Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 03:49:37

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  เรื่องเล่าจากความทรงจำที่หาฟังยาก  |  เรื่องเล่าของ (อดีต) เด็กเกเร ในวันที่ลุกขึ้นสู้เพื่อพ่อแม่
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: เรื่องเล่าของ (อดีต) เด็กเกเร ในวันที่ลุกขึ้นสู้เพื่อพ่อแม่  (Read 2944 times)
LAMBERG
มายิ้มในใจกันไว้เรื่อยๆ สนุกดีๆ
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 1,479


View Profile
« on: 24 January 2013, 20:06:33 »

วันนี้กระปุกดอทคอม มีเรื่องราวจากประสบการณ์ในชีวิตจริงของ คุณ elen  แห่งเว็บไซต์พันทิป ที่อนุญาตให้นำมาบอกเล่าต่อให้ฟังกันค่ะ โดยก่อนหน้านี้ คุณ elen  เป็นเด็กหนุ่มที่เกเร ไม่สนใจการศึกษาเล่าเรียน แต่แล้วหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตกลับพลิกผันให้ คุณ elen หันมาสนใจการเรียน จนกระทั่งเข้ามาแบกรับภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัว และสามารถทำหน้าที่ลูกกตัญญูได้อย่างดีเยี่ยม หากได้ฟังเรื่องของคุณ elen แล้ว เชื่อได้เลยค่ะว่าจะช่วยเตือนใจ หรือเป็นประโยชน์ให้ใครหลาย ๆ คนได้อย่างดีทีเดียว

         โดยคุณ elen ได้ระบายความในใจของชีวิตตัวเองผ่านกระทู้เว็บไซต์พันทิปว่า ครอบครัวของเขามีทั้งหมด 5 คน คือ คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว ตัวคุณ elen เอง และน้องชาย ซึ่งลูก ๆ ทั้งสามคนได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นและใกล้ชิด ในสมัยเป็นวัยรุ่น ตัว คุณ elen เอง เป็นเด็กเกเร เที่ยวไปตั้งแก๊งค์ซิ่งมอเตอร์ไซค์กวนชาวบ้านกับเพื่อน ๆ อยู่เป็นประจำ และคุณแม่ก็มักจะมาตามให้กลับไปเรียนหนังสือแทบทุกวัน จนได้เรียนจบ ขณะที่ตัวพี่สาวเป็นเด็กเรียนดี สามารถสอบติดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ และเมื่อจบมาแล้วก็ได้ทำงานมั่นคงในบริษัทแห่งหนึ่ง เช่นเดียวกับน้องชายที่เป็นเด็กดีมาก ตั้งใจเรียน ไม่เคยทำตัวเกเรเหมือนที่ คุณ elen เคยเป็นแม้แต่น้อย กระทั่ง...น้องชายได้เข้ามาเรียนที่เทคนิคกรุงเทพฯ ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนเสียงดัง ใจกล้าบ้าบิ่น เอากินแต่เหล้า และอยู่แต่กับเพื่อน ๆ

         และก็มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งแรกของครอบครัวนี้ เมื่อคุณพ่อล้มป่วยกะทันหัน ไม่สามารถทำงานได้อีก แต่ยังโชคดีที่ครอบครัวได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากบริษัทของคุณพ่อทุก ๆ เดือน คุณแม่จึงนำเงินก้อนนี้ไปจ่ายค่าบ้านที่เพิ่งจะปลูกเสร็จใหม่ ๆ หลังจากคุณพ่อล้มป่วย คุณ elen เอง ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยความสงสารคุณแม่ เขาตัดสินใจหางานทำ เมื่อได้เงินมาก็แบ่งรายได้ส่วนใหญ่ให้กับคุณแม่ พอเริ่มมีเงินเก็บได้ก็ไปลงเรียนภาคค่ำ ทำงานไปด้วย เรียนหนังสือไปด้วย เลิกเรียนหนังสือก็จะกลับมาดูแลคุณแม่ และคุณพ่อที่ถึงแม้ล้มป่วย แต่ก็ยังเดินได้บ้าง

