Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: Smile Siam on 25 January 2013, 06:21:14
-
จิตจักรพรรดิ
ตอน โลกาวินาศ
ดังตฤณ
แจกจ่ายฟรีได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องขออนุญาต
ห้ามนําไปใช้ทางการค้าไม่ว่ากรณีใดๆก่อนได้รับอนุญาต
____________________________________________________________________________
บทที่ ๒๑
"ตอนเดินๆตามคนแปลกหน้าอยู่ แกเคย
นึกสนุกอยากเตะตูดเขาเล่นบ้างไหมล่ะ?"
คณินทร์ถามชั้นหนึ่ง ลูกชายวัยยี่สิบกลางๆ
ซึ่งนั่งมาด้วยกันที่ตอนหลังของรถคันยาว ฝ่ายนั้น
ฟังคำาถามแล้วหัวเราะงงๆ
"ไม่เคยมั้งพ่อ ไม่ได้มีเรื่องกันจะไปเตะ
ทำาไมล่ะ?"
"มาสมมุติว่าเคยก็แล้วกัน เขาเดินนำาแกอยู่
ดีๆ ไม่ทันระวังเนื้อระวังตัว แกหวดเท้าใส่ก้นเขา
เปรี้ยงหนึ่งแรงๆ... คราวนี้แกว่ามันเป็นไปได้ไหม
ที่จะพูดให้เขาใจอ่อน หายโกรธแกได้ ?"
หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวด แววตาสับสน
หน่อยๆ หากพ่อของเขาเป็นคนธรรมดา ชั้นหนึ่ง
คงนึกว่านี่เป็นแค่คำถามเล่นๆยามว่าง แต่เพราะ
พ่อของเขาเป็นกูรูนักสร้างแบรนด์ระดับประเทศ
อีกทั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน
แล้วก็กำาลังสอนวิชาสร้างแบรนด์แบบลัดสั้นให้
กับเขา ชั้นหนึ่งเลยคิดหนักก่อนสารภาพ
"คิดไม่ออกอ้ะ"
"ถ้าแกเตะตูดคนจริงๆ สมองแกจะทำางาน
จริงจังกว่านี้ และอาจคิดออกก็ได้ !"
ชายหนุ่มหัวเราะปลงสังเวช
"สมองจะต้องทำางานอะไรล่ะพ่อ เตรียมวิ่งดี
กว่า หรือพ่อเคยเจอใครในโลกนี้วาทศิลป์ดี เตะ
กันกลางถนนแล้วกล่อมให้ไม่เอาเรื่องได้ ?"
"ไม่เคยมี ก็พยายามทำาให้มันมีขึ้นมาเป็น
ครั้งแรกสิ ... ลองนึกถึงตัวแกเองนะ เดินอยู่ดีๆถูก
เตะป้าบเจ็บเนื้อเจ็บตัว ปฏิกิริยาแรกที่จะเกิดขึ้น
คืออะไร?"
ชั้นหนึ่งขมวดคิ้วคิด
"ถ้าแวบแรกก็คงนึกว่าเป็นเพื่อนมาล้อเล่น
มากกว่าอย่างอื่น"
"จากนั้นล่ะ?"
"หันมามองหน้าว่าเป็นใคร"
"แล้วทำาไงต่อ พอพบว่าไม่ใช่คนรู้จัก อย่า
ว่าแต่จะเป็นเพื่อนกันมาก่อน?"
"ก็คงโมโหมาก"
"น่าสนใจล่ะทีนี้ ! โมโหแล้วไง คนเตะแกยืน
อยู่ตรงหน้า?"
ชายหนุ่มลังเล
"ก็คงถามให้รู้เรื่องว่าอะไรกัน อยู่ดีๆมาเตะ
ทำไม"
"ไม่เตะตอบทันทีหรอกเหรอ?"
"อือม์ ... คงไม่ ... น่าจะระแวงด้วยซ้ำาว่ามัน
มีอาวุธอะไรหรือเปล่า ถึงกล้ามาทำาเราได้ ...
บางทีอาจจะมาปล้น"
"เห็นไหมล่ะ? มันต่างจากที่แกคิดครั้งแรก
ง่ายๆว่าแกไปเตะใคร เขาต้องหันมาเตะตอบ
ทันที "
ชั้นหนึ่งยิ้มออกมาหน่อยๆ
"ก็จริงนะ"
"ถ้าแกคิดเปิดตัวสินค้า หรือจะสร้าง
แบรนด์ขึ้นมาให้เป็นที่จดจำา ก็ต้องคิดให้ออก
อย่างนี้แหละ ทำายังไงจะเรียกร้องความสนใจจาก
ลูกค้าได้เหมือนอยู่ดีๆเข้าไปเตะตูดเขา แบบไม่
ให้ตั้งตัว ไม่ทันได้คาดฝัน จากนั้นต้องเดาให้ออก
ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ หรือความรู้สึก
นึกคิดยังไงตามมา"
"พ่อจะบอกว่าต้องสมมุติตัวเองเป็นลูกค้า
ให้ได้ก่อน มุมมองถึงจะเกิดขึ้นใช่ไหม?"
"แม่นแล้ว!"
"เรื่องที่พ่อสมมุติล่ะ... พ่อจะพูดยังไงให้คน
ถูกพ่อเตะหายโกรธ?"
ชั้นหนึ่งยังข้องใจ คณินทร์หัวเราะเอื่อยๆใน
ลำาคอ
"ถ้าหน้าตาเหมือนคนใกล้ตกงาน แค่พูดว่า
'ไม่เอาเรื่องให้หมื่นหนึ่ง' เชื่อพ่อเถอะ สีหน้าบึ้ง
ตึงจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม แถมยกมือไหว้แกปะ
หลกๆด้วย"
ชั้นหนึ่งทำาหน้าเมื่อยอย่างนึกไม่ถึงว่าพ่อจะ
เล่นมุขตื้น
"โธ่พ่อ! แค่นี้ใครก็คิดได้ "
"แล้วเมื่อกี๊แกคิดหรือเปล่า?"
คนเป็นลูกถึงกับอึ้ง
"ก็ ... พ่อบอกให้ผมนึกว่าจะพูดยังไง"
"แล้วพ่อไปจำากัดซะเมื่อไหร่ล่ะว่าแกต้อง
พูดแบบไหน... มุขเอาเงินล่อดูเหมือนตื้น แต่มันก็
ใช้ได้ผลจริงเกินกว่าเก้าสิบจากร้อย ประเด็นมัน
อยู่ตรงนี้ มันใช้ได้จริง! ถ้าแกมัวสรรหาคำาพูดมา
จำานรรจานะ ต่อให้ได้คำาที่ดีที่สุด ก็ลดความเป็น
ไปได้จริงลงฮวบใหญ่ อาจเหลือแค่หนึ่งในร้อย
เท่านั้น"
ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้
"โอเคเลยพ่อ เอาก็เอา ตกลงจะขายของ
ต้องทำาให้ลูกค้าโมโหก่อนแล้วค่อยตกรางวัล
แบบตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ?"
"มันเป็นอุปมาอุปไมย เตะแบบนักขายคือ
เตะให้โลภ ไม่ใช่เตะให้โกรธ"
"อ๋อ..."
"แกจะขายอะไรก็ตาม ทำาไว้ในใจแค่นี้
แหละ ตอนลูกค้าหันหลังให้ เขาเสียเปรียบเราอยู่
คิดให้ออกว่าทำาไงสินค้าจะเตะลูกค้าสะดุ้งโหยง
ได้ ทำาไงจะเปลี่ยนลูกค้าที่หันหลังให้เรากลับมา
จ้องมองเราเขม็ง และตั้งคำาถามว่าเราแน่ยังไง
กล้าดียังไงถึงมาเตะกัน... ตรงนั้นแหละสำาคัญสุด
ยอด หลังเตะเสร็จ สินค้าต้องทำาให้ลูกค้ารู้สึก
เหมือนได้รางวัล ไม่ใช่เจ็บตัวฟรี "
ชั้นหนึ่งพยักหน้าอย่างแสดงความยอมรับ
"ผมพอเข้าใจล่ะ"
"ถ้าแกรู้วิธีเตะคนให้สนแก และทำาให้เขา
ติดใจที่จะถูกแกเตะได้บ่อยๆ นั่นแหละ รู้ตัวไว้
เถอะ แกเป็นนักสร้างแบรนด์ระดับประเทศหรือ
ระดับโลกได้เลย!"
"ผมอยากเป็นอย่างพ่อมั่ง"
"อะไร... เป็นนักการเมืองน่ะเหรอะ?"
"เปล่า... ผมแค่อยาก... คิดได้จริง ทำาได้
จริงอย่างพ่อบ้าง"
"แกว่าแกทำาแบบพ่อไม่ได้ ?"
"ฮะ..."
"รู้ไหม ความแตกต่างระหว่างพ่อกับแกคือ
อะไร?"
"ผมเป็นลูกเถ้าแก่ใหญ่ ส่วนพ่อเป็นลูก
เถ้าแก่น้อย!"
ชั้นหนึ่งตอบ และนั่นก็เป็นคำาพูดของคณิ
นทร์เอง ครั้งที่รำาพึงเมื่อเห็นเขาขี้เกียจสันหลัง
ยาว
"นั่นก็ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่ทำาให้แกประมาท
ขาดความกระตือรือร้น แต่สิ่งที่ทำาให้แกกับพ่อ
ต่างกันจริงๆ คือแกเป็นพวกชอบน้อยใจวาสนา
ตัวเอง แล้วก็เป็นโรคเรียกร้องจะเอาความสำาเร็จ
เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องผ่านความล้มเหลว ไม่ต้อง
กล้าคิดต่าง ไม่ต้องเพียรพยายาม ไม่ต้องอดทน
รอคอย ขณะที่พ่อเป็นตรงข้ามหมด"
ชั้นหนึ่งทำาท่าสลดละห้อย
"ก็จริงนะ ได้เป็นลูกพ่อ ข้อดีคือไม่ต้องคิด
ว่าชีวิตนี้จะมีกินมีใช้หรือเปล่า แต่ข้อเสียคือต้อง
คิดไปทั้งชีวิต ว่าทำายังไงจะมีความภูมิใจในตัว
เองสมเป็นลูกพ่อบ้าง"
คณินทร์ชักยัวะที่ลูกทำาเสียงตัดพ้อเหมือน
เขามีส่วนผิดและต้องร่วมกันรับผิดชอบ จึงหมด
ความอดทนที่จะปลอบ
"ขี้หมาเอ๊ย! แกก็ได้แต่คิดหยั่งงี้ คิดแค่นี้
ก็ได้แค่นี้แหละ โลกนี้ไม่มีหรอกโว้ย มูลนิธิบริจาค
ชื่อเสียง โรงทานบริจาคความสำาเร็จ อยากได้
ต้องหาเอง! ตอนเด็กๆแกรบเร้าให้พ่อซื้อของให้
พ่อก็ใช้เงินซื้อให้มากเท่าที่แกต้องการแล้ว เดี๋ยว
นี้แกโตเป็นผู้ใหญ่ จะมารบเร้าเอาความยิ่งใหญ่
จากพ่ออีกหรือ พ่อจะเอาอะไรไปซื้อมาให้แกวะ?"
เมื่อถูกดุ ชั้นหนึ่งก็ตัวเกร็ง และอยากกลับ
ไปเป็นเด็กงอแงคนเก่าเมื่อยี่สิบปีก่อน
"เฮ้อ! บางทีผมก็อยากหลบไปไกลๆให้รู้
แล้วรู้รอด"
คณินทร์ทำาหน้าหมดอารมณ์เช่นกัน
"ลูกเอ๊ย... ฟังหลักการชีวิตแล้วจำาไว้นะ
หลบโจทย์เลขจะโง่แค่เลข แต่หลบปัญหาชีวิตจะ
โง่ไปทุกเรื่อง!"
ปัญหาของชีวิตชั้นหนึ่ง คืออยู่ดีๆก็สร้าง
ปัญหา ทั้งที่ไม่จำาเป็นต้องมีปัญหา เขาย้ำาพูดซ้ำา
แล้วซ้ำาอีกจนครั้งนี้ขี้เกียจพูดอีก
ว่าแล้วท่านรัฐมนตรีก็กางหนังสือพิมพ์อ่าน
ใจคิดว่าเปลืองสมองให้กับลูกแหง่ไม่ยอมโตมาก
พอแล้ว สมควรหาอาหารสมองให้ตนเองเสียบ้าง
ไอ้ลูกคนนี้เหมือนฟ้าแกล้งส่งมายั่วโมโหโดย
เฉพาะ
เขาประสบความสำาเร็จมาทั้งชีวิต แต่มา
รู้สึกล้มเหลวก็ตอนมีลูกนี่เอง ดันแค่ไหนก็เข็นไม่
ขึ้นสักที
คณินทร์เห็นตนเองเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมา
ตั้งแต่อายุ ๑๔ เมื่อสามารถคะยั้นคะยอพ่อของ
ตน ซึ่งเป็นลูกจ้างร้านขายของชำา ให้กู้เงินมาต่อ
เติมบ้านเป็นร้านขายของเล็กๆได้สำาเร็จ
ปีแรกเขาเป็นพ่อค้าฝึกหัด ช่วยพ่อบริหาร
จัดการสินค้าสามัญ ปีที่สองเขาเริ่มสังเกตว่ายิ่ง
คุยกับลูกค้ามากขึ้นเท่าไร ก็ทำาให้เขายิ่งหัวการ
ค้าได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อคุยก็ได้ทราบ
ความต้องการของคนในหมู่บ้านโดยรวม รู้ด้วย
ตนเองโดยตรงว่ากำาลังขายของให้ใคร พวกเขามี
สิ่งใดเป็นความต้องการร่วมกัน
ปีที่สามเขากลายเป็นนักสร้างแบรนด์ จาก
จุดเริ่มต้นง่ายๆคือลูกค้าสองคน เผอิญบ่นให้ฟัง
ในวันเดียวกันว่าแยมทาขนมปังของร้านเขาไม่ได้
เรื่องเลย เอายี่ห้อดีๆมาขายบ้างได้ไหม
คณินทร์เชื่อเรื่องป้ายบอกทางชีวิต และ
เสียงเรียกร้องของลูกค้าก็คือป้ายบอกทาง
สำาหรับพ่อค้าอย่างเขา
ก่อนหน้านั้นเขาไม่ค่อยชอบกินขนมปังทา
แยม เลยไม่รู้ว่าแยมยี่ห้อไหนรสดีหรือไม่ดี รู้แต่
ยี่ห้อไหนราคาถูกและพอขายได้ แต่พอฟังลูกค้า
บ่น เขาก็ปฏิวัติตัวเอง แยมมีกี่ยี่ห้อในตลาด เขา
กวาดเอามาลองชิมหมด จนกลายเป็นช่วงที่ง่วน
อยู่กับขนมปังทาแยมวันละเกือบ ๓ มื้อ กับทั้ง
ต่อยอดจากประสบการณ์ตรง นึกสนุกอยากรู้
เรื่องการทำาแยมเองขึ้นมาบ้าง
สวรรค์ประทานหรืออย่างไรไม่ทราบ เขาไป
เจอตำาราทำาอาหารเก่าแก่คร่ำาคร่าเล่มหนึ่งในร้าน
หนังสือเช่า ซึ่งในนั้นมีวิธีทำาแยมผลไม้ต่างๆ
ทำาให้รู้ว่าการผลิตแยมไม่ยากอย่างที่คิด
คณินทร์ลองทำาตามสูตร และพบว่ามัน
อร่อยอย่างเหลือเชื่อ ลองให้ใครชิมทุกคนก็
ติดใจเหมือนกันหมด แม้แต่แม่ของเขาซึ่งเป็นคน
เกลียดแยม ยังลืมความหลัง หันมาตั้งหน้าตั้งตา
กิน และลงมือช่วยเขาเคี่ยวแยมด้วยความเต็มใจ
เหตุผลง่ายๆคือพอหมดแล้วไม่รู้จะไปซื้อจากไหน
อยากกินอีกก็ต้องทำาเอง
ความเปลี่ยนแปลงของแม่เป็นใบรับประกัน
ชั้นอ๋อง อุตสาหกรรมในครัวเรือนเกิดขึ้น เขา
ทดลองทำาขาย เริ่มจากการหาซื้อแก้วหนาๆมา
บรรจุแยม ปิดฝาพลาสติก และแปะสติกเกอร์
ประทับตรา "โคตรแยม" กับทั้งบรรจงเขียนป้าย
โฆษณาใหญ่สุดสวยไว้หน้าร้าน อธิบายว่าโคตร
แยมคือต้นตระกูลแยม ซึ่งทางร้านพลิกแพลงจาก
แยมสูตรโบราณที่หายไปจากโลกนี้มานาน เพิ่ง
กลับมาเริ่มให้ลิ้มลองใหม่ที่นี่ที่เดียว รับประกันว่า
ถ้าไปเจอจากที่อื่นให้กลับมาเตะคนเขียนโฆษณา
ได้
เขากับพ่อแม่ช่วยกันทำาโคตรแยม ๕๐ ขวด
ผลปรากฏว่าครึ่งวันแรกหมดเกลี้ยง!
โคตรแยมทำาให้รู้ว่าชื่อสินค้ามีผลให้เกิด
ความอยากซื้อได้ขนาดไหน แทบทุกคนที่อ่าน
ป้ายโฆษณาต่างคว้าขวดแยมหมับมาจ่ายเงิน
ทันที
ยิ่งไปกว่านั้น โคตรแยมที่โคตรอร่อยก็มีผล
ให้ลูกค้าที่ซื้อตอนเช้า วกกลับมาขอซื้ออีกทีใน
ตอนเย็นถึง ๖ ราย แต่เขาก็ไม่มีของจะให้ ได้แต่
ผลัดว่ารุ่งเช้าเจอกัน รับรองได้ของแน่
ลูกค้าที่รู้จักโคตรแยมต่างพากันบอกต่อถึง
ความโคตรอร่อย แค่คนในหมู่บ้านแห่มาซื้อก็
ต้องผลิตกันวันละเป็นร้อยๆกระปุก และนั่นทำาให้
เขาตัดสินใจลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรสำาหรับเคี่ยว
แยมทีละเยอะๆ
พอมีเครื่องจักร เขาก็เกิดความคิดทดลอง
จับโน่นผสมนี่ กับทั้งเรียนรู้เรื่องแยมเพิ่มเติม จน
เกิดกระบวนท่าในการผลิตที่พลิกแพลงพิสดาร
กระทั่งได้สูตรเฉพาะ อร่อยและมีรสเปรี้ยวหวาน
มันเค็มหลากหลายกว่าต้นตำารับเข้าไปอีก
ถึงเวลานั้น ปริมาณสินค้าเริ่มไม่พอกับ
ความต้องการเอาจริงๆ ต้องมีการสั่งจองล่วงหน้า
และแม้ลองเพิ่มราคาให้สูงขึ้นเกือบสามเท่าตัว
อ้างว่าต้นทุนผลิตสูงขึ้น ความต้องการของลูกค้า
ก็ไม่ลดลงเลย
ถึงเวลานั้นเขามั่นใจเกินร้อย เข้าหา
ธนาคาร นำาโคตรแยมไปให้ชิม และบอกถึง
เจตจำานงจะสร้างยี่ห้อระดับประเทศ
ผลคือเขาได้รับอนุมัติเงินกู้เกือบสิบล้าน
กับทั้งได้รับคำาแนะนำาเรื่องการสั่งผลิตเครื่องจักร
การเช่าโรงงาน การจ้างวานคน ตลอดจนการหา
ช่องทางกระจายสินค้าให้กว้างไกล
โคตรแยมกลายเป็นที่รู้จักระดับประเทศใน
เวลาเพียง ๒ ปี ก่อนที่อายุของเขาจะขึ้นเลข ๒
ความสำาเร็จไม่ได้ทำาให้คิดเลิกเรียนกลาง
คัน คณินทร์มองไกลกว่าการเป็นพ่อค้าขายแยม
เขาทำางานหนักด้วย ตั้งอกตั้งใจเรียนด้วย กระทั่ง
จบเศรษฐศาสตร์และการบริหารระดับปริญญาโท
เมื่อเรียนจบ กิจการอยู่ตัว ความรู้และ
ความร่ำารวยทำาให้มีทางเลือกใหม่ๆเยอะ เล่นสนุก
กับการทำาสินค้าง่ายๆ ทั้งตามกระแสนิยม และ
ทั้งสร้างกระแสนิยมขึ้นมาใหม่ ด้วยหัวคิดของ
ตนเอง
อาหารและของขบเคี้ยวเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
นอกจากมีแบรนด์ของตัวเอง คณินทร์ยังเป็นที่
ปรึกษาสร้างแบรนด์และดูแลแบรนด์ให้คนอื่น
ครอบคลุมตั้งแต่โทรศัพท์มือถือยันรถหรู
เขาไม่ได้รู้แค่วิธีสร้างวัตถุให้เป็นสินค้า แต่
ยังเข้าใจจุดขายของภาพลักษณ์ตนเอง สร้าง
แบรนด์บุคคลขึ้นมาเป็นที่สนใจและจดจำาของคน
ทั้งประเทศได้ในเวลาอันสั้น
ที่ทำาได้เพราะคณินทร์รู้จักจุดเด่นของตนเอง
คือ มีรูปร่างหน้าตาดุดัน บุคลิกเข้ม ตาเข้ม คำา
เข้ม แต่แฝงแววขี้เล่นขำาๆ อำาเก่ง ลีลาและน้ำา
เสียงฟังสนุก มีเสน่ห์น่าอบอุ่น แต่ลงท้ายก็
สามารถเอาไปใช้ได้จริง คือมีพลังและน้ำาหนักคำา
พูดกระตุ้นคนให้เกิดแรงบันดาลใจอยากสร้างเนื้อ
สร้างตัวได้ ฉลาดดึงคนเข้ามามีอารมณ์ร่วมกัน
แก้ปัญหาได้ ใช้คำาที่กระชับในการให้ความรู้
คนในเวลาอันสั้นได้
ด้วยการทราบจุดขายดังกล่าวของตนเอง
คณินทร์ลงทุนทำารายการโทรทัศน์ขึ้นมารายการ
หนึ่ง ชื่อ "หัวเราะเยาะเคราะห์ร้าย" ออกอากาศ
สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดยเขาตระเวนสัญจรไปตาม
จังหวัดต่างๆ เปิดให้ประชาชนเข้าฟังอบรมวิธีเริ่ม
ต้นทำาธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางฟรี ไม่เสีย
ค่าอบรมสักบาทเดียว
แนวคิดในการนำาเสนอ คือ เรียกเสียง
หัวเราะก่อน แล้วสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อปิดท้าย
ด้วยวิธีที่เป็นไปได้จริงทุกครั้ง
การอบรมของเขาฟังเข้าใจง่ายมาก และ
เกิดผลคือแทบทุกคนมีแก่ใจย้อนเข้ามาสำารวจ
ตนเองจริงจัง ว่ามีอะไรเป็นต้นทุนชีวิต หากคิดจะ
รวยกว่านี้
สโลแกนของรายการคือ "เอาฮาก็มี เอาดี
ก็ได้ " และบทพิสูจน์ว่ารายการของเขาบรรลุผล
คือการเอาอดีตผู้เข้าฟังที่ประสบความสำาเร็จ
ขยันขึ้น เก่งขึ้น รวยขึ้น มาสัมภาษณ์ใน ๕ นาที
สุดท้ายของทุกสัปดาห์
คณินทร์ทำางานสร้างแรงบันดาลใจไปทั่ว
ประเทศอย่างสม่ำาเสมอเป็นเวลากว่า ๓ ปี ผลคือ
เมื่อสมัครเป็นผู้แทนราษฎรสมัยแรก เขายึดครอง
พื้นที่ที่ชนะยากที่สุด ด้วยคะแนนถล่มทลาย
ท่วมท้นเป็นประวัติการณ์อย่างที่สุด!
ชื่อเสียงและหน้าตา บวกกับความเป็นยอด
นักขาย อัจฉริยะนักสร้างแบรนด์ของเขา ทำาให้
คณินทร์วนเวียนอยู่กับงานดูแลเศรษฐกิจและการ
ส่งออก แล้วนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์
แบบนอนมา กับทั้งเป็นที่ปรึกษาตัวจริงไม่อิง
ตำาแหน่งของท่านนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
ในวัยห้าสิบเศษ คณินทร์ยังรู้สึกค้างคา
เหมือนไม่ถึงจุดยอดของชีวิต ก็ตรงเลี้ยงลูกชาย
ให้โตไม่สำาเร็จนี่เอง ไปที่ไหนอายที่นั่น ช่วยคน
สำาเร็จมาค่อนประเทศ แต่ช่วยลูกคนเดียวให้เอา
ตัวรอดไม่ได้ ...
ผลการเรียนของชั้นหนึ่งร่อแร่ จบแบบผ่าน
เกณฑ์แค่ฉิวเฉียด ยิ่งชีวิตการทำางานยิ่งแล้วใหญ่
ให้ช่วยงานบริษัทก็เหยาะแหยะ ให้ไปลำาบาก
ทำางานกับคนอื่นไม่ทันไรก็ลาออก ให้เงินลงทุน
ทำากิจการเล็กๆเองก็เจ๊งอย่างเปิดเผยด้วยความ
รวดเร็ว
ผลงานอันเกิดจากการสร้างคนของเขา นับ
ว่าเข้าตากรรมการไปทั้งเมือง แต่ผลงานอันเกิด
จากการมีลูกไม่เอาถ่านของเขา ยังขัดใจตัวเอง
อยู่ทุกวัน กรรมพันธุ์คงเป็นเรื่องแหกตากระมัง
ต่างคนต่างเกิดและโตมาด้วยความบังเอิญ
มากกว่าอย่างอื่น
ครู่ใหญ่ผ่านไป หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์
เกือบหมด กระทั่งอารมณ์ขุ่นมัวจางลง ท่าน
รัฐมนตรีก็เหลียวไปทางขวา เห็นลูกชายหลับตา
อ้าปากหวอคอพับคออ่อน ก็ส่ายหน้านิดหนึ่ง
ก่อนเบนสายตาไปทางด้านหน้า
"เฮ้ย! เชิด... ทำาไมวันนี้มึงขับช้านักวะ กว่า
จะถึงสุพรรณฯเข้าไปกี่โมงล่ะเนี่ย"
เหมือนคนขับรู้สึกตัว ยืดกายขึ้นในท่าที
กระตือรือร้นกว่าเดิม
"ครับนาย"
ชายร่างดำาวัยกลางคนตอบสั้นๆแล้วกดคัน
เร่ง เพิ่มความเร็วขึ้นจาก ๑๐๐ เป็น ๑๔๐ อันเป็น
ที่รู้กันว่าเจ้านายชอบให้ทำาสปีดไม่มากไม่น้อยไป
กว่านี้
คณินทร์มองทะแยงมาจากตอนหลังด้าน
ซ้าย เห็นเสี้ยวหน้าคนขับแล้วสัมผัสถึงความ
เครียดแปลกๆ เหมือนคิดมากผิดปกติ และอัน
เนื่องจากคุ้นกันนานร่วมสิบปี จึงทราบว่าคนของ
ตนคงมีเรื่องไม่สบายใจติดค้างคาอยู่เป็นแน่
และอันเนื่องจากไม่อยากนั่งอยู่ในรถที่คน
ขับกำาลังคิดมาก นักการเมืองใหญ่จึงซัก
"มึงเป็นอะไรวะเชิด? ทำาหน้าเหมือนมีจุก
ก๊อกอุดตูด"
เชิดหัวเราะออกมาเบาๆ
"ไม่มีอะไรมากหรอกครับนาย" แต่หลังจาก
เว้นวรรคพักหนึ่งก็ถามขึ้นมาลอยๆ "ผมจะ
รบกวนขอคำาปรึกษาจากนายสักเรื่องได้ไหม?"
"ได้สิ "
"ถ้าผมต้องทำาเรื่องที่มันจำาเป็นมากๆ แต่
รู้สึกผิด ผมจะแก้ความรู้สึกผิดให้หายไปได้ยัง
ไง?"
"มึงทำาไปแล้วเหรอ?"
"ครับ!"
"แล้วที่ว่าจำาเป็น มันจำาเป็นจริงๆหรือเปล่า
ล่ะ?"
"โคตรจำาเป็นเลยนาย!"
"งั้นก็หาข้ออ้างสักคำามาท่องย้ำาให้ขึ้นใจ
เช่นคำานั้นแหละ 'โคตรจำาเป็น' พอหมั่นนึกบ่อยๆ
จนรู้สึกว่ามีเหตุผลชัดเจน ใจจะเข้มแข็งขึ้น แล้ว
พอเวลาผ่านไป จากที่ต้องแข็งใจทำา จะกลาย
เป็นใจแข็งจริงได้เอง"
"แปลว่าใจแข็งแล้วจะไม่คิดมากใช่ไหม
นาย?"
"ก็งั้นสิ "
ความเครียดของเชิดคลายตัว จนสัมผัสได้
ว่าอากาศลดแรงกดดันลง
"ขอบคุณครับนาย"
คณินทร์หัวเราะโล่งอกที่ช่วยคลายปมให้
สารถีคนสนิทได้ง่ายดายในเวลาอันสั้น เขาเรียนรู้
มานานว่าถ้าหาคำาพูดมาลบความรู้สึกผิดได้ คน
เราก็ทำาเรื่องที่ "จำาเป็นต้องทำา" ได้อย่างองอาจ
ขึ้น
ปัญหาของเชิดมันจะอะไร ก็คงไม่พ้นมีอีหนู
ซึ่งนับเป็นเรื่อง "โคตรจำาเป็น" ได้ เนื่องจากเมีย
ของเชิดต้องไปดูแลญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยกระเสาะ
กระแสะถึงเชียงราย ได้เจอหน้ากันแค่เดือนละ
ครั้งมาร่วมปีหนึ่งแล้ว
ด้วยความเห็นอกเห็นใจคนของตนเช่นนั้น
คณินทร์จึงเสริมขำาๆว่า
"ตอนมึงยังไม่ตกลงใจ ก็มีสิทธิ์ลังเลได้ว่า
ถูกหรือผิด แต่พอตัดสินใจเลือกว่าจะทำาแล้ว ก็
ต้องยืนกรานกับตัวเองว่ามึงทำาถูกลูกเดียว ถึงจะ
มีหน้าใช้ชีวิตต่อได้ตามปกติ "
"ครับนาย"
"ไว้มึงสบายใจแล้วเล่าให้กูฟังละกันว่าเรื่อง
อะไร เผื่อกูจะช่วยได้มากกว่านี้ "
"ขอบคุณครับ แค่นี้นายก็ช่วยผมได้สุดๆ
แล้ว"
"อือม์ ..."
คณินทร์ยิ้มแย้ม เพราะนึกถึงเรื่องอีหนูแล้ว
จิตใจเบิกบาน แต่แล้วก็หุบยิ้ม เมื่อนึกถึงหวานใจ
คนล่าสุด
ใจมาตาหรือ "น้องไจ๋ " คนสวย ที่ปรนเปรอ
ทิพยสุขแห่งเนื้อหนังให้เขาล้นเหลือ จนเขายอม
ทุ่มสุดตัว อยากได้บ้านให้บ้าน อยากได้รถให้รถ
อยากได้เงินให้เงิน ไม่เคยปฏิเสธกันสักที
เขาไปอยู่กับหล่อนอาทิตย์ละไม่ต่ำากว่า ๓
วัน บางอาทิตย์ก็ไม่กลับบ้านใหญ่เลย นอกจาก
ความรู้สึกอยากมีเซ็กส์แทบทนไม่ไหวอยู่เกือบ
ตลอด เขายังมีความรู้สึกผูกพันทางใจกับหล่อน
อย่างลึกซึ้ง จนคิดจริงจังขึ้นทุกที ล่าสุดถึงขนาด
พาไปออกหน้าออกตาหลายงานที่ไม่เป็นทางการ
นัก
ทว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา ใจมาตาก็ออกลาย
ผีนรก เมื่อเขาไปหาที่บ้านแล้วได้พบกับสิ่งที่
ทำาให้ธาตุไฟแตกซ่าน ข้าวของในบ้านถูกขนออก
ไปจนเกลี้ยง เหลือทิ้งไว้แต่แผ่นกระดาษเขียน
ด้วยลายมือตัวโตๆแปะไว้บนเสาเด่น ความว่า
"ไปล่ะนะไอ้แก่ ขอบใจมากที่ให้ชีวิตใหม่
กับฉันและผัว!"
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนแสบกับเขาเท่านี้มา
ก่อน เสียเหลี่ยมและอับอายขายหน้าตัวเองจน
แทบไม่อยากมองเงาในกระจก เกือบกัดลิ้นเพื่อ
กลืนเลือดโง่ให้หายคลั่ง เสียใจที่มืดบอดตามัว ดู
คนผิด ที่แท้หล่อนเป็นแค่ผู้หญิงหิวเงินคนหนึ่ง
หาใช่นางผู้ภักดีที่ควรค่าแก่การทุ่มเททุกสิ่งให้แต่
อย่างใดเลย
เพียรพลิกแผ่นดินล่า แต่น่าเสียดายที่ไม่
เคยรู้กำาพืด ไม่เคยใส่ใจว่านังตัวดีเป็นใครมาจาก
ไหน เนื่องจากมัวแต่ลุ่มหลงโนมเนื้อ สนใจหาราย
ละเอียดจากทุกกระเบียดหนังของหล่อนท่าเดียว
จริงๆถือว่าเขาเป็นคนดีแล้ว เพราะคบทีละ
คน... หมายถึงมีเมียน้อยคราวละไม่เกินหนึ่งคน
ต่างจากเพื่อนๆที่มีกันเป็นฮาเร็ม
เมื่อเขาเบื่อใคร ก็จะให้เงินไปตั้งเนื้อตั้งตัว
เป็นที่จุใจ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกทิ้งก่อน มิหนำาซ้ำา
ยังฝากข้อความหยามน้ำาหน้ากันถึงขนาดนี้อีก
คอยดูเถอะ หนีได้หนีไป เขากำาลังพยายาม
ใช้เส้นสายทุกทาง ลากตัวนังสารเลวกับแมงดา
ประจำาตัวมากระทืบจนกว่าจะกระอักเลือดคาตีน
ให้จงได้ !
แล้วคณินทร์ก็หลุดจากห้วงคิดหมกมุ่น เมื่อ
เห็นหัวรถเบนเข้าทางเล็ก
"เฮ้ย! มึงจะเลี้ยวทำาไมวะเชิด ไม่ตรงไป
ล่ะ?"
คณินทร์ทัก ฝ่ายคนขับรีบตอบทันที
"วิ่งทะลุเส้นนี้ไป มีทางตัดใหม่ครับ เมื่อกี๊
ผมเห็นป้ายบอก"
"อ๋อ..."
ท่านรัฐมนตรีครางรับรู้ แล้วหยิบ
หนังสือพิมพ์ฉบับที่สองมากางอ่าน แต่ครู่หนึ่งก็
ทำาหน้าไม่พอใจ เมื่อรู้สึกถึงความเป็นคลื่นเป็น
ลอนของทาง จึงเอ่ยทั้งก้มหน้า
"วันหลังไปทางตรงนะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบ
ทางแบบนี้ "
"ครับนาย ผมก็ไม่นึกว่าจะต้องโต้คลื่น
เหมือนกัน"
แต่อีกครู่ทางก็เรียบกว่าเดิม คณินทร์เลย
ไม่สนใจอีก ไม่แม้กระทั่งสังเกตว่าสองข้างทาง
เริ่มรกทึบด้วยแมกไม้ใบบัง แตกต่างจากทาง
สัญจรทั่วไปมากขึ้นทุกที
หากคณินทร์จะเหลือบขึ้นมองกระจกส่อง
หลังกลางรถ ก็อาจเย็นยะเยือกจากหนังหัวไปถึง
ปลายตีน เพราะกระจกกำาลังสะท้อนนัยน์ตามุ่ง
ร้ายที่เหลือบแลมาทางเขาแน่วนิ่ง ประดุจสัตว์มี
พิษจดจ้องเตรียมฉกเหยื่อด้วยเขี้ยวแหลมคมก็ไม่
ปาน!
กลิ่นอายของบางสิ่งที่น่าสยดสยองโชยมา
กับการชะลอความเร็วรถลง และเมื่อรถจอดสนิท
คณินทร์ก็รู้สึกว่าสายเกินไปสำาหรับการไหวตัว
เสียแล้ว
สารถีคนสนิทที่เขาชุบเลี้ยงมานาน เอี้ยว
กายกลับมาให้ดูใบหน้าอันเหี้ยมเกรียม ในมือถือ
ปืนดำามะเมื่อม และโดยไม่พูดพร่ำาทำาเพลงใดๆ
เชิดเบนสายตากับกระบอกปืนเล็งไปยังศีรษะของ
ผู้เป็นลูก ก่อนกดสองนัดฟุตๆ หนังตาขยิบนิด
เดียวเยี่ยงเพชฌฆาตที่ตัดชีวิตเหยื่อได้โดยไม่
ลังเลสงสาร
คณินทร์ตัวแข็งทื่ออย่างคนช็อคสุดขีด
สะบัดหน้าไปทางลูกชายคนเดียวที่อยู่ในอาการ
แน่นิ่งชั่วนิรันดร์ เห็นสองรูเลือดบริเวณขมับและ
หน้าผาก กับหย่อมเลือดที่เปรอะเบาะด้านหลัง ก็
ตระหนักว่านี่เรื่องจริง ไม่ใช่ฝันร้ายล้อเล่นกัน
"ตายแบบนี้สบายที่สุดแล้ว สำาหรับชีวิตที่
เจ้าตัวไม่อยากมี แล้วพ่อของเขาก็ไม่อยากเอา"
เชิดพูดเนือยๆ สีหน้าสลดนิดหน่อย "งานเก่าของ
ผมก่อนมาให้นายชุบเลี้ยงเป็นอย่างนี้แหละ... ผม
ระลึกถึงบุญคุณของนายเสมอ แต่นายใหม่มีบุญ
คุณมากกว่า เพราะเขาให้เยอะกว่าหลายร้อย
เท่า... ผมเลยจำาใจต้องทำา และกราบขออโหสิ "
ท่านรัฐมนตรีหันมาจ้องยมทูตในร่างมนุษย์
ด้วยความตื่นกลัว เหงื่อกาฬแตก ใบหน้าซีด
เผือด แผดเสียงระรัวแทบไม่เป็นภาษา
"มึงทำาอะไรวะเชิด?"
จอมอำามหิตโคลงศีรษะช้าๆ
"ทำาเรื่องโคตรจำาเป็นเลยนาย"
แล้วบ่าวก็เบนสิ่งที่อยู่ในมือไปทางนายช้าๆ
นั่นเป็นวินาทีมรณะที่คณินทร์ได้เห็นการเข้าคู่กัน
ระหว่างแววตาเลือดเย็นกับรูกระบอกปืนไร้
วิญญาณ ที่ทรงพลังสะกด ตรึงร่างให้นิ่งทื่อได้ยิ่ง
กว่าจงอาง
ท่านรัฐมนตรีรู้สึกว่าใบหน้าของตนหดเล็ก
เหลือนิดเดียว กระถดตัวอย่างพยายามดันร่างให้
แทรกหายเข้าไปในเบาะ เข้าใจว่าตะเบ็งเสียงขอ
ชีวิตสุดแรงเกิด แต่สุดท้ายกลับเป็นเพียงกระซิบ
อ่อย เพราะกรามแข็งค้างแบบตะคริวขึ้นกะทันหัน
"อย่าทำากู ..."
แต่แล้วก่อนที่จอมเนรคุณจะลั่นไกสังหาร
เพียงพริบตาเดียว เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เชิด
ปล่อยปืนร่วง แล้วตามมาด้วยการแหกปากร้อง
สุดเสียงเมื่อรู้ตัวว่ามือของตนถูกยิง
ดวงตาปูดโปนด้วยพิษความหวาดกลัวของ
คณินทร์เหลือบไปเบื้องหน้า เห็นกระจกบานใหญ่
ของรถเป็นรูและร้าวเป็นใยแมงมุม ก็ทราบทันที
ว่ามีคนมาช่วย จึงตะเกียกตะกายเปิดประตู ผลุน
ผลันลงจากรถอย่างไม่คิดชีวิต
คณินทร์ยังมีสติดีพอจะวิ่งเข้าไปแอบหลัง
ต้นไม้ที่ข้างทางซ้ายมือ และขณะนั้นเอง ชายใน
ชุดสูทขาว ๓ คนก็ปรากฏร่างอย่างใจเย็น เข้าล้อ
มรถบีเอ็มดับบลิวซีรีส์ ๗ จากด้านหน้า ด้านซ้าย
และด้านขวา ทุกคนเล็งปืนพกจ้องไปยังคนขับที่
นั่งทำาหน้าเจ็บปวดเจียนคลั่งอยู่ข้างใน
คณินทร์ถลึงตาเบิกโพลง จดจ้องภาพที่เห็น
ด้วยความงงงันจับต้นชนปลายไม่ติด ราวกับเจอ
ฝันดีเกิดซ้อนฝันร้ายในขณะหลับ ไม่น่าจะเป็น
เรื่องจริงขณะตื่น
"ท่านโดนจ้างวานฆ่า แต่ไม่เป็นไร ชะตายัง
ไม่ขาด"
เสียงลึกลับดังขึ้นจากเบื้องหลัง ซึ่งก็มีผลให้
คณินทร์สะดุ้งสุดตัว หันขวับกลับไปมองต้นเสียง
ทันใด
ฝ่ายนั้นเป็นชายในสูทขาวอีกคน รัฐมนตรี
มองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมดเพราะอีกฝ่ายสวม
แว่นตาดำาอำาพรางไว้
"เดี๋ยวคนของท่านจะคิดสั้นชั่ววูบ..."
ไม่ทันขาดคำา เสียงปืนก็ลั่นขึ้นอีกนัดหนึ่ง
คณินทร์เหลียวกลับไปมองทางรถ ตกตะลึงพรึง
เพริดเมื่อมองลอดช่องประตูหลังซ้ายที่เปิดอ้า
เห็นว่าเชิดระเบิดหัวตัวเอง คอพับคออ่อนแน่นิ่ง
คาเบาะไปเสียแล้ว
"ส่วนท่าน..." บุรุษลึกลับเอ่ยสืบต่อราวกับ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น "แจ้งตำารวจเอาเอง เล่าให้
ตำารวจฟังอย่างที่เห็นทุกอย่างก็ได้ หลักฐานมัน
ชัดเจนเกินกว่าที่ใครจะสงสัยท่าน"
"แล้วคุณเป็นใคร?"
คณินทร์ถามเสียงพร่า
"คนที่รับคำาสั่งจากเบื้องบน" ตอบเสร็จก็
ยักไหล่ "หมดหน้าที่พวกผมแล้ว"
สิ้นคำา รถฮอนด้าแอคคอร์ดสีทองปราศจาก
ป้ายทะเบียนคันหนึ่งก็วิ่งตรงมาจอดที่เบื้องหลัง
รถสีดำาคันยาวของท่านรัฐมนตรี
คณินทร์ยังไม่อยากอยู่คนเดียว เพราะไม่รู้
ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น และตนปลอดภัยแน่แล้วหรือ
ยัง จึงวิงวอนละล่ำาละลัก
"ตำารวจต้องไม่เชื่อแน่ พวกคุณอยู่กับผม
ก่อนได้ไหม?"
ชายผู้อยู่ในทีมช่วยชีวิตหัวเราะ
"อธิบายให้ตำารวจฟังไปเถิด ว่าท่านไม่รู้
อะไรเลย จู่ๆคนขับรถก็หันหลังมายิงลูกชาย แล้ว
ก็จะยิงท่าน แต่แล้วก็มีไอ้เบื๊อกที่ไหนไม่รู้ ส่ง
กระสุนมาเจาะมือคนขับ ท่านเลยรอดตาย โดย
ไม่เข้าใจอะไรเลย ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของตำารวจ
ไปสืบกันเอาเอง ว่าใครเป็นคนจ้างวานให้ฆ่า
ท่าน... ผมไปล่ะ"
"โปรดเถอะ! ผมยังไม่อยากอยู่คนเดียว"
ผู้ถูกวิงวอนส่ายหน้า
"ทุกคนต้องเผชิญกับชะตากรรมตามลำาพัง
เสมอ ต่อให้อยู่กับเพื่อน กับลูกเมีย กับพ่อแม่พี่
น้องสักกี่คนก็ตาม ดูลูกชายท่านเป็นตัวอย่างสิ
อยู่กับท่านแล้วช่วยอะไรได้ ?"
จบคำา บุรุษลึกลับในชุดขาวก็เดินตรงไปขึ้น
รถที่เพื่อนเปิดประตูตอนหลังรอไว้ให้ แต่พอปิด
ประตูก็เลื่อนกระจกลงมาสั่งเสียทิ้งทวน
"การรอดตายเหมือนปาฏิหาริย์ของท่าน
อาจตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครคาด
ถึง ชื่นชมกับชีวิตที่เหลือ และใช้มันให้คุ้มกว่าเคย
อย่าเกลือกกลั้วกับพวกมือเปื้อนบาป แล้วท่านจะ
ตายดี ไม่ต้องเสี่ยงกับการเป็นผีตายโหงอย่างนี้
อีก"
_____________________________________________________________________________
บทที่ ๒๒
แปดโมงครึ่ง
หน้าจอโทรศัพท์มือถือสว่างวาบขึ้นนำาเสียง
เรียก มะแมเขม้นมองเลขที่คุ้นๆแบบจำาไม่ได้ว่า
เป็นของใครนั้นครู่หนึ่ง ก่อนกดปุ่มรับสาย
"สวัสดีค่ะ"
"อ้า! นี่ผมสัมฤทธิ์พูดนะ"
"คะ?"
"ที่คุณโทร.เข้าเครื่องผมเมื่อวานน่ะ"
"คุณ... อ๋อ!" ใจเต้นระทึกขึ้นมาปุบปับเมื่อ
นึกได้ว่าเป็นใคร "คุณแอ๊ด คุณพ่อของน้องไก๋ใช่
ไหมคะ?"
"ใช่ !"
"เอ้อ..."
หญิงสาวอึกอักอย่างลืมว่าเมื่อวานเตรียม
คำาพูดเริ่มต้นไว้อย่างไร ต้องคิดใหม่เอาสดๆ
"มีอะไรหรือหนู ?"
ท่าทางฝ่ายนั้นไม่อยากเสียเวลามาก มะแม
จึงต้องรีบพูดเท่าที่จะนึกออก
"ขอประทานโทษที่รบกวน หนูได้เบอร์มา
จากน้องไก๋ ขอถามเรื่องเกี่ยวกับแม่ชีพิรมลนิด
เดียวค่ะ จะสละเวลาสักสองนาทีได้ไหมคะ?"
กระแสความงุนงงโชยออกมาทางโทรศัพท์
แน่นอนเป็นใครก็ต้องแปลกใจเมื่อมีคนถามถึง
มารดาที่เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่แม้แปลกใจ
อย่างไร เมื่อเป็นเรื่องของแม่ก็ต้องให้ความร่วม
มือไว้ก่อน
"ได้ ... ว่ามาเลย"
"หนูอยากเรียนถามค่ะว่าแม่ชีพิรมลบวช
ที่ไหน อยู่จังหวัดอะไร ก่อนท่านจะเสีย?"
"อ๋อ... สำานักชีเชิงตะกอน อยู่แถวปากช่อง
โคราชโน่นแหละ"
"สำานักชีเชิงตะกอน..."
มะแมทวนคำาอย่างแปลกใจที่มีชื่อสถานที่
แบบนี้อยู่ในโลกด้วย
"หนูเคยรู้จักกับแม่ชีพิรมลหรือ?"
"ไม่รู้จักค่ะ" ตอบทันทีอย่างเตรียมไว้ก่อน
"แต่มีน้องที่เขารู้จักและอยากไปสำานักชีของท่าน
เผอิญหนูได้ทราบว่าแม่ชีพิรมลเป็นคุณย่าของ
น้องไก๋ เลยขออนุญาตไถ่ถาม ต้องขอบพระคุณ
จริงๆค่ะ"
"ไม่เป็นไร... แผนที่หาเอาจากอินเตอร์เน็ต
ก็น่าจะได้มั้ง"
"ค่ะ หนูจะลองหาดูจากอินเตอร์เน็ตนะคะ"
"ถ้าไม่เจอก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวจะวาด
คร่าวๆแล้วส่งแฟกซ์ไปให้ ถามชาวบ้านแถวนั้น
ใครๆก็รู้จัก"
"ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ"
มะแมวางสายแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
มโนภาพเกี่ยวกับอิ๊กที่หวาดกลัวความตายแวบ
เข้ามาในหัว แม้จะยังไม่รู้ชัดนักว่าเกี่ยวพันกันท่า
ไหน แต่ก็คิดว่าได้เค้าของคำาตอบขึ้นมารางๆ
เดินกลับไปกลับมา รู้สึกถึงสัมผัสระหว่าง
เท้ากับพื้นจนใจนิ่ง จึงค่อยนึกถึงสำานักชีเชิง
ตะกอนใหม่อีกครั้ง มโนภาพหนึ่งผุดขึ้น คล้าย
กลุ่มแม่ชีผู้สำารวมกำาลังพิจารณารูปศพ ด้วย
อาการไร้ความไยดีในชีวิต เหมือนพลอยกลาย
เป็นศพไปด้วย
สำานักชีนี้เน้นฝึกระลึกถึงความตาย!
ด้วยความไวสัมผัสอย่างเป็นธรรมชาติ
มะแมรู้สึกถึงกลิ่นอายความตายที่กระจายไปทั่ว
สำานักชี ประดุจคลื่นมรณะหุ้มห่อเหล่าแม่ชีไว้
อย่างหนาแน่น
เมื่อค่อยๆละเลียดความรู้สึกเข้าไปในกลิ่น
อายแห่งความตาย มะแมก็จำาแนกได้ว่าแท้จริง
แล้ว เป็นคลื่นจิตของเหล่าแม่ชีที่มีความตายเป็น
เครื่องระลึกล้วนๆ หาใช่ว่ามีคนในสำานักชีตกตาย
ตามกันบ่อยๆไม่
ในกระแสคลื่นมรณสตินั้น บางคลื่นก็
เจือปนอยู่ด้วยความสยดสยองพรั่นพรึง บางคลื่น
ก็แทรกอยู่ด้วยความครึ่งกล้าครึ่งกลัว ขณะที่บาง
คลื่นก็ปรากฏพร้อมกับกระแสความวางเฉย ทรง
อุเบกขาเป็นดุษณีภาพล้ำาลึก
จะต่างกันอย่างไรก็ตาม คงมีพิธีกรรมบาง
อย่างเป็นการประชุมเพื่อร่วมระลึกถึงความตาย
โดยพร้อมเพรียงเสมอๆ คลื่นมรณะจึงแผ่ออกมา
จากจิตของเหล่าแม่ชีได้ถ้วนหน้าเช่นนั้น
การระลึกถึงความตาย ตามความรู้ความ
เข้าใจของหล่อน คือวิธีฝึกจิตอย่างหนึ่งของพุทธ
ศาสนา ที่ต่อยอดขึ้นมาจากการเห็นความเกิดดับ
ของลมหายใจและอิริยาบถ
กล่าวคือเมื่อทราบว่าขณะนี้ลมหายใจกำาลัง
แสดงความไม่เที่ยงอยู่ชัดๆ จิตทรงตัวนิ่งดีแล้ว ก็
เลื่อนไปฝึกเห็นว่าในที่สุดทั่วทั้งกายจะต้องมลาย
สิ้นเป็นธรรมดา เมื่อรู้แจ้งแทงตลอดในความจริง
เกี่ยวกับกาย จิตย่อมคลายจากการหลงยึดยินดี
หรือมัวเมาเพ้อเจ้อไปว่ากายเป็นของตน หลง
สำาคัญไปว่าความกระสับกระส่ายชั่วครู่ทางกาย
จะต้องเป็นความวุ่นวายตลอดไปของตน
การที่กายแตกดับเป็นขี้เถ้า มีความหมาย
ให้คนทั่วไปรับรู้ว่าคนๆหนึ่งตายไป แต่ในความ
รับรู้ของนักฝึกจิตแนวพุทธ จะเห็นเพียงสภาพ
แห่งรูปธรรมชิ้นหนึ่งทำาลายตัวเองลง สมกับที่ถูก
ออกแบบไว้แล้วด้วยกฎแห่งความไม่เที่ยง ไม่อาจ
คงทน เพราะไม่ใช่ของของใคร
ดังเช่นแม่ชีพิรมล วิเศษสุทัศน์ คือคนเก่าที่
หายไปบนเชิงตะกอน และมาปรากฏเป็นคนใหม่
ในบ้านหล่อน ในร่างเด็กหญิงอิ๊ก ตามหลักฝึก
มองแบบมรณสติ นี่ก็คือตัวอย่างกระบวนการดับ
ทำาลายลงของกายหนึ่ง เพื่อให้อีกกายปรากฏ
แทน ใครต่อใครหลงคิดกันไปเองว่ามีใครคนหนึ่ง
ตาย มีใครคนหนึ่งเกิด
หนาวใจวูบหนึ่ง หมู่สัตว์ทั้งหลายตายอย่าง
ไม่รู้ว่ากำาลังจะเกิดอะไรขึ้น และหมู่สัตว์ทั้งหลายก็
เกิดอย่างไม่รู้ว่าเคยตายจากความเป็นอะไรมา
ก่อน
และหล่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น!
ไม่เคยนึกอยากรู้อดีตชาติ แล้วก็ไม่ถวิลหา
อนาคตชาติ เพราะหล่อนภาคภูมิในความเป็น
ชาตินี้ รู้สึกดีกับตัวเองพอจะอยากเป็นเช่นเดิมไป
ทุกภพทุกชาติอยู่แล้ว
แต่มโนภาพการเคยเป็นใครคนหนึ่ง ที่แปร
ร่างมาเป็นใครอีกคนของน้องอิ๊ก มีผลให้มะแม
รู้สึกขึ้นมาวูบๆวาบๆว่าความตายเป็นเรื่องน่า
กลัว เป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย และเป็น
อะไรที่จะไม่ซ้ำาของเก่า ไม่ว่าจะอยากกลับไปเป็น
ตนเองหรือเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ก็ตาม
ไม่นานมานี้ อิ๊กเคยปรากฏสภาพทางกาย
เป็นหญิงชราผู้รู้คิดรู้อ่าน ผ่านร้อนผ่านหนาวยาว
ยืด กับทั้งเห็นภาพรวมชีวิตตนเองถนัดว่าขึ้นต้น
อย่างไร ใกล้จะสรุปลงเอยท่าไหน
และแล้วความเป็นแม่ชีพิรมลก็จบสิ้นลง มา
ปรากฏเป็นสภาพเด็กหญิงผู้ยังสับสน ไม่รู้ว่าจุด
มุ่งหมายของการมีชีวิตคืออะไร ไม่รู้ว่าอนาคตจะ
ทำาสิ่งใดได้ ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ต้องไปโรงเรียน
ต้องเข้าแถวยืนหน้าเสาธง ต้องให้คุณครูสั่งสอน
ต้องตัดสินใจว่าจะเรียนอะไรเพื่อทำางานอะไร ต้อง
คบคู่ดูใจ ต้องเสี่ยงใช้ชีวิตคู่ ต้องเหนื่อยยากหา
บ้านหาช่องและดูแลรักษาให้ตลอดรอดฝั่ง...
ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ เพื่อรอคอยการจบสิ้น
อีกครั้ง แล้วๆเล่าๆ
สุดท้ายเพื่ออะไร?
หญิงสาวปิดตาลง สำาหรับหล่อนยามนี้ คำา
ตอบมีอยู่เต็มล้นท่วมท้นหัวใจ หล่อนจะเกิดตาย
เพื่อขอได้พบอัคระไปทุกชาติ !
และในทางปฏิบัติจริงๆ ที่ผ่านมาหล่อนไม่
ค่อยคิดถึงความตายในแง่อื่นใดมากนัก คนตาย
ทั่วโลกตายล่วงหน้าหล่อนไป เพื่อสอนหล่อนแค่
สองข้อ
ข้อแรก หล่อนต้องตายในวันใดวันหนึ่ง
ข้อสอง อย่าตายอย่างเสียใจที่เคยมีชีวิต!
หลังเลิกงาน ๕ โมงเย็น มะแมหยิบ
โทรศัพท์มือถือเช็คสายเข้าที่ไม่ได้รับสายตาม
ความเคยชิน
คุณหญิงรักสุรีย์โทร.มาถึง ๓ ครั้ง ทิ้งช่วง
ห่างครั้งละ ๒ ชั่วโมง สาวพลังจิตได้แต่ทอดถอน
ใจ คุณหญิงไม่รู้หรอกว่าหล่อนต้องคุยกับลูกค้า
ต่อเนื่องอย่างไร จะล่าตัวใช้งานให้ได้ท่าเดียว
ความเปลี่ยนแปลงของรักสุรีย์ คือแนวโน้ม
ในการเปลี่ยนแปลงโลกรอบตัวของเธอ และอาจ
เชื่อมโยงไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ขยายวงกว้างขึ้น
ใจมะแมจึงให้ความสำาคัญค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่
ขนาดที่กำาลังรู้สึกเหนื่อยๆแล้วจะต้องรีบโทร.กลับ
ด่วนเพื่อเอาอกเอาใจกัน
เลือกที่จะลงไปคุยเล่นกับน้องอิ๊กก่อน จาก
นั้นก็อาบน้ำา รับประทานมื้อเย็นจนอิ่ม หลังพัก
ผ่อนสบายใจแล้วจึงติดต่อกลับ
"สวัสดีค่ะคุณหญิง"
ทักเรียบๆเนือยๆแบบประกาศว่าอีกฝ่ายไม่
ได้มีความหมายทางใจกับหล่อนสักเท่าใด
"มะแมเหรอ..."
ปลายเสียงพร่าที่ส่งกลิ่นน้ำาตาได้นั้น ชวน
ให้หญิงสาวใส่ใจมากขึ้น
"ค่ะ... ขอโทษที่มะแมเพิ่งสะดวกคุยนะคะ
คุณหญิงมีเรื่องด่วนหรือเปล่า?"
"ด่วน... คืนนี้ฉันขอรบกวนเวลาเธอจะได้
ไหม?"
"ถ้าหมายถึงจะให้ไปพบที่บ้าน มะแม
เหนื่อยแล้วค่ะ วันนี้งานหนักจริงๆ กว่าจะขับไป
ถึงบ้านคุณหญิงคงหลับเสียก่อน แต่ถ้าจะคุยกัน
ทางนี้เดี๋ยวนี้ ก็ยินดีค่ะ"
แล้วหญิงสาวก็นึกในใจว่าไม่น่าฉีกกฎของ
ตัวเองเลย ถ้ารักสุรีย์ไม่มีเบอร์หล่อน ก็คงไม่ต้อง
ปฏิเสธให้เสียน้ำาใจกัน
"ตอนนี้ฉันอยู่ในวัด" รักสุรีย์เอ่ยแผ่ว "จะ
ให้ฉันกับสามีไปพบเธอที่บ้านสักชั่วโมงหนึ่งได้
ไหม ขอร้องล่ะ รอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวจริงๆ"
ถ้อยคำาแสดงความวิงวอน สะท้อนให้เห็น
ความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณหญิงไปในทางที่
มะแมพอใจ อีกทั้งเมื่อทราบว่า "สามี " ของคุณ
หญิงจะมาด้วย ยิ่งทำาให้ไม่อยากปฏิเสธ
คำาพยากรณ์ของอัคระท่าทางจะเป็นจริงอีก
ครั้ง และหล่อนก็ตื่นเต้นเอาการ นี่ถ้ารักสุรีย์บอก
แต่แรก หล่อนอาจจะอาสาไปถึงบ้านก็ได้ !
"งั้นเหรอคะ..." ทำาเสียงชั่งใจครู่หนึ่งก่อน
ยินยอม "บ้านมะแมอยู่ตรงบางนา เดี๋ยวจะส่ง
เมสเสจบอกรายละเอียดให้นะคะ"
เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเชิ้ตแขนสั้นกับ
กระโปรงยาว ไม่ดูเป็นชุดทำางาน แต่ก็ไม่ลำาลอง
เกินกว่าจะต้อนรับแขกผู้ใหญ่ยามค่ำาคืน
สี่สิบนาทีต่อมาเมื่อได้รับโทรศัพท์เรียก
มะแมก็ลงไปต้อนรับคุณหญิงรักสุรีย์ผู้ยอมถอด
หัวโขนมาหาหล่อนถึงที่
"สวัสดีค่ะ"
พนมมือไหว้ฝ่ายนั้นอย่างนอบน้อม และเมื่อ
เห็นว่าใครก้าวตามลงมาจากประตูด้านคนขับ ก็
ถึงกับตกตะลึงจนลืมไหว้
"คุณ... เอ่อ... ท่านคณินทร์ !"
ที่ผ่านมาทราบแต่ว่าสามีของคุณหญิงเป็น
รัฐมนตรี แต่ไม่รู้เลยว่าคือใคร แล้วก็ไม่เคยใส่ใจ
สืบหาเสียด้วย อย่างมากแค่คิดว่าพอถึงเวลาก็รู้
เอง
ตอนนี้ถึงเวลาที่ว่าแล้ว และก็ทำาให้มะแม
คิดว่ามิน่าล่ะ หล่อนถึงคุ้นชื่อคุณหญิงรักสุรีย์มา
ตลอด คุ้นแบบนึกไม่ออกและขี้เกียจนึกว่าได้ยิน
มาจากไหนเมื่อใด ที่แท้ก็เคยทราบว่าเป็นภริยา
ของท่านคณินทร์นี่เอง
บุรุษวัยกว่า ๕๐ ผู้ยังดูหนุ่มแน่นย้ิมให้แบบ
เซียวๆ
"คุณหญิงเขาอยากถามหนูเรื่องสำาคัญ
พวกเราขอรบกวนเวลาพักผ่อนของหนูหน่อยนะ"
"ด้วยความเต็มใจและรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง
เรียนเชิญค่ะท่าน"
นำาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเดินผ่านชั้นล่างขึ้นไป
บนห้องทำางาน ด้วยความรู้สึกว่าน่าจะสมเกียรติ
กว่าห้องอื่น
ทั้งหมดมานั่งที่โซฟาชุด ซึ่งมะแมเตรียม
น้ำาส้มสองแก้วไว้บนโต๊ะล่วงหน้า
"เธอรู้จักท่านคณินทร์อยู่แล้วใช่ไหม?"
รักสุรีย์ถามในเชิงเชื่อมสัมพันธ์ให้ทั้งสอง
ฝ่าย มะแมยิ้มตอบอย่างเปิดเผย
"ด้วยความประทับใจและนับถือทีเดียวค่ะ
ถึงจะผ่านมานาน รายการ 'หัวเราะเยาะเคราะห์
ร้าย' ก็ยังอยู่ในความทรงจำาของมะแมเสมอ"
"ขอบใจ! บางทีผมก็นึกอยากกลับไปทำา
รายการตามคำาเรียกร้องของแฟนเก่าๆอยู่เหมือน
กัน"
คณินทร์เอ่ยแล้วหัวเราะตาเป็นมัน เปลี่ยน
จากท่าทีซึมๆเซียวๆเป็นคึกคักอย่างรวดเร็ว เมื่อ
ครู่ในเงาสลัวเขาไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า แต่
พอมาอยู่กลางแสงไฟ เห็นรูปร่างหน้าตากันชัดๆ
อย่างนี้แล้วค่อยมั่นใจหน่อย
คืนนี้ อยู่ไม่อยู่ก็ได้พบนางฟ้าอย่างไม่คาด
ฝันเข้าจริงๆ!
"สนับสนุนเลยค่ะท่าน บังเอิญจริงๆ เมื่อ
บ่ายนี้มะแมยังขโมยคำาคมของท่านมาใช้พูดกับ
ลูกค้าเลย"
"เหรอ... คำาไหนล่ะ?"
หญิงสาวตอบทันทีโดยไม่ต้องพักนึก
"ลูกค้าจะเอาแต่รวยน่ะค่ะ เสร็จแล้วก็บ่น
เบื่อ บอกว่าเหมือนตัวเองไม่มีค่า มะแมเลยบอก
ว่า เงินอาจทําให้มีหน้า แต่ช่วยให้มีค่าไม่ได้
เหมือนที่ท่านคณินทร์เคยพูดกับผู้เข้าร่วมรา
ยการเป๊ะ"
นิลเนตรสาดประกายนิยมชมชื่นระยิบระยับ
นั้น มีผลให้คณินทร์ระงับอาการตาเป็นมันลงบ้าง
กลับมารักษากิริยาสงบนิ่งเป็นผู้ใหญ่ ไม่ปล่อยตัว
ให้ออกอาการตื่นคนสวยโจ่งแจ้งนัก
"ขอบใจนะที่ช่วยจำาให้ พอไม่ค่อยได้คิด ไม่
ค่อยได้ใช้หัวทางนี้นานเข้า บางทีผมก็ชักลืมๆ
เหมือนกัน"
รักสุรีย์มองมะแมแล้วถามนิ่มๆ
"แปลว่าเธอพูดเก่งตามท่านคณินทร์เขา
หรอกหรือนี่ ?"
มะแมเบนหน้าไปทางคุณหญิง ก่อนรับว่า
"มะแมให้สัมภาษณ์มาตลอดค่ะ ว่าแรง
บันดาลใจหนึ่งของมะแม ที่ชวนให้อยากส่งทอด
แรงบันดาลใจต่อถึงคนอื่น ก็คือท่านคณินทร์แห่ง
รายการหัวเราะเยาะเคราะห์ร้าย"
"ก็ดีนะ ดูเหมือนเธอจะได้อยู่กับอาชีพที่
ตั้งใจแล้ว... ตอนท่านทำารายการเธอน่าจะอายุยัง
น้อยมาก มีเด็กไม่กี่คนหรอกที่เป็นในสิ่งที่ตัวเอง
ฝัน"
คณินทร์เองก็นึกทึ่ง พินิจมะแมด้วยสายตา
อีกแบบ เหมือนเห็นเงาของตัวเองในกระจก เพียง
แต่เป็นกระจกที่สะท้อนอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน...
กระแอมนิดหนึ่งอย่างสะดุดก้อนอะไรบาง
อย่างในลำาคอ
"แต่ละช่วงชีวิต ผมสนุกกับงานไปคนละ
แบบ อย่างเช่นตอนนี้ผมหายใจเป็นการส่งออก
คิดแต่แผนล่อใจนักลงทุน ติดตามสงครามอัตรา
แลกเปลี่ยน ไหนจะนั่งคิดแก้ปัญหาสารพัดให้
ท่านนายกฯ ไม่ค่อยมีใครฟังผมพูดอะไรคมๆ
เหมือนสมัยโน้นหรอก จะฟังแต่ข้อมูลหนักๆกัน...
หนูมาทำาให้ผมนึกถึงบรรยากาศเก่าๆได้แฮะ"
"ตอนนี้ท่านมาถึงจุดที่ทำาให้เกิดความ
เปลี่ยนแปลงได้ยิ่งกว่าแต่ก่อนไงคะ แค่คิดออก
โลกก็พร้อมจะแตกต่างไปในทันทีแล้ว"
คณินทร์หลบสายตาอีกฝ่ายที่จับจ้องตน
ด้วยประกายศรัทธา คิดในใจว่าสาวน้อยตรงหน้า
ยังไฟแรง ส่วนเขาลุยไฟมาจนแรงใกล้หมด นี่เอง
ความแตกต่างของช่วงวัย
เขาเห็นมาหมดแล้ว ผ่านมาหมดแล้ว ทำามา
หมดแล้ว เบื้องต้นชีวิตจะแกล้งให้เห็นเหมือนมีไฟ
กองเล็กอยู่ตรงหน้า ดับง่ายๆไม่ต้องใช้ความ
พยายาม พอดับได้ก็ฮึกเหิม เพื่อเห็นว่ายังมีไฟ
กองโตรออยู่ และท้าทายให้แสดงฝีมือดับอีก และ
อีก และอีก
ก้าวมาเรื่อย ดับไฟมาเรื่อย หรือบางทีก็
เผลอก่อไฟขึ้นบ้าง กระทั่งถึงช่วงกลางค่อนปลาย
ชีวิต จึงค่อยมายืนแหงนคอตั้งบ่า อ้าปากค้าง
กับกำาแพงไฟมหึมาสูงเทียมหลังคาโลก ที่คราวนี้
ไม่ได้ท้าทาย แต่หัวเราะเย้ยอย่างพร้อมจะแผด
เผามนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยไม่เลือกหน้า ขอแค่ให้
หาญกล้าคิดเฉียดใกล้กำาแพงไฟเข้าไปเถอะ!
เมื่อครั้งตระเวนสัญจรทั่วประเทศ เพื่อทำา
รายการ "หัวเราะเยาะเคราะห์ร้าย" การต้อนรับ
จากทั่วทุกสารทิศทำาให้เขารู้สึกเหมือนประเทศนี้
เป็นของเขา และก็มีสิทธิ์เปลี่ยนประเทศให้เป็นไป
ตามเขาได้จริงๆ
แต่เกือบ ๒๐ ปีที่ดั้นด้นเดินทางสู่ดวงดาว
พยายามเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ เพื่อให้
อำานาจการเปลี่ยนแปลงตกมาอยู่ในมือของเขา
เต็มกำา ความรู้สึกของคณินทร์ถูกพลิกเปลี่ยนเสีย
เอง แทบจะจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ส่วนประเทศไม่เคยเปลี่ยนไปเลย... ไม่เคย!
ประเทศนี้ไม่ใช่ของเขาคนเดียว แต่ทั้ง
ประเทศมีนายกฯได้คนเดียว ทุกวันนี้มีแค่ความ
สงสัยแบบอยากจะว้ากดังๆว่า "เมื่อไหร่กูจะได้
เป็นนายกฯเสียที ?"
เหตุผลแวดล้อมหรือแรงผลักดันดั้งเดิม
ตกหล่นสูญหายไปในระหว่างทางหมดแล้ว ลืม
แล้วว่าอยากเป็นนายกฯไปทำาไม รู้แต่ต้องเป็นให้
ได้ มิฉะนั้นจะตายตาไม่หลับ
เก้าอี้นายกฯมีแรงสะกดบางอย่างที่
เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขาได้ จากครั้งหนึ่งที่เคย
ทำางานให้คนอื่นอิจฉา เดี๋ยวนี้เขาอิจฉาคนที่
ทำางานเหนือกว่าตนเป็นแล้ว
ครั้งหนึ่งเคยเหน็บแนมออกสื่อ ด่าพวกมา
ทำาร้ายเขาว่า คนบางคนไปไม่ถึงไหน เลยทํา
ชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด ด้วยการทําชีวิตคนอื่นให้แย่
ที่สุด!
ถ้าใครเอาคำาคมนั้นมาพูดใหม่วันนี้ ก็อาจ
เป็นเขาเองที่ต้องหน้าม้าน เพราะรู้แก่ใจว่าตน
กำาลังตกที่นั่งจอมริษยา คิดเลื่อยขาเก้าอี้ใครบาง
คนเข้าให้บ้างเหมือนกัน!
คำาคมในวันวานสำาหรับความรู้สึกในวันนี้
จึงเหมือนความช่างคิดช่างฝันของหนุ่มน้อยที่ยัง
ไม่เจอรสชาติอันเป็นที่สุดของชีวิต ยังไม่เจอตอ
ของชีวิตเข้าจังๆ
แต่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเป็นความจริง มี
ตัวตนอยู่จริง และส่วนหนึ่งของหล่อนก็มาจาก
ประกายแห่งไฟฝันในอดีตของเขา มันปลุกความ
ฝันแบบเก่าๆให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
"ดีแล้ว... คนส่วนใหญ่โตมากับการเอาดีใน
ทางด่าโลกใบเก่า อย่างหนูนี่แหละถึงจะเป็นคน
ส่วนน้อย ที่แก่ลงกับการเอาดีในทางสร้างโลกใบ
ใหม่ "
ปลายเสียงอ่อนล้าของชายวัยกลางคน
สะกิดให้มะแมเริ่มรู้สึกตัว จิตสัมผัสเริ่มทำางาน...
ท่านรัฐมนตรี หนึ่งในคณะผู้บริหารประเทศ
ที่นั่งอยู่ตรงหน้า หาใช่คุณคณินทร์คนเดิมเมื่อสิบ
กว่าปีก่อน ผู้เคยเป็นแรงบันดาลใจให้หล่อนอีก
ต่อไปแล้ว
ชั่วชีวิตมนุษย์ สวยงามที่สุดก็ตอนยังคิดได้
ว่า "เราจะทำาโลกนี้ให้ดีขึ้น" น่าเสียดายที่ช่วง
เวลาสวยงามนั้นจะคงอยู่ไม่นานนัก...
บังเกิดความสลดหดหู่ขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่
เนื่องจากหล่อนไม่ใช่พวกแสวงหายอดมนุษย์ผู้
สามารถรักษาพลังวิเศษไว้ได้ชั่วกาลนาน จึงเรียก
สติกลับคืนได้เร็ว
"ขอบพระคุณท่านคณินทร์ไว้ ณ ที่นี้ก็แล้ว
กันนะคะ สำาหรับการเป็นแรงบันดาลใจแรกให้
มะแม... คืนนี้ท่านคงมีธุระร้อน ต้องขอ
ประทานโทษที่มะแมมัวแต่ชวนเสียเวลาคุย
สัพเพเหระยาวไปหน่อย"
ว่าแล้วก็ระบายยิ้มอ่อน เหลือบซ้ายแลขวา
ตั้งตารอฟังคนใดคนหนึ่งในสองสามีภรรยาพูดถึง
กิจธุระอันเป็นเรื่องร้อน
คณินทร์กับรักสุรีย์หันมาสบตากัน เหมือน
จะเกี่ยงให้อีกฝ่ายเริ่มก่อนอยู่ในที
"มะแม..." ในที่สุดรักสุรีย์ก็เป็นฝ่ายพูด
เสียงแหบพร่า "ลูกชายคนเดียวของฉันเพิ่งตาย
ไป"
สาวพลังจิตใจหายวาบ นึกตำาหนิตัวเองที่
มัวแต่ออกอาการปลื้มท่านรัฐมนตรี จนลืมว่าคน
ระดับปกครองบ้านเมืองถ่อสังขารมาถึงที่ทำางาน
หล่อนยามดึก ย่อมไม่ธรรมดา ต้องเกิดเรื่องใหญ่
ขั้นคอขาดบาดตายเป็นแน่แท้
"มะแมกราบขอประทานโทษนะคะที่ไม่ถาม
ถึงธุระเสียแต่แรก" หล่อนพนมมือไหว้ทั้งสอง
ด้วยความรู้สึกผิด "และเสียใจด้วยค่ะกับการจาก
ไปก่อนวัยอันควรของลูกชาย"
พอพูดถึงลูก สองสามีภรรยาก็กลับไปมี
อาการห่อเหี่ยว หมดอาลัยตายอยากเหมือนนาที
แรกที่มาถึงอีกครั้ง โดยเฉพาะฝ่ายหญิงถึงกับ
น้ำาตาคลอเบ้า
"มะแม... ฉันขอถามตรงๆนะ นี่คือเวร
กรรมที่ฉันทำาไว้แล้วมาตกกับลูกหรือเปล่า?"
