Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 21:07:08

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง  |  วิปัสสนานุบาล โดย ท่าน ดังตฤณ (วิปัสสนาระดับชั้นอนุบาล)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: วิปัสสนานุบาล โดย ท่าน ดังตฤณ (วิปัสสนาระดับชั้นอนุบาล)  (Read 1496 times)
SATORI
สมาชิกกิตติคุณ
น้องใหม่ฝึกยิ้ม
*****
Offline Offline

Posts: 37


View Profile
« on: 24 January 2013, 19:45:32 »

วิปัสสนานุบาล  โดย ท่าน ดังตฤณ (วิปัสสนาระดับชั้นอนุบาล)


ดังตฤณ

สารบัญ
สารบัญ...๑
คํานํา...๒
บทที่ ๑ - วิปัสสนาคืออะไร ?...๓
บทที่ ๒ - เขาเริ่มทําวิปัสสนากันอย่างไร ?...๖
บทที่ ๓- การฝึกหายใจเพื่อยกระดับสติ...๙
บทที่ ๔- เครื่องทุ่นแรงให้เกิดความต่อเนื่อง..................................................................................................๑๒
บทที่ ๕- เปลี่ยนปมปัญหาเป็นเครื่องมือ ...๑๖
บทที่ ๖- ปฏิกิริยาทางใจ...๒๐
บทที่ ๗- เกณฑ์วัดว่าคุณเป็นนักวิปัสสนาหรือยัง..........................................................................................๒๓

คํานํา
วิปสสนานุบาล’ เป็นคําสนธิระหว่าง ‘วิปัสสนา’ กับ ‘อนุบาล’ หมายความว่าเนื้อหามุ่งกลุ่มผู้
เริ่มสนใจการปฏิบัติธรรมภาวนา อาจจะยังไมเคยรูอะไรเลย หรือเคยไดยินคําวาวิ ปสสนามาบางแลว แต
ยังไมกระจางแจงนักวาคืออะไร ตองเริ่มทําอยางไร
ขนาดของหนังสือคงสรางกําลังใจใหผูที่ยังไมมีความรูพื้นฐานได เห็นวานาจะสามารถอานรวด
เดียวจบภายในเวลาไมนานนัก หนาที่ของหนังสือเลมนี้คือนําคุณออกมาจากจุดเริ่มตนด วยเวลานอย
ที่สุด หรือถาเริ่มตนมาบางแลวแตสับสน ก็ปรับมุมมองของมือใหมใหเห็นวิปสสนาตางไปจากที่สวนใหญ
คิดๆกัน คือเปลี่ยนเรื่องไกลตัวเปนเรื่องในตัว เปลี่ยนยากเปนงาย เปลี่ยนเครียดเปนสบาย เปลี่ยนภาระ
เปนของเลน เปลี่ยนสงสัยเปนเขาใจ และเปลี่ยนซับซอนเปนเรียบงาย ชนิ ดที่วาสายตายังไมทันละจาก
หนาหนังสือ ก็อาจเริ่มเห็นอะไรขึ้นมาเลาๆวานักวิปสสนาในวั ดหรื อในปาเขาเกิดประสบการณกัน
อยางไร
แมหนาที่ของหนังสือจะเปนไปดังกลาวขางตน ก็ขอทําความเขาใจไวตรงนี้  วาหนังสือเองไมมี
ความสามารถทําใหผูอานกลายเปนนักวิปสสนาขึ้นมาดวยบรรทัดใดบรรทัดหนึ่ง แตขอรับรองวาถา
เขาใจ ‘วิปสสนา’ จริงๆละก็ แมไมหวังก็จะรูจักความสงบที่นาอัศจรรย แมไมหิวกระหายก็จะไดลิ้มรส
แหงศานติอันประหลาดล้ํา
เพียงสงบไดในทามกลางความวุนวายและเครื่องเราให เรารอน ก็นับวาเปนการเปลี่ยนแปลงครั้ง
สําคัญของชีวิตแลวมิใชหรื อ?
ดังตฤณ
มีนาคม ๒๕๔๗

บทที่ ๑- วิปสสนาคืออะไร?
ถาจะเอาเปนคําแปล วิป สสนาแปลไดหลายแบบ แตถาถามวาวิป สสนาคืออะไร เอาคําตอบชนิด
สื่อใจถึงใจ ก็ ตองวาวิป สสนาคือ‘เห็นตามจริง’
ลองนึกดู คําว า‘เห็นตามจริง’ ทําใหคุณมีปฏิกิริยาทางความรูสึกเป นอยางไร? คุณนึกถึงอะไร
จากการอานคําวา‘เห็นตามจริง’ บาง?
หนังสือเลมนี้เขียนเปนภาษาไทย คุณอานภาษาไทยออก นี่คือขอเท็จจริงที่ใครก็ปฏิเสธไมได
ฉะนั้นถาบอกวาคุณกําลัง‘คิดเปนภาษาไทย’ ก็ยอมถูกตองตามจริง ใครเขาใจวาตั วเองกําลังคิดเปน
ภาษาไทย ก็ขอแสดงความยินดีดวย คุ ณเขาใจถูกแลว คุณกําลังเห็นตามจริงแลว
แตถาถามวา‘คุณเปนคนไทยหรือเปลา?’ ตรงนี้อาจเริ่มยากกวาคําถามขอกอน เพราะมัน
ขึ้นอยูกับมุมมองวาคุณถือตัวเองเปนคนชาติไหน ถามีใครบังคับใหคุณยอมรับวาเปนไทย ในขณะที่
ใจอยากคิดวาเปนคนจีนหรือมีเชื้อสายจีนเขมขนกวา อยางนี้แปลวาตองนั่งเถียงกันแลว และไมวาใครจะ
งัดเอาเหตุผลหรือหลักฐานสนับสนุนความคิดตั วเองมายันกันยกใหญปานใด ก็สรุปที่จุดเดียวคือเชื่อ
อยางไรก็มีความจริงอยูอยางนั้น
คําถามคือ ในเมื่อความจริงผูกอยูกับความเชื่อ อยางนี้การเห็นตามจริงที่แทก็ไมมีนะซี? นี่มิ
แปลวาเรากํ าลังอยูกับความจริงที่สรางขึ้นเองมาตลอดหรอกหรือ? ตางคนตางอยูในโลกความจริง
เฉพาะเขตของตัวเองโดยไมอาจล้ําเสนกันอยูอยางนั้น
การเถียงกันวาอะไรจริงอะไรเท็จจะไมไดขอยุติหากปราศจากจุดมุงหมาย เพราะฉะนั้นเมื่อ
กลาวถึงการเพียรพยายามประพฤติตนเพื่อเห็นความจริง ก็ตองถามตอดวยวา‘เห็นไปเพื่ออะไร?’ บาง
ความจริงเชนเรื่องเชื้อชาติ อาจมีความหมายแคทําใหรูสึกวา‘ฉันเป นคนละพวกกั บเธอ’ หรือ‘ขามันคน
ละชั้นกับเอ็ง’ หนักกวานั้นอาจลามล้ําไปถึงขั้นตองพยายามฆาลางเผาพันธุ  หรือเบาะๆคือมีความคิด
เหยียดผิวอยากทํารายกันอยูในปจจุบัน
จุดหมายของวิปสสนานั้น คือเห็นตามจริงเพื่อเปนอิสระจากอุปาทานลวงใจทั้งปวง เปนไทแกตั ว
ไมถูกครอบงําดวยอํานาจมืดของความหลงผิด เราจะไมตระหนักวาอันตรายของความหลงผิดมีมากมาย
ปานใดจนกวาจะตองทุรนทุรายทรมานกับผลลัพธบางอยางที่สรางขึ้นมาเอง จะดีกวาไหมถาเราสามารถ
ไปถึงความจริ งของชีวิต เช น เราไมจําเปนตองรบกันเพราะความเชื่อ หรือ เราไมตองทุกขเพราะ
ความคิดก็ได และยอยมาถึงเรื่องดาษๆประจําวันเชน แคทิ้งงานไวที่ออฟฟศก็ไมตองคิดเครียด
มาถึงบานแลว

เอาละ! เปนอันวาพอรูคราวๆแลววาวิปสสนาคือเห็นตามจริงเพื่อหลุดจากอุปาทาน และหลุดจาก
อุปาทานไดก็ไมตองทนทุกขเพราะเรื่องไมเปนเรื่อง ทีนี้มาถึงคําถามสําคัญวาการเห็นตามจริงนั้น จะ
เอาอะไรเปนเปาหมายในการเห็น? คงทํานองเดียวกับเรารูแลววากําลังจะรบทัพจับศึกเพื่อพนจาก
การเปนทาส แตศั ตรูคือใครละ? พวกเขาอยูที่ไหนละ? เราจะเจอไดเมื่อไหรละ?
คําตอบสําหรับผูใครคิดทําวิปสสนาที่บาน เปาหมายของการดูใหเห็นตามจริงก็คือทุกสิ่งที่
ทําใหเราหลงไปยึดมั่นถือมั่นโดยไมจําเปน อะไรบางที่ไมจําเปน แตกลับทํารายเราไดราวกั บศัตรู ?
ลองถามตัวเองวาเคยมีประสบการณทํานองนี้บางหรือไม
เคยไหมที่เราเสียทาใครใหเขาโกงเงินไมกี่บาท แตตองเก็บมาคิดหนักไมเลิก เรียกวาถูกคนอื่น
โกงเงินไมพอ ยังโดนความคิดของตัวเองปลนความสุขไปอีก?
เคยไหมที่ตกลงเลิกรักเลิกเปนแฟนกันแลว แตอุ ตสาห คิดหึงหวงคนรักเกา คิดถึงอดีตดวยความ
เสียดาย คิดพะวงไปวาเขาจะมีความสุขกับใครอื่นอยางไรบาง?
เคยไหมที่เชียรฝายหนึ่ง แตอีกฝายดันชนะ ซึ่งเทากับผลักใหเรากลายเปนผูแพไปดวย ทั้งที่คิด
ดีๆแลวเราไมมีสวนได สวนเสียกับฝายปราชัยเลยแมแตนอย?
คําถามขางตนเปนเพียงตัวอยางที่อาจแสดงใหตระหนั กวาคนเรายึดมั่นกับเรื่องไมเปนเรื่องจน
ทุกขหนักไดอยางเหลือเชื่อเพียงใด แตความจริงอันนาตระหนกก็คือแตละวันเราอาจยึดมั่นสิ่งที่ไม
จําเปนไวถึง ๙ เรื่องจากทั้งหมด ๑๐ เรื่อง
บางครั้งบางคราวคุณอาจยอมรับกับตนเองหรือบนกับใครๆวาโงเหลือเกินที่ย้ําคิดย้ํากลุมกับ
เรื่องเหลวไหลไรสาระหรือเรื่องขี้ปะติ๋ว แตรูทั้งรูวาโงก็หยุดคิดไมได เอามันไมอยู กูสติไมกลับ
ขอเพียงรูจักวิปสสนาอยางแทจริง การรูจักนิยามของวิปสสนาอยางแทจริงคือกาวแรก และกาว
แรกก็คือการยอมรับตามจริงผานการใครครวญดวยความคิดธรรมดาๆ วาสิ่งใดควบคุมให
เปนไปตามปรารถนาไมได สิ่งนั้นยอมไมชื่อวาเปนของเรา ยกตัวอยางเชนเมื่อยอมรับวาความคิด
ไมใชของเรา เราจะรูสึกตั วเหมือนถอนออกมาจากทุกขรอนเพราะความคิดกวาครึ่ง และสงผลให
ความคิ ดออนกําลังลงทันที
เหมือนเสนผมบังภูเขา และเหมือนเรื่องนาขบขันที่พวกเราอานไมออก ตามเกมไมทัน พอตาม
ไมทันก็กลายเปนเหยื่ออันโอชะของโลกนี้ ผูคนทั้งหลายหายใจเขาออกเพื่อรับใชกิเลสอันกอเหตุใหทุกข
มากทุกขนอย และอาจจะตายตาไมหลับไปพรอมกับทุกขที่กัดกินหัวใจมาตลอดชีวิ ต ตอเมื่อรูจักนิยาม
ของวิปสสนา และเห็นวาเพียงเปลี่ยนมุมมองชีวิตเสียใหมตามหลักวิปสสนา ก็ไมตองยายรางไป
ที่ไหน ไมตองทําพิธีรีตองอันใด ความสุขก็ปรากฏขึ้นแทนที่แล วขณะยังมีลมหายใจ กอนจะตาย
ไปพรอมกับความไมรูและตนเหตุทุกขครั้งใหมๆ

