Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 21:14:24

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 925 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 23 April 2021, 13:52:04 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 11

ตอนที่ 1

        สายลมในยามบ่าย พัดผ่านมาตามช่องเขาดังครวญคราง ผสมกับเสียงแกว่งไกวของใบไม้และพุ่มไม้ไล่มาเป็นละลอกคลื่นตามกระแสลม ฟังดูอื้ออึงไปทุกทิศทางต้นไม้ใหญ่หลายต้นโอนเอนไปมาตามแรงลมเอื่อยๆ บางครั้งก็มีเสียงหักลั่นของกิ่งก้านที่แห้งพุพัง ตกลงพื้นเบื้องล่างดังโครมคราม ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยไม้พรรณนานาชนิด ทั้งกล้วยป่า หวายหนาม และกระวาน ที่ขึ้นรกจนหนาทึบ เถาวัลย์ใหญ่หลายต้นพันเกาะเกี่ยวกันระโยงรยางค์แทบไม่มีช่องว่างให้ลอดผ่านไปได้ ราวกับตารางหรือตาข่ายผืนใหญ่ ที่ถูกยักษ์ถักทอขึ้นมาปกคลุมทั้งผืนป่า

        ห่างออกไปไม่ไกลนักจากชายป่าที่หนาทึบไปด้วยไม้ใหญ่ที่ขึ้นเบียดเสียดเสียงอึกทึกของแม่น้ำกว้างใหญ่ ที่มีสายน้ำไหลเชี่ยวกราด ส่งเสียงคำรามดูครึกโครมไปทั่วบริเวณ สายน้ำใสจนมองเห็นกรวดหินและหมู่ปลาน้อยใหญ่ ที่พากันแหวกว่ายทานกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและคดเคี้ยว บางช่วงกระแสน้ำนั้นก็ดูไหลเอื่อยราวกับจะหมดกำลัง เพราะบางตอนของลำธารสายนั้นดูกว้างขวางและตื้นเขิน แต่บางช่วงก็เชี่ยวกราดน่ากลัว เพราะเป็นโตรกแก่งหินแคบๆเหมือนคอขวด ทำให้กระแสน้ำที่ไหลมาอย่างมากมายมหาศาล อัดรวมกันที่ช่องหินแคบแห่งนั้น

        ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มอ่อน ตอนนี้กำลังจะลับเหลี่ยมเขาไปทุกขณะ เสียงนกกานานาชนิด ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามยอดไม้ใหญ่ ไก่ป่าหลายฝูงขับขัน สลับกันไปมาตามหุบเขาและชายดงทึบ เหมือนพวกมันจะร้องเตือนว่า เวลานี้ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงลงไปทุกที เฉกเช่นเดียวกับฝูงชะนีป่า ที่ห้อยโหนโยนตัวอยู่บนยอดไม้ใหญ่สูงลิบ ต่างพากันกู่ร้องโหวกเหวก ก่อนจะค่อยๆแทรกกายหายไปในพุ่มยอดรกเหนือยอดไม้ใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันหายไปไหน  นอกจากจะคิดเดาไปเองว่า พวกมันคงจะเตรียมหาที่หลับนอนตามคาคบไม้บริเวณใดสักแห่งบนยอดไม้สูงเหล่านั้น

        สายลมในยามเย็นพัดผ่านมาตามช่องเขาอีกครั้ง ทำให้ยอดไม้และกิ่งใบ พากันสะบัดโบกแกว่งไกว พลิกไปมาจนดูเป็นมันวาว เพราะด้านใดด้านหนึ่งของมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ในยามเย็น พร้อมๆกับเสียงร่วงกราว ดังซู่ซ่า ของใบไม้แห้งที่หลุดปลิวออกจากขั้ว ก่อนที่พวกมันจะพากันลอยม้วนตลบไปมาในอากาศ ตามทิศทางของแรงลมนั้น ใบไม้แห้งบางใบลอยหายเข้าไปในดงทึบ บางใบก็ตกลงไปกองทับถบอยู่กับพื้นเบื้องล่าง ซึ่งตอนนี้ดูหนาเตอะไปหมดบ่งบอกถึงกาลเวลาที่เนิ่นนานของกองใบไม้แห้งเหล่านั้น และใบไม้แห้งบางใบก็พลัดปลิดปลิวตกลงมาบนผืนแผ่นน้ำ ทำให้ดูเหมือนเรือลำจิ๋ว ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางแม่น้ำหรือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก่อนที่มันจะค่อยๆลอยลิ่วไปอย่างรวดเร็ว เพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด

        เย็นย่ำลงไปทุกขณะ เพราะดวงอาทิตย์หายลับเข้าไปจากเหลี่ยมเขานานแล้ว เหลือไว้แต่บรรยากาศโพล้เพล้ ใกล้สนธยาลงไปทุกที ยิ่งเป็นบริเวณป่าไม้ที่รกทึบเช่นนี้ ยิ่งทำให้บรรยากาศมืดมัวมากกว่าปรกติ เสียงไก่ป่าที่เคยขันบอกเวลาก่อนใกล้ค่ำ มาบัดนี้พวกมันพากันเงียบเสียงกันหมดแล้ว เป็นสัญญาณว่าช่วงเวลาของสรรพสิ่งที่เริงร่าในยามฟ้าสาง ได้หมดสิ้นลงแล้ว แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นในการออกหากิน ของสัตว์ป่าน้อยใหญ่บางจำพวก  เสียง เป๊บๆ ของเก้งร้องโขกดังก้องจากหุบไหนสักแห่ง ติดตามด้วยเสียง ฮุกฮู...ของนักฮูกดังวังเวงในชายป่า ซึ่งตอนนี้เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงกรีดปีกของแมลงนานาชนิด ถัดออกไปที่สายน้ำ นอกจากเสียงอึกทึกของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวแล้ว บางจังหวะก็มีเสียงฮุบของปลาใหญ่ดังตูมสนั่น ติดตามมาด้วยเสียงน้ำแ ตกกระจายโครมคราม จากฝูงนาคหลายสิบตัว ที่พากันออกหากิน ตามริมตลิ่งชายน้ำ  แต่แล้วพวกมันก็ต้อง ชะงัก เมื่อมองเห็นวัตถุประหลาด พาดขวางเส้นทางหากินของพวกมัน ทำให้พวกมันเกิดอาการ พะว้าพะวง กับวัตถุประหลาดนั้น  บางตัวก็ผลุบเข้าผลุบออก เก้ๆกังๆ ราวกับว่าจะไปต่อหรือจะถอยหลังดี แต่ก็มีบางตัว ที่ใจกล้า ทำจมูกยื่นเข้าไปใกล้เพื่อพิสูจน์กลิ่น แต่แล้วก็ต้องถอยหนีจนน้ำบาน เพราะกลิ่นที่สัมผัสได้นั้นไม่คุ้นเคย บางตัวก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เพราะต่างแลเห็นวัตถุนั้นขยับไหวไปมาช้าๆ จึงทำให้นาคทั้งฝูงพากันส่งเสียงเอะอะกันระงมไปหมด ซึ่งพวกมันเองก็คงไม่รู้ว่า  สิ่งที่มันเห็น หรือ วัตถุประหลาดนั้น คือ มนุษย์