เป็นคำาถามแบบ "รู้กัน" ซึ่งรักสุรีย์ไว้ใจ
สาวพลังจิตว่าจะไม่ปูดความลับร้อนๆอะไรออก
มา
"ไม่หรอกค่ะคุณหญิง ทุกคนเป็นทายาทรับ
กรรมที่ตัวเองเคยทำาไว้ ไม่ใช่ทายาทรับกรรมที่
พ่อแม่เคยก่อ ถ้าคนเราต้องมารับกรรมแทนพ่อ
แม่ ก็ขอให้พ่อแม่จัดการทำาบุญให้ แล้วตัวเองงอ
มืองอเท้าเฉยๆก็สบายแล้ว"
แต่เมื่อเข้าเรื่องได้ติด รักสุรีย์ก็สะกด
อารมณ์โศก ยิงคำาถามแบบไม่อ้อมค้อม
"ลูกฉันไปอยู่ไหน ตอนนี้เป็นยังไง เธอช่วย
ดูให้หน่อยเถอะนะ"
มะแมลอบชำาเลืองมาทางรัฐมนตรีคณินทร์
เห็นฝ่ายนั้นกำาลังเบะปากนิดหนึ่ง ก็เข้าใจโดย
ตลอดว่าคุณหญิงรักสุรีย์คงชักชวนสามีมาหาคน
ที่นั่งทางในเห็นโลกวิญญาณได้ และแม้คณินทร์
จะไม่เลื่อมใสเรื่องพรรค์นี้ แต่ก็ยินยอมตามใจ
ภรรยา เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจมากกว่าอย่างอื่น
แท้จริงหล่อนยังไม่เก่งขนาดมีตาทิพย์ รู้
เห็นเรื่องราวในมิติอื่นได้ตามใจชอบไปหมด ขณะ
ที่ความคาดหวังของรักสุรีย์ ยืนพื้นอยู่บนความ
เข้าใจว่าหล่อนมีตาทิพย์หูทิพย์ชนิดกดปุ่มสั่งได้
ทุกเวลาตามปรารถนา
ครั้งนี้พลาดไม่ได้เสียด้วย เพราะถ้าพลาดที
เดียว คนแบบคณินทร์ก็จะหลุดมือไป เรียกคืน
กลับมาไม่ได้อีกเลย
อาศัยความเชื่อมั่นในคำาพยากรณ์ของอัคระ
ที่บอกว่าหล่อนจะเข้าถึงตัวรัฐมนตรีผู้มีศักยภาพ
ในการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ ดังนั้นจึงควรไว้ใจ
ชะตา เห็นว่าธุระนี้ต้องอยู่ในขอบเขตความ
สามารถของตนเป็นแน่
คิดเช่นนั้นแล้วจึงค่อยอุ่นใจขึ้น ยืดตัวตรง
สูดลมหายใจเข้าสบายๆแล้วผ่อนออกจนหมด
คลื่นรบกวนในหัวหายไปสิ้น
หน่วงจิตจับเอาร่างของสองสามีภรรยาเป็น
ตัวตั้ง จนแน่ใจว่าเกิดภาวะรู้เห็นกระแสชีวิตที่ขัด
แย้งไม่ลงรอยกันของทั้งสอง แล้วข้ามไปตรึกนึก
ถามหาตัวตนของลูกชาย อันเกิดแต่การใช้ชีวิต
ร่วมกันบนความขัดแย้งระหว่างท่านรัฐมนตรีกับ
คุณหญิง
สัมผัสถึงจิตดวงหนึ่งที่อ่อนแอ พร้อมจะ
แปรปรวน เต็มไปด้วยความอลวน เยี่ยงคนที่
เหม่อลอยและฟุ้งซ่านมาทั้งชีวิต
มะแมพุ่งสัมผัสรู้เข้าไปที่จิตนั้นครู่หนึ่ง ก่อน
จะปิดตาลง ลากลมหายใจยาวลึกเพื่อล้างทุกสิ่ง
ออกจากใจให้หมด กระทั่งรู้สึกถึงความว่างวาย
แล้วจึงลืมตานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง สัมผัสคณินทร์
และรักสุรีย์ ถามจิตถึงตัวตนลูกชายที่เกิดจาก
สองสามีภรรยา
แล้วดวงจิตที่อ่อนแอ วูบไหวง่าย ก็ปรากฏ
ขึ้นในมโนทวารของหล่อนอีกครั้ง คราวนี้จึงค่อย
แน่ใจว่าถูกตัวแน่ ไม่ใช่การคิดไปเองหรือเห็น
วิญญาณอื่นใด
"ลูกชายของคุณหญิงชื่ออะไรคะ?"
มะแมเปิดตาถาม
"แต๊ก"
รักสุรีย์บอกชื่อเล่นซึ่งหล่อนเป็นคนตั้งให้ลูก
และเรียกลูกเช่นนั้นมาตลอด
คลื่นจิตของคุณหญิงขณะเอ่ยชื่อลูก เพิ่ม
สัญญาณความเป็น "แต๊ก" ให้ปรากฏต่อใจมะแม
เข้มข้นขึ้น คราวนี้สาวพลังจิตเห็นรายละเอียด
พรั่งพรูออกมาเป็นฉากๆตลอดสาย นับแต่ที่มา
จนถึงที่ไปทีเดียว
นายแต๊กเกิดมาด้วยดวงจิตที่มีกำาลังอ่อน
และใช้ชีวิตเสวยสุขแบบลูกเทวดา ไม่เป็นโล้เป็น
พาย แต่ใจก็ตะเกียกตะกายหาความภาคภูมิอยู่
ตลอด ความคิดเป็นไปในแบบสงสารตัวเอง
อยากฟ้องฟ้า น้อยใจวาสนา เพียรพยายามนิด
หน่อยก็นึกว่าเพียรพยายามมากแล้ว ชีวิตปรากฏ
เหมือนเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ถึงครึ่ง
ทางสู่ดาวเลยสักดวง
"เท่าที่มะแมจับความรู้สึกได้ ระหว่างมีชีวิต
คุณแต๊กเห็นพ่อเป็นฮีโร่ และพยายามเป็นฮีโร่ให้
ได้อย่างพ่อ"
รักสุรีย์ยิ้มออกเมื่อมะแมทักถูก จึงเกิด
ความหวังว่าจะรู้เรื่องในปรโลกของลูกแน่นอน
"ใช่ ! เขาเป็นอย่างนั้น"
ฝ่ายคณินทร์ย่นคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่าไม่
แปลกถ้าแฟนพันธุ์แท้ของเขาจะรู้ซอกแซกเกี่ยว
กับรายละเอียดต่างๆในชีวิตตน
มะแมสัมผัสกระแสความคลางแคลงใน
หล่อนที่ลอยมาจากคณินทร์ ถือเป็นคลื่นรบกวนที่
ทำาให้จิตหล่อนขุ่น เนื่องจากกระแสจิตของเขามี
ความแรง
สาวพลังจิตจึงคิดขจัดคลื่นรบกวนนั้นทิ้ง
เสียแต่เนิ่นๆ โดยหันมาพูดกับคณินทร์ตรงๆ
"คุณแต๊กตายโดยไม่รู้ตัว ต่อหน้าท่านคณิ
นทร์ใช่ไหมคะ?"
สายตาคมปลาบทำาเอาท่านรัฐมนตรีใหญ่
ผวาหน่อยๆ
"เหอ?"
คลื่นรบกวนอันเกิดจากความคลางแคลง
หายวับ แล้วกลับแทนที่ด้วยกระแสความรู้สึกทึ่ง
อึ้ง งงงัน งานนี้ไม่มีทางเล่นกลแหกตาหรือใช้
จิตวิทยาอ่านสีหน้า เพราะเหตุสลดที่เกิดขึ้นปิด
เป็นความลับสุดยอด แม้งานศพในช่วงเย็นก็บอก
แค่ญาติคนสนิทให้ไปร่วมรับรู้เพียงไม่กี่คน
สีหน้าของมะแมผ่อนคลายลง ด้วยความ
เชื่อมั่นในตนเองหนักแน่นขึ้น หล่อนทำาความรู้สึก
เข้าไปในอาการหลงตายแบบไม่รู้ตัวของนาย
แต๊ก ครู่หนึ่งก็เห็นนิมิตรูปศีรษะมีบาดแผลอันเกิด
จากการทะลุผ่าน
แม้เห็นไม่ชัดนัก แต่มะแมก็ค่อนข้างแน่ใจ
ว่าจะแทงหวยไม่ผิด
"ถูกยิงเข้าสมองส่วนหน้าใช่ไหมคะ?
เพราะความรู้สึกนึกคิดดับวูบฉับพลัน"
คณินทร์หายใจขัด เอนหลังพิงพนัก คุม
สีหน้าไม่ให้แสดงอาการอัศจรรย์ใจออกมา อันที่
จริงเขาทราบหรอกว่าศรีภรรยาชอบไปหาคนเล่น
ทางในบ่อยๆ แต่ก็ปล่อยตามสบาย ไม่เคยตาม
ไปพิสูจน์ความจริงสักที เพิ่งครั้งนี้พอเจอกับตัว
ทำาเอาถึงกับอึ้งงันพูดไม่ออก
"หนูเห็นได้จริงๆหรือนี่ ?"
"มะแมก็ต้องสอบถามเอาความแน่ใจ
เหมือนกันค่ะ ยังไม่ถึงขั้นเห็นแจ่มชัดเป็นผู้วิเศษ
หรอก... พอจะมีรูปคุณแต๊กไหมคะ? มะแม
ต้องการเช็คว่านิมิตที่เห็นตรงกันกับคุณแต๊กหรือ
เปล่า"
รักสุรีย์เตรียมมาอยู่แล้ว จึงหยิบอัลบั้มรูป
จากกระเป๋าสะพายมายื่นให้มะแมทันที
สาวพลังจิตเปิดดูผ่านๆ นายแต๊กเป็นชาย
วัยไล่เลี่ยกับหล่อน ใบหน้าเรียวยาว รูปร่างสูง
โปร่ง บางภาพดูดี บางภาพดูผอมเก้งก้าง บาง
ภาพโคลสแววตาชัดจนเห็นแววสับสน แบบคนที่
ยังหาตัวเองไม่เจอ และวนเวียนอยู่กับการค้นหา
ไม่เลิก
มะแมใช้เวลาครู่เดียว รวบรวมคำาพูดที่ตรง
ความจริง และเป็นความจริงที่ฟังแล้วสบายใจ
ที่สุด
"คุณแต๊กเป็นหนึ่งในตัวอย่างให้เห็นว่า คน
เราจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าก่อนตายใจร้าย
หรือใจดี ... ลูกคุณหญิงไม่ใช่คนใจร้ายแน่นอนค่ะ
ถ้าเดาไม่ผิด ตั้งแต่เด็กๆ เขาเดินไปเห็นขอทาน
ที่ไหน ก็ขอตังค์คุณหญิงยื่นให้ที่นั่น ใช่ไหมคะ?"
รักสุรีย์ฉีกยิ้มกว้าง
"จริงด้วย!"
มะแมเบนสายตามาหาคณินทร์ ซึ่งเมื่อ
สบตากัน คณินทร์ก็ขยับตัวหน่อยๆ และบอก
ตนเองว่าชักไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้มองมาทางตน
เสียแล้ว
"ส่วนลึกของคุณแต๊กอยากทำาให้ได้อย่าง
ท่านนะคะ ช่วยคนให้มีงานทำา ช่วยทำาให้รู้สึกมี
ค่า"
"เหรอ?"
คณินทร์ลดเปลือกตาลงเมื่อนึกถึงลูกชาย
เขารู้แต่ว่าชั้นหนึ่งอยากเป็นให้ได้อย่างเขา และ
แม้ชั้นหนึ่งเคยพูดเรื่องโครงการช่วยเหลือเพื่อน
มนุษย์ เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าฝ่ายนั้นอยากทำาจริงจัง
ด้วยใจเลย มองไปว่าลูกคิดเล่นๆ อยากทำา
ประเดี๋ยวประด๋าวประสาคนไม่มีอะไรทำามากกว่า
อย่างอื่น
"สรุปว่าคุณแต๊กตายด้วยใจที่อยากเอาดีนะ
คะ ไม่ใช่ตายตอนใจร้าย คราวนี้ท่านคณินทร์กับ
คุณหญิงคงทราบว่าควรจะห่วงเขาหรือสบายใจ"
รักสุรีย์อยากยิ้ม แต่ทำาไมขัดๆอยู่ในอกก็ไม่
ทราบ
"เอ้อ... มะแมจ๊ะ"
"คะ?"
"นายแต๊กเขา..." พูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก
นัก แต่ในที่สุดก็หลุดออกไปจนได้ "เขาเป็นเกย์
นะ ฉันเคยได้ยินว่าพวกนี้เป็นคนบาป ตาย
แล้วไปไม่ดี เรื่องนี้มันยังไง เป็นความจริงหรือ
เปล่า?"
มะแมสะดุดนิดหนึ่ง เพราะเมื่อครู่ไม่ได้ดูว่า
จิตนายแต๊กบิดเบี้ยวสักแค่ไหน แต่เมื่อทราบ
ข้อมูลเช่นนั้นก็แก้ความเข้าใจให้ผู้อยู่ข้างหลัง
"บาปคือคิดร้ายกับคนอื่น คำาถามคือ เกย์
นี่จำาเป็นต้องคิดร้ายกับคนอื่นไหม? มันไม่จำาเป็น
ค่ะ และมะแมก็คิดว่าจิตแบบคุณแต๊กไม่ใช่คน
บาปหรอก"
"คิดผิดๆ บิดๆเบี้ยวๆทางเพศก็ไม่เป็นไร
หรือ?"
"เป็นชายรักหญิง แต่ดักข่มขืนผู้หญิงได้ ได้
ชื่อว่าคิดทำาเรื่องบิดเบี้ยวกว่าเกย์เยอะ... เกย์ทำา
ดี มีบุญติดตัวไปมากกว่าชายทำาชั่วแน่ๆ!"
รักสุรีย์กะพริบตาสองสามที อย่างไรใจก็ยัง
คลายไม่หมด
"ไหนบอกชัดๆได้ไหม ตอนนี้นายแต๊กเขา
ไปอยู่ไหน สบายหรือลำาบาก ฉันรู้สึกว่าเธอปลอบ
ให้สบายใจมากกว่าพยายามตอบคำาถามตาม
ตรง... บอกความจริงมาเถอะ ฉันจะได้ทำาบุญ
อุทิศส่วนกุศลไปให้เขา"
มะแมผ่อนลมหายใจยาวก่อนตอบซื่อๆ
"คุณแต๊กกำาลังฝันอยู่ค่ะ ไม่รู้ตัวว่าตาย
ไม่รู้ตัวว่าเป็นใคร เหมือนกับที่พวกเราเป็นกันทุก
คืนขณะหลับ... กรรมเก่าสั่งให้เขาตายแบบตั้งจิต
เตรียมใจไม่ได้เลย"
"หมายความว่าเขายังไม่ไปเกิดหรือ?"
"จิตดวงใหม่ที่แตกต่างจากจิตในภพมนุษย์
อุบัติขึ้นแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่จิตเดิมของคุณแต๊กซัด
ส่าย มีกำาลังอ่อน จิตที่อุบัติใหม่เลยโซเซอยู่ เท่าที่
มะแมเห็น ก็คงกินเวลาระยะหนึ่งกว่าจะรู้สึกตัว
แบบสะลึมสะลือ"
"ที่เขาว่าสามวันเจ็ดวัน วิญญาณจะกลับมา
หาญาติ ก็เพราะเพิ่งฟื้นตัว ฟื้นสำานึกและความ
ทรงจำางั้นหรือ?"
"มะแมยังเห็นมาไม่มากพอจะยืนยัน แต่
บอกได้ตามคัมภีร์อย่างหนึ่ง คือพวกที่กลับมาหา
ญาติได้นี่ ถ้าไม่เป็นพรหมก็เทวดา หรือเปรต...
หากเกิดใหม่เป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ หรือตกไป
อยู่ในนรก ก็คงหมดสิทธิ์กลับมา"
"แปลว่าถ้าจะขอให้เธอพูดคุยกับลูกชายฉัน
เดี๋ยวนี้ ก็คงไม่ได้ ?"
"ค่ะ ไม่ได้ "
"เธอปลุกเขา หรือช่วยให้เขารู้สึกตัวไม่ได้
หรือ?"
"มะแมไม่ทราบวิธีค่ะ แต่รู้อย่างหนึ่งว่าถึงมี
วิธีอยู่จริง ก็ต้องอาศัยกำาลังมากกว่ามะแมเยอะ"
"ถ้าฉันทำาบุญอุทิศให้เขาตอนนี้ จะช่วยบ้าง
ไหม?"
"อุทิศให้เขาบ่อยๆก็เหมือนเอาความสว่าง
จากเราไปทำาให้ความรับรู้ของเขาสว่างไสวขึ้นได้
ค่ะ แม้ในขณะที่เขายังงัวเงียสะลึมสะลืออยู่ก็ตาม
อย่างน้อยก็อาจช่วยให้เขาตื่นเร็วขึ้น"
"ดี ... ฉันจะได้เร่งทำาให้เขาสบาย"
"เขาจะได้สบายหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่เรา
สบายที่ได้ทำานั่นแหละค่ะ"
คณินทร์ขมวดคิ้ว ใจหนึ่งชักเลื่อมใสสาว
น้อยตรงหน้า แต่อีกใจก็ระแวงประสาคนที่อยู่ใน
ดงเสือสิงห์กระทิงแรดมาทั้งชีวิต
"แล้วใครเป็นคนสั่งฆ่าผม?"
โพล่งถามอย่างเข้าใจว่าถ้ามะแมรู้ดี ก็ต้อง
ตอบได้ทุกข้อ
สาวพลังจิตฟังแล้วก็ทราบทันทีโดยไม่ต้อง
อาศัยสัมผัสพิเศษ เรื่องถึงเลือดถึงเนื้อครั้งนี้คือ
การจ้างวานสังหารกัน เป้าหมายที่แท้จริงคือคณิ
นทร์ แต่ลูกชายที่นั่งอยู่ด้วยรับเคราะห์ไปแทน
"ขออนุญาตไม่ดูให้ได้ไหมคะ เพราะขัดกับ
กฎการทำางานของมะแม"
"ขัดยังไงหรือ?"
สีหน้าสีตาของคณินทร์ยังเป็นปกติ แต่เสียง
เริ่มขุ่นแบบคนไม่ได้อย่างใจ
"ถ้าคำาบอกของมะแมกลายเป็นเบาะแสให้
ท่านคณินทร์ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลัง ก็คงเกิด
การตามล้างจองเวรกัน มะแมไม่อยากให้คำาพูด
ของตัวเองกลายเป็นต้นเหตุให้มีคนตายเพิ่ม"
"แล้วถ้าหนูไม่บอกผม ผมจะระวังหน้าระวัง
หลังได้อย่างไร?"
"บอกหรือไม่บอก อย่างไรช่วงนี้ท่านก็ต้อง
ระวังตัวเต็มอัตราศึกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมะแม
เลือกที่จะไม่บอก เพื่อช่วยไม่ให้ท่านต้องเพิ่ม
ความเสี่ยงจากการคิดเล่นงานใครอีก"
"หนูคิดปล่อยให้คนชั่วลอยนวลหรือ?"
"ไม่มีใครลอยนวลจากเมล็ดพันธุ์ความชั่วที่
ตัวเองเพาะไว้ได้หรอกค่ะท่าน การคิดฆ่ามนุษย์
เป็นบาปใหญ่ ไม่ต่างจากเพาะเมล็ดพันธุ์ฺของต้น
หนามไว้ในชีวิต เมื่อไหร่ถึงเวลาโต เมื่อนั้น เมล็ด
พันธุ์ย่อมงอกออกมาเป็นหนามทิ่มแทงให้เกิด
บาดแผลทางวิญญาณ แล้วมีของแถมเป็น
บาดแผลตามเนื้อตัวในภายหลังอยู่แล้ว"
คณินทร์แค่นยิ้ม
"หนูจะให้ผมรอวิบากกรรมลงโทษวายร้าย
ไปเอง?"
"ถึงมะแมเห็นว่าใครบงการ คำาพูดของ
มะแมก็ไร้หลักฐาน การเอาคำาพูดที่ไร้หลักฐานไป
จับตัวใครมาลงโทษนับเป็นอัปมงคล สิ่งที่ตามมา
ต้องร้ายมากกว่าดีแน่ๆ คิดดูสิคะ ถ้ามะแมพูดผิด
หรือท่านตีความคำาพูดของมะแมผิด ไปคิดจอง
เวรกับคนที่ไร้ความผิด บาปใหญ่จะตกอยู่กับ
ใคร? เรื่องนี้ขอให้พึ่งตำารวจซึ่งมีวิธีการพิสูจน์
หลักฐานเถิดค่ะท่าน"
"อย่าโยกโย้เลย หนูบอกผมมาเถอะ เรื่อง
ค่าตอบแทนรับรองว่าไม่อั้น แล้วก็รับประกัน
ความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมสัญญาว่าจะ
ไม่มีใครรู้ว่าหนูคือกุญแจอย่างเด็ดขาด!"
"เห็นใจเถอะนะคะ มะแมดูให้ไม่ได้จริงๆ ไม่
เกี่ยวกับค่าตอบแทนหรือเหตุผลอื่นใดทั้งนั้น!"
น้ำาเสียงหล่อนเรียบ เย็น นุ่มนวล แต่หนัก
แน่น สอดคล้องกันกับสายตานิ่งๆที่ประกาศ
เจตจำานงชัดแจ้ง
คณินทร์ทำาหน้าเครียด เยี่ยงผู้มีอำานาจล้น
ฟ้าที่ถูกขัดใจ ยิ่งทราบว่ามะแมให้ความนับถือตน
อยู่ก่อน แต่ไม่ยอมตามใจอย่างนี้ ก็ยิ่งเคือง
เข้าไปใหญ่
ทว่าหลังจากจ้องตากันครู่หนึ่ง ความงาม
กระจ่างที่ปราศจากความกลัว นิ่งอยู่กับจุดยืนอัน
เป็นตัวของตัวเองแบบมะแม ก็กลายเป็นสิ่งเร้าใจ
ใหม่ ทำาให้คณินทร์คลี่ยิ้มมุมปากไปแทน
ดื้อๆแบบนี้เขาชอบนัก!
"เอาล่ะ... ผมไม่บังคับใจหนูก็ได้ "
"ขอบพระคุณค่ะ!"
ยิ่งมอง ยิ่งฟัง คณินทร์ยิ่งนึกพิศวาสความ
คมคายของมะแมมากขึ้นทุกที ความอยากชำาระ
แค้นลดลง เปลี่ยนเป็นอยากปลดกระดุมเสื้อ
หล่อนขึ้นมาแทน
แล้วเขาก็เผลอสำารวจสัดส่วนของหล่อนชั่ว
ขณะหนึ่ง ด้วยความอยากเห็นว่าใต้ร่มผ้าจะ
บาดตาบาดใจเหมือนคำาพูดหรือไม่
ถ้าให้ตีราคาความอยากได้เป็นเงิน เขาเคย
หมดไปมากที่สุด ๒๐ ล้านกับการซื้อผู้หญิงสวย
ระดับใจมาตามาเป็นสมบัติส่วนตัว แต่บอกได้
เลยว่าเขายอมเซ็นเช็คจ่ายทันที ๕๐ ล้านเพียง
สำาหรับคืนแรกกับหล่อนคนนี้ !
พอจุดชนวนด้วยความคิดทุ่มเงิน ไฟราคะก็
ลุกโชนเป็นจริงเป็นจัง ประสาเพลย์บอยที่อยาก
ได้ต้องเอาให้ได้ กะแค่ผู้หญิงเจ้าของโฮมออฟฟิศ
เล็กๆจะปฏิเสธเงินหลักสิบล้านได้สักกี่น้ำากัน?
"เอาล่ะ..." คุณหญิงรักสุรีย์เป็นคนเอ่ย
เมื่อเห็นบรรยากาศชักไม่ค่อยดี "คืนนี้ฉันขอบใจ
เธอมาก แต่หวังว่าโอกาสหน้าจะได้รับความช่วย
เหลือจากเธอเกี่ยวกับนายแต๊กอีก"
สุ้มเสียงให้เกียรตินั้น ชวนให้มะแมหันไป
แย้มยิ้มเต็มใจ
"ด้วยความยินดีค่ะคุณหญิง"
รักสุรีย์เอ่ยชวนสามี
"เรากลับกันทีรึ ? รบกวนหนูมะแมนาน
แล้ว"
"เดี๋ยว... ผมขอเวลาอีกสักสิบนาที ผมชัก
สนใจอยากศึกษาเรื่องจิตวิญญาณขึ้นมาแล้วสิ "
มะแมประสานตากับคณินทร์อย่างรู้ทัน
เข้าไปถึงก้นบึ้งจิตใจ อยากศึกษาเรื่องจิต
วิญญาณหรือ? เห็นๆอยู่ว่าฝ่ายนั้นกำาลังอยาก
กระโจนเข้ามาขย้ำาหล่อนมากกว่า!
แต่จะเป็นไรไปเล่า ที่หล่อนอุตส่าห์ลงทุน
ลงแรงไปกับคุณหญิงรักสุรีย์มาขนาดนี้ เป้า
หมายสุดท้ายก็เพื่อเข้าถึงตัวท่านรัฐมนตรีตรง
หน้ามิใช่หรือ?
ในกรณีที่คำาพยากรณ์ของอัคระเป็นจริง ก็
อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะสามารถ
เปลี่ยนแปลงผู้ชายคนนี้ได้แค่ไหน และผลของ
การเปลี่ยนแปลงจะแผ่รัศมีกว้างขวางออกไปสัก
เพียงใด
ฝ่ายคณินทร์นั้น มองความนิ่ง กล้าสานตา
ไม่หลบของมะแมว่านั่นคือการประกาศท้าความ
สามารถของเขา!
"หนูช่วยบอกผมทีได้ไหมว่าเริ่มมีสัมผัสทาง
จิตตั้งแต่เมื่อไหร่ "
มะแมยิ้มบางๆ การเห็นทั้งเปลือกนอกและ
แก่นในของมนุษย์ ทำาให้รู้สึกเหมือนคณินทร์
กำาลังเล่นละครตลก ราคะของเขาเหมือนลาวา
เดือดปุด พร้อมจะไหลเป็นน้ำาลายออกมาทางมุม
ปากอยู่รอมร่อ แต่ยังอุตส่าห์วางมาดสุภาพ
เคร่งขรึมเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือได้อย่างเนียน
แต่หล่อนก็ไม่ถือสา และความเป็นคนไม่
ถือสาก็ช่วยให้หล่อนแยกชั้นความรู้สึกได้
ระหว่างความเคารพดั้งเดิม กับความสังเวชใจที่
เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
"เริ่มต้นมีจิตสัมผัส? อือม์ ... ก็จาก
ประสบการณ์ทางใจในชีวิตประจำาวันธรรมดาๆนี่
แหละค่ะ สัมผัสแรกที่เกิดขึ้นแจ่มชัด มะแมจำาได้
สนิท ตอนนั้นยังไม่เคยเรียนรู้จากที่ไหนมาก่อน"
คณินทร์ทำาหน้าสนใจฟัง
"ยังไง"
"ขอเล่าตรงๆเลยนะคะ"
"ต้องงั้นสิ "
"สมัยยังเรียนหนังสือ มะแมมีแฟนคนหนึ่ง
ปกติจะใจเย็น อยู่ใกล้แล้วสบายใจ อากาศรอบ
ตัวเหมือนปลอดโปร่ง ท่านคณินทร์คงพอจะ
นึกออกนะคะ คนแบบนั้น"
"นึกออก"
"วันหนึ่ง มะแมกำาลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
แล้วแฟนย่องมาข้างหลังเงียบๆ ตอนนั้นมะแมรู้
ได้โดยไม่ต้องหันหลังไปมอง"
"เพราะกระแสความปลอดโปร่งของแฟน
หนูลอยมาให้สัมผัสและจำาได้ ?"
คณินทร์เดา แต่มะแมสั่นศีรษะปฏิเสธ
"มิได้ค่ะ ตรงกันข้ามเลย"
"อ้าว!"
"มันมีความเข้มข้นบางอย่างก่อตัวเป็นรูป
เป็นร่างชัด ถ้าเรียกกันเป็นภาษาชาวบ้านก็คง
ประมาณว่า... ตัวหื่น!"
ท่านรัฐมนตรีใหญ่สะดุ้งหน่อยๆ แม้เสียง
เล่าของหญิงสาวจะราบเรียบ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึง
หางเสียงที่ส่งแรงกระทุ้งมาถึงเขา
"เอ๋อ" คณินทร์ทำาเป็นหัวเราะ "ยังไงเอ่ย?"
"จริงๆผู้หญิงทุกคนน่าจะสัมผัสได้ เวลา
โดนหนุ่มๆจดจ้องด้วยความรู้สึกอัดอั้นแบบเพศผู้
เพียงแค่ครั้งนั้นไม่ธรรมดาตรงที่มะแมกำาลังนั่ง
หันหลังให้ และตาก็จดจ่ออยู่กับหนังสือ แต่ไหงก
ลับรู้สึกถึงเงาทะมึนของแฟนที่อยู่เบื้องหลังได้ "
คณินทร์ชักนั่งไม่เป็นสุข ขยับมือขึ้นลูบลูก
คางเกร็งๆ เพราะรู้สึกว่ากำาลังฟังเรื่องเข้าตัว
เพียงแต่สำาเนียงของหญิงสาวราบเรียบสนิท ไม่
เหมือนแกล้งตีวัวกระทบคราดเท่าใดนัก
"เหรอ... อือม์ ... แล้วหนูหันกลับไปก็เจอ
แฟนกำาลังแอบจ้องมองอยู่จริงๆใช่ไหมล่ะ?"
"ค่ะ! กำาลังยืนทำาสายตาน่ารังเกียจอยู่ที
เดียว"
หญิงสาวยิ้มรื่นเล่าขำาๆ และชายวัยพ่อก็
ช่วยหัวเราะแปร่งๆ
"แล้วไงต่อ หนูต่อยอดมาเป็นการรู้จัก
พัฒนาจิตสัมผัสได้ยังไง?"
"มะแมเริ่มสังเกตความแตกต่างในดวงจิต
ของมนุษย์เราค่ะ ปกติตอนคิดฟุ้งๆหรือเหม่อๆ
ตามเรื่องตามราว ดวงจิตจะอยู่ในสภาพแตกซ่าน
รวมไม่ติด สัมผัสเข้าไปจะไม่รู้สึกเหมือนมีรูปร่าง
ทางจิต"
"อือม์ ..."
คณินทร์ผงกศีรษะน้อยๆอย่างพอจะนึกตาม
ได้ นึกถึงความฟุ้งซ่านเหม่อลอยเป็นปกติของ
ลูกชายทีไร รู้สึกเหมือนแหวกว่ายอยู่ในหมอก
ควันน่ารำาคาญที่จับต้องไม่ได้ทุกที
"แต่ถ้าคนๆหนึ่งเกิดราคะจัด หรือบันดาล
โทสะรุนแรง ดวงจิตจะรวมกระแสเป็นหนึ่งเดียว
ก่อให้เกิดความชัดเจนขึ้นมาแบบหนึ่ง"
รักสุรีย์ฟังมะแมพูดเช่นนั้นแล้วชักสนใจ
เพราะคุ้นกับประสบการณ์สัมผัสทำานองนั้นมา
บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ไม่เคยคุยกับใครจริงจัง
อย่างมากก็บ่นๆหรือนินทากับเพื่อนทำานองว่าตา
นี่ท่าทางหื่นๆ ตานั่นหัวคล้ายหม้อไหที่มีงูชูคอ
โผล่ขึ้นมา ก็เท่านั้น
"อย่างที่เธอเห็นราคะของแฟนเป็นรูปเป็น
ร่างนี่เหมือนอะไร?"
"เขาย่องมาข้างหลัง มะแมจำากระแสความ
เป็นเขาได้ คือยังมีรูปร่างหน้าตาอันเป็น
เอกลักษณ์ความเป็นเขาอยู่ แต่เพี้ยนไป เหมือน
แปลงร่างจากเทพบุตรผู้น่ารักเป็นปีศาจราคะ มืด
ทะมึน สูงใหญ่ขึ้น แล้วก็มีความอัดอั้น
กระวนกระวาย ผิดไปจากความสดใสปลอดโปร่ง
แบบเดิมๆ"
คณินทร์และรักสุรีย์ทำาหน้าเข้าใจ แสดงว่า
เป็นประสบการณ์สามัญที่ทุกคนเคยคุ้นมาก่อน
ยามสัมผัสคนที่มีความกำาหนัดแรง
"ช่วงนั้นเผอิญมะแมเข้าอินเตอร์เน็ต เจอ
คนโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการทำาวิปัสสนาตามพ
ระพุทธเจ้า ก็เกิดความประหลาดใจค่ะว่าท่านก็ให้
เห็นอะไรทำานองนี้เหมือนกัน"
"งั้นเรอะ?" บุรุษอาวุโสทำาหน้าฉงน "เห็น
อย่างนี้เป็นวิปัสสนาด้วยเหรอ?"
"คือท่านให้ดูใจตัวเอง เห็นจิตโดยความ
เป็นภาวะที่ไม่เหมือนเดิม แตกต่างไปเรื่อยๆ เมื่อ
ไหร่มีราคะให้รู้ว่ามีราคะ เมื่อไหร่ราคะหายไปก็
ให้รู้ว่าราคะหายไปเมื่อรู้ว่าลักษณะราคะในตน
เป็นอย่างไร ก็จะพบว่าราคะเป็นธรรมชาติที่เหมือ
นๆกัน ตอนมีราคะ จิตคนเราไม่ต่างกันโดยมูล
เราเห็นของตัวเองได้ ก็เห็นของคนอื่นได้ "
ท่านรัฐมนตรีฟังจบถึงกับหมดอารมณ์
เพราะไม่อยากมีราคะให้มะแมเห็น ไปๆมาๆจึงได้
แต่หัวเราะแก้เก้อ
"ประสบการณ์ในชีวิตประจำาวัน ก็คือ
ประสบการณ์ทางจิตสินะ ใครจะสังเกตเห็นหรือ
เปล่าเท่านั้น"
"ค่ะ... เรื่องพวกนี้เราไม่ค่อยคุยกัน เพราะ
ปกติจะไม่สังเกต ถ้าเป็นราคะของเราเอง เราจะ
หน้ามืดเหมือนถูกแม่เหล็กดูดให้วิ่งเข้าใส่ แต่ถ้า
เป็นกลิ่นอายราคะของคนอื่น เราจะรังเกียจ หรือ
ไม่ก็เกิดอารมณ์คล้อยตาม ขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจ
หรือไม่พอใจคนๆนั้น"
"สรุปคือหนูเริ่มเห็นจิตคนตอนมีสภาพเป็น
ราคะและโทสะแรงๆ?"
"นั่นเป็นช่วงเริ่มต้นค่ะ พอแน่ใจว่าเห็น ก็
เห็นแยกย่อยต่อไปอีกว่าวิธีที่แต่ละคนเกิดราคะ
และโทสะนั้นต่างกัน แรงอัดของราคะและโทสะก็
หนักเบาผิดกัน เลยเชื่อมโยงไปให้เห็นว่าที่มาที่
ไปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตามใจตัวเองมากก็
ร้อนแรง ข่มใจตัวเองเกินก็อึดอัด"
"หมายถึงการควบคุมอารมณ์ เป็นตัว
จำาแนกให้เกิดความแตกต่างกันน่ะเหรอ?"
"ค่ะ! มะแมเล็งเห็นว่ากรรมของแต่ละคน
ต่างกันจากจุดใหญ่จุดนี้แหละ ทุกคนมีกิเลส แต่
จะอดกลั้นหรือคล้อยตามกิเลสไม่เท่ากัน ถ้าใคร
ลอยตัวอยู่เหนือกิเลสผิดๆได้เป็นปกติ ก็จะเป็น
คนมีจิตใจปลอดโปร่ง เยี่ยงคนถือศีล ๕ สบายๆ
เพราะใจไม่เอาบาปอยู่เอง"
"อย่างผมรู้สึกถึงใจที่ปลอดโปร่งสบายของ
หนูในตอนนี้ นี่ก็คือผลรวมของการที่ใจไม่เอา
บาป?"
"รูปจิตในวินาทีนี้ คือผลรวมของกรรม
ทั้งหมดที่ผ่านมา ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป และ
กรรมทั้งหมดที่ผ่านมา ก็ยืนอยู่บนการตามกิเลส
หรือฝืนกิเลส"
"คำาว่า 'รูปจิต' ที่หนูใช้นี่เหมือนกายทิพย์
หรือร่างที่จะเกิดขึ้นหลังความตายหรือเปล่า?"
"เอาเป็นว่ารูปจิตพอจะส่อได้ค่ะว่าถ้าตาย
เดี๋ยวนี้ ใครจะไปดีหรือไปร้าย หล่อสวยหรือน่า
เกลียดประมาณไหน"
"รูปจิตนี่ไม่จำาเป็นต้องเสมอกันกับรูปกายที่
เป็นหน้าตาภายนอกใช่ไหม?"
"ค่ะ! บางคนรูปหล่อ รูปสวย เพราะสั่งสม
กรรมอันน่าเจริญหูเจริญตาไว้ในปางก่อน แต่
กรรมในปัจจุบันตกแต่งให้รูปจิตภายในขี้เหร่
มาก"
"ถ้ายังไม่ตาย ก็มีโอกาสกลับไปกลับมา
พัฒนาหรือเสื่อมลงได้ตลอดเวลา แล้วแต่ช่วง
ไหนจะสั่งสมนิสัยอย่างไรใช่ไหม?"
มะแมมองคณินทร์ยิ้มๆ คำาถามของเขา
สะท้อนว่าสังเกตเห็นอะไรอย่างนี้ด้วยตนเองมา
ก่อนอยู่แล้ว
"ค่ะท่าน รูปกายหลอกว่ามีตัวเราอยู่ตัว
หนึ่ง แต่จิตเปลี่ยนไปเรื่อยๆทั้งวันทั้งคืน สว่าง
บ้าง มืดบ้างตามกรรม กรรมทางความคิดอาจถูก
ปกปิดไปทั้งชาติ แต่จะถูกเปิดโปงล่อนจ้อนที่รูป
ร่างหน้าตาในชาติถัดไป หรือไม่ก็สําหรับคนที่
สามารถเห็นรูปจิตอยู่เดี๋ยวนี้ "
รักสุรีย์ถามด้วยสีหน้าอยากรู้เต็มที่
"อย่างจิตฉันตอนนี้ มันเป็นรูปร่างยังไง?"
มะแมปรายตามองคุณหญิง เห็นอยู่ว่ารูป
จิตโดยรวมยังสกปรก ถ้าขาดใจตายปัจจุบันทัน
ด่วน ก็คงไม่พ้นวิสัยเปรตหรือวิสัยเดรัจฉาน
แต่จะให้บอกแบบเปิดเผยตามตรง คุณ
หญิงคงเสียกำาลังใจ ไม่อยากทำาบุญต่อ ทั้งที่
อุตส่าห์เริ่มบากบั่นมาบ้างแล้ว จึงเบี่ยงเบนให้
สนใจภาวะในปัจจุบันเดี๋ยวนั้นแทน
"จิตของคุณหญิง ก็เป็นจิตที่เกิดความ
อยากรู้ไงคะ"
"นั่นสิ แล้วเธอเห็นเป็นรูปจิตยังไง?"
"คุณหญิงเห็นเองก็ได้ค่ะ เริ่มจากรับรู้ว่าตัว
เองอยู่ในอิริยาบถแบบไหน ตั้งท่าอยู่ยังไงก็ให้
รู้สึกแบบนั้น หลังตรงหรือหลังงอ แขนขางอหรือ
เหยียดอยู่ เอาเท่าที่รู้สึกได้ตามจริงเป็นพอ"
รักสุรีย์รู้สึกถึงหลังที่งอเล็กน้อยตามสบาย
คอเอียง ศีรษะเอนหน่อยๆ เปลี่ยนเป็นตั้งตรง ขึ้น
มา
"แล้วไง?"
มะแมสัมผัสถึงอาการเกร็ง เจืออยู่ด้วย
ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลิกของฝ่ายนั้น จึงบอก
ว่า
"ในอาการทางกายที่กำาลังเป็นอยู่ เท่าที่
คุณหญิงรู้สึก ก็คือมโนภาพว่ามีตัวคุณหญิงนั่งอยู่
ให้ความรู้สึกว่าเป็นสตรีรูปร่างหน้าตาและท่าทาง
อย่างนี้ ผมยาวประบ่า ประมาณนี้ ถูกไหมคะ?"
"อือ... รู้สึกอย่างนั้น"
ตอบรับอย่างเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆตาม
ปกติ
"นั่นแหละค่ะ เรียกว่านิมิตของผู้หญิงคน
หนึ่งกำาลังนั่งสงสัยอยู่ ถ้ารู้สึกได้ ก็คือเห็นจิตของ
ตัวเองว่ากำาลังเป็นอย่างไร"
ชั่วขณะหนึ่งที่รักสุรีย์รู้สึกถึงรูปจิตในท่านั่ง
ของตน ก็เห็นความพร้อมจะคิดไม่ดี เป็นไปเพื่อ
ความมืดหม่น หาความสว่างสดใสเต็มดวงมิได้
จึงอ้อมแอ้ม
"ถ้าดูตามเธอว่า รูปจิตฉันตอนนี้คงมัวซัว
กะดำากะด่าง เลอะๆเทอะๆชอบกลนะ ฉันเห็นตรง
กับความจริงหรือเปล่านี่ ?"
มะแมหัวเราะให้ฟังออกเป็นเรื่องขำา
มากกว่าจริงจัง
"เห็นไปเรื่อยๆก็จะไม่ประมาท ไม่อยากทำา
แม้แต่บาปเพียงเล็กน้อย วันต่อวันก็จะพบว่า
ภายในของเราสว่างจนเต็มดวงไปเองแหละค่ะ"
"ถ้าตายไปในวันที่รู้สึกสว่าง ถึงจะได้ไปดี
ใช่ไหม?"
"ก็ประมาณนั้นค่ะ แต่ต้องสบายใจเป็นปกติ
ด้วยนะคะ ไม่ใช่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ความ
สบายใจเป็นปกติคือเครื่องยืนยันว่ารูปจิตของเรา
มีความชัดเจนคงเส้นคงวา ไม่ใช่ภาพล้มลุก กลับ
ไปกลับมาง่าย"
ตอบแล้วมะแมเองก็ได้คิด จริงๆมีการเฉลย
คร่าวๆอยู่แล้ว ว่ากรรมที่ทำาๆกันอยู่จะบังเกิดผล
ในคติเบื้องหน้าท่าไหน ถ้าปกติอึดอัดใจมากก็มี
แนวโน้มจะหน้าตาไม่น่าดู แต่ถ้าปกติสบายใจ
มากก็มีแนวโน้มจะหน้าตาชวนชม
และเมื่อมองอย่างคนเห็นวิญญาณ นาทีนี้
มะแมจึงรู้ซึ้งว่า "ตายแล้วเกิดใหม่ " มีได้จริง
ตั้งแต่กายยังทรงสภาพเดิมอยู่ ดังเช่นคุณหญิง
รักสุรีย์ที่เคยเป็นพวกบอดสนิท ฆ่าคนยังไม่
ยอมรับว่าเป็นบาป มาบัดนี้ได้เกิดใหม่เป็นพวก
สว่างสลัว มีแก่ใจทำาบุญอุทิศให้เปรตทุกวัน รูป
จิตดูดีกว่าเดิมมาก
รักสุรีย์ยังอยากรู้อีก
"เมื่อสามารถเห็นจิตคนที่ยังมีชีวิตเป็นๆ ก็
สามารถเห็นจิตคนตายได้ ?"
"ใช่ค่ะคุณหญิง เพราะธรรมชาติของจิต ยัง
ไงก็ต้องเป็นรูปนิมิตอะไรอย่างหนึ่ง"
"แล้วที่เธอบอกว่าตาแต๊กเหมือนยังฝันวก
วนอยู่ จิตของเขามีรูปยังไง?"
"ไม่มีรูปที่แน่นอนไงคะ เป็นดวงจิตที่ซัด
ส่าย ยังคุมเป็นรูป รวมเป็นร่างไม่ได้ เหมือนกับที่
เมื่อครู่เราคุยเรื่องคนจิตฟุ้งซ่านเหม่อลอยกัน"
"แล้วจิตของผมล่ะเป็นยังไง?"
คณินทร์พลอยอยากรู้ขึ้นมาอีกคน
"วิธีคิดที่เป็นระเบียบชัดเจนของท่านคณิ
นทร์ ทำาให้จิตมีรูปคมชัด มีความคงที่แบบเป็นตัว
ของตัวเอง แล้วความเป็นใหญ่แบบคณะผู้
ปกครอง ความเป็นคนสำาคัญของประเทศ ก็ปรุง
ปั้นให้จิตมีรัศมีอำานาจกว้างขวางด้วย"
ท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์รู้สึกถึง
อัตตาที่พองโต ในท่านั่งภูมิฐานเป็นสง่าของตน
แล้วก็เริ่มเข้าใจว่าขณะนั้นจิตของตนที่ปรากฏใน
การรับรู้ของมะแมเป็นอย่างไร
"ผมเคยสังเกตเหมือนกันว่าแต่ละคนมี
ความเข้มข้นทางจิตวิญญาณไม่เท่ากัน เหมือน
เอาร่างกายมานั่งให้เราดูด้วยตา แต่ใจไม่ได้อยู่
ตรงนั้น หรืออ่อนเหลวจนกระทั่งใจเราไม่อาจรับรู้
ความเป็นเขา นี่ก็คือส่วนหนึ่งในการสัมผัสถึงจิต
เขาด้วยใช่ไหม?"
"ค่ะ คนจิตอ่อนจะไม่ค่อยเป็นที่จดจำา ถึงแม้
รูปร่างหน้าตาดีแค่ไหน ก็ขาดพลังประทับลงไป
ในความรู้สึกของคนเห็น แต่อย่างของท่านคณิ
นทร์ กายกับจิตเป็นไปในทางเดียวกัน คือพร้อม
ทำางานใหญ่ พร้อมออกตัวแรง พร้อมริเริ่มแปลก
ใหม่ คนเห็นท่านถึงได้จดจำาและนึกถึงท่านว่ามี
อิทธิพลในทางเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัว"
คณินทร์รู้สึกเหมือนไฟแห่งความเป็นนัก
เปลี่ยนแปลงกลับคุโชนขึ้นใหม่ หลังจากดับมอด
มาหลายปี
และชั่วขณะที่ไฟแห่งความเป็นนัก
เปลี่ยนแปลงโชติช่วงขึ้นมาจากคณินทร์นั่นเอง
ฝ่ายมะแมก็สัมผัสได้ถึงความเป็น "เรื่องใหญ่ "
เรื่องหนึ่ง ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา
ตัดรูปร่างหน้าตาออกไป มนุษย์แต่ละคน
คือแนวโน้มของเหตุการณ์ใหญ่น้อยที่จะเกิดขึ้นใน
โลก และคณินทร์ก็คือแนวโน้มของ "เหตุการณ์
ใหญ่ " ขอเพียงมีไฟพอ
พลังใหญ่อย่างคณินทร์ ถูกมองเป็นคติได้
สองแง่ ...
หากมองในแง่ความสามารถคิดสร้างสรรค์
ก็อาจกล่าวว่า ความคิดในหัวของคนดีนาทีเดียว
อาจกระเพื่อมออกไปเป็นความเจริญของโลกได้
นานนับศตวรรษ!
แต่ในคนๆเดียวกัน หากมองในแง่ความ
สามารถที่จะโลภ ก็อาจกล่าวได้เช่นกันว่า โจรหิว
โซ ยังเป็นภัยได้แคบจํากัดกว่าเศรษฐีที่อิ่มไม่พอ
เสียอีก!
เมื่อถืออำานาจการเปลี่ยนแปลงไว้ในมือ เขา
จะเป็นคนดีหรือคนโลภ อะไรคือตัวกำาหนด?
อันที่จริงงานเปลี่ยนใจนักการเมืองให้อยาก
เป็นคุณต่อโลก หาใช่ปฏิบัติการฝืนธรรมชาติไม่
เพราะนักการเมืองต้องสั่งสมบารมี ต้องเคยให้
อะไรกับคนหมู่มากมาบ้าง
สำาหรับคณินทร์ แค่ทำาให้กลับไปมีแก่ใจ
เหมือนเดิมก็พอ!
"รูปจิตของท่านคณินทร์ มีแนวโน้มพอที่จะ
ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตทีเดียวนะคะ"
คำานี้โดนใจคณินทร์มากที่สุดนับแต่นั่งฟัง
มาเป็นชั่วโมง เขาโน้มตัวมาข้างหน้าทันที เผลอ
ตัวถามแบบหมดมาดสุขุม
"แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็น?"
แทนที่จะตอบคำาถาม มะแมกลับทำาเป็นไม่
ได้ยิน แต่พูดอย่างที่อยากพูด
"สมัยท่านคณินทร์ทำารายการหัวเราะเยาะ
เคราะห์ร้าย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มะแมคิดในใจว่าพูด
ได้อย่างนี้ สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ"
"พูดว่ายังไง?"
คุณหญิงรักสุรีย์เป็นคนถาม เพราะใจก็
อยากให้สามีดำารงตำาแหน่งผู้นำาสูงสุดของ
ประเทศเช่นกัน
"ท่านว่า... ถ้ายิ่งใหญ่ไม่พอจะทําให้ลูกเมีย
มีความสุข แล้วจะมียศ มีตําแหน่ง มีเงิน
ไปทําไม?"
คณินทร์สะอึก ไม่กล้าชำาเลืองภรรยาว่า
กำาลังเกิดปฏิกิริยาเช่นไร แต่ครู่หนึ่งก็ยิ้มเจื่อนๆ
เอ่ยกับมะแม
"คุ้นๆนะ บางทีผมก็จำาไม่ค่อยได้ว่าปล่อย
มุขเด็ดอะไรไว้บ้าง บ่อยครั้งพอคนเอามาฉายซ้ำา
ให้ฟัง ยังนึกไม่ออกเลยว่าเป็นคำาของตัวเอง"
"ตอนนั้นท่านขยายความไว้ด้วยค่ะว่า ถ้า
จะมีชีวิตเพื่อเอาความสุขใส่ตัว แค่เป็นคน
ธรรมดาสักคนก็พอ อย่าตะเกียกตะกายยิ่งใหญ่
ให้มาก แต่ถ้าอยากยิ่งใหญ่จริง ก็ต้องคิดทําชีวิต
คนอื่นให้เป็นสุขยิ่งกว่าเราได้ ! มะแมฟังแล้วปลื้ม
ท่านจับใจ ถ้าระบอบประชาธิปไตยโหวตเลือก
นายกได้ ตอนนั้นมะแมโหวตเลือกท่านทันที !"
คุณหญิงรักสุรีย์หัวเราะหึหึอย่างคนรู้ไส้รู้พุง
กันดี
"ท่านคณินทร์ท่านเป็นนักคิด นักพูด"
เน้นคำาสุดท้ายหนักๆแล้วค้างไว้แค่นั้น
มะแมรีบสานต่ออย่างเกรงเสียบรรยากาศ
"ความคิดของนักพูดอย่างท่านคณินทร์
สร้าง 'นักทำา' ขึ้นมากมาย อย่างน้อยก็มีมะแม
รวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง... และเมื่อใดท่านสั่งสมบารมี
ทำาดีเพื่อให้คนอื่นเป็นสุขกว่าตัวท่านเองได้มาก
พอ ก็คงเป็นบทพิสูจน์ว่าพูดได้แบบนี้ ทำาได้แบบ
นี้ สมควรครองตำาแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็น
ที่สุด!"
รักสุรีย์ชักหมั่นไส้สามีตนเอง ถ้าพูดเรื่องให้
เขาเป็นนายกฯนี่หล่อนจะออกแรงเชียร์ เพราะได้
ดีมาถึงตนด้วย แต่ถ้าพูดว่าเขาเป็นคนดี อยาก
ให้คนอื่นได้ดีมีสุขกว่าตน อันนี้ขออนุญาตคันมือ
คันไม้หน่อย
"กี่ปีผ่านไป ฉันก็เห็นท่านคณินทร์พูดเก่ง
อยู่อย่างนั้น"
ถ้อยคำาคลุมเครือกำากวมของคุณหญิงเกือบ
ทำาให้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึมครึม คณินทร์กลืน
น้ำาลายลงคอฝืดๆ ทำาเป็นยกข้อมือดูเวลา
"เอาล่ะ... นี่ก็เกินสิบนาทีที่ผมขอต่อเวลา
หนูมานานแล้ว ขอบใจมากนะสำาหรับคืนนี้ "
เป็นฝ่ายขอลาเองดื้อๆ เขาควักกระเป๋าเงิน
ออกมาหนีบธนบัตรใบละพันออกมาทั้งหมด นับ
ได้สิบกว่าใบ วางบนโต๊ะให้แบบไม่ต้องเรียกขอ
กับทั้งไม่ให้โอกาสปฏิเสธ
พอวางแล้วก็เหลือบดูปฏิกิริยาของมะแม
แวบหนึ่งด้วย เห็นสีหน้าเรียบเฉย ไม่ดีใจ ไม่
ตาลุก ไม่มีอาการกระตือรือร้นกับเงินค่าแรงเกิน
อัตราเลยสักนิดเดียว
"มะแมขออนุญาตเรียนให้ท่านคณินทร์
ทราบถึงอุปสรรคสำาคัญบนเส้นทางสู่ดวงดาวของ
ท่านสักข้อได้ไหมคะ?"
คณินทร์เลิกคิ้วสูง
"หือ? ได้สิ ! ทำาไมจะไม่ได้ คำาแนะนำาของ
หนูมีประโยชน์กับผมมาก"
"มะแมอยากบอกว่า... ไม่ใช่กำาจัดศัตรูแล้ว
อุปสรรคจะน้อยลง ตรงข้าม เส้นทางจะลำาบาก
ขึ้น"
พูดสั้นที่สุด อย่างจะให้คณินทร์รู้ว่าหล่อนรู้
ว่าเขาคิดตามเช็คบิลคนสั่งเก็บตนเองแน่ๆ
"หมายความว่ายังไง?"
คณินทร์ถามตรงๆ
"ด้วยอำานาจและบารมีของท่าน จะกำาจัด
ชีวิตใครสักคนทิ้งนั้นง่ายมาก แต่ให้รับมือกับสิ่งที่
ตามมานั้นแสนยาก"
ผู้อาวุโสกว่าแค่นยิ้ม
"หนูอยากให้ผมลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกชาย
ตัวเองในวันนี้ใช่ไหม?"
"มะแมไม่ได้อยากให้ท่านทำาเป็นลืม แต่
อยากบอกว่าความแค้นจะเป็นอุปสรรคบนเส้น
ทางสู่จุดหมายสูงสุด... จุดหมายสูงสุดกับความ
แค้นสูงสุด อันไหนน่าเลือกกว่ากันล่ะคะ?"
เหมือนไม่ได้ยินมะแมพูด คณินทร์ประกาศ
กร้าว
"มันสมควรได้รับการลงโทษ!"
"ไฟโกรธ เป็นบทลงโทษขั้นต้น ไฟแค้น
เป็นบทลงโทษขั้นกลาง ไฟนรก เป็นบทลงโทษขั้น
สุดท้าย... ท่านคิดว่าจะมีไฟแบบไหนลงโทษคน
บงการฆ่าท่านได้นานไปกว่าไฟเหล่านั้นอีก?"
"ก่อนไปเจอไฟนรก มันต้องเจอไฟพิโรธ
จากฉันก่อน จะได้เห็นกันว่ามันรู้จักฉันน้อยไป!"
มะแมก้มหน้าถอนใจอย่างนึกขึ้นมาได้ว่าวัน
แรกมีไว้เริ่มต้น ไม่ใช่มีไว้สำาเร็จ
_____________________________________________________________________________
บทที่ ๒๓
เส้นทางที่มะแมแล่นรถไป หันมองทางไหน
ก็เจอแต่ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลิบๆคือทิว
เขาเหยียดยาว เห็นแล้วลืมภาพตึกรามบ้านช่อง
รกระเกะระกะในเมืองใหญ่เสียได้ คล้ายหลุดมา
อยู่อีกมิติก่อนยุค ๒๐๐๐
พื้นที่กว้างใหญ่นั้นเป็นบริเวณตอนเหนือ
ของตำาบลหนองสาหร่าย อำาเภอปากช่อง จังหวัด
นครราชสีมา ข้างทางซ้ายขวาเห็นชาวบ้านทำาไร่
ข้าวโพด ไร่อ้อย และสวนน้อยหน่ากันมาก เวลา
คล้ายหมุนช้าลง รอการเจริญเติบโตอย่างเป็นไป
เองของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่มีใครออกมายืน
เร่งรัดธรรมชาติด้วยความกระวนกระวายใดๆ ผิด
กับในเมืองหลวงที่เกิดการเร่งรัดงานให้เสร็จทัน
เส้นตายอยู่ทุกวัน
เอาน้องอิ๊กมาด้วย บอกแค่จะพามาเปิดหู
เปิดตา ซึ่งเด็กหญิงก็เชื่อตามนั้น ตอนแรกก็ดี๊ด๊า
กับการได้ออกต่างจังหวัดกับพี่มะแม แต่ยิ่งไกล
ออกมา ทัศนียภาพรอบด้านยิ่งโล่ง เห็นแต่ผืนดิน
เห็นแต่แปลงพืชไร่ไม่มีที่สิ้นสุด จนชักงงว่าพี่
มะแมจะพาไปสถานที่ท่องเที่ยวแบบไหน ทำาไม
ถึงไม่มีขบวนรถนักท่องเที่ยววิ่งให้เห็นบ้าง
ใกล้เทือกเขาเข้าไปทุกที น้องอิ๊กยืดคอ
ทำาตาโต เหลียวซ้ายแลขวาสองสามขวับ เหมือน
จะหาเครื่องหมายบอกแหล่งท่องเที่ยวบ้าง แต่
เมื่อหาไม่เจอก็หดคอกลับมานั่งทำาหน้าเบื่อตาม
เดิม
มะแมยิ้มเฉย ข้างหล่อนคือสิ่งมีชีวิตตัวน้อย
ที่หล่อนแสนรัก รู้สึกเป็นสุขกับการเดินทางไกล
ร่วมกัน เหมือนหอบหิ้วมาช้านาน และยินดีจะไป
ไหนไปกันตราบภพชาติสิ้นสลาย
คิดในใจว่าเร็วๆนี้อาจใจอ่อน ยอมให้น้อง
อิ๊กเรียกหล่อนว่าแม่ก็ได้ จะแปลกอะไร ในเมื่อมี
หนุ่มอาสาเป็นพ่อของเด็กอยู่ทั้งคน!
"พี่มะแมคะ"
"หือม์ ?"
"ใกล้ถึงที่เที่ยวหรือยัง?"
"ภูเขาข้างหน้านี้ไง ไม่เห็นหรือ?"
"มีน้ำาตกเหรอคะ?"
"ไม่รู้สิ แต่ถึงที่แล้วอิ๊กอาจจะอยากขึ้นไป
ชมวิวเล่นก็ได้นะ"
เด็กหญิงอิ๊กทำาหน้าพิศวง ไม่เข้าใจพี่มะแม
ว่าถ้าจะดูวิว ทำาไมต้องถ่อมาไกลขนาดนี้ ทิวเขา
ตรงหน้าเห็นแล้วดาดๆ หาที่ไหนก็ได้
"เชื่อเถอะ แบบนี้ไม่ใช่จะหาจากไหนก็ได้
หรอก"
อิ๊กกระตุกนิดๆ ก่อนหัวเราะด้วยความจักจี้
เดี๋ยวนี้เฉยๆแล้วกับการโดนดักความคิด เพราะ
เริ่มรู้ด้วยตนเองว่าความคิดก็แค่คลื่นชนิดหนึ่ง
ขอเพียงมีใจใหญ่ ใจว่างพอ คลื่นความคิดของ
ใครลอยมาก็ดักรู้กันได้
อารมณ์เบื่อแบบเด็กๆหายไป กลายเป็น
ความใส่ใจจิตของตนแทน อิ๊กกำาหนดสร้าง
วงกลมขึ้นตรงหน้าโดยไม่หลับตา เป็นกีฬาทาง
จิตที่เธอเริ่มหัดเล่นตั้งแต่หลายวันที่ผ่านมา เดี๋ยว
นี้เธอเห็นวงกลมขาวแจ่มชัดได้ทั้งลืมตา แสดงถึง
ความสามารถหน่วงนึก ระดับที่มโนวิถีชนะจักษุ
วิถี ซึ่งไม่ใช่จะหาใครทำาอย่างนี้ได้ง่ายๆ
สนุกกับการเห็นวงกลมบดบังทุกสิ่งตรงหน้า
คล้ายรูปทรงและสีสันทั้งหลายหายไปหมด แต่
พอจิตอ่อนกำาลัง วงกลมเริ่มเลือน สรรพสิ่งรอบ
ตัวก็ปรากฏกับตาใหม่
จังหวะที่มะแมจะเลี้ยวรถเข้าทางดิน อิ๊กกำา
ลังเห็นแต่วงกลมที่ทอแสงสว่างนวลปานดวง
จันทร์อยู่ด้วยความเพลิดเพลิน มะแมจึงชะลอ
แล้วจอดรถ หันมาส่งเสียงเรียกเบาๆ
"อิ๊ก"
ชื่อของแต่ละคนเป็นคลื่นเสียงที่ปลุกให้ถอน
จากสมาธิได้ง่ายที่สุด แม่หนูน้อยตัดกระแสการ
รับรู้จากภายในกลับมาสู่โลกภายนอก แล้ว
ขานรับ
"คะ?"
แทนคำาตอบ หญิงสาวบุ้ยปากให้มองป้าย
ไม้ข้างทาง ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก
สำานักชีเชิงตะกอน!
ชื่อนั้นจู่โจมจับใจ กระแทกให้ผุดความรู้สึก
คุ้นเคยอย่างแรง มีผลให้ลมหายใจของน้องอิ๊ก
หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเกิดอาการสั่นเทิ้มทาง
กายระลอกหนึ่ง
มะแมซึ่งจับสังเกตอยู่ตลอดเวลา เห็นเช่น
นั้นก็ทักถาม
"จำาได้ไหม?"
น้ำาตาหยดแหมะที่พวงแก้มยุ้ยของเด็กหญิง
"ค่ะ... จำาได้ !"
เสียงเล็กๆตอบกลับมา หางเสียงสั่นพร่า
ด้วยแรงสะอื้นสะเทือนอก
มะแมพยักหน้าน้อยๆ คล้ายเป็นอาการที่มี
ให้กับตนเองมากกว่าจะมีให้ใครอื่น สายตาจับ
จ้องไปเบื้องหน้าอย่างโล่งอกกับการได้ทำาหน้าที่
ของตนเองโดยบริบูรณ์แล้ว ตามการวางหมาก
บนเส้นทางกรรมของน้องอิ๊ก
แตะเท้ากดคันเร่ง พารถวิ่งตรงไปตามทาง
ดินเป็นระยะเกือบสองกิโลเมตร จึงล่วงเข้าเขต
สำานักชีซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาลูกหนึ่ง
บรรยากาศรอบลานดินกว้างหลังกำาแพง
คือความ "ไม่มีอะไร" แบบสถานปฏิบัติธรรม
ภูธร มองทางไหนมีแต่กอไผ่ และที่แทรกอยู่
ระหว่างกอไผ่ประปรายตรงโน้นตรงนี้ คือกุฏิของ
แม่ชี ทั้งใหม่บ้าง เก่าซอมซ่อบ้าง
มะแมทำาการบ้าน ศึกษาหาอ่านความเป็น
มาของสำานักชีเชิงตะกอนไว้พอสมควร ซึ่งก็เป็น
ไปโดยสะดวก เนื่องจากที่นี่ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่ง
ในสมาชิกสถาบันแม่ชีไทย จึงมีประวัติพร้อม
แผนที่หาง่ายจากอินเตอร์เน็ต
เดิมที "แม่ใหญ่ " เป็นชีอยู่ในวัด "ไกล
โศก" ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปราว ๑๐ กิโลเมตร เป็น
ที่นับถือ ชื่อเสียงขจรขจาย หญิงชายทั้งในตำาบล
และต่างตำาบลพากันมาเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก
หน้าหลายตา
ถึงจุดหนึ่ง ยิ่งวันสาวแก่แม่ม่ายก็ยิ่งแสดง
ความจำานงขอบวชชีถือนิสัยอยู่กับแม่ใหญ่เพิ่มขึ้น
ทุกที ท่านเจ้าอาวาสจึงเห็นควรให้แยกออกมาตั้ง
สำานักต่างหากเสีย มิฉะนั้นวัดของท่านอาจกลาย
เป็นวัดสำาหรับชีมากกว่าเป็นวัดสำาหรับพระไป
แม่ใหญ่มีปฏิปทาหลักคือเจริญมรณสติเป็น
บาทฐาน และเชี่ยวชาญการเทศน์เกี่ยวกับเรื่อง
ความตายได้จับจิต หลายคนสลดใจ ระงับความ
ฟุ้งซ่าน อยากถือบวชตลอดชีวิตเพียงเพราะฟัง
แม่ใหญ่เทศน์ขณะเป็นประธานการเผาศพครั้ง
เดียวเท่านั้น
เมื่อแยกตัวออกมาจากวัด หลวงพ่อเจ้า
อาวาสจึงมีดำาริให้ตั้งชื่อสำานักชีที่มีความหมายใน
ทางมรณสติ กับทั้งให้คนเฒ่าคนแก่ที่อยากอุทิศ
ศพเป็นธรรมะเตือนสติแก่คนในตำาบล ได้บอกลูก
หลานให้นำาร่างไร้วิญญาณมาวางบนเชิงตะกอน
ท้ายสำานักชีแห่งนี้ แม่ชีเจ้าสำานักจะได้ใช้เป็น
อุปกรณ์ประกอบการสอนธรรมอันยิ่งใหญ่
ความต่อเนื่องร่วม ๓๐ ปี ทำาให้กลายเป็น
ประเพณีประจำาตำาบลไปเสียแล้ว กล่าวคือใคร
ตายก็จะเอาศพมาให้แม่ใหญ่เผา ผู้เฒ่าผู้แก่เมื่อ
อยากได้บุญครั้งสุดท้าย ต่างกำาชับลูกหลานให้
นำาศพตนมาสาธิตสัจจะความจริงที่สำานักชีเชิง
ตะกอนแห่งนี้เท่านั้น
บางรายลูกหลานนิมนต์พระมาสวดที่วัดอื่น
ก่อน แต่บางรายก็เอาศพมาเผาที่นี่โดยตรง แบบ
ไม่ต้องเปลืองเงินเปลืองเวลาเลยทีเดียว เพราะ
ถือว่าการได้ให้แม่ใหญ่เป็นผู้จุดไฟเผา นับเป็น
เกียรติ มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือพิธีการอื่นใดอยู่
แล้ว
ร่ำาลือกันว่าผู้ตายที่ถูกเผา ณ วัดเชิงตะกอน
มักมาเข้าฝันลูกหลานด้วยหน้าตาเอิบอิ่ม ยิ้มแย้ม
แจ่มใส ยังความปลาบปลื้มโสมนัส เล่าสู่กันฟัง
อยู่เนืองๆ กลายเป็นความฝังใจเชื่อในระดับ
ตำาบลว่าอุทิศศพเป็นธรรมทานในสถานธรรมของ
แม่ใหญ่แล้ว มีสิทธิ์ไปแต่สวรรค์เท่านั้น ที่อื่นหมด
สิทธิ์
มะแมลองหาดูวิดีโอในยูทูปเล่นๆ แต่
ปรากฏว่ามีคนเคยใช้มือถือบันทึกงานประชุม
เพลิงที่เชิงตะกอนของสำานักชีไว้จริงๆ หล่อนจึงมี
โอกาสเห็นปาฏิหาริย์ในทางเทศนาของแม่ใหญ่
มาแล้ว
คลิปนั้นเริ่มต้นด้วยการนำาโลงศพลงจากรถ
กระบะ มีพระเดินนำา ตามด้วยขบวนญาติแบกโลง
นำามาวางบนขอนไม้ที่ซ้อนกันเป็นฟืนฌาปนกิจ
ญาติๆร่วมกันนำาดอกไม้จันมาวาง จากนั้นแม่ชีผู้
สูงวัยก็มาเป็นผู้จุด "เพลิงมงคล" แล้วหลีกไปนั่ง
เทศนาประกอบการเผาผ่านลำาโพง ได้ยินก้อง
กังวานไปทั่วบริเวณ
หล่อนจำาได้สนิทและติดใจกับสุ้มเสียงอัน
ทรงพลังธรรมะของแม่ใหญ่ ขณะฝาโลงถูกพระ
เพลิงผลาญจนเผยศพที่เริ่มดำาเป็นตอตะโก
"ใครคิดว่าศพนี้คือมนุษย์ ให้หยุดคิดได้
แล้ว มันเป็นแค่ฟืนท่อนหนึ่ง ที่วางอยู่บนท่อนฟืน
อื่นๆเท่านั้น... ใครคิดว่าตัวเองจะรอดจากการ
เป็นศพ คนนั้นยังไม่รู้ความจริงของร่างกายตัว
เอง ที่เหมือนระเบิดเวลาถูกจุดชนวนให้นับถอย
หลังมาตั้งแต่เกิด... ใครคิดว่าจะได้หายใจไป
เรื่อยๆ วันหนึ่งจะพบว่าต้องหยุดหายใจ และ
กลายเป็นเพื่อนกับศพตรงหน้านี้ ... เชิงตะกอนคือ
ที่ที่ไฟจะให้ความยุติธรรมกับทุกคนเท่าเทียมกัน
ทุกคนจะแสดงความจริงสุดท้ายเท่ากันที่นี่ "
เผาให้เห็น เทศน์ให้ฟัง นับเป็นพิธีทรง
เกียรติตามพุทธประเพณีโดยแท้ แม่ใหญ่ยังสอด
แทรกธรรมะอันเป็นอานิสงส์แห่งอานาปานสติ
กรรมฐาน ประเทืองปัญญาขั้นสูงเข้าไว้ด้วย เช่น
"คนที่เฝ้ารู้ลมหายใจตัวเองจนชำานาญ ใน
ที่สุดจะรู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์หายใจได้อีกนานแค่ไหน"
คลิปสั้นๆแค่ ๖-๗ นาที มีผลให้มะแมเห็น
อะไรต่างไปมากมาย ที่นึกว่ารู้เรื่องความตาย
เหมือนแท้จริงหล่อนไม่เคยรู้อะไรเลย
แค่เข้าเขตสำานักชี ก็สำาเหนียกสัมผัสถึง
ความเป็นของจริง สถานที่อันดูกระจอกงอกง่อย
ด้วยไอดินกลิ่นไร่แห่งนี้ ยังความผาสุกทางใจให้
บังเกิดไพศาล ราวเข้าสู่ปราสาทยิ่งใหญ่แห่งพระ
มหาจักรพรรดิทางวิญญาณก็ไม่ปาน
บริเวณที่กันไว้ให้จอดรถ มีรถกระบะเก่า
และใหม่อยู่สองสามคันก่อนหน้า มะแมจอดรถไว้
ใต้กอไผ่กอหนึ่ง แล้วพาน้องอิ๊กลงเดินตัดลานดิน
มาด้วยกัน
ย่างก้าวอันเงียบเชียบ กับจิตสงบที่
กลมกลืนเป็นอันเดียวกับธรรมชาติรอบด้าน นำา
หล่อนกับเด็กในปกครองมาถึงเขตที่มีแม่ชี
หน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่งกำาลังใช้ไม้กวาดทาง
มะพร้าวกวาดเศษใบไม้อยู่ตามลำาพัง
แม่ชีรู้สึกถึงการปรากฏตัวของคนแปลก
หน้า จึงชะงักมือและหันมา พอสบตากัน มะแมก็
ทราบว่าวัยของท่านไม่อ่อนเยาว์เหมือนใบหน้า
แล้ว
"กราบสวัสดีเจ้าค่ะ"
พนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อย ด้วยกำาลังใจไม่
ต่างจากกราบพระผู้น่าเลื่อมใส
"มาหาญาติหรือจ๊ะ?"
แม่ชีวัยไม่ต่ำากว่า ๔๐ ยิ้มทักตอบอย่างมี
ไมตรี ไม่แปลกใจกับการเห็นคนต่างถิ่นที่มาเยือน
ในความเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกของผู้สถิตอยู่ ณ
แดนนี้ แท้จริงเป็นคนอิ่มเอิบด้วยอริยทรัพย์
ภายใน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สัมผัสด้วยใจ
อันเปิดโล่งไร้มลทินได้
"เปล่าเจ้าค่ะ หนูอยากมากราบแม่ใหญ่ "
มะแมเรียนท่านอย่างนอบน้อม
"ท่าทางจะมาไกลนะนี่ "
"มาจากกรุงเทพฯเจ้าค่ะ"
"กุฏิของแม่ใหญ่อยู่ด้านโน้น ตั้งอยู่เดี่ยวๆ"
พูดแล้วชี้ไปทางทิศหนึ่ง "หนูเดินตรงไปเรื่อยๆ มี
ชาวบ้านกำาลังนั่งสนทนาธรรมกับท่านอยู่หลาย
คน พอเจอก็รู้เอง"
"ที่นี่สงบน่าอยู่จังนะเจ้าคะ"
"ก็ช่วยกันสงบจนน่าอยู่นั่นแหละจ้ะ แล้วหนู
รู้จักแม่ใหญ่จากไหนล่ะ?"
