Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 02:15:09

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เหนือเกล้าชาวสยาม  |  พระบรมโพธิสัตว์เจ้าแห่งแผ่นดินสยาม (Moderator: Smile Siam)  |  ยุคถิ่นกาขาว ชาววิไล
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ยุคถิ่นกาขาว ชาววิไล  (Read 3149 times)
Smile Siam
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 331


View Profile
« on: 27 December 2012, 07:15:12 »

นะโม ตัสสะ ภควโตฯ

ณโอกาศนี้ จะได้กล่าวสภาวะอันเป็นไปของโลก คือยุคศรีวิไลย์ คำว่ายุคศรีวิไลย์
คือเป็นชื่อของกาลเวลา ชั่วระยะหนึ่ง ยุคศรีวิไลย์ กาลเวลาที่จะบังเกิด ตามชื่อนี้ ก็จะสิ้นระยะกาลรัชสมัยหนึ่งๆ
หรือช่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งๆ ของเมืองไทย เมืองไทย ซึ่งได้สร้างเมืองมา ตั้งแต่ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ซึ่งเป็นองค์ปฐม แห่งพระเจ้าแผ่นดิน ในวงค์นี้ คือวงค์รัตนโกสินทร์ ก็พระเจ้าแผ่นดินองค์แรก ชั่วระยะพระเจ้าแผ่นดินทรง
ครองราษฎสมบัติอยู่ องค์ต้นก็เรียกว่ายุคที่๑ องค์ที่ ๒ ก็เรียกว่ายุคที่ ๒ องค์ที่ ๓ ก็เรียกว่ายุคที่ ๓ ก็เมื่อองค์ที่ ๔ มาสืบแทน
องค์ที่ ๔ สิ้นไป องค์ที่ ๕ ก็มาสืบแทน สืบกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ชื่อว่ายุคหนึ่งนั้น มีเจ้าผู้ครองแผ่นดิน ของประเทศไทย
แต่ละองค์ๆ ชื่อว่ายุคในที่นี้ ก็มีหลายยุคด้วยกัน มีถึง ๑๐ ยุค ๑๒ ยุค คือนับตั้งแต่ยุคต้น ยุคต้นเรียกว่า ยุคมหากาฬ

ยุคที่สองเรียกว่าภารยักษ์ ยุคที่ ๓ ยุคที่ ๔ ที่ ๕ ก็มีชื่อเรียกกันไป ตามลำดับ คือภารยักษ์ รักมิตร สถิตธรรม จำแขนขาด
ราษฎโจรัญ ทันทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาวศรีวิไลย์ ไทยมหารัฐ แล้วก็จักรพรรดิราษฎ ก็ท่านกล่าวกันไว้เป็นยุคๆ ดังที่
ท่านพระคุณเจ้ากล่าวมานี้ ถามว่าในปัจจุบันนี้เป็นยุคอะหยั๋ง ก็มีคำตอบว่า ยุคถิ่นกาขาว ยุคถิ่นกาขาวเป็นอย่างไร ก็ได้แก่
รัชสมัยพระภูมิพลอดุลยเดช องค์ปัจจุบัน ที่ครองราษฎสมบัติอยู่ในประเทศไทย อันนี้ได้แก่ถิ่นกาขาว ยุคถิ่นกาขาวก็ดูเหมือนกับว่า
ถูกต้องตามรูปเรื่อง หรือความเป็นมาของแต่ละยุค แต่ละยุค ถิ่นกาขาวหรือถิ่นตาขาว อันนี้ก็คือมีคนเข้าวัดปฎิบัติธรรม นุ่งขาวห่มขาว
รู้จักหันมาสวดมนต์ภาวนา เจริญกรรมฐานทุกชั้นทุกเพศทุกวัย อันนี้ท่านเรียกว่าถิ่นกาขาว หรือถิ่นขาวสะอาดก็ได้เหมือนกัน ขาวสะอาดก็คือ
หันเข้ามาปฎิบัติในทางศีล ทางธรรมนั่นเอง เข้าวัดเข้าวา รู้จักบำเพ็ญตน เจริญศีลเจริญภาวนา ก่อนหน้านี้คือคนไทย ก็น้อยนัก ที่จะรู้จักหันเข้ามา
เจริญศีลธรรมกรรมฐาน ไม่เคยรู้ว่าภาวนามันเป็นอย่างไร กรรมฐานมันเป็นอย่างไร ก็เพราะว่าคนนอกทั่วๆไป ไม่ได้ยินมาก่อนไม่รู้เรื่องมาก่อน