         สำหรับตัวน้องชาย ก็หมั่นสร้างปัญหาให้ที่บ้านไม่น้อย เพราะชอบไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสถาบันอื่น รวมทั้งมีปากเสียงกับอาจารย์จนถูกไล่ออก ทำให้คุณแม่และพี่สาวเศร้าใจมาก และช่วยหาที่เรียนใหม่ให้ แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับกลุ่มเพื่อนที่เทคนิคกรุงเทพฯ อยู่ประจำ

         "ช่วงเวลาที่เรียนตัวของน้องชายก็ยังไปมาที่เทคนิคกรุงเทพเหมือนเดิม คือไปกินเหล้าและแบ่งบารมีว่าข้าแน่ ข้าเก่ง จนเกิดเรื่องจนได้..คือไปขอหัวเข็มขัดเด็กโรงเรียนหนึ่ง แต่ตอนวิ่งหนีดันโง่ไม่ดูทางโดน รปภ.ของห้างจับได้ส่งไปที่สถานีตำรวจ โดยตำรวจโทรมาที่บ้านโชคดีที่เจ้าตัวไม่เอาเรื่อง แต่ผมทนไม่ได้ที่เห็นคุณแม่ต้องร้องไห้ยืนเกาะลูกกรงที่น้องมันโดนขัง จึงบอกน้องว่าทำอะไรทำไมไม่คิด...น้องตอบผมว่า มึงไม่ต้องเสือกเรื่องของกู มึงคนดี กูมันเลว..."

         คุณ elen เล่าต่อว่า ได้ช่วยจ่ายค่าปรับเพื่อประกันตัวน้องชายออกจากคุก โดยระหว่างทางกลับบ้าน คุณแม่จะสั่งสอนน้องตลอดเวลา แต่น้องชายก็เพียงแค่รับฟังแต่ไม่ทำตาม เพราะเมื่อกลับถึงบ้าน น้องชายตัวดีก็ยังออกไปกินเหล้ากับเพื่อน ฉลองความใจเด็ดของตัวเองอีก และช่วงหลังก็เริ่มไม่ไปเรียนหนังสือ เพราะคิดว่าสิ่งที่เรียนไปไม่สามารถเอาไปใช้ทำงานได้

         "ตัวคุณแม่ พี่สาวและผมเองก็ไม่อยากจะคาดหวังอะไรแล้ว เพราะเราพยายามพูดให้เข้าใจว่าคุณพ่อป่วย ทุกครั้งที่คุณพ่อป่วย และต้องเข้าโรงพยาบาลผมจะขอเจ้านายทำ OT เพิ่ม เพื่อที่จะพยายามให้คุณแม่ใช้เงินก้อนที่บ้านน้อยที่สุด โดยส่วนใหญ่จะช่วยกัน 2 คนก่อนคือผมและพี่สาว หากขาดเหลือก็จะขอให้คุณแม่ช่วยออกเงินค่ารักษา (หลักหมื่นบาท) ผมกับพี่สาวก็จะสอนน้องชายว่าเราต้องทำตัวให้ดีไม่ให้คุณแม่กลุ้มใจ และต้องเรียนหนังสือเพื่อช่วยเหลือครอบครัว...แต่ความคิดของน้องชายคือตัวของฉันเรื่องของฉัน..และเพื่อนฉันเท่านั้นที่สำคัญและคิดว่าก็ทั้ง 3 คนช่วยกันแล้วไง ทำไมฉันต้องมาช่วยอีก...."

          และแล้วจุดหักมุมอีกครั้งของครอบครัวก็มาถึง ในกลางดึกของคืนวันหนึ่ง

         "..ผมนอนหลับอยู่ ๆ มีเสียงโทรศัพท์จากน้องชายโทรมาบอกว่า พี่สาวติดคุก.!!!!!!!!!! เพราะยักยอกเงินบริษัทฯ จำนวน 3 ล้านบาท หลังจากที่น้องชายวางสายไป ผมก็นั่งงง ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงและเงินมากมายขนาดนั้นมันเอาไปใช้อะไร เพราะทุกครั้งที่ครอบครัวต้องใช้เงินมาก ๆ เพื่อรักษาคุณพ่อ เราก็จะหารกันเสมอ โดยผมต้องอดหลับอดนอนเพื่อทำ OT มันคิดไปต่าง ๆ นานา ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะอะไร และอะไรดลใจให้ทำแบบนั้น"

