Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 02:39:55

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้  |  เรื่องที่ควรรู้เท่าทันระดับโลก  |  NEW WORLD ORDER
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: NEW WORLD ORDER  (Read 3471 times)
LAMBERG
มายิ้มในใจกันไว้เรื่อยๆ สนุกดีๆ
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 1,479


View Profile
« on: 17 January 2013, 12:05:35 »

ย้อนเวลากลับไปนิดนึงครับถึงการก่อกำเนิดของ illuminati ครับ ในปี คศ. 1773 แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมันนี้ ดร.อาดัม ไวฮอป (Adam Weishaupt) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านสิ่งเหนือธรรมชาติ และเวทมนต์ ไสยศาสตร์ได้คิดทฤษฏีของ illuminati ขึ้นเป็นครั้งแรกครับ แล้วปรึกษากับพรรคพวกที่มีทั้งอำนาจและความมั่งคั่งอีก 12 คน ทั้ง 12 คนตกลงที่จะสนับสนุนไวฮอป ในเรื่องนี้ครับ โดยตกลงกันว่าเค้าคอยสนับสนุนทางด้านการเงิน และไวฮอปเป็นผู้วางโครงสร้างต่างๆ เค้าจึงทำพันธสัญญากันขึ้นเรียกว่า “The Thirteen Covenant” ก็คือเค้าทั้ง 13 ได้ทำพันธสัญญาร่วมกันครับ อีก 1 ปีต่อมาเค้าสามารถหาผู้ร่วมอุมการณ์ได้อีก 2000 คนครับ ซึ่งคนเหล่านี้มีทั้งฐานะ อำนาจ และสติปัญญาครับ ไม่ธรรมดาแล้วครับตอนนี้ แล้วทฤษฐีที่เค้าคิดขึ้นมาคือ “World Domination” หรือ “การยึดครองโลกครับ”   



ช่วง ต้นศตวรรษที่ 20 หรือปี 1900 ต้นๆ สื่อหลัก 12 บริษัทในอเมริกา ที่ครอบคลุม ทั้ง วิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ถูกกว้านซื้อโดย นายธนาคารชื่อ JP Morgan ครับ(ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มการเงินจากอังกฤษและยุโรป) และได้รับการต่อต้านจากรัฐบาลเหมือนที่เราเคยทำไงครับ แต่สุดท้ายรัฐบาลชนะครับ และพยายามริดรอนกำลังของเค้าด้วยกฏหมายครับ เค้าเปลี่ยนแผนครับ เค้าซื้อสื่อไม่ได้ งั้นซื้อรัฐบาลเลยดีกว่า และเค้าทำสำเร็จครับ ในปี 1913 แล้วในช่วงคริสต์มาสของปีนั้นเค้าก็ยัดเยียด 2 สิ่งให้กับประเทศชาติและประชาชนครับ คือ FED (Federal Reserve) และ CIA (Central Intelligent Agency) หลังจากนั้นก็เข้ายึดครอง 90% ของสื่่อในอเมริกา ด้วยระบบเครดิต การเงิน การธนาคาร และ Central Bank หรือธนาคารกลาง ปัจจุบัน สื่อ 12 บริษัทนี้ก็ได้แตกกิ่งก้านสาขาออกไป กลายเป็นสื่อขนาดกลางและขนาดใหญ่ อย่างน้อย 12,000 บริษัท ครอบคลุมทั่วพื้นภิภพครับ



 ย้อนไปนานหน่อย... งงเลยสิ..แล้วมันเกี่ยวไรกัน
 พักไว้ตรงนี้ก่อน Post หน้าผมจะเอาเรื่อง เศษฐกิจที่เป็นต้นเหตุ มาแถลง

FED (Federal Reserve)=ธนาคารกลางสหรัฐ


ก่อนอืนขอกล่าวถึงสถานะภาพของ อเมริกาที่เป็นอยู่ ให้คนที่ไม่รู้เรื่องเลย เพื่อง่ายต่อการเข้าใจ
สถานะการเงิน ถังแตกครับ
โลก เราทุกวันนี้คนที่ให้มีคนเดียวครับ แต่คนที่รอรับมี 9 คนครับ ถ้าคนเดียวที่มี "ไม่ให้" หรือ "ไม่มีจะให้" ก็จะเกิดการฆ่าเพื่อแย่งชิงครับ "จบครับ"

สงสัยไหมว่ามันเกิดขึ้นได้ไง!?

Illuminati Seal หรือเครื่องหมายอิลูมินาติ





ที่นี้เรามาดูตราสัญลักษณ์ของเค้าครับว่าเค้าบอกอะไรเราบ้าง ตัวอักษรทั้งหมดเป็ภาษาละตินครับ เริ่มจาก

“Annuit Coeptis” แอนนูอิท โคเอปทิส แปลได้ว่า “ประกาศการกำเนิดของ”

“Novus Ordo Seclorum” คือ โนวัส ออโด เซโคลรัม “New World Order แปลว่า การจัดระเบียบโลกใหม่ หรือ New Age” นั่นเอง

“MDCCLXXDI” ที่ฐานปิระมิด คือ คศ.1776 ครับ

“ปิระมิด 13 ชั้น” เลข 13 หมายถึง Rebellion หรือการปฏิวัติ และปิระมิดซึ่งเป็นของอียิปต์ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือเวอร์ชั่นใหม่ของ “บาบิโลนมหานคร” ที่ล่มสลายไปเมื่อปี 3500 BC ดูรูปนี้ครับ ถ้าเป็นคริสต์ให้ดูไปถึง ”หอบาเบล” ครับ คือคอนเซปเดียวกันหมด “ บาเบล & บาบิโลน ” มันคือ BABEL+ON=Babelon นั่นเอง



“Seeing Eye” หรือดวงตาที่กำลังมองดูเราอยู่ครับ มันเป็นตาของเทพเจ้าของอิยิปต์ “Ra” หรือ “Horus” ครับ จำหนังฮอลลีวู๊ดเรื่อง สตาร์เกทได้ไม๊ครับ นั่นล่ะ Ra และต้องทราบครับว่าวงการ Hollywood ก็เป็น illuminati เกือบทั้งหมด หลักฐานเต็มไปหมด จะดูหนังเรื่องไหน มันก็จะยัดเยียดให้เราดู ปิระมิด กับ ดวงตาลูซิเฟอร์ นี่ให้ได้ มีเกือบทุกเรื่องครับ





Ra หรือ Horus เป็นใครดูรูปนี้ครับ ก็คือมนุษย์อีกคนนี่แหละครับที่บูชาซาตาน ลูซิเฟอร์ เป็นตัวแทนของลูซิเฟอร์บนโลกใบนี้แล้วก็ตั้งตัวเป็นพระเจ้าบนโลกไปเลย เพราะยุคนั้นอียิปต์เรืองอำนาจที่สุดครับ ของอิยิปต์จะมีเทพเจ้าอยู่ 3 องค์หลักคือ Horus, Isis และ Seth ครับ หรือ IHS ที่กระจายไปทั่วโลกก็มาจากตรงนี้แหละครับ
ดวง ตาของ “Ra” เทพเจ้าของอิยิปต์ หรืออีกชื่อคือ “Horus” ซึ่งมีต้นตอของมันก็คือ “Lucifer” หรือ ซาตานนี่แหละครับ แล้วอิยิปต์ไปเอามาเป็นเทพเจ้าของเค้าเปลี่ยนชื่อแต่งตัวให้ใหม่

อันนี้หาดูเพิ่มเติมเองได้นะครับ Lucifer หรือ ซาตาน ตัวที่ยึดครองและทำให้โลกใบนี้วุ่นวาย เป็นบิดาและต้นกำเนิดของความบาปและความชั่วทั้งมวล ด้วยการโกหกและการล่อลวง ให้สังเกตุการแสดงสัญลักษณ์แขนและมือ แขนซ้ายชี้ลงหมายถึงโลกมนุษย์ แต่แขนขวายกขึ้นหมายถึงสวรรค์ มันพยายามสื่อถึง “As above so below” คือสวรรค์เป็นอย่างไรโลกมนุษย์ก็เป็นอย่างนั้น ซึ่ง “ผิดอย่างที่สุด” โกหกจนเป็นนิสัย คือเค้าจะบอกว่าไม่ต้องไปหรอกสวรรค์ โลกมนุษย์ก็แหมือนกันแหละ เค้าให้ได้ทุกอย่าง แค่ขอให้เชื่อเค้าคือ มอมเมา โลภ ตัณหา ผิดศีลธรรม สงคราม การฆ่า ผิดเพศ คือทำบาปทั้งหมดนั่นแหละครับ แล้วทำไม illuminati ถึงต้องบูชาซาตาน....... นั่นสิครับทำไม จำเรื่อง Human Sacrifice หรือการบูชายันต์ด้วยมนุษย์ได้ไม๊ครับ ที่เค้าทำทั้งหมดก็เพื่อถวายไอ้ตัวนี้แหละ มันจะให้แล้วสุดท้ายก็ฆ่าไงครับ “ลองหาดูครับว่า จริงไม๊ และอารยธรรมของซาตานลูซิเฟอร์ก็แพร่กระจายไปทุกมุมโลก แตกไปเป็นศาสนาโน้นศาสนานี้ พวกมนต์ดำ ไสยศาสตร์ การร่ายเวทมนต์ทั้งหมดก็ของมันนี่แหละครับ

ไม่ว่าจะความปั่นป่วนทางเศษฐกิจ โรคระบาด สงครามอีรักและอาฟกานิสถาน เป็นประสงของกลุ่มคนดังกล่าวที่มีอำนาจล้นเหลือ
เพื่อให้บรรลุเป้าที่เค้ามีอยู่ ทำกันมานานแล้วจะว่าเป็นร้อยปีก็ว่าได้ มันเป็นขั้นเป็นตอน
(เคยดู ไดฮาท ไหม) ถ้าคุนจะครองโลกจะทำไง ต้องโละระบบ  เท่าที่ผมคิดได้ก็ ทำให้โลกปั่นป่วนด้วยสภาวะเศษฐกิจ
ทำให้คนทะเลาะกัน ก่อสงคราม ใหญ่ๆกันทั้งนั้นนิ แล้วทำเนียยนปล่อยโรค"เอ่าอยากรอดมารับยา......
ว่ากันไป ข้อมูลข้างต้นคือหลักฐานและที่มาของพวกเค้า         







เรามาย้อยไปที่เครื่องหมายอิลูมินาติ
อย่าง แรกเราต้องรู้จัก “Numerology” ครับ เป็นศาสตร์ทางตัวเลขซึ่งเป็นองค์ความรู้เก่าแก่จากคัมภีร์ของพวกฮิบรูหรือ ยิว เป็นการ Code ตัวหนังสือให้เป็นตัวเลขครับ ก็คือการเอาตัวหนังสือซ่อนไว้ในตัวเลขนั่นเอง โดยมีความหมายดังนี้ครับ
6 Man คือ มนุษย์
7 God คือ พระเจ้า
8 New Beginning คือ การเริ่มต้นใหม่
9 Complete or Finish คือ การเสร็จสิ้น หรือ ความสำเร็จ
12 Government and Perfection คือรัฐบาลและความสมบูรณ์แบบ
13 Rebellion คือการปฏิวัติ หรือ การก่อกบฏ
18 Bondage หรือ ความเป็นทาส
28 Eternity คือความเป็นนิรันดร์



เรามาดูกันครับว่าเค้าซ่อนอะไรไว้ในตราดวงนี้บ้าง
1. ดาว 13 ดวง คือการก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า)
2. อยู่ในวงกลมที่มี 28 ขีดหรือ Guide Line คือความเป็นนิรันดร์
3. ป้ายผ้า 13 ขยัก คือการก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า)
4. ตัวหนังสือ E PLURIBUS UNUM หรือ “One out of Many” หรือ “หนึ่งจากหลายๆ สิ่ง”
5. ปีกข้างซ้าย มี 32 เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดินอีกกลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason)หรือ ฟรีเมสัน (Free Mason)ในยุโรป มี 32 ระดับ
6. ปีกข้างขวา มี 33 เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดินอีกกลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason)หรือ ฟรีเมสัน (Free Mason)ในอเมริกา มี 33 ระดับ
7. เส้นแนวนอน 12 เส้นที่หน้าอก หมายถึงความเป็นรัฐบาล
8. เส้นแนวตั้ง 18 เส้นที่หน้าอก หมายถึงการเป็นนายทาส
9. ซึ่งแบ่งได้ 6 แถบใหญ่ หมายถึงมนุษย์
10. แถบสีดำและขาวรวมกันได้ 13 แถบ แยกเป็น
11. แถบดำ 7 แถบ หมายถึงพระเจ้า
12. แถบขาว 6 แถบ หมายถึงมนุษย์ (วางทับแถบดำ คือ อยู่เหนือ) แถบดำ 7 แถบคือพระเจ้า
13. กรงเล็บ 2 ข้างๆ ละ 4 รวมเป็น 8 เล็บ คือการเริ่มต้น
14. ลูกธนู 13 ดอก การต่อต้านหรือปกป้องตัวเองของประชาชน
15. ช่อมะกอกที่มี 13 ใบ หมายถึงเสรีภาพ
16. ผลมะกอก 13 ผล หมายถึงผลของเสรีภาพ
17. ขนที่หาง 9 ขน หมายถึงความสำเร็จ หรือบรรลุผลแล้วนั่นเอ




เหนื่อยนะเนี่ย....ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ไหนจะคลิปเอย 911 อีก ยาว......



มาดูสิ่งที่ Illuminati กระทำกันบ้างครับ



ต่อไป เป็นโรคระบาดครับ ที่เป็นอยู่นี่แค่ออเดิฟ
ฝั่งอเมริกา จะมีการบังคับฉีดวัคซีน Swine Flu (ไข้2009)ในอเมริกา รอบแรกในวันที่ 15 October
2009 และรอบที่ 2 วันที่ 15 November 2009 ถ้าใครไม่รับวัคซีนจะถูกจับเข้าแคมป์กักกัน(Concentration Camp)
ส่วน เรื่อง 911 ได้รู้กันคร่าวๆ จาก K'ก้องแล้ว จาก ผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการที่ออกมาจากภาครัฐ เค้าก็สรุปฟันธงเลยว่า เป็นฝีมือของกลุ่มอัลไคดาร์ โดยการนำของบิน ลาเด็นครับนั้นคือสิ่งที่เค้าอ้าง แล้วก็ให้ฮอลลี่วู๊ดสร้างหนังออกมาอีกหลายเรื่องเช่น World Trade Center, United 93 และอื่นๆ เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ฮอลลีวูดก็คือมายาครับ ถ้าผมจะบอกอีกว่า 90% ของวงการหนัง "ฮอลลีวูด" ก็อยู่ในเครือข่ายนี้ด้วย ทั้ง Columbia, Universal, 20 Century FOX, Disney, และรายใหญ่ๆ เกือบทั้งหมด คิดว่าไงครับ เทคโอเวอร์ค่ายหนังต่างๆ ถือหุ้นไขว้กันไปมา เป็นมือทำงานให้ไอ้ตัวดำขาว ในการเอาเรื่องความชั่วที่เค้าทำมาทั้งหมด ถ่ายทอดลงไปในหนังให้เราดูครับ คือเอาผลงานมาอวด หนังส่วนใหญ่เนื้อหา 50-70% เป็นเรื่องจริง ที่เหลือแต่งเติมเพื่ออำพรางหรือบิดเบือนหรือชี้นำเราครับ เค้าจะซ่อน "โค๊ด" ต่างๆไว้ในหนังเหล่านี้ ถ้าเราตามกันไปอีกนิด คุณจะมองเห็นทุกอย่างเหมือนที่ผมเห็นครับ  แล้วเค้าก็จะบอกเราล่วงหน้าว่าเค้าจะทำอะไรต่อในอนาคต อย่างเรื่อง 911 นี้เค้าบอกเราว่าว่าเค้าจะทำล่วงหน้าอย่างน้อย 10 ปีครับแล้วจะถึ่ขึ้นใน 5 ปีสุดท้าย ไม่เชื่อเหรอครับ.....เอาหลักฐานไปดูครับ......



http://www.youtube.com/watch?v=1L1k8AxGe4g


ดูให้ละเอียด ดูไป หยุดภาพไป จะเห็นชัดขึ้น มีทุกเรื่องครับ
แต่ในเวอร์ชั่นของผมและคนอเมริกันอีกหลายล้านคนจะแตกต่างกันอย่างสุดขั้วครับคือ
1. บินลาเด็นเป็น CIA มีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติการทางทหารของอเมริกันในอัฟกานิสถาน(เป็นคนของสมาคมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น)
2. ครอบครัวลาเด็น มีความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับครอบครัว "บุช" โดยมีธุรกิจน้ำมันร่วมกันภายใต้ชื่อคาไลด์กรุ๊ป
3. ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าที่จะมีการโจมตี บริษัทรักษาความปลอดภัยของโครงการเวิลด์เทรดเซนเตอร์ WTC ได้มีการเพิ่มวงเงินประกันภัยมากขึ้นอีก 500 ล้านเหรียญในส่วนของการการเสี่ยงภัยจาก "ผู้ก่อการร้าย" และเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดดภัยรายนี้ก็เป็นคนในครอบครัวของผู้นำสหรัฐใน เวลานั้น นามสกุลเดียวกันครับ
4. เพราะฉะนั้นมือวางระเบิด ที่เข้าไปทำการวางระเบิดโครงสร้างของตัวตึก ก็ผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย และใช้เวลาวางระเบิดทั้ง 3 อาคารเป็นอาทิตย์ ทั้งตึกแฝด และอาคารหมายเลข 7 ของบริษัท โซโลมอน บราเธอร์ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการชนของเครื่องบินแต่อย่างใดเลยครับ ( หมายเลข 7*** )

การโจมตีทั้ง 3 เหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันคือ

1. เครื่องบิน 2 ลำชนเข้าที่ส่วนปลายยอดของตึกแฝด แล้วเกิดการถล่มลงในอีก 2 ชั่วโมงงต่อมา
2. เครื่องบิน 1 ลำ American Airlines 757 ชนเข้าที่ Pentagon หรือกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (ให้ข่าวโดยสื่อของรัฐบาล)
3. และอีก 1 ลำ United Airline 93 ตกที่ เมืองแชงสวิลล์ รัฐเพนซินาวาเนีย ซึ่งคาดกันว่าเครื่องบินลำนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่ทำเนียบขาว (ให้ข่าวโดยสื่อของรัฐบาล)


เหตุ การณเริ่มจากการชนของเครื่องบินเข้าที่อาคาร 1 การชนครั้งแรกนี้ไม่ใครจับภาพไว้ได้ครับ
 แต่มีการติดเข้าไปในกล้องโดยบังเอิญ จากกล้องของหน่วยดับเพลิงของนิวยอร์คที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนั้น คือคลิปนี้ครับ
www.youtube.com/watch?v=kv4s3fn8jDc&feature=related
และมีการติดเข้าไปในกล้องโดยบังเอิญ จากกล้องของนักท่องเที่ยวชาวสาธารณะรัฐเชค คือคลิปนี้ครับ
www.youtube.com/watch?v=5fH7c8H6SNw
มุมกล้องที่เค้าจับภายไว้ได้ของการชนครั้งที่ 2 หรือ South Tower ทางรัฐบาลอ้างว่าเป็นเครื่องบินของสายการบิน                 
  อเมริกันแอไลน์ เที่ยวบินที่ AA175 ครับ
www.youtube.com/watch?v=J0Qu6eyyr4c

แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ มีการรวบรวมคลิปวีดีโอจากทุกฝ่ายเพื่อเป็นหลักฐาน สิ่งที่พบคือ

<a href="http://www.youtube.com/v/jRC4lCQuBmc?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/jRC4lCQuBmc?version</a>
http://www.youtube.com/share_popup?v=jRC4lCQuBmc

1. เครื่องบินลำที่ 2 ที่พุ่งชนหรือ AA175 ไม่มีหน้าต่างครับ และมีพยานยืนยันอีกหลายคน
www.youtube.com/watch?v=jRC4lCQuBmc&feature=related
2. มีอุปกรณ์บางอย่างถูกติดตั้งไว้ที่ใต้ท้องของเครื่องบิน มันคือ “เครื่องยิงจรวด” ครับ
www.youtube.com/watch?v=huK0MAb0Xa4&feature=related
3. และมีผู้เห็นเหตุการณ์อีกหลายคนยืนยันว่าเป็นเครื่องบินทหารครับ
www.youtube.com/watch?v=oVH5jm06pJY
ทฤษฎีสมคบคิดเหตุการณ์ 9/11 ตึก World Trade ถล่ม

จากเหตุการวันที่ 11 เดือน 9 หรือ 9/11 ที่ตึกที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ

์แห่ง โลกทุนนิยมของอเมริกา โดนเครื่องบินพุ่งชนจนถล่ม ลงมาถึง 2 ตึกและยังมีตึกข้างๆอีก 1 ตึก ที่ไม่ได้โดนแต่ก็ถล่มไปด้วย จาการวิเคราะห์ก็มีทฤษฎีข้อพิรุธที่โต้แย้งว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าสงสัย ว่าถล่มเพราะเครื่องบินชนจริงหรือไม่หรือว่า มีใครจงใจทำให้มันถล่ม เพื่อสร้างสถานการณ์ เพื่ออ้างผู้ก่อการร้าย
และเข้าไปยึดประเทศที่ อเมริกาอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และก็เข้าไปยึดน้ำมันอย่างเช่นประเทศอิรัก เป็นต้น เหตุน่าสงสัยนี้ ออกเป็นรายการทีวีในอเมริกา มากมาย จนเป็นกระแสน่าสงสัย เลยนำมาให้ลองดูกันนะ
- คนในเหตุการณ์มากมายได้ยินเสียงระเบิด เป็นชุดๆ เหมือนที่เขาใช้ถล่มตึกและตึกปกติแทบไม่มีโอกาสถล่มลงมาตรงๆ เพราะหากเสียหายด้านขวา ก็ตรงเอนถล่มลงมาด้านขวาเหมือนต้นไม้ แต่นี่ลงมาตรงๆ ซึ่งเหมือนกับมีระเบิด ตัดฐานของตึก จึงถล่มลงมาตรงๆได้
- 42% จากคนอเมริกา เชื่อว่ารัฐบาลจัดทำขึ้น
- ตึกที่ 3 ที่อยู่ใกล้เคียงที่เก็บเอกสารสำคัญมากมาย ก็ถล่มตามลงมาทั้งๆ ที่ไม่โดนเครื่องบินชน และก็ถล่มลงมาตรงๆ เหมือนโดนระเบิด พร้อมทั้งมีเสียงระเบิดเกิดขึ้น และหากเป็นเพราะเกิดจากความเสียหายของตึก World Trade ก็ต้องเสียหายเฉพาะด้าที่ติดกับตึก World Trade หากจะถล่ม
ก็ต้องเอียงถล่มมาทางด้านความเสียหายนั้น ไม่ใช่ถล่มลงมาตรงๆและที่สำคัญ แทบไม่น่าเป็นไปได้ ที่ตึกนี้จะถล่ม เพียงแค่สาเหตุนี้
- ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Physic และวิศวะกรมากมาย ออกแสดงความคิดเห็นว่าโอกาสที่ทั้ง 3 ตึกจะถล่มลงมาตรงๆ แบบนั้น ในเวลาสั้นๆ แบบนั้นแถบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้ จากการคำนวนเวลาความเร็วของการถล่มของตึกสูงขนาดนี้ลงมากองกับพื้น เท่ากับว่า เป็นความเร็วของการถล่มแบบ Free Fall
หรือแบบล่วงหล่นโดยไม่มีฐานรองรับเลย เหมือนโดนระเบิดตัดฐานซึ่งหากเป็นเพราะไฟไหม้ ก็น่าจะค่อยๆถล่มทีละชั้น
- ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมี ตึกไฟไหม้แล้วถล่มเลย ขนาดไหม้หลายสิบชั่วโมงก็ยังไม่เคยถล่ม แต่นี่เพียงไม่กี่นาที ก็เกิดเสียงดังเหมือนระเบิด แล้วก็ถล่มลงมาทันที
- สังเกตุภาพขณะตึกกำลังถล่มจากด้านบน จะมีควันทะลุออกมาเหมือนมีการระเบิดจากด้านล่าง
ก่อนที่ตึกจะถล่มลงไปถึง
- ฟังเสียงจากเทป การติดต่อขณะเกิดเหตุการ มีคนเหตุการระเบิดมากมายปกติหากใช้การระเบิดใต้ฐานให้ตึกถล่ม จะต้องได้ยินเสียงระเบิด ติดๆกันหลายๆนัดและในเหตุการณ์นั้นมีคนได้ยินเสียงแบบนี้มากมาย
- เหล็กจะละลายได้ต้องใช้ความร้อนถึง 1500 องศา แต่ความร้อนจากเครื่องบินชนเพียง 825 องศา ไม่สามารถทำให้เหล็กของตึกละลายได้ แต่ สาร Thermiteสามารถทำให้เกิดความร้อนถึง 2500 องศา จึงละลายเหล็กได้(Thermite สามารถละลายได้แม้กระทั้งน้ำแข็งแห้ง)และมีหลักฐานการหลอมละลายของเหล็กแบบ Thermite ในตึก World Trade ด้วยและภาพตอนที่ตึกกำลังถล่ม ก็มีการหลอมละลายเหมือน Thermite ที่เป็นจุดแดงๆ ที่ตึกด้วยอย่าเพิ่งไปเชื่อมากน่ะ มันเป็นทฤษฏีสมคบคิด เห็นว่าเป็นอีกมุม เลยนำมาให้ชม อันนี้แปลคร่าวๆน่ะที่เหลือแปลกันเองน่ะ