แต่เข้ามาในรัชสมัยเรานี้ ดังที่ได้กล่าวก็รู้สึกว่า มีประชาชน ได้รู้จักกรรมฐานภาวนา รู้จักมานุ่งขาวห่มขาวปฎิบัติธรรม รู้จักถือศีล ๘ รู้จักงดเว้นปลาเนื้อ
นี่ก็คือเข้าลักษณะ ที่เรียกว่า ถิ่นกาขาวหรือถิ่นขาวสะอาด ถิ่นขาวสะอาดก็บังเกิดขึ้นในประเทศไทย ราว ๓๐-๔๐ ปีมานี้ แต่ก่อนนี้ก็ไม่ค่อยจะรู้กัน
แล้วยุคนี้จะดำรงค์อยู่ หรือมีชื่อไปจนถึงรัชกาลองค์ใหม่ รัชกาลองค์ใหม่ก็จะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนยุคมาเป็นยุคชาวศรีวิไลย์ แล้วจะเป็นอย่างไร
อันนี้ก็จะขอนำมาแสดงต่อไปข้างหน้า

ทีนี้จะขอย้อนกล่าว ถึงเรื่องการที่จะเปลื่ยนแปลง ยุคหรือที่จะถึงยุคใหม่ มันก็มักจะมีอะำำไรบันดลบันดาล หรือที่เรียกว่า ธรรมดาตกแต่่งให้เป็นเหตุ
เป็นปัจจัย ให้เปลื่ยนแปลงเป็นยุคขึ้นมาใหม่ หรือเป็นสมัยขึ้นมาใหม่ ก็เพราะว่าก่อนที่จะ ถึงเป็นสมัยขึ้นมาใหม่ มันจะต้องเปลื่ยนแปลง หรือมีอะไร
ที่ทำให้สูญเสียไป เหมือนกับคำทำนายที่กล่าวกันไว้ หรือคำพยากรณ์ หรือคำบอกเล่า ที่เป็นสิ่งที่น่าหวั่นวิตกอยู่มากๆ อันจะมีมาในระยะใกล้ๆนี้
สิ่งที่ท่านพระคุณเจ้าก็ได้นำมาเล่า เมื่อศีลที่แล้วมานี้ ก็เป็นคำพยากรณ์ หรือคำบอกเล่า ของท่านผู้รู้ๆหลายๆท่าน ว่าภัยพิบัติิอันจะเกิดขึ้นแก่มนุษย์โลก
หรือแผ่นดินหรือโลกมนุษย์นี้ ในระยะใกล้ๆนี้ คือ พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๔๒ อีกนัยหนึ่ง พ.ศ.๒๕๔๒ - พ.ศ.๒๕๔๔ อันนี้กล่าวไว้ ๒ นัย
ตามที่ท่านอาจารย์องค์หนึ่ง ซึ่งท่านได้ภาวนารู้เห็นใน สภาวธรรมอันจะเกิดนั้น หรือเทวดามาบอกเล่ากับท่าน เรื่องภัยภิบัติิ อันน่าหวาดกลัวนั้นก็คือ
ทั่วโลกๆ จะถึงซึ่งความวิบัติมากมาย แผ่นดินจะจม ลงในมหาสมุทร หรือกลายเป็นทะเล ประเทศบางประเทศ ที่เป็นเกาะ เช่นญี่ปุ่น ใต้หวัน สิงคโปร์
ฟิลิปปินส์ อะไรเหล่านี้ ที่เป็นประเทศ เป็นเกาะๆ ท่านว่ามันจะจมหายลงไปๆ เกือบหมด