         "วันรุ่งขึ้นผมลางานตรงไปหาพี่สาวที่อยู่ในคุก!! ก่อนจะพบพี่สาว ในหัวของผมมีแต่ภาพของคุณพ่อที่ภูมิใจในตัวลูกที่จบจากสถาบันอันดับหนึ่งของประเทศแต่ ณ เวลานี้ กลับเอาความรู้ที่มีมาทำร้ายตนเอง รวมถึงคนในครอบครัวอย่างแสนสาหัส... เมื่อพบหน้าพี่สาวก็เอาแต่เศร้าไม่พูด ผมได้แต่ถามว่าจะให้ทำอย่างไร พี่สาวบอกเพียงว่าอย่าบอกให้คุณแม่รู้เดี๋ยวคุณแม่เสียใจ...ด้วยอารมณ์โกรธจัด ผมจึงด่าออกไปอย่ารุนแรง และถามว่าทำไมตอนทำไม่คิด ทำไมไม่นึกถึงเค้าตอนคิดจะทำเรื่องชั่ว ๆ ...ผมก็ไปคุยกับตำรวจ ท่านบอกว่าหากจะประกันตัวต้องใช้ข้าราชการระดับซี 8 (มั้ง) หากเป็นเงินก็ 4 แสนบาท แล้วผมจะไปหามาจากไหน จนสุดท้ายต้องให้คุณแม่ช่วยจนได้ โดยท่านไม่ลังเลที่จะถอนเงินก้อนสุดท้ายที่ตั้งใจจะเก็บไว้รักษาคุณพ่อมาประกันตัวพี่สาวออกจากคุก..."

         "ผมมองหน้าคุณแม่ตลอดเวลา ผมเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ว่ารักลูกเพียงใด ที่ผมมองท่านเพราะผมเสียใจเหลือเกินที่ความเจ็บปวดครั้งนี้เกิดขึ้นจากคนที่ท่านรักมากที่สุด นั่นคือลูกของท่านเอง ผมพยายามจะบอกคุณแม่ว่า ไม่ต้องห่วงนะ ลูกคนนี้จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและจะอยู่ข้าง ๆ คุณแม่เสมอนะ มันทำให้ผมมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผมเกเร ไม่เอาใจใส่ครอบครัว สนใจแต่กลุ่มเพื่อน แต่วันนี้ใจผมคิดถึงแต่ครอบครัว คิดถึงแต่คุณพ่อคุณแม่อย่างเดียวเท่านั้น บางทีก็นึกโทษฟ้าดินว่า มันอะไรกันนักหนาวะ...แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เกิดจากการกระทำของตัวบุคคลล้วน ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโชคชะตาแต่ประการใด"

         แต่แล้ว ปัญหาของครอบครัวนี้ก็ยังไม่จบ เมื่อพี่สาวได้สร้างเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง

         "หลังจากที่ประกันตัวออกมา พี่สาวก็มาประจบประแจงแม่มากขึ้น ส่วนน้องชายก็เอาแต่เบ่งบารมีกับรุ่นน้องและกินเหล้าอย่างกับเททิ้ง ไม่ใช่ว่าไม่พูดนะครับ คุณแม่ทั้งบอกทั้งขอร้องทั้งบังคับให้น้องชายกลับไปเรียนให้จบและกินเหล้าให้น้องลง เมื่อใจคนมันจะไม่ทำจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรก็แก้ไขไม่ได้... พี่สาวหลังจากหมดสิทธิ์ทำงานประจำก็มาเอาดีทางขายประกันและทำท่าว่าจะขายดี"

         "หลายท่านยังคงสงสัยว่าเงิน 3 ล้านมันไปใช้ทำอะไร เชื่อมั้ยครับว่าจนปัจจุบันนี้ ผมยังไม่เคยทราบข้อมูลเลยว่าเอาไปใช้อะไรที่ไหน..เพราะมันไม่เคยเอ่ยปากออกมาเลย ตัวเจ้าของเงินเค้าก็ไปขึ้นศาลพร้อมพี่สาวโดยให้ผ่อนขึ้นต่ำเดือนละ 20,000 บาท พี่สาวก็ตกลง จนเกิดเรื่องอีกด้วยความที่กดบัตรนั้นมาโปะบัตรนี้ทำให้เป็นหนี้มากมายอีกแล้ว....ด้วยความที่ประจบคุณแม่จึงขอร้องให้คุณแม่ไปยืมเงินน้องสาวของท่านที่มีตังค์เยอะ ๆ มาโปะหนี้บัตรเครดิต โดยให้เหตุผลว่าจะได้ใช้หนี้อาอี้เพียงคนเดียว (กับผ่อนส่งบริษัทฯ เดือนละ 20,000 บาท)"

