Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 15:49:53

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,616 Posts in 12,928 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 1155 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 23 April 2021, 14:06:47 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 12

ตอนที่ 1

          ฌ สถานที่ตั้งของหน้าผาหินขนาดใหญ่มหึมา ราวกับกำแพงขนาดยักษ์ที่กั้นขวาง ในยามราตรีเช่นนี้ มันดูคล้ายกับยักษ์ที่นั่งปักหลักแข็งทื่อทะมึนในเงามืด ยิ่งเมื่อมีสายลมพัดผ่านมาตามช่องเขาและแง่หิน ทำให้เกิดเสียง หวีดหวิว ดังครวญคราง ยิ่งเพิ่มความหน้าสะพรึงกลัวยิ่งไปอีก แต่ภายใต้รอยแยกที่เหมือนรอยขวานยักษ์ที่ถูกจามไว้ กลับดูเงียบขนัดราวกับหูดับ แทบไม่ได้ยินเสียงสรรพสำเนียงอะไรเลย ถึงแม้บางจังหวะจะมีลมพายุโหมกระหน่ำสักเพียงใด ก็ไม่อาจจะมีเสียงใด ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้าไปภายในได้

          ภายใต้ความมืดมิด เหมือนถนนหรือเส้นทางไปสู้ขุมนรก ใครจะรู้ว่า ภายในนั้น กลับมีหุบเหวกว้างขนาดใหญ่กันขวาง ราวกับหลุมอุกกาบาต ที่ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ปากหุบเหวที่ราบเรียบไม่มีสิ่งกีดขวาง เหมือนจงใจให้คล้ายกับ กับดัก ที่แม้มีสิ่งมีชีวิตใด ได้ผ่านเส้นขอบเหวนี้ไปแล้ว ก็ไม่สามารถรอดพ้นประตูสู่นรกได้ ราวกับมดตัวน้อยที่ตกหลุมดักของแมลงช้างที่พลาดตกลงไปแล้ว ก็ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น เพราะใครจะรู้ว่า เพียงแง่หิน แง่เล็กๆที่ยืดโผล่มาจากผิวดินไม่เกินศอก ตำแหน่งนี้เอง ที่ปรากฏเส้นเถาวัลย์ขนาดเขื่อง ซึ่งด้านหนึ่งของมัน ถูกม้วนพันไว้อย่างแน่นหนา และอีกด้านทอดลึกลงไปสู้หุบเหว สิ่งที่ปรากฏนี้หาได้เกิดจากธรรมชาติสร้างสรรค์ไม่ ตรงกันข้ามมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์  มนุษย์ที่เพียรพยายามตามหามิตรร่วมทาง

“สิงห์โว้ย”


“วู้ ไอ้สิงห์”พรานเฒ่าที่มีนามว่า โส่ยป้องปากตะโกนโวกๆ หลังไต่มาตามเส้นเถาวัลย์เป็นคนสุดท้าย


“มันรอดแล้วพวกเรา นี้ไง รอยตีนมันเดินให้เปรอะไปหมด”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางส่องไฟฉายสำรวจไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น แต่ไม่ทันที่ทุกคนจะสำรวจรอยเท้าของชายหนุ่ม พรานพรที่เดินสำรวจอยู่ที่แนวกองหินก็ร้องเอะอะมาอีกคน


“เฮ้ย พวกเรามาดูทางนี้เร็ว”เสียงเรียกอย่างเอ็ดตะโร ของพรานพร ทำให้กลุ่มคนทั้งหกพากันวิ่งกรูเขาไปสมทบ บริเวณกองหินที่ขึ้นสลับซับซ้อน

“รอยไอ้สิงห์มันเข้าไปในซอกหินนี่”

“รอดแล้ว รอดแล้ว ไอ้สิงห์มันไม่ตาย”พรานพรร้องบอก พร้อมๆกับเหล่ากะเหรี่ยงพากันกอดคอกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปีติยินดียิ่ง

“เบาๆโว้ยพวกเรา ไหนลองเรียกมันดูสิ”

“ดีไม่ดี มันออกจะหลบอยู่ข้างในนั้นล่ะ”พรานแปะร้องปราม ขณะส่องไฟฉายเข้าไปในซอกหินนั้น

“เออ เข้าที”

“พี่สิงห์”

“พี่สิงห์ วู้...”

“พวกเรามารับพี่ขึ้นไปแล้ว ออกมาเถอะ”เสียงเคิ้งป้องปากตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไร้วี่แววการตอบสนองใดๆจากบุคคลที่ตัวเองหวังว่าจะอยู่ด้านใน

“ตามมันเข้าไปเลยดีกว่า”

“มันชักแปลกๆ”พรานเบร้องบอก อย่างครุ่นคิด

“ก็ดีเหมือนกัน รอเรียกจนคอแตกแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร”

“ข้าร้อนใจเต็มทนแล้ว”พรานโส่ยร้องบอก

“ไปๆ ไปกันดีกว่า เผื่อมีอะไรเกิดกับมันขึ้น จะได้ช่วยไว้ได้ทัน”เหน่อร้องบอกอย่างร้อนใจ

“เดี๋ยวข้านำเข้าไปก่อน พวกเอ็งค่อยๆตามกันมาล่ะ”

“ช่องมันแคบนิดเดียว ทิ้งระยะกันไว้ด้วย เกิดอะไรขึ้นมา จะได้หนีออกมาได้ทัน”พรานเบร้องบอกคณะ พูดจบก็มุดผ่านเข้าไปตามช่องหินนั้น

ภายใต้เส้นทางที่แคบ และสลับซับซ่อน ทั้งหมดต่างค่อยๆคืบคลานไปอย่างช้าๆ เพราะสภาพอันคับแคบของซองหิน หรือไม่ก็ถ้ำแห่งนั้น บางตอนก็เดินได้อย่างสบาย และบางช่วง ก็ต้องค่อยๆมุดและคลาน และบางช่วงก็เป็นทางแยก ทำให้ผู้นำทางเกิดความลังเลใจ แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถเคลื่อนขบวนได้ต่อ เพราะร่องรอยของชายผู้สาบสูญมีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ ทั้งรอยเท้าตามพื้น รอยถลอกตามผนังหิน ซึ่งอาจจะเกิดจากการครูดถูของเป้หลัง หรือแม้แต่กระป๋องเปล่า ของอาหารกระป๋อง ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้พรานนำทาง และทุกคนที่ออกติดตามดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง

“ดูนั่น”

“มันรอดแน่ล่ะแบบนี้”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางก้มลงไปหยิบอาหารกระป๋อง ที่ภายในว่างเปล่า

“เหมือนมันมาพักอยู่แถวนี้”

“นี้ไง มีบ่อน้ำอยู่อีกแอ่ง สงสัยมันขุดไว้แน่ รอยยังใหม่ๆอยู่เลย”พรานพรโพล่งมาอีกคน หลังจากแยกเดินออกไปสำรวจอีกทาง

“แล้วมันไปไหนของมันว่ะนี่”

“แทนที่จะอยู่ระแถวนี้”เหน๋อร้องบอกด้วยความสงสัย

“คงจะมีเหตุจำเป็นหรอกน่า”

“ข้ารู้นิสัยมันดี เป็นข้า ข้าก็ไม่รอหรอก”พรานแปะเสวนาด้วยอีกคน

“มึ งนี้ก็วุ่นวายจริงๆ”

“ไปไกลๆเลยไป๊”พรานชราร้องเอ็ดตะโร พลางไล่เตะเจ้าพะเปรียวที่ตอนนี้เดินเกะกะคณะไปหมด

“ช่างมันปะไร”

“มีหมามาด้วยนะดีแล้ว มันจมูกดึกว่าคน”พรานเบร้องปราม

“ว่าไปก็น่าสงสารไอ้พะบอง”

“ไม่น่ามาตายเลย ดูไอ้พะเปรียวสิ มันคงเสียใจที่เพื่อนมันตาย”เจ้าพุ่มร้องบอก ก่อนจะนั่งลงแล้วเอามือลูบหัวเจ้าพะเปรียงอย่างเอ็นดู

“อย่าเสียเวลาเลยพวกเรา”

“ไปต่อดีกว่า”พรานนำทางร้องบอกคณะ ก่อนจะมุดหายเข้าไปในซอกหิน

ทุกระยะที่ทุกคนก้าวผ่าน ต่างเห็นร่องรอยที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ให้เห็นเป็นระยะ ทั้งโดยเจตนา เช่น รอยขูดขีดเป็นลูกศร ตามผนังถ้ำ ส่วนที่ไม่เจตนาแต่บังเอิญทำให้ง่ายต่อการแกะรอย มีตั้งแต่ เศษน้ำตาเทียนที่หยดเป็นจุดๆ รอยเท้าที่เดินย่ำไว้ และรอยไถลลื้นตามโขดหินชัน ซึ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มได้ไต่ไปตามเส้นทางนั้น

“เฮ้ย เลือดอะไรเปรอะไปหมดวะนี่”

“ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์โว้ย”พรานเบร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นรอยเลือดหยดเป็นทาง

“มันชักไม่ดีแล้วว่ะ”

“ดูนี่สิ ตามผนังก็มีเลือดเปรอะไปหมด”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน

“แต่ข้าว่าไม่ใช่เลือดคนนะ”

“กลิ่นมันแปลกๆ”พรานแปะร้องบอก หลังจากใช้ปลายนิ้วแตะรอยเลือดขึ้นดม

“อือหือ...เหม็นเขียวชะมัด”

“คาวยังกะกบ”เคิ้งพูดจบก็เช็ดปลายนิ้วที่ตัวเองแตะเลือดกับผนังถ้ำ

“เฮ้ยมาดูอะไรทางนี้”

“ตัวอะไรของมันวะ”พรานเฒ่าร้องเสียงสั่น พลางฉายไฟไปที่ซากของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง

          ท่ามกลางสายตาทุกคน เศษซากสัตว์ปริศนาที่ดูยับเยินจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ราวกับเศษผ้าขี้ริ้วขะมุกขะมอม ที่ขาดวิ่น เศษขนที่หลุดออกมาเป็นกระจุก หลุดออกมาเป็นก้อนๆผสมเลือดดูเกรอะกรัง เศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ดูแหลกยับ จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นชิ้นส่วนไหนของร่างกาย แม้แต่เจ้าพะเปรียวเมื่อก้มลงไปดมพิสูจน์ซาก ยังถอยหนีหางจุกตูดเพราะกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย

“บ่าง หรือ ค้างคาว”

“แต่หน้าตามันดูแปลกๆ”พรานเบวิเคราะห์ พลางใช้ปลายมีดเหน็บเขี่ยพลิกซากตัวประหลาดกลับไปกลับมา

“ข้าว่าบ่าง”

