Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
วิถีสู่ชีวิตแห่งความพอเพียง => ความสุขทางเลือก => Topic started by: ppsan on 20 November 2021, 15:26:31
-
เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 6 รอบกองไฟ : หายหนาวเป็นปลิดทิ้ง
เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 6
รอบกองไฟ : หายหนาวเป็นปลิดทิ้ง
ปลายเดือนตุลาคมของทุกๆปี จะมีลมหนาวเริ่มโชยมาเบาๆ แต่สำหรับคนบ้านนอกแล้ว มันคือสัณญาณเตือนล่วงหน้าให้เตรียมรับมือกับอากาศหนาว ถึงหนาวมาก ที่จะมาเยือน ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในการรับมือกับฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้
ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ต้องถูกเอาออกมาปัดฝุ่น ซัก ซ่อมแซม เอาไว้รองรับหน้าหนาวที่เริ่มเข้ามา บ้านไหนที่ยังขาดแคลนก็อาจจะต้องเตรียมเอานุ่นที่เก็บเตรียมไว้ สำหรับทำผ้าห่ม หมอน มายัดกับผ้าที่ต้องตัดเย็บเป็นผ้าไว้ห่มกันใหม่เลยทีเดียว
ครีม หรือโลชั่น แบบดีๆดังๆไม่ต้องถามหา อย่างมากก็ของยี่ห้อเฮสลีน สโนว์ กระปุกสีขาวรูปภูเขาที่รถหนังกลางแปลงขายยาเอามาขายในช่วงก่อนหน้าหนาวมาเยือน ดังนั้นผิวของคนบ้านนอกที่เจอกับอากาศหนาวเย็น จะมีผิวที่แห้ง แตก เป็นขลุย แก้มแดงเพราะความเย็น ปากแตกเพราะไม่มีลิปมันทา ก็ได้แต่สีผึ้งของบรรดาแม่ ป้า ที่กินหมาก ที่พกติดไว้ในตระกร้าหมากของตัวเองเท่านั้น
สำหรับหน้าหนาวของจังหวัดทางภาคอีสานนั้นค่อนข้างที่จะรุนแรง เพราะถึงกับเคยมีคนหนาวตายมาแล้วทุกๆปี ด้วยมีพื้นที่อยู่สูง บวกกับอุปกรณ์เครื่องป้องกันความหนาวก็ยังขาดแคลน จึงต้องหาตัวช่วยด้วยการก่อไฟผิงเผื่อให้คลายหนาว ฟืน เชื้อไฟจะถูกตัดเก็บ ตุน เตรียมไว้ก่อนหนาวจะมาเยือนแต่เนิ่นๆ
(https://t1.blockdit.com/photos/2020/04/5eaa8743a9681f0ca8502b24.jpg)
ที่โรงเรียนเองเด็กนักเรียนบางคนไม่มีเสื้อกันหนาวใส่ หรือบางคนมีแต่ก็เป็นเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาค หรืออาจเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาอีกทีทั้งขาด บาง หาความหนาไม่เจอ คุณครูบางท่านจึงต้องพานักเรียนออกมานั่งเรียนกลางสนามหญ้า เพื่อรับแสงแดด คลายหนาวกัน
บ้านตามต่างจังหวัดเกือบทุกหลังนอกจากกองไฟที่ก่อไว้บริเวณด้านล่างของบ้านแล้ว ยังมีการก่อกองไฟไว้บนบ้านไว้ผิงในเวลากลางคืนอีกด้วย เพราะช่วงเวลาหัวค่ำถึงตกดึกแล้วอากาศจะยิ่งทวีความหนาวขึ้นอีก
บ้านของน้อยก็เหมือนบ้านอื่นๆ ที่มีการก่อกองไฟเอาไว้บนบ้าน ซึ่งกองไฟบนบ้านจะถูกทำจากกาละมังสังกะสีเก่าๆที่ไม่ใช้แล้ว ใส่ดินและขี้เถ้าลงไปก่อนที่จะก่อไฟ แล้วปูพื้นรองด้วยแผ่นสังกะสี แล้วเอาต้นกล้วยที่ตัดเป็นท่อนๆ วางไว้รอบๆกันความร้อนเผื่อมีสะเก็ดไฟกระเด็น เพราะบางครั้งถ้าหนาวมากอาจจะต้องนอนรอบๆ กองไฟกันเลยทีเดียว ซึ่งบางครั้งในเวลานอนอาจจะมีการนอนดิ้น แล้วพลิกตัวไปโดนกองไฟได้ ยิ่งเด็กๆด้วยแล้ว จะนอนดิ้นกันมาก บางครั้งตื่นมาผ้าห่มอาจจะไหม้เป็นร่องรอยจุดๆ รูโบ๋ โดยไม่รู้ตัว
ส่วนยามเช้าพ่อก็จะลงไปก่อกองไฟที่หน้าบ้านใกล้กับต้นมะขาม ที่ให้ร่มเงาในเวลาแดดส่วนหน้าหนาวใบก็จะเริ่มร่วงหล่น เอามาเป็นเชื้อไฟได้ดี ใครที่จะต้องอาบน้ำในตอนเช้าก็จะได้กองไฟเป็นตัวช่วย เพราะน้ำในตุ่มจะมีความเย็นสะสม บวกกับอากาศที่หนาวอยู่แล้วด้วย เวลาอาบน้ำบางครั้งถ้าหนาวมากก็ต้องเอาน้ำมาต้ม แล้วผสมให้เป็นน้ำอุ่นก่อน ถึงจะตักอาบได้ แล้วยังต้องใช้ความรวดเร็วในการอาบเพื่อรีบมาผิงไฟต่อ เพราะการอาบน้ำอุ่นเมื่อเราราดน้ำจากขันเสร็จแล้ว เราจะรู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นกว่าเดิม
