Smile Siam
|
|
« on: 22 December 2012, 07:17:55 » |
|
ทางนฤพาน โดย ท่านดังตฤณ ( บทที่ ๑ ถึง ๑๐ )
บทที่ ๑ รักแรกพบ
มันเกิดขึ้นอีกแล้ว...
เกาทัณฑ์เห็นตนเองขับรถคู่ใจไปบนถนนยาวเหยียด ไม่รู้ทางกลับบ้าน ไม่ทราบจุดหมายปลายทาง เขารู้สึกเดียวดายเหมือนถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ในอีกมิติหนึ่งเพียงลำพัง เบื้องหน้าเป็นท้องฟ้าที่ดูคับแคบ หม่นมืดน่าอึดอัด ชวนให้จิตใจหดหู่วังเวงอย่างยากจะบรรยาย
นี่ต้องไม่ใช่โลกใบเก่าแน่ๆ
สะกิดใจด้วยความเคยคุ้นที่ฝึกถามตนเองบ่อยๆขณะตื่น ว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ชายหนุ่มรีบยกฝ่ามือข้างขวาขึ้นดู เพ่งพินิจลายมืออย่างตั้งใจ ทีแรกปรากฏเป็นเส้นสายยุ่งเหยิงดูไม่คุ้นตา จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอึดใจหนึ่ง เส้นลายมือก็เริ่มโย้เย้ ขาดความชัดเจน จึงรู้ตัวในบัดนั้นว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน และเป็นฝันอันไม่พึงปรารถนาเสียด้วย
พอรู้ตัว เกิดสติทราบชัดว่ากำลังหลับ กำลังอยู่ในโลกที่ถูกจิตสร้างขึ้น เกาทัณฑ์ก็ตระหนักว่าตนสามารถบงการทุกสิ่งให้เป็นไปดังใจ เขากำหนดให้สภาพของรถเปลี่ยนเป็นอื่น ด้วยเคล็ดคือปิดตาลงนึกถึงสภาพภายในห้องโดยสารเครื่องบินเล็ก แล้วลืมตาขึ้น
เป็นไปตามต้องการ พวงมาลัยรถเปลี่ยนเป็นคันบังคับเครื่องบินเล็ก
นักบินในโลกความฝันดึงคันบังคับขึ้นเพื่อให้เครื่องเชิดหัวทะยานสู่ท้องฟ้า หลบหนีจากทางร้างวังเวงน่าทรมานไปเสีย เขาพยายามสังเกตรายละเอียดของเครื่องบิน เช่นเหลียวไปนอกหน้าต่าง ดูปีกขวาที่ยื่นยาวออกไป โดยกำหนดมองไม่นานนัก เพราะทราบว่าถ้ามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ภาพจะเปลี่ยนเป็นอื่นตามธรรมชาติของผู้เริ่มฝึกสติขณะฝัน
ปรับระดับการบินคงที่ ชะโงกหน้าก้มลงมองต่ำผ่านกระจกหน้าต่าง บัดนี้เขาลอยตัวขึ้นมาอยู่สูงเหนือพื้นดินลิบลับ เบื้องล่างคือความเวิ้งว้างของผืนดินสีน้ำตาล บอกตนเองว่านี่มันแดนสนธยาชัดๆ นึกดีใจที่หนีมาเสียได้
ขยับตัวมองตรง ความกดอากาศข้นหนักจนอึดอัด ทำไมความอึดอัดยังตามขึ้นมาอีก ลอยตัวสูงขนาดนี้ อากาศน่าจะสดชื่นได้แล้ว เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วเคร่ง จิตประหวัดถึงความจริงที่ตนบังคับเครื่องบินเล็กไม่เป็น เคยแต่นั่งโดยสาร จะหาจุดหมายปลายทางมาแต่ไหน
จะเดินทางกลับบ้านได้อย่างไร ถ้าในหัวเต็มไปด้วยความไม่รู้
หลงอีกแล้ว คราวนี้ยิ่งเคว้งคว้างเข้าไปใหญ่ เพราะทุกทิศทุกทางคืออากาศว่างเปล่า บังเกิดความกลัวขึ้นมาขณะหนึ่ง หากความฝันคือการหลงติดอยู่กับความคับแคบ เขาก็อยากออกจากฝันเสียโดยพลัน
มีอาการควานหาทาง ซึ่งครั้งนี้มิใช่ทิศทางพุ่งไปของเครื่องบิน ทว่าฉลาดขึ้นมาหน่อย คือหาทางออกจากฝัน...
ขณะค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น เกาทัณฑ์หายใจถี่เหมือนคนออกแรงไปมาก เขาต้องปรับสติเป็นครู่ กว่าจะแน่ใจว่าหลุดออกมาจากกรงแห่งความฝันแล้ว
รอจนอาการทางกายสงบเป็นปกติ ชายหนุ่มจึงลืมตามองเพดานห้อง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แทบจะคืนเว้นคืนในช่วงหลังที่เขาต้องทรมานกับฝันประหลาด ฝันว่าหลงทาง ขี่จักรยานเสือหมอบไปตามทุ่งร้างบ้าง เดินเท้าเปล่าไปตามถนนในเมืองที่ปราศจากผู้คนบ้าง มาคืนนี้ขับรถไปในแดนสนธยา ยิ่งร้ายกว่าทุกคืนตรงที่แม้เกิดสติ พยายามหนีขึ้นฟ้าแล้วก็ยังหลงอยู่นั่น
แต่ละปีมีคนเป็นโรคประสาทเพราะฝันร้ายกันมาก ทางจิตวิทยายืนยันว่าถ้าคนเราฝันผิดปกติรบกวนจิตใจซ้ำๆ ต้องเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง จะปมในอดีตหรือเรื่องคาใจในปัจจุบันก็ตาม
คงน่ากังวลน้อยกว่านี้ หากเขาจะรู้ตัวว่ามีปมปัญหาอยู่จริง แต่นี่จะให้สืบเค้าจากไหน ในเมื่อเขาเกิดมาท่ามกลางความพรั่งพร้อม กับทั้งกำลังอยู่ท่ามกลางความมั่งคั่งและมั่นคง อัตราส่วนของรายรับกับรายจ่ายผิดกันแทบเป็นสิบต่อหนึ่ง รถมีให้ขับ ห้องหับมีให้อยู่เป็นของตนเอง ทุกอย่างได้มาจากน้ำพักน้ำแรงในทางอันชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรมทั้งสิ้น ที่จะต้องหวาดระแวงสักน้อยว่าตำรวจมาจับหรือศัตรูมาล้างนั้น ไม่มีเลย
แรงผลักดันในชีวิตโดยรวมคือความเป็นหมายเลขหนึ่ง นับแต่วัยเรียนที่ผลสอบเป็นเกรดเอรวด หรือคะแนนเต็มคนเดียวในวิชายาก มาจนถึงวัยทำงานที่ความรู้ความสามารถโดดเด่น การงานลุล่วงและดีเลิศ รวยโดยไม่ต้องโกง มีความสุขโดยไม่ต้องเบียดเบียนคนอื่น แถมรู้จักวิถีทางชีวิตของตนเอง วางแผนไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะเอาอะไรเมื่ออายุเท่าไหร่
แต่ทำไมส่วนลึกยังรู้สึกว่าหลงทาง โดยเฉพาะเมื่อมาถึงขีดความมั่นคงในชีวิตอย่างที่สุดแล้วนี้?
เกิดความกลุ้มจนเมื่อหลายวันก่อนต้องยอมเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศ เพื่อปรึกษากับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นจิตแพทย์ แต่ฝ่ายนั้นคงไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าฟรีๆเพื่อล้วงตับไตไส้พุงของเขาเอาไปวิเคราะห์เท่าไหร่ ฟังแล้วจึงให้คำแนะนำมาง่ายๆ คือลองฝึก ‘รู้ตัว’ ขึ้นมาในฝัน ด้วยเคล็ดคือถามตนเองบ่อยๆระหว่างวัน ว่ากำลังฝันหรือตื่น พอถามตัวเองทีก็ยกมือดูลายมือเสียที ว่าชัดหรือจาง หากชัดก็บอกได้ว่ากำลังตื่น หากจาง และเส้นสายเปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่าเป็นฝัน ให้กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไรในจังหวะที่รู้ตัวแล้วนั้น
ฝรั่งมังค่าวิจัยและบันทึกผลเกี่ยวกับความรู้ตัวชัดในฝัน หรือที่เรียกเป็นศัพท์เฉพาะว่า Lucid Dreaming มาเนิ่นนาน เป็นที่รู้จักและปฏิบัติได้ผลกันอย่างกว้างขวางพอควร มีเรื่องบันทึกเล่าขานมากมาย พอสรุปได้ว่าจะเอาอะไร แก้ปมเครียดชนิดใด หรืออยากสนุกสุดเดชแค่ไหน ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ขอเพียงสั่งสมทักษะในการควบคุมฝันไว้อยู่มือ
เขาทำตามคำแนะนำอย่างดิบดี โดยมากกำหนดไว้คือเมื่อไหร่รู้ตัวว่าฝันหลง จะหลบทางร้างเสียด้วยการเหาะหนี ซึ่งก็สำเร็จอยู่หรอก ปลูกเชื้อจิตสำนึกขณะตื่นไว้จนสามารถติดตามมาเชื่อมติดกับจิตขณะฝันได้ อีกทั้งกำหนดให้ตนพ้นจากพื้นแล้ว แต่พอล่องฟ้าก็ยังหลงอยู่ดี แบบที่เขาเรียกหนีเสือปะจรเข้อย่างไรอย่างนั้น
ส่ายหน้าดิก ถ้าฝันแค่หนสองหนก็ช่างเถิด แต่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ตื่นขึ้นมาแล้วถามตัวเองว่าลืมอะไร หลงอย่างไรเข้าบ้าง ระยะยาวคงบั่นทอนสุขภาพจิตจนหมดความสุขในชีวิตเอาทีเดียว
เอ...หรือว่าน่าจะไปเปิดหัวให้ไกลๆ เดินทางแบบสุดเหนือสุดใต้ประชดฝันเสียเลย
ทีแรกแค่คิดแบบวูบวาบเรื่อยเปื่อย แต่พอเวลาผ่านไปนิดหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกจริงจังตึงตังขึ้นมา โปรเจ็กต์ขนาดกลางซึ่งเขารับผิดชอบเพิ่งเรียบร้อยไปเมื่อวาน น่าจะให้นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ได้หยุดเฉยสักสองสามวัน ท่องเที่ยวไปตามต่างจังหวัดให้สบายใจ
แวบหนึ่งคิดอยากชวนเพื่อนตามประสาคนชอบเฮฮากับหมู่ แต่ใครจะไปตกค้างอ้างแรมกับเขาได้ ในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันทำงาน
ลังเลอยู่เพียงครึ่งนาทีก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าฉายเดี่ยวดูสักครั้ง นี่จะเป็นหนแรกอย่างแท้จริง ที่คิดแล่นไกลตามลำพัง ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของสาวสวยและเสียงเอะอะโวยวายของเพื่อนขี้เมารอบรายพะรุงพะรัง
นึกวาดภาพการท่องเที่ยวอันโดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว ก็รู้สึกขึ้นมาขณะจิตหนึ่งว่า เออ...สบายดี ได้ลองพูดน้อยๆ เห็นผู้คนน้อยๆ จะไปไหนทีไม่ต้องพะวงถามไถ่ความเห็นชอบจากใคร ช่างเป็นประสบการณ์สดใหม่อย่างประหลาด ราวกับกำลังจะออกผจญภัยครั้งแรกในโลกกว้างที่ไม่เคยรู้จักฉะนั้น
ส่วนลึกแล้วเห็นว่านี่น่าจะแก้เคล็ดฝันหลงได้ เขาแน่ใจว่าตนเองไปไกลทั่วไทยโดยไม่หลง ทั้งสติปัญญา ทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์พร้อมพรักออกอย่างนี้ หากบ้องตื้นขนาดขับรถไปหลงที่ไหนก็ไม่ต้องกลับเข้าเมืองอีกแล้ว สมัครทำไร่ไถนาชดใช้ความบื้ออยู่แถวๆที่หลงนั่นแหละ
สะสางธุระยามเช้าในห้องน้ำ ออกมาโทรศัพท์หาเจ้านาย เขามีความสำคัญกับบริษัทและสนิทกับเจ้านายมากพอจะโทร.ขอลาหยุดงานได้ปุบปับ ฝ่ายนั้นรับฟังและอวยพรให้เที่ยวสนุกอย่างง่ายดาย เขาทำงานตลอดเจ็ดวันอยู่หลายช่วง อีกทั้งเพิ่งจะปิดโปรเจ็กต์ไปเมื่อวาน สองสามวันสำหรับเปิดหัวจึงนับเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว
ใส่เสื้อฮาวายหลวมสบายและกางเกงยีนส์ตัวโปรด ยัดเสื้อผ้าหลายชุดใส่กระเป๋าสะพาย ก็พร้อมเดินทางทันที นับเป็นความรู้สึกอิสระไร้กังวลอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่จุดหมายปลายทาง แผนการท่องเที่ยวก็ยังไม่ปรากฏขึ้นในหัวเลย ขอให้เดินทางพ้นไปจากกรุงเทพฯก่อนเถอะ
เคลื่อนรถออกจากที่จอด แม้กระทั่งเกือบถึงประตูทางออกจากเขตคอนโดมิเนี่ยม ก็ยังไม่ตกลงปลงใจอยู่ดี ว่าจะไปไหน เหนือ ใต้ ออก หรือตก จนเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่นั่นแหละ ถึงปลงใจว่าให้ถนนพาไปก็แล้วกัน
ขับเรื่อยเฉื่อย ไม่ทำความเร็วอย่างเคย กระทั่งพบว่าตนเองอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต และอีกสิบนาทีต่อมา ก็แฉลบมาวิ่งบนเส้นทางที่จะไปเมืองกาญจ์
เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องหาอาหารเช้าใส่ท้องเสียหน่อย จึงจอดทานที่ร้านนั้น ทานอิ่มก็ขึ้นรถสตาร์ทเครื่องเดินทางต่อ เกาทัณฑ์ยิ้มอยู่กับตนเอง เหมือนเมื่อครู่ได้ทำสิ่งพิเศษ ตอนนี้เขาเป็นอิสระจริงๆ ทั้งจากการงาน จากสังคม และแม้กระทั่งจากความต้องการของตนเอง ไร้แผนการในหัว ได้แต่ทอดตาไปเบื้องหน้าเพื่อมุ่งเดินทางอย่างเสรี หิวก็หาทาน ง่วงก็หานอน เดินทางต่อแล้วต่ออีก ไม่มีใครให้ห่วง ไม่มีภาระให้พะวงถึง
ยิ้มออกมาเฉยๆ ต้องอย่างนี้กระมัง ที่สร้างความรู้สึกใหม่ได้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ความสดชื่นรื่นเริงกับเสรีภาพไร้ขอบเขตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว ก็ต้องมลายวับ เมื่อช่วงหนึ่งถึงถนนเหยียดยาว แลเห็นท้องฟ้าว่างเปล่าเบื้องหน้า สะกิดให้นึกถึงภาพฝัน และเกิดคำถามในหัวว่า ‘นี่เรากำลังจะไปไหน?’
อารมณ์สดชื่นแผ่วซึมลงถนัด เกาทัณฑ์หรี่ตากับตนเอง เบี่ยงรถเข้าจอดที่ไหล่ทาง และเหมือนพยายามให้คำตอบกับตนเองเป็นเหตุเป็นผล ว่าที่ขับรถออกมาอย่างไร้จุดหมายนี้ ก็เพื่อสร้างบรรยากาศเลียนแบบฝัน และหาทางออกด้วยภาวะจิตใจที่เต็มตื่นบริบูรณ์
ตอนนี้เหมือนอยู่ในฝันเปี๊ยบ ต่างกันตรงที่มีสติคิดอ่านพรักพร้อม
สว่างวาบขึ้นมากะทันหัน เกาทัณฑ์ใช้หางตามองกระจกหลัง แล้วเบนไปมองเบื้องหน้า เมื่อเห็นถนนปลอดก็หักพวงมาลัยเหยียบคันเร่ง พุ่งรถวนย้อนสวนทางกลับคืนเมือง นี่ยังไง คราวนี้ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึก รู้ตื่น รู้ตัว ว่าเขากำลังจะวิ่งกลับบ้าน ชายหนุ่มซึมซับความรับรู้ชนิดนั้นไว้อย่างเต็มตื้น เกิดความสุข ความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง นี่อาจเป็นเกมแก้ฝันที่ต้องลงทุนลงแรงและเปลืองเวลานิดหน่อย แต่ก็คุ้ม หากฝันอีก เขาจะนึกถึงการวกกลับมาสู่ฐานที่มั่นของชีวิตเช่นกำลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้
ท่องซ้ำๆด้วยความโสมนัส ว่าจะจำการย้อนทางกลับบ้านอย่างนี้ จะจำการย้อนทางกลับบ้านอย่างนี้ เยาะในใจว่าเขาหาทางออกได้เก่งกว่าจิตแพทย์เสียอีก
ต่อโทรศัพท์มือถือ กรอกเสียงลงไปอย่างรื่นเริงฝากเลขาฯของเจ้านายว่าพรุ่งนี้เขาจะไปทำงานตามปกติ ยกเลิกวันลาที่ขอไว้ เจ้านายคงงง แต่น่าจะชินแล้วกับความเป็นคนตัดสินใจเร็วตามสถานการณ์เฉพาะหน้าของเขา อาจคิดว่าเขาเจออุปสรรคบางอย่าง หรือเกิดไอเดียใหม่ที่ร้อนใจอยากเริ่มต้นเสียแต่พรุ่งนี้ก็ได้
ขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง หนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความรู้จักมักคุ้น ภาพความว่างเปล่าไร้จุดหมายสลายหายหนไปสิ้น อิสระที่แท้จริงสำหรับชีวิตเขาคือการงานซึ่งชูตัวตนให้สูงเด่นเป็นสง่า เมื่องานอยู่ในมือ เขาสามารถทำอะไรก็ได้ ทุกคนต้องเงี่ยหูฟังเขาพูด ทุกคนต้องให้น้ำหนักกับความเห็นและการตัดสินใจของเขาก่อน นั่นแหละตัวตนของเขา นั่นแหละจุดหมายปลายทางในชีวิตเขา และเขาก็อยู่ที่จุดหมายปลายทางของชีวิตแล้ว
ใกล้เข้าเขตกรุงเทพฯ สายตาเหลือบซ้ายเห็นป้ายบอกทางเข้าวัด เมื่อขามาไม่สังเกต แต่ขากลับเห็นเด่นถนัดตา แล้วก็ถึงกับขนลุกซู่กับชื่อบนแผ่นป้ายไม้หนา
วัดทางนฤพาน
ความเร็วของรถชะลอลงทันใด นึกออกเดี๋ยวนั้นว่านี่เป็นปากซอยเข้าบ้านปู่ซึ่งเขาห่างหายหน้า ไม่แวะมาเยี่ยมเยียนหลายปีดีดัก เขาจำชื่อวัดได้ เพราะเห็นสะดุดตา ฟังสะดุดหูผิดแผกแตกต่างจากชื่อวัดอื่น เมื่อก่อนเคยมาบ้านปู่กับพ่อสองสามหน เหลียวมองป้ายชื่อวัดด้วยความสนใจทุกครั้ง คล้ายมีมนต์ขลังบางอย่างดึงให้ต้องมอง แม้เมื่อสายตากำลังจับที่อื่น ก็จะเหมือนเผอิญหันขวับมาเจอทุกคราวไป
ปุบปับตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอย ดีเหมือนกัน จะได้มาไม่เสียเที่ยว ลองเข้าไปดูเสียหน่อย ว่าสภาพวัดเป็นอย่างไร ใจไม่คาดหวังอะไรเลย เพราะเห็นมาจนรู้ดีว่าวัดก็คือวัด ที่อยู่ของพระสงฆ์ และพระสงฆ์ก็มีมากมายหลายประเภท ทั้งพวกชาวบ้านที่วันดีคืนดีหยิบจีวรมานุ่งห่มตามประเพณี และพวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับชีวิตบางอย่างซึ่งเขาไม่เข้าใจ คือ ‘เห็น’ ขนาดพร้อมจะสละบ้านเรือนและทรัพย์สินอย่างไร้ความอาลัยไยดี
ผ่านหน้าบ้านปู่ ทีแรกเกือบเลยไปด้วยความขี้เกียจแวะทักญาติผู้ใหญ่วัยชรา ปกติเขามักพบท่านที่บ้านญาติเช่นลุงหรืออา น้อยครั้งจะมาหาถึงนี่
ความจำด้านดีเกี่ยวกับปู่แวบเข้ามาในหัว ปู่เป็นคนพิเศษ เป็นคนแก่ที่ดูไม่แก่ มีคำพูดสะกิดใจ ชวนคิดได้เกือบทุกคำ นั่นทำให้ตัดสินใจฝืนความรู้สึก ไหนๆก็กำลังเบื่อ ลงเยี่ยมคนแก่ให้เกิดความเบื่อลบล้างความเบื่อ อาจกลับออกมาด้วยความกระชุ่มกระชวยขึ้นก็ได้
นึกเล่นๆว่าอาจเจออะไรไม่คาดฝันเข้าบ้าง…
มองปราดเดียวรู้เลยว่าบ้านไม้สองชั้นของปู่เก่าแก่นมนาน ทว่าได้รับการดูแลซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นป่านนี้ก็คงเห็นผุพังไม่เจริญตานัก เกาทัณฑ์จอดรถลงมากดออดหน้าประตูบ้าน รอบบริเวณเงียบเชียบอย่างไม่น่าจะมีคนอยู่ ชวนให้คิดว่าคนในบ้านอาจออกไปข้างนอก ซึ่งนั่นก็แปลว่าเขาแวะลงเสียเที่ยวเปล่า
กำลังหันรีหันขวางจะขึ้นรถหนีด้วยความอดทนต่ำ ก็เผอิญเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากเรือนชั้นล่างและเมียงมองมา เกาทัณฑ์เขม้นตาจ้องหล่อนด้วยความแปลกหน้า ความที่เคยตามพ่อมาเยี่ยมปู่น้อยหน ทำให้ไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร สมาชิกในเรือนมีอยู่กี่คน จำได้หลักๆเพียงปู่ชนะ ย่าเล็กซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว กับเด็กอีกสองสามคน
ผู้หญิงคนนั้นเดินมาใกล้ประตู ลมหายใจเกาทัณฑ์ถึงกับขาดห้วง งันนิ่งไปเมื่อเห็นหล่อนถนัด
"มาหาใครคะ?"
กังวานใสของแก้วเสียงวิเวกหวานนั้นทำให้เขารู้สึกตัว และเปิดยิ้มปราศรัยได้
"ปู่ชนะอยู่ไหมครับ? ผมเป็นหลาน"
ชอบกล ที่เขาเห็นหน่วยตาของหล่อนขยายขึ้นหน่อยๆ ฉายแววคล้ายเปลี่ยนจากลังเลเป็นมั่นใจ และมองมาด้วยท่าทีแปลกกว่าเดิม
"อยู่ค่ะ" ตอบแผ่วแล้วไขประตูเปิดให้ “กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ชั้นบน"
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาข้างใน มีความสงบอกสงบใจเกิดขึ้นพร้อมกับการวางเท้าลงในเขตบ้านของปู่ สาวงามยิ้มให้เขาบางๆ ทำท่าจะปลีกตัว ทว่าความอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยชีวิตชีวาอย่างประหลาดนั้น รัดรึงใจให้เกาทัณฑ์ไม่นึกอยากปล่อยหล่อนห่างไปเร็วนัก จึงรีบตั้งคำถามที่พอจะนึกได้ปุบปับทันด่วน
"คุณเป็นหลานปู่ ลูกพี่ลูกน้องของผมหรือเปล่าเอ่ย?"
วงศ์วานว่านเครือของปู่และย่ามีอยู่มากมายก่ายกอง เขาจำไม่หมด โดยเฉพาะที่ห่างหน้าหายตากันหลายๆปี ทบทวนดูแล้วเชื่อว่าสมัยเด็กเขาไม่เคยเห็นหล่อนที่นี่มาก่อนแน่ๆ
สบตากัน นิลเนตรมีประกายสงบซึ้งที่สะท้อนความเรียบนิ่งของจิตใจอันงดงาม หายากที่จะพบดวงตาชนิดนี้ เหมือนมองแผ่นน้ำที่ทำให้ใจใสเย็นและอ่อนโยนตามได้ฉะนั้น
"ก็ไม่เชิงค่ะ...เดี๋ยวจะทำน้ำส้มขึ้นไปให้ เชิญก่อนนะคะ"
เกาทัณฑ์ฟังหล่อนพูดตอบ แต่จิตใจมัวจดจ่อกับเรียวปากสวยที่ขยับเจรจาได้งามปานวาด หญิงสาวผายมือไปทางบันไดขึ้นเรือน ระบายยิ้มอ่อนและก้าวเท้าลับหายไปทางหนึ่ง ไม่เปิดโอกาสให้เขาทันต่อความยาวสาวความยืดนานกว่านั้น
เดินขึ้นเรือนอย่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว รูปติดตา เสียงติดหูตามมาทุกฝีก้าว หนทางในทิศที่ปราศจากหล่อนดูไร้ความหมายขึ้นมากะทันหัน
พื้นที่กลางเรือนชั้นบนจัดวางด้วยโต๊ะเก้าอี้ ทีวี ตู้เย็นและพัดลมเก่าแก่ ราวกับหยุดยุคสมัยไว้กับวันวาน เกาทัณฑ์พบคุณปู่นั่งเอกเขนกกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่บนเก้าอี้โยก ท่านไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยจากการมองผาดทีแรก
"สวัสดีครับปู่"
ชายหนุ่มส่งเสียงนำ เมื่อเห็นท่านเงยหน้ามองก็พนมมือไหว้ ปู่ลดหนังสือพิมพ์ลงวางกับตัก เกาทัณฑ์มองท่านอย่างเกรงว่าจะจำตนไม่ได้ แต่ปรากฏว่าท่านมองด้วยตาเปล่าปราศจากแว่นอยู่ครู่ก็ทักเรียบๆอย่างคนมีสติระลึกรู้แจ่มชัด
"อ้าว! เป็นไงนายเต้ มาถึงนี่ได้"
ชายหนุ่มยิ้มและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง แค่ได้ยินเสียงก็ระลึกได้หมดถึงบรรยากาศเก่าๆในวันก่อน บังเกิดความยินดีที่ได้พบท่านอีกครั้ง
"อยากมาเยี่ยมปู่สิฮะ"
เพิ่งอยากเอาจริงๆก็ตอนที่พูด แปลกที่นึกรักปู่ขึ้นมากมายปุบปับ อาจเป็นด้วยความเย็นใจรอบกาย อาจเป็นด้วยดวงตาดำสนิทราวกับหนุ่มฉกรรจ์ผู้รู้คิดและเปี่ยมเมตตา อาจเป็นด้วยท่าทีทรงภูมิและสุขุมคัมภีรภาพของท่าน...
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเพิ่งรู้ว่าในบ้านนี้มีสาวแสนสวยคนหนึ่งอาศัยอยู่
"ผมไม่ได้มาเยี่ยมปู่เสียสามสี่ปี"
เอ่ยคล้ายสารภาพผิด ผู้อาวุโสพับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะ
"เจ็ดปี" ท่านแก้ด้วยน้ำเสียงแน่นของผู้มีสมองประจุไว้ด้วยความจำอันชัดเจนเท่ากับหรือมากกว่าคนรุ่นหนุ่ม "ตอนมาครั้งสุดท้ายน่ะแกเรียนวิศวะฯปีสองไง ฉันยังทักเลย เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็ขึ้นปีสองแล้ว และถามว่าพอจบจะไปต่อโทเมืองนอกเลยหรือเปล่า”
เกาทัณฑ์อ้าปากค้างเป็นครู่ด้วยความงงงัน นึกไม่ถึงว่าท่านจะจำรายละเอียดเกี่ยวกับหลานผู้ห่างเหินอย่างเขาได้แม่นยำขนาดนั้น
"อ้อ…เอ่อ ปู่สบายดีใช่ไหมฮะ? ดูก็รู้"
"ก็เท่าที่คนแก่จะสบายได้นั่นแหละ...หน้าตาท่าทางแกเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะนี่ ถ้าเดินสวนกันข้างนอกคงจำไม่ได้ ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งส่วนสูง ทรงผมทรงเผ้า ท่วงทีนั่งเดินภูมิฐานกว่าสมัยวัยรุ่นเป็นคนละคน"
ชายหนุ่มยิ้มเฉียง
"บ้านปู่เงียบยังไงก็อย่างนั้นเลย ดีจริงๆที่ได้อยู่กับอากาศอย่างนี้ ปู่คงแข็งแรงไปอีกนาน”
"อยากมาอยู่มั่งไหมล่ะ?"
เกาทัณฑ์ไม่ได้นึกถึงสถานที่กลางสิ่งแวดล้อมดีๆ แต่ไพล่ไปนึกถึงแม่งามผู้น่าใกล้ชิดเสียแทน ปากจึงตอบเรื่อยเปื่อยตามประสา
"อยู่ได้ก็ดีสิฮะ บ้านแสนสุขอย่างนี้" แล้วก็วกมาถามถึงเจ้าหล่อนนางนั้นอย่างสบจังหวะ "ผู้หญิงที่เปิดประตูให้ผมเมื่อกี้ใครครับ? ถามแล้วเห็นว่าไม่ใช่หลานปู่"
ปู่ชนะหยิบหูถ้วยแก้วข้างตัวขึ้นจิบน้ำชา
"แกจำยายแพไม่ได้เหรอะ?"
เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วงง
"แพ? ผมเคยรู้จักเขาด้วยหรือครับ?"
ถามอย่างนึกไม่ออกจริงๆ ปู่ชนะพยักหน้าแล้วพูดปัดตัดบท
"เอาเถอะ ก็หลานฉันคนหนึ่งน่ะแหละ"
“เอ๊ะ! ยังไงกัน เขาบอกไม่ใช่ แต่ปู่บอกใช่”
ชายชราผ่อนลมหายใจ เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ
"นี่กินอะไรมารึยังล่ะ?"
"เรียบร้อยฮะ ปู่ล่ะครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจะออกไปซื้อให้ไหม?"
"ไม่ต้องหรอก เพิ่งกินกับยายแพไปเมื่อกี้เหมือนกัน"
พอดี ‘ยายแพ’ เดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมกับแก้วน้ำส้มคั้น เกาทัณฑ์ชะงักไป และมองหล่อนนำเครื่องรับรองมาวางตรงหน้าด้วยดวงตาจับนิ่ง ใจคล้ายถูกแช่เย็นไปชั่วขณะด้วยอิทธิพลเหนือคำบรรยายในหล่อน
"แพ นี่เต้ หลานปู่ รู้จักพี่เขาไว้นะลูก"
หญิงสาวพนมมือไหว้ตามมารยาทและยิ้มให้เขาบางๆ เกาทัณฑ์รับไหว้และยิ้มตอบด้วยท่าทีของพี่ชาย ท่วงทีกิริยาของหล่อนฉายความบริสุทธิ์สะอาดไปตลอดทั้งกายใจเยี่ยงผู้เป็นอยู่เรียบง่ายสันโดษ ทว่าดวงตาแฝงแววฉลาดรู้ลึกซึ้ง ทำให้ภาพร่างชวนทัศนานั้น ยิ่งดูยิ่งมีค่าขึ้นอย่างประหลาดล้ำ
อยากยินเสียงหวานใสและแสนจะนุ่มหูของหล่อนอีก ทว่าเมื่อเสร็จจากยิ้มให้เขาพอเป็นพิธีแล้ว ก็หันกลับและเดินหลีกลงบันไดไป ชายหนุ่มมองตามจนลับสายตาด้วยความอยากจะหาเชือกมาทำบ่วงบาศก์เหวี่ยงไปคล้องตัวดึงหล่อนกลับมานั่งคุยกับเขาและปู่ต่อ ไม่ใช่ขึ้นมาทำให้ตาสว่างแล้วเดินหายไปเฉยๆ ราวกับตัวละครที่โผล่ออกมาจากม่านเรียกความสนใจคนดูให้เริ่มตั้งตาโตชม แต่แล้วยังไม่ทันแสดงบทบาทสำคัญก็แวบเข้าหลังเวทีเสียนี่
ได้สติเมื่อปู่กระแอมเบาๆ เกาทัณฑ์หันกลับมายิ้มเก้อๆ อยากจะถามอะไรเกี่ยวกับหลานสาวของปู่อีกมากๆ แต่ก็ให้รู้สึกประเจิดประเจ้อไปหน่อย จึงเลี่ยงถามเรื่องอื่นเสียพ้นๆเป็นการพักยก
"ปู่ยังนั่งวิปัสสนาอยู่หรือเปล่าครับ?"
ดึงเข้าเรื่องนั้นเพราะบุคลิกลักษณะของปู่ยังดูเป็นผู้ทรงธรรมไม่สร่างซา ท่านคงยินดีคุยเกี่ยวกับของชอบเป็นแน่ สมัยเด็กพ่อเคยพูดเข้าหูบ่อย ว่าปู่รักการนั่งวิปัสสนาเป็นชีวิตจิตใจ
“อือม์ ก็นั่งอยู่นะ ปะเหมาะเคราะห์ดีก็เดินวิปัสสนา ยืนวิปัสสนา หรือกระทั่งนอนวิปัสสนาด้วยเหมือนกัน”
“นอนก็วิปัสสนาได้หรือครับ?” เกาทัณฑ์ทักกลั้วหัวเราะ “เอ สงสัยผมคงรู้จักคำนี้น้อยไปหน่อย”
ทำใจให้นึกอยากรู้ความหมายและต้นสายปลายเหตุจริงจัง จะได้คุยกับปู่แบบออกรส ความรู้ความสามารถอันหลากหลายของเขามีส่วนช่วยเปิดใจให้ยอมรับข้อมูลใหม่เพื่อเข้ามาเก็บเป็นวัตถุดิบโดยปราศจากกำแพงกั้น แม้ส่วนลึกลงไปที่ก้นบึ้งหัวใจจะนึกปฏิเสธอยู่เต็มประตู สาเหตุก็มิใช่อะไรอื่น ปัจจุบันพระสงฆ์องค์เจ้าและการวิปัสสนาธุระทั้งหลายกลายเป็นภาพเสื่อมเสียที่ถูกตีแผ่แฉตามสื่อหลักต่างๆมั่วไปหมด ขุดคุ้ยแล้วมีแต่เรื่องหลอกลวงทั้งเพ แทบกล่าวได้ว่าใครเริ่มสนใจเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณหรือการศาสนา ก็เริ่มมีสิทธิ์เข้ารกเข้าพงแล้ว
“แล้วแกนึกน่ะ วิปัสสนาเป็นยังไง ต้องนั่งอย่างเดียวหรือ?”
ปู่ย้อนถาม เกาทัณฑ์คิดเล็กน้อยก่อนตอบตามจริง
“พอได้ยินคำนี้ ผมจะนึกถึงภาพคนใส่ชุดขาว นั่งหลับตา หรือเดินจงกรมกลับไปกลับมา เพื่อทำจิตใจให้สงบ ปล่อยวางทางโลก หันหลังให้กับความบันเทิงทุกชนิด”
“ถ้าเดินกลับไปกลับมาแล้วใจสงบ ปล่อยวางทางโลกได้ พวกชอบเดินเล่นหลังกินข้าวคงได้ดี บันเทิงใจเท่าพระกันไปแล้ว”
เกาทัณฑ์หัวเราะ
“ทราบอยู่ครับปู่ ว่าต้องมีวิธีกำหนดใจอยู่ข้างในด้วย”
แล้วชายหนุ่มก็ถึงบางอ้อด้วยคำโต้ตอบของตนเอง เข้าใจในบัดนั้นว่าวิธี ‘ทำ’ วิปัสสนาไม่ขึ้นอยู่กับอิริยาบถภายนอก แต่เป็นวิธีการทางใจ
“อย่างที่นึกดูลมหายใจไปเรื่อยๆแล้วเกิดฌาน เกิดญาณขึ้นมานี่ เรียกว่าวิปัสสนาใช่ไหมครับ?”
“ถ้าทำสมาธิจนเกิดความนิ่ง แต่ไม่เปลี่ยนความเชื่อเก่าๆ ก็ได้ชื่อว่ามาแค่ปากประตูวิปัสสนาเท่านั้น”
ชายชราตอบเอื่อยๆ ทว่าแฝงด้วยพลังล้นลึกชวนให้สงบและอยากฟังต่อ ฝ่ายหลานฟังพลางยกมือลูบคาง อมยิ้มและพยายามซ่อนแววตา มิให้ฉายความคิดชัดนัก ความเชื่อแบบไหนกันที่เป็นเป้าหมายของวิปัสสนา แบบที่ล้างสมองจนเห็นว่าควรหันหลังและทิ้งขว้างความสนุกบรรดามีในโลกอย่างนั้นหรือ?
“ความเชื่อเก่าๆเสียหายตรงไหนครับ?”
“ตรงที่มันคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้ดวงจิตอยู่ในสภาพเชื้อของทุกข์น่ะซี”
“ความเป็นจริง? ปู่คงหมายถึง เอ้อ...อะไรที่เขาเรียกกันว่าความจริงสูงสุดใช่ไหมฮะ? ถ้าว่ากันแบบปรัชญา ทางพุทธอนุญาตให้ความจริงผูกอยู่กับมุมมองของแต่ละคนได้หรือเปล่า? ผมเคยคุยกับเพื่อนครั้งหนึ่ง ไม่ได้แย้งปู่นะครับ คือเรามองกันว่าคนเลือกเชื่อยังไง ก็มีความจริงรองรับอยู่อย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเชื่อว่าชีวิตคือหน้าที่ เราก็จะพบหน้าที่สักอย่างที่สมตัว และอยู่กับมันไปได้จนตาย”
เกาทัณฑ์ควบคุมเสียงไม่ให้มีน้ำหนักเกินออกมาจนกลายเป็นการชวนปู่โต้วาที
“ก็จริง” ปู่รับด้วยสีหน้าออกยิ้ม “บางคนก็รักหน้าที่ ยึดมั่นในหน้าที่ขนาดยอมตายได้”
“นั่นซีครับ” ชายหนุ่มรีบเสริม “แสดงให้เห็นว่าใครตั้งมุมมองเพื่อเชื่ออะไรสักอย่าง ชีวิตก็จะเป็นไปตามนั้น มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่พิสดารกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็ตรงความหลากหลาย ความเป็นอิสระในการเลือกเชื่อ และเล่นแร่แปรธาตุความเชื่อให้กลายเป็นรูปธรรม กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ขึ้นมา ผมถึง...สงสัยอยู่บ้าง เมื่อมีการบัญญัติคำว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ไว้ในคัมภีร์ของแต่ละศาสนา เราเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัดว่านั่นแน่นอนแล้ว ชนิดดิ้นเป็นอื่นไม่ได้?”
“ก็คงต้องดูที่พระศาสดาแต่ละองค์ตรัสมั้ง ว่าเมื่อมาตามทางของศาสนาแล้ว จะเกิดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นความจริงชนิดไหน ถ้าสาวกต่างๆทำตามกติกาแล้วพบความจริงตามนั้น ก็ถือว่าใช่”
ชายหนุ่มเอียงคอนิดหนึ่ง น่าประหลาดแท้ เขาเคยเรียนพุทธศาสนาในหลักสูตรมาก่อน แต่ตอนนี้ลืมแล้วว่าเป้าหมายของพุทธศาสนาคืออะไร
“แล้วผลลัพธ์ของการมาตามทางพุทธ หรืออีกนัยหนึ่งการทำวิปัสสนานี่ คืออะไรครับปู่?”
“การดับทุกข์...ดับชนิดที่กลับกำเริบขึ้นไม่ได้อีกเลย”
คราวนี้เกาทัณฑ์แอบหัวเราะอยู่ในใจ คนตายไงล่ะ หัวใจไม่กลับเต้นอีก ก็คือสิ้นทุกข์อย่างสนิท นั่นแหละความจริง นั่นแหละสิ่งที่ประจักษ์ตาว่าเป็นปลายทางของทุกชีวิต เขาไม่เห็นเลยว่ารางวัลของพุทธจะแตกต่างจากโบนัสของธรรมชาติตรงไหน
อ้อ...ลืมไป อย่างปู่คงเชื่อเรื่องชีวิตหน้า โลกสวรรค์ โลกนิพพาน
สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่า ‘ความจริง’ อย่างไรได้ ในเมื่อไม่มีอะไรมารองรับสักอย่างนอกจากความเชื่อ เป็นการเชื่อโดยปราศจากพื้นยืนโดยแท้
แต่ราวกับปู่ล่วงรู้ว่าเขาคิดอะไร ท่านเอ่ยเนิบว่า
“ถ้าเหลือแต่ใจที่เสมอกับธรรมชาติ เลิกดิ้นรน เลิกเป็นเชื้อไฟอย่างสิ้นเชิง คนเราเป็นสุขได้ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก เพราะบนสวรรค์อาจมีความน่าขัดใจ จัดเป็นทุกข์ทางใจชนิดหนึ่ง การดับทุกข์อย่างสนิทเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน พิสูจน์ได้ก่อนตาย เชื่อได้สนิทใจเดี๋ยวนี้ ต่างจากโลกหน้า ที่ต้องตายเสียก่อนถึงรู้ว่าเรื่องกุหรือของจริง”
“เข้าใจล่ะครับ พอจำได้แล้วว่าพุทธศาสนาเน้นเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ก่อนอื่นต้องเริ่มด้วยการเห็นทุกข์ เหมือนมองให้ออกว่ามีไฟไหม้ แล้วก็ต้องหาน้ำมาดับไฟ ซึ่งน้ำนั้นคือวิปัสสนานี่เอง ถูกไหมครับ?”
“บางทีน้ำที่เอามาดับไฟอาจเป็นแค่สติปัญญารู้ตัวธรรมดาๆก็ได้ เอางี้ แกเชื่อไหมว่าโดยธรรมชาติน่ะ คนเราหวงทุกข์ ทั้งรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้น ก็ยังทู่ซี้จะรักษาเอาไว้”
เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง
“เหรอครับ? เอ ผมไม่เคยคิดอย่างนี้เลย ใครๆก็เกลียดทุกข์กันทั้งนั้น จะหวงไว้ทำไม”
“ใช่ คนเราเกลียดทุกข์ แต่เมื่อทุกข์เกิดแล้ว ก็เหมือนแกล้งตัวเอง เก็บมันไว้ในที่ที่เกิดนั่นแหละ”
ชายหนุ่มครางอ้ออย่างพอมองเห็นรางๆ รอฟังปู่ขยายความต่อ
“ลองตัดความรู้สึกในตัวตนออกไปนะ ให้เหลือใจอย่างเดียวพอ ถ้าว่ากันตามเหตุผล เมื่อเกิดทุกข์แล้วก็ควรจะตัดทิ้งจากใจใช่ไหม?”
“ครับ”
“ถ้าใจมันมีปัญญากำกับก็ควรทำอย่างนั้นแหละ แต่นี่เปล่า อย่างเช่นเกิดโทสะ เกิดความอาฆาตมาดร้าย มีความรุ่มร้อนขึ้นในอก แทนที่จะรู้ตัวว่าเกิดความทุกข์เพื่อผลักไสออกไป กลับออกอาการอุ้มทุกข์นั้นไว้ บางทีขยายผลด้วยซ้ำ ทำให้เกิดพฤติกรรมภายนอกเป็นการอาละวาดหัวฟัดหัวเหวี่ยง หรือกระทั่งตีรันฟันแทงให้ตายกันไปข้าง
ลองตรองดูนะ เมื่อพลิกอาการของจิตจากอุ้มทุกข์ ประคบประหงมทุกข์ เป็นรู้ตัวว่ากำลังทุกข์ มีสติพอจะถามตัวเองว่าต้นเหตุทุกข์คือใครหรืออะไร ถ้าโมโหโกรธา ก็สืบจนพบว่ามีภาพใครปรากฏอยู่ในโทสะ
พอทำได้อย่างนั้น ก็เท่ากับเห็นอาการที่ใจจับยึดต้นเหตุทุกข์ เมื่อเห็นแล้วว่าอาการจับยึดเป็นอย่างไร ก็เกิดสัญชาตญาณเองว่าจะปล่อยวางด้วยท่าไหน ปล่อยใครคนที่ทำให้เกิดทุกข์นั่นแหละ ปล่อยเสียได้ก็เบาโล่งในหัวอก ลิ้มรสความสุขที่เกิดจากการดับทุกข์ขึ้นเอง เห็นไหม ไม่ต้องใช้วิปัสสนาเลย เอาแค่ความฉลาดทางจิตก็พอแล้ว”
เกาทัณฑ์ยิ้มแบบเห็นด้วย แต่ไม่ใช่เห็นจริง เพราะจังหวะนั้นปราศจากตัวอย่างโทสะในอกตนเป็นเครื่องสาธิตและทดลองให้เห็นตาม
“ก็เข้าหลักจิตวิทยาดีนี่ฮะ แต่คงประยุกต์ใช้กับทุกเรื่องไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่ก่อไฟโทสะมีน้ำหนักแตกต่างกัน คนเราถูกตีให้เจ็บ ถ้าความเจ็บกายยังอยู่ คงยากจะข่มใจไม่ให้เจ็บตาม”
“นั่นแหละเหตุผลที่ต้องมีวิปัสสนาธุระไว้ดับกิเลส ดับเชื้อโทสะให้สนิท ถ้าปราศจากเชื้อโทสะเสียอย่างเดียว ใครก็ทำให้เราทุกข์ด้วยไฟโกรธไม่ได้ด้วยวิธีใดๆเลย”
“เชื้อโทสะคือ…?”
“ภาวะไม่รู้ของจิตไงล่ะ พอไม่รู้มันก็คิดไปเรื่อยเปื่อย บาปบ้าง บุญบ้าง เป็นที่ตั้ง ที่อิงอาศัยของอุปาทานในตัวตนแบบหนึ่งๆ ถ้าปลุกจิตให้ตื่นขึ้นด้วยการเห็นในวิปัสสนาขั้นสูงจนสุดสายเมื่อไหร่ ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนแบบไหนๆก็ไม่เหลืออยู่เลย เหลือแต่จิตที่ปลอดโปร่งจากเงื่อนไขและการร้อยรัดทุกชนิด”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วกังขา
"แปลว่าที่ทุกคนในโลกเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกในตัวตนนี่ ผิดหมด?"
"ถ้ามองว่ามีผิดมีถูกนี่ไม่จบหรอก อย่างที่แกว่านั่นแหละ มีความจริงรองรับทุกความเชื่ออยู่เสมอ แต่ความจริงของคนในโลกนี่มันหนัก เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา เป็นเหตุให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะ หรืออีกนัยหนึ่งความดิ้นรนกระสับกระส่ายของจิต ซึ่งอาการนั้นเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า 'เป็นทุกข์' พูดให้ง่ายว่าเชื่อแบบคนในโลก ยึดแบบคนในโลกแล้วต้องทุกข์นี่ ทางพุทธศาสนาปฏิเสธ"
เกาทัณฑ์อึ้งไปพักใหญ่ ประเด็นสงสัยเกี่ยวกับคำว่า ‘วิปัสสนา’ ถูกปัดตกไปได้ นึกในใจว่าพุทธศาสนามีเหตุผลรองรับเหมือนเสาค้ำคานมั่นคงดี แต่ส่วนลึกไม่ค่อยเชื่อนักว่าการกำจัดกิเลสอย่างเด็ดขาดนั้นเป็นไปได้ หรือถึงเป็นไปได้ ก็ไม่รู้จะกำจัดทำไม ในเมื่อทุกวันนี้มีกิเลสก็เป็นสุขสนุกสนานดีจะตาย
อย่างไรก็ตาม การสนทนาดำเนินมาจนถึงจุดที่เขาขี้เกียจแหย่ต่อ ยังไงก็ต้องให้ความเคารพเกรงใจปู่บ้าง มิเช่นนั้นจะเหมือนทำตัวเป็นคนช่างจับผิด และจับปู่มาแต่งตั้งเป็นทนายแก้ต่างให้พระศาสนา เกาทัณฑ์จึงค่อยๆเบี่ยงหัวเรื่อง
"แพ...หลานสาวปู่คงได้รับอะไรไปจากปู่เยอะ ปู่คงสอนเรื่องดีๆไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะธรรมะในพระศาสนา ท่าทางฉลาดคิดอ่านมากเลย"
"ก็ไม่เชิง ฉันแนะแต่เรื่องที่จำเป็น ไม่ได้สั่งสอนมากมายนักหรอก ยายแพเป็นเด็กดี รู้อะไรดีๆด้วยตัวเองอยู่แล้ว"
"ปู่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดหรือฮะ?"
"อือม์"
"เรียนจบรึยังครับนั่น?”
"เรียนครุศาสตร์ปีสุดท้าย"
เกาทัณฑ์ขยับจะถามรายละเอียดให้มากกว่านั้น แต่ปู่ชิงถามถึงสารทุกข์สุขดิบของญาติๆเสียก่อน ซึ่งเขาก็จาระไนไปตามเพลง รวมถึงความก้าวหน้าในชีวิตการงานของตนเองด้วย
“เอาล่ะ” ปู่เงยหน้ามองนาฬิกา “เดี๋ยวได้เวลาพระผู้ใหญ่ที่ฉันนับถือมาออกรายการแสดงธรรม แกจะดูกับฉันไหม?”
“เอ้อ…ไม่ล่ะครับ ผมรบกวนปู่แค่นี้ดีกว่า”
บอกกล่าวว่าจะหมั่นมาเยี่ยมเยียนท่านอีก แล้วเกาทัณฑ์ก็ไหว้ลา
จิตใจคึกคักขึ้นทันใด เขาลงบันไดมาถึงข้างล่าง เหลียวไปรอบๆด้วยหวังจะได้พบกับหญิงสาวที่ตนสะดุดตาสะดุดใจ อย่างไรเสียก็ต้องหาหล่อนให้พบเพื่อวานช่วยมาเปิดประตูอยู่แล้ว คงเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความรู้จักกับหล่อน ไหนๆนับศักดิ์แล้วไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ในเมื่อปู่ยกเป็นหลานแท้ๆอย่างนั้น
บ้านปู่มีอาณาเขตพอควร เกาทัณฑ์เดินเลียบมาถึงด้านหลังก็พบหล่อนคนนั้นนั่งลิดกิ่งไม้ด้วยกรรไกรอยู่ที่ริมรั้วด้านหนึ่ง ดีใจอย่างประหลาดแม้เมื่อเห็นเพียงด้านหลัง เขาผ่อนฝีเท้าลงหยุดยืนแย้มริมฝีปากยิ้ม เบิกตาเฝ้าพินิจเงียบๆ รูปศีรษะหล่อนมนสวย ผิวพรรณมีน้ำมีนวลเฉิดฉายเสียจนส่องรอบด้านให้ดูสว่างตา
ในท่ามกลางความสะพรั่งแห่งไม้ดอกไม้ประดับรอบราย หล่อนคล้ายนั่ง ณ ศูนย์กลางความสดชื่นอ่อนหวานอันดึงดูดให้น่าเข้าใกล้ที่สุด เห็นหล่อนแล้วใจเปิดราวกับมองทะเลกว้าง ผู้หญิงคนนี้ทำให้ที่ที่หล่อนปรากฏกลายเป็นเขตเฉพาะอันวิเศษ และทำให้วันที่พบหล่อนกลายเป็นวันอันทรงความหมายยิ่ง
ดูเหมือนฝ่ายถูกจับจ้องจะมีสัญชาตญาณรู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งลอบพินิจอยู่เบื้องหลัง จึงเหลียวหน้ามาและสบตากัน ชายหนุ่มเกือบเก้อไป เพราะรู้ตัวว่าทำลับล่อเสียมารยาทอยู่เป็นนาน แต่ก็ทำทีปกติ คือส่งยิ้มให้อย่างจะขอผูกมิตร ทว่าหล่อนเพียงมองตอบด้วยดวงตาทอแววนิ่ง มิได้ยิ้มรับแต่อย่างใด
ไม่ปล่อยเวลาให้ทอดนานนัก เกาทัณฑ์เปล่งคำทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
"รู้สึกว่าแพจะรักต้นไม้มากนะฮะ"
โดยคิดว่าปู่แนะนำแล้ว จึงถือสนิทเรียกหล่อนได้เต็มปาก หล่อนลุกขึ้นยืนและแย้มยิ้มอย่างคนมีอัธยาศัยดี
"คงอย่างนั้นแหละค่ะ" แล้วก็ถามในฐานะผู้มีหน้าที่อำนวยความสะดวกแขกไปใครมา "จะกลับใช่ไหมคะ?"
ถามแล้วทำท่าขยับจะนำทางไปเปิดประตูรั้วให้ แต่เกาทัณฑ์ไม่รู้ไม่ชี้ เสยื่นหน้าเข้าไปดูดอกไม้สีแดงใกล้ตัวอย่างใจเย็น แล้วถามอย่างจะดึงให้หล่อนต้องหยุด
"แพคงหามาเองทั้งนั้น แปลกตาเยอะแยะไปหมด นี่เรียกว่าอะไรฮะ?"
หญิงสาวผินหน้ามองตาม ทอดระยะนิดหนึ่งก่อนตอบ
"ดอกพวงแก้วค่ะ"
เอื้อนเอ่ยไม่ดังนัก น้ำเสียงไม่ส่อแววอยากสนทนาหาความยาวกับคนช่างไก๋หาเรื่องถามเท่าไหร่ เกาทัณฑ์เหลียวหน้ามาหา ปั้นหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเคร่งแบบนักวิชาการผู้ทราบว่าจะชวนคนรักต้นไม้คุยอย่างไรให้สบอารมณ์
"ดอกของมันรูปเหมือนหัวใจนะ คงมีใครตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับหัวใจไว้บ้างใช่ไหม?"