ท่านว่าอย่างนั้น นี้หมายถึงเมืองนอก แล้วก็อีกประการหนึ่งเช่นภัยพิบัติ อันจะมาก็เกี่ยวกับสงครามโลก นี้มันเป็นสงครามอะไร อันนี้เราก็จะเคย
ได้ยินกันมาบ้างแล้ว ครั้งที่ ๒ ผ่านมาแล้ว แต่ครั้งที่ ๓ จะมาอีก ครั้งหนึ่งเป็นภัยพิบัติ จะต้องทำสงครามล้างพลาญ ประหัต ประหารกัน
จนถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ เกิดขึ้น วัตถุ สิ่งก่อสร้างในโลกนี้ จะสิ้นสูญลง สะแหลกสะหลายลงหมด
สิ้นยุคสมัยวิทยาศาสตร์ความเจริญต่างๆ เสื่อมหายไปจะหมดสิ้นลง ท่านผู้ฟังทั้งหลาย นี้ก็คือก่อนที่จะถึงยุคขึ้นมาใหม่ แล้วก็ผู้คนจะถึงซึ่งอัสสัญญี
คือล้มหายตายจากภัยธรรมชาิติต่างๆ จะสู้รบตบมือ จะทำสงคราม หรือว่าแผ่นดินถล่มแผ่นดินหายยุบลง ไปใต้น้ำเป็นท้องทะเล อะไรเหล่านี้
คนมันจะสิ้นชีวิตลงไปเป็นอันมากมาย ๑๐ จะเหลือใน ๑ หรืออาจจะ ไม่ถึงเสียด้วยซ้ำไป คือความหมาย ๑๐ ใน ๑ เปรียบหมายถึง ๑๐ นั้นจะหมดไป
เหลือแค่ ๑ ถ้าเปรียบอย่างนี้แล้ว มนุษย์เราจะหล่อยหลอลงไป ผู้คนจะล้มหายตายไป จนเหลือน้อยเพราัะฉะนั้น วิทยาการต่างๆ มันจะเสื่อมถอยไปด้วย
การทำสร้างสรรค์วิทยุ โทรทัศน์ อาวุธอะไรต่่างๆ เหล่านี้ ที่ทำกันขึ้นมันจะหมดไป วิทยุเราก็ไม่ได้ฟังกันแล้ว โทรทัศน์หนังอะไรเหล่า นี้ ก็จะไม่ได้ดูกันแล้ว
หรืออะไรต่ออะไรนี้ มันจะำไม่มีกันแล้วตลอดจนวิทยาศาสตร์ การสร้างสรรค์ต่างๆก็จะหมดไป กลายเป็นคนยุคป่า ยุคเถื่อนกันอย่างนั้นละหรือ
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย แล้วท่านก็มาว่าประเทศไทย ซึ่งนับว่ามีโชคดีกว่าเปิ้น

ท่านว่าอย่างนั้น ที่ว่ามีโชคดีกว่าเปิ้นก็ได้แก่ ประเทศไทย มีพระพุทธศาสนา มีผู้ปฏิบัติธรรม อยู่ในศีลในธรรมกัน มากกว่าประเทศอื่น กว่าเมื่องอื่นๆ
รู้จักการมีศิล รู้จักให้ทาน รู้จักการเข้าวัดวา รู้จักบำเพ็ญบารมีทั้ง ๗ ประการแล้วคนประเทศอื่น ก็จะเหลือน้อย อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นแหละ
ที่เหลืออยู่ก็จะ เป็นคนมีสติไม่สมบรูณ์ กลายเป็นคนใบ้ คนบ้า เสียสติ วิปลาสไป ที่ผู้คนต้องซึ่งถึงความวินาศ ซึ่งทำใจไม่ได้ก็กลายเป็นคนเสียสติไป
ทีนี้คนไทยที่มีพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมของท่านผู้รู้ ก็รู้เท่าทันของสภาวะธรรมอันเปลี่ยนแปลงไป คือกฎอนิจจังไม่เที่ยง แล้วก็มาปลงอนิจจังไม่เที่ยง
ก็ทำให้มีจิตใจเข้มแข็ง ขึ้นมาไม่ต้องเสียสติ แต่คนที่มีจิตใจเบาไม่เข้าวัดไม่เข้าวา ไม่รู้จักภาวนากรรมฐาน
ไม่รู้จักความแก่ ความเจ็บ ความตายก็จะกลายเป็นคนที่เสียสติ มีจริต ไม่สมบรูณ์ไป

