ppsan
|
|
« on: 24 January 2013, 15:29:02 » |
|
ไมเคิลแอนเจโล หรือ มิเคลันเจโล มิคาลันเจโล
ภาพสีชอล์กมิเคลันเจโล
มิเคลันเจโล หรือชื่อเต็มว่า มิเคลันเจโล ดี โลโดวีโก บูโอนาร์โรติ ซิโมนี (อิตาลี: Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni, 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 - 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564) เป็นจิตรกร สถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์ แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมอีกด้วย
เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 และเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ ภายหลังเป็นผู้สร้างประติมากรรมหินอ่อนชื่อกระฉ่อนโลกนามว่า เดวิด (David) หลังจากที่ไปอยู่ที่กรุงโรมเมื่ออายุ 21 ปี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี มิเคลันเจโลสร้างประติมากรรมรูปเดวิด ตอนอายุ 26 ปี จากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์ เป็นเวลาหลายปี จึงกลายเป็นที่ฮือฮาของชาวเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะแตะต้องมัน ความสำเร็จหลังจากงานชิ้นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วอิตาลี มิเคลันเจโล เดิมทีเป็นคนที่เกลียดเลโอนาร์โด ดา วินชี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 23 ปี และไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก (คล้ายกับ "การที่เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้")
ในช่วงนี้ (ค.ศ. 1497 - ค.ศ. 1500) เขาก็ได้สร้างประติมากรรมหินอ่อนอีกชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า ปิเอต้า (Pietà) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม ตอนอายุได้ 30 ปี เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 40 ปี หลังจากแก้หลายครั้งหลายครา จนมาสำเร็จในปี ค.ศ. 1545 ต่อมาในปี ค.ศ. 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม ที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งถือ เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโดม เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในกรุงโรม ตลอด 30 ปี ช่วงนี้นั้นเองที่เขาเขียนภาพระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Last Judgement (Last Judgment) ซึ่งเขาใช้เวลาในการเขียนภาพขนาดยักษ์นี้นานถึง 6 ปี มิเคลันเจโล บูโอนาร์โรติ เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 90 ปี ซึ่งมีคำกล่าวจากสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของมิเคลันเจโลให้ยืนยาวออกไปอีก"
----------------------------------------------------------------------------------
"ปิเอตา" จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปิเอตา (อิตาลี: Pietà; ละติน: pietas) มาจากภาษาอิตาลี ที่แปลว่า ความสงสาร
เป็นกลุ่มงานศิลปะทั้งงานจิตรกรรมและประติมากรรม ที่แสดงถึงความโศกเศร้าและความสงสาร มักวาดหรือแกะสลักหรือปั้น เป็นรูปพระแม่มารีประคองร่างพระเยซูที่เพิ่งอัญเชิญลงจากกางเขน Pietà เป็นหัวเรื่องหนึ่งในชุด “แม่พระระทมทุกข์” (Our Lady of Sorrows) และเป็นฉากหนึ่งใน “พระทรมานของพระเยซู” ซึ่งเป็นฉากที่มีพระแม่มารี นางมารีย์ชาวมักดาลา และบุคคลอื่นล้อมพระศพพระเยซู (หลังจากที่อัญเชิญลงจากกางเขน) ด้วยความความโศกเศร้า ฉากนี้ตามความเป็นจริงแล้วควรจะเรียกว่า “Lamentation” แต่บางที่ก็จะใช้คำว่า “Pietà” แทน คำว่า “pietas” สืบมาจากประเพณีของชาวโรมันราวคริสต์ศตวรรษที่ 7 ที่มีการตีอกชกหัวและ "แสดงอารมณ์...ความรักอันใหญ่หลวงและความกลัวอำนาจของเทพเจ้าโรมัน" ปิเอตา เริ่มขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ปิเอตาแบบเยอรมันและโปแลนด์จะเน้นรอยแผลของพระเยซู
