การฝึกใจ ในยุคเลวร้าย
Hot News, Monday to Sunday, 3.30 am -Up.
โดย สมณะเดินดิน ติกขวีโร
อย่าไปแบกโลกนี้ไว้คนเดียว หรือไปคิดว่าบ้านเมืองนี้เป็นของเราคนเดียว จริงๆแล้วถ้าเทียบกับประชากร 6 พันกว่าล้านคนที่อยู่ในโลกใบนี้ หรือประชากร 65 ล้านคนในประเทศไทยเราเป็นเพียง .000001 ในประชากร 65 ล้านคน ถ้าเปรียบนถนนรถวิ่งในประเทศไทยเราก็เปรียบกับฝุ่นเม็ดเล็กๆ ที่อยู่บนท้องถนนหรือในสภาพสังคมที่จะมองเรา พ่อท่านก็ให้เราสำนึกว่า สังคมมองเราไม่ต่างกับนกแร้งที่สังคมเขายังรังเกียจอยู่ ทั้งจากสภาพการทวนกระแสของเราที่สังคมต้องการความร่ำรวยหรูหราใหญ่โต แต่ทิศทางชีวิตของพวกเราที่เดินทาง ไปสู่ความมักน้อย ประหยัด แล้วก็ยากจนงั้นตรงนี้เราก็คงจะ พอประเมินสถานภาพของเราได้ว่าเป็นเพียงจุดเล็กๆ ใต้ฟ้ากว้างเท่านั้น ก็เราแค่พยายามที่จะมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันจิตใจ รู้เท่าทันลมหายใจของเรา ทำชีวิตเล็กๆที่มีพื้นที่เพียงกายยาววา-หนาคืบ-กว้างศอก ให้ดีที่สุดให้เป็นประโยชน์ได้มากที่สุด ควรช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าประเมินสถานภาพตัวเองได้ขนาดนี้ก็คงจะทำให้มันไม่เครียดหรอก ถ้าเราไม่คิดจะแบกโลกนี้ไว้ หรือไปเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นของเราคนเดียว
พยายามเข้าใจมันเป็นเรื่องของกรรมเรื่องของวิบากกรรม ซึ่งในสมัยพุทธกาลขนาดพระประยูรญาติของพระพุทธเจ้าที่เป็นศากยวงศ์ทั้งหลาย ก็ต้องถูกพี่น้องด้วยกันเองฆ่าตายหมดทั้งตระกูล เพราะวิบากกรรมที่เคยเอายาพิษไปโรยฆ่าปลาในแม่น้ำแห่งหนึ่ง งั้นประสานการณ์ประเทศไทยที่เกิดขึ้นบางที่ก็เป็นชะตากรรมของแผ่นดิน ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะไปกำหนดได้ ถ้าเป็นชาวอโศกเราผ่านเหตุการณ์มาจนถึงวันนี้ก็จะซาบซึ้งในภาษิตของอังกฤษที่บอกว่า every things happen for the best (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งดีที่สุดแล้ว)
บ้านเมืองยิ่งทุกข์ทรมานมาก ก็ยิ่งจะทำให้คนต้องดิ้นรนแสงหาเส้นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ทำให้ต้องเข้าหาสัจธรรมยิ่งขึ้น หรือเหตุการณ์บ้านเมืองทุกวันนี้จริงๆแล้ว ถ้าคนดีไม่มาผนวกรวมกันจริงๆแล้วก็จะล่มสลายไปด้วยกันหมด ก็อาจจะเป็นปัจจัยให้คนดีมารวมตัวกัน และเราจะเห็นได้ว่าบางทีความเลวร้ายมากมายมันก็จะทำให้ผู้คนหูตาสว่างได้ง่ายขึ้น ถ้าอะไรที่มันสีเทาๆ มีทั้งขาวมีทั้งดำปนๆกัน บางทีกว่าจะรู้ทันรู้ตัว มันก็ช้าไปแล้ว แต่สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ เราจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างรุนแรงรวดเร็วเห็นกันชัดๆไม่ต้องรอเวลาข้ามชาติ เพียงชั่วชีวิตของแต่ละคนในชาตินี้ ไม่ต้องมีการสงสัยกันอีกต่อไปซึ่งถ้าเป็นพรรคสีเทาขาวๆดำๆ ประเทศไทยอาจจะหมดชาติกันเลยก็ได้กว่าจะรู้เท่าทันพวกสร้างภาพ พวกเราก็ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