นัยน์ตาคู่งามเหลือบมาทางเขาแวบหนึ่งก่อนตอบ
"ฝรั่งเรียกดอกพวงแก้วว่า Bleeding Heart ค่ะ เพราะมีกลีบเทียมรูปหัวใจ กับกลีบดอกและเกสรยื่นออกมาเหมือนหยดเลือด รวมทั้งดอกเลยคล้ายหัวใจที่ถูกคั้นจนเลือดหยด”
เกาทัณฑ์ห่อปากครางอย่างคนเพิ่งสังเกตตาม
“เออ จริงด้วยแฮะ ช่างตั้งชื่อกันจริง”
ฟังจากคำตอบแค่นั้น ก็เดาว่าหล่อนคงเป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้รู้รอบ มีความผูกพันกับหลากไม้นานาพันธุ์เกินกว่าคนทั่วไปมาก ที่สำคัญดูมีความรักและจินตนาการอันอ่อนโยนต่อพฤกษาทั้งหลายราวกับพวกมันเป็นน้องสาวน้องชาย เกาทัณฑ์คิดในใจว่าคราวหน้าคราวหลังคงต้องเอาพันธุ์อะไรที่มีค่าหายากมากำนัลเสียหน่อย
"ถ้าผมเข้าถึงความรู้สึกของไม้ดอกพวกนี้ได้” เขามองแถวแนวดอกพวงแก้วที่ห้อยตัวอยู่บนกิ่งและสงบกับธรรมชาติอันบอบบางของพวกมัน "ผมคงรู้จักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบ้าง"
เกาทัณฑ์หันมายิ้มให้ หญิงสาวสบตาด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะกะพริบเนิบช้าและเบนห่างไปทางอื่น
"นั่นดอก Forget-Me-Not ใช่ไหมฮะ?" เขาชี้ไปที่ดอกไม้สีฟ้าซึ่งตนพอรู้จัก "ชื่อเหมือนเศร้า แต่ก็ฟังดูซึ้งดี...อย่าลืมฉัน...แพพอจะรู้ที่มาของชื่อนี้ไหม?"
หญิงสาวทอดตามองดอกไม้อันเป็นเป้าคำถาม มีความงันนิ่งชวนให้รู้สึกผิดสังเกต ราวกับหล่อนถูกสะกิดให้ระลึกถึงความหลังบางอย่าง เกาทัณฑ์สำเหนียกถึงกระแสเศร้าที่กระจายจางออกมา เกือบขยับจะเปลี่ยนเรื่อง แต่หล่อนเอ่ยตอบเสียก่อน
"ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนตำนานออสเตรีย-ฮังการีสมัยศตวรรษที่สิบสองจะกล่าวไว้ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่ง ชะโงกจากริมผาเอื้อมมือจะเด็ดดอกไม้นี้ส่งให้คนรัก แต่พลาดตกลงไปสู่กระแสน้ำเชี่ยวเบื้องล่าง ฝ่ายหญิงได้ยินแต่เสียงแว่วจากสายน้ำว่า ‘รักฉัน...อย่าลืมฉัน' ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อน่ะค่ะ"
เกาทัณฑ์จินตนาการตาม และอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก เขานึกอยากให้ตนเองเป็นชายดวงกุดเมื่อชาติก่อน และให้หล่อนคนนี้เป็นหญิงสาวคนรัก เรื่องคงบรรเจิดแท้ถ้าระลึกได้อย่างนั้นแล้วเด็ดดอก ‘อย่าลืมฉัน' ส่งให้หล่อนสักดอกเดี๋ยวนี้
"เศร้านะฮะ เด็ดดอกไม้แล้วตาย รู้อย่างนี้เดินไปซื้อจากตลาดดีกว่า”
พูดติดตลก แต่หล่อนทำหน้าเฉยเป็นเชิงแสดงว่าไม่มีอารมณ์ขันร่วมด้วย
"ที่จริงถ้าหนุ่มคนนั้นอุทานอะไรธรรมดาๆออกมาให้คนรักได้ยินก่อนตกน้ำล่ะก็ ดอกไม้นี้น่าจะชื่อ ‘เวรแล้วที่รัก' มากกว่านะ"
คราวนี้หล่อนเผลอหัวเราะออกมาได้ แต่หัวเราะนิดเดียวแล้วรีบเงียบตามประสาผู้หญิงมาดสวย ไม่ปล่อยเอิ๊กอ๊ากนานๆต่อหน้าผู้ชายแปลกหน้า เกาทัณฑ์อมยิ้ม สายลมอ่อนพัดมาระลอกหนึ่ง ความสงบจากธรรมชาติรอบตัวและจากคนงามตรงหน้าทำให้อยากยืนอยู่ตรงนั้นนานแสนนาน
"แพ..."
เสียงปู่ชนะดังมาจากชั้นบน หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อยและรีบหันไปขานรับ
“ขา”
“โทรศัพท์หนูน่ะ”
“ค่ะ ขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
แล้วก็หันมามองเขา เกาทัณฑ์ยิ้มเจื่อน
“เห็นทีผมคงต้องขอตัวแล้วมั้ง”
ราชินีแห่งสวนดอกไม้เงียบเสียง ได้แต่เดินนำมาออกมาหน้าบ้าน ซึ่งชายหนุ่มจำต้องเดินตาม
“ขอบคุณฮะ” พูดเมื่อก้าวพ้นเขตรั้วที่หล่อนเปิดประตูให้ “ผมคงหาโอกาสมาเยี่ยมปู่อีกเร็วๆนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่หลานที่ดีมาเสียนาน”
“โชคดีค่ะ”
อวยพรพอเป็นพิธีเพื่อหมุนตัวกลับ ผละจากไปรับโทรศัพท์ เกาทัณฑ์รู้สึกว่าบางสิ่งในทรวงอกวูบไหว ใจส่วนหนึ่งแล่นตามหลังหล่อนไป แม้หญิงสาวขึ้นเรือนลับตาแล้ว ก็ยังมองค้างอยู่เป็นนาน
แก้วล้ำค่า หายาก และคงได้มายาก
แต่คนอย่างเขา
ถ้าอยาก...ต้องได้!
บทที่ ๒ เอกาปีติ
แพตรีกลับมาถึงบ้านก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย ล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นไปดูคุณปู่ข้างบนเรือน เห็นหลับอยู่ก็ลงมาข้างล่างเพื่อพบปะกับน้องน้อยทั้งหลายของหล่อนเสียหน่อย ก่อนเข้าครัวทำอาหารเย็น
น้องๆเรียงรายอยู่รอบบ้าน รอการรดน้ำรินใจจากหล่อนสลอน แพตรียิ้มมุมปากนิดๆอย่างคนที่สามารถมีความสุขอยู่กับตนเอง หล่อนมองไม้ดอกไม้ประดับแต่ละต้นด้วยความรักสนิท สัมผัสชัดถึงกระแสแห่งความมีชีวิตและวิญญาณของพวกมัน เคยชินกับการเห็นรอยยิ้มที่ส่งออกมาจากแต่ละไม้ใบ แต่ละกลีบดอก พวกมันถือกำเนิดมาจากมือหล่อน หล่อนเป็นผู้เลี้ยงดูทะนุถนอมให้แตกกิ่งก้านสาขาออกมาวันต่อวันอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย
‘ถ้าผมเข้าถึงความรู้สึกของดอกไม้พวกนี้ได้ ผมคงรู้จักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบ้าง’
คำพูดของใครคนหนึ่งกลับมากลับมากระซิบก้องอยู่ในหู อารมณ์ไหวไกวเล็กน้อย แล้วกลับสงบเยือกเย็นลงราบคาบ สายลมอ่อนพัดกิ่งใบมวลไม้รอบข้างพลิ้วไหว มือน้อยยกขึ้นเสยปอยผมที่ต้องแรงลมเข้าที่ สยายยิ้มกว้างขึ้น สีชมพูสดฉ่ำของกอกุหลาบซึ่งเข้าประทับกลางตาเวลานั้นช่างให้ความหวานแหลมล้ำลึกต่างจากธรรมดา หล่อนรินรดสายน้ำจากถังติดฝักบัวลงดินจนชุ่มพอประมาณไปทั่วบริเวณ ตั้งความคิดให้น้ำนั้นซึมลงถึงทุกรากทุกแขนงของไม้พุ่มหอมเบื้องหน้า จินตนาการเห็นความเอิบอาบอันแผ่ซ่านขึ้นเลี้ยงทั่วทุกอณูลำต้น กิ่งใบ และกลีบดอกสีชมพู ดวงจิตดิ่งลงเป็นสมาธิ รู้ชัดถึงความอิ่มเกษมสดชื่นในตัวกุหลาบ เท่ากับความปิติเบิกบานในตนเอง
กำหนดรู้การเข้าออกของสายลมหายใจอันนิ่มนวลและยืดยาวชัดลึกกว่าปกติ กลิ่นอายความสดฉ่ำระรื่นจากมวลพฤกษ์พันธุ์รอบด้านรวมอยู่ในสายลมหายใจนั้น กระจายเข้าสู่ทรวงอก แลเห็นในมโนนึกดุจธารทิพย์ที่ไหลบ่าสู่ข่ายประสาททั่วร่างจนเต็มปีติ ชั่วขณะนั้นหล่อนสามารถจับต้องกลีบใบของกุหลาบด้วยสายตาที่เปิดกว้างกว่าปกติ จนสำเหนียกความเนียนแน่นทว่าบางเบาละเอียดอ่อนด้วยใจโดยตรง ราวกับปราศจากประสาทตากั้นขวาง
จากความอาบเอ่อแห่งกระแสปีติทวีขึ้นหลามล้นท้นอกในชั่วขณะนั้น ประกอบกับความเห็นแน่วเพียงลมหายใจและกลีบกุหลาบหวาน รวมกันดึงดวงจิตแพตรีดิ่งล่วงเข้าสู่ห้วงแห่งสมาธิอันล้ำลึกโอฬาร ดวงสำนึกแปรเป็นเปลวมหัศจรรย์ลุกโพลงซ่านไสวไปทุกทิศทุกทาง ภายในอันผนึกแน่นมั่นคงรู้เห็นแต่รสหวานแห่งสีชมพูอันงามตระการ ลอยล่องอยู่ในสรวงสวรรค์อันรังสรรค์ขึ้นจากสัมผัสละไมลึกซึ้งระหว่างวิญญาณมนุษย์กับดอกไม้ ทั้งสุขสงบปราณีต ทั้งปรีดาปราโมทย์ราวกับทะยานขึ้นสู่ห้วงหฤหรรษ์อันไร้เขต ไร้พรมแดน ไปสถิตอยู่ในที่ที่ดีที่สุดนอกเขตพิภพหยาบไกลโพ้น
การสังสรรค์ระหว่างวิญญาณมนุษย์และพฤกษ์พันธุ์ดำรงอยู่เพียงชั่วไม่นานก็แปรไปตามธรรมชาติแห่งพระอนิจจัง แพตรีอ้อยอิ่งอาวรณ์กับความยิ่งใหญ่น่าพิสมัยนั้น ทว่ายังมีความชำนาญน้อย โดยเฉพาะในขณะแห่งการลืมตา จึงต้องปล่อยให้ละลายหายไปตามยถา
สมาธิจิตระดับเฉียดฌานหรือที่เรียก อุปจารสมาธิ นับเป็นของสูง มิใช่สภาวะอันเป็นสาธารณะแก่ปุถุชน ภาวะนั้นคล้ายลอยคออยู่กลางทะเลเมฆอันละมุนเสมอกัน แผ่ผายขยายกว้างสุดประมาณ แม้เท้าติดพื้นก็เหมือนยืนอยู่บนหมอนนุ่ม เหตุเพราะธรรมชาติสมาธิยังผลให้กายเบาด้วยการหลั่งสารอันให้รสเกษมอาบตนเอง
สองปู่หลานรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเงียบๆเมื่อได้เวลาทุ่มครึ่ง ทั้งสองเป็นมังสวิรัติ หรือผู้ปราศจากความยินดีในเนื้อสัตว์ อาหารที่วางบนโต๊ะจึงหาจานเด็ดตามรสนิยมของคนทั่วไปไม่ได้ แต่ก็หน้าตาน่าทานด้วยความสามารถเฉพาะตัวของแม่ครัวสาว
“สอบเป็นไงมั่ง?”
ปู่ชนะถามเหมือนชวนสนทนามากกว่าอยากรู้ เสียงของปู่มีกังวานนุ่มลึกชวนฟังและก่อให้เกิดความอบอุ่นใจแก่ผู้ได้ยินเสมอ
“ก็ดีค่ะ เหลือวิชาสุดท้ายวันจันทร์”
“สอบเสร็จก็จบแล้วสินะ”
“ค่ะ”
แพตรียิ้มๆ การคุยกับปู่เป็นอีกความสุขหนึ่งในชีวิต
“ตกลงยังแน่ใจอยู่รึเปล่าว่าอยากจะสอนหนังสือเด็ก?”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ปู่ถามถึง หญิงสาวแกล้งเลิกคิ้วทำตาเป็นประกาย
“อยู่เฉยๆได้ไหมคะ ให้ปู่เลี้ยงไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ”
หล่อนยังอยากอยู่ในวัยเยาว์และช่างฉอเลาะเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าปู่ ปู่ชนะยิ้มอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาดำสนิทผิดวัยทอดจับหลานสาวเปี่ยมด้วยแววห่วงใยปรานี
“เป็นต้นไม้หรือไงถึงจะอยู่เฉยๆให้ปู่เลี้ยง”
“ค่ะ แพเป็นต้นไม้” หญิงสาวหัวเราะนิดๆ “บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นต้นกระถินในบ้าน”
ปู่ชนะหัวเราะในลำคอ ทว่าสายตายังรั้งคำถามเดิมเพ่งมองหล่อน
“แพแน่ใจว่าต้องการสอนเด็กตลอดไปค่ะปู่”
ขยับเรียวปากตอบในลักษณาการแย้มยิ้ม แต่น้ำเสียงจริงจังขึ้น ชายชราถอนใจ
“สมัยนี้...เป็นครูในแบบที่แพอยากเป็นน่ะ ไม่ง่ายหรอกนะ”
หลานสาวพยักหน้า
“ทราบค่ะ” ตาคู่งามทอประกายรู้ตามคำกล่าวของตน “แต่แพก็มองไม่เห็นว่าตัวเองจะทำอะไรได้มีความสุขเท่ากับเป็นครูของเด็กเลย”
ชายชราเคี้ยวคำข้าวเรื่อยๆจนละเอียด กลืนแล้วจึงเปรย
“ทุกวันนี้ผู้คนถูกมอมเมา ถูกฝังนิสัยร้ายกันตั้งแต่ยังเล็ก ครูบาอาจารย์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมสำคัญ บางทีก็กลับมีพฤติกรรมชั่วร้ายเสียเอง ถ้าได้แพเป็นแสงนำทางดีๆไว้สักดวง ก็คงช่วยรักษาภาพพจน์ของครูดีๆบ้างล่ะนะ”
แพตรียิ้มอย่างเชื่อมั่น
“แพจะทำให้เด็กนับถือ และคล้อยตามในทางดี เหมือนอย่างที่แพนับถือและคล้อยตามปู่มาตั้งแต่เด็กให้ได้ค่ะ”
ปู่ชนะพยักหน้า ใช้ส้อมเขี่ยข้าวจากช้อน ก่อนตักน้ำแกงจากชามพลางถามคล้ายหยั่งเชิง
“หากมีเวลาจำกัด ระหว่างเด็กดีกับเด็กดื้อ หนูจะเลือกดูแล หรือให้ความสำคัญกับใครก่อน?”
แพตรีคิดนิดหนึ่ง ก่อนให้คำตอบ
“คงต้องเป็นเด็กดีค่ะ เพราะเด็กดีอาจจะยังไม่ดีจริง แต่อยู่ในวิสัยง่ายที่จะเป็นได้ เมื่อโตขึ้นแล้วก็อาจเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ส่วนเด็กดื้อนั้นอาจไม่เลวจริง แต่ความรั้นจะดึงเวลาของเราไปมาก และไม่มีอะไรประกันว่าเราสามารถชนะความรั้นของเขาได้หรือเปล่า”
ว่าที่คุณครูคนงามเม้มปากเล็กน้อย
“ในความเป็นจริง แพคงมีเวลาเพียงพอจะดูแลทั้งเด็กดีและเด็กดื้อมั้งคะ ถ้าปล่อยให้เด็กดื้อกลายเป็นคนเลว วันหนึ่งเขาอาจสร้างผลสะเทือนด้านร้ายได้อย่างประมาณไม่ถูก สิ่งดีที่คนดีๆสร้างสรรค์ไว้มากและใช้เวลายาวนานแค่ไหน ก็อาจพินาศจนหมดสิ้นในชั่ววันเดียวด้วยน้ำมือคนเลว”
เห็นความมุ่งมั่นและยินน้ำเสียงจริงจังของหลานสาวแล้ว ปู่ชนะต้องเผยอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไฟฝันและพลังอุดมคติแห่งวัยสาว ประติมากรมองผลงานอันน่าภาคภูมิของตนเช่นไร ท่านก็มองแพตรีด้วยท่าทีเช่นนั้น
“ปรัชญาในการให้ความรู้ ความคิด ความดีงามของหนูเป็นยังไง?”
แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง
“จากที่แพเคยฝึกสอนมาบ้าง ก็พอมองเห็นค่ะว่าเราให้ความรู้ก็เมื่อขณะพูดอยู่ฝ่ายเดียว ให้ความคิดได้ตอนถามหรือโต้ตอบกับพวกเขา ส่วนความดีงาม คงต้องถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาผ่านการกระทำเป็นหลัก”
ปู่ชนะผงกศีรษะน้อยๆ
“แค่เด็กได้ยินเสียงหนูทุกวัน เขาก็รับกระแสความดีไปเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งในใจแล้วล่ะ”
เสร็จจากโต๊ะทานข้าว สองปู่หลานออกมาเดินตากน้ำค้างเล่นในบริเวณทางเดินของเขตบ้าน ชายชราจามเบาๆทีหนึ่งแล้วแหงนหน้ามองดาว บางค่ำคืนท้องฟ้าราตรีแถบชานเมืองก็มีดาวสวยๆพร่างพราวละลานตาให้เพลินพิศ อย่างเช่นคืนนี้เป็นอาทิ
“อายุยี่สิบเอ็ดใช่ไหมแพน่ะ?”
ปู่ถามลอยๆคล้ายแค่ให้การดูดาวไม่เงียบจนเกินไป
“อีกห้าเดือนน่ะค่ะ”
หล่อนตอบเสียงใสด้วยความรู้สึกแบบเด็กน้อยที่อบอุ่นและร่าเริงเมื่ออยู่ใกล้ชิดบิดา คืนนี้กลุ่มดาวนายพรานขึ้นตั้งแต่หัวค่ำ หล่อนติดใจดาวกลุ่มนี้มาแต่ไหนแต่ไร อาจเป็นเพราะปู่ชี้ให้ดูและแนะนำให้รู้จักเป็นกลุ่มแรก มันทำให้หล่อนมีจินตนาการบรรเจิด มีความช่างฝันและรู้จักอารมณ์อ่อนอุ่นที่เกิดจากหัวใจบริสุทธิ์เสมอมา
“พอเรียนจบก็เป็นผู้ปกครองตัวเองได้แล้วสินะ”
ปู่ยังคงพูดในลักษณะเรื่อยเปื่อย ทว่าทำให้หญิงสาวใจหายอย่างประหลาด หล่อนตอบด้วยเสียงเบาและสั่นในอึดใจต่อมาด้วยอารมณ์ที่แปลกเปลี่ยนกะทันหัน
“คงยังไม่ได้มั้งคะ”
“ปู่อยากบวชเสียทีแล้วนะแพ”
แม้จะทอดอ่อนนุ่มนวลเช่นเคย แต่คำประกาศนั้นก็แฝงสำเนียงเป็นงานเป็นการด้วยเจตนาจะให้หลานสาวรับรู้ว่าหล่อนต้องตั้งใจฟังเรื่องสำคัญ แพตรีเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน
“ทุกวันนี้ก็เหมือนบวชอยู่แล้วนี่คะ”
ในที่สุดหล่อนก็เอ่ยคำนั้นออกมาได้เพียงแผ่ว
“ไม่เหมือน...ปู่ยังมีแพเป็นแก้วตาดวงใจ ยังเป็นห่วงหนู อย่างนี้ไปถึงที่สุดไม่ได้หรอก”
แพตรีเม้มปากอยู่ในเงามืด ความเดียวดายและความเงียบเหงาอย่างลึกซึ้งแล่นเข้าจับใจจนเกิดก้อนสะอึก แต่ก่อนจะทวีตัวถึงขั้นแปรเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ชิงตัดอารมณ์เศร้าทิ้ง และแทรกแทนด้วยจิตอนุโมทนาเปี่ยมล้น ที่ทำได้ก็เพราะหล่อนรู้ดีว่ารสธรรมนั้นล้ำเลิศเพียงไหน สมควรที่เวไนยชนจะพึงแสวงและควรรักษาไว้เพียงใด หล่อนต้องดีใจกับปู่ถึงจะถูกที่ท่านกำลังจะได้ครองธรรมอันประเสริฐขั้นสูงสุด
เมื่อจิตอันเป็นกุศลผุดขึ้นชัดเต็มดวง แพตรีจึงยกมือพนมไหว้ไปทางผู้มีพระคุณล้นเกล้า
“แพขออนุโมทนาด้วยค่ะปู่”
“อือม์”
ปู่เอื้อมมือไปลูบศีรษะหล่อนอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่งก่อนกล่าวคำ
“ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียวหรอก อีกไม่นานแพก็จะมีครอบครัวของแพเอง มีคนที่แพจะรักและรักแพแทนปู่ มีลูกหลานที่จะทำให้แพต้องวุ่นวายดูแล”
“คงไม่หรอกค่ะ” หล่อนตอบปู่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าปู่บวชแพก็จะบวชชีตาม และเพื่อความสบายใจไม่เป็นห่วงใยซึ่งกันและกัน แพจะบวชให้ไกลจากที่ที่ปู่อยู่ ไม่มาพบปู่อีกเลยชั่วชีวิต”
ปู่ชนะเหลือบตามองสาวน้อยใกล้ตัวแล้วหัวเราะหึๆ ซ่อนแววรู้เห็นเช่นผู้ใหญ่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวไว้ในเงามืด
“จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ”
ชายชรากับหลานสาวทอดเท้าเดินต่อเอื่อยๆ แว่วเสียงหรีดหริ่งเรไรจากรอบด้านกลางความสงัดเงียบของค่ำคืน ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดอีก หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น แต่อย่างไรก็กลั้นไม่อยู่ ต้องก้มหน้าร้องไห้ออกมาจนได้
บทที่ ๓ คู่บุญ
แพตรีจัดของสังฆทานใส่ถัง เตรียมตัวไปทำบุญกับปู่ที่วัดทางนฤพาน นั่นเป็นสิ่งที่หล่อนกับท่านปฏิบัติอยู่เป็นนิจศีล อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง นอกเหนือจากการใส่บาตรพระทุกเช้าซึ่งเป็นกิจวัตรของหล่อนอยู่แล้ว
เสร็จจากการจัดของ หญิงสาวก็เดินออกไปหน้าปากซอยเพื่อเรียกแท็กซี่มาขนของและรับปู่ เดิมทีบ้านนี้มีรถเก่าของปู่ให้หล่อนขับไปไหนมาไหน แต่เพราะถึงอายุขัย จึงเพิ่งขายไปเมื่อเร็วๆนี้เอง
บอกโชเฟอร์รอหน้าบ้านแล้วขึ้นเรือนเพื่อบอกปู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“แท็กซี่มาแล้วนะคะ”
บอกเสร็จก็ต้องชะงักด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นปู่ยังอยู่ในชุดเสื้อนอนคอกลมกางเกงแพรบนเก้าอี้โยก ท่านยิ้มตอบ พยักหน้านิดหนึ่ง
“หนูไปเถอะ” ปู่บอกง่ายๆ “ลองไปคนเดียวดูบ้าง”
หญิงสาวยืนงงอย่างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ที่สุดก็ถามเสียงแผ่ว
“ทำไมล่ะคะ?”
ปู่เอนหลังหลับตาและโยกเก้าอี้เฉย หญิงสาวมองผู้อุปการะตนมาด้วยความไม่เข้าใจพักใหญ่ แต่แท็กซี่ที่กำลังรอก็ทำให้หล่อนไม่อาจยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นได้นาน จำต้องก้มหน้าก้มตาหิ้วถังสังฆทานสองใบแรกลงเรือนไปใส่ท้ายรถที่เรียกมา แล้วกลับขึ้นมาอีกครั้งเพื่อขนสองถังที่เหลือตามลำพัง
แต่ขณะจะดึงหูหิ้วของถังเข้ามือ ปู่ก็เรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว…หนูช่วยชงชาให้ปู่ก่อนนะแพ”
แพตรีต้องประหลาดใจอีกคำรบ ย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยรั้งหล่อนด้วยธุระเล็กน้อยเช่นนี้เลย ทว่าก็ก้าวไปจัดแจงชงชาตามคำสั่ง ทั้งที่พะวงกับการคอยของคนขับแท็กซี่ หล่อนทำอย่างค่อนข้างเร่งรีบ พอเสร็จก็วางบนโต๊ะข้างเก้าอี้โยกของปู่เรียบร้อย แต่เมื่อจะหยิบถังปู่ก็เรียกไว้อีก
“ปู่อยากดูตารางอะไรในหนังสือพิมพ์ฉบับวันศุกร์ที่ยี่สิบของเดือนก่อนหน่อย แพช่วยลงไปเอาจากกองมาให้ปู่ทีนะ เช้านี้แข้งขาขัดชอบกล ไม่อยากขึ้นลงบันได”
หญิงสาวชักนึกโมโห แต่พอรู้ตัวก็รีบสะกดลงอย่างรวดเร็ว เม้มปากเดินลงบันไดไปค้นหนังสือพิมพ์จากห้องเก็บของ ต้องเสียเวลาพอควรเนื่องจากถูกซ้อนไว้หลายชั้นด้วยความที่ไม่นึกว่าจะต้องรื้อกลับใช้อีก หล่อนหาอย่างตั้งใจจนพบ ตลอดมานับแต่จำความได้ปู่ไม่เคยสั่งอะไรไร้เหตุผลผิดกาลเทศะ คิดว่าท่านคงมีความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่
พอขึ้นเรือนวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะข้างปู่เสร็จก็ทำท่ากระวีกระวาดเป็นพิเศษ ฉวยถังได้รีบก้าวลงบันไดราวกับแมวกระโจน ด้วยเกรงจะได้ยินเสียงปู่ทักรั้งเอาไว้อีก แล้วก็โล่งอกที่ออกมาถึงหน้าบ้านจนได้
เมื่อเช้ามืดฝนหลงฤดูตกลงมาปรอยปราย อากาศจึงยังโปร่งเย็นชุ่มชื่นแม้จะล่วงเข้าแปดโมงครึ่งแล้ว แพตรียิ้มให้คนขับแท็กซี่แทนการขอโทษที่ทำให้ต้องรอนาน พอเห็นยิ้มของหล่อนเท่านั้น หน้าตาที่เริ่มจะบูดบึ้งของชายร่างอ้วนใหญ่ก็ดูผ่อนคลายลง แถมเดินมาช่วยยกถังใส่ท้ายรถให้อีก
วางถังสุดท้ายเข้าที่ ยังไม่ทันปิดฝากระโปรง หางตาแพตรีก็เห็นเงารถคันหนึ่งโฉบเข้ามาเทียบรั้ว ต่อท้ายแท็กซี่ ประตูด้านคนขับเปิดปับ เงาร่างสูงของชายคนหนึ่งโผล่พรวดออกมายืนเด่น
“จะไปไหนหรือฮะแพ?”
หญิงสาวมองหน้าเขา น้ำเสียงค่อนข้างกระตือรือร้นกับนัยน์ตาสีเหล็กที่จ้องจับเขม็งทำให้หล่อนหน้าขึ้นสีชมพูนิดหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวก็จางไป เหลือไว้แต่ความสงบและรอยยิ้มเย็นของคนมีความสุขอยู่กับตัวเอง
“ไปทำสังฆทานค่ะ” แล้วหล่อนก็เบือนหน้าไปทางตัวบ้าน “คุณปู่อยู่ข้างบนแน่ะค่ะ”
เกาทัณฑ์ชักกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงยีนส์ ดึงธนบัตรใบละร้อยออกมาจากร่องเก็บยื่นให้คนขับแท็กซี่หน้าตาเฉย
“เอาไปเลยลุง เดี๋ยวฉันพาน้องสาวไปเอง”
พอมอบเงินซึ่งแน่ใจว่าเกินเลขมิเตอร์เสร็จก็ไปเปิดกระโปรงท้ายรถของตน แล้วหันมากุลีกุจอหยิบยกถังสังฆทานโยกย้ายถ่ายเทเป็นการด่วน แพตรีเบิกตามองอย่างสุดทึ่ง ได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกสักคำ
จนธุระถ่ายเทเรียบร้อย แท็กซี่วิ่งหายลับตาไป และเกาทัณฑ์ปิดกระโปรงท้ายแล้วนั่นแหละ ถึงได้มายืนสบตากันนิ่ง สายตาหญิงสาวไม่เชิงไม่พอใจ ทว่าก็มิได้ส่อแววยินดี หรือมีการกล่าวขอบคุณแต่ประการใด ต่างเป็นตรงข้ามกับสายตาของชายหนุ่ม ที่เปล่งประกายยินดีปรีดาจัดจ้า
“ไปกันเถอะฮะ”
เกาทัณฑ์อมยิ้ม เดินไปเปิดประตูด้านซ้ายและทำหน้าใสค้อมตัวให้ล้อๆราวกับข้าราชบริพารรอเสด็จ ดูเหมือนรู้จักมักจี่สนิทสนมกับหล่อนเสียเต็มประดา หญิงสาวยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง เขาอาศัยความเป็นหลานปู่ถือสนิทช่วยเหลือเยี่ยงคนในครอบครัว หล่อนไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ แม้กระอักกระอ่วนใจอย่างยากจะกล่าว ที่สุดคือต้องยอมเดินไปขึ้นรถเนือยๆ
เมื่อเห็นหล่อนลงนั่งเรียบร้อย เกาทัณฑ์ก็ปิดประตูให้ แล้วเดินอ้อมหน้ารถมาทางด้านคนขับ รอไว้สนิทกันมากกว่านี้หน่อย จะบอกว่าพิธีเปิดปิดประตูรถให้สาวตามธรรมเนียมรุ่นปู่นี้ เขาเพิ่งปฏิบัติกับหล่อนเป็นคนแรก
“ไปวัดไหนฮะ?”
ชายหนุ่มกดปุ่มหรี่เครื่องเสียงถาม หญิงสาวนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน ใจกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดจึงประจวบเหมาะเหลือเกิน ปู่ไม่ยอมไปกับหล่อนอย่างเคย ส่วนเขาคนนี้ก็เผอิญมาแทนพอดี จนเมื่อเกาทัณฑ์ถามซ้ำ แพตรีจึงตอบเบาๆ
“วัดทางนฤพานค่ะ”
คนขับร้องอ๋อ เพราะคราวก่อนแวะเข้ามาก็ด้วยความอยากจะเห็นวัดชื่อสะดุดหูสะดุดตาแห่งนี้เอง ทว่าขากลับจากบ้านปู่ดันลืมไปเสียสนิท เนื่องจากมัวแต่เหม่อลอย ใจถูกใบหน้าสวยหวานครอบงำจนความคิดอ่านเตลิดเปิดเปิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว
เกาทัณฑ์ออกรถเชื่องช้า ท่าทางมีความสุขอย่างล้นเหลือกับการถ่วงเวลาอยู่กับหล่อนให้นานที่สุด
“ทำบุญเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”
แพตรีมองตรงไปเบื้องหน้า ทอดจังหวะเล็กน้อยก่อนตอบ
“ทำกับปู่ทุกเดือนค่ะ ไม่ใช่โอกาสพิเศษ”
“อ้อ” ทำทีรับรู้และเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วก็ทักว่า “อ้าว...แล้วปู่ล่ะครับ วันนี้ไม่ออกมาด้วยหรือ?”
ชะลอรถลงมองกระจกหลัง นึกว่าตนเองทิ้งปู่ไว้ที่บ้านโดยไม่เจตนา
“คงต้องการพักผ่อนมั้งคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่ติดใจ
“ผมเองกำลังนึกๆอยากทำบุญอยู่พอดี สบโอกาสเลย ขอร่วมด้วยคนนะ รังเกียจหรือเปล่าฮะนี่?”
หันมาดูท่าที เห็นหล่อนเงียบเหมือนปล่อยให้คิดเองอย่างคลุมเครือ จึงรีบเบี่ยงประเด็น
“ดีนะ ปู่ยังแข็งแรงอยู่เลย โชคดีที่มีแพดูแลอย่างนี้”
เกาทัณฑ์หักเลี้ยวขวา ทางต่อจากนั้นค่อนข้างขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อจนต้องชะลอความเร็วลงวิ่งแค่เกียร์ต่ำ เลื่อนมือไปเปลี่ยนเพลง เลือกหมายเลขที่ตรงกับอัลบั้มโรแมนติกจากซีดีเชนเจอร์ เพิ่มเสียงขึ้นเล็กน้อยอวดความนุ่มลึกของชุดเครื่องเสียงราคาแพงที่เขาภาคภูมินักหนา ทุกสิ่งดูสดใสชวนกระหยิ่มยิ้มย่องไปหมดในสายตายามนี้
“คุณปู่กับแพคงศรัทธาพุทธศาสนามาก ท่าทางใจบุญด้วยกันทั้งคู่ นี่ผมคุยกับปู่แล้วได้ซึมซับอะไรมาเยอะ ค่อยตาสว่างเห็นธรรมกับเขาบ้าง”
คลื่นความไม่จริงใจที่แฝงมากับน้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้แพตรีผินหน้าเมินออกข้างทางและรักษาความเงียบไว้ เกาทัณฑ์รู้สึกถึงความห่างเหินที่หล่อนจงใจก่อ เขาซ่อนยิ้ม ยังดูไม่ออกทะลุปรุโปร่งว่าหล่อนเป็นผู้หญิงอย่างไรกันแน่ เขาเคยชินกับอาการเล่นตัวของผู้หญิงสวยมามากต่อมาก หากแต่สัมผัสใจพวกหล่อนได้เสมอว่าแท้จริงแล้วอยากให้เขาอ้อนหนักๆเท่านั้นแหละ
ทว่าสำหรับหลานปู่คนนี้ เวลานี้ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดหรือพะวงอะไรอยู่สักอย่างมากกว่าจะวางมาดเพราะเห็นเขาแสดงท่าทีอยากตีสนิท
เมื่อมีโอกาสใกล้ ก็ยิ่งเห็นเป็นสิ่งแปลกและท้าทาย หล่อนเยือกเย็นอย่างชนิดที่เข้าใกล้แล้วมีความสุขประหลาด กับหญิงอื่นนั้น ความปรารถนาอันเป็นที่สุดเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังก็คือการได้เข้าไปค้นหารายละเอียดในเรือนร่างของพวกหล่อนตามวิสัยชาติเจ้าชู้ แต่กับสาวน้อยนางนี้ น่าฉงนนักที่ความปรารถนานั้นไม่ปรากฏแก่ใจเลย ความดึงดูดที่เกิดเป็นอีกแบบแตกต่างออกไป เหมือนก่อร่างอันผาสุกสงบขึ้นแทนตัวตนเดิม คล้ายเป็นอีกภาคหนึ่งที่ปรากฏขึ้นรองรับภาวะเคียงคู่กับหล่อนโดยเฉพาะ เป็นสัมผัสกระจ่างชัดจากภายในอยู่ตลอดเวลา มิใช่เพียงคิดไปเองชั่วครู่ด้วยอารมณ์หลง
ความนิ่งด้วยสติกับรัศมีอาภาพิเศษชนิดนั้นของหล่อน ทำให้อยากศึกษา อยากค้นหาว่าหล่อนรู้อะไร และคิดอย่างไรบ้าง
“นอกจากอยู่กับต้นไม้แล้ว แพชอบทำอะไรอีกฮะ?”
เกาทัณฑ์ถามอย่างแน่ใจสนิทว่าคำถามนั้นคงไม่ทำให้หล่อนประดักประเดิด เพราะดูออกว่าหล่อนไม่ใช่ประเภทบังอรเอาแต่นอน
“แล้วแต่โอกาสค่ะ”
คำตอบของหล่อนคล้ายหลีกเลี่ยงที่จะตอบตามตรง
“ถ้าเดาไม่ผิดแพคงชอบนั่งสมาธิทั้งวัน”
เขาเสี่ยงทายดูเล่นๆ แต่หล่อนก็งดที่จะเฉลยว่าผิดหรือถูก
“สมัยเรียนมัธยมปลายผมเคยฝึกสมาธิกับเขาเหมือนกัน มีพวกไปสอนนักเรียนเป็น
กลุ่ม ว่ากันว่าเป็นเทคนิคที่ได้ผลมาก แต่เสียดายผมนั่งแบบนั้นแล้วเกิดพลังจิตมากไปหน่อย ถึงขั้นเอาหัวไปโขกโป๊กกับเพื่อนข้างๆ ตาเหล่ทั้งคู่”
กะพูดให้ขำ แต่พอหันไปเห็นหล่อนเฉยสนิทเป็นเทวรูปก็เลยต้องอ้าปากหัวเราะเองแก้เก้อ ชักแน่ใจว่าหล่อนกำลังขุ่น เหตุอาจด้วยการจุ้นถือสนิทเกินงามของเขากระมัง แต่ก็ช่างเถิด มีปู่เป็นสะพานเชื่อมอยู่ทั้งคน ถือว่าเขามีศักดิ์เป็นพี่ในครอบครัวเดียวกันเสียอย่าง จีบสาวครั้งนี้เหมือนมีเรี่ยวแรงกำลังวังชาล้นเหลือ เชื่อแน่ว่าต่อให้ต้องเพียรเป็นปีก็ทำได้สบายมาก
แทนการชวนคุยต่อ ชายหนุ่มทำเป็นฮัมเพลงตามเสียงจากลำโพงซึ่งกำลังกระจายคลื่นความไพเราะเสนาะโสตอยู่รอบทิศ หวังว่าท่าทีผ่อนคลายสบายใจของเขาจะทำให้หล่อนเกิดความสนิทใจขึ้นบ้าง สำหรับเขาแล้ว แม้หล่อนทำทีขรึมอย่างนี้ ก็ยังให้ความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก เย็นรื่นชื่นใจจนยิ้มอยู่คนเดียวก็ยังได้
กระซิบกับตนเองว่ามาพบใครบางคนที่มีความหมายกับเขาเหลือเกิน เรื่องจะให้เขาท้อง่ายๆนั้น อย่าหวังเลย
“เลี้ยวขวาค่ะ”
หญิงสาวบอกเตือนค่อนข้างดังเมื่อเห็นเขาขับเพลินจนเลยซอยแยก ความจริงเกาทัณฑ์เห็นป้ายชี้ทางไปวัดอยู่แล้ว แต่แกล้งทำเป็นวิ่งเลยเพื่อให้หล่อนเปิดปากพูดเสียบ้าง ซึ่งเมื่อหล่อนทักตามคาดก็เหยียบเบรกพรืด เข้าเกียร์ถอยหลังยิ้มๆคล้ายเพิ่งตื่นจากเหม่อ
“วัดทางนฤพาน...” เขาพึมพำขณะส่งสายตาพินิจป้ายไม้เก่าคร่ำคร่า “ผมสะดุดตากับป้ายบอกหน้าซอยมาตั้งแต่ครั้งที่เคยมาเยี่ยมปู่เมื่อหลายปีก่อนโน้น อยากเห็นมานาน คราวที่แล้วว่าจะเข้าไปดูเสียหน่อยก็ลืม”
รถวิ่งไปตามทางซึ่งดีกว่าเดิมอีกราวสองร้อยเมตรก็ถึงรั้ววัด เกาทัณฑ์หักหน้ารถคลานเข้าไปอย่างแช่มช้า กดสวิทช์ปิดเครื่องเสียงลง คิดว่าหล่อนคงพอใจหากเห็นเขาให้ความเคารพต่อสถานที่ ยิ้มมุมปากหน่อยๆเมื่อเห็นตนเองห่วงใยความรู้สึกหล่อนแม้เล็กน้อยขนาดนี้
บอกตนเองว่าวัดนี้คงไม่มีพระเด่นๆให้คนศรัทธาเท่าไหร่ สังเกตได้จากโบสถ์และกุฏิพระที่วิ่งผ่านล้วนแล้วแต่เก่าแก่ไม่แจ่มตาแจ่มใจเหมือนวัดดังซึ่งมีเศรษฐีมาขึ้นกันเยอะ พูดง่ายๆคือดูหรูน้อยกว่าที่ควรจะสมชื่อแปลกน่าเลื่อมใส แต่สิ่งน่าชอบใจอย่างหนึ่งคือความร่มรื่นของแมกไม้น้อยใหญ่ซึ่งดกดื่นอยู่ทั่วบริเวณนับแต่ทางเข้าเป็นต้นมา ทำให้อารมณ์เย็นและอยากทำบุญทำกุศลได้เหมือนกัน
“นฤพานนี่อย่างเดียวกับนิพพานหรือเปล่านะแพ?”
ถามขอความรู้จากหล่อน แพตรีรับว่า
“ค่ะ ความหมายเดียวกัน นิพพานเป็นคำนามบาลี นฤพานเป็นคำนามสันสกฤต โบราณบางแห่งใช้นิรพาณหรือนิรวาณก็มี”
เกาทัณฑ์ปรายตาแลหญิงสาวข้างกายแวบหนึ่ง หล่อนเป็นคนรู้จริงในเรื่องที่สนใจ และเขาเริ่มพบว่าถ้าเข้าเรื่องธรรมะ หล่อนจะตอบยาวกว่าปกติ ก็วกถามอีก
“ถ้าจำไม่ผิด นิพพานแปลว่า ‘เย็น’ ถูกไหม?”
หญิงสาวมีทีท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง ก่อนตอบคล้ายระวังอยู่ในทีว่า
“คำแปลตามพจนานุกรมคือ ‘ความดับกิเลสและกองทุกข์’ ความหมายอื่นแม้มีอยู่โดยเดิมก่อนหน้า ก็ไม่ใช่พุทธประสงค์ที่ตรงแท้...จอดใต้ต้นไม้นี่ก็ได้ค่ะ”
เกาทัณฑ์เบนหน้ารถไปจอดตามที่หล่อนบอก แต่ยังไม่ดับเครื่อง อย่างจะขอคุยต่อในรถอีกสักครู่
“หลังคุยกับปู่เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมพยายามจับจุดหลักของพระศาสนาเรา จะเข้าใจผิดไปไหม ถ้าสรุปคือท่านว่าหมดความรู้สึกในตัวตน หมดอาลัยไยดี เลิกดิ้นรนแสวงหาอะไรๆทั้งปวง ก็คือถึงที่สุด ขึ้นชื่อว่าดับทุกข์ลงได้”
“ค่ะ”
“ผู้คนทั้งหลายต่างพอใจอยู่กับความสุข ความมีตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งในโลก ถ้านิพพานคือหนีโลก ก็คงหาคนอยากไปได้น้อยเต็มที น่าจะสมัครใจทุกข์บ้างสุขบ้างตามประสาคนตาฝ้าฟางเสียมากกว่า อาจกล่าวได้ว่าศาสนาเราเป็นศาสนาสำหรับชนหมู่น้อยสินะ”
พูดโดยมีเจตนายั่วให้แย้ง หางตาเห็นหญิงสาวหันมองเขา อึดใจนั้นคล้ายหล่อนอยากโต้ตอบ แต่แล้วก็ตัดสินใจเงียบ เปิดประตูก้าวลงจากรถไปรอเขา เกาทัณฑ์ดับเครื่อง ดึงคันโยกข้างเบาะเปิดกระโปรงท้ายรถแล้วก้าวตามลงมา เมื่อเดินมาใกล้ก็เห็นหล่อนยืนเม้มปากนิดๆอย่างคิดอะไรอยู่
“เคยถวายสังฆทานไหมคะ?”
หญิงสาวเงยหน้าถาม ชายหนุ่มสั่นศีรษะ
“เคยแต่ใส่บาตรพระตอนเช้าฮะ อ้อ ตอนทำบุญขึ้นบ้านใหม่กับเลี้ยงพระวันแต่งงานเพื่อนอย่างนี้ถือว่าใช่สังฆทานหรือเปล่า?”
หญิงสาวตัดบทว่า
“ธรรมเนียมของที่นี่พระท่านจะให้ญาติโยมกล่าวถวายกันเอง ถ้าท่องไม่ได้ก็คงต้องขอหนังสือมนต์พิธีจากท่าน”
เกาทัณฑ์เลิกคิ้วอย่างพอจะนึกออกถึงพิธีกรรมในการถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ตามที่เคยเห็นมา
“แพกล่าวนำให้ผมก็ได้นี่”
แพตรีส่ายหน้า
“คงไม่เหมาะหรอกค่ะ”
ชายหนุ่มมองหน้าหล่อนด้วยแววใสแบบที่ปนด้วยอารมณ์ขบขัน หัวเราะออกมาหน่อยหนึ่งอย่างเข้าใจ หล่อนถูกถนอมเลี้ยงดูมาโดยปู่ซึ่งเป็นชายที่น่าเคารพนับถือ กับทั้งอยู่ในกรอบของธรรมเนียมนิยมสมัยเก่า จึงอาจติดความคิดประเภทชายเท้าหน้า หญิงเท้าหลังอยู่
“งั้นเอางี้ ไม่ต้องรบกวนพระท่านยุ่งหยิบหนังสือหรอก แพลองบอกผมซิ ท่องสดๆตอนนี้เลย เผื่อจะจำได้”
แพตรีเห็นแววเชื่อมั่นพอดีๆในตาญาติหนุ่มแล้วก็ทดลองบอกให้ทีละช่วง
“อิมานิ มะยังภันเต สังฆทานิ สะปะริวารานิ...”
เกาทัณฑ์มองตาหล่อนแน่วและท่องตามยิ้มๆ
“ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโนภันเต ภิกขุสังโฆ...อิมานิ สังฆทานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ...อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ”
เขาสามารถว่าตามโดยไม่สะดุดหลุดแม้แต่คำเดียว แถมพอแพตรีบอกจบทั้งหมดก็ทวน
ใหม่ให้ฟังตั้งแต่ต้น ถูกต้องบริบูรณ์หาที่ติไม่ได้จนหล่อนต้องจ้องมองอย่างสงสัยครามครันว่า
เขารู้อยู่แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้หรือเปล่า
“ตอนเป็นประธานนักเรียนสมัยอยู่มัธยมผมเคยนำนักเรียนสวดมนต์ตอนเช้าและตอนพิธีไหว้ครูฮะ ท่องจำบาลีนี่งานถนัดเก่า”
สุ้มเสียงของเกาทัณฑ์ออกโอ่หน่อยๆ แพตรีกะพริบตาเนิบช้า
“หลังจากนั้นให้กล่าวแปลด้วยนะคะ” แล้วหล่อนก็ว่ารวดเดียวจบไม่พักวรรค “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย สังฆทาน กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ สังฆทานกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญ อ้อแล้วตอนต้นต้องว่านะโมฯสามจบก่อนด้วย”
พูดจบก็มองเขานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละไมและหัวเราะหึๆ รู้ว่าหล่อนไม่เชื่อว่าเขาเพิ่งท่องได้ ถึงกับแกล้งบอกคำแปลเสียเร็วจี๋ แถมไม่เว้นช่วงให้เขาลองท่องตามอย่างนี้
“จำได้ไหมคะ?”
เกาทัณฑ์กระแอมทีหนึ่ง ลองตั้งต้นทวนให้หล่อนฟังทั้งบาลีและไทย ที่จริงเขาจำได้
ทะลุปรุโปร่ง แค่นี้สบายๆอยู่แล้ว แต่บางทีคุณภาพหน่วยความจำดีเกินเหตุก็พานพาความเข้าใจผิดมาหาตนได้ง่ายๆ เขาจำต้องแกล้งทำเป็นลืมนั่นนิดนี่หน่อยพอลบแววคลางแคลงออกจากดวงตาคู่งาม ไม่เป็นการดีหากหล่อนจะมองว่าเขาพูดจาโกหกเพื่ออวดเก่งกล้าสามารถเอาโก้
พอซักซ้อมจนเห็นเขาขึ้นใจดี แพตรีก็หยิบถังสองใบออกมา เกาทัณฑ์หยิบที่เหลือตามก่อนปิดท้ายรถ จากนั้นก็เดินคู่กันไปตามทาง
มีชาวบ้านเดินสวนมาสองคน คงรู้จักหญิงสาวดีจึงทักทายและยิ้มแย้มให้ แถมปรายตาช่างสังเกตมาทางเขาเป็นพิเศษ เขาเห็นหล่อนยิ้มตอบพอเป็นพิธีแล้วก้มหน้าเหมือนจะหลบหน่อยๆ เห็นแก้มแดงเรื่อที่สุดซ่อน เกาทัณฑ์จึงถึงบางอ้อว่าการสอดมือเข้ามายุ่มย่ามกับการทำบุญของหล่อนให้ผลเช่นไร
แต่แรกเพียงต้องการช่วยเหลือหล่อนให้ได้รับความสะดวกเป็นหลัก ไม่ทันคิดว่าจะทำให้คนละแวกบ้านหล่อนเข้าใจภาพที่ปรากฏผิดไป การทำบุญร่วมกันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวนั้นพิจารณาด้วยสามัญสำนึกไทยๆได้สถานเดียวคือเป็นคู่รักกัน หรือหนักกว่านั้นหน่อยก็คือเป็นสามีภรรยาไปเลย ใครจะคิดเล่าว่าเพิ่งคุยกันแค่สองคำแล้วจะมาทำสังฆทานร่วมกันได้อย่างนี้
หล่อนคงอาย แต่ช่างปะไร เขายืดอกกระหยิ่มยิ้มย่องผ่องใส ภูมิอกภูมิใจอย่างล้นเหลือกับการเดินเรียงเคียงหล่อนคนนี้ จะเพื่อความรู้สึกดีๆของตัวเองหรือเพื่อให้ชาวบ้านอิจฉาตาร้อน ล้วนแล้วแต่ใช่ทั้งนั้น
กุฏิเจ้าอาวาสเป็นเรือนไม้เก่า แต่ก็ท่าทางแข็งแรงยากจะผุพัง แพตรีนำชายหนุ่มขึ้นบันไดไปนั่งที่ชานเรือน ท่านสมภารกำลังคุยอยู่กับญาติโยมสองสามคน ในความสังเกตของเกาทัณฑ์ ท่านเป็นคุณตาใจดี ไม่ใช่ผู้คงแก่เรียน ไม่ใช่ผู้คงแก่วิชาอาถรรพณ์ และไม่ใช่แม้แต่คนสูงอายุที่ยังมีหลังตรงกับสติตั้งได้สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างปู่ชนะ ดูจากสายตากับอาการพูดจากับญาติโยมแล้ว เขาว่าคงอยู่ในช่วงว่างสบายของชีวิต ท่าทางอาจชอบคุยถึงอดีตอันฟุ้งเฟื่องมากกว่าสวดมนต์หรือทำกิจอื่นของสงฆ์
พอหันมาเห็นหญิงสาวที่เพิ่งเข้านั่งพับเพียบต่อท้ายญาติโยมอื่น ท่านก็ทักว่า
“ว่าไงหนูแพ ปู่ไม่ได้มาด้วยเหรอ แล้วเอาใครมาด้วยล่ะนั่น?”