ข้อที่ว่าภาคใต้จะจมหาย ไปด้วยคลื่น ด้วยลม ด้วยน้ำ ด้วยแผ่นดินไหวอะไรเหล่านี้ แล้วจะจมหายไปเป็นบางส่วนๆ แล้วก็มาภาคกลางท่านว่า
กรุงเทพฯจะกลายเป็นทะเล เมืองที่ใกล้ กรุงเทพฯก็จะกลายเป็นทะเลไปด้วย ท่านผู้ฟังทั้งหลายนี้ วันนี้พูดถึงภาคกลางเพราะแผ่นดินจม
แผ่นดินสั่นสะเทือน แผ่นดินทรุด กลายเป็นทะเลไป แล้วก็มาพูดถึง ภาคหนือ แผ่นดินไหว แล้วตลอดทั่วประเทศจะมืด ๓ วัน ๓ คืน อากาศจะวิปริต
แล้วก็จะมีอะำไรที่เกิดขึ้น เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินร้อน แผ่นดินยก แล้วจะมีไฟพุ่งขึ้นจากใต้พื้นพิภพ ก็ทำให็อากาศมืดมนต์ อนตระการ แปรปรวน
สนั่นหวั่นไหว ภูเขาแผ่นดินจะล้ม จะละลายจะทรุด ไปเป็นบางที่ๆ บางแห่งๆ อันนี้ ก็เป็นคำเล่าของท่านที่เล่าไว้ และส่วนภาคอีสาน ก็มีบางสิ่ง
ที่สำคัญก็คือ จะมีโรคระบาด อันติดตามมาทีหลัง และคนส่วนมากที่เหลืออยู่นั้น ก็ส่วนมากก็มีเป็นคนที่อยู่ในศีล ในธรรม ส่วนคนที่ไม่มีศิล ไม่มีธรรมนั้น
คนที่เป็นสัตว์นรกมาเกิด คนชั่ว คนร้าย ก็จะมีอันเป็น จะมีอันหมดไปจากแผ่นดิน ท่่านผู้ฟังทั้งหลาย อันนี้ก็คือว่าเป็นคำเล่า คำเล่าอันนี้ก็ทำให้รู้สึกว่า
เป็นคำที่รุนแรง จึงทำให้คนฟังแล้วไม่น่าเชื่อ

ที่ว่าไม่น่าเชื่อคือที่ว่ามัีนไม่น่าจะเป็นไปได้ ตามความเห็นของพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าก็ว่าไม่น่าเชื่อเหมือนกัน พระคุณเจ้าก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
ก็เชื่่อเป็นบางส่วนแต่ไม่เชื่อเป็นบางส่วน ที่จะไม่เชื่อเป็นบางส่วนนั้นนะ ก็คือมันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะว่าใน ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ๑๐,๐๐๐ ปี ๑๐๐,๐๐๐ ปี
มันไม่เคยมี ในประเทศไทยเรา แต่ประเทศอื่นๆที่เขามีกัน มันก็เป็นธรรมดา อย่างภูเขาไฟระเบิดขึ้น พ่นไฟขึ้นมา จนบ้านเมืองเสียหาย ถล่มทะลาย
บ้านไม่เป็นบ้าน เมืองไม่เป็นเมือง อพยพทันก็รอด หนีทันก็ทันหนี ไม่ทันก็ล้มตาย กันระเนระนาด แต่ก็เป็นธรรมดาในประเทศอื่นเมืองอื่น นี้ก็เป็นธรรมดา
ที่เกิดขึ้นเรื่อยๆแต่ในประเทศไทยเรานี้ ไม่เคยมี ประเทศไทยเรานี้มันอาจจะมีบ้าง แต่นิดๆ หน่อย แต่จะเป็นถึงขนาดนั้น มันก็คงไม่อาจเป็นอย่างนั้น
เพราะประเทศไทยเป็นเมืองที่งอกออก คือ มีท้องทะเล ตื้นๆ เรียกว่าเป็นอ่าวเล็ก ไม่เหมือนกับเมืองใหญ่ๆ ที่มีทะเลมหาสมุทรกว้างๆ เมืองเล็กทะเลเล็ก
ทะเลตื้นอย่างนี้ คือ มันจะเป็นไปได้หรือ จะจมหายไปเป็นเมืองๆ เป็นส่วนๆนั้นนะคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะตามที่่รู้ที่เห็นมา เมืองตื้นๆอย่างนี้
มีแต่จะงอกออกไป งอกกว้างออกไปๆ เป็นหาดทราย นานไปก็มีต้นไม้ มีบ้านมีเรือน มีไร่มีนาขยายออกไป คือบ้านเมืองไทยเรานี้ มันเป็นอ่าวเล็ก อ่าวตื้น
มันมีแต่จะงอกออกไปแต่เมืองอื่นไม่อาจจะรู้ได้ ทีนี้มันจะถล่มทลาย เป็นบางส่วนเล็กๆน้อยๆ อันนี้มันอาจจะมี เป็นคลื่นเป็นลมเป็นธรรมดา
แต่จะถึงกับใหญ่โตหายไปเ็ป็นเมืองๆ อย่างนี้