“มันเหมือนจะมีหนังตรงนี้ ดูนี่เหมือนปีก”พรานแปะร้องบอกอีกคน

“ค้างคาวแม่ไก่หรือเปล่า”

“บ่างมันไม่อยู่ในถ้ำนา”พุ่มแย่ง

“ไม่เห็นจะเหมือนสักนิด ข้าว่าไม่ใช่”

“ไอ้ตัวนี้มันเขื่องกว่าเยอะ”พรานเฒ่าวิเคราะห์

“จะตัวอะไรก็แล้วแต่”

“ที่สำคัญ มันมาตายอยู่แถวนี้ได้อย่างไงกัน”พรานพรร้องบอกอย่างสงสัย

“ถ้าไม่มาทางเดียวกันกับเรา ก็คงข้างหน้าเรานี้ล่ะ”

“แต่คิดๆไป ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”พรานเบร้องตอบอย่างพินิจ

“ใช่ๆ ข้าก็ว่าแบบเอ็งไอ้เบ”

“แก่จนปูนนี้แล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบ

“ไปกันต่อดีกว่า จะตัวอะไรก็ช่างมัน”

“เสียเวลามามากพอแล้ว”พรานเบร้องทัก ทำให้คณะทั้งหมดพากันเก็บข้าวของแล้วเดินทางต่อ

โดยการนำทางของพรานเบ ซึ่งเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นทุกขณะ อาจเป็นเพราะสิ่งผิดปกติที่ตัวเองได้พบเห็น ซากตัวประหลาด ที่ตัวเอง หรือ แม้แต่คนอื่นๆก็ไม่อาจจะสามารถตอบได้ว่ามันคือ สัตว์ชนิดใด และคราบเลือดที่เกาะเกรอะกรังไปหมด ทำให้เกิดความร้อนใจเพิ่มขึ้นไปอีก

บนเส้นทางที่สลับซับซ้อน และวกวน แต่ก็ไม่ทำให้คณะลดฝีเท้าลงไปได้ อันเนื่องมาจากสภาพของพื้นที่ ที่อำนวยต่อการค้นหา ทั้งเส้นทางที่เริ่มกว้างขวางมากขึ้น ถึงแม้จะมีโขดหิน ที่ทุกคนจะต้องไต่ข้ามผ่านไป แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญอะไรเลย เพราะจิตใจของแต่ละคนจดจ่ออยู่ที่บุคคลผู้สาบสูญ จนทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อย และยิ่งได้เห็นเค้าโครงและร่องรอยของชายหนุ่ม ยิ่งเพิ่มกำลังใจให้ฮึกเหิมมากขึ้น

ในคณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้นเอง อยู่ๆหัวขบวนที่มีพรานเบเป็นคนนำทาง ก็เกิดหยุดชะงักเอาเสียดื้อๆ ทำให้คนที่เดินตามกันมาไม่ทันระวังตัว ต่างเดินชนกันจนล้ม ทำให้เกิดเสียงเอะอะเอ็ดตะโรกันวุ่นวาย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหัวขบวน นอกจากลำไฟฉาย ที่ฉายลำแสงฉาบไปบนกองวัตถุชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง

ท่ามกลางแสงไฟ ของไฟฉายหลายดวง ที่ส่องกวาดไปมารอบทิศทาง ภายใต้เงามืดนั้นเอง ที่ปรากฏกองกระดูกของสัตว์ขนาดใหญ่กองขาวโพลนไปหมด ซึ่งทุกคนที่เห็นต่างตอบได้ว่า สิ่งนั้นคือกระดูกของช้าง แต่มันเป็นมากมายมหาศาล จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ที่เห็นเป็นกองทับถมอยู่นั้น จะมีซากช้างสักกี่ตัว

“เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่”

“ข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบเสียงสั่น ขณะที่จ้องมองกองกระดูกตรงหน้าตาไม่กระพริบ

“ป่าช้าช้างชัดๆ”

“มีแต่ช้างตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลย”พรานพรร้องบอก พลางส่องไฟสำรวจกองกระดูกช้าง

“ม..มะ..มันมี ยะ..อยู่จริงหรือนี่”

“คิด..วะ..ว่ามีแต่ในนิทาน นี่ของจริงใช่ไหมพี่แปะ”เจ้าเคิ้งกระซิบบอกพรานแปะเสียงสั่น

“นะ..นี่ ล..ล่ะของ จ..จริง”

“ขอ..ของแท้..นะ..แน่นอน”พรานแปะกระซิบตอบเจ้าเคิ้งเสียงไม่ต่างกัน

“มีแต่ช้างงาทั้งนั้น”

“ดูอันนี้สิ ยาวท่วมหัวเข่าเลย”พรานเบร้องบอก พลางเดินไปลูบคลำงาช้างกิ่งหนึ่ง ที่ล้มพาดอยู่ที่กองกระดูก

“ถ้าขนไปหมดนี่ได้”

“มีหวังพวกเรารวยกันเละ”พรานพรร้องบอก พลางเดินสำรวจสุสานช้าง

“จริงพี่พร”

“มีแต่งางามๆทั้งนั้น แค่อันนี้อันเดียว คงได้หลายตังค์”เจ้าพุ่มบอกมาอีกคน ก่อนจะยกงากิ่งหนึ่งขึ้นมาอุ้มเล่น

“เอ็งอย่าคิดอะไรแบบนั้น”

“ถ้ำนี้มันต้องคำสาบ มันมีอาถรรพ์”พรานเบร้องเตือนสติเพื่อนร่วมคณะ ก่อนที่จะสาวเท้าออกไปยืนขวางทุกคน ที่ต่างพากันเดินสำรวจงาช้าง แล้วพูดเสียงเฉียบขาดขึ้นมาว่า

“พวกเอ็งทุกคนลืมไอ้สิงห์ไปแล้วหรือ”

“เรามาตามหามัน ไม่ได้มาเอางาช้างไปขาย”

“เจ้าป่าเจ้าเขาอาจจะลองใจพวกเราก็ได้”พรานเบร้องบอก

“จริงอย่างที่น้าเบแกพูด”

“อย่ามัวเสียเวลากับมันเลย ไอ้งง งาอะไรนี่ ตามหาไอ้สิงห์แล้วเอาชีวิตรอดกลับบ้านเราดีกว่า”เหน๋อร้องเตือนสติคณะอีกคน ทำให้อีกหลายๆคนที่พากันสนใจงาช้าง ต่างหยุดชะงักแล้วถอยเข้ามารวม
กลุ่มกันอีกครั้ง

“ไปต่อดีกว่า”

“พวกเอ็งฟังดีๆ ได้ยินอะไรอย่างที่ข้าได้ยินมั๊ย”พรานเบร้องบอก

“โน่นทางโน้น ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงน้ำไหล”

“บางทีอาจจะเป็นทางออกก็ได้”พรานนำทางร้องบอกด้วยความมั่นใจ ก่อนจะสาวเท้าไปยังตำแหน่งของเสียงที่ได้ยิน ทำให้คณะทั้งหมดเคลื่อนขบวนอีกครั้ง

บนเส้นทาง ที่ขนาบด้วยผนังหินทั้งสองด้าน หลังจากเดินหลบเหลี่ยมมุมของผนังถ้ำนั้น ก็ปรากฏเส้นทางคล้ายถนนเส้นใหญ่ ซึ่งกว้างพอที่ช้างตัวใหญ่ๆจะเดินเบียดเข้ามาได้ เส้นทางนั้นเริ่มลาดต่ำลงไปทุกขณะ สภาพอากาศและพื้นผิวที่เดินย่ำผ่าน ก็เริ่มมีความชื้นเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆกับเสียงอึกทึกของแผ่นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เส้นบางช่วงก็มีก้อนหินใหญ่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน หรือบางตอนก็มีหินงอกหินย้อยกันขนาบเป็นกำแพง ราวกับลูกกรง ซึ่งพรานนำทางให้ความสนใจตำแหน่งนี้เป็นพิเศษ เพราะรอยเท้าของชายหนุ่มได้หยุดหายลงเพียงเท่านี้

“มันชักแปลกๆ”

“อยู่ๆรอยไอ้สิงห์ก็หายไปเฉยๆ”พรานเบร้องบอกคณะแข่งกับเสียน้ำตกที่ดังกระหึ่ม

“เอ็งดูดีหรือยังไอ้เบ”

“ทางโน่น ลองดูสิว่ามีรอยมันบ้างหรือเปล่า”พรานพรร้องบอกมาอีกคน ก่อนจะส่องไฟฉายสำรวจไปทั่วบริเวณ ก่อนจะพูดต่อมาอีกว่า

“ทางนี้ก็ไม่มีเลย”

“พื้นมันแฉะขนาดนี้ ถ้ามันผ่านมาก็คงเห็น”พรานพรร้องตอบ พลางฉายไฟสำรวจพื้นที่อีกครั้ง

“ข้างล่างมันน่าจะเป็นเหว”

“ไอ้สิงห์คงไม่เดินตกลงไปหรอกนา”พรานชราร้องบอก พลางส่องไฟฉายต่ำลงไปจากขอบหน้าผาหิน ที่เป็นตำแหน่งสุดท้ายที่พบรอยเท้าของชายผู้สาบสูญ

“เอาไงดีไอ้เบ”

“ถ้ามันชักไม่ได้การณ์ซะแล้ว”พรานเฒ่าร้องบอกพรานนำทาง

“เป็นไปได้มั๊ย”

“ถ้าไอ้สิงห์มันจะพลัดตะลงไป”พรานนำทางตอบแบบใช้ความคิด

“น้ำมันแรงขนาดนี้ ตกลงไปจะไปเหลืออะไร”

“มันอาจจะเดินเลาะไปตามทางนี้ก็ได้ ใครมันจะบ้าโดดเหวลงไปซ้ำสอง”พรานแปะร้องทัก พลางส่องไฟสำรวจเส้นทางที่ตัวเองสงสัย แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะร่องรอยที่ตัวเองคิดไว้ กลับไม่ปรากฏให้
เป็นแม้แต่นิดเดียว

“ออกไปตั้งหลักก่อนดีกว่า”

“เดินออกไปอีกนิดเดียว ก็เห็นทางออกแล้ว น้ำมันฉ่ำพื้นขนาดนี้ บางทีอาจจะลบรอยตีนไอ้สิงห์มันหมดก็ได้”พรานพรร้องบอกคณะ หลังจากเดินออกไปสำรวจเส้นทางก่อน

“เอาไงดีไอ้เบ”

“ข้าก็ว่าที่ไอ้พรมันว่ามาก็มีเหตุผล”

“ดีไม่ดี อาจจะเจอไอ้สิงห์ข้างหน้านี้ก็ได้ อยู่ตรงนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา”พรานโส่ยร้องบอกมาอีกคน

