Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
เรื่องราวน่าอ่าน => นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง => Topic started by: Smile Siam on 25 January 2013, 06:17:09
-
จิตจักรพรรดิ
ตอน ลายเซ็นจักรพรรดิ
ดังตฤณ
แจกจ่ายฟรีได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องขออนุญาต
ห้ามนําไปใช้ทางการค้าไม่ว่ากรณีใดๆก่อนได้รับอนุญาต
_______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๑
การไม่มีใครเลยสักครู่หนึ่ง หาใช่ความ
เปล่าเปลี่ยวที่น่ารังเกียจนัก การคิดถึงใครสักคน
ตลอดเวลาต่างหาก ที่ชวนให้เห็นโลกอ้างว้าง
อย่างน่ากลัว
มะแมพยายามเป็นตัวของตัวเองมาทั้งชีวิต
แต่แปลกที่หล่อนถวิลหาทุกนาทีที่สูญเสียความ
เป็นตัวเองต่อหน้าอัคระเหลือเกิน
ตัวตนอันทรงพลังของเขา ฝากแรงประทับ
ไว้ดุจมนต์สะกดอันยากจะถ่ายถอน รู้สึกแย่ที่ยิ่ง
วันผ่านไป ความคิดถึงยิ่งทวีแรงขึ้นทุกที อย่าว่า
แต่จะหวังให้จางลงตามเวลา
วันนี้เป็นวันแรกที่คิดถึงอัคระจนไม่มีกะจิต
กะใจทำางาน ดังนั้นเมื่อพบว่าลูกค้า ๔ โมงครึ่ง
แจ้งยกเลิกนัด มะแมจึงดีใจยิ่ง เห็นเป็นโอกาส
เหมาะที่จะปลีกตัวไปหาที่สงบนั่งเล่นคนเดียวใน
ยามเย็นเสียบ้าง
ขับรถออกจากบ้าน ตรงไปที่วัดริมคลองไม่
ใกล้ไม่ไกล มะแมชอบมานั่งในศาลาท่าน้ำาหลังวัด
ซึ่งมีอยู่หลายหลัง และหล่อนเองก็ร่วมบริจาค
สร้างใหม่ไว้หลังหนึ่งด้วย ตอนได้เงินสมนาคุณ
ก้อนใหญ่จากลูกค้าเมื่อปีกลาย
พอมาเจอลำาคลองที่กล่อมใจให้สงบเยือก
เย็นลง ความคิดถึงอัคระก็เปลี่ยนรูปแบบ จาก
กระวนกระวายอยากเห็นหน้า เป็นเอื่อยเฉื่อยอยู่
ในอารมณ์หวาน
ขณะฝันหวาน มะแมรู้สึกเหมือนคนไม่รู้
อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย ผ่านมาทั้งวันหล่อน
ตอบคำาถามลูกค้าได้อย่างไรก็ไม่รู้
ทอดตามองน้ำาในคลองนิ่ง เห็นประกาย
แดดบนยอดคลื่นระยิบระยับแล้วอารมณ์ละเมียด
กว่าเดิม เมื่อระลึกถึงเขา ก็ระลึกได้แจ่มชัด
ราวกับสัมผัสได้จากตรงหน้า
หล่อนจำาคนเป็นรูปร่างหน้าตาได้เลือนราง
แต่จำารัศมีชีวิตได้ชัด และคราใดที่รำาลึกถึงอัคระ
หล่อนจะสำาเหนียกถึงรัศมีพลังชีวิตที่แผ่กว้าง
สาดแสงอบอุ่นลุ่มลึก ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ใน
อาณาจักรยิ่งใหญ่ที่ไหนสักแห่ง
นึกไม่ออกว่าครั้งสุดท้ายเป็นเมื่อใด ที่
อยากอยู่ในเขตรัศมีความอบอุ่นของผู้ชาย ระยะ
หลังเรียกว่าจงใจเลี่ยงด้วยซ้ำา แต่ตอนนี้ ... อาจ
เปลี่ยนใจแล้ว!
มือถือดังขึ้นเป็นเสียงเป็ดร้องก้าบๆ มะแม
ถอนใจยาว เพราะนั่นคือริงโทนที่หล่อนตั้งไว้บอก
ว่าเป็นหยิม หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มากดรับและ
พึมพำาเนือยๆ
"จ้ะหยิม มีอะไร?"
"ลูกค้าอยากคุยกับพี่มะแมค่ะ ให้เบอร์เขา
ไหมคะ?"
"บอกแล้วไงว่าไม่รับสายตรงจากลูกค้า"
ทำาเสียงเหมือนตำาหนิที่อีกฝ่ายลืมกฎเหล็ก
ทั้งที่ทำางานด้วยกันมานานนมขนาดไหนแล้ว
"โอเคค่ะ! งั้นหยิมบอกคุณอัคระตามนี้นะ
คะ"
มะแมลืมตาโพลง ยืดตัวขึ้นนั่งตรง ราว
ตกใจกับแสงรุ้งที่สาดจ้าขึ้นมาจากรอบด้านโดย
กะทันหัน
"ว่าไงนะ! คุณอัคระเหรอที่ขอ?"
ถามเร็วปรื๋ออย่างเกรงว่าอีกฝ่ายจะวางสาย
ไปเสียก่อน
"ค่ะ! คุณอัคระโทร.มาขอเบอร์พี่มะแม และ
หนูก็กำาลังพักสายรออยู่ จะให้ปฏิเสธยังไงดี ?"
นายจ้างสาวกะพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสติ มัน
ช่างยากเย็นกับการกล้ำากลืนก้อนปีติลงคอ เพื่อ
พูดด้วยสำาเนียงเนือยลง
"อ๋อ... พี่บอกเขาเองแหละว่าจะโทร.กลับ
เพราะวันก่อนดูๆอะไรให้เขาค้างอยู่ แต่หมดเวลา
เสียก่อน"
"แปลว่าให้เบอร์ใช่ไหมคะ?"
"อือม์ ... ก็ได้ ... ให้เขาไปเถอะ"
"ค่ะ! แต่เดี๋ยวหยิมจะแกล้งอิดเอื้อน ทำา
เสียงเฉยๆเนือยๆนิดหน่อยนะคะ เขาจะได้ไม่ดีใจ
เกินเหตุ "
ว่าแล้วเด็กสาวตัดสายไป ใบหน้ามะแม
แดงระเรื่อ ครึ่งโกรธครึ่งอาย นึกอยากหยิกหยิม
ให้เนื้อขาดที่แกล้งพูดกระเซ้าเหมือนเห็นหล่อน
เป็นเพื่อนเล่น แต่พริบตาเดียวก็เลิกถือสา เพราะ
ใจเต้นแรงจนสมองชาไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มที่รบกวนจิตใจหล่อนได้ตลอด ๒๔
ชั่วโมงกำาลังจะโทร.มา...
อารมณ์แอบฝัน เยียบเย็นตอนฝัน แต่กลับ
เร่าร้อนตอนเจอของจริง!
ไม่ถึงสองนาที เลขสวยตามแบบฉบับเบอร์
แพง แย่งกันด้วยราคาหลักล้าน ก็ปรากฏวาบบน
หน้าจอ แล้วตามด้วยเสียงสัญญาณเรียก
เสียงโทรศัพท์ครั้งนี้ มีอิทธิพลเป่าหัวใจให้
ฟูฟ่องเหลือหลาย มะแมลากลมหายใจยาว อยาก
ยิ้ม อยากหัวเราะ แต่ไม่ได้ ต้องเชิดคางปั้นหน้า
ขรึม เพื่อกดให้สุ้มเสียงฟ้องอารมณ์น้อยที่สุด
"สวัสดีค่ะ"
"คุณมะแม ผมอัคระนะ"
"ค่ะคุณอัคระ ขอโทษนะคะที่มะแมรับปาก
ว่าจะโทร.กลับแล้วไม่ได้โทร. คือ... มะแมต้องใช้
เวลา"
"ผมเข้าใจ"
น้ำาเสียงของเขาทุ้มนุ่ม กล่อมโสตอย่างยาก
ที่จะฟังแล้วไม่เคลิ้ม
"มะแมพยายามดูให้อยู่นะคะ แต่ดูยังไงก็ดู
ไม่ออก ขอโทษจริงๆที่ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ "
"ถ้าผมจะลองเล่ารายละเอียดให้คุณมะแม
ฟัง จะพอมีส่วนช่วยหรือเปล่า?"
"ไม่แน่ใจค่ะ"
"ถ้าลองก็ไม่เสียหายอะไรนี่ใช่ไหม?"
"ค่ะ! งั้นลองเล่ามา มะแมจะฟัง"
"รังเกียจหรือเปล่าถ้าผมจะขอเลี้ยงมื้อเย็น
เพื่อเล่าให้ฟังต่อหน้า เพราะมันอาจจะยาวสัก
หน่อย"
หญิงสาว ณ ริมคลองใจสั่น เงียบงันเพราะ
คิดคำาพูดโต้ตอบไม่ทัน
"ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณมะแมไม่สะดวก"
อัคระเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเกรงใจ
"อือม์ ..." มะแมลากเสียงเบาๆพอให้เขา
ได้ยินว่าหล่อนคิดอยู่ "อันที่จริงมะแมก็อยากช่วย
ไม่ได้อยากปฏิเสธหรอกนะคะ แต่เย็นนี้สงสัย
ไม่ทัน เพราะอยู่ข้างนอก"
"เหรอครับ ไม่เป็นไร แล้ว... ถ้าวันอื่น..."
"วันอื่นเหรอคะ ยังไงดีเอ่ย..." นิ่งไตร่ตรอง
ก่อนเลือกแบบทิ้งระยะพองาม "มะรืนนี้ได้ไหม?"
"ครับ! ได้แน่นอน"
"จะให้มะแมไปที่ไหน?"
"ขออนุญาตให้ผมไปรับคุณที่บ้านได้ไหม?"
"มะแมว่ามะแมขับไปเองดีกว่าค่ะ"
"โอเค! งั้นเอาที่คุณมะแมสะดวก"
"มะแมให้คุณอัคระเลือกที่เห็นว่าเหมาะ
สำาหรับคุยงานก็แล้วกัน แต่กรุณาอย่าไกลบ้าน
มะแมมากนะคะ"
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น
กลายเป็นกิจวัตรที่อิ๊กจะต้องตื่นนอนพร้อม
กับมะแม และเข้าห้องทำาสมาธิด้วยกัน
มะแมไม่ได้บังคับว่าเป็นคนในปกครองแล้ว
ต้องทำาตามหล่อน อย่างเช่นเมื่อครั้งพยายาม
สอนหยิม แล้วหยิมขี้เกียจตื่นมานั่งสัปหงกต่อใน
ห้องทำาสมาธิ หล่อนก็ปล่อยไป แต่สำาหรับอิ๊ก
เพียงทราบว่าหล่อนตื่นเช้ามาทำาสมาธิ ฝ่ายนั้นก็
ตื่นตาม และมายืนแก้มยุ้ยทำาหน้าสนใจอยู่ตรง
ประตูห้อง ซึ่งพอมะแมเห็นครั้งแรกก็ลากมาสอน
ทันที โดยอิ๊กไม่ทันต้องเอ่ยปากขอแต่อย่างใด
หล่อนเคยสอนเด็กทำาสมาธิมาบ้าง จึง
ทราบว่าเด็กแต่ละคนต่างกัน ส่วนใหญ่ยัง
หลุกหลิก วอกแวกง่าย หรือถ้านิ่งหน่อยก็โงกเงก
หลับในเวลาไม่นาน
อิ๊กเป็นเด็กคนแรกที่มะแมคิดว่ามีพรสวรรค์
และพรสวรรค์ก็แสดงตัวในรูปของความสนใจจริง
สนใจต่อเนื่อง ไม่ว่าสอนสมาธิแบบไหน จะรู้ลม
บริกรรมคำาในใจ หรือสร้างกสิณนิมิต อิ๊กรับได้
หมด และทำาทุกวันไม่เลิกราด้วย
เด็กที่มีความสนใจสมาธิจะได้เปรียบผู้ใหญ่
อยู่อย่างหนึ่ง คือพายุความฟุ้งซ่านยังมีกำาลังอ่อน
เมื่อได้รับคำาแนะนำาอย่างถูกวิธี ให้ทำาด้วยความ
ผ่อนคลาย ไม่ตั้งใจเพ่งเล็งกำาเกร็งเกินไป พอเอา
จิตไปจับกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งพักใหญ่ ก็เกิดความตั้ง
มั่น จิตเต็มดวงสาดสว่างขึ้นมาได้
หลายเช้าที่ผ่านมามะแมบำาเพ็ญสมาธิใน
ส่วนของตนแค่ครึ่งเวลา อีกครึ่งที่เหลือเอามาดู
ความคืบหน้าของเด็กในอุปการะ ยิ่งอิ๊กสนใจ
สมาธิมากขึ้นเท่าไร หล่อนยิ่งสนใจสภาวะทางจิต
ของอิ๊กมากขึ้นเท่านั้น
เช้านี้อิ๊กนั่งขัดสมาธิอย่างมีพลังตั้งแต่นาที
แรก มะแมตามดูแล้วรู้สึกเลยว่าอิ๊กอาศัยอำานาจ
ทางใจสร้างนิมิตวงกลมได้อย่างรวดเร็วและหน่วง
ได้นานกว่าวันก่อนๆเยอะ
กล่าวถึงประสบการณ์ภายในของอิ๊ก เธอ
เองก็แปลกใจที่นิมิตวงกลมสีขาวสาดแสงจ้า
ตั้งแต่ยังไม่ทันต้องกำาหนดอะไรมาก อาจเป็น
เพราะเดี๋ยวนี้เธอใจจดใจจ่ออยู่กับนิมิตวงกลมทั้ง
วัน ไม่ว่าลืมตาหรือหลับตา เป็นสุขเย็นรื่นทุกครั้ง
ที่หน่วงเส้นรอบวงให้กลมดิกไว้ได้ และพบว่ายิ่ง
นิ่ง ยิ่งนาน ยิ่งสว่าง ก็ยิ่งเป็นสุขขึ้นทุกที
อันเนื่องจากพี่มะแมผู้มีพระคุณของเธอ
สอนไว้ว่าให้ทำาเป็นเฉยๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่ยินดี
ยินร้าย แม้นิมิตจะปฏิรูปไปเป็นอย่างไรก็ตาม อิ๊ก
จึงดำารงสติรับรู้การเปลี่ยนสภาพแห่งนิมิต รักษา
ใจไม่ให้ลิงโลดไปกับปรากฏการณ์แปลกใหม่ที่
เพิ่งมีมาให้เห็นเดี๋ยวนี้
ความขาวจ้าค่อยๆเบ่งบานขึ้น ราวกับมี
พระอาทิตย์ดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า หาก
เปรียบเทียบกับตอนลืมตา ก็คงคล้ายนั่งมอง
ทะเลกว้างจนสุดขอบฟ้า และเหนือขอบฟ้า
ปรากฏดวงตะวันที่ขยายทั้งขนาดและทั้งความ
จัดจ้าสัก ๕ เท่าตัวของของจริง แต่ไม่ยักแสบจิต
เหมือนกับที่แสบตายามสบดวงตะวันตรงๆ
เวลาดำาเนินไป ดวงตะวันหายลับตั้งแต่เมื่อ
ใดไม่รู้ตัว อิ๊กหมดความรับรู้ไปวูบใหญ่ แล้วตื่น
ขึ้นในสำานึกคิดอ่านอีกแบบ เหมือนเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
พร้อมจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
ไม่อาจประมาณว่าเธออยู่ในอาณาเขตกว้าง
ยาว ลึกเพียงใด ความฟุ้งซ่านยังลอยวนอยู่จางๆ
เหมือนถามตัวเองว่านี่เราเป็นใคร ช่างคุ้นกับ
สภาพเช่นนี้เหลือเกิน
เพียงจดจ่อกับภาวะทางใจที่คุ้นเคยเพียงครู่
นิมิตขุนเขาสูงก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ถึงตรงนั้น
อิ๊กเปลี่ยนความรู้สึกไปอีก เห็นตนกลายเป็นคน
นุ่งขาวห่มขาวผู้ขึ้นมาบำาเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำาบน
ยอดเขาสูงตามลำาพัง และทอดทัศนาทัศนียภาพ
รอบด้านด้วยความอาลัย เยี่ยงคนรู้วันตายล่วง
หน้า!
ไม่กี่อึดใจถัดจากนั้น นิมิตทั้งหมดก็จืดจาง
ลง อิ๊กค่อยๆเปิดเปลือกตา เหลือบมองด้านข้างก็
พบหญิงสาวหน้าสวยมองมายิ้มๆ
"วันนี้นั่งได้นิ่งมากเลยนะ"
มะแมทัก หล่อนเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายน้ำาตา
ไหลเป็นทางยาว แต่เข้าใจว่าเป็นผลจากรสวิเวก
ซ่านปีติสุขล้ำาลึกมากกว่าอย่างอื่น
อิ๊กปาดน้ำาตาที่เปื้อนแก้มออก
"ความเกิดและความตายเป็นเรื่องน่ากลัว
จริงๆเลยนะคะพี่มะแม..."
นั่นเป็นคำาแรกที่เธอเอื้อนเอ่ย มะแมกะพริบ
ตาถี่ๆ เดาไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น แม่หนูน้อยนั่ง
สมาธิไปเห็นอะไรมา
"ทำาไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?"
หนูอิ๊กเอาแต่ก้มหน้านิ่ง จนมะแมตัดสินใจ
ร่ายยาว
"เอ่อ... อิ๊กจ๊ะ... จำาที่พี่มะแมบอกได้ใช่ไหม
ว่านิมิตวงกลมที่เราสร้างขึ้นเนี่ย กลมอย่างไรก็
ไว้ใจได้อย่างนั้น เพราะตอนนั้นมันอยู่ในการ
ควบคุมของเรา แต่ถ้าเห็นอะไรแปลกไปกว่า
วงกลม ก็อย่าเพิ่งไว้ใจ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรให้มาก
เหมือนกับที่เราไม่ควรเชื่อความฝันเพียงเพราะ
มันชัด"
"ค่ะพี่มะแม"
แล้วแม่หนูน้อยผู้มีพรสวรรค์ทางสมาธิกสิณ
ก็ทอดตามองพื้นข้างหน้า ไม่พูดไม่จาอันใดอีก
"ไหนเล่าให้ฟังซิ เมื่อกี๊เห็นอะไร"
อิ๊กกะพริบตาทีหนึ่ง
"หนูเห็นดวงตะวันชัดมาก แต่ดูอยู่เพลินๆ
ดวงตะวันก็หายไป กลายเป็นภูเขา แล้วก็เห็นตัว
เองนั่งในถ้ำา รู้สึกเหมือนกำาลังจะตาย"
มะแมส่งใจตาม น้องอิ๊กถ่ายทอดภาพในใจ
ของตัวเองผ่านคำาพูดได้แจ่มชัด จนสามารถดึง
หล่อนเข้าไปร่วมเห็นภาพ แวบหนึ่งมะแมเกือบ
ตัดสินทันทีว่าของจริง แต่อีกใจก็ไม่อยากเชื่อ
เพราะนักเรียนของตนเพิ่งอยู่ในช่วงตั้งไข่ล้มต้ม
ไข่ลุกเท่านั้น
"แล้วความรู้สึกที่ตกค้างจากการเห็นนิมิต
บอกเป็นคำาสั้นๆได้ไหมว่าตอนนี้รู้สึกยังไงแล้ว?"
อิ๊กหรี่ตาลง ทบทวนความรู้สึกสุดท้ายขณะ
เห็นภูเขาใหญ่ เยี่ยงคนรู้ตัวว่าอีกไม่นานกำาลังจะ
ตาย
"เศร้าใจ อาลัย ยังไม่อยากตาย เหมือนยัง
ทำางานอะไรสักอย่างไม่เสร็จน่ะค่ะ"
"พอจำาได้ไหมว่ากำาลังอยู่ในชุดอะไร?"
"ชุดขาว..."
"ตัวที่นุ่งชุดขาวนั้นเป็นอิ๊ก หรือเป็นคน
อื่น?"
"เหมือนเป็นอิ๊กค่ะ แต่รู้สึกว่าอิ๊กแก่ ไม่ใช่
เด็ก"
"นึกซิ ตอนนั่งในถ้ำา ชื่ออิ๊ก หรือว่าชื่อ
อะไร?"
เด็กน้อยขมวดคิ้วอย่างเริ่มสับสน ไม่แน่ใจ
มะแมจึงรีบบอก
"อย่าไปสนใจดีกว่า พี่มะแมถามเพื่อให้อิ๊
กนึกออกชัดๆว่านิมิตในสมาธิมันเหมือนความฝัน
เห็นไหม ทบทวนแล้วหยิบจับเอามาใช้ประโยชน์
ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น คราวหน้าถ้านิมิตปรากฏ
อีก ก็ให้ทำาเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เตือนตัวเองให้กลับมามี
สติอยู่กับดวงตะวันต่อไป ถึงจะเรียกว่ากลับมามี
สมาธิ ไม่ใช่เลื่อนลอยไปฝันเลอะเทอะ เข้าใจ
ไหม?"
อิ๊กคลายสีหน้าลง เหลือบตากลมแป๋วสบ
กับครูสมาธิคนสวย
"เข้าใจแล้วค่ะ... พี่มะแมคะ ทำาไมคนเรา
ต้องเกิดมาด้วย?"
"อือม์ ..." หญิงสาวพินิจดวงหน้าอ่อนเยาว์
ในอาการตริตรองครู่หนึ่งก่อนตอบ "คำาถามนี้
เป็นเรื่องใหญ่มากนะ มันทำาให้คนฆ่ากันตายได้
เลยล่ะ"
"ทำาไมต้องฆ่ากันด้วยล่ะคะ?"
"เพราะชีวิตเป็นเรื่องใหญ่ เราปักใจเชื่อ
เกี่ยวกับชีวิตยังไง ก็เท่ากับเราเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น
พอใครมาบอกว่าผิดแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เราเชื่อสัก
หน่อย ก็เหมือนเขามาทุบความเป็นเราทิ้ง หรือ
เหมือนถูกแย่งพลังส่วนหนึ่งของเราไป สุดท้าย
เลยต้องรบกันเพื่อพิสูจน์ว่าชีวิตตามความเชื่อ
แบบไหนสมควรจะได้อยู่ต่อ"
"แล้วความเชื่อแบบไหนถึงจะถูกคะ?"
"เกิดเป็นพุทธก็ต้องเชื่อว่าพุทธถูกสิจ๊ะ"
"มีวิธีพิสูจน์ไหมคะ?"
"พุทธเป็นศาสนาของการพิสูจน์เลยล่ะ!"
"ศาสนาพุทธบอกว่าเกิดมาเพื่อทำาบุญ
มากๆใช่ไหมคะ? พระใกล้บ้านอิ๊กบอกว่าให้ทำา
บุญมากๆ ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ "
"พระบอกอิ๊กถูกแล้ว บุญที่สะสมไว้จะทำาให้
จิตสดใสเมื่อใกล้ตาย ได้ไปสุคติภูมิ แต่ถ้าสะสม
บาปไว้เกินบุญ พอใกล้ตายจะเป็นพวกจิตเศร้า
หมอง ได้ไปอบายแทน"
"พี่มะแมเคยเห็นคนตอนตายว่าเขาไปไหน
ไหมคะ?"
"เคย!" ตอบหนักแน่นเต็มปากเต็มคำา "พี่
มะแมเคยเห็นทั้งแบบที่ตายตอนจิตเศร้าหมอง
กับแบบที่ตายตอนจิตสดใส ถึงเชื่อสนิทแบบไม่มี
ข้อกังขา มันมีทุคติภูมิสำาหรับคนตายตอนใจเศร้า
หมอง แล้วก็มีสุคติภูมิสำาหรับคนตายตอนใจ
สดใสอยู่จริงๆ"
"ถ้าอิ๊กนั่งสมาธิกับพี่มะแมทุกวัน อิ๊กก็จะได้
ขึ้นสวรรค์ใช่ไหมคะ?"
"แน่นอน! เพราะสมาธิทำาให้จิตสดใสอย่าง
ที่อิ๊กก็พบด้วยตัวเองแล้ว"
"งั้นอิ๊กก็ไม่ต้องสนใจอะไรมากไปกว่าเกิด
มานั่งสมาธิ เพื่อสุดท้ายจะได้ไปสวรรค์กับพี่
มะแมใช่ไหมคะ?"
"นั่งสมาธิน่ะ แค่ส่วนหนึ่งของการมีจิต
สดใสเป็นสมาธิ เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ
สมาธิจิตที่สดใสด้วย มันถึงจะตั้งมั่น"
"ใช้ชีวิตยังไงคะ"
"คิดดีก่อนจะเลือกคำาพูดให้ดี พูดดีแล้วทำา
ตรงกับที่พูดเอาไว้ "
"แล้วความดีคืออะไรคะ?"
"เห็นแก่คนอื่นก่อนเห็นแก่ตัว"
อิ๊กนิ่งไปคู่ ก่อนจะยิงคำาถามที่มะแมนึกไม่
ถึงว่าจะได้ยินจากปากเด็กน้อยวัยต่ำากว่าสิบ
"พอเราเลิกเห็นแก่ตัวแล้วได้ไปสวรรค์ เรา
จะกลับจากสวรรค์ลงมาเห็นแก่ตัวอีกได้ไหมคะ?"
"ได้สิ ! สวรรค์ไม่ใช่ที่สุดท้ายที่เราจะอยู่ได้
ตลอดไปหรอกนะ เหมือนปราสาทราชวัง ต่อให้
ใหญ่โตแข็งแรงแค่ไหนก็ต้องถล่มลงมาในวันหนึ่ง
พอปราสาทพัง คนที่อยู่ในวังก็ต้องสร้างกันใหม่
ไม่ต่างกับปราสาททรายบนชายหาด ซึ่งจะสร้าง
ได้เหมือนเก่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ "
"แล้วไม่มีที่ที่เราจะอาศัยอยู่ได้ตลอดไปเห
รอคะ?"
"มี ! แต่ไม่ใช่สถานที่นะ เป็นอะไรอีกอย่าง
หนึ่งที่พ้นไปจากทุกที่ ทุกภาวะ ทุกสภาพ"
"ที่หนูเคยได้ยินพระบอกว่านิพพานใช่ไหม
คะ?"
"ใช่แล้ว!"
"พระบอกว่านิพพานดีที่สุดจริงหรือเปล่า?"
"จริงสิ !"
"แล้วนิพพานหน้าตาเป็นยังไง พี่มะแมเคย
เห็นไหม?"
"ไม่เคย!"
"แล้วพี่มะแมรู้ได้ยังไงว่าดีที่สุด?"
คำาถามไม่รู้จบของเด็กน้อยทำาเอาสาว
พลังจิตชักคิดหนัก
"บางอย่างเราก็ต้องเชื่อด้วยเหตุผล ก่อน
ดั้นด้นไปเห็นกับตา"
"เหตุผลยังไงคะ?"
"อย่างเช่น... ถ้าสวรรค์เปลี่ยนได้ ก็แปลว่า
กลับมาทุกข์ได้ ถูกไหม?"
"ถูกค่ะ!"
"แต่นิพพานไม่เปลี่ยนอีก ก็แปลว่าสุขถาวร
ใช่ไหม? อะไรสุขถาวรได้ อันนั้นต้องนับว่าดีที่สุด
ไง"
"แล้วเขาไปนิพพานกันยังไงคะ?"
มะแมเอียงหน้ายิ้ม สายตาเล็งแลอีกฝ่าย
ด้วยแววชื่นชม ยกนิ้วชี้ขึ้นและเขย่ามือหน่อยๆ
"ถามคำาถามนี้ได้เองตั้งแต่เด็กเนี่ย ถือว่า
ออกตัวแรงนะ... สำาหรับคำาตอบ อ้า! ให้บอกตาม
ตรงนะจ๊ะ พี่มะแมก็ไม่รู้เหมือนกัน!"
หญิงสาวสารภาพดื้อๆอย่างคนไม่มีมายา
และนั่นก็ทำาให้อิ๊กงุนงงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากภาพของมะแมเหมือนมีทุกคำาตอบให้
กับทุกคำาถาม
"ทำาไมล่ะคะ เขายังไม่พบคำาตอบกันหรือ?"
"คำาตอบน่ะพบแล้ว เจอแล้ว พระพุทธเจ้า
เคยบอกไว้ชัดๆแล้ว แต่ ... คนสมัยนี้เขายังเถียง
กันไม่จบน่ะจ้ะ ว่าพระพุทธเจ้าบอกไว้ยังไงกันแน่ "
อิ๊กทำาตาโตแบบไม่เข้าใจ
"มีงี้ด้วยหรือคะ?"
มะแมหัวเราะ ยื่นหน้า ยื่นมือไปหยิกสอง
แก้มยุ้ยเบาๆอย่างมันเขี้ยว
"น้องอิ๊กนี่อยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าพี่มะแม
อีกนะ"
"แล้วคำาตอบมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ
คะ?"
"ถ้าง่ายนัก คนก็ไปนิพพานกันหมดน่ะสิ ...
เอางี้ ! ไว้ถ้าพี่มะแมเจอคนที่สอนพี่มะแมได้ เรา
ค่อยไปเรียนพร้อมกัน ตกลงไหม?"
"ตกลงค่ะ!"
____________________________________________________________________________
บทที่ ๑๒
มะแมมาถึงสถานที่นัดอันเป็นสวนอาหาร
ใหญ่ แยกเป็นเรือน เป็นห้องย่อย เป็นหย่อมพื้นที่
จัดเลี้ยง ตั้งอยู่ริมคลอง บรรยากาศด้านหน้าดู
วุ่นวายด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกพลุกพล่าน
แถมมีฝูงคนหน้ามุ่ย นั่งรอยืนรอเป็นจำานวนมาก
แสดงว่าต้องมีอะไรดีให้ติดใจเป็นพิเศษถึงยอม
คอยคิวกันขนาดนั้น
เมื่อมะแมบอกพนักงานต้อนรับว่ามีที่นั่ง
จองในชื่อคุณอัคระ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็พาเดิน
มายังเรือนใหญ่มุมสงบติดคลอง กว้างขวาง
โอ่โถงอย่างออกแบบไว้รองรับแขกเหรื่อสัก ๒๐-๓๐ ที่
เด็กหนุ่มเปิดประตูให้มะแมก้าวเข้ามาข้าง
ใน เงาร่างของใครคนหนึ่ง นั่งเด่นเป็นสง่ารอที่
กลางโต๊ะยาวอยู่ก่อนแล้ว และเป็นอีกครั้งที่รัศมี
ความเป็นเขาคนนั้นบีบหล่อนให้รู้สึกตัวลีบ
เหมือนเด็กกลัวผู้ใหญ่
"สวัสดีค่ะคุณอัคระ"
มะแมค้อมศีรษะพนมมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนรับไหว้
"สวัสดีคุณมะแม"
แย้มยิ้มเชื้อเชิญให้นั่ง มะแมหย่อนกายลง
นั่งตามคำาเชิญ วางกระเป๋าถือแล้วเหลือบซ้ายแล
ขวา
"จองห้องใหญ่เชียวนะคะ กินกันแค่สอง
คน"
"ผิดหลักฮวงจุ้ยหรือเปล่า จะได้รีบเปลี่ยน
ห้อง เดี๋ยวกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มเสียที "
มะแมหัวเราะรื่น อัคระใส่เชิ้ตแขนสั้น
เหมือนเพิ่งกลับจากสนามกอล์ฟ ดูผ่อนคลาย
เป็นกันเองกว่าวันก่อน ส่วนหล่อนเลือกใส่สูทขาว
ชุดทำางานเดิม เพื่อให้มื้อเย็นครั้งนี้ดูเป็นส่วนหนึ่ง
ของงานที่ยังสะสางไม่เสร็จ หาใช่ดินเนอร์หวาน
แหววแต่อย่างใด
พนักงานมายืนรอจดรายการอาหาร ซึ่ง
อัคระก็พยักหน้าให้มะแมช่วยคิด
"สั่งเลยนะ"
"คุณอัคระเลือกเถอะค่ะ มะแมได้ทุกอย่าง"
"งั้นผมเลือกแบบกินแล้วทายอนาคตแม่นก็
แล้วกัน"
หญิงสาวเอียงคอหัวเราะนิดๆ ชายหนุ่มสั่ง
กับไป ๔ จาน และเมื่อพนักงานเดินออกไป ทั้ง
ห้องก็เหลือเพียงเขากับหล่อนตามลำาพัง อัคระนั่ง
นิ่ง ขณะที่มะแมขยับตัวเคอะเขิน
"กินแค่สองคน เขายอมให้จองห้องใหญ่
ด้วยหรือคะ?"
"ไม่เห็นเจ้าของว่าอะไรนะ" คำาตอบบอก
เป็นนัยว่าเขาสนิทชิดเชื้อกับนายใหญ่ของที่นี่ดี
พอ "คุณมะแมเป็นยังไงบ้าง วันนี้ให้คำาปรึกษา
เหนื่อยไหม?"
กังวานเสียงนุ่มหูนั้น ฟังอบอุ่นจนมะแมต้อง
แกล้งเหลียวหลังสำารวจโน่นนี่เพื่อซ่อนยิ้ม กระทั่ง
แน่ใจว่าปรับริมฝีปากให้รอยยิ้มเลือนลงจนหุบ
สนิทได้ จึงค่อยหันกลับมาตอบ
"อ๋อ! วันนี้เหรอคะ ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แค่
คุยกับลูกค้าสิบกว่าคน คุณอัคระคุมคนเป็นร้อย
น่าจะเหนื่อยกว่า"
อันที่จริงมะแมไม่รู้สึกเลยว่าเขาเหนื่อย
เพลีย อ่อนเปลี้ย เพราะดูออกจะเป็นหนุ่มทรงพล
กำาลังเหลือเฟือ เยี่ยงนักกีฬาที่ออกกำาลัง
สม่ำาเสมอ แถมน่าจะเล่นกล้ามด้วย แต่หล่อนก็
แย็บไปเรื่อง "คุมคน" เพื่อเลียบเคียงถามถึง
อาชีพการงานของเขาบ้าง อย่างไรก็ต้องคุยกัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
"ผมหาคนมาช่วยได้เยอะ ไม่เหนื่อยเท่า
ไหร่ "
"เป็นงานเกี่ยวกับอะไรหรือคะ?"
"ปกติคุณมะแมดูให้ลูกค้าออกไหมว่าทำา
อาชีพอะไรแบบไหน?"
"ก็ออกบ้างไม่ออกบ้างค่ะ ถ้าเป็นหมอใจดี
มีประกายความเป็นนักรักษาฉายชัด มะแมจะเห็น
รัศมีสว่างอบอุ่นจากการเยียวยาผู้คนให้หมดทุกข์
ทางกาย อย่างนี้ทายไม่ยากว่าเป็นหมอ แต่
หลายๆอาชีพที่มีพฤติกรรมซับซ้อน ส่วนใหญ่
มะแมจะไม่แน่ใจจนกว่าจะคุยกันสักพัก ถึงค่อย
เห็นนิมิตพฤติกรรมในสาขาอาชีพของเขาได้ "
"คือเล็งให้เห็นเองตั้งแต่มองหน้าครั้งแรก
ไม่ได้ ?"
"ไม่ได้ค่ะ"
"อย่างคุยกับผมมาพักหนึ่งนี่ มีนิมิตอะไร
เกิดขึ้นแล้วบ้างไหม?"
"ก็มีเหมือนกัน"
"นิมิตอะไร?"
"นั่นเป็นสิ่งที่มะแมกำาลังสับสน เพราะมองที
ไร ก็ไม่เหมือนเดิมสักที งานของคุณอัคระอาจมี
หลายแง่หลายมุม แบบที่มะแมไม่รู้จัก ไม่เคยเจอ
มาก่อน"
"อย่างเช่นยังไง?"
"แรกสุด เหมือนเห็นคุณอัคระยืนแจกจ่าย
ความเย็นให้กับผู้คนที่มารายล้อมมากมาย"
อัคระทำาหน้าตกใจ
"นี่หมายความว่าอนาคตผมต้องไปยืนขาย
ไอติมหรือ?"
มะแมหัวเราะออกมาดังๆ แต่แล้วก็รีบ
สำารวม เหลือแค่ยิ้มขำา
"มิได้ค่ะ... นิมิตความเย็นที่แผ่รอบ เป็น
สัญลักษณ์แทนน้ำาใจยิ่งใหญ่ อันนี้ไม่ได้มายอกัน
แต่พูดตามเนื้อผ้าเท่าที่เห็น จิตของคุณอัคระตั้ง
ต้นจากตรงนั้น"
ชายหนุ่มทำาท่าผ่อนคลายโล่งอก
"แล้วไป..."
หญิงสาวหัวเราะอีก วันก่อนอัคระฝากเสน่ห์
ลึกลับที่สะกดให้คิดถึงได้ไม่เลิก แต่วันนี้เขาเปิด
ฉากด้วยเสน่ห์แห่งการเป็นคนร่ำารวยอารมณ์ขัน
ชวนให้อยากปล่อยตัวปล่อยใจตามสบาย
มะแมอดคิดไม่ได้ว่าหัวใจหล่อนกำาลังยอม
เป็นลูกไก่ในกำามือของเขา มันจะง่ายไปไหมนี่ ?
กะพริบตาทีหนึ่ง ถอนจิตจากอาการถลำา
เข้าไปติดบ่วงเสน่ห์ คอตั้งหลังตรง เอ่ยสืบต่อ
แบบเรื่อยๆ สีหน้าไม่ถึงกับเคร่งเป็นงานเป็นการ
"แต่เมื่อมะแมสัมผัสกระแสที่แผ่ออกมาจาก
คุณอัคระเป็นปกติ ก็รู้สึกว่าเป็นกระแสของนายที่
ต้องออกคำาสั่ง นิมิตที่เกิดขึ้นจากกระแสแบบนี้
จึงเป็นผู้บริหารที่คุมคน หรือกุมชะตาชีวิต
พนักงานเป็นร้อยเป็นพัน แถมเกี่ยวข้องกับการเท
เงินออกและโกยเงินเข้ามหาศาลด้วย แต่
แปลก..."
ขมวดคิ้วนิดๆอย่างจะหาคำาพูด
"แปลกยังไงครับ?"
"ใจมะแมไม่ตัดสิน ว่าภาพที่เห็นคือภาพ
ของนักธุรกิจ"
"ชักสนุกแล้วสิ มีคำาอธิบายไหมว่าทำาไม?"
"คือ... นิมิตการทำางานที่เด่นชัดของคุณ
อัคระ ไม่ใช่การบริหารหรือการเจรจาต่อรองแบบ
นักธุรกิจ แต่เป็นแบบ... เกลี้ยกล่อมคน"
"เหมือนนักการเมืองตอนหาเสียงหรือ
เปล่า?"
"ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่แบบหาเสียงหรือเอาดีเข้า
ตัว โยนชั่วให้คนอื่น คือเหมือนงานของคุณอัคระ
ต้องตั้งเป้าว่าจะเปลี่ยนใจคนให้ได้ "
"นิมิตทั้งหมดมีอยู่แค่นี้ ?"
"ยังค่ะ ยังมีอีก"
"งั้นต่อเลย เรื่องของตัวเองนี่ยิ่งฟังยิ่งน่า
สนใจนะ"
อัคระทำาท่ากระตือรือร้น จนมะแมต้องปราย
ตาเหลือบแลเขาอย่างระแวง
"มะแมเกริ่นตั้งแต่ต้นนะคะ ว่าสับสน ไม่รู้
นิมิตไหนจริงนิมิตไหนเท็จ หวังว่าคงไม่ได้กำาลัง
พูดขายตัวเองไปเรื่อยๆ"
ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือวุ่น
"ตรงข้ามเลย ไม่มีเรื่องตลกให้ผมจี้สักคำา
พูดต่อเถอะ ยังมีนิมิตอะไรอีก"
"พอมะแมพยายามเล็งลึกลงไป ก็เห็น
เหมือนคุณอัคระทดลองจับโน่นผสมนี่อย่างนัก
ประดิษฐ์คิดค้น ซึ่ง... ผลที่ออกมาก็มักจะ
ประมาณว่า ไม่มีใครเคยทำาได้มาก่อน หรือคนอื่น
คิดกันแทบตายก็คิดไม่ออก"
แววตาคนพูดเองเคลือบอยู่ด้วยความสงสัย
เพราะนิมิตไม่เคยพันกันจนสับสนขนาดนั้นมา
ก่อน
"แล้วบอกได้ไหมว่าผมวิจัยทดลองเกี่ยวกับ
อะไร?"
"พ้นจากพิสัยสัมผัสของมะแมค่ะ ทราบแค่
ประมาณว่าไฮเทคมากๆ อีกอย่าง มองๆไป
เหมือน..."
สาวพลังจิตเว้นวรรคนาน กระทั่งคนรอฟัง
เลิกคิ้วเหมือนชักสงสัย
"เหมือนอะไร?"
"เหมือนคุณอัคระพยายามสร้างอาณาจักร
ใหม่ขึ้นมา!"
พูดเองขนลุกเอง และแอบลูบปลายแขน
เบาๆอยู่ใต้โต๊ะ
ฝ่ายชายหนุ่มนิ่งเงียบ เป็นความเงียบที่แฝง
พลังใหญ่อย่างลึกลับ
"อาณาจักรของผมสร้างไปได้กี่เปอร์เซ็นต์
แล้ว?"
สีหน้าของอัคระอ่านยากว่าคำาถามนั้นเป็น
ไปแบบไหลตามน้ำาหรืออยากรู้จริงๆ
"มะแมเห็นแต่ความยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เพิ่งวางรากฐาน เพิ่งก่อปราสาทราชวัง แต่ยังไม่
ใกล้เคียงคำาว่า 'สร้างเสร็จ' เพราะงั้นบอกเป็น
เปอร์เซ็นต์ไม่ถูกหรอกค่ะ"
"จะเป็นอย่างนี้ไหม เขาว่าการเริ่มสร้าง
ธุรกิจ ก็เหมือนการสร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมา
ต้องมีประมุข ต้องมีข้าราชบริพาร ต้องมีพสก
นิกร ต้องมีอริราชศัตรู คุณมะแมเห็นองค์
ประกอบเหล่านี้ครบเลยไหม?"
หญิงสาวสั่นศีรษะ
"อาณาจักรที่มะแมเห็น ไม่ใช่อุปมาอุปไมย
เทียบเคียงกับธุรกิจใหญ่ มะแมว่ามันคือ
อาณาจักรในความหมายของอาณาจักรของจริง!"
"เอาล่ะ! งั้นผมถามอย่างนี้แล้วกัน
อาณาจักรของผมจะสร้างสำาเร็จหรือเปล่า?"
พลังจิตสาวเงียบนาน มองลึกลงไปแล้วเห็น
พลังความยิ่งใหญ่ของอัคระ จนเกินกว่าจะสัมผัส
ถึงความล้มเหลวในภายภาคหน้า แต่แปลก ใจไม่
ยอมรับ ไม่รู้สึกใช่ เมื่อคิดถึงนิมิตอาณาจักรที่
สร้างเสร็จสมบูรณ์ คล้ายเต็มไปด้วยคลื่นรบกวน
ให้ภาพพร่าเลือน หรือเป็นภาพเสร็จครึ่งๆกลางๆ
คาราคาซังชอบกล
"เกินความสามารถที่จะรู้สำาหรับมะแมค่ะ"
"อ้าว!"
"มะแมเห็นอย่างไรก็บอกอย่างนั้นนะคะ ไม่
ได้หยั่งรู้ทั้งหมด กรณีของคุณอัคระ มะแม
สารภาพว่าไม่มั่นใจอะไรเลย ทุกอย่างดูขัดแย้ง
เกินความเข้าใจ ทั้งที่พยายามทำาความเข้าใจเต็ม
ที่แล้ว"
"แปลว่ายิ่งเห็นนิมิตมากขึ้นเท่าไหร่ ความ
ขัดแย้งยิ่งมากขึ้นเท่านั้น?"
"ค่ะ! เอาง่ายๆ บางสัมผัสบอกมะแมว่าคุณ
อัคระกำาลังทำาเรื่องใหญ่ มีผลดีกับสาธารณชน
โดยตรง แต่กลับทำาในสถานที่ลับ ปกปิดยิ่งยวด
มะแมนึกไม่ออกว่าอะไรดีๆทำาไมถึงเปิดเผยไม่
ได้ "
ดวงตาอัคระทอประกายวาบวาว ก่อนจะ
เลือนแสง เบนสายตามองไกลและยิ้มซึม
"งานบางอย่าง เปิดเผยไปก็โดนหาว่าบ้า
เปล่าๆ"
พลังจิตสาวโน้มตัวมาข้างหน้า คราวนี้เป็น
ฝ่ายซักบ้าง
"แปลว่าที่มะแมดูไว้ ตรงหมดเลยหรือคะ?"
อัคระตวัดหางตาแลมะแมแวบหนึ่งก่อนเมิน
ไปอีกทาง ตอบด้วยสำาเนียงขรึมกว่าเมื่อครู่
"ในระดับของคุณ เรียกว่าแม่นอย่างน่าทึ่งก็
แล้วกัน!"
มะแมตัวชาด้วยความงงงัน คำานั้นของเขา
หมายความว่าอย่างไร... ในระดับของหล่อน... นี่
เขาจัดหล่อนเข้าระดับไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
วูบหนึ่ง คำาพูดประกอบกับอำานาจในตัวอัคร
ะ สะกิดใจให้ระลึกถึงบอส และความเหมือนกัน
นั้น มีผลให้หล่อนได้แต่กะพริบตาปริบๆคล้าย
เด็กน้อยรอดูการเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่ โดยไม่
กล้าเอ่ยคำาถามใดต่อ
แม้อยู่ในความเงียบ แต่กลับไม่อึดอัด
ระหว่างเขากับหล่อนปราศจากแรงผลัก ไร้
กำาแพงกั้น และไม่มีความแปลกหน้าต่อกัน ถึงขั้น
ที่มะแมกล้ามองหน้าเขาข้างเดียว ไม่ละสายตา
ไปไหน
ขณะนั้นเอง พนักงานชายหญิง ๓ คนก็นำา
อาหารทยอยมาเสิร์ฟ และตักข้าวใส่จานให้ พอ
ทุกอย่างบนโต๊ะเสร็จเข้าที่ก็พากันเดินออกจาก
เรือน เหลือเด็กสาวไว้คนหนึ่งยืนรอคำาสั่งตรงมุม
ห้อง แต่อัคระโบกมือไหวๆเป็นสัญญาณให้ออก
ไปได้
ชายหนุ่มมองตามหลังเด็กสาวอย่าง
ปราศจากความหมาย แต่แล้วก็ทนกระแสจาก
สายตาของมะแมไม่ได้ จนต้องค่อยๆเบนไปสบ
นัยน์ตาของทั้งสองฝ่ายมีความตรงไปตรง
มาเสมอกัน ไม่กลัวที่จะพูดความจริงเหมือนๆกัน
พอประสานกันจึงกลายเป็น ณ ขณะแห่งการ
สัมผัสใจ แจ่มชัดแทบไม่ต่างจากมือเปล่าสัมผัส
มือเปล่า
หญิงสาวเป็นฝ่ายทำาลายความเงียบก่อน
"ถึงตอนนี้มะแมยังสงสัยอยู่ไม่หายนะคะ
ว่าทำาไมคนใหญ่คนโตอย่างคุณอัคระ ถึงต้องมา
ใช้บริการเด็กๆอย่างมะแม"
"รู้ได้ยังไงว่าคนใหญ่คนโต?"
เขาถามยิ้มๆ
"รู้ก็แล้วกัน!"
หล่อนตอบแบบยิ้มๆไปกับเขา
"ผมยังไม่โตจริงหรอก และอีกอย่าง ต่อให้
โตแค่ไหน ทุกคนก็ต้องการที่ปรึกษากันทั้งนั้น...
ว่าแต่เราเริ่มลงมือกันดีกว่านะ เดี๋ยวกับข้าวจะชืด
เสีย"
ระหว่างรับประทานมื้อเย็นด้วยกันเงียบๆ
เขาชวนหล่อนคุยเรื่องอื่นที่ไกลตัว หยอกเย้าให้
ขำาได้บ้าง ซึ่งมะแมก็เอออวยไปตามธรรมเนียม
แต่ใจชักอยากรู้เพิ่มขึ้นทุกทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
แน่ ทราบแค่ว่าเขาไม่ได้ต้องการคำาตอบจาก
หล่อนจริงจังนัก คำาของหล่อนเหมือนเสียง
สนับสนุน หรือไม่ก็แรงใจให้เขาครึกครื้นเล่นชั่ว
ครู่เท่านั้น
ตอนนี้คล้ายคำาถามจะผุดขึ้นในหัวเสียเอง
ว่าหล่อนกำาลังนั่งอยู่กับใครกันแน่ ...
กระทั่งต่างฝ่ายต่างรวบช้อนส้อม มะแมจึง
ตัดสินใจถามตรงๆ
"ตกลงจะเฉลยให้มะแมทราบไหมคะว่าคุณ
อัคระกำาลังทำาอะไรอยู่ ?"
ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามด้วยยิ้ม
ละไมครู่หนึ่งก่อนตอบ
"บอกก็ได้ "
มะแมใจเต้นระทึก เพราะไม่นึกว่าบทจะง่าย
เขาก็ไม่มีลีลาโยกโย้ใดๆเลยสักนิด
อัคระเอื้อมไปลากซองจดหมายฉบับหนึ่ง
ซึ่งมะแมเห็นวางอยู่ห่างออกไปทางด้านซ้ายมือ
ของของเขาตั้งแต่แรก แค่คิดไม่ถึงว่าจะมามีส่วน
เป็นบทเฉลยอย่างนี้
"เปิดอ่านดูสิ "
เขายื่นให้กับมือแบบไม่มีพิธีรีตอง หญิงสาว
จดจ้องด้วยประกายพิศวงครู่หนึ่ง ก่อนรับมาแกะ
ด้วยมือสั่นเทา
กระดาษจดหมายไร้เส้น ปรากฏลายมือที่
เคยคุ้นมาระยะหนึ่งในช่วงหลัง กับข้อความสั้น
กระชับตรงไปตรงมา...
คนที่คุณเคยอยากสื่อสารสองทาง กำาลังนั่ง
อยู่ตรงหน้าแล้ว!
อกใจไหวหวิวคล้ายจะเป็นลม รู้ตัวเลยว่า
หน้าซีดค้าง และเป็นนานกว่าจะกล้าช้อนตาขึ้น
มองใครคนหนึ่ง ที่ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้พบ
หน้า
ในความเงียบขนาดยินเสียงระบายลม
หายใจได้ถนัด อัคระหันไปพยักเรียกเด็กที่ยืนเฝ้า
อยู่นอกประตู
"เอาผลไม้รวมมาจานหนึ่งนะ"
"ค่ะ"
จานชามถูกเก็บออกจากโต๊ะโดยผู้ช่วยสอง
คนที่ตามเข้ามาทีหลัง และเพียงเมื่อโต๊ะว่างลง
จานผลไม้ก็ถูกนำามาวางแทนในเวลาไม่นาน
อัคระใช้ส้อมจิ้มชิ้นสับปะรดใส่ปาก และบุ้ย
ปากให้มะแมจิ้มตาม ทว่าหญิงสาวเอาแต่นั่งแข็ง
ทื่อ มองเขานิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นเทวรูปไป
แล้ว
"เป็นอะไร ทำาอย่างกับเห็นเทวดา"
นั่นเอง มะแมจึงหัวเราะเฝื่อนๆออกมาได้
"ก็เคยนึกว่าเป็นเทวดาจริงๆนี่คะ"
"ตอนนี้เห็นแล้วนี่ว่าไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเลิก
ทำาท่าเป็นมนุษย์น้ำาแข็งได้แล้ว เธอกับพี่ไม่ใช่อื่น
ไกลที่ไหน"
มะแมกะพริบตาถี่ๆ สลัดหน้าอย่างมึนงงไม่
หาย
"คุณอัคระ... นี่เป็นคุณจริงๆหรือคะ?"