ก็ไม่น่าเชื่อ กรุงเทพฯจะหายไปเ็ป็นท้องทะเลอย่างนี้ ก็ไม่น่าเชื่อเพราะมันไม่เคยมี มันจะมีมันต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไปทีละน้อยๆ
แต่ที่กรุงเทพฯทรุดนั้น ก็ทรุดจริงอยู่ เพราะมันทรุดมานานแล้ว อันนี้มันก็ไม่มีข้อน่าคิดอะไร เพราะกรุงเทพฯนี้ เป็นเมืองที่อยู่ในแหลมที่ยื่นออกไปในน้ำ
แล้วก็สร้างบ้านสร้างเมืองขึ้นมา สร้างตึกที่มีน้ำหนักมาก แล้วอีกประการหนึ่ง ก็เอาน้ำในบาดาลสูบขึ้นมา สูบขึ้นมาใช้เป็นน้ำประปา มันก็ทำให้พื้นแผ่นดิน
นั้นกลวง แล้วก็มีแต่น้ำคววมๆ อย่างนี้

มันก็ยุบลงไปได้ ทรุดลงไปได้ทีละน้อยๆ ปีหนึ่งก็ยุบลงไปที่หนึ่งๆ ยิ่งมีน้ำท่วมมาก อย่างนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทรุดลงไปมาก ท่านผู้ฟังทั้งหลาย
อันนี้ก็เป็นธรรมดา อันนี้แผ่นดินทรุด ก็ทรุดจริงอยู่แต่จะทรุดหาย ไปเป็นเมืองๆนั้น จมหายไปทันทีทันใดนั้น คงจะไม่มีอย่างนั้น
แต่ทุกวันนี้คนกรุงเทพฯเราหวนไปหาอดีตกาล

เพราะอดีตกาล ไม่ค่อยเดือดร้อนเหมือนในปัจจุบันนี้ สมัยปัจจุบันนี้ มันทำให้คนกรุงเทพฯ ค่อนข้างรู้สึกว่าไม่ค่อยจะม่วน อากาศก็ไม่ค่อยจะดี
น้ำก็ท่วมบ่อยๆ อย่างนี้ก็แสดงว่าแผ่นดินมันต่ำลง มีฝนตกมาหน่อยหนึ่งน้ำก็ท่วม ไม่อาจที่จะแก้ไขได้ อันนี้แผ่นดินทรุดมันไม่ใช่จะทรุดไปทีเีดียว
อย่างที่ท่านว่า