“ก็เข้าทีดีนาน้าเบ”

“นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว ข้าว่าออกไปตั้งหลักข้างนอกก่อนดีกว่า ฟ้าสว่างคงเห็นอะไรได้ถนัดกว่านี้”พรานแปะร้องเสริม  หลังจากทั้งหมดปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ก็สรุปออกมาได้ว่า ทั้งหมดควรออกไปตั้งหลักกันด้านนอกดีที่สุด เพราะสภาพแวดล้อมภายในถ้ำนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการค้นหา รวมไปจนถึง ร่องรอยของชายผู้สูญหายก็ไม่ปรากฏให้พบเห็นอีกเลย นับตั้งแต่ขอบหน้าผาของน้ำตกนั้นที่พบเป็นจุดสุดท้าย และอีกปัจจัยที่สำคัญหนึ่งคือ สภาพของแต่ละคนต่างสะบักสะบอมอ่อนเพลียไปตามๆกัน อีกทั้งข้าวปลาอาหารที่ไม่ได้ตกถึงท้องเกือบ 24 ชั่วโมง แต่ด้วยความอึดและความทรหดของแต่ละคน ทำให้ยังคงเก็บอาการได้เป็นอย่างดี

          ทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากได้รับสัญญาณจากพรานนำทาง ต่างคนต่างมานะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะสอดส่องสายตาหาร่องรอยของชายผู้สูญหายทุกฝีก้าว สิ่งใด หรือ มีวัตถุชนิดใดที่ทำให้ระแคะระคายต่อการสำรวจ ก็ต้องหยุดตรวจสอบและพิจารณา ทั้งรอยหินพลิก หรือรอยน้ำที่ขุ่นข้นเป็นแอ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากชายหนุ่มที่เหยียบย่ำไว้ แต่หลังจากช่วยกันพิจารณาจนแน่ใจว่าไม่ใช่ เพราะเท่าที่สังเกตน่าจะเป็นรอยของช้างที่เดินย่ำไว้เป็นรอยเก่ามากแล้ว ทั้งหมดก็เคลื่อนขบวนต่อ...

*****การเดินทางของคณะผู้ติดตามต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร และเหล่าสหายทั้งหมดจะได้พบกันหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป*****


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 23 April 2021, 14:13:13 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 2


บทที่ 12

ตอนที่ 2

          บนเส้นทางนี้เอง ที่ทุกคนต่างพอจะสังเกตได้ว่า บรรยากาศบริเวณนี้เริ่มปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งเส้นทางที่เริ่มกว้างขว้างมากขึ้นไปทุกคณะ แต่ก็ไม่ทิ้งความคดเคี้ยว และลาดต่ำ ลักษณะคล้ายถนนบนภูเขา ที่ทอดเส้นทางโอบล้อมเป็นเกลียว

“ดูโน่น ใกล้ถึงทางออกแล้ว”

“ระวังตัวไว้ด้วยพวกเรา ไม่รู้จะมีอะไรมารอต้อนรับเราหรือเปล่า”พรานเบร้องบอกคณะ

“แก๊ปเปียกหมดเลย สงสัยต้องอัดกันใหม่”

“พวกที่มีปืนแก๊ป อยู่กลางก็แล้วกัน ใครถือลูกซองก็คุมหัวท้าย”พรานโส่ยร้องบอกแข่งกับเสียงอึกทึกของสายน้ำ
หลังจากตระเตรียมตัวกันเรียบร้อย ทั้งปืนผาหน้าไม้ของแต่ละคน ต่างอยู่ในสภาพพอจะใช้งานได้ ติดขัดอยู่เพียงไม่กี่คน ที่ใช้ปืนแก๊ปเท่านั้น เพราะตลอดเส้นทางที่ฟันฝ่ามาในโพลงถ้ำนี้ ละอองน้ำเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้แก๊ป ที่เป็นเสมือนหัวใจของปืนรุ่นโบราณประสบกับปัญหาสำคัญ กรณีที่แก๊ปชื่น ไม่สามารถติดชนวนได้ ปืนที่แบกกันมาก็ไม่ต่างจากท่อนไม้ดีๆท่อนหนึ่ง

          เส้นทางโอบล้อม ราวกับพระจันทร์เสี้ยว ที่เลาะเลียบไปกับผาหินที่ขึ้นเป็นกำแพงสูงตระหง่านราวกับกำแพงยักษ์ ความสูงของมัน สูงเสียจนแสงของลำไฟฉายไม่สามารถส่องถึงยอดของมันได้ บวกกับอายหมอกและละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายทั่วทั้งบริเวณ ก็เป็นอุปสรรค์สำคัญที่ทำให้คณะทั้งหมดต้องระมัดระวังในการเดินทาง เพราะซ้ายมือของทุกคนคือ หุบเหวที่ทอดลึกลงไป ราวกับหลุมดูดไปสู้นรกขนาดใหญ่ ที่มีปีศาจร้ายร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นราวกับจะสาปแช่งผู้มาเยือน

“เดินกันระวังๆนะโว้ย”

“ชิดผนังไว้ อย่าแตกแถว”พรานผู้นำทางตะโกนฝ่าเสียงน้ำตก

“อย่าเดินเร็วกันนักซี”

“มองทางแทบไม่เห็นเลย”เหน๋อผู้ตาขาวตลอดการเดินทางร้องเสียงสั่น

“เกาะๆหลังกันไปนี่ล่ะ”

“ไม่ต้องรีบร้อน”พรานพรร้องมาจากท้ายขบวนสุด

“อุ๊บ!”

“ยุดทำไมว่ะไอ้เบ”พรานโส่ยร้องบอก หลังจากเดินชนคนนำทางเต็มแรง

“หยุดก่อนๆ”

“ทุกคนเงียบสิ”พรานเบยกมือขึ้นส่งสัญญาณ พลางร้องบอกคณะทั้งหมดให้เงียบเสียง

“ได้ยินกันหรือเปล่า”

“ทางนั้น”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกทิศทางของเสียง

“เสียงดังขนาดนี้ ใครมันจะได้ยิน”

“หูแว่วหรือเปล่าไอ้เบ”พรานโส่ยร้องบอก พรางป้องหูไปทางทิศทางที่พรานนำทางสำเนียกเสียง

“แก่ขนาดนี้จะไปได้ยินอะไร”

“โน่น ทางโน่น เสียงมันแปลกๆเหมือนหนูร้อง”พรานแปะร้องบอกมาอีกคน

“อืม...เอ็งได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินจริงๆด้วย”

“เสียงเหมือนหนู แต่ข้าว่าไม่ใช่”พรานเบเสวนาตอบ

“จริงๆด้วย เหมือนจะมาทางนี้ด้วย”เจ้าพุ่มร้องบอกด้วยความตื่นเต้น

“นั่นๆ เจ้าพะเปรียวเป็นอะไรของมัน”เจ้าเคิ้งร้องบอก หลังจากเห็นเจ้าพะเปรียววิ่งวนไปวนมา

“มันชักไม่เข้าท่าเสียแล้วนะข้าว่า”

“ระวังๆตัวกันไว้ดีกว่าพวกเรา เหมือนมันจะเข้ามาทางนี้เสียด้วยสิ  เอ๊าเฮ้ย! นั่นมันตัวอะไรว่ะ เกาะบนนั้น”ไม่ทันที่พรานพรจะร้องเตือน ก็ปรากฏสัตว์ชนิดหนึ่งบินร่อนมาเกาะที่ผนังหินเหนือหัวของทุกคน

“ดูดีๆไอ้พร”

“บ่าง หรือ ค้างคาว”พรานเฒ่าร้องบอก

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”

“พวกเราเตรียมตัว มันมากันโน่นแล้วเป็นฝูงเลย”สิ้นเสียงของพรานพร สัตว์ปริศนาหลายสิบตัว ต่างส่งเสียงร้องจนแสบแก้วหู บางตัวร่อนหายเข้าไปในโพลงถ้ำที่คณะผ่านมา บางตัวก็ร่อนมาเกาะตามผนังถ้ำแล้วค่อยๆไต่หายเข้าไปตามซอกผนังหิน แต่บางตัวกลับไต่เข้ามาใกล้คณะ ที่ตอนนี้ต่างพากันยืนเบิกตาโพลงตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน

“ระวังไอ้เหน๋อ”

“ฉับ!”พรานเบร้องเสียงหลัง ก่อนที่จะใช้มีดเหน็บฟันไอ้ตัวปริศนาจนขาดสะพายแล่น

“มัวแต่ยืนทื่อเป็นสากกระเบืออยู่ได้”

“เห็นมั๊ย คอเอ็งจะขาดอยู่แล้วถ้าข้าเห็นมันช้ากว่านี้”พรานเบตวาดลั่น พรางใช้ปลายมีดเขี่ยพลิกซากตัวประหลาด

“ตัวอะไรของมันว่ะนี่”

“เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น”พรานชราร้องบอก พลางก้มดูอย่างพินิจ

“โน่นมาอีกตัวแล้ว”

“ไอ้เคิ้งระวัง”เจ้าพุ่มร้องบอก ก่อนที่จะกระโดดพุ่งตัวดันเพื่อนให้พ้นรัศมี ของเจ้าสัตว์ประหลาดที่ทำท่าจะโฉบเข้ามาเฉียดก้านคอ จนทั้งสองคนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ก่อนที่มันจะทันได้ไต่หนีเข้าไปในถ้ำ พรานแปะที่ยืนดักอยู่ก่อนแล้วก็หวดมีดเหน็บเข้าที่กลางตัวของมัน ด้วยความคมของมีด ไอ้บ่างผีที่ทุกคนเข้าใจ ก็ขาดออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย

“โน่นๆมาอีกแล้ว”

“รีบออกจากที่นี่กันเร็ว ขืนอยู่ตรงนี้มีหวัง ไม่ใครต่อใครคงเสร็จมันแน่”พรานเบร้องบอกคณะ หลังจากหวดคมมีดดับชีพเจ้าสัตว์ประหลาดร่วงอีกตัว

          บนเส้นทางที่ชุลมุนวุ่นวาย ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลายที่ไม่ต่างไปจากค้างคาวผสมบ่าง หลายตัวที่ต้องตายด้วยคมมีด ซึ่งทั้งหมดต่างไม่รู้สาเหตุและที่มาที่ไปของพวกมัน ว่าทั้งหมดมีจุดประสงค์อะไรต่อคณะ แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่นอน เพราะบางตัวส่อพฤติกรรมดุร้ายอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเส้นทางที่ถูกบีบบังคับให้ต้องไปต่อ ทั้งหมดต่างปกป้องกันและกันอย่างเต็มที ไม่มีจุดใด หรือ ตำแหน่งไหนเป็นจุดบอด ที่จะสามารถให้เจ้าสัตว์ประหลาดหลุดรอดเข้ามาใกล้หรือทำร้ายคนของคณะนี่ได้ ต่างคน ต่างเป็นโร่ป้องกันกันและกันอย่ากล้าหาญ แม้แต่เจ้าพะเปรียวก็ไล่งับไล่ฟัดไอ้บ่างผีบางตัวที่บาดเจ็บ ซึ่งมันก็สามารถพิชิตได้หลายตัว