"เรียกพี่อัคเถอะ"
"เรียกไม่ออกหรอกค่ะ คุณเหมือนไม่ใช่คน
ธรรมดา"
"ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วอะไร จะให้เป็นลิงพูด
ได้เหรอะ?"
มะแมอยากขำาแต่ขำาไม่ออก วางหน้าไม่ถูก
"ไม่รู้จะว่ายังดีค่ะ... เอ่อ... แหม..."
"เอาน่า! พูดอย่างที่พูดมาตั้งเยอะแล้วนั่น
แหละ"
เขายิ้มมุมปากและมองลึกลงไปในตาหล่อน
ซึ่งหล่อนก็ตอบตาด้วยแววขลาด
"ขอบคุณนะคะ ที่ให้เกียรติมะแมขนาดนี้
แต่ ... เอ่อ... คุณ..."
"ไหนเรียกพี่อัคซักคำาซิ "
"พี่อัค..."
"เห็นไหม! คุ้นแล้ว"
หญิงสาวเกิดอาการวิงเวียนเป็นระลอก จ้อง
เขาอย่างทึ่งไม่หาย ปากหัวเราะทั้งที่ใจอยาก
ร้องไห้
"นี่มันอะไรกันคะ?"
"มันก็อย่างที่เห็นน่ะแหละ"
"แล้ว... ทำาไปเพื่ออะไรคะ?"
"มะแมเก่งไม่ใช่เหรอ ลองรู้เอาเองสิว่าเพื่อ
อะไร ต้องถามพี่ทำาไม"
"ไม่ได้เก่งขนาดรู้ไปทุกอย่างนี่ "
"ไม่รู้ทุกอย่าง แล้วรู้ใจตัวเองหรือเปล่าว่า
คืนนี้อยากไปนั่งดูทะเลกับพี่ไหม?"
หญิงสาวอึ้งอย่างตามไม่ทัน ตอบแบบ
สับสนใจสุดขีด
"เพิ่งรู้จักกันวันเดียวจะชวนไปทะเลดึกๆ
ดื่นๆ เห็นมะแมเป็นอะไรคะ?"
"ตอบพี่ซิ ! อยากไปหรือเปล่า?"
ต้องเป็นนาน กว่าจะมีเสียงอุบอิบเล็ดรอด
ผ่านริมฝีปากของหญิงสาวออกมาได้ว่า
"อยาก..."
ด้วยอัตราเร่งทะยานจากตำาแหน่งหยุดนิ่ง
พุ่งไปถึง ๑๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในชั่วเวลา ๖
วินาที เผลอนับดาวบนห้วงฟ้ามืดแค่ไม่กี่ดวง
บูกัตตี้ เวย์รอน ก็พาสองหนุ่มสาวพุ่งลิ่วข้ามทาง
ลอยฟ้าบูรพาวิถี มาแล่นเรื่อยบนถนนเลียบ
ชายหาดบางแสน ราวกับสายลมแห่งความ
มหัศจรรย์หอบพัดมาก็ไม่ปาน
อัคระลดประทุนลง ปล่อยให้ลมทะเลราตรี
อันฉ่ำาชื่นเข้ามาปะทะหัวใจยิ้มได้ เขาขับวนบน
เส้นทางรอบเขาสามมุก แล้วที่สุดก็เลือกจอด
บริเวณว่างวายเหล่ามนุษย์ หันหน้าออกทะเล
เพื่อเสพบรรยากาศยามค่ำาคืนที่เหมือนทั้งโลก
เหลือเพียงเขากับหล่อนสองคนตามลำาพัง
มะแมทอดตามองห้วงทะเลมืดและท้องฟ้า
ประดับดาวด้วยใจสงบนิ่ง ความรู้สึกเกร็งจนตัว
ลีบผ่านพ้นไปแล้ว เหลือแค่ความสงสัยนิดหน่อย
ว่านี่หล่อนกำาลังทำาอะไรอยู่ คิดอย่างไรถึงยอมมา
กับเขาขนาดนี้
เอียงหน้าเหลือบมองพวงมาลัยสามแฉก ที่
ตรงกลางมีอักษร E กลับข้างประกบ B อันเป็น
ตราสัญลักษณ์ของบูกัตตี้ แล้วไล่สายตาขึ้นจับ
จ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มเจ้าของรถ สัมผัส
ทั้งหมดคล้ายภาพฝันที่นึกไม่ถึงว่าจะมาปรากฏ
กับตาได้จริงๆ
ความรู้สึกตลอดทางยามนั่งข้างเขาในรถ
คันนี้ คือการเป็นศูนย์กลางจักรวาล ที่รวมเอาทุก
สายตามาจ้องมองด้วยความสนใจ ตลอดจนมอบ
ความยำาเกรงให้อย่างรู้ว่าคันนี้เกิดมาเพื่อเร่งแซง
นำา โดยไม่มีใครหาญกล้าไล่กวดตาม
ทุกวินาทีบนบูรพาวิถี จุดเล็กๆเบื้องหน้าไม่
เคยอยู่ไกลเกินแรงกระโจน แต่กลับห่างไกลจาก
ภยันตรายหลายขุม แม้หลายครั้งที่ต้องหลีกหลบ
ข้ามเลนฉับพลัน ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกมั่นคง
ไหลรื่น เยี่ยงยนตรกรรมล้ำาเลิศที่คอยช่วยระวัง
ไม่พาคนในรถเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง
ใดๆ
ความเป็นหนึ่งบนทางลอยฟ้าที่ผ่านมา อาจ
เป็นวิธีแนะนำาตัวให้หล่อนรู้จักเขาลัดๆ ส่วน
ชายทะเลสงบปลอดผู้คนแห่งนี้ อาจเป็นวิธีบอก
ให้ทราบว่า เขาต้องการพาหล่อนมาถึงจุดหมาย
แบบไหน
สำาเหนียกสัมผัสใจอัคระ อารมณ์ของเขา
กำาลังผ่อนคลายเต็มที่ แต่ขณะเดียวกันก็มีสติ
อย่างใหญ่ รู้ตัวว่ากำาลังทำาอะไรอยู่ที่ไหน ไม่มีสัก
ขณะที่ปราศจากเหตุผล และนั่นก็ชวนให้มะแม
ใคร่ถาม
"มีเหตุผลที่เราต้องรีบสนิทกันขนาดนี้ใช่
ไหมคะ?"
"ใช่ ..." อัคระตอบเรียบเนือย ไร้พิธีรีตอง
แต่ก็ฟังมีน้ำาหนักเป็นจริงทุกคำา "ถ้าจะต้องเปิด
เผยความลับสำาคัญที่สุดให้ใครรู้ คนๆนั้นก็ควร
เป็นคนสนิท ไม่ใช่คนแปลกหน้า จริงไหม?"
หญิงสาวระบายลมหายใจเหยียดยาวและ
นุ่มนวล เบนสายตาไปร่วมทัศนาทัศนียภาพร่วม
กับเขา ณ ขอบโลกกว้างเบื้องไกล ความไพศาล
ของแผ่นดินแผ่นน้ำาแผ่ตัวสงบเงียบ ราวศานติจะ
เป็นใหญ่ได้เน่ินนาน
"มะแมกำาลังรอฟังค่ะ"
อัคระเงียบเป็นครู่ก่อนเอ่ยด้วยอารมณ์สงบ
ราบคาบ
"อีกไม่นาน สิ่งที่เรากำาลังเห็นอยู่ในขณะนี้
จะแตกต่างไปมาก"
"โลกจะแตกหรือ?"
ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย
"แตกต่าง ไม่ใช่แตกดับ"
"ผู้คนจะล้มหายตายจากไปกันเยอะใช่
ไหม?"
คราวนี้เขาผงกศีรษะ ซึ่งก็ไม่ทำาให้มะแม
ประหลาดใจนัก เนื่องจากเค้าลางปรากฏชัดขึ้น
ทุกวันอยู่แล้ว
"พี่อัครู้จากอะไร?"
"การคำานวณ"
"ไม่ได้ใช้สัมผัสหรอกหรือคะ?"
"ก็ประกอบกัน แต่จิตสัมผัสบอกได้คับแคบ
จำากัดเป็นบางเวลา เหมือนอย่างที่มะแมเคยฝัน
เห็นแผ่นดินไหว ก็ตั้งใจรู้เอาไม่ได้ และเมื่อรู้ก็ไม่
อาจระบุขอบเขตความเสียหาย จะมีการตายเท่า
ไหร่ รายชื่อผู้ตายมีใครบ้าง"
"การคำานวณของพี่อัคทำาได้ ?"
"ยังแปลกใจอยู่อีกหรือ?"
หญิงสาวอึ้ง ความใกล้ชิดเยี่ยงคนปกติ
ธรรมดา ทำาให้ลืมไปว่ากำาลังนั่งคุยอยู่กับใคร
"แล้ว... การคำานวณของพี่อัคบอกอะไร
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโลกหรือคะ?"
"ที่ผ่านมาก็บอกถูกว่าที่ไหน เมื่อไหร่ จะมี
การกวาดล้างผู้คนออกจากโลกด้วยวิธีตายหมู่
เรือนร้อย เรือนพัน เรือนหมื่น หรือเรือนแสน แต่
ที่น่ากลัวคือมันฟันธงไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยว่า
เร็วๆนี้การตายหมู่จะยกระดับขึ้นเป็นเรือนล้าน!"
"มันนี่คือคอมพิวเตอร์พยากรณ์ ?"
"เปล่า... ซีอุสไม่ได้พยากรณ์ แต่มันเปิด
เผยความลับของโลกและจักรวาลต่างหาก!"
"ซีอุส..." หล่อนทวนชื่อระบบคอมพิวเตอร์
ที่อัคระเอ่ยถึง "คุ้นๆว่าเป็นชื่อของเทพอะไรสัก
อย่างใช่ไหมคะ?"
"ซีอุสเป็นนามมหาเทพผู้มีหน้าที่ตรวจตรา
ควบคุมจักรวาล หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้มองโลกลง
มาจากท้องฟ้า ด้วยดวงตาสวรรค์ "
"แล้วใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา?"
"เซธกับพี่ "
"เซธคือ... เขา?"
"เขานั่นแหละ!"
มะแมถอนใจ นึกแล้วว่าเทวดาทั้งสององค์
รู้จักมักจี่กัน เพียงแต่ไม่นึกว่าจะสนิทขนาดเป็น
เพื่อนร่วมงานกันมาก่อน!
"นึกว่าเขาแก่แล้วเสียอีก"
"ก็แก่แล้วน่ะสิ !"
"แค่ไหน?"
"เก้าสิบกว่า"
มะแมสะดุ้งและร้อง "ฮ้า?" ออกมาดังๆ
เพราะตอนคุยโทรศัพท์กับ "บอส" ทั้งสองครั้ง
หล่อนสัมผัสถึงความเป็นบุรุษร่างใหญ่ รูปศีรษะ
สูง บารมีและอำานาจในตัวเหมือนนักปกครองวัย
๖๐ แต่ความสดใหม่แห่งพลังชีวิตชวนให้นึกว่าไม่
น่าถึง ๔๐ ด้วยซ้ำา!
ชายหนุ่มอธิบายอย่างรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไร
"วิทยาการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมของ ๒๐ ปี
ข้างหน้า เซธครอบครองไว้ตั้งแต่เมื่อ ๒๐ ปีก่อน
แถมยังรู้จักศาสตร์ที่จะใช้ฌานสมาธิรักษาพลัง
ความเป็นหนุ่มให้คงอยู่ไม่หายไปไหนด้วย"
"ชีวิตอมตะ?"
"ไม่มีอะไรเป็นอมตะหรอก เรียกว่าต่อชีวิต
ได้เท่าที่จะพอใจก็แล้วกัน"
"วาว..." มะแมอุทานเป็นเสียงครางแผ่ว
"รู้สึกเหมือนกันค่ะว่าบอส... เอ่อ... เซธ... มีพลัง
ชีวิตแปลกๆ แต่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาชอบกล"
"อือ... ตั้งแต่แรกเห็น พี่ก็รู้สึกว่าเซธแปลก
ไปหมด แต่พอคุ้นๆกันก็เหมือนคนธรรมดาที่รัก
โลภ โกรธ หลงได้นี่เอง"
"สัมพันธภาพระหว่างพี่อัคกับเขา ดีหรือ
ร้ายแค่ไหนกันแน่คะ?"
"เรื่องมันยาว..."
ดูเหมือนเขามีแก่ใจเล่าเพียงสั้น
"บอสเคยเรียกพี่อัคว่าหัวขโมยด้วยล่ะ!"
หญิงสาวแกล้งฟ้อง เผื่อจะได้ฟังความเป็น
มาของเทวดาสององค์มากกว่านี้ ซึ่งได้ผล เขาทำา
หน้าเข้มก่อนพูดหนักๆ
"ก็แล้วแต่จะมองนะ!" ทว่าเพียงครู่เดียวก็
สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างคนคุมอารมณ์ได้เร็ว
"สูตรการพยากรณ์เป็นของเซธ แต่การสร้าง
เครื่องสืบค้นที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เป็นหมื่นเป็น
แสน ให้ตอบคำาถามได้ครอบจักรวาลเหมือน
ปัจจุบัน คือผลงานของพี่คนเดียว! เครดิตคนละ
ครึ่งอย่างนี้ สมควรเรียกพี่ว่าเป็นหัวขโมยแน่
หรือ?"
"อ้อ... ค่ะ... มิน่าล่ะ คำาว่า 'หัวขโมย' ที่
ออกจากปากบอสถึงฟังเอ็นดูชอบกล ใจจริงบอส
คงไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก... ว่าแต่ที่จุดเริ่มต้นนี่
บอสได้ตัวพี่อัคมายังไง ไปทำาอะไรเข้าตาเขาเห
รอ?"
"อย่างเซธไม่สนใจคนที่ทำาอะไรเข้าตา
หรอก เขาสนคนที่ฤกษ์เกิดเข้าท่ามากกว่า!"
"แล้วบอสได้ฤกษ์เกิดของพี่อัคมาจาก
ไหน?"
"ตั้งแต่สี่สิบปีก่อนเป็นต้นมา เซธค่อยๆ
สร้างโรงพยาบาลขึ้นทั่วโลก จุดประสงค์หลักคือ
เพื่อเก็บข้อมูลเด็กเกิดใหม่ทุกคน ไม่เฉพาะแค่วัน
เดือนปีและนาทีเกิด แต่รวมไปถึงตัวอย่าง
เนื้อเยื่อด้วย"
มะแมพยักหน้าช้าๆอย่างคนเข้าใจเร็ว
"ฤกษ์เกิดกับรหัสในยีนของพี่อัค บอกบอส
ว่าเหมาะจะเอามาทำางานใหญ่ด้วยกันใช่ไหม
คะ?"
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก พี่มารู้ทีหลังว่าตัวเอง
เป็นพวกเกิดใต้ฤกษ์จักรพรรดิ แต่ขณะเดียวกันก็
มีดวงเกื้อหนุนเซธ เซธเลยคิดว่าแทนที่จะต้อง
แข่งกัน สู้มาช่วยกันสร้างโลกใหม่ให้สมบูรณ์จะดี
กว่า!"
"บอสคงไม่ฉกพี่อัคมาจากพ่อแม่ดื้อๆใช่
ไหมคะ?"
"ตอนแปดขวบ อยู่ๆครูใหญ่เรียกพ่อแม่ไป
พบ แล้วแจ้งว่าไอคิวของพี่สูงเกินกว่าจะมัวมา
เสียเวลานั่งเรียนรวมกับเด็กทั่วไป โตขึ้นอาจจะ
กลายเป็นเด็กมีปัญหา แต่หากเรียนในโรงเรียนที่
สร้างขึ้นเพื่อรองรับเด็กอัจฉริยะโดยตรง ก็อาจ
กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกได้ "
"อย่างนี้เอง..."
แน่นอนว่าพ่อแม่ย่อมอยากให้ลูกโตขึ้นเป็น
บุคคลระดับโลก และคิดปกป้องทุกวิถีทางเพื่อไม่
ให้ลูกต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหา
"พ่อแม่ของพี่สอบถามครูใหญ่ด้วยความไว้
เนื้อเชื่อใจในทันที ว่าควรเอาพี่ไปเข้าโรงเรียนดีๆ
ที่ไหน แล้วครูใหญ่ก็พาพ่อแม่พี่ไปรู้จักกับ
โรงเรียนเด็กอัจฉริยะ ซึ่งเซธสร้างขึ้นมาอย่างถูก
ต้อง เพื่อเป็นสถานีรวบรวมเด็กไทยโดยเฉพาะ"
"โห! มีทั้งเครือข่ายโรงพยาบาล มีทั้งเครือ
ข่ายโรงเรียน เพียงเพื่อใช้เลือกเลี้ยงคน!"
"นั่นแหละ! บันไดสร้างโลกใหม่ของเซธล่ะ
โรงเรียนของเขาที่สร้างขึ้นในแต่ละประเทศ ทั้ง
ทันสมัย ทั้งอลังการ แถมค่าเทอมไม่แพงเกิน
เอื้อม หรือไม่ก็มีข้อเสนอให้ทุนเรียนฟรีแลก
เปลี่ยนเงื่อนไขนิดหน่อย พ่อแม่ของเด็กทุกคน
ที่มาก็ต้องเอาหมด"
"มีขั้นตอนล้างสมองอะไรหรือเปล่าคะ?"
"ยังหรอก... ไม่มีใครรู้จักเซธด้วยซ้ำา
ระหว่างเรียน และหลักสูตรการเรียนก็แหวกแนว
กว่าโรงเรียนเด็กอัจฉริยะอื่นด้วย เพราะเด็กแต่ละ
คนจะถูกกำาหนดให้เรียนแบบเน้นตามความถนัด
โดยไม่ต้องถาม ไม่ต้องสอบความถนัดเสียก่อน"
"สร้างคนให้สอดคล้องกับเส้นทางกรรม
เก่า?"
อัคระยิ้มแฝงนัยเยาะหน่อยๆ
"สร้างคนให้เหมาะกััััับความต้องการใช้งาน
มากกว่า"
"แล้วเมื่อไหร่คะที่บอสให้พี่อัครู้จักเขา?"
"พอเรียนถึงระดับหนึ่ง จะมีการคัดตัวไป
เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ซึ่ง
โรงเรียนออกทุนให้ทั้งหมด โดยพ่อแม่ไม่ต้องเสีย
สักบาท ข้อแลกเปลี่ยนเดียวคือต้องทำางานให้
เครือข่ายของเซธเป็นการใช้ทุนคืน และด้วยข้อ
แลกเปลี่ยนนั้นแหละ ที่เซธให้คนมาพาพี่ไปหา"
"เป็นมหาวิทยาลัยของบอสเองอีกหรือ
เปล่า?"
"เซธไม่ต้องการให้คนของตัวเองอยู่ในโลก
แคบขนาดนั้นหรอก พี่เข้าเรียนในยูเหมือนเด็กวัย
รุ่นทั่วไป"
"จบจากไหนคะเนี่ย?"
"เอ็มไอที "
"ปริญญาเอก?"
"อือ..."
หญิงสาวสัมผัสถึงความอ่อนเยาว์ขณะรับ
ปริญญา จึงถาม
"จบตอนอายุเท่าไหร่คะ?"
"สิบเก้ามั้ง"
มะแมทำาปากจู๋เงียบๆโดยไม่ส่งเสียง "อู้หู !"
ออกมา นี่ถ้าตอนพยายามใช้กูเกิ้ลสืบหาอัคระ
หล่อนสะกดชื่อเป็นภาษาอังกฤษก็คงเจอเรื่องของ
เขาได้ไม่น้อย
"ยังไงบอสคงไม่สนใจเรื่องแค่ดอกเตอร์จบ
เร็วกระมังคะ สิ่งที่บอสต้องการจากพี่อัคจริงๆ คง
มีแต่พี่อัคที่ทำาได้ "
"ก็ประมาณนั้น"
"เกี่ยวกับเครือข่ายระบบพยากรณ์อะไรนั่น
ใช่ไหม?"
"ใช่ ... ช่วงสามสิบสี่สิบปีก่อน เซธยังไม่
ต้องการอะไรมากไปกว่าคัดเลือกเด็กคนไหนมีด
วงสร้างโลกใหม่ที่เกื้อกูลเซธได้ ตอนข้อมูลยังไม่
มาก แค่ใช้คอมพิวเตอร์โบราณก็ตอบโจทย์นั้นได้
แล้ว แต่ยี่สิบปีที่ผ่านมาเซธเริ่มมีวิธีแทรกซึม
เข้าไปเอาข้อมูลจากโรงพยาบาลได้เกือบหมด
โลก อีกทั้งวิทยาการเครือข่ายกับระบบสืบค้น
พัฒนากว่ายุคแรกมาก จนเซธเห็นความเป็นไป
ได้ที่จะสร้างกุญแจไขจักรวาลขึ้นมา..."
มะแมเผยอปากอย่างเริ่มกระจ่าง
"แล้วก็ทำาได้จริงๆนะคะ!"
"ไม่ใช่มีวิทยาการรองรับแล้วทุกอย่างจะ
ตามมาเองหรอกนะ 'รหัสมนุษย์ ' เป็นพันล้านคน
ถ้าคิดวิธีสร้างระบบสืบค้นให้มามีความเชื่อมโยง
กันไม่ได้ ก็เหมือนได้ภูเขาข้อมูลที่กองไว้อย่าง
เปล่าประโยชน์มาลูกหนึ่ง"
"ก่อนหน้าพี่อัค คงไม่มีใครเคยทำาได้ "
"สิ่งที่เซธค้นพบมันเป็นเรื่องเกินจินตนากา
รพอๆกับทฤษฎีสนามรวมของไอน์สไตน์ มีไม่กี่
คนในโลกที่ฟังเข้าใจ ฉะนั้นถึงโปรแกรมเมอร์เก่ง
แค่ไหน แต่ถ้าคุยกับเซธไม่รู้เรื่อง ก็สร้างซีอุสไม่
ได้ แม้แต่เซธพยายามเองยังจนแต้มเลย"
เขาพูดยิ้มๆอย่างภาคภูมิที่เหนือกว่าเซธได้
เรื่องหนึ่ง
"ขนาดระบบสืบค้นข้อความธรรมดายัง
ทำาให้ดีๆได้ยากเลยนะคะ นี่จะทำาระบบสืบค้น
รหัสมนุษย์เป็นพันล้าน แถมเอามาตีความให้เกิด
ความหมาย ตอบโจทย์ได้ตามต้องการอีก ต้องมี
ใครคนหนึ่งเกิดมาเพื่อจะสร้างมันจริงๆ"
"คนแบบนั้นแหละที่เซธชอบเลี้ยงไว้ใกล้
ตัว... ทำาในสิ่งที่คนอื่นทำาไม่ได้ "
"ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะครองโลกแล้วใช่
ไหมคะ?"
"ถ้าหมายถึงออกแรงยึดครองโลกที่กำาลังผุ
พังตอนนี้ ไม่ใช่เลยมะแม เซธรอเวลาจัดระเบียบ
โลกใหม่อยู่ต่างหาก"
"ด้วยการสร้างกองกำาลัง รอถึงเวลาโลก
เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ?"
"ใช่ ! ทุกวันนี้เซธไม่ใช้วิธีล่าอาณานิคม แต่
จะใช้วิธีสร้างพระราชาน้อยๆที่เขาไว้ใจขึ้นมาปก
ครองอาณาจักรย่อยๆ ที่โน่น ที่นี่ แล้วให้
อาณาจักรเหล่านั้นประสานกันเอง สร้างผลผลิต
และรายได้ในลักษณะแยกกันมี แต่ร่วมกันใช้ "
พอมะแมรับฟังจนเริ่มคุ้น นิมิตต่างๆก็
ค่อยๆทยอยผุดโพลงขึ้นในห้วงมโนทวาร ทุกสิ่ง
กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สัมผัสได้จริง ผิดกับที่ผ่าน
มา ที่อะไรๆไกลเกินสัมผัส หรือพยายามสัมผัส
แล้วโดนกางกั้นด้วยกำาแพงแห่งความไม่เข้าใจ
หรือเข้าไม่ถึงเรื่องใหญ่ระดับมหภาค
ยามนี้ หล่อนเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่วัยกลาง
คนนั่งเด่นเป็นสง่าบนยอดเขา นั่นคงเป็นนิมิต
บัลลังก์โลก ที่เบื้องล่างลงมา ณ เชิงเขาเต็มไป
ด้วยจิตวิญญาณชั้นสูง แข่งแสงสว่างเรืองรอง
ฤานั่นจะเป็นภาพแทนอาณาจักรแห่ง
พระเจ้าจักรพรรดิองค์ใหม่ ?!?
ฟ้าแลบแปลบที่ขอบทะเลเบื้องไกล ดึง
มะแมให้ละจากนิมิตทางใจไปมองฟ้าภายนอก
นิ่งเป็นครู่ก่อนห่อไหล่ด้วยความหนาวสะท้าน ดู
เหมือนที่หล่อนเต็มใจเรียกบุรุษผู้นั้นว่า "บอส"
เห็นทีจะน้อยไปเสียแล้ว
"บอสพูดถึงการแบ่งคนออกเป็นระดับต่างๆ
แล้วก็บอกว่ามะแมอยู่ระดับสี่ มันยังไงคะ?"
อัคระขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
"เซธคุยกับมะแมเรื่องนี้ด้วยเหรอ?"
"เป็นความลับมากหรือคะ? คือ... ครั้งหนึ่ง
มะแมขอพบบอส บอสบอกว่ามะแมแค่ระดับสี่ รอ
ให้ถึงระดับห้าก่อน ถ้ามะแมพบบอสหรือรู้เรื่อง
มากเกินไปอาจถึงขั้นรื้อบันไดอนาคต"
อัคระหัวเราะหึหึอย่างพยายามล้างกระแส
ความกังวลออกไปไม่ให้มะแมสัมผัสได้ และพูด
ด้วยสำาเนียงปกติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
"สี่ระดับแรกน่ะ รู้ไปก็ไม่เป็นไรหรอก"
"รู้ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นค่ะ อยากรู้ใจจะขาด
อยู่แล้ว!"
ชายหนุ่มชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเผย
"ระดับหนึ่ง คือมีชีวิตรอดหลังจากโลก
เปลี่ยนครั้งใหญ่ "
เพียงข้อแรกที่ฟังก็เหน็บหนาวอย่าง
ประหลาด มะแมถึงกับถอนใจเฮือก
"แปลว่ามะแมก็รอดกับเขาด้วย คนรอดนี่
ควรดีใจหรือเสียใจคะ?"
"ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นมนุษย์ระดับไหน ยิ่ง
สูงขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีส่วนทำาโลกอนาคตให้น่า
อยู่ขึ้นเท่านั้น"
"แล้วตอนรอดนี่ รอดแบบไม่มีริ้วรอยเท่า
แมวข่วน หรือรอดแบบต้องถลอกปอกเปิกหัวร้าง
ข้างแตกคะ?"
"ดวงที่ทำาให้คนเรารอดตาย มันแข็งแกร่ง
ยิ่งกว่าเกราะกันกระสุนหรือบังเกอร์หลบ
นิวเคลียร์เสียอีก ต่อให้ใครคิดเอาปืนมายิง
เผาขน กระสุนก็ด้านขึ้นมาได้เฉยๆ"
"โอเคค่ะ... แล้วระดับสอง?"
"ระดับสอง คือจิตต้องสว่างเจิดจ้า เป็นตัว
ของตัวเอง รอดจากการถูกกลืนด้วยพลังบาปที่
ก่อตัวเป็นหลุมดำาเข้มข้นขึ้นทุกวัน"
"อ๋อ..."
มะแมครางอย่างเข้าใจและเห็นภาพมากขึ้น
"ระดับสาม คือมีน้ำาใจ สามารถคิดช่วยคน
อื่นก่อน และระดับสี่ มีสัมผัสพิเศษ เหมาะจะเป็น
กำาลังให้กับโลกใหม่ที่ต้องการการฟื้นฟูจิต
วิญญาณมหาชนนับไม่ถ้วน!"
"แล้วระดับห้าล่ะคะ... บอกไม่ได้ ?"
คำาถามนั้น ดูจะเป็นไปเพื่อพบสีหน้าสลดขอ
งอัคระ
"อย่าเพิ่งรู้เลย"
ทีท่าของเขาชัดเจนว่าเป็นเรื่องคอขาดบาด
ตาย ปล่อยให้หล่อนรู้ตามใจชอบไม่ได้จริงๆ
มะแมจึงตัดความอยากรู้อยากเห็นทิ้ง เลิกเซ้าซี้
"ค่ะ! เอาตามนั้น ไม่รู้ก็ได้ "
แต่อย่างไรก็ดี พลังจิตสาวยังอุตส่าห์
พยายามฉวยโอกาสเล็งภาวะสลดที่เกิดขึ้นในชั่ว
เวลาสั้นๆของชายหนุ่ม เผื่อจะได้นิมิตอะไรเป็น
เค้าเงื่อนให้ปะติดปะต่อได้บ้าง ทว่าก็ไม่พบอะไร
เป็นเรื่องเป็นราว คล้ายเขาสลดให้กับเรื่องน่า
เศร้าที่ไม่จำาเป็นต้องเกิดขึ้นเลย
"ดีแล้ว..." อัคระเงยหน้าขึ้นตั้งตรงใหม่
เป็นปกติ "ในที่สุดทุกเรื่องก็ต้องเปิดเผยตัวเอง
เมื่อถึงเวลา"
"เอาล่ะ! มะแมเข้าใจความเป็นมาแล้ว ทีนี้
บอกได้ไหมว่าทำาไมพี่อัคกับบอสถึงลงเอยเหมือน
คู่แข่งกันไปได้ ?"
อัคระทอดมองไปไกล มีความละเหี่ยใจอยู่
ในกระแสตา
"พี่กับเซธไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกันหรอก
พี่แค่รู้มากไป แล้วก็สนิทกับเขาจนกล้าเห็นต่าง"
"ยังไงคะ?"
"เซธกำาลังสร้างโลกใหม่ให้สมบูรณ์แบบ
ขณะที่พี่อยากเปลี่ยนโลกเก่าให้ดีขึ้น"
เขาสรุปสั้นที่สุด
"อยากช่วยให้คนที่ไม่มีสิทธิ์รอด กลายเป็น
คนมีโอกาสรอด อย่างนั้นใช่ไหม?"
"ใช่ ..."
อัคระรู้สึกดีที่มะแมตามเขาทัน และเข้าใจ
อย่างลึกซึ้ง
"แล้ววิธีของพี่อัค?"
"ด้วยพลังของซีอุส พี่ค้นพบว่าภัยพิบัติทาง
กายภาพอาจเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่หายนะทาง
วิญญาณเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ รวมทั้งไม่จำาเป็น
ต้องมีการกวาดล้างครั้งใหญ่ด้วย ขอแค่
เปลี่ยนแปลงบุคคลสำาคัญในโลกนี้ได้เพียงหยิบ
มือเดียว!"
"น่าสนใจจังค่ะ"
"คนส่วนใหญ่ไม่มีทิศทางของตัวเอง ต้อง
รอดูว่าสังคมไหลไปทางไหน ผู้นำาประพฤติตน
อย่างไร นั่นแปลว่าโลกนี้หมุนผิดทางด้วยอิทธิพล
ของคนบารมีมากเพียงไม่กี่ร้อยกี่พัน ถ้าเปลี่ยน
คนเหล่านี้ได้พร้อมกันในช่วงเวลาสั้นๆ ก็จะเกิด
ความโยงใยครั้งมโหฬาร ทุกอย่างจะถูกจัด
ระเบียบใหม่หมด"
"บอสฟังไอเดียนี้แล้วว่าไง?"
"ตอนแรกก็ยังไม่ว่าไง เพราะแม้แต่เซธก็ไม่
เคยคำานวณตามมุมมองนี้มาก่อน แต่เพื่อให้เขา
เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ข้อสันนิษฐาน พี่ใช้ซีอุสสร้างโลก
จำาลองขึ้นมาแสดงให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน โดย
คัดเอาบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกมาเป็น
ตัวตั้ง ทั้งผู้นำาประเทศ ผู้นำาศาสนา ดารานักร้อง
นักกีฬา ไล่ลงไปจนถึงมาเฟียใหญ่ในวงการต่างๆ
แสดงให้เห็นว่าถ้าคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงพร้อม
กัน ก็จะเกิดการระงับหายนะทางวิญญาณเป็น
ปฏิกิริยาลูกโซ่ แบบเดียวกับโดมิโนล้ม"
"อยากรู้จังค่ะว่าถ้าเกิดขึ้นจริงจะเป็นยังไง
นี่มันพลิกประวัติศาสตร์เลยนะคะ... แล้วบอสรับ
ฟังแค่ไหน?"
อัคระทำาท่าเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงคำาปฏิเสธ
ของเซธ
"เซธบอกว่านี่ไม่ใช่การเอาชนะดวงคน แต่
เป็นการเอาชนะดวงโลก มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
หลายคนในลิสต์รายชื่อของพี่ล้วนเป็นพวกบอด
สนิทเกือบทั้งสิ้น บอดระดับนรกบังตาเลยทีเดียว
ถึงวาดสวรรค์ให้ดู เซธก็ไม่เชื่อว่าพวกนั้นจะชม"
"นั่นสิ ! มะแมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่อัคจะ
มีวิธีทำาให้เกิดขึ้นจริงได้ยังไง"
"ก็ทำาตัวเป็นจอมพยากรณ์ บอกกับพวกนั้น
ว่าด้วยการตัดสินใจแบบวันนี้ของเขา จะเกิดอะไร
ขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า พอเริ่มเชื่อก็จะ
เริ่มรับคำาแนะนำาทีละน้อย"
"ชักนึกถึงตัวเองแล้วสิ "
"มันซับซ้อน และต้องใช้กำาลังคนมากกว่าที่
ส่งจดหมายถึงมะแมเยอะ"
"แล้วยังไงคะ ฟังดูน่าจะเป็นไปได้ออก
อย่างนี้ บอสยังค้านอีก?"
"เซธแย้งว่าโลกมีแรงต้านทานการ
เปลี่ยนแปลง และแรงต้านทานนั้นก็ทรงพลัง
มหาศาลเกินกว่าที่พี่กับเขาจะเอาชนะได้ ซึ่งพี่ก็รู้
ว่ามันยาก แต่พยายามโน้มน้าวว่าอะไรอย่างซีอุ
สน่าจะมีได้ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
และนั่นก็เท่ากับเป็นโอกาสเดียวของมนุษยชาติ
ด้วย ทำาไมถึงไม่ลองใช้โอกาสเดียวที่มาอยู่ในมือ
แล้วแท้ๆให้คุ้ม"
"คำาตอบสุดท้ายจากบอส?"
"เซธยืนกรานว่าศักยภาพของมนุษย์มีขีด
จำากัด คนๆหนึ่งอาจเขย่าโลกได้ด้วยระเบิด
ปรมาณู หรือครองโลกได้ด้วยกองทัพเกรียงไกร
แต่ไม่มีทางเปลี่ยนโลกได้ด้วยความปรารถนาดี
อย่างเด็ดขาด!"
มะแมพยายามลองใช้จิตสัมผัสดูตาม ก็เห็น
ว่าการพยายามเปลี่ยนดวงโลกย่อมก่อให้เกิด
ความโกลาหลเกินจะนึกฝัน เพียงแต่เห็นไม่ขาด
ว่าผลลัพธ์ออกหัวหรือออกก้อยท่าไหนกันแน่
"สรุปคือบอสไม่เอาด้วยกับพี่อัค?"
อัคระแค่นยิ้ม
"พี่รู้สึกได้ว่าเซธอ้างโน่นอ้างนี่โดยไม่คิดจะ
ลองพยายามตามแนวทางที่พี่บอก เหตุผลที่แท้
คือกลัวไม่ได้ผูกขาดอำานาจไว้ในมือเพียงคนเดียว
เพราะถ้าเป็นไปตามที่พี่จำาลองสถานการณ์ให้ดู
ผู้คนจะรอดกันมากจนมีอำานาจอธิปไตยได้ ไม่
ต้องมาสวามิภักดิ์กับจักรพรรดิที่ก่อร่างสร้าง
อาณาจักรรอไว้แล้ว!"
"แล้วตอนนี้พี่อัคยังคุยกับบอสดีๆหรือ
เปล่า?"
"ก็คุยๆกันอยู่บ้าง พออารมณ์ขัดแย้ง
เบาบางลง พี่ก็คร้านจะโน้มน้าวเซธให้เห็นอย่างที่
พี่มอง และเซธเองก็เลิกพูดอะไรให้พี่กลับไป
ตามใจเขาอีก ต่างฝ่ายต่างลดราวาศอก อีกคน
อยากทำาอะไรก็ทำา"
"บอสไม่คิดว่าพี่อัคเป็น... ก้างขวางคอ?"
"กลัวว่าเซธจะกำาจัดพี่น่ะหรือ? ไม่หรอก!
เราสองคนเข้าใจอะไรดีกว่านั้นเยอะ ความจริงก็
คือเซธรู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ เขาแค่
เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกื้อกูลกันกับพี่ เพราะถ้าไม่มีพี่ ก็
ไม่มีซีอุส ถ้าไม่มีซีอุส งานรวมโลกเป็นอาณาจักร
เดียวก็ยากขึ้นอีกหลายเท่า หรือทำาไม่ได้เลย"
"แต่พังเพยบอกไว้นี่คะ เสร็จนาฆ่าโคถึก
เสร็จศึกฆ่าขุนพล"
อัคระหัวเราะเอื่อย
"ความรู้บางอย่างก็ทำาให้คนเป็นคนดีได้นะ
เซธกับพี่รู้ชัดว่าฆ่าคนอื่นก็คือการเปลี่ยนดวงตัว
เองไปในทางร้าย ยิ่งถ้าหวังจะสร้างโลกใหม่ให้
สว่างขึ้น ก็ไม่มีทางทำาสำาเร็จถ้าเริ่มต้นด้วยมือ
เปื้อนเลือด"
มะแมระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
"แล้วมะแมล่ะคะ จับพลัดจับผลูอีท่าไหน มี
ประโยชน์ยังไง พี่อัคถึงมาหา อยู่ๆหมอดู
คอมพิวเตอร์ของพี่อัคแนะนำาให้มาเอามะแมไปใช้
งานหรือ?"
ชายหนุ่มส่ายหน้า
"เดิมทีซีอุสไม่มีข้อมูลของมะแมหรอก"
"อ้อ! มะแมเป็นบุคคลตกสำารวจ"
"ข้อมูลของซีอุสมาจากโรงพยาบาล แต่
มะแมเกิดที่สถานีอนามัยไง"
หญิงสาวอมยิ้ม
"รู้ด้วย... งั้นพี่อัครู้จักมะแมได้ยังไง?"
"ลืมแล้วหรือว่าเคยดัง แล้วก็ให้สัมภาษณ์
มาตั้งเท่าไหร่ "
"อ้อ! ลืมจริงๆแหละค่ะ ว่าแต่ตัวเล็กๆอย่าง
มะแมสำาคัญขนาดไหน พี่อัคถึง... ให้เกียรติ
ขนาดนี้ ?"
ตอบได้ไหลรื่นมาตลอด อัคระเพิ่งอึกอัก
เป็นครั้งแรก
"ทำาไมคะ ไม่มีคำาตอบหรือ?"
ชายหนุ่มหัวเราะแก้เก้อ
"มะแมรู้อยู่แล้วน่า..."
"ที่มะแมรู้แต่แรกคือพี่อัคเจตนาจะใช้
จดหมายสื่อสารไปเรื่อยๆ คืนนี้พอฟังเรื่อง
ทั้งหมดก็เข้าใจแล้ว สาเหตุที่ไม่ให้เจอหน้าตรงๆ
ก็เพราะไม่อยากผูกพันกันมาก เดี๋ยวจะตะลอนๆ
ทำางานใหญ่ไม่สะดวก"
หญิงสาวพูดในสิ่งที่เห็นตรงไปตรงมา ชนิด
ที่ทำาให้ชายหนุ่มเกือบพูดไม่ออก
"เก่ง"
เขาได้แต่ชมสั้นๆ
"แต่ยังสงสัยค่ะ ทำาไมในที่สุดถึงเปลี่ยน
ใจมาปรากฏตัว?"
"ความจริงที่ไปหามะแมตอนแรก แค่
เพราะ..." เว้นวรรคขยับตัวอย่างจะคลายอาการ
เกร็งๆด้วยความเขิน "เอ่อ... ก็ไม่มีเหตุผลมาก
ไปกว่าอยากเจอตัวจริง อยากเห็นหน้า อยากพูด
คุยด้วยบ้าง ไม่คิดจะต่อความยาวมากไปกว่า
นั้น"
"อ้าว!"
มะแมร้องออกมาแล้วยิ้มเฉยด้วยอารมณ์
สนุก เนื่องจากพอเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร
"พี่พลาดให้เซธรู้ความเคลื่อนไหว เลย...
โดนแกล้งให้เสียเส้นด้วยการโทร.มาขู่ว่าจะเอา
มะแมไปใช้ เพราะฤกษ์เกิดของมะแมเป็นบริวาร
เขา"
หญิงสาวฟังแล้วคิดตาม และสามารถปะติด
ปะต่อทุกสิ่งได้ในรวดเดียว
"ก็น่าจะจริงนะคะ" ทำาเป็นรับลูกหน้าตา
เฉย "เขาบอกให้เรียกบอส มะแมก็เต็มใจเรียก
ด้วยความรู้สึกว่าใช่เลย แล้วบอสก็เข้าใจเล่น ยก
ระดับการสื่อสารให้เป็นสองทาง เหนือกว่าทาง
เดียวแบบพี่อัค มะแมยังนึกน้อยใจเลยว่าทำาไมพี่
อัคให้น้อยกว่าบอส ทั้งที่มาก่อน"
"เห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่ารายนั้นร้ายขนาด
ไหน"
"มือถือที่บอสให้มามีอะไรพิเศษหรือเปล่า
คะ? มะแมเคยส่องดู รู้สึกว่าไม่ใช่แค่อุปกรณ์
สื่อสารธรรมดา"
"แค่มะแมใช้มือจับตัวโทรศัพท์ยกแนบหู
คลื่นไฟฟ้าจากร่างกายจะถูกสแกน เซธจะเห็น
ทะลุปรุโปร่งไปถึงการไหลเวียนของเลือดในสมอง
แล้วทำานายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่ามะแมคิด
ได้แค่ไหน ไอคิวน่าจะอยู่ช่วงใด แล้วก็พยากรณ์
ถูกว่าถ้ากำาลังเจอเรื่องจำาเป็นต้องตัดสินใจ แรง
ขับจากภายในมีแนวโน้มให้ตอบตกลงหรือ
ปฏิเสธ เครื่องมือของเซธจะพยากรณ์ถูกแม้มะแม
ยังลังเล ไม่ตกลงปลงใจอยู่ด้วยซ้ำา"
"โอ... น่ากลัวจริงๆ... พี่อัคคะ แล้วที่มะแม
รับโทรศัพท์ของบอสมาใช้อย่างนี้ มิแปลว่ามะแม
เป็นคนของบอสไปแล้วหรือ?"
"มะแมเป็นของพี่ ไม่ใช่ของเขา!"
หากคนอื่นขืนมาตู่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่าง
นี้คงมีเคืองกัน แต่เพราะเป็นอัคระ มะแมจึงแค่
ยิ้มไก๋ถามลอยๆ
"เหรอคะ?"
ชายหนุ่มรู้สึกตัว ค่อยๆหันมาสบหญิงสาว
เต็มตา
"ขอโทษที พี่ควรพูดอย่างนี้ก่อน..." เขา
ทอดเสียงอ่อนโยนจากใจให้กับคำาต่อมา "พี่รัก
มะแมนะ"
ขณะสารภาพรักเยี่ยงชายคนหนึ่งพึงกระทำา
ต่อหญิงของตน อัคระเอื้อมไปดึงมือมะแมมากุม
ความอบอุ่นที่แผ่ผ่านฝ่ามือทรงพลังนั้นยิ่งใหญ่จน
เกินกว่าที่หญิงสาวจะคิดออกแรงขืน รู้สึก
ปลอดภัย มั่นคง กระทั่งไม่แม้แต่จะขวยเขินกับ
สัมผัสแรกระหว่างกันเลยด้วยซ้ำา
มะแมสานตากับเขา สัมผัสถึงสายใย
เข้าใจถึงความรัก และรู้ว่านี่คือหนึ่งในนาทีอมตะ
อันจะไม่ตายไปกับตัว..
