Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...

วิถีสู่ชีวิตแห่งความพอเพียง => ความสุขทางเลือก => Topic started by: ppsan on 20 November 2021, 15:23:47

Title: เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 5 จักรยาน : ขี่เป็นแล้วไม่มีวันลืม
Post by: ppsan on 20 November 2021, 15:23:47
เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 5  จักรยาน :  ขี่เป็นแล้วไม่มีวันลืม


เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก : 5
จักรยาน :  ขี่เป็นแล้วไม่มีวันลืม

การเดินทางตามบ้านนอกสมัยกรุงเทพฯ ครบสองร้อยปี  ประมาณปี 2525 นั้น ส่วนมากรถรายังไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก  วัว-ควายเทียมเกวียนก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง โดยปกติชาวบ้านทั่วไปก็นิยมเดิน ขี่จักรยาน หรือสามล้อรับจ้าง หากบ้านไหน มีเงินหน่อยก็พอจะมีมอเตอรไซด์ติดบ้านไว้ประดับบารมี เพราะถือว่ามีอันจะกินเลยทีเดียว เพราะมีราคาค่อนข้างแพงมากสำหรับคนบ้านนอก

(https://t1.blockdit.com/photos/2020/04/5ea47d57f72d110cc0a7610e.jpg)

ในหมู่บ้านของน้อย ช่วงเวลานั้นชาวบ้านนิยมไปทำงานในกรุงเทพกัน เพราะส่วนมากแล้วลูกหลานจะไม่ค่อยได้เรียนต่อในระดับมัธยม  จบ ป.หก ก็อยู่ช่วยพ่อแม่ทำนา  พอโตมาหน่อยก็เข้าเมืองหลวง หากบ้านไหนพอมีเงินทุน หรือกู้ยืมได้ก็จะบินไปทำงานที่ประเทศซาอุฯ เพราะหลายคนบอกต่อกันมาว่าถ้าได้ไปทำงานที่ซาอุฯแล้ว  จะมีเงินมีทอง  ปลดหนี้ปลดสินได้  ทำให้บางคนถึงกับต้องจำนำ ขายนา ขายควายกันทีเดียว เพื่อรวบรวมเงินเป็นค่าตั๋วเครื่องบินให้นายหน้า  พาไปทำงานที่ซาอุฯ ให้ได้

พอได้ไปทำงานคนที่เก็บเงินได้หน่อยก็จะส่งเงินมาไถ่ถอนที่นา  หรือใช้หนี้ที่กู้ยืมมาเพื่อเป็นค่าเดินทางแล้ว ยังส่งให้ที่บ้านได้ใช้จ่าย ทำให้ดูมีฐานะขึ้นมาทันที ส่วนบางคนเก็บเงินไม่ได้กลับมาที่นาก็ถูกยึดเพราะไม่มีเงินไปไถ่ถอน พร้อมกับเป็นหนี้เป็นสินเพิ่มเข้าไปอีก

เพื่อนของน้อยบางคนมีพ่อไปทำงานที่ต่างประเทศ  ทำให้เขามีโอกาสได้เงินมาซื้อของ ที่เพื่อนคนอื่นๆไม่มี อย่างชุดนักเรียนใหม่ กล่องดินสอใหม่ เสื้อกันหนาวที่สวยๆ ของเล่นที่แปลกตา รวมทั้ง..จักรยาน BMX  ซึ่งเป็นของที่เด็กทั่วๆไปไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ

ระหว่างพักเที่ยงหลังจากที่วิ่งกลับไปกินข้าวที่บ้านมาแล้ว  น้อยและเพื่อนๆจับกลุ่มกันใต้อาคารเรียน ที่เป็นที่จอดรถจักยาน  มุงดูรถจักรยาน BMX ของเพื่อนคนนึงที่พ่อพึ่งส่งเงินมาให้ซื้อได้ไม่กี่วัน

"สวยมากเลยว่ะ"  เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มออกปากชม  ส่วนเจ้าของรถที่นั่งคร่อมรถอยู่ได้ยินแล้วทำท่าภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมี พร้อมกับโม้ต่ออีก                  "นี่พ่อบอกว่าจะซื้อลูกฟุตบอลให้ด้วยอีกลูกหนึ่ง"

ใครที่มีลูกฟุตบอลเป็นของตัวเอง ณ เวลานั้น ก็จะมีเพื่อนๆคอยวิ่งตามเป็นพรวนเลย  เพราะถ้าว่างจากเวลาเรียนเด็กผู้ชายก็ชอบเตะฟุตบอลกันส่วนเด็กผู้หญิงก็จะจับกลุ่มกระโดดยาง  แต่ถ้าจะเอาลูกฟุตบอลของโรงเรียนมาเตะก็ต้องเป็นนักกีฬาของโรงเรียนถึงจะมีโอกาสได้เอามาเตะมาซ้อม ในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกเรียน   เพราะทางโรงเรียน มีลูกฟุตบอลอยู่แค่ลูกเดียวเท่านั้น