        ราวกับปาฏิหาริย์ หรือ ไม่ก็นรกเมิน ทำให้ชายหนุ่มยังมีลมหายใจอยู่ได้ ร่างที่นอนแน่นิ่งหมดสติมาเป็นเวลานาน จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ร่างนั่นนอนแช่น้ำอยู่ริมตลิ่งนานแค่ไหน สัมผัสแรกที่ชายหนุ่ม ผู้หลุดพ้นจากมือพญายมไม่ใช่ความร้อนแรงดังอยู่ในนรกอย่างที่คิดไว้ แต่มันกลับเป็น ความเย็นยะเยือกราวกับถูกแช่แข็ง ติดตามมาด้วยอาการปวดระบมไปทั้งตัว นอกจากนิ้วมือทั้งสองข้าง ที่ขยับไปมาด้วยอาการสั่นเทา ดวงตาที่ฝ้าฟาง ก็ค่อยๆขยับกรอกไปมาภายใต้เปลือกตา ซึ่งความรู้สึกในตอนนี้มันหนักจนไม่สามารถจะเปิดมันขึ้นมาได้ มีเพียงแสงสว่างเลือนรางเท่านั้น ที่พอจะลอดผ่านเปลือกตาได้เพียงน้อยนิด

        กาลเวลาเริ่มผ่านเลยไป นกกานานาชนิด เงียบเสียงลง พร้อมๆกับแสงสว่างที่ลับหายไปจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก ราตรีกาลหมุนเวียนกลับเข้ามาอีกครั้ง หริ่งหรีด เรไร กรีดปีก ผสานเสียงระงมป่า  พร้อมๆกับสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ที่พากันออกหากินอย่างเริงร่า ปล่อยให้เหล่าสรรพสัตว์ที่เคยออกหากินในรุ่งอรุณได้หลับใหล ร่างที่นอนแน่นิ่งมาเป็นเวลานาน บัดนี้ สติสัมปชัญญะ เริ่มกลับเข้าคืนมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็น ขณะเปลือกตาค่อยๆเปิดออก นั้นก็คือ ร่างของใครคนหนึ่ง ถึงแม้มันจะดูเลือนรางจนเกือบจะมองไม่เห็นเค้าโครง แต่ชายหนุ่มพอจะจดจำภาพที่เห็นนั้นได้

“พ..พะ..พลับพลึง!”

“นั่น คุณจริงๆหรือนี่?”ชายหนุ่มร้องบอกออกมาด้วยเสียงอันแหบพล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววที่เจ้าของร่างนั้นจะโต้ตอบใดๆ หรือแม้แต่จะขยับไหว

“พลับพลึง”

“นั่น ใช่คุณหรือเปล่า”พูดจบก็พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหายไปเสียหมด

“นี่เรายังไม่ตายหรือนี่...”

“แล้วที่นี่ มันที่ไหนกัน!” ชายหนุ่มนึกทบทวน ขณะสายตาของเขายังจับจ้องไปที่ร่างของหญิงสาว

“คุณได้ยินผมหรือเปล่าครับ”พูดจบก็ประคองร่างอันสะบักสะบอมไปที่ตำแหน่งที่เห็นร่างปริศนานั้น แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นเพียง ขอนไม้ผุพังเท่านั้น

“หนาวเหลือเกิน ขืนปล่อยไว้แบบนี้เราคงหนาวตายแน่”ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองในใจ เพราะบรรยากาศตอนนี้เย็นยะเยือกลงไปทุกขณะ

      “ไฟ! ใช่แล้ว เราต้องก่อไฟ”ชายหนุ่มเดนตาย นึกขึ้นได้ก็รีบใช้มือลูบตบไปตามตัว เพื่อหา ไฟแช็ค หรือไม่ก็ไม้ขีดไฟ ที่อาจจะพกติดตัวมาด้วย แต่แล้วก็ต้องถอดใจ เพราะเสื้อผ้าที่เปียกปอนและดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งของทั้งสองชิ้นที่เขาปรารถนาอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

        ความท้อแท้ ความปวดร้าวระบมของร่างกาย ความเหน็บหนาวเยือกเย็นของอากาศ และความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ราวกับโลกทั้งใบมีเขาแต่เพียงลำพัง ชายหนุ่มนั่งพิงขอนไม้นั่น พร้อมกับทอดสายตาไปตามสายน้ำอย่างปราศจากความหมาย กำลังวังชาที่เหมือนว่าจะกลับคืนมาเมื่อครั้งแรก มาบัดนี้กลับลดน้อยลงเพราะกำลังใจที่ถดถอย เนื้อตัวที่พอจะขยับได้ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะชาไปทั้งร่าง เพราะอากาศที่เย็นจัด มนุษย์เดนตายกำลังนึกปลงต่อชีวิตของตัวเองอยู่ ครั้นแล้วพลันสายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่ต้นไม้ล้มริมน้ำชีวิตที่เคยท้อแท้ในยามนั่นกลับดูเหมือนว่าจะมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นในทันที เมื่อเขามองเห็นสิ่งของที่อยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าจะมองเห็นอยู่เลือนรางก็ตาม เขาก็จำสิ่งของสำคัญชิ้นนั้นได้ นั้นก็คือ เป้หลังของเขานั้นเอง

        เหมือนชะตายังไม่ถึงฆาต หรือไม่ นรกก็ยังมีความปราณีอยู่บ้าง ชายหนุ่มรีบประคองร่างของตัวเองไปที่เป้หลังของเขา อย่างทุลักทุเล เขานึกขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาไปพลาง เพราะถ้าไม่มีต้นไม้ที่ล้มขวางต้นนี้ไว้ เป้หลังของเขาก็คงจะหลุดหายไปตามกระแสน้ำ และคงไม่มีโอกาสได้พบอีก เพราะสายสะพายข้างหนึ่งของเป้หลัง เกี่ยวเข้ากับกิ่งก้านของมันพอดี ราวกับมีใครมาช่วยคล้องไว้ให้ ชายหนุ่มตาเป็นประกายก่อนจะคว้าสิ่งนั้นมากอดแนบกาย ราวกับสิ่งของชิ้นนั้นสำคัญยิ่งกับชีวิต โอกาสรอดมาถึงแล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเปิดสำรวจสิ่งของภายในทันที

        เริ่มจาก ด้านใน เสื้อผ้าคงไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกอณูของมันมีแต่น้ำ ห่อผ้าที่บรรจุกล่องลูกปืนอยู่หลายกล่องก็เปียกปอนไปหมด ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มเพิ่งจะนึกออกว่าปืนคู่กายของเขาได้หลุดหายไปเสียแล้ว นอกจากลูกปืนที่ไม่มีความหมาย ในเป้ใบนั้นยังมีแบตเตอรี่ของไฟฉาย ซึ่งก็ดูไร้ประโยชน์ เพราะตัวไฟฉายก็ไร้วี่แววเช่นกัน ถัดมาสำรวจช่องเก็บของด้านนอกเป้ของเขา ก็ใจชื่นกลับมาบ้าง เพราะนองจากอาหารกระป๋องที่เหลือกระป๋องสุดท้าย ในนั้นยังมีซองกันน้ำอย่างดี ภายในซองนั้นมีทั้งยาสามัญต่างๆ ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด รวมถึงชุดทำแผล ก็ยังอยู่ในสภาพดีทั้งสิ้น

