Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 21:17:01

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้  |  เรื่องที่ควรรู้เท่าทันระดับชาติ  |  ประวัติการรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย
0 Members and 3 Guests are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ประวัติการรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย  (Read 2038 times)
LAMBERG
มายิ้มในใจกันไว้เรื่อยๆ สนุกดีๆ
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 1,479


View Profile
« on: 29 October 2014, 23:07:04 »

  ประวัติการรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย


  การรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย และการแจ้งสัญญาณเทียบเวลาก่อน พ.ศ. ๒๔๗๖
การตรวจสอบเวลาเพื่อรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย และการแจ้งสัญญาณเทียบเวลาให้กับประชาชน พลเรือน เพื่อให้ใช้เวลาตรงกันทั่วประเทศนั้น ทางราชการได้มอบหมายให้กองทัพเรือเป็นผู้ดําเนินการ โดยกําหนดให้เป็นหน้าที่ของแผนกดาราศาสตร์ กองอุปกรณ์การเดินเรือ กรมอุทกศาสตร์ ซึ่งปรากฏอยู่ในระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการกําหนดหน้าที่ส่วนราชการในกองทัพเรือ พ.ศ. ๒๕๐๑
   การตรวจสอบเวลาและแจ้งสัญญาณเทียบเวลานั้นมีมาตั้งแต่โบราณกาล หลักฐานเท่าที่สามารถตรวจพบและยังมีปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ คือแท่งหินจัดเรียงเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ในนามของ Stonehenge อายุประมาณ ๔,๐๐๐ ปี ใช้สําหรับบอกเวลาและฤดูต่าง ๆ เข้าใจว่าสร้างไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในทางเกษตรกรรมหรือ พิธีกรรมทางศาสนา
   สําหรับประเทศไทย คนในสมัยโบราณ ก็คงใช้หลักจากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ ในแต่ละวันเป็นเครื่องบอกเวลา เช่น ดวงอาทิตย์ ขึ้น - ตก ดวงจันทร์ ขึ้น - ตก ซึ่งทั้งนี้ก็สามารถบอกเวลาได้อย่างคร่าว ๆ ไม่ละเอียดมากนัก เนื่องจากใช้การสังเกตจากธรรมชาติเป็นหลัก แต่คนในสมัยก่อนก็ไม่ได้ให้ความสนใจในความถูกต้องของเวลามากนัก ส่วนการแจ้งสัญญาณเวลาก็คงจะเป็นการใช้การตีเกราะ เคาะไม้ ตีกลอง บอกสัญญาณเวลาต่าง ๆ ให้ชาวบ้านทั่วไปได้ทราบ
   การดําเนินการในเรื่องการรักษาเวลาของไทย ได้เริ่มให้ความสนใจอย่างจริงจัง โดยใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาประกอบอย่างมีเหตุผล คงจะเริ่มเมื่อได้มีฝรั่งชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาติดต่อ ค้าขาย เชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศไทย เท่าที่ปรากฏตาม ประวัติศาสตร์ วิเคราะห์ได้ว่า น่าจะเริ่มในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยกรุงศรีอยุธยา ราวปี พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ ทั้งนี้เนื่องจากในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์เป็นกษัตริย์ที่สนพระทัยในวิทยาการสมัยใหม่จากฝรั่งต่างชาติ เห็นได้จากใบรายการสั่งซื้อของใน พ.ศ. ๒๑๙๙ มีการสั่งซื้อสินค้าจากบริษัท อีสท์อินดีส ของ ฮอลันดา ซึ่งเป็นตัวแทนจัดการติดต่อการค้าในกรุงศรีอยุธยา เท่าที่ปรากฏหลักฐานมี กล้องโทรทัศน์ โคมไฟ หมวกสักหลาด ชุดผ้าไหม โต๊ะเขียนหนังสือ หนังสือ แว่นตา อื่นๆ แต่ที่สําคัญที่ปรากฏอยู่ในรายการคือ นาฬิกาแบบใช้เครื่องจักรกล แสดงให้เห็นว่าได้เริ่มมีการนํานาฬิกาเข้ามาใช้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่ที่ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากความรู้ความสามารถในด้านภาษาต่างประเทศของคนไทยในสมัยนั้นยังจํากัดอยู่ในกลุ่มคนไม่มากนัก วิทยาการด้านการรักษาเวลาจึงยังไม่อยู่ในความสนใจของประชาชนโดยทั่วไป
   การรักษาเวลาและการแจ้งเวลาเริ่มแพร่หลายขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงกําหนดระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย โดยเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๕ ทรงสร้าง พระที่นั่งภูวดลทัศไนย ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ตั้งอยู่ในสวนหน้าพระพุทธนิเวศน์ พระที่นั่งองค์นี้สร้างเป็นตึกทรงยุโรป สูง ๕ ชั้น ชั้นยอดมีนาฬิกาใหญ่ ๔ ด้าน ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวง สําหรับบอก เวลามาตรฐานของประเทศไทย ในสมัยนั้น การที่เรามีพระที่นั่งภูวดลทัศไนยเป็นหอนาฬิกาสมัยนั้น ถือได้ว่าเป็นการเฉลิมฉลองการเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ ๒๕ ของไทยในทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในฐานะที่ไทยเป็นชาติใหญ่ในย่านนี้
