป็นต้องรู้ว่าเรือนแก้วอยู่ชิดใกล้กับเขาไม่คลาดสายตาเลย แม้เขาปฏิเสธการให้สัมภาษณ์และถ่ายรูป แต่เรือนแก้วก็ลอยหน้าลอยตาเดินออกไปคุยกับนักข่าวอย่างสม่ำเสมอในฐานะผู้อนุบาลเขา จนปัญญาจะห้ามหล่อนเสียด้วย

    ขาออกจากโรงพยาบาลนึกว่าข่าวซาแล้ว คงเลิกติดตามกันแล้ว ที่ไหนได้ เจอแสงแฟล็ชวาบตั้งแต่ก่อนเข้าลิฟต์ ใครต่อใครคงคิดว่าเขายินดีกับการเป็นข่าวดังในทางดี ที่ประกอบวีรกรรมช่วยตนเองและคนรักให้รอดพ้นจากเงื้อมมือเหล่าร้ายอันเป็นที่หมายหัวของทางการ แต่เกาทัณฑ์รู้แก่ใจว่าการเป็นข่าวครั้งนี้น่าเครียด น่าขัดเคืองเพียงใด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเดินคู่เคียงออกจากโรงพยาบาลระหว่างเขากับเรือนแก้วคงตำตาตำใจใครอีกคนที่รักเขา แต่ถูกเขาทรยศลับหลังเช่นนี้...

    เมื่อเรือนแก้วพบว่ากว่าสิบนาทีที่ผ่านมาตนจ้ออยู่คนเดียวราวกับจำอวดราคาถูก ก็ชักมีน้ำโห หล่อนยิ้มหวานเป็นพิเศษก่อนฝืนถาม

    “ทำหน้ายุ้งยุ่ง รูปหล่อของแอ้กลุ้มอะไรคะ? บอกมั่งซี สงสัยตอนหวีผมเมื่อเช้าเห็นหัวเริ่มเหน่งกระมัง”

    เกาทัณฑ์ขำไม่ออกกับคำหยิกนั้น แต่ฟังโดยรวมแล้วรู้ว่าแม่นางในดวงใจข้างตัวชักเริ่มเขม่นที่เขาเงียบเฉย จึงจำใจโต้ตอบออกไปบ้าง

    “หัวยังไม่เหน่ง”

    ฝืนตอบทื่อๆแบบไม่ออกแรงคิด เรือนแก้วยกขาไขว่ห้าง ปรายตาแลเขาด้วยความรู้สึกอ่อนไหวของผู้หญิง

    ความจริงก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่นั่งเครียดเป็นตาแก่นี่ ก็เพราะเกาทัณฑ์กำลังหนักใจเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง และเพราะรู้อย่างนั้นจึงเจ็บร้อนราวกับยืนเท้าเปล่ากลางแดด หล่อนมีค่าเกินกว่าจะหวงหึงกระบึงกระบอน เชือดเฉือนแปร๋นๆเป็นอีแร้งเจอลูกดอกในละครทีวี แรงกริ้วและไฟริษยาในหญิงมีลักษณะเผาผลาญรุนแรงเหมือนกันหมด สำนึกในความเป็นหงส์หรือกาเท่านั้นที่ยับยั้งไว้หรือปลดปล่อยออกมา

    หล่อนนั่งอยู่ตรงไหนกันแน่? หนึ่งในตัวเลือกให้เขาลังเลว่าจะหยิบดีหรือไม่หยิบดี? อยากสะกิดถามให้รู้เรื่อง แต่นั่นเหมือนไร้ความมั่นใจในค่าของตนเองชัดๆ เขาเลือกหล่อน เพราะหล่อนอนุญาตให้เลือกแล้ว หลังจากดูใจ เห็นใจกันดีแล้ว

    อยากสาธยายให้เขาฟังเป็นการขู่ ว่าทุกวันนี้มีใครเรียงคิวมาให้หล่อนเลือกบ้าง ได้ยินชื่อกับนามสกุลบางคนจะอ้าปากค้าง แต่นั่นก็เหมือนเห็นว่าค่าของตนที่ปรากฏต่อสายตาเขายังไม่ชัดพอ จึงต้องอาศัยแกนอ้างอิงอื่นมาเสริมอีก

    ในที่สุดจึงตัดสินใจซ่อนวิสัยหญิงทุกรูปแบบ แม้น้อยใจเหลือทนที่ป่านนี้เขายังแสดงความครุ่นคิดวิตกกังวลอย่างประเจิดประเจ้อ ทั้งที่น่าจะยิ้มใสออดอ้อนหล่อนกระหนุงกระหนิงเยี่ยงคู่พิศวาสเมื่อแรกหวานทั่วไป

    “เต้เอารถจอดไว้ที่สนามบินหรือเปล่า?”

    พยายามเจรจาพาทีเป็นปกติ และถามแบบที่เขาจะต้องตอบ

    “เอามา”

    “แอ้มาแท็กซี่ล่ะ เดี๋ยวช่วยขับไปส่งหน่อยสิ?”

    เกาทัณฑ์ยกนิ้วเขี่ยปลายจมูก

    “ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”

    เรือนแก้วอมยิ้ม

    “ล้อเล่นน่า เธอเจ็บแผลอยู่ เดี๋ยวฉันจะขับไปส่งให้ต่างหาก”

    “ทุเลาลงเยอะแล้วล่ะ ไม่อักเสบแบบนี้ขับได้สบายมาก”

    เลี่ยงเช่นนั้นเพราะตั้งใจจะส่งเรือนแก้วให้เสร็จๆแล้วตรงดิ่งไปบ้านปู่ชนะทันที แม้ขี้เกียจอยู่บ้างเนื่องจากต้องย้อนไปย้อนมาอ้อมโลกก็ตาม

    “ยังไงเธอก็ต้องพักผ่อนอีกระยะนะ แผลปริล่ะแย่เลย”

    “แค่นี้จิ๊บจ๊อย ดูในหนังสิ พระเอกโดนยิงตั้งหลายนัด ยังทำปากเบี้ยวแค่เดี๋ยวเดียว ขับรถบรรทุกตะบึงบุกเตะต่อยกับผู้ร้ายต่อหน้าตาเฉย ผมจะยอมแพ้ได้ไง”

    เรือนแก้วหัวเราะ สบายใจขึ้นนิดหน่อยกับบรรยากาศการสนทนาที่ใสกว่าเดิม ตะแคงข้างเอาไหล่พิงพนักมองเขาด้วยตาเป็นประกาย

    “งั้นแข็งแรงพอจะพานางเอกไปเที่ยวได้หรือเปล่า?”

    เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆ ความเงียบอึ้งของเขาทำให้เรือนแก้วเอื้อมมือมาเขย่าปลายแขนรบเร้า

    “แอ้อยากดูหนังอ้ะ”

    ชายหนุ่มลอบถอนใจ บอกหล่อนตามตรง

    “ผมต้องไปพบญาติผู้ใหญ่ล่ะแอ้ ผิดนัดธุระสำคัญกับท่านไว้”

    หญิงสาวหน้าง้ำ

    “ให้แอ้ไปด้วยนะ”

    รุกอย่างเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ เพราะรู้ว่าที่หมายของเกาทัณฑ์คือแม่เทพธิดาลาวัณย์อีกนางหนึ่งนั่นเอง เขากำลังจะไปงอนง้อยายคนนั้น ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ไหนหรอก

    เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเกาทัณฑ์ที่เป็นสุขจะเคียงข้างกับผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับรำคาญไปในตัว ที่เคยผ่านมาถ้ารำคาญก็จะอยากขับไสไล่ส่ง แต่นี่พิลึกที่เขาเองก็อยากตามติดหล่อนไปทุกหนแห่งเหมือนกัน หลายวันที่ผ่านมาเรือนแก้วกลายเป็นเงา กลายเป็นคู่ กลายเป็นส่วนหนึ่ง ราวกับชีวิตมิได้มีเพียงกายเดียวต่างหากจากกันอีกต่อไป แค่หล่อนห่างไปซื้อของหรือเข้าห้องน้ำนาน ก็หงุดหงิดคิดถึงจนเหลือจะรอแล้ว

    แต่อย่างไรเมื่อถึงกรุงเทพฯ ก็ต้องไปพบแพตรีให้ได้...

    “แอ้...เราต่างคนต่างมีเรื่องส่วนตัวน่าจะแยกกันไปทำ แอ้เข้าห้องน้ำผมยังไม่ตามเข้าไปเลย”

    หญิงสาวครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

    “ก็ลองตามเข้าไปสิ”

    ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยเรียบ แต่แววจริงจัง

    “คืนนี้แอ้จะขนเสื้อผ้าไปค้างห้องเต้ ดูแลเธอ”

    เกาทัณฑ์สำลักน้ำลาย อุทานเบาๆ

    “เฮ่ย!” คิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ยแบบผ่อนน้ำหนักคำเป็นเรื่องเล่น “ผมเลยกลายเป็นลูกแหง่ในสายตาแอ้ไปเลยหรือนี่? ดีนะ เดี๋ยวลงจากเครื่องขอรถเข็นเด็กมาซักคันซี”

    เรือนแก้วกะพริบตาทีหนึ่ง เอียงคอใช้หางตามองเขาเฉยเป็นครู่อย่างอ่านใจ ก่อนพูดแบบขวานผ่าซาก

    “แค่บอกว่าจะไปค้างด้วยหน่อยเดียวถึงกับตาเหลือกเชียวนะ ใครๆเขาก็คิดว่าแอ้เป็นของเต้แล้วทั้งนั้นแหละ โทร.คุยกับยายจ๋ายก็ถามระริกระรี้เลียบเคียงไปเลียบเคียงมา รำคาญเข้าเลยยอมรับไปตามที่คนอื่นน่าจะเข้าใจ สมัยนี้มันเรื่องธรรมดาจะตาย”

    เกาทัณฑ์ก้มศีรษะยกมือขวาปิดหน้า ก่อนเงยขึ้น ตาปะทะตา

    “แอ้ทำอย่างนั้นไม่ถูกนะ”

    “ทำม่ะ?”

    หญิงสาวเผยอริมฝีปากค้างหน่อยๆ จ้องลึกลงไปในตาเขาอย่างพร้อมจะให้เอาเรื่อง เกาทัณฑ์ส่ายหน้า พยายามพูดออมเสียงทั้งที่ใจตะโกนดังกว่านั้นเยอะ

    “ฝ่ายเสียหายคือแอ้เอง ตอนคนคุยสนุกกันปากต่อปากเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวของชาวบ้านน่ะ กี่ยุคกี่สมัยก็เหมือนกันหมดแหละ ลุ้นอยู่อย่างเดียวคือผู้หญิงเสียท่าเสร็จใครมั่ง แอ้อยากให้พวกนั้นโพนทะนาเกี่ยวกับแอ้ในทางเสียหายทำนองนี้หรือ?”

    เปลือกตาหญิงสาวขยิบ ปากคอสั่น

    “โถ...ช่างเขาเถอะค่ะ”

    เค้นเสียงหวาน แต่ข้างในชักเหลืออด เพราะดูออกว่าที่แท้เกาทัณฑ์อยากให้โลกเข้าใจว่าเขายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้เจ้าเข้าเจ้าของ ใช่ว่าห่วงใยชื่อเสียงหล่อนจะเกิดราคีเกาะเสียนักหนา

    เกาทัณฑ์เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเริ่มฉานแววไหม้อย่างผิดหวังและเสียใจ ก็พลอยจุ๊ปากอย่างอับตัน จะให้เรือนแก้วรับรู้อะไรได้ หากหล่อนไปค้างห้องเขาจริงดังแถลง แม้จะแค่เพียงสองสามวัน เขาคงต้องแกล้งตัดสายโทรศัพท์ ตัดการติดต่อกับญาติสนิทมิตรสหายอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเผื่อใครโทร.มาแล้วหล่อนรับ ทุกอย่างถึงกาลเอวังทันที

    พ่อแม่คงไม่ยอมรับผู้หญิงแปลกหน้าที่เขาพาเข้าห้องได้ง่ายๆมาเป็นลูกสะใภ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนในครอบครัวยังยืนอยู่ข้างแพตรีกันหมด คนอื่นจะก้าวเข้ามาแทนที่เป็นถูกปิดประตูใส่แน่นอน

    ร่ำๆจะเปิดเผยความจริงที่เขาขอหมั้นแพตรีไว้แล้วให้หล่อนรับรู้ แต่เห็นใบหน้าหม่นในบัดนี้แล้วก็ใจอ่อนยวบ ถ้าคำพูดตรงไปตรงมาคือการทำความบาดเจ็บรุนแรงให้แก่คนฟัง เขาจะยังควรพูดอยู่หรือเปล่า?

    ถูกบีบหนักเข้าก็หลุดปากตามความคิดในหัวที่ถูกเรียบเรียงขึ้นแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า

    “แอ้มองผมเหมือนเจ็บใจอะไรเหรอ? ผมแค่ไม่อยากให้ใครต่อใครคิดว่าแอ้เป็นของขบเคี้ยวเล่นล่วงหน้าได้ง่ายๆ แอ้ไปรับกับจ๋ายอย่างนั้นเหมือนพูดความจริงตามสายตาคนอื่น แต่ที่แท้นั่นแหละคือการปด ต้องปากแข็งเข้าไว้ซี่ เอาความจริงที่รู้กันสองคนระหว่างเรามาพูดไปจนกว่าจะจัดงานเป็นเรื่องเป็นราว”

    สีหน้าเรือนแก้วคลายลงนิดหนึ่ง นั่นหมายความว่าเขากำลังจะขอหล่อนแต่งงานกระมัง เกือบถามคาดคั้น แต่ดูทีคงไม่งามนัก ไว้ให้เขาเอ่ยเองกับปากจะสวยกว่า

    ฝ่ายเกาทัณฑ์เองเมื่อกล่าวจบก็แทบเอาหัวโหม่งหน้าต่างเครื่องบินให้ตายไปรู้แล้วรู้รอด นี่เขาเผลอหลุดปากอะไรออกไปอีกแล้ว? เหมือนตอนนี้อยู่ในร่องแคบที่มีหอกดาบรุนหลังให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างเดียว จะหันกลับหรือปีนป่ายมุดดินหนีนั้น อับตันทั้งสิ้น ยิ่งพูด ยิ่งทำ แทนที่จะแก้ปมเก่า กลับเหมือนเอาเถาวัลย์มาพันเพิ่มกระดิกยากขึ้นไปอีก

    นึกไม่ออกเสียแล้วว่าปมที่ขมวดแน่นจะรัดคอตายอยู่เดี๋ยวนี้ มันเริ่มจากความใจอ่อนตรงจุดไหน หากย้อนเวลาได้เขาควรกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ใดดี ทุกฝ่ายจึงจะอยู่อย่างสงบสุขตามวิถีทางอันควร

    สีหน้าของเกาทัณฑ์คล้ำหมอง ส่วนเรือนแก้วก็ดูมึนตึงไป เพราะกำลังทิ้งค้างไว้แบบคลุมเครือ ทั้งคู่จึงปิดปากสนิทจนกระทั่งถึงดอนเมือง

    ขณะเดินออกจากเครื่อง เรือนแก้วใช้ศอกสะกิดแขนเกาทัณฑ์ ชวนหยุดเดินและลงนั่งเก้าอี้แถวกลางตัวหนึ่ง ผู้โดยสารต่างทยอยลงเป็นกระจุก ยังมีเวลานั่งได้อีกเป็นนาที เรือนแก้วคงขี้เกียจเบียดกับคนและชวนเขานั่งคุยรอ

    พอเกาทัณฑ์นั่งตาม เรือนแก้วก็อุบอิบ

    “ขออย่างเถอะ ได้โปรด...”

    เสียงอ่อนอ้อยสร้อยของหล่อนทำให้เขาตั้งใจฟัง

    “เดี๋ยวไปพบคุณพ่อแอ้ด้วยกันได้ไหม?”

    เกาทัณฑ์ย่นคิ้ว

    “ก็ไหนว่า...”

    “เต้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้แอ้หันไปคืนดีกับพ่อ ตั้งแต่คืนนั้นแหละ แอ้โทร.หาท่าน” แล้วหล่อนก็รวบรัด “อยากให้พาไปหาหน่อย มันมีความหมายกับแอ้มาก”

    ชายหนุ่มเกือบยกมือเกาศีรษะ แต่เกรงว่าหล่อนเห็นแล้วจะพื้นเสียและแสดงกิริยาปึงปัง เลยระงับไว้ ต้องเม้มปากคิดอยู่นาน ที่สุดก็ใจอ่อนตามเคย

    “ก็ได้”

    เรือนแก้วยิ้มแฉ่ง กิริยาซึมเซื่องปลาสนาการไปในพริบตา ทำให้คนเห็นพลอยสดชื่นไปด้วย ลืมเรื่องชวนหมางเมินระหว่างกันเมื่ออยู่ครึ่งทางลงสิ้น เกาทัณฑ์มีความรู้สึกคล้ายตนเองกำลังถูกปั่นหัว และอาจถูกบงการให้โดดเหวตายได้ก็เพราะมารยาอันแรงฤทธิ์ของหล่อนนี่แหละ

    พอออกจากเครื่องมายืนรอรับกระเป๋า เรือนแก้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากางและกดปุ่มต่อเข้าเครื่องของพ่อ โดยอาศัยเลขที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำ

    เมื่อสัญญาณดังยาวบอกสายว่างทางฝั่งผู้รับ เรือนแก้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ชำเลืองแลมาทางคนรักและส่งยิ้มเก๋เป็นการหยอดเสน่ห์ไปพลางๆ ดูตาก็รู้ว่าเขาหลงหล่อนเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้พยายามพรางด้วยท่าทีเมินเฉยหรือขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างเช่นขณะนี้ก็เถอะ ปิดไม่มิดหรอก

    สัญญาณเรียกดังหลายครั้งจนนึกว่าคงเหลว ภาวนาให้ติดต่อพ่อสำเร็จ หล่อนจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างใหม่มายึดตัวเกาทัณฑ์อีก

    “ฮัลโหล”

    ในที่สุดฝั่งโน้นก็รับ แต่เรือนแก้วต้องทำหน้าผิดหวังเพราะเป็นเสียงของสายชลเมียใหม่ของพ่อ เฮ้อ! เจอนังนี่ทุกทีซีน่า

    “แอ้นะคะ ขอพูดกับพ่อจอมหน่อยค่ะ”

    พยายามอย่างที่สุดในการควบคุมมิให้หางเสียงเจืออารมณ์ขุ่น สายชลเงียบไปครู่ใหญ่ แต่แทนที่จะตามพ่อมาให้ กลับชวนหล่อนคุยต่ออย่างน่าขัดใจ

    “หนูแอ้เหรอ...”

    เสียงนั้นเนิบเนือย ทว่ามิได้ตั้งเค้าขัดขวางห้ามหวงประการใด การเว้นจังหวะของสายชลชวนให้คิดว่าพ่อคงติดธุระบางอย่างมากกว่า

    “นั่นหนูอยู่สิงคโปร์หรือกลับถึงไทยแล้วล่ะ?”

    พลังของสื่อมวลชนเป็นอย่างนี้ ในขณะที่คนไทยหลายสิบล้านเห็นหล่อนบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แล้วผ่าน คนที่อยู่ในเส้นทางโคจรรอบตัวนับร้อยได้รับรู้ และคงกล่าวถึงให้แซ่ด เมียพ่อถึงกับทักถูก

    “กลับถึงไทยแล้วค่ะ พ่อจอมอยู่แถวนั้นหรือเปล่าคะ?”

    มีเสียงถอนใจยาวดังให้ได้ยิน เรือนแก้วไม่ต้องสังเกตก็จับเสียงเครือของอีกฝ่ายได้ถนัดจากประโยคต่อมา

    “เขาตายแล้วล่ะแอ้ อุบัติเหตุรถยนต์เมื่อเช้านี้เอง แอ้มาที่วัดพระศรีฯบางเขนนะ อยู่ศาลาแปดทับสอง นี่กำลังรอพระสวดกัน”

    คล้ายใครเอาหมอนมาอุดปากอุดจมูก เรือนแก้วหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนหลุดกระซิบด้วยลำคอตีบตื้น

    “ว่าไงนะคะ?”

    “พ่อหนูเสียแล้ว นั่งด้านหน้ารถตู้คู่กับคนขับสวนกับรถบรรทุก กำลังพาลูกน้องจะไปทำธุระที่ชะอำเมื่อเช้า ศพเพิ่งถึงกรุงเทพฯชั่วโมงก่อนนี่เอง”

    โทรศัพท์ร่วงตกสู่พื้น หญิงสาวยืนตัวแข็ง ทีแรกเกาทัณฑ์เหลือบมองอย่างไม่สนใจนัก นึกว่ามารยาอะไรอีก แต่พอเห็นใบหน้าเซียวซีดและเข่าอ่อนคล้ายจะล้มก็ยึดต้นแขนฝ่ายนั้นไว้อย่างรู้ว่าไม่ได้แกล้ง

    ก้มลงเก็บโทรศัพท์ ยกขึ้นแนบหู แนะนำตัวและไถ่ถามผู้อยู่ปลายสัญญาณอีกด้านว่าเกิดอะไรขึ้น พอได้ความชัดก็พลอยตกใจ และบอกว่าเขาจะเป็นคนพาเรือนแก้วไปที่วัดเดี๋ยวนี้

    ใบหน้าหล่อนไร้สีเลือด มือเย็น ตัวแข็ง เขาต้องประคองแจจนมาถึงรถเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ซวดเซล้มลงเสียก่อน ตลอดทางหล่อนไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว ราวกับถูกสาปเป็นหินไปแล้ว

    นั่งกุมมือคนเสียขวัญ พยายามพูดปลอบและชวนคุยบ้าง แต่เรือนแก้วหุบปากสนิทราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไอ้ฝ่ายเขาจะพูดว่าคุณพ่อหล่อนไปดีแล้ว สุขสบายแล้ว ก็ทำได้ไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่ เนื่องจากตนเองเพิ่งเฉียดประตูมรณะ หรือกล่าวให้ชัดคือย่างข้ามธรณีไปแล้วเท้าหนึ่ง จึงรู้ดีว่าการตายกะทันหันนั้น หากไม่ใช่คนมีจิตแช่มชื่นเบิกบานในกุศลเป็นเนืองนิตย์ล่ะก็ อย่าเพิ่งทึกทักลมแล้งเลยว่าจะได้ไปสูง ไปสบายง่ายๆ

    มาถึงวัดเมื่อโพล้เพล้ เกาทัณฑ์จอดรถใกล้ศาลาแปด ต้องเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูจูงมือคนรักจากที่นั่ง รู้สึกได้ถึงความฝืนเกร็งในบางก้าว คล้ายเรือนแก้วขัดขืน ขลาดกลัวเกินกว่าจะเดินทางไปเผชิญหน้าความจริง จนเขาต้องหยุดเอ่ย

    “แอ้... ไปดูกันให้รู้ไงว่าเมียใหม่ของคุณพ่อแอ้หลอกเราหรือเปล่า ถ้านี่เป็นงานศพคนอื่น เราจะได้หมดห่วง เลิกเข้าใจผิดเสียที”

    นั่นเองดวงหน้างามจึงค่อยดูมีสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย ยอมก้าวเดินตามเขาไปโดยดี มีความหวังอันริบหรี่ว่าที่แท้คำพูดของสายชลเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จเท่านั้น

    เกาทัณฑ์เป็นคนเลื่อนบานประตูกระจก ไอเย็นลอยมากระทบ แขกในชุดดำที่เชิญมาในงานนั่งเรียงแถวอยู่ทางขวามือ ต่างหันมองเขากับคนรักเป็นตาเดียว

    สำหรับเรือนแก้วแล้ว ทุกสิ่งและทุกคนในห้องถูกคัดแยกออกไปจากความกำหนดรู้ เหลือเป้าหมายเดียวในคลองตา คือตั่งรดน้ำศพที่มีร่างชายวัยกลางคนนอนยื่นแขนแบมือรอรับน้ำไม่ไหวติง หล่อนเดินเข้าหาร่างไร้วิญญาณด้วยกิริยาย่างเท้าจดจ้องทีละก้าว เล็งแลร่างเหยียดยาวให้แน่ใจว่าเป็นใครกัน

    แม้จะถูกแต่งศพจนทรงใบหน้าเปลี่ยนไปบ้าง แต่หล่อนก็จำลักษณะใบหูและรูปศีรษะได้ดี นั่นเป็นร่างของพ่อแน่แล้ว...

    ดูสีหน้าท่านสงบ เหมือนปิดตาหลับและกำลังรอหล่อนปลุกให้ตื่นขึ้นมาทักทายกัน หญิงสาวค่อยๆลงคุกเข่าหน้าศพส่วนบนเป็นนาน ก่อนจะยกมือที่แบรอรับน้ำของท่านขึ้นพลิกวางบนกระหม่อมตน แล้วนั่งนิ่งถอนสะอื้นจ้องหน้าอยู่อย่างนั้น เป็นที่เวทนายิ่งแก่สายตานับสิบคู่ที่มองตรงมาอย่างเงียบกริบ

    นานราวกับกาลเวลาทอดช้าให้ลูกสาวผู้วายชนม์แน่ใจว่าผู้เป็นพ่อไม่อาจขยับมือลูบไล้ศีรษะด้วยความรักอีกแล้ว กระทั่งถึงเวลาหนึ่งเปลือกตาหล่อนหรุบปิดลงเอง กายไม่อาจหยัดทรงอยู่ได้ เซล้มมาปะทะโต๊ะวางพานรับน้ำ เกาทัณฑ์ซึ่งมาคุกเข่าระวังอยู่แล้วใกล้ๆช้อนรับไว้ได้ทันท่วงทีก่อนศีรษะจะตกฟาดพื้น

     

    เมื่อเรือนแก้วฟื้นสติกลับมาด้วยการเอื้อเฟื้อยาดมและยาหม่องน้ำจากญาติฝ่ายพ่อ หล่อนปรับสติรับความจริงได้ดีขึ้น เพียงร้องไห้กระซิกเท่านั้นเมื่อตามคนรักไปนั่งฟังพระสวดบริเวณแถวที่นั่งหลังห้อง เกาทัณฑ์ต้องกระซิบปลอบอยู่ที่ริมหูเป็นระยะ

    ก่อนออกจากงานศพหล่อนยังมายืนไหว้ลาแขกในงานร่วมกับสายชลตรงนอกประตู และพูดคุยนัดแนะกับฝ่ายนั้นเกี่ยวกับการรับเวรดูแลเป็นเจ้าภาพงานศพ อีกทั้งเมื่อเดินกลับมาที่รถก็อาสาเป็นผู้ขับเอง เกาทัณฑ์เห็นหล่อนดูปกติดีจึงให้ขับ แต่ก็คอยระวังทุกวินาทีไม่คลาดสายตาถ้าเรือนแก้วจะเหม่อขึ้นมา

    “แอ้ไปส่งเต้ที่ห้องนะ”

    เรือนแก้วเอ่ยขณะอ้อมอนุสาวรีย์ปราบกบฏ

    “ไม่หรอก ไปห้องแอ้นั่นแหละ ผมขับกลับเองไหว อย่าห่วงเลย”เกาทัณฑ์ปฏิเสธ ซึ่งนั่นทำให้น่าเดาว่าเขามีเป้าหมายต่อไปถัดจากส่งหล่อนแล้ว ทว่าภาวะจิตใจยามนี้ หล่อนไม่พร้อมจะฟุ้งซ่านซึมเศร้าในเรื่องอื่นได้ไหว

    ยอมขับมาตามทางกลับย่านที่พักอาศัยของตนเอง ต่างเงียบงันกันด้วยความคิดคำนึงแตกต่างออกไป ใจเกาทัณฑ์เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เขาอยากใกล้ชิดปลอบประโลมเรือนแก้ว แต่อีกใจก็คล้ายเร่งร้อนไปถึงบ้านปู่ชนะ ตีกันมั่วอยู่

    ส่วนเรือนแก้วนั้น ได้แต่รำลึกถึงภาพในอดีตของบิดา ซึ่งเมื่อวันก่อนที่สิงคโปร์เกาทัณฑ์เพิ่งขุดคุ้ยให้ระลึกได้หลายต่อหลายฉาก และยังผลให้หล่อนมานั่งนอนทบทวนเอาเองอีกนับสิบนับร้อย

    เลยสี่แยกไฟแดงแถวรัชโยธินมาได้หน่อย ปรากฏภาพสะดุดตาสองหนุ่มสาว ที่ข้างทางคือร่างหมอบสนิท กางแขนกางขาของชายคนหนึ่ง ห่างออกไปประมาณเจ็ดก้าวคือมอเตอร์ไซค์ที่ล้มล้อชี้ฟ้าคาริมฟุตบาท ทราบได้ทันทีว่าคงเกิดอุบัติเหตุสักอย่าง

    มีแต่รถชะลอดู แต่ไม่มีรถจอด เรือนแก้วเองก็ชะลอๆเหมือนกัน กระทั่งเกาทัณฑ์บอกให้หยุด จึงเชื่อมั่นพอจะเบนหัวรถแอบข้างทาง และค่อยๆถอยไปใกล้จุดเกิดเหตุ

    เกาทัณฑ์เปิดประตูก้าวเดินย้อนเข้าหาร่างแน่นิ่งนั้น ส่วนเรือนแก้วนั่งเกร็งกับที่อย่างสองจิตสองใจ แม้เพิ่งสัมผัสใกล้ชิดกับศพพ่อมาหยกๆ แทนที่จะทำให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา กลับยิ่งผวาเมื่อเจอร่างกองแน่นิ่งที่ชวนให้เดาว่าใช่ศพหรือเปล่า ในความเป็น ‘คุณหนู’ ผู้ถูกห้อมล้อมด้วยดอกไม้และปราการแก้ว หล่อนกลัวการเห็นหน้าเละ ตาเหลือก ปากปลิ้น และเปรอะเลือดอันเป็นผลจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สุด

    ทำใจกล้า เปิดไฟกะพริบบอกสัญญาณจอดฉุกเฉิน ดับเครื่องเปิดประตูก้าวเท้าลงมา ทว่าเดินมาได้เลยท้ายรถหน่อยเดียวก็ชะงัก รีรอสอดตาดูความเคลื่อนไหวของเกาทัณฑ์ห่างๆ ตั้งใจว่าถ้าเป็น ‘คนเจ็บ’ ก็จะช่วยเขาลากขึ้นรถส่งโรงพยาบาล แต่ถ้าเป็น ‘คนพ้นเจ็บ’ ก็จะถอยเท้าทันที ไม่หาเรื่องเสียวลูกตาใกล้กว่านั้นแน่นอน

    ชายหนุ่มย่อกายลงติดร่างที่ซบหน้ากับถนน จับไหล่ฝ่ายนั้นพลิกหงายอย่างระมัดระวัง แสงไฟข้างทางสาดส่องให้เห็นเลือดกบจมูกและเปลือกตาเปิดครึ่งหนึ่ง เหลือกตาขึ้นบนนิดๆ ม่านตาค้างเติ่ง ราวกับจะแสดงความเป็นช่องทางออกของวิญญาณสู่สัมปรายภพ เท่านั้นก็ทราบว่าชายผู้ประสบอุบัติเหตุหาชีวิตไม่แล้ว แต่เพื่อความแน่ใจก็จับข้อมือ กดแม่โป้งตรวจชีพจรอีกครั้ง จึงได้สัมผัสอีกสัญลักษณ์หนึ่งของมรณกรรม นั่นคือความเงียบนิ่งไร้จังหวะเต้นที่ส่งมาจากหัวใจ

    กล้ำกลืนน้ำลายลงคอ ใช้ปลายนิ้วปิดเปลือกตาชายชะตาขาดอย่างที่เห็นทำๆกัน พบว่าหรุบสนิทอย่างง่ายดายราวกับรูดชายผ้าม่านลง สัมผัสที่ปลายนิ้วบอกว่านี่คือเนื้อของสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘คน’ อีกต่อไป

    ก่อนเขาออกจากงานศพ ร่างนี้คงยังเป็นคนอยู่ นาทีนี้ไม่ใช่แล้ว ต้องมีงานศพเพิ่มอีกแล้ว

    ทำจิตเป็นสมาธิ คิดถึงกุศลเท่าที่จะนึกได้ กระทั่งเกิดกลุ่มพลังให้รู้สึกได้ในกายจริง จึงหลับตาลงคิดแผ่เป็นกระแสเยือกเย็นให้ร่างที่ยังมีไออุ่นใกล้ตัว ขอวิญญาณจงสู่สุคติ ถ้ายังลอยวนไม่รู้สติอยู่ใกล้ละแวก ก็จงรับทราบว่าบัดนี้ความผูกพันในโลกสิ้นสุดลงแล้ว และขอให้ตามกระแสธรรมอันสว่างเย็นในร่มศาสนาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ไปเกิดใหม่ในร่มโพธิ์เดิม พบพระผู้ปฏิบัติชอบ เจริญตามท่านจนเข้าถึงพระนิพพานโดยดี

    จะเกิดอุปาทานหรืออย่างไรก็แล้วแต่ เกาทัณฑ์ขนลุกซู่คล้ายมีพลังอย่างหนึ่งพัดผ่านมาในรูปของสายลม และยังคงขนลุกชูชันเป็นแผงอยู่เช่นนั้นแม้เมื่อลืมตา ลุกขึ้นเดินกลับมาที่รถแล้ว

    เหลือบมองเรือนแก้วและพยักหน้าให้นิดหนึ่ง แสงเหลืองจากโคมไฟถนนทำให้ใบหน้างามดูซีดราวกับเป็นศพเสียเอง ยิ่งเห็นมือสั่นและแววขลาดในตาหล่อนแล้วก็ประหลาดใจอยู่ครามครัน ท่าทางอ่อนเปียกอย่างนี้หรือเคยกล้ายิงปืนเข้าเนื้อคนมาก่อน กับทั้งมีสติมั่นคงพอจะควบคุมสถานการณ์วิกฤตจนลุล่วงมาแล้วตามลำพัง

    เรือนแก้วก้าวตามขึ้นรถทีหลัง ถามเขาด้วยเสียงที่เห็นได้ชัดว่าพยายามดัดเป็นปกติ

    “ตายหรือ?”

    เกาทัณฑ์ผงกศีรษะ หยิบมือถือขึ้นต่อสัญญาณถึง 191 และแจ้งเหตุตามหน้าที่พลเมืองดี หลังจากบอกสถานที่และตำแหน่งเรียบร้อยก็กดปุ่มตัด ถอนใจเฮือกใหญ่

    เรือนแก้วสตาร์ทเครื่องและออกรถอย่างเชื่องช้า คุมความเร็วให้เข็มชี้เกินเลข 60 นิดๆเท่านั้น แม้ถนนค่อนข้างโล่งชวนให้วิ่งเร็วก็ตาม หล่อนผ่านเห็นคนตายคล้ายเศษขยะข้างถนนมาเยอะโดยไม่รู้สึกรู้สานัก แต่บัดนี้ศพนั้นทำเอาใจสั่น และต้องพยายามระงับมิให้มือที่ควบคุมพวงมาลัยรถพลอยสั่นตาม คล้ายรอบตัวอึงอลด้วยเสียงเพรียกจากอีกมิติหนึ่ง ประสบเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับใครบางคนต้องการย้ำให้รู้ว่าความตายเป็นของจริง เกิดขึ้นได้จริงกับทุกคน

    “หมู่นี้อยู่ใกล้ความตายบ่อยจริงนะ มองไปรอบตัวยังกับป่าช้าแน่ะ”

    รำพึงระบายความรู้สึก เกาทัณฑ์เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยตอบราบเรียบ

    “เป็นเทวทูต สื่อแจ้งข่าว สัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่าวันหนึ่ง…ก็ถึงตาผมกับแอ้บ้าง”

    เรือนแก้วยิ้มซึม เห็นสัจจะซึ้งเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ พ่อเคยถูกแม่ยิงแต่รอดมาได้ เกือบแปดปีต่อมาก็ตายอยู่ดีด้วยความพลิกผันชั่วเสี้ยววินาทีบนถนน  เกาทัณฑ์รอดตายมาได้จากน้ำมือโจรท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของหล่อนและคณะแพทย์ที่ทำการช่วยเหลืออย่างแข่งกับเวลา มิให้หัตถ์มัจจุราชมาสาวคว้าได้ทัน ทว่าที่สุดแล้ววันหนึ่งเขาก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากเครื่องประหาร คือร่างกายตนเองอยู่ดี กายมนุษย์และสัตว์นั่นแหละเป็นเครื่องประหารที่อันตรายร้ายแรงกว่าอาวุธและอุบัติเหตุทุกชนิดบนโลก

    นาทีนี้หล่อนอยู่กับไออุ่นของร่างกายตนเอง วันหนึ่งข้างหน้ามันจะเย็นชืดเป็นศพบนตั่งรับน้ำ

    นาทีนี้หล่อนอยู่กับเขา วันหนึ่งข้างหน้าจะต้องพรากจากกัน ใครไปก่อนไปหลังเท่านั้นแหละ

    ความหดหู่ในอนิจกรรมของผู้บังเกิดเกล้ายังปักแน่นอยู่กลางใจ จึงประมาณได้ว่าญาติของผู้นอนตายอย่างน่าอนาถเบื้องหลังก็คงเป็นเช่นนั้น โลกน่าวังเวงอย่างนี้เองหรือ คนตายกันเป็นเบือทุกวัน ญาติพี่น้องนับสิบนับร้อยต้องมาชุมนุมคับคั่ง ร้องไห้กันเบื้องหลังร่างไร้วิญญาณร่างเดียว หากนับสายน้ำตาจากญาติผู้ตายทั้งหมดในแต่ละวัน คงรวมแล้วนองเป็นแม่น้ำย่อยๆได้สายหนึ่งแน่นอน

    คิดถึงพ่อ เศร้าใจที่ยังไม่ทันทำคุณไถ่ความรู้สึกผิดให้หมดจด ยังดีเมื่อวันที่สำนึกได้ยังไม่สาย อย่างน้อยวิญญาณพ่อก็ทันรับรู้ว่าหล่อนยังเป็นลูกสาวที่รักท่านตลอดไป

    หากหยั่งรู้ว่าพ่อเหลือเวลาแสนสั้นบนโลกมนุษย์ หล่อนจะยกเลิกทุกแผนการ เดินทางไปกราบแทบเท้าอีกครั้งด้วยใจซื่อ ขอให้ได้เกิดเป็นพ่อลูกกันอีก...

    อยากร้องไห้อยู่ทุกขณะจิต แต่ก็เฝ้าซ่อนงำไว้ เพราะเมื่อฟื้นจากการเป็นลม เกาทัณฑ์กระซิบอยู่ข้างหูว่า ‘อย่าเศร้าโศกมากเลย เดี๋ยวจะเป็นแรงสะเทือนให้วิญญาณคุณพ่อหันมาเป็นห่วง จากไปอย่างไม่เป็นสุข’

    เชื่อเขา...

    พ่อรักหล่อนมาก และแสดงให้เห็นว่าเจ็บมากกว่าหล่อนทุกครั้งที่หล่อนได้แผล หรือถูกกระทบกระทั่งแม้เพียงมดไต่ไรตอม

    “แนะนำหน่อยเถอะว่าแอ้จะทำอะไรได้ดีที่สุดเพื่อพ่อ ถวายสังฆทานสักเจ็ดวัด?”

    เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่ง

    “ทำบุญส่งให้ท่านเป็นหน้าที่อยู่แล้ว จะถึงหรือไม่ถึงก็ตาม ท่านจะอยู่ในสภาพรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม แต่หากจะแสดงความคารวะท่านอย่างถึงใจแบบต่อตรง ก็ควรมีสื่อเชื่อมโยงระหว่างเรากับท่าน เช่นมองให้เห็นศพท่านเป็นครูใหญ่ เป็นสื่อการสอนให้รู้จักชีวิต เข้าใจความหมายของการดำรงอยู่และจากไป เพราะเราเคยรับรู้ความมีอยู่ เป็นอยู่ และปรากฏอยู่ของท่าน เมื่อจากตายหายไป หน้าตาของมรณะก็ปรากฏชัดในใจ ให้สลด ให้สะเทือน ลดความประมาทในชีวิตลงได้อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่งที่ยังใส่ชุดดำ

    เมื่อทุเลาความประมาทลงแล้ว ได้ธรรมชาติจิตเป็นความเบา ความสว่าง เป็นกุศล เกิดน้ำหนักบุญให้รู้สึกแช่มชื่นกลางใจได้เมื่อไหร่ ก็ถึงโอกาสกำหนดใจอุทิศ ‘ส่ง’ ให้ท่านเหมือนยื่นสิ่งมีค่าให้กับมือ หากวิญญาณท่านอยู่ในภาวะรับรู้ได้ ก็ต้องโมทนาสาธุ พลอยปลาบปลื้มและได้ร่วมส่วนบุญกับเรา ผูกความสัมพันธ์กับท่านข้ามมิติได้จริง”

    เรือนแก้วสีหน้าสงบลงสนิทเมื่อพิจารณาจนคล้อยตาม ความโศกเศร้าหายหนอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ บังเกิดความเห็นจริงการแสดงความกตัญญูด้วยกุศลจิตของตนเองนั้นมีความแน่นอนยิ่งกว่าพิธีกรรมภายนอก ซึ่งต้องอาศัยไหว้วานผู้อื่นช่วยสร้างกระแสกุศลนำให้ก่อน ดังเช่นสงฆ์ที่สวดอภิธรรมหน้าศพนั้น พวกท่านไม่เคยรู้จักพ่อ ไม่มีความผูกพันกับพ่อมาก่อนเลย หล่อนต่างหากควรเป็นสื่อรับกุศล รับเนื้อหาธรรมจากพระ ส่งตรงไปถึงพ่อด้วยตนเอง

    “ที่พระท่านสอนให้เตรียมตัวตาย มีอะไรบ้าง?”

    “แค่นึกบ่อยๆว่าเราอาจตายได้ทุกเวลา น้อยคนจะรู้ว่าโลกเรามีคนตายกันวันละแสนห้าหมื่นคน เมื่อวานไปกันแสนห้า วันนี้ไปอีกแสนห้า ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้เราเป็นหนึ่งในแสนห้างวดต่อไปหรือเปล่า ก่อนออกจากบ้านคิดว่าอาจไม่ได้กลับ นั่งรถลงเรือคิดว่าอาจได้รับอุบัติเหตุ เดินทางอาจถูกสัตว์มีพิษทำร้าย จนจิตชินและเตรียมรับมือเป็นปกติจริงๆ ก็เรียกว่าเตรียมตายด้วยความคิดแล้ว

    ถ้าเข้าขั้นหน่อยต้องใช้สมาธิและปัญญาเพ่งเข้ามาในกาย เห็นความเป็นเครื่องประหารของตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าเตรียมตายด้วยการภาวนา มีอุปเท่ห์ หรือกลวิธีพิสดารมากมาย เช่นนอนนิ่งก็เห็นว่าตอนเป็นศพก็วางกายอย่างนี้ หรือเมื่อผ่อนลมหายใจออกจนสุดก็คำนึงนึกว่าตอนเป็นศพก็ขาดลมอย่างนี้ กระทั่งขึ้นใจ เห็นกายเป็นศพอยู่จริงๆทั้งขณะยืน เดิน นั่ง นอน ท่านว่าถึงจุดหนึ่งจิตจะสว่าง แยกตัวจากกาย เห็นกายแตกพังทีละน้อยจนกลายเป็นธุลี ให้เกิดความสลดสังเวชจับใจ กระทั่งปล่อยวางความยึดถือในกายเสียได้อย่างเด็ดขาด เข้าทางมรรคผลได้ผ่านการเห็นอนัตตาในกาย

    และจากประสบการณ์ที่ผมเฉียดความตายในขณะจิตเป็นอกุศล ก็ได้ความคิดอย่างหนึ่งคือการทำใจให้แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ถือว่าเข้าข่ายเตรียมตัวตายที่ดีด้วยเหมือนกัน เพราะจิตที่แช่มชื่นเป็นฐานให้นึกถึงกุศลได้ หากปราศจากฐานที่มั่นแล้ว จับพลัดจับผลูจิตตกตอนใกล้ตาย ก็อาจถอยหลังเข้าคลอง ทั้งที่อุตส่าห์ทำดีมาตั้งมาก”

    “คิดถึงความตายบ่อยๆนี่ไม่ถือว่าแช่งตัวเอง เตือนคนอื่นให้ระลึกถึงความตายบ่อยๆก็ไม่ถือว่าพูดอัปมงคลอย่างนั้นใช่ไหม?”

    “การแช่งชักหักกระดูกให้ตัวเองตายดับนี่ต่างกับการเจริญมรณสติเป็นคนละเรื่องเลยนะแอ้ ที่เห็นชัดตอนเราแช่งตัวเองหรือคนอื่นนี่ จิตปนเปื้อนด้วยโทสะกล้าแข็ง เป็นบาปหนัก แต่ตอนเราระลึกถึงความตายเพื่อลดความประมาท ลดความลุ่มหลงมัวเมาในผัสสะจากการมีชีวิต จิตจะเบาจากกิเลส ว่างจากอุปาทานยึดมั่นถือมั่น สร้างเสบียงให้พร้อมก่อนเดินทางละร่างไป ต้องนับเป็นมหากุศลต่างหาก

    และที่จริงความตายของใครคนหนึ่งจะเป็นมงคลหรืออัปมงคลก็ขึ้นอยู่กับคนๆนั้น ไปดีก็นับว่ามงคล ไปร้ายก็นับว่าอัปมงคล สิ่งที่ตกทิ้งในโลกระยะหนึ่งก็แค่ทะเลน้ำตา คลื่นเสียงหัวเราะ ความเดือดร้อนของคนหย่อมหนึ่ง หรือความเจริญขึ้นของคนหมู่มาก แล้วแต่ว่าคนตายทำเรื่องเป็นมงคลและอัปมงคลไว้กับคนอื่นแค่ไหน ไม่ใช่ว่าพูดถึงความตายจะหมายถึงมงคลหรืออัปมงคลอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอนโดยเฉพาะ”

    เรือนแก้วกะพริบตา หรี่มองไปเบื้องหน้าและคิดไกล

    “อย่างนี้ถ้าไม่เชื่อเรื่องภพชาติ มรณสติก็คงไร้ความหมายสินะ มีชีวิตเดียวเสพสุขให้คุ้มก็พอ จะคำนึงถึงความตายให้กลุ้มอยู่ทำไม”

    เกาทัณฑ์ยักไหล่

    “คนเรา… เป็นภพเป็นชาติอยู่ในตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่มืดบอดมองไม่เห็น นี่แหละโทษอันร้ายกาจของสังสารวัฏล่ะ”

     

    ชวนกันแวะทานข้าวเย็นในศูนย์อาหารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในระหว่างทาง ต่างทานกันอย่างไม่ใส่ใจรสชาติเท่าไหร่นัก เพราะยังอยู่ในอารมณ์ดิ่งเห็นมรณภัยที่รออยู่เบื้องหน้า

    แต่พอท้องอิ่มและอารมณ์เริ่มจางตามธรรมชาติวิสัย เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วก็สั่งไอศกรีมมาตบท้ายมื้อเย็น และคุยกันเรื่องทั่วไป แวะเวียนจากเรื่องงานไปเรื่องคน เรื่องดินฟ้าอากาศปรวนแปร ฤดูร้อนบางทีมีลมหนาวแทรกแซม ฤดูหนาวบางทีร้อนระอุราวกับอยู่ในกระทะ หยอดคำหยอกให้เพลินในกันและกัน จนที่สุดก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาได้

    แม้เทวทูตปรากฏให้ระลึกถึงความตายแล้ว และแม้พูดจาเตือนสติกันให้เลิกระเริงหลงแล้ว แต่เมื่อจิตไม่ทำตนเป็นบุรุษที่สาม มองตัวเองด้วยภาวะความเป็นจิตรู้ ก็จะไม่เห็นเลยว่าขณะใดบ้างที่ตนเสพสุขด้วยอำนาจความเคยชิน พึงใจจดจ้องดวงตากันและกัน โอบแตะกันและกัน ยินเสียงกันและกัน มัวเมาในรสแห่งความมีชีวิต...

    ทำไปทำมา การพูดคุยถึงมรณสติก็กลายเป็นเพียงหัวข้อสนทนาที่ผ่านไปอีกเรื่องหนึ่ง

    ออกจากศูนย์อาหาร หญิงสาวขับตรงกลับที่พักของหล่อน พอถึงก็ไปจอดในพื้นที่ของแขกผู้เข้าเยี่ยมด้านหน้า เมื่อเหยียบเบรกสนิทและทำท่าจะบิดกุญแจดับเครื่อง เกาทัณฑ์ก็ห้ามไว้และยกมือลูบเรือนผมนุ่มเพื่อล่ำลา

    “โอเคนะแอ้ แล้วผมจะโทร.หา...”

    “เดี๋ยว”

    หญิงสาวยึดข้อมือของเขาไว้มั่น

    “อย่าเพิ่งเป็นตอนนี้เลย เข้าห้องแอ้ก่อน”

    “มีอะไรหรือ?”

    “ยังไม่อยากอยู่คนเดียว”

    สายตาวิงวอนซื่อๆนั้นทำให้เกาทัณฑ์รับทราบว่าสัมพันธภาพระหว่างเขากับหล่อนกินลึกมาจนเกินกว่าจะฝืนปฏิเสธคำขอเสียแล้ว การสูญเสียพ่อทั้งคนเป็นเรื่องน่าเห็นใจ น่าอยู่เป็นกำลังใจ ถือเป็นหน้าที่ถ้าสนิทกันพอ

    ขึ้นมาถึงชั้น 23 เรือนแก้วเปิดประตู เดินนำลึกเข้าไปในห้องอย่างเซื่องซึม ล้าแขนขา รู้สึกอ่อนแอลงชั่วขณะ และเมื่อสำเหนียกได้ว่าเกาทัณฑ์สะกดตามหลังมาติดๆ ก็หมุนตัวกลับไปเงยหน้าสานตากับเขาในระยะประชิด ยืนนิ่งส่งแววขอความอบอุ่นจากเขาอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

    เกาทัณฑ์ลังเล รับรู้อาการเว้าวอนชนิดนั้น แต่ความถูกต้องในขณะนี้อยู่ที่ไหน? กอดหล่อนด้วยเจตนาปลอบประโลมบริสุทธิ์ใจเช่นนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่ห้องพักคนไข้ที่มีหมอและนางพยาบาลเดินเข้าออกได้ตลอดเวลาอีกต่อไป การอยู่ตามลำพังสองต่อสองและผัสสะระหว่างหญิงชายในโลกส่วนตัวที่ปลอดจากบุคคลที่สามอย่างเด็ดขาด จะทำให้ทนยับยั้งชั่งใจได้นานแค่ไหนกัน

    ขยับจะรั้งร่างหล่อนเข้าหา แต่ก็ชะงักค้าง คล้ายเด็กหนุ่มที่กล้าๆกลัวๆกับการแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงเป็นครั้งแรก

    “จะให้แอ้รู้สึกว่าตัวเองหน้าด้านไปถึงไหนคะเต้?”

    คำตัดพ้อรันทดนั้นเองพังทำนบแห่งความระงับยับยั้ง หล่อนมีความหมายกับเขาเกินกว่าจะดูดาย เขากำลังอยู่ในภาวะจำยอมแบกความรับผิดชอบที่เกิดจากความใจอ่อนอย่างปราศจากขอบเขตที่ผ่านมาทั้งหมดของตนเอง

    ตวัดเอวกิ่วเข้าโอบกอดแนบแน่น ก้มลงพรมจุมพิตแผ่วไล่จากหน้าผาก ปลายจมูก ลงมาถึงริมฝีปาก แล้วกดศีรษะหล่อนทาบบ่า คลอเคลียใบหน้าสูดกลิ่นจากกลุ่มผมหอม ตั้งความรู้สึกให้ใสสะอาดเหมือนอย่างที่เคยสวมกอดแพตรี เรือนแก้วเพียงต้องการที่พึ่ง ที่พักพิงกายใจในยามสูญเสียครั้งใหญ่ เขาสมควรเป็นความอบอุ่นให้ เยี่ยงเพื่อนแท้ที่ยินดีอยู่เคียงข้างในยามตกทุกข์

    แต่เรือนแก้วไม่มีอะไรเหมือนแพตรีเลย เนื้อตัวหล่อนชวนให้เกิดความกระวนกระวายไปทุกกระเบียด นี่เป็นวันเศร้าของหล่อน ทว่าเป็นวันปกติของเขา ความเรียกร้องตามธรรมชาติไม่ได้ถูกกดไว้อย่างหล่อนแม้แต่น้อยนิด

    หญิงสาวยืนแขนตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาเนิ่นนาน สัมผัสอ่อนอุ่นแนบชิดจากชายที่หล่อนรักทำให้เกิดความสุขซ่านขึ้นทีละน้อย กระทั่งอยากยิ้มออกมาเองทั้งน้ำตาซึม เหมือนได้ซบพักอยู่กับแผ่นผาแกร่งที่ปกป้องหล่อนได้จากทุกภยันตราย รู้สึกเหงาย้อนหลังให้กับตนเอง นี่หล่อนผ่านความเดียวดายมาได้อย่างไรโดยปราศจากอ้อมอุ่นของเขา…

    เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก ยิ่งนานยิ่งลำบากใจ กลุ้มใจ เพราะรู้ตัวว่าในที่สุดจะทนสัมผัสเบียดชิดเร้าดำฤษณาไม่ไหว จึงค่อยๆดันร่างบางออกห่าง คิดจะบอกให้หล่อนไปอาบน้ำนอนพัก แต่เพียงคลายอ้อมกอดเท่านั้น เรือนแก้วก็ยกสองแขนกระหวัดรัดร่างเขาไว้สนิท

    “เต้…พูดให้ฟังอีกทีซิว่ารู้สึกยังไงกับแอ้ ถ้าความตายไม่อยู่ใกล้แค่คืบ เธอจะยังพูดกับฉันเหมือนเดิมหรือเปล่า?”

    ชายหนุ่มปิดตา กลืนน้ำลายลงคอ ปล่อยแขนทิ้งตามยถากรรม

    “เหมือนเดิม…”

    “พูดสิ”

    เกาทัณฑ์สูดลมหายใจเต็มอก เอ่ยแผ่วทว่าแช่มชัด

    “ผมรักแอ้”

    เรือนแก้วคลี่ยิ้มละไมอย่างสุขสม น้ำตาค่อยๆหลั่งจนอาบแก้ม

    “เธอจะไม่ทิ้งฉันไปไหนใช่ไหม?”

    นั่นคือคำถามอันแหลมราวกับคมดาบ ถ้าตอบตามใจหล่อนคนนี้ ก็เท่ากับทรยศหล่อนอีกคน แค่คิดว่าจะทอดทิ้งแพตรี ใจก็หล่นหายไปถึงไหน…

    เขามีสิทธิ์ตัดสินใจคนเดียวหรือ? ยังมีความเจ็บปวดของผู้หญิงอีกสองคนเป็นเดิมพัน รู้สึกตัวว่าไม่สมควรได้รับสิทธิ์เป็นผู้พิพากษาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่เป็นคนดี มีใจเดียวให้เขาเช่นพวกหล่อนเลย

    จากความรักสู่เรื่องราวคอขาดบาดตายในอีกรูปแบบที่ต่างจากมีดและปืน คนส่วนใหญ่พบแต่คู่กินคู่นอน ยากนักจะพบคู่รักคู่แท้ในชั่วชีวิตหนึ่ง แต่ทำไม…เขาโชคดีหรือเคราะห์ร้ายกันแน่ที่พบผู้เป็นที่รักยิ่งถึงสองคนในชาติเดียวกัน?

    ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง สุขจนล้นขอบก็กลายเป็นทุกข์มหันต์ได้ง่ายดายปานนี้

    “ผมเจ็บแผล…”

    เกาทัณฑ์แกล้งอ้างเพื่อให้หล่อนคลายอ้อมกอด ก่อนที่สติหักห้ามของตนจะขาดผึง เรือนแก้วกล่าวขอโทษแล้วคลายวงแขน หันหลังจูงมือเขาเข้าห้องนอน บอกให้เอนหลังบนเตียงหล่อน แต่ชายหนุ่มชวนมานั่งด้วยกันที่โซฟากลางห้องแทน

    เปิดเพลงฟัง เกาทัณฑ์ได้เห็นประสิทธิภาพเครื่องเสียงราคาแพงอันประกอบด้วยลำโพงรอบทิศ กลางแหลมอยู่บน ซับวูฟเฟอร์ขับเสียงต่ำลึกอยู่ล่าง เมื่อเรือนแก้วเลือกเล่นเพลงแซ็กโซโฟนแนวนิวเอจอันทอดหวานอ้อยอิ่งแล้วเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยพลังเสียงจากมิติฝันล้ำลึก ไถลใจดิ่งหลงไปในรสอิฏฐารมณ์จนเกาทัณฑ์เป็นฝ่ายทอดแขนโอบไหล่คนรัก ซึ่งทันทีที่รับสัมผัส เรือนแก้วก็ชักสองเท้าขึ้นพับเพียบบนเบาะ เถิบร่างซบแก้มแนบไหล่ เอนกายอิงกายเขาอย่างง่ายดาย

    เกาทัณฑ์พยายามขับไล่ความพะวงเร้นลับทิ้ง ปิดตาสนิท ใจเปิดสว่างเสพสุขารมณ์เฉพาะหน้าเช่นผู้เห็นว่าตนกำลังอยู่ในที่ที่ดีที่สุด ทว่าพักเดียวพอมโนภาพของแพตรีปรากฏในห้วงนึก สุขเวทนาทั้งมวลก็พังครืน ทรมานพอกับถูกบังคับให้เคี้ยวเนื้ออร่อยนุ่มที่ปนแทรกด้วยเม็ดกรวดแหลมเล็ก

    ทำตัวนิ่งเพราะรู้ว่าเรือนแก้วกำลังเอมอิ่มในท่ามกลางองค์ประกอบพร้อมสมบูรณ์ ทั้งสภาพแวดล้อมและสัมผัสในรัก เขาแบ่งใจยินดีให้กับความสงบสุขเต็มตื้นของหล่อน แต่ห้านาทีคล้อยหลังความฝืนใจเสพสุขก็ขาดสะบั้น เมื่อถึงขณะจิตหนึ่งที่เคลิ้มลงใกล้หลับด้วยความเหนื่อยอ่อน คล้ายเกิดประสาทหลอน เหมือนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ในหัว...

    ไหวตัวเยือกแบบคนประสาทกระตุกตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น เรือนแก้วโงศีรษะขึ้นมองและหัวเราะขำ ยานคางถาม

    “เปนอาราย...”

    เกาทัณฑ์สบตาฉ่ำหวานหยาดเยิ้มของหล่อน เห็นกลีบปากอิ่มเผยอหน่อยๆคล้ายรอจูบแล้วเกือบห้ามใจไม่อยู่ ต้องเสแตะริมฝีปากกับขมับหล่อนด้วยความอ่อนโยนเป็นการเพลาอารมณ์

    “เส้นกระตุกน่ะซี แค่นี้ก็ต้องขำด้วย”

    “นอนโซฟาไม่สบายก็...” อึกอักยักไหล่ด้วยความขัดเขินจนเสียงอู้อี้ “ไปนอนบนเตียงดิ้”

    พูดจบก็หันไปทางอื่น เกาทัณฑ์ชำเลืองร่างแน่งน้อยในอ้อมโอบแวบหนึ่ง หากเอาสติปัญญาของเขาหารด้วยสิบแล้วเดินชนแง่งหินสักโป้ง ก็น่าจะยังรับรู้ว่าคำเชิญด้วยกิริยาเยี่ยงนั้นเปิดกว้างไปถึงไหน

    หากจะนอนกับหล่อนเดี๋ยวนี้ก็ง่ายยิ่งกว่าง่าย สัมผัสในรักสนิทสงบซึ้งจากสองกายสองใจเป็นสุขยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เย้ายวนเหนือเบญจกามรสอื่นใดทั้งปวง จะแปลกแค่ไหนสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวกับการมอบกายถวายชีวิตให้แก่ชายที่สนิทใจว่าเขารักตนจริง และจะปกป้องคุ้มครองตนจนสิ้นกาลนาน

    แค่พลิกฝ่ามือก็เชยชมหล่อนได้ ทว่าพรุ่งนี้เช้าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นแล้ว เขาจะพบว่าสิ่งที่ได้มาง่ายนั้น จะต้องถูกรักษาไว้ตลอดไป หมายความว่าเขาหมดสิทธิ์หมั้นหมายและตบแต่งกับแพตรีตลอดไปเช่นกัน

    มันบ้าตรงที่ถ้าเขารักษาสัญญากับแพตรี ก็เหมือนตบหน้าผู้หญิงคนนี้ และแม้เขาอยู่กินกับแพตรี ก็คงมีสุขได้แค่ครึ่งๆกลางๆไปจนกว่าจะหาไม่ เมื่อคอยแต่เฝ้านึกว่าเรือนแก้วจะอยู่ของหล่อนอย่างไรคนเดียว

    เกาทัณฑ์รู้สึกทดท้อ มองไปข้างหน้าเหมือนมีแต่ความมืดมน จิตใจหดหู่ซึมเศร้าอย่างยากจะบรรยายเมื่อฝืนลุกขึ้นยืน

    “ผมควรกลับเสียทีนะแอ้”

    มีความเงียบงันจากเบื้องหลัง เสียงดนตรีกลายเป็นเครื่องประกอบความวังเวงไปได้อย่างน่าแปลก เขานึกรำคาญจนต้องหยิบรีโมทคอนโทรลปิด ทั้งห้องสงบลงราวกับตื่นจากฝันสู่ความจริงอันว่างเปล่า

    เมื่อเหลียวมองก็พบหล่อนนั่งก้มหน้านิ่ง จนต้องเอื้อมมือแตะบ่าเรียกอีกครั้ง

    “ไปก่อนนะ”

    “พรุ่งนี้จะทำอะไรหรือเปล่า?”

    หญิงสาวฝืนใจถาม

    “ต้องตระเวนหลายแห่งเหมือนกัน ผิดนัดเขาไว้เยอะแยะเลย ญาติผู้ใหญ่ด้วย วางเงินมัดจำซื้อของแล้วยังไม่ไปรับด้วย คงวุ่นทั้งวัน...”

    เกือบหลุดปากว่าจะมารับไปฟังสวดศพพ่อหล่อน แต่แล้วก็ลังเล กระทั่งเรือนแก้วถาม

    “จะมาหาแอ้ไหม?”

    นั่นคือคำถามที่เขากำลังเกรงอยู่พอดีว่าจะหาคำตอบแน่นอนได้ยาก

    “ถ้าธุระผมเสร็จแล้วไม่เหนื่อยนักก็จะมา แอ้จะอยู่บนห้องทั้งวันเลยเหรอ?”

    “จะอยู่นี่แหละ”

    เสียงหงอยอย่างคนไม่มีใคร ไม่มีอะไรมาหล่อเลี้ยงหัวใจให้สดชื่นได้อีกแล้ว ทำเอาเกาทัณฑ์ถึงกับสะอึกอั้น แม้รู้ว่านั่นคือไม้ตายที่หล่อนใช้ดึงเขาเข้าหา ก็ไม่วายนึกสงสารจับใจ

    ก็เขาเห็นหล่อนมาทั้งชีวิต...

    “ผมจะแวะมา” แทบกลั้นใจเมื่อประกาศเช่นนั้น “จะโทร.บอกว่ากี่โมง”

    ขยับตัวจะก้าวเท้า แต่เมื่อเห็นเรือนแก้วยังนั่งกับที่อย่างไม่ยอมรับรู้ หรือเต็มใจยอมให้เขาจากไป ก็ก้มลงเอื้อมมือช้อนศอกหล่อน

    “ส่งผมหน้าประตูสิไป”

    เรือนแก้วสลัดแขนเบาๆหลุดจากมือเขา และเนานิ่งอยู่ในห้วงความเดียวดายอย่างดื้อเงียบ

    “แอ้...”

    เกาทัณฑ์ชักกลุ้ม สำนึกหนึ่งกระซิบกับตนเองว่าสายไปแล้วที่จะถอนตัวจากหล่อนคนนี้...

    ค่อยๆเหนี่ยวต้นแขนหล่อนให้ลุกยืนอย่างสุภาพ และวอนด้วยเสียงนุ่มนวล

    “ไปส่งให้ผมสบายใจหน่อยนะ อย่าเอาแต่ใจซี่”

    เรือนแก้วสะบัดหน้ามองเขาด้วยตารื้นน้ำและหัวคิ้วเคร่ง สะกดไม่ให้น้ำตาและถ้อยคำพรั่งพรูออกมาดังใจนึก ทำไมจะไม่รู้ว่าธุระของเขาพรุ่งนี้เกี่ยวกับใคร มีความหมายแค่ไหน

    ถูกกดให้กลับสู่สภาพอ่อนแอ แต่ฝืนทำใจแข็ง กัดริมฝีปากก้มหน้าออกเดินนำเขา ชายหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนก้าวตามหล่อนไปในที่สุด

    เรือนแก้วเปิดประตูอ้ารอไว้แล้ว เกาทัณฑ์ใช้มือแตะไหล่หล่อนและกำลังจะผ่านออกไป บังคับใจมิให้เหลียวมอง แต่เจ้ากรรมที่ทำไม่สำเร็จ เหลือบแลจนได้...

    เห็นแววร้าวที่เพ่งนิ่งมายังตน และเม็ดน้ำที่ปลายสายยาวในร่องแก้มแล้วถึงกับคู้ไหล่ลงต่ำ เกือบทรุดนั่งพิงกรอบประตูอยู่ตรงนั้น ขมวดคิ้วขบฟันนิดหนึ่ง ต้องสะกดจิตตนให้เหี้ยมราวกับฆาตกร จึงเบือนหน้าหนีและขยับเท้าก้าวได้ออก เดินเร็วและบังคับคอให้ตั้งตรง ก่อนที่ใจจะอ่อนลงมากกว่านั้น

    กังวานรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนกรับ กรับ กรับเป็นจังหวะสม่ำเสมอฟังหลอนหู สำนึกว่าการย่ำเท้าแต่ละครั้งส่งเสียงเสียดแทงโสตประสาทของผู้อยู่เบื้องหลังปานใด รู้สึกราวกับมีสายโซ่ไร้ตนล่ามข้อเท้า ผ่อนยาวตามไปเรื่อยๆทุกฝีก้าวไม่สิ้นสุด...

     

    แพตรีปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวตกรดศีรษะเฉยแทบไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน นี่เป็นจังหวะเวลาเดียวของวันที่เอื้อให้น้ำตาหลั่งลงได้โดยไม่เปื้อนหน้า และไม่รู้สึกว่ากำลังร้องไห้

    เอาเถอะ...อยากไหลก็ไหลไป ปนกับน้ำฝักบัวอย่างนี้ดูออกที่ไหน หล่อนข่มก้อนสะอื้นไว้แล้ว ถือว่าแค่ขับของเสียชนิดหนึ่งออกมา เพื่อให้ใจสงบลง นี่ไม่ใช่การร่ำไห้หมดท่า เพราะหล่อนยอมแค่รินน้ำตาทิ้งเท่านั้น อย่างอื่นสะกดได้หมด

    รอได้…ยืนรอนานแค่ไหนก็ได้ ขอให้เหือดหายเป็นพอ อย่าต้องแสบแก้มแทบไหม้เพราะปราศจากน้ำดีช่วยเหมือนวันแรกเลย

    สายน้ำจากฝักบัวพรั่งพรูได้ทั้งวัน แข่งกันแล้วรู้ว่าน้ำตานั้นไหลแพ้ลิบลับ

    กลับออกสู่โลกภายนอกด้วยความสดชื่นกว่าเมื่อก่อนเข้าห้องน้ำ แม้รู้สึกว่าจิตใจยังเหือดแห้งแล้งล้า ก็มีสติพอจะติเตียนตนเอง เมื่อทบทวนว่าหลังใส่บาตรเช้า ทำอาหารให้ปู่ ก็ไม่เหลือแก่ใจทำสิ่งใดต่อ เรี่ยวแรงหดหาย กายระทดระทวยติดเตียงจนเกือบบ่าย กว่าจะลุกขึ้นอาบน้ำได้ นี่ไม่ใช่หล่อนแล้ว ปล่อยให้อะไรสิงสู่อยู่ตั้งนาน

    วันนี้หล่อนต้องกลับเป็นเหมือนเก่า ต้องมีใจเหลือไว้รักตนเองและคนรอบข้างอย่างเคยมาชั่วนาตาปี

    เป็นคนเดิมที่ไม่มีใคร...

    และกำลังจะเป็นคุณครูที่กล้ายืนสอนเด็กว่าถ้าเจอทุกข์ ต้องสู้ ต้องอดทน ต้องปลอบตัวเองได้

    ก้มหน้าก้มตาเปิดประตูเข้าห้องหงอยๆ ห้องส่วนตัวทำให้กลับอ่อนแอลงอีก เพราะเมื่อลงล็อกแล้ว จะไม่มีใครเห็นเลยว่าหล่อนถูกพิษแห่งความเชื่อในรักกัดกินแทบขาดใจเพียงไหน

    โน้มศีรษะอิงหน้าผากกับบานประตู อย่างน้อยนั่นก็เป็นหลักพักพิงชั่วคราว ก่อนที่จะย้ายไปพึ่งสิ่งอื่นที่ประเทืองปัญญาและเรียกพลังคืนได้ สัญญากับตนเองว่าจะไม่ล้ม ไม่ลงนอนอีกแล้ว หลายวันที่ผ่านมามันมากเกินพอแล้ว

    เกือบครึ่งนาทีกับการยืนหาหลักให้ตนเองในห้องอันว่างวาย แพตรีสูดลมหายใจลึกสองสามหน เมื่อรู้แน่ว่าไม่ปนสะอื้นก็หมุนตัวกลับ ตั้งใจจะหาหนังสืออ่านเป็นอันดับแรก

    สะดุดกึก ตาเบิกตะลึงตะไลเหมือนถูกสาป เมื่อพบว่ากลางห้องคือร่างสูงของเกาทัณฑ์!

    เขาส่งยิ้มให้ ใบหน้าสลดเศร้าอย่างคนสำนึกผิด มองลึกเข้ามาในตาหล่อนและเอ่ยราวกับยืนอยู่แสนไกล

    “แพ...สวัสดี”

    แพตรีเพ่งนิ่ง เงาร่างของเขาก่อความปรีดาปราโมทย์ ทว่าใบหน้าเขาก็ราวเข็มแหลมแกล้งแทงทิ่ม งงงันกับตนเอง เกือบระเบิดเสียงกรีดร้องตวาดไล่ให้ดังคับบ้าน เกือบหาอะไรขว้างใส่ให้แรงที่สุด แต่ด้วยกรอบคุณงามความดีที่ล้อมใจมาแต่อ้อนแต่ออก ทำให้ความหุนหันพลันแล่นชั่ววูบทั้งมวลดับลงเร็วเกือบเท่ากับที่มันเกิดขึ้น

    หันหลังกลับจะเปิดประตูก้าวออกจากห้อง หล่อนยินดีหนีหายตลอดกาลหากเขาจะยังอยู่ในเขตบ้านปู่

    แต่ช้าไป ถูกคว้าแขนไว้เสียก่อน เขาลากดึงมานั่งบนเตียง หล่อนพยายามขืนต้านสุดฤทธิ์ ทว่าไม่เป็นผล ด้วยกำลังดิ้นเท่าหล่อนอีกสองคนช่วยก็ไม่มีสิทธิ์หลุดจากอุ้งมือแข็งราวคีมเหล็กนั้นเลย

    “โอ๊ย...”

    ครางแผ่วด้วยความเจ็บเมื่อสะบัดดิ้นแล้วเขายิ่งบีบรัดอย่างลืมประมาณแรง เกาทัณฑ์ยินเสียงอุทธรณ์ก็รู้สึกตัวและคลายมือโดยเร็ว

    ทั้งเจ็บกาย ทั้งเจ็บใจ เกินสะกดกลั้นสะอื้น แพตรียกมือปิดหน้าร้องไห้อย่างน่าเวทนา นี่เขาจะตามมารังแกหล่อนไปถึงไหน แค่นี้พอเถอะ ไหว้ล่ะ…

    เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น อยากดึงร่างน้อยเข้ามากอดอย่างถนอม แต่ก็รู้ว่าขณะนั้นตนไร้สิทธิ์อันชอบธรรมโดยสิ้นเชิง จึงได้แต่นิ่งทนมอดไหม้กับนรกในอกอยู่อย่างนั้น กระทั่งหล่อนหยุดร้อง ลดมือลง จ้องเขาด้วยตาแดงช้ำ

    “ออกไป!”

    ไล่ด้วยเสียงแหบพร่า เป็นนาทีที่เกาทัณฑ์ทราบได้ว่าความฉลาดพูดไร้ความหมาย ความจริงเท่านั้นที่ทำให้กล้าเอ่ยปาก

    “แพ...ฟังพี่ก่อนเถอะ พี่กับเพื่อนผู้หญิงในข่าว...”

    “พี่เต้...” แพตรีห้ามทั้งถอนสะอื้น “อย่าพูดค่ะ”

    เกาทัณฑ์ส่ายหน้า ขยับจะเอ่ยก็ถูกแซงอีก

    “ที่พี่ว่าจะมีเรื่องให้แพแปลกใจ แพแปลกใจพอแล้ว อย่าทำให้ต้องแปลกใจกว่านี้เลย”

    ชายหนุ่มปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเหมือนใกล้สิ้นใจ แต่แล้วก็เปิดตาได้อีกครั้ง ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถมายื่นส่งให้

    “นี่ต่างหากเรื่องที่อยากให้แพแปลกใจ ของขวัญสำหรับการหมั้นหมายด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่เอง ไม่ใช่อย่างเครื่องเพชรที่เตรียมขอจากคุณแม่ใส่พานให้ในวันหมั้น”

    หญิงสาวเหลือบมองของมีค่ายิ่งในมือเขา หากเป็นเวลาปกติหล่อนคงปลาบปลื้ม นัยน์ตาคงเป็นประกายดีใจเยี่ยงหญิงสาวที่ได้รับของกำนัลราคาแพงจากชายที่ตนรัก แต่เมื่อมีหมอกร้ายมุงบังห่อหุ้มใจเหมือนเดี๋ยวนี้ ของในมือเขาก็แค่วัตถุชิ้นหนึ่งที่หาค่าในสายตาหล่อนไม่ได้เลย

    แพตรีฝืนยิ้มทั้งน้ำตา มองเขาคล้ายขบขันนัก

    “ซื้อให้พี่เรือนแก้วด้วยหรือเปล่าคะ?”

    เกาทัณฑ์ได้ยินแล้วถึงกับมือตก และเกือบปิดปากเป็นเบื้อใบ้อย่างถาวร

    “แพ พี่...”

    พูดตะกุกตะกัก แย่ตรงที่ถ้าอ้างว่าเขาไม่มีใจกับเรือนแก้วเลยนั้น เป็นเรื่องโกหกอย่างหน้าด้านชนิดหนึ่ง และถึงกล้าโกหก ก็นึกสงสารเรือนแก้วเกินกว่าจะพูดจาลดค่าหล่อนเพียงเพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหน้า

    “พี่กับ...เพื่อน...นอนแยกห้องกัน ที่ขึ้นไปหาเขาก็เพราะต้องทำอะไรบางอย่าง ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน พี่ไม่เคยนอนกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

    การพูดความจริงทำให้รู้สึกเป็นผู้ใหญ่ นึกขอบคุณตนเองกับความอดกลั้นที่แล้วมา ที่ทำให้พูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างนี้

    “ทำไมล่ะคะ? พี่เขาสวยดีออก”

    “เหตุผลคือแพน่ะซี เรากำลังจะหมั้นหมายกัน พี่จำได้ติดหัว”

    “อย่าจำอีกเลยค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว”

    คนฟังถึงกับเย็นหวิว มองดวงหน้าเปื้อนคราบน้ำตาแล้วบอกตนเองว่าได้เพชรมาแต่ปล่อยให้หลุดมือไปแล้วกระมัง

    “แพฟังพี่อธิบายบ้างนะ เรือนแก้วเป็นเพื่อนร่วมงาน พี่รู้จักเขาตั้งแต่ย้ายกลับมาประจำที่เมืองไทย ไม่ใช่เพิ่งคบหาหลังพบกับแพ ถ้าย้อนนึกดูจะจำได้ว่าแพเคยเจอเขาครั้งหนึ่งที่โคราช จำได้ไหม?”

    แพตรียิ้มมุมปาก นัยน์ตาโศกทอดมองเขาอย่างดูว่าจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นเงียบก็ตอบคำเพียงสั้น

    “ไม่ได้สังเกตหรอกค่ะ เพื่อนพี่ตั้งเยอะ”

    “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าความจริงคือเขาเคยเห็นพี่อยู่กับแพมาก่อน ถ้าหากมีอะไรกัน วันนั้นเขาจะทนนิ่งอดกลั้นอยู่ได้หรือ?”

    สีหน้าของแพตรีดูผ่อนคลายลงนิดหนึ่ง นั่นทำให้เกาทัณฑ์ใจชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่าหล่อนไม่ถึงกับตัดตายขายขาด ปิดหูปิดตาจากเขาอย่างสิ้นเชิง

    “จำได้ไหมที่คืนก่อนไปสิงคโปร์ พี่ขอให้แพไปด้วยกัน เหตุก็เพราะอย่างนี้แหละ แต่เหมือนน้ำท่วมปาก มีหลายเรื่องนักที่พูดอ้อมค้อมก็ไม่ดี ตรงไปตรงมาก็ไม่เหมาะ…”

    “เพราะพี่มีความในใจอยู่แล้วล่วงหน้า”

    แพตรีดักคอ

    “ใช่” เกาทัณฑ์ยืดอกยอมรับ “พี่รู้จักเรือนแก้วมานาน มีบางอย่างเกิดขึ้นบ้างตามทาง ตามเวลาที่คบหากัน แต่จนถึงวันนี้ ขอรับรองว่ามีแพคนเดียวเท่านั้นที่พี่ขอแต่งงานด้วย”

    หญิงสาวเงียบกริบ มองหน้าคนหลายใจอยู่พักใหญ่ ก่อนถามอย่างอดไม่ได้

    “เข้าห้องพี่เรือนแก้วทำไมคะ?”

    แม้เตรียมไว้แล้ว เกาทัณฑ์ก็กระดากและอึกอักที่จะตอบตามจริง

    “เขาขอให้พี่ช่วยแสดงอะไรบางอย่างให้เห็น ยอมรับว่าในที่รโหฐานอย่างนั้นดูสนิทเกินเพื่อน แต่รับรองว่าไม่มีอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย”

    แพตรียังมองชายตรงหน้าตาไม่วาง เกิดความระอาเรื่องลับ เรื่องเร้นแฝง คำลวง และคำจริงขึ้นมาเต็มประดา ขนาดไม่แต่งยังต้องจับผิดจับถูก เกิดเหตุชวนคลางแคลงขนาดนี้ ต่อไปพอเขาได้หล่อนแล้ว เบื่อหล่อนแล้วตามวิถีโลก มิยิ่งต้องสืบสาวเอาความกันข้ามวันข้ามคืน เหน็ดเหนื่อยหาข้อยุติยากกว่านี้สักร้อยเท่าหรือ?

    ความมีดีพร้อมของเขาไม่ได้นำมาแต่เพียงความสนิทเสน่หาน่ายินดีแต่ถ่ายเดียว ยังนำปัญหาอื่นพ่วงมาด้วยร้อยแปด เพราะถ้ารูปร่างหน้าตา กิริยาท่วงทีของเขาน่าหลง น่ารักสำหรับหล่อน ก็ต้องชวนให้หลง ชวนให้รักสำหรับหญิงอื่นเช่นกัน

    “พี่คะ…เรื่องนี้รู้กันสองคนระหว่างพี่กับพี่เรือนแก้ว แค่แพถามเหตุผลว่าพี่เข้าหาเขาทำไมยังบ่ายเบี่ยงเลี่ยงใช้คำคลุมเครือ เอาเถอะค่ะ คงประสาคนสนิท มีเรื่องน่าอวดน่าแสดงอยู่เยอะ แพก็ไม่อยากซอกแซกขุดคุ้ย เพราะฐานะของเราก็ว่าที่คู่หมั้นเท่านั้น ยังมีความเป็นอื่นอยู่มาก แต่เอาความจริงมาพูดกันคำเดียวสั้นๆดีกว่า คำเดียวที่บอกให้เราทั้งสองคนรู้ว่าตรงไหนคือจุดยืนเดี๋ยวนี้ และทิศไหนที่ควรเดินตรงไป…พี่รักพี่เรือนแก้วหรือเปล่า?”

    “คำตอบไม่ได้เป็นตัวกำหนดทิศทางนี่แพ…”

    “พี่เต้…แพฉลาดพูดน้อยกว่าพี่ โดยเฉพาะเรื่องต้อนหน้าต้อนหลังยอกย้อนน่ะ ไม่เก่งค่ะ แต่ก็หวังว่าเราจะมีใจจริงเท่ากัน มีดีที่จุดนี้เสมอกัน ตอบเท่านั้น รักหรือไม่รัก”

    เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกาทัณฑ์รู้จักความกดดันชนิดที่หาทางออกไม่ได้ จนแทบอยากตายดับเสียให้พ้น หากนิ่งทื่อหรืออิดเอื้อนก็เป็นคำตอบชัดพออยู่แล้ว สู้ยอมรับอย่างลูกผู้ชายดีกว่า แม้รู้ทั้งรู้ว่าผลคืออะไร

    “รัก…”

    แพตรีหน้าซีดเผือด นั่นยิ่งกว่าเขาวาดมีดกรีดแก้วหูให้แสบเสียวลัดลึกลงไปถึงกลางอก จ้องเขาอยู่นานมาก นานเหมือนจ้องชายแปลกหน้าที่เข้ามาตบตีหล่อนอย่างไร้เหตุผล

    “มาหาแพอย่างนี้เขารู้แล้วจะร้องไห้หรือเปล่าคะ?”

    ถามแผ่วเครือและเริ่มสะอึกสะอื้นทีละน้อยต่อหน้าเขา เกาทัณฑ์หลบตาไปทางอื่น ย่นคิ้วด้วยประสาทตึงเครียดไปทุกส่วน เห็นจากหางตาว่าหล่อนจ้องเขาอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ นั่นยิ่งทรมานแทบบ้า ยอมให้ผู้ชายด้วยกันเขย่าคอเร่าๆตะคอกเค้นยังดีกว่า ทนไม่ไหวหนักเข้าก็ลุกขึ้นยืนกลางห้อง กำหมัดแน่นราวกับอยากบีบตนเองให้แหลกคามือ

    ทุกข์ที่ใหญ่หลวงเป็นอย่างนี้ มืดมนเพียงนี้ แม้ล่องลอยอยู่ในกุศลวิบาก ก็ไม่วายปรากฏปลายสายเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของทุกข์ และยิ่งหนักหนาสาหัสตรงที่ไม่มีใครผิด ไม่มีทางออก และไม่มีคำตอบใดๆน่าฟังเอาเลย

    จนล่วงเลยกระทั่งเสียงสะอื้นจากหญิงสาวจางลง เกาทัณฑ์จึงผินหน้ามาทางหล่อน เห็นดวงหน้างามหม่นหมองคล้ายกำลังตรอมใจแล้วคิดทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนกับผู้หญิงคนไหน นั่นคือย่างเท้าเข้าหาและทรุดลงคุกเข่าต่อหน้า วางสองมือทับหลังมือบนตักหล่อน

    “พี่ขอโทษ”

    เอ่ยแล้วมองดูนัยน์ตาดำขลับที่กลับขุ่นด้วยความหดหู่

    “เพื่ออะไรคะ?”

    เสียงหล่อนต่ำลึกอย่างไม่เคยเป็น

    “เพื่อให้แพรู้ว่าพี่เสียใจ”

    “ค่ะ…แพยกโทษให้”

    ความจริงจะต่อด้วยคำไล่ ต่อแต่นี้ขออย่าให้เห็นหน้ากันอีกเลย ทว่าเมื่อมองใบหน้าอันเป็นที่รัก ที่รอคอย ที่เฝ้าหวงแหนมาแสนนาน ก็จุกแน่นไปทั้งอก พูดอะไรไม่ออก และเหมือนถ้อยคำที่เตรียมไว้ขับให้เจ็บคืน จะม้วยมลายหายสูญ ไขว้เขวหลงลืมไปสนิทอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

    เท่าที่เกาทัณฑ์ได้ยินจึงเป็นเพียงคำยกโทษ เขาเบิกตานิดหนึ่ง รอฟังถ้อยคำเสียดแทงที่จะตามมาทีหลัง แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นเพียงอาการแน่วนิ่ง จ้องมองเขาเฉย

    กะพริบตาครั้งหนึ่ง ถือสิทธิ์ในคำยกโทษนั้น ลุกขึ้นนั่งเสมอ แล้วดึงร่างน้อยเข้าโอบเต็มอ้อม แพตรีขืนตัว ทว่าอ้อมอุ่นนั้นเกินต้าน ต้องยอมตนราวกับคนใจง่าย ลืมโกรธสิ้นแล้ว

    เกาทัณฑ์ถามตนเอง ถ้าปมเชือกมันขมวดพันยุ่งเหยิงแน่นหนาเห็นปานนี้ จะให้เขาทำอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไรได้?


บทที่ ๒๔  งานศพ


    เป็นเช้าที่อากาศสดชื่น เย็นสบาย รอบละแวกทางเดินชะอุ่มงามด้วยหญ้าขจีและพฤกษายืนต้น สมควรที่จะบันดาลความสุขสงบให้แก่ผู้ตัดผ่านทุกๆคน

    แต่สำหรับเรือนแก้วแล้ว ทั้งหมดคืออีกฉากหนึ่งของความเงียบเหงา

    เดินถือคันธนูขนาดห้าฟุตครึ่งพร้อมกระบอกลูกศรมาที่สนามซ้อมในอาณาบริเวณคอนโดมิเนียมซึ่งหล่อนพักอาศัยอยู่ ธนูเป็นหนึ่งในกีฬาโปรดของหล่อน นอกจากทำให้ใจสงบ ได้ออกแรง และสั่งสมความเชื่อมั่นอย่างดีแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดความรู้ภายใน หรือสัญชาตญาณพิเศษในการเข้าสู่เป้าหมายที่อธิบายยาก ทุกครั้งยามเกิดความสับสนฟุ้งซ่าน หรือแก้ปัญหาใดไม่ตก เรือนแก้วจะลงมายิงธนูต่างระยะเป็นการปลดปล่อยเรื่องหนักอึ้งทิ้ง และก็มักจะทำสำเร็จเสมอ

    ภาพสลักตามผนังถ้ำเป็นหลักฐานที่ดีว่ามนุษย์รู้จักยิงธนูล่าสัตว์แทนการพุ่งหอกพุ่งหลาวมาไม่น้อยกว่าสองหมื่นห้าพันปี และมีวิชายิงธนู หรือที่เรียก ‘จาปเวท’ สืบทอดกันอย่างเป็นศิลปศาสตร์นับพันปีแล้ว หล่อนทราบด้วยว่าพระเซนจำนวนมากนิยมการยิงธนูเป็นอย่างยิ่ง ขนาดมีตำรายิงธนูตามหลักเซนออกมามิใช่น้อย นัยว่าเป็นอีกอุปเท่ห์หนึ่งของการฝึกสมาธิ

    บางคนทุ่มเวลาทั้งชีวิตกับการฝึกแผลงศรให้ได้ไกล ให้ได้เข้าเป้า และให้ได้ความเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ พวกที่สำเร็จจาปเวทขั้นสูงอาจเห็นเป้าจากระยะไกลขยายใหญ่เกินขอบเขตของประสาทตามนุษย์ธรรมดา ว่ากันว่าเพราะเล็งเป้าจนเกิด ‘ปฏิภาคนิมิต’ หดขยายได้ตามต้องการทั้งยังลืมตา

    ชมรมยิงธนูในปัจจุบันโดยมากมักมีเรื่องการล่าสัตว์เข้าไปแทรกแซม แต่สำหรับเรือนแก้วแล้ว จะเห็นเป็นเครื่องมือคลายทุกข์ ขจัดเหงามาตลอด หล่อนยิ้มออก ผ่อนคลายความตึงเครียดได้ทุกครั้งที่สามารถส่งศรเข้าเป้าคะแนนสูงติดๆกัน

    ยืนห่างเป้าประมาณเดียวกับความยาวสนามเทนนิส อันเป็นระยะหวังผลสำหรับหล่อน ปลีขาสลักเสลาเกลากลึงแยกจากกันในท่าเตรียม ชุดดำเสื้อคอกลมและกางเกงยีนรัดรูปช่วยให้รู้สึกกระชับเมื่อเริ่มตั้งท่ายิง คันธนูของหล่อนติดรอกทุ่นแรงน้าว แม้จิตใจยังอ่อนปวกเปียก อันมีผลกระทบให้แรงกายถดถอย ก็สามารถเหนี่ยวสายได้ค่อนข้างง่าย

    ศรดอกแรกพุ่งหวือแบบเหินๆคล้ายไม่ค่อยเต็มใจวิ่งเข้าปักเป้าเท่าไหร่ วัตถุที่ไร้เจตจำนงมุ่งมั่นกำกับการเคลื่อนไหวย่อมปรากฏความอ่อนแอ ดูออกในสายตาผู้เคยฝึกควบคุมตนเองและวัตถุในมือมาแล้ว

    เรือนแก้วเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเนือยนาย กำลังใจและแรงกายถอยน้อยลงอีก เพราะการปักเด่เฉเกของลูกธนูดอกแรกนั้น อยู่เกือบวงนอกสุดของเป้า ฟ้องชัดถึงความไม่เอาไหน

    จับดอกสองวางขึ้นสายอย่างตั้งใจกว่าเดิม หน้าเท้าซ้ายชี้ตรง มือซ้ายกำคันจับแน่นยื่นไปทางเดียวกับปลายเท้า มือขวารวบหางศรพร้อมน้าวสายจนสุด ประสานเป็นจังหวะเดียวกับการสูดลมหายใจอัดเต็มปอด เพ่งใจกลางเป้า หางตาสัมผัสรู้เรียวแท่งธนูตลอดลำที่ขนานกับพื้นและชี้ตรงเข้าจุดหมาย ขณะเดียวกันก็รู้พร้อมในองค์ประกอบอื่น ไม่ว่าจะเป็นกำลังที่ใช้น้าว ความนิ่งได้ดุลตลอดร่าง ไปจนถึงสัมผัสทิศทางลมอันแสนอ่อนทว่ามีผลกับการวิ่งของศร

    ผสานความรู้พร้อมทั้งหมดแล้ว กลายเป็นนิมิตเส้นทางธนูในคลองตา เห็นเป็นท่อไร้ตนจากปลายศรถึงเป้าหมายแจ่มชัด อย่างที่เรียกพิชาน หรือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในการเล็งส่งเข้าเป้าด้วยใจ ความมั่นคงและอาการทั้งหมดในกายเป็นไปเพื่อสร้างนิมิตเส้นทางให้เที่ยงตรงเข้าฝักทั้งสิ้น ขยับเปลี่ยนนิดเดียวแม้คลายกล้ามเนื้อหัวไหล่ คันธนูไหวติงเพียงน้อย ก็มีผลรบกวนวิถีรู้ในใจได้แล้ว พูดง่ายๆว่าเพื่อส่งลูกธนูเข้าเป้า อวัยวะใหญ่น้อยทั่วทั้งกายภายนอก รวมทั้งจิตใจภายในต้องช่วยกันส่งเสริมเป็นหนึ่งเดียว

    ปล่อยมือด้วยความรู้สึกดิ่งสงบเข้าฝักถึงที่สุด ลำลูกศรแล่นด้วยแรงดีดผึงอันสะสมอยู่ในการงอคันธนู ลัดลิ่วเป็นเส้นตรงแหวกอากาศด้วยพลังเจตจำนงอันคมกริบ หัวศรปักฉึกเข้าวงดำชั้นในสุด ส่งแรงสะท้อนฉับพลันกลับมากระทบใจเป็นฤทธิ์อันหนักแน่นเฉียบขาด เร้าอัตตาให้เติบกล้าขึ้นข่มความเงียบเหงาวังเวงสนิทชั่วขณะหนึ่ง

    รอบด้านยังร้างผู้คน มีเพียงหมู่ไม้และใบหญ้าที่ประจักษ์ในความขมังแม่นของมือธนูสาว คลื่นลมในหัวสงบลง เกิดสติรู้ความปรากฏอยู่ของกาย เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกายกับเป้าเบื้องหน้า รวมทั้งธรรมชาติรอบตัว ทั้งที่ปรากฏต่อประสาทตาและประสาทหูอันกว้างขวางเป็นพิเศษ ศรเข้าเป้าดอกเดียวเปลี่ยนแปลงหล่อนได้ไวเท่ากับความเร็วของมัน

    เรือนแก้วดึงศรดอกต่อไปออกจากกระบอกบนพื้นด้วยจิตใจที่สงัดนิ่งเหมือนแผ่นน้ำ สูดลมหายใจยาวขณะออกแรงน้าวอีกครั้ง หยุดสงบเป็นดุษณีในอาการเกร็งเหนี่ยวสุดสายครู่หนึ่ง หยาดน้ำใสค่อยๆรินจากปลายหางตาทั้งสอง แต่ไม่นานจนเอ่อเป็นม่านน้ำพร่าพราย หล่อนปล่อยใจ ปล่อยมือด้วยสติอันมั่นคง ส่งลำธนูอันล้นไปด้วยพลังเหลือเฟือในการแหวกอากาศพุ่งเข้าเป้า

    เกาทัณฑ์...ธนู

    จิตดิ่งอยู่กับฤทธิ์ของการส่งศรเข้าเป้า รู้พร้อมไปทั่วทุกองค์ประกอบการยิง เห็นความเป็นเกาทัณฑ์แช่มชัด...

    แล่นจากแล่ง ตัดตรงเข้าเป้าไม่อ้อมค้อม กำกับด้วยจิตใจที่คมกล้า ราวกับหัวศรมีวิญญาณแสวงจุดปักของตนเอง เมื่อส่งออกไปแล้ว ยากที่จะมีอะไรมาดักขวางได้ทัน

    อุตส่าห์หาเครื่องยึดจิตให้เลิกประหวัดคิดถึงเขาเป็นการพักอารมณ์ ดันกลายเป็นเครื่องเตือนให้ยิ่งย้ำคิดหนักเข้าไปอีก เกือบเหวี่ยงคันธนูทิ้ง ทว่าสติอันหนักแน่นในขณะนั้นห้ามไว้ เพราะหยั่งรู้ว่าเหมือนทุบแก้วเนื้อดีที่เพียรสร้างอย่างยากลำบากให้แตกละเอียดลงอย่างน่าเสียดายเพียงชั่ววูบโทสะ

    ใจเป็นหนึ่งกับการยิงธนูเนิ่นนาน เดินไปถอนกลับมาเปลี่ยนระยะหลายรอบ พอแขนล้าจึงวางมือ เก็บอุปกรณ์เดินเข้าตึก

    กายและใจที่รวมเป็นหนึ่งเพื่อก่อนิมิตเส้นทางวิ่งของธนู กับกล้ามเนื้อที่กระชับแน่นทั่วร่าง ช่วยให้ความรับรู้ทั่วไปหลังเลิกเล่นคมใสกว่าปกติเป็นสองเท่า ราวกับข้างในมีใบมีดขนาดใหญ่วางตั้งตลอดแนวหน้าผากถึงกลางอก หันด้านคมชี้ไปข้างหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนพร้อมจะเปล่งประกาศิตที่เฉียบขาดหรือออกฤทธิ์ออกเดชได้สารพัน

    คนทั่วไปแม้เคลื่อนไหวอวัยวะน้อยใหญ่หลายส่วนพร้อมกัน อย่างมากจะรับรู้เพียงจุดใดจุดหนึ่ง เช่นอาการเบนหน้ากลอกตาอย่างเดียว ส่วนอื่นถูกเพิกเมินไปหมด หรือที่หนักกว่านั้นคือไม่รู้ตัวเอาเลยด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในท่วงทีกิริยาใด ปล่อยให้สติขาดหาย เหม่อลอยทั้งวัน

    แต่ในบัดนี้ เมื่อทรงนิ่งด้วยภาวะจิตอันคมคาย เรือนแก้วแยกรู้ได้พร้อมกันเกือบทั่วพร้อม เมื่อเดินสวนกับผู้จัดการทั่วไปของคอนโด หมอนั่นทักทายหล่อนด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย ดวงตาหล่อนสามารถมองเห็นอาการผงกหัว ยิ้มกว้างเห็นฟันทั้งปากของเขา ขณะเดียวกันใจก็ทราบอาการเยื้องกรายสลับคู่เรียวขาระเหิดระหงของตน พร้อมทั้งรู้ชัดว่าตนเบนหน้านิดหนึ่ง ชายตาแลหมอนั่นคล้ายเจอชะนีแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกที่ข้างทาง ในหัวผุดคำสั้นๆว่า ‘ชิ!’

    หล่อนยังไม่ตระหนักว่าสติรู้พร้อมชนิดนั้น เพียงพลิกกลับนิดเดียว คือแทนที่จะหันออกข้างนอก แต่ส่งกลับเข้ามาดูข้างใน คล้ายเข้าไปนั่งในใจคนอื่น ไม่ให้เหลืออุปาทานว่ากายใจเป็นตน ก็จะปฏิรูปเป็นรุ่งอรุณแห่งการปฏิบัติธรรมทันที ลักษณะความรู้ชัดคมคายจะแปรเป็นรู้ชัดอ่อนโยนลง ด้วยเพราะพลังอัตตาอันเข้มข้นปฏิรูปเป็นพลังรู้บริสุทธิ์ไป

    ระหว่างอยู่กับเกาทัณฑ์ที่สิงคโปร์ มีเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนเยอะมาก เพลินที่จะคุยกันตลอดวันด้วยเรื่องหลากหลายไหลลื่นไปเรื่อย หนึ่งในข้อสนทนาคือการทำสมาธิ เขาพูดให้ฟังค่อนข้างละเอียด รวมทั้งฝึกการนั่งเบื้องต้นให้เกือบทุกวัน เรือนแก้วจึงแยกแยะถูกว่าภาวะน่าพอใจอันเป็นผลจากการซ้อมยิงธนูในบัดนี้ นับเข้าเป็นสมาธิแบบสงบได้เหมือนกัน

    เมื่อก่อนจะนึกว่าสมาธิคือความสามารถเอาใจจดจ่อกับงานได้ ซึ่งก็ถูก แต่ตอนนี้เข้าใจเพิ่มขึ้นมาคือสมาธิจิตนั้นมีหลายประเภท ทั้งแบบที่เป็นสมาธิแล้วยังวุ่น กับแบบที่เป็นสมาธิแล้วสงบลงบ้าง กับแบบที่เป็นสมาธิแล้วราบคาบสนิท

    ตอนทำงานเอกสาร งานติดต่อผู้คน หากจิตรวมลงเป็นสมาธิ จะมีลักษณะคมกริบ มีฤทธิ์ทางโลก คุมเกมการเจรจาได้ คุมงานให้สำเร็จลุล่วงตามลู่ตามแนวที่ตั้งใจได้ รู้สึกตลอดกายดีว่ากำลังขยับไหวหรือนิ่งทรงอยู่ตรงไหน อยู่กับใคร เพื่ออะไร หล่อนจะมุ่งมั่นเพ่งแน่วตลอดเวลาว่ามาถึงไหน ได้สิ่งที่ต้องการหรือยัง รวมทั้งหยั่งทราบว่าเจออุปสรรคจะต้องแก้เป็นเปลาะๆท่าใด

    สมาธิแบบนั้นทำให้หล่อนมีอำนาจและรอบรู้ ทั้งที่เกี่ยวกับคน ข้อมูล และวิธีเลือกตัดสินใจของตนเอง ในทางปฏิบัติหล่อนมีสติและสมาธิพร้อมจะเป็นผู้บริหารคนหนึ่ง และเป็นผู้บริหารที่ดีด้วย รอเพียงอายุและชั่วโมงบินสูงพอจะไปนั่งเสนอนโยบายโดยไม่ถูกผู้ใหญ่เขม่นว่าเจ๋อเท่านั้นแหละ

    สมาธิที่พาไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่นายสั่งหรือตัวเองริเริ่ม จะย้อนกลับมาอัดฐานกำลังใจให้แน่นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกชัดขึ้นทุกทีในตบะบารมีแห่งตน รวมแล้วได้เป็นกิเลสให้ฟุ้ง ให้คิดไต่เต้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆไม่หยุด นี่เองจิตเป็นสมาธิแล้วยังวุ่นวาย

    เมื่อเล่นกีฬาหล่อนก็ได้สมาธิเหมือนกัน แต่ยังมีความฟุ้งบางชนิดติดตามมาด้วย เช่นเล่นกีฬาหลายคนแล้วเอาแพ้ชนะกัน หรือเล่นคนเดียวพยายามเอาชนะตัวเองด้วยการทำแต้มต่างๆนานา ชนะหรือสำเร็จก็จิตฟู แพ้หรือล้มเหลวก็จิตตก ประเภทรักษาความเป็นกลาง หมายตาจดจ่อกับวัตถุในเกมกีฬาอย่างเดียวตลอดเวลานั้น ยากยิ่ง

    และแม้เป็นสมาธิในระหว่างเล่นกีฬา ตาหูก็เปิดกว้างให้ใจโบยบินได้ง่ายเกินไป อย่างเช่นเมื่อครู่ ทั้งที่หล่อนรู้สึกสงบดิ่งเยือกเย็นแท้ๆ อยู่ไม่อยู่น้ำตาก็ไหลออกมา แค่ไพล่คิดถึงเกาทัณฑ์นิดเดียว

    เมื่อหัดสมาธิแบบนิ่งว่าง เรือนแก้วก็ได้ความชอบใจ และเห็นกว้างไปอีกแบบ คือพบว่ามันใกล้เคียงกับการยิงธนู แต่มีความละเอียดอ่อน สุขุมประณีตกว่า สุขสบายไร้กังวล อีกทั้งให้ผลเป็นความราบคาบ ไม่ฟุ้งคิดไต่สูงหรือวิ่งไกลเกินการเสพรสอิ่มเอมในอาการแน่นิ่งขณะนั้นๆ เพราะเป้าหมายเดียวคือรู้ซ้ำไปซ้ำมาในอารมณ์ที่ไม่เจือด้วยความอยากประการใดๆ กับทั้งเป็นความสุขในตัวเอง ไม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากใครอื่นเลย ถ้าชนะก็ชนะความฟุ้งซ่าน ถ้าแพ้ก็แพ้ความขี้เกียจนี่แหละ

    สำหรับผู้ยังไม่ตั้งมั่น สมาธิจิตอันสงบประณีตเป็นสิ่งที่ทำได้แล้วจะลืม เพียงห่างเหินจากการเสพภาวะเช่นนั้นสักสิบนาที จำได้แต่ความน่าติดใจ เมื่อมีสิ่งเตือนให้ระลึก เช่นที่หล่อนเพิ่งยิงธนูแม่นๆ ได้ใจนิ่งๆ จึงค่อยคิดถึงขึ้นมาอีก

    เข้าห้อง เรือนแก้วเปิดตู้เย็นหาของเบาๆทานแบบรองท้อง คือไม่ถึงกับอิ่มแปร้แต่ก็หายหิว เสร็จแล้วอาบน้ำแปรงฟันจนสดชื่น เบาเนื้อตัว เลือกใส่ชุดกระโปรงหลวมพอสบาย จากนั้นยึดเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นที่นั่ง เพราะตอนหัดทำสมาธิเกาทัณฑ์จะให้ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเขาทุกครั้ง จึงชินที่จะใช้เก้าอี้พนักตรงและเบาะเรียบแน่นเป็นอุปกรณ์ช่วยทรงตัว

    นั่งหลังตรง ผ่อนคลายตลอดร่าง คว่ำมือวางบนตัก วางเท้าลงเสมอกันบนพื้น ปิดตาเหลือบต่ำ รักษาดุลความรู้นิ่งทั่วพร้อม เกิดความเห็นชัดว่าเมื่อกำหนดการวางกายไว้เหมาะสม ก็เกิดความพร้อมรู้ขึ้นทันทีในระดับหนึ่ง เหมือนกับการตั้งท่าไว้ถูก ได้ที่เหมาะในกีฬาใดๆ ก็จะทำให้เกิดนิมิตที่เหมาะสมกับกีฬาประเภทนั้นๆโดยง่าย

    การวางกายไว้ถูกยังก่อให้เกิดฉันทะ หรือความสุขความพอใจ เช่นขณะนี้เพียงหล่อนกำหนดดูความเป็นไปของกาย เห็นเจตนาขยายหน้าท้องเพื่อดึงลมเข้า ก็เกิดนิมิตเส้นทางลมล่วงหน้าตลอดสาย โดยเฉพาะความชัดที่จุดกระทบแรกเข้าในโพรงจมูก คล้ายกับกายเป็นแล่งธนู สายลมหายใจเป็นเส้นทางลูกศรวิ่งที่จะต้องเห็นให้ได้

    ปัญหาของผู้ปฏิบัติสมาธิส่วนใหญ่อยู่ตรงนี้ คือล้มเหลวแต่แรกเพราะเบสิกไม่ดี และให้เวลาอย่างตั้งใจไม่นานพอ ถ้าหากจดจ่ออยู่ตลอดเวลาด้วยความผ่อนคลาย ตั้งกายไว้ถูกส่วนเหมาะ ไม่เครียดเกร็งเลย เดี๋ยวเดียวก็ได้ผล เมื่อลมหยุด ก็เพ่งรออาการขยายหน้าท้องดึงลมเข้า เช่นเดียวกับการง้างคันธนูเล็งเห็นเส้นทางระหว่างแล่งกับเป้าหมาย เมื่อลมเข้าหรือออก ก็ปักใจเข้าหาสายลมเท่ากับการส่งตาตามดูธนูพุ่งเข้าเป้าจริง

    ผู้ปฏิบัติโดยมากจะทราบเฉพาะตอนลมเข้า พอลมออกสติจะหาย ยิ่งระหว่างพักรอลมเฮือกใหม่ยิ่งแล้วใหญ่ พลัดไปโน่นหล่นไปนี่ ถ้าเพียงพบความจริงและพยายามอุดจุดอ่อนตรงนี้เสียหน่อย อาการเหม่อ หรืออาการตกภวังค์เห็นโน่นเห็นนี่ร้อยแปดก็แทบไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

    เรือนแก้วขยายหน้าท้อง ดึงหายใจเข้า เห็นสายลมเป็นทางตามนิมิตที่ถูกเก็งรู้ไว้ล่วงหน้า เมื่อสุดปอดแล้ว ก็ผ่อนออกอย่างประณีต ยาว และนิ่มนวล ก่อนิมิตเสมอกัน เป็นสายเดียวกันกับขาเข้า

    ที่สำคัญเมื่อหายใจออกจนสุด หล่อนยังคงเพ่งรอล่วงหน้าในสายนิมิตลมหายใจเข้าออกครั้งต่อไป พูดง่ายๆว่าจดจ่อรู้อยู่กับกายนั่ง เตรียมขยายหน้าท้องดึงลมไม่ปล่อยให้คลาดเคลื่อนไปไหน

    เฝ้าดูลมนั้นง่ายกว่ายิงธนูเสียอีก แค่ตามเห็นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในนิมิตเดียวคือลมหายใจเข้าออก ฉันทะในนิมิตจะเป็นตัวเร่งให้เกิดความสว่าง สงบนิ่งจดจ่อ เรียกพลังรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่ง ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากการรู้ลมที่ผ่านเข้าออกกายนั่งนี้

    เรือนแก้วรู้สึกสงบและเห็นแสงสว่างนวลฉายออกมาจากภายใน คล้ายมีรอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นมาจากกระแสความสว่างเป็นหนึ่งนั้น

    นั่นคือการเกิดองค์สมาธิเบื้องต้นที่ตั้งอยู่ได้ชั่วคราว หรือที่เรียก ‘ขณิกสมาธิ’ อันประกอบด้วยวิตก คือตั้งสตินึกคิดธรรมดานี่เอง คำนึงว่านี่ลมหายใจเข้า นี่ลมหายใจออก เมื่อเกิดวิตกแล้วสิ่งที่ตามมาคือวิจาร ได้แก่การจมดิ่งอยู่ในนิมิตลมอันแช่มชัด ราวกับตัวตนกลายเป็นสายลมหายใจเสียเอง หรือคล้ายลมเข้าออกเป็นแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูดจิตให้ติดแน่น เป็นผลของการเข้าคลุกคลีจดจ่ออารมณ์เดียวนานพอ จนตัวรู้ตั้งอยู่ถูกส่วน เห็นนิมิตกว้างขวางตลอดสาย

    เมื่อเกิดวิตกและวิจารแล้ว ก็มีอาการทางใจที่ตามมา เช่นปัสสัทธิ หรือความสงบคล้ายมีกลุ่มน้ำเย็นสนิทขังไว้เต็มกาย รำงับซึ่งความกระวนกระวายทั้งปวงลงได้ เหลือแต่ฉันทะในการเพ่งดูสายลมเข้าออกไม่ลดละ

    อย่างไรก็ดี อันเนื่องจากฐานจิตเรือนแก้วยังไม่ตั้งมั่นเต็มที่ จึงกระเพื่อมเป็นความคิดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องวกวนเกาะใจ คล้ายเปิดประตูหน้าต่าง ปล่อยให้ศัตรูเข้ามาเพ่นพ่านในเขตบ้านได้ง่าย มาตีรวนกวนใจ ขโมยสมบัติคือ ‘สติรู้’ ไปเนืองๆ

    ป่านนี้เขาคงอี๋อ๋ออยู่กับยายคนนั้น...

    ดึงความรับรู้กลับมาที่กายซึ่งยังคงนั่งตรง ผ่อนคลาย สบายตลอดร่าง จากนั้นวนไปที่จุดเริ่มใหม่ คือทราบว่าตนกำลังจะขยายหน้าท้องเพื่อดึงลมเข้า เห็นนิมิตล่วงหน้า และเมื่อลมเข้าจริงก็ทราบชัดตลอดสายคงที่ ได้ตระหนักชัดเดี๋ยวนั้นว่าตราบใดจิตมีเส้นทางเพ่งรู้แน่วแน่ กำหนดนึกนิมิตสายลมหายใจเข้าออกไว้ได้อย่างมั่นคง ตราบนั้นต่อให้มีระลอกความคิดจรมามากน้อยแค่ไหนก็ช่าง เพียงไม่นำพาเสียประเดี๋ยวประด๋าว กลุ่มความคิดก็ระเหยหายจากหัวไปเอง

    ด้วยความเป็นคนเรียนรู้เร็ว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้ใจสัมผัส เรือนแก้วจับหลักได้เดี๋ยวนั้นว่าวิธีแก้ฟุ้งซ่านขณะทำอานาปานสติได้ดีที่สุดคือดึงความรับรู้กลับมาที่กาย นึกถึงร่างที่นิ่งตรง ผ่อนคลายสบายตลอดตัว และรอดูการขยายหรือยุบหน้าท้องครั้งต่อไป เมื่อเห็นการขยายหรือยุบหน้าท้องก็จะพลอยกลับมาติดนิมิตลมตามไปด้วยเองโดยอัตโนมัติ

    กายนี้เองคือฐานที่จะใช้เล็งทางลมเข้าออก หากไม่เห็นกายก็เหมือนไม่เห็นแล่งธนู เห็นแต่ลำธนูอย่างเดียว ไม่เห็นเส้นทางเข้าเป้าแจ่มชัด

    วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาระหว่างความเห็นลมชัดกับกลุ่มความคิดฟุ้งซ่านซัดส่าย กระทั่งถึงจุดหนึ่งความฟุ้งซ่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ล่าทัพถอยจนสิ้นซาก ราวกับข้าศึกที่ถูกดูดจมหายลงไปในธรณี จิตล็อกตัวนิ่ง เห็นนิมิตลมเข้าออกชัดแบบเข้าฝักอยู่ตลอดเวลา ประคองรักษาไม่ให้กระเพื่อม โดยรักษาความเรียบนิ่งของจิตให้มีสภาพเหมือนแผ่นน้ำ ระวังไม่ให้เกิดความไหวขึ้นได้

    เสวยสุขในอารมณ์ขณิกสมาธิเหมือนนั่งที่ชายทะเลและเพลินมองขอบฟ้าโพ้น เนิ่นนานจนกระทั่งรู้สึกเบื่อ ความก้าวหน้ายุติลง เนื่องจากแรงสนับสนุนขาดลงแค่นั้น

    หญิงสาวลืมตาขึ้น ลุกจากเก้าอี้เดินวนไปเวียนมาด้วยความนิ่งแน่นเป็นสุข และกระหยิ่มใจในความสามารถทางจิตของตน สงบเหมือนธุระทั้งโลกหมดลงสิ้นแล้ว

    แต่ภาวะอิ่มเอิบหลังขณิกสมาธิเป็นของแตกพังง่าย เพียงครู่เดียวเมื่อจิตประหวัดถึงเกาทัณฑ์ ใจก็ฟุ้งขึ้นมาอีกเหมือนลมหอบฝุ่นกระจาย เป็นทุกข์เป็นร้อนเกินห้าม โดยเฉพาะเมื่อดวงหน้าหวานหยดชวนให้หลงรักของสาวน้อยนางนั้นลอยเด่นขึ้นมาในห้วงนึก หัวใจหล่อนก็ผ่าววาบขึ้นราวกับใครเอาแหวนไฟมาล้อมรัด คงเพราะกำลังสมาธิช่วยเสริมมโนนึกให้แจ่มชัดหนักแน่น เป็นปัจจัยโหมพายุอารมณ์ให้แรงขึ้นกว่าปกติหลายเท่า

    เห็นหน้าแค่ครั้งเดียวแต่จำติดตา ยายคนนั้นมีหลายสิ่งรบกวนจิตใจหล่อนนัก ไม่ว่าจะเป็นความหวานที่ดูรู้ว่ามัดใจชายได้ทุกเมื่อ หรือความนิ่งในธาตุแท้ที่ผู้หญิงด้วยกันต้องอิจฉา อย่างเช่นเวลานี้ พอเรือนแก้วรู้ตัวว่าเป็นฟืนเป็นไฟ ก็นึกเปรียบเทียบ และคิดว่าตนคงแพ้ลุ่ยหากแข่งกับยายนั่นในเรื่องการรักษาค่าของตัวเอง

    จินตนาการเห็นแม่คนนั้นรักษาความเรียบเรื่อยเฉื่อยเฉยไว้ได้ ไม่ใส่ใจไยดีกับเกาทัณฑ์นัก ในขณะที่หล่อนครึ่งบ้าครึ่งดีเข้าไปทุกที เรือนแก้วก็บอกตนเองว่าต้องหัดเย็นเอาไว้บ้างแล้ว เรื่องอะไรจะคลั่งเป็นนางรองในโลกมืดอยู่คนเดียว หล่อนก็หนึ่งเหมือนกัน

    ข่มใจ คิดหาเครื่องดับไฟในอก เหลียวไปแลมายามนี้คงมีแต่เปียโนที่ใกล้ตัวหน่อย จึงเดินดิ่งไปเปิดฝาครอบ ยกเบาะที่เป็นฝาปิดม้านั่งรื้อค้นแผ่นโน้ตเพลง Fantaisie-Impromptu ของโชแปงขึ้นมาวางเรียงบนไม้คั่นวาง

    เริ่มเล่นอย่างไม่ฝืดฝืนนัก วิญญาณหล่อนผูกติดกับเปียโนเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาเนิ่นนาน สิบลำนิ้วลงน้ำหนักสัมผัสพบกับคีย์ไม้ขาวดำทุกแท่งอย่างถูกต้องและตรงเวลาเสมอ ราวกับมีปลายนิ้วแนบติดทุกผิวคีย์อยู่แล้ว สั่งได้ว่าจะให้โน้ตใดดังเมื่อไหร่ เร่งหนักเบาหรือช้าเร็วแค่ไหน

    ระดับที่เรือนแก้วเล่นนั้นเข้าขั้นแยกประสาทมือซ้ายขวาเป็นเอกเทศจากกันได้เด็ดขาด โดยที่ใจแยกภาคติดตามและสั่งการเคลื่อนไหวประสานงานเป็นหนึ่ง สี่ห้องแรกของ Fantaisie-Impromptu คือการออกร่ายรำเอาเชิงของมือซ้าย ถัดจากนั้นมือขวาจึงต่อตามมาด้วยการวาดลวดลายไล่ล่าสีสันชวนพิศวงตามแบบฉบับทรงเสน่ห์เฉพาะตัวของโชแปง คีตกวีผู้มีผลงานที่ฟังแปลกใหม่ขึ้นเงาวับได้ในทุกพ.ศ. ไม่ว่าจะเป็นชิ้นที่ออกแนวหวาน สง่างาม น่าใหลหลง หรือประหลาดพิลึกน่างงงัน

    ปกติเมื่อลงนิ้วกดคีย์เปียโนคุณภาพดีหน่อย จะมีแรงสปริงที่ให้สัมผัสสะท้อนกลับเป็นความสุขนิดๆตลอดลำนิ้วนั้นๆอยู่แล้ว ยิ่งถ้าข้อมืออ่อนหยุ่น สามารถสลับนิ้วไล่เรียงรวดเร็วตามแนวทางอันสลับรายพรายแพรวแห่งลำนำจากคีตกวีอัจฉริยะ เห็นตลอดปลายแขนและนิ้วมือเป็นเครื่องจักรทรงประสิทธิภาพที่รู้งานอัตโนมัติ สัมผัสและความเคลื่อนไหวจะรวมขึ้นก่อมโนทัศน์และสุนทรียภาพยิ่งใหญ่อันไม่เป็นสาธารณะแก่บุคคลทั่วไป

    การสลับนิ้วไปบนกลุ่มโน้ตประชิดติดพัน และต้องไล่น้ำหนักให้ได้สีสันตามใจโชแปงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรือนแก้วเลย หล่อนปล่อยนิ้ววิ่งเล่นไปกับท่อนหลักของ Fantaisie-Impromptu ด้วยความเพลินอารมณ์ ดับความแหนหวงร้อนรุ่มลงได้ชั่วขณะที่โลดแล่นอยู่นั้น

    ทว่าเมื่อเข้าสู่ท่อนแยกอันคล้ายแปรจากลีลาโลดเต้นในพายุแปรปรวนมาทอดน่องเดินชมสวนดอกไม้สบายตาสบายใจ เกิดการรับอารมณ์เพลงอย่างไรไม่ทราบ ใจไพล่ไปคิดถึงเกาทัณฑ์และแม่ยอดเยาวมาลย์ของเขาขึ้นมาอีก

    ป่านนี้อาจเกี่ยวก้อยชมสวนกันอยู่จริงๆก็ได้...