        ถัดมาดูอีกช่องก็ปรากฏว่าภายในนั้น มีถุงเก็บเนื้อแห้งอีกพวง แต่ดูเหมือนว่าเนื้อแห้งพวงนั้นจะไม่แห้งเสียแล้ว เพราะถุงพลาสติกที่ถูกผูกปากถุงไว้อย่างหลวมๆ นอกจากถุงเนื้อเค็มแล้ว ยังมีถุงที่ภายในมีเทียนไขอีกสี่ห้าเล่ม แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมของมัน เพราะแต่ละเล่มหักเป็นท่อนๆ คงจะเป็นเพราะแรงกระแทกที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มได้เผชิญมา และช่องเก็บของช่องสุดท้าย นอกจากผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกน้ำ ยังมีมีดพับเล่มเล็กของสวิสเซอร์แลนด์ที่อยู่ในสภาพเดิมของมัน และสิ่งของชิ้นสุดท้าย ที่ทำให้ชายหนุ่มดีใจจนเนื้อเต้นก็คือ ไม้ขีดไฟที่อยู่ในถุงพลาสติกที่เขาเองเป็นคนม้วนผูกปากถุงไว้อย่างดี ภายในกรักนั้น เมื่อลองเขย่าดูก็มีเสียงตอบกลับมา ราวกับเสียงจากสวรรค์ที่กระซิบบอกเขาว่า โอกาสรอดมาถึงแล้ว

        ความมืดเริ่มโรยตัว แต่ปราศจากแสงดาวแสงเดือน ซึ่งตัวชายหนุ่มเองก็ไม่ระแคะระคายต่อความผิดปรกตินี่  อากาศเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่เวลานี้มากกว่า ที่ทำให้ชายหนุ่มทนทุกข์ทรมาน บวกกับบรรยากาศโดยรอบที่ดูน่าตระหนก ต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ที่ขึ้นอยู่รายล้อม พอตกกลางคืนก็เห็นเป็นเงาทึบทะมึนดูหน้ากลัวรอบด้าน ราวกับว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดคอยจับจ่อมมองดูมนุษย์ผู้แปลกหน้า แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ก็คือสายน้ำที่กว่างใหญ่ ถึงแม้จะมองเห็นเป็นเพียงเงาสะท้อนบ้างประปราย แต่เสียงอึกทึกของมันยังคงอยู่

        ภายใต้แสงเทียนที่สาดส่องอยู่เรืองๆ ชายหนุ่มพยายามเพ่งสายตาหาเชื้อฟืนแห้งรอบกาย ไม่ว่าจะเศษหญ้า เศษไม้ ที่พอจะหยิบจับได้บ้าง ขอเพียงให้แห้งเข้าไว้ เขาก็ไม่เกี่ยงงอนว่ามันจะเล็กแค่ไหน เมื่อรวบรวมมาได้ตามที่ต้องการ ก็นำมากองสุมกันใต้เพิงหินใหญ่ริมน้ำนั้น ซึ่งเขาเลือกเป็นที่หลบพักชั่วคราว เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ดีและใกล้ที่สุดในเวลานั้น กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างง่ายดาย ด้วยการต่อไฟด้วยเทียนที่เขาถือ ไม่ช้าไม่นาน กองไฟขนาดย่อม ก็ลุกโชนส่องแสงและไออุ่น ความร้อนของมันทำให้ชายหนุ่มบรรเทาความหนาวเหน็บได้อย่างมาก พร้อมๆกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

        สิ่งต่อไปที่เขาทำคือ สำรวจบาดแผลที่ฝ่ามือของเขา เลือดที่เคยไหลนองในครั้งก่อน ถึงตอนนี้ปรากฏแต่เพียงรอยเขี้ยวเป็นรู และ รอยช้ำจนบวมเป้ง ซึ่งเป็นผลงานของค้างคาวผีในถ้ำนรกนั้น ถึงตอนนี้ ยาสามัญที่นำติดมาด้วยจึงได้ทำหน้าที่ของมัน ไม่ว่าจะเป็น ยาล้างแผล ยาฆ่าเชื้อ และผ้าพันแผล ก็ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ  หลังจากจัดการบาดแผลเสร็จสิ้น ก็มาต่อด้วยอาหาร จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเป็นเนื้อเค็ม เพราะถ้าปล่อยไว้นานอาจจะเสียของได้โดยใช่เหตุ  เพราะมันถูกเปลี่ยนสภาพจากการถูกแช่น้ำมาเป็นเวลานาน โดยไม่มีพิธีรีตองชายหนุ่มโยนพวงเนื้อเค็มลงกองไฟทั้งพวง กลิ่นของเนื้อเค็มย่างส่งกลิ่นหอม จนทำให้ท้องของเขาร้องครวญคราง เพียงไม่นานหลังจากใช้เศษไม้พลิกเขี่ยไปมา เนื้อเค็มย่างก็สุกได้ที่ ถึงแม้จะอยากกินเสียให้หมดพวงเพราะความหิว แต่เขาก็ต้องตัดใจแบ่งเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เพราะไม่รู้อนาคตในวันข้างหน้าว่า จะได้เจออาหารมื้อต่อไปเมื่อไหร่และอีกนานแค่ไหน เต็มที่ อาหารกระป๋อง คงจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่มีอยู่

        หลังอาหารมื้อค่ำ พร้อมกับยาแก้ปวดอีกชุดใหญ่ กำลังวังชาของชายหนุ่ม จึงกลับเขามาเกือบจะเป็นปรกตินอกจากอาการปวดของมือ และ อาการปวดตามตัว ที่คอยจะขัดจังหวะชีวิตเป็นบางครั้งบางคราว ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว พอมีแสงไฟเป็นเพื่อน ก็พอที่จะคลายความเหงาและความหน้าสะพรึงกลัวลงได้บ้าง ขึ้นชื่อว่า พระเพลิง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งใด ก็มีความศักดิ์สิทธิอยู่ในตัวเสมอ เสื้อผ้าอาพรที่เคยเปียกปอน พอโดนความร้อนนานขึ้นก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นความชื้น ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขารีบจัดแจงผึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นบนก้อนหินใหญ่แทนราวตากผ้าอย่างดี สิ่งของชิ้นไหน ที่พอนำไปผิงกับไฟได้ ก็นำมาวางเรียงรายอยู่หน้ากองไฟ ถึงตัวเขาเองในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพที่กึ่งเปลือยเช่นกัน เพราะถ้าขืนยังสวมใส่เสื้อผ้าเปียกๆไปตลอดคืน คงเป็นไข้หรือไม่ก็ปอดบวมตายสถานเดียว

          ราตรีกาลเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า สรรพสำเนียงในยามวิกาล ทั้งที่แบบเคยชิน และแบบไม่คุ้นหูก็มีมากมายหลากหลายชนิด ทั้ง เก้ง กวาง บ่าง นกฮูก นกเค้าแมว บางครั้งก็ฟังดูน่ากลัว ผสานเสียงกับ แมลงนานาชนิด ที่พากันกรีดปีกบรรเลงไพร แต่แล้ววงดนตรีกลางไพร ก็ต้องเงียบเสียง เมื่อมีเสียง โฮก ของเสือโคร่ง ที่อยู่ลึกเข้าไปในดงทึบเบื้องหน้า เข้ามาขัดจังหวะวงบรรเลง จนทำให้มนุษย์ผู้แปลกหน้าถึงกับขนลุกซู่ เพราะไม่เคยพบมาก่อน บ่อยครั้งเขาก็ทนไม่ไหว เนื่องจากเสียงที่ได้ยินนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ ถึงตอนนี้ฟืนแห้ง ไม้ล้ม ที่พอจะหยิบคว้าได้เท่าไหร่ ก็ถูกกองสุมมากขึ้นเท่านั้น โชคดี ที่เขาเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะเพิงหินที่ใช้หลบพักถูกรายล้อมด้วยก้อนหินขนาดใหญ่กลายเป็นกำแพงอย่างดี ดูไปแล้วเหมือนถ้ำย่อมๆ ถ้าพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นเกิดนึกอยากลองชิมเนื้อมนุษย์ขึ้นมา ก็มีเพียงช่องด้านหน้าที่ติดลำน้ำใหญ่นี้เท่านั้น ถึงจะเข้ามาถึงตัวเขาได้ หรือถ้าข้ามลำน้ำนั้นมาได้ ก็ต้องผ่านกองไฟกองใหญ่อีกกอง แต่เหตุการณ์ที่ดูว่าจะเลวร้าย ตอนนี้กลับกลายไปในทิศทางที่ดี เพราะไม่นาน เจ้าของเสียงปริศนาที่ไม่ปรากฏกาย ก็เร้นหายเข้าไปในดงทึบ ราวกับว่ามันคงออกมาสำรวจอาณาเขต และบังเอิญพบกับสิ่งแปลกปลอม ที่มันเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเช่นกัน

        เหตุการณ์กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ไฟกองใหญ่ยังไม่พร่องลง  ตรงกันข้ามชายหนุ่มเดนตาย ยังก่อไฟเพิ่มขึ้นอีกกอง จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณที่เขาอยู่ ดูสว่างรอบทิศทาง พอที่จะมองบริเวณรอบด้านได้อย่างถนัด เผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็ยังพอที่จะมีเวลา มองหาทางหนีทีไล่ได้ถูก อย่างน้อยๆก็มองเห็นซอกหินที่อยู่ด้านหลัง ที่พอจะแทรกกายเข้าไปหลบภัยได้บ้าง ในเมื่อสถานการณ์อาจดูว่าเป็นปรกติ แต่กระนั้นก็ยังไม่ประมาท ชายหนุ่มจึงจัดเตรียมสถานที่ให้ดูปลอดภัยและรัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งกิ่งไม้แห้ง ที่ลากเอามากองปิดปากทางเข้า และก้อนหินขนาดเขื่องที่งัดเอามาขวางและจัดเรียงเป็นกำแพงสำหรับช่องทางที่เป็นจุดเสี่ยง รวมทั้งหอกไม้ปลายแหลม อีกสามเล่ม ที่ชายหนุ่มมานะนั่งเหลาด้วยมีดพับเล่มเล็กที่มีอยู่ ถึงจะดูไม่มีพิษสง แต่อย่างน้อยๆก็ดีกว่าไม่มีอาวุธอะไรเลย

        ลมดึกพัดโชย โยกไม้ใหญ่ในดงทึบให้ไหวเอนอย่างเชื่องช้า ครั้นต้องแสงไฟจากกองฟืน ทำให้เกิดเป็นเงาทะมึน โยงไหวไปตามแรงลม ราวกับปีศาจร้ายในเงามืด ที่เคลื่อนไหวไปมาช้าๆ เพื่อรอจังหวะที่จะเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อย ยิ่งดึกสงัดลงเท่าไหร่ ความเงียบและความวังเวงก็มีมากขึ้นเท่านั้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ชายหนุ่มนอนซุกกายอยู่ใต้ซอกหิน ความอ่อนล้า และความเจ็บปวด เป็นตัวกระตุ้นให้ร่ายกายหมดกำลัง บวกกับยาแก้ปวดที่เริ่มออกฤทธิ์ กลับทำให้ชายหนุ่มทนฝืนสังขารของตัวเองไม่ไหว ทั้งๆที่ตัวเองพยายามข่มใจสักเพียงใด แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กับสังขาร ที่เหมือนจะร้องบอกเขาว่าไม่ไหวแล้ว.....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ชายหนุ่มที่รอดจากขุมนรกออกมาได้ จะพบเจอกับสิ่งลี้ลับอะไรอีก โปรดติดตามตอนต่อไป*****


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 23 April 2021, 13:56:54 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 11 ตอนที่ 2


บทที่ 11

ตอนที่ 2


          กองไฟกองใหญ่ที่เคยลุกโชนส่องแสงสว่าง เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มหมดแสง พร้อมๆกับฟืน ที่ใกล้หมดเชื้อ  พระเพลิงที่เคยเป็นเกาะคุ้มกัน พอหมดกำลังลง ก็เปิดช่องทางให้ความมืดค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้ บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่พอจะมีความปลอดภัยขึ้นมาบ้าง พอถึงตอนนี้กลับกลายเป็นดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น ในขณะที่ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ เสียงปริศนาก็แทรกเขามาในโซนประสาทที่รางเลือนของเขา

“ท่านสิงห์..”

“ท่านสิงห์  ท่านจงรีบตื่นเถิด”

“ขณะนี้ ภัยร้ายกำลังเข้ามาใกล้ท่านทุกขณะแล้ว”

“ท่านสิงห์”ถึงจะฟังไม่ถนัดหูนัก เพราะราวกับเสียงแว่วของสายลม ชายหนุ่มก็จำเสียงนั้นได้โดยทันที ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ เสียงนั้นคือเสียงของหล่อน หล่อนที่มีนามว่า พลับพลึง

“พลับพลึง!”

“พรึบ!”

“จี๊ดดดดด” ชายหนุ่มทะลึ่งตัวขึ้น พร้อมๆกับ ร่างปริศนาที่กระโจนเฉี่ยวก้านคอของเขาไปแค่ฝ่ามือเดียว!

“เฮ้ย อะไรวะนั่น”ชายหนุ่มอุทานลั่น ก่อนจะกระเ สือกกระสนออกมาจากซอกหินที่ตัวเองซุกกายอยู่  ถึงแม้จะมองเห็นไม่ถนัดนัก เขาก็จำมันได้ขึ้นใจ เพราะสิ่งมีชีวิตที่เขาเห็นคือ สัตว์ประหลาดตัวร้ายสายพันธุ์ตัวเดียวที่อยู่ในถ้ำนรกนั้นนั่นเอง

“จี๊ดดดด  พลั่ก!  โครม” เสียงค้างคาวกระหายเลือดร้องลั่น พร้อมๆกับเสียงหอกที่ชายหนุ่มหวดเข้าเต็มหน้า จนร่างของมันกระเด็นลงไปกองสั่นริกๆบนพื้น

“พรึบ!”

