Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
เรื่องราวน่าอ่าน => หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง => Topic started by: ppsan on 23 December 2021, 17:28:08
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 61
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-61.html
(https://1.bp.blogspot.com/-wjVRdD8kajo/W_lOefkvxAI/AAAAAAAAs_0/d141sS2ZjQYT5Zug81SkARS8fu2NbQmRACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2591.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 61
เนื้อหา
• กวนอูถูกตีกระหนาบยับเยิน
• กวนอูหนีไปอยู่เมืองเป๊กเสีย
• ซุนกวนให้ไปเกลี้ยกล่อมกวนอู
• ซุนกวนจับกวนอูได้ให้ฆ่าเสีย
• อสุรกายกวนอู
• ซุนกวนให้เอาศีรษะกวนอูไปให้โจโฉ
ฝ่ายกวนอูซึ่งยกกองทัพไปตั้งอยู่กลางทางเมืองเกงจิ๋ว ปรึกษาแก่เตียวลุยว่า บัดนี้ทหารซุนกวนตั้งสกัดทางอยู่ข้างหลัง เหล่าทหารโจโฉก็ตั้งคอยอยู่ เรามาตั้งในหว่างข้าศึก กองทัพซึ่งเราให้ไปขอก็ยังไม่มา เราจะคิดอ่านประการใดดี เตียวลุยจึงว่า เมื่อครั้งลิบองมาตั้งอยู่ที่ลกเค้านั้น ก็ให้หนังสือมาถึงท่านว่า จะให้เล่าปี่กับซุนกวนปรองดองกันจะไปกำจัดโจโฉเสีย บัดนี้ลิบองกลับเข้าด้วยกับโจโฉ ขอท่านแต่งทหารไปต่อว่าลิบอง ๆ จะตอบมาประการใด กวนอูได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือไป
ฝ่ายลิบองรู้ว่าทหารกวนอูมาถึงจึงออกไปรับเข้ามา ผู้ถือหนังสือคำนับแล้วก็ส่งหนังสือให้ลิบอง ๆ แจ้งในหนังสือแล้วจึงว่า อันเรากับกวนอูแต่ก่อนชอบอัชฌาสัยรักใคร่กันโดยสุจริต ซึ่งกวนอูมาว่าทั้งนี้เรามิได้เปนใหญ่แก่ตัวเรา ๆ ยังหารู้แห่งจะตอบไปได้ไม่ ท่านจงไปบอกให้คิดดูแต่ชอบเถิด ลิบองว่าดังนั้นแล้วจึงให้แต่งโต๊ะให้ผู้ถือหนังสือกิน แล้วให้ไปอยู่ตึกรับแขกเมือง
ฝ่ายบุตรภรรยาทหารทั้งปวงแลภรรยากวนอู ต่างคนต่างก็มาถามข่าวซึ่งไปทัพนั้น ต่างคนก็ฝากเข้าของไปถึงผัวแล้วสั่งให้ไปบอกว่าเราทั้งปวงอยู่ดีกินดีดอก ลิบองหาให้ผู้ใดทำอันตรายไม่ ฝ่ายทหารซึ่งมานั้นคำนับลาลิบองแล้ว ก็ออกจากเมืองกลับไปแจ้งแก่กวนอูตามคำลิบองว่ามา แล้วจึงบอกว่าบุตรภรรยาของท่านแลทหารทั้งปวง ก็อยู่ดีหามีอันตรายไม่ กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งลิบองทำเปนมิตรมาแต่ก่อนนั้นเปนอุบายสิ้นทั้งนั้น ถ้าเราตายเสียแล้วก็แล้วไป ถ้ายังมิตายจะคิดฆ่าลิบองเสียให้ได้ แล้วจึงตวาดขับผู้ถือหนังสือให้ออกไปจากค่าย
ฝ่ายผู้ถือหนังสือนั้นก็ออกมา ทหารทั้งปวงจึงมาถามข่าวผู้ถือหนังสือว่า ครอบครัวแลบุตรภรรยาเราซึ่งอยู่ ณ เมืองเกงจิ๋วนั้น เขาทำประการใดบ้าง ผู้ถือหนังสือจึงบอกว่า เปนสุขอยู่สิ้นหาอันตรายมิได้ ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็มีความยินดีพร้อมกัน คิดถึงคุณลิบองนัก
ขณะนั้นกวนอูยกเข้ามาจะรบเอาเมืองเกงจิ๋วคืน ทหารทั้งปวงไม่เต็มใจต่างคนต่างก็หนีเข้าหาครอบครัวในเมืองเกงจิ๋วเปนอันมาก กวนอูเห็นทหารหนีเข้าไปในเมืองดังนั้นก็โกรธ จึงพาทหารที่ยังเหลือยกมาจะตีเอาเมืองเกงจิ๋วให้ได้ ครั้นยกมาจากที่นั่นแล้ว พอได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง มีทหารซุนกวนพวกหนึ่งชื่อจิวขิม คุมทหารหมวดหนึ่งมาตั้งสกัดอยู่กลางทาง เห็นกวนอูมาจึงขี่ม้ารำทวนเข้ามา แล้วจึงร้องว่าแก่กวนอูว่า เหตุใดท่านจึงไม่เร่งมาเข้าด้วยเรา ท่านจะคิดประการใด
กวนอูได้ยินดังนั้นจึงว่า เราเปนทหารพระเจ้าเล่าปี่ เราจะไปยอมเข้าด้วยราชศัตรูไม่ควร ว่าดังนั้นแล้วก็เร่งควบม้าเข้ารบกับจิวขิมไม่ทันถึงสามเพลง จิวขิมทำเปนแพ้ชักม้าหนี กวนอูก็ขับม้าไล่ติดตามไปได้สองร้อยเส้น มีทหารซุนกวนสองนายชื่อฮันต๋งจิวท่าย ตั้งสกัดอยู่ที่ริมทางทั้งสองข้าง ครั้นเห็นกวนอูควบม้าไล่จิวขิมมาตามทางดังนั้นก็โห่ร้องพร้อมกันออกตี กระหนาบกวนอู
ฝ่ายจิวขิมควบม้าหนีกวนอูไป ครั้นเห็นพวกกันซึ่งอยู่ในซอกเขาออกมาช่วยดังนั้นก็มีน้ำใจ ชักม้ากลับมารบกับกวนอู ๆ ก็ตกใจกลับม้าหนีมาเชิงเขาทิศใต้ จึงแลเห็นคนอยู่บนเนินเขามีธงขาวปักอยู่ เขียนเปนอักษรสี่ตัวว่าชาวเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายทหารซึ่งอยู่บนเนินเขานั้นแลเห็นกวนอูมาจึงร้องว่า แม้ใครเปนชาวเมืองเกงจิ๋วก็ให้เร่งขึ้นมาสมัคอยู่ด้วยเรา กวนอูครั้นได้ยินทหารร้องว่ามาดังนั้นก็โกรธ เร่งขับม้าจะขึ้นไปฆ่าคนทั้งปวงเสีย ฝ่ายซิเซ่งเตงฮองซึ่งคุมทหารอยู่ที่ซอกเขาสองข้างทาง ครั้นเห็นกวนอูจะขึ้นไปไล่คนบนเนินเขาดังนั้น ก็พาทหารออกสกัดหน้าไว้มิให้ไปได้ พอจิวขิมฮันต๋งจิวท่ายไล่ติดตามกวนอูมา ครั้นเห็นซิเซ่งกับเตงฮองสกัดหน้าไว้ ก็รีบหนุนหุ้มหลังล้อมกวนอูไว้ กวนอูครั้นเห็นข้าศึกเข้าล้อมดังนั้น ก็ให้ทหารเร่งรบพุ่งมิได้หยุดหย่อน
ฝ่ายทหารทั้งปวงครั้นคํ่าแล้ว คิดถึงบุตรภรรยาก็ชวนกันหนีเล็ดลอดเปลืองไปเปนอันมาก กวนอูห้ามไว้ได้สามร้อยเศษรบต้านทานไปถึงเวลาเที่ยงคืน พอกวนเป๋งกับเลียวฮัวซึ่งเปนกองหลังยกตามมาทัน เห็นกวนอูเข้าอยู่ในที่ล้อม ก็ขับทหารโห่ร้องรบเข้าช่วยแก้กวนอูออกจากที่ล้อมได้แล้ว กวนเป๋งจึงว่าแก่กวนอูว่า ทหารเราบัดนี้ก็อิดโรยบอบชํ้าอยู่แล้ว ควรเราจะไปตั้งอยู่ ณ เมืองเป๊กเสีย ซึ่งเปนเมืองน้อยแต่มีคูและกำแพงมั่นคงพอจะป้องกันอันตรายได้ กว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะมาทัน
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงพาทหารล่าทัพมาถึงเมืองเป๊กเสีย แล้วให้รักษาเมืองไว้มั่นคง แล้วจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า การศึกครั้งนี้ถึงอับจนแล้วผู้ใดจะคิดประการใดบ้าง เตียวลุยจึงว่า ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเราจะตั้งอยู่ที่นี้ ควรเราจะใช้ทหารไปขอกองทัพให้เร่งยกมาช่วยจึงจะอยู่เมืองเป๊กเสียได้ ขณะเมื่อพูดกันอยู่นั้นพอทหารซุนกวนยกตามมาทันล้อมเมืองเข้าไว้ทั้งสี่ด้าน กวนอูครั้นรู้ดังนั้นจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ข้าศึกมาล้อมไว้ดังนี้ ทหารผู้ใดจะอาสารบออกไปขอกองทัพเมืองซงหยงได้
เลียวฮัวจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปให้ได้ กวนเป๋งจึงว่า ซึ่งเลียวฮัวจะอาสารบออกไปนั้น ข้าพเจ้าจะขออาสาป้องกันออกไปส่งมิให้มีอันตราย กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงเขียนหนังสือให้เลียวฮัวเปนใจความว่า บัดนี้ซุนกวนยกทหารมารบกับเราประชิดกันอยู่ ให้เล่าฮองเบ้งตัดเร่งยกมาช่วยเปนการเร็ว กวนเป๋งกับเลียวฮัวลากวนอูแล้ว ก็เปิดประตูพากันออกไปพบเตงฮองซึ่งมาตั้งล้อมอยู่นั้น มาสกัดกวนเป๋งกับเลียวฮัวไว้ก็เข้ารบพุ่งกันกับเตงฮอง ๆ สู้มิได้ก็ถอยหนี เลียวฮัวนั้นก็ออกไปได้ กวนเป๋งนั้นก็กลับคืนเข้าเมือง
ฝ่ายเล่าฮองเบ้งตัดมาตีเมืองซงหยง ซินตำเจ้าเมืองไม่ต่อสู้ พาทหารออกมายอมเข้าด้วย เมื่อได้เมืองแล้วพระเจ้าเล่าปี่จึงตั้งให้อยู่รักษาเมืองซงหยงด้วยกันทั้ง สองคน ครั้นรู้ว่ากวนอูพ่ายแพ้แก่ข้าศึกมา เล่าฮองเบ้งตัดนั้นวิตกนัก จึงปรึกษากันว่าเราจะคิดประการใด ครั้นพูดกันดังนั้นแล้ว พอเห็นเลียวฮัวเข้ามาคำนับจึงถามว่าท่านมานี้มีเหตุประการใด เลียวฮัวจึงเล่าความแต่หลังให้ฟัง
เล่าฮองได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่เลียวฮัวว่า เราจะขอยับยั้งปรึกษากันก่อน ว่าดังนั้นแล้วจึงให้เลียวฮัวไปอยู่ตึกแขกเมือง เล่าฮองจึงปรึกษากับเบ้งตัดว่า กวนอูผู้เปนอาว์ของเราบัดนี้ยกมาอยู่เมืองเป๊กเสีย ซุนกวนให้ทหารยกทัพมาล้อมไว้เปนที่อับจนอยู่แล้ว ใช้ให้เลียวฮัวมาขอกองทัพไปช่วย ท่านจะเห็นประการใด
เบ้งตัดจึงว่า ทหารกังตั๋งนั้นมีกำลังนัก ในแว่นแคว้นเมืองเกงจิ๋วทั้งเก้าหัวเมืองเสียแก่ข้าศึกสิ้นแล้ว สาอะไรกับเมืองเป๊กเสียนิดหนึ่งเท่านี้ อนึ่งได้ยินว่าโจโฉยกกองทัพมาสี่สิบห้าสิบหมื่นตั้งอยู่ที่ทุ่งคอโผ อันเราจะยกไปนั้นเห็นจะต้านทานมิได้ เล่าฮองจึงว่าเราก็คิดเห็นดังนั้นอยู่ แต่อันกวนอูเปนอาว์ของเรา ครั้นจะนิ่งอยู่มิยกไปช่วยก็เห็นหาบังควรไม่ เบ้งตัดจึงหัวเราะแล้วว่าท่านคิดถึงกวนอูว่าเปนอาว์ กลัวแต่ว่ากวนอูจะหาคิดว่าท่านเปนหลานไม่ ครั้งก่อนข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่า พระเจ้าเล่าปี่เอาท่านมาไว้เปนบุตรเลี้ยง กวนอูมีความริษยาหาสบายใจไม่ เมื่อเล่าปี่ได้เปนเจ้าเมืองฮันต๋งขึ้นแล้ว จึงปรึกษาขงเบ้งว่า เราจะตั้งเล่าฮองบุตรเลี้ยงของเราให้เปนเจ้าต่างกรมท่านจะเห็นประการใด
ขงเบ้งจึงทูลว่า อันการนี้ข้าพเจ้าหารู้ที่จะว่าด้วยไม่ ขอพระองค์จงปรึกษากวนอูกับเตียวหุย ซึ่งเปนพระญาติพระวงศ์เถิด พระเจ้าเล่าปี่จึงให้หากวนอูมาว่า เราจะให้เล่าฮองเปนเจ้าต่างกรมท่านจะเห็นประการใด กวนอูได้ฟังดังนั้นมีความริษยาทูลว่า เล่าฮองนี้เปนคนโง่เง่าหาชาติตระกูลมิได้ อันจะให้เปนเจ้าต่างกรมนั้นไม่สมควร แม้ถึงจะทำราชการอยู่ในเมืองเล่าก็หาไว้ใจได้ไม่ พระองค์จงให้ออกไปอยู่เมืองซงหยง แลเนื้อความอันนี้ก็ยังแจ้งอยู่กับคนทั้งปวงสิ้น บัดนี้ท่านจะมารักกวนอูนั้นท่านลืมไปแล้วหรือ
เล่าฮองจึงว่า ซึ่งท่านว่านั้นก็เปนความจริงอยู่สิ้น แลซึ่งกวนอูใช้ทหารมานี้เราจะคิดอ่านบิดพลิ้วประการใด เบ้งตัดจึงว่า ท่านจงให้เลียวฮัวกลับไปบอกกวนอูว่า บัดนี้บ้านเมืองก็พึ่งตั้งใหม่ทหารทั้งปวงก็ยังหาบริบูรณ์พรักพร้อมไม่ แลซึ่งจะยกกองทัพไปช่วยท่านเปนการเร็วนั้นยังขัดสนอยู่
เล่าฮองได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ครั้นเช้าขึ้นจึงให้หาเลียวฮัวเข้ามาแล้วจึงว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่กวนอูเถิด ว่าเราพึ่งมารักษาเมืองใหม่ทหารยังร่วงโรยหาพรักพร้อมกันไม่ ซึ่งจะยกไปช่วยนั้นยังขัดสนอยู่ท่านอย่าน้อยใจเราเลย เลียวฮัวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเอาสีสะกระทบลงกับที่นั้นจนโลหิตไหลจึงว่า ซึ่งท่านมาตัดรอนไม่ยกไปช่วยครั้งนี้ กวนอูจะมิเปนอันตรายเสียหรือ
ฝ่ายเบ้งตัดจึงตอบว่า อันข้าศึกซึ่งจะเข้ามาทำการ ณ เมืองเกงจิ๋วครั้งนี้ อุปมาเหมือนกองไฟอันใหญ่ แลซึ่งจะให้เรายกไปช่วยนั้น เหมือนหนึ่งจะเอานํ้าในจอกอันน้อยไปดับไฟกองใหญ่นั้นจะดับหรือ ท่านจงเร่งกลับไปคอยท่ากองทัพเมืองเสฉวนเถิด เลียวฮัวได้ฟังเบ้งตัดแลเล่าฮองว่าดังนั้นก็น้อยใจ จึงร้องไห้วิงวอนด้วยถ้อยคำต่าง ๆ เล่าฮองเบ้งตัดได้ฟังดังนั้นมิได้ตอบประการใด ลุกขึ้นสบัดเสื้อเดิรเข้าไปข้างใน เลียวฮัวเห็นดังนั้นก็น้อยใจ ลุกออกมาด่าด้วยคำหยาบช้า แล้วก็ขึ้นม้าตรงไปหาพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งอยู่ ณ เมืองเสฉวนนั้น
ฝ่ายกวนอูอยู่เมืองเป๊กเสียกับทหารห้าร้อยหกร้อย แต่ตั้งใจคอยกองทัพซึ่งให้เลียวฮัวไปขอกองทัพเล่าฮอง ณ เมืองซงหยงนั้นก็ยังมิ ได้เห็นมา ทั้งสเบียงก็ขัดสน ทหารทั้งปวงก็บอบชํ้าเจ็บป่วยเปนอันมาก ขณะนั้นพอได้ยินเสียงจูกัดกิ๋นร้องเข้ามาแต่นอกกำแพงว่า อย่ายิงเรา ๆ จะเอาเนื้อความเข้ามาแจ้งแก่ท่าน กวนอูได้ยินดังนั้นก็ห้ามทหารมิให้ยิงเกาทัณฑ์ จูกัดกิ๋นเข้าไปคำนับกวนอูแล้วจึงว่า บัดนี้ซุนกวนใช้ให้ข้าพเจ้ามาเที่ยวเกลี้ยกล่อม ข้าพเจ้าจะขอว่าแก่ท่านสักข้อหนึ่ง โบราณท่านย่อมว่า อันเกิดมาเปนคนให้รู้จักที่ได้ที่เสีย คิดอ่านรักษาตัวอย่าให้มีอันตรายได้ อันตัวท่านนี้แต่ก่อนเปนใหญ่ในเมืองเกงจิ๋ว บัดนี้เมืองเกงจิ๋วแลหัวเมืองทั้งเก้าซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋วนั้นก็เสียแก่ ข้าศึกสิ้นแล้ว ท่านมาอยู่ในเมืองเป๊กเสียนี้ทหารก็น้อยทั้งสเบียงก็ขัดสน แลกองทัพซึ่งจะยกมาช่วยนั้นก็ไม่มี ท่านจงสมัคไปอยู่กับซุนกวนเถิด เห็นว่าท่านจะได้ไปอยู่เมืองเกงจิ๋วกับบุตรภรรยาญาติของท่านเปนปรกติเหมือน แต่ก่อน ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ขอท่านจงคิดดูให้ควรเถิด
กวนอูได้ฟังจูกัดกิ๋นว่าดังนั้น ก็มิได้หวาดหวั่นไหวน้ำใจเปนปรกติอยู่ จึงตอบว่า เราเปนชายชาติทหารชาวเมืองไก่เหลียง อันพระเจ้าเล่าปี่ก็ได้ให้ความสัตย์ปฏิญาเปนพี่น้องกัน จะสู้เสียชีวิตด้วยกัน อันเราจะกลับไปเข้าด้วยศัตรูนั้นหามิได้ ถึงเราจะแพ้ก็จะขอตายด้วยความสัตย์ ขึ้นชื่อว่าชาติแก้วแล้วถึงจะแตกจะทำลายก็ไม่หายชื่อ อนึ่งชาติไม้ก็คงเปนไม้หากลายเปนอื่นไม่ ถึงตัวเราจะตายก็ให้ปรากฎชื่อไปภายหน้า ท่านอย่าพักว่าไปเลยจงกลับไปบอกซุนกวนเถิด เราจะขอทำสงครามด้วยท่านกว่าจะสิ้นชีวิต
จูกัดกิ๋นจึงว่า อันน้ำใจของซุนกวนคิดจะใคร่ได้เปนไมตรีกับท่านโดยสุจริต จะได้ช่วยกันทำการกำจัดโจโฉ เปนไรท่านจึงมาถือสัตย์อยู่ฉนี้ กวนเป๋งได้ยินดังนั้นก็ชักกระบี่ออกจะฆ่าจูกัดกิ๋น กวนอูยึดเอากระบี่ไว้แล้วจึงห้ามว่า ซึ่งจะฆ่าจูกัดกิ๋นเสียนี้มิได้ ด้วยขงเบ้งผู้น้องชายทำราชการอยู่ในพระเจ้าเล่าปี่ ถ้ารู้ไปเขาจะขัดใจผูกพยาบาทว่าเราฆ่าพี่เขาเสีย ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็ให้ทหารเอาตัวจูกัดกิ๋นนั้นออกไปเสีย
ฝ่ายจูกัดกิ๋นได้ความอัปยศแก่ทหารทั้งปวง ก็กลับไปหาซุนกวนจึงบอกว่า อันกวนอูนี้ดีจริง เปนคนใจหนักแน่นมีกตัญญูตั้งอยู่ในความสัตย์ ซุนกวนจึงว่า เขามีความสัตย์อยู่ฉะนี้เราจะคิดประการใดดี ลิห้อมจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอจับยามดู ถ้ากวนอูทำศึกแก่ท่านจะแพ้แลชนะประการใดก็จะรู้ ซุนกวนก็ให้จับยามดู ลิห้อมจึงทายว่า ในเศษยามนี้ว่าข้าศึกจะหนีไปทางไกล ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับลิห้อมว่า ในยามว่าข้าศึกจะหนีไปทางไกล เราจะคิดอุบายประการใดจึงจะจับข้าศึกได้
ลิบองหัวเราะแล้วจึงว่า ในยามทายว่าข้าศึกจะหนีก็ชอบด้วยอุบายของข้าพเจ้า อันกวนอูอุปมาเหมือนดังนกขังอยู่ในกรง ซึ่งจะพ้นมือไปหามิได้ ทั้งทหารก็น้อยแล้วอิดโรยอยู่ อันจะหนีไปทางใหญ่เห็นจะไม่ไป ฝ่ายทิศอุดรเมืองเป๊กเสียมีหนทางน้อยแห่งหนึ่งเปนทางลัด แต่ก่อนกันดารด้วยมีซอกห้วยเหวเขามาก เปนทางเดิรยากก็จริง แต่ข้าพเจ้าเห็นว่ากวนอูจะไปทางนั้น ขอท่านให้จูเหียนคุมทหารห้าพันไปอยู่ทางนั้น ถ้ากวนอูหนีออกไปอย่าให้สกัดไว้ ด้วยกวนอูมีกำลังมากอยู่ ถ้ากวนอูล่วงไปหน่อยหนึ่งแล้วจึงให้ทหารโห่ร้องไล่ฆ่าฟันติดตามไป อนึ่งให้พัวเจี้ยงคุมทหารห้าร้อยให้คอยอยู่เชิงเขาเจาสันอันเปนปลายทางนั้น ให้คิดอ่านหาอุบายที่จะจับกวนอูให้จงได้ เห็นว่ากวนอูจะอ่อนกำลังลงแล้ว ในเวลาคํ่าวันนี้ท่านจงเร่งทหารให้เข้าหักทำลายประตูเมืองเปนสามารถ เห็นว่ากวนอูแลทหารทั้งปวงจะหนีไปมั่นคง
ซุนกวนได้ฟังลิบองว่าดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้ลิห้อมจับยามดูตามตำรา ลิห้อมจึงทายว่าเวลาวันนี้ศัตรูจะหนีออกจากเมืองไปโดยทิศอุดร เวลากลางคืนวันนี้จะจับได้เปนมั่นคง ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงสั่งให้จูเหียนพัวเจี้ยงคุมทหารไปตามคำลิบองว่า จูเหียนก็คุมทหารห้าพันยกไปซุ่มอยู่ริมหนทางนั้น ฝ่ายพัวเจี้ยงนั้นคุมทหารห้าร้อยยกไปถึงเขาเจาสันเห็นซอกเขาแคบแห่งหนึ่ง สองข้างทางนั้นรกชัฏ พัวเจี้ยงจึงให้ขุดหลุมใหญ่สกัดทางไว้ แล้วปิดด้วยใบไม้ จึงขัดแร้วเท้าม้าไว้ริมซุ้มข้างต้นทางที่จะไปนั้น ครั้นเวลาคํ่าซุนกวนก็จัดแจงทหารซึ่งมีฝีมือเปนอันมากเข้าหักทำลายประตู เมืองเปนสามารถ
ฝ่ายกวนอูเห็นข้าศึกหักโหมมีกำลังกว่าทุกที จึงจัดแจงทหารป้องกันประตู เห็นทหารก็น้อยมีแต่สามร้อยเศษ ขณะนั้นพอได้ยินทหารซุนกวนร้องเรียกชื่อทหารซึ่งเปนพี่น้องกันแลมิตรสหายให้ ออกมาจากเมือง ทหารทั้งปวงก็ปีนกำแพงเมืองหนีออกไปเปนอันมาก ทหารเกณฑ์รบนั้นก็เบาบาง กองทัพหนุนซึ่งมีหนังสือให้ไปขอมาช่วยนั้นก็ยังมิมาถึง จะคิดอ่านกลศึกแก้ไขตัวประการใดก็ไม่เห็นอุบาย จึงว่าแก่ฮองฮูว่า เรารำลึกถึงคำท่านว่าแก่เราแต่ก่อนเรามิได้ฟังถ้อยคำ บัดนี้เสียทีแก่ข้าศึกแล้ว เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะมีชัยแก่ข้าศึก
ฮองฮูได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็ร้องไห้แล้วว่า ข้าศึกมีกำลังหนักถึงเพียงนี้แล้ว การทุกวันนี้ถึงมาทว่าเลือเสียงซึ่งเปนคนดีมีสติปัญญาชำนาญในการสงครามนั้น(๑) ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี อันจะแก้ไขให้มีชัยแก่ข้าศึกกู้เอาเมืองไว้ก็เห็นไม่ได้ เตียวลุยได้ยินฮองฮูว่าดังนั้นจึงว่า เรามีหนังสือไปขอกองทัพเล่าฮองเบ้งตัดกองทัพฝ่ายเหนือ ให้ลงมาช่วยก็หายไปไม่เห็นมา ข้าพเจ้าคิดว่าจะลาดทัพหนีออกจากเมืองเป๊กเสีย ไปถึงเมืองเสฉวนแล้วจะได้จัดแจงกองทัพกับทหารซึ่งมีฝีมือเปนอันมาก กลับมาตีเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้จงได้
กวนอูเห็นชอบด้วย กวนอูฮองฮูเตียวลุยจึงพากันขึ้นไปบนเชิงเทิน เที่ยวไปดูรอบเห็นข้าศึกซึ่งล้อมฝ่ายทิศเหนือนั้นเบาบาง จึงให้หาราษฎรชาวเมืองมาปรึกษาว่า เราจะไปเมืองเสฉวนตามทิศอุดรนี้จะได้หรือมิได้ ชาวเมืองจึงบอกว่า ถ้าจะไปเมืองเสฉวนทางทิศอุดรนี้ก็ได้ ทางลัดนี้ตรงไปประมาณสามสิบวันก็จะถึง แต่ทว่าทางนี้ก็กันดาร ด้วยเหวธารเขามีมากนัก กวนอูจึงสั่งทหารว่า เวลาคํ่าวันนี้เราจะยกไปเมืองเสฉวนโดยทางทิศอุดร ฮองฮูจึงห้ามว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าจะไปตามทางน้อยนี้มิได้ เกรงว่าข้าศึกจะมาซุ่มกองทัพสกัดไว้ ถ้าจะไปทางใหญ่ช้า แต่เห็นว่าเดิรสดวก
กวนอูจึงว่า ถึงมาทว่ามีกองทัพซุ่มอยู่เราก็หากลัวไม่ จะหักไปให้จงได้ ว่าแล้วสั่งให้จัดแจงม้าแลทหารกับสเบียงอาหารให้พร้อม แล้วจะยกออกจากเมืองเป๊กเสีย ฮองฮูได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็ร้องไห้ จึงว่าถ้าท่านไปตามทางน้อยนั้นอย่าวางใจเร่งระมัดระวังตัวให้จงหนัก ตัวข้าพเจ้ากับทหารร้อยเศษจะขอสู้ตายในเมืองเป๊กเสีย ถึงมาทว่าเมืองจะเสียข้าพเจ้าหายอมเปนข้าซุนกวนไม่ จะหลบหลีกยับยั้งคอยท่ากองทัพท่านยกมาแล้ว จึงจะเข้าหาท่านทำการสืบไป
กวนอูได้ยินฮองฮูว่าดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วกระทำคำนับลาฮองฮู จึงให้จิวฉองกับทหารประมาณร้อยเศษกับฮองฮูอยู่รักษาเมืองเป๊กเสีย กวนอูกับกวนเป๋งเตียวลุยคุมทหารประมาณสองร้อยเศษออกจากเมืองฝ่ายทิศอุดรไป ทางน้อย กวนอูถือง้าวไปหน้า ทหารซึ่งล้อมเมืองอยู่นั้นกลัวกวนอูก็แหวกทางให้ กวนอูก็พาทหารไปตามทางน้อย ครั้นเวลายามหนึ่งไปได้ประมาณร้อยเส้น จึงเห็นจูเหียนนายทหารใหญ่ขี่ม้าถือทวนยืนอยู่ จูเหียนจึงร้องเรียกกวนอูว่า ท่านอย่าหนีเลย เร่งลงจากม้าเข้าเกลี้ยกล่อมเราเถิด เราจะไว้ชีวิตท่าน กวนอูได้ยินดังนั้นก็โกรธนัก ควบม้ารำง้าวเข้าไปรบกับจูเหียน ๆ ทำเปนกลัวชักม้าหนีไป กวนอูได้ทีก็ไล่ตาม ทหารซึ่งจูเหียนซุ่มไว้นั้นเห็นกวนอูไล่เข้าไป ก็ตีม้าฬ่อตีกลองโห่ร้องรุกไล่ออกมา กวนอูเห็นเหลือกำลังก็ชักม้าพาทหารหนีเลียบไปทางเขาเจาสัน จูเหียนก็พาทหารรุกไล่กระโจมฆ่าฟันทหารกวนอูล้มตายเปนอันมาก แต่ประจันแทงฟันกันที่นั้นช้านาน กวนอูป้องกันรักษาทหารของตัวในเวลานั้นแทบประหนึ่งจะสิ้นกำลัง ด้วยทหารจูเหียนถึงห้าพันรุมตีเข้ามาถึงสามด้านเหลือกำลังที่จะระวังทหาร
ฝ่ายกวนอูก็พาทหารซึ่งเหลือตายหนีจูเหียนไปจากที่นั้นประมาณห้าสิบเส้น จึงแลเห็นกองไฟทัพพัวเจี้ยง แล้วก็ได้ยินเสียงผู้คนเปนอันมาก แลไปเห็นพัวเจี้ยงขี่ม้าถือง้าวออกมา กวนอูโกรธ จึงควบม้ารำง้าวเข้าสู้กับพัวเจี้ยงได้สามเพลง พัวเจี้ยงทำชักม้าหนีไปที่ข้างกองเพลิง กวนอูก็มิอาจที่จะตามไป ก็ชักม้าไปตามทางช่องแคบเชิงเขาเจาสัน กวนเป๋งจึงเดิรขึ้นไปบอกแก่บิดาว่า เตียวลุยตายเมื่อขณะรบพุ่งวุ่นวายนั้นแล้ว กวนอูได้ยินดังนั้นก็กลั้นนํ้าตาไว้กลัวทหารจะเสียนํ้าใจ จึงสั่งกวนเป๋งลงมารั้งหลังกวนอูไปหน้า มีทหารเหลือตายตามไปสิบห้าคนเข้าไปในช่องแคบ
ฝ่ายพัวเจี้ยงก็คุมทหารโห่ร้องติดตามไป กวนอูได้ยินทหารโห่ร้องสนั่นตามมา ก็เร่งรีบพาทหารหนีไปจะให้พ้นช่องแคบ ขณะนั้นพอเวลาประมาณยามเศษก็ถึงแร้วซึ่งเขาขัดไว้ริมหลุมนั้น ม้ากวนอูก็ติดแร้วตกใจโผนไป ฝ่ายกวนอูก็ตกจากหลังม้าอาวุธก็พลัดจากมือ กวนอูกับม้าพลัดตกลงในหลุม สีข้างกวนอูก็กระทบกับก้อนศิลา ม้าก็เหยียบขากวนอูลงด้วย กวนอูก็เจ็บขัดอยู่ลุกขึ้นมิได้ ม้าต๋งทหารพัวเจี้ยงซึ่งซุ่มอยู่ เห็นกวนอูตกจากหลังม้าในหลุมลุกมิได้ ก็จับก้อนศิลาใหญ่ ๆ ทุ่มทิ้งลงไปถูกกวนอู เห็นกวนอูอ่อนสิ้นกำลังอยู่แล้วลุกมิได้ ก็เข้าจับเอาเชือกมัดมือไพล่หลัง ทหารทั้งปวงก็เข้ากลุ้มรุมจับม้า กวนเป๋งเห็นเขาจับบิดาได้จะวิ่งเข้าไปช่วย พัวเจี้ยงจูเหียนคุมทหารมาทันเข้าก็ล้อมจับกวนเป๋งได้ ก็คุมเอาตัวกวนเป๋งเข้ามาให้ซุนกวน ๆ มีความยินดีนัก จึงให้หาขุนนางทั้งปวงแลที่ปรึกษามาพร้อมกัน
ซุนกวนจึงว่าแก่กวนอูว่า แต่ก่อนเราได้ยินข่าวว่าท่านเปนคนกล้าหาญเข้มแขงน้ำใจสัตย์ซื่อนัก เราก็มีใจรักจะใคร่ได้ท่านมาไว้เปนเพื่อนตัว ท่านทำราชการอยู่กับนายท่านเราก็หาได้ท่านไม่ บัดนี้ท่านแพ้แก่เราทหารเราจับได้ ท่านจงอยู่กับเราเถิดเราจะไว้ชีวิต จะเลี้ยงท่านให้ถึงขนาด
กวนอูได้ฟังซุนกวนว่าดังนั้นก็โกรธนัก จึงด่าว่าอ้ายเด็กน้อย ตัวกูหายอมเปนบ่าวมึงไม่ อนึ่งก็ได้ถือน้ำพิพัฒน์สัจจาไว้ต่อเล่าปี่ จะช่วยเอาราชสมบัติให้เล่าปี่อันเปนเชื้อพระวงศ์ ซึ่งกูจะอยู่ด้วยมึงอันเปนศัตรูราชสมบัตินั้นไม่อยู่แล้ว ครั้งนี้กูแพ้ความคิดมึง มึงจับตัวกูได้ อย่าพักพูดเกลี้ยกล่อมเลยให้ป่วยการปาก กูเปนชาติทหารจะกินเข้าแดงเปนสองเจ้านั้นหามิได้จะสู้ตาย
ซุนกวนได้ฟังกวนอูว่าดังนั้นเหลียวหน้ามาปรึกษาทหารทั้งปวงว่า อันกวนอูเปนคนสัตย์ซื่อน้ำใจเดียว เราคิดจะใคร่เลี้ยงไว้ ทหารทั้งปวงจะเห็นประการใด โจหอมสมุห์บาญชีจึงว่า ซึ่งจะเลี้ยงกวนอูไว้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ครั้งหนึ่งโจโฉจับกวนอูได้ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ให้เครื่องอุปโภคเปนอันมาก สามวันเลี้ยงโต๊ะทีหนึ่ง ห้าวันเลี้ยงโต๊ะทีหนึ่ง บำรุงเลี้ยงถึงเพียงนี้จะเอาตัวกวนอูไว้ กวนอูก็มิได้อยู่ ยังหนีไปหาเล่าปี่ผู้พี่ ฆ่านายด่านเสียถึงห้าตำบล แลซึ่งท่านจะเลี้ยงไว้ นานไปข้าพเจ้าเห็นว่าจะเปนอันตรายเหมือนดังนั้น ซุนกวนได้ฟังดังนั้นนิ่งตรึกตรองอยู่เปนครู่แล้วว่า ท่านว่านี้เราเห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้เอาตัวกวนอูกวนเป๋งพ่อลูกไปฆ่าเสีย เมื่อกวนอูตายนั้นเดือนสิบสอง อายุพอครบห้าสิบแปดปี พระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบสี่ปี (พ.ศ. ๗๖๒) ม้าต๋งจึงเอาม้าของกวนอูไปให้ซุนกวน ๆ จึงให้ม้าต๋งเลี้ยงดูไว้ ม้านั้นไม่กินหญ้าเปนหลายวันก็ตาย
ฝ่ายฮองฮูซึ่งอยู่ในเมืองเป๊กเสีย ในเวลากลางคืนนั้นให้เดือดร้อนในใจนัก หลับไปฝันเห็นประหลาท จึงไปเล่าให้จิวฉองฟังว่า ข้าพเจ้าฝันเห็นกวนอูมายืนอยู่ตรงหน้ามีโลหิตติดทั่วตัวตกใจตื่นขึ้น กวนอูจะเปนเหตุประการใดมิได้รู้ ฮองฮูพูดกับจิวฉองยังมิทันขาดคำ พอมีคนเข้ามาบอกฮองฮูจิวฉองว่า บัดนี้ทหารซุนกวนถือสีสะกวนอูกวนเป๋งมาร้องเกลี้ยกล่อมคนอยู่ริมกำแพง ฮองฮูจิวฉองได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ชวนกันขึ้นไปดูบนเชิงกำแพง แลลงไปเห็นสีสะกวนอูกวนเป๋งก็เสียน้ำใจนัก ฮองฮูจิวฉองจึงว่ากันว่า เราหาที่พึ่งไม่แล้วจะอยู่ใยให้ตายในเนื้อมือข้าศึกอิกเล่า ฮองฮูก็โจนกำแพงลงไปตาย จิวฉองก็เอาดาบเชือดคอตาย เมืองเป๊กเสียก็ขึ้นแก่เมืองกังตั๋งตั้งแต่นั้นมา
ฝ่ายกวนอูตายไปเปนอสุรกายอยู่ในภูเขาจวนหยกสัน แดนเมืองตองเอี๋ยง บนยอดเขานั้นมีหลวงจีนองค์หนึ่งชื่อเภาเจ๋ง หลวงจีนเภาเจ๋งองค์นี้ เดิมเปนสมภารอยู่ ณ วัดตีนก๊กชือ แดนเมืองกีซุน ไปเที่ยวบนเขาจวนหยกสันเห็นน้ำท่าที่อาศรัยสนุกสบาย จึงปลูกกุฏิบนเขาจวนหยกสันเปนที่ระโหฐานจำเริญเมตตาภาวนา มีเณรองค์หนึ่งอยู่ปฏิบัติ กลางคืนวันหนึ่งเดือนหงายเวลาสองยามเศษหลวงจีนเภาเจ๋งภาวนาอยู่ในกุฏิได้ยิน เสียงร้องว่าเอาสีสะมาคืนให้เรา หลวงจีนเภาเจ๋งจึงแลออกไปเห็นคนหน้าแดงขี่ม้าถือง้าว มีคนแต่งตัวเปนทหารยืนเคียงม้าข้างละคน ข้างขวาหน้าขาวข้างซ้ายหน้าดำมีคางเครา ลงมาจากอากาศยืนอยู่ริมกุฏิ หลวงจีนเภาเจ๋งแลดูรู้จักว่ากวนอู จึงร้องเรียกแล้วกวักมือว่ามานี่กวนอู
ฝ่ายกวนอูซึ่งเปนอสุรกายก็ลงจากม้าเข้ามาคำนับ แล้วถามว่าสมภารเจ้าชื่อใดเล่า สมภารจึงบอกว่าเราชื่อเภาเจ๋ง เดิมเราอยู่วัดตีนก๊กชือ รู้จักกับท่านมาแต่ก่อน ท่านแปลกเราแล้วหรือ กวนอูซึ่งเปนอสุรกายกระทำคำนับแล้วว่า ท่านจงสวดมนตร์ภาวนาแผ่กุศลแลส่วนบุญให้ข้าพเจ้าบ้างเถิด ข้าพเจ้าแพ้ข้าศึกถึงแก่ความตาย หลวงจีนเภาเจ๋งจึงว่า กงเกวียนกำเกวียนตัวฆ่าเขา ๆ ฆ่าตัว เมื่อท่านฆ่างันเหลียงบุนทิวแลนายด่านห้าตำบลเสีย ใครมาทวงสีสะแก่ท่านบ้าง ครั้งนี้ท่านเสียทีแก่ข้าศึกถึงแก่ความตายแล้ว ท่านมาร้องทวงสีสะแก่ใครเล่า หลวงจีนเภาเจ๋งว่าดังนั้นแล้วก็สวดมนตร์แผ่ส่วนบุญให้ กวนอูอสุรกายรับส่วนบุญแล้ว ก็ลาไปอาศรัยอยู่ในยอดเขาจวนหยกสัน หลวงจีนเภาเจ๋งจึงเอาเนื้อความอันนี้แจ้งคนทั้งปวงว่า กวนอูตายแล้วมาสิงอยู่ในภูเขาอันนี้ คนทั้งปวงก็นับถือ จึงปลูกศาลให้กวนอูอสุรกายอยู่บนยอดเขานั้น ก็เปนที่เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์แต่นั้นมา
ฝ่ายซุนกวนได้เมืองเกงจิ๋วแล้ว ก็ให้รางวัลแก่ทหารซึ่งมีความชอบตามสมควร จึงให้ลิบองนั่งที่สูงกว่าทหารทั้งปวง แล้วจึงว่าแก่ขุนนางว่า เราคิดว่าจะได้เมืองเกงจิ๋วโดยยาก อาศรัยลิบองก็ได้ง่ายดาย ไม่ทันจะพลิกมืออีก เพราะความคิดของลิบอง ความชอบอันนี้ใหญ่หลวงนัก ลิบองได้ยินดังนั้นลุกขึ้นคำนับซุนกวนแล้วจึงว่า เพราะบุญท่านจึงได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย ซุนกวนจึงว่า แต่ก่อนเรามีจิวยี่มีสติปัญญากล้าหาญชำนาญในการกลศึก โจโฉยกทัพบกทัพเรือมามาก ทหารถึงแปดสิบสามหมื่น มารบกันตำบลเซ็กเพ็ก อาศรัยความคิดจิวยี่มีชัยชนะโจโฉโดยง่าย จิวยี่แพ้ความคิดขงเบ้งก็ตายเสียแล้ว ยังอยู่แต่โลซก ครั้งหนึ่งจิวยี่ยังมิตาย โจโฉมีหนังสือมาเกลี้ยกล่อมเรา ที่ปรึกษาทั้งปวงยอมจะให้เราไปขึ้นแก่โจโฉ แลโลซกผู้เดียวมิยอม จึงให้หาจิวยี่เข้ามาปรึกษาจะทำสงครามกับโจโฉ อันนี้เปนความชอบของโลซก ครั้งหนึ่งเล่าปี่ให้มาขอยืมเมืองเกงจิ๋วว่าจะอาศรัยอยู่ เราปรึกษาโลซก ๆ ยอมให้จึงวุ่นวายทั้งนี้ อันนี้เปนความผิดของโลซก บัดนี้เราอาศรัยความคิดของลิบองจึงได้เมืองเกงจิ๋วโดยสดวก ความคิดลิบองชนะความคิดจิวยี่โลซก ซุนกวนว่าแล้วจับจอกสุรารินยื่นสองมือโดยคำนับให้ลิบอง
ฝ่ายอสุรกายกวนอูมีความพยาบาทลิบองนัก ก็มาเข้าสิงอยู่ในตัวลิบอง พอลิบองจับจอกสุราจะกินเข้าไป ก็ให้ทิ้งจอกเหล้าลง แล้วชี้หน้าซุนกวนตวาดด้วยเสียงอันดัง จึงด่าว่าอ้ายเด็กน้อยตาแดง มึงรู้จักกูหรือไม่ ที่ปรึกษาทั้งปวงก็ตกใจ ลิบองจึงขึ้นไปผลักซุนกวนลงเสีย จึงขึ้นนั่งอยู่ที่ซุนกวน แล้วก็เหลือกตากลอกไปมา ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เมื่อโจรโพกผ้าเหลืองไล่ยํ่ายีราษฎรได้ความเดือดร้อน กูพี่น้องสามคนไล่ปราบปรามโจร ๆ จึงราบคาบมาประมาณสามสิบปีแล้ว บัดนี้กูแพ้ในกลศึกของมึง กูถึงแก่ความตาย กูเปนคนไม่ได้กินเนื้อมึง กูตายแล้วจะหักฅอมึงไปให้จงได้ มึงไม่รู้จักกูหรือ กูชื่อว่ากวนอู
ซุนกวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจลงกราบไหว้อยู่กลางดิน ครั้นสงบเสียงลง ซุนกวนแลทหารทั้งปวงเงยหน้าขึ้นไป แลเห็นลิบองฅอพับลง โลหิตไหลออกมาทางปากแลจมูก ลิบองก็ถึงแก่ความตาย ซุนกวนแลขุนนางทั้งปวงก็ตกใจ จึงเอาศพลิบองไปฝังไว้ตามธรรมเนียม จึงตั้งลิปาผู้บุตรขึ้นแทนที่ลิบอง มีทหารเข้ามาบอกแก่ซุนกวนว่า เตียวเจียวจะเข้ามาหาท่าน ซุนกวนจึงให้เชิญเตียวเจียวเข้ามา
ฝ่ายเตียวเจียวเข้ามาคำนับซุนกวนแล้วว่า ได้ยินว่าท่านจับกวนอูกวนเป๋งพ่อลูกได้ท่านฆ่าเสียแล้วหรือ ถ้าจริงดังนั้น มิช้ามินานอันตรายจะมาถึงกังตั๋งเปนมั่นคง เพราะกวนอูคนนี้ได้สบถสาบาลเปนพี่น้องกับเล่าปี่ สัญญากันไว้ว่าตายก็จะตายด้วยกัน เล่าปี่ก็ได้เปนใหญ่ในเมืองตังฉวนเสฉวน มีทหารเปนอันมาก เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ อนึ่งความคิดในกลศึกใครจะเสมอขงเบ้งหามิได้ จะว่าด้วยฝีมือทหารจะหาเปรียบด้วยฝีมือเตียวหุยฮองตงม้าเฉียวจูล่งก็หายาก นัก ถ้าเล่าปี่รู้ไปว่ากวนอูกวนเป๋งพ่อลูกตายแล้ว ก็คงจะยกทัพมาสิ้นทั้งเมือง จะมารบเอาเมืองกังตั๋งแก้แค้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะรับรองต้านทานมิได้
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกระทืบเท้าลงว่า อันตรายซึ่งจะมีมาแก่เมืองกังตั๋งดังนี้แล้ว ท่านจะคิดอ่านแก้ไขประการใดเล่า เตียวเจียวจึงว่า ถ้าท่านไว้ธุระแก่ข้าพเจ้าดังนั้นแล้ว ขอท่านอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้ามีอุบายอันหนึ่งไม่ให้เล่าปี่ทำร้ายเมืองกังตั๋งได้ จะรักษาเมืองกังตั๋งให้มั่นคงดุจพื้นปถพี
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงถามว่าท่านจะทำประการใด เตียวเจียวจึงว่า บัดนี้โจโฉมีทหารถึงร้อยหมื่น นายทหารที่มีความคิดดีทั้งฝีมือกล้าหาญก็มีเปนอันมาก ถ้าเล่าปี่ยกกองทัพมาแก้แค้น แลจะบอกไปถึงโจโฉให้ยกเปนทัพกระหนาบมา เมืองกังตั๋งก็จะขัดสนหาที่พึ่งมิได้ ข้าพเจ้าคิดอุบายจะคุมเอาสีสะกวนอูไปให้โจโฉ ฝ่ายเล่าปี่รู้จะเข้าใจว่าโจโฉแสร้งใช้ให้เราทำ เห็นจะมีความแค้นแก่โจโฉนัก ก็จะไม่ยกทัพมาตีเมืองกังตั๋ง จะยกไปตีโจโฉ เราก็จะมีความสบาย จะดูเล่นใครแพ้แลชนะก็ชั่ง
ซุนกวนได้ยินเตียวเจียวว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทหารต่อหีบใส่สีสะกวนอู แต่งทหารให้รีบไปทั้งกลางวันกลางคืน เอาสีสะกวนอูไปถวายโจโฉ ครั้งนั้นโจโฉมาจากเมืองคอโผ มาอยู่เมืองลกเอี๋ยง มีคนเข้ามาบอกโจโฉว่า ซุนกวนใช้ให้ทหารคุมเอาสีสะกวนอูเข้ามาถวาย โจโฉมีความยินดีนัก จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้กวนอูตายแล้วเรานอนตาหลับ
สุมาอี้รู้ถึงกลความคิดซุนกวนซึ่งทำมานั้นจึงว่า ซุนกวนทำทั้งนี้ประสงค์จะเอาความร้ายมาป้ายให้เรา โจโฉจึงถามว่า ท่านเห็นกะไรจึงว่าฉนี้ สุมาอี้จึงว่า แต่ก่อนเล่าปี่กวนอูเตียวหุยสามคนนี้สบถต่อกันไว้ว่าจะเปนด้วยกันตายด้วยกัน บัดนี้ซุนกวนฆ่ากวนอูเสียแล้ว กลัวเล่าปี่จะยกทัพกลับมาแก้แค้น จึงสั่งให้เอาสีสะกวนอูมาถวายทั้งนี้ หวังจะให้เล่าปี่โกรธท่าน เล่าปี่จะไม่ยกทัพไปตีซุนกวน จะยกทัพมาแก้แค้นท่าน ซุนกวนก็จะเปนคนกลางคอยดูเล่น
โจโฉได้ยินสุมาอี้ว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงว่ากลศึกเขาทำมาดังนี้ ท่านจะคิดกลอุบายประการใด สุมาอี้จึงว่า การแต่เพียงนี้ข้าพเจ้าเห็นหาสู้ยากนักไม่ ขอให้ท่านเอาไม้หอมมาต่อเปนหีบใส่สีสะกวนอูไปฝังไว้ตามอย่างขุนนางผู้ใหญ่ ฝ่ายเล่าปี่รู้ไปก็ไม่โกรธท่าน จะโกรธซุนกวน เห็นว่าจะยกทัพกลับไปตีซุนกวนเปนมั่นคง เราจะคอยดูเล่น เมื่อเล่าปี่กับซุนกวนรบพุ่งกันยับเยินไปแล้ว เราจะทำภายหลังเห็นจะได้โดยสดวก
โจโฉได้ฟังเห็นชอบด้วยมีความยินดีนัก จึงให้หาทหารซุนกวนเข้ามา ทหารซุนกวนจึงเอาสีสะกวนอูเข้าไปถวาย โจโฉให้เปิดหีบขึ้น เห็นหน้ากวนอูยังเปนปรกติอยู่เหมือนเมื่อยังเปนอยู่นั้น โจโฉหัวเราะเย้ยแล้วว่า กวนอูยังเปนอยู่ไม่มาหาเรา บัดนี้ยังแต่สีสะเปล่าอุตส่าห์มาหาเรา ว่ายังมิทันจะขาดคำ แลเห็นสีสะกวนอูมีปากอ้าตาเหลือกเกลือกกลอกไปมา โจโฉตกใจล้มลง ขุนนางทั้งปวงตกใจเข้าอุ้มเอาโจโฉให้นั่งขึ้น โจโฉสิ้นสมประดีนิ่งไปสักครู่หนึ่งจึงค่อยได้สติคืนสมประดีมา จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า กวนอูคนนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก เหมือนหนึ่งเทพดาลงมาจากชั้นฟ้า ทหารซุนกวนได้ยินโจโฉว่าดังนั้น จึงเล่าเนื้อความซึ่งกวนอูไปเข้าลิบอง ด่าซุนกวนหักฅอลิบองเสียนั้นให้โจโฉฟังทุกประการ
โจโฉได้ยินดังนั้นก็กลัวยิ่งกว่าแต่ก่อน จึงสั่งให้เอาไม้หอมต่อหีบใส่สีสะกวนอู แล้วให้แต่งเครื่องเส้นตามบันดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่ แล้วเชิญสีสะกวนอูไปฝังไว้ริมประตูเมืองลกเอี๋ยงข้างทิศทักษิณ โจโฉแลขุนนางทั้งปวงก็ตามไปส่งสักการศพ โจโฉจึงสั่งให้ตกแต่งฝังตามอย่างผู้นั่งเมืองเกงจิ๋ว แล้วจารึกอักษรลงไว้ว่า ที่ฝังศพเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แล้วแต่งขุนนางไว้ให้รักษา แล้วสั่งทหารซุนกวนให้กลับไป
(๑) มีในเรื่องห้องสิน
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 61
https://drive.google.com/file/d/1MS3XBNJQar8wqyX7YVGXUxVzXLanw3WE/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 62
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-62.html
(https://3.bp.blogspot.com/-XpHD2jADLlQ/XAP7GqUGDaI/AAAAAAAAtEk/9gefVF-iKBA-v7oRmdl0loUJaYDbs8xsACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2592.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 62
เนื้อหา
• พระเจ้าเล่าปี่รู้ข่าวกวนอู
• ประวัติตอนสิ้นชีวิตโจโฉแลหมอฮัวโต๋
• โจผีได้รับตำแหน่งแทนโจโฉผู้บิดา
• โจผีทำโทษน้องชาย
• เล่าปี่ทำโทษเล่าฮอง เบ้งตัด
• เบ้งตัดหนีไปอยู่กับโจผี
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ออกจากเมืองตังฉวนไปเมืองเสฉวน ขุนนางผู้หนึ่งชื่อหอมเจ้งทูลว่า นางบิฮูหยินเมียของท่านคนหนึ่งก็ตายเสียแล้ว นางซุนฮูหยินก็ไปอยู่กับซุนกวนผู้พี่ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะหากลับมาไม่ ท่านหาภรรยาไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าการข้างในหามีผู้เอาใจใส่ไม่ พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ท่านว่านี้ชอบแล้ว จะคิดประการใดเล่า หอมเจ้งจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเลือกดูเห็นน้องสาวงออี้คนหนึ่งรูปก็งาม มีสติปัญญาการงานทั้งปวงก็ขยัน เห็นว่านางคนนี้จะมีบุญสืบไปข้างหน้า แต่ก่อนได้ยินว่างออี้จะให้แก่เล่ามอผู้บุตรเล่าเอียน เล่ามอก็ตายเสียแล้ว ขอให้ท่านรับน้องสาวงออี้เข้ามาไว้เปนห้ามเห็นจะสมควร พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังหอมเจ้งว่าดังนั้นจึงว่า เล่ามอคนนี้เปนแซ่เดียวกันกับเรา ท่านเห็นมีอย่างธรรมเนียมจะทำได้อยู่หรือ หอมเจ้งจึงทูลว่า ในอย่างธรรมเนียมนั้น ก็ระวังแต่พี่น้องที่สนิธ นี่ข้าพเจ้าเห็นไกลกันนัก ถ้าจะเอามาเปนเมียก็ควรอยู่ พระเจ้าเล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงแต่งให้ไปรับนางงอซี ซึ่งเปนน้องสาวงออี้เข้ามาไว้เปนห้าม อยู่มานางงอซีมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งชื่อเล่าเอ๋ง คนหนึ่งชื่อเล่าลิ
อยู่มาวันหนึ่งมีคนเข้ามาบอกขงเบ้งว่า ซุนกวนให้มาขอลูกสาวกวนอู ๆ ไม่ให้ ขงเบ้งจึงว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า ถ้ากระนั้นเห็นว่าเมืองเกงจิ๋วจะเปนอันตราย ชอบให้หากวนอูมาเสีย แต่งผู้อื่นให้นั่งเมืองแทน อยู่มาวันหนึ่งกวนหินลูกชายกวนอูถือหนังสือบอกมาถึงขงเบ้ง ในหนังสือนั้นว่า โจโฉให้อิกิ๋มบังเต๊กคุมทหารมาตีเมืองอ้วนเสีย ฝ่ายข้างกวนอูทำกลศึกเปนหลายประการก็มีชัยชนะ อยู่มาอีกวันหนึ่งทหารถือหนังสือบอกไปถึงขงเบ้ง ในหนังสือนั้นว่ากวนอูตกแต่งเมืองเกงจิ๋วแลเมืองอ้วนเสีย มีค่ายคูประตูหอรบมั่นคงทั้งทางบกทางเรือ ขงเบ้งเอาเรื่องราวหนังสือสองฉบับนี้ไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าปี่ ๆ ได้ฟังแล้วก็วางใจ
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเกิดเหตุ พระเจ้าเล่าปี่ไม่สบายพระทัยนัก จะนั่งก็มิเปนสุข จะนอนก็มิเปนสุข ให้เดือดร้อนรำคาญ ครั้นเวลาคํ่านอนก็มิหลับ จึงออกมานั่งที่เก้าอี้จับเอาหนังสือมาอ่าน หวังจะให้สบายใจ เมื่อขณะอ่านหนังสือนั้นก็เคลิ้มม่อยหลับไป จึงฝันว่าลมพัดตะเกียงไฟแทบจะดับ แล้วกลับติดเปนปรกติขึ้น แลไปเห็นคนยืนอยู่ริมตะเกียงจึงถามไปว่า ใครอุกอาจเข้ามาปานนี้ คนนั้นมิได้พูดด้วย พระเจ้าเล่าปี่สงสัยยืนขึ้นดู แลเห็นกวนอูเดิรไปมาที่ริมตะเกียง พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า น้องเอ๋ยเจ้าอยู่ดีอยู่หรือ เจ้ามาหาพี่ป่านนี้เหตุผลประการใด เราทั้งสองรักกันเหมือนพี่น้องร่วมสายสะดือเดียวกัน เจ้าโกรธพี่ว่าไรจึงไม่เจรจา กวนอูได้ยินเล่าปี่ว่าก็ร้องไห้แล้วจึงว่า ขอให้พี่ท่านยกกองทัพไปแก้แค้นข้าพเจ้า พอลมพัดมาถูกตัวพระเจ้าเล่าปี่หนาวก็ตื่นขึ้น แลไปไม่เห็นกวนอูก็ตกใจจึงรู้ว่าฝัน เวลานั้นพอได้ยินเสียงกลองยํ่าเที่ยงคืน พระเจ้าเล่าปี่รำคาญใจนัก ครั้นออกท้องพระโรงที่ว่าราชการ จึงให้เชิญขงเบ้งเข้ามา พระเจ้าเล่าปี่กระซิบเล่าความฝันให้ฟัง ขงเบ้งเห็นฝันร้ายอยู่ แต่แกล้งทูลบ่ายเบี่ยงเอาพระทัยว่า ฝันดังนี้เหตุเพราะนํ้าพระทัยปรารมภ์ถึงกวนอูนัก อย่าทรงพระวิตกเลยหาเปนไรไม่ พระเจ้าเล่าปี่มิไว้พระทัยจึงถามซ้ำอีกครั้งหนึ่งเล่า ขงเบ้งเห็นว่าพระเจ้าเล่าปี่รักใคร่กวนอูนักก็ทูลแต่ความดี ขงเบ้งก็ลาลงไปถึงประตู พบเค้าเจ้ง ๆ จึงว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านจะบอกเนื้อความอันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินข่าวลือมาว่า ลิบองยกมาตีเมืองเกงจิ๋ว กวนอูเสียแก่เขาแล้ว ความอันนี้จะจริงหรือประการใด
ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าดูดาวประจำเมืองเกงจิ๋วเห็นเสร้าหมองวิปริตนัก ข้าพเจ้าก็คิดว่ากวนอูเห็นจะตายเสียแล้ว แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ทูลกลัวพระเจ้าเล่าปี่จะเปนทุกข์หนัก พูดกันยังมิทันจะสิ้นคำ พอพระเจ้าเล่าปี่มาถึงได้ยินจึงยุดเอามือเสื้อขงเบ้งแล้วว่า ข่าวร้ายถึงเพียงนี้เปนไรท่านจึงมิบอกเราตามจริง ขงเบ้งกับเคาเจ้งจึงทูลว่า เปนแต่คำตลาดจะเอาเปนจริงมิได้ ขอท่านอย่าเปนทุกข์นักเลย พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า กวนอูกับเราได้สัญญาไว้ว่าจะเปนด้วยกันจะตายด้วยกัน ถ้ากวนอูตายเสียจริงข้าพเจ้าจะอยู่ไปใย
ขณะนั้นมีคนมาทูลว่า ม้าเลี้ยงกับอิเจี้ยถือหนังสือมา พระเจ้าเล่าปี่ให้หามาทั้งสองคน ม้าเลี้ยงอิเจี้ยจึงทูลว่า เมืองเกงจิ๋วเสียแก่ซุนกวนแล้ว กวนอูล่าทัพไปตั้งอยู่เมืองเป๊กเสีย ให้ขอกองทัพไปช่วย ยังมิทันแก้หนังสือออกดูมีคนเข้ามาทูลว่า เลียวฮัวอยู่เมืองเกงจิ๋วจะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าเล่าปี่ก็ให้เข้ามา
เลียวฮัวถวายบังคมแล้วร้องไห้จึงทูลว่า ซุนกวนมาตีเมืองเกงจิ๋ว กวนอูได้มีหนังสือไปถึงเล่าฮองเบ้งตัดให้ยกไปช่วยก็มิไป พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ถ้าเปนดังนั้นกวนอูจะมิเสียๆแล้วหรือ ขงเบ้งจึงทูลว่า เล่าฮองเบ้งตัดทำดังนี้โทษถึงตาย ท่านอย่าทุกข์นักเลย ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพไปช่วยเมืองเกงจิ๋วแลเมืองอ้วนเสียจึงจะควร พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า จำจะมีหนังสือไปถึงเตียวหุยให้ยกกองทัพมาช่วยเราจะยกไปด้วย ยังมิทันรุ่งมีทหารในกองทัพกวนอูมาทูลว่า กวนอูกับบุตรล่าทัพไปทางเขาเจาสัน ทหารซุนกวนจับได้ฆ่าเสียแล้ว
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังนั้นก็ร้องไห้ กลิ้งเกลือกลงกลางดินสิ้นสมประดี ขุนนางทั้งปวงตกใจเข้าประคองพระองค์ขึ้นไว้ อยู่สักครู่หนึ่งจึงได้สมประดีขึ้นมา ขุนนางทั้งปวงจึงเชิญเสด็จเข้าไปในวัง ขงเบ้งจึงทูลเอาใจว่า คำโบราณท่านว่า อันความตายนี้ย่อมมีทุกคน กวนอูห้าวหาญนักจึงเปนอันตราย ท่านอย่าทุกข์ร้อนนักเลย รักษาตัวไว้ให้ดีเถิดจะได้คิดอ่านยกกองทัพไปแก้แค้นดีกว่า พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า กวนอูเตียวหุยได้สาบาลไว้ว่าจะตายด้วยกัน บัดนี้กวนอูตายเสียแล้ว เราจะเสวยราชย์เอาความสุขแต่ผู้เดียวหาควรไม่ ว่ายังมิทันสิ้นคำเห็นกวนหินร้องไห้เข้ามา พระเจ้าเล่าปี่กลั้นโศกมิได้ก็ร้องไห้ไปถึงสี่วันห้าวัน ขงเบ้งกับขุนนางทั้งปวงชวนกันเข้าไปเล้าโลมพระเจ้าเล่าปี่
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า อันชาวเมืองกังตั๋งกับเราแต่นี้ไปจะปองล้างกันไปไม่ขออยู่ร่วมฟ้าอันเดียว กันเลย ขงเบ้งจึงทูลว่า ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าซุนกวนเอาสีสะกวนอูไปให้โจโฉ ๆ ให้แต่งการศพสมควรแก่บันดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่แล้วไปฝังไว้ พระเจ้าเล่าปี่จึงถามว่า เหตุใดเขาจึงคิดทำการดังนี้ ขงเบ้งจึงทูลว่า ซุนกวนแกล้งทำกลหวังจะให้เราโกรธโจโฉ ๆ ก็รู้เท่าซุนกวนจึงให้แต่งการศพกวนอูทั้งนี้ ปราถนาจะไม่ให้เราพยาบาท โจโฉจะให้เราเห็นว่าซุนกวนฆ่ากวนอูเสียเอง
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า เราจะยกกองทัพไปรบซุนกวนจะได้แก้แค้น ขงเบ้งจึงห้ามว่า อย่าเพ่อยกกองทัพไปก่อน ซุนกวนคิดทำการทั้งนี้จะให้เราโกรธโจโฉ ถ้าเรามิรู้เท่ายกไปรบกับโจโฉ ซุนกวนก็จะเอาชัยชนะเมื่อภายหลัง ฝ่ายโจโฉนั้นก็ใคร่ให้เรารบกับซุนกวน ส่วนตัวจะคอยเอาชัยชนะเมื่อภายหลัง ถ้าเรายกกองทัพไปบัดนี้จะสมความคิดทั้งสองฝ่าย เห็นว่าความคิดเราตํ่ากว่าเขาหารู้เท่าไม่ ขอให้ท่านสงบไว้ก่อนเถิดจะได้แต่งการเส้นกวนอูคอยดูซุนกวนกับโจโฉก็มีความ แค้นต่อกันอยู่ ถ้าข้าศึกสองฝ่ายรบกันใครเสียทีเพลี่ยงพลํ้า เราจึงทำการต่อภายหลังเห็นจะสดวก พระเจ้าเล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ราษฎรในเมืองเสฉวนแลหัวเมืองทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาวทั้งหญิงทั้งชาย แล้วให้แต่งเครื่องเส้นไปตั้งริมประตูทิศทักษิณ พระเจ้าเล่าปี่จึงออกไปเส้นวักตามประเพณีแล้วร้องไห้รักกวนอูทุกวัน
ฝ่ายโจโฉอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง จำเดิมแต่ฝังสีสะกวนอูแล้ว นอนหลับตาลงเมื่อใดให้เห็นกวนอูเมื่อนั้น ก็มีความกลัวนัก จึงเล่าให้ขุนนางทั้งปวงฟังแล้วปรึกษาว่า เหตุอันใดจึงเปนดังนี้ ขุนนางผู้ใหญ่จึงว่า วังเก่านี้มีปิศาจมากนัก ขอให้ท่านไปสร้างวังใหม่เถิดจึงจะอยู่เปนสุข โจโฉจึงว่า เราก็คิดอยู่ว่าจะสร้างวังใหม่ จะทำเปนพระที่นั่ง แต่ว่าขัดสนด้วยหามีช่างที่มีฝีมือไม่
กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงทูลว่า ในเมืองลกเอี๋ยงนี้ ข้าพเจ้าเห็นช่างไม้คนหนึ่งชื่อเชาอวด แลเชาอวดคนนี้ทั้งฝีมือความคิดหลักแหลมดีกว่าช่างไม้ทั้งปวง โจโฉจึงให้หาเชาอวดเข้ามาแล้วสั่งว่า ท่านจงเทียบแผนที่วังให้มีพระที่นั่งเสด็จออก แลเปนที่ข้างหน้าข้างในให้สนุกกว่าเก่า เชาอวดจึงเขียนแผนที่วังตำหนักเก้าหลัง ฝ่ายหน้ามีท้องพระโรงใหญ่ ฝ่ายข้างในมีตำหนักตึกรายเรียงกันไปแล้วเอาไปถวาย โจโฉพิเคราะห์ดูถ้วนถี่จึงว่าท่านเทียบนี้ดีนัก สมควรจะเปนที่อยู่ผู้มีบุญ เห็นสนุกชอบใจเราแล้ว แต่ขัดสนด้วยไม้ใหญ่ซึ่งจะต้องการทำอกไก่ เราไม่เห็นที่ไหนเลย
เชาอวดจึงว่า มีป่าแห่งหนึ่งชื่อเอียกหลง ไกลแต่นี้ไปประมาณสามร้อยเส้น ชายป่านั้นมีศาลเทพารักษ์อยู่หลังหนึ่ง ใกล้ศาลนั้นมีสาลี่ต้นหนึ่งใหญ่โตนัก สูงประมาณยี่สิบวา ข้าพเจ้าเห็นว่าจะทำอกไก่ได้ โจโฉดีใจนักสั่งให้ไปตัดไม้นั้นมา คนทั้งปวงซึ่งไปตัดไม้จะถากฟันเอาสิ่วเจาะเอาเลื่อยชัก จะทำประการใดก็มิเข้าเลย จึงกลับเข้าไปทูล โจโฉไม่เชื่อจึงพาคนออกไปดูประมาณสามร้อย ครั้นถึงหน้าศาลแล้วจึงลงจากม้า แล้วแลไปเห็นต้นสาลี่สูงใหญ่ตรงหาที่คดมิได้ จึงให้เอาขวานเข้าไปฟันก็มิเข้า ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวบ้านนั้นจึงทูลห้ามว่า ต้นสาลี่นี้เปนต้นไม้แต่โบราณ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบ ๆ มาว่า อายุได้สามร้อยสี่ร้อยปีแล้วมีเทพารักษ์สิงอยู่ในไม้ต้นนี้ ขอท่านอย่าได้ฟันเลย
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า กูได้เปนใหญ่ในเมืองนี้กว่าสี่สิบปีแล้ว บันดาราษฎรแลเทพารักษ์ซึ่งอยู่ในแว่นแคว้นแดนเมืองนี้ก็อาศรัยพึ่งบุญเรา สิ้น เราจะเอาไม้ต้นนี้เทพารักษ์จะไม่ให้เราหรือว่าไร ว่าแล้วก็ชักดาบออกฟันต้นไม้ได้ยินเสียงผีร้องไห้แซ่ไป ยางไม้ไหลออกมาเปนโลหิต โจโฉเห็นดังนั้นตกใจทิ้งดาบเสียแล้วขึ้นม้ากลับไปวัง ครั้นเวลาคํ่าให้เดือดร้อนรำคาญใจนอนไม่หลับ แต่กลับตัวพลิกไปมาจนเวลาสองยาม แล้วจึงลุกออกมานั่งที่เก้าอี้เคลิ้มม่อยไป จึงฝันว่าคนผมมวยห่มเสื้อเขียวมือถือดาบเดิรตรงเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าโจโฉ แล้วเอามือชี้หน้าโจโฉตวาดด้วยเสียงอันดังว่า กูนี้เปนเทพารักษ์ในต้นไม้สาลี่ กูหาให้ต้นไม้ของกูไม่ มึงจะทำที่อยู่แข่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ กูรู้ว่าบุญมึงสิ้นแล้ว กูจะฆ่ามึงเสียให้ตาย
โจโฉตกใจร้องให้ทหารมาช่วยเราด้วย เทพารักษ์ชักดาบเข้าฟัน โจโฉตกใจร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ตื่นขึ้นก็ให้ปวดสีสะเปนกำลัง ครั้นเวลาเช้าให้หาหมอเข้ามารักษา หมอมานวดทายาจนสิ้นความรู้โรคนั้นก็ไม่หาย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เปนทุกข์หนัก
ที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงทูลว่า หมอคนหนึ่งชื่อว่าฮัวโต๋รักษาโรคดีนัก ท่านรู้จักหรือไม่ โจโฉจึงว่า หมอคนนี้ที่รักษาจิวท่ายที่เมืองกังตั๋งนั้นหรือ ฮัวหิมจึงทูลว่าคนนั้นแหละ โจโฉจึงว่าเรารู้จักแล้ว แต่ว่าหารู้ว่าวิชาหมอดีชั่วเปนกะไรไม่ ฮัวหิมจึงทูลว่า หมอคนนี้อยู่บ้านเจียวก๋วนเมืองไทก๊ก ทุกวันนี้หามีผู้ใดเสมอไม่ ถ้าได้ดูโรคแล้วบางทีก็ให้ทายากินยา บางทีก็เผาบางทีก็ผ่า แต่พอยกมือขึ้นความเจ็บก็หาย ถ้าเปนโรคในท้องให้กินยาเข้าไปเจ้าตัวก็หลับไปหารู้สึกตัวไม่ จึงเอามีดผ่าห้องเอาใส้พุงออกมาชำระให้สิ้นโสโครก แล้วคืนใส่เข้าไปไว้อย่างเก่า เอาไหมเย็บแล้วทายา บางคนเดือนหนึ่งก็หาย บางคนยี่สิบวันก็หายเปนปรกติเหมือนอย่างเก่า
ครั้งหนึ่งฮัวโต๋เดิรไปมาตามถนน ได้ยินเสียงคนครางอยู่บนเรือน แต่ได้ยินก็รู้ว่าโรคนี้เปนงูอยู่ในท้องตัวหนึ่ง จึงเดิรเข้าไปร้องเรียกคนลงมาว่า คนเจ็บอยู่นั้นเราจะรักษาให้หาย จึงให้เอากระเทียมแลกุยช่ายบดให้ละเอียดใส่นํ้าลงสองทนาน ให้คนไข้กินให้สิ้น แต่พอคนไข้กินยาสิ้นก็อาเจียนออกมา งูตัวหนึ่งยาวสองศอกเศษไหลออกมาด้วย ไข้นั้นก็หายสิ้นไป
ครั้งหนึ่งตันเต๋งชาวเมืองกังเหลงเปนไข้ ในท้องให้ลั่นโครกคราก กินเข้าไม่ได้ผอมหน้าเหลือง จึงเชิญฮัวโต๋มารักษา แต่พอกินยาเข้าไปมื้อเดียวก็อาเจียนออกมา แต่ล้วนหนอนมีสีสะแดงยังเปนอยู่ประมาณสักสองทะนาน ตันเต่งจึงถามว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงเปนโรคดังนี้ ฮัวโต๋จึงตอบว่า ท่านเอาเนื้อดิบปลาดิบมาพล่ากินจึงเปนโรคดังนี้ ถึงออกมากระนี้แล้วโรคท่านก็ยังไม่หายขาด ยังอีกสามปีโรคอันนี้จะกลับเปนอีก ถ้าเปนมาอีกแล้วรักษาไม่หายเลย ถึงที่ของท่านแล้ว นานอีกสามปีตันเต๋งก็ตายเหมือนปากฮัวโต๋คาดไว้
ครั้งหนึ่งมีคนไข้คนหนึ่ง เปนฝีขึ้นมาที่หลังคิ้วให้ปวดแสบปวดร้อนนัก จึงหาหมอฮัวโต๋มารักษา ฮัวโต๋แลดูจึงว่า ฝีอันนี้มีสัตว์บินได้อยู่ในนั้น คนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ หมอฮัวโต๋จึงเอามีดผ่าฝีนั้นออก นกกระจอกเต้นออกมาแล้วก็บินไปโรคนั้นก็หาย
ครั้งหนึ่งมีคนหนึ่งสุนัขกัดเอาแม่เท้าขาดไป จึงบังเกิดเปนก้อนเนื้อย้อยออกมาสองก้อน ๆ หนึ่งให้เจ็บก้อนหนึ่งให้คัน จึงหาหมอฮัวโต๋มารักษา ฮัวโต๋เห็นแล้วจึงว่า ก้อนเนื้อที่ให้เจ็บนั้นมีเข็มอยู่ข้างในสิบเล่ม ก้อนเนื้อที่ให้คันในนั้นมีลูกสกาอยู่สองลูก ๆ หนึ่งดำลูกหนึ่งขาว คนทั้งปวงไม่เชื่อ หมอฮัวโต๋จึงเอามีดผ่าออก ก็ได้เข็มแลลูกสกาเหมือนหนึ่งว่านั้น คนทั้งปวงสรรเสริญว่าเหมือนเทพดา บัดนี้หมอฮัวโต๋มาอยู่ตำบลกิมเสีย กับที่นี่ไม่สู้ไกลสู้ใกล้นัก ขอให้ท่านหาหมอฮัวโต๋มารักษาโรคท่านเห็นจะหาย
โจโฉได้ยินฮัวหิมสรรเสริญดังนั้น ก็สั่งให้ทหารเร่งรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน หาหมอฮัวโต๋มา หมอฮัวโต๋มาถึงแล้วก็ให้แหวกเสื้อดูเส้นที่ข้อมือหมอฮัวโต๋จึงทายว่า โรคท่านอันนี้เพื่อลมเสียดแทงในสีสะ ท่านกินยามาหนักหนาหาชอบโรคไม่ จะรักษาโรคอันนี้ด้วยยากินแลยาทาหาหายไม่ โรคอันนี้ชอบให้ผ่าจึงจะหาย โจโฉจึงถามว่าท่านจะผ่าอย่างไร หมอฮัวโต๋จึงว่า ข้าพเจ้าจะให้ท่านกินยาให้มึนเมาไปไม่รู้สึกตัว จึงจะผ่าสีสะด้วยขวานอันคม แล้วจึงจะชำระโรคในสีสะให้หมด แล้วจึงจะประกับให้เหมือนเก่า ก็จะทายาให้หายแผลโรคท่านจึงจะหายขาด
โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธนัก จึงว่าเองจะแกล้งฆ่าเราหรือจึงว่ากล่าวทั้งนี้ ฮัวโต๋จึงว่า เมื่อครั้งกวนอูถูกเกาทัณฑ์ที่แขนนั้น ข้าพเจ้าไปรักษา กวนอูนั่งนิ่งให้ข้าพเจ้าผ่าเอาลูกเกาทัณฑ์ออกเสีย แล้วก็ขูดยาพิษซึ่งติดกระดูกนั้นออกเสีย กวนอูก็หากลัวไม่ โรคของท่านหน่อยหนึ่งเท่านี้จะกลัวอันใด ข้าพเจ้าผ่าแล้วก็จะหายท่านอย่าได้กลัวเลย
โจโฉจึงว่า อันเจ็บที่แขนนั้นจะผ่าก็ควร เจ็บที่สีสะนี้จะควรผ่าแล้วหรือ อ้ายคนนี้คบคิดกับพวกกวนอู ทำกลมารยาแกล้งจะมาฆ่าเราให้ตาย โจโฉจึงสั่งให้ทหารซ้ายขวาจับเอาตัวฮัวโต๋ไปใส่คุกเสีย แล้วว่ากูจะให้เฆี่ยนถามเอาเนื้อความเมื่อภายหลัง
กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงห้ามว่า ขอให้ท่านพิเคราะห์ดูจงละเอียดก่อน อันหมอฮัวโต๋นี้ดีนัก ทุกวันนี้จะหาตัวเสมอมิได้แล้ว อย่าเพ่อให้เปนอันตรายเลย โจโฉตวาดแล้วจึงว่า หมอคนนี้คิดอ่านจะทำร้ายเราครั้งนี้ เหมือนครั้งเกียดเป๋งทำร้ายแก่เราครั้งนั้น จะให้กรมเมืองเฆี่ยนถามเอาเนื้อความให้จงได้ ทหารจึงเอาตัวหมอฮัวโต๋ไปส่งให้กรมเมืองจำไว้ในคุกตามคำโจโฉสั่งนั้น
หงออายซึ่งได้คุมหมอฮัวโต๋รู้ว่าฮัวโต๋เปนหมอดี ก็ปฏิบัติรักษาส่งเหล้าเข้าหมูเป็ดไก่ทุกเวลามิได้ขาด หมอฮัวโต๋รู้จักคุณผู้คุม จึงว่าข้าพเจ้านี้เห็นจะตายเปนแท้แล้ว ไม่มีสิ่งใดจะแทนคุณท่าน วิชาการฝ่ายหมอของข้าพเจ้าดีนัก ยังหาได้บอกกล่าวลูกศิษย์ผู้ใดไม่ ท่านเอาหนังสือของข้าพเจ้านี้ไปให้ภรรยาข้าพเจ้าเอาตำราที่เรือนมา ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้จงสิ้น ผู้คุมได้ยินว่าดังนั้นก็ดีใจนัก จึงว่าข้าพเจ้าได้วิชาการหมอของท่านแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทำการเปนผู้คุมสืบไปเลย จะทำการฝ่ายแพทย์รักษาโรคให้เลื่องลือปรากฎไป ก็จะได้ขวัญเข้าค่ายาเลี้ยงชีวิตดีกว่า
ฮัวโต๋จึงเขียนหนังสือให้ผู้คุม ๆ ก็เอาหนังสือไป ณ ตำบลบ้านกิมเสีย ส่งให้แก่ภรรยาฮัวโต๋ ๆ ก็ส่งตำราให้ตามผัวมีหนังสือมานั้น ผู้คุมได้ตำราแล้วก็เอาไปให้แก่ฮัวโต๋ ๆ ก็ชี้แจงบอกวิชาแพทย์ให้แก่ผู้คุมทุกประการ แล้วก็มอบตำรานั้นให้แก่ผู้คุม ๆ ได้ตำราแล้วมีความยินดีนัก เอาตำราไปเก็บไว้ ณ เรือน อยู่มาช้านานฮัวโต๋ก็ตายในคุกนั้น ผู้คุมก็ให้นายเอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจโฉว่าฮัวโต๋ตายแล้ว ผู้คุมก็จัดแจงเครื่องเส้น เชิญศพฮัวโต๋ไปฝังตามธรรมเนียม
ฝ่ายภรรยาผู้คุมเห็นตำราก็คิดว่าจะเอาไว้ต้องการอะไร ครูที่ว่าดีนักก็ตายในคุก ผัวเราเอาไว้ก็จะเปนเหมือนกัน คิดแล้วก็เอาตำราไปเผาไฟเสีย เวลานั้นพอผู้คุมไปเรือน แลเห็นภรรยาเอาตำราเข้าเผาไฟก็ตกใจ วิ่งเข้าไปชิงได้สองสามใบ ตำราทั้งนั้นไหม้ไฟสิ้น ที่ได้ไว้นั้นเปนแต่ตำราตอนหมูตอนเป็ดตอนไก่ ผู้คุมโกรธด่าภรรยาแล้วถามว่า เหตุใดมึงจึงเอาตำราไปเผาไฟเสีย เมียจึงว่า ฮัวโต๋ครูของท่านที่นับถือว่าดีนักก็ตายในคุก ท่านจะเอาตำราไว้ต้องการอะไร ฝ่ายผู้คุมเสียดายตำรานักนั่งทอดใจใหญ่คิดว่า ตำราเอกฝ่ายแพทย์อย่างนี้แต่นี้ไปเบื้องหน้าหามีไม่แล้ว
ฝ่ายโจโฉโรคในสีสะก็เจ็บเปนกำลังกล้าขึ้น แล้วก็ให้วิตกปรารมภ์ เกรงกองทัพเมืองกังตั๋งเมืองเสฉวนจะยกมาทำอันตราย มีทหารเข้าไปทูลว่า ซุนกวนเมืองกังตั๋งให้หนังสือมาถึง โจโฉให้หาเข้ามาเอาหนังสือออกดู ในหนังสือเปนใจความว่า ข้าพเจ้าซุนกวนสามิภักดิ์มาพึ่งบุญท่าน อนึ่งบันดาหัวเมืองทั้งปวงก็ขึ้นแก่ท่านสิ้นแล้ว ยังแต่เมืองเสฉวนเมืองตังฉวน ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเล่าปี่เถิด เห็นจะได้โดยสดวก
