Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
ภาพประทับใจ => ผนังเก่าเล่าเรื่อง => Topic started by: ppsan on 25 January 2023, 21:33:46
-
ทางช้างเผือก
(https://www.nstda.or.th/sci2pub/wp-content/uploads/2022/05/milkyway-galaxy.png)
เมื่อนึกถึงคำว่า ทางช้างเผือก...เสียงเพลงคู่กรรม ก็แว่วเข้ามาในโสตประสาท...
เห็นภาพ โกโบริ (เบิร์ด ธงไชย) และอังศุมาลิน (กวาง กมลชนก) ล่องลอยมา...
...วิญญาณฉันรอที่ทางช้างเผือก เลือกเธอรักเธอ ไม่ร้างลาไกล...
...ดั่งหิ่งห้อย เฝ้าคอยจนชีพวาย ใต้ลำพู รอคู่กรรม...
เพลง คู่กรรม
คำร้อง/ทำนอง สุทธิพงษ์ วัฒนจัง หรือ "ชมพู ฟรุ๊ตตี้"
เรียบเรียง ศาสสัณฑ์ บุญญาสัย
แต่งเมื่อปี 2533 เป็นเพลงประกอบละคร คู่กรรม
ขับร้องโดย ต้อม เรนโบว์ และกวาง กมลชนก
คู่กรรม เป็นนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมและวีรคติ บทประพันธ์ของ ทมยันตี
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
...
แต่วันนี้ จะมาเล่าตำนานเรื่อง ทางช้างเผือก ในความคิดความฝันและวัฒนธรรม ของชนชาติต่างๆ
ที่ผูกโยงเรื่องราวชีวิตเข้ากับเรื่องทางช้างเผือก จนกลายเป็นตำนานอมตะ โดยเริ่มจาก...
ชนชาติกรีกโบราณ เล่าสืบกันมาว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เทพเจ้าเซอุส (Zeus) ราชาแห่งเทพกรีก ได้แอบ มเหสีเฮรา (Hera)
ไปหาหญิงสาวที่เป็นมนุษย์ชื่อ อัลมีน (Alcmene) จนมีลูกชายเป็นเด็กทารกชื่อ เฮราคลีส (Heracles)
(https://www.nstda.or.th/sci2pub/wp-content/uploads/2022/05/Milky-way01.jpg)
ภาพ The Origin of the Milky Way โดย Tintoretto ประมาณปี พ.ศ. 2118-2123
ที่มาภาพ Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/Milky_Way
เซอุส อยากให้เฮราคลีสเป็นอมตะด้วยการดื่มนมของมเหสีเฮรา แต่เฮราขี้หึงมาก
ถ้าเฮรารู้ว่าเฮราคลีสเป็นลูกของกิ๊กเซอุส เฮราก็คงไม่ปล่อยเฮราคลีสไว้แน่ ดังนั้นเซอุสจึงวางแผน
คืนหนึ่งขณะที่เฮรากำลังหลับ เซอุสแอบอุ้มเฮราคลีส ย่องเข้ามา แล้วให้เฮราคลีสดื่มนมเฮรา
พอเฮรารู้สึกตัวตื่นขึ้นก็ตกใจ ที่จู่ๆ มีเด็กทารกที่ไหนก็ไม่รู้ มาดื่มนมของตน จึงผลักเฮราคลีสกระเด็นออกไป
เฮราคลีสได้ดื่มนมของเฮรา แล้วมีพลังเช่นเทพเจ้าจึงไม่เป็นอะไร แต่ระหว่างที่ผลักนั้น เฮราคลีสกำลังดูดนมอยู่
จึงทำให้นมของเฮรา หกราดไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นทางน้ำนม (Milky Way) หรือคนไทยเรียกว่า “ทางช้างเผือก”
เนื่องจากคนไทยเห็นเป็นทางบนสวรรค์ที่ช้างเผือกเดินอยู่ (ช้างเผือกเป็นสัตว์มงคล)
...