มีคำถามว่า ในช่วงที่พ่อเทศน์ เด็กวิ่งไปวิ่งมาพ่อท่านรำคาญไหม? พ่อท่านบอกว่าท่านไม่ได้มีความรำคาญเพราะธรรมชาติของเด็กเขาก็ต้องวิ่ง แต่ในระหว่างวิ่งเขาจะซึมซับธรรมะไปด้วยในตัวดังนั้น เมื่อเราอยู่ในโลกในสังคม การที่เราจะเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ของผู้ใหญ่ ของนักการเมือง ของคนพาล หรือของจอมโจรบัณฑิต ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งเราก็จะไม่ไปตั้งคำถามที่ไม่ควรจะถามทำไมเขาเป็นอย่างนั้น? ทำไมเขาเป็นอย่างนี้? แต่ควรจะยินดีด้วยซ้ำไปที่เราได้รู้ การที่เราได้รู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ตรงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความยินดี มากกว่าที่จะทำให้เราถูกหลอกมืดมนอนธการไปอีกยาวนาน.
พ่อท่านเองท่านเปิดใจให้ฟังว่าเท่าที่ท่านทำงานศาสนา มาแม้จะถูกย่ำยี ด่าว่า ทั้งจากพระ จากฆราวาสอย่างไรก็ตามท่านไม่เคยโกรธคนเหล่านั้นเลย ซึ่งพ่อท่านเคยให้โศลกไว้ว่า คนที่มีความสุขที่สุด คือ ผู้ที่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ให้อย่างจริงที่สุด ดังนั้นพ่อท่านเองไม่ได้คิดจะไปหวังเอาอะไรจากใคร ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีแต่ให้ๆได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น งั้นท่านก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลาเพราะท่านไม่ได้คาดหวังว่าคนเขาจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ หรือจะได้อะไรจากเขา ถ้าเราทำงานโดยไม่ไปคาดหวังหรือเรียกร้องสิ่งตอบแทนใดๆ ทำใจของเราเป็นผู้ให้อย่างแท้จริงก็จะทำให้ชีวิตของเราไม่เครียด และมีความสุขในทุกๆการกระทำของเรา
การเรียนรู้ในปฏิจจสมุปบาท ก็จะทำให้เราได้เห็นการแย่งชิงความว่างเปล่าในโลกใบนี้ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มีอะไร แต่เราไปสมมุติ ไปสำคัญมั่นหมายแล้วเอาเป็นเอาตายกับมัน ตัวอย่างข่าวที่เกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ หนุ่มใหญ่วัย 61 ปีเอาปืนไปยิงชายชู้ที่มาแย่งเมียของตัวเอง ทั้งๆที่ยิงตายแล้ว เขายังเอาศพของชายชู้นั้น เอาเชือกผูก แล้วก็ขับรถวิ่งประจานรอบหมู่บ้าน พอมีคนไปแจ้งตำรวจเขาก็ยังกระหน่ำยิงศพนั้นอีกหลายชุด เมื่อตำรวจเข้าไปจับกุม คำพูดที่เขาได้ระบายออกมาก็คือ "สะใจๆๆๆ" จะเห็นได้ว่าเวทนาที่เป็นความสะใจก็ดี เป็นความสุขใจก็ดี หรือเป็นความเศร้าใจก็ดี สิ่งเหล่านี้จริงๆมันเกิดขึ้นเพียงแว้บเดียว ในชั่วขณะของชีวิตเท่านั้นเองความสะใจ ของหนุ่มใหญ่ที่ได้ฆ่าคนตายจริงๆแล้วมันอยู่ได้ไม่นานหรอก เพราะว่าความทุกข์กังวลว่าจะถูกจับในช่วงที่ตำรวจมาในช่วงที่ต้องถูกตั้งข้อหา