   ในรัชสมัยของพระองค์นั้น โลกยังไม่มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ถึงขั้นส่งคลื่นวิทยุเป็นสัญญาณเทียบเวลาสากล หรือใช้นาฬิกาปรมาณูจาก CESIUM - 133 ประเทศที่เจริญในช่วงสมัยของ พระองค์ท่าน จะต้องทําการคํานวณทางดาราศาสตร์เพื่อเทียบเวลาของตนเอง โดยสถาบันทางดาราศาสตร์ของชาตินั้น ๆ เป็นผู้ดําเนินการ ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ได้ทรงคํานวณดาราศาสตร์และสามารถรักษาเวลามาตรฐานได้อย่างเที่ยงตรง พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ ให้มี พนักงานนาฬิกาหลวง เรียกว่าตําแหน่ง พันทิวาทิตย์ คอยเทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และตําแหน่ง พันพินิตจันทรา คอยเทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นตําแหน่งงานทางวิทยาศาสตร์ของไทยชุดแรก อาจกล่าวได้ว่า ระบบเวลามาตรฐานประเทศไทยที่พระองค์ทรงกําหนดขึ้นนี้ได้กระทําก่อนประเทศยุโรปเสียอีก เพราะ รัฐสภาอังกฤษออกพระราชบัญญัติเวลามาตรฐานอังกฤษ (GREENWICH MEAN TIME) ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ และในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ที่ประชุมดาราศาสตร์ในกรุงวอชิงตัน ได้ตกลงให้ เส้นเมอริเดียน ที่ผ่านเมืองกรีนิช ประเทศอังกฤษ เป็นเมอริเดียนหลักที่จะใช้เทียบเวลาของโลก
   เมื่อได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ควรที่จะได้กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพในเรื่อง ดาราศาสตร์ เพื่อเสริมความเข้าใจอีกสักเล็กน้อย ในยุคร่วมสมัยของพระองค์ท่านนั้น นักดาราศาสตร์กําลังให้ความสนใจเรื่อง การเคลื่อนที่ของโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ต่างทุ่มเทสติปัญญา เพื่อหาวิธีคํานวณตําแหน่งดวงจันทร์ ขณะที่โคจรรอบโลก ภายใต้แรงดึงดูดของโลก และดวงอาทิตย์ และตําแหน่งดวงจันทร์ขณะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ภายใต้แรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ต่าง ๆ ซึ่งการแก้ปัญหาทั้ง ๒ อย่างนี้ต้องอาศัยหลักการในงานสาขาดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ในการคํานวณ ผลงานการคํานวณของพระองค์ท่านที่ประสบความสําเร็จคือ การที่พระองค์ท่านทรงคํานวณการเกิดสุริยุปราคาที่ หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ถูกต้องแม่นยํา พระองค์ได้ทรงทําการคํานวณแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอน คือ
   ๑. ทําการคํานวณตําแหน่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ โดยใช้ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของ ดวงจันทร์ (THEORY OF LUNAR MOTION)
   ๒. หลังจากคํานวณตําแหน่งดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์แล้ว จะต้องทําการคํานวณตรวจสอบว่า
จะมีโอกาสเกิดอุปราคาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ผ่านไป ถ้าสามารถเกิดขึ้นได้ จึงจะเข้าสู่การคํานวณขั้น ๓ ต่อไป 
   ๓. เมื่อตรวจสอบแล้วว่ามีโอกาสเกิดอุปราคาได้ ก็จะทําการคํานวณในขั้น ๓ คือ คำนวณว่าการเกิดอุปราคานั้น เป็นสุริยุปราคา หรือ จันทรุปราคา มีลักษณะอย่างไร เช่น เป็นชนิดมืดหมดดวง หรือชนิดวงแหวน หรือมืดเป็นบางส่วน และจะเห็นได้ที่ไหน เวลาเท่าไร ถึงเท่าไร ตามระบบเวลามาตรฐานสากล ซึ่งจะต้องนํามาใช้ในการคํานวณด้วยตลอดตั้งแต่ต้น
   ในกรณีที่พระองค์ได้ทรงคํานวณการเกิดสุริยุปราคาที่หว้ากอในวันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง สัมฤทธิ์ศก จ.ศ. ๑๒๓๐ ตรงกับวันอังคาร ที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลาประมาณ ๑๐:๐๔ น. นี้ พระองค์ได้ทรงกระทําตามขั้นตอนที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ และสามารถคํานวณได้อย่างถูกต้องทั้งในลักษณะการเกิด เวลาที่เกิด และตําบลที่ ที่ใช้สังเกต จากการคํานวณเปรียบเทียบหลักฐานจากการคํานวณของหอดูดาวกรีนิช ปรากฏว่าระบบคํานวณของพระองค์ท่านถูกต้อง แต่ตัวเลขของพระองค์ไม่มีในระบบของกรีนิช แสดงว่าพระองค์ท่านได้ทรง คํานวณขึ้นมาด้วยพระองค์เอง มิได้นําเอาผลการคํานวณของชาวต่างประเทศมาดัดแปลงประยุกต์ใช้สําหรับประเทศไทยแต่อย่างใด ฯ
   ย้อนกลับมาถึงเรื่องแจ้งสัญญาณบอกเวลา ในสมัยก่อน การบอกสัญญาณแจ้งเหตุและอันตรายต่าง ๆ เช่น การตีเกราะ ตีกลอง หรือยิงปืนนั้น มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเข้าใจว่าได้มาจากเมืองจีน ประเพณีนี้ได้มีมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือมีทั้งยิงปืนและตีกลอง การตีกลองนั้นเดิมทีมีหอกลองอยู่ที่หน้าวัดพระเชตุพน หอหนึ่งเป็นสามชั้น ที่หอนั้นแขวนกลองไว้สามใบ ใบละชั้น ใบใหญ่อยู่ชั้นล่าง แล้วเล็กขึ้นไปตามลําดับ กลองใบใหญ่ที่อยู่ชั้นล่างมีชื่อว่า ย่ำพระสุริศรี สําหรับตีบอกเวลาเมื่อดวงทิตย์ตกดินเพื่อเป็นสัญญาณให้ปิดประตูพระนคร กลองใบชั้นกลางมีชื่อว่า อัคคีพินาศ สําหรับตีเมื่อเกิดไฟไหม้ เป็นสัญญาณเรียกราษฎรให้มาช่วยกันดับไฟ ดูเหมือนมีกําหนดว่าถ้าไฟไหม้นอกพระนคร ตีสามครั้ง ถ้าไฟไหม้ในพระนครตีมากกว่านั้น กลองใบที่สามที่ชั้นยอด มีชื่อว่า พิฆาตไพรินทร์ สําหรับตีให้รู้ว่ามีข้าศึกมาประชิดติดพระนคร ทุกคนจะต้องมาประจํารักษาหน้าที่โดยพร้อมเพรียงกัน
   การยิงปืนบอกเวลานั้น มีมานานแล้วเช่นกัน เดิมทีเดียว (ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๐) ที่ป้อมมุม พระบรมมหาราชวัง มีปืนใหญ่ประจําอยู่ทุกป้อม ป้อมละกระบอก เป็นปืนสัญญาณ ปืนที่อยู่ที่ป้อมมุมวัดพระเชตุพนจะยิงบอกเวลาเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทุกวัน เพื่อเป็นสัญญาณให้เปิดประตูวัง เพราะเวลากลางคืนประตูวังจะปิดและเปิดการลดหย่อนการพิทักษ์รักษาการอยู่เวรยามในพระราชวังในเวลากลางคืน แต่บางคนบอกว่าที่ยิงปืนนั้นเป็นการเปลี่ยนดินปืนอีกนัยหนึ่ง การยิงปืนยังใช้ยิงเป็นสัญญาณเมื่อไฟไหม้ นอกพระนครจะยิงนัดเดียว ถ้าไฟไหม้ในพระนครจะยิงสามนัด และถ้าไฟไหม้พระบรมราชวัง จะยิงติดต่อกันไปหลายนัดจนกว่าไฟจะดับถึงจะหยุดยิง