_____________________________________________________________________________
บทที่ ๑๓
เช้าวันนั้นมะแมสดชื่นและมีพละกำาลังเป็น
พิเศษ
การพบกับอัคระช่วยให้หล่อนเห็นภาพตัว
เองชัดขึ้น ทั้งอดีตที่เป็นมา ทั้งปัจจุบันที่เป็นอยู่
และรวมถึงอนาคตที่จะเป็นไป
เกิดมาในโลกนี้ แต่ละคนเป็นแค่หุ่นยนต์ที่
ถูกสร้างขึ้นมาให้เต็มไปด้วยปัญหา เพราะ
เคลื่อนไหวโดยไร้หัวใจมนุษย์ เอาแต่รอความ
ช่วยเหลือ โดยไม่คิดหยิบยื่นความช่วยเหลือ
หล่อนเป็นหนึ่งในหุ่นยนต์จำานวนน้อย ที่ได้
หัวใจมา และจะไม่มีวันยอมกลับไปเป็นหุ่นยนต์
เจ้าปัญหาอีก โดยเฉพาะในยามนี้และกาลอันใกล้
ที่โลกต้องการหัวใจมนุษย์เกินกว่าเครื่องจักรล้ำา
ยุคใดๆ
ลูกค้าเก้าโมง... คนแรกของวัน
เป็นชายวัย ๔๐ ที่เพิ่งถูกโกงเงินไปจนเกือบ
หมดตัว และมาหามะแมเพราะอยากรู้ว่าจะมีทาง
ได้เงินคืนไหม ทุกวันนี้หน้ามืดอยากฆ่าตัวตาย
เต็มทน มะแมทำาความรู้สึกเข้าไปแล้วเห็นว่าหวัง
ยาก เนื่องจากเป็นเงินจำานวนมาก ฝากไว้ในมือ
ลูกน้องที่สนิทชิดเชื้อและไว้ใจกันมาเป็นสิบปี เข้า
ทำานองฝากปลาย่างไว้กับแมว ป่านนี้แมวเผ่นไป
ถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เท่าที่มะแมสัมผัสคือหนีออก
นอกประเทศเรียบร้อย แล้วก็ไกลแสนไกลเกินจะ
กู่ให้กลับด้วย
มะแมได้แต่เห็นใจ ไม่ทราบจะช่วยอย่างไร
เรื่องเงิน ต่อให้ตามตัวเจอก็ต้องฆ่ากันตายเปล่า
เพราะลูกน้องจอมโกงน่าจะเอาเงินไปแปรรูปจน
เกือบสิ้น จึงต้องเลือกคำาแนะนำาประเภทที่ให้
ความชุ่มชื่นเป็นกำาลังหนุนใจ คือ หมดตัวด้วย
จำานวนเงินเท่าไรจำาไว้ อย่าฆ่าตัวตาย แต่ให้
ตั้งใจใช้ชีวิตที่เหลือหาใหม่มาทำาบุญเกินจำานวน
เงินที่เสียไปให้จงได้
ความตั้งใจอันประกอบขึ้นด้วยพลังบุญ จะ
ช่วยให้ฉ่ำาใจพอจะเกิดลูกฮึด นำาทางชีวิตไปสู่ทิศ
ของความสำาเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ และก่อน
ลูกค้าออกจากห้อง หล่อนฝากคาถาลืมศัตรู ทำา
หัวให้โล่งไว้ให้ใช้ในระยะสั้นเฉพาะหน้า นั่นคือ
คนที่ทำาให้เจ็บใจคือเขา แต่คนที่เอาเขามาใส่ใจ
คือคุณ
ลูกค้าเก้าโมงครึ่ง
เป็นหญิงวัย ๓๐ ที่เปลี่ยนงานแทบไม่เว้น
แต่ละปี เคยพยายามทำากิจการเล็กๆของตัวเองก็
เจ๊งไม่เป็นท่า คุณเธอมาพร้อมกับเสียงบ่น อยาก
รู้ว่าเคยทำากรรมอะไรมา ถึงเจอแต่งานที่ไม่ชอบ
และเจ้านายกับเพื่อนร่วมงานที่น่าชัง
มะแมค่อยๆงัดปมปัญหาทางใจของเธอคน
นั้นขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความไม่
น่าพอใจของงาน ปมใหญ่สุดคือเธอไม่พอใจใน
ตนเองต่างหาก ตำาแหน่งก็ไม่เคยพอ เงินเดือนก็
ไม่เคยพอ ความนับหน้าถือตาก็ไม่เคยพอ เมื่อ
ความไม่พอใจอุดปากอุดจมูกแน่นอยู่ ก็ย่อมไม่
อยากยิ้มให้ใคร ไม่มีใจให้กับงานไหนๆทั้งนั้น
คำาแนะนำาที่มะแมมีให้คือ อย่ามัวเดาว่า
อดีตเราทำาบาปอะไรมาจึงต้องทำางานที่ไม่ชอบ
ให้หมั่นพิจารณาว่าปัจจุบันเราทำาบุญอะไรขาดไป
จึงไม่ได้ทำางานที่ใจรัก
คนส่วนใหญ่รักเงิน รักตำาแหน่ง รักหน้า แต่
ไม่ได้รักงาน จึงไม่ได้งานที่รัก ขอเพียงรู้จักทำาบุญ
เสียสละกำาลังแรงและพลังใจ ให้ทานด้วยการทำา
ประโยชน์กับผู้คนผ่านงานสักอย่างที่ใจชอบ ก็จะ
เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้งานอันเป็นที่รักแล้ว
ลูกค้าสิบโมง
เป็นหนุ่มวัย ๒๐ ต้นๆที่มีความเบี่ยงเบน
ทางเพศ หน้าตาดูมีความสุขดี และจากที่มะแม
สัมผัส ก็พยายามเป็นคนดีในสังคม แต่ลำาบาก
ตรงที่ครอบครัวต่อต้าน ญาติๆเป็นชายแท้กัน
หมด พยายามเกลี้ยกล่อมหรือพูดกระแนะ
กระแหนทุกครั้งที่ถึงวันรวมญาติ อยากให้หันมา
เป็นชายแท้ ชอบผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนเสียที และ
นั่นก็เป็นข้อปัญหาที่เขาอยากขอคำาปรึกษา
มะแมดูแล้วเห็นว่าเขาเป็นพวกจิตบิดเบี้ยว
มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พยายามไปก็เหนื่อยเปล่า จึง
งัดเอาคุณงามความดีของเขาขึ้นมาชื่นชม ทำาให้
เขาประหลาดใจ และปลื้มใจว่าถึงใครไม่เห็น ก็ยัง
มีคนอย่างมะแมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกมอง
เห็น
คำาที่มะแมติดตั้งไว้ในหัวของเขาก่อนออก
จากห้องคือ เกย์คิดดี มีความสุขกว่าชายคิดมาก
และที่สำาคัญคือมีสิทธิ์ทำาคุณกับโลกยิ่งกว่าชาย
ใจแคบอีกตั้งไม่รู้เท่าไร
ลูกค้าสิบโมงครึ่ง
เป็นหนุ่มน้อยนักศึกษา วัยไม่น่าจะเกิน ๒๐
เดินเข้าห้องพร้อมกับใบหน้าของคนอกหัก และ
นั่งลงพร้อมกับการเริ่มเสียงคร่ำาครวญว่าตนถูก
ทิ้งทั้งที่ไม่ผิดอะไรเลย ไม่เข้าใจว่าทำาไม อยากรู้
ว่าเมื่อไรฝ่ายหญิงจะหวนกลับมาคืนดีด้วย
มะแมพิจารณาจากเสียงพูดอู้อี้ คำาพูดเรียก
ร้องความสงสาร ตลอดจนทีท่าอ่อนแอ หาความ
น่าอบอุ่นไม่เจอ ก็ช่วยให้ตัดสินโดยแทบไม่ต้อง
ใช้จิตสัมผัส หมอนี่ช่างคิดช่างฝัน ชวนให้ผู้หญิง
หลงเคลิ้มกับบทกวีหรือคำาซึ้งแสนหวานได้ในช่วง
ต้น แต่ทำาไปทำามาฝ่ายหญิงค่อยๆรู้ตัวว่าถูก
หลอกให้คว้าไม้หลักปักขี้เลน ไม่มีเสามั่นคงใดๆ
ให้ยึดเกาะ บ่อยครั้งจะต้องช่วยออกแรงประคอง
เสาไม่ให้ล้มอีกต่างหาก
อยากบอกตรงๆว่าคุณมีความผิดอยู่ หาใช่
ไม่ผิดอะไรเลย ที่ถูกทิ้งก็ด้วยโทษฐานทำาตัว
อ่อนแอน่าเบื่อหน่าย แต่เดี๋ยวก็จะกลายเป็น
เหยียบย่ำาซ้ำาเติมกัน จึงเบี่ยงมุมมองไปเป็นว่า ผู้
หญิงทุกคนอยากได้ความอบอุ่น หลังจากคบกับ
ผู้ชายสักคน ก็จะตัดสินว่าความอบอุ่นจากผู้ชาย
คนนั้นใช่หรือยัง
แล้วหล่อนก็บอกเขาว่าโอกาสยังมี แต่ต้อง
ท่องไว้ให้ขึ้นใจข้อหนึ่งการเรียกร้องให้สงสาร
คือความหนาวเย็นที่เคยผลักเธอออกไป ส่วนการ
รู้จักเห็นอกเห็นใจ คือความอบอุ่นที่จะดึงดูดเธอ
กลับมา
ลูกค้าสิบเอ็ดโมง
เป็นสาววัยเรียน วัยไม่เกิน ๒๐ เช่นกัน
สัมผัสได้แต่ไกลว่าจิตใจหดหู่ ให้ความรู้สึก
เหมือนเธอตัวเล็กนิดเดียว แต่ร่างป้อมๆนั้นกลับ
คล้ายตุ่ม ๑๐๐ ลิตรที่เอาไว้ขังน้ำาตาเค็มๆ
มากกว่าอย่างอื่น
เธอเพิ่งถูกแฟนทำาร้ายร่างกายและบอกเลิก
อย่างไม่มีเยื่อใย แต่แม้โดนทำาร้ายทั้งกายใจ
แม่คุณทูนหัวก็อุตส่าห์โศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ไม่
เลิก นับเป็นเรื่องแปลกของมนุษย์มนาจริงๆ
มะแมได้แต่พูดตามเนื้อผ้าว่าที่เจ้าหล่อนยัง
หลงอาลัยอยู่ ก็เพราะหวนคิดถึงอดีตหนึ่ง และ
รู้สึกไร้ค่าหนึ่ง หากเห็นตัวเองมีค่า สามารถหา
อนาคตเอาใหม่ได้ ก็จะตัดเยื่อตัดใยทิ้งได้เหมือน
ถ่มเสลดออกจากปาก
แล้วหล่อนก็ฝากว่า เขาทำาร้าย แต่ไม่ได้
ทำาให้ค่าของชีวิตคุณน้อยลง จนกว่าคุณจะลดค่า
ของชีวิตตัวเองด้วยการเอาแต่หมกมุ่นร้องไห้
คิดถึงเขา
ลูกค้าสิบเอ็ดโมงครึ่ง
เป็นหนุ่มวัย ๓๐ ที่ต้องทนทำางานกับเพื่อน
ร่วมทีมที่ใจแคบ เปลี่ยนงานก็เจอแบบเคยๆ นี่ก็
กำาลังจะย้ายงานใหม่ อยากรู้ว่าจะต้องเจออีหรอบ
เดิมอีกหรือเปล่า
มะแมรู้สึกถึงความคิดอ่านเป็นเหตุเป็นผล
ของเขา เสียตรงที่อารมณ์รุนแรง ตรงไปตรงมา
แบบขวานผ่าซาก ปล่อยหลายคำาแข็งๆให้โพล่ง
ออกทางปากแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
มะแมได้แต่ชี้ว่าความขัดแย้งจะเป็นเงาตามตัว
คุณไปทุกที่ ถ้าไม่เลือกคำาพูดให้ดีหน่อย พอเวลา
ผ่านไป เขาจะจำาได้แต่ว่าคุณด่าเขา แต่จำาไม่ได้
ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
และหล่อนก็เปลี่ยนมุมมองเขา ด้วยการชี้ว่า
เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ใจแคบอะไร
แต่เป็นพวกลมเพลมพัดตามอารมณ์ เปิดใจกว้าง
แบบไร้หลักยึด ไม่ใช่เปิดใจกว้างอย่างมีจุดยืน
เหมือนเขา ขอเพียงเขาใจเย็นและทำาให้คนเหล่า
นั้นเห็นจุดยืนถนัดกว่านี้ ก็อาจไม่ต้องเดือดร้อน
วิ่งเต้นเปลี่ยนงานอีก
ลูกค้าบ่ายโมง
เป็นสาววัย ๓๐ เศษที่ช่วยกันสร้างเนื้อสร้าง
ตัวมากับสามี ทีแรกก็ซื่อสัตย์ต่อกันดี แต่นานไป
พอสามีเดินทางบ่อยก็ชักเหงา เพื่อนบ้าน
พยายามเป็นหมาหยอกไก่พักเดียวก็เสร็จเขา
เจ้าหล่อนมาพบมะแมเหมือนอยากหาคน
ช่วยไถ่บาปให้มากกว่าอย่างอื่น เพราะเรื่องน่า
อดสูนี้เล่าให้ใครฟังไม่ได้เลยแม้แต่แม่ของตัวเอง
ทราบล่วงหน้าทีเดียวว่าแม่จะด่า ซ้ำาเติม และไม่มี
วันให้อภัย
มะแมดูแล้วว่าสาวเจ้าสำานึกผิดและเสียใจ
จริงๆ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นบนเตียงที่นอนร่วม
กับสามีมาตลอด ดังนั้น หลังจากแอบปลูกต้นงิ้ว
ไว้บนเตียงเสร็จ ทุกครั้งที่ล้มตัวลงนอนกับสามี
จะเหมือนมีแผลใหญ่ที่แผ่นหลัง กระสับกระส่าย
ไม่อาจนอนสบายได้เต็มหลังอีกเลย แม้จะเอา
ผ้าปูที่นอนไปเผาและซื้อใหม่มาเปลี่ยนสักกี่ผืน
ก็ตาม
มะแมปลอบว่า ความผิดในอดีต ชดใช้ได้
ด้วยการป้องกันความผิดในอนาคตและเพื่อจะ
ป้องกันความผิดในอนาคตอย่างได้ผล ก่อนอื่น
ต้องฝึกอภัยตัวเองให้เป็น เพื่อจะได้เยือกเย็นพอ
จะมีสติคุมตัวเองให้อยู่ในวินัยกับก้าวต่อๆไปได้
อย่างสบายใจ ไม่ใช่ก่นด่าตนเองจนขาดความ
เชื่อมั่นเหมือนอย่างนี้
สรุปสั้นๆ บทเรียนจากความพลาดพลั้ง คือ
อย่าทรมานใจเลย แต่ก็อย่าปล่อยใจอีก
ลูกค้าบ่ายโมงครึ่ง
เป็นชายวัยเบญจเพสหน้าตากลัดกลุ้ม เล่า
ว่าตลอดมาจะกลัวบาปกลัวกรรม แต่เป็นความ
กลัวที่งอกเงยมาจากความเชื่ออย่างเดียว ช่วง
หลังๆมีเพื่อนชวนทำาตัวเหลวแหลก ถ้าไม่ทำาตาม
ก็เข้ากับกลุ่มไม่ได้ จึงหลงๆไปพักหนึ่ง ไหลลงไป
ทำาเรื่องเลวๆหลายอย่าง ทั้งมั่วยา ทั้งมั่วหญิง ทั้ง
มั่วพนัน
พอเรื่องแดงให้ที่บ้านรู้ คุณยายที่เลี้ยงตน
มาก็เสียใจ ร้องไห้ เป็นลมล้มหมอนนอนเสื่อ แล้ว
ทำาท่าเหมือนจะตรอมใจตาย จึงสำานึกผิด กลัว
บาปกลัวกรรมขึ้นมาใหม่ อยากรู้ว่าจะต้องตก
นรกหมกไหม้ไหม
มะแมตอบว่านรกสมควรกับคนเลว วิธีหนึ่ง
ที่ใช้สำารวจและตัดสินว่าเรากำาลังเป็นคนดีหรือคน
เลว ให้คำานึงว่า ความเลวที่สำานึกได้คือสมบัติ
ของคนดี ความดีที่กลับกลอกได้คือสมบัติของคน
เลว
ลูกค้าบ่ายสองโมง
เป็นหญิงวัย ๔๐ หน้าเก่าที่เคยมาขอคำา
ปรึกษาจากมะแมไปเมื่อปีกลาย เธอรายงานว่า
เริ่มลดความเกลียดชังคนรอบข้าง ที่มักเนรคุณ
หรือไม่ก็ลืมบุญคุณคน และที่ลดความเกลียดได้ก็
เพราะทำาตามคำาแนะนำาของมะแม คือ ฝึกช่วย
เหลือ ฝึกให้ทาน ด้วยการไม่คิดว่าจะเสียแรงให้
ใคร ไม่คิดว่าจะเอาข้าวของไป "ให้ " ใคร แต่คิด
ว่าไป "เอา" ความสุข ความสบายใจ และบุญ
ใหญ่มาจากพวกเขาแทน
เธอหัดสังเกตเปรียบเทียบความรู้สึกทางใจ
จนเริ่มรู้สึกถึงจิตใจที่ปลอดโปร่งขึ้นเมื่อละความ
ตระหนี่ถี่เหนียวเสียได้ เหมือนปัดกวาดหยากไย่
และสิ่งหมักหมมออกจากห้องหับของตน กระทั่ง
เห็นจริงเห็นจัง เข้าใจซึ้งว่า ได้ตั้งแต่ให้ ไม่ใช่ให้
แล้วต้องรอว่าเมื่อใดจะได้คืนเสียที
นอกจากมาขอบคุณ วันนี้เธอให้มะแมช่วย
ตัดสินใจว่าควรร่วมธุรกิจกับเพื่อนรักหรือไม่ เมื่อ
มะแมส่องดู ก็พบว่าทั้งคู่เหมือนคนทั่วไป ที่ได้ชื่อ
ว่าเป็นเพื่อนเพราะมีแต่เรื่องคุยเจ๊าะแจ๊ะและเรื่อง
เที่ยวสรวลเสเฮฮา แต่จะหมดความเป็นเพื่อน
ทันทีเมื่อมีเรื่องผลประโยชน์ ได้เปรียบเสียบ
เปรียบเข้ามาเกี่ยวข้อง
มะแมจึงแนะเป็นกลางๆว่า เพื่อนมีไว้คิด
แบ่งปันว่านี่ของเธอ หุ้นส่วนมีไว้คิดแบ่งแยกว่านี่
ของใครถ้าทำาใจได้ว่าเพื่อนกำาลังจะหายไป หุ้น
ส่วนกำาลังจะมาแทน ก็เอาเลย ไว้มีปัญหาอะไร
ค่อยแก้กันทีหลัง
ลูกค้าบ่ายสองโมงครึ่ง
เป็นหญิงวัยเกือบ ๕๐ เข้ามาถึงก็ฟูมฟาย
ถามว่าชาติก่อนเคยทำากรรมอะไรมา ทำาไมถึงถูก
ทำาร้ายจิตใจด้วยคำาพูดเป็นประจำา มะแมใช้ตากับ
หู โดยแทบไม่ต้องอาศัยสัมผัสทางจิตใดๆ ก็รู้ว่า
ยายเจ๊คนนี้เป็นโรคขี้สงสารตัวเองอย่างแรง
ได้ยินอะไรแค่นิดหน่อยก็หาว่าคนอื่นด่า หาว่าคน
อื่นคิดไม่ดีกับตน
มะแมชี้แจงว่า ใจที่หดหู่ กับกิริยาท่าทางที่
ห่อเหี่ยว คือตัวดึงดูดเสียงด่าชั้นดี ยิ่งจ๋อง ยิ่ง
เศร้า ยิ่งสงสารตัวเองเท่าไร ก็ยิ่งกระตุ้นให้คน
อยากด่าเท่านั้น นั่นก็เพราะเราทำาให้พวกเขา
พบเห็นภาพไม่เจริญหูเจริญตา หรือกระทั่งดึงจิต
ให้ตก ทำาลายพลังความสดใสในตัวเขา เขาจึง
อยากว่าเอา
ลูกค้าบ่ายสามโมง
เป็นหญิงวัย ๒๐ ปลายๆ หน้าตาเอาเรื่อง
พกพาความเครียดเข้ามาด้วยกระบุงหนึ่ง เปิด
ฉากก็เล่าว่ามีกรรมมีเวรกับผู้ชายคนหนึ่ง อยากรู้
ว่าจะต้องมีไปถึงไหน
คำาถามทำานองนี้มะแมได้ยินบ่อยราวกับ
ถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน แล้วก็แปลกแต่จริงที่
คนถามนั่นแหละ เป็นคนไปตอแยกับอีกฝ่ายเอง
อยากหาเรื่อง อยากเอาเรื่องไม่เลิกเอง เหมือน
อีกฝ่ายยังเป็นหนี้ความดีของตน ตนยังไม่ได้รับ
รางวัลที่คุ้มค่าหรือคู่ควรเลย
มะแมบอกว่าแม้เจตนาดี เราก็อาจพูดหรือ
แสดงออกด้วยท่าทีบังคับข่มขู่ จนดูกลายเป็น
ประสงค์ร้าย หรือหมายจะบีบให้เขาเป็นลูกไล่ที่
อยู่ในอำานาจ อย่าว่าแต่ถ้าจะต้องเถียงกันเอาผิด
เอาถูก อย่างไรก็ต้องหัวชนฝาพาตัวเองไปถึงเส้น
ชัยก่อนให้จงได้
ทางที่ดีแล้ว อย่าพยายามเอาชนะผู้ชาย
ด้วยการเป็นชายในร่างหญิง เพราะผลสุดท้ายจะ
เหลือแต่หญิงที่แพ้ภัยตัวเองคนหนึ่ง จมทุกข์อยู่
กับชีวิตที่ไม่สมตัวไปจนตาย
ถ้าเลิกคิดเอาชนะด้วยฝีปาก แต่ฝึกชนะใจ
ชายด้วยความดีและความนุ่มนวลแบบหญิง จึง
ถึงเวลา "หมดเวร" กับผู้ชาย กลายเป็น "ต่อ
บุญ" กับเขาได้อย่างแท้จริง
ลูกค้าบ่ายสามโมงครึ่ง
เป็นผู้ชายท่าทางเด๋อด๋า โผล่มาเอาสอง
นาทีก่อนสี่โมง หยิมจึงต้องใช้มาตรการใจแข็ง
บอกให้กลับไปก่อนแล้วค่อยนัดใหม่อีกที คิวว่าง
อีกประมาณ ๓ เดือนข้างหน้า แม้ลูกค้าจะทำาท่า
ฮึดฮัดอย่างไร หยิมก็ไม่อาจยินยอมอะลุ้มอล่วย
เนื่องจากลูกค้าบ่ายสี่โมงเข้าไปในห้องแล้ว
ลูกค้าบ่ายสี่โมง
เป็นเด็กสาวมากับคุณแม่ ขอคำาปรึกษา
เรื่องจะสอบเข้าคณะอะไรดีถึงจะเหมาะ และจะ
สอบติดมหาวิทยาลัยดีๆกับเขาบ้างไหม
มะแมยังไม่ทันตั้งจิตนิ่งพอจะดูให้ คุณน้องก็
บ่นแล้ว หนูว่าไม่เป็นธรรมเลยนะ ช่วงวัยที่กำาลัง
สับสนที่สุดในชีวิต ชีวิตดันบีบให้เลือกเส้นทางที่
สำาคัญที่สุด
แปลกที่มะแมฟังคำาบ่นซื่อๆจากเจ้าทุกข์เช่น
นั้นแล้ว ก็บังเกิดความคิดคล้อยตาม และนึก
สงสารทุกชีวิตบนโลกขึ้นมาอย่างจับใจ กระทั่ง
เกิดแรงบันดาลใจจะบอกเด็กสาวสั้นๆว่า เลือก
ทางเรียนรู้ตัวเองให้ถูกอย่างเดียว แล้วจะเลือก
ทางชีวิตที่เหลือได้ไม่พลาดเลย
ลูกค้าบ่ายสี่โมงครึ่ง คนสุดท้ายของวัน
เป็นผู้หญิงมาดดี เดาอายุยาก ท่าทาง
เหมือนเป็นเจ้าคนนายคน คือเป็นฝ่ายว่าคนอื่น
สั่งคนอื่น ไม่ใช่จะยอมให้คนอื่นมาต่อว่าหรือสั่ง
การตน
แต่ทันทีที่อ้าปากเล่าปัญหา ทุกอย่างก็เป็น
ตรงข้ามสิ้น เธอขึ้นต้นด้วยคำาถามชัดถ้อยชัดคำา
ว่าชาติก่อนไปทำาอะไรมา ถึงต้องตกเป็นฝ่ายถูก
กระทำาอยู่ร่ำาไป
มะแมชี้แจงว่าพวกที่สมควรถามเรื่องชาติ
ก่อนไปทำาอะไรมา คือพวกเกิดมาไม่มีทางเลือก
อย่างเช่นเด็กที่ถูกขายเข้าตลาดค้ามนุษย์ ส่วน
คนธรรมดาทั่วไปที่มีสิทธิ์เลือกทางให้ตัวเอง พอ
เป็นฝ่ายถูกกระทำา ก็สมควรถามตัวเองง่ายๆว่า
ชาตินี้เคยเป็นฝ่ายทำาใครไว้อย่างนี้บ้างหรือเปล่า
ถามตัวเองทุกครั้ง เดี๋ยวจะค่อยๆนึกออก
เป็นลำาดับขึ้นมาเอง และเมื่อนึกออกว่าเราก็เคย
เป็นฝ่ายกระทำาคนอื่นไว้เหมือนกัน บ่อยเข้าจะ
ซึมซาบว่า เรื่องกงกรรมกงเกวียนนั้นไม่จำาเป็น
ต้องรอพิสูจน์กันข้ามชาติ เมื่อคิด พูด ทำาแบบใด
บ่อย ก็เกิดแรงดึงดูดให้คนมากระทำากับเราใน
แบบที่สอดคล้องกันไปเอง
ฟังแค่นั้น เธอก็ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าตอน
สาวๆเธอแค่ทารุณจิตใจผู้ชายที่มาหลงชอบ เหตุ
ใดพอมีสามีจึงโดนทารุณทรมานทั้งร่างกายและ
จิตใจขนาดนี้
มะแมอึ้ง และอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้น อาจ
เป็นผลของกรรมแต่ปางก่อนก็ได้ หรือเป็นผลของ
กรรมในชาตินี้ที่รวมตัวกันได้มากพอ ยากจะคะเน
หรือคาดเดาด้วยความคิด ขอให้มองเป็นภาพ
คร่าวๆให้เข้าใจก็แล้วกัน เมื่อเราเห็นคนรักเป็น
ทาสได้ วันหนึ่งก็ถูกสิ่งลึกลับบีบให้รักคนที่เขา
เห็นเราเป็นทาสได้
มะแมเห็นเจตนาอันเป็นบาปใหม่ที่ซุกซ่อน
อยู่ในใจเธอ หยั่งรู้ว่าเธอกำาลังรอความใจเด็ดของ
ตนเอง วันไหนใจเด็ดพอ วันนั้นคือวันตายของ
สามีและตัวเธอเองพร้อมกัน!
จึงได้แต่เตือนแบบดักใจว่า ผลของความ
เคียดแค้นคือใจที่ดำา และสิ่งเดียวที่เธอจะได้รับ
จากความตายในขณะใจดำาคือภพที่มืด ขณะนี้เธอ
ยังอยู่ในภพสว่าง มีทางออกที่สว่างได้ง่ายกว่า
ภพมืดมาก
มะแมเล็งดูเห็นฝ่ายชายเหมือนเป็นโรคจิต
ไปแล้ว บันดาลโทสะแล้วยั้งมือไม่อยู่ท่าเดียว ก็
จนปัญญาจะให้แนะทางออกอื่น เหลือแค่ทาง
เลือกสุดท้ายคือเลิกกันดีๆเถอะ แม้ขอหย่าแล้ว
ถูกตามฆ่า ก็ยังดีกว่าอยู่กันแล้วต้องเป็นฝ่าย
ลงมือฆ่าเสียเอง
เย็นวันนั้น มะแมกำาลังนั่งอ่าน
หนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่หูก็เงี่ยฟังเสียง
หนุงหนิงระหว่างเด็กในอุปการะของหล่อนกับเด็ก
ลูกจ้างไปด้วย
"น้องอิ๊กไม่ต้องค่ะ ไปนั่งกับพี่มะแมไป"
"แต่น้องอิ๊กอยากช่วยพี่หยิมทำากับข้าวนี่
คะ"
"วันนี้ทำาแค่นิดเดียวค่ะ พี่หยิมทำาคนเดียว
พอ"
"อิ๊กจะเป็นลูกสมุนของพี่หยิม"
"โห! ลูกสมุนหน้าตาดีนะคะเนี่ย หุ่นไม่ให้
เลย อ้ะ! งั้นหยิบขวดซีอิ๊วให้พี่หยิมหน่อย"
ริมฝีปากของหญิงสาวระบายยิ้มอย่าง
เป็นสุข สามคนในบ้านหลังเดียวกัน แม้ไม่มี
ความเกี่ยวดองกันฉันญาติ แต่บรรยากาศก็
บรรเจิดกว่าการรวมญาติเชื้อของหลายบ้านเป็น
ไหนๆ
เจอเรื่องเครียดของมนุษย์มาทั้งวัน พอมา
พบกับเสียงเสนาะโสตของ "คนในครอบครัว"
อย่างนี้ มะแมค่อยผ่อนคลายได้ยิ่งกว่าฟังดนตรี
สบายอารมณ์เสียอีก
เสียงของน้องอิ๊กเป็นเสียงเด็กที่น่ารักน่าฟัง
และเติมเต็มความรู้สึกมะแมได้ราวกับชีวิตเพศ
หญิงของหล่อนสมบูรณ์แล้ว เต็มตัวแล้ว รู้จักการ
อุปการะชีวิตอื่นแล้ว แม้จะยังไม่เป็นคุณแม่ด้วย
ตนเองก็ตาม
ไม่เคยลืม และระลึกถึงทุกครั้งที่มองหน้าอิ๊ก
อัคระส่งเด็กคนนี้มาให้ ...
เมื่อถามถึงอิ๊ก เขาบอกว่าอิ๊กมีเกณฑ์วิบาก
กรรมที่จะต้องถูกบีบคั้นให้ลงมือฆ่าตัวตาย แต่ก็
มีเกณฑ์รอดด้วยสิ่งลึกลับยื่นมือมาแทรกแซง กับ
ทั้งได้รับการช่วยเหลือในลักษณะเปลี่ยนชีวิตแบบ
ตายแล้วเกิดใหม่ หักเหจากวิกฤตจนตรอกเป็น
โอกาสแก้ตัวใหม่
หมายความว่าคืนนั้น ถ้าไม่ใช่มะแม ก็ต้อง
เป็นคนอื่น แต่เมื่อมีหล่อน ก็ไม่มีใครไหน
อัคระคำานวณให้แล้วว่าระหว่างหล่อนกับอิ๊ก
เป็นประเภทมีกรรมสัมพันธ์แบบผลัดกันอุปถัมภ์
เมื่ออิ๊กรอดตายจากอัตวินิบาตกรรมในวัยเด็ก ก็
จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีบทบาทสำาคัญกับโลก
ใหม่ต่อไป โดยพัฒนาตัวเองไปได้ถึงระดับ ๔
เท่ากับหล่อนตอนนี้
เมื่อย้อนถามว่าอิ๊กจะย้อนกลับมาอุปถัมภ์
หล่อนอย่างไร เขาพูดแค่ครึ่งๆกลางๆ ทำานองว่า
เขาเองก็เห็นไม่ชัดนัก
มะแมรู้สึกขึ้นมาเป็นแวบๆว่าเขาเห็นชัด แต่
ทำาไมไม่พูดก็ไม่รู้
เรื่องของอนาคตของน้องอิ๊กนั้นช่างไว้ก่อน
เถอะ ไม่รู้ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าในปัจจุบันหล่อน
พิศวาสแทบขาดใจก็พอ
แต่เรื่องปัจจุบันของหล่อนเองนี่สิ ...
มือซ้ายคลึงโทรศัพท์ไทเทเนียมมาพักใหญ่
นึกอยากคุยกับบอส และหวังว่าการสัมผัส
โทรศัพท์จะเป็นการส่งสัญญาณเรียกขอที่ได้ผล
แต่ผลคือความเงียบเชียบไร้การตอบสนองใดๆ
น่าแปลกอยู่อย่าง แทนที่อัคระจะสั่งให้ทิ้ง
ขว้างโทรศัพท์ที่เป็นเสมือนเครื่องผูกมัดหล่อนไว้
กับคู่แข่งกลายๆ เขากลับบอกหน้าตาเฉยว่าให้
เก็บไว้ เผื่อวันหนึ่งเซธอยากติดต่อมา จะได้ไม่
เลือกวิธีอื่น และเขาก็ไม่อยากให้เซธนึกเขม่น
หล่อนด้วย อำานาจของเซธน่าครั่นคร้ามเกินกว่า
จะท้าทายเล่น
การเงียบเสียง ไม่ยอมติดต่อมาอีก ทำาให้
มะแมมองว่าที่ผ่านมาบอสแค่แกล้งให้อัคระเสีย
เส้นจริงๆ พอบีบให้อัคระเปิดเผยตัว มาคบกับ
หล่อนสำาเร็จ ก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ อ้อนวอน
ด้วยจิตและฝ่ามือเท่าไรก็ไม่ไยดีตอบสนองเลย
ส่วนลึกรู้สึกว่าบอสยังไม่ไปจากชีวิตหล่อน
วันหนึ่งเมื่อถึงเวลา เขาจะกลับมาอีก
มะแมละสายตาจากหนังสือพิมพ์เมื่อหยิม
กับอิ๊กทยอยนำาจานอาหารเย็นมาวางบนโต๊ะ
หยิมเลือกเมนูง่ายๆเป็นเส้นหมี่ผัดขี้เมาหมูโปะไข่
ดาว พร้อมแกงจืดเต้าหู้ กลิ่นหอมจากจานร้อน
ชวนให้รู้สึกหิวกว่าความเป็นจริง ฝีมือครัวของ
หยิมดีขึ้นทุกวัน หลังจากฟังหล่อนติโน่นทักนี่มา
เรื่อยๆ
"ท่าทางจะอร่อยกว่าอาทิตย์ก่อนแน่ๆ"
ชมก่อนชิม มะแมหมายถึงครั้งล่าสุดที่หยิม
ทำาเมนูนี้
"น้ำามันไม่เยิ้มแล้วใช่ไหมคะพี่ ?"
"อือม์ ! ดีมาก"
ขยับช้อนจะตักคำาแรก เสียงโทรศัพท์มือถือ
ก็ดังขึ้นเสียก่อน มะแมเดินไปคว้ามันมาจากโต๊ะ
พลิกดูหน้าจอเห็นเป็นสารวัตรกฤษฎาก็กดปุ่มทัก
เสียงใส
"สวัสดีค่ะพี่กฤษฎา"
"น้องมะแมเหรอ สะดวกคุยหรือเปล่า"
"ได้ค่ะ"
"เอ่อ... เกรงใจน้องมะแมมากเลยนะ แต่
คืนนี้ขอรบกวนหน่อยจะไหวไหม ด่วนนิดหนึ่ง"
มะแมระลึกถึงความห่วงใยและน้ำาใจของ
นายตำารวจใหญ่ ที่อุตส่าห์บึ่งรถมาช่วยดู
สถานการณ์ถึงบ้านหล่อนในคืนวิกฤต ด้วยความ
กระวนกระวายเกรงหล่อนจะตกอยู่ในอันตราย
เมื่อระลึกเช่นนั้นแล้ว หล่อนก็เอ่ยด้วยน้ำาเสียง
หนักแน่นอย่างเต็มใจทันที
"บอกมาเถอะค่ะ มะแมช่วยพี่เต็มที่
แน่นอน!"
"พี่นับถือกันกับคุณหญิงของรัฐมนตรีท่าน
หนึ่ง ตอนนี้กำาลังมีปัญหาแบบว่า ยังไงดี ... จิตใจ
แกไม่ค่อยสบาย โรคเครียด โรควิตก เห็นอะไร
หลอนๆเพ้อเจ้อน่ะ"
หญิงสาวค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา ใบหน้าสว่าง
ขึ้น
"เธอชื่ออะไรคะ?"
"คุณหญิงรักสุรีย์ ... คืองี้ แกว่าหมอไม่
เข้าใจแก แกเห็นผีจริงๆ แต่โดนให้ยาระงับ
ประสาท ระงับอาการหลอน แกไม่ยอม มา
ปรึกษาพี่ จะให้หาคนทรงเจ้าหรือหมอผีอะไรให้
พี่เลยคิดว่าปรึกษาน้องมะแมจะเหมาะกว่า ขืนพา
ไปหาพวกไสยศาสตร์ ดีไม่ดีโดนมันต้มจะยิ่ง
หนัก"
"เข้าใจแล้วค่ะ แล้วจะให้มะแมช่วยยังไง
ดี ?"
"พี่โฆษณาสรรพคุณของน้องมะแมจนแก
อยากเจอด่วน แต่รู้ว่าคิวน้องมะแมคงไม่ว่างเร็วๆ
นี้ และคุณหญิงก็ร้อนใจ เอ่อ... คืนนี้ ..."
"ได้เลยค่ะ! พี่กฤษฎาช่วยส่งแฟกซ์แผนที่
บ้านคุณหญิงรักสุรีย์มาแล้วกัน มะแมจะออกไป
พบท่านคืนนี้เลย"
มีเสียงถอนใจโล่งอกมาจากนายตำารวจ
"หวังว่าพี่คงไม่เป็นต้นเหตุให้น้องมะแม
ต้องเหนื่อยเกินกำาลังนะ พวกเจ้าใหญ่นายโตก็งี้
แหละ คำาว่ารอไม่มีอยู่ในหัว"
"ไม่เป็นไร พอดีวันนี้ร่างกายพร้อมอยู่ค่ะพี่ "
"โอเค! ถ้าได้อย่างนั้นก็ขอบคุณมากๆ"
"ส่งแผนที่มาเลยค่ะ จดเบอร์แฟกซ์ของ
มะแมนะคะ..."
มะแมตื่นเต้นไม่น้อย ก็อัคระบอกหล่อนไว้นี่
นา ว่ากำาลังจะมีช่องทางเข้าหานักการเมืองคน
สำาคัญ ถ้าเป็นไปตามแผนเดิมของชะตากรรม
นักการเมืองคนนี้ไม่จำาเป็นต้องโคจรมาพบหล่อน
แต่หากหล่อนอยากจะช่วยกันเปลี่ยนโลก
ร่วมกับเขา ก็ต้องเล่นนอกแผนเก่า ด้วยการ
กำาหนดชะตากรรมให้นักการเมืองคนนี้เสียใหม่ !
นักการเมืองคนนี้ฉลาด ถ้าคิดปฏิรูป
การเมือง ก็มีศักยภาพพอจะเป็นชนวนสำาคัญยิ่ง
กว่าจุดพลุให้เห็นลางสวยได้ เสียดายแต่ว่ายังไม่
เคยคิด และไม่มีแก่ใจพยายาม ด้วยเพราะรู้สึกว่า
บ้านเมืองไม่ใช่ของตนคนเดียว จึงไม่ใช่ธุระของ
ตนคนเดียวเหมือนกัน
คล้ายโลกโคลงเคลงวูบวาบออกมาจาก
ภายใน ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนกำาลังจะเริ่มก้าวแรก
ให้ความร่วมมือกับคนรัก ช่วยเขาเปลี่ยนโลกอยู่
เดี๋ยวนี้แล้ว
______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๔
รถคันเล็กจ้อยของมะแมคลานผ่านประตู
โค้งเข้ามา ดูไม่เข้ากันนักกับหมู่บ้านโอ่อ่าอัคร
ฐานย่านรามอินทรา-เอกมัย ที่ราคาเริ่มต้นกัน
หลังละหลายสิบล้าน และจบสูงสุดที่เกือบสอง
ร้อยล้านแห่งนั้น
สิ่งก่อสร้างทั้งหมด นับแต่ป้ายชื่อหมู่บ้าน
บนหินอ่อนหลังน้ำาพุใหญ่ รูปปั้นกับเสาแบบกรีก
โรมัน หมู่ปาล์มเรียงตัวเป็นแนวกว้าง ไล่เรื่อยไป
จนถึงกำาแพงสูงสง่าที่ล้อมรอบอาณาเขตนับร้อย
ไร่ คล้ายยินดีต้อนรับให้รถหรูยืดอกสมฐานะ แต่
เชิดหน้าเบ่งให้รถต๊อกต๋อยช่วยทำาตัวลีบอย่าง
เจียมหน่อย
เมื่อผ่านเข้ามาข้างใน ความจอแจวุ่นวาย
ภายนอกหายไป กลายเป็นทางเรียบเงียบสงบ
สะอาดตา ประดับโคมไฟสวยส่องให้เห็นพรรณ
ไม้ในภูมิสถาปัตย์งามวิจิตรโดยรอบ มะแมรู้สึก
ราวอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาถึง และ
หล่อนก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่มีสิทธิ์เข้ามายล
เพียงชั่วคราว
ลึกเข้ามาเล็กน้อยเป็นด่านแลกบัตร พอ
มะแมหยุดรถลดกระจกลง หนุ่มหน้าแขกในชุด
รปภ. ก็ยื่นหน้ามาถามด้วยความสุภาพ แต่เข้ม
แข็งอยู่ในที
"มาพบท่านใดครับ?"
หญิงสาวอึกอัก ลืมถามสารวัตรกฤษฎาให้รู้
ว่ารัฐมนตรีเจ้าของบ้านชื่ออะไร รปภ. จะรู้จักหรือ
เปล่าก็ไม่ทราบ
"คือ... จะไปบ้านคุณหญิงรักสุรีย์น่ะค่ะ"
แทนการทำาหน้าสงสัยไม่รู้จักดังที่มะแม
เกรง หนุ่ม รปภ. รีบหันไปผายมือชี้ทางประกอบ
คำาอธิบายทันที
"วิ่งตรงไปจนเห็นป้ายซอยแปด เลี้ยวขวา
หลังที่สามนะครับ คุณผู้หญิงกรุณาแลกบัตรด้วย
ครับ"
มะแมเบิกตานิดหนึ่ง ดูท่าทุกคนในหมู่บ้าน
นี้จะมีตัวตน มีความสำาคัญกันหมดกระมัง
บ้านของคุณหญิงรักสุรีย์เป็นแบบสแปนิช
ตระหง่านอยู่ในอาณาเขตสองไร่ เปิดไฟสว่างโร่
เมื่อหล่อนมาจอดเทียบด้านหน้า ก็มีเด็กลูกจ้าง
มาพาหล่อนเข้าข้างใน ผ่านโถงวงกลมแล้วแยก
ขวาตัดไปสู่ห้องรับแขก ซึ่งแลโปร่งด้วยพื้นที่
กว้าง ฝ้าเพดานสูงห้อยโคมระย้าคริสตัลขนาด
ใหญ่ตื่นตาชวนพิศ เดาว่าแค่โคมระย้านั้นก็ต้อง
เกินล้านแล้วแน่ๆ
แม้ห้องรับแขกจะฉายบารมีเจ้าของด้วย
เครื่องตกแต่งราคาแพง แต่การออกแบบก็ให้
ความรู้สึกอบอุ่น เรียบหรูดูได้นาน อยู่ได้จริง น่า
จะเป็นฝีมือมัณฑนากรค่าตัวสูง ไม่ใช่ขนเครื่อง
เรือนเข้ามาวางตามใจชอบ เพราะทุกชิ้นเข้า
กันลงตัวเป็นหนึ่งเดียว ไม่แปลกแยกจากกันเลย
โซฟาที่เด็กพาหล่อนมาหย่อนร่างลงนั่งนั้น
นุ่มนิ่มราวกับอาสน์ทิพย์ เด็กอีกคนนำาน้ำาส้ม
เย็นๆใส่แก้วเจียระไนมาให้ มะแมขอบคุณและรับ
มาจิบ แม้แต่น้ำาส้มคั้นก็รสหวานชื่นใจ อะไรๆดูดี
มีระดับไปหมด
ครู่หนึ่ง คุณหญิงวัย ๕๐ ผิวขาว หน้าตา
อวบอูมอย่างคนมีอันจะกิน ก็เดินเข้ามาในห้อง
ด้วยท่วงทีสง่าผ่าเผย ในชุดกระโปรงลำาลองเนื้อ
ผ้าพลิ้วไหว มะแมลุกขึ้นพนมมือไหว้ ซึ่งฝ่ายนั้นก็
รับไหว้พร้อมเอ่ยทัก
"สวัสดีจ้ะ นายกฤษบอกว่ายังสาว แต่ไม่
นึกว่าดูเด็กขนาดนี้นะ"
สำาเนียงเจืออยู่ด้วยอารมณ์แปลกใจ เหมือน
ไม่อยากเชื่อมือชอบกล ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่มะแมชิน
ชาเสียแล้ว ได้แต่อมยิ้มนิ่งสงวนท่าทีอยู่
"หนูชื่ออะไรนะ?"
"มะแมค่ะ"
"เกิดปีมะแมเหรอ?"
"เปล่าค่ะ แต่พ่อแม่อยากให้ชื่อนี้ "
รวบรัดเป็นคำาสั้นๆให้กับคำาถามที่ต้องตอบ
มาทั้งชีวิต
รักสุรีย์นั่งลงและพยักหน้าเชิญให้คนอ่อน
วัยนั่งตาม
"รู้จักกฤษฎามานานหรือยัง?"
"เป็นปีแล้วค่ะ"
"เขาว่าเขาประทับใจหนูมากเลย งานของ
หนูนี่ยังไงเหรอจ๊ะ ดูหมอแบบนั่งทางในอะไร
อย่างนั้นหรือเปล่า?"
มะแมพิจารณาว่าคุณหญิงตราตั้งคนนี้ไม่ได้
ต้องการนักจิตวิทยาแน่ๆ จึงไม่อ้างถึงปริญญา
ประกาศนียบัตรอื่นใด นอกจากความสามารถที่
ฝ่ายนั้นต้องการ
"หนูใช้จิตสัมผัสช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าน่ะ
ค่ะคุณหญิง"
"งั้นเธอก็รู้น่ะสิว่าฉันกำาลังคิดอะไร"
เสียงลองเชิงนั้น ไม่กระตุ้นให้มะแมใคร่อวด
ฤทธิ์นัก เพราะอยากตัดตรงเข้าทำางานแก้ปัญหา
ทางใจของฝ่ายนั้นมากกว่า แต่ก็ทราบว่่าถ้าไม่
เลื่อมใส ใจก็ไม่เปิด งานอาจไม่เดิน หล่อนจึงทำา
ตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ
สัมผัสแรกรู้สึกถึงความเจ้ายศเจ้าอย่าง
สำาคัญตนเป็นนางพญา ยิ้มปรานีได้ถ้าถูกใจ แต่ก็
เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงพร้อมจะตวาดกราดเกรี้ยวได้
ทันทีเช่นกันถ้าฟังอะไรผิดหู
สัมผัสต่อมา มะแมรู้สึกถึงอารมณ์ที่ลึกลง
ไปจาก "หน้ากากคุณหญิง" เป็นความกังวล
ความเคร่งเครียดแบบคนธรรมดานอนไม่หลับ
เพราะกลัวอะไรบางอย่าง
อีกสัมผัสหนึ่ง มะแมรู้สึกถึงคลื่นความคิด
ชนิดที่รบกวนจิตใจหล่อนโดยตรง ซึ่งแน่นอน มัน
หมายถึงความสงสัยไม่นึกอยากเชื่อ ตลอดจน
ระแวงอะไรไปเรื่อย ประสาคนระวังตัวกลัวถูก
หลอก
มะแมปล่อยใจให้นิ่งสบายรับรู้คลื่นรบกวน
ชนิดนั้น จับได้ว่ามีกระแสเผื่อไปทางสารวัตร
กฤษฎาด้วย จึงรวมสรุปเป็นคำาตอบว่า
"คุณหญิงสงสัยว่าสารวัตรกฤษฎาเห็นดี
อะไรในตัวเด็กเมื่อวานซืนอย่างหนู ถึงส่งมาให้คำา
ปรึกษาปัญหาขั้นคอขาดบาดตายกับคุณหญิงได้ "
สีหน้าเคร่งเล็กๆของรักสุรีย์คลายลง อันที่
จริงหล่อนเคยพบพวกมีความสามารถทางในมา
หลายเจ้า จึงไม่ค่อยประหลาดใจกับเรื่องสัมผัส
พิเศษเท่าใดนัก แต่ประหลาดใจกับความสามารถ
ของเด็กรุ่นลูกมากกว่า
"ก็จริงแหละ โทษกันไม่ได้นะ อย่างหนูนี่ดู
แล้วหุ่นไม่ค่อยให้เล้ย ความจริงมีคนที่ฉันนับถือ
ให้พึ่งพาอยู่หรอก เสียแต่ว่าพักหลังนอนโรง
พยาบาลตลอด แล้วก็ฟังความหรือพูดจาไม่ถนัด
เหมือนที่ผ่านมา ฉันเลยต้องหาใครมาช่วยไป
พลางๆก่อน"
เป็นคำาพูดไว้เชิง เหมือนจะให้โอกาสมะแม
พิสูจน์ตัว ถ้าแน่จริงถึงค่อยชื่นชมกัน
ใจของมะแมนิ่งเย็นเป็นน้ำา หล่อนผ่านทีท่า
ชนิดนี้ของลูกค้ามามาก ประเภทอยากได้ความ
ช่วยเหลือ แต่ก็ยโสโอหังข่มกัน เพื่อให้รู้สึกว่าตน
ยังเหนือชั้นอยู่เสมอ
"คุณหญิงพอจะเล่ารายละเอียดของปัญหา
ให้มะแมฟังได้ไหมคะ?"
พยายามตัดตรงเข้าสู่ประเด็น ซึ่งตาม
สามัญสำานึกแล้ว อีกฝ่ายน่าจะพูดตอบกันดีๆ แต่
รักสุรีย์กลับแค่นหัวเราะพูดเฉไฉ
"ถ้าเป็นคนมีญาณสัมผัสแบบที่ฉันเคยเจอ
ไม่ต้องเล่าเลยนะเนี่ย แค่เดินเข้าไปนั่งตรงหน้าก็
ทักและให้คำาแนะนำาได้หมดแล้ว ไม่ต้องถามสัก
คำา"
หากป็นสมัยทำางานใหม่ๆ มะแมอาจถอดใจ
ลุกขึ้นเดินหนีไปเฉยๆ แต่ประสบการณ์ผ่านร้อน
ผ่านหนาวช่วยให้หนักแน่นเกินกว่าจะใส่ใจกับ
อารมณ์ไร้สาระของมนุษย์
พยายามคิดเข้าข้าง ปัญหาของคุณหญิง
อาจไม่ธรรมดา หรือมีประเด็นอ่อนไหวบางอย่าง
ที่เล่ากันซื่อๆไม่ถนัด
ด้วยจิตที่หนักแน่นไม่ขุ่นมัว มะแมเล็งที่อา
การยึกยักของรักสุรีย์ แล้วก็สัมผัสพบว่าเป็น
ปัญหาใหญ่ มีลับลมคมนัยให้ต้องซ่อนเร้นจริงๆ
เท่าที่ทราบจากสารวัตรกฤษฎาคือรักสุรีย์
เห็นผี แล้วก็เหมือนเกิดอาการทางจิตประสาท
มะแมจึงลองโยงอาการเครียด กังวล หวาดกลัว
เข้ากับการเผชิญหน้าปีศาจดู
ไม่ผิดแน่ มันเป็นอะไรปนๆกันระหว่างความ
หวาดกลัว ความเคียดแค้นชิงชัง และความวิตก
กังวลชนิดถึงเลือดถึงเนื้อ
หันมาจับกระแสจากนัยน์ตาเย่อหยิ่ง พร้อม
จะดูถูกคนของรักสุรีย์ ก็พบว่าลึกๆแล้วแฝงอยู่
ด้วยแววอำามหิตระดับตัดสินใจฆ่าคนได้ และด้วย
กระแสดังกล่าวนั่นเอง ที่มะแมใช้สาวลึกเข้าไปถึง
ต้นตอ พบเจตนาประทุษร้ายรุนแรงที่เพิ่งเกิดขึ้น
เมื่อไม่นาน
สืบกระแสมาถึงตรงนั้น นิมิตชัดเจนก็
ปรากฏขึ้นในห้วงมโนทวารโดยไม่ต้องหลับตา...
โดยคำาสั่งของคุณหญิงรักสุรีย์ มีสาวน้อย
นางหนึ่งถูกชายฉกรรจ์หลายคนรุมข่มขืน ก่อน
แขวนคอให้ขาดใจตายอย่างทรมานในเรือน
เปลี่ยว
เบื้องแรกมะแมเกือบตกใจ เพราะความ
แจ่มชัดชนิดนั้น เหมือนลากหล่อนเข้าไปมีความ
รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเหยื่อสาว สัมผัสถึง
ความจนตรอกคล้ายสัตว์น้อยถูกฝูงสัตว์ใหญ่รุม
ขย้ำา สัมผัสถึงความน่าสยดสยองขณะถูกบังคับ
ยกร่างขึ้นแขวนคอ สัมผัสถึงอาการดิ้นรนที่สูญ
เปล่าของเพศหญิงตัวคนเดียวในอุ้งมือเหล่า
ทรชน
มะแมเห็นภาพจากมุมสูง ที่เบื้องล่างเต็มไป
ด้วยชายหน้าเหี้ยมมองสวนขึ้นมาด้วยแววตา
ดุดัน รู้สึกถึงอาการอึดอัดทรมานจากการหายใจ
ไม่ออกที่ทวีตัวขึ้นทุกที โดยไม่อาจหลุดรอดไป
ไหนได้
ปิดตาลง ข่มความสงสารผู้หญิง ข่มความ
เกลียดชังนางปีศาจผู้บงการฆ่า ทำาใจเป็น
อุเบกขากับนิมิตบรรยากาศน่าสะพรึงกลัว การ
เคยเห็นน้องอิ๊กผูกคอตายมาก่อน บวกกับที่เคย
เห็นภาวะหลังความตายของแจ๊บมาแล้ว มีส่วน
ช่วยให้ไม่ตกตื่นเกินไปนัก
ก็แค่ความจริงที่ว่า ความตายไม่ใช่จุดจบ
และบางความตายหมายถึงฝันร้ายอันน่าขนพอง
สยองเกล้าเหลือประมาณ
หลังขาดใจตาย เกิดอะไรขึ้นกับหญิงชะตา
ขาดคนนั้น?
สัมผัสแรกคือความอาฆาตพยาบาท มัน
ท่วมท้นและมีกระแสเชี่ยวกราก อย่างที่ชวนให้
นึกถึงพลังถะถั่งของน้ำาตกที่มะแมเคยเอาตัวไป
ต้านเล่น เพียงแต่นี่ไม่ใช่น้ำาตกเย็นๆ แต่เป็นธาร
ลาวาร้อนๆแทน
ในความร้อนของมหาเพลิงพยาบาท
พลังจิตสาวสำาเหนียกถึงความเห็นแก่ตัวอย่างเลว
ร้ายที่เป็นพลังขับดันอยู่ และด้วยความสำาเหนียก
ถึงพลังชนิดนั้น จิตจึงรู้ขึ้นมาว่าหญิงผู้ประสบ
เคราะห์ หาเรื่องสร้างเคราะห์ให้ตัวเองด้วยการ
เป็นเมียน้อย แม้ถูกเตือน ถูกขู่ ก็ยังขืนดื้อด้วย
ความเชื่อมั่นเกินงาม
มะแมลอบระบายลมหายใจยาว ที่แท้ก็เป็น
เรื่องชู้เลือด จองเวรกันต่อ แม้ตัวตายไปแล้วก็ไม่
เลิก นับว่าน่าลำาบากใจเอาการ เพราะท่านี้แม้สืบ
ด้วยจิตจนเห็นต้นเห็นปลาย ก็ไม่ใช่จะมีทางออก
ช่วยแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นง่ายๆ
ตรึกตรองว่าจะคุยกับรักสุรีย์ท่าไหนถึงจะ
เหมาะ ชักบังเกิดความเห็นใจขึ้นมาจางๆ เพราะ
อย่างน้อยรักสุรีย์ก็เป็นฝ่ายเจ็บช้ำาก่อน ไม่ใช่อยู่
ดีๆนึกอยากประหัตประหารกันเล่นโดยขาดมูล
เหตุจูงใจ
คิดทั้งปิดตาอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เจ้าของ
สถานที่เข้าใจว่าหล่อนยัง "นั่งทางใน" ไม่เลิก
อยู่ร่วมบ้านกับศัตรูที่เกลียดชัง ยังง่ายกว่า
โดนวิญญาณอาฆาตหลอกหลอนกัน พอตายแล้ว
จะให้จูงมือมาเจรจารู้เหตุรู้ผลแบบมนุษย์มันไม่ได้
ชั่งน้ำาหนักดู ต่อให้ทำาสังฆทานอุทิศส่วน
กุศล ม่านพยาบาทของคุณเมียน้อยก็บังไว้ไม่ให้
มีแก่ใจรับเป็นแน่ จิตของเธอดิบ มืดทึบ แล้วกระ
แสความประสงค์ร้ายที่หนุนหลังก็เชี่ยวกราก
เหลือเกิน
มะแมไม่เคยเข้าโรงเรียนปราบผี แต่ก็เชื่อ
ว่าผีร้ายที่คอยรังควานคน ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นเอง
ลอยๆ แต่ต้องมาจากเหตุปัจจัยบางอย่าง ถ้า
ทำาลายเหตุปัจจัยนั้นได้ สภาพผีย่อมเสื่อมไปเป็น
ธรรมดา เช่นเดียวกับคนชั่วย่อมเปลี่ยนเป็นคนดี
เมื่อเหตุแห่งความชั่วถูกทำาลายลง
ก่อนอื่นใด หล่อนต้องเข้าใจให้ได้ว่าผีเมีย
น้อยตามจิก ตามหลอกหลอนรักสุรีย์ได้อย่างไร
ทำาไมบางคนฆ่าศัตรูด้วยความโหดเหี้ยม
เป็นสิบเป็นร้อย กลับไม่ถูกรบกวน แต่บางคนเช่น
คุณหญิงรักสุรีย์ ฆ่าเมียน้อยแค่คนเดียว ไฉนจึง
ถูกตามราวีได้ไม่เลิกรา?