ในช่วงที่ถูกจับกุมจะต้องดำเนินคดีขึ้นศาลนี่ยาวนานกว่ามาก ถามว่าความสะใจเหล่านั้นมันจะอยู่กับเขาไปได้นานสักเท่าไหร่ เพียงแค่เขาบำเรอความสะใจได้แว้บเดียว มันมีเรื่องราวเข้ามาในชีวิตมากมาย แต่คนก็จะไปยึดเอาว่าจะพยายามรักษาอารมณ์สะใจให้มันอยู่ได้นานตลอด ทั้งๆที่มันมีเรื่องแทรกเข้ามาตั้งเยอะแยะ ซึ่งตรงนี้ก็จะไม่ต่างอะไรกับเด็กร้องไห้ เด็กอนุบาลบางคนต้องถูกพ่อแม่จับไปโรงเรียน แต่เขาไม่อยากไป พอไปถึงโรงเรียนเขาก็ร้องไห้ จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้ร้องตลอดจะมีบางช่วงพอเล่นกับเพื่อนเขาก็จะลืมไป แต่พอเขานึกถึงบ้าน
ก็จะร้องแงๆๆใหม่ นึกได้เมื่อไหร่ก็ร้อง แต่พอมีเพื่อมาเล่นด้วยก็ลืมร้อง ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามันเป็นอารมณ์ที่มันไม่สำคัญนั่นหมายให้มันเป็นนิจจัง และพยายามที่จะฝั่งใจจนกลายเป็นตัณหา สร้างเป็นอุปาทานเอาไว้ไม่ให้ลืมเลย จะจำไว้ชั่วฟ้าดินสลาย นอกจากนั้นแล้วเราจะเห็นได้ว่าอารมณ์สะใจ อารมณ์เศร้าใจ หรือสุขใจก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราไปสร้างขึ้นมา ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม เราคงไม่มีอารมณ์อย่างนั้น ที่ไปฆ่าเขาไปยิงกรหน่ำซ้ำเขาแล้วก็สะใจ จริงๆแล้วจะเห็นได้ว่าอารมณ์เหล่านั้นที่มันเกิดขึ้น มันเป็นอารมณ์ที่เราไปสมมุติไปสร้างอารมณ์สะใจขึ้นมา เหมือนเราไม่ได้ไปหมกมุ่น(อิน)กับเรื่องฟุตบอล แต่พวกคอฟุตบอลเขาจะรู้สึกโอ้โห...สะใจ มันส์จนใจจะขาด แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างอารมณ์อย่างนั้น มันก็ไม่ได้มีสะใจ มันก็ไม่ได้มีสุขใจ มันก็ไม่ได้มีเศร้าใจ
ตัวอย่างเหล่านั้นก็จะทำให้เราได้เห็นว่า เมื่อมนุษย์ไม่รู้เท่าทันในเวทนาที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า เหมือนกับพยับแดดเป็นความว่างเปล่า ที่จริงๆแล้วมันไม่มีอะไร แต่มนุษย์พอไม่รู้เท่าทันในเวทนา ในทุกขเวทนาที่เป็นเคหสิตะ เขาก็จะเอาเป็นเอาตาย แก่งแย่งชิงดีกันกับเคหสิตะที่เป็นสุขเวทนาทั้งหลาย อย่างหัวปักหัวป่ำโดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นการแก่งแย่งชิงดีกับความว่างเปล่าเท่านั้นเอง