   การรักษาเวลามาตรฐาน โดยพนักงานนาฬิกาหลวงคือ พันทิวาทิตย์และพันพินิตจันทรา ทําหน้าที่มาได้ช่วงเวลาหนึ่ง โดยคงจะทําควบคู่ไปกับการยิงปืนบอกเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นที่ป้อมมุมวัดพระเชตุพน
   ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้จ้างฝรั่งชาวยุโรปเข้ามารับราชการ เพื่อวางรากฐานงานด้านต่าง ๆ ในแทบจะทุกวงการ ทางด้านทหารเรือก็เช่นเดียวกัน สําหรับการรักษาเวลานั้น งานของทหารเรือมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเวลาในการวัดดาราศาสตร์เพื่อใช้ในการเดินเรือและการสํารวจแผนที่ ชาวต่างชาติเหล่านี้คงจะได้นําความรู้ความสามารถในการวัดดาราศาสตร์ หาเวลามาตรฐาน และการใช้นาฬิกาโครโนเมตร สําหรับการรักษาเวลาได้อย่างเที่ยงตรง มาแสดงให้ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ พระชลยุทธโยธิน (Andre’ du Plessis de Richelieu) ซึ่งรับราชการอยู่ในกรมทหารเรือในขณะนั้น เป็นเจ้าพนักงาน ออบเซอร์เวตตอรี่หลวง มีหน้าที่คอยตรวจสอบนาฬิกา (เวลา) ความสําคัญของตําแหน่ง พันทิวาทิตย์และพันพินิตจันทรา จึงลดลงจนหมดไปในที่สุด
   นอกจาก พระชลยุทธโยธินชาวเดนมาร์กแล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันก็ยังมี พระนิเทศชลธี หรือ กัปตันลอฟตัส ชาวอังกฤษอีกผู้หนึ่งที่มีความสามารถในเรื่องการหาเวลา เห็นได้จากการที่ท่านได้ ประดิษฐ์นาฬิกาแดดขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ ซึ่งปัจจุบันยังตั้งอยู่ที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ดังได้กล่าวไว้แล้วในบทที่ ๒
   สําหรับการยิงปืนบอกเวลาเที่ยงหรือที่เรียกว่า ยิงปืนเที่ยง นั้น เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ครั้งแรกมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทอดพระเนตรตัวอย่างที่ อังกฤษยิงปืนสัญญาณที่เมืองสิงค์โปร์ เพื่อให้ประชาชนและชาวเรือต่าง ๆ ตั้งนาฬิกา จึงทรงมีพระราชประสงค์ให้มีการยิงปืนที่กรุงเทพ ฯ บ้าง ครั้งแรกโปรดเกล้า ฯ ให้ทหารเรือยิงปืนเที่ยงที่ ตําหนักแพ (ท่าราชวรดิฐ) ก่อน และยิงเฉพาะใน วันเสาร์ เท่านั้น โดยมีพระชลยุทธโยธิน เจ้าพนักงานออบเซอร์เวตตอรี่หลวง เป็นผู้ควบคุมกําหนดเวลายิง ครั้น กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม จัดตั้งทหารปืนใหญ่ขึ้นในทหารล้อมวัง จึงขอรับหน้าที่ยิงปืนเที่ยง มาให้ทหารปืนใหญ่ล้อมวังที่ ป้อมทัศนนิก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระบรมหาราชวัง และเปลี่ยนมาเป็นยิงปืนเมื่อ เวลาเที่ยงทุกวัน ดังประกาศยิงปืนจากราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๙ จุลศักราช ๑๒๔๙ ดังต่อไปนี้
   ประกาศยิงปืน
   วัน ๓ เดือน ๕ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีชวด ยังเป็นนพศก ๑๒๔๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐)
   ด้วย พระชลยุทธโยธิน เจ้าพนักงานออบเซอร์เวตตอรี่หลวง รับพระบรมราชโองการ ใส่เกล้า ฯ สั่งว่าแต่ก่อนได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยิงปืนเที่ยงในวันเสาร์ เพื่อจะให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะต้องการตั้งนาฬิกาให้ตรงกับ เวลามัธยม (คือมินไตน์) กรุงเทพ ฯ เสมอทุกวันเสาร์มา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ลําบากอยู่ ทุกวันนี้การค้าขายเจริญมากขึ้น เรือที่เข้าออกมีขึ้นเป็นอันมากแลมีความปรารถนาเวลามัธยมกรุงเทพ ฯ อยู่ด้วยกันทุกลํา เพราะฉะนั้นจึงทรงพระราชดําริ โดยความที่ทรงพระกรุณาแก่ราษฎรที่ไปมาค้าขายในกรุงเทพ ฯ เพื่อจะได้ประโยชน์ที่จะตั้งนาฬิกาได้ตรงเวลามัธยมกรุงเทพ ฯ จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ ให้ยิงปืนเวลาเที่ยงทุก ๆ วัน เมื่อผู้ใดได้ยินเสียงปืนแล้ว ต้องเข้าใจว่าเป็นเวลาเที่ยงตามเวลามัธยม (มินไตน์) กรุงเทพ ฯ ที่หอออบเซอร์เวตอรีหลวง ซึ่งตั้งอยู่ แลตติจูด ๑๓๔๕๓๘๘ เหนือ ลองติจูด ประมาณ ๑๐๐๒๘๔๕ ตะวันออก ของเมืองกรีนิช กําหนดจะได้ยิงปืนใหญ่ที่ป้อมทัศนนิกทีละด้าน ตะวันตกของพระบรมมหาราชวัง แต่ ณ วัน ๗ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีชวด ยังเป็นนพศก ตรงเวลาเที่ยงเสมอไปทุกๆ วัน อย่าให้ผู้ใดผู้หนึ่งสงสัยตกใจว่าเกิดเพลิงหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ถ้าพ้นเวลาเที่ยงแล้ว หรือก่อนเที่ยงจึงควรถือเอาว่ามีเหตุได้ ถ้าเกิดเพลิงขึ้นในเวลาเที่ยงหรือใกล้เที่ยงจะยิงปืนเป็นสองนัดจึงให้ถือเอาว่ามีเหตุได้
   (จากราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙ จุลศักราช ๑๒๔๙)