         "น้องสาวแม่ก็ยอมให้ยืม เพราะพี่สาวรับประกันให้ว่าคืนแน่ โดยพี่สาวบอกว่าจะคืนเงินก้อนให้ทั้งหมดภายใน 6 เดือน (ยืมมา 400,000 บาท) เรื่องยืมเงินผมมารู้ทีหลัง ก็ดุคุณแม่ไปเยอะที่ไปช่วยในสิ่งที่ไม่ควร แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวของพี่สาวคุณแม่จึงโดนหลอก..เอากันเข้าไป อีกคนสร้างหนี้ไม่หยุด อีกคนกินเหล้าไม่หยุดเช่นกัน.. จนถึงเวลากำหนด พี่สาวผมก็แสดงความรับผิดชอบโดยการไม่รับโทรศัพท์ของอาอี้เลยสักครั้ง ทำให้อาอี้โกรธมากและโทรไปต่อว่าคุณแม่ ซึ่งผมเคยบอกคุณแม่แล้วว่า คุณแม่ไปหลงกลลูกสาวตัวเองคุณแม่ต้องรับผิดชอบนะ...ผมก็เลยไม่ยุ่ง (ผมก็เลวกับคุณแม่อีก) แต่การโทรของอาอี้นั้นได้ลามมาถึงผมแล้ว ผมจึงต้องเดือดร้อนสิครับ และชักไม่ไหวแล้วที่มานั่งฟังคนอื่นต่อว่าแม่ของตัวเองให้ฟัง...อาอี้ให้เหตุผลว่า...เงินที่พี่สาวเอาไป แม่ของผมเป็นคนรับปากให้ในเมื่อไม่มีเงินมาจ่ายก็ให้เอาโฉนดที่บ้านมาวาง...ผมอึ้งเลยครับ...ญาติกันเล่นกันเองแล้ว..ยอมรับครับว่าไอ้พี่สาวตัวแสบมันเลวที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์เค้า เค้าถึงตามมาถึงคุณแม่...จนลามมาถึงผม คุณแม่ผมท่านร้องไห้ทุกวัน..และเฝ้าโทรหาแต่ลูกสาวว่าให้เอาเงินไปคืนเค้า..พี่สาวก็รับปากว่าจะขายรถและเอาเงินไปคืนอาอี้..."

         "ตามที่พี่สาวพูดครับ รถขายจริง ๆ แต่เงินยังไม่ได้ไปให้อาอี้ เพราะพี่สาวอ้างว่าเงินอยู่ในบัญชี คุณแม่ก็ร้อนใจมาก ๆ ที่ไม่ยอมเอาเงินไปให้อาอี้ ผมก็พยายามตามสุดความสามารถ จนลากพี่สาวมาที่บ้าน เพื่อมาไขข้อข้องใจว่าทำไมไม่โอนเงินให้อาอี้...พี่สาวตอบสั้น ๆ ครับ เงินไปใช้หนี้หมดแล้ว... ผมวูบเลยครับ และมองหน้าคุณแม่ทันที คุณแม่ท่านร้องไห้ท่านเสียใจมาก ผมเสียใจอย่างที่สุดที่คนในครอบครัวเดียวกันมาหลอกกันแบบนี้ ผมเกลียดพี่สาวเหลือเกิน...รวมถึงน้องชายขี้เหล้าที่ไม่เคยสนใจและให้ความช่วยเหลืออะไรที่บ้านเลย...."