ทฤษฎีสมคบคิด (CONSPIRACY THEORY)
หรือทฤษฎีสมคบคิดเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ไม่อาจหาคำมาอธิบายได้
ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่และถ้ามีจริงใครหรือผู้มีอำนาจใดจะมีอำนาจและทรงอิทธิพล
พอที่จะทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ ดาวินชี่โค้ด
อะพอลโล่ไม่ได้เหยียบดวงจันทร์ จับมนุษย์ต่างดาว มาลิลีนโดนFBIสั่งเก็บตามคำสั่งปธน.
ซึนามิเกิดจาก การทดลองนิวเคลียร์ใต้น้ำ หรือแม้กระทั่งคดีทุบพระพรมหบ้านเรา
หรือว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าและแนวคิดที่น่าสนใจที่มีเหตุผลบางประการมารองรับ
บางเรื่องราวดูเป็นสิ่งน่าเหลือเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้ บางเรื่องมีเหตุผลและมีน้ำหนักพอ
อะไรเป็นต้นตอของสิ่งเหล่านี้ ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปกปิดความลับต่างๆ เหล่านี้
รัฐบาลของประเทศมหาอำนาจหรือหน่วยงานลับ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจากนอกพิภพ
ก็ไม่อาจเป็นที่ทราบได้ เราเพียงแต่รู้เรื่องราวเหล่านี้ในนาม CONSPIRACY THEORY
หรือทฤษฎีสมคบคิด นั่นเอง

คงเข้าจัยกันแล้วในประเด็นนี้ เกิดคำถามไหมครับว่าครัยคือตัวแม่ บุชเหรอ รึ โอบาบ้า [smiley=grin.gif].....
บ้านเรามีรัฐบาลหุ่นเชิด มีนอมินี เมกาเค้าก้อมีเหมือนกัน มีอยู่ทั่วโลก เลยแหล่ะ [smiley=sa1.gif]


อ้นนี้ อ่านประดับความรู้นะครับ เห็นว่าใกล้ตัวเราที่สุด

"Trojan Horse Operation" ปฏิบัติการม้าไม้โทรจัน ไข้หวัด

Swine Flu ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ Swine Flu เคยเกิดการระบาด 2 ครั้งในศตวรรษที่ 20
ครั้งแรกในปี 1918-1919 ในครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิต 5 แสนคน ในอเมริกา และ 20 ล้านคนจากทั่วโลกเสียชีวิต
ครั้ง ที่ 2 ในปี 1976 ในครั้งนี้มีโฆษณาช่วนเชื่่อ การรณรงค์ และระดมฉีดวัคซีน (X53A) ทั่วประเทศ และมีผู้เซ็นยินยอมเพื่อเข้ารับการฉีดทั้งหมด 46 ล้านคน ผลที่ตามมาคือเกิดผลข้างเคียงจากการใช้วัคซีนตัวนี้อย่างกว้างขวาง ตัวอย่างคือ มีกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบประสาทบกพร่อง 4,000 คน และ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ เสียชีวิต หรือเป็น อัมพาต ตลอดชีวิต และมีบางคน เสียชีวิต ภายใน 2-3 วัน ทั้งนี้่เป็นผลของวัคซีนที่เข้าไปกดภูมิคุ้มกันหรือ Immune System และไปทำลายระบบประสาท Neurological System

กล่าวคือวัคซีน เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องในระยะยาว ซึ่งเมื่อเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายแล้วร่างกายไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคเหล่านั้นได้เหมือนภาวะ ปกติ จึงทำให้เกิดเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วหรือ Underlying disease ยิ่งจะทำให้โรคเดิมนั้นมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น จึงมีอัตราการตายสูงขึ้นมาก ในปีนั้นผลของวัคซีนยังทำให้เกิดโรคชนิดใหม่ขึ้นคือ GBS หรือ Guillain-Barre Syndrome ทำให้ผู้ป่วยมีการชาตามประสาทส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น มือ เท้า แขน ขา ปาก หายใจไม่ออก ทำให้เป็นอัมพาต และเสียชีวิตในที่สุด (ซึ่งภายหลังพบว่า สารปรอท (mercury) ที่ใช้ผสมในวัคซีนทั่วๆ ไปมีผลทำให้ระบบประสาทของร่างกายถูกทำลาย)

จากเหตุการดังกล่าว ทำให้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลของผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนรวม เป็นเงินถึง $3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐกรณี ตัวอย่างของครอบครัวนึงคือ นางจูลี่ โรเบิร์ต เป็นแม่บ้าน เป็นนักกีฬา มีสุขภาพที่สมบูรณ์มาก โดยการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเธอจึงได้เข้ารับการฉีดวัคซีน ในเดือนพฤษจิกายน 1976 สองสัปดาห์ต่อมา เธอมีอาการชาที่ขาทั้ง 2 ข้าง และอีกหกสัปดาห์ต่อมาเธอมีการหายใจไม่ออก จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเจาะท่อช่วยหายใจที่คอ และเธอยังมีอาการชาที่แขนขวา และปาก จะไม่สามารถทีจะพูด ยิ้ม หรือหยิบจับสิ่งของได้ตามปกติ เธอต้องเข้ารับการรักษา และฟื้นฟูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล 12 ล้านเหรียญสหรัฐ

ดังนั้นการระบาดครั้งนี้จึงไม่ใช่ของใหม่ มันคือ Swine Flu หรือไข้หวัดหมูที่เคยระบาดในอดีต แต่ถูกบิดเบือนเพื่อไม่ให้เรากลับไปดูการระบาด และวิธีการในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะมีการระบาดใหญ่อีกครั้งในช่วงเดือน กันยายน-พฤศจิกายน ของทุกปี ในช่วงเปลี่ยนฤดูฝนสู่ฤดูหนาว ซึ่งจะมีการระบาดของไข้หวัดเป็นประจำอยู่แล้ว อย่าตื่นตระหนกกับการโฆษณาชวนเชื่อของพวกบริษัทยาที่ทำเพื่อหาผลประโยชน์จาก ความไม่รู้ของเราเลย พวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้คนหลงเชื่อและยอมทำตามทุกอย่างที่พวกเขา โฆษณาชวนเชื่อ พวกเขาไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของมนุษย์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ นอกจากความทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องการสำเร็จ

เมื่อประมาณเดือนต้นปีนี้ (ประมาณ มค. –มีค.)มีข่าวว่า บริษัท Baxter ที่โรงงานผลิตวัคซีนในประเทศออสเตรีย (Austria) ได้ผลิตวัคซีนไข้หวัด (Flu Vaccine) ที่มีส่วนผสมของไวรัสที่มีชีวิต ที่พร้อมที่จะทำให้เกิดอาการถึง 2 ชนิดคือ ไวรัสไข้หวัดในคน (human H3N2) และ ไวรัสไข้หวัดนก (avian H5N1) โดยไม่มีป้ายฉลากเตือนหรือบอกถึงการผสมไวรัสที่มีชีวิต 2 ชนิดนี้ลงไปที่ฉลากข้างกล่อง หรือข้างขวดบรรจุวัคซีนนี้เลย แล้วได้ส่งวัคซีนไปยัง 18 ประเทศทั่วโลก (รายละเอียดจาก link ข้างล่าง) และประมาณเดือน เมย. ก็เริ่มมีข่าวการระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ใน18 ประเทศโดยเริ่มแรกที่ประเทศเมกซิโก และในขณะนี้ก็ได้ระบาดไปเกือบทั่วโลกแล้ว
เราคนไทยควรทำความเข้าใจ เรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน รวมทั้งศึกษาถึงผลข้างเคียงของวัคซีนที่จะผลิตขึ้นนี้ อย่าตกเป็นเหยื่อ ศึกษาประวัติศาสตร์ อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว
รัฐบาล ไทยได้มีการนำเข้าวัคซีนมาแล้วจำนวน 2 ล้านชุด และกำลังตั้งโรงงานผลิตวัคซีนชนิดนี้โดยได้รับเงิน $70 ล้านเหรียญ จากการสนับสนุนขององค์การอนามัยโรค เพื่อผลิตวัคซีนชนิดนี้ให้ได้ 60 ล้านชุุดต่อปี ท่านลองคิดดูว่ามีอะไรอยู่บื้องหลังสิ่งเหล่านี้หรือไม่? (อันนี้ทำให้ผมนึกถึงหนี้ IMFที่หมดอย่างรวดเร็วของรัฐก่อนหน้านี้ อ่าว เราใช้หนี้ให้แล้วนะ ไหนลองสร้างความปั่นป่วนให้ดูสิ(3จว.ภาคใต้)และก็ไปทำสนามบินให้เสร็จ เดี๋ยวจะมีสงครามแล้ว ต้องใช้ เอาใหญ่หน่อย Run Way ต้องแข็งๆ นะ เพราะเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ต้องไปลงมันหนัก คิดว่านะ)

ขอเน้นย้ำให้เราทั้งหลายศึกษาเรื่องราวในอดีต แล้วอย่าปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก อย่าให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางของการทำลายมนุษย์ของภูมิภาค เราจะต้องรู้ก่อน หรือรู้เท่าทัน
เป็นสิทธิส่วนบุคคุลในการตัดสินใจที่ จะเข้ารับวัคซีนหรือไม่ และมีอะไรบ้างที่เราควรรู้ก่อนเข้ารับวัคซีน เช่น มีการทดสอบวัคซีนในคนหรือไม่ แล้วผลคืออะไร แล้วมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง มีการจัดทำเป็นเอกสารหรือไม่ ถ้าเกิดโรคแทรกซ้อนแล้วหน่วยงานใดจะรับผิดชอบ แล้วเราจะเรียกร้องค่าเสียหายได้แค่ไหน โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว ท่านอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงมาก โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท
วัคซีน ที่ใช้ในปี 1976 หรือ X53A ซึ่งถูกฉีดเข้าไป ส่งผลคือการไปทำลายภูมิคุ้มกันที่เรามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ หรือ Antibody เปรียบเสมือนการเปิดทาง ให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าโจมตีได้ง่ายขี้น หากมีอาการป่วย จะมีอาการป่วยเรื้อรัง หรือนานกว่าปรกติ และในวัคซีนยังมี Mercury หรือสารปรอท ที่ใช้ในการรักษาสภาพวัคซีนก่อนจะนำไปฉีด ซึ่งไม่มีการบ่งชี้ว่าปลอดภัยอย่างแน่นอนหรือไม่

MJ (Michael Jackson) ต้องตายเพราะเค้าเคยเป็นอิลูมินาติแล้วกลับใจครับ ลองกลับไปดูผลงานของเค้าทุกชุด จะซ่อนเครื่องหมายอิลูมินาติไว้ทั้งหมด เค้าถูกใช้ประโยชน์ครับ เหมือนดาราและนักร้องเกือบทุกคนในอเมริกา คุณอย่าดังนะ ถ้าดังคุณต้องเป็นคนของเค้า ถ้าปฏิเสธ คุณจบครับ แล้วใครที่เข้าไปแล้วห้ามออกครับ เพราะเค้ากลัวความลับรั่วไหล แต่ก็มีบางคนพยายามทำ และต่อต้านเช่น MJ, John Lennon, TUPAC, Jimmy Hendrix ความอึดอัดของพวกเค้าจะสะท้อนออกมาในงานของทุกคนครับ หลายวันนี้เอาอีกแล้ว Charlie Sheen ออกมาเรียกร้องเรื่อง 911 จับตาดูให้ดีครับจะจบยังไงคงจะไม่ต่างกันครับ จนในที่สุด MJ เค้าหันหลังให้อิลูมินาติ แต่เค้าไม่ออกมาเฉยๆ ครับ แต่ออกมาพยายามเปิดเผยครับ ลองกลับไปดูมิวสิกวีดีโอของเค้า (They don't care about us) คุณจะเห็นเหมือนที่ผมเห็นครับ สุดท้าย…….ต้องเก็บครับ

 มา ดูกันครับว่าจริงๆ แล้ว Hollywood เป็นใครครับ แล้วเค้าทำอะไรบ้างในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดูหนัง Hollywood เหล่านี้ครับ แล้วหาสิ่งที่เค้าซ่อนไว้คือตราสัญลักษณ์ต่างๆ ตามที่อยู่ข้างล่างเลยครับ พวกมันมักจะยัดเยียดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เราดูครับโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ ยัดเยียดให้ดูด้วย แล้วได้เงินอีก


http://www.youtube.com/watch?v=PBKDZhu-EZw

-
ปลามันมีอยู่แล้ว ผมแค่อยากจะบอกวิธีหามัน สำหรับคนที่ต้องการ

เรื่อง นี้หนักครับ มันเป็นเหมือนหลุมดำ ถ้าคุณมาถึงตรงนี้ก็คือคุณรู้อะไรมากกว่าคนอเมริกันครับ ก็คือ คุณรู้จักคนอเมริกันมากกว่าที่เค้ารู้จักตัวเค้าเองอีก
 แต่เค้าก็จะ ”ยังคง” และ “ถูก” ปิดหูปิดตาและหลอกไปอีกนานแสนนานจนเค้าถูกฆ่าด้วยไวรัสและวัคซีนนั่นแหละ ครับ ผมถึงเรียกเค้าว่า “American Sheeple” ครับ
 คงสงสัยว่าทำไม คนรู้เรื่องนี้ น้อยจังเลยครับ
คำตอบคือ American Sheeple ครับ คือเค้าเชื่อทุกอย่างที่รัฐบาลเค้าบอกครับ เหมือนกับฝูงแกะที่คนเลี้ยงแกะจะต้อนไปทางไหนก็ได้ครับ
   ผมหวังแค่ว่าให้เพื่อนๆได้   "รับรู้ไว้ใช่ว่า......" ครับ ถ้ามันไม่เป็นจริง ขอให้คิดซะว่า เรื่องเล่าของเค้าสนุกดีเป็นพอครับ   
  หากในอนาคตเกิดเหตุการอะไร ที่ไปในทางที่เราเคยได้รับรู้มาอย่างน้อยที่สุด เราจะได้รู้ว่าก้าวต่อไปคืออะไร และคุณก็มีวิธี หาปลาแล้ว...... 


ระเบียบโลกใหม่ และ…รัฐบาลโลก???


นับ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๒๐ หรือปี ค.ศ. ๑๙๐๐ เป็นต้นมา…จะเป็นเพราะความชุลมุนวุ่นวายอันเนื่องมาจาก ความขัดแย้งทางอำนาจและผลประโยชน์ในหมู่ชาติต่างๆ ในยุโรป ที่ปรากฏสืบเนื่องมาโดยตลอด และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสงครามครั้งแล้ว ครั้งเล่า หรือจะมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกด้วยหรือไม่? ก็แล้วแต่ บรรดาชาวยุโรปจำนวนไม่น้อย ได้เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของ "รัฐบาลโลก” (World Government) ที่จะทำหน้าที่ขจัดความขัดแย้งแตกต่างทางการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างชาติ ต่างๆ ด้วย “การทำโลกให้เป็นโลกเดียว” (One World) หรือ ”การสร้างสรรค์ระเบียบใหม่” ให้กับโลก (New World Order)…

กลุ่มคน ที่พยายามนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ มีทั้งประเภทที่หนักไปในทางคิดฝันกันในเชิงอุดมคติ เช่น "เฮอร์เบิร์ต จอร์จ เวลส์” หรือ "เอช.จี.เวลส์” นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก้องโลก ที่ได้กล่าวถึงแนวคิดเหล่านี้เอาไว้หลายครั้งหลายหนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือถึงกับเคยเขียนถึงสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ในหนังสือชื่อ "One World State” ส่วนนักคิดและนักปรัชญาอย่าง "เบอร์ทรัล รัซเซล” ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ถึงความหวังต่อ "สันติภาพถาวร” ถ้าหากมี "รัฐบาลโลก” ถูกจัดตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานความเห็นชอบของนานาชาติ เพื่อควบคุมภยันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งกำลังเริ่มก่อให้เกิดความตึงเครียดกับโลกทั้งโลกมาตั้งแต่ช่วงระยะนั้น ….หรือนักปราชญ์อาวุโสอย่าง "อาโนลด์ ทอยน์บี” ก็ถือได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่านี้และได้กล่าว ไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๖๑ ถึงความหวังที่จะมีรัฐบาลโลกเพื่อนำมาซึ่งหลักประกันสำหรับความอยู่รอดของ มวลมนุษยชาติในยุคนิวเคลียร์…

ในขณะเดียวกัน…กลุ่มคนที่ไม่ได้มองแนว คิดเหล่านี้เพียงแค่ในเชิงอุดมคติ แต่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเป็นจัง ขึ้นมา และมีจุดมุ่งหมายที่หนักไปในลักษณะของความทะเยอทะยานอันมีแรงผลักดันมาจาก ความรู้สึกถึงความสูงส่งของเผ่าพันธุ์และชนชาติของตัวเองกันเป็นการเฉพาะ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เช่น แนวความคิดของ "เซซิล จอห์น โรเดส” นักธุรกิจเหมืองแร่และเจ้าที่ดินใหญ่ชาวอังกฤษที่ถือกำเนิดในแอฟริกาใต้ และเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้เกิดประเทศ "โรดิเซีย” (ซิมบับเว) ก็เคยเสนอแนวความคิดในลักษณะเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. ๑๙๐๐ ถึงความต้องการที่จะให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษจัดตั้ง "สหพันธ์รัฐบาลโลก” (Federal World Government) เพื่อที่จะช่วยปกป้องดูแลให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในโลกที่มีชาวผิวขาวปกครอง และมีภาษาอังกฤษใช้เป็นภาษาหลัก…หรือ "ไลโอเนล เคอร์ติส” นักคิดชาวโปรเตสแตนท์ที่ได้เขียนหนังสือชื่อ "Commonwealth of God” ในปี ค.ศ. ๑๙๓๘ ปลุกเร้าให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ "ทำงานของพระเจ้า” (Work of God) ด้วยการรวมตัวกันจัดตั้ง "รัฐบาลโลก” เพื่อให้เกิดอาณาจักรของพระเจ้าที่ใช้ภาษาอังกฤษขึ้นมาในโลกนี้…

แต่ นอกเหนือไปจากนั้น…แนวคิดในเรื่อง "รัฐบาลโลก” ก็ยังได้ถูกพูดถึง หรือได้ถูกสะท้อนออกมาผ่านทัศนคติของกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะถือได้ ว่า เป็นกลุ่มที่มีพลังมากที่สุด!!! ในการขับเคลื่อนแนวความคิดดังกล่าวให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่อุดมคติที่เลื่อนลอย หรือเป็นแค่แนวความคิดที่เลอะเทอะ ไร้สาระดังเช่นกลุ่มอื่นๆ… นั่นก็คือกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายและแรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะขยายขอบ เขตของผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองให้กว้างขวางออกไปให้ได้มากที่สุดเท่า ที่จะมากได้… หรือบรรดากลุ่มอภิมหาธุรกิจทั้งหลายทั้งในซีกตะวันตกและตะวันออกของมหาสมุทร แอตแลนติก อันประกอบไปด้วยกลุ่มนายธนาคารระหว่างประเทศ กลุ่มนักอุตสาหกรรม การค้า รวมไปถึงชนชั้นขุนนางในยุโรป…

ด้วยอำนาจอิทธิพลทั้งในทางการ เมืองและเศรษฐกิจอันกว้างขวางใหญ่โตมหึมา… การผลักดันให้แนวความคิดดังกล่าวเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา…จึงก่อให้เกิดการ เคลื่อนไหวในการพัฒนากลุ่มก้อนองค์กรนานาชนิด ให้อุบัติขึ้นมารองรับแนวความคิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง…ไม่ว่าจะเป็นการก่อ ตั้ง "ราชสมาคมว่าด้วยกิจการระหว่างประเทศ” (Royal Institute for International Affairs) ขึ้นมาในประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ตามมาด้วยการก่อตั้ง ”สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” หรือ "CFR” ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ การรวมตัวกันของนักธุรกิจการเงินในอเมริกาและอังกฤษที่จัดให้มีการประชุม เพื่อสร้างระบบการเงินโลกที่ "เบรตตัน วูดส์” ในปี ค.ศ.๑๙๔๔ ซึ่งได้นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในเวลาต่อมา ไปจนถึงการรวมตัวของผู้นำทางการเมืองในการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ …

นอกเหนือไปจากนั้น กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและทางการค้าเหล่านี้ยังพยายามสร้างเครือข่ายเชื่อม ประสานผลประโยชน์ทางการเมืองและทางการค้าขึ้นมาด้วยองค์กรที่เรียกกันว่า "บิลเดอร์เบอร์ก” ในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ และยังมีส่วนผลักดันให้เกิดองค์กร "ตลาดร่วมยุโรป” หรือ "European Common Market” (EEC)ในปี ค.ศ. ๑๙๕๗ ที่ได้กลายมาเป็น "สหภาพยุโรป” ในทุกวันนี้ เกิดการจัดตั้ง "คณะกรรมการ ๓ ฝ่าย” หรือ "The Trilateral Commission” เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอำนาจของพันธมิตรอเมริกาเหนือ-ยุโรป-เอเชียเข้าด้วย กันในปี ค.ศ. ๑๙๗๓ จัดตั้ง ”องค์การการค้าโลก” หรือ "World Trade Organization” (WTO) ในปี ค.ศ. ๑๙๙๕… ฯลฯ บรรดาความเคลื่อนไหวเหล่านี้… ล้วนแล้วแต่ดำเนินสืบเนื่องกันมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้จุดมุ่งหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำพาโลกไปสู่การ "ทำให้โลกเป็นโลกเดียว”…โลกที่ได้รับการ "จัดระเบียบขึ้นมาใหม่” ให้อยู่ภายใต้อำนาจของ "รัฐบาลโลก”…???


แนวคิดในลักษณะที่ว่านี้…อันที่จริงก็ไม่ได้มีการแสดงออกในลักษณะปิดบังหลบ ซ่อนกันซักเท่าไหร่นัก หรือมันค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาในแนวเดียวกันกับที่ "เอช.จี.เวลส์” ได้เคยให้คำแนะนำเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าสามารถกระทำได้ในลักษณะที่เรียกว่า "การสมคบคิดอย่างเปิดเผย” (open conspiracy) นั่นเอง…ด้วยเหตุนี้…นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๒๒ มาแล้ว หรือเพียงแค่ประมาณ ๓ ปีเท่านั้นหลังจากได้มีการจัดตั้งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยมีอภิมหา นักธุรกิจร็อคกี้เฟลเลอร์ ดำรงตำแหน่งประธานสภา บทความในนิตยสาร "ฟอร์เรจน์ แอฟแฟร์” ของ CFR ที่เขียนโดยสมาชิกขององค์กรชื่อว่า "ฟิลลิป เคอร์” ซึ่งได้จุดประกายความคิดเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนมาตั้งแต่นั้นแล้ว ก็ได้ระบุว่า… "ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน…สันติภาพและความรุ่งโรจน์ที่จะ มีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ และกว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้ จริงๆ…ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า… ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น…”

นอกเหนือไปจากนั้น…สมาชิก คนสำคัญๆ ของ CFR ในแต่ละยุค แต่ละรุ่น ก็เคยแสดงออกถึงแนวความคิดในลักษณะดังกล่าวอย่างไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไร มากมายนัก ไม่ว่าจะโดย "เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์” ที่ได้แสดงความเห็นในวารสาร CFR ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ว่า…"จะอีกนานเท่าไหร่สำหรับชีวิตของรัฐชาติ…จะอีกนานเท่าไหร่ที่เขาทั้ง หลายพร้อมที่จะยอมเสียสละบางส่วนของบูรณภาพ โดยไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจจนไม่อาจ ยอมรับได้…เมื่อนั้นนั่นแหละที่…ระเบียบโลกใหม่… ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาและจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นสหประชาชาติที่แท้จริง หรือการนำไปสู่การกำหนดชะตากรรมร่วมกันของโลกใบนี้…”

แม้กระทั่ง ทายาทตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ อย่าง "เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์” ก็ได้เขียนถึงแนวคิดเหล่านี้ไว้ในหนังสือเรื่อง "Future of Federalism” ในขณะเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. ๑๙๖๒ และได้ยืนยันถึงแนวคิดเหล่านี้อีกครั้งต่อสำนักข่าว เอ.พี. ในระหว่างการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ ว่าเขาต้องการที่จะใช้ฐานะความเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในการผลักดันเพื่อให้เกิดการริเริ่มสร้างสรรค์อันจะนำไปสู่ "การจัดระเบียบโลกใหม่”…เช่นเดียวกับ "จอร์จ บอลล์” สมาชิกคนสำคัญของ CFR ผู้เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ได้เคยขายความคิดเหล่านี้ไว้ในระหว่างการปราศรัยต่อคณะกรรมการหอการค้า ระหว่างประเทศของอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ว่า "เขตแดนทางการเมืองของรัฐชาตินั้นคับแคบเกินไป และจำกัดขอบเขตกิจกรรมของธุรกิจสมัยใหม่ บรรษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการระดับโลกย่อมหวังที่จะเห็นแนวโน้ม ของโลกที่ไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี… แต่ยังต้องรวมถึงปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่ไม่ควรถูกจำกัดขอบเขตโดยความเป็น ชาติอีกด้วย…” หรือ "เลสลี เกลบ์” ประธาน CFR ที่ได้ยืนยันเอาไว้ในรายการโทรทัศน์ในอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ว่า องค์กรอย่าง CFR ได้กล่าวถึงเรื่องราวของระเบียบโลกใหม่มานานแล้ว และถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานของ CFR ที่ได้ตอกย้ำมาโดยตลอดถึงการทำให้โลกเป็นโลกเดียว….