    ผะผ่าวร้าวลึกไปทั้งทรวงอก เขาจะเอาไว้ทั้งสองคนเลยหรือไงนะ?!

    เล่นท่อนกลางอย่างกะพร่องกะแพร่ง สิบปลายนิ้วที่รู้จักทุกๆคีย์ขาวดำดุจบริวารอันเชื่องในอำนาจ เคยพลิ้วแสวงที่ลงได้เองอย่างแม่นยำ กลับป้อแป้เรรวนราวกับทหารเลวไร้วินัย ไม่เกิดสัมผัสสัมพันธภาพระหว่างมือกับแพคีย์เบื้องล่างเอาเลย ทั้งที่เป็นท่อนช้า เล่นง่ายกว่าท่อนแรกมาก

    หัวคิ้วย่นลงเล็กน้อย ฝืนไปรังแต่จะหมดความสุข จึงตัดสินใจผ่านไปเสีย โยกตัวขยับเปลี่ยนท่านั่งให้เข้าที่ใหม่ เปลี่ยนแผ่นโน้ตวกกลับเข้าลำนำหลักถัดจากท่อนแยกไปเลย หมายจะใช้คุณภาพการไล่เรียงคีย์อันเร็วรี่คงเส้นคงวาเป็นตัวดึงความรู้สึกด้านดีกลับมา

    แต่แล้วขณะกำลังลากเสียงขึ้นยอดเขาลูกแรกและเตรียมจะเทลาดลงอยู่นั้นเอง ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น ทั้งลงนิ้วชี้มือขวาไถลลื่นจากคีย์ดำ และทั้งรักษาจังหวะมือซ้ายให้คงที่ไม่ได้ สั่งสมความขัดอารมณ์หนักเข้าก็บันดาลโทสะ ขมวดคิ้วแน่น ปุบปับเปลี่ยนรูปมือขวาจากการไล่พรมนิ้วเป็นกำหมัดตวัดทุบปังลงไปบนกลุ่มคีย์เคราะห์ร้ายเต็มแรง แล้วลุกขึ้นพรวดพราด ใบหน้างามเปลี่ยนจากสงบนิ่งเป็นหม่นเศร้าหมองหมาง แล้วแปรรูปอีกระลอกเมื่อตากร้าววาวโรจน์ขึ้นจนดูดุดัน สิ้นงามเป็นน่ากลัว

    คล้ายลำนำพิลาสพินาศกะทันหันด้วยสายฟ้าแห่งอสูรฟาด อสูรอันสร้างขึ้นจากแรงโทสะ ถ้าใครนั่งฟังอยู่ตรงนั้นและเผอิญเห็นหน้าหล่อนเข้า อาจสะดุ้งสุดตัวขนาดพลอยลุกตามด้วยความดีฝ่อก็ได้

    กายเริ่มสั่นเทิ้ม แน่ใจในบัดนั้นว่าพิษรักถอนไม่ได้ด้วยกีฬา สมาธิ หรือดนตรีใดๆ กระทั่งนานอึดใจหนึ่งของการยืนนิ่งอยู่กับความมอดไหม้ในตัวเองจนล้าลงเหนื่อยอ่อน เค้าหน้าดุจึงกลับเปลี่ยนเป็นสลดรันทด น้ำตาพานจะไหลออกมาอีก

    ไม่อยากแบ่งเขาให้ใครแม้แต่นาทีเดียว...

    อัดอั้นเต็มกลืน ลุกจากโซฟาก้าวพรวดๆไปหยิบกระบอกโทรศัพท์ไร้สายที่หัวเตียง กดเบอร์ต่อสายถึงเขา

    อย่างที่เดาเป๊ะ เกาทัณฑ์ปิดมือถือเอาไว้

    รู้สึกไร้ค่า อ้างว้าง หมดสิ้นเรี่ยวแรงจนต้องยอมปล่อยให้น้ำตาแห่งความน้อยใจทะลักหลั่งออกมา ยกมือปิดปาก กล้ำกลืนความขมลงอก เหมือนเขาเป็นยาเสพย์ติด แค่ห่างก็จะแย่อยู่แล้ว แต่นี่รู้ด้วยว่าเขากำลังงอนง้อขอคืนดีใครอยู่ หล่อนหลงรักเขาขนาดไหน ผู้หญิงคนนั้นก็คงติดหลงไม่แพ้กัน ยินยอมเขาได้ทุกอย่างเช่นกัน

    นาทีนั้นเกือบประชดด้วยการโทร.เรียกเชิงไทมารับไปเที่ยว แต่ก็จนใจ ชายอื่นกลายเป็นก้อนกรวด เศษแกลบไปหมด อีกอย่างพ่อเพิ่งเสีย จะให้ฝืนแสร้งทำหน้าระรื่นทั้งชุดดำก็กระไรอยู่

    ปาดน้ำตาทิ้ง เจ็บใจและอายตัวเองที่ต้องนั่งแปะ เอวอ่อนระแน้ น้ำตาไหลพรากสะอื้นฮักๆเพราะผู้ชาย อย่างหล่อนแค่กระดิกนิ้วก็แห่กันมาเป็นกองทัพ จะต้องไปยี่หระอะไรกับนักจับปลาสองมือพรรณนั้น

    พอคิดแล้วก็ยอกย้อนเข้าทิ่มแทงตัวเอง เมื่อระลึกได้ว่าแมงหวี่แมงวันทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นข้อพิสูจน์ว่าหล่อนให้ใจกับใครไม่ได้สักคน อย่างมากแค่หลงๆชั่ววูบชั่ววาบแล้วแผ่วจาง อยากดีดทิ้งอย่างรวดเร็วเมื่อพบตำหนิเพียงน้อย ไม่เคยเลยจะรักและอยากเคียงข้างเป็นคู่ชีวิตเหมือนอย่างที่รู้สึกกับเกาทัณฑ์

    ทำไมต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว ที่หล่อนเต็มใจให้แตะต้องเนื้อตัวได้ ทำไมต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว ที่หล่อนเอ่ยสารภาพรักก่อนอย่างน่าหมิ่น ทำไมต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว ที่หล่อนชิดใกล้แล้วรู้สึกอ่อนหวานสว่างไสว ทำไม...

    การหาความรู้สึกของตัวเองให้พบไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับหล่อนที่ไวสัมผัสกับทุกสิ่ง และไม่เคยยอมง่ายกับอะไรสักอย่าง รู้ซึ้งดีว่าใจตนรับอะไรได้บ้าง รู้สึกนึกคิดอย่างไรบ้างกับแรงกระทบรอบด้าน จึงสามารถตั้งค่าให้กับผู้คนและสิ่งของได้ถูกต้องแม่นยำเสมอ

    ต้องเขาเท่านั้น...

    ปิดกั้นตนเองจนน่าขมขื่น ยิ่งขมขื่นเท่าไหร่ยิ่งอยากกำจัดขวากหนามให้พ้นทางเท่านั้น!

     

    วันนี้อาของหล่อนรับเป็นเจ้าภาพ โดยที่ท่านต้องเดินทางกลับจากดูงานต่างประเทศเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เรือนแก้วคิดจะชวนเพื่อนที่ทำงานรวมทั้งพิจัยมาร่วมงานในวันมะรืน ซึ่งถึงคิวเจ้าภาพของหล่อนตามการนัดแนะกับสายชล

    จอดรถใกล้ศาลาแปด เหม่อมองโดยรอบ หวังลมแล้งว่าอาจพบรถของเกาทัณฑ์จอดอยู่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็น เรือนแก้วเม้มปากชั่งใจ ก่อนกางมือถือต่อสัญญาณถึงเขา

    คราวนี้ต่อติด

    “แอ้เหรอ?”

    เสียงเขาดังมาจากปลายทาง เรือนแก้วเงียบ อะไรบางอย่างในความเป็นหญิงทำให้เม้มปากแน่นอยู่อย่างนั้น พอเขาทักซ้ำก็ลงนิ้วกดปุ่มตัดสัญญาณดื้อๆ

    ดับเครื่องยนตร์ สัญญาณเรียกที่มือถือดังขึ้น แหลมก้องกรีดอากาศแสบแก้วหูเพราะเร่งระดับเสียงไว้แล้วลืมปรับคืน ปรายตามองหน้าปัด เห็นเป็นเกาทัณฑ์แน่ก็ปล่อยให้เขารอค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความแง่งอน กระทั่งถึงจำนวนนับครั้งจำกัดจึงเงียบหายไปเอง

    ถ้าหล่อนยังมีค่าอยู่บ้างสำหรับเขา ก็คงมานั่งเป็นเพื่อนในงานเองแหละ โทร.หาหล่อนได้หมายความว่าแยกตัวจากแม่หน้าหวานแล้วล่ะซี...

    ลงจากรถ สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงเห่าของหมาวัดโฮ่งหอนอีโล้งโช้งเช้งไกลออกไป ท่าทางคงแบ่งก๊กทำสงครามเขี้ยวเล็บกัน อาจจะมีปัญหาแบ่งถิ่นหรือแย่งกระดูกอะไรสักอย่าง คล้ายคนนั่นแหละ เพียงแต่คิดสร้างอาวุธหรือใช้เครื่องทุ่นแรงกันไม่เป็น นอกจากอุปกรณ์ประจำตัวและเสียงเห่าอันน่าสังเวชลูกเดียว

    เดินเลี้ยวมาตามทาง เห็นหมาสีน้ำตาลอ่อนขนปุยตัวหนึ่งวิ่งเหยาะกระดิกหางมายืนมองหล่อน หน้าตาคล้ายพนักงานต้อนรับ เรือนแก้วนึกเอ็นดูปรานีจนถึงกับหยุดยืนกระดิกนิ้วเรียก นานๆจะนึกรักใคร่หมาวัดหรือหมาข้างถนนขึ้นมาทันทีทันใดขนาดอยากทักทายอย่างนี้

    ดูมันสุภาพอ่อนโยน ปากกว้างคล้ายยิ้มง่ายอยู่ตลอดเวลา อาจไม่เคยเห่ากรรโชกเลยสักโฮ้งเดียว มันแลบลิ้นมองหล่อนด้วยสายตาเป็นมิตร เรือนแก้วสัมผัสได้ถึงกระแสวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความรักสงบ คิดดีไม่เคยเกะกะระรานใครของมัน

    จิตใจขุ่นมัวมาตลอดวัน หมกมุ่นครุ่นคิดไม่พูดไม่จากับใคร เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่ถึงเวลาพัก เปลี่ยนกระด้างเป็นอ่อนโยนลงจนยิ้มออก และนึกอยากเอ่ยปากเสวนา

    “ไง ไม่ไปกัดกับเขาเหรอ?”

    สุ้มเสียงอ่อนหวานมีเมตตานั้นเองชักนำหมาใจดีให้เดินเข้ามาดมๆนิ้วที่กระดิกเรียกของหล่อน หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบหัวมันราวกับนายเก่า ใจที่เริ่มเชื่อเรื่องบุญทำกรรมแต่งหนักแน่นในบัดนี้ เกิดสลดสังเวช สงสารมันขึ้นมาอย่างเต็มตื้น ขนาดอยู่กับคนด้วยกันหล่อนยังไม่รู้สึกสงบจิตสงบใจเท่าเมื่ออยู่ใกล้มันเลย อย่างกับว่าใจมันสูงกว่าบางคนเสียอีก

    “ทำดีมาตั้งมาก พลาดท่ายังไงมาเป็นหมาได้นะเรา”

    นึกอยากพูดเช่นนั้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อาจเป็นเพราะประหวัดถึงคำพระบางรูป ที่เคยกล่าวว่าสิงสาราสัตว์มากมายมีบุญยิ่งกว่าคน แต่วาสนาน้อย ถูกกักขังอยู่ในอัตภาพเดรัจฉานด้วยโทษานุโทษบางอย่าง ก็ต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพไป

    ความสลดแทนวิญญาณดีๆในร่างสุนัขทำให้เรือนแก้วได้คิด คงอย่างหล่อนตอนนี้กระมัง จิตขุ่นมัวจนนึกถึงความดีไม่ออก เพราะเรื่องแหนหวงเชิงชู้สาว ถ้าจับพลัดจับผลูสิ้นลมกะทันหัน ก็คงไม่แคล้วพลาดท่าถอยหลังเข้าคลองเช่นกัน ถึงแม้ตลอดมาไม่เคยเบียดเบียนใคร มีแต่ช่วยเหลือคนอื่น ทำบุญสุนทานไว้มากมายก็ตาม

    นึกขอบใจหมาตัวนั้นที่เป็นเยี่ยงอย่างเตือนสติทางอ้อม ชักรักขนาดคิดอยากอุปถัมภ์ค้ำชูจริงจัง

    “เสียดายฉันไม่มีที่เลี้ยงนะ ไม่งั้นจะพาไปอยู่ด้วยกัน”

    สบตากับมัน สัมผัสคล้ายเคยผูกพันมาก่อน เรือนแก้วเกิดความคิดในบัดดลว่าถ้าตัดรูปหยาบออกไป เหลือเพียงความรู้สึกเมื่อยามสบตา สรรพวิญญาณทั้งหลายอาจพบสายสัมพันธ์อันละเอียดอ่อน ปราศจากการแบ่งแยก ปราศจากมายา ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ในสังสารวัฏ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับการมีอันเป็นไปต่างๆในระหว่างเดินทางไกลด้วยกันทั้งสิ้น

    “ถ้าเราจะเคยเป็นนายบ่าว หรือเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแต่ปางไหน ก็เหลือแค่ความรู้สึกดีๆต่อกันแค่นี้เองเนอะ ร่วมโลกใบเดียวกัน มองเห็นกันได้ แต่อาศัยอยู่คนละภพภูมิอย่างนี้”

    พูดจบก็ตบหัวมันเบาๆสองที ก่อนลุกเดินจากมาด้วยความอาลัยนิดหน่อย มันตามมาเหมือนจะส่งครึ่งทาง แล้วหันรีหันขวางแยกจากไปตามวิถี เรือนแก้วคิดห่วงว่ามันจะระเหเร่ร่อนไปไหนบ้าง จะถูกรถชนตายไหม เกิดใหม่จะพ้นกรงแห่งภูมิเดรัจฉานเสียทีหรือยัง…

    เกาทัณฑ์เคยเล่าว่าพระบางรูประลึกชาติ เห็นตัวเองเคยเป็นสุนัขนับร้อยนับพันชาติ ซึ่งสมจริงตามหลักธรรมที่ว่าเมื่อพลาดร่วงลงต่ำแล้ว ก็เวียนวนอยู่อย่างนั้น จะหาปัญญา หาแสงสว่างกลับเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงใหม่ แสนเข็ญนัก ต้องอาศัยอยู่ในเขตบุญ รับสัมผัสเช่นมือและได้ยินเสียงปรานีของผู้มีบุญเป็นประจำ กับทั้งต้องมีสติขณะตาย จึงอาจพัฒนาขึ้นสู่ภูมิที่สูงกว่าเดิมได้

    ด้วยความยากเย็นเช่นนี้ ปริมาณสัตว์จึงล้นหลามเกินมนุษย์นับแสนนับล้านเท่า นับแต่เล็กเท่ามดปลวก จนถึงใหญ่เท่าช้างหรือปลาวาฬ

    จุดธูปไหว้พ่อที่ตั่งบูชาหน้าประตู จากนั้นหันตัวเปิดบานกระจกเลื่อน พบว่าเพิ่งมีอานำชาติของหล่อนกับครอบครัวสายชลอีกกลุ่มที่มานั่งก่อนหน้า

    อานำชาติทักทายหล่อนใหญ่โต สุ้มเสียงยินดีปรีดา ลูบหัวเจรจาไถ่ถามทุกข์สุขที่ผ่านมา อาเป็นอีกคนที่เตือนให้ระลึกถึงความทรงจำวัยเด็กอันอบอุ่น เปี่ยมด้วยรักเมตตาจริงใจ คุยกันนานจนกระทั่งแขกอื่นเริ่มทยอยมาถึง อาจึงแยกไปทำหน้าที่ปฏิคมตามธรรมเนียม ส่วนหล่อนแยกไปนั่งแถวหลังเพื่อตั้งจิตให้สงบ

    “หวัดดีฮะพี่แอ้”

    เด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามายกมือไหว้ หล่อนจำทีฆายุลูกชายคนเล็กของอานำชาติได้ทันที เพราะสมัยเด็กเคยไปมาหาสู่กันบ่อย

    “หวัดดีตุ้ย” รับไหว้และทักทายกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “นั่งด้วยกันสิ”

    เขาอ่อนกว่าหล่อนประมาณสามหรือสี่ปี นุ่งยีนส์ ผมยาว บอกยี่ห้อศิลปินหลุดโลกหน่อยๆ

    “ตอนนี้เรียนที่ไหนน่ะ?”

    ซักถามเกี่ยวกับความเป็นไปเป็นมาของแต่ละฝ่ายเกือบสิบนาที สรุปว่าทีฆายุเป็นนักศึกษาอยู่ศิลปากร อันเป็นจุดเริ่มคุยเกี่ยวกับเรื่องงานศิลปะกันอย่างออกรส ทีฆายุถนัดงานประติมากรรมและจิตรกรรม ซึ่งเรือนแก้วชื่นชอบ และออกปากว่าวันหลังขอดูงานบ้าง เผื่อชอบใจจะช่วยอุดหนุนซื้อไปประดับห้อง

    แล้วทีฆายุก็ซักไซ้แบบเจาะข่าววงในเกี่ยวกับเรื่องระทึกในสิงคโปร์ เรือนแก้วพยายามตอบแบบรวบรัดอย่างที่เตรียมพูดซ้ำพูดซากไว้แล้วล่วงหน้า ฉะนั้นจึงใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีในการเล่าแบบนำไปสู่การปิดกั้นคำถาม

    “พี่แอ้สนใจธรรมะหรือเรื่องเกี่ยวกับศาสนาบ้างรึเปล่า?”

    เรือนแก้วกะพริบตาปริบๆที่จู่ๆลูกผู้น้องก็ถามเช่นนั้น

    “ก็มีบ้าง ทำไมเหรอ?”

    “กำลังจะมีงานประกวดภาพทางพุทธศาสนาฮะ ราวเดือนหนึ่งข้างหน้านี่แหละ”

    “เธอจะส่งเข้าประกวดด้วยล่ะสิ?”

    “แหงซีพี่ ถึงพูดถึงอยู่ไงล่ะ เนี่ย ลุงจอมภพสอนธรรมะให้ผมทันเวลาพอดี กำลังจะปิดรับผลงานอยู่ไม่กี่วันนี้แล้ว ความจริงผมวาดรูปไว้เรียบร้อย แต่คำกลอนกำกับภาพยังไม่เข้าท่าเท่าไหร่ พอมางานศพคุณลุงเมื่อคืน ถึงซาบซึ้ง เอาไปแต่งใหม่เข้าท่ากว่าเดิมได้”

    “จะส่งงานเกี่ยวกับความตายหรือ?”

    “ฮะ ชื่อภาพ ‘งานศพ’ ตรงกับงานนี้เลย ทีแรกว่าจะเขียนทำนองคนเราต้องวิ่งหนีพระกาฬอยู่ทุกวินาที พระกาฬจะตามทันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยากทำอะไรให้รีบทำ แต่วาดแล้วไม่สื่อเท่าไหร่ เลยเปลี่ยนใหม่ สื่อง่ายๆด้วยภาพงานศพนี่แหละ”

    “รูปเป็นยังไง?”

    “ก็มีโลงศพตั้งเด่นตรงกลาง ด้านขวาเป็นกรอบรูปประดับดอกไม้ เพียงแต่ว่าแทนที่จะมีภาพถ่ายคนตายอย่างเห็นๆกัน ก็กลายเป็นกระจกเงา สะท้อนคนยืนงอแขนเอื้อมมือเหมือนจะคว้ากรอบรูปด้วยความตกใจ”

    เรือนแก้วเลิกคิ้ว ชักเห็นแววว่านั่นน่าจะเป็นผลงานที่เข้าที

    “เค้าโครงรูปหน้าผู้ชายเป็นยังไง หน้าซีดเป็นศพรึเปล่า?”

    ทีฆายุนิ่งไปอึดใจ ก่อนตอบหนักแน่น

    “ตัวผมเอง ตอนธรรมดานี่แหละ!”

    ลูกผู้พี่ยิ้มมุมปาก เพราะเดาไว้แล้ว

    “ไม่กลัวเป็นการแช่งตัวเองบอกลางอัปมงคลหรือ?”

    “ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องเคล็ดลาง สิ่งลี้ลับอัศจรรย์อยู่แล้วนี่ฮะ ในเมื่องานนี้ต้องการธรรมะ ซึ่งผมอ่านดูแล้วเห็นท่านว่า...อย่านึกว่าตัวเองจะแก่ตาย อย่านึกว่ามีเวลาอีกเหลือเฟือ ก็เลยนึกต่อได้คืออย่านึกว่างานศพต่อไปจะไม่ใช่ของเรา ถ้าพระท่านสอนไว้อย่างนี้ ก็น่าจะถือว่าความตายของตัวเองเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง คิดถึงบ่อยๆก็ดี อ้า...บอกไต๋ให้พี่แอ้ฟังก็ได้ คือผมว่านะ กรรมการเขาเห็นเราเอาตัวเองเป็นเครื่องสาธิตแล้ว คงกระทบใจได้ดีกว่าวาดคนอื่นมั่วๆ”

    “แนวคิดของงานประกวดเป็นยังไงล่ะนี่ ให้อิสระเต็มที่กระมัง?”

    “ฮะ แต่ต้องเป็นรูปที่สื่อความหมายเข้าใจง่ายกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่แนวแอ็บสแทร็กต์ที่ต้องแปลกันสองชั้นสามชั้นด้วยสายตาคนที่เข้าถึงด้วยกัน และต้องมีกาพย์หรือโคลงกลอนกำกับเพื่อขยายความในภาพ คือแบเนื้อหาให้กระจ่างขึ้น เจ้าภาพงานนี้แกศรัทธาแก่กล้าฮะ ให้รางวัลที่หนึ่งตั้งสามล้านแน่ะ ตื่นเต้นกันไปทั้งวงการ ทั้งอาจารย์ ทั้งพวกผมลงสนามกันครึกโครม”

    เรือนแก้วเบิกตาหน่อยๆ

    “ให้มากอย่างนั้นเลยรึ?”

    “ฮะ ขนาดรางวัลชมเชยตั้งสี่แสน แพงกว่าทุกงานในประวัติศาสตร์การประกวดภาพในไทยเลยล่ะ ข่าววงในบอกว่าส่งกันร่วมสามร้อยชิ้นเข้าไปแล้ว ขนาดจำกัดว่าส่งได้คนละผลงานเดียวนะนี่ เขาประกาศตามหนังสือพิมพ์มาหลายเดือนแล้ว พี่ไม่เห็นมั่งหรือ?”

    “ดูเหมือนเคยผ่านตานะ ที่ลงกรอบใหญ่ใช่ไหม? แต่ไม่ทันสนใจอ่านรายละเอียด แล้วเขาก็คงไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์อังกฤษที่พี่อ่านอยู่บ่อยเท่าไหร่”

    ยักไหล่เมื่อบอกเช่นนั้น ก่อนถามสืบมา

    “แล้วคิดไงเลือกส่งผลงานเกี่ยวกับความตาย?”

    ทีฆายุยักไหล่ หัวเราะหึๆ

    “เรื่องธรรมะกับวัยผมนี่เป็นของห่างกันฮะ ตอนหาคอนเซ็ปต์ก็ไปเปิดอ่านตำรากันจ้าละหวั่น ผมอ่านไปอ่านมาแล้วเข้าใจจริงขนาดเกิดแรงบันดาลใจอยู่เรื่องเดียว คือเดี๋ยวพวกเราก็ตาย เอาอะไรไปไม่ได้”

    ศิลปินหนุ่มแค่นยิ้ม ตาใส เห็นแล้วชวนให้นึกต่อคำพูดเขาจนจบว่า ‘เดี๋ยวก็ตาย รีบๆฉวยโอกาสกอบโกยความสุขซะให้ช่ำปอดก่อนม่องเท่งกันดีกว่า ชะเอิงเอย’

    เรือนแก้วถอนใจ หล่อนเองใช่จะซาบซึ้งรสธรรมสักเท่าไหร่ ต้องยอมรับว่าความโศกเศร้าสองเรื่องที่ประดังเข้ามาสุมอกพร้อมกัน ทั้งพ่อเสียและคนรักหลายใจ ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองลดลง และมองโลกด้วยสายตาที่แปลกเปลี่ยนไปบ้าง ทว่ากิเลสนั้นยังหนานัก เมื่อเห็นทีฆายุเอ่ยถึงความตายในฐานะผลงานชิงรางวัลด้วยตาใสและรอยยิ้มพราย ก็คล้ายสะท้อนภาพหล่อนเองให้เข้าใจสถานภาพปัจจุบันดีขึ้น

    “พี่แอ้ว่าไหม...”

    เขาปลุกหล่อนจากภวังค์คิด

    “บรรยากาศงานศพนี่แปลกกว่างานไหนๆทั้งหมด มัน...บอกไม่ถูกเนอะ เห็นคนแห่กันมาเยอะๆ นั่งดูโลงศพ ฟังพระสวด ใจคิดอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ นึกถึงเหตุการณ์หนหลังระหว่างคนตายกับตัวเราบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ สรุปแล้วมากันเพื่อแสดงความเป็นมิตรกับญาติคนตายตามมารยาทน่ะ ไม่ใช่มาให้คนตายเห็นหรือรับรู้หรอก มีแต่พวกเรา...โดยเฉพาะพี่แอ้มั้ง มาอยู่ที่นี่เพื่อลุงจอมจริงๆ จำได้จริงๆว่าลุงจอมมีความเป็นมายังไงก่อนจากไปอย่างนี้”

    ที่นั่งแถวนั้นยังว่าง ทีฆายุใช้เสียงระดับที่จะไม่ไปเข้าหูใครอื่น เรือนแก้วฟังแล้วยิ้มซึม

    “พี่ก็คิดตอนที่เธอพูดนี่แหละว่าถ้าคนตายเหลืออยู่แต่ในความจำของพวกเรา ก็ถือว่ายังไม่สูญหายไปจากโลกนี้จริง ต่อเมื่อพวกเราทุกคนตายตาม ค่อยถือว่าไม่เหลืออะไรทิ้งค้างไว้เลยแม้แต่เงา”

    ทีฆายุนั่งทำหน้ามู่ทู่คิดตามอยู่พัก ก่อนตาสว่างดีดนิ้วแป๊ะ ควักกระเป๋าเสื้อดึงสมุดโน้ตกับปากกาซึ่งเตรียมมาเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจเล่นแร่แปรธาตุเป็นบทกลอนกำกับผลงานตนโดยเฉพาะ

    เขาพลิกไปหน้ากลางๆที่เห็นข้อความและรอยขีดฆ่ายั้วเยี้ย เหลือที่สะอาดไว้เฉพาะกลอนสองบทในช่วงต้นหน้าขวามือ บัดนี้ก็ขีดฆ่าบทสุดท้ายทิ้งอีก แล้วบรรจงคิดเขียน ลองคำในที่ว่างส่วนอื่นอย่างรวดเร็ว

    เรือนแก้วปรายตามอง เห็นถนัดแค่บรรทัดแรก

     

    เห็นคนตายก็หมายรู้ เดี๋ยวกูด้วย...

     

    หัวใจกระตุกวูบ ผินไปเบิกตามองโลงศพสีขาวเบื้องหน้าอย่างไม่รู้ตัว หายใจขัดไปชั่วขณะ

    เดี๋ยวก็ถึงตาหล่อนไปนอนอยู่ในนั้น...

    แบกทุกข์ อุ้มสุขไว้แค่ไหนเดี๋ยวก็เอาไปทิ้งหายไว้ในนั้น...

    นานกระทั่งเสียงเด็กหนุ่มเอ่ยจากด้านข้าง

    “ขอบคุณนะพี่แอ้ ผมเลยได้ไอเดีย บทสุดท้ายเข้าทีขึ้นอีกหน่อย”

    เรือนแก้วซอยเปลือกตาถี่ๆ ก่อนขอว่า

    “เอามาดูมั่ง”

    “เดี๋ยวนะ ขอคัดใหม่ให้บรรจงหน่อย ลายมือผมเขี่ยๆอย่างนี้พี่แอ้อ่านไม่ออกหรอก”

    ทีฆายุพลิกหน้า แล้วคัดบรรจงสองบทบริบูรณ์ที่จำได้ขึ้นใจในหัว ใช้เวลาครู่ใหญ่ก่อนยื่นส่งให้หล่อน เรือนแก้วรับมาอ่านอย่างตั้งใจ

     
    เห็นคนตายก็หมายรู้เดี๋ยวกูด้วย   อีกไม่ช้าชราป่วยแล้วม้วยสูญ

    ศพวางนอนอย่างขอนไม้คล้ายอิฐปูน     รอขึ้นเผาให้เอาศูนย์มานับกาย

    เหลือเพียงชื่อให้ลือจำทำไมเล่า          เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย

    เหมือนกับเราเฝ้าจดจำแล้วกลับตาย    ชื่อก็วายกายก็วางว่างหมดกัน

     

    อ่านจบก็ขนลุก หน้ามืดวิงเวียนขึ้นมาชั่วขณะ

    ชื่อก็วาย กายก็วาง ว่างหมดกัน...

     

    ขับรถกลับ เนื้อตัวว่างโหวง ความทุกข์ ความถวิลหาคนรักแทบปลาสนาการเป็นปลิดทิ้ง เรือนแก้วรู้ว่านั่นมิใช่อาการสิ้นกิเลส เป็นการข่มกิเลสลงสนิทไปชั่วขณะ แต่ก็เห็นชัดว่าการดับใจคิดฟุ้งนั้น ดับด้วยใจคิดปล่อยวาง จะได้ผลเนิ่นนานกว่าฤทธิ์ทางสมาธิมาก

    สำคัญคือใจต้องวางจริง

    คนตาย หมดจากความเป็นบุคลิกหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดหนึ่งจริงๆ ต่อให้มีภพชาติใหม่ ก็ไม่ใช่ความเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว นี่เป็นสิ่งที่สามารถรู้ได้โดยทางตรรกะ ไม่จำเป็นอาศัยญาณเหนือสามัญวิสัย เพราะบุคคลย่อมเกิดจากพ่อแม่คู่หนึ่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง เติบโตขึ้นด้วยเหตุปัจจัยและประสบการณ์หลากหลาย หล่อหลอมจนกลายเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีปัจจัยเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีพ่อแม่คนเดิม ญาติสนิทมิตรสหายเดิม ใช้ชื่อเดิม ภาษาเดิม ความรู้สึกนึกคิดเดิมเป๊ะๆ

    ก็ขนาดชีวิตเดียวกัน ยังแปลกเปลี่ยนไปแปรในแต่ละวัยไม่ซ้ำ เหลือเพียงความละม้ายคล้ายคลึงอันเกิดขึ้นจากความสืบเนื่อง เรียนอย่างนี้ทำงานอย่างนั้น เข้ากลุ่มนั้นเกิดกิจกรรมอย่างโน้น คบเพื่อน พบเจอคนรักแบบใด ก็เกิดการเรียนรู้ เกิดพฤติกรรมโยกย้ายนานา เต็มไปด้วยรายละเอียดซับซ้อนพิสดารเหลือที่จะลำดับ แม้บุคคลผู้นึกว่าตนมีชีวิตสมถะเรียบง่ายที่สุดก็เถอะ

    หากเนื้อแท้ของสิ่งมีชีวิตคือการคลี่คลายเหตุปัจจัยไปสู่ผลลัพธ์ ซึ่งกลายเป็นเหตุปัจจัยใหม่สืบเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ก็แปลว่าที่สุดอนันตภาพคือกระแสสืบเนื่องของเหตุการณ์อันว่างวายอย่างน่าใจหาย นอกจากตัวความคิดว่ามีเราอยู่ในขณะหนึ่งๆแล้ว ไม่เคยมีเราอยู่ที่ไหน เวลาใดเลย

    รถติดไฟแดง นึกรำคาญรองเท้าคู่ที่กำลังใส่ จึงก้มลงด้วยเจตนาจะถอดออก เกิดประสบการณ์แปลกใหม่ขึ้นมาทั้งยังลืมตา ขณะก้มหล่อนสูดลมหายใจเข้าเห็นเป็นสายยาว พร้อมกันก็เห็นสัณฐานกะโหลกและรอยต่อช่วงก้านกระดูกต้นคอลงไป ในหัวสงัดเงียบจากความคิด จิตสงบเป็นหนึ่ง ขณะก้มลงปลดรองเท้า รู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากโครงกระดูกเคลื่อนไหว ข้อกระดูกสันหลังเป็นปล้องๆ และแผงซี่โครงซ้ายขวาอยู่ในลักษณะงอลง ซี่กระดูกแขนเหยียดยืด กระดูกมือคีบจับสายยึดและแกะปุ่ม

    เมื่อถอดทั้งสองข้างได้ก็หิ้วขึ้นด้วยเจตนาจะนำไปวางบนพื้นของฝั่งที่นั่งด้านข้าง อาการเอี้ยวตัวทำให้เห็นโครงกระดูกสันหลังยืดงออีกครั้ง ดูเหมือนมีแต่โครงกระดูกเคลื่อนไหวอย่างว่างเปล่า หาได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อแซ่ ความคิด ความทุกข์ ความรัก ความชัง

    รู้สึกว่าง รู้สึกวาง และทรงอารมณ์เนิ่นนานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความสงบกายช่วยก่อกระแสใจให้สงบนิ่งตาม และความสงบใจภายในนั้นเองย้อนกลับไปค้ำจุนกายให้สงบเย็นเป็นสายโซ่สืบเนื่อง

    เมื่อไฟเขียว รถเคลื่อนที่ เห็นตลอดรอบร่าง คล้ายย้ายการเห็นไปเริ่มที่ท้ายทอย เห็นการทรงตัวนั่ง เห็นการขยับแขนและมือบังคับพวงมาลัยรถ เห็นถนนกับไฟท้ายของรถรานอกกระจก เห็นความคิดรักษาอัตราเร็วให้พอดี เห็นทั้งหมดนั้นจะแปรไปเป็นร่องรอยในความทรงจำ จิตคล้ายยืดระยะออกไปมองมาจากอนาคต ทราบชัดว่าความเคลื่อนไหวอันว่างเปล่าเหล่านี้เองที่จะกลายเป็นอดีต สิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ นี้คือการเลื่อนไหลอันห้ามไม่หยุด ฉุดไม่อยู่

    ในโพรงกะโหลกนี้เอง เมื่อคลื่นลมสงบเหมือนน้ำนิ่ง ก็ดูนิ่งว่างไร้ตัวตน เห็นแต่สัณฐานกายปรากฏโดยปราศจากร่องรอยของอัตตา แต่เมื่อกระเพื่อมขึ้น ผุดความคิดและอารมณ์นานา ก็เกิดตัวตนขึ้นอีก ทั้งที่ยังอาศัยโพรงกะโหลกอันเดียวกัน แกนอ้างอิงอันเดิมนี้เอง

    นาทีแห่งความประจักษ์นั้น เรือนแก้วเกิดความสุข เป็นสุขในอีกระนาบหนึ่งที่พ้นขึ้นมาจากรสสัมผัสแบบโลกๆ รสแห่งความสงบช่างเลิศแท้ เกิดความรู้ตัวว่าตนมีเชื้อสายของผู้ปฏิบัติธรรม แสวงทางสู่วิมุติคนหนึ่ง เป็นวาระแรกแห่งการรู้ตัว แม้เคยเกิดประสบการณ์เห็นกาย เห็นอนัตตาจากจิตรู้ภายในมาแล้วหลายครั้ง ก็ไม่เคยดื่มด่ำเท่านี้เลย

    สัมผัสชัดถึงพลังที่มีน้ำหนักเป็นกลุ่มเป็นดวง จึงคิดแผ่เป็นกระแสไปโดยรอบเหมือนละลายน้ำแข็งก้อนใหญ่ลงน้ำในอ่างเล็ก ซึ่งก็คือปริมณฑลใกล้ตัวเท่าที่จิตกำหนดแผ่ได้ ทั้งหมดนั้นรู้เองด้วยสัญชาตญาณทางจิต

    เมื่อเกิดวาระที่จิตเป็นมหากุศล เรือนแก้วรีบเข้าข้างทางหาที่จอด แล้วปิดตา ประคองรู้กระแสความเย็นสนิทน่าพิสมัยนั้น กำหนดนึกถึงใบหน้าผู้เป็นบิดาเมื่อครั้งยังมีชีวิต ที่สามารถส่งเสียงและเคลื่อนไหวได้ รวมเป็นบุคลิกของท่านเท่าที่หล่อนคุ้นชินมาแต่อ้อนแต่ออกปรากฏชัดอยู่ในหัว

    จากนั้นจึงคิดว่ามหากุศลนี้ได้จากการที่ศพพ่อแสดงตัวเป็นเทวทูตสอนลูก ฉะนั้นขออุทิศความสว่าง ความเยือกเย็นที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ ไม่ว่าพ่อจะอยู่ที่ไหน ขอจงรับรู้และโมทนาด้วยเถิด…

    ออกรถต่อด้วยความปลอดโปร่ง เย็นใจ คล้ายทำงานหนักสำเร็จลุล่วง อย่างน้อยได้ทำหน้าที่ลูกสุดความสามารถแล้วในตอนนี้

    ขับเข้าเขตคอนโดมิเนียมด้วยความรู้สึกแสนดี วันนี้ยามเฝ้าทางลงที่จอดรถใต้ดินตะเบ๊ะให้แล้วเรือนแก้วนึกมีแก่ใจยิ้มและโบกมือตอบ ปกติแค่ทำเฉยหรืออย่างมากพยักหน้านิดหน่อย

    วิ่งวนสามชั้น บ่ายหน้ารถเข้าจอดช่องประจำห้องตามปกติ ดับเครื่องแล้วเอี้ยวตัวก้มลงหยิบรองเท้าที่วางอยู่บนพื้นรถด้านข้าง พยายามนึกให้เห็นเป็นความเคลื่อนไหวโครงกระดูกอันว่างเปล่าอีก แต่แย่หน่อยเกิดความคิดถึงเกาทัณฑ์ขึ้นมาขัดแทรกเสียก่อน

    ป่านนี้เขากำลังทำอะไรอยู่หนอ งานศพก็ไม่มานั่งเป็นเพื่อน…

    แต่คิดครั้งนี้แผ่วมาก คล้ายระลอกน้ำในสระที่กระเพื่อมจากแรงปะทะของหินก้อนเล็ก ไม่ไหวตัวเป็นคลื่นใหญ่ ฟุ้งซ่านวกวนเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอดวัน การเห็นธรรม การปล่อยวางได้ ให้ผลดีประจักษ์ใจเช่นนี้เอง

    ใส่รองเท้า เปิดประตูลงมา จัดการล็อกรถ แล้วก็ต้องเหลียวหน้าไปทางขวามือด้วยความเอะใจชอบกลที่ได้ยินเสียงรองเท้าเบอร์ใหญ่กระทบพื้นเป็นจังหวะประหลาดในความรู้สึก คล้าย...คล้ายการรุกคืบเข้ามาของวิญญาณร้าย

    ร่างโย่งผ่านมุมบังเสาใหญ่ ย่างสามขุมเข้าหาหล่อน แม้ก้าวช้า แต่ขายาวทำให้รุดใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ดูทะมึนหลอกตาราวกับเงาอสุรกาย นัยน์ตากระหายเลือดที่ส่งแรงอาฆาตพวยพุ่งมากระทบทำให้มืออ่อนเท้าอ่อน เย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ…ไซ!!

    ขนหัวลุกชันและแผ่ลามไปทั่วกาย คล้ายถูกสาปเป็นหิน หรือถูกตรึงนิ่งขยับขาไม่ออกด้วยแรงยึดมหาศาล เห็นไซย่างเท้าพลางดึงปืนพกติดท่อเก็บเสียงขึ้นมาจากชายเสื้อด้านในอย่างใจเย็น เรือนแก้วคิดว่าตนพุ่งหนีเตลิดหัวซุกหัวซุน แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังขาสั่นอยู่ที่เดิมสนิท

    พอคู่พยาบาทเข้าถึงตัวก็กดกระบอกปืนที่กลางหน้าผากหล่อนแล้วถามเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

    "มึงเคยจ่อกูตรงนี้ใช่ไหม?"

    สานตากันนิ่งชั่วขณะ ฝ่ายหนึ่งเหี้ยมอำมหิตอย่างผู้มาเอาชีวิต อีกฝ่ายขลาดกลัวอย่างผู้จะถูกเอาชีวิต แปลกที่ได้ยินเสียงกระซิบจากฐานกุศลจิตว่าจะไม่เป็นอะไร...ไม่เป็นไร

    สูดลมหายใจเข้าปอด สายตาเห็นนิ้วในโกร่งไกปืนค่อยๆเหนี่ยว เรือนแก้วพริ้มตาปิดลง จิตรวมลงผุดความคิดปล่อยวางทุกสิ่ง เรียวปากขมุบขมิบเปล่งวาจาสุดท้ายในชีวิต

    “อโหสิ”

    ...

    ฟุด!!

    คล้ายเกิดแสงวาบและเสียงลั่นเปรี๊ยะหน่อยๆในกะโหลกอันเปราะบาง ก่อนที่ความรับรู้ทั้งมวลจะดับวูบลงเหมือนตลบม่านดำมืดปิดฉากกั้นสายตาตนในฐานะผู้แสดงบนเวที ไม่ให้เห็นผู้ชมในละครโรงใหญ่อีกต่อไป

    ร่างในชุดดำรูดลงนั่งพับเพียบนิ่งพิงรถ น่าแปลกในสายตาของไซที่ไม่ยักล้มลงนอนกองเป็นหยวกดังควร ใบหน้างามฉาบฉายราศีแปลกราวกับคนกำลังหลับฝันดี ไซหรี่มองอย่างสงสัยนิดหนึ่ง แต่รูกลางแสกหน้าเท่านั้นที่มันสนใจ และทำให้เลิกชายเสื้อสอดปืนเก็บได้อย่างหมดห่วง หมุนตัวเดินกลับเร้นกายจากอาคารตามลู่ทางที่ศึกษาไว้แล้วอย่างดี

    สมองส่วนหน้าถูกทำลายเฉียบพลัน ความรู้สึกเจ็บจึงไม่เกิด ทว่าถัดจากวูบความรู้สึกที่หายไปชั่วขณะ จิตอันปราศจากชื่อเห็นร่างซึ่งตนครองทรุดลงกองนิ่งในท่านั่ง คล้ายมองเมินอย่างเฉยชามาจากเบื้องหลัง หรือคล้ายสลบแบบเหลือความรู้ตัวไว้แบบน้ำมันฉาบทาก้นกระทะ คือมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ ปราศจากความคิดยินดียินร้ายเสียดายชีวิตอย่างสิ้นเชิง

    แวบต่อมา คำว่า ‘อโหสิ’ ดังขึ้นย้ำๆในความรับรู้ เป็นคำที่ ‘ตน’ กล่าวเอง บันดาลความโปร่งโล่งวางสบายให้ปรากฏ ถัดจากนั้นเป็นการทบทวนขณะจิตที่สุขสงบระหว่างขับรถเดินทางกลับ ซึมซับความรู้เห็นกายใจเป็นอนัตตา รับทราบการแผ่รัศมีอร่ามเรืองแห่งจิตอันประกอบพร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นธรรมอันตั้งไว้ถูก บังเกิดความปรีดาปราโมทย์ว่าตน ‘ทันเห็น’

    ถัดจากนั้นคือภาพเคลื่อนไหววูบวาบที่รวดเร็ว คล้ายเกิดการสำรอกสิ่งที่เก็บกักไว้ในกล่องความจำ รู้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นภาพเหตุการณ์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่อาจกล่าวว่า ‘ครบถ้วน’ เพราะถ้าชีวิตคือภาพยนตร์ นี่ย่อมมิใช่การฉายหนังซ้ำอีกรอบ แต่เป็นการคัดเฉพาะ ‘สาระ’ การกระทำที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเวทีชีวิตฉากนี้มาทบทวน เพื่อประมวลแล้วคัดเลือกทางไปของตนตามยถา

    ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น ถ้าหากจิตเป็นกลาง น้ำหนักของกรรมที่ทำประจำจะดันตัวเองขึ้นมาก่อน และลากจูงภาพเหตุการณ์สอดคล้องตามมา ทว่า ณ บัดนี้จิตเอียงข้างกุศล และเป็นกุศลหนักยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยการพิจารณาเห็นอนัตตธรรมในกาย หรือด้วยการเปล่งวาจาอโหสิแก่เจ้ากรรมนายเวร จัดเป็นกรรมใกล้ตายหรือ ‘อาสันนกรรม’ ฝ่ายกุศล ภาพเหตุการณ์ที่ถูกลากจูงมาจึงล้วนเสริมกำลังจิตให้เห็นราวกับบำเพ็ญแต่บุญกุศลมาทั้งชีวิต

    ผุดภาพสารพัน ที่ฝังลืมไปแล้วสนิท เช่นครั้งประถมอ่านนิทานธรรมะเกี่ยวกับพุทธประวัติ รู้สึกสนุกระคนซาบซึ้ง เลยหยิบยื่นให้เพื่อนบางคนที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องสมุด ชักชวนให้อ่านตาม เพียงด้วยใจคิดว่าอยากให้เพื่อนได้รับรสน่ายินดีเช่นตน ภาพนั้นที่ปรากฏในบัดนี้เห็นเป็นบุญนิมิตสว่างไสวน่าปลาบปลื้มยิ่งกว่าตอนเป็นตัวตั้งตัวตีรณรงค์ชักชวนบริจาคหนังสือสมัยร่วมกิจกรรมมหาวิทยาลัยเสียอีก

    เคยเห็นมดตัวหนึ่งตกลงไปในส้วมซึมที่โรงเรียน รู้สึกสงสารเมื่อเห็นมันดิ้นกระแด่วอย่างจะตายมิตายแหล่ จึงอุตสาหะช่วยเหลืออย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งที่รังเกียจน้ำในส้วมจะแย่ ยังเพียรแหย่ปลายนิ้วไปช้อนมันขึ้นมา ต้องทุ่มเวลา ทุ่มกำลังฝืนใจอยู่อึดหนึ่งกว่าจะสำเร็จ บังเกิดความโล่งอกผ่องแผ้วที่สามารถ ‘ช่วยชีวิต’ นั่นไม่ใช่บุญเล็กน้อยอย่างที่เคยนึก เพราะแม้มดจะตัวเล็ก ไม่ใช่นาบุญใหญ่ ทว่าก็เป็นสัตว์มีวิญญาณ เมื่อสละเวลาพยายามเข้าช่วยเต็มกำลังแล้ว กลายเป็นการเพิ่มเชื้อความดีได้อย่างมหาศาล ฝึกจิตไม่ให้ดูดายแม้ความเดือดร้อนเพียงเล็กน้อยของผู้อื่น

    กองบุญเป็นภูเขาเลากา เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง สว่างมาก สว่างน้อย รายเรียงยืดยาว ในภาวะเหมือนแล่นเรือเร็วไปในทะเลกุศลนั้น มีบางภาพกระเพื่อมขึ้นมาฉุดให้เขวบ้างเหมือนกัน เช่นที่เมื่อเช้าเกิดความคิดอยากขจัดขวากหนามของตน คือผู้หญิงอีกคนของเกาทัณฑ์ทิ้ง นับเป็นเชื้อปาณาติบาตขั้นแรงอย่างหนึ่ง ยังดีหรอกที่เวลาในชีวิตหดสั้น ไม่ทันบ่มเพาะจนเข้าขั้นฟักตัวเป็นการลงมือทำจริง

    หรืออีกภาพเช่นที่เคยกล่าววาจาเผ็ดแสบให้ผู้บังเกิดเกล้าเสียใจจนแน่นหัวอก อันนั้นก็ทันได้สำนึกและขอคำอโหสิแล้ว เป็นอันว่าแผ่วลงจนไม่มีอำนาจมานำทางเกิด หรือเด่นขึ้นเป็นชนกกรรมได้ สรุปคืออกุศลกรรมหนักๆคล้ายแมลงสาบที่พยายามกระดืบมุดให้รอดจากใต้พรมขาวหนาหนักผืนใหญ่ ปรากฏได้เพียงระลอกคลื่นลูกเล็กนิดเดียว ไม่ทันมีโอกาสผ่านได้พ้นปลายพรมขึ้นแสดงตัวแจ่มชัดว่าข้าคือแมลงสาบรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ก็ขาดใจตายเสียก่อนในระหว่างทางนั่นเอง

    ภวังคจิตคือตัวสร้างภพนี้เป็นธรรมชาติลึกซึ้ง ระหว่างมีชีวิตซุ่มนิ่ง คล้ายถูกกำหนดให้ซ่อนตัวไว้เปิดไต๋ในขั้นสุดท้าย ให้ระทึกว่าเป็นเรื่องหลอกหรือของจริง

    ต่อให้คนเชื่อว่าภพชาติมี ก็ใช่จะเห็นแจ้งลึกลงไปในดวงจิตอันนึกว่าเป็นของ ‘ตน’ แท้ๆ จิตนั้นมีชั้นการทำงานพิสดารสุดหยั่ง เช่นตัวก่อภพจะอยู่ในภาวะภวังค์ ไม่เชื่อมต่อกับสำนึกคิดอ่านผิวเผิน จะถูกหยั่งเห็นและเข้าใจกระจ่างแจ้งได้ในอีกภาวะที่อยู่เหนือสำนึก ซึ่งภิกษุในพุทธศาสนา และฤาษีชีไพรนอกพุทธศาสนา ต่างเห็นกันมาช้านาน ทว่าปริปากบอกเล่าให้คนธรรมดาทั้งหลายรับฟังเป็นภาษาพูดแล้ว เรื่องจริงก็กลายเป็นโกหกไป หรืออย่างดีก็น่าคลางแคลงอย่างนั้นอย่างนี้

    จิตที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์จะสะเด็ดสิ้นแล้วจากภาวะสร้างภพ เพราะตัวสร้างภพถูกประหารด้วยไฟล้างทั้งสี่ดวงอย่างเด็ดขาด ตั้งต้นด้วยโสดาปัตติผล ลงท้ายที่สุดด้วยอรหัตตผล จังหวะสุดท้ายของชีวิตนี้เองคือผลลัพธ์สูงสุดของพระพุทธศาสนา วิสุทธิจิตจะไม่ปฏิรูปตัวให้อยู่ในลักษณะก่อภพใหม่ เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กายสลายแล้ว ตัวรู้แท้อันวิสุทธิ์จะรวมลงกับนิพพานอันเป็นปรมังสุขขังและปรมังสุญญัง เหมือนน้ำในแก้วที่ไหลลงเป็นอันเดียวกับมหาสมุทร น้ำนั้นไม่หายไป แต่ก็ไม่อาจกล่าวว่าอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ทรงอยู่ในอิสรภาพสถาวร ไม่เวียนว่ายเสวยทุกข์จากการครองอัตภาพที่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกต่อไป

    แต่หากยัง ‘อยากเป็น’ อะไรอยู่ จิตยังมีการฉายสาระชีวิตที่เพิ่งตกล่วงให้ตนเองดู ยังถูกเกาะเกี่ยวห่อหุ้มด้วยกุศลและอกุศล ยังอุปาทานไปว่านี่ใจเรา นี่ร่างเราตาย นี่กรรมเราก่อ ก็ยังต้องเดินหน้าปฏิรูป สืบทอดภาวะปรุงแต่งต่ออีกเช่น ณ บัดนี้…

    เวลาผ่านไปเท่าใดยากจะกำหนด คล้ายเบื้องบนเปิดโล่งออกให้แสงโพลนสาดเต็มกระจ่างจ้า เป็นการทอแสงฉ่ำละอองใสระยิบระยับ แผ่ซ่านลงมาประหนึ่งจะอาบรดดวงวิญญาณให้สะอาดใสพรักพร้อม และเพื่อบอกให้เชื่อเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร เดี๋ยวกำลังจะได้ไปไหน

    จิตผู้รู้หลงเพลินพิสมัยในแสงสวย เนานิ่งเป็นสุขกับการถูกละอองทิพย์ชโลมอาบ หากกล่าวเป็นภาษามนุษย์ จิตนั้นคงรวมความรู้สึกปีติเป็นล้นพ้นลงเป็นคำๆเดียวซ้ำๆว่าดีใจ...ดีใจ

    เมื่อเห็นแสงทิพย์ ก็แปลว่าสภาพของตนเป็นทิพย์ด้วย เพราะถูกพิพากษาจากจิตอันเห็นกรรมรวมแล้ว และนั่นเองภาวะเคลื่อนจากภพเดิมไปสู่ภพใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น อย่างที่เรียก ‘จุติจิต’ กายทิพย์เริ่มปั่นตัวอย่างแรงแบบฉับพลันทันใด จนมุมมองจากความรู้สึกภายในปรากฏเหมือนถูกดูดผ่านเกลียวท่อที่มีความสว่างทางปลายอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมีแรงหมุนรับชนิดเดียวกันรออยู่

    ผู้เคยเฉียดความตายจะเห็นและกลับมาเล่าว่าตนกำลังเข้าสู่อุโมงค์ ผู้มีตาทิพย์ที่มองจากภายนอก เห็นเข้ามาในภาวะการตายเท่านั้น จึงหยั่งทราบว่าแท้จริงเป็นการปั่นตัวของจุติจิต ซึ่งถ้าเคลื่อนจริง ถึงภพใหม่จริงแล้ว จะไม่มีวันกลับมาเข้าร่างเก่าได้เลย ที่ยังกลับได้ก็เพราะอยู่ในภาวะครึ่งๆกลางๆ หรือเรียกครึ่งผีครึ่งคนเท่านั้น

    วิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนแก้วเคลื่อนเข้าหาปลายทางทิพยา จิตหมุนติ้วในภาวะปฏิสนธิ ยังเหมือนอยู่ในเกลียวอุโมงค์ แต่กลับฟากมุมมองกันกับคราวแรก คือครั้งนี้เป็นมุมมองย้อนลงต่ำ ปราศจากอุปสรรคและเหตุให้ย้อนกลับใดๆ ถัดจากนั้นทุกอย่างก็สงัดนิ่ง ปราศจากความรับรู้เป็นครู่ เหมือนสลบไสลชั่ววูบ กระบวนการทั้งหมดดำเนินด้วยวิถีธรรมชาติ ไม่ขึ้นกับความคิด ความเชื่อทางศาสนาไหน

    ร่างทิพย์ผุดเต็มก่อน เป็นพานทองรองรับความรู้สึกในตัวตนวาระแรก จิตที่ยังประกอบพร้อมด้วยอุปาทานคล้ายเห็นไปว่า ‘ตน’ ออกจากฝัน เปลี่ยนแปลกสู่ความเต็มตื่น เปลือกตายังปิดสนิท แต่เห็นและสัมผัสจากภายในถึงความลออองค์ สภาพละเอียดอ่อนสุขุมแสนประณีต มหิทธิอำนาจที่อัดแน่นแล่นตลอดเรือนกายทำให้เกิดพลังรู้แช่มชัดน่าตื่นใจ ตระหนักในบัดดลว่าสิ่งนี้เองเรียกทิพยสภาพ แดนนี้เองคือสรวงสวรรค์!!

    ระลึกได้ในขณะจิตเดียวว่าตน ‘ย้าย’ จากความเป็นมนุษย์ผู้หญิงชื่อเรือนแก้วมาเป็นโอปปาติกะ หรือร่างอันบันดาลขึ้นด้วยวิบากกรรม เกิดผุดและโตเต็มตัวทันที

    แต่หากมองจากมุมของผู้เคยเข้าถึงความเกิดดับสืบเนื่องในธรรมชาติ จะหยั่งเห็นด้วยตัวรู้ที่เป็นกลางว่าสภาพมนุษย์ดับลงในขณะแห่งจุติจิต แล้ว ‘สืบทอด’ เป็นสภาพเทวนารีในขณะแห่งปฏิสนธิจิต มิใช่สิ่งเดียวกัน เป็นต่างหากจากกันแล้ว ประมาณเดียวกับหัวไม้ขีดที่ลุกโพลงขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเพื่อต่อไฟให้ไส้เทียน พอหมดหน้าที่ก็ดับลง เป็นคนละอันกับไฟเทียน ทว่าสืบทอดความลุกไหม้ เปล่งสว่างมาครบทุกประการ

    ความสำคัญมั่นหมายอันเป็นวิสัยธรรมดาของสัตว์ในสังสารวัฏนั่นเอง ทำให้เกิดการมองไปว่าตนย้ายจากสภาพหนึ่งมาเป็นอีกสภาพหนึ่ง พยานหลักฐานคือความคิด ความจำที่สืบทอดมาครบถ้วนในบัดนี้ จำได้สนิทว่าตน ‘เคย’ ชื่อเรือนแก้ว พ่อแม่เป็นใคร ทำสิ่งใดไว้บ้าง รู้จักผู้คนและส่ำสัตว์ในโลกมนุษย์มาแค่ไหน และล่าสุดคือดับดิ้นสิ้นชีพเพราะเหตุเภทภัยใด

    ค่อยๆเผยอเปลือกเนตรขึ้นจนเต็มหน่วย ภาพกระจ่างตรงหน้าคือเรือนอาศัยแห่งตน โปร่งโล่งอาภาควรแก่ความสบายใจ ชะงักรีรออยู่เป็นครู่ ตระหนักรู้ว่ากำลังอยู่ที่ใดแน่แล้ว จึงค่อยๆหมุนองค์ เพ่งพิศสมบัติอันหยั่งทราบว่าเป็นของตนด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ พื้นนิสัยช่างสังเกต ชอบกวาดเก็บรายละเอียด ทำให้แลทะลุไปทุกซอกมุมแบบไม่ยอมให้อะไรตกหล่นจากความรับรู้ไปแม้แต่ชิ้นเดียว

    เทวดาและนางฟ้าเกิดใหม่ที่ผุดขึ้นในวิมานตนเองมักมีอาการคล้ายกันเช่นนั้น คือยิ้มกว้างจนสุด และกวาดพินิจสมบัติด้วยความตื่นตาเป็นอันดับแรก กึ่งๆจะประหลาดใจอยู่บ้างกับการเปลี่ยนอัตภาพ พิสูจน์ประจักษ์ตาว่าความดำรงอยู่ต่างมิติไปจากมนุษย์นั้นมีอยู่จริง เมื่อพ้นจากความประหลาดใจในวูบแรกแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นเห็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพิเศษมากมายนัก เนื่องจากวิสัยสามัญของดวงจิตเทพมีลักษณะรู้ชัดตลอดสายในขอบเขตแห่งตน ไม่ต้องผ่านกระบวนกลั่นกรองเป็นขั้นลำดับจากชั้นเรียนอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษาเยี่ยงมนุษย์แล้วค่อยแน่ใจว่าตนเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นอะไร มีกิจธุระหน้าที่ให้รับผิดชอบประการใดบ้าง

    โดยรอบคือผนังทั้งสี่ กำเนิดจากธาตุอันหาที่เปรียบบนโลกมนุษย์ไม่เจอ เพราะหากกล่าวว่าเป็นแก้ว แม้บ่งว่าเป็นผลึกเจียระไนอันสูงค่า ก็จะชวนให้นึกถึงวัตถุโปร่งใสสามัญเสียก่อน ซึ่งเปรียบอย่างไรก็ไม่สมน้ำสมเนื้อเลย คงพอกล่าวได้แค่เพียงว่าตัวเรือนวิมานของนางเป็นธาตุทิพย์เหลืองเรื่อทองอันงามเกินพรรณนาชนิดหนึ่ง ดูไม่กระด้าง สะท้อนรับแสงทิพย์จะเรืองรองละไม มองแล้วเกิดความรู้สึกอ่อนอุ่น ปลอดภัยไร้กังวล ขณะเดียวกันก็รักษาสภาพเย็นพอดีกาย น่าชอบใจไว้ด้วย

    ทุกรูปทุกเหลี่ยมทรงในห้องอันประดับประดาด้วยเครื่องแก้วแพรวประหลาดนั้น ดูสดสีอลังการและชัดกริบ เสมอดุล ไม่แหว่งบิ่น ไร้รอยขีดข่วน ปราศจากที่ติอย่างสิ้นเชิงในการแลพินิจด้วยคมเนตรอันกว้างขวางไร้มลทิน จักษุเทวดาไม่มีหยากเยื่อสกปรกบรรจุอยู่ข้างใน ไม่มีการบกพร่องแบบสายตาสั้นยาว ไม่มีการเขเอียงหรือชำรุดทรุดโทรมตามปัจจัยต่างๆ เนื่องจากอยู่ในสภาวะทิพย์ทั้งแท่ง ดังนั้นเมื่อประจวบเข้ากับรูปทิพย์จึงเป็นการเห็นอันวิสุทธิ์ ความสุขและความรู้สึกทั้งมวลที่เกิดจากการเห็นจึงพลอยประณีตลึกซึ้ง เป็นคนละระดับชั้นกับการเห็นในแบบมนุษย์เบื้องล่าง

    สถาปัตยกรรม เครื่องนั่งนอน และของประดับในวิมานเทพนั้นปฏิรูปไปตามความคุ้นของจิต มิได้มีการเจาะจงลงตัวว่าต้องเป็นของประเทศไหนสมัยใดอย่างที่หลายคนถกเถียงกัน ธาตุทิพย์ก็เหมือนธาตุหยาบที่ผสานสร้าง ปรับแปรรูปได้เป็นอสงไขย อีกทั้งผสมแนบเนียนกลมกลืนกันยิ่งกว่าธาตุหยาบ เพราะปราศจากข้อจำกัดทางกายภาพให้คำนึงถึงเช่นการเข้าต่อ การเชื่อมติด และการค้ำกันแบบของแข็งในพิภพมนุษย์ อีกทั้งธรรมชาติการผูกรูปสร้างสรรค์นั้น เป็นไปด้วยความพิสดารพันลึกแห่งอำนาจทิพย์ มิใช่ความฉลาดรังสรรค์ของสถาปนิกและวิศวกรมือเอกแต่อย่างใด

    เช่นปรากฏเบื้องหน้านางในบัดนี้ คือ ‘ห้องรับแขก’ ที่แม้ประดับด้วยสมบัติน้อยชิ้น แลดูเพียงผาดจะ ‘คล้าย’ ที่เคยเห็นในบ้านเศรษฐีมั่งคั่งยุคปัจจุบัน เช่นมีชุดโซฟา ตรงกลางมีโต๊ะ มีแจกันดอกไม้ ผนังห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเช่นชั้นวางเครื่องแก้วบ้าง ศิลปแขวนลอยบ้าง แต่ก็ผิดแผกพิสดารกว่าในเนื้อหาที่พอจำแนกได้ชัดหลายประการ

    โดยความเป็นเครื่องประดับนั้น ทุกภพภูมิจะมีลักษณะร่วมกันอยู่ประการหนึ่ง ได้แก่ความมันเงาวาววับ สีสดเล่นเลี้ยวตัดกันจับตา เห็นแล้วควรเบิกตาตะลึงแล หากเป็นอัญมณีชั้นสูงของมนุษย์ ก็จะมีอำนาจในตัวเอง เป็นบารมีใหญ่แก่เจ้าของ สัมผัสได้ด้วยใจ และกระทั่งวัดได้ด้วยเทคโนโลยีตรวจค่าสนามพลังในยุคปัจจุบัน

    แต่สมบัติของเทพผู้มีวาสนาแก่กล้า มักเลิศล้ำพันลึกจนเกินสติปัญญาของสามัญมนุษย์อาจคิดสร้างเลียนแบบ ยกตัวอย่างเช่นแจกันใส่ดอกไม้บนโต๊ะ มนุษย์จะคิดเพียงชั้นเดียว คือเอาไว้ปักดอกไม้งาม ลวดลายแกะสลักหรือวัสดุเนื้อดีที่ใช้ประดิษฐ์ล้วนเป็นไปเพื่อปรุงแต่งเสริมเติมให้บรรดาดอกไม้สีสดดูมีค่ายิ่งขึ้นตามครรลองตาเนื้อของผู้คน

    ทว่าแจกันที่เห็นวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องเบื้องหน้า ที่มีเนื้อใสพอให้นึกเทียบเคียงกับแก้วผลึกเจียระไนชั้นเลิศนี้ ตีค่าได้มากมายเป็นเอนก ต้องดูกันเป็นข้อๆ ลองว่าเฉพาะความเป็นเครื่องประดับที่ปรากฏให้เห็นก่อน ทั้งความงามงดของเนื้อแก้วก็ดี แสงทิพย์ที่สาดกระทบก็ดี นัยน์เนตรอันปราศจากฝ้าธุลีแห่งนางเองก็ดี รวมแล้วก่อให้เกิดจักขุวิญญาณ หรือการรับรู้ทางคลองเนตรอันสุขุมวิจิตร บันดาลสุขเวทนาให้เติบตามวิถีสวรรค์ หากจะนึกอนุมานถูกว่ามองแล้วอิ่มสุขปานใด ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่ผ่านอุปจารสมาธิ เสพมหาปีติเป็นภักษามาแล้วสักครั้ง

    ความแตกต่างมิได้สิ้นสุดเพียงการเห็นภายนอก เพียงมองแวบเดียวนางก็รู้ทันทีว่าภายใต้ความงามยังแฝงซ่อนคุณสมบัติที่บุญฤทธิ์ ‘ออกแบบสร้าง’ ไว้อย่างน่าทึ่งอีกหลายประการ ประยุกต์ใช้ได้ตามปรารถนาหลากหลาย ชนิดที่ความคิด ความฉลาดออกแบบของมนุษย์ไม่มีวันไต่ระดับมาได้ถึง

    เช่นนางเรียนรู้ได้ในอึดใจแรกว่าเมื่อส่งป้อนคลื่นความสุขจากใจเข้าหา จะเห็นแจกันดอกไม้แปรสภาพเป็นกระจกเงามหัศจรรย์ คือเปล่งประกายบรรเจิดจรัส เกิดกราวเสียงกรุ๊งกริ๊งเสนาะนุ่ม ส่งกลิ่นหอมเกินตัวดอกไม้ที่ปักอยู่ รวมทั้งรำเพยละอองไอฉ่ำชวนฝันกลับมา ยกระดับความสุขที่มีอยู่เดิมให้ขยายผลขึ้นได้ เนื่องจากส่งใจไปทีเดียว สะท้อนกลับมาเป็นผัสสะถึงสี่ช่องทางพร้อมกัน คือตาเห็นรูปงามขึ้น หูได้ยินเสียงไพเราะขึ้น จมูกได้กลิ่นหอมขึ้น และกายได้สัมผัสละเมียดขึ้น

    สิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายบนโลกมนุษย์เป็นเครื่องสะท้อนว่าเมื่อวัตถุใดเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับจิตวิญญาณที่มีสติปัญญาและเจตจำนงรังสรรค์แล้ว มักเกิดรูปก่อร่างเพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์หนึ่งๆที่ชัดเจน เช่นทำแก้วให้เป็นแจกันปักดอกไม้สวยวางอวดบนโต๊ะรับแขก

    แต่บรรดาเครื่องประดับบนโลกสวรรค์นั้น เป็นเครื่องสะท้อนว่าถ้าธาตุทิพย์เข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับวิญญาณที่มีบุญฤทธิ์ระดับสูงเข้าแล้ว จะเกิดรูปก่อร่างเพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งลากจูงส่วนสัมพันธ์อันแหวกแนวเกินจินตนาการมนุษย์มาด้วย ชนิดที่ยิ่งวิเคราะห์เป็นลำดับจะยิ่งน่าเกาหัวงุนงงไม่รู้จบ ของชิ้นเดียวสามารถรวมความหลากหลายไว้ในตัว แม้บางชิ้นรูปร่างหน้าตาคล้ายที่เห็นบนโลก ก็พิสดารกว่ากันจนสมควรบัญญัติศัพท์เฉพาะใหม่มาใช้แทนเลยทีเดียว เช่นแจกันนี้ ที่อาจใช่ทั้งเครื่องปักแสดงดอกไม้ และกระจกเงาขยายคลื่นความสำราญให้แก่เทพผู้เป็นเจ้าของอีกโสด จึงไม่น่าเรียก ‘แจกัน’ เฉยๆแล้ว

    นางยังพบในภายหลังอีกว่าเครื่องประดับและเครื่องเรือนหลายต่อหลายชิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างด้วยเครื่องมือตัดแต่งใดๆ เนื่องจากสถานภาพแข็งแกร่งและอำนาจพลังในตัวเองของพวกมัน ไม่อาจหาธาตุทิพย์ด้วยกันอันใดกัดเซาะให้เกิดลายสลักหรือรอยตัดแบ่ง การก่อรูปของสมบัติสวรรค์จึงมักบันดาลขึ้นจากบุญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ของบรรดาเทพเจ้า ซึ่งครอบงำอยู่เหนือธาตุทิพย์ทั้งหลายทั้งปวง

    ของบางชิ้นมีลวดลายละเอียดยิบ ชนิดที่ถ้าตกไปถึงมือคน และคิดสร้างเลียนแบบด้วยวัสดุมีค่าใกล้เคียงที่สุด ก็จะต้องอาศัยเทคโนโลยีการตัดแต่ง โม่บด สลักลาย และขัดมันล่าสุดเป็นเวลานับสิบหรือนับร้อยปีต่อเนื่องกันไม่พัก โดยผลสุดท้าย แม้ละเอียดประณีตปานใด ก็ยังต้องตกค้างร่องรอยการตัดแต่งด้วยเครื่องมือ ถึงมองตาเปล่าไม่เห็น ก็อาจพิสูจน์ได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน ทว่าสำหรับสมบัติเทพแล้ว ต่อให้เครื่องมือขยายประสิทธิภาพสายตาที่ยิ่งกว่ากล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนกี่พันเท่า ก็จะไม่พบร่องรอยเครื่องมือตัดแต่งเลยแม้เท่าธุลี

    ว่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตเทพกับเนื้อแก้วทิพย์ ก็มีสิ่งน่าสังเกตหลายประการ โดยเฉพาะแก้วที่กำเนิดด้วยบุญเก่าเพื่อเป็นสมบัติทิพย์เฉพาะของเทพแต่ละองค์ เมื่อนางทดลองมองลงไปในเนื้อแก้วจนจิตดิ่งและด่ำดื่มเหมือนฝันหวานล้ำลึก ก็สามารถเล่นกับคลื่นความหฤหรรษ์ แปรสุขเวทนาให้เป็นต่างๆหลากรูป จินตนาการด้วยสมองอันจำกัดด้วยผัสสะห้าธรรมดาไม่ได้

    เรื่องนี้พอเทียบกับสิ่งที่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์บนโลกมนุษย์ เช่นการเพ่งมองแก้วคริสตัลก้อนใหญ่ๆด้วยจิตที่เป็นหนึ่ง แก้วคริสตัลจะทำตัวเป็นหม้อเก็บกำลังแม่เหล็ก ส่วนสายตาที่เพ่งติดกับพลังแม่เหล็กในแก้ว ก็พลอยจะทำตัวเป็นผู้ก่อกระแสสัมพันธ์อันกลมกลืนระหว่างคริสตัลกับมนุษย์ โดยกระตุ้นกำลังแม่เหล็กที่สะสมอยู่ในสมองส่วนที่เรียก ‘ซีรีเบลลั่ม’ ให้แผ่ผ่านแก้วตาออกมาอย่างเข้มข้น

    ผลที่เกิดขึ้นเมื่อจดจ้องอย่างเต็มกำลังอยู่พักหนึ่ง จนได้อย่างน้อยขณิกสมาธิ คือสนามพลังที่ไหลวนอย่างต่อเนื่องระหว่างขั้วแม่เหล็กที่เป็นวัตถุ กับขั้วแม่เหล็กฝั่งชีวภาพ ทวีกำลังในสัดส่วนที่ให้ผลกระตุ้นสมอง ก่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้หลากหลาย นับตั้งแต่การเล่นแร่แปรธาตุ ผันกระแสสุขให้ล้ำรสนานาด้วยจินตนาการเหนือสามัญ จนหลงงมงายถอนตัวไม่ขึ้น หรือใช้ไปในทางสร้างสรรค์เช่นปรับเปลี่ยนคลื่นสะท้อนของคริสตัลให้เข้ากันกับคลื่นชีวิตของผู้ป่วย เพื่อรักษาโรคร้ายแบบหมอเทวดา ไปจนกระทั่งตรวจดูเหตุการณ์อดีตและอนาคต แบบเดียวกับแม่มดเพ่งลูกแก้วก็ได้อีก

    ปรายเนตรสำรวจตนเอง นางยืนสงบอยู่ในอาภรณ์สีคราม ชายภูษากรุยกรายกรอมเท้า เนื้อผ้าเนียนละเอียดเยี่ยงแพรพรรณวิเศษอ่อนนุ่มสมรูป ทรงอิสริยาภรณ์อันเนรมิตขึ้นด้วยวิบากกรรมอลังการสมตัว ได้แก่มงกุฎ สร้อยคอ กำไล เข็มขัด สร้อยข้อเท้า แล้วด้วยอัญมณีที่คล้ายเพชร ทว่าเรืองรองโชติไสวจับตาบาดใจกว่ากันลิบลับ จับมองแล้วเคลิ้มหลง ดึงดูดให้เพ่งพินิจติดจิตติดใจแทบถอนไม่ขึ้น เป็นอัญมณีประจำตัว เปล่งพลังที่สมศักดิ์ศรีบารมีตน ไม่ต้องคำนวณจากวันเดือนปีเกิด ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองแสวงหา มาถึงสวรรค์ก็มีติดตัวพร้อมสรรพพอดิบพอดีบารมีแรกเกิดแล้ว

    ตลอดสรรพางค์กายหาข้อ หาปุ่มปมสะดุดไม่เจอเลย ทุกส่วนเกลากลึงแนบเนียน แม้กายทิพย์ถอดแบบอาการสามสิบสองครบถ้วนมาจากรูปมนุษย์ ก็มิได้ทรงขึ้นด้วยกระดูกฉาบเลือดเนื้อสกปรก ผิวพรรณแม้นวลเนียนมีน้ำมีนวลน่าจับต้องเยี่ยงเพศอิตถี ก็ฉาบฉายด้วยรังสีสว่าง บาดตารัดรึงใจยิ่งกว่ามนุษย์ผู้หญิงผิวงามที่ว่าล้ำเลิศนักหนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางถือกำเนิดด้วยอโทสะ จึงมีรัศมีสว่างงามอาภาจับตาเป็นพิเศษ ล่วงแม้เทพด้วยกัน

    ทั้งเมื่อลองลูบไล้สัมผัสแล้ว ก็พบว่าเนื้อทิพย์นุ่มนิ่มยวนใจผิดกันเป็นคนละเรื่อง เหมือนไล้ผ้าดิบหยาบหนาแล้วเปลี่ยนมาไล้แพรพรรณละเอียดเทียบ เนื่องจากความนิ่มของผิวมนุษย์นั้นได้มาจากมัดเนื้อและไขมันสกปรกข้างใต้ ดูไปเหมือนถุงใส่อึ พื้นผิวรอบตัวจากหัวจดเท้าเอาไว้กันอึไหลเปรอะเปื้อนมากกว่าเอาไว้เสพสัมผัส ส่วนความนิ่มของผิวเทวดาจะได้มาจากเนื้อทิพย์อันกำเนิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่เย้ายวนโดยเฉพาะ มิใช่เพื่อปิดบังสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดอันใดเบื้องใต้เลย

    รัศมีเทพเป็นแสงกระจายออกมาจากรอบกายทิพย์ทุกทิศทุกทาง ประจักษ์ได้ทั้งจากใจตัวเอง และจากการมองด้วยสายตาวิญญาณอื่น แต่ละองค์มีรายละเอียดของสีและความพิสดารแตกต่างกันไป โดยมากปรุงแต่งโดยอาจิณณกรรมเป็นหลัก แต่ก็มีกรณีพิเศษเช่นรัศมีนางออกสุกใสสว่างล้ำ ด้วยเพราะขาดใจตายจากความเป็นคนด้วยการอโหสิจากใจจริงที่ปล่อยวางนั่นเอง

    ขยับเรือนกายอันแห้งสะอาดและเรียบลื่น แล้วทราบว่าตนหอมไปทุกซอกทุกมุม ลมหายใจเข้าออกกายทิพย์ก็ดี ลมปากที่ลองพ่นออกมาก็ดี บอกนางอย่างถนัดชัดว่าในร่างนี้ไม่มีโพรงเก็บน้ำเน่าและลมเสียเลยแม้แต่เพียงน้อย

    และด้วยประจักษ์สภาพองคาพยพอันประณีตล่วงภาวะหยาบนั้น ทำให้นางรู้ทันทีว่าสิ่งใดมนุษย์เสพ สิ่งนั้นเทพเสพด้วย แม้การร่วมอภิรมย์อันอาศัยสองเพศพรรณ ที่ฝ่ายบุรุษประหนึ่งจะรุกล้ำทำร้าย และฝ่ายสตรีคล้ายถูกทารุณโดยสมยอม ก็ปรากฏอยู่บนชั้นภูมิที่นางถือกำเนิดเช่นกัน ทว่าสุขเวทนาอันได้เรือนทิพย์เป็นแดนเกิด ย่อมน่าพิสมัยเหนือชั้นกว่าที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกายอันกระดำกระด่างช้ำเลือดช้ำหนองของมนุษย์มากมายนัก

    ความละเอียดชัดลึกและลักษณะคงที่ ปราศจากความเมื่อยขบ ปราศจากวัยเยาว์ วัยกลางคน และวัยชรา หาเชื้อโรคน่ารำคาญมิได้ รวมกันเหล่านี้เองชวนให้หลงทึกทักง่ายๆว่าเทวดาเป็นอมตะ อยู่ยั้งค้ำฟ้าไปชั่วนิรันดร์

    ทอดเดินเนิบเนือยมายังช่องประตูด้านหนึ่ง พื้นราบเสมอกันดุจพรมหยุ่นนิ่ม เบื้องนอกคืออุทยานทิพย์ ละลานตาด้วยรุกขชาติอันงามงด ได้แก่ดอกไม้รูปลักษณะพิสดารหลากสีและพฤกษาชะอุ่มเขียวขนัดแน่น เกิดปีติฉีดแรง จิตใจเบิกบานสว่างไสว แย้มยิ้มยินดีในสภาพเกิดใหม่ของตนอย่างต่อเนื่อง

    เรียนรู้ทันทีว่าเบื้องบาทของนางมีไว้เดินหรือยืน มิใช่เพื่อวิ่งหรือกระโดด และนางก็เดินเอากิริยาเคลื่อนไหวอ่อนสลวยสง่างามภายในวิมานไปอย่างนั้นเอง แท้ที่จริงมีวิธีง่ายกว่ากันมาก คือทำกายให้อยู่ในสภาพแล่นลิ่วตัดตรงไปยังตำแหน่งที่ต้องการทันที เนื่องจากน้ำหนักตัวที่รู้สึกคือน้ำหนักบุญญานุภาพในร่างทิพย์ เป็นอิสระไม่ถ่วงหนัก กำหนดควบคุมได้ดังปรารถนา แต่ทั้งนี้ใช่ว่าจะลอยเท้งเต้งเป็นลูกโป่ง โดยเดิมมีพันธะคล้ายแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อกายทิพย์ให้ติดพื้น ทว่าธรรมชาติของกายทิพย์อยู่เหนือการดึงดูด แต่ไปอยู่ในอำนาจเต็มของเจตจำนงแทน

    หมายเนตรไปยังสระโบกขรณีที่แผ่กว้าง ราบเรียบเป็นกระจกอยู่เบื้องไกลออกไป กำหนดนึกนิดเดียวว่าพอใจจะประดิษฐานตนเหนือน้ำ พลันทิพยรูปแห่งตนก็เกิดกำลังผลักดันจากภายใน มีทิศดิ่งตรง เคลื่อนวืดพริบตาเดียวย้ายตำแหน่งไปปรากฏยืนเหนือกลางน้ำใกล้กอบัวแก้ว ซึ่งเห็นกระเพื่อมรับฤทธา แลน้ำไหวเป็นระลอกริ้ววงคลื่นละเลื่อมพราย

    หันกลับมาทอดทัศนาภูมิภาพรอบเรือนในครอบครองแห่งตน เห็นเค้ารูปวิมานเรื่อทองละไมตา รูปทรงลดหลั่น เหลี่ยมตัดไปตัดมาสลับซับซ้อน กว้างใหญ่สมกรรม ประดับยอดโดมตรงกลาง คล้ายตึกทันสมัยในโลกมนุษย์ ทว่าช่องหน้าต่างปราศจากบานกระจก มีแต่ม่านแบบเดียวกับผืนกำมะหยี่ประดับประดาจากภายใน

    หมู่รุกขชาติที่เรียงรายรอบด้านนั้น บ้างเคยคุ้นตาละม้ายปาล์มพันธุ์สูง บ้างแปลกไปแบบพันธุ์ไม้วิจิตรในจินตนาการ ทรวดทรงชะลูด ปกคลุมด้วยใบบังแสดแดง บ้างเป็นพุ่มเตี้ยหลั่นเหลื่อมเป็นชั้นเป็นแนวสลับสวนหิน ทั้งหมดผสมกลมกลืนลงตัวบนผืนหญ้าขจีอุยนุ่ม เล่นลอนคลื่นเป็นเนินสูงต่ำพอเหมาะพอเจาะ ประกอบกันได้สมดุลไปทุกหย่อมจนแม้นักจัดสวนมือหนึ่งก็อาจนึกไม่ถึง ว่าจะมีการเล่นน้ำหนักและการวางตำแหน่งองค์ประกอบได้จังหวะจะโคนกลมกลืนขนาดนี้

    แปรพักตร์ก้มมองบาทที่แตะผิวน้ำใสสะอาดปราศจากมลทิน ใสจนแลเห็นพื้นทรายทองลึกลงไป สัมผัสของน้ำทิพย์ฉ่ำชวนสำราญบานชื่น เข้าใจในบัดนั้นว่าการลงสรงบนสวรรค์เป็นไปเพื่อความบันเทิงถ่ายเดียว มิใช่เพื่อชำระล้างคราบปฏิกูลที่ไหลเยิ้มออกมาจากทวารต่างๆตลอดวันเฉกเช่นกายอันยัดทะนานด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง ไขมันข้นเหนียวและคูถมูตรแต่อย่างใด

    แหงนพักตร์กางพาหาทั้งสองและคลายหัตถ์ออก ยืดอุระสูดกลิ่นทิพย์อันแสนบริสุทธิ์เข้าจนเต็ม เบื้องบนดูโปร่งโล่งอาภาเป็นอนันต์ไปทุกทิศทุกทาง ไร้ซึ่งเมฆฝอย ดวงอาทิตย์ หรือเทหวัตถุขัดตาทั้งปวง แสงสวยที่ฉายกราดแรงนั้นยิ่งดูยิ่งเย็น ไม่เคืองเนตรเลยแม้แต่น้อย เป็นชนิดเดียวกับที่เห็นก่อนจุติจากอัตภาพเดิมนั่นเอง นึกครึ้มขึ้นมาก็สรวลก้องด้วยสุรเสียงแหลมคม อัดแน่นด้วยพลังหฤหรรษ์สำราญฤทธิ์สะเทือนทุกอณูในละแวกปริมณฑล ดุจจะทักทายไตรตรึงษ์พิภพเป็นวาระแรก

    สายลมทิพย์รำเพยพัดมาหอบหนึ่ง อวลกลิ่นอายอันเป็นปฏิกิริยามงคลตอบทักแก่นาง

    ทดลองภาวะ ‘ดังใจนึก’ โดยการคิดถึงแผ่นน้ำเบื้องล่าง สั่งด้วยอำนาจจิตเหนือสรรพสิ่ง และด้วยอัธยาศัยสนุกรังสรรค์ที่ติดตัวมาจากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ กำหนดให้น้ำมีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่กว่าตัวนางราวสองเท่า ลอยโด่งขึ้นมาเสมอระดับตา ธาตุน้ำอยู่ใต้บัญชาเสียยิ่งกว่าถูกวักด้วยอุ้งหัตถ์ เมื่อรวมเป็นกลุ่มก้อนแล้วไม่มีการรั่วซึมหยดตก เพียงนางพยุงไว้แผ่วๆด้วยลักษณะกำหนดทางจิตคิดมั่นนิดเดียว

    นึกถึงนกนางนวลพลางเพ่งก้อนน้ำ ฉับพลันก็แปรเป็นนางนวลดังปรารถนา ค่อยๆกระพือปีกอย่างแช่มช้อย โผขึ้นสูงตามกระแสจิตที่ส่งบังคับ จิตนางนั่นเองคือปักษาสวรรค์ แผ่ปีกซ้ายขวาขยับโบกพลิ้วว่ายเวิ้งเวหา ดังอาการแห่งนางนวลที่เคยคุ้น รู้สึกถึงตัวตนที่ถูกแบ่งเป็นสองภาค เบื้องล่างเหนือน้ำและเบื้องบนเหินไกลไปทุกทีกระทั่งเห็นเป็นจุดเล็กๆสูงลิบ

    เมื่อเพลินลอยเลื่อนเพียงพอ นางก็สั่งให้นกน้ำวกกลับ คลี่ยิ้มเล็กน้อย ยืนสนิทกับที่รอรับการปักดิ่งเข้าหาของสิ่งที่นางเนรมิตขึ้นเองอย่างไม่ยั่นระย่อต่อแรงปะทะ

    ภาพถลาดิ่งจากมุมทะแยงสูงนั้นขยายจากเล็กเป็นใหญ่อย่างรวดเร็ว ทว่าไม่เสียรูปทรงจากแรงลมต้านเลย หากมองด้วยสายตามนุษย์ก็น่าจะโวยวายขยับเท้าวิ่งหนีการปรี่เข้าชนชนิดนั้นเตลิดเปิดเปิงได้แล้ว เพราะถ้าปล่อยให้กระแทกล่ะก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวได้รุนแรงปางตาย ทว่าในคลองจักษุแห่งเทวนารียามนี้ อย่างดีก็เห็นเป็นแค่สายฝนกลุ่มหนึ่งที่กำลังตกลงมาทำความชุ่มชื่นให้แก่นางเท่านั้นเอง

    แรงปะทะอันทรงน้ำหนักของกลุ่มน้ำกับร่างสะคราญส่งเสียงซูมใหญ่ดุจน้ำตกกระแทกแผ่นหิน กระจายฝอยกระเซ็นซ่านเป็นวงกว้าง ส่งให้นางอัปสรประหวัดถึงการเล่นสงกรานต์อันสนุกสนานบานใจบนโลกมนุษย์ จนต้องแย้มสรวลออกมาดังๆ ความเปียกปอนกำซาบเอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ แล้วกลับเหือดหายในบัดดลเพียงนึกตลอดร่างพลางคิดว่า ‘แห้ง’

    แห้งสบายและสดใสเย็นซึ้งไปทุกอณูผิว ตระหนักว่าบนโลกอันแสนประณีตแห่งนี้ เพียงน้ำทิพย์ในสระบัวก็บันดาลความสราญให้เกิดอย่างล้นเหลือขนาดไหนแล้ว

    สูดลมเข้าอุระ ผนึกจิตคิดกระบวนเนรมิตอย่างต่อเนื่อง ดลกลุ่มน้ำให้รวมตัวพุ่งเป็นลำคดเคี้ยวเลี้ยววงรอบร่างตน ปรากฏเหมือนพญาจงอาง ขึ้นผงาดเงื้อมแผ่แม่เบี้ย แลบลิ้นสองแฉกเหมือนขู่จะฉก ก่อนกระหวัดดุจงูเหลือมรัดฉับ สลายเป็นกลุ่มน้ำสรงกายกระเซ็นเป็นฝอยซ่านไปอีกคำรบ

    เผยอยิ้มกระจ่าง ดวงเนตรสาดประกายกล้าด้วยแรงทะนงในฤทธี จับหมายไปยังภาคพื้นราบที่จากมา แล้วก้าวเดินเนิบเนือยบาทเลียดน้ำ สำเหนียกได้ว่าในกิริยาสามัญภายนอกนั้น ลึกลงไปแฝงด้วยมหาอานุภาพไพศาลสุดหยั่ง นางยื่นหัตถ์ทั้งย่างบาท เพ่งนิลเนตรจับดอกไม้ม่วงไสวดอกหนึ่งไกลออกไป กำหนดนึกว่า ‘มานี่!’ พริบตาเดียวดอกนั้นก็ปลิดจากขั้ววับมาปรากฏบนอุ้งหัตถ์อันอวบอิ่มปราศจากเส้นสายรกตาทันที

    แตะไล้กลีบม่วงใสที่ให้สัมผัสรื่น ผิวกลีบนุ่มนวล ละเอียดอ่อน ลองขยี้เบาๆก็ไม่ช้ำ ไม่เละติดเนื้อเลยแม้เพียงเศษ

    ลักษณะพันธุ์ไม้ในอุทยานของนางเป็นไม้ตัดดอกสีสันสะดุดตาเกือบทั้งสิ้น กล่าวคือเกือบทุกพันธุ์มีก้านยาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง และคล้ายมันมีชีวิตจิตใจ ยิ้มเปิดกว่าไม้ดอกที่เคยรู้จักในโลกมนุษย์มาก มองแล้วสดชื่นชวนยิ้มตอบ น่านำมาใช้ประดับพอกับดูดอกสะพรั่งที่ต้น ส่วนไม้ใบที่มองสัณฐานผาดคล้ายจำพวกโกสนและบอนนั้น ก็มีความงามของใบเขียวที่ให้ความร่มเย็น ชวนเพลินสงบใจในขณะชมอุทยาน

    กระทั่งย่างขึ้นฝั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่สองมือประคองดอกไม้เหน็บประดับเรือนเกศา แล้วตรึกนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาในภพมนุษย์ อัตภาพที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังดูไม่ต่างกับคางคกอัปลักษณ์เท่าไหร่ในความรู้สึกยามนี้ แค่ปฏิกูลที่ไหลเข้าไหลออกทั้งกลางวันกลางคืนก็น่าคลื่นเหียนสะเอียนไส้เหลือจะรับแล้ว ที่จะให้เกิดความไยดี อาลัยอาวรณ์นั้น ไม่มีวันเสียล่ะ

    นางจำความกำหนดหมายและกำหนดรู้ในร่างมนุษย์ได้ถนัด มันคล้ายการหลับฝันที่เลื่อนเปื้อนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ถูกขังอยู่ในข่ายประสาทหยาบอันแคบจำกัด จะรู้อะไรทีต้องคลำ ต้องเพ่งหูเพ่งตาเรียนกันน่าดู กระทั่งจะดึงความจำก็ต้องผ่านเครือข่ายรหัสอันซับซ้อนมโหฬารของก้อนเนื้อหยักๆน่าขยะแขยงที่เรียกว่า ‘สมอง’ เสียก่อน

    ต่างกับบัดนี้ที่ความรู้สึกนึกคิดแปลกเปลี่ยนเป็นบวกไปหมด ไม่ต้องเหนื่อยเพ่งอารมณ์ ใจนางสงบสุข มีสติทรงตัว จึงสำเหนียกรู้การปรากฏแห่งตนและสิ่งกระทบผัสสะคมชัดไปทุกกระดิก อยากรู้อะไรก็มีอภิญญาช่วย ได้ความแน่ใจว่าถูกต้องเป็นแม่นมั่นเสียด้วย

    เหลียวโดยรอบ นางอาจบันดาลสิ่งใดก็ได้ตามปรารถนา หากอยู่ในขอบเขตกำลังฤทธิ์ เช่นบนสวรรค์ไม่มีเดรัจฉาน นางจะเนรมิตให้ปรากฏชั่วคราวแบบภาพลวง ก็เพียงแบ่งภาคจิตสร้างขึ้น หรืออาจดึงวิญญาณบางดวงจากภูมิต่ำมาตรึงไว้กำกับอัตภาพเนรมิตที่สมกัน เช่นรูปผีเสื้อหรือนกเขา

    เทพระดับกลางเช่นนางมีเขตที่อยู่เป็นของตนเอง เป็นไท ไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติของเทพองค์อื่น ตรงข้าม อาณาเขตที่สร้างขึ้นจากบุญญานุภาพนี้ จะสามารถเป็นแดนเกิด รองรับเทพองค์อื่นที่บุญน้อย บันดาลได้แค่รูปทิพย์ ขาดถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งถ้ามาถือกำเนิดในแดนของนางด้วยสัมพันธ์อันใดแล้ว ก็จะกลายเป็นบริวารไปโดยปริยาย

    และในภาวะบุญญาธิปไตยนี้ หากนางเหงาหงอยอยู่กับความเป็นไท เป็นเอกเทศแห่งตน เพราะมิได้เกิดในฐานะธิดาหรือชายาเทพองค์ใด ก็อาจเข้าสังสรรค์สมาคมกับหมู่เทพ ตรวจดูบุพกรรมอันคล้องจอง ว่าปัจจุบันบนชั้นภูมิดาวดึงส์มีเทพองค์ใดบ้างเคยร่วมชาติกับนางมา พื้นเพการเจรจาสมแก่อัธยาศัยกันและกัน เพียงพบแล้วสบเนตรสักครั้ง ก็จะเกิดปฏิพัทธ์โดยง่าย ตรงไปตรงมา และที่สำคัญคือ ‘ถูกตัว’ แน่นอน

    ทว่าในวาระจิตนั้น นางยังไม่ปรารถนาจะผูกสัมพันธ์ หรือเข้าคบหาเสวนากับหมู่เทพด้วยกันเลย รูปนามที่ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงนึกเพียงหนึ่งเดียว...

    เกาทัณฑ์!

    มนุษย์ผู้ชายที่นางในอัตภาพเดิมหลงรัก...

    บังเกิดความอาลัยขึ้นมา แต่มิใช่ความหลงถวิลเยี่ยงมนุษย์หญิงโหยหาไออุ่นจากมนุษย์ชายอันเป็นที่รัก อัตภาพนางกับเขาคนนั้นอยู่แยกเป็นคนละระนาบแล้วอย่างเด็ดขาด เหมือนเช่นที่มนุษย์อาจระลึกได้ว่าเคยเป็นลิง ย่อมไม่อยากกลับไปคลุกคลีตีโมงด้วยอีก แม้จะเคยพิศวาสปานไหนก็ตาม ถ้าอยากก็คงอยากให้มาเกิดในภาวะเดียวตามกันมากกว่า

    ลักษณะอาลัยในบัดนี้ เกิดจากเยื่อใยความผูกพันทางวิญญาณ สำนึกคุณตามวิสัยเทพ กล่าวคือระลึกได้ว่านอกจากแม่ที่ต้อนให้ทำบุญมาแต่อ้อนแต่ออกแล้ว ก็เขาคนนี้เองที่มีส่วนสำคัญในการส่งนางมาผุดเกิด ณ เบื้องบน...

    ปรารถนาจะเห็นว่าบัดนี้เขาเป็นอย่างไร ทำกิจธุระอันใดอยู่ จึงกำหนดทิพยเนตร ‘ลง’ กวาดหา โดยแล่นลัดนิ้วมือเดียวตามสายสัมพันธ์ที่ยังผูกจิตผูกใจ รู้ลู่ทางเองว่าจะประสบพบภาพเขาอย่างไร เหนือสัญชาตญาณนกพิราบที่รู้เส้นทางไกลกลับถิ่นหลายแสนเท่า

     

    เป็นคราวประจวบเหมาะยิ่ง คล้อยหลังไซเพียงห้านาที เกาทัณฑ์ก็บ่ายหน้ารถเข้าเขตคอนโดมิเนียมของเรือนแก้ว สีหน้าหลังพวงมาลัยดูครุ่นคิดไม่เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ประสาคนกำลังงง ไม่อาจจับทางตัดสินใจได้แน่ชัดสักอย่าง อยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วห่วงพะวงถึงผู้หญิงอีกคนสลับไปสลับมา ไม่มีอะไรหนักอึ้งหัวใจเกินนี้แล้ว

    เสียงกรีดเรียกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เกาทัณฑ์หยิบจากเบาะข้างตัวมาดูหน้าปัด เห็นเป็นเลขหมายของเรือนแก้วก็ถอนใจเฮือก กำลังจะขึ้นไปหาอยู่เดี๋ยวนี้แล้วล่ะแม่คุณ โทร.ตามน่ารำคาญเหลือเกิน

    สลัดความรู้สึกกึ่งรักกึ่งรำคาญทิ้ง กดปุ่มรับและเป็นฝ่ายกรอกเสียงทักลงไปก่อน

    “ผมอยู่ที่คอนโดแอ้นะ เพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้ นั่นออกมาจากงานศพรึยัง?”

    ปลายสัญญาณเงียบอึ้งไปอึดใจ ก่อนเอ่ยชนิดที่ทำให้เกาทัณฑ์หัวคิ้วกระตุก

    “อะ...อ้า ผมโทร.จากมือถือของ อ้า...เจ้าของเครื่องคนนี้นะ คือ...ผมพักอยู่ที่เดียวกับเธอ ตอนนี้ผมอยู่ในลานจอดประจำของเธอ อ้า...คุณเป็นญาติของเธอหรือเปล่า?”

    ชายหนุ่มกะพริบตาวับด้วยสังหรณ์ร้าย

    “ครับ ผมเป็นแฟนเธอ ตอนนี้อยู่ที่คอนโดเหมือนกัน เพิ่งเลี้ยวรถเข้ามาเดี๋ยวนี้ มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?”

    “อ้อ...อยู่นี่เองเหรอ ดีๆ คือผมลองต่อหมายเลขนี่เพราะเป็นเบอร์สุดท้ายที่เธอโทร.น่ะ ผะ...ผมไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก เอ่อ…คุณมาดูเองดีกว่า รู้ใช่ไหมว่าช่องจอดรถเธออยู่ชั้นไหน?”

    “ครับ รู้...ว่าแต่นั่นเกิดอะไรขึ้น?”

    เกาทัณฑ์เริ่มถามเสียงเครียด

    “ผมไม่รู้เรื่องนะ ผมไปล่ะ รีบมาดูเองเหอะ”

    หมอนั่นท่าทางประหม่างกเงิ่นจัด ตัดสัญญาณฉับกะทันหัน

    เกาทัณฑ์ยัดเกียร์ถอยหลัง เลื่อนรถวาบออกจากช่อง แล้วกลับเข้าเกียร์เดินหน้า เบนหัวรถออกห้อตะบึงราวกับกระทิงบ้า ลัดเลี้ยวช่วงหนึ่งก็ถึงปากทางลงที่จอดรถใต้ดิน เขาไม่สนใจไม้กั้นอันเป็นด่านยาม ชนโครมหักสองท่อน ทิ้งเสียงโวยวายและการวิ่งไล่ของชายผู้ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าไว้เบื้องหลัง

    หักเลี้ยวโฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียนตามทางลงเวียนสามชั้น ล่วงเข้าถึงชั้นจอดของเรือนแก้ว วิ่งห้อปัดซ้ายบ่ายขวาจนเห็นท้ายรถหล่อน หัวใจยิ่งร้อนรุ่ม รุมเร่าไปทุกขุมขน ภาวนาทั้งมือชุ่มเหงื่อว่าอย่าเป็นไรเลย...อย่าเป็นไรเลย

    พุ่งปราดไปเบรกกึกก่อนถึงท้ายรถอันเป็นที่หมาย เปิดประตูพรวดพราดด้วยมือไม้และแข้งขาสั่นระริก เพราะประหวั่นพรั่นใจอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่กำลังจะเห็น

    สาวเท้าจนสายตาพ้นเหลี่ยมบัง เห็นร่างในชุดดำนั่งพิงรถโดดเดี่ยว หลับตานิ่ง เค้าหน้าสงบดูน่าสงสาร กลางหน้าผากมีเลือดไหลเป็นทาง เกาทัณฑ์แข็งค้างพรึงเพริดเหมือนถูกสาป ก่อนตะเบ็งออกมาสุดเสียง

    “แอ้!!!”

    ทั้งรู้สึกเหมือนฝันหลอนและชาเห่อไปทั้งกาย เกาทัณฑ์ถลันเข้าช้อนร่างไร้วิญญาณสู่อ้อมอกอย่างยังไม่ยอมเชื่อสายตา ปากพร่ำตะโกนเรียกหญิงสาวผู้เป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งไม่รู้ตัวแม้สายน้ำตาพรั่งพรูนองหน้าดุจทำนบทลาย ร้องไห้ออกมาทั้งไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เอาแต่เขย่าตัวพร่ำเรียกและเกลือกกลิ้งใบหน้าตนลงกับใบหน้าสงบงามปานจะขาดใจตายตาม...

     

    นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ทิพยเนตรจากสรวงสวรรค์เล็งแลลงมาเห็น ความเศร้าหมองคืบคลานเข้าครอบงำจิตอันเป็นสุขประณีตอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาร้องไห้ ร้องอย่างใจจะขาดด้วยความอาลัยรักจริงแท้

    ชลเนตรหลั่งรินด้วยน้ำใจผูกพัน รู้สึกร้าวไปทั้งอุระ จนต้องข่มใจเรียกสติคืน ได้เรียนรู้เดี๋ยวนั้นว่าร่างอันเป็นทิพย์บอบบางต่ออารมณ์สะเทือนใจยิ่งกว่าร่างหยาบของมนุษย์มาก หากปล่อยเลยเถิดแล้ว จะถึงขีดตรอมใจง่ายดายยิ่ง

    อาจเป็นแรงสะเทือนจากความโศกเศร้าสาหัสของเกาทัณฑ์ก็ได้ ที่ส่งระลอกขึ้นมาสะกิดนางจนนึกอยากเหลียวลงมามอง ไม่ต้องเตือนตนเองมากนักก็รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร นางขาดจากภาวะความเป็นมนุษย์ผู้หญิงแล้ว จะพบเขาอีกก็คือยถากรรมนำพา บัดนี้ถ้ายังฝักใฝ่ใจไม่ตัด ก็รังแต่จะเดือดร้อนทั้งนางเองและเขาคนนั้น

    เช่นนี้เอง การจากพรากเป็นทุกข์

    สิ่งที่เขากำลังกอดไม่ใช่นางเลย เป็นคราบร่างที่นางวางทิ้งแล้วต่างหาก เขากำลังคร่ำครวญอยู่กับท่อนกระดูกฉาบเนื้อที่ครั้งหนึ่งวิญญาณนางเคยครอง นึกว่านางคือซากนั้น เข้าใจว่าจะเรียกนางให้ฟื้นคืนได้จากซากนั้น

    เช่นเดียวกับฆาตกรผู้เข้าใจว่าเมื่อทำลายร่าง คือทำให้ตายจาก ดับสูญ หมดโอกาสเสพสุขอีกต่อไป

    เป็นมนุษย์นั้นอายุแสนสั้นอยู่แล้ว ต้องมาสั้นลงไปอีกด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง เพียงเพราะความไม่เข้าใจ ไม่รู้จริง

    เพชฌฆาตผู้นึกว่าตัดชีวิตนาง ไม่ให้อยู่ดูโลกต่อได้สมแค้นแล้ว ที่แท้เร่งส่งนางในจังหวะดีที่สุดให้ขึ้นมาเสวยสวรรค์ และตัวผู้ฆ่านั่นเองที่สร้างทางนรกไว้จากชัยชนะที่เห็นด้วยตาเปล่าในฉากใช้ปืนเข่นฆ่าไร้สาระอันแสนสั้น

    คิดขึ้นมาวูบหนึ่ง อยากปรากฏตัวให้เกาทัณฑ์เห็น หยั่งรู้ว่าตนมีฤทธิ์อำนาจมากพอจะบันดาลแม้รูปหยาบของมนุษย์ขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาโต้งๆ อยากปลอบประโลมว่าถ้าเขารักนาง ก็ควรทราบว่าภาวะของนางในบัดนี้น่าปลาบปลื้มยินดี ที่ได้อยู่ปลอดภัยในอารักขาแห่งบุญญาธิการ มิใช่พิลาปรำพันเมื่อเห็นสภาพศพอันน่าสงสาร นั่นแค่ภาพลวงตาผิวเผินที่ถูกทิ้งไว้ให้ระลึกถึงเพียงชั่วครู่ ปราศจากวิญญาณนางครองเดี๋ยวเดียวก็เปื่อยยุ่ย เน่าสลายไปตามระเบียบธรรมชาติ หรือเป็นเถ้าถ่านในเตาเผาไปตามระเบียบมนุษย์

    ทว่านางก็สำเหนียกถึงคลื่นกิเลสอันหยาบหนาที่กระจายอยู่รอบบริเวณนั้น อึดอัดและเห็นผิดกาลเทศะเกินกำลังฝืนใจ คล้ายจะให้แทรกไปในหว่างช่องหินแคบพอดีตัวเป็นระยะทางไกล ทำได้ แต่ไม่อยากทำ ในเมื่อมีทางกว้าง เดินสบายให้เลือกตั้งเยอะ รอเวลาผ่านไปก่อนเถิด

    อัตภาพทิพย์นี้เขามีส่วนสร้าง จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะล่วงรู้ การปรากฏตัวเพื่อ ‘บอกความ’ เพียงครั้งหรือสองครั้งคงมิใช่สิ่งเหลือวิสัย ขอเพียงเลือกจังหวะดีๆ ไม่กระโตกกระตากหวือหวาเกินภาวะจิตของเขาจะรับไหว

    ยามนี้ได้แต่สลดสังเวช เกาทัณฑ์พร่ำเตือนให้นางหมั่นระลึกถึงความตาย พิจารณาให้เกิดสติ เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร แต่เขาคงปฏิบัติดูแค่ว่าตัวเองจะตายอยู่คนเดียวกระมัง ไม่เคยดูว่าคนอื่นก็ต้องตายเหมือนกัน พอเห็นนางล่วงลับ จึงเปิดเผยอาการฟูมฟายเยี่ยงสามัญมนุษย์ออกมาอย่างนี้

    พลอยทำให้นางยึดติด เป็นกังวลในภพเก่าไปด้วย...


บทที่ ๒๕  นางฟ้า

เมื่อฝ่าฝูงนักข่าวกลับจากสถานีตำรวจได้ เกาทัณฑ์ก็มาเอนกายบนเตียงนอนในห้องพัก เคว้งงงจนคิดนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง ลืมแม้วันนัดไปรับศพคืนจากนิติเวชมาตั้งบำเพ็ญกุศล รอบกายดูวังเวงและทุกสิ่งคล้ายร่วมสงบรำลึกรู้ ว่าความเป็นเรือนแก้วลับกายหายเงียบไปจากโลกนี้แล้วชั่วนิรันดร์

แทบลืมว่าตนชื่ออะไร รู้จักใครบ้าง พรุ่งนี้ควรทำอะไรต่อไปแค่ไหน ได้แต่ผล็อยหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อน และบอกตนเองว่าอยากหลับไปอีกนานๆ นานเท่านาน...

ในความฝันอันครอบงำด้วยความรันทดและกระแสเหงาเศร้ากัดกินไปถึงขั้วหัวใจ กลุ่มความคิดปั่นป่วนหลายสายแยกย้ายกันสวนสนามในหัว เพาะอุปาทานให้เติบเต็มรูปขึ้นจนหลอกหลอนได้ราวกับภูตผีปีศาจมาล้อม เป็นเค้าเงาอลหม่าน ผลัดเรียงกันกรีดหัวเราะแหลมใส่ อย่างจะสมน้ำหน้ากับการสูญเสียที่เรียกคืนไม่ได้ครั้งนี้

คล้ายถูกแกล้งให้จ่อมจมซมทุกข์ในความครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่เลิกรา ในหัววนเวียนอยู่แต่ภาพเรือนแก้วนั่งตายอย่างสุขสงบ คลี่มุมปากออกราวกับต้องการยิ้มฝากความถึงเขาเพียงคนเดียว ฝากไว้ในหน้าว่าหล่อนไม่โทษที่เขาไปช้า ช่วยชีวิตหล่อนไม่ได้ กับทั้งทำใจได้แล้วกับการอยู่ตามลำพังโดยปราศจากอ้อมแขนปกป้องของเขา

เคยรู้ตัวว่ารักเรือนแก้ว แต่เพิ่งรู้ซึ้งเดี๋ยวนี้ว่ารักมากแค่ไหน ความร้าวที่เซาะลึกลงไปทีละชั้นจนสุดอกสุดใจได้เผยสิ่งที่เคยสลัวเลือนออกแจ้งสิ้น หมดความเคลือบแคลงแล้วว่าปรารถนาจะยกหล่อนไว้ในฐานะใด หากมีโอกาสอีกครั้ง เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนอยู่คนเดียวอีกเลย

วกวนทรมานกับฝันหลอนนานจนถึงช่วงเวลาหนึ่ง คล้ายมีผ้าห่มหนักๆทิ้งตัวลงคลุมกาย สำนึกคิดอ่านปฏิรูปเป็นสายลมที่ถูกกระชากวูบออกจากร่าง ยินเสียงอู้เต็มสองหู จิตใจเป็นอิสระจากพันธนาการ คลายตัวจากการรึงรัดของความโศกเศร้าอาลัยสิ้นเชิง

เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้งในละอองฉ่ำเย็นของค่ำคืน ก็เห็นตนเองเต้นรำกับเรือนแก้วกลางทะเลทราย ในราตรีดารดาษดาวที่เสี้ยวจันทร์สีเงินยวงห้อยค้าง ณ ปลายฝั่งฟ้าด้านไกล รู้สึกถึงสายลมเย็นเฉียบที่รำเพยพัดผิวกาย พร้อมทั้งสัมผัสสายใยระหว่างใจอันอ่อนอุ่นของตนและคนรัก เวิ้งอากาศกว้างสุดลูกหูลูกตาดูวังเวงระคนดูดดื่มจนชวนให้คิดฉงนว่าดินแดนเช่นนี้มีด้วยหรือในโลกใบเดียวกับที่เขาอาศัย

ปริมณฑลอันมีเขากับเรือนแก้วเคลื่อนไหวผ่านนั้น อาบไล้ด้วยแสงครามงามประหลาด เห็นเฉพาะร่างแต่ละฝ่ายถนัด ทั้งที่ปราศจากต้นแสงในบริเวณใกล้ ราวกับกายของกันและกันนั่นเองเป็นที่มาของรัศมีรำไร

กลิ่นหอมหวานรวยรินขึ้นมาจากทรวงอกของหญิงสาว ไม่มีใครเลยนอกจากเขากับหล่อนที่ล่องเลื่อนลีลาศอยู่ในลีลาวอลต์ซ กับลำนำพาเพลินที่กระจายมาจากทุกทิศทาง ราวกับข่ายคลื่นเสนาะโสตกำเนิดขึ้นจากทุกอณูอากาศใกล้ไกล ฟังผิวเผินคล้ายการเข้าคู่ระหว่างเปียโนกับไวโอลิน แต่นานไปพอชักคุ้น ก็รู้สึกถึงกังวานหวานนุ่มลุ่มลึกที่เกินสภาพเครื่องเคาะและเครื่องสายใดจะบันดาลส่ำเสียงเช่นนั้นได้

“แอ้...ผมกำลังฝันอยู่เหรอ?”

นั่นเป็นระลอกสติที่ผุดโพลงขึ้นในขณะย่างและหยุดเข้าจังหวะ ประมวลภาพ เสียง กลิ่น และสัมผัสอันพึงปรารถนารวมกันเป็นรสอมฤตที่ไกลเกินแม้ฝันอันเคยดื่มลึกสุดใจ ร่างงามตรงหน้าผุดผาดในชุดราตรีเลื่อมระยับประดับสร้อยมุกขาว เนตรงามเป็นประกายกระจ่างทอดสนิทจับเขานิ่ง กลีบปากระบายพรายยิ้มจับจิต หล่อนครางตอบคำถามเพียงแผ่ว คล้ายขบขันเขาอยู่ในที

“อื้อม์”

“นี่หรือสวรรค์?”

เรือนแก้วส่ายหน้า

“ดินแดนในฝันต่างหาก”

เกาทัณฑ์ลืมเรื่องสถานที่ ยกมือขึ้นไล้เส้นผมที่บัดนี้ยืดยาวและทิ้งตัวลงห่มเกือบเต็มแผ่นหลังดุจผ้าคลุมผืนงาม สัมผัสถึงความละเมียดยิ่งกว่าแพไหม อดใจไม่อยู่ต้องช้อนยกขึ้น แล้วก้มลงสูดกลิ่นหอมเข้าเต็มอก

“ผมชอบให้แอ้ไว้ยาวอย่างนี้แหละ ดีกว่าตอนสั้นตั้งแยะ”

เรือนแก้วทำปากเชิดหน่อยๆ

“เพราะรู้ไงว่าเธอชอบผู้หญิงผมยาวมากกว่าฉัน เลยมาหาทั้งอย่างนี้มั่ง เผื่อจะได้รับความเหลียวแลมากกว่าเดิม”

ชายหนุ่มยินหางเสียงตัดพ้อนั้นแล้วร้อนใจ รีบกล่าวปฏิเสธ

“ผมไม่ได้รักใครมากกว่าแอ้เลย”

“เท่ากันก็ไม่เอา เธอต้องรักฉันคนเดียว!”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอัดอั้น อับจนด้วยถ้อยคำ

“ช่างเถอะ!” หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยสำเนียงขื่นขม “มันเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะ”

ต่างฝ่ายต่างแลลึกลงไปในตาของอีกฝ่าย สุขเศร้าเคล้าคละยากจำแนก

“ผมเสียใจ”

เขาเอ่ยอย่างทดท้อ และหมายความตามนั้นจริงๆ ยังผลให้นิลเนตรทอแววหม่น

“เจ้าค่ะ คงได้เสียใจตามๆกันอีกนานล่ะ”

เกาทัณฑ์เชยคางหล่อนให้เงยขึ้น

“อย่าพูดอย่างนี้เลย แอ้คงไม่ย้อนกลับมาหาเพื่อทิ่มแทงผมให้เจ็บยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ใช่ไหม?”