สรุป
วิปสสนาคือการเห็นตามจริง วาทุกสิ่งทั้งขางนอกและขางในเราไมเที่ยง บังคับควบคุมใหเปนไป
ตามอยากไมได เพื่อปลอยวางจากความยึดมั่นถือมั่นผิดๆ พนจากอุปาทานครอบงําใหทุกขใจกับเรื่องที่
ไมควรเปนธุระของเรา หนาที่ของผูปฏิบัติวิปสสนาคือแคเปลี่ยนมุมมองเสียใหม จากนักเรียกรอง นัก
ตอสูบูชาตัณหา และนักสําคัญตั วผิด มาเปนคนดู  คนรู  คนตอสูเพื่อบูชาความจริงตามสิ่งที่ปรากฏแสดง
เสียแทน

บทที่ ๒- เขาเริ่มทําวิปสสนากันอยางไร?
นักวิปสสนาที่ดีจะเริ่มตนด วยการทําความเขาใจที่ถูกตอง ซึ่งหมายความวาถาใครอ านบทที่ ๑
ไปแลว และตอนนี้คุณตอบไดวาวิปสสนาคืออะไรเหมือนที่สรุปไวตอนทายของบท ก็ถือวาคุณออกเดิน
กาวแรกแลวเรียบรอย
คนไทยสวนใหญเขาใจวาการทําวิปสสนาคือการนั่งหลับตาปนหนาขรึม หรือการเดินจงกรมที่
ขางกําแพงวัด อันนั้นเปนเพี ยงภาพสวนยอยที่อาจจะเด นหนอย ไมใช ภาพรวมทั้งหมด วิปสสนาที่
แทจริงของผูช่ําชองนั้น อาจทํากันขณะกําลังนั่งเอาตะเกียบพุยขาวเขาปากก็ได หรือหลังจากเพิ่งแหก
ปากหัวเราะทองคัดทองแข็งเสร็จก็ได  หรือกระทั่งน้ําตาอาจจะยังไมขาดสายก็ได  เมื่อใดมีสติรูตามจริง
ขึ้นมาวาสิ่งที่กําลังปรากฏมีความไมเที่ยง เปนของที่บังคับดังใจไมได เมื่อนั้นเองที่เรากําลังอยู
ในวิปสสนาม
ลองนึกถึงคําวา ‘ไดสติ ’ ดู คํานี้ทําใหคุ ณนึกถึงอะไร? ขอใหเอาตัวอยางจากชีวิตประจําวันของ
ตัวเอง บางคนอาจนึกถึงการเหมอลอยขณะขับรถ กอนจะเหมอจนพารถตกถนนก็เกิดสติวากําลังขับรถ
เลิกวาดวิมานในอากาศหรือหมกมุนครุนคิดถึงเรื่องนอกถนนเสียได เปนตน ที่บรรทัดนี้ของหนังสือเลมนี้
ขอใหคุณนึกใหออกวาการ ‘ไดสติ ’ สําหรับคุณหมายถึงสิ่งใด มันอาจหมายถึงการรูสึกตัววาขณะนี้คุณ
กําลังอานหนังสือ และตั้งคําถามถามตนเองอยูก็ได
แตในขณะที่คุณไดสติรู สึกว ากําลังขับรถ หรือไดสติรูสึ กวากําลังถูกถามใหยอนคิด คุณยังไมรู
วาจะดูตรงไหน จึงจะเห็ นวามันเปนของไมเที่ยง ของควบคุมไมได
อยางนั้นเรามาดูสาธิ ตกันเดี๋ ยวนี้เลย เอาความรูสึกวาไมรูจะดูตรงไหนนั่นแหละมาใช ถา
หากคุณรูสึกงงๆ สงสัย ตั้งคําถาม หรือคิดควานหาคําตอบอยูละก็ ขอแสดงความยินดีดวย เพราะ
ความรูสึกนั้นแหละที่เราตองการ
สภาพงงๆ ตื้อๆตันๆ ไมรูจะดูอะไร สงสั ยวาทํากันทาไหนนี้ ทางวิปสสนาเรียกวาเปนเครื่อง
ขวางความกาวหนาหรือ ‘นิวรณ’ ชนิดหนึ่ง แตพระพุ ทธเจาทานก็ใหหลักวิธีจัดการไว  คือใหมีสติรูตาม
จริงวาจิตของเรากําลังตกอยูในสภาพถูกครอบงําดวยความสงสัย ขณะของการรูวากําลังสงสัยนั่นเอง
เรียกวาเกิดสติรูตามจริงขึ้นมานิดหนึ่งแลว คือรูวามีภาวะชนิ ดหนึ่งปรากฏอยู
แตที่จะเห็นจริงแบบหลุดจากการครอบงําของความสงสัยไดนั้น ไมใช แคเห็นลักษณะความสงสัย
ตั้งอยูเทานั้น คุณตองเห็นลักษณะการหายตัวไปของความสงสัยดวย

คําถามคือทําอยางไรสภาวะสงสัยจึงหายไป คําตอบคือใหหายใจทีหนึ่ง ทันทีที่คุ ณบอกตัวเอง
ไดวาคุณกําลังหายใจเขาหรือหายใจออก แปลวาวินาทีนั้นความสงสัยหายไปแลว และถู กแทนที่
ดวยสติรูวากําลังหายใจเขาหรือหายใจออก เมื่อสติหลุดจากความรับรูลมหายใจ ความสงสัยหรือใคร
รูก็จะกลับมาอีก ตรงนี้  คือจุดใหสังเกตความตางระหว างภาวะสงสัยกับไมสงสัยได
ณ วินาทีที่คุณบอกตัวเองวากําลังหายใจเขาหรือหายใจออกไดนั้นเอง ใหสํารวจดูเถิ ด ภาวะเดิม
คือความสงสั ยที่กระเดียดไปในทางอึดอัดเปนทุกข จะแปรเปนภาวะใหมคือความหมดพะวงอันกระเดียด
ไปในทางปลอดโปรงเปนสุข เพียงเมื่อเห็ นวาภาวะที่กําลังสงสัย กับภาวะหายสงสัยชั่วคราว
แตกตางกันอยางไร ก็เรี ยกวามีสติแบบวิปสสนาอยางออนๆแลว ทั้งนี้เนื่องจากความรูสึกวาเมื่อกี้
จิตเปนอยางหนึ่ง ตอนนี้จิตเปนอีกอยางหนึ่ง ก็คือการเห็นจิตในอดี ตผานลวงไปแลว จบไปแลว
แปรปรวนไปแลว ไมใช ปจจุบันแลว ซึ่งตามธรรมชาตินั้น เมื่อจิตเห็นสิ่งใดหายไป ยอมไมสําคัญวา
สิ่งนั้นเปนตน
ตรงนี้นาสนใจ คือนาสังเกตวาแลวจิตเห็นสิ่งใดเปนตน? คําตอบก็คือสภาพที่กําลังเปน
ปจจุบัน กําลังปรากฏเฉพาะหนาอยูนี่เอง อยางเชนเมื่อเปรียบเทียบภาวะสงสัยกับภาวะไรความสงสัย ก็
จะเห็นอาการที่จิตเลิกเกี่ยวของพะวงกับความสงสัยอันเปนอดีตไปแลว แตกลับมายึดมั่นความไม
สงสัยในปจจุบันเปนตัวเป นตนแทน
ถาเขาใจตรงนี้ชัดเจน รวมทั้งสังเกตออกวาอะไรคือภาวะในปจจุบันที่เรากําลัง‘เขาใจผิด’ หรือ
‘มองไมเห็นตามจริง’ ก็ถือวาคุณเขาใจหลักพื้นฐานของวิปสสนาชั ดเจนพอสมควรแลว
ลําดับตอไปที่ตองรูก็คือ มีอะไรในตัวเราใหดูบาง? คําตอบคือทั้งหมดที่เปนสวนของกาย และ
ทั้งหมดที่เปนภาวะทางใจ ลวนแลวแตถู กรูดวยสติแบบวิปสสนาได ทั้งสิ้น
แตบอกแคนี้ก็จะงงอีก คืองงวาจะดูกายใจทั้งหมดไดอยางไร เหมารวมทีเดียวเลยหรือ?
คําตอบคือใหแยกดูเปนสวนๆกอน เพราะการเห็นทั้งหมดในคราวเดี ยวไมมี และเปนไปไมได จึงควรดู
เทาที่จะสามารถดูไดเทานั้นพอ
คราวนี้อาจเป นคําถามสําคั ญที่สุด คือจะดูสวนไหนกอนดี? พระพุทธเจาทานสอนใหดูลม
หายใจมากที่สุด เพราะลมหายใจเปนที่พึ่งได  เปนตั วฉุดสติได เปนตัวเลี้ยงสติได  อีกทั้งเปนตัวทําใหเกิด
สติเห็นความไมเที่ยงตามจริงไดด วย
อยางที่เคยกลาวไวกอน คือแคเรารูธรรมดาๆวากําลังหายใจเขาหรือหายใจออก ตรงนั้นเรียกวา
มีสติ  เมื่อใดมีสติเมื่อนั้นความสงสัยและความฟุงซานยอมถูกแทนที่ไดชั่ วคราว ดังนั้นจึงนาปลูกฝง
ความพอใจในการรูทันวากําลังหายใจเขาหรือหายใจออกใหมาก เพื่อแยงพื้ นที่ของจิตเอามา
ใหกับสติ  มากกวาการปลอยใหความสงสัยและความฟุงซานครอบครองไป