ระลึกถึงฮั่นกับตุ่ย สองโจรที่เคยจับหล่อนจะ
เอาไปเชือดด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นสาย
ตำารวจ
ทั้งสองต้องเคย "ลงมือ" มาก่อนแน่ เพราะ
มีกระแสเพชฌฆาตให้รู้สึก เพียงแต่เป็นระดับ
สมัครเล่น ห่างจากขั้นมืออาชีพที่เลือดเย็น ฆ่าได้
โดยตาไม่กะพริบ
เลือกจับกระแสความเป็นเพชฌฆาตของฮั่น
หล่อนว่าอย่างมากก็ฆ่ามาไม่เกิน ๓-๔ ราย
เพราะก่อนฆ่ายังมีอาการละล้าละลัง ขณะฆ่ายังมี
อาการฝืดฝืนไม่อยากทำา และหลังฆ่ายังมีอาการ
สลดซึมตามมา
สัมผัสว่าคนที่โดนฮั่นเชือด ล้วนไม่รู้จัก
ผูกพันหรืออาฆาตแค้นต่อกันมาก่อน ขณะจะตาย
ก็เอาแต่ตกประหวั่นพรั่นพรึง นึกถึงพ่อแก้วแม่
แก้ว นึกถึงลู่ทางหลบหนีเอาตัวรอด นึกถึงเทวดา
ช่วยส่งปาฏิหาริย์มาช่วย ไม่มีแก่ใจผูกเจ็บ จึง
ไม่มีความอยากเอาคืนกับเพชฌฆาตที่ตนไม่รู้จัก
เป็นส่วนตัวเลย เมื่อตายจึงไปผุดเกิดตามกรรม
อันเหมาะสม ไม่ต้องติดวนเป็นวิญญาณอาฆาต
ให้เหนื่อยยาก
ต่างจากวิญญาณอาฆาตของเมียน้อย ที่
ก่อนตายเต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น รุกรานกัน
เล่นแง่เชือดเฉือนกัน ร้ายใส่กันกับคุณหญิงรัก
สุรีย์ เรียกว่าผูกสายโยงพันสายใยเหนียวแน่น
จนนึกถึงกันและกันได้ขึ้นใจ อีกทั้งก่อนตายก็
ทราบชัดว่างานนี้ใครเป็นคนสั่ง ความคุมแค้นจึง
มีทิศทางแน่วแน่มาก พุ่งมาที่รักสุรีย์เดี่ยวๆ
เท่าที่มะแมรู้สึกถึงใบหน้าสวยๆบวกความ
บ้าพลังในขณะเป็นมนุษย์ของคุณเมียน้อย ก็
แน่ใจว่าคุณเธอคงมีบุญเก่าแน่นหนา เมื่อตายไป
ทั้งบุญเก่ายังไม่หมด ย่อมฤทธิ์แรง หวนกลับมา
เล่นงานคนที่ตนผูกใจแค้นได้ไม่ยาก แต่ไม่อาจ
ทำากันโต้งๆเหมือนคนทำากับคน อย่างมากก็
หลอกหลอนขณะหลับ ซึ่งจิตคนหลับมีกำาลังอ่อน
แล้วก็อยู่ในภาวะพร้อมเห็นนิมิตปรุงแต่งต่างๆ
นานา
อาศัยกระแสบาปจากการสั่งฆ่าของคุณ
หญิงรักสุรีย์เป็นสื่อ เป็นประตู เป็นช่องทาง แค่
เธอกระแทกพลังแค้นคุกคามขวัญ หรืออยาก
แยกเขี้ยวทำาเขางอกหลอกหลอน จิตขณะหลับ
ของคุณหญิงก็จะเห็นตามนั้นอย่างไม่อาจหลีก
เลี่ยง
สรุปแล้ว อำานาจความผูกโยงกันด้วยความ
เกลียดชังคับแค้นนั่นเอง เป็นตัวแปร เป็นปัจจัย
เชื่อมให้จองเวรได้ถึงพริกถึงขิงขนาดนี้
แต่แล้ว ขณะหยั่งดูระดับความอาฆาตของ
วิญญาณเมียน้อย ฉับพลันมะแมก็สัมผัสถึงพลัง
ความฉุนเฉียวอย่างจะกินเลือดกินเนื้อของฝ่าย
นั้น คราวนี้แตกต่างจากการ "ดูอยู่ห่างๆ" เพราะ
รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอากาศ
รอบตัวที่ชวนให้หนาวสันหลัง คล้ายตกเข้าไปอยู่
ในมิติลี้ลับต่างจากธรรมดา
อันเนื่องจากเริ่มคุ้นเคยกับโลกวิญญาณ
มากขึ้น สาวสองโลกจึงทราบด้วยสัญชาตญาณ
ทางจิตว่าตัวจริงของเจ้าหล่อนที่ถูกฆาตกรรม ได้
มาวนเวียนอยู่แถวนี้เอง
มันเป็นความไม่รู้ของมะแม การจ่อใจสัมผัส
วิญญาณนานๆ เท่ากับไปสะกิดเรียกเขามา...
ปกติคนในโลกมนุษย์จะทักใครที่หันหลังให้
ก็อาจเอื้อมมือไปสะกิดให้รู้สึกได้ไม่ยาก แต่ใน
โลกวิญญาณง่ายกว่านั้น แค่ทำาความรู้สึกถึงอีก
ฝ่ายชัดๆและอยู่ในโฟกัสนานพอ จิตก็สัมผัส
ถึงกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าตัวกำาลังวน
เวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กับทั้งมีเรื่องให้อยาก
ติดต่ออยู่ด้วย
ฉับพลันมะแมก็รู้สึกคล้ายมีร่างแหหนักๆ
ร้อนๆไร้ตนเหวี่ยงมาครอบ ความนึกคิดและ
อารมณ์ภายในเปลี่ยนแปลงฉับพลัน อึดอัดคัด
แน่น อยากดิ้นพล่าน จิตใจอลหม่านอึงอลไปด้วย
คำาผรุสวาทสาปแช่ง ตลอดจนบังเกิดแรงขับดัน
หนักหน่วง ให้อยากลุกขึ้นเอาอะไรแทงๆๆ หรือ
ทุบๆๆคุณหญิงรักสุรีย์ให้ตายคามือ ตายใน
สภาพตาเหลือก ตายแบบนองเลือดน่าสยอง
เกล้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ !
ขนลุกทั้งตัว สติเลอะเลือนไปครู่หนึ่ง ก่อน
กลับวางจิตเป็นอุเบกขา กุมสติมั่นได้ใหม่
แม้เป็นประสบการณ์ครั้งแรก ก็ทราบทันที
ว่านั่นคือการพยายามเข้าครอบงำาด้วยอำานาจ
พลังอาฆาต มะแมเปิดประตูให้ก่อนโดยเอาใจไป
สัมผัสกระแสอาฆาต กระแสอาฆาตจึงได้ช่อง
กระแทกเข้าใส่เต็มเหนี่ยว หากหล่อนกำาลังอยู่ใน
ภาวะจิตอ่อน ฟุ้งซ่านหรือเหม่อลอยไม่เป็นโล้เป็น
พาย ก็คงเสร็จเหมือนกัน แต่ขณะที่ฐานสมาธิยัง
มั่นคงคลอนแคลนยากเยี่ยงนี้ พลังแปลกปลอมก็
เป็นแค่คลื่นกระแทกที่ซัดแรง แต่ทำาให้เสียหลัก
ล้มไม่ได้
ผีสิงเป็นอย่างนี้เอง ได้ยินมาแต่เด็ก เชื่อ
ครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอเจอเป็นประสบการณ์ตรงจึง
หายสงสัย
มะแมทราบด้วยสัญชาตญาณของสมาธิชั้น
ดีว่า แค่ไม่ปล่อยให้ความเกลียดครอบงำา แค่ไม่
ปล่อยให้ใจฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิง มีสติอยู่กับเนื้อ
กับตัว ไม่ว่าผีสางหรือไสยศาสตร์ที่ไหนก็ไม่มี
ทางเข้ามามีอิทธิพลควบคุมบังคับอะไรได้เลย
ยืดตัวตรง ดำารงสติมั่น ค่อยๆเปิดเปลือก
ตาขึ้น เจอเข้ากับตัวเองจังๆก็ดีอยู่อย่าง คือมั่นใจ
ในสิ่งที่สัมผัสรู้มาทั้งหมด โดยไม่จำาเป็นต้องถาม
รักสุรีย์สักคำา แถมพอจะคลำาทางถูกด้วยว่าจะ
ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ท่าไหน
สบตากับอีกฝ่ายและฝืนยิ้มให้ แต่ใน
สายตาของคนมีชนักปักหลัง กลับดูเหมือนรอย
ยิ้มรู้ทัน รักสุรีย์จึงไม่นึกชอบรอยยิ้มของมะแม
เอาเลย
"หายไปเสียนาน พยายามดูอะไรอยู่หรือ?"
ถามพลางคิดในใจว่าถ้าตอบไม่เข้าท่า
ปล่อยให้เสียเวลารอเก้อ ก็จะไล่กลับบ้านเดี๋ยวนี้
เลย
"คุณหญิงคะ... ถ้าจะให้มะแมช่วย เราคง
ต้องคุยกันตรงไปตรงมา และอย่ากลัวว่ามะแมจะ
หักหลังด้วยการแฉคุณหญิงในวันหน้า"
รักสุรีย์ได้ยินคำาว่า "แฉ" แล้วสะดุ้งสุดตัว
เยี่ยงคนมีพิรุธ แต่พอตั้งสติได้ก็ทำาตาวาวถลึง
จ้องอีกฝ่าย คล้ายจงอางยืดตัว ชูหัวแผ่แม่เบี้ยขู่
ฟ่อ
"นี่ ! บอกตรงๆนะว่าฉันโดนผีหลอก ฉันแค่
อยากได้หมอผีหรือคนทรงที่ถนัดทางนี้มาปัด
รังควานให้เท่านั้นแหละ มันจะเป็นไรไปนักเชียว
จ้างมาไล่ผีนี่ถึงกับเอาไปแฉให้เสียชื่อได้เลย
หรือ? เธอทำาแบบหมอผีได้หรือเปล่า? ถ้าทำาไม่
ได้ก็ไปๆซะเถอะ!"
ปฏิกิริยาร้อนแรงแบบเป็นเอามากขนาดนั้น
ทำาให้มะแมถึงกับนั่งอึ้ง ใจหนึ่งอยากถอนตัวขึ้น
มาอีก แต่อีกใจก็นึกถึงอัคระ ที่เขาเจอคงโหดหิน
กว่าของหล่อนหลายร้อยเท่า คิดเช่นนั้นแล้วก็เกิด
กำาลังใจอีกระลอก
รักสุรีย์เต้นงิ้วท่านี้คงต้องคุยกันแบบ
อ้อมค้อมก่อน ขืนโพล่งออกไปว่าหนูรู้ไส้คุณหญิง
หมดแล้ว ก็อาจโดนสั่งลากไปหลังบ้าน ควักไส้
ของหล่อนออกมาดูบ้างเท่านั้น
"เอาเป็นว่า... มะแมช่วยคุณหญิงได้ค่ะ
และอาจช่วยได้ดีกว่าหมอผีด้วยซ้ำา เพราะหมอผี
แค่ไล่ผี เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ แต่มะแมทำาให้ศัตรู
ของคุณหญิงหายไป ชนิดที่ไม่ต้องกลับมาเจอะ
เจอกันอีกเลย"
น้ำาเสียงนุ่มนวลของคนที่พร้อมจะอภัยใคร
ทั้งโลก คล้ายกลุ่มน้ำาใหญ่ที่โถมเข้าดับไฟกองโต
ให้มอดเร็ว รักสุรีย์มีสีหน้าดีขึ้น ด้วยความเข้าใจ
ว่ามะแมจะ "ทำาลายศัตรู " ของตนทิ้งอย่างสิ้น
ซาก
"ได้อย่างนั้นก็เหมาะ ฉันจะตกรางวัลเธอ
อย่างงามถ้าทำาสำาเร็จจริง"
"มาตรวจสอบกันก่อนว่ามะแมเห็นถูกหรือ
เปล่า... ผีที่คุณหญิงเจอ เป็นสาววัยสักยี่สิบใช่
ไหมคะ?"
รักสุรีย์คอแข็ง มองมะแมด้วยสายตาต่าง
ไป คือเริ่มทึ่งเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่ด้วยความทึ่งนั้น
เอง ก็แฝงแววหวาดว่าจะมารู้ความลับของตนเข้า
ให้ด้วย จึงตอบรับอย่างระวัง
"น่าจะอย่างนั้นนะ"
"ทุกครั้งที่น้องเขามา คุณหญิงจะรู้สึกมืด
ร้อน อึดอัดเหมือนเจอใครมาทวงแค้นใช่ไหม
คะ?"
หญิงอาวุโสกลืนน้ำาลายฝืดๆ
"ก็ประมาณนั้นแหละ"
"ถ้าเดาไม่ผิด คืนที่คุณหญิงรู้สึกเหมือน
อยากคลุ้มคลั่งเป็นบ้า คือคืนที่คุณหญิงฝันว่า
ลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วเห็นผู้หญิงแขวนคอ
ตายอยู่บนเพดานใช่ไหมคะ?"
ฝ่ายถูกจี้ให้ตอบถึงกับเกร็งแน่นไปทั้งตัว
ปากคอสั่นระริก ซึ่งนั่นเป็นการยอมรับที่ดีที่สุด
เมื่อมั่นใจในข้อมูลจากนิมิต กับทั้งได้ใจ
ลูกค้ามาฟังกัน มะแมค่อยปลอดโปร่งขึ้น พูดต่อ
ได้รื่นขึ้น
"มะแมขอเวลาไม่เกินสองคืน จัดการกับ
ปัญหาของคุณหญิงให้จบ"
"แล้วสำาหรับคืนนี้ล่ะ?"
รักสุรีย์ถามเสียงละห้อย
"คืนนี้สำาคัญที่สุด คุณหญิงต้องเชื่อตาม
และห้ามคัดค้านใดๆทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นพิธีจะเสีย
หมดตั้งแต่เริ่ม"
คนสูงวัยกว่าพยักหน้า เอวอ่อนระแน้
โอนเอนมารับคำาสั่งจากมะแมอย่างเต็มใจ สิ้น
ลายนางพญา
"จะให้ฉันทำายังไง?"
"ท่องไว้นะคะ ศัตรูของคุณหญิงไม่ใช่ผี แต่
เป็นใจที่เคียดแค้นชิงชังของคุณหญิงเอง!"
ความสว่างบางอย่างที่แฝงมากับพลังเสียง
ของหญิงสาว คล้ายน้ำาสะอาดสาดมาล้างปม
สกปรกในใจหญิงวัยกลางคน จนสีหน้าสีตาผ่อน
คลาย แทบไม่เหลือร่องรอยความเครียดจัดแบบ
เมื่อ ๕ นาทีที่แล้ว
"แปลว่าทั้งหมดที่ฉันเห็น เป็นแค่เรื่องเพ้อ
เจ้อหรือ?"
"ลืมบอกไปค่ะว่านอกจากห้ามค้านแล้ว ก็
ห้ามถามอะไรทั้งสิ้นด้วย เพราะความสงสัยของ
คุณหญิงจะทำาให้พิธีแตก เขาจะผ่านเข้ามารบก
วนได้อีก และคราวนี้อาจยิ่งหนัก เนื่องจากไหวตัว
แล้วว่าคุณหญิงพยายามหาทางกำาจัดอยู่ "
"ได้ " รักสุรีย์รีบรับลิ้นพัน "ไม่สงสัยก็ไม่
สงสัย จะท่องไว้ว่าศัตรูของฉัน คือความเพ้อเจ้อ
ของฉันเอง"
"เมื่อกี๊มะแมไม่ได้บอกอย่างนั้นนี่คะ ย้ำาอีก
ทีก็ได้ ศัตรูของคุณหญิงไม่ใช่ผี แต่เป็นใจที่
เคียดแค้นชิงชังของคุณหญิงเอง ถ้าจำาไม่ได้ก็
ท่องไว้สั้นๆ คือ อย่าเกลียด อย่าโกรธ อย่าให้
ความแค้นครอบงำาคุณหญิงได้ "
รักสุรีย์เม้มปาก กล้ำากลืนก้อนน้ำาลายขื่นๆ
ลงคอ
"โอเค..." รับแบบไม่ยอมทวนคำา
"นอกจากให้นึกอย่างที่เธอว่านี่ จะไม่ให้เกราะ
คุ้มครองที่เป็นรูปธรรมอะไรหน่อยหรือ?"
"คุณหญิงก็ทราบอยู่แล้วนี่คะว่าวัตถุมงคล
ศักดิ์สิทธิ์ล้นบ้าน ช่วยอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อจิต
ของคุณหญิงยังมีโทสะเป็นตัวเปิดทางเข้าให้สิ่ง
ชั่วร้ายเต็มประตู ถึงมะแมให้เพิ่ม คุณหญิงนึกว่า
จะมีประโยชน์หรือ?"
"งั้น... คาถาหรือบทสวดกันผีล่ะ ให้มาให้
ฉันอุ่นใจหน่อยได้ไหม? หลายคืนที่ผ่านมาฉัน
สวดเป็นชั่วโมงๆ แต่ไม่มีความสุข และไม่ได้ช่วย
ป้องกันอะไรเลย"
"นั่นเพราะคุณหญิงไม่ได้สวดด้วยความ
เข้าใจ แต่ด้วยความรักตัวกลัวผี "
"สวดด้วยความเข้าใจ สวดยังไง?"
"อย่าสวดคาถาไล่ผี อย่าสวดบทที่ร่ำาลือว่า
คุ้มครองได้ครอบจักรวาล เพราะบทสวดเหล่านั้น
ถึงศักดิ์สิทธิ์จริง ก็ไม่ดับความเร่าร้อนในใจที่
อยากเอาชนะของคุณหญิงลง แถมคาถาขับไล่ไส
ส่งกลับจะยิ่งเพิ่มความเร่าร้อน เหมือนทุ่มไฟใส่
กันไป ทุ่มไฟใส่กันมา"
"แล้วบทไหนที่ว่าเย็น?"
"ตามหลักทางศาสนานะคะ ไม่ว่าศาสนา
ไหน บทสวดที่เย็นที่สุดคือบทสรรเสริญพระ
ศาสดาของตนค่ะ เพราะเป็นบทที่ปรุงใจให้คิดดี
ตกแต่งจิตให้มีประกายเลื่อมใสเบื้องสูง ไม่แฝง
อารมณ์ร้อนแบบไหนๆ อย่างของพุทธเรา ก็ได้แก่
บทสวดอิติปิโส คุณหญิงน่าจะท่องได้ขึ้นใจ"
รักสุรีย์ผงกศีรษะ
"ท่องได้ แต่ไม่ค่อยได้ยินใครบรรยาย
สรรพคุณมากเหมือนบทอื่น เลยสวดนิดหน่อยแค่
เป็นพื้น"
"ยิ่งฟังสรรพคุณมากก็ยิ่งโลภมากค่ะ ใจจะ
บริสุทธิ์เป็นดวงกุศลใสๆ คุ้มครองตัวได้อย่างไร
คะ เล็งเข้ามาที่จิต วัดผลออกมาเป็นความเยือก
เย็น ความสว่าง แล้วคุณหญิงจะทราบคำาตอบ
ด้วยตนเองว่าบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก คือ
บทที่ทำาให้จิตของเราเย็นมาก สว่างมาก และ
กลมกลืนกับพระศาสดามาก เพราะเท่ากับ
อัญเชิญกระแสของพระองค์มาไว้ที่จิตเราเอง
ไม่ใช่เรียกกองทัพสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปกป้องที่ข้าง
นอก"
"แปลว่าหนูจะให้ฉันท่องอิติปิโสบทเดียว
หลายๆจบหรือ?"
"ค่ะ!"
"เข้าใจแล้ว... นายกฤษบอกแล้วล่ะว่าค่า
ปรึกษาของเธอเท่าไหร่ แต่นี่มาที่บ้าน ฉันจะเพิ่ม
ค่าน้ำามันให้ ห้าพันพอไหม?"
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ สารวัตรกฤษฎา
ดีกับมะแมมาก มะแมถือว่าตอบแทนสารวัตรผ่าน
คุณหญิงก็แล้วกัน"
รักสุรีย์ส่ายหน้าแบบคนที่ไม่ชอบได้รับ
ความช่วยเหลือเปล่าๆ
"เขาส่วนเขา ฉันส่วนฉัน คนละคนกัน ยังไง
เธอก็ต้องรับ"
"งั้นเอาเป็นว่าเมื่อเรื่องจบเรียบร้อย มะแม
กำาจัดศัตรูให้ได้ราบคาบเมื่อไหร่ คุณหญิงค่อย
ตกรางวัลมะแมดีไหมคะ?"
"อย่างนั้นก็ได้ ... แล้วยังไง พรุ่งนี้เวลาเดิม
หรือเปล่า?"
"ค่ะ! พรุ่งนี้มะแมจะมาดูผลว่าคุณหญิงให้
ความร่วมมือดีแค่ไหน ถ้าปัจจัยฝั่งคุณหญิงดีพอ
มะแมค่อยช่วยจัดการฝั่งผีให้ดีที่สุด"
"เอาเบอร์มือถือของฉันไปนะ" เมื่อบอก
เบอร์ให้มะแมบันทึกลงโทรศัพท์เสร็จก็ลุกขึ้นยืน "ฉันจะไ
ส่ง"
รักสุรีย์เดินมาส่งสาวพลังจิตถึงที่รถด้วย
ตนเอง มะแมได้แต่นึกดีใจที่ตนไม่หมดความ
อดทนกับผู้หญิงบ้าอำานาจคนนี้ไปเสียตั้งแต่ห้า
นาทีแรก มิฉะนั้นคงเสียเวลามาตั้งไกลให้กับ
ความสูญเปล่า
อเนจอนาถใจเหลือหลาย ฝ่ายหนึ่งก่อเวร
ด้วยการทำาให้อีกฝ่ายเจ็บใจ พอเจ็บใจมากเข้าก็
ฆ่าแกงกัน กลายเป็นการผูกเวรแน่นหนาถาวรไป
เลย
ถ้าให้ถามใจ ทุกคนย่อมบอกว่ารักชีวิต
เห็นชีวิตตนเองมีค่ากว่าความเจ็บใจ แต่ความ
เจ็บใจของตนมักมีค่ากว่าชีวิตคนอื่นเสมอ
มะแมเห็นประจักษ์ข้ามมิติชัดแจ้ง ไม่มี
หายนะใดรุนแรงไปกว่าหายนะอันเกิดจากความ
เกลียด ความเคียดแค้นชิงชังทำาให้ตายร้าย และ
กลายเป็นวิญญาณร้าย สูญเสียสิ่งดีงามที่เคย
สะสมมาไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเคยมีดีขนาดไหน
ก็ตาม
แอบสลดเมื่อแล่นรถออกห่างจากหมู่บ้าน
เศรษฐีมาได้ โลกนี้ช่างหลอกตา บ้านช่องสว่าง
สวยรุ่งเรืองเหมือนสวรรค์ แต่บางทีจิตใจคนอยู่
กลับมืดดำาอำามหิตดุจบรรยากาศนรก
สู้บ้านเล็กๆของหล่อนก็ไม่ได้ ดูเหมือนไม่มี
อะไรเลย แต่แท้จริงแล้วเต็มแน่นไปด้วยแสงสว่าง
แห่งความรักระหว่างคนในครอบครัว ใครมาก็
บอกว่ารู้สึกโปร่งสบายเหมือนสวรรค์กันทั้งนั้น!
เกือบแปดโมงเช้า
โทรศัพท์มือถือส่งเสียงกุ๊งกิ๊งในแบบที่มะแม
ตั้งค่าไว้แจ้งเมสเสจเข้า ใจประหวัดถึงอัคระ รู้สึก
เหมือนเป็นข้อความจากเขา จึงรีบคว้าโทรศัพท์
ขึ้นดู
ปรากฏว่าเป็นเมสเสจประจำาสัปดาห์จาก
ธนาคาร เพื่อแจ้งยอดเงินที่ใช้ได้ มะแมทำาหน้า
เมื่อย เกือบวางโทรศัพท์ลง แต่หางตาเห็นตัวเลข
แว้บๆแล้วรู้สึกผิดปกติ เพราะจำาได้ว่ายอด
สุดท้ายเป็นหกแสนเศษ แต่ตัวเลขบนหน้าจอ
เหมือนเหลือแค่เก้าหมื่นปลายๆ ไม่ถึงแสน
พลิกดูหน้าจอใหม่ดีๆ ปรากฏว่าไม่ใช่เก้า
หมื่น แต่เป็น 97,743,322.95!
หญิงสาวย่นคิ้ว เข้าใจว่ามีการแสดงผลผิด
พลาดคลาดเคลื่อน จึงลุกเดินไปยังคอมพิวเตอร์
เพื่อเช็คออนไลน์จากเว็บของธนาคารแทน เพราะ
ถ้ามีความผิดพลาดแบบตลกร้ายเกิดขึ้น ก็หวังว่า
จะไม่ใช่ความเสียหายของฝ่ายหล่อน
คลิกๆพิมพ์ๆในเวลาไม่นานก็ได้คำาตอบ
ตัวเลขจากหน้าเว็บยืนยันว่าเมสเสจแจ้งยอดเงิน
ทางมือถือถูกต้อง ตอนนี้หล่อนมีเงินในครอบ
ครองร่วมร้อยล้าน!
นี่มันอะไรกัน?
ใจเต้นตึกๆ รอบตัวคล้ายควันขึ้นโขมง
มะแมไม่ได้หัวช้าขนาดคิดไม่ออกว่าแหล่งที่มาคือ
อัคระ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี
ตัวเลขที่เพิ่มพรวดพราดขนาดนั้น เลยขีดความ
ตื่นเต้นปรีดา ทะลุเพดานไปถึงอารมณ์ตื่น
ตระหนกตกใจ ไม่เข้าใจเหตุผล และว้าวุ่นจนอยู่
เฉยไม่ได้มากกว่าอย่างอื่น
ตั้งแต่เขาเข้ามาในชีวิต ดูเหมือนมีเรื่อง
ทำาให้หล่อนต้องกลายเป็นผู้หญิงขี้ตื่นตกใจได้
บ่อยๆ มะแมไม่ชอบภาวะเกินคาดหรือคาดไม่ถึง
เพราะรบกวนจิตให้เสียสมดุลความเป็นปกติสุข
ไป
เมื่อตกอยู่ในภาวะเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรดีไป
กว่าคว้ามือถือกดเบอร์หาเขาด่วน นี่เป็นเรื่อง
ใหญ่เกินกว่าจะมัวคิดเกรงเขาติดธุระยุ่งอยู่
ประเทศไหนเหมือนเช่นที่ผ่านมา
โชคดีที่เขาว่างรับสาย อัคระทักทายด้วย
เสียงนุ่มนวล ร่าเริง
"อรุณสวัสดิ์ มะแม!"
"พี่อัค... สวัสดีค่ะ ว่างคุยไหมคะ?"
น้ำาเสียงหล่อนสั่นพร่า เกือบๆจะร้อนรน
"มะแมไม่ต้องกลัวพี่ไม่ว่างหรอกนะ
โทร.มาเมื่อไหร่ก็ได้ "
"พี่อัคโอนเงินมาให้มะแมทำาไม?"
"เอ๋ ... เงิน? อ๋อ! ค่าจ้างน่ะ"
เขาตอบเหมือนไม่มีความหมาย และไม่มี
อะไรเกิดขึ้น แถมแกล้งทำาราวกับจะลืมไปแล้ว
ด้วยซ้ำา มะแมขบริมฝีปากนิดหนึ่ง สามล้าน
ดอลลาร์อาจเป็นเศษเงินสำาหรับคนมี
คอมพิวเตอร์ตาทิพย์ที่ทำานายหุ้นได้ไม่พลาดเลย
แต่มันคือการพลิกชีวิตคนธรรมดาหาเลี้ยงตัว
แบบเดือนต่อเดือนเช่นหล่อน และหล่อนก็ไม่
แน่ใจว่าต้องการหรือเปล่า
"ไม่ทราบว่ามะแมทำาอะไรให้พี่อัคพอใจ
มากมายขนาดนั้นหรือคะ?"
"พี่บอกมะแมแล้วไม่ใช่เหรอว่าพี่กำาลังทำา
อะไร เพื่ออะไร"
"ค่ะ... บอกแล้ว"
"แล้วมะแมยินดีให้ความร่วมมือหรือ
เปล่า?"
"ยินดีค่ะ"
"เมื่อคืนมะแมเริ่มงานไปบ้างแล้วนี่ใช่
ไหม?"
"รู้ได้ยังไง?"
"ใจของมะแมเชื่อมเข้ากับงานของพี่ พี่รู้สึก
ได้ "
มะแมนึกถึงการเล็งเป้าหมาย คือนักการ
เมืองสามีคุณหญิงรักสุรีย์ ความตั้งใจนั้นกระมังที่
กลายเป็นสัมผัสกระทบจิตอัคระ
"โห! ทำาให้งานเดียวได้ค่าจ้างร้อยล้าน
ทำาให้ร้อยงานมิรวยกว่าพี่อัคหรือคะ?"
"ให้ก้อนเดียวนี่แหละ แล้วมะแมก็รับเหมา
ทั้งร้อยงานที่เหลือไปเลย ตกลงไหม?"
"ขอบคุณค่ะพี่อัคสำาหรับเงินก้อนนี้ แต่
มะแมรู้สึกว่ามันมากผิดปกติ แล้วก็เลยไม่แน่ใจ
ว่ามันจะมาทำาให้ชีวิตของมะแมผิดปกติในทางใด
ทางหนึ่งไปด้วยหรือเปล่า พี่อัคน่าจะเข้าใจดีอยู่
แล้วว่าของอะไรที่หนักเกินตัว มันจะทำาให้เราเดิน
เป๋ไปจากเคย ไม่ว่าของหนักนั้นจะเป็นกรวดหิน
หรือเงินทอง!"
อัคระหัวเราะในลำาคอ เป็นครั้งแรกที่มะแม
ได้ยินแล้วไม่ชอบใจ เพราะเหมือนเขาหัวเราะ
เยาะคำาพูดของหล่อนอยู่
"เอาคืนไปเถอะค่ะพี่อัค มันไม่ใช่ของ
มะแม"
"ตอนนี้ยังไม่รู้สึกว่าใช่ก็ไม่เป็นไร อีกหน่อย
พอจำาเป็นต้องใช้ค่อยรู้สึกก็ได้ จำาได้ว่าครั้งแรกที่
พี่เห็นเงินในบัญชีเป็นร้อยล้าน พี่ก็ตาเหลือก และ
รู้สึกว่าชีวิตไม่ใช่ชีวิตแบบเดิมอย่างนี้เหมือนกัน
แต่ต่อมาเมื่อพบว่ามีเส้นทางชีวิตอีกแบบมารอง
รับอย่างสมเหตุสมผล ก็เปลี่ยนเป็นเฉยๆแทน"
"แล้วอะไรคือความสมเหตุสมผลของเงิน
เป็นร้อยล้านสำาหรับมะแมคะ?"
"ถ้าจะเปลี่ยนโลกลงมาจากยอด บางทีก็
จำาเป็นต้องมีที่ยืนสบายๆใกล้ยอดอย่างสง่า
ผ่าเผย ไม่ใช่ยืนในที่คับแคบแถวยอดด้วยอาการ
ตัวลีบ พูดแค่นี้เข้าใจไหม?"
หญิงสาวอึ้งไป นึกถึงเมื่อคืนที่ขับรถเข้า
หมู่บ้านมหาเศรษฐีแบบตัวลีบหน่อยๆ ก็เริ่มเห็น
อะไรขึ้นมาบ้าง
"แล้วเขาให้กันง่ายๆอย่างนี้หรือคะ?"
"เขาน่ะ ใคร?"
"ก็พี่อัคนั่นแหละ!"
"แล้วพี่เป็นใครสำาหรับมะแม?"
คนอยู่เมืองไทยกะพริบตาถี่ๆ
"ก็ ..."
เพิ่งรู้สึกว่าความเป็นคนรักระหว่างหล่อน
กับเขามันลอยๆชอบกล ไม่มีรากหยั่ง ไม่มีปฏิ
สัมพันธ์ใดๆเป็นฐานยืนพื้นเอาเลย กระทั่งจะคิด
อยู่ในใจว่าเป็นแฟน ยังกระดากบอกไม่ถูก
"ก็อะไร หือม์ ?"
"ก็รู้สึกแปลกๆอยู่นะคะ"
"ภายในไม่กี่วันนี้ พี่มีเวลาไปอยู่กับมะแม
ได้พักหนึ่ง ตั้งใจจะพาไปหาพ่อแม่ของพี่อยู่แล้ว
มะแมจะได้เลิกรู้สึกแปลกเสียที ดีไหม?"
______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๕
ในความน่ารักของเด็กหญิงอิ๊ก สองสามวัน
นี้มีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป เหมือนหงอยลง
และซ่อนความคิดบางอย่างไว้ มะแมสังเกตได้แต่
ยังไม่ไถ่ถาม รอจังหวะว่าเมื่อใดเธอจะเปิดปาก
เอง
ทว่าจนแล้วจนรอดแม่หนูน้อยแก้มยุ้ยก็ยัง
ไม่ปริปาก และยิ่งวันยิ่งดูซึมๆจ๋อยๆลงทุกที
กระทั่งเช้ามืดวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเข้าห้องสมาธิ
แล้วน้องอิ๊กไม่มาตามนัด มะแมจึงต้องเดินไป
เคาะประตูห้องของเธอก๊อกๆ
"อิ๊ก"
เรียกแล้วเคาะซ้ำา อึดใจจึงค่อยมีเสียงอู้อี้
ตอบรับ
"ขา..."
"ไม่มานั่งสมาธิกับพี่มะแมเหรอคะ?"
เด็กในห้องเงียบเสียง มะแมจึงตัดสินใจ
หมุนลูกบิดประตูบุกเข้าไปหา กดสวิทช์เปิดไฟ
กลางเพดาน
อิ๊กนอนหันหลังให้ ซึ่งมะแมสัมผัสได้ทันที
ว่าร่างน้อยส่งกระแสเรียกร้องความสนใจมาถึง
ตน จึงเลิกคิ้วสูง ลอบถอนใจยาว ได้รู้สึกเหมือน
เป็นแม่จริงๆก็ตอนนี้เอง
ก้าวเดินเนิบนาบไปถึงตัวเด็กในอุปการะ
หย่อนกายลงนั่งขอบเตียง ยกมือลูบศีรษะละมุน
แผ่ว และแทนการถามว่า "เป็นอะไรไป?"
เหมือนอย่างที่พ่อแม่ทั่วไปถามลูก มะแมเลือก
คำาถามที่ฟังแล้วน่าตอบกว่านั้น
"คิดอะไรอยู่ ให้พี่มะแมรู้ด้วยคนได้ไหม?"
ถามเสร็จก็นิ่งรออย่างใจเย็น แต่แล้วคำา
ตอบของหนูอิ๊กก็เล่นเอากระตุก
"อิ๊กกลัวตาย..."
หญิงสาวมองหนูน้อยนิ่งไปครู่ เข้าใจว่าฝ่าย
นั้นฝันร้าย จึงปลอบ
"เห็นตัวเองผูกคอตายเหรอลูก?"
อิ๊กสั่นศีรษะอยู่ในหมอน
"เปล่าค่ะ"
"แล้วอยู่ๆทำาไมกลัวขึ้นมาได้ล่ะ อะไรทำาให้
หนูกลัว?"
"สมาธิ ..."
"หือ? ยังไงนะจ๊ะ สมาธิทำาให้หนูกลัวตาย
หรือ?"
เด็กน้อยตอบด้วยการจีบปากผงกศีรษะ แต่
หลบตา บ่ายเบี่ยงไม่ยอมสบกับผู้ใหญ่ที่จ้องมา
อย่างค้นหา
มะแมกะพริบตางง ทบทวนสองสามวันที่
ผ่านมา สัมผัสได้ว่าฝ่ายนั้นเข้าถึงภาวะสงบล้ำาลึก
ยังนึกชื่นชมผลงานของตัวเองอยู่เลย ค่าที่ตัวเอง
ฝึกตั้งหลายปีกว่าจะสงบได้ขนาดนั้น แต่อิ๊กเริ่ม
ยังไม่ทันไรก็ได้ดี เพราะมีพี่เลี้ยงคอยกำากับให้
ทักให้ว่าผิดตรงไหน เสริมให้ว่าถูกอย่างไร จึง
ก้าวรุดเอาๆจนทำาท่าจะแซงหน้าคุณครูอยู่รอมร่อ
ไฉนในที่สุดจึงกลายเป็นว่าสมาธิทำาให้ชีวิต
หนูน้อยผิดปกติไปได้ ?
"อือม์ ... อือม์ ... อือม์ ... สงสัยเราคุยกัน
น้อยไปหน่อยแล้ว" มะแมรวบร่างแบบบางบนฟูก
ออกแรงช้อนตัวขึ้นมาตั้งในท่านั่ง ก่อนสวมกอด
แนบอกอย่างทะนุถนอม ราวกับน้องอิ๊กเป็นตุ๊กตา
ของเล่น "เกิดประสบการณ์ทางสมาธิแล้วทำาไม
ถึงไม่เล่าให้พี่มะแมฟัง?"
"พอเห็นนิมิต อิ๊กก็พยายามไม่สนใจอย่างที่
พี่มะแมสอน แต่ยิ่งไม่สนใจ ก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นทุกที "
"คราวหลังต้องรายงานให้พี่มะแมรู้สิ พี่เป็น
ครูสมาธิของหนูนะ"
"กลัวโดนว่าว่าไม่รู้จักวางเฉยอย่างที่พี่สอน
นี่คะ"
"โถ... โอเคจ้ะ! ต่อไปนี้พี่ไม่ว่าละ ไหน...
นิมิตเป็นยังไงเหรอ?"
"เหมือนครั้งแรกที่อิ๊กเล่านั่นแหละค่ะ แต่
เริ่มมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อิ๊กรู้สึกถึงความ
ตาย เหมือนความตายเป็นเงามืดของสัตว์มีพิษ
ตัวใหญ่ ที่ค่อยๆคลานเข้ามา และอิ๊กก็ไม่มีเวลา
เตรียมตัวหนีมันได้ทัน"
มะแมทำาหน้าครุ่นคิด ใช้สัมผัสทางใจเล็งดู
ความกลัวตายของอิ๊ก ก็พบว่ามันไม่เกี่ยวกับเมื่อ
ครั้งผูกคอตายเลย ตรงข้าม ขณะแห่งการฆ่าตัว
ตายของเด็กน้อยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คือการ
อยากจบชีวิตอย่างแท้จริง ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับ
ครั้งนี้ ที่เหมือนใจอิ๊กตั้งนิ่ง ไม่ได้ดิ้นรนตัดช่อง
น้อยแต่พอตัว แต่บังเกิดความกลัวขึ้นเองอย่าง
ขาดเหตุขาดผลอันสมควร
อารมณ์มนุษย์นี่แสนแปลก แต่ละวันเหมือน
ไม่ใช่คนๆเดียวกัน แล้วความตายคืออะไร ทำาไม
บางครั้งมนุษย์ถึงหวาดกลัวอยากหลบหนีให้พ้น
แต่บางครั้งกลับอยากเผชิญหน้ากับมันเสียเต็ม
ประดา?
อยากเชื่อว่ากรณีของอิ๊กเป็นผลตกค้างจาก
ความตระหนกในขณะเผชิญหน้าพญามัจจุราชตัว
จริง หลังทิ้งตัวลงมาให้แรงดึงดูดโลกฆ่า แต่อีก
ใจก็สังหรณ์ว่าอาจมีอะไรซ่อนอยู่จริง คล้ายความ
ลึกลับบางอย่างรออยู่ และท้าทายให้ค้นหา ส่วน
จะดีหรือร้ายกันแน่ มะแมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
คงเป็นการดีหากหล่อนจะเอาจริงเอาจัง ไม่
ดูดายหรือเห็นเป็นเรื่องเล็กของเด็กน้อย เพราะ
ความจริงก็คือไม่มีเรื่องไหนใหญ่เกินปมปัญหาใน
วัยเด็กที่ไม่ได้รับการแก้ไข
"เอางี้ !" มะแมตัดสินใจ "ทุกครั้งที่เกิด
สมาธิ อิ๊กจะเห็นเหมือนตัวเองนั่งอยู่ในถ้ำาบนเขา
เสมอใช่ไหม?"
"ค่ะ เหมือนใจมีคอ แล้วถูกล่ามติดกับนิมิต
นั้นเลย"
มะแมยิ้มขันสำานวนเด็ก
"นั่นมันเป็นเพราะอิ๊กผูกยึดอยู่กับนิมิต
ปักใจตรงนั้นอย่างไม่รู้เหตุผล ถ้าเข้าใจที่มาที่ไป
ก็จะหลุดออกมาได้ไม่ยาก เดี๋ยวพี่มะแมจะช่วย
ถอนจิตที่หลงปักอยู่กับความยึดติดผิดๆให้ก็แล้ว
กัน"
"ขอบคุณค่ะ!"
"งั้นเราไปที่ห้องทำาสมาธิกันเลยดีไหม?"
"ดีค่ะ!"
"อ้ะ! งั้นลุกได้ "
ทั้งสองเดินจูงมือย้ายมายังห้องที่มีเบาะนั่ง
สมาธิโดยเฉพาะ และเมื่อเข้าที่เรียบร้อย มะแมก็
สั่งว่า
"หลับตาตั้งกสิณไปตามปกตินะ"
อันเนื่องจากแต่ละวันอิ๊กไม่มีเรื่องนอกตัวให้
พะวงถึงเท่าใดนัก จิตจึงไม่แส่ส่าย เข้าสู่สภาพ
เคยชินทางสมาธิง่าย คล้ายชำานาญขี่จักรยาน
แล้วก็จับขึ้นทรงตัวได้เลย ไม่ปัดเป๋แกว่งไปแกว่ง
มาอย่างคนเพิ่งหัด
มะแมยิ้มมุมปากหน่อยๆ หล่อนเล่นสมาธิ
มาเป็นสิบปี จนถึงวันนี้ยังจับหลักนิ่งไม่ได้เร็วเท่า
อิ๊กซึ่งเพิ่งเริ่มเตาะแตะมาไม่ถึงสิบวันเลย!
ยามนิ่ง ทั่วร่างอิ๊กแผ่รังสีประหลาดออกมา
มะแมโฟกัสสายตาแบบหนึ่งที่จะเห็นแสงเรือง
ออกมาจากเส้นขอบรอบร่างเด็กน้อย หล่อนไม่
ชำานาญการอ่านความหมายของสีรัศมีมนุษย์นัก
ทราบแต่ว่าสมาธิของอิ๊กกำาลังบอกอะไรบางอย่าง
ที่น่าสนใจอยู่
เชื่อโดยไม่ต้องหาข้อพิสูจน์มากกว่าที่กำาลัง
เห็นกับตา อิ๊กมีของเก่าติดตัวมาอย่างหนาแน่น
และ "ของเก่า" นั้นก็สว่างจ้าน่าชมยิ่ง สมาธิขอ
งอิ๊กกลายเป็นจุดนัดพบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
ยิ่งปัจจุบันนิ่งขึ้นเท่าไร รายละเอียดความสว่างใน
อดีตก็ยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้นเท่านั้น
คุณครูจดจ้องลูกศิษย์นิ่ง ใช้สายตาจับแสง
ออร่า และใช้ใจกำาหนดประมาณความกว้างของ
ฐานแห่งสมาธิจิตไปด้วย จากนั้นก็รอดูเฉยๆ
อย่างมีอุเบกขา ว่าจะเกิดนิมิตใดในห้วงมโนทวาร
ตน
เกือบครึ่งนาทีต่อมาก็ได้เห็นจริงๆ เหมือน
ในร่างหยาบของอิ๊กมีร่างละเอียดซ้อนอยู่ กาย
ทิพย์ของฝ่ายนั้นปรากฏเป็นแม่ชีในชุดขาว
บริสุทธิ์ มีความผุดผ่องสว่างไสว สวยใสยิ่งกว่า
ความน่ารักน่าเอ็นดูที่เห็นได้ทางประสาทตา
หลายเท่านัก
ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง มะแมทราบดีว่าไม่
ได้มี "แม่ชี " ซ้อนอยู่ข้างใน หรือกระทั่งมีตัวตน
จริงๆอยู่ที่ไหนทั้งนั้น นิมิตแม่ชีเป็นร่องรอยกรรม
เก่าที่สะสมมาแบบชี และจะคงอยู่ตราบเท่าที่
กรรมแบบชียังให้ผลอยู่ไม่เสื่อม แต่เมื่อใดผล
กรรมแม่ชีในอดีตหมดกำาลัง ถ้าส่องดูเข้าไปอีกที
ก็จะไม่เห็นเป็นชีอย่างนี้แล้ว
ผลของกรรมจากการเคยเป็นแม่ชีดีๆคือ
อะไร? ก็คือสภาพทั้งหมดที่หล่อนกำาลังเห็นด้วย
ตาเปล่า ตั้งแต่รูปร่างหน้าตาไปจนกระทั่งชะตา
ชีวิต
กรรมของผู้มีความประพฤติอันงาม บันดาล
รูปงาม และคุมรูปให้น่ารักน่าเอ็นดูตั้งแต่ยังตัว
น้อย
กรรมของการเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
ไว้มาก ส่งผลให้ได้ผู้เต็มใจอุปการะในคราว
ลำาบาก
กรรมที่เคยบำาเพ็ญภาวนาไว้แบบทุ่มเทชีวิต
เข้าแลก ส่งผลให้มีจิตหนักแน่น เก่งสมาธิ
บันดาลกำาลังค้ำาชูสมาธิให้ตั้งมั่นได้เร็ว แทบไม่
ต้องลงทุนออกแรงพยายามใดๆ
ไม่มีคุณสมบัติใดที่ได้มาโดยบังเอิญ!
แต่แล้วมะแมก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าเคย
ผุดผ่องปานนั้น เหตุไฉนจึงกำาพร้าพ่อแม่ตั้งแต่
เล็ก แถมมาเจอญาติลวนลามเข้าให้อีก?
ความสงสัยมีผลให้จิตหวั่นไหว สายตา
เคลื่อนจากโฟกัสเดิม ใจถอนจากสัมผัสทางจิต
มโนทัศน์ทั้งหมดเสียไป จึงเป็นอีกครั้งที่มะแมได้
ทราบว่าจิตของตนยังขาดกำาลังเพียงพอจะไปส่อง
ดู ส่องรู้ได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปล่อย
ให้ความสงสัยเข้าเคลือบจิตแม้แต่นิดเดียว
หวนกลับมาตั้งสติกำาหนดใจอีกฝ่ายด้วยใจ
ตนใหม่ คราวนี้ระวังไม่ให้วอกแวก เพื่อติดตาม
อาการทางใจของอิ๊กอย่างต่อเนื่อง
จิตของอิ๊กทรงนิ่งไม่หวั่นไหวอยู่เกือบ ๕
นาที ด้วยแรงตรึงของนิมิตวงกลมอันปราศจาก
มลทินรบกวน แต่แล้วตรงหน้าอิ๊กก็เกิดการก่อตัว
ของภาวะอะไรอย่างหนึ่ง อธิบายเป็นคำาพูดยาก
เหมือนคลื่นไร้ตน ม้วนตัวในลักษณะอุโมงค์ดึงดูด
มะแมทราบได้เดี๋ยวนั้นว่านิมิตวงกลมอันเป็น
เครื่องตรึงจิตของอิ๊กแปรสภาพไปแล้ว และถูก
แทนที่ด้วยอะไรบางอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็น กับ
ทั้งไม่รู้ว่าคืออะไร
ถามใจอันวางเฉยว่ารู้สึกเกี่ยวกับ "สิ่งนั้น"
ในแวบแรกอย่างไร ก็ตอบตนเองว่าเหมือน
สัญญาณเรียก หรือเหมือนกริ่งนาฬิกาปลุกที่ถูก
ตั้งไว้ และเมื่อมะแมส่งใจเข้าไปสัมผัสชัดขึ้น ก็
ค่อยๆกระจ่างทีละน้อย
ที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาขณะนี้ คือสัญญาณ
เรียกจากอดีตชาติ แม่ชีอะไรท่านหนึ่งเป็นคน
สร้างมันขึ้น และชีวิตในชาติต่อมาของท่านก็เป็น
ทายาท เป็นผู้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยสัญญาณ
เรียกนั้น!
พอประจักษ์ว่านิมิตของอิ๊กเป็นของจริง
ไม่ใช่ภาพปรุงแต่งลมแล้ง มะแมก็กะพริบตาที
หนึ่งอย่างจะตั้งหลัก ก่อนเปล่งเสียงนุ่มเย็นแผ่ว
ชัด อย่างระวังไม่รบกวนให้อิ๊กเขว แต่ก็แน่ใจว่า
เสียงจะถึงหูได้ถนัด
"เอาล่ะ... อิ๊กเริ่มเห็นอะไรบางอย่างแล้วใช่
ไหม?"
จิตของอิ๊กรอการนำาทางจากมะแมอยู่ก่อน
จึงไม่ตกใจ และตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ
"ค่ะ"
"บอกซิว่าเห็นอะไรบ้าง"
พอปรับตัวคุ้นกับภาพนิมิตภายใน ประกอบ
เสียงของมะแมจากภายนอก ทุกอย่างก็ดูธรรม
ดาๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป
"ข้างหน้าเป็นภูเขาค่ะ อิ๊กนั่งอยู่บนภูเขาฝั่ง
ตรงข้าม อยู่ในถ้ำา"
"ตอนนี้อิ๊กอยู่ในอีกร่างหนึ่งนะ ไม่ใช่เด็ก
หญิงอิ๊กตัวน้อย ฉะนั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดจะ
ไม่เกี่ยวกับร่างกายเดิมแล้ว ลองนะ... ถ้าก้มลง
มองเสื้อผ้าของตัวเอง จะเห็นเป็นชุดขาว เห็น
ไหม?"
ถ้อยคำานำาทางของมะแม กลายเป็นเครื่อง
ปลดพันธนาการ ใจอิ๊กหลุดจากการยึดติดกับร่าง
เดิม เข้าไปรวมกับอีกร่างเต็มสภาพ เหมือนฝัน
ทั้งรู้สึกตื่นเต็มตัว หรือเหมือนตื่นอย่างทราบว่า
มาอยู่อีกโลกหนึ่ง
ก้มลงมองเครื่องนุ่งห่มของตนตามคำาสั่ง
แล้วก็เห็นกระจะว่าเป็นชุดชีสีขาวหม่นจริงๆ จึง
ตอบว่า
"เห็นค่ะ"
"สิ่งที่อิ๊กเห็นทั้งหมดคือภาพความทรงจำา
เพราะฉะนั้นเราจะใช้ความทรงจำาหลักนี้ ระลึก
ย้อนไปถึงรายละเอียดความทรงจำาอื่นๆ... เงย
หน้าขึ้นดูภูเขาตรงหน้าใหม่นะ ยังเห็นชัดอยู่
ไหม?"
"ชัดค่ะ"
"คราวนี้ลองลุกขึ้นยืน ยืนได้ไหม?"
"ได้ค่ะ"
"หันมองรอบๆซิ เห็นอะไรบ้าง?"
อิ๊กนิ่งไปครู่หนึ่ง จนมะแมต้องลุ้นรอผลว่า
จะออกหัวออกก้อยท่าไหน หรือภาพนิมิตทั้งหมด
จะสลายตัวไป ซึ่งถ้าสลายได้ก็ดี เพราะทั้งหล่อน
และอิ๊กจะได้เลิกสนใจ เห็นเป็นแค่ภาพความฝัน
ไร้ความหมาย
แต่ในที่สุดผลก็ออกมา
"อิ๊กอยู่ในถ้ำาตื้นๆค่ะ มีมุ้งขาวกางอยู่ ข้าง
ในเป็นเสื่อและหมอน..." คำาแรกๆออกเฉื่อย แต่
เมื่อทุกอย่างชัดขึ้น อิ๊กก็บอกเล่าด้วยความเร็ว
ปกติ "มีกระติกน้ำาสีเขียว มีถุงข้าวสาร มีกระป๋อง
อาหารแห้ง"
"อิ๊กมาค้างกี่คืนเนี่ย?"