“แค่พูดเรื่องจริงเท่านั้นแหละ”

แล้วหล่อนก็เหลือบตาลงต่ำคล้ายเหม่อไป ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง

“ทำให้รับรู้และเชื่อมั่นจนหมดห่วงหน่อยเถอะว่าเรากำลังคุยกันอยู่จริงๆ ไม่ใช่ว่าผมฝันเพ้อไปคนเดียว”

“ต้องการให้เป็นยังไงล่ะ?”

“ทำให้ผมตื่นและเห็นแอ้ด้วยตาเปล่า กอดแอ้ด้วยเนื้อหนังของตัวเอง”

หญิงสาวสั่นศีรษะน้อยๆ

“แค่นี้แหละพอดีตัวเธอแล้ว”

เกาทัณฑ์ถอนใจ เขากำลังเต็มตื่นอยู่ในอีกมิติหนึ่ง มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ผู้หญิงตรงหน้าดูมีชีวิตจิตใจให้สัมผัสรู้เกินกว่าจะให้เข้าใจว่านี่คืออุปาทานเพ้อพกชั่วครู่

แต่ก็รู้ว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้น เขาจะก้ำกึ่งลังเลว่านี่จริงหรือฝันกันแน่ ลองเลื่อนฝ่ามือข้างที่แตะเอวหล่อนไล้ไปตามแนวสีข้างโค้งคอดกิ่ว ระเรื่อยไปถึงลอนสะโพกกลมมนอย่างจะทดสอบความแจ่มชัด ไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างจากของจริงขณะตื่นเลยแม้แต่น้อย ที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดราตรีคือเนื้อหนังมังสาอันนุ่มแน่นของอิสตรีผู้มีชีวิตจิตใจเป็นตัวของตัวเอง มิใช่ของหลอก ของปรุงแต่งลมแล้งในนิทรารมณ์แต่อย่างใด

เรือนแก้วเพ่งจ้องเกาทัณฑ์นิ่ง ปล่อยให้เขาลูบไล้ตามความพอใจโดยไม่ปิดป้อง ได้แต่ขึงตาส่งแต่แววปรามและกระแสห้ามชนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนรักชักเพลินจนเลยเถิด เกาทัณฑ์รู้สึกคล้ายมือเป็นเหน็บหนักอึ้งกะทันหัน ต้องย้ายกลับมาแตะเอวในเชิงลีลาศตามเดิม ตระหนักทันทีว่าใครเป็นใคร ตนมีขอบเขตอาจเอื้อมกล้ำกรายเพียงจำกัดเท่าใด

ยิ้มเฝื่อนและเสถามเก้อๆ

“ขอบใจนะที่มาให้พบ ผมคงหายเศร้าเสียที ความจริงเห็นศพแอ้ก็รู้แหละว่าไปดี แต่บอกหน่อยได้ไหมตอนนี้อยู่ไหน?”

“ถ้าบอกว่าสิงสู่อยู่ในห้องของเธอจะกลัวไหม?”

“ไม่เลย จะยินดีต้อนรับจริงๆ อยากอยู่ตลอดไปก็ได้”

“ผู้หญิงคนไหนผ่านประตูเข้ามาแอ้จับหักคอหมดนะ!”

เกาทัณฑ์ถอนใจทำหน้าเมื่อย

“แอ้...ผมไม่รู้จะพูดยังไงถูก ถ้าเรารักใครจนสามารถซึมซับความเจ็บปวดของเขาได้เท่ากับหรือมากกว่า ก็เชื่อเถอะว่าผมต้องเจ็บยิ่งกว่าแอ้เป็นสองเท่า หากย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ ผมก็อยากดูว่าสามารถทำอะไรบ้างเพื่อให้ทุกคนเป็นสุขในทางของตัวเอง”

นัยน์ตาเรือนแก้วกลับสงบนิ่งอย่างผู้ถึงซึ่งรสแห่งอุเบกขา เค้าหน้าดูอ่อนละมุนอย่างประหลาด แม้มองผาดก็เห็นว่าผิดแผกแตกต่างจากเรือนแก้วคนเดิมที่เขาเคยคุ้นยิ่ง

“เต้...ไม่ต้องพยายามอธิบายหรอก เมื่อกี้พูดเล่นน่ะ ตอนนี้ฉันเลิกมองแบบปุถุชนในโลกแล้วล่ะนะ มันมีมุมมองอีกอย่างหนึ่งที่เห็นด้วยตามนุษย์ไม่ได้ นั่นคือแต่ละคนที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรา ไม่ใช่จู่ๆเพิ่งโผล่มาแบบไร้ต้นสายปลายเหตุ ถ้าตัดรูปร่างหน้าตาของแต่ละอัตภาพออกไป ฉัน เธอ และเขา ก็คือกระแสวิญญาณที่ร่วมก่อเหตุการณ์ให้เกิดความผูกพันดีร้ายมาสารพัด จะให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างไปนั้น สายเสียแล้ว”

เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก

“ทำกรรมเวรทำกรรมร่วมกันไว้แค่ไหนหรือ? เสียดายที่เราเข้าถึงกันไม่ได้แต่แรก ทุกอย่างคงง่ายขึ้นถ้า...”

“จะโทษว่าแอ้เล่นตัวล่ะซี อย่ามาว่าเลย ถึงได้ฉันไปง่ายๆ ในที่สุดเธอก็ต้องไปข้องแวะกับน้องคนนั้นอยู่ดี เจ้าชู้อย่างนี้น่ะ”

“ไม่เกี่ยวกันหรอก ผมรู้ตัว จริงๆนะแอ้ ถ้าแอ้คบหากับผมชัดเจนคนเดียว ผมจะติดหลงและรักแอ้คนเดียวเหมือนกัน”

ได้ยินเช่นนั้น ดวงจิตที่สงบก็แปรไปเล็กน้อย สะท้อนออกด้วยกิริยาถลึงตาแหวใส่

“เอ๊ะ! พูดให้ดีๆนะ นี่กำลังหาว่าแอ้หว่านเสน่ห์ ให้ท่า อ่อยเหยื่อทิ้งไว้ทั่วรึไง?”

“บอกสิว่าเปล่า”

เรือนแก้วนิ่งอั้นเป็นครู่ ก่อนกล่าวสะบัดนิดๆ

“ช่วยไม่ได้! เกิดมาสวยก็อย่างนี้แหละ ทำให้คนอื่นรักน่ะแสนง่าย แต่ทำให้ใจตัวเองรักใครสักคนนี่...”

“นั่นแหละที่น่าแปลกใจ ไหนแอ้ว่าเราผูกพันกันมาช้านาน ทำไมพบผมแล้วไม่ปักใจแต่แรกด้วยสัญญาณฝ่ายดีเก่าๆบ้างล่ะ?”

หากเป็นผู้หญิงธรรมดา ก็คงตอบว่าไม่รู้ซี เรื่องของใจนั้นพูดยาก แต่ด้วยสภาวะเหนือโลกของเรือนแก้ว หล่อนตอบได้ทันทีโดยไม่ติดขัด

“ถ้าย้อนระลึกไปสำรวจความรู้สึกตัวเธอเอง ก็จะเห็นว่ามีเมฆหมอกห่อหุ้มอยู่บางๆเหมือนกันแหละน่า จริงอยู่ ฉันกับเธอทั้งผูกพันแน่นแฟ้น และทั้งทำบุญร่วมกันตั้งมากมาย กระทั่งรู้สึกได้ถึงความเป็นคนพิเศษของกันและกัน แต่คาบเวลาช่วงใกล้นี้เราร่วมก่อกรรมทำเข็ญไว้ไม่น้อย ผูกเวรกับคนโน้นคนนี้ดะ ช่วยกันฆ่าเขาก็มาก เหล่านั้นแหละปฏิรูปเป็นสัญญาณรบกวน กีดกันไม่ให้ใจสัมผัสสนิท แล้วบอกให้นะ ถึงถ้าฉันไม่ตาย ได้อยู่กินกับเธอ วิบากที่เคยร่วมทำให้คนอื่นเจ็บปวดทรมาน ก็จะบันดาลให้รักกันแบบระหองระแหง มีเรื่องขัดใจกันไปเรื่อย

ต่างกับที่เธอรู้สึกกับอีกคน นึกรักแต่แรกพบ อยากหมั้นหมายตบแต่งปุบปับ ทั้งที่เห็นความแตกต่าง และแทบไม่รู้จักกันสนิทเท่าไหร่ นั่นก็เพราะคาบเวลาช่วงใกล้ได้ร่วมชาติ ร่วมความสว่างกับเขาส่วนเดียว มิหนำซ้ำเขามักจะเป็นฝ่ายพาเธอไปพบผู้ทรงคุณ ทำให้เธอได้ดิบได้ดีในทางธรรมขึ้นมาหลายภพหลายศาสนา อยู่กินกับเขาเมื่อไหร่ก็มีแต่ความสุขกายสบายใจเมื่อนั้น ครองกันยืดจนได้เห็นวาระสุดท้ายของกันและกันด้วยความรักสนิทใจมาตลอด”

หางเสียงของหล่อนเจือด้วยความรู้สึกอาภัพ พลอยทำให้เกาทัณฑ์สะเทือนใจ รั้งร่างแบบบางสวมกอดแนบอกด้วยความเวทนา นิ่งกันไปอึดใจก่อนชายหนุ่มเป็นฝ่ายกระซิบแผ่ว

“เราเกิดในพุทธศาสนา ถือว่าอยู่ในชาติที่สว่าง น่าจะทำอะไรร่วมกันแบบที่เป็นการถางทางรกข้างหน้าให้โล่งขึ้นบ้างนะ เทวดาก็ยังมีกรรมสัมพันธ์กับมนุษย์ได้นี่”

“ได้ซี...”

เรือนแก้วขืนกายออกจากอ้อมอกเขาและเงยหน้าขึ้นพูด

“ขอแค่จำคำแอ้ไว้ แรงอโหสิและเมตตาจะทำให้เธอเป็นผู้ชนะที่แท้จริง”

เกาทัณฑ์เพ่งตาสงสัย

“ขยายความหน่อยได้ไหม?”

“แอ้ตายแล้วสบายก็เพราะอโหสิแก่เจ้ากรรมนายเวร อยากให้เต้ได้ดีตาม”

ชายหนุ่มขนลุกซู่

“นี่หมายความว่าผมก็จะโดนเก็บด้วยอีกคนเหรอะ? เอาล่ะ! เท่านี้ก็ชัดแล้วว่าใครเป็นคนฆ่าแอ้ ขอบใจนะที่บอก”

เรือนแก้วเล็งเข้าไปถึงอารมณ์และความนึกคิดของอีกฝ่าย เห็นความกลัวที่เปลี่ยนเป็นกล้าบ้าบิ่นด้วยความคุมแค้น ก็บังเกิดความกังวลที่เจตนารมณ์ของตนให้ผลเป็นตรงข้าม จึงทอดถอนใจและหรี่ตาวอน

“เมื่อกี้เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเราอยู่ในชาติที่สว่าง น่าจะร่วมกันถางทางรก ไหงกลายเป็นอย่างนี้ได้ล่ะ พอแอ้ชวนทำกุศล ให้เลิกแล้วกันไปกับเจ้ากรรมนายเวร เต้กลับไพล่คิดสืบเวรต่อไปอีก รู้ไหม ถ้าเธอฆ่าเขาคืน วันหนึ่งเมื่อเราพบกัน แอ้ก็ต้องพลอยร่างพลอยแหเดือดร้อนไปด้วยไม่ทางตรงก็ทางอ้อม คิดอโหสิเถอะนะเต้”

เกาทัณฑ์ขบกรามแน่น หูอื้อตาลายเพราะยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นอก

“มันแหกคุกมาใช่ไหม? ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องตามจ้องล้างจองเวรกันอีก ในเมื่อเราแค่ป้องกันตัวแท้ๆ”

“จะพยาบาทคู่เวรตามวิสัยพาลเสียอย่างน่ะ ไม่ต้องอาศัยน้ำหนักสมเหตุสมผลหรอก แค่ผูกใจไว้กับแค้นที่ตัวเองก่อเอง ก็พอแล้วสำหรับการลงทุนลงแรงเผาผลาญให้ใครต่อใครพินาศ”

“มันหาเราเจอได้ยังไง?”

เรือนแก้วชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนเผยเพราะเห็นว่าไม่ล้ำเส้นกรรมลิขิต

“ไซเคยเป็นทหารมาก่อน มีสมองพอตัว เคยฝึกฉวยจังหวะในสถานการณ์คับขันทุกรูปแบบ เลยแหกคุกหนีได้ทั้งถูกคุมขังแน่นหนา ความชำนาญลู่ทางเดินเรือทำให้เขาเข้าไทยตามหาเราได้ในสองวันเท่านั้น ก็สืบสาวผ่านหนังสือพิมพ์นั่นแหละ...”

“มันกำลังตามหาผมอยู่ใช่ไหม? ดี! บอกซิจะได้เจอมันเมื่อไหร่?”

เทพธิดาจำแลงเกือบเอ่ยตอบ แต่รู้สึกร้อนวาบขึ้นในอกเหมือนกองไฟใหญ่ถูกโหมปุบปับ กลางใจผุดคำว่า ‘เรื่องของมนุษย์’ ขึ้นมา

สิ่งที่เกาทัณฑ์เห็นจึงเป็นอาการเงียบนิ่ง ทิ้งค้างไว้แต่แววห่วงใยในแก้วตา เขาเล็งแลเป็นครู่ก่อนพยักหน้าเข้าใจ

“เอาล่ะ ช่างเถอะ นี่อาจเป็นอีกข้อหนึ่งที่ผมตื่นขึ้นแล้วจะทบทวนด้วยความสงสัย ว่าฝันไปหรือเห็นจริง พอถามถึงอดีตแอ้ตอบได้ พอตั้งท่าถามถึงปัจจุบันและอนาคตแอ้เงียบ ผมคงสรุปว่าจิตปรุงแต่งเอง ประมวลผลเอง และตอบตัวเองเท่านั้น งั้นหันกลับไปหาคำถามเก่า ตอนนี้แอ้อยู่ไหน?”

“รับปากให้แอ้สบายใจก่อนซิว่าเต้จะตั้งจิตอโหสิแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เป็นการก่อกระแสกุศลขึ้นระหว่างเราสองคน เพราะเท่ากับเต้โมทนาและสาธุการกับอภัยทานของแอ้ เมื่อเราพบกันอีกจะได้ไม่เกิดเมฆหมอกร้ายห่อหุ้มใจ และไม่ดึงอกุศลวิบากมาให้ผลแรงเหมือนอย่างที่ผ่านมา”

เกาทัณฑ์ปล่อยมือจากร่างหล่อนแล้วถอยเท้าไปก้าวหนึ่ง ยักไหล่

“ก็ให้มีแรงจูงใจหน่อยซี่ แสดงหลักฐานให้มั่นใจว่าผมเห็นแอ้อยู่จริงๆ ขอดูนิดเถอะว่าผลของอภัยทานที่จะร่วมกับแอ้นั้นน่าชื่นใจขนาดไหน พูดก็พูดเถอะ พุทธศาสนากองบุญไว้ให้ตักเท่าภูเขา อภัยทานก็แค่ของใหญ่ชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ที่สุด ถ้าผมยอมบาปข้อปาณาติบาตสักครั้ง เห็นหน้าเจ้านั่นเมื่อไหร่ชิงเป็นฝ่ายฆ่ามันทิ้งก่อน ก็แปลว่ายืดชีวิตต่อเพื่อตักตวงบุญบารมีให้สูงเท่าหรือเหนือกว่าแอ้ได้มากมาย จู่ๆมาขอให้ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำในฝันอย่างนี้ ใครมันจะยอม”

เรือนแก้วส่ายหน้าด้วยความระอิดระอา

“ตั้งความคิดอกุศลเข้าไปเถอะ ถึงเดือดร้อนอยู่ในท่ามกลางการเกิดตายไปเรื่อย คนเขาได้ดีมาก่อน อุตส่าห์ช่วยบอกบุญให้ก็ทำเป็นพูดย้อน เชื่อแอ้เถอะนะ การเตรียมใจคิดอโหสิและแผ่เมตตาให้ทรงตัวน่ะ เป็นเกราะแก้วกำบังกายได้ยิ่งกว่าปืนผาหน้าไม้ทุกชนิด แม้ตายเพราะถึงฆาต หรือเพราะต้องใช้หนี้เก่า กุศลจิตก่อนขาดใจก็จะเป็นชนวนส่งมารับรางวัลที่คุ้มค่า”

เกาทัณฑ์ผายมือ

“แอ้...นี่ผมไม่ได้เล่นลิ้นนะ ถ้าฝันครั้งนี้คือมิติพิเศษที่แอ้สร้างขึ้นมา และแอ้อยู่ในชั้นภูมิที่เหนือมนุษย์ อ่านเข้ามาในใจผมได้ ก็ต้องหยั่งรู้ว่าผมลังเลสงสัย ว่ากำลังละเมอเพ้อพกสนทนาปราศรัยอยู่กับสิ่งปรุงแต่งที่จิตสร้างขึ้นหลอกตัวเองชั่วขณะหลับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นตอบคำถามมาก่อน ขอสอบภูมิหน่อยเถอะ ตอนนี้แอ้อยู่สวรรค์ชั้นไหน?”

เรือนแก้วก้าวตามเขามาก้าวหนึ่ง หยั่งทราบว่าการตอบคำถามชนิดนั้นจะนำมาซึ่งความยุ่งยากในภายหลังอย่างไร

“เธอจะรู้ไปทำไมนะ สำคัญยังไงหรือ?”

“สำคัญที่ว่าถ้าผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่แค่ฝัน คำขอร้องของแอ้ก็จะสัมฤทธิ์ผลง่ายขึ้น”

“ต้องมีการต่อรองด้วย เธอได้เป็นตัวของตัวเองสมบูรณ์อย่างนี้ จับต้องฉันได้ขนาดนี้ ภาพเสียงเป็นสามมิติคงที่ไม่ผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อน ต่อเนื่องเป็นเวลานานแบบนี้ ยังไม่พอใจอีก วิธีพูด ท่วงทีกิริยาของแอ้มีพิรุธหรือมัวซัวตรงไหนสะกิดให้สงสัยได้ว่าเป็นแค่การปรุงแต่งในห้วงฝัน?”

“อะไรก็เกิดขึ้นในฝันได้ทั้งนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นจะมีตำราพิสดารว่าด้วยการสร้างฝันเสมือนจริงถึงขั้นฟอกจิตฟอกใจ หลับซ้อนหลับ ฝันซ้อนฝัน สร้างมิติใหม่กันให้เกร่อหรือ ยิ่งศึกษาผมยิ่งเห็นว่ามิติของจิตนั้นลึกซึ้งเกินหยั่ง ยังมีเรื่องน่าพิศวงที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจอีกมาก ที่เห็นอยู่นี่อาจเป็นตัวอย่างหนึ่ง”

ผายมือทั้งสองออก เหลียวมองไปในความมืดรอบด้าน คิดเป็นครู่ก็หันมาเสริมอีก

“แอ้เหมือนเงาสะท้อนของผมมากเกินไป ทุกอย่างที่ผมคิด ทุกคำที่ผมพูด มาจากแอ้ได้หมด เพราะฉะนั้นในทางกลับกัน จิตผมก็สามารถสร้างภาพหลอนขึ้นเป็นแอ้ได้ไม่ผิดเพี้ยน ในเมื่อปฏิเสธไม่ปรากฏตัวให้ตาเนื้อเห็น ก็ลองบอกสิ่งที่ผมไม่รู้ซี่ เฉลยมาให้ชัดว่าตอนนี้แอ้อยู่ไหน สุขสบายอย่างไรบ้าง แล้วผมจะได้มีแนวทางตัดสินใจว่านี่ของจริงหรือเปล่า”

เรือนแก้วกะพริบตาเนิบช้า

“เอาเถอะ ถ้าขี้สงสัยนัก จะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน นับตามที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกไว้ ถิ่นกำเนิดของฉันคือโลกสวรรค์ชั้นดาวดึงส์!”

“ว้าว!” ชายหนุ่มทำเป็นตาโตตื่นเต้น “ชั้นนี้ท่านว่านางฟ้าสวยนัก ล่อใจหนุ่มๆให้บำเพ็ญตบะธรรมหวังไปครอบครองเทพธิดากันเป็นแถวเลย อย่างเจ้าชายนันทะไง ไปเห็นมาทีหนึ่งติดใจใหญ่ ถูกติดสินบนด้วยการรับประกันว่าบวชแล้วถ้าไม่สำเร็จธรรม อย่างน้อยขั้นต่ำต้องได้อย่างที่เห็น เท่านั้นแหละสละราชสมบัติบวชไม่สึกเลย อือม์...ตอนนี้แอ้ก็คงสวยขนาดทำให้ผมเกิดกิเลสได้น่าดูชม”

หญิงสาวยกมือกอดอก ไม่ตอบโต้

“หน้าตาแอ้เปลี่ยนไปบ้างไหม?”

“นิดหน่อย”

“บนโน้นสุขสบายแค่ไหน?”

“ไม่มีความเป็นอยู่ของใครในโลกมนุษย์ไปเปรียบ”

“มีใครมาจีบมั่งรึยัง?”

เรือนแก้วนิ่งไปอึดใจ ก่อนเอ่ยขรึม

“อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่ากำลังโต้ตอบกับมนุษย์ช่างซักเลยเต้ ฉันมาหาเพื่อขอบคุณในความเกื้อกูล และหวังให้เธอเลิกเศร้า เลิกห่วงใยอาลัยเปล่าอยู่กับซากเลือดเนื้อที่ฉันทิ้งไว้เบื้องหลัง เธอสอนฉันให้ปล่อยวาง ให้นึกถึงความตายข้างหน้า แต่ตัวเองเป็นไง พอเห็นฉันตายร้องโฮเป็นเด็กๆ จะไหว้เสียหน่อยเลยไหว้ไม่ลง

อีกอย่างคืออยากบอกกล่าวให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง บารมีด้านอื่นเกือบครบหมด หย่อนก็เรื่องอภัยทานนี่แหละ เคยเฉียดความตายมาครั้งหนึ่ง น่าจะรู้ว่าอารมณ์อกุศลแม้น้อยก็อาจขุดหลุมให้เธอร่วงลงต่ำได้ยังไง หากมันได้ทีสำแดงเดชตอนใกล้ตาย”

เกาทัณฑ์ยกมือเท้าเอว แค่นยิ้ม

“เดี๋ยวนี้สอนเก่งนี่” แล้วก็ต่อรอง “เอางี้นะแอ้ ผมยังสองจิตสองใจอยู่ดี ให้ดูหน่อยซีว่าอัตภาพแท้ของแอ้ตอนนี้น่าเลื่อมใสขนาดไหน แล้วทั้งหลายที่แอ้ปลอบใจและขอร้อง ผมจะเชื่อฟังทุกประการ”

เรือนแก้วมองคนรักด้วยแววเวทนา

“ได้คืบจะเอาศอก เมื่อกี้แค่อยากรู้ ตอนนี้ขอดูอีกแล้ว เดี๋ยวคงไหว้วานไปทำกับข้าวให้กินหรอก” แล้วก็ถอนใจเอ่ย “เธอไม่ควรได้เห็น เว้นแต่จะสำเร็จฌานขั้นสูง ยกระดับจิตให้สว่างใสชนะความอยากทางประสาทหยาบ หรือเป็นอริยบุคคลผู้ทรงคุณพร้อมที่จะสอนแม้เทพเจ้าแล้ว”

ฝ่ายฟังยิ้มเผล่

“ผมก็รู้อรรถรู้ธรรมพอสมควรนาแอ้”

คราวนี้แววในตาเรือนแก้วเปลี่ยนจากเวทนาเป็นสมเพช

“บั้นปลายชีวิตของเธออาจใช่นะเต้ แต่เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เธอแค่คิดว่าเธอรู้เท่านั้น ความเป็นผู้มีภูมิสูงวัดกันด้วยระดับจิตที่ทรงตัวอยู่ในคุณธรรมระดับใดระดับหนึ่งเป็นปกติ ไม่ใช่ญาณรู้เห็นประเดี๋ยวประด๋าว หรือปัญญาที่ผลุบโผล่ตามจังหวะที่อยากคิด อยากตรึกนึกพิจารณาธรรม”

เกาทัณฑ์ชักหน้าชาหน่อยๆ เพราะเรือนแก้วปรากฏในรูปเดิมที่จูงตาจูงใจให้นึกถึงความเป็นหล่อนคนเก่า ซึ่งมีแต่จะต้องเป็นฝ่ายรับฟังเขาขยายความสาธยายอรรถธรรม แต่เดี๋ยวนี้สลับตำแหน่งมายืนเทศน์แทนเสียแล้ว

“สาธุ ขอบคุณเจ้าแม่ที่ให้สติ”

ว่าแล้วก็ยกมือไหว้ประชด แบบที่ทำให้หญิงสาวยิ่งสลดลงอย่างใจเสีย ตระหนักชัดว่าการลดตัวลงมาเกลือกกลั้ว เจรจาพาทีกับเกาทัณฑ์ในฐานะคนรักให้ผลเป็นลบกับเขาเองอย่างไร ไม่อยากให้เขาขุ่นมัวและคิดลบหลู่หล่อนมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงตัดสินใจถามทั้งอึดอัดว่า

“อยากเห็นนักหรือ?”

“อือ” เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาได้ “ให้เป็นบุญตาหน่อยเถอะ อยากรู้มานานแล้วว่านางฟ้าสวยขนาดไหน แล้วนี่...ขอเถอะ เลิกมองผมอย่างกับแม่มองลูกซะที เข้าใจดีว่าแอ้คงมีเทวฤทธิ์น่ากลัวเหลือหลาย จะสาปผมเป็นข้าวหน้าเป็ดเก็บไว้หม่ำมื้อหน้าก็ยังได้ ผมอยู่ใต้อำนาจของแอ้วันยังค่ำ แต่ยังไงเราก็รักกัน ผูกพันกันด้วยวิญญาณ อย่าเย่อหยิ่ง อย่าให้ความห่างภพภูมิแค่สองชั้นนี่มาแปรความรู้สึกดีๆให้เปลี่ยนไปเลย”

“ก็เพราะอย่างนั้นสิ ถึงไม่อยากให้เห็นไง ไม่ต้องแกล้งพูดกระทบว่าเป็นวัวลืมตีนหรอก ถ้าแอ้ลืมเต้ คงไม่ลดชั้นลงมายืนให้เธอตีฝีปากกล้าอยู่อย่างนี้”

“เอาล่ะๆ...สัญญาจะควบคุมสติดีๆ ไม่ให้ตกตะลึงจนขาดสติคิดอกุศล เคยได้ยินแหละว่าฤาษีบางตนเห็นนางฟ้าแล้วตบะแตก แต่ผมไม่มีตบะอะไรแบบฤาษีให้ต้องรักษานี่ แค่ขอดูน่ะ แวบเดียวเป็นฟ้าแลบก็ยังดี นะ”

เรือนแก้วส่ายหน้าน้อยๆ

“ตามใจ อย่าเสียใจทีหลังล่ะถ้าเผลอยกมือไหว้ลูกศิษย์ตัวเอง”

เกาทัณฑ์เผลอโก่งคอหัวเราะออกมาดังๆอย่างกำแหงหาญ

“โธ่เอ๊ย...แอ้ ผมเคยได้สมาธิเฉียดฌานมาตั้งหลายครั้ง ระดับจิตสูงกว่าที่แอ้เป็นอยู่ตอนนี้อีกมั้ง เอาน่ะ...ให้เห็นหน่อยเถอะยาหยี จะเอาไปจ้างจิตรกรวาดเก็บไว้เป็นที่ระลึก”

“ถอยไปสิ”

ชายหนุ่มทำตาม ถอยเท้าไปข้างหลังประมาณสี่ก้าวแล้วเลิกคิ้วเป็นเครื่องหมายคำถามว่าพอหรือยัง

“อีก...”

เกาทัณฑ์หัวเราะถอนฉิวและจุ๊ปาก แต่ก็ยินยอมถอยอย่างว่าง่ายเพื่อให้ได้ดูของดี

นางเทพธิดาพิจารณาแล้วว่าอัตภาพแห่งตนได้มาจากความเกื้อกูลของมนุษย์ผู้นี้ จึงอยู่ในขอบข่ายที่จะกระทำปฏิการะ คือตอบแทนคุณโดยสนองความปรารถนาให้เขาได้เห็นทิพยภาวะ เพื่อเป็นกำลังใจและก่อความเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติดี ฟังคำเตือนหล่อนโดยไม่เห็นว่านี่เป็นแค่ฝันเพ้อ

ครั้นแล้ว เกาทัณฑ์ก็ได้เห็นสิ่งที่อยากจะเห็น และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเห็น...

รัศมีสว่างไสวแกมทองซ่านออกมาเป็นวงกว้างครอบร่างในชุดราตรี กระทบตาผู้รอคอยให้ทราบทันทีในวาระจิตปัจจุบันว่านั่นคือราศีสวรรค์ เรือนกายของมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาปฏิรูปไป ดูขยายใหญ่ขึ้นกว่าปกติ กรอบหน้างามคมคายจับเค้ารูปไข่จากเรือนแก้วที่เขารู้จัก รวมทั้งจมูก ปาก และคาง ทว่าหน้าผากมน คิ้วโก่งและเคียวเนตรเรียวยาว กับประกายวาวหวานฉายซึ้งที่เรืองอำนาจเหนือมนุษย์นั้น ผิดแผกไปเกือบสิ้นเชิง โดยเฉพาะสีตาที่เคยออกน้ำตาลใส บัดนี้ขึ้นเงาดำขลับวะวับดุจเอกอัญมณีสีนิล มองสบแล้วถูกดึงดูดให้ติดหลงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

เครื่องหน้าทุกชิ้นเฉิดฉายเสริมกันเป็นภาพเนรมิตที่จิตรกรคงหนักใจหากคิดจำลองไว้บนผืนผ้าใบ เพราะต้องหาเนื้อสีที่ระบายแล้วสุกปลั่งจับตาให้ได้สักครึ่งหนึ่งของของจริงเสียก่อน จึงค่อยว่ากันถึงรายละเอียดสัดส่วนเส้นสายอื่นในภายหลัง

เกาทัณฑ์รู้สึกว่าตนมีกำลังน้อยเกินกว่าจะทานแรงจากดวงตาเทพเจ้าได้นานๆ จำต้องลดวิถีการมองมายลสรีระที่ต่ำระดับลง ทรวดทรงองค์เอวสลักเสลาสมส่วนซ่อนอยู่ในพัสตราภรณ์ชมพูแสดอันแล้วด้วยเครื่องประดับพิลาสอลังการสมอิสริยยศ กิริยายืนเหนือพื้นประหนึ่งกำลังประดิษฐานนิ่งบนแท่นแก้วไร้ตน ประกาศเกียรติภูมิเหนือแผ่นดินอันต้อยต่ำของมนุษย์อย่างแจ่มชัด

พิศกายก็ยังเกินฝืนเพ่ง ต้องลดต่ำลงอีก คล้ายถูกกดคอให้ก้มด้วยมหิทธิพลังและเปลวรัศมีอันแผดกล้าเกินหยัดกายฝืนใจต้าน ซึ่งเมื่อวิถีตาถูกฉุดลงจนสุดเพียงพิศหลังบาทเกลาเกลี้ยง ความเคลือบแคลงก็ปลาสนาการไป แทนที่ด้วยความเย็นซ่าจากหนังหัวลงไปถึงฝ่าเท้า แล้วขนลุกไล่ระลอกแผ่กลับขึ้นทั่วแผ่นหลังไปถึงปลายแขน

ความรุ่งเรืองเกินจินตนาการตรงหน้าทำให้ตาเบิกโพลง ตัวสั่นงันงกด้วยความระย่อยำเกรง บังเกิดความรู้สึกผิดอย่างแรงในท่ายืนของตน ยิ่งกว่าผู้จงรักภักดีเผลอยืนตีเสมอกับกษัตริย์เหนือหัว แข้งขาและหัวเข่าเหมือนจะอ่อนเปียกใกล้ยอบกายถวายอภิวาททุกขณะ ยังทรงอยู่ก็ด้วยเพียงมานะและความผยองของผู้รู้สึกตัวว่าบำเพ็ญบารมีมามากมายจนไม่อยากลดแม้คอให้ใคร

นางเทพเองก็ไม่ปรารถนาจะเห็นคนรักย่อลงต่อหน้า พอหยั่งรู้ว่าเกาทัณฑ์กำลังจะสิ้นแรงต้านบารมีชาติภูมิแห่งตน ก็อธิษฐานซ่อนรัศมี และจำแลงกายจากสภาพทิพย์ย่อลงเป็นภาวะหยาบขนาดมนุษย์ธรรมดา ซึ่งเมื่อวิญญาณครองอัตภาพเช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกนึกคิด ความกำหนดหมายทั้งหลายก็คืนกลับสู่ความเป็นเรือนแก้วคนเก่าเกือบบริบูรณ์ แตกต่างไปบ้างก็คือมีสำนึกอย่างใหญ่แบบเทพหนุนอยู่เบื้องหลัง คล้ายนักแสดงที่เข้าถึงบทตนเองในวัยเด็ก ตีบทแตกละเอียด แต่ก็เต็มสติของตัวจริงที่เป็นผู้ใหญ่ยืนพื้นในชั้นแรก

เกาทัณฑ์ยืดกายขึ้นตรง เงยหน้าทันทีที่สำเหนียกว่าแรงกดมหาศาลมลายลับ จ้องมองร่างเปรียวตรงหน้าด้วยความปลอดโปร่งขึ้น และตระหนักว่าร่างจำแลงเช่นนี้จึงสมฐานะเขา แม้เพียงในฝัน...

เห็นหล่อนยิ้มมุมปาก เท้าเอวยักสะโพกข้างหนึ่งแบบที่เคยทำยั่วตาเขาบ่อยๆ

“ว่าไงคนเก่ง สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียวนะ ไหนล่ะที่เมื่อกี๊ว่าทำสมาธิได้ภูมิจิตสูงกว่าแอ้ ขี้โม้ชัดๆ”

รังสีเรืองอำไพล้ำพรรณนายังติดตา ระคนน่าครั่นคร้ามสะเทือนขวัญอยู่ไม่จาง ก่อนหน้านี้เขานึกถึงเรือนแก้วเมื่อครั้งเป็นแม่งานชักชวนเพื่อนฝูงทำบุญ ใจถึงบุญจนดูอิ่มเอิบละไมคล้ายมีแสงสว่างเกินๆกรอบหน้าออกมา ก็ทึกทักว่านางฟ้าเทพยดาทั้งหลายคงประมาณนั้น ที่ไหนได้ เจอของจริงเข้าเกือบต้องย่อยองๆไหว้เสียแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำสัพยอกเป็นกันเองอย่างเพื่อนเก่าของหล่อนช่วยลดความประหม่าลงได้มาก ความรู้สึกชั่ววูบนั้นคืออยากไปสวรรค์ มีศักดิ์สมน้ำสมเนื้อพอจะครองรักกับหล่อน

“เป็นมนุษย์นี่ต่ำต้อยจริงๆเนอะ”

พึมพำปากคอสั่นเล็กน้อย เรือนแก้วส่ายหน้า เยื้องย่างเข้ามาหา เขาเหลือบลงเห็นรายละเอียด ‘ติดดิน’ ทุกประการไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าหรือการจมส้นสูงในแต่ละก้าว กระทั่งมาหยุดสนิทใกล้ตัว

“ไม่หรอก มนุษย์เป็นได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ต่ำสุดนรกจนกระทั่งสูงเหนือพรหมโลก เมื่อเข้าหาพระอริยเจ้าผู้ทรงคุณ ฉันเองต้องเป็นฝ่ายคุกเข่าลงถวายอภิวาท ลืมแล้วหรือว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถือกำเนิดในแดนมนุษย์ เคยเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดามาก่อน แต่เมื่อถึงฝั่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แม้ฤทธิ์แห่งพรหมที่เหนือฉันตั้งพันเท่าก็ยังพ่าย!”

เกาทัณฑ์เกิดสติระลึกได้ และประจักษ์แจ้งในบัดดลว่าคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์อาจสูงส่งเกินทุกภพในไตรภูมิสิ้น อัตภาพเดียวกับเขานี้เองเป็นชัยภูมิแห่งพุทธิจิตอันบริสุทธิ์ ล่วงพ้นจากความสูงต่ำทั้งปวง

คิดเช่นนั้นก็ค่อยสบตาเรือนแก้วได้นิ่งขึ้น ตรึกนึกถึงความงามตรึงตราบาดจิตบาดใจที่เพิ่งยลไปเมื่อครู่แล้วบอกตนเองว่าเกิดมายังไม่เคยอยากได้อะไรเท่านี้มาก่อนเลย หายสงสัยแล้วว่าสมบัติสวรรค์น่ารักน่าปรารถนาเพียงใด เขาเห็นผู้หญิงสวยราวกับจะเกิดมาเพื่อแกล้งให้ชายคลุ้มคลั่งก็มาก แต่วัดกันด้วยความเสียวแปลบแสบลึกจากขั้วหัวใจถึงก้นบึ้งวิญญาณเมื่อเห็นเรือนแก้วในร่างแท้แล้ว บอกตนเองว่าต่อให้เอานางผู้เป็นหนึ่งในปฐพีไปแข่งก็แพ้ราบ เพราะกระแสตาและรัศมีเทพนั้น เกินวิสัยที่จะปรุงแต่งอัตภาพหยาบแบบมนุษย์ไปสู้

เอากันแค่ผิวกายก็พอ ในพระสูตรเคยยกอ้างถึงสตรีในพุทธศาสนาบางรายที่มีผิวงามนวลเนียนดุจสร้างขึ้นจากกลีบบัวขาว เหตุเพราะเคยรักษาศีลได้บริสุทธิ์หมดจดในชาติปางก่อน จัดว่างามเลิศในโลกหล้า แต่ก็ระบุชัดเจนว่าไม่ถึงเทพทุกรายไป เกาทัณฑ์เห็นกับตาเดี๋ยวนี้ว่าจะให้ถึงได้อย่างไร ในเมื่อความผุดผาดของผิวเทพนั้น มาจากความละเอียดเป็นยองใยของธาตุทิพย์ที่ผ่องแผ้วเสียจนเรืองแสงได้!

“ชักเกิดกิเลสล่ะสิ”

เรือนแก้วดักคอ เกาทัณฑ์พยักหน้ารับซื่อๆ

“อือ”

“ตกลงจะรับปากรึยัง? ต่อไปนี้จะตั้งอภัยทานประดิษฐานไว้ในจิตใจอย่างมั่นคง”

เกาทัณฑ์กะพริบตาเม้มปาก

“จะพยายาม”

“ขอเป็นสัญญาได้ไหม?”

ชายหนุ่มหัวเราะ

“แอ้นี่ชอบบังคับจิตใจคนอื่นไม่เลิกเลยนะ เอาเถอะ เกิดกิเลสขนาดนี้แล้ว จะทำยิ่งกว่าอภัยทานเป็นสิบเท่าร้อยเท่าก็คงได้มั้ง”

“ดี...” เทพธิดาจำแลงสาธุการแล้วล่ำลา “เห็นทีฉันต้องไปล่ะ”

เกาทัณฑ์รู้สึกใจหาย

“มาหาผมบ่อยๆได้ไหม?”

“เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าอะไรเป็นอะไร ฉันแกล้งลงต่ำให้เท่าเธอได้ แต่เธอเข็นตัวเองขึ้นถึงฉันไม่สำเร็จแน่ อยากให้เราสัมผัสช่องว่างระหว่างกันบ่อยๆจนความรักจืดจางลงหรือ?”

ฝ่ายมนุษย์เดินดินขบริมฝีปาก

“แปลว่าผมจะไม่เห็นแอ้อีก...”

“อาจจะ” หล่อนตอบเนิบเยี่ยงผู้สิ้นอาลัยในภพเดิม “ถ้าบั้นปลายเธอถือบวช ตั้งจิตไว้เที่ยง เข้าออกฌานได้ตามปรารถนาจนอยู่เหนืออารมณ์หยาบแน่นอนแล้ว ฉันจะพาบริวารมาฟังธรรม”

เกาทัณฑ์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ

“ถ้าปลายชีวิตผมเป็นอย่างนั้นจริง ตายไปก็เกิดบนพรหมโลกน่ะซี จะเจอแอ้บนสวรรค์ได้ไง ไหนว่ามาจูงมือไปอยู่ด้วยกัน”

เรือนแก้วจับตามองคนรักเฉยด้วยแววซ่อนนัย ชนิดที่เขาไม่มีวันอ่านได้ออกด้วยวิสัยมนุษย์ เหตุผลของหล่อนในการทำอะไรสักอย่างยามนี้เป็นคนละระนาบกับเขา เพราะนอกจากมีภูมิจิตที่ประกอบด้วยอภิญญาจะแจ้งอดีตแล้ว ยังมองได้ไกลไปถึงผลที่งอกเงยขึ้นจากรากแห่งปัจจุบันกรรม มุมมองหรือการตัดสินใจต่างๆจึงผิดแผกเป็นคนละเรื่อง

ในระหว่างวันที่หล่อนตระเวนทำความรู้จักกับสหายเทพตามวิถีสวรรค์ ได้รับเทศนาธรรมจากเทพที่อยู่เหนือชั้น คือบรรลุมรรคผลขั้นต้นมาจากโลกมนุษย์ แสดงธรรมจนหล่อนได้เข้าใจว่าสุขบนสวรรค์นั้นยาวนาน ทว่าไม่จีรัง เหตุเพราะอัตภาพทิพย์ถูกบันดาลขึ้นด้วยกุศลวิบาก ซึ่งไหลมาจากกุศลกรรมหนักเบา ขึ้นชื่อว่ากรรมนั้นแม้แรงเพียงใด ให้ผลเป็นอัตภาพไหน วันหนึ่งก็ต้องเหือดหมดเมื่อถูกกาลเวลาแผดเผา หมายความว่าความเป็นเทพก็ไม่ล่วงพ้นมรณา ต้องแตกดับลง กลายเป็นธรรมอีกก้อนหนึ่งที่จะสาบสูญไปในห้วงว่างอันไร้ต้นไร้ปลายของสังสารวัฏ

หล่อนยังเกิดความเห็นชอบอีกด้วยว่าอายุขัยแห่งทิพยสภาพนั้น แม้นานเกินอายุขัยของมนุษย์มาก ทว่าเมื่อเทียบกับอนันตภาพของสังสารวัฏแล้ว ก็จัดว่าสั้นเท่าฟ้าแลบลงมาปลาบเดียวอยู่ดี

ยังมีเวลาอยู่ร่วมกับเกาทัณฑ์และความไม่รู้ของตนเองอีกยืดยาวนักในอนันตชาติเบื้องหน้า จะมัวยินดีในสุขบนสวรรค์เพียงชั่วแล่นไปใย สู้ฉวยเอาขณะที่ยังดำรงอยู่ในช่วงพุทธกาลพร้อมกัน ขวนขวายเตรียมเสบียงไว้เดินทางไกลเต็มกำลังจะประเสริฐกว่า หากสั่งสมความเห็นถูกเห็นชอบในทุกกรณีไว้จนหยั่งรากความเป็นสัมมาทิฏฐิลงลึกถึงแก่นวิญญาณ รวมทั้งสร้างบุญสร้างกุศลห่อหุ้มจิตจนกลายเป็นเครื่องนำร่องอันทรงประสิทธิภาพแล้ว ก็จะทำให้การเลื่อนไหลบนทางวิบากแห่งสังสารวัฏไม่ลำบากถึงขั้นเลือดตากระเด็นบ่อยนัก

อัตภาพทุกชนิดคือเครื่องประหารประจำตน วิญญาณทั้งหลายไม่อาจหวังพึ่งพิงสิ่งใดไปชั่วฟ้าดินสลาย ที่พึ่งอันน่าไว้ใจนั้นมีก็แต่เพียงสัมมาทิฏฐิและกำแพงกุศลอันก่อตั้งไว้มั่นคงแล้วในตนเองเท่านั้น

เรือนแก้วหยั่งรู้ลึกลงไปถึงอดีตกรรมของเกาทัณฑ์และแพตรีในชาติใกล้ ได้เห็นว่าแม้แพตรีในครั้งกระโน้นจบชีวิตจากความเป็นมนุษย์ไปเกิดบนสวรรค์แล้ว ก็ยังครองตัวบริสุทธิ์ และวนเวียนมาฟังธรรมจากฤาษีผู้เคยเป็นภัสดา เพื่อรักษาสัมพันธภาพด้านดีให้กระชับหวังเสวยผลร่วมกันในระยะยาว และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าความผูกพันที่สร้างขึ้นทั้งขณะเป็นมนุษย์และเทพนั้น ขอจงเป็นแรงดึงให้มาเกิดเป็นคู่ครองของเขาทุกภพทุกชาติ

สิ้นชาติฤาษีเขาจุติจากโลกมนุษย์ไปเกิดบนพรหมโลกด้วยมหัคตกุศลจิตเยี่ยงผู้อยู่ฌานเป็นปกติตราบจนถึงวาระขาดใจสิ้นลม ครั้นถึงเวลามาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน กรรมสัมพันธ์อันเป็นมิติโยงใยที่ละเอียดลึกซึ้ง ก็ดึงทั้งหล่อนและแพตรีมาเกิดร่วมกับเขาคล้ายดาวใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางย่อมส่งแรงดึงดูดดาวบริวารให้เคลื่อนตามไปทุกหนทุกแห่ง

และชาตินี้แพตรีก็ได้เขาไว้ อย่างที่โบราณว่าแข่งเรือแข่งพายนั้นได้ แต่แข่งวาสนานั้นเหลือวิสัย บัดนี้เรือนแก้วซึ้งแล้วว่าเพราะอะไร กรรมอันเป็นทั้งปัจจัยและทั้งเหตุผลแห่งการเกิดนั่นเองที่คุมเส้นทาง คุมวาสนาในชีวิตไว้ อดีตกรรมและปัจจุบันกรรมเปรียบเหมือนสมบัติที่ต้องเก็บหอมรอมริบกันข้ามภพข้ามชาติ ที่จะหาทางลัดแซงหน้ากันปุบปับภายในชั่ววันนั้น มีก็แต่ทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัตินั่นแหละถึงพอเป็นไปได้ และชั่วชีวิตหล่อนก็ยังไม่เคยพบพระอรหันต์เลยแม้แต่รูปเดียว ทั้งที่พวกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ในประเทศไทยตั้งหลายรูป!

แต่คราวนี้น่าจะถึงตาหล่อนบ้าง ด้วยวิสัยเทพที่สามารถเล็งเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตามเหตุผลแห่งกรรม ผนวกกับขันติอันเกิดจากดวงจิตที่ทรงสภาพกุศลเกือบเสถียร จึงวางอดีตที่ผ่านมาเสีย แล้วหมายเล็งเฉพาะอนาคตภายภาคหน้าเท่านั้น เพราะอดีตและปัจจุบันระหว่างเขากับหล่อนถึงกาลสิ้นแล้ว

หล่อนจะสนับสนุนและเกื้อกูลให้เขาขึ้นสูงถึงที่สุดศักยภาพ ข้างหน้าของเขาสบาย ข้างหน้าของหล่อนก็สบายด้วย แค่รออนุโมทนาและอธิษฐานแบบเดียวกับที่แพตรีเคยทำมาก่อนเท่านั้น!

“เต้...เมื่อสำเร็จฌานสมาบัติจนอยู่ตัวแล้ว เธอจะหวังไปไหนมันเรื่องของเธอ”

เรือนแก้วตอบเพียงสั้นต่อข้อกังขาของเขา ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าฌานนั่นเองเที่ยงที่จะนำเขามาหาหล่อน หรือจะแล่นเลยไปพรหมโลกก็สุดแต่ปรารถนา อยากได้อะไรก็เลือกเอาตามใจ ดีกว่าสักแต่ทำบุญสร้างกุศลในระดับสามัญ ซึ่งเอาแน่ไม่ได้ว่าก่อนตายจะออกหัวออกก้อยอย่างไร

“เมื่อกี้แอ้บอกว่าบั้นปลายชีวิตผมจะได้ดีทางธรรม อันนี้คือบอกใบ้ใช่ไหมว่าชีวิตผมอยู่ยืดถึงแก่”

“รู้อยู่ท่วมหัวอย่าแกล้งทำเป็นเอาตัวไม่รอดเลย คำว่า ‘บั้นปลายชีวิต’ อาจหมายถึงช่วงอายุเจ็ดสิบ หรือช่วงสุดท้ายปลายเดือนนี้ก็ได้ทั้งนั้น”

“สรุปคืออยากให้ผมรีบบวช?”

“แค่อยากให้เร่งปฏิบัติ อย่ามัวเมากามสุขจนลืม...”

วูบนั้นประโยคสุดท้ายของเรือนแก้วทำให้เกาทัณฑ์นึกครึ้มตามประสาปุถุชน เมื่อระลึกได้ว่าตนยังมีแพตรีและงานวิวาห์เป็นที่หวังในชาติปัจจุบัน

นิลเนตรฉายแววรอนรานเมื่อเห็นเข้ามาในใจคนรัก แต่แล้วก็กลับเปล่งประกายจรัสขึ้นตามเดิมด้วยสติเหนือภพเก่า

“ไปล่ะ”

เกาทัณฑ์อึกอัก เพราะท่าทางหล่อนขยับเหมือนคนกำลังคิดกลับบ้านจริงแล้วคราวนี้

“แอ้...มาหาผมเรื่อยๆไม่ได้หรือ สักเดือนละครั้งก็ยังดี”

“เขาเรียกโลภหรืออะไรคะ ที่อยู่ในใจเต้ตอนนี้?”

พอเห็นเขาสะอึกก็ถามสำทับ

“ฉันมาหาเธอทุกวันก็ได้ แต่ห้ามยุ่งกับน้องแพเลยตลอดไป ตกลงไหม?”

เกาทัณฑ์แยกเขี้ยวหน่อยๆ เพราะเงื่อนไขทำนองคำขาดชนิดนั้นให้มาด้วยเจตนาปิดกั้นคำร้องขอมากกว่าจะเป็นตัวเลือกปฏิบัติจริง ด้วยอารมณ์ชั่ววูบแห่งความโหยหาที่ไม่ได้รับการสนองตอบ ทำให้สำคัญไปว่าเรือนแก้วเห็นเขาสิ้นค่า ไร้ความหมายเสียแล้ว อีหรอบเดียวกับสาวบ้านนอกเข้ากรุง เจอสีสัน เจอตึกใหญ่รถยาวเข้าก็ลืมถิ่น ลืมคู่ยาก ไปหลงแสงศิวิไลซ์แทน

เหตุนั้นจึงลืมตัว แดกดันว่า

“ก็ได้นะ ต่อแต่นี้ผมจะไม่เอาตาไปดู เอาหูไปฟัง เอาปากไปพูดกับสาวๆที่ไหนอีกเลย แต่รบกวนเฉพาะข้างขึ้นเดือนหงายแอ้ค่อยมาเถอะ เกรงว่าโปรดผมทุกวันเดี๋ยวผิวจะเสีย เบื้องบาทจะหม่น”

แล้วก็ตัดบทแบบชิงเป็นฝ่ายไล่ก่อนหล่อนจะลาซ้ำ

“เอาล่ะ จะไปไหนก็ไปเถอะไป๊ เวลากรวดน้ำอุทิศในงานศพก็ช่วยรับด้วยล่ะ อย่าทำเป็นหยิ่งเห็นว่าสูงส่งแล้ว นึกว่าบุญในโลกจิ๊บจ๊อย ไม่ต้องรับบริจาคอีก อ้อ... เก็บเนื้อเก็บตัวไว้ดีๆด้วย อย่าเพิ่งยอมให้ใครมาเอาไปกกกอดเสียก่อน ผมจะโลภสั่งสมบุญกุศลให้รวยกว่าเทวดาทั่วทุกหัวระแหง เพื่อวันหนึ่งจะได้ตามขึ้นไปเบ่งกลับให้แอ้หงอมั่ง”

เรือนแก้วย่นคิ้วหน่อยๆด้วยความระคาย และผิดหวังที่เขาขาดสติสำแดงความเป็นคนกิเลสหนาราวกับไม่เคยผ่านการขัดเกลามาก่อนเยี่ยงนี้

“พูดจาไม่เข้าหูเลย”

เกาทัณฑ์ยิ้มแต้ ทั้งที่กำลังมีอารมณ์หลากชนิดประดังรุม

“โอ! ลืม...ตอนนี้ผมควรมีสัมมาคารวะเสียบ้าง” ยกมือข้างหนึ่งตั้งเสมอหน้าแบบไหว้ครึ่งเดียว “ลูกช้างผิดไปแล้ว พูดบ้าๆบอๆออกไป ด้วยอารามเสียใจเห็นเจ้าแม่ทำท่าจะจากลา”

ประชดจบก็ต้องสะกดไม่ให้น้ำตารื้นขึ้นคลอขอบ แต่ก็ห้ามไม่อยู่ เพราะรู้ว่านับแต่นี้จนสิ้นลม เรือนแก้วจะไม่หวนกลับมาสมาคมกับเขาด้วยรูปร่างหน้าตาเดิมอีกแล้ว

หญิงสาวนิ่งงันเป็นครู่ นัยน์ตาทอแววอาลัยรักออกมาเล็กน้อย แต่ก็ดับลงสนิทอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจขันติแห่งเทวา

“แล้วเจอกันนะ”

ล่ำลาด้วยคำง่ายราวกับกำลังจะพบกันอีกในรุ่งเช้า เกาทัณฑ์สูดลมหายใจลึก เขาก็ฮึดขึ้นมาบ้าง ยักคิ้วแบมือโบกโบ๊เบ๊คล้ายปราศจากความแยแสไยดี

“โอเค แล้วเจอกัน”

แสงเทพเรืองซ่านออกมาจากเรือนกายหญิงสาว หล่อนยิ้มละไมและยกมือประทานพรในท่ามกลางรัตติกาลอันผาสุก

“ชนะกรรม ชนะตัวเอง...”

ชายหนุ่มพยายามกลืนก้อนขมที่โจมขึ้นจับจมูก ลนลานยกมือจะเอื้อมคว้าภาพตรงหน้าพร้อมกับพึมพำเรียกรั้งด้วยสำเนียงอันท้นไปด้วยความโทมนัส

“แอ้...”

ฉากราตรีกลายกลืนเลือนลับไปพร้อมกับนางสวรรค์ เกาทัณฑ์รู้สึกถึงความชื้นน้ำเมื่อตื่นขึ้นด้วยลมอู้วูบปะทะใบหู เขานอนแช่นิ่งเป็นครู่ ก่อนดึงตัวขึ้นนั่ง ชันเข่าข้างหนึ่งแล้วเหลียวรอบเพื่อพบกับความจริงยามตื่นเป็นอากาศว่างเงียบงัน

 

แพตรีเพิ่งออกจากชั่วโมงสอนวิชาวิทยาศาสตร์ชั้น ป. 6 ลงมาสอนวิชาจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดีในชั่วโมงนี้ ซึ่งเป็นวิชาที่อยากสอนมากกว่าอื่นใด หล่อนเดินตามระเบียงอาคารชั้นสอง มองไล่ป้ายหน้าห้องจนพบ ป. 5/1 ก็ตรงไปเลี้ยวเข้าด้วยอากัปกิริยาเป็นปกติราวกับเดินเข้าออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ในใจรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับครั้งแรกของความรับผิดชอบที่ตนปรารถนา

เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ได้ยินถึงข้างนอกเงียบหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อครูสาวหน้าใหม่ก้าวมาหยุดยืนเด่นเป็นประธานที่หน้าชั้น หลายคนที่หันคุยกันหยุดกึกทั้งยังพูดไม่จบประโยค ที่กำลังยืนยื่นไม้บรรทัดห้อยจิ้งจกไปแกล้งเพื่อนผู้หญิงก็หดกลับ ที่ตั้งใจจะร่อนเครื่องบินกระดาษไปให้พรรคพวกอีกฟากห้องส่งกลับก็รีบซ่อนใต้โต๊ะ ที่กำลังจะลุกจากเก้าอี้วิ่งไล่กันก็ด่วนกลับมานั่งก้นกระแทก

"นักเรียน ทำความเคารพ"

เสียงหัวหน้าห้องขานแจ้ว เด็กทั้งห้องพนมมือก้มหน้าไหว้พร้อมเพรียงกัน

"สวัสดีครับ/ค่ะคุณครู"

แพตรียิ้มให้ มองกราดไปทั่วห้องที่เกลื่อนดวงตาอ่อนเยาว์ กึ่งรู้เดียงสา กึ่งบริสุทธิ์ซื่อ เกิดความเต็มใจเอ็นดู เงียบเป็นครู่ก่อนเอ่ยทักทายด้วยเสียงใสเป็นกังวานกระจายได้ยินทั่ว

"สวัสดีจ้ะนักเรียนทุกคน เทอมนี้พวกเธอมีครูมาสอนวิชาจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดี ซึ่งจะทำให้พวกเธอเข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าเราร่วมสังคมทุกวันนี้ มีอะไรบ้างที่ควรคิดให้ตรงกัน เห็นให้ตรงกัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบและวิธีปฏิบัติต่อสังคม ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันนะ ครูชื่อแพตรี นามสกุลพีรนัยน์ เขียนอย่างนี้..."

หันไปหยิบชอล์กเขียนชื่อนามสกุลตนเองที่มุมซ้ายของกระดาน แล้วหันกลับมาทางนักเรียน เห็นทุกคนกำลังจ้องเป๋ง แพตรีเลือกมองตอบไปกว้างๆเต็มหน่วยตา พลางทอดเท้ามาข้างหน้าสองก้าวสั้นๆ

"คราวนี้ให้ครูรู้จักพวกเธอหน่อย"

นักเรียนเตรียมยืนขานชื่อตนเองตามลำดับโต๊ะ อันเป็นวิธีที่นิยมทำกันทุกครั้งเมื่อพบครูคนใหม่ แต่ต้องได้รับความประหลาดใจ เมื่อครูสาวถามเด็กชายหัวหน้าชั้นซึ่งสั่งทำความเคารพเมื่อครู่ว่า

"เธอชื่อจักกายใช่ไหม?"

เด็กที่ถูกถามเบิกตานิดหนึ่ง ก่อนรับว่า

"ครับ"

"คนไหนใจชนก?"

เด็กผู้หญิงที่นั่งใกล้หล่อนยกมือขึ้น

"หนูค่ะ"

"ครูเรียกชื่อใครคนนั้นยกมือนะ วางกฎ... พอพระทัย...ชาญฉลาด...พานลดา...ทันชัย...แว่นฟ้า...รจเลข...ปรศุ...ฉมา...สมชาย...หทัยธรา...ลือชา...รบชนะ...”

เด็กนักเรียนมองตากันเองงงๆ เพิ่งเคยเห็นครูท่องชื่อนักเรียนแล้วมาขานดูหน้าทีละคนตามลำดับเลขที่อย่างนี้ นอกจากจักกายซึ่งเป็นหัวหน้าห้องแล้ว ทุกคนถูกเรียกเรียงตัวจากเลขน้อยไปมากไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว

"ไฟกำลังแรงว่ะ"

เด็กชายตัวอ้วนๆโหงวเฮ้งเจ้าพ่อใหญ่ในอนาคตกระซิบกับเพื่อนร่างผอมข้างตัว ทั้งสองนั่งอยู่หลังห้องรั้งท้ายสุด

"อือ สงสัยนั่งท่องเป็นชั่วโมง"

พัลลภ คู่หูร่างผอมตอบกลับ เพื่อนข้างหน้าได้ยินเข้าก็หันมาผสมโรง

"ข้าว่าสวยเช้งหยั่งงี้ชั่วโมงเดียวเข็นเข้าหัวไม่ไหวหรอก ต้องสามวันเป็นอย่างต่ำ"

"ครูครับ อ้ายนี่บอกว่าครูสวยเช้ง"

นายอ้วนตะโกนพร้อมชี้นิ้วฟ้องด้วยเสียงค่อนข้างดัง นักเรียนชายแถบเดียวกันฮาครืน ท่าทางทุกคนคุ้นกับความทะลึ่งทะลุกลางปล้องของหมอนี่เป็นอย่างดี

แพตรีหยุดเรียกชื่อ เบนสายตามาทางต้นเสียง ริมฝีปากยังระบายยิ้มอ่อน

"เธอตะโกนกลบเสียงครูอย่างนี้เสียมารยาทมากนะปรศุ"

เด็กชายปรศุทำหน้าเป็น แต่พอต่อตากับครูสาวอึดใจหนึ่งก็เกิดความตะครั่นตะครอชอบกล ถึงร่างจะบางระหง และแม้ดวงหน้าจะสะอางใสอย่างพี่สาวใจดี แต่นัยน์ตาก็ดูเรืองอำนาจข่มขวัญให้สั่นได้อย่างน่าสนเท่ห์ ถึงกับทำให้วายร้ายประจำห้องต้องหัวเราะแหะๆแก้เก้อเมื่อจะหลบ

จากนั้นครูคนสวยก็แปรตาคมๆมาจับนักเรียนอีกคนซึ่งนั่งอยู่หน้าปรศุ

"แล้วลือชา ครูบอกอะไรเธออย่าง เด็กแก่แดดมักจะงงตาค้างกับผลสอบวิชาจริยธรรมอยู่เสมอ"

มีเสียงหัวเราะขำจากเด็กหญิงชายทั่วไป ลือชาคอหด นึกเคืองปรศุมากที่ประจานคำพูดตนจนหน้าม้านอย่างนี้

บรรยากาศเป็นของครูสาวมากกว่าเดิม สุ้มเสียงปรานีที่มีนวลน้ำหนักเฉียบขาดอยู่ในทีชนิดนั้นไม่ธรรมดานัก ก่อกระแสรักและยำเกรงระคนกันทันทีอย่างยากจะหาในครูคนอื่น

"คนต่อไปใครนะ เจียระไนใช่ไหม? คนไหนจ๊ะ"

ระหว่างคุณครูทำความรู้จักกับนักเรียนที่เหลือ ปรศุก็ชวนคู่หูนินทาอีก

"ท่าทางไม่ต๊องเฮะ"

"เออ แต่แปลกๆว่ะ"

พัลลภเอียงหน้าตอบ ปกติถ้าเป็นชั่วโมงครูคนอื่นพัลลภจะกล้าพูดดังกว่านี้

“ยังไง?”

“ท่าทางเหมือนอยากมาเป็นแม่พวกเรา”

ทั้งคนพูดและคนฟังงอตัวซุ่มหัวเราะ ปรศุเหลือบตามองคุณครูหน้าชั้นด้วยแววผูกใจเจ็บที่ถูกกระหนาบ

"อยากทำความรู้จักกับนักเรียน ก็ต้องให้รู้ฤทธิ์ซะหน่อย ไหนๆกูก็กลายเป็นคนเสียมารยาทไปแล้ว เอาตะขาบยางมารึเปล่า?"

ถามด้วยสำเนียงรู้กัน

"เฮ่ย! อย่าเลยวะจ้ำ...เอาของใหม่ดีกว่า งูเห่า! เหมือนของจริงเปี๊ยบ ยาวเฟื้อยรับรองเห็นแล้วหวีดดังไปแปดห้อง"

สองเด็กคะนองหัวเราะครึ้ม ไม่ทันสังเกตว่าครูแพตรีปรายหางตาผ่านมา

"พัลลภ!"

เด็กชายพัลลภสะดุ้งสุดตัว เพราะแน่ใจว่ายังห่างลำดับเลขที่ของตนอยู่มาก นึกไม่ถึงว่าจู่ๆจะมีการลัดคิว ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงดุเช่นนั้น

"คะ...ครับ"

"ยกมือเฉยๆเหมือนคนอื่นก็พอ ไม่ต้องขานตอบให้ครูสับสนว่าเธอเป็นหญิงหรือชายแน่"

เพื่อนๆหัวเราะขรม พัลลภสะอึกอีกคำรบ โดนเข้าอย่างนั้นชักหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงกับไม่กล้าหันไปคุยกับปรศุอีก

"แอบดูรูปพวกเรามาก่อนแล้วนี่หว่า หยั่งงี้จะเรียกดูหน้าให้เสียเวลาทำไมฟะ"

ปรศุไม่วายหันมาค่อนกับพัลลภ ซึ่งได้แต่ครางอือรับสั้นๆ

"เอาของออกมาซีโว้ย"

"ไม่เร็วไปเหรอะ"

"เอ๊ะ! โดนเรียกชื่อทีเดียวปอดซะแล้วไอ้นี่ เชื่อเหอะหน้าตาอ่อนๆหยั่งงี้ไม่เอาเรื่องหรอก ทำขึงขังไปอย่างนั้นแหละ"

"เอาไว้หลอกผู้หญิงก่อนดีกว่ามั้ง ครูจับไปทิ้งแหง ของแพง เสียดาย"

ปรศุถึงกับเกาหัว เพราะคู่คิดตั้งท่ากลับลำทั้งที่สนองด้วยดีในชั้นแรก

"เฮ่ย! เรื่องมากน่า เดี๋ยวกูออกตังค์ซื้อใหม่เอง"

แพตรีใช้เวลาอีกพักหนึ่งเช็กชื่อเด็กเกือบสี่สิบคน โดยเรียกชื่อเด็กหญิงจันทร์แขเป็นคนสุดท้าย เมื่อจันทร์แขยกมือป้อมๆขึ้นก็เป็นอันสิ้นพิธีทำความรู้จัก ครูสาวกอดอก มองไปโดยรอบ ใบหน้าบ่มยิ้มของผู้มีสัญชาตญาณในการอบรมเลี้ยงดู หล่อนเห็นบนโต๊ะของนักเรียนทั้งหลายมีหนังสือประจำวิชาวางเตรียมไว้เรียบร้อย ก็กล่าวนำ

"ก่อนเปิดหนังสือเรียน เรามาคุยอะไรเบาๆกันดีกว่ามั้ง จันทร์แข...หนูอายุเท่าไหร่แล้ว?"

เด็กหญิงตุ้ยนุ้ยน่ารักซึ่งถูกเรียกชื่อเป็นคนสุดท้ายตอบหล่อนเกือบทันที

"สิบขวบค่ะ"

"บอกได้ไหมว่าสิบปีที่ผ่านมา หนูประทับใจอะไรในโลกนี้มากที่สุด"

เด็กหญิงจันทร์แขทำหน้างง แต่หลังจากคิดอยู่ครู่ก็ตอบเบาๆ

"รถไฟเหาะตีลังกาค่ะ"

เพื่อนนักเรียนชายบางคนหัวเราะก๊าก คนอื่นส่วนใหญ่ขำและหันไปมองจันทร์แขเป็นตาเดียว บางโต๊ะหันมาซุบซิบกิ๊กกั๊กว่าด้วยเรื่องหมูอวกาศขึ้นรถไฟเหาะ แพตรีเลือกคนแหกปากดังที่สุดเพื่อถามเป็นรายต่อไป

"เธอล่ะ สุชาติ ประทับใจอะไรในโลกนี้มากที่สุด"

สุชาติยิ้มแหยๆ คิดในใจว่าไม่ควรหัวเราะเรียกครูเลยเรา

"อ้า..."

เกือบนึกไม่ออกว่าน่าหาอะไรมาตอบส่งๆ แต่จะให้ตอบตรงตามจริงทื่อๆอย่างยายบื้อจันทร์แขล่ะอย่าหวัง

"คงจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์มั้งครับ"

เพื่อนๆไม่ฮาป่า เพราะรู้กันว่าหมอนี่เก่งเลขจริง แพตรีพยักหน้า แล้วหันไปทางเด็กที่ท่าทางเป็นหัวโจกของห้อง

"ปรศุล่ะ"

เด็กร่างอ้วนยิ้มเผล่

"ผมเป็นคนประทับใจยากครับครู รสนิยมเปลี่ยนทุกอาทิตย์"

มีเสียงหึๆจากคนที่อยู่รอบข้างปรศุ แพตรีไม่แปลกใจเลยกับความเจ้าสำนวนของเด็กน้อยยุคโลกร้อน

"แล้วอาทิตย์นี้รสนิยมของเธอชวนให้ประทับใจอะไรมากกว่าเพื่อน?"

หมอนั่นเชิดปากส่ายหน้าราวกับนักวิชาการปฏิเสธคำถาม

"ไม่ครับ อาทิตย์นี้ใจผมว่างเปล่าเหมือนอากาศโปร่ง"

"อ้อ..."

แพตรียังไม่อยากใส่ใจกับอาการกวนโทโสเกินเด็กของปรศุเท่าไหร่ หล่อนหันไปใช้ชอล์กซึ่งยังถือค้างไว้ในมือเขียนกระดานเป็นรูปวงกลม พลางพูดทั้งยังหันหลังว่า

"สมมุติว่านี่เป็นชีวิตของพวกเธอ" แล้วหล่อนก็แต้มจุดที่ศูนย์กลางวงกลม "แล้วนี่เป็นความประทับใจในชีวิต เธอจะเห็นว่าวงกลมนี้ดูง่าย แค่มองมาที่จุดศูนย์กลางจุดเดียว ก็สามารถเห็นได้ครอบคลุมทั้งหมด"

หันกลับมา รู้สึกว่าเท้าเหยียบอะไรหยุ่นๆ เมื่อก้มดูก็เห็นงูยาวดำมะเมื่อมเป็นมันปลาบ หัวใจแทบหยุดเต้น แต่ด้วยเดชะแห่งกระแสสติที่บ่มตัวมาเนิ่นนาน ทำให้จิตรวมลงเท่าทันความตกใจก่อนเอะอะเพียงเสี้ยววินาที

เงยหน้าขึ้น เห็นอาการจดจ้องรอคอยเขม็งของเด็กผู้ชายตั้งแต่ข้างหน้าไปถึงข้างหลัง นึกรู้ทันทีว่านี่คือการเล่นเป็นทีม จึงเหยียบงูค้างปลายเท้าอย่างใจเย็น พูดต่อจากที่คาไว้ด้วยเสียงเรียบสนิท

"ใครชอบอะไรก็มักจะเป็นอย่างนั้น เช่นจันทร์แขอาจรักความตื่นเต้นสนุกสนานจึงประทับใจรถไฟเหาะกว่าอย่างอื่น คนเรามีของชอบใจแตกต่างกันไป แต่หากของชอบเป็นอันเดียวกับหน้าที่ในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้ชีวิตของเราดูง่ายและเป็นสุขน่าสนุกดี"

ครูสาวหันไปใช้แปรงลบกระดานปาดจุดศูนย์กลางวงกลมออก แล้วแต้มจุดใหม่สองจุดห่างกัน ไม่ใกล้ระยะศูนย์กลาง

"ลองดูนะทุกคน พวกเธอจะไม่รู้สึกว่าวงกลมดูง่ายเป็นธรรมชาติเหมือนตอนแรก เพราะมีจุดสองจุดที่ไม่อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางมาดึงตา เมื่อเธอเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เธอก็จะเสียอีกจุด รวมทั้งความชัดของวงกลมไป"

เด็กๆมองกระดานอย่างฉงนระคนทึ่ง แต่ก็เข้าอกเข้าใจทุกคำที่คุณครูพูด

"แต่จุดเล็กๆพวกนี้จะไม่สำคัญนักหรอก ถ้าหากเธอมีจุดศูนย์กลางที่ชัดพอ"

แพตรีหันไประบายจุดทึบใหญ่เป้งตรงกลางวง เมื่อมองมาที่วงกลม จะเห็นจุดทึบนั้นก่อนทันที

"อารยธรรมมนุษย์เกิดขึ้นได้ก็เพราะพวกเราต่างมีหน้าที่ หน้าที่คือแกนกลางแสดงความเป็นเรา แม้ใครจะมีรายละเอียดนอกเหนือจากหน้าที่มากมายแค่ไหน เวลาคนอื่นมองมาที่เรา เขาก็จะเห็นความเด่นอันเป็นศูนย์กลางชีวิตจุดนี้ก่อน"

แพตรีเบนสายตาไปที่เด็กหญิงจันทร์แข

"ในวัยของพวกเธอ ความประทับใจอาจเด่นกว่าภาระหน้าที่ สำหรับจันทร์แข ชีวิตหนูมีศูนย์รวมความสุขอยู่ที่สวนสนุกก็ไม่แปลก แต่น่าเสียดายที่เราคงไม่มีโอกาสไปสวนสนุกทุกวัน ส่วนสุชาติ ถ้าคำตอบของเธอเป็นความจริง ก็นับว่าโชคดีตั้งแต่ยังเด็ก เพราะของชอบและหน้าที่เป็นสิ่งเดียวกัน เข้าหาและเพลิดเพลินกับมันได้ทุกวัน ทุกเวลา แล้ว...ปรศุ"

แม่พิมพ์ของชาติเบนสายตามาที่เจ้าหนูร่างอ้วนจอมเก เล็งมองเขม็งจนปรศุชักหนาว

"เธออาจจะยังนึกไม่ออก หรือตั้งใจซ่อนคำตอบไว้ไม่บอกครู ช่างเถอะ แต่ออกมาช่วยครูที่หน้าชั้นนี่หน่อย"

เด็กชายปรศุทำหน้าเหลอหลา เมื่อแพตรีเรียกซ้ำให้ออกมาที่หน้ากระดานด้วยเสียงเค้นเข้มกว่าเดิมก็ชักใจเสีย เกิดความกลัวขึ้นมาแบบเด็กๆ หันหน้าไปหาพัลลภ ก็พบว่าเพื่อนช่วยให้กำลังใจเสียงเครือ

“เจอแส้ฟาดแน่จ้ำเอ๊ย”

ปรศุนึกฮึดขึ้นมา ลุกเดินออกจากที่นั่งอย่างจะแสดงให้เพื่อนเห็นว่าเขาไม่กลัวใคร โดยเฉพาะครูผู้หญิงตัวแค่นี้

มาถึงหน้าชั้น พ่อจอมป่วนก็เห็นครูคนสวยยืนเหยียบงูจากพรรคพวกของตนเฉยๆ เจ้าหนูแปลกใจมากที่คุณครูไม่ยักตกอกตกใจร้องแรกแหกกระเชอ ทั้งที่เมื่อแรกนึกปรามาสว่าท่าทางใจดี หน้าตายังอ่อน ใจก็คงจะอ่อนตามหน้า

"จากคำตอบของปรศุ เราพอจะเอาเขามาเทียบเคียงกับวงกลมบนกระดานนี่"

ครูแพตรีดึงต้นแขนนักเรียนของหล่อนโดยละม่อมให้มายืนใกล้กระดาน ตำแหน่งวงกลมอยู่เสมอไหล่ของปรศุซึ่งสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันพอควร

"เป็นวงกลมที่ปราศจากจุดใดๆ"

พูดแล้วก็ใช้แปรงลบกระดานปาดจุดทั้งหมดทิ้ง มีความคลับคล้ายระหว่างความกลมของรูปร่างปรศุกับวงกลมบนกระดาน ทำให้บรรดาสหายชายหญิงร่วมชั้นหลุดหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ ปรศุอับอายและไม่พอใจ ใครก็รู้ว่าพ่อเขาบารมีคับเมือง อันยังผลให้ลูกชายพลอยคับโรงเรียนไปด้วย แต่เมื่อเข้ามายืนใกล้แล้วสัมผัสกระแสความแข็งชนิดหนึ่งจากครูสาวหน้าใหม่ ปรศุก็รู้สึกว่าตนถูกข่มไม่ให้กล้าเฮี้ยวได้อย่างน่าฉงน

แพตรีใช้มือข้างที่ไม่เปื้อนชอล์กตบบ่านายแบบจำเป็นเบาๆ พูดยิ้มๆกับทุกคนแต่ยังคงตะแคงหน้ามองหุ่นนายแบบใกล้ตัวนิ่ง

"สิ่งที่เราเห็นมีแต่ความกลม ไม่มีจุดรวมสายตา"

เด็กๆหัวเราะหนักกว่าเดิม ทั้งที่เจ้าพ่อประจำชั้นยืนทำหน้าบูดแจกสายตาสะกดไปทั่ว

"แต่ชีวิตเธอก็มีความหมายนะปรศุ ใช่ว่าอาทิตย์นี้ไร้จุดรวมสายตาแล้วเธอจะกลายเป็นความว่างเปล่าไป"

ครูสาวใช้น้ำเสียงจริงจัง ฟังอ่อนโยนจริงใจ ระคนปนสำเนียงติติงอันสำเหนียกได้ชัด ก่อนหันมาหานักเรียนทั้งหมด

"ทุกคนมีความหมายเสมอ ตราบใดยังรู้สึกว่ามีตัวตนของเธอ ณ ที่ใดที่หนึ่ง และนี่...คือสิ่งที่วิชาจริยธรรมจะบอก ว่าความหมายของเรา ‘ควร’ ขึ้นอยู่กับกาลเทศะแบบไหนอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อร่ำเรียนอยู่ที่นี่ โต้ตอบกับครูบาอาจารย์ในห้องนี้"

เด็กหญิงชายอึ้งกันทั่ว

"ไม่เฉพาะพวกเธอหรอกที่มีความหมาย แม้วัตถุไร้ชีวิตจิตใจมันก็มี ครูเผอิญได้ตัวอย่างสาธิตให้พวกเธอเห็น ว่าความหมายของแต่ละสิ่งเป็นอย่างไรในต่างกาลเทศะ ปรศุ...หยิบงูยางบนพื้นให้ครูที ครูกลัว ไม่กล้าจับ"

แพตรีถอนเท้าจากงูออกมาก้าวหนึ่ง จอมเกเรเงอะงะ สติชักไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระแสนักเรียนทั้งชั้นเทมารวมเป็นอำนาจในมือคุณครู กดดันให้จำใจก้มหยิบของเล่นแกล้งคนยื่นส่งให้ตามคำสั่ง ทว่าครูแพตรีกลับไม่รับ เพื่อนๆที่ไม่รู้เห็นกับแผนการของตัวแสบต่างตะลึงตาโตกันเป็นแถวเมื่อเห็นงูดำยาวหย่องแหย่งน่าเกลียดน่ากลัวในมืออ้วนอูม

"รู้ไหมว่างูนี่ของใคร?"

ปรศุสั่นหน้า   

"ตอนอยู่ที่ร้าน มันมีความหมายที่เด่นชัด คือมีหน้าที่ชวนให้เด็กซนเกิดความคึกคะนอง อยากซื้อหามาแกล้งคน แต่เมื่อมันอยู่ที่หน้าห้องนี้ เธอรู้ไหมมันมีความหมายยังไง?"

ปรศุสั่นหน้าอีกแบบเด็กไม่มีสัมมาคารวะ

"มันเป็นตัวแทนความคิดอุตริของพวกเราบางคน แสดงหัวจิตหัวใจที่ขาดศีลธรรม คิดแกล้งกระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งกำลังทำหน้าที่อันควรเคารพ ครูไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของใคร แล้วก็ใครให้มา แต่เมื่อมันปาฏิหาริย์ปรากฏตัวบนพื้นหน้าห้องซึ่งเป็นเขตของครู ก็ถือว่าครูเป็นเจ้าของแล้ว...ครูยกให้เธอ ปรศุ นี่หวังว่าคงยกให้ถูกคนนะ ถ้าคิดจะแกล้งใครล่ะก็ ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ"

นักเรียนหุ่นลูกบาสได้แต่กลอกตา อั้นอึ้งพูดไม่ออกสักคำ

"กลับไปนั่งที่จ้ะ เอ้าทุกคนช่วยปรบมือให้กับผู้กล้าหาญจับงูยางของเราหน่อย"

เสียงปรบมือดังกราวราวกับฝนตก ปรศุเดินกลับที่นั่งด้วยสีหน้าพรรณนาลำบากสุดขีด ครูแพตรียิ้มแย้มกับนักเรียน หน้าตามีน้ำมีนวลเฉิดฉายชวนพิศวง

"ตอนครูอยู่ ป. 5 เท่าพวกเธอ ครูเคยอยากให้ใครสักคนบอกว่าครูเกิดมาทำไม เพื่ออะไร หรือเพื่อใคร ถ้าเราเกิดมาเพราะมีหน้าที่อยู่ในโลกนี้ เราจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อหน้าที่นั้น เวลาใครสักคนชวนให้ทำดี ทำหน้าที่ให้เสร็จ มันน่าสงสัยไหมว่าความดีมีส่วนโยงใยกับหน้าที่ยังไงบ้าง? แล้วที่เรียก ‘ความดี’ น่ะมีขอบเขตแค่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร เอาอะไรเป็นเกณฑ์แยกแยะ”

บางคนพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับว่าน่าสงสัย บางคนก็เปิดหนังสือดูหัวข้อของบทแรก ว่าเกี่ยวกับสิ่งที่ครูแพตรีกำลังพูดอย่างไร ซึ่งก็พบว่าไม่เกี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย

แพตรีเลือกถามนักเรียนที่พยักหน้ารับว่าสงสัย

"ชิดธารี ดูเหมือนเรารู้ๆอยู่ในใจว่าอะไรดีอะไรชั่ว ไหนหนูบอกครูซิว่าความดีมีอะไรบ้าง"

แม่หนูยิ้มแหยๆ เธอไม่ปราดเปรื่องนักเกี่ยวกับประเด็นชนิดนี้ แต่ก็อ้อมแอ้มตอบ

"กตัญญูพ่อแม่ ไปทำบุญใส่บาตร แล้วก็..."

เธอประหม่าอยู่เล็กน้อย ทำให้ติดขัด แต่เมื่อเห็นสายตาสงบเยือกเย็นของผู้ยืนเด่นเป็นประธานหน้าชั้นที่ทอดมองมาอย่างจะรอฟังนานเท่าไหร่ก็ได้ แม่หนูจึงค่อยคิดอ่านสะดวกขึ้น

"หนูว่าการพูดความจริง ให้ทานคนยากจน รับผิดชอบต่อหน้าที่ ก็เป็นความดีที่สำคัญค่ะ"

แพตรีหันมาหาส่วนรวม ผายมือนิดๆไปทางเด็กหญิงผู้ตอบ

"ที่ชิดธารีพูดมาคงไม่มีใครเถียงนะว่าถือเป็นความดีได้หรือเปล่า” หันกลับไปหาแม่หนูคนเดิมอีก “แต่ครูถามหน่อย หนูว่าหมดหรือยังชิดธารี ถ้าลองลำดับความดีจนครบทุกข้อ หนูคิดว่าพอทำได้ไหม?"

ชิดธารียิ้มแหย สั่นหน้า

"คงไม่ไหวหรอกค่ะ"

"มันอาจง่ายขึ้นนะถ้าเราไม่พูดจำเพาะเจาะจงลงไป เช่นแทนที่จะพูดว่าการใส่บาตรพระเป็นความดี ก็เปลี่ยนเป็นการให้ทานเป็นความดี ไม่ว่าจะให้แด่พระ หรือให้กับคนเดือดร้อนและสัตว์ทั้งหลาย คำว่าการให้ทานจะจูงไปชี้ให้เห็นจิตใจที่คิดสละ คิดช่วยเหลือ ครอบคลุมไปหมดเลย ซึ่งพอแจงแล้วค่อนข้างมีข้อแยกย่อยละเอียด ละไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยให้ตำราบอกเรา ทีนี้ว่าถึงด้านตรงข้าม..."

แพตรีเปลี่ยนสายตาไปที่เด็กหัวหน้าชั้น

"จักกาย เธอบอกซิว่าความชั่วมีอะไรบ้าง"

บุคลิกของหัวหน้าชั้นฉายความโดดเด่นชัดเจนต่างจากเพื่อนรอบกาย ดวงตาดำใหญ่ทอแววเจ้าความคิดเกินวัย เร้าใจให้แพตรีจดจ่อฟังคำตอบอย่างคาดหวังว่าจะได้ยินอะไรดีๆ

"การโกหกครับ"

ครูสาวรอฟังต่อ แต่เมื่อเห็นจักกายเงียบเสียงเพียงเท่านั้นก็เลิกคิ้วสูง

"อย่างเดียวเองน่ะหรือ?"

หัวหน้าชั้นพยักหน้า

"ครับ มนุษย์ทำชั่วอย่างอื่นได้มาก แต่สิ่งที่ส่อให้เห็นความเลวร้ายของใจได้มากที่สุดควรเป็นการโกหกหลอกลวง"

แพตรีสานตาตรงกับจักกาย ดวงตาทอแสงฉลาดลึกของฝ่ายนั้นทำให้หล่อนนึกถึงชายอันเป็นที่รัก สมัยเกาทัณฑ์ยังเด็กก็คงคล้ายอย่างนี้...

ความผูกโยงชนิดนั้นทำให้ความเมตตาแปรเป็นเย็นชาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกส่วนตัว ท่าทางหนุ่มน้อยนายนี้คงเชื่อมั่นว่าที่ตัวเองพูดออกมานั้นถูกไปหมดทุกอย่าง

“ให้เหตุผลซิ”

“ผมคิดว่าการโกหกเป็นบ่อเกิดของความคิดคดทุกชนิด ใจที่คิดพูดทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องไม่จริง ทำให้คนอื่นหลงเชื่อ หลงทาง เป็นใจที่พร้อมจะทำอะไรพลิกแพลงแค่ไหนก็ได้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

"ตอบดีนี่..."

ปลายเสียงสุดท้ายพร่าพลิ้ว เมื่อรู้ว่าเสียงตกก็กะพริบตาสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวมสัมปชัญญะใหม่

"ว่าแต่เธอเคยเผื่อใจให้การโกหกเพื่อผลที่ดีงามบ้างหรือเปล่า?"

ถามแล้วแพตรีก็รู้สึกผิด อาจเป็นการเผลอยิงคำถามที่ยากเกินวัยและล่อแหลมต่อการก่อทรรศนะเกี่ยวกับความดีความชั่วที่ผิดเพี้ยนแก่เด็ก ได้แต่รอฟังวาทะของจักกาย และพร้อมกันก็คำนวณหาทางออกสวยๆเอาไว้ในหัวไปพลาง

"ถ้าใครเจตนาสร้างผลที่ดีงามแก่ส่วนรวมแล้วต้องบิดเบือนความจริง ผมอยากเรียกว่านั่นคือการแสดงละครครับ แต่ผมก็ยังเชื่ออยู่ว่าการเลือกเฉพาะส่วนที่เป็นความจริงมาพูดคลี่คลายสถานการณ์ลำบาก จะทำให้ทุกอย่างลงเอยดีกว่าเจตนากลับดำเป็นขาวให้คนอื่นจับได้ทีหลัง"

แพตรีตาสว่าง นึกพอใจเด็กคนนี้จนต้องสยายยิ้มอวดไรมุก เห็นด้วยหางตาว่าเพื่อนนักเรียนด้วยกันก็เงียบฟังด้วยความทึ่ง นั่นทำให้เดาว่าจักกายคงไม่แสดงสติปัญญาเกินวัยให้ใครเห็นบ่อยนัก

ตรวจใจตนเอง ดูว่าเที่ยงนิ่ง ไม่ดึงภาพลักษณ์ของเด็กไปผูกโยงกับเกาทัณฑ์ผู้กำลังเป็นภาพลบในใจตนแน่แล้ว แพตรีจึงเอ่ยถามออกไปอีกด้วยความมั่นใจในเจตนาบริสุทธิ์ ที่จะทำให้เด็กทั้งห้องเรียนวิชาจริยธรรมด้วยความคิดอ่านโต้ตอบเป็นเหตุเป็นผล

"สรุปแล้วการโกหกในความหมายของจักกาย คือปั้นน้ำเป็นตัว โป้ปดมดเท็จเพื่อหาประโยชน์อย่างเดียว จำกัดความตามนี้เธอพอใจไหม?”

“ครับ”

“แล้วเธอเคยโกหกไหม?"

"เคยครับ"

จักกายรับอย่างตรงไปตรงมา ทำให้แพตรีเผลอยิ้มออกมาอีก แต่ก็รีบลดลงเป็นปกติโดยพลัน

"ทั้งรู้ว่ามันเป็นบาป เป็นความชั่วงั้นหรือ?"

"ตอนจำเป็นต้องทำ ผมไม่ทันคิดว่าชั่วหรือเปล่า ผู้ใหญ่เคยบอกผมว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นครึ่งดีครึ่งร้าย ไม่มีใครดีได้ตลอด"

แพตรีกะพริบตาอย่างเริ่มงง ว่าพ่อหนุ่มมีแนวยึดมั่นเกี่ยวกับความดีชั่วอย่างไรแน่ น้ำเสียงของเด็กวัยสิบขวบที่ประจุด้วยความเชื่อมั่น และสะท้อนโครงสร้างความคิดเป็นระเบียบ ชัดเจนแจ่มใสชนิดนั้น แน่นอนว่าเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจหล่อนมหาศาล ครูทุกคนชอบเด็กฉลาด แต่ถ้าฉลาดขนาดมีน้ำหนักดึงคนรอบตัวให้หลงเขว ก็สมควรระมัดระวังมากกว่าปล่อยให้โตขึ้นโดยปราศจากการตีกรอบ

ทว่าเด็กฉลาดที่มีความเป็นตัวของตัวเองแต่เล็กก็ควบคุมยากที่สุด เพราะครูจะต้องฉลาดกว่า หรืออย่างน้อยมีดีให้เห็นจนเด็กยอมรับนับถือ

ถึงตอนนี้แพตรีคิดหนักขึ้นเป็นสองเท่า เพราะรู้แน่แล้วว่ากำลังอยู่ต่อหน้าเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งที่คิดและเจรจาได้ยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ปัจจุบันมีวิธีการที่เกือบเป็นสูตรสำเร็จมากมายเพื่อผลิตสมองผู้ใหญ่ไว้ในร่างเด็ก เช่นพูดคุยและปฏิบัติกับเด็กเป็นเหตุเป็นผล เปิดเพลงคลาสสิคให้ฟังแต่อ้อนแต่ออก เปิดโลกทัศน์หลากหลายเร้าผัสสะเต็มที่ในช่วงหกปีแรกซึ่งเซลล์ประสาทในการรับรู้มีพัฒนาการสูงสุดในชีวิต ส่งเสริมให้เด็กทุ่มเทจิตใจอยู่กับสิ่งที่ชอบ ตลอดไปจนกระทั่งดูแลคัดสรรอาหารที่ทางการแพทย์ยกนิ้วโป้งให้ล้วนๆ

เด็กที่พ่อแม่มีฐานะและเอาใจใส่จริงจังในการเลี้ยงดูลูก อาจโชคดีได้รับการศึกษาแนวใหม่เช่นนีโอฮิวแมนิสต์ ซึ่งเล็งที่จะสร้างมนุษย์ในอุดมคติขึ้นมาให้ได้ กล่าวคือมีความรู้แน่น และเปี่ยมด้วยจิตใจดีงาม หลักสำคัญคือป้อนทั้งความเข้าใจโลกตามแนววิทยาศาสตร์ และความเข้าใจตนเองด้วยจิตเหนือสำนึกอันลึกซึ้งควบคู่กันไป

นั่นหมายถึงผู้ปกครองจะไม่แปลกใจเมื่อเห็นลูกๆนั่งค้นคว้าตำรับตำราในห้องสมุดตามแรงบันดาลใจใฝ่รู้ที่แท้จริง และในวันเดียวกันอาจทำโยคะแสวงหาความสงบสุขชั้นเยี่ยมไปด้วย

ตั้งแต่โบราณมา เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูใกล้เคียงแนวคิดแบบนีโอฮิวแมนิสต์ได้แก่โอรสธิดาในราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ หรือลูกหญิงชายของคหบดีที่มั่งคั่ง กล่าวคือจะไม่ถูกปิดกั้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกชนิดในวัยต้นของชีวิตซึ่งถูกเร้าได้ง่าย ทำให้ดูเหมือนเป็นคนมีพรสวรรค์หลายด้าน อันนี้ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อดูการวิจัยเก็บสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในการเติบโตและไอคิวของมนุษย์ ที่สรุปว่ายิ่งคนเราเข้าสัมผัสประสบการณ์หลากหลายเท่าไหร่ ใจเปิดกว้างเรียนรู้สรรพสิ่งและผู้คนแบบต่างๆมากแค่ไหน ก็จะยิ่งมีไอคิวสูงได้มากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเพียงนั้น

และแนวคิดเช่นนีโอฮิวแมนิสต์ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในสถาบันศึกษา อาจดำเนินไปขณะอยู่ที่บ้านของผู้มีฐานะปานกลางถึงดีมาก โรงเรียนนี้ก็จัดว่าเป็นแหล่งชุมนุมลูกคนรวย จึงไม่น่าประหลาดใจนักถ้าหล่อนจะพบกับเด็กประเภทนี้อีก และอีก

แต่ถ้าหากเด็กเก่งขึ้นมาผิดวัยเพราะสนใจทุ่มเทให้กับสิ่งเร้าด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการจงใจขัดเกลา ควบคุมอารมณ์ที่รุนแรง ก็อาจเป็นได้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์

ยังไม่รู้เท่านั้นว่าเด็กอัจฉริยะที่หล่อนกำลังเผชิญหน้าจัดอยู่ในพวกไหน

จักกายกับหล่อนกำลัง ‘ถก’ กันในประเด็นเกี่ยวกับความดี ซึ่งเขามีท่าทีค่อนไปทางเห็นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งดีครึ่งร้าย เหมาะสมแล้ว และไม่น่าตำหนิ หล่อนอาจถามเขาว่า ‘จะยินดีเป็นคนครึ่งดีครึ่งร้ายตามธรรมชาติใช่ไหม?’ ซึ่งสนธิกันกับคำตอบของเขา แต่นั่นจะนำทางไปในทิศอ้อม และเกิดประเด็นแยกย่อยค้างคาได้มากมาย แพตรีจึงตัดตรงเข้าเป้าที่หล่อนต้องการด้วยคำถามอีกอย่าง

"แล้วเธอเคย ‘หวัง’ ว่าจะเป็นคนดีหรือเปล่า?"

จักกายพยักหน้า

"เคยครับ แต่ผมอ่านข่าว แล้วก็เห็นกับตาว่าเมื่อเป็นผู้ใหญ่ คนเราไม่มีใครดีได้จริงสักราย"

คราวนี้คุณครูถึงกับสะอึก เกือบหาคำพูดต่อไปไม่เจอ แต่แล้วก็คิดออก กล่าวพลางหันไปหานักเรียนอื่นๆ

"ใช่แล้วจ้ะ เราทุกคนครึ่งดีครึ่งร้ายกันตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติก็ให้เรารู้อยู่ในใจตอนทำอะไรสักอย่าง ว่ามันดีหรือร้าย แล้วธรรมชาติก็อนุญาตให้เราเลือกได้ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ไม่จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลยเสมอไป หากเรา ‘หวัง’ หรือ ‘อยาก’ เป็นคนดี นั่นแปลว่ามีความตั้งใจดักเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าถ้ามาอย่างนี้ เราจะโต้ตอบอย่างนั้น การกำหนดใจไว้ล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญมาก มันจะทำให้เราไม่ลังเลเมื่อถึงเวลาจริง ทุกอย่างจะเป็นไปเองเหมือนโปรแกรมที่ตั้งไว้อัตโนมัติ

ครูอยากให้คิดกันว่าโลกนี้มีเธอเป็นสมาชิกอยู่คนหนึ่ง เป็นสมาชิกที่สามารถตัดสินใจก่อผลกระทบดีร้ายตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นชีพ ถ้าหากพื้นฐานความคิดของเธอดี เช่นตั้งใจไว้ก่อนว่าถึงอย่างไรก็จะไม่โกหก มันจะเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตที่น่าชม ถึงแม้วันหน้าเธอจะพบกับสถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อน ยากที่จะพูดอะไรตรงไปตรงมา เธอก็คงรู้ว่าควรพูดแค่ไหนโลกถึงจะไม่ช้ำ ธรรมถึงจะไม่ขุ่น"

เงียบกริบกันทั้งห้อง ปรศุลอบเอียงหน้าไปกระซิบกับพัลลภ

"สงสัยเพิ่งสึกจากชีเมื่อเช้า"

พัลลภเผลอหัวเราะเอิ๊ก ครูสาวปรายตามอง เด็กชายหยุดกึกเสียงดังอึ๊ก ทำตาเหลือกคล้ายน้ำลายติดคอเพราะตกใจแรงๆขณะหัวเราะ แพตรีอดขำไม่ได้ แต่ก็เบี่ยงสายตาไปทางอื่นโดยเร็ว

"ที่พวกเธอเห็นผู้ใหญ่ไม่ดี ก็ต้องนึกว่าสมัยท่านยังเด็กเหมือนเรา ท่านไม่ขัดเกลาตัวเองไว้ล่วงหน้า พอโตขึ้นถึงได้เป็นอย่างนั้น สำคัญที่เราเห็นแล้วก็ดูไว้เป็น ‘เยี่ยงอย่าง’ อย่าได้จำเป็น ‘แบบอย่าง’ ประพฤติตามให้โลกร้ายไปกว่านี้"

แพตรีหันมาทางจักกายอย่างติดใจ แต่ก็รู้สึกว่าจะเป็นการผูกขาดอยู่สักหน่อยถ้าถามเขาต่ออยู่คนเดียว จึงเลี่ยงมาหาเด็กหญิงที่นั่งข้างจักกาย หล่อนเพิ่งสังเกตสังกาเต็มที่และพบว่าเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาสวยหวานยิ่งคนหนึ่ง

"ลานดาว หนูลุกขึ้นยืนซิ"

เด็กหญิงลุกยืนตามคำสั่ง นักเรียนทั้งหลายรอดูกันว่าครูแพตรีจะสาธิตอะไรอีก

"มองไปรอบๆแล้วชี้หน่อย ว่าตามความคิดของหนู ในห้องนี้ใครบ้างเป็นคนดี ออกชื่อมาที่หนูคิดว่าดีที่สุดสามคน"

ลานดาวมองรอบห้องตามคำสั่ง ปรศุเผยอตัว ยกไม้ยกมือแบบครึ่งๆกลางๆล่อสายตาเพื่อนหญิง ลานดาวย่นจมูกค้อนให้วงหนึ่ง มองผ่านไปทางอื่นด้วยความลังเลเป็นครู่ ก่อนยิ้มอายๆแล้วหันมาที่เด็กชายข้างตัวนั่นเอง

"จักกายค่ะ"

บรรดาเพื่อนฝูงเฮกันตึง ความมีส่วนละม้ายกันระหว่างจักกายและลานดาวทำให้หล่อนอยากคิดว่าทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้อง จึงนั่งติดกันอย่างจะดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษ คุ้นๆจากบัญชีรายชื่อว่าห้องนี้มีเด็กนามสกุลซ้ำ ก็อาจเป็นสองคนนี้เอง แต่เสียงเฮของเพื่อนฝูงก็ทำให้แพตรีนึกรู้ว่าทั้งสองคงมีใจที่ดีเกินญาติต่อกันอยู่บ้างแน่ๆ ได้แต่ทำใจว่ายุคสมัยมันเร็วและเต็มไปด้วยความเร่งรัด แม้เรื่องรักเรื่องใคร่ก็ไวกันเหลือเกิน หัวเพิ่งเลยพนักเก้าอี้มาหน่อยเดียวเอาแล้ว

"คนต่อไปล่ะจ๊ะ"

เด็กหญิงมองกวาดอีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมา

"ชิดธารี แล้วก็พานลดาค่ะ"

"จ้ะ นั่งลง ทีนี้รบชนะยืนหน่อย"

เมื่อเด็กชายรบชนะยืนขึ้น ก็ได้รับคำสั่งจากครูสาวเหมือนเดิม

"มองให้ทั่ว แล้วบอกชื่อคนดีที่สุดในความคิดของเธอสามคน"

รบชนะตอบทันทีอย่างเตรียมไว้แล้วในใจ

"อ๋อ ฮะ คนแรกคือตัวผมเอง"

อย่างนี้โดนโห่แน่นอน ไม่ว่าชายหญิงสามัคคีโห่เป็นเสียงยาว

แพตรีสั่นศีรษะ

"คนอื่นที่ไม่มีส่วนได้เสียกับเธอสิ เอ้าตอบใหม่"

รบชนะหันรีหันขวาง แล้วตัดสินใจชี้

"จักกาย...เพียงนภา...แล้วก็ อ้า ชาครินฮะ"

ครูแพตรีผงกศีรษะเป็นเชิงให้นั่งลง แล้วเรียกนักเรียนอีกคน

"ฉมาล่ะ ยืนตอบครูซิ"

"จักกาย...ลานดาว...เชลงชีพครับ"

"อื้อม์  ขอบใจจ้ะ เอาล่ะ ครูคงไม่มีเวลาถามพวกเธอทั้งหมด แล้วที่เรียกขึ้นถามก็เป็นไปโดยสุ่ม ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครเป็นแกนอ้างอิงของห้อง แต่คำตอบที่ออกมาครูและพวกเธอคงได้ยินกันทั่วว่าใครบ้างเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ โดยเฉพาะหัวหน้าห้องของพวกเธอ จักกาย..."

แพตรีเหวิถีสายตามาหาเขา

"เธออาจมีความเด่นชัดพอ และถ้านี่คือเสียงสะท้อนจากสังคมในห้อง ก็คงเป็นรางวัลให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นกับความเป็นคนดีนะคะ"

จักกายยิ้มนิดๆ แพตรีประทับใจสีหน้าปราศจากความเห่อเหิมของฝ่ายนั้นยิ่ง ราวกับเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง ปราศจากความหวั่นไหวกับการกระทบดีร้ายทั้งปวง ไม่มีอะไรชงความรู้สึกได้เท่าสติจากภายใน เหลือเชื่อว่ายังเป็นเพียงพ่อหนูน้อยชั้น ป. 5 เท่านั้น

"สมชาย" คุณครูหันไปเรียกเด็กที่อยู่แถวหน้าสุดใกล้ตัว "ครูไม่สนใจว่าเธอสนิทชอบพอกับจักกายหรือเปล่า แต่ตอบหน่อย ถ้าถามถึงข้อดีที่สุดในตัวจักกาย เธอจะนึกถึงอะไร"

"เขา...เรียนเก่งครับ"

สมชายตอบง่ายๆ

"ภาสกรล่ะ จักกายดีที่สุดตรงไหน"

"เขาช่วยเพื่อนทุกคนครับ แล้วก็เป็นศูนย์หน้าที่ทุกข้างต้องการตัว"

มีการส่งเสียงเชียร์จากบรรดาดาวบอลพอประมาณ แพตรีฟังยิ้มๆ

"หทัยธรา ไหนออกความเห็นมั่ง"

"เขาพูดจาสุภาพดีค่ะ ไม่โกรธ ไม่ด่าว่าใครเลย"

ครูสาวผงกศีรษะ ซ้อนมือขวาลงบนฝ่ามือซ้ายในท่าสรุปความ

"ดูจากการตอบโดยไม่ต้องคิด ครูเห็นได้ว่าความดีของจักกายที่อยู่ในใจของพวกเธอชัดเจนพอ แล้วครูก็อยากชี้ให้เห็นว่าความดีหลายๆอย่างที่รวมอยู่ในคนเดียว ทำให้คนๆนั้นดูเด่นขึ้นมา”

แพตรีเบนสายตามาทางผู้เป็นขวัญใจประจำห้อง พูดนำในแบบดึงภาพลักษณ์อันเลิศเลอน่าปลื้มเปรมลงมาบ้าง

“แต่บางเวลาความเด่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยนักหรอกนะ...จักกายว่าจริงมั้ยคะ?"

ผู้ถูกถามคิดอยู่อึดใจ ก่อนพยักหน้ารับว่าครับเบาๆคล้ายลังเลในที อาจเป็นเพราะวัยทำให้ยังมองไม่เห็นโทษของความเด่นเท่าไหร่นัก

"เราทุกคนมีความดีอยู่ในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเด่น ขอแค่เมื่อถูกถามว่าความดีที่สุดในตัวเราคืออะไร จะตอบได้โดยไม่เสียเวลาลังเล เช่นเดียวกับที่เรามีคำตอบเด่นชัดให้กับความดีของจักกาย"

"แล้วความดีที่สุดในตัวเราควรเป็นอะไรครับ?"

จักกายถามขึ้นเรียบๆ แต่ได้ยินชัดทั่วห้อง ผองเพื่อนพากันเงี่ยหูผึ่ง เพราะไม่เคยเห็นจักกายมีข้อสงสัยตั้งคำถามขึ้นในชั้นเรียนมาก่อนเลย

แพตรีหันมายิ้มให้ ก่อนตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย

"หน้าที่สิจ๊ะหนุ่มน้อย มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่เสมอ แล้วก็มีคนละหลายอย่างด้วย ไม่เฉพาะการทำงานหรือการเรียนอย่างเดียว หน้าที่ของแต่ละคนมีผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อมกับโลก และหากเธอรู้ได้จริงๆว่ามนุษย์ไม่มีหน้าที่เป็นโจรหรือเป็นผู้เบียดเบียนใคร แต่มีหน้าที่ทำให้โลกหมุนไปอย่างเป็นปกติสุข เธอรับผิดชอบต่อหน้าที่โดยไม่บิดพลิ้ว การเกิดของเธอก็จะเป็นคุณ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นโทษ"

จักกายมองคุณครูด้วยแววยอมรับ

"ครูคะ เราจะทำดีที่สุดได้ ต้องเลือกอยู่ในศาสนาไหนเสียก่อนหรือเปล่า?"

เด็กหญิงลานดาวถามเสียงใสขึ้นบ้างด้วยความอยากรู้ อันเป็นธรรมดาของเด็กที่คลางแคลงว่าในหลายศาสนาที่ปรากฏให้ผู้ใหญ่เลือกนับถือนั้น ศาสนาใดดีที่สุด ประเสริฐที่สุดเหนือศาสนาอื่นทั้งปวง

"ศาสนาสอนให้ใครทำดีที่สุดไม่ได้หรอกจ้ะ แต่ละศาสนามีเป้าหมายหลักของตัวเอง ใครนับถือศาสนาไหนก็เพื่อเป้าหมายนั้นๆ สำหรับความดีเนี่ย เป็นเรื่องของการเพิ่มค่าให้กับจิตใจ เพิ่มพูนขึ้นได้มากไม่รู้จบแบบเดียวกับสะสมเงินในธนาคาร เพราะฉะนั้นครูจึงอยากตอบว่าเธอนับถือศาสนาไหนก็ตาม การทำดีที่สุดคือการตั้งใจว่าจะทำดีเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกเวลา เพราะนั่นเป็นตัวแปรให้จิตใจเธองดงามขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกว่าความดีกับจิตใจเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีข้อขัดแย้งหลงเหลืออยู่อีก"

แพตรีทิ้งท้ายคำตอบด้วยความสว่างที่ฉายออกมาจากหัวใจ ภาพปรากฏต่อสายตาเด็กวัยสิบขวบทั้งห้องคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง เปี่ยมเต็มด้วยกระแสความการุณย์และความเป็นตัวของตัวเองอันคงที่ แจ่มชัดอยู่ในใจผู้ประสบพบพานทั้งหลาย

"แล้วครูนับถือศาสนาอะไรครับ?"

สุชาติถาม เด็กๆกล้าเจรจาพาทีกับคุณครูคนนี้ด้วยความเป็นกันเองมากขึ้น เพียงด้วยการนำของจักกายคนเดียว

"ก็เหมือนพวกเธอส่วนใหญ่ที่นับถือพุทธ แต่อย่าเหมาส่วนใหญ่มาเป็นใหญ่ข่มกันล่ะ เมื่อครูเป็นพุทธ ครูก็ถามตัวเองเสมอว่ากำลังอยู่ในทางเข้าสู่เป้าหมายหลักของพุทธหรือเปล่า และนั่นคือสิ่งที่เธอทุกคนควรถามตัวเองเช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาไหน"

"พุทธศาสนาดียังไงฮะ?"

ฉมาถามบ้าง

"ดีที่มีเป้าหมายชัดเจน คือเมื่อไปถึงแล้วจะเป็นสุขคงที่ ถึงแล้วไม่ถอย ไม่เปลี่ยน ไม่แปรอีก และมีสิทธิ์ทำให้เห็นจริงได้ก่อนสิ้นลม ถ้าตั้งใจ"

ฉมาถามซ้ำ

"ครูเข้าถึงเป้าหมายแล้วใช่ไหมครับ?"

"อยู่ในระหว่างทางจ้ะ ครูมีความสุขได้ระดับหนึ่ง ยังไม่ถาวรตามเป้าหมายใหญ่ แต่ก็แน่ใจแล้วว่ามีที่สุดอยู่จริง ถ้าเพียรบำเพ็ญไปไม่ท้อ วันหนึ่งก็ต้องถึงที่หมาย"

"แล้วทำไมเราถึงต้องเกิดมาเพื่อทำอะไรที่เรากำลังทำกันอยู่ด้วยคะ?"

หทัยธราซักมาอีกทาง เพราะสงสัยอยู่เนิ่นนานเต็มที

"มันมีเหตุผลอยู่จริงๆ พวกเธอลองมองไปรอบตัว จะเห็นว่านี่ไม่ใช่วิมานอากาศ เรากำลังอยู่กับความจริง มีเราเป็นศูนย์กลางความจริง และความจริงก็มีต้นสายปลายเหตุอยู่เสมอ ถ้าหนูอยากได้คำตอบ ก่อนอื่นต้องทำหน้าที่จนรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง แล้วค่อยถามคำถามนี้ใหม่ คำตอบอยู่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง"

“พี่ชายหนูบอกว่าเราเกิดมารอความตาย”

“ถ้าเหตุผลของการเกิดมีอยู่แค่นั้น ป่านนี้พวกเราคงตายกันหมดแล้วจ้ะ เพราะธรรมชาติน่าจะให้เราเกิดปุ๊บตายปั๊บ ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากยืดยาวเปล่าๆ”

แล้วครูสาวก็สยายยิ้มสวยด้วยความรู้สึกรักเด็ก และด้วยความรู้สึกว่าชีวิตของตนเพิ่งเริ่มต้น ความเป็นหล่อนคือบรรยากาศที่กำลังปรากฏอยู่ในห้องนี้ และห้องอื่นๆที่จะตามมา

"เปิดหนังสือได้แล้วพวกเรา ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสงสัย ถ้าช่างคิดช่างสังเกตสักหน่อย เราก็จะพบได้ในชั่วโมงเรียนวิชาจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดีนี่แหละ เชื่อไหม?"