“วูบ  โครม” ไอ้น รกมีปีก ที่รอจังหวะจะเล่นงานอีกตัว ก็ไม่รอช้า แต่ก็สาย และหมดโอกาสที่มันจะแก้ตัว เมื่อหอกในมือของเหยื่อที่มันนึกจะเล่นงาน กลับพุ่งแหวกเข้าไปในร่างของมันเสียแล้ว

“มา!...เข้ามา”ชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความแค้น ก่อนจะสะบัดซากค้างคาวผีที่ติดปลายหอกกระเด็นหลุดออกไปไกลหลายวา

“ไฟ! ใช่แล้ว เราต้องสุมไฟ ”ชายหนุ่มนึกได้ จึงรีบลากฟืนเข้าไปสุมไฟในกองทันที แต่ก็ต้องค่อยระวังรอบทิศ เพราะทัศนะวิสัยไม่เต็มใจ เนื่องจากแสงสว่างจากกองไฟที่ดูริบหรี่ลงทุกที บวกกับหมอกจางๆที่เริ่มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่เขาต้องพึงระวัง

          จังหวะที่ชายหนุ่มก้มลงไปลากฟืนอีกท่อนนั้นเอง เจ้าสัตว์น รกใต้พิภพอีกตัวที่สบโอกาสกับอาหารมื้อค่ำ ก็กระโจนพรวดมาที่สีข้างของชายหนุ่ม แต่มันก็ช้าไป เมื่อมนุษย์เดนตาย เอี้ยวตัวหลบฉากไปอีกทาง พร้อมๆกับท่อนฟืนในกองไฟ ที่เขาคว้าแล้วหวดเข้าไปตรงบริเวณกกหูของไอ้น รกมีปีก จนสะเก็ดไฟที่ปลายไม้แตกกระจาย

“พรึบ”

“กร๊อบบบ”ไม่ทันที่มันจะมีโอกาสได้ร้อง หรือ ผละหนีจากเหยื่อที่มันหมายปอง เพราะกะโหลกที่ดูน่าเกลียดของมันยุบไปเกินครึ่ง

          เหตุการณ์เป็นไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย กับเหล่าอสูรกายมีปีกกระหายเลือด ที่แห่กันมาราวจะรุมกินโต๊ะมนุษย์ผู้โดดเดี่ยว แต่ละตัว ต่างพยายามยื้อแย่งเหยื่อที่มันหมายปองกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่เว้นแต่พวกเดียวกันเองที่นอนตายแยกเขี้ยวอยู่กับพื้น ก็ถูกรุมลากไส้ออกมากินเรี่ยราดไปหมด ไม่ว่านรกมีปีกตัวไหนเข้ามาใกล้รัศมีปลายหอกของชายหนุ่ม ก็ต้องบาดเจ็บล้มตายกันไป ตัวไหนบาดเจ็บก็ต้องกระเสื อกกระสนเอาชีวิตรอดจากพวกเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ต้องถูกแยกส่วนตายแบบทรมานเป็นภาพชวนสยดสยอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ชวนให้เกิดอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอม

          เหล่าปีศาจร้ายเองก็คงจะรู้ตัวว่า อาหารมื้อโอชาของมันคงจะลิ้มชิมรสได้ไม่ง่ายนัก เพราะโดนหวดด้วยด้ามหอกบ่อยๆเข้าก็คงนึกถอดใจ ได้แต่บินโฉบเฉียวไปมาอยู่รอบๆเหยื่อของมัน บางตัวใจกล้าบินเข้ามาใกล้หน่อย ก็ไม่วายโดนด้ามหอกที่รอต้อนรับอยู่คอยท่า โดนเข้าแบบนี้หนักๆเข้า ก็พากันบินหนีแตกกระเจิง เปิดโอกาสและจังหวะให้ชายหนุ่มได้มีเวลาสุมฟืนในกองให้ลุกโชนเพิ่มขึ้นไปอีก

          เมื่อมีแสงและความร้อนของพระเพลิงที่ลุกกระพือ ส่องแสงสว่างไสว เหล่าค้างคาวกระหายเลือดต่างพากันตื่นตกใจเผ่นหนี บางตัวก็บินสะเปะสะปะหนีหายเข้าไปในดงทึบ บางตัวที่บาดเจ็บบินไม่ได้ ก็พยายามคลานหนีเข้าไปตามซอกหิน บ่งบอกให้รู้ว่า ความร้อน และ แสงสว่าง มีอิทธิพลต่อพวกมั นมากน้อยขนาดไหน

“จี๊ดดดด”

“พรึบ”

“แกร๊กกกแกร๊กกก”

“พรึบ”

“แกร๊กกก” เหมือนสัญญาณ หรือ รหัส อะไรบางอย่าง ทำให้พวกกระหายเลือดมีปีก ที่บินอยู่ในเงามืด พากันพละหายไปช้าๆ ทีละตัวสองตัว และไม่นาน พวกมั นก็ค่อยๆพากันเงียบเสียงเข้าไปในดงทึบ ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนจังก้าอยู่ข้างกองไฟ  ซึ่งตอนนี้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ

          ถึงแม้เหตุการณ์ดูเหมือนว่าจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ก็ไม่สามารถไว้ใจสถานการณ์ใดๆต่อจากนี้ได้  ว่าจะเป็นเช่นไร ชายหนุ่มเริ่มสำรวจสถานที่อีกครั้ง หลังจากจัดการกับค้างคางผีอีกสามตัว ที่เบียดกันซุกหลบอยู่ในซอกหินด้วยหอกไม้ปลายแหลม จากนั้นก็หาฟืนที่พอจะหาได้ในละแวกนั้น เพราะความมืดมิดจากภายนอกรัศมีแสงไฟ จึงทำให้ชายหนุ่มไม่อาจจะเสี่ยงที่จะออกนอกบริเวณนั้น แต่โชคก็ยังดีอยู่บ้าง เนื่องจากบริเวณที่พัก มีไม้แห้งและท่อนฟืนติดค้างอยู่ตามก้อนหินใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันคงลอยมาตามกระแสน้ำ ในช่วงที่ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้น นอกจากฟืนที่หามาได้มากพอตลอดทั้งคืนแล้ว ชายหนุ่มยังมานะเหลาหอกไม้อีกหลายเล่ม แต่ละเล่มถูกวางในตำแหน่งต่างๆ รอบทิศทาง เผื่อว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอีก จะได้หยิบฉวยอย่างสะดวก

          ดึกสงัดลงทุกขณะ แต่เสียงอึกทึกของสายน้ำยังคงคำรามแว่วให้ได้ยินอยู่เสมอหมอกเริ่มโรยตัวหนายิ่งขึ้น ทำให้ทัศนะวิสัยในการมองเห็นตกต่ำ สิ่งแวดล้อมที่แสงไฟพอจะสอดส่องเห็นอะไรได้บ้าง ก็ถูกบดบังด้วยสายหมอกจนหมดสิ้น เห็นแต่เพียงเงาวูบวาบภายนอกเท่านั้น ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ต้องคอยระแวงอยู่ตลอดเวลา  ร่างกายที่อ่อนแรงและเหนื่อยล้า พอเจอสถานการณ์บีบคั้นและกดดัน ก็พาลให้มองเห็นเงาอะไร วูบๆวาบๆ หลอนตัวเองไปหมด จังหวะที่ชายหนุ่มนั่งหมดแรงพิงก้อนหินใหญ่อยู่นั้นเอง จวบจวนที่ประสาทส่วนรับเสียงเกือบจะอื้อ และหนังตาที่ฝืนแทบไม่ไหว เพราะความเหนื่อยอ่อนของร่างกาย ครั้งนั้น เขาก็แว่วเสียงกรวดหินลั่นดังกรอบแกรบ คล้ายกับมีอะไรบางอย่างย้ำมาตามทางช้าๆ ครั้งแรกที่ได้ยิน เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศทางใด แต่พอทำสมาธิ และตั้งใจฟัง ก็จับทิศทางได้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้น ดังมาทางด้านปากทางเข้าเพิงหินของเขานั้นเอง และที่สำคัญเสียงย้ำนั้นดังเข้ามาใกล้ทุกขณะ