---------------------------
รูปปั้นปิเอตา ของ มิเคลันเจโล บูโอนาร์โรติ
ปิเอตา ชิ้นที่สำคัญที่สุดคืองานประติมากรรมหินอ่อนของมิเคลันเจโล บูโอนาร์โรติ (ไมเคิลแอนเจลโล) เป็นรูปพระแม่มารีประทับบนแท่นหิน ขณะที่รองรับพระศพของพระบุตรไว้ในท่าพาดบนตัก หลังจากที่ถูกนำลงจากไม้กางเขน ปิเอตา ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากหินอ่อนบริสุทธิ์ สูง 5 ฟุต 9 นิ้ว มิเคลันเจโล สร้างปีเอตาขึ้น ตามสัญญาว่าจ้างจากสำนักวาติกันแห่งกรุงโรม เพื่อให้มาประดิษฐานที่มหาวิหารนักบุญเปโตร โดยใช้เวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1494-1501
เมื่อส่งมอบผลงาน ปิเอตา ได้สร้างความมหัศจรรย์แก่ผู้ที่ได้ยลความงามของปิเอตา เป็นอย่างมาก ด้วยความสมจริงทั้งในส่วนของรายละเอียด รอยยับต่าง ๆ และอีกหลาย ๆ องค์ประกอบ ที่ทำให้ปิเอตามีความงดงามอย่างยิ่ง จนมีผู้กล่าวว่าปิเอตามิน่าจะถูกสลักขึ้นจากฝีมือมนุษย์ และอาจจะเป็นด้วยสาเหตุนั้นเองที่ทำให้ มิเคลันเจโลพอใจในผลงานนี้ จนลอบมาสลักชื่อไว้ที่ผลงาน ทั้ง ๆ ที่ในผลงานอื่น ๆ ของเขา ไม่มีชิ้นใดที่เขาสลักชื่อเอาไว้เลย
ในแง่ศิลปะ เป็นความอัศจรรย์ที่ศิลปิน..สิงห์อีซ้าย..สามารถสลักเสลาหินแกร่ง จนมองเห็นเป็นผืนผ้าอ่อนช้อย ส่วนที่เป็นคนก็เหมือนจริงทั้งอารมณ์และกายวิภาค ปิเอต้าของไมเคิลแอนเจลโลนี้สวยงามและมีรายละเอียดมากมาย แสดงถึงความสามารถในการแกะสลักรอยพับและรอยยับของเนื้อผ้าลงบนหินอ่อน
อย่างไรก็ตาม รูปสลักนี้ได้รับการวิเคราะห์ทางกายภาพในสมัยหลังว่า ร่างของพระแม่มารีนั้น “ยาวเกินไป” หากยืนขึ้นจะไม่สมส่วน ปัจจุบันปิเอตายังคงตั้งอยู่ที่มหาวิหารนักบุญเปโตรเช่นเดิม (มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในกรุงวาติกัน) --------------------------------------------
ภาพวาดบนเพดานของหอสวดซิสทีน (Sistine Chapel) ฝีมือศิลปินเอกชาวอิตาเลียน ไมเคิลแอนเจโล เป็นภาพตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ เมื่อพระเจ้าได้สร้าง "อดัม" มนุษย์คนแรกของโลก
ภาพที่เห็นนี้คือส่วนหนึ่งของภาพ Creation of Adam วาดโดย ไมเคิลแอนเจโล
“พระเจ้าสร้างอาดัม” หรือ Creation of Adam เป็นภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่งของไมเคิลแอนเจโล เขียนจากพระธรรมปฐมกาล ในพระคัมภีร์ไบเบิล เป็นภาพที่พระเจ้ายื่นพระหัตถ์มาเพื่อจะสัมผัสมือมือกับอดัม ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกของโลก เสมือนเป็นการประทานชีวิตให้กับมนุษย์ทั้งมวล
Creation of Adam อยู่ที่เพดานของหอสวดซีสติน (Sistine Chapel Ceiling) ภายในพิพิธภัณฑ์วาติกัน เป็นหนึ่งในภาพการสร้างโลกตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บนเพดานของหอสวดจะประกอบด้วยภาพ 9 ภาพ ว่าด้วยเรื่องกำเนิดโลกทั้งสิ้น
ไมเคิลแองเจโลวาดภาพนี้เมื่ออายุ 37 ปี โดยใช้สีเฟรสโก ใช้เวลา 4 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1508-1512 จึงแล้วเสร็จ เชื่อกันว่า เป็นภาพหนึ่งในบรรดาภาพท้าย ๆ ของไมเคิลแอนเจโล
สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 เป็นคนว่าจ้างให้ไมเคิลแองเจโลวาดภาพดังกล่าว โดยให้วาดเมื่อหอสวดสร้างเสร็จแล้ว ดังนั้น วิธีการที่เขาจะวาดภาพได้ก็คือการทำนั่งร้านโยงขึ้นไป นอนวาด บนเพดาน ..