เมื่อใดใจฝกใฝอยูกับลมหายใจ คุณจะรูสึกวาอาการ ‘หลุดหายไปจากโลก’ นั้นกินเวลาสั้นลง
และจิตอยูในสภาพพรอมจะไปรูรายละเอียดสวนอื่นๆของกายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ปญหาสําหรับคนสวนใหญ คื อไมสามารถปลูกฝงความพอใจ หรือกระทั่งเตือนสติให ตนเองเขามา
รูลมหายใจหรือรายละเอียดอื่นๆในกายใจไดงายดายนัก บทตอไปจะเสนออาวุธที่จะใชในการขจัด
อุปสรรคขอนี้
สรุป
การเริ่มลงมือทําวิปสสนานั้นไมใชเรื่องยาก แคทันทีที่เขาใจวาจะให กําหนดจิตดูอะไร ขณะนั้นก็
ถือวาใชแลว เชนเปรียบเทียบใหเห็นภาวะตางระหวางความสงสัยกับความไมสงสัยเปนตน เครื่องทุน
แรงที่จะเอาคุณออกจากจุดเริ่มตนได คือลมหายใจ ขอเพียงมีสติรูลมหายใจแคทีเดียว ก็เปรียบเหมือน
ผนังกั้นแบงภาวะสงสัยกับภาวะไมสงสัยแยกเปนตางหากจากกันใหรูไดงายแลว บทตอๆไปจะกลาวถึง
อุบายเบื้องตนเพื่อทําวิปสสนาใหไดตอเนื่อง และเราจะฝกกันระหว างอานหนังสือนี่เลยทีเดียว!