"บนอินเตอร์เน็ตมีคนเอาคลิปแม่ใหญ่ไป
เผยแพร่แล้วเจ้าค่ะ แม่ใหญ่ไม่ใช่แค่คนของตำาบล
หนองสาหร่ายที่เดียวแล้ว"
แม่ชีหัวเราะเบาๆ
"รู้อยู่เหมือนกันแหละ คนกรุงเทพฯพากัน
มามากขึ้นเรื่อยๆนะ บางเสาร์อาทิตย์นี่รถเก๋ง
จอดข้างหน้าหลายคัน ล้นออกไปถึงทางเข้า
บ่อยๆ"
"แม่ชีเป็นคนที่นี่หรือเจ้าคะ?"
"ไม่หรอก แม่ชีมาจากทางใต้โน่นแน่ะ"
"แล้วทำาไมมาอยู่ถึงนี่ได้เจ้าคะ?"
"พี่สาวมาแต่งงานกับคนแถวนี้ แม่ชีมา
เยี่ยมเขาแล้วตามมาฟังแม่ใหญ่เทศน์ในวันเผา
ศพชาวบ้าน ก็ติดใจกลับมาฟังอีก เพราะไม่
เหมือนอะไรที่เคยเจอมาก่อนในชีวิต สองสามปีก็
ขอบวชเลย พอดีช่วงนั้นเป็นทุกข์ทางโลกมาก
ด้วย"
"ที่นี่คงเหมือนเกาะใหญ่สำาหรับคนลอยคอ
ในทะเลมานานนะเจ้าคะ"
แม่ชีหน้าอ่อนยิ้มกว้างขวาง
"คนแถวนี้ก็คิดกันทำานองนั้นแหละ... แต่
แบบหนูนี่ แม่ชีไม่ค่อยได้เห็นนะ ขอโทษเถอะ
เป็นนางแบบหรือเปล่าจ๊ะ ดูเด่นเหลือเกิน"
"ไม่ใช่เจ้าค่ะ ขออนุญาตแนะนำาตัวนะเจ้าคะ
มะแมเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา"
"แล้วนี่ลูกสาวเหรอ?"
แม่ชีหันมายิ้มใส ทักทายหนูอิ๊ก แต่แล้วพอ
สบตากันก็ชะงักนิดหนึ่ง เพราะฝ่ายนั้นจดจ้องเธอ
แน่วนิ่งผิดปกติ
"สวัสดีจ้ะ หนูชื่ออะไร?"
แทนคำาตอบ อิ๊กร้องดังๆหลังทำาหน้าเค้นคิด
มานาน
"ละไม!"
ทั้งแม่ชีและมะแมต่างก็สะดุ้งโหยงพร้อมกัน
"หา?" แม่ชีทำาหน้าตื่น "หนูรู้ชื่อแม่ชีด้วย
หรือนี่ ?"
มองเด็กที่ยังคงจ้องหน้าตนนิ่งแล้วขนลุกซู่
นอกจากแปลกใจที่รู้จัก ยังประหลาดใจที่อีกฝ่าย
เรียกตนราวกับผู้ใหญ่ทักเด็กน้อยก็ไม่ปาน
มะแมยิ้มเจื่อน ทำาหน้าไม่ถูก รีบทอดแขน
โอบไหล่น้องอิ๊กหนีบๆไว้อย่างจะเตือนให้ระงับ
อาการหน่อย
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ" เอ่ยพลางหัวเราะแหะๆ
ไปด้วย "บางทีน้องสาวของมะแมก็ชอบโพล่งขึ้น
มาแบบไม่ค่อยมีมารยาท กราบขอขมาด้วยนะ
เจ้าคะ"
พูดจบก็ยกมือไหว้ และก้มลงทำาหน้าดุๆสั่ง
ให้เด็กในปกครองไหว้ขอโทษแม่ชีตามตน
น้องอิ๊กขมวดคิ้วหน่อยๆ ก่อนยกมือไหว้
อย่างเสียไม่ได้ มะแมเห็นท่าไม่ดีก็รีบขอตัว
"งั้นหนูไปกราบแม่ใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ"
แม่ชีละไมจ้องเด็กหญิงด้วยแววสนเท่ห์
ทำาท่าเหมือนจะเหนี่ยวรั้งไว้เพื่อถามให้หายข้องใจ
แต่มะแมไม่รอช้า ฉวยมือน้อยได้ก็ออกเดินอ้าว
พอห่างจนพ้นระยะได้ยิน หญิงสาวก็ปราม
เบาๆ
"น้องอิ๊ก! คนอื่นเขาไม่ได้จำาได้เหมือนหนู
นะ ทักทายแบบนั้นจะเหมือนทะลึ่งไม่รู้จักเด็กไม่รู้
จักผู้ใหญ่เกินไปหน่อย"
การพบคนที่ "เคย" อ่อนอาวุโสกว่า ทำาให้
สำานึกของน้องอิ๊กกลับเป็นคนแก่ไปชั่วขณะ แต่
เมื่อถูกเตือนให้รู้สึกตัวก็ก้มหน้า
"ค่ะ"
หางเสียงยังแฝงอยู่ด้วยกระแสความคิด
ค้าน จะว่าดื้อก็ได้ จนมะแมต้องเตือนด้วย
สำาเนียงเข้มขึ้น
"จำาไว้ ! หนูไม่ใช่คนเดิมแล้ว แม่ชีพิรมล
ตายไปแล้ว ตอนนี้หนูคือเด็กหญิงอนิทรา และทั้ง
ชีวิตที่เหลือก็จะเป็นผู้หญิงชื่ออนิทรา ไม่กลับไป
เป็นแม่ชีพิรมลได้อีก หัดมีสัมมาคารวะให้ถูก
กาลเทศะด้วย"
อิ๊กทำาหน้าจ๋อยก้มมองพื้น มะแมหยุดเดิน
ใช้มือจับไหล่ทั้งสองของอีกฝ่าย
"แล้วรู้ไว้อีกเรื่องหนึ่ง..." พูดเสียงแข็ง
พลางจ้องลึกลงไปในดวงตาอิ๊กเยี่ยงผู้ใหญ่ที่มี
อำานาจเหนือกว่า "หนูอาจเคยเป็นตัวของตัวเอง
มาก่อน แต่ตอนนี้หนูเป็นเด็ก ตัดสินใจเองไม่ได้
และเป็นกรรมสิทธิ์ของพี่มะแมคนเดียว!"
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นสานตาตอบด้วยความ
กริ่งเกรงในท่าทีขึงขังที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจาก
มะแม
พอเห็นแววหวาดในดวงตาลอกแลกของ
น้องอิ๊ก มะแมก็น้ำาตาคลอเบ้า ทรุดร่างลงคุกเข่า
ดึงร่างน้อยเข้ามาสวมกอดเต็มอ้อม ด้วยความ
รู้สึกแสนรักแสนหวง
"ยังอยากเรียกแม่อยู่ไหม?"
"ค่ะ... อยาก"
"งั้นเรียกสิ "
"คุณแม่ขา..."
หญิงสาวปิดตาลง เสียงเล็กๆนั้นช่าง
ไพเราะเพราะพริ้งเหลือเกิน ราวกังวานไกลมา
จากอดีตกาลอันแสนสุข เกินคำาอธิบายว่า
มากมายปานไหน นับภพนับชาติมากี่ครั้ง มะแม
ได้แต่ปล่อยให้น้ำาตาไหลเป็นสาย ซึมซับสัมผัส
ละมุนของร่างแบบบางในอ้อมกอด โดยไม่มีคำา
ใดผ่านพ้นริมฝีปากออกมาเลย
ไม่รู้ทำาไมถึงรักและอยากครอบครองเด็ก
คนนี้ไว้กับตัวขนาดนั้น รู้แต่ย้ำากับตนเองอีกครั้ง
ว่าจะไม่มีวันยกให้ใครเป็นอันขาด!
กุฏิ ไม้ของแม่ใหญ่มีชานเรือนกว้างด้าน
หน้า เพียงพอที่จะรองรับญาติโยมได้หลายสิบคน
ขณะนั้นแม่ใหญ่นั่งเด่นเป็นประธานอยู่บนเก้าอี้
หวาย แม้วัยล่วง ๘๐ กลางๆจะทำาให้หลังงองุ้มลง
บ้าง ก็ยังคงเห็นสง่าด้วยรัศมีเฉิดฉายงดงาม
จับตา
บนพื้นกุฏิขณะนั้น มีชาวบ้าน ๗ คนนั่งพับ
เพียบบ้าง ขัดสมาธิบ้าง ฟังแม่ใหญ่สอนกันอยู่
โดยมากเป็นหญิงชายมีอายุ ดังนั้น เมื่อหญิงสาว
กับเด็กหญิงรูปงามเดินย่องขึ้นเรือนมานั่งกราบ
กรานแม่ใหญ่ จึงกลายเป็นจุดรวมสายตาของ
หลายคนที่นั่งอยู่ใกล้บันไดไปในทันที
แม่ใหญ่ยังคงมีสมาธิอยู่กับการสอนหญิงวัย
กลางคนที่นั่งเอียงคอพนมมือแต้ตรงหน้า ไม่
ใส่ใจการมาของอาคันตุกะใหม่
"อย่ามัวแต่กลัวเขาจะส่งปีศาจมาหาเรา
กลัวตัวเราเองเถอะนะลูกนะ แค่สั่งสมนิสัยช่างก่น
ด่าและสาปแช่งให้มาก พลังของคําร้ายๆก็จะ
เหมือนมนต์เรียกปีศาจมาเป็นนายทางความคิด
ได้ โดยที่ลูกไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวอยู่แล้ว"
"มันยั่วให้หนูโกรธ แล้วก็ทำาตัวสมควรถูก
แช่งนี่เจ้าคะ"
"ลูกเอ๋ย เขาทําตัวอย่างไรถือเป็นเรื่อง
ธรรมดาของเขา แต่ที่ลูกทําให้เขาดีขึ้นหรือเลว
หนักกว่าเดิม ถือเป็นกรรมที่ไม่ธรรมดาของเรา
ลูกว่าลูกสาปแช่งแล้วเขาจะดีขึ้นไหม? ลูกก่นด่า
แล้วเขาจะอยากกลับตัวกลับใจหรือเปล่า?"
"ไม่เลยเจ้าค่ะ"
"นั่นแหละ... ทางที่ดีลูกสร้างนางฟ้าขึ้นมา
ในตัวลูกเองก่อน เพื่อเอามารบกับมารในตัวเขา
ในภายหลัง อย่าเอามารในลูกเดี๋ยวนี้ไปรบกับ
มารในเขาเดี๋ยวนี้ เพราะที่สุดแล้ว มารเท่านั้นจะ
ดำารงอยู่ โดยไม่มีใครได้เป็นสุข"
จากสัมผัสของมะแม เหมือน "นางฟ้า" จะ
ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในหญิงคนนั้นได้บ้าง นับเป็น
ปาฏิหาริย์อันน่าประทับใจ ซึ่งหญิงชราแสดงออก
มาให้เห็นตั้งแต่นาทีแรกที่หล่อนพบ
สุ้มเสียงของแม่ใหญ่ยังคงแจ่มชัด สอนยาว
ได้โดยไม่เหนื่อยอ่อน คงนับเป็นผู้มีวาสนาบารมี
มาทางเทศนาตลอดชีวิตนั่นเอง คือเมื่อใดเทศน์
เมื่อนั้นร่างกายและจิตใจจะประสานงานอย่าง
ทนทานเกินปกติ แม้อายุจะล่วงเลย เขยิบใกล้
หลักร้อยเข้าไปทุกที
ขณะส่งตาเลื่อมใสเล็งแลท่านอยู่นั่นเอง แม่
ใหญ่ก็หันมาทางมะแมอย่างสะดุดจิต ไม่ใช่เพราะ
รูปร่างหน้าตากระจ่างใสแปลกกว่าคนท้องถิ่น แต่
เพราะรัศมีชีวิตที่เจิดจ้าผิดธรรมดาไปมาก
นัยน์ตาของท่านมีอำานาจพอจะทำาให้มะแม
ระย่อได้ หล่อนหลบตายกมือไหว้ท่านอย่าง
อ่อนน้อม ซึ่งแม่ใหญ่ก็ทักอย่างนิ่มนวล
"หนูมาจากไหนนี่ ?"
"กรุงเทพฯเจ้าค่ะ"
"มาไกลนะ"
น้ำาเสียงอ่อนโยนนั้น กลายเป็นกระแสความ
ปรานีที่แผ่วงกว้าง ทำาให้มะแมยิ้มปลื้ม ลืม
เหนื่อยในฉับพลัน ราวกับได้ดื่มกินน้ำาเย็นชุ่มชื่น
จนอิ่มหนำา
นั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของมะแม กับ
การได้พบใครคนหนึ่งที่มีรัศมีชีวิตสว่าง ว่าง คง
เส้นคงวา ให้ความรู้สึกเหมือนกายกับจิตของท่าน
แยกจากกันเป็นต่างหาก คือจะเกิดอะไรขึ้นทาง
กาย จิตที่เป็นอิสระก็ไม่พลอยสะเทือนไหวไปด้วย
เลย บริสุทธิ์อยู่อย่างไร ก็ไร้มลทินอยู่อย่างนั้น
แค่สัมผัสจิตของท่าน จิตของหล่อนพลอย
ว่าง กว้างขวาง แสนสบาย เหมือนรู้จักสุขไร้ขีด
จำากัดไปด้วย ไม่เคยได้เจออะไรอย่างนี้เลย
ท่านแม่ชีผู้ทรงคุณละสายตาจากมะแม เบน
มาด้านข้าง เมื่อพบกับเด็กหญิงแก้มยุ้ยน่ารักก็
ทักทาย
"สนใจธรรมะแต่เด็กนะลูกนะ ดีแล้ว"
ยังไม่ทันทักเสร็จแม่ใหญ่ก็เอะใจ เพราะเห็น
ยายหนูน้ำาตาไหลพราก จับจ้องท่านแน่นิ่งด้วย
แววโสมนัสอันแรงกล้าผิดเด็กธรรมดา
ด้วยจิตพิสุทธิ์ พร้อมรู้ไม่ติดขัด แม่ใหญ่
เปลี่ยนจากการมองด้วยตาเปล่า พลิกไปสัมผัส
เบื้องหลังมหาปีติกองใหญ่ในเด็กหญิงคนนั้น
อย่างต้องการดูด้วยตนเองมากกว่าเอ่ยปากถาม
ต่อหน้าญาติโยมอื่นบนชานเรือน
ท่านพบว่าแรงขับให้เกิดโสมนัสของเด็ก คือ
อาการจดจำาได้ ตลอดจนอาการรู้ตัวว่าเดินทาง
มาถึงที่หมายตามแรงอธิษฐานข้ามชาติ แม่ชีผู้
ชราหรี่ตาพินิจ จับภาพร่างเด็กหญิงตรงหน้า แล้ว
หน่วงนึก ยกขึ้นเป็นนิมิตทางจิต บดบังการเห็น
ด้วยตาเปล่า
เมื่อนิมิตของเด็กหญิงปรากฏเต็มอยู่ในห้วง
มโนทวาร แม่ใหญ่ก็กำาหนดดูความเป็นมาใน
อัตภาพก่อน และด้วยอำานาจญาณอันบริสุทธิ์ ก็
เห็นนิมิตรูปเด็กหญิงแปรเป็นนิมิตแม่ชีแทน
หลังจากรู้และเข้าใจ ท่านก็เพิกนิมิต เบน
การรับรู้มาอยู่กับสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า ริมฝีปาก
ระบายยิ้มให้เด็กน้อย
"ฉันจำาชื่อหนูไม่ได้ "
"พิรมลเจ้าค่ะ!"
อิ๊กพนมมือรายงานตัวด้วยเสียงสั่นเครือ
อย่างคนร้องไห้ ญาติโยมทั้งชานเรือนไม่เข้าใจ
ความนัย นึกว่าเด็กหญิงพิรมลคนนี้เคยพบแม่
ใหญ่มาก่อน จะสงสัยบ้างก็แค่ทำาไมต้องตื้นตัน
กับการกลับมาพบกันใหม่ขนาดนี้
"อือ... จำาได้ล่ะ ไม่เจอกันนานนะ ไม่เหลือ
เค้าเดิมเลย"
"เจ้าค่ะ"
เด็กสะอึกสะอื้น ยกมือเช็ดน้ำาตาป้อย
"เคยจากกันเป็นธรรมดา พบกันอีกก็เป็น
เรื่องธรรมดา"
คำาว่า "ธรรมดา" ที่ออกมาจากปากท่านแม่
ชี ประโลมจิตให้อิ๊กอิ่มใจ และเกิดอุเบกขา
บรรเทาอาการสั่นเทาไปทั้งตัวได้บ้าง
"หนูแตกต่าง แต่แม่ใหญ่ยังเหมือนเดิม
เจ้าค่ะ"
"ไม่มีใครเหมือนเดิมได้หรอก ยังไงก็ต้อง
แก่ลง"
"เจ้าค่ะ"
"พวกเราเป็นจิตวิญญาณที่หลับๆตื่นๆ
เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนกรรม แต่ไม่
เปลี่ยนอุปาทานว่ามีตัวเรา จนกว่าจะอ่านขาด รู้
ความไม่เที่ยงในกายใจได้แจ่มแจ้ง"
"เจ้าค่ะ"
หลายคนเหลียวมามองหน้าแม่หนูน้อยซ้ำา
อย่างชักจะพิศวงขึ้นมาตงิดๆกับบทสนทนาที่
คล้าย "รู้กัน" แถมธรรมะจากปากแม่ใหญ่ที่มีให้
หนูน้อย ก็ดูจะไม่ธรรมดา ไม่ค่อยสอนชาวบ้าน
ทั่วไปเสียด้วย
เมื่อเริ่มเกิดกระแสความผิดสังเกตเช่นนั้น
แม่ใหญ่จึงเบี่ยงเบนความสนใจ หันไปคุยกับคน
อื่น ไม่หันกลับมาที่มะแมกับอิ๊กอีก
สำาหรับอิ๊ก เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลอันเป็น
แกนอ้างอิงอดีตชาติ ก็เกิดแรงเหนี่ยวนำา ดูดเอา
ความจำาเก่าๆกลับมา สำานึกคิดอ่านและความ
รู้สึกก่อนตายแบบแม่ชีพิรมลปรากฏแทนที่ความ
เป็นเด็กหญิงอิ๊ก ตลอดระยะเวลาบนชานกุฏิของ
แม่ใหญ่
และชั่วขณะของความจำาอันชัดแจ้งนั้นเอง อิ๊
กระลึกได้เองว่าความตั้งใจสุดท้ายก่อนใกล้
ขาดใจคืออะไร เธอเลือกที่จะไม่ไปสวรรค์ ไม่ยินดี
ในทิพยสุข ทั้งที่นิมิตเทวดา นางฟ้า พร้อมพิมาน
มณฑลปรากฏพร้อม แต่กลับกำาหนดจิตให้ยินดี
ในการประพฤติพรหมจรรย์บนโลกมนุษย์แทน
เมื่อจิตดับจากความเป็นมนุษย์ อย่างไร
กุศลผลบุญก็ส่งไปครองวิมานสวรรค์อยู่ดี
เป็นการพักรอฤกษ์เกิดที่เหมาะสม พอฤกษ์เกิดที่
เหมาะกับแรงอธิษฐานมาถึง นิมิตแห่งการเสื่อม
จากกายทิพย์ก็ปรากฏเป็นความผิวแห้ง
ปราศจากน้ำานวลชุ่มชื่นแห่งทิพยสภาพ จิตเข้าสู่
ภวังค์ขาว แล้วถูกดูดมาเข้าท้องมนุษย์อันควรแก่
ชะตากรรม
ด้วยกำาลังทางจิตอันเหลือเฟือในวันนี้ อิ๊ก
สามารถหน่วงนึกถึงรายละเอียดได้ตามปรารถนา
ปีที่เธอตายในชาติก่อนคือ พ.ศ. ๒๕๔๒ ช่วง
ปลาย พอคำานวณจากปีที่เกิดใหม่คือ พ.ศ.
๒๕๔๔ ช่วงกลาง ก็ช่วยให้รู้ว่าเธอขึ้นไปพักรอ
ฤกษ์เกิดอยู่เป็นปี
ชีวิตก่อนเธอถือบวชช้าไป สังขารทางกาย
โรยราแล้ว เมื่อครองผ้าขาวจึงมีแต่ความกลุ้มใจ
กลัวไม่ทันได้ดีทางธรรม น่าจะต้องตายเสียก่อน
แล้วก็ไม่ทันจริงๆ เธอตายดับพร้อมกับ
ความน้อยใจตัวเองที่ไม่สร้างวาสนาไว้ในอดีต
นั่นจึงเป็นเหตุให้มีแก่ใจอธิษฐานขอกลับมาเป็น
มนุษย์อีก กับทั้งขอให้ทันได้พบแม่ใหญ่อีกสักครั้ง
เพื่อจะได้ใฝ่ใจอยากประพฤติพรหมจรรย์ทันทีที่รู้
ความ
ความกลัวตายคือจุดนัดพบกันระหว่างตัว
ตนในสองชาติ เธอเคยกลัวตายอย่างมีเหตุผลใน
อดีต และแม้ปัจจุบันจะกลัวตายเหมือนไร้เหตุผล
แต่ที่แท้ความกลัวตายก็มีแก่นความรู้สึกเป็นเนื้อ
เดียวกันนั่นเอง
นี่คือนาทีที่อดีตและปัจจุบันมาบรรจบกัน
ราวกับตื่นขึ้นจากการสลบที่ยืดยาว ช่วงฟื้นใหม่ๆ
เหมือนสมองบกพร่อง ความจำาเสื่อม งุนงงพร่า
เลือน เพิ่งมาจำาอะไรต่ออะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวก็
คราวนี้เอง
ชีวิตช่างเป็นเรื่องไม่เข้าท่า ตายเพื่อลืมหมด
เกิดเพื่อจำาใหม่ รับกรรมที่ทำาไว้ แล้วถูกบีบให้ก่อ
กรรมเพื่อต้องไปรับต่ออีก ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็น
อัน หาที่จบสิ้นมิได้
สัญญากับตนเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่านี่จะ
เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการไปสู่ความเป็น
อื่นอีก!
แม่ใหญ่คุยกับญาติธรรมจนกระทั่งคนเหล่า
นั้นลากลับกันไปทีละคนสองคน กระทั่งชุด
สุดท้ายลงจากกุฏิ ก็เหลือเพียงแม่ใหญ่และสอง
นางจากเมืองหลวงตามลำาพัง
ผู้อาวุโสในชุดขาวทอดตามองน้องอิ๊ก
เงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งแม่หนูในสำานึกแบบแม่ชีพิร
มลก็เอาแต่นิ่งเงียบ พนมมือรออย่างเดียวว่าท่าน
จะพูดอะไร ด้วยความระลึกได้ว่านี่คือกิริยาที่
สานุศิษย์แม่ใหญ่ทุกคนพึงกระทำา ยามแม่ใหญ่ส่ง
ตาพินิจมาเงียบๆ
ในที่สุดท่านก็เอ่ยแบบครูสอนศิษย์ ราวกับ
แม่ชีพิรมลยังไม่ตาย และเพิ่งกลับจากธุดงค์ต่าง
แดนมาเยือนถิ่น
"ถ้าก่อนจิตดับจากความเป็นมนุษย์ เธอ
พิจารณาให้เห็นขาดว่ากายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่สิ่งที่
เธอจะบังคับได้ ก็มีสิทธิ์ได้มรรคผลขั้นต้นไปแล้ว
แต่เวลานั้นเธอเอาแต่สำารวมจิตนิ่ง เน้นอธิษฐาน
แน่วแน่ ขอเกิดใหม่มาปฏิบัติต่อ ขอมาเรียนกับ
ฉันอีก จิตก็ยึดการเกิดเป็นหลัก พอยึดการเกิด
เป็นหลักก็เท่ากับสำาคัญว่ามีตัวตนอยู่ไม่เลิก
มรรคผลไม่มีทางถูกจุดชนวนขึ้นมาได้ "
"เจ้าค่ะ"
น้ำาตาของแม่ชีพิรมลในคราบหนูอิ๊กพรั่งพรู
เมื่อรู้ตัวว่าก่อนตายพลาดตรงไหน
พอตายไม่เป็น ก็กลับมาเป็นตัวเป็นตนอีก!
"หลายชาติก่อนเธอเกิดเป็นชาย เคย
ลวนลามลูกในไส้ ชาติที่เป็นพิรมลกับชาตินี้ถึงมี
ต้นชีวิตไม่ค่อยดีนัก ถูกคนที่เลี้ยงดูรังแกเอา...
แต่เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีได้ เมื่อเกิดภายใต้ร่ม
เงาพระพุทธศาสนา คือพอถูกกดดันให้อยากทิ้ง
ชีวิต บุญเก่าก็ผลักให้มาพบวิธี 'ทิ้ง' อย่างถูก
ต้องของพระพุทธเจ้า"
"เจ้าค่ะ"
"ตอนนี้เธอชื่ออะไร?"
"อิ๊กเจ้าค่ะ ชื่อจริง อนิทรา"
แม่ใหญ่แปรสายตามาสบกับผู้ปกครองของ
เด็ก
"หนูล่ะชื่ออะไร?"
"มะแมเจ้าค่ะ"
รีบพนมมือตอบอย่างดีใจที่แม่ใหญ่หันมา
คุยด้วย
"ไม่มีใครมาแย่งเด็กคนนี้ไปจากอ้อมอก
ของหนูได้หรอก ไม่ต้องกลัวนะ"
นั่นคือการเริ่มต้นด้วยการแทงใจตรงจุด
มะแมยิ้มจางๆ ไม่รู้จะอายหรือโล่งอกดี ได้แต่รับ
ว่า
"เจ้าค่ะ"
"แต่ถึงหนูจะไม่ยอมยกให้ใคร ท้ายสุดก็
ต้องยกลูกสาวให้กับความตายอยู่ดี ฉะนั้น
ระหว่างเลี้ยงเขาเพื่อรอยกให้พญามัจจุราช หนูก็
ควรตั้งคำาถามไว้ด้วยว่าในมือเรามีเสบียงอะไร ที่
มอบให้เขาแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงกันอีก"
มะแมชะงัก
"แม่ใหญ่หมายถึงหนทางไปนิพพานหรือ
เจ้าคะ?"
"นิพพานเป็นที่เดียว ที่เราส่งคนรักไปถึง
แล้วหมดห่วงได้ถาวร ใช่จ้ะ! แม่หมายถึง
นิพพาน!"
"มะแมจะเอาอะไรไปให้น้องอิ๊กเจ้าคะ? ใน
เมื่อตัวเองก็ยังไม่รู้ทางกระจ่างแจ้ง"
"ความรู้เกี่ยวกับเส้นทางทั้งหมดอยู่ในหัว
ของหนูแล้ว"
"มะแมทราบอย่างเดียวเจ้าค่ะว่าบนเส้น
ทางนี้ ต่อให้รู้มากขนาดไหน หรือดูเหมือนเดิน
ทางก้าวหน้าเกินใครมาเพียงใด ขอแค่ไม่รู้ว่า
อุปสรรคขวางความเจริญของตัวเองคืออะไร ก็
ไม่มีทางไปได้ถึง"
ตลอดเวลาที่พูด มะแมพนมมือค้างไว้
เหลือบตาลงมองพื้น และส่งกระแสใจขอน้อม
รับคำาสั่งสอนชี้ทาง หาใช่คิดค้านอวดดีเถียงแม่
ใหญ่แต่อย่างใด
แม่ใหญ่เข้าใจเจตนา และเห็นว่ามะแมจะ
เป็นที่พึ่งทางธรรมให้กับน้องอิ๊กได้ต่อไป จึงเล็ง
พิจารณาอุปสรรคขวางทางเจริญของมะแมให้
ด้วยความรู้อย่างถ่องแท้ออกมาจากฝั่งของความ
เจริญถึงขีดสุดแล้ว
เกือบครึ่งนาทีที่แม่ใหญ่นิ่งไป ในที่สุดก็
เอื้อนเอ่ย
"ถ้าทิ้งความรักไม่ได้ ก็ทิ้งความยึดไม่ได้
เมื่อทิ้งความยึดไม่ได้ ก็ทิ้งต้นเหตุแห่งการเกิดมา
ไม่ได้ ... และเมื่อต้องเกิดอีก หนูก็ต้องพบกับ
ความตายและการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็น
ที่รักวันยังค่ำา ไม่ว่าจะหวงแหนพวกเขา เหมือน
อยากกอดไว้ไม่ปล่อยสักขนาดไหนก็ตาม"
มะแมก้มหน้านิ่ง อยากรู้ใจตัวเองเหมือนกัน
ว่าถ้าพบแม่ใหญ่ก่อนหน้านี้สักสองเดือน อะไรๆ
จะแตกต่างไปเพียงใด
ทำาอย่างไรได้ ในเมื่อชีวิตหล่อนถูก
ออกแบบให้เจอคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยาก
เวียนว่ายตายเกิดชั่วนิรันดร์ ก่อนจะได้พบกับแรง
บันดาลใจให้อยากตายเป็นครั้งสุดท้ายในชาตินี้ !
สายไปแล้วที่จะถอนใจจากความหลงรักใคร
บางคน...
"ในเมื่อมะแมถอนใจจากรักไม่ได้ ..."
หล่อนถามทั้งไม่เงยขึ้นสบหน้าแม่ใหญ่ "ชีวิตที่
เหลือควรทำาอย่างไรให้ดีที่สุด ทั้งเพื่อตัวเองและ
น้องอิ๊กเจ้าคะ?"
"หนูเห็นจิตของตัวเองและคนอื่น โดยความ
เป็นภาวะต่างๆนั้นดีแล้ว แต่ขอให้หนูพิจารณาว่า
'เห็น' นั้นมีอยู่สองแบบ คือ เห็นแล้วยึด กับเห็น
แล้ววาง สิ่งที่หนูเห็นมาทั้งหมด เป็นไปเพื่อการ
ยึด ไม่ใช่เพื่อการวาง"
"มะแมก็รู้ตัวอย่างนั้น แล้วทำาอย่างไรจะให้
เห็นแล้วไม่ยึดเจ้าคะ?"
"ถามความรู้สึกตัวเองตอนนี้ดูซิ หนูว่าพอ
แก่ตัวลง จะยังคงมี 'ตัวเอง' ตัวนี้อยู่ไหม?"
"ยังจะมี และรู้สึกว่าจะเหมือนเดิมเจ้าค่ะ"
"ตัวรู้สึกว่าจะเหมือนเดิมนั่นแหละ คือความ
ยึดมั่นสำาคัญผิดว่ามีเราอยู่จริงตลอดไป... แต่ละ
ช่วงเวลา ธรรมชาติจะส่งภาวะอย่างหนึ่งมาล่อใจ
ให้ยึดไว้เหมือนเดิม อย่างตอนนี้หนูก็ถูกล่อใจ
ด้วยภาวะคนสาว คนสวย แล้วเกิดความสำาคัญ
ไปว่าหนูเป็นตัวนี้ จะไม่เปลี่ยนไปจากนี้ "
เสียงจากผู้มีจิตที่ว่าง จิตที่รู้อย่างไร้การยึด
เตือนให้มะแมรู้สึกถึงความเป็นหญิงผมยาวของ
ตน และพบว่าใจสำาคัญมั่นหมายว่ากายนี้แหละ
คือตัวหล่อนจริงๆ
"เจ้าค่ะ แล้วทำาอย่างไรจะให้อาการยึดมั่น
สำาคัญผิดหายไปเจ้าคะ?"
"รู้สึกว่าลมหายใจนี้เป็นของหนูไหม?"
"รู้สึกเจ้าค่ะ"
"ที่รู้สึกเพราะมีตัวหนูนำาขึ้นมาก่อน แล้วจึง
มีการเห็นลมหายใจ คราวนี้ลองให้กลับกัน เห็น
ลมหายใจขึ้นมาก่อน สังเกตซิว่าครั้งนี้กับครั้ง
ก่อนมันยาวเท่ากันไหม?"
"ไม่เท่าเจ้าค่ะ"
"ไม่เท่าแปลว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว เป็น
คนละลมหายใจกันแล้ว ลมหายใจแสดงความไม่
เที่ยงต่อจิตแล้ว"
"เจ้าค่ะ"
"ความรู้สึกว่ามีตัวของหนูเป็นเจ้าของลม
หายใจ พลอยหายไปด้วยไหม?"
"หายไปเจ้าค่ะ"
"ถ้าเห็นแต่ลมหายใจต่างไปเรื่อยๆ เจ้าของ
ลมหายใจก็จะหายไปเรื่อยๆด้วยเช่นกัน"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
"จำาไว้นะ ขณะของการเห็นว่า 'ต่างไป' และ
'ไม่เหมือนเดิม' นั่นแหละ คือชั่วขณะของการ
กะเทาะอุปาทานออกไปเปลาะหนึ่ง พระพุทธเจ้า
ท่านให้เริ่มดูจากอะไรหยาบๆ เห็นง่ายๆได้ตลอด
เวลาอย่างลมหายใจ ถ้าเห็นได้ ก็ต่อยอดไปเห็น
อะไรที่ละเอียดกว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นความอึดอัด
หรือความสบาย ไม่ว่าจะเป็นภาวะจิตสงบหรือ
ฟุ้งซ่าน พวกมันจะปรากฏต่างไปเรื่อยๆเช่นกัน
พอเห็นทั้งหมด ก็จะหมดที่ยืนให้ตัวตนไปจนสิ้น"
ระหว่างฟัง มะแมก็ปิดตาระลึกตามคำาพูด
ของแม่ใหญ่ไปด้วย จึงเห็นว่า "ความสำาคัญผิด"
หลุดล่อนไปเป็นขณะๆได้ แต่ความหลงสำาคัญผิด
ก็เสมือนร่างแหที่เหวี่ยงตัวกลับมาปกคลุมจิตใหม่
ได้อีกเรื่อยๆเช่นกัน
แม่ใหญ่เห็นสภาพระลึกรู้ของมะแมเช่นนั้น
จึงสำาทับให้เกิดการต่อยอดความเข้าใจว่า
"เราต้องทำาเรื่อยๆ ค่อยๆกะเทาะทีละเปลาะ
นาทีแล้วนาทีเล่า วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
จนกว่าเปลือกแข็งๆหนาๆของความสำาคัญผิดจะ
หลุดร่วงออกไปจนหมดนะ อย่าเร่งรัด
พรวดพราด"
จิตของมะแมเป็นไปตามทิศทางของการ
ชี้นำา คือ "ทำาเรื่อยๆ" ไม่หยุด ไม่ชะงักคิด และไม่
คาดหวังว่าจะเห็นผลเร็ว
ครู่หนึ่ง นิมิตรูปร่างหน้าของแบบผู้หญิงคน
หนึ่งก็หายไป เหลือแต่ใจที่ว่างอย่างรู้ เป็นอยู่
อย่างไม่มีตัวฉัน ไม่มีเพศ ไม่มีเราเขา
แม้เป็นชั่วเวลาอันสั้นของการ "ไม่มีตัวตน"
อยู่ในกายใจ ก็ทันได้ตระหนักว่าตอนอะไรหายไป
ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความสามารถเห็นได้ว่า
อะไรๆหายไปนี่สิ นับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง เพราะสิ่งที่
เหลือคือจิตผู้มีพุทธิปัญญาสว่างไสว ให้รสอันเกิน
กว่าจะพรรณนาเป็นภาษามนุษย์
ในสมาธิอันไร้ตัวตน เหมือนเหลือแต่จิต
โล่งๆแบรับความว่าง รสแห่งวิเวกสุขในสมาธิที่
ทำามาตลอดเทียบไม่ได้เลยกับรสแห่งความว่าง
จากอุปาทาน
พุทธิปัญญาระดับหล่อนไม่อาจทรงสมาธิอัน
ไร้ตัวตนไว้ได้นาน ครู่เดียวก็กลับมารู้สึกถึง
อัตภาพหญิง รู้สึกถึงความมีฝั่งของตนและฝั่งของ
ท่านอีก
เปิดตาขึ้น ปีติมากพอจะก้มลงกราบแม่
ใหญ่หน้าผากจดพื้นเรือนนิ่งนาน ด้วยใจ
ปรารถนาจะแสดงความคารวะขั้นสูงสุด
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ มะแมทราบแล้วว่าจะ
ต้องดูอย่างไร"
"ดีแล้ว... หันหน้ามองไปทางไหน เราก็เริ่ม
เป็นคนในทิศนั้น และเมื่อได้เดินไปทางไหน ใน
ที่สุดเราก็จะได้เป็นประตูสู่ทางนั้นให้คนอื่นด้วย
นะลูกนะ"
___________________________________________________________________________
บทที่ ๒๔
หลายวันมานี้ คณินทร์ทำางานไม่เป็นสุข
เอาเลย
นอกจากต้องระวังตัวเพิ่ม ด้วยการเสริม
บอดี้การ์ด ไปไหนมาไหนไม่คล่องตัวตามความ
ชอบใจแล้ว ในหัวเขายังบรรจุแน่นอยู่ด้วยใบหน้า
ผู้หญิงคนหนึ่ง
กลายเป็นคนสมาธิสั้น ลงนั่งทำางานเดี๋ยว
เดียวก็อยากลุกเดินกระวนกระวาย พูดคุยกับใคร
ก็คล้ายอยากจบการสนทนาเร็วๆ เพราะเสียเวลา
จินตนาการถึงผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงบ้าอะไร แสนดี ดูดี และมีดี ครบสูตร
นางฟ้าเดินดินขนาดนี้ ?
และที่วนเวียนคิดถึงไม่เลิก นอกจากจะ
เพราะอยากได้เรือนกายหล่อนมาชิมแล้ว ยังเกิด
ความระแวงสงสัยที่ระอุขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตาม
ความคิดทบทวนต้นปลายไปมา
หล่อนรู้ว่าชั้นหนึ่งตายโดยไม่รู้ตัว และกำาลัง
อยู่กับเขา...
หากอ้างว่าเป็นญาณวิเศษเหนือมนุษย์ก็
แล้วไปเถอะ แต่ความสามารถข้อนี้ ดันไปทำาให้
เขานึกถึงชายในสูทขาวที่จู่ๆมาปรากฏตัวช่วยเขา
ให้รอดได้อย่างน่ากังขา
ตำารวจไม่สงสัยเขา แต่สงสัยเกี่ยวกับบุรุษ
ลึกลับ ซึ่งเขาก็ให้การว่าตนเองก็สงสัยไม่แพ้กัน
กับทั้งอยากสืบหาตัวบุรุษลึกลับดังกล่าวมาสอบ
สวน ไม่แพ้อยากได้ตัวคนบงการฆ่ามาลงโทษสัก
เท่าใด
ขั้นต้นมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าเหล่าชายใน
ชุดขาวน่าจะรู้จัก หรือกระทั่งมีเอี่ยวอยู่กับคนจ้าง
วานสังหาร แต่คงเกิดผิดใจ หรือขัดผลประโยชน์
ในทางใดทางหนึ่งกะทันหัน จึงมาช่วยชีวิตเขาไว้
เทวดาที่ไหนจะมารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่นใน
เวลานั้น?
ไม่แค่รู้เฉยๆ ยังอุตส่าห์ไปดักช่วยชีวิต ณ
จุดเกิดเหตุโดยปราศจากแรงจูงใจใดๆอย่างนี้อีก
พอเรื่องผ่านไปหลายวัน หายช็อค สติกลับ
มาอยู่กับเนื้อกับตัวดีแล้ว คณินทร์ก็ทบทวนอย่าง
ละเอียด คิดว่าถ้าอยากได้คำาตอบทั้งหมดโดยเร็ว
ก็ควรเริ่มต้นจากมะแมนี่เอง เพราะมีตัวตน มีที่
อยู่ให้เข้าถึง ถ้าหล่อนโยงใยกับใครจริง ในที่สุดก็
ต้องเจอ
เช้านั้น คณินทร์นั่งรับประทานข้าวผัด
อเมริกันกับคุณหญิง โดยต่างอยู่ในชุดดำา และ
ต่างคนต่างเงียบเชียบ ด้วยความรู้สึกว่าเมฆ
หมอกมืดครึ้มยังไม่จางไปจากชีวิต
ก่อนอาหารจะหมดจาน คณินทร์ก็เอ่ย
เนือยๆ
"เย็นนี้ผมอาจจะไปถึงช้านิดหนึ่งนะ แต่ยัง
ไงก็คงทันพระสวด"
รักสุรีย์พยักหน้าหงึกหนึ่ง ไม่ตอบอะไร คณิ
นทร์เหลือบมองคู่ชีวิตของตน เห็นฝ่ายนั้นก้มหน้า
ก้มตากินไม่พูดไม่จา ก็ตัดสินใจถามเลียบเคียง
"ยายหมอดูที่มีญาณคนนั้น ที่คุณพาผมไป
หาเมื่อหลายวันก่อน ชื่ออะไรนะ?"
"คุณจำาได้ อย่าทำาเป็นไก๋ "
รักสุรีย์ตอบด้วยเสียงเฉื่อยเฉย ไม่เงยขึ้น
สบหน้าตามเคย คณินทร์คอแข็ง แต่ขี้เกียจ "ไก๋ "
ต่อ จึงข้ามเรื่องชื่อเสียงเรียงนามไปถามเรื่องที่
คาใจตรงๆ
"คุณรู้จักแม่คนนี้นานหรือยัง?"
"ก็ไม่นานนัก"
"ทำาไมถึงรู้จักกันได้ ?"
"ฉันมีปัญหาเครียดๆ พอดีตากฤษฎา
แนะนำาให้ "
"กฤษฎา..." คณินทร์เลิกคิ้วสูง ถามให้
แน่ใจ "ตำารวจ?"
"นั่นแหละ"
รัฐมนตรีหนุ่มใหญ่พยักหน้ายิ้มอย่างสมหวัง
เพราะมีสิทธิ์ได้รายละเอียดผ่านทางนั้นอีกมาก
แค่สืบให้รู้ว่ากฤษฎาอยู่ฝ่ายเขาหรือฟากศัตรู
เค้าลางก็อาจเริ่มปรากฏ!
"พูดก็พูดเถอะ บอกว่าแม่นี่มีญาณ นั่ง
ทางใน ผมว่าหุ่นไม่ให้เลย เหมือนมีการศึกษา
จบสูงๆ แบบที่เห็นตามออฟฟิศมากกว่า"
"ฉันก็เพิ่งรู้ทีหลังว่าเขาจบจิตวิทยานะ"
"อ้าว! แล้วคืนนั้นคุณไม่เห็นบอกว่าแม่คนนี้
เป็นนักจิตวิทยา เห็นบอกแต่มีญาณ ติดต่อกับ
วิญญาณได้ไปโน่น"
"ก็แล้วติดต่อได้จริงไหมล่ะ?"
"ผมว่าระแวงไว้บ้างก็ดีนะ ทุกอย่างที่เห็น
อาจเป็นแค่การจัดฉากอย่างแยบยล พวกเราตัว
ใหญ่ ชีวิตเหมือนเป้าเคลื่อนที่ไปมาอยู่กลาง
สนามโล่ง ปกปิดข้อมูลส่วนตัวลำาบาก ถ้าหาก
เอานักแสดงเก่งๆมาหลอกให้เนียนหน่อย ก็อาจ
เสร็จมันง่ายๆ"
"แล้วถ้ารู้ความฝันได้ล่ะ? ความฝันของคน
มีหมาตัวไหนมันรู้ได้ไหม? มะแมส่องเข้าไปดูฝัน
ของฉันได้ จะให้คิดว่าไปล้วงข้อมูลมาจากใคร
คะ?"
คณินทร์ขมวดคิ้วสงสัย ยามระแวงเช่นนี้ ดู
เหมือนไม่มีใครในโลกชวนให้เขาเชื่อได้สักคน
พวกเล่นมายากลยังมีวิธีใหม่ๆมาแหกตาคนดูทุก
วัน ก็ไม่เห็นใครจับได้ไล่ทันเหมือนกันนั่นแหละ
ถ้าถูกบังคับให้เชื่อ เขาก็เต็มใจเชื่ออย่าง
เดียวว่าโลกนี้มีมายากลอยู่จริง แต่อย่ามาบังคับ
ให้เชื่อว่ามายากลเป็นของจริงก็แล้วกัน!
ถ้อยคำาแสดงความปักใจเชื่อมั่นของรักสุรีย์
ทำาให้คณินทร์คร้านที่จะสืบสาวหาร่องรอยอะไร
จากผู้เป็นภริยาต่อ เขาเดินออกมาจากห้อง
อาหารด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เพราะรู้ว่างานนี้คง
ต้องครุ่นคิดคนเดียว ปรึกษาใครที่ไว้ใจได้ยาก
ผู้ต้องสงสัยที่เป็นตัวการใหญ่ในใจของเขา
ตอนนี้เด่นๆมีถึง ๓ ราย ทั้งเพื่อนนักการเมืองซึ่ง
อาจอยากตัดตอนเขาในคดีทุจริตที่เริ่มอื้อฉาว ทั้ง
มาเฟียที่เขาใช้ขอบเขตอำานาจทำาลายหนทาง
หากิน ตลอดจนไอ้โม่งที่จองเวรกับเขามาแต่ไหน
ไม่รู้ ส่งจดหมายสนเท่ห์มาขู่จะเอาชีวิตหลายหน
จับมือใครดมไม่ถูก
ช่วงสายเขามีนัดประชุมให้คำาปรึกษากับ
ท่านนายกฯ แต่ขณะนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง คณิ
นทร์จึงเดินเข้าห้องหนังสือเพื่อใช้ความคิดเงียบๆ
ตามลำาพัง
เดินกลับไปกลับมาในห้องที่มีความยาว
ประมาณ ๑๐ เมตร สองฝั่งเป็นตู้หนังสือติดผนัง
สูงจรดเพดาน สมองไล่ลำาดับทบทวนอย่าง
รวดเร็ว ในหัวเต็มไปด้วยบุคคลและเหตุการณ์
มากมาย แต่สุดท้ายก็มาสะดุดหยุดลงที่มะแม
หญิงสาวผู้แสดงความสามารถพิเศษให้เขาทึ่ง อ้า
ปากค้างจนมานั่งนึกอายทีหลัง
ในห้วงเวลาแห่งการเป็นรัฐมนตรีกระทรวง
พาณิชย์ ที่มีอิทธิพลล้นเหลือ ดึงดูดผู้คนนับร้อย
นับพัน พากันวิ่งขาขวิดเข้าหา ต้องถามตัวเอง
เสมอว่าคนที่อยู่ตรงหน้าต้องการอะไรจากเขา
และเมื่อคุยไปสักพัก ก็ต้องถามตัวเองซ้ำาไปซ้ำามา
ว่ากำาลังถูกหลอกอยู่หรือเปล่า!
ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ไม่มีอะไรน่าสนุก
เท่าได้เป็นฝ่ายหลอก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไร
น่าเจ็บใจเท่าเป็นฝ่ายถูกหลอก
ถ้าทั้งหมดนับแต่จุดฆาตกรรมจนถึงห้อง
ทำางานของมะแม ล้วนแล้วแต่เป็นการจัดฉาก ก็
แปลว่าเขาถูกต้มเสียสุก
ชาติเชื้อเนื้อชายอย่างเขาฆ่าได้ แต่ห้าม
ต้ม!
นึกถึงแววตาแจ่มใส สาดประกายชื่นชม
พราวแพรว เขาไม่คิดว่ามะแมจะแสดงละครเก่ง
ระดับฮอลลีวู้ดเรียกแม่ได้ขนาดนั้น น่าจะมีความ
จริงอยู่ที่นั่นบ้าง
เอ... หรือว่านั่นก็คือจิตวิทยาที่หลอกผู้ชาย
หน้าโง่ได้ทั้งโลก?
ถ้ากำาลังอยากลองลิ้มชิมรสผู้หญิงคนไหน
การจับโกหกผู้หญิงคนนั้นก็จะยากขึ้นกว่าปกติ
หลายสิบเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเชื่อว่าฝ่าย
หญิงชื่นชมตน ปลาบปลื้มในตน ก็ยิ่งบวกความ
ทะนงตัว กลายเป็นกำาแพงหนาๆบดบังข้อเท็จจริง
อื่นหนักเข้าไปอีก
แววตาน่าพิสมัยที่จับจ้องเหมือนเห็นเขา
เป็นวีรบุรุษ ยังฝังแน่นในความทรงจำาไม่เลือน
อยากรู้เหลือเกินว่าหล่อนเห็นเขาเป็นเทพเจ้าหรือ
หมูหันกันแน่
คณินทร์เดินไปที่ตู้หนึ่ง หยิบหนังสือขายดี
ของตนเองออกมา มันคือ "หัวเราะเยาะเคราะห์
ร้าย เล่ม ๗" ซึ่งเป็นการรวบรวมคำาคมและ
เนื้อหาที่เขาตระเวนบรรยายไปทั่วประเทศ
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่กลับไปอ่านหนังสือ
ไม่กลับไปดูวิดีโอของตนเองจนเลือนๆ จำาไม่ค่อย
ได้ว่าเคยคิด เคยพูดไว้อย่างไรบ้าง
พลิกมั่วๆ เจอกรอบระบายพื้นเทาไว้ว่า
ชีวิตดีๆต้องการแค่ให้คุณดีพอ ไม่ใช่ต้องการให้
คุณพยายามสร้างภาพที่ดีพร้อม
ย้ิมนิดๆอย่างพอใจ คำานั้นมันกลั่นออกมา
จากใจจริง เขาไม่เคย และจะไม่มีวันสร้างความ
รู้สึกว่าตัวเองดีพร้อม ในเมื่อคนทั้งประเทศตัดสิน
ว่าเขาดีพอจะได้เป็นผู้แทนราษฎรสามสมัยซ้อน
ด้วยคะแนนถล่มทลาย เกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วม
พรรคอยู่แล้ว
เป็นนักการเมือง ทำาให้รู้จักการเมืองอย่าง
ถึงแก่น การเมืองคือเกมชิงอำานาจ และในเกมชิง
อำานาจไม่เคยมีคนดี มีแต่คนเอาความดีบางส่วน
มาสร้างภาพให้ตนดูดีเกินจริง ทั้งหมดก็เพื่อเรียก
คะแนนเสียงเท่านั้น
แต่ในคืนก่อน ภาพของมะแมทำาให้ภาพ
ของเขาดูด้อยค่าลงอย่างบอกไม่ถูก ราวกับคนที่
"ดีพร้อม" จะมีตัวตนขึ้นมาได้จริงๆ รัศมีสว่าง
อาภาอันเกิดจากวิธีคิดที่ไร้มลทิน ขับข่มให้รู้สึก
ว่าชาตินี้เขาไม่มีทางดีเท่าหล่อนได้แน่
ยืนก้มหน้าอ่านๆงานเก่าของตน เหมือนได้
ย้อนกลับไปสู่ตัวตนในวันวาน กระทั่งรู้สึกว่า
ติดลมกว่าที่คิด จึงลงนั่งเก้าอี้ใกล้ตัว
ในการสัญจรครั้งหนึ่ง ภายใต้หัวข้อ "โกง
ไม่ดี เพราะคนดีไม่โกง" เขาขึ้นต้นไว้ว่า เงินที่
เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างปุบปับ มักจะสามารถ
เปลี่ยนความคิดให้แย่ลงได้ในฉับพลัน
นอกจากนั้น ยังสำาทับทิ้งท้ายหนักแน่น อย่า
ภูมิใจว่าได้วิ่งนําหน้าใคร ถ้ากําลังอยู่บนทางลง
เหว!
สีหน้าของคณินทร์ผ่อนคลายลง แต่นัยน์ตา
ส่องแววคิดลึก ถึงวันนี้ เงินและอำานาจบิดความ
คิดของเขาให้เบี้ยวกว่าเดิมไปถึงไหนแล้ว?
พอชีวิตผ่านไป เขาก็ชักตอบไม่ถูกเหมือน
กันว่า "ทางลงเหว" มันอยู่ตรงไหนบ้าง หลาย
เส้นทางบางทีเหมือนบันไดสวรรค์ ต้องเดินขึ้นไป
หลายก้าว กว่าจะไหวตัวว่ามีบันไดผุๆรออยู่ แถม
มาผุเอาในจังหวะที่หล่นไม่ได้ เนื่องจากขึ้นมาสูง
จนทำาให้ภาคพื้นกลายเป็นเหวนรกไปเสียแล้ว!
ตอนเลือกตั้ง เขาไม่เคยโกง ไม่เคยแจกเงิน
แม้แต่บาทเดียว เพราะเชื่อมั่นมากว่าประชาชน
เอาเขาแน่ ซึ่งในที่สุดก็เอาจริงๆ ครั้งนั้นคณินทร์
ประกาศด้วยความผยองว่าถ้าใครจับได้ว่าเขา
โกงหรือซื้อเสียงแม้แต่คะแนนเดียว ให้จับตัวไป
ยิงเป้าได้เลย เขาจะใช้เสียงสวรรค์ที่รับมาจากพ่อ
แม่พี่น้อง ไปสร้างสวรรค์บนดินให้พ่อแม่พี่น้อง
อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มรับเงินใต้
โต๊ะ...
อ่านต่อมาถึงการสัญจรภายใต้หัวข้อ "ทำา
อย่างไรให้ถูกเลือก" คณินทร์หัวเราะเบาๆ คุ้นๆ
ว่าหัวข้อนั้นเอาไว้สอนเด็กจบใหม่ที่มักเครียด
เรื่องหาแหล่งงานดีๆ
เมื่ออยู่ในช่วงตอบคำาถามท้ายรายการ เขา
เอ่ยกับผู้หญิงที่ขาดความมั่นใจในตนเอง และบ่น
ออกอากาศว่ารูปร่างหน้าตาทำาให้หล่อนเสีย
เปรียบมาตลอดชีวิต ไปทำางานที่ไหนใครเขาก็
เลือกคนสวยกว่า ครั้นจะเป็นแม่ค้า ลองใส่เสื้อผ้า
โชว์วับๆแวมๆ ก็หาได้ดึงดูดใครให้หยุดซื้อไม่
คณินทร์คิดคำาพูดสดๆตอบหล่อนไปว่า
ผู้คนจะลืมว่าคุณหล่อหรือสวยขนาดไหน แต่จะจํา
ว่าคุณทําให้โลกใบนี้งดงามขึ้นหรือน่าเกลียดลง
จากนั้นจึงสาธยายว่าผลงานดีๆที่ต่อเนื่อง
จะช่วยให้คนเราเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจในระยะ
ยาว ขอให้เริ่มสะสมผลงานสวยๆไว้แบบหยอด
กระปุกวันต่อวันเถอะ วันหนึ่งพอมันเต็ม ก็จะได้
น้ำาหนักกว่าความสวยของคนอื่นไปเอง
จำาได้ว่าหลังจากนั้นนานนับปี เขาเจอผู้หญิง
คนดังกล่าวอีกหน เธอเข้ามาไหว้ขอบคุณ และ
บอกว่าคำาพูดของเขามีความหมายกับเธอมาก
มันทำาให้เลิกหน้าหงิก ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็น เห็นค่า
ของผลงานและการกระทำามากขึ้น แล้วก็แปลกที
ใครต่อใครชมว่าสวยกว่าเดิมอย่างผิดหูผิดตา
คณินทร์กะพริบตาถี่ๆ อดถามตัวเองไม่ได้
ว่าทุกวันนี้เขาทำาให้โลกสวยงามขึ้นหรือว่าน่า
เกลียดลงมากกว่ากัน หลังจากเอาขี้ไปป้ายท่าน
นายกฯที่เคารพมาพักใหญ่
ยิ่งมาสะอึกเมื่อเจอวาทะเด็ดในหน้าต่อ
มา...
อย่าเลือกงานที่บังคับให้คุณต้องโกหก
เรื่อยๆ เพราะหลังจากเวลาผ่านไป อาจไม่มี
ความชั่วร้ายใดเลยที่คุณทําไม่ได้ !
เอ... นี่เขาคิดเองหรือ ทำาไมไม่ค่อยคุ้น?
ทบทวนไปทบทวนมา ก็นึกได้ว่าเขาเอา
เค้าโครงมาจากคำาที่พระพุทธเจ้าตรัส นั่นคือ
"ใครโกหกทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องไม่จริงได้เป็นนิตย์ จะ
ไม่มีความชั่วอันใดเลยที่เขาลงมือทำาไม่ได้ !"
อ่านเจอพุทธพจน์นี้มาจากที่ไหนสักแห่ง
แล้วได้จังหวะนำาไปประยุกต์เมื่อมีผู้เข้าร่วม
รายการเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับอาชีพการงานที่จำาเป็น
ต้องโกหกอยู่เรื่อยๆ กับทั้งเล่าว่ามันนำาไปสู่การ
เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในงานทุจริตมากขึ้นทุกที
อันเนื่องมาจากผู้เข้าร่วมรายการคนนั้นพูด
ได้เป็นเหตุเป็นผลน่าฟังมาก เขาจึงรวบรัดสรุปให้
ในตอนท้าย สอดคล้องกับพุทธพจน์ที่เผอิญได้
อ่านมาก่อน
สรุปคือครั้งนั้นเขาพูดให้ฟังดี แต่ไม่เคยนำา
ไปเป็นคติประจำาใจเพื่อใช้จริงเอาเลย
เป็นสิบปี เขาจึงค่อยเห็นความจริงตามพุทธ
พจน์ ด้วยความเข้าใจชัดแจ้งกระจ่างใจ
ถึงปัจจุบัน แทบไม่มีวันไหนได้พูดแต่ความ
จริง แค่เริ่มเป็นนักสร้างแบรนด์ก็ต้องฝึกโม้เก่งๆ
ฝึกพูดให้คนเห็นแต่แง่ที่เป็นผลดีกับภาพลักษณ์
สินค้า กับทั้งบิดเบือนความจริงที่ไม่มีใครควรรู้ให้
เบ้เบี้ยวไปเป็นอื่น
พอเป็นนักการเมืองระดับปกครอง ก็ต้องโม้
เพื่อชาติ ต้องปลิ้นปล้อนเพื่อพรรค และต้อง
ตอแหลเพื่อตัวเอง นับไม่ไหวว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ที่แย่คือพอมีเหตุให้ต้องโป้ปดมดเท็จ โกหก
หลอกลวงประชาชน ทุกสายตาจะเล็งมา แล้วไหว้
วาน หรือไม่ก็สั่งใช้เขา โดยบอกว่าเขานี่แหละ
โกหกได้น่าเชื่อถือกว่าใครเพื่อน
คำาโกหกหลายต่อหลายคำา มีผลให้เขาต้อง
ทำาเรื่องน่าฝืนใจ หรือไม่ก็พาเขาไปมีเอี่ยวกับคน
ระยำามากหน้าหลายตา พอโกหกไปแล้ว จะอยาก
ทำาหรือไม่อยากทำา ในที่สุดก็บอกตัวเองว่าต้อง
ทำาอยู่ดี
ถอนใจเฮือกหนึ่ง ถ้าชีวิตคนเราเป็นไปตาม
คำาพูดสวยๆได้ตลอดเวลาก็คงดีหรอก...
อ่านเพลินจนนึกได้ พลิกข้อมือดูเวลา เห็น
ว่าสมควรไปทำางานเสียที จึงกระโดดข้ามไปที่
หน้าสุดท้าย ตอนแรกกะอ่านผ่านๆ แต่แล้วก็
สะดุดกึก
เมื่อใจงาม คุณจะรู้สึกถึงความงามแม้ในสิ่ง
เลวร้าย แต่หากใจร้าย คุณจะเห็นแค่แง่ร้ายแม้ใน
สิ่งดีงาม!
ความจริงข้อความนั้น เกี่ยวเนื่องกับการ
เปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจร้ายๆ
ให้กลายเป็นโอกาสหาความก้าวหน้าดีๆ โดยมี
การเสริมท้ายว่า ถ้ามองโลกในแง่ร้าย คุณอาจ
เพิ่มความร้ายให้กับโลกด้วยความคิดร้ายๆของ
ตัวเอง
ช่างบังเอิญที่มาพ้องกับเรื่องของมะแม ส่วน
ลึกบอกเขาว่ามะแมเป็นคนดี และเขาอาจ
หวาดระแวง มองโลกในแง่ร้ายไปเอง แต่ช่วยไม่
ได้ที่ดีแบบหล่อนเป็นดีอย่างลึกลับ และอะไรที่
ลึกลับก็มักถูกตีความเป็นด้านร้ายได้ง่ายมาก
คณินทร์ปิดหนังสือและเอากลับไปเสียบคืน
ที่ ความรู้สึกคล้ายเก็บตัวตนในวันวานเข้ากรุตาม
เดิม ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน หรือเอามาใช้ได้จริง
ในวันนี้อีกแล้ว
ก่อนมาเป็นนักการเมือง เขาเห็นโลกด้านดี
มากกว่าด้านร้าย จึงมีแก่ใจปรุงแต่งคำาพูดสวยๆ
มากกว่าส่งคำาด่ากากๆ
แต่ถึงวันนี้ กำาลังใจในการปรุงแต่งคำาสวยๆ
ลดลงฮวบฮาบ เพราะยิ่งขึ้นสูง ก็ยิ่งเห็นความ
สกปรกของโลกถนัดชัดขึ้นเรื่อยๆ
อีกประการหนึ่ง ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งดึงดูดคนมา
พยายามลากลงต่ำา แม้ตั้งใจดี อยากให้เกิดผลดี
แล้วผลดีก็เกิดขึ้น แต่บทคนเราจะหมั่นไส้กันเสีย
อย่าง มันก็ไม่พยายามทำาความเข้าใจใดๆทั้งสิ้น
จะกระชากลงมาเหยียบย่ำาท่าเดียว
ธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเป็นอย่างคนที่ตน
ริษยาไม่ได้ วิธีสร้างความสำาคัญได้เทียบเท่า ก็
คือทำาลายคนๆนั้นทิ้งเสีย
ไม่แน่ คนที่คิดจะฆ่าเขา อาจเป็นคนที่เขา
ช่วยให้ได้ดิบได้ดีทางการเมือง แต่ยังไม่พอใจ
อยากเอาให้เท่าเขาหรือเกินเขา และทางลัดก็คือ
กำาจัดเขาทิ้งไปเสีย
แล้วเขาจะดีไปเพื่อใคร ทำาดีไปทำาซาก
อะไร?
กว่าจะเกิดกำาลังใจทำาดี ต้องให้ใครต่อใคร
มาปลุกใจกันด้วยคำาขวัญต่างๆนานา แต่จะทำาชั่ว
ไม่ต้องรอใครยุเลย แค่อยากด้วยตัวเองหน่อย
เดียวก็พอ
ชีวิตที่ผ่านมาของคณินทร์ สอนเขาว่าคำาพูด
นั้นยาวเกินไป คนเราจำาได้แค่ความรู้สึกจริงๆที่
อยู่ติดตัวตอนนี้เท่านั้น
ความรู้สึกติดตัวที่สุดในตอนนี้ของเขา คือ
อยากรู้ความจริงทั้งหมด อยากให้ทุกความลับแบ
ออกมา ว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวพันกับการลอบ
สังหารเขา
แล้วเขาจะเอาอุดมคติหรือความถูกต้องข้อ
ไหนมาช่วยให้ได้รู้เล่า? ไม่มีหรอก!
เพื่อดับความอยากรู้ในเรื่องที่มีลับลมคมใน
เขาคงต้องใช้วิธีที่ไม่ตรงไปตรงมาเท่านั้น...
เขายึดเป็นคตินำาใจมานาน เชื่อตามหลัก
อย่าเชื่อตามแหลก จงหาหลักอะไรสักอย่างที่รู้
จริงได้ด้วยตนเองมายึดไว้ แล้วในที่สุดหลักที่ยึด
นั้นจะพาไปหาคำาตอบบางอย่างเสมอ
และหลักที่จะได้รู้เรื่องของคนๆหนึ่งอย่าง
ถ่องแท้ ก็คือไม่ฟังสิ่งที่คนๆนั้นพูดกับใครอื่นนอก
บ้าน แต่ให้ฟังเฉพาะที่เขาหรือเธอพูดกับคนใน
บ้านทุกวัน!
_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๕
มะแมตื่นนอนตรงเวลา แต่ยังไม่ทันลืมตา
ด้วยซ้ำา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นที่โต๊ะข้างหัวเตียง
หญิงสาวย้ิมบางๆอย่างเดาถูกว่าเป็นโทรศัพท์
จากใคร และโทร.มาด้วยธุระอะไร จึงเอี้ยวตัวไป
คว้ามือถือมากดปุ่มรับ
"สวัสดีค่ะพี่อัค"
"สุขสันต์วันเกิด"
"ขอบคุณค่ะ"
"ขอบใจนะที่เกิดมาให้พี่รัก"
คำาหยอดนั้นเรียกรอยยิ้มหวานได้ มะแม
เสยผมเชื่องช้า รวบรวมความกล้าที่จะพูด
"มะแมก็รักพี่อัคนะคะ หลายครั้งรู้สึกเหมือ
นพี่อัคเป็นรางวัลของการได้เกิดมา"
พูดจบก็หน้าแดงหน่อยๆ ต่างฝ่ายต่างนิ่ง
ลิ้มรสละไมอันเกิดจากสายใยแห่งความไม่เป็นอื่น
"อากาศหนาวไหม?"
"คืนนี้ยังต้องนอนเปิดแอร์อยู่เลยค่ะ... พี่
อัคอยู่ถึงไหนนี่ ?"
"ก็ไม่ไกลหรอก บอกแล้วไงว่าวันเกิดจะ
กลับมาพาไปเลี้ยง"
"มาถึงกี่โมง?"
"ถึงไทยราวๆบ่ายสองครึ่ง แล้วพี่จะแวะไป
รับตอนมะแมเลิกงานละกัน... จะพาน้องอิ๊กไป
ฉลองด้วยหรือปล่อยให้อยู่บ้านดี ?"
"พาไปด้วยสิคะ"
"โอเค งั้นตอนเย็นเจอกัน แล้วพรุ่งนี้เราไป
ไหว้พ่อแม่มะแมตามนัดนะ"
"เดี๋ยวค่ะพี่อัค..." เกิดความรู้สึกอ้อยอิ่งจน
อยากรั้งไว้ "อยากคุยกับพี่อัคค่ะ ได้แต่ฝาก
ข้อความกันไปฝากข้อความกันมาเสียหลายวัน...
ตอนนี้พอว่างอยู่หรือเปล่า?"
"นี่เวลาออกกำาลังกายของมะแมไม่ใช่เห
รอ?"
ระหว่างนั้น หญิงสาวก็ลุกเดินไปที่ห้องน้อง
อิ๊ก ซึ่งแม่หนูน้อยกำาลังเดินสวนออกมาพอดี
"วันนี้นั่งสมาธิไปคนเดียวก่อนนะลูกนะ ขอ
แม่คุยกับคุณพ่อหน่อย"
สั่งความเสร็จก็ก้มลงหอมหน้าผากลูกสาว
อย่างอ่อนโยน
"ค่ะ... สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณแม่ "
แล้วเด็กหญิงตาแป๋วก็โอบกอดรอบคอและ
หอมแก้ม "คุณแม่ " ผู้ไม่ได้ให้กำาเนิดตนในชาตินี้
มะแมย่อตัวกอดตอบ ตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ
แล้วเดินแยกกลับมาที่ห้องนอน เปิดไฟกลาง
หยิบสายแฮนด์ฟรีจากโต๊ะเครื่องแป้งมาเสียบเข้า
กับมือถือ เพราะรู้สึกว่าอาจได้คุยยาว
"คิดถึงพี่มากเหรอ?"
อัคระถามเย้า
"ค่ะ... คิดถึง" หล่อนรับซื่อๆ "แล้วก็มีเรื่อง
จะเล่าให้ฟังด้วย"
"ท่าทางจะสำาคัญ"
"ก็น่าจะอย่างนั้นมั้ง... มะแมเข้าถึงตัว
รัฐมนตรีที่พี่อัคเคยบอกไว้ตั้งแต่หลายวันก่อน
แล้วนะคะ"
"มาหามะแมเองเลยใช่ไหม?"
"เฮ้อ! รู้หมดอย่างนี้ไม่สนุกเลย แล้วมะแม
จะเอาอะไรมาเล่าให้พี่อัคฟังเหมือนเรื่องสำาคัญที่
ต้องชวนคุยกันต่อล่ะ"
"อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมะแม เรื่องงานนี่พี่เบื่อ
เต็มแก่ รู้ๆอยู่ว่ายังไงอีตาคณินทร์ก็ต้องมาเข้า
ทางมะแมวันยังค่ำา"
"อือม์ ... ไม่คุยเรื่องงาน จะคุยเรื่องมะแม
ถ้าบอกว่าเมื่อวานไปกินปูอัดมา ฟังแล้วจะสนุก
หรือเปล่า?"
"ก็ใส่สีตีไข่เสียหน่อยสิ นินทาหน้าตาคน
ขายปูอัดให้พี่ฟังก็ได้ "
มะแมหัวเราะขำาแล้วนิ่งไป เอนกายลงนอน
ตะแคงบนเตียง ส่งจิตคลอเคลียกับพลังยิ่งใหญ่
ของอัคระ แล้วรู้สึกราวกับตนเป็นนกน้อยที่
โบยบินอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาตระหง่านก็ไม่
ปาน
"ช่วงนี้มะแมรู้สึกเหมือนผู้หญิงโง่ๆวันละ
หลายรอบ"
เปรยแบบไม่มีต้นมีปลาย ปล่อยให้เขาคิด
เองว่าหล่อนหมายถึงอะไร
"จะให้เดาไหมล่ะว่าทำาไมถึงรู้สึกอย่าง
นั้น?"
"เอาสิคะ"
ทำาเสียงขึ้นจมูกอย่างท้าทายนิดๆ
"เดี๋ยวนะ ขอจูนคลื่นนิดหนึ่ง อือม์ ...
อารมณ์โง่ในที่นี้น่าจะหมายถึงอาการโหยหาแบบ
คว้าอากาศเปล่า... ตอนนี้ภาพที่เกิดในใจพี่นะ
มะแมเคยเห็นลูกค้าผู้หญิงพร่ำาเพ้อละเมอหาคน
รัก แล้วก็คิดว่าจะเพ้อไปทำาไมนักหนา โง่ชัดๆ...
แต่แล้วใครจะนึกว่าช่วงนี้มาเป็นซะเอง"
หน้าร้อนผ่าว เลือดสาวฉีดซ่านไปทั้งแก้ม
เด้งตัวลุกพรวดจากท่านอนตะแคงขึ้นนั่งตรง
ความจริงหล่อนไม่รู้ใจตนเองชัดด้วยซ้ำา เนื่องจาก
อารมณ์กำาลังฝันๆ มัวๆมนๆ แต่สติของอัคระกำา
ลังเข้าฝัก จึงรู้ชัดทะลุปรุโปร่งได้แบบเจาะลึกเป็น
คำาๆ ราวกับมานั่งอยู่ในสมองหล่อนเพื่อดักฟัง
เสียงความคิดกันทีเดียว
บางทีแก้ผ้าให้ดูยังจะดีกว่าโดนเปิดโปง
ความคิดเสียอีก ในที่สุดมะแมก็แก้อายด้วยการ
หัวเราะหึหึถอนฉิว
"ตกลงดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้นะคะ ที่มี 'คนรู้ใจ'
ของจริงเนี่ย"
"ที่แน่ๆคือระหว่างเรา จะไม่มีใครโกหก
ใคร"
"ก็ไม่แน่นะคะ คุยกับพี่อัคแล้วสมองไม่
ค่อยทำางาน ถ้าพี่อัคหลอกอะไรมะแม มะแมคง
เชื่อหมด"
"แล้วพี่จะไปหลอกทำาไม?"
หญิงสาวอึ้ง คำาย้อนถามง่ายๆของเขา
กระตุกให้คิดในใจว่าก็จริงแหละ ระดับที่สร้าง
คอมพิวเตอร์ตาทิพย์ทำานายโลกและจักรวาลได้
อย่างอัคระ จะต้องมาเอาอะไรกับ... เด็กระดับสี่
อย่างหล่อน
ช่วยไม่ได้ที่บางครั้งบางคราวจะเกิดความ
สับสนใจ นึกถึงน้องอิ๊ก นึกถึงเงินร้อยล้านใน
ธนาคาร นึกถึงรัฐมนตรีคณินทร์ แล้ววนเวียน
ถามตัวเองว่าชีวิตหล่อนเปลี่ยนแปลงจากไม่มี
อะไร มามีอะไรทั้งหมดนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่
เพราะเขาคนเดียว
อัคระให้อะไรต่ออะไรหล่อนมากมาย ก็แล้ว
เขาล่ะ ต้องการอะไรจากหล่อนบ้าง?
มะแมสลัดหน้า ขับไล่คลื่นความสับสนออก
จากสมอง บอกตัวเองว่าที่ระแวงเขาขึ้นมาเป็น
วูบๆ ก็อาจเป็นแค่ความโง่ไปอีกแบบ
ระแวง... เพียงเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถรู้ใจ
เขาทะลุปรุโปร่ง
ระแวง... เพียงเพราะรู้สึกราวกับหล่อนเป็น
ลูกไก่ในกำามือ
หรืออาจจะระแวง... เพียงเพราะรู้สึกเอาเอง
ว่าหล่อนเป็นฝ่ายเทความรักให้เขามากกว่า
นึกถึงการฆ่าตัวตายของแจ๊บ นึกถึงคำา
พร่ำาเพ้อสุดท้ายของเจ้าหล่อน ที่ไม่เข้าใจว่าทำาไม
ต้องรักผู้ชายมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ชักเห็นใจ
ภาวะหลงรักแบบหน้ามืดตามัวไม่เข้าใครออก
ใคร บทจะโง่ก็โง่ได้พอๆกันหมดนั่นแหละ!
แค่คิดว่าเขาจะทิ้งหล่อนไป ก็เห็นภาพตัว
เองซมซานเท่ากับหรืออาจจะยิ่งกว่าแจ๊บแล้ว...
ขณะนั้น สัญญาณเตือนแบตเตอรี่อ่อนดังขึ้น
มะแมทำาหน้างง ยื่นโทรศัพท์ออกมาดูก็พบ
สัญลักษณ์แบตเตอรี่แดง แสดงว่าไฟใกล้หมด
จริง จึงบอกกับคนรักว่า
"แบตฯใกล้หมดค่ะพี่อัค สายชาร์จอยู่ข้าง
ล่าง แค่นี้ก่อนก็ได้นะ แล้วเดี๋ยวเย็นค่อยคุยกัน"
"ไม่เป็นไร พี่โทร.เข้าอีกเครื่องก็ได้ "
"อีกเครื่อง... เครื่องไหน?"