นอกจากนั้น ยังถูกเร่งรัดจากพระสันตะปาปาให้วาดภาพให้เสร็จโดยเร็ว เรื่องเล่าว่า เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้ไมเคิลแอนเจโลต้องทุกข์ทรมานจากการถูกสีไหลเข้าตา รวมทั้งการนอนวาดภาพบนเพดานก็เป็นสาเหตุให้เขากลายเป็นคนคอแข็ง เพราะต้องนอนนิ่ง ๆ วาดภาพเป็นเวลานานหลายปีติดต่อกัน
เคยอ่านพบว่า ศิลปินที่ต้องนอนวาดภาพบนเพดานโบสถ์หรือวิหารต่าง ๆ ด้วยระยะเวลายาวนาน เขาจะพบกับความยากลำบากอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตแนวดิ่งเหมือนมนุษย์ปกติทั่วไป นับว่า เป็นเรื่องน่าเห็นใจทีเดียว
หอสวดนี้ นอกจากจะใช้ทำพิธีทางศาสนาของสันตะปาปาแล้ว ยังใช้เป็นห้องประชุมของสันตะปาปาด้วย .. นับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งในนครรัฐวาติกัน
ภาพการสร้างโลกทั้ง 9 ภาพนี้ ไม่ได้วาดโดยไมเคิลแอนเจโลเพียงคนเดียว แต่ยังมีจิตรกรชั้นนำในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มาเป็นผู้สรรสร้างภาพเหล่านี้ร่วมกัน
นี่คือ ภาพรวมของเพดานหอสวดซีสติน (Sistine Chapel Ceiling) อันลือชื่อ เข้าใจว่า เขาถ่ายภาพแนวโค้งแล้วเอามาปรับให้แบน เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาความงามของภาพ
ภาพ Creation of Adam กลายเป็นรูปสัญลักษณ์อันโด่งดัง เป็นที่รู้จักกันดีพอ ๆ กับ “โมนาลิซา” ของเลโอนาร์โด ดา วินชี
โดยเฉพาะส่วนที่เป็นนิ้วมือของพระเจ้าที่แทบจะมาจรดกับนิ้วมือของอาดัม ซึ่งถูกนำมาแปลงเป็นงานศิลปะในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่นภาพที่ถ่ายมาให้ชมนี้ เป็นต้น
-----------------------------------------
ประติมากรรมหินอ่อนแกะสลัก รูป "เดวิด"
ประติมากรรมเดวิดเป็นหินอ่อนแกะสลักรูป พระเจ้าเดวิด (King David) ตามตำนานในคำภีร์ไบเบิล ลักษณะเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ มิเคลันเจโลเริ่มแกะสลักเดวิดในปี 1501 โดยใช้หินอ่อนสีขาวมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) แคว้นทัสคานีของอิตาลี ประติมากรรมเดวิดเป็นรูปปั้น นับเป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุค "ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” (Renaissance) รูปปั้นเดวิดของมิเคลันเจโล ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ Accademia Gallery ในกรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
1. ในขั้นตอนการแกะสลักรูปปั้นเดวิด มิเคลันเจโลแกะสลักเดวิดจากแท่งหินอ่อนที่มีตำหนิก้อนหนึ่ง ซึ่งหลังการแกะสลักเสร็จแล้ว มิเคลันเจโลได้กะเทาะปมปมหนึ่งจากหน้าอกของรูปสลักออก ซึ่งปมที่ว่าเชื่อกันว่าเป็นตำหนิบนหินอ่อนนั่นเอง 2. ในช่วง ค.ศ. 1527 เกิดเหตุขึ้น ทำให้มีคนปาเก้าอี้ไปโดนรูปสลักเดวิด จนส่วนแขนซ้ายของรูปปั้นแตกถึง 3 แห่ง 3. เดวิดสูง 14 ฟุต 3 นิ้ว 4. มือขวาของเดวิดนั้นมีสัดส่วนที่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับขนาดลำตัวของเขา เหตุผลก็เพราะว่า ในช่วงยุคกลาง กล่าวกันว่าเดวิดนั้นเป็นผู้ที่มีมือแข็งแรง (manu fortis) 5. เดวิดถนัดมือซ้าย 6. ค.ศ. 1872 มีการตัดสินใจเคลื่อนย้ายรูปสลักเดวิดเพื่อเป็นการเก็บรักษาที่ Accademia มันใช้เวลาในการเคลื่อนย้าย 3 วัน 7. มีรูปสลักจำลองของเดวิดมากมาย ค.ศ. 1857 ผลงานจำลองประติมากรรมเดวิดชิ้นหนึ่งถูกส่งถวายพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ซึ่งพระองค์ทรงนำรูปปั้นดังกล่าวตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Victoria and Albert Museum ในกรุงลอนดอน เมื่อพระองค์เสด็จทอดพระเนตรรูปสลักเดวิด ทรงไม่สบายพระทัยเมื่อเห็นว่ารูปสลักเป็นเดวิดเปลือยกาย จึงมีการนำใบมะเดื่อมาปิดไว้ที่ส่วนสงวนของรูปสลักเดวิด