บทที่ ๒๖  ธรรมาภิสมัย


    เช้าตรู่อันโรยรอบด้วยอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายของวันหนึ่ง มติรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยสัญญาณแห่งใจรู้ของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ประสาททุกส่วนทำงานเต็มสภาพ ตอบสนองความรู้พร้อมทั่วถึงของสภาวจิตอันสว่างไสวนิ่งแน่นทรงกำลังใหญ่

    ดึงหลังขึ้นตั้งตรงทรงแน่วโดยอัตโนมัติ สัณฐานกายตลอดสรรพางค์ปรากฏเป็นหลักยึดสติอันไพบูลย์ หน้าท้องขยายออกดึงลมเห็นเป็นลำยาวแช่มชัด บังเกิดความแช่มชื่นยิ่งใหญ่กับสายลมหายใจที่พาลมบริสุทธิ์เข้าสู่กาย

    ดวงจิตขึงนิ่งเงียบเชียบและสว่างรู้กว้างขวาง ประสาทหูรับเสียงขันคูวังเวงใจของนกเขาข้างบ้าน จักจั่นเรไรสีปีกแซดซ่าตามสุมทุมพุ่มไม้เป็นครั้งคราว สดับแล้วสงบเย็นดุจนั่งอยู่ใกล้ราวป่าอันวิเวก ห่างไกลจากความวุ่นวายของผู้คนมาลิบลับ

    ความสันโดษและมักน้อยของมติช่วยให้จิตใจไม่ซัดส่ายแสวงหาสิ่งอื่นนอกจากสายลมหายใจและความสงบสงัดเฉพาะหน้า ปีติสุขล้ำลึกอยู่ในวิหารอุปจารสมาธิอันเป็นเสมือนรางวัลขั้นกลางแก่ผู้ดำรงสติ ปลีกตัวออกจากกามอันหยาบ พึงใจเสพแต่อารมณ์อันประณีตเช่นนี้

    มติประคองจิตให้นิ่งไว้เหมือนผู้รักษาความเรียบของแผ่นน้ำด้วยการป้องลมมิให้กล้ำกรายเข้าก่อคลื่น สุดยอดแห่งรสอิสระชนิดนั้นน่าใคร่ น่าเข้าถึงจนแม้นางนวลที่แผ่ปีกนิ่งอยู่ ณ อากาศสูงเหนือทะเลกว้างยังอาจอิจฉา

    เป็นเช้าวันที่เจ็ดติดต่อกันที่มติตื่นขึ้นรับอรุณด้วยอุปจารสมาธิอันเบิกบาน ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขาไม่คะนึงคิดเข้าหาสิ่งอื่นใดเลยนอกเหนือไปจากการปฏิบัติภาวนาที่ให้รสอิ่มเอม ปราศจากข้อขัดแย้ง ไม่ต้องอาศัยใครอื่นช่วยให้เกิดความสมหวัง มีตัวของตัวเองเท่านั้นเป็นผู้ก่อ ผู้สาน และผู้เข้าถึง

    รสปีติในวิเวกจืดตัวเมื่อกระแสดึงดูดของจิตคลายลง นั่นเป็นความหมายว่าพลังพิเศษที่ตรึงจิตไว้เสื่อมสภาพตามธรรมดาของสิ่งปรุงแต่ง มติตัดความอาลัยไยดีทิ้ง ประคองไว้เฉพาะความเห็นสัณฐานกายตลอดรอบ พิจารณาเห็นความดับไปแล้ว ผ่านไปแล้วของพลังรู้สว่างไสว แล้วค่อยลืมตาขึ้นอย่างเต็มสติ มีความนิ่งมั่นหนักแน่นเป็นลักษณะ มีความบางเบาปลอดโปร่งโล่งอกเป็นรส

    สิ่งที่ยังคงดำรงอยู่คือสภาพจิตอันทรงสติรู้ในขั้นขณิกสมาธิ เห็นกายออกมาจากภายในเหมือนกับที่เคยเห็น มีลำตัวตั้งตรง มีแขนขาแยกออกเป็นสี่ระยาง มีหัวตั้งอยู่ส่วนบนสุดเป็นประธาน สิ่งที่แตกต่างคือความคมชัดและต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เพราะกระแสรู้รวมนิ่งที่จุดเดียวตรงกลางๆแห่งสำนึก ไม่ซัดส่ายเรรวนตามระลอกคลื่นความคิดฟุ้งซ่านเหมือนอย่างสภาพจิตปกติ

    ความรู้ในขณะแห่งขณิกสมาธิยังคงเป็นความรู้ที่ชัดกริบ ต่างจากอุปจารสมาธิคือไม่มีปีติสุขล้นหลาม และไม่มีความนิ่งรวมเป็นศูนย์ใหญ่เท่า คนทั่วไปที่ทำงานหนัก เพ่งจดจ่อกับงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆจนกระแสจิตรวมนิ่ง ต่างได้ประจักษ์ภาวะชนิดนี้กันมาแล้วทั้งนั้น เสียแต่ว่าความคิดหยาบยังล่องลอยวกวนปราศจากทิศทาง ต่างจากผู้บำเพ็ญภาวนาที่ตั้งใจกำหนดจับรู้แม้ความคิดที่ผุดแผ่วขึ้นในหัว

    เมื่อจิตอยู่ในสภาพพร้อมรู้ชัด ทุกอย่างที่ถูกจับล้วนกลายเป็นนิมิตได้หมด ดูออกว่าเป็นอื่นจากจิตไปหมด

    นิมิตคือเครื่องหมายของสิ่งต่างๆที่เห็นชัดได้ด้วยจิต จะเป็นเค้าเงารูปทรงหรือกลุ่มก้อนแบบใดๆก็ตาม อย่างเช่นนิมิตแห่งรูปกายซึ่งใจแต่ละคนครองอยู่นั้น ปรากฏเป็นนิมิตที่แตกต่างกันตามสภาพจิต จิตใครมีสภาพรวมศูนย์เข้ารู้มากหน่อยก็ปรากฏเป็นหัว ตัว แขนขาครบถ้วนเหมือนขังน้ำนิ่งไว้เต็มตลอดตัว แต่ถ้าสภาพจิตใครไม่มีสภาพรวมศูนย์ ความคิดจรผุดขึ้นก่อกวนให้เกิดความซัดส่ายอยู่ตลอดเวลา เมื่อ ‘รู้ตัว’ ก็รู้ได้นิดเดียว อาจเป็นช่วงหัวถึงไหล่ หรืออาจเป็นช่วงหลัง ส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น และรู้ได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ต่อเนื่องยืดยาวอย่างขณะเป็นสมาธิ

    คนเดียวกันก็เห็นนิมิตกายตนเองแตกต่างกันได้เพราะสภาพจิตนี่เอง ที่ตรงนั้นมติกำหนดว่ากายเหมือนเดิม แต่ ‘สัญญา’ ต่างไป

    ในสภาพจิตอันรวมศูนย์ ตั้งมั่นรู้อย่างเป็นกลาง แม้ความคิดผุดขึ้นในกะโหลกก็ถูกจับได้ไล่ทัน ปรากฏเป็น ‘ธรรม’ อย่างหนึ่งกระทบใจ เมื่อกระทบก็เกิดความไหวรู้ จำได้ว่า ‘คิด’ ถึงบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์อันใด ความจำได้หมายรู้ว่าคิดถึงอะไรนั้นก็คือ ‘สัญญา’ อีกแบบหนึ่งนั่นเอง

    เมื่อนิ่งรู้ว่าความจำ หรือความหมายรู้ใดๆเกิดขึ้นแล้วหายไปเป็นธรรมดา จิตก็เลิก ‘ปรุงต่อ’ เป็นชอบ เป็นชัง เป็นรัก เป็นเกลียด คงไว้แต่ลักษณะของจิตอันเป็นอิสระจากความปรุงแต่งคิดเห็นอย่างไรๆต่อนามธรรมละเอียดที่ผุดขึ้นกระทบจิต

    อย่างนี้เอง เป็นไปตามทำนองอุบายของพระพุทธองค์ ที่ทรงให้ทำไว้ในใจโดยแยบคาย คือเปรียบสัญญาเป็นพยับแดด เมื่อผุดความหมายรู้ขึ้น ก็กำหนดทราบว่ามีจริง แต่เมื่อความหมายรู้นั้นดับไป ก็กำหนดทราบว่าหายจริง สักแต่รู้ว่าเกิดแล้วดับโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยกระบวนการ ‘คิดต่อ’

    พอตามรู้สัญญา เห็นเป็นอื่น เป็นของแปลกปลอม เป็นคนละตัวคนละอันไปเรื่อยๆ ก็เหลือแต่ธรรมชาติคือจำได้แล้วลืมเลือน เห็นความจำปรากฏในฐานะอะไรที่เกิดแล้วดับอย่างไร้แก่นสาร

    ณ จุดนั้น อุปาทานในอัตตาเคลื่อนย้ายจากกระแสความคิดมาอยู่ที่กระแสความรู้ ที่เฝ้ารู้ความเกิดดับอยู่ ด้วยจิตที่ชำนาญทาง จึงสามารถสังเกตความยึดติดใหม่อันละเอียดอ่อนสุขุมยิ่ง และเมื่อยังมีอุปาทานในตัวตนแฝงอยู่ในที่ใดๆ แม้ละเอียดเล็กน้อยขนาดไหน ที่นั้นก็ยังไม่มีการผละ ยังไม่มีการละวางที่เด็ดขาด

    แต่ก็ใกล้เข้าไปแล้ว

    เมื่อคลายจากลักษณะรู้ละเอียดที่แยกนามออกจากนามได้ มติก็กลับมายึดกายไว้เป็นฐานรู้อย่างเหนียวแน่น ความคิดจรเข้ามาก็รู้ว่าเกิดขึ้นในกายนี่เอง ไม่ปล่อยให้คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ความรู้สึกยามนั้นเหมือนเข้ามาอาศัยอยู่ในรูปหุ่นกระบอกที่ว่างเปล่าจากตัวตน จืดชืดไร้รสชาติ แม้ความสว่างรู้ก็ถูกเห็นเป็นธรรมชาติอันว่างเช่นกัน

    ขณะแห่งความอุดมสติ เกิดความคมชัดทุกสัมผัส ภาพที่เห็นคมชัดเต็มคลองตา ครอบคลุมรูปทรงสีสันใกล้ไกลกว้างขวาง เสียงที่ได้ยินกระทบแก้วหูชัดเปรียะทุกอณูคลื่นจากทุกทิศทุกทาง แทบบอกมิติล้ำเหลื่อมของตำแหน่งกำเนิดต่างๆได้ครบ

    เมื่อทุกผัสสะทั้งนอกกายและในกายถูกจับรู้ละเอียดพรั่งพร้อมตามจริงเช่นนั้น มโนภาพแห่งตัวตนก็สาบสูญไป เหลือไว้แต่การเห็นเต็มสองตา การได้ยินเต็มสองหู การแตะต้องเต็มกาย กับการผุดความคิดเป็นระลอกในโพรงว่างของกะโหลกชัดใจ มีตัวผู้รู้สถิตดูอย่างเต็มตื่นในท่ามกลางความเคลื่อนไหวไหลเลื่อนเหล่านั้น สนิทนิ่งอยู่เพียงเดียว

    กำหนดรู้ละเอียดลงไปในสิ่งแวดล้อมยามย่ำรุ่ง ภาพห้องนอนของเขาก่อให้เกิดความรู้สึก 'เคยคุ้น' ขึ้นในใจ เสียงวิหคนกกานอกห้องก่อให้เกิดความรู้สึก 'วิเวกลึกซึ้ง' ฟูกนอนนิ่มพอดีที่รองรับกายนั่งก่อให้เกิดความรู้สึก 'อ่อนหยุ่นสบายตัว' ทุกผัสสะรวมกันก่อให้เกิดความ ‘รู้สึก’ ถึงความเป็นนายมติในร่างของเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าอย่างชัดเจน ไม่คลาดเคลื่อนเป็นอื่น

    รู้อาการปวดปัสสาวะที่ช่วงท้องน้อย อันเกิดขึ้นเป็นปกติในยามเช้า เป็นผัสสะแปลกปลอมอันส่งความแรงเพิ่มขึ้นจากแต่แรกที่แผ่วอ่อน จิตตระหนักว่ามันมีความเข้มข้นชนะพลังรู้ของตน ความเข้มข้นของผัสสะอันเป็นทุกข์นั้นเองเรียกกระแสอัตตาดั้งเดิมกลับมา และเห็นรูปกายที่มีใจครองนั้นเป็นเขา มนุษย์ชื่อมติ

    ความทุกข์ทางกายจากการปวดปัสสาวะบันดาลความกระสับกระส่ายทางใจ เร่งให้คิดเดินเข้าห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยระบายออก วูบนั้นมติเห็นเป็นความน่าสังเวชยิ่งชนิดหนึ่งของอัตภาพมนุษย์

    เดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา สติเลือนๆไปตามกระแสปรุงแต่งอันเคยคุ้น แต่โยคาวจรหนุ่มก็ยังคงสำเหนียกได้ถึงแรงลากจูงจากภายใน โน้มนำให้กลับดิ่งสู่การพิจารณาธรรม แรงชนิดนี้เองแสดงความแน่วแน่ที่จะตัดตรงสู่มรรคผล เพราะปลงใจวางความกังวลภายนอกแล้ว มุ่งหวังความสงบ ความบรรลุแจ้งภายในแน่วแน่แล้ว

    ลักษณะหนึ่งของผู้เข้าทางตรง ดูได้จากพฤติกรรมภายใน นั่นคือสติจะถูกดึงกลับเข้าที่อยู่ตลอดเวลา หายไปได้ก็กลับมาใหม่ได้ ใฝ่ใจอยู่แต่การทำความรู้ ทำการพิจารณาธรรมให้เกิดขึ้นไม่เลิกรา หากปราศจากพฤติกรรมภายในดังกล่าวนี้แล้ว ก็จัดว่ายังไม่เข้าทางตรงแท้ ถึงแม้เคยอ่าน เคยฟัง เคยพูด หรือกระทั่งหยั่งรู้มาเท่าไหร่ๆก็ให้ถือเป็นแค่ ‘มีเชื้อ’ ของผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ พ้นภัยสังสารวัฏร้ายเท่านั้น

    ชีวิตประจำวันทั้งหมดของมติถูกรวมเข้ามากลั่นเป็นธรรมให้พิจารณา แม้ขณะนั่งทานข้าวเช้าคนเดียวเดี๋ยวนี้ ก็พยายามตามรู้อาหารและน้ำที่เข้าปากแต่ละครั้ง พบว่าสติของตนขาดหายไปกับรสอาหารเสมอ แม้เอาจิตไปเกาะกับทางเข้าคือปาก และปลายทางคือช่วงท้องที่หน่วงหนักขึ้นเรื่อยๆ วางความติดใจรสอาหารได้ชั่วครู่ ก็ไม่คงเส้นคงวาเหมือนอย่างพระที่ท่านฉันสำรวมในบาตร

    เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าจิตรู้ยังไม่แก่กล้า เอาชนะผัสสะไม่ได้

    พอเห็นตัวเองไม่เอาไหน ก็รู้สึกว่ายังห่างจากนิพพาน ท้อใจขึ้นมา

    นี่เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อตัวรู้ไม่รวมศูนย์ ตามรู้กว้างขวางไม่ได้ ก็ถูกความคิดซัดส่ายฟุ้งซ่านเอาไปกิน ยิ่งพอตรึกนึกหวังเห็นธรรม เห็นอารมณ์ให้ชัดทั้งที่ยังไม่พร้อม กำลังจิตยังไม่เหลือเฟือ ก็เกิดความท้อแท้กระหน่ำซ้ำ มติคิดขึ้นมาวูบหนึ่งว่านี่เขาจะต้องทนปฏิบัติ ทนรักษาความรู้ตัวอีกนานแค่ไหนจึงจะได้ถึงฝั่งวิมุตติ

    เห็นชัดว่าความห่างจากนิพพานไม่ใช่วัดเป็นระยะกิโลเมตร แต่วัดด้วยน้ำหนักสติ

    อรรถก็รู้แล้ว ธรรมก็รู้แล้ว ปฏิบัติก็ตรงทางแล้ว บางครั้งเห็นเหมือนใกล้ฝั่งแค่เอื้อม แต่พอจิตหลงเลื่อนล่องลอยไม่รวมศูนย์เท่านั้น ความรู้ทุกอย่างก็เหมือนมลายหายหน กำลังใจหดเหี่ยว กระทั่งยังให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา นี่ถ้าหากเขาเกิดทันพระพุทธองค์ คงทรงพระกรุณาใช้ญาณรู้นิสัยเวไนยสัตว์ โปรดเขาด้วยเทศนาธรรมอันลัดสั้นเหมาะกับจริต เพื่อให้จิตตัดตรงเข้าสู่ความเป็นมรรคเป็นผล ไม่ต้องทนลำบากปฏิบัติยากนานอย่างนี้

    พยายามจับพินิจมาที่ตัวความท้อที่ป่วยการเปล่า และเป็นธรรมดาเมื่อพินิจรู้สิ่งใดก็เห็นอนิจจังของสิ่งนั้น เหมือนมองเมฆเฉยๆสักพักก็ย่อมเห็นเมฆเคลื่อนหรือเปลี่ยนรูปไป มติเห็นตัวความท้อสลายหายหนไป ณ ตำแหน่งที่มันเกิดขึ้นห่อหุ้มใจนั่นเอง

    เสมือนได้ทำแบบฝึกหัด คราวหน้าถ้าท้ออีกก็จะพิจารณาความท้ออย่างนี้อีก ไม่ปล่อยให้ใจไหลไปตามกระแสความท้อเนิ่นนานจนกู่ไม่กลับ ตัวอยากได้อยากดีในระหว่างการปฏิบัตินี้เอง ที่แท้เป็นด่านขวางการปฏิบัติมิให้ก้าวหน้า แทนที่จะเขยิบใกล้นิพพานเข้าไปกลับยิ่งดึงตัวเองห่างออกมาแทน

    ความจริงเขาปฏิบัติมาจนรู้วาระ รู้รอบของการจรไปจรมาของสติเห็นธรรม ทราบดีแก่ใจว่าต้องอัดพลังรู้ใหม่เป็นระยะๆด้วยการเข้าสมาธิ จะหวังให้เกิดความทรงรู้คงที่อย่างพระอรหันต์ท่านนั้น มิใช่วิสัย

    ความสงบใจอยู่ในดุลพร้อมรู้เป็นสิ่งสำคัญ และปัจจัยที่ตกแต่ง ปัจจัยที่ตั้งให้จิตทรงนิ่ง บรรเทาความคิดให้อ่อนสงบลงก็มีอยู่หลายอย่าง ไม่ใช่แค่อารมณ์สมาธิอย่างเดียว ความสงบอาจเกิดขึ้นจากการอ่านหนังสือธรรมะที่มีข้อความกล่อมเกลาให้เยือกเย็น อาจเกิดขึ้นจากการหลีกเลี่ยงไม่เอาตาไปดู ไม่เอาหูไปฟังเครื่องกวนกิเลส รวมทั้งอาจเกิดขึ้นจากการประมาณในอาหาร ไม่บริโภคเปรี้ยวหวานมันเค็มล่อลิ้น และไม่ยัดทะนานจนอิ่มแปร้แพ้น้ำหนักอาหารในท้อง

    มติตัดใจทานของคาวน้อยกว่าที่เคย อีกทั้งงดของหวาน ดื่มน้ำเปล่ามากหน่อยเพื่อหลอกกิเลสว่าหนักท้องแล้ว เพียงพอแก่ความต้องการแล้ว

    กลับมาที่ห้อง พิจารณาว่ากำลังอิ่ม กิจที่สมควรทำคือเดินช่วยย่อยอาหาร และการเดินย่อยอาหารที่พระอริยบุคคลย่ำเท้านำไว้ ก็ไม่ใช่สักแต่ก้าวเรื่อยเฉื่อย ปล่อยใจทอดหุ่ยให้เวลาล่วงสูญไปโดยเปล่า แต่ละก้าว แต่ละจังหวะต้องมีสติกำกับ เพื่อเลื่อนความรู้จากหยาบไปสู่ละเอียด

    มติกำหนดเส้นทางเดินอันแคบจำกัด เมื่อก้าวแบบสั้นก็วัดเป็นเส้นตรงได้ประมาณสิบก้าว เอามือไพล่หลัง ยืนตรงปล่อยน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมาที่ฝ่าเท้าทั้งสองอย่างได้ดุล เพื่อให้ผัสสะอันแนบสนิทระหว่างฝ่าเท้ากับพื้นเรียบปรากฏต่อความรับรู้แจ่มชัด

    กำหนดใจไว้เหมือนจะหย่อนอารมณ์ด้วยการเดินเล่นสบายๆ ต่างกับเดินเล่นนิดเดียวที่ใจจ่อรู้อยู่แต่ฝ่าเท้าที่เตะไปข้างหน้าแล้วค่อยวางเหยียบลงสนิทกับพื้นอย่างนุ่มนวล เท้าที่ไม่เกร็งนั้นเองพาให้ใจนุ่มนวลและรับผัสสะได้ไว โยคาวจรหนุ่มเริ่มย่างเท้าไม่ช้าไม่เร็วเหมือนเดินทอดน่องหลังทานข้าวธรรมดา จังหวะที่สม่ำเสมอคงที่นั้นเองพาให้ใจจับจังหวะถูกและมีความคงเส้นคงวาไปด้วย

    จากต้นทางถึงปลายทาง มติลงก้าวสุดท้ายด้วยเท้าขวา แล้วลากเท้าซ้ายตามมาประกบเสมอกันเพื่อตั้งหลักรู้เต็มฝ่าเท้าอีกครั้ง แล้วหมุนตัวแบบขวาหัน รู้เฉพาะเท้าที่พาหมุน พักเท้าเสมอกัน ก่อนจะหมุนแบบขวาหันอีกครั้ง เป็นอันกลับหลังสมบูรณ์โดยประคองความรู้เท้าไม่คลาดเช่นเดิม จากนั้นหยุดตั้งหลักรู้ที่สองเท้าใหม่ ก่อนกำหนดใจสบาย เริ่มออกเดินโดยไม่ลืมความชัดที่ฝ่าเท้าอันเดิม ต่อเนื่องจากผัสสะระหว่างหยุดตั้งหลัก

    ตั้งคอ มองตรงไปข้างหน้า ไม่ก้มลงดูเท้า เพราะทราบดีว่าถ้าเห็นเท้าแม้ด้วยหางตา ภาพเท้าจะแย่งอาการรู้จากใจไปบางส่วน อีกอย่างการก้มลงจะทำให้เมื่อยคอในระยะยาว

    การเดินจงกรมนั้น อุปสรรคที่เป็นมากคือถูกสายตาดึงความสนใจไปดูภาพข้างหน้าแทน การกำหนดทางเดินไว้เป็นเส้นตรงตายตัวจึงนับว่ามีความสำคัญมาก เพราะเมื่อไม่ต้องพะวงว่าจะเดินไปชนสิ่งกีดขวางหรือไม่ ใจก็ปักลงไปกำกับการย่างเหยียบซ้ายขวาได้อย่างเต็มที่

    กระทั่งสามรอบผ่านไป เมื่อจิตจ่ออยู่กับจังหวะเท้ากระทบต่อเนื่อง แต่ละครั้งที่เหยียบแนบพื้น จะปรากฏเป็นรูปรอยเท้าใสต่อใจอย่างต่อเนื่อง อันสะท้อนถึงจิตเองที่กำลังใสเบา ก็รู้ตัวว่านั่นเป็นการได้ ‘สมถะ’ หรือธรรมอันเป็นเครื่องสงบระงับ ทำให้เครื่องขวางทางภาวนาคือความอยากในกาม ความพยาบาท ความหดหู่ง่วงงุน ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัยในการดำเนินจิต ต่างหายหนลับล่วงหมดสิ้น พร้อมที่จะต่อยอดให้จำเริญขึ้นเป็น 'วิปัสสนา' แล้ว

    มติพิจารณาว่าจิตที่นิ่งอย่างมีคุณภาพนั้นเองเปลี่ยนความรับรู้เกี่ยวกับเท้า รูปเท้าชัดขึ้น กับทั้งเห็นทั่วขึ้นมาทั้งขา ต่อมาก็รู้ตลอดพร้อมครอบคลุมถึงกะโหลกอันเป็นส่วนยอด เป็นการรู้เองโดยมิได้กำหนดถอนจากสติรู้เท้ากระทบอันเป็นหลักแต่อย่างใด และนั่นเองคือการเปลี่ยนของสัญญา เท้าเหมือนเดิม แต่ความรู้ตัวพัฒนาขึ้น สัญญาเกี่ยวกับเท้าก็แปรตาม นับเป็นการเห็นความไม่เที่ยงของสัญญาอย่างหนึ่ง

    เขาตามรู้เท้ากระทบไปตามปกติ แต่จิตก็พิจารณาในขณะรู้กระทบแต่ละครั้งนั้นเอง คือสักแต่เป็นความหมายรู้ว่าเท้า สติอย่างหนึ่ง เท้าก็ปรากฏอย่างหนึ่ง สติอีกอย่างหนึ่ง เท้าก็ปรากฏอีกอย่างหนึ่ง

    กระทั่งจิตล่วงเข้าสู่ความรู้ธรรมชาติแห่งสัญญาล้วนๆ เมื่อ ‘ธรรม’ อย่างหนึ่งผุดขึ้นกระทบใจ เหมือนพวยน้ำที่ผุดขึ้นกลางความว่างเปล่า แล้วเกิดการแปลความหมายขึ้นสู่สำนึกว่าเป็นมโนภาพสวยหวานของแพตรี กระแสสติขาดหาย กลายมารวมวูบเข้ากับมโนภาพนั้น ก่อกระแสรู้สึกพิศวาสระคนเจ็บยอกชอกช้ำ

    สติยังเฉียบคม จึงทราบชัดว่าอาการจำได้หมายรู้เกิดขึ้นก่อน อาการยอกในอกตามมาทีหลัง เรียกว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วไม่ถูกรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งเกิดแล้วดับเหมือนพยับแดด แต่สัญญาเกิดแล้วมี ‘สังขาร’ มาปรุงแต่งจิตเป็น ‘คิดต่อ’ แล้วเกิดทุกข์ขึ้นมา

    ก่อนที่จิตจะจมตัวลงกับมโนภาพมากกว่าที่เป็น ความรู้สึกในกายที่เคลื่อนไหวก็ถูกดึงกลับคืนมา เห็นสัณฐานกะโหลก ลมหายใจเข้า อาการพะเยิบพะยาบของช่วงซี่โครง และการย่างเท้าก้าวเดิน จิตได้นิมิตใหญ่กลบเกลื่อนนิมิตพิศวาสด้วยเวลาอันรวดเร็ว เห็นภาพแพตรีเป็นเพียงระลอกคลื่นชนิดหนึ่ง ที่จิตกระเพื่อมตัวขึ้น และถูกจับรู้ออกมาจากภายในของจิตเอง

    ผุดความคิดอีกระลอกหนึ่ง เห็นเหมือนเกลียวน้ำวนพร่างพรายในโพรงกะโหลก เหมือนได้ยินเสียงคนอื่น เสียงคลื่นลมอันปราศจากหน้าตาพูดขึ้นในห้องว่าง

    ‘อยู่คนเดียวดีแล้ว’

    เมื่อเกิดคำพูดกับตนเองเช่นนั้น สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกยินดีปรีดากับความสันโดษแห่งตน สติก็รู้ต่ออย่างละเอียดว่าเกือบเผลอยึดมั่นไปกับความยินดีปรีดานั้น เกือบเสียความเป็นกลางในอาการรู้

    ตัวรู้กระจ่างไสวขึ้นทุกขณะ ส่องสว่างเอกาอยู่ตรงกลางการสัญจรเข้ามาแล้วจากไปของความคิดระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่เปิดช่องให้ความคิดใดเข้าคลุกเคล้ากับตัวรู้เลย รู้ในทันทีที่ความคิดเกิดขึ้นว่านั่นไม่ใช่ตน ความคิดเป็นเพียงอาการกระเพื่อมของจิตเท่านั้น เห็นกระทั่งแยกได้ว่าอาการใดคือสุขทุกข์ อาการใดคือสัญญาอย่างเดียว อาการใดคือผุดสัญญาแล้วมีการรับช่วงเป็นกระบวนการคิดอ่านปรุงแต่งต่อ

    จ่อจิตกับอารมณ์ใหญ่นานพอจะรวมดวง ก็เหมือนไฟอนัตตาลุกท่วมกายอันปรากฏเป็นเพียงธาตุแข็งทรงรูป ดูสว่างโพลนเต็มตัว ฉายชัดอยู่กับจิตที่ตั้งหลักรู้จากกลางอก เห็นกระดูกฉาบเนื้อที่สักแต่เคลื่อนไหวไป ส่วนใจก็ปรากฏเป็นเพียงแสงรู้กับรสอุเบกขาแห่งตนเอง จัดเป็นฌานอันเกิดแต่วิปัสสนา เรียกว่า ‘ลักขณูปนิชฌาน’

    อุปาทานในระดับละเอียดเกิดขึ้นอีก คือเห็นผู้รู้เป็นตัวตน เป็นผู้เฝ้าดูอยู่ตรงกลาง เพลินอยู่กับความเป็นเช่นนั้นเนิ่นนาน ไม่มีความพยายามแกะออก เพราะไม่มีตัวเท่าทันว่านั่นคือเยื่อใยอันละเอียดของอุปาทานในอัตตา

    กระทั่งเกิดความเหนื่อยล้าหลังจากเดินจงกรมได้นานนับชั่วโมง มติจึงคิดผ่อนพัก ลงเอนหลังกับที่นอนครู่หนึ่ง วางตัวราบจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อหย่อนจากหนักเป็นเบา คลายความเมื่อยลง จึงดึงตัวขึ้นนั่งก่อนท่าเอนพักจะสะกดให้เผลอผล็อยหลับลง

    ความง่วงคืบคลานเข้าห่อหุ้มจิตใจ กายเหมือนส่งสัญญาณเรียกร้องให้เอนกลับลงไปใหม่ คล้ายคนตะโกนว่าสักงีบน่า! สักงีบน่า! มติวางเฉยกับเสียงกิเลส ใส่ใจกับเสียงสติแทน เขาจ่อจิตดูความง่วงที่ปรากฏเหมือนแรงดันกดจิตให้หมดกำลังวังชา ดูไปเรื่อยๆโดยปราศจากการพยายามต่อต้านหรือต้อนรับ มันกินเวลายาวนานเหมือนเดินฝ่าหมอกทึบน่าอึดอัดเป็นทางไกล

    แต่แล้วในที่สุดความง่วงก็ปรากฏกับจิตเป็นแรงดันที่ลดตัวลง คลายความกดลง จิตเหมือนเปิดว่างออกชั่วขณะเพราะถูกปลดปล่อยออก มติกำหนดดูความคลายง่วงนั้นครู่หนึ่ง ก็เห็นแรงกดหน่วงๆวกกลับมาอีก กลายเป็นความง่วงที่เรียกร้องให้เอนหลังอีก ทว่าคราวนี้น้อยกว่าหนแรกอย่างเห็นได้ชัด

    ตามดูความกดเข้าและคลายออกอยู่หลายรอบ แรงกดของความง่วงน้อยลงทุกที ขณะที่อาการคลายเหมือนทวีขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งในที่สุดมีแต่ความคลาย ตื่นรู้แจ่มใสเต็มดวงเหมือนเพิ่งตื่นนอน

    พิจารณาความง่วงก่อนเวลาอันควรเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการสั่งสมความรู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว ยังได้กำลังจิตเพิ่มขึ้นเพื่อใช้สู้กับกิเลสชนิดต่างๆมากยิ่งๆขึ้น

    คิดหาอะไรทำคั่นจังหวะก่อนอัดพลังรู้ด้วยสมาธิรอบใหม่ มานั่งสำรวจตั้งหนังสือบนโต๊ะเล็กที่ยังไม่ได้อ่าน เลือกเล่มหนึ่งซึ่งยืมมาจากเพื่อนสนิทใกล้บ้าน ขนาดพอดีมือแบบบาง ครึ่งปกซีกขวาเป็นรูปวาดผาสูงในแบบศิลปะของชาวตะวันออก ครึ่งปกซีกซ้ายเป็นชื่อหนังสือลายหวัดว่า ‘น้ำชาก้นถ้วย’ เลียนอักษรจีน โดยมีชื่อผู้เขียนกำกับคือ ‘สมภาร พรมทา’ เป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2527

    มติอ่านบทบอกกล่าวคร่าวๆเพื่อทราบความเป็นมาของผู้เขียน และความเป็นมาของหนังสือซึ่งเกี่ยวกับนิกายเซน สิ่งที่น่าสนใจคือการประกาศว่านั่นเป็นหนังสือเซนที่เขียนอ่านง่าย ไม่เป็นวิชาการ พอดีกับความต้องการหาเรื่องสบายๆมาคั่นจังหวะปฏิบัติของเขา

    มติเคยอ่านเรื่องราวและคำสอนของเซนมาบ้าง โดยความรู้สึกส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นลบหรือเป็นบวกชัดเจน ตระหนักเพียงว่าถ้าหลักปฏิบัติของเซนได้ผลจริง ผู้สอนต้องเข้าถึงธรรมมาก่อน และมีความหยั่งรู้ลึกซึ้งที่จะสะกิดศิษย์ให้เห็นธรรมตามในจังหวะเหมาะที่สุด

    แต่สำนวนของผู้เขียน ‘น้ำชาก้นถ้วย’ ก็ทำให้บรรทัดต่อบรรทัดไหลรื่นเหมือนนั่งคุยกับใครสักคนที่เล่าเรื่องเก่งและช่างถ่อมตัว นั่นทำให้มติอยากรับรู้เนื้อหาของเซนในฐานะผู้ใฝ่ศึกษา แม้ไม่แน่ใจนักว่าแก่นของเซนจะเข้ากับจริตตนหรือไม่

    เมื่อเริ่มเข้าเนื้อหาบทแรก เป็นการโปรยความเป็นมาเกี่ยวกับเซนที่เริ่มเข้ามาในไทย ซึ่งก็ถูกคัดค้านจากกระแสอนุรักษ์อยู่บ้าง เข้าสู่ยุคซบเซาบ้าง กระทั่งฟื้นฟูกลับมาติดตลาดหนังสือกลายเป็นวรรณกรรมแนวหนึ่งไปในที่สุด

    เข้าเนื้อหาบทที่สองกล่าวถึงสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเณรน้อย และอ่านหนังสือเกี่ยวกับเซน จับความได้ไม่ชัดนัก กระทั่งต่อมาเรียนประวัติพุทธศาสนา รู้เรื่องราวและหลักธรรมของลัทธิมหายานมากขึ้น จึงจับสาระของนิกายเซนได้ เช่นเน้นการเข้าถึงธรรมเป็นหลัก และปรับพระวินัยให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ถือโอกาสที่ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เคยตรัสไว้จริงๆว่าหากพระสงฆ์สาวกปรารถนาจะถอนสิกขาบทวินัยเล็กๆน้อยๆที่ขัดกับกาลสมัย ก็ให้ถอนได้

    ถึงตรงนี้มติเริ่มมีความคิดโต้ตอบกับความเป็นเซน เห็นว่าผู้ถือสิทธิ์ปรับเปลี่ยนพระวินัยนั้น หากซื่อ และมีคุณธรรมสูงส่งก็ดีไป แต่เมื่อไหร่ผลัดมือมาเป็นสิทธิ์ของคนใจคด เช่นนึกอยากมีลูกเมียก็ปรับจากอาบัติปาราชิกเป็นโทษเบา หรือเปลื้องจากโทษลงสิ้น อย่างนี้ความวอดวายของพุทธศาสนาก็ตั้งต้นขึ้นที่นั่น ดังปรากฏมาแล้วในประเทศเกาหลี ชาวบ้านที่ปราศจากความรู้ลึกซึ้ง จะไม่มีทางแยกแยะได้เลยว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ใครยังเป็นพระในธรรมวินัยของพระพุทธองค์ หรือเป็นเพียงฆราวาสในคราบผ้าเหลืองที่สำคัญตนว่าเป็นพระ

    ช่วงท้ายบทเป็นการกล่าวถึงวิธีการที่พระนิกายเซนชอบใช้ นั่นคือลงไม้ลงมือประกอบการตอบคำถาม เพื่อสะกิดให้ใครบางคนเกิดความรู้แจ้ง ตัวอย่างเช่นเมื่อพระนิกายเก่าสวนกับพระนิกายเซนขณะเดินบนสะพานข้ามสองฝั่งแม่น้ำ พระนิกายเก่าทำทีถามเป็นปริศนาธรรมว่าแม่น้ำนี้ลึกเท่าไหร่ ส่อนัยคือ ‘เซนนั้นลึกซึ้งแค่ไหน?’

    พระเซนได้ยินเช่นนั้นก็ตอบด้วยการผลักพระนิกายเก่าตกลงไปในน้ำ แล้วบอกตามหลังว่าอยากรู้ก็ลงไปวัดเอาเอง ส่อนัยสวนกลับคือ ‘ถ้าต้องการทราบเรื่องเซนก็ต้องลองปฏิบัติเซนดู’

    นอกจากนั้นผู้เขียนยังสาธิตตนเองประกอบว่าสมัยยังเด็ก จำชื่อในหลวงรัชกาลที่สามไม่ได้ คุณครูจึงหาอุบายด้วยการเรียกไปคุกเข่าหน้าชั้น แล้วให้เพื่อนนักเรียนอีกคนไปขี่คอ พร้อมกับสั่งให้จำไว้ ว่ารัชกาลที่สามชื่อพระนั่งเกล้าฯ อันเป็นผลให้ผู้เขียนไม่ลืมอีกเลยชั่วชีวิต

    จบบทด้วยข้อสรุปในใจมติที่ว่า ถ้าสาธิตให้เห็นแจ้งเห็นจริงถูกคนถูกเวลา ก็จะเกิดการเรียนรู้ หรือเกิดความจำติดทนถาวรได้จริง

    เข้าเนื้อหาบทที่สาม

    ขึ้นต้นด้วยคำถามว่าเซนคืออะไร?

    เบื้องแรกกล่าวถึงที่มาของคำว่า ‘เซน’ คือ ‘ฌาน’

    จากนั้นกล่าวว่าที่ยุคแรกเซนมาจากคำนี้เพราะไม่เน้นศีลกับปัญญา เน้นการทำสมาธิเป็นหลัก เท่าที่มติทราบมา เซนเน้นการสะกิดให้เกิดตัวรู้หลังจากผ่านการเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนพร้อมพอ จึงเข้าใจเนื้อหาส่วนนี้เป็นอย่างดี เซนเหมือนจะลัดทาง ไม่นำพาศีลและปัญญาในเชิงปฏิบัติแนวเก่าเช่นสติปัฏฐานสี่จริงๆ มุ่งเอาตัวรู้ ตัวบรรลุกันลูกเดียว

    เกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าจิตไม่มีศีลและปัญญากำกับ อะไรจะเป็นหลักประกันว่าทำๆไปแล้วไม่เข้ารกเข้าพง?

    หน้า 32 กล่าวอ้างถึงการเข้าถึงธรรมอย่างฉับพลันซึ่งบันทึกไว้จริงในพระคัมภีร์ เนื้อความในหน้านั้นมีอยู่ว่า

    มีพระสูตรอยู่สูตรหนึ่งชื่อ พาหิยสูตร เล่าเรื่องเอาไว้ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อพาหิยะเบื่อหน่ายชีวิตหนีออกจากบ้านไปประพฤติพรตเป็นนักบวชแสวงหาสัจธรรม แสวงหาอยู่นานก็ไม่พบสิ่งที่ตนเองมุ่งหวัง จนวันหนึ่งได้ข่าวว่ามีศาสดาพระองค์หนึ่งชื่อโคตมะเป็นผู้มีปัญญาชี้ทางหลุดพ้น พาหิยะทราบข่าวก็รีบเดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์ด้วยความกระวนกระวาย ทางเดินไกลแค่ไหน ลำบากเหนื่อยล้าอย่างไรก็ไม่คำนึงถึง รีบรุดทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อไปเฝ้าพระพุทธองค์

    จนเช้าวันหนึ่งพาหิยะก็มาถึงเมืองที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ เวลานั้นพระพุทธองค์พร้อมพระสาวกกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตอยู่ พาหิยะก็รีบตรงเข้าไปหาพร้อมกับอ้อนวอนให้พระพุทธองค์แสดงธรรมให้ฟัง

    อ่านถึงตรงนี้จิตของมติบังเกิดความตื่นตัวสว่างไสว ปีติยินดีด้วยกับวาสนาของท่านพาหิยะ ที่ได้มีโอกาสเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธองค์ กับทั้งมีความวิริยะอุตสาหะรีบรุดไปเข้าเฝ้าโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย พลอยทำให้มีใจโสมนัสราวกับตนเอาชีวิตเข้าแสวงหาพระผู้ตรัสรู้ตามท่านพาหิยะ และประสพความสำเร็จ พบพานพระองค์จนได้

    สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของมติลำดับนั้นคือความปรารถนารู้ธรรมจากพระพุทธองค์อย่างแรงกล้าเทียบเท่ากับท่านพาหิยะ ดีใจและสำคัญว่าตนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์จริงๆ รอสิ่งที่พระองค์จะตรัสอยู่จริงๆ จึงอ่านข้อความถัดมาด้วยใจเพ่งแน่วเป็นหนึ่ง

    พระพุทธองค์รับสั่งว่าเวลานี้เป็นเวลาบิณฑบาต ไม่ใช่เวลาแสดงธรรม หากพาหิยะต้องการฟังธรรมให้ไปที่อาราม เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ฟังเอง

    พาหิยะกราบทูลว่าชีวิตคนเราเป็นสิ่งไม่แน่นอน จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่อาจพยากรณ์ได้ เวลานี้เขามีโอกาสได้เฝ้าแทบพระบาทของพระพุทธองค์ นับเป็นโชคอย่างยิ่งขอพระองค์รีบแสดงธรรมแก่เขาเถิด

    พระพุทธองค์เห็นพาหิยะแสดงเหตุผลเช่นนั้นจึงรับสั่งสั้นๆเป็นเทศนาธรรมว่า “พาหิยะ ถ้าอย่างนั้นเธอจงปฏิบัติต่อสิ่งรอบกายเพียงสักแต่ว่ามันเป็นอย่างนั้น เมื่อเธอได้ยินเสียง ก็จงสักแต่ว่าได้ยิน ได้เห็นก็สักแต่ว่าเห็น อย่ายึดมั่นว่ามันเป็นตัวตน”

    ดุจพระพุทธองค์ทรงตรัสเอง ได้ยินจริง จิตข้ามพ้นจากการอ่าน เข้าสู่ภาวะอันเป็นกลาง หยั่งรู้สภาพธรรมอันเป็นปัจจุบันที่ปรากฏในชั่วขณะนั้น

    เกิดปรากฏการณ์ในระดับความเข้าใจ จินตนาการถึงการได้ยินว่าเป็นสิ่งกระทบหูแล้วเกิดความรู้เสียงขึ้นในใจ ไม่ใช่ตัวตน ตัวคิดที่ตามมาก็ไม่ใช่ตัวตนไปด้วย ความรู้สึกในตัวตนเช่นในบัดนี้ เดี๋ยวนี้ จึงเป็นแค่ของหลอกชั่วขณะหนึ่งๆที่ยังมีลมหายใจ

    พื้นยืนของตัวตนคือตาหูก็ถูกทำลายทิ้ง พื้นยืนของตัวตนคือความคิดอ่านก็ถูกทำลายทิ้ง ทุกอย่างดูโล่งว่างไป เหลือแต่สภาวธรรมเห็นสภาวธรรม

    ถัดจากนั้นจึงเกิดปรากฏการณ์ในระดับของสภาวจิตซึ่งอบรมไว้แก่รอบ อุปาทานแม้ที่แฝงอยู่ในตัวรู้อันละเอียดก็ถูกทำลายลง เพราะสภาพรู้ขณะนั้นก็ปรากฏต่อตนเองเป็นเพียงสภาวธรรมหนึ่ง เมื่อเหลือแต่สภาวธรรม ก็หมดความเป็นตัวตน ที่ยืนของอุปาทานในอัตตาว่างหายไปทั้งหมด เข้าถึงภาวะปฏิบัติต่อสิ่งรอบกายเพียงสักแต่ว่ามันเป็นอย่างนั้น ว่างเปล่าไร้แก่นสารและการผลิตภาษาคิดอ่านอย่างสิ้นเชิง

    จิตแน่วเป็นภาวะรู้ความว่างถึงที่สุด ตีจาก ตัดความเห็นอะไรๆทั้งหมดเป็นตัวเป็นตน ดิ่งไปในความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสต้องถูกต้องจริงแท้แน่แล้ว

    วูบลงพักตัวนิ่งกลางอก และคล้ายเกิดน้ำวนที่นั่น ดับจากสำนึกลงชั่วขณะ

    แล้วปรากฏการณ์อันเป็นที่สุดในชีวิตครั้งแรกก็อุบัติขึ้น ธาตุรู้สว่างไร้ประมาณผุดโพลง พลุ่งโพล่งพ้นอายตนะหยาบ ทุกสิ่งหายหนไปหมดแม้กำลังลืมตา ไม่เหลืออะไรเป็นที่กำหนดหมาย ไม่มีอะไรเป็นเครื่องบอกว่าสิ่งนี้คือภาวะหรือไร้ภาวะ มีแต่ความรู้อันบริสุทธิ์ปราศจากข้อเปรียบเทียบว่าน่าพึงพอใจปานใด

    ค้างนิ่งในความว่างอย่างอุกฤษฏ์ชั่วครู่ ก่อนสำนึกถูกดึงกลับมาอยู่ในกายอันเห็น ได้ยิน และสัมผัสตามเดิม เกิดจิตยิ้มรู้เบิกบานปราศจากข้ออธิบาย ไม่มีข้อกังขาเคลือบแคลง หยั่งทราบและบอกตนเองว่าที่เกิดขึ้นนั้นคือพระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล!!

     

    รอยยิ้มอันเกิดจาก ‘จิตยิ้ม’ นั้นสดใสและใหม่เอี่ยมสาดสว่างในความรู้สึกเต็มตน เต็มดวง แสงที่ผุดโพลงขึ้นนั้นไม่ใช่อาการเห็นนิมิต ไม่ใช่โอภาส ไม่ใช่การควบกระแสรวมเป็นสมาธิสามัญ แต่เป็นการผุดแสดงตัวของธาตุรู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยแปดเปื้อนมลทินใดๆ และตัวที่เห็นก็คือธาตุรู้โดยตัวเอง มิใช่ผู้เฝ้ามองอื่นอันเป็นภายนอก

    ส่วนความว่างอันเป็นอารมณ์ละเอียดขั้นสูงสุดที่จิตทะลุรูปนามออกไปรู้ ธรรมชาติอันพ้นภาวะและอสภาวะนั้น ไม่อาจกำหนดว่ามีศูนย์กลางตรงไหน ขอบเขตสิ้นสุดอยู่ที่ใด แม้ความหมายรู้ทิศซ้ายขวา หน้าหลัง บนล่าง ก็ไม่ปรากฏเลย เป็นธรรมชาติอันน่าตื่นตะลึงอีกระนาบอันเป็นต่างหากจากกาย ความรู้สึกนึกคิด และสัญลักษณ์แห่งความเป็นตัวตนใดๆ

    ธรรมชาตินั้นมีอยู่ จึงถูกรู้ได้ ธรรมชาตินั้นเป็นเอกภาวะปราศจากคู่สองเทียบเคียง จึงมีความเป็นสัมบูรณ์ในตนเอง ธรรมชาตินั้นพ้นจากสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จึงปราศจากเวลา ปราศจากการเปลี่ยนแปลง

    ธรรมชาตินั้นคือนิพพาน!

    อาการทบทวนภาวะความเป็นโสดาบันที่เพิ่งอุบัติขึ้นนั้น ไม่ต้องอาศัยการอ้างอิงจากใครบอก ไม่ต้องสร้างภาพไว้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มรรคผลคือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่พร้อมจะเกิดขึ้นกับปัจเจกชนคนใดก็ได้ ที่กระทำเหตุไว้เหมาะควร เหมือนเช่นถ้าส่งแรงดันน้ำไว้เพียงพอ ก็จะส่งลำน้ำผุดพลุ่งขึ้นเป็นสายน้ำพุ หรือเหมือนดอกบัวเมื่อพร้อมเต็มที่ ก็จะเบ่งบานพ้นน้ำได้เอง

    สภาพทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้ง เมื่อธาตุรู้หลุดพ้นจากการห่อหุ้มของสังขารหยาบเช่นกายและความรู้สึกนึกคิด ก็ปราศจากสิ่งใดเท่าธุลีคลุกเคล้าปรุงแต่ง สามารถเห็นประจักษ์ชัดว่าไม่มีอัตตาในที่ใดๆเลย มีแต่สภาวธรรมที่เปลี่ยนได้เช่นกายและความรู้สึกนึกคิด กับสภาวธรรมที่เปลี่ยนไม่ได้คือธาตุรู้อันเดิมแท้ ไม่เคยเกิดตายตามกายและวิญญาณในภูมิต่างๆ

    และที่สุดคือประจักษ์ธรรมชาติระดับสูงสุด ที่อยู่เหนือรู้ เหนือสว่าง ดุจมหาสมุทรแห่งความว่างอันน่าฉงนเหนือจินตนาการใดๆหยั่ง เพราะจินตนาการเเป็นเพียงการปรุงแต่ข้อมูลที่สั่งสมมาของจิตในระหว่างท่องเที่ยวอาศัยครองรูปธรรมนามธรรมอันมีเหลี่ยมทรงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่นี่เมื่อพ้นจากรูปนาม เหลือเพียงภาวะรู้อันเป็นเอก ประจักษ์ธรรมอันอยู่คนละระนาบแม้กับจิตเอง ก็พบกับอะไรอีกอย่าง ที่รูปนามใดๆก็ตามไปไม่ถึง

    มหาสุญตานั้นมอบความรู้จริงว่าอะไรที่เปลี่ยนได้ก็เพราะมีความปรุงแต่ง มีความบีบคั้นให้สิ้นสุดภาวะหนึ่งๆ อะไรที่เปลี่ยนไม่ได้ก็เพราะปราศจากการปรุงแต่ง ปราศจากการบีบคั้นให้สิ้นสุดสภาพ สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในธาตุวิภังคสูตรความตอนหนึ่งว่าสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นธรรมดานั้นเท็จ สิ่งที่ไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา ได้แก่นิพพานนั้นจริง

    อุปาทานในอัตตาเกิดขึ้นอย่างมั่นคง แน่นเหนียว ห่อหุ้มจิตมิด ทั้งที่สภาพต่างๆฟ้องอยู่ว่ามีการเลื่อนไหลปรับเปลี่ยนทุกขณะ แต่จิตก็ไม่เห็น ไม่รับรู้ เพราะปราศจากสภาพพร้อมพิจารณา คนทั่วไปแม้ ‘คิดได้’ แบบวูบๆวาบๆว่าชีวิตนั้นไร้แก่นสาร เกิดมากอบโกยชั่วขณะหนึ่ง เพื่อตายไปจากทุกสิ่งที่กอบโกยมาได้ สุขทุกข์แล้วเลอะเลือนร้างราอย่างเปล่าประโยชน์

    ยิ่งกว่านั้นยังยากนักที่จะทราบว่าสภาพอันไม่เลอะเลือนเช่นนิพพานมีอยู่ เพราะไม่รู้ทางปฏิบัติให้จิตหลุดออกจากความผูกมัดยึดมั่นในสภาพปรุงแต่งเสียได้

    สังสารสัตว์เวียนเกิดเวียนตายด้วยกิเลสที่ผูกมัดไว้ ห่อหุ้มธาตุรู้เดิมแท้เอาไว้ เปรียบได้กับบุรุษที่ถูกโซ่ล่ามไว้สิบเส้น เรียกว่า ‘สังโยชน์’ จะคิดตัดด้วยเจตนาหรือกำลังจิตธรรมดาไม่ได้ ต้องใช้ไฟล้างซึ่งเกิดจากการที่ธาตุรู้โพล่งขึ้นเบิกบานตามลำดับ

    พิจารณาสังโยชน์เป็นเครื่องผูกร้อยรัดทีละเส้นได้แก่

    1. สักกายทิฏฐิ คือความเห็นภาวะใดๆเป็นตัวเป็นตน เพลิงโสดาปัตติผลผลาญได้ขาดสูญ เพราะธาตุรู้แสดงตนเองชัดเจนแจ่มแจ้งปราศจากข้อกังขา แม้ตัวธาตุรู้เองก็ไม่ใช่ตัวตน เพราะไม่ปรุงแต่งด้วยอัตภาพ ไม่จำเป็นต้องถูกปรุงแต่งด้วยความคิดให้เกิดการแบ่งแยกเราเขา เมื่อใดจิตของพระโสดาบันถอยเข้าไปจ่ออยู่กับสภาพรู้ของตนเอง หลบพ้นจากการห่อหุ้มด้วยความนึกคิด เมื่อนั้นก็เห็นจิตปราศจากสักกายทิฏฐิอย่างแจ่มแจ้ง

    2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย เพลิงโสดาปัตติมรรคผลาญได้ขาดสูญ ไม่ต้องเถียงกับใคร หรือลังเลกับตนเองแล้วว่าพระพุทธเจ้ารู้อะไร สอนอะไร ความขาดสิ้นของวิจิกิจฉานี้มิใช่ว่ากันเฉพาะในชาติปัจจุบัน แม้เกิดใหม่ในอัตภาพใหม่ ก็ไม่มีความสงสัยอีกว่านิพพานเป็นเรื่องหลอกหรือของจริง เหตุเพราะเมื่อจิตนิ่งเป็นสมาธิเมื่อไหร่ ก็จะเห็นความเป็นธาตุรู้ที่ว่างสนิทจากอุปาทานในตนเอง ทราบชัดว่าไม่มีอัตตาอยู่ในที่ใดๆเลย แม้เป็นพระโสดาบันองค์สุดท้าย เกิดใหม่ในที่ที่ไม่เหลือใครไว้ยืนยันเกี่ยวกับความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่งก็ตาม

    3. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต เพลิงโสดาปัตติมรรคผลาญได้ขาดสูญ ผู้เป็นโสดาบันเข้ากระแสพระนิพพานแล้ว จึงทราบทั้งพฤติกรรมทางกายภายนอกและทางใจภายใน ว่าทำอย่างไรเป็นเหตุสอดคล้องให้เกิดมรรคผล ฉะนั้นถ้าใครหว่านล้อมเช่นบอกว่าฆ่าแพะบูชายัญแล้วจะขึ้นสวรรค์ ถวายสิ่งมีค่าให้ใครแล้วจะได้ไปนิพพาน หรือกระทั่งถือศีลให้บริสุทธิ์แล้วจิตจะบริสุทธิ์ตามนั้น เป็นอันว่าไม่มีทางเชื่ออีกแล้ว

    สังโยชน์สามข้อแรกคือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสนี้ แม้เป็นต่างหากจากกัน ก็มีความโยงใยเป็นลำดับแก่กัน เมื่อสักกายทิฏฐิขาด ก็ยังผลให้วิจิกิจฉาขาด และพลอยให้สีลัพพตปรามาสขาดหายตามไปด้วยตลอดสาย

    อย่างไรก็ตาม เมื่อจิตของโสดาบันอริยบุคคลถูกห่อหุ้มด้วยความคิด ก็จะแสดงอนุสัย หรือกิเลสที่นอนเนื่องในขันธสันดานได้ กล่าวคือจิตยังอาจขุ่นด้วยราคะ โทสะ โมหะอันเป็นต้นรากแห่งการเกิดก่อรูปนาม พฤติกรรมทั่วไปอาจคล้ายคนธรรมดาที่ทำมาหากิน มีเหย้ามีเรือนได้ทุกประการ ต่างกันก็คือราคะ โทสะ โมหะจะก่อตัวขึ้นหนาทึบขนาดบันดาลให้มีเจตนาเลวร้าย เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นไม่ได้ จิตไม่เอาเอง ล้อมกรอบตนเองอยู่ในศีลธรรมเอง เรียกว่าเป็นผู้มีอริยกันตศีลโดยธรรมชาติ

    สรุปคือ 'เชื้อกิเลส' ของโสดาบันอริยบุคคลไม่ได้ลดลงเลย แต่ประจักษ์นิพพานแล้ว ลิ้มรสอันเหนือรสใดๆแล้ว เข้าใจภาวะแตกต่างระหว่างมีกับไม่มีรูปนามเครื่องเลี้ยงทุกข์แล้ว เรียกว่าอยู่ในกระแสนิพพาน เที่ยงที่จะถึงความเป็นอรหันต์ในวันหนึ่งข้างหน้า ระหว่างยังไหลไปตามกระแสนิพพาน ก็ยังต้องปฏิบัติธรรมเพื่อละสังโยชน์ลำดับอื่นๆอีกคือ

    4. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ เพลิงโสดาปัตติมรรคยังผลาญไม่ได้ เคยชอบใจเพศตรงข้ามอย่างไรก็ยังเป็นอยู่ได้อย่างนั้น สังโยชน์ข้อนี้แม้เพลิงสกทาคามิมรรคอันเป็นไฟล้างกิเลสขั้นสองก็ผลาญไม่ขาด ยังสนใจเมียงมอง ยังอยากสัมผัสแตะต้อง ต่างกันกับปุถุชนคือจะไม่หน้ามืดถึงขั้นผิดลูกเขาเมียใคร และราคะของพระสกทาคามีจะเบาบางลงกว่าพระโสดาบัน ต่อเมื่อปฏิบัติธรรมจนลุมรรคผลขั้นสาม เป็นพระอนาคามีแล้ว สังโยชน์ว่าด้วยกามราคะจึงขาดสูญ เมื่อขาดแล้วไม่เป็นทุกข์เหมือนผู้เป็นกามตายด้าน เพราะสิ่งที่ชดเชยมาคือสภาพจิตนิ่งอย่างเอกอุ ทรงสภาพสมาธิไม่ไหวติงง่ายๆ บังเกิดความพอใจในอีกระดับ ละเอียดประณีตน่ายินดี ไม่เป็นที่เข้าใจแก่สามัญมนุษย์ที่ยังหลงกามว่าเป็นของอันน่าชอบ

    5. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ เพลิงโสดาปัตติมรรคยังผลาญไม่ได้ แม้เพลิงสกทาคามิมรรคก็ยังผลาญไม่ได้ เป็นเหตุให้มีความอ่อนไหววูบวาบเยี่ยงปุถุชน มีโกรธเมื่อถูกทำให้เจ็บ มีโลภเมื่อพบกับสิ่งต้องใจ แต่สาระที่แตกต่างจากปุถุชนคือเมื่อเกิดปฏิฆะแล้ว จะไม่โกรธถึงขั้นตัดชีวิตอื่น ไม่โลภถึงขั้นปล้นชิงใคร ด้วยอำนาจปกติจิต ไม่วูบไหวง่ายเพียงด้วยกิเลสขั้นหยาบ สังโยชน์ข้อนี้เพลิงอนาคามิมรรคเท่านั้นถึงจะผลาญได้ขาดสูญ

    พระอนาคามีทำลายสังโยชน์เบื้องต่ำลงได้หมด มีความสุขอันเกิดแต่จิตอันสงบนิ่งเป็นธรรมชาติของตนเอง แต่ยังมียองใยกิเลสเบื้องสูงอีกตามลำดับคือ

    6. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต อันนี้ไม่ใช่ราคะธรรมดา แต่เป็นความปรารถนาภาวะละเอียดเช่นฌานสมาบัติหรือคุณธรรมขั้นสูง มีแต่เพลิงอรหัตตมรรคเท่านั้นที่ผลาญได้ขาดสูญ

    7. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม อรูปธรรมนั้นได้แก่ฌานสมาบัติที่ล่วงเลยการอาศัยรูปเป็นอารมณ์กำหนด เปลี่ยนเป็นกำหนดนามธรรมไว้ในใจ ผู้เข้าถึงจะเห็นอากาศว่างเป็นอนันต์ หรือเห็นความปรากฏแต่ตัวรู้ หรือเห็นความไม่มีอะไรเหลือหรอ หรือเห็นความมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่เชิง การมนสิการนามธรรมไว้จนเข้าขั้นฌานนั้นเป็นสุขแสนประณีตน่าพึงใจเหนือจินตนาการมนุษย์สามัญ แต่ไม่น่าติดหลงแก่ผู้มีพุทธิปัญญาแก่กล้าพอ อรูปราคะนี้มีแต่เพลิงอรหัตตมรรคเท่านั้นที่ผลาญได้ขาดสูญ

    8. มานะ ความถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ แม้พระอนาคามีก็ยังนึกอยู่ตลอดเวลาว่าตนเป็นใคร คิดอ่านแบบมีตัวฉันตัวเธอเหมือนคนปกติ เว้นแต่จะเอาจิตเข้าพิจารณาธรรม ความรู้สึกในอัตตาจึงดับไปชั่วครู่ สังโยชน์ข้อนี้มีแต่เพลิงอรหัตตมรรคเท่านั้นที่ผลาญได้ขาดสูญ คือทุกขณะจิตไม่มีตัวตนให้รู้สึกในที่ใดๆเลยทั้งภายในและภายนอก ทว่ามิใช่กลายเป็นบอดใบ้พูดจาไม่รู้เรื่อง พระอรหันต์ยังคงมีความกำหนดหมายรู้ พูดจาสื่อสารกับคนในโลกได้เหมือนปกติทุกอย่าง มีความจำครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ แถมยังสื่อสารได้ดีกว่าคนทั่วไปด้วย เพราะสิ่งที่ปรารถนาจะสื่อไม่ต้องปีนข้ามหรืออ้อมกำแพงกิเลสใดๆเลย

    9. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน คือผุดความคิดเลอะๆเทอะๆ สังโยชน์ข้อนี้ยังปรากฏแม้ในพระอนาคามี มีแต่เพลิงอรหัตตมรรคเท่านั้นที่ผลาญได้ขาดสูญ ท่านไม่เหลือความฟุ้งซ่านอยู่เลย ถ้าไม่ต้องพูดกับใคร จิตจะนิ่งปราศจากความเลื่อนไหลซัดส่าย แม้มีปัญญาฉลาดเฉลียวอยู่เต็มเปี่ยมก็ไม่รู้สึกว่าตนเองมีปัญญาฉลาด ไม่ชอบให้ความฉลาดฟุ้งขึ้นมา ระบบความคิดปฏิรูปไปหมด คิดออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ ไร้กิเลส ไร้ตัวตนบันดาลตลอดเวลา

    10. อวิชชา ความไม่รู้ มีแต่เพลิงอรหัตตมรรคเท่านั้นที่ผลาญได้ขาดสูญ อันนี้ชี้ไปที่ตัวรู้ธรรมโดยตรง ไม่ใช่ความไม่รู้ธรรมดาๆอย่างที่มักยืมศัพท์มาใช้กันผิดๆ ความรู้สว่างโพลงของพระอรหันต์นั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายนับแต่บรรลุอรหัตตผล แม้หลับก็ไม่ฝัน ไม่ปรุงแต่งผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อนให้จิตมัวหมองเลยสักวินาทีเดียว เป็นภาวะมีจริง เป็นสุขจริง และประจักษ์จริงกันได้ ถ้าทำให้ถึง

     

    คิดอีกอย่างหนึ่ง สังโยชน์แต่ละข้อก็คือแรงดึงดูดของสังสารวัฏ ที่ตรึงจิตไว้ในวังวนเวียนเกิดเวียนตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้าสลัดหลุดเสียได้จากแรงดึงดูดที่เหนียวแน่นสุดคือ ‘ความเห็นเป็นตัวเป็นตน’ หรือสักกายทิฏฐิเสียได้ ก็เป็นอันเที่ยงที่จะ ‘หลุดหมด’ ในกาลต่อไป

    และเพื่อสลัดให้หลุดจากความเห็นเป็นตัวเป็นตน ก็ต้องอาศัยความเห็นแจ้งในลักษณะใดลักษณะหนึ่งของธรรม ได้แก่ อนิจจลักษณะ คือความไม่เที่ยงของทุกสภาพ ทุกขลักษณะ คือความไม่อาจทนอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่ง อนัตตลักษณะ คือความปรุงประกอบประชุมกันอันหาเจ้าของผู้ครองผู้บัญชามิได้

    กล่าวจำแนกตามวิถีทางดับความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตนได้คือบางท่านตามเห็นกายใจ (อันได้แก่ลมหายใจ กิริยาทางกาย ความรู้สึก ความนึกคิด) สักแต่เป็นภาวะเกิดดับ เกิดดับ กระทั่งเกิดปัญญารู้การดับครั้งสุดท้ายแล้วหลุดจากความยึดมั่น จิตเข้าถึงความเห็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีลักษณะเกิดดับ ไม่มีสัญญาณของความเคลื่อนจากภาวะใดไปสู่ความดับจากภาวะนั้น นี่เรียกว่าเข้าถึงมรรคผลด้วยความรู้แจ้งอนิจจลักษณะ

    บางท่านตามเห็นสภาวะกายใจโดยความเป็นของไม่คงทน ไม่อาจตั้งอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่ง เห็นชัดว่าเมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ย่อมมีเชื้อของความเสื่อมแฝงอยู่แต่แรก จึงต้องดับไปเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นจากความสลายตัวมิได้ เมื่อตามไปจนรู้ว่าไม่อาจหาที่พักความเสื่อมในขอบเขตรูปนามที่กำหนดรู้ได้ด้วยสติแล้ว ก็ปล่อยวางจากทุกภาวะที่ต้องเสื่อม หยั่งถึงเห็นภาวะที่ไม่เสื่อม ไม่มีเนื้อหาอันกำหนดได้ว่าจะเสื่อมจากความเป็นเช่นนั้น นี่เรียกว่าเข้าถึงมรรคผลด้วยความรู้แจ้งทุกขลักษณะ

    บางท่านตามเห็นก้อนธรรมโดยความเป็นของประชุมกันด้วยเหตุปัจจัย เห็นชัดว่าจู่ๆจะเกิดหมายรู้ หรือความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนขึ้นตามลำพังไม่ได้ เช่นขาดรูปนามก็ขาดผัสสะ ขาดผัสสะก็ขาดความหมายรู้ เมื่อปล่อยวางเสียได้จากขอบเขตอันปรุงแต่งด้วยเหตุปัจจัย จิตก็ทะลุขันธ์ออกไปเห็นอะไรอีกอย่างที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งเลยแม้น้อย นี่เรียกว่าเข้าถึงมรรคผลด้วยความรู้แจ้งอนัตตลักษณะ ดังเช่นที่มติอาศัยเป็นประตูเข้านั่นเอง

    ลักษณะนิพพานอันมีอยู่จริง เป็นความจริงระดับสูงสุดที่ผู้บรรลุธรรมเข้าประจักษ์นั้น ปราศจากนิยามเหมือนกัน มีความ ‘ว่าง’ อันเดียวกัน เหมือนถึงที่หมายเดียว แต่มาจากคนละทิศ เมื่อกลับมาพยายามอธิบายด้วยภาษาพูด ก็อาจมีความแตกต่างกันตามประสบการณ์ประจำ ‘ทิศ’ นั้นๆ

    สังสารสัตว์นั้น เมื่อยังไม่เห็นนิพพาน ก็ไม่มีทางสิ้นสงสัย ถึงชาติปัจจุบันรู้อรรถรู้ธรรมจะแจ้ง พอตายไปเกิดใหม่ก็สงสัยใหม่ บางคนเคยฉลาดในธรรม เป็นผู้สอนธรรมที่ยิ่งใหญ่ในพุทธกาลหนึ่ง พอตายไปเกิดอีกพุทธกาลหนึ่งกลับคิดก้าวร้าวดูแคลนพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าก็มี เหตุเพราะตัวที่ 'เข้าใจธรรม' นั้นคือกิเลสที่ห่อหุ้มจิต ไม่ใช่ตัวของธาตุรู้พบตนเอง ประจักษ์ตนเองเหมือนอริยบุคคล

    อันตรายของสังสารวัฏใหญ่หลวงก็ด้วยเหตุนี้ ตายแล้วไม่มีอะไรประกันเลยว่าเกิดใหม่จะเป็นอย่างไร คิดอย่างไร แม้เคยดีแสนดี หรือความรู้ท่วมหัวท่วมหูขนาดไหนก็ตาม ต่อเมื่อถึงโสดาปัตติผลขึ้นไปแล้ว จึงชื่อว่าปลอดภัย แม้ยังต้องเดินทางอีก ก็จะไหลไปตามกระแส ลอยตัวถึงฝั่งนิพพานจนได้ ไม่หลงลงต่ำอีกเลย

    มติทบทวนปัจจัยที่ทำให้ตนเข้าถึงมรรคผล เล็งเห็นว่าตนปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง จ่อจิตอยู่กับปรากฏแห่งกายใจโดยความเป็นของปรุงประกอบที่เกิดดับเป็นขณะๆ จิตจึงมีความโน้มเอียงที่จะพ้นนามธรรมอันดึงดูดให้ติดอยู่กับความเห็นกายใจเป็นตัวเป็นตน โน้มเอียงที่จะหลุดจากการคุมขังของกิเลสและรูปนามที่ปิดบังนิพพานไว้ แม้ยังเป็นฆราวาส ไม่ต้องนุ่งเหลืองห่มเหลืองก็อาจถึงธรรมได้อย่างนี้ การนุ่งเหลือห่มเหลืองเป็นเพียงเปลือกนอก การปฏิบัติจิตให้เกิดความโน้มเอียงเข้าสู่มรรคผลแบบพระสำคัญกว่า พูดง่ายๆการปฏิบัตินั้นอยู่ที่เครื่องห่อหุ้มจิต ไม่ใช่อยู่ที่เครื่องห่อหุ้มกาย

    อีกปัจจัยคือมติเป็นผู้ศึกษาอรรถธรรมมาดีแล้ว มีความเห็นอันชอบควร ยึดถือธรรมะเป็นสรณะ อันส่งผลให้เคารพเลื่อมใสไม่คลางแคลงในพระพุทธองค์ ชนิดที่ว่าถ้าทราบว่าเป็นคำตรัสของพระตถาคตพุทธเจ้า ก็พร้อมจะน้อมรับใส่เกล้าอย่างไม่ลังเล พฤติกรรมทางจิตจะสำรวมรู้หนักแน่นเป็นหนึ่งเทียบเท่ากำลังหนุนของฌานสมาบัติ

    อีกปัจจัยที่สำคัญคือพลังในการอนุโมทนาอันแรงกล้า เขาเป็นผู้มีความยินดีกับโชควาสนาของคนอื่นเสมอ เพียงอ่านเรื่องของท่านพาหิยะ ทราบว่าท่านรีบรุดเดินทางไกลจนได้พบพระพุทธองค์ ก็ปลาบปลื้มปรีดาถึงขีดเดียวกับท่าน จิตสำคัญว่าตนอุตสาหะเหนื่อยยากจนได้มาเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ไปด้วย นี่คืออานิสงส์ของความเป็นผู้ปกติมีใจอนุโมทนา ยินดีกับลาภ ความสำเร็จ และความสมหวังของผู้อื่นจนฝังในกมลนิสัย หัดดีๆแล้วไม่ต้องลงทุนลงแรงเหมือนคนอื่นก็ได้บุญเท่าคนอื่นสบายๆ ใครหาว่าเอาเปรียบก็ไม่ได้ด้วย เช่นเขานั่งกับที่แท้ๆ ไม่ได้เหนื่อยยากเช่นท่านพาหิยะ กลับได้ส่วนบุญใกล้เคียงกันเพราะจิตนึกตามความตั้งใจจริงและอนุโมทนาร่วมไป ชนิดที่เรียกว่าถ้าไปแทนท่านพาหิยะ ณ เวลาและสถานที่เดียวกันได้ เขาก็จะทำเช่นเดียวกับท่านทีเดียว

    และต้องนับว่าผู้เขียนผู้มีนามว่า สมภาร พรมทา เป็นผู้มีพระคุณ เป็นมัคคุเทศก์ผู้นำเขาไปพบพระพุทธเจ้าด้วยข้อความที่เขียนแบบสบายๆ เพราะข้อความนั้นเองสะกิดจิตของเขาได้ถูกจังหวะ ถูกเวลาอย่างที่สุด จึงเป็นบุคคลหนึ่งที่เขาจะต้องจดจำไปจนกว่าจะหาไม่

    มติพิจารณาเห็นว่าในการบรรลุธรรมนั้น เนื้อหาธรรมที่สะกิด ‘ถูกจุด’ มีความสำคัญอยู่จริง ข้อความที่เขาอ่านในหนังสือน้ำชาก้นถ้วยนั้น คลาดเคลื่อนจากพระคัมภีร์อยู่มากในแง่ของความถูกต้องรัดกุม เป็นต้นว่าประวัติความเป็นมาของท่านพาหิยะและการตรัสเทศนาธรรมดั้งเดิมของพระพุทธองค์

    ช่วงบ่ายนั้นมติไปที่วัดทางนฤพานเพื่อเปิดหาพาหิยสูตรในตู้พระไตรปิฎก พบในเล่ม 17 สูตรที่ 10 ได้ทราบนามเต็มของท่านคือพาหิยทารุจีริยะ เคยทำบุญปรารถนาความเป็นเอตทัคคะทางบรรลุมรรคผลเร็วไว้แต่กาลก่อน และเคยยอมตายหมายได้ถึงพระอรหัตตผลด้วยการอดข้าวมาแล้ว ในชาติสุดท้ายจึงมีวาสนาพอจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดอย่างรวดเร็ว

    ความเดิมในพระสูตร แปลจากบาลีเป็นไทยมีดังนี้

     

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร

    ครั้งนั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่าเราเป็นคนหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกแน่หรือ ลำดับนั้นแล เทวดาผู้เป็นสายโลหิตในกาลก่อนของพาหิยทารุจีริยะ เป็นผู้อนุเคราะห์ หวังประโยชน์ ได้ทราบความปริวิตกแห่งใจของพาหิยทารุจีริยะด้วยใจ แล้วเข้าไปหาพาหิยทารุจีริยะ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า

    "ดูกรพาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์ หรือไม่เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือเครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค"

    พาหิยทารุจีริยะถามว่า

    "เมื่อเป็นอย่างนั้น บัดนี้ใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกกับเทวโลก"

    เทวดาตอบว่า

    "ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ในพระนครนั้น ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแลเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน ทั้งทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย"

    ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผู้อันเทวดานั้นให้สลดใจแล้ว หลีกไปจากท่าสุปปารกะ ในทันใดนั้นเอง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้พระนครสาวัตถี โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่งในที่ทั้งปวง ฯ

    ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยทารุจีริยะเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า

    "ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"

    ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า

    "ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาต"

    ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไปยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ถึงความฝึกและความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้ว เป็นผู้ประเสริฐ

    แล้วพาหิยทารุจีริยะก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด ฯ"

    เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

    "ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาตอยู่"

    แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด ฯ"

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    "ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้อยู่จักเป็นสักว่ารู้อยู่ ดูกรพาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อเธอเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้อยู่จักเป็นสักว่ารู้อยู่ ในกาลนั้น เธอย่อมไม่มี ในกาลใดเธอไม่มี ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"

    ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ

    หากอ่านเร็วๆตามประสาปุถุชนทั่วไป ก็คงฟังดูไม่น่าเชื่อ ทำไมท่านพาหิยะถึงบรรลุธรรมสูงสุดง่ายนัก แค่พระพุทธองค์ตรัสแนะเพียงเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ทราบสักแต่ว่าทราบ รู้อยู่สักแต่ว่ารู้อยู่ ฯ ก็เปลี่ยนบุคคลธรรมดาเป็นอริยบุคคลกันได้สะดวกดายอย่างนี้หรือ

    แต่สำหรับมติไม่มีข้อสงสัยเลย ท่านพาหิยะรอนแรมมาไกลด้วยความกระหายธรรม กับทั้งรีบร้อนออกตามหาพระพุทธองค์สุดฝีเท้า แม้ทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จดำเนินบิณฑบาต ใครจะว่า ใครจะยับยั้งให้รอพระพุทธองค์กลับอารามก็ไม่ยอม เพราะอะไรในโลกไม่สำคัญเท่าพบองค์ตถาคตเพื่อฟังธรรมต่อเบื้องพระพักตร์อีกแล้ว

    เมื่อพบพระองค์ผู้มีลักษณาการควรแก่ความน่าเชื่อถือ เห็นพระมหาปุริสลักษณะควรแก่การเลื่อมใส ปักใจได้สนิทว่าเป็นผู้ปราศจากกิเลสอย่างแน่นอน ธรรมของพระองค์ก็ต้องยังความสิ้นกิเลสแก่ท่านได้ด้วย ย่อมบันดาลกำลังใจและปีติจนไม่เหลือโอกาสให้ความคิดอื่นใดแทรกแซง

    ในเมื่อบุกน้ำลุยไฟมาพบบุคคลอันปรากฏยากแสนยากอย่างนี้แล้ว ท่านย่อมเกรงว่าโอกาสประเสริฐสุดจะมีอันต้องหลุดลอยไปเพราะความตายอันพยากรณ์ไม่ได้ เรียกว่าสิบนาที ครึ่งชั่วโมง ก็นานพอจะเปิดช่องให้มัจจุราชมาพรากโอกาสไปเสีย จึงเฝ้าทนรบเร้าพระพุทธองค์ ขอทรงแสดงธรรมให้ฟังเสียเลย

    ทุกตีสี่พระพุทธองค์จะทรงแผ่พระญาณ หยั่งทราบอยู่แล้ว ว่าวันนั้นจะโปรดเวไนยสัตว์ใด ด้วยอุบายแบบไหนจึงเหมาะสม ถึงเป็นกรณีพิเศษแม้อยู่กลางทางบิณฑบาต พระพุทธองค์ก็ทรงเต็มพระทัยอย่างไม่พักต้องสงสัย การที่พระองค์ตรัสให้รอไปฟังธรรมที่อารามในภายหลัง ก็น่าจะเป็นพุทธลีลา เป็นแบบอย่างแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่าการแสดงธรรมไม่ควรให้มีขึ้นระหว่างทางเดินบิณฑบาต

    มติเข้าถึงอาการใจจดใจจ่อรอเทศนาธรรมมาแล้ว จึงทราบวาระจิตของท่านพาหิยะ ณ บัดนั้นดีว่าจะแน่วแน่ มั่นคง เปี่ยมด้วยกุศลแห่งความตั้งอกตั้งใจสดับธรรมสูงสุดเพียงใด กับทั้งตรึกธรรมตามด้วยความเคารพขนาดไหน ไม่มีแน่นอน ที่จะปล่อยให้พระพุทธพจน์คำใดคำหนึ่งตกหล่นไป

    กระแสบุญเก่ามารอจ่ออยู่แล้ว ศรัทธาในพระผู้ทรงธรรมก็เปี่ยมเต็มอยู่แล้ว วิริยะในการมาสู่พระธรรมอันเป็นเอกก็พร้อมอยู่แล้ว สติในการสดับตรับฟังพุทธพจน์ก็สมบูรณ์อยู่แล้ว สมาธิในการจ่อใจรับธรรมก็ตามสติมาอยู่แล้ว ปัญญาในการพิจารณาธรรมก็ควรแก่งานอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับธรรมอันบริสุทธิ์ ถูกต้องเหมาะสมแก่นิสัย ความสว่างโพลงย่อมบังเกิดขึ้นสมควรแก่เหตุปัจจัยเช่นนั้นเอง

    นี่จึงต่างจากผู้อ่านพาหิยสูตรทั่วไป ที่ไม่รับรู้ ไม่อนุโมทนาตามท่านพาหิยะ เมื่อไม่อนุโมทนา จะเอาความยินดีปรีดามาแต่ไหน เมื่อไม่ยินดีปรีดา จะเอาจิตจดจ่อมาแต่ไหน เมื่อไม่มีจิตจดจ่อ จะเอาปัญญาตรึกธรรมละเอียดมาแต่ไหน

    ธรรมที่พระพุทธองค์แสดงแก่ท่านพาหิยะนั้น นับว่ามีเพียงหนเดียวเป็นพิเศษ ไม่มีหนสอง เป็นการตรัสแนะเพื่อเข้าถึงประสบการณ์ตรง

    ที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง

    แน่นอน ด้วยใจอันพร้อมสมบูรณ์ของท่านพาหิยะ ท่านย่อมมองรูปและสีสันที่ปรากฏต่อตาในบัดนั้น สักแต่ว่านั่นเป็นอาการเห็น ท่านย่อมยินเสียงและส่ำสำเนียงที่ปรากฏต่อหู สักแต่ว่านี่เป็นอาการฟัง

    นั่นคือการเอาความประจักษ์สภาวะหยาบ ณ เวลาปัจจุบันยกขึ้นตั้ง

    ลำดับต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสั่งว่า เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ

    มติกราบถามพระมหาเปรียญที่วัดเกี่ยวกับความนัยตามบาลีเดิม ได้ความรู้เพิ่มเติมคือ คำว่า “ทราบ” ในที่นี้มาจาก “มุเต” ซึ่งภาษาบาลีมีความหมายแบบเหมาได้ถึง 3 ทางคือ ผัสสะทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย

    ลำดับต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสั่งว่า เมื่อรู้อยู่จักเป็นสักว่ารู้อยู่

    คำว่า “รู้อยู่” มาจาก “วิญญาเต” หมายถึงการรับรู้ทางมโนทวาร ซึ่งได้แก่รู้ความคิดและอารมณ์ต่างๆนั่นเอง ตรงส่วนนี้ของพระธรรมเทศนา ย่อมดึงให้ท่านพาหิยะเข้ามารู้อาการของจิตปัจจุบันโดยสักแต่เป็นอย่างนั้น หาตัวตนที่จิตมิได้

    เมื่อมีแต่สภาวธรรมเห็นสภาวธรรม ประจักษ์ธรรมละเอียดลงตรงจริงตามลำดับ ก็ย่อมสลัดคืนความมั่นหมายรูปธรรมและนามธรรมทุกชนิดว่าเป็นตัวเป็นตน ต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ตรัสขยายความว่า

    "ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อเธอเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้อยู่จักเป็นสักว่ารู้อยู่ ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มี"

    ตรงคำว่า 'เธอย่อมไม่มี' คือมีแต่สภาวธรรม ไม่มีตัวตนผู้ใดนี่เอง ที่เป็นตัวจุดชนวนมรรคผลแท้จริง สมนัยกับที่มติมีวาสนาพอ เมื่ออ่านข้อความขนาดสั้นที่เขียนสบายๆในหนังสือ 'น้ำชาก้นถ้วย' แล้ว ก็น้อมเข้ามาเห็นธรรมภายใน คือความรู้สึกนึกคิด และกระทั่งสภาวะรู้ ว่าก็เป็นแค่เพียงสภาวะอันเกิดจากการเห็นและการได้ยินอันไม่ใช่ตัวตน ย่อมไม่ใช่ตัวตนไปด้วย

    ชนวนมรรคผลต้องมาลงที่ใจ น้อมธรรมเข้ามาที่ใจนี่เอง

    พาหิยสูตรยังมีต่อไปอีกว่า

    ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต

    ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจง ช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำสถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับเธอทั้งหลาย ทำกาละแล้ว"

    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกันยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะ ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ได้ทำไว้แล้ว คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ"

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ"

    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงประกาศความจริงแล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า

    "ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลาย ย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ รู้แล้วด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป จากสุขและทุกข์ ฯ"

     

    ผู้บรรลุธรรมเร็วมิได้มีคุณเฉพาะต่อตนเอง แต่ยังไม่ทำให้ผู้มีหน้าที่แสดงธรรมต้องลำบาก กับทั้งเผื่อแผ่ประโยชน์มาสู่อนุชนในภายหลังอีกด้วย

    มติศึกษาพระสูตรอันทรงอุปการคุณแก่ตนด้วยความเอ่อล้นแห่งธรรมปีติ กราบแล้วกราบอีกระลึกถึงพระพุทธคุณ รวมทั้งพระคุณของท่านพาหิยะ หากปราศจากท่าน ก็คงไม่มีพระธรรมเทศนาตรงอันแสนวิเศษและลัดสั้นเช่นนี้ และหากปราศจากพระธรรมเทศนาตรงอันแสนวิเศษและลัดสั้นเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะพลอยได้รับส่วนแห่งประโยชน์เป็นมรรคผล เขาอาจต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน แรมปี หรือหากเคราะห์ร้ายตายในวันสองวัน ก็คงอีกหลายภพหลายชาติกว่าจะมีวันนี้ ที่ถึงความปลอดภัย เข้ากระแสนิพพานเยี่ยงเหล่าอริยบุคคลทั้งหลาย

    สภาพเหมือนเป็นคนใหม่นั้น รู้สึกด้วยรัศมีสว่างจากภายในที่ ‘เพิ่ม’ ขึ้นมา มติสำรวจตนเอง ไม่เห็นความเป็นตนแปลกเปลี่ยนไปเท่าใดนัก เคยเป็นมาอย่างไร มีความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำเช่นใด ก็ยังดำเนินต่อไปเช่นนั้นทุกประการ ที่พิเศษก็มีความเบาโปร่งโล่งหัวอกอย่างประหลาด คล้ายสิ่งอุดตันถูกทะลวงออกจนสิ้นไส้ ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องพิสดารนัก

    อุปาทานในอัตตายังครบถ้วน ไม่หายหนไปใน เมื่ออยู่ในภาวะรู้คิดปกติ

    ต่อเมื่อเพ่งจิตเข้าดูสัณฐานกาย หรือน้อมดูใจอันสว่างว่างของตนเองด้วยกำลังสมาธิ จึง ‘รู้ว่างกระจ่างชัด’ ปราศจากความเห็นอะไรเป็นตัวเป็นตนทันที

    นั่นหมายความว่าโสดาบันอริยบุคคลก็ต้องอาศัยสมาธิ จึงจะปลิดปลงความรู้สึกในตัวตนลงได้ชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งหากมองอย่างผิวเผิน ปุถุชนอันถือเสมือน ‘คนนอกกระแส’ ก็ต้องนึกว่าไม่เห็นแตกต่างจากผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังเป็นกัลยาณชนธรรมดาตรงไหน

    อันที่จริงแล้วอริยเจ้าทั้งหลายมีลักษณะรู้ที่แตกต่างออกไป ถ้าใช้ภาษาพูดก็ต้องบอกว่าผู้ปฏิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงจริงนั้น มีพฤติกรรมทางจิตแบบ ‘แกล้งรู้’ ว่าสังขารไม่ใช่ตัวตน ส่วนผู้ปฏิบัติที่ผ่านมรรคผลมาแล้ว จะมีพฤติกรรมทางจิตแบบ ‘รู้จริง’ ไม่ต้องแกล้งคิดปรุงแต่งเสียก่อน เห็นอยู่เองอย่างนั้นเลยทีเดียว

    พูดง่ายๆ โยคาวจรผู้เป็นปุถุชนยังรู้สึกถึงตัวตนในจิต แม้เห็นกายเป็นอนัตตาแล้ว แต่บุคคลผู้เป็นโสดาบันขึ้นไป จะเห็นซึ้งทีเดียวว่าทั้งผู้รู้และสิ่งถูกรู้ต่างก็เป็นอนัตตาทั้งสิ้น หมายความว่ามีแต่สภาวธรรมหยาบและละเอียดที่ปรากฏเป็นรูปกายและนามกาย หาได้มีแม้บัญญัติขึ้นชื่อเป็น 'อริยบุคคล' ไม่

    ผู้ปฏิบัติทั่วไปนั้นเหมือนนักแสดงที่เข้าถึงบทจนรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวละครหนึ่งจริงๆ ไม่สงสัยเลยในขณะแสดง แต่พอถอดโขน ออกจากฉากได้ก็กลับคืนเป็นคนเก่า ผิดกับผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงมรรคผลแล้ว จะไม่มีตัวละคร ไม่มีผู้แกล้งแสดงเป็นตัวละคร ทั้งหมดเป็นของจริงเนื้อเดียวกัน เป็นตัวของตัวเองเต็มที่

    อีกแง่หนึ่ง โสดาบันอริยบุคคลย่อมผ่านจิตผู้เห็นตนเองเป็นเอกภาวะมาแล้วเมื่อครั้งถึงมรรคถึงผล ฉะนั้นย่อมน้อมเอาความกำหนดหมายเช่นนั้นมาตั้งไว้เป็นสมาธิได้ สมตามที่คัมภีร์เรียกว่าเป็นการเข้า 'ผลสมาบัติ' ส่วนถ้าเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้มีอรูปฌานเป็นทุน ก็อาจเข้านิโรธสมาบัติ ดับความหมายรู้จนไม่เหลือร่องรอยชั่วระยะหนึ่ง ถึงซึ่งนิพพานตรงทั้งยังครองขันธ์ได้เลยทีเดียว

    ปุถุชนทั่วไปถ้ารู้สึกถึงอะไรเช่นจิตว่าง นั่งสมาธิเกิดเห็นความว่างเปล่าไร้ที่จับ ก็ต้องนับว่าตัวความว่างยังเป็นความปรุงแต่งจิตชนิดหนึ่ง เป็นลักษณะหมายรู้อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เอกภาวะอันมีรสประหลาดล้ำอย่างนิพพาน สังเกตได้จากความว่างนั้นมีขอบเขต มีประมาณ ต่างจากความว่างแบบนิพพานที่ไร้ขอบเขตให้หยั่งกำหนด

    อีกความแตกต่างที่สำคัญ และมองไม่เห็นขณะยังมีชีวิตปัจจุบันก็คือ จิตแบบอริยะจะไม่ถดถอยจากสภาวะที่เข้าถึงแล้ว คือจะเกิดตายอย่างมากสุดอีกเพียงเจ็ดชาติก็เป็นอันต้องจบ แม้ทอดหุ่ยดำเนินชีวิตไปตามปกติ จิตก็สั่งสมความเห็นไตรลักษณ์เพื่อความแหนงหน่ายเองอยู่แล้ว ส่วนผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไปนั้น ตายแล้วไม่มีเครื่องประกันว่าเมื่อไหร่ พุทธกาลไหน จึงจะได้ขึ้นฝั่ง ยังต้องลอยคอเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย

    พูดให้ง่ายเข้า ถ้าวัดตามเกณฑ์กิเลส ยิ่งกิเลสน้อยยิ่งทุกข์น้อย พระโสดาบันสิ้นกิเลสในแง่ความสงสัยนิพพาน ก็ทุกข์น้อยลงอักโขมโหฬาร ไม่ต้องพล่านวนหาหลักยึดหรือจุดหมายปลายทางให้ชีวิตนี้และชีวิตหน้ากันอีก

    เพราะฉะนั้นเมื่อพบพุทธศาสนา สิ่งที่ถูก ที่ควรอย่างที่สุดคือเอาตัวให้รอด อย่างน้อยสำเร็จได้ถึงชั้นโสดาบัน เรียกว่าเป็นผู้เข้ากระแส เป็นผู้เที่ยงที่จะหมดกิเลส หมดทุกข์ภัยเด็ดขาดในวันหนึ่งข้างหน้า จึงจะสบประโยชน์สูงสุดจากการพบพุทธศาสนา

    ถ้าไม่ได้โสดาปัตติผล รับอะไรจากพุทธศาสนารองลงไปจากนั้น จะเป็นบุญกุศลแบบไหน อย่างมากก็จัดเป็นแค่วิชาว่ายน้ำในทะเลใหญ่ สั่งสมสะเบียงกรังติดตัวไปบ้างเท่านั้น

    ยังต้องเหนื่อยใจจะขาดต่อไปเรื่อยๆอยู่ดี

    สำหรับท่านพาหิยะนั้น เมื่อฟังเทศนาธรรมจบ ก็มีวาสนาเข้าถึงอรหัตตผลทันที หมายถึงเกิด ‘จิตยิ้ม’ ต่อเนื่องกันรวดเดียวสี่ครั้งซ้อน นับเป็น ‘รุ่นพี่’ ผู้มีความแก่กล้า พร้อมรับธรรมจาก ‘พ่อ’ มากกว่าเขา มติปลาบปลื้มและอนุโมทนากับท่านเต็มอก อีกทั้งตั้งใจจดจำนาทีนั้นไปจนชั่วชีวิต เพื่อเจริญรอยตามญาติธรรมผู้พี่ให้ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า

    แย้มยิ้มสดชื่นอยู่ตลอดเวลาด้วยกำลังขับจากปีติอันได้จากธรรมาภิสมัย จิตรกรหนุ่มมาพิจารณาภาพเขียนที่จะส่งเข้าประกวด เป็นรูปสายลูกไฟยืดยาวที่จบลงด้วยไฟสว่างเป็นประกายพรึก โดยให้ชื่อรูปคือ ‘ตรัสรู้’ อันเป็นแนวคิดที่แพตรีแนะนำเมื่อไม่นานมานี้

    นั่นคือภาพที่วาดไว้ขณะยังเป็นกัลยาณชนผู้ปฏิบัติจิตภาวนา

    บัดนี้เมื่อย้อนกลับมาดูแล้วนึกขอบคุณตนเองที่ไม่ด่วนรีบส่งไปเสียก่อน เขา ‘สัมผัส’ ภาพว่าใช้เป็นเครื่องหมายบอกการตรัสรู้ไม่ได้ จิตสว่างรอบทั่วขอบที่ต่อเนื่องจากจิตร้อนจิตเย็นนั้น อาจเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อทรงอัปปนาสมาธินับแต่ปฐมฌานขึ้นไป

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตของปุถุชนจะไม่มีลักษณะสว่างรู้ความว่างชนิดไร้ศูนย์กลางและไร้ขอบเขต

    เกิดความคิดใหม่ เลิกคิดหวังเงินรางวัล เลิกคิดชนะใจกรรมการ มุ่งอย่างเดียวคือทำอย่างไรจึงจะสื่อการบรรลุมรรคผลด้วยภาพเพียงภาพเดียวให้สมจริง ไม่มีการเขียนแบบสัญลักษณ์ ไม่มีการส่อนัยอ้อม เห็นแล้วต้องสื่อทันทีกับผู้บรรลุธรรมด้วยกัน ช่วยยืนยันกันได้ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากประเทศไหน

    ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะแห่งมรรคผล จิตของเขาสงบรวมลงที่กลางอก ถัดจากนั้นจิตปั่นเหมือนน้ำวนที่หมุนจี๋ เกิดขึ้นเพราะดวงแสงวิสุทธิ์ตั้งท่าจะชำแรกโพลงพลุ่งขึ้นพ้นแรงดึงดูดของธาตุขันธ์ อายตนะหยาบและการปรุงแต่งทั้งมวล

    ตาสว่าง คิดออกแล้วว่าจะสื่ออย่างไร เขาสื่อเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ในภาพเดียวไม่ได้ แต่ให้ภาพก่อนพ้นอายตนะหยาบ เพื่อสื่อกับผู้ที่ยังครองอายตนะหยาบด้วยกันได้

    แสงสว่างที่ส่องจัดจ้าเป็นอนันต์ขึ้นมาจากกลางอก แทรกผ่านวังวนเครื่องห่อหุ้มอันมืดมน

    มติเลือกใช้สีม่วงอมดำแทนกิเลสและสิ่งปรุงแต่งเป็นเกลียวน้ำวนชั้นนอก ใช้สีน้ำตาลเหลืองและชมพูอ่อนอมม่วงเป็นเกลียวน้ำวนชั้นในใกล้กับดวงรู้อันสว่างพิสุทธิ์ ที่ได้ช่องผุดโพล่งขึ้นมาเมื่อทางเปิด

    และนี่คือกลอนที่เขาเขียนแด่ธรรมาภิสมัยของตนเองเป็นการกำกับภาพอีกชั้น…
     

    ห่อหุ้ม คลุมจิต มิดเม้น                         เห็นเป็น ตัวกู อยู่ได้

    เหยียดคู้ ดูตัว ทั่วกาย                           ร่างร้าย นี้หรือ คือกู

    แปลกเปลี่ยน เวียนคิด ผิดแผก               ยากแยก ดีชั่ว ในหัวหู

    คราก่อน ตอนนี้ อันไหนกู                      รั้งอยู่ ครู่เดียว เดี๋ยวมลาย
     

    ทำไมเหวยไม่เคยซึ้งจนวันนี้                  วันที่มีพระผู้ชี้จนกูหาย

    วันที่เพ่งเล็งรู้ดูใจกาย                          กิเลสพ่ายสำรอกกูรู้ชัดใจ

    แสงวิสุทธิ์ผุดชำแรกแหวกทางออก         จากคอกขังพังสู่ฤกษ์เบิกบานไสว

    แย้มยิ้มแจ้งแทงกระจ่างกายใช่ใคร        ใจใช่กูรู้แน่แท้แค่ธรรมา


บทที่ ๒๗  ประกวดภาพ


    แพตรีเพิ่งกลับจากโรงเรียน ขณะที่มติก้าวพ้นออกมาจากประตูรั้วพอดี ทั้งสองเห็นอีกฝ่ายและสบตาในระยะห่างพอเห็นรอยยิ้มทักทายที่ส่งถึงกันได้ เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเดินเข้าหา ขณะที่หญิงสาวยืนเฉย ด้วยคิดว่าถ้าเสวนาปราศรัย ก็น่าจะนั่งคุยกันที่บ้านหล่อน

    “เพิ่งกลับเหรอฮะ?”

    “ฮื่อ กำลังจะเข้าบ้านเนี่ย”

    แพตรีตอบยิ้มๆ มติมาหยุดยืนห่างหล่อนเพียงก้าวเดียว เหลียวซ้ายเล็งแลรถยนตร์ที่จอดนิ่งใต้ร่มไม้ ปกปิดรูปโฉมและป้ายแดงด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ อดถามไม่ได้

    “ซื้อรถแล้วทำไมไม่ขับล่ะฮะ ผมเดินผ่านทีไรเห็นจอดอยู่อย่างนี้ทุกที เดี๋ยวก็พังหรอก”

    หญิงสาวเงียบ ลดรอยยิ้มลงนิดหนึ่ง และดูทีเหมือนจะคอแข็งหน่อยๆ มติจึงทราบว่าคงมีความนัยเป็นส่วนตัวที่หล่อนไม่ต้องการพูดถึง เลยเสเปลี่ยนเรื่อง

    “ไม่เจอกันเป็นอาทิตย์ๆเลย ตอนนี้แต่งชุดครูแล้ว”

    เด็กหนุ่มอมยิ้มและมองกวาดเครื่องแบบครูสาว เสื้อน้ำตาลอ่อนแขนยาว และกระโปรงน้ำตาลเข้มเลยเข่า กับรองเท้าส้นสูงสีเข้ากัน ไหล่สะพายกระเป๋าใบย่อม ขับความมีสง่าราศีของแพตรีให้ยิ่งดูงดงามน่าเลื่อมใสขึ้นอีกมาก เด่นจนน่าไหว้แต่ไกลทีเดียว

    “เธอล่ะ สบายดีหรือเปล่า?”

    มติลอบหัวเราะในใจ เพราะอดรู้สึกไม่ได้ว่าหล่อนคงชินกับวิธีพูดและการใช้สุ้มเสียงกับเด็กๆ ดูทีสายตากำลังมองเขาเป็นนักเรียนไปด้วย

    “สบายดีครับคุณครู”

    ตอบอย่างสุภาพอ่อนโยน แต่แฝงสำเนียงล้อนิดหน่อย แพตรีมองน้องชายด้วยท่าทีพินิจลึกซึ้งกว่าเดิม แล้วบอกตนเองว่าหล่อนสัมผัสได้ถึงกระแสรอบตัวเขาที่แปลกใหม่ ถ้าอธิบายเป็นภาษา ก็คงคล้ายๆเคยเห็นถูกตีตรวนแล้วหลุดออกมาเปลาะหนึ่ง ดูเขามีความเบากายสบายใจ โล่งหัวอก ใบหน้ากระจ่าง สมองแจ่มใสผิดต่างจากเดิม

    “เพิ่งไปเที่ยวไหนมาหรือเปล่า?”

    มติสั่นศีรษะ ทำตาฉงนนิดหนึ่งเพราะนึกว่าแพตรีเข้าใจผิดอะไร

    “เปล่านี่ฮะ อยู่บ้านตลอด ทำไมหรือ?”

    แพตรีเบี่ยงเบนมาอีกทาง

    “แล้วงานประกวดภาพพระพุทธศาสนาไปถึงไหนแล้วล่ะ คงส่งเรียบร้อยแล้วซี”

    “หมดเขตมะรืนฮะ ผมกะจะไปส่งพรุ่งนี้แหละ กลั่นจนวินาทีสุดท้ายเลย เผื่อคิดเปลี่ยนอะไรอีกนิดอีกหน่อย”

    หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าตนเคยแนะนำแนวคิดภาพ ‘ตรัสรู้’ ให้เขาไป จึงอยากเห็นขึ้นมา

    “งั้นตอนนี้ก็ยังอยู่ที่บ้านสินะ ขอดูมั่งได้ไหม?”

    “อ๋อ…ได้เลย พี่แพรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

    “เธอกำลังจะออกไปธุระที่ไหนไม่ใช่เหรอ?”

    “จะซื้อของกินใส่ตู้เย็นเท่านั้นแหละ รออีกพักก็ได้”

    พอเห็นน้องชายหันหลังกลับดุ่มเดินจะไปเอาของมาให้ แพตรีก็ตัดสินใจเดินตาม

    “อ้าว…รอที่บ้านเถอะฮะพี่แพ ไม่ต้องเหนื่อยหรอก”

    “ให้เธอแบกย้อนมาย้อนกลับได้ไง”

    เมื่อพี่สาวแสดงเจตจำนงเช่นนั้น มติก็ไม่ว่าอะไรอีก

    เข้าบ้าน มาถึงห้องของศิลปินหนุ่มผู้เสมอน้องแท้ๆ แพตรีเป็นคนเปิดไฟไล่ความสลัวของยามเย็น และก้าวเข้าไปในนั้นก่อนอย่างถือวิสาสะ เห็นภาพใหญ่โดดเด่นในกรอบบนขาตั้งทันที

    เป็นรูปทรงตั้ง คือด้านสูงยาวกว่าด้านกว้าง สิ่งที่กระทบใจเป็นอันดับแรกคือแสงเจิดจ้า ณ ใจกลาง แวดล้อมด้วยคลื่นวนสีม่วงมืด ดูทีแรกเหมือนแสงสว่างที่ปลายทางอุโมงค์ ทว่าเมื่อพิศแล้วรู้สึกถึงการสื่อพลังชนิดหนึ่งที่ทำให้ขนลุก…

    มติอยากให้แพตรีชมผลงานของตนเงียบๆ จึงขอปลีกตัว

    “ดูไปก่อนนะพี่แพ เดี๋ยวผมเอาอะไรมาให้ทาน”

    ว่าแล้วก็ถอยเท้าจากห้อง ปล่อยพี่สาวไว้ตามลำพัง

    แพตรีอึ้งงันเป็นครู่คล้ายถูกสะกด ก่อนถอนสายตาไปยังแผ่นกระดาษแข็งใต้รูปที่มีหมึกดำลงเป็นอักษรอ่อนช้อย

    ชื่อภาพ ‘แสงนฤพาน’

    ล่างลงไปคือคำกลอนแด่การตรัสรู้ธรรม หรือที่เรียก ‘ธรรมาภิสมัย’

    ใจแพตรีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความดีจนสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่เหนือความดีได้ เพียงเห็นภาพนิ่งที่ดูมีพลังเคลื่อนไหวประหลาด รวมทั้งอ่านถ้อยคำในบทกลอนขยายความนั้น ก็บังเกิดปีติ ใจอนุโมทนาเป็นล้นพ้นกับความสำเร็จของน้องชาย

    เขาเป็นคนเคารพธรรม ฉะนั้นจะไม่สื่อด้วยวิธีบรรยายจากประสบการณ์ตรงเช่นนี้แน่ ถ้าหากไม่ผ่านมาจริง เดิมทีที่คุยกับหล่อนเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน แนวคิดในการสื่อภาพและร้อยกรองจะออกไปทางการกล่าวอ้างเนื้อหาการตรัสรู้ ซึ่งเป็นมุมมองของผู้พยายามอธิบายเปรียบเทียบจิตอันร้อนด้วยอุปกิเลสกับจิตที่สว่างโพลงไร้มลทินแล้วเท่านั้น

    อยู่ใกล้ชิดกับปู่ชนะแต่อ้อนแต่ออกจนคุ้นกับกระแสความเป็นอริยบุคคล เมื่อหล่อนถามว่าใช่หรือเปล่า ท่านก็เคยเผยตรงๆในฐานะคนสนิทที่รู้เห็นพฤติกรรมกันมากพอควรแก่การเชื่อ

    ท่านใช่ และขณะนี้ก็เป็นถึงพระสกทาคามีแล้วด้วย!

    ปู่เคยถ่ายทอดภาวะขณะการบรรลุแต่ละชั้นให้หล่อนฟังอย่างละเอียด เมื่อธาตุรู้เดิมแท้ผุดขึ้นแสดงตัวสัมผัสนิพพานครั้งหนึ่ง ก็คือเกิดลูกไฟล้างกิเลสหนึ่งหน คำบอกเล่านั้นเมื่อนำมาเทียบเคียงกับภาพและร้อยกรองที่ปรากฏตรงหน้า ก็ทำให้ทราบได้ว่าขณะนี้มติเข้ากระแสแล้ว เป็นคนในแล้ว เป็นของจริงแล้ว เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งของพุทธศาสนาที่ยังไม่เสื่อมสูญไปจากโลกมนุษย์

    หล่อนเพิ่งนึกออกว่า ‘แสงเปิด’ และกระแสแปลกใหม่ในมติ ก็เหมือนกับที่สัมผัสได้จากปู่ชนะมาแต่เล็กนั่นเอง ผิดกันคือความเข้มข้น ตบะธรรมของมติยังอ่อนแผ่ว แม้สว่างสดใสซ่านแรง แต่ก็เหมือนมีคลื่นความเคลื่อนไหวรบกวนอยู่บ้าง ไม่รวมแน่วนิ่งหนักแน่น ก่อความรู้สึกว่างและบรรยากาศเบาบางจากกิเลสได้เท่าครึ่งของปู่ชนะ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นโสดาบันบุคคล แม้หากจะทอดธุระ ประมาทไม่เคี่ยวเข็ญตนเองให้ถึงที่สุดในชาติปัจจุบัน ก็เที่ยงที่จะถึงพระนิพพานภายในเจ็ดชีวิตข้างหน้า พูดง่ายๆคือเวลาล่วงไปมีแต่จะพัฒนาขึ้นสูง ไม่มีการถอยลงต่ำ หล่นลงคลองอีก เพราะเมื่อเห็นของที่เที่ยงสนิท น่าพอใจสูงสุดมาแล้ว จะกลับมาเห็นของไม่เที่ยงและสิ่งกวัดแกว่งทั้งหลายเป็นความน่าแหนงหน่าย จิตย่อมเก็บเล็กประสมน้อย มีพฤติกรรมภายในคือตีจาก ผละออกไปเรื่อยๆ จนปฏิรูปเลื่อนชั้นสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

    ส่วนเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้ว จิตเป็นสมาธิ ดำรงสติมั่น ไม่ค่อยจะทอดธุระโดยสภาพของจิตเอง อย่างช้าที่สุดเกิดอีกชาติเดียวบนพรหมโลกก็เป็นอันตรัสรู้ขั้นสุดท้าย

    รู้สึกถึงความเงียบเหงาบางประการในภายใน แล้วหล่อนล่ะ อีกกี่ชาติ?

    โคลงเคลงอยู่ในหัวอก หล่อนติดตามเขาคนนั้นมานานเท่าไหร่ แล้วอีกนานแค่ไหนจึงจะสิ้นสุด?

    ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว หล่อนได้แต่อยู่ในฐานะบาทบริจาริกา ติดตามพระโพธิสัตว์ไปจนกว่าจะถึงฝั่ง

    บดริมฝีปาก…ถ้าโบกมือบอกศาลา ฐานะอย่างหล่อนต้องทำยังไงนะ?

    สายตาเหลือบไปปะกับกองหนังสือที่สุมไว้แบบมักง่ายตรงมุมห้อง แพตรีก้าวเนือยๆเข้าหาด้วยความตั้งใจจะช่วยมติจัดให้เป็นระเบียบ หล่อนไม่เคยทนเห็นอะไรรกหูรกตาได้ โดยเฉพาะที่เป็นร่องรอยแสดงความชุ่ยของน้องชายคนนี้

    จับซ้อนกันไปซ้อนกันมาเรียงลำดับจากใหญ่ขึ้นมาหาเล็ก กระทั่งมือไปคว้าสมุดขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มหนา หน้าปกสีชมพูเล่มหนึ่ง ย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความรู้สึกคุ้นเคยว่าเป็นสมบัติเก่าของตน

    เปิดหน้าปกพบลายมือตัวเองเมื่อเกือบสิบปีก่อน ผะผ่าวไปทั้งหน้าเมื่อรู้แน่ว่าใช่

    ใจเต้นแรงด้วยความคาดไม่ถึง บวกกับความอับอายเมื่อนึกว่านี่น่าจะเป็นเล่มเดียวกับที่ตนบันทึกเรื่องราวแสลงใจและ ‘ไม่ปกติ’ เอาไว้มากมาย ชนิดที่ต้องการเก็บซ่อนไว้อ่านเองคนเดียวอย่างแท้จริง หล่อนเข้าใจว่าทิ้งมันรวมกับ ‘ขยะ’ อื่นที่ต้องการฝังลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมาอยู่ในมือมติได้ เขาขโมยมาหรือ?

    รีบพลิกลวกๆดูหน้าบันทึกต่างๆ ตายจริง! ใช่ด้วยซี!

    เป็นความเผอิญที่มาสะดุดเอากับย่อหน้าหนึ่ง กระทบใจในยามนี้เข้าพอดี…

     

    เมื่อออกมาส่งเขากับคุณพ่อกลับ ฉันตั้งใจไหว้เขาสวยที่สุด เขาจะเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พร้อมกับไหว้ครั้งนั้น คือการคิดตัดใจ ทุกอย่างที่ผ่านมาขอให้เหมือนฝันไป นับแต่ชาตินี้ขอให้ต่างคนต่างแยกกันไปตามทางของตัวเอง เคยอธิษฐานร่วมกันแต่มีคนเดียวได้รับผลอธิษฐาน จะหมายความว่าอย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนเดียวที่ทำไปด้วยใจจริง

     

    น้ำตาซึมออกมาจนต้องกะพริบกั้นไม่ให้ล้นขอบ กล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บคำรบสองลงคออย่างยากเย็น เดี๋ยวนี้รู้คำตอบแล้วว่าเพราะเหตุใดหล่อนจึงระลึกจำได้อยู่เพียงคนเดียว…

    เขาเป็นคนมีใจจริง…หลายดวง

    คนไม่ปักใจหนึ่งเดียวแน่วแน่จะจำอะไรแนบแน่นข้ามภพข้ามชาติได้อย่างหล่อนเล่า

    เชื่อแหละว่าเขารักหล่อน เสียแต่ว่าไม่ใช่รักเดียว นั่นทำให้คุณค่าของทุกสิ่งที่มอบให้ดูด้อยความหมายลงแทบไม่เหลือ

    รู้สึกว่าตนเองโง่งมงายอยู่ตามลำพัง รักแท้ รักเดียวมันมีที่ไหน หล่อนน่าจะเห็นความเป็นมนุษย์มานานพอจะซึ้งว่าหญิงชายทุกรูปนามต่างมากรักหลายใจกันทั้งนั้น มีใครไหนกันที่เกิดมาพร้อมกับดวงจิตอันเด็ดเดี่ยวที่จะรอพบคู่แท้เหมือนอย่างหล่อน

    แต่ก็เกิดความขัดแย้งขึ้นมาเมื่อตรึกนึกถึงปางก่อน เขาทุ่มเทจนหมดตัวเพื่อพยายามพยุงชีวิตหล่อนไว้จากโรคร้ายเรื้อรัง เมื่อสิ้นสมบัติเงินทอง เห็นแน่ว่าหล่อนต้องตาย ก็สาบานว่าจะเข้าป่าบำเพ็ญพรต รักษาพรหมจรรย์จนกว่าจะตายตามหล่อนไป เพื่อไม่ต้องพบกับหญิงอื่น รอพบกับหล่อนทุกภพทุกชาติเพียงคนเดียว…

    เขาทำให้หล่อนไม่สงสัยในความรักข้ามภพภูมิ และหล่อนเองขอร้องให้ร่วมเปล่งวาจาอธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธรูปในบ้าน ขอความซื่อสัตย์ต่อกันดลให้จำกันได้เสมอเมื่อพบกันอีก

    ยังจำได้สนิทเมื่อนอนมองตาเขา ที่เฝ้ารอดูความตายของหล่อนอย่างไม่ทอดทิ้งไปไหน ทำให้หล่อนเผชิญความตายด้วยยิ้มกล้า และเข้าสู่สุคติด้วยใจเป็นกุศล เพราะระลึกถึงกุศลที่ก่อร่วมกันได้ตลอดสาย

    เขาทำจริงดังพูด จากบ้านจากเมือง เข้าป่าหาฤาษีชีไพร ฝากตัวเป็นศิษย์ บำเพ็ญพรตถือพรหมจรรย์กระทั่งสำเร็จฌานสมาบัติขั้นสูงในเวลาอันสั้น เหตุเพราะมีบารมีทางนี้มาแก่กล้า เคยเป็นฤาษีใหญ่มานับภพชาติไม่ถ้วน

    ด้วยภูมิจิตที่สูงพอของเขา เปิดโอกาสให้หล่อนซึ่งครองภาวะเทพลงมาเยี่ยมเยียนและฟังธรรมตามโอกาส ปลูกสัมพันธภาพที่ใสสะอาดต่อกัน กระทั่งเขาละสังขารสู่พรหมโลก และกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก

    การเกิดของเขามีกระแสดึงภาวะของหล่อนให้ตามลงมาด้วย หล่อนจำช่วงจุติลงมาเป็นมนุษย์ได้เพียงรางเลือน ทราบแต่ว่ามีพลังอย่างหนึ่งกระชากภาวะเทพยดาของหล่อนก่อนถึงอายุขัย ต่อเมื่อเป็นเด็กหญิงแพตรีอายุหกขวบ จึงเหมือนใจต่อได้ติดกับความเป็นตนเองในหนหลัง เห็นอดีตติดต่อกันเป็นเรื่องเป็นราวยาวยืดเพียงชั่วอึดใจที่นั่งสวดมนต์มองพระปฏิมาในโบสถ์วัดทางนฤพาน

    เคยรู้สึกว่าหล่อนเป็นคนพิเศษ มองเห็นความเป็นจริงแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา ทำอะไรแต่ละอย่างลงไปจะคำนึงถึงผลที่ตามมาในกาลข้างหน้าเสมอ ไม่ใช่สักแต่คิด พูด ทำไปตามอำนาจความพอใจเฉพาะหน้าอย่างชาวบ้านชาวเมือง

    แถมมีความหนักแน่น เยือกเย็นยิ่ง อย่างรู้ว่าตนเกิดมาเพื่อใคร หล่อนเข้าใจชีวิตตนเองกระจ่างแจ้งแทงตลอด

    แล้วก็ตระหนักว่าระลึกได้แค่ชาติเดียวนั้น ยังรู้จักสังสารวัฏน้อยไป…

    หล่อนจำเขาได้แม่นมั่น แต่ฝ่ายเขาไม่แสดงท่าทีรู้เรื่องอะไรด้วยเลย หนำซ้ำทำหน้าไม่แยแส จงใจมองเมินเย็นชาอย่างจะแกล้งให้เจ็บ ให้หล่อนสำนึกถึงความเป็น ‘คนละชั้น’ ระหว่างกันอีกต่างหาก หล่อนไม่ไร้เดียงสา อ่านออกกระจะแจ้งตั้งแต่นาทีแรก

    คนระลึกชาติได้จริงไม่ใช่หมายความว่ารู้เรื่องหนหลังทั่วถึงทั้งหมด อย่างมากก็มีมุมมองกว้างกว่าคนทั่วไปหน่อยเดียว ที่แท้ยังมีแขนงสาขาของเหตุผลเบื้องหลังความซับซ้อนมโหฬารของสังสารวัฏอีกมากนักถูกปิดบัง แฝงฝัง เร้นซ่อนอยู่

    แม้ช่วงนั้นหล่อนยังเด็กอยู่มากทางกาย แต่ทางใจแล้วเติบโต รู้คิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เมื่อปู่ชนะและหลวงตาแขวนสอนอรรถธรรมจนเข้าใจพอ ก็บังเกิดความสลดสังเวช เหนื่อยหน่ายการเตร็ดเตร่เกิดตายกับ ‘คนแปลกหน้า’ ขึ้นมาสุดใจ บันดาลให้เขียนข้อความในไดอารี่ ขอ ‘แยกทาง’ อย่างเด็ดขาด เขาอยากไปให้ถึงไหนก็เรื่องของเขา หล่อนจะไม่ตามไปด้วยอีก

    ปรารถนานิพพานเลยดีกว่า

    ใจสงบมาได้เรื่อย และสำคัญว่าสามารถตัดเยื่อเถือใยจากเขาขาดสิ้นแล้ว ด้วยอิตถีมานะอันมั่นคง บวกกับความอิ่มเย็นพอใจในกระแสธรรม

    กระทั่งวันที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

    ยอมรับกับตนเองประสาซื่อว่ามีความวูบไหวเอาการ ความกระตือรือร้นออกหน้าออกตาของเกาทัณฑ์นำมาซึ่งความปลาบปลื้มและอารมณ์ถวิลหาอาวรณ์เก่าๆให้กลับคุขึ้นอีก ความช่างยั่วแหย่และเสน่ห์คมคายต้องตาต้องใจของเขาเร่งให้หล่อนอ่อนลงรวดเร็วอย่างน่าอาย ขนาดตอบรับการขอหมั้นอย่างเผลอไผลด้วยการพยายามตีสนิทของเขาเพียงชั่วเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น

    แต่ชั่วข้ามคืนเดียวเช่นกัน ที่เขาทำให้หล่อนร้องไห้และเจ็บหัวอกจนซึ้งว่าภาวะการตรอมใจตายเป็นอย่างไร เสียดแสบร้อนร้าวขนาดไหน

    ในเมื่อเป็นคู่แท้ พบกันแล้ว ตอบรักกันแล้ว แต่ยังไม่ทันอยู่ครองเรือนก็มีใครอีกคนมาแบ่งใจ ทำให้เขายอมรับออกมาว่า ‘รัก’ อย่างหน้าซื่อ จะหมายความว่าอย่างไร?

    ถ้าภาวะบุพเพสันนิวาสของผู้หญิงคนนั้นไม่แรงพอกับหล่อน จะเกิดเรื่องอย่างนี้ได้หรือ?

    ยิ่งเจ็บหนักขึ้นเมื่อทราบว่าอีกคนของเขามาก่อนหล่อน

    ข้ามชาติตามสายใยรักมาพบกัน เพื่อดูให้เห็น ฟังให้ได้ยินอย่างนี้หรือว่าเขายังมีใครอีกคนหนึ่งเป็นที่รัก

    นาทีที่เขาสารภาพ หล่อนตระหนักว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย การระลึกชาติหนก่อนได้ เป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋ว เป็นกลหลอกฉ้อฉลชิ้นหนึ่งของห้วงมหาทุกข์ที่เรียก ‘สังสารวัฏ’ นี้เท่านั้น

    วันสุดท้ายที่พบกัน หลังจากหล่อนเอ่ยยกโทษจนเขาถือเป็นสิทธิ์ดึงตัวหล่อนไปกอดประโลม แพตรีจำได้ถึงความรู้สึกสับสนและขัดแย้งกับตนเองอย่างหนัก เกาทัณฑ์กดร่างหล่อนนอนลงกอดแนบอกนิ่งเนิ่นนานโดยไม่เอ่ยคำใด เขานิ่งจนหล่อนซึมซับรับรู้ราวกับได้ยินเสียงหัวใจที่ไร้คำตอบ ปราศจากการตัดสินใจอย่างไรทั้งสิ้นของเขา

    ยิ่งรักเท่าไหร่ ยิ่งเสียดแสลงทุกข์ร้อนมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเมื่อผิดหวัง น้อยใจและอ่อนแอลงทุกครั้งเมื่อรู้ว่านับวันคอยเขาไม่เคยเลิก และเหมือนเขาใจไม้ไส้ระกำที่ตัดการติดต่อกับหล่อนอย่างสิ้นเชิงมานับอาทิตย์แล้ว

    หากไม่ทราบข่าวมรณกรรมอันน่าสลดสังเวชของเรือนแก้ว คงเป็นที่น่าเข้าใจว่าเขาตัดสินใจทอดทิ้งหล่อน และเลือกเรือนแก้วเป็นคู่ชีวิต…

    เดาว่าที่มัวช้าก็คงเพราะเล่นแง่กันมานาน ต่อเมื่อไปต่างประเทศ คงประสบเหตุเห็นหัวใจกันแจ่มแจ้ง เลยค่อยถึงเวลา สบจังหวะปลงใจ

    ท่าทางคงไว้ทุกข์ให้กับคนรักของเขาจนไม่มีแก่ใจคิดถึงหล่อนอีกเลย นี่ยิ่งเป็นการประกาศคุณค่าระหว่างผู้หญิงสองคนของเขา คนตายมีความหมายยิ่งกว่าคนเป็นเสียอีก อย่างนี้ถ้าเรือนแก้วยังอยู่ จะยิ่งมีความหมายเหนือหล่อนสักขนาดไหน?