"ก็ที่มะแมเก็บไว้เป็นเครื่องประดับในกระ
เป๋าถือน่ะ"
"เครื่องของบอส?" หญิงสาวถามเสียงสูง
"แล้วพี่จะโทร.เข้าได้เหรอคะ?"
"ก็ลองดู "
เสียงเรียกแบบโทรศัพท์โบราณดังขึ้นจาก
กระเป๋าถือบนโต๊ะเครื่องแป้ง มะแมยิ้มนิดๆ คิด
ในใจว่ามีอะไรบ้างที่หวานใจของหล่อนทำาไม่ได้
ปลดเอียร์โฟนออกจากหู กดปุ่มวางสาย
"มือถือธรรมดา" ลง แล้วก้าวไปเปิดกระเป๋า
หยิบ "มือถือพิเศษ" มากดปุ่มรับ
"เมื่อคืนดูข่าวค่ะ..." ทำาหน้าปกติพูดต่อ
เนื่อง เอ่ยพลางก้าวกลับขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง
"ช่วงนี้น้ำาท่วมใหญ่ สึนามิก็ออกโรงอีก แถมแผ่น
ดินถล่มเป็นวงกว้างไม่เว้นแต่ละวัน รู้สึกถึงการ
ล้มตายเป็นเบือไปทั่วโลก แล้วมะแมก็นึกนะคะว่า
ประสบการณ์ของคนที่เจอวิบัติภัยเหล่านั้น คง
รู้สึกว่าโลกาวินาศมาถึงแล้ว ไม่ใช่ต้องรออีกกี่
เดือนกี่ปี "
"ระยะนี้จะมีแค่ภาพน่ากลัว แต่ไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงจริงจังหรอก ต่อให้มีคนตายพร้อม
กันเป็นหลักแสน ส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะไม่รู้สึกถึง
ความเปลี่ยนแปลง เพราะแต่ละวันมีคนตายเกือบ
สองแสนอยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่คนในละแวกใกล้
เคียงหายไปเป็นหลักร้อยล้านพร้อมกัน นั่นแหละ
ถึงรู้สึกว่าอะไรๆมันไม่เหมือนเดิม ทั้งสภาพ
ภูมิประเทศ และความเป็นอยู่โดยรวม"
"พี่อัคพูดซะหนาวสันหลังเหมือนกันนะคะนี่
แต่ทำาอย่างกับคนอ่านรายงานอากาศ พรุ่งนี้ฝน
จะตก มะรืนนี้ฟ้าจะร้องงั้นแหละ เสียงธรรมดา
จัง"
"ก็อ่านค่า อ่านกราฟที่ซีอุสคำานวณมา
หลายปี เห็นการแตกพังของโลกตามการคำานวณ
มาเป็นขั้นๆ เลยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกแล้ว แค่
รอเวลาทุกสิ่งทุกอย่างมีอันเป็นไปตามที่
ธรรมชาติต้องการ ไม่มีใครแกล้ง ไม่มีใครอยู่
เบื้องหลังสั่งให้เป็นอย่างนี้ ถึงเราเป็นทุกข์แทน
ใคร ก็ไม่ช่วยให้ใครอยู่หรือตายเพิ่มขึ้นได้ "
"ทำาไมพี่อัคไม่ป่าวประกาศคะ ว่าที่ไหนจะ
น้ำาท่วม ดินถล่ม มีใครต้องตายบ้าง เขาจะได้
อพยพกัน"
พร้อมๆกับที่พูดนั่นเอง มะแมรู้สึกว่าข้อ
เรียกร้องของตนช่างไม่ประสีประสาเอาเสียเลย
"ไหนลองช่วยพี่คิดซิ เริ่มต้นขึ้นมาเราจะ
ประกาศยังไงก่อน"
"ก็ ... เปิดตัวซีอุส ประกาศให้ทุกคนทราบ
โดยทั่วกันว่าเทคโนโลยีพยากรณ์ของพี่อัคไปไกล
ถึงไหนแล้ว อาจจะแปะป้ายว่ามันคือเครื่องมือ
พยากรณ์อากาศใหม่ล่าสุด"
"ลงประกาศที่ไหน?"
"สำานักข่าวใหญ่ๆ เอพี รอยเตอร์ ซีเอ็น
เอ็น"
"หลังการประกาศ คือการขอพิสูจน์ และ
หลังการพิสูจน์ว่าซีอุสเป็นเรื่องจริง ทายซิ รัฐบาล
ต่างๆจะห่วงเรื่องภัยพิบัติข้างหน้า หรือเร่งหาทาง
ครอบครองแผ่นดินที่ซีอุสบอกว่าจะปลอดภัย?"
มะแมอึกอัก นึกออกทันทีว่าสงครามใหญ่
คงตามมา อาจมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันก่อนถึง
วันโลกาวินาศก็ได้ !
"ก็จริงนะคะ"
"ผลข้างเคียงยังมีอีก สมมุติว่ามนุษย์ล้าน
คนถึงฆาต อยู่ๆเราไปช่วยให้รอด มะแมนึกออก
ไหมว่าโลกต้องทำายังไงกับพลังใหญ่ที่อุตส่าห์
เตรียมไว้ทำาลายล้างมนุษย์ล้านคนแล้วไม่ได้ใช้
ทายซิมันจะหายไปไหน?"
นิมิตปรากฏทันที ไม่เคยมีพลังใดสูญหาย
ไปเฉยๆ มันต้องแปรรูปเป็นอื่นเสมอ พลัง
มัจจุราชพุ่งมาจะคร่าชีวิตมนุษย์ล้านคน แต่แล้วก
ลับวืดเปล่า ก็ต้องผันตัวไปทำาลายล้างอย่างอื่น
ในระดับที่ให้ความสยดสยองไม่แพ้กัน!
ที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมคือคนนับล้าน
จะต้องอพยพหาที่อยู่ใหม่ จะเอาที่อยู่ใหม่ดีๆ
ที่ไหนมาให้ทัน? แน่นอนว่าต้องเบียดเบียนผู้อยู่
อาศัยเก่ากันอย่างโกลาหล
อีกประการ เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาของการล้าง
โลกจริง จะต้องอพยพกันกี่ครั้ง กี่กองทัพ จึงจะ
หลบภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ได้หมด?
"น่าห่อเหี่ยวจัง"
"ตอนนี้มันสายเกินกว่าที่จะคิดป่าวประกาศ
ว่ากำาลังจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคิดจะช่วยกันจริง ก็
ควรทำาให้ผู้คนเปลี่ยนความคิดพร้อมกันเป็นจำา
นวนมากๆไปเลย เพื่อสร้างภาวะใหม่ทาง
ธรรมชาติมารองรับชีวิตดีๆครั้งมโหฬารในคราว
เดียว"
"อย่างที่พี่อัคพยายามทำา..."
หญิงสาวต่อให้แล้วเหลือบตามองเพดาน
ค่อยๆเหยียดเท้า เอนหลังลงนอนหงาย เห็นชัด
ขึ้นว่าความตั้งใจของอัคระยากเย็นและมีความ
เป็นไปได้ต่ำาเพียงใด
เปลี่ยนความคิดมนุษย์ได้ ก็เปลี่ยนได้ทั้ง
โลก ความคิดมนุษย์ถึงเปลี่ยนยากที่สุดในโลก!
"ถ้ามีพระเจ้าจักรพรรดิที่รู้เหตุรู้ผล รวบ
อำานาจสั่งเป็นสั่งตายไว้ในมือเพียงคนเดียว โลก
คงถูกปฏิรูปได้ง่ายขึ้น"
"ก็งั้น"
"ชักชื่นชมแล้วสิ ... บอสกับพี่อัคสร้างบารมี
เพื่อรวมอำานาจใหญ่ในการครองอย่างนี้มาทุก
ชาติเลยหรือเปล่าคะ?"
"ถ้าหมายถึงการครองโลก ก็ต้องบำาเพ็ญ
บารมีเป็นแสนชาตินั่นแหละ ถึงจะมีสิทธิ์สถาปนา
อาณาจักรได้สักชาติหนึ่ง ไม่ใช่แค่รอบารมีเต็ม
อย่างเดียวแล้วจะได้เลยนะ ต้องรอให้
สถานการณ์โลกเอื้อด้วย"
"มิน่าล่ะ พี่อัคถึงเสียดาย ตั้งหน้าตั้งตา
ประลองกับบอสให้ถึงที่สุด เพราะพลาดเที่ยวนี้ก็
ต้องรออีกเป็นแสนชาตินี่เอง"
อัคระเงียบ
"แล้วบำาเพ็ญบารมีเป็นจักรพรรดินี่ เขา
บำาเพ็ญกันยังไงคะ?"
"ก็ต้องใจใหญ่ อยากช่วยคนไม่มีประมาณ
ใช้ความรู้ความฉลาดของตัวเองไปทำาเรื่องน่าทำา
ที่สุด คือช่วยให้คนอื่นดีขึ้น การให้ชีวิตใหม่กับ
คนอื่น ถ้าสะสมได้จำานวนมากพอ ก็อาจหมายถึง
โลกใหม่ที่กำาหนดได้เองว่าจะให้เป็นอย่างไร"
"ในยุคไอทีอย่างนี้ อาวุธที่มีอานุภาพ
รุนแรงที่สุดของพระเจ้าจักรพรรดิ ก็คือความรู้ใช่
ไหมคะ? ขอแค่รู้ว่าจะทำาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ กับ
ใคร เพื่อให้เกิดผลที่ต้องการ ก็จะครองโลกได้
แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด"
"นอกจากความรู้ ก็ต้องอาศัยสัญชาตญาณ
ด้วย ถ้าขาดสัญชาตญาณที่แม่นยำาแบบ
จักรพรรดิ บางทีรู้ทุกอย่างก็ตัดสินใจผิดทุกอย่าง
ได้ ... สิ่งที่สำาคัญไม่แพ้กันคือบารมีต้องถึง ถ้า
บารมีไม่แน่นพอ เดี๋ยวก็เกิดเรื่องทำาลายล้าง
อาณาจักรแตกกระสานซ่านเซ็นอยู่ดี ไม่ว่าความรู้
และสัญชาตญาณจะเลิศเลอขนาดไหน"
"พี่อัคบินไปทั่วโลกเพื่อทำาธุระซับซ้อน แล้ว
บอสล่ะคะ นั่งอยู่กับที่หรือเปล่า ทุกวันนี้งานของ
บอสคืออะไร?"
"เซธก็เดินทางบ้าง แล้วก็ทำาสารพัดอย่าง
ไม่ได้หยุดเหมือนๆพี่นั่นแหละ คิดเปรียบเทียบกับ
นักลงทุนข้ามชาติก็แล้วกัน เหตุการณ์สำาคัญและ
น่าสนใจเกิดขึ้นทุกวันบนโลกใบนี้ นักลงทุนจะ
ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆจากรายงานข่าว
ทางหนังสือพิมพ์และทีวี แล้วตัดสินใจระดมเงิน
ไปลงทุน ณ จุดเหมาะ เพื่อให้เกิดกำาไรสูงสุด"
"ค่ะ"
"ส่วนเซธใช้ซีอุสสร้างหนังสือพิมพ์ส่วนตัว
ขึ้นมา เหตุการณ์ใหญ่ที่ซีอุสรายงาน คือการเกิด
มาของเด็กฤกษ์เด่น ซีอุสจะช่วยวิเคราะห์ให้ว่าถ้า
เด็กโตขึ้นในอาณาจักรของเซธ สมควรถูกบรรจุ
ไว้ตรงไหน ดำารงตำาแหน่งใด แล้วจะมีผลใหญ่สืบ
เนื่องตามมากี่ซับกี่ซ้อน ส่วนเซธจะอาศัยญาณ
ทัศนะของตัวเองประกอบ ว่าจะช่วยตัดทางตรง
หรือส่งเสริมเด็กไปสู่จุดที่ดีที่สุดได้แค่ไหน... จุด
ใหญ่ใจความสำาคัญคือถ้าเคยเกื้อกูลกันมา เซธก็
จะวางหมาก ดึงเข้ามาเป็นคนของตัวเองอย่าง
เป็นทางการ"
"ต่างจากพี่อัค ที่ไม่เก็บเด็กใหม่ แต่จะ
ตรวจหาดูบุคคลสำาคัญที่มีอิทธิพลกับโลก แล้ว
พยายามเปลี่ยนใจพวกเขา... โอ้ย! ฟังดูเหนื่อย
กว่ากันเยอะเลย"
"ตอนนี้เลิกแล้วไง ล้าแล้ว อยากเป็นคน
ธรรมดาแล้ว ไม่แข่งกับเซธแล้ว"
มะแมเม้มปากย้ิมดีใจ แต่เปลี่ยนเรื่องอย่าง
ไม่อยากตอกย้ำา
"แล้วบอสทำาอะไรอีกถ้าไม่นั่งวางแผนชีวิต
ให้ชาวโลก?"
"ก็โทร.คุยกับคนโน้นคนนี้อย่างมีจุด
ประสงค์ เหมือนอย่างที่เคยทำากับมะแมนั่น
แหละ!"
หญิงสาวยิ้มพราย เมื่อทราบว่าตนเคยมี
เกียรติพอจะได้รับเวลาหลายนาทีอันมีค่า
มหาศาลของบอสมา
"ถ้าซีอุสของพี่อัคบอกได้หมด แถมบอส
วางแผนไว้หมดแล้ว อย่างนี้ก็รู้ทะลุไปอีกพันปี
ข้างหน้าเลยใช่ไหมคะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"
"งานหลักของซีอุสไม่ใช่การรายงานดื้อๆว่า
'กำาลังจะเกิดอะไรขึ้น' แต่เป็นการให้คำาแนะนำาว่า
'จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวางตัวใครไว้ในตำาแหน่งเหมาะ
ที่สุด' แก่นของซีอุสคือโลกจำาลองโลกหนึ่ง ที่
พร้อมจะให้ใส่ตัวแปรใหม่ๆเข้าไปทุกวัน อย่างถ้า
ใส่เด็กฤกษ์เด่นที่เพ่ิงเกิดใหม่วันนี้เข้าไป ก็เห็น
เดี๋ยวนั้นเลยว่าจะมีอิทธิพลกระเพื่อมไปถึงจุดอื่นๆ
ของโลกอย่างไร เป็นวงกว้างประมาณไหน
ยาวนานเพียงใด"
"นึกภาพไม่ออกค่ะ"
"นึกถึงลูกโลกนะ สมมุติว่านาทีนี้ซีอุสได้รับ
รายงานจากโรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่ง ว่าเด็ก
บุญญาธิการใหญ่เพิ่งเกิดมา ซีอุสจะบอกพิกัด
ตำาแหน่งเกิดของเด็ก ในกรณีที่การเกิดของเขา
เป็นคุณ เราจะเห็นจากหน้าจอเลยว่าพิกัดนั้น
ปรากฏรัศมีความสว่างกินพื้นที่ของโลกประมาณ
ใด แต่กรณีที่การเกิดของเขาเป็นโทษ เราก็จะเห็น
พิกัดนั้นแผ่รัศมีความมืดออกมาเป็นวงกว้าง
เท่าใดด้วย"
มะแมตรึกนึกอย่างเข้าใจ คนมีบุญญาธิการ
สูงก็เหมือนคนที่บำารุงร่างกายมาจนแข็งแกร่ง ข้อ
ลำาหนักแน่น แต่จะเอาความล่ำาสันบึกบึนไปใช้
ปกป้องหรือรังแกคน ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาพอใจเลือก
รูปชีวิตที่เป็นคุณหรือเป็นโทษ
"ค่ะ แล้วบอสบริหารความสว่างกับความ
มืดยังไง?"
"เซธจะวางตำาแหน่งการปกครองไว้เป็นวงๆ
เอากลุ่มคนสว่างที่สุดไปครองอำานาจสูงสุด คือ
อยู่วงในใกล้เซธที่สุด แล้วค่อยลดหลั่นเป็นชั้น
รองๆลงมา ตามตัวแปรคุณสมบัติต่างๆ เช่น
ความมีแก่ใจอยากสงเคราะห์ ความรู้ ความ
สามารถ ไอคิว ตลอดจนจิตสัมผัส ส่วนกลุ่มคน
มืดที่สุดก็เน้นใส่ตัวแปรความสว่างเข้าไปในชีวิต
พวกเขา คือพยายามจัดที่ให้รับแสงสว่างได้
มากๆหน่อย... ระบบใหญ่แบบนี้จะลงเอยเป็นการ
เพิ่มความสว่างขั้นสูงสุดให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง"
"แล้วพี่อัครู้ทุกอย่างจากซีอุสเหมือนๆกับ
บอสหรือเปล่า?"
"คำาตอบขึ้นอยู่กับวิธีตั้งคำาถาม และวิธีตั้ง
คำาถามระหว่างพี่กับเซธก็ไม่ค่อยจะเหมือนกันนัก
หรอก"
"เอาตัวอย่างเป็นเหตุการณ์จริงที่ทำาให้
มะแมคาใจสักเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ? วันแรกที่ได้
คุยกับบอส บอสเตือนว่าจะมีลูกค้าบ้ากามมา
เยือน แล้วสั่งให้มะแมพามาคุยข้างล่าง แล้วตา
นั่นก็มาจริงๆ... ทำาไมพี่อัคไม่เห็นเตือนมะแมแบบ
บอสบ้างล่ะ?"
"มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ? อือม์ ... พี่ไม่ได้
ตรวจละเอียดขนาดนั้นหรอก รู้แค่ว่าจะไม่มีอะไร
ร้ายแรงเกิดขึ้นกับมะแมในช่วงนั้นแน่นอน... ซึ่ง
ตกลงก็เซธนั่นเองเป็นตัวแปรที่ทำาให้ไม่เกิดอะไร
ขึ้นเลย พี่ว่าเซธแค่จะหาเรื่องโชว์พลังให้มะแม
ยอมรับ ซึ่งถ้าอยากทำาแบบนั้นพี่ก็ทำาได้ "
"อ้อ..."
"วันนั้นถึงไม่มีเซธ ก็เชื่อเถอะว่ามะแมจะได้
รับความคุ้มครองจากกรรมเก่าของตัวเองอยู่ดี
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะทุลักทุเลหรือเสียขวัญ
บ้างนิดหน่อย"
"แล้วตอนมะแมโดนโจรอุ้ม พี่อัคก็ปล่อยให้
ดวงของมะแมคุ้มครองตัวเองด้วยใช่ไหมคะ?"
สุ้มเสียงตัดพ้อหน่อยๆนั้น จี้อัคระให้ขำาด้วย
ความเอ็นดู
"คืนนั้นเป็นโอกาสสร้างบารมีของมะแม พี่
ไม่เข้าไปขัดขวางหรอก แต่ก็ส่งคนตามประกบอยู่
ห่างๆนะ ถ้ามะแมกลับใจโจรไม่ได้ตามที่ซีอุส
ทำานายไว้ พี่ก็จะใช้กำาลังเหมือนกัน!"
คำาอธิบายของชายคนรักถึงกับทำาให้มะแม
อบอุ่นย้อนหลัง แล้วยิ้มออกมาได้
"ยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกเหมือนทุกเรื่องถูกกำาหนดไว้
หมดแล้วจริงๆ"
"เป็นแค่แนวโน้มอย่างสูงหรืออย่างต่ำา
ไม่ใช่ต้องเกิดขึ้นตายตัว"
"แล้วที่คอมพ์ของพี่อัคทำานายว่ามะแมจะ
เปลี่ยนใจโจรได้นี่ ถือว่าเป็นแนวโน้มอย่างสูงหรือ
อย่างต่ำาคะ?"
"อย่างสูง... คือซีอุสจะคำานวณแบบเอา
มะแมเป็นตัวตั้งของวันเดือนปีที่พี่อยากรู้ เสร็จ
แล้วรายงานว่ามะแมจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับโจร
ปัจจัยหนุนที่มีอยู่จะทำาให้ซีอุสวิเคราะห์สรุปว่า
'เจอโจรเพื่อกลับใจโจร' ฉะนั้น ที่ถูกส่งให้มาเจอ
ต้องเป็นโจรที่ยอมมะแมได้ เพราะเคยมีกรรม
สัมพันธ์ในทางเกื้อกูลกันมาก่อน"
"ซีอุสบอกได้ด้วยว่าเคยทำากรรมเก่าร่วม
กันมายังไง?"
"ไม่ถึงขนาดบอกได้เป็นรายละเอียด แต่
อ่านออกว่ามะแมเคยให้คำาแนะนำา พลิกความ
เห็นผิดของพวกเขาให้กลับเป็นความเห็นชอบ
สำาเร็จมาก่อน ผลของบุญนั้นก็เป็นกำาลังหนุนให้
ชาติใหม่เกลี้ยกล่อมสำาเร็จอีก"
"แล้วมะแมเคยกล่อมพวกนั้นสำาเร็จนานมา
แล้วประมาณกี่ชาติบอกได้ไหม?"
"ไม่ได้หรอก... ที่สำาคัญนะ ตามธรรมชาติ
ของกรรมวิบาก ไม่มีคำาว่ากี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์แล้ว
กำาลังจะตก ไม่เหมือนเชื้อเพลิงหยาบๆ คล้ายเงา
ที่ตามตัว จะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็เห็นเหมือนเดิม
จนกว่าจะถึงเวลาให้ผล จึงค่อยหมดกำาลังลง"
"แล้วถ้าชาตินี้มะแมไม่มีญาณสัมผัส ไม่มี
ฝีปากดีพอ แล้วก็ไม่มีคนของพี่อัคคอยระวังหลัง
ล่ะคะ คืนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?"
"ก็อาจมีเหตุอื่นผ่อนหนักเป็นเบา หรือแค่
มะแมร้องไห้ขอความสงสาร บุญเก่าก็อาจ
บันดาลให้คิดคำาขอร้องได้โดนใจโจร มีผลให้พวก
นั้นใจอ่อน ยอมปล่อยตัว ไม่ทำาอันตรายได้ "
"แต่แค่นั้นก็ไม่เปลี่ยนใจพวกเขาให้เป็น
สุจริตชนตามดวงน่ะสิ ?"
"ถึงได้บอกไง ถ้าอยากสมมุติ ก็ต้องสมมุติ
บนฐานที่มะแมมีความสามารถอย่างนี้อยู่ ไม่ใช่
สมมุติอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะพอเปลี่ยน
ตัวแปรหนึ่ง ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องก็ผันแปรตามไป
หมด"
"แล้วอย่างเด็กผิวดำาที่สนามบินล่ะคะ แทน
การเป็นโจรร้าย ก็กลายเป็นนักกีฬาและนักพูด
ระดับโลกในอนาคตไปเลย อะไรเป็นปัจจัยตัดสิน
ให้เขาได้รับความช่วยเหลือจากพี่อัค?"
"เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของพี่มาก่อน พี่เคย
สอนให้ได้ดีมา ก็เป็นเหตุปัจจัยให้มาชี้นำากันอีก"
"ถ้า ณ วันนั้นพี่อัคไม่มีความสามารถอย่าง
นี้ เด็กก็โตขึ้นเป็นโจรโดยไม่มีใครช่วยอะไรได้ ?"
"พื้นกรรมในชาตินี้ของเขาถูกกำาหนดมา
อย่างนั้น ถ้าไม่เจอพี่ก็เป็นมหาวายร้าย แต่ถ้าเจอ
พี่และพี่มีแก่ใจพอ ก็กลายเป็นแชมป์โลก"
"ไม่มีใครดีหรือเลวเองด้วยตัวเองโดดๆเลย
ใช่ไหมคะ? ช่วยกันดี พากันเลวทั้งนั้น"
"ปมของการเวียนว่ายตายเกิดถึงซับซ้อนไง
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ชาติไหนเจอกัลยาณมิตร
ได้เป็นหลักยึดก็ดีไป แต่ชาติไหนพบพาล ติดใจ
หลุมดำาของพาล ก็ถึงเวลาโดนลากลงต่ำา"
"ว่ากันถึงอาณาจักรของบอส ทรัพยากรใน
โลกแทบไม่เหลืออย่างนี้ อีกหน่อยจะต้องย้อนยุค
กลับไปอยู่ในสมัยที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่ไฟฟ้า
ไม่มีรถราใช้กันหรือเปล่าคะ?"
แทนคำาตอบ อัคระถามมาอีกทาง
"โทรศัพท์ที่มะแมกำาลังใช้อยู่เนี่ย เคยชาร์จ
แบตฯบ้างหรือยัง?"
"ไม่เคยเลยค่ะ ยังงงๆอยู่ว่าถ้าแบตฯหมด
จะให้ทำาไง แล้วไม่เห็นมีให้ดูที่ตรงไหนว่าแบตฯ
เหลือเท่าไหร่แล้ว แต่ก็เดาว่าคงเป็นแบตฯอายุ
ยืนใช่ไหมคะ?"
"ที่มะแมกำาลังถืออยู่ในมือ คือตัวอย่าง
นวัตกรรมด้านพลังงานของเซธ แบตเตอรี่เล็กๆ
ก้อนเดียว ให้พลังงานมากพอจะคุยโทรศัพท์ต่อ
เนื่องไม่พักเลยได้เกือบพันปี !"
"โอ๊ ! แล้วทำาไมบอสไม่เอาพลังงานดีๆมา
แจกจ่ายชาวโลกเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยคะ?"
"ความรู้ทางพลังงานของเซธเป็นความลับ
เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าโลกยังเหมือนไร้ขื่อแป อำานาจ
กระจายไปอยู่ในมือใครต่อใครจนควบคุมยาก
เหมือนทุกวันนี้ สิ่งแรกที่นานาประเทศจะเอา
เทคโนโลยีพลังงานของเซธไปประยุกต์ คือสร้าง
อาวุธใหม่ไว้ต่อรองอำานาจแทนหัวรบนิวเคลียร์
เท่านั้นเอง"
มะแมทำาหน้าละเหี่ยใจ
"ปิดประตูเจริญเลยนะคะ โลกวันนี้ ติดโน่น
ติดนี่ ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง"
"ถึงต้องรอกระบวนการชะล้างสิ่งโสโครก
ออกไปก่อน ทุกอย่างค่อยเริ่มต้นใหม่ได้ เมื่อไหร่
ที่ทุกอย่างกระจัดกระจาย ขาดอำานาจรัฐ แทบไม่
ปรากฏพรมแดนความเป็นประเทศไหนๆ สิ่งที่เซธ
เตรียมไว้จะปรากฏ และเข้าครอบครองพื้นที่ส่วน
ใหญ่โดยสันติ ทุกฝ่ายจะพร้อมออกมาสวามิภักดิ์
โดยไม่มีเงื่อนไข เพราะต้องการสิ่งที่เซธจะหยิบ
ยื่นให้อยู่แล้ว ทั้งอาหารสังเคราะห์ ทั้งน้ำาดื่มที่มา
จากมหาสมุทร ทั้งระบบสื่อสารไร้สายทั่วโลก"
"เหมือนแสงฟ้ามาโปรดเลยนะคะ ฟังแล้ว
ยุคของบอสเหมือนทุกคนจะบินได้งั้นแหละ อือ
ม์ ... ถ้าคนเราบินได้ ก็คงเห็นทุกหนทุกแห่งใน
โลกนี้สวยขึ้นหมด"
"อยากฝากเนื้อฝากตัวอยู่ในอาณาจักรของ
เซธแล้วใช่ไหมล่ะ?"
น้ำาเสียงเนือยๆนั้นปลุกให้มะแมออกจากฝัน
หวาน เปลี่ยนเป็นพูดหนักแน่น
"อยากอยู่ในกระต๊อบของพี่อัคมากกว่า
ค่ะ!"
อัคระหัวเราะซึมๆ
"สิ่งที่พี่อยากได้ยิ่งกว่าอาณาจักร ก็คือ
มะแมเหมือนกัน"
"แล้วช่วงนี้งานของพี่อัคไปถึงไหนแล้วคะ
ใกล้จะสะสางเสร็จอย่างที่สัญญากับมะแมไว้หรือ
ยัง?"
พูดคุยเรื่องงาน อัคระก็ถอนใจคล้ายเหนื่อย
อ่อนเต็มประดา
"น่าจะใกล้ ... หวังว่านะ... อยากหยุดเต็มที
แต่ถ้าทิ้งไปกลางคันก็น่าเสียดายเหมือนกัน
หลายแห่งเหมือนจะมีหลักฐานการเปลี่ยนแปลงที่
ชัดเจน"
"มะแมก็ไม่ได้เร่งหรอกค่ะ เห็นค่าและเป็น
กำาลังใจให้เสมอนะคะ อยากให้ช่วยอะไรก็จะ
ช่วยทุกอย่าง แม้แต่บินตามไปปรนนิบัติรับใช้
เดี๋ยวนี้ "
"อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่
เสียดายที่อีกหลายคนจะต้องเสียโอกาสเจอ
มะแม"
"แล้วโลกต้องเปลี่ยนแค่ไหนพี่อัคถึงจะ
พอใจและวางมือได้คะ?"
ชายหนุ่มอึกอักอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจพูด
เปิดอก
"บางทีรู้สึกว่าใจมันพอ แล้วมือก็วางแล้วนะ
หลายครั้งพี่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าพร้อมกับความคิด
ว่าจะเปลี่ยนโลกไปทำาไม ในเมื่อโลกต้องเปลี่ยน
ไปอยู่แล้ว แต่บางทีก็รู้สึกว่าพี่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
และไม่มีทางพอใจจะวางมือได้ "
มะแมนิ่งงัน เยี่ยงคนเริ่มขาดความมั่นใจว่า
จะได้สิ่งที่อยากได้หรือเปล่า และอัคระก็สัมผัสถึง
ความรู้สึกนั้นด้วยความเห็นใจ จึงเอ่ยแผ่ว
"สัญญาต้องเป็นสัญญา พี่จะหยุดเดินทาง
รับรองไม่ผิดคำาพูดหรอก แล้วพี่ก็รู้ด้วยว่าเมื่ออยู่
กับมะแม ทุกอย่างจะต่างไป วางใจเถอะนะ"
__________________________________________________________________________
บทที่ ๒๖
เช้าวันรุ่งขึ้น
เบนท์ลีย์สองประตูเพรียวงาม สีเงินขึ้นเงา
เป็นมันปลาบตลอดทั้งคัน คลานเอื่อยมาจอด
เทียบรั้วโฮมออฟฟิศของนักจิตวิทยาพลังจิต ซึ่ง
ทันทีนั้น หญิงสาวในเสื้อชายยาวสีแสดฉูดฉาด
ห้อยสร้อยคอประดับหินหลากสีหลายเส้น ท่อน
ล่างสวมกางเกงแนบเนื้อสีฟ้าสด กับรองเท้าส้น
สูงพริบพราวสีเงิน ก็เดินฉับๆมาเปิดประตูข้างคน
ขับ ก้าวเข้าไปนั่งประจำาที่ได้ว่องไวเนียนตา
อัคระเหลียวมามองด้วยรอยยิ้มสนเท่ห์ แม่
โฉมงามของเขามาพร้อมกับกลิ่นน้ำาหอม
แหลมคมเร้าใจ ผิดบุคลิกหวานละมุนเดิมมิใช่
น้อย แต่ชายหนุ่มก็ทราบว่านั่นเพราะหล่อนอยาก
มีสีสันแตกต่างไปให้เขาทึ่งเล่นบ้าง จึงแซวว่า
"อายุเท่าไหร่นี่ ?"
"พี่อัคว่าเหมือนเท่าไหร่ล่ะ?"
มะแมหยิบแว่นกันแดดกรอบขาวมาสวม
เชิดหน้าอวดลำาคอระหง ดูสวยเฉี่ยวราวกับนาง
แบบวัยรุ่น
ชายหนุ่มหัวเราะพลางส่ายหน้าช้าๆ
"เอาหมากฝรั่งขึ้นมาลอยหน้าเคี้ยวไปด้วย
สิ จะได้จ๊าบครบวงจร"
"ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่อัคแวะข้างทางซื้อให้ทีสิ "
อัคระก้มลงพิจารณาตัวเองแล้วนึกปลง
"นี่พี่ใส่เชิ้ตแขนยาวเป็นตาแก่ เดินควงจะ
เข้ากันไหมเนี่ย?"
"เข้า"
เจ้าของรถมาดภูมิฐานอดชำาเลืองปลีขาคู่
งามด้วยแววพิสมัยไม่ได้
"วันนี้พี่เอ่ยปากขอมะแมด้วยตัวเองเลยดี
ไหม?"
หญิงสาวเบนหน้ามามองคนรักผ่านแว่นดำา
นิ่งๆ ดูทรงพลังลึกลับสะกดใจ คล้ายภาพอาบ
มนต์ฝันต้องห้าม ที่เอื้อมกันสุดแขนก็ไม่แน่ว่าจะ
ได้มา
"อย่าเพิ่งเลยค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อดีใจจนลืมตัว
ล็อกคอพี่อัคเซ็นสัญญาห้ามเปลี่ยนใจ"
มะแมขยับเรียวปากแดงตอบแบบทีเล่นที
จริงตามเขา อัคระหัวเราะนุ่มๆอย่างมีความสุข
ก่อนเอ่ยเป็นจริงเป็นจังขึ้น
"กลับมาเที่ยวหน้าพี่ให้พ่อแม่ไปสู่ขอ มะแม
เกริ่นกับฝั่งตัวเองไว้เลยก็แล้วกัน บอกว่าลูกเขย
คนนี้ใจร้อน มาให้เจอหน้าทีเดียว อีกทีแห่
ขันหมากเลย!"
บนทางลอยฟ้ายาวเหยียด ที่เบื้องหน้าคือ
ฟ้ากว้างสดใส มะแมทอดสายตามองไกลด้วย
ความโล่งอกโล่งใจไม่มีอะไรเกิน ยกมือถอดแว่น
กันแดดออกด้วยความอยากดูทัศนียภาพเบื้อง
หน้าด้วยตาเปล่า และพบว่าฟิล์มกันแดดของ
กระจกหน้ากรองแสงจ้าให้สบายตาอยู่แล้ว จึง
มองฟ้ากว้างเต็มตาโดยไม่เคืองแม้แต่น้อย
เมื่อคืนเขาให้ช่อกุหลาบโต พร้อมชุดเครื่อง
เพชรของ แฮรี่ วินสตัน ราคาหลายสิบล้านเป็น
ของขวัญวันเกิด และพาหล่อนกับน้องอิ๊กไปเลี้ยง
มื้อค่ำาริมเจ้าพระยา ความสนุกและเสียงสรวลเส
เฮฮาประสาสามคนพ่อแม่ลูก ประทับอยู่ในความ
ทรงจำาแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อห้านาทีก่อน
แปรสายตาไปข้างตัว เห็นเรือกสวนไร่นาที่
แผ่กว้างอยู่เบื้องล่างด้านไกล ถามใจว่าถ้าถึง
เวลาโลกเปลี่ยน อัคระไม่เหลืออะไรเลยนอกจาก
ความเป็นคนตัวเปล่า ไร้ทรัพย์และอำานาจวาสนา
ใดๆ หล่อนจะยังรักเขาเท่านี้อยู่ได้ไหม?
คำาตอบคือยิ่งกว่าได้ ! กระท่อมกลางนาก็ดู
น่าอยู่ ถ้ารู้ว่าจะมีเขาไปใช้ชีวิตด้วยกัน...
ค่อยๆหันหน้ามาทางชายผู้ทรงอิทธิพลต่อ
จิตใจ อากาศรอบตัวเขาช่างให้ความรู้สึกวิเวกล้ำา
ลึก ราวแยกตัวออกมาอยู่เย็น เป็นเอกเทศจาก
ภูมิศาสตร์รอบด้าน ใกล้เขาแล้วรู้สึกถึงความเป็น
เสาหลักยิ่งใหญ่ สยบหัวใจให้อ่อนแอ แพ้แรง
ดึงดูดทางกายที่ชวนให้อยากเอนไปอิง เพื่อขอ
ความเป็นแหล่งพักพิงอันร่มเย็นชั่วชีวิต
ตามใจตนเอง มะแมค่อยๆเลื่อนตัวมานั่งริม
เบาะ เอนศีรษะลงแนบแก้มเข้ากับไหล่เขา คล้าย
ลูกแมวประจบขอความรักความอบอุ่นจาก
เจ้าของ
แอบสูดกลิ่นหอมจากแขนเสื้อด้วยความ
รู้สึกแสนดี ยิ้มละไมอย่างคนมีความสุข นัยน์ตา
กระจ่างทอดนิ่งไปเบื้องหน้า เยี่ยงคนที่รู้ว่าจะไม่มี
ฝันหวานใดตามทันความจริงในบัดนี้ได้เลย
จากบางนาถึงอำาเภอท่าใหม่ จังหวัด
จันทบุรี อัคระขับมาเรื่อยๆใช้เวลาไม่ถึงสาม
ชั่วโมง
พ่อแม่ของมะแมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านขนาด
กลาง แยกจากถนนสุขุมวิทมาประมาณสิบ
กิโลเมตรเศษ เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวในพื้นที่ ๗๐
ตารางวา รอบนอกคือบรรยากาศทุ่งนาโล่ง
เงียบเชียบอย่างไรเมื่อสิบปีก่อน ก็คงความเงียบ
ไว้อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งวันนี้
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันยิ้มๆ มะแมหวังจะ
เห็นอาการประหม่าเคอะเขินจากอีกฝ่ายบ้าง ให้
เสมอกันกับที่หล่อนไปพบพ่อแม่เขาแล้วทำาหน้า
ไม่ค่อยถูก
แต่อัคระยังคงเป็นอัคระ ไม่เสียความเป็น
ตัวของตัวเองไปเลย เขาเดินลงจากรถด้วยท่าที
ปกติ ซึ่งปกติของเขานั้นราวกับเป็นเจ้าของ
หมู่บ้านแวะมาทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของ
ลูกบ้านก็ไม่ปาน
มะแมหยิบกุญแจจากกระเป๋าถือมาจะไข
ประตูรั้ว แต่พบว่ามันไม่ได้ล็อกไว้ จึงพาคนรัก
ก้าวสู่ร่มเงาชายคาด้วยท่วงทีของเจ้าถิ่น
"พ่อขา แม่ขา"
หญิงสาวส่งเสียงเรียกนำา รออัคระถอด
รองเท้าก่อนจะผลักประตูมุ้งลวดนำาเข้าบ้าน
บ้านที่เคยอบอุ่น วันนี้เยือกหนาวอย่าง
ประหลาด หางตาเหลือบไปเห็นเงาร่างพ่อแม่นั่ง
ตัวแข็ง นิ่งทื่อราวกับท่อนฟืนไร้วิญญาณที่โซฟา
รับแขกด้านซ้ายมือ
ทีแรกแปลกใจที่พ่อแม่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
กับการมาของหล่อน แต่แล้วก็ยิ่งตกใจกว่านั้น
เมื่อเห็นถนัดว่าพ่อนั่งหน้าซีด ขณะที่แม่นั่งน้ำาตา
ไหล
"พ่อ! แม่ ! เป็นอะไรไปคะ?"
จะเดินปราดเข้าหาผู้บังเกิดเกล้า ทั้งที่ความ
กลัวแล่นจับหัวใจ แต่อัคระคว้าแขนไว้ ทำาท่า
เหมือนจะรั้งให้ถอยกลับ ทว่าสังหรณ์ร้ายของทั้ง
สองทำางานช้าเกินไปเสียแล้ว
ร่างสูงใหญ่ที่หลบอยู่หลังจุดบังตาใกล้ตัว
โผล่ออกมาพร้อมปืนสั้นในมือ
"อย่าขยับ แล้วก็อย่าเอะอะ"
ผู้ยึดครองพื้นที่ไว้ก่อนสั่งด้วยเสียงธรรมดา
แต่นัยน์ตาเพชฌฆาตประกอบกับปืนที่ชี้หน้าอยู่
ประกาศความหฤโหดแบบไม่ธรรมดาเลย เล่น
เอามะแมเข่าอ่อน มือไม้เย็นเฉียบไปชั่วขณะ
สำาหรับอัคระ เขาแค่หรี่ตาลงด้วยสีหน้า
เรียบเฉยเป็นปกติ แล้วเหลือบมองไปทางขวาเมื่อ
สำาเหนียกถึงความเคลื่อนไหวจากเงาร่างของ
ผู้ชายอีกสองสามคน ที่ทยอยโผล่กันออกมาจาก
ห้องด้านใน
แต่ละคนถืออาวุธกันครบมือ แถมมีกระแส
ทมิฬบอกความเอาจริง ลงมือใช้อาวุธได้จริง
ไม่ใช่แค่ถือปืนขู่ตามธรรมเนียมโจรกระจอกแต่
อย่างใด
มะแมถอยเท้ามากอดเขาตัวสั่น อัคระจึง
เอ่ยถามกับคนตรงหน้าที่ดูท่าว่าน่าจะเป็นหัวโจก
"ต้องการอะไร?"
"คุณทั้งสองไปกับเรา"
คำาตอบบอกชัดว่านี่ไม่ใช่การปล้น
"ได้ ... แต่ช่วยบอกสักนิดได้ไหมว่านี่มัน
เรื่องอะไรกัน เผื่อเข้าใจผิดจะได้แก้ที่ตรงนี้ก่อน"
ชายหน้าเหลี่ยมร่างใหญ่แค่นยิ้ม
"เรามารอคุณถูกที่ถูกเวลา ยังจะคิดว่า
เข้าใจผิดอีกหรือ?"
"ผมชื่ออะไรคุณรู้หรือเปล่า?"
"อ๋อ! รู้ซี่ ชื่ออรรถไง แล้วแฟนคุณก็ชื่อ
มะแม มั่นใจได้หรือยัง?"
ทั้งอัคระและมะแมทราบทันทีว่าคนร้าย
ตั้งใจอุ้มถูกคน แม้จะเรียกชื่อของอัคระผิดก็ตาม
การเรียกชื่อผิดแค่เป็นข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าคนบง
การอุ้มหาได้รู้จักเขาจริงไม่
"โอเค ผมจะตามพวกคุณไปโดยไม่ขัดขืน
แต่ขอให้ปล่อยผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไว้ที่นี่เถอะนะ
พวกท่านคงไม่เกี่ยว ไม่รู้เห็นอะไรด้วยแน่ๆ"
"พวกเขาจะอยู่ที่นี่ โดยมีพวกเราอีกสามคน
อยู่ด้วย เพื่อเป็นประกันว่าคุณอรรถกับคุณมะแม
จะไม่ดื้อกับเรา"
"ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ
แค่คุยกันดีๆได้ ผมก็เบาใจว่าคงไม่ใช่เรื่องที่
เจรจากันยาก" แล้วอัคระก็หันไปยกมือไหว้บิดา
มารดาของคนรัก "สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ไม่
ต้องห่วงนะครับ พวกเขาคงไม่ทำาอันตรายพวก
เราหลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เดี๋ยวผมกับ
มะแมจะรีบกลับมานะครับ"
น่าเสียดายที่ฤกษ์พบปะครั้งแรกต้องกลาย
เป็นการปลอบโยนกันในบรรยากาศหน้าสิ่วหน้า
ขวาน ผู้ให้กำาเนิดมะแมทั้งสองมีเรี่ยวแรงได้แค่
พยักหน้ารับเพียงเท่านั้น เพราะงงไปหมด และ
ไม่มีใครเข้าใจว่าทำาไมถึงเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้
คนหัวหน้ายัดปืนเสียบไว้กับพุงชั่วคราว
"เอาข้าวของออกจากตัวให้หมด มือถือ
นาฬิกา รวมทั้งกระเป๋าสตางค์ ผมให้เกียรติพวก
คุณโดยไม่ค้นตัว พวกคุณก็กรุณาให้เกียรติด้วย
การนำาออกมาเองทั้งหมดเสียดีๆ"
"ตกลง"
อัคระถอดนาฬิกา ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบ
มือถือและกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นให้คนที่อยู่
ตรงหน้า นำามะแมให้ปฏิบัติตาม
เมื่อทรัพย์สินส่วนตัวมาอยู่ในมือหัวหน้าโจร
ครบ ฝ่ายนั้นก็บุ้ยปากให้อัคระมองหน้าบ้าน ซึ่ง
ห่างออกไปไม่กี่เมตร
"เอาล่ะ! กลับหลังหันเดินออกจากบ้านให้
เป็นปกติ เดินไปขึ้นปาเจโร่ที่เห็นนี่แหละ"
มิตซูบิชิเก๋งกึ่งบรรทุกสีดำาเพิ่งเคลื่อนมา
จอดเทียบรั้วบ้าน กระจกรถทุกด้านติดฟิล์มดำา
สนิท เพ่งให้ตายก็ไม่รู้ว่ามีใครทำาอะไร หรือเป็น
ตายร้ายดีอยู่ในนั้น
อัคระหันมาพยักหน้าให้มะแมปฏิบัติตาม
คำาสั่งโดยดี ซึ่งหญิงสาวก็ตัวสั่น เกาะแขนเขา
แน่นขณะจำาใจเดินตามกันไปขึ้นรถ
ฝ่ายคนร้ายมีเพียงตัวหัวหน้าที่ตามหลังมา
ด้วย ซึ่งหากคนในหมู่บ้านจะเผอิญเห็นเข้า ก็คง
คิดว่าพวกนี้รู้จักกันมากกว่าอย่างอื่น
"ซีอุสไม่ได้เตือนไว้หรือคะ?"
มะแมยื่นหน้ากระซิบถามอัคระ คะเนแล้วว่า
ต่อให้คนเดินตามหลังได้ยินก็ไม่เข้าใจ
อัคระก้มลงกระซิบตอบแบบจ่อริมฝีปาก
ประชิดใบหูมะแม
"นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น มันอยู่นอกแผน
ของชะตาเดิม!"
มะแมขนลุกซู่ แต่แล้วอัคระก็รีบกระซิบ
เสริม
"อย่าห่วง พี่จะไม่ให้ใครเป็นอะไรหรอก"
หญิงสาวค่อยใจชื้น สีหน้าสดชื่นขึ้นบ้าง
เพราะคำาพูดของชายผู้มีสิทธิ์ครองโลกย่อมเป็น
หลักประกันน่าอุ่นใจ ยิ่งเสียกว่าเห็นตำารวจมายืน
ล้อมบริเวณเพื่อช่วยเหลือเสียอีก
คนเดินตามเห็นกิริยาโต้ตอบทั้งหมดของ
คู่รักจากเบื้องหลัง แต่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเป็น
ธรรมดาที่ชายจะต้องปลอบประโลมหญิงบ้างใน
สถานการณ์คอขาดบาดตายน่าตกตื่นขนาดนี้
แล้วก็เห็นว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของตน
เต็มร้อย ไม่มีทางดิ้นไปไหนรอดด้วยวิธีปรึกษา
พูดคุยกันอย่างแน่นอน
ผู้คุมเปิดประตูรถตอนหน้า จ้องมะแมเป็น
ความหมายว่านี่คือที่นั่งของหล่อน หญิงสาวเก้ๆ
กังๆเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องแยกกับคนรัก แต่
ความที่เคยผ่านเรื่องร้ายทำานองเดียวกันมาก่อน
จึงสะกดอารมณ์ได้เร็ว และก้าวขึ้นไปนั่งตาม
ลำาพังโดยไม่อิดเอื้อนนาน
ฝ่ายอัคระถูกต้อนให้ขึ้นไปนั่งตอนหลัง โดย
มีผู้คุมตามขึ้นมาประกบ และชักปืนจากพุงมาถือ
ไว้ในมือตามเดิม
"เจ้านายกำาชับให้บอกพวกคุณว่า คุณทั้ง
สองมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เมื่อขึ้นรถแล้วห้ามชวน
เจรจา ส่วนผมมีสิทธิ์ยิงทิ้งอย่างเดียวถ้าไม่เชื่อ
กัน"
หมอนั่นแจ้งสิทธิ์และขอบเขตอำานาจราวกับ
เป็นตำารวจอเมริกัน น้ำาเสียงฟังยากว่าพูดเล่นหรือ
พูดจริง แต่อัคระหยั่งดูแล้ว ฝ่ายนั้นไม่มีเหตุให้
ลังเลแม้แต่น้อยที่จะเป่าเขากับคนรักทิ้ง
พวกนี้ของจริงและจะเอาจริง!
ชายหนุ่มพยายามหยั่งสถานการณ์และแนว
โน้มของสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า แต่แปลกที่ไม่เห็น
อะไรเลย เหมือนพยายามฝืนมองให้ทะลุม่าน
หมอกหนาทึบ ทั้งที่แน่ใจว่าสติมีกำาลังคมชัด และ
จิตใจก็แจ่มใสเป็นพิเศษด้วยซ้ำา
ตระหนักมานานว่าจิตสัมผัสเป็นของไม่
เที่ยง ใช่จะสามารถเห็นตลอดเวลาตามปรารถนา
ทว่าม่านหมอกหนาทึบที่ปิดกั้นไม่ให้เกิดการรับรู้
ใดๆเลยชนิดนี้นับว่าแปลก เหมือนใครจงใจ
บันดาลมันขึ้นมา
ธรรมชาติคงจัดเกมกรรมฉากนี้มาให้ ด้วย
ความตั้งใจให้เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่มีเครื่อง
ช่วยใดๆมากไปกว่าหนึ่งสมองและสองมือ เท่า
เทียมกับตัวละครอื่นที่กำาลังจะปรากฏ!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ปาเจโร่สีดำาก็แล่นเข้า
มาในบริเวณท่าเทียบเรือยอชแห่งหนึ่งของแหลม
สิงห์ ที่นั่นจอดเรียงรายอยู่ด้วยเรือยอชใหญ่เล็ก
ทั้งแบบมีเจ้าของและแบบเช่าเหมาลำา
บรรยากาศแบบเปิดๆ มองทะเลได้ไกลสุด
ตา คือแผนการที่อัคระเตรียมพาคนรักมาทอด
ทัศนาด้วยกันอยู่แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะเจอของ
แถม ได้ลงเรือยอชหรูลำาสีขาวแดงของใครก็ไม่
ทราบเช่นนี้
ผู้คุมสั่งให้อัคระกับมะแมลงบันไดซึ่งพาด
อยู่กับส่วนท้ายเรือ ด้วยสายตาของนักเล่นคน
หนึ่ง อัคระทราบดีตั้งแต่เห็นเพียงบางส่วน ว่ามัน
คือเรือประเภทสปอร์ตครุยเซอร์เพรียวลม ยี่ห้อ
อาซิมุธ ความยาว ๒๗ เมตร เครื่อง ๒,๐๐๐
แรงม้าคู่แฝด เร่งให้เรือแล่นได้เร็วถึง ๘๕
กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน ๕๐ วินาที ซึ่งก็แปลว่า
มันพาผู้โดยสารจากท่าสู่ทะเลลึกได้ในเวลาอันสั้น
ชั่วโมงเดียวก็ห่างจากฝั่งได้เกือบร้อยกิโลแล้ว
ดูสภาพเรือ อัคระตัดสินว่าเป็นเรือสำาราญที่
เจ้าของใช้เอง ไม่ใช่ผ่านหลายมือโชกโชนแน่นอน
นั่นก็แปลว่าเจ้าของเรือต้องมีเศษเงินกว่าร้อยล้าน
ไว้นำาเข้าของเล่นระดับนี้ ซึ่งทั้งไทยคงนับหัวได้
อีกประการหนึ่ง จุดประสงค์ปกติของการ
เอาเรือลำานี้ออกทะเล น่าจะเป็นพาสาวไปรับลม
ย่านปากอ่าวไทยมากกว่าอย่างอื่น การนำาตัวเขา
ขึ้นเรือจึงไม่น่าเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย
ใดๆ
จากท้ายเรือก้าวผ่านประตูกระจกเข้าสู่ห้อง
บังคับการเรือ ซึ่งออกแบบไว้เป็นห้องนั่งเล่น
กลางในตัว คือมีพื้นที่พอจะติดตั้งโซฟาสองที่นั่งสี
ขาว ๔ ตัว แนบผนังฝั่งซ้ายสองตัวเคียงกัน และ
หันเข้าหากันจากทิศเหนือและทิศใต้อีกสอง โดย
ไม่มีโต๊ะกลาง เปิดช่องว่างเป็นทางเดินกว้าง ส่วน
ด้านขวาเป็นเคาน์เตอร์บาร์ไม่กินที่เท่าใดนัก
สภาพห้องโดยรวมจึงโอ่โถงพอควร
ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาว่าเจ้าของเรือเป็น
ใคร เพราะเขานั่งเด่นเป็นประธานบนโซฟาด้านที่
หันหน้ามาหาอัคระกับมะแมอยู่แล้วในบัดนี้
ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ ฯพณฯ คณินทร์
ร่มโพธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน!
มะแมขยับมือเหมือนจะไหว้ด้วยความที่
นับถือกัน แต่การมาพบด้วยวิธีนี้คงมิใช่วิสัยที่จะ
ไหว้ได้ลง เพราะหล่อนไม่ใช่แขกที่เขาเชิญมา แต่
เป็นนักโทษที่ถูกเขาคุมตัว!
"เชิญนั่ง"
คณินทร์ผายมือไปทางขวาของตนยิ้มๆ
ท่าทางไม่อยากได้รับการเคารพนบไหว้จากอีก
ฝ่ายเช่นกัน
ท่วงทีของอัคระที่ก้าวเนิบเข้ามานั่งบนโซฟา
ติดผนัง ห่างกันแค่เอื้อมถึงกับคณินทร์นั้น บีบให้
ท่านรัฐมนตรีประหวั่นใจได้วูบหนึ่ง บอกตนเองว่า
ตรงหน้าคือพญาราชสีห์ใหญ่ ไม่ใช่ลูกหนูตัวเล็ก
จ้อย เขาจะประมาทไม่ได้แม้แต่พริบตาเดียว
ลูบหมอนผ้าไหมม่วงที่ติดอยู่กับตักขวา
เบาๆ ใต้หมอนคือปืนที่ปลดล็อกไว้พร้อมยิงทันที
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อให้เป็นสิงโตตัวจริง เจอ
ลูกปืนเข้ากลางแสกหน้าก็คงคำารามไม่ออก
เหมือนกัน!
"หนูมะแมนั่งสิ ยืนขวางอย่างนั้น คนของ
ผมเลยไม่ได้นั่งไปด้วย"
คณินทร์เอ่ยแบบคนอารมณ์ดี มะแมยืนขบ
ฟันอยู่อีกอึดใจหนึ่ง จึงยอมก้าวมานั่งบนโซฟาอีก
ตัวถัดจากอัคระ โดยไม่ถามอย่างที่อยากถามว่า
"ทำาไมถึงทำาแบบนี้ ?"
"เอ้า! มึงก็นั่งด้วยสิยักษ์ วางๆปืนให้พ้นหู
พ้นตากูด้วย เห็นแล้วไม่เหมาะกับบรรยากาศล่อง
ทะเลเอาเลย พับผ่าเถอะ"
ยักษ์ลงนั่งบนโซฟาที่หันหน้าเข้าหาเจ้านาย
วางปืนแอบไว้ข้างตัวแล้วเอาหมอนบังให้พ้น
สายตาตามคำาสั่ง
"เป้ ... ออกเรือได้ "
คณินทร์เอี้ยวกายไปสั่งคนถือพวงมาลัย ซึ่ง
นั่งหันหลังให้ตนห่างไปแค่ก้าวเดียว
เรือค่อยๆเคลื่อนออกจากท่า เบนหัวไปตั้ง
ลำา จากนั้นจึงเดินเครื่องไต่ระดับความเร็ว แล้ว
เมื่อเดินเครื่องเต็มกำาลัง ใบพัดคู่ท้ายเรือที่ส่งแรง
ขับมหาศาลก็พ่นน้ำาออกมาเป็นหางใหญ่รูป
สะพานโค้งขาวฟ่อง ถีบลำาเรือให้พุ่งลิ่วแหวกน้ำา
แหวกอากาศ ทิ้งแผ่นดินห่างออกมาเรื่อยๆ จน
กระทั่งเห็นฝั่งอยู่เบื้องหลังลิบๆในเวลาเพียงไม่กี่
อึดใจใหญ่
เรือแล่นตรงดิ่งด้วยความนุ่มนวล ทรงตัว
นิ่ง เครื่องเดินค่อนข้างเงียบด้วยระบบเก็บเสียง
ชั้นดี เปลวแดดจากภายนอกไม่อาจรบกวนความ
ฉ่ำาเย็นในห้องโดยสารได้แม้แต่น้อย มันเหมือน
ตัดแบ่งเอาห้องรับแขกหรูมาท่องทะเลอย่างไร
อย่างนั้น
คณินทร์มองออกนอกหน้าต่างข้างที่ไม่มี
ใบหน้าบาดตาบาดใจของสองหนุ่มสาว ด้วย
ความรู้สึกผ่อนพักชั่วขณะหนึ่ง ปกติถ้ามาเที่ยว
ด้วยเรือลำานี้ เขาจะเปิดเลื่อนหลังคาออกรับ
สายลมและท้องฟ้ากว้าง แต่นี่มาด้วย "ธุระ
เครียด" เลยปิดหลังคาเปิดแอร์เพื่อเก็บเสียง
ภายนอก เพื่อเอื้อกับการพูดคุยให้ได้ยินกัน
ถนัดๆหน่อย
๕ นาทีผ่านไปโดยไม่มีใครในห้องเอ่ยคำาใด
แต่แล้วในที่สุดคณินทร์ก็หันมายิ้มให้อัคระ
"หนึ่งในรางวัลของการได้เป็นเศรษฐี คือ
เติมเต็มฝันของมนุษย์คนหนึ่งได้ทุกเรื่อง โดย
เฉพาะการเที่ยวไปตามใจชอบ คุณอรรถว่า
ไหม?"
อัคระยิ้มตอบเงียบๆ ปล่อยให้คณินทร์
อารัมภบทไปคนเดียวก่อน
"ว่ากันว่าหลายคนอยากเป็นเศรษฐี ก็เพื่อ
จะได้เป็นเจ้าของเรือยอชหรูๆ พาอีหนูสักสอง
สามคนขึ้นมานอนผึ่งแดดอุ่นๆกลางทะเล ผมว่าก็
จริงของเขานะ เรือยอชกับอีหนูทำาให้รู้ว่ามีเงิน
มากมันดียังไง"
หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า เออออไปด้วยบ้าง
เป็นการไม่ให้อีกฝ่ายพูดอยู่คนเดียวนานไปนัก
"เรือยอชคือสัญลักษณ์ของการออกไปพบ
กับความฝัน"
"ช่าย... ผมเคยได้ยินมาจากไหนนะ ยอช
แปลว่า 'ล่า' คำานี้ติดใจผมมากเลย พอขึ้นเรือทีไร
จะนึกถึงการตามล่าความฝันไปสุดโลกทุกที "
อัคระกะพริบตาย้ิมละไมก่อนเอ่ยอย่างนุ่ม
นวล
"ยอชมาจากคำาในภาษาดัทช์ แปลว่า 'ล่า'
แต่สมัยแรกราชนาวีชาวดัทช์มุ่งใช้คำานี้กับเรือใบ
ที่มีน้ำาหนักเบา แล่นเร็ว ไปไล่กวดโจรสลัดหรือ
พวกหนีกฎหมาย เพิ่งมาต้นศตวรรษที่ ๑๗ นี่เอง
ที่ใช้เพิ่มในอีกความหมายคือกวดไล่แข่งเอาสนุก
กัน"
"อ้าว! งั้นหรือนี่ ฮ่ะๆ... แต่ก็คงไม่ว่ากันนะ
สมัยนี้มันหมายถึงเรือสำาราญ ถ้าจะคิดว่าออกล่า
หาความสำาราญก็คงไม่ผิดหรอกมั้ง"
อัคระพยักหน้าและหัวเราะตาม
"ผมเดานะ" คณินทร์ชี้นิ้วมาทางคู่สนทนา
"คุณอรรถคงไม่ได้รู้แค่ที่มาที่ไปของศัพท์ แต่น่า
จะสนใจการเที่ยวไปในทะเลด้วยเรือของตัวเอง
เหมือนกัน"
"ก็นิดหน่อย แต่ผมชอบยอชเรือใบมากกว่า
ยอชมอเตอร์ "
"เหรอ... ผมก็เคยอยากหัดเหมือนกันนะ
เห็นเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าได้อะไรหลายอย่าง
ไม่ใช่แค่หัดบังคับเรือใบ ต้องศึกษาธรรมชาติลม
และน้ำาให้ดีๆ ใครล่องเรือใบเก่งๆจะช่วยให้เกิด
สัญชาตญาณการควบคุมหลายสิ่งหลายอย่าง
รอบตัว เหมือนรู้หลักว่าต้องให้อะไรๆมันไหลรื่น
สัมพันธ์กัน ธุรกิจถึงจะไปตามทิศที่เราต้องการ
อย่างถูกต้อง"
"น่าจะอย่างนั้น"
"แต่ที่ผมไม่หัดเล่นเรือใบ ส่วนหนึ่งเพราะ
ชอบความสบาย ชอบให้คอมพิวเตอร์ช่วย นี่ถ้า
มาคนเดียวผมก็ขับเองนะ ไม่ได้ต้องมีคนขับ
หรอก เครื่องไฮเทคมันช่วยหมด"
"ถ้าชอบอย่างนั้น ต่อไปคงมีของเล่นมาให้
ท่านสนุกกว่านี้ อย่างที่ซีเทคสร้างยอชดำาน้ำามา
ล่อใจ ท่านอาจเคยได้ยินมาบ้าง"
"เรือยอชดำาน้ำาได้ !" คณินทร์ทำาตาโต
"เหอะๆ ผมไม่เอาด้วยหรอก กลัวดำาแล้วไม่โผล่
ของพวกนี้พลาดนิดเดียวตายโหงเลย... นี่ผมก็
เพิ่งมีเจ้านี่เป็นลำาแรกนะ ซื้อมาสัก ๓-๔ ปีมั้ง ใช้
ยังไม่ค่อยคุ้มเลย ก่อนหน้านี้เช่าเอา... แล้วตอน
นี้คุณอรรถเล่นเรือยี่ห้ออะไรอยู่ล่ะ?"
"ของเพอรินี่ นาวี ชื่อรุ่น มอลตีส ฟัลคอน"
อัคระตอบเสียงเบาแต่เต็มปากเต็มคำา ด้วย
นัยน์ตานิ่งและรอยยิ้มของคนรู้ตัวว่าพูดเรื่องจริง
คณินทร์ขยิบตา ขมวดคิ้วจ้องตาชายหนุ่ม
เขม็ง แทบทุกคนที่บ้าเรือยอชรู้จักมอลตีส
ฟัลคอนกันดี เพราะมันคืออภิมหาเรือยอชสุด
ยอดของความแพง คิดเป็นเงินยูโรคือ ๗๐ ล้าน
แต่ถ้าคิดเป็นเงินไทยตามค่าเงินปัจจุบันจะหนาว
มอลตีส ฟัลคอนเป็นยอชคลาสใหม่ ยาว
ร่วม ๓๐๐ ฟุต น้องๆความยาวสนามฟุตบอล ไม่
เข้าประเภทอื่นๆตรงที่มีทั้งใบเรือสามเสาและ
เครื่องยนต์ไฮเทค จะสลับไปใช้สมองคนหรือ
คอมพิวเตอร์บังคับการขับเคลื่อนก็ได้ ตามแต่ว่า
กำาลังอยู่ในอารมณ์ไหน
ความคิดแวบแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวของ
คณินทร์คือไม่อยากเชื่อ จะมีคนไทยรวยขนาดนั้น
อยู่ในโลกโดยที่เขาไม่รู้จักได้อย่างไร
แต่แล้วบางสิ่งที่ลึกลับและเป็นของจริงใน
อัคระ ก็ทำาให้เขาลังเล เจ้าหนุ่มลูกคางใสคนนี้น่า
ครั่นคร้ามผิดมนุษย์ ขนาดเขามีทุกอย่างและอยู่
มาห้าสิบกว่าปี เข้าหน้าแล้วยังรู้สึกตัวเล็กลงกว่า
เดิมชอบกล
"รวยขนาดนั้น คุณจะมีเวลาอยู่กับยอช
แพงๆคุ้มกับที่จ่ายค่าตัวมันเหรอ?"
"มันก็ไม่ได้ทำาให้ผมเสียเวลาทำางานนี่ บาง
ช่วงผมก็มีความสุขที่จะยึดเรือยอชเป็นออฟฟิศ
อยู่แล้ว อยากไปประเทศไหนผมก็ไปได้ไม่ช้านัก"
"เห็นเขาว่ามอลตีส ฟัลคอนนี่ข้าม
แอตแลนติกใช้เวลาแค่ ครึ่งเดือนใช่ไหม?"
"สิบวัน!"
อัคระตอบตั้งแต่คณินทร์ยังถามไม่จบ ท่าน
รัฐมนตรีขยับตัวนิดหนึ่ง อ้าปากคล้ายจะพูดอะไร
กับอัคระต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันไปมองมะแม
แทน
"เรือลำานี้ผมซื้อใหม่ ถึงจะต้องจ่ายหนักก็
ยอม เพราะผมไม่ชอบของมือสอง"
จู่ๆก็พูดเช่นนั้น ซึ่งมีผลให้มะแมหน้าตึง แต่
ไม่โต้ตอบ เพราะไม่เข้าใจชัดว่าคณินทร์หันมาพูด
กับหล่อนอย่างนี้เพื่ออะไร แต่แล้วก็เริ่มกระจ่าง
เมื่อมีการขยายความ
"ปัญหาคืออีหนูส่วนใหญ่เป็นของมือสอง นี่
คือเรื่องที่ผมนึกขัดใจมาตลอด ผมน่ะหามานาน
แล้ว แต่ไม่เคยเจอนะ ผู้หญิงพรหมจรรย์ที่ยอม
เป็นเมียน้อย"
มะแมชักไม่ชอบสายตาของอีกฝ่ายมากขึ้น
ทุกที แต่ก็ตอบเยี่ยงคนมีความอดกลั้นเป็นเลิศ
"ได้ผลค่ะท่าน... ใช้วิธีพูดตามความคิด
ใหม่ๆที่เกิดขึ้นสดๆ ไม่คิดนำาไว้ก่อน แล้วก็ยิงคำา
พูดที่กวนโมโห เป็นการสับขาหลอกให้สับสน
งุนงง ตัดความสามารถไม่ให้มะแมรู้ใจท่าน"
คณินทร์หงายหน้าหัวเราะดังๆด้วยอารมณ์
สนุกเต็มที่ แต่แล้วก็ค่อยๆลดใบหน้าลง เสียง
หัวเราะหายไป กลายเป็นดวงตาวาวโรจน์น่ากลัว
"ฉันเกลียดอะไรที่สุดอย่างหนึ่งรู้ไหม?
เวลาใครอยากให้ฉันเป็นไอ้หน้าโง่แล้วเอาผู้หญิง
สวยๆมาล่อ ฉันรู้สึกโคตรแย่เลยตอนมารู้ตัว
ทีหลังว่าถูกผู้หญิงหลอก!"
มะแมหรี่ตา ส่ายหน้าน้อยๆอย่างคนอัดอั้น
ตันใจ
"นี่มันอะไรกันคะ มะแมว่าท่านคณินทร์ต้อง
เข้าใจผิดพวกเราอยู่แน่ๆ โปรดบอกมาเถอะว่า
ท่านต้องการอะไร"
คณินทร์ขบฟันแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่ขมับ
ปูด ใบหน้าสวยบาดใจตรงหน้าเหนี่ยวใจให้
ประหวัดไปนึกถึงเมียน้อยคนล่าสุด ที่ทิ้งเขาไป
พร้อมคำาหยามเหยียดกัน ให้แค้นจุกเสียดจนอก
แทบระเบิด
"ฉันจะให้เธอฟังเสียงผัวเมียที่กำาลังสมรู้
ร่วมคิด วางแผนต้มตุ๋นไอ้แก่คนหนึ่ง ฟังแล้วเธอ
น่าจะรู้ว่าผัวเมียคู่นี้เป็นใคร บ้านอยู่แถวไหน"
คณินทร์คว้ารีโมตคอนโทรลจากเบาะข้าง
ตัก กดปุ่มเดียว เสียงจากลำาโพงรอบทิศในเคบิน
ก็ดังขึ้นอย่างแจ่มชัด
"คิดถึงพี่มากเหรอ?"
"ค่ะ... คิดถึง แล้วก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
ด้วย"
"ท่าทางจะสําคัญ"
"ก็น่าจะอย่างนั้นมั้ง... มะแมเข้าถึงตัว
รัฐมนตรีที่พี่อัคเคยบอกไว้ตั้งแต่หลายวันก่อน
แล้วนะคะ"
"มาหามะแมเองเลยใช่ไหม?"
"เฮ้อ! รู้หมดอย่างนี้ไม่สนุกเลย แล้วมะแม
จะเอาอะไรมาเล่าให้พี่อัคฟังเหมือนเรื่องสําคัญที่
ต้องชวนคุยกันต่อล่ะ"
"อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมะแม เรื่องงานนี่พี่เบื่อ
เต็มแก่ รู้ๆอยู่ว่ายังไงอีตาคณินทร์ก็ต้องมาเข้า
ทางมะแมวันยังค่ํา"
คณินทร์รีบกดปุ่มปิดผิดๆถูกๆเพราะมือสั่น
ระริก หน้าแดงก่ำาและยับย่น ไอร้อนกระจาย
พล่านไปทั่วห้อง สะท้อนความคั่งแค้นเหลือจะ
กล่าว
"เสียดายที่แบตฯจัญไรในเครื่องนังตัวเมีย
มันหมด ไม่งั้นฉันคงได้ฟังอะไรเด็ดๆต่อจากนั้น
อีก!"
อัคระยังนิ่งเป็นหุ่นปั้น แต่มะแมทำาท่าคล้าย
หมดเรี่ยวหมดแรง ยกมือกุมหน้าผาก
"ท่านคะ... จะใจเย็นฟังพวกเราอธิบายได้
ไหม?"
คณินทร์ย้ิมสุดเครียดเหมือนไม่อยากพูด
อะไรอีก แต่ก็เค้นเสียงออกมาในที่สุด
"เขาว่ากลางทะเลแถวนี้นะ ปล่อยใครลงไป
เป็นจมน้ำาตายกันทุกคน... เชื่อไหม?"
มะแมกลืนน้ำาลายลงคอฝืดๆ ผืนทะเลกว้าง
ใหญ่รอบด้านทำาให้ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องล้อเล่น
เสียด้วย
ตายไม่กลัว แต่กลัวทรมานจนตายนี่แหละ
หายใจไม่ออกจนดับดิ้นสิ้นชีพนี่คงตั้งจิตให้ดีๆได้
ลำาบากหน่อย
"ท่านเล่นดักฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์กัน
ได้ยินแต่ตรงกลาง ไม่มีต้นไม่มีปลายอย่างนี้ อาจ
เท่ากับว่าท่านยังไม่ได้ยินอะไรเลยก็ได้นะคะ"
"นี่ ! จะบอกให้รู้ตัวไว้ ตอนนี้เธอมันคือนัง
ตัวแสบในสายตาของฉัน ถ้าเล่าช้าไม่ทันใจ หรือ
ทำาให้ฉันจับได้ว่าโกหก ก็จะยิ่งทำาให้ฉันเจ็บใจ
หนักขึ้น และความเจ็บใจของฉันอาจกลายเป็น
ความเจ็บตัวของเธอก่อนลงไปอยู่ก้นทะเล! ฉะนั้น
ถ้าอยากแก้ตัวก็อย่าพล่าม อย่าโยกโย้ เอาแต่
เนื้อๆ"
หญิงสาวแทบไม่มีแก่ใจพูดต่อ ดูท่าคณิ
นทร์จะหมายมั่นปั้นมือจับหล่อนกับอัคระถ่วงน้ำา
แน่ แค่อยากดูเล่นเท่านั้นว่าจะโกหกเอาตัวรอด
ท่าไหน และนั่นก็ทำาให้รู้สึกเหมือนมีอะไรไปอุด
ปากอุดจมูก คิดไม่ออก พูดไม่เป็นเสียแล้ว
"ท่านคณินทร์ ..." อัคระเอ่ยหลังจาก
ประเมินแล้วว่าควรเริ่มเข้าจุดจากตรงไหน "คนที่
วางแผนฆ่าท่าน คือคนที่ท่านนึกไม่ถึง"
"ใคร?"
"จะเอาคนติดต่อเกลี้ยกล่อมคนขับรถของ
ท่าน หรือจะเอาผู้บงการใหญ่ ?"
คล้ายก้อนเครียดในอกของคณินทร์จะ
คลายลง เริ่มกลับมาเป็นคนใจเย็น รับฟังอะไรได้
ใหม่
"ตัวบงการใหญ่เลยก็แล้วกัน"
"ท่านเติม!"
คณินทร์เบิกตาผงะไปนิดหนึ่ง แต่ก็ตั้งสติ
รับฟัง เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเจอเรื่องเหนือ
ความคาดหมายมาเยอะ จนไม่มีเรื่องไหนเกิน
คาดได้อีกแล้ว
"แล้วท่านมีเหตุผลอะไร ในทางปฏิบัติผม
เป็นที่ปรึกษาของท่านแท้ๆ"
"ท่านคณินทร์รู้อยู่แก่ใจ ว่าข่าวเหม็นโฉ่ที่
เกิดขึ้นกับท่านเติมทุกวันนี้ มีใครเอาขี้ไปป้าย
ท่าน"
คณินทร์หายใจขัด คอถูกกดลงต่ำาโดยไม่รู้
ตัว ปิดปากสนิทเพราะสมองชะงักชั่วคราว
"ท่านเติมรู้ตัวว่ากำาลังโดนท่านคณินทร์
เลื่อยขาเก้าอี้อยู่ ทั้งที่ท่านรัก ไว้ใจ และเคยช่วย
ส่งเสริมกันมามาก เดาถูกไหมว่าท่านเติมจะ
เจ็บใจขนาดไหน?"
ใบหน้าของคณินทร์หมองคล้ำา เหลือบตาลง
ต่ำาในอาการคิดหนัก
ถ้อยคำาของอัคระไม่มีที่ติ !
คณินทร์ไม่รู้สึกผิดที่คิดเลื่อยขาเก้าอี้นายก
รัฐมนตรี ในเมื่อเขาและทุกคนที่ "มีสิทธิ์ " ย่อม
คิดกันได้ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าการเมืองคือเกมแย่งเก้าอี้
ที่เหนือกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อแย่งไม่สำาเร็จก็ต้อง
ทำาอย่างนี้แหละ!