ภายใต้บทบาทของ กลุ่มคนเหล่านี้ ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลและความผูกพันใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันมาในแต่ละยุค แต่ละสมัย จึงทำให้ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดว่า เหตุใดผู้นำทางการเมืองของอเมริกาในแต่ละยุคต่างก็ได้สืบทอดแนวความคิดเหล่า นี้ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ไม่ว่า ”แฟรงค์กลิน ดี. รูสเวลท์” ที่ใกล้ชิดกับ CFR ตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค และรับเอาบันทึกช่วยจำของ CFR ไปใช้เป็นนโยบายต่างประเทศอเมริกาในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประธานธิบดี "เฮนรี่ ทรูแมน” ที่ถึงกับประกาศเอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ ว่า…”เป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับชาติต่างๆ ที่จะเป็นสหพันธรัฐโลก เหมือนอย่างที่เราได้เป็นสหรัฐอเมริกาอยู่ในทุกวันนี้…” หรือ "เจมส์ พี.วาร์เบอร์ก” สมาชิกคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่าด้วยกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ว่า…"เราจะต้องมีรัฐบาลโลก…ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม คำถามมีอยู่แค่เพียงว่า มันจะบรรลุความเป็นไปได้ด้วยการยินยอมหรือโดยการบังคับ…เท่านั้นเอง…” และแนวคิดเช่นนี้ก็ได้ปรากฏให้เห็นสืบทอดกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะโดยรัฐบาลของ รีพับลิกันหรือดีโมแครตก็ตาม…

คำ ประกาศถึง "การจัดระเบียบโลกใหม่” ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑๑ กันยายน ปี ค.ศ.๑๙๙๐ โดยประธาธิบดี "จอร์จ บุช” แห่งพรรครีพับลิกัน หลังสงครามเย็นได้ทำท่าว่าใกล้จะยุติลงไป จึงเป็นสิ่งที่มีเนื้อหาไม่ต่างอะไรไปจากแผน "ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ในยุครัฐบาลประธานาธิบดี ”บิล คลินตัน” แห่งพรรคดีโมแครต หรือที่รู้จักกันในนาม "แผนยุทธบริเวณใหม่ของยุทธการสหรัฐ-ทางการเมือง-การทหาร” (Political-Millitary-A new Theater of Operation) หรือ "แนวทางยุทธศาสตร์ในอนาคตของสหรัฐอเมริกา” ที่ถูกประกาศออกมาในปี ค.ศ .๑๙๙๘.. และสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยกระดับให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้นไปอีกโดย ประธานาธิบดี ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ด้วยการประกาศแนวทางของรัฐบาลอเมริกันต่อประเทศต่างๆ ในโลกเอาไว้ว่า…"ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา…ผู้นั้นก็คือ ฝ่ายผู้ก่อการร้าย” ซึ่งถือได้ว่า เป็นคำประกาศที่ไม่ต่างไปจากการสถาปนาตัวเองให้เป็น ”รัฐบาลโลก” อย่างเป็นทางการ…นั่นเอง!!!

แต่ในขณะที่รัฐบาลอเมริกาได้สถาปนา ตัวเองให้กลายมาเป็นรัฐบาลโลกกันไปแล้ว นั้น… ลึกลงไปในหน้าตาของความเป็นรัฐบาลอเมริกัน…ก็คงไม่ได้มีแต่ชาวอเมริกันที่มี บุคลิกโง่ๆ เซ่อๆ อย่างเช่นประธานาธิบดี "จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” เท่านั้น…ที่แสดงออกถึงความต้องการที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางความเป็นไปของโลก ทั้งโลกในปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้า…. เพราะภายใต้ความเป็นรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุคแต่ละสมัยมันมักจะถูกแวดล้อมไป ด้วยบรรดา "ชาวยิว” หรือบรรดา ”ชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรแล้วให้เป็นผู้ปกครองโลก” สอดแทรกอยู่ภายในทำเนียบประธานาธิบดีอย่างเป็นเครือข่าย… และดูเหมือนว่าบรรดากลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละ… ที่น่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญเอามากๆ หรือมีบทบาทอยู่เบื้องหลังการกำหนดทิศทางของโลกอย่างแท้จริง…???

ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า


ฟรีเมสัน-อิลูมิเนติ กับการปฏิวัติยุโรป


ใน ยุคที่ ”แสงสว่างแห่งปัญญา” อันเกิดจากศักยภาพของมนุษย์ ผู้ซึ่งสามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ พ้นไปจากการครอบงำทางความคิดอันล้าหลังของศาสนจักร ได้เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรป…องค์กรลับอย่างฟรีเมสันก็ได้แสดงตัวให้ชาว ยุโรปได้รับรู้กันในฐานะ ”สมาคมแห่งภราดรภาพ” หรือ ”สมาคมของผู้ที่มีความสุขต่ออิสรภาพ” และได้ประกาศคำขวัญในหมู่มวลสมาชิกเอาไว้ว่า”เสรีภาพ-ความเสมอภาค-และ ภราดรภาพ”ที่ในระยะเวลาต่อมามันได้กลายมาเป็นคำขวัญของบรรดาขบวนการปฏิวัติ โค่นล้มอำนาจการปกครองของรัฐบาลต่างๆในยุโรปไปโดยลักษณะใดก็ไม่อาจทราบ ได้…???

อย่างไรก็ตาม…แม้นว่าองค์กรอย่างฟรีเมสันจะถูกกล่าวหา หรือตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีบทบาทในการต่อต้านอำนาจของฝ่ายศาสนามาโดยตลอด แต่ปรัชญาและแนวคิดของฟรีเมสันนั้นยังคงผูกติดอยู่กับกลิ่นอายทางศาสนาอยู่ ไม่น้อย นั่นก็คือการให้ความยอมรับต่อสิ่งสูงสุดในทางจิตวิญญาณหรือ ”พระเจ้า” เพียงแต่การอธิบายความหมายหรือการตีความในเรื่องพระเจ้าของฟรีเมสันนั้น ออกจะพิลึก พิสดารแตกต่างไปคนละเรื่องคนละราวกับพระเจ้าในความหมายเดิมๆที่ชาวคริสต์เคย รับทราบในหลายแง่หลายมุมด้วยกัน ซึ่งก็คงไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลากล่าวถึงในที่นี้…

แต่โดยบรรยากาศ ความร้อนแรงในยุค ”แสงสว่างแห่งปัญญา” กำลังสาดส่องอยู่ทั่วยุโรปนั้น สมาคมลับอีกแห่งหนึ่งที่ชาวยิวมีส่วนเข้าไปพัวพันตั้งแต่จุดเริ่มต้น และมีบทบาทในการรองรับความหิวกระหายเสรีภาพ-ความเสมอภาค-ภราดรภาพของชาว ยุโรปได้ถนัดถนี่ยิ่งกว่าฟรีเมสันก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือองค์กรที่ใช้ชื่อว่า ”อิลูมิเนติ” ( illuminati ) ซึ่งโดยความหมายที่ถอดความมาจากภาษาละตินนั้น ก็หมายถึง ”แสงสว่าง” หรือ ”ความรู้แจ้ง”ไม่ต่างไปจาก ”แสงสว่างแห่งปัญญา” เช่นเดียวกับคำว่า ”เอ็นไลท์เทนเม้นท์” นั่นเอง…

บทบาทของ ”อิลูมิเนติ” นั้นได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างชัดเจนในยุโรปตั้งแต่ประมาณช่วงปี ค.ศ. ๑๔๙๒ ในบรรดาเมืองสำคัญๆ ของประเทศเสปน อันเป็นแหล่งรองรับวิทยาการที่หลั่งไหลจากจักรวรรดิอิสลามเข้ามาสู่ยุโรปใน ช่วงแรกๆ นั่นเอง เช่น เมือง เซวิลล์, คอร์โดบา และทอเลโด ฯลฯ เป็นต้น หลังจากนั้นบทบาทของ ”อิลูมิเนติ” ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาในฝรั่งเศสในช่วงปี ค.ศ. ๑๖๒๓-๑๗๒๒ และแพร่สะพัดไปสู่ประเทศอังกฤษในช่วงระยะเดียวกัน ก่อนที่จะลุกลามไปสู่เยอรมันโดยเฉพาะในแคว้นบาวาเรียในช่วงปี ค.ศ. ๑๗๗๗ โดยชาวยิวที่มีชื่อว่า ”อาดัม ไวซ์ชวาปท์” และได้แพร่ต่อไปยังโปแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ค ฮังการี ออสเตรีย ฯลฯ ก่อนที่จะไปปรากฏตัวชัดเจนในประเทศรัสเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๗๙๐ เป็นต้นมา…

องค์กรอย่าง อิลูมิเนตินั้น… แตกต่างไปจากฟรีเมสันตรงที่สามารถสลัดหลุดออกมาจากกรอบความคิดในเรื่อง ”พระเจ้า” ได้อย่างสิ้นเชิง หันมาให้ความสำคัญกับ ”ความรู้” และ ”ความมีเหตุมีผล” ที่เกิดจากการ ”ค้นคิดอย่างเป็นอิสระ” ภายใต้ศักยภาพความเป็นมนุษย์ อันเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการยึดมั่น-ศรัทธาแทนความเชื่อในเรื่องสิ่งสูงสุด ทางศาสนา…หรือที่เรียกๆ กันว่าแนวทาง ”ความรู้นำไปสู่สุขคติ” (Gnosticism)…

บทบาท ขององค์กรฟรีเมสันและอิลูมิเนติ ที่ต่างก็แผ่กระจายเข้าไปมีอิทธิพล เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วทั้งยุโรปในขณะนั้น มันจะมีที่มา-ที่ไปแตกต่างกันหรือไม่? เพียงใด? ก็แล้วแต่…แต่สิ่งที่ทำให้ฟรีเมสันและอิลูมิเนติมีความเหมือนกันและสอดคล้อง กันและกันก็คือ องค์กรทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นสมาคมลับ และต่างก็เป็นสมาคมที่ชาวยิวเข้าไปมีบทบาทในการก่อตั้งและขับเคลื่อนมา ตั้งแต่แรกด้วยกันทั้งคู่…???

และภายใต้ความเหมือนกันหรือสอดคล้อง ต้องกันเช่นนี้… บทบาทขององค์กรทั้งสองยังมักจะถูกกล่าวถึงหรือถูกนำไปเกี่ยวโยงพัวพันกับ ความเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและทัศนคติทางสังคมที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในประเทศต่างๆทั่วทั้งยุโรป ในช่วงระยะนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า…???

ในการปฏิวัติฝรั่งเศสปี ค.ศ. ๑๗๘๙ หัวหอกสำคัญในการก่อการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐ ที่เรียกกันว่าพวก ”จาโคแบงส์” (Jacobins) ได้ถูกกล่าวหาหรือตั้งข้อสงสัยว่า มีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิดกับองค์กรอิลูมิเนติ แม้นว่าคำขวัญที่ถูกใช้ในการปฏิวัตินั้นกลับเป็นคำขวัญที่ไม่แตกต่างไปจากคำ ประกาศของพวกฟรีเมสันกันเลยแม้แต่นิด นั่นก็คือคำว่า ”เสรีภาพ-เสมอภาค-และภราดรภาพ”นั่นเอง…???

ในการก่อการปฏิวัติเพื่อ โค่นล้มอำนาจของพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ที่ ๗ ในประเทศเสปน ช่วงปี ค.ศ. ๑๘๑๙ “นักสาธารณรัฐนิยม” ผู้เป็นหัวหอกสำคัญในการปฏิวัติอย่าง ”ราฟาเอล เดล เรียโก อิมูเนซ” ก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะสมาชิกคนสำคัญขององค์กรฟรีเมสันกันมาตั้งแต่แรก…

ใน อิตาลี…ถึงแม้นจะไม่มีการเอ่ยถึงบทบาทของฟรีเมสันหรืออิลูมิเนติชัดเจนซัก เท่าไหร่นัก แต่ในการปฏิวัติในอิตาลีนับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๒๐ เป็นต้นมา หรือหลังจากที่พระจักรพรรดินโปเลียนผู้สร้างคุณูปการให้กับชาวยิวทั่วทั้ง ยุโรปได้พ่ายแพ้ในสงครามวอเตอร์ลู และอำนาจของกษัตริย์และศาสนจักรกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในอิตาลี องค์กรที่ทำการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติหรือเพื่อต่อต้านอำนาจของกษัตริย์ และพระสันตะปาปาในอิตาลี ที่มีชื่อว่า ”คาร์โบนา” นั้น แม้นว่าจะเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของชาวคริสต์ก็ตาม แต่ก็เป็นที่รับทราบกันอย่างชัดเจนว่าได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มพ่อค้าชาว ยิวอย่างเต็มที่ หรือกลุ่ม ”อิตาลีหนุ่ม” ที่พยายามก่อการปฏิวัติต่อมาหลังจากนั้น ก็ได้รับความสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากชาวยิวในอิตาลีที่ไม่ใช่เพียงแค่ใน เรื่องเงินๆ-ทองๆเท่านั้น แต่ยังมีการระดมอาสาสมัครชาวยิวเข้าร่วมก่อการปฏิวัติกับกลุ่มอิตาลีหนุ่ม ภายใต้การนำของ ”กิเซปป์ มาสินี” อย่างเปิดเผย…

ในรัสเซีย เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ ๑ ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการปกครองประเทศ หลังจากได้ทำสงครามกับพระจักรพรรดินโปเลียนเป็นต้นมา จนเกิดการกดดัน การจำกัดสิทธิต่างๆ ของชาวยิวในรัสเซีย ชาวยิวในรัสเซียก็ได้หันมาจัดตั้งสมาคมในรูปแบบต่างๆ ที่เรียกกันว่า ”เฮฟวรา” อันสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความจัดเจนในการใช้รูปแบบของ ”องค์กรบังหน้า” ที่กระจัดกระจายอยู่ในนามสมาคมนานาชนิด ไม่ว่า ”สมาคมเลี้ยงอาหารคนจน”, ”สมาคมศิลปะและการฝีมือ”, ”สมาคมพิธีศพ”, สมาคมเลี้ยงเด็กกำพร้า”, ”สมาคมหาคู่”…ฯลฯ แต่ภายใต้กิจกรรมของสมาคมต่างๆ ที่ดูเหมือนกับไม่ได้มีจุดประสงค์และเป้าหมายใดๆ ที่อาจจะกระทบต่อนโยบายกำจัดสิทธิ์ซึ่งรัฐบาลรัสเซียมีต่อชาวยิวเลยนั้น โดยการเชื่อมโยงของเครือข่ายสมาคมต่างๆ เหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ชาวยิวในรัสเซียสามารถสร้าง ”อำนาจรัฐซ้อนรัฐ” หรือ ”อำนาจการปกครองตัวเอง” ซ้อนอยู่ในอำนาจของรัฐบาลรัสเซียได้สบายๆ หรือสามารถใช้สมาคมต่างๆ ดูแลปกครองชาวยิวตามตัวบทกฎหมายของชาวยิวเอง แม้นว่ารัฐบาลรัสเซียจะมีคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ชาวยิวหรือชนชาติส่วนน้อยใดๆ ทำการปกครองตัวเองภายในแผ่นดินรัสเซียก็ตาม…ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่เมื่อเกิดการปฏิวัติโค่นล้มระบบซาร์ในรัสเซีย ช่วงปี ค.ศ. ๑๙๑๗ กลุ่มกำลังที่มีส่วนสำคัญในการปฏิวัติไม่ว่ากลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ”บอลเชวิค” หรือ ”เมนเชวิค” ก็แล้วแต่ ต่างก็ถูกระบุถึงการมีสัมพันธ์โยงใยอยู่กับสมาคมลับอย่างอิลูมิเนติ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชาวยิวในรัสเซียที่ล้วนแต่เติบโตขึ้นมา ภายใต้เครือข่ายขององค์กรบังหน้าในลักษณะรัฐซ้อนรัฐกันมาตั้งแต่แรก…

บทบาท ของชาวยิวไม่ว่าโดยฐานะตัวบุคคล โดยองค์กรทั้งในแบบลับๆ หรือเปิดเผย ที่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมในยุโรปนั้น…ว่าไปแล้วค่อนข้างเป็นอะไรที่สับสน สลับซับซ้อน จนยากที่จะควานหาเป้าหมาย แนวทางกันได้ชัดๆ มีทั้งบทบาทที่แสดงออกในลักษณะ ปิดบัง ซ่อนเร้นจนยากที่จะหาร่องรอยหลักฐานใดๆมาเป็นข้อพิสูจน์ได้ มีทั้งลักษณะที่เปิดเผยตรงไป-ตรงมาซึ่งถูกแสดงออกผ่านนักธุรกิจ พ่อค้า หรือเครือข่ายอำนาจทางการค้า อันเป็นบทบาทที่เคยหนุนช่วยอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในบางช่วงบางระยะ แต่ก็กลับมามีบทบาทในการโค่นล้มอำนาจกษัตริย์ในช่วงระยะต่อมา มีทั้งตระกูลคหบดีชาวยิวที่อาศัยความมั่งคั่งทางการค้าแผ่ขยายเครือข่ายเข้า ไปในหมู่ชนชั้นสูงในยุโรป ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจรัฐจนกลายเป็นเครือญาติของราชวงศ์และชนชั้นขุนนาง สืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆ แต่ก็มีเครือข่ายของชาวยิวอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยความเจ็บปวดเคียดแค้นของชน ชั้นกรรมาชนแผ่ขยายความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอำนาจที่เกิดขึ้นมาใหม่โดย นักปฏิวัติผู้พยายามโค่นล้มระบบขุนนางและกษัตริย์ลงไปให้ได้ และยังมีชาวยิวในแต่ละบุคคลที่อาศัยสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดเฉพาะตัวแสดงบทบาททั้งในฐานะผู้กระตุ้นให้เกิดลัทธิทุนนิยม ขึ้นมาในยุโรป รวมทั้งเป็นผู้ที่ให้กำเนิดลัทธิคอมมิวนิสต์อันเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับทุน นิยม จนบรรดาผู้ที่เชื่อมั่น-ศรัทธาต่อความคิดของชาวยิวทั้งสองฝ่ายต้องหันมา ประหัตประหารกันเองทั่วทั้งยุโรปและทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมาอีกด้วย….ฯลฯ ฯลฯ

แต่ ภายใต้ลักษณะที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน สับสน และผิดแผกแตกต่างกันปานประดุจถูกแยกให้กลายไปเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกันและกัน เช่นนี้ สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ก่อให้เกิดการละลายหรือการเจือจางความเข้มข้นใน ”ความเป็นยิว” อันเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาในแต่ละรุ่นแต่ละรุ่นตลอดชั่ว อายุของเผ่าพันธุ์นับเป็นพันๆ ปีที่แล้วลงไปได้เลย…??? อารมณ์ความรู้สึกของชาวยิวแต่ละบุคคล หรือชาวยิวที่อยู่ในแต่ละกลุ่มก้อนองค์กรไม่ว่าจะเป็นยิวฝ่ายไหนก็แล้วแต่ แม้นว่าจะกระจัดกระจายพลัดพรากกันไปในแต่ละประเทศ เติบโตขึ้นมาในสังคมที่มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน อยู่ในสถานะทางชนชั้นที่แตกต่างกันจนอาจก่อให้เกิดทัศนคติที่แตกต่างกันใน ลักษณะเช่นใดก็ตามที…แต่ท้ายที่สุดแล้ว…สายเลือดและวิญญาณของเผ่าพันธุ์ที่ ถูกปลูกฝัง ตอกย้ำกันอย่างเอาจริงเอาจังมาตั้งแต่ยุคอับราฮัม อิสอัค ยาโคปมาโดยตลอด…ก็ยังสามารถโลดแล่นอยู่ในตัวตนของชาวยิวแต่ละรายได้เสมอๆ …และภายใต้อารมณ์ความรู้สึกที่ถูกฝังอยู่ในจิตวิญญาณของชาวยิวอย่างลึกซึ้ง เช่นนี้ ทำให้ความแตกต่างในหมู่ชาวยิวทั้งหลาย กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกนำมาปรับใช้เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกลมกลืนระหว่าง กันและกัน และนำไปสู่จุดมุ่งหมายอันเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ??? จุดมุ่งหมายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเลยตั้งแต่ต้น…นั่นก็คือจุดมุ่งหมายที่ ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น…???

ด้วย เหตุนี้ไม่ว่าองค์กรลับอย่างฟรีเมสันจะแสดงการยอมรับต่อการมีอยู่พระ เจ้า ในขณะที่องค์กรอิลูมิเนติปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า…แต่ท้ายที่สุด…ภายใต้ เครือข่ายการเคลื่อนไหวของทั้งสององค์กรที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรป ก็ดูจะนำมาซึ่งผลสรุปอันเดียวกัน…นั่นก็คือ ในขณะที่ชนชาติต่างๆ ในยุโรปต่างก็ปั่นป่วนวุ่นวายจนกระทั่งมีผลลุกลามกลายเป็นความวุ่นวายของ ทุกๆชนชาติทั่วทั้งโลก…ชนชาติที่ยังคงแข็งแกร่งจนอาจจะปกครองโลกทั้งโลกได้ ในวันใดวันหนึ่งก็คงเป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายมาจาก ”ผู้ที่ปล้ำสู้กับพระเจ้า” หรือชนชาติ ”อิสราเอล” นั่นเอง…???