    น้ำตาหยดใส่หน้ากระดาษสมุดบันทึกเป็นดวงใหญ่ แพตรีถอนสะอื้น ปิดไดอารี่เล่มนั้นลงเมื่อได้ยินเสียงมติเดินใกล้เข้ามา

    “ทานชมพู่กันพี่แพ”

    ชวนแล้วก็ชะงักกึกเมื่อเห็นแพตรีเหลือบแลมาทางตนด้วยสายตาขึ้งเคียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาช้ำและคราบน้ำตาสองสายยิ่งทำให้รู้สึกช็อก แต่เมื่อเหลือบเห็นไดอารี่ในมือพี่สาวก็พอเข้าใจเป็นเลาๆ

    นึกตำหนิตนเองที่ลืมสนิทว่าวางไดอารี่เก่าแก่เล่มนั้นไว้สะเปะสะปะ เป็นโอกาสให้แพตรีไปพบ มติกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆด้วยความใจไม่ดี  เดาได้ว่าหล่อนคงมีเรื่องระหองระแหงอะไรกับเขาคนนั้น เมื่อมาอ่านเรื่องเก่าเข้า จึงเกิดความคับแค้นปะทุขึ้นได้ รีบวางถาดผลไม้ลงบนโต๊ะเล็กใกล้ตัว แล้วหันมาเผชิญหน้ากับพี่สาวอย่างพร้อมจะกล่าวขอโทษ

    แต่แค่เผยอปาก แพตรีก็ขยับไดอารี่ถามตัดหน้า

    “ใครให้เอามาน่ะ?”

    เป็นระดับเสียงธรรมดาที่แฝงอารมณ์เกรี้ยวลึก ชนิดที่มติได้ยินแล้วถึงกับจุกปากจุกคอ แพตรีเห็นอาการยืนทื่อของพ่อน้องคนดีแล้วยิ่งเหมือนถูกเร่งให้เดือดกว่าเก่า

    “อ่านกี่รอบแล้ว? สนุกมากไหม?”

    มติได้แต่ยืนกะพริบตาอั้นอึ้ง ก้มหลบพี่สาวที่จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหล่อนแสดงความโกรธ ดูแปลกตาและทำความรู้สึกผิดให้เขาอย่างรุนแรง เนื่องจากตระหนักว่าตนเป็นต้นเหตุ จะว่าเป็นบาปกรรมเก่าก่อนนานเนก็คงไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะเร็วๆนี้เพิ่งเปิดอ่านใหม่ไปอีกเที่ยว

    “ผมขอโทษนะพี่แพ”

    เอ่ยด้วยเสียงสำนึก ทว่าก็พยายามไม่ให้อ่อยจนเป็นการยั่วโมโหทางอ้อม

    แพตรีจ้องมองน้องชายที่รักและไว้ใจ ทั้งขัดเคือง ทั้งอับอาย ไม่ใช่อะไร ถ้าไดอารี่เล่มนี้บันทึกเรื่องธรรมดาเหมือนคนอื่นก็แล้วไป แต่นี่…

    หวิวๆคล้ายจะเป็นลม จนต้องทรุดกายลงนั่งพับเพียบกับพื้น พอรู้สึกตัวว่ายังไม่ปวกเปียกขนาดมืออ่อนเท้าอ่อน ก็ออกแรงทึ้งหน้ากระดาษสมุดบันทึกเล่มนั้นมาฉีก ฉีก ฉีกเป็นชิ้นๆ มติเห็นพี่สาวหน้าแดงก่ำ หายใจหอบแรง ก็ละล้าละลังเก้ๆกังๆ ขยับจะเข้าไปใกล้ก็รู้สึกถึงรัศมีความกริ้วที่ยังคงแผ่มาถึงตน จึงเอาแต่ยืนมองหล่อนฉีกสมุดกระจุยกระจายโดยไม่ทราบจะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น

    แม้ปกหุ้มพลาสติกก็ถูกถอดพลาสติกออกขยำ ดูราวกับว่างานนั้นแพตรีต้องใช้กำลังไปมากมายจนอ่อนเปลี้ยมือสั่น มติชักเห็นท่าไม่ดีก็ตอนหล่อนหน้าซีด เหมือนจะโงนเงนชอบกล จึงตัดสินใจไปนั่งใกล้ๆ อยากประคับประคองด้วยความเป็นห่วง

    หญิงสาวกำลังจุกอกและหน้ามืดด้วยถูกอารมณ์ชิงชังครอบงำ เพียงเห็นเป็นผู้ชายมานั่งตรงหน้า จึงเผลอยกมือขึ้นสะบัดซัดฉาดไปเต็มแรงจนมติถึงกับหน้าหัน

    มีอะไรชนิดหนึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบวูบกลับมาปะทะความรู้สึก คล้ายแรงผลักไร้ตนที่ทำให้ผงะ แพตรีคืนสติ กลับเปลี่ยนจากความกริ้วเป็นตกตะลึงใจหาย เมื่อนึกได้ว่าโทสะเพิ่งบันดาลให้หล่อนตบใครลงไป เกิดความรักตัวกลัวบาปสนอง เพราะตระหนักมานานว่าทำอะไรไว้กับอริยบุคคลแรงๆ ก็มักเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือให้ผลทันตาในชาติปัจจุบัน และรุนแรงเป็นสิบเท่าร้อยเท่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย

    โดยเฉพาะขณะผู้เป็นอริยะไม่มีกิเลสห่อหุ้ม หรือยิ่งถ้าอยู่ในขณะทรงฌานด้วยแล้ว แรงสะท้อนจะหนักหน่วงเป็นทวีคูณเกินประมาณ ด้วยเหตุที่ธรรมชาติจิตของอริยบุคคลมีพลังบริสุทธิ์แฝงอยู่ พลังชนิดนั้นมีอำนาจขยายผลเจตนาอันเป็นกุศลและอกุศลที่เข้ากระทบให้เกิดเงาวิบากใหญ่แบบลัดลำดับวิบากอื่น เหมือนนักเลงโตที่ใช้กำลังเข้าแทรกแซงผู้มีกำลังน้อยอื่นๆในแถว

    หญิงสาวรีบเอื้อมมือจับต้นแขนอีกฝ่ายแน่น กล่าวทั้งตัวสั่นระริก

    “มติ พี่ขอโทษ”

    เด็กหนุ่มค่อยๆหันหน้ากลับมา สบตาหล่อนแล้วตอบเสียงนิ่ม

    “ไม่เป็นไรฮะ ถือเป็นการไถ่โทษที่ผมทำให้พี่แพเป็นทุกข์” แล้วก็อธิบายว่า “สมุดเล่มนี้ติดมากับกองหนังสือที่ผมขอยืมช่วงไปช่วยพี่แพย้ายห้อง ยอมรับว่าอดใจไม่อยู่ เสียมารยาทอย่างมากที่แอบอ่านโดยพลการ”

    แพตรีจ้องมองเขาชัดๆในระยะใกล้ เหลือบเล็งแก้วตาซ้ายขวาของมติทีละข้างสลับกันสองสามหน มีความผูกพันไม่เป็นอื่นอยู่ที่นั่น สัมผัสได้ถึงสัมพันธภาพบริสุทธิ์ปราศจากความน่าคลางแคลงระหว่างกัน เขาคนนี้จะไม่มีวันทำร้ายหล่อนเลย จะด้วยกรณีใดๆก็ตาม

    “ช่างเถอะ…พี่ไม่น่าจะมีอะไรต้องปิดบังเธอหรอก”

    เกิดความอ่อนแอขึ้นมาอย่างผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีคำพูดมากมายเก็บกดไว้รอเวลาพรั่งพรูทะลักทลาย

    “พี่เคยคิดว่าตัวเองรู้ว่าเกิดมาเพื่อรออะไร แต่ตอนนี้เห็นตัวเองเป็นยายโง่คนหนึ่งเท่านั้น จะเป็นคนธรรมดาที่จำเรื่องเก่าๆของตัวเองไม่ได้ หรือคนพิเศษที่มีความระลึกรู้เกี่ยวกับชีวิตก่อน ก็ไม่ช่วยให้ทุกข์ร้อนน้อยลงเลย”

    มติพยักหน้า

    “ผมก็รู้สึกอย่างนั้น พี่แพอาจน่าสงสารกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ในแง่ที่ใจต้องแบกรับอุปาทานในตัวตนถึงสองชาติไว้พร้อมกัน”

    แพตรีลดมือลง เม้มปากกล้ำกลืนรสขม พยายามควบคุมจิตใจให้เป็นปกติ กระแสใจสงบเย็นของเขาทำให้คำพูดง่ายๆนั้นสะกิดสติหล่อน คิดต่อได้เองว่าขาดอุปาทานตัวเดียว ก็ไม่มีทุกข์ของชาติไหนๆให้แบกอีกเลย

    อย่างที่หล่อนเคยคิดจนปลงใจชัดมาแล้ว และนึกเข้าใจซ้ำอีกทีว่าการระลึกชาติเป็นไปได้หลายแบบ ถ้าเข้าทางปัญญาก็อาจเป็นคุณในแง่ความเห็นภัยการเกิดตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้าเข้าทางโมหะก็อาจเป็นโทษในแง่ความยึดมั่นถือมั่นไม่รู้จบรู้สิ้น ทั้งที่จบจากความเป็นเช่นนั้นไปแล้ว คลี่คลายมาสู่ความเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยังอุตส่าห์แบกของเดิมไว้ในใจอยู่ได้

    แพตรีระบายยิ้ม พยายามเปลี่ยนเรื่องให้แจ่มใสขึ้น

    “อ่านทั้งเล่มอย่างนี้ก็รู้ความในใจหมดสิว่าพี่คิดและเขียนเกี่ยวกับเธอไว้ยังไงบ้าง”

    “ฮะ…จำได้สนิทติดหัวอยู่ประโยคหนึ่ง ตอนพี่แพเขียนว่าตอบคำถามเด็กช่างซักจนชักอยากเป็นครูขึ้นมาแล้วซี…” เว้นวรรคมองเครื่องแบบหล่อนด้วยตาเป็นประกายลึกซึ้ง “วันนี้ได้เป็นจริงๆ”

    หญิงสาวกะพริบตา มองน้องชายด้วยยิ้มค้างอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ย

    “แต่วันนี้เด็กช่างซักก็กลายเป็นบัณฑิตผู้รู้และได้ดีเกินพี่ไปแล้ว คงต้องสลับบทกันบ้างล่ะ อย่าลืมพาพี่ไปด้วย คงไม่ทิ้งกันนะ”

    มติฟังแล้วเบนหน้าไปมองภาพแสงนฤพานเป็นครู่ จึงหันกลับมา

    “อาบน้ำบ่อใหญ่แล้วต้องขออาบบ่อเล็กทำไมฮะ พี่แพอยู่กับปู่มาตั้งกี่ปี”

    “พี่มันไม่เอาไหน ยังเอาดีไม่ได้เลย”

    เด็กหนุ่มเปลี่ยนสายตาไปทางโต๊ะเล็ก ซึ่งมีจานแอ๊ปเปิ้ล ชมพู่ และของหวานวางอยู่ ก่อนชวนว่า

    “ทานผลไม้กันเถอะ”

    แพตรีเหลียวตาม เห็นผลไม้ยังไม่ถูกผ่าสักชิ้น เพียงถูกล้างน้ำหมาดเท่านั้น แถมไม่มีมีดเตรียมมาด้วยอีกต่างหาก มติคงกะให้กัดกินเอาทั้งลูกนั่นเอง หล่อนส่ายหน้านิดหนึ่ง บอกเขาว่า

    “เดี๋ยวพี่เอามีดมาผ่าซีกให้”

    ว่าแล้วก็ลุกเดินออกจากห้อง ล้างมือและหามีดจากในครัว ทำพริกเกลือจานเล็กอยู่เดี๋ยวเดียวก็เดินกลับเข้ามา จัดแจงกดคมมีดผ่าแอ๊ปเปิ้ลอย่างบรรจง มติทอดตามองตามพลางถามเรื่อยเปื่อย

    “ได้ลงโทษเด็กให้คาบไม้บรรทัด กางแขนยืนขาเดียวเหมือนที่เคยทำกับผมหรือยัง?”

    แม่ครูสาวหัวเราะ

    “เคยเหรอ เอ…ตอนนั้นทำไมพี่ให้เธอทำอย่างนั้นล่ะ?”

    คุ้นๆว่าเคยเล่นบทสมมุติเป็นครูลงโทษนักเรียนกับมติ แต่ลืมแล้วว่าเหตุจูงใจคืออะไร

    “พี่แพพยายามหัดให้ผมท่องคาถากรณียเมตตสูตรไงฮะ ผมท่องไปก็บ่นกลุ้มใจทำไมจำไม่ได้ ไม่มีสมาธิ บ่นคำเดิมทุกจบวรรคทบต้น สองเที่ยวสามเที่ยวพี่แพคงรำคาญ เลยสั่งคาบไม้บรรทัดจะได้เลิกบ่น และบอกให้กางแขนยืนขาเดียวสักพัก เดี๋ยวใจสงบเป็นสมาธิไปเอง”

    แพตรีหัวเราะร่วน หล่อนเป็นคนหัวเราะน่ารักน่าใคร่ และชวนให้คนได้ยินเกิดอารมณ์ผ่องใสตามอย่างฉับพลันทันที ให้มตินึกอยากอัดเทปไว้เปิดฟังเวลาเครียดเสียจริงๆ

    “งั้นเหรอ เออ…จำได้แล้ว”

    พูดทั้งกลั้วหัวเราะ หล่อนผ่าแอ๊ปเปิ้ลสามลูกเอาแกนออกจนหมด จึงหยิบจากจานส่งป้อนเข้าปากมติชิ้นหนึ่งอย่างไม่คิดอะไรมาก

    “อ้ะ…”

    เด็กหนุ่มเผยอปากรับ พอเคี้ยวกลืนจนหมดก็ว่า

    “ห้านาทีหลังจากกางแขนยืนขาเดียว ผมรู้สึกว่ามีสมาธิกว่าเดิม กลับมาท่องจำได้ดีจริงๆด้วย ตั้งแต่นั้นเลยเข้าใจว่าถ้าจะเกิดสมาธิได้ ใจต้องพยายามเพ่งเลี้ยงตัวให้เท่ากับที่ยืนขาเดียวแบบถูกทำโทษคราวนั้นเอง”

    แม่ครูคนงามยิ้มเรียบ หยิบชมพู่มาก้มหน้าก้มตาผ่าต่อ มติมองดวงหน้างามละมุนเบื้องใกล้แล้วอดหลงรักไม่ได้ แต่พอรู้ตัวว่ามีอะไรกรุ่นในอก ก็จุดแสงโอภาสขึ้นกลางใจ ส่งตัวรู้ตามดูความปรุงแต่งทันที เห็นเหมือนสายหมอกหนาทึบเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุมหัวใจ จึงขับไล่ให้สลายได้ทันทีที่แสงรู้ส่องเห็นนั้นเอง

    การจุดแสงรู้ขึ้นเสียก่อนมืดคลุ้มคลุมมิดนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะกับจิตที่ยังมีกำลังไม่เที่ยง ไม่ทน หากปล่อยให้ใจถูกคลุกเคล้าจนไม่อาจใช้กำลังรู้เข้าแยกระหว่างจิตกับอารมณ์แล้ว จะให้สลัดทิ้งภายหลังนั้น นับว่ายากเย็นแสนสาหัส สู้ตัดไฟแต่ต้นลมไม่ได้ ยังง่ายอยู่มาก

    จดจำและระลึกเตือนตนเองว่ารสชาติของการรักข้างเดียวแสบร้อนปานใด แพตรีไม่ใช่ผู้หญิงของเขา และจะไม่มีวันใช่

    จู่ๆมติเปรยขึ้นมาคล้ายต้องการแก้เก้อกับตนเอง มากเสียกว่าอยากให้แพตรีได้ยิน

    “พี่แพคงเคยเป็นพี่สาวของผมมาก่อนแน่ๆเลย เสียแต่ว่าชาตินี้ไม่ได้เกิดจากท้องแม่เดียวกันเท่านั้น”

    หญิงสาวผ่าชมพู่เฉยเป็นครู่ ก่อนตอบทั้งสายตาเหลือบต่ำจับความเคลื่อนไหวที่มือ

    “เธอโตทันพี่แล้วนี่ ฐานะและความรู้สึกทางใจเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ…”

    เพราะสติยังคม มติจึงรู้ว่าตนเองหูไม่เฝื่อน แต่ความหวั่นไหวจะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเปล่านั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    “ผม…คงทำให้พี่แพไม่สบายใจเกี่ยวกับรูปที่เคยวาดด้วยความฟุ้งซ่าน หวังว่าพี่แพคงไม่ถือสากับความเหลวไหลชั่วครู่ชั่วยามของผมนะฮะ”

    “ก็ไม่เห็นเหลวไหลตรงไหน คิดไปคิดมา ชักอยากให้เธอวาดอีกเหมือนกันแหละ”

    ว่าแล้วก็นำซีกชมพู่ชิ้นหนึ่งจิ้มพริกเกลือ ยื่นจะป้อนมติอีก แต่คราวนี้มติใช้มือรับแทน ย่นคิ้วจ้องมองแพตรีด้วยความสงกา สานตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายหลบ

    “แพกลับบ้านดีกว่า”

    ว่าแล้วแม่หญิงแสนงามก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ ดึงตัวลุกก้าวจากห้อง สรรพนามที่ผิดไปจากเดิมยิ่งย้ำให้รู้สึกถึงเจตนาบอกความแปลกเปลี่ยนในสัมพันธภาพ มตินั่งกะพริบตางงเป็นครู่ ก่อนโยนชิ้นชมพู่ทิ้ง ลุกตามหล่อนออกมาทั้งยังเคว้งกับพฤติกรรมอันน่าฉงนของเพศที่มีความไม่แน่นอนเป็นเจ้าเรือน

    ทันกันที่หน้าประตูบ้านซึ่งไม่ได้ล็อกไว้ แพตรีเป็นฝ่ายเปิดเอง และหันมาทิ้งหางตาคมหวาน

    “ปู่บ่นหามติหลายหนแล้ว ไม่ไปเยี่ยมท่านเลย อ้อ…ก่อนถึงวันงานประกวดอย่าลืมเตือนล่วงหน้านะ จะได้ทำตัวให้ว่าง”

    แล้วหล่อนก็กะพริบตาเบะยิ้มให้เขานิดๆเป็นการส่งท้าย ก่อนผินหน้ากรายเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ มติมองตามจนแพตรีถึงบ้าน และราวกับรู้ว่าเขายังจับตามองอยู่ หล่อนหันมาโบกมือหย็อยๆก่อนก้าวหายเข้ารั้วลับตาไป ปล่อยให้เขายืนนิ่งขึงอยู่กับที่ราวกับถูกสะกดด้วยมนตร์ขลังอันยากจะต้านของนางฟ้า

     

    ช่วงสาย ในหอประชุมขนาดยักษ์ที่ถูกดัดแปลงเป็นหอแสดงศิลปะชั่วคราว คลาคล่ำด้วยผู้เข้าร่วมชมนิทรรศการ ซึ่งมาชุมนุมหลายร้อยคน เพราะทราบจากประกาศทางหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

    นั่นเป็นนิทรรศการภาพประกวดทางพุทธศาสนาที่เก็บผลการตัดสินของกรรมการไว้ในซองลับ และจะประกาศเผยผลในช่วงบ่าย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ชมตระเวนดูผลงานกันโดยปราศจากอคติและลำเอียงเสียก่อน จะได้รับสารจากศิลปินต่างๆเต็มที่ ส่วนจะวิพากษ์วิจารณ์ชอบชังกับผู้มาด้วยกันอย่างไร อยากให้ใครได้เหรียญทอง เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงนั้น ก็สุดแล้วแต่นานาจิตตัง

    ความหลากหลายของผลงานเกือบห้าร้อยชิ้น ประดับบนแผงกั้นชั่วคราวที่เรียงรายเบียดเสียดอยู่ในบริเวณแสดง แล่นเลยไปถึงส่วนอื่นของอาคารนับแต่ทางเดินขึ้นมา ก่อให้เกิดมิติใหม่สมใจเจ้าภาพ นั่นคือได้มีการรวบรวมประสบการณ์ มุมมอง และความคิดสร้างสรรค์เด่นแปลกของจิตรกรทั่วประเทศ นำมาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อแสดงสาระธรรมในพุทธศาสนาอย่างพร้อมเพรียง งานส่วนใหญ่มองออกง่าย ยิ่งเมื่ออ่านร้อยกรองกำกับก็ยิ่งเกิดความเข้าอกเข้าใจทะลุปรุโปร่ง

    หลายคนที่เข้าชมงาน ถึงกับถูกอกถูกใจ พึมพำกันเซ็งแซ่ว่าเป็นงานที่ดีเหลือเกิน แต่ละภาพมีความชัดในตัวว่าถูกถ่ายทอดมาจากสายตามองโลกอย่างละเอียดอ่อน ถ้อยคำที่ผูกขึ้นเป็นร้อยกรองหลายชิ้นมีแรงสะเทือนกระทบใจสูงมาก ยิ่งเดินชม เดินอ่านผ่านไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งดิ่งจมเข้าไปในเนื้อหาอันเป็นชนวนให้เกิดกุศลจิต หรือกระทั่งจิตปล่อยวางอย่างเยี่ยม

    นี่เป็นผลของแรงจูงใจอย่างใหญ่ แน่นอนรางวัลก้อนโตมีส่วนดึงหัวกะทิและมือทองทั่วประเทศเข้ามารวมตัวกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    แม้เริ่มต้นด้วยความโลภ ทว่าเมื่อจะรังสรรค์งานเพื่อชิงชัย เหล่าศิลปินทั้งหลายก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเนื้อหาธรรมะกันระดับหนึ่ง เมื่อเกิดความเข้าอกเข้าใจ หรือเกิดแรงบันดาลใจเด็ดๆแล้ว จึงลงมือละเลงเส้นสายลายสีกันสุดเดช เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของแนวคิดประกวดคือเข้าใจง่าย และมีผลกระทบแรง

    องค์ประกอบที่ใช้พิจารณานั้น เทน้ำหนักให้ความเข้าใจง่ายทัดเทียมกับความงามในเชิงวิจิตรศิลป์ ภาพที่สมบูรณ์พร้อมทั้งผลกระทบทางใจและความสวยงามเข้าตา จะมีภาษีเหนือภาพอื่นทั้งหลาย

    แรงจูงใจสำคัญยิ่งไม่ให้เหล่าศิลปินทดท้อก็คือ รางวัลมิได้มีเพียงสำหรับสามภาพคือเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงเท่านั้น ยังมีภาพที่ท่านเจ้าภาพจะใช้ความพอใจส่วนตัว มอบรางวัลชมเชยให้สี่แสนบาทถึงสิบภาพ รวมทั้งรางวัลปลอบใจแบบไม่จำกัดจำนวนอีกต่างหาก กล่าวคือขอเพียงทำให้ท่านเจ้าภาพพอใจ ก็รับไปเลยเหนาะๆสี่แสน หรือลดหลั่นลงไป แต่อย่างต่ำตีค่าเป็นเลขห้าหลักไล่กันขึ้นมาทั้งสิ้น

    นั่นทำให้ทุกคนทุ่มเทกันสุดตัว บางคนลงทุนไปนั่งวิปัสสนาตามสำนักดังเพียงเพื่อให้ได้แรงบันดาลใจประดิษฐ์งานส่งเข้าประกวดโดยเฉพาะ!

    ผลที่ได้อย่างใหญ่คือเนื้อหาธรรมะง่ายๆที่เข้าหูเข้าตาผู้ร่วมชมจำนวนมหาศาล เพราะภาพที่ ‘สอบผ่าน’ ทั้งหมดจะถูกตระเวนแสดงทั่วประเทศ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนสายหลัก บรรดาศิลปินจะจริงใจกันแค่ไหนก็ช่าง ขอแค่แคะเอาศักยภาพสูงสุดของพวกเขามารวมกันเป็นใช้ได้ การระดมศักยภาพของหัวกะทิหลายร้อยย่อมก่อผลสะเทือนอันกว้างใหญ่อย่างแน่นอน

    นับเป็นงานสืบทอดพระศาสนาอันสำคัญยิ่งงานหนึ่ง

    ทีฆายุจูงมือฟองชลแฟนสาวของเขาแวะเวียนชมภาพโน้นภาพนี้ สายตาก็สอดส่ายหาพรรคพวก ซึ่งคาดว่าน่าจะเดินเกร่อยู่ใกล้ละแวกบ้าง

    ชมได้เพียงสองสามภาพก็ปะเพื่อนนักศึกษาร่วมรุ่น โดยทีฆายุเป็นฝ่ายถูกเรียกทักก่อน

    “ตุ้ย!”

    เพื่อนร่วมคณะยืนอยู่ที่ภาพหนึ่งไกลออกไป ทีฆายุพยักพเยิดให้ หันดูรูปที่ค้างอยู่ อ่านกาพย์กำกับภาพครู่หนึ่งจนจบ จึงดึงแขนแฟนสาวชักชวนไปหา

    “เพิ่งมาถึงเหรอะ?”

    ตั้งทัพถามและหันไปยักคิ้วให้คนน่ารักของทีฆายุอย่างสนิทคุ้น

    “เออ” ตอบแล้วก็หันมองภาพ ผงะนิดหนึ่ง “ของใครวะ?”

    “นี่แหละงานกู”

    ตั้งทัพบอกด้วยยิ้มโอ่ ทีฆายุเหลือบลงอ่านโคลงสี่ที่เปรียบเหมือนบทบรรยายขยายความ
     

    เท็จ  นั้นคนพูดย่อม       ทิ้งรอย

    จริง  แล้วไม่เคยลอย      เลื่อนเปื้อน

    สิ่ง    เดียวในหนึ่งร้อย    เล่ห์ลิ้น ลมคน

    ลวง  ด้วยคำเอ่ยเอื้อน    อาจย้อนรัดคอ
     

    อ่านเสร็จก็เหลือบขึ้นมองภาพซ้ำ เป็นภาพชายคนหนึ่งถูกดึงลิ้นอันยาวเหยียดเหมือนสายยางฉีดน้ำออกมาพันรัดคอจากเบื้องหลัง โดยผู้กระทำการดึงลิ้นแต่งชุดครุยแบบเนติบัณฑิต หน้าตาถมึงทึงแบบจะฆาตกรรมให้ตายด้วยลิ้นของชายเคราะห์ร้ายนั้นเอง

    เผอิญทีฆายุกับฟองชลหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างเก็บความขำไม่อยู่ ตั้งทัพหน้าเสีย

    “ตลกเหรอะ?”

    ถามแบบใจไม่ดี ทีฆายุพยายามเม้มปากกลั้นเพื่อไม่ให้เพื่อนเสียน้ำใจว่าถูกเยาะ ความจริงโคลงที่แต่งไว้แม้ขาดความรัดกุมหนักแน่น ก็พอกล่าวว่าเข้าท่าอยู่หรอก ภาพก็วาดไว้ใช้ได้ การวางตำแหน่งและการเล่นสีได้จังหวะจะโคนเด่นตา มีความคมชัดสมจริง แฝงความน่ากลัวไว้สมเจตนาดี ทว่าสื่อที่ออกมา บวกๆกันระหว่างภาพกับโคลงแล้ว ดูจี้เส้นชอบกล โดยเฉพาะอาการตาเหลือกตาปลิ้น ยกมือกุมคอหอยของเจ้าของลิ้น

    “กูนึกว่ามึงตั้งใจให้ขำนี่หว่า” ว่าแล้วก็ฝืนเชียร์ “ใช้ได้โว้ย ต่อไปนี้กูคงไม่อยากพูดจาโป้ปดมดเท็จอีกแล้ว กลัวเจอทนายความสาวไส้ ลากลิ้นออกมารัดคอแบบที่เห็น”

    ฟองชลหัวเราะกิ๊ก แต่แล้วก็ยิ้มรื่น ตีหน้าตายชม

    “ซีว่าน่าประทับใจจนลืมไม่ลงเชียวล่ะ”

    ตั้งทัพฟังยังไงก็รู้ว่าเพื่อนทั้งสองแค่เสพูดให้กำลังใจเท่านั้น จึงยิ้มกร่อย

    “อยากจะว่าภาพมันเอ๋อๆก็พูดตามตรงเหอะ หน้าตากับสุ้มเสียงฟ้องเชียว” แล้วเขาก็เบี่ยงความสนใจมาถามถึงงานของเพื่อนสาว “ซีล่ะ วาดภาพอะไรไว้ เห็นหรือยังว่าตั้งอยู่ตรงไหน?”

    "ยัง"

    “เดินหาดูกันไหม?”

    “อย่าดูเลย เดี๋ยวเธอแหกปากหัวเราะ อายเขา”

    “อ้าว! อาจารย์ สวัสดีครับ”

    ทีฆายุเห็นชายผมสีดอกเลาเดินเข้ามาในทางตาก็ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ

    “เออ ว่าไง”

    สมบูรณ์พาร่างผอมเกร็งมายังกลุ่มนักศึกษา ตบหลังทีฆายุศิษย์โปรด

    “อาจารย์มานานแล้วหรือยังคะนี่?”

    ฟองชลยื่นหน้าถามยิ้มๆ

    “ก็พักใหญ่ แต่เพิ่งดูไปได้หน่อยเดียว” โคลงหัวเล็กน้อยบ่น “มึน มันเยอะจัด นี่ของฉันเองยังหาไม่เจอเลย น่าจะติดเบอร์แล้วมีบัญชีชื่อระบุไว้ให้เห็นหน่อย”

    “แล้วอาจารย์เห็นที่พอเข้าเค้ามั่งรึยังฮะ?”

    ตั้งทัพถาม

    “อือ เห็นเข้าท่าอยู่หลายเหมือนกัน แต่ละคนท่าทางคั้นกันสุดฤทธิ์…” แล้วก็เบิกตาคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “เมื่อกี้เพิ่งเห็นงานของมติ เขาทำเข้าทีนะ”

    “เหรอครับ ภาพเป็นยังไง?”

    ทีฆายุซักด้วยความอยากรู้ เนื่องจากพูดถึงฝีมือแล้ว มตินับเป็นคู่ปรับสำคัญในรุ่นเดียวกัน แต่ออกงานใหญ่อย่างนี้คงไม่มีใครเด่นเป็นช้างเผือกได้ง่ายนัก

    “ชื่อภาพแสงนฤพาน อ่านกลอนแล้วรู้สึกยังกับมันไปบรรลุอะไรมา”

    สามหนุ่มสาวหัวเราะเบาๆ มติไม่อยู่ในกลุ่มเด็กรวย การคบหาจึงออกจะห่างเหิน นับหน้าถือตากันแค่ฝีมือชนิดหวิดๆจะไร้เทียมทานเท่านั้น นิสัยใจคอหรือพื้นความชอบใจทางด้านศาสนาไม่ค่อยเป็นที่รู้เห็นของเพื่อนเท่าไหร่

    สมบูรณ์เพิ่งเหลียวมองภาพด้านใกล้ มองชื่อเจ้าของแล้วจึงรู้ว่าเป็นงานของตั้งทัพ ก้มหน้าอ่านโคลงด้านล่าง ย้อนสายตาขึ้นมองภาพแล้วหัวเราะออกมาดังๆ นั่นยิ่งทำให้ตั้งทัพหน้าเจื่อน ด้วยรู้แน่แล้วว่างานของตนถูกมองเป็นสื่อชวนหัวมากกว่าจะหวังชนะใจกรรมการ

    ขณะนั้นสองเด็กหนุ่มเดินเข้ามาสมทบ ต่างยกมือไหว้อาจารย์ และทักทายกันเองขรม พอรู้ว่าอาจารย์สมบูรณ์เพิ่งพูดถึงผลงานของมติ หนึ่งในนั้นก็โพล่งว่า

    “เมื่อกี้ก็ทัก วันนี้มันพกนางฟ้ามาประดับบารมีด้วยล่ะ”

    ตั้งทัพตาตื่น

    “คนที่เราเคยเห็นเดินด้วยกันในศูนย์การค้าเมื่อหลายเดือนก่อนหรือเปล่า?”

    บางกอกยักคิ้ว

    “เออ…มันมีเสน่ห์อะไรของมันก็ไม่รู้ ควงสาวสวยขนาดนั้นยั่งยืนได้ไง สงสัยจริง”

    ทีฆายุเบิกตาหน่อยๆด้วยความอยากรู้

    “สวยขนาดไหนวะ?”

    บางกอกอมยิ้ม ถ้าฟองชลไม่ยืนอยู่ตรงนั้นก็อาจกระทุ้งเล่นว่า ‘เด็กมึงชิดซ้าย’

    “เดี๋ยวดูเองดิ้ มันพาเดินกระต้วมกระเตี้ยมไปรอบๆน่ะ คงเวียนมาเจอกันเข้าเองหรอก”

    “งานนี้หลากหลายดีว่ะ” วิเวกซึ่งมาพร้อมบางกอกเอ่ย “ศิลปินทั้งไฮโซและต๊อกต๋อยมาชุมนุมกัน เมื่อกี้อ่านชื่อเจ้าของผลงานคนหนึ่ง เป็นหมอด้วย ชื่ออะไร…แพทย์หญิงไอยริน ฝีมือร้ายทีเดียว”

    อาจารย์สมบูรณ์เบิกตาหน่อยๆ

    “อ๋อ หมอไอยริน เมื่อยังเด็กเคยกวาดรางวัลเยาวชนนานาชาติมาแล้ว ดังออกจะตาย เธอไม่รู้จักเขารึ?”

    “ไม่รู้ครับ” วิเวกเท้าเอวสารภาพ “เทคนิคการสะบัดสี การปัดแปรง การระบายอะไรนี่แนบเนียนชั้นอ๋องเลย แต่กาพย์ที่เขาแต่งยังแปร่งๆ ลงเอกโทไม่เข้าที่พิกล”

    “บางรายว่าไว้สุดสยอง” ตั้งทัพเอ่ยพลางหัวเราะ “กลอนว่าไงลืมแล้ว แต่สรุปว่าบางคนเกิดมาในโลกนี้เพื่อทิ้งไว้แต่อึกับฉี่ ไม่มีร่องรอยความดีหรือผลงานทิ้งไว้ให้เห็นเลย ฮ่ะๆ”

    “นี่แหละน้า โดนด่าแล้วยังไม่รู้ตัว…มีหน้าไปชมเขาอีก”

    บางกอกแซว พอทุกคนพากันหัวเราะและเห็นตั้งทัพหันมาทำตาขวาง บางกอกก็เบนหน้ามาเสถามเป็นเชิงขอความเห็นจากอาจารย์

    “อาจารย์ว่าไหม ที่เขาไม่สงวนชื่อ ยอมให้ซ้ำกันได้นี่มั่วพิกล เมื่อกี้เดินผ่านมาเจอเพียบเลย อย่างชื่อภาพ ‘อริยสัจจ์’ กับ ‘อวิชชา’ อะไรเนี่ย เกร่อแท้”

    “อ๋อ…เขาว่าถ้าไปจำกัดแล้วเดี๋ยวคนคิดตั้งชื่อให้เหมาะสมลงตัวกันไม่ออก เพราะข้อธรรมในพุทธศาสนามีอยู่ตายตัว ถ้าใครอยากสื่อข้อหนึ่งแล้วเผอิญไปขัด ไปซ้ำกับคนที่จองไว้แล้ว เลยต้องคิดคอนเซ็ปต์ใหม่ ทั้งที่อาจสื่อข้อธรรมเดิมได้ดีกว่าคนอื่น”

    ทีฆายุยิ้มเผล่ เพราะช่วงพยายามศึกษาเนื้อหาธรรมะค้นแรงบันดาลใจ เขาคิดว่าเขาเพิ่งทราบชัดว่าคนยุคนี้หยิบยืมศัพท์มาใช้กันผิดเพี้ยนจากความหมายเดิมมาก จึงออกความเห็นเสริม

    “แต่ก็ทำให้เขวได้เหมือนกันนะครับ ที่มีอยู่ภาพหนึ่งตรงทางเดิน ไอเดียกระฉูดเชียว วาดเป็นกล้องดูดาวฮับเบิ้ลสเปซบนอวกาศน่ะ ลอยเท้งเต้งเป็นสัญลักษณ์การขยายขอบเขตความรับรู้ทางประสาทตาได้กว้างไกลที่สุด ให้ข้อมูลไว้ในกลอนเสียด้วยว่าอยู่สูงเหนือพื้นขึ้นไปหกร้อยกิโลเมตร เห็นไกลจนย้อนกลับไปในอดีตเกือบถึงขณะกำเนิดจักรวาล แต่ยิ่งเห็นยิ่งเกิดคำถามไกลออกไปกว่าสิ่งที่เห็น บทสรุปคือรู้วิชาที่ยืดยาวยื่นไกลหาที่จบไม่ได้นั้นเป็นอวิชชา ส่วนวิชาที่รู้แล้วจบถึงจะถือเป็นวิชชา อยู่บนโลกนี่เอง”

    “แล้วอวิชชาตามความหมายเดิมว่าไงล่ะ?”

    ฟองชลขยับถามแฟนหนุ่ม เป็นผลให้ทีฆายุยืดอกเบ่งเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยความมั่นใจ

    “อวิชชาเล็งไปตรงจิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยกิเลส ทำให้ไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง รวมทั้งไม่รู้เหตุปัจจัยให้เกิดสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่เดี๋ยวนี้คนเอาอวิชชามาใช้กันในความหมายทำนองไม่รู้จริง หรือมีอคติอย่างแรงกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าพูดๆกันทั่วไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่างในงานนี้ที่ต้องการสื่อธรรม มันน่าจะระวังให้ตรงทางกว่าที่ใช้อยู่ผิวเผิน

    อย่างภาพที่ว่านี่ แทนที่จะตั้งชื่อเป็น ‘อวิชชา’ ถ้าแผลงเป็นอื่นก็คงจะดูเข้าเค้าดีหรอก เช่น ‘รู้เพื่อต่อ’ หรือไม่ก็ ‘รู้เพื่อจบ’ อะไรทำนองนี้ แล้วสรุปแนวคิดของภาพว่ารู้แบบโลกนั้นไม่จบ ไม่น่าพอใจ ต้องรู้แบบธรรม เพราะไปถึงจุดหนึ่งแล้วจบ ไม่ต้องต่ออีก”

    “วาว…” ฟองชลครางเสียงต่ำ เบิกตาล้อแฟนหนุ่ม “วันนึงเธอต้องได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการแน่ๆเลย”

    “ได้เป็นสมีด้วย”

    วิเวกเสริม เพื่อเรียกความครื้นเครงในหมู่ เกือบทุกคนหัวเราะ ยกเว้นทีฆายุที่ทำหน้างง

    “สมีคืออะไรวะ?”

    วิเวกตะแคงหน้ามองเพื่อน ทีแรกนึกว่าแกล้ง แต่พอดูตาแล้วท่าทางไม่รู้จริงๆ ตามประสาคนเพิ่งเริ่มศึกษาพุทธศาสนา ความรู้ยังแหว่งๆวิ่นๆ บางทีเหมือนรู้ลึกจนเกินตัว แต่บางทีก็เหมือนปลาตายน้ำตื้นอย่างนี้

    เห็นเพื่อนอยากรู้ วิเวกจึงยกมือตบบ่าและยิ้มขรึมสงเคราะห์

    “ถ้าอยากรู้ว่า สะ-หมี คืออะไรก็ลองบวชดูนะ บวชแล้วหมั่นให้สีกาซีไปเยี่ยมบ่อยๆ อ้อร้อฉอเลาะกันสักพัก ภาวะท่านสมีจะเกิดขึ้นเอง”

    “บ้า!”

    ฟองชลร้องเสียงแหลม ตีแขนวิเวกเผียะใหญ่แล้วทำตาคว่ำ หน้าเง้า ทีฆายุหัวเราะออกมาได้ กลุ่มศิษย์อาจารย์ยืนถกอภิปรายครู่หนึ่งก็แยกย้ายไปชมภาพประกวดตามอัธยาศัย รอเวลาประกาศผลที่กำลังจะมาถึงในเวลาไม่นานข้างหน้า

     

    บ่ายสองโมงตรงอันได้เวลาแจกรางวัล ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามากันมากขึ้นกว่าช่วงเช้า หลายรายกะจะเข้ามาชมพักเดียวในระยะแรก กลับติดใจอยู่ต่อรอฟังผล โดยเฉพาะบรรดาศิลปินเจ้าของผลงานทั้งหลาย พาญาติสนิทมิตรสหายพ่วงมาด้วยเห็นอุ่นหนาฝาคั่ง เนื่องจากเป็นงานฟรี คนหลามไหลเข้ามาได้ตลอด จำนวนเก้าอี้ที่จัดไว้เหลือน้อยเต็มที แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาประกาศผล ก็เห็นทีจะต้องยืนกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะยังเกร่ชมภาพอยู่มาก

    “สวัสดีครับพี่น้องชาวพุทธที่รักทุกท่าน…”

    เสียงพิธีกรดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าวาระสำคัญมาถึงแล้ว นั่นเองจำนวนผู้เข้าชมจึงเทมาทางที่นั่งมากขึ้น

    พิธีกรกล่าวถึงความเป็นมาของงานประกวดภาพ รวมทั้งแนวคิดการส่งผลงานเข้าร่วม เกณฑ์การตัดสิน ตลอดไปจนกระทั่งรายชื่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งทำหน้าที่ตัดสิน

    จากนั้นกล่าวพอสังเขปเปิดตัวเจ้าภาพ ผู้ริเริ่มงาน และออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือคุณโภไคย วิเศษเวคิน นักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งของไทย แล้วเรียนเชิญเจ้าตัวขึ้นมาบนเวที เสียงปรบมือรับลั่นไปทั่วบริเวณ กล้องโทรทัศน์ของผู้สื่อข่าวจากหลายสถานีเบนไปเล็งติดตามเป้าหมายพร้อมเพรียงกัน

    คุณโภไคยเป็นชายร่างท้วมใหญ่วัยใกล้ชรา ท่วงทีกิริยาสง่างามชวนให้เกิดความเคารพยำเกรง ริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าแทบไม่ปรากฏ หากปราศจากราศีฉายกล้าเยี่ยงผู้มีบารมีในธนาจักรอันรุ่งเรืองแล้ว ก็ชวนให้นึกว่าเป็นหนุ่มฉกรรจ์หน้าอ่อนวัยไม่เกินสี่สิบเป็นแน่

    “สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย”

    น้ำเสียงของคุณโภไคยแจ่มชัดเป็นกังวาน ไม่ช้าไม่เร็ว มีทั้งน้ำหนักอันทรงอำนาจเยี่ยงผู้กุมชะตาชีวิตพนักงานเรือนพัน กับทั้งเจือกระแสความเมตตาเยี่ยงผู้เข้าถึงความไม่เบียดเบียน

    “ผมรู้สึกดีใจ และต้องกล่าวว่าเกินความคาดหมาย สำหรับจำนวนศิลปินฝีมือดีที่ส่งงานเข้าร่วมประกวด กับจำนวนประชาชนที่ให้ความสนใจแวะเวียนมาชมกันในวันนี้”

    คุณโภไคยมองกราดไปกว้างๆ หญิงชายทุกวัยมาประชุมอย่างน่าชื่นใจ ชื่นใจที่พร้อมกันมารับสาระธรรมจากศิลปินผู้มีความสามารถในการสื่อสาร

    “หลายสิบปีที่ผมอาศัยแผ่นดินไทย แผ่นดินธรรมของเราเป็นแหล่งพำนักพักพิง และทำมาหากินเยี่ยงสุจริตชนคนหนึ่ง นอกจากความภูมิใจที่มีส่วนสร้างงานให้สังคม เสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้องแล้ว ก็ได้แก่การทำนุบำรุงพระศาสนาของชาวไทยและชาวโลกนี่เอง

    ผมทำบุญทำทาน สร้างพระไตรปิฎก สร้างพระ สร้างวัดวาอารามมาก็มาก แต่ไม่ค่อยเป็นที่อึกทึกครึกโครมเหมือนอย่างครั้งนี้ ถ้าให้เล่าถึงเกร็ดประสบการณ์ในการทำบุญกับพุทธศาสนา ผมมีทั้งเรื่องควรยินดีและเรื่องน่าเศร้าจะบอกมากมาย เอาเป็นสรุปว่าสิ่งที่ผมรู้เห็น สิ่งที่ผมคาดหวัง และสิ่งที่เป็นแนวโน้มในรอบรั้วพระศาสนาของเรา รวมกันเป็นแรงบันดาลใจให้คิดจัดงานนี้ขึ้นมา

    อย่างในงานสมโภชครั้งหนึ่งของวัดที่ผมสร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลกับคุณแม่ผู้ล่วงลับ เมื่อผมไปถึงนั้น เป็นจังหวะพอดีกับที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งมาในงานเกิดผิดใจกัน ต่อยตีกันโกลาหล นอกจากทำให้เสียฤกษ์ เสียความรู้สึกแล้ว ยังกัดกร่อนภาพลักษณ์ของสังคมพุทธ ที่ปรากฏต่อสายตาคนทั่วไปเป็นอย่างมาก นั่นสะกิดให้ผมเกิดความรู้สึกว่าเรามีส่วนสร้างวัดให้พระท่านจำพรรษามามากแล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้มีส่วนเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาธรรมะสู่คนทั่วไปสักเท่าไหร่

    ผมเองเป็นคนชอบสะสมงานศิลปะทุกประเภทมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะพุทธศิลป์ ผมชอบมองเข้าไปในความละเอียดอ่อนของศิลปินแต่ละคน ชอบมองโลกผ่านสายตาของพวกเขา บางคนสร้างงานที่เข้าใจยาก ต้องศึกษาสั่งสมความรู้กันระดับหนึ่งจึงจะเข้าถึง บางคนสร้างงานที่มีผลสะเทือนทางอารมณ์สูง เช่นภาพพระพุทธในลีลาต่างๆที่มีความงดงามโน้มน้าวจิตใจให้เป็นกุศล และบางคนก็สร้างงานที่สามารถสื่อเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ซึ่งอันนี้ทำให้ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ก่อให้เกิดความเคารพพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์มากกว่าประเภทอื่นหมด

    ผมมองเห็นขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าปัจจุบันนี้ ศักยภาพในการสื่อสารของบรรดาศิลปินในบ้านเมืองเรา รวมทั้งบ้านอื่นเมืองไกล ถูกนำไปทิ้งขว้าง หรือช่วงใช้กันในทางที่เหลวไหล หรือฉุดศีลธรรมให้ตกต่ำลงกันเป็นอันมาก นับแต่การออกแบบแฟชั่นล้ำยุคที่ย้อนกลับไปสู่การเปิดเปลือยแบบยุคหิน ไปจนกระทั่งการสร้างโฆษณา สร้างละคร สร้างภาพยนตร์ที่หมิ่นเหม่ ล่อแหลม และกระทั่งยั่วยุให้คนเราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

    พี่น้องที่รักครับ การไหลตามกระแสของยุคสมัยอาจเริ่มมาจากแรงจูงใจคือเงิน ศิลปินผู้มีความสามารถทั้งหลายขุดเอาศักยภาพที่มีมารับใช้กิเลสกันเป็นหลัก เรียกว่าต่อกิเลสด้วยกิเลส ช่วยเร่งกิเลสให้แรงขึ้นที่สุดเท่าที่จะสามารถ ดูเหมือนยิ่งผลลัพธ์เป็นกิเลสพุ่งแรงเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำเงินได้มากเท่านั้น

    ผมต้องกล่าวขออภัย หากคำพูดของผมทำให้หลายคนในที่นี้สะดุ้ง เพราะทราบว่าหลายท่านทำงานอยู่ในขอบข่ายดังกล่าว แต่นี่เป็นกาลเทศะอันดี ที่เราจะมานั่งยืนคุยกันให้เกิดการมองกว้างไปในภาพรวม ว่าผู้มีพรสวรรค์รังสรรค์สร้างมิติใหม่ทั้งหลายนั้น กำลังใช้ศักยภาพของตนเองให้เกิดผลสะเทือนในทางใดบ้าง

    ผมไม่ตำหนิ หรือกำลังพยายามพูดกระทบว่าท่านเลวร้าย หรือมีส่วนทำให้สังคมเสื่อมทราม เพราะจุดเริ่มมาจากความต้องการสิ่งเร่งกิเลสของคนทั้งหลายในสังคม ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งชักนำ แต่ผมอยากพูดว่างานนี้คือตัวอย่างในการใช้ความสามารถเชิงสื่อสาร ทำเรื่องยากให้เป็นที่เข้าใจง่าย ฉายให้เห็นศักยภาพอีกแง่มุมหนึ่งของศิลปิน หลายคนที่มีส่วนเป็นแม่งานมากระซิบกับผมว่านึกไม่ถึง ว่าผลลัพธ์จะช่วยให้ตัวเขาเองเกิดความกระจ่างในเนื้อหาธรรมะมากกว่าเดิมขนาดนี้

    ผมคงดีใจถ้าได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการรวมคนเก่งมาทำประโยชน์กันมากๆ จะก่อให้เกิดคุณค่าขึ้นในสังคมไทยเราอย่างไร หากได้รับเสียงสะท้อนในทางดีมากพอ ผมก็จะพยายามทำให้งานนี้มีขึ้นทุกปี และอาจพยายามขยายขอบเขตการประกวดให้มีความหลากหลายกว่าเดิม ถึงแม้ปีไหนปัจจัยความพร้อมของผมอ่อนลง ก็จะได้ติดต่อขอความร่วมมือจากเพื่อนฝูง หรือหน่วยงานของรัฐที่เห็นค่าต่อไป

    อยากเรียนให้ทราบว่างานประกวดนี้ไม่ได้เล็งเอาเฉพาะเหรียญทอง หรือเพื่อประกาศให้ทราบว่าใครคือผู้ชนะ ใครคือผู้มีความสามารถสูงสุดประจำปี เราต้องการพุทธศิลป์ที่มาจากการรังสรรค์สุดฝีมือจำนวนมากต่างหาก และอย่างน้อยถ้าผมไม่อาจทำให้ท่านรู้สึกว่างานทางศาสนามีค่าเกินกว่าจะตีเป็นราคา ก็ต้องทำให้เห็นว่าเมื่อตีค่าเป็นเงินแล้ว ต้องเหนือกว่างานศิลปะธรรมดาที่ท่านผลิตส่งแกลเลอรี่ทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นสิบเป็นร้อยเท่า

    เงินจำนวนหลายล้านบาทสำหรับรางวัลที่หนึ่งอาจทำให้แตกตื่นในวงกว้าง และยิ่งสำทับความรู้สึกกันมากขึ้นเมื่อมีการประกาศเจตนารมณ์ชัดว่าถ้าเข้าตาผมแล้ว สะเทือนความรู้สึกผมได้แล้ว เป็นอันว่าต้องได้รางวัลเงินตอบแทนอย่างแน่นอน ผมมีความยินดีจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเลยครับว่าปีแรกนี้ มีรางวัลชมเชยสี่แสนบาทสิบรางวัล และรางวัลปลอบใจอีกถึงยี่สิบเจ็ดรางวัล ซึ่งอัตราต่ำสุดตามความพอใจของผมคือเจ็ดหมื่นบาท”

    เกิดเสียงครางฮึมไปทั่ว แล้วมีใครคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มศิลปินผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด ตบมือนำขึ้นมา ยังผลให้เกิดเสียงปรบมือตามอย่างกราวเกรียว เพราะนึกไม่ถึงว่าหัวหน้างานประธานพิธีจะใจป้ำดุเดือดขนาดนั้น

    คุณโภไคยกล่าวต่อเมื่อเสียงปรบมือซาลง

    “หลายคนอาจกังขาว่าผมเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสิน ก็ขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่าเกณฑ์ของผมอาจแตกต่างจากคณะกรรมการที่พิจารณามอบเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงไปเล็กน้อย ผมเองแม้ไม่แตกฉานอรรถธรรมสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นชาวพุทธที่พอมองออกว่าใครถ่ายทอดธรรมะที่สุกแล้วหรือยังดิบอยู่

    ที่ยังดิบอยู่คือการสักแต่เอ่ยอ้างเนื้อธรรมในพระคัมภีร์ หรือผู้มีชื่อเสียงมาพูด หรือดัดแปลงเอาด้วยความฉลาดคิด ส่วนที่สุกแล้วคือประสบธรรม รู้รสธรรมแล้ว และสามารถใช้คำพูดง่ายๆของตัวเองมาสื่อกับคนอื่น ทั้งนี้ต้องไม่ไขว้เขวออกนอกลู่นอกทาง อวดเก่งเลยกรอบที่พระท่านบัญญัติไว้ด้วย

    ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่จะหาใครถ่ายทอดความรู้ธรรมที่สุกแล้วออกมาได้ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดดังกล่าว แต่ความจริงก็คือ เมื่อได้สัมผัสเข้าถึงธรรม จะเห็นเองว่ามันง่ายครับ และผมก็คัดตัวอย่างให้พวกท่านดู ทั้งรางวัลชมเชย และรางวัลปลอบใจรวมแล้วสามสิบเจ็ดชิ้นในวันนี้”

    จากมุมมองบนเวที คุณโภไคยเห็นหลายคนหันหน้าซุบซิบพึมพำจ้อกแจ้ก อาจเพราะเกิดความรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเกณฑ์ตัดสินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คุณโภไคยสบายใจได้ว่านี่เป็นงานของเขาเอง เงินของตนเอง ใครจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของคนอื่น

    “พี่น้องที่รัก ผมมานึกเสียดายที่คิดจัดงานประกวดภาพนี้ได้ช้าไปหน่อย ท่านอาจไม่ทราบว่างบประมาณประจำปีให้กับโฆษณาสินค้าบางชิ้น ยังมากกว่าทุนทั้งหมดที่จัดงานอันเป็นมหากุศลครั้งนี้เสียอีก…”

    ทั้งห้องเงียบกริบ บางคนที่เคยกังขา หรือตั้งข้อสังเกตว่าเบื้องหลังเจตนาจัดงานใหญ่ของคุณโภไคยครั้งนี้คืออะไรแน่ ก็ชักเชื่อ และเกิดความเลื่อมใสจากการฟังความที่ท่านกล่าวล่าสุด บนเวทีไม่มีโฆษณา ไม่มีภาพของสินค้าใดๆปรากฏอยู่ทั้งสิ้น ช่วยยืนยันให้เห็นภาพลักษณ์อันโปร่งใสอย่างไม่น่าคลางแคลงเท่าไหร่ และว่าที่จริงถึงแม้งานนี้ถูกอุปถัมภ์ด้วยสปอนเซอร์ที่ต้องการเครดิตทางสังคม ก็จะเป็นเรื่องธรรมดาและน่าสรรเสริญ น่าให้เครดิตอยู่ดี

    “ถ้าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ก่อผลในจิตใจของพวกท่าน ถ้าความเคลื่อนไหวนี้เป็นข่าว สิ่งที่ผมใคร่อยากจะฝากไว้ก็คือ แนวคิดในการทำให้จิตใจผู้คนยุคนี้เจริญขึ้นอย่างกว้างขวางนั้น เป็นไปได้ครับ แต่ไม่ค่อยจะมีใครคิด ทั้งที่โอกาสทำได้จริงนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี และพวกเราต้องร่วมมือพร้อมๆกัน จะหวังให้ใครเก่งเป็นพระเอกหรือนางเอกตามลำพังไม่ได้

    ความอ่อนแอของพระศาสนาเริ่มขึ้นจากความอ่อนแอในจิตใจของผู้รู้ตัวว่ามีหน้าที่สืบทอด คิดกันแต่ว่ามือเราคนเดียวจะทำอะไรได้ เอาตัวรอดตามลำพังดีกว่า มาช่วยกันเถอะครับ ถ้อยธรรมของศาสนาพุทธยังกระจายสร้างความร่มเย็นให้เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก ผมเดินทางไปประจักษ์มาด้วยตนเอง พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดกับเพื่อนพุทธศาสนิกชนด้วยกันมาเป็นสิบปี ทราบดีว่าไม่ใช่ไทยเราเท่านั้นที่เป็นเครื่องชี้ว่าพระศาสนาจะอยู่หรือไป แต่ไทยเรานี่แหละที่มีส่วนสำคัญในการทำให้พระศาสนาแกร่งขึ้นหรืออ่อนลง

    ก่อนถึงวันนี้ ระหว่างที่บรรดาศิลปินผู้เก่งกาจของเรากำลังสร้างสรรค์งานอยู่ ผมไม่ทราบว่าญาติพี่น้องของพวกเขาได้รับส่วนแบ่งประโยชน์ไปแค่ไหนแล้วบ้าง แต่ที่มั่นใจก็คือวันนี้และวันต่อๆไป ผลงานอันทรงคุณค่าที่ปรากฏต่อสายตาพวกเรา จะได้ทำประโยชน์ให้กับคนหมู่มากอย่างแน่นอน

    ต่อไปก็คงถึงเวลาอันเหมาะสมที่เราจะประกาศเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมอันทรงค่า หวังว่าตำแหน่งที่หนึ่ง สอง สามคงสร้างอนุโมทนาจิตอันยิ่งใหญ่แก่พวกเรา และขณะเดียวกันคงไม่เป็นสิ่งบาดใจ เสริมอัตตาให้แก่ผู้ได้รับจนเติบโตเกินพอดี ท้ายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงมีโอกาสพบกันด้วยบรรยากาศเข้าใจเนื้อหาสาระธรรมเช่นนี้อีกทุกปีครับ”

    ท่านประธานหยุดคำกล่าวเปิดพิธี ทุกคนในหอประชุมพร้อมใจกันปรบมือเป็นอันหนึ่งอันเดียว คุณโภไคยยิ้มรับแล้วผละจากตำแหน่งขาตั้งไมโครโฟน ก้าวไปนั่งลงกับโซฟาด้านหลังเพื่อรอมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวด

    “แหม จับใจนะครับ”

    พิธีกรกล่าวยิ้มย่องผ่องใสประสาลูกน้องที่ดี เป็นกองเชียร์ให้เจ้านาย

    “ผมเองช่วยงานท่านมาแต่ต้นก็เพิ่งทราบเจตนารมณ์ที่ชัดเจนพร้อมกับพวกท่านเดี๋ยวนี้เอง เห็นความชื่นชมในตาของพวกท่านแล้วก็แน่ใจว่าความปรารถนาของท่านประธานจะถูกสืบสานอย่างต่อเนื่องเรื่อยไป…เอาล่ะครับ ต่อไปนี้ผมจะฉายภาพขึ้นจอ เรียงตามลำดับรางวัลเหรียญทองแดง เหรียญเงิน และเหรียญทอง หลังจากการประกาศเสร็จสิ้น ท่านยังสามารถตามไปดูของจริงได้ถึงที่นะครับ เราจะแปะโบว์ใหญ่ไว้เด่นๆเห็นแต่ไกลเลยทีเดียว

    และตามที่เราได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ศิลปินท่านใดเห็นผลงานของตัวเองปรากฏ ก็โปรดก้าวขึ้นมาบนเวทีนี้ เพื่ออ่านร้อยกรองประกอบภาพของท่านเอง และรับรางวัลจากมือท่านประธานด้วย ถ้าท่านใดติดขัดมาในวันนี้ไม่ได้ ผมก็จะอ่านแทน และเก็บรางวัลไว้รอมารับต่อไป”

    เว้นระยะกระแอมก้มมองกระดาษที่เพิ่งถูกแกะจากซองในมือ เรียกความระทึกจากศิลปินทุกคน รวมทั้งญาติๆที่รอลุ้นว่าลูกหลานจะได้รางวัลมาแบ่งสักเท่าไหร่ หลายคนอยากได้ยินชื่อตนเองเดี๋ยวนั้น แต่อีกหลายคนก็หวังไว้ว่าคงชะลอไปก่อน เพราะเหรียญทองแดงได้แค่ล้านเดียว สู้รอของใหญ่สามล้านไม่ได้

    ไฟใหญ่ถูกหรี่ลงจนมืดสลัวไปทั่วอาณาเขตโดยรอบ เพื่อเตรียมฉายภาพจากเครื่องเล่นสไลด์แรงสูง เหลือเพียงสปอตไลท์ขนาดเล็กจับเฉพาะที่ คือตำแหน่งยืนของพิธีกร

    “เหรียญทองแดงในปีแรกนี้นะครับ ได้แก่ผลงานชื่อ ‘ขณะแห่งการรู้’ ของร้อยตำรวจเอกขวัญหล้า จิรังฤาสาย”

    เสียงปรบมือกราวดังขึ้นพร้อมกับปรากฏภาพฉายสีสันสดใสเหมือนจริงบนสกรีนขนาดมหึมา เยื้องหลังพิธีกรไปทางด้านขวา สิ่งที่เข้าสู่สายตาผู้ชมนั้น เห็นผิวเผินคล้ายผาน้ำตกแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเพ่งพิศแล้ว จะเห็นสายน้ำตกมีสองด้าน ลักษณะเป็นรูปยูคว่ำ คล้ายเอาผ้าพันคอสีขาวผืนยาวพาดราวตากเอาไว้

    เหนือน้ำตกขึ้นไป เห็นใบไม้ปลิวว่อนมากมาย คละไปกับสัตว์มีปีกคือกาและหงส์ กระพือบินสวนกันไปมาเป็นกลุ่ม

    องค์ประกอบอื่นของภาพถูกทำให้จางลงอย่างจงใจ ไม่ว่าจะเป็นผาน้ำตกที่มีร่องรอยรูปกระดูกซี่โครง หรือท้องฟ้าเปิดโล่งเบื้องไกล สายน้ำตกถูกขับเน้นให้เด่นชัดเป็นอันดับหนึ่ง เห็นวาวขาวดุจประกายมุกใส ตามมาด้วยฝูงกาและหงส์เหนือยอดโค้งของสายน้ำตก ซึ่งวาดไว้สมจริงยิ่ง หงส์เป็นหงส์ กาเป็นกา กับทั้งจับตาชวนมองด้วยวิธีวางตำแหน่งองค์ประกอบสอดรับกัน

    เจ้าของผลงานคือนายตำรวจที่ชื่อขวัญหล้า พาร่างสูงสมชายในวัยหนุ่มแน่นของเขาขึ้นมาบนเวที เค้าหน้าหล่อเหลาดูเคร่งขรึม มองตรงแบบคนจริง บอกยี่ห้อกองปราบได้อย่างดีแม้จะอยู่ในชุดลำลองแขนสั้น ใครต่อใครแปลกใจกันใหญ่ที่ผู้รับรางวัลรายแรกมิได้คร่ำหวอดในวงการกลิ่นสี แต่กลับกลายเป็นร้อยตำรวจเอกผมเกรียน ผิวดำล่ำสัน อกผายไหล่ผึ่ง มาดนิ่งคมคายสะดุดตาพอจะเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆได้จากทุกมุมถนนที่ย่างเท้าผ่านไป ถ้าแสดงหนังก็ทำให้เชื่อเลยว่าเป็นทั้งพระเอกและตำรวจมือพระกาฬ จับผู้ร้ายเก่ง พอกับที่จับหัวใจสาวได้ทั้งเมือง

    แสงไฟแฟลชกะพริบวูบวาบ ชักภาพบนเวทีกันใหญ่ ถ้าฟังดีๆมีเสียงหวิวหวาวจากสาวหลายคนที่เห็นรูปร่างหน้าตาของขวัญหล้าชัด ลักษณะภายนอกของเขาไม่บอกเท่าไหร่ว่าเป็นคนมีจิตใจละเอียดอ่อนลึกซึ้งขนาดจับพู่กันสร้างสรรค์งานศิลปะได้งดงามขนาดนี้

    ขวัญหล้าพนมมือไหว้ประธานพิธีอย่างอย่างคนมืออ่อน แต่ก็ไม่เสียบุคลิกเข้มแข็งเยี่ยงชายชาตรี เมื่อคุณโภไคยพยักหน้ารับแล้ว นายตำรวจหนุ่มจึงหันมาไหว้พิธีกรอย่างเคารพในอาวุโสอีกคน

    “สวัสดีครับ โอ…นับเป็นความน่าแปลกใจของพวกเราที่ได้เห็นผู้กองมายืนรับรางวัลเป็นรายแรก ผมคงต้องขอสัมภาษณ์ด้วยความสนใจหน่อยล่ะ”

    พิธีกรทำท่ากระตือรือร้น เขายืนเผชิญหน้ากับร้อยตำรวจเอกหนุ่มอย่างใกล้ชิด จึงได้เห็นดวงตาดำใหญ่เป็นประกายเข้มลึกที่ทรงนิ่งแบบราชสีห์ ดูมีสมาธิอย่างผู้เคร่งครัดในวินัยและการซ้อมรบ ขณะเดียวกันก็พบกระแสความอ่อนโยน รักสงบ และเปี่ยมด้วยความรู้ความเข้าใจอันยากจะหยั่งแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้นควบคู่ไปด้วย

    “ผู้กองคงปฏิบัติธรรมมานานนะครับ”

    ขวัญหล้าก้าวมายืนหน้าขาไมโครโฟนของผู้รับรางวัล กล่าวตอบด้วยเสียงห้าวต่ำอันเจือด้วยความนุ่มนวลเยี่ยงผู้มีชีวิตกร้านกร้าวที่ถูกขัดเกลาความคิดเข้ากรอบสนิทแล้ว

    “พอสมควรครับ”

    นายตำรวจหนุ่มรับ

    “ท่าทางผู้กองคงมีมิติในตัวหลากหลายทีเดียว ต่อไปนี้ใครๆคงเห็นกันอย่างกว้างขวางว่าคนใช้ชีวิตสมบุกสมบัน เป็นตำรวจท่าทางจับผู้ร้ายเก่ง แท้จริงอาจซ่อนความละเอียดประณีตชนิดที่ศิลปินอาชีพต้องอายอย่างนี้”

    “ผมคงไม่มีฝีมือขนาดที่เรียกว่าเป็นศิลปินได้หรอกครับ แค่จิตรกรสมัครเล่นคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

    พิธีกรหัวเราะฮ่าๆ หันมากล่าวกับคนฟังที่นั่งหน้าสลอนในเงามืด

    “ไม่ใช่ศิลปินยังได้รับรางวัลเป็นคนแรกนะครับ สงสัยจะเป็นมือปราบหลายขอบฟ้า ผู้ร้ายหงอไม่พอ ต่อไปช่างเขียนทั้งหลายเห็นผู้กองเดินมาคงต้องตัวสั่นไปด้วย”

    มีเสียงหัวเราะครืนแผ่วจากฝ่ายคนฟัง

    “ถามนิดเถอะครับ ดูท่าทางผู้กองคงอยู่ฝ่ายปราบปราม ผมเห็นตำรวจหลายคนชอบนั่งวิปัสสนาแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าบางครั้ง เอ่อ…ปกติในหน้าที่การงาน พวกท่านต้องใช้ความรุนแรงบ้าง เพื่อกำจัดคนพาลอภิบาลคนดี อันนี้จะมีจุดขัดแย้งอยู่ในใจบ้างไหมครับ?”

    “แทนที่จะคิดในแง่นั้น มาลองนึกดูในแง่ที่ว่างานของตำรวจก่อความรู้สึกเครียดหนักให้เจ้าหน้าที่ได้ขนาดไหน แล้วจะมีสิ่งใดมาช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง ผมโชคดีที่เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เริ่มทำงานใหม่ๆ ก็ได้ผู้บังคับบัญชาที่ดีเป็นครู ช่วยฝึกอบรมทั้งสมาธิและวิปัสสนาให้ จนเกิดความเห็นว่ายาดีที่สุดสำหรับอาชีพแบบผมก็คือสมาธิและวิปัสสนานี่เอง ไม่เห็นจุดขัดแย้งเลยครับ

    การจับกุมคนร้ายเป็นเรื่องของหน้าที่ทำลายความอยุติธรรม ตอนนั้นใจเราเป็นตำรวจ แต่การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราพอใจทำลายทุกข์ ตอนนั้นใจเราเป็นจิตรู้สากล ไม่มียศ ไม่มีการแบ่งแยกเราเขา

    ตำรวจที่ดีอาจทำบุญปนบาปด้วยน้ำใจเสียสละ อย่างไรเราก็มีกุศลนำอกุศลเสมอ นั่นทำให้ตำรวจไม่จำเป็นต้องห่างพระอย่างที่หลายคนเข้าใจครับ”

    “เป็นคำตอบที่ทำให้หูตาของผมกว้างขึ้นมากจริงๆ ได้ยินมานานแล้วว่าทหารกับตำรวจนี่ทำสมาธิสำเร็จกันได้ไวนัก เพราะมีพื้นจิตใจหนักแน่นมั่นคงและเด็ดขาดเป็นทุน…อยากให้ผู้กองช่วยเล่าแนวคิดและความเป็นมาของภาพคร่าวๆ ก่อนที่จะอ่านร้อยกรองด้วยครับ”

    “ภาพนี้คล้ายกับสิ่งที่ผมเห็นจากภายใน ขณะปฏิบัติสมาธิตามแนวอานาปานสติ หรือกำหนดสติรู้ลมหายใจเข้าออกแบบที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะครับ เมื่อจิตมีความพร้อมเห็นลมหายใจอันเป็นสิ่งละเอียดอ่อนคมชัดพอ เรียกการเห็นนั้นว่า ‘นิมิต’ ก็จะเริ่มเห็น ‘ตัว’ ความคิดไปด้วย มันชัดเจนเหมือนมีอะไรบินว่อนอยู่ในหัวเรายิบยับเลยทีเดียว พอนิมิตความคิดที่คละคลุ้งในหัวปรากฏให้เห็นนี่ ถึงรู้ครับว่าเราคิดทั้งดีและชั่วสลับคละกัน ผมจึงใช้สัญลักษณ์แทนง่ายๆ ที่คล้ายนิมิตความคิดในความเป็นจริงด้วย และทั้งที่เป็นเชิงอุปมาอุปไมยด้วย นั่นคือหงส์แทนความคิดฝ่ายกุศล และกาแทนความคิดฝ่ายอกุศล ส่วนใบไม้ที่ปลิวว่อนก็เปรียบเป็นความคิดกลางๆ ไม่ชั่วไม่ดีไป

    ขณะแห่งการรู้ในระดับภาวนาของผมไม่มีอะไรมากกว่านี้ ขอเพียงกำหนดรู้นานพอจนเห็นลมหายใจก็สามารถเห็นความคิดได้เช่นกัน และเมื่อเราเห็นความคิดจนรู้สึกถึงความเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนของเราผูกติดอยู่ ก็จะพบว่ามันคล้ายสัตว์ปีกที่บินว่อนจากความว่างเปล่าสู่ความว่างเปล่าเท่านั้น”

    ริมฝีปากหนาเตอะของพิธีกรแย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับคนฟังข้างล่างหลายต่อหลายคน

    “ท่าทางผู้กองเป็นผู้เชี่ยวชาญอานาปานสติเป็นอย่างดีทีเดียว เหมาะเลยครับ ขอคำแนะนำเป็นการส่วนตัวหน่อยเถอะ ผมเองก็หัดใช้อารมณ์ภาวนามาหลายรูปแบบ ทั้งภาวนาสัมมาอรหัง เพ่งรูปวงกลม รวมทั้งลมหายใจอย่างที่ผู้กองใช้ เรียนตามตรงว่ายังกะพร่องกะแพร่งอยู่มาก รู้ลมไปฟุ้งซ่านไป บางทีก็นึกสงสัยว่าได้สมาธิหรือยัง เราทำสมาธิไปเพื่ออะไร อันนี้ขอผู้กองให้คำแนะนำด้วยครับ”

    ผู้กองหนุ่มมาดเท่ให้คำตอบทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาตรึกตรองเรียบเรียงคำพูด

    “ลมหายใจเป็นสิ่งไม่มีความคิด ไม่มีความฟุ้ง ไม่มีความสงสัย เพราะฉะนั้นถ้าใจเรารวมเป็นอันเดียวกับลมหายใจได้จริง ก็จะไม่เปิดช่องให้ความคิดหรือสงสัยฟุ้งซ่านแน่ๆ

    การที่รู้ลมไป ฟุ้งซ่านไปจึงยังไม่ถึงภาวะจิตรวมกับลมหายใจ ยังอยู่ในขั้นฝืนใจนึก เรียกว่ามี ‘วิตก’ แล้ว แต่ยังไม่คลุกเคล้าเป็นอันเดียวอย่างที่เรียก ‘วิจาร’ อันนี้ต้องพยายามทำความชอบลมหายใจไปเรื่อยๆครับ สังเกตและรักมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะยึดลมหายใจเป็นหลักจับด้วยความเต็มใจ”

    พิธีกรมองนายตำรวจคนเก่งทึ่งๆ

    “นักทำสมาธิทั่วไปคงเคยคุ้นกับศัพท์คำนี้นะครับ คำว่า ‘วิจาร’ ที่ไม่มี ณ. เณรการันต์นี่น่ะ หมายถึงการแนบจิตเป็นอันเดียวกับอารมณ์ หรือแปลตรงตัวคือพิจารณาอารมณ์ ตามติดอารมณ์ซึ่งใช้ยึดเหนี่ยวจิตให้อยู่กับที่ ทีนี้ผมอยากให้ผู้กองบรรยายความรู้สึกภายใน หรือภาพในใจที่เห็นลมหายใจขณะเกิดวิจารหน่อยเถอะครับ เอาเป็นคำพูดง่ายๆที่พวกเราฟังถนัดหน่อย”

    ขวัญหล้าผงกศีรษะเล็กน้อย

    “เหมือนกับตอนที่เราเขียนจดหมายส่งถึงใครที่กำลังคิดถึงอย่างมากนะครับ เราคิดถึงเขาจนมีคำพูดมากมายเรียงรายในหัว ขณะที่เขียนคำหนึ่งๆ รู้สึกชัดเลยว่าประโยคต่อๆไปจะเขียนว่าอย่างไร เราทำได้อย่างรวดเร็ว จิตใจจดจ่ออยู่กับเนื้อความที่ถูกถ่ายทอดลงกระดาษแล้ว และที่ยังรออยู่ในหัวอีกมาก ไม่ข้องแวะกับเรื่องอื่นเลย นั่นแหละครับลักษณะจิตที่เกิดวิจาร

    เมื่อมาเทียบกับสมาธิแบบอานาปานสติ เราพยายามนึกถึงลมหายใจ นั่นคือวิตก พอนึกไปจนใจชอบ ฝักใฝ่อยู่แต่ความเป็นลม แม้ขณะพักรอลมหายใจเข้าออกใหม่ จิตก็ยังไม่ไปไหน เพ่งอยู่กับความเห็นลมหายใจตลอดสายครั้งต่อไปอยู่อย่างนั้น เหมือนกับที่เรารอจะเขียนข้อความซึ่งยังคั่งค้างอยู่ในหัวนั่นเองครับ”

    “ที่ผู้กองว่า ‘เห็นลมหายใจตลอดสาย’ นี่อยากให้ขยายความสักนิดได้ไหมครับ?”

    “ในความเห็นของคนปกติที่ยังไม่เกิดตัววิจาร สายลมออกกับสายลมเข้าดูเหมือนเป็นคนละอันกัน แยกสายกันเป็นต่างหากเหมือนสายน้ำขาเข้ากับสายน้ำขาออก แต่เมื่อเกิดตัววิจารแล้ว จะเกิดความเห็นเหมือนเราจับปลายเชือกแต่ละด้านไว้ด้วยมือซ้ายขวา แล้วเอาไปพาดกับราว จากนั้นใช้สองมือสลับดึงขึ้นลงเหมือนชักรอก พูดง่ายๆว่าเห็นสายลมออกและเข้าเป็นเชือกเส้นเดียวกัน ไม่แยกเป็นต่างหากจากกันครับ ตัวสติที่เฝ้ารู้ของเราจะคล้ายนายช่างผู้ขยันและฉลาดชักเชือกกลึงอย่างรู้ว่าควรยาวสั้นตามจริงเช่นไรในขณะหนึ่งๆ”

    “พวกเราก็ได้ความรู้ในการทำสมาธิจากเจ้าของภาพ ‘ขณะแห่งการรู้’ กันเต็มอิ่มเลยนะครับ ไม่ทราบผมสรุปแก่นของภาพนี้ถูกหรือเปล่า คือคุณขวัญหล้าต้องการให้ทุกคนเห็น ‘ขณะรู้’ เป็นลมหายใจและความคิดพร้อมกัน”

    “ลมหายใจเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแนะให้พยายามเห็นมากๆเข้าไว้ ทรงสรรเสริญคุณเป็นอเนก นับแต่ทำให้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ไปจนกระทั่งใช้เป็นสะพานนำไปสู่พระนิพพาน

    แม้วันนี้ผมยังไปไม่ถึงพระนิพพาน ก็ได้ประจักษ์กับตัวเองว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ เป็นความจริงทั้งนั้น เมื่อเห็นลมหายใจผมก็เห็นลึกเข้ามาในความเป็นกาย เห็นสัณฐานคร่าวๆของโครงกระดูก เมื่อเห็นโครงกระดูกฉาบเนื้อ ก็ได้แกนอ้างอิงว่าเกิดผัสสะกระทบเข้าที่ไหนบ้าง และมีความคิดปรุงแต่งขึ้นตรงส่วนไหนของกาย

    เมื่อเห็นตัวความปรุงแต่งชัดแล้วว่าเกิดขึ้นในหัว ก็เฝ้าตามดูต่อได้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะดับไปเป็นธรรมดา พอเห็นความเกิดดับบ่อยๆ หนักเข้าก็เกิดความเห็นความปรุงแต่งทุกอย่างในกายและใจนี้เป็นสมมุติไปหมด เช่นเมื่อใจรู้ว่าความคิดเกิด ทันทีนั้นก็เห็นเป็นนิมิตลอยล่อง ผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนอย่างที่ผมพยายามสื่อด้วยภาพนี่

    บทบาทอันสำคัญของสมาธิอยู่ตรงนี้ เราอาศัยจิตที่มั่นคง เห็นอะไรตรงไปตรงมา เห็นแล้วเชื่อจริง ไม่กลับกลอก เราไม่ต้องเสียเวลาถกเถียงกันในเชิงปรัชญาหรืออภิปรัชญาว่าอะไรเป็นอะไร เราคือตัวตนหรือเปล่า ความคิดเป็นเราหรือเปล่า ทุกอย่างเปิดเผยต่อจิตที่มีแต่ความเห็นหนักแน่นเป็นหนึ่งเอง ทราบได้เองในทุกขณะแห่งการรู้ครับ”

    พิธีกรมองผู้กองหนุ่มรุ่นลูกด้วยแววชื่นชม วาทะเหล่านั้นแสดงชัดในตัวเองถึงความแตกฉานในการปฏิบัติ ไม่เสียทีที่ได้รับรางวัลเลย

    “ผมเองเคยมองควันไฟที่ลอยคลุ้งขึ้นอากาศหายไป รู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา แล้วน้อมมาเห็นความคิดในหัวก็ปรากฏเป็นอย่างนั้น ไม่ต่างจากควันไฟ แล้วก็รู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวตนของความคิด เสียดายที่ไม่ทำความเห็นให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพิ่งมาระลึกได้อีกก็ด้วยภาพของผู้กองนี่เอง เอาล่ะครับ คราวนี้ผมคงต้องขอฟังร้อยกรองจากปากของผู้กองเอง…เชิญ”

    พิธีกรยื่นแผ่นกระดาษให้กับผู้รับรางวัลเหรียญทองแดง ขณะเดียวกันเครื่องฉายอีกตัวก็ยิงลำแสงขึ้นสกรีนขนาดย่อมลงมาด้านข้างสกรีนใหญ่ เห็นตัวหนังสือคมชัดเพื่อให้ผู้ชมได้ใช้สายตาอ่านไปพร้อมกับหูฟังจากปากขวัญหล้า


    เมื่อไม่รู้ก็ดูมัวทั่วไปหมด              จะคิดคดลดเลี้ยวเที่ยวทางไหน

    จะเร็วช้าพาตัวไปทางใด               เอาแต่ใจใคร่อยากกระดากจริง

    เวลาอยากปากแห้งลงแดงง่าย        ยิ่งบาปหนาบ้าได้เหมือนผีสิง

    ชะรอยรักอัตตาจึงกล้าทิ้ง               หมดทุกสิ่งเว้นอยากลำบากนาน

    เมื่อเข้ารู้จะดูออกไม่ยอกย้อน          เริ่มจากง่ายหายใจก่อนเป็นพื้นฐาน

    รู้เข้าออกนอกในให้สำราญ             เมื่อเนิ่นนานละเอียดลงค่อยปลงใจ

    จับสนิทติดความคิดนิมิตหมาย        อยู่ในกายคล้ายว่างกระจ่างใส

    เห็นเป็นจุดสมมุติหนึ่งซึ่งไหลไป      ไม่ปล่อยปละปฏิวัติเป็นอัตตา


    อุปมาจิตคิดร้าย             ดังกา

    คิดดีงามเลิศฟ้า             พญาหงส์

    สักแต่เรียงโบกบินร่า      ครู่หนึ่ง สลายตัว

    แลชุมกลับวายโล่ง         อนาถแท้อนัตตา


    มือปราบแห่งกองปราบเงยหน้าขึ้น เพื่อได้ยินเสียงปรบมือให้เกียรติอย่างกึกก้องจากผู้ชมทั้งหมด พิธีกรยิ้มแล้วผายมือเชิญรับรางวัลจากท่านประธาน

    คุณโภไคยลุกขึ้นยืนก่อนนายตำรวจหนุ่มจะก้าวมายืนตรงหน้า หยิบซองเช็กพร้อมกล่องใส่เหรียญบุกำมะหยี่จากพานทองซึ่งเด็กสาวข้างกายประคองถืออยู่ แล้วยื่นมอบ ขวัญหล้าพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนช้อนรับรางวัลด้วยทีท่าคุ้นเคยกับพิธีรับมอบจากมือผู้ใหญ่

    “ดีใจที่ได้รู้จักกับคนที่จะช่วยให้กรมตำรวจแข็งแกร่งและสะอาดขึ้น”

    ท่านเจ้าของงานกล่าวพึมพำยิ้มแย้มเป็นส่วนตัวกับร้อยตำรวจหนุ่มพร้อมกับยื่นมือให้จับ ขวัญหล้าถือของไว้ในมือซ้าย และใช้มือขวาจับมือคุณโภไคยด้วยความเคารพ

    “ผมก็ปลื้มใจที่ได้รับความกรุณาเช่นนี้จากท่านครับ”

    คุณโภไคยยิ้มกว้างขึ้น ผู้กองหนุ่มถอนมือออกแล้วโค้งอย่างงามอีกทีหนึ่ง จึงก้าวเดินลงจากเวทีไป จังหวะระทึกจึงเยี่ยมเยียนมาอีกครั้ง เพราะถึงเวลาประกาศรางวัลเหรียญเงิน แน่นอนเงินรางวัลทวีตัวเพิ่มเป็นสองเท่าของรางวัลก่อนย่อมทำให้หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ

    ฟองชลเอียงหน้ากระซิบกับแฟนหนุ่ม

    “ใจจะวาย”

    ทีฆายุหัวเราะหึๆ ทำเป็นเฉยทั้งที่ใจกำลังจะวายอยู่เหมือนกัน เขาหันไปมองหน้ารูปหัวใจในความมืดสลัวแล้วกระซิบตอบ

    “ไม่รู้กรรมการเทน้ำหนักให้พวกนำเสนอในแนวปฏิบัติหรือเปล่า ไอ้หมอเมื่อกี้มีลูกเล่นแพรวพราวน่าดู ให้ฉันพูดอย่างนั้นหมดสิทธิ์เลย”

    “ขอให้เหรียญเงินเป็นของเธอ เหรียญทองเป็นของซี”

    เด็กสาวอวยพรให้ตนเองและแฟนหนุ่มเสร็จสรรพ ทีฆายุฝืนยิ้มกว้างทั้งใจแห้งชอบกล ก็ขนาดเหรียญทองแดงยังดู ‘แข็ง’ อย่างนี้ มีหรือผลงานของคนไม่เข้าใจธรรมะลึกซึ้งอย่างศิลปินทั่วไปจะกินเหรียญรางวัลที่สูงขึ้นได้ลง

    “รางวัลเหรียญเงินของปีแรกนี้ครับ ได้แก่ผลงานชื่อ ‘งานศพ’ ของคุณทีฆายุ ธารเมธา”

    คล้ายหัวใจหยุดทำงานไปวูบหนึ่ง ชาดิกไปหมดทั้งร่าง ในวินาทีแรกแทบไม่รู้สึกรู้สากับเสียงกรี๊ดลั่นของแฟนสาวและเสียงปรบมือเป็นสายยาวจากรอบด้าน ต่อเมื่อสติเข้าที่ในวินาทีต่อมา ทีฆายุจึงยิ้มร่าและลุกพรวดด้วยเรี่ยวแรงของผู้ชนะ เดินลิ่วสู่เวทีด้วยการสูบฉีดเลือดแรงพล่านในกาย ปีติซ่านจัดเหนือฝันดีที่สุดที่ผ่านมาตลอดชีวิต

    ก้าวมายืนบนยกพื้นเคียงข้างกับพิธีกร เกือบลืมหันไปยกมือไหว้ท่านประธาน นาทีนั้นชักตกประหม่ากับแสงไฟแฟลชและการจับเล็งของกล้องจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ

    พิธีกรมองปราดเดียว เห็นเป็นหนุ่มหน้าใส รักสนุก ผิวพรรณสะอางแบบลูกผู้ดีเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ นัยน์ตาล่อกแล่กเล็กน้อยอย่างคนไม่เคยผ่านการควบคุมตนเองด้วยมหาสติ ก็รู้ได้ว่าหมอนี่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม อย่างดีก็แค่มีแรงบันดาลใจจากเงินรางวัลให้ศึกษาข้อธรรมะ และใช้ทักษะความสามารถขั้นสูงของจิตรกรถ่ายทอดออกมาได้ลุ่มลึก ชนะใจกรรมการเท่านั้น

    ไม่ใช่ตัวแทนของพุทธศาสนา

    คิดด้วยความเห็นเช่นนั้นจึงตั้งใจจะตีวงการสัมภาษณ์ให้แคบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรูปที่เขาวาด ทีฆายุถูกทักทายตามธรรมเนียม เช่นถามว่ายังเรียนหรือเปล่า อยู่มหาวิทยาลัยไหน ปีอะไร แล้วก็วกเข้าเรื่องทันที

    “ไม่ทราบว่าภาพนี้ได้แรงบันดาลใจจากงานศพจริงๆหรือเปล่าครับ?”

    “ครับ…”

    ปลายหางเสียงแกว่งนิดหนึ่ง ทีฆายุพยายามสะกดอารมณ์ แต่เงาตะคุ่มของคนดูร่วมพัน บวกกับเครื่องมือบันทึกเหตุการณ์สารพัดชนิดที่จ่ออยู่หน้าเวที อันช่วยกันยืนยันถึงเกียรติที่จะกลายเป็นประวัติหนึ่งของเขา ก็ทำให้ตกอยู่ในภาวะสั่นไม่เลิก ความจริงเขาเคยขึ้นเวทีใหญ่ที่มหาวิทยาลัยมาหลายต่อหลายหนจนเกือบเจน ทว่านั่นผิดกันลิบลับกับการตกอยู่ในสภาพแวดล้อมอันทรงอิทธิพลกดดันชนิดนี้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งความที่เป็นเวทีพุทธซึ่งเขาเห็นชัดจากผู้รับรางวัลคนก่อน เมื่อมาเปรียบเทียบกับตนแล้ว เขาแทบไม่รู้อะไรสักกระผีกริ้น จึงเกิดความหนาวขึ้นมาว่าเดี๋ยวจะเจอคำถามตอบไม่ได้ให้เป็นที่อับอายขวยเขินหรือเปล่า

    ก่อนมายืนบนนี้รู้สึกชื่นมื่นเพราะนึกแต่จะขึ้นรับรางวัลใหญ่ แต่พออยู่บนเวทีต่อหน้าคนดู พิธีกรและท่านประธานจริงๆกลับเปลี่ยนไปอีกอย่าง คือรู้สึกผิดที่ผิดทางเป็นอย่างยิ่ง อยากเดินหนีลงจากเวทีไปดื้อๆเสียเดี๋ยวนั้น

    “คุณทีฆายุผ่านงานศพมามากไหมครับ? แล้วงานศพที่เป็นแรงบันดาลใจของภาพนี้ อยู่ใกล้ตัว ใกล้เวลาหรือเปล่า?”

    ใกล้ตัวของพิธีกรหมายถึงเป็นญาติสนิทหรือไม่ ทีฆายุโล่งใจ เพราะเตรียมพูดถึงความเป็นมาของภาพไว้พรักพร้อมเพียงพอ

    “ผมอายุยังน้อย เอ่อ…สารภาพตามตรงครับว่าผ่านงานศพมาไม่มากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เข้าใจก็คือถ้าศพที่อยู่ในโลงนั้นเป็นญาติของเรา เราจะรับรู้ความหมายของการตายได้ดีว่าหมายถึงอะไร…”

    ทีฆายุทราบได้ว่าหางเสียงของตนยังเพี้ยน เปล่งคำไม่เต็มปากเพราะขากรรไกรอ้ายาก เหตุมาจากจิตใจอยู่ในสภาพถูกกด ร่างกายเลยติดขัดยักแย่ยักยันตามไปด้วย แต่พอเอ่ยจบกระทงความแรก ได้กระแอมเสียหน่อย กับทั้งเห็นทุกคนเงียบฟังอย่างตั้งใจเป็นอันดี ก็กล่าวต่อชัดถ้อยชัดคำขึ้น ความคิดในหัวถูกเรียบเรียงเป็นระเบียบขึ้น

    “ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ชอบแข่ง ชอบเข่นกับผมมาก อย่างเล่นหมากรุกชนะผมสักกระดานนี่จะเอาไปโพนทะนาทั่วว่าผมเล่นไม่เอาไหน หรือถ้ามีของดีชิ้นใหม่ก็เอามาอวด มาประชันกันสุดฤทธิ์ ให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยกว่า ต้องหาของแบบเดียวกันมารบจนกว่าจะแพ้ความรู้สึก พูดง่ายๆว่าเพื่อนคนนี้ทำให้ผมเรียนรู้ว่า ความหมายของ ‘เพื่อน’ อาจเป็นใครบางคนในชีวิตที่เรามีไว้สร้างความเจ็บใจให้แก่กันและกัน ผลัดกันอาศัยบ่าอีกฝ่ายให้เหยียบขึ้นไปยืนชูคอทะนงสักครู่

    ต่อมาเพื่อนคนนั้นประสบอุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา หัวกระทบเสาเหล็กอย่างแรง อยู่ในสภาพความจำเลอะเลือนและเคลื่อนไหวอวัยวะหลายๆส่วนไม่ได้ ผมก็ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เกิดความรู้สึกเศร้าและเสียใจแทนญาติของเขา นั่นทำให้รู้ตัวว่าผมเห็นเขาเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่อย่างนั้น ถ้าเห็นเป็นศัตรูอย่างเดียว คงรู้สึกสมน้ำหน้าเข้าไส้แน่ๆ

    แต่อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อมองร่างนอนครึ่งเป็นครึ่งตาย หมดสภาพเก่งกาจเก่าๆของเขา ตัวตนของเขาก็เหมือนสาบสูญไปแล้ว และเหมือนส่วนหนึ่งในตัวผมหายไปด้วย ตอนนั้นแยกแยะไม่ออกเท่าไหร่นัก ต้องค่อยๆคิดอย่างละเอียดในเวลาต่อมาถึงทราบว่าเขาเป็นแกนอ้างอิงที่สำคัญหนึ่งในชีวิตผม นับแต่เขาล้มลงแล้ว ถ้าผมคิดหมากกลในเกมหมากรุกได้ หรือเอาของเด็ดชิ้นใหม่ไปอวดเขา ผมก็จะไม่เกิดความสะใจอีกแล้ว ความสะใจที่ได้เข่นเพื่อนผู้มีความเป็นอริอย่างเขา มันเกิดขึ้นไม่ได้อีกเลย

    นั่นเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจความหมายของการตายได้ดีเป็นครั้งแรก ในสภาพหนึ่งที่พวกเรากำลังเป็นอยู่ ถ้ามีอันต้องสาบสูญไป จะหายวับไปกับตาแบบที่เห็นเผากันบนเมรุ หรือจะหายไปจากความรู้สึก เพราะเหตุคาดไม่ถึงใดๆ นั่นคือตายจากความเป็นตัวตนเก่าทั้งสิ้น คนตายไม่ได้พาแต่ตัวเองไปตามลำพัง เขาพาความรู้สึกส่วนหนึ่งของผู้เคยใกล้ชิดไปด้วยเสมอ เมื่อคนข้างหลังทบทวนอดีตและเห็นเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็มักเกิดภาพของชีวิตขึ้นภาพหนึ่ง…นั่นคือได้ทุกสิ่งมาเพื่อเสียทุกสิ่งไป”

    พิธีกรอมยิ้ม

    “เป็นแง่คิดที่ชัดเจนมากเลยครับคุณทีฆายุ สมแล้วที่สื่อภาพออกมาอย่างเลิศจนได้รับรางวัลเหรียญเงิน เมื่อกี้ระหว่างฟังคุณทีฆายุพูด ผมได้เหลือบมองภาพที่ฉายบนสกรีนชัดๆ รู้สึกตกใจหน่อยหนึ่ง เพราะพบว่าใบหน้าของชายในภาพที่คุณทีฆายุต้องการสื่อนั้น ดูเหมือนเป็นตัวคุณเอง อันนี้ขอให้ช่วยแจงด้วยครับว่าผมเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือเปล่า”

    “ไม่คลาดเคลื่อนหรอกครับ อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว ว่าผมเห็นภาพความตายไว้ในใจอย่างไร ทุกวันนี้เพื่อนผมที่สติเลอะเลือน พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนั้น ยังมีชีวิตอยู่ อาการครบสามสิบสอง แต่เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้จัก และรู้สึกเกี่ยวกับความหมายของการตาย และความตายชนิดนั้นก็สะกิดให้ผมรู้สึกว่าวันหนึ่งผมก็อาจตายเช่นเดียวกับเขา นั่นทำให้ผมถามตัวเองว่าอยากทำอะไร อยากใช้ชีวิตเพื่อเรียนรู้หรือทดลองสิ่งใดบ้าง ก่อนที่เวลาจะมาพรากเอาตัวตนนี้ของผมไป

    มีเรื่องที่เป็นเกร็ด จะเรียกความบังเอิญหรืออย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อเร็วๆนี้ผมเพิ่งสูญเสียญาติผู้ใหญ่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆไป ช่วงนั้นผมกำลังอยู่ในระหว่างขัดเกลา ตกแต่งผลงานนี้เพื่อส่งคณะกรรมการอยู่พอดี ผมได้พบและนั่งคุยกับลูกสาวของลุง ซึ่งก็คือลูกผู้พี่ที่เคยคุ้นกันมาในสมัยเด็ก

    ผมพูดคุยกับพี่เขาเกี่ยวกับงานประกวดภาพนี้ และผลงานที่ผมต้องการนำเสนอด้วย พี่เขายังมีส่วนทำให้ผมได้ไอเดียในการเกลาบทกลอนกำกับภาพช่วงหลัง…”

    เสียงของทีฆายุขาดหายไป เพราะคำพูดที่กำลังจะต่อตามมาปรากฏแล้วในหัว อันทำให้สะอึกกับห้วงความทรงจำอันลึกซึ้งบางประการ เป็นอาการที่ออกมาโดยปราศจากการเสแสร้ง ครู่หนึ่งเมื่อรวบรวมสติได้จึงลำดับความต่อ

    “นึกไม่ถึงว่าผมเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับพี่เขา…”

    เงียบกริบทั้งห้อง เพราะทีฆายุกล่าวด้วยความรู้สึกสะเทือนอารมณ์อย่างแท้จริง เขาระลึกถึงเรือนแก้ว หล่อนเป็นคนมีเสน่ห์ตรึงตรา ทั้งสำหรับญาติพี่น้องและคนที่อยู่นอกวงศ์วาน

    พิธีกรไม่อยากให้มีการดึงเอาเรื่องส่วนตัวมากล่าวมากนัก กับทั้งเห็นได้เวลาอันควร จึงตัดบทด้วยประโยคเชื่อมต่อที่สนิทกันกับถ้อยคำล่าสุดของทีฆายุ

    “คงเป็นลูกผู้พี่ที่คุณทีฆายุสนิทด้วยพอสมควร หากอยากจะกล่าวอุทิศให้กับลูกผู้พี่ก่อนอ่านร้อยกรองก็เชิญได้นะครับ พวกเราจะได้ช่วยกันเป็นพยาน ร่วมแรงกันสะกิดให้เขารับรู้”

    ทีฆายุพยักหน้า อารมณ์ในขณะจิตนั้นทำให้นึกรักพี่สาวผู้ลาจากชั่วนิรันดร์ ดลใจให้คิดเอ่ยถึงหล่อนให้สาธารณชนเป็นพยาน ทั้งที่ไม่คิดเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า และไม่เคยเชื่อเรื่องของปรภพเลยแม้แต่นิดเดียว

    ประสานมือ เหลือบตาขึ้นสูง เปล่งคำด้วยท่าทีสงบแสดงความคารวะต่อสิ่งที่มองไม่เห็น

    “ถ้าผลดีของภาพนี้จะได้เป็นประโยชน์ เตือนให้คนเลิกประมาทในชีวิตอย่างน้อยสักขณะจิตหนึ่ง ก็ขอให้พี่แอ้ร่วมรับรู้ และมีส่วนในกุศลด้วยอย่างเต็มที่”

    ยังไม่ทันขาดคำ ทุกคนก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะไฟดับพรึ่บลงกะทันหัน กระชากความสว่างทั้งหมดลงสู่ความมืดมิด!

    เกิดเสียงอุทานหึ่งด้วยความงงงัน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องถึงกับขนลุกเกรียว เพราะในอาคารนี้มีระบบไฟสำรอง ถ้าไฟหลักถูกตัด จะเห็นไฟฉุกเฉินฉายจ้าทันที แต่นี่ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมนอนธการราวกับ…

    สิ่งที่จะต้องกล่าวขานกันอีกนานก็คือแม้อุปกรณ์ซึ่งมีแบตเตอรี่เลี้ยงเองของกลุ่มผู้สื่อข่าว ก็พลอยดับมืดไปด้วย แม้แต่ไฟสัญญาณบอกฟังก์ชั่นเล็กๆก็ไม่ปรากฏให้เห็นเลยในชั่วขณะนั้น

    อึดใจใหญ่ที่คล้ายถูกขังในก้นถ้ำ แต่ไม่นานจนเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งวุ่นขาปัด ไฟก็กลับสว่างขึ้นตามเดิม ทีฆายุรู้สึกคล้ายถูกแช่ตัวอยู่ในก้อนน้ำแข็ง เขากะพริบตาปริบๆ เพ่งมองไปในอากาศด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างฝันกับตื่น เกือบทุกคนมองหน้ากันเองเลิ่กลั่กด้วยความรู้สึกอันพรรณนาไม่ถูก คล้ายความเยียบหนาวชนิดหนึ่งหลั่งลงสู่หัวใจอันเงียบงันโดยถ้วนหน้า

    พิธีกรผู้ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนกว่าครึ่งชีวิต พบเห็นเรื่องลี้ลับทั้งลึกและตื้น ทั้งจริงและเก๊ ยังผลให้ไม่ตระหนกอกสั่นกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าเท่าใดนัก เขาพูดกับทีฆายุต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นการชักความรู้สึกของคนทั้งหอประชุมให้กลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

    “หวังว่าลูกผู้พี่ของคุณทีฆายุคงรับรู้และยินดีกับความสำเร็จด้วยนะครับ ผมชักอยากฟังร้อยกรองของภาพนี้เสียแล้ว โดยเฉพาะท่อนหลังที่ผู้พี่ของคุณทีฆายุมีส่วนอยู่ด้วย”

    จิตรกรหนุ่มมือสั่น เงอะงะไปชั่วขณะ แม้ความรู้สึกบอกตนเองว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะไฟดับกับวิญญาณปรากฏนั้นห่างไกลกันสุดกู่ เขารับแผ่นกระดาษบันทึกคำกลอนที่ตนแต่งมาจากมือพิธีกร เกิดความรู้สึกข้นหนักในอกให้ต้องเม้มปากแน่น ก่อนเริ่มเปล่งคำอ่านออกมาได้ ท่ามกลางความเงียบเป็นอันหนึ่งอันเดียวของคนนับพัน

     

    เห็นคนตายก็หมายรู้เดี๋ยวกูด้วย             อีกไม่ช้าชราป่วยแล้วม้วยสูญ

    ศพวางนอนอย่างขอนไม้คล้ายอิฐปูน       รอขึ้นเผาให้เอาศูนย์มานับกาย

    เหลือเพียงชื่อให้ลือจำทำไมเล่า            เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย

    เหมือนกับเราเฝ้าจดจำแล้วกลับตาย      ชื่อก็วายกายก็วางว่างหมดกัน…

     

    รู้สึกตื้นขึ้นมาในอก ขนทั้งแผงคอตั้งชันขึ้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เพราะกังวานเสียงของตนฟังมีอำนาจสะกดผิดปกติ ร่างกายคล้ายติดล็อกกับที่แทบไม่อาจขยับเขยื้อนไหวติง สัมผัสบางสิ่งที่เรียกว่า ‘ความขลัง’ ที่ประชุมยังคงเงียบต่อเป็นนาน กว่าเสียงปรบมือจะเริ่มทยอยดังขึ้น และดังต่อเนื่องราวกับฝนตกลงมาห่าใหญ่เป็นเวลานานมาก

    “ขอบคุณมากครับ เชื่อเลยว่าคุณทีฆายุไม่ได้แต่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจธรรมดา ฟังแล้วผมหายประมาทลงจริงๆ เอาล่ะครับ ขอเชิญรับรางวัลจากท่านประธาน…”

    ทีฆายุถอนใจโล่งอก เพราะรับทราบว่าภาระอันน่าขยาดของตนสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้น

    ก้าวเดินเข้าหาคุณโภไคย ซึ่งยืนยิ้มใสรอยื่นของรางวัลให้อยู่พร้อมแล้ว

    “ภาพและร้องกรองของคุณเคยเป็นประโยชน์มาแล้วจริงๆ ขอให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ไปในทางที่สร้างสรรค์ต่อไปนะ”

    เด็กหนุ่มเงยหน้ามองสีหน้าอิ่มเอิบของผู้พูด บังเกิดความสะบัดร้อนสะบัดหนาวพิกล ได้แต่รับว่า ‘ครับ’ สั้นๆ และรับกล่องเหรียญเงินพร้อมซองมาถือ เมื่อท่านยื่นมือให้จับก็จับตามธรรมเนียม เสร็จแล้วโค้งนิดหน่อย รีบดุ่มเดินงุดๆลงจากเวทีไปด้วยท่วงทีไม่สง่าผ่าเผยนัก

    เพราะเขาสำเหนียกได้ว่าคลื่นความกลัวตายแผ่ไปทั่วหอประชุมในนาทีนั้น

    แพตรีเอนกายไปทางมติ กระซิบว่า

    “ฝีมือร้ายกาจเชียว แต่เฉือนเธอไม่ขาดหรอก”

    มติหัวเราะอย่างรู้ว่านั่นเป็นกำลังใจให้ลุ้นรางวัลที่หนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางหล่อนเล็กน้อย

    “ทีฆายุนี่เพื่อนผมเอง”

    “เหรอ”

    “ตอนเดินดูภาพช่วงสายเจอกันทีหนึ่งแล้วไงฮะ หนึ่งในสองสามคนที่เข้ามาทักผม แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำความรู้จักกับพี่แพจนโดนแฟนหยิกน่ะ”

    แพตรีลืมหน้าเพราะไม่ได้ตั้งใจมองเต็มตานัก แต่รู้ว่ามติหมายถึงใคร

    หมดความสนใจจะพูดถึงเพื่อนหนุ่มของมติ แต่ติดใจเตือนเขาในลักษณะเอียงหน้ากระซิบคุยกันนั้น

    “ตกลงแล้วไง เลิกเรียกพี่ได้แล้ว”

    มติยิ้มเจื่อน อ้อมแอ้มรับ

    “ครับ ต่อไปจะพยายามไม่พลั้งเรียกอีก ผมตามใจพี่แพเสมอ”

    แพตรีหัวเราะเล็กน้อย ตีหลังมือมติเบาๆอย่างรู้ว่าเขาแกล้งเผลอ

    “ถึงตาเธอขึ้นไปรับรางวัลแล้วล่ะ ลุกสิ”

    ตีขลุมคะยั้นคะยอแบบกึ่งเย้าและกึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริง มติยิ้มเฉย เขายังเหมือนคนทั่วไป หวังจะได้รางวี่รางวัลมาชื่นชมบ้าง เห็นผลงานตนเองถูกยกให้มีค่าบ้าง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่างานของตนเกี่ยวข้องกับอะไร ใจอยากก็กลับราบคาบลงสนิท

    ความแช่มชื่นเบิกบานเมื่อใจนึกถึงพระนิพพานนั้น ไม่มีสิ่งใด หรือรางวัลจากมนุษย์คนไหนมาเทียบเสมอได้ เขาลิ้มรสรางวัลของตนเองอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ทำไมจะต้องไปรออะไรข้างหน้าอีก

    “และต่อไปคือรางวัลแด่ผู้ทำประโยชน์ สื่อสารเนื้อธรรมผ่านงานจิตรกรรมได้ดีที่สุดในสายตาของคณะกรรมการปีนี้…”

    พิธีกรประกาศก้องกว่าปกติ กับทั้งทอดระยะเป็นการก่อความตื่นเต้นเล็กน้อยตามธรรมเนียม เพราะถ้าโพล่งเร็วๆเดี๋ยวจะไม่เหมือนรางวัลใหญ่

    แพตรีเอื้อมฝ่ามือนุ่มอ่อนอุ่นมาวางบนท่อนแขนมติ ราวกับจะใช้สัมผัสละมุนแทนคำพูดว่าในนาทีที่สำคัญ เขามีหล่อนเคียงข้างอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เสมอมาและจะเสมอไป

    “ผมแว่วเสียงกระซิบมาครับว่าเป็นผลงานที่น่าพิศวงมาก ซึ่งเดี๋ยวก็จะได้เห็นพร้อมพวกท่านนั่นแหละครับว่าควรแก่การพิศวงอย่างไร”

    หยุดกระแอมคั่นจังหวะ บรรดาศิลปินเจ้าของภาพเกือบห้าร้อยคนพากันเบิกจ้องพิธีกรตาค้างเหมือนผีดิบ คล้ายรุ่มร้อนในอกและอยากเค้นคอให้พิธีกรเอ่ยชื่อผลงานและนามของตน แต่ผลการตัดสินก็ปรากฏอยู่ในแผ่นกระดาษในมือพิธีกรใบนั้นแล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอื่นไม่ได้แล้ว ถึงตั้งตาลุ้นเคร่งเครียดเพียงใด เกร็งเนื้อเกร็งตัวจนบิดตะกูดแค่ไหนก็ไม่มีผลให้การตัดสินพลิกผันเป็นอื่น

    พิธีกรเอ่ยเนิบชัดในที่สุด

    “เหรียญทองปีนี้ ได้แก่ผลงานชื่อ ‘ทวิลักษณ์’ ของคุณกฤติยา มหิทธาบดี…ขอเรียนเชิญครับ”

    เหล่าศิลปินไหล่ตกวูบกันเป็นทิวแถว สิทธิ์และโอกาสทั้งปวงหลุดลอยไปแล้วกับเสียงประกาศผลงานและชื่อเจ้าของนั้น

    มติก็มีส่วนเหมือนกับปุถุชน เขายังมีความคาดหมาย คาดหวัง ลงหวังแล้วก็ย่อมมีผลเป็นสมหวังหรือผิดหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชื่อผู้รับรางวัลซึ่งเข้ากระทบหูไม่ใช่ ‘มติ’ ตามที่หวัง ผลจึงเป็นความผิดหวัง อันมีลักษณะเดียวกันดาษๆ คือใจแป้วไป ความคิดตีบตันไปชั่วขณะ ใบหน้าเหมือนจะเหี่ยวลงมาวูบหนึ่งตามความมืดมนของจิตใจ ท่าทางหาอะไรปรุงแต่งให้ฟูขึ้นได้ไวๆยากเสียด้วย

    แต่มติก็มีความแตกต่างจากคนอื่น ก่อนหน้ารับฟังผล จิตเขาจับอยู่ที่ความสว่างของตัวรู้อันไร้หน้าตา ไม่ข้องแวะกับชื่อเสียงหรืออัตตาอันใด และเขาก็ยังคงพยายามจับจิตรู้ความสว่างว่างกลางอกนั้นไว้ไม่ปล่อย กับทั้งรักษามิให้เสียศูนย์ ตรงข้ามยิ่งเร่งความรู้ตัวว่างให้ชัดขึ้นจนเบิกบาน เอาชนะความรู้สึกเป็นทุกข์ที่ปรากฏในรูปของความวูบไหวทางกายและใจยามนี้

    ยิ่งกำลังสมาธิดีเท่าไหร่ จิตจับความสว่างเย็นในตนเองได้คล่องแค่ไหน ใจยิ่งโปร่งเบาเป็นสุข ไม่เดือดร้อนกับความปรุงแต่งที่ห่อหุ้มได้เร็วขึ้นเพียงนั้น

    เขาได้เปรียบปุถุชนก็ตรงนี้

    หญิงสาวในชุดขาวนางหนึ่ง ปรากฏกายเดินจากช่องว่างตอนกลางของที่นั่ง ตัดตรงไปเบื้องหน้า อ้อมซ้ายขึ้นบันไดเวทีไปยกมือพนมไหว้ท่านประธานแบบถอนสายบัว แล้วจึงหันมาไหว้พิธีกรตามธรรมเนียม

    ร่างหล่อนค่อนข้างผ่ายผอมอย่างคนทานน้อย ใบหน้าสะอาดสะอ้านปราศจากเครื่องสำอางประทินโฉม ผิวเกรียมแบบคนทำงานหนักและตากแดดตากลมบ่อย เค้าหน้าสงบในลักษณะของผู้เคร่งครัดในวินัยเกินสตรีธรรมดา นัยน์ตาดำคมกล้า ฉายความนิ่งผิดปกติ ชนิดที่ถ้าไม่มีบารมีอยู่บ้าง มองแล้วอาจสะท้านเยือกและนึกอยากหลบในทันที

    ความนิ่งตลอดร่างของกฤติยาทำให้คนเห็นนึกถึงเครื่องกำเนิดพลังขนาดใหญ่ หล่อนมีรัศมีแรงสูงชนิดที่อาจตรึงให้ผู้ใกล้ชิดถึงกับอึ้งเงียบในบัดดล พิธีกรกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกฝืดฝืน ตระหนักว่าตนยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ออกจะพิเศษเอามาก

    ภาพที่ถูกฉายบนสกรีนก็ทำความงุนงงให้กับผู้ชมพอควร เพราะที่ผ่านมาล้วนเป็นงานจิตรกรรมซึ่งเน้นทั้งความคมชัดของรูปทรง ความงดงามของการให้สี รวมทั้งความชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจ แต่นี่กลับเป็นวงกลมวงหนึ่ง ที่มีเส้นสายลายเหลี่ยมซับซ้อนลายตาอยู่ภายใน ดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรในแวบแรก

    จิตรกรหลายคิดว่านั่นเป็นศิลปะใหม่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบในแนวอ็อพอาร์ตซึ่งเน้นการเล่นกับสายตาผู้ชม คือลวงตาด้วยลายเส้นประกอบสีให้เห็นคล้ายว่าภาพเคลื่อนไหวได้อย่างมีพลัง โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติการเห็นของมนุษย์ที่มีต่อเหลี่ยมมุมเรขาคณิตเหลื่อมซ้อนและแสงเงาสร้างชั้นมิติตื้นลึกหนาบาง ประสานกันอย่างกลมกลืนเพื่อหลอกให้เกิดความพิศวงใจ

    แต่บางคนก็รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษแฝงซ่อนไว้อย่างลี้ลับยิ่งกว่าความเป็นศิลปะอ็อพอาร์ตขึ้นไปอีก เพียงยังแยกแยะไม่ออกในเวลาอันสั้น ประกอบกับที่แสงสีที่ตกบนสกรีนขาดความชัดกริบเหมือนของจริง ยิ่งทำให้ลำบากกับการเดาเจตนาของผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา

    พิธีกรกะพริบตาปริบๆ ผินหน้ามองภาพบนสกรีนครู่หนึ่ง แล้วย้อนกลับมาสบตากับผู้ชนะเลิศประจำปี ยอมรับว่ากำลังจิตของผู้หญิงคนนี้แข็งเสียจนเขาไม่กล้าต่อตาด้วยนานนัก อีกทั้งทำให้รู้สึกฝืนจนต้องกลืนน้ำลายบ่อยๆ ขาดความเป็นตัวของตัวเองลงเยอะ

    คะเนจากแววรู้คิดในตา อายุหล่อนน่าจะเลยสามสิบมาพอควรแล้ว แต่ดวงหน้าเมื่อดูผาดยังอ่อนราวกับยังเป็นสาวน้อยที่เพิ่งเฉียดจะบรรลุนิติภาวะเท่านั้น

    เขารู้จักนักเลงสมาธิมามาก เคยพบเจอแม้ผู้มีตบะแก่กล้าที่เล่นกีฬาสมาบัติเป็นอาชีพในป่าลึก จึงแยกแยะออกว่าใครเป็นใคร กฤติยาน่าจะเก่งกาจเกินตัว แต่ยังอยู่ในขั้นเก็บพลังไม่อยู่ มีเท่าไหร่ปล่อยให้ฉายออกมาหมด พลิกจิตให้เก็บพลังไว้เงียบๆไม่เป็น ซึ่งแบบนี้คลุกคลีอยู่กับคนในเมืองแล้วจะขาดความกลมกลืน

    ชุดกระโปรงเสื้อแขนสั้นที่หล่อนแต่งเป็นฝ้ายอย่างดี เครื่องประดับแม้น้อยชิ้น ทว่าก็บ่งถึงรสนิยมชั้นเลิศ ลักษณะการปรากฏของหล่อนจึงออกจะมีความขัดแย้ง คือจะดูเหมือนแม่ชีตามถ้ำก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นคนเมืองที่เป็นแต่นั่งระเหิดระหงในคฤหาสน์ก็ไม่เชิง

    แวดวงพุทธมีคนประหลาดๆอยู่เยอะ เพราะพุทธสาวกนั้น ถ้าสั่งสมวาสนาบารมีมาในรูปแบบเฉพาะตัวถึงจุดหนึ่ง ก็อาจเป็นอะไรได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุที่ปัจจัยบันดาลรูปนามมีอยู่หลายชั้นหลายซ้อน ทั้งกำลังบุญ กำลังจิตของเจ้าตัว รวมทั้งกำลังปฏิกิริยาแห่งพระไตรสรณาคมน์ที่ช่วยขยายผล จึงเกินวิสัยคณนาว่าถ้าผู้ใดอาจหาญบำเพ็ญตนกว้านบุญกิริยาอย่างเต็มที่แล้ว ผลออกมาจะพิสดารพันลึกปานใด

    พิธีกรต้องกระแอมกุ๊กหนึ่งก่อนไถ่ถาม

    “ปัจจุบันนี้คุณกฤติยาทำงานในแวดวงศิลปะหรือเปล่าครับ?”