โจโฉได้ยินหนังสือดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า ซุนกวนจะลวงให้เราเหยียบกองไฟ ที่ปรึกษาคนหนึ่งชื่อตันกุนจึงทูลว่า แผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ร่วงโรยมาช้านานแล้ว ครั้งนี้อาศรัยบุญท่านก็บริบูรณ์มั่งคั่ง ราษฎรทั้งปวงได้พึ่งโพธิสมภารอยู่เย็นเปนสุข แล้วมีความรักใคร่ยินดีต่อท่านนัก ซุนกวนนี้ก็ถ่อมตัวเข้ามาเปนข้าท่าน สมควรแล้วที่จะเปนเจ้าแผ่นดิน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า เราทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้มาแผ่นดินก็ราบคาบ ราษฎรก็อยู่เย็นเปนสุขมาช้านานเพราะเรา ๆ ก็ได้เปนใหญ่ หาขุนนางผู้ใดเสมอไม่แล้ว เราจะตั้งตัวเปนเจ้าแผ่นดินเคียงพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไม่สมควร เราจะทำแต่พอเหมือนจิวบูอ๋อง ซึ่งทำการไว้ให้แก่ลูกชาย สุมาอี้จึงทูลว่า ซุนกวนสิยอมเข้ามาเปนข้าท่านแล้ว ควรท่านจะตั้งให้ซุนกวนเปนขุนนางผู้ใหญ่ ให้เปนฝักฝ่ายข้างเราจะได้สกัดทัพเล่าปี่ไว้ โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งตราตั้งซุนกวนเปนเพียวกีจงกุ๋นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แล้วจึงให้ทหารคุมตราตั้งออกไปมอบเมืองเกงจิ๋วให้ซุนกวน
ฝ่ายโจโฉโรคนั้นกำเริบกล้าขึ้น อยู่มาวันหนึ่งฝันเห็นว่า ม้าสามตัวกินหญ้าในรางเดียวกัน ครั้นรุ่งขึ้นเช้าจึงเล่าให้กาเซี่ยงที่ปรึกษาฟังแล้วจึงว่า เมื่อครั้งม้าเท้งม้าฮิวม้าเทียดสามคนพ่อลูกคิดจะทำร้ายเราก็ฝันอย่างนี้ เราก็กำจัดพ่อลูกสามคนได้แล้ว บัดนี้ฝันเห็นเหมือนครั้งนั้นอีกเล่า จะดีร้ายประการใด กาเซี่ยงจึงว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ลักษณะฝันนี้ดีเห็นว่าบุญมาถึงท่านแล้ว ท่านอย่าได้วิตกเลย โจโฉได้ยินดังนั้นก็หาสงสัยไม่
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเวลากลางคืนโจโฉปวดสีสะเปนกำลัง ให้วิงเวียนร้อนกระวนกระวายนอนไม่หลับเลยจนเวลายามสาม จึงลุกออกมานั่งที่เก้าอี้ ได้ยินเสียงดังหนึ่งฉีกแพร จึงแลไปก็เห็นนางฮกเฮานางตังกุยหุยกับบุตรทั้งสองคน กับฮกอ้วนบิดานางฮกเฮากับตังสินบิดานางตังกุยหุย กับพรรคพวกประมาณยี่สิบคนมีโลหิตแดงทั่วตัวยืนอยู่ในอากาศร้องว่า โจโฉท่านเอาชีวิตมาคืนให้แก่เรา โจโฉชักเอากระบี่ฟันไปถูกประตูเข้าก็ให้กระวนกระวายนัก สิ้นแรงก็ล้มลงที่นั้น คนที่ยืนรักษาอยู่นั้นก็พยุงเอาโจโฉไปไว้ในตำหนักอื่น อยู่มาอีกวันหนึ่งเวลากลางคืนโจโฉนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงปีศาจทั้งหญิงทั้งชายร้องไห้เซ็งแซ่ไปยังรุ่ง เวลาเช้าโจโฉหาขุนนางทั้งปวงมาพร้อมกันจึงว่า เราทำการสงครามมาช้านานถึงสามสิบปีเศษหาได้ยินเสียงปีศาจปรากฎดังนี้ไม่เลย มาบัดนี้มีปิศาจมาหลอกหลอนร้องไห้เสียงเซ็งแซ่ไป ประหลาทหลากนัก จะเปนเหตุการณ์อันใด
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่า ขอให้ท่านหาหมอปีศาจมาแต่งเครื่องเส้นวักพลีกรรมเสียแล้วก็จะหาย โจโฉทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า โบราณว่าไว้ว่า กรรมมาถึงตัวแล้วจะทำประการใดก็หาพ้นไม่ บัดนี้กรรมมาถึงแล้วใครจะมาช่วยเราได้ โจโฉก็หาให้เส้นผีไม่ อยู่มาวันหนึ่งโรคนั้นกำเริบหนักขึ้นยิ่งกว่าเก่า ให้ระทวยสวิงสวายอ่อนไป จึงให้หาแฮหัวตุ้นเข้ามา
แฮหัวตุ้นมาถึงประตูวัง จึงแลเห็นนางฮกเฮานางตังกุยหุยกับบุตรทั้งสองกับฮกอ้วนตังสินกับพรรคพวกยืน หลอกหลอน แฮหัวตุ้นล้มลง บ่าวก็พยุงแฮหัวตุ้นกลับมาบ้าน แฮหัวตุ้นก็ป่วยเพราะปีศาจ โจโฉจึงให้หาโจหองตันกุยกาเซี่ยงสุมาอี้เข้าไปถึงเตียงนอน จึงฝากบุตรภรรยาบ้านเมืองทั้งปวงแก่ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่คน ขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า โรคท่านแต่เพียงนี้เห็นมิพอเปนไรนัก รักษาถูกที่ก็จะหาย
โจโฉจึงว่า เราทำการรณรงค์มากว่าสามสิบปีแล้ว ข้าศึกที่ไหนเข้มแขงเราก็ปราบปรามเสียได้ แผ่นดินก็ราบคาบราษฎรก็อยู่เย็นเปนสุข แต่ซุนกวนเมืองกังตั๋งเล่าปี่เมืองเสฉวนยังหาปราบได้ไม่ ความไข้ก็หนักขึ้นถึงเพียงนี้ ซึ่งจะเปนเพื่อนคิดการสงครามกับท่านทั้งปวงสืบไปอีกไม่ได้แล้ว เราจึงฝากฝังมอบเวนไว้แก่ท่านทั้งปวง ลูกเราคนหนึ่งชื่อโจงั่งเกิดด้วยนางเล่าซีก็ตายเสียที่เมืองอ้วนเสียนั้น แล้ว ยังแต่บุตรเราสี่คนเกิดด้วยนางเปี่ยนซีชื่อว่าโจผีคนหนึ่ง โจเจียงคนหนึ่ง โจสิดคนหนึ่ง โจหิมคนหนึ่ง เราวิตกถึงโจสิดนัก ด้วยลูกคนนี้วาจาไม่ยั่งยืน แล้วก็มักเสพย์สุรา ความคิดไม่รอบคอบ จะตั้งให้แทนที่ก็ไม่ได้ ฝ่ายโจเจียงนั้นมีกำลังก็จริง แต่ว่าหาความคิดมิได้ โจหิมนั้นเปนคนโลภ เห็นแต่โจผีพี่เอื้อยเปนคนหนักแน่นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลมพอที่จะตั้ง ให้เปนใหญ่แทนตัวเราได้ เราหาบุญไม่แล้ว ท่านจงอนุเคราะห์ตั้งไว้ให้ว่าราชการแทนเราสืบไปเถิด
โจหองตันกุ๋ยกาเซี่ยงสุมาอี้ได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วก็ลาออกไป โจโฉจึงให้คนใช้เอาไม้หอมอย่างดีชื่อเบงเหียงมาแจกให้ภรรยาทั้งปวง แล้วจึงสั่งสอนว่า ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ฝึกสอนในการเย็บการปัก จะได้เลี้ยงตัวเมื่อภายหลัง ท่านจงพากันไปอยู่ปราสาทตั้งเซ็กไต๋ เมื่อท่านจะเส้นเรานั้น ให้มีมะโหรีปี่พาทย์จงทุกวัน อนึ่งท่านจงสั่งขุนนางให้ก่อกุฏิ์ฝังศพเราที่ท้องสนามนอกเมือง ให้ได้เจ็ดสิบสองกุฏิ์ อย่าให้คนทั้งปวงรู้ว่าศพเราไว้กุฏิ์ไหน เพราะว่ามีคนชังตัวเรานั้นมากอยู่ เกลือกคนชังมันจะขุดศพเราขึ้นเสีย โจโฉสั่งดังนั้นแล้วทอดใจใหญ่นํ้าตาไหลลงโทรมหน้า ก็ผวาล้มลงขาดใจตาย เมื่อโจโฉตายนั้นเดือนสาม อายุได้หกสิบหกปี พระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมือฮูโต๋ได้ยี่สิบห้าปี (พ.ศ. ๗๖๓)
ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าโจโฉตายแล้วก็ร้องไห้ จึงใช้ทหารไปเชิญบุตรโจโฉซึ่งไปนั่งเมืองทั้งสี่คน โจผีอยู่เมืองเงียบกุ๋น โจเจียงอยู่เมืองเอียงเหลง โจสิดอยู่เมืองลิมฉี โจหิมอยู่เมืองเซียวหวยมา ณ เมืองลกเอี๋ยง ขุนนางทั้งปวงจึงแต่งการศพเปนการใหญ่ตามประเพณีเจ้าเมือง แล้วให้เร่งรับเชิญศพไปทั้งกลางวันกลางคืนไป ณ เมืองเงียบกุ๋น
ฝ่ายโจผีรู้ว่าบิดาตายก็ร้องไห้ จึงพาขุนนางแลทหารทั้งปวงออกจากเมืองมาประมาณร้อยเส้นก็พบศพบิดาเข้า จึงเชิญศพบิดาเข้าไปในเมืองเงียบกุ๋น ก็ให้ป่าวร้องขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรในเมืองหลวงแลเมืองขึ้นให้นุ่งขาว ห่มขาวโพกผ้าขาวตามอย่างเจ้าเมืองตายนั้น โจผีกับขุนนางทั้งปวงร้องไห้รักอื้ออึงไป จึงมีคนหนึ่งร้องห้ามว่า อย่าเพ่อร้องไห้อื้ออึงไป กลั้นความโศกเสียก่อนเถิดจะได้คิดการใหญ่ คนทั้งปวงแลดูก็เห็นสุมาหู จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงห้ามฉนี้
ฝ่ายสุมาหูจึงว่า เจ้านายเราหาไม่แล้วเกรงข้าศึกจะกำเริบ ขอให้ยกโจผีขึ้นเปนเจ้าว่าราชการ ราษฎรทั้งปวงจะได้วางใจเพราะมีเจ้านายแล้ว อนึ่งข้าศึกก็ไม่กำเริบ ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ชอบอยู่แล้ว แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ยังไม่มีตรารับสั่งตั้งมา เราทั้งปวงจะทำตามอำเภอใจนั้นจะได้หรือ
ตันเกียวจึงว่า ธรรมเนียมเจ้าดับสูญแล้ว ลูกผู้ใหญ่ก็ว่าราชการแทน ว่าแล้วจึงเอาดาบตัดเสื้อให้ขาดหน่อยหนึ่งทิ้งลงกับแผ่นดิน แล้วชี้ให้ขุนนางทั้งปวงดู จึงร้องว่าให้ยกโจผีขึ้นเปนเจ้าในวันนี้ ถ้าผู้ใดว่าขัดขวาง สีสะผู้นั้นก็จะขาดตกลงเหมือนเสื้อนี้ ขุนนางทั้งปวงได้ยินก็ตกใจกลัว ต่างคนต่างก็นิ่งอยู่ พอฮัวหิมขุนนางผู้ใหญ่มาแต่เมืองฮูโต๋ ขุนนางทั้งปวงตกใจกลัว ฮัวหิมก็เดิรตรงเข้าไป ขุนนางทั้งปวงจึงถามว่ามาด้วยเหตุอันใด
ฮัวหิมจึงว่า โจโฉสิหาไม่แล้ว เราก็เกรงว่าข้าศึกจะกำเริบ ให้เชิญโจผีขึ้นเปนเจ้าว่าราชการแทนบิดา ขุนนางทั้งปวงจึงว่า บัดนี้ปรึกษากันอยู่ว่าจะตั้งโจผีขึ้นเปนเจ้า แต่ว่าคอยอยู่เกลือกพระเจ้าเหี้ยนเต้จะพระราชทานตราตั้งมา ฮัวหิมจึงว่า ข้าพเจ้าทูลขอตราพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ พระราชทานให้แล้วก็ถือมา คนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็ดีใจ ชวนกันโห่ร้องเต้นรำอื้ออึง ฮัวหิมจึงเอาตราตั้งออกให้ดู ฮัวหิมคนนี้เปนฝักฝ่ายโจโฉ แต่ว่าไปอยู่ที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ คอยสอดแนมเอาเนื้อความมาบอกโจโฉ ครั้นรู้ว่าโจโฉตายแล้ว จะใคร่ให้โจผีเปนเจ้าแทน จึงเขียนตราตั้งโจผีแล้วก็เอาเข้าไปทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ก็เออเอา ฮัวหิมจึงได้ตราตั้งนั้นมา
ฝ่ายโจผีก็ให้หาขุนนางมาเฝ้า ขุนนางทั้งปวงก็ถวายบังคม โจผีจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงถ้วนหน้า จึงมีคนมาทูลว่า โจเจียงน้องท่านอยู่เมืองเตียงอั๋น ยกทัพใหญ่มาทหารประมาณสิบหมื่น โจผีได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า อ้ายคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันนั้นเปนคนดุดันโมโหมาก แล้วกล้าหาญมีฝีมือรบพุ่งก็เข้มแขง ยกทัพมาบัดนี้จะมาชิงสมบัติเราหรือประการใด
เกียกุยจึงว่า ข้าพเจ้าจะออกไปพูดจากับโจเจียงดู ก็จะรู้ว่ามาดีแลร้ายประการใด ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ท่านว่านี้ชอบนัก ถ้าคนอื่นจะออกไปก็หาได้ไม่ ถ้าท่านออกไปครั้งนี้ดีนัก ถึงมาทว่ามาร้ายก็จะกลายเปนดีเพราะถ้อยคำของท่าน โจผีได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงใช้ให้เกียกุยออกไป
ฝ่ายโจเจียงจึงถามว่า บิดาเราล่วงแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งผู้ใดว่าราชการแทนบิดาเล่า เกียกุยจึงว่า ประเพณีโบราณถ้าเปนพลเรือนบิดาหาไม่แล้วลูกชายผู้ใหญ่อยู่ในเรือนนั้นได้ว่า กล่าวแทนบิดา ถ้าเปนการแผ่นดินเล่าลูกชายใหญ่ก็ได้เปนเจ้าแทนบิดาว่าราชการสืบไป ตัวท่านนี้หาเปนลูกชายผู้ใหญ่ไม่ จะเปนขุนนางผู้ใหญ่ก็หาไม่ มาถามถึงความนี้ด้วยเหตุอันใด
โจเจียงได้ยินเกียกุยยกขนบธรรมเนียมโบราณว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงนิ่ง อยู่ แล้วพาเกียกุยเข้าไปในเมือง ครั้นใกล้วังเกียกุยจึงถามโจเจียงว่า ท่านมาบัดนี้จะชิงเอาสมบัติหรือว่าจะมาทำการศพบิดา โจเจียงจึงว่า ข้าพเจ้ามาครั้งนี้จะได้คิดว่าจะชิงเอาสมบัตินั้นหามิได้ มาปราถนาจะทำการศพสนองคุณบิดา เกียกุยจึงว่า ถ้าจริงดังนั้นเหตุใดท่านจึงพาทหารมามากดังนี้ โจเจียงได้ยินดังนั้นเห็นว่าตัวผิด จึงขับทหารทั้งปวงให้กลับไปเสีย แต่ตัวผู้เดียวเข้าไปเฝ้าพี่ชาย พี่ชายก็ออกมากอดคอกัน แล้วร้องไห้ด้วยกันทั้งสองคน ความโศกสงบแล้ว โจเจียงคิดว่าพี่ชายจะแคลง จึงว่าทหารข้าพเจ้าซึ่งมาทั้งนี้ขอมอบให้แก่ท่าน แล้วโจเจียงเข้าไปคำนับศพบิดา โจผีจึงใช้ให้โจเจียงไปรักษาเมืองเอียนเหลง โจเจียงกระทำคำนับศพบิดาแล้ว ก็ลาพี่ชายคุมทหารไปรักษาเมืองเอียนเหลง โจผีให้ตกแต่งเครื่องอุปโภคบริโภคให้เหมือนเครื่องราชบริโภคพระเจ้าเหี้ยน เต้ทุกประการ เมื่อโจผีได้เปนเจ้านั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบหกปี (พ.ศ. ๗๖๔)
ฝ่ายโจผีจึงตั้งฮัวหิมเปนเสนาบดีฝ่ายขวา ตั้งให้กาเซี่ยงเปนเสนาบดีฝ่ายซ้าย อองลองเปนที่ปรึกษาผู้ใหญ่ บันดาขุนนางทั้งปวงนั้นให้เลื่อนที่ตามสมควร แล้วจึงให้แต่งที่ฝังศพบิดาเจ็ดสิบสองที่ตามคำบิดาสั่งไว้นั้น ให้จารึกอักษรไว้หน้ากุฏิ์ว่า กุฏิ์นี้เปนที่ฝังศพเจ้าวุยอ๋อง ริมผนังกุฏิ์นั้น ที่ข้างนอกให้เขียนเปนเรื่องอิกิ๋มไปรบกวนอูตำบลเมืองอ้วนเสีย กวนอูทำกลอุบายให้น้ำท่วมทหารทั้งปวง ทัพอิกิ๋มแตก กวนอูจับอิกิ๋มบังเต๊กได้ กวนอูนั่งที่สูง ให้อิกิ๋มบังเต๊กนั่งที่ตํ่า บังเต๊กเปนชาติทหารหากลัวความตายไม่ กวนอูให้ฆ่าเสีย ฝ่ายอิกิ๋มกลัวตายกราบไหว้กวนอูอ้อนวอนขอชีวิต โจผีทำทั้งนี้หวังจะประจานอิกิ๋ม ให้เห็นว่าอิกิ๋มกลัวตายหาเปนชาติทหารไม่ มิได้คิดความละอายจึงอ้อนวอนขอชีวิต ภายหลังจึงรอดมาได้ โจผีทำทั้งนี้หวังมิให้ทหารทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างสืบไป จึงใช้ให้อิกิ๋มไปรักษาที่กุฏิ์ฝังศพบิดานั้น ฝ่ายอิกิ๋มเมื่อรักษาที่ฝังศพโจโฉ ก็เห็นฉากซึ่งโจผีให้เขียนเรื่องประจานไว้ มีความละอายนัก นานมาเปนไข้ลงก็ตรอมใจตาย
ฮัวหิมจึงทูลแก่โจผีว่า โจเจียงน้องท่านมากระทำการศพบิดา แล้วเอาทหารมามอบให้แก่ท่าน แต่โจสิดอยู่ ณ เมืองลิมฉีโจหิมอยู่เมืองเซียวหวย น้องท่านทั้งสองคนนี้หามาทำการศพบิดาไม่ ท่านจงให้ไปลงอาญาน้องท่านทั้งสองคนจึงจะควร โจผีเห็นชอบด้วยจึงสั่งทหารผู้ใหญ่ให้คุมทหารไปลงอาญาน้องทั้งสองเมือง ทหารผู้ใหญ่สองคนก็พาทหารไปตามโจผีสั่งนั้น ทหารโจหิมจึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจหิมว่า พี่ท่านโกรธว่าท่านไม่ไปทำการศพบิดา บัดนี้ให้ทหารมาลงอาญาท่าน
โจหิมได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกลัวอาญานักก็ผูกฅอตาย ทหารซึ่งไปลงอาญาแจ้งว่า โจหิมผูกฅอตายแล้ว ก็กลับเอาเนื้อความมาแจ้งแก่โจผี โจผีก็สั่งให้ไปแต่งการศพน้องฝังเสีย แล้วให้จารึกอักษรไว้ที่หน้ากุฏิว่า ที่ฝังศพเจ้าเมืองเซียวหวย
ฝ่ายทหารเมืองลิมฉีรู้ว่าโจผีมาลงอาญาโจสิด จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจสิด พอโจสิดเตงหงีเตงอี้นั่งเสพย์สุราอยู่ โจสิดรู้เนื้อความแล้วก็หาเกรงกลัวไม่ ทหารผู้ถือตราเข้าไปถึงแล้วก็นั่งเฉยเสียหากระทำคำนับไม่ เตงอี้จึงว่าแก่ผู้ถือตราว่า ครั้งโจโฉยังอยู่จะตั้งให้นายเราเปนใหญ่ เพราะคนปากสอพลอยุยงจึงขัดเคืองมาคุ้มเท่าทุกวันนี้ บัดนี้โจโฉพึ่งตายยังมิทันไรสิมีตราให้ลงอาญาแก่พี่น้อง เตงหงีจึงว่า นายเรานี้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหาผู้เสมอไม่ ควรจะได้เปนใหญ่แทนบิดา เพราะคนยุยงจึงมิได้เปนใหญ่
ฝ่ายโจสิดก็สั่งทหารให้ไสฅอผู้ถือตรา แล้วสั่งให้เอาตะบองไล่ตีไปเสีย ผู้ถือตราก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจผี โจผีโกรธนัก จึงใช้ให้เคาทูคุมทหารสามพันรีบไปเมืองลิมฉี ให้จับโจสิดมาให้จงได้ เคาทูคุมทหารไปถึงเมืองลิมฉี ฝ่ายทหารซึ่งรักษาเมืองลิมฉีก็ไม่ให้เคาทูเข้ามา เคาทูจึงฆ่าทหารผู้รักษาเมืองเสีย เคาทูจึงคุมทหารเข้าไปในเมืองถึงที่อยู่โจสิด เห็นโจสิดเตงหงีเตงอี้เมาสุรานอนอยู่ เคาทูให้มัดเอาตัวใส่เกวียนมาทั้งสามคน แล้วสั่งทหารให้คุมเอาบุตรภรรยาบ่าวไพร่ในเรือนโจสิดมาด้วย ครั้นมาถึงเมืองเงียบกุ๋นแล้ว ก็เอาตัวโจสิดเตงหงีเตงอี้เข้ามาถวายโจผี ๆ จึงสั่งให้เอาตัวเตงหงีเตงอี้ไปฆ่าเสียให้จำโจสิดไว้ มารดาโจผีรู้ข่าวว่าโจหิมผูกฅอตายเสียแล้ว บัดนี้โจผีให้มัดเอาตัวโจสิดมาฆ่าพรรคพวกเสียแล้วจำโจสิดไว้ ก็ร้องไห้ไปหาโจผี ๆ เห็นมารดาก็กราบลง มารดาร้องไห้อ้อนวอนขอโทษว่า น้องชายเจ้าคนนี้มักพอใจเสพย์สุรา มันอวดว่าตัวมันดี ชีวิตมารดายังอยู่เจ้าเห็นกับมารดาเถิด มันเปนพี่น้องร่วมอุทรแก่เจ้า ๆ อย่าฆ่ามันเสียเลย เจ้าไว้ชีวิตแล้วถึงแม่จะตายก็จะได้วางใจ
โจผีจึงว่า น้องคนนี้ฉลาดเฉลียวนัก ข้าพเจ้าก็รักอยู่ ทำโทษทั้งนี้หวังจะให้หลาบจำอย่าให้กระทำความชั่วสืบไป ข้าพเจ้าหาฆ่าเสียไม่แม่อย่าปรารมภ์เลย มารดาได้ฟังลูกว่าดังนั้นก็ดีใจกลับไปที่อยู่ โจผีก็มายังที่ออกขุนนางจึงสั่งให้เอาตัวโจสิดเข้ามา ฮัวหิมจึงถามว่า มารดาขอโทษโจสิดหรือ โจผีบอกว่ามารดาขอโทษเรายกให้แล้ว ฮัวหิมจึงว่า โจสิดคนนี้หลักแหลมอยู่ อันจะไว้ชีวิตนั้นมิได้นานไปจะเปนอันตราย โจผีจึงว่าจะขัดมารดาไม่ได้ ฮัวหิมจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาเล่าลือว่าโจสิดคนนี้ทำโคลงดีนัก ขอให้ท่านเอาตัวเข้ามาทำโคลงดู ถ้าดีจริงแล้วก็อย่าฆ่าเสียเลย โจผีก็ให้หาตัวเข้ามา โจสิดตกใจเข้าไปถึงแล้วกราบไหว้พี่อ้อนวอนขอโทษ
โจผีจึงว่า ข้ากับเจ้าเปนพี่น้องร่วมท้องกัน บัดนี้เราได้เปนเจ้าแทนที่บิดาเรา แล้วขุนนางผู้ใหญ่ก็เกรงกลัวเรา เหตุใดเจ้าจึงอุกอาจไม่เกรงกลัวเราเลย เมื่อบิดายังอยู่ย่อมใช้ให้เจ้าทำโคลงให้ดู เราสงสัยว่าคารมคนอื่นทำให้ ถ้าเจ้าทำได้จริงจงเดิรไปเจ็ดก้าว ว่าโคลงให้ได้เนื้อความในพี่น้องเรา ให้เอาเนื้อความอื่นมาเปรียบในพี่น้องเราอย่าให้ออกชื่อพี่น้อง ถ้าทำได้เราจะยกโทษ ถ้าทำไม่ได้เราจะลงโทษให้ถึงตาย โจสิดจึงว่า ท่านจงห้ามปากเสียงให้สงบแล้วคอยฟังเถิด แล้วจึงเดิรคิดว่าโคลงพอได้เจ็ดก้าวก็พอจบ
ในเนื้อความนั้นว่า ขั้วถั่วเอากิ่งถั่วมาเปนฟืนใส่ไฟ เมล็ดถั่วในกะทะจะไหม้ก็เพราะกิ่งถั่วต้นรากอันเดียวกันนั่นเอง เหตุใดจึงเร่งไฟเข้าให้หนักนัก โจผีได้ฟังโคลงดังนั้นรำลึกถึงความรักพี่น้องก็ร้องไห้ มารดาจึงเดิรออกมาแล้วก็ว่า เจ้าเปนพี่เปนไรจึงเขี้ยวเข็ญน้องให้ได้ความเดือดร้อน โจผีได้ยินมารดาว่าดังนั้นลุกขึ้นทำคำนับ แล้วว่าเปนอย่างธรรมเนียมแผ่นดินผู้ใดผิดแล้วต้องทำโทษ ถ้ามิทำก็จะเสียขนบธรรมเนียมไป แล้วก็สั่งให้โจสิดไปเปนเจ้าเมืองอันเหียง ให้ไกลเมืองหลวงออกไป โจสิดก็กราบลาไปอยู่ ณ เมืองอันเหียง ฝ่ายโจผีก็ทำยศอย่างยิ่งกว่าบิดา ข่มขี่พระเจ้าเหี้ยนเต้ยิ่งกว่าโจโฉนั้นอีก มีคนเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าปี่ ณ เมืองเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงให้หาขุนนางที่ปรึกษาทั้งปวงมาพร้อมแล้วจึงว่า โจโฉตายแล้ว โจผีผู้ลูกได้นั่งเมืองแทน บัดนี้ข่มขี่พระเจ้าเหี้ยนเต้ยิ่งกว่าโจโฉอีกเล่า ฝ่ายซุนกวนก็ยอมเปนข้าโจผีแล้ว บัดนี้เราคิดว่าจะให้ยกทัพไปรบซุนกวนเมืองกังตั๋งแก้แค้นแทนกวนอู แล้วจึงจะยกไปกำจัดอ้ายศัตรูแผ่นดินเหล่านี้ให้ราบ เลียวฮัวได้ยินดังนั้นแล้วก็ร้องไห้ จึงทูลว่า กวนอูกวนเป๋งตายเสียครั้งนี้ก็เพราะเล่าฮองเบ้งตัดไม่ยกทัพไปช่วย สองคนนี้โทษถึงตาย ขอท่านให้ฆ่าเสียจึงจะควร พระเจ้าเล่าปี่เห็นชอบด้วยจะให้ไปจับเล่าฮองเบ้งตัดมาฆ่าเสีย
ขงเบ้งจึงห้ามว่าท่านจงงดก่อน เราจะทำการสงครามมากอยู่ จะเร่งรีบกระทำดังนี้เกรงเล่าฮองเบ้งตัดจะเปนศัตรูขึ้น ขอท่านตั้งให้สองคนนี้ยกแยกกันอยู่คนละหัวเมือง เราจะทำการเมื่อภายหลังเห็นจะสดวก พระเจ้าเล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้คุมตราไปตั้งเล่าฮองให้เปนเจ้าเมืองบิต๊ก ตั้งให้เบ้งตัดเปนเจ้าเมืองซงหยง
ฝ่ายแพเอี้ยวเปนคนชอบใจกันกับเบ้งตัด เฝ้าพระเจ้าเล่าปี่อยู่ที่นั้น แจ้งเนื้อความทั้งนี้ จึงมีหนังสือลับไปแจ้งความทั้งปวงให้คนใช้สนิธเอาไปให้เบ้งตัด คนใช้ได้หนังสือแล้วก็ไปตามทางทิศทักษิ ณ เมืองเสฉวน
ม้าเฉียวไปลาดตะเวนจับคนใช้ของแพเอี้ยวได้ เห็นหนังสือแก้ออกดู รู้เนื้อความนั้นแล้ว ม้าเฉียวจึงไปหาแพเอี้ยว ณ เรือน แพเอี้ยวก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยง แต่พอกินสุรามึนตัวเข้า ม้าเฉียวจึงล่อถามเอาความว่า ท่านเปนคนดีมีสติปัญญา แต่ก่อนพระเจ้าเล่าปี่ก็ชุบเลี้ยงท่านเปนหนักหนา มาบัดนี้ข้าพเจ้าเห็นหามีความกรุณาท่านไม่
แพเอี้ยวเมาสุราแล้วจึงว่า อ้ายเล่าปี่เฒ่าคนนี้มันเปนคนกลับกลอกไม่ยั่งยืน เมื่อไรจะได้ทีเราจะแก้แค้นให้จงได้ ม้าเฉียวแกล้งว่า ข้าพเจ้านี้ก็มีความแค้นใจมาช้านานอยู่แล้ว แพเอี้ยวได้ยินดังนั้นจึงว่า ถ้ากะนั้นท่านยกทหารของท่านไปคิดกันกับเบ้งตัดตีเข้ามา ตัวข้าพเจ้ากับทหารของข้าพเจ้าจะคิดอ่านทำการภายในเห็นจะได้โดยสดวก ม้าเฉียวจึงว่า ท่านคิดการทั้งนี้ดีนัก วันอื่นเราจึงปรึกษากันอีกจะได้แก้แค้นของเราแล้วก็ลาไป จึงเอาคนใช้แลหนังสือนั้นเข้าไปถวายพระเจ้าเล่าปี่ แล้วจึงค่อยกระซิบทูลเนื้อความซึ่งแพเอี้ยวพูดจากับตัวนั้นให้พระเจ้าเล่า ปี่ฟัง พระเจ้าเล่าปี่โกรธนัก จึงสั่งให้ไปจับตัวแพเอี้ยวมาตีถาม แพเอี้ยวรับเปนสัตย์ แล้วสั่งให้เอาตัวแพเอี้ยวไปใส่คุกเสีย พระเจ้าเล่าปี่จึงปรึกษาขงเบ้งว่า แพเอี้ยวคิดขบถต่อเราดังนี้แล้ว เราจะเลี้ยงสืบไปหรือประการใด
ขงเบ้งจึงว่า อ้ายแพเอี้ยวคนนี้มันเปนบ้า จะเลี้ยงไว้ไม่ได้นานไปจะเกิดอันตราย พระเจ้าเล่าปี่จึงสั่งให้จำแพเอี้ยวไว้ในคุกกว่าจะตาย มีคนเอาเนื้อความทั้งปวงนี้ไปบอกแก่เบ้งตัด ๆ ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เพราะตัวนั้นมีความผิดอยู่ แล้วก็เห็นท้องตราซึ่งให้เล่าฮองไปรักษาเมืองบิต๊ก ตัวก็เปลี่ยวใจหาที่ปรึกษาไม่ได้ จึงให้เชิญซินต๋ำเปนนายทหารในเมืองซงหยง กับซินหงีเปนทหารอยู่ในเมืองห้องเหลง ทั้งสองคนนี้เปนพี่น้องกันเปนคนชอบใจกันกับเบ้งตัด นายทหารทั้งสองมาถึงแล้วเบ้งตัดจึงว่า หวดเจ้งกับเราได้ทำความชอบไว้ในพระเจ้าเล่าปี่มาแต่ก่อน บัดนี้หวดเจ้งก็ตายเสียแล้ว เล่าปี่ก็ลืมความชอบของเราซึ่งทำไว้แต่ก่อน บัดนี้จะทำร้ายแก่เรา ๆ จะคิดอ่านแก้ไขกะไรดีจึงจะรอดจากความตาย
ฝ่ายซินต๋ำจึงว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอันหนึ่งไม่ให้พระเจ้าเล่าปี่ทำร้ายแก่ท่านได้เลย เบ้งตัดก็ดีใจจึงว่า ท่านจะคิดอุบายเปนประการใด ซินต๋ำจึงว่า ข้าพเจ้าพี่น้องสองคนนี้คิดไว้ช้านานแล้วว่าจะไปอยู่กับโจผี ถ้าท่านจะใคร่รอดจากความตายจงทำหนังสือใบหนึ่ง ไปลาพระเจ้าเล่าปี่แจ้งคุณแลโทษ แล้วท่านจึงหนีไปอยู่กับโจผี ๆ ได้ท่านแล้วก็จะชุบเลี้ยงท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ เราพี่น้องสองคนจึงจะตามไปทีหลัง เบ้งตัดเห็นชอบด้วยจึงแต่งหนังสือเปนใจความว่า ข้าพเจ้าเบ้งตัดมีความผิดด้วยมิได้ยกกองทัพไปช่วยเมืองเกงจิ๋ว ๆ จึงเสียกวนอูก็ตาย ถ้าท่านอดโทษไว้ชีวิตข้าพเจ้าจะได้ทำราชการแก้ตัวสืบไป ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านไม่ไว้ชีวิตแล้ว จะขอลาไปอยู่ด้วยโจผี ข้าพเจ้าไปทั้งนี้จะไปประทุษฐร้ายต่อท่านก็หามิได้ ประสงค์แต่จะให้รอดจากความตาย แล้วให้คนเอาไปถวายพระเจ้าเล่าปี่ ส่วนตัวก็พาทหารห้าสิบคนหนีไปหาโจผีแต่ในเวลากลางคืนวันนั้น
พระเจ้าเล่าปี่เห็นหนังสือก็โกรธจึงว่า อ้ายศัตรูคิดขบถต่อกูแล้วให้มีหนังสือมาเย้ยกูอีกเล่า กูจะให้ยกกองทัพไปจับเอาตัวมาให้ได้ ขงเบ้งจึงห้ามว่า ท่านอย่าให้ยกกองทัพไปให้ลำบากแก่ทหารเลย ขอให้มีหนังสือไปถึงเล่าฮอง ให้ยกไปจับเบ้งตัดเห็นจะดีกว่า ถ้าเล่าฮองจับเบ้งตัดได้ก็จะเอาตัวมาให้เรา ถ้าจับมิได้เล่าฮองก็จะมาหาเรา ๆ ก็จะฆ่าเสียเห็นจะได้โดยสดวก เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงให้ทหารถือหนังสือไปถึงเล่าฮอง ในหนังสือนั้นว่า เบ้งตัดคิดขบถหนีไปเข้าด้วยโจผี ให้เล่าฮองยกกองทัพไปจับตัวมาให้เราจงได้
ฝ่ายโจผีออกนั่งว่าราชการขุนนางเข้าเฝ้าพร้อมกันถ้วนหน้า มีคนเข้าไปทูลว่า เบ้งตัดเปนทหารเล่าปี่สมัคเข้ามาเปนทหาร โจผีให้หาเบ้งตัดเข้าไปจึงว่า เองมาครั้งนี้กูเห็นว่าหามาโดยสุจริตไม่ จะมาคิดอ่านอุบายลวงเรา เบ้งตัดจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเปนโทษด้วยมิได้ยกทัพไปช่วยกวนอู ณ เมืองเกงจิ๋ว ๆ จึงเสียกวนอูก็ตาย พระเจ้าเล่าปี่จะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจึงหนีร้อนมาพึ่งเย็นจะให้รอดจากความตาย ซึ่งจะคิดอุบายล่อลวงท่านนั้นหามิได้ เปนความสัตย์ความจริง โจผียังแคลงอยู่หาเชื่อไม่
ฝ่ายเล่าฮองเห็นหนังสือรับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ ก็เร่งรีบจัดแจงทหารได้ห้าหมื่นยกไปตามเบ้งตัดถึงเมืองยังหยง จึงให้ทหารไปร้องเรียกเบ้งตัดให้ออกมาสู้กัน มีคนเอาเนื้อความเข้าไปทูลแก่โจผีต่อหน้าเบ้งตัดว่า เล่าฮองติดตามเบ้งตัดมาถึงเมืองยังหยง โจผีจึงว่าแก่เบ้งตัดว่า ถ้าท่านมาสามิภักดิ์เราโดยสุจริตจริง จงคุมทหารออกไปรบกับเล่าฮองเอาสีสะเล่าฮองมาให้ได้ เราจึงจะเห็นความจริงของท่าน
เบ้งตัดจึงว่า เล่าฮองคนนี้ก็มีความผิดเหมือนข้าพเจ้าหาพักรบพุ่งไม่ ถ้าข้าพเจ้าออกไปบอกให้รู้จักโทษตัวแล้ว ก็จะสรรเสริญท่านยกย่องชุบเลี้ยงทหารซึ่งมีฝีมือ เล่าฮองก็จะสมัคเข้ามาเปนข้าท่าน
โจผีได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงตั้งให้เบ้งตัดเปนนายทหารใหญ่เจ้าเมืองซินเสีย ว่าราชการเมืองยังหยงเมืองอ้วนเสียด้วย ครั้งนั้นแฮเฮาเซียงกับซิหลงทหารโจผี ๆ ใช้ให้มาอยู่เมืองยังหยง ให้มาเกลี้ยกล่อมทหารเมืองเซียงหยง ครั้นเบ้งตัดไปถึงเมืองยังหยง แฮเฮาเซียงกับซิหลงก็ออกมารับกระทำคำนับกัน แล้วก็พากันเข้าไปในเมือง แล้วจึงบอกแก่เบ้งตัดว่า เล่าฮองยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองยังหยงทางประมาณห้าร้อยเส้น เบ้งตัดจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งให้ทหารถือไปเกลี้ยกล่อมเล่าฮอง เล่าฮองเห็นหนังสือแล้วโกรธนักจึงว่า อ้ายขบถคนนี้มันจะทำให้เราผิดด้วย มันเปนคนไม่ตรงต่อเจ้าเข้าแดง แล้วมันจะให้เราคิดคดด้วยเล่า ว่าแล้วก็ฉีกหนังสือนั้นเสีย จึงสั่งให้ทหารเอาตัวคนถือหนังสือไปฆ่าเสีย
ฝ่ายเบ้งตัดรู้ดังนั้นก็โกรธ จึงปรึกษากับแฮเฮาเซียงซิหลงว่า เวลาพรุ่งนี้ท่านทั้งสองจงคุมทหารไปซุ่มอยู่สองข้างทาง ฝ่ายตัวข้าพเจ้าจะยกไปรบกับเล่าฮองแล้วจะทำเปนถอยมาตามทางอันนั้น ถ้าเล่าฮองไล่ตามเข้ามาแล้วท่านจงยกกองทัพตีกระหนาบ เข้าช่วยกันจับตัวเล่าฮองให้จงได้ แฮเฮาเซียงซิหลงเห็นชอบด้วย จึงยกกองทัพไปซุ่มอยู่สองฟากทาง
ครั้นเวลาเช้าเล่าฮองคุมทหารออกจากค่าย จึงให้ทหารไปร้องว่า เบ้งตัดเร่งออกมารบกับเรา ฝ่ายเบ้งตัดก็ขี่ม้าถือทวนนำหน้าทหารออกไป เล่าฮองเห็นก็ชี้หน้าแล้วร้องว่าอ้ายขบถต่อเจ้าเข้าแดง เหตุใดจะมาเกลี้ยกล่อมเราให้เปนคนชั่วด้วยเล่า เบ้งตัดจึงร้องว่า มึงเปนคนโทษจะถึงที่ตายแล้ว หารู้ว่าความตายจะมาถึงไม่ อ้ายจองหองยังมายกย่องว่าตัวดีอีกเล่า เล่าฮองก็โกรธควบม้ารำง้าวเข้าไปสู้กับเบ้งตัดได้สามเพลง เบ้งตัดสู้ได้สามเพลงแล้วทำเปนหนี เล่าฮองก็ไล่เบ้งตัดไปประมาณสองร้อยเส้น แฮเฮาเซียง ซิหลงซึ่งซุ่มอยู่ก็คุมทหารออกตีกระหนาบเข้ามา เบ้งตัดก็กลับหน้ามาเข้ารบ เล่าฮองเห็นทัพกระหนาบถึงสามด้าน เห็นเหลือกำลังต้านทานมิได้ ก็พาทหารถอยหนีไปตามทางเมืองซงหยง เบ้งตัดกับแฮเฮาเซียงแลซิหลงก็คุมทหารตามไป
ฝ่ายซิหลงจึงว่า กองทัพเล่าฮองยับเยินอยู่แล้ว แต่ท่านสองคนตามไปก็จะได้ชัยชนะ เมืองซงหยงที่เล่าฮองจะไปนี้เห็นมั่นคงอยู่ ยังเกรงอยู่แต่เมืองห้องเหลงนั้นหามั่นคงไม่ ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารไปรักษาไว้ เบ้งตัดแฮเฮาเซียงเห็นชอบด้วย ซิหลงก็คุมทหารไปรักษาเมืองห้องเหลง เล่าฮองหนีไปถึงเมืองซงหยงในเวลากลางคืนนั้น จึงเข้าไปเคาะประตูเมืองให้นายประตูเปิดรับ
ฝ่ายซินต๋ำซึ่งรักษาเมืองซงหยง เข้าเกลี้ยกล่อมเปนข้าโจผีแล้ว ครั้นรู้ดังนั้นก็ขับทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทิน จึงให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ลงไปดังห่าฝน ถูกทหารเล่าฮองล้มตายเปนอันมาก ซินต๋ำจึงขึ้นไปบนหอรบหน้าเมืองแล้วร้องว่า เราสมัคเข้าเปนข้าโจผีแล้ว เล่าฮองได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธนัก คิดจะใคร่ให้ทหารตีเอาเมืองซงหยงให้ได้ ก็พอกองทัพแฮเฮาเซียงกับเบ้งตัดมาทันเข้า ก็พาทหารหนีไปเมืองห้องเหลง แลไปเห็นธงปักอยู่บนเชิงเทิน มีหนังสือในธงนั้นว่า เมืองนี้เปนข้าโจผี
ซินหงีผู้รักษาเมืองห้องเหลง ยืนอยู่บนหอรบโบกธงสัญญาเรียกซิหลง ๆ ก็ยกกองทัพออกไปโจมตี เล่าฮองต้านทานมิได้ก็พาทหารหนีไป ซิหลงกับทหารก็ไล่ฆ่าฟันทหารเล่าฮองล้มตายเปนอันมาก เล่าฮองก็พาทหารเหลือตายหนีไปเมืองเสฉวน ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่ถวายบังคมแล้ว ก็ร้องไห้กราบทูลความซึ่งไปตามเบ้งตัดตั้งแต่ต้นจนปลาย
พระเจ้าเล่าปี่โกรธนักจึงด่าว่า อ้ายลูกถ่อยเกิดมาให้เสียชาติยังมีหน้ามาหากูอีกเล่า เล่าฮองจึงทูลว่า ครั้งเมื่อกวนอูอาว์ข้าพเจ้าให้มีหนังสือไปขอกองทัพมาช่วยเมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าตระเตรียมทหารจะยกไปช่วย เบ้งตัดห้ามไว้จึงเปนเหตุทั้งนี้
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า เสียแรงกูเลี้ยงมึงมา มึงเปนก้อนดินต้นไม้หรือ จึงหารู้จักผิดแลชอบไม่ ควรหรือฟังคำอ้ายขบถศัตรูไม่ยกกองทัพไปช่วยกวนอูให้เสียการทั้งนี้ แล้วก็สั่งทหารให้เอาตัวเล่าฮองไปฆ่าเสีย เมื่อพระเจ้าเล่าปี่ฆ่าเล่าฮองเสียแล้ว ก็รำลึกถึงความซึ่งเล่าฮองทูลไว้ว่า เบ้งตัดมีหนังสือมาเกลี้ยกล่อม เล่าฮองฉีกหนังสือแล้วให้ฆ่าคนถือหนังสือเสียด้วย ก็เห็นว่าเล่าฮองเปนคนสัตย์ซื่อต่อพระองค์ก็เสียดายนัก แล้วรำลึกถึงกวนอูเปนกำลัง พอป่วยลงก็หาได้คิดอ่านที่จะทำการสงครามไม่
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 62
https://drive.google.com/file/d/16-_d3AUFGou8GP8cjqqdqQ9-KukcNgwT/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 63
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-63.html
(https://3.bp.blogspot.com/-4Btqxg4n51E/XBZzyJwJFXI/AAAAAAAAtKs/EvvBaxXNBogWO_TbGnPb7N3owfex78FXACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2593.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 63
เนื้อหา
• โจผีเนรเทศพระเจ้าเหี้ยนเต้จากราชสมบัติ
• พระเจ้าโจผีย้ายไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง
• ชาวเมืองเสฉวนยกเล่าปี่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
• พระเจ้าเล่าปี่เตรียมทัพจะไปรบกับซุนกวน
• เตียวหุยถูกฆ่า
ฝ่ายโจผีเมื่อได้เปนเจ้าขึ้น ชื่อว่าวุยอ๋องแทนที่บิดาแล้ว ก็รางวัลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยตามสมควรแก่บันดาศักดิ์ จึงให้เกณฑ์ทหารสามสิบหมื่น ยกออกจากเมือง ไปเยียนบ้านเจียวก๋วนอยู่แดนเมืองไผก๊กซึ่งเคยอยู่แต่ก่อนนั้น พรางจะไปเที่ยวให้สบายด้วย ครั้นไปถึงเมืองไผก๊กก็ตั้งยศอย่างให้สง่าสูงศักดิ์
ฝ่ายชาวเมืองทั้งปวงมีความยินดียิ่งนัก ก็แต่งเครื่องบรรณาการออกมาถวายเปนอันมาก มีคนมาทูลแก่วุยอ๋องว่า บัดนี้แฮหัวตุ้นไข้หนักเห็นจะไม่รอดแล้ว วุยอ๋องได้ยินก็ตกใจคิดเสียดายแฮหัวตุ้นนัก ก็ยกกลับมาแต่พอถึงเมืองเงียบกุ๋น แฮหัวตุ้นก็ตาย วุยอ๋องก็ให้แต่งการศพตามบันดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่เชิญศพไปฝังเสีย
เมื่อโจผีได้เปนที่วุยอ๋องแทนบิดามาช้านานประมาณหกปี (๑) ครั้นถึงเดือนสิบหงส์บินมาร้องร่อนอยู่ตรงเมืองเซงเซ็ก แลมีราชสีห์เข้ามาเที่ยวในเมืองลิมโฉแล้วกลับไป คนก็เอาเหตุทั้งสองนี้ไปทูลแก่วุยอ๋อง อนึ่งพญามังกรมีสีตัวเหลืองมีศักดานุภาพนัก มาสำแดงฤทธิ์เลื่อนลอยอยู่บนอากาศ เปนอัศจรรย์ใหญ่ ชาวเมืองทั้งปวงก็เห็นโจผีก็เห็นด้วย
วุยอ๋องเห็นเหตุสามประการนี้เปนอัศจรรย์นัก จึงให้หาลิต๊กเคาจีซึ่งเปนขุนนางผู้เฒ่าแลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ปรึกษา ทั้งปวงมาพร้อมแล้วจึงถามว่า เหตุใหญ่สามประการเปนอัศจรรย์ปรากฎในเมืองเราดังนี้ จะร้ายดีประการใด ลิต๊กแลเคาจีจึงทูลว่า เกิดอัศจรรย์ปรากฎในเมืองเราดังนี้เปนมงคลอันใหญ่ จะให้จำเริญศรีสวัสดิ์แก่ท่าน บุญนำมาเกิดที่วุยอ๋องในชาตินั้นใหญ่หลวงนัก ควรจะได้ราชสมบัติเปนเจ้าแผ่นดิน จึงนิยมดลใจคนทั้งปวงให้มีความยินดีรักใคร่ท่านนัก จะใคร่ให้ท่านเปนเจ้า
ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยจึงปรึกษาพร้อมกันว่า เราจะไปทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ควรที่จะมอบราชสมบัติให้แก่โจผี แล้วฮัวหิมอองลองซินเลียกกาเซี่ยงเล่าอี้เล่าฮัวตันเกียวตันกุนเต๊งไก่ขุน นางผู้ใหญ่ กับนายทหารประมาณสี่สิบคน พากันเข้าไปยังเมืองฮูโต๋ เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮัวหิมจึงทูลว่า โจผีเปนวุยอ๋องแทนโจโฉบิดานั้นมีบุญมาก แล้วก็มีสติปัญญารู้รอบคอบโอบอ้อมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเปนสุข ข้าพเจ้าขุนนางทั้งปวง แลทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินปรึกษาพร้อมกันเห็นสมควรแล้วที่ จะปกป้องรักษาแผ่นดินสืบไปได้ ขอให้พระองค์มอบราชสมบัติให้แก่โจผีเถิด พระองค์ก็จะได้เปนสุขหามีความทุกข์ธุระไม่
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนิ่งไปเปนครู่ แลดูหน้าขุนนางทั้งปวงแล้วก็ร้องไห้จึงว่า เราคิดถึงพระเจ้าฮั่นโกโจซึ่งเปนต้นเชื้อพระวงศ์ของเรา แลพระญาติพระวงศ์ได้ราชสมบัติสืบ ๆ กันมาช้านานประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้วจึงถึงเรา ๆ นี้เปนเด็กอ่อนศักดิ์ก็จริงแต่ว่าได้รักษาสมบัติของท่านแต่ก่อนไว้โดยสัตย์ โดยธรรม ยังหามีความผิดไม่เลย ซึ่งเราจะยกราชสมบัติให้แก่ผู้อื่นนั้นเห็นไม่บังควร ขอให้ขุนนางทั้งปวงพร้อมกันปรึกษาอีกครั้งหนึ่งก่อน
ฮัวหิมได้ฟังดังนั้นก็ออกไปพาลิต๊กเคาจีขุนนางผู้เฒ่าเข้าไปเฝ้าพระเจ้า เหี้ยนเต้แล้วจึงทูลว่า พระองค์จงปรึกษาท่านผู้เฒ่าสองคนนี้เถิด ถ้าจะควรมิควรประการใดก็จะเชื่อฟังได้ ลิต๊กจึงทูลว่า แต่โจผีได้เปนวุยอ๋องแทนที่บิดามานี้ ข้าพเจ้าเห็นบ้านเมืองก็ราบคาบราษฎรก็อยู่เย็นเปนสุข เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ หงส์ก็มาร้องในเมือง ราชสีห์ก็เข้ามาเที่ยวในขอบขัณธเสมา พระยามังกรก็มาเลื้อยลอยอยู่ในอากาศกลางเมืองอัศจรรย์ใหญ่นัก ข้าพเจ้าเห็นว่าโจผีมีบุญนักควรแล้วแก่ราชสมบัติ เคาจีจึงทูลว่า เวลากลางคืนข้าพเจ้าเห็นดาวประจำพระองค์รัศมีก็เสร้าหมองวิปริตนัก สำแดงเหตุว่าพระองค์สิ้นบุญแล้ว ฝ่ายดาวประจำตัวโจผีดวงใหญ่มีรัศมีสว่างนัก สำแดงเหตุว่าโจผีมีบุญนักพ้นที่จะพรรณนา อนึ่งเทพดาก็นิยมยินดียกย่องโจผี จึงสำแดงอัศจรรย์อันใหญ่ทั้งสามประการให้ปรากฎแก่คนทั้งปวง สมควรที่พระองค์จะยกราชสมบัติให้แก่โจผีแล้ว
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงว่า ท่านว่าทั้งนี้เปนความไกลตา เรายังหาเชื่อไม่ ซึ่งเราจะยกราชสมบัติอันเปนของพระญาติวงศ์สืบต่อกันมานั้นให้แก่เขา เรายังไม่เห็นควร อองลองจึงว่า เปนประเพณีมีมาแต่โบราณ ที่ดีกลับเปนชั่วที่ชั่วกลับเปนดีก็มี เหมือนหนึ่งบ้านเมืองมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่แล้ว เกิดศึกกลับยับเยินไปก็มี ที่ยับเยินไปแล้วกลับมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่เย็นเปนสุขไปก็มี สมบัติซึ่งได้สืบต่อแต่ต้นวงศ์ของพระองค์มาช้านานประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าวงศ์ของพระองค์จะขาดแล้ว ขอให้พระองค์ละราชสมบัติมอบให้โจผีเถิด ถ้าพระองค์จะขัดขืนไป เห็นจะเปนอันตรายเปนมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้กลับเข้าไป ขุนนางทั้งปวงก็หัวเราะอื้ออึงขึ้น แล้วก็พากันกลับออกไป ครั้นเวลาเช้าขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปพร้อมกันที่เสด็จออก จึงใช้ให้ขันทีเข้าไปเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็กลัวมิได้เสด็จออก นางโจเฮาน้องสาวโจผีซึ่งเปนพระมเหษีจึงทูลถามว่า ขุนนางให้มาเชิญพระองค์ออกไป เหตุใดพระองค์จึงไม่ออกไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกรรแสงจึงเล่าให้นางฟังว่า พี่ชายของท่านคิดอ่านจะชิงสมบัติ จึงใช้ให้ขุนนางมาว่ากล่าวข่มเหง จะให้เรามอบราชสมบัติให้แก่พี่ชายท่าน เหตุดังนี้เราจึงไม่ออกไป
นางโจเฮาได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ว่าพี่ข้าพเจ้าเปนไรจึงมาคิดขบถดังนี้เล่า ว่ายังมิทันขาดคำ พอโจหองโจฮิวเหน็บกระบี่เข้ามาทูลเชิญเสด็จให้ออกไป นางโจเฮาจึงด่าว่า อ้ายพวกเหล่านี้มียศศักดิ์เพราะใคร บัดนี้มาเปนศัตรูคิดขบถต่อแผ่นดินอีกเล่า เมื่อครั้งบิดาเรายังอยู่ทำความชอบหาผู้เสมอไม่ จัดแจงบ้านเมืองให้ราบคาบบริบูรณ์ ราษฎรทั้งปวงก็นิยมยินดีรักใคร่แล้วก็มีสง่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเกรงกลัวนัก บิดาเราก็มิได้คิดประทุษฐร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน บัดนี้พี่ชายเราได้แทนบิดายังมิทันไรสิจะคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติ คนอย่างนี้หาเจริญไม่ เทพดาก็มิได้อวยพร ว่าเท่านั้นแล้วก็ร้องไห้กลับเข้าไปข้างใน หญิงทั้งปวงซึ่งอยู่ตำหนักรู้เหตุดังนั้นก็ร้องไห้เสียงอื้ออึง
ฝ่ายโจหองโจฮิว ก็เร่งให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปที่ออกขุนนางทั้งปวง พระเจ้าเหี้ยนเต้ขัดมิได้ก็ถอดเสื้อมังกรอย่างสูงซึ่งเคยทรงออกขุนนางออก เสีย แล้วทรงเสื้ออย่างตํ่าออกไป ฮัวหิมจึงทูลว่า พระองค์จะยอมให้สมบัติแก่โจผีตามคำขุนนางทั้งปวงปรึกษาหรือไม่ ถ้าพระองค์ยอมให้แล้ว ก็จะเปนสวัสดิ์หาเปนอันตรายไม่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ จึงว่า ขุนนางแต่โบราณก็ได้ยศศักดิ์เบี้ยหวัดผ้าปีในกษัตรัย์เชื้อพระวงศ์เราสืบมา ลูกหลานก็ได้ทำราชการต่อกันมา เหตุใดจึงไม่คิดถึงพระเดชพระคุณเลย มาคิดอ่านประทุษฐร้ายดังนี้
ฮัวหิมจึงทูลว่า ถ้าพระองค์มิทำตามคำขุนนางปรึกษา มิวันนี้ก็พรุ่งนี้ อันตรายจะถึงแก่พระองค์เปนมั่นคง ข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้แกล้งคิดร้ายต่อพระองค์หามิได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงว่า ถ้าขุนนางทั้งปวงมิได้คิดร้ายต่อเรา ผู้ใดจะมาทำร้ายแก่เราเล่า ฮัวหิมตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วจึงว่า ราษฎรทั้งปวงเห็นว่าพระองค์ความคิดน้อยไม่รอบคอบ หารู้ปกป้องรักษาสมบัติไม่ ก็จะเกิดโจรผู้ร้ายกำเริบขึ้นทำอันตรายราษฎรทุกบ้านทุกเมืองก็จะยับเยินไป โจผีกระทำการทั้งนี้ใช่ว่าจะแกล้งกำจัดพระองค์หามิได้ ทำการทั้งนี้ด้วยมีความเอ็นดูพระองค์จะให้มีความสุข ปราถนาจะให้บ้านเมืองราบคาบ พระองค์หาเห็นคุณแลโทษไม่ พระองค์มิยอมทั้งนี้ปราถนาจะให้ราษฎรกำเริบขึ้นทำอันตรายแก่พระองค์หรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจลุกขึ้นเดิรเข้าไป
อองลองก็พยักหน้าให้ฮัวหิม ๆ ลุกขึ้นเดิรสอึกตามเข้าไปทัน แล้วก็ฉุดเอาชายเสื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้ แล้วทำหน้าโกรธขึ้งจึงว่า ปรึกษาการยังมิทันแล้วจะหนีไปไหน จะยอมให้หรือมิยอมก็เร่งว่าออกมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ตกใจตัวสั่นพูดมิออก โจหองโจฮิวชักกระบี่ออกจึงร้องว่า ตราหยกสำหรับราชสมบัติอยู่ไหน เจาปิดจึงว่า ตราหยกเรารักษาไว้ โจหองว่าตราหยกอยู่ที่เองจงเร่งเอามาส่งให้ เจาปิดจึงว่า ตราหยกดวงนี้สำหรับกษัตริย์ หามีรับสั่งให้เองไม่ โจหองก็สั่งให้ทหารเอาตัวเจาปิดไปฆ่าเสีย เจาปิดหากลัวความตายไม่ก็ร้องด่าโจหองไปจนตาย
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นดังนั้น ก็กลัวตัวสั่นไม่หายเลย แลไปเห็นทหารประมาณห้าร้อยถือศัสตราวุธครบมือ แต่ล้วนพวกโจผีสิ้นทั้งนั้น ไม่เห็นพวกพระองค์เลย ก็ร้องว่าเราจะยอมให้ราชสมบัติแล้ว ขอแต่ชีวิตเราไว้เถิด กาเซี่ยงจึงว่า ถ้าพระองค์ยอมให้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าโจผีจะไว้ชีวิตหาทำอันตรายแก่พระองค์ไม่ พระองค์เร่งทำหนังสือมอบราชสมบัติให้แก่โจผีเถิด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นจึงสั่งตันกุ๋ยให้แต่งหนังสือมอบราชสมบัติ ในหนังสือนั้นว่า เราได้เสวยราชสมบัติปกป้องราษฎรได้อยู่เย็นเปนสุขมาช้านานถึงสามสิบสองปี แล้ว บัดนี้ดาวประจำตัวเสร้าหมอง นํ้าใจขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็เห็นว่าเราไม่ควรแก่ราชสมบัติแล้ว ฝ่ายดาวประจำตัวโจผีก็รุ่งเรืองสว่าง บุญนั้นก็ควรแก่ราชสมบัติแล้ว ขุนนางทั้งปวงแลราษฎรก็มีความยินดีจะให้ราชสมบัดิแก่โจผี บัดนี้เราจึงมอบราชสมบัติให้แก่โจผีตามปราถนาคนทั้งปวง แล้วให้ฮัวหิมแลขุนนางทั้งปวงคุมหนังสือแลตราหยกสำหรับกษัตริย์ไปมอบให้แก่ โจผี
ฝ่ายโจผีเห็นหนังสือแลตราหยกแล้วก็ดีใจจะใคร่รับเอาแต่ว่ามีมารยาจึงทำ เปนนิ่งอยู่ สุมาอี้จึงห้ามว่าท่านอย่าเพ่อรับ ขอให้ท่านทำเรื่องราวถวายตรากลับไปก่อนจึงจะควร จึงจะพ้นคำคนนินทา โจผีเห็นชอบด้วย จึงใช้ให้อองลองแต่งหนังสือใบหนึ่งในเรื่องราวว่า ข้าพเจ้าโจผีมอบตราคืนไปให้ท่าน ด้วยข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อยนัก ขอให้ท่านพิจารณาหาคนดีซึ่งมีสติปัญญากว่าข้าพเจ้า ที่ควรจะรักษาแผ่นดินได้นั้น แล้วมอบราชสมบัติให้จึงจะควร แล้วก็ให้อองลองกับขุนนางทั้งปวงคุมตราหยกกับหนังสือของตัวไปถวายพระเจ้า เหี้ยนเต้
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เห็นหนังสือดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า เหตุใดโจผีจึงคืนตรามาให้เราอีกเล่า ฮัวหิมจึงทูลว่า เมื่อพระองค์ตั้งโจโฉเปนที่วุยอ๋อง โจโฉก็มิได้รับที่ถึงสามครั้ง พระองค์ตั้งไปเปนสามครั้งโจโฉจึงรับเปนที่วุยอ๋อง ครั้งนี้ขอพระองค์ตั้งไปอีกครั้งหนึ่งก็เห็นว่าโจผีจะรับ พระเจ้าเหี้ยนเต้ขัดเคืองนักแต่ว่าจำเปนด้วยกลัว จึงสั่งให้หองไก่แต่งหนังสือ ในหนังสือนั้นว่าโจผีนี้สมควรอยู่แล้วที่จะรับราชสมบัติแทนเรา ด้วยเราคิดถึงโจโฉนัก แต่ก่อนบ้านเมืองเกิดศึกราษฎรก็ยับเยินไปอาศรัยอยู่ป่าดงมาก เพราะโจโฉปราบปรามข้าศึกบ้านเมืองก็ราบคาบราษฎรก็อยู่เย็นเปนสุข บัดนี้โจโฉหาบุญไม่แล้ว โจผีได้แทนบิดาเห็นมีบุญมากกว่าบิดาอีก ราษฎรทั้งปวงก็นิยมยินดีรักใคร่นัก ขอให้ท่านเสวยราชสมบัติแทนเราเถิด จึงให้เตียวอิ๋มคุมเอาหนังสือแลตราหยกไปให้โจผี
โจผีเห็นหนังสือดังนั้นก็ดีใจ จึงว่าแก่กาเซี่ยงว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ มอบตรามาให้ถึงสองครั้งแล้ว ถ้าจะรับเอาบัดนี้เราเห็นยังหาพ้นคนนินทาไม่ กาเซี่ยงจึงว่า ถ้าเกรงดังนั้นท่านจงใช้เตียวอิ๋มคุมเอาตราไปถวายคืนอีกครั้งหนึ่ง ให้เตียวอิ๋มว่าแก่ฮัวหิมให้ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ถ้าพระองค์จะมอบราชสมบัติให้โจผีจริงแล้ว จงปลูกโรงอภิเษกให้สูงมีพื้นสามชั้น ให้ประดับประดาตามอย่างธรรมเนียม ครั้นฤกษ์ดีแล้วให้ประชุมขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยให้พร้อมกันในโรงนั้น ให้ท่านนั่งบนที่สูง ให้ขุนนางทั้งปวงนั่งที่ตํ่าถวายบังคม ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ถือพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์ขึ้นไปมอบให้แก่ ท่าน ถ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ทำตามดังนี้แล้วท่านก็จะพ้นนินทา
โจผีได้ยินกาเซี่ยงทูลดังนั้นก็ดีใจนัก จึงสั่งให้เตียวอิ๋มเอาตราไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วจึงบอกให้ฮัวหิมเอาเนื้อความไปทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ตามคำกาเซี่ยง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงถามขุนนางว่า เหตุใดโจผีจึงไม่รับราชสมบัติ ฮัวหิมก็เข้าไปทูลว่า ซึ่งโจผีมิรับทั้งนี้เพราะพระองค์มอบราชสมบัติผิดขนบธรรมเนียมไป แล้วจึงทูลเล่าอย่างธรรมเนียมซึ่งกาเซี่ยงสั่งไว้นั้นทุกประการ แล้วจึงทูลว่า ถ้าพระองค์จะมอบราชสมบัติให้โจผีต้องอย่างดังนี้เห็นโจผีจะรับเปนมั่นคง ฝ่ายพระญาติพระวงศ์ของพระองค์จะได้พึ่งบุญโจผีสืบไป
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็สั่นสีสะถอนใจใหญ่ จึงสั่งให้ไทเซียงอี้ไปทำตามอย่างธรรมเนียม ครั้นถึงเดือนสิบสองขึ้นห้าคํ่าฤกษ์ดี เวลาใกล้รุ่งจึงเชิญโจผีนั่งชั้นบน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประมาณสี่ร้อยเฝ้าทั้งสามชั้น ให้ทหารประมาณสิบหมื่นถือศัสตราวุธล้อมไว้ ด้วยกลัวคนมิเต็มใจจะทำอันตราย
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้แขงพระทัยถือพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์กับ หนังสือมอบราชสมบัติใบหนึ่ง ขึ้นไปมอบให้โจผี ๆ ก็รับ แล้วส่งหนังสือให้ขุนนางอ่านประกาศแก่ขุนนางแลราษฎรทั้งปวง จึงถวายพระนามว่าพระเจ้าอ้วยโช่ โจผีก็ตั้งอยู่ในที่สมมุติกษัตริย์แต่นั้นมา (พ.ศ. ๗๖๓) พระเจ้าโจผีก็ตั้งเมืองฮูโต๋นั้นให้ชื่อเมืองไตวุยก๊ก แล้วสั่งให้เลิกส่วยสาอากรขนอนตลาดมิให้เรียกเอาแก่ราษฎรสามปี จึงให้ปล่อยนักโทษในคุก แล้วให้จารึกอักษรที่กุฏิ์ฝังศพบิดานั้นใหม่ ให้ชื่อพระเจ้าไทล่อฮูฮ่องเต้ ฮัวหิมจึงทูลว่า ประเพณีแต่ก่อนหามีเจ้าถึงสองไม่ พระองค์จะให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่แห่งใดตำบลใด หรือจะทำเปนประการใดแล้วแต่จะโปรด ฮัวหิมจึงให้พระเจ้าเหี้ยนเต้หมอบลงฟังรับสั่ง พระเจ้าโจผีจึงตั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนที่วิเศษชื่อซันเอียงก๋ง ให้ไปอยู่ตำบลซันเอียง ที่อันนี้ไม่มีตำแหน่งเฝ้า ไม่มีเบี้ยหวัดผ้าปี ซันเอียงก๋งก็ลาไป ฮัวหิมชักกระบี่ออกแล้วจึงร้องสั่งว่า เปนประเพณีแผ่นดินได้สมบัติองค์หนึ่ง ก็กำจัดองค์หนึ่งเสีย พระเจ้าโจผีโปรดท่านไม่ฆ่าท่านเสีย แล้วตั้งให้เปนซันเอียงก๋งนั้นพระคุณหาที่สุดไม่ ถ้าไม่มีรับสั่งให้หาท่านอย่าเข้ามาเฝ้าเปนอันขาดทีเดียว ซันเอียงก๋งน้ำตาไหลลาขุนนางทั้งปวง แล้วก็ขี่ม้าพาอพยพครอบครัวไปอยู่ตำบลซันเอี๋ยง ฝ่ายทหารและราษฎรชาวเมืองเห็นซันเอียงก๋งต้องเนรเทศดังนั้นก็สงสารกลั้น น้ำตามิใคร่ได้
ฝ่ายพระเจ้าโจผีจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า การเราทำทั้งนี้ต้องด้วยขนบธรรมเนียมแล้วหรือประการใด ขุนนางทั้งปวงก็กราบลงแล้วสรรเสริญว่า การทำครั้งนี้ต้องด้วยฉบับธรรมเนียมโบราณแล้ว ควรพระองค์จะตกแต่งเครื่องเส้นพลีกรรมเจ้าแลเทพดาทั้งปวง พระเจ้าโจผีเห็นชอบด้วยก็ให้เร่งแต่งเครื่องเส้น เมื่อพระเจ้าโจผีออกมาเส้นเทพดาแลเจ้านั้น บังเกิดพายุใหญ่พัดหนักธูปเทียนดับไปสิ้น ทรายก็ปลิวขึ้นไปในอากาศ ก้อนศิลาก็กลิ้งไป ให้บังเกิดมืดมนท์ คนนั่งอยู่ใกล้ก็ไม่เห็นตัวกัน
พระเจ้าโจผีตกใจก็ล้มนิ่งไป ครั้นเวลาพายุสงบแล้ว ขุนนางทั้งปวงแลเห็นพระเจ้าโจผีล้มอยู่ก็ตกใจ เข้าไปอุ้มขึ้นแก้ไขเปนครู่พระเจ้าโจผีจึงมีสมประดีมา ขุนนางทั้งปวงก็เชิญเข้าไปในวัง พระเจ้าโจผีก็ป่วยมาเปนหลายวันมิได้ออกว่าราชการ ครั้นค่อยคลายขึ้นก็อุตส่าห์แขงใจออกไปที่ว่าราชการ จึงสั่งให้เลื่อนที่ขุนนางตามสมควร ไข้นั้นก็ยังไม่หาย พระเจ้าโจผีก็สงสัยว่าในวังที่อยู่นี้ปีศาจสิงสู่อยู่มากนัก จึงทำให้เราเปนไข้ไม่รู้หายดังนี้ ชอบเราจะแปรสถานไปสร้างวังอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง แล้วก็ให้ทหารไปสร้างวังใหม่ สำเร็จแล้วก็ไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง มีทหารคนหนึ่งไปบอกเล่าปี่ว่า ได้ยินเขาลือมาว่าโจผีฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียแล้วชิงเอาราชสมบัติ บัดนี้ตั้งตัวเปนเจ้าอยู่เมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายเล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รัก แล้วก็สั่งให้ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาว ให้แต่งเครื่องเส้นตามอย่างธรรมเนียม แล้วจึงให้จารึกพระนามพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่าพระเจ้าเฮามินฮองเต้ลงในกระดานไม้ หอม แล้วตั้งไว้ที่บูชา ตั้งแต่นั้นมาเล่าปี่ก็เดือดร้อนรำคาญตรอมใจก็ป่วยลงออกว่าราชการมิได้ ก็สั่งให้ขงเบ้งว่าราชการแทน ขงเบ้งจึงหาเคาเจ้งเจียวจิ๋วแลขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้โจผีทำลายล้างพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียแล้ว ควรเราจะยกเล่าปี่ขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินสืบวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้
เจียวจิ๋วจึงว่า ข้าพเจ้าดูขอบขันธเสมาเมืองเสฉวนเห็นอัศจรรย์ประหลาทหลายประการ อนึ่งดวงดาวประจำตัวเล่าปี่ก็มีรัศมีสว่างดังพระจันทร์ ซึ่งจะยกเล่าปี่ให้เปนเจ้าสืบพระวงศ์นั้นควรแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย จึงทำเรื่องราวซึ่งจะยกเล่าปี่ให้เปนเจ้าแผ่นดินเข้าไปถวาย เล่าปี่เห็นเรื่องราวดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าขุนนางทั้งปวงทำดังนี้จะไม่ให้เราตั้งอยู่ในสัตย์ธรรม ขงเบ้งจึงทูลว่า คิดอ่านทำทั้งนี้เพราะโจผีชิงเอาราชสมบัติเชื้อพระวงศ์ของท่าน จึงยกท่านให้เปนเจ้าแผ่นดินต่อเชื้อพระวงศ์ไป
เล่าปี่จึงว่า ถ้าเรายอมเปนเจ้าแผ่นดินดังนั้น ถึงเราไม่ได้ชิงราชสมบัติ ก็เห็นเปนชิงราชสมบัติเหมือนอ้ายศัตรูนั้น ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกลับเข้าข้างใน อยู่มาสามวันขงเบ้งจึงให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาเฝ้าพร้อมกัน เคาเจ้งจึงทูลว่า ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงรักใคร่ท่าน จึงปรึกษาพร้อมกันยกท่านขึ้นเปนเจ้า หวังจะยกทัพไปกำจัดอ้ายโจผีแก้แค้นแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าท่านไม่ยอมขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็จะเสียน้ำใจ เล่าปี่จึงว่า ข้าพเจ้าเปนหลานพระเจ้าเก๋งเต้ก็จริง แต่ทว่าบุญน้อยไม่ควรที่จะเปนเจ้าแผ่นดินปกป้องราษฎร ถ้าเราฟังคำท่านยกตัวขึ้นเปนเจ้า ก็เห็นว่าเราไม่ตรงต่อแผ่นดิน ขงเบ้งขืนทูลไปเปนสองครั้งสามครั้ง เล่าปี่ก็ไม่ยอม ขงเบ้งก็พาขุนนางทั้งปวงออกมาข้างนอก แล้วว่าอุบายของข้าพเจ้ามีอย่างหนึ่งจะให้เล่าปี่ยอมให้จงได้ ท่านทั้งปวงคอยอยู่เถิด
อยู่มาขงเบ้งทำเปนป่วยไม่ไปเฝ้า พระเจ้าเล่าปี่แจ้งว่าขงเบ้งป่วย จึงไปเยี่ยม ณ บ้าน เข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมเตียงขงเบ้งนอน จึงถามว่าท่านอาจารย์ป่วยเปนประการใด ขงเบ้งจึงบอกว่า ในอกข้าพเจ้าให้ร้อนดังไฟเผา ซึ่งจะจำเริญสืบไปเห็นหาไม่แล้ว เล่าปี่จึงถามว่า ท่านเปนทุกข์ด้วยอันใด ขงเบ้งก็หลับตานิ่งเสีย ถามอีกครั้งหนึ่งก็นิ่งเสีย เล่าปี่จึงถามถึงสามครั้ง ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นไข้ครั้งนี้หนักนัก ตาทั้งสองให้มืดพูดมิใคร่จะออก เล่าปี่เห็นว่าขงเบ้งหาไข้ไม่ แกล้งทำเปนไข้สงสัยนัก จึงถามว่าทุกข์ร้อนประการใดจึงไม่บอกให้ข้าพเจ้ารู้บ้างเลย
ขงเบ้งทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าออกจากบ้านมาทำราชการอยู่ด้วยท่านจนได้เมืองเสฉวน ข้าพเจ้าก็ขอบคุณท่านด้วยจะว่าประการใดท่านก็ทำตามทุกสิ่งทุกประการ บัดนี้อ้ายโจผีคิดขบถต่อแผ่นดิน ฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางเสีย ชิงเอาราชสมบัติ ขุนนางทั้งปวงที่เปนพรรคพวกมันก็ยกโจผีให้เปนเจ้าแผ่นดิน บัดนี้ขุนนางทั้งปวงฝ่ายเราพร้อมกันจะยกท่านให้เปนเจ้าแผ่นดิน จะได้ยกทัพไปกำจัดโจผีศัตรูแผ่นดินเสีย ท่านไม่ยอม ข้าพเจ้าเห็นว่าขุนนางจะเสียนํ้าใจ นานไปจะเอาใจออกหากท่าน ถ้าขุนนางเอาใจออกหากแล้ว ซุนกวนโจผีข้าศึกสองฝ่ายนี้จะมาทำอันตรายท่าน เห็นเมืองเสฉวนจะขัดสนเสียมั่นคง เหตุฉนี้ข้าพเจ้าจึงเปนทุกข์หนัก
เล่าปี่จึงว่า เราไม่ยอมทั้งนี้เพราะเกรงราษฎรทั้งปวงไม่เห็นด้วย เขาจะนินทา ขงเบ้งจึงว่า ถ้าคนหาสติปัญญาไม่ มิได้เปนที่พึ่งราษฎรเลย ราษฎรก็ไม่รักใคร่ แลยกตัวเองให้เปนใหญ่คนทั้งปวงจะนินทา นี่ท่านเปนชาติเชื้อกษัตริย์สืบมา ประกอบด้วยสติปัญญาได้เปนที่พึ่งแก่ราษฎร ควรแล้วที่ท่านจะยกตัวขึ้นเปนใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นว่าหามีผู้ติเตียนนินทาไม่ เห็นว่าจะเปนที่ชอบใจไพร่ฟ้าเทพดาทั้งปวง
เล่าปี่จึงว่า ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะยอม แต่ว่าให้ท่านอาจารย์หายไข้แล้วจึงจะคิดอ่านกัน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงลุกขึ้นขมีขมันออกไป เอามือเคาะลับแลเข้าเรียกขุนนาง ออกชื่อเคาเจ้งบิต๊กเซียงกีเล่าเป๋าเตียเจ้โจเตาเขงเตียวซ้องเลียวต๋งห้องก วนโหเจ้งอินเบกอินซุนเจียวจิ๋วเตียวอี้อองเมาอิเจี้ยจิมปักเปนขุนนางผู้ใหญ่ ตามเสด็จไปคอยฟังอยู่ข้างนอกนั้นให้เข้าไปข้างใน ขุนนางเข้าไปคำนับแล้วทูลว่า การซึ่งปรึกษานั้นท่านเห็นชอบด้วยแล้วหรือ ถ้าท่านยอมแล้วจะให้หาวันดียกขึ้นเปนเจ้าแผ่นดิน