“ปู่พักผ่อนเจ้าค่ะ”
แพตรีตอบคำถามท่านแค่ครึ่งเดียว ครึ่งหลังเงียบเสีย เกาทัณฑ์ได้ยินสมภารหัวเราะยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวเราะอะไร คนแก่บางทีได้ยินใครบอกว่าเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ก็หัวเราะแล้ว
ครู่หนึ่งท่านสมภารตะโกนสั่งพระลูกวัดให้นิมนต์พระสี่รูปแล้วหันกลับมาคุยกับญาติโยมชุดเก่าต่อ พอจับความได้ว่ากำลังสนทนาเรื่องพระลูกชายของโยมซึ่งมาบวชที่นี่ มีการถามไถ่ทำนองว่าอยู่ดีมีสุขหรือไม่ ปฏิบัติกิจของสงฆ์บกพร่องอย่างไรรึเปล่า ซึ่งก็ดูท่านสมภารจาระไนตามสะดวกว่าพระลูกชายสุขสบายทุกประการ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน บิณฑบาตได้ข้าวฉันอิ่มทุกมื้อ ปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างขยันขันแข็ง ไม่เอาแต่ง่วงเหงาหาวนอนหรือปูเสื่อฉันของถวายตลอดเช้าสายบ่ายค่ำ
เกาทัณฑ์ฟังแล้วคิดว่าคงเป็นการสนทนาแบบขอให้เสร็จไปทีเพื่อเอาใจผู้เป็นพ่อแม่ จริงๆท่านคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระรูปที่ถูกกล่าวถึงนั่นเท่าไหร่ สังขารท่านเป็นแบบนี้จะให้ลุกไปสำรวจพระลูกวัดทั่วๆได้อย่างไร
พอพระสี่รูปที่ถูกนิมนต์ทยอยขึ้นมาบนกุฏิจนครบ ญาติโยมชุดเก่าก็เห็นสมควรแก่กาล ควรกราบลาไปเยี่ยมพระลูกชาย ทำให้เกาทัณฑ์นึกในใจว่าพวกนี้แปลก แทนที่จะเยี่ยมลูกก่อนเพื่อดูเอาเองกับตาว่าอยู่ดีมีสุข เอกเขนกสบายอารมณ์บนกุฏิหรือปฏิบัติตนสมสมณะวิสัย กลับมาหาสมภาร ถามสมภารแทน อย่างนี้ก็มีด้วย ทำราวกับท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์ บอกได้ดีกว่าตนเองไปเห็นด้วยตาเปล่า
คงอีหรอบเดียวกับที่เขาเคยรู้จักมาบ้าง ประเภทผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในวัยรุ่นผิดพลาด เสียผู้เสียคนไปพักหนึ่ง พ่อแม่จับบวชล้างมลทิน หวังว่าห่มผ้าเหลืองแล้วตัวจะกลายเป็นทองขึ้นมาทันตา เกาทัณฑ์แอบแค่นยิ้มเยาะว่าแค่เครื่องแบบจะช่วยอะไรได้ จนถึงยุคนี้ ป่านนี้ ยังเชื่อกันอยู่อีกหรือว่าผ่านการบวชหมายถึงเข้าเตาชุบหรือเตาหลอม ออกมากลายเป็นชายเต็มตัว กลัวการทำบาป หันมาเป็นคนดีแท้ได้ชนิดสำเร็จรูป
พระที่ขึ้นมาล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยหนุ่ม มีอยู่รูปหนึ่งเท่านั้นที่ท่าทางจะเลยสี่สิบ เขาไม่ได้พิจารณาละเอียดนักว่าดูดีมีสกุลแค่ไหน นั่นเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของคนเรา คือจะไม่พิจารณาสิ่งที่รู้สึกแต่แวบแรกว่าอยู่คนละระดับกับตน หรือถ้าพิจารณา ก็ให้คะแนนติดลบไว้ก่อน
เมื่อพระมาปูอาสนะและเข้าที่นั่งเรียบร้อย แพตรีก็พยักหน้าให้เกาทัณฑ์ช่วยหล่อนนำถังไปวางไว้ตรงหน้าพระแต่ละรูป ชายหนุ่มกระตือรือร้นขึ้น เมื่อเห็นกิริยาแววไวสละสลวยดูแนบเนียนชวนมองเพลินของแพตรี จะเป็นยามที่หล่อนหยิบยกถังไปวางข้างหน้าตักพระ หรือเป็นยามที่ดึงกายกลับมานั่งสำรวม ทุกการเคลื่อนไหวสะท้อนให้เห็นจิตใจอันเปี่ยมด้วยความเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาเหนือเกล้า
อย่างนี้เองกระมังลักษณะของผู้แช่มชื่นในงานบุญ เขาสัมผัสถึงความอ่อนโยนมีชีวิตชีวาอีกแบบหนึ่งในใจตนเอง และชั่วขณะที่ช่วยหล่อนนำถังไปวางเข้าที่ ก็เริ่มซึมซับทีละน้อยว่าการทำบุญ ‘ร่วมกัน’ นั้นเป็นอย่างไร มันเหมือนมีแรงสองแรงเสมอกันผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว ปราศจากความแบ่งแยกสักน้อย แม้กายก็ปรากฏต่อหางตาเป็นปฏิภาค เป็นคู่ตรงข้ามที่เคลื่อนไหวกลมกลืน เหมือนรับกันสนิทในที
พอเสร็จสรรพหญิงสาวก็นั่งคุกเข่าเทพธิดาทางขวามือของเขา ขมุบขมิบปากให้เขาดูเป็นรูป ‘นะโมฯ’ อย่างบอกเป็นนัยให้ขึ้นนะโมฯพร้อมกันเพื่อเริ่มถวายสังฆทาน เกาทัณฑ์คุกเข่าเทพบุตร เปล่งเสียงเริ่มกล่าวถวายด้วยท่าทีเชื่อมั่นและเป็นสุขไปพร้อมกันกับหญิงสาวผู้อยู่เคียง
เสียงชายหญิงที่ร่วมกิริยาบุญคล้ายสายใยแก้วบางใสที่ถักทอร้อยรัดใจเข้าหากัน เกาทัณฑ์ประจักษ์ในความชุ่มชื่นชนิดนั้น หัวใจของเขาสะอาดใสขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจนน่าแปลกใจว่าตนอาจนึกเมตตาเอ็นดูผู้หญิงสักคนอย่างบริสุทธิ์ใจได้ปานนี้ บริสุทธิ์ชนิดที่ยินดีช่วยเหลือหรือเสียสละให้หล่อนทุกอย่างแม้พลาดจากการร่วมครองคู่กัน…
พลาดจากการร่วมครองคู่กัน
ชั่วขณะนั้น แค่คิดก็ทนไม่ได้แล้ว…
พอเสร็จจากการกล่าวถวาย ทั้งสองก็ช่วยกันประเคนคนละสองถัง เกาทัณฑ์สังเกตเห็นพระรับประเคนแพตรีด้วยผ้าแทนที่จะรับด้วยมือเปล่า หลังๆเห็นพระหนุ่มรุ่นใหม่ใช้มือรับของจากสีกากันเป็นแถว เมื่อพิจารณาแล้วเพิ่งเกิดความรู้ใหม่ว่าแม้การส่งของให้แก่กันก็ก่อความรู้สึกผูกพันฉันหญิงชายได้ ถึงต้องมีกฎมีระเบียบให้ใช้ผ้ารับแทนเป็นการกีดขวางความรู้สึกดังกล่าว เมื่อชายรับของจากหญิงด้วยวิธีนี้บ่อยเข้า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะยาวก็คือความมีใจเหินห่างและเห็นเป็นสิ่งต้องห้าม สายตาช่างวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาบอกเขาเช่นนั้น
พระทั้งหมดดูสำรวมจนแปลกตา ราวกับหมู่ทหารที่พร้อมกันอยู่ในกรอบระเบียบวินัยชั้นสูง ผ่านหลักสูตรอบรมขัดเกลาอันทรหดมาแล้ว พวกท่านไม่ชำเลืองมองแพตรีเลยแม้ด้วยหางตา เกาทัณฑ์ลอบสังเกตเกือบตลอดเวลา และชักนึกเลื่อมใสพระที่นี่ วัดนี้ต้องมีอะไรดีบางอย่างเป็นแน่ แต่ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ว่าท่านสมภารจะเป็นหมุดใหญ่ที่ตรึงทุกอย่างให้อยู่นิ่ง ดูท่านไม่น่ามีบารมีพอจะเข้มงวดกวดขัน ปลูกสำนึกให้บรรดาหนุ่มทั้งหลายกลายเป็นพระจริงพระแท้แบบโบราณกาลไปได้
ประเคนเรียบร้อยแพตรีก็เลื่อนเต้ากรวดน้ำให้เขาพร้อมกระซิบเร็วๆ
“รินน้ำลงขันรองนี่ตอนพระองค์หัวหน้าท่านขึ้นยถา พยายามให้น้ำไหลต่อเนื่องไม่ขาดสายจนหมดพอดีเมื่อท่านลงคำว่ายถายาวอีกครั้ง ระหว่างน้ำรินอยู่จะตั้งใจอุทิศบุญกุศลให้ใครก็ได้ที่ล่วงลับไปแล้ว”
ตลอดมาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องอุทิศบุญที่มองไม่เห็น แต่ครั้งนี้ลองดูเสียหน่อย จะว่าตกกระไดพลอยโจนก็ได้ เมื่อยินเสียงหัวหน้าพระขึ้นคำว่ายถา เกาทัณฑ์ก็เริ่มรินน้ำลงขันด้วยความตั้งใจที่ไหลรวมกับสายน้ำว่า
‘ความสุขจงมีแก่ปู่ชนะและแพ’
มีความบันเทิงใจเมื่อตั้งจิตเช่นนั้น ไม่สำคัญว่าจะเกิดผลจริงหรือเปล่า เขาพอใจเสียอย่าง นึกๆไปก็เห็นคุณค่าของพิธีการทั้งหลายแหล่ของคนโบราณ ซึ่งล้วนเป็นอุปเท่ห์ทางจิตวิทยานำสุขมาสู่ใจอย่างได้ผล อย่างน้อยก็เป็นหนทางอ้อมๆสร้างความรู้สึกด้านบวกให้แก่ผู้ที่ตนอุทิศบุญ แพตรีบอกให้เขาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ แต่เขาว่าไม่ได้ประโยชน์เท่ากับให้คนยังมีชีวิตอยู่ด้วยประการทั้งปวง
พอพระจบยถา เกาทัณฑ์ก็คว่ำเต้ากรวดขาดน้ำพอดี พระทั้งหมดรวมทั้งท่านสมภารเริ่มสวดสัพพีพร้อมกันและต่อด้วยชะยันโตเป็นกรณีพิเศษ เกาทัณฑ์นั่งพนมมือหลับตาฟังตามที่เห็นหญิงสาวทำ เขาตั้งใจฟังอย่างเบิกบาน แม้จะไม่รู้เรื่องว่าพระสวดอะไรบทไหนหรือมีความหมายอวยพรประการใด พอใจที่หลับตาแล้วเกิดความรู้สึกปลอดโปร่งสว่างนวลน่าพิสมัย เพิ่งเห็นว่าการถูกห่อหุ้มด้วยข่ายคลื่นเสียงสวดมนต์อันมีพลังลึกของหมู่สงฆ์นั้นอบอุ่นเป็นสุขน่าพึงใจเพียงไร ทั้งวิเวกชวนเคลิ้มสงบ ทั้งไพเราะน่าฟังให้เกิดปีติเมื่อเงี่ยหูสดับ ที่ว่าทำสังฆทานได้บุญมากก็คงเพราะมีสุขมากอย่างนี้นี่เอง
เสร็จสิ้นทุกกระบวนการแล้วสองหนุ่มสาวก็กราบสงฆ์สามครั้ง พระสี่รูปนั้นทยอยลงจากกุฏิไป
“ปู่เราเป็นไงฮึแพ ไม่สบายรึเปล่า ทำไมไม่มา?”
ท่านสมภารถามฉันคนรู้จักคุ้นเคย ฟังดูคล้ายท่านกับปู่ชนะมีความเป็นเพื่อนกันอยู่แต่เก่าก่อน
“เปล่าหรอกค่ะ”
แพตรีตอบอ้อมแอ้ม ภิกษุชราหัวเราะออกมาอีก ดูท่านหัวเราะง่ายเสียจริง
“ถามนี่ไม่ใช่อะไรหรอก คนแก่น่ะ ฉันรู้ว่าโรคมันมาก อย่างหลวงตาใกล้จะลงโรงที่นั่งอยู่นี่เป็นต้น สามวันดีสี่วันไข้ แต่ก็ดีไปอย่างนะที่ได้มรณานุสติโดยไม่ต้องกำหนดกันมาก เอาแค่เห็นอาการร่อแร่จะจะนี่ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว”
เสียงท่านพูดอย่างอารมณ์ดีราวกับเล่าให้ฟังว่าวางแผนจะไปเที่ยวตากอากาศ เกาทัณฑ์อดขันไม่ได้ การอยู่ในพุทธศาสนามานานคงทำให้ท่านสมภารเชื่อนรกสวรรค์ เชื่อว่าตายในผ้าเหลืองแล้วไปสบาย นี่เป็นแง่หนึ่งที่เขานึกตั้งแง่กับศาสนาทั้งหลาย คนเราคงเลิกทำอะไรหมดถ้าเชื่ออย่างนี้กันสักครึ่งโลก บวชครองผ้าเหลืองรอรางวัลลี้ลับในชาติหน้าดีกว่า เขาว่าเผลอๆคนส่วนใหญ่บวชก็เพราะเหตุนี้ ดูแล้วน่าเสียดายที่ไปเชื่อมั่นชีวิตหลังความตายอันเลิศเลอทว่าเลื่อนลอย ไม่ไยดีกับชีวิตปัจจุบันซึ่งเห็นตำตาอยู่ชัดๆ
“พ่อหนุ่มนี่ทำมาหากินอยู่แถวไหนล่ะ บ้านอยู่ละแวกใกล้นี่รึเปล่า?”
ท่านหันมาทางเกาทัณฑ์อย่างชวนปราศรัย ชายหนุ่มมองตอบด้วยสายตาและรอยยิ้มแสดงความเคารพ เพราะสังเกตดูแพตรีให้ความนับถือสูงมาก
“ไกลเหมือนกันครับ บ้านกับที่ทำงานผมอยู่ในตัวเมือง”
“อ้อ”
ท่านครางรับรู้ ยิ่งดูยิ่งเห็นไม่ต่างจากคนแก่ที่ว่างงานตรงไหน ทั้งการพูดการจา ทั้งอิริยาบถต่างๆ ปู่ชนะยังดูทรงภูมิและเปี่ยมบารมีน่ายำเกรงเยี่ยงผู้สูงวัย สูงประสบการณ์กว่าตั้งหลายเท่า ปู่กับหลานสาวเลื่อมใสหลวงตาองค์นี้ที่ตรงไหนหนอ? ถ้าให้เดาก็คงพอประมาณได้แหละว่าวัดแถวนี้มีน้อย เจอองค์ไหนก็เอาองค์นั้นไว้ก่อน
“หน้าตาเหมือนพระเอกหนังดีจริงๆ”
ท่านชมเกาทัณฑ์ประสาคุณตา แล้วคว้าหนังสือพิมพ์ใกล้ตัวขึ้นมาทำทีเหมือนอยากอ่านข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง นี่คงตั้งท่าไล่เขากับหล่อนแล้วกระมัง
“คนสมัยนี้เขาไปถึงไหนกันแล้วล่ะ หลวงตาเดินเหินไปดูไปฟังไม่ไหว แต่เห็นข่าวที่เขาเอามาให้อ่านนี่แล้วก็เข้าใจว่าโลกเหมือนจะลุกเป็นไฟ...”
ขณะที่ท่านทอดตามองหนังสือพิมพ์และพูดไปเรื่อยนั้น เปลวไฟก็ค่อยๆก่อตัวและลามเลียมแผ่นกระดาษทีละน้อย
“สิ่งยั่วยุมันมีมาก ถ้าเราไม่รู้ว่าเป็นไฟ และปล่อยให้ลุกลามเป็นกองโตขึ้นเรื่อยๆโดยไม่หาทางดับ ไฟก็จะนำความพินาศที่นึกไม่ถึงและไม่เคยรู้จักมาสู่”
หนังสือพิมพ์กลายเป็นไฟกองโตที่ลุกโพลงและมียอดเปลวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจรดเพดานกุฏิท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของสองหนุ่มสาว ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเดียวกับฝัน คือไม่มีต้นสายปลายเหตุสมจริง ความรู้สึกของเกาทัณฑ์และแพตรีจึงคล้ายฝันเช่นกัน ไม่มีใครกระดิกกระเดี้ยได้เลยสักนิดเดียว
เสียงฮือของเปลวเพลิงดังขึ้นเรื่อยๆอย่างน่ากลัว ไฟเริ่มแผ่ลามไปบนเพดาน และบัดนั้นเองเกาทัณฑ์ก็ได้สติลุกพรวดขึ้นยืนเหมือนหลุดออกจากกรงแห่งอาการช็อก สมองสั่งงานว่าจะต้องหาทางดับไฟให้ได้โดยเร็วที่สุด
“เพียงเรารู้วิธี ก็ดับไฟได้โดยไม่ต้องวิ่งไปหาเครื่องมือจากไหน”
ท่านสมภารพูดอย่างเยือกเย็นทว่าทรงอำนาจชนิดที่ทำให้เกาทัณฑ์ต้องขนลุกเกรียว เห็นถนัดตาว่าท่านยังถือไฟกองโตไม่ปล่อย นับเป็นภาพที่น่าตระหนกและชวนพิศวงงงงวยเหนือคำบรรยาย แม้ยืนห่างออกมาสองสามก้าวยังสัมผัสถึงความแผดร้อนผะผ่าว กองเพลิงอันร้อนระอุคุคลั่งคล้ายมีแรงพิโรธกราดเกรี้ยวในตนเองเห็นปานนั้น ท่านสมภารทนอยู่ได้อย่างไรไหว
ภิกษุชราปิดตาลงครู่หนึ่งเป็นดุษณี ก่อนเปิดเปลือกตาขึ้นเป่าลมปากพรวดลงไปบนกองเพลิงระหว่างแขนเบาๆ มันดับพรึ่บในพริบตาเดียว เศษขี้เถ้ากระดาษฟุ้งกระจายทั่วห้อง เล่นเอาตาคนเห็นเบิกโพลงอย่างยากจะเชื่อตนเองอีกคำรบ
แล้วอย่างต่อเนื่อง ท่านเงยหน้าขึ้นมองเพดานซึ่งบางส่วนกำลังถูกริ้วไฟแดงฉานคุกคามหนักขึ้นทุกขณะราวกับมีเชื้ออย่างดีฉาบไว้ หรือเหมือนเพดานสร้างขึ้นด้วยฟางแห้ง ท่านสูดหายใจเต็มปอดแล้วป่องปากเป่าลมพุ่งขึ้นไปดังฟู่ใหญ่ เกาทัณฑ์และแพตรีรู้สึกเหมือนมีแรงลมมหาศาลส่งออกมาจากต้นทางที่เล็กไม่สมขนาด มันเป็นพลังลมที่หนักหน่วงรุนแรงราวกับพายุสลาตัน สะเทือนโยกไปทั้งกุฏิ ได้ยินเสียงออดเอียดของไม้คล้ายปรากฏมือยักษ์ไร้ตนมาตบ
ผลคือไฟดับสนิท
เกาทัณฑ์ปากคอสั่น เกิดมาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจออะไรอย่างนี้เลย เขาทรุดกายนั่งลงพับเพียบด้วยอาการของคนขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะ
ท่านสมภารทอดตาดำลึกและฉายแววพิสดารลี้ลับไปทางแพตรี กล่าวด้วยน้ำเสียงการุณย์ว่า
“กลับไปก่อนนะแพเอ๊ย หลวงตาจะปลงอาบัติ...ต้องนั่งสมาธิขอขมาธรรมกันนานล่ะ”
พูดแล้วก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดและปิดตาลง ยามนั้นเกาทัณฑ์ไม่รู้สึกว่าท่านเป็นคนแก่อีกแล้ว
สองหนุ่มสาวกราบลาแล้วลงจากกุฏิของท่านสมภารอย่างเงียบเชียบ พูดอะไรไม่ออกกันแม้แต่คำเดียว
บทที่ ๔ อกหัก
เมื่อมาถึงบ้านของปู่ชนะ เกาทัณฑ์ก็ยังคงเงียบราวกับถูกมัดปากอยู่นั่นเอง เขาจอดรถที่หน้าประตูรั้วและเดินตามหญิงสาวเข้าบ้านงกๆเงิ่นๆอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เมื่อมาถึงบ้านของปู่ชนะ เกาทัณฑ์ก็ยังคงเงียบราวกับถูกมัดปากอยู่นั่นเอง เขาจอดรถที่หน้าประตูรั้วและเดินตามหญิงสาวเข้าบ้านงกๆเงิ่นๆอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“แพ” ชายหนุ่มเรียกเบาๆเมื่อกำลังจะผ่านโต๊ะหมู่ม้าหินใต้ร่มไม้ใหญ่ “นั่งคุยกันก่อนสิฮะ”
เขาสบตาด้วยลักษณะเรียกร้องของเพื่อนที่ร่วมประสบเหตุการณ์สุดระทึกมาด้วยกัน แพตรีเริ่มระงับอารมณ์ได้ แม้ยังไม่ปกติดีนัก แต่พอหันมาเห็นท่าทีเก้ๆกังๆน่าขันของเขาแล้วก็สงบเย็นลงทันที ด้วยถือว่าตนใกล้ชิดบุคคลผู้ทรงคุณมานาน จึงสมควรทำใจหนักแน่นได้มากกว่า ‘ไก่ตื่น’ ตรงหน้า
หญิงสาวลงนั่งบนม้าหินตามคำขอ ทำให้เกาทัณฑ์โล่งอกและนั่งตาม
“เมื่อกี้หลวงตาท่าน...”
ปลายเสียงขาดห้วงอย่างคนหายใจผิดจังหวะ เคยเสียงหล่อตอนนี้หายหมด แพตรีเห็นเขาพูดติดๆขัดๆเลยชิงตอบเสียก่อนอย่างรู้คำถามในใจเขาดีอยู่แล้ว
“หลวงตาแขวนท่านคงเมตตาคุณน่ะค่ะ”
“อะไรครับ?” เพิ่งทราบนามท่านสมภาร “หลวงตาแขวนท่านเมตตาอะไรผม?”
ถามอย่างปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูกจริงๆ
“อย่าให้ดิฉันพูดเลยค่ะ ทบทวนและคิดดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน ถ้อยคำของท่านน่าจะชัดเจนพออยู่แล้ว”
เกาทัณฑ์ส่ายหน้า กระดาษหนังสือพิมพ์ที่กลายเป็นไฟกองมหึมาอย่างพรวดพราดยังติดตาติดใจมาจนบัดนี้ เล่นเอาความคิดอ่านติดขัดไปสิ้น
“อธิบายหน่อยเถอะ อย่างน้อยให้ผมเข้าใจบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น หลวงตาท่านทำได้ยังไง”
เกาทัณฑ์อ้อนวอน และนี่ก็มิใช่การหาเรื่องคุยกับสาวน้อยที่เขาพึงใจ แต่เป็นการแสวงหาคำตอบจากผู้ที่น่าจะให้ความกระจ่างได้ เขาเคยเข้าชมมายากลระดับโลกชนิดนั่งติดเวทีมาหลายครั้ง แต่บรรยากาศต่างกันเป็นคนละเรื่อง เพราะนี่เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในมิติเหนือธรรมดา กับทั้งมีพลังเข้มข้นบางชนิดกระทบกระเทือนจิตใจผิดปกติ
“ทำไมไม่สนใจหาเจตนาของท่านล่ะคะ ท่านทำได้ยังไงนี่เกินกำลังสติปัญญาของดิฉันเหมือนกัน”
เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอีกครั้ง
“ท่านมีเจตนาอะไร? ยอมรับว่าผมงงไปหมดแล้ว”
“เชื่อแน่ว่าคุณจำได้ว่าท่านพูดไว้อย่างไรบ้าง รวมแล้วจะพบข้อสรุปเอง ลองอยู่คนเดียวเงียบๆใช้เวลาทบทวนดูเถอะค่ะ “
ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม เพราะสะดุดกับคำแนะของหล่อนที่ให้ ‘ลองอยู่คนเดียว’
“แพทำเหมือนรังเกียจผมจังนะ ตั้งท่าจะไล่ให้พ้นๆอยู่เรื่อย”
หญิงสาวชะงักนิดหนึ่งกับคำที่เหมือนตัดพ้อกลายๆของเขา เกรงจะเอาไปฟ้องปู่ เลยแก้ด้วยกิริยาที่ลดความหมางเมินลง
“เปล่าหรอกค่ะ เพียงแต่ดิฉันมีความสามารถน้อยเกินกว่าจะไขข้อข้องใจต่างๆของคุณได้ นี่พูดจริงๆนะคะ อย่าหาว่าถ่อมตัวเลย อยู่ใกล้กาสาวพัสตร์ของหลวงตาท่านมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยเห็นท่านแสดงฤทธิ์ถึงขนาดนี้ ทราบเพียงว่าท่านสอนทุกคนที่อยู่ใกล้ด้วยกุศโลบายหลากหลาย และ...ต้องเป็นกรณีพิเศษจริงๆถึงจะ...”
เกาทัณฑ์เม้มปาก เลิกคิ้วมองหญิงสาว เมื่อเห็นเงียบนานก็คาดคั้น
“ถึงจะอะไรฮะ?”
แพตรีอึ้ง ว่าไปหล่อนก็พิศวงใจระคนคร้ามเกรงเดชะแห่งพระคุณเจ้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เจตนาของพระระดับเกจิผู้ปฏิบัติชอบนั้นลึกซึ้งนัก ความคิดกระทำการของพวกท่านมิได้เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่นเฉกเช่นสามัญมนุษย์ ทว่ามักเกิดจากการเพ่งประโยชน์ที่อาจทอดระยะยาวไปในอนาคตเบื้องหน้าเสมอ การแสดงฤทธิ์เดชในตนจัดเป็นอาบัติอย่างหนึ่ง หลวงตาแขวนท่านเห็นอย่างไรจึงยอมฝืนนั้น สุดที่หล่อนจะกล้าคาดเดา
ทบทวนพระวินัยเกี่ยวกับการนี้ ก็สบายใจนิดหนึ่ง เพราะพระพุทธองค์ระบุไว้ว่าภิกษุ ‘ไม่พึง’ แสดงอิทธิปาฎิหาริย์แก่คฤหัสถ์ หากรูปใดแสดง รูปนั้นต้องอาบัติทุกกฏ ซึ่งว่าไปอาบัติทุกกฏจัดว่าเบาสุดในบรรดาอาบัติทั้งปวง คือเป็นการกระทำอันไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ แต่หากแสดงฤทธิ์ชนิดจัดฉากกลลวงหวังลาภสักการะชื่อเสียง อย่างนั้นโทษจะกระโดดจากเบาสุดเป็นหนักสุด คือเข้าขั้นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระชนิดที่กลับมาบวชใหม่ไม่ได้อีกเลย
แพตรีชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนตอบเกาทัณฑ์ถึงสิ่งที่ยังค้างคา
“ไว้ถ้ามีโอกาส คุณถามจากท่านเองดีไหมคะ? ดิฉันไม่กล้าเดาใจท่าน ถ้าพูดผิดเดี๋ยวจะเป็นบาปเปล่าๆ”
เกาทัณฑ์หัวเราะ แม้ไม่ทราบเหตุผลที่หล่อนบ่ายเบี่ยงแน่ชัด เขาก็ได้เห็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของหล่อน นั่นคือความระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำของตนเอง พอรู้อยู่บ้างหรอกว่าในโลกนี้มีหลายสิ่งทำแล้วให้คุณอนันต์แต่ก็อาจยื่นโทษมหันต์ ทว่ากรณีนี้แค่หล่อนตอบคำถามเขาสองสามคำ จะไปเกิดผลลบผลร้ายชนิดใดได้
“ดูนัยน์ตาแพแล้วเหมือนคนรู้ดีสารพัดเลยนะ แบ่งปันให้ผมรู้มั่งสิว่าแพเก็บอะไรไว้บ้าง”
“น้อยค่ะ น้อยมาก อย่าว่าถ่อมตัวเลย ดิฉันอ่านน้อย ฟังน้อย แล้วก็รู้เห็นคับแคบ ถ้าอยากได้ความรู้แจ้งแทงตลอดล่ะก็ คุยกับหลวงตาแขวนหรือคุณปู่สิคะ”
สำเนียงอันเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมาของหล่อนทำให้เขาส่ายหน้ากับตนเองเหมือนอับจน
“ทราบจากปู่ว่าแพเรียนครู…แพมีคุณสมบัติที่ดีของครูอยู่ข้อหนึ่ง คือไม่พูดอย่างคนรู้มาก แต่จะพูดอย่างคนรู้จริง”
เขาเริ่มสงบบ้างแล้ว สงบพอที่จะนั่งไขว่ห้างให้สบายอารมณ์ขึ้น หญิงสาวไม่โต้ตอบประการใดกับคำสดุดีกรุยทางอันหรูหราของเขา
“แต่ความรู้นี่ถึงน้อยก็เป็นทุนไว้เพิ่มวันหน้าได้ แค่เพียงให้เฉพาะส่วนที่แพรู้ หรืออย่างน้อยคาดคะเนจากที่เคยรู้ ก็ถือว่าเป็นการจุดแสงสว่างให้คนที่ยังมืดสนิท จริงไหม?”
แพตรีถอนใจ
“อยากรู้อะไรคะ?”
“หลวงตาแขวนท่านทำได้ยังไง?”
หญิงสาวกะพริบตาเนิบช้า
“ตามตำรา เมื่อมนุษย์ทำสมาธิได้อยู่ตัวถึงระดับหนึ่ง กระแสจิตจะผนึกรวมหนักแน่นทรงพลังมหาศาล เพ่งจับสิ่งใดก็มีอำนาจเหนือสิ่งนั้น หากเพ่งไฟแน่แน่วจนจิตกลายเป็นไฟ มีไฟอยู่ในจิต กระทั่งจิตทรงอิทธิพลอยู่เหนือเตโชธาตุรอบตัว ก็อาจบันดาลความร้อนให้เกิดขึ้นจริงได้ตามปรารถนา
ทำนองเดียวกับดิน น้ำ และลม ขอเพียงฝึกจิตจนมีธาตุเหล่านี้ขึ้นใจ กระทั่งเข้าใจอำนาจของตนที่มีเหนือธาตุเหล่านี้ ก็อาจใช้จินตนาการปรุงแต่งให้เกิดความเป็นไปต่างๆตามต้องการ เนื่องจากจิตวิญญาณมีความสัมพันธ์แนบแน่น และอยู่เหนือดิน น้ำ ลม ไฟโดยเดิม”
คล้ายปรากฏพานทองแห่งการยอมรับผุดขึ้นที่กลางใจ เหมือนมีความทรงจำเก่าวูบไหวขึ้นมาใจกลางสมอง ราวกับภายในนั้นแจ้งประจักษ์สิ่งที่หล่อนพูดถึงอยู่แล้ว แต่เพิ่งถูกเปิดเผยในบัดนี้ เกาทัณฑ์ย่นคิ้วน้อยๆและเงี่ยหูตั้งใจฟังเต็มที่
“หลวงตาท่านเป็นพระปฏิบัติ ผ่านแนวทางกรรมฐานมานานชั่วชีวิต คนใกล้ชิดจะทราบว่าท่านมีอภิญญาประเภทรู้วาระจิต คือใครกำลังคิดอะไรอยู่ หรือมีอารมณ์ชนิดไหนนี่อ่านออกหมด ดิฉันเองก็ประจักษ์กับตัวมาหลายหน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะ...มีอภิญญาแก่กล้าขนาดนี้”
เกาทัณฑ์ยกมือลูบคาง
“นิยามของอภิญญาคืออะไรฮะ?”
“ความรู้ยิ่งที่ได้มาจากอภิจิต เป็นจิตในอีกระนาบหนึ่งที่อยู่สูงเหนือสามัญจิตอย่างพวกเรา มีอยู่ทั้งหมดหกชนิด ชนิดแรกก็เช่นที่เห็นหลวงตาท่านบันดาลลมไฟ เรียกว่าเข้าข่ายรู้วิธีแสดงอิทธิฤทธิ์ ชนิดที่สองคือหูทิพย์ ชนิดที่สามคือญาณรู้ใจคนอื่น ชนิดที่สี่คือญาณระลึกชาติ ชนิดที่ห้าคือตาทิพย์ และชนิดที่หกคือความรู้วิธีที่จะทำให้เกิดธรรมชาติแห่งการล้างกิเลสออกจากใจอย่างเด็ดขาด...”
เมฆกลางฟ้าเคลื่อนคล้อยจากการบดบังดวงอาทิตย์ แสงแดดที่แผดกล้าส่วนหนึ่งฉายลอดเงาไม้ลงมาเป็นลำ พร้อมกันขณะเดียวกับวูบสายลมรำเพยผ่านสองหนุ่มสาว
“ธรรมชาติแห่งการล้างกิเลส?”
เกาทัณฑ์ทวนคำของหล่อนแผ่วเบา คล้ายมีคลื่นปฏิรูปสะท้อนก้องอยู่ในหัว ทำให้งงเคว้งไปชั่วขณะ
“สิ่งนี้ใช่ไหม ที่เรียกว่ามรรคผล?”
น่าแปลกที่เนื้อหาทางพุทธศาสนาในตำราที่เคยศึกษาในชั้นเรียนมัธยมค่อยๆทยอยขึ้นสู่จิตสำนึกทีละระลอกอย่างเป็นไปเอง
หญิงสาวพยักหน้า
“ค่ะ อภิญญาขั้นสุดท้ายนี้เป็นอภิสิทธิ์เฉพาะผู้เดินตามทางอริยมรรค เพิ่มขึ้นจากอภิญญาห้าของฤาษีชีไพรธรรมดา”
“ถ้าผมจำไม่ผิดและเข้าใจไม่คลาดเคลื่อน การชะล้างกิเลสนี่ก็มีลำดับขั้นเหมือนกันใช่ไหม? ไม่ใช่ล้างทีเดียวสะอาดบริสุทธิ์ได้เลย”
แพตรีตรึกทวนถ้อยคำที่ปู่ชนะเคยแจกแจงครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มถ่ายทอดด้วยใจเคารพธรรม
“ธรรมชาติการล้างมีสี่ครั้ง พระพุทธเจ้าบัญญัติเรียกครั้งแรกว่าโสดาปัตติผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่เหมือนตอนเป็นคนธรรมดา เพราะธรรมชาติจิตยังย้อมติดกับอารมณ์ได้แนบแน่นอยู่ ต่างแต่เข้ากระแสพระนิพพานแล้ว รู้นิพพานแล้ว เที่ยงที่จะหมดกิเลสสิ้นเชิงในกาลต่อไป ครั้งที่สองเรียกสกทาคามิผล เกิดขึ้นแล้วราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงมาก เพราะธรรมชาติจิตแยกจากอารมณ์ได้ง่ายเอง
ครั้งที่สามเรียกอนาคามิผล เกิดขึ้นแล้วหมดกามราคะ หมดโทสะอย่างสนิท เพราะธรรมชาติจิตมีความสม่ำเสมอในกระแสสมาธิ แต่ยังมีโมหะขั้นละเอียด เพราะอวิชชายังบดบัง ยังหลงคิดว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่ ส่วนครั้งที่สี่...ครั้งสุดท้าย เรียกว่าอรหัตตผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วจิตแทงขาดจากความครอบงำทั้งปวง แม้อวิชชาว่ากายนี้ใจนี้คือบุคคลเราเขาก็ไม่ปรากฏสักนิดเดียว จิตบริสุทธิ์ตั้งมั่น คงที่ถาวรจริง ไม่กลับคืน ไม่ปฏิรูปเป็นอื่นอีก”
ด้วยน้ำหนักคำ การให้จังหวะวรรคตอนอันกลมกลืน และวิธีออกเสียงควบกล้ำชัดเจนน่าฟัง รวมแล้วได้ผลเป็นลีลาการถ่ายทอดที่ถูกรับรู้และคล้อยตามได้ง่ายดาย จนเกาทัณฑ์ต้องลอบมองอย่างแอบทึ่งในความเป็นสตรีที่กอปรพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติชั้นเลิศของหล่อน
กระแอมทีหนึ่งอย่างพยายามเอาตัวเองออกมาจากบ่วงเสน่ห์ที่หล่อนมิได้มีเจตนาคล้อง
“หลวงตาท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าฮะ?”
“นั่นแหละค่ะสิ่งที่ดิฉันตอบไม่ได้อย่างแน่นอน และก็ไม่อาจเอื้อมที่จะเดาด้วย ใครจะเป็นพระอริยบุคคลระดับไหนนั้นท่านรู้อยู่แก่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันบอกได้ก็คือผู้สามารถแสดงฤทธิ์ใช่จะต้องพระอริยบุคคลเสมอไป อย่างที่บอกแล้วว่าอภิญญานั้นมีหลายชนิดและก็แยกกันเด็ดขาด บางท่านอาจมีหนึ่งอย่าง บางท่านอาจมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับวาสนาเฉพาะตัว ถ้าท่านมีบารมีสูงมากก็อาจมีอภิญญาครบพร้อมทั้งหก คือมีความสามารถพิสดาร แล้วก็เป็นพระอรหันต์ด้วย ซึ่งเท่าที่รู้...หายากมาก”
อีกระลอกสายลมหนึ่งพัดผ่านมา เกาทัณฑ์เห็นหล่อนทอดตามองกิ่งไม้ไหว เห็นความสงบใจในดวงตาสวยหวาน ดูทีหล่อนเป็นคนมีความสุขได้ง่ายๆอย่างน่าอิจฉา ใครอยู่ใกล้ก็พลอยรู้จักความสงบชนิดนั้นตามไปด้วย
“เพราะอะไรฮะ เมื่อมีพลังจิตสูงพอ ทุกอย่างก็น่าจะอยู่ในวิสัยไม่ใช่หรือ หากมีกำลังจิตสูงขนาดลุอภิญญาขั้นสุดท้ายได้ ก็น่าจะครอบคลุมอภิญญาขั้นต้นทั้งหมดเหมือนกัน อ้า...นี่คิดเอาตามการคาดหมายของผมนะ ว่าสิ่งดีที่สุดน่าจะครอบงำสิ่งที่อยู่ล่างๆลงมา”
“อภิญญาขั้นสุดท้ายที่มีไว้ล้างกิเลสนั้น จัดว่าประเสริฐสุด แต่ใช่ว่าทรงอำนาจครอบงำสูงสุดนะคะ คนละอย่างกันเลย เหมือนคนจบปริญญาแล้ว ทำงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาเก่งเท่าเด็กมัธยมบางคน อย่างที่บอกแต่แรกว่าอภิญญาแต่ละชนิดแยกเป็นเอกเทศจากกันเด็ดขาด ไม่อิงอาศัย หรือมีอย่างหนึ่งแล้วต้องมีอีกอย่างด้วย
และตามที่เคยได้ยิน พระอริยบุคคลท่านไม่ค่อยนิยมเรื่องฤทธิ์เดชกันเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเป็นเรื่องสนุกเกินไปสำหรับดวงจิตที่รักสุญญตภาพของท่าน ผู้ที่ชอบเรื่องพรรณนี้โดยมากเป็นพระโพธิสัตว์ พวกท่านมีบารมีสูงกว่าพระอริยบุคคล ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเบื้องหน้า ไม่อยากถึงนิพพานด้วยการเป็นสาวก ต้องการถึงด้วยตนเองกับทั้งสามารถนำพาคนอื่นไปด้วยมากๆ แล้วก็มีอัจฉริยภาพทางจิตสูง อุดมด้วยอิทธิบาทสี่เหมาะกับการเล่นฤทธิ์เล่นเดชสร้างบารมี”
เขาเคยได้ยินคำว่า ‘พระโพธิสัตว์’ มาหลายครั้งหลายครา แต่คราวนี้ฟังดูมีความพิเศษน่าฉงน อาจเป็นเพราะหล่อนโยงมาเกี่ยวข้องกับฤทธิ์อภิญญา หรือเพราะหล่อนขยายคุณสมบัติด้วยการบวกคำว่า ‘อัจฉริยภาพทางจิต’ เข้าไป เขาชอบคำนี้ เพราะปลุกเร้าสำนึกในอัตตาทั้งส่วนตื้นและส่วนลึกเอาเรื่อง
โดยนัยการจาระไนไขความของหญิงสาว เกาทัณฑ์เกือบสรุปว่าหลวงตาแขวนไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ นั่นเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเขา เพราะส่วนลึกรู้สึกว่าตนห่างไกลจากคำว่า ‘อรหันต์’ พิกล สัมผัสแผ่วเต็มที
“พระโพธิสัตว์นี่ทำยังไงถึงจะได้เป็นฮะ?”
“ก็...”
หล่อนอึกอักไปชั่วขณะ เมื่อหันมาเห็นดวงตาดำลึกที่ฉายอำนาจประหลาดของเขา
“แค่อยากเป็นก็ได้เป็นตอนนั้นแล้วล่ะค่ะ”
เกาทัณฑ์เลิกคิ้วเล็กน้อย
“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ค่ะ” คิดหาอุปมาอุปไมยเป็นครู่ ก่อนอรรถาธิบาย “เหมือนตื่นเช้าตั้งใจว่าวันนี้จะทำแต่ความดี ขณะที่คิดนั้นก็เป็นคนดีแล้ว ยังไม่ต้องลงมือก่อกุศลด้วยการพูดหรือลงมือกระทำจริง”
“แต่ระหว่างวันพอเจอเรื่องยั่วใจให้เขวอยากทำชั่ว ก็เปลี่ยนเป็นคนชั่วได้ใช่ไหม?”
ชายหนุ่มแย้งเบาๆตามความน่าจะเป็น
“ค่ะ ชาวพุทธทั่วไปเมื่อศึกษาพุทธศาสนา เห็นค่าของพระธรรมคำสอน เห็นคุณของพระพุทธองค์ที่โปรดเวไนยสัตว์ได้มากมาย บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์กว้างขวาง หลายคนก็นึกปรารถนาจะทำเช่นนั้นบ้าง โดยมีความคิดอุทิศตนเป็นทานแก่หมู่ชนไม่เลือกหน้าเป็นที่ตั้ง ก็ได้จิตชนิดที่เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว แต่แค่เพียงด้วยเจตจำนงและแรงปรารถนาประการเดียว ยังไม่เที่ยงที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตชาติหรือไม่ ท่านให้เรียก ‘อนิยตโพธิสัตว์’
หลังจากอนิยตโพธิสัตว์ผ่านการเวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญคุณงามความดี พบพุทธศาสนาหลายๆครั้งเข้า เห็นพุทธคุณแล้วปลาบปลื้ม คิดปรารถนาจะทำมหากรุณาเช่นพระพุทธเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเงากรรมที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าแจ่มชัดพอ กับทั้งได้พบพระพุทธเจ้าสักพระองค์เพื่อตรัสพยากรณ์ เป็นกำลังใจให้ทราบชัดว่าตนเที่ยงที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตแน่แล้ว อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าเป็น ‘นิยตโพธิสัตว์’ เหตุที่มั่นใจก็เพราะคำของพระตถาคตนั้นไม่เป็นสอง เมื่อตรัสว่าสิ่งใดจะเกิด สิ่งนั้นเหมือนเกิดแล้ว รอแต่เวลาคลี่คลายมาถึงเท่านั้น”
เกาทัณฑ์กะพริบตาสองหน
“ทีแรกผมนึกว่าพระโพธิสัตว์หมายถึงผู้มีจิตใจประเสริฐสูงส่งหาที่ติไม่ได้ หรือเทพเจ้าในตำนานซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์อะไรทำนองนั้น”
“ถ้านับกันโดยนัยของขณะจิตที่คิดเสียสละ อธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อนำเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ ตัวเองเดือดร้อนทรมานเนิ่นนานอย่างไรก็ช่าง ต้องถือว่าเป็นผู้มีจิตใจประเสริฐสูงส่งจริงๆค่ะ ท่านว่ากำลังใจต้องยิ่งใหญ่เหมือนแผ่นฟ้ามหาสมุทร”
“ฉะนั้นควรสันนิษฐานว่าเมื่อเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว จะต้องมีนิสัยเสียสละ ประเสริฐสูงส่งสมภูมิความดีดั้งเดิมใช่ไหม?”
แพตรีมองเขาด้วยแววนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนตอบเรียบๆว่า
“ก็ไม่จำเป็นนักหรอกค่ะ บางชาติอาจเด่นเพียงบารมีด้านใดด้านหนึ่ง บางชาติอาจเด่นหลายด้าน หรือบางชาติก็แทบไม่มีโอกาสสะสมอะไรเพิ่ม โดยเฉพาะเมื่ออยู่สูงหรือต่ำกว่าภูมิมนุษย์”
“เอ…ถ้าการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต้องใช้เวลาเป็นชาติๆ อย่างนี้ก่อนอื่นต้องเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม?”
“ค่ะ ถ้าขาดปัจจัยให้พร้อมลงอธิษฐาน เช่นขาดความแจ่มแจ้งถ่องแท้เกี่ยวกับภพชาติและการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่เกิดจิตคิดปรารถนาขึ้นมาได้ตามจริงหรอก”
เกาทัณฑ์เม้มปาก กะพริบตาถี่ๆ
“ถามหน่อยนะ แพเชื่อเรื่องชาติก่อนชาติหน้ารึเปล่า?”
“ค่ะ…เชื่อ”
“เรื่องทำนองนี้มีวิธีพิสูจน์ที่แน่นอนไหมฮะ?”
“มี...แต่ยากมาก อย่างที่เมื่อกี้คุยกันไปแล้วไงคะ การระลึกชาติเป็นอภิญญาชนิดที่สี่ หากทำสมาธิจนแก่กล้าเข้าขั้นอภิจิต ก็ฝึกระลึกเอาได้”
“แพเห็นด้วยตัวเองแล้วจากอภิญญาชนิดนั้น?”
คราวนี้หล่อนส่ายหน้า ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
“งั้นเล่าให้ฟังถึงเหตุจูงใจให้เชื่อหน่อยได้ไหม?”
พอเห็นหญิงสาวทำทีอึดอัดที่จะเฉลย ก็ปลอบแกมคะยั้นคะยอ
“อย่าเข้าใจว่าซักไซ้ไล่เลียงวุ่นวายเลยนะ ผมเห็นแพอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ผู้รู้ธรรมถึงสองท่าน คงไม่ใช่สักแต่เชื่อตามตำราหรือโบราณว่าไว้ หากมีหลักการที่ขยายความคิดผมให้กว้างขวางตามได้ ก็อาจเป็นประโยชน์ เปิดหูเปิดตา เหมือนอย่างที่ประจักษ์อิทธิฤทธิ์อภิญญาจากหลวงตาท่านมาแล้ว”
แพตรีทอดจับใบหน้าของเขาเต็มหน่วยตา จนเกาทัณฑ์ให้ฉงนขึ้นมาอีกคำรบว่าแฝงเลศนัยชนิดใดไว้กันแน่ รู้ว่าหล่อนคิด แต่คิดอะไรไม่รู้นี่ชวนให้จุกอกจุกใจเสียจริง เดี๋ยวก็ฝึกอภิญญาอ่านใจคนมาเจาะดูเสียหรอก
นานครู่หนึ่งก่อนหล่อนจะตอบเสียงนิ่ม
“มีบางสิ่งในชีวิตที่ทำให้ดิฉันรู้ว่า ‘ใช่’ แต่ขอให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวเถอะค่ะ อย่าเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เพราะถามจากคนอื่น ผู้รู้ท่านไม่สรรเสริญ”
“แพปิดเป็นความลับอย่างนี้ ถ้าผมอยากรู้ หรือเชื่อมั่นได้เหมือนแพบ้าง จะทราบยังไงว่าต้องเริ่มจากตรงไหน?”
ถามยิ้มๆแบบให้เห็นว่าเขาวอนขอคำตอบดีๆ แพตรีมองคนช่างซักอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยทั้งสายตาจับอยู่กับใบหน้าเขาสนิท
“บางเรื่องคงเป็นวิถีทางเฉพาะตัว เหมาะสำหรับคนบางคนเท่านั้นมั้งคะ ถึงใช้คาถาบทเดียวกัน ต่อให้สวดร่วมเรียงเคียงข้าง ก็อาจให้ผลแตกต่างเป็นคนละแนว”
ชายหนุ่มอึ้งงันด้วยความแปลกใจ อุปาทานหรือเปล่านี่ ตอนท้ายคล้ายสำเนียงหล่อนแปร่งปร่าไป และปุบปับเหมือนเขาถูกรายล้อมด้วยกระแสเศร้าที่กระจายจางมาจากหล่อน เมื่อกี้ยังเย็นสนิทเหมือนสายธารสะอาดใสอยู่แท้ๆ
“ฮะ…เอาเป็นว่าผมใช้วิธีเดียวกับแพไม่ได้ ช่างเถอะ ใครจะรู้ ผมอาจมีพรสวรรค์ในเรื่องการระลึกชาติเป็นพิเศษ ถ้าขอฝึกกับหลวงตาแขวนอาจสำเร็จภายในครึ่งชั่วโมงก็ได้”
มีแววสมเพชจากดวงตาที่เคยวางอุเบกขาเป็นนิจ แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วจนเกาทัณฑ์ไม่แน่ใจว่าแววชนิดนั้นเกิดขึ้นหรือเปล่า เขายิ้มนิดหนึ่ง อยากให้หล่อนรู้เห็นว่าที่ผ่านมา เมื่อตั้งใจจริงแล้ว เขาเป็นทำได้สำเร็จเสมอ แม้ต้องใช้ความพยายามจนดูเหลือวิสัยปานใดก็ตาม
ชายหนุ่มผินหน้าไปทางทิศที่ตั้งของวัดทางนฤพาน สายลมเย็นหอบมาอีกระลอก คราวนี้แรงกว่าครั้งก่อนๆจนเหมือนพัดพาบางส่วนในตัวเขาปลิวหายไปด้วย
เว้นระยะระบายลมหายใจยาวอย่างคนที่ผ่อนคลายลงได้ชั่วขณะหนึ่ง
“วัดในกรุงเทพฯนี่มีแต่ชาวบ้านนุ่งจีวร หาพระไม่ค่อยเจอ เล่นเอาผมนึกว่าโลกสิ้นพระเสียแล้ว ตอนเด็กๆเคยชอบใส่บาตรเหมือนกัน แต่โตๆมานี่ไม่เคยเลย เพราะเห็นพวกชาวบ้านนุ่งจีวรแล้วเสื่อมศรัทธา”
แพตรีฟังเขาพูดโดยปราศจากความเห็น
“เรื่องคิดจะบวชตามประเพณียิ่งไปกันใหญ่ ผมไม่ใช่คนยึดถือความเชื่อสืบต่อกันมา จะทุ่มเททำอะไรต้องเห็นประโยชน์ตามจริง เคยเข้าไปเยี่ยมเพื่อนที่ลาบวชสิบห้าวัน เห็นสภาพแล้วอายแทน คือมันขอข้าวจากชาวบ้านกินไปวันๆอย่างกับ...”
เกือบหลุดคำพูดค่อนข้างแรงออกไป หากแต่ยั้งไว้เมื่อจังหวะนั้นพอดีกับที่เหลือบมาเห็นดวงหน้าสงบละไมของหญิงสาว
“...อย่างกับสิ้นปัญญาต้องลวงข้าวชาวบ้านกิน”
ต่อคำพูดตัวเองจนจบอย่างไม่ชอบค้างคา ทว่าดัดแปลงให้นุ่มนวลลงกว่าที่ตั้งใจพูดแต่แรก
พอเขาเงียบหล่อนก็เงียบ สบตากันพักใหญ่ เขาว่าเขาเห็นรอยระคางซ่อนอยู่เบื้องหลังประกายอ่อนและเปี่ยมไมตรีจิตแน่ๆ ตาไม่ฝาด ไม่ได้คิดไปเอง อยากถามตรงๆให้หายข้องใจ แต่จะปั้นคำพูดอย่างไรดีล่ะ…
แพโกรธผมหรือเปล่านี่?
มีความผิดอะไรที่ผมควรจะรู้ตัวบ้างไหม?
ผมทำให้แพรำคาญมากกระมัง?
คำถามวิ่งวนอยู่แต่ภายในขอบขังของตนเอง แต่ก็อาจสื่อผ่านประกายยิ้มในดวงตาออกไป เมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งในความแปลกหน้าที่คล้ายเคยคุ้น สุดท้ายก็เหมือนลองดีกันอยู่ในที ต่อเมื่อนานครู่หนึ่งหญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเลี่ยงไปเมื่อเห็นว่าหาสาระมิได้
“นึกออกแล้ว!”
แพตรีสะดุ้งนิดๆ อยู่ไม่อยู่เขาก็แกล้งตบเข่าฉาด ระเบิดอุทานดังๆราวกับพวกเชียร์มวยตู้
“หลายปีก่อนที่ผมเคยมาเยี่ยมปู่กับพ่อ เห็นเด็กผู้หญิงผมม้านั่งบีบนวดปู่บนเรือนก็แพนี่เอง แพเปลี่ยนไปเสียจนผมเห็นทีแรกจำไม่ได้นะนี่”
คราวนี้หญิงสาวปรายตาเฉี่ยวผ่านเขาแวบหนึ่ง เป็นแวบที่เผยร่องรอยขุ่นขึ้งอย่างไม่ปิดบังเป็นครั้งแรก
แต่ขุ่นที่เขาแกล้งให้ตกใจเดี๋ยวนี้ หรือขุ่นที่เขาทำสิ่งใดไว้เมื่อหนไหนนี่ยังน่ากังขาอยู่...
“ผิวสวยขึ้นราวกับเป็นคนละคนเลย แพว่าเป็นอิทธิพลของพระศาสนาหรือเปล่า ใครปฏิบัติดีก็เห็นผลดีทันตาอย่างนี้เอง”
หล่อนคงถูกผู้ชายรุมจีบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนชินกระมัง จึงมีสีหน้าท่าทางเป็นปกติทุกอย่าง
“ถ้าจับแพไปออกรายการธรรมะทางทีวี คดีอาชญากรรมอาจลดลงก็ได้นะ ดูสิเนี่ย ไม่ยิ้มก็เหมือนยิ้ม ตอนชักชวนใครทำดี ยืนยันว่าสวรรค์มีจริง ลูกเด็กเล็กแดงคงเชื่อหมด”
แม่งามงอนยังเฉยเมย ริมฝีปากปิดสนิท แน่นิ่งราวกับดิ่งอยู่ใต้น้ำ เกาทัณฑ์ชักนึกสนุก อยากดูซิว่าตอนหล่อนหมั่นไส้ใครจนหน้าเขียว จะออกหัวออกก้อยอย่างไร
“ว่าไปแล้วผมนี่ก็เป็นคนใจบุญสุนทานอยู่เหมือนกันนา ของแบบนี้ถึงไม่ปรากฏชัดให้คนอื่นเห็น แต่เราเองก็รู้สึกอยู่ในใจ…”
คำท้ายๆกล่าวลากช้าพร้อมกับโหย่งมือเกาะอก
“ถ้าผลกรรมติดตามเรามาแต่ชาติปางก่อนจริง ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ประจักษ์ว่ามีบุญตามมาอุปถัมภ์ผมแล้ว ชาตินี้เกิดมาไม่เดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่ ถึงเวลาก็ได้ปู่ชี้ทางธรรมะ ได้แพพาไปพบพระดี เรียกว่าบุญต่อบุญ เห็นได้ชัดว่าชาติหน้าเกิดใหม่คงหล่อเหลาเหมือนพระเอกหนังอย่างที่ตะกี้หลวงตาท่านชมอีก”
รู้สึกรื่นรมย์เมื่อเห็นมุมปากของหล่อนเบะนิดๆจนได้ ผู้หญิงคนนี้ขนาดเบะปากยังสวยเลย เพิ่งซึ้งว่าจิตใจที่งดงามอย่างแท้จริงย่อมไม่ปรุงกิริยาน่าชังออกมา แม้เขม่นใครสุดจะกลั้นก็ตาม
ขณะที่กำลังจะทำก้อร่อก้อติกเป็นเรื่องเป็นราวอยู่นั่นเอง ก็ให้มีเสียงขัดจังหวะดังมาจากหน้าประตูรั้วเสียก่อน
“พี่แพฮะ”
เกาทัณฑ์เห็นหญิงสาวเหลียวไปตามเสียงเรียก ม่านตาเบิกกว้างด้วยความยินดี
“มติ!”
หล่อนร้องออกมาเสียงแหลม ก็ไม่เบานักหรอกสำหรับความดีใจของผู้หญิงคนหนึ่ง เกาทัณฑ์เหลียวตาม ต้องชะโงกนิดหน่อยเพราะต้นไม้บัง แพตรีรีบลุกออกไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นทันที ดูท่าว่าจะลืมสนิทไปเลยว่ามีเขานั่งอยู่ด้วย
“เป็นไง กลับมาถึงเมื่อไหร่?”
ห่างกันแค่เกาทัณฑ์ได้ยินถนัด เห็นผู้เป็นอาคันตุกะหน้าเรี่ยลงเมื่อหันมาสังเกตเห็นเขาเข้า นายคนนั้นกระซิบอุบอิบแบบที่หญิงสาวได้ยินเพียงคนเดียว
“ไม่ทราบว่าพี่แพมีแขก นึกว่านั่งคนเดียว ขอโทษที่เรียกฮะ”
หญิงสาวยังอมยิ้ม ไขกุญแจเปิดประตูรับแขกใหม่หน้าตาเฉย
“เข้ามาก่อน”
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เกาทัณฑ์ลุกขึ้นยืน
“ผมขอตัวขึ้นไปหาคุณปู่นะฮะแพ”
ฝืนทำเสียงเป็นปกติ แต่คนคุยด้วยมาก่อนรู้ดีว่ากร่อยลงกว่าเดิมเยอะ
“ค่ะ”
ได้เห็นเรียวปากคู่งามสยายเป็นรอยยิ้มรื่นเหมือนโล่งอก ยังผลให้แสบคันคะยิกที่กลางอกแทบดิ้นแล้ว เกาทัณฑ์ก็กลับหลังหันก้าวดุ่มขึ้นเรือนทันที สติขาดหาย อกใจไหวสั่น เดินอย่างไม่เป็นอันรู้ว่าเดินไปทำไม ขนาดเห็นปู่ยังไม่รู้เลยว่าเห็น
“อ้าว! ว่าไงนายเต้ มาอีกแล้ว”
เกาทัณฑ์ได้สติ ยกมือไหว้ปู่แล้วนั่งลง หน้าตาหม่นหมองจนปู่ต้องทัก
“ไปทำอะไรมาล่ะนี่ หน้าตาถึงได้ช้ำๆพิกล วันนี้โชคไม่เข้าข้างรึไง?”
ผู้เป็นหลานยิ้มไม่ออก
“สบายดีเหรอฮะปู่?”