          เกือบชั่วโมงเต็มๆที่คณะทั้งหมดต้องรบกับสัตว์ประหลาดจากนรก มาเริ่มหย่าศึกกันได้ก็ต่อเมื่อบรรยากาศเริ่มเปลี่ยน เหตุการณ์ดูเหมือนจะคลี่คลายลงบ้าง อันเนื่องมาจากฟ้าเริ่มสาง ความมืดที่เคยปกคลุม เริ่มจากหายไปพร้อมๆกับหมอกหนา ที่เริ่มแผ่วเบาและดูบางตา เจ้าสัตว์ร้ายที่เคยระรานและก่อกวน เริ่มทยอยหนีหายเข้าไปในโพลงถ้ำอย่างรีบเร่ง ดูแล้วไม่ต่างจากค้างคาวที่รีบบินเข้าถ้ำอย่างไรอย่างนั้น

“นี่มันนรกที่ไหนนี่”

“เกิดมาไม่เคยเจอ”พรานโส่ยร้องบอก ก่อนที่จะทิ้งตัวนอนแผ่หลากับพื้นอย่างหมดแรง

“ไม่มีใครเคยเจอทั้งนั้น”

“เพราะที่พวกเอ็งมายืนอยู่นี้ คือ ป่าดำ”พรานเบร้องบอกเสียงหนักแน่น ก่อนจะเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนมีดที่ขากางเกง

“มันยังมีอะไรอีกเยอะ ที่พวกเราไม่เคยเจอ”

“ต่อไปนี้ ทุกคนต้องระวังตัวกันให้ดี”พรานนำทางพูดจบ ก่อนจะล้วงห่อยาเส้นออกมาม้วนสูบควันโขมง

“หวังว่าไอ้บ่างผีพวกนั้นคงจะไม่มาเล่นงานพวกเราอีกนะ”

“ตอนนี้ข้าว่าไม่ แต่กลางคืนข้าว่าพวกมันเล่นเราแน่”พรานคนเดิมร้องบอกคณะ ก่อนจะยกยาเส้นขึ้นสูบจนแก้มตอบ

“มาอีกซี่...ข้าจะยิงให้เละเลย”

“ถุย”พรานแปะถ่มน้ำลายเฉียดหัวเจ้าเหน๋อเพียงคืบเดียว ก่อนจะตวาดเจ้าเหน๋ออีกว่า

“ตะกี้เอ็ง ได้ยิงปืนสักนัดไหมล่ะ”

“กว่าจะได้เล็ง เอ็งก็ตายห่าก่อนใครแล้ว”พรานแปะพูดพลาง ม้วนยาเส้นไปพลาง

“ทีนี่จะเอายังไง”

“จะหยุด หรือจะไปต่อ”พรานพรร้องบอก

“พักก่อนดีกว่า เอาตรงริมก่อไผ่ริมน้ำนั่น”

“สว่างกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่”พรานเบพูดจบ ก่อนจะดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ดับ

          หลังจากหมายตาไปยังตำแหน่งก่อไผ่ริมน้ำกอใหญ่ได้ พรานนำทางก็เริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง ทุกฝีก้าวล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ต่างคนต่างเฝ้าสังเกตสิ่งต่างๆรอบทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นสุมทุมพุ่มไม้ เหลี่ยมหิน หรือแม้แต่สายน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่นั้น ทั้งหมดก็ไม่อาจจะประมาทได้ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ สอนให้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เพราะทั้งหมดรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า พื้นปฐพีที่พวกเขาเหยียบย่ำอยู่นี้ ไม่ใช่พื้นดินเดียวกันที่พวกเขาจากมา

          ภายใต้ซุ้มกอไผ่กว้างขวาง บริเวณนี้เองที่เหล่าผู้เดินทางต่างใช้เป็นสถานที่พักพิง หลังจากเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาอยากหนัก เกือบหนึ่งวันเต็มๆที่ทนอดหลับอดนอน และความหิวโหย เพื่อตามหาเพื่อนร่วมทางที่สาบสูญ และดูเหมือนว่าจะไร้วี่แววของชายหนุ่ม มาบัดนี้ เรี่ยวแรงที่มีอยู่ของทุกคน ก็เริ่มลดน้อยลงทุกขณะ ราวกับไฟในกองฟืนที่ใกล้มอดลงทุกที

          กองไฟกองใหญ่ถูกก่อสุมขึ้นมาอย่างเร่งรีบ พร้อมๆกับหม้อไหที่เตรียมจัดแจงตั้งไฟเพื่อหุงหา กับข้าวถูกจัดเตรียมอย่างเรียบงาย มีเพียงเนื้อเก้งแห้งย่าง กับ พริกเกลือเท่านั้น ที่ทำให้ท้องที่ร้องครวญครางได้บรรเทาลงบ้าง เพียงไม่กี่อึดใจข้าวสวยร้อนๆก็ส่งกลิ่นหอมกลุ่นก็ตกทั่วถึงท้องของทุกคน

“พวกเอ็งอยู่ที่นี้กันก่อนก็แล้วกัน”

“ข้าจะเดินดูต้นทางแถวนั้นเสียหน่อย”พรานเบร้องบอกคณะ จากนั้นก็คว้าปืนคู่กายสะพายขึ้นบ่า

“ข้าไปเป็นเพื่อนอีกคน”

“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย”พรานพรเสนอตัว

“อยู่ทางนี้ก็ดูแลกันให้ดี”

“ปืนผาหน้าไม้อย่าให้ห่างตัว จะหลับจะนอนก็ขอให้มีคนเฝ้าด้วย”

“จะสว่างแล้วก็จริง อย่าประมาท”พรานเบ้ร้องบอกทิ้งท้าย ก่อนจะสาวเท้าฝ่าอายหมอกหายไปพร้อมกับพรานพร

          แสงอรุณเริ่มส่องแสง ถึงแม้จะยังไม่พ้นสันเขา แต่อานุภาพรัศมีของดวงอาทิตย์ทำให้รอบบริเวณพอมองเห็นเค้าโครงรอบด้านได้ นอกจากเสียงอึกทึกของสายน้ำตก และ สายน้ำในลำธารที่ไหลเชียวภายใต้ม่านหมอกที่โรยตัวอยู่บางๆ ถึงจะมองได้ไม่ชัด แต่ทั้งสองพรานก็พอจะเดาความใหญ่โตของน้ำตกนั้นได้

          ตามบริเวณชายป่า ที่ขึ้นปกคลุมอยู่ริมน้ำ ยังปรากฏเสียงสรรพสัตว์ให้พอได้อุ่นใจ ทั้งเสียงนกนานาชนิด ที่พากันส่งเสียงเพรียกป่า เคล้ากับเสียงลิง ค่าง ที่กู่ร้องอยู่ตามยอดไม้ใหญ่สูงริบ ครั้นเจอมนุษย์ผู้แปลกหน้า ก็พากันส่งเสียงโยนตัวขย่มยอดไม้สั่นไหว ก่อนจะพากันกระโจนหลบหายเข้าไปในดงทึบ ถึงกระนั้นพวกมันบางตัวก็ไม่วายแสดงความอยากรู้อยากเห็นคอยเฝ้าจับจ้อง อาคันตุกะผู้แปลกหน้า

          นอกจากสัตว์ป่า ที่มีมากมายจนเหลือคณานับ ตลอดสายน้ำในลำธารแห่งนั้น ยังอุดมไปด้วยหมู่ปลาน้อยใหญ่สารพัดชนิด ทั้งปลาพลวงที่หากินอยู่เป็นฝูงๆตามวังน้ำที่ดูลึกลับ แต่ละตัวใหญ่โตขนาดขาอ่อน ปลาเล็กปลาน้อยก็มีมากมาย ทั้งปลาตะเพียน ขนาดฝ่ามือกางๆ ไปจนถึงปลาซิวปลาสร้อย ก็มีอยู่มากมายตามวังน้ำที่ตื้น บางครั้งพวกมันก็พากันว่ายหนีรวมกันเป็นกลุ่มๆ เข้าไปหลบตามป่ากกริมตลิ่ง ก่อนที่จะมีเสียงฮุบน้ำจนแตกกระจาย พร้อมๆกับปลาเล็กปลาน้อยที่พากันกระโดนหนีกันชุลมุน เพราะปลานักล่าที่มีขนาดใหญ่ไล่จับกินเป็นอาหาร

“แถวนี้สัตว์ป่าชุมจริงๆ”

“แถมเชื่องคนอีกต่างหาก”พรานพรกระซิบบอกพรานนำทาง ขณะยืนมองฝูงค่างบนยอดไม้ใหญ่

“จริงของเอ็ง”

“ถ้าแถวบ้านเรามีแบบนี้ พวกเราคงไม่มีวันอดตาย”พรานเบเสวนาตอบ

“ถึงมี ก็คงหมดไม่มีเหลือ”

“เดี๋ยวนี้มีแต่พรานกระจอกทั้งนั้น”พรานพรร้องตอบ

“ต่างคนต่างหากิน”

“จะว่าแต่เขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก”พรานนำทางตอบ

“ขนาดนกเงือก ลิงลม ยังไม่เว้น”

“ลองให้มันมาถึงที่นี่กันสิ ป่าเตียนแน่ๆ”พรานพรกล่าวอย่างหัวเสีย

“ข้าว่ายาก ป่าแห่งนี้มันมีอาถรรพ์”

“ขนาดพวกเรายังจะแย่”พรานเบร้องบอก ก่อนจะมุดตัวรอดผ่านต้นไม้ที่ล้มขวางทางเดิน

“นั้นนะสิ”

“ขนาดพวกเรายังแย่ แล้วไอ้สิงห์ล่ะ มันตัวคนเดียว เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”พรานพรร้องตอบ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ข้าว่าไอ้สิงห์มันต้องรอด”

“มันต้องไม่เป็นอะไร”พรานนำทางกล่าว

“สาธุ..เจ้าป่าเจ้าเขา ได้โปรดช่วยคุ้มครองไอ้สิงห์มันด้วยเถิด”พรานพรกล่าวพลางยกมือพนมขึ้นท่วมหัว