เล่าปี่เห็นขุนนางผู้ใหญ่พร้อมหน้าก็ตกใจ จึงว่าข้าพเจ้าถือสัตย์มิได้ครั้งนี้ก็เพราะขัดพวกท่านทั้งปวงมิได้ ขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านยอมแล้วข้าพเจ้าจะเร่งจัดแจงการให้สมควรตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน แล้วให้หาวันฤกษ์ดีจะได้ยกเล่าปี่ให้เปนเจ้าแผ่นดิน เล่าปี่กลับไปวัง ขงเบ้งจึงใช้ให้เคาจูเบงกองไปปลูกโรงอภิเษกสำเร็จแล้ว ก็เตรียมเครื่องอภิเษกทั้งปวงตามอย่างกษัตริย์ ครั้นถึงเดือนหกขึ้นสิบสองคํ่าฤกษ์ดี (พ.ศ. ๗๖๔) ขงเบ้งจึงพาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทหารทั้งปวงเชิญเล่าปี่ขึ้นโรงพิธี ขุนนางทั้งปวงก็เฝ้าลงมาทั้งสามชั้น จึงเชิญพระเจ้าเล่าปี่ให้เส้นเทพดาแลเชื้อพระวงศ์ซึ่งดับสูญล่วงไปแต่ก่อน นั้นแล้ว ขงเบ้งจึงเชิญพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์ขึ้นไปถวาย
พระเจ้าเล่าปี่ก็รับพระแสงกระบี่แลตราหยก บันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็กราบถวายบังคมพร้อมกัน พระเจ้าเล่าปี่ก็ตั้งอยู่ในสมมุติกษัตริย์แต่นั้นมา จึงถวายพระนามว่าพระเจ้าเจี๋ยงบู๋ ตั้งให้นางงอซีเมียหลวงเปนฮองเฮาคืออัครมเหษี จึงตั้งเล่าเสี้ยนผู้บุตรใหญ่ให้เปนไทจู เล่าก๋งป้านั้นเปนบุตรที่สองเปนไทเขง เล่าเอ๋งเปนเล่าอ๋อง เล่าลีเปนเสียงอ๋องทั้งนี้คือเจ้าต่างกรม แล้วตั้งขงเบ้งเปนมหาอุปราช เคาเจ้งเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ ให้เลื่อนที่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยตามสมควร จึงให้เลิกส่วยสาอากรขนอนตลาดมิให้เรียกเอาแก่ราษฎรสามปี
ฝ่ายราษฎรเมืองตังฉวนเสฉวนแลหัวเมืองขึ้นทั้งปวงก็ชื่นชมยินดีด้วยพระ เจ้าเล่าปี่นัก ครั้นแล้วการอภิเษกมาหลายวัน พระเจ้าเล่าปี่ออกว่าราชการ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า กวนอูเตียวหุยกับเราได้ให้ความสัตย์กันไว้ ซุนกวนทำอันตรายแก่น้องเรา ถ้าเรามิได้แก้แค้นก็จะเสียความสัตย์ไป เราคิดว่าจะยกทัพหลวงไปตีเมืองกังตั๋งจับซุนกวนฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงจะเห็นเปนประการใด เตียวจูล่งจึงทูลว่า ซึ่งโจผีขบถนั้นเปนข้อใหญ่ มิใช่แต่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะเจ็บแค้น ถึงเทพดาก็มีความแค้น ขอพระองค์ยกทัพหลวงไปตั้งอยู่ ณ ด่านตงก๋วนเปนต้นน้ำ ฝ่ายทหารที่มีฝีมือซึ่งอยู่ ณ ด่านตงก๋วนก็จะเอาม้าแลสเบียงมาถวายแก่พระองค์ ตัวก็จะช่วยทำการศึก ได้ทหารชาวด่านเข้าด้วยเปนกำลังแล้วเห็นจะทำการศึกสดวก ถ้ามิกำจัดโจผีเสียก่อนแล้ว จะยกไปตีซุนกวนทีเดียว เห็นว่าโจผีจะยกไปช่วยซุนกวน เห็นการเราจะทำไปนั้นจะขัดสน การทั้งนี้เปนการใหญ่ ขอให้พระองค์ตรึกตรองพิเคราะห์จงละเอียด
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า อ้ายซุนกวนกับเปาสูหยินบิฮองพัวเจี้ยงม้าต๋งมันทำร้ายน้องเรา ๆ รำลึกถึงขึ้นมาแล้วให้ขบฟันจะใคร่กินเนื้อให้ได้ จะฆ่าอ้ายเหล่านี้เสียทั้งโคตรแล้วจึงจะหายแค้น เตียวจูล่งจึงทูลว่า ความแค้นข้างโจผีนี้ให้เจ็บใจทั่วกัน ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวง ฝ่ายความแค้นข้างซุนกวนนี้ให้เจ็บใจแต่พระองค์เปนแต่พี่น้อง ขอให้พระองค์ไปแก้แค้นโจผีเถิด เห็นว่าจะชอบใจคนทั้งปวง
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ถ้าเราไม่แก้แค้นแทนน้องเราได้ คนทั้งปวงก็จะเห็นว่าเราหามีความสัตย์ไม่ เราไม่ฟังคำเตียวจูล่งห้ามแล้ว จึงสั่งทหารทั้งปวงให้จัดแจงกองทัพจะยกไปตีซุนกวน แล้วจึงสั่งทหารให้ถือหนังสือไปเมืองเง้าเขเซีย ให้สะโมโขเจ้าเมืองยกทหารห้าหมื่นมา ณ เมืองเสฉวน จึงให้มีตราไปตั้งเตียวหุยให้เปนกีกี้จงกุ๋นเจ้าเมืองลองจิ๋ว
ฝ่ายเตียวหุยอยู่ ณ เมืองลองจิ๋วนั้น แจ้งว่าซุนกวนฆ่ากวนอูเสียแล้ว ก็ร้องไห้ทั้งกลางวันกลางคืนจนน้ำตาเปนเลือดไหลออกมา ขุนนางทั้งปวงตกใจกลัวเตียวหุยจะตาย จึงเข้ามาปลอบเล้าโลมเอาใจ ชวนให้เตียวหุยเสพย์สุราหวังจะให้คลายความโศก ครั้นเตียวหุยเมาสุราแล้วคิดถึงกวนอู ก็มีความโกรธเปนกำลังนัก จะใคร่แก้แค้นซุนกวน ก็โกรธโลดเต้นไปมาด้วยกำลังเมา ถูกทหารสีสะแตกก็มีลางคนแขนหักขาหักลางคนก็ตาย เตียวหุยบ่ายหน้าเขม้นไปทางทิศเมืองกังตั๋งตั้งท่าจะทิ่มแทง แล้วก็ขบฟันคิดมาถึงพี่ชายก็ร้องไห้ มีคนเข้าไปบอกเตียวหุยว่า ข้าหลวงถือตรามาแต่เมืองเสฉวน เตียวหุยไปคำนับพาข้าหลวงเข้ามา เห็นท้องตราตั้งเตียวหุยเปนกีกี้จงกุ๋นเปนเจ้าเมืองลองจิ๋ว จึงถวายบังคมแล้วเชิญข้าหลวงมากินโต๊ะ เตียวหุยจึงว่า ซุนกวนฆ่าพี่เราเสีย ความแค้นอันนี้ลึกกว้างใหญ่กว่าท้องทะเลอีก ขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาอยู่ที่เมืองเสฉวน ผู้ใดยังทูลให้ยกทัพไปตีซุนกวนแก้แค้นหรือหามิได้
ฝ่ายผู้ถือตราจึงทูลว่า ขุนนางทั้งปวงปรึกษาจะให้ยกไปตีโจผีก่อนแล้ว จึงจะให้ไปตีซุนกวน เตียวหุยก็โกรธจึงว่า ปรึกษาอะไรอย่างนี้ เราพี่น้องสามคนได้ให้ความสัตย์กันไว้แต่ก่อนว่า จะเปนตายด้วยกัน บัดนี้กวนอูพี่เรายังมิถึงกำหนดอายุมาตายเสียแล้ว ยังแต่เราจะเปนเจ้าเมืองเอาความสบายหาควรไม่ จะเสียความสัตย์ไป เราจะไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่ จะขออาสาเปนทัพหน้า จะแต่งกองทัพให้นุ่งขาวห่มขาวถือธงขาวขี่ม้าขาวไปจับอ้ายศัตรูมาฆ่าเสียเส้น กวนอูแล้วจึงจะหายความแค้น แล้วเตียวหุยกับผู้ถือหนังสือก็พากันไปเมืองเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ให้ตกแต่งเครื่องศัสตราวุธ ฝึกทหารให้ชำนาญในการสงคราม คอยเมื่อได้ฤกษ์ดีแล้วจึงจะยกทัพหลวงไปรบซุนกวน ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพากันไปหาขงเบ้ง ณ บ้าน จึงปรึกษาว่าพระเจ้าเล่าปี่พึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่ จะยกทัพหลวงไปให้ลำบากพระองค์เห็นไม่สมควร ท่านมหาอุปราชเปนผู้ใหญ่ได้ปรึกษาราชการทั้งปวงเห็นดีอยู่แล้วหรือจึงมิทูล ห้ามปราม
ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าก็ทูลห้ามปรามเปนหลายครั้งแล้วพระองค์ไม่ฟัง มาเราจะชวนกันไปเฝ้าที่ฝึกทหารทั้งปวงแล้วก็พากันไปเฝ้า ขงเบ้งจึงทูลว่า พระองค์พึ่งได้ราชสมบัติใหม่ ถ้าจะยกไปตีโจผีซึ่งตั้งตัวเปนเจ้าจึงจะควร ถ้าจะยกไปตีซุนกวนเห็นไม่ควร ชอบแต่จะให้ทหารผู้ใหญ่ไปจึงจะได้ราชการ พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ พอมีคนขึ้นไปทูลว่า เตียวหุยจะมาเฝ้า พระเจ้าเล่าปี่ให้หาตัวเตียวหุยเข้าไป
เตียวหุยเข้าไปกราบลงแล้ว สองมือเข้ากอดเอาพระบาทแล้วก็ร้องไห้ พระเจ้าเล่าปี่ทรงพระกรรแสง ครั้นคลายโศกแล้วเตียวหุยจึงทูลว่า พระองค์ได้เสวยราชสมบัติ แล้วลืมความสัตย์ซึ่งให้กันไว้แต่ก่อนเสียแล้วหรือ พระองค์จึงไม่คิดแก้แค้นแทนกวนอูเลย พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า เราคิดนักว่าจะยกทัพไปแก้แค้น แต่ว่าขุนนางทั้งปวงเขาห้ามไว้เราจึงงดอยู่ เตียวหุยจึงว่า คนทั้งปวงเขาหาได้ให้ความสัตย์ไว้แก่กวนอูเหมือนพระองค์กับข้าพเจ้าไม่ ถ้าพระองค์ไม่ยกไปแล้วข้าพเจ้านี้หาคิดชีวิตไม่เลย จะขอยกกองทัพไปแก้แค้น ถ้าแก้แค้นมิได้ก็ตายเสียดีกว่ากลับมาเห็นหน้าพระองค์
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ถ้าฉนั้นเราจะยกไปด้วยกัน ท่านจงกลับไปเมืองลองจิ๋ว จัดแจงกองทัพยกไปเมืองเกงจิ๋ว เราก็จะยกกองทัพไปบัญจบพร้อมกันที่นั่น พระเจ้าเล่าปี่จึงสั่งสอนเตียวหุยว่า ท่านเมาสุราแล้วมีโมโหดุดันนัก วัดแวงโลดเต้นถูกคนป่วยเจ็บตายก็มี ทำดังนี้อันตรายจะเกิดมีแก่ท่าน แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าจะทำการสิ่งใดให้พิเคราะห์ดูผิดแลชอบ โอบอ้อมเอาใจทหารจึงจะควร อย่าทำหยาบเหมือนแต่หลัง เตียวหุยก็ลาไป ครั้นเวลาเช้าพระเจ้าเล่าปี่ให้จัดแจงกองทัพจะยกไป จินปิดจึงว่า พระองค์จะไปครั้งนี้ไม่คิดถึงพระองค์เลย จะกำจัดอ้ายซุนกวนเท่านี้ ควรหรือจะยกกองทัพหลวงไปเองให้ลำบากพระองค์ ขอให้พระองค์ดำริห์ตริตรองให้ลเอียดก่อน พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ตัวกวนอูเหมือนตัวเรา การครั้งนี้เปนความแค้นใหญ่นัก ขุนนางทั้งปวงจะให้เรานิ่งเสียเห็นควรแล้วหรือ จินปิดจึงว่า ถ้าพระองค์จะขืนยกไปให้ได้ครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเสียการไป
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธนักจึงว่า เราจะยกทัพไปทำการใหญ่ให้มีชัยชนะ ท่านแกล้งเอาความร้ายมาแสร้งว่า แล้วสั่งทหารให้เอาตัวจินปิดไปฆ่าเสีย ฝ่ายจินปิดก็มิได้ตกใจกลัวตายจึงเหลียวหน้ามาดูพระเจ้าเล่าปี่แล้วหัวเราะ จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถึงเราจะตายไปก็ไม่เสียดายชีวิต เสียดายแต่ราชสมบัติของพระองค์จะเปนอันตราย
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงได้ยินจินปิดว่าดังนั้นจึงทูลว่า จินปิดได้ทูลทั้งนี้ด้วยความสามิภักดิ์ต่อเจ้าจริง ๆ ข้าพเจ้าทั้งปวงขอชีวิตจินปิดไว้เถิด พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินดังนั้นสั่งให้เอาตัวจินปิดไปใส่คุกไว้ แล้วว่าถ้าเรายกไปทำการมีชัยชนะกลับมาแล้ว เราจึงจะปรึกษาโทษจินปิดภายหลัง
ฝ่ายขงเบ้งรู้ว่าจินปิดเปนโทษ จึงแต่งเรื่องราวเข้าไปถวาย ในเรื่องราวนั้นว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูการเห็นว่าเมื่อซุนกวนยกทัพมาครั้งนั้น ดาวประจำตัวกวนอูวิปริตกวนอูจึงเปนอันตราย ข้าพเจ้าคิดเสียดายกวนอูนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นโทษโจผีหนักกว่าที่ทำร้ายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงเจ็บใจทั้งแผ่นดิน ฝ่ายซุนกวนนั้นเจ็บใจแต่พระองค์ อนึ่งจะทำกับซุนกวนเปนการเบา ถ้าพระองค์ยกกองทัพไปกำจัดโจผีได้แล้ว ฝ่ายซุนกวนก็จะยอมเข้ามาเปนข้าพระองค์ ซึ่งคำจินปิดทูลดังนั้นจะเปนความชั่วหามิได้ ควรจารึกไว้ในแผ่นทอง ขอให้พระองค์ตรึกตรองจงหนัก
พระเจ้าเล่าปี่เห็นหนังสือนั้นแล้วก็โกรธทิ้งหนังสือลงเสีย จึงว่าเราไม่ฟังคำขุนนางทั้งปวงแล้ว อย่าห้ามเราเลย จึงสั่งขงเบ้งว่า ท่านจงอยู่รักษาบุตรภรรยาของเราแลเมืองตังฉวนเสฉวนให้จงดี แล้วให้ม้าเฉียวม้าต้ายอุยเอี๋ยนยกกองทัพคุมทหารไปขัดทัพอยู่ข้างทิศอุดร เกรงกองทัพโจผีจะยกมา แล้วจึงจัดแจงกองทัพสั่งให้เตียวจูล่งเปนทัพหนุนคุมลำเลียง ให้ห้องกวนเตียวกีเปนที่ปรึกษากองหลวง ม้าเลี้ยงตันจิ๋นเปนสมุห์บาญชี ฮองตงเปนทัพหน้า ปองสิบเตียวหลำหนุนทัพหน้า เปาเตียวกับเตียวหุยซึ่งจะมาบัญจบให้อยู่กองทัพหลวง เตียวหยงเลียวซุนเปนทัพหลัง มีจำนวนคนในกองทัพทั้งปวงแต่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประมาณห้าร้อย กองทัพสะโมโขแลทหารเมืองหลวงเมืองขึ้นทั้งปวง เปนคนเจ็ดสิบห้าหมื่น พอถึงเดือนเก้าเปนวันฤกษ์ดี พระเจ้าเล่าปี่จึงให้ยกกองทัพออกจากเมืองเสฉวน
ฝ่ายเตียวหุยกลับไปเมืองลองจิ๋ว ก็สั่งทหารให้ตระเตรียมเครื่องศัสตราวุธ แลม้าขาวธงขาวเครื่องนุ่งห่มขาวให้พร้อมในสามวัน เราจะได้ยกกองทัพไปรบซุนกวนให้ทันทัพหลวง เวลาเช้ามีนายทหารสองคนชื่อฮอมเกียงเตียวตัดเข้าไปแจ้งแก่เตียวหุยว่า ซึ่งท่านสั่งให้เตรียมธงขาวม้าขาวแลเครื่องนุ่งห่มขาวให้พร้อมในสามวันนั้น เร็วนัก เห็นทหารหาไม่ทันขอให้เนิ่นออกไปหน่อยหนึ่งเถิด เตียวหุยโกรธจึงว่า กูจะเร่งยกทัพไปเปนการเร็วให้ทันกำหนด แต่การเท่านี้สิว่าไม่ทันเล่า จึงสั่งทหารเอาตัวฮอมเกียงเตียวตัดไปผูกเข้ากับต้นไม้ตีคนละห้าสิบที แล้วชี้มือร้องว่า ถ้าการของกูมิทันกำหนดในพรุ่งนี้ กูจะให้ฆ่าเสียทั้งสองคน แล้วแลเห็นฮอมเกียงเตียวตัดเจ็บหนักโลหิตออกมาทางปาก เตียวหุยก็สั่งให้แก้มัดเสียแล้วก็กลับเข้าไป
ฮอมเกียงมาถึงที่อยู่แล้วจึงว่าแก่เตียวตัดว่า เตียวหุยนี้มีโมโหมาก โกรธขึ้นมาแล้วเหมือนไฟไหม้ วันนี้ตีเราหนักหนา ถ้าพรุ่งนี้การมิพร้อมเราจะตายเปนมั่นคง เตียวตัดจึงว่า ข้าคิดว่าอย่าให้มันทันฆ่าเราเลย เราฆ่ามันเสียก่อนดีกว่า ฮอมเกียงจึงว่า จนใจด้วยเราไม่ได้เข้าใกล้มัน ถ้าเข้าไปฆ่ามันได้ แล้วเอาสีสะไปถวายพระเจ้าซุนกวน ๆ ก็จะเลี้ยงเรา เตียวตัดจึงว่า ถ้าบุญของเราไม่เคยตายเพราะมัน ๆ ก็จะกินเหล้าเมาออกมานอนอยู่ที่ว่าราชการเหมือนแต่ก่อน เราก็จะเข้าไปฆ่ามันเสียให้ตาย ถ้ากรรมของเราจะถึงที่ตายแล้วมันก็ไม่เมาเหล้า เราก็มิรู้ที่จะทำประการใด
ฝ่ายเตียวหุยในเวลากลางคืนวันนั้น ให้เดือดร้อนนอนไม่หลับ จึงออกมาพูดกับทหารซึ่งนอนรักษาอยู่ที่ว่าราชการว่า เวลาวันนี้เรานอนไม่หลับเลยเดือดร้อนรำคาญใจจะเปนเหตุใด ทหารจึงว่าเพราะมีวิตกถึงกวนอูนัก จึงให้กระวนกระวายไป เตียวหุยจึงเรียกเอาสุรามากินกับทหารทั้งปวง ในเวลาวันนั้นเตียวหุยจะถึงที่ตายพะเอิญให้เสพย์สุรามากนักเหลือกำลังก็เมา หารู้สึกตัวไม่ นอนเสือกอยู่ที่นั่นกับทหารทั้งปวง
ฮอมเกียงกับเตียวตัดเข้าไปด้อมมองดู รู้ว่าเตียวหุยเมาเหล้านอนหลับอยู่ ครั้นเวลาสองยามฮอมเกียงเตียวตัดเอากระบี่ซ่อนในเสื้อพากันเข้าไป จึงสัญญากันว่าถ้าตื่นอยู่เราทำเปนปรึกษาการสงคราม ถ้าเตียวหุยนอนหลับอยู่เราจึงฆ่าเสียให้ตาย ครั้นเดิรเข้าไปถึงแลเห็นเตียวหุยนอนตาค้างเหมือนหนึ่งตาย หนวดก็สั่นคิดว่าตื่นอยู่มิอาจที่จะเดิรเข้าไปใกล้ ต่อเมื่อได้ยินเสียงเตียวหุยกรนจึงรู้ว่าหลับสนิธ คนหนึ่งก็เอากระบี่แทงเข้าที่ซอกฅอ คนหนึ่งแทงเข้าที่ห้อง เตียวหุยร้องได้คำเดียวก็ตาย เมื่อเตียวหุยตายนั้นอายุได้ห้าสิบปี ฮอมเกียงเตียวตัดก็เอาสีสะเตียวหุยพาพวกประมาณสามสิบคนหนีไปเมืองกังตั๋งใน เวลากลางคืนนั้น
ครั้นเวลาเช้างอปั้นนายทหารผู้ใหญ่รู้เนื้อความว่า ฮอมเกียงเตียวตัดฆ่าเตียวหุยเสียแล้วเอาสีสะไปให้ซุนกวน จึงคุมทหารไปติดตามก็มิทัน จึงกลับมาแต่งหนังสือมอบให้คนไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าปี่ แล้วคิดอ่านกับเตียวเปาตกแต่งเครื่องเส้นเตียวหุยสำเร็จแล้ว จึงให้เตียวเซียน้องเตียวหุยอยู่รักษาเมืองลองจิ๋ว ให้เตียวเปาไปเมืองเสฉวน ครั้นงอปั้นจัดแจงบ้านเมืองแล้วก็ยกตามเตียวเปาไป
(๑) ฉบับภาษาจีนว่าประมาณ ๑๐ เดือน
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 63
https://drive.google.com/file/d/1HjP_rtwAe_iXtYBRJcYH2oFmrht6W2R9/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 64
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-64.html
(https://1.bp.blogspot.com/-mdOAhJVdCQQ/XD3ma1VnYFI/AAAAAAAAtWo/sXXg6_estqYrZHFn7wcwpWD5ocd3YFllACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2594.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 64
เนื้อหา
• พระเจ้าเล่าปี่ยกทัพไปรบกับซุนกวน
• ซุนกวนไปขออ่อนน้อมพระเจ้าโจผี
• ซุนกวนแต่งกองทัพสู้เล่าปี่
• เล่าปี่ตีกองทัพซุนกวนแตกโดยลำดับ
• ซุนกวนขอเป็นไมตรี พระเจ้าเล่าปี่ไม่ยอม
ฝ่าย พระเจ้าเล่าปี่ครั้นได้ฤกษ์ดีก็ยกทัพออกจากเมืองเสฉวน ขงเบ้งแลขุนนางซึ่งอยู่รักษาบ้านเมืองก็ตามส่ง ขงเบ้งจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า พระเจ้าเล่าปี่ยกทัพไปครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เต็มใจเลย ได้ทูลห้ามปรามเปนหลายครั้งก็ไม่ฟัง ถ้าหวดเจ้งอยู่จะห้ามปรามเห็นจะฟัง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ยกทัพออกมาปลงไว้นอกเมือง เวลากลางคืนบันทมไม่หลับจึงออกมาที่ข้างนอก แลเห็นกะลาบาตใหญ่มีปริมณฑลข้างละประมาณศอกหนึ่ง ตกลงมาเหนือแผ่นดิน เห็นประหลาทนักก็ตกใจ จึงใช้คนเข้าไปถามขงเบ้งว่า ดาวดวงใหญ่ตกลงมาดังนี้จะเปนเหตุอันใด ขงเบ้งจึงบอกว่า นิมิตรอันนี้ร้ายบอกเหตุว่าทหารผู้ใหญ่ตายเสียคนหนึ่งแล้ว อีกสามวันจะรู้ข่าว
พระเจ้าเล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ไม่สบายพระทัย หาเคลื่อนทัพไปไม่ มีทหารเข้าไปทูลว่า งอปั้นนายทหารเมืองลองจิ๋วให้คนถือหนังสือมา พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินก็ตกใจว่า เอ๊ะน้องข้าสินัดกันว่าจะยกทัพไป เหตุใดจึงใช้คนถือหนังสือมาตัวจึงไม่มา น้องข้าเปนเหตุดอกกระมัง แล้วแก้หนังสือออกดูก็รู้ว่าเตียวหุยตาย ก็ทรงพระกรรแสงจนสลบไป ขุนนางทั้งปวงแก้ฟื้นขึ้นแล้ว รุ่งขึ้นวันหนึ่งมีคนมาทูลว่า ทหารพวกหนึ่งยกมา พระเจ้าเล่าปี่ออกมาดูเห็นเตียวเปานุ่งขาวห่มขาวควบม้าเข้ามาถึงหน้าที่นั่ง แล้วลงจากม้า เตียวเปาเข้าไปกราบลงแล้วร้องไห้ทูลว่า ฮอมเกียงเตียวตัดฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสียแล้ว ตัดเอาสีสะไปให้ซุนกวน
พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ทรงพระกรรแสงจนสุดกำลัง ไม่เสวยอาหารเลย ขุนนางทั้งปวงไปทูลให้ระงับความโศก ว่าพระองค์จะยกทัพไปครั้งนี้เปนการใหญ่ จะไม่เสวยอาหารดังนี้จะประชวรไข้ จะไม่ได้ไปแก้แค้น พระองค์จงอุตส่าห์เสวยอาหารเถิด พระเจ้าเล่าปี่ก็อุตส่าห์เสวยอาหาร จึงสั่งเตียวเปาว่า ท่านกับงอปั้นจงเปนทัพหน้าไปทำการครั้งนี้ เตียวเปาจึงทูลว่า จะไปแก้แค้นแทนบิดาครั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่กลัวตายเลย พระเจ้าเล่าปี่ยังมิได้สั่งให้ไป มีทหารกองหนึ่งยกมา พระเจ้าเล่าปี่แลไปเห็นกวนหินนุ่งขาวห่มขาวเข้ามา กวนหินกราบลงแล้วก็ร้องไห้
พระเจ้าเล่าปี่เห็นกวนหินเข้ามาร้องไห้ ก็รำลึกถึงกวนอูขึ้นมาทรงพระกรรแสง แล้วจึงว่า เรากับกวนอูเตียวหุยก็ได้ให้ความสัตย์กันไว้แต่ยังยากจนอยู่ด้วยกัน ก็เปนเพื่อนทุกข์เพื่อนยากช่วยกันทำสงครามมาจนได้เมืองมากมายถึงเพียงนี้ เราก็ได้เปนเจ้าคิดว่าน้องเราจะได้เปนสุขด้วยกัน บัดนี้น้องเราทั้งสองคนตายเสียแล้ว ยังแต่เราผู้เดียวจะเสวยราชเปนสุขจะควรหรือ เรายิ่งได้เห็นหน้าหลานทั้งสองคนก็ให้เปนทุกข์นักดังหนึ่งจะขาดใจตาย ขุนนางทั้งปวงจึงว่าแก่เตียวเปากวนหินว่า ท่านทั้งสองออกไปเสียให้พ้นหน้าที่นั่ง พระเจ้าเล่าปี่ไม่เห็นหน้าท่านก็จะค่อยคลายความโศก เตียวเปากวนหินก็ไปจากหน้าที่นั่ง ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า พระเจ้าเล่าปี่ทรงพระโศกนัก เราจะแก้ไขประการใดให้คลายความโศก ม้าเลี้ยงจึงว่า จะยกกองทัพไปเอาชัยชนะก็มีเหตุพี่น้องตายร้องไห้รักกันบัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าหามีชัยแก่ข้าศึกไม่
ตันจิ๋นจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือมาว่า มีหมอคนหนึ่งอายุได้สามร้อยเศษชื่อว่าลิอี้ อยู่ที่เขาเชิงสันข้างตวันตกดูแม่นนัก เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายจะเปนจะตายประการใดทายหาผิดไม่เลย เราจะเอาเนื้อความกราบทูล ให้เชิญตัวมาดูจะได้รู้ว่าเจ้าเราเคราะห์ดีแลร้าย ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบด้วยพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่
พระเจ้าเล่าปี่จึงใช้ให้ตันจิ๋นไปหาถึงเขาเชิงสันจึงถามหาลิอี้ พอพบลูกศิษย์คนหนึ่งเข้า คนนั้นก็ถามว่า ท่านชื่อตันจิ๋นหรือ ตันจิ๋นตกใจจึงถามว่าทำไมท่านจึงรู้จักกับข้าพเจ้า ลูกศิษย์ลิอี้จึงบอกว่า อาจารย์ข้าพเจ้าดูไว้แต่วานซืนนี้ว่า มะรืนนี้ตันจิ๋นจะถือรับสั่งมาหาเรา ตันจิ๋นจึงว่า เขาลือว่าท่านดูแน่ก็สมเหมือนลือ จึงให้ลูกศิษย์พาเข้าไปหาถึงแล้วจึงว่า พระเจ้าเล่าปี่ให้มาเชิญท่านไปเฝ้า ลิอี้บิดพลิ้วว่าข้าพเจ้าเปนคนบ้านนอกหาเคยเฝ้าไม่ ตันจิ๋นอ้อนวอนเปนหลายครั้ง ลิอี้ก็ไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่
พระเจ้าเล่าปี่แลเห็นลิอี้คิดว่าตาคนนี้แก่นัก อายุยืนเหมือนเทพดา จึงว่าข้าพเจ้าจะยกทัพหลวงไปรบข้าศึกครั้งนี้ จะมีชัยหรือปราชัย ลิอี้ดูรู้ว่า พระเจ้าเล่าปี่จะปราชัยแก่ข้าศึกแล้ว ครั้นจะทูลตามตรงก็เกรงอัชฌาสัย จึงทูลว่า อันแพ้แลชนะทั้งนี้แจ้งอยู่กับเทพดา ข้าพเจ้าหาทายได้ไม่ พระเจ้าเล่าปี่ซ้ำถามถึงสองครั้งสามครั้ง ลิอี้จึงจับพู่กรรณ์มาเขียนเปนทหารขี่ม้าถือศัสตราวุธพร้อมมือลงในกระดาษ ประมาณสี่สิบแผ่น แล้วก็ฉีกเสีย เขียนเปนคนตายคนหนึ่งนอนอยู่ คนหนึ่งถือจอบขุดดินจะฝัง จึงเขียนหนังสือว่าแต่เป๊กตัวเดียว ทำปริศนาไปถวายเท่านั้นก็ลาไป ปฤษณาซึ่งลิอี้ทำถวายนั้นเปนใจความว่า จะแพ้เขายับเยิน แล้วพระเจ้าเล่าปี่จะไปตายที่เมืองเป๊กเต้เสีย
พระเจ้าเล่าปี่จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ตาหมอดูคนนี้แก่นัก หลงใหลฟั่นเฟือนไปแล้วจะเชื่อฟังไม่ได้ ก็ให้เอากระดาษนั้นเผาไฟเสียก็สั่งให้เคลื่อนทัพไป เตียวเปาจึงทูลว่า งอปั้นคุมทหารเมืองลองจิ๋วมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะขอยกทัพหน้าไปก่อน พระเจ้าเล่าปี่ก็สั่งให้ยกไป เตียวเปามาจัดแจงกองทัพจะยกไป กวนหินจึงว่าแก่เตียวเปาว่า ท่านอย่าไปเลย ข้าพเจ้าจะเปนทัพหน้าไปเอง เตียวเปาจึงว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะไปตามรับสั่ง กวนหินจึงว่า ท่านจงสำแดงศิลปศาสตรเกาทัณฑ์ให้เราดู เตียวเปาจึงให้ทหารเอาเป้าไปปักไว้ไกลสี่สิบวา ในกลางให้หมายแดง เตียวเปาก็ยิงเกาทัณฑ์ถูกใจแดงทั้งสามที ทหารทั้งปวงก็ชมเตียวเปาว่ายิงแม่น กวนหินถือเกาทัณฑ์อยู่ร้องว่า ยิงถูกใจแดงนั้นหาดีไม่ พอมีนกฝูงหนึ่งบินมาในอากาศ กวนหินจึงชี้มือว่า ข้าพเจ้าจะยิงนกตัวนั้นให้ถูก แล้วก็ยิงไปถูกนกตัวที่ชี้นั้นตกลงมา ขุนนางทั้งปวงก็โห่ร้องสรรเสริญว่ากวนหินยิงแม่นกว่าเตียวเปา
เตียวเปาโกรธเผ่นขึ้นม้าถือทวนสำหรับมือของบิดา ร้องเรียกกวนหินว่า ท่านดีแล้วจงเร่งมาสู้กับเรา กวนหินก็ขึ้นม้าถือง้าวชักม้าเข้าไปสู้กัน พระเจ้าเล่าปี่เห็นดังนั้นจึงว่า เหตุใดจึงมาทำต่อหน้าที่นั่งเราอย่างนี้ไม่เกรงเราเลย ทำดังนี้โทษถึงตาย เตียวเปากวนหินกลัวก็ลงมาจากม้าเข้าไปทูลขอโทษตัว
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่ากับกวนหินเตียวเปาว่า บิดาของท่านทั้งสองมิใช่แซ่เดียวกันก็จริง แต่รักใคร่กันเหมือนหนึ่งพี่น้องร่วมอุทร ท่านทั้งสองก็เหมือนพี่น้องกัน ชอบแต่จะพร้อมใจกันช่วยกันกำจัดศัตรูของบิดา ควรแล้วหรือจะมารบกันเองอิกเล่า แต่ต่อหน้าเรายังทำดังนี้ ถ้าลับหลังเราจะมิฆ่ากันเสียหรือ สองคนก็กราบลงรับสารภาพโทษ พระเจ้าเล่าปี่จึงถามว่า ท่านทั้งสองใครแก่กว่ากัน เตียวเปาจึงทูลว่า ข้าพเจ้าแก่กว่ากวนหินปีหนึ่ง พระเจ้าเล่าปี่จึงให้กวนหินเรียกเตียวเปาว่าพี่ ให้สองคนสบถเปนพี่น้องกันต่อหน้าที่นั่ง พระเจ้าเล่าปี่จึงสั่งให้งอปั้นเปนทัพหน้า เตียวเปากวนหินเปนปีกซ้ายปีกขวา แล้วก็สั่งให้ยกกองทัพเรือไปเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายฮอมเกียงเตียวตัดเอาสีสะเตียวหุยไปถวายซุนกวนแล้ว จึงแจ้งเนื้อความซึ่งพระเจ้าเล่าปี่จะยกทัพมาตีซุนกวนทุกประการ ซุนกวนรู้เนื้อความแล้วก็ตกใจ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เล่าปี่ยกทัพมาเจ็ดสิบหมื่นเศษจะมาตีเอาเมืองเราครั้งนี้ ขุนนางทั้งปวงจะคิดประการใด ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก ต่างคนต่างดูหน้ากันก็นิ่งอยู่ มิรู้ที่จะคิดอุบายแก้ไขประการใด
จูกัดกิ๋นพี่ชายขงเบ้งจึงว่า ท่านได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้าได้รับเบี้ยหวัดผ้าปีมาช้านาน ข้าพเจ้ายังไม่ได้ทำความชอบเลย ครั้งนี้เปนการใหญ่ ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเปนทูตสื่อทัพเล่าปี่ พูดอ่อนโยนให้เปนทางไมตรีต่อกันเปนใจความที่จะได้ช่วยกันกำจัดโจผี ซุนกวนได้ฟังมีความยินดีนัก จึงใช้ให้จูกัดกิ๋นไป
ขณะเมื่อพระเจ้าเล่าปี่ยกมานั้นเสวยราชย์ได้แปดเดือน ก็ยกทัพออกจากเมือง มาถึงด่านกุยก๋วนก็เข้าไปในเมืองเป๊กเต้เสีย ฝ่ายทัพหน้าไปปลงอยู่ตำบลซอนเค้า ทหารเข้าไปทูลว่าจูกัดกิ๋นมาแต่เมืองกังตั๋งจะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าเล่าปี่ก็สั่งว่าอย่าให้เข้ามาเฝ้า
ห้องกวนจึงทูลว่า จูกัดกิ๋นคนนี้เปนพี่ชายขงเบ้งจะเข้ามาเฝ้า เหตุใดพระองค์จึงห้ามเสีย ถ้าจูกัดกิ๋นเข้ามาทูลประการใด พอเชื่อฟังได้ก็จะทำตาม ถ้าจะเชื่อฟังมิได้ก็จะสั่งให้ไปบอกซุนกวน ให้รู้จักความผิดของตัวซึ่งประทุษฐร้ายต่อพระองค์ พระเจ้าเล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงให้หาจูกัดกิ๋นเข้ามา ครั้นจูกัดกิ๋นเข้ามาถึงถวายบังคมแล้วพระเจ้าเล่าปี่จึงว่า เรายกทัพมาตีเมืองกังตั๋ง ท่านหากลัวความตายไม่หรือจึงมาหาเรา ทางก็ไกลอุตส่าห์มาด้วยเหตุอันใด
จูกัดกิ๋นจึงทูลว่า น้องข้าพเจ้าเปนข้าพระองค์ ๆ ก็แจ้งอยู่ พระองค์ทรงพระปัญญารู้จักผิดแลชอบหนักเบาอยู่ ข้าพเจ้าจึงหากลัวความตายไม่ อุตส่าห์มาทั้งนี้หวังจะทูลแจ้งความผิดแลชอบ เดิมซุนกวนให้ไปขอลูกสาวกวนอูเปนหลายครั้ง กวนอูก็ไม่ให้ กวนอูไปตีเมืองซงหยงของโจโฉ ๆ โกรธให้หนังสือไปถึงซุนกวนเปนหลายครั้ง ให้ไปตีเมืองเกงจิ๋ว ซุนกวนก็มิไป แต่ลิบองเปนคนมีความผิดกับกวนอู คิดอุบายไปตีเมืองเกงจิ๋ว กวนอูจึงเสียที ความทั้งนี้ซุนกวนจะได้คิดเองหามิได้ บัดนี้ลิบองซึ่งเปนคนผิดก็ตายเสียแล้ว อนึ่งนางซุนฮูหยินคิดถึงพระองค์นัก ซุนกวนใช้ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ให้แจ้งเนื้อความ แล้วให้กลับไปพานางซุนฮูหยินมาถวายแล้วจะให้มัดเอาคนผิดคิดมิชอบ ซึ่งทำร้ายแก่กวนอูแลเอาสีสะเตียวหุยมาถวาย แล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้จะขอเปนไมตรีกันสืบไปจะได้ช่วยกันกำจัดโจผีเสีย
พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็โกรธนัก จึงว่าเมืองกังตั๋งทำร้ายแก่น้องเราแล้ว ครั้นเรายกกองทัพมาแก้แค้น สิให้คนพูดเพราะเอาแต่ความดีมาเจรจา อันจะเปนไมตรีหามิได้แล้ว
จูกัดกิ๋นจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอทูลความให้พระองค์ทราบ ด้วยโจผีซึ่งชิงเอาราชสมบัติพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ ความข้อนี้ใหญ่นัก ชอบแต่พระองค์จะยกไปตีโจผีจึงจะควร ข้อซึ่งผู้ทำผิดคิดมิชอบทำร้ายแก่กวนอูเตียวหุยนั้น มิได้เปนแซ่เดียวกับพระองค์ โทษอันนี้เบาหาควรที่พระองค์จะยกทัพมาตีไม่ ฝ่ายคนทั้งแผ่นดินแจ้งว่าพระองค์เสวยราชสมบัติมีความยินดีนัก เห็นว่าพระองค์จะยกไปตีโจผีซึ่งเปนศัตรูพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น แลซึ่งพระองค์ยกทัพมาตีซุนกวนแก้แค้นกวนอูนี้ คนทั้งแผ่นดินหาชอบด้วยไม่
พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็โกรธนักจึงว่า ศัตรูฆ่าน้องเราเสียครั้งนี้ เรามีความแค้นเท่าแผ่นดินแผ่นฟ้า เราจะยกทัพมาแก้แค้นให้ได้ เรามีชีวิตอยู่ตราบใดจะไม่ถอยทัพกลับเลย ถ้าเราตายแล้วทัพนี้จึงจะกลับ นี่หากว่าเราคิดถึงขงเบ้งหาไม่จะฆ่าท่านเสีย ท่านจงกลับไปบอกซุนกวนให้ล้างฅอไว้ถ้าดาบเราเถิด จูกัดกิ๋นเห็นพระเจ้าเล่าปี่ไม่ฟังแล้วก็ลากลับไปเมืองกังตั๋ง
เตียวเจียวจึงว่าแก่ซุนกวนว่า จูกัดกิ๋นอาสาไปสื่อทัพว่าจะให้พระเจ้าเล่าปี่เปนไมตรีกับเราครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะคิดอุบายล่อลวงจะหนีเราไปเข้าด้วยพระเจ้าเล่าปี่ ซุนกวนจึงว่า จูกัดกิ๋นคนนี้ได้สบถไว้กับข้าพเจ้าช้านานอยู่แล้วว่าจะเปนตายด้วยกัน ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่หนี ครั้งเมื่อเราอยู่ฉสองกุ๋น ขงเบ้งมาเมืองเรา ข้าพเจ้าจึงว่าแก่จูกัดกิ๋นว่า ท่านจงไปชวนน้องท่านให้ทำราชการด้วยเรา จูกัดกิ๋นจึงว่า ขงเบ้งได้กินเข้าแดงของเล่าปี่แล้ว ไปชวนเห็นจะไม่มา ด้วยกำพืดนํ้าใจเปนเชื้อชาย เหมือนหนึ่งข้าพเจ้ากะนี้ ได้กินเข้าแดงของท่านแล้วจะไปอยู่กับผู้อื่นหาควรไม่ ความอันนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจูกัดกิ๋นเปนคนใจหนักแน่น ซึ่งจะหนีไปอยู่กับเล่าปี่นั้นหาไปไม่ พอคนเข้ามาบอกว่าจูกัดกิ๋นมาถึงแล้ว ซุนกวนจึงว่า ข้าพเจ้าคะเนหาผิดไม่เลย เตียวเจียวคาดการผิดอายใจก็ถอยออกไป
จูกัดกิ๋นจึงเข้าไปแจ้งแก่ซุนกวนว่า ข้าพเจ้าไปทูลอย่างนี้ ๆ พระเจ้าเล่าปี่ไม่ฟังด้วยมีความแค้นนัก จะยกทัพมาตีเมืองกังตั๋งให้ได้ ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงว่ากะนั้นเมืองกังตั๋งจะเปนอันตรายเปนมั่นคง
เตียวจี๋ที่ปรึกษาจึงว่า ข้าพเจ้าคิดเห็นอุบายอันหนึ่ง จะให้เล่าปี่ยกทัพกลับคืนไปให้ได้ ซุนกวนจึงว่า ท่านเห็นอุบายอย่างไร เตียวจี๋จึงว่า ขอให้ท่านทำหนังสือใบหนึ่ง ไปให้โจผียกไปตีเมืองฮันต๋ง ข้าพเจ้าจะถือไปถึงโจผี แต่พอโจผียกไปตีค่ายเสฉวนเข้า พระเจ้าเล่าปี่รู้แล้วก็จะยกทัพกลับไป ซุนกวนเห็นชอบด้วยจึงว่า ท่านไปถึงโจผีแล้วเจรจาโต้ตอบให้จงดี อย่าให้อายแก่ขุนนางทั้งปวง เตียวจี๋จึงว่า ถ้าข้าพเจ้าไปเสียการได้อายอัปยศ ข้าพเจ้ามิกลับมาให้เห็นหน้าพระองค์เลย จะโจนนํ้าตายเสียดีกว่าอยู่
ซุนกวนมีความยินดีนัก จึงแต่งหนังสือไปถึงโจผีว่า ข้าพเจ้าซุนกวนเปนข้าบิดาของพระองค์ บิดาของพระองค์ก็ทรงเมตตาตั้งให้ข้าพเจ้าเปนเพี้ยวกี้จงกุ๋นหลำเซียงเหา ข้าพเจ้าเปนสุขมาช้านาน พระบิดาของพระองค์สวรรคตแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้พึ่งบุญพระองค์สืบมา บัดนี้พระเจ้าเล่าปี่ยกทัพจะมาตีเมืองกังตั๋ง ขอให้พระองค์ยกทัพไปตีเมืองเสฉวนเห็นจะได้เมืองเสฉวนโดยสดวก จึงให้เตียวจี๋ถือหนังสือรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน เตียวจี๋ไปถึงเมืองลกเอี๋ยง กาเซี่ยงแลขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปทูลว่า ซุนกวนใช้ให้เตียวจี๋ถือหนังสือมา
พระเจ้าโจผีแจ้งดังนั้นก็ทรงพระสรวลจึงว่า ซุนกวนกลัวเล่าปี่ คิดอ่านทั้งนี้จะให้เล่าปี่ถอยทัพ ก็ให้หาเตียวจี๋เข้าไปเฝ้า เตียวจี๋จึงเอาหนังสือไปถวาย พระเจ้าโจผีได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้วจึงถามว่า ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งเปนคนมีสติปัญญาอยู่หรือ เตียวจี๋จึงทูลว่า ซุนกวนนี้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดนัก รู้เลี้ยงคนดีโอบอ้อมเอาใจข้าราชการแลราษฎรทั้งปวง พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านสรรเสริญนายท่านเกินนักดอกกะมัง เตียวจี๋จึงว่า ข้าพเจ้าทูลทั้งนี้เปนความจริง พระเจ้าโจผีจึงแกล้งว่า ถ้าเราจะยกทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ท่านเห็นว่าเมืองกังตั๋งจะต้านทานเราได้หรือมิได้ เตียวจี๋จึงทูลว่า ถ้าเปนเมืองใหญ่ยกไปตีเมืองน้อย เมืองน้อยก็จำจะจัดทหารออกสู้รบรักษาบ้านเมือง พระเจ้าโจผีจึงถามว่า เจ้าเมืองกังตั๋งจะกลัวหรือไม่ เตียวจี๋จึงทูลว่า เจ้าเมืองกังตั๋งหากลัวไม่ ด้วยหนทางจะไปนั้นกันดาร แล้วได้จัดแจงทหารที่มีฝีมืออยู่คอยรักษาทุกตำบล พระเจ้าโจผีจึงถามว่า ขุนนางเมืองกังตั๋งซึ่งเปนคนมีสติปัญญากล้าหาญเหมือนท่านกะนี้มีสักกี่คน เตียวจี๋จึงทูลว่า ขุนนางเมืองกังตั๋งซึ่งมีสติปัญญากล้าหาญในการสงคราม ดีกว่าข้าพเจ้ายังมีสักแปดสิบเก้าสิบคน ที่มีสติปัญญาเหมือนข้าพเจ้ากะนี้จะเอาเกวียนไปบันทุกก็มิสิ้น จะเอาถังตวงเอาก็ไม่หมด
พระเจ้าโจผีทรงพระสรวลแล้วว่า เตียวจี๋คนนี้มีสติปัญญาดีนัก นายใช้ให้เปนทูตมา ก็เจรจาอาจหาญยกย่องสรรเสริญนายให้มีเกียรติยศดังนี้ สมควรที่จะเปนผู้ถือหนังสือ ว่าแล้วจึงสั่งให้ไทเซียงเขงถือตราไปตั้งซุนกวนให้เปนเงาอ๋องมีเครื่องยศ เก้าสิ่ง ฝ่ายเตียวจี๋ก็ลาไป
เล่าหัวจึงทูลพระเจ้าโจผีว่า ซุนกวนกลัวเล่าปี่นัก จึงถ่อมตัวมาเปนข้าพระองค์ ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าเปนบุญของพระองค์ เทพดาจึงเข้าดลใจให้เมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งรบพุ่งกัน ขอให้พระองค์แต่งนายทหารผู้ใหญ่คุมทหารสักสี่หมื่นห้าหมื่นยกกองทัพเรือไป ช่วยเล่าปี่ แล้วให้มีหนังสือไปถึงเล่าปี่ให้ยกกองทัพบกเปนทัพกระหนาบ เราจะตีเมืองกังตั๋งเห็นจะได้เปนมั่นคง ถ้าเมืองกังตั๋งเสียแล้ว เมืองเสฉวนจะเปนเคี่ยวศึกอยู่แต่เมืองเดียว แม้พระองค์ยกกองทัพไปตีก็จะได้โดยง่าย
พระเจ้าโจผีจึงว่า ซุนกวนสิยอมมาเปนข้าเราแล้ว ครั้นเราจะทำร้ายดังนี้ สืบไปเมื่อหน้าผู้ใดซึ่งมีสติปัญญาจะมายอมเปนข้าเราเล่า ควรเราจะยกยอซุนกวนตั้งให้เปนใหญ่ เล่าหัวจึงทูลว่า ซุนกวนคนนี้มีสติปัญญา ทหารมีกำลังก็มีเปนอันมาก พระบิดาของพระองค์ตั้งให้เปนเพี้ยวกี้จงกุ๋นหลำเซียงเหา มียศยังต่ำอยู่มันจึงยังเกรงกลัวเราอยู่ บัดนี้พระองค์ตั้งให้มันเปนใหญ่ขึ้นครั้งนี้ ก็จะมีมานะตั้งยศอย่างให้ใหญ่ยิ่งกว่าเก่า เหมือนเสือร้ายอยู่แล้วเทพดามาชุบให้มีปีกขึ้นอีกเล่า บินได้แล้วก็จะร้ายยิ่งกว่าเก่า พระเจ้าโจผีจึงว่า เราตั้งให้เปนใหญ่จะทำอะไรแก่เรา ๆ จะยกย่องขึ้นไว้หวังจะให้มีมานะ อย่าให้ไปนบนอบแก่เล่าปี่ เขารบกันครั้งนี้ เราก็จะไม่ยกทัพไปช่วยซุนกวน เราก็ไม่ไปช่วยเล่าปี่ เราคอยเมื่อเขารบกันข้างหนึ่งแพ้แล้วยังอยู่แต่ฝ่ายเดียว เราจะยกทัพไปตีเห็นจะได้โดยสดวก เราตรองการทั้งนี้ชอบอยู่แล้วท่านอย่าทัดทานห้ามปรามเราเลย แล้วสั่งให้ไทเซียงเขงถือตราไปกับเตียวจี๋รีบไปเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายซุนกวนหาขุนนางมาปรึกษาการสงคราม ซึ่งจะยกทัพไปต้านทานพระเจ้าเล่าปี่นั้น พอทหารเข้ามาบอกว่า พระเจ้าโจผีใช้ให้ไทเซียงเขงถือตรามาเลื่อนที่ให้ท่านเปนใหญ่ ขอให้ท่านออกไปรับจึงจะควร โกะหยงที่ปรึกษาจึงห้ามซุนกวนว่า ท่านเปนเจ้าเมืองกังตั๋งอยู่แล้ว ซึ่งจะให้โจผีเลื่อนที่ท่านให้เปนใหญ่นั้น ข้าพเจ้าเห็นหาต้องการไม่ ซุนกวนจึงว่า เราสิได้ไปอ่อนน้อมไว้แต่ก่อน ครั้นจะมิรับก็ไม่ควร แล้วก็พาขุนนางออกไปรับถึงนอกเมือง
ฝ่ายไทเซียงเขงผู้ถือตรา ถือตัวว่าเปนขุนนางในเมืองหลวง ขี่เกวียนเข้าไปจนถึงประตูเมือง เตียวจี๋เห็นดังนั้นก็โกรธนัก ร้องว่าทำไมจึงมาดูถูกนายเรา เห็นว่าเปนเจ้าเมืองน้อยแต่ดาบคมนี้ไม่มีหรือ ไทเซียงเขงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ลงจากเกวียนเดิรตามซุนกวนเข้าไปในเมือง
ซิเซ่งจึงร้องไห้ว่า เสียแรงเราอุตส่าห์ทำการศึกมาช้านาน ตั้งใจจะไปตีโจผีเล่าปี่ได้แล้วจะให้ท่านเปนเจ้าแผ่นดิน ก็ยังมิได้สมคิด บัดนี้ท่านมาอ่อนน้อมยอมให้โจผีตั้งให้ท่านเปนใหญ่ ข้าพเจ้าอายนัก ไทเซียงเขงได้ยินดังนั้นจึงว่า ทหารเมืองนี้ยังมีคนดีนํ้าใจมานะห้าวหาญในการสงครามมากอยู่ นานไปจะได้เปนใหญ่ อันจะเปนน้อยอยู่ฉนี้หามิได้
ฝ่ายซุนกวนรับตราตั้งแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เข้ามาคำนับตามประเพณี พระเจ้าซุนกวนตั้งอยู่ในที่เงาอ๋อง มีเครื่องยศเก้าสิ่งตามอย่างแต่โบราณ จึงแต่งดอกไม้เงินทองกับเครื่องราชบรรณาการ ให้ขุนนางนำไปถวายแก่พระเจ้าโจผี
ฝ่ายทหารรักษาด่านหัวเมืองบอกหนังสือไปถึงซุนกวนว่า บัดนี้พระเจ้าเล่าปี่ยกกองทัพมาครั้งนี้มากกว่ามากนัก กองทัพสะโมโขแลเมืองมันอ๋องทั้งทัพบกทัพเรือ กองทัพเรือมาตั้งอยู่ตำบลบูเค้า ทัพบกมาถึงตำบลภูเขากุ๋ย พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ จึงปรึกษาขุนนางว่า แต่ก่อนเราได้พึ่งจิวยี่โลซกลิบอง คนดีมีทั้งสติปัญญาก็ตายเสียสิ้นแล้ว ครั้งนี้หามีผู้ใดที่จะช่วยเราไม่เลย
ขณะนั้นมีทหารคนหนึ่งเฝ้าอยู่ที่นั่นชื่อซุนหวน อายุได้ยี่สิบห้าปี เดิมเปนบุตรเลี้ยงซุนเซ็กพี่ซุนกวน ซุนเซ็กรักใคร่นักจึงให้เปนแซ่เดียวกัน ครั้นซุนเซ็กตายแล้วซุนกวนเอามาเลี้ยงไว้ ซุนกวนไปทำสงครามที่ไหนซุนหวนก็ได้ไปด้วยทุกครั้ง ซุนกวนจึงตั้งให้เปนนายทหาร
ครั้นซุนหวนได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่พระเจ้าซุนกวนว่า ตัวข้าพเจ้าเด็กก็จริง แต่ว่าข้าพเจ้าได้เล่าเรียนศิลปศาสตร ศึกษาในการสงครามชำนิชำนาญอยู่ ข้าพเจ้าจะขอทหารสักห้าหมื่นอาสาออกไปรบกับพระเจ้าเล่าปี่ พระเจ้าซุนกวนจึงถามว่า เจ้าจะออกไปครั้งนี้จะอาศรัยกลอุบายความคิดหรือฝีมือทหารผู้ใดจึงจะมีชัยแก่ ข้าศึก
ซุนหวนจึงว่า ข้าพเจ้าได้คนดีมีฝีมือสองคน คนหนึ่งชื่อลิอี้ คนหนึ่งชื่อเจียเสง ทหารสองคนนี้มีกำลังมากนัก ถึงจะมีทหารสักหมื่นก็หาเปรียบทหารสองคนนี้ไม่ พระเจ้าซุนกวนจึงว่า เจ้าได้ทหารสองคนมีกำลังมากก็ดีแล้วเห็นจะได้ราชการ แต่ว่าเจ้ายังเด็กอ่อนแก่ความนัก ข้าจำจะจัดแจงผู้ใหญ่ไปคนหนึ่งจึงจะได้ราชการ จูเหียนจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกับซุนหวนจะคิดอ่านจับเล่าปี่ให้จงได้ พระเจ้าซุนกวนได้ยินดังนั้นก็ดีใจจึงเกณฑ์ทหารให้ห้าหมื่น ตั้งซุนหวนให้เปนที่โจโต๊ะก๊กแม่ทัพบก จูเหียนเปนที่อี้โต๊ะก๊กแม่ทัพเรือ ทหารข้างละสองหมื่นห้าพัน ได้ยกทัพจากเมืองกังตั๋งตั้งแต่วันนั้น มีทหารเข้ามาทูลว่า งอปั้นเปนทัพหน้าพระเจ้าเล่าปี่ ยกมาตั้งค่ายอยู่ปลายแดนเมืองงิเต๋า ซุนหวนได้แจ้งดังนั้นก็ยกทัพไปถึงด่านเมืองงิเต๋า ให้ตั้งค่ายลงเปนสามค่าย
ฝ่ายงอปั้นแม่ทัพหน้าแจ้งว่าซุนหวนยกทัพมาดังนั้น ก็ให้ม้าใช้เอาเนื้อความไปทูลพระเจ้าเล่าปี่ที่ตำบลเขากุ๋ย พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า อ้ายลูกเล็กเท่านี้ทำไมจึงบังอาจเปนแม่ทัพมา กวนหินจึงว่า ซุนกวนสิใช้เด็กน้อยเปนแม่ทัพออกมา พระองค์หาควรใช้ทหารผู้ใหญ่ออกไปไม่ ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปจับซุนหวนมาถวาย พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า เจ้าจะไปก็ไปเถิด เราไม่เห็นกำลังฝีมือเจ้าเลยจะได้เห็นก็ครั้งนี้ กวนหินก็ทูลลาจะออกไป เตียวเปารู้ดังนั้นจึงทูลแก่พระเจ้าเล่าปี่ว่า น้องข้าพเจ้าจะออกไปรบด้วยข้าศึกครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปด้วยจะได้ช่วยกัน พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ถ้าหลานเราทั้งสองจะออกไปด้วยกันครั้งนี้ดีนัก จะได้เห็นหน้ากันเราก็เต็มใจ ถ้าเจ้าจะทำการสิ่งใดอย่าเบาแก่ความตรึกตรองปรึกษากันให้จงดี เตียวเปากวนหินก็ลาไป พระเจ้าเล่าปี่ให้เคลื่อนทัพไปปลงไว้ใกล้ทัพหน้า ด้วยจะใคร่ดูฝีมือหลานทั้งสอง
ฝ่ายซุนหวนเห็นกองทัพหลวงหนุนมาดังนั้น ก็คุมทหารออกจากค่าย ลิอี้เจียเสงก็ออกมาด้วย ฝ่ายเตียวเปาถือทวนกวนหินถือง้าวนุ่งขาวห่มขาว ขี่ม้าขาวทหารถือธงขาวนำหน้า เตียวเปาร้องด่าซุนหวนว่า อ้ายเด็กน้อยมึงบังอาจจองหองมาสู้ทัพเทพดา มึงจะถึงแก่ความตายแล้ว ซุนหวนร้องด่าเตียวเปาว่า มึงยังบังอาจอวดตัวว่าเปนทัพเทพดาอีกเล่า พ่อมึงหัวขาดตายแล้วมึงก็ยังจะตายตามพ่อมึง
เตียวเปาโกรธควบม้ารำทวนเข้าไปจะสู้กับซุนหวน เจียเสงขี่ม้าถือทวนยืนอยู่หลังซุนหวน ก็ชิงควบม้าออกมารบกับเตียวเปาได้ประมาณสามสิบเพลง เห็นเพลี่ยงพลํ้าจะเสียทีแก่เตียวเปาแล้วก็ควบม้าหนี เตียวเปาได้ทีก็ไล่ติดตามไป ลิอี้เห็นเจียเสงควบม้าหนีก็ถือขวานควบม้ารำออกมารบกับเตียวเปาได้ประมาณ ยี่สิบเพลง
ถำหยงทหารซุนกวนเห็นเตียวเปามีกำลังมากนัก กลัวลิอี้จะแพ้ จึงยิงเกาทัณฑ์ไปถูกม้าเตียวเปาเข้า เตียวเปาเห็นม้าเจ็บนักก็ชักม้าถอยออกมายังมิทันถึงทหารของตัวม้าล้มลง ลิอี้เห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้าไป เงื้อขวานจะฟันสีสะเตียวเปาซึ่งล้มอยู่กับม้านั้น
ฝ่ายกวนหินแลดูเตียวเปากับลิอี้สู้กัน แลเห็นถำหยงยิงเกาทัณฑ์ถูกม้าเตียวเปาจำหน้าได้ ครั้นเห็นเตียวเปาขับม้าออกมาตัวก็ควบม้าไปคอยอยู่ แลเห็นลิอี้จะฟันเตียวเปาก็ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วฟันถูกลิอี้ตาย เตียวเปาเอาม้าตัวอื่นซึ่งมีกำลังมาขี่ เตียวเปากวนหินได้ทีก็คุมทหารไล่ติดตามกองทัพซุนหวน ๆ เสียทหารผู้ใหญ่ตกใจนัก ก็ตีม้าฬ่อขับทหารเข้าค่าย
ครั้นเวลาเช้าซุนหวนก็ยกทหารออกไปหน้าค่าย เตียวเปากวนหินก็ยกทหารออกมา กวนหินจึงร้องว่า อ้ายซุนหวนมึงดีเร่งยกออกมารบกับกู ซุนหวนโกรธควบม้ารำง้าวออกรบกับกวนหินได้ประมาณสามสิบเพลง ซุนหวนเห็นเหลือกำลังจะต้านทานมิได้ก็ชักม้าหนีไป เตียวเปากวนหินก็ควบม้าไล่ งอปั้นก็พาเตียวหลำปองสิบไล่ตามไป เตียวเปาไล่ไปพบเจียเสงเข้าก็ฆ่าเจียเสงตาย ฝ่ายทหารซุนหวนแตกกระจัดกระจายล้มตายเปนอันมาก ซุนหวนตีม้าฬ่อสัญญาเรียกทหารเข้าค่าย ฝ่ายกวนหินแลเห็นถำหยงมีความแค้นนักก็ควบม้าไล่ทันจึงฟันด้วยง้าวถูกทวนถำ หยงพลัดตกจากมือก็เข้าจับตัวได้หนีบรักแร้กลับมาค่าย
ฝ่ายเตียวเปากับทหารทั้งปวง เมื่อไล่ตีทัพซุนหวนแตกแล้วกลับมาค่าย ไม่เห็นกวนหินตกใจนัก ร้องว่าน้องข้าตายแล้วจะอยู่เปนคนไปไย ว่าแล้วก็ควบม้าไปตามกวนหิน ไปได้ประมาณห้าสิบเส้น แลเห็นกวนหินขี่ม้า มือซ้ายถือง้าวมือขวาจับทหารหนีบรักแร้มาทั้งเปนดีใจนัก ร้องถามว่า อ้ายคนนี้เปนตัวสำคัญหรือ กวนหินจึงบอกว่า อ้ายคนนี้แหละวานนี้มันยิงเกาทัณฑ์ถูกม้าของพี่ เตียวเปาดีใจนักพากันกลับมาค่าย จึงตัดสีสะกำหยงเส้นม้า แล้วจึงแต่งหนังสือบอกให้ม้าใช้ไปทูลแก่พระเจ้าเล่าปี่ว่า ฆ่าลิอี้เจียเสงถำหยงกับทหารทั้งปวงล้มตายเปนอันมาก ทัพซุนหวนแตกระส่ำระสายหนีคืนเข้าค่าย บัดนี้ซุนหวนให้มีหนังสือไปถึงซุนกวนขอกองทัพหนุน
ฝ่ายเตียวหลำปองสิบว่าแก่งอปั้นว่า ทัพซุนหวนแตกระส่ำระสายเข้าตั้งอยู่ในค่าย เราเร่งยกกองทัพเข้าชิงเอาค่ายเห็นจะได้โดยสดวก งอปั้นจึงว่า กองทัพซุนหวนแตกยับเยินก็จริง แต่ทัพเรือจูเหียนยังตั้งมั่นอยู่ เห็นว่าจูเหียนกองทัพเรือจะยกขึ้นมาช่วย จะเปนทัพกระหนาบทัพเราจะมิวุ่นวายหรือ
ฝ่ายเตียวหลำจึงว่าท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่การอันนี้ก็พอจะคิดแก้ไข ขอให้เตียวเปากวนหินคุมทหารไปซุ่มอยู่สองฟากทาง ซึ่งจูเหียนจะยกทัพขึ้นมานั้น เราจึงจะยกเข้าตีค่ายซุนหวน ถ้าจูเหียนยกขึ้นมาช่วยให้เตียวเปากวนหินตีกระหนาบเข้า ทัพจูเหียนก็จะแตกยับเยินเราก็จะได้ค่ายซุนหวนเปนมั่นคง
งอปั้นจึงว่า ท่านคิดนี้ดีอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่าจูเหียนจะไม่รู้ จะไม่ยกมาช่วย ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้ทหารเลวไปสักสองสามคนไปลวงจูเหียนว่ามีความแค้นกับเรา สมัคเข้าไปอยู่ด้วยจูเหียน แล้วให้บอกเนื้อความว่า เวลาคํ่าวันนี้เราจะไปปล้นค่ายซุนหวน จูเหียนรู้ก็จะตระเตรียมกองทัพคอยจะไปช่วย ครั้นแลเห็นแสงเพลิงจูเหียนก็จะยกทัพขึ้นมา กวนหินเตียวเปาก็ตีกระหนาบเข้ามา เห็นจะแพ้เราทั้งทัพบกทัพเรือ ปองสิบเห็นชอบด้วยจึงเรียกทหารคนสนิธเข้ามาสามคน จึงสั่งให้ไปลวงจูเหียนเหมือนคิดนั้น
ฝ่ายจูเหียนได้ยินม้าใช้มาบอกว่า กองทัพซุนหวนแตกกระจัดกระจาย คิดจะใคร่ยกทหารขึ้นไปช่วย พอมีทหารมาบอกว่า จับคนได้สามคนก็ให้เอาตัวเข้ามา จึงถามว่าท่านเปนทหารผู้ใด ทหารสามคนก็บอกว่า ข้าพเจ้าเปนทหารงอปั้นหนีมาทั้งนี้ด้วยมีความแค้น ข้าพเจ้าอาสาทำการตีทัพครั้งนี้ควรจะมีบำเหน็จความชอบ งอปั้นมิได้ยกความชอบข้าพเจ้าเสียน้ำใจนัก แจ้งว่าท่านมีสติปัญญารู้เลี้ยงคนดี ข้าพเจ้าจึงมาพึ่งบุญท่าน แล้วทหารสามคนจึงแจ้งความว่า งอปั้นจัดแจงทหารจะเข้าปล้นค่ายซุนหวนเวลาคํ่าวันนี้ จูเหียนได้ยินดังนั้นก็ให้คนไปบอกซุนหวนว่า ให้เร่งรักษาค่ายให้มั่นคง เวลาคํ่าวันนี้งอปั้นจะยกปล้นค่าย ทหารซึ่งขึ้นไปบอกนั้นพบกวนหินเข้าที่กลางทาง กวนหินก็ฆ่าเสีย
ฝ่ายจูเหียนให้หาทหารมาพร้อมกันปรึกษาว่า งอปั้นจะเข้าปล้นค่ายซุนหวน เราจะยกทัพไปช่วยจะเห็นประการใด ซุยฮูนายทหารจึงว่า ท่านอย่าเพ่อไว้ใจเชื่อฟังคนสามคนนี้ก่อน ถ้าเชื่อฟังเห็นเราจะเสียทั้งทัพบกทัพเรือ ขอให้ท่านรักษาทัพไว้ให้มั่นคง ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารขึ้นไปช่วย จูเหียนเห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ทหารหมื่นหนึ่งให้ซุยฮูคุมขึ้นไปช่วยซุนหวน เวลาคํ่าวันนั้นงอปั้นปองสิบเตียวหลำคุมทหารเข้าปล้นค่ายซุนหวน จุดเพลิงเผาค่ายขึ้นได้แสงเพลิงสว่าง ซุยฮูแลเห็นแสงเพลิงก็รีบเร่งทหารเดิรไป ฝ่ายเตียวเปากวนหินซึ่งซุ่มทหารอยู่สองฟากทาง ก็ให้ทหารโห่ร้องตีกระหนาบออกมาทั้งสองข้าง
ฝ่ายซุยฮูตกใจนักจะใคร่ให้ถอยทัพก็มิทันที แลไปเห็นเตียวเปาขี่ม้ารำทวนเข้ามา ซุยฮูสู้ได้เพลงเดียวสิ้นแรงอาวุธพลัดตกจากมือ เตียวเปาก็เข้าจับเอาตัวซุยฮูหนีบรักแร้มา ทหารเตียวเปากวนหินก็ฆ่าฟันทหารซุยฮูล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งหนีไปได้จึงแจ้งความแก่จูเหียนว่า ทัพซุยฮูแตกแล้ว จูเหียนตกใจก็ล่าทัพเรือถอยไปจากที่นั้น ไกลประมาณหกร้อยเส้น
ฝ่ายซุนหวนก็พาทหารแหกค่ายหนีไป ทหารงอปั้นไล่ติดตามฆ่าฟันทหารซุนหวนล้มตายเปนอันมาก ซุนหวนพาทหารหนีไปไกลแล้ว จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เห็นบ้านใดตำบลใดมีเข้าปลาอาหารบริบูรณ์บ้างเราจะได้อาศรัยที่นั้น ทหารทั้งปวงจึงบอกว่า ไปข้างหน้านี้มีเมืองอิเหลง มีเข้าปลาอาหารบริบูรณ์พอจะอาศรัยได้ ซุนหวนก็พาทหารไปตั้งมั่นอยู่เมืองอิเหลง
ฝ่ายงอปั้นทัพหน้าก็พาทหารเร่งรีบตามไป ถึงเมืองอิเหลงก็ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ ฝ่ายเตียวเปากวนหินมัดซุยฮูมาถึงค่ายแล้ว ก็เอาซุยฮูเข้าไปถวายพระเจ้าเล่าปี่ ๆ ก็มีความยินดีนัก ให้ทหารเอาซุยฮูไปฆ่าเสีย จึงให้บำเหน็จรางวัลกับนายทัพนายกองแลทหารทั้งปวงซึ่งมีความชอบ
ฝ่ายซุนหวนเห็นงอปั้นตั้งค่ายล้อมเมืองมั่นคงตกใจนัก ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปถึงพระเจ้าซุนกวน แจ้งข้อราชการแล้วขอกองทัพหนุนมาช่วย พระเจ้าซุนกวนรู้ดังนั้นก็ตกใจ ให้หาขุนนางทั้งปวงมาพร้อมแล้วปรึกษาว่า ซุนหวนทัพบกก็เสียทหารแลศัสตราวุธมากมายหนีมาอยู่เมืองอิเหลง ข้าศึกก็ตามมาล้อมไว้มั่นคงเห็นจะเสียอยู่แล้ว ฝ่ายจูเหียนทัพเรือก็เสียทหารแลศัสตราวุธมากมาย ฝ่ายข้าศึกก็มีกำลังมากขุนนางทั้งปวงจะคิดประการใด เตียวเจียวที่ปรึกษาจึงว่า ถึงกองทัพเล่าปี่มีกำลังมากขึ้นเราก็ยังไม่กลัว ด้วยทหารเอกซึ่งมีฝีมือของเรายังมีถึงเก้าคนสิบคน ขอให้ท่านแต่งฮันต๋งเปนแม่ทัพหลวง จิวท่ายเปนปลัดทัพ พัวเจี้ยงเปนทัพหน้า เล่งทองเปนทัพหลัง กำเหลงเปนทัพหนุน เกณฑ์ทหารให้สิบหมื่นยกไปต้านทานก็เห็นพอจะได้ ซุนกวนได้ฟังเห็นชอบด้วย ก็สั่งให้เกณฑ์ทหารสิบหมื่นตั้งขุนนางให้เปนแม่ทัพแม่กองเหมือนคำเตียวเจียว ว่านั้นแล้วเร่งให้ยกไป ครั้งนั้นกำเหลงป่วยเปนบิดอยู่ แต่ว่าเปนชาติทหารก็อุตส่าห์แขงใจไป
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ก็เคลื่อนกองทัพหลวงไปตั้งอยู่แดนเมืองอิเหลง ทางประมาณเจ็ดสิบเส้น ให้ตั้งค่ายใหญ่สี่สิบค่าย ครั้นออกว่าราชการขุนนางแลทหารเข้ามาเฝ้าพร้อมกัน แลเห็นเตียวเปากวนหินจึงคิดว่าหลานเราทั้งสองนี้มีความชอบนัก แลดูทหารผู้ใหญ่ ๆ เห็นแก่ชราเสียดายนักก็ทอดใจใหญ่ จึงว่าเราทำสงครามแต่ก่อนก็ได้อาศรัยขุนนางผู้ใหญ่ ๆ บัดนี้ก็แก่ชราเปนผู้เฒ่าไปสิ้น เห็นจะไม่ได้ราชการแล้ว เดชะบุญของเราได้หลานสองคน มีสติปัญญากำลังมากหาผู้เสมอไม่ เราจะเปนทุกข์อะไรแก่สงคราม ว่ายังมิทันสิ้นคำมีม้าใช้เอาเนื้อความไปทูลว่า ฮันต๋งจิวท่ายทหารซุนกวนยกทัพออกมา พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็คิดจัดแจงกองทัพจะให้ไปตี
ฝ่ายฮองตงทหารผู้ใหญ่อายุได้เจ็ดสิบเศษ ได้ยินพระเจ้าเล่าปี่ว่าทหารผู้ใหญ่ ๆ ก็เปนผู้เฒ่าผู้แก่ไปหมดแล้วเห็นจะไม่ได้ราชการ ก็มีมานะคิดว่าถึงแก่ก็จริง แต่ยังมีกำลังว่องไวอยู่จะกลัวอะไรแก่ข้าศึก ครั้นได้ยินเขาทูลว่านายทหารผู้ใหญ่ ซุนกวนยกกองทัพมาก็ดีใจนัก คิดว่าครั้งนี้เราจะได้รบศึกปล่อยแก่จะได้แสดงกำลังแลฝีมือให้ปรากฎแก่ทหาร ทั้งปวง คิดแล้วก็มิได้ทูลลาเลย ออกมาเรียกทหารหกคนซึ่งไว้ใจได้ขี่ม้าตรงไปเมืองอิเหลง ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความเข้าไปทูลแก่พระเจ้าเล่าปี่ว่า ฮองตงพาสมัคพรรคพวกหกคนไปเมืองอิเหลง จะไปรบกับข้าศึกหรือจะหนีไปหาข้าศึกเปนประการใดมิได้แจ้ง
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระสรวล จึงว่าฮองตงคนนี้เปนคนสัตย์ซื่อ อันจะเปนขบถหนีไปเข้าด้วยข้าศึกนั้นหามิได้ ฮองตงไปครั้งนี้เพราะเราพูดผิด ว่าทหารผู้เฒ่าเห็นจะไม่ได้ราชการแล้ว ฮองตงจึงมานะไม่คิดว่าตัวแก่เลย หนีไปทั้งนี้จะไปรบแก่ข้าศึกเปนมั่นคง จึงสั่งเตียวเปากวนหินว่า ฮองตงไปครั้งนี้เห็นจะเสียการ หลานทั้งสองคนอย่าเห็นแก่เหนื่อยเลยจงไปช่วยด้วยเถิด ถ้าเห็นฮองตงทำราชการได้ความชอบสักหน่อยหนึ่ง แล้วเจ้าจงไปบอกว่าเราให้หา อย่าให้ฮองตงทำต่อไปเลย เตียวเปากวนหินก็ทูลลายกกองทัพไป
ฝ่ายฮองตงขี่ม้าถือง้าวพาทหารหกคนไปณทัพงอปั้น ซึ่งตั้งค่ายล้อมเมืองอิเหลงไว้นั้น ฝ่ายงอปั้นรู้ว่าฮองตงมาก็เดิรออกมารับคำนับแล้วเชิญเข้าไปนั่ง จึงถามว่าท่านผู้เฒ่ามาด้วยกิจราชการอันใด ฮองตงจึงบอกว่า เราทำราชการอาสาพระเจ้าเล่าปี่มาช้านาน แต่ครั้งรบเมืองเตียงสามาคุ้มเท่าบัดนี้อายุได้เจ็ดสิบเศษ กินหมูได้มื้อละสิบชั่ง มือยังถือเกาทัณฑ์หนักสองร้อยชั่ง ขี่ม้าเดิรทางได้ว้นละห้าพันเส้น ควรหรือพระเจ้าเล่าปี่มาติเตียนว่าเราแก่ชราทำราชการไม่ได้ เรามีความน้อยใจนัก จึงมาทั้งนี้หวังจะไปรบเมืองกังตั๋งด้วย ให้ท่านดูกำลังฝีมือว่าจะแก่หรือไม่แก่ พูดกันยังมิสิ้นคำพอทหารเข้ามาบอกว่า ทัพหน้าเมืองกังตั๋งยกมาใกล้ทัพเราแล้ว
ฮองตงได้ยินดังนั้นก็โกรธจับง้าวขึ้นม้าจะไปรบข้าศึก งอปั้นแลทหารทั้งปวงช่วยกันห้ามฮองตงมิฟังก็ควบม้าไป งอปั้นเห็นฮองตงมิฟังจึงสั่งปองสิบให้คุมทหารออกไปช่วย ฝ่ายฮองตงไปถึงหน้าทัพเมืองกังตั๋ง รำง้าวอยู่บนหลังม้าแล้วร้องเข้าไปว่า พัวเจี้ยงนายทัพเร่งออกมาสู้ดูฝีมือกัน ฝ่ายพัวเจี้ยงนายทัพหน้าได้ยินดังนั้น ดูไปเห็นฮองตงแก่แล้วไม่สมควรจะสู้รบ จึงสั่งนายทหารคนหนึ่งชื่อสิวเจ๊กให้ออกไปสู้ด้วยฮองตง สิวเจ๊กก็ขึ้นม้าถือทวนออกมารบด้วย ฮองตงทำล่อลวงไปมาไม่ทันถึงสามเพลง ฮองตงฟันด้วยง้าวถูกสิวเจ๊กตกม้าตาย ฝ่ายพัวเจี้ยงเห็นสิวเจ๊กตายก็โกรธ จึงจับเอาง้าวของกวนอูซึ่งได้ไว้นั้นถือขึ้นม้าออกรบด้วยฮองตง รบกันไปมาได้สี่ห้าเพลงแล้วไม่แพ้ไม่ชนะกัน เห็นกำลังฮองตงยังมากนัก ถ้าจะขืนสู้ไปเห็นจะแพ้แก่ฮองตง คิดแล้วก็ควบม้าหนีกลับเข้าค่าย
ฝ่ายฮองตงเห็นพัวเจี้ยงควบม้าหนีก็ไล่ตาม ครั้นไม่ทันกลับมาถึงกลางทาง พบกวนหินเตียวเปาจึงถามว่าท่านจะไปไหน กวนหินเตียวเปาจึงบอกว่า พระเจ้าเล่าปี่ใช้ให้ข้าพเจ้าทั้งสองตามมาช่วยท่าน บัดนี้ท่านก็มีชัยชนะแล้วเชิญท่านกลับไปเถิด ฮองตงจึงว่าเรารบไม่เต็มมือยังมิไปก่อน ว่าแล้วก็พากันมาค่าย
ฝ่ายพัวเจี้ยงครั้นเสียทีแก่ฮองตงแล้ว กลับไปนอนตรึกตรองคิดที่จะฆ่าฮองตง จึงให้จิวท่ายคุมทหารไปซุ่มอยู่ป่าฝ่ายซ้าย ฮันต๋งอยู่ ณ ป่าฝ่ายขวา เล่งทองคุมทหารอยู่ภายหลัง ม้าต๋งนั้นให้ขึ้นไปอยู่บนเขา ทั้งสี่กองนี้จงซุ่มซ่อนอยู่ให้ลับ เราจะเข้าไปเยาะเย้ยชวนฮองตงออกมารบแล้วเราจะทำเปนแพ้ควบม้าหนี ถ้าเห็นฮองตงไล่มาได้ทีแล้ว ให้กองซุ่มทั้งปวงรบกระหนาบล้อมจับตัวฮองตงฆ่าเสีย ทหารเหล่านั้นก็ไปทำตามสั่ง
ครั้นรุ่งขึ้นพัวเจี้ยงแต่งตัวถือง้าวขี่ม้าไปหน้าค่ายงอปั้น แล้วร้องเรียกฮองตงว่าวานนี้เรารบกันไม่สนุก วันนี้เร่งออกมารบกันอีก ฮองตงได้ยินพัวเจี้ยงร้องมาก็โกรธ จับง้าวเผ่นขึ้นหลังม้าออกไปรบ ฝ่ายงอปั้นกวนหินเตียวเปาสามคนจึงว่า ท่านแก่ชราอยู่แล้วข้าพเจ้าจะขอออกช่วยรบ ฮองตงจึงห้ามว่าท่านอย่าออกไปช่วยเลย เราจะคุมทหารออกไปรบแต่ผู้เดียว ว่าแล้วก็คุมทหารห้าพันยกไป จึงสั่งทหารให้อยู่แต่ไกล แต่ตัวเราจะเข้ารบกับพัวเจี้ยงผู้เดียว ว่าแล้วก็เข้ารบกับพัวเจี้ยง ฝ่ายพัวเจี้ยงขับม้าเข้ารบกับฮองตงไม่ทันถึงสองเพลงก็ควบม้าหนี ฮองตงไล่ติดตามด้วยความโกรธ ฝ่ายทหารกองซุ่มพัวเจี้ยงเห็นฮองตงไล่เข้ามา ได้ทีก็โห่ร้องยิงเกาทัณฑ์ออกรบกระหนาบล้อมฮองตงเข้าไว้ ฝ่ายฮองตงตกใจคิดจะรบฝ่าออกมาแต่รบพลางถอยพลาง พอทหารซึ่งอยู่บนเขายิงเกาทัณฑ์ระดมมาถูกซอกคอถนัดแทบตกม้า แต่ยังมานะรบอยู่ ทหารพัวเจี้ยงยังเข้าจับมิได้