    “ค่ะ ดิฉันทำเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องประดับ”

    “โอ ดีทีเดียวนะครับ งานในวันนี้ รวบรวมเอาผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งอยู่ต่างสาขา ต่างอาชีพมาอยู่ด้วยกัน ให้พวกเรามีโอกาสเห็นว่าพระสัทธรรมแผ่กว้างครอบคลุมชนทุกหมู่เหล่าอย่างไร ปกติที่เราเดินตามถนนไม่ค่อยเจอ ไม่ได้แปลว่าผู้เก่งกล้าในธรรมมีเพียงจำนวนน้อยเลย เราแค่ไม่ค่อยพบเห็น เพราะมีโอกาสชุมนุมสังสรรค์ผู้ร่วมแนวอยู่น้อยครั้งเท่านั้นเอง

    ไหนผมถามตรงไปตรงมาเลยนะครับคุณกฤติยา ดูจากภายนอกแล้ว ผมว่าคุณกฤติยาไม่ได้นั่งออกแบบเครื่องประดับอยู่ในห้องแอร์ทั้งปีเป็นแน่ ง่า…คุณกฤติยาใช้เวลาส่วนใหญ่ปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขาหรือเปล่าครับนี่?”

    หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย พิธีกรอดรู้สึกเสียดายไม่ได้เมื่อสังเกตเห็นรอยลอกรอยด่างบางแห่งบนใบหน้าอันเกิดจากการกรำแดดลม ด้วยเค้ารูปหน้านั้น หากหล่อนเป็นนักปรุงโฉมเหมือนสาวเมืองทั่วไป ก็คงเป็นแม่โฉมตรูได้คนหนึ่ง

    “โดยมากแล้วดิฉันจะเก็บตัวอยู่กับสำนักชีทางภาคอีสานหรือภาคใต้ไกลๆค่ะ”

    หล่อนขยักไว้ ไม่กล่าวว่ามรดกและรายได้ที่หล่อนหามาเกือบทั้งหมด มักใช้ไปในการสร้างหลักแหล่งที่มีการอารักขาอย่างปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่ต้องการปฏิบัติธรรมด้วยกัน สิ่งนั้นเองคืออาชีพแท้จริงของชีวิตหล่อนในชาตินี้

    น้อยคนจะล่วงรู้ความลึกลับของหล่อน กฤติยาอยู่เบื้องหลังการออกแบบเครื่องประดับชิ้นงามระดับโลกที่ร่ำลือกันว่า ‘เหมือนสมบัติเทพ’ ด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งในรูปความงามเพริดแพร้วที่มีมากับคุณสมบัติและอำนาจแห่งอัญมณีแต่ละชนิด หล่อนรังสรรค์เครื่องประดับกายที่ให้สัมผัสแนบเนียน บันดาลความรู้สึกประณีตสูงส่งประหลาดล้ำในทันทีที่สวมใส่ ใส่แล้วจะเกิดความหวงแหนสุดชีวิตราวกับเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีค่ายิ่งในกายตนทีเดียว

    ปรัชญาของหล่อนบินสูงเหนือค่าของอัญมณีที่เข้ามารวมตัวกันเป็น ‘เครื่องประดับ’ บุคคลสำคัญระดับประเทศที่ว่าจ้างหล่อนออกแบบให้กับ ‘ชีวิต’ ของตนสามารถรู้สึกถึงสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง โดยเฉพาะในแง่บารมี ความสง่างาม ตลอดไปจนกระทั่งการรักษาความคิดอ่านให้อยู่ในร่องในรอย บางคนสวมใส่เครื่องประดับของหล่อนแล้วอุปาทานว่าตนฉลาดปราดเปรื่องขึ้นก็มี

    สรุปคือเครื่องประดับชิ้นใดก็ตามที่มาจากหล่อน จะต้องสวย ชวนให้ตาลุก เกิดความโลภโมโทสัน อยากครอบครองด้วยความหวงแหน และมีพลังพิเศษในตัวเสมอ

    เพราะหล่อนไม่ได้ใช้สมองในการออกแบบ

    กฤติยาขายลิขสิทธิ์อันแสนแพงให้กับบริษัทเลื่องชื่อ พวกเขาได้ความรุ่มรวยมหาศาลจากยอดขายพร้อมกับความวุ่นวายในตลาดเครื่องประดับแถวหน้าของโลก ขณะที่หล่อนได้เงินก้อนมหึมาพร้อมกับความสงบในแดนพุทธ จาริกไปโดยปราศจากการเกาะแกะรบกวนจากกระแสธุรกิจอันเชี่ยวกราก เนื่องจากการเข้าถึงตัวหล่อนต้องผ่านหลายด่านหลายชั้นนัก ธรรมชาติงานทำให้หล่อนไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวตามงานหรูหรา หรือเป็นข่าวฟู่ฟ่าในสื่อต่างๆ

    บัดนี้แน่นอนแล้วว่ารางวัลที่หนึ่งในงานประกวดภาพพุทธศาสนาเป็นของหล่อน ด้วยผลงานอันประหลาดและวิเศษเกินจินตนาการจิตรกรธรรมดา อย่างไรก็ตาม ให้ค่าตอบแทนหล่อนสามล้านบาทกับไม่ให้เลยแทบจะมีความหมายเท่ากัน หล่อนมาเพราะปรารถนาที่จะมา ไม่ใช่เพื่อรางวัลใหญ่หรือชื่อเสียงจอมปลอมชั่วครู่ชั่วคราวใดๆทั้งสิ้น

    “คุณกฤติยาครับ ผมเองยังไม่ได้อ่านร้อยกรองกำกับภาพของคุณ แล้วก็ยังเดินดูภาพได้ไม่ทั่ว เพิ่งเห็นภาพของคุณพร้อมกับผู้มีเกียรติท่านอื่นๆในหอประชุมเดี๋ยวนี้เอง ยอมรับครับว่าค่อนข้างแปลกใจกับรูปแบบการนำเสนอ ผมยังงงอยู่ว่าภาพสื่ออะไร คงต้องขอคำอธิบายจากคุณกฤติยาเลยดีกว่า…เริ่มจากคำว่า ‘ทวิลักษณ์’ นะครับ อันนี้มีคำแปลว่าอะไร?”

    “แปลอย่างง่ายที่สุดก็คงได้ว่าลักษณะปรากฏได้สองอย่างในสิ่งเดียวกันนะคะ โดยทั่วไปเจาะจงเอาคุณสมบัติที่ขัดแย้ง แต่กลับมารวมอยู่ในสิ่งเดียว อย่างเช่นคุณสมบัติของแสง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ว่าเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคพร้อมๆกัน ลำแสงเดียวกันนี่เอง เราจะมองให้เห็นเป็นคลื่นซึ่งมีลักษณะเคลื่อนไหวต่อเนื่องเหมือนระลอกน้ำในทะเล หรือจะเป็นอนุภาคซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนแยกจากกันเป็นเอกเทศเหมือนเม็ดทรายก็ได้ สองลักษณะนี้ขัดแย้งกัน แต่กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกันได้ ถ้าศึกษาลึกๆและรู้มากอย่างนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะเห็นว่าอธิบายยาก หรือเป็นเรื่องเหลวไหลไม่น่ายอมรับเอาทีเดียว”

    “ครับ ผมก็เคยทราบล่ะว่าถ้าเราใช้เครื่องมือทดลองมองแสงต่างกัน เราจะเห็นเป็นคลื่นหรืออนุภาคก็ได้”

    แล้วพิธีกรก็ผินหน้าไปทางภาพวงกลมที่ฉายค้างบนสกรีนยักษ์ ก่อนหันกลับมาขอ

    “ทีนี้คงต้องขยายความล่ะครับว่าวงกลมที่พวกเราเห็นกันอยู่นี้ มีความเป็นทวิลักษณ์อย่างไร และมีค่าควรพิจารณาเป็นข้อธรรมไหน”

    กฤติยายิ้มเย็น สิ่งที่ฉายชัดออกมาทางสีหน้าสงบ แววตานิ่งลึกจัด และรอยยิ้มซ่อนเลศขณะนั้น ทำให้พิธีกรรู้สึกราวกับหล่อนเห็นเข้ามาถึงไส้พุง ไม่ว่าจะเคยทำสิ่งใด หรือกำลังคิดอย่างไร เป็นถูกอ่านออกหมดเหมือนตัวเขากลายเป็นหน้าหนังสือที่ถูกแบแล้ว และไม่อาจปิดปกลงซ่อนข้อความได้

    หญิงสาวเบนหน้าไปทางด้านล่างเวที แล้วเอ่ยเป็นกังวานเช่นเดิม

    “คงต้องรบกวนทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังๆ ไปดูภาพจริงด้วยตาตนเองนะคะ เพราะเมื่อฉายขึ้นสกรีนอย่างนี้ รายละเอียดที่สำคัญจะขาดหายไป ดิฉันคงกล่าวได้แต่เพียงว่าเมื่อเพ่งศูนย์กลางของรูปวงกลม คุณอาจเห็นได้ทั้งวงเวียนลงสู่ก้นหอย หรือเกล็ดเพชรระเกะระกะก็ได้ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจปรับสายตา

    ความสำคัญของภาพไม่ใช่อยู่ที่การซ่อนลายซ้อนกันเพื่อให้มองได้สองมิติเท่านั้น เมื่อคุณมองออกมาเป็นวงกลมก้นหอย คุณจะรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้ดิ่งจมลงไปในความลึกของจินตนาการแปลกใหม่ เพ้อฝันเหนือจริง และให้ความสุขไม่ต่างกับจ้องอัญมณีที่มีค่า แต่เมื่อคุณมองเป็นเกล็ดเพชร ความรู้สึกจะแปรไปเป็นอีกแบบ คือเหมือนอยู่ในพงหนามน่าระคายเคือง

    สิ่งที่อยากให้สังเกตคือความคิดที่ก่อขึ้นในหัว ขณะเพ่งมองภาพนี้ อาจเกิดความคิดด้านดีหรือด้านร้ายก็ได้ เมื่อเรียนรู้แล้วเช่นนั้น จะพบว่าสิ่งที่ควบคุม หรือปรับให้เกิดการเห็นเป็นแบบใดๆ ก็คือความตั้งใจของเราเอง สรุปว่าความเป็นบวกและลบแฝงอยู่ในเนื้อหาของภาพในแบบทวิลักษณ์นี่เอง สิ่งที่จะรับความเป็นบวกหรือลบคือจิตใจของเรา นี่เหมือนเมื่อเรามองโลก สัมผัสโลกในความเป็นจริง ไม่แตกต่างกันเลย”

    เสียงฮือฮาระงมไปทั่ว แม้แต่พิธีกรก็รู้สึกตกใจกับคำเฉลยที่ไหลรินออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ ถึงกับหันหน้าไปทางประธานอย่างจะเป็นนัยเรียนถามท่านว่าปีแรกมีเรื่องน่าตื่นใจขนาดนี้เชียวหรือ

    “ดิฉันใช้รูปธรรมสื่อได้อย่างมากที่สุดแค่คู่สอง คือมองอะไรให้เกิดสุขหรือทุกข์ในใจก็ได้ แต่แท้จริงธรรมที่เป็นทวิลักษณ์มีอยู่ทั่วไป เช่นความเป็นกายที่ปรากฏได้ทั้งงดงามหอมหวลและน่าเกลียดเหม็นหืนในก้อนเดียวกัน

    เป้าหมายสูงสุดของภาพทวิลักษณ์นี้ไม่ใช่เพื่อให้เห็น หรือก่อความรู้สึกขัดแย้งว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิด สิ่งใดจริงสิ่งใดลวง แต่เพื่อให้รู้สึกว่าหน้าตาของอุปาทานในใจเราเป็นอย่างไร ความรู้สึกนึกคิดมันแปรไปได้ตามวิธีมองของเราจริงๆ”

    พิธีกรเปลี่ยนวิถีสายตาไปจับภาพเขม็ง เขาว่าเขาเริ่มเห็นสิ่งที่หล่อนพูดแล้ว วงกลมอันเกลื่อนไปด้วยเส้นสายสับสนนั้น เมื่อมองจับศูนย์กลางดีๆ ปรับสายตาเสียหน่อย อาจเห็นเป็นวงกลมในลักษณะเวียนเข้าก้นหอยก็ได้ หรือจะให้เป็นเกล็ดเพชรดาษๆก็ได้ นับเป็นเทคนิคซ้อนลายเส้นหลอกตาอันควรทึ่งสุดขีด เพราะนอกจากเห็นภาพเปลี่ยนแล้ว ยังสามารถแปรอารมณ์จากหน้ามือให้คว่ำเป็นหลังมือได้อีกด้วย!

    “เชื่อแล้วครับ…” พิธีกรคราง “นี่สมควรเป็นผลงานอันดับหนึ่งประจำปี เพราะทำให้ผมได้ซึ้งว่ากิเลสไม่ได้อยู่ที่โลก แต่อยู่ที่วิธีมองของเรา”

    พักครู่หนึ่งเหมือนจะให้ทุกคนลิ้มรสความเข้าถึงชนิดนั้นเช่นเดียวกับตน ก่อนเอ่ยสืบต่อ

    “ตัวภาพเองก็สมควรแก่รางวัลแล้วครับ คราวนี้คงต้องขอฟังร้อยกรองจากคุณกฤติยา เพื่อดูเนื้อหาเสริมกันหน่อย เชิญครับ”

    กฤติยารับกระดาษจากพิธีกร ก้มลงเปล่งคำอ่านอย่างสงบเสงี่ยม

     

    สนิทนิ่งมิติงไหวไร้ความคิด                  ไร้ดวงจิตผิดถูกอะไรไหน

    ไร้สุขทุกข์จุกอกสะทกใจ                      ไร้สิ่งใดใกล้กล้ำให้ธรรมเมา

    เป็นรูปวาดจึงอาจต้องครรลองตา           ผิวนอกหน้าดูสมกลมเสลา

    แต่เมื่อเพ่งเล็งหยุดจุดกลางเข้า            ก็กลับเร้าให้เราคิดผิดแผกกัน

    เพราะอาจเห็นเป็นก้นหอยถอยทางลึก    ตรึงใจนึกรู้สึกหวานปานสายฝัน

    แต่ปรับตาหาเกล็ดเพชรก็เสร็จกัน         จะกลับคั้นฟั้นใจให้ระคาย

    เป็นตัวอย่างทางดูให้รู้แน่                     ว่ารูปแค่แหย่ตาหาความหมาย

    ใช่บาปบุญคุณโทษแต่โดดดาย              จะดีร้ายขึ้นกับเลศกิเลสคน

     

    สิ้นคำอ่าน และกฤติยาเงยหน้าแล้ว ทุกคนในหอประชุมก็พร้อมใจกันปรบมือให้เกียรติอึกทึกครึกโครมยิ่งกว่าที่ปรบให้ผู้รับรางวัลที่ผ่านมาทั้งหมด แทบว่าหอประชุมจะถล่มทลายทีเดียว

    “น่าประทับใจครับ น่าประทับใจจริงๆ” พิธีกรกล่าวเสริมเสียงปรบมือของผู้ชมข้างล่าง “และน่ายินดีที่ปีแรกนี้ เราได้คนที่มีความรู้อรรถธรรม ซึ่งประกอบพร้อมไปด้วยความสามารถเช่นผู้รับรางวัลทั้งสามท่าน หวังว่าคงได้เกียรติเช่นนี้จากพวกท่านทุกปี…เชิญคุณกฤติยารับรางวัลจากท่านประธานครับ”

    กฤติยายิ้มให้คนดู แล้วหันมายิ้มลาพิธีกร จากนั้นกลับหลังก้าวไปรับรางวัลจากคุณโภไคย

    “ขอบใจมากที่มาช่วยเหลือกัน” ท่านประธานกล่าวยิ้มแย้ม “น่าเสียดายนะ หนูรู้ถูก รู้ชอบแล้ว แต่ไม่พยายามทำให้มาก มัวแต่เสียเวลาคิดขยายความ อยากให้คนอื่นรู้ตาม จนตัวเองไปไม่ถึงไหนสักที อย่างนี้เดินทางอ้อมไปสายพุทธภูมิแล้วนะ”

    หญิงสาวเบะปากยิ้มหมิ่นนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางใจบอกว่ากระแสจิตท่านประธานไม่ได้เข้มข้นสักเท่าไหร่ ที่พูดเตือนเหมือนสั่งสอนหล่อนก็คงด้วยวัยวุฒิและความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก หล่อนเจอมานักต่อนักแล้ว ถึงทำดี พูดเก่ง หรือรู้มากขนาดไหน ก็ยังมีกิเลสหนาปัญญาหยาบอยู่ทั้งนั้น ชนิดที่สมองกับหัวใจทำงานตรงกันเพื่อลดละกิเลสอย่างถูกทาง ถูกพุทธิปัญญาน่ะ หาแล้วเจอยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรดีๆนี่เอง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเหลือบสบกัน เห็นแววตาคุณโภไคยฉายนิ่งกว่าคนมีการศึกษาธรรมดาทั่วไป กฤติยาก็ชักอยากรู้ว่าท่านมีดีสักแค่ไหน คนธรรมดา ‘ดูใจ’ กันด้วยการคบหาระยะหนึ่ง เห็นกิริยาและปฏิกิริยา เจรจาพาทีกันจนซึมซับความเป็นอีกฝ่าย หากจะยอมรับนับถือก็คือเห็นการแสดงภูมิรู้ ภูมิคิดได้ฉลาดปราดเปรื่องเป็นพิเศษ มีความประพฤติน่าเลื่อมใสกว่าใครๆ เช่นในแวดวงธรรมะก็มักดูกันว่าใครมีวาทะเฉียบคม ทรงความรู้จากพระไตรปิฎกแตกฉาน ถามอะไรตอบได้หมด หรือมีจริยาที่เหนือกว่าปุถุชน คนนั้นก็ถูกมองแล้วว่าธรรมะแก่กล้า พูดอะไรน่าเชื่อถือไปหมด ทั้งที่จริงข้างนอกสุกใสข้างในอาจเป็นโพรงก็ได้

    แต่สำหรับหล่อนไม่ต้องเสียเวลารอดู รอฟังอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากดูก็ว่ากันเดี๋ยวนั้นเลยตรงๆ เห็นกันจะจะโดยไม่ให้โอกาสซ่อนเงื่อนเบือนบิดด้วยวาทะชักแม่น้ำทั้งห้าใดๆ หากยังอยากแต่อำพรางว่าหมดอยาก หากยังเอาแต่อำพรางว่าไม่เอา หล่อนดูปราดเดียวก็รู้แล้ว เห็นแล้ว

    สำรวมจิตเปิดใจว่างและกำหนดว่าจะ ‘รับ’ กล่าวคือถอดความรู้สึกตัวเองออกไปข้างนอกชั่วขณะ เหลือไว้แต่สภาพคล้ายกระจกเงาพร้อมรับกระแสตัวตนของบุรุษผู้ยืนประจันหน้า

    โดยทั่วไป หากมีอารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นในใจของฝ่ายตรงข้าม หล่อนก็จะสัมผัสคล้ายเกิดการปรุงแต่งอย่างนั้นๆขึ้นกับใจหล่อนเอง และสิ่งที่กฤติยาสัมผัสในปัจจุบันคือความเงียบว่างสว่างไสวในจิตใจของท่านประธานผู้ใจบุญ จึงเชื่อว่าเป็นคนมีเมตตากรุณาโดยปราศจากจริตมายาลวงโลก

    ความชำนาญในการเข้าออกสมาธิของกฤติยาทำให้สภาพรู้ดังกล่าวเกิดขึ้นในชั่วครึ่งทางลมหายใจเข้าเท่านั้น พอรู้แล้วว่าคุณโภไคยดีจริง ก็ชักเห็นว่าคุ้มถ้าจะออกแรงเพิ่มอีกนิดเพื่อดูว่าท่านดีทนสักเท่าใด วัดจากพลังจิตอันเป็นฐานกุศลนั่นเอง

    รวมความเข้มทั้งหมดของกระแสจิตตนส่งไป ‘ผลัก’ กระแสของอีกฝ่ายเบาๆ คล้ายเหวี่ยงหมัดลองเชิงว่าจะมีพลังต้านอยู่แค่ไหน คาดหมายว่าจะมีแรงสวนกลับเพียงแผ่วแบบผู้ใหญ่ที่ล้นอำนาจและบารมีทางโลกทั่วไป ซึ่งในระดับนั้น ฝ่ายคุณโภไคยผู้ถูกคุกคามจะสะท้านเยือกคล้ายเจอไอน้ำแข็งแผ่กระทบ สบตาหล่อนแล้วจะเกิดความครั่นคร้ามอย่างไม่อาจหยัดตั้งสติทน

    แต่แล้วกฤติยาก็ต้องสะดุ้งไหวอยู่ภายในเสียเอง หน่วยตาเบิกขึ้นเล็กน้อย เพราะแทนที่จะพบกำแพงพลัง ณ ตำแหน่งกายยืนของท่านประธานให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนตอบดังคาดหมาย กลับพบแต่ความว่างเปล่ารออยู่ จึงเหมือนนักมวยที่เหวี่ยงหมัดอย่างนึกว่าจะกระทบกระสอบทราย เพราะเห็นแขวนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับวืดไปในอากาศว่างอย่างเหลือเชื่อ ทำให้หัวซุนคะมำถลำไปด้วยความเสียศูนย์

    และพร้อมกันกับอาการซวนเซของกำลังจิต หญิงสาวก็สำเหนียกได้ถึงปฏิกิริยาแห่งกรรมที่ตนก่อ คือเป็นวูบปะทะกลับอย่างรุนแรงของอะไรอย่างหนึ่งที่ละเอียดเป็นคนละชั้นกับพลังจิต

    ลักษณะปล่อยจิตว่างเป็นสุญญัง อันทำให้ผู้อื่นกำหนดหาตำแหน่งที่ตั้งไม่ได้เช่นนี้ มีอยู่ในผู้เข้ากระแสนิพพานแล้วเท่านั้น หล่อนทราบจากครูบาอาจารย์ กับทั้งผ่านพบผู้ถึงสุญญังมาแล้วหลายท่าน

    ประกอบกับความจริงที่ว่าหล่อนทำกรรมแค่นิดเดียว คือส่งกำลังจิตเข้าปะทะคุณโภไคยด้วยความคิดปรามาสดูแคลนเพียงเล็กน้อย แต่กลับสำเหนียกได้ถึงการขยายผลเป็นกรรมหนัก กฤติยาก็แน่ใจทันทีว่าผู้ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อนนี้ ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาดังที่ตนทึกทักเอาแต่แรกเสียแล้ว

    ยังดีที่เมื่อครู่ท่านไม่รวมกำลังจิต ‘ผลักกลับ’ เพราะจะเหมือนหล่อนขี่จักรยานประสานงากับรถกระบะที่วิ่งสวน หล่อนอาจถึงขั้นบาดเจ็บ คืออ่อนเปลี้ยรวมจิตไม่ติด ฟุ้งซ่านกระเจิง กำหนดตั้งสมาธิไม่ได้ไปอีกนาน

    หญิงสาวหน้าถอดสีด้วยตระหนักในโทษแห่งบาปอันก่อขึ้นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หล่อนพลาดไปถนัด เหมือนมีตาไร้แวว เห็นท่านใช้ชีวิตในเมือง คลุกกิเลสโลกย์อย่างใกล้ชิด คงไม่ได้ดีทางธรรมเท่าไหร่นัก ที่แท้สูงลิ่วทั้งมหากำลังและภูมิธรรมอันประเสริฐอย่างนี้

    “อโหสิให้เด็กโง่อย่างหนูด้วยเถอะค่ะ”

    พึมพำพอได้ยิน และไม่กล้าสบตาคุณโภไคยตรงๆอีกเลย

    “ไม่เป็นไร ขอให้โทษมีแก่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว อย่าได้มีต่อหนูแม้แต่นิดเดียว ทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

    กฤติยายิ้มไม่สนิทนัก พนมมือไหว้ ถอนสายบัวอย่างงามด้วยความคารวะอย่างสูงพร้อมขอลุแก่โทษในตัว ผู้ปฏิบัติจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้เคารพนับถือกันด้วยความเฉลียวฉลาด ฐานะทางสังคม หรืออายุอานามเป็นหลัก แต่ดูกันตรงคุณธรรมชั้นสูงที่เข้าถึงแล้ว แจ่มชัดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฌานสมาบัติหรือมรรคผล

    ผู้เป็นที่หนึ่งประจำปีก้าวเลี่ยงลงจากเวทีไปด้วยท่วงทีเจียมตัว ต่างจากขาขึ้นที่เปี่ยมด้วยความทะนงในภูมิ สำคัญว่าตนเป็นผู้มีคุณวิเศษสูงสุดของงาน

    คุณโภไคยมองตามด้วยสายตาชื่นชมน้ำใจเพราะอ่านออกว่ากฤติยามุ่งพุทธภูมิ ทว่าความชื่นชมนั้นก็ระคนอยู่ด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากหล่อนครองอัตภาพหญิง ซึ่งชี้ชัดว่ายังไม่ใช่นิยตโพธิสัตว์ มีอนาคตให้พลิกผัน กลับร้ายเป็นดี กลับดีเป็นร้ายอีกยืดยาว ไม่มีใครพยากรณ์ได้ว่าจะจบลงเอยที่สุดเป็นอะไรแน่

    ส่ายหน้าเล็กน้อยกับตนเอง ผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมากเท่าน้ำในบ่อ แต่ผู้ดีพอ ดีทนจะดั้นด้นไปถึงฝั่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น น้อยเท่าน้ำเพียงหยดเดียว ที่เหลือตกม้าตายระหว่างทาง ลาพุทธภูมิกันระนาว เขาเห็นด้วยตานอกและตาในมานักต่อนัก เหมือนอยากเป็นผู้ปกครองหมายเลขหนึ่งของประเทศนั้นใครๆก็อยากได้ แต่ส่วนใหญ่พยายามจนแก่ตายก็ไปไม่ถึงดวงดาว เพราะต้องสร้าง ต้องทำ ต้องเพียรกันเลือดตากระเด็น

    เวลาในการบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณนั้น วัดได้เพียงประมาณด้วยหน่วยอสงไขยมหากัปป์ จะนับจำนวนชาติเป็นตัวเลขให้เชื่อไม่ได้ ทำนองเดียวกับระยะทางในห้วงว่างของจักรวาล ที่ใช้หน่วยไมล์หรือกิโลเมตรนั้นเล็กเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ต้องใช้หน่วยปีแสงจึงพอฟังง่าย

    จำนวนชาติที่ใช้บำเพ็ญเพื่อตรัสรู้ชอบเอง และมีกำลังบารมีพอจะก่อตั้งพระพุทธศาสนานั้น มากมายจนเป็นอจินไตย คือคิดคะเนคำนวณไม่ไหวว่าเท่าไหร่แน่ ท่านจึงให้นับเป็นอนันตชาติ…

    พิธีกรหันมาทางผู้ชม ซึ่งยังคงนั่งกับที่ แม้สามรางวัลใหญ่จะผ่านไปแล้ว เนื่องจากรางวัลชมเชยของที่นี่ สูงกว่ารางวัลใหญ่ของที่ไหนๆทั้งหมด สิ่งน่าสนใจจึงยังคงวางอยู่ตรงหน้าอีกมาก

    “ย้ำอีกครั้งว่าท่านที่เหลือต่อไปนี้ทั้งหมด ล้วนมีผลงานเป็นที่พอใจของคุณโภไคยแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อถือและเลื่อมใสในวิจารณญาณของท่านเป็นที่สุด ดังนั้นขอกล่าวว่า ผู้รับรางวัลชมเชยน่าจะภูมิใจในผลงานของตัวเองไม่แพ้ผู้รับรางวัลใหญ่สักเท่าไหร่ครับ”

    แพตรีหันมาหามติ

    “ท้าเลย ถ้าเธอพลาดรางวัลชมเชยนะ ให้ปรับยังไงก็ได้”

    เสียงนุ่มเย็นนั้นก่อความรู้สึกอบอุ่นใจกับเขายิ่ง แค่มีหล่อนอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งกว่าได้รางวัลที่หนึ่งแล้ว…

    “มั่นใจฝีมือผมขนาดนั้นเลยเหรอ คนเก่งกว่ามีอยู่หลายร้อยฮะ รู้สึกจะสู้ไม่ไหวหรอก ช่วงเช้าเดินดูได้แค่เกือบครึ่ง ก็เห็นแล้วว่าที่ร่วมประกวดนี่หัวกะทิและมือทองกันทั้งนั้น”

    “นี่ไงล่ะ แพรับประกันอยู่นี่ไงว่าเธอก็หนึ่งเหมือนกัน และต้องได้แน่ๆ ถึงยอมให้ปรับถ้าผิดจากที่พูด”

    มติเห็นดวงตาหล่อนขึ้นประกายในเงามืด จนสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มซุกซนที่ผุดพรายใต้ดวงตา รวมทั้งรู้ใจตนเองว่าถลำลงหลุมรักแพตรีลึกขึ้นทุกที

    “ก็ดีฮะ ถ้าพลาดทุกรางวัลจะได้มีอะไรปลอบใจมั่ง ถ้าพี่แพเดาผิด ผมอดรางวัลชมเชย พี่แพต้อง…ต้องไปนั่งดูทะเลกับผมนะ”

    จิตรกรหนุ่มเอ่ยขอตะกุกตะกักด้วยความขลาดกับปฏิกิริยาอันไม่เป็นที่รู้ของแพตรี

    “ตกลง!”

    หล่อนตอบง่ายราวกับเขาฝันไป มติใจชื้นจนกล้าถามอีก

    “แล้วถ้าผมได้รางวัล จะฉลองกับผมหรือเปล่า?”

    “ฉลองยังไง?”

    “ไปนั่งดูทะเลด้วยกัน”

    หญิงสาวหัวเราะเบาใส

    “ก็ได้…”

    เหมือนมีกระแสเย็นรื่นมาช้อนหัวใจเขาลอยขึ้นสวรรค์ กังวานวิเวกหวานในสายเสียงตอบรับนั้นจุดรอยยิ้มเผลอไผลขึ้นที่ริมฝีปากของมติ ไปอยู่ในที่ที่มีแต่เขากับแพตรีสองคนคือความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวเสมอมา รองจาก…

    รองจากอะไรลืมแล้ว…

    มติกับแพตรี รวมทั้งคนอื่นในหอประชุมต่างเงียบเสียงตั้งใจฟัง เมื่อพิธีกรกำลังจะเอ่ยชื่อบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลชมเชย

    “ขอแสดงความยินดีกับท่านแรกครับ เจ้าของผลงาน ‘แสงนฤพาน’ คุณมติ ภูริพัฒน์”

    เสียงปรบมือดังขึ้นอีกระลอก สองหนุ่มสาวหันมาแลตากัน แพตรีแย้มริมฝีปากเห็นประกายไรขาววาวแวว แล้วยกสองมือขึ้นตบ เห็นไหวๆราวกับจะแทนรูปช่อดอกไม้แสดงความยินดีเยี่ยงคนใกล้ชิดสนิทที่สุด

    มติถอนสายตาจากหญิงสาว ลุกขึ้นเดินขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัล แต่แปลก ใจไม่คิดสิ่งอื่นใดเลย นอกจากอยากเดินกลับที่นั่งเร็วๆ กลิ่นอายของแพตรีติดตามมาครอบงำจิตใจทุกฝีก้าว ความหอมหวานของหล่อนเหมือนมนตร์สะกดให้หลงลืมทุกสิ่ง แม้ความดีใจตรงหน้าก็ถูกข่มรัศมีลงจนเกือบมิด เงินรางวัลก้อนโตถูกมองอย่างเดียวว่าจะแปรเป็นของขวัญอันแสนวิเศษสำหรับหล่อนอย่างไร ให้สมกับที่หล่อนเป็นของขวัญแสนวิเศษสำหรับชีวิตเขาในยามนี้

    รู้สึกเหม่อๆจนต้องเตือนตนเองให้ตั้งสติเมื่อก้าวขึ้นมาอยู่บนเวทีต่อหน้าคนเรือนพัน เขาพยายามมองหาแพตรี อยากยิ้มให้หล่อนสักนิดหนึ่ง แต่แสงจ้าของสปอตไลท์ที่แยงตาลงมาจากด้านบนบดบังทุกสิ่งเบื้องล่างไว้ให้เหลือเป็นเพียงเงาตะคุ่มเลือนราง

    ถึงคิวนี้พิธีกรชักเริ่มรู้ว่าตนเองน่าจะอ่านร้อยกรองของผู้รับรางวัลไว้ล่วงหน้าบ้าง เวลายิงคำถามจะได้เข้าเป้าเร็วขึ้น แทนที่จะใช้ความเก๋าเฉพาะตัวเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา ระหว่างมติเดินขึ้นเวที จึงแอบชำเลืองไว้แล้ว

    พิธีกรขบริมฝีปากหน่อยๆ มองหน้าเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผู้รับรางวัลเหรียญเงินเมื่อครู่ ดูอาจจะอ่อนกว่าเสียด้วยซ้ำ นึกกังขาว่าพ่อหนุ่มน้อยนายนี้พยายามจะสื่อประสบการณ์ตรงหรือจินตนาการนึกคิดฉลาดปรุงแต่งกันแน่

    ท่าทางผู้รับรางวัลคนนี้คงรักสันโดษอยู่ บุคลิกของความเป็นคนเก็บตัวเงียบฉายชัดออกมาทางกิริยาเดินเหินและกระแสนิ่งรอบตัว แต่หากให้วิจารณ์ตรงไปตรงมา ก็อยากบอกว่าน่าจะยังเป็นนักปฏิบัติกระดูกอ่อน หรือแค่มือใหม่หัดเดินจงกรม เหตุเพราะมองนัยน์ตาและรอยยิ้มแล้ว ยังส่อแววช่างคิดช่างฝันอยู่มาก แทบน่าฟันธงไปเลยด้วยซ้ำว่ากำลังเคลิ้มอยู่ในอารมณ์รัก แววชนิดนั้นใครๆก็ดูออก เพราะเป็นของสมวัย สมวิถีโลกอยู่แล้ว

    ทว่าภาพและบทกลอนขยายความของมติก็ทรงพลังหนักแน่นเกินกว่าจะลงความเห็นปรามาสเสียแต่ต้นมือ

    ฉะนั้นหลังจากทักทายปราศรัยเกี่ยวกับสถานภาพปัจจุบันเล็กน้อย แทนที่จะถามถึงแรงบันดาลใจหรือความเป็นมาของภาพ พิธีกรกลับเลือกยิงหมัดแย็บเป็นการสอบภูมิเสียก่อน

    “คุณมติครับ ผมทราบมาว่าการจะบรรลุมรรคผลได้นี่ต้องใช้กำลังใจระดับหนึ่งเพื่อตัดกิเลส เหมือนเราต้องมีทั้งใบเลื่อยที่คมแข็ง และทั้งแขนที่แกร่ง ถึงจะตัดต้นไม้ได้ อันนี้คุณมติพอจะมีคำแนะนำดีๆและง่ายๆในการสะสมกำลังให้พร้อมจะตัดกิเลสบ้างไหมครับ?”

    มติกะพริบตาถี่ๆ เดิมทีเขาไม่ใช่คนพูดคล่อง โดยเฉพาะการพูดในที่ชุมชน ว่ากันตรงไปตรงมาก็คือเขาเป็นคนขี้อาย ขาดความเชื่อมั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก ถ้าจะให้ขยายความรู้ความฉลาดได้นี่ต้องอยู่ในที่สงบเป็นสัดส่วนกับคนใกล้ชิดเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นมายืนบนเวทีนี้แล้ว ความขลาดในการเผชิญหน้ากับหมู่ชนดูเหมือนขาดสายหายหนไปได้อย่างแปลกประหลาด เขารู้สึกถึงพลังอัดที่รออยู่ในแก้วเสียง พร้อมจะแปรสภาพเป็นถ้อยกระทงพรั่งพรูออกไปเต็มปากเต็มคำ กับทั้งรู้สึกสบายๆ หายใจปกติได้เท่ากับอยู่ในห้องนอน ไม่ต้องเกร็งเนื้อตัว ไม่ต้องตระเตรียมสติเพื่อเค้นความคิดในหัว เพราะแน่ใจว่ามีคำตอบอยู่หมดแล้ว จะเรียกจากในกายหรือนอกกายเดี๋ยวนี้หรือเดี๋ยวไหนก็ได้ทั้งนั้น

    พิธีกรถามถึงเรื่องการสะสมกำลังเพื่อตัดกิเลส ว่าเข้าไปถึงภาวะจิตที่พร้อมบรรลุมรรคผลเลยทีเดียว โดยเฉพาะตั้งโจทย์เล่นแง่เฉพาะเสียด้วย คือต้องดีและง่าย แน่นอนหากถามคนเพิ่งศึกษาธรรมะจากหน้าหนังสือ ไม่เคยลงสนามจริงมาก่อน ก็คงตกตะลึงจังงัง เพราะคำตอบมิได้ปรากฏอยู่ในตำราทั่วไป ต้องว่ากันสดๆ สืบหาเอาจากสมบัติภายในตนเอง หยิบยืมจากใครหรือคัมภีร์เล่มไหนไม่ได้

    ชั่วพริบตาก่อนขยับปากพูด มติรู้สึกถึงตัวตนใหม่อันเกิดจากสภาพภายในที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน หลังตรง คอตั้ง ทรงอยู่ด้วยแกนรู้ว่างสว่างขาวเยี่ยงผู้เบาบางแล้วจากกิเลสหยาบ ใจที่เคารพธรรมอันสูงส่งย่อมถูกยกส่งขึ้นสูงตามไปด้วย เขากำลังจะพูดออกมาจากธรรม มิใช่จากตัวตน ในหัวยามนี้จึงดูเงียบเชียบ สงบสงัดจากความคิดแบบเดิมๆ เขากลายเป็นธรรมทั้งแท่งไปชั่วครู่ที่เอ่ยถ้อยอันเป็นธรรม

    “อันนี้พอเปรียบเทียบได้กับนักยกน้ำหนัก ที่เพาะกล้าม เพาะกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเหมาะกับจานเหล็กหนักขนาดต่างๆ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือรู้กำลังตัวเอง ว่าควรเริ่มที่น้ำหนักเท่าไหร่

    สภาพจิตที่พร้อมบรรลุมรรคผลเพื่อตัดกิเลสนั้น เราเล็งไปที่กำลังในการเพ่งเห็นอนัตตาจนจิตหมดอาการยึดสิ่งใดๆแม้จิตเองเป็นตัวเป็นตน จิตมีลักษณะปล่อยวางว่างสนิทจนตัวรู้ถูกเหนี่ยวนำด้วยความบริสุทธิ์ของพระนิพพาน ให้โพล่งขึ้นฉายเป็นอิสระ หมดการกำหนดหมายใดๆ

    เพราะฉะนั้นลักษณะจิตในแบบที่เราต้องการ ควรปราศจากความยึดติด พร้อมจะปล่อยวางทุกสิ่ง และมีน้ำอดน้ำทนพอจะเพ่งเผาอุปาทานได้แห้งสนิท ไม่ใช่เดี๋ยวเดียวก็คลายอาการเพ่งลง จนจิตไม่ทันดิ่งลงซึ้งถึงความว่างไร้การปรุงแต่ง

    ถ้าหากยึดลักษณะจิตเช่นนี้เป็นหลักแล้วน้อมเข้ามาดูใจเราเอง จะเห็นครับว่าตัวเองมีกำลังพร้อมแค่ไหนกับการบรรลุมรรคผล บางคนอาจมีใจปล่อยวาง เบาโกรธ เบาโลภ เบาหลงอยู่แล้ว รวมทั้งมีกำลังจิตดีพอจะเพ่งรู้เข้าไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานๆ อย่างนี้ก็อาจใช้ปัญญาพิจารณาธรรมในแง่อนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตาได้เลย เป็นการมุ่งลัดตัดตรงทีเดียวเหมือนเช่นผู้มีบารมีพร้อมบรรลุมรรคผลเร็วทั้งหลาย

    แต่สำหรับคนทั่วไป ถ้ายอมรับได้ในขั้นแรกว่าตัวเองยังโกรธแรง โลภแรง ก็จะได้เริ่มเพาะกำลังกันจากจุดนั้น คือทำจิตให้เป็นทานบ่อยๆ เสียสละแจกจ่ายได้หมดทุกแง่ ไม่ว่าจะเป็นใจให้ทรัพย์สินเงินทองเป็นประโยชน์กับคนอื่น หรือเป็นใจให้อภัยในความผิดพลั้งของคนอื่น หรือเป็นใจให้หลักธรรมในการพัฒนาชีวิตกับคนอื่น คุณของใจที่ให้ทานจนชำนาญแล้ว จะถอดเกราะอันหนาเตอะลงวางเสียได้ กำจัดโรคสงสารตัวเองอันเป็นเจ้าเรือนใหญ่ของอุปาทานในอัตตา นอกจากนั้นพฤติกรรมทางจิตยังเป็นแบบเดียวกับขณะก่อนบรรลุมรรคผล คือสลัดตัดวาง ปล่อยออกได้หมดทุกอย่าง ทิ้งได้หมดทุกสิ่ง

    ทานจึงไม่ใช่ของเล็กอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มีความหมายในระดับแบบฝึกหัดเบื้องต้นเพื่อการเข้าถึงธรรมเป็นพระอริยบุคคลทีเดียว ถ้าใครให้ทานมากจนจิตติดทาน ขนาดคิดปรารถนาอุทิศตนเป็นประโยชน์กับสาธารณชน หรือนึกว่าแม้กายนี้ เมื่อไม่ใช้แล้วก็อยากบริจาค จะเข้าใจได้ดีครับ ความรู้สึกปราศจากความหวงแหน อยากบริจาคดวงตา บริจาคอวัยวะ บริจาคเลือดแบบไม่อาลัยไยดีนั้น ใกล้เคียงกับ ‘จิตทิ้ง’ เมื่อจะบรรลุมรรคผลมาก

    กำลังจิตที่ได้จากการบำเพ็ญทานเป็นนิตย์ วัดกันได้จากความสุขแรง สงบสว่างเยือกเย็นในขั้นหนึ่ง เราสามารถใช้ความสุขระดับนั้นเป็นกำลังใจในการต่อยอดขั้นต่อไปคือรักษาศีล ซึ่งธรรมดาคนทั่วไปบอกว่าศีลรักษายาก แต่เมื่อได้กำลังจากจิตที่เป็นทานหนุนหลังแล้ว จะเห็นว่าไม่ยากเลยกับการเลิกฆ่าสัตว์ เลิกลักทรัพย์ เลิกผิดลูกเมีย เลิกโกหก และเลิกเสพสิ่งมึนเมา

    คนทั่วไปถูกยวนยั่วให้ผิดศีลกันเป็นปกติ เพราะฉะนั้นชีวิตธรรมดาๆนี่เองเป็นแบบฝึกหัดสำหรับการถือศีล การถือศีลคือต้องตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าเจอเหตุการณ์ยั่วให้ศีลขาดแล้วจะไม่ไหลตามน้ำ จะทวนกระแส เช่นเมื่อตั้งใจจะไม่โกหก พบเหตุการณ์ที่ยั่วยวนให้โกหก ก็ตัดสินใจเลือกพูดความจริงทันที ไม่ชะงักลังเลใดๆ อย่างนี้จึงจะเรียก ‘ถือศีล’ ยิ่งถือมากเท่าไหร่ยิ่งใกล้ความเป็นผู้ทรงศีลถาวรเท่านั้น

    กำลังที่ได้จากการถือศีลคือความมั่นคงทางใจ กับทั้งรู้สึกสูงพร้อมพอจะต่อยอด เพราะใจกับความดีกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ความดีอันมั่นคงนี้พัฒนาเป็นสมาธิได้ง่าย เพ่งจับสิ่งไหนก็ไม่ฟุ้งซ่านซัดส่ายจากสิ่งนั้น และเมื่อจิตมีกำลังเหลือเฟือ ก็สามารถใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่าได้ด้วยการพิจารณาธรรมอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีความต่อเนื่องเนิ่นนานเท่าไหร่ ยิ่งก่อกระแสเหนี่ยวนำมรรคผลได้มากขึ้นเท่านั้น

    ถึงจุดนี้เอง เราได้มหากำลังที่พร้อมต่อการเข้าถึงมรรคผล ลักษณะภายในจะเป็นจิตใหญ่ เหมือนผู้มีมัดกล้ามย่อมรู้สึกพร้อมจับยึดสิ่งต่างๆอย่างแน่นหนา หรือยกของมีน้ำหนักมากได้อย่างมั่นใจ นั่นคือเอาจิตไปพินิจสิ่งต่างๆ นับเริ่มจากความเป็นกาย ความเป็นผัสสะกระทบกาย ไปจนกระทั่งตัวของจิตผู้รู้เอง เห็นทุกสิ่งพร้อมกัน และแทงตลอดไปถึงความเป็นปัจจัยของกันและกัน ไม่มีตัวตนอยู่ในที่ใดๆ

    ฉะนั้นเบื้องต้นแล้ว ต้องเล็งให้เห็นว่ากำลังในระดับทาน ศีล สมาธิ ปัญญามีอยู่ในเราหรือยัง ถ้ามีมีอยู่ที่ตรงไหน อันนี้สำคัญมาก ยิ่งมีกำลังสูงขึ้น ก็จะมองย้อนกลับไปเห็นครับว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ถูกแล้ว ทางลัด ทางง่ายกว่าทาน ศีล สมาธิ และปัญญา ไม่มีอีกแล้ว ใครเข้าปฏิบัติธรรมแบบด่วนได้ ก็อาจเหมือนนักยกน้ำหนักใจร้อนที่ผลีผลามพยายามเกินกำลัง ถ้าผลเสียไม่ถึงขนาดกล้ามเนื้อฉีกขาด อย่างน้อยก็เสียกำลังใจ ไม่ชวนให้อยากกลับมาฝึกฝนต่อให้สำเร็จ”

    มติตอบยืดยาว เพราะลักษณะธรรมอันเป็นคำตอบของคำถาม บังคับให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น

    และอันเนื่องจากจิตทรงตัวเป็นสมาธิสว่างไสวตลอดเวลาสาธยายธรรม น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจึงชวนฟัง เหนี่ยวนำให้จิตใจสงบลงใกล้ธรรม ใกล้นิพพาน ซึ่งนั่นย่อมต่างกับคนที่พูดถึงธรรมะชั้นสูงด้วยใจที่ยังไม่ถึงธรรม ฟังแล้วเกิดความขัดแย้ง อยากหน่ายหน้าหนี

    สาระของการสาธยายธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่สั้นหรือยาวเท่าไหร่ ต้องใช้ปัญญาลึกซึ้งอัศจรรย์เพียงใด แต่อยู่ที่พูดจากใจที่เย็นแค่ไหน ส่งตรงจากสัจจะความจริงที่มีในตนหรือไม่

    พิธีกรเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่ายิ่งพูด เด็กหนุ่มก็ยิ่งมีสีหน้าผ่องใสขึ้น และมีกระแสใจสงบเย็นลงเรื่อยๆ กับทั้งธรรมที่เปล่งจากปากกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ไม่ส่อเค้าขัดแย้งกับใจ จึงชักเริ่มเอนเอียงข้างเชื่อ ว่ารายนี้ของจริง

    ด้วยความเป็นสัมมาทิฏฐิผู้มีปัญญา พิธีกรจึงเห็นสบโอกาสเหมาะ ไถ่ถามข้อข้องใจของคนทั่วไปเสียเลย ถามเอาจากตัวจริง เสียงจริงอย่างนี้แหละเหมาะที่สุด เพราะคำตอบย่อมเป็นตัวสรุปให้เชื่อว่านำไปสู่มรรคผล ต่างจากผู้รับรางวัลใหญ่ทั้งสามที่ผ่านมา ซึ่งชัดว่ายังเป็นผู้ข้อง ผู้สงสัยอยู่ว่านิพพานมีจริงหรือไม่ ในเมื่อยังไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสโดยตรงมาก่อน

    ผู้ยังไม่ถึงธรรม พูดแล้วย่อมแกว่งที่ปลายทาง เพราะยังหาข้อยุติแน่ชัดไม่ได้

    แต่ผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ย่อมเป็นมติแห่งธรรม พูดเข้าจุด เข้าธรรมแท้ถ่ายเดียว

    “คุณมติครับ เราจะพยายามบรรลุมรรคผลกันไปทำไม?”

    มตินิ่งอยู่ในอาการสมาธิอึดใจหนึ่ง ตัวคำตอบก็ผุดขึ้นในหัว

    “เบนคำถามเป็นอย่างนี้ดีกว่าครับ เราจะละกิเลสไปทำไม เพราะการบรรลุมรรคผลที่แท้ไม่ใช่เพื่อความสูงส่งหรือหวังสมบัติสวรรค์ชั้นไหน แต่เป็นไปเพื่อดับกิเลส ทำลายกิเลสนั่นเอง หัวใจของพุทธศาสนาคือเห็นกิเลสเป็นตัวก่อทุกข์ ก่อความเร่าร้อนขึ้นในใจ ฉะนั้นดับกิเลสก็คือดับต้นเหตุของทุกข์

    กิเลสเป็นไฟที่ดับด้วยน้ำไม่ได้ ใช้เจตนาหรือแม้กำลังจิตอันแก่กล้ามาดับก็ไม่ได้ นี่เองเป็นเหตุให้คนทั้งหลายมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะดับโกรธ ดับโลภ ดับหลง จะเก่งกาจจากไหนก็ตาม ในเมื่อเชื่อเสียแล้วว่าเป็นเรื่องธรรมชาติก็ไม่คิดจะดับ อย่างมากแค่คิดควบคุมให้อยู่ในร่องในรอยเท่านั้น

    แม้มีคนบางพวกที่เห็นภัยของกิเลส และพยายามหาทางดับกิเลส แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ถึงแม้ทำสมาธิได้จนถึงขั้นสูงสุด จิตก็ยังตก ยังคืนกลับมาแสดงกิเลสได้อีก กระทั่งพระมหาบุรุษเช่นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงมีการค้นพบว่าต้องใช้ไฟล้างคือมรรคผลในการตัดกิเลส และพระองค์ก็ประกาศธรรม ประกาศทางคือมรรคแปด หรือทางสายกลางที่เรารู้จักกัน เพื่อจุดไฟล้างดังกล่าว ใครล้างกิเลสได้ขาดแล้วก็รับรองตามพระพุทธเจ้าได้ครับ ว่าเพียรพยายามเพื่อบรรลุมรรคผลนั้นดีแน่ หมดทุกข์แน่”

    “เมื่อกี้คุณมติพูดถึงทางสายกลางที่จะนำไปสู่การจุดไฟล้างกิเลส จะกล่าวโดยย่นย่อได้ไหมครับว่าทางสายกลางคืออะไร”

    “ทางสายกลางคือการเป็นอยู่ที่เสพผัสสะชนิดไม่แรงเกินไป ทั้งด้านที่จะเป็นทุกข์และเป็นสุข เรารู้สึกได้เองว่าดำเนินชีวิตอย่างไรแล้วไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะครอบงำใจ สามารถเตรียมใจให้พร้อมเป็นมรรคแปดง่ายๆ

    ตัวมรรคแปดเองคือจิตดวงเดียวที่มีความสว่างอันเกิดจากศีล สมาธิ และปัญญาประชุมพร้อมเข้าด้วยกัน ในภาวะจิตแบบนั้น เมื่อคลื่นความคิดสงบตัวลง จะมีความเห็นถูก เห็นชอบผุดขึ้นแทน เรียกว่า ‘ทิฏฐิวิสุทธิ์’ เห็นทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นโทษเป็นภัยน่าหน่ายแหนง ยิ่งมีพฤติกรรมทางจิตผละออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหนี่ยวนำให้ใกล้เกิดกระแสล้างกิเลสขึ้นเท่านั้น”

    พิธีกรยังติดใจ อยากซักอยากถามให้ทะลุตลอดสาย เสียแต่เห็นว่าได้เวลาอันสมควร เพราะยังมีผู้รับรางวัลข้างหลังรออยู่ จึงหันมาสรุปด้วยน้ำเสียงแสดงความปีติ

    “ท่านผู้มีเกียรติครับ คุณมติทำให้ผมเห็นตัวอย่างว่าถ้าจับเส้นทางชีวิตได้ถูกจุดตั้งแต่วัยแรกเริ่ม ก็เป็นอันลัดทาง เข้าถึงประโยชน์ของชีวิตได้แต่เนิ่นๆอย่างนี้เอง เอาล่ะครับ…ขอเชิญอ่านร้อยกรองประจำภาพ ‘แสงนฤพาน’ ของคุณมติให้พวกเราฟังเถิด”

    มติรับแผ่นกระดาษจากมือพิธีกรมา และเริ่มอ่านบทกลอนของตน ทีแรกก็อ่านไปเรื่อยๆไม่สะดุดอะไร แต่พอผลัดช่วงจากกลอนหกเป็นกลอนแปด ตอนจบบาทแรกนั่นเอง เขาก็เห็นคำสะกดผิดคือ
     

    ทำไมเหวยไม่เคยซึ้งจนวันนี้      วันที่มีพระผู้ชี้จนกูทาย
     

    คำว่า ‘กูหาย’ กลายเป็น ‘กูทาย’ คงเพราะคนคัดลอกเห็น ห. หีบเป็น ท. ทหาร ขาดความระมัดระวังตรวจพิสูจน์ให้ละเอียดเนื่องจากจำนวนผลงานที่ได้รับรางวัลมีอยู่เยอะ

    นั่นทำให้อึ้งงัน สะดุดการอ่านไปอึดใจ มติรู้สึกตัวว่าย่นคิ้วด้วยความขัดเคือง โทสะแล่นขึ้นแทรกซึมเข้าสู่หัวใจเป็นริ้วๆ เพราะทราบว่าที่ฉายขึ้นสกรีนเล็กก็คงเหมือนกับที่อยู่ในกระดาษนี่เอง และอาจแพร่กระจายไปในวงกว้างผ่านสื่อมวลชนด้วยอีกต่างหาก ความหละหลวมของคณะดำเนินการทำให้งานของเขาพลอยมัวหมองไปด้วย

    นี่เป็นเรื่องออกจะแรงเอามากสำหรับศิลปินทั่วไป ซึ่งมักเข้มงวด อยากให้งานของตนไร้ที่ติ อัดแน่นด้วยความสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏต่อสายตาสาธารณชน

    บนเวทีแห่งนี้ ถ้ามีใครเอาของแข็งมาฟาดท้ายทอยเขาเปรี้ยงหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว เขาอาจไม่โกรธ และเป็นบทพิสูจน์ความมีโทสะน้อยของผู้เป็นหลักฐานการบรรลุมรรคผล ปรากฏน่าเลื่อมใสแก่สายตานับพันคู่

    แต่นี่เกิดเหตุบันดาลโทสะจี้ถูกจุด ถึงกับทำให้เขาชักสีหน้า และหยุดอ่านไปชั่วขณะอย่างนี้

    เพราะ ‘กู’ ของจริงยังไม่ ‘หาย’ สนิท

    เมื่อสติกลับคืนจึงเกิดความรู้สึกละอาย เพราะเพิ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทน พูดแทนพระธรรม ยังไม่ทันไรสำแดงกิเลสเฉพาะตัวออกมาอวดเสียแล้ว

    ก่อนขึ้นเวทีเขาปล่อยให้ราคะแผลงฤทธิ์จนเกือบตั้งสติทำหน้าที่ไม่ได้ พออยู่บนเวทีก็ปล่อยให้โทสะสำแดงเดชเข้าอีก น่าอับอายขายหน้าเหลือเกิน ใครไม่เห็นก็เขาเองนี่แหละที่เห็น

    กิเลสทุกชนิดมีลักษณะเหมือนกันหมด คือบดบังปัญญาเห็นธรรม ปัญญารักษาธรรม และปัญญาปรารถนาธรรมเอาไว้ เมื่อราคะยังไม่ดับก็แปลว่าโทสะยังไม่ดับด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของใจที่ไม่อาจทนต่อสิ่งกระทบและแรงเร้าภายนอกทั้งสิ้น

    การเตือนตนเองได้เป็นลักษณะหนึ่งของโสดาบันบุคคล

    เมื่อมติสำนึกได้ ดวงจิตก็สว่างเบิกบานขึ้น อ่านกลอนต่อด้วยนวลเสียงหนักแน่น พอจบและรับเสียงปรบมือจากผู้ชม ก็หันมองภาพบนสกรีนยักษ์ ใจนึกถึงแสงนฤพานในตนขึ้นมา คล้ายได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลหลงสติไปชั่วขณะหนึ่ง

    สำหรับจิตของอริยบุคคลชั้นตนนั้น ในระดับสมาธิธรรมดาจะเห็นกลางอกเป็นความว่างโล่ง โปร่งสบาย ถ้าเอาจิตเข้าไปอาศัยในความว่างโล่งนั้นแล้วมองออกมาภายนอก ก็จะเห็นกาย เห็นสิ่งทั้งหลายภายนอกเป็นสิ่งสมมุติชั่วคราว ว่างเปล่าได้หมด โดยแทบไม่ต้องกำหนดพิจารณาแต่อย่างใด ต่างกับปุถุชนที่ยังต้องเค้นพิจารณาประกอบเหตุผลกันเหนื่อย กว่าจะเริ่มเห็นจริงเห็นจังได้

    ลักษณะของผู้เข้ากระแส จะไม่หลงเข้ารกเข้าพงตามกิเลสแบบกู่ไม่กลับก็ด้วยอาการเช่นนี้ แม้เลอะเลือนบ้างเยี่ยงผู้ที่ยังชำระสะสางกิเลสไม่เด็ดขาดสะอาดสิ้น ก็จะคืนสติเร็ว เพราะใจรำคาญความหมักหมมของกิเลส ปรารถนาความโปร่งใส แช่มชื่นสมภูมิจิตตนตลอดเวลา

    เดินเข้าไปรับรางวัลจากท่านประธานพิธี มติยกมือไหว้อย่างนอบน้อมค้อมตัว คุณโภไคยยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยเนิบด้วยความปรานียิ่งกว่าครั้งใด

    “คุณได้รับรางวัลจากตัวเอง ไม่ต้องรอการตัดสินจากกรรมการมาแล้วนี่นะ”

    ศิลปินหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้อาวุโส

    “เป็นรางวัลที่ไม่ต้องรักษาก็คงอยู่ สูญหายหรือถูกขโมยไม่ได้…แต่ก็ยังต้องหมั่นปัดฝุ่น ถ้าคุณชะล่าใจ ก็อาจทำตัวเป็นโทษใหญ่หลวงกับตัวเองและคนอื่นได้”

    ความจริงท่านประธานจับตามองศิลปินหนุ่มคนนี้ตั้งแต่ก้าวขึ้นเวทีมาแล้ว และกำหนดจิต ‘ลืมตา’ ขึ้นข้างในเพื่อดูใจที่กลางอกของมติ อย่างปรารถนาที่จะล่วงรู้ว่าเจ้าของผลงานแสงนฤพานนั้น ‘ใช่’ หรือเปล่า จะลอกธรรมมาจากไหน หรือเข้าใจไขว้เขวคลาดเคลื่อนว่าตน ‘ถึง’ ดังที่เป็นกันมากทุกยุคทุกสมัยหรือไม่

    หากยังเป็นปุถุชน ต่อให้สร้างสรรค์ผลงานลวงตาน่าเลื่อมใส หรือแม้บำเพ็ญสมาธิจนล่วงลุฌานสมาบัติชั้นสูงสักปานใด ก็จะเห็นกลางอกยังมีสิ่งปกคลุมมุงบังเหมือนหมอกบาง ยิ่งถ้าคิดคดชั่วร้ายก็จะเห็นหนาทึบราวกับแผ่นหิน ลักษณะจิตวิญญาณอันเป็นของจริงประจำตัวจะเปิดเผยออก อำพรางกันไม่ได้เลยสำหรับผู้ถึงกระแสและคล่องในฌานเช่นคุณโภไคย

    และด้วยอำนาจทะลุทะลวงสิ่งห่อหุ้มชั้นหยาบเข้าไปเห็นนามธรรมอันแฝงซ้อนอยู่ในกายนี้ ทำให้คุณโภไคยเห็นธาตุพิสุทธิ์ในมติชัดเจน ธาตุนั้นปรากฏเป็นสภาพรู้แช่มชื่น เบิกบาน ซึ่งอริยบุคคลมักเรียกเป็น ‘จิตยิ้ม’ เมื่อบรรลุมรรคผลใหม่ๆจะเป็นยิ้มใหญ่ แต่เวลาปกติจะเป็นยิ้มน้อย และถูกเห็นได้เสมอจากผู้เข้าถึงกระแสด้วยกัน แม้ถูกกิเลสห่อหุ้มอยู่อย่างหนาแน่นก็ตาม

    อริยบุคคลที่เปิดตาในได้ จะพยากรณ์ไม่พลาด ที่มักพยากรณ์กันผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนก็เพราะดูเอาจากพฤติกรรมภายนอกเป็นหลัก เช่นถือศีลได้บริสุทธิ์ก็ทึกทักว่าเป็นพระโสดาบัน หรือเห็นไม่เสพกามก็เหมาเป็นพระอนาคามี มองทะลุเข้าไปถึงเชื้อกิเลสที่ยังปะทุ ยังกำเริบขึ้นอีกไม่ได้

    แม้ผู้ทรงฌาน ฝึกตาทิพย์สำเร็จ เห็นไปตลอดนรก สวรรค์ และพรหมภูมิ ตราบใดที่ยังไม่บำเพ็ญวิปัสสนาจนรู้จักมรรคผล หรือเป็นพระนิยตโพธิสัตว์ที่ทรงภูมิบารมีแก่กล้าจริงๆ ก็อาจพยากรณ์พลาดได้เหมือนกัน เช่นที่มีปรากฏบ่อยๆคือใช้กำลังจิตระดับสูงเข้าดูรัศมีกาย พอเห็นโปร่งใส สุกสว่างคล้ายกับที่ปรากฏในพระอริยบุคคล ก็ฟันธงว่าใช่ ทั้งที่เจ้าตัวเองรู้อยู่ว่ากิเลสเพียงถูกกดทับไว้ด้วยอำนาจฌานเท่านั้น

    ในส่วนของมติ ถ้อยคำของคุณโภไคยมีผลให้บังเกิดปีติโสมนัสและชุ่มชื่นยิ่ง ซึ่งถ้าหากเป็นผู้ใหญ่ธรรมดาเช่นพิธีกรพูดแบบเดียวกันนี้เป๊ะ เขาจะไม่เกิดความปลาบปลื้มเทียบได้เท่าเลย เนื่องจากกระแสธรรมไม่รับกัน จึงทำให้เอะใจว่าท่านประธานคงไม่ใช่กัลยาณชนผู้น่าเลื่อมใสธรรมดาๆเสียแล้ว

     เขายังเข้าใจภาวะของตนเองน้อยอยู่ รู้เพียงว่านิพพานคือความสนิทราบคาบจากการปรุงแต่ง อยู่เหนือจิตรู้ เหนือความว่าง เหนือความสว่าง เหนืออนันตภาพใดๆในจินตนาการ เป็นของมีจริงอย่างไม่ลังเลสงสัย รวมทั้งทราบหนทางเข้าถึงอย่างจะแจ้งว่าต้องมาจากพฤติกรรมทางจิตแบบสลัดทิ้ง แต่เรื่องอื่นนั้น ยังครึ่งๆอยู่ระหว่างความรู้ของคนธรรมดากับกัลยาณชนผู้มีความสามารถปฏิบัติธรรมระดับกลาง

    ฉะนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณโภไคย ได้ยินคำกล่าวคล้ายอนุโมทนาที่เคล้ามากับการสะกิดเตือน ก็เกิดความลังเลว่าที่ท่านพูดนั้น ดูเอาจากภาพเขียนและร้อยกรองของเขา หรือว่าพูดด้วยความรู้จากภายในกันแน่

    มติมีดีพอจะรวมจิตนิ่งเพื่อให้แสงรู้ทอตัวขึ้นที่กลางอก เห็นธาตุธรรมภายในโปร่งใสพอจะน้อมใช้ ก็ส่งออกเทียบวัดดูว่าจะพบความว่างอย่างไร้ขอบเป็นเนื้อเดียวกันในผู้ยืนตรงหน้าหรือไม่ ด้วยภาวะหยั่งรู้นั้น หากจิตชั้นในของท่านประธานยัง 'ทึบ' อยู่ด้วยกำแพงสักกายทิฏฐิ มติจะสำเหนียกทราบถึงความหยาบ ไม่โปร่งเบาทันที ต่อให้ทรงฌานเป็นปกติได้สูงระดับไหนก็ตาม

    แต่ธรรมละเอียดอันโล่งว่างที่มติสัมผัสว่าเข้ากันได้กับจิตตน ทำให้ปราศจากข้อคลางแคลงทันที เพราะแม้ภายนอกคือการปรุงแต่งรูปนามผิดแผกแตกต่างกัน ดูเหมือนมีการแบ่งแยกเป็นฝั่งนี้กับฝั่งโน้น แต่ทว่ากระแสภายในคือความรู้ว่าง รู้เย็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวเสริมกัน ใกล้กันแล้วจิตยิ่งทวีความเบิกบานในมหาสุญตาได้ไม่รู้จบรู้สิ้น คุณโภไคยเข้ากระแสแล้วแน่นอน แต่จะอยู่ชั้นใดนั้นเกินวิสัยเขาหยั่งถึงด้วยกำลังปัจจุบัน

    อริยบุคคลย่อมพึงใจสมาคมกับ ‘คนใน’ ด้วยกันก็เพราะเหตุนี้ ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีความเป็นอื่น และที่สุดจะต้องบรรจบกันที่นิพพานเมื่อเสร็จกิจ สิ้นภาระ สิ้นข้อขัดข้องของตนแล้ว

    มติยิ้มออกมาด้วยความบริสุทธิ์จากภายใน พนมมือไหว้คุณโภไคยอีกครั้งด้วยกำลังใจเท่ากับลงคุกเข่ากราบ

    “ผมจะพยายามระมัดระวัง รักษาเนื้อรักษาตัวครับ”

    ท่านประธานงานประกวดพยักยิ้ม แล้วเอื้อมมือมาตบบ่าของเด็กหนุ่มด้วยความปรานีเป็นพิเศษ

    “เจริญในธรรมนะ”

    มติรีบไหว้รับ เพราะแม้นั่นเป็นคำอวยพรเรียบๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีพลังกุศลแรงมหาศาลแผ่ออกมาแน่นหนาไปทั่วทั้งปริมณฑล ประมาณเดียวกับที่เขาเคยพบในพิธีเบิกฤกษ์อำนวยชัยอันยิ่งใหญ่ต่างๆ แสดงถึงกำลังจิตอันล้ำลึกสุดหยั่งของบุรุษผู้ปรากฏสุกสว่างทั้งทางโลกและทางธรรมท่านนี้

    เมื่อเดินลงเวทีกลับมาถึงที่นั่งแล้ว จึงเห็นกิเลสปรากฏอีกครั้ง

    ขนาดใจเพิ่งสว่างด้วยแรงเร่งจากผู้ถึงกระแสด้วยกัน พอเห็นประกายยิ้มจากนัยน์ตาแพตรีทีเดียว ความรู้สึกหลงก็เข้าครอบงำเหมือนเมฆทะมึนเคลื่อนมาบังแสงอาทิตย์

    กองกิเลสใหญ่ปรากฏในรูปสาวน้อยผู้สวยหวานและแสนดีคนนี้

    ภาพ ‘ทวิลักษณ์’ ของกฤติยา ผู้รับรางวัลเหรียญทอง ปรากฏวาบในห้วงมโนนึก และเตือนให้คิดได้ว่าใจเขาเองต่างหากที่มีกิเลส แพตรีอยู่ของหล่อนเฉยๆ ถ้าหากเขาไม่มอง หรือมองแล้วไม่รู้สึกรู้สา หล่อนก็มีความ ‘เป็นเช่นนั้น’ ของหล่อน ไม่เกี่ยวกับกิเลสของเขาเลย

    ทว่ายามนี้มติเริ่มเกิดความขัดแย้ง ถึงเวลาหรือยังกับการตั้งคำถามให้ตัวเอง

    จะเลือกไปหรือเลือกอยู่ก่อนดี…

    เขาปฏิบัติธรรมเต็มกำลังเพราะอยากเป็นพระให้ได้ก่อนบวช แต่บุญพาวาสนาส่ง ถึงขนาดทะลุกิเลส ตัดสังโยชน์สามข้อแรกสำเร็จด้วยไฟล้าง คือโสดาปัตติผลอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้

    ภาวะความเป็นโสดาบันนั้นวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าอะไรหมด เพราะเหมือนเหยียบเรือสองแคม มีกิเลสแรงได้เท่ากับเมื่อครั้งเป็นปุถุชน แต่ก็เห็นนิพพานแล้ว เข้ากระแสแล้ว

    บุคคลชนิดนี้จะสมัครใจอยู่ครองเรือน หวังเสวยสวรรค์เสียก่อนเข้านิพพานก็ได้ ดังเช่นที่มีบันทึกเป็นหลักฐานว่านางวิสาขาบรรลุโสดาปัตติผลมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ก็มิได้ขวนขวายปฏิบัติธรรมหวังถึงนิพพานในชาติปัจจุบัน ยังคงเสพสมาคมกับปุถุชนธรรมดา ออกเรือนมีลูกหลานมากมาย และระหว่างดำรงชีวิตก็ทำบุญอธิษฐานหวังสุขอันประณีตบนสวรรค์ สิ้นใจแล้วก็เสวยสุขบนดาวดึงส์พิภพเรื่อยมา

    แต่หากโสดาบันบุคคลมีใจรักพระนิพพาน อยากถึงนิพพานเร็วๆในชาติปัจจุบัน ก็จะได้เปรียบกว่าผู้ยังติดข้องทั้งหลาย กล่าวคือใช้ธรรมชาติอันโปร่งสบายของจิตในการสลัดกิเลสได้ง่าย ตั้งสมาธิไม่ยาก

    มติประจักษ์ด้วยตนเองว่าพระไตรปิฎกกล่าวไว้ตรงจริง ไม่ใช่ของหลอก เขาเห็นนิพพานแล้ว ทราบภาวะการเข้ากระแสแล้ว หมดกิเลสเกี่ยวกับความกังขาในมรรคผลนิพพานแล้ว ทว่ากิเลสคือราคะ โทสะ โมหะในตนยังคงค้างอยู่ครบ แถมยิ่งรักแพตรีได้มากกว่าเดิมเสียอีก ด้วยเหตุผลแบบโลกๆ คือหล่อนแสดงท่าทีตอบสนอง แตกต่างจากที่แล้วมาเป็นคนละคน

    ถ้าเสียเวลาสักชาติให้กับนางฟ้าเดินดินอย่างหล่อนจะคุ้มไหม?

    ทำไมจะไม่คุ้มเล่า ในเมื่อความเป็นโสดาบันปิดประตูอบายอย่างเด็ดขาดแล้ว ถึงนิพพานในวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอนอยู่แล้ว ที่พระคัมภีร์ยืนยันว่าพระโสดาบันเป็นผู้เที่ยงจะเข้าถึงพระนิพพานนั้นไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยสำหรับเขา ก็ในเมื่อใจอยู่ในกระแสสุญญตา แม้ไม่เพ่งก็สั่งสมความเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปเรื่อยๆอย่างนี้ แน่นอนว่าที่สุดจะคิดเบื่อและเกิดใจตีจากวันยังค่ำ

    เรียกว่าถ้าได้โสดาปัตติผลแล้ว ไม่ปฏิบัติก็เหมือนปฏิบัติ จะเนิ่นช้าหรือตัดตรงเท่านั้น โสดาปัตติผลจึงถูกสรรเสริญไว้ว่าใครได้แล้ว ยิ่งกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ยิ่งกว่าเป็นเทวดา ยิ่งกว่าเป็นอะไรๆทั้งหมด เพราะเข้าถึงความปลอดภัยอย่างลอยลำ ปิดฉากสังสารวัฏสำเร็จในที่สุดแน่ๆ

    เขาเหนื่อยมาตั้งมาก เข้าเส้นชัยแรกสมใจ ขอพักหน่อยจะเป็นไร

    แพตรีไม่ใช่ธิดาพญามาร หล่อนเองเสียอีก ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามไว้ในหัวใจเขา กระทั่งได้เติบใหญ่ขึ้นในทางธรรม หากอยู่กับหล่อน เขาจะพยายามชักนำหล่อนเข้ากระแสเป็นการตอบแทนให้จงได้

    ใจที่ยังดื้อ ยังไม่อบรมจนแก่กล้า บอกกับตนเองว่าอย่างแพตรีไม่ใช่ต้นเหตุทุกข์ได้หรอก

    มติคิดเช่นนั้น ทั้งที่เพิ่งพูดไปบนเวทีว่ากิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์

    คิดตกแล้วก็ปลงใจ…เขาเลือกที่จะยังไม่ไปไหน ยังอยู่กับแพตรี ถ้าไปไหนก็จะพาหล่อนไปด้วย

    สังสารวัฏมีเครื่องมือพิสดารหลากหลายไว้กักคนคิดหนี ไม่ใช่เฉพาะด้วยกิเลสตื้นๆเช่นความโลภ ความโกรธ ความหดหู่ ความฟุ้งซ่าน ความช่างสงสัย ความชอบหน้าที่การงาน ความช่างคุย ความชอบนอน ความติดการคลุกคลีเท่านั้น ในอัญญสูตรพระมหากัสสปะเคยสอนสานุศิษย์ของท่านไว้ ว่านอกจากเครื่องถ่วงดังกล่าวข้างต้นแล้ว แม้อาการทอดธุระ ไม่เพียรตั้งสติภาวนาให้ถึงมรรคผลเบื้องสูง เพราะถือว่าบรรลุมรรคผลชั้นต้นแล้ว ปลอดภัยแน่แล้ว ก็จัดเป็นความเสื่อมจากความเจริญในธรรมของพระพุทธองค์ชนิดหนึ่ง

    เพราะยังมีความไม่รู้แจ้งตลอดสายถึงที่สุดทุกข์ จึงกล่าวว่าอริยบุคคลชั้นต้นยังเป็นผู้ที่ต้องศึกษา…

    ศึกษาให้เห็นจริงว่าสังสารวัฏนั้น วินาทีเดียวก็ไม่พึงหลงพอใจเลย จะนับโดยสภาพ ฐานะ หรือโอกาสใดๆก็ตามที


บทที่ ๒๘  วังวน


    เมื่อผู้รับรางวัลปลอบใจคนที่ยี่สิบเจ็ดลงจากเวที และไฟหลักถูกเปิดสว่างพร้อมการกล่าวอำลาของพิธีกร ทุกคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ซึ่งมองกวาดแล้วยังคงเหลือกว่าค่อนของเมื่อเริ่มพิธีแจกรางวัล ผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ย่อยๆกลับไปก่อน

    โดยมากศิลปินทั้งหลายจับกลุ่มคุยกันเองในแวดวงเพื่อนฝูงที่รู้จัก บ้างก็ตระเวนดูภาพไปเรื่อย หากปราศจากการติดโบว์ประกันคุณภาพว่าได้รับรางวัลใหญ่น้อยแล้ว ก็คงต้องใช้เวลาอีกวันกว่าจะกวาดเก็บภาพและเนื้อหาครบ จนแยกแยะถูกว่ามีภาพใดเข้าขั้นควรนิยมบ้าง

    ถกเถียงกันอย่างหน้าชื่นบ้าง หน้าง้ำบ้าง ว่าใครเป็นใคร เจ้าของผลงานไหน ทำไมถึงเชิดเงิน ทำไมจึงชวดรางวัล บางคนก็เอะอะมะเทิ่ง ชี้โบ๊ชี้เบ๊ บอกว่างานนั้นงานนี้ฝีมือไม่น่าจะถึงขั้น ทำไมได้รางวัลชมเชยบ้าง รางวัลปลอบใจบ้าง ส่วนของตนดีกว่าตั้งเยอะกลับปิ๋ว

    ประเภทนี้น่าฝึกระงับโทสะให้ได้ก่อนแล้วค่อยลองสร้างผลงานชวนเย็นใจใหม่ในปีหน้า

    อย่างน้อยวันนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหลายคนมองยาวไปถึงปีหน้าแล้ว ต่างได้แนวคิดและหลักสร้างผลงานกันถ้วนทั่ว นี่ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา การระดมสมองของผู้มีฝีมือหลายร้อยคนให้ผลเป็นความรุ่งเรืองกว้างขวางทางปัญญาแน่นอน

    เจ้าของรางวัลใหญ่ทั้งสามถูกขอร้องให้ไปยืนประจำภาพของตน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมนิทรรศการได้พูดคุยซักถาม รวมทั้งให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล มติเดินผ่านตรอกซอยมาจนพบทีฆายุจากระยะไกล ยืนเด่นเห็นหน้าบานเป็นจานเชิงท่ามกลางการสัมภาษณ์จากกลุ่มนักข่าว ใจหนึ่งอยากอนุโมทนากับเพื่อน แต่อีกใจไม่เป็นปีติล้นพ้นเหมือนอย่างที่เห็นใครต่อใครมะรุมมะตุ้มกฤติยาผู้รับรางวัลเหรียญทอง กับขวัญหล้าผู้รับรางวัลเหรียญทองแดง สองคนนั่นน่าจะพูดแทนชาวพุทธได้เต็มปากเต็มคำทางด้านการปฏิบัติอันเป็นเส้นทางเข้าสู่แก่นแท้ของพระศาสนา

    แต่สำหรับทีฆายุ มติกลัวอยู่ในส่วนลึกว่าจะพูดผิดพล่ามเพี้ยนเลอะเทอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับประเด็นลึก ด้วยภาพลักษณ์ที่ทีฆายุถูกดันขึ้นไปยืนบนแป้นอันทรงเกียรติ มีภาระเสมือนตัวแทน หรือภาพแทนชาวพุทธเช่นนี้ พูดอะไรออกมาย่อมมีน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นน้ำหนักที่เกิดจากระดับสติปัญญา รู้จักคิด รู้จักพูดฉลาดเฉลียวฉะฉานเสียด้วย

    เท่าที่คบหากับทีฆายุมา แม้ค่อนข้างห่างเหิน มติก็ทราบได้ว่าฝ่ายนั้นมีอคติอย่างรุนแรงเกี่ยวกับหลายประเด็นทางศาสนา นับแต่บาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ ชาติก่อนชาติหน้า ยิ่งประเด็นเกี่ยวกับนิพพานด้วยแล้ว ทีฆายุเคยประกาศชัดว่าตายเมื่อไหร่ทุกคนก็คงนิพพานเหมือนกันหมด เพราะกายดับ ใจดับแล้วจะเหลืออะไรให้ทุกข์ต่อ

    ว่างเปล่าและสาบสูญแน่นอน…

    เรื่องของสิ่งที่เห็นไม่ได้ด้วยตา พิสูจน์ไม่ได้ด้วยผัสสะของสามัญมนุษย์ หากมีใครสักคนที่ทรงปัญญา พูดได้แยบคาย จุดพลุขึ้นมาดังๆแบบฟันธงว่าไม่มี ไม่ต้องกังวล ไม่ควรสนใจ เราศึกษามาแล้ว อ่านพระไตรปิฎกมาหมดตู้แล้ว ก็แน่นอนว่าอัตโนมัติของคนส่วนใหญ่ย่อมคล้อยตามโดยง่าย เพราะการปิดหูปิดตาไม่ยอมรับนั้น ย่อมง่ายกว่าการพยายามเปิดหูเปิดตามองให้เห็นจริงผ่านการพิสูจน์มากนัก

    ผลงานของทีฆายุมีความเป็นกลาง งานศพเป็นสิ่งปรากฏต่อตาเปล่าได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ทีฆายุอาศัยสำนวนโวหารของกวี และทักษะชั้นสูงของจิตรกรมากล่าวถึงงานศพได้อย่างมีพลัง อีกทั้งงานศพและความตายก็เป็นข้อธรรมเตือนสติหนึ่งของพุทธศาสนาจริงๆ

    อย่างไรก็ตาม การตระหนักว่าทุกคนอยู่ในเงื้อมมือมรณา อาจแยกสายเป็นปัญญาและโมหะได้เท่าๆกัน คนหนึ่งอาจคิดว่าในเมื่อต้องตายแล้วก็ไม่ควรประมาท เร่งทำความดีหนีนรก เร่งเข้านิพพานเอาตัวรอดจากทะเลทุกข์ แต่อีกคนอาจคิดว่าไหนๆก็ต้องตายแน่แล้ว เร่งกิน เร่งโกย เร่งกามให้จุใจ อย่าคิดอะไรให้หนักหัวจะดีกว่า

    มติพยายามวางใจเป็นกลาง ขณะนั้นต้องยอมรับว่าไม่อาจอนุโมทนากับความสำเร็จ ความสมหวังของทีฆายุได้เต็มร้อย แต่ขณะเดียวกันก็เร่งสำรวจจิตใจว่ามีความอิจฉาริษยาปนอยู่ในความไม่อนุโมทนาบ้างหรือเปล่า พบว่าเมื่อตรวจในแง่นั้น ใจตนเงียบสนิท ความตาร้อนสักแม้น้อยไม่เกิดกับเขาเลย จึงค่อยสบายอกขึ้น

    ถอนใจเฮือกหนึ่ง นึกอยากขยายความคิดเกี่ยวกับทีฆายุให้แพตรีฟัง แต่ก็เห็นว่านั่นเหมือนนินทาโดยไม่ยังผลให้เกิดประโยชน์กับใคร โดยเฉพาะในจังหวะนั้น ถ้าปล่อยคำติฉินให้หลุดจากปาก แม้แพตรีก็อาจเข้าใจผิดได้ว่าเขากล่าวด้วยความริษยา

    ด้วยเหตุดังนั้น ความคิดปรุงแต่งคำพูดที่เกิดขึ้นในหัวจึงกลายเป็นสิ่งระคาย มติระงับไว้ไม่พูดบ่น ทำใจเสียว่านี่อาจเป็นงานเดียวที่ทีฆายุจะเข้ามาข้องเกี่ยวในแวดวงพุทธศาสนา พอข่าวรางวัลงานประกวดซาแล้วก็แล้วกัน

    ผู้เข้าถึงกระแสธรรมย่อมรักที่จะพูดแต่ในเรื่องอันชวนสงบ เย็นใจ สอดคล้องกับความโปร่งโล่งประณีตในอกตนเอง ทั้งนี้มิใช่ว่าคิดเรื่องกิเลสๆไม่ได้ หรือพูดจาเป็นอกุศลไม่ออกเสียทีเดียว ยังคิดได้ พูดได้ตามนิสัยเดิมของเจ้าตัว แต่จะรู้สึกขัดๆ ไม่สบายใจอย่างแรง ยิ่งพูดคอยิ่งแห้ง พูดนานเท่าไหร่ใจยิ่งมัวเท่านั้น หากมีนิสัยเก่าเป็นพวกพูดมาก ชอบคิดฟุ้งซ่านเลอะเทอะ พอนานเข้าก็จะค่อยปรับตัวให้สมภูมิจิต เช่นเดียวกับคนเคยผิวกร้านหนาเหมือนช้างม้า ชอบเดินเล่นในดงหมามุ่ย ก็ไม่แสบระคายมากนัก อาจคันๆสะใจด้วยซ้ำ ต่อมาพอผิวบางลง เมื่อกลับไปเดินเล่นในดงหมามุ่ยอีกก็ไม่สนุกแล้ว ไม่อยากเอาอีกแล้ว ปวดแสบปวดร้อนจะเป็นจะตายออกอย่างนั้น

    สำหรับปุถุชนธรรมดา นิสัยเคยเสียอย่างไร ก็อาจเสียอย่างนั้น หรือกระทั่งหนักหน่วงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆตามทิฐิแห่งอายุ ต่างกับผู้เข้าถึงธรรม ถ้านิสัยเคยเสีย ก็เที่ยงที่จะถูกปรับแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยเป็นแน่แท้

    เดิมทีมติไม่ใช่คนชอบพูดให้ร้ายส่อเสียดอยู่แล้วโดยนิสัย เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรม นิสัยส่วนนี้จึงกลืนกันสนิทกับภูมิจิต โดยไม่จำเป็นต้องให้จิตขัดเกลาตนเองแรมเดือนแรมปีแต่อย่างใด

    พาแพตรีเยี่ยมชมงานที่ยังไม่ผ่านตาด้วยความเพลิดเพลิน เห็นแพตรียังมีความสุขดี ไม่เบื่อหน่ายหรือเหน็ดเหนื่อยก็เดินเรื่อย

    ขณะเดินเปลี่ยนซอย ในอารมณ์หนึ่ง แพตรีนึกพอใจจะยกมือขึ้นสอดเกาะแขนเขา และเบียดไหล่ใกล้เข้ามา พอมติรู้สึกตัวก็หน้าแดง เดินเกร็งขึ้นหน่อยหนึ่ง ภาคภูมิปรีดาที่แพตรียอมแสดงความชิดเชื้อชนิดนั้นให้ใครต่อใครเห็น

    “เฮ้! มติ!”

    จำได้ว่านั่นเป็นเสียงของบางกอกเพื่อนร่วมคณะ เมื่อหันไปก็พบกับเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหญิงชายกลุ่มใหญ่ มีอาจารย์สมบูรณ์ซึ่งเขาเคารพนับถือยืนอยู่ด้วย อาจารย์ยิ้มยิงฟันโร่เพราะได้รับรางวัลชมเชยเหมือนกัน ทุกคนมองมาที่เขากับแพตรีเป็นตาเดียว

    มติกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกขัดๆ พะว้าพะวังขึ้นมาเล็กน้อย หากเขาอยู่ตัวคนเดียวคงเดินตรงไปหาเพื่อนและสวัสดีอาจารย์ แต่นี่มีแพตรีควงแขนอยู่ เลยประดักประเดิดเก้อเขิน เรื่องของเรื่องคือเกรงแพตรีจะอึดอัดกับการเข้าวงใหญ่ อีกอย่างเข้าหาเพื่อนทั้งที่คนสวยควงแขนอย่างนี้ ก็คล้ายจะเป็นเชิงเปิดตัวคู่ใจผู้เป็นสาวเด่นอวดเพื่อนฝูงอย่างไรชอบกล

    พูดง่ายๆแพตรีสวยเกินคู่ควรนายกระจอกอย่างเขา ชักรู้สึกผิดฝาผิดตัวจนขัดเขินที่จะเอาไปอวดใครต่อใครว่านี่แฟนฉัน แค่เห็นแววสุดพิศวงของพวกนั้นก็ฝ่อแล้ว

    หันมาทางหล่อน กระซิบว่า

    “ผมขอตัวไปทักทายเพื่อนหน่อยนะ”

    แพตรีพอจะเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายออก เพราะเขาเกร็งและเสียงแหบผิดปกติ เลยแกล้งถามห้วนๆ

    “ทำไม ถ้าแพขอตามไปด้วยนี่จะมีอะไรน่ารังเกียจรึเปล่า?”

    “ปล่าว…” รีบปฏิเสธเพราะไม่เท่าทันมายาหญิง นึกว่าแพตรีเคืองจริงๆ “เผื่อพี่แพรำคาญเพื่อนๆผม เอ้อ…”

    เขาพยายามหาคำอธิบายอ้ำอึ้งตะกุกตะกัก

    “อ้อ! แล้วไป นึกว่ากลัวสาวเห็น ถ้าไม่มีเหตุผลอื่นก็ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย…เร็ว”

    แพตรีกระซิบดุ และใช้มือที่เกาะแขนเขาอยู่นั้นรุนไปข้างหน้า หล่อนทำไปด้วยความนึกสนุกและเอ็นดูอีกฝ่าย แต่พอทำแล้วก็รู้สึกว่าอย่างนี้เป็นความเคยชินที่เห็นเขาอยู่ในอาณัติ มองมติเป็นเด็กในคาถาหรือกระทั่งลูกไล่อยู่ตลอดเวลา จึงตั้งใจว่าต่อไปจะเลิกสั่งโน่นสั่งนี่แบบพี่สาวเสียที

    ฝ่ายเพื่อนพ้องที่ยืนชุมนุม ต่างมองคู่ควงที่กำลังก้าวเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกร่วมเดียวกันหมด คือเหมือนเห็นเจ้าหญิงกับทาสรับใช้ นางงามกับนายขี้เหร่ หรืออย่างดีที่สุด ถ้าวัดในแง่ความเข้ากันได้อยู่บ้าง คือดูมีกิริยาสุภาพเรียบร้อยกลมกลืนกัน ก็น่าจะให้ศักดิ์หรือฐานะได้แค่พี่กับน้อง แต่นี่เดินเกาะแขนประกาศสัมพันธภาพฉันชายหนุ่มหญิงสาว จึงดูขัดลูกตาพิลึก โดยเฉพาะสำหรับลูกตาชายขี้อิจฉาทั้งหลาย

    มติเป็นคนร่างเล็ก ค่อนข้างผอมบาง สูงเท่าแพตรีพอดี หน้าตาแม้พอไปวัดไปวา ออกสว่างด้วยราศีใสอยู่บ้าง ทว่าการแต่งกายก็มีลักษณะซำเหมา กินข้าวแกง ขึ้นรถเมล์ และเดินเข้าบ้านด้วยรองเท้าขาดๆ แบบที่ผู้หญิงทั้งหลายเห็นปราดเดียวก็พร้อมจะเมินแต่แวบแรก สำคัญคือทุกคนรู้ว่ามติพูดน้อย เรื่องจะให้ราวีกับหมู่ภมรนับร้อยนับพันที่จ้องจะเชยสาวสวยระดับนี้ เห็นทีความสำเร็จน่าจะเป็นเรื่องเหลวไหล จึงน่าแปลกใจเอามากกับความยินยอมสนิทสนมกลมเกลียวของฝ่ายหญิง ที่มีให้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานในความรับรู้ของเพื่อนฝูงที่เคยเห็นคู่นี้เดินด้วยกันมาก่อน

    และความสวยหวานของแพตรีก็เป็นสิ่งบาดหัวใจชายทุกคน ยิ่งเห็นนานเท่าไหร่ยิ่งว้าวุ่นกระสับกระส่าย ชวนให้อยากแสดงอะไรแผลงๆออกนอกหน้าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากหล่อนเสียบ้าง

    อย่างเช่นที่ตั้งทัพเดินปราดเข้ามา ยกแข้งยกขาคล้ายอยากเตะหยอกมติราวกับรักปานจะกลืน ทว่าวันนี้มติดูมีดีบางอย่างแปลกไปจากเมื่อก่อน ตั้งทัพคิดในใจว่าอาจเพราะสง่าราศีของเจ้าของรางวัลสี่แสนก็เป็นได้ ง้างแล้วเตะไม่ลง แค่ไก๋ตบไหล่ส่งเสียงดัง

    “ยินดีด้วยโว้ย! รับรางวัลชมเชยเป็นคนแรกเลยเชียว”

    ว่าแล้วก็ยกแขนโอบไหล่เพื่อน แบบที่อยากโอบเลยไปถึงสาวผู้อยู่อีกฝั่ง แพตรีปล่อยมือจากแขนมติทันที ด้วยความระคายผัสสะที่มากับหนุ่มหน้าแหลม

    “ขอบใจ”

    มติฝืนตอบตั้งทัพ แล้วยกมือไหว้อาจารย์สมบูรณ์เพราะเพิ่งพบเป็นครั้งแรก และแนะนำให้แพตรีทราบว่าเป็นอาจารย์สอนเขาที่มหาวิทยาลัย หล่อนจึงไหว้ตาม

    “เดี๋ยวต้องฉลองกันหน่อยล่ะ นัดกับพวกนี้ไว้แล้ว ไปด้วยกันนะ”

    อาจารย์สมบูรณ์ชวน มติอึกอัก เกือบตอบปฏิเสธ เพราะมากับแพตรี แต่ก็เกรงใจอาจารย์ผู้เป็นที่นับถือ เพราะทีท่าท่านไม่ได้ชวนโดยหวังจะรับการบ่ายเบี่ยง จึงหันมาทางหญิงสาวด้วยสีหน้าหนักใจหน่อยๆ

    แพตรีเห็นเขาจะปฏิเสธพรรคพวกเพราะเกรงใจหล่อน ก็ยื่นหน้าเข้ามากระซิบ

    “ไปเถอะ พอดีวันนี้ปู่ค้างบ้านคุณพ่อ แพไม่ต้องรีบกลับ”

    นั่นเองจึงทำให้เขาหันกลับมาตอบรับอาจารย์ แพตรีมีปฏิสันถารเป็นอันดีกับทุกคน มติจึงเบาใจลง แต่ก็ไม่วายนึกหวงขึ้นมาหน่อยๆ เนื่องจากหนุ่มมากหน้ากระตือรือร้นเกินงามที่จะทำความรู้จักกับหล่อน ชนิดทักสองคำจะตีสนิทให้เทียบเท่าเขาเองทีเดียว

    ทีฆายุพาร่างสูงเข้ามาสมทบหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของตนที่มีต่อผู้สื่อข่าว เพื่อนและอาจารย์พากันแสดงความชื่นชม ลูบหน้าลูบหลัง และหวังให้ทำหน้าที่เลี้ยงมื้อใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทีฆายุก็ใจป้ำรับโดยไม่อิดเอื้อน เนื่องจากกำลังอารมณ์ดี รับมาทั้งเงินและทั้งกล่อง

    เมื่อรับเป็นเจ้าภาพ ความเคลื่อนไหวจึงไปตกอยู่ที่ทีฆายุ หลังจากเฮฮาร่าเริงอยู่ตรงจุดนั้นอีกพัก เขาก็เป็นคนกำหนดที่หมาย รวมทั้งเป็นคนพยักหน้านำเคลื่อนขบวน

    เงินรางวัลทำให้มติดูรวยขึ้นทันตา ยิ่งมีแพตรีมาด้วยก็ยิ่งทำให้หลายคนไม่นึกรังเกียจที่ชักชวนให้นั่งรถไปด้วยกัน แต่ขณะที่ทีฆายุเสียงใหญ่กว่าใครในฐานะเจ้าภาพงานเลี้ยง เมื่อเอ่ยปากเสนอให้มติไปรถเขา ทุกคนจึงเงียบยินยอม ไม่ยื้อแย่งแต่ประการใด มิไยฟองชลจะทำหน้ามุ่ย ด้วยรู้แกวว่าแฟนหนุ่มของตนพุ่งความสนใจไปที่สาวน้อยหน้าหวาน ไม่ใช่หวังเอื้อเฟื้อมติเช่นไรเลย

    เนื่องจากเป็นวันหยุด วันนี้ทีฆายุจึงขอยืมรถคันละเกือบสิบล้านของพ่อมา จนได้ยืดเป็นพิเศษเมื่อนำแพตรีกับมติขึ้นรถ นึกเสียดายอยู่ในใจ ถ้าทำได้ก็อยากให้ค่าแท็กซี่ฟองชลกับมติเหลือเกิน ราชรถจะได้มีแต่กิ่งทองกับใบหยกประทับอยู่

    ฝ่ายมติก็เพิ่งมีโอกาสขึ้นรถหรูระดับนั้น โครงภายนอกของตัวเรือนเหล็กกล้าขึ้นเงาเป็นมันวับ รับกับภายในที่โอ่อ่าประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์งามล้วน เบาะนิ่มแน่นเนียนสัมผัส ความกว้างขวางกับเครื่องกรองทำให้อากาศเย็นรื่นชนิดที่หายใจแล้วรู้สึกสะอาดปลอดโปร่ง และแม้เครื่องยนตร์แปดสูบจะเร่งพลังฉุดกับส่งแรงขับเคลื่อนได้มหาศาล ทว่าก็นุ่มนวลดุจเลื่อนไปบนรางเมฆด้วยระบบกันสะเทือนเหนือชั้น แม้สะดุดปุ่มปมหลุมบ่อเข้าบ้างก็แทบไม่รู้สึก

    ความโอ่อ่าในระดับชีวิตคนรวยที่สะท้อนด้วยตัวอย่างเช่นพาหนะเลิศหรูชนิดนั้น บันดาลใจให้มตินึกคิดถึงการก่อร่างสร้างตัว คิดถึงการใช้เงินรางวัลลงทุนให้แตกดอกออกผล จะได้มีอะไรอย่างนี้กับเขาบ้างในวันหน้า

    เดิมทีเคยคิดอยากสร้างเนื้อสร้างตัวเสียที่ไหน ที่ระอุไฟฝันขึ้นมาในบัดนี้ก็ด้วยชนวนเดียวคือแพตรี เห็นเลยว่าความรักมีพลังบันดาลใจเพียงใด เขาพร้อมจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรวย ขอเพียงหล่อนแสดงตัวยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างตลอดไป

    คงมีความสุข หากได้ขึ้นมาบนรถระดับเดียวกันนี้กับหล่อนตามลำพังเพียงสองคนในฐานะเจ้าของครองที่นั่งตอนหน้า มิใช่ขึ้นมาในฐานะผู้โดยสารติดตามท่านเจ้าของอย่างนี้

    “ภาพของนายเข้าท่าดีนี่มติ”

    ทีฆายุเอ่ยชมมาจากด้านหน้า น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเป็นการแสดงความยินดีแบบชวนคุยด้วยมากกว่าจะชื่นชมจริงจัง

    “ขอบใจ”

    มติตอบสั้นด้วยสำเนียงราบเรียบอย่างคนที่ขาดสีสัน คิดเงียบๆว่าที่แท้ทีฆายุรับรางวัลเหรียญเงินแล้ว ก็คงมัวแต่เริงสุขสนุกสนาน จ้อกับแฟนสาวอย่างลิงโลดเนื้อเต้น ไม่เหลือแก่ใจสนผลงานของผู้รับรางวัลที่เหลือเป็นแน่

    ฟองชลเสริมทีฆายุ แต่วิจารณ์แบบตรงไปตรงมา

    “ซีว่ามติใช้สื่อทางภาพน้อยไปหน่อยนะ ไปให้น้ำหนักเน้นที่ร้อยกรองเสียมากกว่า”

    ผู้นั่งตอนหลังเงียบเหมือนยอมรับคำติกลายๆนั้นอยู่ในที

    “ภาพเขาดูมีพลังดีออก แล้ววันนี้ก็เพิ่งรู้นะว่ามติฝักใฝ่ธรรมะขนาดไหน ตอบคล่องเชียว”

    ทีฆายุช่วยแก้ต่างนิดหน่อย พอแสดงให้รู้หรอกว่ารับทราบความเป็นไปบนเวทีอยู่บ้าง เขาทบทวนผลงานของมติอยู่ในใจ ภาพแสงนฤพานเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่เพื่อนฝูงและผู้เข้าชมหลายคนว่า ‘เล่นง่าย’ แต่กลับรับรางวัลชมเชย แถมเข้าอันดับแรก เรียกว่าถูกใจคุณโภไคยเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก จึงถกกันต่างๆนานา สุดแต่ว่าใครยืนอยู่ตรงไหน มองมาจากมุมใด

    ช่วงที่มติขึ้นพูดบนเวทีนั้น ทีฆายุฟังอยู่บ้าง ทว่าก็เห็นเป็นความพูดเก่งและเรียนรู้มาก เช่นเดียวกับตนและผู้เข้าร่วมประกวดคนอื่นๆนั่นเอง แถมในส่วนของภาพ ก็เพียงออกแรงใช้ฝีมือในการเล่นสีและเทคนิคขับเน้นความสว่างจัดจ้า ณ ใจกลางเท่านั้น ต่างจากงานทั่วไปที่คิดกันหัวแทบแตกว่าจะสื่อหรือซ่อนความหมายอะไรดีให้รับง่ายและมีแรงปะทะใจผู้ชมมากที่สุด

    ตามความเห็นของทีฆายุแล้ว หากให้คะแนนที่มติประพันธ์ร้อยกรองไว้เยี่ยมยอด ก็น่าจะได้อย่างมากแค่รางวัลปลอบใจอันดับท้ายๆ น่าสงสัยว่าเหตุใดจึงเข้าวินเป็นอันดับหนึ่งสำหรับคนตาถึงอย่างคุณโภไคย สันนิษฐานว่าอาจมีรหัสเร้นลับแฝงอยู่ชนิดที่คนทั่วไปมองไม่เห็น

    “เราอยากรู้อย่าง ที่นายต้องการสื่อนี่คือการบรรลุธรรมหรือเปล่า?”

    ทีฆายุยิงคำถามเพื่อไขความติดค้างคาใจ มตินิ่งคิดเป็นครู่ ก่อนตอบอย่างระมัดระวัง

    “ใช่ เราได้แรงบันดาลใจจากพาหิยสูตรน่ะ พระพุทธองค์ตรัสเทศน์นิดเดียว ชายผู้หนึ่งชื่อพาหิยะก็สามารถเป็นพระอรหันต์อย่างฉับพลัน กลายเป็นเอตทัคคะทางบรรลุธรรมเร็วไป”

    นึกว่าจบความอยากรู้ของเพื่อนไปแล้ว แต่ก็เปล่า ทีฆายุถามอีก

    “แล้วภาพที่สื่อด้วยแสงสว่างนี่เป็นจินตนาการล้วนๆ หรือว่าประสบการณ์ภายในจริงๆ?”

    “เออ นั่นซี่” ฟองชลหันมายิ้มสำรวจหน้าตาเพื่อนชาย “อาจารย์สมบูรณ์ยังบอกเลยนะ ตอนเจอผลงานเธอน่ะ อ่านแล้วเหมือนเธอไปบรรลุอะไรมา สรุปแล้วผลงานนี้กลั่นมาจากประสบการณ์ตรงของเธอใช่ไหม?”

    มติเบนหลบไม่สบตาฟองชลตรงๆ เมื่อยืนอยู่บนเวที ถูกพิธีกรซักถามต่อหน้าคนนับร้อยนับพัน เขาอาจหาญตอบได้อย่างไม่ต้องลังเลสะดุดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นคำถามที่ยิงมาเพื่อทราบประโยชน์ของการบรรลุมรรคผล หรือการปฏิบัติเพื่อเข้าให้ถึงมรรคผล เขาสามารถตอบได้อย่างเนียนรื่นเยี่ยงผู้ควรเป็นตัวแทนพระศาสนา

    แต่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทีฆายุกับฟองชลกำลังถามแบบเพื่อนฝูงซักไซ้ไล่เรียง ชนิดที่ไม่เอาไปเป็นประโยชน์อันใดนอกจากไว้กล่าวขานกับเพื่อนอื่นๆภายหลัง มติจึงปิดปากเงียบสนิท

    แต่คนเราถึงคราวจะหาบาปใส่ตัว อย่างไรก็ต้องดึงดันดิ้นรนจนได้ ฟองชลเห็นมติเงียบเช่นนั้นก็ถามเร่งเร้ามาอีก

    “ไฮ้! ทำไมเงียบล่ะ แสดงว่าต้องเก็บไต๋ไว้แน่ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน แค่บอกว่าใช่ หรือไม่ใช่คำเดียวพอ”

    ฟองชลต่อรองด้วยเงื่อนไขพิเศษ ความจริงหล่อนเป็นคนไม่จริงจังกับเรื่องรอบตัวเท่าไหร่นัก ก็แค่สาวน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่สนุกสนานเบิกบานกับชีวิตไปวันๆ ขอเพียงมติตอบส่งๆหล่อนก็เลิกให้ความสนใจ ซึ่งเรื่องจะง่ายมากเพียงพูดปัดอย่างสั้นว่า ‘ไม่ใช่’

    คำว่า ‘ไม่ใช่’ นั้นขยับปากพูดกันแค่สองพยางค์ น่าจะง่ายแสนง่าย

    แต่สำหรับผู้มีจิตเป็นวิสุทธิ์ศีล ซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังเข้ากระแสนิพพาน การขยับปากเพื่อพูดสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นตรงข้ามกับจริง แม้เพียงสองพยางค์นั้น ก็เหมือนต้องออกแรงง้างขากรรไกรเป็นสิบเท่าเพื่อให้เผยอ ความยากไม่ได้อยู่ที่ฝืนปาก แต่เป็นที่ฝืนใจต่างหาก

    คนธรรมดาอับอายที่จะแก้ผ้าเดินกลางถนนปานใด ผู้มีดวงตาเห็นธรรมก็ละอายที่จะกล่าวเท็จปานนั้น

    ความรู้สึกมันประมาณเดียวกัน ระหว่างให้พูดโกหกกับล่อนจ้อนต่อหน้าฝูงชน ทำได้ แต่คงไม่ทำแน่ๆถ้าสติยังดีอยู่ ที่สำคัญคือนี่ไม่ใช่เจตนารักษาศีล ทว่าเป็นเรื่องของใจที่ละอายต่อการพูดบิดเบือนความจริง ละอายขนาดแค่คิดจะทำ น้ำลายก็ปรี่ขึ้นมาจุกคอหอย ลิ้นแข็งจนเหมือนเจอยาชา

    มติเม้มปาก ในที่สุดก็ตัดสินใจตอบแบบยาว

    “ซีให้เราตอบแค่ใช่หรือไม่ใช่นี่ยากนะ เราเหมือนซีและคนอื่นที่ต้องการสื่อข้อธรรมที่ถนัดที่สุด เราเข้าใจหลายข้อธรรมในพุทธศาสนา แต่ก็ยังมืดมนอยู่อีกมาก และความที่ยังมืดอยู่มากนั้นเองทำให้พูดได้เต็มปากว่าหากการ ‘บรรลุธรรม’ ในใจซีคือการล้างกิเลสอย่างเด็ดขาด สำหรับเรานับว่ายังห่างนัก”

    ฟองชลกะพริบตาปริบๆ ก่อนหันไปหาแฟนหนุ่ม พึมพำว่า

    “ฟังไม่รู้เรื่องอ้ะ”

    ทีฆายุหัวเราะพรืด

    “เหมือนกันเลย คงเพราะพวกเราบุญน้อยนั่นเอง”

    แล้วทีฆายุก็เป็นฝ่ายเบนหัวข้อ โดยจับจังหวะโยงมาเปิดฉากเสวนากับแพตรีบ้าง

    “แพมีงานส่งเข้าประกวดด้วยหรือเปล่าครับนี่?”

    พูดแล้วก็เชิดคางเหลือบตามองเงาสะท้อนของหญิงสาวที่ปรากฏครึ่งร่างในบานกระจกส่องหลัง

    “เปล่าค่ะ”

    หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงของคนพูดน้อยเหมือนมติ สบตากับทีฆายุเพียงแวบเดียว

    “นั่นสิ ดูท่าทางแพไม่ติสต์เท่าไหร่นะ พวกเราก็ไม่ได้เรียนจิตรกรรมกันทุกคนหรอก อย่างซีนี่เรียนมัณฑนศิลป์ แต่มีฝีมือวาดยิ่งกว่าเด็กจิตรกรรมบางคนเสียอีก แล้ว…”

    ก่อนที่ทีฆายุจะต่อความยาวกับแพตรี ฟองชลก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนด้วยการตะแคงร่าง หันหน้าเอ่ยกับทีฆายุแบบแข่งเสียง

    “อุ๊ย! ขอบใจย่ะที่ชม นี่เป็นรางวัลปลอบใจพิเศษที่ท่านประธานฝากมาหรือเปล่า?”

    แล้วก็เอ่ยสืบต่อเป็นการตีกันไม่ให้แฟนหนุ่มได้เปิดฉากโอภาปราศรัยกับสาวสวยยืดยาวไปกว่านั้น

    “ตอนที่เธอกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้พี่แอ้แล้วไฟดับเนี่ย ซีงี้ขนลุกไปหมด สงสัยพี่แอ้คงลงมาแสดงความรับรู้จริงๆ”

    ทีฆายุแค่นยิ้มเล็กน้อย นึกรำคาญและอยากให้ฟองชลหายหนไปชั่วคราว เขาเคยชินกับการแสดงท่าทีหึงหวงอย่างออกหน้าออกตาของหล่อน แต่ไม่อยากให้เป็นเดี๋ยวนี้เลย ถ้าล่องหนไปแบบแม่มดได้จะขอบคุณมาก

    “ไฟบังเอิญดับน่ะซี่ อย่าทึกทักเหลวไหลอย่างคนอื่นเลย”

    โต้ตอบไปแบบเนือยนาย ความจริงเมื่อครู่มีนักข่าวเล่าให้เขาฟังว่าอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ก็พลอยหยุดทำงานไปด้วย ใช่แต่ไฟหลักในห้องเท่านั้นที่ถูกกระชากวูบไป ทว่าทีฆายุยังคงเห็นเป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีเหตุผลทางกายภาพสักอย่างที่อธิบายได้ จะแม่เหล็กโลกรบกวนหรืออย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ เพียงแต่เขาและคนส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจ เลยแตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อกันใหญ่

    เทวดานางฟ้าต้องไม่มีแน่ๆ เขาพอใจที่จะเชื่อของเขาอย่างนี้ และไม่เห็นเหตุผลที่จะเปลี่ยนความเชื่อด้วยประการใดทั้งสิ้น กี่เจ้ากี่ศาลที่ดังนักดังหนา พอโดนหนังสือพิมพ์ขุดคุ้ยมาแฉ จับคาหนังคาเขาเข้าหน่อยก็เจอแต่ของเก๊ทั้งนั้น ถ้าลอยเขียวๆมาจากอากาศให้พิสูจน์กับตาตอนกลางวันแสกๆได้เถอะค่อยว่ากันใหม่

    อย่างไรก็ตาม หากคนทั่วไปจะพิจารณาว่าผลงานของเขามีความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ขนาดเทวดาลงมาร่วมรับรู้ นั่นก็เป็นเรื่องน่าพอใจอยู่ใช่หยอก

    ฟองชลไม่เคยมีโอกาสพบตัวจริงของเรือนแก้วขณะยังมีชีวิต แต่ทีฆายุก็เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังพอควร คือนับแต่เป็นข่าวตึงตังที่สิงคโปร์ ทีฆายุก็ชี้ให้ดูรูปที่พาดหราหน้าหนึ่งว่าเป็นลูกผู้พี่ พอตกเป็นข่าวอีกทีตอนตาย คราวนี้เลยได้คุยกันยาวเหยียด หล่อนเองมีโอกาสไปงานศพของเรือนแก้ววันหนึ่งด้วย

    “แล้วตกลงหาตัวคนร้ายที่ยิงพี่แอ้ได้หรือยัง?”

    “ยัง…” ทีฆายุส่ายหน้า “ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนร้ายรายเดียวกับที่พี่แอ้ไปมีเรื่องด้วยที่สิงคโปร์น่ะ ซึ่งถ้าใช่ อีตาพี่เขยของเราก็คงร้อนตัวหลบหนี หรือม่ายก็เด๊ดไปแล้ว แค่แจ้งมาทางน้าสายชลให้รับศพที่นิติเวชแล้วเงียบสนิท งานศพก็ไม่มาเลยซักวัน”

    สำหรับมติ เมื่อได้ยินแล้วผ่านเฉย เพราะช่วงหลังเขาไม่ได้พบปะพูดคุยกับทีฆายุเลย อีกทั้งเก็บตัวปฏิบัติธรรมเต็มกำลัง ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ จึงขาดการสื่อสารกับโลกภายนอกในช่วงที่มีข่าวของเกาทัณฑ์กับเรือนแก้ว

    แต่สำหรับแพตรี เมื่อได้ยินทีฆายุพูดเช่นนั้น ก็คล้ายถูกไฟช็อต…

    ประการแรก เพิ่งแน่ใจว่า ‘พี่แอ้’ ของทีฆายุคือเรือนแก้วนั่นเอง หล่อนผ่านตาเห็นชื่อนามสกุลของเรือนแก้วบ่อยๆในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อได้ยินนามสกุล ‘ธารเมธา’ ของทีฆายุตอนพิธีกรประกาศขึ้นรับรางวัลก็ไม่คิดอะไรมาก กระทั่งทีฆายุคุยพาดพิงถึงพี่แอ้ของเขาในบัดนี้ ทุกอย่างจึงสอดคล้องลงตัวอย่างปราศจากข้อสงสัย ไม่ว่าเป็นการระบุตัวบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่

    ประการที่สอง ข้อสันนิษฐานของทีฆายุเกี่ยวกับการหายตัวไปของเกาทัณฑ์ ทำให้หล่อนเหน็บหนาวขึ้นมาในใจ อาจเป็นได้ว่าเขา…ตามเรือนแก้วไปแล้วจริงๆด้วยน้ำมือยมทูตตนเดียวกัน

    แพตรีได้แต่เงียบอึ้ง ตั้งใจสดับฟังทีฆายุกับแฟนสาวสนทนากันต่อ โดยหวังว่าจะเก็บตกรายละเอียดอันใดเกี่ยวกับเกาทัณฑ์เพิ่มเติมได้บ้าง

    แต่เปล่า ทีฆายุเบี่ยงแนวสนทนาเฉไปเรื่องอื่นที่รู้กันโดยเฉพาะกับฟองชล

    คำว่า ‘พี่เขย’ ที่ทีฆายุใช้เป็นสรรพนามแทนเกาทัณฑ์ ยินแล้วเหมือนน้ำเกลือที่ราดลงไปบนแผลสดให้เกิดความแสบร้อนสุดทน คนรอบข้างของเรือนแก้วและเกาทัณฑ์ท่าทางจะรับรู้ความสัมพันธ์ฐานคู่หมายเป็นอันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการขยายผลด้วยข่าวครึกโครมผ่านสื่อมวลชน ขณะที่คนรอบข้างหล่อนซึ่งรับรู้ว่าเขากำลังจะขอหมั้น มีจำนวนน้อยจนนับได้ถ้วนด้วยนิ้วมือ

    ชัดหรือยังว่าบุญหล่อนที่จะคู่กับเขาน้อยกว่าเรือนแก้วเพียงใด?

    เหมือนกำลังถูกกัดกินด้วยเขี้ยวขย้ำของสิ่งโหดร้ายที่มองไม่เห็น แพตรีหน้าหมองลง ใจหนึ่งนึกเป็นห่วงเขา แต่สัมผัสภายในบอกว่าเขาน่าจะยังมีชีวิต เพียงด้วยเหตุผลบางประการทำให้ต้องเร้นกายหายหน้าไปจากทุกคน ซึ่งเหตุผลนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ในสายตาของเขา หล่อนมีค่าหรือความหมายน้อยเกินกว่าจะร่วมรับรู้…

    เม้มปากแน่น ในเมื่อตัวเองสำคัญสำหรับเขาน้อยขนาดนี้ ทำไมหล่อนจะต้องให้ความสำคัญกับเขามากมายไม่เลิกราด้วย?