          ตลอดเส้นทางที่สองพรานพากันก้าวสำรวจ ไม่พบสิ่งใดที่เป็นเบาะแส หรือทำให้ระแคะระคาย ของชายหนุ่มที่สูญหาย นอกจากสัตว์ป่ามีชุกชุมเป็นพิเศษ ทั้งสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ มีมากมาย โดยเฉพาะนกป่านานาชนิด  ครั้งหนึ่ง ขณะที่พรานนำทางกำลังสาระวน อยู่กับหนามหวายที่เกาะเกี่ยวติดที่ชายเสื้อ และจังหวะที่พรานพรกำลังช่วยปลดหนามอยู่นั้นเอง จู่ๆ กวางป่าขนาดใหญ่ก็กระโจนมายืนอวดโฉมอยู่ตรงหน้าในระยะประชั้นชิด ต่างคนต่างเบิกตาโพลนจ้องกัน เจ้ากวางหนุ่มเขางามมีท่าทีตื่นๆ เนื่องจากมันเองก็คงไม่รู้ว่า สิ่งที่มันเห็นคือมนุษย์ หรือ สัตว์ป่าแบบมัน กำลังยืนยักแย่ยักยันอยู่ที่ต้นหวาย หลังจากจ้องตากันอยู่ครู่ มันก็เดินเหยาะกายไปที่ริมน้ำ ก่อนจะก้มลงดื่มน้ำในลำธารสายนั้นอย่าใจเย็น พออิ่มได้ที่ก็กระโจนหายเข้าไปในดงทึบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ทั้งสองพรานยืนงงอยู่ที่เดิม

          หลังจากตื่นเต้นเรื่องกวางใหญ่เขางามไม่ทันไร ก็มีสิ่งที่ทำให้ต้องตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะในจังหวะที่ทั้งสองพรานพากันเดินแหวกดงกก ที่ขึ้นอยู่หนาทึบริมตลิ่ง ก็ปรากฏเสียงโครมครามของลำธารเบื้องหน้า พร้อมๆกับอาการไหววูบของต้นกก  นกกระยาง และนกเป็ดน้ำที่หากินบริเวณนั้นต่างพากันตื่นตกใจโผบินขึ้นท้องฟ้า เมื่อทั่งสองเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่ต้องสงสัยของเสียงที่มา ก็ต้องตกใจ เพราะร่องรอยของต้นกก ต่างล้มลู่ไปเป็นทางยาว รอยนั้นยาวเป็นทางร่วมสิบวา ไล่ตั้งแต่เดินดินริมตลิ่งไปสิ้นสุดที่ริมน้ำที่ตอนนี้ขุ่นคลักไปด้วยโคลน ราวกับมีใครเข็นเรือลำใหญ่ลงน้ำ เมื่อก้มลงพิจารนารอยเท้า ที่ปรากฏอยู่เด่นชัด ก็ต้องพากันขนลุกเกลียว เพราะรอยที่เห็นลักษณะเป็นแฉกบ่งบอกที่มาของเจ้าของรอยอย่างชัดเจน

“ไอ้เข้!”

“แถวนี้มีไอ้เข้ด้วยหรือนี้”พรานเบร้องบอกเสียงสั่น

“เอ็งดูให้ดีสิไอ้เบ ตัวเหี้ ยหรือเปล่า”

“อย่าพูดเป็นเล่นไป ข้าเคยได้ยินคนเขาว่า มันชอบอยู่ตามบึง ไอ้นี่มันแม่น้ำ มันจะมีรึ”พรานพรกระซิบบอกพรานนำทาง

“ไม่ผิดแน่ เอ็งดูรอยตีนมัน”

“ตัวเหี้ ย มันไม่ใหญ่ขนาดนี้หรอก”พรานนำทางอธิบายรอยเท้าเปรียบเทียบกับรอยของตัวเงินตัวทอง พลางก้มตัวลงไปกางมือเทียบกับรอยเท้าที่ปรากฏ

“ป่าแหลกไปเป็นทางแบบนี้ ตัวคงจะใหญ่น่าดู”

“ระวังไว้ด้วย แถวนี้คงไม่เหมาะ”พรานเบร้องเตือนเพื่อนร่วมทาง ก่อนจะคว้าปืนที่สะพายบ่า มากำกระชับไว้ในมือแน่น

“ข้าว่าถอยก่อนดีกว่า ป่ากกข้างหน้าก็รกน่าดู”

“ไม่รู้จะเจอพวกมันอีกหรือเปล่า ออกไปตั้งหลักกันดีกว่า”พรานพรเสนอแผน พลางหันรีหันขวาง อย่างไม่ไว้ใจสถานที่

“ถอยก็ดี อันตรายเกินไป ไอ้สิงห์คงไม่ได้มาทางนี้”

“ถ้าเดินทวนน้ำขึ้นไปแบบนี้คงไม่เจออะไรแน่”พรานเบกล่าวอย่างคนใช้ความคิด

“ลง รอยอะไรก็ไม่เจอเลย”

“คงต้องย้อนกลับไปทางโน่นกันอีกที”พรานพรร้องบอกพลางบุ้ยปากไปทางสายน้ำตกเบื้องหลัง ที่ตอนนี้เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆหลังม่านหมอง

          หลังจากทั้งสองพราน สรุปและตัดสินใจได้ไม่นาน ก็ต้องพากันเดินย้อนกลับทางเดินเส้นเก่า แต่ครั้งนี้ ทั้งสองต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก ทุกฝีก้าวที่เหยียบย่ำ ล้วนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความระแคะระคาย เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ได้สอนอะไรมากขึ้นไปอีก จระเข้ ที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอ ถึงจะไม่เห็นกับตา ว่าตัวตนและหน้าตาจะเป็นเช่นไร  แต่ร่องรอยที่ปรากฏมันทำให้รับรู้ว่า ขนาดของมันใหญ่โตขนาดไหน ถ้าพลาดพลั้งโดนมันสุ่มโจมตี ก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มันกัดร่างนิ่มๆของมนุษย์อย่างพวกเขาก็คงขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะเดินทางจะกับคนหายหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 23 April 2021, 14:16:29 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 3


บทที่ 12

ตอนที่ 3

          แสงของรุ่งอรุณเริ่มฉายแสงพ้นสันเขา บรรยากาศรอบด้านเริ่มชัดเจนมองเห็นสิ่งต่างๆได้ถนัด ทั้งภูเขาและป่าไม้ เกือบทุกอณูที่ปรากฏ ล้วนเต็มไปด้วยสีเขียวของพืชพรรณนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้เล็กไม้ใหญ่ ต่างเจริญเติบโตงอกงามผิดปกติ ไม้ใหญ่บางต้นใหญ่โตจนไม่คิดว่าทั้งชีวิตจะได้พบเห็น ก็ได้พบเจอได้จากป่าแห่งนี้ ร่องรอยของการถูกทำราย มีเพียงอย่างเดียวคือ การหักโค่นของไม้ใหญ่ที่เกิดจากแรงลมพายุ หรือไม่ก็ล้มเพราะอายุไขของมันเอง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานของไฟป่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย เพราะลักษณะของป่า ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื้นนี่เอง ที่ทำให้ผืนป่าแห่งนี้ยังคงรักษาบริสุทธิ์จากไฟป่าไว้ได้

“โน่น”

“มากันโน่นแล้ว”เจ้าพุ่มร้องบอก

“เจอไม๊”พรานชราป้องปากร้องถาม แทนคำตอบ พรานพรที่เดินอยู่ลั่งท้ายโบกมือตอบ

“เอาไงล่ะทีนี้”

“ทางโน่นก็ไม่เจอ เราจะเอาไงกันต่อ”พรานแปะกล่าวอย่างวิตก

“จะเอาไงก็เอา”

“ทวนน้ำไม่เจอ ก็คงต้องตามน้ำ”พรานเฒ่าร้องตอบ

“ไม่เจอ”

“เจอแต่ไอ้เข้”พรานพรร้องบอกคณะ ในระยะเกือบสิบวาจากที่พัก

“ไอ้เข้!” ทุกคนในคณะร้องเกือบจะพร้อมๆกัน

“พูดเป็นเล่นไป”พรานแปะร้องบอก

“มีจริงๆ”

“ตัวใหญ่เลยล่ะ น่าจะเท่าต้นยางนั่น”พรานพรร้องตอบ พลางชี้มือไปที่ต้นยางใหญ่ขนาดคนโอบ

“เอาไงล่ะทีนี้ ถ้าไม่ได้ความเสียแล้ว”

“หนีไอ้บ่างผี ยังจะมาปะจระเข้เสียอีก”เจ้าเคิ้งร้องบอกคณะ

“จะเอาไง ก็ต้องตามมันจนเจอนั่นล่ะ”

“ไม่ได้ตัว ก็ขอให้เจอรอยมันก็ยังดี ไอ้สิงห์มันดวงแข็ง ข้าว่ามันคงปลอดภัย”พรานชราร้องตอบขณะทอดสายตาไปกับสายน้ำ

“ข้าก็คิดแบบแก ตาโส่ย”

“ทานโน่นไม่มีรอยของไอ้สิงห์ พวกเราจะรองตามน้ำดูกันบ้าง”พรานนำทางกล่าว

“อ่าว นั่นใครไปเอาปลาที่ไหนมาย่างกิน”พรานเบร้องพลางมองไปที่กองไฟ ที่ตอนนี้มีปลาตะเพียนขนาดเท่าฝ่ามือสามตัว ถูกเสียบไม้ย่างไฟจนสุกได้ที่

“จะมีใคร ก็ไอ้สองตัวนี้นะสิ”พรานแปะร้องตอบ

“กำลังล้างถ้วยล้างจานอยู่ริมน้ำ ปลาที่นี้เยอะจริงๆ มารุมตอดรุมกินเศษข้าวเยอะไปหมด”

“เห็นตัวโตๆมันว่ายมาใกล้ก็เลยฟันด้วยอีเหน็บ”เจ้าเคิ้งสาธยาย

“ถ้ามีแห หรือข่าย คงได้กินปลาเป็นกระสอบๆ”เจ้าพุ่มแทรก

“เก้ง หมูป่า กวาง ก็เยอะ”

“ตะกี้ข้าไปทุ่งมา เห็นรอยให้เปรอะไปหมด มีแต่รอยใหม่ๆทั้งนั้น”พรานแปะกล่าว

“เรื่องเสบียงกรังคงหมดห่วง”

“ของกินเยอะแยะแบบนี้ ถึงไม่มีข้าวสารก็อยู่ได้”พรานชราร้องตอบ

“จะไปไหนมาไหนก็ต้องระวังๆกันด้วย”

“อย่าออกไปไหนคนเดียว ที่นี้มันไม่ใช่ป่าแบบบ้านเรา”พรานพรกล่าวเตือน

“อย่างเมื่อกี้ ข้ากับไอ้เบก็จ๊ะเอ๋กับไอ้เข้”

“ไม่รู้ต่อจากนี้จะเจออะไรกันอีก”พรานพรร้องบอก

“พวกเอ็งช่วยกันเก็บข้าวเก็บของกันให้เรียบร้อย”