บทที่ ๓- การฝกหายใจเพื่อยกระดับสติ
บทนี้เรามายกระดับสติขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ดวยวิ ธีสังเกตลมหายใจที่ตางไปนั่นเอง คุณไมตอง
ลําบากลําบนฝกดั ดตั วแบบโยคะใหยุงยาก เพียงแคทราบวาจะสังเกตลมหายใจอยางไรก็พอ
เอาเดี๋ยวนี้เลยก็แลวกัน ถาใหถามตัวเองวาลมหายใจสุดทายที่ผานมาเปนสั้นหรือยาว หากตอบ
ไมถูกแปลวาสติของคุณไมอยูที่ลมหายใจ และมีความโนมเอียงวาจะเปนลมสั้น ทั้งนี้ก็เนื่องจาก
สติของคุณใชไปในการตามอานขอความบนหนาหนังสือนั่นเอง
แตมาถึงตรงนี้ จะเห็นวาทันทีที่มีขอความสะกิดให สังเกต ลมหายใจของคุณจะยาวขึ้น
ทันที ทั้งที่ยังไมไดละสายตาไปจากหนาหนังสือ ทั้งนี้เพราะเมื่ อมีอะไรมากระตุนใหเกิดสติระลึก
ถึงลมหายใจ สตินั้นจะปรุงแตงลมใหยาวขึ้นโดยอัตโนมัติ ตรงนี้ขอใหสังเกตด วยวาในทางกลับกัน
คนเราจะมีสติ รูลมหายใจก็ตอเมื่อลมยาวเทานั้น แตลมสั้นไมคอยรูหรือไมรูเอาเลย
ระหวางที่อานบรรทัดนี้คุณหายใจเขายาวหรือวาสั้น? ยาวคือรูสึกบอกตัวเองวามั นลากยาว
อาจจะเทากับหรือมากกวาเมื่อครู สวนสั้ นคือรูสึกวาหดลงจนสังเกตยาก หากถูกถามแลวลากลมหายใจ
เขาลึกขึ้นกวาปกติก็ไมเปนไร แต เอาแค ทีเดียว อยาพยายามหายใจลึกๆติดกันหลายๆที  เพราะ
การฝนหายใจลึกๆหรือถี่ๆไมใชการยกระดับสติ แตเปนการกดคุณภาพสติใหตกต่ําลง
เมื่อทราบวายอหนาที่แลวหายใจยาวหรือสั้น ลองถามตัวเองอีกทีวาระหวางอานยอหนานี้ยัง
ยาวอยูหรือไม อยาเสียใจถาสั้นลง อยาดีใจถายาวขึ้น เพราะแนวปฏิบัตินี้ไมมี อะไรผิดหรือถูก มีแต
เห็นวากําลังปรากฏอะไรใหสังเกตรู ตามจริงเทานั้น
จะเห็นวาคุณอาจพักการอานชั่วแวบเล็กๆเพื่อรูลมหายใจได โดยสายตาแทบไมตองละไปจาก
หนากระดาษแตอยางใด กลาวคือเมื่อรูลมหายใจ สติอาจขาดไปจากตัวหนังสือและความหมายที่มากับ
ตัวหนังสือชั่ วระยะเวลาสั้นๆ แตพอรูลมเสร็จสายตาก็กลับมาจดจอกับขอความตอไดอีก และสามารถรู
เนื้อความในหนังสือสืบเนื่องกันเปนสายน้ําดวย
การระลึกรูลมหายใจเปนพักๆไมไดรบกวนงานที่ทําอยูตรงหนา มิใชทํางานสองอยางพรอมกัน
ใหขาดสติ  เพราะแมทํางานโดยไมระลึกรูลมหายใจ สติของคนทั่วไปก็ขาดตอนเป นประจําอยูแลว หาก
คุณฝกที่จะถามตัวเองด วยสติธรรมดาๆ เชนขณะอานหนังสือยอหนาหนึ่งๆนั้น คุณหายใจยาวหรือสั้น ก็
อาจกลายเปนตัวอยางของสติระหวางการทํางาน และวิธีเดียวกันนี้ช วยใหการทํางานของคุณไดรับการ
ยกระดับขึ้นกวาเคยหลายเทาดวยซ้ํา
๑๐
ถึงยอหนานี้คุณควรเริ่มรูสึกถึงความสงบ และมีจิตใจฝกใฝที่จะรับรูลมหายใจมากขึ้น
โดยเฉพาะถ าเปนลมหายใจยาวจะทราบชัดเปนพิ เศษ และเมื่อทราบชัดเป นพิเศษก็พลอยใหกาย
ดึงลมยาวขึ้นกวาปกติ นี่คือธรรมชาติ การทํางานของจิต ขอเพียงมีเปาใหปกใจลงไป เปานั้นจะเริ่มชัด
ขึ้นตามลําดับ เพราะใจฝกใฝกับสิ่งใด ยอมรูเขาไปในสิ่งนั้นลึกซึ้งและกวางขวางตามเวลาที่ผานไป พอ
สติ ดีขึ้นก็ปรุงกายใหมีคุณภาพดีตาม อยางเชนที่เห็นได จากลมหายใจยาวกวาธรรมดานี่เอง
เมื่อมาถึงยอหนานี้ หากลมหายใจของคุณสั้นลงแลวยังสามารถรูไดชัดวาลมหายใจกําลัง
อยูในชวงสั้น แปลวาจิตของคุณเกิดภาวะผูรู ผูเฝาดูลมหายใจทั้งปวงแลว กลาวคือหายใจออกก็มี
สติรูวาหายใจออก หายใจเขาก็มีสติรูวาหายใจเขา หายใจยาวก็มีสติรูวาหายใจยาว หายใจสั้นก็มีสติรูวา
หายใจสั้น คุณจะเห็นสภาพจิตตัวเองแปลกไป คือในขณะหายใจ จะเหมือนรับรูเขามาในขอบเขต
ทางกายไดชัดขึ้นกวาเดิม ครอบคลุมกวางขวางกวาเดิม
ณ จุดนี้ขอใหสังเกตวาถาขณะหายใจเขาคุณพองหนาทองออกนิดหนึ่ง สติที่กําลังดีจะทําใหเกิด
ความรูขึ้นเองวาหายใจยาวดวยอาการพองหนาทองอยางไรจึงสบาย ปลอยลมออกจากอกอยางไรจึง
ยังคงรักษาความสบายไวได ในระดับเดิมอยูอีก ที่ยอหนานี้ขอใหสังเกตดูวาความสบายนั้นมีอายุขัย
สั้นยาวเพียงใด บางคนอาจสบายแคชวงหายใจเขา บางคนอาจสบายแคชวงหายใจออก บางคนสบาย
ไดตลอดตั้งแตเริ่มเขาและจนออกสุด อยาไปใหความสําคัญวามันยาวแคไหน ขอใหรูแน ๆตามจริง
ก็แลวกัน
การเขาไปรูถึงความสบายหรือความอึดอัดตามจริงนั้น เรียกวาคุณไดทราบชัดในสิ่งที่ละเอียด
กวาลมหายใจแลว นี่เปนอีกเปาหมายหนึ่งของวิปสสนา คือมีสติรูไลจากสิ่งหยาบไปหาสิ่งละเอียด
เพื่อความตระหนักยิ่งๆขึ้นวาทั้งภาวะหยาบและละเอียดนั้น ตางก็เปนสิ่งมีอายุขัยทั้งสิ้น ไมนา
ยึดมั่นถือมั่นทั้งสิ้น ควรอาศัยเปนเครื่องระลึกรูเท านั้น
หากสายตาละจากหนังสือแลวคุณยังรูสึกวาสติไมไปไหน ยังคงปกหลักอยูกับการรูวาลมหายใจ
เขาหรือลมหายใจออก รวมทั้งทราบดวยวาความสบายเกิดขึ้นนานเพียงใด วัดไดดวยจํานวนลม
หายใจกี่ครั้ง ตรงนี้เรียกวาระดับสติ พัฒนาจากการเห็นรูปธรรมตามจริง เลื่อนขั้นขึ้นมาเห็น
นามธรรมตามจริงดวยแลว
การทําวิปสสนานั้น สําคัญมากที่เราจะตองเห็นทั้งรูปและนาม เพราะถาเห็นรูปอยางเดียวก็จะรู
ตามจริงสวนหนึ่ง แลวยังไมรูจริงอีกสวนหนึ่ง ในทางกลับกันหากเห็นนามอยางเดียวก็ไมเพียงพอ ตอง
เห็นรูปด วย จึงจะเรียกวาเห็นตามจริงไดครบถวน
๑๑
วิปสสนาที่ดีและมีคุณภาพนั้น ควรเกิ ดขึ้นอยูเสมอๆ พูดงายๆวาใหบอยที่สุดเทาที่จะเปนไปได
แตไมควรตั้งใจบังคับใหเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะสําหรั บมือใหม เพราะนั่นอาจเปนการฆา
ตัวตายบนเสนทางวิปสสนาเสียตั้งแต แรกเริ่ม การรูเหมือนทําเลนยามวาง แต ทําบอยเหมือนงาน
อดิเรกชิ้นโปรดที่สุดในชีวิ ต จะเปนแรงผลักดันใหเกิ ดความคืบหนาไปเรื่อยๆ คุณจะพบวาตัวเองเริ่ม
ฝกใฝลมหายใจ และมีความสังเกตสังกาเกี่ยวกับความสบายกายสบายใจมากขึ้น เพราะเห็นด วยสติรู
ตามจริงวาการเขามากําหนดดูอยูในขอบเขตกายใจนั้นมีแตดานที่เปนคุณ มีแต ทําใหนิ สัยทํา
รายตนเองและทํารายคนอื่นลดลงทุกที ตอนยังไมเริ่มลงมือจะมองไมออกเลยวาผลลัพธเปนอยางไร
แตขอใหทดลองเถิด เพียงไมกี่วันจะทราบดวยตนเองว าวิปสสนามีค ากับชีวิตอยางมหาศาลปานใด
ภาวะรูชั ดวากํ าลังหายใจเขาหรือหายใจออกอยูนั้นไมมีความนาเบื่อ ไมมีความรูสึกอึดอัด หาก
ฝกระหวางอานบทนี้แลวเบื่อหนายหรื อรูสึกอึดอัด ขอใหใชยอหนานี้เปนหลั กตั้งตนใหม  นับ
หนึ่งใหมโดยการสังเกตวาคุณตั้งใจหรือคาดหวังมากเกิน ‘รูเล นๆสบายๆ’ หรือเปลา?
สติที่พอดีกับการรูลมหายใจปจจุบัน เกิดขึ้นจากการกําหนดวาจะ‘รูไดเทาที่รู’ ถ าหากอยากรู
เกินกวาจะรูได ผลคือความอึดอัด รูสึกเครงเครียด และไมอยากพากเพียรทําตอไปใหมากกวานี้ อีก
ในทางตรงขาม หากคอยๆรูขึ้นมาจากระดับที่พอดีกับสติของตัวเอง จะเกิ ดความสบาย สงบ
หรือกระทั่งสวางสดใส รูสึกสนุก จะกลายเปนกําลังใจใหอยากมุมานะเพื่อความกาวหนายิ่งๆขึ้นไปอีก
แมวางหนังสือลงแลวก็ยังไมอยากเลิก
สรุป
บทนี้เราใชขอความในหนาหนังสือเปนตัวช วยกระตุนใหคุณเกิดสติรู ลมหายใจขึ้นมาตรงๆ และ
การรูลมหายใจตามหลักวิปสสนานั้น ไมใชแครูทื่อๆวากําลังหายใจ แตใหรู ดวยวาหายใจออกหรือหายใจ
เขา หายใจยาวหรือหายใจสั้น คนเราจะรู แคลมหายใจยาว สวนลมหายใจสั้นไมรู บทนี้ชวยชี้ใหคุณดูวา