ทีนี้การที่ค่อยๆทรุดนี้มันเป็นไปได้ ท่านผู้ฟังทั้งหลาย การที่ทรุดลงไปมันก็อาจจะมีโอกาสที่จะงอกขึ้นสูงขึ้นเหมือนกัน เราไม่อาจจะรู้ได้
เพราะโลกนี้มันไม่เที่ยง แต่ถ้่่าเป็นสมัยเจริญยุคศรีวิไลย์หรือยุคต่อๆไป มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ได้
     



เรื่อง และที่มา ปริศนาพยากรณ์ " ถิ่นกาขาว "


เรื่องปริศนาพยากรณ์ ๑๐ รัชกาลนี้ ในบรรดาสานุศิษย์ของพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานเถระ (มหาวีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ศิษย์เอกองค์หนึ่งของหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อยุธยา ซึ่งปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว สรีระไม่เน่าเปื่อย บรรจุอยู่ในโลงแก้ว ณ พระวิหารวัดท่าซุงจ.อุทัยธานี คงจะได้ยินได้ฟังมาอีกแบบหนึ่งถึงที่มาของคำปริศนาพยากรณ์ กล่าวคือในสมัยที่พระคุณท่านยังดำรงสังขารอยู่ได้เล่าให้ศิษยานุศิษย์ฟังดังนี้

"ในสมัยที่อาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อยู่กับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ปีนั้นจำได้ว่าเป็นปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงพ่อปานไม่อยู่ อาตมาเป็นนักค้นแล้วก็คว้าด้วย ท่านวางอะไรไว้ที่ไหนไม่มีใครเขากล้าหยิบ แต่อาตมาคนเดียวกล้าหยิบ สันดานมันเลว เป็นลิงนี่จะให้มันเรียบร้อยได้อย่างไร ค้นไปค้นมาในกุฏิหลวงพ่อปานแล้วก็พบสมุดข่อย เป็นคำพยากรณ์ของพระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา พยากรณ์ไว้ตั้งแต่กรุงเทพยังไม่ปรากฏ แต่สมุดข่อยนั้นเก่า ขาดกระรุ่งกระริ่ง ข้อความก็ขาด จึงไปกราบเรียนถามหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า เดิมหนังสือเล่มนี้เป็นสมบัติของหลวงปู่คล้าย แต่ทว่ามันเก่าเต็มทีก็เลยจ้างเขาเขียนไว้ในสมุดข่อยอีกเล่มหนึ่ง

แล้วหลวงพ่อปานก็สั่งให้ไปหยิบหนังสือเล่มนั้นจากกุฏิของท่านซึ่งซุกไว้ใต้ตู้นาฬิกา เอาผ้าสีแดงห่อไว้อย่างดีเหมือนกับจะเตรียมไว้ให้เจ้าลิงอ่าน เมื่อเปิดผ้าออกดูแล้วปรากฎว่าหนังสือเล่มนั้นดูราวกับว่าจะมีอายุสัก ๓๐ ปีเศษ ๆ ตัวหนังสืออ่านง่าย เป็นคำทำนายของหลวงพ่อใย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้พยากรณ์กรุงเทพมหานครซึ่งจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าและกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินของกรุงเทพมหานครไว้ด้วยดังนี้

๑.มหากาฬผ่านมหายักษ์
๒.รู้จักธรรม
๓.จำต้องคิด
๔.สนิทธรรม
๕.จำแขนขาด
๖.ราษฏร์ราชาโจร
๗.นั่งทนทุกข์
๘.ยุคทมิฬ
๙.ถิ่นกาขาว
๑๐.ชาววิไล

เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด

รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ

รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่

รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรม ก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน

รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้

รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร

ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก

รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์

รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต

รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น

สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย



เชิญอ่านต้นฉบับที่สมบูรณ์ได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ

http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=680



.....เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง        น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา               เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน              ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร               องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส                  แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน                  เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง                  ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา                ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม              สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป              โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว                ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี               เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ               มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน          พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก   เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย          เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช          ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล                จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ             ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม                 ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว                       ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง             สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม                   หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป                    เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น              แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา      ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ...



« Last Edit: 27 December 2012, 07:22:40 by Smile Siam » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.064 seconds with 21 queries.