ถ้าใครได้ติดตาม เรื่องราวมาตั้งแต่ต้นมาถึงตรงนี้แล้วนะ จะสมมุติ คุณกับผมก็คือ Neo ใน The Matrix นั่นแหละครับ (ใช่ครับของเค้าอีกแหล่ะ) เค้าพยายามจะบอกเราว่า "พวกแกนะอยู่ใน The Matrix ที่ฉันสร้างขึ้นให้พวกแกอยู่" พอเข้าใจแล้ว...........โดนนนนนนน อีกแล้วครับพวกเรา เพียงแต่วันนี้คุณกำลังจะกินยาเม็ดสีแดงครับ (ในหนังเค้ามีให้เลือกกิน 2 เม็ดสีแดงหมายถึงความรู้แจ้ง หรือกินแล้วจะเห็นความจริง อีกเม็ดสีน้ำเงินกินไปแล้วก็จะยังอยู่ใน Matrix เหมือนเดิม กินแล้วเราจะลืมการสนทนานี้ทั้งหมด แล้วกลับไปใช้ชีวิตใน The Matrix เหมือนเดิม "คนอเมริกันส่วนใหญ่กินเม็ดสีน้ำเงินนี่ครับ")
"ส่วนผมเลือกกินเม็ดสีแดงครับ ขอเค้ากินไปทั้งกำเลย ไม่ใช่แค่เม็ดเดียวครับ"

อัศวินแห่งเทมพลาร์ ตอนที่1 ฟรีเมสันในยุโรป

พวก เขาควบคุมทุกสิ่งที่คุณอ่าน ทุกสิ่งที่คุณได้ยิน ทุกสิ่งที่คุณเห็น พวกเขาควบคุมวิธีการคิด พวกเขาได้สร้างการปกครองรูปแบบใหม่ เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ มัีนมาจากเงามืด เป้าหมายสูงสุดคือการบงการชี้นำโลกทั้งมวล พวกมันจะยังไม่ยุติหากสิ่งต่างๆยังไปไม่ถึงเป้าประสงค์ของมัน เป้าหมายที่ได้วางไว้ในสุนทรพจน์ของ ประธานาธิบดี แห่งสหรัฐอเมริกา จอร์จบุช ได้กล่าวไว้ "เราเดิมพันเอาไว้มากกว่าประเทศเล็กๆนี้ มันเป็นแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ new world order"

จุด เริ่มต้นดั้งเดิมของมันมิได้อยู่ในทำเนียบขาว ที่จริงแล้วมันมีรากดั้งเดิมอยู่ที่ฝรั่งเศสเมื่อ ศตวรรษที่11 ซึ่งยุโรปถูกปกครองโดยคริสตจักร อำนาจนี้สั่งการให้ โปป เอร์วินที่2 ก่อสงครามต่อคอลีฟะฮฺของมุสลิม ในชื่อว่าสงครามไม้กางเขน ครูเสด เพื่อยึดเยรูซาเล็มคืน จากมุสลิมหลังจากสูญเสียไปเมื่อปี 637 เมื่อถึงปี1099 อำนาจเหนือเมืองนี้ ก็ถูกแลกด้วยการหลั่งเลือด ในนามของไม้กางเขน มุสลิมะถูกขืินใจและสังหาร เด็กๆถูกนำไปสู่ดาบ เลือดนองท้องถนนท่วมสูงถึงเข่าม้า หลังจากนั้นยี่สิบปี โดมออฟเดอะรอค ก็ถูกยึดไปโดยกลุ่มนักรบศักดิ์สิทธ์ที่เรียกตัวเองว่า อัศวินแห่งวิหารโซโลมอน หรืออีกนามหนึ่งว่า อัศวินเทมพลาร์

ใน เยรูซาเล็มนักรบเทมพลาร์ได้ไปไกลกว่าธรรมเนียมปฏิบัติของชาวคริสต์ พวกเขาได้เรียนรู้ศาสตร์โบราณอันลี้ลับแห่งกาบาลา ไสยศาสตร์มืดของชาวยิว ซึ่งชาวยิวได้เคยเรียนรู้ไสยศาสตร์นี้จากชาวเมืองอียิปต์ในระหว่างที่ตกเป็น ทาสของฟาโรห์ แล้วได้พัฒนาขึ้นมาในยุคสมัยที่ตกเป็นทาสของเนบูคัดเนสซาที่บาบิโลเนีย ในปีให้หลังนักรบเทมพลาร์เหล่านี้จึงถูกกวาดล้างไปจากฝรั่งเศสด้วยการถูก ประหารไปมากมาย พวกเขาต้องหลบหนีไปสู่สถานที่ปลอดภัย และหาพันธมิตรซึ่งไม่ใช่ฝรั่งเศสอีกต่อไป

พวก เขาหลบหนีไปที่สก๊อตแลนด์ซึ่งตอนนั้นกำลังต่อสู้เพื่อการกู้ิอิสรภาพจาก อังกฤษ พวกเขาหมดหวังไปแล้วจากการตายไปของ วิลเลียม วัลเลส แต่ทว่ากษัตริย์แ่ห่งสก๊อตแลนด์โรเบิร์ด ได้รับการช่วยเหลือด้วยอาวุธที่ชาวสก๊อตไม่เคยรู้จักมากก่อน จากอัศวินเทมพลาร์ ด้วยประสบการณ์ในการสู้รบกับกองทัพอันยิ่งใหญ่ของอิสลามกว่าสองร้อยปี ทำให้พวกเขามีความเชี่ยวชาญการรบเป็นพิเศษ นักรบอังกฤษ 25000 นายถูกพิชิตอย่างอดสู ด้วยน้ำมือของคน 6 คน พร้อมกองกำลังเพียงครึ่งพัน ความฝันในการปลดปล่อยสก๊อตแลนด์จึงเป็นจริง เหล่าอัศวินเทมพลาร์ได้อำนาจควบคุมกษัตริย์เป็นการแลกเปลี่ยน เหล่านักรบเทมพลาร์ที่หลบหนีออกจากยุโรป จึงมีที่พักพิง ณ โบสถ์ โรเวลินแห่งสก๊อตแลนด์ ซึ่งยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้ ลูกหลานอัศวินเทมพลาร์ได้รับอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จเหนือสก๊อตแลนด์ ในปี 1603 หลังการตายของราชินีอลิซาเบ็ธซึ่งไม่มีทายาทสืบบัลลังค์ อังกฤษจึงผนวกรวมราชอาณาจักรการปกครองเข้ากับสก๊อตแลนด์ ทำให้อัศวินเทมพลาร์ได้ยึดครองอังกฤษไปโดยปริยาย

กว่า พันปีที่อัศวินเทมพลาร์ได้เก็บงำความเคลื่อนไหวของตัวเองไว้หลังฉาก จนแทบไม่มีใครรู้จักหรือจดจำ ตลอดเวลาพวกเขา ได้แทรกซึมไปทั่วราชสหอาณาจักรอังกฤษ ในปี 1717 อัศวินเทมพลาร์ก็ปรากฏตัวอีกครั้งในยุโรป พวกเขาเติบโตขึ้นทั้งจำนวนและอำนาจ พร้อมที่จะประกาศตัว ชื่อที่พวกเขาเลือกขึ้นมา
ฟรีเมสัน มาจากคำในภาษาฝรั่งเศส frer?s masons ซึ่งมีความหมายว่าพี่น้องแห่งเมสัน

สมาชิก คนแรกของฟรีเมสันคือ เจ้าชายเฟรดริคแห่งเวลส์ และสมาชิกคนสุดท้ายคือ เจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอรก คู่สมรสของควีนอลิซาเบ็ทที่สองของอังกฤษ ซึ่งเป็นองค์ราชูปถัมภ์ของเมสัน ในหลังฉากเมสันมีองค์กรที่แบ่งเป็นลำดับชั้น ซึ่งเรียกว่า ดีกรี พวกเขามิได้ต้องการเพียงอำนาจเหนืออังกฤษ แต่ความมุ่งมั่นของพวกเขายิ่งใหญ่กว่านั้น

ใน ศตวรรษที่ 18 ชนชั้นสูงของฝรั่งเศสอยู่กันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย มีความแตกต่างทางชนชั้นอยู่มาก ฟรี เมสันอาศัยจังหวะนี้สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ในประัวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส พวกเขาอาศัยความโกรธเกรี้ยวของชาวฝรั่งเศสที่มีต่อชนชั้นสูงเพื่อบรรลุเป้า หมายของตน พวกเขาจัดเตรียมแผนการณ์อย่างละเอียดอ่อนเพื่อวางแผนก่อสงคราม พวเขาได้เข้าครอบงำสื่อและใช้มันเพื่อโหมกระแสสู่สาธารณะ หนังสือพิมพ์ต่างเรียกร้องไปสู่จุดจบของระบอบกษัตริย์ เพื่อสร้างสังคมแห่ง อิสระภาพ ความเท่าเทียม และจุดสิ้นสุด เมสันใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งและอิทธิพลทางการเมืองของฝรั่งเศส ใช้ต้นทุนทางการเมืองดึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพฝรั่งเศสเข้าเป็นสมาชิก ของฟรีเมสัน จนกระทั่งนำไปสู่ผลสำเร็จในการประหารชีวิตหลุยส์ที่16 จุดจบของระบอบกษัตริย์ในฝรั่งเศสเป็นการปูทางไปสู่ รัฐแห่งเมสันในยุโรป

นาย ทหารหนุ่มชื่อ นโปเลียน โบนาปาร์ท นำพาฝรั่งเศสสู่สงครามต่อยูโรป โดยไม่ยอมถูกบงการจากเมสัน นโปเลียนได้ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์ของฝรั่งเศส และถูกบีบลงจากบัลลังค์ในปี 1814 และถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะ คอร์ซิกา อย่างไรก็ตามในปี 1815 นโปเลียนกลับสู่ปารีสอีกครั้ง และสั่งสมกองกำลังครั้งใหม่เตรียมพร้อมทำสงครามกับยุโรปอีกครั้ง เมสันต้องประสบปัญหาใหญ่ อังกฤษและพันธมิตรของเมสันไม่มีความพร้อมที่จะทำสงครามยืดเยื้อกับนโปเลียน มิใช่เพราะเรื่องขาดแคลนเงินทุน แต่เป็นเพราะสถานะความเป็นยิว ทำให้พวกเขาต้องทำงานอยู่ในเงาของบุคคลอื่น นายทุนของเมสัน รอทสชิลด์ ถูกฝืนให้เปิดเผยตัวในการทำธุรกรรมเพราะหากเขาไม่ทำเช่นนั้น เงินทุนต่างๆย่อมถูกโยกย้ายไปสู่ฝ่ายนโปเลียน สัญญาการกู้ยืมเงินมีขึ้นในปี 1815 แก่ทหารอังกฤษ ดัชช์ และรัสเซีย เพื่อเดินทัพไปสู่วอเตอร์ลู ในเบลเยียม  ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งกองกำลังของนโปเลียนถูกพิชิต นโปเลียนถูกจับตัวและไม่มีโอกาสกลัยสู่ฝรั่งเศสอีกต่อไปด้วยคำสั่งของเมโซนิ ก

เม สันได้แสดงตัวออกมาจากเงามืดอีกครั้งระหว่างช่วงยุคสมัยสำคัญในประวัติ ศาสตร์ ในปี 1904 มาร์ค วาโดราซามโบได้ให้คำยืนยันว่า " ฟรี เมสันได้ทำงานในเงามืด แ่ต่ยังคงทำงานอยู่ตลอดเพื่อเตรียมการไปสู่การปฏิวัติ เป็นมติเอกฉันท์ ฟรีเมสันไม่เพียงหยิบยื่นการปฏิวัติ และคำชื่นชมให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนที่ได้พิสูจน์ให้เห็นซึ่งทุกท่านก็ทราบดีว่า เพราะเมสันนี่เองที่ทำให้เกิดการปฏฺวัติในฝรั่งเศสขึ้น"

http://www.geocities.com/yonroyalive/page1-14.html

ฟรีเมสัน ในอเมริกา

เหล่า ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้ก่อตั้งอเมริกา บนไพลเมาท์ร๊อก พวกเขาไม่ได้นำไปแค่เพียงคนที่ถูกเนรเทศ แต่ยังนำองค์ประกอบของฟรีเมสันแห่งยุโรปไปด้่วย ความอยุติธรรมถูกกลุ่มผู้ก่อตั้งอเมริกานำไปจากยุโรป ซึ่งจะพบได้ในรูปแบบการกดขี่ของกองทหารอังกฤษ ในความพยายามที่จะบงการอย่างเบ็ดเสร็จบนรัฐแห่งใหม่นี้ ฟรีเมสันได้ใช้วิธีการเดียวกับที่เคยสำเร็จมาแล้วในฝรั่งเศส แม้ว่ากษัตริย์อังกฤษจะถูกผลักดันโดยเมสัน สงครามประกาศอิสระภาพของอเมริกาถือเป็นการตอบโต้อันมีนัยสำคัญ ผู้ที่เข้าร่วมสงครามต่างมีข้อแลกเปลี่ยนกับเมสันเพื่อเติมเต็มความไฝ่ฝัน ของพวกเขา ความรู้สึกของผู้คนถูกผนึกรวมกันเป็นความโกรธแค้น แฉกเช่นที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ความโกรธแค้นนำไปสู่สงคราม ในครั้งนี้เมสันมีบทเรียนจาก นโปเลียนกับกองกำลังของเขาในยุโรป เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านเช่นที่เกิดมาแล้วนั้น คือต้องมั่นใจว่าหัวหน้าก่อการต้องเป็นคนของเมสันเอง และหัวหน้าที่ถูกเลือกมาทำสงครามต่อต้านอังกฤษเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก จอร์จ วอชิงตัน

วันที่4เดือนกรกฎาคม 1776 คำประกาศอิสระภาพถูกร่างขึ้น และวันที่17 ตุลาคม1781 อังกฤษก็พ่ายแพ้สงครามและยอมมอบอาณานิคมต่อชาวอเมริกา อันนำไปสู่รัฐบาลแห่งแรกของฟรีเมสันบนโลกใบนี้ ประเทศนี้นำเสนอเมซันรี่ในทุกวิถีทาง สัญลักษณ์ ของเมโซนิก ถูกพบเห็นได้ในธนบัตรดอลลาร์ ซึ่งมีรูปของจอร์จวอชิงตัน ประธานของฟรีเมสันคนแรก พร้อมกับรูปสัญลักษณ์ของเมโซนิก ที่เรียกว่า all seeing one eye

ใน ประวัติศาสตร์การควบคุมผนวกรวมแนวคิดทางการเมืองถูกฟรีเมสันใช้เป็นอาวุธ เืพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมประเทศและรัฐบาล พวกเขาเคยควบคุมผู้ปกครองและนักการเมืองเพื่อออกกฏหมาย และวางโครงสร้างทางการเมือง ให้เป็นไปตามระเบียบวาระ ทว่าการบังคับทางกายยังไม่หยั่งลึกเช่นการบังคับทางใจ เพื่อขจัดปัญหานี้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เมสันได้วางแผนการอันชาญฉลาด จนสามารถควบคุมบงการมนุษย์ในทุกๆด้าน อาวุธที่พวกเขาใช้ต่อวิถีชีวิตของคุณ คือความบันเทิงภายในบ้านหลากหลายชนิด มันใช้การได้กับทุกคนในครอบครัวโดยที่ไม่มีใครทันรู้สึกตัว ในสังคมทุกวันนี้ ผู้คนเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์กับสื่อยุคใหม่ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกมคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต นวนิยายขายดี และดนตรียอดนิยม ทุกสิ่งล้วนเข้ามาอยู่ในวิถีชิวิตของเราๆท่านๆ ข้อมูล มากมายที่ถูกสื่อออกมาจะเข้ามาบงการจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกในจิตใจของ ท่าน ข้อมูลเรื่องระดับชั้นในสังคมในอุดมคติ เรื่องทางศีลธรรม เศรษฐกิจ ล้วนเป็นโครงสร้างที่กำเนิดขึ้นในวิถีชีวิตโดยไม่รู้ตัว


ถึงคราว ยูเนสโก เครือข่าย illuminati กันบ้าง

http://www.thaipost.net/news/220609/6582

ยูเนสโกมอมหน้า"ไทย-กัมพูชา"ให้ฆ่ากัน

22 มิถุนายน 2552 - 00:00


คณะ กรรมการมรดกโลก  และยูเนสโกยึดหลักเกณฑ์อะไรในการอนุมัติ  ทั้งที่ขัดกับมติตัวเองในการประชุมครั้งที่  ๓๑  นี่แหละที่เห็นถึงความน่าเกลียดที่ไทยเราสมควรต้องประท้วงยูเนสโก  เพราะคณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโกคล้ายรวมมือกันโดยมี  "ผลประโยชน์ซ่อนเร้น"  ทางธุรกิจในอนาคต  ผ่านการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารครั้งนี้

     ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้ว  กรอบพิจารณาขึ้นเป็นมรดกโลก  สิ่งนั้นจะต้องเป็นสิ่งสร้างสรรค์  สร้างสันติภาพ  เชิดชูวัฒนธรรม  และเพียบพร้อมด้วยภูมิศาสตร์  ไม่เป็นสิ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างกัน  และเพื่อความสมบูรณ์ของการเป็นมรดกโลก  จะต้องมีพื้นรอบตัวปราสาทด้วย

     ตรงนี้สรุปรวมเป็นรูปธรรม  คือไทย-กัมพูชาจะต้องตกลงเห็นชอบร่วมกันในประเด็นพื้นที่ซึ่งเรียกว่า  "บัฟเฟอร์โซน"  ก่อน  คือพื้นที่ของไทยซึ่งกัมพูชาอ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน  ๒,๙๐๐  ไร่  โดยรอบตัวปราสาทนั้น  ขณะนี้ยังไม่มีการตกลงอะไรกันให้เป็นที่เรียบร้อย

     แต่ยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลก  กลับทำลายหลักการ-หลักเกณฑ์นั้น  โมเมรับขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทโด่ๆ  ถ้าเป็นมรดกโลกแล้ว  ใครจะไปชมก็ไปได้ทางเดียวคือ  นั่งเฮลิคอปเตอร์แล้วโรยตัวลงมาทางอากาศเท่านั้น!

     แล้วยูเนสโกยึดถือหลักเกณฑ์ข้อไหนในการอนุมัติ?

     ในหลักเกณฑ์พิจารณารับเป็นมรดกโลกของอิโคมอส  "สภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ"  มี  ๖  ข้อ  ถ้าพิจารณารวมกับไทยปราสาทพระวิหารจะเข้าเกณฑ์  ๓  ข้อคือ  เป็นผลงานเอกอัจฉริยะในการสร้างสรรค์ของมนุษย์  แสดงหลักฐานทางขนบธรรมเนียมได้  และเป็นตัวอย่างของการก่อสร้างที่โดดเด่น

     แต่ตามกฎบอกว่า ผ่านข้อใด-ข้อหนึ่งก็ใช้ได้ เมื่อกัมพูชาเสนอฝ่ายเดียวเฉพาะตัวปราสาทโด่ๆ จึงตัดข้ออื่นทิ้งหมด อ้างไปข้อเดียวคือเป็นผลงานอัจฉริยะในการสร้างสรรของมนุษย์ คณะกรรมการมรดกโลกที่ประชุม ณ ควิเบกก็อนุมัติโด่ๆเหมือนกัน โดยผนวกกับเอกสารที่รัฐบาลสมัครและนายนพดลไปตกลงกับยูเนสโกที่ฝรั่งเศสก่อน หน้านั้นเป็นเหตุผลประกอบ

     จึงรวบรัด-โมเม ทำลายกรอบเกณฑ์ตัวเอง และไม่ฟังข้อเท็จริงอื่นใด รับจดทะเบียนตัวปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา แทนที่จะเป็นการสร้างสันติภาพ กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กัมพูชากับไทยต้องขับขานประสานใจ เพื่อความเข้าใจกันไปอีกนาน!

     ความไม่ชอบมาพากลของยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกที่ไทยทนไม่ได้ ต้องส่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ ในฐานะตัวแทนฝ่ายไทยไปประท้วงต่อคณะกรรมการมรดกโลกที่จะประชุมครั้งที่ ๓๓ ณ เมืองเซบีญา ประเทศสเปน ระหว่าง ๒๒-๓๐ มิย.ขณะนี้ นอกจาก"ความไม่ถูกต้อง"ที่ผมลำดับคร่าวๆเป็นการปูพื้นความเข้าใจในเรื่องราว แล้ว

     อีกอย่างคือ คณะกรรมการมรดกโลกก็รู้ว่า เฉพาะตัวปราสาทโด่ๆมันไม่สมบูรณ์ ต้องมีทางขึ้น มีพื้นที่อนุรักษ์  พื้นที่ใช้สอยทางธุรกิจรอบๆ และองค์ประกอบทางโบราณสถานวัฒนธรรมอื่นๆซึ่งส่วนใหญ่อยู่ฝั่งไทย ทางคณะกรรรมการฯจึงใช้"อำนาจเถื่อน"ระบุให้มี ๗ ประเทศ สหรัฐ จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น กัมพูชา ไทย และอีกประเทศยังไม่รู้จะเอาใครระหว่าง อินเดีย-ลาว-เบลเยียม เข้ามาบริหารจัดการพื้นที่รอบๆตัวปราสาทพระวิหาร

     มันใช้อำนาจเถื่อน"หวังปล้น"พื้นที่ ๒,๙๐๐ ไร่ของไทยไปผนวกเป็นพื้นที่รอบตัวปราสาทชัดๆ!

     เห็นชื่อก็รู้เช่นเห็นชาติแล้วใช่ไหมว่า ลึกๆอันเป็นเบื้องหลังรวบรัดขึ้นทะเบียนปราสาทนั้น พวกมันเล็งการณ์ไกล หวังใช้กัมพูชาเป็นเครื่องมือยกโขยงเข้ามายึดจับจองพื้นที่ โดยใช้พวก ๖ ประเทศ และการอ้างพื้นที่ทับซ้อนของกัมพูชาเข้าเป็นมติเห็นชอบหารแบ่งแผ่นดินไทย

     สุดท้าย ไทย-กัมพูชา ก็เป็นแค่ ตาอิน กับตานา ส่วน สหรัฐ จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น พวกนี้จะเป็น"ตาอยู่"รวยจากมรดกโลกและพื้นที่รอบมรดกโลกกันพุงปลิ้น!

     ฝรั่งเศสน่ะตัวดีนัก ค่าทำผัง ค่าบูรณะซ่อมแซมปราสาทพระวิหาร มันก็จะแบ่งกันรวยจากงบส่วนนี้ไปเท่าไหร่แล้ว ฉะนั้น ไทยและกัมพูชาจะนิ่งเฉย หรือหลงกลทะเลาะกัน ปล่อยให้พวกมากลากโจรในคราบนักบุญโลกเข้ามาฮุบทั้งปราสาทและพื้นที่โดยรอบ อันเป็นหัวพุง-หัวมันไปกินกันหมดได้อย่างไร?

     แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่า มันวางแผนเสี้ยมเขา"ไทย-กัมพูชา"ให้ตีกัน แล้วพวกมันจะเข้ามาเก็บเกี่ยว ฉะนั้น ไทยต้องรีบคุย รีบปรับความเข้าใจกับกัมพูชาให้ตรงกัน และตั้งด่านสะกัดกั้นโจรในคราบประเทศนักบุญเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้น มรดกโลกชิ้นนี้แทนที่พิ่ๆน้องๆไทย-กัมพูชาจะสุขร่วมเสพกัน ๒ ประเทศ ยูเนสโกมันจะสมคบกับอีก ๕ ประเทศที่เรียกว่า"คณะกรรมการบริหารพื้นที่โดยรอบ"เข้ามาหารแบ่ง แต่ผมยังสงสัย ยูเนสโกบังอาจ และมีอำนาจอะไรจะให้"คณะกรรมการ ๗ ชาติ"ใช้อำนาจบาทใหญ่เข้ามาเป็นเจ้าเข้าครองพื้นที่ของไทย ๒,๙๐๐ ไร่ นั้น..หือ?

อ้างถึง
ลำดับเหตุการณ์

    * พ.ศ. 2442 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ค้นพบปราสาทพระวิหาร
    * พ.ศ. 2447 ประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีน ได้ทำสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย
    * พ.ศ. 2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมอบให้ไทย มีแผ่นหนึ่งคือ "แผ่นดงรัก" ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้อง
    * พ.ศ. 2472 สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จเยือนปราสาทพระวิหาร
    * พ.ศ. 2479 ไทยขอปรับปรุงเขตแดน แต่ฝรั่งเศสผัดผ่อน
    * พ.ศ. 2482 ไทยขอปรับปรุงเขตแดนกับฝรั่งเศสอีกครั้ง แต่ตกลงกันไม่ได้
    * พ.ศ. 2484 อนุสัญญาโตเกียว ทำให้ดินแดนที่เสียไปเมื่อ ร.ศ. 123 และ ร.ศ. 126 บางส่วน รวมถึงปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทย
    * พ.ศ. 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวโดยสนธิสัญญาประนีประนอม โดยมีอเมริกา, อังกฤษ และเปรูเข้ามาไกล่เกลี่ย
    * พ.ศ. 2492 ประเทศไทยเข้าครอบครองปราสาทพระวิหาร โดยใช้หลักสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างนี้มีการประท้วงจากฝรั่งเศส 3 ครั้ง
    * พ.ศ. 2493 กัมพูชาเป็นเอกราชจากฝรั่งเศส
    * พ.ศ. 2501 กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร
    * พ.ศ. 2502 กัมพูชาฟ้องร้องต่อศาลโลก
    * พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยเสียง 9 ต่อ 3
    * พ.ศ. 2509 ไทย-กัมพูชาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้ง หลังหยุดชะงักไป 3 ปี
    * พ.ศ. 2513 กัมพูชาเปิดเขาพระวิหารให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมจากฝรั่งไทย
    * พ.ศ. 2518 ปิดเขาพระวิหาร เนื่องจากเขมรแดงยึดอำนาจ และเกิดสงครามกลางเมือง
    * พ.ศ. 2535 เปิดเขาพระวิหารให้ขึ้นชมอีกครั้ง เมื่อพรรคประชาชนกัมพูชาของฮุนเซนชนะการเลือกตั้ง
    * พ.ศ. 2536 ปิดเขาพระวิหาร เนื่องจากกำลังเขมรแดงยึดครองพื้นที่เขาพระวิหาร
    * พ.ศ. 2546 กัมพูชาก็ได้ตัดถนนเข้าไปจนสำเร็จสมบูรณ์หลังจากรอคอยเป็นเวลาช้านาน แต่ก็มีการห้ามเข้าอยู่เป็นระยะโดยมิได้กำหนดล่วงหน้า
    * พ.ศ. 2550 กัมพูชาเสนอองค์การยูเนสโก ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ยังไม่มีข้อสรุป
    * พ.ศ. 2551
          o 18 มิถุนายน นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว ร่วมกับ นายอึง เซียน เอกอัครราชทูตกัมพูชา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
          o 24 มิถุนายน ทางการกัมพูชาปิดปราสาทพระวิหารชั่วคราว หวั่นผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปทำร้ายชาวกัมพูชาในบริเวณใกล้เคียง
          o 28 มิถุนายน ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติ การดำเนินการตามมติ ครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด หรือ ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
          o 8 กรกฎาคม องค์การยูเนสโก ประกาศรับปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกเฉพาะแต่เพียงตัวปราสาท

แม้ ปัจจุบันจะไม่มีหลักฐานจับได้ว่า มรดกโลก “เขาพระวิหาร” เป็นการเซ็นเพื่อ “ทักษิณ” หรือไม่ก็ตาม แต่ปริศนานี้กำลังถูกเฉลยออกมาอย่างช้าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการตั้งข้อสังเกตว่า เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะ“กัมพูชา” เป็นแหล่งพลังงานที่เหลือเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ยังไม่ได้ถูกขุดเจาะ และพร้อมให้กลุ่มทุนเข้าไปดำเนินงาน ในพื้นที่แถบชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ซึ่งจากการบรรยายของ TE DUONG TARA ผู้อำนวยการ Cambodian National Petroleum Authority เมื่อ 18 มกราคม 2006 ระหว่างการประชุมว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีปิโตรเลียม ของอาเซียนครั้งที่ 4 ระบุว่า กัมพูชามีแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน และมีการผลิตจำนวนมากนอกชายฝั่ง โดยปัจจุบันมีเชฟรอน ได้รับสัมปทานอนุญาตขุดเจาะ และยังมีบริษัทจากไทยคือบริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (PTTEPI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท. ได้ร่วมทุน 30% กับอีก 2 บริษัท คือ บริษัท Resourceful Petroleum Ltd. และ SPC Cambodia Ltd. อีก 10% เป็นของ CE Cambodia B Ltd.