" กูลองขี่บ้างได้มั้ย" เพื่อนอีกคนในกลุ่มเอ่ยปากยืม

" ไม่ได้มึงขี่ไม่เป็น เดี๋ยวรถกูล้ม " เจ้าของรถปฏิเสธ

น้อยได้แต่ยืนฟังโดยไม่พูดอะไรออกมา

พอได้ฟังคำปฏิเสธแล้ว น้อยกับเพื่อนๆก็ได้แต่แยกย้ายหากิจกรรมอย่างอื่นเล่นกัน ก่อนที่จะเข้าห้องเรียนในช่วงบ่าย     พอเลิกเรียนน้อยไม่ได้อยู่เล่นกับเพื่อนๆตามปกติที่ยังคงจับกลุ่มวิ่งเล่นกันต่อที่โรงเรียน ส่วนตัวเขารีบตรงกลับบ้านเลย

" แม่ผมอยากขี่จักรยานเป็น "  น้อยเอ่ยปากกับแม่หลังจากที่กลับจากโรงเรียน

แม่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็น ไม่ได้หันมามองได้แต่ส่งเสียงตอบกลับ

"อยากขี่เป็นก็ไปบอกพี่ให้เขาหัดให้ซิ "

บ้านของน้อยมีจักรยานอยู่หนึ่งคัน ซึ่งพ่อได้ไปขอซื้อต่อจากคนรู้จัก  มาให้พี่ชายได้ขี่ไปตลาดเพื่อต่อรถไปเรียนในตัวเมือง   ตามสภาพรถมือสองหรือสาม รถที่มีเบรคแต่ใช้ไม่ได้ เบาะหลุด ตะแกรงหลังที่ไว้นั่งซ้อนท้ายกับตัวถังขึ้นสนิม พ่อต้องมาซ่อมแซมใหม่จนดูดีขึ้นกว่าเดิม และคงเป็นมรดกตกทอดมาถึงพี่สาว ก่อนจะถึงน้อยอีกทีหนึ่ง

(https://t1.blockdit.com/photos/2020/04/5ea47d70f72d110cc0a7905e.jpg)

หลังจากที่คะยั้นคะยอให้พี่ชายสอนขี่จักรยานให้ พี่ชายก็ทำข้อตกลงกับน้องก่อน

" ถ้าขี่ได้แล้ว เวลาใช้ไปไหนมาไหน ก็ต้องไปนะ ใช้ไปซื้อของก็ห้ามบ่นด้วย "  พี่ชายวางกฎกติกาไว้ น้อยก็รับปากแต่โดยดี เพราะอยากขี่จักรยานเป็นเหมือนกับเพื่อนๆ

หลังจากลองขี่โดยมีพี่ชายนั่งซ้อนท้าย จับแฮนด์ จนดูว่าน้องชำนาญแล้ว พี่จึงลองปล่อยให้ขี่เอง แล้วจับตระแกรงหลังคอยประคองอยู่หลายรอบ จนน้อยคิดว่าตัวเองน่าจะขี่เองได้แล้ว เลยขอลองขี่โดยไม่ต้องให้พี่ชายคอยประคอง

"ผมขี่ได้แล้วเดี๋ยวผมขี่เองไม่ต้องจับให้ผมนะ " น้อยบอกพี่ด้วยความมั่นใจ

พอขี่ได้เองก็เริ่มจะขี่ไปไกลและเร็วขึ้น  วนไปวนมาอยู่หลายรอบแล้วก็กลับรถหน้าบ้าน พอขากลับที่จะจอดรถ เบรคซึ่งใช้งานไม่ได้ต้องใช้เท้าแหย่เข้าไปในซอกระหว่างล้อหน้ากับตะเกียบรถ เพื่อให้รถชะลอหรือหยุด หรือไม่ก็ลงแล้วใช้เท้าลากพื้นให้รถชะลอตัว แต่ด้วยความเร็วและด้วยความที่เป็นมือใหม่เท้าที่จะใช้เบรคนั้นไม่ถึงล้อ ทำให้รถเบรคไม่อยู่

ซวบ !  จักรยานพุ่งเสียบคาพุ่มไม้ข้างยุ้งข้าวแต่ไม่ล้ม ล้อหน้าเสียบเข้าไปเกือบหมดทั้งล้อ ส่วนตัวคนขี่นั้นยังนั่งคร่อมตัวถังพร้อมกับมือกุมกล่องดวงใจ ส่งเสียงร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะโดนกระแทกกับตัวถังรถ

พี่ชายยืนหัวเราะน้อง พร้อมกับเดินเข้าไปช่วยเอาตัวออกจากรถ

" ขี่เป็นแล้วไม่ใช่เหรอ "  พี่ชายหัวเราะแกล้งถามปนแซว

" เป็นแล้ว เป็นแล้ว แต่เบรคยังไม่เป็น "เสียงตอบออกมาเบาแทบกระซิบ


#เด็กบ้านนอก #เรื่องเล่าเด็กบ้านนอก
ฝากติดตามผลงาน กดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