          ในขณะที่ชายหนุ่ม ซุกกายหลบเข้าไปในซอกหิน พร้อมกับหอกไม้ในมือที่กำไว้แน่น เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกปลอมที่ย่างกายเข้ามาใกล้ สายตาก็คอยเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างใจเต้นระทึก สถานการณ์กลับเข้ามาตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเสียงปริศนาที่ได้ยิน อยู่ๆก็เหมือนว่าจะมาหยุดนิ่งอยู่หน้าปากทางเข้า หัวจิตหัวใจของสิงห์ในตอนนี้สั่นรัวคละเคล้ากับความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ครั้นจะออกไปเผชิญหน้า ก็พะว้าพะวง เพราะไม่แน่ใจว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคืออะไร จะมาดีมาร้ายแบบไหนก็ไม่อาจจะคาดเดาได้  ถึงอากาศภายนอกอาจดูหนาวเย็น แต่ทำไมฝ่ามือและใบหน้าของชายหนุ่ม กลับชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต ความกระวนกระวายใจ ทำให้เขาแทบคลั่ง
         
          ภายใต้ม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ เสียงและเงาปริศนาก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ละน้อย เริ่มจากเสียงย้ำมาตามพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายกับมีคนเดินย้ำผ่านกรวดหินเหล่านั้น ส่วนเงาที่เห็นอย่างเลือนราง ก็ไม่สามารถบอกกับตัวเองว่าคืออะไร จะว่าสัตว์ก็ไม่ใช่ เพราะรูปร่างไม่เป็นเช่นนั้น ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ต้องตกตะลึง เมื่อเจ้าของร่างปริศนาที่เขาเห็น ค่อยๆย่างกายฝ่าม่านหมอก ออกมายืนเด่นเป็นสง่า หญิงสาวในชุดสไบเฉียงสีเขียวอ่อน หล่อนที่ชายหนุ่มรู้จักเป็นอย่างดี

“พลับพลึง!” ชายหนุ่มละล่ำละลัก

“นี่ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม คุณพลับพลึงจริงๆด้วย”ชายหนุ่มแทบจะลุกพรวดพราดออกไปจากที่ซ่อน แต่ก็ต้องชะงักและช่างใจ เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เข้าไม่แน่ใจในภาพที่เห็น

“ท่านอย่าได้วิตกไปเลย”

“เรามาดี”

“หรือท่านจำสหายเก่าของท่านมิได้”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงเอย พร้อมกับรอยยิ้มที่สิงห์คุ้นเคย

“คุณจริงๆด้วย”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางโผเขากอดหญิงสาวแนบกาย ปากก็บอกชื่อหล่อนซ้ำๆ

“ผมดีใจที่สุดเลย ที่ได้พบคุณในตอนนี้”

“นี้ผมต้องฝันไปแน่ๆเลย”พูดพลางชายหนุ่มก็บีบจับไปตามท่อนแขนของหญิงสาวไว้แน่น ราวกับไม่เชื่อสายตาของตัวเองในยามนี้

“คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ”

“ข้างนอกอันตรายมาก”ชายหนุ่มร้องบอกด้วยความเป็นห่วง

“ตราบใด ที่เปลวเพลิงนี้ยังเปล่งแสงตลอดยามราตรี”

“จะไม่มี อันตราย ใดเข้ามากร่ำกายท่าน”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเอียงใบหน้าหลบชายหนุ่ม ซึ่งตัวเขาเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่า ในขณะนี้ตัวเองก็อยู่ในสภาพกึ่งเปลือย

“คุณรอผมตรงนี้ก่อนนะครับ อย่ารีบไปไหนเสียล่ะ”สิงห์พูดจบก็เดินหลบเข้าไปสวมชุดและกางเกงเดินป่า ที่ผึ่งไว้หลังโขดหิน

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ที่แต่งกายไม่สุภาพ”พูดจบก็ยืนเกาหัวแกรกๆ

“นั่งก่อนครับ ตรงนี้ดีกว่า”ชายหนุ่มร้องบอก ก่อนจะนำผ้าขาวม้าที่ผิงไฟไว้มาแผ่ปูรองนั่งให้หญิงสาว ซึ่งหล่อนเองก็ไม่ปฏิเสธ คำเชิญของเขา

“แล้วนี่ คุณจะบอกผมได้หรือยังครับ ว่าคุณไปยังไง มายังไง”ชายหนุ่มร้องถามด้วยความสงสัย แต่ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว นอกจากรอยยิ้มบนใบหน้า

“เอาล่ะ ผมไม่ถามคุณก็ได้ เพราะรู้ว่า ยังไงๆ คุณก็ไม่บอกผมหรอก”สิงห์ร้องบอก ก่อนจะหย่อนกายลงไปนั่งเคียงข้างหล่อน

“สิ่งนั้นมิสำคัญดอก ว่าเรา จะมาเยี่ยงไร”หญิงสาวตอบ

“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณอีกสักสองเรื่องได้หรือเปล่าครับ”สิงห์พูด พลางซุนฟืนเข้าไปในกองไฟ

“เชิญท่านไตร่ถามเราเถิด สิ่งใดที่เราสามารถตอบท่านใด เราจะมิปิดบังท่านเลย”หญิงสาวตอบ

“ข้อแรกนะครับ พวกผมตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง ยังอยู่ดีกันหรือเปล่า”สิงห์ถามถึงสหายรวมเดินทาง

“ข้อนั้นท่านอย่าได้วิตกไปเลย”

“นอกจากสหายสี่ขาของท่าน หนึ่งชีวิตที่ดับสูญไปแล้ว ทั้งคณะยังมีชะตาชีวิตอยู่”คำตอบของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มรู้สึก โล่งใจเป็นอย่างยิ่ง

“แล้วตอนนี้ทุกคนอยู่ที่ไหนครับ”ชายหนุ่มเร่งถาม

“ในยามนี้ ทั้งหมดอยู่ภายใต้ถ้ำแห่งนั้น”คำตอบของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี เพราะตัวเขาเอง ก็รู้ดีว่า อะไรอยู่ภายในถ้ำนรกแห่งนั้น

“ในถ้ำนรกนั้นหรือครับ ที่นั่นอันตรายนี่”

“โถ่...ทุกคนไม่น่าจะต้องมาเสี่ยงชีวิตแบบนี้เลย”ชายหนุ่มร้องบอกเสียงสั่นเครือ

“สหายของท่าน ร่วนเป็นมิตรแท้”

“ท่านลืมไปแล้วฤา ตัวท่านเองเพียงลำพัง ยังเอาชีวิตรอดออกมาได้”

“ไฉนเลย กับคณะของท่านอีกหลายชีวิต จะมิมีความสามารถพอที่จะรอดออกมาได้”หญิงสาวตอบอย่างอ่อนโยน ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกปลอดโปร่งและคลายกังวล

“ผมก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นนะครับ”

“แต่พวกนั้นจะรู้หรือเปล่า ว่าในนั้นมันมีสัตว์ประหลาดรอดักเล่นงานอยู่”แทนคำตอบ หญิงสาวส่ายศีรษะไปมาช้าๆ

“หรือไม่ ก็คงจะพบกับเส้นทางใหม่ ที่ไม่ต้องเจอกับไอ้ผีพวกนี้”ชายหนุ่มเสวนาตอบ พลางใช้มือลูบปลายคางอย่างคนใช้ความคิด

“มิมีหนทางใดดอก นอกจากหนทางที่ท่านใดเผชิญและผ่านมา”หญิงสาวตอบเรียบๆ

“อ้าว...แล้วทำไมพวกนั้นถึงไม่เจอแบบที่ผมเจอล่ะครับ”ชายหนุ่มร้องบอกด้วยความสงสัย

“เจ้าสัตว์พวกนี้ จะออกหากินในยามราตรีกาลเท่านั้น”