ฝ่ายกวนหินเตียวเปาเห็นฮองตงควบม้าไล่พัวเจี้ยงไปแล้ว ได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นก็รู้ว่าเขาล้อมจับฮองตง กวนหินเตียวเปาก็คุมทหารห้าพันยกหักเข้าไปช่วยตีทหารเมืองกังตั๋งแตกแยกออก ไป จึงพบฮองตงถูกเกาทัณฑ์ที่ซอกคอ จึงเข้าชักลูกเกาทัณฑ์แล้วพยุงฮองตงไปณทัพหลวง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่รู้ว่าฮองตงเจ็บนักก็เสด็จออกมา เอามือลูบลงที่ไหล่ฮองตงแล้วจึงว่า ท่านไปรบครั้งนี้ก็เพราะเราว่าท่านแก่ชราแล้วจะทำราชการไม่ได้ ท่านโกรธจึงไปรบต้องบาดเจ็บทั้งนี้ก็เพราะเรา ๆ ขอขะมาท่านเถิด ฮองตงจึงทูลว่าข้าพเจ้าเปนชาติทหาร ทำราชการสนองพระเดชพระคุณมาช้านานแล้ว จะกลัวอะไรแก่ความตาย อายุข้าพเจ้าได้ถึงเจ็ดสิบเศษ ควรที่จะบังคมลาอยู่แล้ว แต่พระองค์จะบำรุงแผ่นดินไปข้างหน้านั้นจะทำการสิ่งใดขอดำริห์ให้ดีเถิด ว่าเท่านั้นแล้วพิษยาเกาทัณฑ์กลุ้มขึ้นมาฮองตงก็ตาย พระเจ้าเล่าปี่ก็ร้องไห้แล้วส่งเจ้าพนักงานให้แต่งการศพตามบันดาศักดิ์ไปฝัง ไว้ ณ เมืองเสฉวน แล้วพระเจ้าเล่าปี่จึงคิดว่า เรามีนายทหารผู้ใหญ่ห้าคน บัดนี้ก็ตายไปสามคนแล้วยังไม่แก้แค้นได้ ยังได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวงนัก แล้วสั่งให้ยกกองทัพไปถึงตำบลจูเต่ง จึงให้หานายทัพนายกองมาสั่งว่า ให้แยกทัพออกเปนแปดกอง ทั้งทางนํ้าทางบก ฝ่ายทัพบกนั้นเราจะดูแลไปเอง แต่ทางนํ้านั้นเอาฮองกวนเปนนายคุมทหารไป
ฝ่ายฮันต๋งจิวท่ายปลัดทัพ พัวเจี้ยงอยู่เมืองกังตั๋ง รู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่ยกทัพมาถึง จึงจัดแจงคุมทหารยกออกไปรบ ครั้นไปใกล้ทัพแล้ว ฮันต๋งจิวท่ายก็ขี่ม้ารำทวนอยู่หน้าทัพ ดูไปเห็นเครื่องสำหรับยุทธธงทิวล้วนเหลืองทั้งสิ้น ก็รู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่มาเองจึงร้องเข้าไปว่า พระเจ้าแผ่นดินเมืองเสฉวน ได้คนดีมีสติปัญญาไว้ทำนุบำรุงแล้วเปนไรจึงยกมาเอง ถ้าเพลี่ยงพลํ้าฉุกละหุกเหตการณ์ลงบัดนี้ จะเอาใครแก้มือภายหลัง พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินก็โกรธแล้วร้องว่า อ้ายพวกเดียรัจฉานเมืองกังตั๋งมึงมาทำอันตรายแก่น้องกู เหมือนหนึ่งตัดตีนกูเสียทั้งสองข้างมิให้เดิร กูได้ออกปากไว้แล้วว่าพวกมึงกูมิขอเห็นหน้าร่วมฟ้าร่วมแผ่นดินด้วยเลย
ฝ่ายฮันต๋งจิวท่ายมิได้ตอบประการใด เหลียวหลังไปถามทหารว่าผู้ใดจะอาสาเข้ารบ มีทหารคนหนึ่งชื่อแฮซุนรับอาสารบ ว่าแล้วถือทวนขึ้นม้าออกไปรำอยู่ ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ยืนทัพอยู่นั้น เตียวเปาขี่ม้าถือทวนยืนเคียงอยู่ ครั้นเห็นแฮซุนขี่ม้าออกมารำทวน เตียวเปาโกรธร้องตวาดแล้วขับม้าตรงออกมาจะรบด้วยแฮซุน แฮซุนได้ยินเตียวเปาร้องตวาดเสียงดังตกใจจะขับม้าหนี
ฝ่ายจิวเผงน้องจิวท่ายเห็นแฮซุนจะหนี จึงขับม้ารำง้าวออกมาช่วย กวนหินเห็นจิวเผงขับม้าออกมาช่วย จึงขับม้ารำง้าวออกไปรบกับจิวเผง ทั้งสองฝ่ายต่างรบกันอยู่ เตียวเปาร้องตวาดแล้วสอึกเข้าเอาทวนแทงถูกแฮซุนตกม้าตาย กวนหินได้ทีก็ฟันจิวเผงตาย แล้วกวนหินเตียวเปาขับม้าตรงเข้าไปรบฮันต๋งจิวท่าย ๆ เห็นกวนหินเตียวเปาฝีมือดีกว่าตัวก็กลับม้าหนีเข้าค่าย กวนหินเตียวเปาก็ขับม้าไล่ติดตามไป
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่เห็นฝีมือกวนหินเตียวเปาก็คิดถึงกวนอูเตียวหุย แล้วสรรเสริญสองคนว่าไม่เสียทีเกิดมาเปนลูกเสือ แล้วสั่งทหารบกเรือให้ดากันเข้าไปรบล้อมหักเอาค่ายได้ ฆ่าฟันทหารเมืองกังตั๋งล้มตายเปนอันมาก เลือดไหลนองท่วมหลังเท้า ฝ่ายกำเหลงนายทัพเรือรักษาตัวอยู่ ณ เรือ ได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึงทหารแตกก็ตกใจ จึงถอยเรือเข้าฝั่งขึ้นม้าหนีไปทางบก
ฝ่ายสะโมโขเจ้าเมืองลำมัน ซึ่งยกกองทัพมาช่วยพระเจ้าเล่าปี่นั้น ครั้นเห็นกำเหลงขี่ม้าหนีมา จึงสั่งให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกหน้าผากกำเหลงแทบตกม้า กำเหลงชักเกาทัณฑ์มิออกก็ขับม้าหนีไปตำบลอูติ มีความเจ็บปวดมากนักจึงลงจากม้าเข้าไปนั่งอิงต้นไม้ใหญ่อยู่ พิษเกาทัณฑ์กลุ้มขึ้นกำเหลงก็ตาย กาซึ่งทำรังอยู่บนต้นไม้นั้นลงมาล้อมศพกำเหลงไว้ ทหารที่เหลือตายหนีไปได้นั้นเอาเนื้อความไปแจ้งแก่พระเจ้าซุนกวน ๆ แจ้งว่ากำเหลงตายดังนั้นก็ร้องไห้รักรํ่าไรว่าเสียดายกำเหลงนักจะหาไหนได้ แล้วก็ให้เจ้าพนักงานไปแต่งการศพฝังไว้ ณ ตำบลอูตี๋ แล้วปลูกศาลเทพารักษ์ไว้ตรงหน้าศพ
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ได้ชัยชนะแล้วให้ทหารทั้งปวงกลับมา ตรวจตราดูก็เห็นทหารทั้งปวงพร้อมหน้าอยู่สิ้นแต่กวนหินนั้นหายไป จึงสั่งเตียวเปาให้คุมทหารแยกย้ายกันไปตามให้หลายทาง เตียวเปาก็คุมทหารแยกย้ายกันไปตามหา
ฝ่ายกวนหินซึ่งขับม้าไล่ติดตามพัวเจี้ยงไปนั้น หวังจะแก้แค้นแทนซึ่งพัวเจี้ยงฆ่าบิดาเสีย แต่ขยิกขยี้ไล่ตามกันอยู่จนเวลาคํ่า ฝ่ายพัวเจี้ยงกลัวกวนหินก็ขับม้าหนีลัดป่าไปในหว่างเขา ครั้นคํ่าต่างคนต่างไปไม่เห็นกัน กวนหินจะกลับคืนมาทัพหลวงเล่าก็ไม่รู้แห่งทาง แต่ชักม้าเดิรตลบวงเวียนไปตามแสงเดือนประมาณสองยาม พบบ้านเข้าแห่งหนึ่งปลูกเรือนอยู่ริมเขา กวนหินจึงลงจากม้าเดิรเข้าไปเคาะประตูเรียก
ฝ่ายตาแก่เจ้าของเรือนได้ยินก็ออกมาเปิดประตูรับแล้วถามว่า ท่านมาแต่ไหนมีธุระกังวลสิ่งใด กวนหินจึงบอกว่าเราเปนทหารรบไล่ข้าศึกมาจวนคํ่าหลงทาง จะขอเข้าท่านกินสักมื้อหนึ่ง ฝ่ายตาแก่จึงว่าเชิญท่านเข้ามานั่งเถิดข้าพเจ้าจะหาอาหารให้กิน ว่าแล้วก็จุดตะเกียงให้กวนหินนั่งอยู่ ตัวก็ไปหาอาหารจะเอามาให้กิน กวนหินครั้นเห็นตาแก่จุดเพลิงขึ้นสว่าง แลเห็นฉากรูปกวนอูผู้บิดาซึ่งตาแก่แขวนไว้บูชานั้น กวนหินก้มลงไหว้กราบแล้วก็ร้องไห้
ตาแก่จึงถามว่า เปนไรท่านเห็นฉากจึงกราบไหว้ร้องไห้ กวนหินจึงบอกว่า รูปฉากนี้คือบิดาของเรา ตาแก่ได้ยินดังนั้นพิเคราะห์ดูรูปในฉากเห็นคล้ายคลึงกัน จึงก้มลงกราบไหว้กวนหิน ๆ จึงถามว่าเหตุประการใดจึงเขียนรูปบิดาเราไว้ ตาแก่จึงบอกว่า รูปคนนี้เมื่อท่านยังเปนอยู่นั้นย่อมเลื่องลือนับถือท่านทุกแห่ง ครั้นท่านตายแล้วก็เปนเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์นัก ข้าพเจ้าแลชาวบ้านในจังหวัดนี้นับถือนัก จึงเขียนรูปมาไว้บูชาทุกเรือน ว่าแล้วตาแก่ก็ไปจัดเหล้าเข้ายกออกมาเชิญให้กวนหินกิน ตาแก่ก็ไปจูงม้ามาผูกไว้ที่ใต้ถุน ปิดประตูบ้านแล้วขึ้นมา
ฝ่ายพัวเจี้ยงหนีกวนหินไป ครั้นเวลาดึกแล้วก็ขี่ม้าเล็ดลอดเที่ยวหาทาง เปนกรรมของพัวเจี้ยงที่จะตายจึงพะเอิญให้มาบ้านตาแก่ที่กวนหินอาศรัย พัวเจี้ยงครั้นเห็นบ้านเรือนที่ริมเขา ก็ตรงเข้ามาลงจากม้าเข้าไปเคาะประตูเรียก ฝ่ายตาแก่นั่งดูให้กวนหินกินอาหารพอแล้วก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูเรียก จึงเดิรลงมาถามว่า ท่านมาแต่ไหนธุระกังวลอันใดจึงมาเรียกเราป่านนี้ พัวเจี้ยงจึงบอกว่า เราชื่อพัวเจี้ยงทหารเมืองกังตั๋ง มานี่จะขออาศรัยท่านกว่าจะรุ่ง
ฝ่ายกวนหินได้ยินออกชื่อว่าพัวเจี้ยง ก็ฉวยดาบวิ่งลงไปประตูบ้าน ครั้นเห็นตาแก่เปิดประตูบ้าน ได้ทีก็ร้องว่าอ้ายทหารเมืองกังตั๋งดีแล้วอย่าหนีกัน ก็โจนทลวงออกไป พัวเจี้ยงได้ยินเสียงกวนหินก็กลัวจะกลับตัวหนี พอแลเห็นกวนอูผู้ตายถือง้าวมายืนขวางหน้าไว้ตกใจโจนหลีกก็ล้มลง กวนหินก็ฟันถูกพัวเจี้ยงตาย กวนหินก็ได้ง้าวของกวนอูผู้บิดาซึ่งพัวเจี้ยงถือ แล้วก็ผ่าอกเชือดเอาตับหัวใจพัวเจี้ยงขึ้นไปเส้นบิดา ณ เรือนตาแก่ แล้วตัดเอาสีสะพัวเจี้ยงผูกเข้ากับอานม้า พอเวลารุ่งก็ลาตาแก่ขึ้นม้าขี่กลับไป ฝ่ายตาแก่ครั้นเห็นกวนหินไปแล้ว คิดกลัวผิดจึงลากเอาศพไปเผาเสีย
ฝ่ายม้าต๋งขี่ม้าแตกหนีมาในป่า ทหารติดตามมาประมาณสองร้อย พบกวนหินเห็นสีสะพัวเจี้ยงแขวนมาข้างอานม้าก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกับกวนหิน ๆ เห็นม้าต๋งพวกพัวเจี้ยงก็โกรธ ขับม้าเข้ารบสู้กันไปมา ทหารพวกม้าต๋งก็โห่ร้องเข้าช่วยรบวงล้อมกวนหินเข้าไว้
ฝ่ายเตียวเปาซึ่งเที่ยวหากวนหินนั้นได้ยินเสียงโห่ร้อง ก็ขับม้าเร่งทหารขึ้นมารบหักเข้าไป ฝ่ายม้าต๋งเห็นทัพหนุนมามากก็ถอยหนี เตียวเปาก็รบติดตามไปพบกวนหิน แล้วก็พากันไล่ไปประมาณห้าสิบเส้น ไม่ทันแล้วก็พากันกลับมา เตียวเปากวนหินก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่ ถวายสีสะพัวเจี้ยงแล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ สรรเสริญกวนอูว่าน้องเราไม่เสียทีที่รักกัน แต่ตายแล้วยังอุตส่าห์ตามมาช่วย แล้วสั่งให้แต่งโต๊ะพระราชทานเตียวเปากวนหินเลี้ยงทหารทั้งปวง
ฝ่ายม้าต๋งซึ่งหนีไปพบฮันต๋งจิวท่าย ก็คิดกันตั้งค่ายอยู่เกลี้ยกล่อมทหารซึ่งแตกหนีอยู่ในป่าดง ครั้นได้ทหารมากขึ้นแล้วก็จัดแจงให้นั่งทางวางคนระวังข้าศึกศัตรู แล้วม้าต๋งจึงว่าจะตั้งอยู่แห่งเดียวนี้ไม่ชอบ ให้ฮันต๋งจิวท่ายคุมทหารอยู่ค่ายนี้ เรากับบิฮองเปาสูหยินจะคุมทหารไปตั้งค่ายอยู่ตำบลกังจู๋ ฝ่ายฮันต๋งจิวท่ายก็เห็นชอบด้วย ม้าต๋งจึงจัดแจงแบ่งทหารแล้วก็ยกทหารไปตั้งค่ายอยู่ตำบลกังจู๋
ในกลางคืนวันนั้นทหารทั้งปวงร้องไห้อื้ออึงทั้งค่าย บิฮองได้ยินเห็นประหลาทใจ จึงย่องไปฟังทหารจะพูดจากันประการใด ฝ่ายทหารพวกหนึ่งจึงพูดกันว่า เราทั้งนี้เปนทหารเมืองเกงจิ๋ว เพราะอ้ายลิบองมันทำกลอุบาย บิฮองเปาสูหยินเล่ามันเปนไส้ศึกจึงเสียเมืองเกงจิ๋วทั้งกวนอูนายเราก็ตาย เราจึงได้ตกมาเปนทหารเมืองกังตั๋ง บัดนี้พระเจ้าเล่าปี่ยกมาเองเห็นเมืองกังตั๋งจะแตกยับเปนมั่นคง เราชวนกันฆ่าอ้ายเปาสูหยินบิฮองสองคนเสีย เราชวนกันเอาสีสะไปถวายพระเจ้าเล่าปี่จะมิได้ความชอบหรือ พวกทหารทั้งปวงก็พร้อมกันเห็นชอบด้วย จึงว่าเราคอยดูถ้าได้ท่วงทีแล้วก็จะทำ
ฝ่ายบิฮองได้ยินดังนั้นก็ตกใจกลับมาบอกเปาสูหยินว่า ทหารมันคิดพร้อมกันว่าจะฆ่าเราสองคน เรามิพากันตายเสียหรือ เราจำจะคิดแก้ตัว ด้วยพระเจ้าเล่าปี่ยกมาบัดนี้เพราะโกรธแค้นพัวเจี้ยงม้าต๋ง บัดนี้พัวเจี้ยงก็ตายแล้วยังแต่ม้าต๋ง เราชวนกันเอาสีสะม้าต๋งไปถวายพระเจ้าเล่าปี่ แล้วเราจึงแก้ตัวว่า ข้าพเจ้าตกมาอยู่ในเงื้อมมือพัวเจี้ยงม้าต๋งทั้งนี้ เพราะเสียเมืองแก่เขาจำเปนจำใจมา จะได้ตั้งใจอยู่กับเขาด้วยเปนขบถนั้นหามิได้ ข้าพเจ้าคอยทีจะฆ่าพัวเจี้ยงม้าต๋งอยู่ แต่หากยังไม่ได้ท่วงที บัดนี้ได้ทีแล้ว ข้าพเจ้าจึงตัดสีสะมาถวาย เห็นว่าพระเจ้าเล่าปี่จะดีใจจะไม่เอาโทษเรา
ฝ่ายเปาสูหยินไม่เห็นด้วย จึงว่าพระเจ้าเล่าปี่มีสติปัญญามากเกลือกจะเห็นว่าเราทำการแก้ตัว ศึกแพ้อยู่แล้วแกล้งตัดเอาสีสะม้าต๋งมาให้ พระเจ้าเล่าปี่จะฆ่าเราเสีย บิฮองจึงว่าเห็นไม่เปนดังนั้น ด้วยพระเจ้าเล่าปี่มีสติปัญญาเกลี้ยกล่อมหาคนซึ่งจะรบศึกต่อไปอยู่ ฝ่ายอาเต๊าบุตรพระเจ้าเล่าปี่ก็เปนหลานของข้าพเจ้า จะไม่คิดบ้างหรือ เห็นเราจะไม่ตาย ถ้าจะนิ่งอยู่ฉนี้เห็นจะตายเปนมั่นคง เปาสูหยินเห็นชอบด้วย แล้วสองคนคิดอ่านตระเตรียมม้าไว้ ครั้นเวลาเที่ยงคืนสงัดก็ลอบเข้าไปถึงที่นอนตัดเอาสีสะม้าต๋งไปผูกกับอานม้า แล้วเผ่นขึ้นหลังม้าลอบหนีทหารไปยังกองทัพพระเจ้าเล่าปี่
ฝ่ายทหารพระเจ้าเล่าปี่ก็เข้าจับเอาตัวได้ ถามว่าตัวสองคนนี้มาแต่ไหน บิฮองเปาสูหยินจึงว่าเราพวกเดียวกันกับม้าต๋ง เราตัดเอาสีสะม้าต๋งมาถวาย ทหารก็คุมเอาบิฮองเปาสูหยินเข้าไว้แต่นอกประตู แล้วเข้าไปทูลพระเจ้าเล่าปี่ ๆ ได้ฟังก็ให้เอาตัวบิฮองเปาสูหยินเข้ามา บิฮองเปาสูหยินเข้าไปถึงวางสีสะม้าต๋งลงไว้ก็กราบลงแล้วร้องไห้ จึงทูลแจ้งเนื้อความดุจคิดกันไว้นั้นทุกประการ
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังก็โกรธจึงว่า กูยกออกมาจากเมืองเสฉวนช้านานแล้ว มึงมุดหัวอยู่ที่ไหนจึงไม่มาหากู นี่มึงเห็นว่าจะสู้กูไม่ได้จะแพ้กูอยู่แล้ว จึงแกล้งตัดเอาสีสะม้าต๋งมาให้ แม้จะเลี้ยงมึงไว้ให้คงชีวิตเหมือนกูไม่รักกวนอู จะเอาหน้าไปไว้ไหน ว่าแล้วก็สั่งกวนหินให้ตั้งเครื่องบูชาจะเส้นกวนอู ครั้นตั้งเครื่องบูชาพร้อมแล้ว พระเจ้าเล่าปี่จึงลงจากเก้าอี้ไปหยิบเอาสีสะม้าต๋งขึ้นชูเส้นให้กวนอู แล้วสั่งกวนหินให้เปลื้องผ้าอ้ายบิฮองเปาสูหยินมัดหมอบไว้หน้าเครื่องบูชา แล้วพระเจ้าเล่าปี่ก็ทรงดาบเชือดเนื้ออ้ายบิฮองเปาสูหยินเส้นให้กวนอู แล้วตัดเอาสีสะให้ทหารลากศพไปทิ้งเสีย
เตียวเปาเห็นดังนั้นก็คิดสงสารถึงบิดา จึงกราบพระเจ้าเล่าปี่ลงแล้วก็ร้องไห้ว่า เขาทำร้ายแก่กวนอูนั้นกวนหินผู้ลูกก็ได้แก้แค้นทดแทนแล้ว แต่คนที่ทำร้ายบิดาข้าพเจ้ายังมิได้แก้แค้นทดแทนเลย พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่เตียวเปาว่า เจ้าอย่าได้คิดสงสัยเลย เราตั้งใจมาทั้งนี้หวังจะล้างเมืองกังตั๋งแก้แค้นบิดาเจ้าด้วย ได้เมืองกังตั๋งแล้วเราจะสืบเอาตัวอ้ายสองคนผู้ทำร้ายบิดาเจ้ามาเส้นให้ เหมือนกัน เตียวเปาได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี กราบพระเจ้าเล่าปี่แล้วก็ออกไป เมื่อพระเจ้าเล่าปี่มีชัยชนะครั้งนั้นกิตติศัพท์เลื่องลือเอิกเกริกไป ฝ่ายทหารเมืองกังตั๋งก็สดุ้งตกใจกลัว
ฝ่ายฮันต๋งจิวท่ายซึ่งรักษาค่ายอยู่นั้น เห็นทหารทั้งปวงรวนเรก็ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมเอาใจอยู่ พอทหารฮันต๋งเข้ามาบอกว่า บิฮองเปาสูหยินทำร้ายตัดเอาสีสะม้าต๋งไปให้พระเจ้าเล่าปี่ ได้ยินว่าพระเจ้าเล่าปี่ฆ่าบิฮองเปาสูหยินเสียด้วย ฮันต๋งจิวท่ายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดจัดแจงให้ทหารอยู่รักษาค่าย แล้วฮันต๋งจิวท่ายก็รีบเข้าไปเมืองกังตั๋ง เอาเนื้อความทูลพระเจ้าซุนกวนทุกประการ
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนได้ฟังก็สดุ้งตกใจนัก จึงให้หาขุนนางทหารพลเรือนมาพร้อมแล้ว เปาจิดจึงทูลว่า พระเจ้าเล่าปี่โกรธยกมาทั้งนี้เปนต้นโกรธอยู่เจ็ดคน คือพัวเจี้ยงลิบองม้าต๋งบิฮองเปาสูหยิน ห้าคนนี้ทำร้ายกวนอูก็ตายสิ้นแล้ว ยังแต่ฮอมเกียงเตียวตัดสองคนผู้ฆ่าเตียวหุยนี้ยังอยู่ในเมืองเรา ชอบเราจับฮอมเกียงเตียวตัดสองคนนี้ กับส่งสีสะเตียวหุยออกไปแล้วคืนนางซุนฮูหยินกับเมืองเกงจิ๋วให้ แลถวายดอกไม้เงินทองขอเปนพระราชไมตรีดีแล้วจะได้ช่วยกันรบกำจัดโจผี เห็นพระเจ้าเล่าปี่จะถอยทัพกลับไป
ฝ่ายซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทำหีบไม้หอมใส่สีสะเตียวหุย จับเอาฮอมเกียงเตียวตัดใส่กรงเหล็ก จัดดอกไม้เงินทองให้แต่งหนังสือตามคำเปาจิดว่า แต่นางซุนฮูหยินนั้นจะส่งไปครั้งหลัง ให้เทียเป๋งถือหนังสือคุมคนแลสิ่งของทั้งนี้ไปให้พระเจ้าเล่าปี่ เทียเป๋งก็คุมคนโทษไปตามรับสั่ง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่จัดแจงกองทัพจะให้ตีเข้ามาเมืองกังตั๋ง ยังมิทันสำเร็จพอทหารเข้ามาทูลว่า ชาวเมืองกังตั๋งถือหนังสือเอาคนโทษเข้ามาถวาย พระเจ้าเล่าปี่ดีใจนักตบมือเข้าแล้วร้องว่าบุญของเรา เทพดาจึงชักนำมาให้เราแก้แค้น แล้วสั่งเตียวเปาให้แต่งเครื่องบูชาจะเส้นเตียวหุยน้องเรา แล้วสั่งให้เร่งยกหีบเข้ามา ทหารก็ยกหีบสีสะเตียวหุยแลกรงคนโทษเข้าไปวางต่อหน้าที่นั่ง พระเจ้าเล่าปี่ก็ลงจากเก้าอี้มาเปิดหีบยกเอาสีสะเตียวหุยขึ้นบนที่บูชา เห็นหน้าเตียวหุยสดชื่นอยู่เหมือนเมื่อยังเปน พระเจ้าเล่าปี่คิดสงสารนัก ร้องไห้รักเตียวหุยเปนอันมาก
เตียวเปาครั้นเห็นสีสะบิดาก็ร้องไห้ ความแค้นเหลือที่จะสกดใจ ไม่ทันพระเจ้าเล่าปี่จะสั่ง ก็ชักดาบวิ่งเข้าแหกกรงจิกเอาสีสะฮอมเกียงเตียวตัดลากออกมาจากกรงฟันด้วยดาบ แล้วเชือดเนื้อชูขึ้นเส้นเตียวหุยผู้บิดา พระเจ้าเล่าปี่ยังแค้นเคืองมากนักมิได้ดูหนังสือ จึงว่าเราจะรบเอาเมืองกังตั๋งให้ได้ ฝ่ายม้าเลี้ยงที่ปรึกษาจึงทูลว่า พวกคนร้ายซึ่งทำร้ายแก่กวนอูเตียวหุยก็ได้แก้แค้นทดแทนสิ้นแล้ว บัดนี้ฝ่ายซุนกวนใช้ให้เทียเป๋งถือหนังสือเอาดอกไม้เงินทองมาถวาย จะขอคืนนางซุนฮูหยินกับเมืองเกงจิ๋วให้ ขอเปนราชไมตรีช่วยกันรบกำจัดโจผีจะโปรดประการใด
พระเจ้าเล่าปี่โกรธนักจึงว่า เราพยาบาทกันอยู่กับซุนกวน ได้ออกปากให้สัตย์กันไว้กับกวนอูเตียวหุยน้องเรา บัดนี้กวนอูเตียวหุยน้องเราก็ตายแล้ว เราจะกลับเปนไมตรีดีกับซุนกวนนั้นจะมิเสียความสัตย์ไปหรือ เราไม่ฟังจะรบเอาเมืองกังตั๋งให้ได้ แล้วจึงจะยกไปรบเอาเมืองโจผี แล้วสั่งให้เอาตัวผู้ถือหนังสือไปฆ่าเสีย บันดาขุนนางที่ปรึกษาทูลขอชีวิตเทียเป๋งผู้ถือหนังสือไว้ ครั้นโปรดให้แล้วก็ปล่อยเทียเป๋งเสีย เทียเป๋งกลับไปทูลพระเจ้าซุนกวนว่า พระเจ้าเล่าปี่ไม่ฟังจะรบเอาเมืองกังตั๋งให้ได้ แล้วจะยกไปตีเอาเมืองโจผี แลความซึ่งรู้เห็นมาทั้งนั้นก็ทูลให้ฟังทุกประการ
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 64
https://drive.google.com/file/d/1uXey9FftdPugF9HYvifl_gyTz2mrOgV0/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 65
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-65.html
(https://4.bp.blogspot.com/-3zpSPwr-mew/XGBBFtvHvKI/AAAAAAAAthE/-RMfx3yyGpcR4PfzU82ls8zZ61UAwF4MACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2595.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 65
เนื้อหา
• ลกซุนอาสาซุนกวนไปต่อสู้พระเจ้าเล่าปี่
• พระเจ้าโจผีเตรียมทัพจะไปตีเมืองกังตั๋ง
• ลกซุนตีทัพพระเจ้าเล่าปี่แตกยับเยิน
• พระเจ้าโจผียกทัพไปตีเมืองกังตั๋ง
• ลกซุนตีทัพพระเจ้าโจผีแตก
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก ตัวสั่นผิดกิริยามิได้ว่าประการใด กำเจ๊กที่ปรึกษาจึงทูลว่า มีคนดีอยู่ในเมืองเราคนหนึ่ง เปนไรท่านจึงมิเอามาใช้ทำราชการ พระเจ้าซุนกวนจึงถามว่าคนไหนเล่า กำเจ๊กจึงทูลว่า ลกซุนอยู่เมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าเห็นความคิดสติปัญญาราวกับจิวยี่ เมื่อครั้งเราไปตีเมืองเกงจิ๋วนั้น ลกซุนคนนี้ได้ช่วยคิดอ่านให้จึงได้เมืองเกงจิ๋ว ให้ท่านเอามาทำราชการเถิด ถ้าไม่ชนะพระเจ้าเล่าปี่ให้เอาข้าพเจ้าเปนโทษ
พระเจ้าซุนกวนได้ยินดังนั้นก็ดีใจนักจึงว่าข้าพเจ้าลืมไป เตียวเจียวที่ปรึกษาจึงทูลว่า ลกซุนคนนี้เปนผู้น้อย เคยทำราชการก็แต่การน้อย ๆ แลจะเอามาทำการที่ใหญ่ถึงรบสู้กับพระเจ้าเล่าปี่นั้นเห็นไม่ได้ โกะหยงนี้ปรึกษาคนหนึ่งจึงทูลว่า ลกซุนเปนคนพลเรือนอายุก็ยังอ่อนอยู่ไม่เคยทำการที่ใหญ่ จะเอามาตั้งเปนนายทัพบังคับบัญชาขุนนางแลทหารทั้งปวงเห็นจะมิฟัง
เปาจิดจึงทูลว่า ลกซุนนี้เคยเปนผู้น้อย ถึงจะดีจริงจะทำได้ก็แต่เพียงกรมการเมืองน้อย จะเอามาเปนนายทัพบังคับทหารนั้นไม่ได้ กำเจ๊กจึงร้องว่า ถ้ามิเอาลกซุนเข้ามาทำราชการครั้งนี้ เห็นเมืองกังตั๋งจะเสียเปนมั่นคง ถ้าท่านทั้งปวงแกล้งว่าลกซุนไม่ดี ตัวข้าพเจ้าแลบุตรภรรยาจะขอรับประกัน ถ้าลกซุนเปนนายทัพออกไปรบแพ้พระเจ้าเล่าปี่เข้ามา ก็ให้เอาข้าพเจ้าแลบุตรภรรยาข้าพเจ้าไปตัดสีสะเสียเถิด
พระเจ้าซุนกวนได้ฟังจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าเถียงกันเลย ลกซุนคนนี้ข้าพเจ้าชอบใจเห็นดีอยู่ด้วยแล้ว ก็สั่งให้ไปรับลกซุนมาแต่ ณ เมืองเกงจิ๋ว ครั้นมาถึงก็พาเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน ลกซุนกระทำคำนับแล้วนิ่งอยู่ พระเจ้าซุนกวนจึงปราสัยลกซุนว่า ท่านมีสติปัญญาอยู่แต่เราลืมไป นี่หากว่ากำเจ๊กมาว่าเราจึงรำลึกได้ ให้เชิญท่านมาทั้งนี้หวังจะให้ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง ด้วยพระเจ้าเล่าปี่ยกทัพมาทำยํ่ายี ขอเชิญท่านเปนนายทัพบังคับทหารทั้งปวง เห็นจะสู้พระเจ้าเล่าปี่ได้
ลกซุนจึงว่า ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองกังตั๋งก็มีมากแต่ล้วนข้าหลวงเดิม ข้าพเจ้าอายุก็น้อยมีสติปัญญาก็น้อยเห็นจะว่ากล่าวขัดสน พวะเจ้าซุนกวนจึงว่า ถ้าเกรงว่าขุนนางนายทัพนายกองทั้งปวงจะมิฟังบังคับบัญชา เราจะให้กระบี่อาญาสิทธิ์ท่านเล่มหนึ่ง แม้ผู้ใดมิฟังบังคับบัญชาให้ท่านตัดสีสะเสีย ลกซุนจึงว่า ท่านจะโปรดเลี้ยงข้าพเจ้าจริงดังนั้น พรุ่งนี้ขอให้ท่านหาขุนนางมาพร้อม แล้วจึงพระราชทานกระบี่ให้ต่อหน้าขุนนางทั้งปวงเถิด กำเจ๊กจึงว่า ประเพณีจะตั้งนายทัพผู้ใหญ่ให้บังคับบัญชากิจราชการ ย่อมเชิญให้นั่งที่สมควรแล้วให้อาญาสิทธิ์มอบตราสำหรับตัวให้คนทั้งปวงเห็น พระเจ้าซุนกวนได้ฟังก็เห็นชอบด้วย ครั้นเวลาคํ่าจึงสั่งให้จัดแจงที่ทางสำหรับจะตั้งขุนนางเปนนายทัพนายกองแล้ว ครั้นรุ่งเช้าจึงให้ลกซุนแลขุนนางนายทหารแลนายทัพนายกองเข้ามาพร้อมแล้ว พระเจ้าซุนกวนจึงเชิญลกซุนให้นั่งที่นายทัพผู้ใหญ่ แล้วให้อาญาสิทธิ์มอบกระบี่แลตราเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งปวงสำหรับนายทัพ ผู้ใหญ่ต่อหน้าขุนนางทั้งปวง ให้ลกซุนว่าราชการเมืองทั้งปวง ถ้าผู้ใดขัดขวางมิทำตามให้ฆ่าเสียเถิด
ฝ่ายลกซุนรับอาญาสิทธิ์บังคมแล้วถือกระบี่เดิรออกไป จึงสั่งซิเซ่งเตงฮองทหารใหญ่ซ้ายขวา ให้จัดทหารทั้งทัพบกทัพเรือให้พร้อม เราจะยกไปเวลานี้ ซิเซ่งเตงฮองก็ออกไปจัดแจงทหารพร้อมแล้วเข้ามาบอกลกซุน ๆ ก็ออกไป ฮันต๋งจิวท่ายซึ่งรักษาค่ายอยู่นั้น รู้ว่าพระเจ้าซุนกวนตั้งลกซุนเปนนายทัพใหญ่ยกมา จึงว่าขุนนางในเมืองกังตั๋งสินแล้วหรือ จึงตั้งลกซุนออกมาเปนนายทัพ จะมิเสียราชการไปหรือ เจรจากันมิทันแล้ว พอลกซุนยกมาถึง ฝ่ายลกซุนดูกิริยาอาการฮันต๋งจิวท่ายแลทหารทั้งปวงเห็นไม่สู้ยำเกรง จึงสั่งให้หาฮันต๋งจิวท่ายแลนายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาราชการ ลกซุนจึงถือกระบี่ยืนร้องประกาศว่า พระเจ้าซุนกวนให้อาญาสิทธิ์แลกระบี่เรามาบังคับบัญชานายทัพนายกองทหารทั้ง ปวง ผู้ใดทำดีก็จะให้ความชอบ ผู้ใดทำผิดก็จะทำโทษตามผิด ถ้าเห็นประการใดก็ให้ทักท้วงเถิดเรามิได้ถือ ช่วยตักเตือนกัน ทหารทั้งปวงก็นิ่งอยู่
จิวท่ายจึงว่าแก่ลกซุนว่า ซุนหวนหลานพระเจ้าซุนกวนตั้งอยู่ ณ เมืองอิเหลง บัดนี้พระเจ้าเล่าปี่ให้ล้อมเมืองไว้ คนในเมืองก็จะอดอาหาร ข้างนอกเมืองก็มิได้มีผู้ใดออกไปช่วย ขอเชิญท่านผู้มีสติปัญญาไปช่วยรบแก้เอาซุนหวนออกมา เห็นจะพ้นธุระเจ้านายเรา ลกซุนจึงว่า ซุนหวนเปนคนนํ้าใจอารีทหารแลพลเมืองก็รักมาก แล้วทหารก็ดี ๆ มาก อาหารซึ่งจะเลี้ยงไพร่พลเมืองก็ยังไม่ขัดสนเห็นเขาจะไม่เปนไร เราตีทัพพระเจ้าเล่าปี่แตกแล้วซุนหวนก็จะมาได้เองไม่พักไปช่วย จิวท่ายแลทหารทั้งปวงฟังลกซุนว่าดังนั้นชวนกันยิ้มอยู่แต่ในใจแล้วก็ลาออกไป
ฮันต๋งจึงพูดกับจิวท่ายว่า พระเจ้าซุนกวนให้ลกซุนมาเปนนายทัพนายกองเห็นจะเสียเมืองกังตั๋งเปนมั่นคง จิวท่ายจึงว่า ข้าพเจ้าฟังดูความคิดที่ลกซุนพูดวันนี้ เห็นจะเสียราชการเหมือนว่าจริง ฝ่ายลกซุนครั้นเวลารุ่งเช้าให้หานายทัพนายกองมาพร้อมแล้วจึงสั่งว่า ถ้าพระเจ้าเล่าปี่ยกมารบอย่าให้ออกรบให้ตั้งมั่นรักษาค่ายนิ่งอยู่ ฝ่ายนายทัพนายกองทหารทั้งปวงได้ฟังลกซุนสั่งดังนั้น ก็ชวนกันหัวเราะทำเมินมิได้เอาใจใส่ แล้วชวนกันลาออกไปหาทำตามสั่งไม่ ฝ่ายลกซุนรู้ว่ามิได้ทำค่ายคูรักษาให้มั่นคงตามสั่ง แลนายทัพนายกองทหารทั้งปวงไม่ยำเกรง ครั้นรุ่งเช้าจึงให้หานายทัพนายกองแลทหารทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันแล้วจึงว่า เราสั่งท่านทั้งปวงให้ทำค่ายคูรักษาตัวให้มั่นแล้วอย่าให้ออกรบ เหตุไรจึงละเมินเสียไม่ทำตามเราสั่ง
ฮันต๋งจึงว่า ข้าพเจ้าเปนชาติทหารติดตามพระเจ้าซุนกวนไปรบทุกแห่งทุกตำบลไม่กลัวตาย แลบัดนี้ตั้งท่านออกเปนนายทัพให้รบกับพระเจ้าเล่าปี่ แลท่านมาสั่งให้ตั้งรักษาค่ายมั่นอยู่อย่าให้ออกรบนั้น ท่านจะเอาเทพดามาช่วยหรือ แลทหารทั้งปวงร้องขึ้นพร้อมกันว่าฮันต๋งว่าชอบ เราจะขอออกรบไม่กลัวตาย ลกซุนได้ยินฮันต๋งแลทหารทั้งปวงว่าดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกแล้วยืนร้องว่า ถึงตัวเราเด็กก็ดีพระเจ้าซุนกวนพระราชทานอาญาสิทธิ์ให้เรามาเปนแม่ทัพบังคับ คนทั้งปวง ถ้าผู้ใดละเมิดคำสั่งมิฟังเราบังคับเราจะตัดสีสะเสีย ด้วยกระบี่เล่มนี้ ทหารทั้งปวงได้ยินก็โกรธอยู่ในใจ มิรู้ที่จะว่าประการใดก็ชวนกันลาออกไปทำค่ายคูรักษาค่ายมั่นไว้ตามสั่ง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ครั้นเส้นเตียวหุยแล้ว จึงสั่งทหารให้ตั้งค่ายรายลงไปตั้งแต่ตำบลอูเต๋งถึงตำบลฉวนเค้ายาวพันเส้น เปนค่ายสี่สิบค่าย ฝ่ายทหารสอดแนมเข้ามาทูลพระเจ้าเล่าปี่ว่า พระเจ้าซุนกวนตั้งให้ลกซุนมาเปนนายทัพ บังคับให้ทหารรักษาค่ายมั่นอยู่มิให้ออกรบ พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัย ถามว่าลกซุนนี้อยู่หาไหนเปนคนกะไรอยู่ ฝ่ายม้าเลี้ยงที่ปรึกษาจึงทูลว่า ลกซุนคนนี้อยู่เมืองเกงจิ๋วเปนพลเรือนผู้น้อย อายุเด็กก็จริงแต่เขาได้เรียนวิชาความรู้มาก มีสติปัญญาราวกับจิวยี่ เมืองเกงจิ๋วเสียก็เพราะความคิดอ้ายคนนี้
พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินก็โกรธจึงว่า ความคิดอ้ายคนนี้มันฆ่าน้องเราเสียดีแล้ว บุญของเราที่จะได้แก้แค้น เราจะได้ยกทัพเข้าตีเวลาวันนี้ ม้าเลี้ยงจึงว่า ลกซุนคนนี้ข้าพเจ้าเห็นมีสติปัญญากว่าจิวยี่ อย่าเพ่อให้เข้ารบขอดำริห์ดูให้ดีก่อน พระเจ้าเล่าปี่โกรธจึงว่า เรารบศึกมานักหนาแต่หนุ่มจนแก่แล้วจะเกรงอันใดกับลกซุนอ้ายเด็กวานนี้ ว่าแล้วสั่งทหารให้เร่งยกทัพไป ฝ่ายฮันต๋งจิวท่ายซึ่งรักษาค่าย รู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่ยกมาแล้วจึงใช้ให้ทหารไปบอกกับลกซุน ๆ ตกใจเกรงว่าทหารทั้งปวงจะมิฟังจะขืนออกรบ จึงขึ้นม้าเดิรออกไปดูพบฮันต๋งยืนอยู่ในค่ายบนเขา
ฝ่ายฮันต๋งดูไปเห็นทหารยกมามาก ชั้นกลางนั้นทหารถือล้วนธงเหลือง จึงชี้บอกให้ลกซุนดู ว่านั้นพระเจ้าเล่าปี่ยกมาเอง เราจะนิ่งอยู่ใยจะขอออกรบจับเอาตัวพระเจ้าเล่าปี่ให้ได้ ลกซุนจึงว่า พระเจ้าเล่าปี่ชำนิชำนาญในการศึก รบชนะมามากแล้วทหารก็มีฝีมือ ท่านจะออกไปรบนั้นมิได้ จงรักษาอยู่แต่ในค่ายให้มั่นเถิด ถ้าทหารฝ่ายเขายกมารบเหนื่อยแล้ว แดดร้อนจะหยุดอยู่ริมเขาแลร่มไม้เมื่อใด เราจึงจะคิดทำการรบเอง ฮันต๋งได้ยินไม่เห็นด้วย แต่จนใจด้วยกลัวก็นิ่งอยู่
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่เห็นทหารเมืองกังตั๋งไม่ออกรบ จึงขับทหารให้ดากันเข้าไปร้องด่าถึงหน้าค่าย ลกซุนได้ยินจึงสั่งทหารทั้งปวงว่าอุตส่าห์สกดใจเอากระดาษจุกหูเสียเถิด ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ครั้นให้ทหารไปร้องด่าถึงหน้าค่ายแล้ว ทหารเมืองกังตั๋งก็ไม่ออกมารบ ก็ให้กลุ้มอกขัดใจโกรธนัก ม้าเลี้ยงจึงทูลว่า ลกซุนคนนี้ความคิดมาก จนเราให้คนไปร้องด่าถึงหน้าค่ายแล้วก็มิได้ออกมารบ เกลือกมันจะทำให้เลินเล่อไว้ใจ ขอดำริห์ให้ดีก่อน พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ความคิดมันจะเปนกะไรมา มันเคยแพ้เราจึงไม่ออกมารบ เห็นว่ากลัวจริง ๆ อยู่
ปองสิบจึงทูลว่า เรายกมาบัดนี้เปนเทศกาลร้อน จะอาศรัยร่มไม้เล่าก็น้อย จะไปหานํ้าเล่าก็ทางไกล เกลือกมีราชการมาจะเอามิทันที พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังเห็นชอบด้วย จึงว่าเราจำจะถอยทัพไปตั้งริมนํ้าที่มีต้นไม้ ทหารจะได้อาศรัย พ้นเทศกาลร้อนแล้วจึงจะยกเข้ามารบ ม้าเลี้ยงจึงทูลว่า ที่จะไปตั้งให้ใกล้นํ้าแลร่มไม้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เกลือกว่าลกซุนเห็นว่าเราถอยทัพดังนั้น มันจะยกหนักหักใหญ่ออกมาเราจะทำประการใด พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ถ้ากระนั้นเราจะให้งอปั้นคุมทหารหนึ่งหมื่น ตั้งอยู่ปากทางที่มันจะออกมา ตัวข้าพเจ้าจะคุมทหารมีฝีมือแปดพันไปซุ่มอยู่ที่ซอกเขา แล้วเราจึงถอยทัพ ถ้าลกซุนเห็นว่าเราถอยทัพจะยกไล่ออกมา ให้งอปั้นรบแล้วทำเปนแพ้ถอยหนี ได้ทีข้าพเจ้าจะออกตัดท้ายจับเอาตัวลกซุนให้จงได้ ขุนนางแลที่ปรึกษาเห็นชอบด้วยแล้วสรรเสริญความคิดพระเจ้าเล่าปี่
ม้าเลี้ยงจึงทูลว่า ขงเบ้งเปนอาจารย์อยู่รักษาเมือง ท่านยกทัพมาข้างนี้จะตั้งค่ายคูดูที่ทางทั้งปวง จะต้องด้วยพิชัยสงครามหรือประการใด ขงเบ้งมิได้มาเห็นด้วย ข้าพเจ้าขอเขียนเปนแผนที่ไปให้ขงเบ้งดูผิดแลชอบ พระเจ้าเล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงว่าท่านไปเขียนเอาเถิด ถ้าขงเบ้งเห็นแล้วจะว่าประการใดท่านจงเร่งรีบกลับมาบอกโดยเร็ว ม้าเลี้ยงก็ไปเขียนแผนที่ตามรับสั่ง พระเจ้าเล่าปี่ก็ให้ถอยทัพไปทำตามที่คิดไว้นั้น
ฝ่ายฮันต๋งจิวท่ายรู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่ถอยทัพ จึงมาบอกกับลกซุนว่า พระเจ้าเล่าปี่ตั้งค่ายมาถึงสี่สิบค่ายแล้วยกถอยไป ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเปนเทศกาลร้อน ดีร้ายจะถอยไปตั้งที่ร่มไม้ใกล้น้ำ เราได้ท่วงทีอยู่แล้วจะขอออกไล่รบเอา
ลกซุนได้ยินดังนั้นดีใจนัก จึงขึ้นม้าคุมทหารออกมาดู เห็นทัพตั้งอยู่กองหนึ่ง คนประมาณหมื่นหนึ่ง ทหารแก่บ้างหนุ่มบ้างไม่เสมอกันก็คิดสงสัยนัก ฮันต๋งจิวท่ายจึงว่า เห็นทหารกองนี้ก็เล็ก ๆ แล้วก็แก่มาก ข้าพเจ้าจะขอออกรบตีให้แตกไปเดี๋ยวนี้ ลกซุนจึงห้ามว่าทัพนี้เขาตั้งไว้ลวงเรา จะเอาทหารซุ่มไว้ในซอกเขาโน้นเปนมั่นคง ท่านอย่าออกรบเลย ทหารทั้งปวงได้ยินลกซุนห้ามดังนั้นก็ชวนกันหัวเราะ แล้วต่างคนต่างคิดว่าลกซุนนี้อ่อนความคิดนักกลัวข้าศึกเสียจริง ๆ
ฝ่ายงอปั้นทัพหน้า ครั้นรุ่งเช้าแล้วก็ขับทหารเข้าไปเยาะเย้ยร้องด่าหน้าค่าย ฝ่ายชีเซ่งเตงฮองนายทหารได้ยิน จึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกลกซุนว่าจะขอออกรบ ลกซุนจึงว่าท่านเหล่านี้จะทำการสิ่งใดแต่ล้วนจะหักเอาด้วยกำลังแรง ไม่ทำโดยความคิดเลย ทัพเขามาวางไว้กองนี้คือเขาลวงเรา ท่านหากไม่รู้ เมื่อไรพ้นสามวันแล้วจึงจะเห็นความคิดเรา ชีเซ่งจึงว่า เมื่อพ้นสามวันเขาไปตั้งได้แล้วเราจะทำกะไรเอา ลกซุนจึงว่าท่านอย่าวิตกขอแต่ให้ถอยไปเถิดเราจะทำให้ดู ชีเซ่งแลทหารทั้งปวงกลัวมิรู้ที่จะว่าประการใด ต่างคนต่างก้มหน้าหัวเราะแล้วก็ลาไป ครั้นพ้นสามวันแล้วลกซุนขี่ม้าเรียกทหารขึ้นไปยืนในค่ายบนเขา เห็นทัพงอปั้นยกถอยไป ทัพในหว่างเขาล้วนถือธงเหลืองยกออกไป บันดาทหารแลเห็นแล้วก็ตกใจ ลกซุนจึงว่า เราห้ามท่านทั้งปวงมิให้ออกรบนั้นเพราะเหตุฉนี้เห็นแล้วหรือ ให้เขาถอยไปเถิด อีกสิบห้าวันเราจะยกออกไปรบให้แตก
ฝ่ายทหารทั้งปวงจึงว่า เมื่อแรกเขายกมาสิไม่รบ ครั้นเขาถอยทัพไป ได้ตั้งมั่นลงรากแล้วจะยกไปรบเขาให้แตกนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ลกซุนจึงว่า คนทั้งปวงไม่รู้ในการศึก พระเจ้าเล่าปี่มีความคิดมาก แล้วกำลังศึกยกหนักหักมา จะเข้ารับหน้าเหมือนหักไฟหัวลมจะได้หรือ บัดนี้เหือดแล้วจึงยกถอยไป ฝ่ายทหารทั้งปวงก็จะเลินเล่อไว้ใจว่ามาครั้งไรมิได้รบ ก็จะเที่ยวซุกซนหลับนอนหาที่สบายกระจัดกระจายกันอยู่ เราคอยดูได้ท่วงทีแล้วจะตีหักตะบึงเข้าไปเห็นจะได้โดยง่าย
นายทัพนายกองแลทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็เกรงกลัวความคิดลกซุน ๆ จึงจัดแจงทหารเตรียมไว้ แล้วแต่งหนังสือให้คนเร็วถือไป ถวายพระเจ้าซุนกวนเปนใจความว่าเห็นกำลังพระเจ้าเล่าปี่หย่อนลงแล้ว บัดนี้ยกถอยไปตั้งอยู่ร่มไม้ริมแม่น้ำ ในสิบห้าวันนี้ข้าพเจ้าจะขอตีให้แตกไป พระเจ้าซุนกวนเห็นหนังสือดีใจนัก จึงจัดแจงทหารเพิ่มเติมไปให้ลกซุน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่จึงสั่งนายทัพเรือ ให้ตั้งค่ายน้ำพอบังเรือ รายลงไปในแดนเมืองกังตั๋ง ห้องกวนจึงทูลว่า อันจะให้ทัพเรือยกเข้าไปนั้นเห็นจะไปง่าย อันจะกลับถอยมายากด้วยขืนนํ้า ข้าพเจ้าจะขอไปตั้งเปนทัพหน้าอยู่จะได้ช่วยทัพเรือง่าย พระองค์เปนทัพหลังอยู่แล้วเห็นจะไม่เสียแก่ข้าศึก พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ทำไมกะอ้ายชาวเมืองกังตั๋งมันหลบหัวกลัวเราอยู่แล้ว ที่ไหนจะมารบอย่าสงสัยเลย เราเร่งตั้งเข้าไปเถิด ขณะนั้นขุนนางแลที่ปรึกษาได้ว่ากล่าวทัดทานมิให้ไปพระเจ้าเล่าปี่ก็มิฟัง แล้วจัดทัพเปนสองกอง ทัพหนึ่งให้ห้องกวนเปนนายกองไปตั้งอยู่ทิศเหนือ เกลือกโจผียกมาตี ตัวพระเจ้าเล่าปี่นั้นตั้งค่ายรายไปตามริมแม่น้ำใกล้กันกับทัพเรือ
ฝ่ายทหารคนสอดแนมเอาเนื้อความไปบอกโจผีว่า พระเจ้าเล่าปี่ยกมารบเมืองกังตั๋ง ตั้งค่ายรายไปตามริมน้ำสี่สิบค่ายรายไปเจ็ดพันเส้น แล้วให้ห้องกวนคุมทหารยกมาตั้งทิศเหนือทางจะมาเมืองเรา ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนนั้นแต่งให้ลกซุนเปนแม่ทัพออกมารบด้วยพระเจ้าเล่าปี่ พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า เล่าปี่จะเสียแก่ซุนกวน บันดาขุนนางแลที่ปรึกษาที่นั่งอยู่นั้น จึงทูลถามว่าพระองค์เห็นกะไร โจผีจึงว่า พระเจ้าเล่าปี่ไม่เข้าใจในการทัพจึงตั้งค่ายยาวไปถึงเจ็ดพันเส้น แม้ข้าศึกเข้ารบหัวท้ายจะช่วยกันได้หรือ เห็นจะเสียทีกับลกซุนเปนมั่นคง เราคอยดูเถิด ขุนนางที่ปรึกษาทั้งนั้นยังไม่เชื่อทีเดียวจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอจัดแจงตระเตรียมทหารไว้ให้พร้อม
โจผีจึงว่า ลกซุนตีทัพพระเจ้าเล่าปี่แตกแล้ว เห็นจะไล่ติดตามเข้าไปถึงเมืองเสฉวน ข้างเมืองกังตั๋งผู้คนก็จะเบาบางทหารก็จะน้อย เราจึงยกเข้าตีเอาเมืองกังตั๋ง ทำอาการดุจหนึ่งจะไปช่วยให้เขาไว้ใจ เราจะตระเตรียมกองทัพไว้ให้พร้อมจะยกไปเปนสามทาง จึงจัดให้โจหยินเปนนายกองคุมทหารไปทางยูสู โจฮิวคุมทหารไปทางต๋งเค้า โจจิ๋นคุมทหารไปทางลำกุ๋น ทั้งสามทัพนี้จงตั้งซุ่มอยู่ในแดนเราก่อนเราจะคอยฟังคนสอดแนม เมื่อไรได้ท่วงทีแล้วจึงยกให้พร้อมกัน ตัวเราจะเปนทัพหนุนไปเห็นจะได้เมืองกังตั๋งโดยสดวก ที่ปรึกษาแลขุนนางทั้งปวงเห็นชอบด้วย แล้วต่างคนต่างก็ลาออกไปจัดแจงกองทัพไว้ให้พร้อมตามสั่ง
ฝ่ายม้าเลี้ยงซึ่งเขียนแผนที่ไปให้ขงเบ้งดูนั้น ครั้นถึงเมืองตังฉวนก็เข้าไปหาขงเบ้ง เอาแผนที่ซึ่งตั้งค่ายออกให้ขงเบ้งดู ขงเบ้งครั้นเห็นแผนที่ดังนั้นก็ตกใจนัก จึงเอามือตบลงที่โต๊ะแล้วว่า กรรมแล้วเห็นจะเสียแก่ลกซุนเปนมั่นคง ใครช่างคิดอ่านให้พระเจ้าเล่าปี่ตั้งค่ายดังนี้ให้เอาตัวมาฆ่าเสีย ม้าเลี้ยงจึงว่า ผู้ใดจะคิดอ่านให้หามิได้ ความคิดของพระเจ้าเล่าปี่เอง ซึ่งว่าจะเสียแก่ลกซุนนั้นท่านเห็นประการใด ขงเบ้งจึงบอกว่า เพราะตั้งค่ายแต่สี่สิบค่าย ยาวไปถึงพันเส้นนั้น ถ้าข้าศึกเข้ารบแลจุดไฟขึ้นก็ดีจะไปช่วยกันได้หรือ ให้จัดค่ายร่นเข้ามาตั้งเสียใหม่แต่พอช่วยกันได้ ม้าเลี้ยงจึงว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปเกลือกจะมิทัน ข้างพระเจ้าเล่าปี่แตกไปก่อนแล้ว มันจะมิไล่ติดตามมาถึงเมืองเสฉวนหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ถึงพระเจ้าเล่าปี่แตกแล้วก็ดี เห็นลกซุนจะไม่ตามมาถึงเมืองเสฉวน เพราะระวังหลังกลัวโจผีจะเข้าตีเอาเมืองกังตั๋ง ข้างพระเจ้าเล่าปี่ถ้าแตกแล้วเห็นว่าจะไปอาศรัยเมืองเป๊กเต้ อันเมืองเป๊กเต้นี้เมื่อเรายังไม่เข้ามาเมืองเสฉวนนั้น เราได้จัดแจงทหารไว้ถึงสิบหมื่นตั้งไว้ที่ตำบลอิปักโป้ ปากทางจะเข้าไปเมืองเป๊กเต้นั้นกองหนึ่ง
ม้าเลี้ยงจึงว่า ข้าพเจ้าก็เดินทางมาจากอิปักโป้ ท่านว่ามีทหารอยู่ที่นั่นกองหนึ่ง เปนไรข้าพเจ้าไม่เห็นแต่สักคนหนึ่งเล่า ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าว่าไปเลย เมื่อไรไปถึงที่นั้นแล้วจึงจะเห็นความคิดที่คิดไว้ ม้าเลี้ยงได้ยินดังนั้นแล้วก็ขอหนังสือขงเบ้งขึ้นม้ารีบกลับไป ขงเบ้งก็เข้าไป ณ เมืองเสฉวนจัดแจงทหารไว้พร้อม
ฝ่ายลกซุนรู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่ตั้งค่ายรายตามริมน้ำสี่สิบค่าย ยาวถึงเจ็ดพันเส้น แล้วเห็นทหารทั้งปวงก็เลินเล่อ ไม่เปนอันที่จะรักษาตัวดีใจนัก จึงให้หานายทัพนายกองเข้ามาพร้อมกันแล้วจึงสั่งว่า บัดนี้ได้ทีเราอยู่แล้ว เราจะให้ยกเข้าไปกลางคืนตีเอาค่ายซึ่งตั้งอยู่กังหนำให้ได้ ผู้ใดจะอาสาเข้าไปตี ฮันต๋งจิวท่ายเล่งทองรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเอาค่ายให้ได้ ลกซุนจึงว่า ท่านสามคนอย่าไป จึงเรียกทหารผู้หนึ่งชื่อตุนอิตั๋น ให้คุมทหารห้าพันเข้าไปตีค่ายเปาเตียวให้ได้ในเวลาคํ่าวันนี้ เราจะยกกองทัพหนุนไป ตุนอิตั๋นก็คุมทหารไปทำตามสั่ง แล้วลกซุนจึงสั่งชีเซ่งเตงฮองนายทหารสองคน จงคุมทหารข้างละสามพันไปตั้งกองซุ่มอยู่ริมทาง ถ้าตุนอิตั๋นเข้าไปรบแพ้ข้าศึกไล่มาให้ออกสกัดรบช่วย ข้าศึกแตกหนีไปแล้วอย่าไล่ไป ชีเซ่งเตงฮองก็คุมทหารไปทำตามสั่ง
ฝ่ายตุนอิตั๋นครั้นคํ่าเวลาดึกสงัดแล้ว ก็คุมทหารโห่ร้องเข้าตีค่าย ฝ่ายเปาเตียวเห็นทหารโห่ร้องเข้าตีค่าย ก็ถือทวนขี่ม้าขับทหารออกรบ ฝ่ายตุนอิตั๋นต่อสู้มิได้ ตัวก็ต้องเกาทัณฑ์ก็ขับม้าถอยหนี เตียวยังแลสะโมโขนายค่ายซึ่งตั้งอยู่หลังเขานั้น ครั้นเห็นทหารกังตั๋งโห่ร้องเข้าตีค่ายเปาเตียวก็คุมทหารออกสกัดทางรบ ตุนอิตั๋นหนีไปพบทัพเตียวยังสะโมโขก็ต่อรบ ครั้นเห็นทหารล้มตายลงมากแล้วก็ขับม้าหนี ฝ่ายเตียวยังสะโมโขเปาเตียวไล่รบติดตามตุนอิตั๋นไป ฝ่ายชีเซ่งเตงฮองซึ่งตั้งซุ่มอยู่นั้นก็ยกออกตี พวกพระเจ้าเล่าปี่ก็แตกหนีกลับคืนไปค่าย ชีเซ่งเตงฮองก็พากันกลับมา ตุนอิตั๋นนั้นถูกอาวุธพาลูกเกาทัณฑ์นั้นเข้าไปหาลกซุน แล้วร้องไห้ขอโทษที่ตัวแตกมานั้น
ลกซุนจึงว่า เราไม่เอาโทษเราแกล้งให้ไปทั้งนี้หวังจะดูกำลังเล่ห์กลพระเจ้าเล่าปี่ก็ได้ เห็นแล้ว อย่าวิตกเลยเราจะตีให้แตกไปจงได้ ชีเซ่งเตงฮองจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นพระเจ้าเล่าปี่มีทหารเข้มแข็งดีมาก จะตีเข้าไปให้แตกนั้นเห็นยากจะเสียทหารเปนอันมาก
ลกซุนได้ยินจึงหัวเราะแล้วว่า ประเพณีรบศึกหรือจะไม่ตาย แต่ผู้มีความคิดย่อมเสียน้อยได้มาก ประการหนึ่งขงเบ้งผู้มีปัญญา ก็มิได้มาด้วยเล่าปี่ เหมือนเทพดาให้ช่องจะช่วยชูเราให้รุ่งเรืองในพระเจ้าซุนกวน แล้วให้หานายทัพนายกองทั้งปวงมา จึงสั่งให้จูเหียนเปนนายกองคุมทหารไปทัพเรือ ในลำเรือนั้นบันทุกฟางไปให้มากจงทุกลำ ฝ่ายทัพบกนั้นให้ฮันต๋งคุมทหารพวกหนึ่งเข้าตีทัพทางเหนือ จิวท่ายคุมทหารพวกหนึ่งไปตีทางใต้ ให้ทหารมีเข้าตากคาดไถ้ แลเหล็กไฟมัดฟางห่อดินประสิวใส่ในล่ามสายชะนวนออกมาถือไปจงทุกคน พรุ่งนี้เวลาค่ำลมพัดกล้าแล้วให้ทหารทัพบกทัพเรือพร้อมกันตีเข้าไปให้ถึง ค่ายทั้งสี่สิบค่ายแล้วจุดเพลิง เว้นค่ายหนึ่งจุดค่ายหนึ่ง ถ้าแม้แตกเมื่อใด ท่านทั้งปวงเร่งติดตามจับเอาตัวพระเจ้าเล่าปี่มาให้ได้ ฝ่ายทหารทั้งปวงก็จัดแจงไปตามสั่ง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ว่าราชการจัดแจงทัพที่จะออกไปรบ ยังมิทันแล้ว บังเกิดอัศจรรย์ธงรบซึ่งปักแน่นอยู่นั้นลมมิได้พัดก็ล้มลงต่อหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าเล่าปี่ตกใจจึงถามเทียกีที่ปรึกษาว่า เหตุนี้ดีร้ายประการใด เทียกีที่ปรึกษาจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นเหตุนี้ร้ายอยู่ เห็นว่าลกซุนจะยกมาตีเราเปนมั่นคง พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า รบครั้งใดเราตีแตกไปทุกครั้ง ทหารมันตายเปนอันมากเห็นกลัวอยู่แล้ว ที่ไหนมันจะยกมาตีเรา พูดกันยังมิทันแล้ว พอทหารค่ายบนเข้ามาบอกว่า เห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมามาก แล้วแยกกันเปนสองทาง พวกหนึ่งไปทางเหนือพวกหนึ่งไปทางใต้ พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงสั่งกวนหินเตียวเปาให้ออกไปดูจะเปนประการใด กวนหินเตียวเปาก็ออกไปดูแล้วกลับมาบอกว่า ดูไปทิศเหนือนั้นเห็นแสงไฟเรียงรายกันไปเปนทีหุงเข้า
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังไม่แจ้งเนื้อความแน่ จึงสั่งให้กวนหินไปทิศเหนือ เตียวเปาไปทิศใต้ คุมทหารข้างละห้าร้อยไปสืบดูให้แน่ ว่ามันยกมาตีเราหรือจะไปทิศไหนให้รีบกลับมาบอก กวนหินเตียวเปาคุมทหารไปตามสั่ง ฝ่ายฮันต๋งจิวท่ายนายทัพบก จูเหียนนายทัพเรือ ทั้งสามนายยกมาคอยตามสัญญา ครั้นเห็นลมพัดกล้าแล้วก็พร้อมกันขับทหารบกเรือพากันโห่ร้อง รบเข้าไปถึงค่ายแล้วจุดเพลิงขึ้นพร้อมกัน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ครั้นได้ยินทหารโห่ร้องรบเข้ามา แล้วจุดไฟติดค่ายลุกขึ้นพร้อมกันดังนั้นก็ตกใจนัก จะยกไปช่วยข้างไหนก็มิได้ไฟก็เกิดนัก ลมก็พัดกล้าแต่ละล้าละล้งอยู่ ทหารอยู่ค่ายเคียงซ้ายเคียงขวาก็แตกกันมา ค่ายพระเจ้าเล่าปี่เหยียบกันตายเปนอันมาก พระเจ้าเล่าปี่ครั้นเห็นเหลือกำลังจะสู้รบแล้ว ก็ขึ้นม้าคุมทหารหนีไปหาปองสิบ เห็นค่ายปองสิบเล่าไฟก็ติดลุกขึ้น
ฝ่ายปองสิบขี่ม้าคุมทหารหนีออกมานอกค่าย พบชีเซ่งนายทหารเมืองกังตั๋งก็รบกันอยู่ พระเจ้าเล่าปี่เห็นปองสิบรบกับทหารเมืองกังตั๋งดังนั้นกลัวก็ควบม้าคุมทหาร หนีไปข้างทิศตวันออก ฝ่ายชีเซ่งเห็นพระเจ้าเล่าปี่หนีไปดังนั้น ก็ทิ้งปองสิบเสีย รีบติดตามพระเจ้าเล่าปี่
พระเจ้าเล่าปี่แต่รบพลางหนีพลางไปได้ประมาณร้อยเส้น พบเตงฮองคุมทหารเมืองกังตั๋งสกัดรบอยู่ข้างหน้าตกใจนัก จะหนีไปข้างไหนก็ใช่ที่ แต่รบละล้าละลังอยู่ ฝ่ายเตียวเปาซึ่งพระเจ้าเล่าปี่ใช้ออกไปสอดแนมดู เห็นแสงเพลิงติดมากก็รู้ว่าแตกแล้ว ก็เที่ยวหาพระเจ้าเล่าปี่ ครั้นได้ยินเสียงโห่ร้องรบกันก็รีบฝ่าหักเข้าไปดู ครั้นเห็นเตงฮองแตกถอยไปแล้วก็พบพระเจ้าเล่าปี่ ๆ ก็พากันหนีไปประมาณสามร้อยเส้น พบเปาเตียวคุมทหารเดิรมา ก็ได้บัญจบกับพระเจ้าเล่าปี่พากันหนีไป
ฝ่ายลกซุนคุมทหารไล่ติดตามพระเจ้าเล่าปี่มาข้างหลัง ฝ่ายเปาเตียวเตียวเปาเห็นลกซุนไล่ติดตามเห็นว่าจะหนีไม่พ้นจึงทูลพระเจ้า เล่าปี่ว่า เขาม้าอั๋วนี้ก็ชอบกลเวลาก็จวนค่ำแล้ว ขอเชิญท่านขึ้นอยู่บนเขานี้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะรบอยู่บนซอกเขานี้ไม่ให้เข้ามาได้ พระเจ้าเล่าปี่ก็ขึ้นไปอยู่บนเขาม้าอั๋ว เตียวเปาเปาเตียวก็คุมทหารคอยรบอยู่ซอกเขา ลกซุนก็คุมทหารไล่ติดตามขึ้นไปจะหักเข้าไปในเขา เตียวเปาเปาเตียวรบไว้หักเข้าไปมิได้ ก็ให้ล้อมวงอยู่รอบเชิงเขา ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขาดูไปเห็นเพลิงยังติดอยู่ แล้วคิดถึงทหารล้มตายเปนอันมากก็ร้องไห้
ฝ่ายลกซุนครั้นรุ่งเช้า แลดูเห็นหญ้าที่เขานั้นแห้งบ้างสดบ้างพอจะจุดไฟได้ ก็สั่งให้ทหารระดมจุดไฟขึ้นไปให้รอบเขา พวกทหารก็ไปทำตามสั่ง ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่แลทหารทั้งปวง ครั้นเห็นไฟติดขึ้นมาดังนั้นก็ตกใจนัก คิดกันจะรบแหกออกไปก็ยังมิตกลงกันแต่วิ่งวนเวียนกันอยู่
ฝ่ายกวนหินซึ่งพระเจ้าเล่าปี่ใช้ให้ไปสอดแนมนั้น ได้ยินเสียงโห่ร้องนักดูไปเห็นแสงเพลิงติดค่ายมากดังนั้นก็รู้ว่าเสียแก่ข้า ศึกแล้ว ก็รีบมาหาพระเจ้าเล่าปี่ พบทหารหนีกระจัดกระจายนั้นบอกว่า พระเจ้าเล่าปี่หนีไปทางทิศตวันตก ก็รีบตามไปพบทหารเมืองกังตั๋งล้อมรอบเชิงเขา แล้วเห็นจุดไฟขึ้นดังนั้นก็เข้าใจว่าพระเจ้าเล่าปี่อยู่นี้แล้ว จึงขี่ม้าขับทหารหักเข้าไปดับไฟขึ้นบนเขา ครั้นพบพระเจ้าเล่าปี่ก็กราบลงแล้วร้องไห้ จึงว่าข้าศึกระดมไฟขึ้นมาจะอยู่ที่นี่มิได้ จะพากันตายเสีย ขอเชิญท่านไปอาศรัยอยู่เมืองเป๊กเต้เถิดเห็นจะพ้นข้าศึก แล้วเราจะได้เกลี้ยกล่อมทหารซึ่งแตกอยู่ในดงในป่า
พระเจ้าเล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงว่า เราจะรบหักออกไปนั้นจะจัดใครรบหน้ารบหลังเล่า กวนหินจึงว่า ข้าพเจ้าขอเปนทัพหน้าไป เตียวเปาจึงว่า ข้าพเจ้าขอเปนทัพกลาง เปาเตียวจึงว่า ข้าพเจ้าขอเปนทัพหลังรบรั้งให้พระองค์ไป ครั้นคิดกันจัดแจงแล้วก็รบหักลงไป
ฝ่ายลกซุนแลทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ขับทหารติดตาม พระเจ้าเล่าปี่รีบหนีไปตามซอกเขา ครั้นลกซุนไล่ติดตามจวนแล้ว จึงสั่งทหารให้ถอดเสื้อออกเผาไฟกองไว้ตรงกลางทางที่ข้าศึกจะตามมานั้น ฝ่ายจูเหียนซึ่งลกซุนให้เปนนายทัพเรือนั้น ครั้นเผาค่ายพระเจ้าเล่าปี่แตกหนีแล้ว ก็คุมทหารขึ้นบกรีบติดตามไป ได้ยินเสียงโห่ร้องก็ออกสกัดต้านหน้าไว้ ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ก็รีบหนีมาเห็นจูเหียนคุมทหารมาสกัดอยู่ข้างหน้า ตกใจหน้าซีดจึงร้องว่าทีนี้เราตายแล้ว กวนหินเตียวเปาก็ขับม้าออกรบจะแหกออกไปก็มิไหว ตัวก็ถูกเกาทัณฑ์นัก ลกซุนก็คุมทหารไล่รบขึ้นมาเปาเตียวก็รบอยู่
ฝ่ายจูล่งซึ่งพระเจ้าเล่าปี่ใช้ให้คุมทหารขนเข้าไว้ในเมืองเสฉวน ครั้นถึงตำบลกังจิวเห็นแสงไฟลุกขึ้นมากทหารวิ่งแตกมาบอกว่า พระเจ้าเล่าปี่แตกแล้ว ก็ขี่ม้าคุมทหารเที่ยวรบหาพระเจ้าเล่าปี่ ได้ยินเสียงโห่เห็นรบล้อมกันอยู่ไม่รู้ประการใด ก็ตีม้าขับทหารหักเข้าไป ฝ่ายจูเหียนเห็นดังนั้นก็กลับหน้าออกรบ จูล่งรบหักเข้าไปครั้นได้ทีก็เอาทวนแทงถูกจูเหียนตกม้าตาย พวก ทหารจูเหียนก็แตกหนีไป จูล่งจึงพบพระเจ้าเล่าปี่ก็พากันหนีไป ข้างเปาเตียวรบรั้งหลังนั้นทหารเมืองกังตั๋งเข้าสลักไว้ต่อรบอยู่มิได้ ย่อท้อ
ฝ่ายเตงฮองเห็นเปาเตียวตบึงรบอยู่ จึงลวงร้องไปว่า ทหารท่านตายหนักหนาแล้วหาเห็นไม่หรือ แล้วพระเจ้าเล่าปี่เราก็จะจับตัวได้แล้ว ท่านยังจะหลงรบอยู่ใย เร่งมาหาเราโดยดีเถิดจะได้รอดชีวิต
เปาเตียวจึงร้องตอบว่า เราเปนทหารพระเจ้าเล่าปี่ เราไม่เข้าด้วยพวกมึงอ้ายขบถ ถึงจะตายในที่นี้เราก็ไม่เสียดายชีวิต แล้วก็ขับม้าเร่งทหารจะรบหักออกไปรบก็มิไหวเหลือกำลังแค้นใจนัก จึงร้องบอกทหารทั้งปวงว่า เราจะตายในที่นี้แล้ว กำลังแค้นกำลังเหนื่อยนักเปาเตียวก็รากโลหิตออกมาตายในที่นั้น ทหารทั้งปวงก็แตกเข้าป่าหนีไป ลกซุนก็เร่งทหารติดตามพระเจ้าเล่าปี่ไป
ฝ่ายเทียกีที่ปรึกษาครั้นพลัดจากพระเจ้าเล่าปี่ ก็ขับม้าตรงไปหาทัพเรือจะให้ยกมาช่วยทัพเรือก็แตกไป พบทหารเมืองกังตั๋งล้อมเข้าไว้ เทียกีสู้มิได้ก็เชือดฅอตาย ฝ่ายปองสิบรบอยู่กับชีเซ่ง ครั้นชีเซ่งละไปไล่พระเจ้าเล่าปี่แล้ว ก็คุมทหารรบไปบอกทัพงอปั้นเตียวหลำซึ่งตั้งล้อมซุนหวนอยู่นั้นจะยกมาช่วยพระ เจ้าเล่าปี่ ฝ่ายงอปั้นเตียวหลำได้ฟังปองสิบบอกว่า พระเจ้าเล่าปี่แตกก็ตกใจเลิกทัพซึ่งล้อมเมืองนั้น รีบมากับปองสิบเที่ยวหาพระเจ้าเล่าปี่ไปประมาณทางสามร้อยเส้น พบทหารเมืองกังตั๋งก็รบกันอยู่
ฝ่ายซุนหวนซึ่งอยู่ในเมืองอิเหลง เห็นงอปั้นเตียวหลำเลิกทพไปรบกันอยู่กับทหารเมืองกังตั๋ง ก็ขี่ม้าคุมทหารออกจากเมืองเข้ารบกระหนาบหลัง ฝ่ายงอปั้นเตียวหลำปองสิบสามคนเห็นทัพมาตีกระหนาบหลังตกใจนัก จึงจัดแจงกันแบ่งทหารรบ ทหารก็ล้มตายเปนอันมาก เห็นเหลือกำลังแล้วงอปั้นก็คุมทหารแหกออกไปได้แล้วรบพลางหนีพลาง แต่เตียวหลำปองสิบสองคนถูกเกาทัณฑ์ตายในที่รบ
ฝ่ายสะโมโขซึ่งตั้งอยู่ริมเขา ครั้นรู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่แตกก็ขี่ม้าคุมทหารออกตามช่วย ไปพบจิวท่ายทหารเมืองกังตั๋งก็ขับม้าเข้ารบกับจิวท่ายสู้กันไปมาไม่ทันถึง สิบเพลง จิวท่ายแทงสะโมโขตกม้าตาย ทหารทั้งนั้นก็แตกหนีเข้าดงป่าไป
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่แตกหนีไปถึงเมืองเป๊กเต้แล้วจึงว่าแก่ที่ปรึกษาทั้ง ปวงว่า ทหารเราหายไปเปนอันมากไม่รู้ว่าผู้ใดล้มตายเลย จูล่งจึงว่าขอเชิญท่านอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าจะคุมทหารไปสืบหาดู แล้วจูล่งก็เร่งทหารยกไปพบงอปั้น รบกันอยู่กับพวกเมืองกังตั๋ง จูล่งขี่ม้าขับทหารเข้าไล่รบพวกทหารกังตั๋งแตกหนีแล้ว จูล่งก็พางอปั้นไปเมืองเป๊กเต้
ฝ่ายนางซุนฮูหยินอยู่ในเมืองกังตั๋งได้ยินเขาลือว่าพระเจ้าเล่าปี่แตก แล้ว ทหารล้มตายเปนอันมาก ตัวก็ตายอยู่ในที่รบ ก็สงสารร้องไห้รักพระเจ้าเล่าปี่ผู้ผัว แล้วคิดว่าเกิดมาเปนผู้หญิงจะให้มีชายต้องถึงสองคนก็ไม่ควรนัก บัดนี้ผัวเราก็ตายแล้ว จะอยู่ไปก็เครื่องเปนราคีอายแกคนทั้งปวง คิดแล้วก็ขึ้นรถขับไปริมฝั่งแม่น้ำโจนลงแม่น้ำตาย คนทั้งปวงก็สรรเสริญนางซุนฮูหยินเปนอันมาก
ฝ่ายทหารชาวเมืองกังตั๋งครั้นตีทัพพระเจ้าเล่าปี่แตกฆ่าฟันทหารทั้งปวง ล้มตายเปนอันมาก ก็เที่ยวเก็บได้เสื้อผ้าอาวุธสเบียงเกลี้ยกล่อมได้ทหารไว้เปนอันมาก
ฝ่ายลกซุนไล่ติดตามพระเจ้าเล่าปี่ไปใกล้ตำบลอิปักโป้ ดูไปเห็นข้างหน้าเปนรูปคนยืนสะพรั่งถืออาวุธอยู่มากมายนักก็คิดสงสัย จึงให้หยุดทัพอยู่ใช้ทหารไปสอดแนมดูว่าจะเปนประการใด ทหารทั้งปวงกลับมาบอกว่า จะได้เห็นคนมีหามิได้เห็นแต่ศิลากองไว้ประมาณแปดสิบเก้าสิบกอง ลกซุนได้ยินก็คิดสงสัยนัก จึงสั่งทหารให้จับเอาชาวบ้านป่ามาถามดู ทหารไปเที่ยวจับคนป่าได้ตัวมาแล้ว ลกซุนจึงถามคนป่าว่า ที่นี่ผู้ใดมาทำไว้เหตุผลเปนประการใด ศิลาเปนกอง ๆ อยู่ดูเปนรูปคนถืออาวุธดังนี้ คนป่าจึงบอกว่า ตำบลนี้ชื่ออิปักโป้เมื่อขงเบ้งยังไม่เข้าไปเมืองเสฉวนนั้น ได้คุมทหารมาให้ขนศิลากอง ๆ ทำไว้ ทุกวันนี้ศักดิ์สิทธิ์นักเหมือนท่านว่า ลกซุนได้ยินดังนั้นจึงพาเอาทหารไปด้วยสามสิบคน จะดูให้เห็นแก่ตา ครั้นถึงจึงยืนดูอยู่ข้างนอกพิจารณาดูก้อนศิลา เห็นวางไว้เปนที่ชอบกล ลกซุนเห็นดังนั้นแล้วก็หัวเราะจึงว่า ขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายลวงไว้ให้คนกลัว แล้วก็พาทหารเดิรเข้าไปในหว่างก้อนศิลาแล้วเที่ยวดูทหารทั้งปวงจึงว่า เวลาบ่ายอยู่แล้วเชิญท่านกลับไปเถิด ลกซุนก็ชักม้าจะกลับออกมา ก็บังเกิดพายุพัดหนักแล้วได้ยินเสียงเหมือนชักกระบี่ออกจากฝัก ศิลาก็กระทบกันเปนประกาย ทรายก็ปลิวขึ้นมืดคลุ้ม แล้วเห็นเปนคนถืออาวุธยืนขวางหน้าแลล้อมไว้มากมาย ไม่เห็นทางที่จะออกไปได้ ลกซุนตกใจนักจึงร้องว่า ทีนี้เราตายด้วยความคิดขงเบ้งจริงแล้ว ว่าพอขาดคำเห็นตาแก่คนหนี่งมายืนอยู่ตรงหน้าม้าถามว่า ท่านจะใคร่ออกไปให้พ้นจากที่นี่หรือ ลกซุนจึงว่า ท่านช่วยพาเราออกไปให้พ้นจากที่นี่เอาบุญเถิด ตาแก่ก็ถือไม้เท้าพาลกซุนออกไป ครั้นพ้นแล้วลกซุนจึงถามตาแก่ว่า ท่านนี้ชื่อใดอยู่ที่ไหนเหตุผลนี้เปนประการใดข้าพเจ้าไม่รู้เลย ขอเชิญท่านเล่าไปให้ข้าพเจ้าฟัง
ฝ่ายตาแก่จึงว่า เราชื่อฮองเสงหงันอยู่ในที่นี่ เปนพ่อตาขงเบ้ง เมื่อลูกเขยเราจะเข้าไปเมืองเสฉวนนั้นได้ทำไว้ด้วยวิชาการความรู้ มีประตูอยู่แปดประตู มีฤทธิ์มีเดชต่าง ๆ กันไม่รู้ที่จะพรรณนาฤทธิ์ให้ท่านฟังแล้ว แม้มีทหารไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่า แต่เมื่อขงเบ้งจะไปนั้นสั่งเราไว้ว่า อยู่ข้างหลังนี้จะมีทหารใหญ่เมืองกังตั๋งหลงเข้ามา แล้วอย่าให้เราชักพาออกมา นี่เราเห็นก็เอ็นดูจึงชักพาออกมาหวังจะเอาบุญ ลกซุนจึงถามว่า ความรู้วิชาการเช่นขงเบ้งทำไว้นี้ท่านรู้หรือไม่ ตาแก่จึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เรียน ลกซุนได้ฟังดังนั้นคิดถึงคุณ จึงลงจากหลังม้ากราบตาแก่แล้วก็ลาไป ครั้นถึงทัพแล้วก็สรรเสริญความคิดปัญญาขงเบ้งว่าดีนักไม่มีผู้ใดเสมอ แล้วสั่งทหารทั้งปวงให้กลับทัพไปเมืองกังตั๋ง
ทหารทั้งปวงจึงว่า เราติดตามพระเจ้าเล่าปี่มาถึงนี้ได้ทีอยู่แล้ว จะมากลัวก้อนศิลา จะมาละพระเจ้าเล่าปี่เสียไม่ติดตามแลจะกลับไปนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย จะขอติดตามเอาตัวพระเจ้าเล่าปี่ให้ได้ ลกซุนจึงว่า ใช่เราจะกลัวก้อนศิลาจึงถอยนั้นหามิได้ แต่เราเห็นว่าความคิดพระเจ้าโจผีนี้หลักแหลมเหมือนกับโจโฉผู้บิดา เกลือกเขารู้ว่าเรามาตามพระเจ้าเล่าปี่ จะยกมาตีเอาเมืองกังตั๋งเราจะกลับไปช่วยทันหรือ ฝ่ายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย แล้วกลับคืนไปเมืองกังตั๋ง ครั้นถึงแล้วลกซุนก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวนทำคำนับแล้วเล่าความแต่หลังซึ่ง ได้รบแลติดตามพระเจ้าเล่าปี่ให้ฟังทุกประการ
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนได้ฟังดีใจนัก เจรจากันมิทันที่จะแล้วพอทหารสอดแนมเอาเนื้อความมาบอกว่า พระเจ้าโจผีให้ยกทหารมาสามทางเปนคนสิบหมื่น ให้โจหยินมาทางตำบลยูสู ให้โจฮิวมาทางต๋งเค้า โจจิ๋นมาทางนำกุ๋น ไม่รู้ว่าจะมาทำประการใด แต่ยกเข้ามาใกล้แดนเราอยู่แล้ว ลกซุนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ จึงทูลพระเจ้าซุนกวนว่าเหมือนหมาย ข้าพเจ้าจะรับรบกับพระเจ้าโจผีเอง แล้วจัดทัพเปนสามทัพ ให้ลิห้อมคุมทหารไปรับทัพโจฮิวณต๋งเค้า ให้จูกัดกิ๋นคุมทหารไปรับทัพโจจิ๋นทางนำกุ๋น ให้จูหวนไปรับทัพโจหยินณทางยูสู แล้วว่าเราจะยกหนุนท่านไปข้างหลัง
