Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 21:06:06

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  กิจกรรมที่น่าสนใจ  |  งานอดิเรกที่น่าสนใจ  |  วาดภาพ  |  ไมเคิลแอนเจโล หรือ มิเคลันเจโล
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ไมเคิลแอนเจโล หรือ มิเคลันเจโล  (Read 3946 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,454


View Profile
« on: 24 January 2013, 15:29:02 »

ไมเคิลแอนเจโล  หรือ มิเคลันเจโล


มิคาลันเจโล


ภาพสีชอล์กมิเคลันเจโล

มิเคลันเจโล หรือชื่อเต็มว่า มิเคลันเจโล ดี โลโดวีโก บูโอนาร์โรติ ซิโมนี (อิตาลี: Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni, 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 - 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564)
เป็นจิตรกร สถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี
 
ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์ แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมอีกด้วย

เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 และเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ ภายหลังเป็นผู้สร้างประติมากรรมหินอ่อนชื่อกระฉ่อนโลกนามว่า เดวิด (David)
 
หลังจากที่ไปอยู่ที่กรุงโรมเมื่ออายุ 21 ปี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี มิเคลันเจโลสร้างประติมากรรมรูปเดวิด ตอนอายุ 26 ปี จากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์
เป็นเวลาหลายปี จึงกลายเป็นที่ฮือฮาของชาวเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะแตะต้องมัน ความสำเร็จหลังจากงานชิ้นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วอิตาลี
มิเคลันเจโล เดิมทีเป็นคนที่เกลียดเลโอนาร์โด ดา วินชี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 23 ปี และไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก (คล้ายกับ "การที่เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้")

ในช่วงนี้ (ค.ศ. 1497 - ค.ศ. 1500) เขาก็ได้สร้างประติมากรรมหินอ่อนอีกชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า ปิเอต้า (Pietà) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม
 
ตอนอายุได้ 30 ปี เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 40 ปี หลังจากแก้หลายครั้งหลายครา
จนมาสำเร็จในปี ค.ศ. 1545 ต่อมาในปี ค.ศ. 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม ที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งถือ
เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโดม
 
เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในกรุงโรม ตลอด 30 ปี ช่วงนี้นั้นเองที่เขาเขียนภาพระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Last Judgement (Last Judgment)
ซึ่งเขาใช้เวลาในการเขียนภาพขนาดยักษ์นี้นานถึง 6 ปี
 
มิเคลันเจโล บูโอนาร์โรติ เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 90 ปี ซึ่งมีคำกล่าวจากสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของมิเคลันเจโลให้ยืนยาวออกไปอีก"

----------------------------------------------------------------------------------

"ปิเอตา"
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



ปิเอตา (อิตาลี: Pietà; ละติน: pietas) มาจากภาษาอิตาลี ที่แปลว่า ความสงสาร



เป็นกลุ่มงานศิลปะทั้งงานจิตรกรรมและประติมากรรม ที่แสดงถึงความโศกเศร้าและความสงสาร
มักวาดหรือแกะสลักหรือปั้น เป็นรูปพระแม่มารีประคองร่างพระเยซูที่เพิ่งอัญเชิญลงจากกางเขน
Pietà เป็นหัวเรื่องหนึ่งในชุด “แม่พระระทมทุกข์” (Our Lady of Sorrows) และเป็นฉากหนึ่งใน “พระทรมานของพระเยซู”
ซึ่งเป็นฉากที่มีพระแม่มารี นางมารีย์ชาวมักดาลา และบุคคลอื่นล้อมพระศพพระเยซู (หลังจากที่อัญเชิญลงจากกางเขน)
ด้วยความความโศกเศร้า ฉากนี้ตามความเป็นจริงแล้วควรจะเรียกว่า “Lamentation” แต่บางที่ก็จะใช้คำว่า “Pietà” แทน
 
คำว่า “pietas” สืบมาจากประเพณีของชาวโรมันราวคริสต์ศตวรรษที่ 7
ที่มีการตีอกชกหัวและ "แสดงอารมณ์...ความรักอันใหญ่หลวงและความกลัวอำนาจของเทพเจ้าโรมัน"
 