"สามคืนค่ะ แม่ใหญ่อนุญาตให้มาได้ไม่เกิน
สามคืน แล้วต้องลงไปรายงานตัว ไปสวดมนต์
ไปช่วยกันดูแลสถานที่ร่วมกับเพื่อนๆ"
เหมือนบังเกิดอีกสำานึกหนึ่ง เต็มตื่นกว่า
เดิมขึ้นเรื่อยๆ อิ๊กตอบคำาถามเร็วขึ้น เป็นตัวของ
ตัวเองในอีกแบบหนึ่งมากขึ้น
"แม่ใหญ่กับเพื่อนๆเรียกอิ๊กว่ายังไง?"
"พิรมล!" อิ๊กตอบเสียงดังทันควัน เหมือน
คนจำาเพื่อนเก่าได้ และอุทานลั่นขานชื่อออกมา
ด้วยความยินดีปรีดา "พิรมล พิเศษสุทัศน์ !"
แก้วเสียงแจ่มชัดที่ประกาศความระลึกได้
จริงนั้น มีผลให้มะแมขนลุกหน่อยๆ ก็หล่อนเอง
ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมา แต่กำาลังมา
ช่วยให้คนอื่นระลึกได้อยู่นี่
กลืนน้ำาลายและกระแอมเบาๆทีหนึ่ง ก่อน
ถามต่อ ระวังไม่ให้สำาเนียงส่อว่าพลอยตื่นเต้น
"แม่ชีพิรมลอายุเท่าไหร่จ๊ะ?"
คราวนี้หนูอิ๊กไม่ตอบทันที เหมือนต้องเค้น
นึก ซึ่งพอมะแมเห็นอาการย่นคิ้วเคร่งหน่อยๆ ก็
รีบเบี่ยงคำาถามเป็นการช่วยให้ตอบง่ายขึ้น
"แม่ชีพิรมลแก่หรือยัง?"
"แก่แล้ว สุขภาพไม่ค่อยดีด้วย"
หญิงสาวขนลุกอีกระลอก เพราะคราวนี้น้ำา
เสียงของอิ๊กไม่เหมือนเด็กน้อยคนเดิม แต่เปลี่ยน
ไปเป็นแหบพร่า และใบหน้าเคร่งก็ง้ำาลงแบบหญิง
มีอายุ มะแมถึงกับต้องยกมือเสยผมตนเอง
เป็นการแก้ระทึก
"แม่ชีพิรมลกำาลังจะตายหรือ?"
ด้วยคำาถามสุดท้าย ปฏิกิริยาทั้งหมดแตก
ต่างไป ร่างที่เห็นว่าเป็นเด็กหญิงนิ่งไปนาน ก่อน
จะค่อยๆก้มลงสะอึกสะอื้นน้ำาตาไหลพราก มะแม
หน้าตื่น ไม่แน่ใจว่าขณะนี้สำานึกคิดอ่านของอีก
ฝ่ายอยู่ในร่างของแม่ชีหรือเด็กหญิงอิ๊กกันแน่ จึง
รีบเอ่ยเป็นกลางๆอย่างคนรู้หลักถอนการสะกด
จิต
"เอาล่ะ! ทุกอย่างที่เห็นคือความฝัน และ
ฝันก็จบไปแล้ว คราวนี้ฟังเสียงนับหนึ่งถึงสาม
แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความสบายใจ ไม่ต่างกับ
ตอนโล่งใจที่ได้ตื่นจากฝันร้ายนะ หนึ่ง..." หล่อน
ใช้เสียงหนักแน่น แต่ทอดอ่อน และเว้นระยะห่าง
พอควร "สอง... สาม... ลืมตาจ้ะ!"
______________________________________________________________________________
บทที่ ๑๖
การขับรถผ่านเข้ามาในแหล่งรวมคนรวย
อันดับต้นๆของประเทศไทยคราวนี้ มะแมรู้สึก
แตกต่างไปจริงๆ ถึงแม้รถยังเล็ก แต่ความรู้สึก
ไม่เล็กแล้ว
เงินร้อยล้านในธนาคารมีผลจริงๆ เหลียว
มองคฤหาสน์รอบด้านแล้วอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าคง
มีไม่กี่หลังในหมู่บ้านนี้ ที่หล่อนซื้อไม่ไหว
เมื่อมานั่งตรงหน้าคุณหญิงรักสุรีย์ ก็เห็น
ความแตกต่างอีกครั้ง ร้อยล้านที่หนุนหลังอยู่ช่วย
ให้รู้สึกทัดหน้าเทียมตา หล่อนไม่ได้มาที่นี่ด้วย
ความหวังสินจ้าง ไม่ได้มาเพื่อเปลี่ยนคนบ้า
อำานาจให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้มาเพื่อ
ช่วยเปลี่ยนคนหลงทางให้เป็นคนพบทาง
แต่มาเพราะหล่อนร่วมขบวนการเปลี่ยน
โลกกับอัคระ!
เขาทำาให้หล่อนคิดการใหญ่ขึ้น และเริ่มมอง
ชีวิตตนเองแบบขั้นบันได การช่วยทีละคนที่ผ่าน
มา คือการสะสมบารมี คือการค่อยๆยกระดับ
วิสัยทัศน์ให้เห็นลู่ทางช่วยทีละกลุ่ม กว้างขึ้น
เรื่อยๆ แม้บ้านหลังนี้ก็อาจเป็นแค่ก้าวแรกๆบน
เส้นทางยาวไกล ยังมีอะไรน่าตื่นเต้นรออยู่อีก
มากนัก
ถึงอัคระจะไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ มะแมก็รู้สึก
ราวกับกำาลังนั่งทำางานร่วมกับเขา ซึ่งหมายความ
ว่าทรัพย์สิน ชื่อเสียง ตลอดจนผลตอบแทนทาง
ตรงและทางอ้อมใดๆ ล้วนไร้ความหมาย ในเมื่อ
จิตคิดถึงงานอันเป็นที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำาได้แล้ว
"เมื่อคืนดีขึ้นไหมคะ?"
"ก็ดีขึ้น"
รักสุรีย์พยักหน้าตอบเรียบๆ อาการไว้ตัว
หวนกลับมาอีก แต่เลิกมองหล่อนเป็นเด็กเมื่อ
วานซืนเสียได้
มะแมนิ่งพินิจด้วยจิตสัมผัส ก่อนซัก
"เมื่อคืนคุณหญิงเห็นว่าเขามา มีกระแสรุก
รานหนักๆ ร้อนๆ มืดๆ ตามเคย แต่เหมือนฝั่งเรา
มีเกราะแก้วเย็นๆ สว่างเรืองจากภายใน แยกเด่น
เป็นต่างหาก และเขาเข้าถึงตัวไม่ได้ใช่ไหมคะ?"
ภรรยาท่านรัฐมนตรีพยักหน้าก่อนเสเมินไป
ทางอื่น ไม่พูดไม่จา
"ความสว่างเย็นแบบนั้นแหละค่ะ เป็นต้น
กำาเนิดน้ำาใจคิดให้อภัยได้จริง ไม่ใช่ต้องแกล้งกัน
และคุณหญิงก็คงเห็นได้ว่าความสว่างเย็นแบบ
นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบเท่าที่เรายังคิดทำาลาย
เขา หรือเสียเวลาสวดมนต์ไล่ผีอยู่ "
"อือ... สวดอิติปิโสด้วยความเลื่อมใสอย่าง
เดียวนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆแหละ ครูบาอาจารย์ของ
เธอสอนมาใช้ได้นะ"
"ค่ะ!" รับยิ้มๆ แล้วเว้นวรรคครู่หนึ่งก่อน
เอ่ยต่อ "คุณหญิงคงเห็นแล้วว่าตอนเราไม่รู้จะ
ป้องกันตัวอย่างไร เช่นขณะหลับ แก่นแท้ของใจที่
มีเมตตา คือเครื่องต้านภยันตรายจากฝันร้ายได้
ดีที่สุด... พูดง่ายๆคือถ้าเมตตาดี ก็เหมือนมีผู้
ช่วยอยู่ในฝัน"
"จ้ะ... เห็นด้วยนะ"
มะแมเห็นได้จังหวะสำาคัญ ก็เปล่งเสียงแบบ
หนึ่งออกมาจากน้ำาใจใสสะอาด เปิดจิตคนฟังให้
กว้าง พร้อมรับความจริงโดยง่าย
"ทำานองเดียวกันนะคะ ขณะตื่น ตอนกำาลัง
คิดได้อยู่อย่างนี้ เกราะคุ้มครองตัวที่ดีที่สุดคือ
การคิดอโหสิ เลิกแล้วต่อกันเสีย!"
หลากหลายความรู้สึกประดังขึ้นพร้อมกัน
รักสุรีย์หันมาทำาตาเขียว แต่แล้วเมื่อปะทะกับ
สายตาคมกริบอันเกิดจากจิตตานุภาพที่แรงกว่า
ก็ชะงักอาการอวดศักดา อารมณ์กระด้างลดฮวบ
ส่งเสียงได้แค่อ่อนอ่อย
"ขยายความให้ชัดขึ้นอีกหน่อยได้ไหม เลิก
แล้วต่อกันหมายความว่ายังไง ฉันเคยไปมีเวรมี
กรรมกับนังผีนี่ตั้งแต่เมื่อชาติปางไหน?"
มะแมทอดตามองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อน
หน้านี้หล่อนกลัวๆเหมือนกันว่าถ้าพูดทุกอย่างที่รู้
ก็อาจเกิดผลกระทบกับความปลอดภัยในชีวิต แต่
ยามรู้สึกว่าเป็นคนของอัคระ ได้รับการสนับสนุน
จากเขาเต็มตัว ก็สัมผัสคล้ายมีกองกำาลังรายล้อม
คอยพิทักษ์ดูแลสวัสดิภาพให้อยู่ตลอด ๒๔
ชั่วโมงฉะนั้น
อย่าว่าแต่คุณหญิงจอมบงการฆ่าตรงหน้านี้
เลย ต่อให้เป็นมาเฟียใหญ่ในวงการเมืองการ
ปกครอง หล่อนก็ชักไม่นึกกลัวแล้ว!
"คุณหญิงคะ ขอให้เชื่อใจกันก่อน มะแม
ไม่ใช่ตำารวจที่มีหน้าที่จับฆาตกรเข้าคุก แล้วมะแม
ก็ไม่ใช่ผู้หญิงปากสว่างที่จะเอาความผิดของใคร
ไปแฉ"
"งั้นเหรอ?" ฝ่ายนั้นทำาหน้าเครียด แต่ใจ
เริ่มสับสนด้วยหลากความรู้สึกคละกัน ทั้งระวังตัว
ทั้งถือดี และทั้งต้องการความช่วยเหลือ "ว่าแต่นี่
มาประกาศให้ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่อะไรบ้างไปเพื่อ
อะไร?"
มะแมไม่สนใจคำาพูดอันเป็นกำาแพงชั้น
สุดท้ายของคุณหญิงโหด แต่เอ่ยสืบเนื่องราวน้ำา
ริน
"มะแมสัญญาว่าจะทำาหน้าที่เดียว คือเป็นที่
ปรึกษา ช่วยเหลือให้ชีวิตของคุณหญิงดีขึ้น
รอดพ้นจากการครอบงำาของศัตรูภายในเช่น
ความอาฆาตมาดร้าย ตลอดจนรอดพ้นจากการ
คุกคามของศัตรูภายนอก ซึ่งได้แก่เธอที่มาทำาให้
คุณหญิงเจ็บใจขณะมีชีวิต แล้วยังมีหน้าย้อนมา
หลอกหลอนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วอีก!"
คำาพูดที่อาบพลังเมตตา ปรารถนาเพียงได้
อนุเคราะห์ผู้อื่น ปลดเปลื้องปมวิตกแบบวัวสัน
หลังหวะได้หมดเกลี้ยง รักสุรีย์ยกมือปิดหน้า
สะอื้นออกมาอย่างผู้หญิงธรรมดาที่อ่อนแอเป็น
แต่ด้วยความเป็นคนใจแข็ง และไม่อยากแสดง
ความปวกเปียกให้สาวรุ่นลูกเห็น แค่ไม่กี่พริบตา
ก็ข่มสะอื้น ปาดน้ำาตาระลอกแรกที่ล้นเบ้าออกมา
แล้วลดมือลงวางตัก เชิดหน้าเป็นปกติ
"จะเอายังไงก็ว่ามา ให้ฉันทำายังไง"
มะแมทอดมองมหาเศรษฐีนีคนบาปด้วย
อารมณ์อุเบกขา แม้กายของฝ่ายนั้นจะยัง
ลอยนวลอยู่ในวิมานร้อยล้าน แต่ใจกลับเหมือน
ถูกคุมขังอยู่ในคุกแคบ ต้องสูดดมกลิ่นขี้กลิ่น
เยี่ยวที่ตัวเองทิ้งเรี่ยราดไว้
สำาหรับคนบาป สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย
คือสิ่งที่ทำาไว้ก่อนตาย!
หากหล่อนเป็นข้าราชการรักษากฎหมาย
สิ่งที่สมควรทำาคงเป็นการคิดหาพยานหลักฐาน
เอารักสุรีย์เข้าคุก แต่นี่หล่อนเป็นอาสาสมัคร
เปลี่ยนโลก สิ่งที่สมควรทำาน่าจะเป็นการเอาคน
ออกจากคุกมากกว่า!
"เราต้องช่วยกันทำาเรื่องนี้ให้จบ"
"นั่นสิ ! เธอจะให้ฉันทำายังไงล่ะ?"
"หนูไล่ผีให้คุณหญิงไหว แต่ไล่ความโกรธ
แค้นให้คุณหญิงไม่ได้ และถ้าไล่ไม่ได้ คุณหญิงก็
มีสิทธิ์สร้างผีตัวอื่นขึ้นมารังควานอีก ในเมื่อโลกนี้
ยังมีสาวสวยอีกมาก ที่ต้องการทางลัดไปสู่การมี
บ้าน มีรถ จากสามีของคุณหญิง"
รักสุรีย์แค่นหัวเราะ เปิดอกพูดเป็นครั้งแรก
"รู้ไหมมันคิดได้ขนาดไหน อายุยังไม่ถึง
ยี่สิบ แต่วางแผนเป็นชั้นๆ จะขึ้นมาแทนที่ฉันเต็ม
ตัว ไม่ใช่แค่ยอมเป็นบ้านเล็ก" เพลิงพิโรธก่อตัว
ขึ้นในดวงตาระหว่างรื้อฝอยหาตะเข็บ "จะให้เลิก
โกรธ เลิกผูกใจเจ็บผู้หญิงที่พยายามฮุบทุกอย่าง
ไปจากฉัน เธอนึกว่าง่ายใช่ไหม?"
"รู้ว่าไม่ง่ายหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณหญิงรับ
คาถาไล่โทสะไว้ท่องสักบท ความอาฆาต
พยาบาทก็ตั้งอยู่ไม่ได้ แล้วผีตัวอื่นจะไม่มีทาง
แจ้งเกิดตามมาแน่ๆ"
คุณหญิงตราตั้งย่นคิ้ว
"มีเหรอคาถาไล่โทสะ? เกิดมาเพิ่งเคย
ได้ยิน"
"คำาธรรมดาสั้นๆที่จำาได้ และเอามาใช้งาน
จริงได้เรื่อยๆ เรียกว่าคาถาได้หมดแหละค่ะ
เช่น... ยกโทษให้เขา คือเอาโทษออกจากเรา"
หญิงอาวุโสฟังตามแล้วคลายหัวคิ้วออก ซึ่ง
ก็เป็นเครื่องหมายของการคลายใจออกจากปม
ขุ่นแค้นด้วย ความเหนื่อยอ่อนที่ผ่านมา มีส่วน
ผลักดันให้รักสุรีย์ลดกำาแพงทิฐิ เปิดรับแสงสว่าง
ได้เร็ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะสั้นๆนี้
มะแมยิ้มละไมเมื่อเห็นรักสุรีย์ยอมทำาใจ
ตามคาถา
"ที่ผ่านมาเราไม่ได้คุยกันเรื่องความเชื่อ
แล้วก็ไม่ได้ตั้งหน้าหาปรัชญาชีวิต ว่าอะไรควร
อะไรไม่ควร แต่เรากำาลังช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิด
ขึ้นจริงกับตัวคุณหญิงเอง ตอนนี้คุณหญิงประจักษ์
กับตัวว่าบาปคืออะไร ผลของบาปคืออะไร ฉะนั้น
ก็ควรมองออกเช่นกันว่าจะแก้บาปกันด้วยวิธี
ไหน"
ไม่รู้ตัวว่าเผลอเลือกคำาผิด มาตระหนักก็
เมื่อเห็นคนที่สงบเยือกเย็นลงกลับหุนหันพลัน
แล่น เดือดดาลพาลแหวขึ้นมาอีก
"บาปหรือ? ที่ฉันเจอมาคือความอยุติธรรม
มันก็ต้องล้างกันด้วยความอยุติธรรมให้สมน้ำาสม
เนื้อต่างหากล่ะ!" ยกมือชี้หน้ามะแมด้วยนัยน์ตา
กร้าว "เธอยังสาว ยังสวย พูดเรื่องบาปเรื่องบุญ
ได้ง่ายๆ รอให้มีอย่างที่ฉันมี เหี่ยวอย่างที่ฉัน
เหี่ยว ถูกกระทำาอย่างที่ฉันถูกกระทำา ถึงวันนั้นฉัน
อยากดูเหมือนกันว่าเธอยังมีหน้ามาตัดสินว่า
อะไรดี อะไรชั่ว อะไรบุญ อะไรบาปได้ง่ายๆ
เหมือนวันนี้ไหม"
ท่างอแขนยกมือชี้หน้าของคุณหญิงรักสุรีย์
ให้อารมณ์ประมาณแม่มดร่ายมนต์สาปแช่งอันชั่ว
ช้า เล่นเอาลำาคอมะแมตีบตันไปชั่วขณะ
ร้อนวูบและคันคะยิกขึ้นมาในอก เกือบสวน
บางคำาออกไปอย่างมีอารมณ์ตาม แต่เสี้ยววินาที
ก่อนจะหลุดอะไรแรงๆ ก็เกิดสติยับยั้งเสียได้
และด้วยสติยับยั้งได้นั้นเอง จึงมองเห็น
อย่างที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน วิญญาณหล่อน
เกือบถูกเผาด้วยไฟโทสะ และถ้าโดนไฟโทสะเผา
ได้ มันจะต่างอะไรกับวิญญาณอาฆาตที่กำาลังเป็น
ปัญหาแก้ไม่ตกอยู่เดี๋ยวนี้ ?
วูบแห่งโทสะหายไป กลายเป็นความว่างอัน
เยือกเย็นอย่างลึกซึ้ง และด้วยความเยือกเย็นใน
ตนนั้นเอง ก่อให้เกิดสัมผัสรู้สึกถึงกระแสร้อนแรง
ที่กำาลังพลุ่งพล่านอยู่รอบตัวขึ้นมาได้ชั่วขณะ
แหล่งกำาเนิดความร้อนแรงที่รู้ง่ายก็ไม่ใช่
ที่ไหนอื่น คุณหญิงรักสุรีย์นี่แหละ แต่มะแมยัง
รู้สึกถึงคลื่นความร้อนอีกกระแสหนึ่ง ที่เคลื่อนอยู่
รอบๆห้อง...
เริ่มจำาแนกได้แล้ว นั่นไม่ใช่กระแสความ
ร้อนแบบมนุษย์ !
ด้วยใจที่สงบประณีตยามนี้ หล่อนสัมผัสชัด
ด้วยใจราวกับจับต้องด้วยมือทีเดียว ไม่ผิดแน่
เธอคนนั้นที่ตายไปแล้ว กำาลังวนเวียนจ้องหา
จังหวะอยู่ โดยไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนล่วงรู้ได้
หล่อนเป็นคนเดียวในห้องนี้ ที่ทำาตัวเป็นนัก
ดับเพลิงได้ หากเสียความเย็นให้โทสะไปอีกคน
จะเหลือใครไว้ดับเพลิงอีก?
เพื่อจะดับคลื่นพลังความร้อนถึงสองกระแส
หล่อนต้องเย็น และดวงจิตต้องใหญ่กว่าจิตอีก
สองดวงรวมกัน แต่เมื่อกำาหนดดูแล้ว มะแมก็เห็น
ว่าเป็นไปไม่ได้ จิตของหล่อนยังไม่ทรงฌาน จึง
ยังไม่เป็นมหัคคตะยิ่งใหญ่ขนาดครอบจิตที่กำาลัง
ลุกเป็นไฟถึงสองดวงพร้อมกันไหว
นั่นเป็นความรู้ใหม่ทางจิตที่เกิดขึ้นสดๆ
ร้อนๆ สำาหรับวิญญาณอาฆาตนั้น ไม่ต้องคิด
เจรจาเสียให้ยาก เพราะพ้นภาวะคิดนึกแบบมี
เหตุผลเยี่ยงมนุษย์ไปแล้ว จะปักใจทำาอะไรตาม
อารมณ์ร้ายที่ฝังแน่นท่าเดียว
แต่สำาหรับมนุษย์ที่มีจิตอาฆาต การเจรจา
ยังคงเป็นไปได้ เพราะวิธีคิดยังตั้งมั่นอยู่บนฐาน
ของเหตุผล ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหล่อนสมควร
ทุ่มแรงกับคุณหญิงรักสุรีย์เต็มที่ตามเดิม
"มีเรื่องสำาคัญที่มะแมต้องเรียนให้คุณหญิง
ทราบ"
เสียงใสของหล่อนรินออกมาจากจิตที่ปลอด
โปร่ง เยือกเย็น เนิบนิ่ง คงเส้นคงวาเป็น
ธรรมชาติ
"อะไร?"
เสียงขุ่นของคุณหญิงกระแทกออกมาจาก
จิตที่ทึบแน่น รุ่มร้อน งุ่นง่าน พลุ่งพล่านพร้อม
อาละวาดได้ทุกเมื่อ
"คุณหญิงเข้าใจว่าโดนเธอเล่นงานเฉพาะ
ตอนนอน แต่ความจริงไม่ใช่ ..."
ทิ้งท้ายให้ฉุกใจได้ผล ล่อรักสุรีย์ออกมา
จากหลุมดำาแห่งความขัดเคืองได้ชั่วขณะ สัมผัส
อาการคลายตัว เปิดจิตสว่างขึ้นนิดหนึ่ง
"หมายความว่ายังไง?"
"หมายความว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันตาม
ลำาพัง และคุณหญิงก็กำาลังโดนเล่นงานโดยไม่รู้
ตัว"
รักสุรีย์ฟังแล้วถึงกับหน้าซีด ลืมอารมณ์ขุ่น
มัวที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเกือบสิ้น
"จริงเหรอะ?"
"ธรรมชาติของคู่แค้นที่กลายเป็นวิญญาณ
อาฆาต ไม่หวนกลับมาบีบคอศัตรูเหมือนที่เรา
เห็นๆกันในหนังหรอกค่ะ เขาใช้วิธีกระแทกให้ขุ่น
กระตุ้นให้โกรธ"
"เป็นไปได้เหรอ?"
"คุณหญิงเคยไหมคะ ไปยืนค้ำาหัวใครแล้ว
ตั้งใจเค้นเสียงพูดให้เขาเจ็บใจ หรือแค่ใช้สายตา
ส่งกระแสหาเรื่องให้เขาบันดาลโทสะ อยากเอา
เรื่องกลับด้วยอารมณ์วู่วาม นั่นแหละค่ะ วิญญาณ
อาฆาตทำาได้เนียนกว่านั้น เพราะสามารถอัดแรง
โทสะในตนออกมากระแทกคู่แค้นเป็นระลอก มี
ผลให้เราเหมือนโดนรมควันไฟเป็นระยะ อยู่ไม่
เป็นสุข หงุดหงิดพร้อมระเบิดได้ตลอดเวลา แม้
กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็บานปลายเป็นเรื่อง
ใหญ่โตเอาง่ายๆ"
รักสุรีย์เร่ิมโน้มเอียงจะคล้อยตาม เพราะ
ตั้งแต่สั่งฆ่านังหน้าด้านอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์
หล่อนก็ไม่เคยจิตใจสงบสุขแม้แต่วินาทีเดียว แต่
นึกว่าเป็นธรรมดาของคนสะใจแรง ระบายโทสะ
ออกไปแรง ยังเคยมาเสียดาย นึกอยากทรมานอี
ชั่วให้นานกว่านั้นด้วยซ้ำา!
"ฉันจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าที่เธอพูดเป็นเรื่อง
จริง?"
"มะแมไม่มีวิธีพิสูจน์ แต่คุณหญิงถามใจตัว
เองได้ว่าน่าจะจริงไหม"
"ฉันว้าวุ่นขนาดนี้ ไม่มีแก่ใจตัดสินใจหรอก
ว่าจริงหรือไม่จริง"
"นั่นก็ส่วนหนึ่งไงคะ คุณหญิงกำาจัดตัว
รบกวนชีวิตไป แต่ได้คลื่นรบกวนจิตใจกลับมา
แทน ถามตัวเองว่าความเร่าร้อนระส่ำาระสายที่
เกิดขึ้น มันได้น้ำาหนักสมน้ำาสมเนื้อกับวิธีกำาจัด
เธอคนนั้นไปหรือเปล่า"
รักสุรีย์นิ่งไม่พูด
"มะแมจะให้ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็ได้ ทุกวัน
นี้อาจมีใครต่อใครมองคุณหญิงด้วยสายตา
ยำาเกรง หรือกระทั่งหวาดกลัว แต่คุณหญิงลอง
กวาดมองสายตาร้อยคู่ จะพบสักกี่คู่ที่มองตอบ
กลับมาด้วยความเป็นมิตร ด้วยความน่าให้ไว้ใจ
จริงๆ"
"หมายความว่าเขาพยายามครอบงำาทุกคน
รอบตัวฉันหรือ?"
"เขาไม่มีกำาลังทำาได้ขนาดนั้นหรอกค่ะ
ขอบเขตการใช้กำาลังมันกว้างเกินไป ถ้าจะต้อง
ครอบงำาทุกคนที่คุณหญิงรู้จัก"
"แล้วมันทำายังไง?"
"ง่ายๆค่ะ เขาเป็นคลื่นรบกวนให้คุณหญิง
ไม่สบายใจได้ ขุ่นเคืองได้ คุณหญิงก็เป็นคลื่น
รบกวนให้คนอื่นไม่สบายใจได้อีกทอดหนึ่ง คน
เราพอขุ่นเคืองอย่างไม่สมเหตุสมผลอยู่ตลอด
เวลา ก็ต้องมีใครสักคนล่ะที่คับแค้น แอบคิดร้าย
ได้ พอนึกออกไหมคะ? เธอที่ตายไปแล้ว หยิบ
ปืนมายิงคุณหญิงไม่ได้ แต่รู้วิธีกระตุ้นให้คุณหญิง
บีบคนอื่นให้หยิบปืนมายิงแทนเธอได้ !"
เหมือนรักสุรีย์เริ่มเข้าใจขึ้นมารางๆ จึงมอง
ที่ปรึกษาทางวิญญาณแบบเปิดใจรับมากขึ้น
"เอาล่ะ... บอกอีกทีซิว่าเธอจะให้ฉันทำายัง
ไงบ้าง"
"ทบทวนตั้งแต่ต้นนะคะ ก้าวแรกของคุณ
หญิงไม่ใช่ไล่ผีข้างนอก แต่เป็นไล่ผีข้างใน ซึ่งเมื่อ
คืนก็เริ่มไปบ้างแล้ว โดยการสร้างศรัทธา สร้าง
ใจที่ดีงามผ่านการสวดมนต์ พอใจสว่างก็มีแก่ใจ
ต่อยอดเป็นก้าวที่สอง ซึ่งมะแมบอกในวันนี้ นั่น
คือยกโทษให้เขา ให้อภัยเขา เลิกฝังใจเกลียด
เขา"
"แค่นี้เขาก็จะไม่มารบกวนฉันอีกหรือ?"
"มันไม่ง่ายแค่นั้นหรอกค่ะ สิ่งที่คุณหญิงทำา
กับน้องเขา คือการทำาให้ตายทรมาน ตายไป
พร้อมกับความเจ็บแค้นสาหัส แล้วบุญเก่าน้อง
เขาก็ยังไม่หมด ถึงมีฤทธิ์ตามมาราวีได้อีกนาน"
รักสุรีย์ฟังแล้วใจฝ่อ แต่รัศมีสว่างเย็นอาภา
ที่ฉายชัดออกมาจากร่างของมะแม ก็เหมือนหลัก
ประกันให้อุ่นใจขึ้น
"แล้วฉันควรทำายังไงอีก?"
"น้องเขาชื่ออะไรคะ?"
คุณหญิงนายเพชฌฆาตหน้าตึง ตอบเสียง
ห้วนแบบไม่เต็มใจเอ่ยชื่อให้เป็นเสนียดแก่ปาก
"ถ้าเธอจะเอาไปทำาพิธีถ่วงน้ำา ฉันจะหาชื่อ
พร้อมนามสกุลให้เดี๋ยวนี้เลย!"
"มะแมไม่ทำาพิธีอะไรหรอกค่ะ แค่อยากลอง
คุยกับน้องเขาดู "
เป็นความอยากลองขึ้นมาอย่างนั้นเอง จู่ๆ
มะแมก็รู้สึกว่าน่าจะทำาได้ เหมือนกับทุกครั้งที่
ไว้ใจสัญชาตญาณทางจิตของตน แล้วก็ประสบ
ผลสำาเร็จเรื่อยมา
คุณหญิงมาเฟียกลั้นใจอยู่ครู่ ก่อนหลับหู
หลับตาเอ่ยนามหนามหัวใจ
"ใจมาตา!"
มะแมฟังแล้วยิ้มๆ มองนิ่งไปครู่ก่อนเผย
"ดีนะคะที่คุณหญิงไม่ค่อยอยากเอ่ยชื่อน้อง
ใจมาตาเท่าไหร่นัก ขืนเอ่ยบ่อยๆคงได้เดือดร้อน
กว่านี้ ... รู้ไหมว่าเมื่อกี๊มะแมเห็นอะไร?"
รักสุรีย์ผวาหน่อยๆ
"เห็นอะไร?"
"ลองทบทวนดู ตอนคุณหญิงเอ่ยชื่อน้อง
เขา เหมือนมีคลื่นโทสะกระแทกออกมาจากคุณ
หญิง กระจายออกไปรอบตัว จริงไหมคะ?"
"ประมาณนั้น ก็มันเกลียดนี่หว่า!"
"ชื่อที่ขับจากปากด้วยรากเหง้าของความ
คุมแค้น มันกระตุ้นเจ้าของชื่อให้เกิดอารมณ์พาล
ได้นะคะ สมมุติว่าน้องใจมาตาแอบซุ่มมองเราอยู่
แถวๆนี้ เขาคงรู้สึกเหมือนคุณหญิงจิกหัวเรียกเขา
มาพบด้วยอารมณ์ไม่พอใจ คุณหญิงว่าไหม?"
รักสุรีย์ถึงกับตัวชา สะบัดร้อนสะบัดหนาว
จ้องมะแมบึ้งตึง
"เอ๊ะ! รู้อย่างนี้ยังใช้ให้ฉันพูดชื่อมันทำาไม
จะแกล้งกันหรือ?"
"เปล่า! มะแมจะแกล้งไปทำาไม บอกแล้วไง
คะว่าอยากคุยกับน้องเขา คุณหญิงจะคุยกับใคร
ดีๆก็ต้องเรียกชื่อเขาถูกใช่ไหมคะ? นี่มะแมเห็น
อะไรไม่ชอบมาพากลก็อุตส่าห์เตือนด้วยความ
หวังดี ช่วยแนะว่าทีหลังอย่าขานชื่อน้องเขาด้วย
โทสะ มันเหมือนเรียกมาหาเรื่องกัน มะแมจะไปรู้
หรือว่าปกติคุณหญิงเอ่ยชื่อเขาเหมือนเรียกคนใช้
อย่างนี้ "
อีกฝ่ายรับฟังแล้วยอมนิ่งแบบจำานนด้วย
อารมณ์ขุ่นมัว เพราะคิดว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ยายหน้า
สวยนี่จะพาความซวยมาสู่ตน
"คุณหญิงลองฟังมะแมขานชื่อน้องเขานะ
คะ... น้องใจมาตา" มะแมทอดเสียงอ่อน ริน
เมตตาออกมาจากใจจริง "เห็นไหมคะ รู้สึกไหม
ว่าอากาศรอบๆตัวมะแมขณะเรียกชื่อเขา มันชวน
ให้เข้ามาคุยกันขึ้นเยอะเลย"
รักสุรีย์ใจหายวาบ ขนลุกเกรียวจากต้นคอ
ไล่ไปถึงหนังหัว แม้เคยอยู่ในพิธีไสยศาสตร์เข้า
เจ้าเข้าทรงมาก่อน ยังไม่รู้สึกเหมือนสัมผัสมิติ
ลี้ลับได้เป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เลย
"นี่ ! เธอจะทำาอะไรของเธอก็ทำาไปเถอะ จะ
ต้องมาบอกฉันทำาซากอะไร"
พึมพำากระชากๆอย่างหัวเสีย แต่มะแมก็
ตอบด้วยความเยือกเย็นเสมอต้นเสมอปลาย
"ถ้าไม่บอกคุณหญิงจะเข้าใจหรือคะ มะแม
จะจบความสัมพันธ์ที่เลวร้ายระหว่างคุณหญิงกับ
น้องใจมาตา ก็ต้องขอความร่วมมือจากทั้งสอง
ฝ่าย เหมือนคนกลางไกล่เกลี่ยน่ะ"
คนวางท่าเป็นนางพญาเขม่นมองที่ปรึกษา
สาวอย่างไม่ทราบจะรู้สึกอย่างไรดี ยอมรับว่าใน
ภาพที่ดูเด็ก กล้าต่อล้อต่อเถียง แล้วก็สวยอย่าง
น่าหมั่นไส้นั้น มะแมมีดีจริง แน่จริง แถมกิริยา
วาจานิ่มนวลฉลาดเฉลียว แฝงความอ่อนน้อมอยู่
ในที นึกไม่ออกว่าจะติตรงไหน จึงเลิกอ้อมค้อม
"เอาอย่างนี้ ! ฉันขอร้องให้เธอทำาพิธีไปโดย
ไม่ต้องดึงฉันเข้าไปเกี่ยวข้องจะได้ไหม?"
มะแมยิ้มนิ่งเป็นครู่ ก่อนรับว่า
"ก็ได้ค่ะ"
เลิกใส่ใจคนตรงหน้า ปิดตาพริ้ม นั่งตัวตรง
ทรงจิตอยู่กับกสิณวงกลมขาวอันเป็นของถนัด ครู่
หนึ่งหลังจากเข้าที่เข้าทาง ก็รู้สึกถึงพลังสัมผัส
แจ่มชัดกว้างใหญ่ จึงเพิกนิมิตกสิณ แล้วจ่อใจ
เข้าไปที่กระแสอาฆาตของวิญญาณเมียน้อยผู้เป็น
คู่กรณีคุณหญิง
นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนตั้งใจคุยกับผี แต่ก็ไม่
เชิงไม่รู้อะไรเลย มะแมเข้าใจหลักขั้นพื้นฐานใน
การสื่อจิตประการหนึ่ง นั่นคือถ้าฝ่ายหนึ่งรุ่มร้อน
ทรมาน แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเยือกเย็นสบาย ถ้ามีการ
เปลี่ยนแปลงตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แปลว่ามีการ
สื่อสารจากจิตถึงจิตเกิดขึ้นแล้ว
คล้ายคนใจร้อนกับคนใจเย็นเจรจากัน คำา
พูดไม่สำาคัญนัก แต่ตัดสินกันง่ายๆคือถ้าลงเอย
เป็นร้อนใจทั้งคู่ ก็แปลว่าสื่อสารกัน "ไม่ได้เรื่อง"
ส่วนถ้าลงเอยเป็นเย็นใจทั้งสองฝ่าย ก็หมายถึง
สื่อสารกัน "รู้เรื่อง"
จริงๆระหว่างสนทนากับคุณหญิงรักสุรีย์
มะแมก็ส่งจิตสัมผัสใจมาตาเป็นระยะ หล่อนจับ
จุดได้อย่างหนึ่ง คือ การรับรู้ของวิญญาณอาฆาต
คล้ายไฟร้อนที่ดับๆติดๆ ไม่ใช่ร้อนตลอด บางที
เลื่อนลอยแบบฝันวกวนอยู่นาน ก่อนตื่นขึ้นมา
ด้วยอาการฉุนกึก แล้วตั้งหน้าตั้งตาจองเวรต่อ
เป็นครู่ จากนั้นก็พร่าเลือนไปอีก
มนุษย์มักงงว่าตัวเองเกิดมาทำาอะไร แต่
วิญญาณอาฆาตจะไม่งง พอรู้ตัวว่ามีตน ก็ทราบ
ชัดเดี๋ยวนั้นว่าเกิดมามีจุดหมายเดียว คือเพื่อ
ตามราวีศัตรูคู่อาฆาตทั้งวันทั้งคืน จนกว่าจะล้าง
แค้นสำาเร็จ หรือจนกว่าจะขาดใจกันไปข้าง
การที่คุณหญิงรักสุรีย์ส่งใจมาตาไปอยู่ใน
ปรโลก ก็เหมือนเปิดโอกาสให้ใจมาตาได้เปรียบ
เต็มประตู กล่าวคือคุณหญิงยืนอยู่ในที่โล่งแจ้ง
กว่ากลางสนาม ส่วนใจมาตาแฝงอยู่ในเงามืดที่
เร้นลับยิ่งกว่าก้นถ้ำา ได้เวลาเมื่อไรก็ออกมาเป็น
ฝ่ายกระทำาเอาข้างเดียว
ใจมาตายังมีบุญเก่าอุดหนุนอยู่มาก แล้ว
บาปที่รักสุรีย์ก่อไว้กับเธอก็หนาแน่นเหลือเกิน
ใจมาตาจึงมีศักยภาพในการเอาคืนสูง กับทั้งมี
ความเข้มแข็งยิ่ง ต่อให้หมอผีจอมขมังเวทย์ระดับ
ประเทศ ก็ใช่จะปราบสำาเร็จโดยง่าย
ยามนี้ เมื่อมะแมเอาใจไปพัวพันกับกระแส
เข้มข้นรุนแรงของวิญญาณอาฆาต จนกระแสจิต
เชื่อมถึงกันติด ก็เจอแรงปะทะที่เคยคุ้น คล้ายร่าง
แหหนักๆร้อนๆเหวี่ยงเข้ามาครอบ ความรู้สึก
เกลียดชัง ความคิดมุ่งร้ายหมายขวัญ พุ่งไปที่คุณ
หญิงรักสุรีย์ ให้ความรู้สึกราวกับหล่อนเป็นคนคิด
เอง เกลียดเอง
แต่เพราะเตรียมต้านทานไว้ล่วงหน้า ด้วย
ฐานพลังความเย็นที่หนักแน่น ดุจกำาแพงที่ก่อขึ้น
ด้วยฉนวนใยแก้วกันความร้อน มะแมก็ไม่หลง
ตาม กับทั้งทรงจิตอยู่ในอาการรวบรวมพละกำาลัง
ครู่หนึ่ง แล้วส่งแรงผลักออกไปเบาๆ
สำาเหนียกรู้สึกได้ถึงอาการแตกกระจายของ
กลุ่มความร้อน แต่ก็ไม่ถึงกับสลายกลายเป็นเย็น
ถึงตรงนั้นจิตของมะแมแปรสภาพไป หน้าผาก
ปรากฏคล้ายหน้าต่างที่ให้ความรู้สึกว่าเปิดได้
หล่อนจึงทดลองใช้ใจเปิดผลัวะออกไป แล้วก็
เหมือนลืมตาขึ้นอีกแบบเพื่อพบกับอะไรอย่าง
หนึ่ง ซึ่งหากเห็นขณะอยู่นอกสมาธิคงขวัญหนี
ดีฝ่อตายกันตรงนั้น
ตรงหน้าคือภาพกระจะตาของปีศาจแสยะ
เขี้ยว เค้าโครงรูปร่างหน้าคล้ายผู้หญิง ตาแดง
เรียวยาว จมูกโด่ง หูแหลม ปากกว้าง ผิวดำา นุ่ง
ห่มชุดนักศึกษาหญิงขาดวิ่น
ภาวะแห่งปีศาจนั้นให้เปรียบคงคล้าย
หมาบ้า นางปีศาจยืนยงโย่ยงหยกพร้อมกระโจน
เข้าขย้ำาหล่อน เพียงแต่รีรอหาช่องโหว่อยู่
ด้วยอำานาจปีติสุขอันฉ่ำาเย็นของสมาธิ
ทำาให้มะแมไม่สยองขนไปกับรังสีอำามหิตชนิดนั้น
แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าเพียงด้วยความ
สว่างและฉ่ำาเย็นแห่งจิตตน อย่างไรก็ "เปลี่ยน
ใจ" นางปีศาจไม่ไหว
ปรับสติให้เข้าที่ ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
อย่างรู้ตัว พอจิตกลับมารับรู้ผ่านแก้วตา เห็นคน
มีเนื้อมีหนังนั่งอยู่ ก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง
ตระหนักแล้วว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่
คิด ตอนแรกกะคุยกันดีๆกับวิญญาณใจมาตา แต่
พอเห็นนิมิตปีศาจเต็มขั้นเข้าให้ทีเดียว ก็รู้เลยว่า
เจรจากับหมาบ้าที่กำาลังกระหายเลือดน่าจะง่าย
กว่า
ระหว่างทำาอาชีพที่ปรึกษา หล่อนด้นสด
เชื่อความสามารถของตนมาตลอด ว่าจะรู้ทางแก้
ปัญหาเฉพาะหน้าได้เองเมื่อถึงเวลา แต่ครั้งนี้ พอ
เห็นว่าอะไรเป็นอะไร และเข้าใจสถานการณ์จริงดี
ขึ้น ก็ชักใจฝ่อระย่อท้อ จวนเจียนจะยกธงขาว
ขอตัวกลับไปตั้งหลักอีกที
ใจมาตาเล่นไม่มีสำานึกเป็นเหตุเป็นผลหลง
เหลืออยู่เลยแบบนี้ จะให้เจรจาต่อรองอย่างไร
ไหว
มองหน้าคุณหญิงรักสุรีย์ เห็นตาคมเหมือน
เหยี่ยว สัมผัสความทึบของจิตที่ดำามืด มีแต่เอา
เข้าตัว แล้วก็กลัวถูกทำาร้าย ฉับพลัน มะแมก็เห็น
ความคล้ายคลึงกันระหว่างมนุษย์ใจดำากับเปรต
อาฆาต รวมทั้งความเป็นขั้วต่อระหว่างคุณหญิง
กับนางปีศาจ
มีผีใจร้ายเพราะมีคนใจร้าย!
นางปีศาจถือกำาเนิดขึ้นจากความมีใจทมิฬ
หินชาติของคุณหญิง และดำารงอยู่เพื่อทำาลายล้าง
คุณหญิง หากความมีใจทมิฬหินชาติของคุณหญิง
เปลี่ยนไปล่ะ สภาพปีศาจร้ายจะสลายสูญได้
ไหม?
หากข้อสันนิษฐานของหล่อนถูกต้อง ขอ
เพียงทำาลายความเป็นคนใจทมิฬของคุณหญิงได้
ความเป็นปีศาจของใจมาตาก็น่าจะสิ้นสุด หรือ
แปรไปในทางที่ดีขึ้น
โจทย์คือความมีใจทมิฬของคุณหญิงมันตั้ง
อยู่ตรงไหน และจะถูกทำาลายได้อย่างไร?
วัดด้วยจิต ณ บัดนั้นแล้ว มะแมก็ตอบตัว
เองได้ทันที คุณหญิงรักสุรีย์มีใจทมิฬหินชาติได้
ด้วยความเห็นแก่ตัว คิดทำาอันตรายผู้อื่นได้โดย
ขาดสำานึกผิดชอบชั่วดี
เพื่อทำาลายความมีใจทมิฬหินชาติ ก็ต้อง
ปลุกมนุษยธรรมในตัวคุณหญิงให้กลับมาทำางาน
ใหม่ !
"เอ้า! ว่าไง" รักสุรีย์ทัก สีหน้าบ่งบอกว่า
ยังเคลือบแคลงความสามารถของมะแมในการ
ปราบปีศาจ "เจรจาสำาเร็จหรือเปล่า?"
มะแมไม่เสียเวลาตอบ แต่เดินหน้าไปตามที่
เห็นว่าเป็นทางสว่างทันที
"สมัยคุณหญิงเป็นนักศึกษา เคยต้องนั่ง
แท็กซี่ หรือซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้าซอยบ้านตอน
กลางคืนบ่อยๆใช่ไหมคะ?"
"อือ..."
รักสุรีย์รับงงๆ ไม่ได้ประหลาดใจที่มะแมรู้
แต่ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับนังผีใจมาตา
"จำาช่วงที่คุณหญิงต้องมองคนขับแท็กซี่
อย่างระแวง ไม่กล้านอนหลับทั้งที่เหนื่อย แล้วก็
นึกออกใช่ไหมคะว่าตอนพวกวินมอเตอร์ไซค์
แกล้งเบรกกะทันหัน เหมือนมีเจตนาจะให้หน้าอก
เราไปโดนหลังเขา มันน่าโมโห แล้วก็ชวนให้
ขยะแขยงขนาดไหน"
"จำาได้ ... เธอนี่รู้ละเอียดดีจริงๆ กระทั่ง
อดีตผ่านมานานจนฉันลืมไปแล้ว ยังอุตส่าห์ไป
ขุดมาให้นึกถึงอีก"
"เงาอารมณ์มันไม่มีอายุหรอกค่ะ ถ้าเกิดขึ้น
จริง ก็ถูกรู้ได้ว่าเคยเกิดขึ้นแล้ว"
ภรรยาท่านรัฐมนตรีใหญ่หัวเราะหึหึ แกล้ง
ชมแบบติดใบมีดไว้ที่ปาก
"เก่งขนาดเธอนี่น่าจะไปทำาอาชีพแฉความ
ลับ ขู่กรรโชกทรัพย์ชาวบ้านนะ ท่าทางคงรวย
ขาด"
มะแมอมยิ้ม แอบคิดว่าคุณหญิงคนนี้
นอกจากใจไม่ดีแล้วยังปากไม่ดีอีก
"สำาหรับคุณหญิง น่าจะบุญเก่าคุ้มครอง
ตัวดี เพราะไม่เคยเจอคนขับหื่น แม้แต่พวก
โรคจิตมาอวดอะไรให้ตกใจเล่นก็ไม่มี "
พอสาวพลังจิตบอกว่าเป็นคนมีบุญเก่าดี
รักสุรีย์ก็ยิ้มออก แต่ยิ้มไม่นานอีกฝ่ายก็พูดให้
กระตุก
"แต่คุณหญิงก็เคยหวาดกลัวเรื่องพวกนี้เข้า
กระดูก เรียกว่าเป็นเอามากนะคะ ถ้ามะแมเดาไม่
ผิด คงเหมือนผู้หญิงอีกหลายคนที่เกรงจะโดน
พวกป่าเถื่อนบุกห้องนอน คืนไหนต้องนอนมืดๆ
คนเดียวก็จินตนาการเขย่าขวัญสั่นประสาท
ขนาดเก็บเอาไปฝันร้ายเป็นตุเป็นตะ"
รักสุรีย์ชักใจไม่ดี มองมะแมด้วยหางตา
"แม่คุณจ๊ะ เชื่อแล้วว่าเก่ง แต่ไม่ทราบจะ
พูดไปทำาไมหือ ชอบขุดคุ้ยเรื่องน่าอายของชาว
บ้านมาตอกหน้ากันเล่นหรือไง?"
"คุณหญิงเคยฝันว่าถูกบุกห้อง ต้องตกเป็น
เหยื่อพวกหน้ามืดบนเตียงของตัวเอง ต้องต่อสู้
เตะถีบหยิกข่วนด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ภายใต้
ความสนุกสนานของเดนคน แต่ตื่นขึ้นมาได้ก็โล่ง
อกที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ใช่ไหมคะ?"
"เธอรู้เข้าไปถึงความฝันได้เลยเหรอ?"
"บางฝันนี่ฝันครั้งเดียวก็จำาติดใจไปตลอด
ชีวิต เหตุผลเพราะมันประทับแรงจนเกิดอารมณ์
ตกค้าง เหมือนแผลเป็นที่ไม่มีทางหาย แต่ก็ไม่
เจ็บปวดไปกับมัน"
"อือม์ ... ก็จริงนะ แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ
เหมือนแผลแบบไหน?"
"สำาหรับผู้หญิง ถ้าถูกรุมชำาเราจริง จะ
เหมือนแผลสดขนาดใหญ่ที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย
ค่ะ เพราะมันบาดลึกจนปวดแสบปวดร้อนทุกครั้ง
เมื่อเจอเรื่องกระตุ้นให้นึกถึง"
รักสุรีย์ยิ้มแหย กลืนน้ำาลายลงคอฝืดๆ แม้
เคยฝันว่าถูกรุมโทรมครั้งเดียว ก็ยังอุตส่าห์จดจำา
มาได้หลายสิบปีจริงๆ นึกถึงทีไรยังแจ่มชัดว่ามัน
ขมขื่น มืดมนปั่นป่วน ชวนให้คลุ้มคลั่งวิกลจริต
เพียงใด
ภาวนาด้วยความเกร็งเนื้อเกร็งตัวมาตลอด
วอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขออย่าให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิด
ขึ้นกับชีวิตตนจริงๆเลย
"เก่งนะ ที่เธอเห็นแล้วแยกแยะถูกอีก"
คุณหญิงพูดอ่อยๆ และมะแมก็รับช่วงต่อ
ด้วยการพูดเสียงอ่อน
"ผู้หญิงเราเป็นเพศน่าสงสารทุกครั้งที่ถูก
กระทำาย่ำายี ร้องขอความสงสารโดยไม่ได้รับ
ความสงสาร แต่เมื่อไหร่ที่โกรธจัดและได้ทีเป็น
ฝ่ายกระทำา หลายครั้งเราก็ลืมตัว..."
รักสุรีย์หลบตา เมินมองไปห่างไกล สองมือ
แม้วางอยู่บนตักก็เริ่มสั่นอย่างไม่อาจระงับ
มะแมเว้นระยะเล็กน้อย ก่อนค่อยๆพูดต่อ
"ตอนอยากสั่งสอนให้ศัตรูที่เป็นผู้หญิงด้วย
กันรู้สำานึก เราก็ขาดสำานึกได้ขนาดผลัก
จินตนาการที่ตัวเองหวาดกลัวที่สุด ไปใส่ชีวิตจริง
ของเขา อย่างที่นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่ง ตัวเองจะทำา
เรื่องอำามหิตขนาดนั้นได้ลงคอ"
เมียหลวงผู้เคยแสนเจ็บช้ำากัดริมฝีปาก
อย่างแรง เกร็งไหล่คล้ายทำาท่าจะยกมืออุดหู
"มะแมนึกไม่ออก แล้วก็ไม่อยากจะนึกเลย
ว่าถ้าต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาตัวรอด
เหมือนสัตว์เล็กที่ถูกฝูงสัตว์ใหญ่รุมขย้ำา ซ้ำายังถูก
ลากคอขึ้นไปแขวนให้ดิ้นตายอย่างทรมาน จะ
เป็นประสบการณ์ที่ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะหาย
เจ็บ!"