--------------------------------
ภาพ Last judgement ของ มิเคลันเจโล
มิเคลันเจโล เขียนภาพ ” The Last Judgement ” ขึ้นในปี ค.ศ. 1536 ไว้หลังแท่นบูชาในโบสถ์น้อยซิสทีน ขนาด 48×44 ฟุต โดยความสูงของภาพนั้นมีขนาดตั้งแต่พื้นจนไปจรดเพดานของโบสถ์เลยทีเดียว
ภาพ Last Judement นี้ ประกอบไปด้วยรูปภาพย่อยกว่า 400 รูป โดยศูนย์กลางของภาพอยู่ที่ ภาพของพระเยซูคริสต์ และเหล่านักบุญที่รายล้อมพระองค์ แสดงถึงพลังอำนาจในการกวาดล้าง โดย เคลื่อนพลังสู่ด้านล่างเพื่อพิพากษาโทษ และเพื่อยกเอาบรรดาผู้ที่ถูกเลือกให้รอดขึ้นมา พระเป็นเจ้าทรงก่อให้เกิดมหันตภัยครั้งร้ายแรง การเลือกระหว่างผู้ที่จะได้รับชีวิตรอดและผู้ที่จะเสียชีวิตนั้น เป็นไปอย่างน่ากลัว และแฝงไว้ซึ่งความทุกข์ทรมาน พระคริสต์ได้แสดงอำนาจอันน่าอรรศจรรย์โดยมีแสงสว่างล้อมรอบ พระวรกายของพระองค์ ทางด้านข้างคือพระแม่มารีอา ผู้ทรงพรหมจรรย์ ที่คอยส่งสายตาด้วยความเป็น ห่วงมนุษย์ และคอยที่จะช่วยเหลือ ส่วนทางด้านซ้าย และขวาของรูปจะเห็นการเคลื่อนไหวของบรรดา นักบุญทั้งหลาย และบรรดาผู้ถูกเลือกให้รอด
ทางด้านขวาของพระคริสต์นั้นคือนักบุญปีเตอร์ ในมือปีเตอร์ถือกุญแจเงินและทอง ซึ่งเป็นกุญแจสวรรค์ ใบหน้าของเขาว่ากันว่าคือใบหน้าของพระสันตปะปาพอลที่สาม
ทางด้านล่างเป็น นักบุญบาโธโลมิว มือข้างหนึ่งถือมีด และอีกข้างถือหนังของมนุษย์ (ภาพหนังมนุษย์ในมือของ นักบุญบาโธโลมิวนั้น ไมเคิลแอนเจโล เจาะจงเขียนเป็นภาพเหมือนของตัวเขาเอง ) ด้านหลัง ของนักบุญบาโธโลมิว คือ ” เออร์บิโอ ” คนรับใช้ของไมเคิลแอนเจโล
ข้างใต้ภาพนักบุญปีเตอร์คือนักบุญเบลสและแคทเธอรีน ในมือนักบุญเบลสถือหวีโลหะสำหรับใช้ในการทรมาน นักบุญแคทเธอรีนก็ถือดาบเขี้ยวสำหรับการลงโทษเช่นกัน ขวามือยังมีนักบุญเซบาสเตียนกับคันธนู ขวามือคือนักบุญแอนดรูกับกางเขนของท่าน
นักบุญ แอนดรูแบกกางเขน ซึ่งอยู่ถัดมาจากรูปบน
ภาพนักบุญจอห์นปรากฏอยู่ด้านซ้ายของกลุ่มภาพ โดยเซนต์จอห์นเดอะแบบติสต์จะห่มหนังสัตว์ตามแบบฉบับ
ภาพมนุษย์ที่เคยสร้างบาปไว้ ปิดตาตนเองด้วยความหวาดกลัวต่อชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนในวันพิพากษา
ภาพการฟื้นคืนของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว เพื่อรับการพิพากษาจากพระเป็นเจ้า
ภาพชารอน ผู้พายเรือรับวิญญาณในยมโลก เรื่องของชารอนยังปรากฏในบทประพันธ์ของดังเต้ด้วย
ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดในภาพ คือรูปของไมนอสผู้มาจากศาสนาเพกิน (นอกศาสนาคริสต์) โดยไมนอสเป็นบุตรของซุสและยูโรปา เป็นกษัตริย์ของเกาะครีตและกลายเป็น 1 ใน 3 ยมบาลตามศาสนาเพกิน ตามรูปนี้ ไมนอสมีหูเป็นลาและมีงูพันรอบตัว โดยงูได้อาปากกัดอวัยวะเพศของเขา แถมใบหน้าของไมนอสก็เป็นใบหน้าของ Baigio da Cesena ผู้ใกล้ชิดองค์สัตปะปาพอลที่สาม โดย Cesena พยายามฟ้องโป๊ปให้บังคับไมเคิลแองเจลโลให้ลบรูปนี้ออกไป แต่ไม่เป็นผล
---------------------------------------
|