         "ทุกวันผมเห็นคุณแม่ท่านร้องไห้ตลอด เพราะท่านกลุ้มใจเรื่องพี่สาวมาก (ส่วนเรื่องน้องชายมันกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ไปแล้วครับ) จนกระทั่งน้องสาวคนเล็กของแม่โทรมาบอกผมว่า อาอี้เค้าจะเอาโฉนดที่บ้าน...ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาอาอี้ด้วยตนเอง...ผมบอกอาอี้ให้เข้าใจว่าโฉนดบ้านยังไงก็ให้ไม่ได้เพราะมันไม่เกี่ยวกับหนี้สิน และราคามันก็ต่างกันมาก อาอี้ก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้นจะเอาตังค์คืนอย่างเดียว ผมจึงขอร้องว่าอย่าโทรไปต่อว่าคุณแม่ผมเลยผมขอร้อง อาอี้ก็พูดแต่ว่าก็พี่สาวแกไม่รับโทรศัพท์แล้วจะให้โทรไปหาใคร ตัวผมเองก็คิดว่าหลายวันแล้วครับว่าต้องทำอย่างไร จึงตัดสินใจบอกอาอี้้เลยว่า หนี้สินทั้งหมดที่พี่สาวไปยืมอาอี้มา และที่แม่เป็นคนค้ำ ผมขอรับผิดชอบเอง ผมเลือกเพื่อที่จะให้แม่สบายใจ ผมเลือกที่จะให้แม่เบาใจ และผมเลือกที่จะยืนอยู่ข้าง ๆ คุณแม่เสมอ ท่านเดือดร้อนผมจะนิ่งได้อย่างไร...ผมทำไม่ได้จริง ๆ"

         ในที่สุด คุณ elen ก็ตัดสินใจแบกรับภาระหนี้สินของพี่สาวเองทั้งหมด

         "ผมรับหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อมาไว้ในอ้อมอก...ตัวพี่สาวผมไม่พูดถึงแล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์ การศึกษาไม่ได้ทำให้คนดีขึ้นเลย ผมนำเรื่องที่ผมจะชดใช้เงินคืนอาอี้ไปบอกคุณแม่ ท่านร้องไห้เยอะมาก ท่านเสียใจที่ทำให้ผมต้องเดือดร้อน ...ณ เวลานั้นผมคิดถึงแต่ช่วงเวลาที่ผมทำตัวเลว ๆ เกเร ๆ ผมบอกคุณแม่ว่า ผมโตแล้ว ผมจะดูแลครอบครัวของเราเอง ผมจะไม่ทิ้งคุณแม่ไปไหน ผมจะเป็นกำลังใจให้ท่านเอง..."

         เวลาผ่านไปไม่นาน ครอบครัวของ คุณ elen ก็ยังได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง

         "แต่แล้วมันก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตแบบยิ่งใหญ่ที่สุด คุณแม่ท่านทรุดป่วยลงกะทันหัน และระยะเวลาภายใน 3 เดือนท่านก็จากผมไปอย่างไม่ทันตั้งตัว และขณะเดียวกันคุณพ่อก็ทรุดลงกะทันหันทันที หากนึกภาพไม่ออกผมจะบอกว่า ทุก ๆ คืนหลังจากงานศพคุณแม่ พระท่านสวดเสร็จผมต้องรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อจะไปดูอาการของคุณพ่อที่ห้อง ICU ลองนึกดูแล้วกันครับว่าใจผมจะอยู่ในอารมณ์ไหน???????"

         "หลังจากเสร็จงาน คุณแม่ก็มีเงินประกันที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนของลูกทั้งสามคน โดยส่วนของผมผมเก็บไว้เพื่อรักษาคุณพ่อ ส่วนของพี่สาวและน้องชายอยู่รวมกัน ซึ่งผมคิดเองว่า พี่สาวผมคงจะแยกแยะออกว่าอะไรควรหรือไม่ควร แล้วมันก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ เพราะเงินส่วนของน้องชายที่อยู่กับพี่สาวได้หายไป.......หายไปไหน......คำตอบเดิม ๆ ครับ ใช้หนี้.......ไอ้เลวววววววว มันจะเลวไปถึงไหน ผมยอมรับว่าน้องชายถึงมันจะเอาแต่กินเหล้าไม่รับผิดชอบ แต่มันยังมีความสุจริตติดตัว ถือว่ายังมีดีอยู่บ้าง..."