    มติหันมาด้วยสำเหนียกกระแสเศร้าหงอยข้างกาย เห็นแพตรีสีหน้าหมองลงแล้วสนเท่ห์ เฝ้าพินิจหล่อนเงียบๆครู่หนึ่งจนแน่ใจว่ามีสิ่งผิดปกติไป

    แพตรีคือตัวอย่างความสงบกายสงบใจมาแต่เล็ก น้อยครั้งที่เห็นหล่อนเศร้าสร้อย หลุดจากจุดยืนของตนเอง แต่เห็นอย่างนี้ทีไรก็วนไปเวียนมาอยู่เรื่องเดียวทุกที คือปมฝังหัวใจชวนหม่นอันยากที่ใครจะเข้าถึง กี่ปีๆก็เรื่องเก่านี่แหละ ราวกับถูกจองจำในกรงขังชนิดหนึ่งทั้งชีวิต

    จู่ๆคงคิดถึงเขาคนนั้นขึ้นมานั่นเอง ไม่มีเรื่องอื่นหรอก…

    เหนื่อยใจแทน มติบอกตนเองขึ้นมาวูบหนึ่ง ว่าหากแกะรูปร่างหน้าตาน่าหลงใหลของแพตรีออกไป สิ่งที่เหลือคือวิญญาณอันชุ่มกิเลส เป็นทุกข์เป็นร้อนได้ดวงหนึ่ง ดูน่าสงสารเพราะเป็นดวงวิญญาณดีๆที่ควรมีสิทธิ์พ้นทุกข์ได้แล้ว แต่กลับถูกผูกยึดอยู่กับอุปาทานบางอย่างไม่เลิกรา ไปไหนไม่รอดเสียที

    “เป็นอะไรไปฮะพี่แพ?”

    หญิงสาวขบฟัน ข่มความรู้สึกภายในเป็นครู่ ก่อนหันมาฝืนยิ้มตอบ

    “ยังไงเหรอ?”

    “อยู่ๆเหมือนเศร้าขึ้นมา”

    เขาบอกตามตรงฉันผู้ใกล้ชิดสนิทนานนม ทั้งสองสื่อสารกันด้วยการเอียงหน้ากระซิบพอได้ยินตามลำพัง

    “เธอนั่นแหละ อยู่ๆหาว่าคนอื่นเขาเศร้า เอาอะไรมาตัดสิน?”

    “อย่าอำผมเลย เมื่อกี้ยังหน้าใสอยู่ดีๆ ตอนนี้หมองเหมือน…”

    “เหมือนอะไร?”

    ถามเมื่อเห็นเขาเว้นช่วงนาน

    “เหมือนลืมล้างหน้ามาจากบ้าน”

    แพตรีหัวเราะ ทำหน้าแจ่มใสขึ้นได้ การเย้าแหย่หยิกแกมหยอกของมติดูซื่อ เจตนาเพียงดูแลเอาใจใส่เพื่อให้ลืมความขุ่นข้องกังวล ไม่โฉบเฉี่ยวโลดโผนเร้าความรู้สึกแรงอย่างเกาทัณฑ์ แต่ก็ทำให้เป็นสุขเย็นใจกว่า บางครั้งขณะหัวเราะเพลินเพราะถูกเกาทัณฑ์ยั่วให้ขำ หล่อนอดคิดไม่ได้ว่ามีผู้หญิงกี่คนที่เพลินด้วยมุขหรือลูกเล่นเดียวกันนั้นอีก

    ความซื่อที่ขาดเสน่ห์ น่าจะดีกว่าเสน่ห์ที่ขาดความซื่อมากนัก

    “ทำไม? มากับคนหน้าหมองแล้วอับอายนักใช่ไหม? จะได้ขยับหนีไปห่างๆ”

    แพตรีทำเป็นครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ต่อปากต่อคำอย่างพยายามจำนรรจา

    “เปล่าฮะ…”

    มติทำหน้าตกอกตกใจเพราะตีความผิด เห็นแต่อาการขึงขังอย่างเดียว แปลยิ้มแฝงที่ฉาบหน้าไม่ออก

    “ผมเป็นห่วงต่างหาก โธ่”

    รอยยิ้มของหญิงสาวเจื่อนลงให้กับท่าทีตื่นๆของมติ ความจริงตลอดชีวิตสาว หล่อนแทบไม่เคยมีโอกาสหัดใส่จริตจะก้านเท่าไหร่นัก ทั้งกิริยาวาจา ถูกรีดให้เรียบด้วยใจเสงี่ยมมาช้านาน แต่พอถึงคราวที่ควรใช้ ก็ท่าทางจะกร่อยสนิทเพราะเจอหนุ่มน้อยผู้ไร้เดียงสากับวิถีโลกคนนี้เข้า

    แพตรียิ้มเย็นด้วยธาตุเดิมประจำตน เอื้อมมือวางบนหลังมือเขา

    “ขอบใจที่เป็นห่วง คอยเตือนแพให้ผ่องใสได้สม่ำเสมอเหมือนอย่างเธอด้วยนะ”

    ความละมุนนุ่มนวลในมือแพตรีแปรตัวเป็นกระแสสุขขึ้นเอ่อท้นใจฉับพลัน มติอยากพลิกมือกุมกลับ แต่ไม่กล้า กลัวหล่อนหดหนีหรือทำตาเขียวใส่ ความสองจิตสองใจยังผลให้เกร็ง ที่สุดก็แสร้งทำเป็นเห็นป้ายโฆษณาสะดุดตา ชะเง้อชะแง้เพ่งมองออกนอกรถเสียไกล

     

    ทีฆายุนัดมาเลี้ยงที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง สมน้ำสมเนื้อพอจะเรียกได้ว่าเลี้ยงฉลองรางวัลสองล้าน มติรู้สึกเหมือนตนเองและแพตรีมานั่งเป็นสักขีพยานกับความสำเร็จก้าวแรกให้กับเพื่อนมากกว่าอย่างอื่น อาจด้วยงานนี้ทีฆายุเป็นเจ้าภาพ กระแสความชื่นชมยินดีจึงพุ่งตรงไปให้ทีฆายุผู้รับรางวัลใหญ่แต่เพียงผู้เดียว

    สุ้มเสียงของทีฆายุที่เคยเด่นอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งห้าวกังวานเป็นพิเศษราวกับนักรบใหญ่จากสมรภูมิ ทั้งหน้าตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อากัปกิริยา ล้วนรวมกันบ่งถึงภาวะของผู้ยืนเหยียบหลังคาโลกทั้งสิ้น เมื่อทีฆายุเอ่ยคำใด ทุกคนจะต้องเงียบฟัง และแม้ใครโต้ตอบเล่นหัวฉันเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็แฝงอยู่ด้วยความพินอบพิเทาในทีเสมอ

    สองล้านบาทนับเป็นเงินก้อนโตที่สุดที่ทีฆายุเคยได้มาด้วยฝีมือและน้ำพักน้ำแรง น้อยนักที่รุ่นราวคราวเดียวกันจะเทียบเท่า ตัวเงินจึงคล้ายเป็นก้อนกำลังใจอันใหญ่ หนุนให้อัตตาแรงและเห่อเหิมลำพองสุดสภาพ

    ขนาดยังไม่ทันเริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นมืออาชีพ ยังประสพความสำเร็จระดับนี้ ถึงเวลาจริงจะยิ่งสำเร็จเป็นทวีคูณแค่ไหน?

    นี่นับเป็นสิ่งเสริมฐานอัตตาเดิมที่เขื่องอยู่แล้วให้เบ่งบานเข้าไปใหญ่ ในกลุ่มเด็กรวยด้วยกัน ทีฆายุหล่อที่สุด ขับรถแพงที่สุด ควงแฟนน่ารักที่สุด แถมมีเส้นทางแน่นอนว่าจะไปเอาดีทางจิตรกรรมหรือประติมากรรมระดับนานาชาติมากที่สุด เนื่องจากมีฝีมือและทักษะอันเที่ยงต่องานศิลป์หลากหลาย หัวคิดแหวกแนวกว่าใคร ทั้งยังประกอบเข้ากับสัญชาตญาณหรือพรสวรรค์พิเศษเชิงการสร้างสื่อกระทบใจ เหนี่ยวนำอารมณ์มนุษย์ให้เป็นไปต่างๆตามเจตนา จนอาจารย์สมบูรณ์เคยทำนายไว้ว่าหากทีฆายุหาแหล่งแจ้งเกิดดีๆในงานใหญ่ที่ต่างประเทศได้ ก็อาจมีชื่อเสียงระดับโลกไปโน่นเลยทีเดียว

    หากเพื่อนคนอื่นที่นั่งล้อมโต๊ะอยู่ด้วยกันได้รับรางวัลเหรียญเงินแทนทีฆายุ คงไม่แคล้วถูกริษยาและจ้องจับผิดหาที่ติ เจอวิพากษ์วิจารณ์เละ ทว่านี่เป็นทีฆายุซึ่งทุกคนให้ความยอมรับอยู่แล้วในทุกด้าน จึงพร้อมใจกันยกย่องชื่นชมเป็นอันหนึ่งอันเดียว หรือถ้าจะมีกระแสริษยารินๆไหลๆอยู่บ้าง ก็คงถูกซ่อนไว้ในหลืบเร้นลึกลับที่สุดในหัวใจแต่ละคน

    ได้เวลาเลือกสั่งอาหาร ทุกคนได้รับเมนูมาก้มหน้าก้มตาเปิดดูและทยอยสั่งบริกรกันตามอัธยาศัย หลังจากประชุมแล้วได้ความว่าไม่ต้องการอาหารชุดหรือกับข้าวรวม

    มติทานได้ทุกอย่าง แต่ก็สมัครใจเลือกสลัดผักกับอาหารเบาที่ปราศจากเนื้อสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนแพตรี เขาทานมังสวิรัติเป็นเพื่อนหล่อนทุกครั้ง ทุกงาน จนบางทีชิน หรือกระทั่งชอบ แต่ก็ยังทานเนื้อสัตว์เล็กอยู่เรื่อยๆ เยี่ยงผู้ไม่รู้ไม่เห็นว่าสัตว์ใดจะถูกฆ่าเพื่อนำมาให้ตนทาน แต่ก็นึกอยู่ตลอด คือถ้ามีการโหวตเสียงเพื่อเลิกฆ่าสัตว์มาทำเป็นอาหารพร้อมกันทั้งโลก เขาจะอยู่ข้างให้เลิก จะไม่ยินดีให้มีการเอาชีวิตอื่นมาต่อชีวิตตนแน่ๆ และคิดอย่างนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งคิดหลังเห็นธรรม

    ลักษณะความบริสุทธิ์ของศีลต้องเล็งตรงเข้ามาถึงระดับความคิดอย่างนี้

    ระหว่างสมาชิกในโต๊ะเลือกอาหาร ทีฆายุก็ขอเมนูไวน์จากบริกร และแม้เขาจะอยู่ในฐานะเจ้าภาพ ก็ให้เกียรติอาจารย์สมบูรณ์เป็นคนดูเมนูเลือกสั่งไวน์ แก้วไวน์ทรงสูงถูกนำมาวางเรียงตามลำดับ มติมองด้วยความรู้สึกไม่ดีนัก ปกติแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่พิศวาสน้ำเมาเท่าไหร่ เคยต้องทานเหล้าบ้างตามโอกาสชนิดนานทีปีหน เช่นในงานวันเกิดเพื่อนสนิท หรือดื่มตามพรรคพวกร่วมอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งบางครั้งอยู่ในเขตหนาวเหน็บ ได้ดีกรีเหล้ามาช่วยเพิ่มความอุ่นภายในร่างกายบ้าง ก่อนดื่มจะตั้งความคิด ตั้งสติรู้ตัวว่า ‘แก้วนี้เพื่อเพื่อน’ หรือ ‘แก้วนี้เพื่อเป็นยา’ และแน่ใจอย่างหนึ่งคือไม่เคยดื่มด้วยความอยากสนุกคึกคะนองแต่อย่างใด

    ยิ่งถ้าช่วงตั้งใจถือศีลให้บริสุทธิ์ ก็จะเว้นขาดสนิท ไม่ให้เหล้าแตะเลยแม้ปลายลิ้น

    วันนี้คงเป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องตั้งสติรู้ตัวว่า ‘แก้วนี้เพื่อสังคม’

    คิดแค่ว่าต้องทำตัวเอาใจสังคม ก็บังเกิดความเบื่อหน่ายการเข้าพรรคเข้าหมู่ขึ้นมากะทันหัน เบื่อชนิดที่จิตขอหลบเข้าข้างใน ขาดจากความรู้สึกในตัวตนชั่วคราว ฉายว่างออกมาจนจอตารับความเคลื่อนไหวของผู้คนมากหน้าหลายตารอบโต๊ะเสมือนภาพเชิงซ้อน คือภาคหนึ่งเห็นเขาและเธอทั้งหลายสรวลเสเฮฮาเป็นปกติ รับรู้ว่าใครเป็นใคร ชื่ออะไร แต่อีกภาคหนึ่งรู้สึกเหมือนสักแต่เป็นสีสันและความเคลื่อนไหวหลอกๆ

    เมื่อใจว่างจากตัวตน สิ่งทั้งหลายที่เห็นก็ว่างจากตัวตนไปด้วย

    คล้ายกับใจเปล่าๆเล็งมองสรรพสิ่งมาจากอีกมิติ ทุกอย่างปรากฏราวกับเป็นหุ่นเชิด หุ่นกระบอกกะโหลกกะลา ทั้งดวงหน้า ดวงตา รูหู รูจมูกของใครต่อใครปรากฏครบพร้อมต่อจักขุประสาท แลดูประหลาดราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนี้ก็เนื่องจากเมื่อความรู้สึกในตัวตนขาดสายหายหนไป ก็เหลือแต่ใจรู้เปล่าๆที่เป็นเอกเทศจากอดีต ความกำหนดหมายแบบเดิมๆเหลือติดอยู่เพียงน้อยเท่าน้อยในชั่วขณะนั้น

    ราวกับดำน้ำลงไปแล้วนำหน้ากากกระจกมาสวม ทำให้เห็นทุกสิ่งใต้น้ำชัดเจนระยะหนึ่ง นั่นคือขณะแห่งการรู้ทั่วพร้อม จะเรียกมหาสติก็ได้ แต่แล้วก็เหมือนถูกดึงหน้ากากกระจกออก ทำให้เห็นพร่ามัวไปอีก นั่นคือขณะแห่งการรู้เพียงบางส่วนเหมือนปกติสามัญ จะเรียกสติธรรมดาก็ได้

    ในวูบที่คืนกลับมาสู่ความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน และแก้วไวน์ถูกวางประจำที่เขา ใจหนึ่งอึดอัดอยากบอกปฏิเสธ แต่อีกใจก็คิดลองอนุโลมตามโลก หรืออนุโลมตามสมมุติ เพราะเคยทานเหล้าให้เพื่อนกลุ่มนี้เห็นมาก่อน อยู่ๆวันนี้บอกจะไม่ทาน เดี๋ยวถูกหาว่าทำตัวแปลกแยก เยาะหยันถากถางหรือคะยั้นคะยอแกมบังคับขึ้นมา ก็เกิดบาปเกิดกรรมฐานยัดเยียดพิษให้ผู้ไม่ประสงค์จะรับเปล่าๆ

    แต่เมื่อบริกรจะวางแก้วให้แพตรี มติก็รีบยกมือห้าม

    “ที่นี้ไม่ต้องครับ”

    เขาเอ่ยแทนหล่อนโดยไม่หันถามความสมัครใจ เพราะรู้ว่าแพตรีไม่ดื่มแน่ๆ จะเพื่ออนุโลมตามสังคม หรือเพื่อเห็นแก่เขาก็ตามที พอบริกรชะงักมือมติก็เงยหน้าสั่ง

    “ขอน้ำส้มให้แทนแล้วกัน”

    ทุกคนในโต๊ะมองมานิดหนึ่งแล้วผ่าน เนื่องจากบุคลิกของแพตรีค่อนข้างบ่งบอกอยู่ในตัวเองทำนองมักน้อย รักสันโดษ หรือกระทั่งชอบถือศีลแปด อีกอย่างหล่อนเป็นคนนอกที่ติดตามมติมาร่วมโต๊ะ จึงดูธรรมดาและไม่ทำให้เห็นแปลกแยกเท่าไหร่

    “เฮ้! ชนกันหน่อยเพื่อนยาก”

    ทีฆายุยกแก้วให้มติซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลเช่นเดียวกับตน มติยิ้มและยกแก้วขึ้นกระทบกับใบของเพื่อนกริ๊กหนึ่ง แล้วนำมาจิบเป็นปกติ

    กลิ่นเหม็นและรสเอียนทั่วช่องปากช่องคอของเหล้าก่อความรู้สึกผิดจัดขึ้นมาพิลึก เหมือนยอมรับสิ่งแปลกปลอมบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย แต่ก็ยังกลืนได้ด้วยเจตนารักษามิตรภาพ

    มิตรภาพตามบรรทัดฐานของสังคม ชนแก้วแล้วต้องดื่ม

    คุยๆกันพักหนึ่ง อาจารย์สมบูรณ์ก็ชูแก้วไวน์ในมือ พูดยกย่องและกล่าวถึงความสำเร็จจากงานประกวดของทีฆายุ ทำให้ทุกคนต้องชูแก้วเชียร์และกระดกเข้าคอตาม

    รอบนี้มติรู้สึกเหมือนกินยาพิษ

    เด็กหนุ่มขมวดคิ้วย่น เหลือบมาสบกับแพตรี เห็นหล่อนปรายตามองรออยู่ก่อน กลิ่นไวน์ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายเขาไม่ผิดแปลกจากที่เคยลิ้มรสมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าความร้อนในกายสิชอบกลนัก เพราะไม่ร้อนแบบกระตุ้นเลือดลมอย่างเคย เป็นความร้อนแบบทรมาน ไล่ซ่าชาเห่อมาตามใบหน้าและเนื้อตัวคล้ายคนเป็นลมพิษอ่อนๆ

    รู้สึกว่ากำลังทำผิดอย่างแรง

    กลืนน้ำลายตามลงไปหลายอึกอย่างไม่สบายใจ เขานั่งฟัง และคุยโต้ตอบกับเพื่อนบางคน พออาหารมาเสิร์ฟก็ทานเป็นปกติ เมื่อไวน์หมดและบริกรมารินเติมให้ก็ปฏิเสธไม่ทัน ดังนั้นจังหวะหนึ่งเมื่ออาจารย์สมบูรณ์ยื่นแก้วมาให้ชนด้วยเป็นส่วนตัว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเช่นเคย

    สำเหนียกความสะเทือนที่ก่อตัวขึ้นในกาย และแผ่ออกมาเป็นความสั่นที่มือไม้ พอชนแล้วก็คือต้องดื่ม มติพยายามหน่วงจังหวะไว้ โดยทำเป็นนำมาจ่อดมเอากลิ่นเสียก่อนลิ้มรส

    กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนเข้าจมูก รับรู้ว่านั่นคือที่ถูกปรุงขึ้นเพื่อเป็นน้ำเมา ปรุงขึ้นด้วยเจตนาปรับประสาทให้ทำงานอีกแบบหนึ่งต่างจากขณะมีสติครองตัวเต็มร้อย กับทั้งเกิดความเห็นภาวะร่างกายตน ว่าถ้าดื่มมากกว่านั้น ประสาทและสำนึกจะเริ่มแปรปรวนไป

    ตัวห้ามเกิดขึ้น กลิ่นเหล้ากลายเป็นกลิ่นน้ำนรกในสำนึกชั่วขณะจิตนั้นเอง

    เป็นสัมผัสนรกจริงๆ ไม่ใช่อุปมาอุปไมย นั่นคือสัญชาตญาณรู้ของผู้ปิดประตูอบายได้เด็ดขาดแล้วนับแต่เกิดมรรคผล

    แต่ก่อนเขาไม่รู้เหตุผลอย่างแท้จริงเลยว่าทำไมการกินเหล้าจึงเป็นข้อห้ามของศีลห้า ต่อเมื่อใจเป็นศีล มีความวิสุทธิ์สะอาดจากทางนรกในบัดนี้ จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง เทียบได้กับคนสติดีธรรมดาเมื่อเห็นไฟลุกท่วม ย่อมไม่เดินเข้าไปย่างสดตนเองเป็นแน่

    เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเมื่อเป็นอริยบุคคลแล้ว จะต้องทำหรือไม่ทำอะไรบ้าง เป็นไปอย่างตำราว่าไว้เป๊ะเลยหรือเปล่า ผู้ถึงธรรมทุกท่านจะเสพหรืองดเสพสิ่งต่างๆเหมือนกันหมดโดยไม่ต้องนัดหมายเลยจริงๆล่ะหรือ?

    ตอนนี้หายสงสัยแล้ว เมื่อเป็นศีลด้วยตัวเอง ระบบทั้งหมดโดยองค์รวมไม่ว่าจิตหรือกาย ต่างร่วมกันปฏิเสธสิ่งแปลกปลอม กล่าวคือต่อไปนี้สารใดๆก็ตามที่เข้าสู่ร่างกายแล้วมีฤทธิ์กดประสาท แปรสติไปในทำนองมึนเมา เห็นผิดเป็นชอบทั้งปวง เป็นอันถูกปฏิเสธทั้งสิ้น ใช่แต่จะหมายเพียงสุราเท่านั้น

    เขายกแก้วแตะริมฝีปาก จิบนิดหนึ่งสักแต่เป็นละครตามมารยาท ทว่าปล่อยให้ ‘น้ำนรก’ ซึมลิ้นเพียงนิดเดียว ไม่ล่วงผ่านลำคออีก

    เหล้าที่ล่วงผ่านลำคอไปก่อนหน้า บัดนี้เริ่มออกฤทธิ์เป็นที่รู้ คนธรรมดานั้นไวน์แก้วเดียวจะไม่เกิดอาการผิดแปลกเลย แต่สำหรับมติ นอกจากร้อนปุดอยู่ใต้ผิวหนัง อึดอัดไม่สบายทั้งกายและใจแล้ว จิตยังเริ่มแผลงสภาพไปเอง คือเกิดอาการหลบใน ตั้งมั่นแน่นิ่งอยู่กับที่ ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกายเต็มๆ กล่าวคือตั้งป้อมรู้เฉยเมย มองดูไฟนรกมันลุกโชติอยู่โดยรอบ ไม่เฉียดเข้าไปแตะต้อง หากกล่าวตามนัยของความเข้าใจปกติ ก็ต้องว่าทุกข์ทรมาน ไม่ยินดีกับเหล้าที่เข้าปากแม้เพียงเสี้ยวแห่งเสี้ยวใจ

    มติพยายามลดดีกรีรุ่มร้อนในกายลงด้วยสติกำหนดลมหายใจ จึงค่อยยังชั่วขึ้นบ้าง แม้ซ่าเห่อตามผิวหนังไม่หยุด เกิดความเข้าใจต่อเนื่องตลอดสาย ว่าสำหรับศีลข้ออื่นจะถูกรักษาไว้เองท่าไหน

    หากมีสถานการณ์บีบคั้นให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือลักขโมย มือไม้คงแข็งทื่อเป็นท่อนเหล็กหมดทางขยับเขยื้อน เพราะชีวะของสัตว์และทรัพย์ของผู้อื่นย่อมมีกระแสห้ามในตนเองที่อริยเจ้าสัมผัสได้ ฉะนั้นแน่นอนว่าต่อไปนี้หมดสิทธิ์ประกอบอาชีพเช่นพรานหรือคนงานโรงฆ่าสัตว์ อันนี้มีตัวอย่างบันทึกไว้ว่าในสมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ พรานป่าผู้บรรลุโสดาปัตติผลหันหลังให้อาชีพเก่าทันทีด้วยตนเอง ไม่มีใครบังคับ และไม่ได้เรียนรู้พระธรรมวินัย หรือกฎเกณฑ์ที่ว่าอริยบุคคลต้องทำนั่นทำนี่ หรือไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้

    หากมีสถานการณ์บีบคั้นให้ผิดลูกที่ยังอยู่ในปกครอง เลี้ยงตัวเองไม่ได้ หรือเมียใครที่ผัวเขายังไม่หย่าขาดด้วยกาย วาจา ใจ ก็จะไม่มีความพร้อมในการทำอกุศลกิจด้วยประการใดๆ

    หากมีสถานการณ์บีบคั้นให้มุสา อันนี้เขาผ่านเหตุการณ์สอบใจมาแล้วเมื่ออยู่ในรถของทีฆายุ เขาจะอ้าขากรรไกรด้วยเจตนาตอบเป็นตรงข้ามกับความจริงไม่ได้ อย่างมากที่สุดคือพูดเฉพาะความจริงส่วนที่พูดได้ หรือเลี่ยงเป็นอื่น หรือเลือกทางสุดท้ายคือเงียบเสียดื้อๆ

     

    แท็กซี่แล่นมาจอดหน้าบ้านปู่ชนะ มติควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายตามมิเตอร์ แล้วลงจากรถพร้อมแพตรี ยังคงมีความขมของเหล้าและความรู้สึกผิดติดตามตัวไม่เลิก นึกในใจว่าต่อไปนี้เหล้าหยดเดียวก็อย่าได้มาแตะปลายลิ้น เขาเปรียบเหมือนคนเป็นโรคแพ้สุราถาวร คงต้องประกาศตามนั้น ถ้าสังคมไม่เห็นใจ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่สังคมเช่นกัน

    แพตรีล้วงกุญแจออกมาไขประตู แต่มติเรียกรั้งไว้

    “พี่แพ”

    หญิงสาวเหลียวมา เลิกคิ้วสูงเป็นเครื่องหมายคำถามว่ามีอะไร

    “พี่จะไปนั่งดูทะเลกับผมจริงหรือเปล่า?”

    “จริงสิ แพเคยหลอกเธอสักครั้งเหรอ” แล้วหล่อนก็เหลือบตาคิด “พรุ่งนี้เลยไหมล่ะ ไปเช้ากลับเย็นทันใช่ไหม?”

    “ฮะ ทัน ไปใกล้ๆแถวชลบุรี พัทยานี่ก็ได้”

    “ถ้างั้นจะรอที่บ้านนะ ออกสักเจ็ดโมงเช้าเป็นไง”

    “ฮะ” แล้วเขาก็จ้องตาหล่อนนิ่ง “พี่แพ ผมอยาก เอ่อ…ถามอย่างตรงไปตรงมาสักอย่างหนึ่ง คือ…”

    พูดตะกุกตะกักจนต้องกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ก้มหน้าลงและรู้ว่าใจแข็งไม่พอจะเอ่ยถามตามต้องการ

    “คืออะไรล่ะ?”

    มติถอนใจเฮือก รวบรวมความกล้าทั้งหมดมาไว้ที่ริมฝีปาก

    “พี่แพจะแต่งงานกับผมได้ไหมฮะ?”

    แพตรีรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะดุดวูบแต่อย่างใดทั้งสิ้น หล่อนมองหน้ามติพักหนึ่ง เขาสบสานด้วยเป็นครู่ ก่อนเหลือบหลบลงต่ำคล้ายกลัวถูกหล่อนดุ หญิงสาวตระหนักในบัดนั้นว่าเขาไม่มีความพร้อมจะเป็นเจ้าของหล่อนเลย มีแต่ความปรารถนาที่จริงจังและจริงใจเท่านั้น

    คำถามที่มีมาเร็วเกินไปของมตินั้นเอง ทำให้แพตรีรู้สึกว่าตนยังคงเป็นผู้หญิงของเกาทัณฑ์ คล้ายทาสรักโง่ๆซื่อๆที่ไปไหนไม่รอดสักที ถึงฉลาดคิด มีสติปัญญาด้านอื่นเพียงใด ก็เหมือนเป็นเอกเทศ คนละส่วนกันกับหัวจิตหัวใจอย่างสิ้นเชิง หล่อนเพียรพยายามมานานปี ที่จะผูกความคิดเป็นเหตุเป็นผล ศึกษาและทำใจให้รักวิทยาศาสตร์เพื่อกลบเกลื่อนอาการฝังใจผูกมัดกับเรื่องลี้ลับ ทว่านั่นก็เป็นความพยายามที่สูญเปล่า ความรักที่เกิดจากบุพเพสันนิวาสในชาติใกล้นั้นรุนแรงและแน่นเหนียวยิ่งกว่าโซ่ตรวนที่มัดร่างไม่ให้กระดุกกระดิก ให้ทำอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด

    เหมือนของตายในมือเขา

    โดยเฉพาะในช่วงหลังที่เขาขอหล่อนแต่งงาน และบอกผู้ใหญ่เตรียมหมั้นหมายไว้อย่างดิบดี ก็สิ้นความเคลือบแคลง ปล่อยให้ความรักล้ำลึกเข้าครองจิตใจเท่าแต่ก่อนเก่าทุกประการ

    พอรู้ว่าเขารักคนอื่นเท่าหล่อน ก็เหมือนถูกฆ่าทั้งเป็น

    ยังรักและคิดถึงเขาอยู่ทุกวินาที ทั้งเสียใจ ทั้งน้อยใจ กลางวันดูยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นที่น่านับถือของเด็กๆ แต่กลางคืนบางทีนอนร้องไห้หมดท่า แม้ปรับสติทำสมาธิ อ่านหนังสือให้ใจมีที่จับบ้าง ก็แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ยิ่งอยากลืมก็ยิ่งเหมือนย้ำให้จำชัดขึ้นทุกที

    บัดนี้คงถึงเวลาต้องทบทวนตนเอง หล่อนเอาเคราะห์มาฟาดมติหรือเปล่า? หล่อนใช้เขาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวแทนเกาทัณฑ์อย่างไม่เป็นธรรมหรือเปล่า? ผลที่ได้จะคุ้มเสียหรือเปล่า?

    คิดง่ายๆตามประสาคนไม่รู้ คือเป็นผู้หญิงของใครก็คงไปกับคนนั้น เส้นทางไปนิพพานของเกาทัณฑ์ยืดยาวเยิ่นเย้อจนชักนึกกลัวความไม่แน่นอนอันดำมืดในภายภาคหน้า แต่เส้นทางของมติอยู่สั้นเหมือนแค่เอื้อมถึง สว่างกระจ่างแจ้งเห็นชัดยิ่ง

    หล่อนว่าหล่อนขยาดกับการเกิดตายเต็มที ระลึกได้ชาติเดียว เห็นความไม่แน่นอนแค่นี้ ก็เหลือจะพอกับสำนึกลึกซึ้งถึงแก่นโทษภัย ความไม่น่าพิสมัยของชาติภพ ถ้ายังติดอยู่ ยังข้องอยู่ ก็เวียนเกิดตายอยู่กับความไม่รู้ แต่กลับเกิดอุปาทานหลอกตัวเองว่ารู้ๆๆเยี่ยงนี้ไปเรื่อย

    แม้ปลงคิดเปลี่ยนใจมาหามติแล้วก็ตาม แต่อย่างหนึ่งที่รู้ก็คือวันนี้ เดี๋ยวนี้ หล่อนคงรักเขาอย่างชนิดที่จะให้มาครองกายครองใจไม่ไหวแน่ๆ พอเขาชวนแต่งงานแล้วเห็นเป็นเรื่องเลื่อนลอยไกลตัวเหลือเกิน

    “เราคบกันมานานมากนะมติ” แพตรีค่อยๆพูด “และอยู่กันมาอย่างพี่อย่างน้อง ถ้าอยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป เราคงต้องช่วยกันพูดถึงสิ่งที่พอดีกับความรู้สึก ช่วยกันทำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในวันนี้วันพรุ่ง ไม่ใช่กระโดดไปคุยกันเรื่องไกลเกินตัว”

    มติกะพริบตา พยักหน้าอย่างเข้าใจ

    “ที่พี่แพ…ยอมให้โอกาสเปลี่ยนแปลง เพราะ…เพราะเขาทำไม่ดีกับพี่แพใช่ไหม?”

    แพตรีสะอึกอึ้ง แต่ก็ชั่วครู่เท่านั้น

    “ใช่!” หล่อนตอบตรงไปตรงมา “เธอรับได้ไหมล่ะ?”

    มตินิ่งซึม แพตรีนึกสะใจขึ้นมาขณะจิตหนึ่งประสาคนที่ยังรกด้วยกิเลสในส่วนลึก เหมือนได้ที่ลงเพื่อระบายความคับแค้นออกมาเสียบ้าง ทว่าวูบเดียวก็สำนึกผิด ด้วยเห็นชัดว่าพฤติกรรมด้านลบถ่ายทอดถึงกันอย่างที่เรียก ‘ติดเชื้อร้าย’ ได้อย่างไร หากปราศจากสติและความมั่นคงในตนเองแล้ว คนเรารับเชื้อร้ายจากบุคคลแวดล้อมเข้ามาเท่าไหร่ก็ยิ่งร้ายขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น

    เม้มปากก่อนเอ่ยแผ่ว

    “ยอมรับว่าคิดใช้เธอเป็นเครื่องลบเขาออกจากใจ ถ้าเห็นว่านั่นเป็นความผิด ก็อย่ามาสนใจกันเลย”

    มติส่ายหน้า

    “ถ้าอย่างนั้นผมก็ผิดด้วยครึ่งหนึ่งที่เจียมตัวน้อยไป”

    แพตรีนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยนุ่ม

    “พี่จะไม่หลอกตัวเองแล้ว”

    หล่อนคืนฐานะเดิม เมื่อตระหนักว่าตนเองอึดอัดมาทั้งวันกับการลองพยายามผันสัมพันธภาพเป็นอื่นแบบปุบปับ

    “วันไหนเราเห็นกันและกันเปลี่ยนเป็นอื่นได้จริง ค่อยร่วมรู้และยอมรับตามนั้น ตกลงไหม?”

    เด็กหนุ่มพยักหน้า

    “ฮะ…” แล้วก็ถามให้หายข้องใจ “ว่าแต่ ที่พี่แพรับปากว่าพรุ่งนี้จะไป…”

    แพตรีหัวเราะถอนฉิวก่อนที่เขาจะถามจบ ทำให้มติชะงักค้าง

    “บอกว่าไปก็ไปสิ เอ๊…”

    หญิงสาวแกล้งแหว เห็นเขาตกใจแล้วก็อดขำไม่ได้ เพิ่งประจักษ์ชัดจากตัวตนของน้องชายตรงหน้า ว่าภูมิธรรม ภูมิปัญญา และวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่นั้น ไม่จำเป็นต้องควบคู่มาด้วยกันเสมอไป มติยังคงเป็นเด็กชายผู้อ่อนเยาว์ตลอดกาลเมื่ออยู่ต่อหน้าหล่อน หากเขาขาดความเชื่อมั่นอยู่อย่างนี้ หล่อนก็คงเห็นเขาเป็นน้องชายเรื่อยไปเช่นกัน ไม่มีวันเห็นเป็นอื่นได้เลย แม้ในส่วนลึกจะเคารพธรรมภายในของเขาก็ตาม

    “พอจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพี่แพได้ไหมฮะ?”

    หญิงสาวนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยเนิบ

    “ไว้นึกอยากเล่าแล้วจะเล่านะ เข้าบ้านล่ะ”

    ในความเงียบเชียบของค่ำคืน มติกลั้นใจดึงมือหล่อนมากุมด้วยท่าทีเชื่อมั่น

    “พรุ่งนี้เจ็ดโมงผมมารับนะ”

    แพตรีกระตุกมือกลับและเผลอดุ

    “ไม่เอาน่า”

    นั่นทำให้มติคอตกวูบไปอีก แพตรีเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ ลังเลเป็นครู่ก่อนยกมือไล้แก้มเขานิดหนึ่งแล้วตบเบาๆ

    “กลับไปนอนซะนะหนุ่มน้อย จะได้รีบฝันดีล่วงหน้า”

    สัมผัสนุ่มนวลชวนหลงนั้นทำให้มติไม่อยากปล่อยให้หล่อนจากไปไหน แต่ก็จนใจเมื่อแพตรีก้าวเข้าบ้านหายไปโดยไม่เหลียวกลับมาให้ความสนใจเขาอีก

     

    แพตรีอาบน้ำเสร็จก็ปิดเรือนแน่นหนาและเข้าห้องนอนด้วยความคิดจะหลับให้สนิท สมกับความเหนื่อยอ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ

    หล่อนปิดไฟห้องนอนไว้มืด เมื่อเปิดประตูเปิดไฟจึงตกใจจนเกือบหลุดหวีดกับร่างสูงที่ลุกเนิบจากท่านั่งขยับเดินใกล้เข้ามา

    ปรับสติได้รวดเร็ว เพราะเกาทัณฑ์เคยทำอย่างนี้หนหนึ่งแล้ว จึงสร้างความประหลาดใจได้น้อยลง ตาสานตานิ่ง ฝ่ายหนึ่งทอดอ่อนอย่างเตรียมขอทำความเข้าใจ อีกฝ่ายเย็นชาอย่างเจตนาประกาศความเป็นอื่น

    เขาคงมาซุ่มในบริเวณบ้านนานแล้ว เมื่อหล่อนเปิดเรือนเพื่อขึ้นมาบนห้องและย้อนลงไปอาบน้ำ จึงถือโอกาสบุกรุกอุกอาจอย่างนี้

    “พี่เต้” แพตรีทักเสียงเย็น “เคยมีมารยาทผู้ดีกับเขาบ้างไหมคะ?”

    หล่อนว่าเอาตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เขาได้ใจอีกและอีกอย่างนึกว่าหล่อนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

    “พี่แค่อยากให้แน่ใจว่าเราจะได้คุยกัน ขอโทษที่เสียมารยาท”

    เกาทัณฑ์ตอบเรียบ แพตรีกอดอกยิ้ม ซ่อนความเจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มแทงเอาไว้อย่างมิดชิด

    “ค่ะ ครั้งนี้ยกให้ แต่ถ้าจะกรุณา ก็ขอกุญแจบ้านคืนด้วยเถอะ พี่ถือสนิทเกินขอบเขตแบบนี้รู้สึกจะมากไปแล้ว”

    พูดจบก็เปิดประตูกว้าง

    “ถ้ามีธุระด่วนขั้นคอขาดบาดตายก็ลงไปคุยกันหน้าบ้าน แต่ถ้าไม่ถึงขั้นนั้น ก็เชิญกลับ”

    เกาทัณฑ์เดินมาด้วยท่าทีคล้ายจะปฏิบัติตามที่หล่อนต้องการ คือสายตามองไปนอกห้องเหมือนตั้งใจเดินออก แต่พอได้ระยะ ก็กลับยกมือปิดประตูลงหน้าตาเฉย

    “คุยกับพี่ที่นี่เถอะ ถ้าภายในครึ่งชั่วโมงนี้ยังรู้ว่าแพจงเกลียดจงชังจนยอมรับนับถือกันไม่ได้อีกต่อไป ก็สัญญาว่าจะไม่มาหาให้รำคาญใจอีกแล้ว”

    แพตรีใจอ่อนยวบ นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเฉยๆ ได้แต่สะกดกลั้นไว้ภายใต้สีหน้าเรียบราบเย็นชา

    “ที่จริงเราไม่น่าจะมีเรื่องต้องพูดกันอีกแล้วนี่คะ”

    เสียงหล่อนเครือสั่นเกินควบคุม

    “มี แล้วก็มากด้วย”

    “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มพูดเลย แต่ถ้ายาวเกินไปนักอาจทนฟังได้ไม่จบนะ พรุ่งนี้แพต้องตื่นเช้า มีนัด”

    เกาทัณฑ์ยิ้มละไมอย่างจะตรึงหล่อนไว้ด้วยเสน่ห์แห่งผู้เป็นที่รัก แพตรีอดมองไม่ได้ แต่ที่สุดก็สะบัดหน้าหนี ก้าวเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ปิดปากสนิท

    “ทำไมแพไม่ใช้รถเลย?”

    “ถามก็ดี ช่วยเอาคืนไปเสีย ทำหนังสือโอนกลับเป็นชื่อพี่ด้วย เราหมดพันธะต่อกันแล้ว”

    “พันธะระหว่างเราคืออะไร?” ชายหนุ่มถามเสียงเนิบ ยืนอยู่ที่เดิม “อะไรที่มันหมดไปหรือแพ ใจหรือว่าข้อผูกมัดชนิดไหน?”

    คำถามสั้นๆนั้นเหมือนสะกดให้หล่อนมองย้อนเข้ามาในใจ เห็นเยื่อใยอยู่ที่นั่น มั่นคงไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย และเพราะเห็นความจริงเช่นนั้นจึงเจ็บสุดทน

    “อย่าพูดวกวนเลยค่ะ ให้จบกันแบบตรงไปตรงมาดีกว่า พี่มีธุระอะไร?”

    เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว สาวเท้ามานั่งบนขอบเตียงหล่อน แพตรีปรายตามองตาม แล้วเมินไปทางอื่น เพราะเครื่องเรือนในห้องหล่อนมีน้อยชิ้น หาที่นั่งได้ก็แต่เก้าอี้ประจำโต๊ะทำงานและเตียงนอนเท่านั้น

    “ก่อนอื่นปรับความเข้าใจสักนิดเถอะนะ แพกำลังโกรธพี่อยู่หรือ?”

    “ค่ะ”

    “เรื่องอะไร?”

    แพตรียิ้มเย็น โคลงศีรษะนิดหนึ่งอย่างอ่อนใจ

    “ถ้าไม่รู้ก็ช่างเถอะค่ะพี่”

    “พี่หายหน้าไปหลายอาทิตย์ ไม่บอกไม่กล่าว แพคงนึกเคือง”

    หญิงสาวใช้น้ำหนักตัวหมุนเก้าอี้หันมองอีกฝ่ายในแนวตรง กล่าวสม่ำเสมอด้วยอารมณ์คงที่

    “อย่าเรียกว่าทำให้เคืองเลยค่ะ เอาเป็นทำให้รู้ดีกว่าว่าแพมีความหมายสำหรับพี่ในระดับไหน ถ้าหากจะนึกเคือง ก็คงเป็นเรื่องเก่า ที่ย้อนคิดทบทวนเท่าไหร่ก็เห็นแต่ความหลายใจ มีคนที่พี่รักอยู่ก่อนหน้าแล้ว ยังมาหลอกขอแพกับผู้ใหญ่ ถ้าไม่ตกเป็นข่าวให้รู้ไส้พุง ป่านนี้คงหนักใจกันทุกฝ่าย”

    “เรื่องนี้…พี่นึกว่าครั้งสุดท้ายเราเข้าใจกันแล้ว”

    “ค่ะ เข้าใจว่าพี่มาหาแพในวันนั้นเพื่อจองจะรักษาแพไว้ ในขณะที่ไม่คิดจะทอดทิ้งอีกคนไปไหน วันนั้นสมองแพหนักจนลืมบอกค่ะว่า…อย่ามาให้เห็นหน้ากันอีก”

    เกาทัณฑ์ยิ้มนิดหนึ่ง โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแพตรีปราศจากฐานใดรองพื้น ถ้าไม่ใช่คนรักก็กลายเป็นอื่นไปเลย แตกต่างจากเรือนแก้ว ที่แม้ไม่ใช่คนรักก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ แพตรีค่อนข้างปิดตนเอง ทำให้มีใจมั่นเป็นหนึ่งเดียวยากจะเปลี่ยน ส่วนเขาและเรือนแก้วเป็นตรงข้าม คือค่อนข้างเปิดเสียจนมองอีกแง่ได้ว่าเผื่อใจไว้มากเกินไป

    “หลายอาทิตย์นี้พี่อยู่ไกลเมือง ไกลคน และเมื่อกลับมาก็ตรงหาแพเป็นคนแรก อยากรู้เหตุผลไหมว่าทำไมพี่ถึงหายหน้า แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่บอกกล่าว?”

    “พอเดาได้ค่ะว่าถูกเจ้ากรรมนายเวรตามล่าอยู่”

    “ฟังดูไม่มีเยื่อใยเลยนะ ถ้าพี่โดนฆ่าตายแพคงตบมือดีอกดีใจอยู่ในห้องนี่เอง”

    “คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ”

    สุ้มเสียงหล่อนยังชาเย็นคงเส้นคงวา แม้เขาจะหาทางติดตลก หล่อนก็ปัดให้เข้าทางเป็นงานเป็นการอีก

    “ตลอดมาพี่ก็ดีกับแพ ทำให้แพหลงใหลได้ปลื้มจนรับจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย แพคงเศร้าบ้าง แต่เมื่อนึกว่าความตายของพี่คือทางไปหาคนที่พี่รัก ก็คงสมเพชตัวเองมากกว่าจะอาลัยไยดีใคร”

    “แพ…” เกาทัณฑ์ถอนใจ “เชื่อเถอะว่าต่อให้ตายดับ พี่ก็ลืมความรักระหว่างเราไม่ได้ ไปหาคนอื่นก็ไม่เป็นสุขหรอก”

    “น่าขำ!” แพตรีพยายามสะกดอารมณ์ “ลองดูแล้วหรือคะถึงรู้?”

    “ใช่ พี่รู้” ตอบเนิบก่อนจะเริ่มประโยคสืบสานด้วยกังวานลึกกว่าเดิม “เหมือนที่ครั้งหนึ่งพี่เคยถือพรตรักษาพรหมจรรย์ เพื่อรอพบแต่เธอคนเดียวไงล่ะ…ลี”

    แพตรีชาวาบไปทั้งร่าง ตะลึงตะไลตาค้างขณะจับจ้องเกาทัณฑ์ราวกับเขากลายเป็นใครอีกคนที่หล่อนจำผิดตัว เขาแย้มยิ้มแน่นิ่ง นัยน์ตาทรงอำนาจผิดแผกจากเมื่อก่อนเป็นคนละคน มองหล่อนด้วยท่าทีสงบ เนิ่นนานจนแพตรีกลับสติ

    “อะไร…สับสนหรือเปล่า เรียกชื่อใครออกมาน่ะ?”

    “จะให้เล่าไหมว่าพี่ลำบากตามหมอกี่เมือง ใช้เงินไปเท่าไหร่เพื่อรักษาเธอก่อนที่เราจะหมดหวัง ยอมให้ความตายมาพราก?”

    ชัดพอ เขาจำได้…

    สภาวะอารมณ์แปรเปลี่ยนไปสิ้น ราวกับถูกกระชากจากหันหลังเป็นหันหน้า น้ำตาเอ่อขึ้นหล่อรื้นฉับพลัน แพตรีจับมองรูปงามของชายหนุ่มด้วยแววโหยหารุนแรง ภาพร่างตรงหน้าอันเป็นปัจจุบันประทับกลางคลองเนตรแจ่มชัดตรึงจิต ทั้งคุ้นเคย ทั้งแปลกใหม่ ยังผลให้ตกภวังค์ประหลาด เอ่ยเอื้อนคำใดไม่ได้เลย

    เกาทัณฑ์ค่อยๆเอ่ยเหมือนรินน้ำ

    “เธอระลึกได้ชาติเดียวยังน้อยนัก เพราะเราไม่ได้เกื้อกูล ไม่ได้พิสูจน์ใจกันขนาดยอมหมดตัวล่มจมแค่ครั้งเดียว ถ้าเธอย้อนจำลึกพอ จะเห็นว่าแม้ชีวิตพี่ก็ให้เธอได้ และให้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วด้วย”

    สบตาเขา เห็นแววอาทรเดิมแท้ที่รอคอยมาแสนนาน ประกายกล้าในแก้วตาสีเหล็ก น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเป็นกังวานใสลึก ประกอบกับท่วงทีเนิบนิ่งเป็นสง่าเยี่ยงสุขุมาลชาติ รวมกันน้าวใจหล่อนให้อ่อนยอบลง คล้ายเด็กหลงทางตะลอนหนาวมาพบความอบอุ่นของปราสาทสวยแพรวยิ่งใหญ่ ที่เปิดประตูโอฬารอ้าพร้อมรับผู้กลับสู่บ้านเก่าเสมอ

    ชายหนุ่มลุกขึ้นและก้าวเดินเข้ามาหา พอถูกแตะต้นแขนเพียงแผ่ว แพตรีก็ลืมหมดสิ้นว่าเคยตั้งใจเลิกร้างห่างหายจากเขาให้เด็ดขาดอย่างไร ลุกขึ้นกระหวัดกอดร่างสูงเต็มอ้อม ยิ้มปิติและปล่อยให้เม็ดน้ำค่อยๆกลอกกลิ้งลงมาตามผิวแก้ม กระทั่งระลอกหลังตามมาเป็นสายยาวหลั่งรินลงเปียกเสื้อเขา เกาทัณฑ์กอดรับและยืนตรงแน่นิ่งดุจเสาหลักที่พร้อมจะให้หล่อนเกาะยึดตลอดกาล

    สัมผัสภาวะความเป็นคู่ครองอันแน่นแฟ้นไม่เป็นอื่นต่อกัน สูงเหนือกระแสรักสว่างไสวพื้นๆ เพราะประกอบพร้อมด้วยความตระหนักตามจริงว่าอัตภาพอันสานรับเข้ากันสนิทนี้ สืบเนื่องมาจากสายสัมพันธ์ในอดีตเช่นไร บุพเพสันนิวาสมิได้ปรากฏเป็นเพียงคลื่นความสะเทือน สะกิดใจเพียงแผ่วเลือนเหมือนคู่แท้อื่นๆ ทว่าหนักแน่นด้วยการรองรับทางความรู้แจ้งและปัญญากระจ่างถึงเบื้องหลังเป็นมาเป็นไป

    เสพรสอมฤตอันทอดเงายาวเป็นอมตะ ดุจจะชนะความตายได้…

    ความรักชนิดนี้มิได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่ต้องผ่านความเจ็บ ผ่านทะเลน้ำตา ผ่านสารพัดทุกข์สุขร่วมกัน ร่วมบุญร่วมอธิษฐานจนเกินจะนับ

    ใจเก่าในร่างใหม่ ความรักเดิมบนพื้นเพผิดแผก สนิทคุ้นเคยท่ามกลางความแปลกเปลี่ยนซับซ้อน ทรงมนต์ขลังดึงดูดให้ปฏิพัทธ์สุดต้าน

    ธรรมชาติของผู้ระลึกได้เพียงภพเดียวที่ผูกพันสุดใจนั้น เมื่อมีบุคคลหรือสถานที่มาสะกิดเตือนให้หวนนึกถึง จะสำคัญไปว่าตนยังมีความเป็นเช่นนั้น ไม่ตายจากความเป็นเช่นนั้น ยิ่งถ้าหากนิสัยใจคอใกล้เคียงกับตัวตนเดิม ก็แทบได้ความกำหนดหมายทั้งหมดกลับคืนมา ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะแปลกเปลี่ยนไปมากก็ตาม

    เช่นสำหรับหญิงสาวยามนี้ ไม่เห็นเป็นอื่นเลยนอกจากตนเป็นเมียเขา…

    เกาทัณฑ์ช้อนร่างอ่อนเหมือนหยดน้ำลอยขึ้นเดินเนิบมาวางบนเตียง ชุดนอนแม้รัดกุมก็ยังแบบบางยวนสัมผัส เนียนเนื้ออัดอิ่มของหล่อนช่างน่ากอดรัดไปทั้งตัว เกินหักใจทน เขาโน้มหน้าลงเยี่ยงภมรที่ปรารถนารสหวานจากเกสรดอกไม้

    ทีแรกแพตรีเคลิ้มในรสรักสนิทใจแห่งความเป็นคู่แท้ไปกับเขา จะยอมโอนอ่อนผ่อนตามเช่นผู้ไม่อาจทนกระแสสังสารวัฏอันวิจิตรพิสดารพันลึก ทว่าเมื่อนึกได้ถึงคำสอนของปู่ ที่ว่างานแต่งเป็นพิธียกระดับจิตใจให้มองการได้เสียกันเป็นเรื่องสูงกว่าความต้องการทางเพศธรรมดา เมื่อเริ่มต้นด้วยการให้เกียรติ เห็นเหมือนสมบัติที่ได้มายาก การมองชีวิตคู่จะเป็นไปแบบผู้ใหญ่เต็มตัว ต่างจากเด็กที่ชิงสุกก่อนห่ามเป็นคนละเรื่อง

    คิดเช่นนั้นแพตรีจึงกระถดตัวหลบ พร้อมผลักมือเขาทิ้งจากเรือนกายอันเป็นเขตต้องห้ามไปทุกตารางนิ้ว และใช้เสียงเข้มเตือน

    “ไหนสัญญาแล้วไงคะว่าก่อนพิธีแต่งจะไม่ทำอะไร”

    เกาทัณฑ์งุนงงเล็กน้อย เพราะแน่ใจว่าในภาวะอารมณ์ดูดดื่มแน่นแฟ้นเห็นปานนี้ แพตรีคงเลิกขัดขืนแล้ว ที่ไหนได้ ยังหวงตัวจนวินาทีสุดท้าย ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆอย่างพยายามทำความเข้าใจ เดิมทีก็ไม่คิดลงมือจริงจังนัก เพราะผ่านทุกรสมาหมดแล้ว ไม่สงสัยแสวงอยากรุกร้อนอันใดสิ้นแล้ว เมื่อหล่อนปรามจึงยั้งไว้แค่นั้น แต่ก็ยังคิดกล่อม

    “แคร์ใคร ในเมื่อเราเป็นของกันและกัน เข้าพิธีกันมาตั้งเท่าไหร่”

    “ปู่ไงคะ ถึงตอนนี้แพทำงานแล้ว นับว่าปกครองตัวเองได้ ไม่ถือว่าพี่ผิดลูกใครเขา ก็น่าจะเกรงใจ เพราะแพยังอาศัยเรือนท่านอยู่ และนี่ก็ไม่ใช่เรือนหอของเรา”

    ชายหนุ่มยิ้มเบะ

    “ปู่น่ะเหรอ? รู้ว่าพี่มาเอาแพไปเสียทีก็โล่งอกเท่านั้น ก็พี่เป็นคนฝากแพกับมือนี่! ทุกวันนี้ท่านก็รอพี่มาเอาภาระคืนจากอกท่านไปนั่นแหละ เพิ่งมองออกว่าปู่รู้อะไรไปหมดมาตั้งแต่ต้น อย่างที่ท่านไม่อยู่วันนี้น่ะ นึกว่าบังเอิญเหรอะ?”

    แพตรีอึ้ง เชื่อแล้วว่าเขารู้กระจ่าง พอเกาทัณฑ์เห็นหล่อนนิ่งก็สำทับอย่างเป็นต่อ

    “เอาล่ะ มีเหตุผลอีกไหม จะเสียเวลารอพิธีไปเพื่ออะไร?”

    หญิงสาวกะพริบตาคิด ก่อนพูดวอน

    “เพื่อสามัญสำนึก เพื่อเกียรติภูมิของความเป็นมนุษย์ผู้หญิง และเพื่อแสดงให้รู้ว่าพี่เห็นค่าของแพสูงกว่ากรวดทรายในบ้านเก่า ที่เก็บเล่นหรือปาทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ไว้เราเกิดในภูมิที่ต่ำกว่านี้ ถ้าพี่อยากใช้สัญชาตญาณนำความรู้สึกให้เกียรติ เวลานั้นแพคงไม่ว่า”

    ชายหนุ่มฟังแล้วแกล้งทำตาโตอ้าปากค้าง พอแพตรีหัวเราะขบขันท่าแสร้งอึ้งของเขา เกาทัณฑ์ก็จับคางหล่อนสั่นไปมา

    “ช่างพูดนักนะ”

    แล้วเขาก็ลงนอนเท้าศอกตะแคงข้าง ยุติท่าทีรุกรานลงสนิท เหลือแต่การดึงมือน้อยมากุมไว้อย่างแสนถนอมดุจกำกลีบกุหลาบโดยระวังมิให้เสียรูป

    “คิดถึงแพมากเลย”

    “พี่ไปไหนมาล่ะ?”

    หญิงสาวถามด้วยสำเนียงเง้างอน

    “เข้าป่า”

    “จริงเหรอ?”

    “จริง”

    แพตรีปิดตาลง ยอมให้เขาประทับริมฝีปากลงบนหน้าผาก ก่อนลืมขึ้นมองด้วยแววพิศวง และพอจะได้คำตอบว่ากระแสจิตที่ดูเข้มขลังผิดปกติของเขาในยามนี้มีที่มาอย่างไร และเหตุใดจู่ๆจึง ‘จำ’ เรื่องราวหนหลังเข้าได้

    นั่นเป็นประเด็นที่หล่อนจะเอาไว้ถามทีหลัง เบื้องแรกที่อยากรู้มากกว่าคือภัยที่จ่อติดประชิดตัวในบัดนี้

    “ที่ออกมาแปลว่าแน่ใจในความปลอดภัยแล้วหรือคะ?”

    “ยัง…”

    คราวนี้น้ำเสียงเขาออกวิตก หัวคิ้วขมวด หน้าเคร่งลงนิดหนึ่ง

    “เรื่องเป็นยังไง เล่าให้แพฟังบ้าง”

    เกาทัณฑ์เม้มปากอยู่พักใหญ่เพื่อเรียบเรียงถ้อยคำ มองตาหล่อน เกิดความตื้นตันล้นอกเมื่อเห็นแพตรีมองตอบนิ่งๆ ปราศจากวี่แววกริ่งเกรงเงื้อมเงาภัยร้ายที่เกาะติดหลังเขามาแต่อย่างใดทั้งสิ้น

    “พี่มาเพราะทนคิดถึงแพไม่ได้ และค่อนข้างแน่ใจว่าคืนนี้ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ จะยังคงปลอดภัย”

    “ที่ตามล่าพี่อยู่ คือคนร้ายที่ตำรวจบอกว่าแหกคุกหนีมาได้ใช่ไหม?”

    ชายหนุ่มพยักหน้า แพตรีถามอีก

    “พี่แน่ใจได้ยังไง?”

    เกาทัณฑ์ยิ้มมุมปาก ตอบเท่าที่จะสามารถตอบ

    “เรือนแก้วไม่มีศัตรูกับใคร ทรัพย์สินก็อยู่ครบ แสดงถึงเจตจำนงแก้แค้น แค่นั้นน่าจะเพียงพอแล้ว“

    เว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปลงๆ

    “และเหตุการณ์รุนแรงในห้องพักคืนนั้น คนที่ก่อความแค้น สร้างความเจ็บกายเจ็บใจให้กับไซ…ฆาตกรที่เรากำลังพูดถึงกัน น่าจะเป็นพี่โดยตรง ไม่ใช่เรือนแก้วหรอก”

    “แล้วทำไมเป้าหมายแรกถึงเป็นพี่เรือนแก้ว?”

    เกาทัณฑ์โคลงศีรษะ

    “เรือนแก้วถูกเอาชีวิตก่อน เป้าหมายก็คือพี่เองนั่นแหละ”

    พูดจบก็ดึงตัวขึ้นนั่ง ทำให้แพตรีลุกขึ้นนั่งพับเพียบตาม ความอยากรู้เรื่องตลอดสายทำให้ลืมไปชั่วคราวว่าเรือนแก้วมีความสำคัญอย่างไรต่อคนรักของหล่อน

    “ยังไงคะ?”

    ชายหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้ง ทอดตาออกสู่ความมืดนอกหน้าต่าง

    “พี่รู้สึกถึงกระแสความอาฆาตที่รุนแรงมาก กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังรู้สึก เหมือนมีกระไอวิญญาณร้ายห่อหลังอยู่ตลอดเวลา เวรกรรมเหลือเกินที่ไปเจอพวกนรกนี่เข้า แถมเรือนแก้วยิงขาตัวหัวหน้าจนหวิดจะพิการ คงยิ่งเร่งความแค้นเป็นทวีคูณ ตลอดชีวิตที่สะอาดหมดจดของแพคงไม่เคยเฉียดใกล้พวกนี้หรอก ผู้หญิงไม่มีทางสู้มันยังยิงได้อย่างเลือดเย็น เพียงต้องการเป็นตัวอย่างให้พี่รู้ตัวว่าจะถึงฆาตบ้าง คงอยากลอบมองพี่ทรมานอยู่กับความหวาดผวา เป็นโรคประสาท หรือเหตุผลสะใจบ้าๆสักอย่างของมัน”

    แพตรีนึกสงสารเรือนแก้วขึ้นมาจับใจด้วยความเป็นเพศอ่อนแอด้วยกัน เกาทัณฑ์ก้มหน้า ก่อนเงยขึ้นพูดต่อ

    “ถ้าให้สันนิษฐานจากการปะติดปะต่อ ไซคงรู้ที่อยู่เรือนแก้วจากสื่อมวลชน เพราะเรือนแก้วให้สัมภาษณ์ไปค่อนข้างละเอียด ส่วนพี่ปฏิเสธการให้ข่าวแต่แรก เพราะฉะนั้นถ้าไซจะรู้อะไร ก็คงรู้แต่ว่าทำงานที่ไหน เพราะอยู่ที่เดียวกัน แต่เมื่อกล้าฆ่าเรือนแก้วที่เป็นสะพานเชื่อมโยงมาถึงพี่ ก็คงแน่ใจแล้วว่าต้องเสร็จมันแน่

    พี่อยู่ในที่สว่าง ไซอยู่ในที่มืด ไม่รู้ว่าถูกดักจับจดจ้องรอสบโอกาสเหมาะที่ไหนอย่างไรบ้าง นั่นเป็นเหตุผลให้ไม่กล้าติดต่อใครเลย คนแหกคุกออกมาได้ในเวลาแค่ไม่กี่สิบชั่วโมงน่ะ น่าจะเก่งจนทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น พี่ถึงตัดสินใจเนรเทศตัวเองออกไปไกลๆ ถ้าถูกติดตามก็ขอให้โดนคนเดียวพอ ตลอดทางก็ได้แต่ปลงชีวิต ถ้าจะตายคงต้องสุดแล้วแต่เวรกรรม”

    แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะเมื่อย้อนนึกถึงขณะหนีหัวซุกหัวซุน

    “พี่ออกมากับกระเป๋าเล็กใบเดียว เกือบตัวเปล่าเลยนะ ต้องทำตัวลึกลับเหมือนในหนัง เริ่มจากลงทางบันไดหนีไฟ ใส่แว่นดำ สวมชุดทับหลายๆชั้นจนหนาเตอะ ไปถอดชั้นนอกในห้องน้ำของร้านก๋วยเตี๋ยว ปีนออกทางประตูหลัง ตัดออกทางช่องแคบระหว่างตึกแถว ลัดเลาะจนถึงอีกฝั่งถนนแล้วถึงโบกแท็กซี่ไปส่งเอกมัย และคิดเอาสดๆเดี๋ยวนั้นว่าจะหนีให้ไกลถึงไหน…”

    เกาทัณฑ์เลิกคิ้วเมื่อย้อนระลึกถึงนาทีวิกฤตในอดีต

    “ตอนคนเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี่ เหมือนกำลังโง่ที่สุด ไม่มีตาหลังก็ไม่รู้ว่ามีใครตามมาข้างหลังบ้างหรือเปล่า จะเข้าหาเพื่อนขอพักพิงเสียหน่อยก็กลัวเขาจะเดือดร้อน แพคงนึกออกนะ เราไม่รู้ว่าขณะหนี มีเงาใครประกบติดอยู่บ้าง รู้แต่ว่าตอนนั้นมีศัตรูที่โหดเหี้ยมและมีความสามารถไล่ล่าได้แบบพลิกแผ่นดินอยู่คนหนึ่ง หรืออาจจะกองทัพหนึ่ง…”

    “ทำไมพี่ไม่ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ?”

    “เป็นผู้ต้องหาคดียาเสพย์ติดที่สิงคโปร์ ยังหลบหนีออกมาได้อย่างนี้ แพคิดว่าเป็นมือระดับไหน แล้วใครจะยอมส่งตำรวจมือดีคุ้มกันพี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

    หญิงสาวอึ้งไปอึดใจ ก่อนพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงขอให้เล่าต่อ

    “ตอนนั้นพี่ว้าวุ่นเหมือนคนประสาท อยู่ๆก็เกิดคิดขึ้นมาว่าเข้าป่าดีกว่า…”

    แพตรีเป็นคนมีสัมผัสละเอียดอ่อน หล่อนสำเหนียกได้ถึงวี่แววพิรุธบางอย่างในประโยคนั้น เพียงแต่อ่านไม่ออกว่าเกาทัณฑ์กำลังมีความในใจอย่างไร

    “ถ้าเข้าป่าถูกฆ่าหมกอยู่ในนั้นก็ไม่เดือดร้อนใคร อีกอย่างถือเสียว่าได้เวลาเก็บตัวบำเพ็ญเพียร เพราะตั้งใจมานานแต่ไม่มีโอกาสเสียที เลยหาซื้ออุปกรณ์ เสบียง แล้วตัดสินใจเด็ดขาดทำตามที่คิด พี่เคยเดินป่ามาบ้าง มีความรู้พอเอาตัวรอดได้นานแหละนะ กระทั่ง…”

    เกาทัณฑ์ยักไหล่

    “นึกไม่ถึง ว่านั่นกลายเป็นจังหวะทองไปได้ พี่ได้ใช้ชีวิตอย่างฤาษีชีไพร ทำสมาธิ เป็นอยู่สมถะปราศจากความรบกวนจากโลกภายนอก เพียงเก้าวันเท่านั้น ก็รู้จักการผนึกรวมกระแสจิตอย่างใหญ่เป็นครั้งแรก”

    เขาหมายถึงปฐมฌาน อันมีการหน่วงนึกและเกาะติดอารมณ์เช่นลมหายใจสายยาว เกิดปิติแหลมซ่าน สุขสงบเหมือนล่องทะเลทิพย์ไพศาล จิตฉายเด่นจัดจ้าดุจดวงไฟใหญ่กลางฟ้า

    “ตอนนั้นลืมโลกหมดเลย กินแต่น้ำ ข้าวกินมือเดียว แล้วลดลงเป็นวันเว้นวัน เอาแต่เพลินอยู่ในสมาธิสลับกับเดินจงกรม ขนาดลืมตายังเห็นสว่างได้

    พอจิตถึงฌานแรก ทรงตัวเป็นปกติแล้ว ก็เกิดความรู้เองเห็นเอง จิตในชาติก่อนมาสอนตัวเองตอนหลับบ้าง หรือตอนเพิ่งออกจากสมาธิใหญ่ลงมาอยู่ในสมาธิกลางบ้าง อย่างเช่นเรื่องระลึกชาติ…”

    เขาเม้มปาก ตาเป็นประกายก่อนสืบต่อ

    “หลวงตาแขวนท่านเคยเมตตาให้ทางลัดไว้แล้ว พอถึงจุดหนึ่งจิตมันฉายหนังให้ดูเองเลย ไม่ต้องเสียเวลาฝึกไล่ย้อนเอาเหมือนคนอื่น ส่วนหนึ่งเพราะเราเคยชำนาญของพรรณนี้มาก่อน พอเข้าล็อกก็จำแม่นว่าต้องกำหนดจิตยังไงถึงจะดึงภาพเก่าๆให้ไหลย้อนกลับมาเป็นสาย”

    แพตรีกะพริบตาสองครั้ง

    “ยินดีด้วยค่ะ เหตุการณ์ร้ายบังคับให้พี่กลับเข้าลู่ดีที่สุดของตัวเองอย่างนี้ได้”

    เกาทัณฑ์พยักหน้า

    “อยากให้แพเห็นเหมือนที่พี่เห็นนะว่าเราผูกพันกันมานานขนาดไหน เผชิญเรื่องดีร้ายแปลกประหลาดเกินจินตนาการมามากเท่าไหร่ มันทำให้โลกทัศน์เดิมที่เคยมีมาตลอดชีวิตพลิกเปลี่ยนไปหมด ตอนนี้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องหนึ่งเท่านั้น มีห้องก่อนหน้าที่เรากระโดดผ่านมานับไม่ถ้วน และมีห้องถัดไปอีกมากมายที่จะต้องกระโดดเข้าไป แต่ละห้องมีฉากและสีสันของตัวเองที่รวมๆกันแล้วพิสดารจนเหลือจะเชื่อให้หมด”

    หญิงสาวเบนวิถีสายตาไปทางอื่น

    “แพน่าจะไม่ได้ตามพี่ไปทุกห้องใช่ไหมคะ? คงมีใครอีกเยอะที่ผลัดกัน”

    ชายหนุ่มฝืนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ไม่กล้าโกหกทำนองว่ามีแต่หล่อนคนเดียวที่เขาผูกพันอยู่ด้วย เพราะทราบด้วยจิตว่ามีใครต่อใครอีกมากมายในเส้นทาง ส่วนใหญ่เข้ามาแล้วหายไป บางรายชาติหนึ่งเป็นหญิง อีกชาติเป็นชาย มีก็แพตรีกับเรือนแก้วนี่แหละเป็นหญิงตลอดและสลับกันอยู่กับเขามาเรื่อย

    ส่วนใหญ่อยู่กับแพตรี

    โลกทัศน์และมุมมองเกี่ยวกับชีวิตเคยแปลกเปลี่ยนอย่างรุนแรงมาแล้วนับแต่ครั้งแรกที่ฝึกกรรมฐานกับหลวงตาแขวน ทว่าคราวนี้ยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนไม่ได้ผูกไว้กับร่างปัจจุบันอีกต่อไป ทว่าผูกอยู่กับสายอัตภาพอันยืดยาวที่คลี่คลายมาตามลำดับกรรมวิบาก นับจากหนหลังที่เกินจะประมาณกาลได้ถูก ย้อนไปกี่พันชีวิตก็ไม่ทราบ

    น้ำหนักความผูกพันจึงวัดชั่งกันด้วยจำนวนครั้งที่พบเจอและเหตุการณ์ดีร้ายร่วมกัน

    ทราบจากตำราและครูบาอาจารย์ว่ายังมีชาติภพให้ย้อนอีกเรื่อยๆ มีกำลังเพ่งไปได้เท่าไหร่ก็เห็นไปได้ไกลเท่านั้น เพราะสังสารวัฏไม่มีต้นกำเนิด เนื่องจากตกอยู่ใต้กฎปฏิจจสมุปบาท กล่าวเพียงสั้นคือชาติภพเกิดจากอวิชชา ส่วนอวิชชาก็ไหลมาจากความมีชาติภพ ทำนองเดียวกับปัญหาอจินไตยเช่นไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน คิดแล้วหัวแตกเปล่า

    แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงพยากรณ์ต้นกำเนิดของสังสารวัฏ เมื่อใครถามถึง จะทรงให้คิดตามสายปฏิจจสมุปบาทว่าเริ่มจากอวิชชา เรียกว่าห้ามคิดเป็นเวลาซึ่งไม่มีทางประมาณ ไม่มีใครหยั่งได้ถึง แต่ให้คิดเป็นวงกลมเหตุปัจจัยอาศัยกันและกันเกิด และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยญาณหยั่งรู้อันเกิดแต่วิปัสสนากรรมฐาน

    ในระดับที่เกาทัณฑ์ปฏิบัติได้ ยังไม่เคยถึงจิตแท้ที่ปราศจากอวิชชา แต่ก็เคยถึงจิตที่เห็นกายทั่วพร้อมและตระหนักชัดถึงความเป็นชาตินี้ภพนี้ หนึ่งชาติคือหนึ่งกายนี้เอง และกายก็แตกดับเป็นขณะๆ จิตที่เฝ้าดูเองก็แตกดับเป็นขณะๆเช่นกัน นั่นทำให้เขามีมุมมองต่อสังสารวัฏเป็นสายความแตกพังของรูปนามเช่นกายใจที่กำลังปรากฏอยู่ ไม่ใช่สายมโนภาพชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้าในจินตนาการเหมือนอย่างนักศึกษาธรรมทั่วไป

    สังสารวัฏถูกเรียกเป็น ‘วังวน’ ไม่ใช่เพราะเกิดเหตุการณ์ซ้ำไปซ้ำมา แต่เพราะมีเหตุปัจจัยวนเวียนให้เกิดทุกข์ในภพชาติอันสลับมาเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาห่อหุ้มจิตเดิมแท้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหาจุดเริ่มต้น แต่เป็นไปได้ที่จะตัดตนเองออกจากวงจรอุบาทว์

    สังสารวัฏไม่มีหลักประกันความแน่นอน เพราะความคิดเกี่ยวกับตัวเองในอัตภาพหนึ่งๆ พร้อมจะแปรเป็นอื่นที่อาจตรงข้ามสุดขั้ว ชาติหนึ่งเป็นนักบุญ ชาติถัดๆมาอาจเป็นคนบาป ดังเช่นพญามารนั้น ก็เป็นนิยตโพธิสัตว์ผู้เคยให้ความเคารพพระพุทธเจ้าในอดีตขนาดบั่นศีรษะตนเองถวายได้ แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาก็กลับลืมศรัทธาเดิม พบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันกลับรบกวน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก่อบาปมหันต์เป็นภัยใหญ่แก่ตนเอง

    สังสารวัฏเป็นสิ่งน่ากลัว เพราะเวลาส่วนใหญ่ที่วิญญาณท่องเที่ยวเกิดตาย หมดเปลืองไปกับกิเลสและความไม่รู้ ก่อกรรมทำเข็ญจนชุ่มบาป ต้องทนทุกข์ประการต่างๆ ผลักไสให้ตกต่ำลงเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกในอบาย น่าสังเวชตรงที่ส่ำสัตว์ต่างถูกสังสารวัฏแกล้งปิดหูปิดตา ถูกกดให้ลืมสนิท ขนาดเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมากันถ้วนหน้าแท้ๆ ยังอุตส่าห์หัวเราะเยาะ เห็นนรกสวรรค์เป็นเรื่องหลอกเด็กไปได้

    สังสารวัฏจัดเตรียมความทุกข์ไว้ให้ทุกรูปแบบ ทุกชั้นภูมิ แม้ในภพอันประณีตเช่นเทวโลก ไร้ทุกข์เท่าเศษเสี้ยวยองใย ก็มีความแปรปรวนจากพรากจากภพภูมินั่นเองเป็นทุกข์ร้อนสาหัสสากรรจ์ เคยครอบครองสุขชวนหลงถวิลเพียงใด เมื่อต้องหลุดมือไปก็โหยหาอาลัยใจจะขาดเพียงนั้น อย่าต้องนับมาในชั้นภูมิมนุษย์ จะเป็นบุคคลระดับแนวหน้า เสวยสุขในสายตาภายนอกเพียงใด เจ้าตัวย่อมรู้แก่ใจว่ามีรูปแบบทุกข์พิสดารชนิดต่างเกาะกุมชีวิตตนอยู่บ้างเสมอ

    สังสารวัฏยืดเยื้อไร้ที่จบสิ้น เพราะแน่นอนว่ามีสัตว์ประเภท ‘นิยตมิจฉาทิฏฐิ’ หรือวิญญาณกลุ่มหนึ่งซึ่งเที่ยงต่อการเวียนว่ายตายเกิดตลอดกาล ไม่มีสิทธิ์ดิ้นหนีเข้านิพพาน เนื่องจากทุ่มเถียงคัดง้างอริยบุคคลเกี่ยวกับสวรรค์-นิพพานไว้มาก กับทั้งมีวิญญาณกลุ่มใหญ่ที่ไม่เคยพบพานพุทธศาสนา ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏและการหนีสังสารวัฏ แม้พระพุทธองค์ใช้กำลังสัพพัญญุตญาณอันมีขอบข่ายกว้างขวางสูงสุดในอนันตจักรวาล ก็ยังตรัสว่าที่สุดของสังสารวัฏไม่ปรากฏให้เห็นเลย

    เกาทัณฑ์นั้นแม้ย้อนระลึกได้นับพันชาติ ก็ไม่หลงคิดว่าจุดที่หมดกำลังระลึกต่อนั้นคือชาติแรก เหตุเพราะศึกษาพระไตรปิฎกไว้ก่อน เหมือนดูแผนที่มาล่วงหน้า ต่างจากผู้มีพรสวรรค์ในการระลึกธรรมดา ที่หยุดแค่ไหนก็คิดว่าชาตินั้นคือชาติแรก ถ้าระลึกได้ร้อยชาติแล้วหยุดก็บอกว่าตนเกิดมาร้อยชาติ ระลึกได้สิบชาติก็บอกว่าตนเกิดมาสิบชาติ

    และเพราะตั้งความเห็นไว้ชอบแล้วนั้นเอง ทำให้ตระหนักว่าสิ่งที่ตนประจักษ์ เป็นเพียงคาบเวลาช่วงใกล้ มิใช่สิ่งยืนยงมาอย่างนี้แต่แรก ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นด้วยกรรมร่วมกัน รับผลร่วมกัน ประจบกันบ้าง แยกจากกันบ้างตามเหตุปัจจัยอันเหมาะสมยุติธรรมทั้งสิ้น

    “พี่รักแพ…”

    ศีลที่ค้ำคอทำให้ไม่อาจหยอดท้ายว่า ‘มากกว่าใครทั้งหมด’ ตามที่เห็นว่าควรจะกล่าวในจังหวะนั้น

    “ขอความเห็นใจเกี่ยวกับเรื่องของเรือนแก้วเถอะนะ เป็นเหตุสุดวิสัยที่พี่รู้จักเขามาก่อน แต่ต่อไปนี้จะอยู่ในวิสัยควบคุมได้ สาบานว่าจนตายจากกัน พี่จะมีแพเพียงคนเดียว!”

    คำพูดหนักแน่นชนิดนั้นสะเทือนเข้าไปถึงไหนต่อไหน แพตรีอั้นอึ้งด้วยความตื้นตันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถูกเขารวบมือทั้งสองขึ้นกุม และแตะริมฝีปากลงที่ปลายข้อนิ้วเพียงแผ่ว

    “เชื่อพี่…”

    แพตรีถอนใจ มีความรู้สึกค้างคาบางอย่างเกินกว่าจะอ้อยอิ่งให้เขาอ้อนเพลิน

    “แล้วจะทำอย่างไรต่อไปคะ ถ้าศัตรูพี่ยังตามไม่เลิกจริงๆ?”

    เกาทัณฑ์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง ทอดสายตามองยาวไกล

    “อย่างที่บอกแต่แรก พี่ออกจากป่าเพราะทนคิดถึงแพไม่ได้ ก่อนออกมาก็ตั้งสัจจาธิษฐาน ว่าที่เข้าป่าก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของคนรอบข้าง กับทั้งเข้าป่าแล้วสามารถเปลี่ยนวิกฤตของชีวิตให้กลายเป็นมหัคตกุศล บำเพ็ญสมาธิจนเข้าถึงฌานสมาบัติ ขอความจริงทั้งหมดจงกลายเป็นพลังช่วยชี้อนาคตว่าถ้าออกจากป่าจะตายเร็วเพราะน้ำมือศัตรูหรือเปล่า หากจะต้องตายเร็วหรือทำความเดือดร้อนให้ญาติพี่น้องและคนรัก ก็ขอให้จงอางกัดตายในวันนั้นไปเลย…”

    แพตรีมองแผ่นหลังเป็นปึกวีสมส่วนเข้ารูปของอีกฝ่าย คิดตามแล้วเบิกหน่วยตากว้าง

    “พี่ไปอยู่ใกล้เขตจงอางหรือ?”

    ชายหนุ่มพยักหน้า

    “เผอิญเป็นจงอางที่กำลังวางไข่เสียด้วย! ตอนนั้นหมดอาลัยไยดีชีวิตจริงๆ คิดว่าขอตายชดใช้เจ้ากรรมนายเวรไปเสียให้หมดเรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็แผ่เมตตาให้งู อโหสิไว้ล่วงหน้าคือถ้ามีเวรต่อกันมา ก็จงเอาชีวิตเราไป หมดเวรเท่านี้ พี่นั่งหลับตาดักใกล้ปากทางเข้าออกของมันอยู่หนึ่งวัน ทำสมาธิเจริญมรณสติเต็มกำลัง กระทั่งสัจจาธิษฐานให้ผลในขณะทรงจิตเป็นสมาธินั้นเอง พี่เห็นนิมิตซึ่งจิตบอกว่าเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต…”

    เกาทัณฑ์ยกมือกอดอก นึกย้อนไปถึงนิมิตที่ชัดเจนดุจภาพในห้วงฝัน แต่สัญชาตญาณทางสมาธิบอกว่าเป็นจริงเป็นจัง เสมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ต้องรอการคลี่คลายไปถึงตามลำดับกาลเท่านั้น

    เขาเห็นตนเองแขนซ้ายหัก เลือดชุ่มโชก สะบักสะบอมและเหนื่อยอ่อนเต็มทน แต่มือขวาถือปื้นสั้นขึ้นจ่อเล็งไปยังคู่อาฆาตที่นั่งกองอยู่กับพื้น นัยน์ตาลุกโชนด้วยประกายฉานจ้าเยี่ยงปรปักษ์ผู้สมัครใจจองเวรไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

    นั่นเป็นภาพที่น่ากลัวและไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงเลย แต่ตัวรู้ในสมาธิก็บอกว่านั่นแหละที่จะต้องเกิดขึ้น เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทางแยกในชีวิตก็ในบัดนั้นเอง หากเขาเลือกบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าไปเรื่อยๆ ก็จะได้วิถีทางให้เกิดสายเหตุการณ์แบบฤาษี หมดความข้องเกี่ยวกันอย่างสิ้นเชิงกับศัตรูในชาตินี้ แต่หากออกจากป่าเข้าเมือง ก็ไม่แคล้วต้องถูกตามราวีในวันหนึ่ง

    ไซคงไม่ยอมให้เขาตายง่ายเหมือนที่ส่งเรือนแก้วขึ้นสวรรค์ อาจมีลีลาทรมานคู่อาฆาตตามแรงแค้นคั่งอก ทว่าพลาดเสียเอง จับพลัดจับผลูกลับกลายเป็นฝ่ายเขายืนจังก้าเตรียมฆ่าเสียแทน ตามความรู้สึกในนิมิต ดวงเขาแข็งกว่าไซเป็นคนละชั้น แม้ไซจะเกิดใต้ฤกษ์เพชฌฆาต ก็หาได้มีตบะข่มขี่มากพอจะเอาชีวิตเขาสำเร็จ

    เมื่อปะติดปะต่อเข้ากับคำเตือนของเรือนแก้ว ผู้บัดนี้อยู่ในภาวะเห็นล่วงหน้าด้วยอภิญญาแห่งเทวดา ขอร้องให้เขาตั้งจิตอโหสิแก่ศัตรู อย่าฆ่าแกงผูกเวรต่อเนื่อง ก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นว่าภัยถึงชีวิตจะไม่มีแก่ตน แต่เขาเองนั่นแหละจะมีสิทธิ์เลือกระหว่างให้อภัยทาน กับทำตนเป็นมัจจุราชล้างกังวล

    เมื่อพ้นกำหนดเสี่ยงชีวิตตามสัจจาธิษฐาน เขายังไม่ถูกจงอางทำร้าย ทั้งที่นั่งดักใกล้ทางเข้าออกแท้ๆ ก็เชื่อมั่นว่าหากกลับเมืองแล้วจะต้องเจอะเจอกับไซ ญาติพี่น้องและคนรักคงไม่พลอยติดร่างแหบาปเคราะห์ไปด้วยเป็นแน่

    เห็นเกาทัณฑ์นิ่งเงียบอยู่นาน แพตรีก็เตือนว่า

    “กำลังรอฟังอยู่นะคะ พี่เห็นนิมิตอะไร?”

    ชายหนุ่มหันกลับมา เคยได้ยินมาว่าถ้าบอกเล่านิมิตในอนาคต เหตุการณ์จะเคลื่อน จึงตัดบท

    “เอาเป็นว่าสิ่งที่พี่รับรู้นั้นอยู่เหนือสังหรณ์ธรรมดา แต่ไม่ถึงอนาคตังสญาณหยั่งรู้อนาคตเต็มขั้น พี่เชื่อว่ากลับมาครั้งนี้ปลอดภัยพอสำหรับตัวเองและคนรอบข้าง”

    ทอดถอนใจด้วยความหนักอก

    “พี่ทิ้งทุกร่องรอยที่ไซน่าจะใช้สืบสาวมาถึงตัวได้ งานก็จะหาใหม่ ห้องพักเดิมก็จะไม่กลับไปอีก นั่นน่าจะเพียงพอแล้ว”

    กล่าวจบก็เม้มปาก ค่อยๆก้าวเดินกลับมานั่งเคียงคนรัก สีหน้าวิตกขณะดึงมือหล่อนมากุม

    “เราเกิดมาเพื่ออยู่ด้วยกัน…”

    พูดด้วยนัยน์ตาทอดสนิททรงอิทธิพล ขนาดที่แพตรีใจอ่อนให้อีกจนต้องหลบ

    “ถึงแม้มั่นใจในความปลอดภัยพอ พี่ก็ยินดีให้แพเลือกทุกอย่าง จะเร้นหายไปอยู่ไกลๆด้วยกัน จะอยู่ที่เดิมอย่างเปิดเผย หรืออยากไล่พี่ไปให้พ้น ก็จะไม่ขัดเลย ทุกอย่างให้แพเลือกด้วยสิทธิ์เด็ดขาด สัญญาว่าถึงแพเลือกขอให้จากลี้หนีหาย พี่ก็จะรักและซื่อสัตย์กับแพคนเดียวอยู่อย่างนี้ พี่จะเข้าใจว่าแพก็ปรารถนามีชีวิตเพื่อหน้าที่ที่ตัวเองต้องการเหมือนกัน ไม่ใช่เอาแต่จมจ่อมกับพี่จนลืมสิ่งอื่นหมด”

    หญิงสาวก้มหน้าคิด ในเมื่อเลือกอยู่กับเขาก็ต้องพร้อมจะรับทั้งเงามืดและเงาสว่างที่ตามติดตัวเขามาด้วย เห็นจากหางตาและสัมผัสด้วยใจ เขามีสติบริบูรณ์ที่ฉายบารมีแก่กล้า น่าอบอุ่นไร้กังวลพอจะบันดาลใจให้หล่อนกล่าวนิ่มๆ

    “รู้คำตอบดีอยู่แล้วก็อย่าทำเป็นแกล้งลองใจเลย”

     

    มติตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความชุ่มชื่นใจ อาบน้ำแต่งตัว อารมณ์แจ่มใสเป็นล้นพ้น เห็นอะไร ได้ยินอะไรดูน่าบันเทิงเริงรื่นไปหมด นับแต่เสียงนกร้อง สายน้ำจากฝักบัว หรือกระทั่งกิริยาเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงของตนเอง

    เขาเลือกใส่เสื้อเชิ้ตสีเหลืองสดที่มักใช้ไปเที่ยวหรือออกงานเลี้ยงกับเพื่อนฝูง ยิ้มมุมปากให้เงาในกระจกขณะหวีผมอย่างบรรจง ตั้งใจเต็มที่ว่าวันนี้จะทำให้แพตรีหัวเราะเบิกบาน จะพาหล่อนไปนั่งดูขอบฟ้าจรดน้ำ เดินเล่นช่วยกันสร้างรอยเท้าบนผืนทรายสวย

    ก้าวออกจากบ้านด้วยความยิ้มกริ่มมาดหมาย พลิกข้อมือดูนาฬิกา เห็นเข็มบอกเวลาเจ็ดโมงเป๊ะ

    มายืนกดกริ่งและชะเง้อหาหล่อนที่ประตูหน้า เห็นเงาหล่อนไหวๆอยู่บนเรือนคล้ายติดธุระบางอย่างง่วนอยู่ แต่เพียงครู่หนึ่งก็เปิดประตูมุ้งลวดก้าวลงมาหา

    แปลกใจที่เห็นหล่อนอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงยาวลำลอง ท่าทางยังไม่เตรียมตัวแต่อย่างใด

    “สงสัยตื่นสาย”

    มติทักด้วยการทาย แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างประกาศว่าพร้อมจะรอสักกี่ชั่วโมงก็ได้

    แพตรียิ้มรับทักซึมๆ มาถึงประตูและไขกุญแจเปิดกว้างให้น้องชาย

    “นั่งก่อน มติ…”

    แพตรีเชื้อเชิญเขามาที่โต๊ะหินใต้ร่มไม้ใหญ่ซึ่งใช้เป็นมุมสนทนาเสมอนับแต่อยู่ในวัยเยาว์ หญิงสาวก้มหน้าตลอดเวลา และไม่สบตาเขาแม้แต่แวบเดียว ทว่ามติเห็นสีหน้าเซียวซีดแล้วก็คิดเพียงว่านั่นคงเป็นเพราะหล่อนเพิ่งตื่น

    “ผมรอได้ฮะพี่แพ อาบน้ำทานข้าวตามสบายนะ อย่ารีบ”

    แพตรีผินหน้าไปแสนไกล ดูหล่อนเศร้า ไม่ชอบตอนจิตใจหล่อนมัวหมองเลย ราวกับเขาต้องร่วมรับผิดชอบแก้ไข แต่ก็ขาดกำลังที่เพียงพอ จะในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม

    “มีอะไรหรือเปล่าฮะ?”

    เด็กหนุ่มเอ่ยแผ่วอย่างเริ่มจับได้ถึงความไม่ชอบมาพากลอันมีผลกระทบมายังตน หญิงสาวนิ่งไปนาน ก่อนพยักหน้ารับ

    “ใช่…มี”

    แพตรียันศอกเท้าคาง อันเป็นลักษณาการเหม่อซึมที่ยากจะเกิดขึ้น สายตาของหล่อนยังทอดไปในทิศที่ไม่มีเขา มติกังขา จะเป็นอุปาทานไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าหล่อนกำลังสงสารเขา สงสารจนต้องหรี่ซ่อนแม้แต่แววในตา

    ขณะแห่งความเงียบอันมึนซึม เดาทางยาก เงาร่างใครคนหนึ่งปรากฏใกล้ประตูบนเรือนมาต้องหางตาเขา มติเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ตกตะลึงจังงังค้างเมื่อพบร่างสูงเด่น แลผงาดเงื้อมหลอกตาในบัดนั้น

    เกาทัณฑ์ยืนนิ่งกับที่ครู่ใหญ่ สบตากับมติเขม็งในระยะไกล ก่อนผละจากไปแบบเลิกแยแสสน ทิ้งความพิศวงงงงวยไว้กับผู้เห็นเบื้องล่างที่ยังค้างนิ่งในท่าเดิม

    เป็นนานกว่าที่มติจะดึงหน้ากลับมามองแพตรีอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย หรือเข้าใจแต่ก็เกินกว่าจะคิดเชื่อว่าเมื่อครู่มิได้ตาฝาด แพตรียังคงนั่งนิ่ง จับสายตา ณ จุดเดิมที่เลื่อนลอยไร้หลัก ทั้งรู้ว่าน้องชายเพิ่งเห็นใครไป รังสีทรงอำนาจจากจิตตานุภาพของเกาทัณฑ์ที่แผ่ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของครอบครองมายังหล่อนนั้น เข้มจัดเสียจนสัมผัสได้ราวกับใครเอาผ้านวมหนาหนักมาห่มหลัง

    “พี่แพ…”

    มติห่อปากครางเสียงสูง

    “มติ…พี่ขอโทษ”

    แพตรีหลุดคำออกมาผะแผ่ว เศร้าเพราะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏได้ทำความเจ็บให้กับน้องชายขนาดไหน

    ”ขอโทษจริงๆ”

    เด็กหนุ่มยังจ้องตะลึงงันจับใบหน้าซีดขาวคล้ายคนเป็นไข้ของอีกฝ่าย

    “เมื่อคืน…พี่อยู่กับเขาทั้งคืน?”

    หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง ความคิดแรกอยากแก้ความเข้าใจของน้อง แต่แล้วก็เปลี่ยนเข็ม เพียงพยักหน้าทีหนึ่งแล้วนิ่งเป็นดุษณี ปล่อยให้มติสรุปเอาจากภาพที่ปรากฏตามครรลองโลก

    มติรู้สึกคล้ายมีมือไร้ตนผลักหน้า พยายามยันให้ล้ม เขาได้แต่ขืนตัวต้าน จึงผงะแล้วคืนกลับ แต่ก็เหมือนจะผงะอีกทั้งที่อยู่ท่ามกลางความเงียบและอากาศเซาซึมระหว่างตนกับหญิงสาว มิได้มีสิ่งใดออกแรงผลักเขาเลย

    หัวเราะออกมาทั้งถอนสะอื้น พยายามหักห้าม สะกดอารมณ์ตนเองจนสุดฤทธิ์ ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น

    “ทำไมถึง…ถึงคืนดีกับเขาง่ายนักล่ะฮะ ทำไมถึงไม่จำว่าเจ็บมายังไง?”

    พูดแล้วเท้าศอกยกมือยันหน้าตนเองไม่ให้คว่ำล้มลง

    “เธอไม่เข้าใจหรอกมติ”

    แพตรีหน้าม่อย พึมพำตอบเพียงเท่านั้น

    “ใช่ฮะ! ผมไม่เข้าใจพี่แพเลย!!”

    แผดเสียงตะโกนใส่หล่อนอย่างเหลืออด เลิกเกรงว่าใครบ้านไหนจะได้ยินบ้าง เผอิญมีเพื่อนร่วมซอยสองคนเดินผ่านหน้ารั้วและเข้าทางตาแพตรี ทั้งคู่เหลียวมาอย่างสนใจเหตุการณ์ผิดปกติของชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องขึ้นเสียงระหองระแหงในเขตบ้านปู่ชนะที่สงบสุขมาช้านาน ดูมีความดึงดูดให้หันชมเป็นพิเศษ แพตรีต้องก้มหน้าหลบหน่อยๆเพราะอายเป็น แต่ก็อยากให้มติระบายความโกรธถึงที่สุด จะตบตีหล่อนก็ยอม เพราะรู้ตัวว่าเมื่อคืนให้ความหวังกับเขาไว้มาก เสร็จแล้วมากลับหัวเป็นก้อย กลับฝันเป็นตื่นในชั่วเวลาข้ามหนึ่งนิทราอย่างนี้

    มติหูตาแดงก่ำ จุกอก หน้ามืดด้วยแรงอัดของโทสะ ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เห็นตนยอมโง่ให้ผู้หญิงหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักเข็ดเสียที

    ที่สุดก็ลุกพรวดราวกับดีดขึ้นด้วยระเบิดไฟแห่งโทสะ แต่แล้วต้องแปลกใจตนเองที่จู่ๆไฟในอกมันมอดดับวูบหายไปเฉยๆ คล้ายเทน้ำทั้งกะละมังลงราด หรือทะลึ่งตัวโผล่ขึ้นพ้นบ่อตมสกปรก แม้ยังคงมีความขุ่นระคายเป็นสายกรุ่น ความคิดปั่นป่วนระส่ำระสายไม่เลิก ก็เห็นชัดว่าตัวโกรธมันจางจืดลง ขนาดที่รู้สึกว่าถ้าเขายังขืนแสดงท่าทีฮึดฮัดต่อ ก็จัดเป็นการแสดงละคร เป็นเรื่องเสแสร้งไปแล้ว

    มติถอนใจยาว พอถึงธรรมแล้วก็ดีอย่างนี้เอง เมื่อครู่เขาไม่ได้ออกแรงข่มใจแม้แต่นิดเดียว จิตแค่เห็นอาการพลุ่งพล่านเกินขีดขึ้นมา ทุกอย่างก็คืนตัวสงบลงโดยอัตโนมัติ เหมือนน้ำพุร้อนที่พุ่งพรวดจนสุดแรงส่ง แล้วก็ได้เวลาตกกลับสู่แผ่นน้ำอันราบเรียบตามเดิม

    ยิ้มให้หล่อน แม้ใจยังสั่นหวิว หน้าหมองจนรู้สึกได้จากภายในอยู่บ้าง

    “พี่แพ…”

    แพตรีเงยหน้าขึ้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ขลาดเมื่อต้องสบตากับน้องชาย

    “ผมไม่รู้ว่าเขาทำร้ายจิตใจพี่แพไว้ยังไงบ้าง แต่ขออวยพร ขออย่าให้เขาทำอย่างนั้นอีก…”

    เวลาที่ควรโมโหโกรธาที่สุด มติกลับเยือกเย็นมีเมตตาเจืออยู่ในน้ำเสียงอย่างนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักสำหรับผู้ก้าวล่วงความเป็นปุถุชนไปแล้ว

    สอบผ่านชั้นแรกไปแล้ว

    แพตรีหันหลบไปซ่อนหน้านิดๆ เม้มปากเงียบ

    “ผมไปก่อนนะ”

    หญิงสาวยังคงนิ่งอยู่ในมุมของหล่อน ทั้งที่ใจอยากกล่าว อยากแสดงกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งออกไปบ้าง แต่เจ้ากรรมร่างกายไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ร่ำติเตียนตนเองอยู่ในภายในว่าไม่ควรด่วนให้ความหวังกับเขาอย่างที่แล้วไปแล้วเลย

     

    เกาทัณฑ์รู้สึกได้ว่านอนกอดแพตรีเฉยๆโดยไม่ล่วงเกินแม้แต่น้อย ก็เพียงพอแล้วที่จะก่อความเพลินสุขได้ทั้งวัน

    เหมือนชีวิตถูกยกระดับขึ้นเมื่อเข้าใจภาวะนั้น ก่อนสวมกอดแพตรีไว้ในอ้อมแขนจากเบื้องหลัง เขารู้สึกถึงแรงปรารถนาอันแสนสะอาด ปราศจากหยากเยื่อแห่งราคี และขณะกระชับกอด ใจก็สัมผัสรสสุขที่ซ่านฉายถึงกัน ราวกับผิวเนื้อแต่ละฝ่ายแปรสภาพเป็นปุยหิมะนุ่มที่ปกคลุมธารปีติอันไหลรินๆเบื้องใต้ไว้เพียงบาง

    ฝังจมูกลงบนกลุ่มผมหอมริมกระหม่อม สูดกลิ่นรื่นชื่นใจล้นอก แล้วดันศอกตะแคงข้าง เหลือบมองเสี้ยวหน้าชาเฉยที่มองเลยไปไกล เห็นเค้ากังวลไม่สร่างเสียที แม้เด็กหนุ่มคนนั้นจะออกจากบ้านไปนานนับชั่วโมงแล้ว

    นึกในใจว่าหล่อนก็มีคนของหล่อนให้เวทนาอาทรอยู่ข้างหลัง ถือว่าเสมอภาคกันกับเขา

    รักแท้น่ะมีจริง แต่ที่จริงกว่านั้นคือกิเลส

    กิเลสมากก็ทุกข์มาก กิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่าที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

    เขารักหล่อน นั่นคือใจจริง ของแท้ มิใช่สิ่งลวง แสร้งหลอกด้วยมายา แต่ขณะเดียวกันก็รักเรือนแก้ว และหลงใหลได้ปลื้มกับอัตภาพใหม่ของหล่อนชนิดโงหัวไม่ขึ้นนับจากคืนแห่ง ‘ฝันเนรมิต’ ครั้งนั้น

    เรื่องทั้งหมดที่เล่าให้แพตรีฟัง ล้วนตรงตามจริง ไม่ถูกบิดเบือนแม้เพียงนิดน้อย แต่เกาทัณฑ์ก็ไม่ได้แย้มเลย ว่าเหตุบันดาลใจแท้จริงให้เลือกเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญตบะเยี่ยงฤาษีชีไพรนั้น…

    ก็เพราะเขาปรารถนาที่จะละอัตภาพหยาบของมนุษย์ ไปเสวยสุขในวิมานทิพย์ร่วมกับเรือนแก้วบนสรวงสวรรค์!

    ธรรมดามนุษย์ที่เห็นนิมิตเทวนารีอันเป็นของจริงโดยปราศจากกำลังอุเบกขาชั้นสูงคุ้มครองนั้น เท่ากับเจอเคราะห์ร้ายประการหนึ่ง คือใจจะถอนจากความลุ่มหลงแทบเป็นบ้าเป็นหลังไม่ได้ ยิ่งนี่บวกเข้าด้วยบุพเพสันนิวาส ให้ตระหนักถึงสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งตนที่จะครอบครองร่างทิพย์อันแสนโสภานั้น ด้วยจิตที่ยังปฏิพัทธ์ต่อกันชัดเจน เนื่องจากเพิ่งพรากกันสดๆร้อนๆ

    ใจเก่าในร่างใหม่ดึงดูดเหลือทนอยู่แล้ว นี่สะสวยเหนือโลกเข้าไปอีก

    การดึงดันเรียกร้องขอเห็นสภาพทิพย์ นับเป็นความผิดมหันต์ แต่ตระหนักได้ก็สายเสียแล้ว เขาเคยรู้จักความฟุ้งซ่านจ่อจดคิดถึงผู้หญิงมานักต่อนัก ทว่ายังพอคุมสติกระทำการทั่วไปในชีวิตประจำวันได้บ้าง แม้กระพร่องกระแพร่งก็เถอะ แต่ใจที่ติดอยู่กับนางฟ้าตัวจริงนั้น แนบแน่นจนแกะอย่างไรก็ไม่ออก แทบหูตาพร่าเลือน หมดความคิดอ่าน หมดความสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว

    เคยฟังตำนานโบราณที่มนุษย์เผยออาจเอื้อมขอเห็นเทพ พอสมใจแล้วเป็นบ้าเป็นบอ เขายังหัวเราะเยาะ ด้วยเห็นขันว่าถ้าเทพมีจริงก็คงเป็นแค่ภาพๆหนึ่ง วิจิตรพิสดารปานใดก็คงไม่ถึงขนาดเป็นศรเสียบใจให้คลุ้มคลั่งขนาดนั้น

    แต่นี่รู้ด้วยตัวเองทีเดียว จิตอันมีกิเลสนี่เอง เมื่อถูกปรุงแต่งครอบงำถึงขีดหนึ่งแล้ว มันปั่นตัวได้ยิ่งกว่าคลื่นม้วนอลเวง ก็ขนาดผู้หญิงธรรมดาที่ครองกายหยาบ ปราศจากรัศมีอาภาพิลาส ยังมีตัวอย่างนางมนุษย์ผู้อาจแกล้งให้ชายคลุ้มคลั่งได้เพียงด้วยการชม้ายชำเลืองตา หรือเจ้าหญิงในอดีตบางองค์ที่งามรัดรึงใจ กระทั่งแม้ประทับนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ ยังลากเอาบุรุษโง่มากมายมายอมตายต่อพระพักตร์ ขอเพียงได้ลักยลโฉม ทั้งรู้ว่าโทษถึงประหารก็ช่าง

    นางฟ้าชั้นสามัญนั้น แน่งน้อยและงามงอนเกินเจ้าหญิงทุกองค์ในโลกหล้าอยู่แล้ว เกินกว่าจะห้ามใจทนอยู่แล้ว ต่อให้ราชินีในตำนานที่เลื่องชื่อลือชาว่าเชิดองค์ในเครื่องทรงวิจิตรได้หวานชัดปานไหน ก็หาบาดตากินใจเทียบไม่มีเท่าเลย แต่นี่เขาดันเจอเทวนารีระดับกลาง สว่างมายาฤทธิ์ล่วงอิตถีชั้นฟ้าสามัญขึ้นไปอีก จะยังมีตบะอะไรเหลือไว้ต้านไหวเล่า?

    นับเป็นเคราะห์อันซ้อนเข้ามาในเคราะห์ ให้เขาต้องเจอเข้ากับศรเสียบแทงใจถอนยากที่สุดในสังสารวัฏ ได้เห็นแล้วมีแต่จะคลุ้มคลั่งถ้าไม่เห็นอีก

    เขาเข้าป่า ใจหนึ่งก็หวังไปตายเอาดาบหน้าหนีโจร แต่อีกใจก็มาดหมายบำเพ็ญตบะแบบยอมอดตาย เพื่อว่าเมื่อละร่างแล้ว จะกำหนดจิตอันทรงกุศลหนักเลือกที่เกิดได้

    ดาวดึงส์เทวโลก! และต้องอยู่ในฐานะสูงเหนือเรือนแก้วด้วย!

    เพราะเหตุแห่งเจตนาอันไม่เป็นไปเพื่อดับทุกข์ ช่วงแรกแห่งการภาวนาจึงนับเป็นมิจฉาสมาธิโดยแท้ ความเงียบของป่า ความน่าสะพรึงกลัวของความเปลี่ยว และมรณภัยอันเรียงรายอยู่รอบด้าน เป็นตัวบีบบังคับให้จิตตกสู่กระแสสมาธิได้เร็ว ได้นานก็จริง ทว่าเมื่อถอนสมาธิแล้วก็ยังวันและคืนให้ล่วงไปด้วยความหมกมุ่น หวังขอให้เรือนแก้วมาปรากฏเป็นกำลังใจตลอดเวลา

    ผลคือทำให้กำลังใจตก แทนที่เวลาล่วงไปจิตจะยิ่งแนบแน่นเข้าสู่องค์ฌาน ก็กลับกลัดกลุ้มรุ่มร้อนยิ่งขึ้นทุกที เพราะไม่ได้รับการสนองตอบจากเบื้องบน เพียรเพ่งจี้จิตนึกถึงรูปทิพย์ของหล่อนกระทั่งหน่วงแน่วเข้าขั้นอุคคหนิมิต คือเห็นชัดไม่คลาดเคลื่อนก็แล้ว อ้อนวอนเพียงใดเรือนแก้วก็ไม่มาปรากฏ ทั้งต่อตาเนื้อและตาใน

    ตอนที่รู้ตัวว่ามาผิดทาง ก็หวิดๆจะวิปลาส ตะโกนเรียกเรือนแก้วในความสงัดของราวไพรเป็นวรรคเป็นเวร โทษหล่อนที่ใจร้าย ด่าว่าเป็นนางวัวลืมตีน อยู่สูงหน่อยก็หมดแก่ใจห่วงใยเหลียวหลัง เขาสู้บากบั่นบำเพ็ญเพียรเพื่อให้พบหล่อน ยังใจดำเฉยเมยไม่เห็นค่าได้ลงคอ

    ทันทีที่ก่นด่าด้วยจิตอันทรงกำลัง กับทั้งแน่นหนาด้วยโทสะและโมหะ ปฏิกิริยาตีกลับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนจึงกล้าแข็ง เหมือนตีกลองเพลไปตุ้งหนึ่งในอากาศว่างที่สะท้อนความครึ้มมืดสวนวาบมาปะทะ กว่าจะสำนึกได้ก็เกือบสาย เมื่อเป็นไข้ หนาวสั่น อย่าว่าแต่ทำสมาธิให้แข็ง เอาแค่ตั้งสติบังคับไม่ให้มือไม้สั่นก็ยากเต็มทน นั่นเองความกลัวจึงเข้าครอบงำ หวาดหวั่นว่าจะต้องตายทั้งระบมพิษไข้ จิตจะแกว่งไปทางหัวหรือก้อยก็ไม่รู้ เขาเคยเฉียดประตูมรณะมาแล้ว ทราบดีว่าจิตเหมือนเรือที่ถูกทำลายหางเสือ ต้องปล่อยแล่นไปตามยถาในห้วงทะเลกรรมที่สั่งสมมาตลอดทั้งชาติ

    ในความครึ่งหลับครึ่งตื่นมัวมน เขาเห็นเหมือนหลวงตาแขวนมานั่งตรงหน้า เขาพยายามพนมมือจะกราบ แต่ชาดิกไปหมด ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไม่ได้ หลงเหลืออยู่ก็แต่สติพอจะฟังท่านเทศน์ดุ

    “ชีวิตเป็นของสูง มนุษย์ทั่วไปไม่ผิดที่เห็นเป็นของเล่น ใช้ชีวิตกันเล่นๆ อยากได้อะไรก็ดึงดันเอามันอย่างนั้น แต่เอ็งน่ะรู้อรรถรู้ธรรมขนาดนี้ ยังทำเป็นเล่นบ้าใบ้อยู่อีก สมควรจะไปนรกรึยัง?”

    เกาทัณฑ์บังเกิดความสลดสุดประมาณ แต่ก็รู้สึกเหมือนสายเกินแก้เสียแล้ว

    “บำเพ็ญตบะหวังสวรรค์น่ะ เขาไม่ได้ทำกันอย่างนี้ เขาหวังไว้ตอนเริ่มอธิษฐาน แล้วมุ่งมั่นเอาความสะอาดบริสุทธิ์ หนักแน่นเป็นอารมณ์เดียวของจิต สลัดวางกิเลสให้หมด เพียรเรื่อยไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เองตามอายุขัย”

    ในนิมิตนั้น เกาทัณฑ์สำเหนียกว่าหลวงตาท่านเอ็ดเอาด้วยความอ่อนใจเหลือจะกล่าว เขาได้แต่หดหู่ในความเขลาของตนเองอยู่เช่นนั้น

    “กลับลำซะใหม่นะ เอ็งมาไกลจนเกินถอนตัว เหมือนขี่หลังเสือแล้ว ต้องคุมเสือให้เชื่อง เดี๋ยวพอตื่นขึ้นไข้จะสร่างลง มุ่งมั่นทำสมาธิให้แก่กล้าขึ้นมาด้วยใจบริสุทธิ์ แล้วไข้จะหาย อย่าไปร่ำร้องหาใครเขาอีก”

    พอตื่นขึ้นก็ทุเลาป่วยลงจริงๆด้วยกำลังปีติอันเกิดจากสัมมาสมาธิ เพราะคราวนี้เขามุ่งมั่นเอาความบริสุทธิ์ในขณะยังดำรงชีวิต มิใช่พร่ำเพ้อละเมอหาสวรรค์เหมือนแต่แรก

    เห็นด้วยความสังเวชอย่างแท้จริง ว่าใจมนุษย์นั้นร่ำร้อง จะเอา จะเอา แบบเด็กๆไปจนชั่วลมหายใจเฮือกสุดท้าย เมื่อกายเติบใหญ่ขึ้นก็สนองความร้องร่ำพร่ำเพ้อด้วยวิถีต่างๆ นักธุรกิจแสวงวิธีดูดเงิน นักการเมืองแสวงอำนาจ ฤาษีแสวงตบะ กระทั่งปลงเห็นหน้าตาความอยากชัดเจนว่าเหมือนทารกน้อยทั้งนั้น จึงเลิกอยากเลิกเพ้อได้หมดทุกรูปแบบ

    เมื่อทุกอย่างเข้าทาง เลิกปฏิบัติแบบละเมอๆ ของเก่าก็ปรากฏ จิตอ่อนควรแก่การเข้าถึงฐานสมาธิอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นฌานลาภีบุคคล หรือบุคคลผู้มีสิทธิ์ถึงฌาน อีกทั้งเคยสำเร็จฌานสมาบัติมาก่อนนับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงไม่แต่มีสิทธิ์เท่านั้น ยังง่ายยิ่งอีกด้วย

    และแม้จะทำถึงเพียงปฐมฌาน ยังไม่ใช่ฐานของอภิญญาที่แท้จริง อภิญญาอันแก่กล้าที่ติดจิตติดวิญญาณมาก็ปรากฏแสดงตัว เขาเห็นกลุ่มญาณแต่ละประเภทวางเรียงเป็นชั้นๆห่อหุ้มดวงจิต พอเลือกหยิบฉวยเอาได้บ้างด้วยกำลังในขณะนั้น อย่างเช่นความสามารถดึงอดีตมาสู่สำนึกปัจจุบัน เพียงตรึกระลึกถึงอัตภาพฤาษีเก่าที่หลวงตาแขวนเคยเมตตาฉายให้ดูทีหนึ่ง ก็เหมือนทำนบเขื่อนพังภินท์ ภาพเหตุการณ์ของตัวตนมากมายทะลักหลั่งทยอยเรียงลำดับมาให้เห็นจนจำแนกแทบไม่ทัน คล้ายคนธรรมดาระลึกได้แบบเร็วๆว่าเมื่อวานเกิดเหตุการณ์ใดบ้าง โดยคัดเฉพาะที่ประทับขึ้นใจ ต่างแต่ความหมายรู้คมชัดเป็นนิมิตและทราบเนื้อความละเอียดลออนัก

    บัดนี้เขาเป็นผู้หนึ่งที่ประจักษ์ว่าสังสารวัฏนั้นพิสดารพันลึกเสียจนเล่าไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่มีใครเป็นผู้สร้าง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนเดินทางอย่างโดดเดี่ยวไปตามยถากรรมแห่งตน ทำอะไรไว้ก็รับผลอย่างนั้น ปรับเปลี่ยนภาวะหยาบประณีตของวิญญาณไปเรื่อย ขึ้นลงเหมือนลูกคลื่น ไม่มีใครรักษาสภาพสูงส่งไว้ได้ตลอด เพราะแรงเหวี่ยงทั้งดีร้ายนั้นซับซ้อนนัก อีกทั้งกิเลสแต่ละขณะก็ไม่แน่นอน เดี๋ยวบันดาลให้ประเสริฐ เดี๋ยวกดดันให้ชั่วชาติ

    วิญญาณที่แล่นคู่กันมา หรือเกาะกลุ่มกันมา ก็ล้วนต่างคนต่างก้มหน้าเสวยกรรมของตน มิใช่จะตีคู่กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกันจากต้นทางยันปลายทาง ความสัมพันธ์ในฐานะสูงต่ำล้ำเหลื่อมที่แน่นอนก็ไม่มี รักกันหวานซึ้งตรึงใจแบบมาราธอนข้ามชาติก็ไม่มี ทุกอย่างถูกบีบคั้นให้แปรไปเรื่อยตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า หรือเฉพาะชาติ

    เอาแค่โลกมนุษย์นี่ เมื่อเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยไป หรือข้ามวัฏจักรเผ่าพันธุ์แต่ละครั้ง ก็เล่าให้เชื่อยากแล้วว่ามีความแตกต่างในรายละเอียดน่าอัศจรรย์อันใดบ้าง

    ขนาดอยู่ในโลกใบเดียวกัน ร่วมสมัยเดียวกัน แค่ข้ามพรมแดนคนจนคนรวยเข้าหน่อย ก็ตะลึงตาค้างหลุดปากอุทานกันแล้วว่า ‘มีอย่างนี้ด้วยหรือ’ หากได้เห็นถ้วนทั่วครอบคลุมเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีวิทยาการสูงส่ง หรือที่มีศีลสัตย์เป็นสรณะ หรือที่มีอายุยืนยาวพันปี ก็คงเลิกอุทานแบบเดิม และเปลี่ยนความเห็นกันแบบปฏิวัติ นั่นคือสังสารวัฏนี้ ‘มีทุกแบบ’

    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระองค์ประทานใบไม้เพียงกำมือเดียว จากสิ่งที่พระองค์รู้ทั้งหมดเท่าใบไม้ในป่า เขาอนุมานได้แล้วว่าเป็นอย่างไร เพราะแม้ฌานญาณอันคับแคบจำกัดของฤาษีธรรมดา ก็อาจแทงทะลุเข้าไปเห็นหน้าเห็นหลังอันสุดจะรวบรวมมากล่าวได้หมดขนาดนี้ แล้วพระสัพพัญญุตญาณแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใหญ่หลวงจนเปิดแจ้งแทงถึงตลอดสายอนันตภาพเล่า จะเอาความมโหฬารของสื่อชนิดใดมาบันทึกหรือถ่ายทอดได้

    ถอนใจเฮือกใหญ่ ทบทวนแล้วนึกรู้ว่าชาตินี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาลิ้มรสหวานในรักได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย บันเทิงในสติปัญญาและความสามารถรอบด้านอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ก็ต้องประสบพบเจอกับศัตรูเก่า รู้จักความขมขื่นแห่งการจากพราก ป่วยไข้ปางตาย เฉียดจะลงนรกมาก็แล้ว

    ชาติอื่นที่วิบากดีให้ผลน้อยกว่านี้มิยิ่งทรมานทรกรรมเป็นสิบเท่าร้อยเท่าหรอกหรือ?

    เห็นชัดๆแล้วว่าภาพสังสารวัฏยืดเยื้อน่าหวาดผวาเพียงใด ใครจะอยากอยู่ต่อเข้าไปลง ใครบอกว่าชีวิตฉันดี เป็นปกติสุขราบรื่น คนนั้นยังรู้จักพระอนิจจังน้อยไป

    แต่ก็นั่นแหละ บารมีอันน้อยนิดในปัจจุบันชาติที่คู่ควรเป็นกำลังแก่พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเบื้องหน้า ก็เห็นอยู่เพียงหนึ่งเดียว คืออธิษฐานบารมีที่กระทำไปต่อหน้าพระอภิญญา ทั้งรู้ว่าจะต้องฝ่าร้อยสวรรค์พันนรก ก็ยืนยันจะดั้นด้นไปอย่างปราศจากความเกรงกลัว ด้วยหวังกรุณาโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นจากสังสารวัฏด้วยกำลังตน ส่วนบารมีอื่นนับว่ายังอ่อน ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล การออกจากกาม ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ เมตตา และอุเบกขา

    ยังต้องเพียรสั่งสมอีกยาวยืดสุดหยั่งในขบวนอัตภาพหยาบละเอียดที่จะสืบเนื่องต่อไป ซึ่งก็คงเวียนวนซ้ำซากเหมือนเช่นที่เห็นแล้วในอดีตกาล

    จำสภาวจิตที่ ‘ไม่ใช่มนุษย์’ ได้ชัดเจน เขาเคยเป็นอสุรกายชนิดที่ไร้สติคิดอ่านเป็นเหตุเป็นผล เนื้อตัวเต็มไปด้วยหนามแหลม มีสำนึกอยู่อย่างเดียวคือวิ่งอาละวาดบ้าเลือดด้วยความคึกคะนองในกำลังอันยิ่งยง ในภาวะนั้นเมื่อจะเอ่ยปากร้องก็ได้ยินแผดออกมาเป็นเสียงกรีดแบบคลุ้มคลั่ง เมื่อขยับเขยื้อนไหวกายก็กรอบแกรบเจ็บเสียดไปทั่วสรรพางค์อันเทอะทะ อาศัยในสภาพแวดล้อมอึมครึมหม่นมืดเหมือนยามโพล้เพล้อยู่ตลอดเวลา อยากหนีหรือคิดจบชีวิตแบบที่คนในโลกทำกันง่ายๆก็ไม่ได้

    แต่เมื่อก่อนเกิดเป็นมนุษย์นี้เอง เขาเคยเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่ประณีตลออองค์สุดพรรณนา เป็นตรงข้ามสุดขั้วกับอัตภาพอสุรกายเมื่อหลายร้อยชาติก่อน

    พระพรหม!