อเมริกามาแล้ว

http://www.waynemadsenreport.com/articles/20070430_72

BUSH AND CHENEY, WHO AVOIDED THE VIETNAM WAR,
ARE PREPARING FOR A NEW U.S. MILITARY PRESENCE IN SOUTHEAST ASIA:
AFTER THE MIDDLE EAST DISASTER, GET READY FOR INDOCHINA WAR II.
Fri, 02 Mar 2007 11:39:00

Wayne Madsen Report

While in Southeast Asia, this editor looked into rumors that the Bush/Cheney administration has initiated a major military move into Southeast Asia to secure for itself large oil deposits discovered in the waters of the Gulf of Thailand. The U.S. military push into the region is centered on the Cambodian coast, particularly around Sihanoukville.
ขณะที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ผู้เขียนได้ฟังเสียงเล่าลือว่า ที่ปรึกษา บุชและเชนีย์
ได้เริ่มเคลื่อนย้ายกองกำลังหลักเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อปกป้องแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่ค้นพบในอ่าวไทย
กองกำลังของอเมริกาได้ใช้ชายฝั่งของกัมพูชาเป็นศูนย์บัญชาการ, โดยเฉพาะรอบๆ สีหนุ วิลล์

มาต่อกันที่ฟรีเมสันในยุโรปกันต่อเรยครับ


สังเกตุ ครับ

เป็นเครื่องหมาย Hexagram
"MASON"

ผม ว่าทุกคนที่ ติดตามคงกระจ่างในเรื่องนี้ แล้วนะครับ บทต่อไปเราไปตามหากันว่า ก้าวต่อไปของพวกเค้าคืออะไร ติดตามสถานะการณ์ จากข่าวสาร ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในข่าวแฝงอะไร  และในภาพยนต์ด้วย เอามาถกกันครับ 

ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะ

ฟรีเมสันมันก็แค่ข้ออ้าง ที่ยึดเอาอำนาจและความมั่งคั่งไว้ที่ตัวเองของฝรั่งนั่นแหละ ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นก็คงต้องเป็นสมัยอียิปต์ที่คนเริ่มรู้จัก"เทพเจ้า"และ หาทองเพื่อเป็นของบรรณาการเทพเจ้า ส่วนเทพเจ้าก็ให้"พลัง"และ"อำนาจ"เป็นสิ่งตอบแทน

เมื่อเทพเจ้าจากไป การแก่งแย่งชิงอำนาจก็เกิดขึ้น ในสมัยนั้นมีการลอบปลงพระชนม์เพื่อตั้งฟาโรห์องค์ใหม่บ่อยมากและว่ากันว่ามี สิ่งหนึ่งที่เทพเจ้าได้ให้ไว้ก่อนจากไปได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ภาระกิจหนึ่งที่กลุ่มฟรีเมสันมักจะอ้างถึงบ่อยๆก็คือภาระกิจตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์...

ในศาสนาคริสต์เชื่อว่าจอกศักดิ์สิทธิ์คือจอกที่พระเจ้าใช้ดื่มก่อนจะถูกตรึงกางเขนแต่สำหรับกลุ่มฟรีเมสันมันเป็นอะไรยิ่งกว่านั้น...

พวก เค้าอ้างจอกศักดิ์สิทธิ์เพื่อสร้างความชอบธรรมจากชาวคริสต์แต่จริงๆแล้วสิ่ง นี้ไม่ใช่จอก มันคือสิ่งที่ยืนยันถึง"อำนาจ"ที่จะได้ปกครองโลกใบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรเพราะมีการให้ข่าวบิดเบือนไปบิดเบือนมาเพื่อ ไม่ให้คนอื่นหาเจอก่อนแต่คิดว่าน่าจะเป็นแหล่งรวมสุดยอดข้อมูลและความรู้ที่ เหนือกว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้รู้ที่เทพเจ้าบรรจุทิ้งไว้ให้

อย่าเพิ่งเครียดไป ติดตามเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสนุก

เพราะที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ มันเป็นส่วนนึงของ ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94

http://payakorn.net/uranian/2009/07/28/entry-26

จากทฤษฎีสมคบคิด(Conspiracy Theory) ถึงอิลลูมินาติ(illuminati) ใน Angels & Demons ของ Dan Brown
By uranian, วันอังคาร 28 กรกฎาคม 2009 15:21

ทฤษฎี สมคบคิด(Conspiracy Theory) คือ เรื่องเล่าหรือบทความที่สร้างขึ้นมาจากความคิดของคน หรือกลุ่มคน โดยนำเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อ เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆเพื่อให้คุณหรือโทษต่อบุคคลหรือกลุ่ม บุคคล ลักษณะของทฤษฎีสมคบคิดโดยทั่วไปมีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงส่วนหนึ่งเท่า นั้น เพียงเพื่อส่งเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือว่ามีหลักฐานสนับสนุนที่ดูเหมือน เกี่ยวข้องกันเท่านั้น ซึ่งอาจมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อส่วนบุคคล ความเชื่อเกี่ยวกับทางศาสนา ทางการเมือง หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป
 
ใน นิยายของ Dan Brown ทั้ง 4 เรื่องที่ผ่านมา Digital Fortress(1998), Angels & Demons(2000), Deception Point(2001) และ The Da Vinci Code(2003) รวมทั้ง Project ใหม่ของ Brown ที่กำลังเขียนอยู่ คือ The Solomon Key ล้วนนำเรื่องราวที่อยู่ใน Conspiracy Theory มาใช้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรื่องของ Priory of sion, Knights Templar, Temple of Solomon, illuminati รวมถึง Freemasons ซึ่ง เป็นเรื่องราวของทฤษฎีสมคบคิด ว่าด้วยเรื่องแผนการจัดระเบียบโลกใหม่กับสมาคมลับ ซึ่งชื่อที่ถูกพาดพิงกล่าวถึงอยู่บ่อยก็คือ Freemasons กับ illuminati นั่นแหละ จนกลายมาเป็นพล็อตเรื่องในนิยายและหนังหลายๆเรื่อง นอกจากนี้ก็มี Rosicrusian กับ Skull & Bones(อันหลังนี้ค่อนข้างไปเกี่ยวข้องกับ ปธน.ของสหรัฐและ CIA มากหน่อย แม้แต่ จอร์ช บุช ก็ยังเป็นสมาชิกของ Skull & Bones)
 
ใครเป็นแฟนซีรีย์ชุด The X-Files คงจะเห็นมีกลุ่มคนประชุมลับกันบ่อยๆ โดยมี The Cigarette Man(มนุษย์ มะเร็ง) ร่วมประชุมอยู่ด้วย วางแผนจัดการเรื่องราวต่างๆ วุ่นวายกันไป ก็เป็นการสื่อถึงเรื่องขององค์กรลับกับการจัดระเบียบโลกใหม่นั่นเอง (ใน the X-files มีตอนหนึ่งกล่าวถึงว่า The Cigarette Man เป็นผู้สังหาร JFK และ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง รวมไปถึงมนุษย์ต่างดาวด้วย ว่าเข้าไปนั่น…มัน Conspiracy ขนาดไหนคิดดู)
 
Brown นำ Conspiracy Theory มาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จนอาจจะกลายเป็นเครื่องหมายทางการค้าของเขาไปแล้ว ตามประวัติว่ากันว่าเริ่มจากเขาไปอ่านนิยายของ Sidney Sheldon ชื่อ The Doomsday Conspiracy แล้วทำให้เขาเกิดปิ๊งไอเดียว่าเขาน่าจะเขียนได้ดีกว่า จึงเข็นนิยายออกมาได้ 3 เล่มในตอนแรก(Digital Fortress , Angels & Demons, Deception Point) ซึ่งก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากกมาย ยอดพิมพ์แค่หลักหมื่นเอง แต่มาดังเอาใน The Da Vinci Code เพราะความอื้อฉาวในการกล่าวพาดพิงไปถึงศาสนาแบบท้าทาย ในเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึง พิมพ์ไปได้หลายล้านเล่ม Brown ก็เลยเป็นเศรษฐีไปในบัดดล ทั้งๆที่พล็อตของทั้ง 4 เรื่อง แทบจะไม่แตกต่างกันเลย เดินเรื่องฉับไว เหตุการณ์เกิดขึ้นไม่กี่วันจบ หักมุมตามรูปแบบนิยายมาตรฐาน Thriller ทั่วไป จนแทบจะคาดเดาได้ แต่เสน่ห์ของ Brown ก็คือจับเอา Conspiracy Theory หรือตำนานต่างๆ มาสอดแทรกได้อย่างกลมกลืนน่าสนใจ น่าติดตาม ส่วนเรื่องความถูกผิดของข้อมูลก็เป็นอีกเรื่องไม่เกี่ยวกัน
 
ด้วยการ ที่เขานำเรื่องราวจากตำนานมาใช้นี่แหละ จึงถูกฟ้องจากผู้เขียนเรื่อง Holy Blood, Holy Grail(1982) กล่าวหาว่า Brown ลอกเลียนมา ซึ่ง Brown ต่อสู้จนชนะคดีเมื่อปี 2007 แต่ก็ยอมรับว่า Holy Blood, Holy Grail เป็น 1 ในแหล่งข้อมูลที่เขาใช้ค้นคว้า เพราะทั้ง Holy Blood, Holy Grail และ The Da Vinci Code ก็กล่าวถึง เยซู และแมรี่ แม็คดาเรน ใช้ชีวิตร่วมกันและมีสายเลือดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
 
สำหรับ illuminati ซึ่งได้ยินบ่อยในช่วงนี้เพราะหนังเรื่อง Angels & Demons กล่าวถึง เป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์
 
ผู้ ก่อตั้ง illuminati คือ อดัม ไวส์ฮอปต์(Adam Weishaupt) ชาวเยอรมันเกิดในปี ค.ศ.1748 และเสียชีวิตในปี ค.ศ.1830 อดัม ไวส์ฮอปต์ เป็นนักบวชคณะเยซูอิต ได้ก่อตั้งสมาคมขึ้นมาเมื่อ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1776 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่อเมริกาประกาศอิสรภาพ จึงมีการโยงใยว่าเกี่ยวข้องกัน แถมในหลังธนบัตร 1 ดอลลาร์บางรุ่น มีข้อความภาษาลาติน “NOVUS ORDO SECLORUM” ซึ่งแปลว่า “การจัดระเบียบโลกใหม่”

แต่ ทฤษฎีสมคบคิด เรื่อง NEW WORLD ORDER นี้ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มีเค้ามีมูลมาก ความเป็นไปได้จากการปะติดปะต่อเรื่องสูง ทั้งเรื่อง สมาคมลับทุกสมาคม เรื่องอเมริกาต้องการเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว เรื่อง 9/11 ที่สร้างเรื่องเพื่อกระหายสงคราม เรื่องบุกอิรักเพื่อไปดูดน้ำมัน


แล้วเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นคือ แผนการณ์ปิดล้อมแล้วย่อยสลายจีน คู่อริอันยิ่งใหญ่ของอเมริกา ซึ่งเรื่องมันยาวมาก

ไทย ไปเกี่ยวข้องกับ ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน ในส่วนของกำลังเสบียงของไทย ที่จะเลี้ยงทหารไอกันได้อิ่มหมีตอนทำสงครามในอนาคต และเวลาอันใกล้เขามากับแหล่งน้ำมันในอ่าวไทย ที่เพิ่งถูกค้นพบ


ไว้มาต่อเรื่อง ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน เพื่อ NEW WORLD ORDER

เมื่อคนอเมริกันถูกกระทำ เสียจนไม่มีอะไรจะเสีย ความอดทนถึงที่สุดและเริ่มตื่น สิ่งนี้ก็จะเกิดครับ ....... “การปฏิวัติอเมริกา” จาก การที่รัฐบาลโอบาม่าและอิลูมินาติ พยายามผลักดันกฏหมายต่างๆ ซี่งซ่อนความฉ้อฉลไว้ และเพื่อลิดรอนสิทธิพลเมืองอเมริกัน และปูทางไปสู่ “New World Order” ของอิลูมีนาติ ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมาประชาชนที่เดือดร้อนจากการตกงาน ล้มละลาย ถูกยึดบ้าน ไร้ทิ่อยู่ ขาดแคลนอาหาร และถูกกดดันจากความพยายามผลักดันกฏหมายเผด็จการต่างๆ ของพวกอิลูมีนาติ เช่น
1. Health Care Reform Bill การปฏิรูประบบประกันสุขภาพ
2. Cap & Trade หรือ Carbon Tax Bill กฏหมายเรื่องภาวะโลกร้อน (แหกตาครับ)
3. Stilmulus & Bailout Package การเอาเงินภาษีไปอุ้มกลุ่มทุนตัวเอง
4. Tax Tax and More Tax การปรับขึ้นภาษีทุกชนิดของรัฐต่างๆ
5. Gun Confiscation Bill กฏหมายปลดอาวุธประชาชน
6. Inmate Release การปล่อยนักโทษเพราะไม่มีงบประมาณซื้อข้าวให้กิน

การ รวมตัวกันของคนอเมริกันมากกว่า 1 ล้านคน เมื่อวันเสาร์ที่ 12 กันยาที่ผ่านมา ที่วอชิงตัน ดีซี เรียกว่า Tea Party ครับและการประท้วงอย่างเงียบๆ ตามเมืองต่างๆ ที่ผ่านมา เริ่มส่งเสียงดังขึ้นทุกขณะ และกระจายไปสู่รัฐต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ ในอดีตที่ผ่านมา Tea Party ที่เกิดขึ้นที่ Boston รัฐแมสซาชูเซท นี่เองที่นำไปสู่ American Civil War หรือการปฏิวัติในอเมริกา และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง เราจะเห็นความรุนเแรงในอเมริกาเพิ่มขึ้นทุกวัน และ Civil Unrest หรือ Riot ครั้งใหม่คงอีกนานแล้ว “ถ้าใครยังอยู่ที่นั่น คุณต้องเตรียมพร้อมแล้วล่ะครับ”


ดูลิ้งค์รับ
www.youtube.com/watch?v=rkDmEmgR1_o www.youtube.com/watch?v=AhElvDArWw4&feature=related และ นี่คือสภาพความเป็นจริงของอเมริกาที่ปิดบังชาวโลกไว้ ดูให้เห็นกันจะๆแล้วกระจายเลยครับ คนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีแม้แต่ที่จะอาศัยนอน ต้องไปกางเต๊นท์นอนกันตามถนน สวนสาธารณะ หรือแล้วแต่ที่ๆ เค้าจะหาได้ คนเหล่านี้ไม่ใช่ Homeless หรือคนเร่ร่อนครับ เพราะ Homeless เค้าจะอาศัยนอนตามใต้สะพานหรือตามซอกตึก เราจะได้สังเกตุได้จากการแต่งตัวและของใช้ต่างๆ ของเค้าครับ และจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการว่างงานที่เพิ่มขึ้นครับ ที่เค้าไปอยู่เพราะเค้าไม่มีที่ไปครับ แต่สิ่งที่ตำรวจทำกับเค้าคือสิ่งนี้ครับ: www.youtube.com/watch?v=LrPdZmPB36U

Alert!! มีข่าวด่วนมาจากฝั่งอเมริกา

จะมีการบังคับฉีดวัคซีน Swine Flu ในอเมริกา รอบแรกในวันที่ 15 October
2009 และรอบที่ 2 วันที่ 15 November 2009 ถ้าใครไม่รับวัคซีนจะถูกจับเข้าแคมป์กักกัน(Concentration Camp) (ในลองอ่านดูในบทวิวรณ์ในไบเบิลครับ เกี่ยวกับเรื่อง 666)


 และรัฐแรกเลยก็คือ Massachusette และเท่าที่ได้ข้อมูลมาเป็นไปได้ว่าจะทำพร้อมกันทั่วประเทศเพราะทุกอย่างวางไว้หมดแล้ว และขั้นตอนคือ
1. หน่วยงานที่ดูแลเรื่องไข้หวัด หรือ CDC (หน่วยงานที่ควบคุมการระบาดของโรคติดต่อ)จะประกาศเรื่อง Outbreak หรือการระบาดของไข้หวัด Swine Flu หรือหวัด 2009
2.รัฐบาลจะประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือ Martial Law หรือกฏอัยการศึกเพื่อให้ coresponse หรือตอบสนอง กับข้อ 1
3. จะมีการบังคับฉีดวัคซีน Swine Flu โดยจะเริ่มที่ เด็ก และหญิงมีครรภ์ คนสูงอายุ และคนปกติตามลำดับ (เค้าผ่านกฏหมายฉบับนี้แล้วใน Lower State 40 กว่ารัฐ)
4.ถ้าใครที่่ "ไม่รู้ทัน" พอที่จะไปรับวัคซีนแล้ว เค้าจะให้สวม Bracelet หรือสายรัดข้อมือที่เป็นเหล็กและมีไมโครชิพฝังอยู่ซึ่งจะเก็บข้อมูลส่วนตัว ของคนๆ นั้นทั้งหมด
5.Martial Law จะทำการ bypass หรือระงับใช้รัฐธรรมนูญทั้งหมด คือลืมไปเลยเรื่องสิทธิ เสรีภาพของประชาชน เค้าจะตั้งจุดตรวจของเค้าเรียกว่า Check Point ตามแยกต่างๆ ที่สำคัญทั่วทุกเมืองของอเมริกา โดยหน่วยงานของ CDC และตำรวจท้องถิ่น*** ถ้าไม่มีข้อมือนี้จะเดินทางไม่ได้ในอเมริกาทั้งหมดครับ
6.เมื่อมาถึงจุด ตรวจเค้าจะขอดูที่ข้อมือก่อน ถ้าใครไม่มีคือไม่ได้รับวัคซีน เค้าจะมีให้เลือก 2 ทาง คือรับวัคซีนเดี๋ยวนั้นเลย แล้วได้สายรัดข้อมือไป (แล้วค่อยๆ ล้มป่วยและตายในที่สุด) อีกทางเลือกนึงคือต้องขึ้นรถบัสไปเข้าค่ายกักกันเชื้อโรค หรือ FEMA CAMP ( YT: FEMA Camp, FEMA Coffin ) ที่กระจายอยู่ทั่วทุกเมืองในอเมริกาตอนนี้ ในค่ายนั้นมีอะไรหรือเป็นยังไง ก็ให้ไปดูที่พวกนาซีเยอรมันเคยทำ "ไม่ต่างกัน" ใครที่เคยเห็นวีดีโอแล้ว นั่นแหละที่เค้าเตรียมทั้งหมดก็เพื่อการนี้ (สังเกตุไม๊ครับว่าทำไมช่วงนี้ วงการหนังฮอลลีวูดทำหนังเกี่ยวกับนาซีเยอรมันออกมาเต็มไปหมด ตั้งแต่ Valkyrie ที่แสดงโดยทอม ครูซ "เค้ากำลังบอกอะไรเราครับ" ของจริงครับ)
7. จากข้อ 6 ใครที่เข้าเมืองหรืออยู่อย่างผิดกฏหมาย เค้าคงเอาเข้า FEMA CAMP หรือค่ายกักกันเลย ไม่ต้องคุย ไม่ต้องหาทนาย หรือต่อรองอะไร เพราะคุณไม่มีสิทธิ์อยู่แล้ว หรือแม้แต่จะยืนอยู่ตรงนั้น ณ เวลานั้น
8. ส่วนใครที่คิดว่าจะหลบได้ตลอดก็ต้องอยู่ในบ้านอย่างเดียว ห้ามเดินทาง แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเค้าจะออกตรวจหรือไม่ และอย่าบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเค้าประกาศ Martial Law อำนาจอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เค้าจะเป็นคนต้ดสินสถานภาพของคุณ คุณไม่มีสิทธ์เลือก เพราะคุณ "ฝ่าฝืนกฏหมายโดยการไม่รับวัคซีนและซ่อนตัว"

"ขอย้ำว่า" ข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผยโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายๆ คนที่เกี่ยวข้อง และไปร่วมสัมนาเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการระบาดของโรค เอาหลักฐานไปดูครับ

www.youtube.com/watch?v=1qQ4iFI5Np8
www.youtube.com/watch?v=ft52vJYV1g8

แต่ใน Massachusette มันมีอีก option หรืออีกทางให้เลือกที่จะไม่ฉีด หรือไปเข้าค่ายกักกันเชื้อโรค ก็คือจ่ายค่าปรับวันละ $1,000

www.youtube.com/watch?v=2_oD55WvDmM

และนี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของโอบาม่าเองเกี่ยวกับเรื่อง Swine และทั้งสื่อสารพัดชนิด เช่น CNN

www.youtube.com/watch?v=kr92sfEpaj4

ดูความเคลื่อนไหวและการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ที่นี่ Update เกือบทุกวัน

http://www.stevequayle.com/News.alert/09_Disease/09_Disease.index.html


ขอเสริมแผนการ  NEW WORLD ORDER หน่อย


นี่เป็นวีดีโอที่น่าสนใจ บกบอกอะไรได้หลายอย่าง และแผนของ  NEW WORLD ORDER ในปี 2012 ที่ลือกันว่า เป็นวันวิบัติของโลก (21-12-12 11:11)

ต้องดูครับ

http://www.youtube.com/watch?v=v7zyZsAwOcg

ทฤษฎีสิ้นโลก วันที่ 21 เดือน 12 ปีค.ศ 2012

http://www.youtube.com/watch?v=Dh7bCD9z1dk

“ เกมส์ไพ่อิลูมินาติ ”
ใน ปี 1990 มีนักออกแบบเกมส์คนนึงชื่อ สตีฟ แจ๊กสัน (Steve Jackson) ได้พยายามออกแบบเกมส์ไพ่นี้
 เสร็จสมบูรณ์และออกวางตลาดในปี 1993 ครับ หน้าปกของเกมส์นี้มีหน้าตาแบบนี้ครับ


จุดมุ่งหมายของเกมส์คือ New World Order หรือ การจัดระเบียบโลกใหม่ ถ้าเราดูจากปกของเกมส์ เราเกือบทุกคนในนี้คงมองออกนะครับ

1. ปืนที่อยู่ในมือก็หมายถึงอำนาจทางการทหาร

2. ธนบัตรที่อยู่ในมือก็คืออำนาจการเงิน การธนาคาร หรือ FED

3. ฟิล์มหนังที่อยู่ในมือก็คือวงการหนังฮอลลีวู๊ด (Hollywood)

4. มีดที่อยู่ในมือก็คือการฆ่าหรืองานสกปรกต่างๆ เช่น CIA, MI6 และอีกสารพัดของแต่ละประเทศที่เค้าไปยึดครองไว้

5. มือสุดท้ายการชักใย(ตรงกลาง)เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลต่างๆ ครับ ดูตุ๊กตาหุ่นในรูปหน้าเหมือน โอบาม่า ไหม

รูปการ์ดบางส่วน มันมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด


เกมส์ออกวางตลาดในปี 1993 ครับ

โปรดสังเกตุดูให้ดีครับ เวลาวางตลาด ปี 1993 และเวลาที่ตึกแฝดโดนโจมตีคือ 2001
เริ่มเห็นอะไรลางๆมั่งรึยังครับ ?