ตำนานของชนชาติจีน
(https://www.nstda.or.th/sci2pub/wp-content/uploads/2022/05/Milky-way02.jpg)
ภาพชายเลี้ยงวัวเหาะตามหญิงทอผ้า แต่มีแม่น้ำกว้างใหญ่บนท้องฟ้าขวางกั้นไว้
ที่มาภาพ หนังสือ สตรีจีนในนิทาน แปลโดย วันทิพย์ สำนักพิมพ์สายใจ หน้า 31
คนจีนเห็นทางช้างเผือกเป็นแม่น้ำบนสวรรค์ มีนิทานเรื่อง “หญิงทอผ้ากับชายเลี้ยงวัว” เล่าว่า
ชายเลี้ยงวัวได้พบรักกับหญิงทอผ้าที่เป็นนางฟ้าจากสวรรค์ ที่แอบหนีมาเที่ยวเล่นที่โลกมนุษย์
ทั้งสองได้แต่งงานและมีลูกด้วยกัน 2 คน
หญิงทอผ้าเคยมีหน้าที่ทอผ้า แล้วนำไปประดับติดบนท้องฟ้าเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า
และดวงอาทิตย์ตกตอนเย็น เมื่อเธอไม่อยู่บนสวรรค์ ท้องฟ้าจึงขาดสีสัน
เทพสวรรค์ออกตามหาหญิงทอผ้าจนพบ แล้วพาเธอเหาะกลับสวรรค์
ชายเลี้ยงวัวได้นำหนังวัววิเศษมาห่ม ทำให้เหาะได้ พาลูกทั้งสองใส่ตะกร้าหาบ แล้วเหาะตามมา
เทพสวรรค์ได้เสกให้เกิดแม่น้ำกว้างใหญ่บนท้องฟ้า ทำให้ชายเลี้ยงวัวไม่สามารถเหาะข้ามไปได้
ต่อมาเทพสวรรค์เห็นแก่หญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวที่มีความรักมั่นคงต่อกัน จึงใจอ่อน
ยอมให้ทั้งสองได้พบกันปีละครั้ง ทุกวันที่ 7 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน
ในวันนั้น เหล่านกจะมาต่อตัวเป็นสะพาน ให้คู่รักคู่นี้ ได้เดินข้ามแม่น้ำมาพบกัน
แม่น้ำบนท้องฟ้านั้นคือ ทางช้างเผือก หญิงทอผ้าคือ ดาวเวกา (Vega) ในกลุ่มดาวพิณ (Lyra)
และชายเลี้ยงวัวคือ ดาวอัลแทร์ (Altair) ในกลุ่มดาวนกอินทรี (Aquila) ดาวทั้งสองจะอยู่ข้างทางช้างเผือก
ปัจจุบันยังมีเทศกาลฉลองวันที่คู่รักทั้งสองมาพบกันเรียกว่า เทศกาลชิซี (Qixi 七夕)
เมื่อญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมจีนเรื่องนี้ ก็จัดเทศกาลเช่นกันเรียกว่า เทศกาลทานาบาตะ (Tanabata たなばた)
...
ส่วนชาวอินเดียเรียกทางช้างเผือกว่า แม่น้ำคงคาสวรรค์ ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง “กามนิต”
ว่ากามนิตและวาสิฏฐีคู่รัก เมื่อตายแล้วจะไปพบกันที่นั่น เช่นเดียวกับโกโบริและอังศุมาลินในเรื่อง “คู่กรรม” ของทมยันตี
และทางช้างเผือกของอินเดีย ยังเป็น "แม่น้ำจากสวรรค์" ที่ไหลมาบรรจบกันกับแม่น้ำคงคา และยมุนา เป็นแม่น้ำ 3 สาย
ที่เรียกว่า "จุฬาตรีคูณ" ในนวนิยายของพนมเทียน อีกด้วย
...