กองไฟหน้าบ้านของเช้าวันนี้ พ่อ แม่ พี่ชาย และเด็กๆ นั่งล้อมกองไฟกันพร้อมหน้า พ่อเขี่ยกองไฟเติมฟืนให้ไฟแรงตลอดเวลา ส่วนแม่ที่เอาเสื่อมานั่งปูอย่างเป็นทางการ เพราะได้เตรียมเอาหัวมันเทศที่ล้างเตรียมไว้แล้ว มาเผาเอาไว้กิน พี่ชายก็เตรียมต้มน้ำไว้รอผสมสำหรับการอาบ น้อย ทูน หลอด ก็นั่งสั่นด้วยความหนาวพร้อมกับเอาผ้าห่มมาคลุมตัวอยู่ตลอด
ขณะที่นั่งผิงไฟด้วยความหนาวอยู่ด้วยกันนั้น พลันมีบางอย่างหล่นลงมาข้างกองไฟดังตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ พร้อมกับกิ่งมะขาม พ่อที่กำลังใส่ใจกับการเอาฟืนใส่กองไฟเหลือบหันไปมองที่มาของเสียงที่หล่นลงมา พอเห็นเท่านั้นแหละ พ่อถึงกับลุกขึ้นวิ่งถอยห่างออกจากกองไฟ พี่ชาย น้อย ทูน หลอด หันไปมองที่มาของเสียงพร้อมๆกัน ต่างคนต่างลุกขึ้นวิ่งไปคนละทิศละทาง ส่วนแม่ที่นั่งอยู่คนสุดท้ายกำลังง่วนกับหัวมันเทศในกองไฟ พอเห็นทุกคนวิ่งก็เหลือบไปมองที่มาของเสียง พร้อมกับอุทานออกมา
"เห้ย ! ทำไมไม่รอกูด้วย ทำไมไม่บอกกู ทำไม.... ทำไม......."
เสียงบ่นโวยวายด้วยความตกใจของแม่ พร้อมกับการลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะแม่ได้นั่งขัดสมาธิกับพื้นนาน เหน็บชาก็ถามหา และด้วยไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ต้องทำให้ต้องลุกขึ้นด้วยความรวดเร็วแบบนี้ จึงทำให้แม่ลุกขึ้นได้อย่างยากลำบาก
ภาพที่ทุกคนเห็น คือภาพของงูตัวเขื่องๆ ยาวประมาณเกือบเมตร กับตุ๊กแก ตัวใหญ่ขนาดลำแขนเด็กๆ กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง ม้วนตัวต่อสู้กันพลิกไปพลิกมา พร้อมกับตุ๊กแกอีกสองตัวที่หล่นตามลงมา คุมเชิงอยู่ข้างๆ ซึ่งน่าจะเป็นลูกสมุนของตัวหัวหน้าที่กำลัง ปะฉะดะ กับงูใจถึงตัวนั้นอยู่ ทั้งหมดได้ตกลงมาจากต้นมะขามพร้อมๆกับกิ่งมะขามเล็กๆกิ่งหนึ่ง เป็นภาพที่ทำให้ทุกคนตกใจ กลัวและประหลาดใจปนกัน
พ่อตั้งสติได้หยิบไม้ไผ่ลำยาวมาเขี่ยให้มันออกจากกัน พร้อมบอกให้พี่ชายช่วยเอาขันตักน้ำตักสาดใส่จนพวกมันแยกย้ายกัน บรรดาตุ๊กแกกับพวกวิ่งขึ้นไปที่ต้นมะขามอีก ส่วนงูใจถึงตัวนั้นเลื้อยหลบไปในพุ่มไม้ที่รั้วข้างบ้าน เหลือไว้แต่ร่องรอยการต่อสู้ของพวกมันกับกิ่งมะขามที่หล่นมาอยู่ข้างกองไฟ
ความหนาวได้อันตรธานหายไปหมดจากทุกคน หลังจากที่ตกใจกับภาพที่เห็น โดยเฉพาะแม่ ที่ยังบ่นไม่เลิก แต่แม่ก็ยังคงเอาไม้ไปเขี่ยกองไฟเพราะเป็นห่วงมันเทศที่ใส่เอาไว้กลัวมันจะไหม้ ก่อนที่จะเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องวงแตก ส่วนทุกคนที่เหลือต่างแยกย้ายกันไม่กล้าอยู่ใต้ต้นมะขามอีกแล้ว....
#พ่อเล่าให้ฟังว่า คนโบราณมักจะเล่าให้ฟังเรื่องของตุ๊กแกกับงู ถ้าตุ๊กแกมันตับโตแล้วมันจะร้อง และอ้าปากให้งูเข้าไปกินตับมัน กับเรื่องที่ตุ๊กแกกัดแล้วจะไม่ปล่อย จนกว่าจะได้ยินเสียงฟ้าร้อง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของคนโบราณที่เอาไว้เล่าให้เด็กๆฟัง เพราะถ้าตามวิทยาศาสตร์แล้วตุ๊กแกกับงูมันคงไม่ช่วยเหลือกันแน่ๆ เพราะต่างฝ่ายก็น่าจะเป็นสัตว์ที่กินเนื้อของสัตว์อื่นที่เล็กกว่าเหมือนกัน ตุ๊กแกมันคงร้อนและอ้าปากระบายความร้อนมากกว่าที่จะให้งูเข้าไปกินตับ