น้ำาเสียงตัดพ้อแทนคนตาย มีพลังทุบ
ทำาลายทำานบพยาบาทที่กลบทับความรู้สึกผิดมา
พักหนึ่ง และแล้วก็ไม่รู้ความเสียใจทะลักทลายมา
จากทิศใด รักสุรีย์น้ำาตาไหลอาบแก้ม เบนร่างไป
ก้มหน้าปล่อยโฮเต็มเสียง มือขวาปิดหน้า มือ
ซ้ายกุมหน้าอกด้วยความรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
มะแมปล่อยให้ฝ่ายนั้นร้องไห้ยืดยาว
สงสารทั้งคนตาย เห็นใจทั้งคนเป็น
ฤาโลกนี้จะไม่มีคนชั่ว มีแต่คนไม่รู้ตัวว่าทำา
อะไรลงไป!?!
"ใจมาตา... ฉันขอโทษ..."
เสียงโหยหวนนั้นเปล่งด้วยความรันทดจาก
ก้นบึ้งวิญญาณ แล้วตามมาด้วยการพนมมือไหว้
อากาศเยี่ยงทาสแห่งความสำานึกผิด ที่พร้อมจะ
ติดตามกราบแทบเท้าขอขมาไปทุกภพทุกชาติ
ภาพและเสียงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นไปเอง
ไม่มีใครบังคับฝืนใจนั้น มีความสะเทือนแรง
ราวกับแผ่นดินไหว และคล้ายโซ่ตรวนบางชนิด
ขาดสะบั้นลงหลายเส้น ลดความอึดอัดได้เกิน
ครึ่ง
กำาลังใจมาเป็นกอง มะแมเชื่อมั่นว่าผล
สะเทือนนั้นต้องมีไปถึงใจมาตาแน่นอน และเพื่อดู
ให้รู้ หล่อนค่อยๆปิดตาลง จับกระแสพิโรธของ
เปรตสาว แล้ว "เปิดหน้าผาก" พรวดเดียวออก
ไปดูโดยไม่ต้องตั้งกสิณนำาเสียก่อน เพราะจิตยัง
มั่นคงต่อเนื่องอยู่
ใช่จริงๆ! นิมิตนางปีศาจปฏิรูปไป กลาย
เป็นหญิงหน้าตาสะสวย แต่ยังมีแววกริ้วในตาก
ร้าว เขี้ยวยังโง้งออกมานอกริมฝีปาก สีผิวยังช้ำา
เลือดช้ำาหนอง ชุดนักศึกษายังขาดวิ่น เจ้าหล่อน
กำาลังเล็งแลรักสุรีย์ด้วยความฉงนครามครัน
ลักษณะเหมือนเกิดอาการใจอ่อนขึ้นมาชั่วขณะ
แน่แล้ว! รูปร้ายของนางปีศาจหล่อเลี้ยงไว้
ด้วยสองขั้วอาฆาต ทั้งขั้วของเธอเอง และทั้งขั้ว
ของคนบงการฆ่า ฝ่ายหนึ่งต้องทำาหน้าที่หลอก
หลอน ส่วนอีกฝ่ายต้องถูกหลอกหลอน เป็น
วัฏจักรจองเวรกันไม่สิ้นสุด
แต่ยามนี้ เมื่อขั้วอาฆาตหนึ่งเสื่อมสภาพลง
ความเป็นปีศาจก็ลดลงครึ่งหนึ่งเช่นกัน และเมื่อ
เห็นเช่นนั้น จิตของมะแมจึงบังเกิดปีติใหญ่
ซาบซ่าน เพราะเมื่อเปรตกลายสภาพจากปีศาจ
เจ้าอารมณ์ให้เห็นเป็นนิมิตมนุษย์ได้ ก็แปลว่าพอ
เจรจากันรู้เรื่องแล้ว
"อภัยได้ เป็นสุขได้ "
มะแมยิงภาษาจิตสั้นๆผ่านข่ายคลื่นเมตตา
กระทบใจนางปีศาจด้วยความนุ่มนวล อิ่มพลัง
และมีความเสถียร
แม้มนุษย์ในร่างหยาบ ใบหน้าก็สว่างขึ้นได้
ทันตาเห็นถ้าจิตรับธรรมะจริง จะป่วยกล่าวไปไย
สำาหรับเปรตที่ปราศจากร่างหยาบห่อหุ้ม เพียงใจ
เปิดรับภาษาจิตและรัศมีเมตตาของมะแมชั่วขณะ
หนึ่ง ตากร้าวและเขี้ยวโง้งก็ค่อยๆเลือนหายไป
เหลือแค่สาวน้อยหน้าตาช้ำาๆ ผิวหยาบ สิ่งกลิ่น
เหม็นเยี่ยงสตรีผู้มักโกรธ ซึ่งมะแมรับรู้ได้ด้วย
"จมูกทางจิต"
เธอเหลียวมองมะแมในลักษณาการของคน
ฟื้นสติ รับรู้ ตลอดจนน้อมใจเลื่อมใสในผลของ
การให้อภัย มะแมบังเกิดปีติแรงขึ้น บอกตนเอง
ว่าเพิ่งทำาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ แล้วก็
ง่ายดายเหลือเชื่อเสียด้วย
เรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้เหตุที่จะให้เป็น
ไป แต่เมื่อรู้เหตุให้เป็นไป บางทีก็แค่พลิกฝ่ามือ
ให้ถูกจังหวะเท่านั้น
ในภาวะที่นึกอะไรอย่างอื่นไม่ออก นอกจาก
คิดแก้แค้น แก้แค้น และแก้แค้น จิตวิญญาณก็
เหมือนหมาบ้าที่จ้องเล่นงานเหยื่อแบบไม่คิดชีวิต
ต่อเมื่อมีอะไรสักอย่างชะลอพิษความแค้นลงได้
หมาบ้าก็อาจเกิดสำานึกยับยั้งชั่งใจ ไม่หุนหันจะ
พุ่งกระโจนพรวดพราดท่าเดียวดังเคย
และยิ่งสุดท้ายเมื่อเลื่อมใสในการให้อภัย
ใจก็เย็นลง ก็ยกระดับสำานึกเป็นคิดอ่านมีเหตุมี
ผลขึ้นเท่ามนุษย์ !
มะแมเคยทราบว่าภาวะแห่งเปรตกลับไป
กลับมา แปรปรวนได้เร็ว และบัดนี้ก็ได้ประจักษ์
กับจิตแล้วว่าเป็นจริงได้อย่างไร
และเพราะตระหนักว่าเปรตกลับไปกลับมา
แปรปรวนง่ายนั่นเอง มะแมจึงยังไม่ไว้ใจ และ
อาศัยจิตสัมผัสควานหาทางช่วยให้เปรตสาว
พอใจอย่างถาวร
ไม่ต้องใช้ความพยายามนานนัก แค่ระลึก
ถึงชื่อ "ใจมาตา" ก็รู้สึกแล้วว่าเหมือนแก้วตา
ดวงใจแม่ เธอสมชื่อใจมาตาจริงๆ เพราะคุณแม่
ทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งอยากให้ได้ดีสุดใจ มะแมเห็น
ถนัดจากรังสีความอบอุ่นที่แม่แผ่มาปกเกล้าก่อน
ตาย และแม้ตายแล้วก็ยังฉายอยู่ไม่จาง
ส่องดูความโยงใยผูกพันระหว่างสองแม่ลูก
แม้ใจมาตาจะรำาคาญและกะบึงกะบอนใส่แม่
บ่อยๆ แต่ใจจริงก็รักและห่วงใยแม่ไม่แพ้กัน เห็น
ได้จากส่วนหนึ่งของจิตระดับใต้สำานึก ที่ยังโยงไป
ข้างหลัง มะแมตามนิมิตสายใยนั้น ก็พบว่าโยง
ไปสุดทางที่หญิงวัยกลางคนผู้เป็นมารดา
แม่ของใจมาตายังพออยู่ได้ตามอัตภาพ
เพราะเงินทองที่ใจมาตาได้มานั้น นอกจากซื้อ
ของฟุ่มเฟือยให้ตัวเองแล้ว ที่เหลือก็เพื่อแม่
นั่นเอง
มะแมมั่นใจว่านี่แหละ ช่องทางชำาระหนี้
สุดท้ายให้หายกัน ระหว่างคุณหญิงกับเมียน้อย
มองเปรตสาวอย่างบังคับให้เกิดกระแสการ
สบตาตรง เชื่อมใจถึงใจ แล้วมะแมพูดกับฝ่ายนั้น
ด้วยอาการนึก
"แม่เธอรักเธอเสมอ แม่เธออยู่ข้างหลัง"
จิตของเปรตสาวเกิดอาการประหวัดไปถึง
มารดา นึกถึงฝ่ายนั้นขึ้นมาได้เป็นครั้งแรกหลัง
จากตายดับ ฉับพลันก็บังเกิดความเศร้าหมอง
ทำาท่าเหมือนจะร้องไห้
"เลิกเป็นห่วงแม่ได้ คุณหญิงจะส่งเสีย ต่อ
ไปพวกเธอไม่ใช่ศัตรูกันอีกแล้ว"
ใจมาตาค่อยๆเบนหน้าไปเล็งแลรักสุรีย์ซึ่ง
ยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าน้ำาตาที่นอง
หน้า มาพร้อมกับน้ำาใจที่ยอมทำาอะไรให้ได้ทุก
อย่าง ขอเพียงจะได้ชดใช้ความผิดอุกฉกรรจ์ให้
ขาด
และเพราะสัมผัสรู้ด้วยสัญชาตญาณ เปรต
สาวจึงเชื่อคำาของมะแมอย่างหัวอ่อนและว่าง่าย
รัศมีความสบายใจฉายเรืองเป็นแสงสวย
ริมฝีปากระบายยิ้มพึงใจ สายธารแห่งการอภัย
และความรู้สึกหายห่วง ช่วยตกแต่งจิตวิญญาณ
ใจมาตาให้งามขึ้นอย่างรวดเร็ว
มะแมทราบว่าภาวะเปรตของใจมาตาจะไม่
หมดลงเร็วนัก จำาต้องบ่มเพาะความสุกสว่างให้
อิ่มตัวอีกนาน กว่าจะจุติ เคลื่อนจากความเป็น
เช่นนี้ได้ แต่อย่างไรก็ไม่น่าห่วง เพราะคงไม่ทุกข์
ทรมาน ไม่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงโทสะอีกแล้ว
"ใจมาตา..." มะแมเปล่งเสียงออกปาก
เรียกเปรตสาวอย่างนุ่มนวลเพื่อให้รักสุรีย์พลอย
ได้ยินไปด้วย "คุณหญิงจะให้เงินก้อนหนึ่งกับคุณ
แม่ไว้เลี้ยงตัว และจะทำาบุญส่งไปให้เธอทุก
วันพระนะ"
"ไม่ใช่อย่างนั้น!" รักสุรีย์เงยหน้าขึ้น
ประกาศด้วยแววร้าวในดวงตา เยี่ยงคนที่เจ็บ
ปวดกับความสำานึกผิดขั้นรุนแรงที่สุด "ใจมาตา!
ฉันสาบาน! นอกจากฉันจะเลี้ยงดูคุณแม่ของเธอ
ให้ดีที่สุดแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะไปที่
วัด ทำาบุญกับมือของฉันเองเพื่ออุทิศให้เธอทุกวัน
จนกว่าชีวิตจะหาไม่ !"
________________________________________________________________________________
บทที่ ๑๗
คืนนี้ประตูห้องนอนของอิ๊กแง้มอ้าไว้ แทน
เสียงเรียกร้องให้เข้าไปหาตามเคย ในการเรียก
ร้องบ่อยๆแบบนี้ มะแมรู้ว่าผสมอยู่ด้วยอารมณ์
หลากหลาย ทั้งอยากได้ความรักความอบอุ่น ทั้ง
อยากลองว่าหล่อนจะให้ความสนใจแค่ไหนด้วย
ไม่อยากตามใจมากจนสร้างความเคยชิน
ผิดๆให้กับเด็ก แต่ช่วงแรกที่เพิ่งมาอยู่ด้วยกันนี้
ยิ่งหล่อนใส่ใจมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นหลักประกัน
เพิ่มความรู้สึกมั่นคงให้กับเด็กมากขึ้นเท่านั้น
อิ๊กจะไม่มีทางลืมว่าตัวเองเป็นเด็กกำาพร้า
แต่จะลืมอย่างสนิทว่าเธอไม่เหลือใครแล้วในโลก
นี้
ความจริงมะแมเหนื่อยอ่อนเอาเรื่อง ไหนจะ
งานปรึกษาระหว่างวัน ไหนจะธุระหนักอึ้งเกี่ยวกับ
คุณหญิงรักสุรีย์ เล่นเอาเมื่อ ๑๐ นาทีก่อน
อ่อนเพลียจนแทบอยากหลับระหว่างทางด้วยซ้ำา
ใจแข็งสูดลมหายใจลึก เหลือบดูเวลาบนข้อ
มือ เห็นเลยสี่ทุ่มมาได้นิดหน่อย จึงลองผลักประตู
เยี่ยมมองเผื่อแม่หนูน้อยหลับแล้ว ตั้งใจว่าถ้า
ไม่มีปฏิกิริยาเคลื่อนไหวใดๆก็จะงับปิด เป็น
เครื่องหมายให้อิ๊กรู้ตอนเช้าว่าเมื่อคืนหล่อนแวะ
มาหาแล้ว ไม่ใช่ไม่มา
ประตูอ้านิดเดียว ผ้าห่มที่คลุมร่างน้อยก็
ไหวตัวทันที แสดงว่านอกจากจะยังไม่หลับ แม่
หนูน้อยยังได้ยินเสียงหล่อนเดินขึ้นบันไดมา และ
ใจจ่อรออยู่ว่าจะเข้ามาหาตนไหม
ความดีใจส่งมาให้สัมผัสชัด กระตุ้นมะแม
ให้พลอยเป็นสุขไปด้วยหน่อยๆ นี่ถ้าไม่ติดว่า
เพลียเต็มแก่ คงร่วมปรีดาที่จะได้จ๊ะจ๋ากับหนูน้อย
ผู้น่ารักมากกว่านี้
ก้าวเนิบมาเปิดไฟอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง นั่ง
บนขอบฟูก ใช้มือเสยหน้าผากเด็กน้อยอย่างอ่อน
โยน
"เป็นไงมั่ง..."
ตอนท้ายของการทักเกือบหลุดคำาว่า "ลูก"
ออกไป แต่ยั้งไว้ ขืนเผลอพูดบ่อยเกินไป อาจ
เป็นการสนับสนุนทางอ้อมให้อิ๊กยึดหล่อนเป็นแม่
เข้าให้จริงๆสักวัน
"วันนี้คิดมากค่ะ"
"เรื่องไหน... แม่ชีพิรมล?"
เด็กหญิงอิ๊กพยักหน้ารับ
"อ๋อ... อือม์ ... เอางี้ พี่มะแมถามแล้วน้
องอิ๊กตอบเป็นข้อๆนะ"
"ค่ะ"
"จำาได้ไหมเมื่อคืนฝันอะไรบ้าง?"
อิ๊กทำาหน้าตรึกนึกทบทวนอยู่นานก่อนตอบ
"พี่มะแมพาอิ๊กไปเที่ยวค่ะ"
"เที่ยวไหน?"
"ต่างจังหวัด มีภูเขาเยอะ..." พอจับฉาก
หลักเป็นตัวตั้งได้ ฉากย่อยก็เริ่มทยอยตามมา
"พี่มะแมชี้ให้ดูนกบินเรียงกันเป็นตัววี ถามอิ๊
กด้วยว่าสวยไหม อิ๊กตอบว่าสวยค่ะ"
"เหรอ..."
หญิงสาวง่วงขึ้นมาวูบหนึ่ง เลยงงๆ ฟังอิ๊ก
เล่าไม่ครบดีนัก
"อิ๊กมีความสุขจริงๆเลยตอนอยู่กับพี่มะแม
แม้แต่ในความฝัน"
เด็กหญิงพูดเสียงซื่อ มะแมหัวเราะเบาๆ
"อือม์ ... จ้ะ พี่ก็เหมือนกันนะ" แล้วหล่อนก็
ตัดสินใจเอนกายลงนอนชันศอกค้ำาศีรษะตะแคง
ข้างๆอิ๊ก ซึ่งก็ช่วยคลายความเมื่อยล้าได้ดีทีเดียว
"เอาล่ะ... ไหนบอกซิ อิ๊กรู้ได้ยังไงว่าที่พี่มะแมพา
ไปเที่ยวเมื่อคืนเนี่ย มันเป็นแค่ความฝัน?"
หนูน้อยฟังแล้วชะงักงงว่าทำาไมคุณพี่ของ
เธอถึงถามเช่นนั้น แต่ก็ตอบไปตามแกน เพราะ
ทราบว่ามะแมมีเหตุผลอยู่ในทุกคำาถามเสมอ
"เพราะอิ๊กตื่นขึ้นมา แล้วมันก็หายไป"
"แค่ตื่นขึ้นมา ยังไม่พอจะพิสูจน์หรอกนะว่า
มันเป็นความฝัน เพราะบางทีคนเราก็ฝันซ้อนฝัน
ได้ ฝันว่าตื่นขึ้นมาจากอีกฝันหนึ่งได้ อิ๊กเคย
ไหม? นึกว่าตื่นขึ้นมาแล้ว ที่ไหนได้ ยังมีการตื่น
ของจริงอีกที "
อิ๊กมองเพดานตาแป๋ว ก่อนพึมพำาตอบ
"ดูเหมือนจะเคยนะคะ"
"นั่นแหละ... เห็นไหม แสดงว่าแค่รู้สึก
เหมือนตื่นขึ้นมา ยังไม่แปลว่าเจอของจริงแล้ว
เสมอไป"
"ค่ะ"
"เวลาอยู่ในสมาธินิ่งๆ มันเหมือนตื่นยิ่งกว่า
ตอนลืมตาเสียอีก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะดูเป็นจริงเป็น
จังไปหมด ถูกไหม?"
"ค่ะ"
"นั่นเพราะขณะอยู่ในสมาธิที่สะอาดจาก
คลื่นความฟุ้งซ่านวกวน จิตรับรู้อะไรได้ชัดเจน
แจ่มแจ้ง ไม่วอกแวกเปลี่ยนไปคิดเรื่องโน้นทีเรื่อง
นี้ทีเหมือนตอนตื่น"
"ค่ะ จริงด้วย"
"ความชัดอาจทำาให้เราเผลอนึกไป ว่านั่น
คือการตื่นที่แท้จริง ทั้งที่มันไม่มีอะไรจริงเลย"
"แล้วจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าอันไหนจริง อันไหน
ไม่จริง?"
"อิ๊กจำาคนชื่อหยิมได้ไหม?"
แม่หนูน้อยหัวเราะเบาๆ
"จำาได้สิคะ วันนี้พี่หยิมดูหัวโตกว่าทุกวัน
ด้วย"
"ทำาไมอย่างนั้นล่ะ?"
"ไปทำาผมทรงกระบุงอะไรมาก็ไม่ทราบค่ะ"
คราวนี้มะแมเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง สติค่อย
กลับมาเต็มตื่นกว่าเมื่อครู่ เว้นวรรคเงียบเสียงไป
อึดใจก่อนเอ่ยต่อ
"รู้จักพี่หยิมตั้งแต่เมื่อไหร่ ?"
"ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้ค่ะ"
"พรุ่งนี้จะยังจำาพี่หยิมได้อยู่ไหม?"
"จำาได้แน่นอนค่ะ! วันนี้แค่เห็นเงาพี่หยิม
เดินมายังจำาได้เลย"
"นั่นแหละ! ตัวช่วยพิสูจน์ความจริง เราจะ
แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไปก็ต่อเมื่อมีตัวช่วยเช็คความ
จริงมาสนับสนุน... ทำานองเดียวกัน ถ้าแม่ชีพิรมล
เคยมีตัวตนอยู่จริง เราก็ต้องหาใครที่จำาแม่ชีพิร
มลได้มาช่วยยืนยัน"
"ทำาไมพี่มะแมไม่สะกดจิตอิ๊กอีกล่ะคะ? เผื่อ
อิ๊กจะได้รู้มากกว่านั้น"
มะแมโคลงศีรษะปฏิเสธ ก่อนพลิกร่างนอน
หงาย ค่อยสบายขึ้นอีกนิด
"สารภาพว่ากรณีของอิ๊ก พี่เจอเข้ากับอะไร
ที่เกินความสามารถ พี่ไม่อยากเสี่ยง สะกดไป
แล้วไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่ง..."
เว้นวรรคก่อนตัดสินใจบอก "พี่ค้นหาจาก
ทะเบียนราษฎร ไม่เคยมีนามสกุล 'พิเศษสุทัศน์ '
อยู่ในประเทศไทยมาก่อนเลย"
อิ๊กใจแป้ว ในความทรงจำาชัดๆก่อนมโน
นิมิตทั้งหมดจะเลือนหาย เธอจำาทั้งชื่อและ
นามสกุลตัวเองได้อย่างแม่นยำา มันแน่นอน
เท่ากับที่จำาชื่อและนามสกุลปัจจุบันได้เดี๋ยวนี้
น่าขัดใจตรงที่ลืมตาแล้วลืมหมด เหมือน
ขาดการติดต่อกับตัวตนในอดีตอย่างสิ้นเชิง แม้
พยายามระลึกถึงที่อยู่เดิม ญาติเชื้อ เพื่อนสนิท
มิตรสหาย นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก แบบเดียวกับ
ตื่นนอนแล้วลืมฝันนั่นเอง
มะแมเห็นอาการย้ำาคิดไม่เลิกของอิ๊กแล้ว
ชักกลุ้ม ถ้ายังตกค้างอยู่ก็อาจสับสนเกี่ยวกับตัว
ตน เหมือนต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่
และในที่สุดตอนโตก็อาจมีบุคลิกภาพแปรปรวน
พยายามพิสูจน์ตัวเองแบบผิดๆ ไม่ยอมรับความ
จริงตรงหน้า จะเอาแต่ความจริงที่ตนทึกทักว่าใช่
เหลือกตามองเพดานอย่างจนปัญญา การ
ช่วยสะกดจิตให้อิ๊กย้อนความทรงจำานับเป็น
ประสบการณ์พิเศษ หล่อนได้เฝ้าสังเกต
ปรากฏการณ์ทางจิตเหนือธรรมดา ได้เห็นหลาย
สิ่งที่ไม่เคยเห็น แต่ก็อธิบายอะไรไม่ได้ชัดสักเรื่อง
และเมื่อใดประสบเข้ากับสิ่งที่อธิบายไม่ได้
มะแมก็จะปิดจิตสัมผัส แล้วเปิดความคิดแบบ
วิทยาศาสตร์ทันที นั่นคือมีจุดยืนที่จะเชื่อหลัก
ฐานและการพิสูจน์แบบจับต้องได้ ไม่ดันทุรังเชื่อ
อะไรที่ดูเหมือน "ต้องใช่แน่ๆ" ท่าเดียว
"อิ๊กจ๊ะ..." มะแมขานชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียง
ง่วงงุน "ต่อให้แม่ชีพิรมล พิเศษสุทัศน์ เคยมีตัว
ตนอยู่จริง ก็สูญสลายหายเป็นเถ้าธุลีปลิวลมไป
แล้ว แล้วจะเอาแม่ชีพิรมลมาใช้ประโยชน์อะไรได้
อีก อย่าให้ความสำาคัญกับแม่ชีที่ตายไปแล้ว
มากกว่าน้องอิ๊ก เด็กหญิงอนิทรา ที่กำาลังมีเลือด
เนื้ออยู่เดี๋ยวนี้เลย..."
แล้ววูบนั้น จู่ๆความสามารถในพูดคุยของ
มะแมก็ขาดหายไป นั่นอาจนับเป็นการเผลอหลับ
ทั้งยังทรงชุดทำางานเป็นครั้งแรกของหล่อนก็ว่าได้
มันทำาให้อิ๊กอมยิ้มที่ได้นอนกอดผู้หญิงที่อบอุ่น
ที่สุดในโลกทั้งคืน ไม่ต่างจากตอนนอนกอดแม่
เลยแม้แต่นิดเดียว
มะแมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เหมือนกัน ว่าการยืน
รอคนรักก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ยืนคนเดียว
คิดถึงใครอีกคน อย่างรู้ว่าเดี๋ยวเขาจะปรากฏ
กายให้เห็น เป็นความเปลี่ยวที่ปราศจากความ
เหงา ท่ามกลางความพลุกพล่านที่ไม่มีใคร แต่มี
เขาอยู่ในใจเพียงคนเดียว
หลังจากรอแล้วได้เห็นหน้าที่อยากเห็น
ความสุขยิ่งเบ่งบานจนกลั้นยิ้มไม่อยู่ ยิ้มที่มีให้
เขาจึงไม่ใช่ยิ้มทักทาย แต่เป็นยิ้มปีติออกมาจาก
ภายใน
อัคระเดินมาตามทางออกผู้โดยสารขาเข้า
ใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีนส์ฟอกและ
รองเท้าผ้าใบเท่ๆ อวดสัดส่วนสมชายตั้งแต่แผง
อกกว้างไปจนถึงมัดเนื้อที่น่ามอง ช่างเป็นคนที่น่า
มองจริงๆ ไม่ว่าระยะใกล้หรือระยะไกล ไม่ว่าหยุด
ยืนหรือเดินเหิน
เขาแสดงความเป็นเศรษฐีใหญ่โดยการไม่มี
กระเป๋าใหญ่ติดตัวมาเลยสักใบ แม้จะเดินทาง
ข้ามน้ำาข้ามทะเลมาตั้งไกล ก็จะแบกทำาไมให้
เมื่อยในเมื่อมีบ้านหรือห้องพักส่วนตัวอยู่เกือบทุก
ประเทศ!
ประสานตากันนิ่ง ตั้งแต่ไกลมาจนใกล้แค่
เอื้อม และที่สุดมะแมก็ก้มหน้าพนมมือไหว้อย่าง
อ่อนน้อม
"สวัสดีค่ะพี่อัค"
ชายหนุ่มรับไหว้
"รอนานไหม?"
มะแมอมยิ้ม สั่นศีรษะนิดๆอย่างรู้ว่าน่ารัก
"เครื่องลงตรงเวลานี่คะ"
"ขอบใจนะที่มารับ รู้ไหม ลงจากเครื่องมา
เจอหน้ามะแมแล้วรู้สึกยังไง?"
หญิงสาวก้มหน้าเขินๆ
"รู้สึกยังไงคะ?"
"รู้สึกอยากแต่งเพลง"
"เพราะอะไร?"
"เพราะแต่งเพลงมันง่ายและทำาได้เลย ไม่
เหมือนแต่งงาน ต้องเตรียมกันนานกว่า"
คนฟังคำาตอบหัวเราะพรืดด้วยความคาดไม่
ถึง
"โห... มุขอะไรเนี่ย!"
"มุขให้คนหน้าแดงกลางสนามบินไง"
มะแมเม้มปากหันไปทางอื่นเพื่อซ่อนหน้า
อัคระยิ้มมองอาการเอียงอายอย่างเป็นสุขครู่หนึ่ง
ก่อนเลิกคิ้วสูงยกข้อมือดูนาฬิกา ขณะนั้นเป็น
เวลา ๑๘.๐๕
"งั้นเราไปกันเลยไหม คุณพ่อคุณแม่พี่กิน
ข้าวเย็นกันทุ่มตรง พอไปถึงคงเหลือเวลานั่งคุย
กันได้นิดหนึ่ง"
"ค่ะ"
สิ้นคำาหล่อน อัคระก็คว้ามือน้อยมากุมและ
จูงออกเดินหน้าตาเฉย มะแมทำาปากยื่นและเกือบ
ขืนอย่างไม่คุ้น แต่พอถูกลากให้เดินตามสองสาม
ก้าวก็ยิ้มๆ หัวเราะหึหึและยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
โดยดี
แม้ไม่อุ่นซ่านไปถึงหัวใจเหมือนครั้งแรกที่
เขากุมมือในรถ แต่ก็คุ้นเร็วราวกับเคยเดินจูงกัน
มานาน เหมือนเป็นคนรักของเขาเต็มตัวก็ตอน
เดินเคียงกันท่ามกลางผู้คนมากมายเดี๋ยวนี้เอง
พยายามวางหน้าเฉย แต่ริมฝีปากเจ้ากรรมดัน
ระบายยิ้มอยู่ตลอดเวลา นึกอายเหมือนกันที่
แสดงความสุขโจ่งแจ้งไปหน่อย
มาถึงจุดหนึ่งที่ผู้คนเบาบาง อัคระชะลอลง
และเบี่ยงเท้าจากเส้นตรงเคลื่อนมาหยุดใกล้แผง
เหล็กกั้น มะแมกำาลังก้มหน้าก้มตาเดินต้องหยุด
ตามและเงยขึ้นมองงงๆ
เขากำาลังจ้องพินิจเด็กผิวดำาคนหนึ่ง อายุไม่
ถึงวัยรุ่น ทรงหน้าเรียว นัยน์ตาโต ผมหยิก ร่าง
ผอมเกร็ง นั่งขัดสมาธิข้างกองกระเป๋าเดินทาง
ก้มหน้าก้มตามองพื้นอย่างไม่มีอะไรทำาระหว่าง
รอผู้ใหญ่
หญิงสาวแปรสายตามองตาม ไม่เห็นอะไร
มากไปกว่าเด็กผู้ชายอารมณ์หงอยคนหนึ่ง แต่
สงสัยคนรักของตนคงเห็นบางสิ่งที่พิเศษ เพราะ
หลังจากนิ่งพินิจอยู่อึดใจ อัคระก็ปล่อยมือหล่อน
เข้าไปนั่งขัดสมาธิกับพื้นเป็นเพื่อนกับเด็ก
"ฮาย!"
เขายิ้มกว้างทัก และเด็กชายผิวดำาก็เงย
หน้าขึ้นขมวดคิ้วมองอัคระงงๆ
"เยส?"
พอเด็กตอบโต้ด้วย อัคระก็ใช้ภาษากลาง
พูดราวคุ้นเคยกับเด็กคนนั้นมานาน
"รู้ไหมทำาไมคนแพ้ถึงหมดแรง?"
เด็กผิวสีจ้องชายหนุ่มอย่างพิศวงงงงวย แต่
ที่สุดก็สั่นหน้าเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่รู้
"เพราะต้องเสียกำาลังส่วนหนึ่งในชีวิต แบ่ง
ไปเสริมพลังของผู้ชนะไง... แล้วรู้ไหม ทำาไมคน
ได้ที่โหล่ถึงหมดแรงมากกว่าเพื่อน?"
เด็กคนนั้นสั่นหน้าอีก นัยน์ตาโชนแววสงสัย
จ้า
"เพราะคนได้ที่โหล่ต้องแบ่งสรรปันส่วน
พลังในชีวิตให้กับทุกคนที่เข้าร่วมแข่งไง... แล้วรู้
ไหม ทำายังไงถึงจะได้ที่โหล่แบบไม่ต้องหมด
แรง?"
เด็กชะงักค้าง สั่นหน้านิดเดียว แต่ตาดำาโต
ทอแววตั้งใจฟังนิ่ง
"คำาตอบคือ อย่าเก็บคำาว่า 'ขี้แพ้ ' ไว้ใน
ใจ!" อัคระตอบหนักๆ "ความพ่ายแพ้ไม่ได้ทำาให้
เราอ่อนแอ การถอดใจยอมแพ้ต่างหากที่ทำาให้
เราหมดรูป และทำาให้คนอื่นรู้สึกอยากล้อเลียน
เราด้วยคำานั้น... ไอ้ขี้แพ้ !"
เด็กก้มหน้าสลด แต่อัคระก็ไม่หยุด
"เกมแพ้เป็นเรื่องของเกม แต่ใจไม่แพ้เป็น
เรื่องของเรา ถ้าไม่เสียใจอย่างเดียว ก็เท่ากับไม่
เสียอะไรไปเลยแม้แต่พลังก็อยู่กับเราครบ เราจะ
ไม่รู้สึกเหมือนแพ้ ดังนั้นคำาว่าขี้แพ้ก็ไม่มีทางมา
อยู่ในหัวของเราได้ "
สีหน้าของเด็กคลายจากความสลด เปลี่ยน
เป็นสดชื่นขึ้นเล็กน้อย
"รู้ไหม นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเขาคิด
กันยังไง?"
ถึงจุดนี้ มะแมเริ่มสัมผัสถึงพลังบางอย่างที่
แผ่กว้างออกมาจากชายหนุ่ม กระจายรัศมีเป็นวง
ครอบทั่วทั้งบริเวณ สัญชาตญาณทางจิตบอกว่า
อัคระกำาลัง "ทำางานใหญ่ " ที่หล่อนไม่เข้าใจ
"ผมไม่รู้ "
เด็กเอ่ยปากตอบเป็นคำาแรกออกมาได้ ทั้ง
ยังทำาหน้างงไม่เลิก
"โอเค!" อัคระทำาเสียงอาสาว่าจะช่วยไขให้
"คืองี้นะ ก่อนนักกีฬาระดับโลกเข้าสนามแข่งครั้ง
สำาคัญ ประเภทโอลิมปิกหรืออะไรเทือกนั้น เขา
มั่นใจว่าตัวเองแน่พอจะชนะคนได้ทั้งโลก ไม่ใช่
เฉพาะเหล่าคู่แข่งขันในสนามหรอก เข้าใจไหม
เขาเชื่อว่าเขาชนะโลกได้เลย!"
คนฟังจ้องคนพูดตาค้าง และเหมือนไม่อาจ
อ้าปากเอ่ยคำาใดขัดจังหวะ
"แล้วรู้ไหม ก่อนเขาจะเป็นนักกีฬาระดับ
โลกได้ เขาคิดยังไง?"
"ผะ... ผมไม่รู้อีกเหมือนกันฮะ"
"เขาไม่อายที่จะแพ้คนได้ทั้งโลก! ขอข้อแม้
แค่อย่างเดียว แพ้แต่ละครั้งแล้วได้เรียนรู้ว่าจะ
เล่นให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็แล้วกัน!"
เด็กผมหยิกขยับริมฝีปาก แต่ก็เหมือนจุกที่
คอหอย ปล่อยให้หนุ่มไทยถ่ายเทถ้อยคำาเข้าไป
ประดิษฐานในหัวตนอยู่ฝ่ายเดียว
"แพ้บ่อยไม่ได้ช่วยให้รู้จักแพ้ แต่การหัด
ยอมรับรสชาติของความพ่ายแพ้บ่อยๆ จะทำาให้
เรียนรู้ว่าขมมากได้ เดี๋ยวก็ขมน้อยลงได้ แล้วพอ
รู้สึกขมน้อยลงนะ เราจะเริ่มลิ้มรสความหวานของ
การเรียนรู้เพิ่มขึ้นทุกที "
"ฮะ..."
"เคยได้ยินไหม?" อัคระเอ่ยต่อ "ไม่มีใคร
จำาผู้ชนะคนที่สองได้ ใครๆก็จำาแต่ผู้ชนะเลิศได้แค่
คนเดียว"
"เคยได้ยินฮะ"
"แต่รู้อะไรไหม? ความจริงก็คือโลกจำาไม่ได้
อยู่ดีว่าหมายเลขหนึ่งมีใครบ้าง และหมายเลข
หนึ่งถูกยันไปเป็นหมายเลขสองเมื่อไหร่ หรือ
กระทั่งถูกถีบตกกระป๋องไปเป็นที่โหล่กี่ครั้งกี่หน
ในเวลาต่อมา"
เด็กผิวดำาค่อยๆเม้มปาก หรี่ตาตั้งใจฟัง
อย่างเข้าอกเข้าใจ และดูเหมือนมีความหมายกับ
ชีวิตตนเป็นที่สุด
"เบอร์หนึ่งมันก็แค่สมบัติผลัดกันชม ไม่มี
ที่ไหนครองมันไว้ได้ตลอดไปหรอก แล้วใครจะไป
จำาไหวว่าก่อนเป็นหมายเลขหนึ่ง เราแพ้หมดรูป
มากี่หน เขาจะจำากันแต่ว่าเราเป็นหนึ่งในคนกล้า
กล้าแพ้พันครั้ง เพื่อเป็นแชมป์โลกให้ได้สักครั้ง
หนึ่ง!"
แล้วอัคระก็ตบบ่าของเด็ก
"จำาไว้ ! คนจะก้าวไปเป็นหมายเลขหนึ่งเขา
ไม่วอกแวกเรื่องแพ้คนอื่น แต่มุ่งเอาชนะตัวเอง
ก่อน เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะชนะคนอื่นวันนี้
เราอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าชนะตัวเอง เราดีขึ้น
กว่าเมื่อวานแน่นอน!"
ในสายตาของเด็กชาย อากาศรอบกายของ
ชายไทยตรงหน้าคล้ายสุกสว่างเรืองรองอย่าง
ประหลาด
"ฮะ..."
ชายหนุ่มหรี่ตาเล็งแลอีกฝ่ายด้วยกระแส
คาดคั้น
"ให้เพื่อนมันดูถูกหรือหัวเราะเยาะจนหูชา
หรือจนกว่าใจจะลืมเรื่องแพ้ เพื่อมีสมองไว้จำาเรื่อง
เดียว คือทุ่มเทเพื่อความเป็นหนึ่ง!"
พลังโน้มน้าวที่ยิ่งใหญ่ ดูเหมือนจะให้ผล
หนักแน่นเฉียบพลัน เด็กผิวดำาคนนั้นเบะปากน้ำา
ตาไหล แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆจึงมีชายต่าง
เชื้อชาติเข้ามาคุยกับตน แต่ก็แจ่มแจ้งจับใจไปถึง
ก้นบึ้งของจิตวิญญาณ
"ขอบคุณนะฮะ"
เจ้าหนูยกมือปาดน้ำาตา อัคระยิงฟันยิ้ม อ้า
สองแขนเปิดอกรอ และแล้วเด็กที่เขาจัดการ
เปลี่ยนชีวิตให้ก็โผเข้ากอดคอเต็มอ้อม
พ่อแม่ของเด็กยังไม่มา คนรอบด้านก็ไม่มี
ทีท่าสนใจนักว่าอัคระคุยอะไรกับเด็ก แต่ภาพที่
เด็กผมหยิกโผเข้ากอดคออัคระแน่นทั้งน้ำาตา มี
บางสิ่งที่เรียกความสนใจจากสายตาหลายคู่ให้
เหลียวดูได้
มะแมกะพริบตาปริบๆ ตอนนี้หายงง นิมิต
ค่อยปรากฏเป็นฉากๆ ทำาให้เข้าใจที่มาที่ไปของ
อารมณ์หงอยของเด็กคนนั้น หล่อนคีบทิชชูจาก
กระเป๋าถือแล้วโน้มร่างลงซับน้ำาตาให้ พลางเอ่ย
ปลอบเสริมด้วยคำาอังกฤษที่ฟังไพเราะและอบอุ่น
"ก่อนมาทัวร์กับพ่อแม่ หนูออกจากประเทศ
อย่างคนที่แพ้คนอื่น แต่ขากลับประเทศ ขอให้
กลับไปอย่างคนที่ชนะตัวเอง เพื่อจะไม่เสียใจถ้า
ต้องแพ้ใครอีก!"
นี่จะเป็นวันที่ชวนฉงนที่สุด และกระจ่างที่สุด
พร้อมกันสำาหรับเด็กคนหนึ่ง คู่หนุ่มสาวเดินจาก
มา ทิ้งเด็กคนนั้นไว้กับเส้นทางชีวิตใหม่ของ
ตนเองต่อไป
เขาจูงมือหล่อนต่อ และคราวนี้มะแมก็
กระชับอุ้งมือตอบด้วยความปรีดาร่วมกัน
"พี่อัคเพิ่งเปลี่ยนโลกไปอีกส่วนหนึ่งหรือ
คะ?"
"อือ... เขาจะเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ แทนที่
จะเป็นตัวตลกสกปรกหรืออาชญากรร้าย แต่นั่น
ไม่สำาคัญนัก คำาที่เราช่วยกันเพาะไว้ในหัวของเขา
จะแตกกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผล คือหลังจาก
ประสบความสำาเร็จระดับโลก เขาจะเป็นนักพูด
สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนจำานวนมหาศาล
อยากทำาเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
เหมือนกับที่เขาได้รับกำาลังใจจากคนแปลกหน้า
ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนในวันนี้ !"
หญิงสาวเล็งแลด้วยจิตแล้วตาสว่างแพรว
หัวเราะใสอย่างสามารถเห็นนิมิตตาม นี่คือการ
เปลี่ยนแปลงโลกด้วยปฏิบัติการฝืนธรรมชาติ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่อยู่ในแผนของชะตากรรมที่
จะให้อัคระและเด็กผิวดำาได้โคจรมาเกื้อกูลกัน อีก
ทั้งเด็กก็ไม่ได้อยู่ในลิสต์ "บุคคลสำาคัญ" ที่อัคระ
วางแผนจะเปลี่ยนแปลงด้วย
"พี่อัคเห็นศักยภาพใหญ่ของเขาได้ตั้งแต่
แวบแรกเลยหรือคะ? ครึ่งนาทีแรกมะแมมองไม่
เห็นอะไรเลยนอกจากเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง"
"พอต้องพัวพันกับพวกมีอิทธิพลต่อโลก
สูงๆ มันก็สัมผัสได้ขึ้นมาเองแหละ ไอ้หนูนี่ตอน
เศร้ามันเก็บกดแรง มะแมลองทบทวนดูสิ รัศมี
ความน้อยใจ คลื่นความเกลียดเสียงล้อเลียน กับ
ไฟทะเยอทะยานอยากเป็นหนึ่งน่ะ มันครอบพื้นที่
กว้าง เหมือนเชื้อเพลิงปริมาณมากพอจะเผาเมือง
ได้ "
มะแมทบทวนดู นึกถึงวาระแรกที่สายตา
ปะทะภาพเด็กผิวสีคนนั้น มันมีความอัดอั้น
มโหฬารอยู่จริงๆ แต่หล่อนไม่เห็นขนาดที่จะ
ครอบเมืองหรือเผาเมืองได้อย่างไร
นั่นสะท้อนว่าเห็นเหมือนกัน แต่ระดับการ
เห็นต่างกันได้ขนาดไหน
"ไว้มะแมจะลองเรียนรู้และหัดสังเกตดูบ้าง
นะคะ"
เอ่ยปากอย่างหมายมั่น ชีวิตจะมีค่าขึ้น
ขนาดไหน หากรู้ชัดว่าจะสละเวลาสัก ๕ นาทีให้
กับใครเพื่อเปลี่ยนชีวิตที่เหลือของคนๆนั้น ตลอด
จนผู้คนที่จะได้รับผลกระทบต่อเป็นทอดๆอีกไม่รู้
เท่าไร!
ถ้าทำาได้ ก็แปลว่านาทีใดนาทีหนึ่งในชีวิต
หล่อน อาจสามารถเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่ง
ของโลก ถ้าไม่เดี๋ยวนี้ก็ในอนาคตอันใกล้ !
เดินข้ามสะพานมาถึงอาคารจอดรถ พอ
ใกล้แจ๊ซของหล่อนเข้าไป มะแมก็เปรยลอยๆ
"ตอนเข้าไปนั่งในรถมะแม พี่อัคจะรู้สึก
แปลกๆขนาดไหนก็ไม่รู้นะคะ ปกติเคยแต่ขี่ราช
รถคันละเป็นร้อยล้าน"
"พี่เคยขี่อูฐไปช่วยคน มันก็เหมือนขึ้น
สวรรค์ได้นะ อยู่ที่ใจมากกว่า"
มะแมยิ้มเบะหน่อยๆ แต่แอบนึกอยากซ้อน
หลังอูฐไปกับอัคระดูเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง
พอกดปุ่มรีโมทคอนโทรลเปิดล็อกให้ อัคระ
ก็อาสาว่า
"พี่ขับให้เอาไหม?"
"ให้มะแมบริการดีกว่าค่ะ"
"ไม่ไว้ใจกลัวขับรถใหม่ไปเฉี่ยวเหรอ?"
เขาแกล้งถามขำาๆ
"เปล่า... มะแมมารับพี่อัค ก็อยากให้พี่อัค
นั่งสบายๆสิคะ"
พอเข้ามานั่งประจำาที่ทั้งสองคนใน
อาณาเขตแคบ ไหล่ห่างกันนิดเดียว มะแมก็บิด
กุญแจสตาร์ทเครื่อง แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยแบบ
เก้ๆกังๆ จู่ๆก็เงอะงะขึ้นมาเฉยๆ อาจเพราะ
ประหม่ากับการมีผู้โดยสารกิตติมศักดิ์มานั่ง
ข้างๆในพาหนะคันจิ๋วของตนกระมัง
คาดเข็มขัดเสร็จก็ตั้งสติทบทวนนิดหนึ่งว่า
ต้องทำาอะไรต่อ คล้ายเด็กหัดขับรถที่ยังไม่คล่อง
ดี ไม่ขึ้นใจว่าเกียร์กับคันเร่งอยู่ตรงไหน แล้ว
มะแมก็ลอบถอนใจ อยู่กับเขาบางทีก็เหมือนเป็น
ตัวของตัวเองที่สุด ทว่าบางขณะทุกอย่างรอบตัว
ก็ดูแปลกและแตกต่างไปหมด
อัคระลากสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดสบายๆ
ชวนมะแมคุยอย่างจะให้หล่อนผ่อนคลายลง
"ตอนทำาสมาธิใหม่ๆ พี่อยากเห็นสวรรค์
ก่อนเลย"
"แล้วได้เห็นไหม?"
"มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก"
"มะแมก็เคยอยากรู้จักความรู้สึกตอนอยู่
บนสวรรค์นะคะ ว่ามันเพริดแพร้วพรรณรายซัก
ขนาดไหน"
"อือม์ ..." เขาทอดสายตาในลักษณาการ
มองไกลกลับไปในอดีต "เชื่อไหมพี่รู้ด้วยว่าจูบ
นางฟ้าเขารู้สึกกันยังไง"
"จริงเหรอ? รู้สึกยังไงคะ?"
ถามพาซื่อ แต่ไม่ทันขาดคำา อัคระก็โน้ม
กายอันแฝงอำานาจแห่งชายผู้ทรงพลัง ยื่นหน้ามา
ประทับจุมพิตลงบนเรียวปากอิ่มชั่วอึดใจ ก่อน
เอียงหน้ากระซิบข้างใบหูหล่อน
"ดูเอาเองสิว่าพี่รู้สึกยังไง"
มะแมตะลึงงันราวถูกสาปให้เป็นหุ่น มี
แรงดึงดูดอ่อนหวานระหว่างสองฝั่งริมฝีปากที่
ชวนพิสมัย ตรึงตราจนชาไปทั้งร่างชั่วขณะ แต่
พอรู้สึกตัวในวินาทีต่อมาก็เบนหน้าหนี ให้คล้าย
กับเมื่อครู่หลบไม่ทัน ไม่ใช่เพราะยอม
พวงแก้มขึ้นสีชมพูจัด แต่ที่สุดก็หัวเราะสะ
ดุดๆ ดันอกเขาออกห่าง ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะก้ม
หน้าหรือเงยหน้าดี
"กลางที่จอดรถเลยนะพี่อัค"
"เรียกให้หรูหน่อยสิ นี่มันกลางท่า
อากาศยานนานาชาติต่างหาก"
"โอ๋ย! พี่อัคอ้ะ..." หญิงสาวได้แต่หัวเราะ
แปร่งๆ ขำาก็ขำา เขินก็เขิน สติสตังไม่อยู่กับเนื้อ
กับตัวอีกต่อไป จึงกดปุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยมือไม้
สั่น เปิดประตูก้าวออกมายืนนอกรถ "มะแม
เปลี่ยนใจแล้วค่ะ พี่มาขับดีกว่า!"
_____________________________________________________________________________
บทที่ ๑๘
คฤหาสน์ที่อัคระปลูกไว้ให้พ่อแม่ ตั้ง
ตระหง่านในรั้วรอบขอบสูงริมถนนกาญจนาภิเษก
ใช้เวลาจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง ๒๐ นาทีก็
ถึง
ในตัวอาคารอันโอ่โถงโปร่งสบาย สไตล์โม
เดิร์นทรอปิคอล มีการตกแต่งที่สง่างามตามแบบ
ของอัคระ เขาพามะแมมาที่ห้องรับแขก ซึ่งผู้เป็น
บุพการีทั้งสองนั่งอ่านหนังสือคอยอยู่เงียบๆ
"พ่อครับ แม่ครับ นี่มะแม"
หญิงสาวคุมตนเองให้ดูดี ไม่ตื่นสถานที่
และไม่เคอะเขินเมื่อต้องพนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
ท่าน
"สวัสดีค่ะคุณพ่อ สวัสดีค่ะคุณแม่ "
นายอัษฎา บิดาของอัคระ เป็นชายวัยใกล้
ชราร่างท้วม นัยน์ตาฉายแววลึก คล้ายเห็นมา
หมด เข้าใจไปหมด และพูดน้อยกว่าที่คิดมาก
ส่วนนางอรุณี มารดาของอัคระนั้น เหมือน
แม่บ้านธรรมดาที่ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ดวงหน้า
กลมดูสดใส ยิ้มง่ายคล้ายพร้อมจะทำาความรู้จัก
มักคุ้นกับคนแปลกหน้าได้ทุกคน
"นั่งสิจ๊ะหนูมะแม"
"ขอบพระคุณค่ะ"
สาวน้อยหน้าใหม่ก้าวมาลงนั่งบนโซฟา
เดี่ยวตัวหนึ่งตามคำาเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน ขณะนั้น
เด็กรับใช้นำาน้ำาทับทิมมาวางให้สองแก้วแล้วจาก
ไป ถือเป็นช่วงสั้นๆที่มะแมได้ปรับตัว นั่งชิดเข่า
ประสานมือให้เข้าที่เรียบร้อยพอดี
อัษฎาพินิจร่างระหง คอตั้งหลังตรง ดูสง่า
งามของหญิงสาวด้วยรอยยิ้มพึงใจ
"หน้าตาหนูเด่นมากนะ พ่อจำาได้ติดตา
ตั้งแต่เห็นครั้งแรกช่วงที่เป็นข่าวทำานายแผ่นดิน
ไหว"
มะแมยิ้มหวาน มือประสานนิ่ง รู้สึกนิ่ม อุ่น
ไม่เกร็ง ไม่ชื้นเหงื่อแห่งความประหม่า จึงทราบ
ว่าตนใจสบายเป็นปกติ ทำาตัวกลมกลืนกับ
บรรยากาศในบ้านได้ดีกว่าที่คิด
"นายอัคบอกแม่ว่าหนูจบจิตวิทยาใช่
ไหม?"