ถามเสร็จก็คิดได้ว่าเพิ่งมาเยี่ยมปู่เมื่อวาน คำถามนี้เอาไว้สำหรับคนไม่เจอกันนานๆต่างหาก จึงรีบกลบเกลื่อนก่อนปู่ทันตอบ
“ผมซื้อองุ่นกับเงาะมาฝาก”
ว่าแล้วก็แทบตบหน้าผากตัวเอง เพราะกระเช้าผลไม้ยังอยู่ในรถ ลืมนำติดมือขึ้นมาด้วย นี่เดินขึ้นเรือนตัวเปล่าแท้ๆดันบอกออกไปแล้ว
ปู่ชนะพยักหน้า
“อือม์ ขอบใจ วางไว้แถวๆนั้นแหละ เดี๋ยวหิวแล้วจะกิน”
ปู่ช่วยแก้เก้อหรือประชดก็ไม่ทราบ เกาทัณฑ์รู้สึกแน่นหน้าอกจนต้องแค่นหัวเราะระบาย
“ปู่นั่งอยู่แต่บนนี้ทั้งวันไม่เบื่อมั่งหรือไงฮะ?”
ถามด้วยเสียงพาล
“เอ้า! คนแก่จะให้ทำอะไรล่ะ อยู่บนนี้ไม่ต้องไปนอนโรงพยาบาลหรือสถานเลี้ยงดูคนชราให้เดือดร้อนลูกหลานก็ดีขนาดไหนแล้วฮึ”
โสตประสาทคล้ายใกล้หยุดทำงาน ชายหนุ่มทอดตามองออกไปนอกเรือนซึมๆ เห็นแวบเดียวก็รู้ว่าสนิทกันขนาดไหน ส่งเสียงเรียกเสียแหลมเปี๊ยวไปเลย ยินดีปรีดาออกนอกหน้าเหมือนจะบอกเขาให้ทราบเป็นนัยอย่างนี้คงชัดพอแล้วกระมัง
น่าแปลก เขาไม่เคยยี่หระเลยถ้าจะต้องต่อกรทำศึกชิงนางกับใคร แต่ทำไมแค่เห็นหน้าไอ้หนุ่มเมื่อวานซืนท่าทางเหมือนไม่มีสตางค์ขึ้นรถเมล์คนนั้นทีเดียว ถึงกับรู้สึกเหมือนคนแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มสู้อย่างนี้ได้
จริงซี...รอยยิ้มโล่งอกที่มีเหตุมาผลักไสเขา มีคู่ตุนาหงันมาปรากฏอวดต่างหาก ที่บาดจิตบาดใจ กัดลึกเกินจะรับ คนอย่างเขาเคยเจอยิ้มชนิดนี้เสียที่ไหน
“นั่นซีฮะ” เขาต้องคิดทบทวนอยู่อึดใจกว่าจะนึกได้ว่ารับคำปู่เรื่องอะไร “ดีแล้วที่ปู่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา มีหลานดีๆคอยดูแลก็หยั่งงี้แหละ”
ปู่ชนะจิบน้ำชาซึ่งเห็นวางอยู่ข้างกายท่านเสมอ เกาทัณฑ์มองตาม แล้วจู่ๆก็คิดถามท่าน
“ตอนปู่มีย่า ปู่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากลำบากไหมฮะ ผมหมายถึงว่าเวลาเราเจอใครสักคนที่อยากอยู่ด้วยตลอดไป เราอ่อนไหวจนเห็นเรื่องขี้ผงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเหลือฝืนเสมอหรือเปล่า?”
นัยน์ตาอันดำสนิทต่างจากผู้สูงวัยทั่วไปเล็งแลมายังชายหนุ่ม แล้วเบนไปทางอื่นเชื่องช้า ก่อนหัวเราะเอื่อยๆในลำคออย่างคนผ่านร้อนหนาวมาจนเจนใจ จะเพราะอะไรก็ตาม เกาทัณฑ์เกิดความอบอุ่นและเหมือนได้รับการปลอบประโลมจากเสียงหัวเราะต่ำทุ้มนั้น
“ก็เจอกันทุกคนแหละเต้”
ปู่ชนะกล่าวในที่สุด เกาทัณฑ์นิ่งฟังอย่างเงียบงัน
“และต่อไปเมื่อมีลูกเมียให้รับผิดชอบ แกจะย้อนมองกลับมาเห็นความเหลือฝืนอย่างเดี๋ยวนี้เป็นแค่ปัญหาขั้นเริ่มต้น เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องราวน้อยใหญ่ประจำชีวิตคู่ มันก็แค่ความรู้สึกวูบวาบนั่นแหละที่ใหญ่เกินตัวปัญหาไปจนถึงกับเห็นว่าเหลือฝืน”
“เหรอฮะ”
เกาทัณฑ์เอ่ยรับเป็นทำนองทอดอาลัยระคนขบขันวิธีเล่นตลกของชีวิต พยายามเลื่อนตัวขึ้นนั่งตรงเมื่อร่างคล้ายจะเลื้อยตกเก้าอี้ลงไปทุกที
“เมื่อก่อนผมว่าบรรดาพรรคพวกที่จริงจังกับความรักนี่มันโง่เง่า” ชายหนุ่มยิ้มเฉียง “แต่เดี๋ยวนี้ชักเห็นใจไอ้พวกนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว”
ปลายเสียงของเขาหายไปลอยๆ
“ก็งั้นแหละ” ปู่ชนะว่า “เราจะเห็นใจใครได้จริงๆก็ต้องมีหัวอกเดียวกันเสียก่อน ม่ายงั้นจะรู้รึว่าความทุกข์ของเขาน่าเห็นใจยังไง”
“ถ้าคำสอนของพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้สนิทจริง ผมก็ชักเห็นค่าบ้างแล้ว”
เกาทัณฑ์ว่าแบบลอยตามลมไปแกนๆ
“ยังไม่ต้องไปถึงขั้นดับทุกข์สนิทก็เห็นค่าเดี๋ยวนี้ได้”
น้ำเสียงทอดเนิบของปู่มีแรงจูงใจให้ตามฟัง
“อย่างที่เราคุยกันวันก่อนไง เรื่องทุกข์เรื่องร้อนอะไรนี่แหละ วันนั้นยังว่างๆ ไม่มีตัวอย่าง ตอนนี้ทุกข์มาแสดงตัวแล้ว ลองดูที่อกใจของแกซี ถอดโขนของหน้าตาตัวตนแกออกไปให้หมด เหลือแต่ใจอย่างเดียว จะเห็นเองว่าหน้าตาความทุกข์เป็นยังไง”
เกาทัณฑ์สังเกตจิตใจตนเอง เห็นความว้าวุ่นอยู่กลางอกจริงๆ
“ในทุกข์นั้นมีภาพใครคนหนึ่งปรากฏร่วมอยู่ด้วยใช่ไหมล่ะ ใครคนนั้นแหละที่เขาเรียก ‘ต้นเหตุทุกข์’ ถ้าแกนึกถึงภาพตัวต้นเหตุได้ ก็จะรู้ว่าอาการยึดไว้เป็นอย่างไร พอรู้จักอาการยึดก็มองออกว่าจะปล่อยด้วยท่าไหน ปล่อยเมื่อไหร่ใจสบายวาบขึ้นมาเมื่อนั้น”
ชายหนุ่มนึกถึงดวงหน้าเด่นของหญิงสาวที่คล้ายคมมีดกรีดอก สัมผัสได้ถึงใจที่พุ่งเข้าสู่มโนภาพดวงหน้าหล่อนอย่างแรง เห็นจริงเห็นจังว่านั่นเองอาการที่จิตเข้ายึดเหตุ อันได้ผลเป็นความทุกข์ พอลองเปลี่ยนเป็นตรงข้าม ถอนอาการยึด อาการหลงหาเสีย ก็คล้ายมโนภาพงามที่ตามหลอกหลอนทุกขณะจิตพลอยสลายตัวเป็นอากาศธาตุไปด้วย สบายหัวอกขึ้นทันที
เหมือนปล่อยมือจากเชือกให้ว่าวหลุดลอยลม ไม่หนักมืออีกต่อไป
“ตัวปล่อยนั่นแหละที่ท่านเรียก ‘ทาง’ ตัวสบายที่ขึ้นมาแทนที่ความวุ่นวายใจนั่นแหละที่ท่านเรียก ‘ความดับทุกข์’ เมื่อทำได้ ก็เหมือนรู้จักอริยสัจสี่เบื้องต้นแล้ว”
เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆ โล่งอกไปถึงไหน ว่างสบายอย่างน่าพิศวง เหมือนเส้นผมบังภูเขาถูกย้ายออก พ้นความเขลาที่เคยหวงต้นเหตุทุกข์ไว้นิดเดียว พอเลิกหวงได้ ปล่อยวางต้นเหตุออกจากใจได้ ก็กลายสภาพใหม่เป็นตรงข้ามทันที เหมือนพลิกฝ่ามือจริงๆ
เมื่อชายชราเห็นผู้เป็นหลานกระจ่างใจในอริยสัจสี่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ก็กล่าวเสริม
“อุปาทานดับชั่วคราวก็ดับทุกข์ชั่วคราว เชื้ออุปาทานดับสนิทก็ดับทุกข์ได้สนิท แกจะเห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนมากกว่านี้ ถ้าได้รู้ และได้ประสบพบว่าความทุกข์รออยู่เท่ากองภูเขาในอนาคตช่วงอื่นๆอีกและอีก กับทั้งเห็นซึ้งว่าภาวะของการดับทุกข์อย่างสนิทนั้นแสนสบายเหลือเชื่อยังไง”
หลานชายตรองนิ่งเป็นครู่ ภาพบาดใจของหญิงสาวเวียนผ่านมาเข้าหัวอีกระลอก คราวนี้เขาไม่ตั้งใจขจัดทิ้ง ความรุ่มร้อนอ่อนใจก็เกิดขึ้นอีก จนต้องหัวเราะหึๆ
“ปู่ไม่ถามเลยนะว่าเธอที่เป็นต้นเรื่องคือใคร บ้านช่องอยู่แถวไหน”
“ถามไปทำไม ปู่เคยรู้จักผู้คนในชีวิตแกสักรายเมื่อไหร่ พอแกบอกจะให้ปู่ร้องอ๋อออกมายาวๆเหรอะ?”
ค่อนข้างโล่งอกที่ปู่ไม่ระแคะระคาย ทั้งที่เรื่องมันจุดไต้ตำตอแท้ๆ
“ก่อนผนวช พระพุทธเจ้าท่านเคยมีทุกข์มามากหรือฮะ ถึงต้องออกแสวงทางพ้นทุกข์”
“ก็แล้วแต่ว่าแกจะถืออะไรเป็นมาตรวัดความทุกข์ อย่างถ้าเอาเรื่องความรักไปวัดล่ะก็ พระองค์ท่านไม่ได้มีความทุกข์เหมือนอย่างแกหรอก ตรงข้าม พระองค์ทรงมีชายาอันเป็นที่รัก พระนางมีคุณสมบัติเลอเลิศเหนือสตรีนางใดในยุคเดียวกัน คิดเอาง่ายๆนะ ขออนุญาตยกตัวอย่างใกล้ๆ อย่างยายแพของฉันนี่ ไม่ได้หนึ่งในร้อยหรอก”
ชายหนุ่มสะดุ้งไหวอยู่ภายใน เหลือบตามองปู่ก็ไม่เห็นพิรุธ จึงค่อยๆผ่อนลมหายใจทีละน้อย พูดโต้ตอบตามปกติ
“อย่างที่ปู่บอก ถ้าไม่ใช่หัวอกเดียวกันก็ไม่เห็นใจกัน พระองค์เผยแผ่พระสัทธรรมก็ด้วยต้องการให้ใครๆพ้นทุกข์ตามพระองค์ ทีนี้พระองค์มีทุกข์อย่างไรล่ะครับ...เรื่องครองราชสมบัติ?”
“เรื่องการงานและความสามารถทางโลกน่ะพระองค์ไม่ทรงเกี่ยงงอนหรอก แกเคยได้ยินข่าวเด็กอัจฉริยะประเภทเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุสิบเอ็ดใช่มั้ย นั่นแหละ เท่าหนึ่งในร้อยหนึ่งในพันของพระองค์สมัยปฐมวัย แค่เรื่องครองบ้านครองเมืองน่ะสบายมาก เพียงแต่พระองค์ไม่ทรงยินดีในราชสมบัติและความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น”
เกาทัณฑ์เกือบจะหลุดคำถามว่า ‘รู้ได้อย่างไร’ ออกไป แต่ด้วยกำลังโศกเลยคร้านที่จะซัก ชายาก็ดีกว่าหลานสาวคนดีร้อยเท่า ตอนปฐมวัยก็เก่งกว่าเด็กอัจฉริยะยุคไฮเทคร้อยเท่า ปู่คงจำจากตำรามาขยายความตามอัธยาศัยกระมัง
“สรุปแล้วผมไม่เห็นเลยว่าพระองค์จะต้องเป็นทุกข์ด้วยเรื่องอะไร ใช้สามัญสำนึกเอาได้นี่ครับ ผู้ชายสักคนดีพร้อมไปหมด แถมมีคู่ที่ต้องตาต้องใจให้อีกคน อย่างนี้จะรู้จักทุกข์ยังไงไหว”
“ทุกข์ที่พระองค์มีเหมือนทุกคนคือเกิด แก่ เจ็บ ตายไงล่ะเต้”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อทันที
“ผมเคยเรียนมาฮะ แล้วจากวันแรกที่เห็นเหตุผลของพระองค์ในแบบเรียนจนกระทั่งคิดอะไรเองได้ทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่เชื่อจากต้นจนปลายว่าคนเราเห็นทุกข์แค่นั้นแล้วถึงกับจากบ้านจากเมืองและสิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลายเข้าป่าเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น พระองค์ต้องไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริงแน่ถ้าถือว่าตำรากล่าวไว้ถูก”
เกาทัณฑ์เม้มปาก เห็นปู่ยิ้มๆโดยไม่ตอบโต้ ตอนนี้เหมือนเครื่องติด เขาว่าพอได้ใช้เหตุผล ได้พูดจาเสียบ้าง ก็ทำให้ความโศกจางลงดีเหมือนกัน จึงนึกอยากว่าต่อตามความเห็นอันเต็มไปด้วยความรู้จักคิดของตนให้แตกกิ่งก้านยิ่งขึ้น
“ด้วยวัยยี่สิบเก้าซึ่งยังหนุ่มแน่น ร่างกายแข็งแรงขนาดบุกป่าฝ่าดงตามลำพังได้ มีที่ไหนจะสัมผัสทุกข์อันเกิดจากความเจ็บความแก่ล่ะครับ แล้วอย่างเรื่องที่พระองค์บรรลุธรรมก็เหมือนกัน ตำรากล่าวไว้คลุมเครือเหลือเกิน ตอนท่องหนังสือสอบนี่ผมสงสัยเป็นที่สุดว่าขั้นตอนในการนึกรู้วิธีบรรลุธรรมของพระองค์เป็นยังไง เพราะเบื้องต้นก็กล่าวว่าพระองค์หนีจากบ้านเมืองมาใช้ชีวิตแบบฤาษี แต่ทำๆไปก็เห็นว่ายังไม่ใช่ทางออกที่ถูก
เสร็จแล้วเกิดความคิดขึ้นใหม่ว่าถ้าลองทรมานตัวเองลดกิเลสลงอาจได้ผล แต่ลองดูหลายปีก็เห็นว่าไม่ใช่อีก เลยคิดอีกครั้ง เอาทางสายกลาง ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่ามรรคแปด มีอะไรมั่งผมลืมไปหมดแล้ว นั่งอยู่ใต้ต้นไม้คืนเดียวบรรลุเลย ผมไม่เข้าใจว่าการเอาความไม่สุขไม่ทุกข์มาเป็นตัวยืนแล้วจะโยงมาถึงความรู้ในเรื่องมรรคแปดได้อย่างไร ปู่ไม่เคยสงสัยมั่งหรือฮะ?”
“ก็เคยอยู่เหมือนกัน” ปู่ชนะผงกศีรษะ “คล้ายกับนักเรียนวิทยาศาสตร์อย่างพวกแกที่ไม่อาจหยั่งว่าไอน์สไตน์รู้ได้ยังไง ใช้จินตนาการท่าไหน จึงเข้าถึงความเห็นว่าสสารกับพลังงานเป็นสิ่งเดียวกัน เท่าที่เชื่อก็เพราะไอน์สไตน์มีวิธีพิสูจน์เป็นสูตรคณิตศาสตร์ ซึ่งเอาไปทดลองเป็นรูปธรรมได้ผลลัพธ์ตรงจริงเหมือนกันหมดทุกมุมโลกนั่นแหละ”
ปู่ค่อยๆยืดตัวตรง บรรยากาศเปลี่ยนไป คล้ายท่านสำรวมอยู่ในฐานะหรือหน้าที่อีกอย่าง
“ต้องยอมรับนะเต้ว่าโลกเรานี้มีบุคคลพิเศษประเภทหนึ่งในพันล้านอยู่จริง บุคคลอย่างนี้ไม่ได้มีอยู่ในตัวแก ไม่ได้มีอยู่ในคนรู้จักหลักร้อยหลักพันในชั่วชีวิตของแก ไม่ได้มีให้แตะต้องเป็นประสบการณ์ทั่วไป แต่มีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ อาจจะห้าสิบ ร้อย สองร้อย หรือพันปีครั้งถึงจะมีคนประเภทไอแซค นิวตันหรืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดขึ้นมาสักคน คนพวกนี้เขย่าโลกได้ก็ด้วยความคิดที่เป็นหนึ่งในพันล้านนั่นแหละ หากใครเท่าทันดวงจิตขณะคิดงานยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ พวกเขาก็คงจะไม่มีชื่อเสียงและถูกถือเป็นหนึ่งในพันล้านแน่ๆ”
เกาทัณฑ์ชักเริ่มทึ่ง นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่เคยคิดแบบปู่ ตำราทางวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนไม่เคยสอนให้เขามองอัจฉริยบุคคลเหล่านั้นด้วยมุมมองเช่นนี้เลย
“การเกิดมาของไอน์สไตน์ทำให้มนุษย์ได้ความรู้ที่มีค่ามหาศาล เขาทำให้นักศึกษาบางกลุ่มเปลี่ยนโลกทัศน์ที่มีต่อธรรมชาติแตกต่างไปจากสามัญสำนึกของคนธรรมดา เขาทำให้เรามีพลังงานรูปแบบใหม่ไว้ใช้ เขาทำให้จินตนาการของคนยุคใหม่บรรเจิดขึ้นเป็นคนละระนาบกับสมัยอื่น แต่ไตร่ตรองดูนะเต้ เคยมีใครสักคนไหมที่อ้างว่าศึกษาและรับผลพวงจากงานของไอน์สไตน์แล้วมีมโนธรรมสูงขึ้น จิตใจสูงขึ้น หรือกระทั่งพ้นกิเลสพ้นทุกข์ไม่ต้องทรมานใจกับแง่มุมใดๆของชีวิตอีกเลย?”
ชายชราแย้มยิ้มเล็กน้อย เกาทัณฑ์เห็นเป็นรอยยิ้มที่งามจับตา
“มหาบุรุษเช่นพระพุทธองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าหนึ่งในพันล้าน และความรู้ของพระองค์ก็มีค่ามากกว่านั้น พบได้ยากยิ่งกว่านั้น การมีใครสักคนพูดว่า ‘สภาพจิตที่เป็นสุขถาวรนั้นมีจริง เข้าถึงได้จริงด้วยวิธีปฏิบัติที่แน่นอน’ ฟังดูแสนแปลกแสนมหัศจรรย์ขนาดไหน โลกอาจต้องรอการเกิดของนิวตันและไอน์สไตน์นับร้อยนับพันปี แต่โลกจะต้องรอการอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนปีที่แกไม่เคยรู้จัก มันมากขนาดข้ามวัฏจักรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นานขนาดที่แกอาจเร่ร่อนไปสงสัยรูปแบบชีวิตต่างๆกี่แสนกี่ล้านครั้ง ก็ยังไม่มีโอกาสพบบุคคลเช่นพระองค์ซ้ำ”
หลังจากทอดระยะ ปู่ชนะก็สรุปแก้ปม
“ดังนั้นถ้าแกหวังจะให้ตำราเรียนอธิบายว่าพระพุทธเจ้าทรงเข้าสู่การรู้ทางมรรคผลได้อย่างไร ก็ต้องแน่ใจเลยว่าคนเขียนตำราเล่มนั้นเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง และจะต้องบรรยายเป็นมิติที่พิสดารเหนือตัวหนังสือธรรมดาอย่างคาดไม่ถึงด้วย จิตของพระองค์ในขณะจะบรรลุธรรมน่ะเป็นจิตของผู้อยู่เหนือคำว่าอัจฉริยะ เกี่ยวข้องกับฌานญาณและวิธีใช้ปัญญาในรูปแบบที่แกไม่เข้าใจ เป็นการสืบเหตุสืบผลที่เรียกพิจารณาปัจจยาการอันเกินหยั่ง เป็นจิตที่ก่อตัวขึ้นด้วยบารมีสั่งสมบำเพ็ญมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เป็นธรรมชาติตัวเดียวอันเดียวในอนันตจักรวาลชั่วคาบเวลาหนึ่งๆ
และทำนองเดียวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฐานะอย่างแกหรือปู่และคนรอบๆตัวน่ะมองให้เห็นเป็นก้อนทุกข์ไม่ออกหรอก บารมีไม่ถึง โดนธรรมชาติครอบงำให้ทะยานอยากเฉพาะหน้าครั้งต่อครั้งไปเรื่อยเท่านั้น ต้องอย่างพระองค์ท่าน จิตที่สั่งสมบารมีมาพอนั้นรู้ลึกรู้ซึ้ง ฉุกคิด เฉลียวรู้ และกระจ่างในภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยตนเอง หาทางออกทางพ้นได้ด้วยตนเอง กับทั้งสามารถนำความรู้แจ้งมาเผยแผ่เป็นมหาคุณกับชาวโลกได้”
เกาทัณฑ์นิ่งงันอย่างจุกคอหอย ในบัดนั้นเหมือนปู่มีรัศมีสว่างและเหมือนอยู่สูงเกินกว่าจะพูดจาถกเถียงหรือแตะต้องแม้เพียงน้อย
“ปู่ว่าแทนที่แกจะมานั่งสงสัยประวัติของพระองค์หรือวิธีค้นพบของพระองค์ ก็น่าจะลองหาทางพิสูจน์เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า ‘อี’ เท่ากับ ‘เอ็มซีกำลังสอง’ เป็นความจริงหรือเปล่า สูตรของพระพุทธองค์คือมรรคแปดประชุมพร้อมกันสี่ครั้ง เท่ากับภาวะดับทุกข์และกองกิเลสอย่างถาวร”
บทที่ ๕ เข้าสมาธิ
เป็นเช้าที่เกาทัณฑ์นอนแช่บนเตียงนานผิดไปกว่าเคย เหมือนไม่พร้อมจะทำอะไรทั้งนั้น สมองปั่นป่วนสับสนคล้ายคนป่วย ภาพหญิงสาวกับชายชราสลับกันเวียนวนอยู่ในหัวแบบลอยไปลอยมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นไม่ใช่แบบแผนระบบความคิดของเขาเลย
ความเนือยนายและความเชื่อมั่นที่ถูกสั่นคลอนแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก หลานสาวคนสวยของปู่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าต่ำต้อยกว่าเจ้าหนุ่มน้อยผอมแห้งท่าทางกระจอกๆ ส่วนปู่ชนะก็ทำให้เขาเกิดความคิดถกเถียงอยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง เหมือนสงสัยชีวิตขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งที่ผ่านมาชีวิตเขาให้คำตอบกับตัวเองเป็นฉากๆ เริ่มต้นด้วยความพร้อมทางกำลังกาย กำลังสติปัญญา ตามด้วยความสำเร็จ ผลงาน และลงเอยด้วยสง่าราศีจับตาคนรอบข้างทั้งใกล้และไกล เขาควรอยู่ในครรลองแห่งตัวตนอันน่าภาคภูมิจวบถึงอายุขัย
ภาพลักษณ์ชีวิตปรากฏคล้ายธงชัยแห่งความเป็นหนึ่งที่ชูสูงตลอดกาล จู่ๆจะให้ยอมรับหรือว่าทั้งหมดคืออุปาทานทั้งเพ ที่ขยับแขนขาได้ อ้าปากพูดได้นี่เป็นก้อนอนัตตาในระหว่างแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายอันเป็นทุกข์ทั้งสิ้น
ชีวิตคือผลงาน ทำงานสำเร็จชีวิตก็สำเร็จ ทำงานชนะชีวิตก็ชนะ เขาเห็นจริงมาตลอดตามนั้น และมีสัจจะสูงสุดอยู่เท่านั้น
แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อคืนเขานอนก่ายหน้าผาก...
ถ้าหากคนโบราณพูดถูก สมมุติว่านรกสวรรค์เป็นเรื่องจริง สมมุติว่าชีวิตนี้เป็นแค่รูปแบบหนึ่งระหว่างการคลี่คลายของกระบวนการเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มิแปลว่าคนทั้งโลกสั่งสอนและร่ำเรียนกันผิดๆ เอาแค่ชีวิตรอดไปวันๆ โดยมองไม่เห็นภยันตรายใหญ่หลวงที่รออยู่ข้างหน้า ไม่มีการเน้นหนักเอาจริงเอาจังกับการเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในกาลต่อไปหรอกหรือ?
พลิกตัวจุดบุหรี่สูบมวนหนึ่งแล้วนอนหงายหน้ามองเพดาน ห้องนี้เป็นเขตส่วนตัว เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เป็นเครื่องแสดงความสามารถเอาตัวรอดได้ ในวันที่เขาซื้อด้วยเงินสดโดยไม่ต้องผ่อนอย่างคนอื่น วันนั้นเขาเห็นตนเองมีหลักประกันชีวิต หรือใบรับรองความสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองเต็มภาคภูมิ และเป็นผลให้วันนี้เขากำลังคิดก้าวต่อไปอีก คืออยากมีบ้านที่ใหญ่ขึ้น ในสิ่งแวดล้อมระดับสูงขึ้น แสดงพัฒนาการของชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ถูกจังหวะจะโคนตามกาล
เขายังซื้อบ้านหรูหลังใหญ่ด้วยเงินสดไม่ได้เหมือนซื้อห้องเป็นกล่องๆแบบนี้แน่ ถ้าคิดครอบครองบ้านใหญ่ ก็คงต้องใช้เงินผ่อน ซึ่งก็พอไหวอยู่ ต่อให้เดือนละหลายๆหมื่นก็เถอะ ปัญหาคือเขาเกลียดการเป็นหนี้ยืดเยื้อยาวนาน ความรู้สึกมันวิ่งไปไม่ไกลถึงขีดของการครอบครองเต็มภาคภูมิ เขาจะต้องทำงานแบบห้ามพัก มีรายได้ประจำต่อเนื่องนับสิบปี ซึ่งคนเราต้องมีสิ่งผลักดันหรือแรงบันดาลใจใหญ่พอ จึงจะมุแบกภาระยืดยาวปานนั้นโดยไม่ท้อเสียกลางคัน
แรงผลักดันอะไรล่ะที่ทำให้คนเรายอมแบกงานหนักได้นานๆ? การเป็นหมายเลขหนึ่ง การเป็นที่รู้จักทั่วประเทศหรือกระทั่งทั่วโลกอย่างนั้นหรือ? เกาทัณฑ์แวบคิดขึ้นมาว่าหากชื่อเสียงและเงินทองเป็นเพียงเหยื่อล่อให้โถมตัวไปข้างหน้า หลงตามเหยื่อไปเรื่อยๆ ก็ควรแก่การอ่อนล้าระย่อ วันหนึ่งอาจเฉลียวคิดได้ว่าตัวเองสู้เหนื่อยตามเหยื่อไปทำไม ในเมื่อกินอิ่มเพียงพออยู่แล้ว
เขาผ่านจุดของความสำเร็จมาหลายครั้ง นับแต่เรื่องกีฬา เรื่องเรียน มาถึงเรื่องงาน ทุกครั้งพบรางวัลใหญ่เดียวกันเป็นประจำ นั่นคือการดับความกระวนกระวาย ดับความทะยานอยากชนะชั่วแล่น แต่ละจุดของความสำเร็จไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ
เพิ่งได้คำตอบชัดๆว่าคนเราต้องมีครอบครัว มีความอบอุ่นในรักแท้เป็นเครื่องหนุนหลัง เพื่อไม่ให้คิดพักนิ่งอยู่กับที่ ครอบครัวจะเป็นเหตุผลและคำตอบให้ใจตัวเองได้ว่าที่ก้าวรุดๆไปข้างหน้านั้น จะเพื่ออะไร
หรี่ตาลงเป็นเส้นตรงจนสามารถเห็นภาพสาวน้อยในบ้านปู่ผุดชัดขึ้นในมโนนึก หล่อนวิเศษสักแค่ไหนหรือ จึงทำให้เขาคิดถึงการมีครอบครัว คิดถึงการลงหลักปักฐานเป็นฝั่งฝาชั่วข้ามคืนที่รู้จัก
เขาเป็นพวกเกิดมากับความพรั่งพร้อมทุกด้าน ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ พูดง่ายๆว่าหล่อ รวย เก่ง อันเป็นที่ไขว่คว้าโหยหาของเพศตรงข้าม และหมายความว่าวิถีทางย่อมเรียงรายด้วยการหยิบยื่น การกลุ้มรุมเสนอตัว กระแสสังคมปัจจุบันโยนสาวเนื้อหวานมากหน้าหลายตามาให้เขาเชือดราวกับผักปลา มีหรือชายหนุ่มอย่างเขาจะไม่หลงตัว และเห็นเพศสตรีเป็นเพียงเครื่องบำรุงสุขชั่วคราว
แต่สาวน้อยนางนั้นพลิกมุมมองชีวิตของเขาได้เพียงชั่วระยะเวลาที่พบปะกันเพียงผ่านเผิน อย่างน้อยเขาต้องทบทวนและถามตนเองจริงจัง ว่าสุดยอดของชีวิตควรจะเป็นอย่างไร สะดุดเข้ากับรักแท้ ตกร่องปล่องชิ้น แล้วครองเรือนร่วมกันอย่างผาสุกสวัสดีเหมือนบรรทัดสุดท้ายของนิทานก่อนนอนอย่างนั้นหรือ?
สลัดความฟุ้งซ่านทิ้ง หยิบรีโมทคอนโทรลจากโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาเล็งไปที่โทรทัศน์แล้วกดปุ่มเปิด ภาพแรกที่เห็นคือข่าวปล้นฆ่ากลางเมือง ชายร่างใหญ่นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดกับพื้นบ้านของตัวเอง เกาทัณฑ์ดูอยู่ครึ่งนาทีแล้วเปลี่ยนไปยังช่องทีวีต่างประเทศ เจอข่าวเครื่องบินตกกลางมหาสมุทรแปซิฟิก คนตายไปสองร้อยกว่าๆ สำนักข่าวต่างประเทศประโคมกันเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะถือว่าการตายนับร้อยชีวิตพร้อมกันบนเครื่องบินคือโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญระดับโลก
ชายหนุ่มปรือตาหัวเราะหึหึ โธ่เอ๋ย แค่สองร้อยกว่าเอง คงมีน้อยคนที่ทราบสถิติขององค์กรอนามัยโลก ว่าปีหนึ่งๆมีคนตายตั้ง 56 ล้าน หรือเฉลี่ยกว่าแสนห้าคนหมื่นต่อวัน เมื่อวานแสนห้า วันนี้อีกแสนห้า พรุ่งนี้จะอีกแสนห้า นี่สิโศกนาฏกรรมของแท้ สองร้อยกว่าชีวิตบนเครื่องบินก็แค่ส่วนกระจิ๋วที่จะถูกนำไปนับรวมกับอีกแสนห้าเท่านั้น ทิ้งคนในโลกให้ตื่นเต้นกับข่าวเครื่องบินตกโดยไม่อาจกลับมาร่วมตื่นเต้นและตั้งตาคอยการสืบหาสาเหตุเช่นเดียวกับคนตายกลุ่มอื่นๆ
เปอร์เซนต์การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุก็ต่ำเพียงหนึ่งในสิบของสาเหตุการตายทั้งหมด แต่ข่าวการตายด้วยอุบัติเหตุหรือการทำร้าย ข่มขืนฆ่า กลับถูกหยิบยกมานำเสนอเป็นหลัก ด้วยเหตุผลคือการแก่ตายและเป็นโรคตายนั้น ไม่สะเทือนขวัญเท่า ทั้งที่จริงมันก็ตายเหมือนกัน
ความตายมีค่าเสมอกันสำหรับคนตาย จะพิเศษอยู่บ้างก็สำหรับคนเป็นเท่านั้นกระมัง
ฉุกคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เพิ่งคำนึงเมื่อครู่ ถ้าหากการตายไม่ใช่การดับสูญ ยังมีทางต่ออีกล่ะ เช่นนี้ความตายก็มีค่าไม่เสมอกันแม้สำหรับคนตายด้วยกันแล้วซี?
ความทรงจำรางเลือนสมัยเด็กผุดขึ้นมา เคยได้ยินว่าพระพุทธองค์ตรัสเกี่ยวกับคติ หรือที่ไปของคนตาย ว่าร่วงลงสู่อบายนั้นเหมือนจำนวนขนบนตัววัว ส่วนที่ขึ้นสูงสู่สวรรค์หรือกลับมาโลกมนุษย์นั้น น้อยเท่าจำนวนเขาของวัว
ขนหัวลุกขึ้นมาหน่อยๆ เพราะถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ก็แปลว่ามีภาพใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นทุกวันโดยไม่เป็นที่รู้ นั่นคือมนุษย์นับแสนคนต้องไหลลงเหวนรกอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากทำเป็นข่าวได้ถึงทางไปอันแท้จริงของคนตายทั้งหมดถ้วนทั่วเพียงวันเดียว ก็คงสะเทือนขวัญ ช็อกโลกให้แข้งขาสั่นยิ่งกว่าทุกข่าวโศกนาฏกรรมทั้งหมดในประวัติศาสตร์ทีเดียว!
ที่ผ่านมาเขาก็เหมือนคนอื่นๆ คือรับรู้ข่าวคราวการตายอย่างผิวเผิน ถ้าทราบสถิติก็สักแต่เป็นเรื่องของตัวเลขในหน้ากระดาษที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง อาจตื่นเต้นฉาบฉวยแบบเดียวกับที่ทราบว่าเดิมทีเมื่อหลายพันปีก่อน โลกมีประชากรอยู่ราว 150 ล้าน เพิ่งพุ่งขึ้นเป็น 500 ล้านในกลางศตวรรษที่ 17 และกระโดดพรวดอย่างน่าตกใจเป็นหนึ่ง 1,000 ล้านเมื่อสองร้อยปีก่อน แถมอีกร้อยปีต่อมาพุ่งกระฉูดแทบเป็นกราฟตั้งฉากถึง 2,000 ล้าน และในร้อยปีเดียวกันนั้นเอง เหมือนมีใครปล่อยกรงจากแหล่งลี้ลับให้วิญญาณมาครองอัตภาพมนุษย์ทั้งหมดร่วม 6,000 ล้าน!
ตัวเลขนั้น ต่อให้ใหญ่โตแค่ไหนก็ก่อความยินดียินร้ายขึ้นในใจมนุษย์ไม่ได้ ต่อเมื่อมนุษย์คิดถึงข้อเท็จจริงในแง่มุมต่างๆของตัวเลข นั่นแหละความยินดียินร้ายจึงค่อยครอบงำหรือคุกคามเข้าได้
เกาทัณฑ์บังเกิดความประหวั่นพรั่นในส่วนลึกเมื่อคำนึงคำนวณเกี่ยวกับมนุษย์จำนวนมหาศาลที่ทยอยไหลลงอบาย คนเราอาจตายในวันใดวันหนึ่งก็ได้ อันนั้นเป็นความจริงแท้ และคนเราถูกกระทบให้คิด ให้ตรอง ให้กล้า ให้กลัว หรือให้เปลี่ยนความเชื่อไปเรื่อยๆได้สารพัดทุกวัน เท่ากับว่าใช้ชีวิตมาถึงความเชื่อแบบไหน ก็จัดว่าเตรียมตัวตายในแบบนั้นนั่นเอง
เสียแต่คนส่วนใหญ่อาจใช้ชีวิตแบบผิดๆ เรียกว่าเป็นการเตรียมตายแบบไม่พร้อม หรือเตรียมแบบไม่รู้ จึงต้องร่วมเป็นหนึ่งในจำนวนขนวัวที่จะเดินทางไปอบาย
ชั่วขณะต่อมา เกาทัณฑ์ก็บังเกิดความตระหนักว่าทั้งหมดในหัวเป็นเรื่องของจินตนาการเท่านั้น จินตนาการที่จิตสร้างภาพปลอมๆในอากาศขึ้นมาจากตัวเลขซึ่งเป็นของจริง เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็หัวเราะขบขันให้กับตนเองที่คิดเพ้อเป็นตุเป็นตะอย่างไร้สาระไปได้
เปลี่ยนไปอีกช่องที่มีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดฉายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หนังที่ฉายเป็นเรื่องของเด็กสาวหน้าตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาผู้มีชีวิตผันผวนเข้ามาพัวพันกับอันธพาล ฉายมาได้ถึงกลางเรื่องแล้ว เป็นฉากประเภทสูตรสำเร็จที่พระเอกบุกรังผู้ร้ายเพื่อช่วงชิงนางเอกกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้อง เกาทัณฑ์ยิ้มหยัน โลกนี้มีสักกี่คนที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเอก พยายามกลับเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี แต่ละคนทำเพื่อความอยู่รอด ใช้ศักยภาพเพื่อสนองความอยาก ความต้องการเฉพาะหน้าของตัวเองกันทั้งนั้น
เหม่อมองจอแก้วแล้วสะดุดหูสะดุดตา เมื่อยินนางเอกเรียกชื่อพระเอกเสียงหลง ช่วยไม่ได้ที่มันสะกิดแผลเขา ให้ใจประหวัดถึงเสียงร้องยินดีของหลานสาวปู่ ที่ขานเรียกหนุ่มน้อยผู้ทะเล่อทะล่ามาขัดจังหวะเขา ราวกับหมอนั่นเป็นกรรมการตีระฆังพักยกให้หล่อนปลีกตัวจากบุคคลอันไม่พึงประสงค์
ทั้งภาพและเสียงยังบาดเข้าไปทุกอณูสำนึกจนลมหายใจล่าสุด ไหนจะรอยยิ้มโล่งอกเมื่อเห็นเขาลาผละขึ้นเรือนอีกล่ะ ช่างน่าคับแค้นขนาดไหน ความเป็นชายที่พร้อมไปทุกสิ่งทำให้เกาทัณฑ์ไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อน ยิ่งคิดยิ่งเดือดปุดจนร่ำๆนึกอยากเป็นโจรร้าย วางแผนฉุดคร่ามาขยี้ขยำให้สาแก่ใจ รับรองครั้งเดียวเท่านั้นจะเอาให้อ่อนเปียกลงกอดขาเขาแน่นทีเดียว เขาทำได้แน่อยู่แล้ว
กำหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความมันเขี้ยว การอยู่คนเดียวตามลำพังโดยมีหนังยั่วยุปลุกเร้าสัญชาตญาณเถื่อนเยี่ยงนี้ ก่อความคิดชั่วร้ายขึ้นมาโลดแล่นชะงัดนัก ผู้ร้ายที่แสดงบทฉุดคร่านั้น บางทีทำให้คนดูสะใจและส่งเสียงเชียร์ในส่วนลึกเสียยิ่งกว่าพระเอกที่เข้าไปปลดพันธนาการจากข้อมือข้อเท้านางเอกเสียอีก คนเราไม่สนใจหรอกว่าใครคือผู้ร้าย ใครคือพระเอก สนแต่สิ่งที่เห็นแล้วเร่งเร้าสัญชาตญาณดิบเท่านั้นแหละ
ความคิดด้านมืดดำเนินต่อเนื่องไปเป็นฉากๆอยู่พัก ก็เกิดคำเด่นขึ้นมาในหัว
ผู้ร้าย...
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ สมัยนี้คำว่าผู้ร้ายหรือวายร้ายกวนเมืองกลายเป็นคำเรียกเท่ๆไปแล้วด้วยซ้ำ วัยรุ่นวัยคะนองหลายคนใส่เสื้อกางเกงรูปกะโหลกกะลาตาปลิ้นลิ้นแลบ แสดงความฝักใฝ่ในบรรยากาศผีห่าซาตานกันให้เกลื่อน
ไม่เคยมีสถานการณ์คับขันบีบคั้นให้เขาสำแดงแปลงกายเป็นวีรบุรุษ แบบเหาะไปช่วยสาวออกมาจากตึกไฟไหม้ หรือจับเหล่าร้ายมัดรวมเหมือนหมูรอตำรวจมารับไปนอนซังเต ถ้าอย่างประเภทฉวยลูกหมาให้รอดจากการโดนรถทับอย่างหวุดหวิดนี่เคยมาบ้างนิดหน่อย หรือเห็นยายแก่เดินโต๋เต๋จะเป็นลมแล้วช่วยพาส่งบ้านนี่ก็พอมี แต่ล้วนเป็นเรื่องดาษๆที่ใครเขาก็ทำกันทั้งโลก หากละเลยเฉยเมยต่างหาก ถึงจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนใจดำไป
สรุปแล้วชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีโอกาสเป็นพระเอกใหญ่ แต่วันนี้ร่ำๆจะกลายเป็นวายร้ายตัวเอ้ คิดฉุดคร่า ‘นางเอก’ มาสนองสันดานเถื่อนเสียแล้ว
เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก ใจภาคหนึ่งกระซิบตนเองด้วยกระแสกุศลประหลาด ว่าหากเขาจะได้หล่อน ต้องไม่ใช่ด้วยวิถีทางโสโครกของยักษ์มาร แต่ด้วยวิถีทางอันสะอาดของมนุษย์ดีๆคนหนึ่ง ตลอดมาไม่เคยรู้สึกละเอียดอ่อนกับผู้หญิงคนไหนเท่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็อยากรักษาไว้ เพราะถ้าทำลายแล้ว ก็ไม่ทราบว่าชั่วชีวิตที่เหลือจะยังมีโอกาสพบเจอหัวใจตนเองอีกหรือเปล่า
กดสวิทช์ปิดทีวี นอนปิดตาฟังเสียงลมหายใจตนเองกลางห้องนอนฉ่ำเย็นสงบเงียบ เหมือนถูกทิ้งไว้คนเดียวในโลก เหลือแต่เขาผู้มีใจกระสับกระส่ายสับสนนอนนิ่งไร้ประโยชน์ตามลำพัง อัดควันบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลืมตาลุกขึ้นเดินย่ำพรมนุ่มไปขยี้ก้นกรองที่เหลือกับจานรอง
เดินไปเดินมา ความคิดกระโดดไปจับที่การสนทนาระหว่างเขากับปู่ชนะ ชักนึกขัดอกขัดใจที่ต้องเอาแต่ยอมรับคำพูดลุ่มลึกของท่าน ชนิดที่ต้องกลับมานอนก่ายหน้าผาก สมองอึงอลไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เขาอยากผูกมัดความเชื่อแบบเก่าๆเอาไว้ ถ้าถูกสั่นคลอนไป ระบบความคิดคงระส่ำระสายอีกนาน
คงต้องตั้งอกตั้งใจศึกษาและวินิจฉัยประเด็นหลักทางศาสนาให้แยบคายแล้วกระมัง เขาเชื่อล่ะว่าพุทธศาสนาพูดถึงเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ แต่ปัจจุบันก็มีเทคนิควิธีร้อยแปดพันเก้าเอาไว้ดับทุกข์ ตั้งแต่ของดีราคาถูกไปจนถึงของหรูราคาแพง ทั้งวิธีอันเป็นธรรมชาติ และทั้งเทคโนโลยีแสงเสียงชั้นสูงที่ปู่คงไม่เคยรู้จัก
ทราบดีว่าความเชื่อทางศาสนาสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใครต่อใครได้หลายคน ตรงนั้นแหละที่เขาอยากจับเป็นประเด็น เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ขอให้ยกไว้เสีย เพราะเป็นเรื่องที่ใครๆก็พูดขึ้นมาเป็นบทตั้งได้อยู่แล้ว วิธีการหรือกลยุทธ์ในการดับทุกข์ต่างหาก ที่น่าวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้สูงหรือต่ำเพียงใด
ใจที่มีพื้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ขนานแท้ ทำให้เกาทัณฑ์ปักใจเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง คือคำพูดของคนโบราณผิดได้เสมอ ต่อให้เป็นปราชญ์ผู้ชาญฉลาดล้ำลึกเพียงใดก็ตาม เครื่องไม้เครื่องมือและระบบวิธีหาคำตอบ หาความจริงยังล้าสมัย เช่นที่สมัยหนึ่งอริสโตเติลแทบจะเป็นศูนย์กลางการอ้างอิงความรู้และความเชื่อ ยังเคยปล่อยไก่สรุปง่ายๆว่าของหนักย่อมตกถึงพื้นก่อนของเบา ที่ด่วนสรุปก็เพียงเพราะเห็นของแข็งร่วงลงพื้นเร็วกว่าขนนก ยังไม่ได้ทดลองให้เห็นจริงอย่างกาลิเลโอเลยว่าแม้ของแข็งน้ำหนักต่างกันมากก็ตกถึงพื้นพร้อมกันได้ ที่ขนนกตกลงมาช้าก็เพราะเบาเสียจนถูกแรงลมต้าน ถ่วงเวลาเอาไว้ต่างหาก
เขาอยากมองให้ออก อ่านให้ขาดด้วยมันสมองของคนยุคใหม่ ว่ารายละเอียดต่างๆในเนื้อหาพระธรรมวินัยนั้น ตรงไหนบ้างที่ขัดกับความจริง ชนิดที่ลองชี้ให้ปู่เห็นแล้ว จะได้ทราบว่าความเชื่อของปู่ อาจมีจุดด่างพร้อยอยู่ และเมื่อมีจุดด่างพร้อย ก็แปลว่ามรดกทางศาสนาน่าจะปรับประยุกต์ไปตามยุคสมัย เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ยอมรับทฤษฎีใหม่ที่ค้านทฤษฎีเก่าอย่างเต็มอกเต็มใจ ถ้าพิสูจน์กันเจ๋งๆได้ว่า ‘ใช่ยิ่งกว่าเดิม’
มาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูสารรูปตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นชายวัยเบญจเพส หนวดเคราเขียวครึ้ม หัวหูยุ่งเหยิงอย่างคนนอนดิ้น อยู่ในชุดเสื้อกางเกงแพรยับยู่ยี่ ดวงตาที่เคยสดใสและแรงด้วยรังสีทรงภูมิดูแห้งๆชอบกล ไม่ชอบเงาตัวเองตอนนี้เลย
เหลือบตามองดูหนังสือธรรมะที่ปู่ยื่นให้ก่อนกลับ มีอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งชื่อ ‘พุทธธรรม’ อีกเล่มหนึ่งเป็นพจนานุกรมพุทธศาสน์
หรี่ตาลงเล็กน้อย ปู่คงหวังจะให้เขาซาบซึ้งในธรรมะล่ะสิ ฝันไปเถอะ โครงสร้างทางจิตใจของเขามันรับเรื่องไร้รสเผ็ดร้อนทำนองนี้ไม่ไหวหรอก เขายังหนุ่ม ยังชอบสัมผัส ยังโหยหิวความเข้มข้นของชีวิต ยังใจร้อนและมีไฟกับความก้าวหน้าใหม่ๆ ใครล่ะจะทิ้งความสนุกสุดเหวี่ยงแห่งวัยได้ลงคอ คนวัยปู่เหมาะจะใช้เวลาว่างที่เหลือเตรียมทิ้งชีวิตด้วยความคิดและความทรงจำเก่าๆ ส่วนคนที่ยังหนุ่มแน่นอย่างเขาเหมาะกับการใช้เวลาอันมีค่าสร้างชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงมากกว่า
แต่นาทีนั้น หนังสือพุทธธรรมถูกมองเป็นอาหารสมองจานใหญ่ หาก ‘วิธีดับทุกข์’ ถูกแสดงไว้อย่างเปิดเผย ถือเป็นสรณะ เป็นหลักปฏิบัติในปัจจุบันของปู่มีจุดน่าสนใจให้จับผิด คราวหน้าคงมีประเด็นต่อความยาวได้อีกไกล เขาจะเลิกเป็นฝ่ายฟังข้างเดียวเสียที
หยิบหนังสือปกแข็งขนาดใหญ่ติดมือมานั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟโคม วางคัมภีร์อันหนักอึ้งลงบนแผ่นหนังรองพื้น เหลือบดูชื่อผู้เขียนตามนิสัยนักอ่านที่ดี เห็นชื่อพระธรรมปิฎกและมีวงเล็บว่า ‘ประยุทธ์ ปยุตฺโต’ แล้วพลิกเปิดดูเนื้อหาภายใน โดยเริ่มต้นที่หัวข้อทั้งหมดในหน้าสารบัญตามแบบวิธีของนักศึกษายุคใหม่
เป็นหนังสือที่เหมาะกับคนเก่งวิชาการอย่างเขา ทั้งเล่มเต็มไปด้วยความรัดกุมในการนำเสนอ ทุกขั้นตอนประจุด้วยจุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระตามหัวข้อกำหนดเป๊ะ กับทั้งมีแหล่งที่มาอ้างอิงละเอียดยิบแทบทุกประโยค ทุกย่อหน้า เรียกว่ามั่นใจได้ว่าเป็นการกรองเอาพระไตรปิฎกมาเป็นประเด็นธรรมอันครอบคลุมความใฝ่รู้ของผู้ศึกษาครบถ้วน
เขาอ่านได้อย่างง่ายดายด้วยบรรยากาศการทำงานของสมองแบบเดียวกับอ่านตำราใหญ่ๆในรั้วมหาวิทยาลัย ได้เข้าใจประเด็นหลักของพระพุทธศาสนาทีละจุด เริ่มจากการมองชีวิตเบื้องต้นในแง่ต่างๆ ตลอดจนกระทั่งคำแนะนำเกี่ยวกับชีวิตในอุดมคติเชิงพุทธปรัชญา ได้ทบทวนศัพท์แสงกับรายละเอียดที่หลงลืมไปหมดแล้ว อย่างเช่นขันธ์ 5 อายตนะ 6 ไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปปบาท กรรม นิพพาน มัชฌิมาปฏิปทา และสรุปด้วยอริยสัจ 4
เกาทัณฑ์มารวมความเข้าใจเชิงประเด็นสัมพันธ์ว่าเนื้อหาหลักแห่งพุทธศาสนากล่าวถึงการประกอบขึ้นเป็นตัวตนของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆด้วยขันธ์ห้า มีกรรมวิบากเป็นปัจจัยปรุงแต่ง มองความต่อเนื่องของสายชีวิตได้แบบปฏิจจสมุปบาท มีผลลัพธ์เป็นทุกข์ จะดับทุกข์ได้ก็ด้วยมรรคแปด
เขาพบความเชื่อมโยงมากมายที่ค่อนข้างซับซ้อนระหว่างจุดต่างๆ มีศัพท์เฉพาะหลากหลายที่บางครั้งพูดถึงสิ่งเดียวกัน แต่เป็นคนละนัย ทว่าด้วยความปราดเปรื่องและวิธีอ่านอันแยบคายมีขั้นตอน กระโดดผ่านเป็น ปะติดปะต่อเป็น ตั้งคำถามดักรอคำตอบเป็น ผนวกเข้ากับความสามารถอ่านเร็วและอ่านทนยิ่งยวด อีกทั้งมีพจนานุกรมพุทธศาสน์เป็นคู่มือช่วย การสร้างสะพานเชื่อมความรู้ให้เป็นโครงข่ายใยมหึมาจึงเกิดขึ้นในเวลาอันลัดสั้น เพียงเจ็ดชั่วโมงเศษๆจากเช้าถึงบ่าย เกาทัณฑ์ก็คิดว่าเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสน์ไว้ในหัวเพียบแปล้ตามต้องการ ถึงแม้จะไม่ละเอียดจบกระบวนความทั้งหมดของหนังสือ ก็พอพูดได้ว่าบัดนี้กระบะสมองบรรทุกสาระอันเป็นแก่นสำคัญที่เอาไว้สนทนากับปู่ได้อย่างถึงรสไหวแล้ว
ด้วยสายตาของคนช่างจับผิดทำให้ชายหนุ่ม ‘ไม่รับ’ เนื้อธรรมไปทำความสว่างให้จิตใจเท่าไหร่ ข้อธรรมมากมายเป็นเรื่องเกินวิสัยพิสูจน์ นับแต่กรรมวิบาก ปฏิจจสมุปบาท หรือกระทั่งเป้าหมายสูงสุดเช่นพระนิพพาน ทว่าก็มีข้อธรรมน่าสนใจที่ทำให้เห็นมุมมองอันน่าทึ่งของปราชญ์ผู้ปรากฏตัวอยู่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เช่นขันธ์ห้า คือการแยกแยะมนุษย์ออกเป็นองค์ประกอบต่างๆ เพื่อง่ายต่อการศึกษาและเข้าถึงความจริงในแต่ละองค์ประกอบ อันนี้เป็นหลักการเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน
เช่นทางจิตวิทยาก็แยกแยะมนุษย์ออกโดยนัยเดียวกับสิ่งที่เรียก ‘ขันธ์ห้า’ กล่าวคือเลิกมองมนุษย์เป็นบุคคล เพราะหากมองเช่นนั้นจะมีการผูกโยงเข้ากับตัวตนอันน่ารักหรือน่าชัง ทำให้การวิเคราะห์วิจัยเป็นไปโดยอคติหรือลำเอียง ทางที่ดีคือแยกออกเป็นส่วนๆเสีย ได้แก่ระบบประสาททางกาย ความรู้สึกรู้สา ความกำหนดจดจำ ความมีเจตจำนง และความมีสำนึกรู้ น่าแปลกที่สอดคล้องกับเกณฑ์การแยกแยะของพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่สรุปไว้ใกล้เคียงกันอีกอย่างคือระบบประสาท อันเป็นส่วนของกายนั้น มีส่วนสัมพันธ์ตรงไปตรงมากับจิตใจ พูดให้ฟังง่ายกว่านั้นคือทางประสาทวิทยา ‘เชื่อ’ ว่าจิตใจก็คือกิจกรรมของเครือข่ายประสาทอันสลับซับซ้อนนั่นเอง ทางพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าผัสสะดีร้ายทางกายเป็นปัจจัยให้เกิดการเสวยอารมณ์ เมื่อเสวยอารมณ์ก็เกิดการหมายรู้ เมื่อหมายรู้ก็เกิดการตรึกนึกต่างๆนานาในอารมณ์นั้นๆ
อย่างไรก็ตาม เส้นแบ่งแยกอย่างเป็นขั้วตรงข้ามระหว่างจิตวิทยากับพุทธศาสนาก็คือเรื่องของตัวตน ทางจิตวิทยายอมรับว่าผลผลิตอันเกิดจากการผสานงานระหว่างกายใจ อันได้แก่ความรู้สึกในตัวตนนั้นถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุด ในขณะที่พุทธศาสนามองว่า “ความยึดมั่นในตัวตน” เป็นเพียงสิ่งที่เรียก ‘อุปาทานขันธ์ห้า’
ถ้าจินตนาการว่าคนๆเดียวในยุคสองพันกว่าปีก่อนสามารถคิดได้เท่ากับศาสตร์สมัยใหม่ของตะวันตก กับทั้งล้ำหน้าไปขั้นหนึ่งด้วยมุมมองสรุปรวบยอดที่ว่าความรู้สึกในตัวตนเป็นเพียงอุปาทาน หรือความยึดมั่นผิดๆในของสิ่งที่ปรุงประกอบกัน ก็ต้องนับว่าเป็นแนวคิดที่เกินธรรมดา เหลือเชื่อว่าสามัญมนุษย์สามารถตีโจทย์แตก และจับประเด็นความจริงในชีวิตเพื่อดับทุกข์ได้น่าทึ่งปานนี้
หากพูดแบบไม่อ้อมค้อม เขาเห็นทฤษฎีทางพุทธศาสนาทั้งหมดเป็นผลงานของสมองปราชญ์โบราณขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยผู้ฉลาดคิดเกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิตใจสักกลุ่ม ตั้งไอเดียเพื่อบรรเทาทุกข์แก่คนทั้งหลาย จากนั้นก็มีการสืบทอดมรดกทางปัญญา ค่อยๆพัฒนาทฤษฎีต่างๆขึ้นหลายยุคหลายสมัยจนดูสมจริงสมจังและมีน้ำหนักเหตุผลน่าเชื่อถือจนถึงที่สุด ชนิดมีหลักฐานความรู้ประกอบอุดช่องโหว่จนหมดสิ้น ทำนองเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์สืบทอดความก้าวหน้าจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งนั่นเอง
ครั้งเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในโรงเรียน ซึ่งเขาให้ความสนใจอ่านแบบท่องจำก่อนสอบ ความรู้เชิงจริยธรรมที่ปะปนมากับองค์ความรู้สำคัญของพุทธทำให้มองข้ามความน่าสนใจเกี่ยวกับแก่นศาสนาไป เพิ่งมาเริ่มอ่านด้วยสายตาช่างคิดช่างวิเคราะห์ก็คราวนี้
สัจจะในมุมมองของปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ยุคใกล้กับพระพุทธองค์คือการมองไปรอบๆ แล้วพูดอย่างไรก็ได้ให้ธรรมชาติเข้ามาอยู่ในการรับรู้ ด้วยลักษณะเป็นเหตุเป็นผล ทว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จะฉีกแนวออกไป กล่าวโดยย่นย่อคือความจริงสูงสุดจะสืบสาวได้จากกายตนเองและใจตนเอง โดยตั้งสติรู้เข้าไปตรงๆ ตั้งสติพิจารณาเข้าไปตามจริง กระทั่งลุถึงเป้าหมายสูงสุดในเชิงปฏิบัติ อันได้แก่ ‘เห็น’ เหตุแห่งทุกข์คือเชื้อกิเลส และมีความสามารถทางจิตที่จะล้างเชื้อกิเลสอย่างหมดจด
พูดให้ง่ายคือพระพุทธเจ้าและพระสาวกจะพึงพอใจกับคำตอบที่เป็นตัวสภาวะ เมื่อไหร่จิตถึงสภาวะที่ไม่ทำตัวเป็นเชื้อกิเลส เมื่อนั้นถือว่าจบปริญญาเอกทางพุทธศาสนา ไม่มีอะไรต้องทำ ไม่มีอะไรต้องขวนขวาย ไม่มีอะไรเป็นคำถามในประเด็นธรรมชาติว่าด้วยทุกข์และการดับทุกข์อีกเลย
ในสายตาของคนเริ่มศึกษาผู้มีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมกับชีวิต ชีวิตปรากฏเป็นความกระจ่างแจ้งในวิถีทางแห่งความสุขโดยตัวเองเช่นนี้ พอรู้เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ว่าราคะ โทสะ โมหะเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ต้องล้างผลาญให้หมดจดจากใจ ก็ต้องนึกค้านเป็นธรรมดา ในเมื่อปักใจเชื่อแนบแน่นอยู่ ว่าสีสันสนุกสนานกับกามคุณทั้งปวงเป็นของน่ายินดี มีเหตุผลเพียงพออย่างไรถึงจะห้ามมันเล่า
เมื่อวานเขานึกท้อและหดหู่จากการเมินของผู้หญิงคนหนึ่ง ยอมรับว่าทุกข์หนักและเจ็บลึกจนห่อเหี่ยวไปหมด แต่นั่นก็คือรสชาติอีกแบบ เป็นสภาวะทางใจอีกชนิดหนึ่ง ที่บัดนี้ถูกแทนแล้วด้วยกำลังสมาธิแรงๆอันเกิดแต่การอ่านตำราอย่างต่อเนื่องยาวนาน
หากการดับทุกข์ถาวรคือการปลิดสุขทุกข์ทิ้งไปเสียทั้งยวง แม้ทำได้จริง แต่แน่หรือว่าเป็นคุณค่าสูงสุดที่ควรไขว่คว้า รสชาติของการผิดหวัง แล้วกลับลำตั้งความหวังใหม่ด้วยกำลังกายกำลังใจ มิใช่สีสันของการมีชีวิตมนุษย์หรอกหรือ?