ปิเอตา เริ่มขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ปิเอตาแบบเยอรมันและโปแลนด์จะเน้นรอยแผลของพระเยซู

---------------------------

รูปปั้นปิเอตา ของ มิเคลันเจโล บูโอนาร์โรติ
 
 


ปิเอตา ชิ้นที่สำคัญที่สุดคืองานประติมากรรมหินอ่อนของมิเคลันเจโล บูโอนาร์โรติ (ไมเคิลแอนเจลโล)
เป็นรูปพระแม่มารีประทับบนแท่นหิน ขณะที่รองรับพระศพของพระบุตรไว้ในท่าพาดบนตัก หลังจากที่ถูกนำลงจากไม้กางเขน ปิเอตา ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากหินอ่อนบริสุทธิ์ สูง 5 ฟุต 9 นิ้ว
มิเคลันเจโล สร้างปีเอตาขึ้น ตามสัญญาว่าจ้างจากสำนักวาติกันแห่งกรุงโรม เพื่อให้มาประดิษฐานที่มหาวิหารนักบุญเปโตร โดยใช้เวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1494-1501

เมื่อส่งมอบผลงาน ปิเอตา ได้สร้างความมหัศจรรย์แก่ผู้ที่ได้ยลความงามของปิเอตา เป็นอย่างมาก ด้วยความสมจริงทั้งในส่วนของรายละเอียด รอยยับต่าง ๆ และอีกหลาย ๆ องค์ประกอบ
ที่ทำให้ปิเอตามีความงดงามอย่างยิ่ง จนมีผู้กล่าวว่าปิเอตามิน่าจะถูกสลักขึ้นจากฝีมือมนุษย์ และอาจจะเป็นด้วยสาเหตุนั้นเองที่ทำให้ มิเคลันเจโลพอใจในผลงานนี้ จนลอบมาสลักชื่อไว้ที่ผลงาน
ทั้ง ๆ ที่ในผลงานอื่น ๆ ของเขา ไม่มีชิ้นใดที่เขาสลักชื่อเอาไว้เลย

ในแง่ศิลปะ เป็นความอัศจรรย์ที่ศิลปิน..สิงห์อีซ้าย..สามารถสลักเสลาหินแกร่ง จนมองเห็นเป็นผืนผ้าอ่อนช้อย ส่วนที่เป็นคนก็เหมือนจริงทั้งอารมณ์และกายวิภาค
ปิเอต้าของไมเคิลแอนเจลโลนี้สวยงามและมีรายละเอียดมากมาย แสดงถึงความสามารถในการแกะสลักรอยพับและรอยยับของเนื้อผ้าลงบนหินอ่อน

อย่างไรก็ตาม รูปสลักนี้ได้รับการวิเคราะห์ทางกายภาพในสมัยหลังว่า ร่างของพระแม่มารีนั้น “ยาวเกินไป” หากยืนขึ้นจะไม่สมส่วน
ปัจจุบันปิเอตายังคงตั้งอยู่ที่มหาวิหารนักบุญเปโตรเช่นเดิม (มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในกรุงวาติกัน)
 
--------------------------------------------


ภาพวาดบนเพดานของหอสวดซิสทีน (Sistine Chapel) ฝีมือศิลปินเอกชาวอิตาเลียน ไมเคิลแอนเจโล
เป็นภาพตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ เมื่อพระเจ้าได้สร้าง "อดัม" มนุษย์คนแรกของโลก



ภาพที่เห็นนี้คือส่วนหนึ่งของภาพ Creation of Adam วาดโดย ไมเคิลแอนเจโล



“พระเจ้าสร้างอาดัม” หรือ Creation of Adam
เป็นภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่งของไมเคิลแอนเจโล เขียนจากพระธรรมปฐมกาล ในพระคัมภีร์ไบเบิล
เป็นภาพที่พระเจ้ายื่นพระหัตถ์มาเพื่อจะสัมผัสมือมือกับอดัม ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกของโลก เสมือนเป็นการประทานชีวิตให้กับมนุษย์ทั้งมวล