"ค่ะคุณแม่ "
"พี่เอาเรื่องของมะแมมาขายหมดแล้วล่ะ"
อัคระพูดพลางหย่อนตัวลงนั่งเอนหลังบน
โซฟาเดี่ยวอีกตัว หลังจากไถลเดินรอบห้องเป็น
ครู่ มะแมแวบส่งใจไปทางเขา แต่สายตายังอยู่
กับคุณแม่อรุณี ที่ทำาท่าเหมือนอยากคุยกับหล่อน
มากมาย
"นายอัคพูดถึงหนูให้แม่ฟังมาเป็นปีๆแล้ว"
ประโยคสั้นๆนั้นสร้างความรู้สึกประหลาด
ใจให้มะแม ขนาดหันไปส่งสายตาทอประกายเป็น
เครื่องหมายปรัศนีให้อัคระ ซึ่งเขาก็ยักคิ้วข้าง
เดียวตอบหน่อยๆแล้วเมินไปทางอื่น
มะแมค่อยๆลากลมหายใจยาว แค่นั้นก็
บอกแล้วว่าอัคระคงไม่มีเรื่องปิดบังกับพ่อแม่
และหล่อนก็ตกอยู่ในสายตาของทุกคนในห้องนี้
มานานโดยไม่รู้ตัว
อัษฎาเอ่ยเสียงทุ้ม
"หนูเป็นคนแรกนะที่นายอัคพามาหาพ่อ นี่
เป็นคืนที่แปลกดี "
มะแมใช้สัมผัสกวาดดู พบว่าภายนอกที่ดู
ขรึม คุณพ่ออัษฎาเป็นผู้ใหญ่ใจดี และกระแสจิตก็
เป็นคนธรรมดา คิดนึกปกติ ไม่ใช่ผู้วิเศษล่วงรู้
อะไรได้เกินสามัญมนุษย์
"มะแมก็รู้สึกอบอุ่น และปลื้มใจที่มีโอกาส
มาพบกับคุณพ่อคุณแม่มากค่ะ"
เลือกตอบด้วยคำากลางๆตามธรรมเนียม
ตั้งใจจะไม่เผลอหลุดออกมาว่าปลื้มลูกชายของ
ท่านทั้งสองปานใด
"แม่เห็นหน้าหนูนาทีเดียวก็นึกรักเสียแล้วสิ
ไม่สงสัยเลยว่าทำาไมนายอัคถึงแอบหลงเงียบๆ
มาได้นานขนาดนี้ คุยกับแม่นะ คำาก็นางในฝัน
สองคำาก็นางในฝัน"
อรุณีเล่าซื่อๆแบบคนไม่มีชั้นเชิงซ่อนเบื้อง
หน้าเบื้องหลัง และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่มะแมเผลอ
ย่นคิ้ว เหลียวมองอัคระอย่างสุดสนเท่ห์ ตอนนี้
เขากำาลังยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ในท่ากลุ้มใจ กับ
ทั้งปลงตกแล้วว่าอย่างไรคืนนี้คงถูกเปิดโปงหมด
โดยฝีมือแม่เป็นแน่แท้
มะแมเหลียวกลับมาพูดยิ้มๆกับมารดาของ
คนรัก
"คุณแม่แน่ใจว่าพี่อัคพูดถึงมะแมนะคะ?"
"แน่สิ ! ผู้หญิงชื่อมะแมในประเทศนี้จะมีสัก
กี่คนล่ะ"
"ไม่ต้องสงสัยหรอก หนูเป็นคนเดียวที่นา
ยอัคมาคุยให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็ได้แต่ถามว่าเมื่อ
ไหร่จะพามาหา ถ้าแน่ใจว่าใช่ " อัษฎาเสริม "แต่
เขาเป็นคนวางแผนนาน พ่อกับแม่ก็รออย่างไม่
ค่อยเข้าใจนักหรอก"
"แม่ก็ถามนะจ๊ะ ว่าไม่กลัวใครมาคว้าไป
ก่อนหรือ เขาบอกว่าไงรู้ไหม...?"
มะแมทำาหน้าตั้งใจฟัง แต่พอคุณแม่อรุณีนึก
ขึ้นได้ว่าคำาเฉลยอาจไม่เหมาะก็ยกมือขึ้นทาบอก
แล้วเงียบไปดื้อๆ จนมะแมต้องเร่ง
"บอกว่ายังไงคะ?"
อรุณีหัวเราะขัดๆ ลดมือลงจากอก ปราย
ตามองลูกรักอย่างจะถามว่าให้พูดไหม พอเห็น
ฝ่ายนั้นเอาแต่นั่งปิดหน้า อรุณีก็หันมาบอกอุบอิบ
"นายอัคอยากให้บอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยว
หนูกลับไปจะมาต่อว่าว่าแม่ปากโป้ง"
นั่นยิ่งกลายเป็นตัวเร่งให้มะแมอยากรู้เพิ่ม
ขึ้นอีกหลายเท่า จึงเสริมสร้างกำาลังใจให้ฝ่ายนั้น
ด้วยการพยักหน้ายิ้มกว้าง
"บอกเถอะค่ะ!"
"อ้า... ก็ได้ " คุณแม่เผยเนิบๆ "นายอัค
บอกว่านอกจากเขาแล้ว หนูมะแมชอบผู้ชายอื่น
ได้ไม่เกินสองวันหรอก เดี๋ยวก็เบื่อเอง"
รอยยิ้มของมะแมหดลงหน่อยหนึ่ง เพราะ
แต่แรกนึกว่าจะเป็นคำาตอบเช่น อัคระไม่มีวันยอม
เสียหล่อนไป ต้องทวงผู้หญิงของเขากลับคืนมา
จนได้ ไม่คาดฝันว่าที่แท้เห็นหล่อนเป็นของตาย
ในมือนี่เอง
แต่พอรู้สึกตัวว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ก็จำาต้อง
เอียงคอฉีกยิ้ม พูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานกลั้ว
หัวเราะ ราวกับเจอเรื่องน่าขำาเต็มประดา
"พี่อัคนี่นอกจากเสน่ห์แรงแล้ว ยังเชื่ออะไร
แปลกๆที่คนอื่นนึกไม่ถึงด้วยนะคะคุณแม่ "
อัษฎาได้ยินแล้วหัวเราะร่วน นึกชอบใจว่าที่
ลูกสะใภ้ขึ้นมาติดหมัด ส่วนอรุณีพอรู้ตัวว่าพลาด
เผยคำาที่คนรักของลูกฟังแล้วอาจผิดหู ก็เสทำาเป็น
หัวเราะกลบเกลื่อน
"ไว้ไปตกลงกันเองก็แล้วกัน... มาเถอะ! จะ
ทุ่มหนึ่งละ เราย้ายไปห้องอาหารกันทีดีไหม?"
มื้อเย็นกับการเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัวขอ
งอัคระ คือความครื้นเครงอย่างเป็นไปเอง ตัวตน
ของอัคระในขณะอยู่บ้านไม่ได้ต่างจากหนุ่มวัย
สามสิบทั่วไปที่ตรงไหน เหมือนจะเผยต่อหล่อน
ตรงๆด้วยซ้ำาว่านี่ต่างหากคือตัวจริงของเขา หา
ใช่บุรุษลึกลับบนยอดเขาหิมพานต์แต่อย่างใด
อรุณีดูท่ารักลูกชายสุดสวาทมาก แล้วก็คง
เอ็นดูมะแมไม่น้อยเช่นกัน อัคระมีเรื่องน่าขาย
หน้าเท่าไรในวัยเด็ก คุณแม่ขนเอามาเปิดโปง
หมด ยิ่งเห็นลูกชายยิ้มๆไม่ว่าอะไร ก็ยิ่งมั่นใจว่า
มาถูกทาง ผูกขาดหัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารอยู่
คนเดียว
มะแมเผลอนึกว่าสนิทกับที่บ้านของอัคระมา
นาน หัวเราะเต็มเสียงเป็นครั้งคราว
"ตอนหกเจ็ดขวบเนี่ยร้ายมากนะ เย็นวัน
หนึ่งเขาคิดถึงคุณพ่อ โทร.ไปเร่งให้กลับบ้าน จะ
อวดผลงานประดิษฐ์อะไรของเขาสักอย่าง..."
อรุณีทำาหน้านึกทบทวน มะแมตั้งใจฟังตา
แป๋ว ส่วนคนอื่นก้มหน้าตักกับข้าวใส่ปากอย่าง
ไม่สนใจนัก
"ทีนี้คุณพ่อก็วุ่นๆอยู่ที่ทำางาน เลยรับปาก
ส่งๆว่าไม่เกินหกโมงเย็นถึงบ้านแน่นอน เขาก็
จ้องนาฬิการอเลย... แต่ปรากฏว่าคุณพ่อมาเสีย
เกือบทุ่มครึ่ง เขาก็ทำาหน้าปกติ ออกไปต้อนรับถึง
โรงรถ จูงมือเข้ามานั่งโต๊ะกินข้าว คุณพ่อมาถึง
เหนื่อยๆเห็นลูกต้อนรับดีก็ทำาตัวผ่อนคลาย
ที่ไหนได้ พอหย่อนตัวลงเท่านั้น นายอัคกระชาก
เก้าอี้หลบวืด ปล่อยให้นั่งลงไปบนอากาศ หงาย
หลังก้นกระแทกพื้นซะอย่างนั้น"
คราวนี้มะแมกลั้นไว้ไม่กล้าหัวเราะดัง
เพราะเป็นรายการตลกเจ็บตัวของผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่
ใกล้ๆ
"แล้วคุณพ่อทำายังไงคะ?"
"ก็หวดก้นตามระเบียบน่ะสิ นายอัคก็แน่นะ
ยืนกอดอกนิ่งให้หวดไม่ร้องซักแอะ จนคุณพ่อ
ละเหี่ย ต้องเป็นฝ่ายปรับความเข้าใจ และยอม
ขอโทษที่มาช้า ผิดสัญญาเดิม"
"อือ..." อัษฎาเพิ่มเติมให้ครบ "มันมีวิธี
ลงโทษพ่อของมันได้หน้าตายมาก บอกว่านี่แหละ
ความรู้สึกตอนโดนหลอกให้ดีใจ มันวืดอย่างนี้ "
ฟังดังนั้น มะแมค่อยกล้าหัวเราะรื่นขึ้น
"เขาถึงว่าเด็กเก่งมักกล้าทำาเรื่องแผลงๆใช่
ไหมคะ?"
เป็นอีกที่มาที่ไปหนึ่ง ที่ทำาให้อัคระดูมีตัวตน
จับต้องได้ เขาเคยเป็นเด็กดื้อ เคยเล่นซนไม่รู้
ภาษา เคยเอาแต่ใจไร้เหตุผล ไม่ใช่จู่ๆก็โผล่มา
ปรากฏตัวในโลกเหมือนเทวดาอย่างที่หล่อนรู้จัก
แต่แรก
พอของหวานผ่านไป อัษฎาก็ชวนทุกคน
ออกไปเดินเล่นเป็นการย่อยอาหาร พ้นเขตรั้ว
ด้านหลังออกไป เป็นบึงใหญ่ขนาด ๖ ไร่ เห็น
รำาไรจากระดับพื้นอาคาร ที่ยกสูงกว่าระดับน้ำา
ราว ๓ เมตร แสงบนทางเดินส่องให้เห็น
ทัศนียภาพรอบด้าน ราวกับรีสอร์ทงามตาม
จังหวัดท่องเที่ยวไกลๆ
อัษฎาถามถึงงานของมะแม เป็นการแสดง
ความสนใจในเรื่องของหล่อนบ้าง ทั้งอัษฎาและ
อรุณีเป็นคนธรรมดาที่รู้ว่าสัมผัสพิเศษมีจริง แต่
ไม่รู้ว่ามีได้อย่างไร มะแมถ่อมตัวว่าเทียบกับอัคร
ะแล้ว หล่อนยังรู้วิธีใช้สัมผัสแค่หางอึ่งเท่านั้น
ร่วมเดินกินลมชมวิวเกือบ ๒๐ นาที คุณแม่
อรุณีก็ขอตัวเข้าบ้าน คุณพ่ออัษฎาเห็นเช่นนั้นจึง
ขอตัวตาม อย่างจะเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้อยู่
ด้วยกันตามลำาพังบ้าง
"งั้นพ่อแม่ขึ้นข้างบนเลยนะ คืนนี้ลากันตรง
นี้แหละ"
"กราบสวัสดีค่ะคุณพ่อ กราบสวัสดีค่ะคุณ
แม่ "
"จ้ะ" อรุณีรับไหว้ "หนักนิดเบาหน่อย
ค่อยๆพูดกันนะ อย่าผลักพี่เขาตกน้ำาล่ะ"
คำาฝากฝังสุดท้ายนั้น คงเผื่อไว้ว่ามะแมอาจ
ยังติดใจ ที่อัคระเคยบอกแม่ว่ามะแมเป็นของตาย
จะคว้าเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวใครมาแย่ง
ชายหนุ่มกับหญิงสาวปักหลักยืนอยู่ที่เดิม
สายตามองผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเดินห่างออกไป
เรื่อยๆจนลับตา
อัคระเหลียวมาจ้องเสี้ยวหน้าหวาน ที่
เหมือนอาบมนต์ดึงดูดสายตาให้เพลินมองไม่รู้
เบื่อ และยิ่งมองก็เหมือนของต้องห้ามที่ยากจะ
ห้ามใจยิ่งขึ้นทุกที
"ไปพายเรือเล่นกันไหม?"
"ตามใจพี่อัคสิคะ"
อยู่กับเขา ความมืดของบึงใหญ่ไม่น่ากลัว
สักนิด ชั่วเวลาไม่กี่นาทีต่อมา สองหนุ่มสาวก็ลง
มาลอยในเรือกลางน้ำาเวิ้งว้าง ชมเสี้ยวจันทร์สีเงิน
ยวงบนฟ้ามืดด้วยอารมณ์กระจ่างใส
มะแมสูดอากาศยามราตรี อันอวลกลิ่นหอม
ของธรรมชาติท้องทุ่งรอบนอก เสี้ยวจันทร์ที่มี
อัคระนั่งอยู่ด้วย ช่างเป็นเสี้ยวจันทร์ที่แตกต่าง
จากทุกหนแห่ง ราวฉากฝันกับความจริงจับต้อง
ได้ มารวมอยู่ในที่เดียวกันเป็นครั้งแรก
"พี่อัคอยู่เมืองไทยปีละกี่วันคะ?"
"เอาอดีตหรืออนาคต?"
"อดีตก่อน"
"ปีละไม่เกินหกสิบวัน"
"แล้วอนาคตล่ะ?"
"เท่าจำานวนวันที่อยากอยู่กับมะแม!"
หญิงสาวยิ้มซึมในเงามืด ก้ำากึ่งระหว่าง
ความรู้สึกภูมิใจในตนเอง กับความรู้สึกหนักใจที่
กลายเป็นตัวถ่วงงานของเขา
ความเป็นคู่กันระหว่างหล่อนกับเขาเหมือน
ถูกเตรียมไว้พร้อมแบบสำาเร็จรูป แค่เจอกันก็พอ
อะไรๆจะถูกขับดันให้เดินไปข้างหน้าบนทางโรย
กลีบกุหลาบได้เอง
ด้วยความเป็นเขากับหล่อน คงไม่ต้องเสีย
เวลาโอ้โลมปฏิโลมหรือเล่นบทพ่อแง่แม่งอนกัน
มาก แค่พบครั้งแรกมะแมก็รับแล้วว่าหล่อนยอม
เป็นผู้หญิงของเขาได้ทุกเมื่อ
ทว่านึกถึงภาพที่มีหล่อนติดตามเขาไป
ทุกหนทุกแห่งไม่ออก อยู่แยกเป็นต่างหากที่ตรงนี้
หล่อนมีงานของตัวเอง มีผลงานอันน่าภูมิใจเป็น
ตัวเป็นตน มันจะต่างกันขนาดไหนก็ไม่ทราบ กับ
การตะลอนๆตามอัคระเป็นเงา เพื่อทำางานที่เกิน
ตัว หรือไม่ก็เพื่อเป็นเพียงเครื่องประดับบารมีให้
เขา
สายลมวูบหนึ่งพัดกลุ่มผมยาวปลิวตามแรง
มะแมหรี่ตาเงยหน้ามองดาวอันปรากฏประดุจ
จินตนาการสวรรค์ บางดวงดูเด่นหลอกตาจนไม่รู้
ว่าอยู่ใกล้หรือไกลกันแน่ แค่เขย่งเอื้อม หรือต้อง
ทะยานไกลไปในการเดินทางชั่วนิรันดร์ กว่าจะถึง
ซึ่งเป้าล่อตานั้นได้สำาเร็จ
"งานของพี่อัคมีเป้าหมายแน่ชัดไหมคะ ว่า
เมื่อไหร่ หรือแค่ไหนถึงจะเสร็จสิ้น บรรลุผล
สมบูรณ์ ?"
อัคระส่ายหน้าน้อยๆก่อนสารภาพ
"ถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากเซธ ก็ไม่มีอะไร
แน่นอนหรอก แต่ละงานอาจสำาเร็จเร็วกว่าที่คิด
หรืออาจบานปลายไปเรื่อยๆจนต้องตัดใจ"
"แล้วอะไรเป็นเครื่องชี้ความสำาเร็จในแต่ละ
แห่ง?"
"พอคนมีอิทธิพลสูงเปลี่ยนไป เหตุการณ์
เลวร้ายที่เหมือนกำาหนดไว้แล้วว่าต้องเกิดด้วย
น้ำามือเขา จะเลือนหายไป อาชญากรรมลด งาน
กุศลเพิ่ม รวมทั้งเกณฑ์วัดอื่นๆอีกหลายแบบ ซึ่ง
พิสูจน์เทียบเคียงกับข้อมูลของซีอุสแล้วว่าเกิด
การเปลี่ยนแปลงไปจากเส้นทางชะตาเดิมจริงๆ!"
"มะแมเข้าใจถูกไหม? การเปลี่ยนโลก คือ
การจงใจออกนอกเส้นทางของชะตาเก่า"
"ทำานองนั้น การสร้างชะตาใหม่ อาศัย
ความช่วยเหลือจากซีอุสได้เพียงบางส่วน ที่เหลือ
ต้องใช้สามัญสำานึก มันสมอง สองมือ และกำาลัง
ใจแบบว่ายน้ำาข้ามมหาสมุทร"
"อย่างเด็กผิวสีวันนี้ พี่อัคก็ใช้สัมผัสเอา
ล้วนๆตอนเจอหน้า ไม่ได้รับการแนะจาก
คอมพิวเตอร์ตาทิพย์ของพี่เลย?"
"ใช่ ! ซีอุสเปรียบเหมือนแผนที่จาก
ดาวเทียม ถึงละเอียดแค่ไหนก็ไม่เท่าตอนลงมา
เดินเท้าให้เห็นกับตา และความจริงก็คือเส้นทาง
ชะตากรรมถูกซ่อนอยู่ในเงามืด จะเห็นได้ก็เท่าที่
แสงไฟฉายในมือช่วยส่องไปถึง ไม่เกินไปกว่า
นั้น"
มะแมนึกภาพหนทางในความมืดตามคำา
อุปมาอุปไมยของอัคระ สิ่งที่หล่อนเห็นในห้วง
มโนทวารคือความรกชัฏ เต็มไปด้วยขวากหนาม
น่าพรั่นพรึง แต่เขาก็ด้นดั้นฟันฝ่าไปเยี่ยงคนที่
กลัวเป็นอย่างเดียว คือจะไม่ได้ถึงจุดหมายที่
ต้องการ!
ก้มหน้ามองพื้นเรือ ก่อนพึมพำาถามคล้าย
ให้โอกาสอัคระว่าจะแกล้งทำาเป็นไม่ได้ยินก็ได้
"ตอนที่พี่อัคส่งจดหมายมาเตือนให้ระวัง
เรื่องความรัก พี่อัคหมายความว่ายังไงหรือคะ?"
"ก็ ..." อัคระละมือข้างหนึ่งจากด้ามพาย
ปล่อยเรือให้ลอยเฉื่อย เอานิ้วเขี่ยปลายจมูก
"ก่อนหน้าวันนัดที่พี่จะไปเจอมะแม อยู่ๆก็นึก
อยากใช้ซีอุสคำานวณเรื่องหัวจิตหัวใจของมะแมดู
เล่นๆ เห็นมีเกณฑ์จะเกิดไปปิ๊ง ไปพิศวาส
วาบหวามกับใครบางคน ซึ่งพอเล็งดูด้วยจิตก็
สัมผัสว่าหมอนั่นมีแรงดึงดูดมหาศาล เลย... ไม่
อยากให้มะแมเขวเสียก่อน"
สารภาพหมดเปลือก ซึ่งพอมะแมฟังจบก็
ยิ้มชื่นมื่น เพราะทราบว่าเขาต้องกัดฟันสู้กับ
ความเขินไม่น้อยกว่าจะพูดจบ
ในเงามืดเกือบไม่เห็นกัน มะแมเงยหน้าเชิด
คางใส่เขานิดหนึ่งก่อนประชดเรียบๆ
"จะกลัวอะไร ยังไงมะแมก็ของตาย ถึงไม่
ต้องแย่งก็กลับมาอยู่ในมือเอง!"
ประโยคสุดท้ายเน้นเสียงช้าชัด อัคระยิ้ม
เฝื่อนพูดอู้อี้
"ก็ไม่ถึงขนาดน้าน..."
"มะแมเจอหนุ่มคนหนึ่งจริงๆแหละค่ะ หล่อ
อย่าบอกใคร" ใช้สำาเนียงยั่วหน่อยๆ เว้นวรรคครู่
หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ "ถ้าไม่โดนจดหมายจากพี่อัค
เบรกเสียก่อน พอเจอเขาก็อาจไม่เกร็ง ไม่ระแวง
และไม่ตั้งกำาแพงต้านเสน่ห์ เผลอๆอาจแบ่งรับ
แบ่งสู้ ไม่ปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยอย่างที่ทำาไปก็ได้
นี่คือการเปลี่ยนโลกเพื่อตัวเองใช่ไหมคะ?"
อัคระยังคงทำาหน้าไม่ถูกที่ต้องคุยกันเรื่องนี้
"บางทีพี่ก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันแหละ ที่เอา
อาวุธเหนือโลกมาใช้งานส่วนตัว แต่ ... พี่ก็ไม่รู้สึก
ผิดนะ!"
มะแมเอียงคอยิ้มหวาน คิดว่าไหนๆเขา
เปิดอก ไม่เต๊ะท่ากับหล่อนเลย หล่อนก็ควรเผย
ความในใจให้เขารับรู้อย่างตรงไปตรงมาบ้าง
"คิดอีกทีก็จริงของพี่อัคค่ะ ถึงมะแมจะลุ่ม
หลงความหล่ออย่างร้ายกาจของคุณปาย สักพัก
คงเบื่อไปเอง เพราะชีวิตของเขายังอีนุงตุงนังด้วย
ปัญหา เป็นคนธรรมดาที่อยากหายทุกข์โดยไม่
อยากเลิกสร้างเหตุแห่งทุกข์ พอเป็นทุกข์ที ก็คง
ต้องหันมาพึ่งพามะแมที ในที่สุดคงเห็นเขาเป็น
ลูกแหง่มากกว่าคนรัก"
โดยอารมณ์พาไป มะแมเกิดความรู้สึก
เหมือนผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่อยากถามถึง
อดีตของอัคระ อยากรู้เรื่องผู้หญิงที่ผ่านมาของ
เขาบ้าง
"พี่อัคเอาเปรียบมากเลย รู้เรื่องมะแมหมด
แล้วของตัวเองล่ะ จะเปิดเผยบ้างได้ไหมว่ามีใคร
มากี่คนแล้ว?"
"ดวงพี่ไม่ใช่จะแวดล้อมด้วยผู้หญิง
มากมายนักหรอกนะ ต้องผ่านความผูกพันเป็น
พิเศษกันมา ค่อยเข้าถึงตัวกันได้ "
เล่าแบบพยายามตัดบท แต่นั่นก็เพียง
พอแล้วที่มะแมจะอาศัยเป็นพาหะให้สัมผัสรู้
อัคระผ่านการคบหากับเพศตรงข้ามในแบบ
ผูกพันหลายด้าน เป็นเพื่อนร่วมเรียน เป็นเพื่อน
ร่วมเที่ยว เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่มีสักคนที่
พร้อมจะเป็นเพื่อนร่วมชีวิต...
แล้วหล่อนล่ะ?
จู่ๆก็ตั้งคำาถามที่รู้แก่ใจว่าตอบยากสำาหรับ
เขา
"มะแมมีค่ากับพี่อัคแค่ไหนคะ?"
อัคระนิ่งงันเป็นครู่ ก่อนจะค่อยๆเบนสายตา
มาสบกับคนรักในเงามืด
"จนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้อีกหรือ?"
มะแมตอบสวนทันควัน
"ค่ะ! ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ " กระแสจากตา
จริงจังขณะตัดสินใจถามแบบเสี่ยงที่จะต้องเสีย
เขาไป "พี่อัคคะ... ถ้าเพื่อแลกกับมะแมมา พี่อัค
ไม่ไปเป็นจักรพรรดิจะได้ไหม?"
________________________________________________________________________________
บทที่ ๑๙
ตีสี่ครึ่ง
มะแมตื่นนอนด้วยความเคยชินเหมือนทุก
เช้า แต่สิ่งที่เช้านี้ไม่เคยชินคือความรู้สึกเหมือน
อยากร้องไห้ ...
นอนแช่อยู่กับเตียงในอาการซึมนิ่ง นาน
เท่าไรไม่ทราบ ในที่สุดก็ยกมือขึ้นปิดหน้าร้อง
กระซิก
แต่ก่อนเห็นจากจิตคนอื่น เดี๋ยวนี้รู้ด้วยตัว
เองแล้ว รักที่สุดคืออาการยึดที่สุด ยึดที่สุดคือ
ต้นทางทุกข์ที่สุด...
ดูเหมือนหล่อนจะเสียเขาไปง่ายๆด้วยคำา
เพียงไม่กี่คำา ที่พูดออกไปโดยไม่ทันคิดให้ดีเสีย
ก่อน
อัคระคงไม่รู้หรอกว่าก่อนจะขอเขาอย่างนั้น
หล่อนคิดมากี่ชั้น รู้สึกถึงอนาคตมากี่หน
นึกภาพวันสมรสระหว่างหล่อนกับเขาออก
แต่มองไม่เห็นเลยว่าบัลลังก์จักรพรรดิจะมีเขาอยู่
หรือจะมีหล่อนเคียงได้อย่างไร
ถ้าไม่ใช่บัลลังก์จักรพรรดิ ก็เส้นทางสู่ความ
เป็นจักรพรรดินั่นเอง ที่พรากหล่อนกับเขาออก
จากกัน!
อัคระมีคุณสมบัติทุกอย่างของพระเจ้า
จักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นฤกษ์เกิด รูปลักษณะ
ความรู้ความสามารถ ตลอดจนศักยภาพในการ
ปกครองคน
แต่คุณสมบัติข้อเดียวของจักรพรรดิที่ขาด
ไป ก็คือความอยากเป็นจักรพรรดิ !
เขาแค่ติดใจการเปลี่ยนโลกเข้าขั้นเสพติด
อยากพิสูจน์ว่าตัวเองเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้กับมือ
ไม่ปล่อยให้โลกเสื่อมเองตามกาลอย่างเซธ
เขาอยากเอาชนะเซธ ปักใจว่าพระเจ้า
จักรพรรดิที่แท้ ควรมีจิตเมตตาประดุจฝนตกทั่ว
ฟ้า ไม่ใช่เลือกตกเฉพาะอาณาจักรของตน
ในภาพมุ่งมั่นเหมือนเต็มไปด้วยพละกำาลัง
มหาศาล หล่อนสัมผัสได้ถึงความอัดอั้น อ่อนล้า
เหลือความหวังเพียงเลือนราง ช่างต่างจากเซธที่
ปลอดโปร่ง หนักแน่น รู้จริงเป็นขั้นๆ ว่าอยากได้
อะไร เพื่ออะไร จะต้องทำาอะไรกับก้าวนี้และก้าว
ต่อๆไป ทุกความคิดในหัวของเซธแจ่มชัด
ประหนึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วไปหมด
อัคระเดินปะปนไปกับคนธรรมดาได้ แต่เซธ
จะบินเหนือเมฆด้วยเครื่องเจ็ตส่วนตัวเท่านั้น
อัคระอยู่กับฝันที่เสมือนเป็นไปได้จริง
สำาหรับตัวเอง ส่วนเซธอยู่กับความจริงที่เสมือน
ฝันเกินเอื้อมสำาหรับคนอื่น
อัคระอยากช่วยคนทั้งโลก ขณะที่เซธอยาก
ปกครองโลกทั้งใบ
สรุปให้สั้นที่สุด คือ ลายเซ็นมหาอำานาจ
แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ เซธมีอยู่ชัดกว่าอัคระ!
แต่กระนั้น คำาไม่กี่คำาที่หล่อนอาจหาญไป
ทำาลายความฝันของอัคระ เหมือนไม่คำานึงถึง
ความเหนื่อยยากที่ผ่านมา และเหมือนไม่รู้ว่าเขา
หวังให้หล่อนเป็นกำาลังใจขนาดไหน ก็เสมือน
มนต์สาปอัคระให้แน่นิ่งเป็นหุ่นปั้นไร้วิญญาณไป
ครู่ใหญ่
สัมผัสได้ว่าเขาเสียใจอย่างใหญ่หลวง
มะแมอยากถอนคำาพูด อยากแก้ทุกคำาที่หลุดจาก
ปาก อยากบอกว่าแค่สั่งคำาเดียว จะให้ทำาอย่างไร
ตามใจเขาท่าไหน หล่อนจะไม่อิดเอื้อนเลยสักนิด
หลังการร้องขอแบบโง่ๆของหล่อน ก็ไม่มี
คำาพูดใดต่อกันอีกแม้แต่คำาเดียว กระทั่งเขา
เคลื่อนไหวได้ ก็พายเรือเข้าฝั่งเดินพามาส่งขึ้นรถ
หล่อนยกมือไหว้ลา อัคระทำาเหมือนไม่เห็น ไม่
ยอมรับไหว้เลยด้วยซ้ำา คล้ายหล่อนกลายเป็น
อากาศธาตุไปแล้ว
ย้อนทบทวนไปถึงวันแรกที่เขามาหา และ
ถามอย่างคนอยากรู้ผลแพ้ชนะ เขารู้อยู่แล้วว่า
หล่อนไม่รู้ ก็แค่อยากดูว่าส่วนลึกของหล่อนจะ
เชื่อเขาไหม
แค่อยากรู้ว่าโลกทั้งใบ ยังเหลือใครเชื่อเขา
อยู่บ้าง!
ฝ่ายหล่อน เพียงเพราะกลัวเสียเขาให้กับ
อะไรก็ไม่รู้ กลับกลายเป็นว่าหล่อนอาจเสียเขา
สังเวยความไม่รู้ ไม่ทันคิดของตัวเองไปแล้ว
กระมัง!
คำาพูดแต่ละคำาหลุดจากปากไปแล้ว ต่อให้
เสียใจแค่ไหนก็เอาคืนไม่ได้ ข้อนี้ทุกคนทราบดี
แต่ไม่ทราบเท่านั้นว่าคำาไหนบ้าง ที่หลุดออกไป
แล้วจะต้องเสียใจ
สำาหรับหล่อน ให้เลิกทำาอะไรก็ได้ ไม่ต้อง
มานั่งเหนื่อยช่วยใครต่อใครอีกแล้วก็ได้ เป็นคน
ธรรมดานั่งตามแผงลอยขายของก็ได้ แค่เขาขอ
คำาเดียว และหล่อนขอแค่มีเขาคนเดียว
คงจะดีพอ ถ้าตื่นเช้าขึ้นมาตอนอายุ ๗๐
แล้วยังเห็นเขาอยู่ข้างๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนโลก
ไม่ต้องทำาให้โลกแตกต่างไป แม้ว่าโลกตอนนั้นจะ
เน่าเหม็นสักขนาดไหนก็ตาม...
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงเล็กๆ
น่ารักน่าฟังของน้องอิ๊ก
"พี่มะแมคะ"
หญิงสาวชะงักนิ่ง ระงับเสียงสะอื้น แม่หนูผู้
ทำาตัวเหมือนลูกสาวขึ้นทุกวันคงมาเรียกให้ไปนั่ง
สมาธิ เพราะเห็นหล่อนไม่ยอมออกจากห้องเสียที
พอเคาะแล้วหล่อนไม่ตอบ เดี๋ยวนี้อิ๊กกล้า
ถือวิสาสะหมุนลูกบิดประตูบุกเข้ามาเอง ปกติ
มะแมจะกดปุ่มล็อกไว้ทุกคืน แต่เมื่อคืนผิดปกติ
จนลืมกิจวัตรปกติทั้งหลาย จึงปล่อยให้อิ๊กเข้ามา
ได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่ยามนี้หล่อนไม่พร้อมจะ
ต้อนรับใครทั้งนั้น
เมื่อประตูเปิดอ้า แสงไฟจากนอกห้องก็
กระจายเข้ามา แต่มะแมรีบปาดแก้มทัน ก่อนอิ๊ก
จะรู้ว่ามีคราบน้ำาตาบนใบหน้าหล่อน
ร่างน้อยเคลื่อนด๊อกแด๊กมาที่เตียงอย่าง
รวดเร็ว มีชีวิตชีวาราวตัวการ์ตูนที่ถูกสร้างขึ้นมา
ให้ร่าเริงเป็นอย่างเดียว และพลังความเบิกบาน
นั้น ก็เสมือนแสงตะวันช่วยขับไล่ความหม่นหมอง
ในใจหล่อนได้แบบฉับพลันทันใด
หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ทันรับร่าง
น้อยที่พุ่งดิ่งหัวซุกหัวซุนเข้ามากอด
"พี่มะแมลืมตื่นมานั่งสมาธิเหรอคะ"
เด็กหญิงส่งเสียงถามมาจากอ้อมอกหล่อน
"ไม่ได้ลืม เมื่อกี๊ลุกไม่ขึ้นน่ะจ้ะ หมดพลัง
แต่ตอนนี้เติมพลังจากอิ๊กแล้ว ลุกไหวแล้ว"
หมายความตามนั้น มะแมดันไหล่เด็กหญิง
ออกจากอ้อมกอด ก้มหน้าไปหอมซ้ายหอมขวา
หลายฟอด ก่อนจ้องดวงหน้าใสซื่อในเงาสลัวราง
แน่นิ่ง แฝงนัยลึกซึ้งที่แม่ตัวน้อยไม่มีทางเข้าใจ
อัคระส่งเด็กคนนี้มาให้หล่อน ถึงเขาจะทิ้ง
หล่อนแล้ว หล่อนก็จะไม่มีทางทิ้งเด็กคนนี้ของเขา
อย่างเด็ดขาด!
ลูกค้ารายแรกของเช้านั้น เป็นเด็กสาว
คนหนึ่ง เอวองค์สมส่วนราวกับนางแบบอินเตอร์
คาดหมายได้ว่าน้ำาลายผู้ชายหกราดถนนต้อนรับ
มาแล้วทั่วประเทศ
เธอคนนั้นมานั่งกระแทกตัวโครมบนเก้าอี้
หน้าโต๊ะทำางาน เล่นเอามะแมซึ่งกำาลังอยู่ใน
อารมณ์หม่นจางๆ ถึงกับไม่อยากรับปรึกษาขึ้น
มาดื้อๆ สัมผัสได้โดยไม่ต้องเงยหน้ามอง โทสะ
กับอารมณ์ฉุนเฉียวไม่รู้จักคิดของฝ่ายนั้น พร้อม
จะก่อตัวขึ้นตลอดเวลา โดยไม่จำาเป็นต้องมี
เหตุผลอันสมควร
ภาวนาขออย่าเพิ่งถามเรื่องความรัก หรือ
ขอวิธีตัดใจจากคนรักที่เพิ่งเลิกกันเลย นาทีนี้
หล่อนไม่พร้อมจะให้คำาตอบจริงๆ...
มะแมก้มอ่านแผ่นรายชื่อลูกค้าประจำาวันที่
หยิมพิมพ์ส่งมาให้ ฝืนข่มใจให้ราบคาบก่อนเอ่ย
ถามโดยไม่มีการเงยหน้าสบตา
"วันนี้มีอะไรให้ช่วยคะคุณไก๋ "
"พี่ ... เมื่อเดือนก่อนตอนจองคิว หนูมี
ปัญหาเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนั้นรู้ผลไปแล้วว่าแฮปปี้
ตอนนี้ดันมีปัญหาใหม่ล่ะ กลุ้มชิบหาย"
จิตร้อนๆกับคำาหยาบๆที่ยิงมาจากอีกฝ่าย
กระแทกจิตมะแมให้ตกร่วงลงไปอีก และต้อง
อาศัยกำาลังใจตั้งลำากันใหม่ หล่อนเจอมานักต่อ
นัก แค่วัยรุ่นไม่รู้คิดคนเดียวทำาไมจะรับไม่ไหว
เล่า
เงยหน้าขึ้นนั่งคอตั้งหลังตรง ลากลมหายใจ
ยาวประจุพลัง กำาหนดรัศมีเมตตาให้กว้างครอบ
ทั่วบริเวณ เพื่อให้เด็กสาวรู้สึกดีและมีความ
เกรงใจหล่อนกว่าเดิม
"ปัญหาอะไรหรือคะ?"
"มีไอ้เวรตะไลตัวหนึ่งมันขู่จะฆ่าหนู ! คืน
ก่อนหน้าเสือกฝันเห็นตัวเองนอนในโลงศพอีก
อื๋ย! รับมุขกันดีเหลือเกิน"
สาวเซ็กซี่ส่งเสียงแปร๋นๆแบบไม่เกรงใจ
มะแมมองปลงๆ ท่าทางตอนนี้หล่อนคงกะปลกกะ
เปลี้ยไปหน่อย รัศมีเมตตาจึงจืดจาง ไม่ช่วยให้
สาวน้อยตรงหน้านิ่มนวลลงเลยสักนิด
จิตที่ชุ่มไปด้วยกามาและโกธะนั้นดูง่าย แต่
คุยยาก สัมผัสแวบเดียวก็รู้แล้วว่าแม่คนนี้เผื่อ
เนื้อแผ่หนังให้ชายมากหน้าหลายตา ความรู้สึก
บอกว่าไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว ไม่ถึงขนาดเป็นนักล่า
แต้ม แต่ประมาณว่าชอบตามใจตัวเองอย่างแรง
เห็นใครหล่อ ขอให้พอใจเถอะ ยอมหมด!
หรือถ้าพูดสั้นๆให้ตรงกว่านั้นคือ "อยากไป
หมด!"
ผู้หญิงที่พัวพันทางเพศเปรอะนั้น เหมือนมี
ข่ายใยขะมุกขะมอมเลอะเทอะพันเนื้อพันตัวอยู่
ไม่ชวนให้รู้สึกว่ามีค่าเป็นสาวน้อยร้อยชั่ง ควร
จับจองด้วยสินสอดราคาแพงสักเท่าใด
ตาเปล่าของคนเราช่างไม่รู้ เซ็กส์ในสิ่งมี
ชีวิตชั้นสูงระดับมนุษย์นั้น ไม่ใช่แค่การเอาสนุก
จากรสเสียดสี แต่มันคือการแสดงความผูกมัด
เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ความสัมพันธ์ทางเพศเป็นกระบวนการที่
จริงจัง ไม่ใช่แค่สัมผัสอ่อนไหวที่ฉาบฉวย สำาหรับ
ผู้หญิง มันคือการยอมให้ใครบางคนเข้ามากระ
ทบจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่หลังปราการแห่งยางอาย แต่
ถ้าโดนมากหน้าหลายตานัก ปราการป้องกันก็
ค่อยๆลด กระทั่งกลายเป็นคนไร้ยางอายไปจนได้
แต่ละครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ จะมีการถ่ายเท
รัศมีชีวิตเข้าหากัน ยิ่งต่างฝ่ายต่างร่วมกันสนุก
เมามันเพียงใด ความปั่นป่วนของการถ่ายเทแลก
เปลี่ยนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเพียงนั้น นั่นเป็นสิ่งที่รู้ด้วย
ตาเปล่าถ้าใครสามารถโฟกัสเห็นรัศมีมนุษย์ได้
หากจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว มีคู่นอนคน
เดียว คุยกันรู้เรื่อง รักใคร่กลมเกลียวดี ไปไหน
มาไหนคนจะทักว่าหน้าตาคล้ายกัน ทั้งที่เค้าโครง
ไม่ได้มีส่วนเหมือนเลยสักนิด นั่นเพราะออร่าของ
ทั้งสองฝ่ายถ่ายเทเข้าหากันจนกลมกลืนเป็นหนึ่ง
จึงดูละม้ายคล้ายคลึงราวกับเป็นพี่น้องคลานตาม
กันมา
ส่วนพวกนิยมเปลี่ยนคู่นอน ถึงจับคู่เดินกับ
"แฟน" ที่หน้าคล้าย ใครเห็นก็ไม่อยากทักว่า
เหมือน นั่นเพราะรัศมีที่ฉายออกมากระทบตากระ
ทบใจไม่กลมกลืน ก็จะกลมกลืนอย่างไรในเมื่อใจ
พันอยู่กับคนโน้นคนนี้ ยุ่งเหยิงจับฉ่ายมั่วไปหมด
หาภาวะเข้าคู่ที่แน่ชัดไม่ได้
เท่าที่มะแมดูยายน้องไก๋ตรงหน้า ก็คงต้อง
ทำาไก๋สมชื่อ แค่ช่วงสัปดาห์นี้ คุณเธอน่าจะโรมรัน
พันตู เป็นแหล่งรวมออร่าของผู้ชายสัก ๓ คนเป็น
อย่างต่ำา ซึ่งแบบนั้นจะไม่ให้ไก๋อย่างไรไหว คง
ต้องสับรางรถไฟด้วยวิธีโกหกตอแหลตลอดศก
นั่นเอง
แล้วจะแปลกอะไร หากคลื่นความคิดจะ
โกลาหล ฟุ้งซ่านหาความเป็นตัวของตัวเองไม่เจอ
ผู้หญิงหากินที่ถูกตราหน้าว่าต่ำาตม เนื้อตัวเป็น
สาธารณะ บางทียังอาจจะนิ่งเสียกว่า ร้อนใจน้อย
กว่า เพราะไม่ต้องโกหก ไม่ต้องหลอกใครให้ซับ
ซ้อนว่าไปทำาอะไรที่ไหนมา อีกทั้งไม่ต้องมานั่ง
ว้าวุ่นทั้งวันว่าจะเอาใครไว้หรือเขี่ยใครทิ้งดี !
"น้องไก๋อยากให้พี่แนะนำาใช่ไหมคะ ว่าจะ
เอายังไงกับผู้ชายคนนั้นดี และคงอยากให้ดูด้วย
ว่าเขาจะพยายามฆ่าเราจริงหรือเปล่า"
"น่านแหละค่ะ!"
ไก๋ยิ้มร่าอย่างรับรองว่าตรงจุด แต่แม้ยิ้มอยู่
ก็ดูเหี้ยมๆ หน้าดำาๆพิกล มะแมไม่อยากสัมผัส
ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้เลย มันช่าง
เหมือนมีความคิดของหลายคนเข้ามาแย่งกันพูด
อยู่ในหัวคุณเธอ อันเป็นสภาพทางใจของคนที่
พร้อมจะทะเลาะกับตัวเอง ไม่รู้จะทำาอย่างไร ไม่
ทราบจะเลี้ยวซ้ายหรือบ่ายขวากันแน่
เฮ้อ! วันนี้ไม่อยากทำางานเล้ย...
นั่นเป็นเสียงร่ำาร้องอยู่ในหัว แต่งานแบบ
หล่อนจะหยุดอย่างไรได้ ในเมื่อนัดแล้ว ลูกค้า
เรียงคิวมาจ่อรอกันเป็นทิวแถวทั้งวันแล้ว
จู่ๆก็ผุดนิมิตของแม่คนนี้โดนแทงตายขึ้นมา
แต่มะแมปัดนิมิตนั้นทิ้งไปเสีย เพราะเข้าใจว่าน่า
จะเป็นนิมิตที่ก่อขึ้นจากอคติส่วนตัวผสมคำาบอก
เล่าของยายไก๋เอง
"ขอดูบัตรประชาชนหน่อยได้ไหมคะ พี่จะ
จับพลังในรหัสชีวิตของน้องดูก็แล้วกัน"
"ได้เลยค่ะ!"
ตอบตกลงเสียงห้าวพลางล้วงกระเป๋าซวบๆ
ครู่เดียวก็หยิบบัตรประชาชนมาวางบนโต๊ะให้แม่
หมอรับไป
มะแมเหลือบตาดูเนือยๆ แต่แล้วในบัดดล
นั้นเอง ความมัวมนทั้งหลายก็สลายไป เมื่อชื่อ
พร้อมนามสกุลของลูกค้ากระทบคลองจักษุ
คล้ายเกิดฟ้าผ่า สว่างเปรี้ยงตรงหน้า
ระนงค์ วิเศษสุทัศน์ !
ไม่ได้ตาฝาด และอ่านไม่ผิดแน่ นามสกุล
วิเศษสุทัศน์มีอยู่ในประเทศไทยจริงๆ แปลว่าสิ่งที่
น้องอิ๊กพูดออกมา หาใช่ฝันเพ้อเจ้อแต่อย่างใด
ไม่ !
แต่เอ... อะไรมันขาดๆหายๆไปหนอ สมอง
หมุนจี๋ทบทวนด่วน ก่อนจะได้คำาตอบอย่าง
รวดเร็ว อ๋อ! ที่น้องอิ๊กบอกคือ "พิเศษสุทัศน์ "
ไม่ใช่ "วิเศษสุทัศน์ "
มิน่าล่ะ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ!
มันช่างใกล้เคียงกันจนชวนให้จำาไขว้เขว
มะแมเองเคยมีประสบการณ์ฝันชัด เหมือนตื่น
เต็มอยู่ตามปกติ แต่กลับได้ยินคนเรียก
"กระแต" ด้วยความรู้สึกว่ามันคือชื่อหล่อน เป็น
ชื่อติดตัวหล่อนมาแต่อ้อนแต่ออก
จะแปลกอะไร หากข้ามชาติแล้วน้องอิ๊ก
จดจำานามสกุลเพี้ยนไปนิดหนึ่ง จาก "วิเศษ" เป็น
"พิเศษ"
มะแมทำาหน้าเฉย ข่มความตื่นเต้นตูมตามที่
ภายในลง นี่อาจเป็นอีกความบังเอิญหนึ่ง และ
หล่อนก็ต้องการรู้เดี๋ยวนี้ว่าบังเอิญหรือเปล่า ด้วย
การช้อนตาขึ้นถามน้องไก๋เรียบๆ เหมือนชวนคุย
ธรรมดาแบบที่ใครๆก็ทำา
"นามสกุลวิเศษสุทัศน์นี่พี่เคยรู้จักอยู่คน
หนึ่งนะคะ ดูเหมือนจะชื่อพิรมล ไม่ทราบเคย
ได้ยินไหม?"
คนนามสกุลเดียวกัน ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกัน
เลยให้เกลื่อน แต่สำาหรับไก๋ เธอรีบตอบทันที
"อ๋อ! คุณย่าค่ะ แต่เสียไปนานแล้วนะ พี่
รู้จักด้วยเหรอ?"
คำาตอบธรรมดาสำาหรับไก๋ แต่มีความหมาย
ไม่ธรรมดาสำาหรับมะแม มันทำาให้ใจกลับเต้นแรง
ขึ้นมาอีก และต้องแอบหลบตาอีกฝ่ายเพื่อซ่อน
ความตื่นเต้นเหลือจะกล่าวเอาไว้
มะแมข่มอารมณ์อยู่อึดใจ กว่าจะเอ่ยได้
คล้ายโต้ตอบสนทนาต่อเป็นปกติ
"ค่ะ... พี่เคยได้ยินเรื่องดีๆของท่านจาก
น้องคนหนึ่งน่ะ... มาว่ากันเรื่องของไก๋ต่อดีกว่า
นะ"
พูดได้เนียน แต่หัวใจยังคงสูบฉีดผิดจังหวะ
ทว่านั่นก็กลายเป็นยากระตุ้นให้หายเฉื่อยชาได้
ชะงัดทีเดียว มะแมลืมความหม่นหมองเกี่ยวกับ
อัคระสนิท
พอเครื่องร้อนแล้วตื่นตัวตาใส หลังจาก
ตั้งใจอ่านรายละเอียดตามบัตรประชาชนของ
นางสาวระนงค์ วิเศษสุทัศน์ และนำามาโยงกับ
ชายมากหน้าหลายตาของเจ้าหล่อน นิมิตเจ้า
หล่อนถูกแทงตายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
นิมิตคราวนี้มีรายละเอียดชัดขึ้น เห็นน้องไก๋
ในชุดนักศึกษานอนตายบนเตียง เลือดแดงนอง
ไปตลอดเสื้อขาว ซึ่งก็คงเกิดจากการแทงหลาย
แผลด้วยความแค้นจัด
เป็นอันว่านิมิตก่อนหน้ามีน้ำาหนักขึ้นมา
รำาไร ไม่ใช่ว่าจิตไพล่เห็นไปเองตามคำาบอกเล่า
โต้งๆของน้องไก๋ เพราะขณะนี้จิตหล่อนอยู่ใน
สภาพใช้งานได้จริงตามปกติ ไม่ปรุงไปตามเสียง
เล่าจากลูกค้าอีกแล้ว
การที่เจ้าตัวบอกว่ามี "ไอ้เวรตะไล" ขู่ฆ่า
สัมผัสบอกมะแมว่าไม่ใช่คนนั้นหรอกที่จะมาแทง
เพราะเขาคนนั้นขุ่นเคือง แต่ไม่ถึงขั้นคับแค้น
อยากลงมือฆ่าจริง ยังมีแก่ใจห่วงสวัสดิภาพของ
ตน กลัวเสียอนาคต กลัวกลายเป็นไอ้ขี้คุก ไม่ได้
หน้ามืดไปกับความคับแค้นจนหมดความยับยั้ง
ชั่งใจแต่อย่างใด
แล้วตกลงฝีมือใคร?
มะแมหรี่ตาเล็กน้อย จับหลักตั้งต้นจากนิมิต
เสื้อแดงฉานด้วยเลือดหลายหย่อม เป็นร่องรอย
ของจิตที่คับแค้นสุดขีด ความคับแค้นนั้นเกิดขึ้น
จากการรู้สึกว่าตกเป็นเหยื่อ เป็นไอ้หน้าโง่ที่ถูก
เขี่ยทิ้งเมื่อใดก็ได้
ถัดจากนั้นอึดใจหนึ่ง นิมิตหนุ่มหน้าตี๋ ท่า
ทางจ๋องๆ ก็ปรากฏขึ้นรองรับความเป็น "ไอ้หน้า
โง่ " ของน้องไก๋
"น้องไก๋คะ"
มะแมขานชื่อลูกค้าด้วยสีหน้าเป็นงาน
เป็นการ
"คะพี่ ?"
"เรามาคุยตรงๆกันนะ นี่เป็นเรื่องคอขาด
บาดตาย พี่เห็นหนุ่มสูง ผอม ผิวขาว หน้าตาลูก
จีน ใส่แว่น ดูซื่อๆเหมือนไม่มีพิษไม่มีภัยอยู่คน
หนึ่ง เขามีแฟนอยู่แล้ว หน้าตาหมวย ตัวเตี้ยป้อม
แบบที่น้องไก๋ชอบแอบหัวเราะกับเพื่อนอยู่เรื่อย
ตอนเห็นคู่นี้เดินมาด้วยกัน"
ลูกค้าแต่ละคนมีท่าตกตะลึงจังงังต่างๆกัน
ไป สำาหรับยายไก๋ร้อง "เฮ้ย!" ออกมาดังๆ คล้าย
ถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ หน้าถอดสี
"พี่รู้ขนาดนี้ ?"
มะแมขี้เกียจเสียเวลากับฉากจังงังอันน่า
จำาเจสำาหรับหล่อน จึงรีบตัดบท
"รู้สิคะ... ในอารมณ์แอบหัวเราะ พี่เห็น
ภาพการพนันขันต่อระหว่างน้องไก๋กับเพื่อน
ประมาณว่าคู่ตี๋หมวยนี้ดูรักกันมาก ไปไหนมา
ไหนด้วยกันตลอดอย่างน่าหมั่นไส้ อยากรู้ว่า
เสน่ห์น้องไก๋จะทำาให้นายตี๋ทิ้งแฟนได้ภายในสาม
วันไหม"
เด็กสาวลมแทบจับ ถ้าแก่กว่านี้คงต้องหา
ยาดม แต่เพราะยังแข็งแรงดีเลยเอาแต่ขมวดคิ้ว
จ้องหน้ามะแม
"พี่รู้จักพวกหนูหรือเปล่าคะนี่ ใครแอบมาบ
อกพี่ใช่ไหม?"