         "ตลอดเวลาคุณท่านก็ไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเลย...จนกระทั่งวันตรุษจีน หลังจากที่ผมและพี่สาวได้มาไหว้ตรุษจีนแทนคุณแม่เป็นที่เรียบร้อย ก็เข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ ตลอดเวลาท่านจะหลับเสมอ แต่เพียงแค่ได้เห็นหน้าท่านผมก็น้ำตาไหลแล้วครับ ใจคิดเสมอว่า คุณพ่อท่านยังสู้ขนาดนี้แล้วเราจะท้อได้ไง...วันนั้นอะไรดลใจไม่ทราบ กราบคุณพ่อและผมก็นำสายสิญจน์ของหลวงพ่อโสธรที่ใส่ติดตัวมาตลอดมาใส่ไว้ที่ข้อมือท่านแทน และไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้นำพาท่านไปอย่างสงบ...ผมออกมาจากห้อง ICU ตอน 11.30 น. พยาบาลโทรมาหาตอน 12.00 ว่าท่านจากไปอย่างสงบแล้ว...."
         
         "ผมรีบกลับมาที่โรงพยาบาล และตรงไปกราบท่านที่เท้าของท่านที่ผมมักจะหอมเล่นเสมอ..ยอดดวงใจของลูกได้จากผมไปอีกแล้ว....ภาพในอดีตของคุณพ่อคุณแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัวตลอดเวลา ใจผมนึกอย่างเดียวว่าจะต้องเข้มแข็งและจัดเตรียมงานของท่านให้ดี..."

         "หลังจากเสร็จสิ้นงานคุณพ่อแล้ว ก็มีการคุยกันของพี่น้องทั้งสามคน... ผมถือว่าเป็นพี่ชายคนโตจึงขอพูดถึงเรื่องต่าง ๆ ของบ้านว่าจะเอาอย่างไร โดยบ้านให้น้องชายอยู่เป็นหลัก (ผมจะอาศัยอยู่ที่คอนโด) ส่วนพี่สาวจะไม่ได้รับสิทธิ์อะไรในบ้านหลังนี้เลย ตามความต้องการของคุณแม่ที่ท่านเคยบอกผมไว้คือ บ้านและที่ดินให้ใช้ชื่อผมกับน้องเท่านั้น เพราะพี่สาวได้ใช้เงินที่บ้านไปเป็นจำนวนมาก และอย่าทิ้งน้อง ถึงมันจะเลวยังไง มันก็เป็นน้องดูแลมันด้วย นี่คือ 2 ข้อที่คุณแม่สั่งผมไว้..."

         "การพูดคุยกันแบบพี่น้อง ผมขอให้ทุกคนลืมเรื่องอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด แล้วมาเริ่มชีวิตกันใหม่ โดยหนี้สินที่ก่อไว้ให้จัดการตนเอง แต่หากช่วงแรก ๆ ไม่ไหวผมก็ยังพร้อมจะช่วยอยู่ (หนี้ผ่อนอาอี้) และต้องปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และรู้ไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่เค้ามองเราอยู่เสมอ"

         "และด้วยสิ่งที่คุณแม่สั่งไว้ผมต้องปฎิบัติตาม ผมจึงถามน้องว่า ตอนนี้ขาดเหลืออะไรและอยากได้อะไร (ผมกับน้องชายก่อนหน้านั้นแทบจะไม่คุยกันเลยครับ) น้องขอรถมอเตอร์ไซค์แบบบิดได้ 1 คัน ผมเลยบอกว่าจะดาวน์ให้แล้วไปผ่อนเองโดยชื่อใส่เป็นของน้องไปเลยในเล่มจดทะเบียน..แต่ผมไปดูแล้วดอกเบี้ยมันโหดมาก เลยเปลี่ยนเป็นซื้อสดให้และมาผ่อนกันเองทีหลัง จริง ๆ แล้วถ้าผ่อนให้ก็ดี จะไม่ผ่อนก็ไม่ว่าอะไรเ พราะผมถือว่าตลอดชีวิตผมไม่เคยซื้อของอะไรให้น้องชายเลย..."