พระเจ้าเล่าปี่ครั้นจูล่งพางอปั้นมาถึงแล้ว ก็ไต่ถามกันถึงการที่รบ ครั้นแจ้งว่าทหารล้มตายดังนั้นคิดสงสารก็ร้องไห้ร่ำไร ฝ่ายม้าเลี้ยงซึ่งขอหนังสือขงเบ้งกลับมาถึงกลางทางพบทหารแตกหนีมาบอกว่า พระเจ้าเล่าปี่แตกหนีไปอยู่ ณ เมืองเป๊กเต้ ก็ขับม้ารีบตามไป ครั้นถึงจึงคำนับแล้วทูลความซึ่งขงเบ้งสั่งมากับหนังสือแผนที่นั้นถวาย พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังม้าเลี้ยงแล้วดูหนังสือจึงว่า เมื่อเรามาตีเมืองกังตั๋งนี้ ขงเบ้งอาจารย์ก็ได้ห้ามเรามิฟังขืนยกทัพมา จนเสียทัพแลทหารทั้งปวงเพราะเราประมาทเราผิดเองแล้ว ครั้นจะกลับไปเมืองเสฉวนเล่า จะเอาหน้าอะไรไปดูขงเบ้งแลขุนนางทั้งปวงเราอายนัก ไม่ไปเมืองเสฉวนแล้ว จึงสั่งให้แต่งเมืองเป๊กเต้ทำเปนที่ข้างหน้าข้างในแล้วพระเจ้าเล่าปี่ก็อยู่ ในที่นั้น แต่ก็มิได้เปนสุขเลย
ฝ่ายทหารเอาเนื้อความมาทูลพระเจ้าเล่าปี่ว่า ห้องกวนซึ่งพระองค์ใช้ให้คุมทหารไปตั้งอยู่ทิศเหนือคอยรับทัพพระเจ้าโจผี นั้น บัดนี้เปนขบถพาทหารไปเข้าด้วยพระเจ้าโจผี จะไว้ใจแก่ราชการมิได้ ขอพระองค์ให้จับบุตรภรรยาห้องกวนมาจำไว้ก่อน พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ห้องกวนนั้นเราให้เขาไปรับทัพโจผี ภายหลังเราแตกหนีมาจะเอาโทษเขาไม่ได้ ถึงเขารู้จะตามเรามาไม่ได้ ความตายจวนตัวด้วยกันจึงคิดกลอุบายเข้าอยู่ด้วยโจผีก่อน กว่าจะได้ท่วงทีก็จะกลับมา เราเห็นห้องกวนไม่เปนขบถ ชอบแต่เลี้ยงบุตรภรรยาไว้ให้ดี อย่าให้อดหยากกว่าเขาจะกลับมาจึงจะชอบ
ฝ่ายห้องกวนรู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่แตกแล้ว จะคืนไปหาก็ไม่ได้ด้วยความตายจวนตัว ก็คิดกลอุบายพาทหารทั้งปวงเข้าไปอยู่ด้วยโจผี ฝ่ายทหารก็พาเอาตัวห้องกวนเข้าไป โจผีจึงถามห้องกวนว่า เดิมท่านอยู่กับพระเจ้าเล่าปี่ บัดนี้คิดกะไรจะมาอยู่ด้วยเราเร่งว่าไปให้เห็นจริงก่อน ฝ่ายห้องกวนร้องไห้แล้วทูลโจผีว่า ข้าพเจ้าเปนข้าพระเจ้าเล่าปี่ใช้มาตั้งทัพอยู่ ณ ทิศเหนือ ภายหลังลกซุนตีทัพพระเจ้าเล่าปี่แตก ไม่รู้ว่าจะตายหรือจะเปนประการใด ข้าพเจ้าจะกลับคืนไปก็มิได้ พวกทหารเมืองกังตั๋งเที่ยวเกลี้ยกล่อมคอยจับกุมเอาไป ข้าพเจ้ามิสมัคไปอยู่เมืองกังตั๋ง จึงคุมทหารหนีมาพึ่งท่านทำราชการแล้วแต่จะโปรด
พระเจ้าโจผีเห็นจริงด้วยดีใจนัก จึงตั้งห้องกวนให้เปนนายทหารใหญ่ ฝ่ายห้องกวนจึงทูลขอตัวว่า ข้าพเจ้ายังมิได้ทำความชอบที่ไหนก่อน แต่พระราชทานชีวิตไว้ไม่ฆ่าเสียนี้ก็บุญคุณหนักหนา ข้าพเจ้าจะขออยู่เปนทหารผู้น้อยก่อน พระเจ้าโจผีก็ยอม พูดกันยังมิทันแล้วพอทหารสอดแนมเอาเนื้อความมาบอกแก่พระเจ้าโจผีว่า พระเจ้าเล่าปี่รู้ว่าห้องกวนคุมทหารมาอยู่ด้วยท่านโกรธนัก ให้จับบุตรภรรยาห้องกวนฆ่าเสียสิ้นแล้ว ห้องกวนได้ยินดังนั้นจึงว่า พระเจ้าเล่าปี่แตกหนีไป ข้าพเจ้าก็หนีมา ต่างคนต่างไปได้ด้วยความตายจวนตัว แล้วก็ยังไม่รู้ความว่าเปนประการใดแน่ แลจะจับบุตรภรรยาข้าพเจ้าไปฆ่าเสียนั้นไม่เห็นสม
ฝ่ายพระเจ้าโจผีได้ฟังห้องกวนว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย แล้วจึงถามกาเซี่ยงที่ปรึกษาว่า เราจะเอาแผ่นดินให้อยู่ในเงื้อมมือเราทั้งหมด เราจะรบพระเจ้าเล่าปี่ก่อนหรือ ๆ จะรบพระเจ้าซุนกวนก่อนดี กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงทูลว่า ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า พระเจ้าเล่าปี่มีทหารดีก็มีมาก แล้วขงเบ้งก็มีสติปัญญาได้ทำนุบำรุง ฝ่ายเมืองกังตั๋งเล่าพระเจ้าซุนกวนได้ลกซุนไว้ช่วยทำนุบำรุง ทหารก็ดี ๆ มาก หนทางจะไปก็ต้องข้ามน้ำลำบาก ฝ่ายทหารของเราที่เข้มแขงดีนั้นก็น้อยกว่าเขาเห็นจะไปรบเอาไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่าเราจัดทัพไว้ให้พร้อมแล้ว นิ่งคอยดูให้พระเจ้าเล่าปี่รบกับพระเจ้าซุนกวนให้นักหนา ทหารล้มตายมากอ่อนลงด้วยกันทั้งสองแล้ว เราจึงตีเห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้าโจผีจึงว่า เราเห็นมีชัยชนะแล้วจึงให้ยกทัพไปทั้งสามทาง ท่านก็รู้อยู่แล้วทำไมกลับมาว่าดังนี้เล่า เมื่อเห็นดังนั้นเปนไรจึงไม่ว่าแต่แรก
เล่าหัวที่ปรึกษาจึงว่า แต่แรกนั้นพระเจ้าเล่าปี่ยกมาตีทหารเมืองกังตั๋ง แตกทุกครั้ง ทหารเมืองกังตั๋งล้มตายย่นย่อกลัวพระเจ้าเล่าปี่อยู่ ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงชวนท่านไปตีเมืองกังตั๋ง บัดนี้พระเจ้าซุนกวนให้รับลกซุนมาเปนนายทัพบังคับทหารทั้งปวง ลกซุนสติปัญญาดีตีทัพพระเจ้าเล่าปี่แตก ฆ่าทหารล้มตายเปนอันมาก พวกทหารเมืองกังตั๋งก็มีน้ำใจพองฟูขึ้นด้วยนายทัพมีปัญญา ซึ่งเราจะยกทัพไปตีเมืองกังตั๋งครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าลกซุนจะแต่งทัพให้มาสกัดตีเราที่ไหน ๆ แห่งหนึ่งเปนมั่นคง
พระเจ้าโจผีได้ยินดังนั้นก็มิฟัง จึงว่าเราจะยกทัพหลวงไปเร่งให้ทั้งสามทัพตีเข้าไป ว่ามิทันแล้วทหารสอดแนมเอาเนื้อความไปบอกให้ทูลพระเจ้าโจผีว่า ชาวเมืองกังตั๋งรู้ว่าท่านจะยกไปตี บัดนี้จัดให้ลิห้อมมาตั้งรับตังเค้า จูกัดกิ๋นตั้งรับนำกุ๋น จูหวนมาตั้งรับทางยูสู เล่าหัวที่ปรึกษาได้ฟังคนสอดแนมมาบอกจึงทูลพระเจ้าโจผีว่า บัดนี้เมืองกังตั๋งเขารู้ตัวแล้ว เราจะยกไปก็เห็นไม่ได้การ ขอท่านงดการอยู่อย่าไปเลย พระเจ้าโจผีมิฟังให้ยกทัพหลวงออกไป เร่งให้ทัพหน้าทั้งสามทางรีบยกเข้าไปในแดนเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายจูหวนนายทหารเมืองกังตั๋งซึ่งรับอยู่ยูสูนั้น รู้ว่าโจหยินล่วงแดนเข้ามาแล้ว จึงจัดทหารให้ไปตั้งรับตำบลแม่น้ำเอียนเข แบ่งทหารไว้กับตัวรักษาค่ายแต่ห้าพัน ครั้นจัดทัพไปแล้วมีคนบอกว่า โจหยินใช้ทหารชื่อเสียงเตียวหนึ่ง จูกัดเขียนหนึ่ง ฮองสังหนึ่ง สามคนคุมทหารห้าหมื่นยกมาตีอยู่ที่ตำบลยูสู พวกทหารจูหวนได้ยินดังนั้นตกใจนักจึงพูดกันว่า เรารักษาอยู่แต่ห้าพันน้อยตัวนัก เขามาถึงห้าหมื่นเหลือกำลังเราจะรบ ต่างคนต่างก็กลัว จูหวนได้ยินทหารทั้งปวงย่อท้อนัก จึงถือกระบี่แล้วว่า การรบศึกนี้ใช่จะดีด้วยคนมากนั้นหาไม่ สุดแต่นายทัพดีมีปัญญาแล้วถึงน้อยก็ชนะมาก ฝ่ายทัพยกมาเหมือนมาแขก ทั้งขึ้นเขาข้ามนํ้าหาบสเบียงมาตามทางไกลกำลังก็เหนื่อยเมื่อยล้า ฝ่ายเราเจ้าบ้านคอยรับถึงน้อยกว่าสิบเท่าเราก็ชนะ อย่าว่าแต่โจหยินมาเพียงนี้ ถึงพระเจ้าโจผีมาเองเราก็ไม่กลัว แล้วสั่งทหารทั้งปวงว่า จงทำสงบเงียบอยู่เหมือนค่ายร้างไม่มีคน ธงเทียวก็ล้มไว้ไม่ปัก ข้าศึกเห็นก็จะไว้ใจเข้ามาใกล้ได้ทีแล้วให้ระดมกันยิงเกาทัณฑ์ โห่ร้องออกไล่หักรบเอาให้ได้
ฝ่ายเสียงเตียวจูกัดเขียนฮองสังทั้งสามนาย ซึ่งโจหยินใช้มารบยูสู ครั้นมาถึงค่ายยูสูเห็นไม่มีคนแล้วก็ขับทหารเข้าตีเอาค่าย พอได้ยินเสียงประทัดแล้วโห่ร้องยิงเกาทัณฑ์ระดมมา ถูกทหารล้มตายเปนอันมากแล้วก็ถอยหนีออกมา ฝ่ายจูหวนเห็นได้ทีก็ขับทหารออกรบกับเสียงเตียว สู้กันไปมาประมาณสามเพลง จูหวนฟันถูกเสียงเตียวตกม้าตาย ทหารเมืองกังตั๋งไล่ฆ่าฟัน เก็บได้อาวุธแลสเบียงทั้งคนแลม้าจับได้เปนอันมาก ฝ่ายโจหยินคุมทหารมาข้างหลังเห็นทัพหน้าแตกลงมาดังนั้นก็โกรธ เร่งขับทหารหนุนขึ้นไป ฝ่ายทหารจูหวนซึ่งตั้งอยู่แม่นํ้าเอียนเข เห็นโจหยินขับทหารหนุนกันขึ้นมาดังนั้น ได้ทีก็จุดประทัดสัญญาโห่ร้องออกมาสลักรบกระหนาบไว้ฆ่าทหารโจหยินล้มตายเปน อันมาก ทัพโจหยินก็แตกหนีไป
ฝ่ายโจหยินครั้นยกทัพกลับมาถึงพระเจ้าโจผีแล้วก็ร้องไห้ทูลขอโทษ พระเจ้าโจผีเห็นโจหยินแตกมาดังนั้นก็ตกใจ ยังมิทันจะคิดอ่านพอทหารทั้งสองทางเอาเนื้อความมาทูลว่า โจจิ๋นไปตั้งตำบลนำกุ๋นนั้น จูกัดกิ๋นคุมทหารมาตี แลโจฮิวซึ่งตั้งอยู่ต๋งเค้านั้นลิห้อมยกมาตีแตกทั้งสองทัพ ทหารล้มตายเปนอันมาก พระเจ้าโจผีได้ยินดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ แล้วว่ากาเซี่ยงเล่าหัวที่ปรึกษาเขาก็ได้ทัดทานห้ามเรา หากเราไม่ฟังจึงเสียทัพ ครั้งนี้เราผิดเอง ครั้นจะยกไปแก้แค้นเล่าระดูนี้ก็เปนเทศกาลร้อน ทหารจะเกิดไข้เจ็บล้มตายเสีย จึงให้ยกทัพกลับคืนไปเมือง ตั้งแต่นั้นพระเจ้าซุนกวนกับพระเจ้าโจผีก็มีพยาบาทกันมา
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 65
https://drive.google.com/file/d/1sxWqliDDPVD2rMqIqyd5s_HOGVZKtNuD/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 66
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-66.html
(https://2.bp.blogspot.com/-h9DDGcnoAHw/XI9ul-AdF5I/AAAAAAAAtps/oCIMub5goMwe-WDcxaS7xZZcl3wb4llPACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2596.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 66
เนื้อหา
• พระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์
• ขงเบ้งยกอาเต๊าขึ้นเป็นพระเจ้าเล่าเสี้ยน
• พระเจ้าโจผีให้ยกมาตีเมืองเสฉวนห้าทาง
• เตงจี๋ไปเจรจาการเมืองที่กังตั๋ง
• พระเจ้าโจผียกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่อยู่ ณ เมืองเป๊กเต้ ตั้งแต่เสียทัพมาแล้วก็ได้ความอัปยศอดสูไม่เปนอันกินอันนอนให้เดือดร้อน รำคาญใจนัก แล้วคิดถึงกวนอูเตียวหุยผู้ตายก็ตรอมใจจนเปนไข้หนักลง อยู่มากลางคืนวันหนึ่งพระเจ้าเล่าปี่เข้าที่ จึงขับคนซึ่งนั่งรักษาตะเกียงให้ออกไปนอนเสีย แล้วพระเจ้าเล่าปี่บันทมก็หลับไป จึงฝันว่าลมพัดตะเกียงเกือบจะดับแล้วก็มิดับเล่า เปลวเพลิงนั่นหรี่ไม่ติดเปนปรกติ แล้วแลไปเห็นที่ริมตะเกียงนั้นมีคนเข้ามายืนอยู่สองคน จึงว่าเราขับให้ไปนอนก็มิไปมายืนอยู่ใย แล้วรูปนั้นกลายเปนกวนอูเตียวหุยสองคนยืนเคียงกันอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงถามว่า น้องมาหาพี่หรือ กวนอูเตียวหุยจึงทูลว่า ข้าพเจ้ามิใช่คนเปนด้วยเดชความสัตย์ข้าพเจ้าได้ทำดีมาด้วยกันแต่หนหลังนั้น เทพดายกให้ข้าพเจ้าเปนเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าคิดถึงพระองค์จึงมาเยี่ยมเยียนดู ไม่ช้าดอกแล้วพระองค์ก็จะไปอยู่ด้วยกัน
พระเจ้าเล่าปี่ก็ยึดเอามือกวนอูเตียวหุย พอตกใจตื่นขึ้นจึงร้องเรียกคนรักษาตะเกียงเข้ามาถามว่านาฬิกาได้เท่าไร คนรักษาจึงทูลว่าได้สามยามแล้ว พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ทอดใจใหญ่สำคัญแน่ว่าตัวจะตายแล้ว จึงสั่งใช้ให้ทหารไปเมืองเสฉวน บอกขงเบ้งกับลิเงียมว่าเราป่วยหนักแล้วจะขอเห็นหน้าจะได้สั่งความไว้ ให้รีบมาทั้งกลางวันกลางคืน ม้าใช้เอาเนื้อความไปบอกขงเบ้งตามรับสั่ง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงให้อาเต๊าพระราชบุตรผู้ใหญ่อยู่รักษาเมืองเสฉวน ขงเบ้งกับลิเงียมก็พาเล่าเอ๋งเล่าลีสองคนผู้บุตรพระเจ้าเล่าปี่ไปด้วย ครั้นถึงเมืองเป๊กเต้ ขงเบ้งกับลิเงียมเล่าเอ๋งเล่าลีสี่คนพากันเข้าไป เห็นพระเจ้าเล่าปี่ป่วยหนักอยู่จึงกราบลงแล้วร้องไห้ พระเจ้าเล่าปี่เห็นก็เชิญขงเบ้งให้นั่งข้าง ๆ แล้วเอามือลูบหลัง จึงว่าเราได้ท่านอาจารย์มาไว้ด้วยช่วยทำนุบำรุงจึงได้เมืองเสฉวน จะทำการครั้งไรก็สำเร็จความปราถนาหาภัยอันตรายมิได้ ครั้งนี้ท่านห้ามมิให้ยกไปตีเมืองกังตั๋งเรานี้มิฟังดึงดันไป จึงเสียทัพได้ความอัปยศอดสูมากนักเราผิดเอง บัดนี้เราจะตายอยู่แล้วจึงให้ไปเชิญท่านมา เพราะวิตกด้วยการแผ่นดินซึ่งจะทำต่อไปข้างหน้านั้น เห็นว่าบุตรเราสามคนนี้ยังอ่อนความคิดนัก ถ้าท่านละเมินเสียแล้วเห็นจะขัดสน ขอท่านได้เมตตาเห็นแก่เรา อันการแผ่นดินทั้งปวงเราปลงธุระฝากไว้แก่ท่าน ๆ ช่วยทำนุบำรุงบุตรเราต่อไปเถิด ว่าแล้วก็ร้องไห้ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นคิดสงสารก็ร้องไห้ จึงว่าพระองค์อย่าวิตกเสย บุตรของพระองค์สามคนนั้นข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงต่อไป แต่พระองค์อุตส่าห์กินยารักษาโรคให้หายเถิด
พระเจ้าเล่าปี่นอนอยู่เห็นม้าเจ๊กม้าเลี้ยงนั่งอยู่ที่นั่น จึงขับม้าเจ๊กให้ออกไป แล้วถามขงเบ้งว่า ม้าเจ๊กคนนี้ท่านยังเห็นความคิดเขาเปนประการใด ขงเบ้งจึงทูลว่า ความคิดม้าเจ๊กดีอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ท่านว่าดีเราไม่เห็นด้วย เราเห็นม้าเจ๊กนั้นเจรจาเกินรู้นัก จะใช้ราชการไปข้างหน้าให้ท่านพิเคราะห์จงดี แล้วจึงให้หาขุนนางแลที่ปรึกษาเข้ามา พระเจ้าเล่าปี่จึงเขียนอักษรมอบราชสมบัติให้บุตรตามประเพณีกษัตริย์ส่งให้ ขงเบ้ง แล้วก็ทอดใจใหญ่จึงว่าแก่ขุนนางที่ปรึกษาว่า ท่านทั้งปวงกับเราเดิมจะตั้งตัวนั้น คิดจะกำจัดแซ่โจโฉให้สิ้นเชิง จะบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลเราช่วยกันทำการยังมิสำเร็จ บัดนี้กรรมมาถึงเราจะลาท่านไปแต่กลางทางก่อน แต่บุตรเราทั้งสามซึ่งยังอยู่จะทำการแผ่นดินสืบไปนั้น ขอฝากท่านทั้งปวงช่วยทำนุบำรุงต่อไปด้วย
ฝ่ายขุนนางที่ปรึกษาได้ยินพระเจ้าเล่าปี่ตรัสดังนั้น ต่างคนต่างร้องไห้ชวนกันกราบลงแล้วจึงทูลว่า พระองค์อย่าวิตกเลยข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงพระราชบุตรต่อไปกว่าจะสิ้นชีวิต พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินดังนั้นคิดอาลัยสงสารข้าราชการทั้งปวงก็ร้องไห้ จึงผินไปยุดเอามือขงเบ้งแล้วกระซิบบอกความในใจให้ฟังว่า ปัญญาความคิดของท่านนี้ไม่มีใครเสมอแล้วดีกว่าโจผีสักร้อยส่วน ท่านดูเอาแต่การซึ่งจะบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขพอประมาณเถิด ถ้าเห็นลูกเราไม่อยู่ในสัตย์ในธรรมทำผิดประเพณีไปไม่ฟังท่าน ก็ให้ท่านรักษาเมืองเสฉวนบำรุงแผ่นดินเองเถิด
ขงเบ้งได้ฟังพระเจ้าเล่าปี่ว่าดังนั้นตกใจตัวสั่น ถอยลงมากราบลงกับแผ่นดินจนหน้าแตกโลหิตไหลแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าคิดจะบำรุงบุตรพระองค์ไปกว่าจะตาย อย่าได้คิดว่าข้าพเจ้าจะเบียดเบียฬบุตรพระองค์เลย พระเจ้าเล่าปี่เห็นขงเบ้งตกใจกราบลงจนหน้าแตกโลหิตไหลดังนั้น จึงคิดว่าขงเบ้งนี้มีความสัตย์รักเราจริง จึงเชิญให้มานั่งใกล้แล้วร้องเรียกเล่าเอ๋งเล่าลีผู้ลูกทั้งสองคนเข้ามาลูบ หลังลูบหน้าแล้วว่า เจ้าค่อยอยู่ให้จงดีเถิดพ่อจะขอลาแล้ว เจ้าพี่น้องทั้งสามคนจงค่อยเลี้ยงรักษากัน ถ้าขัดสนสิ่งใดไม่รู้จงไต่ถามขงเบ้ง เจ้าจงรักขงเบ้งเกรงขงเบ้งให้เหมือนหนึ่งบิดา แล้วให้ลูกสองคนกราบขงเบ้ง ๆ เห็นพระเจ้าเล่าปี่ให้ลูกสองคนกราบดังนั้น จึงว่าพระองค์อย่าวิตกสงสัยเลย ข้าพเจ้าขอเปนข้าทำนุบำรุงบุตรพระองค์ไปกว่าจะสิ้นชีวิต
พระเจ้าเล่าปี่จึงเรียกจูล่งเข้ามาแล้วว่า ท่านผู้เปนน้องได้ช่วยทำนุบำรุงเราทำการแต่ต้นมือ บัดนี้เราจะลาแล้ว ท่านอยู่ภายหลังช่วยทำนุบำรุงลูกเราต่อไปเถิด จูล่งได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้กราบลงแล้วทูลว่า พระองค์อย่าได้ปรารมภ์เลย ถ้ามีการสงครามข้าพเจ้าจะขอตายก่อนพระราชบุตร
พระเจ้าเล่าปี่ผินพักตร์มาว่าแก่ขุนนางที่ปรึกษาทั้งนั้นว่า เราป่วยหนักอยู่แล้ว ที่สั่งความทั้งปวงไว้มิทั่วถึงประการใดอย่าน้อยใจเลย เราขออภัยกับท่านเถิด ครั้นสั่งสิ้นความแล้วพระเจ้าเล่าปี่ก็เอนพระองค์ลงเหนือที่แล้วก็ขาดใจตาย พระเจ้าเล่าปี่อายุได้หกสิบสามปี เสวยราชย์ได้สามปี ตายเดือนหกแรมเก้าคํ่า (พ.ศ. ๗๖๖) ขุนนางแลทหารทั้งปวงก็ชวนกันร้องไห้เสร้าโศกเปนอันมาก ขงเบ้งจึงให้จัดแต่งการเชิญพระศพพระเจ้าเล่าปี่ไป ณ เมืองเสฉวน
ฝ่ายอาเต๊ารู้ก็ร้องไห้ออกมารับพระศพพระบิดาถึงนอกเมือง ทำคำนับแล้วรับพระศพเข้าในเมือง เชิญขึ้นไว้ในที่เสด็จออกตั้งเครื่องบูชาพระบิดาเส้นวักตามประเพณีกษัตริย์ แล้วขงเบ้งจึงส่งหนังสือพระเจ้าเล่าปี่ให้กับอาเต๊า ๆ รับหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า พระเจ้าเล่าปี่ผู้บิดาให้ไว้แก่เจ้าทั้งสามคน ด้วยบิดาไปทำการทั้งนี้หวังจะกำจัดศัตรูราชสมบัติจะบำรุงแผ่นดินพระเจ้า เหี้ยนเต้ให้เปนสุข ก็ไม่ทันจะสำเร็จกรรมมาถึงบิดาจะลาไปก่อนแล้ว เจ้าพี่น้องทั้งสามค่อยเลี้ยงรักษากันตามประเพณีผู้ใหญ่ผู้น้อย แลอาเต๊าผู้พี่นั้นให้รักษาราชสมบัติต่อไป ถ้าขัดสนสิ่งใดจงไต่ถามขงเบ้ง ให้รักขงเบ้งเหมือนบิดา อาเต๊าครั้นอ่านหนังสือแล้วพี่น้องสามคนกอดกันร้องไห้ ขงเบ้งจึงว่า ประเพณีแผ่นดินจะให้ราชสมบัติว่างอยู่จนสามวันก็มิควร จึงเชิญอาเต๊าให้ว่าราชการแผ่นดิน ถวายราชสมบัติแลเครื่องสำหรับกษัตริย์ ถวายพระนามเรียกว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนรับราชสมบัติแล้ว ตั้งขงเบ้งเปนมหาอุปราชรักใคร่นับถือเหมือนบิดา แล้วก็แต่งการพระศพพระเจ้าเล่าปี่ตามประเพณีกษัตริย์ เชิญไปฝังไว้ตำบลหุ้ยเหลงในเมืองเสฉวน แล้วก่อกุฏิ์ประดับประดาจารึกเปนอักษรไว้ในแผ่นศิลาหน้ากุฏิ์นั้นว่า พระเจ้าเลียดห้องเต้ แล้วให้นางงอซีแม่เลี้ยง มารดาของเล่าเอ๋งเล่าลีมาตั้งเปนพระราชมารดาผู้ใหญ่
ฝ่ายมารดาซึ่งตายก่อนนั้น กับนางบิฮูหยินแม่เลี้ยง ก็ให้รื้อกุฏิ์ก่อประดับประดาขึ้นใหม่ ให้จารึกไว้ในหน้าศิลาว่า กุฏิ์พระมารดาพระเจ้าเล่าเสี้ยนเมียพระเจ้าเล่าปี่ พระมารดาเลี้ยงนั้นว่าเมียถัดพระเจ้าเล่าปี่ แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยนั้นก็พระราชทานให้เลื่อนที่ตามสมควร แล้วพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ให้ถอดคนโทษในคุกในตะรางบันดามีอยู่ในเมืองนั้นโปรด ให้ปล่อยเสียสิ้น แลส่วยสาอากรขนอนตลาดนอกเมืองในเมืองก็โปรดให้ยกเลิกเสียสามปี
ฝ่ายขุนนางข้างพระเจ้าโจผีครั้นรู้ว่าพระเจ้าเล่าปี่ตาย จึงเอาเนื้อความเข้ามาทูลกับพระเจ้าโจผี พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นดีใจนัก จึงว่าพระเจ้าเล่าปี่ตายเห็นราชสมบัติจะว่างอยู่ไม่มีผู้ใดว่า เรารีบยกทัพไปตีเอาเห็นจะได้โดยง่าย กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงทูลว่า ขงเบ้งเปนคนมีปัญญาจะไม่ละให้สมบัติว่างอยู่ เห็นจะตั้งบุตรพระเจ้าเล่าปี่ขึ้นว่าราชการ ซึ่งจะยกไปตีนั้นเห็นจะไม่ได้ สุมาอี้ที่ปรึกษาจึงว่า ถึงจะมีผู้ว่าราชการก็เห็นว่าผู้คนแลทหารยังไม่ปรกติ ถ้ายกไปทำการเห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้าโจผีเห็นชอบด้วย แล้วจึงถามสุมาอี้ว่า เราจะคิดทำประการใดดี
สุมาอี้จึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า ถึงเราจะคุมทหารยกไปให้สิ้นทั้งเมืองก็ไม่ชนะเขาด้วยทหารเราน้อย แล้วขงเบ้งก็เปนคนมีสติปัญญา จำจะให้คิดเปนกลอุบายยกไปห้าทาง ๆ ละสิบหมื่น แล้วจะแต่งหนังสือให้คนคุมเข้าของเงินทองแยกกันไป จ้างให้ห่อปีเจ้าเมืองเลียวตั๋งยกทหารตีเข้าไปทางด่านแฮเบ้งก๋วนทิศตวันตก ให้เบ้งเฮกเจ้าเมืองมันอ๋องยกทหารตีเข้าไปทางด่านเอ๊กจิ๋วทิศใต้ ให้เบ้งตัดเจ้าเมืองซงหยงซึ่งสมัคมาอยู่กับเรานั้นตีเข้าไปทางด่านฮันต๋งทิศ เหนือ แต่เมืองกังตั๋งนั้นกับเราเปนอริกันอยู่ จำจะมีหนังสือเปนราชไมตรีไปถึงซุนกวน ให้ซุนกวนยกทหารตีเข้าไปทางด่านกวยเซียทิศตวันออก ถ้าสำเร็จราชการตีได้เมืองเสฉวนแล้ว เราจะแบ่งแผ่นดินให้พระเจ้าซุนกวนเปนค่าจ้าง แล้วเราจึงแต่งให้โจหยินคุมทหารสิบหมื่นตีเข้าไปทางยังเผงก๋วนตรงเข้าไปเอา เมืองเสฉวนทีเดียว ถ้าได้ไปพร้อมกันทั้งห้าทางเปนคนห้าสิบหมื่นฉนี้ ถึงขงเบ้งผู้มีสติปัญญานั้นก็จะแพ้แก่เรา พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงของทองเงินแล้วแต่งหนังสือเหมือนสุมาอี้ว่านั้น กำหนดวันคืนแล้วให้คนคุมไปทุกเมือง แล้วสั่งโจหยินให้จัดเตรียมทหารไว้ให้พร้อม แม้คนถือหนังสือกลับไปเมื่อใดก็จะให้ยกไปเมื่อนั้น
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนรักษาราชสมบัติยังหามีมเหษีไม่ ขงเบ้งมหาอุปราชแลขุนนางทั้งปวงพร้อมกัน เห็นลูกสาวเตียวหุยชื่อนางเตียวซีอายุได้สิบเจ็ดปีมีปัญญาหลักแหลมดี ก็นำมาตั้งให้เปนมเหษีพระเจ้าเล่าเสี้ยน แลการแผ่นดินนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ขงเบ้งว่ากล่าวสิทธิ์ขาดทั้งสิ้น
ฝ่ายทหารผู้สอดแนมเอาเนื้อความเข้ามาทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า พระเจ้าโจผีจัดแจงทหารจะมารบเมืองเรา จะให้ตีเข้ามาเปนห้าทาง โจหยินคุมทหารมาตียังเผงก๋วน เบ้งตัดคุมทหารมาทางด่านฮันต๋ง พระเจ้าซุนกวนคุมทหารมาตีด่านกวยเซีย เบ้งเฮ็กคุมทหารมาตีด่านเอกจิ๋ว ห่อปีคุมทหารตีด่านแฮเบ้งก๋วน ห้าทางเปนทหารห้าสิบหมื่น
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนพึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่ได้ฟังนั้นก็ตกใจ ขณะนั้นขงเบ้งมิได้มาเฝ้าหลายวัน แล้วจึงให้คนใช้ไปเชิญมหาอุปราชหวังจะคิดราชการ คนใช้รับสั่งไปแล้วกลับมาทูลว่า มหาอุปราชป่วยอยู่เข้ามามิได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตกใจนัก ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งจึงใช้ตงอุ่นเตาเขงที่ปรึกษาสองคน ออกไปเยี่ยมดูมหาอุปราชป่วยเปนไร แล้วเล่าความทั้งนั้นให้ฟังด้วย ตงอุ่นเตาเขงรับสั่งแล้วก็ไปถึงที่บ้านมหาอุปราช นายประตูห้ามไว้มิให้เข้าไป จึงเล่าให้นายประตูฟัง แล้วจึงว่าพระเจ้าเล่าปี่ได้ฝากธุระแผ่นดินไว้กับมหาอุปราช บัดนี้มีราชการมามหาอุปราชทำป่วยอยู่ฉนี้ใยเล่า นายประตูเข้าไปบัดเดี๋ยวหนึ่งก็กลับมาบอกว่ามหาอุปราชป่วยมากอยู่ ถ้าคลายพรุ่งนี้จึงจะไปเฝ้า
ตงอุ่นเตาเขงได้ฟังดังนั้นถอนใจใหญ่แล้วกลับไป ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งตงอุ่นเตาเขงแลขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันไปคอยอยู่ที่ ประตูบ้านมหาอุปราชแต่เช้าจนเย็นไม่เห็นออกมา ขุนนางทั้งปวงไม่รู้ที่จะว่าประการใดก็ชวนกันกลับไป ตงอุ่นเตาเขงก็เอาเนื้อความไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนทุกประการ แล้วว่ามหาอุปราชมีปัญญาเกลือกจะดูใจจึงไม่เข้ามา ขอเชิญพระองค์ไปจึงจะดี พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นคิดสงสัยใจนัก จึงเอาเนื้อความไปเล่าให้พระมารดาฟัง นางงอซีได้ฟังดังนั้นจึงว่า พระเจ้าเล่าปี่ก็ได้ฝากธุระการแผ่นดินไว้กับขงเบ้งให้ช่วยทำนุบำรุงเจ้าต่อ ไป บัดนี้มีราชการให้หามิเข้ามา เขามีปัญญาเกลือกจะดูใจว่าเจ้าจะรักเหมือนบิดารักเขาหรือไม่ เชิญเจ้าออกไปหาเถิด ถ้าเขาไม่เข้ามาแม่จึงจะออกไปว่าเอง
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นแล้วก็กลับมา ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งเสด็จขึ้นรถไปเยี่ยมมหาอุปราช ครั้นถึงนายประตูเห็นก็ตกใจ เปิดประตูให้แล้วหมอบนิ่งอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ลงจากรถเดิรเข้าไปในประตูสามชั้น จึงเห็นมหาอุปราชนั่งตกเบ็ดอยู่ริมสระ จึงแกล้งยืนนิ่งอยู่ข้างหลังมิให้เห็นแล้วจึงถามว่า ท่านตกเบ็ดสนุกหรือ ขงเบ้งเหลียวมาเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตกใจทิ้งเบ็ดเสียกราบลงแล้วทูลว่า โทษข้าพเจ้าถึงตาย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นขงเบ้งกราบลงดังนั้นจึงยึดเอามือให้ยืนขึ้นแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่ถือโทษท่าน บัดนี้มีข่าวมาว่าโจผีจะยกทัพเปนห้าทางมาตีเมืองเรา ท่านไม่แจ้งหรือจึงนิ่งเฉยเสียฉนี้ ขงเบ้งได้ยินพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าดังนั้น หัวเราะแล้วเชิญนั่งที่ควรจึงทูลว่า ข้าพเจ้าตกเบ็ดนั้นคิดความดอก จะได้เอาความสนุกหามิได้ ซึ่งโจผีจะยกมาตีเมืองเราทั้งห้าทางนั้นข้าพเจ้ารู้ก่อนพระองค์อีก พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านจะคิดประการใดอย่าให้ภัยอันตรายมาถึงเมืองเรา
ขงเบ้งจึงทูลว่า โจผีจะยกมาครั้งนี้ถึงห้าทาง แต่สี่ทางนั้นข้าพเจ้าคิดกำจัดเสียหามาได้ไม่ พระองค์อย่าวิตกเลย ยังทางเดียวแต่ที่ซุนกวนจะยกมานั้น ข้าพเจ้ายังคิดความอยู่จึงมิได้เข้าไปเฝ้าพระองค์ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นคิดสงสัยนัก จึงถามขงเบ้งว่า ทั้งสี่ทางท่านว่าจะกำจัดเสียได้แล้ว ยังแต่ทางซุนกวนนั้น ท่านจะทำประการใดข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจ ขงเบ้งจึงทูลว่า บิดาของพระองค์ปลงธุระฝากข้าพเจ้าไว้ให้ช่วยทำนุบำรุง ควรหรือข้าพเจ้าจะละเมินเสีย แต่หากข้าพเจ้าทำการโดยลับมิให้ขุนนางแลคนทั้งปวงรู้ ซึ่งข้าพเจ้าว่าจะกำจัดเสียได้สี่ทางนั้น คือห่อปีจะตีมาด่านแฮเบ้งก๋วน ข้าพเจ้าให้มีหนังสือไปถึงม้าเฉียวซึ่งตั้งอยู่ที่นั้นให้คอยสกัดไว้ แลม้าเฉียวคนนี้กับห่อปีเคยกลัวกันมาแต่ก่อน เบ้งเฮ็กจะมาทางเอ๊กจิ๋ว ข้าพเจ้าได้มีหนังสือไปให้อุยเอี๋ยนสกัดรบไว้ แลให้ทำที่วงเวียนไว้สองข้างทั้งซ้ายทั้งขวา ให้ทหารคุมกันเดิรเปนพวก ๆ เดิรแต่ซ้ายไปขวาเดิรแต่ขวาไปซ้าย วันละเจ็ดกลับแปดกลับนั้นทุกวัน ข้าศึกเห็นว่าคนมากก็จะถอยไป เบ้งตัดจะมาทางฮันต๋ง ข้าพเจ้ารู้ว่าเบ้งตัดคนนี้กับลิเงียมเปนสหายกินน้ำสบถร่วมชีวิตจะเปนตาย ด้วยกัน ข้าพเจ้าแต่งเปนหนังสือลิเงียมไปให้เบ้งตัด ถ้าเบ้งตัดเห็นหนังสือลิเงียมแล้วก็จะทำเปนป่วยบิดเบือนไปสุดแต่ไม่ยกมา
โจหยินจะมาทางยังเผงก๋วนนั้น ทางเดิรกันดารลุ่มโคลนนักมายาก ข้าพเจ้าแต่งให้จูล่งคุมทหารออกไปตั้งมั่นไว้อย่าให้ออกรบ ถ้าโจหยินเห็นจูล่งไม่ออกรบดังนั้นก็จะเลิกทัพถอยไปเอง แล้วข้าพเจ้าแต่งให้กวนหินเตียวเปาคุมทหารชาวนอกเมืองไปสามหมื่นมิให้ผู้ใด รู้ เที่ยวตรวจตราสอดแนมทั้งสี่ทาง ถ้าเห็นหนักไหนให้ช่วยกัน เพราะข้าพเจ้าทำไว้ฉนี้จึงทูลพระองค์ว่าตัดได้สี่ทางแล้ว แต่ทางเมืองกังตั๋งนั้นเห็นว่าจะไม่ยกมาเร็ว ด้วยซุนกวนรบกับโจผีผิดกันจะระวังหลังอยู่ ดีร้ายจะคอยดูเมื่อไรทั้งสี่ทางตีเข้ามาเกือบจะได้เมืองแล้ว ซุนกวนจึงจะยกมา เราจำจะคิดกลอุบายหาคนซึ่งมีสติปัญญาไปเจรจาด้วยชาวเมืองกังตั๋งเห็นซุนกวน จะไม่ยกมา แต่ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูยังไม่เห็นมีผู้ใดซึ่งมีอัชฌาสัยเลย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังความขงเบ้งชี้แจงให้ดังนั้นก็ดีใจนัก เหมือนกับเทพดามายกภูเขาออกจากอกหน้าตาผ่องใสขึ้น ขงเบ้งจึงแต่งของเสวยถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ เสวยแล้วก็ลาไป ขงเบ้งตามออกไปส่งเสด็จถึงนอกประตู บังคมแล้วตรวจดูหน้าขุนนางทั้งปวง เห็นเตงจี๋หมอบอยู่ข้างรถจึงเดิรเข้าไปยุดเอาชายเสื้อแล้วว่า ท่านอย่าไปส่งเสด็จเลย แล้วก็พาเข้าในบ้าน
ฝ่ายขุนนางที่ตามเสด็จนั้นต่างคนต่างพูดจากันว่า เมื่อเสด็จออกมาเห็นไม่สบายนัก ครั้นมาพบมหาอุปราชแล้วก็กลับเข้าไป เราเห็นท่วงทีพระองค์ผ่องใสสดชื่นขึ้น เห็นการทั้งปวงจะไม่เปนไรแล้ว ครั้นส่งเสด็จแล้วก็ชวนกันกลับไปบ้าน
ฝ่ายขงเบ้งก็ชวนเตงจี๋เข้ามานั่งแล้วว่า เมืองเรากับเมืองโจผีเมืองซุนกวนเปนเสี้ยนศึกสามเส้าอยู่ เราคิดจะเอาสองเมืองมาให้ขึ้นแก่เรา จะยกไปตีเอาเมืองไหนดี เตงจี๋ได้ยินดังนั้นจึงว่า เจ้านายเราพึ่งได้ราชสมบัติยังไม่เห็นน้ำพระทัย ใจทหารจึงไม่ปรกติ อนึ่งพระเจ้าโจผีก็มีทหารมาก เมืองก็กว้างขวางใหญ่หลวงนัก เห็นจะไปหักเขามิได้ ถ้าเราทำไมตรีกับพระเจ้าซุนกวนก่อน แล้วจึงช่วยกันยกไปตีเอาเมืองพระเจ้าโจผีเห็นจะได้ แต่ไม่แจ้งความคิดของท่านประการใด
ขงเบ้งได้ยินแล้วหัวเราะ จึงว่าเราคิดอยู่ช้านานแล้ว แต่ยังหาคนไม่ได้เหมือนใจจึงนิ่งอยู่ เราได้ยินท่านว่าบัดนี้ต้องใจเหมือนเราคิดไว้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวจะอาสาได้ เตงจี๋จึงว่า สติปัญญาข้าพเจ้าน้อยนัก กลัวจะเสียราชการของท่านไป ขงเบ้งจึงว่า เราเห็นดีได้การอยู่แล้ว ท่านอย่าบิดพลิ้วไปเลย พรุ่งนี้เราจะทูลให้ท่านไป เตงจี๋รับคำแล้วก็ลาไป ครั้นรุ่งเช้าขงเบ้งก็เข้าไปเฝ้า แล้วทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ซึ่งจะแต่งคนไปเมืองกังตั๋งนั้นเห็นเตงจี๋คนนี้ได้การ พอจะไปเจรจาได้เหมือนคิดไว้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังก็สั่งเตงจี๋ให้ไปเมืองกังตั๋งตามมหาอุปราชคิดไว้ นั้นเถิด เตงจี๋รับสั่งแล้วก็ลาไปเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายลกซุนครั้นตีทัพพระเจ้าโจผีแตกทั้งสามทางแล้ว กลับเข้ามามีความชอบ พระเจ้าซุนกวนตั้งลกซุนให้เปนใหญ่เลื่อนที่ขึ้นไป แลนายทหารซึ่งมีความชอบทั้งนั้นก็ได้เลื่อนที่เปนหลั่น ๆ กันขึ้นไป ฝ่ายคนใช้ข้างพระเจ้าโจผีครั้นมาถึงเมืองกังตั๋งแล้ว ก็เข้าไปหาขุนนางแจ้งความให้ฟังแล้ว ก็พากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน ๆ เห็นจึงถามว่า ท่านมาด้วยธุระกังวลประการใด คนใช้จึงทูลว่า พระเจ้าโจผีใช้ข้าพเจ้ามาเฝ้าพระองค์ว่า เมื่อพระเจ้าโจผีให้ยกทัพมาสามทางนั้น ใช่จะแกล้งตั้งใจยกมาตีเมืองกังตั๋งนั้นหามิได้ มีหนังสือขงเบ้งไปจ้างให้ยกมาช่วย บัดนี้พระองค์ได้คิดผิดอยู่แล้ว ทรงพระโกรธจะให้ไปตีเมืองเสฉวน จัดแจงทัพไว้ได้สี่ทางแล้ว ยังแต่ทางด่านกวยเซียนั้นให้มาขอกองทัพเมืองกังตั๋งยกไป ถ้าตีได้เมืองเสฉวนแล้ว ก็จะแบ่งแผ่นดินให้ท่านเปนค่าจ้าง
พระเจ้าซุนกวนครั้นได้ฟังคนใช้แจ้งดังนั้น ก็ยังคิดตรึกตรองอยู่ จึงคอยถามเตียวเจียวโกะหยงที่ปรึกษาสองคน เตียวเจียวโกะหยงจึงทูลว่า การนี้เห็นลึกซึ้งใหญ่หลวงอยู่ ขอปรึกษาด้วยลกซุนผู้มีปัญญาก่อน พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้น จึงสั่งให้หาลกซุนเข้ามา แล้วก็เล่าความทั้งปวงให้ฟังแล้วถามว่าเราจะคิดประการใดดี
ลกซุนจึงทูลว่า พระเจ้าโจผีมีทหารมากก็ดี แลซึ่งจะให้ไปตีเมืองเสฉวนข้าพเจ้าเห็นกํ้ากึ่งกันอยู่ พระเจ้าโจผียกมารบเราครั้งนั้นก็เปนอริพยาบาทกันอยู่ บัดนี้เขาทอดทางไมตรีมาถึงเรา เราจำจะรับธุระเขาแต่ว่าเราตรึกตรองดูท่วงทีก่อน เมื่อไรเขายกมาทั้งสี่ทางเข้าตีไปเกือบใกล้ได้เมืองเสฉวนแล้วเราจึงยกไป
พระเจ้าซุนกวนได้ฟังเห็นชอบด้วย แล้วจึงว่ากับคนใช้ว่า ท่านไปก่อนเถิด เราจัดแจงสเบียงอาหารแล้วจะยกตามไปภายหลัง คนใช้กราบลาแล้วก็ไปบอกความทุกเมือง ลกซุนก็ลาออกไป พระเจ้าซุนกวนครั้นเห็นคนใช้ออกไปแล้ว จึงสั่งให้ทหารไปเที่ยวสอดแนมดูทั้งสี่ทาง ถ้าเขายกตีเข้าไปถึงไหนแล้วประการใดให้เร่งกลับมาบอก ทหารก็ไปเที่ยวสอดแนมตามรับสั่งแล้วก็กลับมาทูลว่า ห่อปียกไปตีด่านแฮเบ้งก๋วน พบม้าเฉียวก็ถอยไป เบ้งเฮ็กยกไปตีทางเอ๊กจิ๋ว พบอุยเอี๋ยนก็ถอยไป เบ้งตัดไปถึงกลางทางแล้วบอกป่วยกลับมา โจหยินไปทางยังเผงก๋วน พบจูล่งก็ถอยไป ทั้งสี่ทางยกถอยกลับไปหมดแล้ว
พระเจ้าซุนกวนได้ฟังคนสอดแนมมาบอกดังนั้นจึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ลกซุนนี้มีปัญญาหน่วงหนักดี ถ้าเรามิฟังขืนยกไปก็จะผิดกับขงเบ้งเปนพยาบาทกันเสียเปล่า
ขณะนั้นพอคนใช้เข้ามาทูลว่า เตงจี๋มาแต่เมืองเสฉวน เตียวเจียวที่ปรึกษาจึงทูลว่า เตงจี๋มาทั้งนี้ดีร้ายขงเบ้งใช้มาเจรจาอย่าให้เรายกทัพไป พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงถามเตียวเจียวว่า ถ้าเขามาเจรจาเหมือนว่าเราจะคิดว่ากะไรดี เตียวเจียวจึงทูลว่า เราจะทำแยบคายไว้ให้กลัว จัดทหารให้ถืออาวุธยืนไว้สองข้างทาง แล้วเอาน้ำมันใส่กระทะใหญ่ตั้งไฟไว้หน้าที่นั่งนั้นแล้วจึงให้หาเตงจี๋เข้า มา พระเจ้าซุนกวนได้ฟังเห็นชอบด้วยก็ให้ทำตามเตียวเจียวว่า แล้วให้หาเตงจี๋เข้ามา
เมื่อเตงจี๋เดิรเข้ามาเห็นทำการไว้ดังนั้น ก็มิได้สดุ้งตกใจกลัว หัวเราะเดิรเข้าไปถึงหน้าพระเจ้าซุนกวนแล้วมิได้ก้มลงกราบตามธรรมเนียม แต่ยกมือขึ้นไหว้ พระเจ้าซุนกวนเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงว่ากับเตงจี๋ว่า เปนไรท่านจึงดูหมิ่นเราไม่กราบตามธรรมเนียม เตงจี๋จึงตอบว่า ข้าพเจ้าเปนขุนนางมาแต่เมืองใหญ่ แต่ไหว้ท่านเท่านี้ก็ดีหนักหนาแล้ว ทำไมจะให้กราบเจ้าเมืองน้อยเล่า พระเจ้าซุนกวนได้ฟังก็ยิ่งโกรธนัก จึงว่าเรารู้อยู่ว่าท่านช่างเจรจา ขงเบ้งแกล้งใช้มาเจรจามิให้เรายกทัพไปตีเมืองเสฉวนจริงหรือไม่ ท่านจงแลดูอะไรตั้งไฟอยู่ในกะทะนั้นก่อน เตงจี๋ได้ฟังดังนั้นก็ไม่กลัวจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ใช่เปนธุระจะให้ช่วยเมืองเสฉวนนั้นหาไม่ จะมาช่วยเมืองกังตั๋งหวังจะทำไมตรีไว้จึงมา แลคนทั้งปวงเล่าลือไปว่าท่านนี้มีสติปัญญากว้างขวางรักทแกล้วทหาร ข้าพเจ้าดูการที่ทำไว้ทั้งนี้เห็นไม่สมกับปากคนเล่าลือ พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ท่านเห็นอย่างไรจึงว่าไม่สมกับปากคนเล่าลือ เตงจี๋จึงตอบว่า ข้าพเจ้ามาแต่ผู้เดียว ท่านก็รู้อยู่ว่าจะมาเจรจา แล้วให้ตั้งกะทะแต่งทหารเตรียมไว้ฉนี้ ดูเหมือนกลัวข้าพเจ้า
พระเจ้าซุนกวนได้ฟังเตงจี๋ว่าดังนั้นก็เห็นจริงด้วย คิดละอายแก่ใจ จึงขับทหารทั้งปวงไปเสีย แล้วเรียกเตงจี๋ขึ้นนั่งเก้าอี้ จึงถามว่าเมืองโจผีกับเมืองกังตั๋งนี้ สืบไปข้างหน้านั้นท่านจะเห็นร้ายดีประการใดจงว่าไปให้แจ้ง เตงจี๋ได้ฟังพระเจ้าซุนกวนถามดังนั้นจึงถามว่า ท่านจะพอใจดีกับเมืองพระเจ้าโจผีหรือ ๆ จะพอใจดีกับเมืองเสฉวน พระเจ้าซุนกวนจึงว่า เราคิดจะใคร่ดีด้วยเมืองเสฉวนอีก แต่เกรงอยู่ว่าเจ้าเมืองเสฉวนยังเยาว์เกลือกจะดีไปไม่ตลอด เตงจี๋ได้ฟังพระเจ้าซุนกวนว่าดังนั้นจึงว่า ถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังเยาว์อยู่ก็ดี ขงเบ้งมหาอุปราชเปนหลักอยู่ ท่านผู้มีปัญญาจงดำริห์ดูเห็นว่าไมตรีข้างไหนจะยืดยาว ประการหนึ่งพระเจ้าโจผียกไปตีเมืองเสฉวน ถ้าเมืองเสฉวนแตกแล้วท่านว่าเมืองกังตั๋งจะตั้งอยู่ได้แล้วหรือ ประการหนึ่งถ้าพระเจ้าโจผียกมาตีเมืองกังตั๋งเล่า เมืองเสฉวนมิได้ยกมาช่วยเห็นว่าเมืองกังตั๋งจะรับโจผีได้หรือ ขอท่านดำริห์ดูให้ควรเถิด ข้าพเจ้าเห็นว่า เมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งเปนไมตรีดีกันแล้วพร้อมใจกันยกไปตีเมืองพระเจ้าโจ ผีเห็นจะได้โดยสดวก ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้เปนความสัตย์ ถ้าท่านว่าช่างเจรจาหากแคลงอยู่ ข้าพเจ้าจะขอโจนลงในกะทะนํ้ามันพิศูจน์ตัวให้เห็นเท็จแลจริง ว่าแล้วก็ลุกเดิรไปทำประดุจหนึ่งว่าจะโจนลงในกะทะ
พระเจ้าซุนกวนเห็นดังนั้นก็คิดว่าจริง ตกใจวิ่งเข้ายุดเตงจี๋ไว้ว่าเราเชื่อแล้ว แล้วจูงมือมาให้นั่งจึงว่า ท่านว่าเนื้อความมาทั้งนี้เหมือนน้ำใจเราคิดไว้ทุกสิ่ง เชิญท่านช่วยเอาธุระไปแจ้งด้วยเถิด เตงจี๋ได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า เมื่อแรกข้าพเจ้ามานั้นท่านตั้งใจจะต้มข้าพเจ้า บัดนี้จะกลับใช้ไป ข้าพเจ้าเห็นใจท่านยังเรรวนไม่ปรกติก่อน เกลือกจะผันแปรไปเล่า ข้าพเจ้าผู้ไปว่าจะมิได้ความผิดหรือ ขอท่านได้ดำริห์ดูให้แน่ก่อนเถิด พระเจ้าซุนกวนจึงว่า เราได้ออกวาจาแล้วมิได้กลับคืน ท่านอย่าสงสัยเลย เชิญท่านออกไปตึกรับแขกเมืองกินอยู่ให้สบายก่อนเถิด
ครั้นเตงจี๋ออกไปแล้วจึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า เมืองเราก็ใหญ่หลวงผู้คนก็มาก แต่จะหาคนรู้เจรจาเหมือนเตงจี๋สักคนหนึ่งไม่ได้ เตียวอุ๋นได้ยินพระเจ้าซุนกวนว่าดังนั้น จึงทูลว่าข้าพเจ้าจะอาสาไป พระเจ้าซุนกวนจึงว่า ซึ่งจะอาสาไปนั้นก็ชอบใจอยู่แล้ว แต่เกรงว่าท่านจะไปเจรจาด้วยขงเบ้งเกลือกจะไม่ได้เหมือนน้ำใจเรา เตียวอุ๋นจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเปนคนเดิรดิน ขงเบ้งก็เปนคนเดิรดินไม่เหาะได้เหมือนกัน จะเกรงอะไรกับจะเอาความไปว่าเพียงนี้ พระเจ้าซุนกวนได้ยินดังนั้นก็ชอบใจ ให้พระราชทานรางวัลแก่เตียวอุ๋น แล้วสั่งให้เตียวอุ๋นไปเมืองเสฉวนด้วยเตงจี๋ เตียวอุ๋นรับรางวัลแล้วก็ลามาหาเตงจี๋ พากันมาตามรับสั่ง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นใช้ให้เตงจี๋ไปเมืองกังตั๋งแล้ว จึงทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ใช้เตงจี๋ไปครั้งนี้เห็นจะได้ราชการ ดีร้ายเมืองกังตั๋งจะใช้คนดีมากับเตงจี๋เปนมั่นคง เราแต่งไว้รับเขาให้ดีเถิด ถ้าเขามาถึงแล้วพระองค์ให้หามาพระราชทานโต๊ะให้กินแล้วขับออกไปที่อยู่ ข้าพเจ้าจะพูดกันกับเขาต่อภายหลัง แล้วทูลว่าทหารเรายังน้อยอยู่ ถ้าว่าเราเปนไมตรีดีกันกับเมืองกังตั๋งแล้ว ฝ่ายโจผีก็ไม่ยกมาตีเมืองเรา เราจำจะยกไปตีเมืองเบ้งเฮ็กเจ้าเมืองมันอ๋องได้แล้ว จึงจะค่อยคิดเอาเมืองโจผี ถ้าได้เมืองโจผีแล้วทำไมกับเมืองกังตั๋งก็จะอยู่ในมือเรา พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นชอบด้วย ขงเบ้งก็ลาไป พอทหารเอาเนื้อความเข้ามาทูลว่า เมืองกังตั๋งใช้เตียวอุ๋นมากับเตงจี๋ พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ให้หาเตียวอุ๋นกับเตงจี๋เข้ามา ครั้นเตงจี๋เตียวอุ๋นเข้ามาถวายบังคมแล้วสั่งให้เอาโต๊ะมาให้กิน แล้วจึงว่าท่านเหนื่อยมาเชิญไปอยู่ที่ตึกรับแขกเมืองให้สบายก่อนเถิด เตงจี๋เตียวอุ๋นก็ลาออกไปตามรับสั่ง
ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งก็ให้หาเตงจี๋เตียวอุ๋นมา แล้วเชิญให้นั่งที่สมควร จึงสั่งให้ยกโต๊ะมาให้เตงจี๋เตียวอุ๋นกิน แล้วขงเบ้งจึงว่าครั้งพระเจ้าเล่าปี่เมื่อยังเสด็จอยู่นั้น ยกทหารไปเมืองกังตั๋งเปนอริวิวาทผิดกัน บัดนี้พระองค์ก็ดับสูญแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนผู้บุตรได้เสวยราชสมบัติต่อมาจนทุกวันนี้ ที่พระเจ้าเล่าปี่ทำการผิดกันมาแต่หนหลังนั้น อย่าให้พระเจ้าซุนกวนถือโทษพยาบาทถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนเลย จะได้เปนทางพระราชไมตรีมีธุระสิ่งใดบอกถึงกัน จะได้ช่วยกันกำจัดโจผี ท่านจงเอาเนื้อความนี้ไปแจ้งให้พระเจ้าซุนกวนฟัง เตียวอุ๋นได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นจึงตอบว่า พระเจ้าซุนกวนหาผูกพยาบาทไม่ ท่านอย่าสงสัยเลย ข้าพเจ้าจะเอาคำของท่านไปแจ้งให้พระเจ้าซุนกวนฟัง ขงเบ้งจึงสั่งให้เตงจี๋กลับไปด้วยเตียวอุ๋น เตียวอุ๋นเตงจี๋ได้ฟังดังนั้นก็ลาไป ครั้นถึงเมืองกังตั๋งก็บอกเข้าไปให้ทูลพระเจ้าซุนกวน ๆ รู้ก็สั่งให้หาเตียวอุ๋นเตงจี๋เข้ามา เตงจี๋เตียวอุ๋นเข้ามาทำคำนับแล้วเตียวอุ๋นจึงทูลว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนกับขงเบ้งว่ากล่าวเห็นสุจริต พระองค์อย่าได้แคลงเลย จะได้เปนทางไมตรีกันสืบไป แล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ พระเจ้าซุนกวนครั้นได้ฟังเตียวอุ๋นว่าดังนั้นก็ชื่นชมยินดีนัก สั่งให้ยกโต๊ะมาให้เตงจี๋เตียวอุ๋นกิน เตงจี๋ครั้นกินโต๊ะแล้วก็ลาพระเจ้าซุนกวนกลับไป ตั้งแต่นั้นมาเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เปนไมตรีดีกันไป
ฝ่ายคนสอดแนมเอาเนื้อความเข้าไปทูลพระเจ้าโจผี ว่าเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนให้คนไปมาถึงกันเปนไมตรีดีกันไปแล้ว พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า เมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนเปนไมตรีดีกันแล้ว ดีร้ายจะยกกองทัพบัญจบกันมาตีเมืองเรา ๆ จะนิ่งอยู่ฉนี้มิได้ เราจะยกไปตีเอาเมืองกังตั๋งชิงตัดศึกเสียก่อน ซินผีที่ปรึกษาจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองเรากว้างขวางใหญ่หลวงแต่คนน้อยอาหารก็น้อย ของดให้ทำนาสักสิบปีก่อน ได้อาหารมากแล้วจึงยกไป
พระเจ้าโจผีได้ยินซินผีว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าความคิดท่านเหมือนเด็กน้อย เรารู้อยู่ว่าเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งไปมาหาสู่ถึงกัน แล้วก็จะยกมาตีเมืองเรา ควรหรือจะอยู่ทำนาถึงสิบปี เราไม่ฟังแล้วจะเร่งยกไปตีเอาเมืองกังตั๋งเสียก่อน สุมาอี้ที่ปรึกษาจึงทูลว่า หนทางจะไปเมืองกังตั๋งนั้นแม่น้ำก็มากยากที่จะข้ามทหาร ขอพระองค์แต่งเรือแล้วยกทัพหลวงตีเข้าไปเอาปากน้ำซิวฉุนแล้วตีเอาเมือง นํ้าฉี จึงตรงเข้าไปตีเอาเมืองกังตั๋งเห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้แต่งเรือรบใหญ่ยาวสี่สิบวาบันทุกคนได้สองพันสิบลำ เรือรบอย่างน้อยสามพันลำ ให้มีม้าใส่เรือไปสำหรับตัวนาย ให้เร่งรัดทำทั้งกลางวันกลางคืน เจ้าพนักงานก็ไปเร่งรัดทำตามรับสั่ง
ขณะนั้นโจผีเสวยราชสมบัติได้ห้าปี (พ.ศ. ๗๖๗) ครั้นถึงเดือนสิบจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง พระเจ้าโจผีจึงให้หาขุนนางแลทหารทั้งปวงมาปรึกษา ครั้นมาพร้อมแล้วจึงสั่งให้โจจิ๋นคุมทหารเปนทัพหน้า ให้เตียวเลี้ยวเตียวคับกับบุนเพ่งซิหลงสี่คนนี้คุมทหารเปนกองสอดแนม เคาทูลิยอยสองคนนี้คุมทหารเปนปีกซ้ายขวา โจฮิวคุมทหารเปนทัพหลัง เตียวจี๋เล่าหัวเปนที่ปรึกษาในทัพหลวง แล้วเกณฑ์ทหารยกทัพบกไปด้วย เข้ากันทั้งทัพเรือเปนทหารสามสิบหมื่น ให้สุมาอี้อยู่รักษาเมือง ครั้นจัดทัพพร้อมได้ฤกษ์แล้วพระเจ้าโจผีก็ยกไป
ฝ่ายทหารคนสอดแนม เอาเนื้อความเข้าไปทูลพระเจ้าซุนกวนว่า พระเจ้าโจผียกทัพบกทัพเรือเปนอันมาก ตีเข้ามาปากน้ำซิวฉุนจะขึ้นมาเมืองน้ำฉี พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามที่ปรึกษาทั้งปวงว่า โจผียกทัพมาครั้งนี้เราจะคิดประการใดดี
โกะหยงที่ปรึกษาจึงทูลว่า เราจะแต่งทัพไปตั้งรับไว้ ณ เมืองน้ำฉีก่อน อนึ่งเมืองเสฉวนกับเราก็เปนไมตรีกันแล้ว จำจะมีหนังสือไปถึงขงเบ้งขอกองทัพมาช่วย ให้ยกมาทางด่านฮันต๋งสกัดตีพระเจ้าโจผีเห็นศึกจะไม่ถึงเมืองเรา พระเจ้าซุนกวนได้ฟังจึงว่าการนี้เห็นใหญ่หลวงอยู่ จะจัดผู้ใดยกทัพไปนั้นไม่เห็นด้วย ถ้าให้ลกซุนยกไปเห็นจะรับได้ แลท่านจะให้ขอกองทัพเมืองเสฉวนมาช่วยนั้น เราเห็นชอบด้วย แล้วแต่งหนังสือส่งให้คนใช้ถือไป ณ เมืองเสฉวน
โกะหยงที่ปรึกษาจึงทูลว่า เมืองเกงจิ๋วเปนที่สำคัญอยู่ จะให้ลกซุนละเมืองเสียนั้นมิได้ พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงปรึกษาว่าเราจะแต่งให้ผู้ใดยกไปดี ชีเซ่งจึงทูลว่าข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพไปตั้งอยู่เมืองน้ำฉี แม้พระเจ้าโจผียกมาจะออกรบจับตัวมาถวายให้ได้ พระเจ้าซุนกวนได้ฟังยินดีนัก จึงแต่งให้ชีเซ่งเปนนายทัพคุมทหารยกไปตั้งอยู่ ณ แม่น้ำฉี ครั้นชีเซ่งยกไปตั้งอยู่ ณ แม่น้ำฉีแล้ว จึงสั่งทหารทั้งปวงให้จัดธงเทียวทำไว้ให้มาก
ฝ่ายซุนเสียวหลานพระเจ้าซุนกวน จึงเข้ามาว่าแก่ชีเซ่งว่า พระเจ้าโจผียกกองทัพมาฟากข้างโน้น ข้าพเจ้าจะขอทหารสักห้าหมื่นข้ามไปตีให้แตกไปให้ได้ ชีเซ่งจึงว่า จะข้ามไปนั้นไม่เห็นด้วย พระเจ้าโจผียกมามีทหารดี ๆ มากนัก ที่จะยกไปรบฟากข้างโน้นนั้น จะเอาแม่น้ำไว้หลังไม่ชอบ เราคิดไว้ว่าถ้าพระเจ้าโจผียกมาเราจะตีให้แตกไป ซุนเสียวได้ยินจึงว่า ท่านสิแคลงอยู่ แล้วไม่ยกไปฟากข้างโน้นได้ ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารของข้าพเจ้าข้ามไปรบ ด้วยท่าทางฟากข้างโน้นข้าพเจ้ารู้อยู่สิ้น ชีเซ่งได้ยินดังนั้นจึงห้ามซุนเสียวมิให้ไปถึงสองครั้งสามครั้ง ซุนเสียวก็ไม่ฟัง ชีเซ่งโกรธจึงว่า พระเจ้าซุนกวนตั้งให้เรามาเปนนายทัพบังคับทหารทั้งปวง เราว่ากล่าวท่านมิฟัง จึงสั่งทหารให้เอาตัวซุนเสียวมัดไปฆ่าเสีย ทหารก็มัดเอาซุนเสียวออกไป
ฝ่ายบ่าวซุนเสียวครั้นเห็นเขามัดนายออกมาดังนั้นก็ตกใจ จึงขึ้นม้ารีบเข้าไปทูลพระเจ้าซุนกวนตามเหตุทั้งปวง พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ขึ้นม้ารีบมาถึงพอทหารชักดาบออกจะฟันซุนเสียว พระเจ้าซุนกวนจึงร้องห้ามว่าอย่าเพ่อฟันก่อน ทหารได้ยินดังนั้นก็ตกใจยงดาบไว้ พระเจ้าซุนกวนจึงให้แก้มัดซุนเสียวออกเสีย ซุนเสียวก็กราบลงแล้วร้องไห้ จึงทูลความซึ่งว่ากล่าวกันนั้นให้ฟังทุกประการ พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็เอาซุนเสียวเข้าไปในค่าย
ฝ่ายชีเซ่งเห็นพระเจ้าซุนกวนเข้ามาดังนั้น กราบลงแล้วเชิญเสด็จขึ้นนั่งที่สมควร เหลียวไปเห็นซุนเสียวเข้ามาด้วยก็โกรธ จึงทูลว่าพระองค์สั่งให้ข้าพเจ้าเปนนายทัพบังคับทหารทั้งปวง ซุนเสียวผิดมิฟังบังคับข้าพเจ้าให้ฆ่าเสีย ทำไมพระองค์ไปปล่อยเสียเล่า พระเจ้าซุนกวนจึงว่าซุนเสียวไม่มีความคิด จะเอาแต่กำลังแรงไปรบ ซึ่งไม่ฟังบังคับท่านนั้นก็ผิดอยู่ แต่เราขอชีวิตซุนเสียวไว้ครั้งหนึ่งเถิด ชีเซ่งจึงทูลว่าผู้ขัดมิฟังบังคับนายทัพนายกองดังนี้ ใช่ข้าพเจ้าจะให้ฆ่าเสียตามลำพังใจหามิได้ เปนประเพณีมาแต่บูราณ แลพระองค์จะมาขอโทษซุนเสียวปล่อยเสียดังนั้น ถ้าผู้อื่นจะทำผิดไปข้างหน้านั้นจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด
พระเจ้าซุนกวนจึงว่า ซุนเสียวทำผิดท่านให้ฆ่าเสียนั้นเราก็เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่พี่เราเมื่อจะตายนั้นได้ฝากฝังซุนเสียวผู้บุตร เรารับคำจึงมาขอโทษซุนเสียวทั้งนี้เหมือนท่านเห็นแก่เราเถิด ชีเซ่งได้ฟังพระเจ้าซุนกวนว่าดังนั้นก็ยกโทษถวาย พระเจ้าซุนกวนจึงร้องสั่งซุนเสียวให้เข้าไปกราบชีเซ่ง ฝ่ายซุนเสียวได้ยินดังนั้นก็โกรธไม่ทำตามรับสั่ง แล้วร้องว่า ข้าพเจ้าจะข้ามไปรบพระเจ้าโจผีฟากโน้นท่านห้ามมิให้ไปรบ ความคิดท่านดังนี้ข้าพเจ้าหาเกรงไม่ พระเจ้าซุนกวนได้ยินก็โกรธจึงขับซุนเสียวให้ถอยออกไป แล้วว่ากับชีเซ่งว่า ซุนเสียวนี้ชั่วนักท่านอย่าใช้มันเลย ว่าเท่านั้นแล้วพระเจ้าซุนกวนก็กลับไป
ฝ่ายซุนเสียวกลับออกมาคิดแค้นใจนัก ครั้นเวลาคํ่าก็ยกทหารของตัวสามพันข้ามฟากไปคอยข้าศึกอยู่ ทหารสอดแนมรู้เอาเนื้อความเข้าไปบอกชีเซ่งว่า ซุนเสียวยกทหารของตัวข้ามฟากไปแล้ว ชีเซ่งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกลัวว่าจะเสียการ จึงสั่งให้เตงฮองคุมทหารสามพันยกข้ามฟากไปช่วยซุนเสียว
ฝ่ายพระเจ้าโจผียกทัพมาถึงตำบลกองเหลง แม่น้ำนั้นกว้างจึงถามโจจิ๋นนายทัพหน้าว่า แลไปฟากข้างโน้นเห็นค่ายตั้งอยู่ ทหารจะมีสักเท่าไร โจจิ๋นจึงทูลว่า ข้าพเจ้าแลไปไม่เห็นค่ายคู แม้คนอยู่ก็จะมีธงเธียวปักเปนสำคัญ พระเจ้าโจผีจึงว่า เกลือกเขาจะทำกลอุบายกะไรกระมัง แล้วก็ขึ้นยังที่สูงหน้าเรือรบดูไปก็ไม่เห็นคน จึงผินไปว่ากับเล่าหัวที่ปรึกษาว่า ดูไปไม่เห็นคนแล้วเราข้ามไปเถิดหรือ เล่าหัวเตียวจี๋จึงทูลว่า เขารู้อยู่ว่าเรายกกองทัพมา ควรหรือเขาจะไม่จัดแจงออกมารบไม่เห็นสม ดีร้ายจะมีคนอยู่ ขอให้งดอยู่ดูสักสามวันก่อน แล้วจึงใช้ให้ทัพหน้าข้ามไปดู พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้หยุดทัพทอดสมอไว้ ครั้นเวลาคํ่าแลดูไปก็มิได้เห็นแสงเพลิง
ฝ่ายชีเซ่งรู้ว่าพระเจ้าโจผียกมา จึงสั่งทหารให้เอาฟางมาผูกเปนรูปหุ่น ใส่เสื้อให้สีต่าง ๆ กันให้มาก แล้วปักธงเธียวรายไปแต่เมืองน้ำฉีให้ตลอดไปถึงเซ็กเทา ให้แล้วแต่ในเวลาคํ่าวันนี้ ทหารก็ไปทำแล้วตามสั่ง
ฝ่ายพระเจ้าโจผีหยุดพักอยู่ ครั้นเช้าหมอกลงหนักเวลาสายหมอกหายแล้ว แลไปเห็นค่ายดูผู้คนธงเธียวเต็มไปก็ตกใจ จึงปรึกษากันที่จะเข้ารบว่ายังมิทันขาดคำ พอเกิดลมพายุพัดหนักคลื่นใหญ่ คนจะยืนทำการก็ไม่ตรง ตัวเรือโจผีปิ้มจะล่ม โจจิ๋นนายทัพหน้าเห็นเรือพระเจ้าโจผีจวนล่มดังนั้น จึงให้บุนเพ่งเอาเรือเข้าช่วย พระเจ้าโจผีก็ลงเรือบุนเพ่ง ถอยไปทอดอยู่ในคลองที่ลับลม เรือรบแตกล่มประมาณสามสิบลำ
ฝ่ายขงเบ้งครั้นแจ้งในหนังสือพระเจ้าซุนกวนบอกมาขอกองทัพไปช่วยดังนั้น จึงเอาเนื้อความทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วว่า ขอให้จูล่งคุมทหารยกไปช่วยตามพระเจ้าซุนกวนบอกมา จูล่งได้ฟังดังนั้นก็ลาไปจัดแจงทหารแล้วก็ยกออกไปทางด่านยังเผงก๋วน จะไปตีเอาเมืองเซ่งอั๋นแดนพระเจ้าโจผี
ฝ่ายทหารสอดแนมเอาเนื้อความเข้ามาบอกพระเจ้าโจผีว่า จูล่งคุมทหารยกมาทางด่านยังเพงก๋วน จะเข้ามาตีเอาเมืองเรา พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้น ยิ่งตกใจนักจึงสั่งให้ถอยทัพกลับไปเมือง ทหารทั้งปวงรู้รับสั่งแล้วก็ถอยทัพกลับไป ฝ่ายชีเซ่งครั้นรู้ว่าพระเจ้าโจผีถอยทัพแล้วก็ขับทหารลงเรือรบไล่ติดตามพระ เจ้าโจผี ๆ ครั้นเห็นทัพเรือเมืองกังตั๋งไล่ติดตามมาดังนั้นก็ตกใจนัก จึงคิดว่าจะรบหน้าก็ระวังเบื้องหลัง จะหนีไปทางเรือเล่าก็อ้อม จึงสั่งทหารทั้งปวงว่า อย่าอาลัยแก่เข้าของเลย ถึงเรือรบทั้งปวงนั้นก็เผาเสียเถิด เร่งขึ้นบกยกไปให้ถึงเมืองโดยเร็ว ทหารทั้งปวงก็จอดเรือจะขึ้นบกบ้าง จุดไฟเผาเรืออยู่บ้าง
ฝ่ายซุนเสียวซึ่งคุมทหารดึงดันมานั้น เห็นพระเจ้าโจผีถอยทัพเผาเรือขึ้นบกดังนั้นก็จุดประทัดโห่ร้องขับทหารรบหัก เข้าไป ขณะนั้นทหารพระเจ้าโจผีครั้นข้าศึกรบเข้ามาทางบกดังนั้นตกใจนักกลับตัวไม่ ทันถูกอาวุธบ้าง โจนน้ำตายเปนอันมาก แลทหารซึ่งขึ้นบกได้ก็ต่อรบ ครั้นพระเจ้าโจผีขึ้นมาได้แล้วก็พากันหนีไป
ฝ่ายเตงฮองซึ่งยกทหารมาช่วยซุนเสียวนั้น ครั้นเห็นพระเจ้าโจผีแตกขึ้นบก ซุนเสียวไล่รบเร้าดังนั้นก็จุดประทัดโห่ร้องขับทหารเข้าสกัดกลางไว้ เตียวเลี้ยวนายทหารพระเจ้าโจผีเห็นเตงฮองรบเข้ามาดังนั้นก็ขับทหารเข้าต่อรบ เตงฮองก็ยิงเกาทัณฑ์มาถูกบั้นเอวเตียวเลี้ยว ซิหลงเห็นเตียวเลี้ยวถูกเกาทัณฑ์ดังนั้น ก็ขับม้าออกไปช่วยรบพลางถอยพลางพาพระเจ้าโจผีหนีพ้นไปได้ ทหารเมืองกังตั๋งซึ่งไล่ติดตามเก็บได้อาวุธเรือรบเข้าของฆ่าทหารโจผีล้มตาย เปนอันมาก แล้วนายทัพนายกองก็พากันกลับคืนมาเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนกวนก็พระราชทานรางวัลให้ตามบำเหน็จความชอบ
ฝ่ายเตียวเลี้ยวซึ่งถูกเกาทัณฑ์ ครั้นไปถึงเมืองพิษเกาทัณฑ์กลุ้มขึ้น เตียวเลี้ยวก็ตาย พระเจ้าโจผีเสร้าโศก แล้วสั่งเจ้าพนักงานให้จัดแจงแต่งการศพเตียวเลี้ยวไปฝังไว้ตามบันดาศักดิ์
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 66
https://drive.google.com/file/d/1cnJIR8UUf8wsFtYZRzlhriytVUFAfdQh/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 67
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-67.html
(https://1.bp.blogspot.com/-DIRT65Dr58c/XLCtfJuiEKI/AAAAAAAAtyU/KpFUGTs4QbIk0QghSoQvo3uzZoreEyYLACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2597.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 67
เนื้อหา
• ยงคี จูโพ โกเตง เป็นขบถต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยน
• ขงเบ้งคิดอุบายให้โกเตงฆ่ายงคีและจูโพ
• ขงเบ้งรบกับเบ้งเฮ็ก
• ขงเบ้งจับเบ้งเฮ็กได้ครั้งที่หนึ่ง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สามปี (พ.ศ. ๗๖๘) ขงเบ้งช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองหามีโจรผู้ร้ายไม่ เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ อาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเปนสุขทั้งแผ่นดิน ทหารเที่ยวสอดแนมเอาเนื้อความเข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า บัดนี้ยงคีเจ้าเมืองเกียมเหลง จูโพเจ้าเมืองโคกุ้น โกเตงเจ้าเมืองอวดจุ้น สามเมืองไปคบคิดกับเบ้งเฮ็กเจ้าเมืองมันอ๋อง ยกทหารสิบหมื่นมารบเมืองเองเฉียง ได้เมืองเองเฉียงแล้วจะยกมาตีเอาเมืองเรา บัดนี้อ้องค้างเจ้าเมืองเองเฉียงกับลิคีกงโจ สามคนนี้ยังรบป้องกันเมืองอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นเมืองเองเฉียงจะเสียอยู่แล้ว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นได้ฟังก็ตกใจ จึงว่ากับขงเบ้งว่า เราจะคิดประการใดดี ขงเบ้งจึงทูลว่า เพราะอ้ายเจ้าเมืองสามคนไส้ของเราออกเปนหนอน เบ้งเฮ็กจึงดูหมิ่นยกทหารมารบแดนเรา ครั้นจะจัดให้ผู้ใดยกออกไปรบก็ไม่เห็นใคร ข้าพเจ้าจะยกไปเอง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า ท่านจะยกออกไปรบข้างโน้นแล้ว ฝ่ายพระเจ้าโจผีพระเจ้าซุนกวนรู้จะยกมาตีเมืองเราจะทำประการใด
ขงเบ้งทูลว่า เมืองกังตั๋งเปนไมตรีกับเราแล้วเห็นจะไม่มา ถึงมาทว่าจะยกมาเล่าพวกเราตั้งอยู่เมืองเป๊กเต้ปากทางมา เห็นพอจะรบลกซุนทหารเมืองกังตั๋งได้ ฝ่ายพระเจ้าโจผีเล่าก็ยกไปรบเมืองกังตั๋ง ทหารพระเจ้าซุนกวนฆ่าฟันทหารเสียเปนอันมาก ยังจะจัดแจงทหารอยู่เห็นจะไม่ยกมาได้ อนึ่งด่านฮันต๋งเล่าม้าเฉียวก็คุมทหารตั้งรักษาอยู่ ฝ่ายกวนหินเตียวเปาก็คุมทหารเที่ยวตรวจตราอยู่พระองค์อย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะยกไปรบ ได้เบ้งเฮ็กแล้วจึงจะคิดทำการด้วยพระเจ้าโจผี ฉลองคุณพระเจ้าเล่าปี่สืบไป