    สภาพนั้นจิตผนึกเป็นดวงใหญ่อย่างฌานอยู่ทุกขณะ ทว่าแยกชั้นกันเป็นต่างหากจากสำนึกคิดอ่าน เป็นความคิดอ่านอีกแบบแตกต่างจากระบบความคิดของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง พ้นวิสัยจะบรรยายด้วยภาษาใดๆ แม้เทพยดาเช่นเรือนแก้วก็ดูกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับอัตภาพอันน่าปรารถนายิ่งชนิดนั้น

    ผ่านภูมิต่ำ ภูมิสูง คลี่คลายมาเป็นอัตภาพนี้ ขยับแขนขาในกายหยาบนี้ เกิดมาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เยี่ยงมนุษย์ ทรงฤทธิ์ทางโลกและทางธรรม เหิมเกริมตามประสากิเลสแบบมนุษย์

    เขาเพลิดเพลินอยู่ในความรู้เห็นเร้นลับได้เพียงอาทิตย์เศษ ใจก็เริ่มพะวงถึงแพตรีขึ้นมา เมื่อคืนหนึ่งฝันเห็นตนเองดุ่มเดินไปตามทางรอบไหล่เขา หนทางเต็มไปด้วยหินแล้งแห้งผาก หอบหิ้วเสบียงติดตัวพะรุงพะรัง ข้างกายคือแพตรีสีหน้าอิดโรย ขะมุกขะมอมมอซอ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนและมีริ้วรอยฉีกขาดเยี่ยงคนเพิ่งผ่านป่าหนามมาหยกๆ

    ในฝันบอกตนเองว่าหล่อนสู้ทนลำบากติดตามเขามาด้วยความภักดี ยอมผ่านร้อนผ่านหนาวบุกน้ำลุยไฟ ก็เพราะใจเดียวบูชารัก เขาเสียอีกมีความแข็งแรงบึกบึน ทนฝ่าฟันก็ด้วยความมุ่งมั่นของตนเอง

    ครั้งหนึ่งในฝัน เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาที่กำลังดุ่มเดินขึ้นไป รู้สึกคล้ายเลือดเข้าตา ดูเหมือนตนกำลังบ้าบิ่นแกมดันทุรังทำในสิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อแหงนหน้าดูดีๆแล้ว เบื้องสูงที่สุดนั้นเสียดขึ้นไปถึงยอดฟ้าชัดๆ!

    ยังจำภาพนั้นติดตา ปลายทางอยู่ที่ยอดฟ้า

    เขาต้องดั้นด้นอีกกี่กัปป์กี่กัลป์ไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าตอนนี้ยังไกลแสนไกล เกินที่จะเอื้อมถึง ทว่าใจในขณะนั้นเหิมหาญ บอกตนเองว่ายอดฟ้าก็ยอดฟ้า แสนกัปป์เหมือนเดือนเดียว ดั้นเดิน ปีนป่าย ใช้กำลังบุกบั่นไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวก็ลุแล้ว

    สงสารก็แต่ผู้ติดตามเขามา แพตรีดูอ่อนโรยระโหยแรงเต็มทน ไม่ได้มีกำลังใจอย่างใหญ่ ไม่ได้เห็นแสนกัปป์เหมือนเดือนเดียวอย่างเขา ทว่าเส้นทางวิบากนั้นไกลเกินหวนกลับ และสูงเกินโดดดิ่งข้างทางเหมือนทิ้งตัวจากรถไฟ จะให้หล่อนขี่หลังเขาสบายๆหรือก็เหลือวิสัย ได้แต่ช่วยฉุด ช่วยประคองตามมีตามเกิด จูงมือกระชับชิดบ้าง ปล่อยมือต่างคนต่างเดินบ้างสลับกัน

    สำนึกว่าแพตรีเป็นความชุ่มชื่นกลางทางกันดาร เป็นทะเลกว้างกลางโลกแคบ เป็นความงดงามกลางความน่าชัง เป็นความสว่างสบายกลางค่ำคืนเยือกหนาว เป็นความร่ำรวยกลางความขัดสน เป็นความหรรษากลางความน่าเหน็ดหน่าย เป็นดนตรีอ่อนหวานกลางความเงียบงันวังเวงใจ เป็นเพื่อนคู่ทุกข์แต่เพียงเดียวกลางความอ้างว้างรอบราย…

    หล่อนเป็นทุกสิ่งที่ดีที่สุด

    ช่วงหนึ่งเขาเกิดเหม่อ เผลอสติอย่างไรชอบกล เหมือนหลงๆลืมๆไปว่ามีแพตรีตะเกียกตะกายตามมา ยินหล่อนอุทานคล้ายสะดุดหินล้มกลิ้งลง โหยไห้เสียงหลงร้องเรียกเขาอยู่ที่เบื้องหลัง แต่เรียกเท่าไหร่ๆเขาก็มัวเพลินเดินรุดไปไม่เหลียวแล อันเนื่องจากมีวิหคนกฟ้าบินโฉบลงมาล่อตาชักชวนให้หลงเข้าสู่อุทยานอันร่มครึ้มด้วยแมกไม้เขียว สดชื่นบรรเจิดตาด้วยหลากไม้ดอกหลากสีนานาพันธุ์

    เพลินอยู่นานพอดู กว่าจะนึกขึ้นได้ก็เมื่อดอกไม้ในสวนพร้อมใจกันเหี่ยวเฉา เบื้องสูงมืดครึ้ม ยินเสียงฟ้าคำรณจากระยะไกลแล้วสะดุ้ง คล้ายตื่นจากภวังค์ลึก เหลียวหาแพตรีก็ไม่เห็นเสียแล้ว รู้สึกผิดอย่างแรงว่าตนได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของหล่อน แต่คล้ายแกล้งไม่ได้ยิน เอาหูทวนลมอย่างคนใจดำ ทิ้งลืมไว้ข้างหลัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

    ไวเท่าความคิด เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีสาวเท้าวิ่งย้อนทางกลับมาโดยเร็ว เห็นภาพทางว่างหายไร้แพตรีแล้วเศร้าจนสะอึกอั้นอยู่ในฝัน เสียใจที่ทอดทิ้งหล่อน คิดว่าถ้ามีโอกาสแก้ตัวจะยอมเหนื่อยแบกขึ้นหลัง ไม่ปล่อยให้ห่างหายไปไหนอีกแล้ว

    ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็แล่นกลับกรุงเทพฯทันที!

    เขามาพบหล่อนแล้ว โล่งใจไปถึงไหน…

    ฌานสมาบัติเป็นของเสื่อมง่าย โดยเฉพาะเพิ่งตั้งเข้าที่เพียงอาทิตย์เดียว เมื่อโดนกิเลสครอบงำก็สลายหายสูญไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    แต่ความจดจำเกี่ยวกับสังสารวัฏ การเวียนเกิดตายสลับสูงต่ำดำขาวยังคงอยู่ ยังรู้ความน่าขนพองสยองเกล้าอยู่ และตระหนักว่าสิ่งใดยึดเขาไว้กับการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ ไร้ต้นไร้ปลายนี้

    ก้มลงหอมแก้มนวลตรงหน้า กลิ่นเนื้อแพตรียวนใจนัก

    สำรวจความติดตรึง ความอยากอันโหมแรงที่เกิดขึ้นภายใน บอกตนเองว่าสิ่งนี้เองผูกยึดส่ำสัตว์ไว้กับสังสารวัฏ พยายามมองให้เห็นโทษภัย

    เห็น…

    แต่ตัดไม่ได้

    ก็ในเมื่อใจยังบอกอยู่ว่าร่างสาวน้อยอันเป็นที่รักตรงหน้า ทั้งสวยหวาน ทั้งละมุนน่าชิดเชย อยู่ใกล้แล้วเยือกเย็นเป็นสุขอย่าบอกใครขนาดนี้

    นางฟ้าเดินดินนั้นคล้ายของขวัญสำหรับผู้แน่วแน่ในเส้นทางหฤโหดสายพุทธภูมิ เป็นธรรมดาของผู้บำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมีไว้มาก ยิ่งผลักดันให้คู่บารมีสูงส่งขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้มีสิทธิ์ชื่นเชยสมบัติวิเศษอันสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเท่านั้น เพราะการลากจูงกันมานานโดยเจตจำนงอันเป็นกุศลยิ่งใหญ่ ย่อมก่อร่างสร้างสังขารโดยยืนพื้นบนยานกุศลนั่นเอง

    หล่อนเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว!

    ภาคหนึ่งของใจเห็นว่านั่นเป็นอุปาทานที่โง่มาก หล่อนเองยังไม่ใช่ของตัวเอง ก้อนธรรมชาติต้องตายอย่างไรกายหล่อนก็ต้องแตกดับตามนั้น

    แต่เนื้อที่แนบเนื้ออยู่อย่างนี้ ใจรู้ค่าความเป็นหล่อนอยู่อย่างนี้ มีหรือจะยอมปล่อยหล่อนได้ วางหล่อนได้ เห็นหล่อนเป็นอนัตตาได้?

    เกิดความคิดวูบๆวาบๆขึ้นมาว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อมตินั่นพลาดโอกาสเชยชมอัญมณีล้ำค่า หรือโชคดีที่แคล้วคลาดจากบ่วงรัดของอสรพิษร้ายแห่งมหาสังสารวัฏกันแน่? ภาพผิวเผินภายนอกที่ปรากฏต่อกิเลส กับภาพลึกซึ้งภายในที่ปรากฏต่อปัญญานั้น ช่างขัดแย้งกันสุดขั้วได้อย่างนี้

    “กังวลอะไรอยู่หรือแพ?”

    เขาเอ่ยถามทั้งรู้ว่าใครกำลังมีบทบาทรบกวนจิตใจหล่อน ช่วงที่เขาหายไป แพตรีอาจประชดรักด้วยการหันไปทอดสนิทคืนความสัมพันธ์อันดี ให้ความหวังลมแล้งกับหนุ่มหน้าอ่อนคนนั้นจนเกือบเป็นบ้า โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเขากลับมาครอบครองจองตัวหล่อนตามเดิม มิได้หายขาดไปอย่างที่คิดกัน

    ยินเสียงถอนใจแผ่ว หญิงสาวเอ่ยกระซิบจนเขาต้องจ่อหูเข้าไปใกล้แทบแก้มแนบแก้ม

    “แพทำกรรมหนักเหลือเกิน ต่อไปคงต้องเจอคนหลอกให้ดีใจ ร้องห่มร้องไห้แทบคลุ้มคลั่ง”

    เกาทัณฑ์ย่นคิ้ว เขาไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับมติเท่าไหร่นัก จึงคาดเดาแบบปะติดปะต่อโดยมีเจตนาปลอบโยน

    “แพไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงเขานี่”

    “แต่แพก็ไม่รักษาคำพูด ทำให้เขาเสียใจ”

    ชายหนุ่มลอบยักไหล่ แอบคิดเงียบๆว่าช่างปะไร ก็แค่ไอ้หนุ่มหน้าจืดคนหนึ่ง…

    “เขาไม่เหมาะกับแพหรอก คนเราเข้ากันไม่ได้ แต่พยายามจับคู่กันในฐานะผิดจากที่ควร ก็เกิดความวิบัติขึ้นในเบื้องปลายอย่างนี้เอง ถือว่าแพกับเขาผิดกันคนละครึ่งนะ แบ่งความเสียใจกันแล้วก็แล้วไป”

    แม้ช่วยปลอบเช่นนั้น ก็ดูหล่อนไม่หลุดจากอาการกังวล ราวกับเห็นเป็นอาชญากรรมใหญ่โตขั้นเข้าคุกเข้าตะราง ขี้เกียจคิดมากเลยปลอบซ้ำไปแกนๆ ทั้งรู้ว่าโอ้โลมปฏิโลมอย่างไรก็ป่วยการ

    “ความรักเหมือนกีฬา ต้องมีได้มีเสีย มีสมหวังผิดหวัง วิถีโลกน่ะ อย่าวิตกเกินเหตุเลย”

    หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง

    “พี่ไม่รู้อะไรหรอก”

    เกาทัณฑ์ชะงักเล็กน้อย ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาวาบหนึ่ง เพราะทราบตามจริงว่าเวลานี้เทียบระหว่างเขากับหล่อนแล้ว หล่อนรู้น้อยกว่าอย่างเรียกได้ว่าอนุบาลกับอุดมศึกษาทีเดียว

    แต่ที่สุดก็ฝืนยิ้ม แพตรีกำลังโศก เขาควรทำให้หาย

    “ใช่” เอาปลายนิ้วเกลี่ยชายผมที่ระแก้มหล่อนให้เข้าที่ “อย่างเช่นไม่รู้ว่าทำยังไงแพถึงจะหันมายิ้มกับพี่เสียที”

    แพตรีดึงกายขึ้นนั่ง ทำท่าคล้ายจะลุกจากเตียง แต่เกาทัณฑ์เอาแขนคล้องเอวยึดไว้ หญิงสาวพยายามแกะ

    “ปล่อย”

    “จะไปไหนล่ะ?”

    “โทร.หามติ”

    หล่อนตอบตามตรง

    “จะพูดอะไรกับเขาอีก?”

    “อยากขอโทษ ขอคำอโหสิ และฟังเสียงว่าตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง”

    เกาทัณฑ์ทำหน้าเมื่อย แต่ก็ยอมปล่อยแขน

    โทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะทำงานห่างจากเตียงหน่อยเดียว ทีแรกแพตรีอยากขอให้เกาทัณฑ์ออกไปข้างนอก แต่แล้วก็เห็นว่าทำอย่างนั้นดูมีลับลมมากไปหน่อยสำหรับฐานะอันชิดเชื้อยามนี้ จึงปล่อยให้เขาอยู่ด้วยอย่างนั้น ตนเองยืนนิ่งกับที่ ทำใจตระเตรียมคำพูด

    ชายหนุ่มตะแคงหน้าไปยังจุดที่แพตรียืนอยู่ หล่อนกอดอกหลวมๆหันข้างให้ เห็นเสี้ยวหน้าสวยและเส้นผมเหยียดตรงยาวจรดแผ่นหลังในอาการนิ่งเป็นดุษณีนั้นแล้ว ทำให้นึกถึงนางในฝัน เหมือนหล่อนเป็นรุ่งอรุณที่สาดแสงละไม ส่องใจให้อบอุ่นปรีดาล้ำลึก

    แพตรียกหูโทรศัพท์ขึ้นกดเบอร์เนือยๆทั้งรู้ว่าเขากำลังจับตามองและเงี่ยหูฟัง หล่อนรอสัญญาณเพียงสองครั้ง ก็มีเสียงเรียบเบาตอบมาจากปลายสาย

    “สวัสดีครับ”

    “มติ…” ทั้งที่เตรียมคำพูดไว้พร้อม ก็ไม่วายติดขัด “กลับถึงบ้านนานหรือยัง?”

    เด็กหนุ่มเงียบเพียงครู่เดียว ก็ตอบกลับมาด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลเป็นปกติทุกอย่าง สมแล้วที่เป็นบัณฑิตทางธรรม

    “ตรงกลับเข้าบ้านเลยฮะ ไม่ได้แวะที่ไหน” แล้วเขาก็ดักคอ “เป็นห่วงกลัวผมจะไปเดินหาทำเลดิ่งพสุธาหรือ?”

    แพตรีหัวเราะออกมาได้ สบายใจขึ้น

    “เปล่า…” หล่อนทำตาเป็นประกายใสในการเฝ้าสังเกตของใครอีกคนใกล้ตัว “รู้น่าว่าเก่ง ถ้าเดินก็คงหาทำเลปักกลดทำสมาธิมากกว่า”

    “เขากลับไปแล้วหรือถึงโทร.มา?”

    “ยังอยู่” ตอบโดยมิได้ระวังออมเสียงนัก “ทำไม โทร.หาเธอต้องรอใครกลับเสียก่อนด้วย?”

    มติทำหน้างงอยู่ที่ปลายสาย สำเนียงคล้ายหยิกประชดนั้นบอกอยู่ในทีว่าคนรักของหล่อนห่างออกไปแค่เอื้อม ได้แต่ทอดถอนใจว่าโลกนี้ยุ่งจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ หวังว่าคงไม่ใช่แง่งอนระหองระแหงกันแล้วจับเขามาขึ้นเขียงสับแทนอีก เพราะคราวนี้เข็ดจนตาย ไม่ยอมหลงเหยื่ออีกแล้ว

    เด็กหนุ่มยอบกายลงนั่งพิงผนังห้อง ส่งเสียงเนือยๆ

    “พูดอย่างนี้ถ้าพี่เขาฟังอยู่ เขาหน้ามืดตามมาอัดผมถึงบ้านก็เสร็จซี่”

    แพตรีอมยิ้ม ปรายตามาทางเกาทัณฑ์

    “ใครกล้าอัดเธอ น่ากลัวตายล่ะ พี่จะขวางเอง”

    มติหัวเราะเอื่อยทั้งคร้านที่จะมีอารมณ์ขัน

    “นี่…พี่แพ” บอกทั้งหน้าชื่นอกตรม “ไปให้เขากอดต่อเถอะไป”

    หญิงสาวสะดุ้ง แต่ก็ทำหน้าเฉยอย่างรวดเร็ว

    “นี่…น้องชาย! อย่าทำเป็นรู้ดีนักเลย ชักปากคอเราะร้ายนะเราน่ะ”

    “ผมจะวางล่ะ”

    “เดี๋ยว…” เม้มปากกล้ำกลืนก้อนขมลงคอ และเริ่มตั้งใจพูดมากขึ้น “มติ พี่อยากขอโทษเธอ พี่ไม่ตั้งใจให้…”

    “พี่แพฮะ” มติขัด “ระหว่างทางกลับบ้าน ผมเบาตัว สบายใจ และปลอดโปร่งโล่งตลอดอย่างที่สุด ตอนยังนึกว่าพี่แพไม่เป็นสิทธิ์ของใคร ยังไงๆก็แอบหวังอยู่ในส่วนลึก แต่นี่หมดอยาก หมดหวังอย่างเด็ดขาดเสียที ตั้งแต่นาทีที่รู้ว่าพี่เป็นของเขาแล้ว”

    แพตรีอึกอัก หน้าแดงขึ้นมาด้วยความอาย อยากแก้ความเข้าใจผิดของน้อง แต่เหมือนถูกค้ำคอ เพราะมติบอกกับปากว่าความเข้าใจผิดนั้นเองปลดเปลื้องเขาเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ หล่อนจะใจร้ายคล้องห่วงบางๆกลับไปมัดเขาอีกได้อย่างไร

    “สิ่งที่เห็นวันนี้ไม่ใช่แค่พระเอกตัวจริงของพี่ แต่ยังได้เห็นทุกข์ในอกของตัวเอง เห็นต้นเหตุทุกข์คืออาการที่จิตจับยึดพี่แพเป็นความหวังอย่างเลื่อนลอย พอเห็นอาการยึด เลยรู้ว่าจะปล่อยได้ท่าไหน แต่ก่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการยึดแบบนี้เป็นต้นเหตุทุกข์ ไม่รู้ว่าเรามีทุกข์ในอก พอถูกขยายผลชัดๆเป็นก้อนใหญ่ขึ้นมา เลยจับถนัด ก็นับเป็นบทเรียนฝึกดับไฟทุกข์กองเล็กอีกบทหนึ่ง ต้องขอบคุณเสียอีกที่พี่แพกับเขาทำให้ผมเห็นได้อย่างนี้

    ผมคิดได้ตั้งไม่รู้กี่ปีดีดัก ว่าตัวเองเป็นอย่างมากแค่น้องของพี่น่ะสมควรที่สุดแล้ว แต่ก็อดรักอดหลงไม่ได้ ทรมานนานแค่ไหนขี้เกียจจำ เอาเป็นว่าตอนนี้เหมือนพันธนาการถูกปลดทิ้ง อย่ากังวลเพราะผมเลย ควรยินดีด้วยมากกว่า เราสนิทกันเสียจนไม่จำเป็นต้องอำพรางหรือพูดอ้อมค้อมให้คาใจใช่ไหม คุยกันห้านาทีเสร็จดีกว่าอ้ำอึ้งเป็นชั่วโมงโดยไม่ลงเอยอะไร พี่ฟังเสียงผมก็ได้ ผมไม่ใช้คำเลี่ยงแม้แต่นิดเดียว ผมเคยนับถือ เคยรัก เคยหลง แต่ถึงตอนนี้เหลือแค่ความนับถือเท่านั้น ดีด้วยกันทุกฝ่าย”

    เงียบพักใหญ่ ก่อนมติจะถามแบบตบท้าย

    “สบายใจรึยัง?”

    แพตรีกะพริบตาปริบๆ

    “สบายแล้ว ขอบใจมาก” แล้วหล่อนก็ขอเสียงสั่น “เหมือนพี่หลอกเธอให้ดีใจ อโหสิด้วยนะ”

    มติสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เกือบๆบอกตามตรงว่าหล่อนทำให้เขาโตขึ้นเพราะมองเห็นและอยากละวิถีโลกเสียที คนเรานั้นทั้งยุ่ง ทั้งกลับไปกลับมาน่าระอาขนาดไหน เขาเกิดปัญญาเห็นชัดว่าเมื่อเอาชนะตนเอง จิตพิพากษาเสร็จสิ้นแล้วไม่มีกลับไม่มีเปลี่ยน ต่างจากการเอาชนะใจผู้หญิง ที่ให้ผลเรรวน เหมือนชนะได้ในวันหนึ่ง แต่แค่ข้ามวันก็เปลี่ยนผลเสียแล้ว

    ทว่าพูดอย่างนั้นจะออกนอกกรอบไปหน่อย แพตรีฟังแล้วคงไม่นึกชื่นชมนัก เพราะเป็นเรื่องเข้าตัว มติจึงคิดคำอโหสิให้ฟังปราศจากความกระทบกระทั่งหรือเป็นเหตุให้เก็บไปคิดข้องติดใจในภายหลัง

    “อย่างที่บอกนะฮะ ขอให้ถือว่าพี่แพมอบความปลอดโปร่งสบายใจกับผม ความไม่รู้ใดๆของพี่แพที่ถือเป็นบันไดขั้นต้นให้ไต่มาถึงจุดนี้ ต้องนับเป็นคุณ ไม่ใช่โทษ เพราะฉะนั้น…ผมอโหสิครับพี่แพ และกราบขอบพระคุณด้วยใจจริงกับการใส่ผมลงลู่ทางที่เหมาะสุดสำหรับภาวะปัจจุบัน”

    ประโยคท้ายของเขาสะกิดให้หล่อนนึกถึงนิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อนั่งสมาธิอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์วัดป่าสาละวัน

    หล่อนกับเกาทัณฑ์ช่วยกันพายเรือพาเขาส่งขึ้นฝั่ง!

    “เธอจะบวชหรือ?”

    แพตรีโพล่งถามทั้งที่เขายังไม่เคยเอ่ยเฉียดไปทางนั้นสักคำ

    “ถ้ายังไม่เป็นพระก็จะยังไม่บวชหรอกฮะ” มติตอบกลางๆ “วางเถอะ อย่าคุยกับผมนานเลย เดี๋ยวพี่เขารู้สึกไม่ดี”

    “มติ…เราเป็นพี่เป็นน้องกันตลอดไปนะ”

    “ฮะ”

    ตอบเรียบสั้นแล้วก็วางกระบอกโทรศัพท์ลงกับแป้นตัดสายไป แพตรียืนถือหูนิ่งงันอยู่อีกครู่ ก่อนวางลงตาม หัวอกเบาโล่ง ระบายยิ้มพนมมืออนุโมทนากับน้องชายผู้เป็นที่รัก

    เกาทัณฑ์ลุกเดินมาหา แพตรีรู้เชิง หล่อนยังไม่อยากโดนแตะเนื้อต้องตัวนัก จึงขยับก้าวหลบไปทางหนึ่ง แต่เขาไวกว่าและคว้าเอวได้ด้วยปลอกแขนล่ำสัน พาร่างหล่อนมาที่เตียงอีก โดยลงนั่งก่อนแล้วเหนี่ยวหล่อนนั่งบนตักขวาของเขา

    “ออกไปเที่ยวข้างนอกกันบ้างเถอะค่ะ อยู่ในนี้อุดอู้จะตาย”

    แพตรีเอ่ยชวนกระเง้ากระงอดเพราะเบื่อสภาพสองต่อสองที่หล่อนเสียเปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือเขาเต็มแก่ สัญชาตญาณระแวงภัยของผู้หญิงเตือนว่าผู้ชายถ้าเห็นโอกาสจนน้ำลายหกได้ที่ขึ้นมาเมื่อไหร่ สัญญาไว้แค่ไหนก็ลืมหมด

    “แปลกแฮะ พี่น่าจะเป็นฝ่ายชวนแพเที่ยวมากกว่านะ”

    “จะไปไหมล่ะ?”

    “เที่ยวไหน?”

    “เที่ยววัดไง หาที่นั่งสมาธิกัน”

    เกาทัณฑ์หัวเราะเอิ้ก

    “เคยไปเที่ยวไหนมั่งหา เราน่ะ ใช้คำว่า ‘เที่ยว’ ผิดที่ผิดทางหรือเปล่า? ต่อไปนี้คงต้องปรับความเข้าใจกันหน่อยมั้ง”

    “แบบไหนคือที่ที่ควรใช้คำว่า ‘เที่ยว’ ของพี่ล่ะคะ?”

    “โรงหนัง ศูนย์การค้า แหล่งตากอากาศชายเขา ชายทะเล”

    “เอาเถอะ อยากไปไหนก็ไป”

    “ตอนนี้อยากอยู่ที่นี่แหละ ยังไม่เบื่อน่ะ”

    แพตรีกะพริบตา เบนหน้าเนิบช้ามามองเขา

    “อย่างพี่น่ะเบื่อง่าย แพรู้ ที่ไม่รู้คือพอแต่งแล้ว เบื่อแพแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

    เกาทัณฑ์เห็นท่าจะวกเข้าเรื่องเครียด ก็รีบฉีกไปอีกทาง

    “เออ…ว่าจะคุยด้วยพอดี หลังแต่งงานเราสองคนน่าจะหาโอกาสไปนมัสการสังเวชนียสถานในอินเดียกันนะ คงจะดี เป็นมงคลกับชีวิตสมรสมากทีเดียว”

    แพตรีเงียบไป สังเวชนียสถานคือสถานที่ต่างๆซึ่งเตือนให้รำลึกถึงพระพุทธคุณ ขณะเดียวกันก็บันดาลให้เกิดความสังเวชใจในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันได้แก่ลุมพินี-สถานที่ประสูติ พุทธคยา-สถานที่ตรัสรู้ สารนาถ-สถานที่แสดงธรรมครั้งแรก กุสินารา-สถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทั้งหมดอยู่ในอินเดีย ยกเว้นลุมพินีแห่งเดียวที่อยู่ในเนปาล

    ครั้งที่คุณย่ายังมีชีวิต ปู่ชนะเคยพาย่ากับหล่อนตระเวนท่องนมัสการพุทธสถานที่สำคัญในแดนกำเนิดและเผยแผ่พระสัทธรรมขององค์ตถาคตมาแล้ว หล่อนยังจดจำบรรยากาศต่างๆได้ติดใจ เพราะมีแรงประทับลึกซึ้งยิ่ง

    ภาพในความทรงจำโดยมากคือหลักหินที่ให้เงาครึ้ม สงบวิเวก ร่มเย็น และเต็มไปด้วยพลังความศักดิ์สิทธิ์ขรึมขลัง ชวนให้เกิดใจระยอบลงเคารพและสักการะด้วยธรรมภายในอันกระจ่างไสว

    ในครั้งนั้น ตลอดการรอนแรมยาวไกลเพื่อข้ามสังเวชนียสถานแต่ละถิ่น จะอยู่ในราตรีอันมืดมิดหรือทิวาอันสว่างแจ้ง มองข้างทางเห็นแต่ทุ่งนาเวิ้งว้าง ดูเงียบเหงายาวนานเหมือนไร้ที่สิ้นสุด ภาพความอ้างว้างเคยทำให้หล่อนคิดถึงเขาอย่างจับใจ อยากให้เขาเป็นผู้พาหล่อนข้ามน้ำข้ามดินไปทุกแห่ง แทนที่จะปล่อยให้เหมือนอยู่ตามลำพังอย่างนั้น

    นั่นเป็นก่อนหน้าที่จะพบกับเขาเป็นครั้งแรก เพื่อทราบว่าเขาไม่แม้แต่อยากชายตาเหลียวแล…

    แต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ น่าแปลกนัก เป็นความบังเอิญ เป็นการอธิษฐานที่ให้ผลสมหวังหรืออย่างไร เขาจึงเป็นฝ่ายชักชวนขึ้นมาได้

    “คิดยังไงถึงชวนคะ?”

    “ปู่เคยเล่าให้ฟังน่ะแพ ฟังแล้วอยากไปบ้าง เห็นปู่ว่าระหว่างเดินทางข้ามเมืองนี่ จิตใจเยือกเย็น สงบสุข ทำสมาธิได้มีพลังเป็นพิเศษ เหมือนร่มฟ้ายังมีเงากาสาวพัสตร์ของพระพุทธองค์แผ่ให้สัมผัส พี่คิดว่าเมื่อเราแต่งงานกัน เดินทางไกลร่วมกัน คงก่อสายใยผูกพันได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

    “ค่ะ ไกล…ไกลมากนะคะ ต้องใช้เวลามากทีเดียว”

    “ดีสิ ยิ่งไกล ยิ่งใช้เวลา เราก็ยิ่งใกล้ชิดกันในร่มกุศลมากขึ้น เมื่อเสร็จจากการนมัสการครบทุกถิ่นแล้ว น่าจะอธิษฐานขอให้เป็นพลวปัจจัย ร่วมเที่ยวไปในสังสารวัฏบนทางมหากุศลเช่นนี้ตราบเข้าถึงพระนิพพาน”

    แพตรีนิ่งงัน เพราะรอยระคายยังไม่จางหายดีนักจากเรื่องน่าเข็ดที่ผ่านมา แต่ก็เกรงว่าเมื่อเขาชักนำเรื่องบุญเรื่องกุศลแล้วหล่อนทำเพิกเฉยไม่ยอมรับรู้หรือร่วมโมทนา เดี๋ยวจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดความไม่ลงรอยเป็นลูกโซ่ จึงจำใจระงับความรู้สึกด้านลบ แปรความคิดเป็นยินดีคล้อยตามในทำนองโมทนาสาธุการ

    “ค่ะ”

    รับคำเพียงสั้นเหมือนบอกว่ารับรู้แล้ว และไม่ขัด ทว่ายังรู้สึกฝืนๆอยู่ในภายใน เพราะคนเรามีกำแพงทิฐิจากความเจ็บกันเสมอ แพตรีจึงคิดเอาชนะทิฐิตนเองด้วยการออกความเห็นเสริมเสียหน่อย

    “ความจริงสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาในอินเดียยังมีอีกหลายแห่งนะคะ และถ้ามีโอกาส คนที่ไปก็มักจะไม่พลาด อย่างเช่นที่อยู่ใกล้ลุมพินีก็ได้แก่สาวัตถี ที่ตั้งของพระเชตวันมหาวิหารซึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่สิบเก้าพรรษา และยังมีบุพพารามที่พระองค์ประทับอีกหกพรรษา ซึ่งรวมแล้วเกินครึ่งของเวลาที่พระองค์ใช้โปรดสัตว์ ถ้าไปกับกลุ่มทัวร์จะมีกำหนดการค่อนข้างครอบคลุมอยู่แล้ว”

    เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง

    “แพเคยไปมาแล้วเหรอ? รู้ดีจริง”

    “ปิดเทอมช่วงสิบขวบปู่เคยพาไปค่ะ”

    “อ้าว…ดีสิ ไปอีกรอบคราวนี้เป็นไกด์ให้พี่” เขาพูดด้วยตาตื่นสดชื่น “พระพุทธเจ้าท่านประทับอยู่สาวัตถีนาน คงมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาก หลักหรือร่องรอยสถานที่ต่างๆคงมีมากตามไปด้วยสินะ”

    “ค่ะ ยังเห็นร่องรอยและซากโบราณวัตถุหลายแห่ง เช่นวัดเชตวัน พระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล เจดีย์บอกตำแหน่งพระพุทธองค์แสดงยมกปาฏิหาริย์ มูลคันธกุฎีที่ประทับ หรือกระทั่งจุดเกิดเหตุสำคัญเช่นตำแหน่งแผ่นดินสูบพระเทวทัตต์และนางจิณจมาณวิกา กุฎีพระเถระต่างๆก็มาก”

    “บรรยากาศเป็นยังไง รกร้างหรือเปล่า?”

    “ตอนนี้เขาพัฒนาหรือปล่อยปละอย่างไรไม่ทราบนะคะ แต่เมื่อสิบปีก่อนนี่เขียวครึ้มไปหมด ทั้งหญ้า ทั้งแมกไม้ใหญ่ พื้นที่ในอินเดียโดยมากยังเห็นวัตถุสมัยใหม่น้อย เขตโบราณสถานยังคงบรรยากาศยุคเก่าไว้ บางแห่งก็วิเวกวังเวงเหมือนป่า”

    “เห็นเขาว่าอินเดียขอทานเยอะเหรอ?”

    ถามพลางยื่นมือเอาปลายนิ้วแตะไล้ริมฝีปากล่างอย่างขอลองว่าที่เห็นอิ่มเต็มนั้นจะนุ่มแค่ไหน แพตรีโยกศีรษะหลบนิดๆ ขึงตาห้าม พลางตอบเป็นปกติ

    “ค่ะ ตลอดทางเลย บางทีลูกชาวบ้านไม่ได้อดอยาก ก็วิ่งมาขอเงินจากนักท่องเที่ยวสนุกๆ ประชาชนส่วนใหญ่อดอยากยากจนกันจริงๆ กระทั่งการขอทานแทบจะกลายเป็นประเพณีไปทุกหัวระแหง”

    “ที่พักสะดวกหรือเปล่า?”

    “ตามจุดต่างๆก็มีโรงแรมอย่างดีเหมือนประเทศอื่น ไม่ต้องนอนกระต๊อบหรอก”

    “ได้แวะคงคาบ้างไหม? เห็นว่าชาวพุทธไปอาบน้ำขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นกันมาก”

    “ไม่ใช่ค่ะ คงคามหานทีเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในความศรัทธาของชาวฮินดู แต่กล่าวอ้างอิงในหลายพระสูตร หลายคนเลยคิดว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ ชาวฮินดูยังศรัทธากันมั่นคงมากนะคะ เด็ก หนุ่มสาว ผู้เฒ่า ยากดีมีจนมาอาบน้ำรวมในที่เดียวกันหมด แพเห็นทั้งขอทานแก่ๆที่ปากหุบไม่ได้ แมลงวันเข้าไปตอมหนอง ไปจนถึงสาวท่าทางผู้ดี สวมใส่เสื้อผ้ามีราคา ต่างมาลงอาบอย่างไม่มีการรังเกียจกัน”

    เกาทัณฑ์เบ้หน้า นึกในใจว่าจ้างสักแสนเขาก็คงไม่เอาด้วย

    “รวมแล้วพอจบการเดินทางรู้สึกยังไง ชื่นใจมากไหม?”

    “ได้เห็นอนุสรณ์สถาน ที่แม้จะเป็นเพียงซากปรักหักพัง ก็ยังทรงพลังยิ่งใหญ่ให้สัมผัสได้ การไปพบสถานที่จริงที่เกิดเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เปิดใจเราให้รับบรรยากาศของพุทธดั้งเดิมอย่างเต็มกำลัง เหมือนเราย้อนกลับไปอยู่ในยุคเดียวกับพระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลาย”

    ชายหนุ่มพยักยิ้ม สรุปด้วยความมาดหมายเต็มเปี่ยม

    “คงต้องเลือกเวลาพร้อมทั้งสองคนให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ”

    อย่างรวดเร็วและนุ่มนวลแทบไม่ทันให้รู้สึกตัว เกาทัณฑ์ช้อนร่างหล่อนเลื่อนไปนั่งขอบเตียง แล้วล้มตัวลงพาดศีรษะหนุนตักนิ่ม แพตรีเกือบงุนงงในพลกำลังและความว่องไวฉับพลันชนิดนั้น ด้วยถูกสลับเปลี่ยนจากการนั่งตักเขามาเป็นให้เขานอนตักง่ายดายในพริบตา ราวกับหล่อนเป็นเพียงหุ่นปั้นเล็กเบาที่อาจนำไปวางหรือจัดตั้งที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้

    ครู่หนึ่งในความนิ่งงันท่ามกลางความไม่เป็นอื่น แพตรีก้มลงมองหน้าเขา เห็นกำลังเหลือบจ้องขึ้นจับหล่อนอยู่ก่อนแล้ว และพยายามส่งยิ้มให้หล่อนยิ้มตอบ แต่แพตรีเฉย เพราะอย่างไรก็ยังมีความขุ่นอยู่จางๆในอก ลักษณาการที่มองสานลงมาจึงออกตัดพ้อเสียมากกว่าร่วมอารมณ์ใสๆไปกับเขา

    “แพ…”

    “หือม์?”

    "เคยให้ใครหนุนตักไหม?"

    หางตาคมตวัดเฉี่ยวหน้าเขา ออกเคืองเพราะคล้ายเกาทัณฑ์เริ่มทวงถามความบริสุทธิ์สะอาดจากหล่อน ในขณะที่หล่อนรู้ว่าเขาเองผ่านใครต่อใครมาจนเจน

    "เคยมั้ง"

    คำตอบห้วนแบบประชดทำให้เกาทัณฑ์ยิ้มเอ็นดู

    "เคยมั้ง..."

    ทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียน แพตรีเลยยิ่งเชิดหน้าหนีไกลออกไปอีก

    เกาทัณฑ์เล็งตาขึ้นมองกิริยาเง้างอนของหญิงสาวด้วยความเพลินสุข แล้วครู่หนึ่งก็พลิกหน้า พริ้มตาสูดกลิ่นระเหยจากตักหอมอย่างแสนรัก

    “ไปเที่ยวที่อื่นกันเถอะค่ะ อย่าอยู่อย่างนี้เลย”

    เกาทัณฑ์ยังอยากแนบสนิทชิดใกล้หล่อนเช่นนี้ แต่คร้านที่จะปฏิเสธซ้ำหลายหน จึงยักไหล่ดึงตัวขึ้นนั่ง

    “ก็ได้”

    รับคำแต่นั่งเฉย แพตรีจึงไล่

    “ก็ได้ก็ออกไปรอข้างนอกสิคะ”

    ชายหนุ่มหัวเราะเงียบ แบมือ

    “เอากุญแจรถมาซิ เดี๋ยวจะไปตรวจสภาพหน่อย ท่าทางคลุมผ้าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆเป็นอาทิตย์เลยใช่ไหมนี่?”

    แพตรีเดินไปหยิบมาให้จากลิ้นชักโต๊ะทำงาน เกาทัณฑ์รับแล้วลุกเดินออกนอกห้องเพื่อให้หล่อนแต่งตัวตามที่ขอ

    โลกสว่าง ทางดูโล่งใสยิ่งนักแล้ว


บทที่ ๒๙  สิ้นโศก


    มตินั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านตามลำพัง ในคืนพระจันทร์สุกปลั่งสาดแสงเงินยวงเย็นตา เฉกเช่นดวงจิตที่ฉายรัศมีอาภาประจักษ์กับตนเองในภายใน

    ทั้งเปิดตานิ่งดูภาพราตรีอันงามละมุนนั้นเอง มติเห็นเหมือนตนเองมีสองภาค ภาคหนึ่งนั่งพิงพนักเก้าอี้ปล่อยอารมณ์ตามสบาย ทอดตามองจันทร์งามเบื้องบน เป็นมิติที่มีเนื้อตัวหูตาจับจ้องได้ ผิวกายรับอากาศเย็น นัยน์ตารับฉากกว้างใหญ่บนโพ้นฟ้า ทราบชัดในความเป็นราตรีอันผาสุกนั้น

    อีกภาคหนึ่งรู้แจ้งเข้ามาในภายใน กายปรากฏสว่างคล้ายห้องทึบที่ความมืดถูกขับไล่ด้วยแสงใส ใจอันเบาบางจากกิเลสนั่นเองคือแหล่งกำเนิดแสง ส่องให้เห็นสัณฐานคร่าวแห่งกายที่สติอาศัยเป็นพื้นยืน องคาพยพปรากฏดุจข้าวของเครื่องวางภายในห้อง ความรู้สึกนึกคิดปรากฏดุจหมอกควันที่ถูกโปรยฟุ้ง โปร่งบ้าง ทึบบ้าง

    จิตอันเบาบางจากกิเลสนั่นเอง ละเอียดพอจะจ่อนิ่งอยู่กับแสงรู้อันกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับดวงสติ เมื่อน้อมระลึกเข้ามารู้สึกในกาย กายก็ปรากฏเป็นรูปขันธ์ที่ถูกรู้ เห็นมีช่องว่างระหว่างโครงกายกับแสงรู้ จิตและกายไม่เหนี่ยวยึด ไม่เกาะติดกันให้เกิดอุปาทานในอัตตา

    จิตอันทรงแสงรู้นั้น เมื่อตั้งมั่นเด่นดวง ก็ทรงตัวประดุจกองไฟใหญ่อันโชตินิ่งรับกลุ่มแมลงหวี่ที่บินรี่มาวายดับโดยไม่อาจรบกวนเปลวสว่าง ความคิดและอารมณ์ที่สุ่มจรเข้ามาทั้งหลายทั้งปวง หรือกระทั่งความหมายรู้เป็นตัวฉันผู้คิด ก็ปรากฏดุจเดียวกับพยับแดด ที่ดูมีจริง แต่สลายหายหนอย่างไร้ร่องรอย ไร้ตัวตนใดให้ยึดถือได้แม้แต่น้อย

    ด้วยความรู้สึกอ่อนน้อม อ่อนโยนอันเป็นธรรมชาติภายใน มติสำรวจตนเอง แล้วพิจารณาชนิดของความสุขที่บังเกิดขณะนั้น

    อัตตาอันข้นหนักถูกปลดแล้วจากหัวอก จึงเบากายหายห่วง

    ไฟคือราคะและโทสะยากจะลุกโชนขึ้นในดวงจิต จึงสงบเงียบเย็นใจ

    เมื่อกายใสใจเบา กายก็ปรากฏโดยความเป็นอย่างนั้น ใจก็ปรากฏโดยความเป็นอย่างนั้น มีแต่สภาวธรรมภาครู้เห็นสภาวธรรมภาคถูกรู้ เป็นธรรมเสมอกัน ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่เกิดภาวะยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นฐานแห่งอุปาทาน จิตรวมลงเป็นหนึ่งเดียวกับความว่าง ปราศจากภาระ ปราศจากการวิ่งตามเหยื่อทุกชนิด ปรากฏเป็นสุดยอดเหนือภาวะและอสภาวะกับตนเอง

    “นั่งชมฟ้าเป็นกระต่ายหมายจันทร์เลยนิพี่ชายเรา”

    เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งทักมาแต่ไกล ฉุดมติออกจากรสแห่งความว่างอันปราศจากขอบเขตในระดับอุปจารสมาธิ เหลียวมาทางต้นเสียง น้องชายเขานั่นเอง เพิ่งกลับเข้าบ้านในชุดเที่ยวเต็มยศ

    “ว่าไงทับ”

    มติทักด้วยเสียงเรียบเย็น แม้สายตาเล็งแลที่น้องชายด้วยอาการปฏิสันถารอันควรมีควรเป็น แต่ใจยังจับนิ่งด้วยพลังแห่งความตื่นรู้อย่างเป็นธรรมชาติ โล่งว่างจากความคิด สงบเฉยไร้ปฏิกิริยาทางอารมณ์โต้ตอบวิธีทักแบบยั่วแหย่ของประทับ

    “เมื่อกลางวันตอนออกจากบ้าน เราเห็นพี่แพนั่งรถป้ายแดงไปกับหนุ่มหล่ออ้ะมัด”

    ประทับบอกเล่าด้วยความจงใจทิ่มแทง เพราะหมั่นไส้มานานที่มติควงสาวสวยเกินตัว โฉบไปฉายมาอยู่เรื่อย ความจริงมติกับประทับเป็นพี่น้องที่รักใคร่ชอบพอกันดี เสียแต่ประทับชอบเข่นด้วยความริษยาตามโอกาส

    “ถ้าหมายถึงแฟนพี่แพ ก็หลานชายปู่ชนะไงล่ะทับ”

    มติเอ่ยเรียบสนิท

    “อ้อ...อย่างนั้นเรอะ” ผู้น้องทำเสียงสูงอย่างเพิ่งรับรู้ “ตอนเราเดินผ่าน กำลังปิดประตูรั้วก้าวขึ้นรถพอดี พี่แพเห็นเราแล้วหลบๆหน้ายังไงชอบกลว่ะมัด สงสัยอายที่เราเห็นแฟนเขา กลัวเอามาฟ้องนายมั้ง”

    พูดจบก็หัวร่อร่า มติฟังแล้วพยักหน้าเนือยนาย ทราบดีว่าแพตรีคงยังติดอยู่กับความรู้สึกผิด พอเห็นน้องชายเขา เลยทำให้นึกถึงเขาและพลอยเข้าหน้าประทับไม่ติดไปโดยปริยาย

    “เรารู้สึกกับพี่แพ เหมือนที่รู้สึกกับนายนะทับ บอกมาหลายครั้ง ขอให้เชื่อเสียทีเถอะ”

    ประทับทำปากแบะ

    “จะเหมือนกันยังไงล่ะพ่อคู้ณ เราเป็นชาย เกิดจากพ่อแม่เดียวกับนาย แล้วพี่แพเขาเป็นหญิง คนละพ่อแม่กับพวกเรา เดินควงกันไปควงกันมาตั้งหลายปี อี๋อ๋ออย่างกับโรมิโอ-จูเลียต ทำปากแข็งจนเจอใครมางาบไปแล้ว”

    เพราะถูกจี้อย่างแรง โทสะจึงปะทุขึ้นจากใจที่ยังมีสภาพเป็นเชื้อ มติขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าองค์มรรคคือสัมมาสติแสดงตัวอย่างเฉียบพลัน เพียงไฟโกรธถูกรู้ว่าวูบขึ้นมา จิตอันเป็นผู้รู้ก็แยกเป็นต่างหากออกมาจากไอร้อนทันที ซึ่งเมื่อใจไม่ปรุงแต่งต่อ ไอร้อนแห่งโทสะก็แสดงความเป็นอนิจจัง จางหาย สลายตัวคืนกลับสู่ความว่างเปล่า ปราศจากการผุดขึ้นของอุปาทานแห่งตัวกูผู้โกรธอย่างสิ้นเชิง

    และเพราะพ้นจากการห่อหุ้มของโทสะ จิตจึงมีลักษณะเบิกบาน สะท้อนออกมาด้วยความกระจ่างใสในใบหน้า ปรากฏให้เห็นได้ในเงาสลัวรางแห่งราตรีอันอาบแสงจันทร์

    เมื่อเห็นมตินิ่ง เฉยเมย ปราศจากกระแสความยินยลสนใจลอยออกมาให้สำเหนียกสัมผัส ประทับก็เป็นฝ่ายหงุดหงิดขึ้นมาเสียเอง เขาควักบุหรี่ออกมาจุดสูบมวนหนึ่ง เงยหน้ามองดวงจันทร์กลางฟ้า เงียบเสียงไปแบบนึกเรื่อยเปื่อยลอยตามลมเกี่ยวกับแพตรี แม้อายุจะห่างจากหล่อนหลายปี แต่เขาก็โตเกินพอจะเป็นเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ที่ลุ่มหลงความสวยหวานของผู้หญิงดีๆเช่นหล่อน

    มติชำเลืองแลเงาร่างของประทับ และโดยมิได้ตั้งใจล่วงหน้า จิตอันนิ่งว่างและตื่นรู้ในตนเอง ส่งออกสัมผัสคลื่นความเหม่อลอยอันส่งออกมาจากร่างซึ่งยืนห่างไปเพียงสามก้าว

    ทีแรกก็เหมือนกับที่คนทั่วไปอาจสำเหนียกสัมผัสคลื่นอารมณ์หรือความนึกคิดอันเข้มข้นจากคนอื่น เช่นกำลังมีความเครียดกังวล ความฟุ้งซ่านเลื่อนลอย ความข้องใจสงสัย ความมีเลศนัยซ่อนแฝง หรือความมีอารมณ์ขันซุกซน แต่ด้วยจิตที่ชำนาญการรู้ทันเท่า และสามารถแยกแยะสัญญาณความคิดอ่านของตนเอง ได้เกิดประสบการณ์ใหม่กับมติ คือเหมือนจิตอันสงัดนิ่งและว่างใสของเขาสามารถล็อกคลื่นความคิดที่กระจายออกมาจากประทับได้ถนัด ราวกับเป็นกระแสความคิดของตนเอง อีกทั้งตีความด้วยอาการหมายรู้ชนิดเดียวกับที่จิตเห็นความคิดผุดขึ้นในหัวตนด้วย

    มติกะพริบตาปริบๆ ความกำหนดรู้เกิดขึ้นชั่วเวลาสั้นๆราวกับเป็นเพียงอุปาทาน เหมือนได้ยินเสียงรำพึงแผ่วกริบ เช่นเดียวกับที่ผุดชัดในหัวตนเอง ต่างแต่ตำแหน่งต้นกำเนิดความคิดถูกรู้ว่าอยู่ที่ประทับ อันเป็นเครื่องชี้ให้จิตทราบว่ายินจากจิตอีกฝ่าย

    ‘ป่านนี้เอาตัวไปไหนว้า จะสี่ทุ่มแล้วยังไม่กลับอีก’

    มติใจเต้นแรง อาการของจิตที่มีปรีชาล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดผู้อื่นแบบ 'เจโตปริยญาณ' เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยปราศจากการตั้งเจตนาไว้ล่วงหน้าแต่ประการใด มติจึงออกสงสัยเล็กน้อย ว่าตนอุปาทานไปเองหรือเปล่า

    เม้มปากนิดหนึ่ง ก่อนถามเลียบเคียงพิสูจน์

    “ทับ...ไฟบ้านพี่แพยังปิดมืดหรือเปล่า?”

    ประทับหันขวับ แปลความตามเข้าใจตื้นๆเพียงว่ามติอยู่ในอารมณ์หึงหวงและเป็นห่วงแพตรีจนเกินหักห้าม ต้องหลุดปากถามจนได้

    “ฮ่า!...ไหมล่ะ” เด็กหนุ่มร้องอย่างมีชัย “เขายังไม่กลับกันโว้ยมัด จะสี่ทุ่มแล้ว ป่านนี้เอาตัวไปไหนต่อไหน”

    มติระบายลมหายใจยาว ประทับพูดคล้ายกับที่เมื่อครู่เขาเห็นฝ่ายนั้นรำพึงในใจ น่าจะใช่แน่ อย่างไรก็ตาม มติพยายามล็อกความคิดของอีกฝ่ายใหม่เพื่อดูว่าเป็นเพียงความสามารถที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยามหรือเปล่า

    ด้วยใจที่เต้นผิดจังหวะจากความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ขาดความตั้งมั่นแน่วนิ่งในช่วงแรก เหมือนเขาพยายามจูนหาคลื่นวิทยุในย่านความถี่ที่ต้องการ แต่พบเพียงเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ประทับกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ เขาสัมผัสได้เป็นคลื่นหยาบที่แฝงมากับรอยยิ้มเยาะ

    มติกะพริบตา เปลี่ยนวิถีการรู้ทันความคิดคนอื่นมาเป็นเท่าทันตัวโลภะของตนเอง ความสามารถพิเศษทางสัมผัสที่หกเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ฝึกจิต เพราะในภาวะนิ่ง ธาตุรู้อาจถูกน้อมไปใช้อย่างไรก็ได้ สุดแต่จะเลือก

    ถ้าเลือกผิดก็ติดอยู่ในวังวนการเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่เลิก...

    พอสติผุดเช่นนั้น มติก็ตัดความใส่ใจในความคิดคนอื่น หันมากำหนดรู้ความคิดตนเองแทน ซึ่งง่ายกว่า แน่นอนกว่า กับทั้งเมื่อเฝ้าดูโดยความกำหนดเป็นอนัตตาแล้ว วันหนึ่งก็จะถึงที่สุดทุกข์ได้ เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง

    “เรารู้นะว่านายกำลังคิดถึงพี่แพ เป็นห่วงพี่แพ แต่ทำเป็นปากแข็ง”

    ประทับทักทายแบบสู่รู้ประสานักเดาที่สำคัญว่าตนแน่จริง มติตัดรำคาญด้วยการไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่น้องชายก็ยังอุตส่าห์หาความยาวอีก

    “อย่าว่าเราตอกย้ำเลย แต่นายตัดใจเถอะ พี่แพเขาสวยเกินไปว่ะ หาใหม่แบบที่เข้ากับนายได้ดีกว่า”

    มติตามดูใจตนเอง ที่น่าจะคุกรุ่นเพราะถูกเด็กเมื่อวานซืนสั่งสอน แปลกที่โลกภายในกลับเงียบสนิท หัวใจเต้นเป็นจังหวะปกติคงเส้นคงวาทุกประการ ราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสา ไร้ความยินยลสนใจกับความกระทบกระทั่งอันก่อเกิดจากรูปภาษาของมนุษย์ใดๆ

    อาจเป็นเพราะรู้ทางไปทางมาของราคะ โทสะ โมหะจนเคยชิน กระทั่งเท่าทันแม้ขณะจิตที่รับผัสสะอันควรก่ออกุศล จึงเกิดการตั้งรับขึ้นอย่างเป็นไปเอง คงไว้แต่ความเนิบนิ่งทางความคิด และรู้สึกสงบละไมไม่ไหวติงในกลางอกอย่างไรก็อย่างนั้น

    เมื่อเขาเงียบ ประทับก็เงียบตาม แต่ในความเงียบของประทับมีแรงดันข้นหนักแฝงอยู่ แสดงว่ากำลังคิดหาคำพูดถล่มเขาต่อ ใจที่กำลังอยู่ในอุเบกขา ทรงกำลังรู้ กระแสจิตต่อเชื่อมกันสนิท พลิกกำหนดจับนิดเดียวก็ล็อกสัญญาณความคิดอีกฝ่ายได้ถนัด

    ‘ลูกสาวแม่ค้ากล้วยแขกหน้าปากซอยน่ะเหมาะ’

    ประทับคิดจับคู่ให้กับเขาแบบทีเล่นทีจริง แทนที่จะโกรธ มติกลับขบขันจนหัวเราะออกมา

    “นายขำอะไรวะ?”

    ประทับถามยียวน เพราะนึกว่ามติแกล้งหัวเราะแบบทำเป็นไม่ยี่หระ

    “ขำที่นายจะให้เราเอายายโอ๋มาเป็นแฟนน่ะซี”

    มติตอบตรงไปตรงมา ประทับขมวดคิ้วย่น

    “โอ๋ไหน?”

    “อ้าว! ไม่รู้จักชื่อหรือ ลูกสาวแม่ค้าขายกล้วยแขกไง ตัวอ้วนๆน่ะ”

    คราวนี้ประทับถึงกับสะดุ้ง

    “เอ๊ะ! เราเคยบอกเมื่อไหร่ว่าจะให้นายเอาเป็นแฟน?”

    ถามคอแข็งด้วยความหนาวขึ้นมา เมื่อรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตถึงความคิดตนที่รั่วไหลให้คนอื่นจับได้

    มติหัวเราะเอื่อย คร้านจะกระทำตนเป็นผู้มีฤทธิ์ คงทุกข์กันถ้วนหน้าถ้าประทับจะอยู่ในบ้านเดียวกับเขาอย่างหวาดกลัว ระแวงว่าจะถูกล่วงรู้ความลับไปทุกซอกมุมความคิด

    “อ๋อ นานมาแล้ว นายเคยแซวเราตอนยายโอ๋ช่วยแม่ขายของ เห็นแถมมากกว่าที่สั่งสิบบาทไปเยอะไง หาว่าเราแอบจีบไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    ประทับคลายความเกร็งลง แต่ยังจ้องหน้าพี่ชายอย่างขุดค้น ลังเลเป็นครู่ เมื่อเห็นไร้พิรุธ ก็เชื่อว่าเป็นความประจวบเหมาะบังเอิญ

    “ไปอาบน้ำล่ะ”

    ดีดบุหรี่ทิ้งตัดบทลาดื้อๆ มติพยักพเยิดรับรู้ สบายใจขึ้นเมื่อน้องชายปลีกตัว ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังดังเดิม

    เมื่อเงาร่างของประทับพ้นไป ใจมติก็ว่างลงราวกับคนลืมง่ายที่สุดในโลก ปราศจากเยื่อใยความขุ่นข้องพัวพันสักนิดเดียว เป็นสุขกับความปลอดโล่งของจิตอันอารมณ์เกาะไม่ติดชนิดนั้นจนต้องยิ้มออกมาน้อยๆ ความรู้สึกในอัตตาเปรียบเสมือนสิ่งอุดตันในกาย เมื่อทะลวงหลุดออกเสียได้ ก็เหลือเพียงความเบาสบาย คล้ายปล้องกลวงที่ไร้ความอึดอัดแม้น้อยเท่าน้อย

    นั่นทำให้มติอนุมานอย่างยินดี ว่าพระอรหันต์ท่านคงว่างเหมือนแก้วที่ปราศจากน้ำ แม้แก้วถูกกระทบอย่างไร ก็หาความกระเพื่อมไหวหรือกระฉอกหกเปียกเปื้อนไม่ได้เลย ใจของท่านเสมอกับธรรมชาติ คือรู้สิ่งไหน ก็สักว่ามีความเสมอกับสิ่งนั้น ไม่เกิดอุปาทานว่าสิ่งนั้นเป็นตนหรือของตน ไม่เกิดอุปาทานว่าสิ่งนั้นน่ายินดีควรแก่การเสพสม ใจถูกทำให้ว่างเสมอความว่างทั้งปวงนั่นแล้ว ที่ดำรงอยู่อย่างหมดอาลัยยินดี หมดทุกข์หมดโศกในกายใจอันเป็นสมบัติของความแตกพัง

     

    เป็นอีกคืนหนึ่งที่ปู่ชนะถูกรับตัวมานอนค้างบ้านลูกชายคนโต ความจริงลูกๆท่านกตัญญูรู้คุณ อยากให้ท่านมาพำนักถาวรกันโดยไม่มีการเกี่ยงงอน ทว่าท่านเองยังอยากอยู่บ้านเก่า อ้างว่าชอบสถานที่ นานทีจึงมาให้ลูกๆเลี้ยงดูอย่างนี้ อย่างมากจะอยู่เพียงสองสามคืน เพราะเป็นห่วงหนูแพหลานสาวคนโปรดของท่าน

    ท่านเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำ อากาศเย็นกำลังดี เปิดหน้าต่างรับลมได้สบาย เงยหน้าชมแสงจันทร์เบื้องไกลด้วยความสงบสุขเพียงลำพัง บังเกิดความปลอดโปร่งถึงที่สุดเมื่อทราบชัดแก่จิตอันละเอียดสุขุม ว่าภาระคือแก้วตาดวงใจได้ถูกวางลงแล้ว

    ทุกข์สุขทั้งชีวิตเหมือนฝันไป คล้ายเมฆที่จรมาผ่านดวงจันทร์ บดบังอยู่ครู่แล้วผ่านไป ผ่านแล้วก็มีแผงเมฆใหม่มาบังอีกแล้วๆเล่าๆ ที่สุดทั้งหลายทั้งปวงก็ล้วนเลยผ่านจนหมดสิ้น จะเคยจริงจังกับเหตุการณ์ในชีวิตช่วงใด เห็นใครสลักสำคัญเพียงไหน วันหนึ่งก็ปลดปลงลงจากการแบกรับทางใจทั้งนั้น

    เมื่อถึงเวลาที่เกาทัณฑ์มารับตัวแพตรีไปจากท่าน ใจท่านก็เหมือนสลัดคืนทุกสิ่ง เหลือเพียงกายใจเป็นเครื่องระลึก สักแต่เห็นสภาวธรรมในกายใจเพื่อความรู้แจ้งแทงตลอดถึงที่สุด

    จิตของชายชราสงบวิเวกเป็นเนื้อเดียวกับฉากโลกที่อาบแสงจันทร์สว่างนวล ลมดึกรำเพยผ่านมาหอบหนึ่ง โชยกลิ่นหอมของมะลิวัลย์ในซุ้มเบื้องล่างหน้าต่างขึ้นมากระทบนาสิกประสาท ขณะนั้นเองปรากฏสิ่งปรุงแต่งในส่วนลึกของจิต คล้ายบอกตนเองว่าคุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้มานานนักหนา ระลึกได้ว่าแม้ยังเด็ก เมื่อเห็นฟ้าราตรีมีจันทร์ฉาย ก็คล้ายเห็นมาก่อน ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แดนดินถิ่นไหนสักแห่งอย่างประหลาด

    ในยามพักงานวิปัสสนา เว้นจากการพิจารณากายใจเป็นไตรลักษณ์ ปู่ชนะมักปล่อยให้จิตเข้ารู้ เข้าดูธรรมละเอียดในตนที่ผุดขึ้นตามวาระโอกาสต่างๆ เหมือนเจ้าของบ้านผู้มียามว่างก็เดินทอดน่อง พลิกดูสมบัติหรือก้อนกรวดก้อนหินในเขตบ้านพอให้ทราบว่าเป็นอย่างไรแล้ววางลง ทั้งตระหนักว่าเสียเวลาไปอีกสิบชาติร้อยชาติ ก็ไม่อาจพลิกดูได้ถ้วนทั่วทั้งหมดว่ามีอะไรอยู่บ้าง

    วาระนี้ ปัญญาญาณจากจิตอันบางด้วยกิเลสของท่านเหมือนแสงส่องเห็นความคุ้นชนิดพิเศษอันโยงใยกับการอบรมจิตในพุทธศาสนา โดยปรากฏเป็นความรู้สึกรักเล็กๆส่งออกมาจากจิตอันทรงธรรม

    ท่านกำหนดว่ารักเล็กๆนั้นเป็นสุขเวทนา เป็นสิ่งแปลกปลอมที่แทรกตัวเข้ามาท่ามกลางความสะอาดนิ่งสงบรู้ของจิต โดยลักษณะนั้น สุขเวทนาอาจล่องหนลับหาย แสดงความเป็นทุกขังแห่งตนให้ปรากฏต่อกระแสรู้ก็ได้

    แต่ด้วยเจตนาเข้ารู้รายละเอียด สุขเวทนานั้นก็ถูกหน่วงไว้ให้ดำรงอยู่กับสติเฉพาะหน้า เช่นเดียวกับเมื่อสะดุดหิน แทนที่จะก้าวเท้าข้ามผ่าน ก็ก้มลงหยิบขึ้นดูเล่นให้เห็นลาย เห็นสี เห็นรูปทรงอย่างถนัดเสียหน่อย

    ปู่ชนะลากลมหายใจเข้ายืดยาว นิ่มนวล ก่อนกำหนดสติรู้ว่าหายใจออก ความชำนาญทำให้จิตกับลมเคล้าเคลียเข้าด้วยกันแนบเนียนสนิท กระแสจิตดึงดูดเข้าหากันด้วยอาการแน่วรู้รวมดวง ฉีดปีติสุขซ่านเย็นเต็มรอบทันที ยังความชุ่มชื่น อิ่มเอิบลึกซึ้ง ปราศจากเอกเทศใดแห่งกายทั่วร่าง ที่ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง จิตปรากฏแก่ตนเองเสมือนไฟเย็นดวงมหึมาที่มีแรงผนึกรวมเข้าหาศูนย์กลางคือสายลมหายใจเหยียดยาวประหนึ่งน้ำตกทิพย์

    นั่นคือการล่วงเข้าสู่ฐานสมาธิเป็นอัปปนาแท้จริงระดับแรก เรียกว่าปฐมฌาน ประกอบด้วยองค์หลักคือวิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา

    ปฐมฌานเป็นของดีแก่ผู้เคยคุ้น ขณะเดียวกันก็เป็นของน้อยแก่ผู้รู้ธรรมอันประเสริฐยิ่งกว่า จิตของปู่ชนะแนบรู้อยู่กับลมหายใจจนจิตแยกออก ว่าสายลมหายใจยังปรากฏต่อจิตผู้รู้ก็เพราะมีอาการระลึกแนบแน่นอยู่กับลมหายใจ เมื่อจิตมัวพะวงกับเปลือกหยาบ ก็ยังนับว่าจิตหยาบอยู่ ต่อเมื่อละอาการระลึกรู้ที่สายลม หลุดออกมารักษาจิตให้ทรงมั่นปีติสุขเพียงเดียว จิตก็เด่นดวงผ่องใสเป็นธรรมเอก เสมือนนกที่เลิกกระพือปีกเสียได้เพราะโบยบินมาสูงพอ จึงแผ่ปีกนิ่งลอยลมสบาย ปลอดจากภาระหนักในการออกแรงพยุงตัวในอากาศกว้าง

    นั่นคือการล่วงเข้าสู่ฐานสมาธิเป็นอัปปนาแท้จริงระดับที่สอง เรียกว่าทุติยฌาน ประกอบด้วยองค์หลักคือปีติ สุข และเอกัคคตา

    ทุติยฌานเป็นของดีแก่ผู้เคยคุ้น ขณะเดียวกันก็เป็นของน้อยแก่ผู้รู้ธรรมอันประเสริฐยิ่งกว่า จิตของปู่ชนะแนบรู้อยู่กับปีติจนแยกออก ว่าปีติเป็นเสมือนคลื่นน้ำที่กระเพื่อม ทำให้จิตซึ่งเปรียบเหมือนเรือโยกโคลง เมื่อแทรกลำเข้าสู่ร่องน้ำที่สงบกว่า เรือก็นิ่งลง เช่นเดียวกับที่ละปีติเสียได้ จึงพบกับสภาพน่าพึงใจกว่ากัน

    นั่นคือการล่วงเข้าสู่ฐานสมาธิเป็นอัปปนาแท้จริงระดับที่สาม เรียกว่าตติยฌาน ประกอบด้วยองค์หลักคือสุข และเอกัคคตา สมบูรณ์ด้วยองค์รองคือสติและอุเบกขา

    ตติยฌานเป็นของดีแก่ผู้เคยคุ้น ขณะเดียวกันก็เป็นของน้อยแก่ผู้รู้ธรรมอันประเสริฐยิ่งกว่า จิตของปู่ชนะแนบรู้อยู่กับสุขอันเกิดจากความสงบจนจิตแยกออก เห็นราคะชนิดละเอียดอ่อนอันเกิดแต่ความพึงใจแทรกอยู่จางๆ แล้วตัวปัญญารู้แจ้งนั้นก็ตัดราคะในฌานชั้นสูงได้ขาด จิตเข้าถึงความสงบสงัดอีกระดับหนึ่งที่ประณีตเสียจนความระลึกรู้ในกายขาดหายไป ทรงอยู่ก็แต่ภาวะแผดจ้าแห่งจิตอันดูประหนึ่งดาวฤกษ์แห่งสติอันบริสุทธิ์รุ่งเรือง ปราศจากความแตะต้องข้องเกี่ยวกับสภาพหยาบใดๆทั้งปวง ละทุกข์ ละสุข ดับโสมนัสได้สิ้น ขาวรอบตลอดกระแสรู้อยู่อย่างนั้น

    นั่นคือการล่วงเข้าสู่ฐานสมาธิเป็นอัปปนาแท้จริงระดับที่สี่ เรียกว่าจตุตถฌาน ประกอบด้วยองค์หลักคืออุเบกขาและเอกัคคตา

    ช่วงเวลาอันสั้นที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า พอจิตเริ่มถอนออกสู่ผัสสะแผ่ว ปรากฏถึงความมีอยู่ของกายและการกลับมาของลมหายใจ อยู่ในภาวะพร้อมรู้แจ้งถึงที่สุด ปู่ชนะก็น้อมจิต จ่อสติอย่างแผ่วลงไปในภาวะรู้ของตนเอง ตรวจอารมณ์คุ้นกับบรรยากาศสงบใต้แสงจันทร์อันโยงใยกับวิถีธรรมในปัจจุบันชาติ แล้วจิตก็แนบสนิทเข้ากับความรู้สึกคุ้นเคยดังกล่าว เหมือนหลุดออกจากกายและสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ปรากฏใหม่กึ่งรู้แจ้ง กึ่งอยู่ห่างจากความเป็นเช่นนั้น

    เห็นตนเองนั่งขัดสมาธิ์อยู่บนแคร่เตี้ยๆกลางแสงจันทร์นวลใย ที่นั่นเป็นหน้าบ้านของท่านในแคว้นอวันตี ซึ่งหันออกสู่ราวป่าสงัด ปลอดคน ในภาวะที่เริ่มคุ้นกับอาการระลึกรู้ เหมือนมีอีกคนนั่งซ้อนตนเอง เป็นการซ้อนตัวปัจจุบันเข้าไปในตัวอดีต

    ขณะแห่งการนั่งบนแคร่นั้น ลักษณะจิตมิใช่ปล่อยให้ตนเองดื่มด่ำกับธรรมชาติอันงาม ทว่ากำลังยินดีกับความรู้ใหม่ที่รับมา นั่นคือข่าวมหาปุโรหิตที่ออกบวชได้ฉายานามว่าพระมหากัจจายนะ ท่านกลับคืนสู่บ้านเกิดพร้อมพาลูกศิษย์ผู้ถือเพศบรรพชิตด้วยกันจำนวนหนึ่งมาด้วย

    กุลบุตรชาวอวันตีจำนวนมากเมื่อเข้าสู่สำนักของพระมหากัจจายนะก็เกิดความเลื่อมใส แต่ด้วยเหตุขัดข้องที่มีภิกษุไม่เพียงพอแก่การทำสังฆกรรมในการบวชพระตามวินัย จึงเป็นได้แต่เพียงบวชเณร ถึงแม้มีอายุครบบวชพระกันแล้วก็ตาม

    ข่าวมหามงคลเกี่ยวกับพระมหากัจจายนะดังกล่าวนี้ มีมาถึงท่านในยามอรุณรุ่งของวันเดียวกันกับที่นั่งชมจันทร์ นับเป็นวาสนาอันใหญ่หลวงที่พระหนุ่มในสำนักของพระมหากัจจายนะรูปหนึ่งเดินมาบิณฑบาตถึงหน้าบ้านท่าน ซึ่งเมื่อท่านเห็นกิริยาอันควรแก่สมณสารูปแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส ตกลงใจถวายภัตตาหารทันทีด้วยความเบิกบานร่าเริงใจ

    ในสมัยนั้น จะมีการรับบาตรดินเผาของพระมาบรรจุอาหารด้วยมือของโยมเอง ท่านรับบาตรจากพระมาส่งต่อให้นางพราหมณีผู้ภรรยา เพื่อเอาเข้าบ้านใส่อาหาร ระหว่างนั้นท่านก็นิมนต์พระนั่งสนทนาบนแคร่เสมอกันนั้นเอง ด้วยเหตุที่ท่านอยู่ในวรรณะพราหมณ์ และยังไม่ทราบถึงความเป็นบุคคลอันทรงธรรมควรเคารพของสมณะหนุ่ม

    เมื่อครั้งพุทธกาล ศาสนาพุทธปรากฏเหมือนเพียงลัทธิคำสอนอีกแนวหนึ่ง กล่าวได้ว่าเบื้องต้นพุทธศาสนาเป็นความเชื่อของชนกลุ่มน้อยที่กระจัดกระจายทั่วไป เมื่อดูจากลักษณะภายนอกของพระซึ่งนุ่งห่มผ้าย้อมฝาดเพียงน้อยชิ้น ก็มิได้มีเอกลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นเครื่องหมายแทนการเชื่อคำสอนแนวทางใดได้เลย

    อย่างไรก็ตาม ท่านเคยยินคำเล่าลือเกี่ยวกับการอุบัติของพระพุทธเจ้า ผู้เสด็จมายังโลกมนุษย์เพื่อความสิ้นกิเลส ความถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็บังเกิดความใจสั่นหวั่นไหวอย่างน่าฉงน เมื่อสอบได้ความว่าพระหนุ่มตรงหน้านั้นบวชในสำนักของพระมหากัจจายนะผู้เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของพระพุทธเจ้า ท่านก็ปรีดาปราโมทย์เป็นล้นพ้น รีบไถ่ถามถึงสิ่งที่ขัดข้องคาใจมาเนิ่นนาน

    คำถามของท่านที่มีต่อภิกษุหนุ่มคือธรรมะของพระสมณโคดมนั้น ต้องฟังจากพระโอษฐ์แต่ประการเดียวจึงได้ผลอันไพบูลย์ถึงที่สุด คือการสิ้นทุกข์ หรือว่าเพียงฟังคำบอกเล่า ก็ได้ผลสูงสุดเป็นการสิ้นทุกข์อย่างเดียวกัน พระได้ยินคำถามก็สอบกลับว่าทำไมจึงสงสัยเช่นนั้นเล่า ท่านก็อธิบายว่าท่านอยู่ในวัยชรา จะให้เดินทางไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ไกลบ้าน เห็นทีคงเป็นการลำบากเกินกำลังสังขาร

    พระฟังเหตุผลจึงตอบว่าธรรมะเป็นของกลาง การที่พระศาสดาให้สาวกแยกย้ายกันออกประกาศธรรมอนุเคราะห์ประชาชนไปทั่วทั้งชมพูทวีป ย่อมยืนยันว่าชาวบ้านด่านเมืองทั้งหลาย ก็ฟังธรรมอันเดียวกับที่ออกจากพระโอษฐ์ได้ รวมทั้งรับผลสูงสุดคือการสิ้นทุกข์เช่นเดียวกันได้ด้วย หากน้อมรับธรรมไปปฏิบัติอย่างสัตย์ซื่อ

    ฟังเช่นนั้น อัตภาพเดิมของปู่ชนะก็เกิดความปีติล้นพ้นประมาณ ยึดเอาภิกษุหนุ่มตรงหน้านั่นเองเป็นตัวแทนพระบรมศาสดา ถามพระว่าเพื่อถึงที่สุดทุกข์ต้องทำอย่างไร พระก็อธิบายให้ฟังเรื่องอริยสัจ 4 ซึ่งมีสาระสำคัญหลักคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

    ฟังนัยพอสังเขปโดยทำไว้ในใจอย่างแยบคายแล้ว พราหมณ์ผู้ชราก็กำหนดได้ว่าอริยสัจสี่นี้เป็นเรื่องของจิตใจโดยแท้ จิตใดสะบั้นเป็นอิสระขาดจากการเกาะกุมของตัณหา จิตนั้นก็ไม่มีเหตุแห่งทุกข์ แต่การจะพ้นตัณหาได้ ต้องรู้จริงๆเสียก่อนว่าตนเป็นทาสตัณหาหรือเปล่า หากขาดสติรู้เท่าทันเสียแล้ว ไม่ตระหนักว่าเป็นข้าทาสของตัณหาเสียแล้ว ที่ไหนจะมีแรงบันดาลใจให้ประกอบความเพียรเร่งพ้นจากอำนาจของตัณหา

    นั่นเอง จึงเป็นเหตุเหนี่ยวนำให้เกิดเจตนา ว่าท่านจะเฝ้ารู้ เฝ้าดูตัณหาในใจตนเอง

    เมื่อพระจากไปแล้ว ท่านก็คิดเกี่ยวกับเรื่องการดูตัณหาในใจตลอดวัน จนตกค่ำเมื่อนางพราหมณีผู้ภรรยาหลับสนิท จึงออกมานั่งหน้าบ้านด้วยอาการเป็นดุษณีท่ามกลางความสงัดเงียบของป่ามืดอันฉาบไล้ด้วยนวลรัศมีแขอันรองเรือง แล้วพยายามสังเกตกิเลสตัณหาในจิต ก็เห็นปรากฏเป็นความเกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด ด้วยความคำนึงถึงเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน วนไปเวียนมาเรื่อยๆ ไม่ต่างกับแพเมฆที่ผ่านมาบังจันทร์ แล้วก็ผ่านจรจากไป

    แม้อดีตชาติครั้งนั้นท่านยังห่างจากมรรคผล ทว่าก็เป็นชนวนธรรมอันแสนประเสริฐ เหตุการณ์เมื่อรับธรรมจากพระหนุ่มจึงปฏิรูปเป็นแรงประทับลงสู่ความทรงจำสนิทซึ้ง จึงเข้าใจว่าเหตุใดจิตท่านมักโยงแสงจันทร์เข้ากับความยินดีในธรรมมาจนกระทั่งถึงชาติปัจจุบัน

    ถอนจากนิมิตอดีตกลับคืนสู่สำนึกเต็มบริบูรณ์แห่งความเป็นปู่ชนะ ชายชราให้นึกเหนื่อยหน่ายเป็นที่ยิ่ง เหตุการณ์ล่วงผ่านมาก็กว่าสองพันปี ท่านก็ยังหลงวนเกิดตาย มีอัตภาพ มีการเติบโตเข้าสู่วัยแก่ รอวันแตกตายอยู่อีก

    ในชาตินี้ น่าจะเป็นเพราะบ่มบารมีมาแก่กล้าพอ ท่านจึงเริ่มสนใจและศึกษาธรรมมาตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น และนั่นทำให้ท่านตระหนักว่าการแสดงตัวของบารมีธรรมนั้น มาในรูปของการให้ความสนใจธรรม นำไปสู่ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติตรง ประพฤติชอบ รวมทั้งความฝักใฝ่ขยันปฏิบัติ ไม่เกี่ยงงอนว่าตนกิเลสบางหรือหนา ไม่ทอดอาลัยอธิษฐานรอขอสำเร็จมรรคผลในศาสนาพระศรีอารยเมตไตรย แต่มุ่งใช้อัตภาพคือกายนี้ใจนี้ดับเหตุแห่งทุกข์ให้ทันก่อนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย

    ในส่วนของการให้ความสนใจธรรมที่นำไปสู่ครูบาอารย์นั้น ท่านมีวาสนาพบคำสอนอันทรงพลังอัศจรรย์ที่สั้น ทว่าเปลี่ยนแปลงผู้คนให้หันเหมาเข้าสู่ทางมรรคผลกันเป็นจำนวนมากต่อมาก นั่นคือ

     

    จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย

    ผลของจิตส่งออกนอกเป็นทุกข์

    จิตเห็นจิตเป็นมรรค

    ผลของจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ

     

    นั่นเองเป็นจุดหักเหของชีวิต ท่านเดินทางรถไฟไปกราบหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระสาวกผู้เป็นตัวแทนประกาศธรรมของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรูปหนึ่งแห่งยุค

    หนทางธรรมในชาตินี้ เมื่อได้รับคำสอนจากหลวงปู่ดูลย์ ซึ่งมีสาระสำคัญให้ดูจิตตนเอง สิ่งแรกที่ท่านกลับมาพิจารณาก็คือ จิตคืออะไร จิตอยู่ที่ไหน จะดูจิตได้อย่างไร

    นั่นเป็นเหตุให้พิจารณาต่อว่าจิตย่อมอยู่ในกายนี้เอง ดังนั้นถ้าจะหาจิต ก็จำเป็นต้องค้นคว้าลงในกายนี้แหละ นับแต่การปูพื้นคือทำความสงบ ยุติความอยาก ดับความกระวนกระวาย เหมือนทำน้ำให้หายขุ่น สะอาดใสเพียงพอจะดูให้รู้ว่ามีสิ่งใดในน้ำนั้น

    การดูก็คือการตรวจระลึกลงไปในกายทีละส่วน นับแต่เส้นผมบนกระหม่อมลงไปจนถึงพื้นฝ่าเท้า ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและนิ่งใส จะเห็นชัดประจักษ์ว่ากายนี้มิใช่จิต กายเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งต่างหาก

    จากนั้นเมื่อตรวจระลึกลงไปในเวทนา ซึ่งหมายถึงความรู้สึกสุข ทุกข์ เป็นกลางที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันขณะ ก็เห็นเป็นต่างหากจากจิตเช่นกัน และแม้เวทนาจะขึ้นตรงกับประสาทกาย ก็แยกเป็นคนละส่วนอย่างเด็ดขาดจากกาย ทำนองเดียวกับกระแสไฟฟ้าที่แล่นไปตามลวดทองแดง ต่างก็เป็นธรรมชาติคนละชนิดกันนั่นเอง

    เมื่อตรวจระลึกลงไปในสัญญา ซึ่งหมายถึงความจำได้หมายรู้ เช่นความหมายจำว่านี่คือตัวเรา ก็เห็นเป็นต่างหากจากจิต เพราะเมื่อจิตสงบนิ่งตั้งมั่นแล้ว สัญญาจะเป็นสิ่งถูกรู้ได้ คล้ายกับลอนคลื่นที่ปรากฏร่องรอยแตกต่างกับแผ่นน้ำเรียบ เมื่อกระเพื่อมแล้วก็หายไปเป็นผิวน้ำนิ่งได้อีก ราวกับไม่เคยเกิดร่องรอยใดๆขึ้นเลย

    เมื่อตรวจระลึกลงไปในสังขาร ซึ่งหมายถึงความคิดนึกปรุงแต่ง หรือเจตนาคิด พูด ทำ ก็เห็นว่าสังขารไม่ใช่จิตอีก เพราะถ้าใช่ เมื่อเจตนากระทำการย่อมปรากฏควบคู่ไปกับจิตผู้ดูตลอดไป แต่นี่ยังตกกลับเป็นอาการรู้ อาการนิ่งได้อยู่

    โดยรวบรัดที่สุด สิ่งใดถูกรู้ได้ สิ่งนั้นไม่ใช่จิต ปรากฏเป็นอื่นจากจิต ปราศจากอัตตาแฝงเงาอยู่ในสิ่งนั้น

    ในสมัยแรกเริ่มปฏิบัติธรรมตามหลวงปู่ดูลย์สอนนั้นเอง ท่านก็จับได้ว่าจิตคือผู้รู้ ผู้สังเกตการณ์อารมณ์ทั้งปวงที่กำลังปรากฏ เมื่อใดจิตทรงตัวรู้อยู่เป็นหนึ่ง ดังที่พระพุทธองค์บัญญัติเรียกไว้ว่า 'ธรรมเอก' บรรดาสิ่งที่ถูกรู้ก็ล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ออกมาตลอดเวลา กล่าวคือปรากฏให้เห็นเป็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปทั้งสิ้น ไม่เห็นอะไรสักอย่างเดียวที่ตั้งมั่นอยู่ได้

    ขณะที่ปฏิบัติในยุคนั้น ท่านไม่ให้ความสำคัญกับบัญญัติในตำราเท่ากับธรรมที่กำลังปรากฏแสดงตัวต่อจิต เหมือนจิตเป็นลิ้น และธรรมเป็นรส เมื่อลิ้มรสก็ไม่มัวคิดว่านั่นเค็ม นี่หวาน ทำนองเดียวกับที่เมื่อแยกขันธ์ออกเป็นต่างหากจากกัน ก็มิได้ใส่ใจว่าเข้าขั้น 'นามรูปปริจเฉทญาณ' หรือยัง หรือเมื่อเห็นสภาวธรรมต่างๆแสดงความเกิดดับเอง ก็มิได้ใส่ใจว่านั่นเรียก 'อุทยัพพยญาณ' หรือเปล่า

    ทราบแต่ธรรมนั้นเมื่อจิตลิ้มแล้ว มีแต่ความรู้แจ้งเป็นธรรมชาติ เป็นอิสระจากภาษาและอยู่เหนือความคิดปรุงแต่งอย่างที่สุด

    ท่านสังเกตเห็นต่อไปว่าบางคราวจิตกับอารมณ์ก็รวมตัวเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน หนัก แน่น เร่าร้อน บ่อยครั้งที่เท่าทัน เห็นจิตอยู่ส่วนหนึ่ง อารมณ์อยู่ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อจิตไปรู้อารมณ์เข้า ก็เหมือนมีแรงดึงดูดให้จิตเคลื่อนเข้าไปยึดถืออารมณ์อย่างแน่นเหนียว เมื่อใดเคลื่อนเข้ายึดอารมณ์แล้ว จิตก็รู้สึกเป็นทุกข์ เพราะความไม่เป็นอิสระจากอารมณ์นั่นเอง

    แม้มาถึงจุดนั้น ท่านก็มิได้พิจารณาว่านั่นคือการแสดงตัวของอริยสัจสี่ เพียงเฝ้ารู้อย่างซื่อสัตย์ ไม่ตกแต่งดัดแปลงสิ่งที่กำลังปรากฏ อะไรจะปรากฏอย่างไรก็ปล่อยตามที่มันเป็นไปอย่างนั้น ทราบแต่ว่าการเป็นปุถุชนทำให้บ่อยครั้งที่จิตกับอารมณ์รวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างเหนียวแน่น นานๆเมื่อเดินสัมมาสติเข้าส่วน จิตกับอารมณ์จึงแยกออก เหมือนมีช่องว่างระหว่างกันบ้าง ให้ทราบว่านี่ฝั่งรู้ นั่นฝั่งถูกรู้

    และแล้ววันหนึ่ง เมื่อท่านเห็นความกังวลห่วงร่างกาย กลัวจะเป็นไข้หวัดเพราะเปียกฝน ด้วยความชำนาญในการดูจิตใจตนเอง ทำให้เกิดสติระลึกรู้ลงตรงใจกลางความกังวลนั้นโดยปราศจากความจงใจ ความกังวลก็ดับไป เพราะถูกเห็นจึงผ่านหาย

    นอกจากความกังวลจะดับลงแล้ว ร่างกายที่กำลังนั่งกอดเข่า พายุฝนที่กำลังกระหน่ำซัด ตลอดจนกระทั่งโลกรอบด้านทั้งหมด ก็พลอยดับลงตาม

    รูปหายแล้ว เวทนา สัญญาหยาบๆก็ดับสิ้น เหลือเพียงกระแสความปรุงแต่งอันประณีตผิดกันกับระดับความคิด ที่ผุดแผ่วขึ้นเป็นขณะๆ จิตรู้โดยปราศจากการจงใจรู้ รู้เท่าไหร่วางเท่านั้น หมดจากความมั่นหมายหรือวิพากษ์วิจารณ์ใดๆต่อไป

    ถัดจากนั้นคือการลงภวังค์ในแวบเล็ก ตัดกระแสคำนึงข้องเกี่ยวอันใด คล้ายรูปนามสลัดคืนความหมายและความปรากฏมีตัวตน แล้วจิตก็ดำเนินเข้าสู่ความดับสนิท ไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ถัดจากนั้นความรับรู้ก็เริ่มปรากฏขึ้นอีก แต่ยังละเอียดเหนือขั้นที่จะเป็นความคิด เพียงแจ่มแจ้งในสิ่งที่ปรากฏก่อนหน้า ว่าบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อันห่อหุ้มเคลือบคลุมธาตุรู้ไว้ ได้ถูกแหวกออก จิตอุทานอย่างลิงโลดประหลาด หากถอดความเป็นสัญลักษณ์ทางภาษาก็คงได้ความว่า 'เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรานี่!'

    แล้วจิตก็ทรงตัวอยู่กับความว่างชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงบังเกิดแสงสว่างพลุ่งโพลงจากความว่าง แผ่กว้างออกไปอย่างไร้ขอบเขต ขณะถัดมาก็ผุดความเบิกบานอันเป็นสื่อสัญญลักษณ์แสดงตัวของธรรมชาติบริสุทธิ์ ไร้รูป ไร้นาม ปราศจากอารมณ์เป็นเหยื่อล่อแม้น้อยเท่าน้อย เป็นการแสดงให้รู้ว่าบางสิ่งมีอยู่ ทว่าไร้การปรุงแต่ง ไร้ที่ตั้ง ไร้นิมิตหมายใดๆที่เคยเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยกายประการใดๆทั้งสิ้น

    เมื่อถอยลงจากเอกภาวะอันไร้ซึ่งคู่สอง สู่ความรับรู้ปกติ ทำให้จิตได้ข้อสรุปกับตนเอง ว่าความเป็นตัวตนไม่มีจริง ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยหมดสิ้นไป ทางนี้มีอยู่ ไม่มีทางอื่นที่ต้องแสวงหา ภพชาติได้ถูกบั่นทอนให้หดสั้นลงแล้ว

    โสดาบันปรากฏเป็นประจักษ์พยานแก่พุทธศาสนาอีกรูปนามหนึ่งแล้ว

    หลังจากนาทีแห่งมหาปรากฏการณ์ ท่านก็ดำเนินชีวิตตามปกติ ความรู้สึกเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว รู้จักตนเอง และดำเนินชีวิตอย่างมีจุดหมาย มิใช่ลอยชายตามกระแสโลกไปวันๆเช่นแต่ก่อน ส่วนการปฏิบัติก็ทำอยู่อย่างเดิมนั่นเอง

    การปฏิบัติยังคงเดิม เหมือนที่ผ่านมาทุกประการ ในขั้นของความเป็นโสดาบันอริยบุคคล จิตกับอารมณ์ค่อยมีลักษณะต่างคนต่างอยู่ได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยความพยายามรวมจิตเป็นสมาธิเพื่อใช้แสงรู้แสงปัญญาให้มากเหมือนครั้งเป็นปุถุชน แม้บ่อยครั้ง จิตกับอารมณ์ผสมกันจนเกิดอุปาทานในตัวตนและอุปาทานในกามคุณได้เท่ากับคนธรรมดา ก็เป็นไปแบบมีกรอบมีเกณฑ์ล้อม จิตอันทรงธรรมสูงเหนือมนุษย์คอยห้ามไว้เมื่อจะล่วงอกุศลกรรมบถขั้นรุนแรง และถอยกลับมาสู่ฐานที่มั่นเอง คือทรงรู้ แยกจิตแยกอารมณ์จากกันเป็นพักๆ มิใช่ว่าดิ่งรุดๆไปหาราคะ โทสะ โมหะเต็มสูบเหมือนสังสารสัตว์ทั้งหลาย

    ประมาณ 8 เดือนถัดจากวันแห่งมหาปีติ จิตก็มาถึงสภาพที่ประหลาด คือเจริญสติคราวใด จะรวมลงตกภวังค์อยู่เสมอๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ดูตั้งท่ารวมดับเงียบเหมือนคนหลับเป็นประจำ สร้างความกังวลใจให้ท่านมาก

    ในวันอาสาฬหบูชาคราวหนึ่ง ท่านได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ที่ถ้ำผาปล่อง และเรียนปรึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและแก้ไขไม่ได้ หลวงปู่กลับยิ้มๆแล้วบอกว่า เมื่อเป็นผู้รู้แล้ว จะต้องสงสัยอะไร จะต้องถามใครอีก ให้ปฏิบัติไปเถิดจะได้ของดีในพรรษานี้แหละ

    วันรุ่งขึ้นระหว่างนั่งรถโดยสารกลับกรุงเทพฯ ปู่นั่งเจริญสติสัมปชัญญะตามปกติ จิตก็รวมลงดับความรับรู้รูปกายและสิ่งแวดล้อมภายนอก เข้าไปรู้รูปนามภายในที่เกิดดับ แล้วตัดกระแสรวมลงถึงความไม่มีอะไรเลย หมดสิ้นทั้งรูปและนามอันเป็นเวทีแสดงไตรลักษณ์ บรรลุซึ่งอริยธรรมขั้นที่สอง

    จิตเขาถึงของเขาเอง หาได้มีการบีบบังคับหรือจงใจให้เป็นไปอย่างไรไม่ ขอเพียงตั้งผู้ดู ผู้รู้ ให้อยู่ในกระแสความเห็นไตรลักษณ์เท่านั้น

    ในขั้นของความเป็นสกทาคามีอริยบุคคล จิตเริ่มมีปกติแยกกับอารมณ์ น้อยครั้งนักที่จิตจะเคลื่อนเข้าเกาะอารมณ์จังๆ ที่จะให้เข้าเกาะอารมณ์เหนียวแน่น ก็เมื่อปะทะกับผัสสะที่แรงมาก สติสัมปชัญญะอันว่องไวทำให้จิตเห็นแม้การเริ่มก่อตัวขึ้นของกิเลสอันเล็กน้อย กิเลสจึงดับสลายก่อนกลายเป็นไฟกองใหญ่เสมอ

    สภาวจิตในขั้นนี้จึงปลอดโปร่งโล่งหัวอก เป็นอยู่ผาสุก มีปกติสุขสบายแตกต่างจากครั้งเป็นปุถุชนอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าแม้ห่างจากการภาวนาบ้าง ก็มีความสบายอยู่ในตัวเองตามธรรมจิตขั้นนี้

    อย่างไรก็ดี เมื่อกิเลสละเอียดลงตามภูมิธรรม ตัณหาที่จะพาจิตให้เคลื่อนไปยึดอารมณ์ จึงเป็นตัณหาชนิดละเอียดตามไปด้วย อาสวะคือภพหรือที่เรียก 'ภวาสวะ' ซึ่งจิตของท่านเข้าเสวย จึงมีปกติเป็นภพอันละเอียดยิ่ง มีสภาพ 'หลอกจิต' ว่าดี เพราะมาในหน้าตาของบุญกุศลอันแท้จริง ปราศจากเบื้องหลังจงใจกำหนดสร้างให้เป็นเช่นนั้น นี่เป็นข้อลำบากประการหนึ่ง คือมีตัวเร่ง แรงจูงใจให้ก้าวล่วงสันติสุขมีอยู่น้อย เพราะเห็นทุกข์ไม่ชัดเท่าเมื่อครั้งก่อนๆ

    อันเนื่องจากปู่ชนะระลึกชาติได้มาก ความรู้สึกเกี่ยวกับสังสารวัฏจึงเหมือนคนว่ายน้ำกลางทะเลจนเข้าเขตน้ำตื้นแล้ว เพียงเขย่งปลายเท้าก็สามารถดันตัวให้พ้นการจมน้ำได้แล้ว ดังนั้นแม้ยังต้องลอยคอสลับเขย่งเป็นระยะตามแรงโถมของคลื่นผัสสะเพื่อไม่ให้จมน้ำตายก็ตาม นี่เองจะว่าเป็นทุกข์นักก็ไม่ใช่ จะว่าปลอดภัยพ้นทุกข์ก็ไม่เชิง รวมความคือเหนื่อยน้อยกว่าเมื่อครั้งลอยคอกลางทะเลอย่างเห็นได้ชัด

    การถึงอริยธรรมขั้นที่สาม หรือ 'อนาคามิผล' นั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอันพรั่งพร้อมหลายประการ ซึ่งพร้อมได้ยากในชีวิตฆราวาสอันคลุกคลีอยู่กับญาติสนิทมิตรสหาย บุคคลอันเป็นที่รัก ตลอดจนกระทั่งหน้าที่การงานอันวุ่นวาย

    และคล้ายมีภาระผูกพันเป็นกรรมสัมพันธ์ไม่เลิก เมื่อล่วงเข้าวัยที่ปลดเปลื้องความรับผิดชอบจากลูกสาวลูกชายเสียได้ ก็ให้ต้องมีแก้วตาดวงใจใหม่มาอยู่ในความดูแลเสียอีก ลูกตนพ้นอก ลูกคนอื่นก็มาอยู่ใต้ปีกอีกแล้ว

    การปฏิบัติในช่วงหลังของปู่จึงเหมือนค่อยๆสั่งสมกำลัง รอเวลาที่จะทำสงครามแตกหักกับกิเลสตัณหาต่อไป โดยที่ท่านชอบเดินจงกรมมากกว่าการนั่งหลับตาภาวนา เพราะจิตอันเด่นดวงเข้าที่รู้อยู่แล้ว เพียงเบื้องแรกกำหนดรู้การกระทบพื้นของเท้าขวาซ้ายเป็นการเอากำลังในฝ่ายสมถะเสียหน่อย ครู่เดียวจิตก็เหมือนทวีกำลังขึ้นมากพอ ดุจเดียวกับอากาศยานที่ได้พลังอัดมากพอจะแล่นทะยานขึ้นสู่น่านฟ้าแห่งความรู้แจ้ง มองลงเห็นธรรมหยาบและละเอียดกว้างขวางตามจริง

    บางวันจิตสงบรู้อยู่ที่จิตก็นิ่งดูไตรลักษณ์ บางวันจิตผาดโผน ก็พิจารณาธรรมอันใดอันหนึ่ง ทำให้รู้เห็นเรื่องราวลี้ลับพิสดารมากมายก่ายกอง โดยเฉพาะความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ปรุงเป็นขันธ์ห้าในอัตภาพปัจจุบัน เห็นโยงใยกับอดีตเบื้องใกล้และเบื้องไกลในสังสารวัฏอันสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน

    แต่เรื่องที่จิตชอบพิจารณาเป็นหลักคือชีวิตนี้ ทั้งความสุข ความทุกข์ ความรัก ความชัง ลูกเมีย หน้าที่การงาน ชื่อเสียงเกียรติยศ ปู่เคยมี เคยเป็น แล้วผ่านหายดุจควันที่สลายไปในอากาศธาตุเมื่อหมดเปลวไฟส่งต่อ

    เมื่อจิตพิจารณาถึงความไม่มีอะไรของสิ่งภายนอกแล้ว จิตมักรวมตัวเข้ามาพิจารณาลงในกาย เป็นต้นว่าเห็นโครงกระดูกที่มีเนื้อหนังอันเริ่มทรุดโทรมหุ้มอยู่ มีลมหายใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ไม่นาน ก็จักต้องทิ้งกายนี้ให้ทับถมแผ่นดิน ทุกข์สุขทั้งหลาย ความทรงจำทั้งหลาย ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะขาดหายไป หมดจากสภาพความปรากฏมีปรากฏเป็น

    แม้จิตเองอันเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง ก็จะดับลงด้วย แต่หากดับแบบมีเชื้อพันธุ์ให้งอกเงย ก็จะส่งกระแสก่อจิตใหม่ในสัมปรายภพต่อไปอีก เพื่อมีแล้วทิ้ง พบแล้วพราก ได้แล้วเสีย วนไปเวียนมาหาแก่นสารไม่ได้เลย

    ทุกครั้งที่มาถึงจุดแห่งการพิจารณาข้อธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตของปู่ชนะจะเห็นชัดถึงความไร้แก่นสารของขันธ์ห้า จิตน้อมไปถึงอมตธรรม อันปราศจากความเคลื่อนไหวในภายใน ปราศจากรูปลักษณ์ในภายนอก อุปาทานขันธ์ก็ถูกลิดรอนให้กรอบบางลงเรื่อย

    อย่างไรก็ตาม คล้ายยังปรากฏเยื่อใยสายหนึ่งที่ไร้รูปลักษณ์ แม้บาง ทว่าก็เหนียวอยู่
    เมื่อกำหนดจิตย้อนดูกายจากด้านหน้าเข้าไป ก็เหมือนจะทะลุปรุโปร่งไปตามลำดับ เหลือเพียงเยื่อผิวหนังทางด้านหลังของกาย ซึ่งเบาใสแต่หยุ่นเหนียวอยู่อีกชั้นหนึ่งเท่านั้น

    เมื่อใดเดินเล่นในหย่อมสวนไม้ดอกไม้ประดับบนหญ้าขจีของแพตรี จิตกับธรรมก็สัมผัสกันเสมอ ปู่เห็นต้นไม้ใบหญ้าและแผ่นดินแผ่นฟ้าเป็นสิ่งไร้สภาวะ ทั้งหมดทั้งปวงบางเบาราวกับปราศจากน้ำหนักให้สำเหนียกกำหนด จิตของท่านกับธรรมชาติยังต่างกันนิดหนึ่ง คือแบ่งเป็นฝักฝ่ายได้ โดยฝ่ายจิตมีน้ำหนักอยู่เล็กน้อย จิตจึงยังมีพฤติกรรม ในขณะที่ธรรมชาติภายนอกปราศจากพฤติกรรม แม้ธรรมชาติจะเกิดดับเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปตามธรรมดา ไม่มีการให้ค่าต่อความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

    มีแต่จิตนั่นเองยังมั่นหมาย ยินดียินร้ายกับการเปลี่ยนแปลง...

    จิตเหมือนรู้ เหมือนรออยู่ภายใน ว่าวันหนึ่งเร็วๆนี้ ตนจะวางขันธ์คืนให้ธรรมชาติ ขันธ์ก็จะเป็นเหมือนแผ่นฟ้าแผ่นดิน เหมือนต้นไม้และสายน้ำ ส่วนจิตที่รับอิสรภาพจากตัณหาแล้ว ก็เป็นไปอย่างที่จิตจะเป็น ซึ่งไม่เกี่ยวกับท่านอีกแล้ว

    ทรงภูมิธรรมขั้นสอง เวียนปล่อยแล้วกลับยึดมาก็นานหลายสิบปี บัดนี้ท่านเพิ่งอ่านออกอย่างแท้จริง ได้มองเห็นเชื้อพันธุ์ของภพชาติในจิตใจ ที่พร้อมจะงอกเงยเป็นกิเลสตัณหาได้ตลอดเวลา อย่างเช่นที่ตัวของจิตเองก็ยังมีความเร่าร้อนแสวงหาทางหลุดพ้นเป็นต้น

    ตลอดมาท่านเข้าใจว่าการมีห่วงคือแก้วตาดวงใจอย่างแพตรี ซึ่งถือเสมือนลูกสาวในไส้นั่นเองที่เป็นตัวปิดบัง เป็นด่านกั้นขวางคุณธรรมระดับอนาคามี แต่บัดนี้เมื่อสบายใจไร้กังวลเกี่ยวกับแพตรีแล้ว หมดห่วงอย่างเด็ดขาดแน่แล้ว ท่านก็เพิ่งเห็นว่าแท้จริงแพตรีมิใช่ด่านสกัดขัดขวางแต่อย่างใด ความหิวธรรม ใคร่อยากพ้น รอวันเป็นอิสระจากกิเลสตัณหา ได้บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุดต่างหาก ที่ใช่ของแข็ง ของจริงอันห้ามไว้

    ท่านปล่อยความอยากชนิดนี้ค้างคาไว้เนิ่นนานอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่ผ่านมาจึงเหมือนปฏิบัติธรรมแบบเลี้ยงไข้ ยิ่งปฏิบัติด้วยความรอวันเป็นอิสระจากภาระภายนอก รอการบรรลุมรรคผลมากเท่าไหร่ ยิ่งบ่มเพาะให้ความอยากขั้นละเอียดเติบกล้า แฝงเงาอย่างแนบเนียนขึ้นเท่านั้น

    เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เมื่ออ่านไม่ออกว่านั่นเป็นความอยาก เลี้ยงความอยากไว้ มรรคผลขั้นสูงขึ้นจึงคล้ายกระถดเลื่อนออกห่างไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้สึกเฉียดรอมร่อ เหมือนเอื้อมถึงแค่นิดเดียวมาเนิ่นนานขนาดนี้

    แรงดึงดูดของสังสารวัฏมีอำนาจ มีอิทธิพลเห็นปานนี้ ก่อนบรรลุธรรม ขอเพียงปฏิบัติถูกปฏิบัติตรง รวมจิตให้เป็น เห็นกายเห็นจิตสักแต่เป็นสภาวธรรม พอพังที่ยืนของอัตตาได้ราบคาบชั่ววูบเดียว ก็ทิ้งความยึดมั่นจนจิตทะลุทะลวงล่วงรูปนามทั้งสิ้นทั้งปวง ถึงนิพพานครั้งแรกได้ทันที แต่พอสำเร็จมรรคผลสักขั้นหรือสองขั้นแล้ว จิตก็หมุนจากการปฏิบัติสักแต่เห็นสภาวธรรม มาก่อความปรารถนาชนิดใหม่ ปฏิบัติโดยแอบหวังเร่งเข้าเส้นชัยสุดท้ายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    ท่านรำลึกถึงคำสอนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ครูบาอาจารย์ผู้ล่วงลับอีกรูปหนึ่งของท่าน มีอยู่คราวที่ท่านเคยถามหลวงปู่ ว่าเมื่อเจริญสติสัมปชัญญะได้อย่างต่อเนื่องแล้ว จะมีอุบายธรรมอย่างใดให้ยิ่งไปกว่านี้อีกไหม หลวงปู่เทสก์เมตตาตอบว่าไม่มี มีแต่ต้องเจริญสติสัมปชัญญะจนจิตเขาพอ เขาจะปล่อยวางอุปาทานขันธ์เอง เหมือนผลไม้ที่ต้องรอเวลาสุก

    เหลือบมองฝอยเมฆที่เผอิญเคลื่อนผ่านดวงจันทร์ เผยแสงเรืองเด่นเต็มตาอาบแผ่นดินแผ่นฟ้า เมื่อแสงจันทร์อับเพราะเมฆบัง พระจันทร์ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อเมฆจะมามันก็มา เมื่อเมฆจะไปมันก็ไป พระจันทร์เป็นธาตุธรรมอันปราศจากความยินดียินร้าย ปราศจากความมั่นหมายใดๆ จะเอาความอยากพ้นเมฆเพื่อฉายแสงมาแต่ไหน

    ยามนั้นเอง จิตของท่านจึงทำตัวอย่างดวงจันทร์ เมื่อกิเลสจรมาก็เลิกยินร้ายกับกิเลส เมื่อกิเลสจรไปก็เลิกยินดีที่สิ่งบดบังเลื่อนผ่าน ท่านเตือนตนเองซ้ำว่าหากพยายามหาทางหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส ก็เท่ากับยังมีกิจให้จิตทำ

    เมื่อปรารถนาพ้นจากกิเลสก็เรียกว่ามีความจงใจ เมื่อจงใจก็เท่ากับยอมรับให้มีจิตผู้จงใจนั่นเอง ความยึดถือได้ช่องแทรกตัวอยู่ตรงนั้น จิตผู้เป็น 'ตัวฉัน' หลบซ่อน ลับมุมบังอยู่ตรงความจงใจปรารถนาหลุดพ้นนั่นเอง

    สติ สมาธิ และปัญญาของปู่ชนะประชุมลงที่ความรู้สึกว่า 'นี่ตัวฉัน' ของจิต โดยมิได้จงใจ แต่คราวนี้ต่างจากเดิมที่เคยค้นคว้าพิจารณาหาทางทำลายความยึดมั่นถือมั่น จิตสักแต่ระลึกเข้าไปที่อุปาทานในอัตตา ปราศจากตัณหาคือความอยากหลุดพ้น ปราศจากความเห็นอันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆต่อสภาวะนั้น

    เมื่อจิตสักแต่รู้ โดยปราศจากตัณหาและทิฐิ จิตก็ถึงสภาพเดียวกับธรรม ไม่มีความเคลื่อนไหวภายใน ไม่มีขอบเขตรูปทรงให้กำหนดได้ในภายนอก จิตเข้าถึงความสงัดเงียบอยู่ตามลำพัง หลุดจากความเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ทั้งภายนอกภายในสิ้น

    รูปภายในคือกายก็ส่วนหนึ่ง รูปภายนอกคือสิ่งแวดล้อมต่างๆก็ส่วนหนึ่ง ผัสสะใหญ่น้อยอันเป็นที่มาของความสุขก็ส่วนหนึ่ง ความนึกคิดปรุงแต่งก็ส่วนหนึ่ง แม้ประชุมพร้อมกันในรูปแบบของความเป็นชายชราร่างหนึ่ง ก็ปรากฏแยกต่างหากจากกันสิ้นในความปักหลักรู้อันสุขุมยิ่ง เช่นที่โบราณาจารย์เรียกว่าแยกขันธ์จากกันเป็นกองๆนั่นเอง

    จดจ่ออยู่กับความเห็นเช่นนั้นพักใหญ่ สภาพจิตของปู่ชนะก็พลิกตัว เหมือนย้อนเข้ามาเห็นชัดว่าอาการแช่อยู่กับรู้กองขันธ์เช่นนั้น คืออีกแบบของการจงใจระลึกรู้ออกไปยังรูปธรรมและนามธรรม อันเป็นของนอก ของอื่นจากจิตผู้รู้อยู่ดี

    ด้วยความชำนาญแก่รอบในวิปัสสนาญาณชั้นสูงนั้น จิตก็เลื่อนระดับความรู้แจ้งเห็นจริงละเอียดเข้ามาอีก คือถึงขนาดเห็นเข้ามาหยุดในจิตผู้รู้ผู้ดู ขาดจากความเห็นขันธ์อื่นสิ้น

    อาการรู้อยู่ในรู้นั้น นุ่มนวลแนบเนียน ปราศจากกิริยาประคับประคอง กลายเป็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งให้เปรียบเทียบได้ ว่าความหมายรู้อารมณ์ทั้งปวงหาใช่จะใกล้เคียงใจอันบริสุทธิ์แต่อย่างใดเลย แม้กระทั่งอาการหมายรู้อยู่ในตัวผู้รู้ก็ตามที

    ความหมายรู้ก็เป็นธรรมชาติหนึ่ง ใจอันเงียบกริบ ขาดจากการรู้รูปลักษณ์ภายนอก และไร้ความเคลื่อนไหวภายใน ก็เป็นอีกธรรมชาติหนึ่ง ปรากฏเป็นความว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดความปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของทุกชนิดจิต เรียกว่าแยกชั้น วิจัยธรรมลงไปจนหมดจดที่การหยุดปรุงแต่งจิตสิ้น ไม่หลงเหลือสิ่งใดเกาะติดตกค้างเป็นงาน เป็นภาระได้อีก

    ถอนจากเงานิพพานกลับสู่ภาวะพิจารณาทบทวนแล้ว ปู่ชนะจึงทราบว่าภาวะที่จิตรู้โดยปราศจากตัณหาและทิฏฐิครอบงำนั้นมีอยู่ การปฏิบัติขั้นแตกหักไม่มีอะไรมากกว่าการอยู่กับธรรมชาติรู้ โดยปราศจากความอยากและความคิดเห็นแม้ละเอียดแสนละเอียด

    ความเห็นว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี อันนี้ถูก อันนี้ผิด แม้ที่ว่าบรรลุมรรคผลขั้นอื่นหรือจมอยู่กับมรรคผลขั้นเดิมว่าประเสริฐกว่ากัน ก็คือการตัดสินให้ค่าในสิ่งที่เป็นคู่ ที่เป็นจุดอ้างอิงเปรียบเทียบนั่นเอง เป็นชนวนหนึ่งที่ทำให้จิตเกิดพฤติกรรมทำงานต่ออีกและอีก

    ตระหนักดังนั้น ชายชราจึงยุติการคิดเรื่องปฏิบัติ เรื่องผิดเรื่องถูก เรื่องบรรลุมรรคผล

    เมื่อหยุดคิด ความจงใจอันเป็นภาชนะอิงอาศัยของผู้รู้ ผู้มี ผู้หวังจึงหายไป เหลือไว้แต่สติระลึกรู้ลงในกายรูปนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง เห็นรูปกายกำลังหายใจอยู่ในอิริยาบถสบาย ลำดับถัดจากนั้นจึงสังเกตเห็นสภาวจิตของตนเองที่กำลังจงใจมองกาย ความจงใจก็สลายตัวไป

    ประจักษ์ธรรมในบัดนั้น ว่าจิตผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ทั้งหลายทั้งปวงก็คือจิตเอง เป็นสิ่งเดียวกัน จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง ปราศจากตัณหาและทิฏฐิอันจะยังจิตให้เกิดพฤติกรรมใดๆเหนี่ยวนำอุปาทานขันธ์ จึงเข้าถึงภาวะอันเป็นหนึ่ง หรือจิตหนึ่ง ไม่มีสอง

    เมื่อประจักษ์ว่าผู้รู้กับสิ่งถูกรู้เป็นอันเดียวกัน ใดๆบรรดามีอันเกิดแต่การปะทะสังสรรค์ระหว่างจิตกับอารมณ์ก็ถูกปล่อยวางลงด้วยกัน ปราศจากความซึมซ่านเข้าหากันเท่ายองใย เหลือธรรมอันสงัดวิเวก เงียบเชียบ เบิกบานอย่างเร้นลับ มีความเป็นธรรมดาล้วนๆ ไม่หลงธรรมใดอันแต่งเป็นคำพูดได้เลย
     

    เรื่องของคนในโลกนั้น จะหาที่จบ ที่ลงเอยได้อย่างไร คงมีแต่เรื่องค้างคา มีคนรัก มีศัตรู มีสายใยโยงยึด มีความขัดข้องวุ่นวายบนเส้นทางอันสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เดาทางไปยาก ต่างจากเรื่องของคนในธรรม ที่เมื่อหลุดพ้นขึ้นมาจากโลกแล้ว มีแต่ความเรียบง่ายเป็นที่จบ เห็นจุดลงเอยชัด เหมือนพบฝั่งอันผาสุกหลังจากลอยคอเวียนว่ายในทะเลทุกข์มาแสนนาน หมดรูปหมดนามให้ดูแลสิ้นเชิง

    มติสูงสุดแห่งธรรมคือการชนะ คือการยุติกิเลสหยาบและละเอียด คือการหยุดว่ายวน คือการคายเชื้อแห่งการเกิดรูปนาม เพราะแจ่มแจ้งแทงตลอดเสียแล้วว่ารูปนามเป็นทุกข์ หมุดที่ยึดใจไว้กับทุกข์ก็คือตัณหาอุปาทานในนามรูปนั่นเอง เมื่อถอนหมุดออกเสียได้แม้ขั้นละเอียด ก็เหมือนเปิดหลังคา พังกำแพงออกเห็นฟ้ากว้างโดยรอบ หมดความลุ่มหลงเพ้อพก หายเศร้า หายสงสัย หายติดข้องค้างคาอาลัย เหลือแต่ความไร้ทุกข์ เหนือรสสุข เกินจินตนาการบรรดามีที่เคยสั่งสมมาระหว่างการเดินทางอันแสนไกลในวังวนสังสารวัฏ
     

    นิพพานเป็นสุขยิ่ง นิพพานนั้นว่างยิ่ง

    ที่เกินขอบเขตนิพพานนั้น

    นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป

    ใจที่ถึงนิพพาน เป็นความจบบริบูรณ์อย่างแท้จริง

    เป็นของจริงเหนือการสรรคำร้อยถ้อยประพันธ์อันใดสิ้น
     

    จบ.



สำหรับท่านที่อยากจะนำไปอ่านแบบไม่ต้องออนไลน์ สามารถบันทึกเก็บเป็นแฟ้มแบบ .pdf นำไปอ่านบนหน้าจอได้ทุกที่ หรือนำไปแบ่งปันมิตรสหาย เชิญเข้าไปดาวน์โหลดได้ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ นอกจากนี้ก็ยังมีผลงานที่ทรงคุณค่ายิ่งของท่านดังตฤณอีกมากมายนะครับ

http://www.dungtrin.com/narupan/chapter01.html