เขาสนิทกับท่านนายกฯมากพอจะหยิบจับ
จุดโน้นมาโยงจุดนี้ ขยายผิดน้อยให้เป็นผิดมาก
หรือทำาเรื่องส่วนตัวให้ดูน่ารังเกียจ ไม่สมกับเป็น
ผู้นำา ตลอดจนเอาข้อมูลที่ลับมาขยายในที่แจ้ง
เพียงคณินทร์ใช้คนไปปล่อยข้อมูลกับนักข่าว
อย่างต่อเนื่องหน่อย นักข่าวสืบไปสืบมา ตีไข่
คนละทีสองที ก็ชวนให้เกิดกระแสความเชื่อว่า
ท่านนายกฯเป็นพวกร่วมเพศได้ทั้งชายหญิง แถม
สั่งเด็กชาวเขามากินไม่เว้นแต่ละเดือน
เวลาถูกใส่ร้าย และคนในสังคมเริ่มเอน
เอียงที่จะเชื่อไปแล้ว การให้แก้กลับเป็นดีๆมีกลิ่น
หอมใสอย่างเก่านั้นยาก เพราะคำาให้ร้ายย่อม
เหมือนปมสกปรกเน่าเหม็น ที่เข้าไปผุดฟองฟอด
อยู่ในความทรงจำาของคน ต่อให้คนกุเรื่องคิด
กลับใจ ออกมาคุกเข่าพนมมือยอมรับผิดต่อหน้า
สื่อมวลชน ก็ไม่แน่ว่าคนจะเชื่อหรือเปล่า อาจคิด
ว่ามีการให้สินจ้างกันก็ได้
งานนี้ทำาให้คณินทร์รู้ซึ้งว่าคนเลวเขาเล่นกัน
อย่างไร
กฎของการใส่ร้ายข้อแรก คือ โจมตีก่อนได้
เปรียบ ยิ่งถ้าเหยื่อไม่รู้ตัว ไม่ระวังหลัง ก็ยิ่งเล่น
ได้ถนัด
กฎของการใส่ร้ายข้อสอง คือ โจมตีให้เป็น
อย่าโกหกด้วยวิธียกเมฆ แต่ให้โกหกกันด้วย
ความจริง คือเอาชิ้นส่วนความจริงต่างๆของ
เหยื่อ มาตัดต่อ ประกบประกอบให้เหยื่อกลาย
เป็นปีศาจ
กฎของการใส่ร้ายข้อสาม คือ โจมตีให้ต่อ
เนื่อง ความต่อเนื่องเท่านั้นที่ก่อให้เกิดส่ำาเสียง
นินทาไม่ขาดสาย แล้วเรื่องใส่ร้ายจะกลายเป็น
ความจริงขึ้นมาในใจนักเสพเสียงนินทาไปเอง
ถ้ามีแรงจูงใจมากพอ มนุษย์ทำาครบสามข้อ
นี้ได้ไม่ยากเลย
บางวันเขาก็ถามตัวเองเหมือนกัน ว่าทำา
เรื่องชั่วช้าสามานย์ไปได้อย่างไร แต่ไม่เป็นไร
หรอก เพราะทุกวัน หรือทุกสองชั่วโมง เขาจะย้ำา
บอกตนเองเสมอว่า "ด้านได้ อายอด"
คำาโบราณว่าไว้อย่างนี้ เขารู้สึกดีที่จะจำา
เพราะนึกได้ทีไร สบายใจขึ้นทุกครา
อย่างไรก็ตาม กรณีสั่งฆ่าเขา หากเป็นท่าน
เติมอยู่เบื้องหลังจริงก็คงได้เห็นดีกัน แต่นี่เขาเพิ่ง
ฟังจากปากใครก็ไม่รู้ ให้ปักใจเชื่อทันทีคงง่ายไป
หน่อย
ที่สุดก็เหลือบตาขึ้นจ้องอัคระด้วยประกาย
กร้าว
"มีหลักฐานอะไรให้ผมเชื่อ?"
"เราอยู่กันกลางทะเล ผมไม่มีเครื่องมือ
สื่อสารสักชิ้น ท่านจะให้ผมแสดงหลักฐานอะไร
ล่ะ?"
ท่านรัฐมนตรีขมวดคิ้วมุ่น
"หลังเกิดเรื่อง ผมกินข้าวกับท่านเติมสอง
ครั้ง ไม่จะเห็นมีพิรุธอะไรเลย คนเราสั่งฆ่ากันแล้ว
สบตาไม่กะพริบได้ขนาดนั้นเชียวหรือ?"
"พรรคพวกของท่าน มีใครเล่นละครไม่เก่ง
บ้าง?"
คณินทร์สะอึกก่อนแย้งอีก
"ยังไงก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี ถึงท่านเติมจะแค้น
ผมขนาดไหน ก็คงไม่เสี่ยงทำาเรื่องวิบัติกับตัวเอง
ขนาดนี้หรอก อย่างน้อยก็ในเวลาที่ท่านนั่งเก้าอี้
นายกฯ ถ้าเรื่องแดงทีหลังก็ฉิบหายน่ะซี "
"ทำาตอนคนทั้งประเทศนึกว่าไม่มีทางใช่ น่า
จะเป็นเวลาเหมาะที่สุดต่างหาก"
"คนเล่นงานท่านกันหนักกว่าผมร้อยเท่า
ยังไม่เห็นท่านเคียดแค้นอะไรนักหนาเลย"
"เพราะคนเหล่านั้นประกาศตนเป็นศัตรู
ชัดๆ มันคาดหมายได้อยู่แล้วว่าต้องเล่นงานกัน
แต่ท่านคณินทร์ล่ะ? งานนี้ตัวแปรมันอยู่ที่ความ
เจ็บใจอย่างเดียว! อีกอย่างนะ ถ้าท่านคณินทร์
ตายไป ใครจะเป็นคนซวยรู้ไหม? ก็ศัตรูของท่าน
เติมนั่นแหละที่จะเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรก คุ้ม
หรือไม่คุ้มก็ตรองดู "
"เอาล่ะ..." คณินทร์ทำาเสียงต่ำา "ผมจะไป
สืบความจริงเรื่องท่านเติมทีหลัง มาว่ากันเรื่อง
ของคุณดีกว่า คุณทำามาหากินอะไร ถึงซื้อเรือลำา
ละสามพันล้านได้ ?"
"หลายอย่าง แต่ที่ทำาเงินให้มากที่สุด คือ
เขียนโปรแกรมให้องค์กรลับ มันช่วยให้ทำาเงินได้
เท่าที่ต้องการ"
"ผมไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินชื่อคุณ
เลย"
"ก็เหมือนคนกระเป๋าหนักอีกหลายคนใน
โลก ที่มีเงิน แต่ไม่มีหน้า ไม่มีชื่ออยู่ในลิสต์ของฟ
อบส์ "
คณินทร์เหยียดยิ้มหยัน เรื่องซื้อของแพง
อย่างลับๆไม่ให้ใครรู้นั้นง่าย เพราะบริษัทระดับ
โลกยินดีให้ความร่วมมือปกปิดอยู่แล้ว แต่เรื่อง
ปกปิดชื่อไม่ให้อยู่ในความรู้จัก ทั้งที่รวยระดับ
โลกนี่เห็นทีจะยาก ต่อให้ค้ายาอยู่ในถ้ำาลึกก็เถอะ
"แปลว่าคุณไม่เคยมีชื่ออยู่ในสารบบของ
คนเดินดินให้ตามกลิ่นเจอเลยงั้นใช่ไหม?"
"ก่อนอื่นคุณต้องรู้ชื่อผมให้ถูก ผมไม่ได้ชื่อ
อรรถ แต่ชื่ออัคระ เวลาคุณดักฟังโทรศัพท์อาจ
ได้ยินไม่ถนัด"
"โอเค แล้วผมจะดูข้อมูลของคุณได้จาก
ไหนบ้าง?"
"บนอินเตอร์เน็ตเยอะแยะ คุณสะกดเป็น
ภาษาอังกฤษถูก"
"ได้ ..." คณินทร์ล้วงมือถือมาเปิด
บราวเซอร์ "สะกดมาเลย"
"A-K-K-A-R-A เว้นวรรค M-A-Y-T-H-A-N-A-R-U-B-A-N"
ด้วยสัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
คณินทร์สามารถเห็นลิงก์จากกูเกิ้ลที่เกี่ยวข้องกับ
อัคระจริงๆ แม้ไม่มากมายนัก แต่ก็เจอโปรไฟล์
เด่นสั้นๆ คือจบดอกเตอร์ขณะอายุยังน้อย ปราด
เปรื่องเรื่องไอทีอย่างหาตัวจับยาก สอดคล้องกับ
ที่คุยว่าเขียนโปรแกรมให้องค์กรลับจนรวยไร้
ขอบเขต
ท่านรัฐมนตรีวางกระดานอิเล็กทรอนิกส์ลง
กับเบาะ ก่อนเงยหน้ามองอัคระด้วยสายตาแปลก
ไป
"คุณอยู่เมืองนอกมาตลอดหรือ?"
"ไปๆมาๆ แต่ถ้าถามหาคนรู้จักในไทยที่
สนิทๆ บอกได้เลยว่ายาก"
"แล้วเจอแฟนคุณยังไง?"
"ผมเห็นเขาในนิตยสารซึ่งคุณแม่รับประจำา
แค่เห็นรูปประกอบคำาสัมภาษณ์ก็หลงแล้ว เลยหา
ทางติดต่อ"
"ตามนางในฝัน?"
คณินทร์ถามขำาๆ
"ท่านว่าน่าตามไหมล่ะ?"
เจ้าของเรือหัวเราะลั่น
"สำาหรับผม หุ่นแบบนี้น่าซื้อมานอนโชว์ตัว
บนเรือยอชมากกว่าอย่างอื่น... ขอโทษที ผมฝัน
ไม่เป็น เป็นแต่ฟัน!"
อัคระยิ้มๆไม่ถือสากับอารมณ์ปากสกปรก
ของฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องเหลียวไปมองก็รู้ว่า
มะแมกำาลังขบฟันเบาๆเพื่อระงับโทสะอยู่
"งั้นก็น่าเสียดาย ผมว่าผู้หญิงคนนี้ช่วยให้
คนทั่วไปมีแก่ใจมองโลกดีขึ้นกว่าเดิมนะ"
"ฮื้อ!" คณินทร์ทำาเสียงในลำาคอเบาๆแบบ
ขอค้านหน่อยเถอะ "ถ้าเกิดมาเพื่อช่วยให้คนมอง
โลกดีขึ้น คงไม่เซ็กซี่เกินเหตุขนาดนี้มั้ง ถาม
ผู้ชายส่วนใหญ่ดูสิ เจอเธอเดินผ่านหน้าแล้ว
อยากคิดดี หรือว่าอยากคิดมิดีมิร้าย"
แล้วท่านเจ้าของเรือยอชหรูก็หันไปทางคน
ของตนแล้วพยักหน้าพูดหนักๆ
"แต่งตัวแอ๊บเด็กน่าหม่ำาอย่างนี้กูชอบ ให้
แสนหนึ่งไม่ต่อสักคำา!"
"ต่อครั้งเหรอนาย?"
"เฮ่ย! ขอเหมาทั้งเดือนสิวะ!"
ยักษ์กับเป้ฟังคำาตอบเจ้านายแล้วหัวเราะ
ดังๆ และเสียงประสานสำาเนียงเยาะของชาย
สารเลวก็ระคายโสตจนหญิงผู้ตกเป็นเป้าหมาย
ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
มะแมยังมีส่วนของความเป็นผู้หญิง
ธรรมดาคนหนึ่ง ที่อายได้ รังเกียจการรุมดูถูก
และล้อเลียนทางเพศได้ แต่พอโมโหถึงขีดหนึ่งก็
เกิดสติขึ้นมาเอง จึงทำาเอาหูทวนลม สะกดใจนิ่ง
ฟังราวคำาสนทนาไม่เกี่ยวกับตน
"เอาล่ะ! มาเข้าเรื่องที่ผมยังข้องใจกันต่อดี
กว่า คุณอัคระ... ถ้าท่านเติมจะฆ่าผมจริง ทำาไม
คุณถึงส่งคนไปช่วย?"
"ชีวิตผมอยู่เพื่อทำาอะไรอย่างนี้ ... ที่ผมช่วย
ท่าน เพราะดวงของท่านเป็นแบบรอดตายเหมือน
ปาฏิหาริย์ได้ จากกรรมเก่าที่ท่านเคยไถ่ชีวิต
มนุษย์และสัตว์ไว้จากแดนประหารบ่อยครั้ง"
คณินทร์หัวเราะงงๆ
"เอิ๊ก! ผมเหวอเลยนะเนี่ย นี่อยู่ๆคุณซี้ซั้ว
ยกเอาเรื่องกรรมวิบากมาอ้างเลยเหรอ?"
"ผมจำาเป็นต้องพยายามเข้าจุดให้เร็วที่สุด
ถ้าเต็มใจฟังก็จะค่อยๆรู้สึกว่าตลกน้อยลงไปเอง"
"ก็ได้ ผมจะพยายามไม่ขำา... แล้วที่คุณ
บอกว่าอยู่เพื่อทำาอะไรอย่างนี้ หมายความว่าไง?
ฟังอย่างกับเป็นเทวดาอารักษ์พิทักษ์ชาวโลกงั้น
แหละ"
"ผมทำางานใหญ่ การปกป้องชีวิตใครบาง
คนเป็นงานย่อยที่รวมอยู่ในงานใหญ่ "
"เดี๋ยวจะสับสน ยังไม่ต้องเจาะลึกเรื่องงาน
ใหญ่ของคุณก็ได้ ผมขอถามว่าคุณรู้จุดเกิดเหตุ
ได้อย่างไร ถ้าไม่นัดกันไว้กับคนที่จะลงมือฆ่า
ผม?"
"มันเกี่ยวกับโปรแกรมที่ผมพูดถึงเมื่อครู่
ผมรู้ด้วยวิธีคำานวณตามหลักความสัมพันธ์ของ
สรรพสิ่ง ทุกชีวิตของมนุษย์มีที่ที่เหมาะกับการ
เกิดและการตายตามกรรม"
"แต่ผมว่าทางเปลี่ยวเส้นนั้นมันไม่เหมาะให้
ผมตายตามใจไอ้เชิด คนขับของผมเลยนะ"
"ด้วยความไม่รู้แบบมนุษย์ คนขับรถของ
ท่านเลี้ยวเข้าซอยตามความรู้สึกว่าถึงที่เหมาะ
แต่ที่แท้เขาเลี้ยวตามแรงบังคับจากสิ่งที่มองไม่
เห็น คือวิบากของท่านเอง"
"วิบากของผมกับลูก บีบให้สมควรตาย
อย่างหมาข้างถนนงั้นสิ ?"
"เอาอะไรไปตัดสินว่าคนยศศักดิ์ใดควร
ตายที่ไหน อย่างไร นักการเมืองระดับโลกหลาย
ต่อหลายคนก็ไม่ได้ศพสวย อับราฮัม ลินคอล์น
กับ จอห์น เอฟ เคเนดี้ โดนยิงหัว ราจิฟ คานธี
โดนระเบิดเละทั้งตัว แต่ผู้คนก็ไม่ได้จดจําว่าท่าน
เหล่านี้ตายอย่างไร้เกียรติท่าไหน เขาจํากันว่า
พวกท่านดํารงชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติเพียงใดต่าง
หาก"
"ช่างคิดนะ เอาระดับโลกมาปลอบใจปน
หลอกด่า!"
"ความจริงนะท่านคณินทร์ จุดนั้นเป็นที่ที่
วิบากของลูกชายท่านกำาหนดไว้เป็นจุดตาย แต่
วิบากของท่านกำาหนดไว้เป็นจุดลอบสังหาร
หมายความว่าอาจเสร็จเขา หรืออาจรอดมา
อย่างใดอย่างหนึ่ง"
"เครื่องคำานวณของคุณมันบอกตำาแหน่ง
หรือบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้ยิ่งกว่าพ่อมดหมอดู
อีกหรือ?"
"ถึงบอกไงว่าพอสร้างเครื่องนี้สำาเร็จ ผมก็มี
เงินได้ไม่จำากัด มันบอกถูกหมดว่าลงทุนทำาอะไร
เมื่อไหร่แล้วจะค้าขึ้น ระบุได้กระทั่งเมื่อไหร่หุ้นตัว
ไหนจะรุ่ง แล้วตัวไหนจะร่วง ขอเพียงผูกรหัสของ
สิ่งที่อยากรู้เข้ากับโปรแกรมได้ ... ถ้าไม่เชื่อผมจะ
สาธิตให้ดูเมื่อกลับขึ้นฝั่ง"
คณินทร์ทำาหน้าสงสัย
"หลักการทำางานของมันเป็นยังไง เขียน
โปรแกรมขึ้นตามตำาราไหน?"
"มันรวมทุกศาสตร์เกี่ยวกับการทำานาย
ตลอดจนความรู้ใหม่เกี่ยวกับจักรวาลที่เต็มไป
ด้วยความขัดแย้งในตัวเอง เอามาโขลกรวมกัน
ในที่เดียว เพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการ
เคลื่อนไหวของดวงดาว กับทุกจุด ทุกตำาแหน่ง
บนโลก จากนั้นมองสิ่งมีชีวิตเป็นเหตุการณ์ แต่ละ
เหตุการณ์จะมีรหัสประจำาตัวสัมพันธ์กับดาวและ
ตำาแหน่งบนโลกอีกที "
"ตอนฟังอะไรที่นึกภาพตามไม่ออกนี่งงดี
แท้เนาะ... แล้วหลักการคำานวณให้รู้เรื่องของ
คนๆหนึ่งเป็นยังไง?"
"ถ้ายกเอาใครสักคนเป็นตัวตั้ง เราจะบอก
ได้ว่าเขาต้องผ่านพิกัดที่จะเกิดเหตุการณ์สำาคัญ
ในชีวิตเขาตรงไหนบ้าง หรือในทางกลับกัน เรา
อาจกำาหนดพิกัดตำาแหน่งใดๆในโลกขึ้นมา แล้ว
ถามว่าบุคคลที่อยู่ในความสนใจจะผ่านมาตรงนั้น
เพื่อเจอกับเรื่องสำาคัญในชีวิตบ้างไหม"
"ถ้าบอกถูกขนาดนั้น อย่างนี้มันทำานายได้
หรือเปล่าว่าอย่างผมจะมีหวังนั่งเก้าอี้นายกฯกับ
เขาไหม?"
"นั่นแหละคือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ผมช่วย
ท่าน ถ้าท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นผู้นำา
ประเทศที่ดีที่สุดนับแต่เปลี่ยนระบอบการปกครอง
เป็นต้นมา!"
สีหน้าของ "ว่าที่นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด"
สดชื่นขึ้นทันตาเห็น เขามองอัคระนิ่งๆแล้วหัว
เราะเบาๆในลำาคอไม่หยุด ก่อนหุบยิ้ม เปลี่ยน
เป็นจ้องหน้าด้วยรังสีอำามหิต
"สร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะ ครบสูตรต้มหมู
เชียวนะมึง ที่แท้มึงมันก็พวกสิบแปดมงกุฎอีกตัว
ลงทุนสร้างฉาก สร้างเรื่องอำากันเป็นขบวนการ
ไอ้ระยำา!"
อัคระสานตานิ่งไม่หลบ ไม่สะทกสะท้านกับ
เสียงคำารามดุร้ายของเสือลายพาดกลอนเจ้าของ
ถ้ำา
"ถ้าผมอ้างอิงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา
ท่านคงตั้งข้อหาว่าใช้คนตามสืบเอาทุกเม็ด และ
ถ้าผมบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ท่านก็ต้อง
เข้าใจว่าผมยกเมฆอีก... กลางทะเลอย่างนี้ ยังไง
ท่านก็มองคำาอธิบายของผมเป็นลูกไม้ไปหมด
กลับขึ้นฝั่งสิแล้วจะให้ดูว่าผมทำาอะไรได้จริงบ้าง"
คณินทร์หัวเราะหึหึ นัยน์ตาฉายแววพญา
ยมจ้า
"มาถึงตรงนี้ยังนึกว่าจะได้กลับอีกหรือ?"
"ท่านคณินทร์ ที่เราทำากันไป ไม่มีเจตนาอื่น
นอกจากจะช่วยท่าน"
"กูก็ช่วยคนมาเยอะว่ะเฮ้ย แต่ไม่เคยมี
เหตุผลแบบไอ้มดแดงกู้โลกอย่างมึงเลย มึงน่ะ
บอกมาเถอะ มาเฟียระดับโลกใช่ไหมล่ะ กูเห็นแต่
แรกแล้วว่าโหงวเฮ้งอย่างมึงเนี่ย ยึดได้ทีละ
ประเทศจนหมดโลก โดยใช้วิธีคล้ายกับที่ทำากับกู
ไปหลอกผู้นำาหน้าโง่ !"
"เอาเถอะ! แล้วผมจะทำาให้ท่านเชื่อว่าไม่ใช่
อย่างนั้น"
"วันนี้คือวันที่มึงจะเชื่อเรื่องชาติหน้าได้ด้วย
ตัวเองแล้ว ยังคิดจะมาทำาให้กูเชื่ออะไรมึงอีก"
คณินทร์ค่อยๆลุกขึ้นยืนทะมึน ถอยออกไป
สองก้าว เม้มปากยกปืนในมือขึ้นเล็งศีรษะของอัค
ระอย่างส่งสัญญาณมุ่งเอาชีวิตกัน
"กูจะฝากกระสุนไว้ในกะโหลกเหมือนที่มึง
ทำากับลูกชายกู เสร็จแล้วค่อยขยี้เมียมึงก่อนส่ง
ลงไปอยู่ใต้ทะเลด้วยกัน!"
อัคระระบายลมหายใจยาว แววตาเริ่มทด
ท้อ
"วางปืนลงเถอะ ท่านไม่ได้มีอำานาจเหนือ
ผมหรอก ไม่เชื่อลองมองออกไปนอกหน้าต่างสิ "
คณินทร์หัวเราะก๊ากเหมือนคนคลุ้มคลั่ง
"นี่มึงมามุขตื้นแบบเด็กๆขนาดนี้เลยเหรอ
วะ พอกูหันปุ๊บก็แย่งปืนปั๊บ ปัดโธ่ ! รู้ไหมกูเป็น
ใคร?"
"ก็คนที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองคนหนึ่ง"
ยังไม่ทันขาดคำาของอัคระดี คณินทร์ก็
ตาเหลือก หันซ้ายแลขวามองออกไปนอก
หน้าต่างใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงใบพัดตัดอากาศกับ
เครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์กระหึ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กระทั่งรู้สึกถึงคลื่นความสะเทือนจากด้านบนที่ส่ง
ลงมากระแทกหลังคาเรือเต็มแรงอัด
น้ำาลายเหนียวหนับด้วยความรู้สึกคล้ายตก
อยู่ในห้วงฝันร้ายกะทันหัน เรือของเขาถูกตาม
ประกบด้วยแบล็กฮอว์กจากกองทัพบก! มันเป็น
ไปได้อย่างไรกัน?
สถานการณ์พลิกผัน รัฐมนตรีหนุ่มใหญ่หัน
กลับมามองเชลยของตนด้วยใบหน้าซีดเผือด
ตระหนักแล้วว่าอิทธิฤทธิ์ของหนุ่มผู้ถูกคุมตัวคนนี้
ไม่ธรรมดาอย่างไร
นักบินบังคับคอปเตอร์ให้แล่นเหนือเรือด้วย
อัตราเร็วเดียวกัน ในระยะห่างตามแนวดิ่งเพียง
ไม่ถึง ๒๐ เมตร ความสะเทือนสะท้านบนหลังคา
จึงคงเส้นคงวา คุกคามขวัญอย่างต่อเนื่อง
ราวกับเกิดแผ่นดินไหวในอากาศ
ความระทึกที่จู่โจมจับจิต ราวกับมีมือบีบคอ
ให้หายใจขัด พูดไม่ออก คณินทร์ได้แต่กลอกตา
คิดฟุ้งซ่าน กระทั่งมีการหย่อนกระเช้าชักรอกลง
มาเยื้องไปทางขวาใกล้หัวเรือ ดึงสายตาของทุก
คนให้จับจ้อง
คนในเครื่องแบบทหารในกระเช้าถือโทร
โข่งสั่งคนขับว่า
"ในนามของกองทัพบกไทย เราขอสั่งให้
ท่านหยุดเรือ ดับเครื่องเดี๋ยวนี้ !"
ทหารในเครื่องแบบนายนั้นสั่งคำาเดิมซ้ำาๆ
สามรอบ จนกระทั่งกัปตันเรือสั่นกลัว ไม่อยาก
ขัดขืน จึงโยกคันบังคับเพื่อชะลอความเร็วลง
ทำาท่าจะจอดโดยดี
คณินทร์เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงตะโกน
สั่งแข่งกับเสียงคอปเตอร์
"ไอ้เป้ ! มึงไม่ต้องกลัว มันไม่กล้าทำาอะไร
หรอก เร่งสปีดเต็มที่ ถ้ามึงหยุด มันจะหย่อนตัว
ลงท้ายเรือแล้วบุกเข้ามายิงพวกเรากันหมด มัน
เป็นทหารปลอมโว้ย!"
เพียงไม่กี่คำาที่เจ้านายพูด นายเป้ก็เห็นภาพ
และเชื่อตามทันที จึงโยกคันบังคับเพิ่มความเร็ว
ขึ้นใหม่ แถมจังหวะออกตัวยังเบี่ยงทิศเพื่อตีจาก
การคุมเชิงแบล็กฮอว์ก
อัคระส่งเสียงถามคณินทร์
"แล้วท่านจะทำายังไง ออกทะเลลึกไปเรื่อยๆ
จนน้ำามันหมดหรือ?"
เจ้าของเรือหันมาเค้นเสียงตอบ
"กูไม่ต้องทำา มึงนั่นแหละทำา" แล้วก็หันไป
เรียกสมุน "เฮ้ย! ยักษ์ เอามือถือของมึงมาให้มัน
เร็ว!"
เรียกใช้มือถือลูกน้องเป็นการป้องกันเบอร์
ของตัวเอง ยักษ์ลุกขึ้น ควักมือถือจากกางเกง
เดินมายื่นส่งให้อัคระแล้วถอยไปยืนจ้องปืนคุม
เชิงในระยะเกินเอื้อม
"โทร.สั่งคนของมึงให้ถอนกำาลังเดี๋ยวนี้ ไม่
งั้นกูจะยิงเมียมึงทีละนัด ไม่เลือกว่าเข้าที่ไหนก่อน
ที่ไหนหลัง!"
คณินทร์เบนปากกระบอกปืนไปที่มะแม
สายตาประกาศว่าจะเอาจริง ซึ่งก็ทำาให้มะแมใจ
หวิว กระถดตัวหนีเหมือนอยากชำาแรกลำาเรือ
ล่องหนหายไป
อัคระแบมือที่ถือโทรศัพท์เป็นความหมาย
ว่าเขาทำาไม่ได้
"ท่านคณินทร์ ผมไม่ได้ติดต่อกับคนของผม
แบบนี้ พวกเราใช้โทรศัพท์ที่ออกแบบมาสื่อสาร
กันโดยเฉพาะ ผมไม่เคยมีเบอร์เรียกแบบ
ธรรมดาของพวกเขาหรอก"
"อย่ามาหลอกกู ! ทีกับเมียมึงทำาไม
โทร.เครื่องธรรมดาได้ ?"
"เพราะกับเธอ ผมอยากเป็นคนธรรมดา..."
ตอบทันทีด้วยเสียงราบเรียบ "ท่านคณินทร์ ท่าน
เล็งปืนอยู่ที่เธอ ถ้าผมทำาตามคำาสั่งท่านได้ผมทำา
แน่ อย่าเอาชีวิตเธอมาบังคับให้ทำาในสิ่งที่ผมทำา
ไม่ได้ "
คณินทร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
"แล้วที่มันตามมาถูกนี่ล่ะ มึงใช้อะไร
เรียก?"
"ตอนคนของท่านคณินทร์ยึดมือถือของผม
ที่บ้านพ่อแม่มะแม ผมแอบกดรหัสขอความช่วย
เหลือ ซึ่งจะมีกำาลังมาตามตำาแหน่งโทรศัพท์
หมายความว่าป่านนี้พ่อแม่ของมะแมคงปลอดภัย
แล้ว และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม จึงเร่งตามมา"
"มึงมีคนอยู่ในกองทัพด้วยเหรอวะ?"
"ก็อย่างที่ท่านเห็น ยังจะถามไปทำาไม" แล้
วอัคระก็ใช้ความพยายามในการกล่อมต่อ "ท่าน
คณินทร์ ผมให้สัญญาว่าเรื่องนี้จะเงียบ เรายัง
เป็นมิตรต่อกันได้ ปล่อยพวกผมไปเถอะ"
"กูไม่ปล่อย!" คณินทร์ตะคอกสวนทันควัน
"ขืนให้มึงรอดวันนี้ ชีวิตที่เหลือของกูก็อยู่ในมือ
มึงเท่านั้น"
"แต่ถ้าผมตาย ท่านจะเอาแผ่นดินที่ไหนอยู่
เป็นรัฐมนตรีแต่พาคนมาฆ่าแกงกลางทะเลอย่าง
นี้ "
คณินทร์เริ่มงุ่นง่านกระสับกระส่าย แต่แล้ว
ด้วยความที่เผชิญหน้าและจัดการเรื่องฉุกเฉินมา
ค่อนชีวิต จึงคิดออก
"ออกไปที่ท้ายเรือ ส่งสัญญาณให้คนโรย
ตัวลงมาคุยแล้วสั่งถอย ตุกติกนิดเดียวเมียมึง
ตาย!" แล้วก็หันมาสั่งยักษ์ "คุมตัวไป ระวังอย่า
เข้าใกล้รัศมีมือมันล่ะ"
กำาชับเช่นนั้นเพราะคณินทร์เองคบหากับ
พวกชำานาญการต่อสู้ประชิดตัวและฆ่าคนด้วยมือ
เปล่ามามาก เมื่อดูหน่วยก้านอัคระแล้วตั้งข้อ
สงสัยว่ามีสิทธิ์ "เป็นงาน" จึงคิดว่าไม่ประมาทไว้
ก่อนน่าจะดี
"ลุก!"
ผู้ถือแต้มเหนือกว่ากระชากเสียงสั่งเฉียบ
ขาด ซึ่งอัคระก็ผงกศีรษะง่ายๆตามเคย
แต่คราวนี้นอกจากลุกยืนแล้ว อัคระยังแถม
การปฏิบัตินอกเหนือคำาสั่ง ด้วยการสะบัดมือ
เหวี่ยงหมอนบนโซฟาเข้าหน้ายักษ์ ซึ่งยืนทางขวา
ของตนอย่างแม่นยำา จากนั้นสืบตัวอาศัยช่วงขาที่
ยาว ดีดเท้าซ้ายงัดเปรี้ยงเข้าข้อมือขวาของคณิ
นทร์อย่างแม่นยำา ส่งผลให้ปืนในมือหลุดกระเด็น
ไปทางหัวเรือ
ด้วยความฉับไวจนดูแทบไม่ทัน อัคระ
กระโจนเข้าใส่ยักษ์ จังหวะเดียวกับที่หมอนหล่น
จากใบหน้า แล้วสับสันมือเข้าลูกกระเดือกดังฉึก
ส่งผลให้ลูกสมุนตัวใหญ่ตาเหลือกมืออ่อนตีนอ่อน
ปล่อยปืนร่วงลงพื้น ยกมือขึ้นกุมคอไอโขลก เซ
แซ่ดๆทันที
โดยไม่ปล่อยจังหวะให้ขาดตอน อัคระรวบ
ข้อศอกของยักษ์เต็มกำา แล้วเหวี่ยงร่างสูง ๖ ฟุต
หนักร่วม ๘๐ กิโลกรัมสุดแรงเกิดเข้าใส่ร่างของ
คณินทร์ เพื่อให้เกิดการปะทะลงไปกองรวมกัน
ทั้งสองร้องโอ๊กอ๊าก ล้มลุกคลุกคลาน
ทุลักทุเลในมุมแคบ โวยวายเรียกชื่อสัตว์เลื้อย
คลานกันพล่าน อัคระไม่รอช้า คว้าคอเสื้อของ
ยักษ์กระชากให้โงเงขึ้นมาครึ่งตัว แล้วโขกสัน
ศีรษะหน้าของตนเข้าเป้ากลางหน้าผากของฝ่าย
นั้นเต็มเหนี่ยว จนเจ้ายักษ์หน้าหงายอ้าปากหวอ
โลกตรงหน้าว่างหายไปชั่วขณะ
แล้วโดยไม่พักหายใจหายคอ อัคระก็ยืดตัว
ตรง ใช้ตีนหนักๆกระทืบปังเข้าช่วงท้องของคณิ
นทร์ แม้เห็นฝ่ายนั้นมือเท้าชี้ฟ้าก็ไม่ใจอ่อน
กระทืบหนักๆซ้ำาแล้วซ้ำาอีกด้วยตีนเดิม ๖-๗ รอบ
แล้วจึงก้มลงกระชากคอเสื้อขึ้น พอให้คางเข้า
ตำาแหน่งเหมาะ จากนั้นก็ยิงหมัดสอยดาวกร้วม
ส่งรัฐมนตรีเข้านอน เป็นประกันว่าท่านจะไม่ลุก
ขึ้นมาสั่งการใดๆไปอีกพักใหญ่
แต่เจ้ายักษ์หัวแข็งใช้ได้ แม้โดนสันศีรษะ
โขกเข้าหน้าผากจังๆ ก็ยังอุตส่าห์รวบรวม
สติสัมปชัญญะและกำาลังเท่าที่มี โซเซลุกขึ้นหวด
เท้าใส่เป้าหมาย ทั้งที่มึนๆ ไม่รู้ชัดด้วยซ้ำาว่าเข้า
ด้านหน้าหรือด้านหลังของอัคระ
เผอิญจังหวะดังกล่าวอัคระกำาลังงัดหมัด
สอยคางคณินทร์ จึงเปิดลำาตัวรับหน้าแข้งที่ส่งมา
จากยักษ์อย่างเหมาะเจาะ จับเป้าเข้าเต็มท้อง
พอดี ถึงกับจุกแอ้ด ถอยแบบสาละวันเตี้ยลงตาม
แรงอัดมาทางมะแม ซึ่งหญิงสาวได้แต่ร้องวี้ดว้าย
กับการเห็นเขาเสียที แล้วใช้มือและร่างของตน
ช้อนรับไว้ เพื่อไม่ให้เขากระแทกผนังเรือเจ็บตัว
เพิ่ม
ยักษ์สะบัดหน้า สูดลมหายใจลึกขับไล่
ความมึนงง แข็งใจเดินเข้าหาฝ่ายตรงข้ามที่กำาลัง
เพลี่ยงพล้ำา จิกหัวอัคระให้ลุกยืน รู้ตัวว่าขณะ
กำาลังมึนงง ไม่มีอะไรดีไปกว่ากำามือทั้งสองแน่นๆ
แล้วแจกหมัดชุด กระหน่ำาเหวี่ยงซ้ายขวากระแทก
หน้า เอาให้เห็นดาวพราวพร่างเสมอกับตน หรือ
ยิ่งกว่าตน
หมัดของยักษ์หนักเอาเรื่อง อัคระโดนเข้า
เต็มๆ หน้าสะบัดซ้ายทีขวาที แล้วตะกายอากาศ
หงายหลังผลึ่งลงไปทับมะแมอีกรอบ หญิงสาวก
อดเขาไว้ด้วยอาการลนลานอยากปกป้อง แต่ก็
ไม่รู้จะหาอะไรมาปกป้องนอกจากสองแขนของผู้
หญิง
พอได้ยืดเส้นยืดสาย เจ็บไม้เจ็บมือแก้มึน
ประกอบกับเห็นคู่ต่อสู้ลงไปนอนหงายไม่เป็นท่า
ยักษ์ก็แสยะยิ้มตาคมวาว กำาลังใจกลับมาเป็นก
อง ก้มลงใช้สองมือรวบศีรษะของอัคระ กระชาก
ขึ้นมาจากอ้อมกอดของมะแมอย่างง่ายดาย แล้ว
เหวี่ยงเป็นตอปิโด กะให้กระหม่อมพุ่งไปโหม่ง
กระจกฝั่งตรงข้ามตูมใหญ่
แต่อัคระยังไม่สิ้นลาย เขาขืนตัวไว้ สลัด
หัวออกจากมือปาม แล้วอาศัยจังหวะที่อยู่ใต้วง
แขนของยักษ์นั่นเอง หมุนตัวกระแทกหมัดสั้นเข้า
ลิ้นปี่จังเบอร์ เสียงดังตั้บเหมือนทุบมะพร้าว
"โอ๊ะ!"
เจ้ายักษ์ตัวงอคล้ายสำานึกผิดอย่างรุนแรง
อยากหลบหน้าหลบตากัน อัคระไม่ปล่อยโอกาส
ทองให้หลุดมือ งัดหมัดขวาตรงเข้าคางทีหนึ่ง
ด้วยท่าสอยสุดสวย และเมื่อเห็นจังหวะดี ลูกคาง
ยังเปิดลอยอยู่ในอากาศ ก็สวิงซ้ำาด้วยลูกสอย
คางซ้ำาจากหมัดซ้าย กลายเป็นหมัดน็อกคู่บันลือ
โลก ร่างใหญ่หงายตึง ร่วงโครมหมดรูป ยากจะ
ลุกขึ้นมาอีกเร็วๆนี้
อัคระสะบัดมือเปล่าๆทั้งสองข้าง ที่ชกเข้า
กรามแข็งๆอย่างดุเดือดจนซ้น ทำาท่าจะใช้การไม่
ได้ไปชั่วขณะ และขณะนั้นเอง นายเป้คนขับเรือ
ซึ่งหันมาดูสถานการณ์เป็นระยะเห็นท่าไม่ดี ก็กด
ปุ่มให้เรือวิ่งด้วยระบบออโต้ แล้วก้มลงคว้าปืน
ของคณินทร์ที่ตกอยู่ใกล้ตน ก้าวพาร่างอ้วนพีมา
ยืนจังก้า
"พี่อัค ระวัง!!"
มะแมร้องสุดเสียง อัคระพุ่งตัวไปลงหมอบ
หลังเคาน์เตอร์บาร์ด้านซ้ายมือทันที อย่างรู้โดย
ไม่ต้องหันหลังว่าตนกำาลังจะถูกยิง
ฟุต!
กระสุนจากปืนเก็บเสียงแล่นผ่านอากาศ
พ้นร่างชายหนุ่มไปอย่างเฉียดฉิว ปล่อยให้ประตู
กระจกที่ห่างออกไปหลายก้าวรับแทนเต็มๆรู
ลุกขึ้นนั่งหลังกำาบัง สายตาแลเห็นปืนของ
ยักษ์ที่ตกอยู่กลางห้อง แต่แล้วก็ตระหนกเมื่อหาง
ตาเห็นจากเงาเลือนรางของประตูกระจกที่อยู่ด้าน
ซ้าย ว่านายเป้กำาลังเล็งปืนไปทางมะแมเป็นเป้า
ต่อไป และอัคระก็หันไปเห็นสาวคนรักเอาแต่นั่ง
เบี่ยงหน้า หลับตาปี๋ ยกสองมือบังตัวท่าเดียว
วินาทีกะทันหันนั้น อัคระได้แต่ภาวนาให้ทัน
การณ์ กระโจนคว้าปืนบนพื้นแล้วพรวดพราดพุ่ง
เข้าหามะแม ใช้ร่างตนบังอย่างไม่คิดชีวิต
ความจริงเป้เป็นนายเรือที่ฝึกยิงปืนมาบ้าง
ไม่ใช่นักฆ่า ไม่ใช่คนใจคอเหี้ยมหาญโหดร้าย
การเหนี่ยวไกสังหารมนุษย์ยังเป็นเรื่องยากอยู่
เมื่อครู่ที่ยิงอัคระไปนัดแรกก็หูตาพร่ามัว ไม่ทราบ
ด้วยซ้ำาว่าโดนหรือเปล่า ความประหม่าต่อ
สถานการณ์ถึงเลือดถึงเนื้อบีบให้คิดยิงมะแมทิ้ง
อีกคน แต่เมื่อเห็นผู้หญิงไร้ทางสู้ นั่งตัวงอยกแขน
ปิดป้อง ก็ทำาให้ละล้าละลัง สมองหยุดสั่งการใดๆ
ไปชั่วขณะ
กระทั่งอัคระเอาร่างใหญ่ๆมาบัง แถม
พยายามยกปืนชี้มาที่เขา สติแบบคนจวนตัวจึง
กลับเข้าที่ กลั้นใจเหนี่ยวไกในระยะเกือบเผาขน
ด้วยความกลัวโดนยิงก่อน
ฟุต! ฟุต! ฟุต!
นัดแรกเข้าที่ท้อง นัดสองเข้าที่กลางอก
ส่วนนัดที่สามเฉี่ยวหัวทะลุกระจกด้านข้างไปด้วย
ความลนลานของคนยิง เนื่องจากศีรษะเป็นเป้าที่
น่าเสียวไส้ ต้องใช้กำาลังใจเหนี่ยวไกยิงใส่
มากกว่าอวัยวะส่วนอื่น
แต่นัดที่สี่ไม่มี เพราะปืนในมือเป้ร่วงหล่น
ลงพื้นพร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษในสูทขาว
สองคน
"โอ๊ย!"
ร้องลั่นอย่างตกใจที่เห็นมือตนเลือดอาบ
เมื่อพยายามขยับมือ ก็เห็นมือไม่ทำางานเพราะ
กระดูกแตก เป้จึงแหกปากครวญคราง ร่างเซไป
นั่งบนโซฟาทิศเหนือ ด้วยความเจ็บที่ไม่เคยรู้จัก
มาก่อน
มะแมได้ยินเสียงโอ๊ยจากคนขับเรือก็ลืมตา
ขึ้น ด้วยความเข้าใจว่าอัคระยิงฝ่ายนั้น แต่เมื่อ
เห็นบุรุษในสูทขาวสองคนที่กลางห้อง ก็ตกใจ
ระคนยินดี อย่างรู้ว่าตนกับคนรักได้รับความช่วย
เหลือแล้ว
หนึ่งในสองคนนั้นเข้าไปยืนจี้ปืนคุมเชิงเป้
ให้นั่งกับที่ ส่วนอีกคนปราดไปด้านหน้า ซึ่งอึดใจ
ต่อมาเสียงเครื่องก็เบาลงจนเงียบ ความเร็วลด
ลงสู่ความหยุด จากนั้นคนที่หยุดเรือก็รีบรุดกลับ
มาทางหล่อนด้วยอาการร้อนใจ
"คุณไม่เป็นไรนะ?"
มะแมสั่นศีรษะ แต่ขณะนั้นเอง อัคระก็คว่ำา
หน้าฟุบลงให้บุรุษในสูทขาวถลันไปช้อนรับ
"นาย!"
"พี่อัค!"
สองเสียงร้องประสานกันราวกับโดนมีด
กรีดที่กลางหัวใจพร้อมกัน
ที่เมื่อครู่อัคระยังทรงตัวอยู่ได้ ก็เพราะ
ต้องการใช้ร่างเป็นกำาแพงบังกระสุนให้มะแม ต่อ
เมื่อเห็นนาทีวิกฤตผ่านไปแล้ว จึงคลายใจลง มี
ผลให้กายทรุดตาม
"เร็ว! ช่วยกันพานายขึ้นเครื่อง นายถูก
ยิง!"
คนที่อยู่ตรงนั้นหันไปบอกเพื่อน แต่พอนาย
คนนั้นถลันมาช่วยหิ้วปีกคนละข้าง อัคระก็รู้สึกตัว
ฟื้นคืนจากอาการหน้ามืด พยายามสูดลมหายใจ
อย่างขัดข้อง แล้วสั่งลูกน้องทั้งสองด้วยเสียง
เกือบปกติ
"วางฉันลงก่อน"
"แต่นายต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วนเดี๋ยวนี้ !"
"ช่างเถอะ... ขอฉันนั่งก่อนนะ"
หางเสียงแผ่วลง เจืออยู่ด้วยความเข้มแข็ง
และกระแสการวิงวอน เมื่อบริวารของเขายังละล้า
ละลัง อัคระจึงจำาเป็นต้องบอกตามตรง
"กระสุนเข้าที่สำาคัญ ยังไงก็ไม่ทัน ฉันเหลือ
เวลาไม่มาก บอกคอปเตอร์บินไปห่างๆให้เสียง
เบาลงหน่อยเถอะ ฉันอยากคุยกับเธอเป็นครั้ง
สุดท้าย..."
สองบุรุษในสูทขาวถึงกับนิ่งค้าง ดวงตา
เบิกโพลงฟ้องความรู้สึกว่ากำาลังเผชิญหน้ากับ
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีทางเกิดขึ้น
"ขอร้อง..."
เสียงสั่งซ้ำาอีกครั้งทำาให้ทั้งสองรู้สึกตัว และ
ค่อยๆหย่อนร่างของนายลงนั่งอย่างนิ่มนวล
คนอยู่ทางซ้ายถูกอัคระดึงตัวให้ก้มลงฟัง
เสียงกระซิบสั่งการของเขา เสียงคอปเตอร์เหนือ
หัวยังกระหึ่มจนต้องเอาใบหูมาจ่อปาก จึงรับฟัง
เสียงระโหยของเจ้านายได้รู้ความ
ส่วนบุรุษชุดขาวอีกคนลุแก่โทสะ เมื่อ
สำาเหนียกถึงความเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง ก็รู้ว่า
นายร่างอ้วนพยายามก่อการอะไรอีก จึงหมุนตัว
กลับไปเงื้อง่า แล้วส่งหมัดลุ่นๆกระแทกเข้ากลาง
ปากครึ่งจมูกของฝ่ายนั้นแบบไม่ปรานีปราศรัย
พอหมอนั่นถูกตอกให้ทรุดลงไปนั่งแผ่
แทนที่บุรุษในชุดขาวจะหยุด ก็กลับตามไป
กระหน่ำาซ้ำาแบบไม่นับว่ามาจากหมัดซ้ายหรือ
หมัดขวาข้างละกี่ครั้ง เสียงพล็อก! พล็อก! พล็
อก! ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย! ราวกับ
ฉากการซ้อมนักโทษในคุกเถื่อน
ถ้าไม่ติดกฎเหล็กห้ามฆ่าของอัคระ เขาจะ
ใช้ปืนยิงกรอกปากมันเดี๋ยวนี้ !
กระทั่งฝ่ายถูกชกแน่นิ่งไป บุรุษในสูทขาว
จึงหยุดมือลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ ยืนก้มหน้า
จ้องร่างท้วมอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ โดยไม่ทราบ
จะมีข้ออ้างในการทำาร้ายร่างกายต่ออย่างไรดี ใน
เมื่อฝ่ายนั้นหมดสภาพจะลุกขึ้นมาต่อกรใดๆอีก
ระหว่างนั้น อีกคนก็รับคำาสั่งเสียของอัคระ
จนจบ แล้วยืดตัวขึ้นยืนตรง ติดต่อกับพรรคพวก
ที่อยู่บนคอปเตอร์ด้วยโทรศัพท์พิเศษ
"บินห่างออกไปก่อนเหอะ... ใช่ ! รีบไป
เดี๋ยวนี้เลย" แม้จะพยายามสะกดเสียงสั่งให้เข้ม
แข็งเป็นปกติ แต่ในที่สุดประโยคต่อมา ก็อธิบาย
เหตุผลด้วยเสียงสั่นพร่าเยี่ยงคนที่กำาลังจะร้องไห้
"นายกำาลังอยากได้ความสงบว่ะ"
เสียงใบพัดตัดอากาศของแบล็กฮอว์ก
ค่อยๆห่างไปตามลำาดับ บุรุษในสูทขาวทั้งสอง
ช่วยกันลากสามร่างที่แน่นิ่งออกไปทางท้ายเรือ
โดยไม่ต้องนัดแนะ เป็นการปัดกวาดห้องให้
เงียบเชียบไร้สิ่งรกตาแก่อัคระในวาระสุดท้าย
เมื่อองค์ประกอบของฝันร้ายหายไปหมด ก็
เหลือแต่ความนุ่มนวล อบอุ่น และสว่างไสว อัน
เกิดจากการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างเขากับ
หล่อนในเรือกลางทะเลกว้าง
ใบหน้าของอัคระซีดขาว ลมหายใจรวยริน
แต่ประกายตาส่องแววเข้มแข็งกว่าที่เคยเห็นทุก
ครั้ง มะแมยกมือเขาขึ้นกุม มองนิ่งด้วยนัยน์ตา
รื้นน้ำาเป็นครู่ ก่อนส่ายหน้าน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ
และไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
"ทำาไมเป็นอย่างนี้ล่ะ?"
เสียงอ่อนอ่อยน่าสงสารนั้น กลายเป็น
คำาถามที่จุดยิ้มละไมปลอบขึ้นบนใบหน้าของชาย
หนุ่ม
"จะได้แน่ใจว่าเราจากกันทั้งยังรักมากไง"
เหมือนมะแมไม่ได้ยิน หล่อนถามอีกด้วย
ปลายเสียงเครือสั่น
"พี่อัคบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันในโลกใหม่
ไม่ใช่เหรอ?"
อัคระมองคนรักด้วยแววลึก
"พี่เคยบอกมะแมเมื่อไหร่หรือ? มะแมนั่น
แหละเคยเห็นเอง ว่าไม่มีภาพเราอยู่ด้วยกันข้าง
หน้า... ตอนพายเรือคืนนั้น จำาได้ไหม?"
น้ำาตาที่เอ่อจนชุ่ม เริ่มหยาดไหลลงมาเป็น
สาย ตัดพ้อต่อว่าเขาด้วยถ้อยเสียงกระท่อนกระ
แท่น
"ทำาไมพี่อัคไม่บอกมะแมว่าจะเป็นอย่าง
นี้ ... ปล่อยให้มะแมช่วยคนเลวๆอย่างนั้น เพื่อ
เป็นสะพานให้มาฆ่าพี่อัคทำาไม?"
"พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นอย่างนี้ ที่ผ่านมาพี่
อาจจะล้ำาเส้นเกินไป พยายามให้ทุกสิ่งดีผิด
ธรรมชาติ ธรรมชาติเลยโต้ตอบผ่านวิธีที่คนเรา
จะเข้าใจผิดกันอย่างนี้แหละ"
มะแมยกมือปิดหน้า ร้องไห้โฮอย่างเกินทน
กับสิ่งที่กำาลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจ อัคระรอจน
อาการสะอื้นฮักเบาบางลงจึงปลอบต่อ
"มะแมฟังพี่นะ... ชั่วขณะที่ไม่รู้และหลงยึด
ทางผิด คนเราเลวแค่ไหนก็ได้ พี่เห็นความเลว
กว่านี้มามาก และมีชีวิตอยู่ก็เพื่อเปลี่ยนคนพวกนี้
ให้กลายเป็นพวกเดียวกับเรา ไม่ใช่เพื่อเอาเขามา
ลงโทษให้สาสม... มะแมจะอภัยเขาเพื่อพี่ได้
ไหม?"
หญิงสาวกล้ำากลืนรสขมลงคอ เป็นครั้งแรก
ในชีวิตที่รู้สึกยากเย็นแสนเข็ญเมื่อคิดว่าจะต้อง
ให้อภัยใครสักคน จึงไม่รับปากทันที
แต่ลมหายใจที่สะดุดและอาการกัดฟันแน่น
ของอัคระ ทำาให้มะแมรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาม
ร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างลืมตัว
"พี่อัค... อย่าไปได้ไหม?"
"ได้ ... เชื่อเถอะ พี่ไม่ไปไหนหรอก..."
ความเจ็บเสียดรวดร้าวเกิดขึ้นอย่างรุนแรง
รับรู้ถึงสัญญาณชีวิตที่ใกล้ขาดลงของตนเอง แต่
สะกดไว้ด้วยความสุขจากการเห็นดวงหน้าอัน
เป็นที่รัก แม้พร่าเลือนลงทุกที
"พี่อัค... พี่อัคจูบมะแมหน่อยสิ "
ขออย่างรู้ว่านั่นจะเป็นการขอครั้งสุดท้าย
มะแมยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตชายที่ตนบูชาด้วยใจ
ทั้งดวง และอัคระก็สนองด้วยการรวบรวมกำาลัง
ในเฮือกสุดท้ายจูบตอบ แสนสุขกับกลีบปากอุ่นที่
ให้สัมผัสอันเป็นทิพย์นั้น นิ่งนาน
แรงประกบจากริมฝีปากของอัคระขาดหาย
ไป และมะแมก็จูบต่ออย่างอาวรณ์อีกครู่เดียว ถัด
จากนั้นน้ำาตาของหล่อนก็แห้งลง เมื่อความเศร้า
โศกในใจถูกแทนที่ด้วยน้ำาพุแห่งความปรีดา
มหาศาล
วูบใหญ่ที่ส่วนหนึ่งของวิญญาณมะแมได้รับ
รู้ถึงความมีอยู่ของทิพยสภาพอันอ่อนละมุน สว่าง
งาม และยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต รวมลงเป็นความสุข
เยือกเย็น บอกตนเองว่าที่นั่นเหมาะแล้วกับอัคระ
ที่นั่นควรแล้วกับการเป็นรางวัลของคนดี
แล้วควรอยู่หรอกหรือ ที่หล่อนจะร้องไห้
ฉลองการได้เสวยรสสุขอันเหนือมนุษย์ของอัค
ระ?
_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๗
"เราฆ่าคุณได้ง่ายพอๆกับบี้มด..."
บุรุษในชุดสูทสีขาว คนเดียวกับที่เคยไป
ช่วยชีวิตเขาไว้ เอ่ยพลางเดินวนไปเวียนมารอบๆ
เขา ภายในห้องลับซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน
วันก่อนชายคนเดียวกันนี้ พูดกับเขายิ้มๆ
หน้าเฉยๆ เหมือนมองโลกลงมาจากยอดเขา แต่
วันนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้าแดง หูแดง และ
เค้นเสียงทีละคำาด้วยอาการของคนฝืนข่มใจอด
กลั้น พยายามระงับอารมณ์ถึงที่สุด เหมือนจมอยู่
ใต้โคลนตมแห่งความพยาบาท ไม่ต่างจากเขา
และคนอีกทั้งโลก
"แล้วทำาไมถึงไม่ฆ่า?"
คณินทร์ถามเนือยๆ แบบไม่รู้สึกว่าเป็นบุญ
คุณที่ได้รับการไว้ชีวิตสักเท่าไร เพราะเดี๋ยวคงมี
การคายเหตุผลออกมา ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าพอ
ทราบเหตุผลแล้วเขาจะรู้สึกดีกับการมีชีวิตต่อ
หรือไม่
"ผมไม่ฆ่า แล้วก็ไม่มัดมือมัดเท้าท่านอย่าง
นักโทษด้วย"
"นั่นสิ เพราะอะไรล่ะ ไม่มัดแบบนักโทษ แต่
มีบทลงโทษโหดๆรออยู่ใช่ไหมล่ะ? ผมรู้น่า"
บุรุษชุดขาวขบกรามกรอด จ้องตากับอีก
ฝ่ายเครียดๆ
"ตัวคุณคือบทลงโทษที่ดีที่สุด สาสมกับสิ่ง
ที่คุณเคยก่อไว้อยู่่แล้ว"
"อย่ามาพูดสำานวนกรรมวิบากหน่อยเลย
คนถือปืนนั่นแหละที่กำาอำานาจลงโทษไว้ในมือ ให้
ผมเดาดีกว่า เดี๋ยวผมคงโดนซ้อมวันละสามเวลา
ก่อนอาหารใช่ไหม?"
"ถูกซ้อมน่ะ เจ็บปวดน้อยไป... สำาหรับคุณ
ไม่มีอะไรทรมานไปกว่าการค่อยๆแก่ตายไปทีละ
วัน!"
คณินทร์หัวเราะหึหึ เบนสายตาไปทางอื่น
อย่างกลัวโดนข้อหาทำาหน้ากวนตีน
"ดี ... คุยกันสไตล์นี้ผมชอบ หัดมีอารมณ์
ขันเสียบ้าง อย่าซีเรียสมาก เดี๋ยวแม่ยายบ่นว่า
เหี่ยวแซงหน้าท่าน"
ชายในสูทขาวหัวเราะหึหึกลับ และคณินทร์
ก็รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนั้นเหนือกว่าเขา
"เดี๋ยวคุณหมดอารมณ์ขันแน่ๆ คุณคณิ
นทร์ !"
"แหม! เสียงคุณนี่น่ากลัวชิบหาย สมเป็น
ทายาทอั้งยี่จริงๆ บอกๆมาเถอะ ชักอยากรู้แล้ว
จะเลียนแบบนรกขุมไหนผมก็ไม่แปลกใจหรอก
ในเมื่อผมทำาเจ้าเหนือหัวของคุณตายห่าไป
ทั้งคน"
"ได้ ! คุณจะได้รู้เดี๋ยวนี้ "
"หนาย... ทำายังงาย? บอกมาหน่อยเร้ว"
เขาเร่งเร้าเย้าๆยั่วๆ ใจรู้สึกเป็นมิตรกับ
คนในชุดขาวนี่อย่างประหลาด อย่างน้อยก็ไม่รู้
สึกขัดกันเป็นคนละขั้วเหมือนอย่างที่รู้สึกกับอัคระ
"บทลงโทษสาหัสที่สุดสำาหรับคุณ ก็ที่ผม
บอกว่าจะให้แก่ตายไปทีละวันนั่นแหละ แต่ไม่ใช่
ทีละวันตามปกตินะ..." เว้นวรรคหรี่ตาครู่หนึ่ง
ก่อนเค้นเสียงเอ่ยเยียบเย็น "เป็นทีละวันที่คุณ
ต้องรู้สึกผิดอยู่ทุกลมหายใจ!"
พูดเสร็จก็กลับหลังหันไปซ่อนหน้า เพราะ
น้ำาตาจะไหลเมื่อนึกถึงคำาสั่งเสียสุดท้ายของอัค
ระ...
"ฤกษ์เกิดแบบคณินทร์ ถ้าตายหรือติดคุกก็
เสียของเปล่า เอามาเปลี่ยนโลกดีกว่า เปิดเผยให้
รู้ทุกอย่าง ยกทุกสิ่งที่ฉันมีให้เขาไป ใช้ความ
สํานึกผิดและเสียใจที่สุด บีบให้เขาพยายามดี
ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะดีได้ !"
งานศพของอัคระจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
เหมือนงานศพทั่วไป แขกในงานส่วนใหญ่เป็น
ญาติฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ไม่ถึงครึ่งร้อย ประกอบ
กับหญิงชายที่เป็นคนของอัคระมาร่วมอยู่ด้วย
เพียงสิบคน โดยต่างก็นั่งสงบเสงี่ยมเหมือนๆกัน
สีหน้าเรียบเฉยเหมือนๆกัน แสดงออกถึงความ
เศร้าสร้อยอาลัยอาวรณ์เจ้านายเพียงด้วยดวงตา
คู่โศกเหมือนๆกัน
แล้วก็ใส่สูทขาวอันเป็นชุดทำางานเหมือนๆ
กัน...
ชาวโลกแต่งดำาไว้ทุกข์ให้คนตาย แต่เป็น
ประเพณีของลูกน้องอัคระ ที่จะแต่งขาวอวยสุขไป
กับเทวดา!
สูทขาวเครื่องแบบทำางานของมะแม กลาย
เป็นชุดเข้ากันได้กับบริวารของอัคระ หล่อนจงใจ
ไม่แต่งดำาเพราะคาดเดาไว้ล่วงหน้าว่าคงเจอกับ
คนของเขาในชุดขาว แล้วก็ได้เจอจริงๆ
ก็แค่อยากรู้สึกอีกครั้ง ว่าหล่อนเป็นคนของ
เขาเหมือนกัน...
วันนี้ทั้งวัน มะแมทำางานตามปกติ ไม่ขอ
ยกเลิกนัดลูกค้า ด้วยความคิดว่าสำาหรับเทพผู้
เป็นสัมมาทิฏฐิ งานที่หล่อนทำานับว่าใช้เป็นเครื่อง
สังเวยเทวาได้ดีที่สุดแล้ว
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มะแมทำางานอย่างมีพลัง
แก้วตาสวยใส น้ำาเสียงไพเราะ ด้วยแรงจำานงที่จะ
เปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกค้าทุกคนให้เป็นไปใน
ทางที่ดีขึ้นให้จงได้
เพิ่งมาร้องไห้ก็เมื่อพบหน้าพ่อแม่ของอัคระ
เพราะทั้งสองกำาลังยืนหน้าเศร้ารับไหว้จากแขกเห
รื่อที่ทยอยเข้าศาลาอยู่ พอเห็นมะแมเดินมาคน
เดียว คุณแม่ก็เบะปากน้ำาตาคลอ ก้าวขาออกมา
อ้าแขนอย่างจะเรียกหล่อนไปกอด มะแมจึงตรง
เข้าไปกอดและร้องไห้ตาม
"ถึงนายอัคไม่อยู่แล้ว ยังไงก็มาเป็นลูกแม่
นะลูกนะ แม่จะได้มีลูกอยู่อีกคนไว้ดูต่างหน้าเขา"
"ค่ะคุณแม่ "
กลิ่นธูปลอยมาตามลม อุปาทานหรือเปล่า
ไม่ทราบ ที่ทำาให้รู้สึกเหมือนกลิ่นหอมจากสรวง
สวรรค์
"นายอัคบอกให้แม่เตรียมใจไว้นานแล้ว ว่า
อาจเกิดเรื่องขึ้น"
มะแมยกมือปาดน้ำาตา ดึงตัวออกห่างและ
ทำาหน้าฉงน
"พี่อัคบอกคุณแม่เกี่ยวกับการตายก่อน
กำาหนดของเขา?"
"บอก..." แล้วอรุณีก็หันไปเรียกคนของตน
ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล "อิ้ว... เอาของที่ฉันฝากไว้มาให้
หน่อยนะ"
"ค่ะ"
หญิงวัย ๓๐ ท่าทางเป็นเลขาฯส่วนตัว
รับคำา และเดินจากไปเพื่อเอา "ของ" ตามที่นาย
คำาสั่ง
"ไปรดน้ำาแล้วมานั่งคุยกันเถอะ วันนี้แม่
อยากคุยกับหนูอยู่คนเดียวเลย"
ว่าแล้วก็เดินนำามะแมเข้าไปในศาลา หญิง
สาวยิ้มให้อัษฎาคุณพ่อของอัคระเศร้าๆและค้อม
กายเดินผ่านท่าน ตามอรุณีเข้าศาลาไป
อัคระนอนยื่นแขนรับน้ำาด้วยสีหน้าสงบ
ราวกับคนนอนหลับ แม้ร่างจะแข็งทื่อเหมือนท่อน
ไม้แล้ว แต่ทุกคนที่เห็นก็ยังรู้สึกถึงอำานาจในตัว
อันน่ายำาเกรง ราวกับเขายังมีชีวิต
มะแมรับขันน้ำารดมือผู้ที่ตนรู้สึกอยู่เสมอว่า
เป็นสามี ศพของเขาให้ความอบอุ่นเป็นสุข เตือน
ให้สัมผัสถึงการมีอยู่จริงของความดีอันยิ่งใหญ่
หล่อนจึงหลั่งแต่น้ำาในขัน โดยไม่หลั่งน้ำาตาแม้แต่
หยดเดียว
จากนั้นหญิงต่างวัยก็หาเก้าอี้ว่างในมุม
ปลอดคนคุยกัน
"ถึงเราจะเคยพบกันแค่ครั้งเดียว แต่แม่ก็
รักหนูมานานนะ นานเท่าที่นายอัคพูดถึงหนู "
"มะแมก็เคารพรักคุณแม่ตั้งแต่วันแรกที่เจอ
กัน และเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้แกล้งพูด ก็ขอให้มะแม
มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้คุณแม่บ้างเถอะนะคะ"
"งั้นเรากินข้าวกันสักเดือนหรือสองเดือน
ครั้งนะ แม่อยากเห็นหน้าหนูเป็นเครื่องเตือนให้
ระลึกถึงนายอัคจริงๆ"
"ด้วยความยินดียิ่งค่ะคุณแม่ ถือโอกาส
กราบขอโทษด้วยนะคะ มะแมอยากมาช่วยดูงาน
แต่วันเหมือนกัน แต่ยกเลิกนัดลูกค้าไม่ได้ "
"ไม่เป็นไร ถ้าลูกเสียงานใหญ่มาทำางาน
เล็กต่างหาก แม่ถึงจะดุ แล้วก็เชื่อว่านายอัคคงไม่
ปลื้มแน่กับการที่คนจะเสียประโยชน์เพราะเขา"
"ค่ะ"
นางอรุณีทอดตามองไปยังตั่งปูผ้าเบื้องหน้า
ที่มีศพของอัคระนอนยื่นมือรับน้ำาแล้วถอนใจ
"ก่อนให้กำาเนิดเด็กสักคน เราไม่มีสิทธิ์รู้ว่า
จะเขาจะโตขึ้นมาทำาให้เราเสียใจหรือภาคภูมิ
ขนาดไหน... สำาหรับแม่รู้แล้ว ถ้าลูกของเราน่า
ภูมิใจมากพอ เราจะภาคภูมิในการเกิดมาของตัว
เองด้วย!"
หญิงสาวยิ้มอย่างเข้าใจซึ้ง
"มะแมก็ภูมิใจที่เป็นคนรักของพี่อัคค่ะ รู้สึก
ว่าการเกิดของตัวเองมีเกียรติพอ!"
อรุณีน้ำาตาคลอ หางเสียงสั่นเครือ
"แม่นึกว่าเขายังอยู่กับแม่นะ มองไปตรง
ไหนในบ้าน ก็รู้สึกว่าเดี๋ยวเขาจะมานั่ง มานอน
มาเดินไปเดินมาเหมือนเดิม"
มะแมยิ้มอย่างเข้มแข็ง และพยายาม
เปลี่ยนภาพในใจคุณแม่ไปอีกทาง
"สิ่งที่พี่อัคทำาไว้ให้ดูต่างหน้า มันมากมาย
เกินกว่าจะรู้สึกว่าเขาหายไปไหนอยู่แล้วค่ะคุณ
แม่ "
"อือ... ก็จริง สมัยแม่ทำางาน มีคนชวนไป
ทำางานกุศล ช่วยเด็กอนาถา ระดมทุนสร้าง
โรงเรียนเยอะนะ แม่ก็อิ่มใจ แต่ทำาๆนานไปแล้วรู้
สึกแห้งๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร... กระทั่งนายอัคพา
ไปดูโรงเรียนสำาหรับเด็กอนาถาที่เขาสร้างมากับ
มือในหลายประเทศ ถึงเข้าใจซึ้งว่าความอิ่มใจที่
มีอายุยืน ต้องมาจากพลังและความน่าสนใจมาก
พอ"
"เช่นอย่างไรคะ?"
"เขาอธิบายรายละเอียดว่าแต่ละที่ มีโจทย์
ท้าทายกี่ข้อ เช่น ทำาอย่างไรจะให้เด็กรุ่นก่อนมีแก่
ใจกลับมาสอนเด็กรุ่นหลัง ทำาอย่างไรโรงเรียน
แห่งนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจของทั้งเมืองรุ่งเรืองขึ้น
ภายใน ๑๐ ปี ... นายอัคไม่เคยแค่โยนเศษอาหาร
ให้ใคร แต่จะสร้างโลกใหม่ขึ้นทุกที่ที่เขาผ่านไป
เสมอ"
"มะแมเคยเห็นกับตามาแล้วค่ะ แค่ระหว่าง
ทางเดินมาขึ้นรถ พี่อัคก็เปลี่ยนโลกอนาคตส่วน
หนึ่ง จากร้ายให้กลายเป็นดีได้ !"
ขณะนั้น เลขาฯของอรุณีนำาซองจดหมาย
กับกล่องหนังแท้มาให้อรุณีอย่างนอบน้อม แล้ว
เดินจากไป
"นี่คือสิ่งที่นายอัคฝากไว้ให้หนู "
"กราบขอบพระคุณค่ะคุณแม่ "
มะแมพนมมือไหว้แล้วรับของมาถืออย่าง
นอบน้อม ใจนึกอยากแกะซองจดหมายอ่าน
อยากแกะกล่องหนังเดี๋ยวนี้เลย เพื่อดูให้รู้ว่าเป็น
อะไร แต่ในเมื่อคุยอยู่กับนางอรุณี สิ่งเดียวที่
ทำาได้คืออดใจรอไว้ก่อน
"ตอนนายอัคบอกว่ากำาลังทำาอะไร และมี
ความเสี่ยงอย่างไร แม่ตกใจเหมือนกัน"
"พี่อัคพูดถึงความเสี่ยงยังไงคะ?"
"นายอัคคงใช้คำาให้แม่สบายใจน่ะนะ เขา
ว่า... การสร้างสวรรค์ให้พวกที่ควรอยู่ในนรก นับ
ว่าเป็นบุญใหญ่ผิดธรรมชาติ เมื่อไหร่ธรรมชาติ
ทนไม่ไหว ก็อาจจัดที่จัดทางบนสวรรค์ให้เขา
เสวยบุญก่อนวัยอันควร"
"แปลว่าพี่อัคเสี่ยงทั้งรู้มาตลอดหรือคะนี่ ?"
"เขาบอกว่าแผนเดิมของธรรมชาติมีอยู่
และธรรมชาติก็มีอำานาจต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
ไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนออกนอกแผนเดิมง่ายๆ
และนั่นอาจหมายถึงมีวิธีกำาจัดอุปสรรคอย่างเป็น
ธรรมชาติ เหนือความคาดหมายได้เสมอ"
"มะแมพอเข้าใจนะคะ ถึงรู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ได้
ทำา และชีวิตตามนิยามสำาหรับคนแบบพี่อัคนั้น
การได้ทํานั่นแหละคือการเคยมีชีวิต!"
พูดเองก็สะท้อนใจเอง ถ้าอัคระทำาสิ่งที่
อยากทำาอยู่บนเส้นทางแห่งความไม่รู้ของมนุษย์
ธรรมดา ธรรมชาติก็คงไม่ว่าอะไร เพราะความ
ไม่รู้จะเป็นช่องทางให้ถูกบ้างผิดบ้าง ธรรมชาติ
บีบให้เกิดผลตามแผนเดิมได้ไม่ยาก แต่นี่เขาเล่น
นอกกติกา รู้ไปหมดว่าทำาอะไรจะเกิดอะไร เพื่อ
ให้แผนร้ายของธรรมชาติผิดเพี้ยน
"แม่ไม่เข้าใจเลย... รู้ทั้งรู้ ทำาไมถึงยัง
ดันทุรังสร้าง แล้วก็ใช้เครื่องพยากรณ์ท้าทาย
ธรรมชาติที่มองไม่เห็นอย่างนั้น"
"พี่อัคเคยพูดกับมะแมค่ะ ทำานองว่าซีอุส
ไม่ใช่เทวดา และไม่ใช่สิ่งที่เทวดาให้มา แต่เป็น
อะไรที่เขาสร้างเองกับมือขณะเป็นมนุษย์ และเมื่อ
ธรรมชาติไม่ห้าม ไม่ขัดขวาง จนเขาสร้างมันได้
สำาเร็จ ก็ต้องมีสิทธิ์ใช้มันได้เช่นกัน"
"อือม์ ... แม่ก็มองในมุมของเขาไม่เป็น
หรอกนะ รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่าธรรมชาติอะไรในเขา
เอื้อให้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผิดธรรมชาติได้ขนาด
นั้น"
"พี่อัคบอกมะแมว่า เป็นผลจากกรรมที่
สั่งสมมาหลายภพหลายชาติ คือเป็นพวกอยาก
เปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ด้วยการเค้นสมอง ลอง
คิดทุกแบบ โดยเฉพาะในแง่ของนักปกครอง ที่
ปรารถนาจะวางคนดีที่สุดให้อยู่ในตำาแหน่งเหมาะ
ที่สุด บุญเหล่านั้นส่งผลให้มีกำาลังสมองมากพอจะ
สร้างซีอุสได้ในชาตินี้ค่ะ"
อรุณีพยักหน้าอย่างเริ่มเห็นภาพที่ใหญ่เกิน
ชีวิตเดียว ได้คิดจนสดใสหายซึม
"อย่างนี้มั้งนะ ที่พระท่านว่าถึงภายนอกจะ
ดูเหมือนเราสร้างทำาอะไรเพื่อคนอื่นแค่ไหน ท้าย
สุดก็ต้องได้กับตัวเอง เป็นภพ เป็นภาวะ เป็น
สภาพที่สมกรรมนั่นเอง นายอัคให้อะไรกับโลก
จนสุดความสามารถ ชาติใดชาติหนึ่งเขาก็
สมควรมีความสามารถเป็นที่สุดของโลกเหมือน
กัน"
ขณะนั้น ใครคนหนึ่งปรากฏตัว กลายเป็น
จุดรวมสายตาตั้งแต่เดินมาจะเข้าศาลา
ฯพณฯ คณินทร์ ร่มโพธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง
กระทรวงพาณิชย์ !
มีการต้อนรับแบบเอิกเกริกเล็กน้อย ใครต่อ
ใครพากันไปไหว้และทักทาย ด้วยความคาดไม่
ถึงของฝ่ายญาติผู้ตาย เพราะไม่มีการแจ้งล่วง
หน้าว่าคนสำาคัญของประเทศจะมาที่นี่ในค่ำาคืนนี้
"อุ๊ย! ท่านคณินทร์นี่ " อรุณีอุทาน "คงรู้จัก
กับนายอัค แม่ไปต้อนรับท่านก่อนนะ"
พูดจบก็ลุกพรวดพราด ทิ้งมะแมไว้ตาม
ลำาพัง ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆทั้งสิ้นว่าสาเหตุ
การตายของลูกชาย ที่แท้มาจากรัฐมนตรีคนดัง
นี่เอง
หญิงสาวหน้าเข้มขึ้น เขม้นมองคณินทร์
อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ว่ายังมีหน้ามางานศพ
อัคระแบบนี้ได้ นี่เขาไม่อายบ้างหรืออย่างไร?
แต่พอเลิกมองหน้าด้วยแก้วตา หันมา
สัมผัสใจด้วยใจ ก็ได้คำาตอบว่าเพราะอายน่ะสิถึง
ได้มา...
อายใจจะขาดทีเดียวล่ะ!
คณินทร์คงได้รับคำาอธิบายจากคนของอัค
ระอย่างกระจ่างแล้วกระมัง คงเชื่อแล้วสิว่าที่ตน
รอดตายจากการถูกลอบสังหาร ก็เพราะอัคระ
อยากให้อยู่ต่อ เพื่อช่วยกันทำาโลกนี้ให้ดีขึ้น
การดักฟังโทรศัพท์อันนำาไปสู่ความเข้าใจ
ผิด นำามาซึ่งความผิดอันใหญ่หลวง ในแบบที่คน
อย่างคณินทร์เกิดสิบชาติก็ชดใช้ไม่หมด!