   ต่อมาภายหลัง ได้กลับมอบหน้าที่ให้ทหารเรือเป็นผู้ยิงปืนเที่ยงอีก และเป็นผู้รักษาเวลาด้วย กรมทหารเรือได้จัดให้มีการยิงปืนเที่ยงที่ เรือพระที่นั่งจักรี อยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วได้มอบให้กรมยุทธศึกษาทหารเรือจัดการยิงปืนเที่ยงที่ ป้อมวิชัยประสิทธิ์ โดยให้ นักเรียนนายเรือ เป็นผู้ยิง ภายหลังปรากฏว่าไม่สะดวกเพราะนักเรียนนายเรือไม่ได้อยู่กรุงเทพ ฯ ตลอดเวลา ต้องออกไปฝึก  ภาคทะเลบ่อย ๆ จึงมอบหน้าที่การยิงปืนเที่ยงให้เป็นหน้าที่ของ กรมเรือกล ชั้น ๔ เป็นผู้ยิงปืนเที่ยงทุกวัน ที่สนามหญ้าท่าราชวรดิฐ
   สําหรับการรักษาเวลาที่ได้มอบให้ทหารเรือเป็นผู้รักษานั้น หลังจากพระชลยุทธโยธินได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าพนักงานออบเซอร์เวตตอรี่หลวง ท่านแรกแล้ว ยังหาหลักฐานไม่พบว่าท่านผู้ใดเป็นผู้ดํารงตําแหน่งหรือทําหน้าที่ควบคุมการวัดดาราศาสตร์หาเวลามาตรฐานต่อมา แต่เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาคือ
   - ใน พ.ศ. ๒๔๓๗ ทางราชการได้ย้าย น.ต.ริเชลิว (Louis du Plessis de Richelieu) น้องชายของพระชลยุทธโยธิน ซึ่งย้ายไปปฏิบัติราชการจนเป็น ผู้ช่วยเจ้ากรมแผนที่ กลับมารับราชการทางกรมทหารเรืออีก มีตําแหน่งเป็น หัวหน้าสํานักงานแผนที่ทะเล (ได้เลื่อนยศเป็นนาวาโท – ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระพลสินธวาณัตก์)
   - พ.ศ. ๒๔๓๙ ยกฐานะ สํานักงานแผนที่ทะล เป็น กองแผนที่ทะเล ขึ้นตรงต่อกรมทหารเรือ
   - พ.ศ. ๒๔๔๖ ทางราชการได้จัดส่วนราชการใหม่ ให้ กองแผนที่ทะเลไปขึ้นตรงต่อกรมยุทธศึกษาทหารเรือ มีหน้าที่ สํารวจแผนที่ทะเล ตรวจสอบและรักษาเวลามาตรฐาน สําหรับใช้ในราชนาวี
   จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ข้างต้น สันนิษฐานว่า พระชลยุทธโยธิน (ต่อมาเป็น พระยาชลยุทธโยธิน - รองผู้บัญชาการทหารเรือ) คงจะมอบหมาย งานรักษาเวลาให้สํานักงานแผนที่ทะเลซึ่งมี น.ต.ริเชลิว   ผู้เป็นน้องชายและเป็นผู้มีความรู้ทางด้านดาราศาสตร์ดีอยู่แล้วเป็นหัวหน้าสํานักงาน เมื่อสํานักงานแผนที่ทะเลได้รับการยกฐานะเป็นกองแผนที่ทะเล งานรักษาเวลามาตรฐานจึงได้ตกทอดมาอยู่ในความรับผิดชอบของกองแผนที่ทะเลด้วย และเมื่อย้ายกองแผนที่ทะเลมาสังกัดกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทางราชการจึงได้มอบหน้าที่การยิงปืนเที่ยงให้กรมยุทธศึกษาทหารเรือ โดยมีนักเรียนนายเรือ ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็นผู้ทําการยิง
   การยิงปืนเที่ยงมาเลิกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ เพราะมีไฟฟ้าและวิทยุใช้แล้ว การเทียบเวลาโรงไฟฟ้าจะทํา ไฟกระพริบ เป็นสัญญาณให้เทียบนาฬิกา เมื่อ เวลาสองทุ่ม สําหรับ วิทยุ ก็บอกสัญญาณให้เทียบนาฬิกาในเวลาเดียวกันเช่นกัน
   ในช่วงเวลาเหล่านี้มีประกาศพระราชกฤษฎีกา และประกาศของทางราชการเกี่ยวกับเรื่องเวลาหลายฉบับด้วยกัน เช่นในสมัยก่อน พ.ศ. ๒๔๖๐ การขึ้นวันใหม่เริ่มต้นวันเมื่อ ย่ำรุ่ง (คือ ๐๖:๐๐ นาฬิกา) จนใน พ.ศ. ๒๔๖๐ มีประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับหนึ่ง ให้ใช้การขึ้นวันใหม่เช่นเดียวกับชาวยุโรป คือ เริ่มต้นวัน เมื่อ ๑๒ ชั่วโมง ก่อนเที่ยงวัน (เที่ยงคืน) และสิ้นวันเมื่อ ๑๒ ชั่วโมง ภายหลังเที่ยงวัน และก่อน พ.ศ.๒๔๖๓ ประเทศไทยได้ใช้ เวลาอัตรา เร็วกว่าเวลาสมมุติกรีนิช ๖ ชั่วโมง ๔๑ นาที ๕๗.๓๐ วินาที จึงใน พ.ศ. ๒๔๖๒ มีประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับหนึ่ง เปลี่ยนเป็นให้ใช้ เวลาอัตราเร็วกว่าเวลาสมมุติกรีนิช ๗ ชั่วโมง ตั้งแต่ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ เป็นต้นไป
การรักษาเวลามาตรฐานจาก พ.ศ.๒๔๗๖ เป็นต้นมา
   การวัดดาราศาสตร์เพื่อหาเวลามาตรฐานตั้งแต่เริ่มแรกมานั้นสันนิษฐานว่าคงจะใช้ เครื่องวัดแดดในการวัดมุมและใช้นาฬิกาโครโนเมตรบันทึกเวลา ต่อมากรมอุทกศาสตร์ได้รับ นาฬิกาชนิดลูกตุ้ม ซึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบําราบปรปักษ์ ทรงประทานให้ ๑ เรือน และได้สั่งซื้อจากประเทศเดนมาร์กอีก ๑ เรือน เพื่อใช้เป็น นาฬิกามาตรฐาน แทนนาฬิกาที่ใช้อยู่เดิม นาฬิกาทั้ง ๒ เรือน เป็นนาฬิกาแบบไขลานที่มีความเที่ยงตรงสูง มีบทบาทในการรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทยมาหลายทศวรรษ ปัจจุบันก็ยังใช้ราชการอยู่ และยังทํางานได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะใช้งานมานานมากแล้วก็ตาม
   ในช่วงก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๖ การตรวจสอบเวลาเพื่อใช้ทั่วประเทศตามที่กรมอุทกศาสตร์ได้ ทําอยู่ในเวลานั้น ถ้าเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้ว เฉพาะเครื่องมือนับได้ว่าล้าสมัยหลายสิบปี เกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดใช้วิธีอย่างไทย กรมอุทกศาสตร์เล็งเห็นถึงความจําเป็นที่จะต้องเปลี่ยนใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เพราะเวลาที่ใช้นั้นไม่ใช่เฉพาะประชาชนพลเรือนเท่านั้น ยังต้องใช้เทียบเคียงกับต่างประเทศและชาวเรือโดยทั่วไปด้วย โดยเฉพาะชาวเรือ และการเดินเรือย่อมต้องการความละเอียดถูกต้องของเวลามาก กรมอุทกศาสตร์ จึงมีความต้องการที่จะจัดหาเครื่องมือตรวจสอบ และรักษาเวลาที่ทันสมัยให้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ก็ยังติดขัดด้วยงบประมาณ
   ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๖ การรักษาเวลาอยู่ในความรับผิดชอบของ หมวดเครื่องมือเดินเรือ กองอุปกรณ์การเดินเรือ โดยใช้ นาฬิกาลูกตุ้มเรือนเกณฑ์ เป็น นาฬิกาหลัก ในการรักษาเวลา และทําการวัดดาราศาสตร์ ตรวจหาความผิดของนาฬิกาลูกตุ้มเรือนเกณฑ์โดยกําหนด ๗ วัน ต่อครั้ง ถ้าวันไหนอากาศไม่ดี เช่น มีเมฆมากหรือฝนตก ไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้ ก็จะเลื่อนตรวจในวันต่อไป วิธีการตรวจโดย การวัดสูงเท่าของดวงอาทิตย์ ด้วย เครื่องวัดแดด (SEXTANT) จดเวลาด้วยนาฬิกาโครโนเมตร แล้วนําไปเทียบกับนาฬิกาลูกตุ่มเรือนเกณฑ์อีกชั้นหนึ่ง ความผิดของนาฬิกาคํานวณถึงเพียงทศนิยม ๓ ตําแหน่ง ของวินาที อัตราเปลี่ยนประจําวันใช้เพียงทศนิยม ๓ ตําแหน่ง เช่นในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้ใช้การตรวจโดยวิธีวัดสูงของดวงอาทิตย์ ๓๔ ครั้ง คิดเฉลี่ย ๑๑ วันต่อครั้ง อัตราผิดประจําวันของ นาฬิกาลูกตุ้มเรือนเกณฑ์ ก. อย่างสูงไม่เกิน ๐.๙๗๑ วินาที อย่างต่ำไม่น้อยกว่า ๐.๐๐๒ วินาที อัตราผิดประจําวันของ นาฬิกาลูกตุ้มเรือนเกณฑ์ ข. อย่างสูงไม่เกิน ๐.๘๕๗ วินาที อย่างต่ำไม่น้อยกว่า ๐.๐๑๓ วินาที
   หมายเหตุ นาฬิกาเรือนเกณฑ์ ก. ตั้งตามเวลาสมมุติที่กรีนิช (Greenwich Mean Time) นาฬิกาเรือนเกณฑ์ ข. ตั้งตามเวลามาตรฐานประเทศไทย (Standard Mean Time) ที่กรุงเทพ ฯ ในช่วงระยะ เวลาที่ดําเนินการตรวจรักษาเวลานั้น ได้ทําการตรวจความผิดของ นาฬิกาโครโนเมตร ที่มีอยู่ด้วย โดยทําการตรวจทุกครั้งภายหลังที่ตรวจความผิดของนาฬิกาเรือนเกณฑ์ แล้วตรวจโดยวิธีเทียบกับนาฬิกาเรือนเกณฑ์ การคํานวณความผิดและอัตราเปลี่ยนประจําวันใช้เพียงทศนิยม ๓ ตําแหน่ง ของวินาที เช่นเดียวกับนาฬิกาเรือนเกณฑ์
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ นาฬิกาโครโนเมตร เรือนที่เดินเที่ยงตรงดีที่สุด มีอัตราเปลี่ยนประจําวันอย่างมากเพียง ๐.๕๓๘ วินาที อย่างน้อย ๐.๐๒๘ วินาที เรือนที่เร็วที่สุดมีอัตราผิดประจําวันอย่างมาก  ๖.๑๕๕ วินาที อย่างน้อย ๒.๑๘๕ วินาที
   สําหรับนาฬิกาโครโนเมตรที่จ่ายให้กับเรือต่าง ๆ ก่อนจ่ายจากคลังเครื่องมือเดินเรือ เจ้าหน้าที่ประจําหมวดจะเทียบหาความผิดและอัตราเปลี่ยนประจําวันให้ก่อนทุกครั้ง
ในช่วงเวลานั้น เนื่องจากการติดต่อสื่อสารในระบบบริการของกองอุปกรณ์การเดินเรือ ยังไม่มีความเจริญก้าวหน้ามากนัก ดังนั้นจึงมีหน่วยงานราชการและเอกชน ๆ อื่นนอกกองทัพเรือ ได้นํานาฬิกามาให้กรมอุทกศาสตร์ ตรวจสอบหาความผิดและเปรียบเทียบให้ โดยเมื่อมีผู้ส่งนาฬิกาให้ตรวจสอบความผิด เจ้าหน้าที่ประจําหมวดจะรับตรวจและจดรับรองรายการเทียบให้เสมอ เว้นแต่เจ้าของผู้มาขอเทียบนั้นๆ เป็นนายทหารเรือพรรคนาวินอยู่แล้ว ผู้มาขอเทียบมักทําการเทียบด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่ประจําหมวดเป็นแต่ช่วยให้ความสะดวกในการแสดงรายการต่าง ๆ เท่าที่ผู้มาขอเทียบต้องการทราบเท่านั้น
   ตามปกติ มีผู้ขอเทียบความผิดของนาฬิกา หรือตั้งเวลาเป็นประจํา คือบรรดาเรือหลวงที่นาฬิกาโครโนเมตรประจําเรือสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง กรมอู่ทหารเรือ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง กรมไปรษณีย์โทรเลข แผนกวิทยุกระจายเสียงเทียบไปตั้งบอกเวลา ๒๐:๐๐ น. ทางวิทยุกระจายเสียงสัปดาห์ละ ๓ ครั้ง กรมรถไฟหลวงสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ที่ไม่มีกําหนดแน่นอนแต่มาขอเทียบเสมอ คือ กรมเจ้าท่า, ห้าง เอส.เอ.บี.,   ห้าง แอลยีรอกันติ, บริษัทไฟฟ้าสยาม, บริษัท ซี.ฮวด นอกจากนี้ยังมีสถานที่ราชการ ห้างร้าน    บริษัทต่า ง ๆ และท่าเรือได้ขอเทียบและตั้งเวลาโดยทางโทรศัพท์อีกเป็นอันมาก
   ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ กรมอุทกศาสตร์ ได้สั่ง กล้องวัดดาว นาฬิกา และเครื่องโครโนกราฟ สําหรับใช้ในการตรวจสอบนาฬิกา ซึ่งอุปกรณ์และเครื่องมือดังกล่าวได้ตรวจรับไว้ใช้ในราชการ เมื่อ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ มีรายการดังนี้
   ๑. กล้องวัดดาว ชนิด Meridian Transit Instrument (Askania Werke A.G.) ๑ กล้อง      ราคา ๒๑,๑๗๕.๒๕ บาท
   ๒. นาฬิกาดาราศาสตร์ ชนิด Ritfler เรือนเกณฑ์ ๑ เรือน เรือนที่สอง ๑ เรือน พร้อมเครื่อง ประกอบ ราคา ๗,๗๓๗.๖๐ บาท
   ๓. โครโนกราฟ สําหรับใช้ประกอบกับกล้องวัดดาว และนาฬิกาดาราศาสตร์ชนิด Wetzer Tape Chronograph ๑ ชุด ราคา ๑,๖๖๗.๘๔ บาท
   ในช่วงที่กรมอุทกศาสตร์ดําเนินการสั่งซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบเวลาดังกล่าวข้างต้นในพ.ศ. ๒๔๗๗