“ดูดยาอีกสักตัวแล้วค่อยไปกันต่อ”พรานเบร้องบอกคณะ

        เวลาล่วงผ่านไปอย่างเชื่องช้า พร้อมๆกับสรรสำเนียงของสัตว์ป่า ที่เริ่มส่งเสียง นกป่านานาชนิดส่งเสียงแจ้วบนยอดไทรใหญ่ นกเงือกหลายสิบตัวบินเกาะกลุ่มเป็นฝูงๆ พวกมันพากันบินผ่านเลยไปตามช่องเขา ก่อนจะบินโฉบหายเขาไปในดงไม้ใหญ่ ไก่ป่าขันต้อนรับแสงอรุณแรกตามหุบไหนสักแห่งใกล้ๆ พร้อมๆกับม่านหมอกที่เริ่มจางหาย เหลือคงไหวแต่หมอกบางๆเหนือผิวน้ำ ซึ่งตอนนี้ระยิบระยับด้วยแสงสะท่อนบนลูกคลื่น

          เสียงอึกทึกของสายน้ำตกยังคงอยู่ พร้อมๆกับละอองฝอยของมันที่ไม่มีวันจางหาย พืชจำพวกมอสและเฟิร์น ต่างพากันเจริญเติบโตตามผนังหินและหน้าผา ซึ่งตอนนี้ดูเขียวครึ้มไปหมด ยกเว้นแต่ตามโขดหินเบื้องล่าง ที่ดูเกลี้ยงเกลาอันเนื่องมาจากการขัดสีและตกกระทบของสายน้ำเป็นเวลานานนับศตวรรษ เศษหินและกรวดทรายบริเวณใต้น้ำนั้น ต่างตีม้วนตลบหมุนเป็นวน ราวกับอยู่ในเครื่องปั่นขนาดยักษ์ มองผ่านๆก็ดูน่ากลัว ถ้าพลาดพลั้งตกลงไป

          ทั้งคณะมาหยุดอยู่บริเวณน้ำตกนั้น เพราะเส้นทางไม่สามารถเดินต่อไปได้ เพราะมีสายน้ำที่เชี่ยวกราดของน้ำตกกั้นขวาง นอกจากจะว่ายข้ามไปอีกฝั่งที่อยู่ทางด้านขวามือซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะผ่านพ่นอุปสรรคนี้ไปได้ ก็เห็นที่จะยากเพราะมีอุปสรรคต่างๆมากมาย ทั้งแก่งหินที่ขวางกั้น และเสบียงกรังต่างๆ ไหนจะปืนผาหน้าไม้และเป้หลัง ในขณะที่ทุกคนพยายามสอดส่องสายตาเพื่อหาหนทางที่จะผ่านไป พรานแปะที่เดินสำรวจอยู่ริมน้ำก็ร้องเอะอะลั่น พลอยให้คนที่เหลือพากันแตกตื่นตามไปดูด้วยความตกใจ

“มีด!”

“มีดเหน็บของไอ้สิงห์”พรานแปะร้องละล่ำละลัก ก่อนจะโชว์มีดเหน็บที่เก็บได้ให้ทุกคนดู

“มีดของไอ้สิงห์จริงๆด้วย”

“เอ็งเห็นมันตกอยู่แถวไหน”พรานเบร้องบอก ก่อนจะคว้ามีดในมือพรานแปะขึ้นไปลูบคลำอย่างตื่นเต้น

“ข้าเห็นมันค้างอยู่ที่แง่หินนั่น”

“เห็นอะไรขาวๆเงาๆ คิดว่าปลา พามองใกล้ๆถึงเห็นเป็นมีด”พรานแปะบอกอย่างตื่นเต้นไม่หาย

“มันอาจจะทำตกไว้ก็ได้”

“เป็นไปได้ถ้ามันจะผ่านมาทางนี้”พรานชราร้องบอก

“แต่รอยมันไม่มีเลยนะ”

“ในถ้ำก็ไม่มี ฉันกลัวว่าพี่สิงห์จะตกลงมามากกว่า”เจ้าเคิ้งร้องบอกแข่งกับเสียงน้ำตก

“ปา กหมาอีกแล้ว”

“ตกลงมาขนาดนี้ ใครจะไปเหลือ”เจ้าพุ่มร้องทัก

“มันก็ไม่แน่”

“โน่น ถ้าไอ้สิงห์มันตกลงมาในดงหินนั้น คงเห็นมันแหลกอยู่ตรงนั้นล่ะ”พรานพรร้องบอก พลางชี้มือไปทางกองหินน้อยใหญ่ริมน้ำตก

“แต่ถ้ามันตกลงมา…”

“แถวๆระหว่างกลาง”พรานเบกล่าวพลางใช้ความคิด

“มันก็น่าจะรอด”

“น้ำแถวนั้นน่าจะลึกเอาการอยู่”พรานพรร้องบอกอย่างตื่นเต้น

“เป็นไปได้ ห้าสิบห้าสิบ”

“ถ้ามันตกลงมา ดูจากแนวน้ำที่วนออกไป มันน่าจะไหลไปทางด้านโน่น”เหน๋อที่เงียบอยู่นานเสนอความคิด ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็มีความเป็นไปได้

“โน่นไง”

“ที่ไม้ล้มริมน้ำเห็นไหมนั่น”เหน๋อกล่าวอย่างดีใจ พลางชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่ต้นไม้ล้มริมน้ำ ที่ห่างจากสายน้ำตกไปหลายสิบวา ถึงจะเป็นระยะที่ไกลพอควร แต่วัตถุที่สายตามองเห็นอยู่นั้น พอจะจับเค้าโครงในสิ่งที่เห็นได้ว่าคืออะไร

“นั้นมันฝักมีดเหน็บนี่หว่า”

“ได้การณ์ล่ะที่นี้”พรานพรร้องบอกอย่างดีใจ ก่อนจะตบฝ่ามือลงที่ต้นข้าตัวเองดังฉาด

“ฝักมีดมันเป็นไม้”

“มันจะลอยไปทางไหนก็ได้ เอ็งอย่าเพิ่งด่วนสรุป”พรานแปะกล่าว

“ช่างมันเถอะ”

“อย่างน้อยๆก็มีเค้ามันบ้าง”พรานพรกล่าว

“เอ็งค่อยๆดูไอ้พร แม่น้ำมันมีสองสาย”

“เอ็งจะรู้ได้อย่างไร ว่าไอ้สิงห์มันจะไหลไปทางแยกไหน ซ้าย หรือ ขวา”พรานแปะกล่าว

“มันก็น่าคิดตามไอ้แปะมันนา”

“ถ้าฝักมีดมันลอยแยกออกไปทางใดทางหนึ่ง มันก็พอจะคลำทางกันได้”พรานโส่ยกล่าว

          คำถามของพรานชราทำเอาทั้งคณะเงียบไปตามๆกัน เพราะเหตุผลที่กล่าวมาล้วนแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น ด้วยความดีใจ ทำให้ลืม สายน้ำที่เป็นทางแยกเสียสนิท ซึ่งก็ไม่สามารถคาดเดาได้อีกว่า ชายหนุ่มผู้สาบสูญจะอันตรธานหายแยกไปทางทิศทางใดกันแน่ อุปสรรคสำคัญบังเกิดกับคณะอีกครั้ง เค้าโครงที่พบทั้งสองชิ้น ก็บ่งบอกและชี้ชัดเองอยู่ในตัวแล้วว่า เจ้าของวัตถุทั้งสองชิ้นได้ผ่านมาตามเส้นทางนี้ ไม่ทางบก ก็ทางน้ำ

“ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”

“เดี๋ยวข้าจะลองขอเจ้าที่เจ้าทางดู เผื่อเจ้าป่าเจ้าเขาจะสงสารไอ้สิงห์”พรานชรากล่าว

“เอาไงก็เอา”

“มันก็ต้องลองเสี่ยงดวงดูสักทาง”พรานพรร้องบอกก่อนจะทิ้งตัวนั่งหมดแรงบนโขดหิน

“เองสองคนไปช่วยกันตัดใบตองแถวโน่นมาให้ข้าสักหน่อย”

“เดี๋ยวข้าจะทำกระทงเสี่ยงดวงดู เห็นดอกไม้อะไรสวยๆก็เก็บมาด้วย”พรานโส่ยร้องบอกสองกะเหรี่ยงหนุ่ม เพียงไม่นานสิ่งของที่พรานชราสั่งก็มากองอยู่ตรงหน้า เพราะวัตถุดิบที่ว่ามามีอยู่ดาษดื่น ทั้งใบตองป่า และดอกไม้นานาชนิด

“ยังพอมีเหล้าเหลือบ้างหรือเปล่า”

“ถ้ามีเอาใส่จอกนี้สักหน่อย”พรานชรากล่าว พลางส่งจอกเหล้าที่ทำจากไม้ไผ่ให้พรานแปะ

“ปลาย่างที่เก็บไว้”

“บิมาให้ข้าเสียหน่อย ใส่ลงไปในกระทงนี้”พรานโส่ยกล่าว

          เพียงไม่นานนักกระทงที่ทำจากใบตองใบเขื่องก็เสร็จสมบูรณ์ ภายในกระทงนั้นมีดอกไม้ป่าหลากหลายชนิด ทั้งดอกปุดดินสีแดงสด ดอกอโศกป่าสีเหลืองเข้ม และกล้วยไม้ป่าอีกช่อใหญ่ ที่เจ้าพุ่มเก็บได้มาจากไม้ล้มต้นใหญ่ นอกจากดอกไม้ที่พรานชราเอามาประดับแล้ว ภายในนั้นยังมีกระทงเล็กๆอีกสองใบ ใบแรกมีเนื้อปลาย่างที่แกบิไว้ อีกใบแกแบ่งข้าวสวยจากหม้อสนามที่หุงเผื่อไว้อีกก้อน แถมด้วยจอกเหล้าไม้ไผ่อีกหนึ่งจอก ที่แกบรรจงจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม รวมถึงหมากพลูและบุหรี่ยาเส้นอีกอย่างละสามมวน

“พวกเรามารวมกันทางนี้”

“จะได้ผลอย่างไร ก็ช่าง ขอให้ทุกคนตั้งใจ ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”พรานชรากล่าว ก่อนจะนำกระทงมาเทินที่หน้าผาก พลางท่องคาถาอะไรของแกไปเรื่อย ทำให้ทุกคนพากันนั่งยองๆพนมมือ
ขึ้นบนบานสารพัด จากนั้นพรานชราก็ค่อยๆปล่อยกระทงให้ลอยไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชียว

          ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชียวกราด กระทงใบน้อยถูกพัดไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับอาการลุ้นระทึกของคนที่เฝ้ามอง อย่างใจจดใจจ่อ บ่อยครั้งก็ต้องใจหายใจคว่ำ เมื่อกระทงใบน้อยถูกคลื่นซัดจนลอยระลิ่ว ซวนเซเหมือนจะคว่ำเสียให้ได้ หลุดจากเกลียวคลื่นก็มาลุ้นต่อที่กระแสน้ำวนที่ดูเป็นหลุมลึกน่ากลัว บางครั้งมันก็ดันน้ำให้ปูดโปนขึ้นมา ราวกับเนินดินหรือโคกสูงๆ กิ่งไม้ ใบไม้ที่ลอยผ่านเข้าไปในเกลียวน้ำวนนั้น ทุกอย่าถูกดูดหายเข้าไปหมดเกลี้ยง แต่ก็น่าแปลกใจ เมื่อกระทงใบนั้นลอยเข้าไปใกล้ แทนที่มันจะถูกดูดกลืนหายเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น มันกลับลอยวนอยู่เช่นนั้นสามรอบ ก่อนที่จะหลุดลอยเบี่ยงไปทางขวามือทวนเข็มนาฬิกาก่อนจะลอยเท้งเต้งผ่านฝักมีดที่ลอยค่างติดอยู่ที่กิ่งไม้ ท่ามกลางความตื่นเต้นของทุกคน จนในที่สุดก็ลับหายไปหลังโค้งน้ำ

“ป่ะ”

“นั่นปะไร ข้าว่าแล้วต้องได้ผล”พรานโส่ยร้องอย่าดีใจ พร้อมๆกับตบฝ่ามือลงที่ขาอ่อนตัวเองดังฉาด

“ขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่ชี้ทาง”

“ไอ้สิงห์เอ๋ย...รอพวกข้าก่อน อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปเสียก่อน”พรานแปะพนมมือท่วมหัว

“เอาไงต่อล่ะทีนี้ ทางพอจำคลำกันไปได้แล้ว”

“ต่อจากนี้จะไปกันอย่างไง”พรานพรกล่าว

“ต่อแพสิว่ะ”

“โน่นก่อไผ่มีอยู่เยอะแยะ”พรานชราร้องบอก

“เอาไงเอากัน”

“มีด พร้า เราก็มี จะไปยากอะไร”พรานเบร้องบอกคณะ

“จะต่อสักกี่ลำดี คนเรา ของเราก็มากโข”

“แถมหมาอีกตัว”เจ้าเหน๋อร้องบอกอย่างสงสัย

“สองลำก็พอ คนของ แบ่งกันอย่างละครึ่ง”

“ไอ้พร เอ็งกับข้า ไอ้พุ่ม เอ็งอีกคน”พรานเบร้องบอก

“ของข้าก็ตาโส่ย ไอ้เคิ้ง ไอ้เหน๋อ”

“ไอ้พะเปรียวอีกตัว เอามาอยู่ลำข้าก็ได้”พรานแปะร้องตอบ

“คนฝั่งเอ็งมากพอแล้ว”

“ไอ้พะเปรียม มันหมาข้า ข้ารับผิดชอบเอง”พรานเบร้องบอก ก่อนจะกล่าวเพิ่มอีกว่า

“เสบียง ของกินของใช้แบ่งลำละเท่าๆกัน”

“ปืนผาหน้าไม้อะไร ก็ตรวจให้ดีอย่าให้น้ำเข้า”พรานเบร้องสั่ง ก่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนขบวนไปที่ไผ่ก่อใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ดาษดื่นไม่ไกลนัก

          ไผ่ป่าก่อใหญ่ที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่งหนาทึบ แต่ละรำมีขนาดใหญ่โตผิดหูผิดตา บางรำมีขนาดใหญ่โตมากกว่าโคนขา และสูงชะลูดเป็นลำตรง มีแต่ส่วนปลายเท่านั้นที่โอนเอียงไปมาตามกระแสลม และบางลำก็ล้มเอียงระไปกับกระแสน้ำ มองผ่านๆราวกับอุโมงค์ดูไปแล้วก็วิจิตรตระการตา ความใหญ่ของรำไผ่ บวกกับความหนาของเนื้อไม้ ทำให้แต่ละคนของคณะต้องเปลืองแรงเพราะความหนาของมัน เมื่อตัดจนขาดแล้ว ก็ต้องออกแรงลากพวกมันออกมาจากกออีก กว่าจะได้ลำไผ่แต่ละลำ ต่างพากันเหงื่อโชคกายเป็นแถวๆ

          เรื่องราวกำลังสนุกและตื่นเต้น การเดินทางต่อจากนี้จะสำเร็จหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 23 April 2021, 14:20:44 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 4


บทที่ 12



ตอนที่ 4





          เพื่อความสะดวกและเบาแรง พรานกะเหรี่ยงที่ต่อแพแต่ละลำ ต่างลงไปยืนแช่บริเวณริมน้ำที่ลึกไม่เกินขาอ่อน จากนั้นก็ลากลำไผ่ที่ตัดมาได้ตามขนาด มาจัดเรียงเตรียมต่อแพ ได้ลำไผ่ที่เตรียมต่อแพแล้ว ก็ต้องมาบากปล้อง ให้ทะลุทั้งสองด้าน ทั้งด้าน หัว กลาง ท้าย ทำแบบนี้ทุกลำแต่ละลำให้รอยบากตรงกัน จากนั้นก็สอดไม้ขนาดเท่าแขนเข้าไปตามรูที่บากไว้ เพื่อร้อยลำไม้ไผ่ให้เป็นแพ แล้วมัดลำไผ่และไม้ที่สอดด้วยเถาวัลย์จนแน่นหนาและแข็งแรง  ทำแบบนี้ด้วยกันทั้งสามตำแหน่ง หัวแพ ท้ายแพ และบริเวณกลางลำแพ เพราะด้วยลำไผ่ที่มีขนาดใหญ่ แพแต่ละลำที่ต่อ จึงใช้ลำไผ่ไม่เกินสิบลำ แต่ก็ได้แพกว้างเกือบวา และยาวร่วมหกวาเศษ



          นอกจากตัวแพที่ต่อแล้ว บริเวณกึ่งกลาง ยังปรากฏแคร่ไม้ไผ่ขนาดย่อม ที่พรานกะเหรี่ยงต่อสูงขึ้นมาจากพื้นรวมศอก มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วางสัมภาระต่างๆไม่ให้เปียกน้ำ บ่งบอกถึงภูมิปัญญาที่จะสามารถคิดค้นได้ในเวลานั้น  เมื่อทุกคนทดลองขึ้นไปยืนเพื่อถ่วงน้ำหนัก ก็พบว่าแพที่ต่อใช้งานได้ดีและสมบรูณ์แบบที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้



          ถึงแม้จะสร้างแคร่ไม้สำหรับวางสิ่งของกันเปียกน้ำ พรานนำทางก็ไม่ประมาท ก่อนจะนำสัมภาระต่างๆขึ้นจัดเรียงบนแพ พรานเบยังสั่งให้นำผ้าใบมาปูรองและหุ้มหอสิ่งของต่างๆอีกชั้น นอกจากปืนประจำกายของแต่ละคนที่สะพายบ่าแล้ว สิ่งของทุกชิ้น เสบียงต่างๆ ทั้งหมดถูกห่ออยู่ภายใต้ผ้าใบผืนใหญ่ ก่อนที่จะถูกตรึงมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาที่สุด กว่าทุกอย่างจะลงตัวและพร้อมเพียง ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นกลางหัวพอดี



“เดี๋ยวขาจะนำไปก่อน”



“เว้นระยะห่างกันสักหน่อย เดี๋ยวจะชนกันเอง”พรานเบร้องบอกคณะจากหัวแพ จากนั้นก็ค่อยๆถ่อดันแพไปตามกระแสน้ำด้วยลำไผ่เล่มยาว โดยมีพรานพรคอยคัดท้าย ส่วนเจ้าพุ่มนั่งกอดเจ้าพะเปรียวอยู่แน่นที่กลางแพ



“ไอ้แปะ เอ็งอยู่ท้ายก็แล้วกัน”



“ให้ไอ้สองคนนี่อยู่กลาง”พรานโส่ยร้องบอก



“ยังไงก็ได้ลุง”



“เอ็งสองคนนั่งเกาะกันให้ดีๆ พลาดตกน้ำกันล่ะแย่เลย”พรานแปะร้องบอก เคิ้ง และ เหน๋อ ที่นั่งเกาะแคร่กันคนละด้าน



“ถ่อดีๆละกัน”



“ค่อยๆไป น้ำตรงนั้นมันเชียวน่าดู”พรานแปะร้องบอก



“เอานา เอ็งไว้ใจข้า”



“แต่ก่อนข้าเคยถ่อแพมาก่อน”พรานชราร้องบอกพรานแปะ



“เคยตอนไหนพ่อ”



“ไม่เห็นเล่าให้ฟังบางเลย”เจ้าเคิ้งผู้เป็นลูกร้องขัด



“ตอนหนุ่มๆโว้ย”



“ข้าเคยถ่อซุงไปขาย แพกับซุงมันคงไม่ต่างกันหรอก”พรานชราตวาด



“จะแพ จะซุง ก็ช่างเถอะ”



“อย่ามัวแต่โม้ โน่น ลำโน่นเขาไปยันไหนแล้ว”เหน๋อร้องลั่น ก่อนจะกวักน้ำใส่พรานชราที่กำลังยืนฝอยไม่หยุด



          ท่ามกลางกระแสน้ำใส และไหลเชี่ยว แพแต่ละลำลอยลิ่วไปด้วยความเร็ว บางจังหวะก็สั่นคลอน เพราะระรอกคลื่น ที่ตกกระทบ บางตอนก็โอนเอียง เพราะคลื่นที่กระทบแก่งหินใต้น้ำ ดันตัวแพให้สูงกระเพื่อมขึ้น กระดกหน้า กระดกหลัง ราวกับนั่งรถไปในทางวิบาก ทำให้หวาดเสียวไปตามๆกัน แต่นั้นก็ไม่เท่ากับความน่าสะพรึงกลัวที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ปรากฏหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ ดูน่ากลัว ราวกับว่าเป็นปากหลุมไปสู้นรก ที่แม้แต่สิ่งใดก็ตามที่หลุดหายเข้าไปด้วยแรงดูด จะไม่มีโอกาสได้กลับขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ ใบไม้แห้งใบเล็กๆ



          ใกล้ไปทุกขณะ อาการโอนเอียงของแพก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนพรานกะเหรี่ยงที่นำไปชุดแรก ต้องชักไม้ถ่อขึ้นมาไว้ด้านบน เพราะไม่สามารถต้านกระแสน้ำวนที่ดึงดูดไว้ได้ ก่อนทั้งหมด จะก้มตัวลงหมอบยึดแพแน่น เพราะแรงเหวียงหมุนของกระแสน้ำวน ทำให้ทรงตัวต่อไปไม่ได้ เสียงร้องเอะอะดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงรำไผ่ที่บีบกระทบกันดังลั่น สำหรับคณะที่ติดตามอยู่ท้ายสุด ต่างเห็นภาพเหตุการณ์ชนิดวินาทีต่อวินาที



“เฮ้ย!”