" อนาคตในเกมไพ่อิลูมีนาติ "

ครัยเคยดูหนังเรื่อง DEEP IMPACT บ้างครับ คงพอจำกันได้นะ


http://www.youtube.com/watch?v=na45qtKmQhs

http://www.youtube.com/watch?v=8zEFKT7s75k

อ่อลืมไป  น. 18+ โปรดใช้วิจารณญาน ในการชม....

เรามาไขปริศนาเลข 666 กัน

666 : SATAN

จำยอดปิระมิดกันได้นะครับ


Lucifer = Satan อยู่บนยอดสุดของปิระมิด


ทีนี้กลับมาดูที่แบงค์ดอลอีกรอบ

สังเกตุใต้ฐานปิระมิด คิดจากสูตรตัวเลขโรมัน คิดหลายแบบก็ได้เลขมาเกี่ยวกับ 666

เลข 666 Mark of Beast เกี่ยวข้องกับทั้งโลก ตัวเรา และ สิ่งใกล้ตัวเราอย่างไม่คาดคิด

ลอง เรียงอักษรคำว่า COMPUTER จากบนลงล่างตามวิธีการเรียงอักษรโบราณ พร้อมกำกับลำดับพยัญชนะ เช่น A=1, B=2 ไปเรื่อยๆจนถึง Z=26 จากนั้นเอาลำดับทุกตัวมาคูณด้วย 6 แล้วรวมผลลัพธ์ออกมา เห็นมั๊ยล่ะครับ จากตัวอย่างข้างล่าง มันได้ 666 พอดิบพอดี


C = 3 x 6 ===> 18
O = 15 x 6 ===> 90
M = 13 x 6 ===> 78

P = 16 x 6 ===> 96

U = 21 x 6 ===> 126

T = 20 x 6 ===> 120

E = 5 x 6 ===> 30

R = 18 x 6 ==> 108

COMPUTER => 666



บังเอิญ หรือครับ งั้นลองอีกที ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ที่เชื่อกันว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในโลก เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโลโลยีจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจร่วมกันผลิต ขึ้น ตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ขององค์กรตลาดร่วมยุโรป มันมีชื่อเสียโก้เก๋ซึ่งตั้งให้จากผู้สร้างมันว่า Mark of Beast หรือเครื่องหมายแห่งสัตว์ร้าย ... ตรงตามไบเบิลเป๊ะๆ คุณๆลองเอาวิธีคำนวณแบบเดิมมาใช้กับ Mark of Beast สิครับ เหลือเชื่อกระมัง ผลของมันคือเลข 666!!!

เครื่องหมายแห่งสัตว์ร้าย mark of beast

m = 13x6 =78
a = 1x6 =6
r = 18x6 =108
k = 11x6 =66
o = 15x6 =90
f = 6x6 =36
b = 2x6 =12
e = 5x6 =30
a = 1x6 =6
s = 19x6 =114
t = 20x6 =120

summary = 666 เช่นกัน

เป็น อันว่าเลขเจ้ากรรมนี้ ต้องเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งข้อความที่ว่า มันครอบคลุมมีอิทธิพลกับพลโลกเกือบทั้งหมดนี้

พระกรีก นิกายโปรเตสแตนต์รูปหนึ่งชื่อ อิเรเนอุส ผู้มีชีวิตอยู่ในราว ค.ศ.100-202 พระรูปนี้ขึ้นชื่อในเรื่องต่อต้านพวกที่เป็นปฏิปักษ์กับศาสนาคริสต์ แบบโปรเตสแตนต์ หลังจากเสียชีวิตไป ได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญอิเรเนอุส ได้เขียนหนังสือชื่อว่า Against Heresies ในนั้นได้กล่าวถึงเลข 666 ไว้ไม่น้อย ท่านได้ใช้ภาษากรีกในยุคของท่านเขียนแทนคำหลายคำ อย่างเช่นคำว่า LATEINOS ซึ่ง มีความหมายว่า คนที่ใช้ภาษาลาตินในการพูดสื่อสารกัน จากนั้น ตัวอักษรแต่ละตัวเมื่อแทนค่าด้วยตัวเลขตามความหมายในภาษากรีกโบราณแล้ว จะได้ค่าตัวเลขดังต่อไปนี้ L=30 A=1 T=300 E=5 I=10 N=50 O=70 S=200 เมื่อ เอาตัวเลขที่ได้มารวมกัน แล้วได้ค่าเท่ากับ 666 พอดี ที่น่าประหลาดคือ ลาตินเป็นภาษาทางการของวาติกัน ซึ่งเป็นศูนย์รวมของคริสต์แบบโรมันคาทอลิก นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายคำที่เมื่อแปลงตัวอักษรไปเป็นตัวเลขโดยวิธีเดียวกันแล้วก็จะได้ 666 เช่นกัน คำเหล่านั้น ได้แก่ HE LATINE BASILEIA (แปลว่า อาณาจักรของพวกลาติน)

ITALIKA EKKLESIA (ศาสนาคริสต์แบบอิตาลี ซึ่งก็น่าจะหมายถึงโรมันคาทอลิกนั่นเอง) APO STATES (การกบฏทางศาสนา) PARADOSIS (คำนี้ตรงกับคำว่า Tradition ในภาษาอังกฤษความหมายในที่นี้เจาะจงถึงข้อปฏิบัติบางอย่าง ที่คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ไม่พอใจว่าวาติกันกำหนดขึ้นเอง โดยวาติกันให้เหตุผลว่าเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ถูกบันทึกไว้) เกี่ยวกับการแทนค่าของคำแต่ละคำ นอกจากการแปลงตัวอักษรเป็นตัวเลขโดยใช้ภาษากรีกโบราณแล้ว การแปลงโดยใช้ภาษาฮีบรูในคำบางคำที่มีความหมายว่าอาณาจักรโรมัน และคนโรมัน ก็ให้ค่า ตัวเลขรวมออกมาเป็น 666 เช่นกัน (ขอให้ดู ตารางประกอบด้วยจะเห็นภาพที่ชัดเจน) ดังนั้น ความหมายตามที่อิเรเนอุสถอดรหัสออกมา สัตว์ ร้ายหรือปิศาจที่กล่าวถึงในไบเบิลคือพวกที่ไม่ยึดถือตามแนวทางปฏิบัติแบบ เดิมนั่นเอง

ในภาษาฮีบรู คำว่า ROMIITH แปลว่า อาณาจักรโรมัน ROMITI แปลว่า คนโรมันตารางต่อไปแสดงให้เห็นค่าของตัวเลขที่เมื่อรวมแล้วก็ได้ 666 เช่นกัน

เหรียญ ทองโบราณที่ทำขึ้นในยุคบาบีโลนจำนวนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ ในกรุงเบอร์ลิน เป็นเหรียญสองด้านที่บอกให้ ทราบว่าพวกเขานับถือพระอาทิตย์ อีกด้านหนึ่งเป็นตารางสี่เหลี่ยมจำนวน 36 ช่อง คือเรียงในแนวตั้งหกช่อง แนวนอนหกช่อง ตารางนี้ใส่ตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 36 ลงไปโดยไม่ซ้ำกัน ซึ่งนักโบราณคดีกล่าวว่า ช่องทั้ง 36 ช่องมีความหมายถึงสวรรค์ ที่ยึดหลักดาราศาสตร์ 36 ชั้น เหรียญพวกนี้จะใช้ประกอบการทำนายอนาคตที่นักบวชจะเป็นผู้ทำหน้าที่นั้น แม้จะไม่ได้โยงไปหาไบเบิล แต่ที่แปลกคือ ตัวเลขในตารางแต่ละแถว ไม่ว่าแนวตั้ง หรือแนวนอนรวมกันแล้วได้ผลลัพธ์เป็น 111 ซึ่งเมื่อคูณด้วย 6 (ซึ่งหมายถึง 6 แถว) ก็ได้ค่าออกมาเป็น 666 แม้กระทั่งช่องตามแนวทแยง ก็ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน ส่วนอีกเหรียญหนึ่งเป็นของกรีกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน (สำหรับคนที่เคยเล่นเกมส์ Sudoku คงเข้าใจหลักการของการเรียงตัวเลขแบบนี้ แต่ที่แปลกคือ ทำไมต้องเป็น 666?)

โลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วหลังการเกิดของคอมพิวเตอร์และ อินเตอร์เน็ต หลายคนมองว่าเป็นตัวการที่นำมนุษยชาติไปสู่การทำลายล้างกันได้เร็วขึ้นและ ง่ายขึ้น ถ้าเราเอาตัวอักษร ในภาษาอังกฤษเริ่มจาก A แทนค่าด้วย 1, B=2 แบบนี้ไปจนถึงตัว Z ซึ่งเท่ากับ 26 แล้วเอาตัวเลขที่ได้มาแทนค่าในคำว่า COMPUTER ตัวเลขที่ได้คือ 3 15 13 16 21 20 5 18 เมื่อเอาตัวเลขแต่ละตัวคูณด้วย 6 แล้วนำผลลัพธ์มาบวกกัน ค่าสุดท้ายที่ได้คือ 666 ส่วนตัวอักษร www ซึ่งรู้กันดีว่าคือ World Wide Web นั้น มีค่าเท่ากับ 666 ในภาษาฮีบรู เพราะตัวอักษรตัวที่ 6 ในภาษาฮีบรูนั้นเขียนเป็น W หรือ V


Q:สัญลักษณ์เลข 666 มาจากไหน

A: 666 หรือสัญลักษณ์ของสัตว์ร้ายนั้นมาจากพระคำภีร์บทนี้

วว 13:11-18
ข้าพเจ้า เห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากพื้นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะ พูดเหมือนมังกร มันใช้อำนาจทั้งหมดของสัตว์ร้ายตัวแรก เมื่อสัตว์ร้ายตัวนี้ทำให้แผ่นดินและผู้อาศัยบนแผ่นดินกราบนมัสการสัตว์ร้าย ตัวแรกที่มีบาดแผลฉกรรจ์ถึงตายแต่หายแล้ว สัตว์ร้ายตัวที่สองนี้ทำปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งไฟมันก็ทำให้ตกจากท้องฟ้าลงบนแผ่นดินต่อหน้ามนุษย์ได้ มันใช้ปาฏิหาริย์ที่มันได้รับอำนาจให้ทำได้เมื่อสัตว์ร้ายตัวแรกหลอกลวงผู้ อาศัยบนแผ่นดินให้หลงไป โดยชักชวนเขาให้สร้าง รูปปั้นถวายแด่สัตว์ร้ายที่ยังมีชีวิตอยู่แม้ถูกดาบฟันเป็นแผลฉกรรจ์แล้ว สัตว์ตัวที่สองนี้ได้รับอำนาจให้ชีวิตแก่รูปปั้นของสัตว์ร้ายตัวแรก เพื่อให้รูปปั้นนั้นพูดได้ และได้รับอำนาจประหารชีวิตทุกคนที่ไม่ยอมกราบนมัสการรูปปั้นของสัตว์ร้าย สัตว์ร้ายตัวที่สองนี้บังคับทุกคน ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ ทั้งคนมั่งมีและคนยากจน ทั้งคนอิสระและทาส ให้สักตราไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผาก ไม่มีใครซื้อขายได้ ถ้าไม่มีตราคือนามของสัตว์ร้ายหรือจำนวนเลขของนามนั้น ดังนั้น จำเป็นต้องมีปรีชาญาณ ผู้มีปัญญาจงตีความจำนวนเลขของสัตว์ร้ายให้ได้ เพราะมันเป็นจำนวนเลขที่หมายถึงมนุษย์คนหนึ่ง จำนวนเลขนั้นคือ 666

แต่เลข 666 นั้นก็เป็นสัญลักษณ์อีกเหมือนกันซึ่งก็มีการตีความหลากหลายกันไปมีทั้งแปล ออกมาได้เป็น Computer , บาร์โค้ด ฯลฯ ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเพราะในอนาคตอันใกล้นี้มนุษย์จะไม่ต้องพกบัตร เครติดหรือบัตรประจำตัวแล้ว เพราะเรากำลังมีสิ่งที่เรียกว่าไมโครชิพ(microchip) (อ้างอิง http://www.imf.org/external/np/exr/facts/sdr.HTM )

วัน ที่ 31 มีนาคม 1969 ธนาคารโลกหรือ IMF ได้ประกาศระบบแลกเปลี่ยนเงินตราแบบใหม่โดยไม่ผูกกับธนบัตรหรือทองคำ แต่ไปผูกกับระบบเครติดใหม่โดยใช้ตัวเลขชื่อว่าระบบ S.D.R (Special Drawing Right)
ในปี 1976 SDR ได้เริ่มดำเนินการโดยใช้ทองคำสำรองการเงินซึ่งระบบนี้ประกอบขึ้นโดยใช้หมาย เลขซึ่งในหนังสือคอมพิวเตอร์ระหว่างนานาชาติจะกำหนดเดบิตและเครติต(รายรับ รายจ่าย)ของสมาชิกแต่ละชาติ ซึ่งระบบเงินตราแบบใหม่นี้ เพื่อจะใช้ได้ในระดับส่วนบุคคล มีความจำเป็นจะต้องประกอบไปด้วย

1. รหัสระหว่างนานาชาติของผลิตภัณฑ์(บาร์โค้ด)
บาร์โค้ดของสิ้นค้านั้นทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ซื้อขายของ ทั่วโลก จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันดังนี้

และ แน่นอน แถบกลางที่เป็นเส้นคู่แบบนี้ || เมื่อถอดใน Computer แล้วก็จะอ่านได้เป็นเลข 6 เป็นเหมือนกันกับสินค้าทุกชนิดทั่วโลก(ไม่เชื่อลองเอาบาร์โค้ดของสินค้าที่ ซื้อมาเทียบดูจะมีเส้นที่เหมือนกันทุกอันคือเส้นของเลข 666)

2.เครื่องคอมพิวเตอร์ (666)
ไม่ว่าจะซื้อเข้าหรือขายออกจำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์

3.S.D.R
จำเป็นที่ S.D.R ต้องถูกนำมาใช้ มิใช่แค่ภายในประเทศใด้ประเทศหนึ่งเท่านั้นแต่ต้องเป็นในระดับส่วนบุคคลด้วย(รายบุคคล)และใช้ทั่วโลก

4.หมายเลขบัญชีประจำตัว
แต่ละบุคคลต้องได้รับหมายเลขประจำตัวซึ่งเป็นเลขบัญชีเฉพาะตัวเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์นานาชาติ

5.หมายเลขที่ประทับลงบนมือขวาหรือหน้าผาก
เป็นเรื่องจำเป็นที่ไมโครชิพจะต้องประทับลงบนมือขวาหรือหน้าผากโดยแสงเลเซอร์ซึ่งจะไม่เจ็บและตาเปล่ามองไม่เห็น

Dr.Carl W.Sanders นักประดิษฐ์วิชาการและที่ปรึกษาขององค์กรรัฐบาล IBM General Electric,Honeywell และ Teledyne กล่าวว่า

" การฝังไม่โครชิพนั้นต้องอาศัยพลังงานใน การชาร์จไฟ ซึ่งการจะฝังในร่างกายมนุษย์นั้นไม่สามารถที่จะนำออกมาชาร์จไฟได้ เราจึงต้องอาศัยการเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ซึ่งจะต้องต่อวงจรของชิ พให้มีการชาร์จไฟทุกครั้งที่อุณหภูมิของร่างกายเปลี่ยนอุณหภูมิ ได้มีการใช้เงินไปถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ในการค้นหาจุดของร่างกายที่มีการเปลี่ยนอุณหภูมิที่เร็วที่สุด ซึ่งเหมาะแก่การฝังไมโครชิพคือที่ หน้าผาก และ หลังข้อมือ "

Dr.Carl W.Sanders ยังกล่าวอีกว่า "ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุม One World เป็นจำนวน 17 ครั้งซึ่งได้มีการถกเถียงกันเรื่องไมโครชิพ การประชุมที่บรัสเซลล์และลักเซมเบิร์ก พยายามโยงการเงินของโลกเข้ามาอ้าง ขณะนี้กำลังมีพระราชบัญญัติเข้าสภา Congress ว่าจะอนุญาติให้ฝังไมโครชิพในทารกแรกเกิดด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสำหรับข้อมูล ประจำตัว "


นั่นทำให้เรายิ่งระลึกถึงคำทำนายที่ว่า

" สัตว์ร้ายตัวที่สองนี้บังคับทุกคน ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ ทั้งคนมั่งมีและคนยากจน ทั้งคนอิสระและทาส ให้สักตราไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผาก ไม่มีใครซื้อขายได้ ถ้าไม่มีตราคือนามของสัตว์ร้ายหรือจำนวนเลขของนามนั้น ดังนั้น จำเป็นต้องมีปรีชาญาณ ผู้มีปัญญาจงตีความจำนวนเลขของสัตว์ร้ายให้ได้ เพราะมันเป็นจำนวนเลขที่หมายถึงมนุษย์คนหนึ่ง จำนวนเลขนั้นคือ 666"

RFID เทคโนโลยีที่ต?องตามให?ทัน

RFID, Card
RFID เป?นระบบทีทํางานคล?ายคลึงกับ Smart Card และทําหน?าทีแทนBarcode ได?อย?างมี
ประสิทธิภาพสูงกว?าทุกระบบ ในระบบ Smart Card จะใช?บัตรที่มีหน?วยความจํา และไมโครโปรเซสเซอร?
บรรจุอยู?ภายใน สัมผัสโดยตรงกับเครื่องอ?านบัตร ทําให?สามารถทราบข?อมูลต?างๆที่ตองการให?ทราบของผู?
ถือบัตรได? ส?วนระบบRFID ตัวบัตรสามารถอยู?หางจากเครื่องอ?านได? ไม?ต?องสัมผัสเครื่องอ?านแบบบัตร
สมาทร?การ?ด และไม?ต?องหันบัตรเข?าหาเครืองอ?านเหมือนBarcode
RFID เป?นเทคโนโลยีท่มมานานเกือบร?อยป?แล?ว แต?ยังไม?แพร?หลาย เนืองจากอุปกรณ?ที่ใช?ยังมี
ี ี
ขนาดใหญ?ไม?สะดวกในการติดตั้งและใช?งาน ป?จจุบน เทคโนโลยีนกําลังจะมีบทบาทมากขึ้นอย?างรวดเร็ว
และเข?ามาเกียวข?องกับชีวิตประจําวันของเราอย?างเลี่ยงไม?ได? ส?วนประกอบของระบบRFID มี 2ส?วนดังนี้
1. RFID Tags หรือ Transponder
2. เครื่องอ?าน Reader หรือ Interrogator
พื้นฐานของ RFID คือความต?องการให? สิ่งมีชีวิต ,วัตถุ หรือ เจ?าของวัตถุ ทีมีฉลากหรือป?าย RFID
ติดอยู? สามารถแจ?งข?อมูล ประวัติ หรือ ลักษณะเฉพาะ ของตัวเองให?ผอื่น ที่มีเครื่องอ?านRFID ทราบได? ผ?าน
ทางคลื่นวิทยุ โดยอัตโนมัติ RFID ย?อมาจากคําว?า “Radio Frequency IDentification” คือการใช?ไอซี
ประเภทไมโครชิปใส?ไว?ใน ป?ายหรือฉลาก ซึงไมโครชิปจะเก็บข?อมูลที่สําคัญและจําเป?นไว? และส?งสัญญาณ
ข?อมูลออกมาด?วยความถีวทยุที่กําหนดไว? ไปยังเครื่องรับหรือเครื่องอ?านข?อมูลRFID ที่อยู?ในระยะส?ง แผ?น
่ิ
ป?ายหรือฉลากที่ระบุข?อมูลไว?ในไมโครชิปนี้ เราเรียกว?า RFID Tags หรือ Transponder แผ?นป?ายระบุ
ข?อมูล (RFID Tags) ประกอบด?วยแผงวงจรไมโครชิปกับเสาอากาศขนาดเล็ก(แบบไดโพล) ที่ฝ?งเป?นส?วน
หนึงของแผ?นป?ายระบุข?อมูล


มาดูคลิปที่เกี่ยวข้องกัน

http://www.youtube.com/watch?v=PRj2FP6qRH0

http://www.youtube.com/watch?v=n6g36M1yYLQ

วิวรณ์ 13 / Revelation 13 (สังเกตุเลข 13 มันซ่อนอยู่ในแบงค์ 1 ดอลล่าร์ ตามที่บอกไปตอนแรกๆ)


"And I stood upon the sand of the sea, and saw a beast rise up out of the sea,
having seven heads and ten horns, and upon his horns ten crowns,
and upon his heads the name of blasphemy. And the beast which I saw was like unto a leopard,
and his feet were as the feet of a bear, and his mouth as the mouth of a lion:
and the dragon gave him his power, and his seat, and great authority.
And I saw one of his heads as it were wounded to death; and his deadly wound was healed:
and all the world wondered after the beast.
And they worshipped the dragon which gave power unto the beast:
and they worshipped the beast, saying, Who is like unto the beast? who is able to make war with him?
And there was given unto him a mouth speaking great things and blasphemies;
and power was given unto him to continue forty and two months.
And he opened his mouth in blasphemy against God, to blaspheme his name,
and his tabernacle, and them that dwell in heaven. And it was given unto him to make war with the saints,
and to overcome them: and power was given him over all kindreds, and tongues and nations.
And all that dwell upon the earth shall worship him,
whose names are not written in the book of life of the Lamb slain from the foundation of the world.
If any man have an ear, let him hear. He that leadeth into captivity shall go into captivity:
he that killeth with the sword must be killed with the sword. Here is the patience and the faith of the saints."
Revelation 13:1-10.

คำแปล:
http://thaipope.org/webdual/66_013.htm
สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากทะเล

13:1 และข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล และเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา
ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน

A Beast Rises Up Out of the Sea
13:1 And I stood upon the sand of the sea, and saw a beast rise up out of the sea,
having seven heads and ten horns, and upon his horns ten crowns,
and upon his heads the name of blasphemy.

13:2 สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้น เหมือนเสือดาว และเท้าเหมือนเท้าหมี และปากเหมือนปากสิงโต
และพญานาคได้ให้ฤทธิ์ของมัน และที่นั่งของมัน และสิทธิอำนาจอันใหญ่ยิ่งแก่สัตว์ร้ายนั้น

13:2 And the beast which I saw was like unto a leopard, and his feet were as the feet of a bear,
and his mouth as the mouth of a lion: and the dragon gave him his power, and his seat, and great authority.

13:3 ข้าพเจ้าได้เห็นว่าหัวๆหนึ่งของสัตว์ร้ายดูเหมือนถูกฟันปางตาย แต่แผลที่ถูกฟันนั้นรักษาหายแล้ว
คนทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ

13:3 And I saw one of his heads as it were wounded to death; and his deadly wound was healed:
and all the world wondered after the beast.

13:4 เขาทั้งหลายได้บูชาพญานาคที่ได้ให้อำนาจแก่สัตว์ร้ายนั้น เขาได้บูชาสัตว์ร้ายนั้น กล่าวว่า
"ใครจะเปรียบปานสัตว์นี้ได้ และใครสามารถจะทำสงครามกับสัตว์นี้ได้"

13:4 And they worshipped the dragon which gave power unto the beast:
and they worshipped the beast, saying, Who is like unto the beast? who is able to make war with him?

13:5 และยอมให้สัตว์ร้ายนั้นมีปากที่พูดคำกล่าวร้ายและหมิ่นประมาท และยอมให้มันใช้อำนาจกระทำอย่างนั้นตลอดสี่สิบสองเดือน


13:5 And there was given unto him a mouth speaking great things and blasphemies;
and power was given unto him to continue forty and two months.

13:6 มันกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระเจ้า เพื่อหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระองค์
ต่อพลับพลาของพระองค์ และต่อผู้ที่อยู่ในสวรรค์

13:6 And he opened his mouth in blasphemy against God, to blaspheme his name,
and his tabernacle, and them that dwell in heaven.

สัตว์ร้ายกระทำสงครามกับพวกวิสุทธิชน
13:7 และยอมให้มันทำสงครามกับพวกวิสุทธิชน และชนะเขา
และให้มันมีอำนาจเหนือชนทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกประชาชาติ

The Beast Makes War against the Saints
13:7 And it was given unto him to make war with the saints, and to overcome them:
and power was given him over all kindreds, and tongues, and nations.