จุดแตกหักอยู่ที่ตรงนี้ หากเชื่อว่าคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว ก็ควรสรุปว่าปล่อยให้จิตใจเสพความเป็นชีวิตอย่างครบเครื่องน่ะดีแล้ว ควรแล้ว เพราะนั่นคือวิถีทางของธรรมชาติ แต่หากเชื่อว่ายังมีการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ อย่างนั้นก็ต้องถามหา ‘ตัวเลือกที่ดีที่สุด’ กันใหม่
ด้วยความเป็นมนุษย์ในยุคบริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างเขา ควรใช้เกณฑ์อย่างไรในการเลือกเชื่อ ระหว่างมีหรือไม่มีชาติก่อนชาติหน้า?
ทางแพทย์ทราบแล้วว่าศูนย์รวมประสาทใหญ่อยู่ที่สมอง เพราะฉะนั้นสมองก็คือจิตใจ หากจิตใจเป็นอื่นจากสมอง และสามารถสืบค้นจนเจอร่องรอยของจิตใจด้วยวิทยาการยุคนี้ชัดๆ ความคลางแคลงทั้งหลายคงปลาสนาการไปโดยง่าย
แต่นี่อย่างไรเล่า เมื่อครั้งศึกษาอยู่ต่างแดน เขาเคยเข้าร่วมฟังสัมมนาว่าด้วยเรื่องชาติภพในเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูลใหม่ๆลึกๆเกี่ยวกับผลการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทและสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตใจ’ และแสดงผลการวิจัยอย่างเป็นกลาง ปราศจากอคติและลำเอียง ที่ผลการค้นคว้าจริงจังให้ผลโน้มเอียงไปทางปฏิเสธความเชื่อเก่าแก่ทั้งสิ้น
เป็นต้นว่าเราอาจลบแทรกข้อมูลความจำหรือมโนภาพในมนุษย์ได้จริงด้วยวิธีจี้ไฟฟ้าลงไปบนจุดต่างๆของสมอง หรือเด็ดกว่านั้นคือการค้นพบเค้าเงาวิธียักย้ายถ่ายเทข้อมูลความจำในเยื่อประสาทสมองของคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าวันหนึ่งวิทยาศาสตร์อาจสร้างหรือปรับแต่ง ‘ตัวตน’ ในมนุษย์อย่างไรก็ได้ ขอเพียงมีเทคโนโลยีสูงพอจะจัดการกับระบบสมองให้ครบวงจร
ถ้าตัวตนเป็นสิ่งสร้างได้ ทำลายได้ ปลูกสำนึกใหม่ได้ ก็แปลว่าภพชาติ กรรมวิบาก นรกสวรรค์ เรื่องราวบรรดามีทั้งหลายในพระคัมภีร์ศาสนาต่างๆ ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น
เมื่อข้อมูลหลายชิ้นประกอบเข้าด้วยกันเป็นภาพใหญ่ โดยรวมจึงต้องสรุป ‘แบบวิทยาศาสตร์’ ว่าถึงวันนี้ เทคโนโลยีบอกเราว่ามนุษย์นั้น...
เกิดหนเดียว ตายหนเดียว
สมองหยุดทำงานเมื่อไหร่ จิตใจก็ดับลงเมื่อนั้น
นับจากวันที่เข้าฟังสัมมนา เกาทัณฑ์ก็สบายใจมาตลอด ปักใจเชื่อว่าโลกหน้าเป็นเรื่องหลอกของคนโบราณ ศาสนาเป็นแค่การสอนจริยธรรมให้สังคมมนุษย์สงบสุขร่มเย็น ซึ่งนั่นก็ดี และต้องมีไว้หน่อย แต่เรื่องขู่ประเภทนรกสวรรค์หรือรางวัลเป็นนิพพาน คงถึงเวลาต้องเก็บใส่ลิ้นชักเสียทีแล้ว เพราะวิทยาการเจริญขนาดนี้ ผู้คนมีภูมิคุ้มกันทางปัญญามากพอ เกินกว่าจะหลอกล่ออะไรแล้วเชื่อหมด
เกาทัณฑ์ทบทวนความรู้และการตัดสินใจเลือกเชื่อมาถึงจุดนั้น ก็พักทานข้าวปลาโดยสั่งจากร้านข้างล่าง พอทานเสร็จ แทนที่จะหันเหความสนใจไปทางอื่น กลับรู้สึกว่าไฟแห่งปัญญาคิดอ่านยังลุกโพลงท่วมหัว จึงเปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเตอร์เน็ต ตระเวนกว้านหาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาที่มีอยู่ดาษดื่น เริ่มสนุกกับการเจาะและจับประเด็นทางศาสนศาสตร์ ไม่เฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ แต่ยังรวมถึงศาสนาและปรัชญาอื่นๆ นึกพอใจที่มีบางแหล่งทำวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบไว้แล้วเป็นแนวทาง
ยิ่งค้นยิ่งสนุก ปัจจุบันมีคนฉลาดคิด หรือกระทั่งนักปฏิบัติในไทยมากมายพยายามรวมศาสนาทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว เขาพบการพยายามบรรยายหรือพรรณนาสภาวะวิเศษเหนือชั้นที่ประจักษ์ได้ด้วยการฝึกจิตสารพัดรูปแบบ แต่ละคนบอกว่าของตนถูก เป็นของแท้ทั้งนั้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ไม่ใช่อะไรอื่น
มุมมองของมนุษย์นั่นเอง...
เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนตัวเองไปเที่ยวป่า เขาไม่อยู่ป่าหรอก แต่จะชมให้เพลินทั่วๆเสียหน่อย เชื่อใจตนเองว่าไม่มีวันหลงเด็ดขาด คนจับทิศเก่งแบบเขา แค่เข้ามาเอาความรู้จากป่าเท่านั้น
แรงจูงใจให้เดินทางมาวัดทางนฤพานอีกครั้งคืออภินิหารเกินสามัญมนุษย์ของหลวงตาแขวนโดยแท้ เกาทัณฑ์เคยเห็นจากทางทีวีและนิตยสารประเภทท้าพิสูจน์เรื่องพิสดารมาบ้าง แต่ไม่เคยประจักษ์ตาตนเองอย่างคราวก่อน เขาพอจะรับได้เกี่ยวกับเรื่องอำนาจเหนือธรรมดา เพราะตนก็เกี่ยวข้องอยู่กับอภินิหารเหนือธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผิดแต่มิใช่อภินิหารทางพลังจิต แต่เป็นอภินิหารทางพลังสมองอันเต็มไปด้วยระบบตรรกะที่ผนวกเข้ากับจินตนาการของผู้ผ่านการศึกษาในซีกโลกสว่างสุด
ภาพชีวิตคงถูกแต้มเพิ่มขึ้นมาอีกสี หากหลวงตาแขวนจะสอนวิชาให้แก่เขา มัคคุเทศก์สาวผู้นำเขามาพบท่านเคยบอกว่าหลวงตาแขวนแสดงฤทธิ์ให้ดูนั้น น่าจะเพราะท่านเมตตา ถึงแม้จะไม่เข้าใจกระจ่าง แต่เกาทัณฑ์ก็เชื่อว่าหญิงสาวคงรู้อะไรลึกๆเกี่ยวกับเจตนาของพระสงฆ์องค์เจ้าเป็นแน่ ในเมื่อหล่อนคลุกคลีใกล้ชิดมาแต่เด็ก ดังนั้นถ้าเขาจะมาขอความเมตตาจากท่านคราวนี้ ก็มีเหตุผลควรเชื่อว่าน่าจะสมหวัง
ชายหนุ่มขึ้นไปบนกุฏิเมื่อท่านฉันเช้าเสร็จพอดี เห็นพระลูกวัดและเด็กวัดกำลังจัดแจงเก็บกวาดสำรับเครื่องถวายอยู่ ตัวหลวงตาแขวนกำลังยืนบ้วนปากที่ราวชานกุฏิ เกาทัณฑ์คุกเข่ากราบโดยไม่เคอะเขินเมื่อท่านกลับมานั่งประจำที่ซึ่งใช้ต้อนรับญาติโยม พอท่านเห็นเขาก็ยิ้มให้
“ว่าไงพ่อหนุ่ม?”
“ผมอยากมาขอเรียนสมาธิกรรมฐานกับหลวงตาครับ”
โยมหนุ่มเข้าหาจุดประสงค์อย่างไม่อ้อมค้อมตามนิสัย ขณะประกาศความปรารถนาก็ทรงกายตรง กระพุ่มมือไหว้นอบน้อม ดวงตามีประกายมุ่งมั่นจัดจ้า คล้ายบอกอยู่ในทีว่าท่านจะสั่งบุกน้ำลุยไฟอย่างไรก็ยอมทั้งสิ้น ขอเพียงแลกกับวิชาความรู้เท่านั้น
หลวงตาแขวนยิ้มกว้างกว่าเดิม ลุกขึ้นกวักมือเรียกเขา
“ตามมา”
ทุกสิ่งง่ายดายจนเกาทัณฑ์งง จำได้จากหนังสือบางเล่มที่ขวนขวายซื้อมาตลอดอาทิตย์ว่าเกจิอาจารย์ที่เก่งกาจนั้นรับใครเป็นลูกศิษย์ลูกหายาก ต้องมีพิธีรีตองและการพิสูจน์ใจกันอย่างเต็มกำลังเสียก่อน แต่นี่ดูสะดวกโยธินผิดสังเกต
หลวงตาลุกนำ แต่ก่อนออกเดินก็หันไปสั่งความกับพระที่อยู่ใกล้สองสามคำ จับความได้ว่าจะยังไม่รับแขก ขอให้บอกปัดญาติโยมจนกว่าท่านจะออกจากห้อง นั่นยิ่งทำให้เกาทัณฑ์แอบฉีกยิ้มอยู่ในใจ นึกกระหยิ่มว่าตนนี่คงบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นแน่แท้ หลวงตาท่านจึงให้ความเมตตาเป็นพิเศษเห็นปานนี้
พอเกิดสติว่าอัตตาโตไปหน่อยก็รีบสะกดใจ เท่าที่ทราบ พระป่าพระธุดงค์ท่านไม่โปรดคนทะนงหลงตัวนัก เพราะอัตตาหยาบเป็นที่ระคายเคืองกับจิตอันละเอียดสุขุมของพวกท่าน
ตามหลวงตาเข้าไปในห้องที่แบ่งไว้สำหรับจำวัด ไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากมุ้งที่ตลบไว้ หมอนอีกใบพิงฝา ย่ามพระเก่าๆ และพระพุทธรูปบนโต๊ะเล็ก ทั้งห้องสะอาดเรี่ยม ปราศจากสิ่งของอื่นใดสักชิ้น ไม่มีแม้แต่พัดลมสักตัว
ทว่าห้องเล็กนั้นก็ให้สัมผัสเยือกเย็นขรึมขลังอย่างน่าพิศวง เกาทัณฑ์งงๆเคว้งๆคล้ายดิ่งสู่น้ำลึกเงียบงันก่อนจะทันตั้งตัว หน้าต่างไม้บานกว้างเปิดออกเต็มที่ ทำให้เกิดภาพโดยรวมเป็นความสว่าง โปร่งสบาย ปราศจากพันธะผูกพัน คล้ายลานพื้นดินใต้ร่มไม้ที่เชิญคนผ่านทางมาพักนอนชั่วคราวแล้วจากไปไม่ต้องอาลัยกัน ท่านคงปฏิบัติตามแนวสันโดษ ทำตัวเหมือนอยู่กลางป่าลึกตามลำพัง แม้จะอยู่ท่ามกลางชุมชนสะดวกสบายเช่นนี้
หลวงตาแขวนสั่งให้เขาปิดประตูและลงนั่งกลางพื้นห้อง
“เอ็งเป็นหนุ่มสมัยใหม่” ท่านเริ่มเมื่อต่างนั่งเข้าที่เรียบร้อย “ต้องเริ่มด้วยความเชื่อของตัวเอง”
เกาทัณฑ์ตั้งใจฟังอย่างสงบ สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดความเป็นกันเองใกล้ชิดท่านมากขึ้น ยามนี้เขาเห็นท่านมีความขลังน่ายำเกรงอย่างประหลาด ดูต่างจากคนแก่ธรรมดาๆอย่างเมื่อตอนพบครั้งแรกชนิดหลังมือเป็นหน้ามือ ต่อภายหลังเขาจึงทราบว่าผู้ทรงฤทธิ์อย่างแท้จริงนั้น อาจกำหนดจิตให้มีความนิ่มนวล ก่อบรรยากาศเยือกเย็นสบายกับผู้อยู่ใกล้ หรือจะกำหนดให้เข้มข้นคมกริบเพื่อสยบมานะของลูกศิษย์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับวาระโอกาสอันเหมาะควร
หลวงตากายสิทธิ์เอี้ยวตัวไปล้วงกระดาษดินสอจากย่ามมายื่นส่งให้เขา
“เขียนเลขหนึ่งถึงเก้าให้ดูซิ เอาตัวเล็กหน่อย ติดกันพอดีๆ แล้วก็ให้เสร็จเร็วที่สุด ห้ามหวัดแบบไก่เขี่ยนะ”
เกาทัณฑ์ทำใจเหมือนหุ่นยนตร์ที่ถูกกดปุ่มสั่ง เจ้าของสั่งอย่างไรก็ทำ ตัดความสงสัยไม่ให้เหลือในใจแม้น้อย เขาปฏิบัติตามคำท่านทันที และทำได้อย่างครบถ้วน นั่นคือเร็ว ไม่หวัด ขนาดเล็กเท่ากันและมีช่องไฟห่างสม่ำเสมอ เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองท่านอย่างจะรอคำสั่งต่อไป
“สังเกตความรู้สึกตอนนี้ไว้นะ เอ้า ลองใหม่อีกที ทำเหมือนเดิม แต่ขึ้นบรรทัดใหม่แล้วเรียงเลขให้ตรงกันด้วย”
ชายหนุ่มทำตาม เขาทำได้เร็วกว่าเดิมเล็กน้อย โดยพยายามให้ตัวเลขต่างกันน้อยที่สุด เพราะนึกเดาว่าท่านอาจมุ่งเอาเรื่องของความแตกต่าง
“เอาอีกสามหน”
เขาปฏิบัติตามคำสั่งและสังเกตความรู้สึกในใจทุกระยะ เริ่มถึงบางอ้อเมื่อเห็นภายในสงบลงเรื่อยๆ กับทั้งเข้าใจวิธีเขียนให้เร็วยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากทำซ้ำกันหลายหนจนขึ้นใจ
ปฏิบัติเสร็จสิ้น ก็ได้รับคำสั่งใหม่
“บวกกันให้ดูซิ”
ไม่มีปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว เกาทัณฑ์เห็นทางลัดโดยพลัน ก็แค่เอา 9 คูณ 5 ในตั้งแรก เอา 8 คูณ 5 ในตั้งที่สองแล้วบวกด้วยทด 4 และทำอย่างเดียวกันนั้นอีกเรื่อยๆจนถึงเลขหนึ่งอันเป็นหลักร้อยล้าน ความเฉียบไวของสมองบวกกับสายตาคมเป็นเหยี่ยวทำให้ใช้เวลาเท่ากับที่ต้องออกแรงจรดปากกาเขียนผลลัพธ์นั่นเอง
เกินจะห้ามความคิด ถ้าท่านจะทดสอบเชาว์ไวไหวพริบเขาด้วยวิธีนี้ล่ะก็ คงยากจะทราบอย่างแท้จริงว่าเขามีสติปัญญาทางคณิตศาสตร์ล้ำลึกปานใด ความเป็นคนคลั่งไคล้ตัวเลข ชื่นชอบเรขาคณิต สถิติประยุกต์ และทฤษฎีคณิตศาสตร์ชั้นสูงทุกแบบมานมนาน ส่งผลให้เกิดความแตกฉานและมีสมองดุจเครื่องคำนวณชั้นเลิศ จึงเหมือนถูกกดลงต่ำกว่าภูมิรู้และความสามารถที่แท้จริง ระดับเขาจะทำปริญญาเอกทางคณิตศาสตร์ด้วยการเอาตัวเข้าไปทุ่มเทกับการทำทฤษฎียากๆที่แสนท้าทายขุมพลังสมองของมนุษย์ยังไหว แต่นี่ให้ต้องมานั่งบวกเลขระดับประถม เฮ้อ…
“ดูไว้นะ” ท่านว่า “ลองสังเกตดูการควบคุมข้อมือของตัวเองแล้วเอ็งจะเห็นความอ่อนหยุ่นไม่กำเกร็งเหมาะกับการใช้งาน ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะจิตเอ็งเขาฉลาดที่จะควบคุมเครื่องมือของเขา ยิ่งเอ็งตั้งใจจดจ่ออยู่กับตัวเลขหนึ่งถึงเก้ามากเท่าไหร่ ทำตากับมือให้กลมกลืนเป็นอันเดียวกับความตั้งใจนานแค่ไหน ผลงานก็ออกมาตามข้อจำกัดที่ข้าให้ไว้ได้ครบ และก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ”
บทวิเคราะห์ของหลวงตาท่านเป็นที่ถูกใจเขาพอควร อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าท่านยืนอยู่บนระนาบการใช้ความคิดแบบเดียวกับเขา ไม่ใช่พูดกันคนละภาษา
“ทางพุทธศาสนาเรียกตัวเลขในงานของเอ็งครั้งนี้ว่า 'อารมณ์' หมายถึงเครื่องยึดหน่วงจิต หรือเครื่องตรึงจิตให้รู้อยู่ ถ้าจิตยึดอารมณ์ไว้ได้นานๆ จะเป็นอารมณ์ชนิดไหนก็ตาม ผลคือมีธรรมชาติของความตั้งมั่นเป็นสมาธิเกิดขึ้น แต่ต่างกันที่คุณภาพ ความหนักแน่นและความละเอียดสุขุมของดวงสมาธิ เอ็งลองเปรียบเทียบเอาเองนะ ว่าระหว่างใช้มือเขียนเลขมากๆ กับใช้ความคิดบวกเลขมากๆน่ะ อันไหนให้สมาธิมากกว่ากัน”
เกาทัณฑ์เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่แท้ท่านเพียงต้องการให้ปฐมบทแห่งการฝึกสมาธิ มิใช่การทดสอบเชาว์ไวดังที่ตนนึกเอาเองแต่แรก
“เอ็งเห็นฤทธิ์ของจิตไหม มันนึกสิ่งไหนสิ่งนั้นก็เกิด คงรู้นะว่าอำนาจการนึกของแต่ละคนผิดแผกแตกต่างกัน แข่งกีฬาแพ้ชนะก็ตรงอำนาจการนึกนี่แหละ นึกเร็วกายก็ไปเร็ว นึกช้ากายก็ไปช้า จิตคนเราเมื่อฝึกถึงจุดๆหนึ่งแล้วก็อาจนึกอะไรได้พิสดารมากมายไม่จำกัด ถึงขั้นที่ ‘ความจริง’ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องคอยให้เกิดก่อนแล้วค่อยเห็น แต่อาจ ‘นึก’ อยากเห็นแล้วมันก็เกิด”
ท่านหยิบกระดาษดินสอไปวางใกล้ตัก พลิกกระดาษไปอีกด้านหนึ่ง ก้มหน้าจรดดินสอเหนือแผ่นกระดาษครู่หนึ่งเหมือนจะรวบรวมสมาธิ แล้วก็ลากมือพรืดไปบนที่ว่างของกระดาษ เกาทัณฑ์เบิกตาแทบปะทุเมื่อเห็นตัวเลขเรียงกันเป็นตับวัดได้คืบหนึ่ง ใช้สายตากะคร่าวๆว่าไม่น่าต่ำกว่าห้าสิบหลัก
ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าใครลากดินสอเหมือนขีดเส้นบรรทัดแล้วปรากฏตัวเลขขึ้นมาได้อย่างนี้ ต่อให้เป็นนักจดชวเลขมือหนึ่งของโลกก็เถอะ
แต่ในเมื่อเขาเห็นแล้วจะบอกว่าไม่เห็นได้ยังไง
“จิตเขาทำ” ท่านเงยหน้าขึ้นมาพูด “มือมันทำไม่ได้หรอก”
แล้วท่านก็ก้มลงขีดเส้นของท่านอีกสิบบรรทัด ล้วนแล้วแต่กลายเป็นตัวเลขสุ่มปราศจากการเรียงลำดับ พอเสร็จก็ผลิตตัวเลขบรรทัดสุดท้ายห่างจากบรรทัดอื่นๆหน่อยหนึ่ง
“เอาไว้กลับไปถึงบ้านแล้วดูซิว่าข้าบวกถูกไหม ถ้าถูกก็ขอให้รู้ว่าจิตเขาบวก สมองบวกไม่ได้อย่างนี้”
เกาทัณฑ์พูดอะไรไม่ออก เหมือนเจออัดชายโครงด้วยลูกรักบี้เต็มรัก รับแผ่นกระดาษจากท่านมาพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา ขนลุกเกรียวเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง เคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับมนุษย์ที่มีความสามารถบวกลบคูณหารเลขจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว แต่ให้ติดฝุ่นของฝุ่นของหลวงตาแขวนนั้น คงเหลือวิสัย
“อย่างที่บอกน่ะว่าอารมณ์จิตต่างๆมันให้คุณภาพสมาธิหยาบละเอียดผิดกัน สังเกตไหมว่าตอนแรกเอ็งต้องใช้ทั้งตา ทั้งมือ ทั้งความคิดถึงตัวเลข จิตถูกใช้งานหลายทาง พอสงบก็เลยสงบแบบงั้นๆ แค่ให้รู้สึกว่าดวงตานิ่งขึ้นมานิดหน่อย แต่ขณะที่เอ็งคิดหาทางลัดในการบวกเลขและลงมือบวกในใจ จิตมันผูกอยู่กับตาและความคิดเพียงสองอย่าง และระดับความนึกคิดของงานนี้ก็ต้องการพลังสนับสนุนที่แน่นหนา เพราะภาพตัวเลขในหัวเป็นสิ่งไหวเลือนง่าย ต้องอาศัยใจหนักแน่นอย่างน้อยชั่วระยะหนึ่ง พอจิตมันแน่วแน่เป็นสมาธิเข้าก็ได้คุณภาพที่ลึกซึ้งกว่ากัน ดวงตานิ่งกว่า ให้จิตตานุภาพมากกว่า”
ชายหนุ่มฟังอย่างเข้าอกเข้าใจแจ่มแจ้ง เขาคลุกคลีและเล่นสนุกกับตัวเลขมาแต่เด็ก ทว่าไม่เคยสังเกตและแยกแยะได้ละเอียดลออเหมือนอย่างกำลังฟังหลวงตาแขวนอธิบายเลย
“นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของอารมณ์สมาธิที่เอ็งประสบพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยังมีอารมณ์สมาธิที่ใจเอ็งจับแล้วตื้นกว่านี้บ้าง ลึกกว่านี้บ้าง จากการเล่นกีฬา ทำงาน หรือแม้แต่วางท่าเดินโก้เก๋อวดใครต่อใคร คิดอะไรยังไงมันเป็นอารมณ์จิตไปได้ทั้งนั้น เพียงถ้าเอ็งมีสติจับเข้าไปในอารมณ์นั้นอย่างเดียวสักระยะ เดี๋ยวจิตก็รวมเป็นสมาธิได้”
เกาทัณฑ์ผงกศีรษะนิดหนึ่งพร้อมยกมือไหว้รับ และเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ
“แต่สมาธิที่ได้จากการทำงานแบบโลกๆน่ะ เป็นสมาธิวุ่น เพราะจิตต้องหมุนไปเรื่อย รวมนิ่งกับที่ไม่ได้ ก็ไม่เกิดธรรมชาติความสงบสว่าง ยังเต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกใหญ่น้อย เมื่อไม่สงบสว่าง แม้จิตมีพลังมากก็หน่วงรวมมาใช้ก่ออิทธิฤทธิ์ไม่ได้
ขั้นแรกเอ็งต้องรู้จักวางตัวให้เบาสบายอยู่กับอารมณ์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่กับมันเพื่อเรียนรู้วิธีรวมจิตจนเกิดพลังเป็นปึกแผ่น พื้นฐานสติสัมปชัญญะนั้นเอ็งมีอยู่แล้วจากงานทางโลก หากตั้งใจจริงและทำให้ต่อเนื่อง ก็จะง่ายเข้า”
หลวงตาแขวนเว้นระยะสำรวจชายหนุ่ม สายตาท่านทรงอำนาจและมีประกายกล้าแข็งด้วยตบะเดชะผิดมนุษย์ ชายหนุ่มคอหดโดยไม่รู้สึกตัว ท่านเคยมีสายตาใจดีของคุณตาแก่ๆคนหนึ่ง ใครจะนึกว่าแท้จริงแล้วซ่อนแววดุยิ่งกว่าเสือ สะท้านขวัญได้มากมายเพียงนี้
“อารมณ์สมาธิที่ถือกันว่าประเสริฐสุด และมีอยู่คู่กายเรามาแต่เกิด ได้แก่ลมหายใจ นอกจากจะเป็นตัวอารมณ์ให้จิตจับแล้ว ธรรมชาติลมหายใจเองยังเป็นตัวปรุงแต่งจิตให้เดินกระแสหยาบละเอียดตามได้ด้วย ลมหายใจหยาบจิตก็หยาบ ลมหายใจละเอียดจิตก็ละเอียด จึงเหมาะจะใช้ทั้งในเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย สติกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ท่านเรียก ‘อานาปานสติ’ ซึ่งเอ็งคงได้ศึกษามาจากหนังสือหนังหาบ้างแล้ว”
เกาทัณฑ์พยักหน้ารับและกล่าวว่าครับ
“เอา” หลวงตาแขวนพยักหน้า “นั่งขัดสมาธิ์ ขาขวาซ้อนขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งหลังตรง”
เกาทัณฑ์ปฏิบัติตามทันทีด้วยอาการกระตือรือร้นเงียบๆ
“ท่านั่งนี่ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญของสมาธิ แต่เป็นตัวคุมสติที่จำเป็นอย่างหนึ่งในการเริ่มต้น กายเป็นอย่างไรก็ปรุงจิตให้มีความเป็นอย่างนั้น วางกายไว้สบายจิตก็สบาย หลังตั้งคอตรงก็ช่วยทรงความรู้ตัวได้ดี จำไว้นะว่าความสบายกับความตื่นพร้อมเป็นบันไดขั้นแรก อย่าเริ่มด้วยการใส่อาการเพ่งเข้าหาลมหายใจ ให้เริ่มด้วยอาการรู้สึกตัวก่อน”
เกาทัณฑ์เป็นคนนั่งตรงเดินตรงหลังไม่งอได้นานๆอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงผ่านตลอด เขานั่งทรงกายอย่างสบายตามหลวงตาสั่ง พร้อมกับตั้งใจว่าจะให้มันทรงในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆไม่เผลอหลังงอ
"ด้วยความรู้สึกตัวอย่างนี้ เอ็งทอดตามองตรงไปข้างหน้าสบายๆ รักษาความนิ่งไว้อย่าให้กลอกหลุกหลิก แล้วปิดตาลงทั้งยังทอดตรง จะได้ความรู้ตัวแบบเปิดพร้อม เวลากำหนดรู้ลมหายใจจะได้ไม่จดจ้องคับแคบ"
ชายหนุ่มปิดเปลือกตา มีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์เป็นหลักเป็นฐานการปฏิบัติ คิดในใจว่าคนเราต้องมีอาจารย์ก็เพราะอย่างนี้เอง
“ลมหายใจมีอยู่แล้ว สิ่งที่ยังไม่มีคือสติ อุบายสร้างสติตามลมหายใจของพระพุทธเจ้าประการแรกคือให้กำหนด ‘รู้’ ลมหายใจออกก่อน คืออัดลมหายใจเข้าเต็มปอดแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พอคืนลมหายใจออกสู่ภายนอก ค่อยกำหนดรู้ว่านี่คือการหายใจออก เริ่มตั้งหลักอย่างนี้จะทำให้ไม่จ่อเพ่งอยู่กับการหายใจเข้ามากเกินไปเหมือนปกติ เอ้าลองดู”
เกาทัณฑ์ดึงลมหายใจเข้าเต็มปอดเร็วๆโดยสักแต่เป็นอาการเหมือนหายใจทั่วไป ไม่ได้ตั้งท่ารู้เห็นเป็นพิเศษ แต่พอผ่อนระบายลมหายใจออกจึงเริ่มกำหนดสติถึงความเป็นลมหายใจที่ส่งจากภายในกายออกสู่ภายนอก
“พอลมหยุดก็รู้ว่าลมหยุด ถึงเวลาที่กายเรียกลมเข้า ก็รู้ตามจริงว่านี่คือการหายใจเข้า ระลึกให้เสมอกันกับการหายใจออกที่เป็น ‘ตัวตั้ง’ เมื่อกี้”
ชายหนุ่มพบว่าเมื่อกำหนด ‘ลมออก’ เป็นตัวตั้ง ปรากฏว่าสามารถรู้ตลอดทั่วถึงได้อย่างรวดเร็ว
“นี่คือขั้นแรกของอานาปานสติ คือมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า พระพุทธองค์สอนไว้อย่างนี้ เป็นอุบายลัดที่จะทำให้สติอยู่กับลมหายใจเสมอกันทั้งขาออกและขาเข้า อย่ามองข้ามไป”
ฝ่ายลูกศิษย์ดูใจตัวเอง ว่ามีสติขณะหายใจออก มีสติหายใจเข้า ภายในปลอดโปร่งขึ้นทันที ก็รับทราบตามจริงว่าผ่านขั้นแรกอย่างง่ายๆได้แล้ว
“สังเกตนะ พอทำความรู้สึกได้ทั่ว ไม่มีส่วนใดกำเกร็ง และเฝ้ารู้ลมหายใจออกกับเข้าตามสบาย ผลคือเหมือนทั้งตัวมีลมหายใจปรากฏเด่นอยู่อย่างเดียว นี่คือการเริ่มต้นที่ถูกต้อง จำไว้ว่าต้องเริ่มอย่างนี้ทุกครั้ง”
การเริ่มต้นที่เรียบง่าย ทำให้ความคิดฟุ้งที่ครอบงำจิตใจเป็นปกติหายหนไปชั่วคราว พร้อมรับฟังและปฏิบัติตามพระอาจารย์อย่างปราศจากข้อสงสัย
“ลองดูว่าลมหายใจในช่วงเริ่มกำหนดสตินั้นจะลากยาวกว่าปกติ ก็ให้รู้ว่าอย่างนี้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้ามีความยาวเสมอกัน นี่คืออีกขั้นของอานาปานสติ คือรู้ชัดว่าหายใจออกยาว รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว”
เกาทัณฑ์จำลักษณะลากยาวของลมหายใจออกและเข้าไว้ กับทั้งพยายามรักษาให้สม่ำเสมอ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าเกินพอดี มีความอึดอัดคับแน่นอกขึ้นมา เป็นจังหวะที่ถูกพระอาจารย์ทักว่า
“หลักการทำอานาปานสตินั้นให้ความสำคัญที่สติรู้ตามจริง ไม่ใช่บังคับลมหายใจให้ยาวหรือสั้น อย่าบีบบังคับฝืนกายให้ทำงานผิดธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาจะต้องออกสั้นก็ให้มันออกสั้น เมื่อถึงเวลาจะต้องเข้าสั้นก็ให้มันเข้าสั้น สติเราเท่านั้นที่รู้ตามจริงว่าอย่างนี้คือลมต้องสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือรู้ชัดว่าหายใจออกสั้น และรู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น”
พอเข้าใจหลักการดังนั้นก็เริ่มสนุก เพราะเหมือนเขาเริ่มไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้กายหายใจออกหายใจเข้าตรงกับความเรียกร้องตามธรรมชาติที่เป็นจริง หน้าที่คือเพียงรู้เท่าทันว่าเที่ยวนี้ยาวหรือสั้น
“จิตที่เป็นผลของการตามรู้อย่างถูกต้องนั่นแหละ จะเหมือนแยกออกไปเป็นผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูเฉยๆในกองลมทั้งปวง ไม่ว่าจะออกหรือเข้า ไม่ว่าจะยาวหรือสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือขณะแห่งลมออกและลมเข้า จิตตั้งมั่นอยู่ในอาการรู้ชัดตามจริงในฐานะของผู้สำเหนียกเห็นลักษณะของลมขณะนั้นๆ”
เกาทัณฑ์พบด้วยตนเองว่าเมื่อจิตเอาแต่จดจ่อลมหายใจด้วยอาการตื่นรู้พอดีๆ ผลคือความสงบลงทางกาย คอตั้ง หลังตรงไม่กระดุกกระดิก แม้ยังมีคลื่นความคิดแทรกแซงเป็นระยะ ก็ไม่รำคาญ และไม่ส่งผลให้กายไหวติง และพอถึงจุดนั้นก็ได้ยินหลวงตาแขวนสอนต่อ
“ความรู้สึกสงบทางกายนั้นเป็นของดี เพราะความที่กายไม่กวัดแกว่งนี่เอง จะยิ่งเน้นให้ลมหายใจถูกรับรู้ได้เด่นชัดยิ่งขึ้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ เห็นกายนิ่งแล้วก็ประคองความนิ่งนั้นไว้ มีแต่ทางเดินลมหายใจที่ยังเคลื่อนไหวอยู่อย่างเป็นอัตโนมัติ”
หลวงตาแขวนเงียบไปพักหนึ่งก่อนกล่าวสืบต่อเมื่อเห็นลูกศิษย์หนุ่มชักเกิดอาการฝืน
“หลักของการเริ่มกำหนดสติรู้ลมหายใจมีอยู่เท่านี้ ถ้าหากพลัดหลงจากลม หรือหากคิดฟุ้งแน่นขึ้นมา ก็สำรวจว่าจิตเรายังเหลือสติอยู่ในขั้นไหน ถ้าไม่เหลือเลย คือจิตไม่จับที่ลม กายยังกระสับกระส่าย ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ท่องคาถา ‘นับหนึ่งใหม่’ ไว้ให้ดี เพราะจะขลังที่สุดสำหรับการเริ่มภาวนา สำหรับอานาปานสตินั้น การนับหนึ่งคือมีสติรู้ ว่ากำลังหายใจออกหรือหายใจเข้า ต่อมารู้ว่าลมนั้นยาวหรือสั้น ถ้ารู้ได้เรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติ จิตก็จะแยกออกไปเฝ้าดูลักษณะลมตามจริงอยู่เฉยๆ และเมื่อแยกออกมาเป็นผู้รู้ตั้งมั่นถูกต้อง ก็จะสงบจากความต้องการขยับไหวส่วนเกินของกายที่ไม่เกี่ยวข้องกับลมหายใจไปเอง”
เกาทัณฑ์เข้าใจกระจ่างด้วยประสบการณ์ภายในประกอบพร้อมอยู่ด้วย ทว่าพักใหญ่ต่อมา จิตก็เริ่มซึมลงในลักษณะเคลิ้มสบาย หมดแรงจับลมหายใจ หลวงตาแขวนก็ทักอีก
“คอยสำรวจตัวเองบ่อยๆหน่อยไอ้หนุ่ม พอเริ่มจะฟุ้ง หรือเริ่มจะเลื่อนลอยลืมลมหายใจ ก็กลับมารู้ตัวที่กำลังนั่ง แล้วกำหนดระลึกใหม่ตั้งแต่ขั้นแรก”
ที่จุดนั้นเกาทัณฑ์จึงเริ่มระวังความเคลิ้มเหม่อ ตามดู ตามรู้ลมหายใจไม่ลดละ กระทั่งจิตแยกออกมาตั้งรู้ เห็นลมหายใจเป็นสายเดียว เมื่อระดับน้ำหนักลมเสมอกันต่อเนื่องถึงระดับหนึ่ง จึงเกิดภาพภายในหรือ ‘นิมิต’ เป็นหนึ่ง คล้ายเส้นเชือกเส้นหนึ่งที่ชักรอกขึ้นลงด้วยมือจับปลายทั้งสองด้าน หน้าที่ของจิตมีเพียงเฝ้าตามอาการออก อาการเข้า ซ้ำไปซ้ำมาตามลีลาของกลไกธรรมชาติแห่งกายเท่านั้น
เมื่อเห็นลูกศิษย์มีใจจดจ่อต่อเนื่องดีแล้ว พระอาจารย์ก็บอกบทต่อ
“จิตตั้งไว้ถูกส่วนแล้ว แต่กายยังรับกันไม่สนิทนัก ถ้าจะให้เกิดความแช่มชื่นหนักแน่นกว่านี้ ลมหายใจต้องยาวขึ้น ตอนหายใจเข้าให้เริ่มด้วยการขยายหน้าท้องพองขึ้นนิดหนึ่ง จะเห็นว่าเมื่อมีอาการขยายหน้าท้อง ก็มีลมเข้าเอง พอสุดหน้าท้องก็เลื่อนไปดึงลมตามปกติ”
เกาทัณฑ์ปฏิบัติตาม และพบว่าลมหายใจยาวขึ้น นุ่มนวลขึ้น มีความปลอดโปร่งอย่างคนหายใจทั่วท้องมากกว่าเดิมจริงๆ สิ่งที่ตามมาคือการทวีตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของความสุข ความคิดทั้งมวลสงัดเงียบลง หายใจออกก็ร่าเริงเป็นสุข หายใจเข้าก็ร่าเริงเป็นสุข สภาพกายดำเนินโดยอัตโนมัติราวกับเครื่องสูบลมที่ทำงานด้วยอัตราคงตัว เห็นแต่สายลมผ่านออกผ่านเข้า ผ่านออกผ่านเข้า มีอยู่แค่นั้น เรียบง่ายเสียจนลืมสิ้นว่าโลกนี้เคยซับซ้อนเพียงใด
ถึงจุดๆหนึ่งก็สำเหนียกอาการควบแน่นของกระแสจิต เหมือนกลุ่มน้ำขาวที่เข้าผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียว มีศูนย์กลางจับอยู่ที่การไหลเข้าออกของลมหายใจอย่างมั่นคง เกาทัณฑ์รู้ทันทีว่านี่คือภาวะสมาธิขั้นต้น เห็นอาการปรากฏนั้นด้วยความรู้พร้อมทั่วองคาพยพ
ภาวะนั้นจะดำรงอยู่สักกี่วินาทีไม่อาจทราบ แต่รู้ตัวอีกครั้ง ก็เห็นความคิดหลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมดแล้ว ได้เห็นชัดถึงตัวเหม่อเผลอสติ รวมทั้งอาการรู้ตัวตั้งสติใหม่ เมื่อตั้งสติกำหนดลมหายใจในสภาพเดิมใหม่ได้ จิตใจก็เปิดออก เห็นนิมิตลมแช่มชัดอีกครั้ง
เหตุถูก ผลก็ถูก เหตุผิด ผลก็ผิด เกาทัณฑ์ถึงกับเผลอออกอาการพยักหน้าด้วยความเข้าอกเข้าใจเต็มตื้น แต่แล้วก็รู้ตัวว่านี่ก็ความคิด นี่ไม่ใช่ตัวสมาธิ จึงพยายามเพิกและเฝ้าดูลมหายใจนิ่งๆจนกระแสความคิดเลือนหายไปเองโดยปราศจากความพยายามขับไล่
อิ่มเอมเปรมใจเนิ่นนานจนเกิดอาการล้าและเหน็บกินตลอดช่วงขา อันเป็นเครื่องหมายว่าจิตถอนแล้วจากอารมณ์สมาธิ และเกินกว่าจะกลับเข้าลู่เดิม หลวงตาแขวนเห็นเช่นนั้นจึงสั่งให้เตรียมกำหนดเลิก โดยหายใจสบายๆและปรับความรู้สึกนึกคิดเป็นปกติเสียก่อน ทบทวนการทำสมาธิแต่ต้นจนจบว่าเป็นอย่างไร เพื่อว่าเมื่อหลับตาลงเริ่มทำสมาธิในครั้งต่อไปจะได้นึกออกง่าย ถัดจากนั้นจึงค่อยลืมตาขึ้นทีละน้อยเหมือนตื่นนอนยามเช้า
หลวงตาแขวนให้ข้อปฏิบัติเป็นขั้นๆซ้ำอีกครั้งเพื่อให้เกาทัณฑ์นำไปใช้ในการทำสมาธิด้วยตนเอง รวมทั้งชี้แจงล่วงหน้าเกี่ยวกับปีติและนิมิตชนิดต่างๆที่เข้ามาดึงจิตให้เขวจากทางสมาธิ ให้คำแนะนำรวบยอดว่าเพียงทำใจวางเฉย สักแต่รู้สิ่งแปลกปลอม จะน่ารักหรือน่ากลัวก็ตาม รู้ไปจนกว่าจิตจะย้อนกลับมาสนใจจิตเอง และเห็นปฏิกิริยาของจิตมีความเป็นกลางต่อสิ่งรบกวน ทุกอย่างก็จะสลายไปในที่สุด
เมื่อชายหนุ่มกล่าวทบทวนให้ท่านแน่ใจว่าเขาจดจำถี่ถ้วนถ่องแท้ หลวงตาแขวนก็นิ่งไป ทอดตามองอีกฝ่ายด้วยแววเมตตา สำทับซ้ำถึงจุดหมายที่ควรทำให้ถึงในแต่ละครั้ง
"ของมันต้องหมั่นฝึกบ่อยๆถึงจะชำนาญ ระหว่างวันทำงานทำการไปตามปกติ นึกได้เมื่อไหร่ก็กลับมาระลึกถึงลมสักครั้งสองครั้งก็ยังดี ถ้ามีเวลาพักว่างจากงานมากหน่อย อาจจะสักห้านาที ก็ตั้งเป้าว่าจะทำจนเห็นเหมือนจิตนิ่งเป็นผู้รู้ผู้ดูลมหายใจอยู่เบื้องหลัง ลมหายใจเป็นเหมือนสายเชือกชักขึ้นลงให้ดูอยู่เบื้องหน้า ช่วงฝึกแรกๆหากทิ้งลมหายใจนานนัก จิตจะกลับไปจับไม่ถูก อย่างเอ็งหากขยันก็คงสำเร็จง่ายอยู่"
ท่านเว้นจังหวะคล้ายไตร่ตรองบางสิ่ง แล้วก็กล่าวว่า
"อยากเห็นความจริงเรื่องชาติก่อนไหม?"
เกาทัณฑ์หูผึ่ง ทำตาโตเหมือนถูกตบหลังหนักๆ
"อยากครับ!"
คำตอบนั้นหลุดจากปากโดยอัตโนมัติ
"ข้าจะทำให้เอ็งได้เห็น" ท่านสมภารพูดเสียงเรียบ "แต่มีข้อแม้ว่าเอ็งต้องได้สมาธิขนาดที่ข้าพอใจภายในอาทิตย์หน้า"
ชายหนุ่มเม้มปาก ความทะยานอยากของเขาก็เปี่ยม แนวทางที่ถูกเขาก็มีพร้อม แถมท่านยังรับรองให้อีกว่าถ้าขยัน เขาต้องทำได้ อย่างนี้ถ้ายังขาดความเชื่อมั่นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
"ผมจะไม่ทำให้หลวงตาผิดหวังครับ"
"จะทำสมาธิน่ะ ไม่ใช่แค่อยาก ไม่ใช่แค่ทำถูกแล้วก็จะได้ผลเสมอไป วิถีชีวิตต้องอยู่ในกรอบด้วย จิตถึงจะพร้อม...เอ็งเลิกกินเหล้าเมายาสักอาทิตย์ได้ไหม?"
"ได้ครับ"
พนมมือรับอย่างแข็งขันทันที เพราะคิดล่วงหน้าอยู่แล้วว่าพระอาจารย์ท่านต้องห้ามเรื่องนี้
"ไม่เสพกามได้ไหม?"
เกาทัณฑ์เกือบอึ้ง แต่พริบตาก็ให้คำตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
"ได้ครับ!"
"ไม่โกหก ไม่พูดนินทาส่อเสียด ไม่พูดตลกคะนองไร้สาระให้จิตขุ่นมัวได้ไหม?"
คราวนี้เขานิ่งไปนาน นึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า เห็นภาพตัวเองเป็นเบื้อใบ้ พูดตลกโปกฮากับเพื่อนที่ทำงานคลายเครียดไม่ได้ อย่างนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน แต่พอนึกต่อไปว่าอาทิตย์หน้าจะรู้เห็นเรื่องภพชาติให้หายสงสัย ก็ตอบออกมาสั้นๆเหมือนเดิม
"ครับ ผมทำได้"
"ดี!" หลวงตาแขวนลงเสียงหนักๆ "เอ็งอยู่ต่อหน้าข้า มีความเชื่อมั่น ละทิ้งความห่วงหน้าพะวงหลังทั้งหมดได้ ถึงเป็นสมาธิง่าย แต่เมื่ออยู่กับตัวเองแล้ว ความเคยชินแบบโลกๆจะนำกิเลสกลับมาครอบงำเต็มหัวใจ เป็นอุปสรรคกับสมาธิจิตโดยตรง ข้าถึงให้เอ็งปฏิญาณไว้ ว่าจะเลิกข้องแวะกับต้นเหตุกิเลสหลักๆของเอ็งเสีย
กิเลสที่ขวางกั้นความก้าวหน้าในการภาวนาเรียกว่า ‘นิวรณ์’ มีความพอใจในกามคุณ ความคิดร้ายพยาบาท ความหดหู่ง่วงเหงา ความฟุ้งซ่าน แล้วก็ความลังเลสงสัยในธรรมปฏิบัติ ถ้าเกิดนิวรณ์ข้อไหนขึ้นมา วิธีแก้ง่ายที่สุดคือเห็นมันเป็นโทษ เป็นเครื่องร้อยรัดจองจำให้จิตอึดอัด สมควรละทิ้ง ผละหนี ก็จะปลอดโปร่งโล่งใจ เป็นอิสระ เป็นไทแก่จิตเองเหมือนนักโทษที่หลุดจากพันธนาการและห้องคุมขัง
พอจิตสดชื่นและคุ้นกับการเป็นอิสระจากนิวรณ์ ความน้อมใจใฝ่สงบ ใฝ่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิก็จะเกิดขึ้นเอง และเกิดขึ้นบ่อย ระหว่างวันจึงควรกำหนดสติดักไว้ดีๆ ว่ามีนิวรณ์เกิดขึ้นเกาะจิตหรือยัง ถ้ามีก็ละเสีย ทิ้งเสีย ด้วยอุบายของพระพุทธองค์ที่ข้าว่า"
"ครับ หลวงตา ผมจะระวังป้องกันจิต กั้นจากนิวรณ์ทั้งหมดให้ได้ครับ"
"เออ! ข้าขออวยพรให้เอ็งประสพความสำเร็จ เอาล่ะ วันนี้กลับไปได้ เดี๋ยวข้ามีธุระจะต้องทำ"
ชายหนุ่มยกมือไหว้รับพร แต่ก่อนกราบลาก็ถามสิ่งที่ค้างใจออกไป
"ผมไม่ต้องทำพิธีหรือนำดอกไม้มาบูชาอาจารย์หรือครับ?"