   กรมอุทกศาสตร์ ก็ได้จัดสร้าง หอตรวจดาว ขึ้นภายในบริเวณสนามหญ้าชั้นในหน้าท้องพระโรงพระราชวังเดิม ใกล้กับโรงเรียนนายเรือเดิม อาคารหอตรวจดาว เป็นรูปตึกคอนกรีตชั้นเดียว ๘ เหลี่ยม กว้างเหลี่ยมละ ๒.๐๐ เมตร สูง ๓.๔๐ เมตร หลังคาทําให้ ปิด - เปิด ได้กว้าง ๒.๐๐ เมตร ช่องหลังคาที่ปิด – เปิดได้นี้อยู่ใน แนวทิศเหนือ - ใต้จริง ตอนกลางมีแท่นสําหรับตั้งกล้องวัดดาว และมีผนังอิสระสําหรับติดนาฬิกาดาราศาสตร์ และเครื่องประกอบ เมื่อได้สร้างเสร็จแล้วจึงได้โอนตึกนี้ขึ้นมาอยู่กับหมวดเครื่องมือเดินเรือ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ถูกติดตั้งตามคําแนะนําซึ่งได้รับจากบริษัทที่ผลิตเครื่องมือ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ต่อจากนั้นได้มีการตรวจแก้หาความผิดและศึกษาลักษณะของเครื่อง ความสัมพันธ์จากตัวเครื่องจริง ๆ ประกอบกับทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครื่องเท่าที่จะทําได้ แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ในหมวดเครื่องมือเดินเรือ ในระยะนั้นมีจํานวนน้อย เวลาที่ใช้ในการศึกษาก็มีวิธีใช้เครื่องเพียงเท่าที่ปลีกมาได้ จากเวลาที่เหลือจากงานประจํา ดังนั้นในช่วงระยะแรก ๆ จึงยังใช้กล้องนี้ทํางานไม่ได้ผล แต่ต่อมาก็ได้ผลดีขึ้น
   ค่าก่อสร้างหอนาฬิกาและหอกล้องวัดดาวใช้งบประมาณ ๑,๕๐๐. - บาท โดยใช้งบประมาณประเภทเงินการจร พ.ศ. ๒๔๗๘ การดําเนินการในการตรวจสอบเวลา และการบริการสัญญาณเทียบเวลาในระยะนี้เป็นการดําเนินงานที่ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากยังไม่สามารถให้บริการส่งสัญญาณเทียบเวลาออกอากาศได้ เป็นแต่เพียงรักษาเวลานาฬิกามาตรฐานที่มีอยู่ให้แน่นอนเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะนาฬิกาลูกตุ้มเรือนเกณฑ์ที่มีอยู่ ไม่มีเครื่องประกอบเมื่อส่งสัญญาณเวลา ดังนั้นการบริการก็มีเฉพาะบริการเพียงเวลาถามทางโทรศัพท์ และการนํานาฬิกาเทียบที่กรมอุทกศาสตร์
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ กล้องวัดดาวได้รับความเสียหายต้องส่งกลับไปซ่อมที่โรงงาน เสร็จแล้วได้นํากลับมาติดตั้งใช้งานที่หอตรวจดาวบนดาดฟ้าอาคาร ๑ ที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ และได้เตรียม ก่อสร้างแท่นตั้งกล้องวัดดาวไว้อย่างดี กล่าวคือ แท่นนี้ได้ก่อสร้างก่อนตัวอาคาร โดยการตอกเสาเข็มลึกลงไปถึงชั้นดินแข็งจนตอกเสาเข็มไม่ลง เพื่อไม่ให้มีการทรุดตัว จากนั้นจึงผูกเหล็กเทคอนกรีตเป็นแท่นสี่เหลี่ยมแกนกลวง กว้าง ๑.๕๐ เมตร ยาว ๒.๐๐ เมตร แยกต่างหากจากตัวอาคารเพื่อมิให้การสั่นสะเทือนจากตัวอาคารและจากพื้นดินโดยรอบมากระทบถึงแท่นตั้งกล้อง ดังนั้นในขณะตรวจวัดดาว ภาพจะไม่มีการสั่นไหวแม้ว่าจะใช้กําลังขยายสูงมากก็ตาม นาฬิกาลูกตุ้มเรือนเกณฑ์ทั้ง ๒ เรือน ก็ติดตั้งอยู่กับแท่นนี้เช่นกัน เพื่อไม่ให้ได้รับความสั่นสะเทือนจากสภาวะโดยรอบ
   วิธีการตรวจดาวนั้น กล้องตรวจดาวจะติดตั้งใน แนวเมอริเดียน มีนาฬิกาดาราศาสตร์ (Sidereal Clock) ๒ เรือน ๆ หนึ่งอยู่บนหอตรวจดาว อีกเรือนหนึ่งอยู่ชั้นล่าง เก็บรักษาไว้ในครอบแก้วที่ ดูดอากาศออกจนเป็นสุญญากาศ มีสายสัญญาณซินโครนัสต่อขึ้นไปบนหอตรวจดาวเพื่อเปรียบเทียบกับนาฬิกาดาราศาสตร์บนหอ ที่นาฬิกาลูกตุ้มเรือนเกณฑ์ ๒ เรือน จะมีหน้าสัมผัสต่อสัญญาณไปเปรียบเทียบ กับนาฬิกาดาราศาสตร์ โดยใช้โครโนกราฟซึ่งอ่านได้ละเอียดถึง ๑ ใน ๑,๐๐๐ ของวินาที เวลาดาวผ่าน    เมอริเดียน จะต้องคํานวณอย่างละเอียด เพื่อเปรียบเทียบกับเวลาดาวผ่านจริง หาอัตราผิดของนาฬิกาดาราศาสตร์แต่ละคืนต้องวัดหลายดวง เพื่อหาค่าเฉลี่ยอัตราผิด แล้วแปลงเป็นเวลาดวงอาทิตย์เปรียบเทียบหาอัตราแก้ของนาฬิกาเรือนเกณฑ์ด้วยโครโนกราฟ การปรับแก้หยาบใช้เกลียวหมุนปรับความยาวของลูกตุ้ม การปรับแก้อย่างละเอียด ต้องใช้การถ่วงน้ําหนักด้วยแผ่นอลูมิเนียมบาง ๆ ซึ่งตัดตามน้ำหนักที่ต้องการ ขนาดเบาที่สุดเพียง ๐.๐๐๑ กรัม นับเป็นงานที่ละเอียดอ่อนมาก
   การรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทยโดยใช้กล้องวัดดาวผ่าน เมอริเดียน ได้ดําเนินการมา จนถึงประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๕ กล้องตรวจดาวเสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน ประกอบกับการเทียบเวลาในขณะนั้น สามารถจะใช้วิธีรับสัญญาณเทียบเวลาจากสถานีที่รัฐฮาวาย ของสหรัฐอเมริกา, สถานีที่กรุงโตเกียว ของญี่ปุ่น และสถานีที่กรุงปักกิ่ง ของจีน ได้สะดวกและถูกต้องกว่า จึงหันไปใช้การรับสัญญาณเทียบเวลาจากสถานีดังกล่าวแทน โดยคํานวณแก้เวลาด้วยค่าคงที่ เนื่องจากระยะทาง และเทียบหาอัตราผิดของนาฬิกาเรือนเกณฑ์ ด้วยโครโนกราฟ การวัดดาวหาเวลามาตรฐานจึงค่อย ๆ เลิกไป สําหรับการรับสัญญาณเวลานั้น ก็ได้ใช้เป็นหลักอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๕๑๔ เมื่อกรมอุทกศาสตร์ เปลี่ยนระบบรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย เป็นระบบเวลาจาก นาฬิกาปรมาณู จึงใช้เวลาจากระบบใหม่เป็นหลัก และใช้การรับสัญญาณจากสถานีต่าง ๆ เพื่อการเปรียบเทียบ ปัจจุบันกล้องตรวจดาวเก็บรักษ  าไว้ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จ.สมุทรปราการ
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กองอุปกรณ์การเดินเรือ ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งแผนกดาราศาสตร์ขึ้นใหม่ เพื่อให้รับผิดชอบงานรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย และงานด้านดาราศาสตร์ ผู้ดํารงตําแหน่งหัวหน้าแผนกดาราศาสตร์คนแรก คือ น.ท.สมชาย ชั้นสุวรรณ (รักษาราชการ) ขณะนั้นดํารงตําแหน่งหัวหน้ากองอุปกรณ์การเดินเรือด้วย
   พ.ศ. ๒๕๐๓ แผนกดาราศาสตร์ กองอุปกรณ์การเดินเรือ ได้เสนอโครงการเวลามาตรฐาน (TIME SERVICE PROJECT) เพื่อเสนอขออนุมัติต่อจากกองทัพเรือ โดยมีวัตถุประสงค์ ๕ ประการ คือ