Creation of Adam อยู่ที่เพดานของหอสวดซีสติน (Sistine Chapel Ceiling) ภายในพิพิธภัณฑ์วาติกัน 
เป็นหนึ่งในภาพการสร้างโลกตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล  บนเพดานของหอสวดจะประกอบด้วยภาพ 9 ภาพ ว่าด้วยเรื่องกำเนิดโลกทั้งสิ้น 

ไมเคิลแองเจโลวาดภาพนี้เมื่ออายุ 37 ปี โดยใช้สีเฟรสโก ใช้เวลา 4 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1508-1512 จึงแล้วเสร็จ เชื่อกันว่า เป็นภาพหนึ่งในบรรดาภาพท้าย ๆ ของไมเคิลแอนเจโล



สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 เป็นคนว่าจ้างให้ไมเคิลแองเจโลวาดภาพดังกล่าว  โดยให้วาดเมื่อหอสวดสร้างเสร็จแล้ว
ดังนั้น วิธีการที่เขาจะวาดภาพได้ก็คือการทำนั่งร้านโยงขึ้นไป นอนวาด บนเพดาน ..

นอกจากนั้น ยังถูกเร่งรัดจากพระสันตะปาปาให้วาดภาพให้เสร็จโดยเร็ว 
เรื่องเล่าว่า เหตุการณ์เหล่านี้  ทำให้ไมเคิลแอนเจโลต้องทุกข์ทรมานจากการถูกสีไหลเข้าตา
รวมทั้งการนอนวาดภาพบนเพดานก็เป็นสาเหตุให้เขากลายเป็นคนคอแข็ง เพราะต้องนอนนิ่ง ๆ วาดภาพเป็นเวลานานหลายปีติดต่อกัน

เคยอ่านพบว่า  ศิลปินที่ต้องนอนวาดภาพบนเพดานโบสถ์หรือวิหารต่าง ๆ ด้วยระยะเวลายาวนาน
เขาจะพบกับความยากลำบากอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตแนวดิ่งเหมือนมนุษย์ปกติทั่วไป นับว่า เป็นเรื่องน่าเห็นใจทีเดียว

หอสวดนี้ นอกจากจะใช้ทำพิธีทางศาสนาของสันตะปาปาแล้ว ยังใช้เป็นห้องประชุมของสันตะปาปาด้วย ..
นับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งในนครรัฐวาติกัน 



ภาพการสร้างโลกทั้ง 9 ภาพนี้ ไม่ได้วาดโดยไมเคิลแอนเจโลเพียงคนเดียว
แต่ยังมีจิตรกรชั้นนำในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มาเป็นผู้สรรสร้างภาพเหล่านี้ร่วมกัน

นี่คือ ภาพรวมของเพดานหอสวดซีสติน (Sistine Chapel Ceiling) อันลือชื่อ
เข้าใจว่า  เขาถ่ายภาพแนวโค้งแล้วเอามาปรับให้แบน เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาความงามของภาพ



ภาพ Creation of Adam  กลายเป็นรูปสัญลักษณ์อันโด่งดัง เป็นที่รู้จักกันดีพอ ๆ กับ “โมนาลิซา” ของเลโอนาร์โด ดา วินชี

โดยเฉพาะส่วนที่เป็นนิ้วมือของพระเจ้าที่แทบจะมาจรดกับนิ้วมือของอาดัม
ซึ่งถูกนำมาแปลงเป็นงานศิลปะในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย  อย่างเช่นภาพที่ถ่ายมาให้ชมนี้ เป็นต้น



-----------------------------------------

ประติมากรรมหินอ่อนแกะสลัก รูป "เดวิด"



ประติมากรรมเดวิดเป็นหินอ่อนแกะสลักรูป พระเจ้าเดวิด (King David) ตามตำนานในคำภีร์ไบเบิล
ลักษณะเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์
มิเคลันเจโลเริ่มแกะสลักเดวิดในปี 1501 โดยใช้หินอ่อนสีขาวมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) แคว้นทัสคานีของอิตาลี
ประติมากรรมเดวิดเป็นรูปปั้น นับเป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุค "ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” (Renaissance)
รูปปั้นเดวิดของมิเคลันเจโล ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ Accademia Gallery ในกรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี

1. ในขั้นตอนการแกะสลักรูปปั้นเดวิด มิเคลันเจโลแกะสลักเดวิดจากแท่งหินอ่อนที่มีตำหนิก้อนหนึ่ง
     ซึ่งหลังการแกะสลักเสร็จแล้ว มิเคลันเจโลได้กะเทาะปมปมหนึ่งจากหน้าอกของรูปสลักออก ซึ่งปมที่ว่าเชื่อกันว่าเป็นตำหนิบนหินอ่อนนั่นเอง 
2. ในช่วง ค.ศ. 1527 เกิดเหตุขึ้น ทำให้มีคนปาเก้าอี้ไปโดนรูปสลักเดวิด จนส่วนแขนซ้ายของรูปปั้นแตกถึง 3 แห่ง
3. เดวิดสูง 14 ฟุต 3 นิ้ว
4. มือขวาของเดวิดนั้นมีสัดส่วนที่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับขนาดลำตัวของเขา เหตุผลก็เพราะว่า ในช่วงยุคกลาง กล่าวกันว่าเดวิดนั้นเป็นผู้ที่มีมือแข็งแรง (manu fortis)
5. เดวิดถนัดมือซ้าย
6. ค.ศ. 1872 มีการตัดสินใจเคลื่อนย้ายรูปสลักเดวิดเพื่อเป็นการเก็บรักษาที่ Accademia มันใช้เวลาในการเคลื่อนย้าย 3 วัน
7. มีรูปสลักจำลองของเดวิดมากมาย ค.ศ. 1857 ผลงานจำลองประติมากรรมเดวิดชิ้นหนึ่งถูกส่งถวายพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ
     ซึ่งพระองค์ทรงนำรูปปั้นดังกล่าวตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Victoria and Albert Museum ในกรุงลอนดอน
     เมื่อพระองค์เสด็จทอดพระเนตรรูปสลักเดวิด ทรงไม่สบายพระทัยเมื่อเห็นว่ารูปสลักเป็นเดวิดเปลือยกาย
     จึงมีการนำใบมะเดื่อมาปิดไว้ที่ส่วนสงวนของรูปสลักเดวิด




 
 


--------------------------------

ภาพ Last judgement ของ มิเคลันเจโล

มิเคลันเจโล เขียนภาพ ” The Last Judgement ” ขึ้นในปี ค.ศ. 1536 ไว้หลังแท่นบูชาในโบสถ์น้อยซิสทีน  ขนาด 48×44 ฟุต
โดยความสูงของภาพนั้นมีขนาดตั้งแต่พื้นจนไปจรดเพดานของโบสถ์เลยทีเดียว
 


ภาพ Last Judement นี้ ประกอบไปด้วยรูปภาพย่อยกว่า 400 รูป โดยศูนย์กลางของภาพอยู่ที่ ภาพของพระเยซูคริสต์ และเหล่านักบุญที่รายล้อมพระองค์
แสดงถึงพลังอำนาจในการกวาดล้าง โดย เคลื่อนพลังสู่ด้านล่างเพื่อพิพากษาโทษ และเพื่อยกเอาบรรดาผู้ที่ถูกเลือกให้รอดขึ้นมา 
พระเป็นเจ้าทรงก่อให้เกิดมหันตภัยครั้งร้ายแรง การเลือกระหว่างผู้ที่จะได้รับชีวิตรอดและผู้ที่จะเสียชีวิตนั้น เป็นไปอย่างน่ากลัว และแฝงไว้ซึ่งความทุกข์ทรมาน
พระคริสต์ได้แสดงอำนาจอันน่าอรรศจรรย์โดยมีแสงสว่างล้อมรอบ พระวรกายของพระองค์ ทางด้านข้างคือพระแม่มารีอา ผู้ทรงพรหมจรรย์
ที่คอยส่งสายตาด้วยความเป็น ห่วงมนุษย์ และคอยที่จะช่วยเหลือ
ส่วนทางด้านซ้าย และขวาของรูปจะเห็นการเคลื่อนไหวของบรรดา นักบุญทั้งหลาย และบรรดาผู้ถูกเลือกให้รอด