"ข้าชอบการบูชาด้วยใจ เอ็งมีให้ข้าแล้ว ข้าเห็น ข้าไม่ได้จะสอนไสยศาสตร์ แต่จะสอนตามแนวของพุทธิปัญญา ดอกไม้ธูปเทียนและพิธีขึ้นครูจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ถ้ามันเป็นศรัทธาอยากทำ จะเอามาถวายบ้างก็ตามใจ"
เกาทัณฑ์กราบลาด้วยความสดแจ่มแช่มชื่นอย่างประหลาด ชีวิตมีแรงบันดาลใจใหม่ๆ มีเครื่องกระตุ้นความอยากใหม่ๆ ยังให้เกิดพลังแห่งความกระตือรือร้นแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย
บทที่ ๖ จอมศิลปิน
ออกจากวัดทางนฤพาน ขับรถมาเกือบถึงหน้าบ้านปู่ ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเบาะด้านข้าง มีหนังสือที่ปู่ให้มาสองเล่มคือพุทธธรรมกับพจนานุกรมพุทธศาสน์ เขาเตรียมจะคืนในวันนี้ เพื่อเป็นเหตุประเภทติดไม้ติดมืออ้างมาหาปู่อีกครั้ง
ตั้งใจมาต้อนคนแก่ให้จนมุมเต็มที่ คราวนี้กับคราวที่แล้วจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมีการตระเตรียมเป็นเรื่องเป็นราว จะไม่มีการเหวี่ยงแหไร้ทิศทางอย่างเมื่อก่อนอีก โดยเฉพาะประเด็นหลักของพุทธ คือทุกข์และการดับทุกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระองค์ตรัสสอนแต่เรื่องนี้เท่านั้น
เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่งด้วยความรู้สึกกึ่งขัดแย้ง บัดนี้เขาได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของ ‘พระ’ ในพุทธศาสนา เริ่มเข้าใจการตั้งจิตเป็นสมาธิ ยอมรับว่าเบื้องแรกไม่ได้มองหลวงตาแขวนเกินไปกว่าผู้วิเศษ แน่ใจเพียงว่าท่านมิใช่นักมายากล หรือผู้มีอำนาจจิตสะกดให้เห็นไปต่างๆเพียงชั่วขณะ เพราะหนังสือพิมพ์มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านจริง และเมื่อลอบสังเกตเพดานกุฏิในวันนี้ ก็ยังพบร่องรอยไหม้เกรียมซึ่งเกิดจากลิ้นไฟเนรมิตของท่าน เมื่อฝากตัวเป็นสานุศิษย์ก็ให้ความเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ทว่าก็ด้วยประสงค์เพียงเรียนรู้ศาสตร์แขนงหนึ่ง ทำนองเดียวกับที่ยกย่องนักกีฬาเก่งๆเป็นครูฝึกสอน โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมใจยอมคล้อยตาม 'ความเชื่อ' ทั้งหมดของท่าน
อย่างไรก็ตาม ท่านทิ้งท้ายไว้เป็นที่ปลุกเร้าความสนใจลงไปถึงราก นั่นคือประเด็นเกี่ยวกับภพชาติ ซึ่งกำลังวนเวียนอยู่ในความสงสัยของเขาพอดี เพราะเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในเชิงอรรถแล้ว พบว่าจะมีความหมายต่อชีวิตที่สุขพร้อมสมบูรณ์แบบเช่นเขา ก็ต่อเมื่อตระหนักแน่แก่ใจว่าการ 'ดับทุกข์' นั้น คือเลิกเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บอดใบ้เรื่องกฎกติกาว่าทำเหตุอย่างไรจะถูกเหวี่ยงไปเกิดในภพไหนภูมิไหน
เกาทัณฑ์สรุปได้อย่างหนึ่งว่าถ้าทฤษฎีเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของพุทธเป็นของจริง ก็แปลว่าธรรมชาติออกจะโหดเหี้ยมเอามาก คือไม่บอกกฎให้ใครรู้ แต่ใครผิดกฎเมื่อไหร่ ก็เสร็จเมื่อนั้น ไปเกิดร้ายตายดีก็ด้วยความไม่รู้ หลงก่อกรรมทำเข็ญจนวิญญาณชุ่มบาปอย่างน่าอเนจอนาถ เสร็จแล้วต้องก้มหน้าก้มตาไปรับกรรมแล้วๆเล่าๆอย่างปราศจากที่สิ้นสุด เพราะเหตุแห่งการเกิดยังสืบเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปเรื่อย
ถ้าอาทิตย์หน้าเขารู้ว่าชาติก่อนชาติหน้ามีจริง หมายความว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด ความคิดอ่านกับความเชื่อที่ผ่านมานับแต่จำความได้ ล้วนต้องถูกจัดเป็นความบื้อ ความหลงละเมอเพ้อพกของสิ่งมีชีวิตอีกหน่วยหนึ่ง ที่ทะนงนึกว่าตนทรงภูมิ ทรงความรู้ล้ำลึก ทว่าแท้จริงไม่ได้รู้อะไรเลย
ไม่รู้จักกระทั่งตนเอง แล้วจะขึ้นชื่อว่า 'รู้' ได้อย่างไร
ใจแกว่งเล็กน้อยเมื่อชะลอความเร็วของรถ เป็นความหวั่นไหวชนิดหนึ่งที่เขาไม่กล้าสำรวจหาสาเหตุ เท้าแตะเบรกเตรียมหยุดรถเทียบข้างประตูรั้ว แต่แล้วก็แตะค้างเมื่อเหลียวไปเห็นสองหนุ่มสาวใต้ร่มไม้หน้าบ้าน เป็นแวบเดียวแห่งการเห็นและถูกสารพันความรู้สึกจู่โจม จนต้องย้ายเท้ามาลงน้ำหนักเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งฉิวห่างหายไปจากที่นั้นในพริบตา
แพตรีมองตามการจากไปของเรือนรถเพรียวลมสีสดสะดุดตาด้วยแววเฉยนิ่ง
"ดูเหมือนจะเป็นคนนั้นใช่มั้ยฮะ?"
เป็นเสียงถามอ่อนๆจากมติ
"คนไหน?"
หญิงสาวถามกลับ
"ก็...ที่เขานั่งคุยกับพี่แพเมื่ออาทิตย์ก่อน"
"คงใช่มั้ง"
มติรู้เห็นเรื่องราวเพียงน้อย แต่เขาก็เป็นผู้มีสามัญสำนึกดีเท่าๆชายทั่วไป และด้วยปกติของสามัญสำนึกดังกล่าว ก็ทำให้ทราบว่าไม่ธรรมดาเลย ที่รถคันนั้นชะลอลงเหมือนจะจอดแล้วกลับบึ่งจากไปเฉยๆ
อย่างปราศจากความไยดีคั่งค้าง แพตรีก้มหน้าพิจารณากรอบภาพสีน้ำมันบนผ้าใบผืนใหญ่บนโต๊ะ มติเอามาให้หล่อนดู มันเป็นภาพสายลูกไฟที่ยืดยาวไร้ต้นไร้ปลายในห้วงว่างมหันต์ คล้ายสร้อยไข่มุกที่เรียงเม็ดคดเคี้ยวอยู่บนสายยาวจากอนันตภาพเบื้องลึกสู่อนันตภาพเบื้องไกลโพ้น การนำเสนอของภาพเน้นไปที่ลูกไฟใหญ่สองสามดวงใกล้ตา นั่นคือฝีมือนักศึกษาวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งทางนี้ แนวคิดของภาพทำให้มันได้ชื่อว่า ‘สังสารวัฏ'
มีเศษกระดาษต่างหากอีกแผ่นบรรจุถ้อยคำที่เรียงร้อยบรรยายไว้ หญิงสาวนั่งอ่านในใจเงียบๆอย่างมีจินตภาพละเอียดอ่อนตามกลอนแต่ละบาทแต่ละบท
อันเปลวไฟใดก่อก็รอลับ จะวับดับกลับวายสลายร้อน
นี่ยับย่อยร่อยหรอแล้วต่อตอน พอรอนลับกลับฟื้นคืนวังวน
เป็นโซ่ห่วงล่วงดับสลับถ่าย สืบทอดเยื่อเชื้อร้ายขยายผล
ดวงต่อดวงลวงตาเป็นตัวตน ให้สับสนหนทางอันร้างรา
ก่อรูปคุดุแดงดูแรงร้าย แล้วกลับกลายฉายแสงเสน่หา
เป็นนรกผกผันสวรรคา เมื่อหันหาสิหายหนทุกตนจร
ตะลอนต่อตลอดหนไร้ต้นปลาย คายไว้เพียงทุกข์กับทิ้งสิ่งลวงหลอน
เรียกวังวน 'สังสารวัฏ' ไม่ตัดตอน ให้ไฟร้อนประการเดียวเที่ยวเกิดตาย!
เมื่ออ่านจบแพตรีก็สยายยิ้มกว้าง มติจะนำงานชิ้นนี้ไปประกวดในงานทางพุทธศาสนาที่ภาคเอกชนร่วมกับสถาบันศึกษาใหญ่จัดขึ้น หญิงสาวเหลือบตามองรูปแล้วพยักหน้านิดๆเป็นเชิงชม
"อื้อม์..."
"พอใช้ได้ไหมฮะ?"
แพตรีพยักหน้าซ้ำอย่างเต็มใจ
"อย่างนี้เรียกเยี่ยมเลยไม่ใช่แค่พอใช้ ต้องรับรางวัลใดรางวัลหนึ่งแน่ๆ พี่ไม่อวยพรล่ะ แต่ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าไว้ก่อนเลย"
มติเป็นจิตรกรที่เล่นสีเก่ง ลูกไฟบางดวงแดงโชติฉานดูน่าสะพรึงกลัวดุจจะแทนไฟนรกได้จริงๆ บางดวงก็มีสีสันวิจิตรน่าหลงมองเพลินตาราวกับลูกไฟสวรรค์ได้ปานกัน วิธีวางตำแหน่งอย่างถูกหลักการสร้างมิติที่สามทำให้คนดูรู้สึกเป็นจริงเป็นจังถึงอนันตภาพทั้งของสายลูกไฟอันยืดยาวและห้วงมืดอันลี้ลับ
มาบวกเข้ากับแนวคิดและคำกลอนกำกับภาพกินใจอย่างนี้ จึงน่าจะจัดเป็นผลงานประกวดที่เข้าตากรรมการง่ายหน่อย
"ในวันตัดสินเขาจัดนิทรรศการให้คนทั่วไปเข้าชมด้วย พี่แพไปกับผมนะฮะ"
เขาชวนอย่างรู้ว่าหล่อนจะไม่ปฏิเสธ และหล่อนก็พยักหน้ารับง่ายๆดังคาด
"ได้สิ ไปดูเธอรับรางวัล จะได้ดีใจด้วย"
หญิงสาวทอดตามองภาพ แล้วยกมือชี้ไปยังลูกไฟดวงเด่นที่สุดในภาพ
"นี่คงแทนมนุษยภูมิใช่มั้ย?"
"ฮะ เป็นลูกไฟที่แปลกและแตกต่าง ปราศจากเอกภาพ บางส่วนดูสวย บางส่วนดูพลุ่งพล่านรุ่มร้อน ขาดความสม่ำเสมอ"
"ถ้ามีความรู้ทางพุทธศาสนาดี คงดูภาพของเธอเข้าใจและแปลความหมายออกทุกอย่างนะ แค่รู้ชื่อภาพก็พอแล้ว"
ชายหนุ่มลดสีหน้ายิ้มลงนิดหนึ่ง
"เพื่อนผมบางคนบอกว่า...ถ้ากรรมการไม่เชื่อ ความหมายของภาพนี้จะด้อยไปมาก"
แพตรีลดเปลือกตาลง นิ่งคิดแล้วก็เห็นตาม จริงแหละ พุทธศาสนิกชนมีหลายประเภทนัก ล้วนมีทรรศนะและความเชื่อส่วนตัวแตกต่างกันไป น้อยเสียเมื่อไหร่ที่คนตำแหน่งสูงๆและมีบทบาทต่อวงการศาสนาพุทธไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาบางคำสอนอันเป็นหลักสำคัญยิ่งอย่างเช่นภพภูมิและการเกิดตายแล้วๆเล่าๆ
หญิงสาวมองภาพบนผืนผ้าใบตรงหน้าด้วยอาการใคร่ครวญนิ่งเป็นดุษณี หล่อนกำลังคิด และมติก็เพลินมองอาการนั้นของหล่อนด้วยสายตาของศิลปินที่ไวกับรายละเอียดความงดงามทุกชนิด เขาชอบพินิจดูหล่อนในอิริยาบถตริตรอง ดวงหน้าอ่อนเยาว์ปราศจากริ้วรอยความกังวลทั้งปวง ตัดกันกับนัยน์ตาฉายแสงแห่งความคิดฉลาดลึกซึ้งอย่างผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางปัญญาและอารมณ์ ทุกมุมสะท้อนแสงของแก้วตาแพตรีทอประกายงามราวกับเครื่องประดับในฝัน หากเชื่อว่าคนเราวาดรูปตัวเองด้วยกรรม อดีตและปัจจุบันของหล่อนก็คงเป็นจิตรกรผู้มีฝีมือน่าพิศวงชวนเลื่อมใสยิ่ง
"น่าเสียดายนะ" หล่อนเอ่ยขึ้นในที่สุด "ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ลองเปลี่ยนแนวคิดของภาพเป็น ‘ตรัสรู้’ แทนได้ก็ดีหรอก ให้ปลายทางของสายลูกไฟเป็นดวงประกายพรึกเด่นที่แทนความหมายของการสว่างรู้ เต็มตื่นเป็นไฟล้างตัวเองจากเชื้อร้าย แล้วลูกไฟที่ผ่านมาจะได้ใช้แทนความหมายของการหลงทุกข์หลงสุขชั่วครู่ชั่วคราว อย่างนี้จะมีความหมายกับศาสนิกชนทุกทรรศนะ เพราะจุดหมายอันเป็นที่สุดของเนื้อหาในพุทธศาสน์คือการมีดวงจิตสว่างรู้หลุดพ้นจากความทุกข์และความขึ้นลงไม่เป็นสาระต่างๆ"
มติเบิกตาโพลง จับมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววจรัสแสงกล้าของศิลปิน
"เออแฮะ" เขายิ้มกระจ่าง "ไอเดียนี้เข้าท่าจริงๆ ผมไม่ทันคิดสะระตะเสียก่อน มัวแต่คิดถึงความยืดยาวไม่รู้จบของสังสารวัฏซึ่งน้อยคนจะอ่านออกและคล้อยตาม สู้ความเชื่อซึ่งเป็นสาธารณะเช่นการสว่างรู้เหนือทุกข์สุขไม่ได้ ยังไม่สายหรอกฮะ ผมใช้เวลาวาดสักสองสามอาทิตย์ ทันส่งถมเถ"
ความจริงการเสกสรรค์ปั้นแต่งงานที่ลุล่วงไปแล้วขึ้นมาใหม่หมดนั้นควรแก่การเบือนหน้าหนีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับงานศิลป์ที่ต้องการความละเอียดปราณีตและการทุ่มเทแรงกายแรงใจมากๆอย่างนี้ แต่มติกลับไม่นำพาความเหนื่อยยาก แสดงให้เห็นถึงศรัทธาปสาทะและแรงบันดาลใจทางศาสนาอย่างเปี่ยมล้น
เมื่อหญิงสาวทราบเจตจำนงของน้องเช่นนั้น ก็ชำเลืองตาจ้องยิ้มๆ
"ศรัทธาแก่กล้าดีจริง"
"ภาพนี้ผมให้พี่แพก็แล้วกัน"
เขายกให้ง่ายๆ แพตรีเบิกตาเล็กน้อย
"ไม่ขายล่ะ? ถึงคนดูไม่รู้เรื่องก็อยากซื้อได้นะ ภาพสวยออกอย่างนี้"
"ไม่ตั้งใจจะขายอยู่แล้วนี่ฮะ"
หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนจะกวาดตาพินิจรายละเอียดบนแผ่นภาพและยิ้มรับ
"งั้นก็...ขอบใจนะ"
รู้ว่าปู่ก็ต้องชอบ นึกหาที่แขวนเหมาะๆได้เดี๋ยวนั้น มติกับหล่อนมอบของน้อยใหญ่ให้แก่กันมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่จำเป็นต้องย้ำคะยั้นคะยอหรือกระทำพิธีบ่ายเบี่ยงใดให้มากความ
พอพูดถึงปู่ มติก็เปลี่ยนเรื่องอย่างนึกขึ้นได้
"วันก่อนปู่คุยกับผม บอกผมว่าพอพี่แพเรียนจบ มีงานทำเลี้ยงตัวได้ ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว...ปู่จะบวช"
ด้วยความเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา มติไม่เห็นแม้แต่ความกระเพื่อมไหวในแววตาสงบดุจแผ่นน้ำนิ่งของแพตรี หล่อนยังระบายยิ้มอ่อนให้กับภาพตรงหน้าเฉย แต่เพราะมติรู้จักใกล้ชิดมาเนิ่นนานจนเข้าถึงและสัมผัสได้กระทั่งส่วนลึก จึงทราบดีว่าภายใต้ความไม่ไหวติงนั้น ที่แท้หล่อนเก็บซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้อย่างเงียบเชียบ
มติถอนใจ จะให้เขานิ่งดูดายได้อย่างไร
"พี่แพรู้แล้วใช่ไหมฮะ?"
"รู้แล้ว"
หล่อนตอบเบาๆ ปราศจากวี่แววสะเทือนใจปนออกมา
"แล้วคิดยังไงต่อไปฮะ?"
หญิงสาวเหลือบตาขึ้นสบกับเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทคุ้น แล้วเบนไปทางตัวเรือนซึ่งปู่คงกำลังนั่งอ่านหนังสือธรรมะหรือเดินจงกรมอยู่ในห้องพระตามลำพัง สิ่งเหล่านั้นเป็นกิจวัตรของปู่เมื่อท่านปิดประตูห้อง
"พี่อนุโมทนากับความตั้งใจของท่าน พี่คงทำงานทำประโยชน์ให้สมค่าความรู้ที่ร่ำเรียนมาสักสองสามปี แล้วจากนั้น..." ปลายเสียงของหล่อนแผ่วลง แต่แล้วก็กลับหนักแน่นขึ้นอีกครั้ง "พี่จะบวชชี อยู่ในเพศพรหมจรรย์บูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณปู่"
ถ้อยคำบ่งบอกเจตนารมณ์นั้นทำให้มติงันนิ่งไป เด็กหนุ่มเม้มปากและมีคิ้วเคร่งเล็กน้อย
"แน่ใจแล้วหรือฮะ?"
แพตรีพยักหน้าช้าๆ เป็นความเนิบช้าที่ทำให้มติสัมผัสความพะวงบางประการที่แอบแฝงอยู่ในชั้นลึกสุด
"เป็นความตั้งใจที่ดี"
เขาบอกอย่างนั้น แต่มิได้กล่าวอนุโมทนาด้วย กลับเปลี่ยนเรื่องถามมาอีกทาง
"พี่แพเอาไม้แคระไปไว้มุมไหน"
บ้านซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางไม้ดอกไม้ประดับนั้น ทำให้เขาขี้เกียจกวาดตาควานหาพันธุ์ไม้แคระซึ่งตนอุตส่าห์ซอกซอนไปพบถึงบนยอดเขาใกล้กับหมู่บ้านชนบทที่กลุ่มอาสาพัฒนาของเขายกขบวนไปถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนๆ
"หลังบ้าน"
แพตรีตอบทั้งยิ้ม อันที่จริงมติไม่ใช่นักเลงต้นไม้ แต่นานทีก็หาพันธุ์แปลกมากำนัลหล่อน ไม่ว่าจะแปลกขนานแท้หรือเขานึกเอาเองว่าแปลกก็ตาม มันมีค่าเสมอ เพราะเขาไม่เคยซื้อมาโดยง่าย แต่หามาด้วยลำแข้ง...ลำแข้งจริงๆไม่ใช่อุปมาอุปไมย มติชอบท่องเที่ยวไปตามป่าเขาและชายทะเล นั่นทำให้เขามีโอกาสเสาะสำรวจธรรมชาติได้หลากหลายภูมิประเทศ
"บางครั้งผมเกือบเข้าใจว่าสัมผัสพิเศษที่พี่แพมีต่อต้นไม้เป็นยังไง" เขากล่าว "เวลาผมมองดีๆแล้วรู้สึกว่าพวกมันมีสัญญาณชีวิต สำเหนียกรู้ได้ว่านั่นคือวิญญาณ คือพลังที่ให้ความอ่อนโยนกับโลก อารมณ์ของผมจะแปลกไป คือกลมกลืนไปกับความเยือกเย็น สงบเรียบง่าย และเหมือน...เอ่อ"
เด็กหนุ่มหรี่ตาพักเฟ้นคำ
"ไม่เคยต้องคิด ชีวิตไม่มีเรื่องน่ากังวลอยู่เลย"
แพตรีต่อคำให้เมื่อเห็นมติเหมือนจะจนด้วยถ้อย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยตาสดใส
"ใช่...แบบเดียวกับที่เต๋าชี้ให้เห็นการเติบโตอย่างง่ายดายตามธรรมชาติ ถ้าเข้าถึงได้ก็มีความดื่มด่ำเยือกเย็น เพราะจิตเสมอกับธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นไปอย่างไร จิตก็ปรับแปรตามนั้น พอปราศจากความขัดแย้งกับธรรมชาติ ก็เหลือแต่ความเรียบง่ายที่เป็นไปเอง"
หญิงสาวคลี่ยิ้ม มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแห่งการถ่ายทอดสัมผัสโดยตรงจากใจ
"ถ้าเธอรักพวกมันมากพอจะ ‘คุย’ กับมันได้เหมือนอย่างที่คุยกับเพื่อนสนิทสักคน เธอจะเข้าใจ ‘เสียงเงียบ’ ที่สื่อกันอยู่ระหว่างฝั่งเราผู้เฝ้ามอง และฝั่งชีวิตที่ถูกมอง เป็นคลื่นสัญญาณอีกแบบหนึ่ง บอบบาง แต่ก็มีกระแสแรง"
มติหัวเราะเอื่อยๆ ใช่จะเยาะด้วยความขบขัน แต่หัวเราะอย่างรู้ตัวว่ายังไม่อาจเข้าถึงรหัสสัญญาณชีวิตระดับนั้น เข้าใจแต่ว่าเมื่อจิตมนุษย์เพ่งอยู่กับอะไรบางอย่างชั่วนาตาปี เมื่อแนบแน่นมากเข้าก็จะเกิดภาวะ ‘เห็น’ ความเป็นสิ่งนั้นๆขึ้นมาอย่างกระจะกระจ่าง หยั่งลงสู่สัมผัสพิเศษที่คนอื่นดูด้วยตา ฟังด้วยหูแล้วไม่เข้าใจ
"พี่แพถึงเหมือนต้นไม้เข้าไปทุกวัน...เคยสับสนไหมฮะเมื่อต้องกลับมาพูดภาษามนุษย์ ถ้าผมคุยกับต้นไม้ได้บ้าง เราอาจคุยกันในรูปแบบที่แปลกขึ้นกว่าเดิมก็ได้นะ"
มติพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง แพตรีหัวเราะหน่อยๆแล้วเงียบ
"ว่าแต่ว่าพี่พูดกับต้นไม้ยังไง ได้ความหมายเป็นใจความเหมือนอย่างติดต่อกับผู้คนหรือเปล่า?"
หญิงสาวส่ายหน้า
"มนุษย์เราสื่อสารกันด้วยการถ่ายทอดความคิด ความคิดเป็นเปลือกที่อยู่ผิวนอกของใจ ถูกขับออกมาเป็นระลอกด้วยเจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง หากเจตนาเป็นโทษ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาหยาบๆน่าระคาย หากเจตนาเป็นคุณ คลื่นของจิตก็ส่งออกมาละเอียดน่าสบายหน่อย แต่ส่วนใหญ่เราไม่ทันซึมซับรับรู้ลักษณะคลื่นของจิตมนุษย์มากนัก เพราะใจมัวไปทำงานแปลความหมายของภาษาพูดเสียหมด เราถึงถูกหลอกบ้าง ถูกทำให้เขวบ้าง เพราะฟังเฉพาะภาษาเป็นคำๆ"
พูดแล้วก็เบนสายตาไปจับดอกพิกุลซึ่งอยู่ห่างจากตรงนั้นเพียงสี่ห้าก้าว ดวงหน้าของหล่อนอ่อนสงบยิ่งในการเฝ้ามองของมติ
“แต่สัญญาณสื่อสารจากต้นไม้ไม่ได้มาจากระบบความคิด ไม่ได้มาจากภาษา ปราศจากเจตนาดีร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีการปรุง ไม่มีการปั้น ทุกอย่างถ่ายทอดตรงไปตรงมาจากความเป็นต้นไม้เองทั้งร่าง สื่อสารกันจากวิญญาณถึงวิญญาณ ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาดีๆ ก็แปลว่ามันกำลังเป็นอยู่เหมือนคนที่มีสุขภาพดีและร่าเริง ถ้าคลื่นวิญญาณส่งออกมาอับหมอง ก็อาจสันนิษฐานว่ามีบางอย่างผิดปกติไป อาจจะเพลี้ยลง หรือได้น้ำได้ปุ๋ยน้อย ดีอย่างนี้แหละที่เราสามารถรู้จักพวกมันโดยปราศจากภาษาขวางกั้น เพราะเราจะไม่มีวันเข้าใจผิดหรือถูกหลอกให้เลี้ยงดูคลาดเคลื่อนจากที่ควรเลย”
มติยิ้มกว้าง
"อย่างนี้เองพี่แพถึงไวนัก กับการหลบคนใจร้าย ใจกระด้าง เพราะคุ้นที่จะสัมผัสแต่สิ่งละเอียดอ่อน" พักมองโดยรอบ แล้วเอ่ยถาม "เคยได้ยินว่าความสั่นสะเทือนจากจิตวิญญาณเจ้าของ จะติดอยู่กับต้นไม้ด้วย เวลาดูต้นไม้นอกบ้านนี่พี่แพอ่านออกจากสัมผัสพิเศษไหมว่าเจ้าของเป็นคนนิสัยใจคอยังไง"
แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง หล่อนคุยกับมติโดยไม่จำเป็นต้องเก็บงำสิ่งใดไว้เป็นความลับ
"ถ้าฝากสัญญาณไว้เด่นพอ ก็อาจจับได้อยู่บ้างมั้ง อย่างเรื่องความสดใสเนี่ย ถ้าเจ้าของมีจิตใจที่สว่างและเดินมารดน้ำต้นไม้ รินใจเผื่อแผ่ต้นไม้บ่อยๆ พวกมันก็จะมีความสว่างตาม เราสัมผัสแล้วสดชื่นตามได้ง่ายๆ แต่ถ้าเจ้าของปล่อยให้ต้นไม้ยืนอยู่ตามยถากรรม รอฝนตกลงมาเลี้ยงเอง ก็ไม่มีคลื่นความใส่ใจของมนุษย์ฝากไว้"
มตินิ่งฟังอย่างสนใจ พอแพตรีพูดจบก็เล่าว่า
"ผมเคยเห็นอยู่รายหนึ่งบอกว่าเขารู้ความต้องการของต้นไม้ที่เลี้ยงไว้ รู้หมดเลยว่ามันอยากได้ดินใหม่ อยากให้งดปุ๋ยที่กำลังใช้ หรือต้องการน้ำมากขึ้นอะไรทำนองนั้น ผมฟังแล้วบางทีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขารักต้นไม้มากจนเกิดอุปาทาน หรือคลุกคลีผูกพันจนเกิดความหยั่งรู้พิเศษขึ้นมาเอง ใช่ว่าได้รับการติดต่อจากต้นไม้ แต่ฟังจากที่พี่แพพูดแล้ว ก็ทำให้คิดว่าอาจมีบางอย่างที่ก้ำกึ่งกันระหว่างอุปาทานกับ ‘เสียงจริง’ จากต้นไม้”
"จะอุปาทานหรือของจริงก็ไม่น่าสนใจไปกว่าที่ว่า เมื่อทำตามต้นไม้ต้องการแล้วต้นไม้ดีขึ้นหรือเลวลง"
เด็กหนุ่มครางในลำคอเบาๆอย่างเห็นด้วย เคยได้ยินมานานแล้วเรื่องความเจริญงอกงามเป็นพิเศษของต้นไม้ถ้าคนเลี้ยงมีใจให้ บางรายเลี้ยงได้ถึงขั้นมหัศจรรย์ โตเร็ว เติบใหญ่กว่าธรรมชาติ และงดงามกว่าของชาวบ้านทั่วไปทั้งที่มีพืชพันธุ์ ดิน แดด และปุ๋ยอย่างเดียวกันทุกประการ
“คนมีความสุขกับต้นไม้นี่ดูสันโดษและเหมือนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่รักต้นไม้ อยู่กับต้นไม้ก็พอ นับว่าพี่แพนี่น่าอิจฉาเหมือนกันนะ"
“แต่เธอคงไม่อิจฉาพี่มั้ง เพราะรู้จักบรมสุขในงานศิลปะอยู่แล้วนี่ อย่างที่เคยเห็นเธอทำงาน ดูหน้าตาอิ่มเอิบดีออก”
แพตรีหมายถึงเมื่อครั้งเขานั่งวาดรูปเหมือนให้หล่อน
“ตอนวาดได้อย่างใจก็อิ่มเอิบดีหรอกฮะ แต่ถ้าเป็นตรงข้าม ก็หงุดหงิดเอาบ่อยๆเหมือนกัน ต่างจากความสุขสนิทใจที่ได้จากต้นไม้อย่างพี่แพ มีแต่สุขเย็น ไม่ต้องหงุดหงิดเลย”
แพตรีเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน รู้จักกันมาแต่เล็ก เห็นหน้าเห็นตาในสารพัดเหตุการณ์ หากคัดเป็นภาพก็คงได้นับพันนับหมื่น จำได้ว่าไม่เคยเห็นสีหน้าขุ่นขึ้งของเขาแทรกขึ้นมาเลยสักภาพเดียว
“อย่างเธอเคยหงุดหงิดด้วยหรือ?”
“เคยสิฮะ”
เขาตอบกลั้วหัวเราะ
“ไม่รู้สินะ ในความรู้สึกของพี่เธอเหมือนคนที่เข้าถึงศิลปะลึกซึ้งมาก เห็นเธอทำงานแล้วเหมือนกำลังแยกตัวเองไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ล่องลอยเบาสบายอยู่ตามลำพัง อีกอย่าง เธอเข้าใจพระธรรมคำสอนดี แล้วก็ทำสมาธิได้ผลกว่าพี่มาก ยังหงุดหงิดกับอารมณ์หยาบๆได้อีกหรือ?”
“ศิลปินส่วนใหญ่ฝันแรง แล้วก็อยากแรงฮะ ตราบใดที่ยังกลมกลืนไปกับศิลปะบริสุทธิ์ไม่ได้อย่างถ่องแท้ พี่แพอาจมีโอกาสรู้จักพวกมีหัวทางนี้น้อย แต่ละคนปึงปังเป็นฟืนไฟง่ายจะตาย”
"สำหรับเธอ ความหงุดหงิดคงถูกขังไว้แต่ข้างในแหละนะ ข้างนอกเธอสงบมาตลอดนี่ พี่ยังเผลอนึกว่าเธอหมดโกรธ หมดอยากไปแล้วด้วยซ้ำ" หล่อนกล่าวทั้งกลั้วหัวเราะ "คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นแหละนะที่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้หมดไปหรือยัง"
มติมองหญิงสาวรุ่นพี่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป คล้ายจุดประกายความมาดหมายเร้นลับทอตัวเป็นแสงเข้มในแก้วตาที่เคยเยือกเย็นอ่อนโยนเป็นนิจ
"ผมเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนจบความอยากได้เพียงเพราะมีใจฝักใฝ่ศิลปะและสมาธิ ผมมีอยากที่ยิ่งกว่าศิลปะและสมาธิ ผู้ชายอื่นทะยานยังไง ผมก็ไม่ต่างจากนั้น”
หญิงสาวสะอึกอึ้งนิดหนึ่ง แต่ทำเป็นไม่เห็นสายตาชนิดนั้นของเขา เสมองไปทางอื่นและพูดเอื่อยๆคล้ายผสมโรง
"ใช่ พอพี่ตื่นจากโลกของต้นไม้ พี่ก็พบว่าความเป็นมนุษย์นี่ยุ่งเหยิงด้วยความอยากหลายๆอย่าง แล้วก็น่าตลกที่บางทีมันขัดกันเอง"
ก็เช่นที่หล่อนอยากให้ปู่บวชตามความปรารถนาของท่าน อยากจริงๆมิใช่การเสแสร้งทำใจเป็นหลานผู้ประเสริฐ แต่ขณะเดียวกันหล่อนก็มีความอยากทั้งในส่วนตื้นกับส่วนลึกที่จะให้ปู่อยู่กับหล่อนตลอดกาล...อย่างน้อยก็จนกว่าสังขารของท่านจะพาท่านไปจากหล่อนเองในวาระอันควร
มติใช้ข้อนิ้วเกลี่ยปลายจมูก ขยับจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง แต่แล้วก็เสพูดไปอีกอย่าง
"ครั้งหนึ่งผมเคยวาดรูปชื่อ ‘ตามนุษย์' ไว้ รู้สึกจะไม่เคยเอามาให้พี่แพดู ขายไปแล้วล่ะฮะ สะใจกับความไม่อาจถูกหยั่งถึงก้นบึ้งของมัน ผมว่าตามนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของความซับซ้อนหาที่สุดไม่เจอ สลับสับเปลี่ยนแวว เปลี่ยนนัยได้สารพัดในกาลเทศะต่างๆ เข้าใจยากยิ่งกว่าความลี้ลับของร่างกาย ของถนนหนทางคดเคี้ยว ของน้ำดินหรือดวงดาวและจักรวาลไหนๆทั้งหมด"
แวบหนึ่ง แพตรีนึกถึงประกายตาคมกล้าของเกาทัณฑ์ จริงแหละที่มันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสุดยอดความซับซ้อน อำนาจโลกียวิสัยที่เขามีคงมาจากพลังในขุมสมองและกิเลสหยาบเยี่ยงคนเมือง ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นความวิจิตรพิสดารของดวงจิตในภูมิที่ความใฝ่สูงและความใฝ่ต่ำทะยานเข้าชนกันอย่างบ้าคลั่ง ภูมิที่ดวงวิญญาณมีอุปกรณ์และศักยภาพที่บันดลบันดาลสารพันดีเลวใดๆให้เกิดขึ้นก็ได้ทั้งสิ้น
ฝ่ายมติ ขณะพูดก็พินิจแพตรีไปด้วย เห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายฉลาดล้ำทว่าส่องแววซื่อจนคล้ายอ่อนเดียงสาของหล่อนแล้วเกิดความต้องการปกป้อง อยากคุ้มครอง อยากเป็นปราการกั้นหล่อนจากความสับสนวุ่นวายและความพลิกไปพลิกมาของผู้คนรอบด้าน เขาเจอมาแล้ว ทุกคนเจอมาแล้ว และหล่อนก็คงไม่แคล้วต้องเจอมาแล้วเช่นกัน จะอ้อนวอนอะไรมาช่วยปกป้องในวันต่อๆไปเล่า? เขาไม่ใช่วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจตามไปพิทักษ์หล่อนทุกฝีก้าว
นึกแล้วก็ชักเห็นดีเห็นงามกับเจตนาออกบวชของแพตรี เขาห่วงหล่อนจากใจ และเข้าใจศาสนาพุทธจนไม่เห็นที่พึ่งอื่นปลอดภัยไปกว่าการปฏิบัติธรรมหาทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
ทว่าแม้เห็นจริงดังนั้น ใจก็ยังไม่อาจอนุโมทนาได้อยู่ดี...เพราะกิเลสมันกั้นไว้หนาแน่น
"ชาตินี้ผมอาจไม่รวย"
ดวงตาของมติเหม่อจับยอดไม้เบื้องไกลขณะเปรยลอยๆ เขาอายุน้อยกว่าแพตรีเกือบสองปี ทว่ามีความสามารถเชิงวิจิตรศิลป์เข้าขั้นหารายได้มานานแล้ว และนั่นก็ทำให้เห็นชัดว่าหากไม่มีทางลัดอื่น กว่าจะมีเงินหลายๆล้านคงนานเน เขาเคยใช้เวลานับเดือนวาดภาพชนิด 'สุดฝีมือ' เพื่อฝากขายในราคาระดับดาวน์รถมือสองมาขับได้ แต่วางอยู่เป็นปียังไม่มีเศรษฐีคนไหนตัดสินใจซื้อ อาจเพราะฝากวางได้แค่กับร้านเล็ก ร้านใหญ่ยังไม่กล้าเสี่ยงกับจิตรกรหน้าใหม่ โอกาสที่ลูกค้ากระเป๋าหนักจะกรายมาชมจึงพลอยยากไปด้วย นั่นเองมติจึงได้บทเรียนมาตระหนักว่าเขาเพิ่งเริ่มต้น ต้องสร้างงานแบบไต่ระดับขึ้นไปอีกนาน จะหวังข้ามขั้นด้วยความมั่นใจในคุณภาพอย่างเดียวนั้น เห็นทีคงเหลือวิสัย
แพตรีประหลาดใจกับคำเปรยของเขาอยู่บ้าง
"ก็ดีแล้วนี่ เธอจะได้ไม่ต้องทุกข์กับความรวยและความอยากอันเป็นสิ่งแปลกหน้า แล้วมีความสุขต่อไปกับความสมถะประจำตัวที่สนิทคุ้นเคยเรื่อยมาและน่าจะเรื่อยไป"
"แต่สมมุติว่าผมจะต้องมีผู้หญิงสักคน กับเด็กเล็กให้ช่วยกันเลี้ยงดู ผมก็คงทำให้พวกเขาลำบากและไม่เป็นสุขกับความสันโดษชนิดนี้แน่"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน แต่หันมองหล่อนด้วยสายตาตรง ฉายเจตจำนงบางอย่างแรงจนดึงหล่อนมาสบได้ มติดูเป็นหนุ่มที่คมคายและเก่งกาจในยามนั้น แต่อย่างไรก็คือน้องชายหล่อนอยู่นั่นเอง
"พี่ว่าทั้งผู้หญิงและเด็กไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเธอหรอกมั้ง"
แพตรีทำเสียงให้ออกทำนองสันนิษฐานมากกว่าสรุปเดาใจ
"เหรอฮะ?" มติเลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างแสร้งฉงน "เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เอง"
แล้วเขาก็ส่งสายตาเลยหล่อนไปทางอื่น แพตรีอึกอัก การสนทนาเริ่มหักเหและอ้อมค้อม หล่อนไม่ชอบ มติกับหล่อนไม่เคยต้องพูดจากันด้วยวิธีพรางเจตนาเช่นนี้ มันทำให้การต่อคำสนทนาฝืดลง
แต่ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยด้วยปลายเสียงทอดเนิบเป็นปกติ
"พี่แพไม่ได้ไปบ้านผมนานแล้ว มีภาพใหม่ๆเยอะเลย อยากดูไหม?"
"อยาก"
ห่างจากบ้านหล่อนไปเพียงสองหลังก็ถึงบ้านมติ ตัวบ้านดูโกโรโกโสสักหน่อยเพราะขาดการบำรุงภายนอกซึ่งนับวันมีแต่เสื่อมลงตามอายุ มติอยู่กับพ่อและน้องชายเพียงสามคน ไร้แม่บ้านคอยดูแล แต่ทุกห้องหับจัดวางข้าวของเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบ ไม่รกรุงรังขนาดหาของทีเหงื่อตกกีบอย่างบ้านชายล้วนบางแห่ง
อันเนื่องจากเข้าออกบ้านของแต่ละฝ่ายมาแต่เด็ก เลยมีความสนิทคุ้นไม่เห็นเป็นอื่น แม้บัดนี้โตเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว แพตรีก็ยังแวะเวียนเข้ามาช่วยตัดแต่งต้นไม้รอบบ้านให้เกือบทุกเดือน เหตุหนึ่งเป็นเพราะบ้านปู่ชนะมีบริเวณไม่พอจะรับพฤกษานานาพันธุ์ของหล่อนได้ทั้งหมด จึงต้องแบ่งมาให้บ้านมติช่วยรับไว้บ้าง และนั่นก็เป็นผลให้เกิดความห่วงตามมาดูแล บำบัดทุกข์บำรุงสุขบริวารซึ่งบางครั้งอดๆอยากๆด้วยความไม่เอาใจใส่ของเจ้าบ้าน
มติมีแบบฉบับคล้ายศิลปินที่สร้างโลกเงียบส่วนตัวให้ตนเอง แต่งตัวง่ายๆ แค่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์มอซอ ผอมแห้งและเหมือนเซื่องเฉยในบางครั้ง ห้องนอนของเขาสะท้อนบุคลิกชนิดนี้ คืออวลกลิ่นอายสี กาว และดูคล้ายโรงเก็บเครื่องเคราศิลปะเสียมากกว่าจะเป็นสถานที่เอนกายหลับ ขนาดที่แพตรีก้าวเข้ามาแล้วไม่เกิดความตะขิดตะขวงก็แล้วกัน
ทั้งบ้านปลอดคน มติเปิดประตูหน้าต่างโดยรอบ ปล่อยให้พี่สาวเข้าไปดูภาพซึ่งเรียงเป็นตั้งพิงผนังห้องหลายสิบกรอบตามลำพัง
"เอาโกโก้ไหมพี่แพ?"
เสียงเด็กหนุ่มดังออกมาจากห้องครัว แพตรีส่งเสียงตอบปฏิเสธพลางพินิจดูภาพสีน้ำมันทีละกรอบ มติเป็นคนมีพลังสร้างสรรค์ งานของเขาสะท้อนให้เห็นชัด เกือบทุกภาพชวนทัศนาไม่จืดตา กับทั้งสามารถจุดประกายความคิดได้เสมอ นั่นเป็นแรงดึงดูดใจให้แพตรีนึกอยากชมงานใหม่ๆของเขาอยู่เรื่อย
"เธอน่าจะมีแกลอรี่เป็นของตัวเองนะมติ"
หล่อนเอ่ยเชิงชมด้วยระดับเสียงธรรมดา เขาควรจะได้ยินในความเงียบของบ้านและความห่างไม่เกินสิบก้าวนั้น
"ถ้ามีเงินก็ทำได้สิฮะ"
เขาตอบกลับมา แพตรีมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสนใจ ภาพที่กำลังพินิจนั้นเป็นแก้วเจียระไนทรงสูง แบบบางและงดงามระเหิดระหง สะท้อนแสงทองออกมาเป็นหลากสีแพรวใสจับตายิ่งนัก ทว่าในแก้วกลับบรรจุอยู่ด้วยเลือด...ที่รู้ว่าเลือดก็เพราะนอกแก้วซึ่งเป็นพื้นโต๊ะปูผ้าขาวนั้น เต็มไปด้วยหยดเลือดและมีดแหลมคมเปื้อนเลือดวางอยู่ใกล้ๆ
หลังภาพมีกระดาษเขียนปิดไว้ว่า ‘ความสุขบนความตาย'
เป็นภาพที่สะเทือนอารมณ์และนึกไปได้ถึงหลายเรื่องหลายราวบนโลกที่พ้องพาน มติไม่นิยมเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิต เขาคงไปพบข่าวหรือเหตุการณ์ใกล้ตัวบางอย่าง แล้วเกิดแรงบันดาลใจจะใช้ความเป็นศิลปินสะท้อนความรู้สึกที่ได้รับออกมาเท่านั้น อีกทั้งคงไม่ตั้งใจจะขายภาพนี้แต่อย่างใด...มันน่ากลัวเกินไป
นำภาพที่ชมแล้วไปวางพิงผนังด้านว่าง แล้วกลับมาเลือกดูภาพต่อๆไป มติวาดหลายแบบ มีทั้งธรรมชาติ วัดวาอาราม เหตุการณ์สับสน คนเหมือน ตลอดจนรูปทรงพิสดารหลากหลายจากจินตนาการ ล้วนทรงชีวิตชีวาให้สัมผัสรู้สึก อย่างรูปคนเหมือนนี่ราวกับจ้องมองหล่อนด้วยกระแสตาของคนจริงๆ คล้ายกอปรพร้อมด้วยชีวิตวิญญาณที่อาจขยับเขยื้อนหรือเปล่งเสียงพูดกับหล่อนได้เดี๋ยวนั้น
มติทำให้แพตรีซาบซึ้งว่าศิลปินฝากพลังและวิญญาณไว้กับงานอย่างนี้เอง ภาพวาดของเขามีความ 'จริง' เสียยิ่งกว่าภาพถ่าย ก็ด้วยใจที่ฝากไว้นี่แหละ
มีอีกภาพที่กว้างใหญ่ผิดจากกรอบอื่นค่อนข้างมาก ให้หล่อนกางแขนทั้งสองออกจนสุดก็ยังกว้างไม่เท่า เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจแต่แรก มันเป็นภาพดวงประกายพรึกฟ้าอมทองสว่างไสวงามงดดวงหนึ่งในห้วงมืด ล้อมรอบด้วยวงรี มองผาดๆแล้วคล้ายภาพดาวเสาร์กับวงแหวนนั่นเอง ต่างกันตรงที่ดาวเสาร์ถูกแทนด้วยดวงประกายพรึก และวงแหวนถูกแทนด้วยพระพุทธเจ้าหลายองค์ขัดสมาธิคู้บัลลังก์เรียงรอบ
ยิ่งแปลกตรงที่รูปโฉมของแต่ละพระองค์ต่างกันมาก ปราศจากเอกภาพโดยสิ้นเชิง บางองค์มีพระกรัชกายตามมหาปุริสลักษณะ เช่นพระหนุดุจคางราชสีห์ บางองค์มีพระหนุเหลี่ยมดุจชายผู้ทรงภูมิทั่วไป บางองค์มีพระฉัพพรรณรังสี บางองค์แค่มีรัศมีสง่า บางองค์มีมวยเกศา บางองค์ปราศจากเกศา บางองค์ดูท้วม (ตามลักษณะการสร้างพระพุทธรูปของบางประเทศ) บางองค์ดูสมส่วนองอาจ ผิดแผกแตกต่างนับแต่พระพักตร์ไปจนถึงพระกาย ราวกับมิใช่รูปพระมหาบุรุษองค์เดียวกัน ทว่าพิศผาดแล้วทราบทันทีว่าเป็นพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
นี่คงเป็นรูปที่มติคิดวาดแบบเผื่อเลือกเพื่อนำเข้าประกวดอีกชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ตัดสินใจส่งด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งของเขา แพตรีพยายามตามความคิดมติ ภาพนั้นชื่อ ‘พระพุทธเจ้า' ดูผิวเผินเหมือนมีเจตนาเหนี่ยวนำให้นึกถึงดาวพระเสาร์ หล่อนตาสว่างและคิดขึ้นได้ว่าเมื่อพูดถึง ‘ดาวเสาร์’ เรารู้ว่าคือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีวงแหวน แต่เราจะไม่นึกว่าดาวเสาร์คือวงแหวน เช่นเดียวกับเมื่อพูดถึง ‘พระพุทธเจ้า’ เราก็ไม่ควรนึกถึงพระกรัชกายที่เป็นเนื้อหนังมากกว่าพระธรรมกายอันเป็นเนื้อแท้ เราเถียงกันเสมอว่าพระองค์มีรูปโฉมผิดแผกหรือเหมือนสามัญชน ซึ่งเถียงให้คอเป็นเอ็นอย่างไรก็ไม่มีวันพิสูจน์ได้ ในเมื่อพระกรัชกายอันเป็นรูปธรรมสิ้นสูญไปแล้ว
ดวงจิตของพระองค์ต่างหากที่พิสูจน์ได้ เพราะถ้าเป็นของจริง คำสอนก็ต้องจริงตาม ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นประกายพรึกชนิดเดียวกันไปด้วย
รูปโฉมอันเป็นกายหยาบนั้นอยู่เพียงรอบนอก ขอเพียงพระรูปหนึ่งๆโน้มใจให้ศรัทธาและระลึกถึงพระทัยอันบริสุทธิ์ทรงคุณได้ก็เพียงพอแล้ว ใจที่นึกถึงพระองค์แล้วเป็นกุศลได้จริงๆนั่นแหละควรเป็นสิ่งน่าคำนึง
เพียงด้วยรูปนั้น จินตภาพเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าของแพตรีเกือบถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นภาพแทนพระสุคตที่ลึกซึ้งมาก ดวงประกายพรึกสื่อถึงจิตสว่างรู้พ้นกิเลสของพระสัมมาสัมพุทธะ ควรเป็นสิ่งเด่นชัดที่น่ามองให้เห็นมากกว่ารูปพระกายของพระองค์
นี่เองหน้าที่หนึ่งของศิลปิน คือเปลี่ยนโลกทัศน์ของผู้พินิจงานของพวกเขาด้วยมุมมองภายในที่แตกต่าง ผ่านภาพวาดอันเป็นรูปธรรมจับต้องได้
แพตรีมีความรู้และสายตาที่ไม่คมลึกนักกับงานศิลปะ แต่วัดด้วยความเป็นผู้มีตาช่างสังเกตให้กับสิ่งสวยงาม หล่อนก็พอบอกได้ว่าไม่แปลกเลย ถ้าต่อไปมติจะโด่งดังขึ้นมาในวงการสักคน
ภาพเขียนดีๆเป็นสิ่งมีพลังดึงดูดสายตาในตัวเอง เป็นสิ่งที่เห็นแล้วก่อความสุขให้แก่คนรู้จักดู รู้จักพิจารณาได้ เป็นสื่อจินตนาการจากใจถึงใจได้ เป็นความหมายแทนคำพูดพันคำได้ และเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างสุดแล้วแต่ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะมีความกว้างยาวลึกทางอารมณ์และความคิดสอดรับกันเพียงไร
"ถ้าภาพพวกนี้ถูกขายออกไปสมค่าตามจริง แค่สิบภาพพี่ก็ว่าเธอน่าจะมีแกลอรี่ของตัวเองแล้วล่ะ เป็นห้องโตๆด้วย"
แว่วเสียงหัวเราะขันเหมือนมติกำลังเดินใกล้เข้ามา
"เธอเก่งมากนะมติ"
แพตรีชมซ้ำ พลางนำภาพพระพุทธเจ้าแยกไปวางต่างหากในที่สูงกว่าภาพอื่น ออกจะนึกตำหนิน้องชายอยู่ในใจที่ไม่คัดแยกกลุ่มภาพให้เหมาะควร รวมภาพทุกประเภทไว้ในตั้งเดียวกันบนพื้นอย่างนี้ อย่างไรก็ตามใบหน้าของหล่อนยังคงบ่มด้วยความพอใจสบายตาไม่สร่าง ทว่าเมื่อหันกลับมายังภาพสุดท้าย ก็ชะงักงัน หน้าซีดลงเกือบจะในทันที ก่อนที่ครู่หนึ่งจะกลับแดงขึ้นจนเข้ม
นานครั้งที่หล่อนจะเกิดอาการตะลึงตะไลไม่คาดฝันอย่างเดี๋ยวนี้ ตรงหน้าคือภาพคู่บ่าวสาวในชุดวิวาห์ที่งามเกินจริงสมกับเป็นรูปวาด ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคู่บ่าวสาว รอยยิ้ม ช่อกุหลาบสีชมพู และกลิ่นไอความสุขสีขาวอมฟ้ากว้างไกล ภาพดูมีชีวิต มีมิติเคลื่อนไหวได้ ราวกับหนุ่มสาวในรูปกำลังส่งยิ้มถึงหล่อนโดยเฉพาะ
มติเป็นคนมีฤทธิ์ และเขาก็ฝากฤทธิ์แรงที่สุดไว้กับภาพนี้
"อย่างที่บอกใช่มั้ยฮะ ชีวิตผมยังมีอยากที่ยิ่งไปกว่าศิลปะ"
หญิงสาวหันขวับไปทางต้นเสียง ถึงกับมือไม้สั่น เขากำลังยืนพิงกรอบประตูห้อง แววตาที่ทอดสบกับหล่อนดูสงบเงียบนิ่งเย็นไม่เป็นอันตรายอย่างไรก็อย่างนั้น
ภาพชื่อ ‘สมรส' เจ้าบ่าวคือเขา เจ้าสาวคือหล่อน...
บทที่ ๗ อุปจารสมาธิ
เกาทัณฑ์ขับรถกลับที่พักด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างประหลาด มีความอาลัย เสียดาย คล้ายทำสิ่งหวงแหนหาย
หวงแหน…
เคยหวงมานับครั้งไม่ถ้วน ผิดกันก็แต่คราวนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป กับทั้งรุนแรงและกัดลึกอย่างน่าอับอาย จิตใจวนเวียนอยู่กับภาพบาดตาที่บ้านปู่ชนะเมื่อครู่จนคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันหลอน
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อรถจอดที่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง หัวเราะเพราะขบขันความบ้าบอของตนเอง กะแค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่...น่าสนใจ...อยู่กับชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เขา ถึงกับเกิดอาการวังเวงเชียวหรือ? หล่อนมีดีอะไรกัน ก็แค่สวย เขาหาสวยๆ อย่างนี้ได้เยอะแยะ
หรี่ตามองออกไปนอกกระจกรถ สบตากับสาวน้อยในรถด้านข้าง หล่อนนั่งอยู่ริมซ้ายและเผอิญหันมาจังหวะพอดีกัน
กะพริบตาทีหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างมีแรงดึงดูดที่ทำให้ไม่อาจถอนสายตาจากกันง่ายนัก แต่ชั่วขณะเมื่อใจเกิดนึกเปรียบเทียบกับผู้หญิงอีกคนที่บ้านปู่ เกาทัณฑ์ก็เบือนหน้าไปทางอื่น ได้คำตอบบางอย่างให้ตนเอง
เกือบจะเป็นครั้งแรกๆในชีวิตที่นึกขึ้นได้ ว่าตลอดมาเขาตีค่าผู้หญิงด้วยรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก เพียงเพราะหลงใหลอยากกอดจูบสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ภายนอก ถ้ารวย เก่ง พูดจาดี ก็จะเป็นแค่ปัจจัยเสริมให้รู้สึกเร้าใจขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เขาจะคำนึงถึงและยกย่องว่าควรค่าแก่การฝากใจอะไรเลย
เดี๋ยวนี้รู้แล้ว ว่าค่าทางใจมีความหมายอย่างไร...