"เปล่าค่ะ พี่เพิ่งเห็นจากเงาอารมณ์ในอดีต
ของน้องไก๋เดี๋ยวนี้แหละ"
"แล้วพี่บอกถูกเป๊ะๆได้ยังไง อย่างพนัน
กำาหนดเวลาสามวันน่ะ?"
"ประมาณจากอารมณ์พนันขันต่อที่เห็นน่ะ
อธิบายยากค่ะ เรามาคุยกันเรื่องสำาคัญกว่านั้น
กันดีกว่านะ"
"ก็ได้ค่ะ แต่พี่ไม่ได้รู้เรื่องของหนูจากใคร
มาก่อนแน่นะ?"
มะแมพยายามตัดความรำาคาญและมีสมาธิ
กับทิศทางสู่เป้าหมาย
"น้องไก๋ ฟังพี่ดีๆนะ... คนที่ขู่ฆ่าน้องน่ะ เขา
ไม่ทำาหรอก เขาแค่เจ็บใจที่น้องไก๋พูดไม่ดีเลย
ตอนจะสลัดเขาทิ้ง ซึ่งการที่น้องไก๋เขี่ยผู้ชายทิ้ง
บ่อยๆ ทำาให้ย่ามใจเกินไป แต่ละครั้งใช้คำาหนัก
ขึ้นทุกที นึกว่าทุกคนจะหน้าเศร้า ยอมผละไปโดย
ดีเหมือนๆกัน"
ไก๋อึ้ง
"ก็ ... มันไม่ยอมไป เลยต้องเหวี่ยงทิ้งกัน
แรงๆสิคะ"
"น้องไก๋สะสมความแรงในการทิ่มแทงให้
ผู้ชายเจ็บใจมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว จนถึงวันนี้
ขอให้รู้ไว้ แค่สีหน้าสีตาบวกคำาด่าเล็กๆ บางทีมัน
มีพลังกระทุ้งให้เขาเจ็บปวดกันยิ่งกว่าโดนผู้ชาย
ด้วยกันเอาเท้าลูบหน้าเสียอีก"
"เหรอ..."
เด็กสาวทำาเสียงอ่อยอย่างไม่นึกโกรธ
เพราะเห็นภาพของตนเองตามคำาของสาวสวยใน
สูทขาวแจ่มชัด หลายครั้งต้องยอมรับว่าหล่อน
ไม่รู้ตัวเอาจริงๆว่าพูดอะไรไปบ้าง กระทั่งมารู้สึก
ทีหลัง คลับคล้ายคลับคลาว่าฝัน แต่ที่แท้เคยพ่น
พิษออกไปด้วยคำาแรงๆเหล่านั้นจริงๆ หลักฐาน
คือคนโดน ได้หวนมาย้ำาถามว่าพูดแบบนั้นได้
อย่างไร ทำาไมช่างป่าเถื่อนไร้ความเป็นคนกับเขา
ถึงขนาดนั้น
อย่างเช่นช่วงหลัง ไก๋สนุกกับการวิจารณ์
อวัยวะเพศด้วยคำาที่น่าเกลียด ทิ่มแทงใจให้อาย
จำาไม่ได้ว่าเริ่มมาตั้งแต่เมื่อใด รู้ตัวอีกทีก็ใช้ไม้นี้
กับผู้ชายทุกคนที่อยากเหวี่ยงทิ้งแล้ว
"น้องไก๋คะ หนุ่มหน้าตี๋ที่พี่พูดถึง เขาไม่ใช่
อย่างที่เห็นข้างนอก ตอนคั่งแค้นสุดขีดขึ้นมา เขา
ทำาได้ทุกอย่างที่เราไม่นึกว่าจะทำาได้ "
"เจาะจงให้ชัดๆได้ไหมคะว่าจะเกิดอะไร
ขึ้น?"
"ให้พี่เดาใจน้องไก๋นะ ที่ผ่านมา ตอนแรก
กะหว่านเสน่ห์เล่น แต่ทำาไปทำามาน้องไก๋เกิด
อยากลองเสียหน่อย ว่าตาคนนี้จะมีลีลาบนเตียง
ยังไง เสร็จแล้วก็รู้สึกว่า เออ... แปลกดีเหมือน
กัน"
"อ๊าย!" ไก๋ยกสองมือปิดหน้า ร้องเหมือน
โดนมะแมโยนแมลงสาบใส่ แต่ออกแนวแกล้งๆ
ดัดจริตขำาๆมากกว่าอย่างอื่น "ไม่ต้องพูดตรง
มากก็ได้พี่ หนูอาย หนูกลัวแล้ว!"
"อย่าอายเลยค่ะ น้องไก๋คุยกับเพื่อนถึงลูก
ถึงคนกว่านี้เยอะ!"
ไก๋เริ่มปรับสติให้คุ้นกับฤทธิ์ของมะแมได้
จึงหัวเราะร่วน
"ค่ะ! งั้นหนูคุยกับพี่หน้าตาเฉยๆแบบนี้
แหละ แล้วไงต่อคะ?"
"อีกครั้งสองครั้งน้องไก๋จะเบื่อ แล้วก็อยาก
เขี่ยทิ้งตามเคย คราวนี้หนักกว่าทุกครั้งตรงที่มีใจ
อยากเยาะเย้ยอยู่แล้ว เห็นเขาเป็นตัวตลกอยู่แล้ว
แถมยังได้เงินพนันจากเพื่อนมาให้กระหยิ่มใจ
อีก... ประมาณอารมณ์ตัวเองถูกไหมว่าจะนึก
เหยียดหยาม ชิงชัง เห็นเขาเป็นไอ้หน้าโง่ยังไง"
ไก๋ยิ้มเย็น
"ประมาณถูกค่ะ สรุปคือมันจะฆ่าหนูหรือ
คะ? ไม่น่าเป็นไปได้เลย ผอมแห้งแรงน้อยอย่าง
นั้น หนูว่าหนูตบผัวะเดียวก็กลิ้งโคล่ "
มะแมเบือนหน้าไปทางหนึ่งอย่างเริ่มระอา
รำาพึงในใจว่าโลกนี้ช่างเปลี่ยนยากจริงหนอ...
เด็กสาวเห็นอีกฝ่ายทำาหน้าเซ็งก็หัวเราะ
ปลอบ
"เอาล่ะค่ะ สรุปคือหนูมาถามพี่ด้วยความ
หวั่นคนหนึ่ง แต่กลับได้คำาเตือนให้เกรงๆอีกคน
หนึ่งไว้ หนูจะเชื่อพี่ก็แล้วกัน สรุปคือไม่ให้โอกาส
อยู่กับนายหน้าตี๋ที่พี่ว่าแบบสองต่อสองอีกแล้ว"
มะแมหันกลับมา สีหน้าดีขึ้น
"แค่นั้นไม่พอนะ พี่ให้คาถากันภัยกับน้อง
ไก๋ไว้บทหนึ่งจะเอาไหม?"
"เอาสิคะ"
"แฟนคนอื่นมีไว้ห้ามใจ ส่วนแฟนตัวเองมี
ไว้ทำาใจ! อย่าตามใจตัวเองให้มากนัก ใจจะได้
สบายกว่านี้ "
"สาธุ ! ไว้ว่างๆหนูจะพยายามท่องให้ขึ้นใจ"
ทำาเป็นพนมมือท่วมหัวเพื่อก้มหน้าหลบตา ซ่อน
แววลิงหลอกเจ้า แต่ก็เงยหน้าขึ้นทำาตาใสออกมา
จากใจจริงเมื่อจะพูดอีกประโยค "ขอบคุณนะคะ
หนูสบายใจขึ้นเยอะเลยที่รู้ว่าไม่ต้องตาย เสียงขู่
ของมันน่ากลัวมาก"
"ค่ะ ไม่เป็นไร"
"บนอินเตอร์เน็ตมีคนโฆษณาว่าทำาได้แบบ
พี่กันเยอะนะ แต่หนูเพิ่งเจอของจริงวันนี้แหละ ไป
มาหลายเจ้าแล้ว ถูกต้มตลอด"
"บนอินเตอร์เน็ตก็มีอะไรดีๆที่เป็นของจริง
อยู่เยอะแหละค่ะ"
เกือบแนะให้เข้าเว็บดีๆ หาความสว่างใส่ตัว
บ้าง แต่ก็จุกที่คอหอย เห็นหน้าสาวไก๋แล้วไม่
ค่อยมีกำาลังใจจะพูดเอาเลย
"หนูไม่รู้เป็นไงนะพี่ ถามอะไรจากเน็ตชอบ
ถูกหลอก ถูกตุ๋น จนเห็นอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่ง
รวมคำาลวงโลกไปแล้ว"
มะแมมองคนพูดค้าง คุณเธอคงไม่เข้าใจ
เอาจริงๆว่าตัวเองลวงโลก ก็ต้องอยู่กับโลกลวง
เป็นธรรมดา นี่เหมือนเข้าใจว่าตัวเองทำาอย่างไร
ก็ได้ แต่ไม่ควรได้รับการสนองกลับแบบเดียวกัน
เลย
"มันขึ้นอยู่กับที่ที่เราไปด้วยน่ะค่ะ" หล่อน
เลือกพูดแบบไม่กระทบกระทั่ง "จริงๆแล้ว เรามี
ทุกคำาตอบที่ดีที่สุดอยู่บนอินเตอร์เน็ต ปัญหาคือ
เราไม่ค่อยมีคำาถามที่ดีที่สุดอยู่ในใจ"
ไก๋หัวเราะหึหึ
"คำาถามที่ดีที่สุดคืออะไรคะ?"
"มันเปลี่ยนไปเป็นวันๆ เหมาะกับตัวเราใน
วันหนึ่งๆน่ะค่ะ อย่างสำาหรับของน้องไก๋วันนี้
คำาถามที่ดีที่สุด คือ ทำายังไงจะเลิกอยากพูดให้
คนเจ็บใจ เห็นไหม ถ้ามีคำาถามนี้อยู่ในใจแล้วเอา
ไปหาบนเน็ต น้องไก๋อาจพบความเห็นดีๆทั้งไทย
และเทศเอาไปใช้ได้จริงทันที "
"หนูว่าถามเอาจากพี่นี่แหละ เร็วดี "
"อยากได้คำาตอบหรือคะ?"
ไก๋ยักไหล่
"ความจริงมันก็รู้ๆอยู่น่ะพี่ แต่หนูเป็นของ
หนูหยั่งงี้จะให้ทำาไงล่ะ... ยังไงหนูก็ตั้งใจนะ จะไม่
ยุ่งกะไอ้ตี๋นั่นอีกแล้ว ไม่ไปว่าอะไรมันด้วย พี่ไม่
เสียแรงให้คำาแนะนำาเปล่าหรอก"
"ดีค่ะ"
"แหม! พี่อย่าทำาหน้าอ่อนอกอ่อนใจขนาด
นั้นได้ไหม ไว้วันหนึ่งหนูเจอหล่อๆ ล่ำาๆ รวยๆ ก็
เลิกนิสัยเสียๆไปเองแหละ เห็นมั่วๆอย่างนี้ อันที่
จริงหนูก็อยากหยุดกับใครสักคนหนึ่งเหมือนกัน
นะ"
"รู้ค่ะ ลูกผู้หญิงยังไงก็อยากใช้ชีวิตเป็นฝั่ง
เป็นฝากันทั้งนั้น โดยเฉพาะพอผ่านวัยเอาแต่สนุก
จะรู้สึกเคว้งคว้างมากหากหาหลักเกาะไม่เจอ"
"แล้วหนูจะเจอเมื่อไหร่พี่ ?"
"เมื่อน้องไก๋แยกออก ว่าแฟนกับความรัก
ต่างกันยังไง"
ไก๋ยิ้มมุมปาก
"ต่างกันยังไงคะ?"
มะแมเบนสายตาไปทางประตู ใจย้อนนึกถึง
วาระแรกที่อัคระเดินเข้ามา ยังติดตา ประทับตรึง
อยู่ในใจจนกระทั่งบัดนี้
"แฟนเป็นแค่ตำาแหน่งอุปโลกน์ ริบคืนเมื่อ
ไหร่ก็ได้ อาจแค่โทร.บอกก็จบ แต่ความรักเป็น
ของจริงในใจเรา แกล้งทำาให้เกิดไม่ได้ สั่งให้หาย
ไปก็ไม่ได้ "
"แฟนพี่นี่ต้องหล่อโคตรๆชัวร์ "
มะแมก้มหน้า ก่อนเงยขึ้นถามอีกทาง
"เอ้อ... น้องไก๋คะ รบกวนถามนิดหนึ่ง
คุณย่าพิรมลของน้องไก๋นี่ ก่อนเสียท่านบวชชีใช่
หรือเปล่า?"
"ค่ะ"
"รู้ไหมบวชที่ไหน?"
"โอ๊ย! ตั้งเป็นสิบปีแล้ว ตอนนั้นหนูยังเด็ก
อยู่เลย จะไปจำาได้ยังไง"
"งั้นพี่ขอรบกวนหน่อยเถอะ ขอเบอร์
โทร.ของคุณพ่อน้องไก๋ หรือของใครที่พอจะให้
รายละเอียดเกี่ยวกับคุณย่าพิรมลได้ไหม คือมี
อะไรอยากสอบถามเกี่ยวกับคุณย่าพิรมลนิดเดียว
อย่างมากคุยกันไม่เกินห้านาทีน่ะค่ะ"
ไก๋เห็นไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงก็ให้ง่ายๆ
"เอาสิคะ เบอร์โทร.พ่อหนูก็ได้ อ้อ! แล้วพี่
อย่าให้เขารู้ว่าพี่สวยขนาดนี้ล่ะ ไม่งั้นจะเสียใจ
โดนตามมาดูหน้าถึงบ้านไม่รู้ด้วย!"
_______________________________________________________________________________
บทที่ ๒๐
หลังเลิกงาน มะแมนั่งมองเบอร์มือถือคุณ
พ่อของน้องไก๋อย่างชั่งใจว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไร
ดี
กรรมเก่าจัดสรรให้เจ้าของกรรมได้รับสิ่งที่
ควรได้เสมอ บางทีก็มาในรูปของความประจวบ
เหมาะ ซึ่งหมู่มนุษย์ขนานนามให้มันว่า "ความ
บังเอิญ"
มะแมรู้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างเด็ด
ขาด เส้นทางชีวิตของน้องอิ๊กมีลำาดับขั้นตอนที่
ชัดเจน แบบการวางหมากเป็นชั้นๆจากมหิทธิ
อำานาจ ที่สามารถลากจูงเอาบุคคลมากมายเข้า
มาเกี่ยวข้อง
มองจากสายตามนุษย์อาจยุ่งยากซับซ้อน
ไม่น่าเป็นไปได้ แต่พลังธรรมชาติแห่งกรรมวิบาก
จะบอกว่านี่ก็แค่อีกหนึ่งในเรื่องขี้ผง เป็นของ
ธรรมดาที่จะทำาให้ลงตัวได้ สบายๆ
อิ๊กเป็นพวกได้ชีวิตมาอย่างมีจุดประสงค์ชัด
ทิศทางชีวิตของเธอตรงดิ่งไปสู่จุดประสงค์ดัง
กล่าวราวกับมีใครตัดทางลัดไว้ให้
หนึ่ง เป็นกำาพร้า สูญเสียบุพการีไปตั้งแต่
ยังเอาตัวรอดด้วยตนเองไม่ได้
สอง ประสบทุกข์ทั้งทางกายทางใจ เห็น
ชีวิตเป็นทุกข์ อยากทิ้งชีวิตตั้งแต่ตัวยังน้อย
สาม พบกับคนอุปการะเลี้ยงดู สอนทำา
สมาธิ และเก่งสมาธิอย่างรวดเร็ว
สี่ ในสมาธิมีพลังดึงดูดให้กลับไปหาอดีต
ห้า วันนี้เอง มีคนมาช่วยยืนยันว่าอดีตขอ
งอิ๊กเป็นเรื่องจริง!
จุดประสงค์แห่งกำาเนิดนี้ อาจเปิดเผย
กระจ่างแจ้งขึ้น ณ ที่ที่เคยตาย...
กระทั่งมะแมยังสงสัยว่ามีเหตุผลอะไร ใน
เมื่อเพิ่งเกิดมาแท้ๆ ทำาไมจะต้องรีบร้อนกลับไป
หาจุดที่เคยตายด้วยเล่า?
ความรัก ความผูกพัน ทำาให้ลังเลและขัด
แย้ง ตอนนี้แม้ไม่รู้อะไรเลย น้องอิ๊กก็อยู่ดีมีสุขกับ
หล่อนที่นี่ แต่ถ้า "รู้อะไร" แล้วต้องเสียน้องอิ๊กไป
ล่ะ หล่อนเองจะรับได้ไหม?
นึกถึงพวงแก้มยุ้ยที่หอมกี่ฟอดก็ไม่เบื่อ
นึกถึงร่างน้อยที่กอดแล้วรู้สึกเหมือนลูก นึกถึง
ดวงตากลมแป๋วที่เฝ้าจ้องมองหล่อนเสมอ อย่าง
รอว่าเมื่อไหร่พี่มะแมจะว่างเสียที จะได้เดินเข้ามา
หา
สุดท้ายนึกถึงการไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก นึกถึง
บ้านที่ไม่มีน้องอิ๊กวิ่งเล่น ใจก็จะขาดเดี๋ยวนี้แล้ว...
สลัดศีรษะขับไล่ความคิดท่ี่เริ่มเตลิดไกล
ใครจะมาเอาน้องอิ๊กไปได้ ในเมื่อหล่อนเป็นผู้
ปกครองอยู่แท้ๆ นามสกุลก็ใช้นามสกุลหล่อน
เตียงนอนกับอาหารการกินก็เงินของหล่อน นาที
นี้มีอะไรในตัวอิ๊กบ้างที่ไม่ใช่ของหล่อน?
ใครจะมาเอาตัวอิ๊กไปจากหล่อนได้ ?
ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าอัคระหมดเยื่อใย ทิ้ง
หล่อนไปตามหาความฝันของเขา น้องอิ๊กจะเป็น
สมบัติที่ระลึกอันทรงชีวิตชีวา จดจำาได้เสมอว่า
น้องอิ๊กมาจากไหน หล่อนต้องเดินทางไกลไปใน
คืนนั้นเพราะจดหมายจากใคร...
หลังจากคิดออกว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรกับ
พ่อน้องไก๋ มะแมก็กดเบอร์ที่ได้รับมา ไม่ว่าอะไร
จะเกิดขึ้น นี่คือหน้าที่ที่หล่อนต้องทำาในฐานะองค์
ประกอบหนึ่ง ที่ถูกวางตัวไว้บนเส้นทางวิบาก
กรรมของน้องอิ๊ก อย่างไรก็ต้องทำาหน้าที่ไปก่อน
ทำาแล้วเกิดผลท่าไหนค่อยว่ากันอีกที
สัญญาณเรียกดังขึ้นเป็นห้วง แต่ละห้วง
คล้ายเสียงร้องถามว่าแน่ใจแล้วหรือ? คิดดีแล้ว
หรือ? อยากให้มีคนรับสายหรือ?
มาแน่ใจว่าไม่อยากให้มีใครรับสายเลย ก็
เมื่อสัญญาณเรียกดังซ้ำาแล้วซ้ำาเล่า เนิ่นนานเกิน
ระยะเวลาที่กำาหนด กระทั่งผู้ให้บริการส่งเสียง
แจ้งว่าไม่มีผู้รับสาย โปรดติดต่อกลับมาใหม่อีก
ครั้ง
โล่งใจอย่างประหลาด แอบบอกตัวเองว่า
หล่อนทำาหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่จำาเป็นต้องทำาซ้ำา
แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย!
เดินลงมาชั้นล่าง อันที่จริงไม่อยากรบกวน
สมาธิของน้องอิ๊กซึ่งกำาลังเรียนพิเศษอยู่ แต่ทน
คิดถึงไม่ไหว อยากเห็นหน้าสักนิด และคิดจะเดิน
เลยไปหลังจากเห็นสมใจแล้ว
ได้ยินเสียงคุณครูกำาลังเอื้อนเอ่ยสาธยาย
เกี่ยวกับการตีโจทย์คณิตศาสตร์ รู้สึกถึง
บรรยากาศของการศึกษาเล่าเรียนในวัยเด็ก วูบ
หนึ่งก็ตีบตื้นขึ้นมาเฉยๆ ชีวิตช่างเป็นเรื่องน่า
เหนื่อย ตอนเด็กไม่มีใครรู้อะไรเลย ต้องรับข้อมูล
ใส่หัวท่าเดียว ซึ่งก็ไม่มีใครประกันได้ว่าข้อมูลที่
ใส่เข้ามา จะพาลงเหวหรือเปล่า
บางคนเรียนๆยังไม่ทันใช้งาน ไม่ทันมี
โอกาสตอบแทนผู้มีพระคุณ ก็ด่วนตายไปเสีย
ก่อน โดยไม่มีใครแจ้งให้เตรียมตัว และธรรมชาติ
ก็ไม่ส่งนิมิตหมายมาให้เตรียมใจ หากมีวาสนา
เกิดใหม่ได้เป็นมนุษย์อีก ก็ต้องเริ่มเรียนกันใหม่
อีก วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้
เท้าแตะพื้นชั้นล่าง คุณครูผู้หญิงวัยเกิน ๓๐
ซึ่งนั่งหันมาทางบันไดก็เงยหน้ายิ้มให้หล่อน มีผล
ให้หนูอิ๊กเหลียวตาม มะแมเห็นดวงหน้าที่สวย
หวานขึ้นทุกวันนั้นแล้วนึกอยากเดินเข้าไปจุ๊บสักที
แต่ก็ตัดใจ โบกมือบ๊ายบายเป็นเครื่องหมายว่า
หล่อนแค่เดินผ่านมา ให้น้องอิ๊กสนใจเรียนต่อไป
โล่งหัวอกเมื่อคิดออก บอกย้ำากับตนเอง
หนักแน่น อย่างไรหล่อนก็จะไม่ยอมเสียน้องอิ๊ก
ให้ใครเด็ดขาด
ทำาไมถึงต้องคิดอย่างนี้ก็ไม่รู้ รู้แต่จะคิด
อย่างนี้แหละ!
ออกมาหน้าบ้าน มะแมเปิดประตูเล็กก้าว
เท้าออกมาหงอยๆ อยากสูดอากาศให้โล่งหัวหลัง
อุดอู้อยู่ในบ้านทั้งวัน แต่บริเวณนั้นก็ไม่มีที่เดิน
เล่น ใจหนึ่งอยากไปนั่งริมคลองที่วัด แต่อีกใจก็ขี้
เกียจขับรถไปแล้วต้องรีบขับกลับให้ทันเวลามื้อ
เย็นร่วมกับสมาชิกอีกสองคนในบ้าน
จังหวะนั้นเอง รถโตโยต้า อัลติส สีขาวคัน
หนึ่งก็คลานเอื่อยเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน
พอดี และความพอดิบพอดีชนิดนั้นก็ชวนให้คิดใน
แวบแรกว่าคนขับอาจจอดเพื่อถามทาง แต่แล้ว
เมื่อเห็นว่าใครลงมาจากรถ มะแมก็ถึงกับอ้าปาก
ค้าง ร่างแข็งทื่อราวถูกสาปให้เป็นหุ่นใบ้เบื้อ
ยิ้มละไมที่ให้ความเย็นใจเสมอมา กับเงา
ร่างสูงที่ก่อแรงปีติจนผลักดันให้อยากถลันเข้าไป
กอดอย่างลืมอาย ใบหน้าที่ไม่นึกว่าจะได้เห็นใน
เร็ววัน กลับได้เห็นในวันนี้โดยไม่คาดฝัน!
บันดาลแรงอัดขึ้นที่กลางอก อยากเปล่ง
อุทานขานชื่อเขา ทว่าความตกตะลึงพรึงเพริดกด
ไว้ มิให้เสียงเล็ดรอดออกมาได้สักแอะเดียว
จนอัคระทอดเท้าเอื่อยเนือยเข้ามายืนตรง
หน้านั่นแหละ สติจึงค่อยกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
ได้ มะแมพนมมือไหว้เขาและทักทายตะกุกตะกัก
"เอ่อ... สะ... สวัสดีค่ะพี่อัค"
กะพริบตาถี่ๆอย่างรู้ว่าน้ำาตากำาลังจะไหล
ออกมา ตอนนี้หล่อนอยากมองเขาให้เต็มตา
มากกว่า
"ลูกค้ากลับไปหมดแล้วใช่ไหม?"
ชายหนุ่มทักทายเบาๆด้วยอารมณ์ผ่องใส
"ค่ะ"
ความปลอดโปร่งฉ่ำาชื่นกระจายไปทั่ว
บริเวณ เพียงเพราะรับความกระจ่างใสจากรัศมี
อารมณ์ของเขาคนเดียว มันเป็นอากาศยามเย็นที่
ให้ความรู้สึกแสนสบายหายเหนื่อย แค่อัคระเดิน
มา ทุกอย่างก็ต่างไป
"กำาลังจะเดินเล่นเหรอ?"
"กะไปนั่งศาลาท่าน้ำาที่วัดใกล้ๆน่ะค่ะ"
มะแมรีบบอก
"โอเค... ไปกัน!"
อัคระช่วยเปิดประตูรถตอนหน้าให้ ซึ่ง
มะแมก็ยิ้มแหยด้วยความเกรงใจ ยอบกายตัวลีบ
ก้าวเข้าไปนั่ง
ด้วยเวลาไม่นานนัก สองหนุ่มสาวก็ล่วงถึง
ศาลาท่าน้ำา ซึ่งครั้งหลังมะแมมาอาศัยที่นี่นั่งฝัน
ถึงอัคระ แต่คราวนี้มากับเขา ก็คงต้องเรียกว่าฝัน
ที่เป็นจริงกระมัง...
ต่างเงียบมาตลอดทาง กระทั่งหย่อนกาย
เคียงกันบนกระดานนั่งในศาลา หันหน้ามองน้ำา
มะแมใจเต้นไม่เป็นส่ำา และคิดหาสักเรื่องมา
ทำาลายความเงียบบ้าง
"ขับรถที่เอาไว้ซื้อกับข้าวออกมา คุณ
พ่อคุณแม่ไม่ถามหรือคะว่าจะไปไหน?"
อัคระหัวเราะเบาๆ
"บางทีพี่ก็เอาคันนี้ออกมาทำาธุระง่ายๆบ่อย
ไป"
"คงเป็นคันเดียวในบ้านพี่อัคที่เหมาะกับ
สภาพแวดล้อมแถวบ้านมะแมนะคะ"
คุยกับเขาคำาไหนก็ได้ เหมือนอวลไอสุข
ชวนให้อารมณ์ดีไปหมด
แต่พอหล่อนเงียบ เขาก็เงียบอย่างไม่มีทีท่า
จะเอ่ยคำาใดต่อ จนกระทั่งมะแมคิดว่าสมควรแก่
กาลเอ่ยคำาที่คาใจ
"พี่อัคคะ มะแมกราบขอโทษ" ขณะเอ่ยก็
ยกมือไหว้เขาอย่างสวยที่สุด "มะแมโง่มากที่ขอพี่
อัคไปอย่างนั้น ขอถอนคำานะคะ และต่อไปจะเป็น
กำาลังให้พี่อัคทุกประการ พี่อัคสั่งให้มะแมทำาอะไร
ก็จะทำา แม้แต่ให้หายไปจากชีวิตพี่อัค เพื่อไม่ต้อง
มาเกะกะขวางตากันอีก"
อัคระหัวเราะเฉื่อย ก่อนจะหันมาจับศีรษะ
คนรักโยกไปมาด้วยความเอ็นดู
"ทำาเป็นพูดดีนะเรา เมื่อเช้ามืดนอนร้องไห้
ตั้งนานใช่ไหมล่ะ?"
มะแมยิ้มนิดๆ แต่ก็ทำาตาแดงๆ ฝ่ามือที่
สัมผัสศีรษะหล่อนอบอุ่นประดุจแสงตะวันปกเกล้า
ชายหนุ่มลดแขนลง หันกลับมาทอดตามอง
น้ำาต่อ
"มาถึงตรงนี้ พี่เรียนรู้อย่างหนึ่ง... ความ
เชื่อมีอิทธิพลยิ่งกว่าความคิด เพราะเมื่อถึงที่สุด
ของความเชื่อ มันทำาให้เรารู้สึกว่าได้ปักหลัก
มั่นคง ต่างจากความคิดที่กลับไปกลับมาได้
ตลอด"
"และสำาหรับพี่อัค ก็เชื่อว่าตัวเองสามารถ
เปลี่ยนแปลงโลกได้ใช่ไหมคะ?"
"โง่ดีไหมล่ะ?"
มะแมสั่นหน้าอย่างแข็งแรง
"เป็นความเชื่อที่บังคับให้คนเราต้องฉลาด
อย่างที่สุดต่างหาก!"
อัคระหรี่ตายิ้มแบบอ่านนัยยาก เงียบเฉย
เป็นครู่ก่อนเอ่ย
"แต่ละคนมีจุดอ่อน และจุดอ่อนของพี่ก็คือ
มะแม" น้ำาเสียงของเขานุ่มเย็น กลมกลืนกับ
สายน้ำาตรงหน้า "แต่จุดอ่อนนั่นเองที่บันดาลให้
ทำาได้ทุกอย่าง หรือไม่ก็ทิ้งได้ทุกอย่าง รู้สึก
เหมือนมะแมขอคำาเดียว พี่ทำาให้ได้หมด"
"ต่อไปนี้ มะแมจะขอให้พี่อัคเป็นตัวของตัว
เองค่ะ..."
หางเสียงสั่นพร่า แต่น้ำาหนักคำามั่นคง ชาย
หนุ่มฟังแล้วถอนใจยาว
"พอคนเราได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้ ถึง
เพิ่งรู้ตัวว่ามีส่วนเกินอยู่เก้า แต่มีสิ่งน่าพอใจจริง
แค่หนึ่ง"
"มันยากที่ใครจะเจอสิ่งน่าพอใจจริงให้ได้
สักชิ้นนี่คะ..."
"พี่เหมือนทำางานหนักมาตั้งแต่เด็ก เหนื่อย
นะ แต่ไม่เคยอยากหยุด"
"เป็นมะแมก็คงไม่อยากหยุด เพราะแค่
ลูกค้าที่เป็นคนธรรมดา มะแมช่วยเปลี่ยนชีวิตให้
พวกเขาได้ยังสนุกอยู่ทุกวัน แล้วพี่อัคเปลี่ยนคนที่
มีอิทธิพลสูงๆกับโลกได้ขนาดนี้ จะรื่นเริงถึงใจสัก
ขนาดไหน"
"ใครบอก?" เขาขัดขรึมๆ "คนมีอิทธิพล
สูงๆน่ะ มะแมน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขี้ยวลากดินกันแค่
ไหน"
"ค่ะ... พอรู้ "
"เอาที่คิดว่ามะแมพอรู้ คูณร้อยเข้าไป นั่น
แหละของจริงที่พี่เจอมา"
หญิงสาวเงียบงัน จ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างเดา
ใจไม่ถูก ปล่อยให้เขาระบายออกมาเองดีกว่า
"ตอนเจอข้อความลึกลับจากพี่ พวกนี้จะส่ง
คนตามสืบแบบกัดไม่ปล่อยว่าพี่เป็นใคร มาจาก
ไหน เพราะถ้าเป็นผู้นำาประเทศ ก็เข้าใจว่าเป็นกล
ลวงของผู้ก่อการร้ายหรือฝ่ายตรงข้าม ถ้าเป็น
พวกมาเฟียใหญ่ ก็จะเข้าใจว่าเป็นแผนล่อของ
ทางการ ส่วนถ้าเป็นผู้นำาศาสนา ก็จะเข้าใจว่า
เป็นฝีมือของจอมซาตานออกโรงเอง เพื่อเริ่มแผน
ปกครองโลกตามคำาทำานาย"
มะแมสยายยิ้มและหยอดเสียงหัวเราะน่ารัก
เพื่อทำาตนเป็นตัวประกอบ เพราะประโยคสุดท้าย
ของเขาถือว่าตลกได้ แต่เมื่อส่งเสียงสั้นๆเสร็จก็
หุบยิ้ม นิลเนตรจับจ้องอัคระเฉยด้วยแววจดจ่อรอ
ฟังนิ่ง
ชายหนุ่มเหลือบตาแลคนรัก แต่พอสบดวง
หน้างามสมส่วนในยามตะวันยอแสง และรู้สึกถึง
รัศมีเสน่ห์ที่ฉายแรงเป็นวงกว้างเพียงแวบเดียว ก็
ชะงัก รีบเบือนหลบไปอีกทาง เยี่ยงคนไม่อยาก
ตกอยู่ใต้อำานาจแห่งมนต์สะกดใดๆ
"บนเส้นทางของพวกมีอิทธิพลกับโลก
แต่ละคนเหมือนมีพลังหนุนลึกลับที่คอยรักษาไว้
ไม่ให้เปลี่ยนแปลงเส้นทางง่ายๆ และเมื่อรวมกัน
หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นคนเข้า ก็ผลักดัน
ให้โลกหมุนตามทิศทางผิดๆอย่างที่เห็นและเป็น
ไป ยากที่ใครจะฝืนต้าน"
"ก็ต้องรอสักยุคไงคะ ที่จะมีคนใจดี มี
อำานาจพอ เข้ามาช่วยปฏิรูป"
อัคระหัวเราะขื่นๆ
"พี่คิดมาระยะหนึ่ง แต่ไม่กล้ายอมรับกับตัว
เอง ว่าน่าจะถูกของเซธ เราหวังช่วยโลกได้ แต่ให้
คิดเปลี่ยนโลกน่ะ มันเกินไป"
"มะแมก็เพิ่งคิดอย่างนี้เมื่อเช้าค่ะ สร้างคน
ง่ายกว่าเปลี่ยนคน สร้างโลกใหม่ง่ายกว่าเปลี่ยน
โลกเก่า"
ชายหนุ่มพยักหน้าหน่อยๆ
"เซธเห็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก และมาถูกทาง
ตั้งแต่ต้น คือสร้างคนในเวลาที่ยังเป็นไม้อ่อนดัด
ง่าย ดีกว่าพยายามฝืนเปลี่ยนตอนเป็นไม้แก่ดัด
ยากไปแล้ว"
"แล้วบอสก็มีเครื่องทุ่นแรงที่ยิ่งใหญ่เสีย
ด้วยนะคะ รวมคนฤกษ์เกิดดีๆไว้ในปกครองได้
มหาศาล คนเราขึ้นต้นมาถ้าดวงดี รายละเอียด
ดีๆก็ตามมาเอง ไม่ต้องออกแรงมาก"
"ความหยั่งรู้ของเซธ พอบวกเข้ากับเครือ
ข่ายซีอุสที่พี่สร้างให้เขาน่ะ ไม่ใช่แค่รู้โดย
ประมาณว่าดวงดีแล้วจะมีอะไรดีๆตามคนๆหนึ่ง
มา แต่รู้ลึกลงไปกระทั่งว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจับ
เอากลุ่มคนดวงดีมาทำางานด้วยกัน โดยวาง
ตำาแหน่งไว้ถูกที่ ถูกเวลา"
"เคยพลาดไหมคะ? มะแมเคยได้ยินว่า
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดในโลกก็ต้องมีข้อ
บกพร่องไม่ใช่หรือ?"
"ซีอุสถูกออกแบบมาให้ไม่พลาด พี่ทดสอบ
อยู่ห้าปีกว่าจะเอามาใช้งานจริง และต่อให้ซีอุส
พลาด ก็มีญาณของเซธคอยกรองอยู่อีกชั้น เวลา
ต้องตัดสินใจครั้งสำาคัญ"
"เรื่องยากถูกทำาให้ง่ายหมดแล้ว แค่รอ
เวลาอย่างเดียว พี่อัคเท่มากเลยนะคะที่อยาก
เหนื่อยต่อ กล้าฉีกทางออกมาลุยกับพวกไม้แก่
ดัดยาก เริ่มต้นนับหนึ่งกับสิ่งที่ไม่อาจพยากรณ์
กันใหม่ "
อัคระยิ้มปลง
"ไม่หรอก... ทบทวนภาพรวมดีๆแล้ว ใน
ที่สุดพี่ก็พบว่าตัวเองตระเวนรอบโลก เพียงเพื่อ
เดินตามรอยเท้าเซธมากกว่าจะสร้างรอยเท้าใหม่
ทั้งหมด หลังๆพี่ก็เน้นสร้างขุมกำาลังที่เป็นเด็กรุ่น
ใหม่ แทนการพยายามเปลี่ยนคนแก่รุ่นเก่าท่า
เดียวเหมือนช่วงแรก"
"คนธรรมดาอยากเปลี่ยนโลกด้วยคำาด่า
แต่พี่อัคอยากเปลี่ยนโลกด้วยการสร้างบารมี ยัง
ไงก็ไม่เหมือนใครอยู่แล้วค่ะ มะแมก็ฝันให้บ้าน
เมืองมีคนใจดีจริงๆมาปกครอง ทวงศีลธรรมกลับ
คืนจากกำามือของนรกมาตั้งนานแล้ว"
ชายหนุ่มตะแคงหน้ามองหญิงสาวยิ้มๆ
"วันนี้ให้กำาลังใจดีจังนะ จะชดเชยที่คืนก่อน
ตัดกำาลังใจกันหรือ?"
มะแมยิ้มตอบและยอมรับหน้าตาเฉย
"ค่ะ!"
"อือม์ ..." เขาเหลือบตามองฟ้าสูง "ถ้า
ไม่ใช่เพราะเกิดมาพร้อมฤทธิ์ระดับเทวดา อย่างที่
เรียกกันว่าพระเจ้าจักรพรรดิในตำานาน โลกนี้ก็
ต้องปกครองกันด้วยความโหดเหี้ยม ไม่ใช่ด้วย
ความใจดี ... ต่อให้มีอำานาจขนาดไหน ก็ใช้ความ
ใจดีได้แค่ในอาณาจักรเล็กๆ แต่ไม่ใช่จะขยาย
อาณาจักรให้ครอบโลกได้ "
"ยังไงพี่อัคก็ต้องพักบ้างนะคะ เดินทางไกล
ต้องหาศาลาร่มๆไว้นั่งเล่นบ้าง"
อัคระส่ายหน้าแช่มช้า เป็นการส่ายหน้าที่
ยืดยาวทีเดียว
"ไม่มีศาลาพักบนเส้นทางนี้หรอก... มีทาง
เดียวคือต้องหยุดเดินแล้วหันหลังกลับบ้านไป
เสีย"
มะแมหูผึ่ง
"นี่พี่อัคหมายความว่ายังไงคะ?"
"พอเจอมะแม... พี่อยากหยุดเสียที "
เขาเปิดใจสารภาพ หญิงสาวไม่อยากเชื่อหู
ถามเสียงสูงอย่างสุดปีติ
"จริงเหรอคะ?"
"ที่พี่รีรอ ไม่ออกมาเจอมะแมเสียนาน ก็
เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ "
หญิงสาวเม้มปากกลั้นยิ้ม ก่อนยกมือลูบต้น
แขนเขาในท่าประจบ
"ไม่หลอกให้ดีใจเล่นนะ?"
"เมื่อคืนพี่ไม่ได้โกรธมะแมหรอกนะ แต่
หลายอารมณ์มันประดังกันเข้ามาจนทึบๆตันๆ
คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะตอบยังไง หรือควรแสดง
ท่าไหน แทบหาทางกลับห้องนอนไม่ถูกด้วยซ้ำา"
"มะแมไม่ดีเอง ไม่น่าทำาให้พี่อัคเสียความ
รู้สึกอย่างนั้นเลย"
"พี่จะเดินทางไปสางเรื่องใหญ่ที่ค้างไว้ให้
เสร็จ จากนั้นจะไม่มีการเดินทางลงพื้นที่จริงรอบ
โลกอีก อย่างมากก็พยายามเปลี่ยนโลกออกมา
จากห้องนอน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น"
"แล้วกว่าจะอยู่กับที่ ไม่เดินทางอีกนี่ ...
นานไหมคะ?"
หญิงสาวลากเสียงสุดท้ายให้ละห้อย
หน่อยๆ
"ก็หวังว่าจะเร็วๆนี้ " เขาตอบแบบเริ่มพะวัก
พะวนเล็กๆ "พี่ไม่อยากโยนอะไรที่สะสมมานาน
ทิ้งน้ำาไปง่ายๆหรอกนะ"
มะแมก้มหน้า แกล้งแต่งจิตให้สลดซึมก่อน
รับอ่อยๆ
"ค่ะ..."
"จวนมืดแล้ว กินข้าวกันแถวนี้ไหม?"
"กลับไปกินที่บ้านได้ไหมคะ บอกให้หยิม
ทำาไว้ "
"ตกลง!"
มะแมขอแวะซื้อกับข้าวเพิ่มอีกสองสาม
อย่างจากตลาดใกล้วัด อัคระตามลงไปช่วยเลือก
ด้วย และนั่นก็เป็นโอกาสให้มะแมจดจำาเป็นครั้ง
แรกว่าเขาชอบผัดเผ็ด ชอบปลาดุกย่าง ชอบน้ำา
พริกปลาทู
อยากสะกดจิตให้เขารู้สึกเหมือนหล่อน
เหลือเกิน ชีวิตคนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกง มี
เวลาอยู่กับดวงหน้าอันเป็นที่รัก ออกจะแสนสุข
แสนสบายขนาดนี้ ไยต้องดิ้นรนเหนื่อยยาก เสีย
เวลาในชีวิตไปกับการเข็นครกขึ้นภูเขาเพื่อความ
สูญเปล่าด้วยเล่า?
หยิมถึงกับอ้าปากหวอเมื่อพบว่าใครเดิน
ตามมะแมเข้าบ้านมาด้วย
"คุณอัคระ! สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีจ้ะน้องหยิม"
เด็กสาวผมสั้นถึงกับดีใจเนื้อเต้นที่เขาเรียก
ชื่อตนถูก
"อุ๊ย! รู้จักชื่อหยิมด้วยเหรอคะ?"
"พี่มะแมของหยิมเขาเรียกให้ฟังบ่อยๆ"
มะแมยื่นถุงกับข้าวให้เด็กสาว
"เอาไปใส่จานซะนะ"
"ค่ะพี่ !"
หยิมลนลานรับอย่างตื่นเต้นไม่หาย ก่อน
เดินเข้าครัวไป ขณะนั้นเด็กหญิงอิ๊กเดินลงมาจาก
ชั้นบน เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกางเกงนอน แสดงว่า
ไปอาบน้ำามาเรียบร้อย
"น้องอิ๊ก มานี่มาลูก"
เรียกเสร็จก็สะอึกนิดหนึ่ง เผลอเรียกอย่างนี้
อีกแล้ว แต่ก็คิดว่าช่างเถอะ นานๆทีไม่เป็นไร
แม่หนูน้อยแก้มยุ้ยจ้องมองบุรุษร่างสูงด้วย
ตาดำาแจ๋วแหววมาแต่ไกล กระทั่งเดินมายืนตรง
หน้าจึงยกมือไหว้โดยไม่ต้องให้มะแมบอก
"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีจ้ะลูก" อัคระทรุดกายลงนั่งชันเข่า
ข้างหนึ่งและฉีกยิ้มกว้าง ทักทายด้วยเสียงอบอุ่น
สดใสแบบคนรักเด็ก "ชื่ออะไรคะ?"
"ชื่ออิ๊กค่ะ"
"เป็นลูกสาวของแม่มะแมเนอะ"
"ค่ะ!"
ฟังเสียงรับซื่อๆนั้นแล้วอัคระก็หัวเราะอย่าง
สำาราญใจ ตรงข้ามกับมะแมที่หน้าชาเพราะทราบ
ว่าถูกแหย่
"ไม่เอา! เป็นน้องสาวของพี่มะแมต่างหาก"
"เอ๊า!" อัคระร้องเบาๆและแกล้งทำาหน้างง
"เมื่อกี๊ได้ยินกับหู เพิ่งเรียกลูกอยู่หยกๆ"
มะแมทำาปากดังจุ๊
"เขาเรียกเด็กอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ พี่อัค
อย่าทำาให้น้องอิ๊กสับสนสิคะ"
"งั้นให้น้องอิ๊กตัดสิน อยากเรียกแม่หรือ
อยากเรียกพี่หือ?"
"อยากเรียกแม่ค่ะ!"
"พี่อัคอ้ะ!"
หญิงสาวหัวเราะถอนฉิว ก่อนเลี่ยงไปนั่งโซ
ฟางอนๆ
อัคระยังคงหัวเราะเรื่อยๆอย่างนึกสนุก แต่
ครู่หนึ่งก็จับไหล่สองข้างของเด็กน้อยแล้วอธิบาย
"คืออย่างนี้นะ พี่มะแมเขากลัวว่าถ้าเดินไป
ไหนมาไหนกับน้องอิ๊ก แล้วโดนน้องอิ๊กเรียกแม่
เดี๋ยวใครต่อใครหันมามอง นึกว่าเขาไม่ใช่สาว
น้อยแล้ว เขาจะอาย เข้าใจไหม?"
หนูอิ๊กขมวดคิ้วหน่อยๆอย่างไม่เข้าใจว่า
ทำาไมต้องอาย
"เอางี้ !" อัคระต่อรอง "ไว้พี่มะแมเขามีลูก
แล้วค่อยเรียกแม่ดีไหม? ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่ว่า
แล้วล่ะ"
"อีกนานไหมคะ?"
"ไม่นานเกินรอ รับรอง!" แล้วก็ยกมือเอา
หัวแม่โป้งชี้อกตัวเอง "แต่คนนี้ไม่ว่านะ อิ๊กอยาก
เรียกอะไรอนุญาตให้เรียกได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย...
ป๊ะป๋าเอาไหม?"
เด็กหญิงจ้องหน้าชายหนุ่มที่ตนไม่เคยเห็น
มาก่อน ก่อนฉีกยิ้มหัวเราะคิก เพราะไม่ไร้เดียง
สาขนาดไม่เข้าใจความนัยที่สื่อมา คือจะให้หล่อน
เป็นลูกของเขากับมะแม
"ตกลงค่ะ!"
อิ๊กรับคำาอย่างง่ายดายและหัวเราะพอใจ ดู
เข้ากันกับอัคระได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ทีแรกมะแม
มองมาด้วยสายตาขุ่นๆ แต่พอได้ยินสองคน
ประสานหัวเราะเริงรื่นราวกับเป็นพ่อลูก สายตาก็
อ่อนโยนลง ริมฝีปากระบายยิ้มออกมาในที่สุด
น้องอิ๊กชักชวนอัคระมาดูรูปที่เธอวาด มัน
เป็นรูปภูเขาสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม และที่พิเศษ
คือมีพระปฏิมาองค์โตนั่งขัดสมาธิบนยอดเขา
โดยดวงตะวันฉายรัศมีอยู่เบื้องหลังองค์พระ
นั่นเอง
อัคระชมว่าเป็นภาพที่มีจินตนาการดี แล้ว
ก็ได้พลังความสว่างด้วย เหมือนพระพุทธเจ้านั่ง
อยู่บนหลังคาโลก สาดส่องแสงธรรมแทนแสง
อาทิตย์ อย่างนี้ถ้าหนูอิ๊กวาดแล้วปลื้มมาก
เป็นสุขมาก ก็แปลว่าได้บุญมากมหาศาลเลย
อิ๊กถามว่าวาดรูปแค่นี้บุญมากได้อย่างไร
อัคระก็อธิบายว่าความสุขความโสมนัสนั่นแหละ
มาตรวัดบุญที่สำาคัญ ทำาอะไรดีๆแล้วมีความสุข
มาก มีความสุขนาน แปลว่าขีดของบุญพุ่งจู๊ด
สำาคัญคือพระพุทธเจ้าเหมือนเครื่องขยาย
บุญขนาดใหญ่ ทำาอะไรให้ใจเป็นบุญเกี่ยวกับ
พระพุทธเจ้าได้ ก็คล้ายตะโกนใส่โทรโข่งยักษ์
เสียงเดิมดังอยู่แล้ว ยิ่งดังไปแปดบ้าน ได้ยินกัน
ทั่ว
ฝ่ายมะแมเอาแต่นั่งพินิจภาพแห่งความสุข
เบื้องหน้า ที่เปิดประสาทหล่อนให้ตื่นเต็มด้วย
ความเต็มตื้น ตาดู หูฟัง และใจสัมผัสทุกราย
ละเอียด ด้วยความปรารถนาจะบันทึกลงไปใน
ความทรงจำาไม่ให้ตกหล่นเลยสักนิด
แต่แล้วสัมผัสที่ละเอียดอ่อนเกินมนุษย์
นั่นเอง ก็รวมเอาทุกสิ่งที่กำาลังปรากฏมาประมวล
ลงเป็นหนึ่งเดียว แล้วก่อความตะครั่นตะครอเนื้อ
ตัวขึ้นมาอย่างประหลาด
สายใยผูกพันระหว่างอัคระกับน้องอิ๊กไม่
เหมือนคนเพิ่งพบกัน คล้ายเป็นพ่อลูกมาตั้งแต่
ต้น แล้วน้องอิ๊กยามอยู่ใกล้อัคระก็แปลกไป ไม่
เหมือนเด็กในอุปการะคนเดิมของหล่อน
ประดุจใครเอาผ้าห่มแห่งความกลัวมาคลี่
คลุม ค่อยๆไล่ตั้งแต่ต้นคอเรื่อยมาจนถึงปลาย
แขน มะแมกะพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งเพ่ง
ภาพตรงหน้าก็ยิ่งเห็นคล้ายเกิดนิมิตซ้อนหลาย
ชั้นให้งงงวย แยกไม่ออกว่าตาฝาดหรือเห็นจริง
กันแน่
อิ๊กเหมือนร่างสูงขึ้น สูงมาก มีพลังมาก
ส่วนอัคระเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เป็นอะไรที่
มะแมตัดสินไม่ถูกว่าแค่ไหน เพียงใด
ขยับตัวนั่งหลังตรง ปิดตาลงลากลมหายใจ
เข้ายาวแล้วระบายออกยาว เพื่อถอนการรับรู้
ภาพและเสียงด้วยหูตาออกให้ทั้งหมด แต่แม้ทำา
เช่นนั้น สุดท้ายสัมผัสทางจิตเกี่ยวกับอิ๊กก็ยังแจ่ม
ชัดอยู่ดี เด็กคนนั้นไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดา แต่ยัง
เป็น... ยังเป็นอะไรกันนะ?
กระแสขมวดมุ่นสงสัยของมะแมแรงจน
เรียกอัคระให้เหลียวมาได้ แล้วจังหวะนั้นหล่อนก็
บังเอิญเปิดเปลือกตาขึ้นพอดี
สบตากันอย่างจัง แรงปะทะทางตานั้นจุด
ประกายให้ถ้อยคำาหนึ่งผุดชัดขึ้นในหัว
น้องอิ๊กคือแผนสองของอัคระ!
ความกลัวแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้บันดาลซ้ำาอีก
ระลอก จิตส่วนลึกคล้ายเห็นเค้าลางทะมึนมืดของ
อะไรบางอย่างข้างหน้า ที่พลิกหลายสิ่งที่ผ่านมา
ให้กลับตาลปัตรไปหมด!
ตาประสานกัน มะแมจ้องลึกอย่างขุดค้น
ขณะที่อัคระเปิดความว่างเปล่าให้ค้นได้ตาม
สบาย หญิงสาวไม่อยากรู้สึกเลยว่าแววว่างชนิด
นั้น คือแววตาจักรพรรดิที่พร้อมจะเห็นทุกคนบน
โลกเป็นตัวหมาก เอาไว้เล่นเกมให้สำาเร็จลุล่วง
ตามเป้าหมายของตนประการเดียว!
______________________________________________________________________________
ขอเชิญดาวน์โหลดเพื่อนำไปแบ่งปัน หรือ นำไปอ่านได้อีกหลายช่องทาง ที่ไม่ต้องออนไลน์ ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ
http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=101&Itemid=278