(https://www.nstda.or.th/sci2pub/wp-content/uploads/2022/05/Milky-way03.jpg)
ภาพลำแสงเลเซอร์ส่องไปที่ใจกลางทางช้างเผือก ถ่ายจากหอดูดาว Very Large Telescope (VLT) ประเทศชิลี โดย Yuri Beletsky
ที่มาภาพ NASA https://apod.nasa.gov/apod/ap190106.html
...
ในทางดาราศาสตร์ ทางช้างเผือกคือ กาแล็กซี่ (galaxy) หรือดาราจักร ที่โลกเราเป็นสมาชิกอยู่
คำว่า galaxy มีรากศัพท์จากภาษากรีกว่า galaxias (γαλαξίας) แปลว่า นม มาจากนิทานเรื่องทางน้ำนมกับเฮราคลีส
กาแล็กซี่ คือระบบดาวที่อยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ประมาณว่ากาแล็กซี่ทางช้างเผือก มีดาวฤกษ์ (คือดาวที่เหมือนดวงอาทิตย์)
อยู่ประมาณ 1-4 แสนล้านดวง มีลักษณะเป็นก้นหอยมีคาน (barred spiral galaxy) เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 แสนปีแสง
(1 ปีแสงเท่ากับ 9.46 ล้านล้านกิโลเมตร) คาดว่าตรงกลางทางช้างเผือก เป็นหลุมดำขนาดใหญ่ โชคดีที่โลกของเรา
ไกลห่างจากจุดศูนย์กลางทางช้างเผือกประมาณ 28,000 ปีแสง โลกและดวงอาทิตย์ต้องใช้เวลาประมาณ 230 ล้านปี
ถึงจะโคจรรอบกาแล็กซี่ทางช้างเผือก
(https://www.nstda.or.th/sci2pub/wp-content/uploads/2022/05/Milky-way05.jpg)
ภาพวาดทางช้างเผือก มองจากด้านบน ดวงอาทิตย์จะอยู่ค่อยมาทางด้านล่าง
ที่มาภาพ NASA https://solarsystem.nasa.gov/resources/285/the-milky-way-galaxy/?category=solar-system_beyond
คาดว่าในจักรวาล มีกาแล็กซี่ทั้งหมดประมาณ 2 แสนล้าน ถึงมากกว่า 2 ล้านล้านกาแล็กซี่ในจักรวาลหรือเอกภพ
เราสามารถมองเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่า ตอนผมเป็นเด็กเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว (แฮร่...เด็กแก่)
ในชนบท สามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ ในคืนที่ท้องฟ้ามืด และในพื้นที่ที่มืดสนิทไกลจากแสงไฟในเมือง
แต่ปัจจุบันคงหาดูได้ยาก อันเนื่องมาจาก มลพิษแสง (light pollution) ที่เกิดจากแสงไฟฟ้าที่สว่างไสวไปทั่วไทย
ดาวทุกดวงที่เรามองเห็นบนท้องฟ้านั้น ล้วนอยู่ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก แต่ทางช้างเผือกที่เราเห็นเป็นแถบคล้ายเมฆนั้น
เกิดจากมุมมองจากโลกที่มองเห็นด้านข้างของทางช้างเผือก เปรียบทางช้างเผือกเหมือนจานกินข้าว ถ้าเรามองด้านบน
จะเห็นจานกลม แต่ถ้ามองจานด้านข้าง จะเห็นเป็นเส้น
ตรงบริเวณใจกลางทางช้างเผือก (Galactic Center) ในกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) ใกล้กลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius)
และกลุ่มดาวคนแบกงู (Ophiuchus) เป็นบริเวณที่จะเห็นทางช้างเผือก มีดาวหนาแน่นที่สุด หรือสวยงามที่สุด
จึงนิยมถ่ายภาพทางช้างเผือกให้เห็นบริเวณใจกลาง
ทางช้างเผือกอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา แต่บริเวณใจกลางจะเห็นเวลากลางคืน ประมาณปลายเดือนมกราคม
ตอนเช้ามืดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ตอนหัวค่ำทางทิศตะวันตกเฉียงใต้