มาถึงห้องพักและเปิดตู้เย็นทำแซนด์วิชทานไปแกนๆ เลิกคิดวกวนและพยายามกลับมาเป็นตัวของตัวเอง เขาเกลียดเรื่องรบกวนจิตใจที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทุกชนิด
เมื่อทานอาหารเที่ยงมื้อง่ายเสร็จก็เข้าห้องน้ำ ขัดสีฉวีวรรณเสียใหม่จนแจ่มใส ผิวปากหลอกตัวเองว่ากำลังสดชื่น เห็นเจ้าหล่อนที่รบกวนจิตใจเขาเป็นแค่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หล่อนไร้รสนิยมจนมองไม่เห็นค่าในตัวเขา ทำไมเขาจะต้องพยายามลืม แบบหล่อนนี่น่าลืมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
หลอกตัวเองให้คิดและเชื่อเช่นนั้น ก็ดันนึกขึ้นมาได้อีกว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเห็นค่าหล่อน รสนิยมชั้นสูงของเขานี่แหละที่ให้ค่าหล่อนปีนระดับขึ้นจนเกินขีด ต้องว้าวุ่นอย่างน่ารำคาญตัวเองอยู่นี่ เสียเชิงพิลึกล่ะ
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย มายืนอยู่นิ่งๆกลางห้องโดยไร้ความคิดหลอกตัวเอง ก็พบความจริงที่เหลือฝืนจะยอมรับ นั่นคือเขากระวนกระวาย คิดถึงหล่อน อยากคุยกับหล่อน อยากให้ตนไปถึงบ้านปู่เร็วกว่านั้น ก่อนหน้าที่ใครมาชิงจับจองเวลาไปก่อนเขา
ชายหนุ่มยกมือเสยผม เกลียดความหดหู่ที่เกิดจากเพศตรงข้าม แบบเดียวกับคนเชื่อมั่นว่าต้องสอบได้คะแนนเต็มเสมอ ต้องมาพบว่าครั้งหนึ่งตกรูดอย่างหมดท่า
สั่งตัวเองว่าต้องเคลื่อนไหว ต้องหาอะไรทำให้ลืมหล่อน ซึ่งดูไม่น่าจะยากนัก
หยิบวารสารต่างประเทศที่ชอบขึ้นมากางอ่าน เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆจับใจเขาได้เสมอมา เขาสามารถอ่านหนังสือเชิงเทคนิคที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนได้ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบเดียวกับหนังสืออ่านเล่น สงบใจขลุกขลุ่ย เพลิดเพลินอยู่ได้เป็นวันๆ
ลำบากตอนรวบรวมสติให้มีใจนึกตามข้อความที่กำลังผ่านตา แต่ความเคยชินในการไล่สายตาแบบไล่กวาดลงทีละบรรทัดบังคับให้เกิดการรวมกระแสสติในเวลาอันสั้น สายตาของเขาเห็นได้กว้าง เก็บได้ครบ เข้าอกเข้าใจถี่ถ้วน และจำได้แม่น คลื่นความปั่นป่วนในสมองเมื่อครู่ถูกแทรกแซงด้วยคลื่นความคิดอ่าน ความคำนึงนึกต่างรูปแบบที่เป็นระบบระเบียบมากกว่ากัน
อ่านจบไปสองเรื่องก็ลุกขึ้นรินน้ำอัดลมใส่แก้ว เปิดสเตอริโอฟัง แล้วกลับมานั่งเอกเขนกอย่างบรมสุข หยิบหนังสือขึ้นพลิกหาเรื่องอ่านต่อ ปากดูดน้ำจากแก้วในมือแล้ววางลงบนโต๊ะกระจกข้างตัวดังกริ๊กเล็กๆ เกิดความรู้สึกขึ้นมาในชั่วขณะนั้นว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยรายละเอียดและสีสันหลายหลาก หากจะพลิกจากทุกข์เป็นสุข หรือสุขเป็นทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกหยิบสิ่งที่มีอยู่รอบตัวแต่ละคนขึ้นมา
ลืมน้ำผึ้งผสมบอระเพ็ดอึกเดิมไปเสียได้ มีใจเต็มๆให้กับข่าวคราวทันสมัยเรื่องแล้วเรื่องเล่า หมดเรื่องน่าสนใจเล่มหนึ่งก็หยิบอีกเล่มขึ้นอ่านต่อ กระทั่งเงยหน้าดูนาฬิกาบนผนังห้อง เห็นได้เวลาออกกำลังก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เขาชอบกีฬาหลายอย่าง ต่อให้เป็นวันทำงานก็ต้องหาเวลาเล็กๆน้อยๆยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ก็มีโอกาสบันเทิงกับการกีฬาได้มากขึ้น
เลือกไปว่ายน้ำ เกาทัณฑ์โทร.ไปชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกัน แต่หมอนั่นออกไปข้างนอก เลยตัดสินใจไปคนเดียว
สระว่ายน้ำแห่งนั้นอยู่บนยอดตึกโรงแรมชั้นหนึ่งกลางกรุงซึ่งใกล้กับที่พัก มีคนมาลงว่ายประปรายทั้งไทยและฝรั่ง เป็นผู้ใหญ่ล้วนๆ ส่วนมากรวย เพราะค่าบริการและค่าสมาชิกแพงหูฉี่สมกับที่อยู่ชั้นลอยฟ้า
วันนี้พอมาถึงก็กระโจนลงว่ายเอาๆเป็นปลา ไม่รู้ว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ถ้านับเป็นระยะคงเกือบสองกิโลฯ เขาว่ายน้ำทน เมื่อสมัยเรียนมัธยมเคยเล่นกีฬาให้โรงเรียน ได้ยืนบนแป้นหมายเลขหนึ่งบ่อยกว่าใครเพื่อน
ขึ้นจากสระด้วยอาการมึนนิดๆ ปีนี้เขายังไม่ถึงยี่สิบหก แต่เหมือนร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ความอึดความทนลดน้อยลง นั่นทำให้ไพล่นึกถึงความเป็นอนิจจังแห่งสังขารขึ้นวูบหนึ่ง คิดแล้วก็หัวเราะ ถ้าเห็นอะไรๆเข้าข่ายความเป็นอนิจจังอย่างนี้บ่อยๆคงแก่ทันปู่ชนะในเร็ววัน
เช็ดตัว เช็ดผม แล้วลงนั่งผึ่งลมบนเก้าอี้ยาวริมสระ ทอดตาดูน้ำสีฟ้าสวยใสที่มีชาวไทยและเทศลงไปสำเริงสำราญกัน 4-5 คน มันเป็นยามเย็นที่น่าระรื่นบนตึกสูงขนาดควันรถขึ้นมากวนไม่ถึง ลมพัดเฉื่อยฉิวท่ามกลางบรรยากาศสบายด้วยสวนหย่อมประดับพื้นที่ แถมมีตาสีเขียวมรกตปิ๊งๆของสาวผมทองส่งมาให้จากฝั่งสระตรงข้ามอีกต่างหาก
ชายหนุ่มส่งตาตอบพลางจุดยิ้มมุมปากหน่อยๆ ท่าทางหล่อนเอกเขนกตรงนั้นนานแล้วและกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ทุกขณะ การว่ายไปว่ายมาไม่หยุดก็เป็นจุดเด่นของสระได้เหมือนกัน เพื่อนๆวิจารณ์ด้วยความอิจฉาเสมอเกี่ยวกับความกำยำได้รูปสวยของเรือนกายเขา โดยเฉพาะเมื่อกำลังว่ายฟรีสไตล์หรือท่าผีเสื้ออยู่ในน้ำ และจากการเห็นเองแทบทุกครั้งเมื่อขึ้นจากน้ำ ก็มักพบสายตาชนิดนี้จากเพศตรงข้ามส่งมาให้เป็นประจำ
เกาทัณฑ์ยีผมบนศีรษะเบาๆด้วยผ้าขนหนู สายตายังวางจับแน่นิ่งไปทางสัดส่วนโดดเด่นในชุดว่ายน้ำเว้าแหว่งล่อตาจนหล่อนต้องแสร้งเมินไปทางอื่นอย่างมีมายา สะสวยไม่ใช่เล่นทีเดียวล่ะ ประมาณจากตาเปล่าเดี๋ยวนี้ เก็งดูอายุแค่เฉียดสามสิบ ทรวดทรงองค์เอว ขา แขน ผิวกายยังไร้ที่ติไปทุกกระเบียดเนื้อ ท่วงทีสำรวยระเหิดระหงเท่าที่เห็น ชวนให้นึกชมมองไม่เบื่อ ต่อให้ถูกบังคับห้ามถอนสายตาไปจากหล่อนสักชั่วโมงก็ตาม
ดูท่าคงไม่ใช่แหม่มที่มาเมืองไทยตัวคนเดียว หล่อนอาจมากับแฟน กับเพื่อน หรือกับพ่อแม่ แต่สายตาที่หวนกลับมาสบอย่างเปิดเผยนั้นประกาศให้ทราบชัดราวกับมีโทรจิตสื่อกันว่าเขาอาจเดินเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับหล่อนได้ และหล่อนก็พร้อมที่จะมีเพื่อนชายชาวไทยสักสองสามวันโดยไม่มีใครมากั้นขวางขัดกลาง
ความคิดของเกาทัณฑ์ลึกลงไป คนเจนโลกีย์ด้วยกันย่อมดึงดูดเข้าหากันโดยง่ายคล้ายมีแม่เหล็กคนละขั้วฝังอยู่ในตัวแต่ละฝ่าย เชื้อชาติที่แตกต่างคือรูปแบบแปลกตาน่าระทึก วาดได้เป็นฉากๆว่าหากต้องการรู้จักหล่อน เขาจะต้องเข้าไปด้วยลีลาเช่นไร เริ่มต้นทักด้วยคำพูดใด และหล่อนจะมีทีท่าโต้ตอบมาไม้ไหน ในที่สุดเขาจะต้อนหล่อนเข้ามุม ลงเอยเกษมสันต์หรรษากันครั้งแรกถึงใจเพียงใด ความขึ้นใจกับเกมชีวิตประเภทนี้ทำให้เขามีสัมผัสต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงได้ชัดเจนราวกับเกิดขึ้นแล้ว
เกาทัณฑ์รู้ว่าถ้าปล่อยหล่อนผ่านไป พลาดโอกาสทำความรู้จักเสียเดี๋ยวนี้ คงหมายถึงการจากกันชั่วนิรันดร์ เหมือนไอศกรีมสุดอร่อยที่จ่อปากอยู่รอมร่อ จะอ้างับก็ง่ายนิดเดียว แต่เมื่อรอนาน มันก็จะละลายหาย หมดเวลารับรางวัลสำหรับคนอ้อยอิ่ง
ร่ำๆจะลุกขึ้นและก้าวเดินไปสู่อนาคตคือวิมานฉิมพลี แต่เวรกรรมที่ยังจำได้ชัดว่าให้สัญญากับหลวงตาแขวนไว้อย่างไร ตลอดอาทิตย์นี้เขาจะต้องงดเสพกาม…
ถอนใจเฮือก เตือนตนเองว่าแม้สบตาด้วยกระแสความรู้สึกใคร่อยากเช่นนี้ก็เท่ากับละเมิดสัญญาทีละน้อย เหมือนปล่อยข้าศึกให้เข้าประชิดเมือง ขึ้นชื่อว่าข้าศึกนั้น เมื่อถึงเมืองแล้วจะให้อยู่เฉยหรือถูกเชิญถอยไปดีๆคงไม่มี อย่างไรก็ต้องปะทะ อย่างไรก็ต้องล้มตายกันในที่สุด
ดีเหมือนกัน เมื่อทุกอย่างผ่านเลยไปแล้วๆเล่าๆ ถึงเวลาเสียทีกระมังที่เขาจะปรารถนาบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าการเสพสมเนื้อหนังมังสา ถึงเวลาแสวงหาผู้หญิงสักคนที่ทำให้รู้จักโลกนี้ในอีกมิติหนึ่ง ที่ห่างไกลจากเบื้องต่ำอันอุดมด้วยความหยาบโลนชั่ววูบผ่านผิวเผิน
เกาทัณฑ์ลุกขึ้นเดินจากสระแห่งนั้นไปไม่เหลียวหลัง ตอนนี้จะคิดอะไร ทำอะไร ให้มาลงเอยที่เจ้าหล่อนหลานปู่ชนะจนได้ซีน่า
ทานข้าวเย็นคนเดียวจนอิ่มตื้อ นี่เห็นจะเป็นการอยู่ตามลำพังที่ยาวนานทำลายสถิติทั้งหมดในชีวิตกระมัง เขาเดินขึ้นลิฟท์เข้าห้องพักคนเดียว ไม่ขับรถไปที่บ้านเพื่อนคนไหน ไม่แวะเคาะประตูห้องใคร และหนักที่สุดคือไม่แยแสเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ดังขณะไขกุญแจประตูห้อง ปล่อยให้เครื่องตอบรับอัตโนมัติทำงานแทน
"นี่แอ้พูดนะคะ เพื่อนๆนัดเจอกันที่เดิมคืนนี้สี่ทุ่มครึ่ง ไปให้ได้นะ...ปิดมือถือไว้เหรอ ติดต่อทั้งวันไม่ได้เลย"
เสียงแจ๋วๆจากลำโพงเครื่องตอบรับมิได้ทำให้เขายินยลสักนิด ถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อน เขาคงวิ่งหน้าตื่นไปปิดเครื่องตอบรับและคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นพูดโดยพลัน เพราะหล่อนที่เรียกตัวเองว่า ‘แอ้’ กำลังเป็นปลามันชิ้นงามที่เขากับเพื่อนสนิทคนหนึ่งออกแรงแย่งกันอย่างสนุกสนาน ยิ้มเปิดโลกกับท่วงทีเก๋ไก๋เฉพาะตัว รวมทั้งแบบฉบับสาวเก่งผิดวัย ทำให้หล่อนมีเอกลักษณ์พิเศษบาดใจเกินใคร
ยืนฟังเพื่อนสาวตัดพ้อต่อว่าอย่างเซื่องเฉยคล้ายสมองเลิกทำงาน เชื่อแล้วว่าตนกำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่อย่างไม่อาจเปิดหูเปิดตาให้ใครอื่น
จนเสียงจากลำโพงเครื่องตอบรับเงียบสนิท จึงเดินเข้ามายกกระบอกโทรศัพท์ขึ้น กดเบอร์ต่อสายไปที่บ้านพ่ออย่างปราศจากจุดหมาย
"ฮัลโหล"
เสียงห้าวลึกตอบมาเมื่อสัญญาณดังเพียงสองครั้ง
"พ่อเหรอฮะ" เกาทัณฑ์ทัก "ผมนะ"
"ไง นายเต้ หายเงียบไปเลย"
พ่อทักตอบเนือยๆ มีเสียงพลิกกระดาษแว่วเข้าหู เกาทัณฑ์จึงรู้ว่าพ่อกำลังนั่งตรวจงาน อันเป็นกิจวัตรที่เขาเห็นจนคุ้นมาแต่ไหนแต่ไร
"ฮะ" เขาพูดซึมๆ "ไม่เจอกันนานแล้ว วันอาทิตย์พรุ่งนี้ผมจะไปทานข้าวเช้าด้วย"
"เออ ดี แม่บ่นคิดถึงแกอยู่เมื่อวานนี้เอง ทำอะไรอยู่ไม่โผล่หัวมาเลย"
"กำลังสนุกกับชีวิตน่ะฮะ"
ลูกชายตอบกลั้วหัวเราะเอื่อย
"เสียงเหมือนไม่สนุกอย่างปากพูดเลยนี่ฮึ"
พ่อของเขาไวและแม่นเสมอกับความจริง โดยเฉพาะความจริงที่ถูกซ่อนไว้ด้วยความพยายามของมนุษย์ เกาทัณฑ์หัวเราะออกมาอีก แต่คราวนี้ขบขันตนเองที่ปล่อยให้พ่อรู้ว่ากำลังห่อเหี่ยว แม้เพิ่งได้ยินเสียงแค่สองสามคำ
"มีอะไรให้ทำเยอะฮะ ชีวิตมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาได้เรื่อยๆ…"
เขาหมายความตามนั้น แล้วก็แต่งเสียงใสขึ้นเหมือนจะเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาให้ร่าเริง
"พ่อ…ผมไปเยี่ยมปู่ชนะมา!"
"เหรอะ" พ่อทำเสียงไม่คาดฝัน "ขับไปแถวนั้นแล้วน้ำมันหมดพอดีรึไง?"
เกาทัณฑ์ยิ้ม พูดแล้วก็เพิ่งรู้ว่าโทร.หาพ่อทำไม เขาต้องการคุยกับใครสักคนที่น่าจะรู้จักหล่อนคนนั้น อยากฟังอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหล่อน
“ตั้งใจไปเยี่ยมสิฮะ เกิดไปติดเนื้อต้องใจสาวสวยในบ้านปู่มาด้วย"
ชายหนุ่มอำพรางความในใจด้วยการพูดเรื่องจริงให้ฟังเหมือนเล่น พ่อเงียบเหมือนอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยเนิบ
“แกไม่ไปหาปู่ตั้งหลายปีแล้วนี่ ก่อนไปเรียนโทใช่ไหม?”
“ฮะ นานไปหน่อย…แปลกนะพ่อ ผมน่าจะรู้จักแพมาได้ตั้งนานแล้ว ทำไมเหมือนเพิ่งมาเห็นก็ไม่รู้”
“สงสัยเพราะเพิ่งสวยน่ะซี”
ผู้เป็นพ่อทำเสียงรู้แกว ทำให้ฝ่ายลูกหัวเราะเก้อๆ
“พอนึกออกเหมือนกันแหละฮะว่าเคยเห็นเขายืนเดินอยู่ในบ้านปู่ แต่เหลือเชื่อที่โตแล้วต่างกับสมัยก่อนอย่างกับเป็นคนละคน”
“แกก็ไปบ้านปู่ไม่กี่ครั้งนี่นะ ส่วนใหญ่ฉันพาไปไหว้ตอนปู่มาค้างที่บ้านอา แล้วตอนวัยรุ่นน่ะแกเต๊ะยังกับอะไร ท่าทางเหมือนไม่เคยมองหน้ามนุษย์ คนเราต่อให้อยู่บ้านติดกัน แต่ถ้าไม่เคยมองหน้าให้เต็มตา เจอข้างนอกก็นึกว่าคนอื่น”
เกาทัณฑ์เห็นจริงตามนั้น คำพูดของพ่อทำให้เพิ่งตระหนักว่าสมัยก่อนเขาไม่เคยมองหน้าหล่อนให้จะแจ้งเลยสักครั้งเดียว อีกอย่างช่วงนั้นบ้านปู่มีคนเยอะ เขาติดจะขี้รำคาญ ขนาดญาติที่ต้องยกมือไหว้ยังขี้เกียจมอง ประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงที่ยังปราศจากฝาดเลือดสาวสะพรั่งอย่างหล่อน
"ปู่ได้มายังไงฮะ?"
“เห็นว่าเป็นลูกหลานของคนรู้จักเก่าแก่น่ะ ปู่แกไปเยี่ยมแล้วเห็นเพิ่งเสียชีวิตกะทันหัน ญาติๆเกี่ยงกันเพราะต่างมีภาระ มีลูกเต้ากันอยู่แล้ว ปู่สงสารเลยขอรับมาเลี้ยงเอง”
ชายหนุ่มยิ้มแหย
“จดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมหรือฮะ?”
“เปล่า ช่วงนั้นลุงของแกอายุมากพอจะเป็นธุระให้แล้ว ปู่เลยขอให้เป็นพ่อในนามแทน แต่ตลอดมาปู่เป็นคนเลี้ยงเอง”
เกาทัณฑ์ถอนใจโล่งอก ถ้าปู่รับหล่อนเป็นลูกบุญธรรม แม้จะเป็นเพียงในนาม ก็คงต้องถือว่าหล่อนเป็นน้องสาวพ่อเขา
"รู้ชื่อจริงเขาไหมฮะ ผมได้ยินแต่ปู่เรียกแพ"
"แพตรี"
เกาทัณฑ์ตาสว่าง เป็นนามที่ฟังสะดุดหู
"แพตรี…” เขาทวนคำ “เก๋ดีแฮะ เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน”
ยิ่งทวนชื่ออยู่ในใจยิ่งรู้สึกว่าหล่อนโดดเด่นอย่างประหลาด พ่อลูกเงียบเสียงกันพักหนึ่ง อย่างที่ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง
"ดูตอนปู่มองแพหรือพูดถึงแพ รู้สึกท่านรักเหมือนเป็นลูกจริงๆ"
"คงธรรมะธัมโมเหมือนๆกันมั้ง เลยอาจถูกใจเอ็นดูยายแพเป็นพิเศษ"
"เอ่อ...แล้วมีแฟนรึยังพอรู้มั้ยฮะ?"
ฝ่ายพ่อหัวเราะหึๆ ตั้งแต่ลูกชายแตกเนื้อหนุ่มและริจีบสาว เพิ่งเคยมีก็นี่แหละที่มาพูด มาถามซอกแซกกับตนขนาดนี้
“นี่แกจริงจังมากหรือเต้?”
เกาทัณฑ์เงียบไปหน่อยหนึ่ง
“ถ้าจริงล่ะฮะ?”
“จริงก็ดีไป แต่เขาเหมือนญาติ เกี้ยวพาราสีได้เป็นแฟนแล้วทิ้งขว้างกันง่ายๆไม่ได้นา พ่อเองก็เอ็นดูเขา เคยนึกอยากชวนให้แกคบหาเหมือนกัน ผู้หญิงอย่างนี้ใครได้ไปก็ยิ่งกว่าได้แก้ว แต่เห็นความช่างเปลี่ยนและขี้เบื่อของแกแล้วกลัวใจว่ะ”
“อย่าว่าแต่จะมีโอกาสทิ้งขว้างเลยฮะ แค่จีบให้ติดยังไม่รู้จะไหวหรือเปล่า เขา…มีบางอย่างที่เข้าถึงยาก สิ่งที่เขาเลือกเหมือนจะไม่มีอยู่ในผมหรือใครทั้งนั้น พ่อเคยได้ยินว่าเขามีแฟนไหมล่ะฮะ?”
“ก็…เห็นเด็กใกล้บ้านติดพันสนิทสนมกันแต่เล็กนี่นะ ที่ชื่อ…อะไรล่ะ ลืมแล้ว”
เสียวหัวใจปลาบ รู้ทั้งรู้ว่าอาจได้ยินอะไรอย่างนี้ยังดันถามออกไปอีก เกาทัณฑ์แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปทางการเมืองหน้าตาเฉย ไม่แวะเวียนมาใกล้เรื่องราวในบ้านปู่ชนะอีกเลย
เป็นครู่จึงขอวางสาย และยืนยันว่าพรุ่งนี้จะไปทานข้าวมื้อเช้าด้วย ล่ำลาเรียบร้อยจึงวางโทรศัพท์ลง กลับมานั่งถอนใจตามลำพัง นึกถึงแต่ชื่อแพตรีวนไปเวียนมา กระแสใจไหลวนเข้าไปรวมอยู่กับมโนภาพความเป็นหล่อน แต่พอนึกถึงไอ้หนุ่มที่มากดออด ก็หงุดหงิดหัวใจขึ้นมารำไร คำพูดของพ่อยืนยันว่าสายตาคนภายนอกเห็นแพตรีกับหมอนั่นเป็นแฟนกัน เพราะคบหาสนิทสนมมาแต่เล็ก เหลือเชื่อเลยว่าเป็นไปได้ แค่ความสวยหวานที่เป็นผิวนอกของหล่อนก็เพียงพอที่จะดึงดูดลูกชายอาเสี่ยร้อยล้านพันล้านมาติดพัน ชนิดยินดีรับบัญชา พร้อมจะเอาเบนซ์สปอร์ตพุ่งปร๊าดมารับไปจ่ายตลาดหน้าปากซอยทันใจ ขอเพียงหล่อนโทร.ไปเรียก นี่ตลกอย่างไร แพตรีถึงเลือกเอาแค่นี้?
เขาเองออกจะพร้อมไปทุกสิ่ง สายตาของผู้หญิงที่ผ่านมายืนยันให้เชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างล้นเหลือ แต่กำลังคุยกับหล่อนแท้ๆ พอหนุ่มรุ่นน้องมาเรียกทีเดียวถึงกับกระวีกระวาดลุกไปเปิดประตู ลืมสนิทว่ากำลังคุยกับเขาอยู่ก่อนหน้า
คนเคยเป็นหนึ่ง เป็นตัวเลือกแรกมาตลอดอย่างเขาน่ะหรือ ด้อยกว่าเจ้านั่น?? หน้าตาท่าทางเหมือนขอมดำดินอย่างนั้น เกาทัณฑ์เชื่อว่าแม้แต่ผู้หญิงที่เขาทิ้งได้ในคืนเดียวยังเมินเลย
เอาก็เอาซี มันต้องมีครั้งแรกเสมอ เกิดมาเคยแต่ชกกับรุ่นใหญ่ ถ้าต้องลดชั้นลงไปฟัดกับมวยวัดมั่ง ก็ทำใจคิดเสียว่ายอมเปื้อนเพื่อควานหยิบเพชรซึ่งเผอิญหล่นไปอยู่ในตมแล้วกัน
เล่ห์รักมีออกเต็มกระเป๋าจะไปกลัวอะไร ถ้าเล่ห์รักหมดกระเป๋าก็งัดกล งัดลูกไม้มาต่อ และถ้าลูกไม้ไม่ได้ผล...เขากำลังสั่งสมพลังจิตให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ จะแปลกอะไรที่ขั้นสุดท้ายจะทุ่มด้วยมนตร์คาถาเพื่อเอาหล่อนมาเป็นของเขา
คิดชั่วได้ดังนั้นก็ชักกระฉับกระเฉง นึกขึ้นมาว่าน่าจะได้เวลาฝึกหัดภาวนาสมาธิเสียที
เข้าห้องน้ำชะล้างคราบไคลและกลิ่นคลอรีนจากสระ เพียงสิบนาทีให้หลัง เกาทัณฑ์ก็มานั่งเข้าที่ ขัดสมาธิคู้บัลลังก์กลางห้อง ตัวตรงไม่เกร็ง มือขวาทับมือซ้าย ขาขวาซ้อนขาซ้าย เลิกคิด เลิกพะวงเรื่องอื่นใดทั้งหมด
สำรวจตลอดองค์ร่างที่นั่งคู้บัลลังก์อยู่ ดูว่ามีส่วนใดเครียดหรือเกร็งบ้าง ก็พบว่าส่วนหลังและน่องซ้ายเกร็งๆอยู่เล็กน้อย จึงทำตามสูตร คือสั่งกายให้ละลายความเกร็งทั้งหมดนั้นลง กล้ามเนื้อทุกส่วนจึงวางอยู่บนรูปนั่งที่ผ่อนคลายไม่ไหวติง มีศูนย์และสมดุลที่เหมาะแก่การคงสติระลึกรู้อารมณ์สมาธิ
กายที่สบายนั้นเองปรุงให้ใจสบายตาม กายที่ตั้งตรงนั้นเองค้ำสติให้ดำรงมั่น
อากาศเย็นพอเหมาะและความเงียบรอบด้านช่วยได้มาก ชายหนุ่มกำหนดสติเข้ามาที่กายนั่ง ทราบจังหวะความต้องการดึงลมหายใจเข้าตามจริง ก็อัดลมเข้าเต็มปอด แล้วผ่อนระบายออกพร้อมกับเริ่มกำกับสติรู้ว่าหายใจออก เมื่อรู้จนสุดลมก็กำหนดสติอยู่กับกาย เมื่อกายต้องการลมเข้า ก็ลากลมด้วยสติรู้ว่ากำลังหายใจเข้า กับทั้งทราบชัดว่ายาวหรือสั้นด้วย
ทำไปทำมาเข้าออกเพียงสองสามครั้งอย่างถูกต้อง ทุกอย่างก็เหมือนเข้าที่อัตโนมัติ เมื่อกายกับใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน ใจทำหน้าที่เพียงมีสติจ่อกับกาย ทราบความต้องการของกายอย่างตรงจังหวะ ว่าเมื่อไหร่ควรคายลมออก เมื่อไหร่จะควรดึงลมเข้า ไม่เร่งร้อนตามอำเภอใจ นานไปลมหายใจก็ปรากฏเป็นสายเดียว จิตแยกไปตั้งมั่นเป็นฝ่ายรู้ เรียบง่ายตรงไปตรงมา ส่งผลให้กายนิ่ง ไม่ไหวติงส่วนอื่นใดนอกเหนือทางเดินลม
พอกายกับใจปรับตัวเข้าสู่ภาวะละเอียดขึ้น จิตก็เห็นนิมิตสายลมหายใจนิ่มนวลและเหยียดยาวเหมือนสายน้ำตก ความรู้สึกแผ่ออกสบายไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งให้อึดอัด เมื่อจิตดิ่งลงสู่ความเงียบนิ่ง เมื่อนั้นเสียงความคิดในคลื่นสมองก็เงียบตามไปด้วย มโนภาพและหน้าตาของผู้ทำสมาธิหายไป สายลมหายใจเป็นเสมือนแท่งแม่เหล็กดึงดูดกระแสจิตให้เข้ามาผนึกตัวรวมกัน ยิ่งรู้ชัดในสายลมหายใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแน่วนึกแนบนิ่งเป็นหนึ่งเดียว มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เกาทัณฑ์เริ่มตื่นพร้อมเต็มที่ จิตจับลมถนัดอย่างนี้เป็นที่น่าสนุกดีนัก อาการนึกก็เกิดแล้ว อาการเข้าคลุกวงในก็เกิดแล้ว ความสงบเย็นแบบที่เรียก ‘ปัสสัทธิ’ ก็เกิดแล้ว ลักษณะกระแสจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่สภาพล็อกนิ่งรวมดวงชั่วขณะ บอกตนเองว่านั่นเองคือขณิกสมาธิหรือสมาธิชั่วคราวเต็มบริบูรณ์
ที่ว่าชั่วคราวเพราะรวมเดี๋ยวหนึ่ง ก็คลายออกอย่างไม่อาจรั้ง กับทั้งยังไม่เกิดปีติชนิดที่ให้ผลเป็นความสุขเอิบอาบซาบซ่าน
อย่างไรก็ตาม เมื่อใดกระแสจิตดึงดูดเข้ารวมที่ศูนย์กลางคือสายลมหายใจ ก็เหมือนทั้งร่างผนึกติดแน่นเป็นอันเดียวกันทุกส่วน ทำให้รู้ตลอดองค์ร่างได้ทั่วพร้อม จิตเหมือนมีกำลังในภายใน กำหนดจี้ลงจับอารมณ์ได้สนิท เช่นเดียวกับรู้จักใช้มือจับราวโหนให้แน่น
เกาทัณฑ์สำเหนียกถึงขุมพลังที่ซ่อนอยู่มหาศาลในกายใจ บอกตนเองว่าเขาพร้อมจะกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้อีกและอีก ในเมื่อมองเห็นทางสมาธิชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีอะไรมาก ไม่ยุ่งยากอย่างที่คนส่วนใหญ่ท้อกัน ขอเพียงนั่งให้ถูก ตั้งจิตให้สบาย ทราบความต้องการของกายตามจริง ลมหายใจออกก็รู้ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจหยุดก็รู้ ถ้าฟุ้งซ่านขึ้นมาก็เท่าทัน แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ เบนความสนใจกลับมาอยู่กับขั้นตอนระลึกลมตามแนวอานาปานสติ
นานไปเกาทัณฑ์ยิ่งกำหนดรู้ได้ถึงความแช่มชื่นเมื่อนำลมบริสุทธิ์เข้าร่าง และกำหนดรู้ถึงความผ่อนกายสบายใจเมื่อกลุ่มลมที่อัดอยู่ในอกถูกระบายออก ชักเกิดความสุขเย็นแปลกๆ เขาสามารถจับอาการรวมนิ่งเป็นดวงสว่างน้อยๆของจิตได้แต่แรกเริ่ม และเกือบจะทันรู้ว่ามันเสียอาการทรงตัวไปเมื่อไหร่ ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นแทนเมื่อใด คล้ายเห็นหลอดไฟดับๆติดๆ ติดทีก็เกิดกำลังใจที
ครั้งหนึ่งจิตประหวัดถึงแหม่มคนสวยในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่สระน้ำ เกิดอาการดิ้นรนซัดส่ายกระหายอยากขึ้นมาวูบหนึ่ง ในบัดนั้นเองเพิ่งเกิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้รู้จักว่า 'ตัดไฟแต่ต้นลม' เป็นอย่างไร เสมือนเขาเป็นช่างตัดต่อภาพผู้ชำนาญ เมื่อเห็น 'ภาพผิด' โผล่ขึ้นมา ก็รีบเปลี่ยนไปหาภาพที่ถูกแทน คือรีบกลับมาปักสติกำหนดรู้ลมแทนมโนภาพบาดจิต คลื่นกามปั่นป่วนก็พลันสงบรำงับลงทันใด
ความดิ้นรนอันทนได้ยากนั้น หากยังไม่ลุกลามเกาะกินแก่นกายแน่นหนาเกินแก้แล้ว จะคล้ายลมแผ่วที่ฤทธิ์น้อยจนไม่อาจกระชากสติให้หลุดจากราวยึดได้ไหว แต่ถ้าปล่อยปละละเลย สติวิ่งไล่กวดภาพเก่าที่เร้าใจในหัวไม่ทัน ปล่อยให้เกิดปฏิกิริยาสนองตอบทางกายเต็มที่แล้ว ก็เหมือนนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมาก อาจกดคนกำลังอ่อนให้จมน้ำมิดหัวได้ง่ายดาย
ขยายหน้าท้องออกอย่างใจเย็นและมีมานะ เห็นสายลมหายใจออกและเข้า ตั้งสติรู้ไม่ลดละ เมื่อเกิดความคิดนอกลู่นอกทางอีก ก็หันเหความสนใจกลับมาเพ่งลมหายใจอีกและอีก
ด้วยความมีไฟอันโชติแรง บวกกับการปฏิบัติที่ถูกวิธี จึงไม่ทำให้เกาทัณฑ์ง่วงงุนหรือหลงสติ ภาวะจิตทรงตัวดีขึ้นเรื่อยๆจนกายกับจิตผสานกันถูกส่วนถึงที่สุด ณ จุดนั้นเขาเกิดความเข้าใจว่าจะคุมจิตให้เปิดโล่งแผ่ออกเป็นวงกว้างได้อย่างไร ฉับพลันก็บังเกิดความสว่างไสว เบาตัวและเกิดผัสสะกระจะกระจ่าง แช่มชัดละเอียดอ่อนผิดไปจากธรรมดา ลิ้มรสปีติสุขแปลกใหม่ที่เยือกเย็นปราณีตแตกต่างจากสุขอื่นที่เคยรู้จักมาก่อนทั้งหมด
บอกตัวเองทันทีว่านี่คือภาวะการรวมตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของจิต เกาทัณฑ์ค่อนข้างจะตื่นเต้น แล้วก็ต้องพบกับความเสียดายที่ไม่มีความสามารถจะประคองภาวะนั้นให้เนิ่นนานออกไป ความสว่างโรยลง และเขาก็ไม่สามารถผสานการนึกเข้ากับสายลมหายใจต่อไปได้ เสมือนแม่เหล็กเสื่อมแรงดึงดูดลงทีละน้อยจนหมดสภาพ
เอ...นี่เองกระมังเรียกว่าอุปจารสมาธิ ทั้งสุกสว่าง ทั้งปีติสุขในรสวิเวกดื่มด่ำล้ำคำบรรยาย แต่คงเป็นอุปจารสมาธิอย่างอ่อน เพราะวูบมาเพียงนาทีเดียวก็เหี่ยวเฉาโรยราลงเสียแล้ว
โยคาวจรหนุ่มพยายามตั้งสติให้มั่นคง สำรวจความพร้อมของร่างกายก็พบว่ายังอยู่ในสภาพที่มีกำลังใช้งานได้ นึกถึงภาวะนิ่งปราณีตด้วยความหวนคิดอยากกลับไปมีความสุขเช่นนั้นอีก คิดอยู่แต่ว่าจะเข้าถึงภาวะนั้นอีกให้จงได้ จึงมีกำลังใจขึ้น ตามรู้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้านับครั้งไม่ถ้วน บังคับตนเองไม่ให้คลาดสติสักครั้ง แต่น่าเจ็บใจที่ยิ่งนานจิตยิ่งมืด นอกจากไม่รวมเป็นสมาธิสว่างเย็นแล้ว ยังเกิดความฟุ้งซ่านกระวนกระวาย ทุรนทุรายจนต้องเปิดตาขึ้นในที่สุด
ด้วยโครงสร้างทางจิตใจที่เต็มไปด้วยความพิเคราะห์ แทนที่จะล้มตัวลงนอนแผ่หราอย่างคนทั่วไป เกาทัณฑ์กลับครุ่นคิดและถึงบางอ้อภายในพริบตาเดียว ว่าเขาไม่สามารถเร่งรัดตัวเองให้เข้าสู่สภาวะสมาธิได้เลยถ้าขาดเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง ถึงจะเคยรู้จักสภาวะสมาธิมาแล้วก็เปล่าประโยชน์ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวิถีทางอย่างมีลำดับ เขาก้าวเข้าไปถึงเส้นชัยโดยเริ่มจากหนึ่ง สอง สามมิใช่กระโดดพรวดเดียวถึงเส้นชัย หากจะไปให้ถึงเส้นชัยอีกครั้ง ก็ต้องย้อนกลับมาเริ่มจากหนึ่งใหม่
ชายหนุ่มมีจิตใจที่เยือกเย็นลงในบัดดล ด้วยไหวทันแล้วว่าความเร่งร้อนนั่นเองเป็นอุปสรรคใหญ่ เขาจะเริ่มทุกขั้นตอนใหม่หมดด้วยกำลังสติและกำลังปัญญาที่ไม่เจือด้วยความโลภทั้งมวล
ลุกขึ้นเดินไปเดินมาเพื่อบรรเทาความเมื่อยขบและเหน็บชาที่กัดกินไปทั้งขา แรกๆถึงกับต้องโขยกเขยก เดาด้วยปัญญาในขณะนั้นว่าอย่างนี้เองพระสงฆ์องค์เจ้าถึงต้องเดินจงกรม ที่แท้ก็เอาไว้แก้เมื่อยขบหลังนั่งสมาธินี่เอง
เดินจนพอหายขาแข็ง แล้วก็เลื่อนประตูกระจกเปิดออกไปยืนริมระเบียง มองมหานครพราวแสงจากตึกรามยามราตรี สำเหนียกว่าภาวะหลังสมาธิก่อความคิดนึกแปลกๆแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง เริ่มต้นที่ความเข้มข้นเกี่ยวกับตัวตน ภาวะเข้มแข็งของจิตใหญ่ทวีอัตตาให้ยิ่งยงขึ้นอย่างเหลือคณานับ ทั้งความนิ่งทรงอำนาจในตาและพลังที่ประจุแน่นในร่าง ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติความยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ชายหนุ่มมองเลยไปไกล อะไรๆดูเหมือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขาไปเสียทั้งนั้น
เงยหน้ามองดาวดวงหนึ่ง คิดถึงแพตรี…คล้ายเห็นดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาว่าเขายื่นมือไปคว้าเมื่อไหร่ก็ได้...
ความเย็นสบายของสายลมและความบางเบาในอากาศระดับสูง กล่อมเกลาให้ใจเคลิ้มลงสู่ความสงบ อยู่ๆเกาทัณฑ์ก็นึกอยากปิดตากำหนดลมหายใจในท่ายืนนั้นเอง
กระแสจิตควบเข้าหาศูนย์กลางเป็นหนึ่งเดียว เด่นดวงเหนือการปรากฏของกายและสรรพสิ่งรอบข้าง ทั้งโลกปรากฏแต่ลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก ผ่านเข้าผ่านออก ในที่สุดก็เกิดธรรมชาติการรวมจิตผนึกแน่นเป็นดวงสว่างเงียบเยือกเย็นขึ้นอีกครั้งในอิริยาบถยืนนั่นเอง
เกาทัณฑ์วางอุเบกขา ไม่ตื่นเต้นกับการรวมตัวครั้งใหม่ เฝ้าดูและประคองจิตไปเรื่อยๆ มีความโคลงเคลงกระเพื่อมไหวอยู่บ้าง แต่ความแรงของจิตอันเด่นดวงเป็นเสมือนคบเพลิงนำทาง ขจัดแมงหวี่แมงวันที่เข้ามารบกวนประปรายเสียได้โดยง่าย
เมื่อเดินกำลังมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนจะคล้อยหลับ เคลิ้มสติลง และถัดจากนั้นอีกหน่อย กายที่เหมือนหายหนไปก็เริ่มปรากฏขึ้นอีก และปรากฏชัดกว่าปกติมาก อีกทั้งเริ่มชาเห่อแปลกๆตามอวัยวะใหญ่น้อย คล้ายตัวเขาเป็นลูกโป่งที่ถูกอัดตัวขยายขึ้น ใหญ่โตผิดปกติจนชักกลัวว่าจะปริระเบิดออกไป กลายเป็นข่าวประหลาดพาดหัวหนังสือพิมพ์ในวันรุ่ง
ชายหนุ่มสะกดใจ ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นหวา ร่ำๆจะลืมตาขึ้นด้วยความปอดลอย ยังดีที่ได้สตินึกถึงคำเตือนของพระอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการเกิดปิติในรูปแบบต่างๆ เป็นต้นว่าคล้ายตัวโย้ไปมา ขนลุกน้ำตาไหล ร่างขยายขึ้นคล้ายจะคับห้อง เบาเหมือนกำลังลอยขึ้นไปเรื่อยๆ หรือเห็นภูตผีเทวดานางฟ้า ล้วนแล้วเป็นสิ่งน่าประหวั่นสำหรับผู้เริ่มต้น ให้แก้ด้วยวิธีง่ายและตรงที่สุดคือวางใจเป็นกลาง สักแต่รู้อาการนั้นๆกระทั่งจิตย้อนกลับมารู้ตัวเอง เห็นปฏิกิริยาของตนเป็นความนิ่งเฉย
ระลึกได้เช่นนั้นก็ข่มใจแบบทำใจดีสู้เสือ ดึงสติมาฝากไว้กับตัวรู้ภายใน เอาความเชื่อมั่นในพระอาจารย์เป็นหลักยึด เฝ้าดูกายเหมือนขยายขึ้นแล้วหดลงเป็นช่วงคล้ายจะแกล้งให้ใจคอตุ๊มๆต่อมๆเล่น มันไม่อยู่ในความควบคุมเอาเลย ราวกับไม่ใช่ร่างกายและจิตใจของเขาอีกแล้ว
ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นถนัดที่สุดตั้งแต่เกิดมา มันดังตุบๆๆไม่หยุด แทบเห็นหัวใจเป็นก้อนอยู่ในอกเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกอาการของกายถูกเพ่งจับ ถูกยึดติดแนบแน่นจนไม่อาจกำหนดได้ว่าจิตอันเป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้เฝ้าสังเกตนั้นอยู่ตรงไหน ต่อเมื่อค่อยๆพิจารณา ว่าอาการทางกายนั้นเป็นเพียงอารมณ์ที่ถูกรู้ ไม่ต่างกับลมหายใจ ไม่ต่างกับวัตถุต่างๆ จึงถอยมากำหนดได้ ว่าภาวะอันเป็นนามธรรม ตั้งอยู่ในอาการรู้ อาการนิ่งเป็นกลางนั่นเอง คือธรรมชาติที่เรียกว่าจิต
เมื่อเห็นจิต ก็เห็นปฏิกิริยาของจิตอย่างแจ่มชัดว่าขณะนี้คือกลัว และพอเห็นตัวความกลัวเป็นเพียงปฏิกิริยาทางจิตชนิดหนึ่ง เป็นของภายใน มิใช่เสือสิงห์ภายนอกมาขย้ำหัวแต่ไหน จิตก็เริ่มออกอาการทราบชัด ว่าความกลัวก็ส่วนหนึ่ง ตัวจิตผู้รู้ผู้ดูก็ส่วนหนึ่ง แยกจากกันได้เด็ดขาด
พอประจักษ์ธรรมเช่นนั้น จู่ๆทุกอย่างก็สงบเงียบลงเฉยๆ เหมือนหลุดผลัวะออกมาสู่แสงสว่างทั้งที่เพิ่งมีพายุฝนมืดครึ้มครืนครั่น จิตยวบตัวยุบลงมาปับหนึ่ง แล้วกายกับจิตก็มีขนาดคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งสงบอย่างยิ่ง สว่างยิ่ง เป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยมที่ชายหนุ่มต้องฉงนระคนปรีดา
ในความสว่างไสวเอกานั้น เขาเห็นสายลมหายใจใสสะอาดเหยียดยาว มันชัดเสียยิ่งกว่าชัด ขณะนั้นมีแต่ลมหายใจที่เป็นความจริง ร่างกายและความคิดกลายเป็นสิ่งเลือนราง กล่าวได้อีกอย่างว่ามีอัตตาที่อยู่สูงกว่ากายและความคิดอันเป็นจุดอ้างอิงเดิม
นั่นคือการถึงอุปจารสมาธิอีกครั้ง คราวนี้ลงมาอยู่ที่ฐานอุปจาระหนักแน่น ยืดยาว เพราะประกอบด้วยสติและกำลัง โดยปราศจากความตื่นเต้นต่อรสปีติและสุขอันเย็นแปลกเหมือนพ้นสภาวะบุคคลออกไป
การทำสมาธิภาวนาช่างเป็นกิจกรรมอันแสนสนุกเพลินใจและมีสีสันพันลึก สมาธิไม่ใช่สิ่งจืดชืดไร้รสอย่างที่เขาเคยประมาณเอาจากการเห็นคนนั่งเฉยเมยเป็นแท่งหิน อาการไม่ไหวติงภายนอกที่แท้มีความเคลื่อนไหวและการรู้เห็นอันโอฬารภายในอย่างนี้เอง
เพลินสุขได้เพียงช่วงลมหายใจร้อยกว่าครั้ง กำลังก็ถดถอย เขาสังเกตรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความเสื่อมถอย เพราะใจจดอยู่แล้ว มันเริ่มด้วยความคลายจากอาการดึงดูดเหมือนแม่เหล็กอ่อนแรง จิตไม่ผนึกรวมเป็นดวงเด่นอีกต่อไป พยายามยับยั้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล ตามด้วยความสุขที่มอดลงกลายเป็นความชืดชาสามัญ อาการล็อกจิตติดกับลมหายใจหมดไป เห็นเป็นลมหายใจเข้าออกธรรมดา มิใช่สายน้ำตกใสสว่าง เข้าอกเข้าใจถ่องแท้ในบัดนั้นว่ากำลังจิตเป็นอย่างไร มีความหมายเพียงใด เมื่อเสื่อมไปแล้วตกกลับมาสู่สามัญภาพเช่นไร
ครั้งนี้ชักเหนื่อย ร่างกายอ่อนแรงลงมาก อยากหงายหลังลงนอน แล้วเขาก็โอนอ่อนตามใจ เดินกลับเข้าห้องแล้วเอนหลังนอนบนฟูกจริงๆ ใจยินดีปรีดากับความสำเร็จในการทำสมาธิ นี่เป็นแค่การหัดทำสมาธิจริงจังครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่กุฏิหลวงตาแขวน แต่เขาทำได้น่าพึงใจปานนี้ จึงเห่อเหิมและนึกลำพองสงสัยขึ้นมาว่าจะมีใครในโลกทำสมาธิได้ดี ได้ไวเท่าเขาหรือไม่
ว่ากันว่าบางคนเพียรทำสมาธิอยู่ในป่าในเขาตั้งสิบยี่สิบปียังเข็นให้ถึงอุปจารสมาธิไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แต่เขาลุถึงในวันเดียว!
เกาทัณฑ์มารู้ในภายหลังว่าเมื่อสองพันห้าร้อยปีล่วงแล้ว ยังมีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง นั่งขัดสมาธิรอผู้เป็นพ่ออยู่คนเดียวใต้ร่มไม้ สงบใจหลับตาตามรู้ลมหายใจโดยไม่มีใครสอน แล้วจิตก็ปฏิรูปตัวเป็นเปลวมหัศจรรย์ เพราะล่วงเข้าถึงสมาธิระดับปฐมฌาน แนบแน่นและยิ่งใหญ่กว่าสมาธิที่เขาทำได้เพราะมีคนสอนหลายเท่านัก
และเด็กคนนั้นก็คือสิทธัตถกุมาร ผู้ที่เจริญวัยต่อมาเห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ออกบำเพ็ญเพียรหาทางหลุดพ้นจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาผู้เป็นอาจารย์ของอาจารย์เขาอีกที!
บทที่ ๘ ฝันหวาน
ในความหลับใหลอย่างอิ่มเอมเปรมสุข เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนความรับรู้แผ่กว้างออกไปในอาณาเขตห้อง สว่างไสวเรืองรอง ตัวสติทั้งเหมือนมีและไม่มีครือกัน คล้ายใจรู้ตัวว่าเป็นนายเกาทัณฑ์ แต่คิดอย่างที่นายเกาทัณฑ์คิดไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้
เลือนรางเหมือนอุปาทาน ในความสว่างที่แผ่ไปนั้นส่องกระทบข้าวของต่างๆและส่งภาพกลับมาให้ใจเห็นเป็นเค้าเป็นเงา ดูคล้ายเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อจิตสว่างและแผ่พ้นกายก็ต้องเห็นรอบกายไปด้วย
แล้วก็เกิดชั่วขณะแห่งการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาด คล้ายตกไปอยู่ในห้วงภวังค์ครู่ใหญ่ จากนั้นกลับมารู้สึกตัวว่าตนมีร่างเหยียดนอน แล้วเหมือนเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็วจากนอนกลายเป็นเดิน
เคยเต็มตื่นอย่างไรก็อย่างนั้น เกาทัณฑ์เห็นตนเองก้าวเข้าไปในเขตบ้านของปู่ชนะ และด้วยตาเปล่าที่มองทุกสิ่งได้ชัดผิดปกติ เขาเห็นรังสีกุศลฉายแสงอยู่ทั่วไป คล้ายกับอากาศสว่างในตัวเองด้วยแสงทองงามละไมเย็นตาเย็นใจ รู้สึกเป็นสุขและปลอดภัยยิ่ง
ลมหายใจสดชื่นบริสุทธิ์ราวกับอยู่บนยอดผาสูงในเวลาเช้าตรู่ มีกลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้นานาพันธุ์กระจายตัวอย่างอ่อนโยนทั่วทุกหนทุกแห่ง บังเกิดความคิดขึ้นมาในบัดดลว่าปู่ชนะกับแพตรีมีบุญมากจริงๆ ที่อยู่อาศัยจึงเอิบอาบไปด้วยสันติสุขควรพิสมัยปานนี้ น่าปลาบปลื้มชื่นชมด้วยเหลือเกิน
ในเขตอันชะโลมไปด้วยความฉ่ำชื่นอย่างบอกไม่ถูกนั้นทำให้เขาเปิดยิ้ม เป็นยิ้มอิ่มใจที่เป็นไปเองโดยปราศจากเจตนาช่วย
เดินอ้อมไม้ใหญ่หน้าบ้าน บ้านปู่ดูกว้างโล่งกว่าเคย เรียงรายด้วยบุปผชาติอันทรงชีวิตชีวาเหลือคณานับ ในชั่วเวลานั้นเกาทัณฑ์เกิดความเข้าอกเข้าใจว่าดอกไม้ส่งยิ้มให้คนได้อย่างไร พวกมันยิ้มได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่น เพียงแต่มิได้ใช้ปากเหมือนอย่างคน ทว่าใช้ความมีชีวิตชีวาทั้งหมดนั่นแหละยิ้ม
ด้วยนิสัยช่างหาเหตุผลประจำตัว เกาทัณฑ์คิดๆแล้วก็บอกตนเองว่าเพียงสัมผัสถึงความมีชีวิตของต้นไม้ กระแสใจที่เข้าถึงจะทำให้เกิดภาวะเห็นที่แตกต่างไป เราจะรู้ได้ว่ามันกำลังแย้มยิ้มหรืออับเฉา ปกติเราไม่รับรู้สุขทุกข์ของต้นไม้เพราะไม่ใส่ใจ ไม่สัมผัสเข้าถึงความมีชีวิตของมัน คนจึงเห็นต้นไม้เป็นวัตถุธรรมดาเช่นเดียวกับอิฐปูน ภาวะการเห็นจึงไม่ผิดไม่ต่างไปจากภาวะการเห็นสิ่งไร้ชีวิต ต่อเมื่อสำเหนียกกำหนดถึงความมีชีวิต จึงจะมีคลื่นความรู้บวกเข้าไปในคลองสายตาได้
บัดนี้เขาเห็นความมีชีวิตของบรรดาพฤกษ์พันธุ์อย่างชัดเจนเหลือเกิน ไม่ว่าจะนิ่งหรือไหวไกวตามสายลมผ่าน ทั้งหมดล้วนเป็นกิริยาของสิ่งมีชีวิตชัดตาชัดใจราวกับถูกขยายด้วยแว่นวิเศษไร้ตน เหมือนพวกมันจะพูดทักทายยินดีต้อนรับเขาได้ฉะนั้น
ขณะเพลินกับมิติใหม่แห่งสัมผัสภายในนั่นเอง ก็เผอิญเหลือบแลไปเห็นสาวน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่บนชิงช้ากลางลานหญ้าขจีนุ่ม ชายหนุ่มหันขวับไปมองตรงๆ หล่อนอยู่ในชุดขาวสะอาดและมองจับมาทางเขาอยู่ก่อนด้วยนิลเนตรทอดสงบ
เกาทัณฑ์ยิ้มกว้างขึ้น ผู้หญิงคนนั้นมีความงดงามที่ก่อความรู้สึกแสนดีได้ล้นใจ ดีจนแทบไม่อาจเห็นด้วยซ้ำว่าเป็นเพียงอิตถีเพศ ราวกับหล่อนมีภาวะที่ดูเกินความเป็นอิสตรีไปอย่างยากจะอธิบาย
เดินเข้าไปหาหล่อน เหมือนคนกันเอง อยู่บ้านเดียวกันมานมนาน ถึงจะห่างกันไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็กลับมาอยู่ด้วยกันได้ด้วยบรรยากาศความสนิทแน่นแฟ้นดังเดิม
"แพนั่งอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ?"
ได้ยินตนเองกล่าวทักออกไปเช่นนั้น เขาเห็นหล่อนพยักหน้ายิ้มให้ เป็นยิ้มละไมที่แฝงความเศร้าอย่างน่าประหลาดชวนใจหาย
"แพรอพี่เต้อยู่นานแล้ว"
กระแสเสียงนุ่มเย็นนั้นเป็นเสมือนไฟฟ้าแรงสูงที่ทำเอาเขาชาดิกไปทั้งร่าง หล่อนเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก แถมด้วยความในใจที่เกินเชื่อว่าจะเป็นจริง นั่นแลกได้กับรางวัลมีค่าที่สุดเท่าที่เขาเคยรับมาชั่วชีวิตทีเดียว
"รอพี่..." เขาชักเงอะงะ เพราะตื้นตันจนพูดอะไรไม่ถูก "พี่อยู่ตรงนี้แล้ว จะช่วยอะไรแพได้บ้างล่ะ?"
สายลมหอบหนึ่งรำเพยผ่าน ปอยผมบนหน้าผากของหล่อนไหวตัวน้อยๆ ดวงตาคู่งามเหมือนจะส่งแสงพ้อมายังเขา เกาทัณฑ์รู้สึกผิดและอบอุ่นยินดีปนเปกันอย่างยากจะแยก
"แพเหงากับการรอจนกลายเป็นสุขที่ได้เลิกรอแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องช่วยแล้ว..."
บรรยากาศทั่วบริเวณกลายตัวจากความอบอุ่นเป็นวังเวงไปในทันที เกาทัณฑ์เกิดความเวทนาหล่อนอย่างจับใจ
"พี่จะอยู่เป็นเพื่อน"
ชายหนุ่มลดตัวลงนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง วางมือลงบนตักหญิงสาวอย่างปลอบประโลม สายตาที่ส่งไปยังหล่อนเปี่ยมไปด้วยความเห็นใจอย่างลึกซึ้ง เขายิ้มอย่างชาย รู้สึกถึงไหล่ที่ตั้งผงาดและพลังความเข้มแข็งในตัว บอกตนเองว่าพร้อมจะปกป้องหล่อนจากทุกสิ่ง
แพตรีทอดตาลงมอง เกาทัณฑ์สัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อถือในตาคู่นั้น
"ทำไมถึงไม่เชื่อพี่ล่ะ?"
เขาถามออกมาตรงใจ ที่นั่นเขากับหล่อนสามารถคุยกันได้โดยไร้ม่านอันใดปิดบัง แพตรีขยับหน้าตักและผลักมือเขาออกโดยละม่อม
"พี่มองเห็นแต่ความสวยของผู้หญิง ไม่เคยเห็นตัวของแพหรอก วันที่แพไม่สวย พี่ก็จะมองผ่านแพไป อย่าว่าแต่คิดอยู่เป็นเพื่อนเลย"
เกาทัณฑ์ส่ายหน้า
"วิธีคิด วิธีพูดของแพนี่หลับตาก็รู้ได้ว่าสวย แต่แพคงกำลังพูดถึงความสวยที่ต้องลืมตาเสียก่อนถึงจะเห็น ถ้าอย่างนั้นพี่เห็นวิธีที่แพยิ้ม วิธีที่แพใช้สายตามองคนอื่น นั่นก็พอแล้วกับการผูกใจให้อยู่นิ่ง ถ้านิสัยใจคอยังเป็นอยู่อย่างนี้ จะมีวันไหนที่แพไร้ความสวยให้พี่มองผ่านได้?”