13:8 และบรรดาคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก
ผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก

13:8 And all that dwell upon the earth shall worship him,
whose names are not written in the book of life of the Lamb slain from the foundation of the world.

13:9 ใครมีหูก็ให้ฟังเอาเถิด

13:9 If any man have an ear, let him hear.

13:10 ผู้ใดที่กำหนดไว้ให้ไปเป็นเชลยผู้นั้นก็จะต้องไปเป็นเชลย ผู้ใดฆ่าเขาด้วยดาบผู้นั้นก็ต้องถูกฆ่าด้วยดาบ
นี่แหละคือความอดทนและความเชื่อของพวกวิสุทธิชน

13:10 He that leadeth into captivity shall go into captivity:
he that killeth with the sword must be killed with the sword. Here is the patience and the faith of the saints.
http://www.sacred-texts.com/chr/tbr/tbr054.htm
          คำสั่ง โหวต
0 คะแนน โดย eแก่หน้าHeeหลอกเด็ก เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว
หัวใจไม่ใช่กระดาษ กรีดคำว่ารักลงไปแล้ว มันยากที่จะลบ มันอาจเป็นแผลที่เจ็บลึกเข้าไปข้างใน จนวันตาย
 -*- มากไป

แสดงให้เห็นว่า โลกถูกครอบงำด้วยอำนาจทางการเมืองและใช้สนับสนุนจิตวิญญาณของซาตาน
ข้อชวนคิดบางอย่างนั่นคือ 7 หัว ของสัตว์ร้าย เป็นตัวแทนของ 7 อาณาจักรคือ
อียิปต์, บาบิโลน, เปอร์เซีย, กรีซ, ลัทธินอกศาสนาแห่งโรม, สังฆราชแห่งโรม
และหัวที่ 7 คือรัชสมัยของสังฆราชแห่งโรมอีกครั้ง, เมื่อการปกครองด้วยเผด็จการทางศาสนา
ถูกฟื้นขึ้นมาใหม่

http://www.pickle-publishing.com/papers/prophecy/seven-heads.htm
It is these seven kings that we want to deal with in this paper.
Basically, there are three different interpretations that could be considered about
who these seven kings are:

1. Seven Individual Kings: This interpretation has a couple variations.
Some try to identify seven individual emperors (a typical preterist view),
and others seven individual popes.

2. Seven Kingdoms: This interpretation typically identifies the first five kings either as being
Babylon, Medo-Persia, Greece, Pagan Rome, and Papal Rome;
or as being Egypt, Assyria, Babylon, Medo-Persia, and Greece.

3. Seven Forms of Roman Government:
This interpretation typically identifies the first five kings as being five of the following forms of government:
a) kings, b) consuls, c) dictators, d) decemvirate, e) military tribunes with consular power, and f) triumvirate.




อย่างไรก็ตาม, ส่วนมากจะลืมเกี่ยวกับอาณาจักรอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนอียิปต์จะกลายเป็นชนชาติ
ช่วงสั้นๆ หลังจากน้ำท่วมโลก, อาณาจักรซาตานแรกที่ใช้สนับสนุนทางจิตวิญญาณคือ บาเบิล
และ บาเบิล นั้น นิมรอด ได้พยายามรวมโลกในตอนนั้นเข้าเป็น One World Government
อียิปต์โดยแท้จริงแล้วเป็นชนชาติหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องการใช้เวทมนตร์ แต่อียิปต์ไม่เคยใช้อำนาจปกครองโลก
บาเบิลทำ และมันควบคุมความรู้เรื่องโลกประมาณ 2,000 ปี ก่อนการปกครองของกษัตริย์เนบูคัดเนซซาร์
(King Nebuchadnezzar) ที่รู้เรื่องโลกจากอาณาจักรบาบิโลน อาณาจักรบาบิโลนถูกสร้างบนความร้ายกาจ
ของบาเบิล ดังนั้น 7 หัว น่าจะเป็น บาเบิล, บาบิโลน, เปอร์เซีย, กรีซ, ลัทธินอกศาสนาแห่งโรม, สังฆราชแห่งโรม
และรัชสมัยของสังฆราชแห่งโรมอีกครั้ง

การเผยความจริง ข้อที่ 13:1-10 มันทำให้ผู้อ่านมองภาพรวมหลังจากยุคน้ำท่วมโลกจนกระทั่ง
ผ่านวันเวลาของประวัติศาสตร์โลกถึงปัจจุบันนี้ ได้จาก หอคอยนิมรอดแห่งบาเบิล (Nimrod's Tower of Babel)
http://en.wikipedia.org/wiki/Tower_of_Babel
ด้วยการค้นพบของสหรัฐฯ ประวัติศาสตร์ได้วางรากฐานตั้งแต่ ค.ศ. 95 สำหรับสาวกจอห์น
ต่อการเป็นพยานในการมองเห็นนี้

จากหอคอยแห่งบาเบิล และที่ผ่านมาเป็นศตวรรษ, พระเป็นเจ้าได้แสดงถึงอำนาจการปกครองของซาตาน
ซาตานจะใช้การเผยแพร่การสักการะของตัวเขาผ่านจิตวิญญาณ การสักการะโดยผ่านมนุษย์เริ่มต้นที่บาเบิล
และคำทำนายในคัมภีร์ โดยการสนับสนุนจาก วาติกัน ภายใต้ระบบผิดๆ ของคริสต์ศาสนา
รัชสมัยของสังฆราชจะมาในอนาคตอันใกล้ ส่วนหัวของศาสนาแห่งโลกใหม่นี้ (New World Religion)
จะรวมเข้ากับ คนนอกรีตและผู้ที่ประท้วงละทิ้งศาสนาของตน

ปัจจุบันนี้ เราสามารถมองภาพของโลกในปัจจุบันออกได้หรือยังว่า ใครอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้เช่น
เรื่องฆาตกรรมของ Charles Manson Family,

แก๊งค์มอเตอร์ไซค์, วงดนตรีร็อคบางวง, ฮอลลีวู๊ด และโทรทัศน์, การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงของธนาคารต่างๆ,
การเคลื่อนไหวของกลุ่มลัทธิต่างๆ, องค์กรสิทธิมนุษยชน, และสหภาพแรงงานต่างๆ
นั่นคือการสร้างความเลวทรามให้กับสังคมอเมริกันชน ไปสู่การแบ่งแยกเกลียดชังกันของฝ่ายต่างๆ
คล้ายๆ กันกับการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อก่อนหน้านี้?

ไบเบิ้ลทำนายพลังปฏิวัตินี้ว่าเป็น การขึ้นมาจากก้นทะเลของสัตว์ร้าย แต่เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลา
ที่ซึ่งเราสามารถที่จะเรียนรู้การเคลื่อนไหวข้างในลึกๆ ของเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้
เพราะว่าประวัติศาสตร์เคยกล่าวถึงการเดินไปของเบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้
ด้วยการนำอุบายเหล่านี้มาใช้นับตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส?
เราสามารถแกะรอยทางเดินเหล่านี้ด้วยประวัติศาสตร์, เพื่อแสดงให้เห็นว่า
พวกเขาเริ่มต้นจากที่ไหน? พวกเขาชักจูงไปที่ไหน? และพวกเขาคือใคร?

การแกะรอยเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากช่วงเวลาที่ อดัมส์ เวส์ฮอบส์ (Adam Weishaupt)


จนมาถึงช่วงเวลาของเรา จะนำเราเข้าสู่ประตูวงแหวนของ นายธนาคารข้ามชาติ (international bankers)
อันซึ่งเป็นผู้ที่ควบคุมความมั่งคั่งของโลก, และมีความศรัทธาเหมือนกับ อัลเบิร์ต ไปค์ (Albert Pike)


ภายใต้พวกเขาก็คือเครือข่ายของ กลุ่มนักอุตสาหกรรม, นักวิทยาศาสตร์, ผู้นำทางด้านการทหารและการเมือง,
นักการศึกษา, นักเศรษฐศาสตร์, และนักแสดง

มันเป็นความจริงที่รู้กันเป็นอย่างดีว่า นายธนาคารข้ามชาติได้ให้ทุนชนชาติหนึ่งเพื่อต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง
คุณคิดว่าประเทศต่างๆ ได้รับเงินเพื่อซื้อ รถถัง, ปืน, เครื่องแบบ และยุทธภัณท์อื่นๆ มาจากที่ไหน?
เพื่อเตรียมอาวุธให้ชนชาติเหล่านั้นพร้อมสำหรับการทำสงคราม? พวกเขากู้เงินมาจากนายธนาคารข้ามชาติ
นายธนาคารข้ามชาติได้ให้เงินทุนกับประเทศคู่สงครามทั้งสองฝั่ง พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะชนะ
ขณะที่ชนชาติที่กู้เงินเป็นจำนวนมหาศาลกำลังฆ่ากันเองอยู่นั้น นายธนาคารข้ามชาติก็ทำเงินเป็นจำนวนมหาศาล
จากการคิดค่าดอกเบี้ยที่ชนชาตินั้นๆ ต้องจ่ายให้ พวกเขามีอำนาจในการควบคุมผลของสงครามโดยการตัด
กระแสหมุนเวียนของเงินที่เขาให้กู้ ดังนั้นภายใต้การคุกคามของสงคราม นายธนาคารข้ามชาติได้ใช้อำนาจ
ของพวกเขาในการขยายหรือเพิ่มการควบคุมเหนือรัฐบาลของชนชาตินั้นๆ โดยการรักษาให้ชนชาตินั้นๆ คงหนี้สินกับพวกเขา
เพื่อให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่จะเรียกร้องเสียงในรัฐบาลของชนชาตินั้นๆ

อย่างไรก็ตาม จุดหมายอื่นอันซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จอยู่แล้วคือ การควบคุมระบบการเงินทั้งหมดของโลก
ที่ซึ่งเราจะเรียนรู้ว่านายธนาคารอเมริกัน มีสายสัมพันธ์กับ กลุ่มรอทไชลด์ (Rothschilds) อย่างไร?
และประวัติศาสตร์เบื้องหลังการสร้างกับดักด้วย ธนาคารกลาง



แกรี่ อัลเลน, ในหนังสือของเขาชื่อ None Dare Call It Conspiracy,
ชี้ว่าทั้งหมดอยู่ใน Karl Marx Communist Manifesto มันเป็นส่วนหนึ่งในการปูทางเดิน
เขียนขึ้นมาเพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมระบบการเงิน แกรีกล่าว

"เลนินกล่าวในเวลาต่อมาว่า การจัดตั้งของธนาคารกลางก็คือ 90 เปอร์เซนต์ จะเป็นทรัพย์สินส่วนกลางของประเทศ
เช่นผู้ที่สมคบคิดรู้ว่านั่นคือ คุณไม่สามารถที่จะเข้าไปควบคุมประชาชาติหนึ่งๆ โดยปราศจากการใช้กำลังทางทหาร
เว้นแต่ว่า ประชาชาตินั้นๆ มีธนาคารกลางเป็นตัวผ่าน อันซึ่งคุณสามารถควบคุมเศรษฐกิจของชาตินั้นได้"
None Dare Call It Conspiracy Allan, Concord Press, 1971, pp. 41, 42.

วันที่ 1 พฤษภาคม 1776 เป็นวันที่ อดัมส์ เวส์ฮอบส์ (Adam Weishaupt) กลับไปที่อเมริกาและดำเนินงาน
โดยการส่งไปของ the House of Rothschild,
http://iamthewitness.com/DarylBradfordSmith_Rothschild.htm



และได้จัดตั้งกองกำลังปฏิวัติสากล ที่เรียกว่า กลุ่มอิลลูมิเนติ (the Illuminati - ดวงประทีป)
อันซึ่งในเวลาต่อมาเป็นที่รู้จักในนามว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism)

ในปัจจุบันนี้, สโลแกนของการปฏิวัติสำหรับ กลุ่มอิลลูมิเนติ ในภาษาลาติน คือ
"NOVUS ORDO SECLORIUM," อันซึ่งหมายถึง "A NEW ORDER FOR THE AGES," การจัดระเบียบสำหรับยุคใหม่
ซึ่งมาจาก ความรู้ทางโหราศาสตร์

เหมือนว่าเราเคยเห็นคำๆ นี้มาก่อน, ก็เครื่องหมายบนหลังธนบัตรดอลลาร์กับ
ดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่ง (the ALL-SEEING-EYE,) ไง!
เป็นสัญลักษณ์ของเวทมนตร์ พบได้ในกลุ่มเมสัน (the Masons - เป็นกลุ่มที่มีแนวทางเดียวกัน)
http://freemasonrywatch.org/siteindex.html
อันซึ่ง กลุ่มอิลลูมิเนติ ได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากการลงนามประกาศอิสรภาพของอเมริกา
ในวันที่ 4 กรกฏาคม 1776 ชาวอเมริกันสร้างความเชื่อถือด้วยตัวเลขโรมัน MDCCLXXVI บนฐานปิรามิด



อันซึ่งบวกกันแล้วได้เท่ากับ 1776
MDC   =  1600
                  +
CLX    =    160
                  +
XVI     =     16
          = 1776
แต่ผู้อ่านไม่สามารถได้ความจริงเพิ่มเติมจากสาระเหล่านี้

สัญลักษณ์ลึกลับกับคำขวัญของมันต่างหาก "NOVUS ORDO SECLORUM" ที่เป็นอนุสรณ์
ในการก่อตั้งของกลุ่มอิลลูมิเนติ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1776 ไม่ใช่ 4 กรกฏาคม และมันไม่ใช่โดยความบังเอิญ
นั่นคือ อินทรี อันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนสำหรับ ลูซิเฟอร์ (Lucifer) ในสมัยโบราณ



และเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ฟินิกซ์ (Phoenix) และปัจจุบันได้นำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีอเมริกา


วันก่อนผมไปเช่าหนังเรื่อง Angels & Demons เทวากับซาตาน เกี่ยวกับเรื่อง illuminati
(หนัง ใหม่นะหาดูกัน ถ้าชอบแนวนี้) ดูตอนเริ่มเรื่องเค้ามีการทดลองเครื่องเร่งอนุภาคพลังงานอะไรซักอย่าง ได้ออกมาเป็นหลอดพลังงานสามหลอด มันทำให้ผมนึกถึง ปี่ที่แล้ว 10 กันยา

 องค์กร วิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือ CERN มีการเดินเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ Large Haldron Collider (LHC) เพื่อค้นหาคำตอบว่า จักรวาลเกิดขึ้นมาได้อย่างไร พอจะจำกันได้นะครับ
การทดลองเดินเครื่อง เร่งอนุภาคแอลเอชซี นับเป็นการทดลองครั้งใหญ่ที่สุด ใช้งบประมาณมากที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เพราะเป็นการทดลองเพื่อไขความลับของเอกภพ ใช้นัก ฟิสิกส์กว่า 2,000 คน จาก 30 กว่าประเทศ และใช้เงินกว่า 4,000 ล้านปอนด์ หรือ 260,000 ล้านบาท สร้างอุโมงค์ขนาดยักษ์ขดเป็นวงกลมยาว 18 ไมล์ ลึก 300 ฟุต ที่พรมแดนประเทศสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส แถบนครเจนีวา

จบลง แล้วไงต่อครับ การเดินเครื่องครังนั้นเค้าได้อะไร ถ้าท่านใดดูหนังแล้วน่าจะคิดสงสัยเหมือนผม

<a href="http://www.youtube.com/v/uEDAE_9v4h0?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/uEDAE_9v4h0?version</a>

http://www.youtube.com/watch?v=uEDAE_9v4h0


น่าอยู่นะเมืองใต้ดิน

ปล. เรื่องราวที่ได้เล่ามาทั้งหมด จริงแล้วมีเรื่องศาสนามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ผมไม่ขอเอามาพูดถึงในที่นี้ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว ไวต่อความรู้สึกคน จึงขอละไว้ ครับ

http://www.youtube.com/v/uEDAE_9v4h0

ขณะนี้ เรากำลังเข้าสู่ช่วงของ แผนการ NEW WORLD ORDER

1 ในแผนการสำคัญคือ การเข้าควบคุมการเงินการธนาคารโลก

การประชุม G20

จับตาดู กอร์ดอน บราวน์

การประชุม G20 ในระดับผู้นำ
http://www.moneychannel.co.th/Blog/Kobsak/tabid/164/EntryID/47/Default.aspx


• เมื่อคืนนี้มีการประชุม G20 ในระดับผู้นำ ซึ่งเป็นการประชุมที่น่าติดตามอย่างยิ่ง เพราะหลายๆคนมองว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการต่อสู้วิกฤตครั้งนี้ และทางคุณ Gordon Brown นายกรัฐมนตรีของอังกฤษก็บอกว่า จะช่วยวางกรอบโครงสร้างของระบบการเงินโลกใหม่และเป็น Global New Deal


ผลของการประชุมเป็นอย่างไร ประสบความสำเร็จหรือไม่

• โดยรวม ถือว่าเป็นการประชุมที่ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง หลังจากที่บางคนออกมาบอกว่าจะเดินออกจากการประชุมถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการ เช่นในกรณีของประธานาธิบดีของฝรั่งเศส หรือเมื่อเทียบกับการโต้ตอบไปมาระหว่างสหรัฐและยุโรปในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

• ลองมาฟังว่า แต่ละคนออกมาบอกว่าอะไรบ้าง

o ท่านแรก คุณ Gordon Brown นายกอังกฤษที่สื่อบอกว่ายิ้มกริ่มออกมาเลย - บอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการเงินใหม่ของโลก หรือที่เรียกว่า New World Order

o คุณ Obama บอกว่าเป็นการประชุมครั้งนี้เป็นจุดวกกลับ เป็น Turning Point ของวิกฤต และการก้าวไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

o คุณ Sarkosky เจ้าเก่าบอกว่า ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มากตามที่ต้องการเช่นนี้ ไม่ใช่ชัยชนะของกลุ่มไหนแต่แสดงถึงความเข้าใจของทุกคนถึงความจำเป็นที่โลกจะ ต้องเปลี่ยน จากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

o คุณ Merkel บอกว่าเป็นจุดที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ และเป็นการยอมตกลงกันในประเด็นที่จะทำให้เห็นภาพของระบบการเงินโลกใหม่ได้ ชัดเจนขึ้น

ผลมีอะไรบ้าง

• สาระสำคัญของการประชุมมีหลายเรื่อง ประกอบด้วยประเด็นสำคัญๆ ใน 6 ด้าน คือ

• ด้านแรก – การเพิ่มเงินทุนให้กับ IMF ถึง 3 เท่าของเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็น 750,000 ล้านดอลลาร์สรอ. และเพิ่มเงินทุนสำหรับเงิน SDR อีก 250,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. และอีก 100,000 ล้านให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาต่างๆ

• ด้านที่ 2 – การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการสร้างงาน ชี้ว่าทุกประเทศร่วมใจกันกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง ที่รวมกันแล้วคิดเป็นเงินถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. และพร้อมใจกันลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว

• ด้านที่ 3 – การปรับปรุงระบบการกำกับดูแลและกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งเป็นด้านที่ประสบความสำเร็จที่สุดของการประชุมครั้งนี้ ที่ทำให้โลกการเงินในอนาคตจะพลิกโฉมไปจากเดิม ประกอบด้วย ข้อตกลงเกี่ยวกับ

o การจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศที่ 3 คือ Financial Stability Board มารับผิดชอบดูแลเรื่องความเสี่ยงต่อระบบการเงินในภาพรวม เพิ่มเติมจาก IMF World Bank ที่มีอยู่แล้ว

o การตกลงกันว่าจะเข้าไปกำกับดูแล Hedge Funds และ Private Funds ตลอดจนเครื่องมือทางการเงินที่เสี่ยงต่อระบบ เป็นจุดจบของทุนนิยมแบบอิสรเสรีเหนืออื่นใด

o การตกลงร่วมกันเรื่องการเข้มงวดเกี่ยวกับ Bonus และ Incentives ต่างๆ

o การตกลงเรื่อง Tax Haven ที่จะมีการประกาศรายชื่อและมีแนวทางการลงโทษ ทำให้โลกของการเงินที่เน้นความลับของลูกค้าจบลงเช่นกัน เรื่องนี้ฝรั่งเศสต้องการมาก

o การตกลงที่จะกำกับดูแลสถาบันจัดอันดับ Rating อย่างใกล้ชิด

o การตกลงที่จะปรับกฎเกณฑ์การตั้งสำรองให้สำรองให้มากในยามเศรษฐกิจดี เพื่อใช้ในยามแย่อย่างในปัจจุบัน

• ด้านที่ 4 – การปฏิรูปโครงสร้างหลักของระบบการเงินโลก คือ IMF รวมถึงการเพิ่มสิทธิเสียงของของประเทศกำลังพัฒนาในองค์กรเหล่านี้

• ด้านที่ 5 – การต่อต้านการกีดกันทางการค้า

• ด้านที่ 6 – การให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนสำหรับทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยากจน ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อม

• ทั้งนี้ ทั้งหมดจะมาประชุมกันอีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน


เราพูดด้านดีไปแล้ว มีอะไรที่ไม่ได้ ไม่ประสบความสำเร็จบ้าง

• ถ้าเรื่องการปฏิรูประบบการเงินเป็นความคืบหน้าสำคัญ และการเพิ่มเงินให้ IMF จะมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะว่าปัญหาของวิกฤตในยุโรปตะวันออกกำลังรอที่จะ ปะทุอยู่ ต้องมีเงินให้พอเข้าไปอุ้ม ส่วนสิ่งที่หายไปก็คือ
o เรื่องแรก – แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมร่วมกัน ที่แต่ก่อนสหรัฐต้องการมากแต่หลายประเทศบอกว่าไม่อยู่ในฐานะเช่นนั้น จนตกไป ถือเป็นการพ่ายแพ้ของค่ายสหรัฐ ไม่มีเม็ดเงินใหม่

o เรื่องที่ 2 – แผนการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของแต่ละประเทศ ซึ่งยังไม่ได้ตกลงกันในรายละเอียดว่า จะเข้าไปช่วยอย่างไร
นัยต่อตลาดและประเทศไทย

• โดยรวมถือว่าสำเร็จ และตลาดพอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อรวมกับการออกมาประกาศลดหย่อนเรื่องเกณฑ์การ Mark to Market และการลดดอกเบี้ยของ ECB แล้ว ทำให้ตลาดปรับตัวดีขึ้นและตอบรับดีมาก

• สำหรับประเทศไทย สิ่งต่างเหล่านี้เราคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบ การเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถาบันการเงิน จะมีนัยอย่างยิ่งต่อระบบการเงินไทยเช่นกัน ทั้งเรื่องการตั้งสำรอง การตีราคา การให้แรงจูงใจ และการปรับเกณฑ์เรื่องเงินกองทุนที่จะขึ้นลงตามสภาพเศรษฐกิจ

• ทั้งหมดนี้ถือเป็นแผนพิมพ์เขียวของโลกการเงินใบใหม่ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็หวังว่าจะเป็นระบบการเงินที่มีเสถียรภาพมากกว่าเดิม และมีโอกาสในการเกิดวิกฤตที่น้อยลง ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดครับ


http://www.oknation.net/blog/indexthai/2009/04/07/entry-1

วันที่ อังคาร เมษายน 2552


G-20 Summit จบด้วยความหวังโลกห่างออกไปอีก

ลอนดอน / ต้นเดือนเมษายน 2009

จบไปแล้ว "THE LONDON SUMMIT 2009"

G-20+ Asean ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันกว่า 90 เปอร์เซนต์ของโลก ไม่พบนัยยะอะไรของการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมายของผู้เขียนไว้ก่อนหน้านี้มากนัก ไม่ต่างจากที่ประชุม เอเปก อาเซม WEF และอาเซียน  ยังคงคิดใช้เงินในการแก้ปัญหาเป็นหลัก กฎระเบียบใหม่ทางการเงิน เบาเหมือนปุยนุ่น ไม่ตรงเป้า

ผลการประชุม ..เข้าทาง World Fund (Hedge Fund) ที่รออยู่

เป็นการเตะสุกร(เงินก้อนใหม่) เข้าปากสุนัข (World Fund) ต่อเนื่อง

หลังทราบผลการประชุม ..ตลาดหุ้น และ ค่าเงินประเทศต่างๆทั่วโลกดีดตัวขึ้น ราคาทองคำตกลง ราคาน้ำมันทรงตัว

ราคาทองคำตกลง เนื่องจากจะให้ไอเอ็มเอฟเอาทองคำสำรองออกมาขาย เพื่อนำเงินไปใช้ช่วยเหลือประเทศยากจน

อย่าดีใจว่าตลาดหุ้นตอบรับทางบวกต่อผลการประชุม G-20 หากแต่เป็นการเริ่มต้นรอบใหม่ ที่ World Fund จะถลกหนังศรีษะเศรษฐกิจโลกมากกว่า