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า การทั้งนี้สุดแต่ท่านจะคิดเถิด อองเลี้ยนที่ปรึกษาจึงว่า ท่านจะยกไปรบเบ้งเฮ็กนั้นข้าพเจ้าเห็นทางก็ไกลกันดารผีก็ร้ายความไข้ก็มาก อนึ่งเมืองเองเฉียงซึ่งเบ้งเฮ็กยกมารบนั้นเหมือนคนเปนไข้ไม่สู้หนักนัก พอจะให้แต่สานุศิษย์เอายาไปรักษาก็จะหาย ซึ่งตัวท่านจะไปนั้นข้าพเจ้าเห็นไม่ควร ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่ามาทั้งนี้ก็ควรอยู่ แต่เราเห็นว่าคนในที่นั้นเปนคนป่าหามีความคิดรู้จักผิดแลชอบไม่ จะให้ผู้อื่นยกไปนั้นเห็นมันจะไม่เกรงกลัว เราจึงจะยกไปเอง แต่อองเลี้ยนว่ากล่าวทัดทานถึงสามครั้งขงเบ้งก็มิฟัง ขงเบ้งจึงทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า พระเจ้าโจผีแตกกลับไปเมืองแล้ว จะขอให้หาจูล่งมาเปนนายกองทัพไปด้วย พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นชอบด้วย ขงเบ้งก็สั่งทหารม้าใช้ถือหนังสือไปถึงจูล่งกลับมา แล้วขงเบ้งก็พาจูล่งเข้าไปถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วออกไปจัดกองทัพอยู่นอกเมือง จึงตั้งให้จูล่งอุยเอี๋ยนสองคนเปนนายกองทัพ อองเป๋งกับเตียวเอ๊กคุมทหารเปนปีกซ้ายขวา เจียวอ้วนคุมทหารเปนสารวัดตรวจตรา ปีฮุยต๋งเคียด อ้วนเคียนสามคนนี้เปนที่ปรึกษา แลทหารในกองทัพห้าสิบหมื่น
ฝ่ายกวนสกลูกกวนอูเมื่อครั้งเสียเมืองเกงจิ๋วนั้นแตกหนีไปป่วยอยู่ ณ บ้าน เปาแก๋ ครั้นหายไข้แล้วจะเข้ามาเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน เดิรมาได้ยินเขาพูดกันว่าขงเบ้งจัดแจงทัพ ก็เข้าไปหาขงเบ้งแจ้งเนื้อความให้ฟังตามหนหลัง ขงเบ้งเห็นกวนสกไปว่ากล่าวดังนั้นลำลึกขึ้นได้ดีใจนัก จึงว่าเมื่อเสียเมืองเกงจิ๋วก็มิได้เห็นกัน คิดว่าล้มตายเสียแล้ว บัดนี้ท่านมาก็ดีแล้ว จึงตั้งกวนสกให้เปนนายทัพหน้า บอกหนังสือเข้าไปให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทราบแล้วก็ยกไป
ฝ่ายยงคีซึ่งไปเข้าด้วยเบ้งเฮ็กนั้น ครั้นรู้ว่าขงเบ้งยกทัพมาจึงคิดกัน แล้วจัดทหารเปนสามทัพ ยงคีคุมทหารไปทางกลาง จูโพคุมทหารไปทางซ้าย โกเตงคุมทหารไปทางขวา แล้วโกเตงแต่งให้งากฟันคุมทหารเปนกองหน้ายกไปก่อน ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกทัพมาใกล้เมืองเองเฉียง พบงากฟันคุมทหารออกมาดังนั้น จึงให้อุยเอี๋ยนคุมทหารออกรบ อุยเอี๋ยนขี่ม้าขับทหารเข้าไปแล้วร้องว่า อ้ายขบถมึงเร่งกลับใจเสียใหม่จึงจะพ้นตาย งากฟันมิได้ตอบประการใด ขับม้าเข้ารบด้วยอุยเอี๋ยนเปนสามารถ อุยเอี๋ยนก็ทำเปนควบม้าหนี งากฟันไม่ทันรู้กลก็ขับม้าไล่ติดตามไป
ฝ่ายเตียวเอ๊กอองเป๋งปีกซ้ายขวา ครั้นเห็นงากฟันไล่อุยเอี๋ยนเข้ามา ก็ขับทหารรบกระหนาบเข้าไปล้อมวงเข้าไว้ แล้วจับได้ตัวงากฟันมัดเข้าไปให้ขงเบ้ง ๆ ครั้นเห็นทหารมัดงากฟันเข้ามาดังนั้นดีใจนัก จึงสั่งให้แก้มัดงากฟันออกเสีย แล้วให้ยกโต๊ะมาให้งากฟันกิน ครั้นกินแล้วขงเบ้งจึงถามว่า ท่านเปนทหารใครใช้มา งากฟันจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเปนทหารของโกเตง ขงเบ้งได้ยินดังนั้นจึงว่า โกเตงคนนี้ซื่อตรงนัก เรารู้อยู่ว่าหาเปนขบถไม่ เพราะอ้ายยงคีโกหกไปอ้อนวอนว่ากล่าว โกเตงจึงหลงไปตามลิ้นมัน เราจะปล่อยท่านให้ไปบอกโกเตงให้มาหาเราโดยดีจึงจะพ้นโทษ งากฟันดีใจนักกราบลงแล้วก็ลาไป ครั้นถึงโกเตงจึงเล่าเนื้อความให้โกเตงฟังทุกประการ แล้วว่าอันน้ำใจขงเบ้งนั้นดีนัก โกเตงได้ฟังงากฟันว่าดังนั้นจึงว่าขอบใจ ขงเบ้งนี้น้ำใจดีจริง
ฝ่ายยงคีครั้นรุ่งเช้าเข้ามา ณ ค่ายโกเตงจึงถามว่า วานนี้งากฟันยกออกไปรบกับขงเบ้ง ๆ จับได้ตัวไปแล้วทำไมจึงกลับมาได้เล่า โกเตงจึงบอกว่า ขงเบ้งนํ้าใจดีนัก จับงากฟันได้แล้วไม่ฆ่าเสียปล่อยมา ยงคีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าขงเบ้งมีความคิดแกล้งปล่อยงากฟันมาครั้งนี้หวังจะทำให้เราผิดกัน โกเตงได้ยินยงคีว่าดังนั้นเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างคิดคลางแคลงใจอยู่ พอทหารเข้ามาบอกว่า อุยเจี๋ยนคุมทหารยกมารบเรา
ยงคีได้ฟังดังนั้นก็โกรธกลับไปค่าย แล้วคุมทหารออกไปรบอุยเอี๋ยนสู้กันเปนสามารถ ยงคีเสียทีก็แตกขับม้ากลับมาเข้าค่าย อุยเอี๋ยนเห็นทัพยงคีแตกดังนั้นก็ขับม้าไล่ติดตาม ครั้นไม่ทันแล้วก็กลับคืนไปค่าย ขงเบ้งจึงสั่งทหารทั้งปวงว่าในสามวันนี้ ถ้าข้าศึกจะยกออกมารบอย่าให้ทหารเราออกรบ
ฝ่ายยงคีครั้นรุ่งเช้าแล้วก็ขับทหารออกไปชวนรบถึงหน้าค่าย ขงเบ้งก็มิได้ขับทหารออกมารบถึงสามวัน ครั้นครบสามวันแล้วขงเบ้งจึงสั่งเตียวเอ๊กอองเป๋งเปนปีกซ้ายขวาว่า พรุ่งนี้ท่านจงคุมทหารไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าทั้งสองข้างทาง ถ้ายงคีโกเตงยกมาแล้วเร่งรบกระหนาบจับทหารทั้งสองเหล่ามาให้ได้ แล้วทำพูดจาอาการให้มันรู้ว่า พวกโกเตงถึงจับตัวได้ก็ไม่ฆ่าเสียจะปล่อยไป ถ้าพวกยงคีแล้วจับได้จะให้ฆ่าเสีย
ฝ่ายยงคีโกเตงครั้นรุ่งเช้าก็จัดแจงคุมทหารไปเปนสองทาง ครั้นถึงค่ายขงเบ้งแล้วขับทหารโห่ร้องเข้ารบ ขงเบ้งครั้นเห็นโกเตงยงคียกทัพมาเปนสองทางดังนั้น จึงให้อุยเอี๋ยนคุมทหารออกมารบทั้งสองทาง อุยเอี๋ยนขึ้นม้าออกมาแล้วจัดทหารให้รบโกเตงพวกหนึ่ง รบยงคีพวกหนึ่ง แล้วอุยเอี๋ยนก็ขับม้าเข้ารบด้วยโกเตงยงคีเปนสามารถ ยังมิทันแพ้ชนะกัน พอเตียวเอ๊กอองเป๋งทหารกองซุ่มสองข้างทาง โห่ร้องยกออกมาล้อมกระหนาบเข้าไว้ฆ่าฟันทหารโกเตงยงคีล้มตายเปนกันมาก แล้วจับได้ทหารทั้งสองพวกจึงทำร้องบอกเพื่อนกันว่า จับได้ทหารโกเตงอย่าให้ฆ่า ถ้าเปนทหารยงคีก็ฆ่าเสียเถิด แล้วก็มัดทหารเหล่านั้นพาไปให้ขงเบ้ง ณ ค่าย
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ดีใจนัก จึงสั่งให้ทหารพวกยงคีเข้ามาก่อน ขงเบ้งจึงถามว่า เองเปนบ่าวของใคร ฝ่ายทหารยงคีได้ยินดังนั้นก็ตกใจนัก จึงคิดว่าครั้นจะบอกไปตามจริงเล่าเขาก็จะฆ่าเสีย จึงพร้อมกันกราบลงบอกว่า ข้าพเจ้าเปนทหารโกเตง ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็ให้แก้มัดเสีย แล้วจึงว่าเองเปนทหารโกเตงแล้วเราไม่ฆ่า ถ้าเปนทหารยงคีจึงจะฆ่าเสีย แล้วสั่งให้ยกเหล้าเข้ามาให้กินแล้วก็ขับปล่อยไป จึงสั่งให้เอาทหารพวกโกเตงเข้ามาแล้วจึงถามว่า เองเปนบ่าวผู้ใด ทหารโกเตงจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเปนทหารโกเตง ขงเบ้งได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้แก้มัดออกแล้วให้เอาเหล้าเข้าให้กิน จึงว่ากูปล่อยมึงไปครั้งนี้อย่าได้กลับมารบ ถ้ากลับมารบจับได้จะให้ฆ่าเสีย แล้วสั่งความไปให้บอกโกเตงว่า ยงคีรู้ตัวกลัวความผิดใช้คนให้มาหาเราว่า จะขอตัดเอาสีสะโกเตงจูโพมาให้เราหวังจะแก้โทษซึ่งทำผิดมาแต่หลัง เราคิดเอ็นดูว่าโกเตงเปนคนซื่อตรงนัก เองเร่งเอาความไปบอกนายให้ระวังตัว ทหารโกเตงกราบแล้วก็รีบไป ครั้นถึงเอาความที่ขงเบ้งว่านั้นบอกให้โกเตงฟังทุกประการ
โกเตงได้ฟังทหารมาบอกดังนั้นก็สดุ้งตกใจ จึงสั่งคนใช้ไปคอยระวัง ณ ค่ายยงคีเขาจะคิดอ่านประการใด คนใช้ก็ไปตามสั่ง ฝ่ายทหารยงคีครั้นขงเบ้งปล่อยมาถึงค่ายแล้ว เอาเนื้อความบอกให้เพื่อนกันฟังว่า ขงเบ้งนํ้าใจดีนัก แล้วว่าครั้งนี้พวกเราได้อาศรัยชื่อโกเตงจึงรอดตัวพ้นความตาย คนใช้โกเตงได้ยินทหารยงคีพูดกันดังนั้น ก็เอาเนื้อความมาบอกโกเตงทุกประการ โกเตงได้ยินดังนั้นก็ยังสงสัยอยู่ จึงใช้ให้ทหารไปสอดแนมดู ณ ค่ายขงเบ้ง ว่ายงคีจะใช้ให้คนไปว่าประการใดบ้าง
ฝ่ายขงเบ้งจึงสั่งทหารทั้งปวงว่า ให้สอดแนมจับตัวทหารโกเตงมาให้ได้ เมื่อได้ตัวแล้วมัดมาส่งเรานั้นให้แกล้งว่ามันเปนทหารยงคี ทหารรับคำแล้วก็รายกันไปเที่ยวสอดแนมตามสั่ง ครั้นพบทหารโกเตงจับมัดเข้ามาแล้วแกล้งพูดกันว่า อ้ายนี่ทหารยงคี ทหารต้องมัดก็เถียงว่า ข้าพเจ้ามิใช่บ่าวยงคี ว่าเท่าไรทหารขงเบ้งก็มิฟัง จึงพาเอาตัวไปบอกขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าจับได้ทหารยงคีมา
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้แก้มัดออกแล้วจึงว่า ยงคีนายของเอ็งใช้ให้คนมาหากู นัดไว้ว่าในสี่วันจะตัดสีสะโกเตงจูโพมาให้กู แล้วเหตุใดจึงเกินสัญญาไปเล่า กูไม่ฆ่ามึงแล้วจะปล่อยให้ถือหนังสือไปให้ยงคี ให้เร่งตัดสีสะโกเตงจูโพมาให้กูตามสัญญา จึงเขียนหนังสือส่งให้แล้วปล่อยไป แล้วขงเบ้งจึงเขียนเปนหนังสือของจูโพให้มาใส่หีบเก็บไว้ฉบับหนึ่ง ทหารโกเตงพ้นตายแล้วก็ดีใจรับเอาหนังสือรีบไปถึงค่าย จึงเอาหนังสือส่งให้โกเตงแล้วเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ
โกเตงเห็นหนังสือแลฟังทหารบอกดังนั้นสำคัญว่าจริงก็โกรธนัก จึงว่าแก่งากฟันว่า เราทำการซื่อตรงต่อมิตรควรหรือเขากลับจะทำร้ายเราเล่า เราจะคิดกะไรดี งากฟันจึงว่า เราทำการที่ผิดทั้งนี้เพราะยงคีอ้อนวอนว่ากล่าว บัดนี้ขงเบ้งรู้อยู่แล้วจับได้ไม่ฆ่าเสียกลับปล่อยมานับว่ามีคุณต่อเรา ครั้นเราจะทำการผิดไปอีกเล่าก็ไม่ควร นานไปเห็นไม่พ้นความตาย เราจะคิดอ่านตัดเอาสีสะยงคีไปให้ขงเบ้งจึงจะแก้ความผิดได้
โกเตงได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงว่าทำกะไรจึงจะได้สีสะยงคี งากฟันจึงว่า ถ้ากระนั้นเราจะลวงแต่งโต๊ะแล้วให้ไปเชิญมาให้กินโต๊ะ ถ้ายงคีตรงต่อเราอยู่ก็จะมาโดยดี ถ้าไม่มาเห็นว่าคิดคดเปนแท้แล้ว ก็เชิญท่านยกเข้าตีข้างหน้า ข้าพเจ้าจะเข้าตีข้างหลังจับตัวตัดเอาสีสะไปให้ขงเบ้งให้จงได้ โกเตงได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้แต่งโต๊ะแล้วให้ทหารไปเชิญยงคีไปกินโต๊ะ ทหารก็ไปเชิญยงคีตามสั่ง
ยงคีได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยแคลงว่าโกเตงจะทำร้าย จึงว่าป่วยท้องอยู่ไปมิได้ ทหารเอาเนื้อความไปบอกโกเตงตามคำยงคีว่า โกเตงโกรธนัก จึงว่าแก่งากฟันว่า มันคิดร้ายเราแน่จริงแล้ว ครั้นเวลาคํ่าโกเตงคุมทหารไปข้างหน้าค่าย งากฟันนั้นคุมทหารเข้าตีข้างหลังค่าย เสียงทหารโกเตงโห่ร้องรบกระหนาบเข้าไปอื้ออึง ทหารยงคีพวกที่ขงเบ้งปล่อยมานั้นเห็นโกเตงรบเข้ามา ก็ชวนกันคิดถึงคุณโกเตงกลับเปนใจเข้าด้วยโกเตง แล้วฆ่าฟันทหารยงคีอลหม่านขึ้นในค่าย
ฝ่ายยงคีเห็นโกเตงยกมารบ แลทหารในค่ายเปนใจไปเข้าด้วยดังนั้นก็ตกใจนัก เห็นจะสู้มิได้แล้วก็ขึ้นม้าควบหนีออกไปทางหลังค่าย พองากฟันคุมทหารเข้าตีทางหลังนั้นพบยงคี งากฟันขับม้าไล่เอาทวนแทงถูกยงคีตกม้าตายแล้วตัดเอาสีสะยงคีไป ฝ่ายทหารยงคีทั้งนั้นก็เข้าด้วยโกเตงสิ้น โกเตงก็พาทหารทั้งสองพวกแลสีสะยงคีไปให้ขงเบ้ง แล้วคำนับตามธรรมเนียม ขงเบ้งครั้นเห็นโกเตงเอาทหารแลสีสะยงคีเข้ามาก็สมความคิด จึงทำเปนโกรธแล้วร้องสั่งทหารให้เอาตัวโกเตงไปฆ่าเสีย
โกเตงได้ยินขงเบ้งว่าดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ข้าพเจ้าคิดถึงคุณจึงตัดเอาสีสะยงคีมาให้ท่าน เปนไรท่านจึงจะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียเล่า ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า จูโพให้มีหนังสือมาถึงเราว่า ท่านกับยงคีคบกันกินน้ำสบถไว้ว่าจะร่วมชีวิตเปนตายด้วยกันแล้วคิดร้ายต่อยง คี ท่านกลับไปบอกจูโพว่า จะเข้ามาหาเราโดยดีนั้นกลัวว่าเราจะสงสัย ท่านจะทำการไม่สนิธ จึงแกล้งตัดเอาสีสะยงคีมาทั้งนี้หวังจะให้เราเชื่อ ถ้าท่านเห็นเราไว้ใจแล้วจึงจะทำร้ายเราต่อภายหลังนั้นเราไม่รู้เท่าหรือ แล้วโยนหนังสือซึ่งเขียนไว้นั้นไปให้โกเตงดู
โกเตงเห็นหนังสือจูโพดังนั้นสำคัญว่าจริงก็ตกใจนัก เอามือตบอกเข้าแล้วว่า จูโพมันชังข้าพเจ้าจึงแกล้งให้หนังสือมาทั้งนี้ หวังจะให้ท่านฆ่าข้าพเจ้าเสีย ท่านอย่าเพ่อเชื่อมันก่อน ขงเบ้งจึงว่าท่านว่ามาทั้งนี้เราหาเห็นจริงไม่ เมื่อไรได้ตัวจูโพมาแล้วเราจึงจะเห็นจริง โกเตงจึงว่าท่านอย่าสงสัยเลย ข้าพเจ้าจะขอไปเอาสีสะจูโพมาให้ท่านจงได้ ขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านว่าดังนั้นเราจะปล่อยให้ท่านไปดูทีหนึ่งก่อน ถ้าได้สีสะจูโพมาแล้วเราจึงจะเห็นจริง แล้วก็ยอมให้โกเตงไป โกเตงกราบลงแล้วก็ลาขงเบ้งไป โกเตงกับงากฟันก็คุมทหารตรงไป ณ ค่ายจูโพ
ฝ่ายจูโพครั้นรู้ว่าโกเตงมาดังนั้น ก็ขึ้นม้าออกมารับถึงนอกค่าย แล้วยืนพูดกันอยู่บนหลังม้า โกเตงจึงว่าแก่จูโพว่า ทำไมท่านจึงเขียนหนังสือไปให้ขงเบ้ง แกล้งจะให้ขงเบ้งฆ่าเราเสียนั้นทำดีแล้วหรือ จูโพได้ยินโกเตงว่าดังนั้นก็ตกตะลึงไปคิดฉงนอยู่มิทันว่าประการใด งากฟันยืนม้าอยู่ข้างหลังแทงด้วยทวนตกม้าตาย โกเตงจึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า อย่าตื่นตกใจให้มาเข้าอยู่กับเราทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดไม่เข้าด้วยจะฆ่าเสีย เหล่าทหารทั้งปวงออกมากราบลงแล้วก็ยอมเข้าอยู่ด้วยโกเตงทั้งสิ้น โกเตงก็ตัดเอาสีสะจูโพแล้วคุมทหารนั้น ไปให้ขงเบ้ง ๆ ครั้นเห็นโกเตงพาเอาทหารกับสีสะจูโพมาดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ขอบใจนักหนาเราเห็นความจริงท่านแล้ว จึงตั้งให้โกเตงเปนเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว งากฟันเปนปลัด ให้ว่ากล่าวคุมทหารทั้งสามเมือง
ฝ่ายเบ้งเฮ็กซึ่งคุมทหารมาล้อมเมืองเองเฉียงอยู่นั้น ครั้นรู้ว่าขงเบ้งยกมา แลโกเตงฆ่ายงคีแลจูโพเสีย แล้วพาทหารกลับไปเข้ากับขงเบ้งนั้นก็ตกใจ สั่งให้เลิกทัพถอยกลับไปเมือง
ฝ่ายอ้องค้างเจ้าเมืองเองเฉียง ครั้นเห็นเบ้งเฮ็กถอยทัพไปดังนั้นก็ออกไปคำนับรับขงเบ้งเชิญเข้าไปในเมือง ขงเบ้งจึงถามอ้องค้างว่า ท่านครองเมืองอยู่นี้ได้ผู้ใดเปนที่ปรึกษาหารือ อ้องค้างว่าข้าพเจ้าได้ลิคีคนนี้เปนที่ปรึกษา ขงเบ้งจึงถามลิคีว่าท่านอยู่เมืองนี้ยังรู้แห่งทางจะไปเมืองมันอ๋องหรือไม่ ลิคีจึงบอกว่า ทางไปเมืองมันอ๋องนั้น ข้าพเจ้าได้เคยไปมาอยู่ ที่จะขัดสนน้ำท่านั้นข้าพเจ้ารู้อยู่ จึงเอาแผนที่ออกมาให้ขงเบ้งดู ขงเบ้งครั้นเห็นแผนที่แล้วก็ดีใจ จึงว่าลิคีรู้แห่งทางเราจะเอาไปด้วย
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นขงเบ้งยกไปแล้ว จึงให้ม้าเจ๊กคุมสิ่งของเครื่องเสบียงไปพระราชทานขงเบ้ง ครั้นถึงเมืองเองเฉียงก็เข้าไปหาขงเบ้ง กระทำคำนับแล้วเอาสิ่งของพระราชทานให้ จึงเล่าเนื้อความตามรับสั่ง ขงเบ้งรับของพระราชทานแล้วแจกนายทัพนายกองทั้งปวงแล้วถามม้าเจ๊กว่า เปนไรท่านจึงนุ่งขาวห่มขาวมาฉนี้ ม้าเจ๊กจึงบอกขงเบ้งว่า ม้าเลี้ยงพี่ชายข้าพเจ้าเปนไข้ตาย ขงเบ้งได้ฟังก็คิดเสียดายแล้วปราสัยถามม้าเจ๊กว่า เราจะยกไปตีเมืองมันอ๋องครั้งนี้คิดประการใดจึงจะดี ม้าเจ๊กจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าชาวเมืองมันอ๋องนั้นเปนคนนํ้าใจแขงกระด้างนัก ไม่รู้จักเจ็บจักอาย ถึงมาทว่าจะตีแตกไปดีร้ายมันก็จะยกมาใหม่ ถ้ามิทันรู้คิดแต่ว่าชนะมันแล้วจะกลับยกไปรบพระเจ้าโจผี ข้างนี้มันก็จะยกไปตีเอาเมืองเรา จำจะทำจงสาหัสให้มันเกรงกลัวจงหนักก่อนจึงจะกลับไปได้
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่านั้นเหมือนเราคิดไว้ แต่เมื่อจะไปนั้นเราจะเอาท่านไปด้วย จึงตั้งม้าเจ๊กเปนนายทหารตรวจตราในกองทัพแล้วก็ยกไป
ฝ่ายเบ้งเฮ็กครั้นรู้ว่าขงเบ้งยกทัพล่วงเข้ามาในแดน จึงให้หากิมห้วนเจ้าเมืองสำกิก สุนาเจ้าเมืองมิตอง ห้วยหลำเจ้าเมืองไหอำ สามคนนี้เข้ามาแล้วจึงว่า บัดนี้ขงเบ้งยกทัพล่วงเข้ามาถึงแดนเมืองเรา เราจะให้ท่านทั้งสามคนยกทัพออกไปรบเปนสามทาง กิมห้วนคุมทหารห้าหมื่นยกออกไปรับทางกลาง สุนาคุมทหารห้าหมื่นยกทัพออกไปรับทางข้างซ้าย ห้วยหลำคุมทหารห้าหมื่นยกออกไปตั้งรับทางข้างขวา ถ้าผู้ใดมีชัยชนะมาเราจะตั้งผู้นั้นให้เปนนายใหญ่ กิมห้วนสุนาห้วยหลำได้ฟังเบ้งเฮ็กว่าดังนั้น ต่างคนต่างคุมทหารแล้วก็ยกไปตามสั่ง
ฝ่ายกองสอดแนมก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ขงเบ้ง ๆ ได้ฟังดังนั้น จึงคิดกลอุบายจะให้จูล่งอุยเอี๋ยนยกไป แต่ขงเบ้งก็มิได้ว่าประการใด สั่งให้หาอองเป๋งม้าตงเตียวเอ๊กเตียวหงีสี่คนเข้ามาแล้วว่า บัดนี้เบ้งเฮ็กให้ทหารยกกองทัพมาเปนสามทาง ครั้นเราจะให้จูล่งอุยเอี๋ยนยกไป เห็นว่าสองคนนี้ไม่รู้ที่ทางเปนประการใด อองเป๋งจงคุมทหารไปรบทางซ้าย ม้าตงจงคุมทหารไปรบทางขวา เตียวหงีเตียวเอ๊กสองคนนี้ไปรบทางกลาง จัดกันให้พร้อมพรุ่งนี้จะให้ยกไป อองเป๋งม้าตงเตียวหงีเตียวเอ๊กสี่คนก็ลาออกไปจัดแจงทำตามรับสั่ง
จูล่งอุยเอี๋ยนอยู่ที่นั้นเห็นขงเบ้งเรียกมาแล้วไม่ใช้ กลับให้คนอื่นไปก็โกรธจึงว่า เปนไรท่านไมใช้ข้าพเจ้า ขงเบ้งเห็นจูล่งอุยเอี๋ยนโกรธจึงว่า มิใช่จะไม่ใช้ท่าน แต่เห็นว่าที่ทางเมืองนี้เดิรยาก ท่านก็ยังไม่เจนก่อน เกลือกฉุกละหุกก็จะเสียที การยังมีมากอยู่ข้างหน้าท่านอย่าปรารมภ์ที่จะไม่ใช้ จูล่งอุยเอี๋ยนก็ลาออกไป แล้วจูล่งจึงว่ากับอุยเอี๋ยนว่า เราเปนนายทหารผู้ใหญ่ ขงเบ้งมิได้ใช้เรากลับใช้ทหารผู้น้อยไปนั้นเราอายนัก อุยเอี๋ยนจึงว่า เราสองคนมาจะออกไปเที่ยวดูพอจะจับคนได้ ถ้าได้คนมาแล้วจะให้มันนำทางรีบยกไปชิงตีเสียก่อน
จูล่งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย แล้วอุยเอี๋ยนจูล่งสองคนก็ขึ้นม้าลอบออกไปพ้นค่ายประมาณห้าสิบเส้น ได้ยินเสียงคนจึงขึ้นบนภูเขาแลดูไปเห็นคนเดิรมาประมาณยี่สิบคน จูล่งอุยเอี๋ยนก็ขับม้าลงไปไล่จับได้ห้าคนแล้วมัดจูงมาถึงค่าย จึงว่าเองเร่งนำทางเราไปให้พบค่ายกิมห้วนสุนาห้วยหลำแล้ว เราไม่ฆ่าเสียจะปล่อยเองไป ทหารเบ้งเฮ็กกลัวความตายจึงว่า ข้าพเจ้าจะนำทางให้ อันกิมห้วนนายทัพนั้นตั้งอยู่ทางกลางหว่างซอกเขา ทางเข้าไปได้ถึงค่ายตวันตกทางหนึ่งตวันออกทางหนึ่ง แล้วเดิรไปข้างตวันตกถึงหลังค่ายห้วยหลำ เดิรไปทางตวันออกถึงหลังค่ายสุนา จูล่งอุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้น จึงจัดทหารซึ่งมีฝีมือกล้าหาญข้างละห้าพันแล้วยกแต่เพลากลางคืน เอาทหารซึ่งจับได้ให้นำทาง ครั้นถึงค่ายกิมห้วนเพลาประมาณสิบทุ่ม เห็นทหารในค่ายหุงเข้าอยู่ จูล่งอุยเอี๋ยนก็แยกกันเข้าทั้งสองทางแล้วจุดประทัดโห่ร้องขับทหารรบเข้าไป ถึงค่าย
ฝ่ายทหารกิมห้วนนั้นสารวลหุงเข้าอยู่ ครั้นเห็นข้าศึกโห่ร้องเข้ามาดังนั้นก็ตกใจมิทันจัดแจงก็แตกวุ่นไป กิมห้วนเห็นทหารแตกวิ่งไปดังนั้นก็ตกใจเผ่นขึ้นม้าควบหนีไป จูล่งขับม้าไล่ไปทัน กิมห้วนกลับม้าจะสู้ จูล่งก็แทงด้วยทวนกูกกิมห้วนตกม้าตายแล้วตัดสีสะไว้ แลทหารกิมห้วนล้มตายแตกหนีไป จูล่งก็ยกไปตีหลังค่ายห้วยหลำทางตวันตก อุยเอี๋ยนก็ยกจะไปตีหลังค่ายสุนาทิศตวันออก
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ยินทหารเข้ามาบอกว่า จูล่งอุยเอี๋ยนไปจับได้คนมาไต่ถาม แล้วยกทหารไปแต่กลางคืนดังนั้นดีใจนัก จึงหยิบเอาแผนที่ออกมาดู แล้วให้นายทัพนายกองซึ่งจัดไว้นั้นมาจัดใหม่ ครั้นนายทัพนายกองทั้งปวงมาพร้อมแล้วจึงว่า บัดนี้จูล่งอุยเอี๋ยนยกไปตีค่ายที่เราใช้ท่านเหล่านี้แล้ว อองเป๋งม้าตงเร่งยกหนุนไปช่วยจูล่งอุยเอี๋ยน แล้วตีค่ายสุนาห้วยหลำ ถ้าสุนาแตกแล้วเห็นจะหนีไปทางทิศตวันออกซอกเขา ให้เตียวหงียกทหารไปคอยทางซอกเขาทิศตวันออก จับเอาตัวสุนาให้ได้ ห้วยหลำเล่าถ้าแตกแล้วดีร้ายจะหนีไปทางซอกเขาทิศตวันตก ให้เตียวเอ๊กยกทหารไปคอยที่ทางซอกเขาทิศตวันตก จับตัวห้วยหลำมาให้ได้ แล้วสั่งกวนสกให้คุมทหารหนุนไป เห็นหนักไหนให้ช่วยกันเอาชัยชนะให้ได้ นายทัพนายกองทั้งสี่รับคำแล้วก็รีบยกไปตามคำสั่ง
ขณะเมื่ออุยเอี๋ยนยกมาถึงหลังค่ายสุนา พอเวลารุ่งแล้วก็เร่งขับทหารโห่ร้องรบเข้าไปหักเอาค่าย ฝ่ายสุนาครั้นเห็นข้าศึกโห่ร้องรบเข้ามาดังนั้น ก็ขับทหารต่อรบอยู่ อองเป๋งครั้นยกมาใกล้ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึง ก็ขับทหารรบขนาบเข้าไปข้างหน้าค่าย สุนาเห็นข้าศึกรบกระหนาบเข้ามาข้างหน้าค่ายหลังค่าย ฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก เห็นจะสู้ไม่ได้ก็ขึ้นม้าคุมทหาร ออกจากค่ายหนีไปทิศตวันออก
ฝ่ายจูล่งยกมาถึงหลังค่ายห้วยหลำ เห็นเวลารุ่งแล้วก็ขับทหารเข้าหักเอาค่าย ห้วยหลำครั้นเห็นข้าศึกยกมาตีค่ายดังนั้น ก็ขับทหารออกมาต่อรบ ฝ่ายม้าตงได้ยินเสียงโห่ร้องก็ขับทหารรบเข้าไปข้างหน้าค่ายห้วยหลำ ๆ ครั้นเห็นข้าศึกรบล้อมค่ายเข้ามาฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมากเห็นจะสู้มิได้ ก็ขี่ม้าคุมทหารออกจากค่ายหนีไปทิศตวันตก จูล่งอุยเอี๋ยนครั้นตีทัพสุนาห้วยหลำแตกหนีไป ต่างคนต่างคุมทหารไล่ติดตามแต่หนทางเดิรยาก ครั้นไล่ไม่ทันแล้วก็ยกกลับมา
ฝ่ายเตียวหงียกทหารไปซุ่มอยู่ที่ซอกเขาทิศตวันตก คอยจะจับห้วยหลำ ครั้นสุนาห้วยหลำหนีมาถึงที่นั้น ต่างคนต่างโห่ร้องล้อมจับเอาตัวสุนาห้วยหลำได้แล้วก็มัดเอาตัวมา ขณะนั้นจูล่งอุยเอี๋ยนกลับมาก่อน ครั้นถึงค่ายแล้วก็เอาสีสะกิมห้วนเข้าไปให้ขงเบ้ง แล้วบอกว่าข้าพเจ้าตีค่ายสุนาห้วยหลำแตกสิ้นแล้ว ไล่ติดตามเอาตัวไม่ทันมันหนีไปได้
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่าท่านไปรบให้มันหนีไปได้นั้นเรา ให้จับตัวได้ทั้งสองคนแล้ว จูล่งอุยเอี๋ยนได้ยินขงเบ้งว่าดังนั้นจึงว่า อ้ายสองคนข้าพเจ้าไล่มันไปเมื่อกี้ เหตุใดท่านจึงว่าจับไว้ได้นั้นข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ว่ากันยังมิทันขาดคำพอเตียวเอ๊กเตียวหงีมัดเอาตัวสุนาห้วยหลำเข้ามาให้ ขงเบ้ง จูล่งอุยเอี๋ยนแลทหารทั้งปวงเห็นมัดสุนาห้วยหลำมาดังนั้นก็ตกใจ ต่างคนต่างสรรเสริญความคิดขงเบ้งเปนอันมาก
ขงเบ้งเห็นหน้าจูล่งอุยเอี๋ยนแลทหารทั้งปวงสงสัยอยู่ดังนั้นจึงบอกเนื้อ ความออกให้ฟังว่า เราตรึกตรองคิดการแจ้งในแผนที่แล้ว เห็นว่ามันจะหนีไปทางนั้น จึงแกล้งทำเปนไม่ใช้ท่าน หวังจะให้ท่านทั้งสองมานะไปทำการเอง แล้วกลับใช้นายทหารทั้งสี่ยกไปสกัดอยู่จึงจับสุนาห้วยหลำได้ แล้วขงเบ้งให้แก้มัดสุนาห้วยหลำออกเสีย ให้เสื้อผ้านุ่งห่มยกโต๊ะมาเลี้ยง แล้วว่าท่านสองคนนี้หามีความผิดกับเราไม่ เพราะกลัวเบ้งเฮ็กจึงยกมารบทั้งนี้ เราคิดเอ็นดูไม่ฆ่าเสียจะปล่อยไป แต่ว่าทีนี้ท่านอย่าฟังคำเบ้งเฮ็กยกกลับมารบเราอีกเลย
สุนาห้วยหลำได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงว่าท่านโปรดไว้ชีวิตแล้วข้าพเจ้าไม่มารบท่านอีกเลย กราบลงแล้วก็ลาไป ขงเบ้งครั้นปล่อยสุนาห้วยหลำไปแล้ว ก็ดูแผนที่ตรึกตรองคิดกลอุบาย แล้วจึงว่าพรุ่งนี้ดีร้ายเบ้งเฮ็กจะยกมารบเรา ให้จูล่งคุมทหารห้าพันไปคอยอยู่ ณ หัวเขากิมไต๋ อุยเอี๋ยนคุมทหารห้าพันไปคอยอยู่ ณ ท้ายเขาช่องแคบ ให้อองเป๋งกวนสกสองคนคุมทหารไปรบเบ้งเฮ็กแล้วทำถอยให้ไล่มา เตียวเอ๊กเตียวหงีคุมทหารไปซุ่มอยู่ในป่าริมทางข้างซ้ายแลขวา ช่วยกันรบกระหนาบจับเอาตัวเบ้งเฮ็กมาให้ได้ นายทัพนายกองทั้งปวงรับคำแล้วก็จัดแจงยกไปทำตามสั่ง
ฝ่ายทหารสอดแนมเอาเนื้อความเข้าไปบอกเบ้งเฮ็กว่า สุนาห้วยหลำนั้นทหารขงเบ้งจับได้ แต่กิมห้วนนั้นตายในที่รบ เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงจัดแจงทัพพร้อมแล้ว ครั้นรุ่งเช้าก็ยกออกไป อองเป๋งกวนสกสองนายเห็นเบ้งเฮ็กยกทัพมาดังนั้น ก็ขี่ม้าถือง้าวขับทหารออกมา
ฝ่ายเบ้งเฮ็กเห็นดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เขาลือว่าขงเบ้งนั้นมีสติปัญญา เหตุใดจึงจัดแจงทหารให้ยกมาไม่เปนกระบวร เห็นไม่สมกับคนเลื่องลือเลย แม้รู้ว่าความคิดขงเบ้งเช่นนี้ ไหนเราจะนิ่งช้าถึงเพียงนี้ จะไปตีเมืองเสฉวนมิได้แล้วหรือ จึงถามทหารทั้งปวงว่า ใครจะอาสาไปรบจับเอานายทัพมาให้เราได้
เงียมเตียงทหารรับอาสา แล้วก็ถือง้าวขับม้าเข้ารบด้วยอองเป๋ง ๆ กวนสกรบอยู่กับเงียมเตียงประมาณห้าเพลง แล้วทำเสียทีหนีพลางรบพลาง เบ้งเฮ็กเห็นข้าศึกถอยหนีไปดังนั้น ก็ขับทหารรบไล่ติดตามไปประมาณห้าร้อยเส้น ฝ่ายเตียวหงีเตียวเอ๊กซึ่งคุมทหารมาซุ่มอยู่สองข้างทางนั้น ก็โห่ร้องขับทหารรบกระหนาบออกมาทั้งสองข้างทาง อองเป๋งกวนสกนั้นครั้นเห็นทหารกระหนาบออกมา ก็กลับม้าขับทหารเข้ามาฆ่าฟันทหารเบ้งเฮ็กล้มตายเปนอันมาก
ฝ่ายเบ้งเฮ็กครั้นเห็นทัพรบกระหนาบมาฆ่าฟันทหารล้มตายดังนั้น เห็นสู้มิได้ก็ขับม้าคุมทหารรบหักออกไปข้างหัวเขากิมไต๋ อองเป๋งกวนสกเตียวหงีเตียวเอ๊กสี่นาย ครั้นเห็นเบ้งเฮ็กหนีก็คุมทหารไล่ตามไป
ฝ่ายจูล่งซึ่งคอยอยู่หัวเขานั้น เห็นเบ้งเฮ็กคุมทหารหนีมาดังนั้นก็ขับทหารออกสกัดรบไว้ เบ้งเฮ็กครั้นเห็นจูล่งคุมทหารสกัดรบอยู่ข้างหน้าดังนั้นตกใจ ก็ลัดหนีทางช่องแคบไปตามท้ายเขา จูล่งไล่ติดตามรบจับได้ทหารแล้วมัดไว้เปนอันมาก เบ้งเฮ็กหนีเข้าไปทางช่องแคบ ทหารติดตามไปด้วยประมาณห้าสิบคน แลทางแคบนักจะขี่ม้าไปมิได้ก็ทิ้งม้าเสียลงเดิรรีบไป ครั้นเห็นพวกข้าศึกสกัดอยู่ข้างหน้าดังนั้นก็ตกใจนัก มิรู้ที่จะไปแห่งใดก็ปีนจะหนีขึ้นบนเขา ฝ่ายอุยเอี๋ยนคอยอยู่ท้ายเขาเห็นเบ้งเฮ็กหนีขึ้นเขา ก็ขับทหารเข้าไล่จับได้ตัวเบ้งเฮ็ก แลทหารก็มัดเอาตัวมา ครั้นไปถึงค่ายพร้อมกันแล้ว ก็เอาเนื้อความบอกขงเบ้งทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงสั่งให้แต่งโต๊ะแลเหล้าเข้าไว้จงมาก แล้วจัดแจงที่ทางค่ายคูให้ทหารยืนถืออาวุธเจ็ดชั้น ทำให้เปนสง่าแล้วขงเบ้งขึ้นนั่งที่สมควร จึงสั่งให้เอาทหารซึ่งมัดไว้นั้นเข้ามาก่อน ครั้นเอาทหารเข้ามาพร้อมแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้แก้มัดออกแล้วร้องว่า คนทั้งปวงเปนแต่ไพร่พลเมือง เบ้งเฮ็กเกณฑ์เอาตัวมารบขัดเขามิได้ก็จำเปนจำมา ครั้นเราจับไว้ได้ฉนี้ ฝ่ายลูกเมียพี่น้องอยู่ข้างหลังก็คอยหา ครั้นไม่เห็นกลับไปก็จะร้องไห้เปนทุกข์ถึง เราคิดเอ็นดูคนทั้งปวงไม่ฆ่าเสียแล้วจะปล่อยไปเอาบุญ จึงสั่งให้เอาเหล้าเข้ามาให้กินแล้วก็ให้ปล่อยไป ทหารเบ้งเฮ็กครั้นรอดจากความตายก็ดีใจ คิดถึงคุณขงเบ้งนักจึงกราบลงแล้วก็ลาไป
ขงเบ้งครั้นปล่อยทหารเบ้งเฮ็กไปแล้ว จึงสั่งให้เอาตัวเบ้งเฮ็กเข้ามา ขงเบ้งจึงว่า เหตุใดเบ้งเฮ็กจึงดูหมิ่นยกล่วงไปตีเอาเมืองเองเฉียงซึ่งเปนเมืองขึ้นของ เจ้านายเรา เบ้งเฮ็กจึงว่า เมืองเองเฉียงนั้นมิใช่ของท่าน เมืองของผู้อื่นต่างหาก แต่ท่านกล้าแขงก็ไปหักหาญชิงเอาของเขาไว้ แล้วยกมาตีเมืองมันอ๋องข่มเหงเราอีกกลับว่าเราดูหมิ่นเล่า ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าเราจับได้ตัวมาดังนี้แล้ว ท่านเกรงกลัวเราแล้วหรือยัง เบ้งเฮ็กจึงว่า นี้หากว่าเราแตกหนีไปช่องเขาทางแคบจึงจับตัวได้ แม้หนีไปทางกว้างที่ไหนจะจับเราได้ เราจึงหาเกรงไม่
ขงเบ้งได้ฟังเบ้งเฮ็กว่าก็หัวเราะแล้วถามว่า จะให้ทำประการใดเล่าท่านจึงจะเกรงเรา เบ้งเฮ็กจึงตอบว่า ถ้าท่านปล่อยเสียเราจะไปคุมทหารยกมารบอีก ถ้าแพ้ท่านจับได้เราจึงจะกลัวเกรงสืบไป ขงเบ้งได้ฟังเบ้งเฮ็กว่าดังนั้น จึงสั่งให้แก้มัดออกแล้วให้เสื้อผ้านุ่งห่มกับม้าตัวหนึ่ง ให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงแล้วก็ปล่อยเบ้งเฮ็กไป นายทัพแลทหารทั้งปวงเห็นขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กไปดังนั้น จึงว่าเรายกมารบทั้งนี้หวังจะเอาตัวเบ้งเฮ็ก เมื่อจับได้มาแล้วทำไมท่านจึงปล่อยไปเสียเล่า
ขงเบ้งหัวเราะแล้วว่าคนทั้งปวงอย่าสงสัยเลย ทำไมกับจะจับตัวเบ้งเฮ็กเหมือนหนึ่งไขกุญแจหีบหยิบเอาทอง แต่เราหากจะทำให้มันเกรงจงมาก นายทัพแลทหารทั้งปวงฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็คิดสงสัยอยู่ แต่มิรู้ที่จะว่าประการใดต่างคนก็ลาไปค่าย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 67
https://drive.google.com/file/d/1-rU4_bMFgWxw_0oGd2Edz0ob__dyhlBT/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 68
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-68.html
(https://3.bp.blogspot.com/-ZmwTPVz41bk/XLRJ-4w3_YI/AAAAAAAAtyw/sGatYvbxfdAmE8iLHY7GJwTf54_qRur1QCLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2598.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 68
เนื้อหา
• เบ้งเฮ็กเตรียมต่อสู้ขงเบ้งที่ริมแม่น้ำ
• ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กครั้งที่สอง
• ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กครั้งที่สาม
• ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กครั้งที่สี่
ฝ่ายเบ้งเฮ็กครั้นขงเบ้งปล่อยเสียแล้ว ก็ขึ้นม้ารีบไปถึงริมแม่น้ำลกซุย พบทหารซึ่งแตกหนีอยู่ในป่าดงก็พูดจาเกลี้ยกล่อมเอาน้ำใจ ทหารทั้งปวงครั้นเห็นเบ้งเฮ็กกลับคืนมาดังนั้น ทั้งกลัวทั้งดีใจเข้ามากราบลงแล้วถามว่า เขาจับเอาตัวท่านไปได้แล้วทำไมจึงมาได้เล่า เบ้งเฮ็กได้ฟังทหารถามดังนั้นคิครำพึงว่า ครั้นจะบอกตามจริงเล่าก็อาย จึงอุบายบอกว่าขงเบ้งมันจับเราไปได้ใช้ให้ทหารคุมเราไว้ในค่ายสิบคน ครั้นเวลาดึกสงัดเราฆ่าทหารสิบคนเสียแล้วหนีออกมา พบกองตะเวนขี่ม้าเราจึงฆ่าอ้ายกองตะเวนแล้วก็เอาม้าขี่มา ฝ่ายพวกทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ
เบ้งเฮ็กจึงคุมทหารทั้งปวงลงเรือข้ามไปตั้งค่ายอยู่ฟากข้างโน้น เกลี้ยกล่อมทหารซึ่งแตกหนีอยู่ในดงป่าเข้าได้ แล้วสั่งให้หาทหารหัวเมืองรายทางทั้งปวงบันดาขึ้นกับเมืองมันอ๋องนั้นเข้ามา ให้สิ้น แล้วรู้ว่าสุนาห้วยหลำกลับมาได้แล้ว ก็ให้ไปหาสุนาห้วยหลำสองคนเข้ามาด้วย ทหารคนใช้รับคำแล้วก็แยกกันไปหาตามสั่ง
สุนาห้วยหลำแลทหารหัวเมืองรายทางทั้งปวงแจ้งดังนั้นก็ชวนกันรีบมา ครั้นถึงพร้อมกันแล้วก็เข้าไปคำนับเบ้งเฮ็ก ๆ จึงว่า ขงเบ้งยกมารบเราครั้งนี้เปนเทศกาลร้อนทหารไม่มีที่อาศรัย เราจะตั้งทัพมั่นอยู่ฟากข้างนี้ดูท่วงทีก่อน ให้ไปเกณฑ์เอาเรือแพฟากข้างโน้นมาไว้ฟากข้างนี้ให้สิ้น อย่าให้ข้าศึกข้ามมาได้ แล้วให้ขุดดินภูลขึ้นเปนกำแพงบังตั้งป้อมรายไปตามริมน้ำ ให้มีทหารถือเกาทัณฑ์รักษาค่ายยิงอย่าให้ศัตรูข้ามมาได้ ซึ่งสเบียงอาหารนั้นเราเกณฑ์เอาทุกหัวเมืองให้มาส่ง แล้วเราตั้งมั่นอยู่อย่าออกรบ ดูขงเบ้งคิดอ่านเปนประการใด นายทัพนายกองทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงออกมาเกณฑ์กันตามเบ้งเฮ็กสั่ง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นปล่อยเบ้งเฮ็กไปแล้วก็ยกทัพตามไป ครั้นถึงริมแม่นํ้าลกซุยแล้วก็เดิรดูที่ทางทั้งปวง เห็นนํ้าไหลเชี่ยวแรงนักเรือแพก็ไม่มี แลไปฟากข้างโน้นเห็นเนินดินสูงเปนกำแพงเรียงรายไป มีทหารรักษาอยู่ ขงเบ้งจึงให้หานายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า เบ้งเฮ็กทำการทั้งนี้เห็นจะไม่ยกมารบแล้ว มันจะคอยรับเรา ๆ จำจะคิดการที่จะเข้าหักหาญเอาชัยชนะให้ได้ จึงสั่งลิคีว่าท่านเคยไปมารู้จักที่ทางเมืองนี้ จงไปจัดแจงตั้งค่ายรายไปตามริมนํ้าสี่ค่าย แล้วให้อองเป๋งกวนสกเตียวเอ๊กเตียวหงีอยู่รักษาคนละค่าย อนึ่งเรายกมาครั้งนี้เปนเทศกาลร้อนนักทหารไม่มีที่อาศรัย ให้ไปตัดไม้เกี่ยวหญ้าทำค่ายร่มให้ม้าคนอาศรัยจงทุกทัพทุกกอง ลิคีแลนายทหารทั้งปวงก็ไปทำตามสั่ง
เจียวอ้วนเห็นลิคีตั้งค่ายดังนั้นจึงเข้ามาบอกขงเบ้งว่า ลิคีตั้งค่ายรายมาตามริมน้ำฉนี้ ข้าพเจ้าเห็นเหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าเล่าปี่ยกไปตีเมืองกังตั๋ง ลกซุนให้ทหารเข้าเผาค่ายพระเจ้าเล่าปี่จึงเสียที อนึ่งเกลือกเบ้งเฮ็กจะให้ลอบมาเผาค่ายเหมือนเช่นนั้น ก็จะเสียทีแก่ข้าศึก ขงเบ้งได้ฟังเจียวอ้วนว่าก็หัวเราะแล้วจึงบอกว่าท่านอย่าสงสัยเลย เราคิดการแก้ไว้สำเร็จแล้วจึงให้ทำ
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นถึงเทศกาลร้อน จึงสั่งม้าต้ายให้คุมทหารสามพันเอาสเบียงซึ่งกินแก้ร้อนไปให้ขงเบ้ง ครั้นถึงก็เข้าไปหาขงเบ้งเอาสิ่งของพระราชทานให้ ขงเบ้งยกมือขึ้นถวายบังคม แล้วให้เอาสิ่งของพระราชทานนั้นแจกนายทัพนายกองทหารทั้งปวง แล้วขงเบ้งจึงว่าแก่ม้าต้ายว่า เรายกมาครั้งนี้ได้รบเปนสามารถทหารบอบชํ้าอิดโรย จะขอท่านผู้มาใหม่ช่วยรบจะได้หรือมิได้ ม้าต้ายจึงว่าตัวข้าพเจ้าแลทหารทั้งปวงเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนใช้มา จะอาสากว่าจะสิ้นชีวิตตามแต่ท่านจะใช้เถิด
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ยินดี แล้วจึงว่าเบ้งเฮ็กมันตั้งอยู่ฟากข้างโน้น ทหารหาบสเบียงมาส่งกันนั้นทางไกล ท่านจงคุมทหารยกลงไปใต้ค่ายนี้ประมาณพันห้าร้อยเส้นที่นั่นน้ำตื้น จงตัดไม้ทำแพข้ามทหารไปคอยรบตัดเอาสเบียงอาหารซึ่งมันมาส่งให้ได้ แล้วบอกว่าสุนาห้วยหลำซึ่งเราปล่อยไปนั้นก็จะได้เปนไส้ศึกของเรา ม้าต้ายได้ฟังขงเบ้งชี้แจงดังนั้นแล้วก็ลาไป ครั้นถึงที่ข้ามก็ขับทหารให้ตัดไม้ผูกแพแล้วก็ข้ามไป ทหารทั้งนั้นร้อนนัก เห็นน้ำตื้นก็เปลื้องผ้าลงอาบน้ำว่ายเล่น บันดาทหารที่ลงอาบน้ำ ครั้นถึงฝั่งก็ล้มลงโลหิตไหลออกทางปากแลจมูกตายประมาณพันห้าร้อย ม้าต้ายเห็นทหารตายมากดังนั้นก็ตกใจนัก ก็พากันข้ามกลับมาในเวลากลางคืน เข้าไปหาขงเบ้งแล้วบอกว่าแม่น้ำนี้ร้ายนัก ทหารไม่รู้ลงอาบกิน โลหิตพุออกมาทางปากจมูกตายถึงพันเศษ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก จึงสั่งทหารให้เร่งไปจับชาวบ้านมาให้ได้ในเวลานี้ ทหารก็เร่งไปสืบเสาะหาจับได้ชาวบ้านป่ามาให้ ขงเบ้งจึงถามชาวบ้านว่า แม่น้ำนี้คนลงอาบกินตายนั้นเหตุผลประการใด ชาวบ้านป่าจึงบอกว่า แม่น้ำนี้มีพิษร้ายนัก เทศกาลนี้ใครอาบแลกินกลางวันแล้วก็ตาย ถ้าจะอาบกินได้แต่เวลากลางคืนดึกสงัด
ขงเบ้งครั้นได้แจ้งดังนั้นแล้ว จึงเกณฑ์ทหารให้ม้าต้ายห้าร้อยบัญจบเข้าเปนสองพัน ให้ชาวบ้านป่านำทางไปด้วย ม้าต้ายก็ลาออกไปให้ชาวบ้านป่านำทาง ครั้นถึงแพเปนเวลากลางเที่ยงคืนแล้วก็ข้ามไป คนป่าก็นำไปถึงซอกเขาทางร่วมที่ทหารเบ้งเฮ็กเคยหาบสเบียงมาส่ง ม้าต้ายก็จัดแจงทหารวางกองรายอยู่
ฝ่ายทหารเบ้งเฮ็กซึ่งส่งสเบียงนั้นไม่รู้ว่าข้าศึกมาคอยอยู่ ก็เร่งกันหาบหามเดิรตามทาง ม้าต้ายเห็นกองลำเลียงหาบสเบียงมาพร้อมกัน ดูท่วงทีแล้วก็ขับทหารโห่ร้องริบชิงเอาสเบียงฆ่าทหารล้มตายบ้างหนีไปบ้าง ได้สเบียงไว้ประมาณร้อยเกวียนเศษ แล้วตั้งค่ายมั่นรักษาสเบียงอยู่
ฝ่ายเบ้งเฮ็กครั้นจัดแจงค่ายคูมั่นแล้ว ก็หมายใจว่าจะชนะข้าศึก จึงเสพย์สุราร้องรำทำเพลงสนุกไป แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เราตั้งมั่นอยู่ฟากข้างนี้สเบียงอาหารเราก็ส่งกันสดวกอยู่ ขงเบ้งจะคิดทำอะไรเราได้ ซึ่งยกมาหน้านี้เปนเทศกาลร้อนจะทนอยู่ได้สักเท่าไร หน่อยหนึ่งก็จะยกกลับไปเอง เราจึงยกตามตีไปเห็นจะจับได้ตัวขงเบ้ง แล้วก็หัวเราะ ทหารผู้หนึ่งได้ยินเบ้งเฮ็กว่าดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่านํ้าใต้ค่ายลงไปนี้มีที่ตื้นจะข้ามได้แห่งหนึ่ง เกลือกขงเบ้งจับผู้คนได้ไถ่ถามรู้จะยกข้ามมาทางนั้น ขอให้แต่งทหารไปตั้งอยู่ที่นั้นกองหนึ่งจึงจะดี
เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านอยู่ที่นี่ไม่รู้หรือว่าน้ำร้าย เราแกล้งจะให้มันข้ามมาที่นั้นอีก แม้ลงอาบนํ้ากินน้ำก็จะตายสิ้น จึงมิให้ยกทหารไปตั้งสกัดอยู่ ว่ากันยังมิทันขาดคำ ทหารซึ่งหาบสเบียงแตกนั้นเอาเนื้อความเข้ามาบอกว่า ม้าต้ายคุมทหารยกข้ามมารบสกัดตีเอาสเบียงไปได้สิ้น แล้วฆ่าทหารล้มตายเปนอันมาก เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่ามันจะทำอะไรแก่เราได้ จึงสั่งเงียเตียงให้คุมทหารสามพันไปตีม้าต้าย เงียเตียงก็ลาออกไปจัดแจงทหารพร้อมแล้วก็รีบยกไป ครั้นถึงก็ขับทหารเข้าตีค่ายม้าต้าย
ม้าต้ายครั้นเห็นเงียเตียงขับทหารเข้ามาดังนั้น จึงถือง้าวขี่ม้าขับทหารออกรบกับเงียเตียงได้สองเพลง ม้าต้ายก็ฟันถูกเงียเตียงตกม้าตาย แล้วไล่ฟันทหารเงียเตียงล้มตายแตกหนีไป ทหารเงียเตียงซึ่งแตกไปนั้นก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่เบ้งเฮ็ก เบ้งเฮ็กครั้นได้ฟังดังนั้นจึงให้หาทหารทั้งปวงเข้ามาแล้วถามว่า ผู้ใดจะอาสาเราไปรบกับม้าต้ายได้บ้าง สุนาเห็นทหารทั้งปวงนิ่งอยู่ จึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปรบกับม้าต้าย เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงจัดแจงทหารให้สุนาสามพัน สุนาก็ลาเบ้งเฮ็กแล้วยกทัพไป เบ้งเฮ็กจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เราคิดว่าแม่นํ้าที่นี้ร้ายข้าศึกจะข้ามมามิได้ มันกลับข้ามมารบตัดเอาสเบียงอาหารเราไปได้ดังนี้ จำจะให้ไปตั้งทัพไว้ที่นั้นกองหนึ่ง จึงสั่งห้วยหลำให้คุมทหารสามพันยกไปตั้งค่ายอยู่ที่ตื้นทางข้ามนั้น อย่าให้ข้าศึกข้ามมาได้ ห้วยหลำรับคำแล้วก็ลายกไปทำตามเบ้งเฮ็กสั่ง ขณะเมื่อสุนายกทัพไป ครั้นใกล้ก็ให้ทำค่ายแล้วจัดแจงกันออกรบ
ฝ่ายม้าต้ายเห็นทัพยกมาดังนั้น ก็ขี่ม้าถือง้าวขับทหารไปรบ แลทหารซึ่งขงเบ้งให้มาด้วยนั้นเห็นสุนาแล้วจึงบอกว่า สุนาคนนี้เตียวหงีจับได้ ขงเบ้งให้ปล่อยมา ม้าต้ายได้ฟังทหารบอกดังนั้น ก็ขับม้าเข้าไปใกล้สุนาแล้วร้องว่าอ้ายเนรคุณ นายกูจับตัวมึงได้ไม่ฆ่าเสียเห็นกับบุญปล่อยไปให้พบพี่น้องญาติกาแล้ว มึงกลับมารบนี้จะแทนคุณหรือ สุนาครั้นได้ยินม้าต้ายร้องมาดังนั้นคิดอายใจนัก จึงทำหลบหลีกเรรวนมิเปนใจที่จะรบ ม้าต้ายเห็นทัพสุนาเรรวนอยู่แล้วก็ขับทหารบุกบั่นไล่รบ ทัพสุนาก็แตกหนีเข้าป่าไป
ฝ่ายสุนาครั้นทัพแตกแล้วรีบหนีเข้าไปถึงเบ้งเฮ็กจึงบอกว่า ม้าต้ายคนนี้มีฝีมือเข้มแขงนักข้าพเจ้าต่อสู้ด้วยมิได้ แตกมาทั้งนี้แล้วแต่จะโปรด เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่ามึงแกล้งรบให้แตกมาทั้งนี้เพราะคิดถึงคุณขงเบ้งจึงไม่เปนใจรบ ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นมิได้ แล้วสั่งทหารให้มัดเอาสุนาไปฆ่าเสีย ฝ่ายทหารซึ่งนั่งอยู่ด้วยนั้นพร้อมกันร้องขอโทษสุนาไว้ เบ้งเฮ็กจึงว่า คนทั้งปวงขอชีวิตสุนาเราก็ให้ แต่จะเปนเยี่ยงอย่างไป ให้ตีสุนาร้อยที ทหารคนใช้ได้ยินดังนั้นก็ยุดสุนาลงตีตามสั่งแล้วก็ปล่อยไป
สุนาครั้นต้องตีแล้วเจ็บปวดนัก ให้คนพยุงออกไปค่ายแล้วก็รักษาตัวอยู่ เหล่าทหารเบ้งเฮ็กซึ่งขงเบ้งจับไปได้ปล่อยมานั้นชวนกันมาเยี่ยมสุนา เห็นสุนาเจ็บปวดนักก็ถอนใจใหญ่แล้วจึงว่า แต่ก่อนมามิได้มีศึกมาถึงเมือง ครั้งนี้เพราะเบ้งเฮ็กยกไปตีเมืองเองเฉียง จึงพาศึกมาติดเมืองให้เราได้ความเดือดร้อน ขงเบ้งคนนี้เขาเลื่องลือว่ามีสติปัญญามากนัก พระเจ้าซุนกวนพระเจ้าโจผียังกลัวความคิด ครั้งนี้ขงเบ้งยกมารบจับเราไปได้ไม่ฆ่าเสียปล่อยมาบุญคุณอยู่กับเรามากนัก แล้วพิเคราะห์ดูทหารเมืองเราเล่าก็ไม่เห็นผู้ใดที่จะออกไปต่อสู้ได้ เห็นจะเสียเมืองมันอ๋องเปนมั่นคง ครั้นจะนิ่งอยู่เล่า เบ้งเฮ็กก็จะเกณฑ์เอาเราออกไปรบ ขัดมิได้ก็จะตายเสียเปล่า เราชวนกันจับเอาตัวเบ้งเฮ็กให้ขงเบ้งเห็นจะได้ ความชอบ สุนาครั้นได้ฟังทหารว่าดังนั้นก็เห็นด้วยดีใจนัก จึงว่าถ้าพร้อมใจด้วยกันแล้วจงไปคอยดู ถ้าเห็นเบ้งเฮ็กเสพย์สุราเมานักสิ้นสมประดีแล้วเมื่อไรจงเร่งไปบอกเรา ทหารทั้งปวงก็ไปคอยดูอยู่ในค่าย
ฝ่ายเบ้งเฮ็กนั้นทะนงองค์อาจนัก มิได้คิดตรึกตรองในการสงคราม ก่นแต่เสพย์สุราแล้วก็นอนหลับไป ขณะนั้นทหารซึ่งคอยอยู่ครั้นเห็นเบ้งเฮ็กเสพย์สุราเมานอนหลับไปก็วิ่งออกไป บอกสุนา ๆ ครั้นได้แจ้งดังนั้นก็แต่งตัวถือดาบแล้วคุมทหารวิ่งกรูกันเข้าไปในค่าย จึงช่วยกันจับเบ้งเฮ็กมัดเอาตัวไปลงเรือข้ามไปจะให้ขงเบ้ง ครั้นข้ามไปถึงค่ายแล้วก็บอกทหารขงเบ้ง ทหารก็นำเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ขงเบ้ง ๆ ได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารทั้งปวงให้แต่งตัวถืออาวุธทำให้เปนสง่าแก่ข้าศึก ยืนอยู่ให้พร้อมจงทุกค่าย แล้วสั่งให้เอาตัวสุนากับทหารทั้งปวงเข้ามาก่อน สุนาแลทหารทั้งปวงก็เข้าไป ครั้นถึงต่างคนต่างกราบแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงคิดถึงคุณที่ท่านไม่ฆ่าเสียปล่อยไป ข้าพเจ้าจึงชวนกันจับเอาตัวเบ้งเฮ็กมาให้ท่าน
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งตัวจับเบ้งเฮ็กมาให้ ด้วยรู้จักคุณเรานั้นขอบใจท่านหนักหนา จึงให้รางวัลเสื้อผ้าทุกคนตามสมควร สุนาแลทหารทั้งปวงรับรางวัลแล้วก็ลาไป ขงเบ้งจึงสั่งทหารให้เอาตัวเบ้งเฮ็กเข้ามาแล้วจึงว่า ที่ท่านสัญญาไว้กับเรา ทีนี้กลัวเกรงเราแล้วหรือยัง
เบ้งเฮ็กจึงว่า มิใช่เรารบแพ้ด้วยฝีมือนั้นหาไม่ นี่ทหารเรามันชั่วจึงจับเอาตัวเรามาส่ง เรายังไม่เกรง ขงเบ้งได้ยินดังนั้นจึงว่า ท่านยังไม่เกรงเรานั้น จะให้ปล่อยไปหรือจะให้ทำประการได เบ้งเฮ็กได้ยินดังนั้นจึงว่า ถึงเราอยู่เมืองบ้านนอกก็ดี การศึกเพียงนี้พอจะสู้ท่านได้อยู่ ถ้าปล่อยให้ไปเมืองแล้ว จะจัดแจงทหารคุมมารบท่านอีก ถ้าแพ้ทีนี้เราจึงจะกลัวเกรงท่าน ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วสั่งให้แก้มัดยกโต๊ะเข้ามาให้กิน ขงเบ้งจึงว่า เราทำการศึกมาหนักหนา แต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ยกไปตีแห่งใดตำบลใดมีแต่ชัยชนะยังหาแพ้ผู้ใดไม่ ท่านเปนแต่เจ้าเมืองน้อยเท่านี้เหตุไรจึงไม่กลัวเกรงเรา เบ้งเฮ็กก็นิ่งอยู่มิได้ตอบก้มกินโต๊ะไป ครั้นกินแล้วขงเบ้งจึงชวนให้ขี่ม้าพาเบ้งเฮ็กไปเที่ยวดูทุกค่าย ที่ไว้สเบียงอาหารแลอาวุธทั้งปวงของเราพรักพร้อมอยู่ฉนี้เห็นจะสู้เราได้ หรือ ท่านมาเข้าด้วยเราโดยดีเถิด จะไปทูลเจ้าเราให้ตั้งแต่งท่านมาครองเมืองนี้สืบไปชั่วลูกแลหลาน
เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นจึงว่า ไพร่พลเมืองเขาไม่ยอม เราจะมายอมคนเดียวได้หรือ จะไปชวนเขาดูก่อน ถ้าพร้อมกันแล้วข้าพเจ้าจึงจะกลับมาหาท่าน ขงเบ้งได้ยินเบ้งเฮ็กว่าดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าท่านไปเถิด จึงสั่งให้ทหารเอาเรือข้ามส่งเบ้งเฮ็ก ทหารก็พาเบ้งเฮ็กไปลงเรือข้ามส่งให้ตามสั่ง ขงเบ้งครั้นปล่อยเบ้งเฮ็กไปแล้ว จึงสั่งให้หาม้าต้ายยกกลับคืนมา ทหารก็ไปบอกตามสั่ง
ฝ่ายเบ้งเฮ็กครั้นกลับไปถึงค่ายแล้วคิดแค้นใจนัก จึงเรียกทหารซึ่งยังเปนใจเข้าด้วยนั้นมาลอบสั่งว่า จงจัดแจงอาวุธถือซ่อนไว้ให้พร้อมแล้วให้ไปบอกสุนาห้วยหลำว่า ขงเบ้งใช้ทหารข้ามมาหา บัดนี้นั่งคอยท่าอยู่ในค่ายให้รีบมาโดยเร็ว ถ้าสุนาห้วยหลำมาถึงเมื่อไรก็ให้ฆ่าเสียเถิด ทหารทั้งปวงก็มาจัดแจงแล้วรีบไป ครั้นถึงห้วยหลำเห็นสุนาไปนั่งอยู่ด้วยจึงบอกว่า ขงเบ้งใช้ให้ทหารมานั่งคอยอยู่ในค่าย ให้เชิญท่านทั้งสองเร่งไป สุนาห้วยหลำครั้นได้ยินทหารบอก ไม่รู้คิดว่าขงเบ้งให้มาหาจริงก็ขึ้นม้ารีบมาโดยเร็ว ครั้นไปถึงลงจากม้าเดิรเข้าไปในค่าย เหล่าทหารซึ่งคอยอยู่นั้นก็ล้อมกันเข้าจับสุนาห้วยหลำฆ่าเสีย แล้วลากศพไปทิ้งไว้ในคลอง
ฝ่ายม้าต้ายครั้นคนใช้ไปหาดังนั้น ก็จัดแจงสเบียงอาหารพร้อมแล้วก็ยกข้ามกลับไปค่าย ข้างเบ้งเฮ็กครั้นฆ่าสุนาห้วยหลำเสียแล้วก็จัดแจงทหารยกไปทางซอกเขาจะรบด้วย ม้าต้าย ครั้นไปถึงเห็นแต่ค่ายเปล่าอยู่ จึงให้จับชาวบ้านป่ามาถามว่าม้าต้ายยกไปแห่งใด ชาวบ้านป่าจึงบอกว่า ม้าต้ายขนสเบียงอาหารยกข้ามไปค่ายใหญ่แต่คืนนี้แล้ว เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็ยกทัพกลับไป ไม่เข้าค่ายเก่าตรงไปเมือง
เบ้งฮิวผู้น้องรู้ว่าเบ้งเฮ็กพี่ชายมา ก็ออกมาคำนับแล้วเชิญเข้าไปในเมือง เบ้งเฮ็กก็เล่าเนื้อความหลังให้ฟังทุกประการ แล้วว่าขงเบ้งพาเราไปให้ดูทุกค่าย ที่ไว้อาวุธแลสเบียงอาหารนั้นเราเห็นสิ้น เราคิดว่าจะให้เจ้าเอาหน่องาเครื่องทองเงินให้ทหารสักร้อยหนึ่งคุมของข้ามไป ให้ขงเบ้ง ๆ ก็จะไว้ใจ ข้าจะคุมทหารติดตามเข้าไป เจ้าคอยดูการ เห็นเรารบข้างนอกเข้าไปแล้วก็รบขึ้นข้างในให้อลหม่าน เห็นขงเบ้งก็จะละล้าละลังจะแพ้แก่เรา เบ้งฮิวได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย แล้วจัดสิ่งของกับทหารร้อยหนึ่งก็ข้ามไปตามสั่ง ครั้นถึงพอพบม้าต้ายคุมทหารเที่ยวตะเวนอยู่จึงบอกว่า เบ้งเฮ็กให้เราผู้น้องคุมสิ่งของมาให้ขงเบ้ง ม้าต้ายครั้นแจ้งดังนั้นแล้วก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกขงเบ้ง ๆ นั่งปรึกษาการศึกอยู่กับม้าเจ๊กลิคีเจียวอ้วนปี่ฮุยสี่คน ครั้นได้ฟังดังนั้นจึงว่ากับม้าเจ๊กว่า เบ้งฮิวเอาของมาให้เราครั้งนี้ท่านเห็นว่ามันจะทำประการใด ม้าเจ๊กจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะบอกนั้นไม่ได้ จะขอเขียนเปนหนังสือให้ท่าน แล้วก็เขียนหนังสือยื่นให้ขงเบ้ง ๆ ดูหนังสือแล้วตบมือหัวเราะ จึงว่าต้องกับความคิดข้าพเจ้าแล้ว จึงให้หาอุยเอี๋ยนอองเป๋งม้าตงกวนสกเข้ามา แล้วค่อยกระซิบสั่งว่า ท่านห้าคนจงจัดแจงค่ายไว้ทางเข้าทางออกให้ดี แล้วละค่ายเสียคุมทหารออกไปตั้งซุ่มเปนกองๆไว้ในป่า ถ้าเห็นเบ้งเฮ็กยกมา ปล่อยให้เข้ามาถึงค่ายแล้วชวนกันรบกระหนาบเข้ามา ม้าต้ายนั้นให้ทำอาการเหมือนทหารเบ้งเฮ็กขี่เรือคอยอยู่ ถ้าเห็นทัพแตกแล้ว ก็ให้เอาเรือเข้าไปคอยรับจับเอาตัวเบ้งเฮ็กมาให้ได้ อันลิคีนั้นให้แต่งโต๊ะเหล้าเข้าประกอบด้วยยาเบื่อเมายกเข้าไปให้กิน ถ้าเห็นเมาสิ้นสมประดีแล้ว ให้ถอยออกไปจากค่าย นายทัพนายกองทั้งปวงได้ยินดังนั้นแล้วก็ไปทำตามสั่ง
ขงเบ้งจึงให้หาตัวเบ้งฮิวเข้ามา เบ้งฮิวให้ยกสิ่งของเข้ามา จึงกราบขงเบ้งลงแล้วว่า เบ้งเฮ็กพี่ชายข้าพเจ้าคิดถึงบุญคุณท่านนัก จึงให้ข้าพเจ้าคุมเอาสิ่งของทั้งนี้มาให้ แลเบ้งเฮ็กนั้นยังไปจัดหาสิ่งของที่ดีมาให้ท่าน แล้วจะตามมาภายหลัง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงถามเบ้งฮิวว่า ทหารมาด้วยท่านเท่าไร เบ้งฮิว บอกว่าทหารมาด้วยข้าพเจ้าพอถือสิ่งของแลแจวเรือร้อยหนึ่งด้วยกัน ขงเบ้งจึงสั่งให้เรียกทหารเบ้งฮิวเข้ามาให้สิ้น ครั้นทหารเข้ามาพร้อมแล้ว ขงเบ้งพิจารณาดูรูปร่างทหารเห็นใหญ่โต บ้างหน้าดำตาเขียว หน้าขาวตาแดง หนวดเหลืองแดงต่างๆ กัน ก็เข้าใจว่าแกล้งจัดสรรกันมา จึงสั่งลิคีให้ยกโต๊ะมาเลี้ยง
ขณะเมื่อเบ้งฮิวกับทหารกินโต๊ะอยู่นั้น ครั้นเห็นเวลาเย็นลงแล้วก็ค่อยกระซิบสั่งกัน คนหนึ่งทำเปนกลับลงไปเรือแล้วก็ข้ามไปบอกเบ้งเฮ็กว่าได้ท่วงทีแล้วให้เร่งยก ไปเถิด เบ้งเฮ็กได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงจัดแจงทหารสามหมื่นเปนสามกอง สัญญาให้จุดเพลิงเปนสำคัญ ครั้นเวลาคํ่าก็ยกไปข้ามเหนือค่ายแล้วเดิรลงมา ขงเบ้งครั้นเห็นเบ้งฮิวแลทหารทั้งปวงเมาสุราสิ้นสมประดีแล้วก็ยกออกไปจาก ค่ายนั้นสิ้น
ฝ่ายเบ้งเฮ็กยกมาครั้นใกล้แล้วไม่เห็นคน จึงพาทหารทั้งปวงเที่ยวดูผู้คนตามริมค่าย แต่ตัวเบ้งเฮ็กนั้นคุมทหารสองร้อยรีบตรงเข้าไปค่ายขงเบ้งก็มิได้เห็นผู้คน เห็นแต่เบ้งฮิวกับทหารทั้งปวงเมาสุรานอนอยู่สิ้น เบ้งเฮ็กจึงถามว่า เปนไรมานอนอยู่ฉนี้ ทหารคนหนึ่งเจรจามิออกจึงเอามือชี้เข้าที่ปาก เบ้งเฮ็กรู้ว่าเขาใส่ยาเบื่อเมาให้กิน จึงเข้าแก้เบ้งฮิวแลทหารทั้งปวงซึ่งเมาอยู่นั้น แล้วก็พาพยุงจูงกันออกไปนอกค่าย
ฝ่ายจูล่งอุยเอี๋ยนม้าตงอองเป๋งกวนสกห้าคนนี้คุมทหารรายอยู่ ครั้นเห็นเบ้งเฮ็กเข้าในค่ายแล้วกลับออกมาดังนั้น ก็ขับทหารโห่ร้องรบล้อมเข้าไป เบ้งเฮ็กแลทหารทั้งปวงเห็นข้าศึกรบล้อมเข้ามาทั้งห้าด้านดังนั้น ต่างคนต่างก็ตกใจแตกหนีลงน้ำขึ้นบกไปเอาตัวรอด จูล่งแลนายทัพนายกองทั้งปวงก็ขับทหารไล่รบจับเบ้งฮิวแลทหารได้มัดไว้เปนอัน มาก
ฝ่ายเบ้งเฮ็กตกใจนัก หนีพลัดกับทหารลงไปริมน้ำ เห็นเรือคอยอยู่คิดว่าทหารพวกของตัว จึงร้องเรียกให้เข้ามารับ ครั้นเรือมาถึงก็ย่างลงเรือ รีบออกจากฝั่งข้ามไป ม้าต้ายครั้นเห็นเรือออกมาพ้นฝั่งแล้ว ก็จับเอาตัวเบ้งเฮ็กมัดพาไป ขงเบ้งเห็นเบ้งเฮ็กแตกไปแล้วก็คืนเข้าอยู่ในค่ายดังเก่า
ฝ่ายจูล่งม้าต้ายนายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งจับได้เบ้งเฮ็กเบ้งฮิวแลทหารมัด เข้ามาหยุดไว้แต่นอกค่าย แล้วก็ชวนกันเข้าไปบอกขงเบ้ง ๆ ได้ฟังจึงสั่งว่าให้เอาแต่ทหารซึ่งต้องมัดนั้นเข้ามาให้สิ้น จึงสั่งให้แก้มัดออกแล้วขงเบ้งจึงว่า เองทั้งปวงขัดเขามิได้จำใจมารบเครื่องจะเยินยับเสียเปล่าเหมือนหญ้าแพรก ฝ่ายลูกเมียซึ่งอยู่ข้างหลังเล่ารู้ว่าเราจับได้แล้ว ก็ร้องไห้ทุกข์โศกถึงนัก เราจะปล่อยไปเอาบุญ แต่ว่าทีนี้อย่ามารบเรา แล้วให้ขับปล่อยไป ขงเบ้งจึงสั่งจูล่งอุยเอี๋ยนม้าต้ายสามคนว่า ท่านจงคุมทหารข้ามไปแต่เวลากลางคืนนี้ ตั้งอยู่ที่ค่ายเบ้งเฮ็กรายกันไปทั้งสองข้าง จูล่งอุยเอี๋ยนรับคำแล้วก็ลาขงเบ้งออกมาจัดแจงทหารยกทัพไปทำตามสั่ง
ขงเบ้งจึงสั่งให้เอาตัวเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวเข้ามาแล้ว ขงเบ้งหัวเราะแล้วจึงถามเบ้งเฮ็กว่า ท่านทำกลอุบายใช้ให้น้องเอาของมาให้เราแล้วยกทัพมาตี คิดว่าเรารู้ไม่เท่าหรือ เมื่อจับตัวไว้ได้ฉนี้จะกลัวเกรงเราแล้วหรือยัง เบ้งเฮ็กได้ยินดังนั้นจึงว่า ท่านจับเราได้ทั้งนี้เพราะน้องเราเห็นแก่กิน จึงถูกยาเมาของท่าน เรายกมาจึงเสียการ แม้น้องไม่เห็นแก่กินที่ไหนเราจะแพ้ท่าน เรายังไม่กลัวเกรงก่อน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าเราจับได้ตัวก็ปล่อยไปถึงสามหนแล้ว เปนไรจึงยังไม่เกรงกลัวเรา เบ้งเฮ็กก็นั่งนิ่งเสียไม่ตอบประการใด ขงเบ้งจึงว่า จะให้เราปล่อยไปอีกเล่าหรือ
ฝ่ายเบ้งเฮ็กได้ยินว่าจะปล่อยไปดังนั้นก็ดีใจ จึงว่าถ้าท่านปล่อยไปครั้งนี้เราจะเที่ยวไปบอกพี่น้องญาติกา ป่าวกันมาให้สิ้นจะรบกับท่าน ถ้าแพ้ท่านจับตัวได้ทีนี้จะเกรงกลัวท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ครั้งนี้ท่านจงไปเรียนความรู้วิชาการให้มากจึงชวนกันมารบ ถ้าแพ้เราจับได้ทีนี้เราไม่ปล่อยท่านไปเลย แล้วสั่งให้ทหารแก้มัดเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวออกแล้วก็ปล่อยเสีย เบ้งเฮ็กเบ้งฮิวครั้นขงเบ้งให้แก้มัดค่อยคิดเกรงเข้า จึงกราบลงแล้วก็ลาไป ทหารขงเบ้งก็พาเอาเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวลงเรือข้ามไปส่ง แลเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวครั้นถึงฟากแล้ว เดิรขึ้นไปพบม้าต้ายออกมาจัดแจงการอยู่
ม้าต้ายเอาดาบชี้ว่า ถ้าจับได้ตัวทีนี้ไม่ปล่อยไปแล้ว เบ้งเฮ็กเบ้วฮิวมิได้ตอบประการใดก้มหน้าเดิรไป ครั้นถึงค่ายจะเข้าไปเล่าก็เห็นจูล่งคุมทหารเข้ามาอยู่ จูล่งจึงร้องว่ากับเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวว่า นายเรามีคุณกับท่านหนักหนาเหตุใดมิรู้จักคุณ เบ้งเฮ็กเบ้งฮิวได้ยินดังนั้นมิได้ตอบประการใดก็ก้มหน้าเดิรรีบไป ครั้นถึงปากทางซอกเขา เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารสกัดอยู่ก็ตกใจ อุยเอี๋ยนจึงร้องว่า บัดนี้เราก็ข้ามฟากรุกที่แดนเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว ท่านยังจะโง่ไปถึงไหนจึงจะมารบอีกเล่า ถ้าเราจับได้ทีนี้จะฟันให้ได้ร้อยท่อน เบ้งเฮ็กมิได้ตอบประการใดก็ก้มหน้าเดิรไป
ฝ่ายขงเบ้งครั้นปล่อยเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวไปแล้ว ก็ยกทหารข้ามมาจัดแจงอยู่ ณ ค่ายเบ้งเฮ็ก แล้วสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารนายทัพนายกองทั้งปวง ครั้นกินพร้อมกันแล้วขงเบ้งจึงว่า เราคิดจะบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เปนสุขสืบไปจึงทำการทั้งนี้ ท่านทั้งปวงซึ่งรบเหนื่อยมิรู้ก็จะน้อยใจว่าจับเบ้งเฮ็กได้แล้วสิปล่อยไป เล่า เพราะเราเห็นเหตุว่า เบ้งเฮ็กนี้เปนเจ้าเมืองบ้านนอก นํ้าใจกระด้างนักผิดคนเมืองเรา จนได้ตัวมาแล้วมันยังไม่สารภาพแพ้ทีเดียว ซึ่งปล่อยมันไปนั้นเราคิดจะให้มันกลัวเกรงทั้งภายนอกภายในให้จงหนักก่อนจึง จะกลับไปได้ ถ้าจะเอาแต่พอชนะร่อน ๆ แล้วกลับไปเมือง จะยกไปทำการด้วยพระเจ้าโจผีเล่าดีร้ายเบ้งเฮ็กจะยกไปตีเมืองเรา ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์รบให้เบ้งเฮ็กรับแพ้แล้วก็จะได้เปนสุขด้วยกัน ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นเห็นชอบด้วยจึงว่า สุดแต่ความคิดของท่านเถิด ข้าพเจ้าจะขออาสารบไปกว่าจะสิ้นชีวิต
ฝ่ายเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวครั้นไปถึงเมืองงีนแขแล้วคิดแค้นใจนัก จึงให้ทหารบันดาเมืองขึ้นทั้งเก้าสิบสามหัวเมืองเข้ามาพร้อมกัน เปนคนประมาณห้าสิบหมื่น แลนายทัพนายกองทั้งปวงก็เข้าไปหาเบ้งเฮ็กทำคำนับกันตามธรรมเนียม เบ้งเฮ็กเบ้งฮิวครั้นนายทัพนายกองทั้งปวงมาพร้อมแล้ว ก็คุมทหารยกมาตั้งอยู่ ณ ริมแม่นํ้าเซียงหยี