หากรูแมกําลังหายใจสั้น ก็จะทําใหเกิดสภาพสติสัมปชั ญญะระดับใหมขึ้นมา สติสัมปชัญญะที่สามารถ
รูครอบคลุมกวางขวางทั้งภาวะยาว สั้น หยาบ ละเอียด ไดอยางตอเนื่องนี้เอง ที่เราตองการ
อยางยิ่งยวดในงานวิปสสนาขั้นสูงขึ้นตอๆไป
๑๒
บทที่ ๔- เครื่องทุนแรงใหเกิดความตอเนื่อง
การทําวิปสสนาใหตอเนื่องนั้น พระพุทธเจาแนะนําใหรูลมหายใจบอยๆ เพราะลมหายใจเปน
ของที่ตองเกิดขึ้นตลอด ๒๔ ชั่ วโมง และเปนของไมมีมลทิน ยิ่งรูมากจึงยิ่งมีสติมาก
บทที่แลวคุณไดฝกหายใจกันแบบสดๆ อานหนังสือไปดวยรูลมหายใจไปดวย ซึ่งคุณก็จะพบวา
เปนเรื่องงาย เพราะมีขอความกระตุนใหยอนเขามารูสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ปญหาคือหลังจากละสายตาจากหนังสือไป ก็จะไมมีขอความกระตุนเตือนใดๆอีก คุณตองมี
กําลังใจมากพอจะเตือนตนเอง จึงจะอยูรอดปลอดภัยบนเสนทางวิปสสนาได
อีกปญหาของมือใหม คือถาพยายามไปรูลมหายใจมากๆแลวจะเครียด อึดอั ด หรือกระทั่งปวด
หัวไปเลย สําหรับบทนี้จะเปนอุบายเพื่อใหแนใจวาคุ ณจะเริ่มฝกรูลมหายใจไดอยางงายดายเปน
ธรรมชาติที่สุ ด กับทั้งปดกั้นชองทางที่จะทําใหเกิดความเครียด สับสน ทอแทลงเสีย นั่นคือเราจะฝกรู
ลมหายใจแบบไมตอเนื่ อง นานๆทีรูที
อาศัยนาฬิกาปลุก  (สามารถดาวนโหลดโปรแกรมไดภายในเว็บ)
เทคโนโลยียุคเราถาใช ดีๆก็มีคุณทุกอยางไป ไมเวนแมกระทั่งการทําวิปสสนา ขอใหซื้อนาฬิกา
ขอมือ หรือนาฬิกาดิจิ ตอลแบบพกพาไปไหนมาไหนไดไวสักเรือน หรืออาจเปนโปรแกรมนาฬิกาใน
คอมพิวเตอรเพื่อใชระหวางเวลาทํางานก็ได ตั้งเวลาปลุกทุก ๒ นาทีไว เมื่อเสียงดังครั้งหนึ่ง ใหถาม
ตัวเองวาขณะนั้นกําลังหายใจเขา หายใจออก หรือวาหยุดหายใจอยู ใหดูตามจริง ปลุกครั้งหนึ่งรู
ลมหายใจทีเดียว อยาพยายามรูมากกวานั้น
สติของมือใหมมีความไมสม่ําเสมอเปนธรรมดา แตนาฬิกาปลุกมีความสม่ําเสมอที่แนนอน สอง
นาทีเปนระยะเวลาที่ถี่พอจะทําใหเกิดสติอั ตโนมัติได  แตหางพอที่จะทําใหไมเกิดความเครียด เมื่ อทําไป
เพียงไมนาน คุณจะสังเกตวาตั วเองรูลมหายใจอยางเปนธรรมชาติ ขึ้นมา โดยไมมีการเพงหรือคาดคั้น
เอาความสงบจากลมหายใจเปนพิเศษ ผลคือจะรูตามจริงวาขณะนั้นลมหายใจเปนอยางไรอยู
นอกจากรูวากําลังหายใจเขา ออก หรือหยุดแลว คุณควรสังเกตด วยวาขณะนั้นกําลังสุข กําลัง
ทุกข รวมทั้งระดับความมากนอยของสุขทุกขวามากขึ้นหรือนอยลงกวาการหายใจเมื่อสองนาทีกอน
การรูความตางระหวางสุขทุกขในสองชวงเวลาจะทําใหสติ คุณคอยๆทํางานแบบวิปสสนาไปเอง
๑๓
สัญญากับตัวเองไวด วยวาจะไมมีการแกไข ปรับแตง หรือทําใหอะไรดีกวาที่ปรากฏแสดงอยูตาม
จริง ไมวาจะเปนลมหายใจหรือระดับสุขทุกข ถาเครียดก็ยอมรับวาเครียด ถาสบายก็ทราบตามจริงวา
สบาย ย้ํากับตัวเองไว  วิปสสนาคือรูตามจริง เพื่อเห็นวาไมเที่ยง หาใชการรู ตามอยากเอาดีเขาตัว
เอาชั่วทิ้งน้ํา
นาฬิกาปลุกจะชวยยกระดั บสติของคุณใหปรากฏสม่ําเสมอ และออกตัวจากจุ ดเริ่ มไดเร็ วอยาง
เหลือเชื่อ คือวันเดียวคุณจะกลายเปนคนเลิกหมกมุนครุนคิดกับสิ่งไรสาระ หันมาเริ่มสนใจสิ่งที่
ปราศจากมลทินในตนเอง การเริ่มจากสองนาทีรูครั้งเดียวจะไมกอใหเกิดความเครียดใดๆขึ้นได  มีแตจะ
เกิดสติยิ่งๆขึ้น
ขอใหสังเกตวายิ่งคุณมีสติรูลมหายใจไดสม่ําเสมอขึ้นเทาไหร ลมหายใจก็จะยาว ละเอียด และ
ทําใหเปนสุขสงบมากขึ้นเทานั้น หากเห็นว าเริ่มเคยชินดี แลว ใหลองปรับเวลาจากปลุกทุกสองนาทีมา
เปนทุกหนึ่งนาทีดู เมื่อรูทีละครั้งทุกนาทีไดตอเนื่องสักครึ่งชั่วโมง คุณอาจรูสึกเหมือนโลกแตกตางไป
มาก และเหมือนนาฬิกาเปนสวนเกินที่ไมจําเปนอีกตอไป นั่นเพราะสติคุณเริ่มเป นอัตโนมัติเองแลว
อาศัยปายบอก
ใหเขียนใสกระดาษเล็กๆวา ‘รูลมหายใจ’ แปะไวหลายๆจุดในหองนอนของคุณ อยางนอยสอง
จุดขึ้นไป เลือกจุดที่คุณมักมองบอยๆโดยไมตั้งใจจะดีมาก
คุณจะพบวาขอความเชน ‘รูลมหายใจ’ มีอิทธิพลตอจิตของคุณอยางสูง ขอความไมเพียงทํา
ใหคุณอานแลวเกิดความเขาใจ แตยังเปนเหมือนคําสั่งที่กระตุ นใหเกิดอาการระลึกรู ลมหายใจ
อยางสําคัญอีกดวย
อยาลืมถามตัวเองวาขณะรูลมหายใจนั้น กําลังสบายหรืออึดอัด ถาสบายก็รูวาเปนสุข ถาอึดอัดก็
รูวาเปนทุกข ขอใหเปรียบเทียบความตางระหวางเห็นปายแตละครั้ง คุณจะพบวาหองนอนของคุณ
กลายเปนเครื่องผลิตสติแหลงใหญขึ้นมาไดงายๆภายในเวลาไมกี่วันเทานั้น
๑๔
อาศัยอิริยาบถ
ขอนี้อาจยากกวาขอกอนๆนิดหนึ่ง เพราะไมมีเครื่องชวยนอกกาย แตขอดีคืออิริยาบถเปนของ
ติดตั ว ไมจําเปนตองซื้อหาจากไหน
หลักงายๆคือ เมื่อเปลี่ยนอิริยาบถจากทาหนึ่งไปเป นอีกทาหนึ่ง ใหหายใจแรงขึ้นกวา
ปกตินิดหนึ่ง และกําหนดรูวาหายใจเขายาวเปนอยางนี้ หายใจออกยาวเปนอยางนี้ เอาแคครั้ง
เดียว และอยาพยายามรูใหมากไปกวานั้น สําหรับคําวา ‘เปลี่ยนอิริยาบถ’ จะหมายถึงการสลับ
เปลี่ยนระหวางทานั่ง ยืน เดิ น นอน รวมทั้งการพลิกตัวหรือเอนตัวในทาหนึ่งๆ สําหรับผูเริ่มตน การ
เคลื่อนไหวปลีกยอยกวานั้นเชนการขยับแขนขา มือเทา หรือศีรษะ ถือวาไมเกี่ยว เพราะอาจเปนการถี่
เกินไป
เมื่อรูลมหายใจแลวก็ถามตั วเองตอวา ความรูสึกทางกายโดยรวมทั้งหมดในขณะนั้น มี
ความสบายหรืออึดอัด สํารวจแคนั้น ถาหากรูสึกเฉยๆก็ใหเหมารวมวากําลังสบาย ถาหากรูสึกเฉื่อย
ชาก็ใหเหมารวมวากําลังอึดอัด ขอใหเปรียบเทียบดูวาการเปลี่ยนอิริยาบถที่มีลมหายใจสบายกับ
การเปลี่ยนอิ ริยาบถที่มีลมหายใจอึดอัดนั้นแตกต างกันอยางไร ผลของการระลึกอยางนี้จนชินจะ
ทําใหเกิดความเห็นกาย มีกายเปนที่ฝาก ที่อาศัยของจิตมากขึ้นเรื่อยๆ
อาศัยปฏิกิริยาทางอารมณแรงๆ
ในที่นี้มุงเนนเอาความโกรธ ความขัดเคืองไมพอใจ ซึ่งคนทั่วไปเกิ ดกันบอยวันละหลายหน แต ก็
อาจจะเหมารวมถึงปฏิกิริยาอื่นๆเชนความเครียด ความคิดมาก ตลอดจนความมีราคะกลาในจังหวะที่ไม
ควรจะมี ดวย
เมื่อใจมีปฏิกิริยาตอสิ่งกระทบทางตา ทางหู กอนอื่นขอใหยอมรับตามจริงวามีปฏิกิริยา
หนึ่งๆขึ้น อยาพยายามกําจัดทิ้งเปนอันขาด จากนั้นใหใชลมหายใจเปนตั วนับ วาตองหายใจกี่
ครั้ง ปฏิกิริยาทางใจนั้นๆจึงสงบลง
ตอนแรกๆคุณจะรูสึกคางคา หงุดหงิด เบื่อหนายเหมือนไมคอยมีแกใจอยากจะมานั่งนับลม วากี่
ลมผานไปอารมณทางใจถึงสงบระงับเสียได แตพอทําไดหนหนึ่ง คุณจะเห็นวาหนตอๆมานั้นงายขึ้น
เรื่อยๆ พอมีปฏิกิริยาทางใจแรงๆจะเริ่มนับลมโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงจุดนั้นคุณจะพบวาตัวเองเริ่ม
ฝกใฝสนใจลมเขาออกมากขึ้นไปดวย แมขณะกําลังวางๆที่ยังไมมีปฏิกิริยาทางใจใดๆปรากฏก็
ตาม
๑๕
สรุป
อุบายอันเปนเครื่องทุนแรงชวยงัดเอาสติออกมาจากหลมลึกในจิตใจเรานั้น มีไดมากมายสารพัด
บทนี้แนะนําเพียงสิ่งที่คนสวนใหญสามารถนําไปใชได จริงและจะเห็นผลรวดเร็ ว ชนิดใชเครื่องทุนแรง
เพียงไมกี่วัน สติจะเกิ ดถี่ขึ้ นจนคุณแปลกใจวาของมันงายขนาดนี้ทีเดียวหรือ
คุณจะพบวาเพียงมีสติระลึกรูลมหายใจไดบอยๆ ไมวาถูกลากพามาจากอุบายแบบใด ชีวิ ตคุณ
จะเปลี่ยนแปลงออกมาจากภายใน มีผลกับความรูสึกนึกคิดทั้งหมด และเปนฐานอันมั่นคงใหสามารถตอ