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนที่ประมาทคือ คนที่ตายแล้ว เราต้องยอมรับว่าวิถีชีวิตบุญนิยมทุกวันนี้ พวกเราอยู่กันอย่างสุขสบาย ถ้าเรามองออกไปสู้โลกภายนอกเราจะเห็นได้ว่าชาวบ้านต่างทุกข์ร้อนหนักหนาสาหัสสากรรจ์ แต่ว่าวิถีชีวิตของพวกเราอุดมสมบูรณ์ ข้าวมีกิน ดินมีเดินแดดมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บป่วยเจ็บมีคนรักษาฯลฯ แต่ในความสุขสบายมันก็จะทำให้เราไม่ได้ตั้งตนอยู่บนความลำบาก ในความสบายมันจะทำให้อยากได้สบายเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าผู้บริโภคกาม คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ย่อมปรารถนากามยิ่งๆขึ้นไป ทั้งๆที่พ่อท่านทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง มุ่งหมายเพื่อที่จะเร่งรัดพัฒนาพวกเรา จนแทบจะเรียกได้ว่าเอาชีวิตเข้าแลก ตอนท่านไปยิงเลเซอร์ต้อกระจกที่ตามาจริงๆแล้วหมอเขาต้องให้พัก 3-4 วัน
แต่ท่านก็กลับมารีบเขียนหนังสือเลย แล้วก็ยังจะมาเทศน์ต่ออีก พวกเราก็ต้องห้ามไว้เพราะถ้าไปเทศน์มันก็จะโดนไฟสปอร์ตไลท์ต้องนิมนต์ให้พักสัก 3 วัน แต่ใจของพ่อท่านเองนั้นอยากจะรีบเขียนหนังสือทั้งอยากเทศน์ ทำอย่างไรที่จะให้พวกเราเกิดความสำนึก-ฝึกฝน-ขวนขวาย-มุ่งหมาย พัฒนากัน ทำอย่างไรเราจะไม่ให้พ่อท่านเป็นเหมือนเครื่องฉุด ที่ฉุดเต็มที่ แต่ว่าเหมือนกับฉุดเท่าไหร่ๆ ก็ฉุดไม่ขึ้น และไม่อยากจะขึ้น ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นอันตราย เราจะเห็นได้ว่านักปฏิบัติธรรมหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นนักบวชก็ดี หรือฆราวาสก็ดี ต้องตกอยู่ในสภาพกว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว ใครที่เข้ามาบวชกันก็ไม่มีใครตั้งใจที่จะมาบวชเพื่อทำปาราชิก ทุกคนมุ่งหมายที่จะไปนิพพานทั้งนั้น เพราะมันมีความสบายให้ได้เสพ ในความสบายนี้มันก็จะมีบ่ออบายไว้รองรับด้วย
หรือญาติธรรมที่มาอยู่วัดก็มีความตั้งใจที่จะมาทำความดี แต่หลายคนก็ต้องถูกให้ออกจากหมู่ไปเพราะไปทำความชั่วแม้จะเพียงชั่ว 1 ที่แต่ก็ทำให้ดีร้อยหน คือทำดีมาตลอดชีวิตป่นปี้ไปหมด ดังนั้น ทำอย่างไรเราถึงจะสำนึกในความเป็นสมณะที่ดี ในความเป็นญาติธรรมที่ดี เปนสมณะที่สะอาดบริสุทธิ์ในเรื่องเสียสตางค์ เสือสตรี เป็นญาติธรรมที่ดี ที่เข้ามาอยู่ในชุมชนบุญนิยมแล้วก็ไม่เป็นทาสของเงิน ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน ตกอยู่ใต้อำนาจของเสือสตางค์ หรือแม้แต่ญาติธรรมที่อยู่ภายนอกก็เป็นญาติธรรมที่พ้นจากความเลวที่พ่อท่านบอกว่า 7 วันมาวัดครั้งเดียว นี่ก็ถือว่าเลวแล้ว ทำอย่างไรเราจะมีโอกาสร่วมบำเพ็ญบารมีปฏิบัติบูชากับพระโพธิสัตว์ได้มากกว่านี้ สิ่งเหล่านี้ถ้าเรามีการเร่งรัดพัฒนาด้วยความสำนึกฝึกฝนอยู่เสมอๆ ก็น่าจะทำให้เราไม่ตากอยู่ใต้วลีที่บอกว่า "กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว"-ธรรมะจากข่าวอโศก
http://www.bunniyom.com/practise.your_mind2011.html