ระงับโทสะที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ อารมณ์
แบบหนึ่งพลุ่งพล่านอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนใน
ชีวิต ประมาณว่าอยากตรงเข้าไปชี้หน้าด่า
ประจานใครบางคนต่อหน้าธารกำานัลเดี๋ยวนี้ !
เผอิญในวันเกิดเหตุ พ่อแม่ของอัคระไปค้าง
คืนที่ต่างจังหวัด จึงไม่มีใครทราบด้วยซ้ำาว่าอัคระ
มาหาหล่อน แล้วก็ไม่มีใครเอะใจซักถามหล่อน
ด้วย
ก่อนขึ้นฝั่ง คนของอัคระบอกหล่อนว่า
จำาเป็นเก็บเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ ต้องจัด
ฉาก สร้างหลักฐานให้เหมือนอัคระถูกทำาร้าย
ร่างกายโดยคู่อริด้วยความอาฆาตแค้นส่วนตัว
แล้วนำาศพไปทิ้งไว้ในรถ ทรัพย์สมบัติอยู่ครบ มี
ชาวบ้านมาพบและตามตำารวจมากันเอง
ตอนแรกมะแมจะไม่ยอมให้ศพของชายที่
ตนบูชาต้องตกอยู่ในสภาพไร้เกียรติ แต่เมื่อได้
รับการยืนยันว่าเป็นความประสงค์ของอัคระ
หญิงสาวก็จนใจ เขามุ่งเพียงประโยชน์ของคนหมู่
มาก และไม่ต้องการฟังเสียงคัดค้านจากหล่อน
ยามใกล้ตาย จึงแอบกระซิบสั่งคนของเขาโดยไม่
ให้ได้ยินเช่นนั้น
เหมือนมีแผลฉกรรจ์อยู่ในอก หล่อนจะต้อง
ใช้เหตุผลทั้งโลกกี่ข้อสำาหรับการทำาใจให้อภัยคณิ
นทร์ ?
อัคระคงฝึกคนของเขาดี จึงปล่อยคณินทร์
มาเดินนวยนาดภายในวันเดียว ราวกับไม่มีอะไร
เกิดขึ้น แถมก่อนเข้าศาลา คนชุดขาวทั้งหมดยัง
ตรงไปตั้งแถวคำานับไหว้อย่างนอบน้อม ราวกับจะ
แสดงอาการสวามิภักดิ์เจ้านายคนใหม่อีกด้วย
คณินทร์รับการทำาความเคารพจากทุกคน
อย่างพยายามซ่อนสีหน้าเจ็บปวด ประดุจมือที่
ไหว้เขาเหล่านั้นเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจ และ
อาการนอบน้อมเป็นน้ำากรดที่สาดใส่หน้าก็ไม่
ปาน
ท่านรัฐมนตรีใหญ่ก้าวมาอยู่ข้างตั่งรดน้ำา
โดยไม่กล้าแม้ชำาเลืองมองใบหน้าศพให้เต็มตา
เขาใช้ขันรดน้ำาลงสู่หลังมือของอัคระอย่างบรรจง
จากนั้นก็คุกเข่าลงพนมมือไหว้ศพอย่างนอบน้อม
ตัวสั่นเทาอยู่พักหนึ่ง จนญาติๆของอัคระแปลกใจ
แต่ก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าว่าทั้งสองคงมีสาย
สัมพันธ์อันดีกันมานาน และท่านรัฐมนตรีใหญ่ก็
คงส่งจิตคิดพูดคุยกับอัคระเป็นการส่วนตัวนั่นเอง
มะแมสัมผัสได้ว่าคณินทร์ตั้งจิตอธิษฐาน
ขอเป็นข้าทาสอัคระเพื่อชดใช้ความผิดที่ก่อขึ้น!
และสัมผัสนั้นเองก็ทำาให้หล่อนชะงักคิด
อัคระชนะใจคณินทร์ได้ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ผู้มี
น้ำาใจอภัยกับเด็กไม่รู้คิดได้ทั้งโลก
ผู้ใหญ่คือคนมีใจใหญ่ เกินอารมณ์และ
ความเห็นแก่ตัว!
หล่อนกำาลังเป็นผู้น้อยด้วยความมีใจน้อย
จึงถูกความมืดแห่งอารมณ์เกลียดครอบงำาได้อยู่
ถ้าจะย้อนอดีตกัน คณินทร์ก็เคยเป็นฮีโร่
เป็นแรงบันดาลใจ เป็นใครคนหนึ่งที่หล่อนอยาก
เป็น และมีส่วนสำาคัญที่ทำาให้วันนี้ได้เป็น
หล่อนอาจหลงลืมหลายถ้อยคำาดีๆที่มีอยู่ใน
โลกนี้ แต่ไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว กับถ้อยคำา
ของคณินทร์ที่ทำาให้หล่อนเป็นคนกล้า...
แค่ไม่มีความกลัวว่าจะทําไม่ได้ เราก็มีแนว
โน้มจะทําได้ขึ้นมาแล้ว!
นับตั้งแต่ฟังวาทะล้างความกลัวของคณิ
นทร์ มะแมไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรที่หล่อนทำาไม่ได้
อีกเลย การทำางานด้วยความเชื่อมั่นใน
สัญชาตญาณและปฏิภาณเฉพาะหน้าของหล่อน
ทุกวันนี้ ก็มาจากรากของความ "กล้าดี " เพราะ
หมดความกลัวจะทำาไม่ได้โดยแท้
ทำาเรื่องยากสำาเร็จมาหมด แล้วกะแค่อภัย
ให้คนที่ส่งอัคระไปสวรรค์ ชาตินี้หล่อนจะทำาไม่ได้
เชียวหรือ?
ความผิดหวังในตัวเขา ทำาให้สายตาของ
หล่อนเห็นเขาเป็นคนเลวขึ้นมาชั่วคราว ไม่ได้
หมายความว่าเขาจะเลวจริงตลอดไป
อีกอย่าง คณินทร์อยากฆ่าอัคระเพราะ
ความเข้าใจผิด ไม่ใช่วางแผนไว้ก่อนด้วยเจตนา
ชั่วร้ายอันใด สิ่งที่หล่อนต้องหมั่นท่องย้อนไป
ย้อนมาให้ขึ้นใจ คือ คณินทร์ไม่ได้เลวจนน่า
เกลียดชังเท่าที่หล่อนกำาลังรู้สึก
เรื่องน่าเศร้าที่สุดในโลกนี้มีอยู่แล้ว คือการ
ที่คนเกลียดกันอย่างไม่สมเหตุสมผล หรือกระทั่ง
ฆ่ากันด้วยความเข้าใจผิด แต่ที่น่าเศร้ากว่าเรื่อง
น่าเศร้าที่สุด คือเรื่องน่าเศร้าที่สุดเกิดขึ้นซ้ําแล้ว
ซ้ําอีกได้ทุกวัน
คนอย่างหล่อนน่าจะมีส่วนช่วยให้เกิดเรื่อง
น่าเศร้าน้อยลง ไม่ใช่มากขึ้น
พอสอนตนเองเช่นนั้น มะแมก็วางใจเป็น
อุเบกขาได้ ผุดคำาพูดขึ้นในหัวว่า เสียความรู้สึก
ดีๆ ไม่จําเป็นต้องเสียจิตที่เป็นกุศล ถ้ายังรักษา
ความคิดให้เข้าข้างกุศลได้อยู่
หันกลับมาสนใจส่ิงที่อัคระฝากไว้ให้ก่อน
ตาย ค่อยๆบรรจงแกะซองปิดผนึกแบบไม่ให้ฉีก
ขาดเสียรูป ด้วยความตั้งใจว่าจะเก็บไว้ในสภาพ
คงเดิม เป็นที่ระลึกตลอดไป
และนั่นก็คือจดหมายจากเทวดาตัวจริง เป็น
จดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวที่อัคระเขียนถึง
หล่อนด้วยลายมือตนเอง ไม่ใช่วานให้ใครช่วย
ลายมือของอัคระสวย หางอักษรยาวเป็น
บางตัว อ่านง่ายสบายตา แต่ขณะเดียวกันก็ประจุ
แฝงอยู่ด้วยพลังกระทบใจ ชนิดที่ทำาให้มะแมอุ่น
วูบขึ้นมาตั้งแต่อ่านคำาแรก
มะแมจ๊ะ...
ถ้ามะแมได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ก็แปลว่า
สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว
และพี่ก็คงกลับมาหามะแมไม่ได้อีก
แต่พี่สัญญาว่าจะอยู่กับมะแมเสมอ สิ่งที่อยู่
ในกล่องหนังคือแผ่นแก้ว ถูกออกแบบไว้ให้มะแม
ใช้เพียงคนเดียว แค่ถือมันด้วยมือข้างไหนก็ได้
จะมีข้อความจากพี่ให้อ่านทันที
ที่ใช้ว่า "ข้อความจากพี่ " ก็เพราะพี่ทําให้
มันมีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่
ปรุงตามวิธีคิดของพี่ หรือความสามารถในการ
พยากรณ์ของซีอุส
ด้วยการถือแผ่นแก้วไว้ในมือ ซีอุสจะรู้ว่า
ภาวะทางกายและสภาพอารมณ์ของมะแมเป็น
อย่างไร มะแมอยู่ที่ไหน วันเดือนปีใด มีแนวโน้ม
ว่าจะเกิดเรื่องสําคัญดีร้ายขึ้นหรือเปล่า แล้วจะ
ทักทายหรือให้คําแนะนําที่เหมาะที่สุดออกมา
นับตั้งแต่มะแมแตะแผ่นแก้วด้วยมือเป็น
ครั้งแรก ซีอุสจะรับรู้ว่าไม่มีพี่อยู่ในโลกนี้แล้ว
เพราะฉะนั้นการคํานวณทั้งหมดจะตัดตัวแปร
สําคัญในชีวิตมะแม คือตัวพี่ออกไป
อยากเล่นแล้วใช่ไหมล่ะ? ลองเลย! แล้ว
มะแมจะไม่รู้สึกว่าพี่จากไปไหน ตลอดทั้งชีวิตที่
เหลือ
อ้อ! ไม่ต้องทะนุถนอมหรือกลัวมันตกแตก
มากหรอกนะ มันดูเหมือนแก้วบอบบางก็จริง แต่
ที่แท้เป็นแก้วสังเคราะห์ซึ่งแกร่งทนเสียยิ่งกว่า
เพชรสําหรับทําหัวเจาะน้ํามันเสียอีก
พี่ออกแบบให้เหมาะกับมะแมก็ตรงนี้แหละ
ดูเป็นแก้วสวยมีราคา แต่แกร่งกล้าอย่างเพชรแท้
ถ้ารู้สึกรักมัน ก็อาจเพราะว่าเข้ากันได้กับมะแม
นั่นเองนะ
สุดท้ายจากลายมือพี่ขณะยังมีชีวิต รู้ไหม
ว่าพี่ต้องการอะไรเท่ากับความเป็นมหาจักรพร
รดิ ?
ความสุขของมะแมไง!
ถ้ามะแมมีความสุขตลอดไป พี่จะดีใจมาก
รักสุดรัก
พี่อัค
มะแมเม้มปากกลั้นสะอื้น แต่กลั้นอย่างไรก็
กลั้นไม่อยู่ น้ำาตาไหลพรากตลอดเวลาที่อ่าน
ภายในสะเทือนแรง ราวความเศร้าเท่ามหาสมุทร
จะทะลักล้นออกมาจนหมด
หล่อนไม่อยากครอบครองของวิเศษไว้ใน
มือ แต่อยากได้ชีวิตธรรมดาของเขาคืนมาแทน...
ศพนอนอยู่บนตั่ง แต่มะแมไม่เห็นอยาก
มอง นั่นเพราะอะไร? เพราะหล่อนรู้ว่าสิ่งนั้นไม่
ต่างกับท่อนฟืน มันไม่ใช่ตัวอัคระแล้ว
เช่นกัน... ของวิเศษที่เสมือนตัวแทนของ
เขาได้สมจริงขนาดไหน ก็ไม่เห็นน่าติดใจเท่าตัว
เป็นๆได้
แต่อย่างไรก็เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจาก
เขา ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รีบแกะดู
กล่องใส่ของนั้นเป็นขนาดเฉพาะ ประมาณ
๘x๔x๒ นิ้ว หรือพูดง่ายๆว่าใหญ่กว่ากระแบะมือ
นิดหน่อยเท่านั้น ลักษณะฝากล่องเป็นแบบพับปิด
เปิดได้ มะแมกดปุ่มปลดล็อกแล้วเปิดฝาออก
อย่างง่ายดาย ภายในบุนวมฝังอยู่ด้วยแผ่นแก้ว
อย่างที่อัคระเกริ่นไว้ในจดหมาย แต่เป็นแก้วสีดำา
สนิทรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มุมมนทั้งสี่ด้าน ขนาด
๗x๓ และหนาประมาณ ๑/๘ นิ้ว
ความบอบบางชวนให้มะแมแกะออกมา
จากผ้าบุกล่องอย่างทะนุถนอม ถึงแม้จะรู้ว่าเอา
ค้อนทุบไม่แตกดังที่อัคระรับประกันไว้ก็เถอะ
ทั่วทั้งแผ่นแก้วอันบางเฉียบไม่มีปุ่ม ไม่มี
ช่องเสียบใดๆเลย แต่เมื่อมาอยู่ในมือหล่อน แก้ว
ดำาก็แปรสภาพเป็นจอแสดงผล ส่งแสงสว่างเท่า
กระดาษสีขาว และปรากฏกลุ่มอักษรไทยคมชัด
เทียบเท่าหมึกพิมพ์บนกระดาษจริง สิ่งที่ตาเห็นจึง
ไม่ต่างจากหน้าเอกสารบรรจุข้อความสักหน้า
ไม่เอา อย่าร้องไห้นาน พี่จะไม่มีความสุข
ถ้าได้เห็นลงมาจากบนโน้น
มะแมยกมือปิดปากลืมตากว้าง จากร้องไห้
กลายเป็นหัวเราะออกมาฮึหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่
นาทีแรก แผ่นแก้ววิเศษรู้จักและรู้ใจหล่อนจริงๆ
แถมพูดแทนอัคระได้เนียนสนิทเสียด้วย
เริ่มเปลี่ยนใจ ที่เมื่อครู่คิดว่าไม่มีอะไรมา
แทนเขาได้ พออยู่กับแผ่นแก้วนี้นานเข้า หล่อน
อาจเผลอคิดว่าอัคระยังไม่ตายไปจริงๆ
ในมือหล่อนเหมือนเทคโนโลยีของมนุษย์
ต่างดาวที่น่าขนลุก หรือไม่ก็เหมือนสมบัติ
สวรรค์ที่เทวดาใจดีแอบส่งมาให้ใช้ เดาว่าถ้า
จำาเป็น ซีอุสก็อาจส่งภาพคมๆมาให้ดูได้ด้วย
ไม่ใช่แสดงผลแค่ตัวอักษรได้อย่างเดียว
แน่นอน ของขวัญมหัศจรรย์ชิ้นนี้จะอยู่
ติดตัวหล่อนตลอดไป!
หลังจากเสร็จพิธีทั้งหมด แขกเหรื่อก็
ทยอยกลับ มะแมเดินมาจะลาพ่อแม่ของอัคระ
แต่ทั้งอัษฎาและอรุณีต่างก็กำาลังยืนคุยอยู่กับท่าน
รัฐมนตรีใหญ่ไม่เลิก โดยมากคณินทร์จะพร่ำาพูด
ซ้ำาไปซ้ำามาว่ามีอะไรขอให้บอก เขาจะดูแลอัษฎา
และอรุณีไม่ต่างจากบิดามารดาบังเกิดเกล้า
จังหวะหนึ่ง คณินทร์เหลือบมาเหมือนรู้สึก
ถึงกระแสสายตาที่จับจ้องตน เขาผงะนิดหนึ่ง
ก่อนผละจากวงสนทนาแบบไม่สนใจใครอีก เดิน
ตรงดิ่งมาที่มะแมอย่างรีบร้อนในทันใด
"หนูมะแม..."
เขาเรียกทักก่อนถึงตัว และเมื่อมายืนตรง
หน้า ก็สบตาหล่อนไม่หลบ เผยแววสำานึกผิดและ
ยอมรับโทษทัณฑ์จากหล่อนทุกประการ
มะแมถอยห่างก้าวหนึ่งอย่างนึกรังเกียจ แต่
ก็ควบคุมตนเองได้ดี ไม่แสดงออกทางสีหน้า
ทว่าถ้าจะให้ฝืนใจยกมือไหว้ตอนนี้คงไม่ไหวจริงๆ
แม้ทราบดีว่ากำาลังตกเป็นเป้าสายตาเพ่งเล็งจาก
รอบด้าน ว่าทำาตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ก็เถอะ
"ขอเวลาผมสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม จะให้ไป
ที่บ้านของหนูก็ได้ "
รู้ทั้งรู้ว่าจิตวิญญาณของคณินทร์
เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่
ความทรงจำาอันเลวร้ายของหล่อนยังเปลี่ยนตาม
ไม่ได้
"มีธุระอะไร?"
ถามเสียงห้วน แม้ออมอารมณ์เต็มที่แล้ว
"ผม... ผม... ขอโอกาสสักครู่เดียวจริงๆ
ได้โปรดเถอะ"
เสียงนั้นไม่ดัง แต่ก็ไม่เบาขนาดคนเดินผ่าน
ไม่ได้ยิน มะแมเกรงจะกลายเป็นที่สงสัยของพ่อ
แม่อัคระ จึงรับอย่างเสียไม่ได้
"ไปเจอกันที่บ้านก็แล้วกัน"
แล้วหล่อนก็ทำาหน้าปกติ แยกตัวเดินมาไหว้
อัษฎากับอรุณี
"คุณพ่อคุณแม่ขา มะแมลากลับก่อนนะคะ
แล้วพรุ่งนี้จะมาในเวลาเดิม... เผอิญท่านคณินทร์
มีเรื่องจะคุยกับมะแมค่ะ"
รีบอธิบายเสร็จสรรพโดยไม่รอให้ผู้ใหญ่ไถ่
ถาม ซึ่งทั้งสองคนก็เดาว่าคงเป็นเรื่องลึกลับตาม
อาชีพของหล่อน จึงพยักหน้าเข้าใจอย่างง่ายดาย
"งั้นไปเถอะ เดี๋ยวท่านจะรอ"
มะแมขับรถมาถึงก่อน และคณินทร์ก็จำา
ซอยบ้านได้แม่นดี ตามมาได้ถูก ซึ่งนั่นคงเพราะ
แต่แรกหมายตาหล่อนไว้เป็นพิเศษ จึงสังเกต
สังการายละเอียดรอบด้านทั้งหมดไว้ และบอก
ทางคนขับรถได้ไม่ผิดพลาด
เปิดไฟและเปิดแอร์ที่ชั้นแรก แต่ไม่หาน้ำา
มาให้ ไม่เชื้อเชิญให้นั่ง เอาแต่จ้องนิ่งด้วยแวว
เย็นชาสนิท
"ต้องการอะไร?"
ถามเสียงแข็งเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามายืน
ทื่อ และคำาพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำาประกอบท่าทีไม่
ยินดีต้อนรับของเจ้าของบ้าน ก็เล่นเอาคณินทร์
พูดไม่ออก จนมะแมต้องแนะ
"ถ้าอยากพูดว่าขอโทษ ก็พูดเสีย แล้วกลับ
ไปได้ !"
"เปล่า... ไม่ใช่ "
คณินทร์ก้มหน้าด้วยความหม่นหมอง
"แล้วงั้นเรื่องอะไร? พูดมาให้จบๆ ดิฉันไม่
ต้องการมองหน้าคุณนานกว่านี้ !"
หญิงสาวชมตัวเองที่รักษาความเป็นมะแมผู้
แสนดีไว้ได้ ทั้งที่ปากเกือบหลุดสรรพนามสมัย
พ่อขุนรามคำาแหงออกมารอมร่อ
"ผมไม่ได้มาเพื่อขอให้หนูอภัย..."
แล้วท่านรัฐมนตรีวัยห้าสิบก็ทำาในสิ่งที่
มะแมนึกไม่ถึง คือคุกเข่าลงคลานเข้ามาหา และ
น้อมตัวก้มลงกราบ เอาหน้าผากแตะหลังเท้า
หล่อน
มะแมตัวเย็นเฉียบ นั่งแข็งทื่อทำาอะไรไม่ถูก
ไปชั่วขณะ ก่อนรู้สึกตัวหดเท้าหนี เพราะอย่างไร
เขาก็รุ่นพ่อ หนำาซ้ำายังเคยเป็นขวัญใจในวัยที่
ต้องการฮีโร่นำาทาง
"ท่านคณินทร์ นี่ท่านทำาอะไรของท่านคะ?"
ใจอ่อนยวบ คืนคำาเรียกผู้สูงศักดิ์ให้เขา
เรียบร้อย
คณินทร์ดึงร่างขึ้นนั่งคุกเข่า แต่ยังไม่ลุกไป
ไหน แสดงความตั้งมั่นในกิริยานั้น หาใช่เป็นการ
เผลอทำาเพียงครู่
"ผมกราบขอขมาคุณอัคระไม่ได้ ก็ขอยืม
เท้าของหนูเป็นบาทเทวรูป แทนท่านที่ไปสถิตอยู่
เบื้องบนโน้นเถิดนะ"
มะแมกะพริบตาถี่ๆ ก่อนมองคณินทร์ด้วย
แววหวั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากอารมณ์ปั้นปึ่งแข็ง
กระด้างเมื่อครู่ของตนเอง มีผลสืบเนื่องให้รู้สึกไม่
คู่ควรกับการเป็นตัวแทนของอัคระ ผู้มีความนุ่ม
นวลพร้อมอภัยให้ทุกคนตราบจนวาระสุดท้าย
บุรุษตรงหน้า ผู้เผยนัยน์ตาเจ็บปวดสาหัส
จากพิษแห่งความรู้สึกผิด กำาลังแสดงให้เห็น
ประจักษ์กระมัง ว่าทุกอย่างกำาลังเป็นไปตาม
ปรารถนาของอัคระ คณินทร์คนเดิมถูกฆ่าตายไป
แล้วกลายเป็นใครอีกคนที่เหมือนจะไม่อาจเลวได้
อีกแม้เพียงด้วยความคิด เพราะความรู้สึกผิดที่มี
อยู่ใหญ่หลวงนัก ครุวนาดั่งภูเขาหินทับอกให้
อึดอัด ยังไม่แน่ว่าต่อให้เพียรทำาดีชดใช้ไปจน
ตาย จะได้ยกภูเขาออกจากอกสำาเร็จไหม!
_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๘
คนรักที่หายไป คือส่วนหนึ่งของใจที่หาย
ตาม
แต่สิ่งที่คนรักของมะแมฝากทิ้งไว้ ช่วย
ตามใจหล่อนกลับมาได้เกือบเต็มดวง แผ่นแก้ว
มหัศจรรย์ประพฤติตนได้เสมือนเป็นตัวแทนขอ
งอัคระจริงๆ ทว่าเป็นอัคระในรูปของเทวดาทาง
จดหมาย ไม่ใช่หลังจากปรากฏกายให้เห็นแล้ว
ยิ่งอยู่กับมัน ยิ่งประคองมันไว้ในมือ ก็ยิ่ง
นึกพิศวาสความงามเฉียบ และยิ่งเห็นวิธีแสดง
ข้อความของมันมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใจ "วิธี
ใช้ " อันน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น
อุปกรณ์ชิ้นนี้ไปไกลเกินนาโนเทคโนโลยี
ด้านคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสักกี่สิบปีก็ไม่รู้ รู้แต่
ว่าถ้าลูกแก้ววิเศษในเทพนิยายมีจริง เผลอๆก็
อาจเทียบแผ่นแก้วอิเล็กทรอนิกส์ของอัคระไม่ได้ !
แผ่นแก้วจะใช้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของ
ลายนิ้วมือหล่อนเป็นตัวกระตุ้นให้ทำางาน สายตา
และคลื่นความคิดของหล่อนจะถูกสแกนทันที
เพื่อส่งข้อมูลทางร่างกายและอารมณ์ไปให้ซีอุส
จากนั้นซีอุสจะประมวลผลเพื่อส่ง "คำาทักทาย" ที่
เหมาะสมมาให้
บางทีมะแมเล่นกับความคิดและอารมณ์
แกล้งร้องไห้สำาออยเรียกความสงสาร แผ่นแก้วก็
ตอกแทบหน้าหงายว่า
แกล้งร้องไห้เล่นๆเสร็จ อย่าลืมหัวเราะ
จริงๆด้วยล่ะ
ซึ่งนั่นก็มีผลให้มะแมเปลี่ยนจากร้องไห้เป็น
หัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอน และจูบแผ่น
แก้วซ้ำาแล้วซ้ำาเล่า
แต่ถ้าเมื่อใดหล่อนร้องไห้คิดถึงเขาขึ้นมา
จริงๆ ซีอุสก็จะปลอบด้วยถ้อยคำาอันทรงพลังเทพ
แทน
ความรักมักตามหาตัวเราเจอก่อน เหมือน
อยากยกเราลอยขึ้นฟ้า เพื่อรอความตายตามมา
เจอตัวในภายหลัง แต่อย่ายอมให้ความตายของ
พี่ทุ่มมะแมลงมากระแทกพื้นนะ รักษาใจไว้บนฟ้า
อย่างเดิมเถอะ เพื่อที่ความสุขของเราจะได้เสมอ
กันตลอดไป
อัคระคงคิดถ้อยคำาเตรียมไว้หลากหลาย
อย่างรู้ว่าต้องใช้บ่อยในช่วงแรกๆที่เขาจากไป
เพราะซีอุสปลอบแต่ละครั้งไม่เคยมีซ้ำากันเลย ถ้า
ไม่ช่วยให้ยิ้ม บางทีก็ถึงขั้นจี้เส้นให้หัวเราะขำาไป
เรื่อย
เพิ่งซึ้งว่าอัคระรักหล่อนขนาดไหน เขาใช้
เวลาอันมีค่าในชีวิตไปไม่น้อย เพื่อช่วยให้หล่อน
หายเศร้าล่วงหน้า มะแมคัดลอกทุกคำาจากแผ่น
แก้วใส่สมุดบันทึก เพราะหวังจะอ่านซ้ำาไปซ้ำามา
จนวันตาย
เมื่อไม่มีทางใดๆติดต่อกับเขา บางวันมะแม
ก็หาอะไรทำาเล่น เช่น ส่งเมสเสจมือถือไปที่เบอร์
ของอัคระว่า "คิดถึงนะคะท่าน..." แล้วลงท้าย
"จาก - ลูกไก่ในกำามือ"
เมสเสจนั้นอาจสาบสูญไปกับเครื่องที่
ปิดตายตลอดกาลก็ช่างเถิด อย่างน้อยหล่อน
เป็นสุขแล้วกับการมีวิธีส่งข้อความถึงเขาบ้าง
แผ่นแก้วจะปิดตัวเองเมื่อเห็นว่า "ไม่จำาเป็น
ต้องพูดต่อ" แต่ถ้าจำาเป็น ไม่ว่าวันไหนหรือ
ชั่วโมงใดมีเรื่องที่หล่อนควรต้องรู้ แผ่นแก้วจะ
ปลุกตัวเองจากสภาพหลับ แล้วส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง
ไพเราจากลำาโพงบางจ๋อย กับทั้งแสดงข้อความ
สไตล์เทวดาทางจดหมายให้หล่อนอ่าน
อัคระโปรแกรมให้ซีอุสช่วยดูแลหล่อนแบบ
เป็นเงื่อนไข กล่าวคือเมื่อมะแมยังทำาอาชีพนี้อยู่
แต่ละวันจะเจอลูกค้าสำาคัญแบบใดบ้าง โดยค่า
ความสำาคัญวัดจากศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง
ตนเองและโลกรอบตัว
แต่อันเนื่องจากไม่มีการสืบข้อมูลลูกค้าเป็น
คนๆเหมือนช่วงที่อัคระสั่งการเอง ซีอุสจึงบอกได้
เพียงคร่าว เช่น วันนี้จะมีลูกค้าที่กำาลังใกล้
หมดตัวมาหา ให้เงินเขาไปใช้หนี้และสร้างเนื้อ
สร้างตัวใหม่ เขาดีพอจะได้รับความช่วยเหลือให้
เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง
มะแมอึ้งสองชั้น ชั้นแรกคือได้พบกับคนที่มี
ลักษณะตรงตามคำาทำานาย ชั้นที่สองคือเข้าใจ
แล้วว่าที่อัคระให้มาแต่ละอย่างล้วนมีความหมาย
เงินร้อยล้านในธนาคาร คือความสามารถที่
หล่อนจะช่วยผู้สมควรได้รับการช่วยไม่จำากัด ไม่
เฉพาะแค่ให้คำาแนะนำาและแรงบันดาลใจเหมือน
แต่ก่อน
หล่อนกลายเป็นช่องทาง เป็นเครื่องมือ
เปลี่ยนโลก ที่อัคระทิ้งไว้หลังจากหาชีวิตไม่
แผ่นแก้ววิเศษน่าขัดใจอยู่อย่างเดียว คือ
ไม่มีปุ่ม ไม่มีที่กดให้หล่อน "ขอ" อะไรได้เลย มัน
ช่างไม่ต่างจากช่วงที่รับจดหมายจากเทวดา คือมี
สิทธิ์แค่รับสารจากเทวดา ตามแต่เทวดาจะเห็น
ควร
แม้จะไม่ทรมานใจเท่าเมื่อก่อน ตอนได้รับ
การสื่อสารทางเดียว แบบไม่รู้ว่าใครเป็นต้น
แหล่งส่งสาร แต่ตอนนี้ก็ทรมานใจไปอีกแบบ คือ
อาจเอื้อมไปแตะต้องคนส่งสารไม่ได้แล้ว...
สรุปคือหลังจากชายอันเป็นที่รักทิ้งหล่อนไว้
ในโลกนี้ตามลำาพัง หล่อนกลับมาเป็นคนเดิม
เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน ที่ชีวิตไม่รู้จัก และไม่
เคยมีอัคระอยู่ด้วย แต่ขณะเดียวกันก็กลายเป็น
คนใหม่ ที่ทำางานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจริงไปแล้ว
และน่าจะตลอดชีวิตที่เหลือด้วย!
กลายเป็นความเคยชิน ที่พอสระผมแล้ว
มีน้ำาจากฝักบัวช่วยพราง มะแมจะถือโอกาสหลั่ง
น้ำาตาออกมาด้วย มันช่วยให้ไม่รู้สึกถึงน้ำาตา และ
เหมือนไม่ได้ร้องไห้
โล่งกับการมีสักครั้งในหนึ่งวัน ที่ได้ระบาย
ความอัดอั้นสะสมออกไปเสียบ้าง แต่เย็นนั้นเป็น
ครั้งแรกที่อาบน้ำาได้โดยไม่มีน้ำาตา คล้ายบ่อน้ำา
ตาเหือดแห้งแล้วจริงๆ แม้เช้ามืดที่ผ่านมา ตอน
นั่งสมาธิก็เลิกอ้อนวอนขออัคระให้มาปรากฏใน
นิมิตแล้วด้วย หลังจากขอแล้วขออีกมาเป็นเดือน
ก็เหลวเปล่า
เขาคงคิดว่าทิ้งที่ระลึกให้ดูต่างหน้าไว้เกิน
พออยู่แล้วกระมัง ช่างเถอะ หล่อนก็ควรเลิกคิด
เรียกร้องในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจจะให้เสียที
ออกจากห้องน้ำา แต่งตัวเสร็จ เสียง
โทรศัพท์สมัยสงครามโลกก็ดังกรีดอากาศเงียบ
คล้ายฟ้าร้องโดยปราศจากเค้าเมฆฝน
มะแมชะงักงัน ใจเต้นระทึก เกือบก้าวขาไม่
ออก
บอส!
แลมองกระเป๋าอันเป็นที่อยู่ของ "มือถือ
พิเศษ" ด้วยความรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงครั้ง
ใหญ่กำาลังมาเคาะประตูชีวิตอีกครั้งหนึ่งแล้ว...
บอสไม่ติดต่อเสียนานจนเริ่มรู้สึกห่างเหิน
ความประหม่าแบบเด็กกลัวผู้ใหญ่จึงโจมจับใจอีก
เมื่อก้าวเดินช้าๆไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มรับ
สาย
"สวัสดีค่ะ"
พยายามคุมเสียงเป็นปกติ และหล่อนก็น่า
จะทำาได้ดีพอใช้
"เธอมาเจอฉันได้แล้ว!"
เซธเอ่ยง่ายๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยตามความเคย
นิสัยจอมบงการ และนั่นก็บีบให้มะแมอึกอัก
หัวใจเต้นแรงขึ้นไปอีก
"หนูถึงระดับห้าตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?"
"เอาเป็นว่าถึงแล้วก็แล้วกัน"
"แล้ว... ต้องเดินทางเมื่อไหร่ ?"
"พรุ่งนี้บ่ายโมงตรง!"
"หา!" หญิงสาวร้องเสียงหลง "จะต้องไป
ประเทศอะไร หนูจะเอาวีซ่ามาจากไหนทัน?"
"ฉันทำาให้เรียบร้อยแล้ว"
มะแมทำาหน้าฉงน แต่เมื่อนึกได้ว่ากำาลังคุย
อยู่กับใครก็ทำาหน้าปกติ
"เอ่อ... แล้วต้องไปกี่วันคะบอส?"
"อย่างน้อยก็อาทิตย์นึงเต็มๆ"
"กระชั้นขนาดนี้หนูจะยกเลิกนัดหมาย
ลูกค้าไปทั้งอาทิตย์ได้ยังไง?"
"ฉันจะส่งคนของฉันที่พูดไทยได้คล่องไป
ช่วยแทน"
"คนของบอส... เอ่อ... ทำาได้อย่างหนู
หรือ?"
เซธหัวเราะหึหึ
"ไม่น่าถามเลย ว่าแต่อิดเอื้อนอย่างนี้ตกลง
อยากมาหรือเปล่า?"
มะแมตาโต รีบละล่ำาละลักอย่างกลัวเขา
เปลี่ยนใจ
"ถามได้ ... อยากสิคะบอส! พอวางสาย
เสร็จหนูจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดี๋ยวนี้เลย!"
ขั้นตอนทั้งหมดเกี่ยวกับการผ่านด่าน
ออกนอกประเทศ รวบยอดมาไว้ที่ห้องรับรอง
พิเศษแห่งเดียว มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกับ
เจ้าหน้าที่ศุลกากรมารอประทับตราพาสปอร์ต
และตรวจกระเป๋าให้ที่นั่นเสร็จสรรพ
เด็ดกว่านั้นคือมีคนจากแผนกกงศุล สถาน
เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ ถ่อมาถึงที่เพื่อจัดการ
เอกสารออกวีซ่าชนิดใช้ด่วนชั่วคราวให้ มะแมแค่
ถ่ายรูปกับเซ็นไม่กี่แห่งก็เรียบร้อย
หญิงสาวไม่รับของว่างที่การท่าฯจัดมา
เสิร์ฟ แต่ขอตัวลงมาขึ้นรถเพื่อพาไปสู่เครื่องทันที
เห็นแต่ไกลขณะอยู่ในบัสขนส่ง เครื่องบิน
เจ็ตหน้าแหลมทันสมัย กัลฟ์สตรีม จี๕๕๐ สอง
เครื่องยนต์ จอดเด่นเป็นสง่า รอคอยหล่อนให้
ก้าวขึ้นไปนั่ง นี่คือประสบการณ์ที่แปลก แตกต่าง
ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวไม่ปะปนกับชาวโลก
อย่างยิ่ง
มีพนักงานของการท่ามาช่วยหล่อนขน
กระเป๋าเมื่อรถบัสจอด มะแมเดินตัวเปล่าไปขึ้น
บันไดเตี้ย ๙ ขั้น ก็ได้มาอยู่บนเครื่องแล้ว
อากาศในนั้นฉ่ำาเย็น ปลอดโปร่ง และหอม
รวยริน ทำาให้รู้สึกถึงการเดินทางยาวไกลที่จะไม่
ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียเหมือนห้องโดยสารใน
เครื่องบินทั่วไป ที่ระบบปรับอากาศให้ความ
สดชื่นได้ไม่มากเท่า
หน้าต่างรูปไข่ข้างละ ๗ บานให้ทัศนวิสัย
ภายนอกได้กว้างขวาง รับแสงธรรมชาติได้
มากกว่าที่มะแมเห็นในเครื่องอื่น พื้นที่โอ่โถง
สำาหรับห้องผู้โดยสารตลอดความยาว ๑๕ เมตร
เศษ จัดแบ่งเป็น ๔ โซน ซ้ายขวาเป็นเก้าอี้ใหญ่
ปรับเอนนอนได้ หันเข้าหากันข้างละคู่
บรรยากาศโดยทั่วไปตกแต่งไว้แบบ
อเนกประสงค์ คือเป็นได้ทั้งสำานักงานเคลื่อนที่
และทั้งอากาศยานสำาหรับการท่องเที่ยว
พนักงานต้อนรับเป็นสาวผิวขาวผมทอง
เพียงคนเดียว เธอยิ้มทักทายอรุณสวัสดิ์มะแม
เป็นภาษาอังกฤษ และผายมือน้อยๆเป็นการเชื้อ
เชิญให้เดินตามไป
บนเครื่องไม่ได้มีหล่อนเป็นผู้โดยสารคน
เดียวอย่างที่คิด ตอนกลางด้านขวาของลำามีผู้
หญิงคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ และ
มะแมก็ถูกพาตัวมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหล่อน
คนนั้น โดยไม่มีคำาแนะนำาใดๆทั้งสิ้น
พนักงานต้อนรับเพียงถามมะแมตาม
ธรรมเนียมว่า
"จะรับเครื่องดื่มเป็นอะไรดีคะ ชา กาแฟ
หรือน้ำาผลไม้ ?"
"ยังไม่รับแล้วกันค่ะ"
"ได้ค่ะ" แล้วก็บอกกับทั้งสองคนโดยรวม
ว่า "กัปตันพร้อมอยู่แล้ว เมื่อหอบังคับการบิน
อนุญาต เราจะนำาเครื่องขึ้นเลยนะคะ กรุณารัด
เข็มขัดด้วย"
เมื่อพนักงานเดินจากไป มะแมกับผู้หญิงที่
นั่งอยู่ก่อนหน้าก็สบตากันเต็มๆ ต่างฝ่ายต่างมอง
กันด้วยความแปลกใจ แล้วก็ยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อม
กัน
หล่อนคนนั้นพับหนังสือพิมพ์เก็บและทัก
ก่อนเป็นภาษาอังกฤษ
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ"
"ค่ะ อรุณสวัสดิ์ "
จับมือทักทาย เพียงรอยยิ้มและสัมผัสมือ
แรก ก็ให้ความรู้สึกเป็นมิตรราวกับคุ้นเคยมา
นาน
"ชื่อมะแมค่ะ"
"ไอซิสนะคะ... เราต้องไปพบบอสด้วยกัน
หรือนี่ ?"
คนมาทีหลังกะพริบตาปริบๆ
"อ้าว! นี่คุณก็ไม่รู้ล่วงหน้าหรือ?"
"ฉันมาทำาภารกิจที่สิงคโปร์ บอสเพิ่งสั่งเมื่อ
คืนให้ขึ้นเครื่องไปหา ไม่ทราบด้วยซ้ำาว่าจะมาลง
ที่กรุงเทพฯก่อน"
"เหรอ..."
มะแมเดาทันทีว่าบอสคงต้องการให้ใช้เวลา
ระหว่างเดินทางทำาความรู้จักกัน แต่เพื่อจุด
ประสงค์ใดก็ไม่เป็นที่ทราบได้
"บอสไม่เคยวางแผนนาน" ไอซิสเปรย
อย่างคุ้นกับความเป็นบอส "อยากเอาอะไรต้อง
ได้ทันใจ ทันการ ฉันชินแล้ว"
มะแมเห็นอีกฝ่ายน่าจะทำางานกับบอสมา
นานเลยถาม
"คุณรู้หรือเปล่าว่าบอสอยู่นิวซีแลนด์ ?"
"ไม่รู้ แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าบอสปักหลักใช้
ที่นั่นเป็นศูนย์บัญชาการจริงหรือเปล่า เดี๋ยวต้อง
ดูว่าบอสอยู่ยังไง"
"นี่ฉันยังงงไม่หายนะ เพิ่งรู้ตอนได้วีซ่าเมื่อ
กี๊นี้แหละ ว่ากำาลังจะต้องเดินทางไปนิวซีแลนด์
ระหว่างมาสนามบินยังใจตุ๊มๆต่อมๆว่าวีซ่าเข้า
ประเทศไหนยังไม่มีกับเขาเลย จะให้เครื่องเอาไป
หย่อนกลางทะเลหรืออย่างไร"
ไอซิสหัวเราะคิก
"แค่อนุญาตให้เข้าประเทศไหนง่ายๆน่ะ
เรื่องจิ๊บๆสำาหรับบอส ฉันคุ้นดี "
"แล้วเครื่องบินลำาเล็กแค่นี้ เดี๋ยวต้องแวะ
จอดเติมน้ำามันที่ไหนหรือเปล่า?"
เปรยกึ่งถาม จากความรู้สึกว่าเจ็ตที่กำาลัง
นั่งเพดานช่างเตี้ยจนยืดตัวยืนตรงแล้วเหมือน
เฉียดกระหม่อมหล่อนอยู่รำาไร จิ๋วๆขนาดนี้ไม่น่า
จะพาไปได้ไกลเกินเชียงใหม่
"จี๕๕๐ ของกัลฟ์สตรีม ถ้าเติมเต็มถังจาก
กรุงเทพฯแล้วบินด้วยความเร็วปกติ ก็เลย
นิวซีแลนด์ไปได้อีกเป็นพันกิโล"
"โห!" มะแมห่อปากร้องอย่างสุดทึ่ง เพราะ
เคยทราบว่าเมืองไทยกับนิวซีแลนด์ห่างกันถึง
หนึ่งหมื่นกิโลเมตร "ฉันนึกว่าบินไกลๆได้แต่
เครื่องใหญ่เสียอีก"
"เร็วๆนี้อาจมีคนสร้างแบตเตอรี่แบบรีชาร์จ
ก้อนเท่าแจกัน ที่สามารถพาเครื่องเจ็ตบินไปรอบ
โลกได้ "
"ยุคบอส อะไรๆก็น่าจะเป็นไปได้ทั้งนั้น...
ว่าแต่ฉันเพิ่งรู้นะว่าบอสเลือกที่ที่ลือกันว่าสงบ
ผาสุกที่สุดในโลกเป็นนิวาสสถาน"
"แต่ภาพผาสุกก็เปลี่ยนเป็นฉากเขย่าขวัญ
ได้เหมือนกันนะ บอสอาจเลือกไว้เป็นที่พักผ่อน
ชั่วคราวก็ได้ "
เพื่อนร่วมทางให้ความเห็นยิ้มๆ และนั่นก็
กระตุกมะแมให้ฉุกใจคิดถึงแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด
ที่ไครส์เชิร์ช ไหนจะภูเขาไฟที่ฮึ่มๆอีกหลายลูก
แถมหมู่เกาะก็ตั้งอยู่บนรอยต่อของเปลือกโลก
สองแผ่นอีกต่างหาก จะพาจมหรือดุนดันแผ่นดิน
ให้เกิดภูเขาใหม่ขึ้นเมื่อใดก็ไม่รู้
ถ้านับกันในสเกลเป็นล้านปี นิวซีแลนด์คือที่
ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนสิ่งมีชีวิตซึ่งพร้อมจะ
แปลงร่าง และคล้ายสัญลักษณ์บอกให้รู้ว่าบน
โลกนี้ ไม่เคยมีที่ไหนสงบสุขถาวร!
ไม่เป็นไร อย่างไรซีอุสคงไม่ปล่อยให้บอส
อยู่ในที่ที่ถึงกาลอวสานในเร็วๆนี้หรอกน่า
แล้วมะแมก็เปลี่ยนเรื่อง โดยพินิจใบหน้าอีก
ฝ่ายครู่หนึ่งก่อนทักถาม
"ฉันดูไม่ออกนะว่าคุณเป็นคนชาติไหน"
"ลูกครึ่ง อเมริกัน-อียิปเชี่ยน"
สาวไทยมองลูกครึ่งอเมริกันคอเคเชี่ยนด้วย
ความชื่นชมในรูปโฉม ผิวสีแทนอมขาวผุดผาด
ทรงหน้ารูปหัวใจ หน้าผากกว้างนูนเรียวลงสู่คาง
แหลม จมูกงุ้มนิดๆได้รูปเก๋ ผมยาวมีน้ำาหนัก
สลวยสีน้ำาตาลแดงตามธรรมชาติ
เครื่องประดับในดวงหน้านั้น เห็นจะไม่มี
อะไรเด่นเกินนัยน์ตากลมโต สาดประกายเจิดจ้าสี
เขียวดุจแก้วมรกต ที่สะกดให้คนถูกจดจ้องใหล
หลงงงงันได้อย่างเฉียบพลัน
สิ่งที่ทำางานประสานกันกับตาสวย คือริม
ฝีปากหยักเป็นคันศร เวลาสยายยิ้มสุดแล้ว
เหมือนโลกเปิด เป็นยิ้มที่สวยที่สุดยิ้มหนึ่งเท่าที่
มนุษย์คนหนึ่งจะยิ้มได้
ประกายอากาศรอบตัวไอซิสก็สดใส ให้
ความรู้สึกอบอุ่นมั่นคง บ่งบอกว่าสภาพจิตและ
นิสัยใจคอต้องเลอเลิศยิ่ง ทั้งหมดคือส่วนผสม
ของความอ่อนหวานหยาดฟ้า เข้ากับความ
คมคายคล้ายว่าดุ ก่อให้เกิดความตะลึงทึ่งตั้งแต่
แรกแล ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกัน มะแมยังยอมรับ
ว่าตนหลงเสน่ห์สาวงามนางนี้แล้วเต็มๆ
"ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน เกิดมาฉันไม่
เคยเห็นใครสวยเท่าคุณเลย"
มะแมชมตรงๆ ไอซิสหัวเราะเบาๆคล้ายชา
ชินกับคำานั้นมาเนิ่นนาน
"มันแค่จุดเริ่มต้นของเรื่องผิดปกติน่ะ"
สาวไทยเลิกคิ้วนิดหนึ่งแบบอึ้งไปเล็กน้อย
"แต่ปลายทางของเรื่องผิดปกติ คุณก็
เปลี่ยนให้มันกลายเป็นเรื่องพิเศษไปแล้วนี่ จริง
ไหม?"
สาวเลือดผสมยิ้มละไม
"เอาเป็นว่าบอสช่วยให้ชีวิตฉันสนุกขึ้นเยอะ
ก็แล้วกัน"
สานตาด้วยความรู้สึกถูกชะตาอย่าง
ประหลาด เหมือนพร้อมจะเป็นเพื่อนรักทันที โดย
ไม่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเสียก่อน
"คุณรู้จักบอสมานานแค่ไหน?"
ไอซิสถาม
"ไม่กี่เดือนเอง คุณล่ะ?"
"หลายปีแล้ว... น่าน้อยใจจัง แสดงว่าคุณ
ถึงระดับ ๕ เร็วมาก ฉันก็เพิ่งมีโอกาสเข้าพบบอส
วันนี้เป็นครั้งแรกพร้อมคุณ"
"อาจจะมีเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องน่า
น้อยใจมั้ง... แล้วระดับ ๕ นี่มันคืออะไรน่ะ?"
สาวตาคมส่ายหน้า
"นั่นก็เป็นสิ่งที่บอสไม่ยอมให้รู้ แต่เอาเถอะ
สิ่งที่เราไม่รู้ ตอนนี้มีอยู่ในเราแล้วก็แล้วกัน"
จากการหยั่งสัมผัสรู้สึกถึงความเสมอกัน
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทำาให้มะแมพูดด้วย
สำาเนียงเป็นกันเองมากขึ้น
"ฉันเคยพยายามดูเหมือนกันนะว่าระดับ ๕
มันคืออะไร แต่ดูยังไงก็ดูไม่ออก เหมือนเป็นอะไร
ตื้นๆ เดาได้อยู่แล้ว แต่อีกทีก็เหมือนมีเหตุผลที่
ลึกซึ้งแฝงอยู่ จนไม่อยากแน่ใจในทางใดทาง
หนึ่ง"
"ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ได้รู้กันล่ะ"
ไอซิสทำาท่าถูมือรอด้วยความครึ้มใจ
"นั่นสินะ แต่กลัวเห็นหน้าบอสแล้วช็อค
โทร.มาแต่ละทีไม่ค่อยกล้ารับเลย เกิดมาไม่เคย
รู้สึกกลัวใครเท่านี้มาก่อน"
"เหมือนกัน! ฉันรับโทรศัพท์จากบอสมา
หลายปีก็ยังไม่คุ้นสักที บางคืนก็ฝันว่าบอสมายืน
ดุเสียงดัง ตื่นมายังผวาไม่หาย"
"อันนั้นยังดี ฉันฝันว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็ก
กำาลังยืนตัวลีบต่อคิว แล้วก็เห็นบอสถือไม้เรียวตี
เด็กทีละคน"
สองสาวหัวเราะประสานกันด้วยความ
ชื่นมื่นกลมกลืน แค่ได้พูดคุยนิดเดียว ก็เกิด
อารมณ์สุนทรร่วมกันเพียงพอจะนึกอยากหัวร่อ
ต่อกระซิกดุจญาติสนิทแล้ว
มะแมจ้องมองอีกฝ่ายเต็มตากว่าเดิม
"ที่เธอบอกว่าความสวยคือจุดเริ่มต้นของ
เรื่องผิดปกติ มันยังไงเหรอ แล้วเกี่ยวโยงกับการ
ได้มาเป็นคนของบอสหรือเปล่า?"
ไอซิสยักคิ้วหน่อยๆ
"ก็ประมาณนั้นแหละ จริงๆชีวิตฉันเริ่มต้น
ด้วยการเห็นหลายสายตามองมาที่ฉันแบบ
แปลกๆ อาจจะตั้งแต่จำาความได้ทีเดียว"
"แปลกแบบน่าตื่นตะลึงทึ่งในความงาม
อย่างที่ฉันรู้สึกหรือเปล่า?"
"เปล่า... แปลกแบบแปลกปลอมอย่างลูก
ครึ่งน่ะ เธอพอนึกภาพออกไหม?"
"ไม่รู้สิ เคยได้ยินว่าอเมริกาคือเครื่องหมาย
ของการรวมเผ่าพันธุ์ บางคนบอกว่าอเมริกาคือ
สถานที่ลี้ภัยสำาหรับคนผิวสีและพวกข้ามเชื้อชาติ
ด้วยซ้ำา"
"อือ... ในอเมริกาน่ะพอไหว เพราะคนนิยม
ของแปลก แต่ที่อียิปต์น่ะสิหนักหน่อย... เด็กทั่ว
โลกอยากไปดูพีระมิดในอียิปต์ แต่ไม่ใช่ฉัน
เพราะไปที่นั่นแต่ละครั้ง ไม่ค่อยได้เจอสิ่ง
มหัศจรรย์ของโลก แต่เจอสายตาพิกลของบรรดา
ญาติรออยู่แทน"
"มนุษย์เอาชนะความรู้สึกต่างพวกต่างพันธุ์
ยากนะ เห็นรณรงค์ช่วยพูดให้คนในโลกรักกัน ก็
ยังไม่ถึงไหนสักที "
"ก็คงไม่ถึงไหนตลอดไป เวลานั่งล้อมวงคุย
กันให้ดูดี ทุกที่ในโลกนี้ก็เหมือนพยายามช่วยกัน
ต่อต้านการเหยียดผิวทั้งนั้นแหละ แต่บนท้อง
ถนนในชีวิตจริงที่ไม่ต้องมาแกล้งแสดงความ
เห็นใจกัน สายตาและความรู้สึกที่ประกาศชัด ก็
ทำาให้รู้ว่าเรื่องบ้าๆเกี่ยวกับเชื้อชาติไม่มีวันหมด
ไปจากโลก... โดยเฉพาะโลกในวัยเด็ก!"
"ฉันเคยมีเพื่อนเป็นแขกตัวดำาที่ใจดีมากๆ
และเขาก็ทำาให้คนดำาดีๆ มีความขาวในใจของฉัน
มากกว่าคนขาวเลวๆเยอะ"
"ฉันก็เห็นอย่างนั้นแหละ ในหัวเลยมีแต่
ความคิดว่าจะกำาจัดการแบ่งแยกเชื้อชาติให้หมด
ไปได้อย่างไร" ไอซิสเอานิ้วชี้เคาะขมับตนเอง
เบาๆให้มะแมดู "เวลาคิดอย่างนี้ ฉันรู้สึกเป็นจริง
เป็นจังขึ้นมาเสมอ ว่าสิ่งที่ถูกขังอยู่ในกะโหลก
อาจหลุดออกไปเป็นค้อนทุบโลกให้แตกเป็น
เสี่ยงๆ หรืออาจแผ่ออกไปเป็นยาสมานแผลให้
โลกกลับคืนสู่สภาพปกติ สุดแต่ใครจะถูกสอนมา
ให้ตั้งใจอย่างไร"
ขณะนั้นเครื่องเริ่มเคลื่อนช้าๆ คลานเอื่อย
ไปเข้ารันเวย์ เป็นสัญญาณบอกว่ากัปตันกำาลังจะ
พาสองสาวต่างชาติต่างภาษาออกจากเมืองไทย
มะแมมองเพื่อนหน้าใหม่ด้วยความรู้สึกไม่
เป็นอื่น
"เธอคงทำาสำาเร็จมาไม่น้อยแน่ๆ"
"สำาเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง... ก้าวแรกที่
ทำาให้มีกำาลังใจ คือสมัยเรียนไฮสกูล มีเพื่อนลูก
ครึ่งอเมริกัน-เยอรมันคนหนึ่ง ที่ไม่อยากให้ใคร
มองว่าตัวเองมีเลือดเยอรมันผสมอยู่ แล้วก็ไม่
อยากไปเหยียบแผ่นดินเยอรมันด้วย เพียงเพราะ
รู้สึกว่าบรรพบุรุษของเยอรมันคือฮิตเลอร์ !"
มะแมหัวเราะกร่อยๆแบบขำาไม่ออก
"แล้วเธอเปลี่ยนใจเขายังไง?"
"แนะนำาหนุ่มเยอรมันดีๆให้รู้จัก"
คราวนี้มะแมหัวเราะเต็มเสียง ตบมือแปะ
หนึ่ง
"ร้ายจริง! ทุกวันนี้พวกเขาอยู่ด้วยกันหรือ
เปล่า?"
สาวลูกครึ่งผงกศีรษะ
"แปลกแต่จริงนะ มีลูก มีความสุข แล้วก็
ภูมิใจในความเป็นครึ่งเยอรมันของตัวเองเชียว
ล่ะ"
"ความรักทำาให้การแบ่งแยกเผ่าพันธุ์สิ้นสุด
ลงได้จริงๆ"
"แต่ชีวิตก็บอกฉันอีกว่า ต่อให้ร่างกายถูก
หล่อหลอมเข้าด้วยกัน ไม่แบ่งผิวสีและเชื้อชาติ ก็
ต้องเจอกำาแพงแบ่งแยกทางความคิดอยู่ดี โดย
เฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนา"
"ธรรมดาโลก แค่ศรัทธาต่างกัน ก็เพียง
พอแล้วที่จะมองอีกฝ่ายว่าเป็นพวกโง่ บ้า หรือ
หนักกว่านั้นคือสมควรตาย!"
ไอซิสหัวเราะนิ่มๆก่อนถอนใจ
"ฉันต้องสนิทชิดเชื้อกับพวกคลั่งศาสนาพัก
หนึ่ง ถึงเข้าใจว่าศรัทธาของพวกเขาเป็นพลังที่ยิ่ง
ใหญ่ของชีวิต ใครพยายามเสนอความเชื่ออื่นจึง
ต้องเป็นศัตรูกัน โทษฐานมาแย่งพลังวิเศษไปจาก
ชีวิตเขา ให้หายไปวูบใหญ่ "
"หรือไม่ก็ทั้งหมด!"
มะแมช่วยเสริม
"ข้อเท็จจริงนี้ทำาให้ฉันมองศาสนาในแง่ลบ
อยู่พักใหญ่ ถึงขนาดคิดว่า ศาสนาทำาให้คนเป็น
ปีศาจจำานวนมากกว่าเทวดาด้วยซ้ำา"
"แล้วทำาไงถึงเปลี่ยนทัศนคติได้ ?"
"มีอยู่วันหนึ่งได้อ่านข่าวฆาตกรรมโหด ที่มี
นิโกรดักปล้นผู้หญิงผิวขาวซึ่งขับรถมาคนเดียว
กลางดึก โดยลากเธอลงไปรุมข่มขืนข้างทาง จาก
นั้นจบชีวิตเธอด้วยการทิ่มปากกระบอกปืนกลใส่
อวัยวะเพศแล้วกดไก"
มะแมปิดตากุมขมับ
"โอย..."
"พอสืบประวัติ ก็พบว่าพวกโจรเกิดมาใน
บ้านที่สอนลูกหลานว่าพระเจ้าไม่มีจริง ทุกอย่าง
สร้างขึ้นจากความบังเอิญ และความบังเอิญก็
สร้างคนผิวขาวขึ้นมาดูถูกคนผิวดำา ถ้าคนผิวดำา
จะเคียดแค้นและเอาคืน ก็ให้ถือเป็นความผิดของ
คนที่ดันบังเอิญเกิดมาอยู่ข้างขาวก็แล้วกัน!"
"คิดได้วิปริตดีจริงๆ"
"ประสบการณ์โฉดของพวกนี้ เริ่มจากการ
รุมรังแกคนผิวขาวตอนเป็นเด็ก ดักจี้คนผิวขาว
ตอนเป็นวัยรุ่น แล้วเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ กระทั่ง
สนุกกับการฆ่าคนผิวขาวด้วยวิธีผิดมนุษย์ เห็น
เป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะถ้าเหยื่อเป็นสาวสวยผิว
ขาว โดยบอกว่าผู้หญิงประเภทนี้ไม่เคยมองว่า
พวกตนเป็นมนุษย์กันอยู่แล้ว"
"ไม่รู้ไปอยู่ไหนมานะ ผู้หญิงผิวขาวสวยๆ
แต่งงานกับชายผิวดำาให้เกลื่อน"
"พออ่านข่าวเสร็จฉันก็คิดใหม่ ... ถ้าจิต
วิญญาณมนุษย์ไม่มีศรัทธาทางศาสนาเป็น
อาภรณ์ เนื้อแท้ของพวกเขาก็คือปีศาจกันอยู่แล้ว
และปีศาจก็จะลุกขึ้นมาแผลงฤทธิ์แน่ๆ ไม่วันใดก็
วันหนึ่ง แตกต่างจากพวกมีศรัทธาทางศาสนา ไม่
แน่ว่าจะบ้ากันเสมอไป แล้วบางคนก็อาศัย
ศาสนากำาจัดปีศาจไปจากชีวิตตนได้จริงๆ"
"ใช่เลย..."
"และวันที่ได้คิดอย่างนั้นแหละ คือวันที่ฉัน
ได้รับอีเมลลึกลับ"
สาวไทยหูผึ่ง
"คนของบอสหรือ?"
สาวลูกครึ่งสั่นศีรษะ
"ฉันมารู้ทีหลังว่าเป็นบอสเองเลยล่ะ! บอสรู้
ผ่านซีอุสว่าฉันจะเป็นตัวเล่นสำาคัญในโลกใหม่
แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันสมควรรู้ตัว"
"บอสเขียนมาในเมลว่าไง?"
"ก็บอกว่า... เธออาจจะกําลังอาศัยอยู่ใน
เมืองปีศาจ และไม่มีทางออกจากเมืองปีศาจ มี
ทางเดียวคือเปลี่ยนเมืองปีศาจให้เป็นเมือง
มนุษย์ !"
"โอ้ !"
"ใช่เลยใช่ไหมล่ะ? ฉันขนลุกนะ แต่ตอน
แรกเข้าใจว่าเป็นอีเมลขยะหรือการเล่นตลกของ
ใคร ที่บังเอิญโดนใจอย่างสุดๆ เลยแค่ชื่นชมคำา
พูด แล้วลบทิ้งไปเฉยๆ"
ขณะนั้น เสียงกัปตันทักทายตามธรรมเนียม
ดังขึ้นในห้องผู้โดยสารหลังขึ้นจากภาคพื้นได้ ๒๐
นาที เป็นการบอกกล่าวว่าเครื่องได้ไต่ระดับขึ้น
มาถึง ๔๑,๐๐๐ ฟิต บินด้วยความเร็ว ๘๕๐
กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าน่าจะไปถึงสนาม
บินควีนส์ทาวน์ในเวลาประมาณหกโมงเช้า ตาม
เวลาท้องถิ่นของนิวซีแลนด์
สองสาวเงี่ยหูฟังเวลาแลนดิ้งแล้วหมด
ความสนใจ หันมาคุยกันต่อ โดยมะแมถามพร้อม
ทำาตาวาววาบหนึ่ง
"ชักสนุกแล้วสิ ต้องมีเมลฉบับที่สองตาม
มาแน่ๆ"
"อือ... ทิ้งระยะห่างไปหน่อยหนึ่ง คนรอบ
ตัวยุให้ฉันไปประกวดนางงามจักรวาล โดยให้
เหตุผลว่าจะสวยให้เสียของทำาไม มีบันไดไปสู่ชื่อ
เสียงระดับโลกสำาหรับคนรูปร่างหน้าตาแบบนี้อยู่
แล้ว"
"อ้า! ก็จริงของเขา ทำาไมไม่ลองล่ะ จะได้
ดัง"
มะแมแกล้งถามหน้าตาเฉย
"สุดที่รัก! พอใส่บิกินี่ขึ้นเวทีเมื่อไหร่ เมื่อนั้น
เธอก็กลายเป็นหนึ่งในบรรดาขาอ่อนอาหารตา
ชาวโลก รวมทั้งเป็นหนึ่งในสินค้าทางเพศให้เหล่า
เศรษฐีหมายตาเลือกชิม ต่อให้เธอมีสมองที่
ฉลาดปราดเปรื่องจนชนะใจกรรมการได้สำาเร็จ
สมองของเธอก็จะเหมือนอวัยวะที่งอกออกมาเติม
นมให้ดูเร้าใจขึ้นเท่านั้น!"
หญิงเอเชี่ยนหัวเราะถูกใจ
"เห็นภาพเลยเธอ ผู้หญิงเราดูน่าสนใจที่สุด
ตอนแต่งวาบหวิวแล้วทําหน้ายั่วๆ แต่จะสวย
อย่างน่ามองที่สุดตอนแต่งมิดชิดแล้วยิ้มเป็นมิตร
ดีๆ!"
"นั่นน่ะสิ สำาคัญคือยิ่งยั่วก็ยิ่งเครียด ยั่ว
แล้วไม่ดัง กลายเป็นคลั่งจนฆ่าตัวตายสำาเร็จไป
กันเยอะ!"
"แล้วเธอผ่านช่วงนั้นมายังไง"
"ช่วงนั้นชีวิตยังไม่มีคำาอธิบายสักกี่คำา มีแต่
คำารบเร้าจากคนรอบตัว ราวกับนัดกันไว้ จน
กลายเป็นคลื่นรบกวนจิตใจ ทำาให้ฉันต้องถามตัว
เองว่าต้องเอายังไงกับชีวิตกันแน่ บางเช้าตื่นมา
ด้วยความคิดว่าเอาก็เอา โลกอยากให้เป็นยังไง
จะแปลกอะไรถ้าตามใจโลกเสียหน่อย"
"เข้าใจจ้ะ คนส่วนใหญ่จะถือเอาเสียงคน
รอบข้างเป็นป้ายบอกทางชีวิต แล้วชีวิตนางงาม
ก็ใช่จะเหลวแหลกกันทุกคน ถ้าเจ๋งจริงก็ขึ้นแท่น
บูชาได้ "
"น้อยกว่าหนึ่งในร้อยหนึ่งในพันอีกเธอ ยุค
นี้มันพาไหลไปสู่ธุรกิจค้ากามกันเกือบหมด...
ช่วงที่ว้าวุ่นตัดสินใจไม่ถูกนั่นเอง อีเมลลึกลับ
ฉบับที่สองก็เข้ามา พร้อมกับการตั้งคำาถามให้คิด
ว่า ทํายังไงจะมีชีวิตที่ตัวเองรู้สึกว่าน่าสนใจจริงๆ
ไม่ใช่ดีแต่มีชีวิตไว้ให้คนอื่นจับตามองด้วยความ
สนใจเล่นๆ?"
มะแมคิดตามอย่างละเมียดก่อนเอ่ย
"ถ้าถูกคน ถูกเวลา โดนใจได้จังๆ ก็เป็น
คำาถามที่ตีกรอบวิธีคิดเกี่ยวกับชีวิตที่เหลือได้เลย
นะ"
"ใช่ ! มันเป็นคำาถามที่วนเวียนอยู่ในหัวฉัน
ตลอดเวลาทีเดียว... ฉันมีดีไปเพื่ออะไร ทำายังไง
จะมีชีวิตที่น่าสนใจได้จริงๆเสียที ? ตอนนั้นฉันเริ่ม
แน่ใจว่าอีเมลลึกลับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และคน
เขียนก็มีดีพอจะให้ถามอะไรได้ ฉันถามว่าคุณเป็น
ใคร..."
"แล้วบอสตอบว่า?"
"ก็ประมาณ... ไม่สำาคัญว่าฉันเป็นใคร แต่
สำาคัญว่าฉันมีคำาตอบที่ใช่ให้กับชีวิตของเธอหรือ
เปล่า"
"โอ๊ ! อย่างกับโฆษณาเชิญชวนไปขายของ
แน่ะ"
"นั่นสิ แต่พูดแบบนั้นในช่วงเวลานั้น ฉันก็
ลองหน่อยล่ะ ถึงจะเสี่ยงกับการถูกหลอกให้เป็น
ตัวตลกก็เถอะ... พอถามว่าชีวิตฉันควรให้เป็นยัง
ไง บอสก็ตอบว่า เป็นนักสร้างความแตกต่างไง
ล่ะ!"
"เข้าเป้านะ ถ้าเป็นนักสร้างความแตกต่าง
ให้กับโลกนี้ได้ ชีวิตก็ดูน่าสนใจขึ้นมาจริงๆล่ะ"
"ก่อนหน้านั้นฉันคิดว่าทุกชีวิตเป็นตัวแปร
ให้โลกแตกต่างไปเรื่อยๆอยู่แล้ว แต่บอสบอกว่า
ไม่ใช่ คนส่วนใหญ่โดนอิทธิพลของโลกซัดพาให้
ไหลตามกันต่างหาก ไม่ได้ทำาให้เกิดความแตก
ต่างอะไรขึ้นมาเลย"
"จริงของบอส..."
"บอสพูดถึงข้อยืนยันว่าน้อยคนสร้างความ
แตกต่าง คือ ใครต่อใครมักถามว่า คนดีทําไมหา
ยากนัก? โดยมีน้อยคนตอบถูกว่า เพราะคนส่วน
ใหญ่พยายามหา ไม่ได้พยายามเป็น!"
มะแมหัวเราะขำา
"เข้าใจพูด!"
"แล้วบอสก็ชี้ว่า ที่ชีวิตของฉันถูกออกแบบ
มาให้มีทุกอย่างพร้อม อาจหมายถึงความพร้อมที่
จะออกแบบสร้างความแตกต่างให้สิ่งที่อยู่รอบๆ
ชีวิต ขอแค่เกิดแรงบันดาลใจและลงมือทำาจริง
มากพอ ในที่สุดจะรู้ว่าฉันไม่ได้สวยเพื่อผิดแปลก
แต่สวยเพื่อสร้างความแตกต่าง!"
"เธอเอ๊ย! แค่ลูกยอของบอสก็น่าจะพอเป็น
แรงบันดาลใจอย่างล้นเหลือแล้วล่ะ"
"บอสถามว่ารู้ตัวไหม ฉันเก่งพอจะทำาอะไร
ได้บ้าง ฉันก็คิดวนเวียนอยู่แต่ในสิ่งที่เคยทำาได้
แต่บอสบอกมาคำาเดียว ฉันคลิกและมองต่างไป
เลย"
"บอกว่า?"
"ฉันเก่งพอจะทําทุกสิ่ง เท่าที่เห็นอยู่ตรง
หน้าว่าน่าทํา!"
มะแมหรี่ตาคิดก่อนจะเข้าใจตาม คนเราถ้า
รู้สึกว่าอะไรน่าทำา ก็แปลว่าส่วนลึกรู้อยู่ก่อนว่ามี
สิทธิ์ทำาได้ นี่เป็นความจริงสำาหรับทุกคน ไม่ใช่
เฉพาะใคร
"แล้วตอนนั้นเธอเห็นว่ามีอะไรตรงหน้าที่น่า
ทำา?"
"ก็เปลี่ยนเมืองปีศาจให้เป็นเมืองมนุษย์
ไง!"
"อ๋อ!"
สาวไทยลากเสียงยาว
"จากนั้นบอสก็ส่งพัสดุไปรษณีย์มาให้ "
"โทรศัพท์มือถือใช่ไหม?"
"ก็งั้นสิ เด็กบอสมีกันทุกคนแหละ"
"บอสสั่งงานเธอบ่อยแค่ไหน?"
"จ๊อบหนึ่งเสร็จ คำาสั่งใหม่ก็มาถึงเกือบ
ทันที "
"จ๊อบของเธอคืออะไร?"
"บินไปรอบโลก เพื่อทำาตัวเป็นนางฟ้าใน
นิทาน!"
ไอซิสพูดกลั้วหัวเราะ มะแมสยายยิ้มตาตื่น
อย่างเริ่มเกิดนิมิต
"ช่วยบรรดาผู้คนที่อยู่ในขอบข่ายความ
สามารถของเธองั้นเหรอ?"
"ใช่แล้ว! บอสให้ซีอุสเลือกครอบครัว หรือ
คนที่กำาลังมีปัญหาหนักในชีวิต หรือกำาลังจะเลือก
ตัดสินใจทำาอะไรผิดๆ ส่งมาให้ฉัน ไล่จากง่ายไป
หายาก"
"เล่าแค่นี้เห็นเป็นฉากๆเลยนะเนี่ย... เธอ
แฝงตัวเข้าไปตีสนิทใกล้ชิดกับคนพวกนั้นแบบ
เนียนๆ อาศัยความสามารถต่างๆ แปลงร่างเป็น
นักร้อง นักดนตรี นักกีฬา นักธุรกิจ ครูสอนไฮ
สกูล แล้วก็ ... โห! ทำาไมยาวเป็นหางว่าวอย่าง
นี้ ?"
"นั่นไง ถ้าอยากรู้ว่าเราเก่งได้แค่ไหน ก็
ต้องมีแรงบันดาลใจให้เอาไปใช้ทำาประโยชน์อะไร
สักอย่าง หรือหวังผลอะไรสักเรื่อง"
"อย่างกับ เจมส์ บอนด์ ปลอมตัวไปฆ่าคน
อันนี้แปลงร่างไปเปลี่ยนใจมนุษย์ !"
"เงินและอำานาจของบอสบันดาลให้ฉันเป็น
อะไรก็ได้โดยไม่ต้องปลอมตัว ในบางประเทศฉัน
เป็นเศรษฐีนีที่เข้าไปว่าจ้าง ให้โอกาส ให้งาน ให้
เงิน ตลอดจนคำาแนะนำา ให้คนดีๆกลุ่มหนึ่งที่
ตกยากสามารถตั้งเนื้อตั้งตัว แต่ในบางประเทศ
ฉันก็เป็นคนธรรมดา เคียงบ่าเคียงไหล่กับวัยรุ่น
สักคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย หรือคู่รักที่ใกล้วิบัติ หรือ
อีกทีก็พ่อแม่ที่ดูแลลูกผิดๆ... สารพัดที่ซีอุสจะ
สรรให้ "
"สำาเร็จทุกจ๊อบ?"
"ซีอุสไม่เคยให้ฉันเหนื่อยเปล่า แล้วบอสก็
สร้างบันไดให้เป็นขั้นๆ ช่วงแรกบอสเป็นคน
วางแผนให้ ทุกอย่างลงเอยดีเสมอเมื่อฉันทำาตาม
คำาสั่ง แต่เมื่อฉันเห็นว่าได้ผล และสนุกกับความ
สามารถของตัวเองมากพอ ฉันก็ขอคิดแผนเอง
โดยอาศัยซีอุสสนับสนุนอยู่ห่างๆ"
"น่าสนุกจัง บอสสร้างนางฟ้าในนิทานขึ้น
มาจริงๆ อาจจะหนึ่งเดียวในแบบของเธอเลยนะ
นี่ "
"หลายคนเป็นหนึ่งเดียวในแบบของตัวเอง
ฉันแค่แฮปปี้ที่ได้ตระหนักว่าการเป็นหนึ่งเดียว
ไม่ใช่ความผิดพลาด!"
"ถึงวันนี้เธอรับคำาสั่งจากบอส แล้วขอความ
ช่วยเหลือจากซีอุสได้โดยตรง?"
"ซีอุสเป็นการสื่อสารทางเดียว มันจะเลือกจ๊
อบเหมาะให้ แล้วส่งเมสเสจมาให้คำาแนะนำาเป็น
ครั้งๆตามโอกาสเหมาะ"
"เธอไม่มีสิทธิ์ขอความช่วยเหลือหรือค้นหา
อะไรด้วยตัวเองหรอกหรือ?"
"คนที่ 'มีสิทธิ์ถาม' ซีอุสได้ คือคนที่สมควร
ครองโลกเท่านั้น! เท่าที่รู้มีบอสกับอีกคนที่ร่วมมือ
กันสร้างซีอุสขึ้นมา คนของบอสที่เหลือจะได้รับ
ความช่วยเหลือตามแต่ซีอุสจะเห็นควร หลังจาก
คำานวณแล้วว่าไม่ฝืนธรรมชาติ "
"อ๋อ..."