         "ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่จากไป ผมยังคงร้องไห้บ่อยมาก ๆ นั่นเพราะความคิดถึงและรักท่านมาก หลาย ๆ ครั้งที่ผมไปหาน้องสาวคนเล็กของคุณแม่เพื่อถามท่านว่า ที่ผมดูแลพ่อกับแม่ ผมทำดีแล้วหรือยัง? ผมเป็นลูกที่ดีมั้ย? ผมทำให้ท่านภูมิใจหรือเปล่า? คำตอบที่ผมได้ฟังคือ คุณแม่จะพูดให้น้องสาวคนเล็กของท่านฟังตลอดว่า ตั้งแต่คุณพ่อป่วยก็มีผมเนี่ยแหละที่สามารถดูแลทุกอย่างแทนคุณพ่อและช่วยเหลือทุกอย่าง.... พอมันได้ยินได้ฟัง ก็ร้องไห้หนักมากกกกกกกกก ผมดีใจครับ ผมดีใจมากที่เด็กเกเรแบบผม สามารถตอบแทนบุญคุณท่านได้"

         "ผมมักจะพูดกับตนเองเสมอว่า ลูกทั้ง 3 คน ถึงจะเกเร (มาก) ถึง 2 คน แต่ตัวผม ผมถือว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านประสบความเร็จสูงสุดในชีวิตคู่ ที่ท่านสามารถทำให้ผมรักท่านได้มากมายขนาดนี้ รวมถึงให้ความรักและความใส่ใจอย่างสุดความสามารถเท่าที่ใจผมจะทำได้ ...พ่อกับแม่ผมเรียนไม่สูง แต่ท่านมีความรักที่สูงส่งมากและเป็นความรักที่บริสุทธิ์รวมถึงให้แต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต ทำให้ผมเข้าใจคำว่า ชีวิตที่คุ้มค่านั้นเป็นอย่างไร บางคนอาจจะคุ้มค่าในแบบอื่น เช่น ท่องเที่ยว เล่นอะไรที่หวาดเสียว แต่กับผมคำว่าคุ้มค่าคือ การที่เราได้พบเจอปัญหาและอุปสรรคนานับประการมาอย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งมันทำให้เราเข้าใจถึงคำว่า ชีวิต ที่แท้จริง...."

         เรื่องราวข้างต้นเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของ คุณ elen และปัจจุบันนี้ คุณ elen ก็ยังคงทำงานที่เดิม ส่วนพี่สาวก็เริ่มดีขึ้น หากแต่น้องชายยังคงมีสภาพไม่ต่างไปจากเดิม

         "หลายท่านอาจอยากรู้ว่าปัจจุบันพี่น้องและตัวผมเป็นยังไง พี่สาวผมโชคดีมากมีคนเซ้งกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวให้ และขายดีมาก น้องชายผม บ้านที่เคยอบอุ่นวันนี้มีแต่ขวดเหล้าขวดเบียร์เต็มไปหมด บางวันขนเพื่อนมาถล่มซะเต็มบ้าน บางครั้งผมโกรธมากครับที่ทำแบบนี้ แต่ผมก็เข้าใจครับว่า ทุก ๆ คนเสียใจกับการจากไปของคุณพ่อกับคุณแม่ น้องชายผมเค้าเลือกกลุ่มเพื่อน ๆ มาช่วยกลบความเศร้า ส่วนผมระบายความเสียใจกับการท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ เหมือนให้ตัวเองมีแรงกลับมาอีกครั้ง ตัวผมเองปัจจุบัน กำลังทำสงครามกับเจ้านายที่เอาเปรียบและเห็นแก่ตัวอยู่ และกำลังตั้งความหวังว่า การที่คุณพ่อและคุณแม่ท่านไปสวรรค์ อาจะเป็นการบอกผมเป็นนัย ๆ ก็ได้ว่า ถึงเวลาที่ลูกจะได้ทำอะไรที่ตัวเองต้องการได้แล้ว (เพราะตลอดเวลา 13 ปี ผมยอมเหนื่อยอย่างมาก และไม่ยอมย้ายไปไหนยอมให้หัวหน้าโขกสับ เพราะผมต้องการเงินมารักษาคุณพ่อคุณแม่)

         "และที่สำคัญหลังจากที่คุณพ่อและคุณแม่ท่านจากไป ของใช้ทุกชิ้นของท่านได้นำส่งถึงบุคคลท่านอื่นที่เป็นประโยชน์ หากท่านใดยังจำได้ ผมบริจาคของใช้ทุกอย่างฟรี ตั้งแต่สำลีจนถึงเตียงปรับระดับ ของเหล่านี้ปัจจุบันได้ส่งถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในห้องพันทิปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดีใจครับอย่างน้อยก็สามารถใช้ประโยชน์กับบุคคลท่านอื่น ๆ ได้"