“ยามใดที่เริ่มมีแสงของรุ่นอรุณ ยามนั้นพวกมันจักพากันหลบซ่อนในถ้ำแห่งนั้น”หญิงสาวอธิบาย

“เป็นอย่างนี้ นี่เอง แสดงว่า ตอนที่ผมรบกับพวกมัน เวลานั้นเป็นตอนเช้า”ชายหนุ่มตอบขณะทบทวนความจำ

“ที่ท่านกล่าวมาถูกต้องแล้ว”หญิงสาวตอบ

          เมื่อนึกทบทวน สิ่งต่างๆที่ตัวเองพานพบมา ก็พอจะได้เค้าโครงตามที่หญิงสาวบอก เจ้าอสูรกายมีปีกที่ตนได้เผชิญอยู่นี้ ถ้าพิจารณาดูดีๆ ก็ไม่ต่างจากค้างคาวทั่วๆไป ที่มักจะออกหากินในเวลากลางคืน จะแตกต่างกันที่ ขนาด และ รูปร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว รวมถึงความดุร้ายกระหายเลือดของพวกมัน ขณะที่ตัวเองกำลังคลำหาทางออกภายในถ้ำนั้น และพบกับพวกมัน คงจะเป็นตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นที่ตัวเขาพลัดตกลงมาก้นเหว และเป็นจังหวะที่พวกมันหลบพักนอนตามปรกติ แต่เผอิญตัวเขาเองนั้นแหละ ที่ดันผ่าเข้าไปกลางฝูงของพวกมันอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขามาแน่ใจเอาตรงที่ ภาพสุดท้ายที่เข้าจำได้คือ แสงสว่างจากภายนอก

“ถือว่าเป็นโชคดีของพวกนั้น”

“ดีแล้วครับ ที่ผลออกมาเป็นแบบนี้”ชายหนุ่มบอก

“มันเป็นกรรมเก่าของท่าน”

“กรรมที่ท่านต้องเผชิญ”หญิงสาวกล่าว

“กรรมอีกแล้ว”

“กง กรรม อะไรหนักหนาครับ”

“นี่ผมยังตามชดใช้กรรมไม่หมดอีกหรือ คุณดูสภาพผมตอนนี้สิครับ มันน่าดูซะที่ไหน”ชายหนุ่มตอบแบบคนมีอารมณ์ ที่ให้หญิงสาวแสดงสีหน้าและแววตามีกังวล

“ท่านสิงห์”

“ท่านจงอย่าวู่วาม จงใช้สติและสมาธิของท่านให้แน่วแน่”หญิงสาวกล่าวปราม พลางยื่นมือของหล่อนไปจับที่หัวไหล่ของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งเอามือกุมขมับของตัวเองอยู่

“ถ้าท่านรักชีวิต และยังมีความคิดที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้”

“ท่านต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง อย่าให้ความกลัว เข้ามาครอบงำจิตใจและสติของท่าน”หญิงสาวกล่าวปลอบโยน

“ครับ ผมจะพยายาม”

“แต่บางครั้ง ผมก็อยากตายๆไปซะ จะได้หมดเรื่องหมดราว”ชายหนุ่มกล่าวอย่างคนสิ้นหวัง

“ท่านอย่าเอ่ยอะไรเยี่ยงนั้น”

“ท่านไม่คำนึงถึงสหายร่วมทางของท่านฤา”

“สหายของท่านจะรู้สึกเยี่ยงไร ถ้ามาพบท่านในสภาพสิ้นใจแล้ว”หญิงสาวตัดพ้อ ก่อนจะลุกขึ้น พลางยืนหันหลังให้ชายหนุ่ม

“เอาล่ะครับ ไม่ตาย ก็ไม่ตาย”

“ผมก็แค่พูดประชดชีวิตของผมไปอย่างนั้นล่ะ”

“ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ ที่คำพูดของผม ทำให้คุณไม่สบายใจ”ชายหนุ่มพูดจบก็ลุกขึ้นมาจับมือหญิงสาวไว้แน่น ก่อนจะพูดต่อมาอีกว่า

“เชิญคุณนั่งต่อนะครับ ได้โปรดอย่าได้หนีผมไปไหนในตอนนี้เลย”ชายหนุ่มกล่าวคำวอน แทนคำตอบหญิงสาวหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนที่จะทรุดกายลงนั่นพับเพียบในตำแหน่งเดิม

“มาต่อนะครับ”

“แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน?”ชายหนุ่มสอบถามในคำถามข้อสุดท้าย

“ท่านจงตรองดูเถิด”

“คณะของท่าน มีจุดหมายปลายทาง ณ ที่แห่งใด”หญิงสาวกล่าว

“ตาย...โหง”

“คุณอย่าบอกผมนะว่า ไอ้ที่ผมนั่งแกร่วอยู่นี้ คือ ป่าดำ”ชายหนุ่มโพล่งออกมา

“ถูกแล้ว เพียงท่านได้ก้าวผ่านปากถ้ำแห่งนั้น เพียงก้าวเดียว”

“ท่านก็เข้าสู่ อาณาเขตของ ดงดำแห่งนี้แล้ว”หญิงสาวกล่าวพลางอมยิ้มน้อยๆที่มุมปาก แต่คนฟังกลับเบ้ปากเอามือกุมขมับทำหน้าเครียด

“สาแก่ใจผมจริงๆ”

“ไอ้ผมนะ อยากจะมาเห็นแค่เฉียดๆดงดำนี้เท่านั้น”

“เจ้าป่าเจ้าเขาก็สนองพระเดชพระคุณผมจริ๊งๆ เล่นพามาให้ผมอยู่ซะกลางดงเลยมั๊งนี่”ชายหนุ่มกล่าวอย่างคนหมดแรง

“เป็นความประสงค์ ของท่านเองมิใช่ฤา”หญิงสาวกล่าว พลางเลิกคิ้วน้อยๆ ยวนกวนโทสะ

“ประสงค์กะผีนะสิคุณ นี่มันป่าไหนก็ไม่รู้ ขนาดเริ่มต้นก็เจอตัวประหลาดเล่นงานซะน่วมขนาดนี้”

“ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเจอตัวอะไรอีก”

“แล้วอีกอย่าง นี่ผมยังคิดไม่ออกเลย ว่าผมจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง”ชายหนุ่มร้องบอก ก่อนจะโยนท่อนฟืนแห้งลงไปในกองไฟดังโครม

“หาใช่ปัญหาไม่”

“ท่านจงตรองดูเถิด สิ่งใดที่นำพาท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งนั้น จักนำทางท่านย้อนกลับไปเอง”หล่อนบอกใบ้

“จริงสิ!”