   ๑. รักษาเวลามาตรฐานของประเทศ
   ๒. ส่งสัญญาณเทียบเวลาทางวิทยุ
   ๓. รักษาความถี่มาตรฐาน
   ๔. ส่งความถี่มาตรฐานทางวิทยุ
   ๕. บริการเทียบเวลาทางโทรศัพท์
   ระบบเวลาดังกล่าวนี้เป็นระบบที่มีความทันสมัย ในช่วงเวลานั้นสามารถตรวจสอบและ รักษาเวลาในระบบดาราศาสตร์ และเปรียบเทียบสัญญาณเวลาความถี่มาตรฐานจากต่างประเทศได้ ซึ่งจะทําให้ระบบการรักษาเวลามีความถูกต้องและเป็นมาตรฐานสากลสูงขึ้น แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าวใช้ งบประมาณในการดําเนินการค่อนข้างสูง คือ ประมาณ ๑,๑๓๐,๐๐๐. - บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนสามหมื่นบาทถ้วน)
   ในช่วงเวลานั้น กองทัพเรือยังไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณได้ จึงได้ชะลอโครงการ ดังกล่าวไว้ก่อน โครงการเวลามาตรฐานได้รับอนุมัติให้ดําเนินการได้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โดยจัดสรร งบประมาณให้เป็นปี ๆ ไป ซึ่งได้ดําเนินการไปจนถึงขึ้นเปิดปฏิบัติงานได้ ดังนี้
   ปีงบประมาณ ๒๕๑๓ ได้จัดซื้ออุปกรณ์เวลามาตรฐานจากประเทศเยอรมันนี เป็นเงิน ๑,๓๙๙,๕๐๐.- บาท ประกอบไปด้วย
   - นาฬิกาควอทซ์ ความถี่สูงขนาดใหญ่ ๓ เรือน ซึ่งมีอัตราผิด ๑/๑๐๐,๐๐๐ วินาทีต่อวัน นาฬิกานี้ นอกจากจะรักษาเวลาได้อย่างเที่ยงตรงแล้ว ยังสามารถผลิตความถี่มาตรฐานได้ ๓ ความถี่ คือ ๕ MHz, ๑ MHz และ ๐.๑ MHz สําหรับบริการตรวจสอบความถี่ของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หรือ เครื่องมือในห้องปฏิบัติการ
   - เครื่องเทียบความถี่ เพื่อใช้เทียบความถี่ของ นาฬิกาควอทซ์ กับ ความถี่มาตรฐานสากล เช่น จากสถานี Rugby ในประเทศอังกฤษ โดยมีเครื่องรับความถี่อยู่ภายใน และสามารถปรับความถี่ของนาฬิกาควอทซ์ ให้ลงรอยความถี่มาตรฐานสากลได้ โดยอัตโนมัติตลอด ๒๔ ชั่วโมง
   - เครื่องบันทึกการเปรียบเทียบความถี่ของนาฬิกาควอทซ์ กับความถี่มาตรฐานสากล ให้เห็นได้ตลอดเวลาว่ามีการปรับแต่งไปอย่างไรบ้าง และความถี่ของนาฬิกาควอทซ์ ตรงกับความถี่มาตรฐานสากลหรือไม่
   - เครื่องทําโปรแกรมสัญญาณ จํานวน ๒ เครื่อง สําหรับสัญญาณเทียบเวลาระบบอเมริกันเพื่อส่งสัญญาณเทียบเวลาทางวิทยุให้กับเรือต่าง ๆ ในทะเล คือจะเริ่มส่งสัญญาณเทียบเวลาตั้งแต่ นาทีที่ ๕๕ ทุกนาที จนถึงนาทีที่ ๖๐ ของทุกชั่วโมง อีกเครื่องหนึ่งสําหรับทําสัญญาณเทียบเวลาระบบอังกฤษเพื่อ ส่งสัญญาณเทียบเวลาให้ประชาชนทั่วไป คือจะส่งสัญญาเทียบเวลาทุก ๑๐ วินาที ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
   - นาฬิกาควบคุมเวลา เป็นนาทีและวินาที สําหรับใช้ควบคุมเวลาที่จะส่งไปให้นาฬิกาพ่วงตามสถานที่ต่าง ๆ ได้ ๓๐ เรือน
   - สโคปเวลา สําหรับดูเพื่อเปรียบเทียบคลื่นความถี่ เวลาระหว่างนาฬิกาของแต่ละเรือน และสามารถเปรียบเทียบคลื่นความถี่เวลาจากสถานีความถี่มาตรฐานต่างประเทศกับคลื่นความถี่เวลาของนาฬิกาแต่ละเรือนได้อีกด้วย สโคปเวลานี้สามารถอ่านความแตกต่างกันได้ถึง ๑/๑,๐๐๐,๐๐๐ วินาที
   - เครื่องรับวิทยุ แบบรับความถี่ประจํา สําหรับสัญญาณจากสถานีวิทยุต่างประเทศที่เชื่อถือได้ แล้วส่งไปเปรียบเทียบเวลาให้ดูได้ที่สโคปเวลา
   - แบตเตอรี่ สําหรับใช้กับอุปกรณ์ทั้งหมดเมื่อไฟฟ้าดับ ได้นานถึง ๔๐ ชั่วโมง โดยอัตโนมัติ อุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้นติดตั้งเสร็จเรียบร้อยเมื่อ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๔
ปีงบประมาณ ๒๕๑๔ จัดซื้ออุปกรณ์ผลิตความถี่มาตรฐาน ด้วยพลังงานปรมาณูจากธาตุ รูบีเดียม ๘๗ พร้อมทั้งระบบเวลาเพื่อนําไปใช้เดินนาฬิกา ที่มีเป็นพิเศษอยู่แล้ว ๑ เรือน เป็นเงิน ๔๔๙,๓๐๐.- บาท อุปกรณ์นี้ผลิตความถี่มาตรฐานได้ ๖,๘๓๔,๖๘๒,๕๓๙ รอบต่อ ๑ วินาที มีอัตราผิดเพียง ๑/๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ รอบต่อเดือน เมื่อนําไปใช้เดินนาฬิกาแล้ว จากผลการตรวจสอบในระยะเวลา ๓๐ วัน ปรากฏว่านาฬิกามีอัตราผิดเพียง ๑/๑,๐๐๐,๐๐๐ วินาที นอกจากนั้นยังใช้ควบคุมความถี่ของนาฬิกาควอทซ์ทั้ง ๓ เรือน โดยต่อเข้ากับเครื่องเทียบความถี่ที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้ไม่จําเป็นต้องใช้เทียบความถี่มาตรฐานสากล เช่น จากสถานี Rugby ในอังกฤษอีกต่อไป อุปกรณ์นี้ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยเมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๔
   ปีงบประมาณ ๒๕๑๕ จัดซื้อเครื่องประกอบสําหรับแจ้งสัญญาณเทียบเวลาให้แก่ประชาชนทางโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ เป็นเงิน ๑๔๙,๘๕๐.- บาท เครื่องประกอบนี้ใช้ต่อกับเครื่องทําโปรแกรมสัญญาณ ติดตั้งเสร็จเรียบร้อย เมื่อ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ พร้อมกันนี้ องค์การโทรศัพท์ยังได้กรุณาติดตั้งโทรศัพท์อัตโนมัติ ให้อีก ๙ เลขหมาย เพื่อบริการความสะดวกในการเทียบเวลาของประชาชนยิ่งขึ้น คือ หมายเลข ๖๖๑๑๗๐ ถึง หมายเลข ๖๖๑๑๗๘ (ในปัจจุบันองค์การโทรศัพท์ได้เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ทั้ง ๙ หมายเลขดังกล่าวเป็นโทรศัพท์อัตโนมัติหมายเลข ๑๘๑) และเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ พล.ร.อ. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะทรงพระยศเป็น ร.ท.เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ ได้เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดเครื่องอุปกรณ์รักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