         "...เชื่อผมเถอะครับ บอกรักคุณพ่อคุณแม่บ่อย ๆ กอดท่านบ่อย ๆ กราบท่านบ่อย ๆ และพยายามตอบแทนบุญคุณท่านให้ถึงที่สุด ผมเสียใจที่่ท่านจากผมไป แต่ผมก็ยิ้มทุกครั้งที่คิดถึงท่าน นั่นเพราะผมได้มีโอกาสดูแลท่านอย่างดีที่สุด จนวินาทีสุดท้าย  สุดท้ายนี้ผมขอให้ลูก ๆ ทุก ๆ คน ที่กตัญญูกับพ่อแม่ มีแต่ความสุข ความเจริญครับ"

         "กำลังใจผมเต็มเปี่ยมครับ..ทุกวันนี้ผมมีปัญหาเดียวคือ ผมจะเอาเงินเดือนไปทำอะไร..เพราะทุก ๆเดือนผมจะเหลือเงินไว้ใช้เองประมาณ 3 พัน เป็นแบบนี้มาเกือบ 10 ปีแล้วครับ ที่เหลือให้คุณแม่หมดเลย ตอนนี้เงินส่วนต่างก็เก็บไว้ตามปกติในบัญชีที่ผมเปิดไว้เพื่อรักษาคุณพ่อ และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอครับ"

       คุณ elen ยังบอกอีกว่า "ทุกวันนี้ผมทำบุญบ่อยครับ และทุกครั้งจะอธิษฐานให้ท่านทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรง มีแต่ความสุขความเจริญ และรักกันมาก ๆ อยู่บนสวรรค์... ผมต้องการแค่นี้เองจากการทำบุญ บางครั้งผมอยากฝันถึงท่าน...แต่ท่านไม่เคยมาเข้าฝันเลย ดันไปเข้าฝันเพื่อน เพื่อนผมบอกว่า "เมื่อคืนฝันถึงคุณพ่อผม" สิ่งแรกที่ผมถามคือ ท่านเดินมาหาใช่มั้ย ท่านเดินได้ใช่มั้ย นั่นเพราะช่วงเวลา 3 ปีสุดท้ายท่านไม่สามารถเดินได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เพื่อนบอกว่า พ่อพี่เดินมา และให้ผมบอกพี่ว่า เค้าสบายดี!!! เพียงเท่านี้ใจก็เป็นสุขที่สุดแล้ว.....ผมรักท่านมากมายเหลือเกิน ผมเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุ นั่นเพราะความรักที่คุณพ่อมีให้คุณแม่ พอคุณพ่อป่วยคุณแม่ท่านก็ดูแลคุณพ่ออย่างดีมาก ไม่เคยคิดหนีหรือทิ้งท่านไปไหน ผมเห็น ผมสัมผัส ผมเข้าใจ มันจึงเป็นการให้สัญญากับตัวเองว่า จะต้องเป็นกำลังใจให้ท่าน จะสู้ จะไม่ย่อท้อ"

         "บ่อยครั้งที่ผมเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องยืนอยู่หน้าห้อง ICU ผมจะมองหน้าคุณแม่เสมอ เหมือนเป็นการบอกท่านว่า....ไม่ต้องห่วงนะคุณแม่ ผมอยู่ข้าง ๆ คุณแม่เสมอ และจะไม่มีวันทิ้งท่านไปไหน....และผมก็สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองได้ผมได้อยู่กับท่าน บอกรักท่าน กอดท่าน กราบเท้าท่านทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อให้ท่านรู้ว่าผมสำนึกในบุญคุณของท่านเสมอมาและตลอดไป..."

         "รักพ่อแม่ให้มาก ๆ นะครับ รักท่านให้มากๆ"

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/60236


Logged
มาคืน "สยามเมืองเคยยิ้ม" กลับสู่ "สยามเมืองยิ้มยุคก้าวหน้า" ด้วย ยิ้มสยาม กันนะครับ ... Welcome To Smile Siam by Siamese Smile

Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.078 seconds with 21 queries.