“แพไอ้เบมันจะแตกหรือเปล่านั่น”พรานชราร้องเสียงหลง



“ถ่อยันไว้ก่อน”



“ไอ้แปะ ยันแพไว้ก่อน”พรานชราร้องสั่ง



“ไม่ไหวลุง น้ำมันเชียวเกิน”



“ข้าเอาไม่อยู่แล้ว”พรานแปะร้องเสียงเอ็ดมาจากท้ายแพ



“มันวนออกไปแล้ว ดูนั่นลุง”



“แพน้าเบวนออกไปแล้ว แบบเดียวกับกระทงที่ลุงทำเลย”เหน๋อร้องเสียงสั่น ขณะตายังเบิกโพลงไม่กระพริบ



“ชักไม้ถ่อขึ้นลุง”



“เอาขึ้นมา ดูลำโน่นเป็นตัวอย่าง”พรานแปะร้องสั่งเสียงหลง ก่อนจะรีบสาวไม้ถ่อโยนไว้บนแพ แล้วพุ่งตัวลงมาหมอบเกาะลูกบวบแพแน่น



“หมอบไว้!”



“อย่ายืนเดียวตกแพ”เสียงพรานเบตะโกนอยู่แต่ไกล เมื่อเห็นแพลำที่สองกำลังพบกับเหตุการณ์ที่ตัวเองผ่านมา



          สิ้นเสียงของพรานนำทาง แพลำที่สองก็มีอาการไม่ต่างจากลำแรก ทุกคนที่อยู่บนนั้นต่างรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของกระแสน้ำวน ทั้งแรงเหวี่ยง และแรงดูด พละกำลังอันมหาศาลของมัน ทำให้ทุกคนถึงกับหูอื้ออึงไปด้วยเสียงอึกทึกของสายน้ำวนนั้น  แพที่อาศัยมา บิดไปมาเกือบเสียรูป เสียงรำไผ่ลั่นดังเปรี๊ยะ เหมือนกับแพทั้งลำจะแตกเสียให้ได้ ลำไผ่บางลำหลวมคลอน ทั้งๆที่ก่อนเดินทางทุกคนต่างช่วยกันมัดอย่างแน่นหนา กระแสน้ำที่ไหลทะลักที่ประทะใบหน้า รุนแรงราวกับน้ำที่ถูกฉีดจากสายยาง จนไม่สามารถลืมตาดูเหตุการณ์ต่างๆรอบตัวได้ ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ที่แพทั้งลำหมุนวนแบบนั้นอยู่สามรอบ แต่มันยาวนานร่วมทศวรรษ ที่อยู่ในกระแสน้ำวนแห่งนั้น และไม่นานมันกับสงบนิ่ง ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงอึกทึก ที่ค่อยๆเบาบางลงทุกขณะ



“เป็นอะไรกันหรือเปล่า”



“รอดตายแล้วโว้ย”พรานแปะร้องบอกอย่างดีใจ หลังจากผงกหัวขึ้นมาเป็นคนแรก



“อ๊วกกก”



“โอ้ย...ฉันตายแน่ๆ”เหน๋อร้องเสียงสั่น ก่อนจะโกงคออ้วกแตกอ้วกแตนจนหน้าเหลือง



“ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม”



“ช่วยกันดู ว่ามีตรงไหนพังหรือเปล่า”พรานเบร้องก้อง



“ลูกบวบมันแตกนิดหน่อยน้า”



“พอไปกันได้”พรานแปะป้องปากตะโกนตอบ



“ลุงโส่ย”



“ไหวไหมลุง ลุง”พรานแปะร้องเรียบพรานโส่ยดังลั่น หลังจากมองเห็นพรานชรานอนขดเป็นกุ้งเผา



“พ่อๆ”



“เฮ้ยพี่แปะ พ่อเป็นอะไรไม่รู้ นอนแข็งทื่อเลย”เจ้าเคิ่งร้องเสียงหลง



“ไหนๆพวกเอ็งหลีกทาง”



“ตาโส่ยๆ”พรานแปะกระโจนพรวดไปหาพรานเฒ่า ก่อนจะร้องเรียกชื่อแก พลางเขย่าไม่หยุด ทำให้ทุกคนใจเสีย โดยเฉพาะเจ้าเคิ่ง ที่มองเห็นพ่อตัวเองนอนตาค้างอยู่ตรงหน้า แต่ไม่กี่อึดใจ ก็ปรากฏเสียงแหบแห้งของพรานชราเล็ดลอดออกมา



“เฮ้ยๆ”



“พวกเอ็งเงียบสิ ตาโส่ยพูดว่าอะไร”พรานแปะร้องเสียงเอ็ด

             

“ยะ...ยา..”



“ขะ..ขอ..ยา..ด..ดม ขะ..ข้า  หน่อย”พรานชราร้องเสี่ยงสั่น ก่อนทั้งหมดจะปล่อยก๊าก ออกมาดังลั่น



“วู้”



“เสียเส้นหมด คิดว่าตายห่ าไปแล้ว ตาแก่เอ๋ย”เหน๋อร้องเอ็ดตะโร ก่อนจะควักน้ำสาดใส่หน้าพรานชรา



          ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลง หลังจากผ่านพ้นจุดวิกฤตมาอย่างชนิดที่ว่า เส้นยาแดงผ่าแปด สายน้ำที่เชี่ยวกราดดังหัสมัจจุราชที่คอยกระชากให้ลงหลุมนรก ก็ดูคลี่คลายราวกับริบบิ้นที่โบกสะบัดไปกับสายลมเอื่อยๆ สายน้ำที่ดูเขียวคล่ำเพราะความลึก ก็เริ่มแจ่มชัดจนมองเห็นกรวดหินและฝูงปลาน้อยใหญ่ ที่พากันแหวกวายไปตามกระแสน้ำดูเพลินตา



          ท่ามกลางความเขียวขจี ของป่าดงพงไพรที่ขึ้นขนาบทั้งสองฝั่งของลำน้ำ และสัตว์ป่านานาชนิด ที่ท่องเที่ยวออกหากินอยู่ทั่วบริเวณ บางตัวต่างจับจ้องวัตถุประหลาย ที่ลอยมากับกระแสน้ำเบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ บางตัวก็ส่งเสียงแจ้ว ราวกับร้องทักทายเหล่าอาคันตุกะผู้มาเยือน นากฝูงหนึ่งดำผุดดำว่ายหากินอยู่ริมตลิ่ง พอพบกับสิ่งแปลกปลอมก็พากันดำหายเข้าไปในป่ากก ปล่อยให้ตัวจ่าฝูงยืนคุมเชิญอยู่บนตอไม้ ครั้นเมื่อเหล่ามนุษย์และพาหนะเคลื่อนผ่านไป กลับใจกล้าดำผุดดำว่ายเลาะเลียบเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับแมวเชื่องๆที่เข้ามาคลอเคลียขาเจ้านาย



“ตัวอะไรน้าเบ”



“แมว หรือ หมา”เจ้าพุ่มร้องถาม เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเห็นสัตว์ชนิดนี้มาก่อน



“ที่เอ็งเห็น ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”



“เขาเรียกว่า นาค”พรานเบตอบ ขณะถ่อแพไปกับกระแสน้ำ



“สัตว์มันชุมจริงๆ”



“ปลาก็เยอะ ไม่ต้องกลัวอดเลยนะนี่”พรานพรร้องเสริม



“ดูไม่ค่อยจะกลัวคนเสียด้วย”



“อย่าๆ ไอ้พะเปรียว”พุ่งร้องปรามเสียงดุ ขณะที่เจ้าพะเปรียวยืนแยกเขี้ยวหูตั้งทำท่าจะงับหัวเจ้านาคสอดรู้



“ไปๆ”



“ขืนมาใกล้กว่านี้เอ็งหัวเละแน่”พุ่มกล่าว พลางกวักน้ำไล่นาค ก่อนที่นาคตัวนั้นจะดำน้ำหายไป



“ไอ้พร”



“เอ็งค่อยคัดท้ายไว้หน่อย ข้าจะยันแพไปที่ต้นไม้นั่น”พูดจบพรานเบก็ออกแรงถ่อไม้ยันหัวแพให้เบี่ยงไปทางต้นไม้ล้มด้านซ้ายมือ เมื่อแพลอยเฉียดเข้าไปใกล้ เจ้าพุ่มที่คงจะรู้งานอยู่แล้ว ก็เอื้อมมือ

ไปคว้าฝักมีด ก่อนที่จะชู้ขึ้นโบกไปมาให้คนที่อยู่บนแพด้านหลังดู จากนั้นก็ค่อยๆสอดฝักมีดที่เก็บได้ ใส่ในย่ามที่สะพายมา



          สายน้ำยังคงไหลเอื่อย และคงที่ ทำให้คนถ่อไม่เสียแรงมากในการควบคุม คงปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้ำโดยธรรมชาติ มีบางจังหวะเท่านั้น ที่ต้องคอยถ่อดันแพให้เบี่ยงหลบกิ่งไม้ ต้นไม้ ที่ขวางทาง บางช่วงก็ต้องมุดรอดออกไป เพราะซุ้มไผ่ที่พาดขวางทั้งสองด้านกลายเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ ก่อนที่แพทั้งสองลำจะลอยลับโค้งน้ำนั้นไป ทุกคนต่างหันกลับไปยังต้นทางที่ตัวเองได้ผ่านมา น้ำตกสายใหญ่ที่เคยดังกึกก้องจนแทบจะตะโกนคุยกัน มาบันนี้ดูเบาบางราวกับเสียงกระซิบ สายน้ำที่แตกเป็นฝอยละอองหมอกเห็นอยู่จางๆ มาบัดนี้มันกลับเปล่งประกายแสงสีทองเหลืองอร่ามระยิบระยับ ตัดกับสายรุ่งที่โค้งหายเข้าไปในดงทึบ เพราะแสงตะวันที่ส่องกระทบผ่าน  พรานนำทางถอนหายใจเฮือก ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางต่อ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จุดเริ่มต้นของการเดินทาง พรานนำทางคิดเช่นนั้นอยู่ในใจเพียงผู้เดียว ก่อนจะเสือ กปลายไม้ถ่อจมหายเข้าไปในกระแสน้ำ



จบบทที่ 12 ขอขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ติดตามผลงานนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทต่อไป


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.092 seconds with 20 queries.