   หลังจากเสร็จโครงการในระยะแรกแล้ว กรมอุทกศาสตร์ ก็ได้จัดหาอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ มาเสริมการทํางานของระบบเวลามาตรฐานประเทศไทย ให้สามารถคงสมรรถนะและสามารถบริการประชาชนได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามลําดับ ดังนี้
   ปีงบประมาณ ๒๕๑๖ จัดซื้อนาฬิกาแบบ Digital Clock ซึ่งเป็นนาฬิกาที่แสดงเวลาตัวตัวเลข โดยตัวเลขจะเคลื่อนตัวเปลี่ยนไปทุก ๆ วินาที และ Digital Programmer เพื่อขยายโปรแกรมสัญญาณบอกเวลา และเป็นเครื่องสํารองที่มีใช้อยู่เดิมแล้ว เป็นเงิน ๑๔๓,๐๐๐.- บาท
   ปีงบประมาณ ๒๕๑๗ จัดซื้ออุปกรณ์ Digital Signal Generator ซึ่งสามารถส่งความถี่ได้ ตั้งแต่ ๓๐๐ Hz ถึง ๓๒ MHz เพื่อใช้ในการปรับแต่งความถี่ของเครื่องมือตรวจวัดต่าง ๆ และเครื่องมือที่ต้องการความถูกต้องในด้านความถี่สูงให้ถูกต้องแก่หน่วยงานราชการต่าง ๆ เป็นเงิน ๑๕๘,๐๐๐.- บาท
   ปีงบประมาณ ๒๕๑๘ จัดซื้ออุปกรณ์ Time Code Generator เป็นเงิน ๑๕๑,๗๕๐.- บาท เครื่อง Remote Display เป็นเงิน ๖๓,๕๐๐.- บาท และ Time Code Reader เป็นเงิน ๔๔,๙๐๐.- บาท เพื่อส่งสัญญาณเวลาให้แก่หน่วยราชการต่า ง ๆ เช่น กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
   ปีงบประมาณ ๒๕๑๙ จัดซื้อเครื่องควบคุมความถี่ (Frequency Controller) จํานวน ๒ เครื่อง เพื่อควบคุมความถี่ที่ผลิตได้ให้ตรงกับความถี่มาตรฐานของประเทศ เป็นเงิน ๒๘๙,๘๐๐.- บาท
   ปีงบประมาณ ๒๕๒๒ จัดหาอุปกรณ์ผลิตความถี่มาตรฐานด้วยพลังงานปรมาณูจากธาตุ ซีเซี่ยม (Caesium Frequency Standard) มาใช้แทน ธาตุรูบีเดียม ๘๗ เป็นเงิน ๖๔๖,๐๐๐.- บาท
   ปีงบประมาณ ๒๕๓๔ ได้จัดซื้อเครื่องรับสัญญาณเวลามาตรฐานสากลจากสัญญาณ ดาวเทียม ระบบ GPS (G.P.S. Satellite Timing Receiver แบบ FTS.800) จํานวน ๑ เครื่อง เพื่อใช้  เปรียบเทียบกับสัญญาณเวลามาตรฐานประเทศไทย เป็นเงิน ๘๑๘,๐๐๐.- บาท
   ปีงบประมาณ ๒๕๓๖ จัดซื้อนาฬิกาบอกเวลา (S[eaking Clock) จํานวน ๑ เครื่อง เพื่อใช้ ทดแทนนาฬิกาบอกเวลาเดิม เป็นเงิน ๖๘,๖๐๐.- บาท
   ปีงบประมาณ ๒๕๓๗ ดําเนินการย้ายอุปกรณ์รักษาเวลามาตรฐานประเทศไทย จากห้องรักษาเวลาเดิมซึ่งตั้งอยู่บริเวณแผนกดาราศาสตร์ชั้นล่าง อาคาร ๒ มาไว้ที่ห้องเวร กรมอุทกศาสตร์เดิม ชั้นล่าง อาคาร ๑ หน้าห้องแผนกเอกสารการเดินเรือ เหตุที่ย้ายเนื่องจากสภาพอาคาร ๒ ไม่ปลอดภัยในการ ใช้งาน ทําการย้ายเมื่อวันที่ ๒ – ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
   ปีงบประมาณ ๒๕๓๙ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ กรมอุทกศาสตร์ได้ส่งนายทหารจํานวน ๓ นาย มี น.ท.ไชยวุฒิ นาวิกาญจนะ หัวหน้าแผนกดาราศาสตร์ กองอุปกรณ์การเดินเรือ น.ท.จักรกฤช มะลิขาว หัวหน้าแผนกยีออฟิสิกส์ กองสํารวจแผนที่ และ น.ต.ชัยฤทธิ์ เกิดผล หัวหน้าแผนกเอกสารการเดินเรือ กองอุปการณ์การเดินเรือ ไปดูงานและฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบอุปกรณ์รักษาเวลามาตรฐาน ที่โรงงานบริษัท HEWLETT PACKARD และโรงงานบริษัท DATUM มลรัฐ California ประเทศ สหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกัน เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้จัดซื้อเครื่องผลิตความถี่มาตรฐาน CAESIUM จากบริษัท HEWLETT PACKARD รุ่น HP 5071 A ราคา ๒,๔๘๒,๔๐๐.- บาท ต่อมาได้จัดส่งนายทหาร จํานวน ๒ นาย คือ น.ท.ไชยวุฒิ นาวิกาญจนะ เสนาธิการ หมวดเรืออุทกศาสตร. และ น.ท.จักรกฤช มะลิขาว หน.สํารวจแผนที่ทะเล ไปศึกษาอบรมหลักสูร Time & Frequency Standard ที่ สถาบัน National Physical laboratory เมือง Teddington ประเทศ อังกฤษ
   ปีงบประมาณ ๒๕๔๐ ได้จัดซื้อเครื่องรับสัญญาณเวลามาตรฐานสากลจากสัญญาณดาวเทียม ระบบ GPS (G.P.S. Satellite timing receiver) จากบริษัท DATUM INC. จํานวน ๑ เครื่อง เพื่อ ใช้เปรียบเทียบกับสัญญาณเวลามาตรฐานประเทศไทย เป็นเงิน ๔๙๒,๒๐๐.- บาท
   ปีงบประมาณ ๒๕๔๑ จัดซื้อระบบรักษาเวลามาตรฐานเพิ่มเติม จํานวน ๑ ระบบ เป็นเงิน ๘,๗๗๑,๘๒๖.- บาท เพื่อทดแทนระบบเดิมเกือบทั้งหมดที่เสื่อมสภาพ
   ปีงบประมาณ ๒๕๔๘ ดําเนินการจัดหาอุปกรณ์พร้อมติดตั้ง ดังนี้
   - เครื่องผลิตความถี่มาตรฐาน (Cesium) รับมอบอุปกรณ.พร้อมติดตั้งเมื่อ ๒๐ พ.ค.๔๘
   - ระบบให้เวลาทาง Internet รับมอบอุปกรณ์พร้อมติดตั้งเมื่อ ๒๐ พ.ค.๔๘
   - เครื่องรับสัญญาณเวลา GPS Satellite Timing Receiver รับมอบอุปกรณ์พร้อมติดตั้งเมื่อ ๒๐ พ.ค.๔๘
   - เครื่องบอกเวลาทางโทรศัพท์ (Speaking Clock) รับมอบอุปกรณ์พร้อมติดตั้งเมื่อ ๓๐ ส.ค.๔๘
   - เครื่องสอบเทียบเวลาระดับ Primary รับมอบอุปกรณ์พร้อมติดตั้งเมื่อ ๒๓ ส.ค.๔๘

Logged
มาคืน "สยามเมืองเคยยิ้ม" กลับสู่ "สยามเมืองยิ้มยุคก้าวหน้า" ด้วย ยิ้มสยาม กันนะครับ ... Welcome To Smile Siam by Siamese Smile

Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.079 seconds with 21 queries.