ฝ่ายทหารกองตะเวนเอาเนื้อความเข้าไปบอกขงเบ้งว่า เบ้งเฮ็กให้ทหารทั้งเก้าสิบสามหัวเมืองมาเปนคนห้าสิบหมื่น แล้วยกมาตั้งอยู่ริมแม่นํ้าเซียงหยี ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า คนทั้งปวงอย่าวิตกเลย เราจะใคร่ให้ยกมาให้มากอีกจึงจะได้เห็นความดีเรา แล้วสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้จัดแจงยกทัพเลื่อนเข้าไป แล้วขงเบ้งก็ขึ้นเกวียนน้อยพาทหารมาร้อยหนึ่งยกนำทางไปก่อน ครั้นถึงแม่นํ้าเซียงหยี พอจูล่งม้าต้ายอุยเอี๋ยนเตียวเอ๊กคุมทหารยกมาถึง ขงเบ้งจึงเกณฑ์ทหารให้เที่ยวตัดไม้จะทำแพก็ไม่ได้ จึงถามลิคีผู้นำทางว่า เราจะข้ามน้ำบัดนี้ก็ขัดสนนัก ท่านจะคิดประการใด
ลิคีจึงตอบว่า บนเขาเหนือนี้มีไม้ไผ่อยู่เปนอันมาก เห็นพอจะทำสะพานข้ามฟากไปได้ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงเกณฑ์ให้ทหารสามหมื่นไปตัดไม้ไผ่นั้นมาผูกแพกว้าง เส้นหนึ่งเปนสะพาน แล้วยกทหารข้ามฟากไปถึงฝั่ง จึงให้ตั้งค่ายใหญ่สามค่ายทำประตูตรงสะพาน
ฝ่ายเบ้งเฮ็กตั้งค่ายอยู่ใต้น้ำ เห็นขงเบ้งยกข้ามฟากมาได้ ก็คุมทหารสิบหมื่นยกมาตีค่ายขงเบ้ง ๆ เห็นเบ้งเฮ็กห่มเสื้อหนังแรดใส่หมวกแดง ขี่กระบือแดงมือซ้ายถือเขนมือขวาถือดาบคุมทหารยกมาดังนั้น ก็ยกทหารออกจากค่ายจะรบกับเบ้งเฮ็ก เบ้งเฮ็กรำเขนไล่ทหารให้บุกเข้ารบ ขงเบ้งเห็นเบ้งเฮ็กบุกรุกเข้ามามิได้เปนขบวรทัพ ก็ถอยทหารกลับเข้าค่าย ให้ปิดประตูตั้งมั่นไว้ เบ้งเฮ็กให้ทหารเข้าไปร้องด่าขงเบ้งถึงหน้าค่าย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็โกรธ เอาเนื้อความไปบอกขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าขออาสาออกรบกับเบ้งเฮ็กแก้แค้นให้จงได้ ขงเบ้งจึงว่าเบ้งเฮ็กเปนข้าศึกต่างประเทศ ท่วงทีก็หยาบช้าหาเปนกระบวรเหมือนเราไม่ เราตั้งมั่นฟังกำลังดูก่อน เมื่อเห็นได้ทีประการใดแล้วจึงจะคิดกลอุบายเอาชัยชนะให้จงได้ ท่านทั้งปวงอย่าเพ่อดูหมิ่นแก่ข้าศึก จงช่วยกันป้องกันรักษาค่ายตั้งใจให้มั่นคงเถิด ทหารทั้งปวงรับคำแล้วก็ลาลุกออกไป
ฝ่ายเบ้งเฮ็กมิได้เห็นขงเบ้งเกณฑ์ทหารมาสู้รบก็ยกกลับไปค่าย อยู่สามวันขงเบ้งจึงเรียกจูล่งอุยเอี๋ยนมากระซิบสั่งว่า ท่านจงคุมทหารข้ามฟากไปตั้งอยู่ตรงหน้าค่ายเบ้งเฮ็ก ถ้าเห็นเราให้ลอยแพลงไปเมื่อใด ก็ให้จูล่งตั้งค่ายให้เอาธงเธียวปักลวงไว้ในค่ายจงมากเมื่อนั้น แล้วจูล่งจึงยกข้ามฟากเข้ามาตั้งอยู่ในค่ายเบ้งเฮ็ก ให้อุยเอี๋ยนข้ามมาตั้งซุ่มอยู่ในป่าชัฏชายเขาข้างทิศตวันออก แล้วให้ขุดหลุมไว้จงมาก เอาใบไม้ปิดทำเปนกลลวงไว้ เราจะได้ทำการถนัด
ฝ่ายจูล่งกับอุยเอี๋ยนก็ลาขงเบ้งไป ครั้นเวลาค่ำขงเบ้งจึงสั่งม้าต้ายให้ทำแพลอยลงไป แล้วให้ออกไปตั้งซุ่มอยู่นอกค่ายข้างทิศตวันตก ม้าต้ายก็ไปทำตามสั่ง ขงเบ้งจึงให้จุดเพลิงในค่ายสว่างทั้งสามค่าย แล้วให้เตียวเอ๊กออกตั้งซุ่มอยู่นอกค่ายข้างทิศเหนือ ตัวขงเบ้งก็ยกออกตั้งอยู่นอกค่าย
ฝ่ายเบ้งเฮ็กถอยทหารกลับมาค่ายหลายวันแล้วเห็นขงเบ้งตั้งมั่นอยู่ จึงยกทหารมาเปนอันมากจะปล้นเอาค่ายขงเบ้ง ครั้นทหารกองหน้ายกมาถึงเห็นเพลิงในค่ายขงเบ้งสว่างอยู่ ก็ไม่อาจจะยกเข้าปล้นตั้งรออยู่จนเวลาเช้า ครั้นเบ้งเฮ็กยกมาถึงทหารกองหน้าก็เข้าไปแจ้งเนื้อความทั้งปวงทุกประการ เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นคิดว่าขงเบ้งยกทหารกลับไปแล้วเปนมั่นคง จึงแกล้งจุดเพลิงไว้หวังจะให้เราสงสัย แล้วก็ยกทหารเข้าไปใกล้ เห็นค่ายขงเบ้งเงียบสงัดอยู่ทั้งสามค่ายมิได้มีทหารอยู่พิทักษ์รักษา เบ้งเฮ็กจึงว่าชรอยขงเบ้งยกหนีไปแล้ว เห็นจะทิ้งสเบียงอาหารไว้เปนอันมาก
เบ้งฮิวผู้น้องจึงว่า ซึ่งขงเบ้งละทิ้งค่ายเสียหนีไปนั้นไม่เห็นด้วย อันการทั้งนี้เห็นขงเบ้งจะคิดกลอุบายไว้ลวงเรา เบ้งเฮ็กจึงว่า เจ้าว่านี้ไม่เห็นด้วย ซึ่งขงเบ้งทำกลไว้ดังนี้ ชรอยศึกเมืองกังตั๋งแลเมืองฮูโต๋มาตีเสฉวนเปนมั่นคง ขงเบ้งจะรีบไปเปนการเร็ว จึงทำกลอุบายไว้หวังจะให้เราสงสัยมิให้ยกติดตามทันที จำเราจะยกทหารตามไปให้ทันจงได้
เบ้งเฮ็กก็แบ่งทหารให้เข้าขนสเบียงในค่ายขงเบ้ง แล้วก็ยกทหารเลียบไปตามริมฝั่งหวังจะตามจับขงเบ้ง เบ้งเฮ็กแลข้ามฟากไปเห็นค่ายกลซึ่งจูล่งตั้งไว้ในชายป่าริมนํ้านั้น ปักธงเธียวอยู่เปนอันมาก สำคัญว่าค่ายขงเบ้งพักอยู่ จึงเกณฑ์ทหารไปเที่ยวตัดไม้จะผูกแพข้ามตามไป พบเกิดลมพายุขงเบ้งก็จุดเพลิงสัญญาขึ้นทั้งสามด้าน ให้ทหารโห่ร้องตีม้าฬ่อฆ้องกลองล้อมรบเบ้งเฮ็กเข้ามา เบ้งเฮ็กเห็นดังนั้นก็ตกใจขึ้นกระบือพาทหารฟันฝ่าออกจากที่ล้อมหนีตรงไปค่าย
ขณะนั้นจูล่งข้ามฟากมาตั้งอยู่ในค่ายเบ้งเฮ็กแต่ในเวลากลางคืน ครั้นเห็นเบ้งเฮ็กพาทหารหนีมา ก็ยกทหารออกคอยรับอยู่นอกค่าย เบ้งเฮ็กเห็นดังนั้นก็ตกใจหนีอ้อมไปทางทิศตวันตกซึ่งม้าต้ายซุ่มอยู่ ม้าต้ายก็ควบม้าออกสกัดรบเบ้งเฮ็กได้เก้าเพลง เบ้งเฮ็กก็พาทหารหนีไปทางทิศเหนือ ถึงค่ายซึ่งขงเบ้งให้เตียวเอ๊กไปตั้งสกัดอยู่ เตียวเอ๊กก็ยกทหารออกต้านรบเปนสามารถจับตัวเบ้งฮิวได้ เบ้งเฮ็กก็พาทหารหนีมาทางตวันออก ถึงป่าชัฏจะเลี้ยวชายเขาซึ่งอุยเอี๋ยนขุดหลุมไว้นั้น พบขงเบ้งขี่เกวียนน้อยพาทหารมาสกัดอยู่ ขงเบ้งจึงหัวเราะเย้ยเบ้งเฮ็กว่า วันนี้เจ้าเบ้งเฮ็กเสียทีแก่ข้าศึกจะหนีไปไหนเล่า เรามาคอยท่าอยู่นานแล้ว
เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า อ้ายคนนี้มันทำกลลวงให้เราเสียทีได้ความแค้นถึงสามครั้ง ให้เร่งเข้ารบฟันให้ละเอียดเสียจงได้ แล้วเบ้งเฮ็กก็พาทหารไล่รุกเข้าไปด้วยโทโสมิได้พิเคราะห์ก็ตกลงในหลุม ขงเบ้งก็รีบกลับมาค่าย อุยเอี๋ยนซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็ยกทหารประมาณร้อยหนึ่งออกจับเบ้งเฮ็กได้ก็มัด เอาตัวมา เมื่อขงเบ้งกลับมาถึงค่ายเกลี้ยกล่อมทหารเบ้งเฮ็กได้เปนอันมาก
ขงเบ้งให้เลี้ยงดูทหารทั้งปวงสำเร็จแล้วจึงว่า ท่านทั้งนี้จะสมัคอยู่ด้วยเราก็ตาม หรือจะกลับไปเมืองก็ตามเถิด ทหารทั้งปวงได้ฟังมีใจยินดีกราบลงกับตีนแล้วก็ลาไป พอเตียวเอ๊กมัดตัวเบ้งฮิวมาให้ขงเบ้ง ๆ จึงว่าแก่เบ้งฮิวว่า พี่ท่านกระทำผิดเราจับตัวได้ถึงสามครั้งแล้ว ท่านเปนน้องควรจะช่วยเตือนสติว่ากล่าว เหตุใดจึงคบคิดกันมาทำศึกกับเราอีกเล่า บัดนี้เราก็จับได้เปนสี่ครั้งท่านจะแลดูหน้าคนสืบไปกะไรได้
เบ้งฮิวได้ฟังดังนั้นก็กราบลงกับเท้าแล้วว่า โทษข้าพเจ้าครั้งนี้ก็ถึงสิ้นชีวิตแล้ว ท่านจงโปรดให้ชีวิตข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งเถิด ขงเบ้งจึงว่าชีวิตท่านอยู่ในเงื้อมมือเรา ใช่จะฆ่าท่านได้แต่วันนี้ก็หามิได้ ท่านจะขอชีวิตไว้อีกครั้งหนึ่งก็ตามเถิด แต่กลับไปแล้วก็ให้คิดอ่านกับพี่ชายจงดี แล้วก็สั่งทหารให้แก้มัดเบ้งฮิวปล่อยไป พอเบ้งฮิวลุกไปอุยเอี๋ยนก็เอาตัวเบ้งเฮ็กมัดเข้ามา ขงเบ้งเห็นเบ้งเฮ็กก็โกรธ จึงว่าเราปล่อยตัวไปถึงสามครั้งแล้วก็มิรู้จักคุณกลับมาทำศึกกับเรา บัดนี้เราก็จับได้อีก ท่านจะว่าประการใดต่อไปเล่า เบ้งเฮ็กจึงว่าเราทำศึกเสียทีแก่ท่านมาทั้งนี้เพราะทำกลอุบายล่อลวงเราต่าง ๆ จึงจับตัวเราได้ ตัวเราถึงตายบัดนี้ก็ยังเสียดายชีวิตเรานักอยู่ เพราะทำการกับท่านหาเต็มฝีมือไม่
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงแกล้งสั่งทหารจะให้เอาตัวเบ้งเฮ็กไปฆ่าเสีย เบ้งเฮ็กก็มิได้ครั่นคร้ามสีหน้าสดชื่นเปนปรกติอยู่ ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เบ้งเฮ็กนี้น้ำใจเหี้ยมหาญนัก เราจะฆ่าเสียบัดนี้ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็จะกระจัดกระจายกันไป เราจะให้เบ้งเฮ็กสิ้นฝีมือยอมแพ้เอาเมืองขึ้นแก่เราจึงได้ ขงเบ้งจึงให้ทหารแก้มัดเบ้งเฮ็กออกปลอบเอาใจให้กินสุราแล้วว่า แต่จับท่านได้ถึงสี่ครั้งนี้แล้วเราก็มิได้ทำอันตราย ไมตรีเราก็มีอยู่กับท่านเปนอันมาก เหตุไฉนท่านจึงไม่อ่อนน้อมต่อเราบ้าง
เบ้งเฮ็กจึงว่า เรากับท่านเปนคนต่างแดนผิดภาษากัน ซึ่งเราจะสมัคอ่อนน้อมต่อท่านนั้นไม่ชอบ เพราะท่านชำนาญแต่กลอุบายฝ่ายเดียว หาชนะเราด้วยฝีมือไม่ ขงเบ้งหัวเราะแล้วว่า บัดนี้เราจะปล่อยท่านไปอีก ท่านจะคิดทำศึกต่อไปหรือไม่ เบ้งเฮ็กจึงว่า แม้ท่านมีคุณปล่อยข้าพเจ้าไปเมืองครั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะตั้งใจสนองคุณท่านมิได้คิดทำการศึกสืบไป
ขงเบ้งจึงว่า ท่านไปแล้วให้คิดอ่านหน้าหลังจงดี เบ้งเฮ็กก็มีความยินดีนัก กราบขงเบ้งแล้วก็ลาออกไป พาทหารของตัวประมาณพันหนึ่งก็รีบไปทางฝ่ายเหนือ ครั้นเช้าพบเบ้งฮิวคุมทหารยกมา เบ้งฮิวจึงว่าแก่เบ้งเฮ็กว่า ข้าพเจ้าคิดว่าขงเบ้งฆ่าพี่เสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงซ่องสุมได้ทหารเปนอันมาก ยกกลับมาหวังจะแก้แค้นขงเบ้ง เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็คิดน้อยใจกอดน้องชายเข้าร้องไห้แล้วว่า แต่เราทำศึกมาก็เสียทีขงเบ้งทุกครั้ง จนสิ้นกำลังแลความคิดเราแล้ว เราจะทำประการใดดีจึงจะได้ชัยชนะแก่ขงเบ้ง
เบ้งฮิวจึงว่า ขอให้พาทหารขึ้นไปขออาศรัยอยู่กับโต้สู้ไต้อ๋อง ณ เขาอิมตองสัน เขานั้นเปนที่สำคัญชอบกล มีเขาเปนกำแพงรอบ ในนั้นเปนค่ายแล้วก็เปนที่ร้อน แม้เราตั้งมั่นได้ในเขานั้นแล้ว ถึงขงเบ้งจะเห็นว่าเราไม่อ่อนน้อม จะยกไปติดตามก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง
เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย ก็พากันยกทหารไปถึงเขาอิมตองสัน จึงให้เบ้งฮิวขึ้นไปหาโต้สู้ไต้อ๋องก่อนเปนทางคำนับ จะขออาศรัยโต้สู้ไต้อ๋องรู้ดังนั้นก็ออกมารับเบ้งเฮ็กเข้าไปในค่ายคำนับกัน ตามธรรมเนียม แล้วเบ้งเฮ็กก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ
โต้สู้ไต้อ๋องจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ถ้าทหารขงเบ้งยกตามมาถึงที่อันนี้ แต่คนหนึ่งไม่ให้เหลือกลับไปได้ ถึงขงเบ้งก็จะให้สิ้นชีวิตอยู่กับที่นี้ เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก แล้วถามว่าท่านจะทำกลอุบายประการใด
โต้สู้ไต้อ๋องจึงว่า เขาอิมตองสันนี้ มีทางจำเพาะเข้ามาได้ทางทิศตวันออกซึ่งท่านมานั้นราบคาบ น้ำกินก็บริบูรณ์ แต่เปนทางแคบล้วนก้อนศิลาแลต้นไม้ใหญ่ ข้าพเจ้าจะล้มต้นไม้ขนก้อนศิลาทับเสียมิให้ขงเบ้งยกขึ้นมาได้ แม้จะย้ายไปเดิรทางตวันตกก็เปนทางกันดารคับแคบ ทั้งงูร้ายก็ชุม จำเพาะเดิรได้ต่อเวลาตวันบ่าย ครั้นเวลาพลบคํ่าแล้ว งูร้ายก็ออกเที่ยวพ่านอยู่จนเวลาตวันเที่ยง ทั้งขัดสนด้วยน้ำ จำเพาะมีแต่น้ำร้ายสี่ธาร ธารหนึ่งชื่อว่าแอสวน แม้ผู้ใดไม่ทันรู้ตักมากินก็เปนใบ้ถึงกำหนดเจ็ดวันตาย ธารสองชื่อเบียดสวน น้ำในธารนั้นร้อน แม้ลงอาบแลกินก็พุพองเปื่อยพังจนถึงกระดูก ธารสามชื่อเฮดสวน สีน้ำนั้นดำ ถ้าผู้ใดลงอาบลงกินตัวก็ดำเหมือนไฟไหม้ เจ็บปวดเปนกำลังจนขาดใจตาย ธารสี่ชื่อยิวสวน นํ้านั้นเย็นสีขาว ถ้าผู้ใดตักอาบมากินตกถึงคอก็ขาดใจตาย ในทางนั้นก็เงียบสงัด จะได้มีสิงสัตว์นกหกหามิได้ ต่อพ้นธารนั้นขึ้นมาจึงถึงแดนงูร้าย เมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นเบ้งเต้ได้สมบัตินั้น ม้าอ้วนนายทหารยกกองทัพไปตีเมืองเกาจี ม้าอ้วนมีสติปัญญาหลักแหลมรู้การทั้งปวงมิได้มีผู้ใดเสมอ จึงพาทหารเดิรมาทางนี้(๑) ผู้อื่นนอกกว่าม้าอ้วนแล้วมิได้มีผู้ใดเดิรทางนี้เปนอันขาด แม้ขงเบ้งยกทหารมาทางตวันออก เห็นเราตัดไม้ขนก้อนศิลาทับทางเสียแล้ว ก็จะพาทหารเดิรขึ้นมาทางตวันตก แม้ทหารขงเบ้งจะยกมาสักร้อยหมื่นก็จะตายด้วยน้ำร้ายนั้นสิ้น ถึงตัวขงเบ้งเจ้าความคิดช่างทำกลอุบายก็เห็นจะไม่รอดชีวิตกลับคืนไป
เบ้งเฮ็กกับเบ้งฮิวได้ฟังก็มีความยินดีนักจึงว่า ซึ่งท่านให้ข้าพเจ้าอาศรัยอยู่คุณหาที่สุดไม่ เห็นขงเบ้งจะเปนอันตรายเปนมั่นคง โต้สู้ไต้อ๋องก็เชิญเบ้งเฮ็กกับเบ้งฮิวอยู่เปนสุข แล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงสุรามิได้ขาด
(๑) มีในเรื่องตั้งฮั่น คือพระเจ้าฮั่นบู๊หรือฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ มิใช่พระเจ้าฮั่นเบ้งเต้
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 68
https://drive.google.com/file/d/1_4GD4RFjGmEgS6atcWFENp2OwIO-3xnL/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 69
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-69.html
(https://1.bp.blogspot.com/-RAdOFhRYKGY/XQZKK5Ak0gI/AAAAAAAAuIk/NupxyU9jmBgBSbhd6AV2Q1LYswn3USqswCLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2596%25E0%25B9%2599.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 69
เนื้อหา
• ขงเบ้งยกทัพตามเบ้งเฮ็ก
• เบ้งเจียดพี่เบ้งอ็กช่วยขงเบ้ง
• ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กครั้งที่ห้า
• ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กครั้งที่หก
• ขงเบ้งจับเบ้งเฮ็กได้ครั้งที่เจ็ด
ฝ่าย ขงเบ้งครั้นเบ้งเฮ็กไปแล้ว ก็คอยอยู่เปนหลายวันมิได้เห็นกลับมาคำนับ ก็รู้ว่าเบ้งเฮ็กคิดคดเอาใจออกหาก ขงเบ้งจึงยกทหารออกจากค่ายรีบตามไปทางทิศเหนือ ไปถึงกลางทางก็หยุดตั้งค่ายอยู่ แล้วให้ทหารสืบข่าวเบ้งเฮ็กไปตั้งอยู่ตำบลใด ทหารกลับมาบอกว่า เบ้งเฮ็กคุมทหารเข้าตั้งอยู่ในเขาอิมตองสัน แล้วล้มไม้และก้อนศิลาสมทบลงไว้ในทางมั่นคง แล้วเห็นทหารรักษาอยู่เปนอักมาก ถึงเราจะยกไปติดตามก็เห็นจะขัดสน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงถามลิคีผู้นำทางว่า ทางจะเข้าไปเขาอิมตองสันนั้น จำเภาะแต่ทางเดียวหรือจะมีทางอื่นอยู่บ้าง ลิคีจึงว่า อันเขาอิมตองสันนี้ข้าพเจ้าไม่เคยไปมา จะเปนประการใดมิได้แจ้ง แต่ได้ยินว่ามีทางอยู่ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารจะยกตามไป
เจียวอ้วนนายทหารจึงว่า ยกมาทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีจับตัวเบ้งเฮ็กได้ถึงสี่ครั้ง เบ้งเฮ็กก็ขยาดฝีมือกลัวเรานักอยู่ เห็นจะไม่อาจยกทหารออกรบพุ่งติดตามเรา บัดนี้ก็เปนระดูร้อนทหารเราก็ได้ความลำบากอิดโรยกำลังลงแล้ว ขอให้ท่านยกกลับไปเมืองเสฉวนก่อนเถิด ฟังข่าวเบ้งเฮ็กดู ถ้ายังทำการเหมือนหนหลัง เราจึงยกกลับมาจับตัวให้จงได้
ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้เบ้งเฮ็กกลัวเรา จึงเข้าหนีซ่อนอยู่ในที่กันดาร แม้เรายกกลับไปเบ้งเฮ็กก็จะได้ทียกออกตั้งตัวทำการถนัด จำเราจะยกติดตามไปจับเอาตัวให้ได้ในเวลาที่ยังบอบช้ำอยู่ฉนี้จึงจะชอบ แล้วขงเบ้งก็ให้อองเป๋งคุมทหารร้อยหนึ่งไปสืบทางดูก่อน อองเป๋งก็ลาขงเบ้งไปถึงปากทางตวันตก จะเข้าไปเขาอิมตองสัน ทหารทั้งปวงกระหายน้ำนัก ก็ชวนกันลงกินน้ำในธารแอสวน ทหารนั้นก็เปนใบ้สิ้น
อองเป๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ พาทหารกลับมาหาขงเบ้งแจ้งเนื้อความทั้งปวง ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า น้ำในธารเปนเหตุฉนี้จะเปนกลเบ้งเฮ็กใส่ยาเบื่อไว้หรือเปนประการใดก็มิได้ แจ้ง จำเราจะไปดูให้ประจักษ์ก่อน แล้วขงเบ้งก็ขึ้นเกวียนน้อยพาทหารคนสนิธสิบคนไปกับอองเป๋ง ครั้นถึงทางตวันตก ขงเบ้งพิเคราะห์ดูน้ำในธารนั้นใสลึกแลไม่เห็นดิน แล้วเงียบสงัดมิได้เห็นสัตว์เดิรไปมา ขงเบ้งคิดสงสัยจึงขึ้นไปบนเนินหลังธาร แลไปเห็นศาลเทพารักษ์เก่ามีอยู่ในรก ขงเบ้งก็เหนี่ยวเถาวัลย์ห้อยตัวขึ้นไปบนศาล เห็นศาลนั้นทำด้วยศิลามีรูปเทพารักษ์อยู่องค์หนึ่ง ขงเบ้งพิเคราะห์ดูเห็นอักษรจารึกอยู่ที่แผ่นศิลาเปนใจความว่า ครั้งพระเจ้าฮั่นเบ้งเต้ได้ราชสมบัติ ม้าอ้วนคนนี้พาทหารมาทางนี้ได้ ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ดีใจ จึงคำนับกราบลงแล้วว่า ตัวข้าพเจ้าขงเบ้งนี้ถือความสัตย์ ตั้งใจจะทำนุบำรุงเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเบ้งเต้ บัดนี้รับสั่งเจ้าข้าพเจ้าซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์ ให้ข้าพเจ้ามาปราบข้าศึกต่างประเทศสำเร็จแล้ว จึงจะกลับรบเอาเมืองกังตั๋งแลเมืองฮูโต๋ เชิญเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเบ้งเต้ขึ้นครองสมบัติสืบไป ข้าพเจ้ามาถึงตำบลนี้มิได้แจ้งเหตุผลประการใด ทหารลงกินน้ำในธารวิปริตเปนใบ้ไปสิ้น ท่านจงเมตตาข้าพเจ้าคิดถึงคุณพระเจ้าฮั่นเบ้งเต้ เชิญช่วยแนะนำให้สติข้าพเจ้าด้วย แล้วขงเบ้งก็คำนับถอยออกมา พอเห็นคนแก่ถือไม้เท้าเดิรมาตามริมเนิน
ขงเบ้งก็มีความยินดีร้องเชิญให้ขึ้นนั่งบนศาล คำนับกันตามธรรมเนียม แล้วขงเบ้งจึงถามว่า ท่านนี้ชื่อไรเปนแซ่อันใด ม้าอ้วนเทพารักษ์ทำไม่ได้ยินจึงว่า ตัวข้าพเจ้าคนแก่นี้ได้ยินกิตติศัพท์มาก็ช้านานว่า มหาอุปราชนี้มีนํ้าใจสัตย์ซื่อโอบอ้อมอารีแก่ราษฎร บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านมาก็มีความยินดีจึงมาคำนับท่าน ขงเบ้งจึงถามว่า ท่านเปนใหญ่ในตำบลนี้ยังรู้บ้างหรือไม่ว่า นํ้าในธารนี้เปนเหตุผลประการใด
ม้าอ้วนเทพารักษ์จึงบอกว่า นํ้าในธารซึ่งทหารกินนี้ชื่อแอสวน จึงทำให้เจรจาไม่ออก ถึงกำหนดเจ็ดวันก็จะตาย ยังเรียงต่อกันเข้าไปอีกสามธาร ธารหนึ่งน้ำเย็น ถ้าผู้ใดกินเข้าไปพอตกถึงฅอก็ขาดใจตาย ธารหนึ่งนํ้าดำ ถ้าผู้ใดกินแลอาบ ก็ดำไปทั้งตัวเจ็บปวดจนขาดใจตาย ธารหนึ่งนํ้าร้อน ถ้าผู้ใดกินแลอาบ ก็ร้อนเปื่อยไปทั้งตัวถึงกระดูกจนตาย นํ้าในธารทั้งสี่นี้แต่ล้วนนํ้าร้าย แล้วก็มีหมอกขึ้นมาจากธารแต่เช้าจนเวลาเที่ยง แม้ผู้ใดเดิรมาในเวลานั้น ต้องไอหมอกก็ให้ไข้เจ็บไปจนตาย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ถ้ากระนั้นไหนเราจะปราบปรามเบ้งเฮ็กได้สมความคิด เมื่อเบ้งเฮ็กยังเปนศัตรูอยู่ก็จะเปนศึกกระหนาบหลัง เห็นเราจะไปตีเอาเมืองฮูโต๋แลเมืองกังตั๋งไม่ได้ ตัวเราเปนคนอาภัพมิได้บำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วก็จะตายเสียดีกว่า ม้าอ้วนเทพารักษ์จึงว่า มหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะบอกยาซึ่งแก้นํ้าเบื่อเมานี้ให้ ขงเบ้งจึงว่า ท่านเปนผู้เฒ่าสูงอายุ แม้รู้เห็นประการใดก็ช่วยแนะนำสั่งสอนข้าพเจ้าด้วยเถิด
ม้าอ้วนเทพารักษ์จึงบอกว่า เขาซั้นซกอยู่ทิศตวันตกไกลเขาอิมตองสันนี้แปดร้อยเส้น ข้ามเขาไปอีกยี่สิบเส้นถึงแม่น้ำบั้นอั๋น มีคนหนึ่งชื่อเบ้งเจียด ปลูกเรือนอยู่ริมแม่น้ำนั้นกว่าสิบปีแล้ว หลังเรือนเบ้งเจียดนั้นมีธารชื่ออันลกจัว ไหลลงมาตามแม่น้ำบั้นอั๋น แม้ผู้ใดเปนโรคได้กินได้อาบน้ำนั้นก็หาย หน้าเรือนนั้นมีต้นไม้หอมชื่อฮุยเหียบอยู่เปนอันมาก ถึงมาทว่าผู้ใดจะกินน้ำแลอาบนํ้าร้ายทั้งสี่ธารนี้ ได้ใบไม้นั้นมาใส่ปากแต่ใบหนึ่งก็แก้พิษนั้นได้ แม้มหาอุปราชจะใคร่เข้าไปในเมืองอิมตองสันให้ได้ ก็เร่งไปเก็บเอายานั้นมาเถิด
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี คำนับกราบลงแล้วจึงซํ้าถามว่า ท่านนี้ชื่ออันใดเปนแซ่อันใด บอกให้ข้าพเจ้าแจ้งด้วย เมื่อสำเร็จราชการจะกลับมาแทนคุณท่าน ม้าอ้วนได้ฟังดังนั้นก็ขึ้นไปบนศาลนั่งบนแท่นบอกว่า ตัวเราคือม้าอ้วนแล้วก็หายไป
ขงเบ้งได้เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความยินดีนักคำนับกราบลงกับที่ แล้วก็ลงจากศาลขึ้นเกวียนกลับมาค่าย ครั้นเพลาเช้าขงเบ้งจึงชวนอองเป๋งกับทหารทั้งปวงซึ่งเปนใบ้นั้น รีบไปเก็บยาตามคำเทพารักษ์ว่า ครั้นข้ามเขาซั้นซกไปยี่สิบเส้น เห็นต้นไม้ใหญ่ริมธารน้ำนั้นเปนอันมาก แลมีเรือนอยู่ในป่าไม้นั้นประมาณสิบเรือน ขงเบ้งเห็นเด็กคนหนึ่งเดิรออกมาก็ดีใจเดิรเข้าไป พอเบ้งเจียดห่มเสื้อขาวใส่หมวกสานผมเหลืองตาแดง เดิรออกมาเห็นขงเบ้งจึงถามว่า ท่านนี้มหาอุปราชเมืองเสฉวนหรือ ขงเบ้งจึงหัวเราะตอบว่า เหตุไฉนท่านจึงรู้จักข้าพเจ้า เบ้งเจียดจึงว่า ข้าพเจ้ารู้นานอยู่แล้ว ว่ามหาอุปราชยกกองทัพมารบกับเบ้งเฮ็ก จะปราบในแดนอันนี้แล้ว เบ้งเจียดก็เชิญขงเบ้งเข้าไปในเรือน ขงเบ้งจึงว่าแก่เบ้งเจียดว่า รับสั่งพระเจ้าเล่าเซียนให้ยกกองทัพมาปราบปรามเบ้งเฮ็ก ให้อ่อนน้อมต่อเมืองเสฉวนจงได้ บัดนี้เบ้งเฮ็กหนีเข้าไปอยู่ในเขาอิมตองสัน เรายกไปถึงทางตวันตกทหารทั้งปวงลงกินน้ำในธารก็เปนใบ้ไปสิ้น เทพารักษ์บอกเราว่ายาแก้น้ำนั้นมีอยู่ตำบลนี้ เราจึงรีบมาหาท่านหวังจะเก็บยา ท่านจงเมตตาบอกให้เราด้วยจะได้แก้ชีวิตคนทั้งปวง
เบ้งเจียดจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนคนป่าหาควรที่มหาอุปราชจะมาหาไม่ จะใช้แต่ทหารเลวมาก็ได้ ยาก็มีอยู่ที่หลังบ้าน มหาอุปราชจะต้องประสงค์สักเท่าใดก็ไปเก็บเอาเถิด แล้วเบ้งเจียดก็ให้เด็กพาอองเป๋งกับทหารซึ่งเปนใบ้นั้นออกไปที่ธารน้ำ ทหารทั้งปวงได้กินน้ำนั้นเข้าไปก็รากเสมหะร้ายออกมาพูดจาได้เปนปรกติดังเก่า เบ้งเจียดจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า หนทางซึ่งท่านจะเข้าไปในเขาอิมตองสันนั้นกันดารนัก กอปด้วยสัตว์อันร้ายต่าง ๆ ท่านจงเก็บใบฮุยเหียบนี้ไปให้มากจะได้แก้อันตรายในทางนั้น ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงให้ทหารไปเก็บใบไม้นั้นมาเปนอันมาก แล้วขงเบ้งจึงว่าแกเบ้งเจียดว่า ท่านมีไมตรีต่อเราเปนอันมาก ท่านชื่อไรเปนแซ่อันใด เมื่อสำเร็จราชการแล้วจะได้ตอบแทนไมตรีท่าน
เบ้งเจียดจึงว่า ข้าพเจ้าชื่อเจียดแซ่เบ้งเปนพี่ชายเบ้งเฮ็ก ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจทอดใจใหญ่ เบ้งเจียดจึงว่า ท่านอย่ากินแหนงรังเกียจข้าพเจ้าเลย ตัวข้าพเจ้านี้เปนพี่น้องร่วมท้องกับเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวก็จริง แต่เบ้งเฮ็กเบ้งฮิวเปนคนพาลหยาบช้ามิได้เอาคำข้าพเจ้าผู้พี่ ข้าพเจ้าจึงละสมัคพรรคพวกเสียออกมาอยู่ที่นี่หวังจะหาความสบาย บัดนี้น้องข้าพเจ้าทำความผิดคิดมิชอบ มหาอุปราชจึงได้ความลำบากมาถึงนี่ ตัวข้าพเจ้าเปนผู้พี่ก็หาพ้นความผิดไม่ มหาอุปราชจงโปรดให้ทานชีวิตข้าพเจ้าด้วย
ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย เบ้งเฮ็กเบ้งฮิวเปนคนชั่วกระทำความผิดโทษก็จะอยู่แก่ตัวเขา ท่านเปนคนดีมีความสัตย์ความชอบก็จะมีอยู่แก่ตัวท่าน เมื่อสำเร็จราชการกลับไปเมืองแล้วเราจึงจะกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ตั้ง ท่านเปนใหญ่ในแดนนี้ เบ้งเจียดจึงว่า ซึ่งโปรดมาทั้งนี้พระคุณหาที่สุดไม่ แต่น้ำใจข้าพเจ้ารักแต่ความสบายมิได้ยินดีต่อสมบัติพัสถานที่จะเปนใหญ่สืบไป ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ให้สิ่งของเงินทองแก่เบ้งเจียดเปนอันมาก เบ้งเจียดก็มิได้รับสิ่งของนั้นคืนให้ขงเบ้ง ๆ ก็ลาเบ้งเจียดขึ้นเกวียนน้อยพาทหารกลับมาถึงค่าย
ขงเบ้งจึงให้ทหารขุดบ่อในค่ายสิบบ่อลึกสี่สิบวา หวังจะอาศรัยน้ำ ขงเบ้งแลทหารทั้งปวงเห็นบ่อนั้นแห้งมิได้มีน้ำก็ตกใจ ครั้นเวลาคํ่าขงเบ้งจึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชาเทพดาแล้วอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขงเบ้งตั้งใจทำราชการสนองพระคุณพระเจ้าเล่าปี่โดยสุจริต จะยกพระเจ้าเล่าเสี้ยนขึ้นครองราชสมบัติบำรุงให้ราษฎรเปนสุขสืบไป บัดนี้พลทหารทั้งปวงขัดสนด้วยนํ้านัก ถ้าบุญพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะเปนใหญ่ ตัวข้าพเจ้าจะได้ช่วยทำนุบำรุงอยู่ ขอเทพดาจงโปรดให้ทานชีวิตสัตว์ทั้งปวงด้วย ถ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนหาบุญไม่แล้ว จงบันดาลให้ข้าพเจ้าขงเบ้งผู้เปนคนอาภัพนี้ตายเสียเถิด อย่าให้มีชีวิตอยู่ดูหน้าคนสืบไปเลย ครั้นเวลาเช้าทหารเข้าไปบอกขงเบ้งว่า บ่อซึ่งขุดไว้นั้นน้ำขึ้นเต็มทุกบ่อ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงให้ทหารกินน้ำสำเร็จแล้วก็ยกไปเขาอิมตองสัน ให้ตักน้ำนั้นไปเปนลำเลียง
ฝ่ายทหารซึ่งคอยเหตุจึงเอาเนื้อความมาบอกเบ้งเฮ็กว่า บัดนี้ขงเบ้งยกทหารล่วงทางตวันตกเข้ามาได้แล้ว เบ้งเฮ็กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ โต้สู้ไต้อ๋องจึงว่าแก่เบ้งเฮ็กว่าท่านอย่าเพ่อวิตก เนื้อความซึ่งว่านี้ยังไม่เห็นสม ข้าพเจ้าจะดูให้เห็นประจักษ์แก่ตาก่อน โต้สู้ไต้อ๋องก็ยืนดูบนยอดเขา เห็นขงเบ้งยกใกล้เข้ามาแล้ว เห็นทหารหาบขนน้ำเข้าเปนอันมาก โต้สู้ไต้อ๋องคิดสงสัยนักจึงกลับลงมาว่าแก่เบ้งเฮ็กว่า ขงเบ้งยกมาได้จริงแล้วข้าพเจ้าเห็นประหลาทนัก ชรอยเทพารักษ์จะบอกแก่ขงเบ้งเปนแน่
เบ้งเฮ็กจึงว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้ากับเบ้งฮิวสองคนพี่น้องจะลาท่านออกสู้รบกับขงเบ้งกว่าจะ สิ้นชีวิตลงกับที่ มิให้ทหารจับมัดไปให้ขงเบ้งดูหน้าอีกแล้ว โต้สู้ไต้อ๋องจึงว่า ตัวท่านกับข้าพเจ้าเปนพวกเดียวกัน แม้ท่านเสียแก่ขงเบ้งแล้ว ถึงตัวข้าพเจ้ากับสมัคพรรคพวกทั้งปวงขงเบ้งก็จะไม่ไว้ชีวิตแล้ว โต้สู้ไต้อ๋องก็ฆ่าโคกระบือเลี้ยงสุราทแกล้วทหารทั้งปวง จัดแจงจะยกออกรบกับขงเบ้ง พอทหารเข้ามาบอกว่า เอียวหองซึ่งเปนนายใหญ่อยู่เขางินติสันยกทหารสามหมื่นมาช่วย โต้สู้ไต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงออกมารับคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วพาทหารกับเอียวหองเข้ามาที่อยู่
เอียวหองจึงอวดว่า บุตรข้าพเจ้าห้าคนนี้มีสติปัญญาแลฝีมือเข้มแขงนัก แล้วทหารข้าพเจ้าก็มีกำลังกล้าหาญใส่เกราะเหล็กเสมอทุกตัวคน แม้ขงเบ้งยกทหารร้อยหมื่นเข้ามา แต่กำลังข้าพเจ้าจะขออาสาเอาชัยชนะให้ได้ แล้วก็เรียกบุตรห้าคนเข้ามาคำนับโต้สู้ไต้อ๋องกับเบ้งเฮ็ก ๆ เห็นบุตรเอียวหองรูปร่างคมสันมีสง่าเหมือนเสืออันร้ายก็มีความยินดีนัก ก็แต่งโต๊ะให้เอียวหองกับบุตรห้าคนนั้นเสพย์สุราด้วยกัน
ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น เอียวหองแกล้งทำเมาสำแดงฤทธิต่าง ๆ รำเพลงโล่เพลงทวนโลดโผนทำสง่าว่า ถ้าขงเบ้งมาเราจะตัดสีสะด้วยเพลงอาวุธอันนี้ พอหญิงสิบคนซึ่งเอียวหองคิดกลเตรียมมานั้น สยายผมเดิรตบมือทำเพลงเข้ามา เอียวหองจึงให้บุตรเอาจอกสุราคนละจอกเข้าไปคำนับเบ้งเฮ็กเบ้งฮิว ๆ มิได้แจ้งในกลเอียวหองก็รับจอกสุราแหงนหน้าขึ้นจะกิน เอียวหองตวาดขึ้นตามสัญญา บุตรเอียวหองก็กลุ้มกันเข้าจับมัดเบ้งเฮ็กเบ้งฮิว โต้สู้ไต้อ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจขยับตัวจะวิ่งหนี เอียงหองก็รวบเอาตัวมัดไว้ หญิงสิบคนก็วิ่งเข้าช่วยมัดเบ้งเฮ็ก
เบ้งเฮ็กจึงว่าแก่เอียวหองว่า ท่านกับเราก็มิได้มีสาเหตุทำผิดสิ่งใดต่อกัน แลท่านมาทำร้ายแก่เรานี้หาประโยชน์ไม่ นานไปท่านก็จะได้ความเดือดร้อน เอียวหองจึงว่า มหาอุปราชเมืองเสฉวนเปนคนมีเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวง จับลูกหลานเราได้ก็ไว้ชีวิตปล่อยมาสิ้น เราคิดถึงคุณจึงจะจับตัวท่านซึ่งเปนคนทรยศมัดไปแทนคุณขงเบ้ง แล้วเอียวหองจึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เบ้งเฮ็กกระทำความผิดให้ท่านทั้งปวงเดือดร้อน บัดนี้เราจะจับไปให้ขงเบ้งแล้ว ท่านทั้งปวงจงกลับไปอยู่ให้เปนสุขตามภูมิ์ลำเนาเถิด แล้วเอียวหองก็พาเอาตัวโต้สู้ไต้อ๋องกับเบ้งฮิวเบ้งเฮ็กมัดไปให้ขงเบ้งนอก ค่าย
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี เรียกเอียวหองเข้าไปคำนับตามธรรมเนียมแล้ว เอียวหองจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าเปนผู้ใหญ่บ้านอยู่ ณ เขางินติสัน คิดถึงคุณมหาอุปราชซึ่งไว้ชีวิตปล่อยลูกหลานข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจึงคิดกลอุบายจับเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวมาแทนพระคุณท่าน ขงเบ้งก็ให้บำเหน็จรางวัลแก่เอียวหองเปนอันมาก แล้วให้เอาตัวเบ้งเฮ็กเข้ามา ขงเบ้งจึงหัวเราะว่า ท่านจะยอมสมัคอ่อนน้อมต่อเราแล้วหรือยัง
เบ้งเฮ็กจึงว่า ซึ่งท่านจะให้เราอ่อนน้อมต่อนั้นไม่ชอบ เพราะเรามิได้แพ้ฝีมือท่าน บัดนี้เอียวหองเพื่อนเราทำกลอุบายให้เราไว้ใจจึงจับเรามาได้ ถึงท่านจะฆ่าเสียก็ตามเถิดเรามิได้อ่อนน้อมต่อเปนอันขาด ขงเบ้งจึงว่า ครั้งนี้ตัวหนีเราเข้าอยู่ในที่คับขัน หวังจะลวงเราให้เปนอันตรายด้วยน้ำร้ายกลางทาง เทพดาก็ช่วยบำรุงรักษาเราให้เข้ามาได้ถึงที่นี่ เหตุไฉนท่านมาถือทิษฐิมานะไม่อ่อนน้อมต่อเราอีกเล่า
เบ้งเฮ็กจึงว่า เดิมเราอยู่เมืองงินแข ภูมิฐานกำแพงหอรบมั่นคง แม้ท่านจับเราได้ในเมืองนั้น เราก็จะอ่อนน้อมต่อท่านชั่วลูกหลาน นี่เราออกจากเมืองเราดอกท่านจึงลวงจับตัวเราได้ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นเห็นว่าเบ้งเฮ็กยังมีมานะถือตัวอยู่ จึงว่าเราจะปล่อยท่านไปอีกครั้งหนึ่ง ท่านจงหาที่มั่นบำรุงทแกล้วทหารให้พร้อมไว้เถิด เราจะยกไปสู้รบกับท่าน ๆ ก็จะได้เห็นฝีมือเรา แม้เราจับมาได้ท่านยังพูดฉนี้อยู่เราจะฆ่าเสียสิ้นทั้งโคตร แล้วก็ให้ทหารแก้มัดเบ้งเฮ็กออก เบ้งเฮ็กก็คำนับลาขงเบ้งไป ขงเบ้งจึงให้ทหารแก้เบ้งฮิวกับโตสู้ไต้อ๋องออกเลี้ยงสุราแล้ว เอาม้าให้คนละตัวให้ตามเบ้งเฮ็กไป ครั้นเบ้งฮิวโต้สู้ไต้อ๋องไปแล้ว ขงเบ้งจึงตั้งเอียวหองเปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้บำเหน็จรางวัลแก่หญิงสิบคนแลทหารทั้งปวงตามสมควร เอียวหองก็คำนับลาขงเบ้งไปที่อยู่
ฝ่ายเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวกับโต้สู้ไต้อ๋อง รีบพากันไปทั้งกลางวันกลางคืนถึงเมืองสำกั๋ง นอกเมืองนั้นมีแม่น้ำล้อมสามด้าน นอกนั้นออกไปฝ่ายข้างทิศเหนือเปนที่ราบกว้างสี่ร้อยเส้น มีผลไม้ต่าง ๆ เปนอันมาก ข้างทิศตวันตกสองร้อยเส้นเปนนาเกลือ ฝ่ายทิศใต้ใกล้เมืองสามร้อยเส้นถึงเมืองลงต่อต๋อง แล้วจึงถึงเมืองหลวงมีเขาล้อมรอบ ในเมืองมีเขาใหญ่อันหนึ่งชื่องินแข บนยอดเขานั้นมีปราสาทชื่อก๋งเตียนเล่าคายเปนที่อยู่เจ้ามันอ๋อง ริมปราสาทนั้นมีศาลเจ้าสำหรับแผ่นดินเปนที่ศักดิ์สิทธิ์ ชาวเมืองทั้งปวงนับถือแต่งเครื่องไปเส้นเจ้าแกคุยที่ศาลนั้นปีละสี่ครั้ง ผู้สำหรับปรนนิบัติรับเครื่องเส้นนั้นชื่อปกกุย แล้วชาวเมืองทั้งปวงต้องไปจับคนในแดนเมืองเสฉวนมาเส้นทุกปีมิได้ขาด ถ้าหาไม่ได้ก็พเอิญให้ไข้จับเปนโรคต่าง ๆ
ประการหนึ่งในเมืองงินแขนั้น มิได้มีกฎหมายเปนอย่างธรรมเนียมเหมือนหัวเมืองทั้งปวง ถ้ากระทำผิดให้เจ้าเมืองขัดเคืองแล้วก็ให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ถึงมาทว่าหญิงชายในเมืองนั้นจะทำละเมิดนอกคำบิดามารดาสามีก็มิได้มีโทษ อนึ่งถ้าฝนตกไม่บริบูรณขัดสนด้วยเข้าปลาอาหาร ชาวเมืองทั้งปวงก็เอาเนื้อแลช้างกินเลี้ยงชีวิต
ฝ่ายเบ้งเฮ็กครั้นมาถึงเมืองงินแข ซ่องสุมได้ทหารประมาณพันเศษ เบ้งเฮ็กจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เราทำศึกมากับขงเบ้งก็เสียทีได้ความอัปยศเปนหลายครั้ง ท่านทั้งปวงซึ่งมีสติปัญญาจงช่วยเราคิดบ้าง ทำไฉนจะได้ชัยชนะขงเบ้ง ตั้วไหลน้องภรรยาเบ้งเฮ็กจึงว่า แม้ขงเบ้งยกติดตามมาข้าพเจ้าจะขออาสาแก้แค้นให้จงได้ เบ้งเฮ็กจึงถามว่า ท่านจะคิดอ่านทำประการใด
ตั้วไหลจึงว่า บกลกไต้อ๋องเจ้าเมืองปัดหลับต๋อง ข้างทิศตวันตกเมืองเรานี้มีความรู้เชี่ยวชาญ ถ้าขึ้นช้างร่ายมนตร์แล้ว จะเรียกให้เกิดลมพายุพัดให้ก้อนศิลากระเด็นถูกข้าศึก แลเรียกสัตว์ร้ายต่าง ๆ มาใช้ก็ได้ แล้วมีปีศาจสามหมื่นติดตามให้ใช้สอยมิได้ขาด ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปฉบับหนึ่ง กับสิ่งของเครื่องบรรณาการจงมาก ข้าพเจ้าจะไปหาบกลกไต้อ๋องอ้อนวอนให้ยกทหารมาช่วยท่านเห็นการเราจะสำเร็จ
เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงเขียนหนังสือแจ้งเนื้อความทั้งปวงกับสิ่งของให้ตั้วไหล ๆ คำนับลาเบ้งเฮ็กไป แล้วเบ้งเฮ็กจึงให้โตสู้ไต้อ๋องคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองสำกั๋ง
ฝ่ายขงเบ้งยกกองทัพตามเบ้งเฮ็กมาถึงเมืองสำกั๋ง จึงให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนคุมทหารยกเข้าตีเมืองทางทิศเหนือ ฝ่ายโต้สู้ไต้อ๋องก็ให้ทหารซึ่งชำนาญหน้าไม้ ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เปนสามารถ ทหารทั้งปวงก็เตรียมหน้าไม้สำหรับมือทายาพิษ ถ้ายิงถูกผู้ใดเปื่อยพังจนตาย ครั้นจูล่งยกทหารเข้ามาใกล้ ทหารบนกำแพงก็เอาหน้าไม้ระดมยิงถูกทหารจูล่งเจ็บปวดล้มตายเปนหลายคน จูล่งกับอุยเอี๋ยนถอยกลับไปหาขงเบ้ง ๆ เห็นทหารถูกหน้าไม้เจ็บปวดเปนสาหัศก็เอายาใส่ให้ พิษหน้าไม้นั้นก็หาย แล้วขึ้นเกวียนเข้าไปดูเห็นภูมิฐานเมืองมั่นคง ขงเบ้งก็ถอยทัพออกไปตั้งค่ายมั่นอยู่ไกลเมืองหกสิบเส้น ทหารในเมืองสำกั๋งเห็นขงเบ้งถอยทัพออกไปตั้งมั่นก็ประมาทเลินเล่อสำคัญว่า ขงเบ้งแพ้ฝีมือสู้ไม่ได้แล้ว
ฝ่ายขงเบ้งถอยออกไปตั้งอยู่ห้าวัน เวลาคํ่าเกิดลมพัดขึ้นในค่าย ขงเบ้งจึงสั่งทหารทั้งปวงว่า เราจะเอาผ้าชายเสื้อเสมอคนละผืนให้ได้ในเวลาวันนี้ ถ้าผู้ใดไม่ได้เราจะตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็สงสัยอยู่ แต่เกรงอาญาขงเบ้งก็หาผ้าชายเสื้อคนละผืนมาให้ขงเบ้งครบตัวกัน ในเวลายามหนึ่งขงเบ้งก็ให้ทหารเอาผ้ามาห่อดินคนละห่อ ยกเข้าถมกำแพงเมืองจนถึงใบเสมา แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดเข้าเมืองได้ก่อนเราจะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ชิงกันเข้าไปได้เปนอันมาก แล้วสัญญากันไล่ฟันผู้คนอื้ออึงขึ้น โต้สู้ไต้อ๋องมิได้แจ้งว่าศึกมาแต่เหนือแลใต้ ก็ขึ้นม้าพาทหารออกมา ทหารขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ไล่รุกเข้าไปเอาทวนแทงถูกโต้สู้ไต้อ๋องตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจายกัน ทิ้งเมืองเสียหนีไปหาเบ้งเฮ็กประมาณกึ่งหนึ่ง ขงเบ้งได้ชัยชนะก็ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองสำกั๋ง แล้วก็จัดแจงยกไปเมืองงินแข
ฝ่ายเบ้งเฮ็กแจ้งว่าขงเบ้งได้เมืองสำกั๋งแล้ว ก็มีความวิตกนัก พอทหารเข้ามาบอกว่า ขงเบ้งยกกองทัพข้ามฟากล่วงเข้ามาในแดนนี้แล้ว เบ้งเฮ็กตกใจสดุ้งขึ้นทั้งตัว นางจกหยงซึ่งเปนภรรยาเบ้งเฮ็กยืนแอบอยู่ในฉากเห็นดังนั้นก็เดิรหัวเราะออกมา ว่า ท่านเปนชาติทหารควรหรือมาสิ้นความคิด ด้วยการศึกแต่เพียงนี้ท่านอย่าวิตกเลย ตัวข้าพเจ้าเปนหญิงจะขออาสาทำศึกกับขงเบ้ง เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นคิดขึ้นได้ว่า นางจกหยงคนนี้มีวิชาใช้อาวุธได้ ถ้าข้าศึกไล่มาเอาอาวุธโยนขึ้นไปบนอากาศแล้ว จำเพาะให้ตกลงถูกข้าศึก เห็นพอจะสู้รบเอาชัยชนะขงเบ้งได้ เบ้งเฮ็กก็มีความยินดีคำนับรับคำนาง แล้วก็จัดทหารเอกร้อยคน กับทหารเลวห้าหมื่นมอบให้นางจกหยง ๆ คำนับเบ้งเฮ็กแล้วรีบยกออกจากเมือง พอเตียวหงีกับม้าตงทหารขงเบ้งยกมาถึงก็เข้าสกัดรบ
นางจกหยงเห็นดังนั้น ก็แต่งตัวมีอาวุธวิเศษเหน็บหลังห้าเล่ม ขึ้นม้าถือหอกใหญ่ยาวสามวา รำเพลงอาวุธเข้ารบกับเตียวหงีได้เก้าเพลง นางจกหยงทำเปนแพ้ชักม้าหนี เตียวหงีมิได้แจ้งในกลก็ขับม้าไล่ตามนางจกหยงจึงชักเอาอาวุธวิเศษโยนขึ้นไป แล้วตกลงถูกเตียวหงีตกจากหลังม้า ทหารทั้งปวงก็รุมเข้าจับตัวมัดไว้ ม้าตงเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้าแก้เตียวหงี เห็นนางจกหยงยืนม้าถือหอกอยู่ก็โกรธ ควบม้าเข้ารบกับนางจกหยงยังไม่แพ้ชนะกัน นางจกหยงทำกลเอาเชือกพานเท้าม้าล้มลง ม้าตงตกจากม้า นางจกหยงจึงให้ทหารเข้ามัดเอาตัวเตียวหงีกับม้าตงกลับเข้าเมือง
เบ้งเฮ็กเห็นดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงนางจกหยงเสพย์สุรา นางจกหยงจึงสั่งทหารให้เอาตัวเตียวหงีกับม้าตงไปฆ่าเสีย เบ้งเฮ็กจึงว่า ข้าทำศึกกับขงเบ้ง ๆ จับได้ถึงห้าครั้ง ก็ไว้ชีวิตปล่อยมามิได้ทำอันตราย ซึ่งเราจะฆ่าเตียวหงีม้าตงเสียนั้นไม่ชอบ คนทั้งปวงก็จะคระหานินทาได้ เรางดไว้ต่อจับขงเบ้งได้จึงฆ่าให้พร้อมกันทีเดียว นางจกหยงเห็นชอบด้วยก็ให้ทหารเอาตัวเตียวหงีม้าตงไปคุมไว้
ฝ่ายทหารเตียวหงีซึ่งแตกนั้น ก็เอาเนื้อความไปบอกขงเบ้งทุกประการ ขงเบ้งจึงเรียกม้าต้ายมาสั่งว่า ท่านจงคุมทหารอยู่ทางน้อย ถ้าแลเห็นนางจกหยงไล่จูล่งแลอุยเอี๋ยนมา ก็ให้เอาเชือกพานเท้าม้าจับเอาตัวให้จงได้ ม้าต้ายก็ลาไปซุ่มทหารอยู่ตามขงเบ้งสั่ง แล้วขงเบ้งจึงสั่งจูล่งกับอุยเอี๋ยนว่า ให้ท่านยกทหารเข้าไปรบกับนางจกหยง แลทำเปนแพ้ล่อให้ไล่ไปตามทางซึ่งม้าต้ายซุ่มอยู่ จูล่งอุยเอี๋ยนก็รับคำขงเบ้งยกทหารไป
ครั้นเวลาเช้าทหารไปบอกเบ้งเฮ็กว่า จูล่งยกทหารเข้ามา นางจกหยงได้ฟังดังนั้นก็ขึ้นม้ายกออกไปรบกับจูล่งได้เก้าเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน จูล่งชักม้าหนีล่อให้ไล่ นางจกหยงเกรงว่าขงเบ้งจะทำกลอุบายก็ถอยทหารจะกลับเข้าเมือง อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ยกทหารตามเข้ามา นางจกหยงก็ชักม้ารบกับอุยเอี๋ยนเปนสามารถ อุยเอี๋ยนทำแพ้ชักม้าหนี นางจกหยงก็หยุดทหารตั้งมั่นอยู่นอกเมืองคืนหนึ่ง
ครั้นเวลาเช้าจูล่งก็คุมทหารเข้าไปชวนรบอีก นางจกหยงก็ขับม้าออกรบกับจูล่งได้แปดเพลง จูล่งชักม้าหนี นางจกหยงก็มิได้ตามไป กลับม้าจะถอยเข้าเมือง อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ควบม้าตามเข้าไปร้องด่านางจกหยงเปนข้อหยาบช้าต่าง ๆ นางจกหยงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ กลับมารบกับอุยเอี๋ยน ๆ ก็ควบม้าหนีร้องด่าไปพลาง นางจกหยงก็ขับม้าไล่ตามไปด้วยกำลังโทโส ถึงทางน้อยริมเชิงเขาซึ่งม้าต้ายซุ่มอยู่ ม้าต้ายก็เอาเชือกพานเท้าม้าล้มลง นางจกหยงพลัดตกจากหลังม้า ม้าต้ายก็เข้าจับตัวมัดมาค่ายขงเบ้ง จูล่งก็ไล่ฟันทหารนางจกหยงล้มตายเปนอันมาก หนีกลับไปเมืองได้บ้าง ฝ่ายขงเบ้งเห็นม้าต้ายจับนางจกหยงมาได้ก็มีความยินดี ให้ทหารแก้มัดออกเสียเชิญนางเสพย์สุรา แล้วขงเบ้งจึงให้ทหารเข้าไปบอกเบ้งเฮ็กว่าให้ส่งตัวเตียวหงีกับม้าตงออกมา เราจะส่งนางจกหยงให้กลับคืนเข้าไป เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็ปล่อยเตียวหงีกับม้าตงออกมา ขงเบ้งก็ส่งนางจกหยงเข้าไป เบ้งเฮ็กเห็นภรรยาเข้ามาก็มีความยินดีนัก พอทหารเข้ามาบอกว่า บกลกไต้อ๋องยกทหารมาถึง เบ้งเฮ็กก็ดีใจออกไปรับถึงนอกเมือง เห็นบกลกไต้อ๋องใส่เสื้อพื้นทองประดับพลอย เหน็บดาบใหญ่สองเล่ม ขี่ช้างเผือกยืนอยู่ กับทหารซึ่งเปนควาญสำหรับขี่สัตว์ร้ายนั้นพวกหนึ่ง เบ้งเฮ็กก็เข้าไปคำนับแจ้งเนื้อความทั้งปวงทุกประการ
บกลกไต้อ๋องจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งขงเบ้งทำให้ท่านได้ความอัปยศนั้นเราจะรับเปนธุระช่วยแก้แค้นเอง เบ้งเฮ็กได้ฟังก็มีความยินดี เชิญบกลกไต้อ๋องเข้าไปในเมือง แต่งโต๊ะเชิญให้เสพย์สุรา แล้วเลี้ยงทหารเปนอันมาก
ครั้นเวลาเช้าบกลกไต้อ๋องก็ยกทหารออกจากเมืองตรงไปค่ายขงเบ้ง ๆ เห็นดังนั้นก็ให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนยกออกตั้งรับอยู่นอกค่าย ครั้นเห็นบกลกไต้อ๋องยกมาถึง จูล่งกับอุยเอี๋ยนก็ควบม้าออกยืนอยู่หน้าทหาร เห็นธงกระบวรศึกทั้งปวง แล้วเห็นทหารเกณฑ์รบนั้นมิได้ใส่เสื้อเกราะ หน้าตาก็ผิดจริตคน แล้วก็มิได้ตีกลองแลม้าฬ่อ ตีแต่ฆ้องเรียกคนเปนสำคัญ แลเห็นบกลกไต้อ๋องแต่งตัวเปนกษัตริย์ขี่ช้างเผือกเหน็บดาบใหญ่สองเล่ม มีทหารถือธงใหญ่แห่หน้าช้างคนหนึ่ง
จูล่งจึงว่าแก่อุยเอี๋ยนว่า แต่เราทำสงครามมาก็ยังมิได้เห็นกระบวรศึกประหลาทอย่างนี้ เราจะคิดอ่านทำประการใดจึงมีชัยชนะ พอได้ยินเสียงระฆังแลไปเห็นบกลกไต้อ๋องร่ายมนตร์บนหลังช้าง สักครู่หนึ่งก็เกิดลมพายุใหญ่พัดก้อนศิลากระเด็นมาดังห่าฝน แล้วได้ยินเสียงบกลกไต้อ๋องเป่าแตรเขากระบือ สัตว์ร้ายก็วิ่งออกจากป่าเปนอันมาก สำแดงฤทธิ์เดชตรงเข้าในกองทัพจูล่ง ๆ เห็นดังนั้นก็ถอยทหารกลับเข้าค่ายแจ้งเนื้อความแก่ขงเบ้งทุกประการ แล้วก็อ้อนวอนขอโทษซึ่งทำการมิได้มีชัยชนะแก่ข้าศึก
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่าท่านอย่าวิตกเลย ด้วยข้าศึกมีวิชาเหลือปัญญาท่าน ๆ หามีโทษไม่ ซึ่งบกลกไต้อ๋องมีวิชาฉนี้เราก็รู้อยู่เตรียมการมาพร้อมแล้ว ขงเบ้งจึงให้ทหารเอาเกวียนแต่งไว้สิบเอ็ดเล่ม ซึ่งทำเตรียมมานั้นเปิดออก ในเกวียนนั้นมีรูปสัตว์ร้ายต่าง ๆ ร้อยหนึ่งทำด้วยไม้ เขียนลายเหมือนรูปสัตว์ รวงในใส่ดินปะสิวแลลูกพลุ มีล้อสำหรับเสือกเดิรได้ทุกตัว ขงเบ้งจึงเกณฑ์ทหารที่มีกำลังพันหนึ่งสำหรับประคองออกทำการตัวละสิบคน ครั้นเวลาเช้าก็ให้ยกทหารตรงเข้าไปเมืองงินแข ตัวขงเบ้งยกตามไปภายหลัง
ฝ่ายบกลกไต้อ๋องได้ชัยชนะกลับเข้าเมือง เบ้งเฮ็กก็แต่งโต๊ะเลี้ยงสุรา พอทหารเข้ามาบอกว่าขงเบ้งยกเข้ามา บกลกไต้อ๋องได้ฟังดังนั้นจึงว่า ขงเบ้งยังไม่เข็ดฝีมือเราหรือ จึงยกทหารเข้ามาอิกเล่า แล้วก็จัดแจงทหารกับเบ้งเฮ็กยกออกจากเมือง พอขงเบ้งก็มาถึง เบ้งเฮ็กจึงชี้มือบอกบกลกไต้อ๋องว่า ซึ่งใส่หมวกแต่งตัวอย่างมหาอุปราชถือพัดนั่งอยู่บนเกวียนน้อยนั้นคือขงเบ้ง แม้เราจับตัวได้แล้วแผ่นดินเราก็จะเปนสุข บกลกไต้อ๋องได้ฟังว่าดังนั้น ก็สั่นระฆังร่ายมนตร์เรียกให้เกิดลมพายุพัดก้อนศิลามาดังห่าฝน แล้วเป่าแตรเรียกสัตว์ร้ายมาเปนอันมาก
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ร่ายมนตร์โบกพัด ลมพายุก็พัดกลับไป สัตว์ร้ายก็หยุดอยู่ แล้วขงเบ้งก็ให้เอาเพลิงจุดเสือกสัตว์กลนั้นเข้าไปในกองทัพเบ้งเฮ็ก แล้วให้ตีม้าฬ่อฆ้องกลองยกทหารล้อมเข้าไป สัตว์ร้ายซึ่งบกลกไต้อ๋องเรียกมานั้น ถูกลูกพลุแลประทัดเจ็บปวดเปนสาหัส ก็ตื่นกันวิ่งวุ่นวายไป ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นกันอึงขึ้น ฝ่ายขงเบ้งก็ขับทหารให้ไล่ฟันเข้าไป ฆ่าบกลกไต้อ๋องตายในที่รบ เบ้งเฮ็กก็ยกเข้าเมืองพาภรรยากับสมัคพรรคพวกรีบหนี ขงเบ้งก็ยกทหารเข้าตั้งอยู่ในเมืองเงินแข ปูนบำเหน็จทหารตามสมควรแล้วเกณฑ์ทหารให้รีบไปตามจับตัวเบ้งเฮ็ก
ฝ่ายเบ้งเฮ็กหนีไปนั้นตั้วไหลน้องภรรยาจึงว่าแก่เบ้งเฮ็กว่า เราจะหนีไปบัดนี้ก็เห็นหาพ้นมือขงเบ้งไม่ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายให้ทหารร้อยหนึ่งแต่งตัวซ่อนอาวุธไว้ในเสื้อ แล้วจะจับตัวท่านสองคนกับพี่ข้าพเจ้ามัดไปให้ขงเบ้ง ๆ ก็จะดีใจหาตัวข้าพเจ้ากับทหารซึ่งมีความชอบเข้าไปในค่าย ข้าพเจ้าจะจับตัวขงเบ้งฆ่าเสีย เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ตั้วไหลก็จับตัวเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวกับนางจกหยง แล้วพาทหารร้อยหนึ่งมาหาขงเบ้ง พบทหารขงเบ้งกลางทาง ตั้วไหลจึงบอกแก่ทหารนั้นว่า ข้าพเจ้าห้ามปรามเบ้งเฮ็กว่าให้อ่อนน้อมต่อมหาอุปราชเถิดก็ไม่ฟัง ขืนสู้รบจนไพร่พลได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก ข้าพเจ้าจึงจับตัวเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวกับภรรยามาให้มหาอุปราช ทหารนั้นก็กลับมาบอกแก่ขงเบ้ง ๆ ได้ฟังดังนั้นจึงสั่งเตียวหงีกับม้าตงว่า ท่านจงจัดแจงทหารคนละพันให้ยืนเรียงกันอยู่ในประตูค่ายสองข้างทาง ถ้าตั้วไหลพาเบ้งเฮ็กเข้ามาก็ให้มัดตั้วไหลกับทหารเข้ามาให้เราด้วย
เตียวหงีกับม้าตงก็ไปจัดแจงพร้อมไว้ตามขงเบ้งสั่ง ตั้วไหลก็พาตัวเบ้งเฮ็กกับพี่สาวเข้ามาถึงประตูค่าย เตียวหงีกับม้าตงก็จับตั้วไหลกับทหารร้อยหนึ่งมัดไว้ ขงเบ้งจึงแกล้งให้ทหารออกไปสั่งว่า ซึ่งตั้วไหลกับทหารทั้งปวงพาตัวเบ้งเฮ็กมานั้นให้เข้ามาเถิด เตียวหงีกับม้าตงก็พาเอาตัวเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวตั้วไหลกับภรรยาเบ้งเฮ็กแลทหาร ทั้งปวงเข้าไปให้ขงเบ้ง ๆ เห็นตั้วไหลกับทหารมาคำนับกราบลงกับที่ดังนั้น จึงหัวเราะแล้วว่าแก่เบ้งเฮ็กว่า เมื่อครั้งก่อนนั้นเอียวหองเพื่อนของท่านเห็นว่าท่านทำผิด ก็จับตัวมาให้เรา ๆ ก็ไว้ชีวิตปล่อยเสียมิได้เอาโทษ มาบัดนี้เล่า ตั้วไหลน้องภรรยาจับตัวมาให้เรา หวังจะคิดกลอุบายฆ่าเราเสียเราก็รู้ถึง แล้วขงเบ้งก็ให้ทหารค้นดูในตัวตั้วไหล ได้อาวุธเหน็บซ่อนอยู่ในเสื้อเล่มหนึ่ง
ขงเบ้งจึงว่าแก่เบ้งเฮ็กว่า ซึ่งกลอุบายท่านคิดทำนี้แต่เราคิดเล่นลืมเสียก็ดีกว่า บัดนี้ตัวก็สิ้นความคิดอยู่แล้ว หรือจะว่าประการใดต่อไปบ้าง
เบ้งเฮ็กจึงว่า เรายังมิได้แพ้ฝีมือท่าน หากว่าเราคิดผิดเข้ามาหาที่ตายเองท่านจึงได้เรา ถึงจะฆ่าเราเสียก็ตามเถิดเรามิได้อ่อนน้อมต่อท่าน ขงเบ้งจึงว่า เราจับท่านได้ก็ถึงหกครั้งนี้แล้ว ก็ยังเจรจาอยู่ฉนี้ จะให้เราตามจับไปอีกสักกี่ครั้งเล่าจึงจะอ่อนน้อมต่อเรา
เบ้งเฮ็กจึงว่า แม้ปล่อยเราไปอีกครั้งหนึ่งให้เราได้ทำการจนสิ้นความคิดเต็มฝีมือแล้วจึงจะ อ่อนน้อมต่อท่าน แม้ท่านไม่เชื่อเราจะให้ความสัตย์ไว้แก่ท่าน แล้วเบ้งเฮ็กก็ให้ความสัตย์ต่อหน้าขงเบ้ง ๆ ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า อันเบ้งเฮ็กนี้ก็เสียทีแก่เราแล้ว ทหารก็เบาบางเห็นหาทำการใหญ่สืบไปได้ไม่ เราจะปล่อยไปอิกครั้งหนึ่งให้สิ้นความคิดจงได้ แล้วขงเบ้งก็ให้ทหารแก้มัดเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวตั้วไหลนางจกหยงแลทหารทั้งปวงออก แล้วว่า เราจะให้ชีวิตตัวอิกครั้งหนึ่ง แม้เราจับได้ตัวยังพูดฉนี้อยู่ก็จะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งโคตร
เบ้งเฮ็กก็รับคำขงเบ้งก้มหน้าพากันลุกออกไปจากเมือง ซ่องสุมได้ทหารประมาณแปดร้อย เบ้งเฮ็กจึงว่าแก่ตั้วไหลว่า บัดนี้ขงเบ้งก็เข้าตั้งอยู่ในเมืองเราแล้ว เรามิได้มีที่อาศรัย จะคิดอ่านประการใดดีจึงจะตั้งตัวทำการสืบไปได้ ตั้วไหลจึงว่า ลุดตัดกุดซึ่งเปนเจ้าเมืองออโกก๊กฝ่ายทิศตะวันออกไกลเมืองเจ็ดพันเส้นมีทหาร เปนอันมาก แม้เราคิดอ่านไปหาลุดตัดกุดให้ยกทหารมาช่วย เห็นเราจะทำการได้ชัยชนะเปนมั่นคง เพราะลุดตัดกุดนั้นมีกำลังพลังเปนอันมาก สูงวาสามศอก กินแต่เนื้อสัตว์เปนแลผลไม้ต่างอาหาร แล้วก็มีวิชาคงทนสาระพัดอาวุธ ทหารซึ่งจะเข้าสู้สงครามนั้นก็เข้มแขงสามารถ เอาหวายแช่น้ำมันไว้หกเดือนมาถักทำเปนเกราะ แม้ถึงทางกันดารจะข้ามน้ำก็ลอยตัวข้ามฟากไปได้ ถึงถูกอาวุธธนูเกาทัณฑ์ก็มิได้เข้าเปนอันขาด จึงเรียกทหารเหล่านั้นชื่อว่าตีนกะเป๋ง ขอให้ท่านไปอ่อนน้อมต่อลุดตัดกุด ให้ยกทหารมาช่วยทำการแก้แค้นขงเบ้ง เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก ตั้วไหลก็พาเบ้งเฮ็กไปหาลุดตัดกุด ณ เมืองออโกก๊ก คำนับกันตามธรรมเนียม แล้วเบ้งเฮ็กก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ ลุดตัดกุดจึงว่า ซึ่งขงเบ้งยกกองทัพบุกรุกเข้ามายํ่ายีในแดนเราให้ท่านได้ความเดือดร้อนนั้น ท่านอย่าวิตกเลย เราจะรับเปนธุระแก้แค้นเอง ให้ขงเบ้งรู้สำนึกตัวจงได้ ลุดตัดกุดจึงสั่งเขาอั๋นกับเคหลีให้ยกทหารตีนกะเป๋งสามหมื่นเปนทัพหน้า ไปตั้งคอยรับกองทัพขงเบ้งอยู่ ณ ริมแม่นํ้าโท้ฮัวสุยนอกเมืองออโกก๊กฝ่ายทิศ ตวันออกก่อน แล้วลุดตัดกุดก็พาเบ้งเฮ็กแลสมัคพรรคพวกทั้งปวงยกทหารหนุนตามไปภายหลัง
ฝ่ายขงเบ้งตั้งอยู่ในเมืองงินแข จึงให้ทหารไปสืบข่าวราชการดูว่าเบ้งเฮ็กจะไปตั้งอยู่ตำบลใด ทหารนั้นมาบอกว่า เบ้งเฮ็กไปพาลุดตัดกุดเจ้าเมืองออโกก๊กยกทหารมาตั้งอยู่ริมแม่นํ้าโท้ฮัวสุ ยเปนอันมาก ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารยกไปถึงแม่น้ำโท้ฮัวสุย เห็นทหารลุดตัดกุดรูปร่างเปนชาวดง แล้วนํ้านั้นก็วิปริตคิดสงสัย จึงหาชาวบ้านมาสืบถาม ชาวบ้านจึงบอกว่า น้ำในแม่นํ้าโท้ฮัวสุยนี้ถ้าใบโท้หล่นลงแล้วเมื่อใด คนต่างประเทศไม่รู้ตักมากินก็เมาตายในขณะนั้น ถ้าชาวเมืองออโกก๊กมาตักกิน ก็ให้เกิดสติปัญญาแลกำลังมากขึ้น ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ให้อุยเอี๋ยนตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำ ตัวขงเบ้งถอยออกไปตั้งอยู่ไกลสองร้อยห้าสิบเส้น แล้วกำชับทหารทั้งปวงมิให้ตักนํ้านั้นมากินเปนอันขาด
ฝ่ายเขาอั๋นกับเคหลีเห็นขงเบ้งยกมาตั้งค่ายอยู่ดังนั้น ก็เกณฑ์ทหารยกข้ามฟากไปจะรบเอาค่ายอุยเอี๋ยน ๆ ก็ยกออกตั้งอยู่นอกค่าย ครั้นเขาอั๋นเคหลียกมาถึงก็ขับทหารให้เข้ารบเปนสามารถ อุยเอี๋ยนเห็นทหารลุดตัดกุดลํ่าสันแลคงทนแก่อาวุธทั้งปวง ก็ล่าทัพมาค่ายขงเบ้ง เขาอั๋นกับเคหลีก็ยกทหารข้ามกลับมาค่าย อุยเอี๋ยนให้ทหารตามมาสอดแนมดู เห็นทหารลุดตัดกุดมิได้มีแพแลเรือ ขี่แต่เกราะข้ามน้ำไปได้ ก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ขงเบ้งทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นคิดสงสัย จึงเรียกลิคีมาถามว่าเหตุผลทั้งนี้จะเปนประการใด ลิคีจึงว่า อันทหารตีนกะเป๋งเหล่านี้มีกำลังพลังใส่เกราะหวายคงทนแก่อาวุธเสมอตัวทุกคน อันเราจะรบพุ่งเอาชัยชนะมันนั้นเห็นขัดสน ขอให้มหาอุปราชยกกลับไปเมืองเสฉวนก่อนเถิด เบ้งเฮ็กก็สิ้นความคิดอยู่แล้วเห็นหาอาจยกตามเราได้ไม่ ขงเบ้งจึงหัวเราะแล้วว่าเราได้ทำการเกินล่วงมาถึงเพียงนี้แล้ว จะเลิกทัพถอยไปนั้นไม่ชอบ เวลาพรุ่งนี้เราจะคิดกลอุบายเอาชัยชนะให้จงได้ แล้วขงเบ้งก็จัดแจงให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนอยู่รักษาค่าย
ครั้นเวลาเช้าขงเบ้งก็ขึ้นเกวียนน้อยพาทหารกับคนสนิธกับชาวบ้านเลียบไป ตามริมแม่น้ำฝ่ายทิศเหนือ ครั้นถึงเนินเขาขงเบ้งก็ลงจากเกวียนเดิรไปถึงเขาใหญ่อันหนึ่ง ยอดเขานั้นเปนเนินสัณฐานเหมือนรูปงู เตียนราบมิได้มีต้นไม้ ริมเนินนั้นมีกำแพงศิลามั่นคง แล้วมีทางใหญ่ทางหนึ่ง ขงเบ้งจึงถามว่าเนินนี้ชื่อใด ชาวบ้านจึงบอกว่าชื่อจัวปัวสก แปลเปนภาษาไทยว่าเนินงูเลื้อย ทางใหญ่ซึ่งลงไปนี้ตรงไปเมืองสำกั๋ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก ว่าการเราครั้งนี้เห็นจะสำเร็จเปนมั่นคง แล้วก็ลงจากเขาขึ้นเกวียนน้อยกลับมาค่าย ขงเบ้งจึงสั่งม้าต้ายให้เอาเกวียนสิบเล่มซึ่งบันทุกตู้ทำเตรียมมาแต่เมือง นั้นเข้ามาเปิดขึ้น ในตู้นั้นใส่กระบอกไม้พันหนึ่ง ในกระบอกนั้นใส่ประทัดเหล็กแลดินดำเปนอันมาก ขงเบ้งจึงสั่งม้าต้ายว่า ท่านจงคุมทหารเอาเกวียนสิบเล่มนี้ไปซุ่มอยู่ริมเนินจัวปัวสก เตรียมการไว้ให้พร้อมในสิบห้าวัน ม้าต้ายก็รับคำลาขงเบ้งไป แล้วขงเบ้งก็ให้จูล่งคุมทหารไปตั้งสกัดอยู่ริมทางจะไปเมืองสำกั๋ง ให้เตรียมการไว้ให้พร้อม จูล่งก็ยกทหารไป ขงเบ้งจึงให้อุยเอี๋ยนไปอยู่ค่ายริมแม่น้ำโท้ฮัวสุยแล้วสั่งว่า ถ้าทหารลุดตัดกุดยกมารบก็ให้ทำแตกล่อให้ไล่ไปตามเนินเขาจัวปัวสก ถ้าเห็นธงขาวปักอยู่ที่ไหนก็ให้เข้าหยุดอยู่ที่นั้น อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นมิได้แจ้งในกลอุบายขงเบ้ง ก็คิดน้อยใจว่าขงเบ้งแกล้งให้ได้รับความอัปยศแก่ข้าศึก แต่เกรงอาญาก็มิได้ตอบประการใด ยกไปตั้งอยู่ตามขงเบ้งสั่ง ขงเบ้งจึงให้เตียวเอ็กกับเตียวหงีม้าตงคุมคนซึ่งเข้าเกลี้ยกล่อมพันหนึ่ง ไปตั้งค่ายเจ็ดค่ายรายไปตามริมแม่น้ำจัวปัวสก ให้ปักธงขาวไว้เปนสำคัญ
ฝ่ายเบ้งเฮ็กยกมาถึงแม่น้ำโท้ฮัวสุย เห็นกองทัพขงเบ้งมาตั้งอยู่ดังนั้น จึงว่าแก่ลุดตัดกุดว่า อันขงเบ้งนี้มีสติปัญญาทำกลอุบายล่อลวงต่าง ๆ เราจะทำศึกกับขงเบ้งจำจะกำชับทหารทั้งปวงเสียก่อนว่า เมื่อรบพุ่งกับขงเบ้ง ถ้าถึงชายป่าแลเนินเขาที่สำคัญถึงจะได้ทีก็อย่าให้ติดตาม
ลุดตัดกุดจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย อันชาวเมืองเสฉวนมีกลอุบายมากนักเราก็รู้อยู่แล้ว เราจะคุมทหารเปนทัพหน้ายกข้ามไปก่อน ฆ่าขงเบ้งเสียให้ได้ ตัวท่านจงคุมทหารป้องกันไปภายหลัง แล้วลุดตัดกุดก็ยกทหารข้ามฟากไปรบค่ายอุยเอี๋ยน ๆ ก็ยกทหารออกรบกับลุดตัดกุดได้เก้าเพลง อุยเอี๋ยนทำเปนแพ้ทิ้งค่ายเสียชักม้าหนี ลุดตัดกุดก็ยกข้ามกลับมาค่าย อุยเอี๋ยนก็คืนเข้าอยู่ในค่าย
ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งลุดตัดกุดก็ยกทหารข้ามมารบอีก อุยเอี๋ยนออกรบได้เจ็ดเพลงก็ทำแพ้ควบม้าหนี ลุดตัดกุดก็ให้ทหารตามรบไปทางไกลแปดสิบเส้นเห็นเงียบสงัดอยู่มิได้มีผู้ใด ออกช่วยรบพุ่งต้านทาน ก็กลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่ลุดตัดกุด
ลุดตัดกุดได้ฟังดังนั้นก็เกณฑ์ทหารกองใหญ่ยกตามไป อุยเอี๋ยนเห็นลุดตัดกุดไล่มาจะใกล้ทันก็ให้ทหารถอดเกราะเสีย วิ่งหนีเข้าอยู่ในค่ายธงขาว ลุดตัดกุดเห็นดังนั้นก็มีใจกำเริบยกทหารตามไปถึงค่าย อุยเอี๋ยนก็ออกรบกับลุดตัดกุดได้สามเพลง แล้วทิ้งค่ายเสียควบม้าหนีเข้าอยู่ในค่ายธงขาวที่สอง ลุดตัดกุดก็ยกทหารไล่ตามไป อุยเอี๋ยนก็ออกรบได้สามเพลงแล้วควบม้าหนี แต่อุยเอี๋ยนออกรบกับลุดตัดกุดทำแพ้ถึงสิบห้าครั้ง ทิ้งค่ายเสียเจ็ดค่ายลุดตัดกุดก็ยิ่งกำเริบ ก็ควบม้าออกไล่ขึ้นหน้าทหาร เกินเขาจัวปัวสกออกไปเห็นป่าชัฏอันหนึ่ง ลุดตัดกุดจึงให้ทหารเข้าไปสอดแนมดู ทหารกลับมาบอกว่าในป่านั้นมีทหารเข้าไปซุ่มอยู่ปักธงเทียวไว้เปนอันมาก เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า อันขงเบ้งนี้จะดีแต่กลอุบาย จะรบกันแต่โดยฝีมือหาสู้เราได้ไม่ เราทำศึกครั้งนี้ก็มีชัยชนะสิบห้าครั้ง ได้ค่ายถึงเจ็ดค่าย ทหารขงเบ้งก็ขยาดเราอยู่แล้ว เรายับยั้งฟังกำลังขงเบ้งดูก่อน เห็นขงเบ้งจะเสียทีเราเปนมั่นคง ลุดตัดกุดก็เห็นด้วยจึงตั้งพักทหารอยู่คืนหนึ่ง