นึกถึงแผ่นแก้วมหัศจรรย์ที่อัคระมอบให้มา
ก็คิดว่าไอซิสน่าจะมีอะไรแบบหล่อนนี่เอง
"เอาแต่ถามเรื่องของฉัน เล่าเรื่องของเธอ
ให้ฟังมั่งสิมะแม"
หลายชั่วโมงบนเครื่องบินผ่านไปอย่าง
รวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องของกันและกัน
เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างไม่รู้เบื่อ
ปกติพอมนุษย์หันหน้าเข้าหากัน ก็จะหา
ข้อดีข้อด้อยของแต่ละฝ่ายมาเปรียบเทียบเพื่อ
ริษยากัน หรือไม่ก็เอาโต๊ะเอากระดานอะไรสัก
อย่างมากั้นระหว่างกัน เพื่อประลองว่าใครฉลาด
กว่า หรือมีฝีมือเหนือกว่า
แต่การนั่งหันหน้าเข้าหากันระหว่างมะแม
กับไอซิส ดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเอา
ข้อดีของกันและกันมาร่วมกันทำาประโยชน์
มากกว่าอย่างอื่น ความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นเบื้อง
หน้าย่อมไม่มีคำาว่าแพ้ชนะ จะมีก็เพียง "แตกต่าง
ในทางดีขึ้น" สถานเดียว!
_________________________________________________________________________________
บทที่ ๒๙
นิวซีแลนด์ผุดเด่นเป็นแผ่นดินโดดเดี่ยวใน
มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ เป็นต่างหาก
จากทุกประเทศในโลก ออสเตรเลียที่ใกล้ที่สุดก็
ห่างออกไปถึงสองพันกิโลเมตร
มันคือสองเกาะขนาดมหึมาที่มีมนุษย์มา
จับจองเป็นเจ้าของ และกลายเป็นประเทศที่มีภูมิ
ภาพน่าตื่นตาที่สุดแห่งหนึ่งบนผืนพิภพนี้
เวลาของที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย ๖ ชั่วโมง รุ่ง
เช้าของนิวซีแลนด์จึงยังเป็นเวลานอนตามปกติ
ของคนไทย แต่มะแมและไอซิสงีบสั้นๆกันแล้ว
ประกอบกับระบบปรับอากาศของเจ็ตส่วนตัว
ราคาแพง ที่ให้ความสดชื่นเหมือนยืนบนยอดเขา
ช่วยให้ตาตื่นไม่ง่วงเหงา โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าใกล้
จะได้พบ "บอส" เสียที
สนามบินควีนส์ทาวน์ตั้งอยู่ริมทะเลสาบวา
กาติปูที่กว้างไกล ท่ามกลางการโอบล้อมของ
เทือกเขาสลับซับซ้อน ขณะเครื่องร่อนลงเห็น
เหมือนกำาแพงหิมะขาว สูงต่ำารายเรียงรอบด้าน
ชวนให้เผลอคิดว่ากำาลังดำาดิ่งลงสู่เมืองในฝันอัน
ยิ่งใหญ่ฉะนั้น
จากควีนส์ทาวน์ มีคนมาพามะแมกับไอซิส
ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ขนาด ๖ ที่นั่งผู้โดยสาร ซึ่งถูก
ออกแบบไว้บินชมภูเขาโดยเฉพาะ
"ทำาไมไม่ให้ไปด้วยเจ็ตต่อเนอะ เสียงคอป
เตอร์หนวกหูจะตาย"
มะแมบ่นเมื่อมานั่งบนเครื่อง
"สุดที่รัก! ในนิวซีแลนด์มีสนามบินแยะก็
จริง แต่ส่วนใหญ่เอาไว้สำาหรับเครื่องประเภทชม
ภูเขา ถ้าเป็นเจ็ตที่เรามาน่ะ ลงได้แต่ขึ้นไม่ได้
เพราะรันเวย์ยาวไม่พอจะให้เทคออฟ"
ไอซิสเอียงหน้าพูดแข่งกับเสียงเครื่อง แต่
มะแมยังบ่นอีก
"บ้านบอสอยู่อีกไกลแค่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อยจะ
แย่ "
"อย่างเก่งก็ไม่เกิน ๗๐๐ กิโล เครื่องยูโร
เปี้ยน เอเอส๓๕๕ นี่พาไปได้แค่นั้น"
สาวไทยเผยอปาก หันมามองเพื่อนสาวลูก
ครึ่งตาค้าง ด้วยความทึ่งที่รู้เรื่องการบินไปหมด
"เธอเป็นนักบินหรือเปล่านี่ ?"
"บอกแล้วไงว่าฉันแปลงร่างเป็นอะไรได้ทุก
อย่าง ตามแต่บอสจะสั่ง"
"ให้ไปรบในอิรักได้ไหม?"
ไอซิสยักไหล่หัวเราะนิดๆ
"ถ้าบอสสั่งก็จะไป"
"บอสเป็นเจ้าชีวิตเธอเหรอ?"
"อือ..." เป็นคำาตอบง่ายๆ แต่ฟังดูจริงจัง
อย่างน่าขนลุก "พอฟังคำาสั่งบอสมาเป็นปีๆ
เหมือนอย่างฉัน แล้วจะรู้ว่าวันไหนบอสสั่งให้ไป
ตาย เธอก็คงไม่กล้าขัดขืน"
"อุ้ย!"
มะแมฟังแล้วชักฝ่อ ไม่แน่ใจว่าอยากมอบ
กายถวายชีวิตให้ใครได้ขนาดนั้น แต่พอใช้ใจวัด
ใจไอซิส ก็ประเมินถูกว่าผลจากการที่ฝ่ายนั้นทำา
ตามคำาสั่งของบอสมา ได้สั่งสมความภาคภูมิไว้
จนเกินการอยากรักษาชีวิตไปมากแล้ว
คอปเตอร์พาบินตัดอากาศผ่านภาคพื้น
เขียวยาวไกล เสียงเครื่องที่ดังทำาให้ไม่มีแก่ใจคุย
กับเพื่อนใหม่ดังเคย มะแมจึงหลับๆตื่นๆ กระทั่ง
ไอซิสสะกิดมือ
"นักบินพาเราบินวนชมวิวแน่ะ ลืมตาขึ้นดู
หน่อยสิ "
ลืมตาอย่างงัวเงีย แต่แล้วเมื่อเหลือบแล
ผ่านหน้าต่างลงมองเบื้องล่าง ก็ถึงกับลืมหายใจ
ไปชั่วขณะ เพราะมันคือผืนทะเลสาบกว้างใหญ่
ไพศาลสีฟ้าสด สะท้อนแดดสว่างสวย เป็น
ทิวทัศน์งามกระจ่าง อย่างที่ชั่วชีวิตหล่อนไม่เคย
เห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน
ชายหนวดเฟิ้มที่พาสองสาวมาจากควีนส์
แลนด์ อธิบายจากที่นั่งผู้โดยสารด้วยกัน
"นี่คือทะเลสาบปูคากิ ที่มันมีสีฟ้าอย่าง
ประหลาด ก็ด้วยสารตกตะกอนเป็นเม็ดละเอียดที่
แตกตัวจากหินสีฟ้า แล้วไหลมากับธารน้ำาแข็ง...
เห็นจากทางอากาศว่าเหมือนสระว่ายน้ำาขนาด
ยักษ์ รูปทรงเกือบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างนี้เถอะ
ถ้าเราลงไปมองจากชายฝั่ง คุณอาจเผลอนึกว่า
มันคือทะเลจริงๆ เพราะกินพื้นที่ถึง ๑๖๙ ตาราง
กิโลเมตร มองทางไหนก็แทบไม่เห็นฝั่งไปหมด"
"ว้าว!"
มะแมอุทานเบาๆด้วยความตะลึงตะลาน สี
ฟ้าที่ล้อกันระหว่างน้ำากับฟ้า ชวนให้นึกว่าเป็น
ภาพบนผืนผ้าใบของจิตรกรผู้มีสิทธิ์แต้มสีตาม
อำาเภอใจ มากเสียกว่าจะเป็นงานรังสรรค์ของ
ธรรมชาติโดยเดิม
ขณะนั้นชายหนวดเฟิ้มก็ยกมือชี้ให้มองยอด
เขาที่พุ่งลิ่วเสียดฟ้า
"นั่นคือเม้าท์คุก เป็นยอดเขาสูงที่สุดในซีก
ใต้ วัดได้ ๑๒,๐๐๐ ฟุต เดิมมันชื่อ 'อาวราคี '
ตามที่เผ่าเมารีเรียกมาก่อน แต่พอกัปตัน เจมส์
คุก แล่นเรือสำารวจรอบประเทศนิวซีแลนด์สำาเร็จ
เป็นคนแรก ชาวตะวันตกเลยมีการตั้งชื่อตาม
กัปตันคุกเป็นที่ระลึก"
ไอซิสเอียงหน้ามากระซิบเสริม
"สิบกว่าปีที่ผ่านมาทางการพยายามให้
เรียกเป็น 'อาวราคี -เม้าท์คุก' เพื่อเอาใจทุกฝ่าย
แต่คนเรียกเม้าท์คุกกันติดปากไปแล้ว เลยไม่มี
ใครอยากเรียกชื่อยาวๆกันหรอก"
มะแมเหลือบตามองคนข้างตัว แม่คนนี้น่า
จะอ่านหนังสือวันละเล่ม และมีความจำาแบบ
ภาพถ่าย ถามอะไรเกี่ยวกับประเทศไหนคงรู้หมด
สมกับเป็นสาวลึกลับผู้ตระเวนสร้างความแตก
ต่างไปรอบโลกจริงๆ
เมื่อพาชมความงามของธรรมชาติครู่ใหญ่
นักบินก็บังคับเครื่องร่อนลงทางตะวันตกของ
ทะเลสาบ ซึ่งภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทิวเขา และ
สองสาวในเฮลิคอปเตอร์ก็ต้องห่อปากพร้อมกัน
เมื่อเห็นปราสาทใหญ่สร้างจากหินอ่อนสีขาว สูง
๗ ชั้นอยู่เบื้องล่าง หว่างเขาตอนหนึ่ง
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของปราสาทที่
โดดเด่น คือโดมหรือหอคอยจำานวนมากตาม
สไตล์ศิลปะแบบอิตาลี หน้าปราสาทปูลาดด้วย
สนามหญ้าเขียวขจี ขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอล
สองสนามต่อกัน บนผืนหญ้าเขียวประดับด้วยทุ่ง
หญ้าดอกไม้หลากสีละลานตาแห่งช่วงฤดูใบไม้
ผลิ อันเป็นทัศนียภาพสวยที่สุดในแต่ละปีของ
นิวซีแลนด์
สุดเขตหญ้าห่างจากถนนเลียบทะเลสาบ
ประมาณ ๑๐๐ เมตร ถ้านั่งมองออกมาจากห้อง
ใดห้องหนึ่งของปราสาท คงเร้าอารมณ์ฝันให้ตื่น
เพริดน่าดู เพราะจะเห็นทั้งทะเลสาบปูคากิและ
ยอดเขาเม้าท์คุกอยู่ในคลองสายตาพร้อมกัน
ลานจอดเฮลิคอปเตอร์เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่ง
ของลานกว้างหน้าปราสาท ใกล้กับน้ำาพุทรงกลม
ขนาดใหญ่ ๗ ชั้น ชั้นยอดกำาลังส่งน้ำาพวยพุ่งถะ
ถั่งขึ้นสูง ๓ เมตร ก่อนตกลงมาเป็นม่านน้ำาตาม
แต่ละขั้น
ชายหนวดเฟิ้มนำาสองสาวลงจากคอปเตอร์
เดินตัดตรงสู่ประตูใหญ่ โดยมีคนงานผิวดำา
หน้าตาเป็นชาวพื้นเมืองเผ่าเมารี มาช่วยขน
กระเป๋าเดินทางสองนาย
อากาศกำาลังสบาย อันที่จริงนิวซีแลนด์เย็น
พอดีตลอดปี แม้ฤดูร้อนอากาศก็ยังเย็นอยู่ แต่
ฤดูหนาวกลับไม่หนาวจัด ราวจะเลียนแบบ
บรรยากาศดาวดึงสเทวโลกก็ไม่ปาน
เข้าสู่ตัวปราสาท ภายในถูกออกแบบไว้
คละกันระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ได้ลงตัว มีทั้งรูป
ปั้น มีทั้งการแกะสลักลึกเข้าไปในผนังและเพดาน
แต่ขณะเดียวกันก็มีโคมไฟและไฟระย้ารูปลักษณะ
ทันสมัยประดับตามจังหวะเหมาะ แลแพรวพราว
ไพจิตรยิ่งกว่าโรงแรมหรูหลายเท่า
แม่บ้านในชุดกระโปรงขาวดำา ซึ่งเป็นพวก
ผิวขาววัยกลางคน ได้มารับช่วงต่อจากชาย
หนวดเฟิ้ม นางพาสองสาวขึ้นลิฟต์ไปชั้น ๖ เพื่อ
เข้าห้องรับรอง
"พักผ่อนตามสบาย บอสจะกลับมาที่นี่และ
เชิญพวกคุณร่วมรับประทานอาหารกลางวันเวลา
เที่ยงครึ่งนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ"
ไอซิสเป็นคนเอ่ย จากนั้นแม่บ้านก็รูดคีย์
การ์ดเปิดประตูห้องติดกันให้สองสาวคนละห้อง
คนงานวางกระเป๋าเดินทางไว้ตรงนั้นแล้วแยก
ย้ายจากกันไปโดยไม่สนใจทิป
"อาบน้ำาสะสางแล้วนอนสักงีบเนอะ"
มะแมบอก ไอซิสพยักหน้ารับ
"โอเค... อืมม์ ... ชีวิตฉันใกล้ถึงยอดแห่ง
ความลุ้นแล้ว รอมาหลายปี พอเห็นหน้าบอสก็
ไม่รู้จะลุ้นอะไรต่อล่ะทีนี้ "
"ฉันก็จินตนาการไม่ถูกหรอกว่า ชายชรา
อายุเกือบร้อยในร่างหนุ่ม ๓๐-๔๐ จะเป็นยังไง
คงเนียนกว่าพลาสติกเยอะแหละ"
"หือ! ใครอายุเกือบร้อย?"
"ก็บอสไง!" มะแมดีใจที่รู้ในสิ่งที่ไอซิสไม่รู้
เสียบ้าง "จริงๆบอสอายุกว่า ๙๐ แล้ว แต่เสียง
ยังใส พลังความเป็นหนุ่มยังล้นเหลือให้พวกเรา
รู้สึก ก็ด้วยสารพัดเทคโนโลยี ทั้งปลูกถ่าย ทั้ง
ชะลอวัย ทั้งใช้สมาธิช่วย"
ไอซิสย่นคิ้วสงสัย
"เธอไปรู้มาจากไหน?"
"บอยเฟรนด์ของฉันที่เล่าให้เธอฟังบน
เครื่องบิน เคยทำางานใกล้ชิดกับบอสมาก่อน"
"อ้า! งั้นเหรอ?"
"รู้ไว้เถอะว่าคนที่เธอกำาลังจะเห็นในอีกไม่กี่
ชั่วโมงข้างหน้านี้ เป็นพ่อของคุณปู่พวกเราได้
เลย!"
เนินสูงบริเวณนั้น เป็นจุดที่เห็นทิวทัศน์
ได้กว้างไกล ไม่มีสิ่งใดบดบัง เบื้องล่างลงไปใน
ระยะกว่าร้อยเมตรคือผืนทะเลสาบสีฟ้าสดกระ
จ่าง เบื้องไกลคือยอดเขาเม้าท์คุกห่มหิมะขาว
สะอาด ได้ยลแค่นี้ก็คุ้มแล้วกับการเดินทางอัน
ยาวไกลนับหมื่นกิโล
ศาลาแปดเหลี่ยมขนาด ๒๐x๒๐ ฟุต เสา
ขาว หลังคาสีส้มสามชั้นยอดแหลม ถูกจัดให้เป็น
สถานที่เลี้ยงมื้อกลางวันสำาหรับสองสาวจากแดน
ไกล
บนยกพื้นในศาลา คือโต๊ะปูผ้าขาว ตรง
กลางประดับด้วยแจกันดอกไม้สีฟ้า มีจาน ช้อน
ส้อม มีด แก้วเปล่า และผ้ากันเปื้อน จัดไว้อย่าง
เป็นระเบียบเรียบร้อย ๓ ชุด
แม่บ้านนำาสองสาวมาถึงที่ และให้นั่งหัน
หน้าออกชมวิวตระการ มะแมอยู่ในชุดสูทขาวตัว
เก่ง ส่วนไอซิสอยู่ในเดรสเขียวเข้ารูปเก๋ไก๋
ภายนอกเหมือนสองสาวสงบนิ่งสง่างาม
แต่ภายในมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่ากำาลังใจสั่น
ด้วยความตระหนักว่าบุคคลที่จะมาร่วมรับ
ประทานมื้อกลางวันด้วยกัน คือบุรุษผู้กำาลังจะ
ก้าวขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิ กุมสิทธิ์ขาด ถือ
อำานาจเหนือโลกทั้งใบด้วยการปกครองระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ในไม่ช้านี้ !
บัดนั้น เสียงย่ำาหญ้าดังใกล้เข้ามาจากเบื้อง
หลัง สองสาวพร้อมกันลุกขึ้นเพื่อเตรียมต้อนรับ
ด้วยการยืนประสานมือก้มหน้า ต่างไม่กล้าเงย
ขึ้นมองบอสโดยมิได้นัดหมาย
รองเท้าเบอร์ใหญ่กระทบยกพื้นของศาลา
แม้ดังธรรมดา แต่สองสาวก็ผวาหน่อยๆ ไอซิส
ย่อเข่าถอนสายบัว มะแมค้อมศีรษะพนมมือไหว้
เป็นไปตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของแต่ละคน ด้วย
ความรู้สึกออกมาจากภายใน ไม่ใช่ด้วยคิดว่า
สมควรทำาตามธรรมเนียมใดๆ
"นั่งเถอะ"
เซธเชื้อเชิญเป็นภาษากลาง แล้วก้าวไปนั่ง
ฝั่งตรงข้ามสองสาว ซึ่งเป็นด้านหันหน้าเข้าหา
ปราสาท
มะแมนั่งตามคำาสั่ง แต่ยังก้มหน้าก้มตา ไม่
กล้าเงยขึ้นมองบุรุษที่ตนเคยอยากพบใจแทบ
ขาด คล้ายถูกมหิทธิพลังจากเบื้องบนกดคออยู่
อย่างไรอย่างนั้น
เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเหตุใดคนโบราณ
บางหมู่เหล่าถึงไม่กล้ามองหน้ากษัตริย์ นอกจาก
กฎมณเฑียรบาลบางยุคที่ห้ามสบพระพักตร์แห่ง
เจ้าเหนือหัวแล้ว รัศมีแห่งผู้เป็นเจ้าแผ่นดินเอง
อาจแรงกล้าประดุจแสงอาทิตย์ เกินกว่าจะเอาตา
ไปมองได้ตรงๆ!
"เอ้า! เอาแต่นั่งก้มหน้าทั้งคู่ ยังไงกันนี่
ไหนบอกว่าอยากเจอไง?"
เซธทักทายอย่างอารมณ์ดีและเป็นกันเอง
ลดพลังแก้วเสียงแบบเจ้านายลง คู่หูสาวทั้งสอง
จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น และแล้วก็ชะงักค้างด้วยแวว
ประหลาดใจพร้อมกัน
บอสดูองอาจน่าเกรงขามตามคาด แต่
หน้าตาใจดีกว่าที่คิด รูปศีรษะทุย ผมสีน้ำาตาล
ทองตัดสั้น หน้าผากกว้างอย่างปราชญ์ ตาโตสี
เหล็กทอแววกรุณา จมูกโด่งเป็นสันตรงและปลาย
งุ้ม ริมฝีปากหยัก คางบุ๋มเล็กน้อย อกผายไหล่ผึ่ง
ข้อลำาใหญ่ อยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายชายยาวแบบลำาลอง
เข้ากันกับธรรมชาติรอบด้าน กระแสความเป็น
เขาโดยรวมมีเสน่ห์แบบนุ่มนวล ขัดกับน้ำาเสียง
วางอำานาจเป็นคนละเรื่อง
"ฉันไม่เหมือนคุณครูที่ถือไม้เรียวคอยตีก้น
พวกเธอใช่ไหมมะแม?"
มะแมผวา ก้มหน้าคอหด เอาล่ะซี ตอนอยู่
บนเครื่องเผลอนินทาอะไรบอสไว้บ้าง และที่ผ่าน
มาแอบคิดอะไรไว้แค่ไหน เดี๋ยวจะถูกขุดขึ้นมา
ประจานสักกี่ชุดก็ไม่รู้
เมื่อใดบอสกลายเป็นศูนย์กลางการ
ปกครอง เมื่อนั้นจะไม่มีหน่วยงานตลอดจน
ราษฎรใดหลอกลวงหรือปกปิดผู้ปกครองสูงสุด
ได้แน่ !
"ฉันยึดตรงนี้เป็นที่พำานัก ก็เพราะเป็นที่ที่
ทำาให้รู้สึกไป ว่าทั้งโลกยังสวยอย่างนี้อยู่ มัน
ทำาให้ฉันมีพลังใจไม่ขาดสาย ในอันที่จะคงความ
เป็นเช่นนี้ไว้ "
ขณะพูดก็มองมาทางไอซิส ซึ่งยังเงยหน้า
ให้สบตาได้อยู่ ฝ่ายนั้นฟังแล้วยิ้มแหยๆ เพราะ
ทราบว่านั่นเป็นคำาอธิบายต่อข้อสงสัยของหล่อน
กับมะแม ที่อยากทราบว่าบอสมายึดที่นี่เป็นที่พัก
ผ่อนหรือที่ทำางานกันแน่
สบตาได้แค่ครู่เดียวสาวเลือดผสมก็รู้สึกตะ
ครั่นตะครอ เหลือบหลบลงต่ำา แต่ไม่ถึงกับก้ม
หน้างุดแบบมะแม
และพอตาเหลือบลงต่ำา ไอซิสก็แอบสำารวจ
แผงอกของบอส จากที่ทราบว่าบุรุษตรงหน้าอายุ
เฉียดร้อย พอเห็นสภาพทางกายยังหนุ่มแน่นเช่น
นี้ อายุก็กลายเป็นเพียงส่วนเสริมความยิ่งใหญ่
และเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถอยู่รอด
เอาชนะได้แม้การตัดสินใจของธรรมชาติไป
เขาคนนี้แหละ คู่ควรกับการพลิก
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ไม่อาจเอาตัวรอด
กัน!
ขณะนั้น คนงานเผ่าเมารีชายหญิงเริ่ม
ทยอยลำาเลียงอาหารมาวาง แจกันดอกไม้บนโต๊ะ
ถูกแทนที่ด้วยจานไก่งวงอบ เนื้อสไลด์ย่าง สเต็ก
ปลา ซุปข้น สลัดผัก และเครื่องประกอบอื่นๆ จน
เต็มโต๊ะ
"มื้อนี้ สิ่งที่ฉันเอามาต้อนรับพวกเธอ คือ
อาหารของคนในยุคต่อไป"
ทั้งไอซิสและมะแมแลมองจานอาหารแล้ว
ทำาหน้าพิศวง เพราะเห็นชัดๆว่ามันก็คือเนื้อสัตว์
ชนิดต่างๆที่เจอะเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง ไม่
เห็นแตกต่างตรงไหน
"นึกว่าเหมือนๆที่พวกเธอเคยเห็น เคยได้
กลิ่น แล้วก็เคยลิ้มรสมาแล้วใช่ไหมล่ะ? แน่นอน
มันเหมือนกันไม่มีผิด รวมทั้งคุณค่าทางอาหาร
ด้วย สิ่งที่แตกต่างไป คือไม่มีสัตว์สักตัวที่ต้อง
ตายสังเวยมื้อกลางวันนี้ของพวกเรา!"
"นาโนเทค สังเคราะห์จุดเล็กที่สุดของเนื้อ
แต่ละแบบ ประกอบรวมขึ้นแทนของจริงหรือคะ
บอส?"
ไอซิสทำาใจกล้าแสดงความรู้ เพื่อโต้ตอบ
สนทนากับบอสบ้าง
"ใช่แล้ว!"
"หนูนึกว่าเป็นเทคโนโลยีที่ต้องรออีกนาน
กว่าจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ "
"มา! ลองดูซิ พวกเธอจะจับได้ไหมว่า
รสชาติผิดแผกแตกต่างจากของจริงยังไง"
ทั้งสามร่วมลงมือรับประทาน และความ
แตกต่างเดียวจากเนื้อสัตว์ของจริง เท่าที่ไอซิ
สกับมะแมสัมผัสผ่านลิ้น ก็คือความอร่อย รสเนื้อ
สังเคราะห์นี้อร่อยอย่างไม่เคยได้ลิ้มที่ไหนเท่า!
"อร่อยจริงๆค่ะบอส!" ไอซิสชมหลังกลืน
เนื้อไก่งวงเทียม "บอสไม่เอามาแจกจ่ายชาวโลก
ล่ะคะ สัตว์จะได้ไม่ต้องตายตั้งแต่วันนี้ "
"อือ... สัตว์ไม่ตาย แต่ฉันจะตายแทนน่ะสิ "
เซธเอ่ยพลางหัวเราะหึหึ "คิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น
กับสายโซ่ของธุรกิจผลิตอาหาร นับแต่โรงฆ่าสัตว์
ไปจนถึงนายหน้าค้าเนื้อ"
ไอซิสมองเซธตาเป็นประกาย ก่อนหัวเราะ
ออกมาได้
"ลืมคิดไปค่ะ บอสคงไม่อยากเป็นศัตรูกับ
นักธุรกิจเนื้อสัตว์ทั้งโลกแน่ๆ"
มะแมชำาเลืองแลเพื่อนสาว เห็นฝ่ายนั้นเริ่ม
กล้าทำาเสียงเป็นกันเองกับบอส จึงเอาบ้าง
"บอสคงซ่อนเทคโนโลยีไว้อีกเยอะใช่ไหม
คะ มะแมเพิ่งเกิดความรู้สึกระหว่างนั่งเครื่องเจ็
ตมาที่นี่ เหมือนเทคโนโลยีทางอากาศที่ต้องใช้
น้ำามัน กำาลังเป็นของโบราณที่หนาเทอะทะ บินช้า
และใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที "
จิตของมนุษย์จูนเข้าหากันผ่านการสนทนา
และมะแมก็รู้สึกว่าพอพูดจบได้ก็เป็นกันเองกับ
ท่านผู้ยิ่งใหญ่มากขึ้น
"ถึงยุคของฉันเมื่อไหร่ จะไม่มีใครได้เห็น
พาหนะเคลื่อนที่ด้วยน้ำามันกันอีก และพวกเธอจะ
บินจากไทยมาหาฉันที่นี่ได้ภายในชั่วโมงเดียว
ไม่ใช่เป็นสิบชั่วโมงอย่างนี้ !"
"โอ้โห!" ไอซิสหัวเราะ "ถ้าขืนงัดเอา
เทคโนโลยีทั้งหมดของบอสออกมาใช้ตอนนี้ คง
โดนตั้งค่าหัวแพงกว่า บิน ลาดิน เยอะเลยค่ะ...
สรุปคือทางออกของพลังงานอยู่ที่บอสนี่เอง หนู
เคยคิดมานานว่าจะทำากันยังไงได้อีกกี่น้ำา ในเมื่อ
โลกวิ่งมาถึงจุดที่หยุดใช้น้ำามันไม่ได้ แต่น้ำามันก็
หายากขึ้นทุกที "
เซธพยักพเยิดนิดๆ
"ตั้งแต่มนุษย์มีรถ เครื่องบิน และไฟฟ้าใช้
กัน ก็นับถอยหลังสู่หายนะของสิ่งแวดล้อมกันมา
แต่นั้นแล้ว รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังต้องใช้กันต่อ เราไป
หยุดเขา เขาก็หมายหัวเราเป็นเป้ารับกระสุน"
"มีซีอุสช่วยอยู่ทั้งที บอสยังกลัวใครตามล่า
อีกหรือคะ?"
มะแมยื่นหน้าถาม
"ไม่ใช่ว่าซีอุสช่วยได้ทุกเรื่องนะ ถ้าเราไป
รบกวนวิถีโลกมากๆ ซีอุสก็ชี้ให้ไม่ถูกหรอกว่าเรา
ต้องซ่อนตัวตรงไหน ถึงจะไม่ได้รับผลอันเกิดจาก
การรบกวนโลกเอาไว้ "
"อ๋อ... ค่ะ"
สาวไทยทำาหน้าละห้อย เพราะคำานั้นสะกิด
เตือนให้นึกถึงผลสุดท้ายที่อัคระได้รับ หลังจาก
ล้ำาเส้น พยายามเบี่ยงเบนทางเดินของโลกด้วย
วิธีที่ท้าทายธรรมชาติเกินงาม
เซธลอบสังเกตแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยสืบต่อเป็น
คนละเรื่องแบบทำาเป็นไม่เห็น
"ที่ฉันหลงใหลเป็นอันดับหนึ่งมาแต่ไหนแต่
ไร คือเรื่องการทำาชีวิตให้เป็นอมตะ แล้วก็เริ่มเห็น
ทางรำาไร เมื่อพบวัยรุ่นคนหนึ่งที่ผิดปกติแต่
กำาเนิด อายุเกือบ ๒๐ แล้ว แต่ยังมีรูปร่างหน้าตา
เท่าเด็กอายุ ๑ ขวบอยู่ พูดง่ายๆว่าไม่มีการแก่
เกิดขึ้นเลย ต่างจากมนุษย์ปกติที่เริ่มกระบวนการ
แก่ชราตั้งแต่ลืมตาดูโลก... เด็กคนนั้นทำาให้ฉัน
กับทีมนักวิทยาศาสตร์เข้าใจเบื้องหลังความ
ชราภาพ และต่อยอดไปพบวิธีเอาชนะความแก่
เฒ่าได้สำาเร็จ... แต่เธอลองนึกภาพดูซิว่าถ้าฉัน
ปล่อยเทคโนโลยีที่ว่าออกไปตอนนี้ จะเกิดอะไร
ขึ้น?"
"ผู้คนที่ล้นโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทะลักล้นจน
ทรัพยากรหมดเกลี้ยง และเหลือแต่ทะเลทรายให้
อยู่อาศัย!"
"นั่นแหละ... ฉันจึงไม่ย่ำาซ้ำารอยเท้าที่เดิน
ผิดทางของพวกบุกเบิกเทคโนโลยีทั้งหลาย คือ
ไม่ใช่แค่คิดประดิษฐ์อะไรได้ก็เข็นออกมาขายกัน
ทันที สิ่งที่ฉันต้องถามเป็นข้อแรกเสมอคือ ความ
สะดวกสบายของเรา ไปรบกวนโลกให้เดือดร้อน
ได้แค่ไหน? โลกพังเพราะเราตั้งคำาถามนี้กันช้า
ไป เสร็จแล้วก็หาตัวคนผิดไม่เจอ เพราะทุกคน
เหมือนมีส่วนร่วมโดยไม่รู้ตัวกันหมด"
ไอซิสหรี่ตามอง "เจ้านาย" ของตนอย่าง
เริ่มหมดความรู้สึกแปลกหน้า หายประหม่า ดัง
นั้นจิตสัมผัสจึงกลับมาทำางาน แล้วเห็นว่าชีวิต
ของเซธเหมือนถูกกำาหนดให้มีเวลามากพอจะ
ปฏิรูปโครงสร้างโลกใหม่ทั้งหมดได้ทัน
"บอสคะ? ระบบการผลิตพลังงาน เส้น
ทางการคมนาคม ตึกรามบ้านช่อง คงเปลี่ยน
โฉมไปอย่างสิ้นเชิงเลยใช่ไหม? หนูเห็นเหมือนใน
ยุคของบอสนี่ ปัจจัยสำาคัญในการดำารงชีวิตกลาย
เป็นของฟรีหรือเกือบฟรี ผู้คนทำางานเหมาะกับ
ความสามารถของตัวเอง ประมาณตั้งหน้าตั้งตา
ช่วยกันสร้างโลกใหม่ โดยไม่จำาเป็นต้องกังวล
เรื่องการกินอยู่กันเท่าไหร่ "
"ก็ต้องอย่างนั้น"
"บอสทำาให้หนูนึกถึงนักวิทยาศาสตร์
อัจฉริยะอย่างเทสล่านะคะ ที่เคยคิดจะแจกจ่าย
ไฟฟ้าให้ทุกคนฟรีๆ โดยการทำาโลกทั้งใบเป็น
ไดนาโม แล้วก็ดูมีความเป็นไปได้ด้วย... แต่พอ
มาเจอคำาถามเดียวจากนายทุน คือแจกฟรีแล้ว
พวกเขาจะทำากำาไรกันยังไง? เท่านั้นเอง โปร
เจกต์ก็ปิดตัวลงสนิท... ไม่มีใครในระบบทุนนิยม
อนุญาตให้มีไฟใช้ฟรี แต่ดูเหมือนยุคของบอส
กำาลังจะมีใช้กัน... ระบบเศรษฐกิจในยุคของบอส
ต้องไม่ใช่แบบทุนนิยมแน่ๆ"
"อือ..." เซธรับ "ระบบเศรษฐกิจในยุคของ
ฉัน จะเป็น 'โลกนิยม' คือ ไม่ใช่สังคมนิยมที่ฝัน
จะให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ทุนนิยมที่เปิดอ้าให้
ใครมือยาวสาวได้สาวเอา แล้วก็ไม่ใช่พวก
ชาตินิยมที่แบ่งพรรคแบ่งพวกไว้รบราชิงเขตแดน
กัน"
"ไม่ใช่อะไรสักอย่างที่เคยๆนิยม แล้วงั้น
'โลกนิยม' นี่คือยังไงล่ะคะ?"
"คือโลกที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน... จะไม่มี
ใครได้กินถ้าอีกหลายคนยังอด!"
"เท่จัง! หนูเห็นภาพความเคลื่อนไหวในโลก
ใหม่เป็นฉากๆเลย ไม่มีใครงอมืองอเท้า ขณะ
เดียวกันก็ไม่มีใครแบมือขอกิน!"
มะแมมีเรื่องติดใจ จึงถามเมื่อเห็นสบ
โอกาส
"บอสคะ ถ้าไม่พูดกันเรื่องบารมีเก่า เอา
เฉพาะชาตินี้ บอสได้แรงขับดันจากไหนมาทำา
อะไรอย่างที่ทำาไปทั้งหมด?"
เซธปรายตามองมะแม
"ความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต
มาดร้าย และความอยากเอาชนะปีศาจที่ปะปน
มาอยู่กับหมู่มนุษย์ นั่นแหละแรงขับสำาคัญที่ทำาให้
ฉันอยากเอาชนะความตาย เพื่อสร้างโลกใหม่ให้
เสร็จเสียก่อน!"
คำาตอบนั้นเรียกความสนใจจากสองสาวให้
ตาตื่นอีกครั้ง
"ฟังดูเหมือน... บอสเคยเจออะไรที่มันแย่
มากๆมางั้นแหละ"
"พ่อของฉันเป็นเยอรมัน ส่วนแม่เป็นยิว
แบบว่ารักแรกพบน่ะนะ... ฉันเกิดในปี ๑๙๑๘
หลังจากอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมัน
ประมาณหนึ่งปี ... พ่ออยู่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าตอน
อายุ ๑๕ ฉันต้องพาแม่หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี "
สาวแสนสวยทั้งสองพากันอึ้งสนิท โดย
เฉพาะสำาหรับไอซิส พอนึกตามคำาของบอสที่ว่า
"พาแม่หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่ฆ่าล้างเผ่า
พันธุ์ " ก็ถึงกับรู้สึกว่าเกิดมาตนไม่เคยมีปัญหา
เกี่ยวกับชาติพันธุ์เลยสักนิดเดียว
"ฉันเกิดมาในยุคที่ฆ่ายิวไม่เป็นไร แต่ถ้า
เป็นลูกยิวมีโทษสมควรตาย! ฉันจึงรู้ดีกว่าใครว่า
โลกนี้ไม่น่าอยู่ขนาดไหน ยิ่งโตฉันก็ยิ่งพบว่า
ไม่ใช่แค่พวกนาซีหรอก ที่อยากให้เผ่าพันธุ์ยิว
หมดไปจากโลก ชนชาติอื่นๆก็คิดคล้ายอย่างนั้น
คือไปพิพากษาว่ายิวนั้นหลงตัว เห็นแก่ตัว และ
ชั่วร้ายที่สุด!"
ไอซิสโคลงศีรษะ
"มนุษย์พร้อมจะเชื่ออะไรบ้าๆตามกัน ไม่รู้
ทำาไม"
"ฉันเคยเงยหน้ามองฟ้าแล้วปฏิญาณว่า
คอยดู ! วันหนึ่งฉันจะบีบให้ทั้งโลกรู้สึกเป็นหนี้
ความรัก ความเมตตากรุณาจากคนยิวที่รังเกียจ
การแบ่งแยกให้จงได้ !"
ปณิธานนั้นชวนให้มะแมทอดสายตามองผู้
ที่ตนนับถือเป็นนาย ก่อนออกความเห็นด้วย
อาการสะท้อนใจ
"ที่ผ่านมา บุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่าง จีซัส ไค
รสต์ ก็เป็นชาวยิว อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็น
เยอรมันเชื้อสายยิว เท่านี้น่าจะเพียงพอให้โลก
ยอมรับแล้วนะคะว่าชาวยิวพร้อมจะเผื่อแผ่ความ
รัก และกระทำาตนเป็นผู้เปลี่ยนโลกทัศน์แก่
มนุษยชาติได้ "
"หลายคนแกล้งลืมว่าจีซัสกับไอน์สไตน์เป็น
ยิว แต่ดันแกล้งจำาว่าไชล็อกพ่อค้าหน้าเลือดมีตัว
ตนอยู่จริง ทั้งที่เป็นแค่ตัวละครของเชกสเปียร์
แถมยกให้ไชล็อกเป็นภาพแทนชาวยิวทั้งหมด
เสียอีก คือขูดรีด เอารัดเอาเปรียบ ไร้ความเป็น
ธรรม แล้วก็แกล้งเฉือนเนื้อลูกหนี้เล่นเพื่อความ
สะใจได้้ลงคอ"
มะแมยิ้มกร่อยๆ เมื่อนึกได้ว่าแม้แต่คนไทย
ก็ยังชอบด่าคนขี้งกว่า "แกนี่มันยิวจริงๆ" ทั้งที่
อาจไม่รู้ที่มาที่ไปแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำา จึงเริ่ม
เห็นภาพว่าชาวยิวส่วนใหญ่ต้องเจออะไรมาบ้าง
ไอซิสซึ่งมีประสบการณ์คบหาชาวยิวมาบ้าง
อดคิดไม่ได้ว่ายิวชั่วมันก็ชั่วจริงๆ เห็นแก่ตัวและ
ดูถูกคนอื่นได้เหมือนเป็นโรคจิต ด้วยความทะนง
ในความเป็นชาติพิเศษที่ฉลาดเกินเผ่าพันธุ์อื่นๆ
แต่ยิวดีก็ดีใจหาย ทุ่มเทตนเองให้ใครต่อใครโดย
ไม่หวังผลตอบแทนใดๆได้เช่นกัน
"พอถึงเวลาที่โลกต้องการความช่วยเหลือ
ต้องการการรวบอำานาจเพื่อความเป็นปึกแผ่น
และบอสก็เป็นคนเดียวที่เตรียมไว้เพื่อการนั้น...
คราวนี้คงบันทึกไว้ในความทรงจำาของมนุษยชาติ
อย่างถาวรเลยค่ะ ว่ายิวใจดีขนาดไหน"
เซธหัวเราะเอื่อยๆในลำาคอ
"เดี๋ยวก็มีคนด่าอีกนั่นแหละว่าเห็นไหม นึก
แล้ว ยิวมันอยากครองโลก และแล้วก็ได้ครอง
จริงๆ... ฟ้าลิขิตซะด้วยนะ จับพลัดจับผลู ฉันเป็น
คนหนึ่งที่รู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับหายนภัยระดับ
โลกาวินาศ แต่เป็นคนเดียวที่มีเวลาพอจะอุทิศ
ชีวิตให้กับการรับมือมันอย่างเป็นรูปธรรม"
ไอซิสจ้องเซธเขม็ง ดวงตามรกตทั้งคู่ส่อง
แววอยากรู้เจิดจ้า
"บอสเห็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะว่าโลกจะหมุน
เข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ?"
"เมื่อฉันค้นพบวิธีพยากรณ์อันเป็นต้นแบบ
ของซีอุส"
"แล้วบอสได้ต้นแบบการพยากรณ์มาจาก
ตำาราไหน?"
"มันมาจากฟิสิกส์ ก่อนที่จะมาผสมกับ
โหราศาสตร์ ... เล่าแบบรวบรัดคือเมื่อ ๖๐ ปีก่อน
ฉันมีโอกาสอยู่กับพวกนักฟิสิกส์ร้อนวิชากลุ่มหนึ่ง
ที่เห็นโลกและจักรวาลเป็นเครื่องจักร พวกเขา
สันนิษฐานว่าถ้าหาชิ้นส่วนสำาคัญที่สุดของ
จักรวาลได้ ก็จะเข้าใจและพยากรณ์จักรวาล
ทั้งหมดได้ "
"แล้วชิ้นส่วนที่ว่านั้นคืออะไรคะ?"
"แรงดึงดูดไง!"
ขณะที่มะแมฟังงงๆ ไอซิสกลับเห็นภาพได้
ทันที เนื่องจากมีความรู้ทางฟิสิกส์และ
ดาราศาสตร์สมัยใหม่รองรับ
"อย่างที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าแรงดึงดูดมี
มาก่อนกาลเวลาและอวกาศ กับทั้งเป็นต้นเค้าว่า
ทำาไมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล จึงถูกสร้างขึ้น
อย่างเป็นไปเองโดยปราศจากผู้อยู่เบื้องหลังใช่
ไหมคะบอส?"
"ใช่ ! ทุกคนงงกันหมดว่าก่อนมีกาลเวลา
และอวกาศ แรงดึงดูดมันมาจากไหน แล้วมันคือ
อะไรกันแน่ ... วันหนึ่งฉันอยู่ในสมาธิ และสัมผัส
ถึงแรงดึงดูด รู้สึกว่ามันไม่ใช่พลังงาน แต่มันก็
เป็นแรงเดียวที่ยึดเหนี่ยวเราไว้กับพื้นโลก
แรงดึงดูดเป็นธรรมชาติที่น่ากลัว ชวนขนหัวลุก
เพราะมันไม่มีตัวตน แต่เป็นนามธรรมขั้นปฐม ที่
เป็นส่วนสําคัญให้นามธรรมอื่นๆ ตลอดจนรูป
ธรรมทั้งหลาย ปรากฏมีขึ้นมา และเกาะติดอยู่กับ
กันและกันได้ "
ไอซิสพยักหน้า
"ทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาล ก็เพื่อความ
พอดีที่จะมีชีวิตได้ "
"นั่นแหละ เมื่อรู้เหตุผลของความมีชีวิตได้
ก็เท่ากับทําความรู้จักต้นกําเนิดของจักรวาลได้
เช่นกัน!"
สาวเลือดผสมย่นคิ้วอย่างพยายามคิดตาม
"บอสจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย คือ
เหตุผลของการมีแรงดึงดูด?"
"ไม่ใช่ ! เหตุผลของการมีชีวิตนั่นแหละ คือ
ตัวแรงดึงดูดโดยตรง!"
"แปลว่าถ้าเรารู้เบื้องหลังการมีชีวิต เราก็
รู้จักตัวแปรสำาคัญที่สุดในการคำานวณเกี่ยวกับ
จักรวาล อย่างนั้นใช่ไหมคะ?"
เซธผงกศีรษะ
"ความดึงดูดไม่ได้มีผลกับวัตถุอย่างเดียว
มันยังทำาให้จิตหลงติดได้ด้วย เมื่อจิตหลงติดอยู่
ย่อมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สำาคัญมั่นหมายว่ามีตัว
มีตน... และความไม่รู้นั้นเอง ได้ก่อภาวะแห่งรูป
นามขึ้นด้วยกรรมขาวบ้าง กรรมดำาบ้าง ทั้งหมด
ทั้งปวงในจักรวาล มันคือสภาพแวดล้อมเพื่อตก
รางวัลและลงโทษสัตว์ผู้ก่อกรรมเท่านั้นเอง"
"หนูพอจะเข้าใจรางๆแล้ว" มะแมเอ่ย "พอ
บอสหันมาสนใจศึกษา จนเกิดสัมผัสเห็นแจ้งใน
กรรมวิบาก บอสก็เริ่มคิดสูตรพยากรณ์จักรวาล
จากแรงขับดันของกรรมวิบาก ด้วยวิธีจำาแนก
มนุษย์และสัตว์ออกเป็นต่างๆ แล้วหาความ
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับจักรวาล เหมือนหลักขั้น
พื้นฐานของโหราศาสตร์ใช่ไหมคะ?"
เซธทอดตามองสาวไทยด้วยความระลึกถึง
อัคระ ครั้งแรกที่คุยกับอัคระเกี่ยวกับสูตรการ
พยากรณ์จักรวาล อัคระก็หัวไวและเข้าใจเขาได้
เร็วเหมือนอย่างนี้
"ฉันเริ่มคลำาทางมะงุมมะงาหรามาจากจุด
เริ่มต้นนั้นอย่างเธอว่า มะแม"
"แล้วบอสจะยกพุทธศาสนาเป็นศาสนาของ
โลกใหม่หรือเปล่าคะ?"
"เดิมทีศาสนาของฉันคือวิทยาศาสตร์๋ นัก
วิทยาศาสตร์คือศาสดาร่วมกัน แต่เมื่อพุทธ
ศาสนาตอบคำาถามที่วิทยาศาสตร์ไม่มีวันตอบได้
พระพุทธเจ้าก็กลายเป็นศาสดาของฉันแทน... แต่
โลกใหม่ต้องการความสามัคคีกันเหนือสิ่งอื่นใด
ฉันจะสร้างแรงยึดเหนี่ยวพลโลกด้วยแนวทางของ
ลัทธิยูนิตาเรี่ยน คือ นับถือองค์จีซัสในฐานะ
มนุษย์ธรรมดาผู้มีอำานาจความรักที่ยิ่งใหญ่ ขณะ
เดียวกันก็เปิดใจรับพุทธศาสนาว่าเป็นวิถีแห่งการ
ไขความลับจักรวาล ด้วยวิธีที่ลองเองก็รู้ได้เอง"
ไอซิสฟังแล้วทักย้ิมๆ
"ลัทธิยูนิตาเรี่ยนนี่ นักบวชยิวก็เป็นคน
ริเริ่มใช่ไหมคะบอส?"
เซธยักไหล่ตอบ
"ใครเริ่มไม่สำาคัญเท่าใครได้ใช้ ในยุคของ
ฉัน ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้รับคำาพยากรณ์จากซีอุส
เพื่อให้รู้ตัวว่ามีสิทธิ์เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ที่
สําคัญกว่านั้น คือจะได้พิสูจน์ว่าสัตว์โลกย่อมเป็น
ไปตามกรรม ทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้น เรื่องร้ายจะ
บรรเทาลง เมื่อสามารถหักห้ามใจ เอาชนะสิ่งยั่ว
ยุให้ผิดศีล ๕ ได้ทุกข้อ เป็นเวลาต่อเนื่องนาน
พอ"
มะแมยิ้มสดชื่น นึกถึงยุคที่ผู้คนพากันตั้ง
ความคิดไว้พร้อมๆกันว่า ยอมอดตายดีกว่าผิด
ศีล แล้วสัมผัสได้ชัดทีเดียวว่าทั้งโลกจะสว่างเรือง
รองประดุจดาวฤกษ์
"บอสคะ" สาวผิวสีแทนทำาหน้าจริงจังขึ้น
"จนป่านนี้พวกหนูยังไม่รู้เสียที ว่าระดับ ๕ คือ
อะไร"
นัยน์ตาสีเหล็กของเซธทอดมองตอบอย่าง
อ่อนโยน
"นั่งอยู่ด้วยกันอย่างนี้ น่าจะสัมผัสรู้ได้ด้วย
ตัวเองแล้ว"
ไอซิสทำาหน้าสงสัย ก่อนสำารวมใจเป็น
อุเบกขา แผ่จิตเปิดกว้างรับสัมผัสทุกสิ่งรอบตัวที่
ปรากฏอยู่ ณ บัดนั้น นิ่งครู่หนึ่งก่อนลืมตาโพลง
แล้วโพล่งออกมาดังๆ
"เป็นเมียบอส?"
"ทำาไมต้องตะโกนด้วย" เซธดุขรึมๆ "ไม่
อายบ่าวไพร่บ้างหรือไง?"
สาวเลือดผสมทำาหน้าเหรอหรา หันมาถาม
มะแม
"เมื่อกี๊ฉันพูดดังเหรอ?"
สาวไทยอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็เงียบๆไม่
ตอบคำาหรือแสดงท่าทีใดๆ เนื่องจากกำาลังใจสั่น
เมื่อทราบความจริงทั้งหมด
ขณะนั้น เซธโบกมือเป็นสัญญาณให้บรรดา
คนงานซึ่งยืนคอยปรนนิบัติอยู่ในระยะ ๒๐ เมตร
นอกศาลาแปดเปลี่ยม มานำาของคาวออกไป
แล้วยกของหวานเข้ามาแทน
เรือพายลำาใหญ่ กั้นแดดด้วยหลังคา
ผ้าใบโค้งสีขาว มีนายท้ายคอยยืนพายให้ลอยลำา
เอื่อยไปในทะเลสาบ รอบด้านเหมือนหยุดนิ่งให้
ใจพลอยนิ่งตาม แผ่นฟ้าและผืนน้ำาสุดลูกหูลูกตา
พลอยเปิดใจให้ว่างโล่ง แต่ละขณะท่ามกลาง
ความสงัดงาม คือการดื่มด่ำาไปกับสีสันอันเป็น
อมตะแห่งธรรมชาติ สรรพสิ่งรอบรายดูจะคงอยู่
แต่ในนาทีนี้ และทำาท่าว่าจะไม่มีนาทีสุดท้าย
บนเบาะแดงหนาหนุ่มตรงกลางเรือ หนึ่ง
บุรุษกับสองสตรีนั่งหันหน้าเข้าหากัน และเริ่มสน
ทนาเบาๆหลังออกจากฝั่งมาเป็นครู่
"เมื่อถึงเวลาสถาปนาอาณาจักร และ
ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ ฉันจำาเป็นต้องมีทุก
องค์ประกอบของจักรพรรดิ และองค์ประกอบหนึ่ง
ที่สำาคัญอย่างขาดไม่ได้คือมเหสี พิธีแต่งตั้งพร้อม
งานอภิเษกสมรสจะมีขึ้นในวันเดียวกัน มีศักดิ์
เทียบเท่ากัน ไม่มีใครใหญ่หรือเล็กกว่า"
เซธเอ่ยเสียงเรียบ
"ควีนของบอสมีทั้งหมดกี่คนคะ?"
แน่นอน มีแต่ไอซิสที่กล้าถามเช่นนั้น
"เจ็ด!" ตอบแล้วเบือนหน้าไปเมียงมอง
ยอดเม้าท์คุกนิ่ง "แผ่นดินของโลกจะเปลี่ยนไป
จำานวนประเทศจะน้อยลง แต่ฉันก็ไปนั่งคุม
ทั้งหมดไม่ไหวอยู่ดี ต้องส่งพวกที่ฉันไว้ใจในระดับ
๕ ไปเป็นตัวแทนกันทั่วๆ"
"ว่าที่ควีนทั้งหลายมาพบบอสหมดแล้ว?"
"ครบหมดแล้ว... มเหสีแบ่งออกเป็น ๓
กลุ่ม เธอสองคนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาทำาความ
รู้จักกัน"
"แบ่งกลุ่มด้วยอะไรคะ?"
"ความเข้ากัน และสายสัมพันธ์ที่จะมีต่อไป
ถึงลูก"
"ก็แปลว่าการแบ่งข้าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จะ
ไม่หมดไปอยู่ดี "
"การจัดแบ่งอย่างถูกต้อง ดีกว่าการรวมกัน
อย่างผิดพลาด"
"ถามหน่อยเถอะ จริงๆหนูไม่ได้น้อยใจ
หรอกนะ แต่สงสัยว่าทำาไมมะแมถึงได้ระดับ ๕
ทั้งที่ยังไม่เคยทำางานให้บอสเลย? หนูอยู่กับบอส
มาตั้งกี่ปีเพิ่งมีสิทธิ์เจอหน้าเดี๋ยวนี้เอง"
"เธอถึงระดับ ๕ นานแล้ว แต่ต้องรอมาพบ
ฉันพร้อมมะแม ไม่งั้นถ้ามาก่อนนานๆ ก็อาจเข้า
กันยาก หรือรู้สึกเสมอกันยากขึ้น"
มะแมเหลือบแลเพื่อนสาวด้วยความฝืน
เกร็งหน่อยๆ และชิงถามเซธด้วยความอยาก
เบี่ยงเบนประเด็น
"ระดับ ๕ เป็นใครได้บ้างคะ?"
"มเหสี โอรส ธิดา แล้วก็มุขมนตรี พูด
ง่ายๆคือคนใกล้ชิดสนิท ที่ฉันไว้ใจให้ทำาหน้าที่
สำาคัญแทนได้ นำาผู้คนแทนฉันได้ ... แต่แน่นอน
ว่าเมียของฉันและสายเลือดของฉันเท่านั้น ที่ภาย
ภาคหน้ามหาชนจะให้การยอมรับเป็นตัวแทนสืบ
ราชวงศ์จริงๆ"
"หนูว่าไอซิสต้องเป็นคนโปรดของบอสยิ่ง
กว่าใคร"
เซธหันมายิ้มให้มะแม
"ทำาไมถึงคิดอย่างนั้น?"
"หนูไม่เคยเห็นใครทั้งสวย ทั้งเก่ง แล้วก็มี
ออร่าเจิดจ้าเท่าเขามาก่อน เมื่อครู่จะมาลงเรือ
หนูเห็นสัดส่วนและความสูงของเขาตอนเดินคู่กับ
บอสเหมาะกันยิ่งกว่าอะไร คนไทยเรียกกิ่งทองใบ
หยก"
ไอซิสเอียงคอหัวเราะอย่างรู้ทันว่ามะแม
พยายามยกให้ตนเด่นกว่า จึงเอนกายสวมกอด
อีกฝ่ายด้วยสองแขนเรียว
"ยังไงเราก็จะเป็นเพื่อนที่มีความรู้สึกเสมอ
กันตลอดไปนะจ๊ะที่รัก"
ว่าแล้วก็ยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มเพื่อนรักทีหนึ่ง
ก่อนคลายวงแขนหันมาถามเซธ
"ลูกๆของพวกหนูจะเป็นที่รักของมหาชนใช่
ไหมคะบอส นิมิตของหนูเกิดจากความเข้าข้างตัว
เองหรือเปล่า?"
"ทั้งราชวงศ์ของฉัน จะเหนือสามัญชนขึ้น
มาอย่างรู้ตัวว่าทุ่มเทสร้างโลกใหม่มากกว่าคนอื่น
ไม่ใช่เพราะสำาคัญว่ามีกำาเนิดสูงส่งกว่าคนอื่น
ฉะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจหากจะเป็นที่รัก เป็น
ขวัญใจของประชาราษฎร์กันหมด"
"หนูเห็นนิมิตเหมือนมีหนุ่มหล่อสาวสวย
เดินตามลูกๆของหนูกันเป็นพรวน บนเส้นทางสู่
ภูเขาที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง มันหมายความว่ายัง
ไงคะ?"
"หมายความว่าลูกๆของพวกเธอจะรูปร่าง
หน้าตาดีไปเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชน
ศรัทธาความดีที่สวยงาม ต่างจากปัจจุบัน ที่
บรรดาเทวดานางฟ้าตกสวรรค์ทั้งหลาย พากัน
แปลงร่างเป็นดาวโป๊บ้าง เป็นพวกถือโอกาส
ขายตัวบ้าง เป็นมิจฉาชีพหน้าซื่อใจคดบ้าง เลย
ชวนให้ผู้คนนึกถึงรูปงามคู่ความใจดำา ตลอดจน
เลิกเชื่อเรื่องเทวดานางฟ้ากันไปหมด"
มะแมฟังแล้วเห็นภาพเปรียบเทียบ โลก
มนุษย์วันนี้เหมือนสถานีเปลี่ยนศิริให้เป็นกาลกิณี
ราวกับบรรดาคนมีบุญเก่าทั้งหลายจะนัดกัน
กระตุ้นมวลชนให้อยากไหลลงนรก เห็นคนดีเป็น
ตัวตลก เห็นคนทำาเรื่องสกปรกเป็นเพื่อนกัน
ส่งตาแลยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตามเซธ
ความงามของเม้าท์คุกเหมือนลางสวรรค์ และนั่น
ก็เตือนให้นึกถึงอัคระขึ้นมา เขาไม่เคยวาดแผน
สร้างโลกใหม่ได้ชัดเจนเป็นฉากๆเท่าเซธเลย
อย่างมากก็พูดถึงความฝันอันแรงกล้า ที่จะ
เปลี่ยนโลกใบเก่าด้วยกำาลังใจเกินมนุษย์เท่านั้น
เซธสัมผัสความคิดของมะแม จึงเอ่ยอย่าง
ปรานี
"ความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ บางครั้งก็ไม่น่า
ภูมิใจเท่าความยิ่งใหญ่ที่ได้พยายาม"
มะแมสะดุ้ง หันขวับมาสบตาเซธ ก่อนเบือน
หน้าไปมองชายฝั่งแทนโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้
บุรุษผู้จะได้เป็นเจ้าของโลกกล่าวต่อ
"สำาหรับจักรพรรดิผู้หลงโลก มักได้อำานาจ
มืดมาจากการรบราและเข่นฆ่าผู้คน แต่จักรพรรดิ
ผู้เป็นธรรม ล้วนได้อำานาจสว่างมาจากการให้
ทานกับสิ่งมีชีวิตไม่เลือกหน้า อัคระไม่ได้ตาย
เปล่า เส้นทางการเกิดตายของเขาแค่ทอดยาวไป
บนวิถีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีธรรมเป็น
แสนยานุภาพอันเกรียงไกร และจะไม่มีใคร
เอาชนะได้ "
มะแมพยักหน้าน้อยๆพลางพึมพำา
"ยกเว้นบอส"
"ใครบอกเธอล่ะ"
"ก็บอสจะได้เป็นจักรพรรดิ ... ไม่ใช่พี่อัค"
เซธหัวเราะกระหึ่ม มะแมแปลความหมาย
ไม่ออก แล้วก็คร้านจะพยายามแปล เพราะอาจ
ชวนให้นึกว่าเซธกำาลังหัวเราะแบบผู้ชนะที่อยู่
เหนือผู้ชนะทั้งปวง
ถึงรู้ว่าอัคระเสวยสุขอยู่บนสวรรค์อย่างทรง
เกียรติ แต่เมื่อนึกถึงร่างไร้วิญญาณที่ถูกทิ้งไว้
อย่างเดียวดายในรถ เพียงเพื่อให้คนเลวคนหนึ่ง
รอดไปเป็นคนดีได้ น้ำาตาก็รื้นขึ้นมาด้วยความ
สงสารจับใจ ศพของเขาเหมือนคนแพ้หมดรูป
ที่ไหนจะเหลือศักดิ์ศรีไปเทียบกับเซธได้เล่า?
ถ้าอัคระไม่เอาตัวมาบัง ปล่อยให้หล่อนถูก
ยิงตายตั้งแต่ตอนอยู่ในเรือ มะแมอาจเป็น
วิญญาณที่มองย้อนกลับมาแล้วภูมิใจในตัวเอง
มากกว่านี้ ไม่น่าทำาให้หล่อนต้องถามตัวเองไปจน
ชั่วชีวิตที่เหลือ ว่ามีค่าแค่ไหน ถึงเอาชีวิตเขามา
แลกเพื่อให้หล่อนได้อยู่ต่อ?
ตั้งปณิธาน หากพบกันอีก หล่อนจะเป็น
ฝ่ายพลีชีวิตให้เขาบ้าง!
"เศร้าไปทำาไม เดี๋ยวก็เจอกัน"
เซธเอ่ยมาเนือยๆ แต่น้ำาเสียงของคนรู้ล่วง
หน้าได้จริง ก่อให้เกิดความอยากถามขึ้นมา
ทันใด
"เมื่อไหร่เหรอคะ?"
"อยากรู้จริงๆหรือ?"
มะแมชักเอะใจ สายตาและรอยยิ้มชนิดนั้น
เหมือนแฝงเลศบางอย่างอยู่ แต่จะกลัวอะไร ใน
เมื่ออยากรู้รุนแรงเกินห้ามใจขนาดนี้
"จริงสิคะบอส หนูอยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะได้
เจอพี่อัคอีก"
ปากแข็ง แต่หางเสียงสั่นพลิ้วด้วยความ
เกรงในสายตามีอำานาจของเซธ
"เธออาจจะต้องเสียใจในภายหลังนะ"
หญิงสาวผู้รอคำาตอบด้วยใจระทึกกัดริม
ฝีปาก หากการรู้ความจริงทั้งหมดจะต้องทำาให้
เสียใจ หล่อนควรจะยังยินดีที่ได้รู้อยู่หรือไม่ ?
"ค่ะบอส อย่างน้อยหนูไม่ต้องเสียใจที่รู้
ความจริงเพียงครึ่งเดียวก็แล้วกัน!"
เซธหัวเราะเบาๆก่อนทำาหน้านิ่ง ระบายลม
หายใจยืดยาวก่อนเผยความลับที่สำาคัญบาง
ประการ
"ถึงแม้ค้นพบเทคโนโลยียืดอายุ แต่ฉัน
ประจักษ์ว่าตราบเท่าที่จำาตัวตนเดิมได้อย่างต่อ
เนื่อง เราก็ไม่อาจปรับสภาพความรู้สึกให้เป็นอีก
คน การปรับสภาพร่างกายให้สดใหม่ในแต่ละ
ครั้ง อาจช่วยให้รู้สึกเหมือนกลับเป็นหนุ่มก็จริง
แต่จะเกิดความเบื่อหน่ายเยี่ยงคนดูโลกมานาน
แบบคนแก่อยู่ดี "
ไอซิสนึกออก และยิงคำาถามเข้าเป้า
"บอสวางแผนไว้ว่าจะอยู่กี่ปีคะ?"
"ไม่เกิน ๑๔๐ คือนับจากนี้อีก ๕๐ ปี เมื่อ
โลกใหม่ตั้งมั่นสมบูรณ์แล้ว ฉันจะเลิกต่ออายุ เพื่อ
เข้าสู่กระบวนการลืมเลือนตามธรรมชาติ ได้จาก
ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามทางของฉัน"
มะแมยังข้องใจ จู่ๆเซธเปลี่ยนเรื่องอัคระมา
เป็นเรื่องอายุขัยของเขาได้อย่างไร และกระแส
ความข้องใจนั้น ก็ดึงสายตาของเซธมาสบด้วย
เต็มๆ
"หลังฉันตาย ก็ต้องมีลูกสืบทอดบัลลังก์ ...
เธอทายซิว่าใคร?"
ดุจพื้นเรือทะลุหาย มะแมคล้ายร่วงหล่นลง
สู่ธารน้ำาแข็งยะเยียบเบื้องล่าง ตัวชาจากหัวจรด
เท้า แทบหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ
อะไรๆที่นึกว่าเข้าใจมาทั้งสิ้นทั้งปวง พลัน
หายวับไปกับตา สัมผัสทางใจบอกว่าเซธพูด
ความจริงทุกคำา ใจหล่อนเท่านั้นกำาลังอยากเป็น
เท็จอย่างที่สุด!
_________________________________________________________________________________
บทที่ ๓๐
หลังกลับจากนิวซีแลนด์ ชีวิตยังคงดำาเนิน
ตามปกติ ยกเว้นอภิสิทธิ์ที่เพิ่งได้รับมา นั่นคือ
สามารถเป็นฝ่ายโทร.หาเซธได้ตามต้องการ
โทรศัพท์ไม่ได้ปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
หล่อนแค่รู้วิธีโทร.ออก คือกดปุ่มรับสายแช่ไว้
นานพอก็เท่านั้น
เคยลองใช้สิทธิ์พิเศษของว่าที่ราชินีแห่ง
องค์จักรพรรดิไปสองหน ทว่าทั้งสองหนนั้นก็
ปรากฏข้อความขึ้นมาบนหน้าจอว่า "กรุณารอ
สัญญาณเรียกกลับ" ตั้งแต่นั้นมะแมเลยไม่
โทร.อีกเลย
อย่างไรก็ตาม เซธโทร.มาสม่ำาเสมอ ให้
เวลาหล่อนวันละ ๕ นาทีบ้าง ๑๐ นาทีบ้าง เพื่อ
เป็นการสร้างความผูกพันตามธรรมชาติของคนที่
กำาลังจะใช้ชีวิตด้วยกัน หากวัดตามเกณฑ์ของ
การคบหาสานสัมพันธ์รัก ก็อาจดูเหมือนเขาเจียด
เวลาให้หล่อนน้อยไป แต่หากมองว่าเซธเอาเวลา
๑๐ นาทีไปทำางานใหญ่ วางแผนสร้างโลกใหม่ได้
เป็นอเนกอนันต์ ก็ต้องเรียกว่าเขาใจดี มอบอะไร
ให้หล่อนยิ่งกว่าทองคำาแท่งวันละหลายหีบแล้ว
น้ำาเสียงทุ้มลึกของบุรุษผู้ทรงอำานาจมาก
ที่สุดในโลก เหมือนหลอมหล่อนให้ละลายได้ทุก
ครั้ง ลืมตัวลืมตนไปหมดว่าเป็นใคร ควรจะมีค่า
น่าต่อรองได้แค่ไหน
แต่พอวางสาย มะแมก็ชอบมานั่งนึกเปรียบ
เทียบ เมื่ออยู่กับอัคระนั้น แน่ใจว่าตนเป็นคนที่
เขารักและยอมแลกทุกสิ่งเพื่อให้ได้หล่อนมา แต่
กับเซธ หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำาว่าตนอยู่ในฐานะอะไร
กันแน่ ...
ตลอดเวลาที่อยู่ในปราสาทของเซธ มะแม
ไม่เคยเห็นเขามองเนื้อตัวหล่อนด้วยไฟปรารถนา
เลยสักหน ซึ่งแง่ดีคือไม่รู้สึกว่าตนเป็นเพียงวัตถุ
ทางเพศชั้นสูงที่เอาไว้ประดับบัลลังก์จักรพรรดิ
แต่แง่เสียคือได้เห็นว่าหล่อนมาอยู่ตรงนี้ เพียง
เพราะมีดีพอจะช่วยงานสร้างโลกใหม่ ไม่ใช่
เพราะมีเสน่ห์พอจะมัดใจเซธไว้ได้
จากการเสียความเชื่อมั่น กลายเป็นชนวน
ให้คิดมาก เช่น พอมานั่งนับลำาดับการมีโอกาส
ติดต่อทำาความรู้จักกับเซธแล้ว หล่อนอยู่อันดับ
๗...
พูดง่ายๆคือมาที่โหล่ !
แต่ความหมายทางใจกับเซธล่ะ หล่อนเป็น
ที่เท่าไหร่ ?
ด้วยความเป็นผู้หญิงสวย หล่อนเคยชินกับ
การเป็นที่ปรารถนาของผู้ชายทุกคน และด้วย
ความเป็นผู้หญิงเก่ง หล่อนเคยชินกับการเป็น
หมายเลขหนึ่งมาตลอด
จู่ๆวันหนึ่งก็ต้องมาตั้งคำาถามว่านี่หล่อน
เป็นที่โหล่ในสายตาใครหรือเปล่า?
หรือหล่อนไม่ควรจะคิดมาก เมื่อโลกถึงกาล
เปลี่ยนโฉม แผ่นดินใหม่ปรากฏ อย่างไรก็ต้องอยู่
ในความปกครองของเซธอยู่ดี ไม่ว่าจะอยู่แห่งหน
ตำาบลใด หากไม่สมัครใจอยู่ในอาณาจักรของเซธ
ก็เหลือทางเลือกที่เป็นไปได้ คือดวงจันทร์กับดาว
อังคารเท่านั้น!
นี่แบเบอร์ออกมาแล้ว กรรมดีที่สร้างไว้
ตอบแทนด้วยการให้หล่อนอยู่ในอาณาจักรแห่ง
องค์จักรพรรดิเยี่ยงนางพญา เป็นรองก็แต่
พระเจ้าเซธมหาราช แค่นี้ไม่พอแล้วแค่ไหนถึงจะ
พอ?
เกือบๆจะปลงตกก็คิดขึ้นมาอีก ตลอดทั้งรัช
สมัยของเซธซึ่งรู้ล่วงหน้าว่ามีกำาหนดระยะเวลา
ประมาณ ๕๐ ปีนั้น ถามว่าเซธจะมาอยู่กับหล่อน
นานแค่ไหน เขาอาจแค่ "ทำาตามหน้าที่ " สร้าง
ทายาทระดับ ๕ ทิ้งไว้กับหล่อนสักคนสองคน
ส่วนจะมาเมื่อใดก็คงต้องรอฟังฤกษ์สมควรจาก
ท่านปุโรหิตซีอุสอีกที
เวลานอกเหนือจากนั้น อาจต่างคนต่างอยู่
ไม่เจอหน้าแบบสองต่อสองอีกเลย ถ้าเจอก็
ประเภทวันรวมญาติ ได้ทักทายพูดคุยไม่กี่คำา
หล่อนคงมีหน้าที่หลักในการฟูมฟักลูกในช่วง ๑๐
ปีแรก แล้วก็นำาลูกไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อบ้างเป็นครั้ง
คราว ไม่บ่อยนัก
สรุปคือหล่อนจะเป็นความสุขให้คนอื่นได้
แน่ แต่ไม่รู้จะเป็นสุขอยู่กับตนเองหรือเปล่า
นึกถึงคำาของอัคระตอนอยู่ในเรือที่ว่า กับ
หล่อน เขาอยากเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง...
คำานั้นแหละที่ผู้หญิงอย่างหล่อนต้องการ
ไม่ใช่บัลลังก์จักรพรรดิ !
เห็นภาพความเป็นมหาอำานาจแห่งราชวงศ์
ที่ตนกำาลังจะมีส่วนร่วม สำาเหนียกว่าคนทั้งแผ่น
ดินต้องยอบกายพินอบพิเทาให้ ยอมรับว่ารู้สึกดี
กับเงื้อมเงาความเป็นใหญ่ในวันหน้า ตื่นเช้ามาก็
อาจนั่งนึกว่าจะออกไปแจกของย่านไหน หรือไม่ก็
ถามซีอุสว่ามีใครควรได้รับการอนุเคราะห์จาก
หล่อนบ้าง เสร็จแล้วตกเย็นกลับมานั่งอิ่มใจ ลง
บันทึกว่าวันนี้สร้างผลงานในโลกใหม่ไว้กี่ชิ้น
เซธออกปากจะยกแว่นแคว้นให้ปกครอง
มะแมไม่สนหรอกว่าแว่นแคว้นดังกล่าวใหญ่โต
มโหฬารปานไหน แต่คงสนุกพิลึก หากภายในสิบ
ปีหล่อนเปลี่ยนทะเลทรายให้กลายเป็นสวนนันท
วันชั้นดาวดึงส์ขึ้นมา แข่งกับความเจริญหูเจริญ
ตาในเขตที่ปกครองโดยนางพญาอื่นได้
เคยเล่นเกมสร้างเมืองในคอมพิวเตอร์
หล่อนว่าหล่อนมีไอเดียบรรเจิดอยู่ไม่น้อย กับทั้ง
เคยรู้สึกวูบๆวาบๆ หมายมั่นปั้นมืออยากลองของ
จริงอยู่หลายครั้ง...
ใครจะรู้ว่าวันนี้มีโอกาสเป็นจริงเป็นจังขึ้น
มาแล้ว!
แค่นิมิตแห่งนางพญาในพัสตราภรณ์พิลาส
ปรากฏกับใจ มะแมก็ขนลุกเกรียว เพราะรู้สึกถึง
ตัวตนอีกแบบ ที่อาจสั่งให้สร้างหรือทำาลายอะไรๆ
ในแผ่นดินของตนก็ได้ ถึงเวลานั้น คำาว่า "โลกนี้
เป็นของเรา" จะต่างจากการอุปมาอุปไมยยาม
ผู้คนได้สิ่งที่ต้องการเป็นคนละเรื่อง
แต่ ... เมื่อลองนึกถึงอีกภาพหนึ่ง ภาพของ
หล่อนกับอัคระอยู่ด้วยกันตามลำาพัง ไร้ทรัพย์ ไร้
อำานาจวาสนา ไร้บารมีปกครองแผ่นดิน มะแม
กลับรู้สึกถึงความสุขเรียบง่ายที่น่าปรารถนากว่า
กันเยอะ
หากเลือกได้ ... หล่อนจะขออยู่กับอัคระ
เงียบๆตลอดไป ไม่แยแสการเถลิงอำานาจเหนือ
โลกเลยจนนิดเดียว!
สำาคัญคือเลือกไม่ได้นี่สิ เพียงด้วยคำาไม่กี่
คำาของเซธที่เผย "ความจริงทั้งหมด" ออกมา
อย่าว่าแต่จะหมดหวังเรื่องการครองคู่แบบมีเนื้อ
หนังมังสากอดกระหวัดรัดเกี่ยวกัน แม้หวังจะให้
อัคระมองดูหล่อนด้วยดวงตาสวรรค์ ก็หมดสิทธิ์
แล้ว
อัคระจะถูกกรรมอันสมบูรณ์แบบ ขับดันให้
มุ่งสู่ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์ต่อไป และ
วิถีที่เหมาะสมคือมาเกิดในท้องของราชินีองค์ใด
องค์หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่หล่อน เขาจะเป็นพระบรมวงศา
นุวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาลพระองค์แรก ที่สมควร
ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสันตติ
วงศ์ โดยปราศจากข้อขัดแย้งหรือเสียงคัดค้าน
ใดๆ
นั่นแปลว่าอีกไม่นาน หลังราชพิธีแต่งตั้ง
พระมเหสีทั้ง ๗ อย่างเป็นทางการ จะมีเด็กทารก
คนหนึ่งเกิดมา
เมื่อได้เห็นหน้าทารก สาวเจ้าน้ำาตาคนหนึ่ง
จะหายไป กลายเป็น "คุณน้า" ที่ส่งสายตาเอ็นดู
เฝ้ามองการโตวันโตคืน จากเด็กตีนเท่าฝาหอย
ไปเป็นเด็กหนุ่ม ชายหนุ่ม และชายวัยกลางคน ผู้
สมควรสืบบัลลังก์ต่อจากพระบิดา
ระหว่างอยู่ที่นิวซีแลนด์ เซธถามให้คิดว่า
ถ้าหล่อนเป็นผู้หญิงของอัคระจริง ทำาไมถึงไม่ได้
อยู่ด้วยกัน ทำาไมอัคระถึงไม่ยอมแตะต้องทั้งที่
อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งแค่ไหนก็ได้ และสุดท้ายคือ
ทำาไมกำาลังจะต้องกลับมาเกิดร่วมสมัย ตำาตาตำา
ใจให้เห็นว่าเป็นรุ่นลูกกันอย่างนั้น?
คำาตอบคือหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงของอัคระ แต่
เป็นผู้หญิงของเซธต่างหาก!
ความทรงจำาเกี่ยวกับอ้อมกอดอุ่นหายไป
กลายเป็นความเห็นซึ้งถึงความไม่แน่นอน ไม่มี
ใครเป็นเจ้าของใครจริง แม้กับเซธ เดี๋ยวก็ต้อง
จากกันใน ๕๐ ปีอยู่ดี
เคยคิดว่าคุ้มที่จะเกิดตาย คุ้มที่จะทนทุกข์
แบบมนุษย์ เพียงเพื่อให้ได้พบอัคระไปทุกชาติ
ตอนนี้ความสมเหตุสมผลทั้งหลายดูเหมือนหาย
ไปสิ้น
แต่หล่อนจะเอาความทรงจำาอะไรเกี่ยวกับ
อัคระจากเด็กหน้าใหม่ได้เล่า? เขาจะมองตาแป๋ว
เรียกหล่อนว่าคุณน้า และจะได้เห็นหล่อนอยู่บน
บัลลังก์เคียงข้างกับเซธมาแต่อ้อนแต่ออก
นั่นแหละความจริงที่กำาลังจะเกิดขึ้น!
เมื่อเหตุผลที่สมควรเกิดตายหายไป สิ่งที่
เหลืออยู่ในใจคืออะไรกัน?
แค่คิดว่าจะเกิดตายเพื่อติดตามเป็น
บาทบริจาริกาของเซธ ไปเป็นราชินีของเซธทุก
ภพทุกชาติ ก็ชักเหนื่อยอ่อนขึ้นมารอนๆ
คิดดู บารมีของเซธล้นฟ้าปานไหน ขนาด
ไอซิสที่เหนือกว่าหล่อนทุกประตูยังเป็นได้แค่
หมายเลข ๖!
หากอยากเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง สงสัยต้อง
บำาเพ็ญบารมีอีกหลายชาติ กว่าจะได้เป็น
หมายเลข ๑ กับเขาบ้าง!
ลงเอยคือเมื่อไม่มีหล่อน เซธก็มีคนอื่นอยู่ดี
ถ้าหล่อนหายไป ใจเซธก็น่าจะยังเท่าเดิม ไม่
แหว่งวิ่นแม้แต่น้อย เหมือนของเล่นชิ้นเล็กๆที่ใคร
ทำาหายก็ไม่รู้ ไม่ทันสังเกต
เริ่มโตขึ้นมาทุกคนจะเรียกร้อง "ของเล่น"
สำาหรับตัวเองก่อน รอจนโตขึ้นอีกนิดจึงอาจเรียก
หา "ของจริง" สำาหรับชีวิตกัน
ของจริงอาจไม่ใช่บุคคลหรือวัตถุ แต่อาจ
เป็นทิศทางที่ใช่ หรือเป้าหมายที่ดีที่สุด และ
สำาหรับเซธนั้น ทิศทางและเป้าหมายกลายเป็น
ของจริงจับต้องได้ที่สุดแล้ว
หล่อนไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเซธ
แน่นอน ก็แล้วสำาหรับหล่อนล่ะ เซธคือเป้าหมาย
สุดท้ายหรือเปล่า?
เคยสนุกไปวันๆกับการเปลี่ยนชีวิตคนอื่น
ให้ดีขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ชักรู้สึกว่าการเปลี่ยนชีวิตคน
อื่นนั้นง่าย เพราะชีวิตใครๆต้องเปลี่ยนแปลงไป
เรื่อยๆอยู่แล้ว แต่การหยุดความเปลี่ยนแปลง
ชีวิตของตนเองให้นิ่ง คงที่อยู่กับความสุขความ
สบายใจต่างหาก ที่ยาก และเหมือนเป็นไปไม่ได้
เลย!
หลับสนิทอย่างสุขสบายเนิ่นนาน ก่อน
ปรากฏนิมิตฝันแจ่มชัดอย่างรู้สึกตัวว่ากำาลังฝัน
มะแมเห็นเด็กแรกเกิดมากมายที่ไม่ยอม
ลืมตา เอาแต่แหกปากร้องไห้จ้าแข่งกันเป็นร้อย
เป็นพันคน เน่ินนานจนมะแมรู้สึกว่าเสียงเด็ก
ร้องไห้ช่างหนวกหู ดุจข่ายคลื่นความทุกข์แห่ง
มหาจักรวาลที่ลั่นระงม กระหน่ำาซัดแก้วหูไม่รู้เลิก
และในระหว่างนั้นเอง เด็กบางคนก็เหมือนร้องสุด
เสียงเกินกำาลัง จนกระทั่งตาค้างในอาการขาดใจ
สิ้นลมไปเป็นร้อยอย่างน่าขนพองสยองเกล้า
ถัดจากนั้น บรรดาเด็กอ่อนที่นอนร้องไห้ก็
หายไป กลายเป็นเด็กหญิงเด็กชายวัยประมาณ
๕ ขวบหลายร้อยคนกำาลังกระโดดโลดเต้น
หัวเราะร่าอยู่ในสนามเด็กเล่น บางคนก็ลื่นล้ม
แสดงสีหน้าเจ็บปวด บางคนตกจากกระดานลื่น
ยกมือลูบหัวมาดู พอเห็นเลือดก็แผดเสียงร้องไม่
เป็นภาษา แต่บางคนหนักกว่านั้น ปีนต้นไม้สูง
แล้วพลัดหล่นลงมา นอนตาเหลือกคอหักตายคา
ที่อยู่บนพื้นนั่นเอง
ถัดจากนั้น บรรดาเด็ก ๕ ขวบหายไป
กลายเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาววัยประมาณ ๑๔ หลาย
ร้อยคน กระจัดกระจายอยู่กลางพื้นที่เต้นรำากว้าง
ใหญ่กว่าสนามฟุตบอล ส่ำาเสียงดนตรีสาดคลื่น
ความเย้ายวนใส่ราวจงใจกระตุ้นอารมณ์เพศ บ้าง
ก็ชม้อยชม้ายตาสนใจกัน บ้างก็จับคู่เล็งตาทอด
แขนเหนี่ยวคอกัน บ้างก็จับคู่ทอดร่างนอนกระสับ
กระส่าย เปลือยกายในอาการพยายามสมสู่ด้วย
ความลำาบาก บ้างก็แสดงอาการหึงหวงวิวาท
บ้างก็มองหน้าแล้วฆ่ากันด้วยดวงตาขุ่นขวาง
ถัดจากนั้น บรรดาวัยรุ่นหายไป กลายเป็น
คนวัยทำางานและวัยกลางคนนับร้อย กำาลังนั่ง
สัมภาษณ์เข้างานบ้าง วิ่งวุ่นหัวปั่นด้วยความรีบ
ร้อนเหมือนจะไม่ทันนัดบ้าง กำาลังหน้าเศร้าคอตก
หอบของออกจากที่ทำางานบ้าง กำาลังยืนเท้าเอว
เล็งแลทาวเฮาส์ที่กำาลังสร้างบ้าง กำาลัง
เหน็ดเหนื่อยลองชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวบ้าง กำาลังตื่น
กลางดึกมาป้อนนมลูกที่เรียกร้องลั่นบ้านบ้าง
กำาลังฟุบหน้ากับโต๊ะด้วยอาการเครียดจัดจน
ร่างกายทนไม่ไหว ออกอาการพยศหยุดหายใจ
ไปดื้อๆบ้าง
ถัดจากนั้น บรรดาหนุ่มสาวหายไป กลาย
เป็นหมู่คนผมหงอกไม่ถึงร้อย กำาลังเดินเข้าออก
สวนกันในโรงพยาบาล บ้างก็นั่งสนทนากันบนม้า
ยาวรำาลึกถึงความหลัง บ้างก็หัวร่อร่าเมื่อทราบ
ว่าลูกหลานมาเยี่ยม บ้างก็ร้องไห้ระทมที่ไม่เหลือ
ใครเลย บ้างก็พยายามปีนกำาแพงบ้านพักคนชรา
เพื่อหลบหนี บ้างก็ใจแข็งพยายามปีนราวกั้น
เหล็กของเตียงคนไข้ เพื่อให้ร่างอันผอมเหลือแต่
กระดูกตกกระทบพื้น จะได้ตายดับพ้นเวรพ้น
กรรมไปเสียที
ถัดจากนั้น บรรดาคนแก่คนเฒ่าหายไป
กลายเป็นภาพในศาลาสวดศพที่เต็มไปด้วยผู้คน
แต่งชุดดำานั่งหน้าสลอน บ้างก็ร้องไห้ตาบวม บ้าง
ก็ยิ้มกริ่มอย่างคนได้มรดก บ้างก็ทำาหน้าเฉยชา
อย่างไม่เข้าใจว่าคนเรากลายเป็นศพไปนอนใน
โลงกันทำาไม
ถัดจากนั้น ญาติโยมแต่งชุดดำาหายไป
กลายเป็นศพในโลงแก้วใสนับไม่ถ้วน ไม่ทราบว่า
กี่ร้อย กี่พัน หรือกี่หมื่นกันแน่ แต่ละศพมีผิว
พรรณต่างกัน บ้างก็ขาวใสน่าชื่นใจ บ้างก็ดำามืด
น่าเวทนา บ้างก็กะดำากะด่างอย่างไม่รู้จะเอา
อย่างไรแน่
ถัดจากนั้น โลงศพทั้งหลายหายไป เหลือ
แต่ศพเปล่าๆวางนอนเรียงราย บางศพกลายเป็น
รัศมีสุกสว่างเป็นวงกว้างแล้วปฏิรูปเป็นเทวดา
นางฟ้าสวมชฎาบ้าง บางศพกระจายตัวแล้วจุด
พลุความสว่างขึ้นในท้องมนุษย์ผู้หญิงบ้าง บาง
ศพกลายเป็นกลุ่มหมอกควันดำามืดหนาทึบ แล้ว
ม้วนตัวก่อรูปอสูรร้ายเขี้ยวงอกเขาโง้งบ้าง บาง
ศพยุบตัวลงควบแน่นเป็นหลุมดำาในท้องส่ำาสัตว์
นานาชนิดบ้าง
ถัดจากนั้น การเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย
หายไป กลายเป็นทิวแถวคนรู้จัก ค่อยๆทยอยเข้า
มาทักหล่อนทีละคน เริ่มจากพี่ป้าน้าอาซึ่งเคยเห็น
เคยรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อหล่อนยังเล็ก บ้างก็แยก
ไปสู่เบื้องหลังด้านซ้ายของหล่อนซึ่งเป็นข้างมืด
บ้างก็แยกไปสู่เบื้องหลังด้านขวาของหล่อนซึ่ง
เป็นข้างสว่าง
มะแมยืนหนาวเหน็บ นับในใจว่าชีวิตนี้คน
รู้จักของหล่อนตายให้ดูแล้วเป็นจำานวนเท่าไร เอา
เฉพาะที่ปรากฏนิมิตให้ระลึกยามนี้ นับเรื่อยๆอยู่
อึดใจใหญ่นาน ก็ปาเข้าไป ๒๖ คนแล้ว
แถวสั้นลงเหลือเพียง ๓-๔ คน ขนลุกซู่เมื่อ
เห็นแจ๊บยิ้มเย็นชาให้ เดินเข้ามาหาหล่อนไม่ต่าง
จากพี่ป้าน้าอาอื่นๆ ก่อนแฉลบผ่านไปทางด้าน
ซ้ายอันเป็นข้างมืด
จากนั้นเป็นรัฐกร ยิ้มสดใสและยกมือไหว้
หล่อนทีหนึ่ง ก่อนเดินผ่านไปสู่เบื้องหลังด้านขวา
อันเป็นข้างสว่าง
ถัดจากนั้นมาแปลก ตำารวจในเครื่องแบบ
คนหนึ่ง ยิ้มกล้า สีหน้าสีตายอมพลีชีพต่อหน้าธง
ไตรรงค์ได้ เขาตรงมาหาเหมือนสายตาไม่เห็น
หล่อน แล้วผ่ากลาง ทะลุหายไปข้างหลังเฉยๆ ซึ่ง
สลัวราง ไม่สว่างแต่ก็ไม่มืด เพิ่งนึกได้หลังจากที่
เขาลับหายไปแล้ว ว่าเป็นนายตำารวจที่หล่อนไม่
เคยเห็นหน้า แต่ก็พยายามช่วยสุดฤทธิ์ เสียดาย
ที่ชีวิตดีๆของเขาคงหมดเวลาอยู่ในโลกนี้ต่อ จึง
ต้องตายดับไป โดยไม่มีใครยื้อจากมือโจรผู้
กระทำาตนเป็นมัจจุราชมาได้
คนสุดท้ายในแถว กำาลังยืนหันหลังให้ ร่าง
สูงที่โดดเด่นจับตานั้น ตายกี่ชาติหล่อนก็จำาได้ ...
อัคระ!
นึกดีใจ บอกตนเองว่าฝันถึงเขาเป็นครั้ง
แรกเสียที นี่คงมาเข้าฝันหล่อนตามคำาเรียกร้อง
แล้วกระมัง?
แต่ทำาไมเป็นอย่างนั้น อัคระไม่หันกลับมา
เลย เขากำาลังเล็งแลอะไรอยู่ ในระยะห่างเพียงไม่
เกิน ๕ ก้าวเช่นนี้ ก็น่าจะรู้แล้วนี่นาว่ากำาลังอยู่
ใกล้แค่เอื้อมกับหล่อน
ไม่เป็นไร หล่อนเป็นฝ่ายทักเรียกเขาก่อน
ก็ได้
"พี่อัค!"
แก้วเสียงของหล่อนสดใสแบบผู้หญิงดีใจ
แต่นั่นไม่ได้ทำาให้อัคระขยับเขยื้อน เขายังคงแน่
นิ่งอย่างเงียบเชียบ ไร้สัญญาณบอกว่ารับรู้ถึง
การทักทายจากคนข้างหลัง
"พี่อัคคะ หันมาทางนี้สิ มะแมยืนอยู่นี่ไง"
แปลกที่ขาของหล่อนก้าวไม่ออก ได้แต่
ตะโกนเรียกท่าเดียว
"พี่อัค... พี่อัคไม่ได้ยินเสียงมะแมเหรอ?"
เนื้อตัวของอัคระคล้ายหุ่นปั้น แต่หล่อน
ทราบดีว่าเขามีชีวิต มีวิญญาณ และน่าจะตอบรับ
เสียงเรียกได้ ขอเพียงเขาเต็มใจ
"พี่อัค..." เสียงของมะแมเริ่มอ่อยลง "พี่
อัคแกล้งไม่ได้ยินมะแมใช่ไหมคะ?"
ร่างสูงสงบงันเย็นชาอยู่อย่างไร ก็เย็นชาใน
ความสงบงันอยู่เช่นนั้น นี่หรือคือคำาตอบสุดท้าย
จากความตายของบุคคลอันเป็นที่รัก ที่หล่อนหวัง
จะเกิดตายร่วมกับเขาไปทุกภพทุกชาติ ?
เม้มปากอย่างน้อยใจ น้ำาตาค่อยๆไหลลง
มา
ไม่เอา! หล่อนจะไม่ร้องไห้ ถ้าเขาหันหลังให้
หล่อนอย่างนี้ หล่อนก็จะไปอยู่กับเซธ ไม่เห็นต้อง
ง้อเลย นึกว่าหล่อนไม่มีทางไปหรือ?
แค่คิดถึงเซธนิดเดียว ภาพแผ่นหลังของอัค
ระก็หายไป โลงแก้วใสเป็นรูปโค้งมนผุดขึ้นตรง
หน้า ในนั้นคือศพของชายชรา ผมหงอก ผิวหนัง
เหี่ยวย่น อายุน่าจะเกินร้อยไปมาก จึงไม่มีความ
ชวนดูเอาเลย
มะแมยกมือปิดปากอย่างผวาหน่อยๆ แต่
แล้วยิ่งตกใจหนัก เมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
บางอย่างที่ฝ่ามือตน พอยื่นออกไปในระยะที่
สายตาเห็นได้ ก็พบท่อนแขนเหี่ยว หลังมือย่น
เส้นเลือดและเส้นเอ็นปูดโปนแบบยายแก่เหนียง
ยานเต็มขั้น
ลูบแก้มก็พบรอยย่น ทึ้งเส้นผมออกมาดูก็
พบว่าขาวโพลนทั้งกระจุก นี่หล่อนกลายเป็นนัง
หง่อมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คนเราหลงเพลินกับชีวิต
จนไม่รู้ตัวว่าแก่เร็วได้ขนาดนี้เลยหรือ?
ด้วยความอกสั่นขวัญผวา เกลียดกลัว
ความชรา มะแมฝืนเกร็งและพยายามดิ้นรน จน
กระทั่งสำานึกคิดอ่านแบบคนตื่นนอนกลับมา และ
ในขณะนั้น หล่อนยังพบว่าตนเองพยายาม
ลูบคลำาเนื้อตัว กับทั้งลืมตาขึ้นดูหลังมืออยู่ไม่วาย
อึดใจใหญ่กว่าจะเปลี่ยนตระหนกกลับมา
เป็นตระหนักเต็มร้อย ว่าเมื่อครู่ฝันไป และตนเอง
ยังไม่ได้เหี่ยวย่นลงจริงๆ หล่อนยังมีเนื้อหนังเต่ง
ตึง นุ่มนวล ฝาดเลือดสาวโสภา ไม่ต่างจาก
นางฟ้าเดินดินอยู่เช่นเดิม
ถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก แต่แล้ว
ก็ต้องผวาเยือก เมื่อเห็นว่าใครมายืนอยู่ข้างเตียง
ในความมืดเกือบสนิทนั้น
"อิ๊ก!"
"คุณแม่ฝันร้ายเหรอคะ?"
เดี๋ยวนี้หล่อนไม่ค่อยนอนล็อกประตู เพ
ราะอิ๊กชอบมาหาชอบมาเคาะเรียกบ่อยๆ พอขี้
เกียจเดินไปเปิดรับมากเข้า จึงปล่อยให้เข้ามาได้
ตามสบายเสียเลย
มะแมถอนใจซ้ำา ดึงตัวขึ้นนั่งพิงพนักเตียง
ลูบหน้าอย่างจะปัดความงัวเงียทิ้ง เพียงเพื่อพบ
ว่ามีหยาดน้ำาตาเปื้อนแก้มอยู่ด้วย ตอนแรกว่าจะ
เอื้อมมือเปิดไฟหัวเตียงเลยเปลี่ยนใจ
"เมื่อกี๊แม่ละเมอร้องดังหรือ?"
"ค่ะ"
"แล้วแม่ละเมอว่าอะไร?"
"ละเมอเรียกชื่อคุณพ่อ"
มะแมสะอึก นิ่งอั้นไปเป็นครู่ อย่างเพิ่งระลึก
ถึงความฝันก่อนหน้าฉากสุดท้ายได้
"อ้อ! เหรอ... ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่ฝัน
เรื่อยเปื่อย น้องอิ๊กกลับไปนอนเถอะไป"
"คุณแม่คะ" หนูอิ๊กดึงมือคุณแม่ยังโสดไป
กุม "มะรืนนี้วันหยุดของคุณแม่ เราไปหาแม่ใหญ่
กันไหมคะ?"
"ได้ซี ... แม่ก็ตั้งใจอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวคราว
นี้เราพาพี่หยิมไปด้วยดีไหม?"
"ดีค่ะ!"
เด็กน้อยทำาหน้าดีใจอยู่ในเงาสลัวราง
"งั้นคืนนี้เราต่างคนต่างแยกย้ายไปนอนต่อ
นะ อีกสองชั่วโมงค่อยตื่นมาทำาสมาธิกัน"
"ค่ะ"
เมื่อน้องอิ๊กออกจากห้อง มะแมก็ขบริม
ฝีปาก แล้วแอบสะอื้นเบาๆ เปิดทำานบน้ำาตา
ระบายความอัดอั้นที่ข่มไว้เมื่อครู่ออกมา ตามแรง
ขับดันท่วมอก
ความฝันมีอิทธิพลขนาดไหน วัดได้จาก
ความรู้สึกที่ตกค้างอยู่หลังจากตื่นมานี่เอง เคย
นึกว่าสะเด็ดความอาลัยได้ขาดแล้ว แต่แค่ฉาก
ฝันฉากเดียว กลายเป็นปฏักทิ่มแทงให้เจ็บปวด
ราวกับย้อนวันคืนกลับไปสู่จุดที่ไม่เคยทำาใจได้อีก
ครั้ง
รอกระทั่งแรงขับให้สะอื้นลดน้อยถอยลง
น้ำาตาเหือดแห้งแล้ว จึงลากลมหายใจยาวเพื่อตั้ง
สติ ย้อนระลึกแล้วทราบว่านิมิตอัคระเมื่อครู่ คือ
การปรุงแต่งแบบครึ่งฝัน ครึ่งสัมผัสจริง อัคระหัน
หลังให้ มิใช่เพราะหมดความไยดีหล่อนแล้ว แต่
ดวงจิตจริงๆของเขาถูกกรรมปรุงแต่งให้อยู่ใน
ภาวะพักรอการเกิดใหม่ ไม่วอกแวก ไม่พะวงมอง
ย้อนหลังกลับมาหาภพชาติที่ล่วงผ่านเหมือน
ปุถุชนธรรมดาทั่วไป
ระลึกถึงวาระสุดท้ายของเขา ช่วงอัคระจูบ
ตอบหล่อน หากเป็นคนปกติก็คงขาดใจไปด้วย
อาการผูกติดอยู่กับความรักความอาลัย เป็นเหตุ
จุดชนวนจิตดวงใหม่ที่ฝังใจอยู่กับคนรักในภพเก่า
ไม่เลิก
แต่ทั้งชีวิตของอัคระสร้างกรรมอันควรแก่
การมีจิตใหญ่เกินนั้น คือมุ่งประโยชน์ต่อโลกจน
นาทีสุดท้าย โดยไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่เลย
ความเมตตาไพศาลปานมหาสมุทรจึงทรง
อานุภาพใหญ่ ตัดใจจากภาวะเดิมได้เด็ดขาด
กระแสจิตเข้ารวมดวงเป็นหนึ่ง เป็นฌาน เป็น
สมาธิจิตระดับพรหมภูมิ ล่วงเลยสวรรค์ชั้นฟ้าที่
ยังมีมายาแห่งกามคุณอันเป็นทิพย์ไป
ภาวะแห่งพรหมภูมิเป็นอย่างไรมะแมไม่
อาจเห็นได้ สัมผัสแต่ว่าสุขุมนุ่มนวล ละเอียดอ่อน
และมีความไพจิตรเหลือประมาณ
กำาเนิดในพรหมภูมิของอัคระมิใช่เพื่อความ
ได้ดีเฉพาะตน แต่เป็นไปเพื่อรอฤกษ์เกิดขององค์
พระเจ้าจักรพรรดิราช อันสมควรแก่กรรมเดิมที่
ปรารถนาประโยชน์สุขต่อปวงชนอย่างไม่มี
ประมาณ
ความฝันของหล่อนยังบอกอะไรอีก? ก่อนนิ
มิตอัคระ คือนิมิตหมายแบบจิตสอนจิต ว่าเกิด
แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ ไม่ควรลุ่มหลงยึดติด ไม่
ควรสำาคัญว่ากระโดดลงแหวกว่ายในห้วงทะเล
ทุกข์เป็นของสนุก
แต่ถึงแม้เข้าใจลึกซึ้งถึงจิตเพียงไร ตราบใด
ที่ยังรัก ยังหลงเพศตรงข้ามได้ จิตก็ยังยึด ยัง
หวงแหนภาวะการเกิด แก่ เจ็บ ตายไว้ไม่เลิก
อยู่ดี
ชักง่วงงุนขึ้นมาอีก มะแมจึงหลับตา ตัดใจ
จากอาลัยในฝันเก่า หวนกลับมาอยู่กับนิทรา
สวัสดิ์เฉพาะหน้าแทน
พลังความปรุงแต่งแบบฝันชัดยังไม่สิ้น เมื่อ
ก้าวล่วงลงสู่ความหลับใหลอีกครั้ง ฝันใหม่จึง
ปรากฏในเวลาไม่นาน ภาพ เสียง และสัมผัส
ทั้งหมด ดูเป็นจริงเป็นจัง มีตัวตนจับต้องได้
ราวกับตื่นอยู่
เวิ้งฟ้ามืด จุดดาวไกล สายลมหนาว และ
แผ่นอกอุ่น ทุกอย่างกระจ่างยิ่ง หล่อนกำาลังนั่งซุก
ตัวแอบอิงอยู่กับชายที่สำาเหนียกรู้สึกว่าเป็นอัคระ
ปริมณฑลอันมีเพียงเขากับหล่อนอวลไอสุขเหลือ
จะกล่าว
โลกนี้ไม่มีใครให้ความอบอุ่นกับหล่อน
ท่ามกลางลมหนาวได้เท่าอัคระอีกแล้ว
รอบตัวมืดมิด แต่กลางใจกลับสว่างไสว ไม่
น่ากลัวแม้แต่น้อย มะแมค่อยๆเบนหน้าช้อนตา
หวังมองชายผู้เป็นที่รักให้สมกับความคิดถึง
แสงจากจันทร์เสี้ยวส่องแรง คล้ายเจาะจง
ฉายให้เห็นใบหน้าของเขาโดยเฉพาะ แต่แล้ว
มะแมก็ผงะ เมื่อพบว่านั่นไม่ใช่ใบหน้าของอัคระ
เป็นเซธต่างหาก!
ใจหล่นวูบแบบเดียวกับความรู้สึกตกหลุม
รักครั้งแรก ความรักหนึ่งแปรเป็นอีกความรักหนึ่ง
อย่างง่ายดาย ขอเพียงแรงดึงดูดประมาณ
เดียวกัน
เซธค่อยๆแปรสายตาจากฟ้ามืดเบื้องบนมา
มองหล่อน ดูเป็นชายเหนือชาย ไร้จุดอ่อน ล้อม
รอบด้วยสนามพลังแห่งความเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์
และสัตว์ไม่เลือกหน้า เช่นเดียวกับแผ่นดินพร้อม
จะให้แหล่งอาศัยกับใครก็ตามที่มาถึง
เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนอาจเอื้อมไปหน่อย ที่ขึ้น
มานั่งตักของ "ท่าน" ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว มะแมจึง
ถอยหลังไปนั่งพับเพียบก้มหน้าก้มตาเรียบร้อย
ก่อนเงยขึ้นมองผู้สมควรเป็นจักรพรรดิใหม่อีก
ครั้ง ด้วยความสำาเหนียกถึงการเปลี่ยนแปลงบาง
สิ่งที่ผิดปกติ
ตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าใน
แสงจันทร์ส่องที่เพิ่งดูหนุ่มแน่นอยู่หยกๆ กลับ
กลายเป็นเหี่ยวย่นลงทีละน้อย กระทั่งผิวหนัง
เหมือนเหือดแห้งได้ต่อหน้าต่อตา เหลือเพียงเนื้อ
บางๆที่ฉาบกะโหลก นัยน์ตาทรงอำานาจกลับฝ้า
ฟางไร้แวว แบบคนแก่ที่ทอดอาลัยตายอยาก รอ
คอยนาทีสุดท้ายที่จะมาถึงในไม่ช้า
มะแมยังไม่ทันขยับปากหวีดร้อง ร่างนั้นก็
ถล่มครืนลงมา เสื้อผ้าล่องหนหาย กลายเป็นกระ
ดูกขาวที่หักไปหักมาหลายท่อน แล้วเปลี่ยนเป็น
ผงกระดูกป่นเป็นกองใหญ่
จ้องมองตะลึงตะไล สายลมแรงค่อยๆพัด
พาผงกระดูกลอยตามไป มากบ้าง น้อยบ้าง นาน
อึดใจหนึ่ง ก็เหลือแต่พื้นหญ้าว่างเปล่า อัน
แสงจันทร์เสี้ยวสาดส่องเฉพาะที่ ไม่ต่างจาก
ลำาแสงบนเวทีละครฉากสุดท้ายฉะนั้น
มะแมชะงักค้างอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน
ทุกอย่างตกอยู่ในภาวะว่างเปล่าไร้ความหมาย
เหมือนจะไม่ให้รู้ด้วยซ้ำาว่าความมีชีวิตกับการสิ้น
ชีวิตแตกต่างกันอย่างไร
โหวงลึกก่อนรู้สึกตัวตื่น ราวกับเพิ่งผ่านการ
เห็นกายมนุษย์แตกสลายกลายเป็นผงมาสดๆ
ร้อนๆ ไม่ใช่เพิ่งผ่านฝันชั่วครู่ชั่วยามแต่อย่างใด
ชีวิตเป็นสิ่งโหดร้าย เพราะในที่สุดมันจะฆ่า
ทุกคนตายหมด!
เซธกับอัคระเก่งแค่ไหนก็ไม่เกินความตาย
อัคระตายไปแล้ว และอีกไม่กี่สิบปีเซธก็วางแผน
จะตายตามไป ถึงแม้ว่ากายจะถูกต่ออายุได้ แต่
ใจก็ทนเอือมชีวิตอมตะไม่ไหวอยู่ดี
แม้พระเจ้าจักรพรรดิยังเป็นหลักประกันให้
ตนเองไม่ได้ แล้วหล่อนจะไปยึดไว้เป็นสรณะ
อย่างไรเล่า?
ความเข้มแข็งที่สุดในโลกเป็นแค่ของ
ชั่วคราวอย่างหนึ่ง ไม่ใช่หลัก ไม่ใช่ที่พึ่งถาวรให้
ใครได้เลย
ถ้าชีวิตเป็นสุข เด็กคงไม่ร้องไห้เป็นลาง
ตอนเกิด แล้วญาติก็คงไม่ร้องไห้ส่งท้ายตอน
ตาย!
รุ่งขึ้นลูกค้าสิบเอ็ดโมงครึ่งผิดนัด มะแม
รออยู่เกือบสิบห้านาที เห็นว่ารอเก้อแน่ก็เปิด
ประตูลงบันไดมาชั้นล่าง
หยิมกำาลังดูโทรทัศน์ พอเห็นมะแมลงมาก็
เงยหน้าทัก
"พี่มะแม สงสัยรอบสิบเอ็ดครึ่งเบี้ยวค่ะ"
"จ้ะ ถึงมาก็คงต้องให้จองใหม่แล้ว"
ปลายเสียงหายไป ทำาไมหมู่นี้ชักนึกบ่อย
ขึ้นทุกทีว่าอย่าเปิดรับนัดเลย พอดีกว่า หล่อนน่า
จะพักร้อนยาวๆเหมือนชาวบ้านชาวเมืองบ้าง
สองปีที่ผ่านมามีแต่วันหยุดปกติ ไม่เคยมีวันหยุด
ยาวกับใครเขาเลย
"พี่มะแมจะกินข้าวเลยไหมคะ? เดี๋ยวหยิม
จัดให้ "
"รอเที่ยงตามเวลาก็ได้ ... นี่ดูอะไรอยู่ล่ะ?"
"ข่าวด่วนน่ะค่ะ ภูเขาไฟเมราปีที่
อินโดนีเซียระเบิด ตายกันอื้อเลย เห็นว่าเพิ่มขึ้น
เรื่อยๆด้วย โอ๊ย! โลกจะแตกหรือไงคะพี่มะแม
ช่วงนี้เริ่มมีสกู๊ปโลกาวินาศถี่ขึ้นทุกที เดี๋ยวช่อง
นั้นเอามาออก เดี๋ยวผู้เชี่ยวชาญด้านไหนออกมา
แสดงความเห็น บางคนบอกให้เตรียมตัว บางคน
บอกว่าอย่าไปเชื่อ เฮ้อ! แต่หยิมรู้สึกอย่างกะว่า
มันจะเกิดแน่ๆภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้งั้น
แหละ"
มะแมมาลงนั่งทอดตามองภาพภูเขาไฟพ่น
เถ้าถ่านสีเทาจากปากปล่อง พวยพุ่งขึ้นสูงร่วมหก
พันเมตร ด้วยความรู้สึกเฉยเมย โลกาวินาศ
สำาหรับหล่อนเกิดขึ้นไปแล้วตั้งแต่วันที่อัคระตาย
ถ้าแผ่นดินตรงหน้าจะยุบลงไปเดี๋ยวนี้ หล่อนก็
อาจทอดตามองอย่างเฉยเมยไม่ต่างจากดูภัย
พิบัติทางธรรมชาติในจอแก้วนั่นเอง
ชีวิตเป็นของเปราะบาง แต่ความคงรูปคง
ร่างทางกายหลอกความรู้สึกเราเหมือนชีวิตจะคง
อยู่อย่างนี้ตลอดไป...
รอบตัวคือแผ่นดินนิ่ง ชวนให้รู้สึกมั่นคง
เหมือนฝากชีวิตไว้บนฐานอมตะ ต่อเมื่อแผ่นดิน
สั่นไหวขึ้นมา จึงค่อยแก้ความเข้าใจใหม่ ได้รู้สึก
ตัวว่าชีวิตบนโลกนี้แขวนอยู่บนเส้นด้ายด้วยกัน
ทั้งนั้น
ไม่มียุคไหนที่มนุษย์เห็นเหตุผลว่าควร
เตรียมตัวตายเท่ายุคปัจจุบัน เพราะไม่มีกาลใดที่
โลกพังตัวเองให้ดูทีละส่วน ทีละภาคถึงขนาดนี้มา
ก่อน แถมยุคไอทียังมีกล้องไว้ถ่ายทอดความ
ภินท์พังได้ทุกวันจากทั่วทุกมุมโลกอีกต่างหาก
ว่ากันโดยเจตนา มะแมไม่เคยตั้งใจเตรียม
ตัวตาย แต่ว่ากันโดยพฤติกรรม หล่อนเตรียมตัว
ตายมาเป็นสิบปีแล้ว
คนเรากลัวตายเพราะห่วงข้างหลัง หรือหวัง
ข้างหน้า อยากโน่นอยากนี่จนหาความสบายใจ
ไม่ได้ ความไม่สบายใจนั่นแหละทำาให้กลัวตาย
ความไม่สบายใจนั่นแหละคือความไม่พร้อมจะ
ตาย และไม่คู่ควรกับการไปดี
แต่หล่อนสร้างความสบายใจให้คนอื่น หวัง
ให้คนอื่นพบชีวิตใหม่ที่ดีกว่า หล่อนเองจึง
สบายใจกว่าใคร และถึงแม้ไม่หวัง ก็รู้อยู่เต็มอก
ว่าชีวิตใหม่ของตนต้องดีกว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ จะ
เป็นสวรรค์ชั้นไหนหรือกลับมาเป็นมนุษย์ใหม่อีก
ไม่สำาคัญเลย
เมื่อวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมา อัคระโทร.มา
แต่เช้ามืด เพื่อเตือนให้ระลึกถึงวันเกิดอย่าง
เป็นสุข นาทีนั้นหล่อนรู้สึกเหมือนอัคระนั่นเอง คือ
ของขวัญให้กับการเกิดมา ตลอดจนเป็นรางวัล
ปลอบใจให้กับการยังมีชีวิตอยู่
แต่แค่เพียงข้ามวันไม่ทันไร ความตายของ
เขาก็กลายเป็นบทลงโทษอย่างอุกฤษฏ์ให้กับการ
มีลมหายใจของหล่อน ถ้ารู้ว่าเกิดมาแล้วจะมี
เรื่องเศร้าสาหัสขนาดนั้นรออยู่ ก็ขอเลือกไม่เกิด
มาเสียดีกว่า
แต่วันนี้ มีรางวัลใหม่มาล่อใจอีก...
โลกที่กำาลังแตกเป็นเสี่ยงๆทีละน้อย กำาลัง
จะสงบเรียบร้อยในไม่นาน เพื่อมาอยู่ในอุ้งมือ
ของหล่อน ในฐานะสตรีผู้ประทับอยู่เคียงข้าง
สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราช!
นึกถึงพระวัจนะของพระพุทธองค์ แล้วเริ่ม
เข้าใจผ่านประสบการณ์ตรงขึ้นมารำาไร รักหนึ่ง
ทุกข์หนึ่ง รักร้อย ทุกข์ร้อย
ความรักครั้งก่อนใช้เวลาไม่กี่เดือน ผูกใจ
หล่อนให้ยึดแน่น จนทุกข์ปางตายเมื่อถึงกาลต้อง
พลัดพรากจากกัน นี่หล่อนกำาลังจะผูกพันกับเซธ
ไปอีก ๕๐ ปี บุรุษผู้มีความเหนือกว่าคนรักเดิมทุก
ด้าน หากระหว่าง ๕๐ ปีมีแต่ดีกับดี มีกาย วาจา
ใจอันสว่างให้แก่กันไปเรื่อย วันไหนได้เวลาเขา
จากโลกนี้ไป อะไรจะเกิดขึ้น?
ตรอมใจตายตามเป็นอย่างไร อาจได้รู้ก็วัน
นั้นแหละ!
หยิมลุกขึ้นเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารกลาง
วันให้ มะแมจึงกดรีโมตเปลี่ยนช่องด้วยความ
เอือมข่าวภัยพิบัติ
แต่ช่องใหม่ก็เจอข่าวใหม่ คราวนี้ในไทย
ภาพที่เห็นเป็นรถโดยสารประจำาทางที่มีตำารวจขึ้น
ลงสำารวจความเสียหาย โดยผู้สื่อข่าวให้เสียง
รายงานประกอบภาพ ว่าวัยรุ่นเขวี้ยงระเบิดใส่
คู่อริบนรถเมล์ มีการบาดเจ็บระนาว ทั้งผู้
เกี่ยวข้องและคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ส่ายหน้าน้อยๆ เกิดเป็นมนุษย์สักกี่ครั้งก็คง
ได้เห็นอย่างนี้ร่ำาไป อะไรดีๆต้องพยายามทำาให้มี
ขึ้นมา แต่อะไรเลวๆไม่ต้องขวนขวายเลย เดี๋ยวมี
ได้เอง
พูดง่ายๆ ถ้าไม่พยายามดี ก็พร้อมจะเลว
แล้ว!
แต่ในเมื่อต้องเกิดใหม่กับความลืมตัว
ลืมตนเดิม ไม่รู้ว่าเข้าท้องพ่อท้องแม่คู่ไหนด้วย
เหตุผลกลใด แล้วจะมีกำาลังใจพยายามดีไป
เรื่อยๆทุกภพทุกชาติได้อย่างไร? มันต้องพลาด
บ้างล่ะ จะเป็นหล่อน หรือต่อให้แสนดีขนาดเซธ
กับอัคระก็ตาม
จากข่าวในประเทศ ตัดไปสู่ข่าวต่าง
ประเทศ สงครามยังส่งเสียงตูมตามขึ้นที่นั่นที่นี่
ไม่จบสิ้น ด้วยเหตุผลที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ
ว่าจะเอาอะไรกันไปทำาไมแน่
ไม่มีผู้ปกครองประเทศมหาอำานาจหน้าไหน
หรอก จะออกมายืดอกพูดกับประชาชนว่า
ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่จำาเป็น
ต้องหาเรื่องทำาสงครามไปเรื่อยๆ เนื่องจาก
สงครามเป็นรากฐานสำาคัญสำาหรับเศรษฐกิจ
ประเทศเรา ยิ่งเราก่อสงครามได้มากเท่าไร เงิน
ทุนก็จะไหลเข้าประเทศมากขึ้นเท่านั้น เป็น
หนทางฟื้นเสถียรภาพค่าเงินได้ทันใจดี ส่วนเหตุ
ผลอื่นๆเพื่อใช้ก่อสงคราม ข้าพเจ้าพูดตามที่ควร
พูดไปอย่างนั้นเอง คิดเสียว่าเป็นนิทานปลุกขวัญ
และกำาลังใจเพื่อชาติก็พอ
มะแมสลดใจ แผ่นดินแผ่กว้าง ถ้าเทียบ
ขนาดกัน มนุษย์เราก็เล็กแค่เศษฝุ่น แต่ทว่าเป็น
เศษฝุ่นที่สำาคัญผิด นึกว่าตนเองคือเจ้าของแผ่น
ดินทั้งหมดไปได้ !
อำานาจของผู้นำาประเทศทุกยุคทุกสมัย ดีแต่
เปลี่ยนคนอิสระให้กลายเป็นข้าทาสของตน จะไป
ยิ่งใหญ่น่านับถือสักเท่าใดกัน?
อำานาจของผู้ยิ่งใหญ่ในธรรม ที่ปลดแอกข้า
ทาสของกิเลสให้กลายเป็นไทต่างหาก จึงสมควร
เรียกว่าเป็นยอดแห่งอำานาจ เพราะไม่ต้องมีใคร
มาเป็นข้าทาสใครด้วยความจำาใจชั่วคราว มีแต่
คนหลุดพ้นจากความเป็นทาสมาให้ความนับถือ
กันด้วยหัวใจเต็มดวงตลอดไป
คนในโลกอยากเป็นหมายเลขหนึ่ง หรือไม่
ก็เป็นหนึ่งเดียว แต่มะแมชักโหยหาการไม่ต้อง
เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์
กับอะไรสักหนึ่งเดียว!
ความรู้สึกยามมาถึงสำานักชีเชิง
ตะกอนคราวนี้ เหมือนได้กลับบ้าน อาจเพราะ
นึกถึงจิตที่เป็นอิสระของแม่ใหญ่แล้วพลอยใจว่าง
หรืออาจเพราะนึกถึงความ "ไม่มีอะไร" ของ
สถานที่แล้วใจวาง เหมือนตัดขาดจากความผูก
พันใดๆในโลกเบื้องนอกลงได้อย่างสิ้นเชิง
อยู่ในอาณาจักรของเซธ มีแต่ของดี ของ
วิเศษ ชวนให้หลงนึกไปว่าชีวิตเป็นของดี ของ
วิเศษ
แต่อยู่ในสำานักชีของแม่ใหญ่ มีแต่ของ
ธรรมดา ของพอใช้ยังชีพให้อยู่รอด จึงพาให้เห็น
ว่าชีวิตเป็นของธรรมดา อยู่รอดเอาไว้เพียรเพื่อ
พ้นจากความหลงผิดเท่านั้นพอ
วันหนึ่ง ของวิเศษจะเป็นผุยผงไป และวัน
หนึ่ง ของธรรมดาก็ไม่รอดจากความเป็นผุยผง
เช่นกัน ยึดจับไว้ได้ชั่วคราวเท่าๆกัน โจทย์จึง
ไม่ใช่อยู่ที่ไหนดี แต่อยู่ที่ต้องการอะไรจากที่ไหน
ก่อน
เมื่อมะแมพาอิ๊กกับหยิมขึ้นมานั่งกราบแม่
ใหญ่บนชานเรือน ชายคนหนึ่งพร้อมด้วยภรรยา
กำาลังสนทนาอยู่กับท่าน
"ผมไปนึกถึงความตายตามที่แม่ใหญ่สอน
จิตใจมันหดหู่ แล้วตอบตัวเองไม่ถูกว่าทำาไมเรา
ต้องมานึกถึงเรื่องน่าหดหู่อย่างนี้ด้วย"
"ถ้านายพงศ์นึกถึงความตายที่จะทำาให้สูญ
เสียความสุข ต้องจากลาเมียหน้าตาจิ้มลิ้มข้างๆนี่
ไป ความตายก็ดูน่าหดหู่เป็นธรรมดา แต่ถ้านาย
พงศ์นึกถึงความตายที่จะทำาให้ได้ทิ้งความทุกข์
ได้หนีเจ้าหนี้หน้าเลือดไป ก็ชวนให้สบายใจไม่
น้อยเลยใช่ไหมล่ะ?"
นายพงศ์หัวเราะแหะๆ ย้ิมอายๆ พนมมือ
รับ
"ครับ... ต้องอย่างนั้นครับแม่ใหญ่ หลายปี
ก่อนผมเคยแทบจะฆ่าตัวตายก็เพราะอยากหนี
เจ้าหนี้นั่นแหละ"
"นั่นไง! แต่ไหนแต่ไรคนเรามีปัญหารุมเร้า
กดดันให้หนักอกมาตลอด เธอจึงรู้สึกว่าทุกข์เป็น
ของติดตัว และจะแกะไม่ออกตลอดไป... การมี
คำาว่า 'ตลอดไป' อยู่ในหัวนั่นแหละ คือความหลง
ยึดมั่นสำาคัญผิดว่าความทุกข์โทมนัสนั้นเที่ยง
อย่างไรเธอก็ไม่มีทางหายทุกข์ ... แต่หากฝึก
ระลึกถึงความตาย เจริญมรณสติให้มาก ก็จะเกิด
ความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบ เหมือนนับถอยหลังว่า
เราจะอยู่กับทุกข์ทางกาย ทางใจ อีกไม่นาน"
"แปลว่านึกถึงความตาย จะได้รู้สึกว่าไม่
ต้องเจอเรื่องร้ายๆอีกต่อไปใช่ไหมครับแม่ใหญ่ ?"
"นึกแบบนั้นถึงทำาให้คนอยากตายเร็วไง
เรื่องจะได้จบๆ"
นายพงศ์หัวเราะ
"งั้นจะต้องนึกถึงความตายให้ถูกต้องตรง
ทางอย่างไรครับ?"
"การเห็นความตายว่าเป็นประตูหนีทุกข์
คือการนึกถึงความตายแบบโลกๆ พระพุทธเจ้า
ท่านสอนให้นึกถึงความตายโดยความเป็นธรรมะ
คือ เห็นว่าความตายเป็นเครื่องหมายของการสูญ
เสียสิ่งที่นึกว่าเราเคยมี เราเคยเป็น เราเคยครอง
เมื่อตรองด้วยมุมมองนี้แล้ว ใจก็จะเกิดปัญญา
รู้สึกถึงความไม่ได้เคยมีอะไร แล้วก็ไม่เคยเป็น
ใครจริง ที่ผ่านมาสักแต่หลงยึดในสมมุติว่าเราชื่อ
นั้นนามสกุลนี้ มีบ้านมีรถ มีลูกมีเมียกันชั่วคราว
เท่านั้น"
แม้นายพงศ์ไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกสบายใจที่ได้
ฟัง
คนที่ได้ไปเต็มๆ กลับเป็นผู้มาทีหลัง มะแม
มองแม่ใหญ่ด้วยความเข้าใจภาวะของท่านมาก
ขึ้น แม่ใหญ่เป็นคนหนึ่งที่จะไม่มีโลกใหม่ จึงไม่มี
ความหวังใหม่ และสอนให้เตรียมรับมือกับ
โลกาวินาศเฉพาะตนด้วยใจที่ว่างจากอาการยึด
เท่านั้น
อยู่บนกุฏินี้ทีไร ตาสว่างขึ้นทุกที คน
ธรรมดาเอาตัวตนมาข่มกัน แต่ใจท่านแม่ใหญ่
เอาความรู้สึกไม่มีตัวตนมาสอนแทน แค่เห็นหน้า
ท่านก็พลอยเบาตามแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง มะแมรู้สึกถึงความเป็นตนที่นั่ง
อยู่แบบโง่ๆในกรงขังแห่งรูปสวย ทึบแน่นด้วย
เมฆหมอกอุปาทาน
แล้วพร้อมกันนั้น ก็สัมผัสรู้สึกถึงแม่ใหญ่ที่
นั่งสบายอยู่ด้วยปัญญาอันเป็นอิสระไร้ประมาณ
แม้กายท่านจะเต็มไปด้วยรอยย่นแห่งชราภาพ
แต่ดวงจิตอันแผ่รัศมีอุเบกขาเท่าฟ้า ก็หารอยยับ
มิได้เลย จะมีก็แต่ความสดชื่นตื่นเต็มสถานเดียว
นั่นคือวาระแรกที่ปรารถนาจะเป็นอย่างแม่
ใหญ่ ท่านพูดอะไรก็พูดด้วยเมตตาจากจิตที่ว่าง
จากความคิดเบียดเบียน ท่านสอนอะไรก็สอน
ด้วยความรู้แจ้งจากจิตที่ว่างวายอุปาทานในตัว
ตน ท่านดูใครก็ดูอุปสรรคที่ขวางเขาไม่ให้เข้าถึง
จิตที่ว่างจากความทุกข์ร้อน
อย่างนี้เองที่แม่ใหญ่เคยบอกหล่อน ตัวเรา
เป็นอย่างไร ก็เป็นประตูสู่ความเป็นเช่นนั้นให้คน
อื่น!
สำาหรับเพศหญิง ไม่มีแรงบันดาลใจใดดีไป
กว่าเห็นผู้หญิงด้วยกันประสบความสำาเร็จบนเส้น
ทางธรรม แม่ใหญ่นี้แหละที่จะช่วยให้หล่อนเกิด
ศรัทธา อยากเอาดีถึงที่สุด ด้วยการมีแก่ใจดู
ความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของกายใจให้ต่อเนื่อง
แค่เพียงนั่งใกล้และฟังธรรมจากท่านผู้
บริสุทธิ์ครู่ใหญ่ ใจก็เหมือนจะรับกระแสวิเวกสงบ
เย็นเข้าสู่ตนเต็มเปี่ยม เหมือนจิตปฏิรูปการรู้ เป็น
รู้ที่ใส รู้ที่เบา รู้ที่ไม่มีฉัน รู้ที่ไม่มีการแบกไว้
เลียนแบบแม่ใหญ่ได้รำาไร
เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ว่าผลสุดท้ายของการ
ปฏิบัติแบบพุทธแท้ เป็นอะไรที่ไม่มีใครคิดไปได้
ถึง เพราะจะเข้าถึงได้ต้องใจเด็ด สลัดเปลือกหนัก
ที่ห่อหุ้มเป็นอุปสรรคขัดขวางออกไปให้หมดเสีย
ก่อน
นายพงศ์และภรรยาพูดคุยสอบถามธรรมะ
แบบชาวบ้านอีกพักหนึ่ง ก็หันมายิ้มและหลีกทาง
ให้กลุ่มของมะแม
แม่ใหญ่ยิ้มทักมะแม แต่หันไปเอ่ยคำาแร
กกับอิ๊กก่อน
"เป็นไง... พิรมล... ฉันจำาชื่อใหม่ของเธอ
ไม่ได้ เรียกอย่างเดิมก่อนแล้วกันนะ"
"เจ้าค่ะ"
หนูอิ๊กพนมมือรับด้วยปีติ เพราะใจก็อยาก
ให้แม่ใหญ่จำาตนโดยความเป็นคนเดิมเช่นกัน
"แล้วหนูหน้าใหม่นี่ตามเขามาด้วยความ
สนใจอีกคนหรือ?"
แม่ใหญ่หันมาทางหยิม ซึ่งกำาลังกระสับ
กระส่ายอยากเสนอหน้าอยู่ก่อน
"หนูชื่อหยิมเป็นลูกจ้างของพี่มะแมเจ้าค่ะ...
น้องอิ๊กเล่าเกี่ยวกับแม่ใหญ่ให้หยิมฟังแล้วอยาก
มากราบมาก วันนี้เป็นบุญจริงๆที่ได้มา"
"มาหาธรรม ก็คือมาหาความชื่นใจนั่นเอง
ลูกเอ๋ย"
ทั้งที่ถ้อยคำาธรรมดา แต่กระแสที่ออกมา
จากคำาของแม่ใหญ่เหนี่ยวนำาให้หยิมตื้นตันจนตา
เปียกชื้น
ขณะนั้น มะแมสัมผัสถึงความเกาะเกี่ยว
ความผูกพันกับสองนางที่ขนาบข้างตนในฐานะ
บริวาร กับทั้งสำาเหนียกได้ว่าเงาร่างทั้งสองเบ่ง
บานอยู่ด้วยความลิงโลดที่แม่ใหญ่เอ่ยปาก
ทักทายเจรจาด้วย
ส่วนร่างหล่อนที่นั่งอยู่ตรงกลาง มีความ
ว่างอย่างรู้ รู้ว่าตนมีสองหูเป็นเครื่องรับเสียง มี
สองตาเป็นเครื่องรับภาพ กับใจดวงหนึ่งที่สันโดษ
ปรารถนาเพียงสัมผัสรสธรรมตรงหน้าอันว่างจาก
ทุกข์ ไม่มีความถือมั่นว่านี่หน้าตาเรา นั่นหน้าตา
เขา จึงไม่มีอาการรอคำาทักทายให้ความสำาคัญ
กับตนเลย
ขณะนั้นเอง แม่ใหญ่ค่อยๆเบนสายตามา
ทางมะแม แย้มยิ้มงดงาม ก่อนเทศนานิ่มนวล
ตรงกับภาวะที่หล่อนกำาลังประสบ
"กายแบบนี้ กับใจแบบนี้ กระตุ้นให้เกิด
จินตนาการขึ้นมาแบบหนึ่ง แบบที่ทำาให้นึกว่ามี
เราจริงๆขึ้นมาคนหนึ่ง และจะเป็นคนๆนั้นตลอด
ไป ต่อเมื่อสักแต่เห็นว่ามันเป็นแค่เครื่องรับภาพ
เครื่องรับเสียง เครื่องรับสัมผัส ร่างกายก็ไม่ต่าง
จากโพรงไม้กลวงๆ ที่ไม่มีบุคคลอาศัยอยู่ มีแต่
ธาตุจิตอาศัยรู้ไปต่างๆนานา"
มะแมกะพริบตายกมือไหว้รับธรรมอย่าง
อ่อนน้อม เมื่อครู่ตอนเห็นว่าตนเป็นแค่กาย
เปล่าๆกับใจเปล่าๆ ก็เหมือนไม่มีค่าอะไร แต่
พอใจโดนปรุงแต่งจากความใส่ใจของแม่ใหญ่ ก็
เกิดความรู้สึกว่ามีหน้ามีตา กายใจเหมือนมี
ความสำาคัญเกินจริงขึ้นมาทันที
สภาพทางกายเหมือนเดิม แต่สีสันปรุงแต่ง
ทางใจต่างไป นั่นนับเป็นวาระแรกที่รู้สึกถึง
อาการปรุงแต่งทางใจชัดๆ
เมื่อรู้ชัดว่าสักแต่เป็นอาการปรุงแต่ง
อาการปรุงแต่งก็เลือนหายไปให้ดูเหมือนพยับ
แดด เหลือแต่ความว่างใสอย่างรู้ว่านี่แค่สภาวะ
ชั่วคราวหนึ่งของจิต
"ต้องเกิดตายกันหลายครั้งนะ กว่าจะสั่งสม
บุญ สะสมปัญญามากพอกับการเห็นได้ขนาดนี้ ...
นับแต่กายใจบนดินไปจนสิ้นดาวบนฟ้า ไม่เคยมี
ไว้ให้ใครยึดครอง มีแต่ให้ทอดทิ้งไว้กับความว่าง
ทั้งหมด ถึงใจเราจะทุกข์เพราะไม่รู้ หรือเป็นสุข
เพราะเห็นแจ้ง ทุกสิ่งและทุกคนก็จะล่องหนหาย
ไป เท่ากับจำานวนที่ปรากฏขึ้นมานั่นเอง!"
มะแมใช้เวลาระหว่างขับกลับจากสำานักชี
มาถึงบ้าน ถามใจตัวเองจนเกิดความหนักแน่น รู้
ชัดว่าตนต้องการอะไรจากชีวิตที่เหลือ
ปล่อยให้ลูกสาวขึ้นไปอาบน้ำา แต่รั้งหยิมไว้
ไม่ให้แยกไปไหน
"หยิม"
"ขา"
"ลูกค้าคนล่าสุดอยู่เดือนไหน?"
"ปลายมกราฯค่ะพี่ "
"โอเค... งั้นเราทำางานกันอีกสามเดือน
ตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ต้องรับนัดแล้วนะ"
หยิมอ้าปากค้าง
"พี่มะแมจะ..."
"พี่จะไปอยู่กับแม่ใหญ่ !"
หยิมเงียบงันด้วยความใจหาย รู้ว่าการ
ตัดสินใจของนายสาวมิใช่เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่น
แต่อย่างใด แต่ก็ถามแบบติดปาก
"แน่ใจหรือคะพี่ ?"
"เธอเอาญาติจากต่างจังหวัดมาอยู่ที่นี่ได้ พี่
จะโอนบ้านให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเธอ รถนี่ก็จะให้
เธอ พร้อมทั้งทุนก้อนใหญ่พอตั้งเนื้อตั้งตัว ทำา
ร้านทำาอะไรที่เธอต้องการ"
สาวลูกจ้างอึกอักแบบเกรงใจ แต่ก็ปีติกับ
ชีวิตใหม่แค่เอื้อมเป็นระลอก
"ขอบคุณค่ะ" ยกมือไหว้ท่วมหัว "แล้วพี่
มะแมมีเงิน..."
"อย่าห่วง พี่ได้เงินจากเทวดามาเยอะ และ
ตอนนี้รู้ชัดแล้วว่าท่านต้องการให้ใช้ทำาอะไรบ้าง"
พูดจบก็เดินขึ้นชั้นบน เข้าห้องทำางาน หยิบ
โทรศัพท์พิเศษขึ้นมากดปุ่มค้างไว้ ภาวนาให้เซ
ธรับสาย และเขาก็รับเป็นครั้งแรก โดยไม่ต้องมี
ข้อความรอเรียกกลับเหมือนเช่นที่ผ่านมา
"สวัสดีค่ะบอส"
"อือ... สวัสดี "
เขาตอบเนือยๆเป็นภาษาไทย ไม่ต้องเดาก็
รู้ว่าเขารู้ ในเมื่อเจตจำานงของหล่อนตรงแน่วและ
เข้มข้นเสียขนาดนี้
"หนูรักบอส"
นั่นเป็นคำาสารภาพที่เขาไม่เคยเอ่ยกับ
หล่อน และมะแมก็ไม่นึกอายที่เป็นฝ่ายพูดก่อน
"ฉันรู้ "
เสียงของเซธซึมลง มะแมเชิดคางนิดหนึ่ง
"นาทีแรกที่ได้ยินเสียงบอส ยอมรับว่าหนู
โมโห แล้วก็คิดไปต่างๆนานา ใจสงสัยว่ากล้าดี
ยังไง ถึงมาบงการให้เราทำานู่นนี่นั่น สั่งกันราวกับ
เห็นเป็นคนใช้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมักจี่เลยสักนิด"
ว่าที่พระเจ้าจักรพรรดิหัวเราะเอื่อยเฉื่อยใน
ลำาคอ
"ฉันชินของฉันอย่างนั้น ถ้าทำาให้เธอไม่
พอใจก็ขอโทษด้วย"
"ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เพราะหนูกำาลังจะ
บอกว่าแปลกดี ตั้งแต่ครั้งแรก หนูก็อยากได้ยิน
เสียงสั่งของบอสอีก เหมือนมันมีเสน่ห์ติดหู หรือ
มาก้องในหัวให้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา... คงเพราะ
บุญญาบารมีที่บอสสั่งการให้ใครต่อใครทำาแต่
เรื่องดีๆมาเกือบร้อยปีกระมัง"
"ตอนหนุ่มๆฉันก็เคยสั่งให้คนทำาชั่วเหมือน
กันแหละ คนที่โตมากับสงครามล้างโลกควรเป็น
ยังไง เธอน่าจะเดาถูก"
"ค่ะ... จิตของบอสก็ยังมีความเป็นนักรบ
อยู่นะคะ เพียงแต่ตอนนี้เอามาใช้ในทางสร้าง
ไม่ใช่ทำาลาย"
"อือม์ ..."
"ถามหน่อยเถอะ เบอร์หนึ่งในใจบอสสวย
กว่าหนูเยอะไหม?"
"อย่าถามอย่างนั้นเลยน่า เธอก็รู้ว่าฉันต้อง
มีราชินีหลายองค์ไม่ใช่ด้วยความมักมาก... ต่อ
ไปพรมแดนประเทศต่างๆจะถูกทำาลายลง และมี
การแบ่งเขตการปกครองกันใหม่ ทางลัดที่สุดที่
จะรวมศูนย์อำานาจไว้ที่ฉัน ก็คือต้องใช้นางพญา
หรือสายเลือดที่เป็นระดับ ๕ ของฉันไปดูแล"
"หนูถามเรื่องสวย บอสเลี่ยงไปพูดเรื่อง
ระดับ ๕ ทำาไมเนี่ย?"
"เธอยังอยากฟังคำาตอบแบบชาวโลกอยู่อีก
หรือ? คนแบบพวกเราน่าจะคิดเรื่องเอาความ
สวยที่มีไปสร้างความแตกต่างได้แค่ไหน
มากกว่า"
มะแมลดเปลือกตายิ้มนิดๆก่อนเอ่ย
"ไม่มีผู้หญิงคนไหนคิดแบบบอสหรอกค่ะ...
ตอนนึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก มะแม
ก็ไม่เคยสนใจเปรียบเทียบกับใครหรอก แต่พอรู้
ว่ามีผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกอยู่อีก ๖ คน แถม
ทั้งหมดมีสิทธิ์เหนือกว่ามะแมเสียด้วย ขอบตาก็
ชักร้อนๆขึ้นมาบ้างแล้ว!"
"เชื่อเถอะ ค่าของพวกเธอในใจฉันเสมอกัน
หมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่าใครเลย"
"มันจะเป็นไปได้ยังไงคะ? ขนาดหนูนั่งอยู่
กับไอซิสสองคน ถึงบอสจะทำาเป็นแจกจ่าย
สายตาเฉลี่ยมาครึ่งๆ แต่หนูก็รู้ว่าเสน่ห์ของแม่
นั่นแรงกว่า ดึงดูดใจให้บอสวูบไปทางนั้นได้บ่อย
กว่า... บอสจะปฏิเสธไหม?"
"นั่นอาจจะเป็นเพราะไอซิสมีใจฝักใฝ่กับฉัน
มานาน เลยกล้าเล่นกล้าเย้ามากกว่าเธอ ใจเธอ
เกินครึ่งยังผูกพันกับอัคระ... และอีกอย่างเธอคง
ไม่อยากเห็นฉันแสดงกิริยาก้อร่อก้อติกแม้ด้วยใจ
ไม่ใช่หรือ?"
มะแมอึ้ง แต่พอเถียงไม่ออกก็รีบตัดบท
แบบไม่ยอมจนแต้ม
"หนูรู้น่า บอสไม่ต้องพูดหรอก!" กลอกตา
คิดแวบหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ย "แล้วที่บอกว่าหนู
กับไอซิสน่าจะเข้ากันได้ดี หนูว่าใช่นะ แต่ก็รู้ใจตัว
เองค่ะว่าเจอผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่ทำาให้อิจฉาได้
เข้าแล้ว... ผู้หญิงอิจฉากันนี่จะรักกันยืดหรือคะ
บอส"
"ยืดสิ ! ถ้าสนใจผลของงานที่เกิดจากการ
ร่วมมือกัน มากกว่าสนใจว่าวันไหนใครดูเด่นกว่า
ใคร"
หญิงสาวหัวเราะหึหึ
"หนูชอบฉายเดี่ยวเสียด้วยสิคะ... ตอนไป
หาบอส ยายไอซิสบอกหนูว่าไงรู้ไหม? บอกว่าถ้า
บอสสั่งให้ไปตายเขาจะไป... หนูก็คิดว่าบ้าหรือ
เปล่า เป็นเจ้าชีวิตเหรอถึงจะยอมกันง่ายๆ... แต่
หลังจากใกล้ชิดบอสมากขึ้น หนูก็ชักเข้าใจนะ ไม่
เกินปีเดียวหนูคงรู้สึกแบบเดียวกับยายลูกครึ่ง
อียิปต์นั่นแน่ๆ!"
"อย่างมากตอนหนุ่มๆฉันก็สั่งให้คนเสี่ยง
ตาย แต่เกิดมาไม่เคยสั่งให้ใครไปตายเลย
สาบานได้ "
เซธตอบอย่างอารมณ์ดี แต่มะแมก็เปลี่ยน
อารมณ์เร็ว ถามมาอีกทาง
"บอสรักหนูบ้างหรือเปล่า หรือคิดจะเอาไว้
ใช้งานอย่างเดียว?"
บุรุษผู้กำาลังจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของโลก
มนุษย์ทั้งใบ กระแอมขลุกขลักก่อนตอบเบาๆไม่
ค่อยเต็มคำา เพราะประดักประเดิดที่โดนรีดไถคำา
สารภาพกันดื้อๆ
"รักสิ ... เธอกับฉันผ่านภพผ่านชาติมาด้วย
กันไม่น้อยหรอก"
"ส่วนใหญ่ในฐานะอีหนูของบอสใช่ไหม?"
"ครองคู่ผัวเดียวเมียเดียวก็บ่อยน่า"
มะแมเม้มปากครู่ใหญ่ อย่างไรหล่อนก็รู้สึก
เหมือนเป็นแค่หนึ่งในสมบัติล้ำาค่าของเซธ ช่าง
แตกต่างอย่างเหลือเกินกับการเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด
ของอัคระ
"ความรู้สึกที่มีให้บอส หนูไม่เคยมีให้ใคร
เท่า บางทีหนูก็สงสารพี่อัค พอนึกเทียบดูแล้วว่า
หลังจากอยู่กับบอสนานๆ หนูอาจรักบอสมาก
กว่าพี่อัคเสียอีก ทั้งๆที่พี่อัคให้ค่าหนูยิ่งกว่าบอส
ไม่รู้กี่เท่า... หนูรู้สึกผิด หนูน่าจะหาคำาอื่นที่มา
แทนคำาว่ารักได้เจอ จะได้เอามาใช้กับบอสอย่าง
สนิทใจหน่อย"
"ก็รักนั่นแหละ อย่าคิดมาก"
"โอเค! สรุปว่าหนูรัก... แต่หนูไม่อยาก
ร้องไห้อีก... ไม่อยากอีกเลยตลอดไป!"
นึกถึงช่วงเวลาร้องไห้จนน้ำาตาแทบเป็นสาย
เลือด แล้วกลั่นคำาพูดออกมาได้จริงใจดีแท้
"ฉันเข้าใจ และจะไม่ขัดขวางการตัดสินใจ
ของเธอ"
เซธเอ่ยด้วยน้ำาเสียงปรานีประดุจพ่อ
"หนูขออนุญาตทิ้งโทรศัพท์บอสนะคะ"
"ได้ ... ฉันจะส่งรหัสทำาลายตัวเองไปจัดการ
มันพรุ่งนี้ เธอเอาไปหย่อนถังขยะที่ไหนก็ได้ "
ต่างฝ่ายต่างเงียบ มะแมไม่อยากรู้สึกอาลัย
อาวรณ์ไปกว่านั้น เดี๋ยวจะใจอ่อนโลเลเปล่าๆ
"บอสขา... หนูกราบลา"
"ขอให้เธอไปถึงที่สุดทุกข์ตามปรารถนานะ
มะแม"
ต่างฝ่ายต่างกดปุ่มวางสายด้วยความนุ่ม
นวล และไม่มีสิ่งใดติดค้างคาใจต่อกันอีก
มาถึงแผ่นแก้วสีนิลในกระเป๋าถือบ้าง
หล่อนหยิบมาจับด้วยสองมือ อยากดูซิว่าจะได้
รับคำาทักทายอย่างไร
สวัสดีมะแม
อนุโมทนาด้วยนะกับการตัดสินใจที่เกิด
ขึ้น... ไม่ต้องแปลกใจ แผ่นแก้วไม่วิเศษขนาด
อ่านความคิดมะแมออกขนาดนั้นหรอก และนี่ก็
ไม่ใช่การประดิษฐ์เรียบเรียงคําของซีอุส แต่เป็น
พี่เขียนไว้เอง ข้อความนี้จะปรากฏต่อเมื่อแผ่น
แก้วรายงานว่ามะแมไปถึงจุดนัดพบความสว่าง
ขั้นสูงสุด ในวัน เดือน ปี ที่ทางเปิด
ถ้าวันนี้มะแมไม่ไปที่นั่น พี่ก็เขียนข้อความ
นี้เปล่าๆ แต่หากสัมผัสล่วงหน้าของพี่ไม่มีผิด
พลาด มะแมคงตัดสินใจสละเครื่องรุงรังทั้งหลาย
แล้ว
สบายใจเถอะ มะแมไม่ใช่ผู้หญิงของเซธ
หรอก เพราะเป็นคนเดียวที่ไม่เกิดในโรงพยาบาล
ให้เซธพบเอง พี่ต้องเป็นคนจูงมือมาให้เซธคิด
แย่งในภายหลังต่างหาก และมะแมก็ไม่ใช่ผู้หญิง
ของพี่ด้วย เพราะพี่อยู่ไม่นานพอจะให้มะแมรู้สึก
อย่างนั้นได้
ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากมะแมในสํานักชี
ถ้าเทียบปริมาณก็น้อยกว่าเมื่อมะแมอยู่ใน
อาณาจักรของเซธมาก แต่หากเทียบเป็นคุณค่า
ที่แท้ ก็ต้องบอกว่าคนในสํานักชีได้ประโยชน์
ถาวร ไม่กลับไม่เปลี่ยนอีก ต่างจากคนใน
อาณาจักรของเซธ แม้รับประโยชน์จากมะแมไป
ชั่วคราวในชาตินี้ ก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าต้องระหกระ
เหินขึ้นฟ้าหรือลงดินกันอีกนานแค่ไหน
เส้นทางในสังสารวัฏคงเหงาเมื่อขาดมะแม
ไป แต่นี่ก็จะเป็นการยืนยันว่าพี่ไม่ได้ดีแต่พูด
หากมะแมมีความสุขตลอดไป พี่นี่แหละจะดีใจ
เป็นที่สุด
ลาชั่วนิรันดร์
พี่อัค
มะแมสะอึกอั้น ตีบตันคอหอย แต่ไม่ร้องไห้
เพราะเมื่อนึกถึงเด็กอ่อนที่กำาลังจะมาเกิดในไม่ช้า
ก็รู้ว่าเจ้าของข้อความไม่ได้มีชีวิตจิตใจแบบ
มนุษย์หรือแบบเทพยดาไหนๆอีกแล้ว จึงไม่ทราบ
จะส่งใจไปอาลัยอาวรณ์ใครคนไหนดี
เดินกลับไปกลับมา ทบทวนทุกสิ่งที่พลิก
ชีวิตหล่อนหลายตลบ แล้วฉุกคิดขึ้นได้ว่าน้องอิ๊ก
เป็น "แผนสอง" ของอัคระอย่างไร ถ้าไม่มีหนูอิ๊ก
หล่อนคงไม่ได้พบแม่ใหญ่ และถ้าไม่พบแม่ใหญ่
หล่อนคงไม่ปลงสังเวชกับความตาย ได้สว่างใน
ธรรมจนอยากสละโลกขนาดนี้
ยิ้มนิดๆอย่างรู้ใจคนรักเก่า เขาทนไม่ได้ที่
จะยกหล่อนให้เซธ... เมื่อเขาไม่ได้ เซธก็ต้องไม่
ได้ !
อัคระคงเดาทางถูก ว่าเซธจะบอกความลับ
สุดท้ายเรื่องการเกิดใหม่ของเขา โดยหวังปลด
ล็อกให้ใจหล่อนตัดเยื่อใยจาก "เด็กแบเบาะ"
เสียได้ แต่ด้วยการเผยความลับเช่นนั้น กลับ
กลายเป็นเข้าทางอัคระแทน เพราะเมื่อสลดอย่าง
รุนแรงจากการเห็นธรรมชาติการเวียนว่ายตาย
เกิด ไม่มีใครเป็นที่มั่นให้ใครได้ หล่อนจะเลือก
ทางอื่นที่ดีกว่าอาณาจักรของเซธ
สรุปคืออัคระไม่ใช่แค่ทำาตัวหวงแหนคนรัก
เก่าเฉยๆ เขายังมุ่งหวังให้หล่อนได้ดีที่สุดตาม
ทางอีกด้วย
ชาติก่อนๆหล่อนอาจเป็นสมบัติผลัดกันชม
ของเหล่าจักรพรรดิหรืออย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าชาตินี้
ขอเลือกที่จะไม่เป็นสมบัติของใครดีกว่า เมื่อ
ตัดสินใจหันหลังให้โลก มะแมเกิดความรู้สึกเป็น
ตัวของตัวเอง ไม่ใช่ผู้หญิงของใครเลยจริงๆ
ตอนนี้หล่อน "ไม่มีอะไร" ไม่มีความรัก
ไม่มีแม้กระทั่งความมุ่งมาดคาดหวังจะได้รักใหม่
หัวอกจึงโปร่งโล่ง ดวงจิตถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ
สะอาดหมดจดจากต้นเหตุแห่งทุกข์หนักใน
วัฏสงสาร
โลกในความหมายที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
คือกายอันยาววาหนาคืบก้อนนี้ กับใจอันไร้รูป
ดวงนี้
โลกาวินาศที่แท้ จึงเป็นของเฉพาะตน เมื่อ
กายแตกครั้งหนึ่ง ก็คือโลกาวินาศครั้งหนึ่ง ไม่ว่า
ผู้ครองโลกอยู่จะเป็นจิตของคนธรรมดา หรือเป็น
จิตของพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม
ต่อเมื่อพาตนไปได้ถึงนิพพาน อันเป็น
มหาสมุทรแห่งความว่าง ไร้รูป ไร้โลก ไร้เครื่อง
อาศัย จึงได้ชื่อว่าถึงซึ่งการปราศจากโลกาวินาศ
ไปจนชั่วกัลปาวสาน
มะแมเดินออกจากห้องทำางาน ตรงไปสู่ห้อง
พระ เพื่อสวดมนต์หลายๆรอบเป็นการเฉลิมฉลอง
ชีวิตใหม่ที่ไร้ต้นเหตุทุกข์ หล่อนสัญญากับตนเอง
ว่าจะไม่หันหลังกลับมามองสะพานที่ตนเผาทิ้งกับ
มืออีกเลย
จบบริบูรณ์
________________________________________________________________________________
ขอเชิญดาวน์โหลดเพื่อนำไปแบ่งปัน หรือ นำไปอ่านได้อีกหลายช่องทาง ที่ไม่ต้องออนไลน์ ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ
http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=103&Itemid=278