ทางด้านขวาของพระคริสต์นั้นคือนักบุญปีเตอร์   ในมือปีเตอร์ถือกุญแจเงินและทอง ซึ่งเป็นกุญแจสวรรค์ ใบหน้าของเขาว่ากันว่าคือใบหน้าของพระสันตปะปาพอลที่สาม
 


ทางด้านล่างเป็น นักบุญบาโธโลมิว มือข้างหนึ่งถือมีด และอีกข้างถือหนังของมนุษย์
(ภาพหนังมนุษย์ในมือของ นักบุญบาโธโลมิวนั้น ไมเคิลแอนเจโล เจาะจงเขียนเป็นภาพเหมือนของตัวเขาเอง )
ด้านหลัง ของนักบุญบาโธโลมิว คือ ” เออร์บิโอ ” คนรับใช้ของไมเคิลแอนเจโล



ข้างใต้ภาพนักบุญปีเตอร์คือนักบุญเบลสและแคทเธอรีน ในมือนักบุญเบลสถือหวีโลหะสำหรับใช้ในการทรมาน นักบุญแคทเธอรีนก็ถือดาบเขี้ยวสำหรับการลงโทษเช่นกัน
ขวามือยังมีนักบุญเซบาสเตียนกับคันธนู ขวามือคือนักบุญแอนดรูกับกางเขนของท่าน
 


นักบุญ แอนดรูแบกกางเขน ซึ่งอยู่ถัดมาจากรูปบน
 


ภาพนักบุญจอห์นปรากฏอยู่ด้านซ้ายของกลุ่มภาพ โดยเซนต์จอห์นเดอะแบบติสต์จะห่มหนังสัตว์ตามแบบฉบับ
 


ภาพมนุษย์ที่เคยสร้างบาปไว้ ปิดตาตนเองด้วยความหวาดกลัวต่อชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนในวันพิพากษา
 


ภาพการฟื้นคืนของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว เพื่อรับการพิพากษาจากพระเป็นเจ้า
 


ภาพชารอน ผู้พายเรือรับวิญญาณในยมโลก เรื่องของชารอนยังปรากฏในบทประพันธ์ของดังเต้ด้วย
 


ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดในภาพ คือรูปของไมนอสผู้มาจากศาสนาเพกิน (นอกศาสนาคริสต์) โดยไมนอสเป็นบุตรของซุสและยูโรปา
เป็นกษัตริย์ของเกาะครีตและกลายเป็น 1 ใน 3 ยมบาลตามศาสนาเพกิน 
ตามรูปนี้ ไมนอสมีหูเป็นลาและมีงูพันรอบตัว โดยงูได้อาปากกัดอวัยวะเพศของเขา แถมใบหน้าของไมนอสก็เป็นใบหน้าของ Baigio da Cesena
ผู้ใกล้ชิดองค์สัตปะปาพอลที่สาม โดย Cesena พยายามฟ้องโป๊ปให้บังคับไมเคิลแองเจลโลให้ลบรูปนี้ออกไป แต่ไม่เป็นผล

---------------------------------------


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #1 on: 24 January 2013, 15:31:07 »

ปิเอต้า ในรูปแบบงานจิตกรรมโดยจิโอวานนี เบลลินี
 


วาดขึ้นในปี ค.ศ. 1505 เป็นรูปพระแม่มารีในเครื่องแต่งกายสีดำโอบอุ้มร่างพระบุตร โดยพระแม่มีใบหน้าที่ดูชราต่างจากงานของไมเคิลแองเจลโล
แต่ยังคงเศร้าหมองสมกับชื่อ ปิเอต้า
 
----------------------------------------------

ปิเอต้า วาดโดย Rogier van der Weyden
 


รูปที่วาดขึ้นโดยใช้สีน้ำมัน ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ปราโด เมืองแมดริด ประเทศเสปน

----------------------------------------------

ภาพวาด ปิเอตา ของ Michelangelo Caravaggio


----------------------------------------------------------------------------------


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.072 seconds with 20 queries.