ครั้นเวลาเช้าอุยเอี๋ยนก็ยกมารบล่อทหารลุดตัดกุดอีก ลุดตัดกุดก็ให้เบ้งเฮ็กอยู่รักษาค่าย แต่งตัวห่มเกราะประดับพลอยใส่ลูกประคำฅอขึ้นขี่ช้างออกหน้าทหาร อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ร้องด่าลุดตัดกุดเปนอันมากแล้วควบม้าหนี ลุดตัดกุดได้ฟังโกรธตาแดงดังแสงเพลิง ไสช้างพาทหารไล่ตามอุยเอี๋ยนเห็นธงขาวปักอยู่บนเนินจัวปัวสกก็ควบม้าหนีตรง ขึ้นไป ลุดตัดกุดก็ไล่ขึ้นไปเห็นเนินนั้นเตียนราบมิได้มีต้นไม้เปนที่กำบังที่ ขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ก็ประมาทเร่งพาทหารไล่ตามอุยเอี๋ยนไป ถึงทางซึ่งม้าต้ายซุ่มอยู่พอเวลาคํ่า ลุดตัดกุดเห็นเกวียนดินซึ่งม้าต้ายเอาไปทิ้งอยู่กลางทาง สำคัญว่าขงเบ้งทิ้งเกวียนเสียรีบหนีไปแล้ว ก็เร่งยกทหารตามไปถึงทางซึ่งจูล่งขนก้อนศิลาแลตัดไม้สมทบไว้นั้น ลุดตัดกุดก็ดีใจให้ทหารเข้าขนศิลาแลไม้นั้นวุ่นวายจะรีบตามขงเบ้งไป จูล่งก็ให้ทหารเอาเพลิงจุดเชื้อแลไม้ซึ่งเตรียมไว้นั้นขึ้น ลุดตัดกุดเห็นเพลิงไหม้สกัดทางเข้ามาก็ตกใจกลับหน้าช้างหนี ม้าต้ายก็จุดเพลิงแลเผาเกวียนทิ้งชะลอมเพลิงเข้าไปโดยรอบ แล้วจุดประทัดเหล็กซึ่งฝังไว้นั้นอื้ออึงขึ้น
ลุดตัดกุดเห็นเพลิงติดขึ้นโดยรอบเต็มไปทั้งเนิน ไม่รู้ที่จะทำประการใดไฟก็ไหม้เกราะทหารทั้งนั้นขึ้น ลุดตัดกุดกับทหารสามหมื่นก็ตายอยู่ในกลางเพลิงสิ้น ขงเบ้งขึ้นยืนอยู่บนยอดเขาเห็นทหารลุดตัดกุดตายในเพลิงประมาณสองหมื่น เหลือนั้นถูกประทัดเหล็กสีสะแลแขนขาดตายอยู่เปนอันมาก แล้วเหม็นกลิ่นศพไหม้นั้นฟุ้งกระหลบไป ขงเบ้งคิดสังเวชนํ้าตาตก ว่าเราทำการครั้งนี้ถึงจะได้บำเหน็จความชอบสักเท่าใดก็ดี เห็นอายุเราจะสิ้นเสียมั่นคงเพราะฆ่าชีวิตสัตว์เสียมากนัก ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็คิดสงสารทอดใจใหญ่ทุกคน ขณะเมื่อเพลิงไหม้ลุดตัดกุดกับทหารทั้งปวงอยู่นั้น ขงเบ้งให้เตียวหงีกับทหารพันหนึ่งทำกลเปนทีหนีลอบไปหาเบ้งเฮ็ก ณ ค่าย แล้วบอกว่าบัดนี้ลุดตัดกุดล้อมขงเบ้งไว้ได้มั่นคงแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าความตายจะถึงตัวจึงมาหาท่าน ขอให้ท่านเร่งยกทหารหนุนขึ้นไปเถิด
เบ้งเฮ็กสำคัญว่าจริงก็ยกทหารขึ้นไปในเวลากลางคืนถึงเนินเขาเห็นเพลิง ไหม้โพลงอยู่แล้วเหม็นกลิ่นศพไหม้ฟุ้งตลบไป เบ้งเฮ็กตกใจจะถอยกลับลงมา ม้าตงกับเตียวหงีก็ให้ทหารฟันกระหนาบเข้าไป เบ้งเฮ็กร้องด้วยเสียงอันดัง ทหารทั้งปวงก็วิ่งวุ่นวายเข้าปลอมเปนทหารขงเบ้งเสียเปนอันมาก เบ้งเฮ็กก็ควบม้าพันฝ่าทหารหนีไป ถึงซอกเขาแห่งหนึ่งพบขงเบ้งขึ้นเกวียนน้อยคุมทหารมาสกัดอยู่ ขงเบ้งจึงร้องตวาดว่าอ้ายโจรขบถมึงจะหนีไปไหนเล่า เบ้งเฮ็กตกใจกลับม้าควบหนี พอม้าต้ายยกทหารสกัดทางล้อมออกมาจับตัวเบ้งเฮ็กได้ มัดจะเอาไปให้ขงเบ้ง
ฝ่ายขงเบ้งเมื่อเบ้งเฮ็กควบม้าหนีไปนั้น ก็ให้อองเป๋งกับเตียวเอ๊กคุมทหารรีบไปตีค่ายเบ้งเฮ็ก ณ แม่น้ำโท้ฮัวสุย จับตัวนางจกหยงกับสมัคพรรคพวกมาให้สิ้น ขงเบ้งก็พาทหารกลับมาค่าย แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่าเราคิดกลอุบายทำการได้ชัยชนะศึกครั้งนี้ แต่ทหารเลวคนหนึ่งก็มิได้เสีย เมื่อลุดตัดกุดไล่อุยเอี๋ยนไปถึงชายเขานั้น เราเอาแต่ธงไปปักลวงไว้ในป่าก็สำคัญว่าทหารตั้งอยู่เปนอันมากหาอาจจะยกตามไป ไม่ กลับไล่อุยเอี๋ยนขึ้นไปบนเนินเขา เราจึงให้ม้าต้ายเอาเกวียนเปล่าซึ่งบันทุกดินไปนั้นออกทิ้งไว้กลางทาง แล้วเราให้เอาประทัดเหล็กลงฝังดินล่ามสายฉะนวนทำกลไว้เปนอันมาก ลุดตัดกุดโอหังความคิดน้อยก็เสียทีแก่เรา อนึ่งลุดตัดกุดแกล้งมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุยหวังจะลวงเราให้ตายด้วยน้ำ ร้าย เราคิดเห็นว่าทหารลุดตัดกุดใส่เสื้อเกราะหวายชุบน้ำมัน เราจึงเอาเพลิงร้ายออกลวงบ้างก็แพ้รู้เสียทีแก่เรา บัดนี้ทหารลุดตัดกุดที่มีฝีมือพากันตายเสียในเพลิงนี้สิ้น เราก็คิดถึงโทษตัวสังเวชใจนัก เดชะผลที่เราตั้งใจทำราชการสนองพระคุณเจ้าโดยสุจริต ขออย่าให้เปนเวรต่อกันสืบไปเลย
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็คำนับกราบลงแล้วจึงว่า อันความคิดมหาอุปราชนี้ลึกซึ้งหลักแหลมนัก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ถึงปีศาจแลเทพารักษ์ซึ่งสำแดงฤทธิ์เดชต่าง ๆ ก็หารู้ถึงกลมหาอุปราชไม่
ขณะนั้นพอม้าต้ายแลทหารทั้งปวงมัดเอาเบ้งเฮ็กเบ้งฮิวตั้วไหลนางจกหยงมา ถึงขงเบ้งก็ให้ทหารแก้มัดออกเสีย เบ้งเฮ็กก็คำนับกราบลง ขงเบ้งจึงให้เบ้งเฮ็กเบ้งฮิวตั้วไหลนางจกหยงไปนั่งอยู่ที่ไกล แล้วให้ทหารยกโต๊ะแลสุราไปให้กิน
ขณะเมื่อสี่คนเสพย์สุราอยู่นั้น ขงเบ้งจึงให้ทหารคนหนึ่งแต่งกลไปว่าแก่เบ้งเฮ็กว่า บัดนี้มหาอุปราชจะให้ปล่อยท่านเสีย ถ้าท่านจะใคร่ทำศึกกับมหาอุปราชดูฝีมือความคิดอีก เราจะปล่อยท่านไปซ่องสุมทหารยกมารบให้สิ้นฝีมือ จะได้เห็นประจักษ์ว่าผู้ใดแพ้แลชนะ เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็คิดน้อยใจน้ำตาตกจึงว่า แต่ก่อนมาก็ยังไม่เคยได้ยินว่า ทำการศึกกันเขาจับได้แล้วปล่อยเสียถึงเจ็ดครั้ง ด้วยเราเปนคนต่างแดนกันกับท่านก็จริง แต่รู้จักผิดแลชอบมีความอายอยู่บ้าง ตัวเรากับภรรยาแลสมัคพรรคพวกทั้งปวงควรจะไปกราบลงกับตีนมหาอุปราชขอชีวิตจึง จะชอบ แล้วเบ้งเฮ็กก็พากันมาหาขงเบ้งคำนับกราบลงแล้วจึงว่า ตัวข้าพเจ้าได้กระทำความผิด มหาอุปราชไว้ชีวิตปล่อยไปมิเอาโทษข้าพเจ้าถึงหกครั้ง มหาอุปราชจงอดโทษข้าพเจ้าเถิด แต่นี้ไปเมื่อหน้าข้าพเจ้ามิได้คิดคดต่อมหาอุปราชสืบไปเลย
ขงเบ้งจึงถามว่า ท่านยอมอ่อนน้อมแล้วหรือยัง เบ้งเฮ็กได้ฟังก็ร้องไห้แล้วจึงว่า ข้าพเจ้าจะยอมเปนข้ามหาอุปราชสืบไปชั่วลูกหลาน ขงเบ้งจึงเชิญเบ้งเฮ็กขึ้นนั่งบนที่อันเดียวกัน เชิญให้กินโต๊ะเสพย์สุราแล้วขงเบ้งก็ตั้งให้เบ้งเฮ็กเปนเจ้าเมืองอยู่ดัง เก่า แต่บันดาหัวเมืองแลทหารซึ่งเข้าเกลี้ยกล่อมอยู่ในขงเบ้งนั้นก็คืนให้เบ้ งเฮ็กสิ้น
ปีฮุยนายทหารจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า มหาอุปราชมาทำการครั้งนี้ก็ลำบากไพร่พลนัก เบ้งเฮ็กจึงสมัคอ่อนน้อมด้วย ซึ่งมหาอุปราชจะให้แต่เบ้งเฮ็กอยู่รักษาเมืองผู้เดียวนั้นเกลือกเบ้งเฮ็ก กลับกลอก นานไปจะได้ความเดือดร้อน ขอให้มหาอุปราชตั้งขุนนางไว้กำกับด้วย
ขงเบ้งจึงว่า ในเมืองเบ้งเฮ็กนี้ผิดเพศเราอยู่สามประการ คือชาวเมืองนี้กินแต่เนื้อสัตว์ดิบนั้นประการหนึ่ง แลเรายกกองทัพมาครั้งนี้ก็ฆ่าพี่น้องชาวเมืองนี้เสียเปนอันมาก เห็นชาวเมืองจะมีใจเจ็บแค้นเราอยู่สองประการ อนึ่งในเมืองนี้มิได้มีกฎหมายเปนอย่างธรรมเนียมเหมือนเมืองทั้งปวง ถ้าผู้ใดทำให้เจ้าเมืองโกรธแล้วก็ฆ่าเสีย เปนสามประการ ครั้นเราจะให้ขุนนางแลทหารทั้งปวงอยู่กำกับนั้นเห็นจะขัดสน จะได้ความเดือดร้อนภายหลัง อนึ่งเบ้งเฮ็กก็สิ้นความคิดแพ้ฝีมือเรานักอยู่แล้ว เห็นจะไม่คิดคดต่อเราสืบไป
เบ้งเฮ็กแลสมัคพรรคพวกทั้งปวงได้ฟังดังนั้น ก็ชวนกันคำนับกราบขงเบ้งลงพร้อมกันต่างคนต่างลาไปที่อยู่ ชาวเมืองทั้งปวงจึงปลูกศาลเทพารักษ์ ทำรูปขงเบ้งขึ้นไว้จารึกชื่อว่าจูฮู แปลภาษาไทยว่า รูปบิดาชาวเมืองทั้งปวง เบ้งเฮ็กก็จัดแจงหัวแหวนทองเงินแลสิ่งของที่ดีมาให้ขงเบ้งเปนอันมาก แล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้เปนข้าอยู่ในมหาอุปราช แม้มหาอุปราชจะมีกิจธุระสิ่งใดก็ให้แต่ทหารเลวถือหนังสือมาถึงข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ให้บำเหน็จรางวัลทหารตามสมควร แล้วก็จัดกันให้อุยเอี๋ยนเปนทัพหน้า ขงเบ้งคุมทหารเปนทัพหลวงยกกลับไปเมืองเสฉวน เบ้งเฮ็กแลชาวเมืองทั้งปวงก็ตามไปส่ง ครั้นถึงแม่นํ้าลกซุย อุยเอี๋ยนเห็นเกิดลมพายุพัดก้อนศิลากระเดนลงมาจากยอดเขา ในแม่น้ำนั้นมืดเปนหมอกจะข้ามไปนั้นขัดสน อุยเอี๋ยนก็รีบถอยกลับมาบอกขงเบ้ง ๆ ก็เร่งยกไปถึงแม่น้ำลกซุย เห็นเหตุนั้นวิปริตจึงถามเบ้งเฮ็กว่า เหตุผลทั้งนี้เปนประการใด
เบ้งเฮ็กจึงว่า อันแม่น้ำนี้มีปีศาจสำแดงฤทธิ์ แต่ก่อนมาก็เคยเปนอยู่ ขอให้ท่านเอาสีสะคนสี่สิบเก้าสีสะ กับม้าเผือกกระบือดำมาเส้นบวงสรวงจึงจะหาย ขงเบ้งจึงว่าเราทำศึกกับท่านจนสำเร็จการ แผ่นดินราบคาบถึงเพียงนี้ คนแก่คนหนึ่งก็มิตายเพราะมือเรา บัดนี้กลับมาถึงแม่น้ำลกซุยจะเข้าแดนเมืองอยู่แล้ว จะมาฆ่าคนเสียนั้นไม่ชอบ ขงเบ้งจึงออกไปยืนพิเคราะห์ดูริมฝั่งเห็นพายุยังพัดอยู่ จะคิดข้ามไปนั้นเห็นขัดสน จึงหาชาวบ้านมาสืบถาม ชาวบ้านจึงบอกว่า แต่มหาอุปราชยกข้ามแม่น้ำนี้ไปแล้ว ก็เกิดเหตุฉนี้ทุกวันมิได้ขาด แต่เวลาพลบคํ่าไปจนสว่างได้ยินเสียงปีศาจร้องอื้ออึงไป เห็นรูปปลิวขึ้นไปตามควันหมอกเปนอันมาก มิได้มีผู้ใดจะอาจข้ามไปมาได้
ขงเบ้งได้ฟังจึงว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะโทษตัวเราเอง เมื่อครั้งเราให้ม้าต้ายคุมทหารพันหนึ่งยกมานั้น ทหารทั้งปวงก็ตายอยู่ในแม่น้ำนี้สิ้น แล้วเมื่อทำศึกอยู่นั้นทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เปนอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเราจึงบันดาลให้เปนเหตุต่าง ๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเปนปรกติจงได้ ชาวบ้านทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็บอกความแก่ขงเบ้งเหมือนเบ้งเฮ็กว่าทุกประการ
ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เราจะคิดอ่านทำเอง ขงเบ้งก็สั่งทหารให้ฆ่าม้าเผือกกระบือดำ แล้วเอาแป้งมาปั้นเปนสีสะคนสี่สิบเก้าสีสะ ครั้นเวลากลางคืนก็ยกออกไปตั้งไว้ริมน้ำ ขงเบ้งจึงแต่งตัวออกไปจุดธูปเทียนแลประทีปสี่สิบเก้า แล้วแต่งหนังสือบวงสรวงให้เตียวกอดอ่านเปนใจความว่า บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนครองราชสมบัติได้สามปี (พ.ศ. ๗๖๘) มีรับสั่งให้เราผู้เปนอุปราชให้ยกทหารมาปราบปรามข้าศึกต่างประเทศ เราก็ตั้งใจสนองพระคุณมิได้คิดความลำบาก จนสำเร็จราชการได้ชัยชนะข้าศึกแล้ว แลทหารทั้งปวงซึ่งมีความสัตย์ตั้งใจมากับเราหวังจะทำนุบำรุงพระเจ้าเล่า เสี้ยน ยังไม่ทันสำเร็จท่านตายเสียก็มีบ้าง ท่านทั้งปวงจงกลับไปเมืองกับเราเถิด ลูกหลานจะได้เส้นคำนับตามธรรมเนียม เราจะกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่สมัคพรรคพวกพี่น้องท่านให้ถึงขนาด ฝ่ายทหารเบ้งเฮ็กซึ่งตายอยู่ในที่นี้ก็ดี ให้เร่งหาความชอบอย่ามาวนเวียนทำให้เราลำบากเลย จงคิดถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งครองราชสมบัติเปนธรรมประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน แลเห็นแก่เราผู้มีความสัตย์ จงรับเครื่องเส้นเราแล้วกลับไปอยู่ถิ่นฐานเถิด ครั้นอ่านหนังสือสำเร็จแล้ว ขงเบ้งก็ได้จุดประทัดตีม้าฬ่อ แล้วร้องไห้รักทหารซึ่งตายนั้นเปนอันมาก
ฝ่ายทหารขงเบ้งแลทหารเบ้งเฮ็กทั้งปวงซึ่งตายนั้น เห็นขงเบ้งโศกเสร้าดังนั้นก็คิดสงสารร้องไห้รักพร้อมกันขึ้นทั้งสิ้น พายุแลคลื่นละลอกซึ่งเกิดนั้นก็สงบเปนปรกติ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี ให้ทหารเอาเครื่องเส้นทั้งปวงลอยไปตามนํ้า ครั้นเวลาเช้าขงเบ้งก็ให้ตีม้าฬ่อยกทหารข้ามฟากไปถึงเมืองเองเฉียงจึงให้ลิ คีอยู่รักษาเมือง แล้วสั่งเบ้งเฮ็กว่าท่านจงพาทหารกลับไปเถิด คิดอ่านรักษาบ้านเมืองเอาใจทหารแลอย่าให้ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เบ้งเฮ็กก็รับคำแล้วพาทหารกลับไปเมือง ขงเบ้งก็ยกทหารไปเมืองเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าขงเบ้งมีชัยชนะกลับมาถึง ก็มีความยินดีนัก ขึ้นรถเสด็จออกไปรับขงเบ้งนอกเมืองทางไกลสามร้อยเส้น ครั้นเห็นขงเบ้งยกมาก็ลงจากรถยืนคอยรับอยู่ริมทาง ขงเบ้งขึ้นเกวียนมาเห็นดังนั้นก็ตกใจ ลงจากเกวียนเข้าไปถวายบังคมกราบลงแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าไปทำศึกกับเบ้งเฮ็กครั้งนี้มีชัยชนะ ปราบปรามให้แผ่นดินราบคาบเปนปรกติสำเร็จแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าทำการช้าไปให้พระองค์วิตกอยู่นั้น โทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว พระองค์จงอดโทษข้าพเจ้าเถิด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้น ก็จูงมือขงเบ้งขึ้นเกวียน แล้วเสด็จขึ้นรถกลับเข้าเมือง พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขงเบ้งแลทหารทั้งปวง แล้วก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลเปนอันมาก ขงเบ้งจึงเอาเครื่องบรรณาการอย่างดีสำหรับหัวเมืองซึ่งตีได้ทั้งสามร้อย เมืองนั้นขึ้นถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วทูลให้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่บุตรแลภรรยาทหารซึ่งตายนั้นเปนอันมาก ทหารทั้งปวงก็มีความยินดีตั้งใจทำราชการทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนโดย สุจริต
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 69
https://drive.google.com/file/d/1kUTUxJ6H9CdKdK2qIEt_H_Sa1Ivs_3Ir/view
-
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 70
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-70.html
(https://1.bp.blogspot.com/-dKV-fLxD1FQ/XSmHQTWTfKI/AAAAAAAAuSk/us8uSQC0Y-46PzaPfR2xNgLteC4mlRpBACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2597%25E0%25B9%2590.jpg)
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 70
เนื้อหา
• พระเจ้าโจผีหลงกลฆ่านางเอียนซีมเหสี
• พระเจ้าโจยอยทรงราชย์วุยก๊ก
• จูล่งเสียกลแฮหัวหลิมล้อม
• ขงเบ้งทำกลอุบายจับแฮหัวหลิมได้
ฝ่ายพระเจ้าโจผีซึ่งอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ แต่ยังไม่ได้ราชสมบัติ เกิดบุตรกับนางเอียนซีคนหนึ่งชื่อโจยอย นางเอียนซีคนนี้เดิมเปนภรรยาของบุตรอ้วนเสียวก่อน เมื่อครั้งไปตีเมืองเงียบกุ๋นจึงได้นางมาเปนภรรยา ครั้นพระเจ้าโจผีได้ราชสมบัติจึงยกนางเอียนซีขึ้นเปนมเหษีเอก แล้วเอานางกุยฮุยบุตรีกุยเฮงมาเปนมเหษีซ้าย นางนั้นรูปงามพระเจ้าโจผีก็รักนัก กุยเฮงบิดานางกุยฮุยคิดจะใคร่ให้บุตรีของตัวเปนใหญ่แต่ผู้เดียว จึงเข้าไปปรึกษากับเตียวโถขันที
เตียวโถจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย บัดนี้พระเจ้าโจผีก็ประชวรอยู่ ขอให้ท่านคิดกลอุบายทำรูปพระเจ้าโจผี เขียนปีเดือนวันเวลาใส่ในรูปแล้วไปฝังไว้ใต้ที่อยู่นางเอียนซี ข้าพเจ้าจึงจะไปจับขุดเอารูปนั้นมาถวายพระเจ้าโจผี ๆ ก็จะโกรธฆ่านางเอียนซีเสีย บุตรีท่านก็จะได้เปนใหญ่แต่ผู้เดียว กุยเฮงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงทำรูปไปฝังไว้ตามคำเตียวโถว่า เตียวโถก็ไปจับเอารูปนั้นมาถวายพระเจ้าโจผี ๆ มิได้แจ้งในกลก็โกรธให้ฆ่านางเอียนซีเสีย ตั้งนางกุยฮุยเปนใหญ่ นางนั้นไม่มีบุตรเห็นโจยอยบุตรนางเอียนซีมีสติปัญญาหลักแหลม ก็เอามาเลี้ยงเปนบุตรจนอายุได้สิบห้าขวบ โจยอยรู้ศิลปศาสตร์ชำนาญเกาทัณฑ์แลอาวุธทั้งปวง
ครั้นพระเจ้าโจผีเสวยราชย์ได้เจ็ดปี (พ.ศ. ๘๖๙) ถึงเดือนสี่ระดูร้อน จึงชวนโจยอยผู้บุตรออกไปประพาสป่าไล่เนื้อหวังจะหาวิชา ทหารทั้งปวงจึงต้อนเนื้อแม่ลูกออกมาจากป่า พระเจ้าโจผีก็เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกแม่เนื้อนั้นตาย ลูกเนื้อก็ตกใจวิ่งผ่านหน้าโจยอยมา โจยอยคิดสงสารก็นิ่งอยู่
พระเจ้าโจผีจึงถามว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่ยิงเกาทัณฑ์ โจยอยจึงทูลว่า เนื้อสองตัวแม่ลูกพระองค์ยิงแม่นั้นตายแล้ว ข้าพเจ้าเห็นลูกเนื้อเปนกำพร้า คิดสงสารจึงมิได้ทำอันตราย พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็คิดสลดพระทัยนักทิ้งเกาทัณฑ์เสีย คิดว่าบุตรเรานี้มีเมตตาแก่สัตว์ ควรจะครองสมบัติได้แล้วก็เสด็จกลับเข้าเมือง พระเจ้าโจผีจึงตั้งโจยอยเปนเพงงวนอ๋อง แปลเปนภาษาไทยว่าราชบุตรต่างกรม
ครั้นถึงเดือนแปดพระเจ้าโจผีประชวรไข้จับ หมอพยาบาลเท่าใดก็ไม่คลาย จึงให้หาโจจิ๋นหนึ่ง ตันกุ๋นหนึ่ง สุมาอี้หนึ่ง ซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่กับโจยอยเข้ามา พระเจ้าโจผีจึงตรัสว่าบัดนี้ตัวเราป่วยหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว เราคิดวิตกด้วยโจยอยยังหนุ่มแก่ความรักอยู่ ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งสามเคยทำราชการกับเราฉันใด จงช่วยเอาใจใส่ราชการบ้านเมืองทำนุบำรุงบุตรเราเหมือนฉนั้นเถิด
ขุนนางทั้งสามได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า พระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าทั้งสามนี้จะตั้งใจทำการสนองคุณพระองค์ไปตราบเท่าสิ้นชีวิต พระเจ้าโจผีจึงตรัสว่า เราคิดประหลาทใจนัก ด้วยประตูเมืองใหญ่เรานี้หาเหตุผลไม่ก็ทำลายหักลงเอง เห็นเราจะสิ้นบุญเสียครั้งนี้เปนมั่นคง
ขณะนั้นพอขันทีเข้ามาทูลว่า โจฮิวซึ่งเปนขุนนางสำหรับกำจัดศัตรูตะวันออกจะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าโจผีก็ให้หาเข้ามา แล้วทรงพระกันแสงตรัสแก่โจฮิวว่า ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ช่วยปราบปรามข้าศึกมาแต่เมืองฮูโต๋ยังไม่ตั้งมั่นได้ จนใหญ่หลวงเปนสุขขึ้นถึงเพียงนี้ บัดนี้เรายังไม่แก่ชรานัก อายุได้สี่สิบปีพึ่งครองราชสมบัติได้เจ็ดปี โรคภัยก็เบียดเบียฬนักเห็นจะสิ้นอายุเสียมั่นคงแล้ว ท่านอยู่ภายหลังจงช่วยทำนุบำรุงบุตรเราโดยสุจริตให้เราสิ้นวิตกด้วยเถิด พอขาดคำพระเจ้าโจผีก็สวรรคต
โจจิ๋นหนึ่ง ตันกุ๋นหนึ่ง สุมาอี้หนึ่ง โจฮิวหนึ่ง แลขุนนางทั้งปวงก็เชิญโจยอยขึ้นเสวยราชสมบัติ ชื่อพระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้ (พ.ศ. ๗๗๐) ครั้นพระเจ้าโจยอยได้เสวยราชสมบัติ ก็สั่งให้ปล่อยคนโทษซึ่งต้องจำจองอยู่ในนั้นให้พ้นโทษ แล้วจัดแจงแต่งการศพพระเจ้าโจผีตามสมควร แล้วตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเปนอันมาก พระเจ้าโจยอยจึงตรัสกับสุมาอี้ว่า เมืองเสเหลียงนี้ใกล้เมืองเสฉวนเปนเมืองหน้าศึก ต่อผู้มีสติปัญญากล้าหาญจึงจะรักษาได้ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงแต่งเรื่องราวขึ้นกราบทูลจะขอรับอาสาไปรักษาเมืองเส เหลียง สุมาอี้ก็ถวายบังคมลาไป
ฝ่ายทหารสืบข่าวรู้ว่าโจผีตายแล้ว โจยอยได้ราชสมบัติ ตั้งให้สุมาอี้มาอยู่รักษาเมืองเสเหลียง ก็รีบเอาเนื้อความมาบอกขงเบ้ง ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า สุมาอี้เปนคนมีสติปัญญาหลักแหลมนัก มาตั้งอยู่เมืองเสเหลียง แม้ซ่องสุมทหารได้มากแล้ว เห็นจะยกมาทำอันตรายเมืองเราเปนมั่นคง จำเราจะยกทหารไปตีเมืองฮูโต๋ตัดศึกเสียก่อนจะควร สุมาอี้สิ้นกำลังลงมิได้มีที่อาศรัยก็จะหันมาพึ่งเรา
ม้าเจ๊กจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า มหาอุปราชยกกองทัพไปรบกับเบ้งเฮ็กพึ่งกลับมา ทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ ซึ่งจะยกไปตีเมืองฮูโต๋เปนทางไกลนั้น เห็นทหารทั้งปวงจะได้รับความลำบากนัก ขอให้งดอยู่ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายให้โจยอยฆ่าสุมาอี้เสียจงได้ ขงเบ้งว่าจึงถามว่าท่านจะทำกลอุบายประการใด
ม้าเจ๊กจึงว่า ซึ่งโจยอยให้สุมาอี้มาอยู่รักษาเมืองเสเหลียงนั้น โจยอยก็แคลงอยู่หาไว้ใจสุมาอี้ไม่ ข้าพเจ้าคิดกลอุบายจะเขียนหนังสือให้ทหารลอบไปปิดไว้ณประตูเมืองลกเอี๋ยงแล หัวเมืองทั้งปวง ว่าสุมาอี้คิดขบถ โจยอยรู้ก็จะฆ่าสุมาอี้เสีย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงเขียนหนังสือเปนใจความว่า ตัวเราผู้ชื่อสุมาอี้ซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ บอกมาให้ท่านทั้งปวงแจ้ง เดิมพระเจ้าวุยอ๋องคิดจะมอบสมบัติให้โจสิด มีผู้ยุยงว่ากล่าวพระเจ้าโจผีจึงได้สมบัติ บัดนี้พระเจ้าโจผีมอบสมบัติให้โจยอยผู้บุตร โจยอยหนุ่มแก่ความ จะทำการสิ่งใดก็ไม่ปรานีราษฎร เห็นจะรักษาสมบัติไม่ได้ เราเปนผู้ใหญ่จะนิ่งอยู่ให้แผ่นดินจลาจลก็ไม่ควร เราจึงซ่องสุมทหารไว้เปนอันมากจะคิดอ่านกำจัดโจยอยเสีย จะยกโจสิดขึ้นครองสมบัติตามดำริห์พระเจ้าวุยอ๋อง แม้ท่านทั้งปวงยอมสมัคทำการด้วยเรา ก็ให้เร่งชักชวนพร้อมกันคอยถ้าเราอยู่ ถ้าผู้ใดเห็นหนังสือนี้แล้วไม่ทำตามเรา เมื่อสำเร็จราชการแล้วเราจะตัดสีสะเสียให้สิ้นทั้งโคตร ขงเบ้งก็ให้ทหารลอบเอาหนังสือนั้นไปปิดไว้ณประตูเมืองลกเอี๋ยงแลหัวเมือง ทั้งปวง
ครั้นเวลาเช้านายประตูเห็นดังนั้น ก็เอาหนังสือส่งเข้าไปถวายพระเจ้าโจยอย ๆ แจ้งในหนังสือก็ตกใจ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้สุมาอี้เปนขบถ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ฮัวหิมจึงทูลว่า เมื่อพระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ก็มิได้วางพระทัยสุมาอี้ ตรัสอยู่เนือง ๆ ว่า สุมาอี้คนนี้ถ้าชุบเลี้ยงให้คุมทหารเปนใหญ่ขึ้นเมื่อใด จะเปนขบถคิดร้ายต่อแผ่นดิน ซึ่งสุมาอี้คิดอุบายทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระองค์ ขอไปอยู่รักษาเมืองเสเหลียงนั้น หวังจะซ่องสุมทหารขึ้นเปนกำลังได้แล้ว ก็จะคิดขบถเปนมั่นคง
อองลองได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า สุมาอี้เปนคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วก็ชำนาญในการสงครามเคยได้รบพุ่งเปนอันมาก แม้สุมาอี้ตั้งตัวได้แล้วเห็นเราจะทำการขัดสน ขอพระองค์เร่งคิดอ่านยกทหารไปกำจัดเสียแต่กำลังยังอ่อนอยู่ฉนี้จึงจะชอบ
พระเจ้าโจยอยได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้จัดแจงทหารให้ยกกองทัพไป โจจิ๋นจึงทูลว่า เมื่อพระเจ้าโจผีจะสิ้นพระชนม์นั้น ก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่สุมาอี้ เห็นสุมาอี้จะไม่อาจคิดขบถต่อพระองค์ ซึ่งเขียนหนังสือปิดไว้ฉนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเปนกลของขงเบ้งแลซุนกวนแกล้งทำ มา หวังจะให้เราเจ้าข้าคิดแคลงกัน ซึ่งพระองค์จะยกไปนั้นให้ดำริห์ดูจงควรก่อน
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า ซึ่งท่านจะห้ามเรามิให้ยกไปจับสุมาอี้นั้น แม้สุมาอี้มีกำลังมากขึ้นเปนขบถจริง ท่านจะคิดอ่านประการใด โจจิ๋นจึงทูลว่า พระองค์ตรัสนี้ก็ควรอยู่ แต่จะยกกองทัพไปบัดนี้ แม้สุมาอี้รู้ตัวเห็นเราจะทำการยาก ขอพระองค์คิดกลอุบายว่าจะไปจัดแจงเมืองเสเหลียงให้สุมาอี้ ๆ สำคัญว่าจริงก็จะออกมาเฝ้าถึงนอกเมือง จะจับเอาตัวก็จะได้โดยง่าย
พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วย จึงสั่งให้โจจิ๋นจัดแจงทหารสิบหมื่น ตั้งกระบวรแห่เสด็จออกจากเมืองฮูโต๋ ว่าจะไปจัดแจงเมืองเสเหลียงให้สุมาอี้ ฝ่ายสุมาอี้แจ้งว่าพระเจ้าโจยอยเสด็จมาถึงแดนเมืองเสเหลียงก็มีความยินดี พาทหารห้าหมื่นออกมารับเสด็จ ขุนนางทั้งปวงจึงกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า เห็นสุมาอี้เปนขบถแน่แล้วจึงยกทหารออกมาเปนอันมากฉนี้ พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งแคลงพระทัย จึงให้โจหิวคุมทหารเปนกองหน้ายกไปก่อน
ฝ่ายสุมาอี้เห็นโจหิวยกมา สำคัญว่าพระเจ้าโจยอยก็ตรงเข้าไปหวังจะรับเสด็จ โจหิวจึงร้องว่าแก่สุมาอี้ว่า ท่านเปนขุนนางสัตย์ซื่อมาแต่ก่อน พระเจ้าโจผีก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่ท่าน เหตุไฉนท่านจึงคิดขบถต่อพระเจ้าโจยอย สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ข้าพเจ้าตั้งใจทำราชการสนองพระคุณเจ้าโดยสุจริตเหตุใดท่านจึงว่าฉนี้ โจหิวก็เล่าเนื้อความซึ่งราษฎรเอาหนังสือเข้ากราบทูลพระเจ้าโจยอยนั้นให้ฟัง ทุกประการ
สุมาอี้จึงว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยให้เห็นความจริงจงได้ สุมาอี้ก็ให้ทหารซึ่งมาด้วยอยู่แต่ไกล แล้วลงจากม้าเดิรเข้าไปถึงหน้ารถพระเจ้าโจยอย สุมาอี้ถวายบังคมแล้วร้องไห้ทูลว่า เมื่อพระเจ้าโจผียังมีพระชนม์อยู่ ก็เห็นว่าข้าพเจ้าเปนคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงฝากราชการทั้งปวง ข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำราชการทำนุบำรุงพระองค์มิได้คิดประทุษฐร้ายสิ่งใด ซึ่งเปนเหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเปนกลอุบายของขงเบ้งกับซุนกวน ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเอาเมืองเสฉวนแลเมืองกังตั๋งถวายให้เห็นความสัตย์จงได้
ฮัวหิมได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า ซึ่งสุมาอี้ทูลอาสาฉนี้หวังจะตั้งตัวให้มีกำลังมากขึ้น ขอพระองค์อย่าไว้พระทัย ให้คืนเอาเครื่องสำหรับยศแลตราตั้งถอดสุมาอี้เสียจากที่ขุนนาง พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วย จึงถอดสุมาอี้เสียเปนไพร่ให้ไปทำมาหากินอยู่ ณ บ้านเก่า แล้วตั้งให้โจหิวคุมทหารอยู่รักษาเมืองเสเหลียง พระเจ้าโจยอยก็ยกทหารกลับไปเมืองฮูโต๋
ฝ่ายขงเบ้งครั้นแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าบัดนี้โจยอยแพ้กลเราแล้ว เราจะไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงให้จงได้ ครั้นเวลาเช้าขุนนางเฝ้าพร้อมกัน ขงเบ้งจึงทำเรื่องราวกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความว่า ข้าพเจ้าขงเบ้งขอทูลให้ทราบ ด้วยพระเจ้าเล่าปี่ทำการปราบแผ่นดินยังไม่ราบคาบยังเปนสามก๊กอยู่ก็สวรรคต เสียแล้ว อันเมืองเสฉวนนี้ก็เปนเมืองน้อย จะตั้งมั่นเปนเมืองหลวงนั้นไม่ได้ ขอพระองค์เร่งดำริห์อย่านอนพระทัย บัดนี้ขุนนางทั้งปวงซึ่งมีสติปัญญา แลทหารซึ่งมีฝีมือก็ตั้งใจสนองพระคุณโดยสุจริตอยู่สิ้น กุยฮิวจี๋หนึ่ง บิฮุยหนึ่ง ตันอุ๋นหนึ่ง สามคนนี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ เอียทงหนึ่ง ตันจิ๋นหนึ่ง เจียวอ้วนหนึ่ง สามคนนี้เปนนายทหารเอก มีฝีมือเข้มแขงรู้การสงครามเคยทำศึกได้ชัยชนะมาเปนอันมาก คนเหล่านี้พระเจ้าเล่าปี่ก็ไว้พระทัยนับถือมาแต่ก่อน ควรที่พระองค์จะปรึกษาหารือกิจราชการด้วย ตัวข้าพเจ้านี้ก็เปนคนเข็ญใจอยู่ ณ เมืองลำเอี๋ยงก่อน พระเจ้าเล่าปี่มีความอุตส่าห์เสด็จออกไปหาถึงสามครั้ง รับข้าพเจ้ามาช่วยทำราชการ ถึงจะผิดชอบประการใดพระเจ้าเล่าปี่ก็เมตตามิได้เอาโทษ บัดนี้ข้าพเจ้าคิดถึงคุณพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งสั่งไว้ ว่าให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เปนสุข ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเมืองลกเอี๋ยง เชิญพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติให้เปนใหญ่แต่ผู้เดียว พระองค์อยู่ภายหลังจะมีราชการสิ่งใดก็ให้ปรึกษากับขุนนางทั้งปวงซึ่งมีสติ ปัญญา ตามเยี่ยงอย่างพระเจ้าเล่าปี่นั้นเถิด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นจึงตรัสแก่ขงเบ้งว่า ท่านไปทำศึกกับเบ้งเฮ็กพึ่งกลับมายังไม่ทันหายเหนื่อย ให้ท่านหยุดพักบำรุงทแกล้วทหารให้บริบูรณ์ก่อนเถิด ขงเบ้งจึงทูลว่า อันเมืองลกเอี๋ยงนี้ข้าพเจ้าจะยกไปตีนานอยู่แล้ว แต่เบ้งเฮ็กเปนศัตรูกระหนาบหลังจึงมิได้ยกไป บัดนี้เบ้งเฮ็กก็อ่อนน้อมอยู่ในอำนาจเราแล้ว จำเราจะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋ให้ได้จึงจะควร
เจาจิ๋วขุนนางผู้ใหญ่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า เพลาคืนนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูฤกษ์บน เห็นดาวประจำเมืองฝ่ายเหนือมีรัศมีบริบูรณ์อยู่ มหาอุปราชก็มีสติปัญญาหลักแหลมรู้การทั้งปวง ซึ่งจะยกไปตีเมืองฮูโต๋นั้นเกลือกจะป่วยการเสียเปล่า
ขงเบ้งจึงว่า อันจะถือเอาฤกษ์บนเปนประมาณนั้นไม่ได้ พิเคราะห์เอาการในเมืองลกเอี๋ยงนั้นเปนประมาณ ถึงมาทว่าดาวประจำเมืองจะเปนอันตรายก็ดี ถ้าไม่มีข้าศึกทำอันตรายแล้วเมืองนั้นก็บริบูรณ์อยู่ บัดนี้เราจะยกกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮันต๋งฟังข่าวราชการเมืองลกเอี๋ยง เห็นได้ทีแล้วเราจะยกเข้าตีเอาให้จงได้
เจาจิ๋วก็ห้ามปรามเปนหลายครั้ง ขงเบ้งก็มิได้ฟัง จึงสั่งให้ กุยฮิวจี๋ บิฮุย ตันอุ๋น เฮียงทง ตันจีน เจียวอ้วน เตียวฮี เตาเขง โตบี เอียวฮอง เบงก๋อง ไลบิน อินเบด ลิจวน ฮุยสี เจาจิ๋ว กับขุนนางผู้ใหญ่ร้อยเศษ คุมทหารอยู่รักษาเมืองเสฉวน แล้วขงเบ้งก็ถวายบังคมลามาที่อยู่ จึงจัดแจงนายทหารสามสิบคน อุยเอี๋ยน เตียวเอ๊ก อองเป๋ง ลิอิ๋น ลิหงี ม้าต้าย เลียวฮัว ม้าตง เตียวหงี เล่าตำ เปงจี๋ ม้าเจ๊ก อ้วนหลิม งออี้ โกเสียง งอปัน เอียวหงี เล่าเป๋า เคาอิ้น เตงหำ เล่าปิ้น กัวหยง ออจี้ เงี้ยมอ้าน เหียนสิบ ตอหงี ตอกี๋ เซงฮู ฮวนกี๋ อวนเกี๋ยน ตังควด กวนหิน เตียวเปา จะยกไปตีเมืองฮูโต๋ แล้วให้ลิเหยียมอยู่รักษาค่ายปากด่านเมืองกังตั๋ง ขณะเมื่อขงเบ้งจัดแจงจะยกไปนั้นเปนเทศกาลเดือนห้า พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้ห้าปี (พ.ศ. ๗๗๐)
ฝ่ายจูล่งครั้นรู้ว่าขงเบ้งจะยกไปตีเมืองฮูโต๋ จึงมาหาขงเบ้งแล้วว่า ตัวข้าพเจ้านี้แก่ก็แต่อายุแลความคิด อันกำลังฝีมือจะรบพุ่งยังกล้าหาญอยู่
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า เราไปปราบเบ้งเฮ็กครั้งนี้ ม้าเฉียวตายเราคิดเสียดายนักเหมือนแขนหักข้างหนึ่ง ตัวท่านก็สูงอายุอยู่แล้วเกลือกจะไปพลาดพลั้งในขณะรบจะเสียเกียรติยศในเมือง เสฉวนไป
จูล่งจึงว่า ข้าพเจ้าทำศึกแต่หนุ่มจนอายุเพียงนี้ ก็ยังไม่เพลี่ยงพลํ้าเสียทีให้ข้าศึกดูหมิ่นได้ เกิดมาเปนชาติทหารแล้วถึงจะตายก็ไม่เสียดายแก่ชีวิต จะให้ปรากฎชื่อไปภายหน้า ขอคุมทหารเปนทัพหน้าไปด้วยท่าน ขงเบ้งก็ห้ามถึงสามครั้ง จูล่งก็มิฟังจะขอไปด้วยให้จงได้ ขงเบ้งจึงว่า ท่านจะไปด้วยก็ตามเถิด เราจะให้เตงจี๋ไปด้วยจะได้ปรึกษาหารือกัน แล้วขงเบ้งก็มอบทหารเอกสิบคน ทหารเลวห้าพัน ให้จูล่ง ๆ ก็มีความยินดีลาขงเบ้งคุมทหารเปนกองหน้ายกล่วงไปก่อน
ขงเบ้งก็เข้ามาทูลลาพระเจ้าเล่าเสี้ยน ยกทหารออกจากเมือง ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงก็ตามออกไปส่งถึงนอกเมืองทางไกลถึงห้าสิบเส้น ขงเบ้งก็ให้ทหารยกธงทิวตั้งแห่เปนกระบวรทัพไปถึงเมืองฮันต๋ง นายด่านเมืองฮูโต๋แจ้งดังนั้น ก็รีบเอาเนื้อความขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าโจยอย ว่าขงเบ้งยกทหารประมาณสามสิบหมื่นมาตั้งอยู่เมืองฮันต๋ง บัดนี้ให้จูล่งกับเตงจี๋คุมทหารเปนกองหน้ายกล่วงแดนเข้ามาแล้ว
พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ท่านจะเห็นผู้ใดที่จะออกทำการสู้รบกับทหารเมืองเสฉวนได้ แฮหัวหลิมบุตรแฮหันตุ้นได้ฟังดังนั้นคิดแค้นซึ่งฮองตงลวงฆ่าแฮหัวเอี๋ยนผู้ อาว์เสีย จึงกัดฟันแล้วทูลว่า อาว์ข้าพเจ้าตายยังมิได้แก้แค้นอ้ายพวกเสฉวน ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารเมืองเสเหลียงซึ่งมีฝีมือ ยกออกไปรบกับทหารเมืองเสฉวนเอาชัยชนะให้ได้
แฮหัวหลิมคนนี้สติปัญญาน้อย แต่โจโฉโจยอยนับถือว่าเปนเชื้อสายซื่อสัตย์อยู่ ครั้นแฮหัวหลิมรับอาสาก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารเมืองเสเหลียงซึ่งมีฝีมือยี่สิบหมื่นให้ออกไปทำศึกกับขงเบ้ง อองลองจึงทูลว่า ซึ่งจะให้แฮหัวหลิมเปนแม่ทัพไปนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แฮหัวหลิมเปนคนโมโหมาก แล้วยังไม่เคยทำการศึก ขงเบ้งก็มีสติปัญญาหลักแหลม จะทำการสิ่งใดประกอบด้วยกลอุบายต่าง ๆ เห็นแฮหัวหลิมจะสู้ขงเบ้งมิได้
แฮหัวหลิมได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดเอาอองลองว่า เหตุใดท่านจึงมาเจรจาดูหมิ่นเราฉนี้ ซึ่งท่านนับถือว่าขงเบ้งมีสติปัญญาก็จริงอยู่ อันฝีมือจะรบพุ่งหารู้ถึงเราไม่ เราจะออกไปสู้กับขงเบ้งเอาชัยชนะให้จงได้ แม้ไม่สมคำเราว่าเราไม่กลับมาเฝ้าพระเจ้าโจยอยให้เห็นหน้าสืบไปเลย แฮหัวหลิมก็ลาพระเจ้าโจยอยยกทหารยี่สิบหมื่นไปตั้งอยู่เมืองเตียงอั๋น
ฝ่ายขงเบ้งยกออกจากเมืองฮันต๋ง มาถึงเมืองไกเอี๋ยงที่ฝังศพม้าเฉียว ขงเบ้งม้าต้ายก็แต่งเครื่องเส้นเข้าไปคำนับศพตามธรรมเนียม พอทหารเข้ามาบอกว่า บัดนี้โจยอยให้แฮหัวหลิมคุมทหารมาตั้งคอยรับกองทัพท่านอยู่ ณ เมืองเตียงอั๋น อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า แฮหัวหลิมมีฝีมือกล้าหาญก็จริง แต่อ่อนความคิดหาเคยทำการใหญ่ไม่ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายขอทหารห้าพัน ยกโอบไปตั้งอยู่ ณ ตำบลคอนจูงฝ่ายทิศตวันออก สกัดทางเมืองเตียงอั๋นจะไปเมืองลกเอี๋ยง แฮหัวหลิมรู้ก็จะยกทหารออกรบกับข้าพเจ้า ท่านจึงยกทหารกระหนาบหลังเข้าตีเอาเมืองเตียงอั๋น แฮหัวหลิมเหลือกำลังก็จะทิ้งเมืองเสียหนีไปเมืองลกเอี๋ยง เราจึงยกติดตามเข้าไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงก็จะได้โดยง่าย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า ความคิดท่านนี้จะหมายเอาชัยฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ท่านอย่าเพ่อดูหมิ่นทหารเมืองลกเอี๋ยงก่อน ซึ่งท่านจะยกทหารห้าพันเข้าไปตั้งอยู่หว่างกลางนั้น เกลือกทหารเมืองลกเอี๋ยงรู้ยกมาตีกระหนาบล้อมท่านเข้าไว้จะมิเสียทีเสียหรือ เราจะทำการใหญ่เอาฤกษ์อยู่ ซึ่งให้เสียทีแก่ข้าศึกนั้นไม่ชอบ
อุยเอี๋ยนจึงว่า แม้มหาอุปราชไม่ฟังข้าพเจ้าจะยกทหารตีประจันหน้าเข้าไป แฮหัวหลิมก็จะออกรบต้านทานเปนสามารถ ถึงเราจะได้เมืองลกเอี๋ยงก็เห็นจะช้า ทแกล้วทหารทั้งปวงก็จะได้ความลำบากนัก ขงเบ้งจึงว่า ข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย เราจะยกทหารประชันหน้าเข้าไปเอาชัยชนะให้จงได้ อุยเอี๋ยนก็ขัดใจนิ่งอยู่ ขงเบ้งจึงยกทหารไปบอกจูล่งให้เร่งยกเข้าตีเมืองเตียงอั๋น
ฝ่ายแฮหัวหลิมตั้งอยู่ในเมืองรู้ว่าจูล่งยกใกล้เข้ามาถึงเขาฮองเบงสัน ก็จัดทหารออกรบกับจูล่ง ฮันเต๊กนายทหารเมืองเสเหลียง กับบุตรสี่คนชื่อฮันเอ๋งฮันเอี๋ยวฮันเขงฮันกี๋จึงว่าแก่แฮหัวหลิมว่า ข้าพเจ้ากับบุตรสี่คนจะขออาสาคุมทหารแปดหมื่นเปนทัพหน้าออกรบกับจูล่ง แฮหัวหลิมได้ฟังดังนั้น เห็นว่าฮันเต๊กมีกำลังกล้าหาญก็มีความยินดีให้บำเหน็จรางวัลเปนอันมาก แล้วเกณฑ์ทหารแปดหมื่นให้ฮันเต๊ก ๆ ก็แต่งตัวขี่ม้าถือขวานใหญ่ด้ำยาว พาบุตรยกทหารออกจากเมืองมาถึงเขาฮองเบงสัน พอทัพจูล่งยกมา ฮันเต๊กกับบุตรสี่คนก็ควบม้ารำขวานออกหน้าทหาร แล้วร้องด่าจูล่งว่า อ้ายพวกโจรขบถต่อแผ่นดิน เหตุไฉนมึงไม่รักชีวิต บังอาจล่วงเข้ามาในแดนกู
จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธควบม้ารำทวนเข้ารบกับฮันเต๊ก ฮันเอ๋งเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับจูล่งแทนบิดาได้สามเพลง จูล่งก็เอาทวนแทงถูกฮันเอ๋งตกม้าตาย ฮันเอี๋ยวเห็นพี่ตายก็โกรธ ควบม้ารำดาบเข้ารบกับจูล่งเปนสามารถ
ฮันเขงเห็นพี่ชายกำลังน้อยกลัวจะเสียทีแก่จูล่ง ก็ชวนฮันกี๋ควบม้ารำดาบเข้าช่วยรบล้อมจูล่งเข้าไว้เปนสามด้าน จูล่งก็เอาทวนแทงถูกฮันกี๋พลัดตกม้า ทหารวิ่งเข้าช่วยประคองเข้าไปในเมืองได้ จูล่งก็ควบม้าไล่ตาม ฮันเขงเอาเกาทัณฑ์ยิงจูล่งถึงสามลูก จูล่งเอาทวนปัดเสียได้ ฮันเขงโกรธก็ควบม้าเข้าไล่ฟันจูล่ง ๆ เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกหน้าผากฮันเขงตกม้าตาย
ฮันเอี๋ยวเห็นดังนั้นก็โกรธ ควบม้าตรงเข้าไปเงื้อดาบขึ้นจะฟันจูล่ง ๆ ชิงดาบรวบจับตัวฮันเอี๋ยวได้ส่งให้ทหาร แล้วจูล่งก็ควบม้าเข้าในกองทัพฮันเต๊ก ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้าหนีเข้าในหมู่ทหารแล้วว่า จูล่งคนนี้เขาลือว่ามีฝีมือเข้มแขงนักก็สมทุกประการ แล้วฮันเต๊กก็ควบม้าพาทหารกลับเข้าเมือง
จูล่งเห็นดังนั้นก็ไล่ไปแต่ผู้เดียว เตงจี๋เห็นได้ทีก็ขับทหารตามจูล่งเข้าไปไล่ฟันทหารฮันเต๊กล้มตายเปนอันมาก ฮันเต๊กเห็นจูล่งไล่มาจะใกล้ทันก็ตกใจ ถอดเกราะทิ้งเสียโดดลงจากม้าวิ่งหนีเข้าเมือง จูล่งเตงจี๋ก็พาทหารกลับมาค่ายเขาฮองเบงสัน เตงจี๋จึงว่าแก่จูล่งว่า ไม่เสียทีท่านเปนชาติทหาร อายุถึงเจ็ดสิบแล้วยังมีฝีมือเข้มแขงหาผู้เสมอมิได้
จูล่งจึงว่า มหาอุปราชดูหมิ่นว่าเราแก่กลัวจะได้ความอัปยศแก่ข้าศึก ตัวเราถึงมาทว่าแก่ฉะนี้แล้ว แม้จะให้สู้กับทหารหนุ่มที่มีวิชาแลฝีมือเราก็ไม่กลัว แล้วจูล่งก็เขียนหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ทหารมัดเอาตัวฮันเอี๋ยวไปให้ขงเบ้ง
ฝ่ายฮันเต๊กเข้าไปถึงแฮหัวหลิมก็ร้องไห้ เล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ แฮหัวหลิมได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จัดแจงทหารออกจากเมืองถึงเขาฮองเบงสันก็ให้หยุดกองทัพอยู่ จูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้าถือทวนพาทหารพันหนึ่งยกออกจากค่าย
แฮหัวหลิมแต่งตัวใส่หมวกทองถือดาบยาว ออกยืนม้าอยู่หน้าทหาร ครั้นจูล่งยกมาถึง แฮหัวหลิมก็ชักม้าจะออกรบ ฮันเต๊กจึงว่า จูล่งฆ่าบุตรข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะแก้แค้นก่อน ฮันเต๊กก็ควบม้าออกรบกับจูล่งได้สามเพลง จูล่งเอาทวนแทงถูกฮันเต๊กตกม้าตาย แฮหัวหลิมก็ถอยทหารไปตั้งค่ายอยู่ไกลแปดสิบเส้น จูล่งกับเตงจี๋ก็พาทหารไล่ตามไปฆ่าฟันทหารแฮหัวหลิมล้มตายเปนอันมาก
แฮหัวหลิมครั้นตั้งค่ายมั่นได้แล้ว จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า จูล่งคนนี้เราได้ยินลือชื่ออยู่ก็นานแล้วแต่ยังไม่รู้จักหน้า บัดนี้เห็นฝีมือเข้มแข็งนักไม่มีผู้ใดจะอาสาต่อสู้ เราจะคิดประการใดจึงจะเอาชัยชนะได้ เทียบูบุตรเทียหยกจึงว่า จูล่งก็ดีแต่ฝีมือหามีความคิดไม่ เวลาพรุ่งนี้ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารออกไปซุ่มไว้สองข้างทาง จึงยกทหารออกไปรบกับจูล่งแล้วทำเปนหนีล่อให้ไล่ เราจึงให้ทหารล้อมเข้าจับตัวจูล่งให้ได้
แฮหัวหลิมเห็นด้วยจึงให้ตังฮีกับชีเจ๊ก คุมทหารคนละสามหมื่นยกไปซุ่มอยู่สองข้างทาง ครั้นเวลาเช้าแฮหัวหลิมก็ให้ทหารตีม้าฬ่อโห่ร้องยกไปค่ายจูล่ง ๆ กับเตงจี๋เห็นดังนั้นก็ขึ้นม้ายกทหารออกจากค่าย เตงจี๋เห็นทหารแฮหัวหลิมทำองค์อาจก็คิดสงสัยจึงว่าแก่จูล่งว่า เวลาวานนี้ทหารแฮหัวหลิมเสียทีแก่เราก็ล้มตายเปนอันมาก ยังไม่เกรงฝีมือยกมารบกับเราอีกเล่า เกลือกแฮหัวหลิมจะทำกลอุบายลวงเรา ให้ท่านดำริห์ดูจงควรก่อน
จูล่งจึงว่า แฮหัวหลิมเปนเด็กหนุ่มปากยังไม่หายกลิ่นน้ำนม อันจะคิดเปนกลอุบายเหมือนท่านคิดนั้นไม่เห็นด้วย เวลาวันนี้เราจะเอาชัยชนะจับตัวแฮหัวหลิมให้จงได้ แล้วจูล่งก็ควบม้าเข้ารบแฮหัวหลิม ล่อซุยเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับจูล่งได้สามเพลง ล่อซุยทำเปนแพ้ชักม้าหนี จูล่งกับเตงจี๋ก็ควบม้าไล่ตามไป นายทหารเอกแฮหัวหลิมแปดคนเห็นดังนั้น ก็ปล่อยให้แฮหัวหลิมหนีไปก่อน แล้วก็รุมกันเข้าล้อมรบจูล่งกับเตงจี๋ นายทหารแปดคนนั้นชักม้าหนี จูล่งกับเตงจี๋ก็ควบม้าไล่เกินเข้าไป พอได้ยินเสียงทหารตีม้าฬ่อขึ้นทั้งสี่ทิศ เตงจี๋ก็ตกใจกลับหน้าม้าจะหนี
ชีเจ๊กเห็นดังนั้นก็คุมทหารฟันสกัดออกมาทางข้างขวา ตั้งฮีสกัดออกมาทางข้างซ้าย ล้อมจูล่งกับเตงจี๋เข้าไว้เปนสามารถ แล้วกันเอาจูล่งเข้าไปข้างเชิงเขาฝ่ายทิศเหนือ จูล่งเห็นทหารฝ่ายทิศเหนือนั้นเบาบางก็ฟันฝ่าออกไป ทหารก็ล้อมกันขึ้นไปกลางเขา แฮหัวหลิมคุมทหารอยู่บนยอดเขา ก็เอาก้อนศิลาแลท่อนไม้ทิ้งลงมาเปนอันมาก จูล่งไล่ฟันทหารแฮหัวหลิมแต่เช้าจนคํ่าก็ไม่ออกจากที่ล้อมได้ จูล่งเหนื่อยสิ้นกำลังก็ลงจากม้า เข้านั่งหยุดพักแอบเงื้อมศิลาอยู่
ครั้นเห็นเดือนขึ้น ทหารซึ่งล้อมอยู่นั้นก็จุดเพลิงสว่างขึ้นสี่ด้าน เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงเข้าไปดังห่าฝนแล้วร้องว่า ให้จูล่งเร่งออกมาหาเรา ๆ จะไว้ชีวิต จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จับทวนขึ้นม้าออกไล่รบทหารซึ่งล้อมอยู่นั้นทั้งสี่ทิศ ทหารทั้งปวงก็ล้อมกระชั้นเข้าไป จูล่งสิ้นความคิดแหงนขึ้นดูอากาศแล้วถอนใจใหญ่ว่า เราทำศึกมาแต่หนุ่มจนแก่ถึงเพียงนี้ก็ไม่เคยเสียทีแก่ผู้ใด ครั้งนี้เห็นเราจะเปนอันตรายเสียมั่นคง
ขณะนั้นพอขงเบ้งให้เตียวเปาคุมทหารห้าพันยกตามจูล่งมา เตียวเปาเห็นทหารแฮหัวหลิมล้อมจูล่งเข้าไว้ แล้วชีเจ๊กออกสกัดทางอยู่ เตียวเปาขี่ม้าถือทวนยาวสามวาสองศอกของบิดา เข้ารบแทงชีเจ๊กตกม้าตาย แล้วตัดเอาสีสะผูกฅอม้าฟันฝ่าเข้าไปหาจูล่งในที่ล้อมได้ จูล่งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี เตียวเปาจึงบอกจูล่งว่า มหาอุปราชเห็นว่าท่านชรากลัวจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงให้ข้าพเจ้าคุมทหารห้าพันยกตามท่านมา จูล่งกับเตียวเปาก็คุมทหารพันหนึ่งลงมาจากที่ล้อมทางด้านตวันตก พอเห็นกวนหินควบม้ามือหนึ่งหิ้วสีสะคนฟันฝ่าเข้ามาถึง กวนหินจึงบอกจูล่งว่า มหาอุปราชให้ข้าพเจ้าคุมทหารห้าพันยกมาตามท่าน พบตั้งฮีทหารแฮหัวหลิมสกัดทางอยู่ ข้าพเจ้าจึงตัดเอาสีสะมาบัดนี้ มหาอุปราชก็ยกตามมา
จูล่งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งหลานทั้งสองมาช่วยนี้ก็ดีแล้ว แม้เราคิดอ่านช่วยกันจับตัวแฮหัวหลิมให้ได้ ก็จะมีความชอบเปนอันมาก เตียวเปากับกวนหินได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย รีบยกทหารขึ้นไปบนเขาจะจับแฮหัวหลิม จูล่งก็ควบม้าจะมาหาทหาร พอพบเตงจี๋ออกจากที่ล้อมได้คุมทหารตามมา
จูล่งจึงว่าแกเตงจี๋ว่า ตัวเราทำศึกมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ก็ไม่เคยอัปยศแก่ผู้ใด ควรหรือมาเสียทีแพ้รู้อ้ายแฮหัวหลิมลูกเล็กได้ หากว่าเตียวเปากับกวนหินหลานเรายกมาช่วย เราจึงรอดจากความตาย บัดนี้เตียวเปากับกวนหินเขาก็ยกตามแฮหัวหลิมขึ้นไปแล้ว ตัวเราคนแก่นี้จะลากกายตามไปแก้แค้นให้จงได้ แล้วจูล่งกับเตงจี๋ก็รีบยกทหารตามขึ้นไปในเวลากลางคืนบัญจบทหารเตียวเปากวน หิน แยกกันขึ้นไปเปนสามทางฆ่าฟันทหารแฮหัวหลิมล้มตายเปนอันมาก
แฮหัวหลิมเห็นดังนั้นก็ตกใจ ไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใด ก็พาทหารคนสนิธร้อยเศษลงทางหลังเขาหนีไปเมืองลำอั๋น ทหารแฮหัวหลิมก็แตกกระจัดกระจายกันไป ต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด กวนหินกับเตียวเปาก็รีบยกทหารตามแฮหัวหลิมไป แฮหัวหลิมเข้าเมืองได้ก็ให้ทหารปิดประตูเมืองขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ มั่นคง
เตียวเปากับกวนหินก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้เปนสองด้าน ครั้นจูล่งกับเตงจี๋ยกมาถึงก็ให้ทหารล้อมเมืองไว้โดยรอบถึงสิบวัน ก็มิเห็นแฮหัวหลิมยกทหารออกมาสู้รบ พอทหารเข้ามาบอกว่า มหาอุปราชเกณฑ์ให้ทหารอยู่รักษาเมืองไก้เอี๋ยง เมืองเอี้ยงเป๋ง เมืองจือเสีย ตัวมหาอุปราชนั้นยกกองทัพมาจะถึงเมืองนี้อยู่แล้ว จูล่งเตงจี๋กวนหินเตียวเปาทั้งสี่คนก็ชวนกันออกมารับขงเบ้งคำนับแล้วจึงบอก ว่า ข้าพเจ้ามาตั้งล้อมเมืองนี้ไว้ก็หลายวันแล้ว ครั้นจะยกทหารเข้าโจมตีก็ยังไม่ได้ทีก่อน
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้น จึงขึ้นเกวียนน้อยเข้าไปดูเห็นภูมิเมืองนั้นมั่นคง แล้วเห็นทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินเปนสามารถอยู่ จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เมืองลำอั๋นนี้มั่นคงนักเราจะทำประการใดดี ถ้าจะนิ่งไว้ช้าวันเกลือกโจยอยรู้จะยกทหารอ้อมไปตีเอาเมืองฮันต๋ง เราจะมิเสียการไปหรือ
เตงจี๋จึงว่า แฮหัวหลิมเปนเชื้อสายอยู่กับโจยอย แม้เราจับตัวแฮหัวหลิมกับทหารร้อยหนึ่งได้ โจยอยก็จะสิ้นความคิดท้อน้ำใจลง เห็นการเราจะสำเร็จโดยง่าย ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงคิดกลอุบายกระซิบสั่งทหารสนิธทั้งสองคน ให้ปลอมเปนทหารแฮหัวหลิมถือหนังสือไปถึงม้าจุ้นเจ้าเมืองเทียนซุย กับซุยเหลียงเจ้าเมืองฮันเต๋ง เปนใจความว่าแฮหัวหลิมให้ยกทหารมาช่วย ทหารทั้งสองก็ลาขงเบ้งไป แล้วขงเบ้งจึงเรียกอุยเอี๋ยนกับกวนหินเตียวเปามากระซิบสั่งเปนความลับ ให้ยกทหารตามไป ขงเบ้งอยู่ภายหลัง จึงให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงไปกองไว้ริมกำแพงเมืองเปนอันมาก แล้วเอาเพลิงจุดขึ้นทหารชาวเมืองเห็นดังนั้นก็หัวเราะว่า ขงเบ้งเจ้ากลอุบายสิ้นความคิดแล้ว จึงเอาเพลิงมาย่างกำแพงเมืองเรา
ฝ่ายซุยเหลียงเจ้าเมืองฮันต๋งรู้เนื้อความว่า ขงเบ้งยกกองทัพล้อมแฮหัวหลิมไว้ณะเมืองลำอั๋น จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า แฮหัวหลิมเปนเชื้อวงศ์พระเจ้าโจยอย เราจะนิ่งอยู่ฉนี้ไม่ชอบ จำจะยกทหารไปช่วยป้องกันเมืองลำอั๋นรับตัวแฮหัวหลิมส่งขึ้นไปเมืองหลวงจึงจะ พ้นความผิด พอทหารเข้ามาบอกว่า แฮหัวหลิมให้คนถือหนังสือมาถึงท่าน ซุยเหลียงก็ให้หาเข้ามาทหารคนนั้นส่งหนังสือให้แล้วบอกว่า บัดนี้ขงเบ้งยกกองทัพมาล้อมเมืองลำอั๋นไว้เปนสามารถ แฮหัวหลิมเห็นเหลือกำลังจะสู้รบ จึงให้จุดเพลิงขึ้นในเมืองเปนสำคัญหวังจะให้ท่านรู้เปนหลายวันแล้ว ก็ไม่เห็นท่านยกไปช่วย จึงให้ข้าพเจ้าฟันฝ่าออกมาจากที่ล้อม รีบมาหาท่านกับเจ้าเมืองเทียนซุยให้ยกทหารไปช่วยกระหนาบทัพขงเบ้ง แฮหัวหลิมจะตีต้านหน้าออกมา
ซุยเหลียงได้ฟังดังนั้นสำคัญว่าจริง ก็ให้ทหารนั้นเอาหนังสือรีบไปหาเจ้าเมืองเทียนซุย พอทหารขงเบ้งมาถึงอีกคนหนึ่ง ก็เข้าไปหาซุยเหลียงบอกว่า บัดนี้ม้าจุ้นเจ้าเมืองเทียนซุยยกไปช่วยเมืองลำอั๋นแล้ว ให้ท่านรีบยกไปตามเถิด ซุยเหลียงได้ฟังดังนั้นจึงเกณฑ์ทหารเลวสี่พันให้อยู่รักษาเมือง แล้วจัดแจงทหารซึ่งมีฝีมือยกออกมาจากเมือง แลเห็นแสงเพลิงก็รีบยกทหารไปยังทางสามร้อยเส้นจะถึงเมืองลำอั๋น กวนหินซึ่งขงเบ้งให้ไปสกัดอยู่นั้น ก็ควบม้าขับทหารออกรบเปนสามารถ ซุยเหลียงตกใจจะควบม้าหนี พอเตียวเปายกทหารตีกระหนาบหลังเข้ามา ฆ่าฟันทหารซุยเหลียงแตกกระจัดกระจายล้มตายเปนอันมาก ซุยเหลียงกับทหารคนสนิธร้อยเศษพากันลัดหนีไปเมืองตามทางน้อย
ฝ่ายอุยเอี๋ยนซึ่งขงเบ้งให้ปลอมไปนั้น ยกทหารเข้าตั้งอยู่ในเมืองฮันต๋ง ครั้นเห็นซุยเหลียงแตกมาถึงหน้าเมือง ก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงแล้วร้องบอกว่า เราชื่ออุยเอี๋ยนเข้าเมืองได้แล้ว ให้เร่งเข้ามาอ่อนน้อมคำนับเราจะไว้ชีวิต
ซุยเหลียงเห็นดังนั้นก็ตกใจ ควบม้าหนีจะไปเมืองเทียนซุย ก็พบขงเบ้งขึ้นเกวียนน้อยถือพัดขนนกใหญ่ยกทหารสกัดทางออกมา ซุยเหลียงตกใจควบม้าหนี กวนหินเตียวเปาก็คุมทหารออกล้อมรบเปนสามารถ ซุยเหลียงเห็นเหลือกำลังสิ้นความคิด ก็ควบม้ากลับมาทิ้งอาวุธเสียเข้าไปคำนับขงเบ้ง ๆ ก็พาเอาตัวซุยเหลียงมาค่าย แล้วถามว่าเมืองลำอั๋นนี้แต่แฮหัวหลิมยังไม่ยกมาผู้ใดเปนเจ้าเมืองอยู่ก่อน
ซุยเหลียงจึงบอกว่า เจ้าเมืองคนนี้ชื่อเอียวเหลง เปนหลานเอียวฮู กับข้าพเจ้าก็ชอบใจกัน ขงเบ้งจึงว่า เราจะให้ท่านเข้าไปพูดจาคิดอ่านกับเอียวเหลง จับตัวแฮหัวหลิมส่งมาให้เรา เราจะปูนบำเหน็จตั้งให้เปนใหญ่ในเมืองลำอั๋น ซุยเหลียงก็รับคำ ขงเบ้งจึงถอยกองทัพออกไปตั้งค่ายอยู่ไกลเมืองสองร้อยเส้น ซุยเหลียงก็ลาขึ้นม้าเข้าไปร้องเรียกให้เปิดประตูรับ เอียวเหลงเห็นดังนั้นก็มีความยินดีให้ทหารเปิดประตูรับซุยเหลียงเข้ามาคำนับ กันแล้ว ซุยเหลียงก็เล่าเนื้อความซึ่งขงเบ้งใช้มานั้นให้เอียวเหลงฟัง
เอียวเหลงจึงว่า พระเจ้าโจยอยมีคุณต่อเราเปนอันมาก ซึ่งจะคิดขบถไปเข้าด้วยข้าศึกนั้นไม่ชอบ เราจะคิดซ้อนกลขงเบ้งเอาชัยชนะให้จงได้ แล้วก็พาซุยเหลียงเข้ามาหาแฮหัวหลิม แจ้งเนื้อความทั้งปวงทุกประการ แฮหัวหลิมจึงว่าถ้ากระนั้นเราจะทำประการใดจึงจะจับตัวขงเบ้งได้ เอียวเหลงจึงว่า ข้าพเจ้าจะให้ทหารเปิดประตูรับ ขงเบ้งสำคัญว่าสมความคิดก็จะยกเข้ามา เราจึงยกทหารออกล้อมรบจับเอาตัวขงเบ้งให้จงได้ แฮหัวหลิมเห็นชอบด้วย ซุยเหลียงก็ลาออกมาหาขงเบ้ง ณ ค่ายบอกขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าเข้าไปคิดอ่านกับเอียวเหลง ๆ ก็รับว่าจะจับตัวแฮหัวหลิมส่งให้ แต่ทหารน้อยตัวกลัวจะทำการไม่สำเร็จ จึงให้ข้าพเจ้ามาบอกว่า เวลาคํ่าวันนี้จะเปิดประตูเมืองออกรับ ให้ท่านยกทหารเข้าไปเถิดจะช่วยกันจับตัวแฮหัวหลิมให้จงได้
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงแกล้งว่า การทั้งนี้เห็นจะสำเร็จเพราะท่านแล้ว จึงเรียกกวนหินกับเตียวเปามากระซิบสั่งเปนความลับ แล้วจัดทหารซึ่งเข้าเกลี้ยกล่อมร้อยเศษ เอาทหารขงเบ้งเข้าปนไว้บ้าง มอบให้กวนหินเตียวเปา ครั้นเวลาคํ่าขงเบ้งจึงเรียกซุยเหลียงมาสั่งว่าท่านจงพาทหารเหล่านี้เข้าไป ก่อน ให้เอียวเหลงคิดอ่านทำการซุ่มทหารเหล่านี้ไว้ เวลาสองยามเราจึงจะยกตามเข้าไป ท่านจงจุดเพลิงขึ้นเปนสำคัญเปิดประตูเมืองรับเราเถิด
ซุยเหลียงได้ฟังดังนั้น ครั้นจะไม่รับก็กลัวขงเบ้งจะจับพิรุธได้ จึงคิดว่าเมื่อถึงกำหนดแล้วเราจะฆ่าทหารเหล่านี้เสียก่อนจึงจะเปิดประตูรับ ขงเบ้ง ซุยเหลียงก็คำนับลาขงเบ้งไป ขงเบ้งให้กวนหินเตียวเปาแต่งตัวปลอมเปนทหารเมืองฮันต๋งแล้วก็พากันเข้าไป เอียวเหลงยืนอยู่บนเชิงเทินเห็นซุยเหลียงพาทหารเข้ามาก็คิดสงสัย จึงให้ชักสะพานคูเสียแล้วร้องถามว่า ทหารเหล่านั้นมาแต่ไหน ซุยเหลียงร้องตอบว่า เราพาทหารเมืองฮันต๋งมาช่วยท่าน แล้วเอาหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไป เอียวเหลงเห็นหนังสือนั้นเอามาอ่านดูเปนใจความว่า ขงเบ้งให้ทหารปนกับทหารเข้าเกลี้ยกล่อมร้อยหนึ่งเข้ามาช่วยทำการ ขงเบ้งจะยกตามมาต่อภายหลัง ท่านอย่าได้วิตกแพร่งพรายความเสียเลย ข้าพเจ้าเข้าไปถึงแล้วจึงจะแจ้งความคิดให้ฟัง
เอียวเหลงได้แจ้งดังนั้น จึงเอาหนังสือเข้าไปแจ้งแก่แฮหัวหลิม ๆ ดีใจสำคัญว่าขงเบ้งแพ้ความคิด จึงแต่งทหารคนสนิธร้อยเศษพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธซุ่มไว้ แล้วสั่งเอียวเหลงว่าท่านจงเปิดประตูรับซุยเหลียงเข้ามาเถิด เราจับทหารเหล่านั้นฆ่าเสียแล้วจึงเปิดประตูรับขงเบ้งเข้ามา เอียวเหลงก็รับคำไปเปิดประตูเมืองออกแล้วร้องว่า ถ้าทหารเมืองฮันต๋งก็ให้ยกเข้ามาเถิด กวนหินได้ฟังดังนั้นก็ควบม้านำหน้าซุยเหลียงเข้าไปก่อน เห็นเอียวเหลงยืนม้าคอยอยู่ริมประตูเมือง กวนหินก็เอาดาบฟันเอียวเหลงตกม้าตาย
ซุยเหลียงเห็นดังนั้นก็ตกใจ ควบม้าหนีกลับออกมาถึงสะพานคู เตียวเปาจึงร้องตวาดว่าอ้ายโจร มึงคิดกลอุบายจะลวงมหาอุปราชแล้วจะหนีไปไหนเล่า แล้วเอาทวนแทงถูกซุยเหลียงตกม้าตาย กวนหินเข้าไปได้ในเมืองก็ไล่ทหารชาวเมืองแตกตื่นกันวุ่นวาย เอาเพลิงจุดขึ้นเปนสำคัญ ขงเบ้งก็ยกทหารเข้าเมืองได้ทั้งสี่ด้าน แฮหัวหลิมตกใจไม่รู้ตัวก็ขึ้นม้าหนีออกจากเมืองทางประตูทิศใต้ พบอองเป๋งคุมทหารสกัดทางอยู่ อองเป๋งก็ควบม้าเข้ารบจับตัวแฮหัวหลิมได้ แล้วไล่ฆ่าฟันทหารแฮหัวหลิมล้มตายเปนอันมาก
ฝ่ายขงเบ้งเข้าเมืองได้ก็ให้ป่าวร้องราษฎรชาวเมืองทั้งปวงว่า อย่าตกใจวุ่นวายไปเลยเราจะเลี้ยงให้เปนสุขสืบไป พอเวลาเช้าอองเป๋งเอาตัวแฮหัวหลิมมัดมาให้ขงเบ้ง ๆ ก็เอาตัวแฮหัวหลิมไปขังไว้ในเกวียน เตงจี๋จึงถามขงเบ้งว่า ซุยเหลียงคิดกลอุบายเปนความลับ เหตุใดมหาอุปราชจึงรู้ ขงเบ้งจึงว่า เราแจ้งอยู่ว่าซุยเหลียงหาเปนใจทำราชการด้วยเราโดยสุจริตไม่ เราจึงแกล้งใช้เข้าไปในเมือง หวังจะให้แฮหัวหลิมคิดซ้อนกลเรา ๆ จึงเอาชัยชนะต่อภายหลัง นายทัพนายกองได้ฟังดังนั้นก็คำนับกราบลงแล้วสั่นสีสะ ว่ามหาอุปราชมีสติปัญญาหาผู้เสมอมิได้
ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้การในเมืองลำอั๋นเราก็ทำสำเร็จแล้ว แต่ทหารซึ่งเราใช้ให้ถือหนังสือไปเมืองเทียนซุยนั้นยังไม่กลับมา จะเปนประการใดก็มิได้แจ้ง จำเราจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเทียนซุยให้ได้ แล้วจึงให้เล่าต้ายอยู่รักษาเมือง ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารเปนกองหน้ายกล่วงไปก่อน ตัวขงเบ้งก็ยกไปภายหลัง
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 70
https://drive.google.com/file/d/1W7sFBanq9nJrxnZ61is-S7tTcQ75lGX4/view