ยอดเปนวิปสสนาขั้นสูงๆขึ้นไดโดยปราศจากความยากลําบากดวย
๑๖
บทที่ ๕ – เปลี่ยนปมปญหาเปนเครื่องมือ
เกือบทุกคนมีปมปญหาที่แกไมตก ในที่นี้จะไมมุงปมปญหาภายนอกอันไดแกเรื่องราวตนสาย
ปลายเหตุของความทุกขใจ แตจะพูดถึง‘นิสัยทางจิต’ อันเปนปมปญหาภายใน ซึ่งหากแกได แมปม
ปญหาภายนอกจะรุมเรารุนแรงสักแคไหน ก็ทําใหทุกขใจไดไมมาก หรือถึงแมทําใหทุกขใจไดมากก็ไม
ขาดสติขนาดทําเรื่องเลวรายเยี่ยงคนจํานนจนตรอกทั้งหลาย
นิสัยทางจิตที่ทําใหทุกขแรง รวมทั้งบั่นทอนสุขภาพกายสุขภาพจิตขนาดที่ควรจั ดเปน‘โรคทาง
ใจ’ มีอยู ๕ ขอ เรียงตามระดับความเปนอันตรายอันเริ่มเขาขั้นวิกฤติในโลกปจจุบันไดดังนี้
๑) โรคบากาม หมกมุนขนาดขาดความยับยั้งชั่งใจกออาชญากรรมทางเพศได
๒) โรคอาฆาต คั่งแคนจุกอกจนวูบเผลอกอคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญได
๓) โรคชางทอ หดหูเซื่องซึ มจนเขาขั้นไมอยากมีชีวิตอยูตอ
๔) โรคคิ ดมาก เครงเครียดกระทั่งหลุดโลกจนเปนบาได
๕) โรคขี้ลังเล จับจดจับฉายจนทําอะไรไมประสพความสําเร็จสักอยาง
ถาใครมีขอใดขอหนึ่งเปนโรคประจําตั ว จะเห็นอยูกับตนเองวาแมยังไมเกิดโทษรุนแรงขั้นสูงสุด
ดังกลาวแตละขอ อยางนอยก็กอทุกขกอโศกใหคุณมากบาง นอยบาง ไมเวนแตละวัน หรือกระทั่งแตละ
ขณะจิต
นิสัยหรือพฤติกรรมทางจิตผิดๆที่เกิดขึ้นเปนประจํานั้น ไมเคยมีแบงวาทํารายเราทางโลกหรือ
ทางธรรม ตราบใดนิสัยทางจิตยังเปนไปในทางลบ ตราบนั้นชีวิตทางโลกจะตกต่ําดํ าดิ่งลงไปเรื่อยๆ และ
ชีวิ ตทางธรรมจะไมอาจกาวหนาไปไหนรอดด วย
หากคุณทดลองตามรูลมหายใจใหสม่ําเสมอดังที่กลาวไวแลวในบทกอนๆจนเกิดความเปน
อัตโนมัติขึ้นมาระดับหนึ่ง ก็จะพบความนาอัศจรรยที่โรคทางใจตางๆลดลงโดยไมตองพึ่งยา ไมต องหา
หมอ ไมตองรอใหเรื่องนอกตัวดีขึ้น
๑๗
อยางไรก็ตาม สําหรับคนเมืองแลว มีโรคชนิดหนึ่งที่แกใหหายขาดไดยาก นั่นคือโรคคิดมาก
เครงเครียด ไมอาจขจัดพายุความฟุงซานออกจากหัวสําเร็จ เพราะคนเมืองตองทํางาน และงานใน
ปจจุบันก็เต็มไปด วยมรสุมนานาชนิด หากวิธีคิดขณะทํางานของคุณผิดพลาด คุณจะไมมีวันหยุด
ฟุงซานไดดวยอุบายใดๆเลย เนื่องจากชีวิ ตสวนใหญ ของคุณจะใชไปเพื่อกอเหตุแหงความฟุง
ดังกลาวแลวว าบทนี้จะมองนิสัยทางจิตผิดๆเปนปมป ญหา คราวนี้ มาพูดถึงการใชวิปสสนามา
เยียวยาความเครียดหรือโรคคิดมากกัน สิ่งที่จะกลาวตอไปนี้ โดยหลักการอาจดูวางายจนเกินเชื่อวาทํา
ไดจริง แตในทางปฏิบัติอาจเห็นวายากจนเหลือที่จะฝน ฉะนั้นขอใหทําใจเปนกลาง และทดลองดูหลายๆ
ครั้ง จะพบดวยตนเองวาไมตองเรียนรูวิชาการใหซับซอนเทาจิตแพทย คุณก็สามารถแกโรคเครียด โรค
คิดมากดวยตนเองได
กอนอื่นตองสํารวจตนเองจริงจัง วาความคิดในรู ปแบบที่คุณเปนอยูนั้น นําไปสูความเครียด หรือ
พูดงายๆวาเปนคน ‘คิดแล วเครียด’ หรือไม ขอใหลองตอบคําถามเหลานี้ดู
๑) รูสึกอึ ดอัดขณะกําลังคิด เหมือนยิ่งคิดยิ่งเพิ่มแรงกดดัน
๒) คิดเรื่องใดเสร็จแตรูสึกเหมือนยังคิดไมเสร็จ
๓) เมื่อตั้งใจพักผอน กลับย้ําคิดวกวนไมรูจบ
๔) แมมีเรื่องเล็กนอยใหคิดก็หนานิ่วคิ้วขมวดหรืออยางนอยก็เกร็งตัว
๕) มีใจเรงรอนเกินกาล หรือทุมกําลังในการคิดมากเกิ นเหตุเสมอ
สํารวจดู ตัวเองแลว ยิ่งตรงกับสิ่งที่คุณเปนอยูมากเทาไหร ยิ่งแปลวาคุณมีความเครียดมากขึ้นเทานั้น ซึ่ง
จะมากหรือนอยไมสําคัญ ที่สําคัญคือคุณไดรูตั ววายังเปนคนคิ ดแลวเครียด หรืออีกนัยหนึ่งคือมีลักษณะ
คิดจากพื้นนิสั ยเครงเครียดจริงๆ
หลักวิปสสนาเพื่อแกนิสัยคิดเครียด
๑) กอนอื่นตองสลัดความเชื่ อเดิมๆทิ้งไป ที่เคยนึกวาความเครียดมาจากสิ่งกระทบภายนอก
เชนความบีบคั้นในที่ทํางานหรือที่บาน ขอใหตั้งมุมมองใหม ปกใจเชื่อวาความเครียดมาจากวิธีคิด
เทานั้น เพื่อใหขอบเขตในการจัดการแก ปญหาแคบลงมากที่สุด คือแกกันที่ลักษณะการคิดอยางเดียว
๑๘
๒) ขณะคิ ดเรื่ องใด สํารวจดู วากําลังเครียดหรือไม คือมี ความรูสึกแข็งๆอยูในหัว คิ้ วขมวด
หนาผากตึง อึ ดอัดอยูในอก มือเกร็งเทางอ อยางใดอยางหนึ่งหรือทั้งหมดรวมกันหรือเปลา ถามีอยู
ขอใหหยุดคิดชั่วคราว หันความสนใจมาสําเหนียกรูสึกถึงลักษณะเครียดที่เกิดขึ้นในรางกายตรงจุดที่เรา
รับรูไดเดนชัดที่สุด พิจารณาวานั่นเปน ‘สวนเกิน’ ตางหากจากความคิด อยาทําอะไรมากกวาเห็น
สวนเกินนั้น ใหเฝาดูเฉยๆ แลวจะพบวาสวนเกินนั้ นละลายหายไปเอง อาจชาหรือเร็ว แตมั นจะหายไป
ขอใหลองดูจริงๆก็แลวกัน
๓) เมื่อเห็นภาวะเครียดหายไป จะเกิดความรูสึกปลอดโปรงโลงเบาขึ้นแทน ณ จุดเดิมนั้นๆ กับ
ทั้งมีความรูสึกในอิริยาบถปจจุบัน เชนนั่งหรือยืน ขอใหทําความรูสึกอยูกับสภาพเบากายครูหนึ่ง
เพื่อเปรียบเทียบให เห็นความตางระหวางสภาพหนักเมื่อครูกอนกับสภาพเบาในปจจุบัน การ
กําหนดรูถึงความแตกตางระหวางหนักกับเบาจะมีสวนสําคัญยิ่ง เพราะสภาพหนักกับสภาพเบาเปนสิ่งที่
จิตจดจําได  ดั งนั้นเมื่อลองสังเกตใหเห็นจนเกิดความหมายรู สามารถแบงแยกความแตกตางระหวางสอง
สภาพ สิ่งที่ตามมาคือปญญาเห็นตามจริง คือหนักก็แคภาวะหนึ่งของกายกับจิต เบาก็แคภาวะหนึ่งของ
กายกับจิต ไมใชมีภาวะใดภาวะหนึ่งเปนตัวคุณอยางถาวรเลย ยิ่งเห็นภาวะตางบอยขึ้นเทาไหร ก็จะยิ่ง
เกิดปญญาเห็ นทุกภาวะไมใชตั วตนของคุณมากขึ้นเทานั้น
ดวยหลักการงายๆ ๓ ขอขางตนเพียงเทานี้ เมื่อกลับไปคิดถึงภาระหนาที่การงานอีกครั้งดวย
กายที่สบายและใจที่ปลอดโปรงกวาเดิม คุณจะพบวาที่ผานมาคุณทําตัวเองใหเครียดไปโดยเปลา
ประโยชนแทๆ เพราะเราจะทํางาน หรือแบกภาระปญหาไดดีที่สุดขณะกายกับใจมีความสงบนิ่ง ปลอด
โปรง เหมือนเตรียมถนนวางๆให พรักพรอมรับการแลนฉิวของขบวนความคิ ดนับสิบนับรอยระลอก
เพื่อเปนแบบฝกหัดเบื้องต นที่สามารถทดลองทําไดขณะกําลังอานหนังสืออยูนี้ ขอใหลองทําตาม
เปนขอๆขางลางดู
๑) สังเกตนิสั ยทางการอานหนังสือของตัวเอง วามีอาการเพงหรืออาการรูสบายๆ ถาเพงจะเห็น
ตัวหนังสือแคบจํากัด แต ถารูสบายๆ หัวคิ้วไมขมวด หนาผากผอนคลาย หลังตั้งคอตรง คุณจะทอดตา
มองเห็นไดกว างขึ้น หากรูตัววามีนิสัยทางการอานแบบเพง แรกๆใหสังเกตอาการขึงตา หรืออาการ
เกร็งตัว และใหทราบวานั่นเปนเครื่องสะทอนวาใจกําลังเพงหนักโดยไมจําเปน ขอใหหยุดอานเพื่อสังเกต
ความแข็งตัวติดคางทางจิต เพียงสองสามวินาทีจะรูสึกวางโลงขึ้นนิดหนึ่ง ใหจําภาวะนั้นไวใชอ าน
หนังสือตอไป ติดความเครียดอีกก็หยุดอานอีก ทําบอยๆจะคอยๆกลายเปนนิสัยใหมถาวร แตอาจไมใช
ในชั่วขามคืนหรือขามอาทิตย นิสัยการอานแบบสบายอาจเปนจุดเริ่ มตนที่ดีและทําไดทันที เพราะวินาที
นี้คุณก็กําลังอานอยู!
๒) เดินไปในที่ที่มีตนไมใบหญาและอากาศที่ปลอดโปรง หากเปนเวลาที่ฟาใสดวยจะเหมาะมาก
ถาเดินเทาเปลาเหยียบผืนหญานุมไดยิ่งดีใหญ  แลวสังเกตวาขณะตามองดอกไม ขณะที่หูฟงเสียงนกรอง
ขณะที่ฝาเทารับสัมผัสใบหญา ใจคุณกําลังคิดถึงอะไร หากไมเกี่ยวกับดอกไมที่ตาเห็น ไมเกี่ยวกับเสียง
๑๙
นกที่ไดยิน ไมเกี่ยวกับใบหญาที่สัมผัส ขอใหถือวานั่นเปน ‘ราก’ ของความเครียดทั้งสิ้น ไมเวนแมแต