อ่านวิจัย วิจารณ์ของผู้เขียน ต่อท้ายบทสรุป


ที่ประชุมมีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย

1) สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ต้องการให้มีการทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

2) ฝรั่งเศสและเยอรมนี ต้องการให้มีการวางกฏระเบียบใหม่สำหรับภาคการเงิน

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประธานประเทศอาเซียน เลือกอยู่ข้างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ

ประธานาธิบดีฝรั่งเศส นิโกลาส์ ซาร์โกซี กล่าวเตือนก่อนร่วมการประชุมว่า ฝรั่งเศสและเยอรมนีไม่เห็นด้วยกับร่างแถลงการณ์การประชุม " ผม จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการประชุม ที่จะจบลงด้วยแถลงการณ์ซึ่งมีแต่คำมั่นสัญญาโกหกพกลม และไม่สามารถแก้ปัญหาที่พวกเราเป็นกังวลได้ จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีข้อตกลงใดๆ ที่ชัดเจน เกิดขึ้น” และขู่ว่าจะวอลค์เอ้าท์การประชุม   


นิโคลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส

นิ โคลาส์ ซาร์โกซี ย้ำถึงข้อเรียกร้องเดิม ที่สอดคล้องกับทางเยอรมนีว่า ต้องการให้ที่ประชุม จี20 วางระเบียบควบคุมการเงินโลกให้เข้มงวด และมีความโปร่งใสมากขึ้น กับ เฮดจ์ฟันด์ สถาบันจัดอันดับเครดิต สถาบันการเงินที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ควรถูกแบล็กลิสต์ ไม่ให้ร่วมทำธุรกิจด้วย เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติทางการเงินซ้ำอีก

สรุป สาระการประชุม..
-จะมีการอัดฉีดเงินให้ ไอเอ็มเอฟ และองค์กรการเงินระดับโลกอื่นๆ 1 ล้านล้านเหรียฐสหรัฐ หรือประมาณ 35 ล้านล้านบาท

ให้มีการเพิ่มทุนสำรองของไอเอ็มเอฟเป็น 7.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า

ให้มีการอัดฉีดเงินอีก 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐสำหรับกระตุ้นการค้าโลก

ให้ไอเอ็มเอฟนำทองคำสำรองมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ออกขายเพื่อนำเงินไปใช้ช่วยเหลือประเทศยากจน

ให้มีการปฏิรูป ธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ ให้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอำนาจของเศรษฐกิจโลก

วางระบบใหม่เรื่องค่าตอบแทนของผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆ

ผลักดันข้อตกลงเรื่องการค้าเสรี ให้ผ่านการรับรอง

จัดทำ "บัญชีดำ" การเลี่ยงภาษี

องค์การ พัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ได้เปิดเผยชื่อชาติที่ฝ่าฝืนกฏ 4 ชาติ ที่ติดบัญชีดำ แหล่งเลี่ยงภาษี หรือ Tax Haven หลังได้รับการร้องขอจาก G-20 ได้แก่  "ฟิลิปปินส์"  "อุรุกวัย" "คอสตาริก้า" และ "เกาะลาบวนของมาเลเซีย"

มาตรการควบคุมระบบการเงิน จะเน้นหนักที่การตรวจสอบ Hedge Fund ผ่านน่วยงานจัดตั้งตรวจสอบโดยเฉพาะ ยังหารือถึงการควบคุมแหล่งฟอกเงินและเลี่ยงภาษี นายอลิสแตร์ ดาร์ลิง รัฐมนตรีคลังอังกฤษเตือนว่า ประเทศที่เป็นแหล่งฟอกเงิน หากไม่ให้ความร่วมมือ จะเผชิญกับการคว่ำบาตรจากกลุ่มจี 20



โดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ


โด มินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า โลกจะไม่สามารถฟื้นตัวได้ก่อนที่ จะสะสางในสิ่งที่ภาคการธนาคารได้กระทำลงไป พร้อมเห็นด้วยกับการที่สหรัฐเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเห็นด้วยกับการเน้นระเบียบควบคุมที่รัดกุมขึ้นของยุโรป ทว่าทั้งสองฝ่ายยังคงสะสางปัญหาในระบบการเงินได้ไม่รวดเร็วพอ

อลิ สแตร์ ดาร์ลิง รัฐมนตรีคลังอังกฤษกล่าว “การประชุมในวันนี้มีความ คืบหน้ามาก เกี่ยวกับประเด็นองค์กรระหว่างประเทศที่เรามีอย่างไอเอ็มเอฟ ซึ่งเราหวังว่าจะได้รับเงินที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อที่จะสามารถรับมือได้อย่างเด็ดขาด และรวดเร็วกว่าในอดีต”

นิโกล่าส์ ซาร์โกซี่ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าวหลังการประชุมว่า ผลของการประชุมนั้นมากเกินกว่าที่ฝรั่งเศสเคยคาดหวังไว้

แองเกล่า แมร์เคิ่ล นายกรัฐมนตรีของเยอรมัน บอกว่างานนี้มีการรอมชอมครั้งประวัติศาสตร์

สหรัฐอเมริกายอมแก้กฎหมาย Buy American ให้ใช้สินค้าต่างประเทศได้

กอร์ ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวสรุปว่า ตอนนี้ระเบียบโลกใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว และด้วยระเบียบใหม่นี้ เราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของความร่วมมือระหว่างประเทศ ปัญหาต่างๆที่ผู้คนเคยบอกว่าเป็นตัวทำให้บรรดาผู้นำแตกแยกกัน ก็ไม่ได้ทำให้ใครแตกแยกกันแต่อย่างใด แต่กลับมีความเห็นพ้องต้องกันที่มากเพียงพอสำหรับการทำในสิ่งที่จำเป็นต้อง ทำ ในการทำให้เศรษฐกิจกลับมาโตได้ ทุกประเทศต่างก็ได้รับประโยชน์

เขา เตือนว่าเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว และกล่าวว่าภายในปีนี้ ผู้นำกลุ่ม จี 20 จะกลับมาประชุมกันอีกครั้งที่นิวยอร์ก


G20 London: Brown outlines summit results (highlights)
<a href="http://www.youtube.com/v/UYZgud829Lk?version" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/UYZgud829Lk?version</a>

http://www.youtube.com/v/UYZgud829Lk
............................

"ต้องมีการปฏิรูป ธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ ให้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงใน 'โครงสร้างอำนาจ' ของเศรษฐกิจโลก"


ลองดูตัวอย่าง..

ตลาดหุ้นประเทศไทยถูกโจมตีในปี 1994 (2537) จากนั้นสภาพคล่อง ค่าเงินบาท และภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งประเทศ

ตลาดแนสแดกซ์ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกโจมตีในปี 2000 จากนั้นสภาพคล่อง ค่าเงินดอลล่าร์ และภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งประเทศ

ตลาด หุ้นโลกถูกโจมตีในปี 2008 สภาพคล่องโลก ค่าเงินโลก และภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งโลก ..มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังเห็นถึงความเสียหายไม่ชัดแจ้ง


แสดง ว่าที่ประชุม G-20 ไม่ทราบถึง 'โครงสร้างอำนาจ' ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้เปลี่ยนมือไปแล้ว ทุกวันนี้ ตลาดหุ้น และตลาดเงินตรา อยู่ในความควบคุมของ World Fund ไม่มีทางการประเทศใดจะควบคุมมันได้ ประเทศจีนยังเข้าใจว่าดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกามีอิทธิพลเหนือโลก และคิดจะใช้เงินในรูปแบบ SDR ที่จริงดอลล่าร์ไม่ได้เก่งกาจอะไร ก็ถูกทุบถล่มทลายมาแล้วในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา     

อาจกล่าวได้ว่า World Fund ได้ควบคุมเศรษฐกิจโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จในปี 2000 หรือหลังการถล่มตลาดหุ้นแนสแดกซ์ของอเมริกาแล้ว ทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศยากจนไปแล้ว

จากนั้นก็หันมาโจมตีโลก และชนะโลกแล้วในปี 2008

ทุกวันนี้โลกทั้งโลก อยู่ในมือกำมือของ World Fund อย่างแท้จริง

World Fund เขาไม่เคยประชุมแม้แต่ครั้งเดียว แต่เขาครองโลกได้อย่างง่ายๆ


สรุป 2 ประเด็นหลัก

ข้อ เสนอฝรั่งเศสและเยอรมนี ต้องการให้มีการวางกฏระเบียบใหม่สำหรับภาคการเงิน นายนิโคลาส์ ซาร์โกซีประธานาธิบดีฝรั่งเศส เรียกร้อง ให้วางระเบียบควบคุมการเงินโลกให้เข้มงวด และมีความโปร่งใสมากขึ้น กับ เฮดจ์ฟันด์ และสถาบันจัดอันดับเครดิต เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เรื่องนี้มีการหยิยยกมานำเสนอทุกการประชุมระดับโลกที่ผ่านมา หาก ทราบถึงต้นเหตุเหลักของปัญหาจริง ก็จะทำให้เกิดการแก้วิกฤติเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง แต่เท่าที่สรุปออกมา บอกให้ทราบว่า ยังไม่ได้เข้าถึงต้นเหตุของปัญหาแต่อย่างใด  กฎระเบียบใหม่ทางการเงิน จึงเบาเหมือนปุยนุ่น ไม่ตรงเป้า ยังไม่ใช่กฏระเบียบใหม่ ( New World Order) ที่แท้จริง

โวหาร ท่วม London G-20 Summit

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย " อย่าตั้งเป้าผลถก G20 สูงเกินไป "

นาย โฆเซ่ มานูเอล บาร์รอสโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป " ที่ประชุมนี้ไม่สามารถยุติวิกฤติได้ในชั่วข้ามคืน แต่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ "

กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวเตือนว่า " เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว "

ฟัง ดูแล้ว เหมือนไม่เชื่อมั่นในเรื่องที่ตัดสินใจกันไปแล้วมากกว่า พูดไปทำไมมี ..จะสูง จะต่ำ จะเร็วจะช้า ก็ขอให้แก้ปัญหาให้ได้ก็แล้วกัน


เพราะมีสนาม(ตลาดทุน)ให้ World Fund เล่น มันจึงเกิดปัญหา

หากไม่มีสนาม World Fund เล่น มันก็จะไม่เกิดปัญหา


สหรัฐ อเมริกา และอังกฤษ ไทย "ต้องการให้มีการทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ" เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนในการแก้ปัญหาวิกฤิเศรษฐกิจโลกแต่อย่างใด คงมีการเข้าใจคลาดเคลื่อน มันเป็นการจัดการปัญหาปลายเหตุแต่อย่างเดียว

สหรัฐ อเมริกา โดยโอบามา คิดมามากแล้ว เช่น CDO ยังเอาอเมริกาไม่รอด ไม่รู้จะไปทางไหนอีก ก็คิดใช้เงินแต่อย่างเดียว บางทฤษฎีไม่รอดูผล ก็แจกโนเบิลไพร๊ซแล้ว แจกโนเบิลไพร๊ซง่ายมาก เมื่อมันไปไม่รอด น่าจะเรียกโนเบิลไพร๊ซคืน การคิดแบบผิดทิศทาง คิดให้ศรีษะแตก ก็แก้ปัญหาไม่ได้

โลกต้อง Back to Basic จึงสงบ และฟื้นตัวอย่างถูกทิศทางได้

กอง ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินของไทย  CDO ของอเมริกา คือตัวอย่างการอัดฉีดสภาพคล่อง ที่ล้มเหลว ที่ทำเกิดความเสียหายแก่ระบบมาแล้ว

เป็นตัวอย่างให้เห็น.. ยังไม่เรียนรู้กันอีก

ประเทศ ไทยผ่าน IMF มาแล้ว 2 รอบ ก็ด้วย อวิชชา และความมักง่าย ของผู้บริหารระดับสูงด้านเศรษฐกิจ ทำประเทศไทยเสียหาย สิ่งผิดปกติที่ทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงไม่แก้ไข แต่มีการวางแผนที่จะกู้เงิน สร้างหนี้ ทั้งในและนอกประเทศทุกรูปแบบ ไม่ว่า RMF LTF และ Asia Bonds

Asia bonds เป็นการริเริ่มของประเทศไทยเอง(ทักษิณ) ไม่ใช่เรื่องของการได้หน้า ได้ตำแหน่งหน้าที่การงานเพิ่มขึ้น แต่เป็นเรื่องของอวิชชา ที่คิดไว้รองรับการทำลายล้างในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แทนที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุ แต่กลับคิดที่จะแก้ไขปัญหาปลายเหตุในอนาคตอีก

ความเลวร้ายที่ไม่ตระหนัก จะทำให้ประเทศไทยเป็นแบบประเทศซิมบับเว ประเทศตุรกี หรืออีกหลายประเทศก็ได้


.........

อ้างอิง
http://www.oknation.net/blog/inter/2009/04/03/entry-1

http://www.oknation.net/blog/inter/2009/04/03/entry-4

http://www.posttoday.com/international.php?id=40565


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

"อภิสิทธิ์"นำคณะไทยร่วมประชุม G20 Pittsburgh Summit พรุ่งนี้(26ก.ย.)ประชุมกฏเกณฑ์ทางการเงิน และปฏิรูปองค์การการเงินระหว่างประเทศ

นายกฯนำคณะถึงเมือง Pittsburgh เตรียมประชุม G20 Pittsburgh Summit แล้ว

เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล www.thaigov.go.th  ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะ ประกอบด้วย นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน นายเกียรติ สิทธิอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย เดินทางถึงเมือง Pittsburgh รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐฯ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G 20 Pittsburgh Summit ในนามประธานอาเซียน ตามคำเชิญของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ

ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และภริยาจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงรับรองและอาหารค่ำแก่ผู้แทนจากนานาประเทศ โดยจะมีการหารือร่วมกันระหว่างรับประทานอาหารค่ำด้วย ( Working Dinner) ก่อนที่จะเริ่มเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ การประชุม Pittsburgh Summit จะเป็นการติดตามความก้าวหน้าจากการประชุม 2 ครั้ง ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญในเรื่องการเพิ่มความโปร่งใส สร้างความรัดกุมด้านกฎเกณฑ์ทางการเงิน ปฏิรูปองค์การการเงินระหว่างประเทศ ไทยจะสามารถนำเสนอบทบาทและความคิดในเวทีโลกในฐานะประธานอาเซียนในโอกาสนี้ อย่างไรก็ตามสมาชิก G 20 ประกอบด้วย อาเจนติน่า ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอารเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป

Muslimthai Focus :ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน

http://www.muslimthai.com


ตลาด หุ้นสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน หลังข้อมูลล่าสุดทางอุตฯ ของประเทศในเดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 0.8% ขณะที่น้ำมันกดิบเพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์สหรัฐ  ...

สำนักข่าวต่าง ประเทศรายงานวันนี้ (17ก.ย.) ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐปิดการซื้อขาย ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกอย่างคึกคัก แรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม หลังข้อมูลล่าสุดชี้ กิจกรรมทางอุตสาหกรรมของประเทศในเดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 0.8% มากกว่าที่คาดไว้ สอดคล้องกับความเห็นของนายเบน เบอร์นานกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุก่อนหน้านี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของสหรัฐได้ยุติลงแล้ว

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาด ไน เม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ระดับ 72.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์บวกเพิ่ม 108.30 จุด ปิดที่ระดับ 9,791.71 จุด สูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคมปีที่แล้ว แนสแดคปิดที่ระดับ 2,133.15 จุด เพิ่มขึ้น 30.51 จุด และเอสแอนด์พีปิดที่ระดับ 1,068.76 จุด บวกเพิ่ม 16.13 จุด.

-----------------------------------------------------------------------

ประเด็นที่น่าสนใจตอนนี้ (จริงเท็จใช้วิจารณญาน หาข้อมูล)

1.ธนาคารของอเมริกาเดี้ยงไปอีก 3 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา FDIC โดนไปอีก 3 Billion ถ้าจะดูว่าใครล้มบ้าง เข้าลิ๊งค์นี้เลยครับ www.fdic.gov/bank/individual/failed/banklist.html เค้าประกาศทุกวันศุกร์ของเค้าครับ

2.สงคราม การค้าจีนอเมริกา เริ่มเล่นกันแรงขึ้นเรื่อยๆ ดูกันไปครับจีน จะโดนภัยพิบัติต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ที่ผมรู้ เพราะเค้ามีเทคโนโลยีตัวนึงชื่อ "H.A.A.R.P" ครับ ลอง YT: HAARP ดูว่าเค้าเอาไว้ทำอะไร แล้วจะหนาวววววววครับ ผมศึกษาเรื่องนี้ไว้เยอะครับมีวีดีโอเพียบ ฆ่าคนได้ทีเป็นแสน โดยไม่มีหลักฐาน แล้วจะโพสต์ให้ครับ

3.นายก ใหม่ญี่ปุ่นกำลังเร่ง ตั้งรัฐบาล หลังจากนั้นดูว่าจะเอาไงกับให้พวก illuminati ครับ เท่าที่รู้ไม่เอาไว้แน่ เพราะปล่อยให้รัฐบาลเก่าบริหารโดยการแทรกซึมของอิลูมินาติ มานาน 50 ปี ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงครับ "จับตาครับ" ถ้าเค้าเคลื่อนไหวแบบ Big Move ตามนี้และรุนแรง อเมริกา จะล่มสลายเร็วกว่ากำหนดครับ ทองกระฉูดครับ กอดไว้ก่อนนะแล้วเชคข่าว

4. วันเสาร์ 19 เป็นการสิ้นสุดของเดือนรอมะดอน ของอิสลาม คอยดูกำลังซึ้อทองของอินเดียครับว่าจะไปทางไหน อินเดียแข่งสะสมทองกันจีนอยู่ครับกินกันไม่ลง ถ้ามาเสริมตลาด วันจันทร์ทอง "พุ่ง" อีกแล้วครับ

5.อาทิตย์ 20 โอบาม่าชักธงชาติจีนขึ้นที่ทำเนียบขาว ดูครับว่าผลจะออกเป็นยังไง วันที่ 21 เป็นวัน Human Sacrifice หรือวันบูชายันต์ด้วยมนุษย์ของอิลูมินาติครับ ช่วงนั้นวอชิงตันอาจลุกเป็นไฟครับ เพราะวันพฤหัส-ศุกร์เค้ารอประท้วงกันอยู่แล้ว ใน G20 ที่ Pittsburgh, Pensylvania ส่วนโอบาม่าก็เตรียมกองกำลังป้องกันชาติ National Guard และตำรวจรัฐ พร้อมไว้หมดแล้วครับ ดูภาพนี้ครับเมื่อวันเสาร์ 12 ที่ผ่านมาคนจากทั่วประเทศกว่า 1 ล้านคนมาประท้วงรัฐบาลโอบาม่าครับที่วอชิงตัน และที่อยู่ตรงกลางทั้งหมดคือประชาชนนะครับ ไม่ธรรมดาแล้วครับครั้งนี้


6. ปลาย สัปดาห์ 24-25 ประชุม G20 "ระวังครับ" ในระหว่างการประชุมครั้งที่ผ่านๆ มา ถ้าทองขึ้นจะขี้นไม่มาก แต่ถ้าลง "แรงมาก" ครับ เพราะฉะนั้นหาข้อมูลให้เพียงพอครับ แล้วตัดสินใจว่าเอายังไง ตอนนี้่ผมเร่งดูอยู่ ขอดูข้อมูลอีกนิด เพราะมันมีข้อมูลขัดแย้งคือเรื่องที่ UN จะเสนอเปลี่ยนดอลล่าออก ตรงนี้เป็นบวกกับทองครับ แต่ถ้าไม่ชัวร์ผม "อาจจะ" เทออกหมดซัก 2-3 วันก่อน G20 ครับ เอาสบายใจไม่ต้องกังวลดีกว่านะ

7.ข่าววงในครับ พวก insider หรือพวกนกรู้ ในตลาดวอลสตรีท "เทขายหุ้นอย่างไม่คิดชีวิต" แล้วครับ อีกไม่นาน "แมงเม่า" คงตายทับถมเต็มตลาดหุ้นสหรัฐ กลับไปดูผมเคยโพสต์เรื่องนี้ครับ มันมาถึงแล้ว หุ้นฝั่งนี้ "หูตาไวนะครับ" อย่าให้มีปีกออกล่ะ บอกขนาดนี้แล้วนะ
http://thecomingdepression.blogspot.com/2009/09/insiders-sell-like-theres-no-tomorrow.html

8.USDX หรือ ดอลล่าอินเด็กซ์ เจอแนวต้านใหม่ที่ 77 ฝ่ายังไงก็ไม่ผ่าน เพราะโดนล้อมกรอบ เวลาของเงินดอลล่าเหลือน้อยลงทุกทีครับ

_________________

ยังคงค้างไว้เรื่อง ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน เพราะเรื่องยาวใช้ได้

ไว้จะมาต่อเรื่องสมาคมลับกับ UFO มนุษย์ต่างดาว และ แผนการเตรียมพร้อมวันสิ้นโลกหรือวันเปลี่ยนแปลงโลก 21-12-2012

*จริงหรือ ที่ มนุษย์ต่างดาว ช่วยเราจากหายนะ 21-12-2012


NEW WORLD ORDER!!!!!!

ทุกสิ่งทุกอย่างของเทคโนโลยีบนโลก ได้มาจาก??

มนุษย์ถูกชักใยโดย??

เราอยู่ในเกมส์ของเขา??

และเขาจะเป็นผู้สร้างและทำลาย?? (RESET)

เขาคนนี้คือใคร หรือ เขาเป็นคนเดียวกัน??

มนุษย์ต่างดาว | COMPUTER | LUCIFER | SATAN

ใครสร้างพีรามิด?

ดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่ง (the ALL-SEEING-EYE) คือดวงตาของใคร?


หรือว่าเราเป็นของเล่นของมนุษย์ต่างดาว?

อีกไม่นานความจริงจะเปิดเผย!!


เจ้างูร้ายกับผลไม้ต้องห้าม

" สัตว์ ร้ายที่จะเข้าครอบงำโลกในช่วงปี 2000 สัตว์ร้ายที่มีเลขประจำกายเป็น 666" อำนาจมหัศจรรย์ประการใดครับที่ทำให้ข้อความในไบเบิลเป็นจริงขึ้นมาในยุค ปัจจุบัน?

เริ่มจากสัตว์ร้ายหมายเลข 666 "มันจะกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่ชื่นชมในความสำเร็จของมัน ชั่วไม่นาน เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะมีบริวารไปทั้งโลก ประชาชนต้องตกอยู่ในอำนาจของมัน ผู้ที่แข็งข้อมิยอมอยู่ในอาณัติจะอยู่ในสังคมอย่างลำบาก ทำไม่ได้แม้แต่จะซื้อ-ขายของเพื่อประทังชีวิต"
ตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา มีคนตีความหมายของเลข 666 นี้กันอย่างหัวร้างข้างแตก แต่ก็สรุปไม่ได้ว่ามันคืออะไร จนเมื่อไม่นานนี้แหละครับ ที่ผู้เชี่ยวชาญบางคน เอาปัจจัยหลายอย่างมาประกอบกันเข้า จึงถึงบางอ้อว่า แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ร้าย-งูร้าย-ซาตาน แล้วแต่ท่านจะเรียกขานนั้น ตัวตนจริงๆของมันคืออะไร

"...และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนรวยคนจน ทั้งนายและบ่าวให้ได้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวา หรือที่หน้าผากของเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ร้ายนั้น หรือเลขชื่อของมันเรื่องนี้จงใช้สติปัญญาตรึกตรองให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจ ก็จะสามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของมันได้ เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือ 666"

ผลไม้ต้องห้าม = APPLE?
สัตว์ร้ายหมายเลข 666 = COMPUTER?
ใครมีอำนาจ RESET โลก = มนุษย์ต่างดาว? SATAN?


อ้างถึง
กำเนิด แอปเปิ้ล

ใน ปี 1976 หลังจาก Stephen Wozniak และ Steve Jobs ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer) และได้นำเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขายโดยใช้ชื่อว่า Apple I ในราคา 695 เหรียญ บริษัทแอปเปิลได้ผลิตเครื่อง Apple I ออกมาไม่มากนัก ภายในปีเดียวได้ผลิต Apple II ออกมา
และรุ่นนี้เป็นรุ่นเปิดศักราชแห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด


"You take the blue pill, the story ends,
you wake up in your bed, and believe whatever you want
to believe. You take the red pill, you stay in
Wonderland, and I show you just how deep the rabbit hole goes."

Morphius

Logged
มาคืน "สยามเมืองเคยยิ้ม" กลับสู่ "สยามเมืองยิ้มยุคก้าวหน้า" ด้วย ยิ้มสยาม กันนะครับ ... Welcome To Smile Siam by Siamese Smile

Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.248 seconds with 21 queries.