“ผมก็ลืมไปเสียสนิท ผมลอยมาตามแม่น้ำสายนี้นี่”

“ถ้าผมเดินย้อนไปตามแม่น้ำนี่ บางทีผมอาจจะพบกับปากถ้ำที่ผมผ่านมา”ชายหนุ่มร้องตอบตาเป็นประกาย แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดต่อ หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงก็กล่าวสวนตอบมาว่า

“ยังดอก หาได้ง่ายดาย เยี่ยงนั้นไม่”

“จริงอยู่ ที่ท่านกล่าวมา สายน้ำนี้ จะนำทางท่านกลับสู่มาตุภูมิของท่าน”

“แต่อุปสรรค ที่ท่านจะต้องพบพานยังอีกยาวไกลนัก”คำตอบของหญิงสาวในชุดสไบเฉียง ทำให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังทันที

“อุปสรรค อะไรอีกหรือครับ”

“แค่นี้ ผมก็จะแย่อยู่แล้ว ปืนผา หน้าไม้ อะไรก็ไม่มีติดตัวมาสักอย่างสักอย่าง”

“มีแต่มีดพับเล่มกระจ้อย เล่มนี้เล่มเดียว”ชายหนุ่มพูดพลาง ยื่นมีดพับเล่มเล็กให้หญิงสาวดูตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่แยแสกับมีดเล่มนั้นของเขาเลย

“หาใช่เพียง คมหอก คมดาบ ที่จักเป็นศาสตราวุธแต่เพียงสิ่งเดียวไม่”

“ท่านลืมไปแล้วฤา”

“ปัญญาของท่าน ต่างหาก ที่เปรียบเสมือนคมหอก คมดาบ ที่คอยปกป้องคุ้มกันตัวท่านเอง”หล่อนกล่าว

“เอาจริงๆนะคุณ”

“สมองผมในตอนนี้ คงไม่ต่างอะไรจากไม้ตีพริกหรอก อย่าว่าแต่คมหอก คมดาบอะไรเลย”ชายหนุ่มกล่าวออกมา เพราะความรู้สึกในสมองของเขาตอนนี้ มันมึนตื้อไปหมด

“โปรดอย่าร้อนใจไปเลย ทุกปัญหามีทางแก้ไขเสมอ”

“ท่านอย่าได้วิตก”หญิงสาวกล่าวอ่อนโยน

“ในเวลานี้ คงมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นล่ะครับ”

“ที่คอยเป็นกำลังใจ และเข้าอกเข้าใจผมทุกอย่าง”

“ผมคงแย่กว่านี้แน่ๆ ถ้าตอนนี้ผมไม่มีคุณอยู่เป็นเพื่อน”ชายหนุ่มกล่าว พลางคว้ามือหญิงสาวขึ้นมากุม

“อย่างน้อยๆ ก็ในเวลานี้ ตอนนี้ ผมอยากจะขอร้องคุณอีกสักเรื่องได้หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มกล่าวแผ่วเบา ในจังหวะที่หญิงสาวจะเอ่ยคำได้ออกมา ชายหนุ่มก็ถือวิสาสะ นอนหนุนตักของหญิงสาวเอา
เสียดื้อๆ

“ไม่ว่าในตอนนี้ จะเป็นความฝัน หรือความจริง”

“ได้โปรดอย่าจากผมไปไหนในเวลานี้เลย”ชายหนุ่มกล่าว แทนคำตอบของหล่อน หญิงสาวคว้าข้อมือข้างที่บาดเจ็บของชายหนุ่ม  ขึ้นมาลูบอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดตัดบทต่อมาว่า

“บาดแผลของท่าน เป็นเยี่ยงไรบ้าง”หญิงสาวเอ่ย

“ก็ยังปวดๆอยู่ครับ”

“แต่ไม่หนักเท่าไหร่ วันสองวันคงจะค่อยยังชั่วขึ้น”ชายหนุ่มกล่าว

          แสงไฟจากกองฟืนยังคงส่องแสงวับวามในยามราตรี ท่ามกลางวงล้อมของอายหมอกที่โรยตัวหนาทึบรอบด้าน หญิงสาวและชายหนุ่มต่างสบสายตากันนิ่ง ถึงบรรยากาศตอนนี้จะเย็นยะเยือกสักเพียงใด แต่ความรู้สึกภายในใจของชายหนุ่ม จะมีใครรู้หรือไม่ว่า มันร้อนลุ่ม ราวกับฟืนที่ถูกสุมไฟอยู่ในขณะนี้ ความอ้าวว้าง ความเปล่าเปลี่ยว ที่ชายหนุ่มต้องเผชิญ และอุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านมา จนบางครั้งแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ทุกครั้งเมื่อเจอปัญหา หรือเหตุการณ์คับขัน ก็เห็นจะมีแต่หล่อน ที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้นี้ ผู้เดียว ที่คอยช่วยเหลือเขาทุกครั้ง ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม หรือนี้จะเป็นอีกบวงกรรมหนึ่ง ที่เขาจะต้องพบผ่าน หรือนี้จะเป็นบุพเพสันนิวาสที่ทำให้คนทั้งสองมาพบกัน

          หริ่งหรีด เรไร ต่างพากันกรีดปีก บรรเลงไพร ราวกับเพลงรัก ที่กล่อมให้บรรยากาศหวานซึ่งยิ่งขึ้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ทั้งสองต่างมองตากันนิ่งเช่นนั้น เหมือทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์หรือมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มก็ดูเหมือนว่าจะลืมไปเสียสนิท ว่าครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้เขาได้พบกับเรื่องร้ายๆอะไรมาบ้าง ถึงตัวเข้าเองในตอนนี้ก็ดูจะไม่ยี่หละแล้วต่อชีวิต ที่ต้องมาตกละกำลำบากเช่นนี้ ตรงกันข้ามในใจส่วนลึกของเขา  มันกลับมีความอุ่นใจ และสุขใจจนบอกกับตัวเองไม่ถูก ที่มีหล่อนอยู่เคียงข้าง

“ท่านจงหลับใหลเสียเถิด”

“อย่าได้ฝืนต่อสังขารของท่านเลย”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงเอ่ย พลางใช้มือลูบไปตามหน้าผากของชายหนุ่มอย่าง ทะนุถนอม

“ผมไม่อยากหลับตาเลยครับ”

“เพราะผมกลัวว่า ถ้าผมลืมตาขึ้นมาแล้ว ผมจะไม่พบคุณอีก”ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนจะกุมมือหล่อนมาไว้แนบอก

“ท่านจงอย่าลืมสิว่า”

ทุกราตรีกาล เราจะได้พบกันอีก”หญิงสาวเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“ขอให้ท่านจงพักผ่อนให้สบายเถิด”

“ตลอดราตรีนี้ เราจะไม่หนีท่านไปไหน ท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย”หญิงสาวกล่าว

“หลับตาเสียเถิด”

“ราตรี จงมีสวัสดิ์แด่ท่าน” หล่อนพูดแผ่วเบา

          ราวกับตกอยู่ในภวังค์ หรือมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ทำให้ความรู้สึกของชายหนุ่มปลอดโปรงและผ่อนคลายขึ้น ถึงแม้ตัวเขาเองจะนอนหนุนตักหล่อนบนพื้นกรวดหินเย็นๆก็ตาม  แต่ความรู้สึกมันสบายเหมือนกลับว่า ได้นอนอยู่บนที่นอนนุ่มๆ หรือไม่ก็ ห้องนอนดีๆในโรงแรมห้าดาว  ก่อนที่ความรู้สึกของชายหนุ่มจะหลุดลอยไป เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มบนหน้าฝากของเขา ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสที่แผ่วเบา แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่า มันเป็นการสัมผัสของริมฝีปากของหญิงสาว หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง...

*****ชายหนุ่ม และ หญิงสาวในยามวิกาล จะบอกต่อเรื่องราวหลังจากนี้ต่อไปเช่นไร โปรดติดตามตอนน่อไป*****

.....

ขอขอบคุณ เครดิส ภาพค้างคาวแม่ไก่ จาก คุณ ดอกดิน/เที่ยวๆดื่มๆ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.048 seconds with 21 queries.