ความอยากใหคนที่เรารักมาชมสวนดวยกัน แตหากความคิดของคุณวนเวียนอยูกับความสังเกตสังกา
สีสันและรูปทรงสัณฐานของมวลไม ขอใหถือเปนตัวอยางการวางจากความเครียด
๓) เมื่ออยูระหวางวัน ไมว าจะเจอใคร คุ ยกันเรื่องอะไร หรืออยูคนเดียวแลวครุนคิดถึงสิ่งใด
ขอใหสังเกต สังเกต และสังเกต วาขณะหนึ่งๆเครียดแลวคิ ด คิดแลวเครียดยิ่งขึ้นอีก หรือวางจากเครียด
แลวคอยคิด เพียงเมื่อเปรียบเทียบไดบอยๆจนเห็นวาเครียดก็แคภาวะหนึ่งที่ปรากฏใหรู  วาง
สบายก็แคอี กภาวะหนึ่งที่ปรากฏใหรูเชนเดียวกัน ไมมีภาวะใดภาวะหนึ่งเปนตัวคุณ คุณไมตอง
จมปลักอยูกับภาวะนั้นๆตลอดไป เท านี้ก็เรียกวาเปนวิปสสนาขั้นตนไดแล ว
หลังจากฝกไปสักสองสามวัน ขอใหลองประเมินผลดวยการสํารวจตนเองดู หากสิ่งเหลานี้
ปรากฏ ‘บอยขึ้นเรื่อยๆ’ หรือกระทั่ง ‘เป นประจําทุกครั้ง’ แปลวาคุ ณวางจากความเครียดกอนคิดแลว
๑) รูสึกผอนคลายขณะกําลังคิด เหมือนยิ่งคิดยิ่งมีสติรูชัด
๒) คิดเรื่องใดเสร็จแตรูสึกว าโลงอก งานจบไมตกคาง
๓) เมื่อตั้งใจพักผอน รูสึกปลอดโปรงสบายยิ่ง
๔) แมมีเรื่องหนักหนาใหคิดก็มีสีหนาผอนคลายสบายทั้งตัว
๕) ใจเย็นรอผลสมเหตุตามควรแกเวลา และใชกําลังในการคิดนิ ดเดียวแตไดเหตุได ผลสมบูรณแบบ
หากประเมินดูแลวพบวาคุ ณมีคุณสมบัติครบทั้ง ๕ ขอ ขอใหสังเกตความเครียดหรือความเกร็งที่
เกิดขึ้นแมเพียงเล็กนอยขณะเผลอตัว กับทั้งกําหนดพิจารณาวาริ้วรอยความเครียดที่ แทรกตัวเขา
มาทามกลางความสบายกายใจนั้น มีความไมเที่ยง เมื่อถูกรูแลวตองคลายลงเปนธรรมดา แต
คลายแลวก็ควบคุมใหหายไปตลอดกาลไมได เพราะความเครียดไมใชตัวคุณ และตัวคุณไมใช
ความเครียด
สรุป
บทนี้พูดถึงปญหาใหญหลวงของคนยุคปจจุบัน คือโรคเครียด ที่ความจริงแลวแกไดงายนิดเดียว
ไมจําเปนตองไปเขาคอรสอบรมหรือขอยาจากไหนเลย แคคิ ดใหเปน คิ ดจากอาการสบายใหคลองเทานั้น
ไมกี่วันกอนแข็งๆที่เลวรายในโพรงกะโหลกและในโพรงอกก็จะละลายไปจนหมด สําคัญคือคนไมรูวิธีคิ ด
จากความสบายกันเอง เลยซ้ําเติมความเครียดเขาไปไมหยุดหยอน วันหนึ่งก็ระเบิดโพละออกมา ซึ่ง
นับวาเปนเรื่องนาเสียดาย เพราะเมืองไทยเปนเมืองพุทธที่มีวิปสสนา และหลักวิปสสนาก็ชวยใหพนจาก
ความเครียดไดงายแสนงายดวย
๒๐
บทที่ ๖- ปฏิกิริยาทางใจ
อยูในเมือง คนมีอาชีพหาเงินทองเลี้ยงปากเลี้ยงทองครองชีวิตปกติ ธรรมดานั้น ที่จะไมเกิดเรื่อง
กระทบใจเลย เปนอันวาหมดหวัง
แตการที่จําเปนตองมีเรื่องกระทบใจนั้นเอง ทําใหเราหวังใหมไดวาจะใชมันเปนส วนหนึ่งของ
เครื่องมือวิปสสนา เพราะหลักการหนึ่งของวิปสสนานั้น คือใหดู วาปฏิกิริยาทางใจเปนของเกิดขึ้น
ชั่วคราว เกิดแลวตองดับลงเปนธรรมดา บังคับบั ญชาใหอยูหรือไปทันใจไมได เพราะมั นไมใช
สมบัติของเรา ตางจากหลอดไฟที่กดปุมก็สวางขึ้นหรือมืดลงตามปรารถนา
ถาไมมีเรื่องกระทบใจใหเกิดปฏิกิริยาทางใจ ก็แปลวาขาดเครื่องมือเจริญวิปสสนาในสวนนี้ไป
ฉะนั้นแทนที่จะหนาหมนทนรับเรื่องกระทบ ก็ขอใหดีใจในความเปนชาวบานธรรมดาคนหนึ่งที่ได
เครื่องมือแบบนี้มา
ตามหลักวิปสสนา คุณตองทราบวาปฏิกิริยาทางใจไมใชของเกิดขึ้นลอยๆ เพราะมันไมมี
ตัวตนอยูกอน แตเปนผลที่เกิดจากการกระทบกันระหวางใจกับ‘อะไรอยางหนึ่ง’ ที่เป น
ตางหากจากใจ อยางเชนอักษรบรรทัดปจจุบันนี้ จัดเปนเครื่องกระทบใจชนิดหนึ่ง ตราบใดที่สายตาคุณ
ยังกวาดไปเรื่อย และรูเห็นวาหนังสือพูดอะไรกับคุณ
คุณจะเขาใจคําวา‘อะไรอยางหนึ่ง’ ที่เปนตางหากจากใจนั้นไดชั ดขึ้น ถาทราบวา แมแต
ระลอกความคิดหนึ่งๆก็ถือเปนสิ่งกระทบใจ นี่คือความจริง ความคิดเปนตางหากจากใจ ถู กใจรูได
วาเมื่อใดสงบจากความคิด เมื่อใดคลื่นความคิดกระเพื่อมขึ้นมา
ฉะนั้นถึงแมว าปลีกตัวออกมาจากที่ทํางาน หางหนาจากคูรักคูแคนทั้งหลายมาหางโขแลว ก็อยา
เพิ่งนึกวาจะไมมีเครื่องกระทบใจใหเกิดปฏิกิริยา ความคิดที่ติดตามคุณไปทุกหนทุกแหงนั่นแหละ
เขากระทบในทางดีรายกับใจของคุณมากที่สุด เพราะฉะนั้นถาดักสังเกตกันที่ปฏิกิริยาอันเกิด
จากความคิดกระทบใจได ก็เทากับคุ ณไดทําวิปสสนาบอยที่สุ ด
บทนี้จะขอใหคุณสังเกต เฉพาะปฏิกิริยาทางใจเดนๆ อันเกิดจากการที่ตาถูกรูปทรงสีสันเขา
กระทบ หูถูกส่ําเสียงสําเนียงใดเขากระทบ จมูกถูกกลิ่นอายเขากระทบ ลิ้นถูกรสชาติอาหารเครื่องดื่มเขา
กระทบ กายถูกของกระดางของออนนุมเขากระทบ และใจถูกความคิดหนักเบาเขากระทบ
คําวา‘ปฏิกิริ ยาทางใจเดนๆ’ นั้น ยนยอลงแลวก็เหลือใหระลึกเขาใจงายๆคือ‘ชอบ’ กับ
‘ชัง’ แคนั้นเอง ขอใหสังเกตเถิ ดวาเรารูสึ กกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเปนพิเศษ แปลความหมายทางใจออกมาเปน
คําพูดก็ไดเพี ยงชอบกับชังเทานี้แหละ
๒๑
หากสังเกตละเอียดลงไป ก็อาจเห็นลึกซึ้งลงไป วาชอบกับชังเทานี้ อาจจําแนกเปนกิเลสได
พิสดารพันลึก กลาวคือความชอบใจนั้นจะมีกระแสดึงดู ดอยากไดมาเปนของเรา กระแสใจนี้เปนฝาย
เดียวกับราคะหรือความโลภอยากได สวนความมีใจชังนั้นจะกอกระแสผลักไสอยากขับไลใหพนหนาเรา
ไป กระแสใจนี้เปนฝายเดียวกับโทสะหรือการคิดทําลาย
ทั้งชอบทั้งชังนั้น เหมารวมไดเปนกอนเดียวกันคือความหลง ใจคนเราถูกห อหุมดวยความ
หลงกันมาแตเกิดโดยไมรูตัว ก็เพราะถูกความชอบกับความชังนี้แหละรุมเราอยูทุกเมื่อเชื่อวัน ฉะนั้น
หากเฝาจดจอรอดูความชอบและความชังดับไปตามธรรมชาติ ใจก็จะคลายจากอาการลุมหลง
มัวเมาตางๆจนหายขาดในที่สุด
ยกตัวอยางเชน บางคนสะดุ งตื่นขึ้นกลางดึกเพราะเสียงหมาเหา หากมีแตความชั งในเสียง
กระทบหู ก็จะนอนเครียดไมหลับลงไดเปนชั่วโมงเพราะแคนแนนจุกอก แตหากเอาเสียงหมาเหาเปน
เครื่องเจริญสติ  ตั้งมุมมองไววาสักแตเปนเสียงกระทบแกวหู แตไมกระทบตัวเรา ลองสังเกตดูใจจะพบวา
ปฏิกิริยาโตตอบเปนชิงชังนั้นลดลง ยิ่งเวลาผานไปใจจะยิ่งเฉยมากขึ้นเรื่อยๆ แมเสียงหมาเหาจะยังดัง
เทาเดิมก็ตาม เมื่อสติเกิ ดเต็ มที่แลว จะเห็นวาความเฉยเกิดขึ้นเปนปกติ  แมในคืนตอๆมาจะมีเสียงหมา
เหา สติที่อบรมไวแลวก็จะทําใหใจไมสะดุ งตื่นขึ้นเพราะเสียงหมา อาจจะรูสึกตัวขึ้ นเพียงนิดเดียวก็จะมี
อาการวางเฉยในเสียงปรากฏแทนความรําคาญ และความวางเฉยนั้นจะทําใหกลับหลับลงตอไดอยางดี
นี่คือผลดีที่เห็นไดชัดของการสังเกตปฏิกิ ริยาทางใจจนวางเฉยเสียได
เบื้องตนในชั้นอนุบาลฝกหัด ขอใหลองเปนนักรูอายุขัยของปฏิกิริยาทางใจ เล็งไวเลยวา
ปฏิกิริยาทางใจทุกชนิดมีอายุของตัวเอง อาศัยจํานวนลมหายใจเขาออกเปนตัวนับ กลาวคือพอ
ชอบหรือชังอะไรขึ้นมา ก็เริ่มนับไปเลยวาปฏิกิริยาทางใจนั้นเกิดกับลมหายใจที่หนึ่ง ดูไปๆวามันจะ
หมดอายุ หมดสภาพแสดงตัวตรงลมหายใจที่เทาไหร
เมื่อฝกแรกๆคุณอาจพบว าพอรูลมหายใจปบ ความชอบความชังก็ดับไปทันที แปรเปนความอึด
อัดเพราะบังคับใจใหรูลมเขาออกแทน แตเมื่อทําเหมือนเรื่อยๆเลนๆหลายครั้งเขา ก็จะเริ่มชิน และพบวา
ความชอบความชังนั้นเปนอาการทางใจ เปนของภายใน ตองเห็นจากใจเทานั้น สวนการรูลมหายใจเปน
ของภายนอก รูผานผัสสะทางกาย
พอสติสัมปชั ญญะของคุณรูแบบแยกชั้น ก็จะไมรบกวนกัน ปฏิกิริยาทางใจเกิดขึ้นในภายในก็
แสดงตั วอยูขางใน ลมหายใจเกิดขึ้นที่ภายนอกก็แสดงตัวอยูภายนอก ถึงตรงนี้คุ ณจะรูโดยไมอึดอัด และ
ที่สําคัญคุณจะไมผลีผลามพูดหรือทําอะไรตามความชอบชังบันดาลในขณะนั้น
คนธรรมดาทั่ วไปไมสามารถเห็นความชอบความชังในใจ เพราะชอบหรือชังแลวก็กลายเปน
ปฏิกิริยาลูกโซ สืบเนื่องใหเกิดคําพู ดหรื อการกระทําตามอยากทันที ตอเมื่อหัดใช ลมหายใจชวยเปนตัว
วัดวาอายุขัยมากนอยเพียงใด คุณก็จะเริ่มดูความชอบความชังเป น และเมื่อดูเปนจนชํานาญ คราวนี้คุณ
ไมตองอาศัยลมหายใจเขามาชวยแลว แต สามารถดูความเกิดดับของความชอบความชังไดตรงๆทีเดียว
๒๒
สรุป
ถึงตรงนี้จะเห็ นวาเมื่อเขาใจวิปสสนาอยางแทจริงละก็ คุณอาจปฏิบัติได ตลอดเวลา แมขณะที่คน
อื่นเขานึกวาคุณกําลังนั่งเลนทอดหุยดูลมชมดาว หรือแมกระทั่งขณะที่คุณกําลังพูดคุยเฮฮาอยูกับเขา
ไมใชจะตองไปปฏิบัติวิปสสนากันที่วัดหรือในหองพระที่บานเทานั้น
๒๓
บทที่ ๗ – เกณฑวัดวาคุณเปนนักวิปสสนาหรือยัง
หนังสือวิปสสนานุบาลเลมนี้ ชี้ให เห็นวาวิปสสนาที่ดีนั้ น เริ่มตนตองสรางพื้นฐานอันมั่นคงใหกับ
สติเสียกอน คื อเอาสติไปผูกอยูกับลมหายใจที่เกิดขึ้นอยูตลอดเวลา แตเรากลับหลงไมรูอยูชั่วนาตาป
นี่เอง
จากนั้นชี้ใหเห็นวาวิปสสนาที่ไดผล และทําใหเกิดกําลังใจเปนอันดีนั้ น ควรแกป ญหาใหคุณได
เชนถาเปนโรคเครียด คิ ดมาก ฟุงซานไมหยุด ก็จะสบายขึ้น คิดนอยลง ยุติความฟุงซานไดตาม
ปรารถนา ไมเห็นเหตุผลใดๆวาจะตองหวงความคิดไว  หรือกักขังใหความคิ ดคงค างอยูในหัวอยางเปลา
ประโยชนทําไม
แลวลงเอยคือชี้ใหเห็นวาถาสามารถเห็นปฏิกิริยาทางใจทั้งปวงโดยความเปนสภาวะเกิดขึ้น
ตั้งอยู แลวตองดับลงเปนธรรมดา ไมมีอะไรเปนตัวเปนตนนายึดมั่นถื อมั่นสักอยาง ความจริงอยางที่สุด
คือความวางอยางที่สุด เกิ ดแลวหาย เกิดแลวหาย เกิดแลวหาย ทั้งหมดทั้งสิ้น เห็นไดอยางนี้นับวาคุณ
เริ่มทําวิปสสนาเต็มขั้นแลว
บางคนอาจคิดวาหนังสือเล มนี้มีไวใหนักเรียนอนุบาลทางวิปสสนา เพราะฉะนั้นไมมีทางทํา
วิปสสนาเต็มขั้นได แตขอบอกวาแทจริงคุณจะเปนนักเรียนอนุบาลวิปสสนา หรือเปนนักวิปสสนาเต็มขั้น
นั้น ไมไดขึ้นอยูกับวาคุณอานหนังสือเลมนี้กี่รอบ หรือจะตองไขวคว าหาอานหนังสือเลมอื่นสักกี่เลม
เกณฑตัดสินอยูที่จิตของคุณเอง วาเห็นกายใจนี้ตามจริงหรือไม หากเห็นเป นขณะๆ
อยางตอเนื่องวาทุกสิ่งในกายใจนี้ เกิ ดขึ้นแลวตองดับลงเปนธรรมดาทั้งสิ้น คุณไมยึดมั่ นถือมั่น
สวนใดสวนหนึ่งทั้งฝายรูปและฝายนามวาเปนตัวตน อุปาทานนอยลงเรื่อยๆวานั่นของคุณ นี่
ของคุณ นั่นแหละตัวชี้ชั ดวาคุณเปนนักวิปสสนาเต็มตัวแลว
อยางไรก็ตาม กอนถึงจุดนั้ นก็จะขอใหหลักเปนขอๆไวสํารวจตนเอง วาพฤติกรรมของคุณจะพา
ไปสูความเปนนักวิปสสนาหรือไม เพื่อความสะดวก และไมตองเปนที่สงสัยวาทํามาถูกหรือผิดทาง ก็
ขอใหใชขอเท็จจริงเหลานี้เปนเกณฑประกันความมั่นใจ ยิ่ง‘ใช ’ มากขอเทาไหร ก็เปนอันวาใกลเคียง
ขึ้นเทานั้น
๑) เมื่ออยูวางๆ เชนตองรอใครนานเปนชั่ วโมง คุณไมปลอยใจไปกับวิมานในอากาศ ไมยอนนึก
ถึงเรื่องที่ผานไปแลว ไมคํานึงนึกลวงหนาถึงเรื่องที่ยังรออีกไกล แต นึกถึงลมหายใจ คุณฝกใฝกับลม
หายใจเพราะมันทําใหคุณมีความสุขอยูกับปจจุบัน ไมใชเพราะบังคับตัวเองใหฝนทํ าเพื่อจะไดเป นนัก
วิปสสนา
๒๔
๒) เมื่อมีใครทําใหคุณโกรธ คุณรูตามจริ งวากําลังโกรธ แตแทนการมองหนาเขาดวยตาขุน กลับ
มองความโกรธในใจตัวเองดวยความเป นกลาง คือไมคิดเรื่องถูกผิ ดของเขาหรือของเรา คิดถึงแตวาใจ
เรามีความโกรธ เพื่อเห็นตามจริงวาภาวะโกรธเหมือนไฟที่ลุกวาบขึ้นแสดงความแปรปรวนให ดูเลนอีก
ครั้งเทานั้นเอง
๓) เมื่อเวลาผ านไป คุณเริ่มพบวาตัวเองเฝาตามรูทุกการเคลื่อนไหว ทุกภาวะอารมณ เพื่อเห็น
วาสิ่งเหลานั้นไมเที่ยง บังคับบัญชาหรือสั่งคุมใหเปนไปตามปรารถนาไมได แมกระทั่งขณะขับถาย
ปสสาวะ!
ขอสังเกตตัวเองหลักๆเหลานี้พอบอกไดวาคุณเริ่มทําวิปสสนาบางแลว ตอไปนี้ คือรายละเอียดที่
ลึกลงไป ซึ่งคุ ณอาจพบวาเกิดขึ้นเองหลังจากทําวิปสสนาไปไดพักหนึ่ง
๑) เมื่อเงยหนามองเมฆหรือมองดาว แทนที่จะเกิดจินตนาการเพอฝนออนหวาน คุณกลับเห็น
แคความเบานิ่งสม่ําเสมอของใจ โดยปราศจากความติ ดใจไยดีรสสุขอันเกิดแต ความเบานิ่งสม่ําเสมอนั้น
๒) เมื่อเกิดอั ตตามานะถือเขาถือเรา เทียบศักดิ์เทียบชั้นแรงๆ แลวคุ ณรูสึกรังเกียจสิ่งที่เกิดขึ้น
ในใจตั วเอง เทากับที่คนตาดีเห็นเห็บหมัดสุนัขมากลุมรุมเกาะรางของตนยุบยั่บ
๓) เมื่อคุณเห็ นขอเสียของตัวเองเกิดขึ้นจากการคิด การพูด หรือการกระทําใดๆ แลวทราบชัด
วาจิตมีลักษณะเปนอกุศล เชนขุนเคือง รู สึกหมนมืด ในหัวฟุงแรง อกใจเรารอน ฯลฯ แลวเกิดสติสํานึก
ผิดแบบใหม คือไมเศราโศกเสียใจหรือโทษตัวเอง แต เห็นวาบาปอกุศลเปนแคเงาดําเงาหนึ่งที่ปรากฏ
ทาบจิต เพียงรูชัดวาเงาดํานั้นไมใชตั วคุ ณ เกิ ดแลวต องสลายตัวเป นธรรมดา คุ ณก็เกิดความรูสึกวางขึ้น
แทนที่
๔) เมื่อเปนนั กวิปสสนาไปเรื่อยๆ นับวันความวางก็ขยายขอบเขตออกกวางไกลขึ้นทุกที คือเห็น
อาการใดในใจดับลง ใจก็เหมือนมีพื้นที่วางมากขึ้นเรื่อยๆ และพลอยมีความสุขที่แปลกประหลาดมากขึ้น
เรื่อยๆ
๕) เมื่อเลิกนิสัยคิดวาตั วเองรูดี รู วาคนอื่นเปนอยางไร หันมาเห็นวาตนเองไมไดรู อะไรเกี่ยวกับ
ตัวเองตามจริงสักเทาไหร จนในที่สุดนิสั ยใหมคอยๆถูกเพาะขึ้น คือสํารวจตนเองมากกวาสอดสอง
ออกไปหาเรื่องของคนอื่นขางนอก
๖) เมื่อเกิ ดความกลัว คุณเห็นวาความกลัวเปนเพียงอารมณอีกชนิดหนึ่งที่ลอใหนึกวา‘มีคุณ’
ที่กําลังจะเปนผูเคราะหราย ตอเมื่อสองอยางใกลชิดดวยวิปสสนาแลว กลับเห็นวาเหลือแตความกลัว หา
ไดมีผูเคราะห รายที่ตรงไหนไม
๒๕
๗) เมื่อตระหนักวายอดสุดแหงขอเสียคือความเหมอลอยไรสติ
๘) เมื่อรูสึกวาอดีตที่ผานมาเปนแคความทรงจํา แลวก็รูสึกด วยวาความทรงจําเปรียบเสมือนแสง
เทียนที่คอยๆหรี่ลงสูความดับเขาไปเรื่อยๆดวย
๙) เมื่อพบวานิสัยบางอยางเปลี่ยนไป เช นจากที่เคยชางคุยกับตัวเอง หรือกระทั่งรบกับเสียงใน
หัวของตัวเองอยางหนัก มาพักอยูกับความสงัดเงียบภายในใจแทน
๑๐) เมื่อมีคนบอกวาคุณผองใส แลวคุณรู สึกวาเขาพูดถึงภาวะผองใส ไมไดพู ดถึงตั วคุณ
๑๑) เมื่อรูตามจริงวาคุณแตกตางจากคนรอบขางที่ไมไดภาวนา แตไมเห็นตั วเองแปลกคน
เพราะทุกคนเสมอกันดวยความเปนสิ่งที่ปรากฏแลวต องเสื่อมสลายลงทั้งสิ้น
๑๒) เมื่อมีใครแนะนําใหคนอื่นรูจักวาคุณเปน"นักวิปสสนาคนหนึ่ ง" ใจคุณนึกปฏิเสธ ไมรูสึก
ภาคภูมิใจ ไม นึกวาเปนเกียรติ ยศ และเห็ นวาแมการ"เปนนักวิปสสนา" ก็ไมใช คุ ณเอาเลย
สรุป
ธรรมะที่ดีที่สุดคือสิ่งที่กําลังปรากฏเดนต อสติอยูเดี๋ยวนี้
สิ่งใดแสดงให เห็นวาเกิ ดขึ้นแลวตองดับลงเปนธรรมดา
เห็นแลวกระทําจิตใหคลายจากความยึดมั่นเสียได
สิ่งนั้นนาสนใจดูยิ่งกวาสิ่งมหัศจรรยทั้งหมดในโลกรวมกัน

« Last Edit: 10 March 2013, 23:29:36 by act_dsky » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.057 seconds with 21 queries.