แพตรีนิ่งไป เขาน่าจะได้เห็นหล่อนโอนอ่อน แต่ก็ไม่ใช่
"คำพูดของพี่ลบความจำแพไม่ได้เสียด้วยสิคะ ในวันที่แพดูต่ำต้อย พี่มองผ่านแพไปเหมือนไม่มีแพอยู่ในทางตา ทั้งที่...นานมาแล้ว เราเคยอธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันว่าจะรักและจดจำกันไปทุกภพทุกชาติ"
ชายหนุ่มเย็นวูบไปตลอดสันหลัง ขนลุกเกรียวตั้งแต่หนังศีรษะแล่นลงไปจนถึงฝ่าเท้า ณ บัดนั้นเขาพบบางสิ่งที่ขาดหายไป บางสิ่งที่เคยถวิลหา ทว่าตลอดมาไม่รู้ว่าคืออะไร
"พี่..." เกาทัณฑ์นึกหาคำแก้ตัวไม่ทัน "ตอนที่เรายังเด็กอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นพี่ค่อนข้างจะ...ไม่ชอบมองคน"
"ค่ะ ถ้าคนไม่สวยจะไม่ชอบมองเลย"
เป็นคำตัดพ้อที่ทำให้เกาทัณฑ์สะอึกอึ้ง กระแอมทีหนึ่งอย่างเกือบจนปัญญา ทำไมถึงเค้นหาคำพูดยากนัก สมองว่างวายราวกับกำลังอยู่ในฝัน…นี่เขากำลังฝันไปหรือเปล่า? ถ้าเป็นฝันทำไมสาวน้อยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าถึงดูมีชีวิตจิตใจ คิดอ่านโต้ตอบได้ปานนั้น?
หลังจากเพียรสรรถ้อยอยู่นานก็นึกออกจนได้ว่าควรจะพูดอะไร คำแก้ตัวพรั่งพรูออกจากปากอย่างรวดเร็วราวกับน้ำไหล
"ในความเป็นเด็ก เรารู้จักแต่สิ่งกระตุ้นความสนใจที่เด่นชัด แต่เมื่อโตขึ้น เราก็จะรู้จักสำรวจคุณค่าของสิ่งต่างๆ แยกแยะได้ออกว่าหลายสิ่งในโลกนี้ไม่ควรมองผ่าน และถ้าได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมองผ่านสิ่งมีค่ามาแล้วด้วยความโง่เขลา ทั้งหมดที่ทำได้ก็คือสำนึกเสียใจและอยากพูดว่า...พี่ขอโทษ"
ถ้อยสุดท้ายนั้นหนักแน่นด้วยสำนึกอย่างชาย ทว่าแฝงกระแสความอ่อนโยนจริงใจจนทำให้แววหมางในตาสวยจางลง
"พี่พูดเก่งนะคะ" หล่อนลุกขึ้นยืน "แต่คนไม่จริงใจเท่านั้นแหละที่พูดเก่ง"
เกาทัณฑ์ลุกขึ้นยืนตาม
"ถ้าไม่ให้พูดพี่ก็จะแทนด้วยการทำให้แพเห็น…พี่จะจริงใจกับแพ"
หญิงสาวช้อนตาขึ้นสบ นัยน์ตาเงางามทอแสงเข้มกว่าเมื่อครู่
“อย่าเลยค่ะ แพเห็นอนิจจังแล้ว ต่อให้เคยครองกัน อธิษฐานร่วมกัน ซื่อสัตย์ต่อกันจนนาทีสุดท้าย เมื่อถึงเวลาก็ต้องลืม ต้องพรากจาก ต้องกลายเป็นคนแปลกหน้ากัน…แพลาพี่ไปตามทางดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอให้จำแล้วลืมกันอีก”
แม้ฟังไม่เข้าใจกระจ่างนัก เกาทัณฑ์ก็ใจหายจนเผลอยึดข้อมือหล่อนไว้
“แพพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ? ถ้าทำผิดเพราะเจตนา พี่จะชดใช้ให้จนกว่าแพจะพอใจ แต่ถ้าหากเกินวิสัยที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะรู้ ก็ขอให้บอกดีๆ อย่าเก็บงำแล้วตัดบทอย่างไม่ให้โอกาสกัน”
หญิงสาวดึงข้อมือออกจากการกุมของเขา
“ของแบบนี้ถ้าไม่รู้เองก็อย่ารู้จากคนอื่นเลยค่ะ”
เกาทัณฑ์ถอนใจเฮือกก่อนหัวเราะอย่างอัดอั้น
“แพเป็นเสียอย่างนี้”
“ค่ะ…เป็นอย่างนี้แหละ”
แล้วหล่อนก็หันหลัง ท่าทางกำลังจะเดินจากไปเฉยๆ
“เดี๋ยวซี่แพ…”
ชักงงเมื่อรู้สึกว่าเท้าชา มือชาอย่างรวดเร็ว และไล่ลามไปถึงประสาทรับรู้ส่วนกลาง เหลือเพียงสายตาที่ยังเห็นภาพตรงหน้า แพตรีกำลังเดินห่างออกไป หล่อนจะรู้หรือเปล่าว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา
“แพ…”
เหมือนมีนุ่นยัดลงไปในคอ จะอ้าปากก็อึดอัด ยิ่งฝืนก็ยิ่งเลือน จนกระทั่งที่สุดเห็นหล่อนเหลียวกลับมา ซึ่งก็คงหันตามเสียงเรียกสุดท้ายของเขา เกาทัณฑ์เห็นแววหมางเมินเหินห่าง รู้สึกทรมานกับภาพชนิดนั้น หล่อนกำลังตั้งใจเดินจากเขาไป…
ภาพฝันจางลง แต่ยังทิ้งร่องรอยไว้กับความรู้สึกชัดลึกเสมือนจริง เหมือนจะขาดใจเมื่อพบว่าภาพร่างไกลๆของแพตรีคืออากาศธาตุ และจะเป็นอากาศธาตุไปชั่วนิรันดร์ เกาทัณฑ์ลืมตาตื่นขึ้นด้วยกิริยายกมือคว้าอากาศตรงหน้า ใจเต้นด้วยความเสียใจรุนแรง
ช่างเป็นฝันที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยรายละเอียดแจ่มชัดอะไรปานนั้น ทั้งสว่างหวานตรึงใจ และทั้งเศร้าสร้อยกัดลึกปนกันจนหยุดความคิดทุกชนิดลงพักใหญ่ เกาทัณฑ์นอนตาค้างก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งนิ่ง บอกตนเองด้วยใจชื้นว่าในโลกแห่งความจริง หล่อนยังอยู่ ยังรอให้เขาใช้ความพยายามไขว่คว้ามา
นาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม เขาเห็นแค่นั้น แล้วเหมือนมีแรงผลัก มันไม่ใช่ตัวเขาเองเลยที่ลุกขึ้นคว้ากุญแจรถ เปิดปิดประตูห้องปึงปังลงไปยังลานจอดรถ นำพาหนะคู่กายโลดแล่นออกสู่ถนนสีชมพูอันวายรถอย่างเป็นใจให้กดเท้าเหยียบคันเร่งลึก ทะยานตัวด้วยประสิทธิภาพเครื่องยนต์กำลังสูง พุ่งปราดไปจนภาพถนนและไฟท้ายรถข้างหน้าถูกดูดเข้ามาฮวบฮาบภาพแล้วภาพเล่า รถวิ่งเร็วราวกับลูกปืน แต่ก็ไม่ด่วนเท่าทันใจเขาในยามนี้เลย
ดับเครื่องแต่ไกล ปล่อยให้รถคลานด้วยแรงเฉื่อยมาจอดเทียบหน้าบ้านกลางซอยอย่างแช่มช้า สติค่อยกลับมาเป็นตัวของตัวเองเหมือนกายเพิ่งตามใจทัน
เกาทัณฑ์มาบ้านนี้จนมีโอกาสสังเกตรู้ว่าห้องของแพตรีคือส่วนใด ไฟห้องหล่อนสว่างเรือง แสดงว่ายังไม่หลับ เป็นอันแน่ล่ะว่าเมื่อครู่เขาฝันละเมอเพ้อพกไปคนเดียว หล่อนอาจจะกำลังอ่านตำราเรียน หรือหนังสือเกี่ยวกับต้นไม้ที่หล่อนรัก หรือนั่งทำสมาธิภาวนาอย่างสุขสบายเอกา เขาอยากรู้แต่คงรู้ไม่ได้ มีสิทธิ์อย่างมากแค่เห็นแสงไฟห้องเปิด กับรับทราบว่าหล่อนอยู่ในนั้น
นั่งกอดอกยิ้มมองหน้าต่างห้องของหญิงสาวด้วยแรงประทับล้ำลึก เคยเห็นเพื่อนทำอย่างนี้แล้วขำ แต่ตอนนี้เข้าใจเลย มันไม่ใช่หน้าต่างหรอกที่ทำให้เขายิ้ม ความรู้สึกว่าใกล้หล่อนแค่นี้ต่างหากที่ก่อสุข คิดอยากนั่งมองไปเรื่อยๆจนกว่าใจจะพอ
ได้หล่อนมากอดคงดีกว่าฝัน…
ทั้งซอยปราศจากการสัญจร ในความเงียบของยามดึกมีแต่เสียงจักจั่นเรไรจากพงหญ้า ยามนี้ช่างฟังเพราะและขับกล่อมให้ใจสงบ เป็นครั้งแรกที่เขาเงี่ยหูฟังอย่างดื่มด่ำ แสงไฟจากห้องหล่อนดูสวยหลอกตาน่าเพลินหลงเสียยิ่งกว่าคมเสี้ยวจันทร์สีเงินยวงเบื้องบน
ใจที่ฝันเพ้อทำให้โลกเปลี่ยนไปได้อย่างนี้เอง
เกือบตีหนึ่งแสงไฟจึงปิดมืด หล่อนคงเข้านอนแล้ว เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาขณะหนึ่ง เหมือนตอนนั้นเขาคอยเฝ้าระวังภัยให้ และแน่ใจว่าจะไม่มีใครผ่านเขาเข้าไปหาหล่อนได้เลย
หลับตานิ่งเป็นครู่ ก่อนลงจากรถโดยตั้งใจจะเข็นไปสตาร์ทไกลๆไม่ส่งเสียงให้แพตรีได้ยิน เพราะใจนึกเกรงไปเองว่าหล่อนคงจำเสียงเครื่องรถเขาได้และอาจชะโงกมองลงมา กลัวเดารู้ว่าเขามาด้อมๆมองๆเหมือนกระต่ายแหงนคอมองกระต่ายอีกตัวบนดวงจันทร์ ขายหน้าตายชัก
แต่ขณะที่กำลังออกแรงดันหน้ารถก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินกังวานเสียงนุ่มของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ
"มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?"
ชายหนุ่มหันขวับ แพตรี! หัวใจเต้นแรงเหมือนจะวาย หล่อนมายืนชิดรั้วแค่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เป็นนานกว่าจะปรับสติและออกแรงยิ้มเจื่อนๆสำเร็จ
"อ้อ…แพ"
เอ่ยออกมาได้เท่านั้นจริงๆ หล่อนคงลงมาเดินเล่น เขาผิดเองที่นึกว่าไฟห้องปิดหมายถึงหล่อนเข้านอน
"รถเสียหรือคะ?"
เป็นเสียงถามตามซื่อ ชั่วขณะนั้นหล่อนอาจยังไม่แน่ใจนักว่าอะไรเป็นอะไร
"เปล่าฮะ"
วูบนั้นเกาทัณฑ์บังเกิดความกล้าเดิมๆขึ้นมา อาการตกประหม่าแบบวัยรุ่นเพิ่งเริ่มจีบสาวปลาสนาการเป็นปลิดทิ้ง
"รถเป็นปกติดี แต่พี่อยากเข็นไปสตาร์ทไกลๆ เสียงเครื่องจะได้ไม่กวนแพกับปู่"
แพตรีมองไปที่รถเขาเหมือนคิดตาม อย่างนี้แปลว่าอะไรก็ไม่ยากแล้ว ครู่หนึ่งก็กอดอกนิ่งไม่พูดจา เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาได้ เขารักทุกกิริยาของหล่อน สิ่งที่แฝงอยู่ในความนิ่งและการเคลื่อนไหวของแพตรีช่างก่อความรู้สึกแสนดีให้กับคนเห็น
"เมื่อกี้แพอ่านหนังสือหรือฮะ?"
ถามอย่างใจอยากรู้ ราวกับสนิทกันพอ หญิงสาวปรายตาสบ แสงสลัวเลือนจากไฟแรงเทียนต่ำข้างทางพอทำให้เห็นแววห่างเหินที่ส่งมาอย่างจงใจ
"ทำธุระส่วนตัวน่ะค่ะ…คุณล่ะคะ?"
เกาทัณฑ์หน้าชา เอ่ยคำต่อมาถึงกับอึกอัก
"พี่...เอ่อ ผม..."
อากาศชื้นน้ำค้างทำให้แยกแยะรับรู้ความแตกต่างระหว่างฝันกับจริง ตอนนี้ของจริง
ก็ถ้าจริงแล้วทำไมต้องกลัว…
"ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนแพเลย แค่อยากรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้แพสักพักหนึ่งเท่านั้น"
ไร้ร่องรอยเคอะเขินหรือคาดไม่ถึงใดๆในดวงตาสงบเฉย เกาทัณฑ์เจ็บแปลบเพียงนึกว่าตนอาจเป็นไอ้หนุ่มหัวใจละลายอันดับหนึ่งร้อยที่เอารถมาจอดแหงนหน้าฝันหาดาวตรงนี้
"น่าเสียดาย..." เขาพูดคล้ายอับจน "ทำไมเราไม่สนิทกันเสียตั้งแต่เด็กนะ ถ้าเคยคุยกันแล้วเห็นผมเป็นญาติ…ป่านนี้แพอาจชวนผมเข้าไปนั่งเล่นข้างในมั่ง”
แพตรีเบนหน้าไปอีกทางอย่างรู้นัย
“คุณกลับเถอะค่ะ”
เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว ห้วงฟ้ามืดดูกว้าง ลึก อลังการด้วยดวงดาวและเยือกหนาวด้วยความห่าง เขาเงยหน้ามองเบื้องบนขณะยิ้มรับคำไล่ของหล่อน
“ฮะ…” ตาจับดาวดวงหนึ่งไม่วางพลางเอ่ยเนิบแผ่ว “แถวนี้ดีจัง น่าปูเสื่อนอนมองฟ้านะ”
เว้นระยะไปครู่อย่างเตรียมตัดใจเอ่ยลาและหันหลังกลับ แต่เหมือนข้างในมันเฉื่อยและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำตามสมองสั่ง เบนสายตากลับมามองดวงหน้าที่ดูสงบละไมอยู่ในเงามืด หล่อนนิ่งมองทิศทางอื่นที่ไกลจากเขามาก
"ผมรักแพ!"
เป็นเสี้ยววินาทีที่เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าคำสารภาพหลุดจากริมฝีปากไปได้ เสียวปลาบไปตลอดทรวงอกเมื่อหลุดคำนั้นออกมา แต่ก็ดีไปอย่าง สติถูกเรียกกลับคืนมาสานต่อความเผลอไผลอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจเสี่ยงทิ้งไพ่ใบสุดท้ายทั้งที่รู้เห็นแค่ครึ่งๆกลางๆ
“รู้ว่าเราเพิ่งพูดกันแค่สองสามคำ รู้ว่าแพเห็นผมเป็นแค่นายอะไรคนหนึ่งที่มาติดหลงหน้าตา แต่ความจริงไม่ใช่ ถ้าอธิบายด้วยคำพูดที่ดีที่สุด ตรงจริงที่สุด อย่างมากก็แค่ทำให้แพหัวเราะเยาะผมน้อยลง เพราะฉะนั้นอย่าเพ้ออะไรให้เห็นผมเป็นตัวตลกให้มากจะดีกว่า ขอแค่พูดว่า…ถ้าแพจำผมได้ ก็อย่าแกล้งเมินกันอีกเลย”
หญิงสาวหันมาจ้อง หล่อนยืนเม้มปากอยู่นานมาก เกาทัณฑ์ไม่กล้าพูดต่อ เพราะลึกๆก็ไม่แน่ใจว่าตนเป็นบ้าไปคนเดียวหรือเปล่า อดทนรอดูทีท่าของแพตรีจนหล่อนกล่าวอะไรออกมาได้เอง
"ขอโทษนะคะ ดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง"
แล้วหล่อนก็หมุนตัวกลับ ทำท่าจะสาวเท้าขึ้นเรือนหนีเขา
"แพ!"
เป็นเสียงเรียกที่ประกาศิตพอใช้ หญิงสาวหยุดกึกเหมือนถูกสะกดด้วยฤทธิ์พ่อมด
"ถ้าผมละเมอเพ้อพกจนคุณคิดว่าเสียสติอยู่คนเดียวก็ช่างเถอะ เราเพิ่งรู้จัก และคุยกันแค่นับคำได้นี่นะ แต่สังหรณ์ว่าผมเกือบจะทำสิ่งมีค่าบางอย่างหายไป เพียงเพราะเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้…และความลืม เหมือนอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งเขาเป็นกัน”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงนิดหนึ่ง ขณะกำลังพูดได้มีสัญชาตญาณบางอย่างเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น เหมือนกับเป็นตัวเขาเอง ทว่าเป็นอีกภาคหนึ่งซึ่งอยู่ลึกลงไป และไม่เคยปรากฏแม้กับความรับรู้ของตนเอง
“ผมเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจคุณนะแพ ทุกครั้งที่คุณมองผม แววตาเหมือนบอกว่าคุณรู้…หรือจำอะไรที่เกินวิสัยผมจะเดา แต่เสียดายที่คุณคงไม่คิดบอกเล่าให้ผมฟังตลอดไป”
แพตรีขยับเหมือนจะเหลียวหน้ากลับมา แต่แล้วก็หยุดชะงักนิ่งเสียกลางคัน เกาทัณฑ์ยกมือเกาะซี่กรงประตู
“ผมเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีอำนาจวิเศษเหนือมนุษย์ มีแต่นิสัยอย่างหนึ่ง คือเมื่อแน่ใจว่าอะไรควรเป็นสมบัติของตัว ก็ต้องเอาคืนมาให้ได้ แม้จะเคยเผลอทำหายไปครั้งหนึ่งด้วยความรู้เท่าไม่ถึง”
หล่อนยังนิ่งอยู่กับที่ ไม่เหลียวกลับ ไม่เดินหน้าต่อ ทว่าแค่นั้นเกาทัณฑ์ก็พอใจแล้ว
ชายหนุ่มกลับขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องและขับจากไปเงียบๆ เหมือนมีตาที่สามมองเห็นได้ว่าเบื้องหลังที่เขาจากมานั้น คือร่างนิ่งของหญิงสาวซึ่งยังยืนค้างอยู่ตรงจุดเดิมอีกเนิ่นนาน…
เกาทัณฑ์ยกมือไหว้ปู่อย่างนอบน้อม ไหว้แล้วก็อดเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่กไม่ได้
"มองหาอะไร?"
ปู่ถามพลางไขกุญแจประตูให้
"หาแพครับ"
เป็นคำตอบตรงไปตรงมา ต่อไปนี้เขาจะเลิกอมพะนำเสแสร้ง...ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ปู่ชนะหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทำให้หลานชายกระอักกระอ่วนด้วยการซักถามว่าจะหาแพไปทำไม แค่เดินนำขึ้นเรือนเงียบๆเท่านั้น
"ผมเอาหนังสือมาคืนปู่"
ชายหนุ่มยื่นหนังสือพุทธธรรมและพจนานุกรมพุทธศาสน์วางไว้บนโต๊ะกลาง
"อ่านจบแล้วรึ?"
"ผมซื้อไว้เองครบชุดแล้วครับ" ฉับพลันก็เบนเรื่อง "แพไม่อยู่หรอกหรือฮะ?"
"เห็นน้องเขามาชวนไปซื้อของ"
"น้อง?"
แปลบกลางอกขึ้นมาอีกกับแค่ได้ยินคำนั้น เข้าใจแล้วว่าตอนผีดูดเลือดถูกทิ่มอกด้วยเหล็กแหลมมันปวดเสียวอย่างไร
"ชื่อมติน่ะ เด็กใกล้บ้านนี่แหละ โตมาด้วยกัน"
"สนิทกันมากไหมฮะ?"
เป็นคำถามที่แผ่วสิ้นดี
"ก็เห็นแพเขาคบอยู่คนเดียวนี่"
เกาทัณฑ์สะอึกอึ้ง เริ่มท้อขึ้นมาอีก เขากำลังจะเปิดศึกตีชิงกับเจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง ซึ่งอาจชวนหล่อนไปเที่ยว และให้หล่อนเป็นฝ่ายออกค่ารถเมล์ ช่างเป็นเรื่องเหลือฝืนเสียจริงๆ
แต่ก็ทำเป็นใจเย็น ยิ้มเหมือนพระอิฐพระปูน ชวนปู่คุยเรื่องแพตรีต่อโดยไม่เบี่ยงเบนไปทางอื่น
"ชื่อเต็มของแพคือแพตรีใช่ไหมฮะ? เข้าใจว่าปู่เป็นคนคิดตั้งให้"
ปู่พยักหน้า
"อือม์"
"ปู่ตั้งใจให้มีความหมายยังไงฮะ?"
ปู่ชนะยกชาขึ้นจิบ เกาทัณฑ์คิดว่าอีกหน่อยตอนเขาแก่และนึกถึงปู่ เขาคงจำภาพท่านยกถ้วยน้ำชาได้มากกว่าภาพอื่นหมด
"ก็ไม่มีอะไรมาก พุทธศาสนามีพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นหลักที่พึ่งทางใจ มีสุจริตสามคือกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริตเป็นหลักพึงกระทำ มีสิกขาสามคืออธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาเป็นหลักศึกษาและปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป และที่สุดมีญาณสามคือสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณเป็นปริโยสาน ฉันคิดถึงหมวดสามเหล่านี้แล้วก็รวมลงตั้งชื่อให้เขา เวลาสอนให้เขารู้ความหมายจะได้จำง่ายว่าถ้าจะไปนิพพานต้องขึ้นยานแห่งความเป็นสามใดในพุทธศาสนาบ้าง"
เกาทัณฑ์อึ้งไป ความคิดอ่านของปู่ชนะไม่ธรรมดาเลย เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแปร่งไปเล็กน้อยในเวลาต่อมา
"หมวดสามอื่นผมพอเข้าใจอยู่ แต่ญาณสามคือสัจจญาณ กิจจญาณ กับกตญาณนี่ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ?"
ผู้อาวุโสตอบทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิดทบทวน
"สัจจญาณคือญาณหยั่งรู้อริยสัจสี่ คือเท่าทันว่าอย่างนี้ทุกข์ อย่างนี้ไม่ทุกข์ ทำอย่างไรจึงทุกข์หรือไม่ทุกข์ ส่วนกิจจญาณคือญาณหยั่งรู้กิจที่ต้องทำเพื่อให้หลุดจากข่ายทุกข์ ปฏิบัติจิตเช่นไรแล้วล้างกิเลสจากสันดานได้ สุดท้ายกตญาณคือญาณหยั่งรู้ว่ากิจแต่ละอย่างได้ทำไปแล้ว ทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว ต้นเหตุทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว ทางดับทุกข์ก็ทำให้แจ้งแล้ว ที่สุดคือความดับทุกข์ได้เกิดขึ้นก็รู้แจ้งแล้ว"
เกาทัณฑ์กะพริบตา พุทธศาสน์มีความลาดลึก แจกแจงเป็นทางตรงและปริยายต่างๆได้พิสดารยิ่ง นับวันผูกพันใกล้ชิดก็เห็นมากขึ้นทุกที แค่มองจากผิวนอกทางปริยัติในคัมภีร์ที่มีแต่ตัวหนังสือ ก็จะเหมือนศาสตร์ทางโลกศาสตร์หนึ่งซึ่งต้องใช้กำลังสมองอย่างใหญ่หลวงในการแทงให้ทะลุ
ความคิดจะชวนปู่ถกเถียงหัวข้อธรรมเพื่อจับผิดแบบเด็กไม่รู้ประสาเหือดหายไปเฉยๆ เขากระแอมนิดหนึ่ง ก่อนเล่าด้วยเสียงสั่นหน่อยๆ เพราะทราบแก่ใจว่ามีเจตนาเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไรในการเริ่มเล่านั้น
"ตอนนี้ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาแขวน"
ปู่ยิ้มและรับฟังโดยไม่ขัดจังหวะ อีกทั้งปราศจากวี่แววประหลาดใจอันใดทั้งสิ้น
"เดือนหน้าผมอยากลางานสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อทุ่มเทจริงจังกับการเรียนทำสมาธิภาวนา ปัญหาของผมคือยังไม่พร้อมแม้แต่จะถือศีลหรือนุ่งขาวห่มขาว เพราะไม่แน่ใจในกิเลสตัวเอง กลัวว่าถ้าเข้าไปอยู่ในวัดแล้วจะเป็นสิ่งแปดเปื้อนแก่วัด แต่ขณะเดียวกันก็ทนปฏิบัติอยู่ในห้องพักหรือบ้านพ่อแม่ไม่ได้ด้วย เพราะต้องมีสิ่งดึงใจให้ไขว้เขวไหลมาเทมาตลอดเวลาแน่นอน ผมจึงอยากขอปู่ จะเป็นการรบกวนไหมฮะถ้าขออาศัยที่นี่สักอาทิตย์? บ้านปู่ไม่มีข้อบีบรัดให้ต้องกังวลว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเป็นความผิดความถูก แต่ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยผมออกจากเครื่องของและผู้คนแวดล้อมเดิมๆ เป็นสัปปายะเหมาะตัวที่สุดเท่าที่ผมจะนึกออกในเวลานี้"
หลานรูปหล่อร่ายยาวแต่ต้นจนจบชุดจากต้นสายถึงปลายสายแบบไม่ให้ตั้งตัว ปู่ชนะหัวเราะเล็กน้อย สายตาไม่ส่งกระทั่งแววรู้ทันออกมา
"อยู่ไหวเหรอะ ห้องหับกลายเป็นที่เก็บของ ทิ้งตู้เตียงไปหมดแล้ว"
"ผมตั้งใจว่าจะขอนอนบนแคร่ในห้องเก็บของใต้บันไดใกล้ห้องครัวนั่นแหละครับ"
เกาทัณฑ์พูดด้วยท่าทางน่าสงสารเหมือนคนไร้ที่อยู่อาศัย หมดทางเลือกแล้วอย่างสิ้นเชิงจึงบากหน้าหนีร้อนมาขอพึ่งเย็น
"อยากถ่อสังขารมาลำบากถึงนี่ก็ตามใจแก"
เป็นคำตอบตกลงที่ง่ายดายเกินคาด ชายหนุ่มตาสว่างราวกับติดนีออนเป็นแผง ไม่นึกว่าเรื่องจะง่ายขนาดนี้
"ปู่อนุญาตหรือครับ?"
"เออ!"
ชายหนุ่มระงับความดีใจแทบออกนอกหน้าอย่างยากเย็น กลัวปู่จะเอะใจเสียก่อน
"บ้านนี้มีผู้หญิง" ปู่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมากลางความลิงโลดของเขา "อยู่นี่ก็ทำอะไรให้เหมาะควรหน่อย"
"ครับ!" รีบรับปากทันควันอย่างกลัวปู่จะเปลี่ยนใจเพราะฉุกคิดได้ "ขอให้ปู่ไว้ใจ ผมอาจดูไม่ใช่คนดีนัก แต่เรื่องนี้ผมรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร"
"ไปเป็นลูกศิษย์ท่านแขวนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?"
ชายชราเบี่ยงเรื่องถามมาอีกทาง
"เมื่อวานนี้เองฮะ เผอิญเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเห็นแพกำลังจะไปทำสังฆทาน กำลังหอบถังขึ้นแท็กซี่อยู่พอดี เลยอาสาช่วยเอาขึ้นรถผมแทน แล้วก็ได้ไปพบท่าน เกิดความเลื่อมใสบางอย่าง คิดอยากเรียนฝึกสมาธิภาวนาดูบ้าง เมื่อวานเลยไปฝากตัวเป็นศิษย์ และเพราะได้อาจารย์ดี ตอนนี้ผมพบว่าตัวเองอยากจะเอาดีตามท่าน เลยคิดจริงจัง มาขอร้องปู่เรื่องสถานที่"
ปู่พยักหน้าตามเคย สงบคำตามนิสัย ทั้งคู่เงียบเสียงกันไป แพตรียังไม่มาสักที แต่ต่อให้ต้องรอถึงค่ำ เขาก็จะทู่ซี้อยู่นี่แหละ ยังไงต้องเห็นหน้าให้ได้
เกาทัณฑ์นึกว่าปู่จะแปลกใจบ้าง ซักถามอะไรเกี่ยวกับการเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวนของเขาเสียหน่อย แต่ก็เปล่า จนต้องเป็นฝ่ายเลียบเคียงเสียเอง เงียบนานๆเดี๋ยวปู่เอ่ยปากไล่เท่านั้น
"ปู่รู้จักท่านมานานหรือยังฮะ?"
"ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่วัดเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน"
"อ้อ นับว่านานเหมือนกัน แล้วก่อนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ผมยังไม่มีโอกาสถามประวัติหรือเรื่องราวของท่านเลย"
"บ้านเดิมท่านอยู่นครสวรรค์ แต่ปักหลักที่กรุงเทพฯตั้งแต่วัยรุ่น บวชที่วัดทางนฤพานเมื่ออายุได้เกือบสามสิบ ร่ำเรียนและรับใช้พระอุปัชฌาย์แค่ห้าพรรษาก็ออกเดินทางธุดงค์จากเหนือจดใต้ตลอดอายุบรรพชิต เพิ่งเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนคราวมาเยี่ยมพระอุปัชฌาย์ครั้งสุดท้าย ได้รับการขอร้องให้ช่วยสืบตำแหน่งเจ้าอาวาสแทน ท่านแขวนก็เห็นสังขารตัวเองโรยราไม่เหมาะแก่การธุดงค์แล้ว จึงรับรักษาวัดซึ่งเก่าแก่หลายชั่วอายุคนนี้เรื่อยมา"
"อือม์" เกาทัณฑ์ครางเบาๆ "พระอุปัชฌาย์ท่านมรณภาพนานหรือยังครับ?"
"วันเดียวหลังจากที่ท่านแขวนรับจะดูแลวัดให้"
ชายหนุ่มขนลุกหน่อยๆ แต่แล้วก็ทำใจสงบเฉย
"แล้วที่ท่านสละเพศฆราวาสออกบวชเป็นพระตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นนี่มีเหตุผลอะไรฮะ?"
"จริงๆท่านศึกษาพระธรรมคำสอนและมีศรัทธาปสาทะมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนร่ำเรียนจบมาทำงานทำการเหมือนหนุ่มๆทั่วไป แต่วันหนึ่งบุญพาวาสนาส่งให้ท่านไปพบกับพระดีที่วัดทางนฤพาน เห็นปฏิปทาน่าเลื่อมใส ก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตั้งใจถือบวชจริงจังหันหลังให้กับความก้าวหน้าที่รออยู่ในอาชีพการงานทั้งหมด"
ฟังแล้วเกาทัณฑ์ชักหนาวๆร้อนๆ เพราะดูวิถีทางท่านแล้วเผอิญคล้ายเขาอย่างไรพิกล บอกตนเองว่าต่อให้ศรัทธาพระอาจารย์หรือพระธรรมคำสอนมากกว่านี้อีกร้อยเท่า เขาก็คงกิเลสหนาเกินกว่าจะอุทิศตัวบวชเป็นพระภิกษุไปตลอดชีวิตอย่างหลวงตาแขวนแน่ๆ ถ้าสักสามเดือนค่อยว่าไปอย่าง
"ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมอ่านหนังสือธรรมะและปรัชญาไปหลายเล่ม บางเล่มที่น่าสนใจก็อ่านตลอด บางเล่มอ่านคร่าวๆพอให้รู้ว่าทรรศนะของคนเขียนเป็นอย่างไร ผมพบว่า..."
คำพูดตั้งประเด็นธรรมสากัจฉานั้นขาดห้วงไป เมื่อหางตาเห็นเงาร่างใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบกริบ
บทที่ ๙ ตามฝัน
แพตรีก้าวขึ้นมาบนเรือนด้วยฝีเท้าเงียบเชียบราวกับเป็นแค่เงา เกาทัณฑ์หันไปเห็นแล้วลืมหมดทุกสิ่งชั่วคราว เอาแต่จ้องมองร่างสะคราญสว่างตาในชุดขาวแน่นิ่ง
หล่อนยิ้มให้ปู่อย่างดี แต่เมื่อเหลือบตามาสบกับเขาก็ลดทั้งคุณภาพและปริมาณลง ไม่ว่าจะเป็นแววตาสวยหรือรอยยิ้มใสที่เพิ่งส่งให้ปู่หยกๆ เหมือนผ่านตามองพอให้รู้ว่าหน้าแบบนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า แล้วก็ปลีกตัวเข้าห้องของหล่อนไปเงียบๆ ไม่ได้หยุดลงพูดจากับปู่หรือเสียเวลาทักเขาแต่อย่างใด เกาทัณฑ์รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเหลียวหลังตามผู้หญิงค้างเติ่งทั้งที่เจ้าตัวลับหายไร้เงาไปแล้วเป็นนาน
เสียงกระแอมของปู่ปลุกเขาจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบหันหน้ากลับมาและปั้นยิ้ม
"อ้า..."
เกาทัณฑ์ทำท่าคิด นึกไม่ออกว่าเมื่อครู่พูดอะไรค้างไว้ หัวใจเต้นตึกๆไม่หยุด
"ผม...อ้อ...อ่านหนังสือไปแล้วหลายเล่ม"
ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่นึกออก แต่แล้วก็ตันคำพูดอีก การปรากฏตัวอันเงียบกริบของแพตรีทำให้เขาสับสนไปหมด จนท่าเข้าก็หัวเราะดังๆขัดจังหวะ ถ้าไม่ปะติดปะต่อเหตุการณ์ก็ดูเหมือนคนบ้า อยู่ไม่อยู่ก็หัวเราะออกมาเฉยๆ
แล้ววินาทีหนึ่งเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ชายหนุ่มก็สานรอยกิริยาประหลาดของตนด้วยปฏิภาณอันว่องไว
"ผมว่าหนังสือบางเล่มนี่ตลกชวนขำมากกว่าเป็นหนังสือจูงให้สนใจหรือเข้าใจธรรมะและปรัชญา นึกถึงบางประโยคที่คนเขียนแทรกความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว ยังตามมาจี้เส้นได้จนถึงเดี๋ยวนี้"
พูดเสร็จก็ทำเป็นหัวเราะออกมาอีก ภาวนาอย่าให้ปู่ขอตัวอย่าง เพราะยังคิดไม่ทันว่าจะเอาอะไรที่ชวนขำจริงๆมาสาธก
"แต่ก็มีหลายเล่มที่ดึงผมเข้าสู่บรรยากาศใหม่ๆ" คราวนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้น "บางครั้งผมวูบวาบขึ้นมา เห็นตัวเองเป็นแค่สิ่งเล็กกระจ้อยร่อยในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไพศาล หากยืนอยู่ที่ขอบจักรวาลแล้วสามารถมองเห็นสิ่งเล็กใหญ่พร้อมกันได้ทั้งหมด ก็คงเกิดความเห็นชัดแจ้งว่าชั่วอายุขัยของคนเราเป็นแค่ธุลีของธุลีที่ปรากฏปลิวขึ้นวับเดียวในห้วงเวลาและอากาศว่างไร้กำหนด หาสาระไม่ได้เลย”
"ก็ใช่ แกกับฉันเป็นเศษธุลี แต่เป็นเศษธุลีที่คิดได้ สำคัญว่าตัวเองยิ่งใหญ่ได้ รู้สึกสุขทุกข์ได้ แล้วก็กลัวตายได้ ดาวฤกษ์ที่ยิ่งใหญ่กลางจักรวาลเสียอีก คิดไม่ได้ สำคัญว่าตัวเองใหญ่ไม่ได้ สุขทุกข์ไม่ได้ กลัวตายไม่ได้"
เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง นึกในใจว่าปู่เป็นคนเข้าใจพูดและมีแง่คิดละเอียดอ่อนกับทุกมุมมอง ท่านคงใช้เวลาหลายสิบปีในชีวิตขบคิดถึงสิ่งต่างๆจนตีแตกถี่ถ้วนแล้วกระมัง ชั่วขณะนั้นเขาอยากให้ตนเองในวันหน้าได้เป็นคนแก่อย่างปู่...แก่และเต็มไปด้วยภูมิปัญญาลึกซึ้ง
"ถ้าแกปฏิบัติวิปัสสนาถึงจุดที่แม้ลืมตาก็ไม่รู้สึกว่ามีตัวตนกำลังมอง มีแต่ ‘การเห็น’ เท่านั้นที่ปรากฏกับตัวรู้ แกจะตระหนักว่าดวงตาคู่นี้เคยขังเราไว้กับความคับแคบอย่างไร เมื่อมองลงพื้น แกเห็นสิ่งที่อยู่ห่างจากสายตาแค่ไม่กี่ศอก บอกตัวเองได้ว่าแกสูงแค่ไหน
แต่เมื่อมองขึ้นฟ้า แกเห็นความว่างเวิ้งสุดตาหาตำแหน่งคำนวณระยะไม่ได้ ก็ไม่รู้จะบอกตัวเองยังไงว่าแกเล็กเตี้ยสักปานใด สายตาคู่นี้ของมนุษย์มันให้แกได้แค่มุมมองที่แคบเล็ก หากปราศจากสติปัญญาของนักคิด นักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยกันสั่งสมความรู้สืบทอดกันมา ก็คงไม่มีชาวโลกธรรมดาที่ไหนคาดคิดไปถึงว่าพ้นจากโลกนี้ไป สิ่งที่เรียก ‘ท้องฟ้า’ นั้นคือมหาจักรวาลที่กว้างและลึกจนแม้แต่แสงอาทิตย์ที่บาดตาคนบนโลกให้บอดได้ ก็กลายเป็นแค่หิ่งห้อยเพียงจุดหนึ่ง”
เกาทัณฑ์ค่อยๆผินหน้าไปมองท้องฟ้าเบื้องไกล เมื่ออาศัยอยู่บนโลก พระอาทิตย์คือไฟฉายดวงมหึมาที่ส่องให้ทุกคนมองเห็นสิ่งต่างๆทุกซอกมุม ทั้งที่พ้นโลกไปนิดเดียว พระอาทิตย์ก็แค่แสงดาวเล็กเท่าปลายเข็มเช่นจุดดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาล ต่อให้มารวมกันเป็นกระจุกนับหมื่นนับแสนล้านดวง ก็ปรากฏเป็นได้เพียงคบเพลิงดวงน้อยในถ้ำมืดกว้างใหญ่มโหฬารเท่านั้นเอง
“และดวงตาที่มนุษย์คิดว่าเป็นประตูเข้าบานใหญ่ของปัญญานั้น ก็ไร้ความสามารถกระทั่งเปิดให้แกเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เวลา’ มันไม่เคยแสดงให้แกเห็นว่าแม้สิ่งที่อยู่นิ่งตรงหน้า ก็กำลังลอยเลื่อนอยู่ในกระแสเวลา ทุกสิ่งรอบตัวที่กำลังเห็นและไม่อาจเห็น ปรากฏอยู่ได้ก็เพราะพวกมันไหลเลื่อนในมิติเวลาระนาบเดียวกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงของแก หากสิ่งใดหยุดอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา ก็แปลว่าโลกนี้จะมีอะไรมากมายที่จู่ๆหายไปอย่างปราศจากร่องรอยต่อหน้าต่อตาเรา”
ชายหนุ่มหันมามองโต๊ะตรงหน้า คิดตามด้วยฐานจิตที่มีเศษสมาธิค้างอยู่ แล้ววูบหนึ่งก็เกิดสัมผัสรู้ขึ้นมาว่าแม้โต๊ะที่ถูกเห็นนั้นก็เลื่อนไหลในกระแสเวลาอยู่จริงๆ เทียบสัมพัทธ์ได้กับกายเขาที่หายใจเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เกิดความรู้แจ้งวาบในบัดนั้นว่าเวลาเป็นองค์ประกอบมูลฐานหนึ่งของสรรพสิ่ง ธาตุเย็นร้อนอ่อนแข็งในร่างกายเขาเองเป็นตัวเวลา มันเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆภายใต้ความทรงตัวหลอกตา
เศษสมาธิที่ช่วยเปิดประสาทตาและประสาทหูเต็มที่นั้น เมื่อมีเจตนานำให้จิตพิจารณาไป ก็ผุดความเห็นชนิดหนึ่งขึ้นมาเหมือนถูกสะกดให้พ้นสภาพบุคคลไปครู่หนึ่ง มีแต่การเห็นออกไปข้างหน้าเป็นสีสันรูปทรงต่างๆที่ดูแปลกและปราศจากความหมายอย่างสิ้นเชิง
เพราะทุกสิ่งต้องไหลเลื่อนตามเวลา ทุกสิ่งจึงต้องเปลี่ยนแปลง…
ไม่ใช่สิ…ตัวรู้ที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลันบอกตัวเองว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงต่างหาก กาลเวลาจึงเกิดขึ้น
เกาทัณฑ์กะพริบตาถี่ๆ วูบแห่งความเห็นอันประหลาดสลายตัวอย่างรวดเร็วและเหมือนอุปาทาน กระแอมทีหนึ่งก่อนเบี่ยงข้อสนทนาให้สมองคิดแทนจิตรู้เสีย
"เรามีพุทธอยู่หลายนิกาย ทุกนิกายทำให้เราเห็นธรรมชาติได้อย่างถ่องแท้ และทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์เหมือนๆกันหรือเปล่าฮะ?"
เขาอ่านมามากพอจะทราบว่าแนวคิดของแต่ละนิกาย แต่ละความเชื่อนั้น ถูกบันทึกถ่ายทอดสืบเนื่องกันมาโดยบุคคลที่มีภูมิรู้แตกต่างกัน ตีความและแปลความหมายคำสอนดั้งเดิมของพระตถาคตผิดกัน เมื่อถามปู่เช่นนั้น เกาทัณฑ์รู้สึกว่าตนถามด้วยความอยากรู้จริงๆ ใช่จะถามเพื่อหาทางต้อนอะไร
"บอกว่าจุดประสงค์คือต้องการดับทุกข์เหมือนกันดีกว่า ต่างที่ความเห็นในการปฏิบัติ คือมีความหย่อนตึงผิดกัน พุทธเรามีความเห็นเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆคือมหายานกับหินยาน มหายานเน้นเรื่องดับทุกข์เป็นหลัก ไม่สนใจเรื่องระเบียบหรือธรรมเนียมอะไรเท่าไหร่ ซึ่งเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความแตกแยกฟั่นเฝือไปมาก เหมือนจะไปเมืองเดียวกันแต่มีทางให้เลือกเยอะเกินไป เอาแน่ไม่ได้ว่าเลือกแต่ละเส้นแล้วจะเจออะไรเข้าระหว่างทาง ทำไปทำมากลายเป็นความเข้าข้างตัวเองว่าอันนี้ผ่อนปรนได้ อันนั้นลดความเคร่งลงเพื่อความเหมาะสม เปิดช่องให้คลุกคลีกับญาติโยม กลายเป็นพระนักธุรกิจบ้าง พระนักการเมืองบ้าง หรือหนักกว่านั้นเป็นสมี พูดจาโกหกพกลมไปวันๆได้เพราะหย่อนวินัยมาทีละข้อ-สองข้อนั่นแหละ
ต่างกับหินยาน หรือที่ทางเราเรียก ‘เถรวาท’ ที่ออกจะเคร่งครัด แต่ก็ประกันได้ว่าถึงที่หมายแน่ เพราะเป็นวาทะของพระเถระผู้เป็นอรหันต์ซึ่งหลุดพ้นตามพระพุทธองค์โดยตรง หลายคนบ่นว่าเคร่งเกินเหตุจนสุดวิสัยจะปฏิบัติได้จริง แต่หากศึกษาให้ดีจะพบว่ามีการอนุโลมให้กับสถานการณ์จำเป็นในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ใช่กระดิกแล้วผิดไปหมด"
"คือนิกายนี่ที่แท้ก็เป็นเรื่องของวินัยสงฆ์?"
"เรื่องของคำสอนด้วย เถรวาทยึดเอาหลักการสอนจากพระพุทธพจน์เป็นเกณฑ์ทั้งทางโลกและทางธรรม จะปรุงแต่งอะไรก็มีพระพุทธพจน์มาเป็นลู่ทาง ไม่แสดงอภินิหารฉีกแนวไปคนละแพร่ง แต่สำหรับมหายานนั้นบางครั้งก็เอาปัญญาของอาจารย์แต่ละนิกายย่อยเป็นหลัก ซึ่งบางคราวได้ผู้รู้จริงมานำก็พอทำเนา แต่บางทีได้ผู้รู้เทียมมาจูงก็นับเป็นคราวเคราะห์ เพราะตั้งต้นว่าจะไม่เชื่อตำราเสียแล้ว ก็ต้องไปเชื่อเอาตามเจ้ากูที่ตนเลื่อมใส ดีเลวผิดถูกอย่างไรก็ฝากไว้กับผู้เป็นใหญ่ในนิกายนั้นลูกเดียว"
"งั้นเถรวาทเราเชื่อได้ยังไงฮะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกบิดเบือน ไม่ได้ถูกดัดแปลงโดยเจ้ากูที่ถูกอำนาจความถือดีครอบงำในแต่ละยุค เวลามันผ่านมาเป็นพันๆปีอย่างนี้?"
"ดูกันที่หลักปฏิบัติใหญ่ๆในวงของศีล สมาธิ และปัญญา ถ้ากี่คนๆตั้งใจปฏิบัติจริงแล้วได้ดี ไม่เสียสติ ห่างจากการครอบงำของกามคุณ บรรลุถึงความสว่างแจ้งพ้นทุกข์ได้อย่างปลอดภัยตาม พุทธประสงค์ อย่างนี้ก็นับได้ว่าถูกต้องตามพุทธพจน์แน่”
เกาทัณฑ์พยักหน้าหงึกหงัก จับทางได้แล้วว่าเพียงอยู่ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อการพ้นทุกข์ ปู่สามารถตอบปัญหาได้ครอบจักรวาล เพราะนี่คือจุดใหญ่ใจความของพุทธแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของสำนวนโวหารหรือวิธีถกเถียงด้วยการยกประเด็นใดๆขึ้นมาตั้ง
“พูดก็พูดเถอะนะครับ ข่าวเสียหายที่เกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาเรามาจากน้ำมือของคนห่มผ้าเหลืองของทั้งฝ่ายเถรวาทและมหานิกาย อย่างนี้พอแสดงได้หรือเปล่าว่าหลักปฏิบัติไม่ได้เป็นประกันอะไรเลย ขึ้นอยู่กับบุคคลเสียมากกว่า ปู่บอกว่าความแตกต่างระหว่างมหายานกับหินยานคือวินัยและหลักคำสอน ทีนี้ถ้าพวกที่ลากๆกันบวชนั่นแค่ประกาศตัวว่าเป็นเถรวาทหรือหินยานโดยขาดใจยึดวินัยและหลักคำสอน ผลก็เหมือนกันนั่นเอง อยู่ฝ่ายเดียวกันคือขอลดหย่อน ขอพังกรอบที่พระพุทธเจ้าวางไว้…อย่างนี้โลกยุคเราที่มันสืบสันดานแบบเดียวกันหมดควรมีแค่หลักธรรมแบบเถรวาทไว้ศึกษากันตามใจสมัครดีไหมครับ? มีวัดยิ่งดึงศรัทธาคนให้ตกต่ำลงเปล่าๆ”
“ไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ จริงอยู่บ้านเมืองเรากำลังเต็มไปด้วยลูกชาวบ้านห่มผ้าเหลือง เข้าใจแค่กติกาว่าบวชเพื่อนุ่งห่มจีวรออกเดินรับข้าวและนอนสบายในที่พัก แต่ก็ยังมีคนรู้แจ้งและเข้าใจจริงถึงข้อตกลงที่ว่าเรามีวัดไว้เป็นเขตแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างสงฆ์กับฆราวาส ฝ่ายฆราวาสเต็มใจสร้างบริจาค เพื่อรักษาคำสอนที่เชื่อตรงกันว่ามีค่ายิ่งกว่าเงินทองซึ่งถูกแปลงเป็นโบสถ์ศาลาและข้าวถวายพระ ฝ่ายสงฆ์เป็นฝ่ายรักษาคำสอนไว้ด้วยการปฏิบัติอย่างเต็มที่ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะต้องแก่งแย่งชิงดีทางการงานกับใคร ปฏิบัติได้เย็นแค่ไหนก็เอามาพรมแจกญาติโยมด้วยธรรมเทศนาที่มาจากความรู้จริง
ทีนี้ถ้าคิดตัดโอกาสด้วยการรื้อถอนวัดวาอารามหมด เพียงเพราะเห็นว่าบ้านเมืองเรามีนักบวชทุศีลครองวัดกันมากนัก ก็เป็นอันว่ายอมรับพร้อมกันว่าทุกคนเห็นแต่นักบวชทุศีล ไม่เหลือใครเห็นค่าของหลักธรรมคำสอนอีกแล้ว ไม่ต้องเปิดทางให้คนปรารถนาจะเข้าให้ถึงธรรมด้วยทางตรงอีกแล้ว ไม่ต้องการฐานะอ้างอิงให้มีฝ่ายนั่งอยู่สูงเพื่อพูดถึงของสูงอีกแล้ว
คิดดูนะเต้ ถ้าหลวงตาแขวนนั่งอยู่ในบ้าน เป็นคุณตา เป็นคนชราสูงอายุที่อาจเกษียณแล้วหรือยังต้องทำงานงกๆเงิ่นๆ แกจะเอาธรรมเนียมอะไรมาก้มลงกราบไหว้ท่านให้สมกับความเคารพบูชาสุดหัวใจ แกคิดว่าท่านจะมีเวลาสั่งสมตบะเดชะจนแก่กล้าขนาดที่ใครนั่งใกล้ก็ถูกดึงดูดให้ใจคล้อยลงเป็นสมาธิได้ขนาดนั้นหรือเปล่า? คำสอนในคัมภีร์เป็นสิ่งที่ทุกคนอ่านได้เหมือนกันก็จริง แต่กี่คนสามารถนำมาปฏิบัติให้เข้าถึง ทั้งที่ยังต้องแย่งงาน แย่งตำแหน่ง มุ่งหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆอย่างเราๆ”
เกาทัณฑ์ย่นคิ้วตรองตาม อดคิดไม่ได้ว่าที่สุดก็ต้องยอมให้กาฝากกลุ่มใหญ่ตักตวงประโยชน์จากช่องว่างที่เปิดไว้ไปเรื่อยๆอย่างนั้นหรือ? เกือบถามปู่ไปว่าอย่างนี้ควรแก้ไขอย่างไร แต่ก็นึกได้ว่าปมนี้มันใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ด้วยการถามตอบง่ายๆในบ้านหลังหนึ่ง ที่คู่สนทนาปราศจากบทบาทสำคัญในสังคมระดับประเทศ ระบบการกลั่นกรองบุคคลเข้าสู่มรรคาของสงฆ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องทำกันจริงจังในยุคที่ธรรมเป็นใหญ่ ผู้คนเกรงกลัวบาปเองโดยไม่ต้องพร่ำสอนกันมาก จู่ๆจะหวังให้มีใครคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาปรับเปลี่ยนระบบสงฆ์ให้เข้าลู่เข้าทางทั้งหมดในเดือนเดียวปีเดียวนั้น มันเหลือวิสัยเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มหรี่ตานิดหนึ่ง เลี่ยงถามมาอีกทาง
"เมื่อพ้นทุกข์แล้วไม่มีตัวตน เราจะพ้นไปทำไมฮะปู่? เราเพียรปฏิบัติธรรมไปก็เพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์และมีสุข แต่เห็นอยู่ว่าบั้นปลายของการปฏิธรรมในศาสนาพุทธไม่มีตัวตนหลงเหลือไว้รับรางวัลอันหวานชื่นเสียแล้ว แบบนี้จะทุกข์แบบเก่าหรือสุขแบบใหม่มันก็ครือๆกันนั่นเอง"
“จับทางใหม่นะเต้ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยประเด็นของอัตตาและการดับอัตตา เพราะฉะนั้นหากต้องการตระหนักถึง ‘รางวัล’ อันเป็นปลายทางของพุทธ แกต้องเริ่มต้นที่นี่ ฟังท่านแจกแจงว่าอย่างไรเรียกทุกข์ อย่างไรที่จิตเป็นทุกข์ อย่างไรคือการเวียนว่ายหลงลืมแล้วกลับจำอยู่กลางน้ำขึ้นน้ำลง มีเพื่อหมด พบเพื่อพราก อยู่เพื่อไป เกิดเพื่อตาย วนกลับสลับไปสลับมาแล้วๆเล่าๆ
ผู้ปฏิบัติถึงธรรมย่อมเห็นว่าโดยแท้แล้วเราคือจิตที่หลงแล่นไปด้วยความไม่รู้ สร้างโลกสร้างตัวตนขึ้นมาแบกไว้อย่างไร้แก่นสาร ตัวตนหนึ่งสร้างกรรมให้อีกตัวตนหนึ่งรับผล อย่างเช่นที่แกกำลังรับผลหลายๆอย่างจากความคิดของวัยเด็ก จากการกระทำของร่างกายเมื่อยังเล็ก ตัวตนในวัยเด็กของแกมันแปรไปแล้ว สลายตัวไปหมดแล้ว แกลืมอะไรๆในช่วงนั้นไปหมดแล้ว แต่ตัวตนของแกในตอนนี้ ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ ยังต้องมาเสวยผลที่ทำไว้ในครั้งก่อนอยู่"
เกาทัณฑ์คิดถึงแผลเป็นบางแห่งในร่างกาย อันเป็นของฝากจากความคะนองในวัยเด็ก นึกถึงเพื่อนร่วมก๊วนตอนสิบขวบคนหนึ่งที่ตาบอดเพราะเล่นขี่จักรยานผาดโผนกับเขา หมอนั่นยังเป็นไอ้ตาเดียวที่น่าสงสารมาจนถึงทุกวันนี้ ทั่งที่ร่างกายและจิตใจเติบโตเปลี่ยนแปลงจากวัยซนมาแล้วเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ตัวตนในวันนี้มาจากตัวตนเมื่อวาน…
"ถึงไม่พ้นทุกข์ ไม่เข้าถึงธรรม ก็ไม่มีตัวตนไหนได้รับผลที่มันสร้างขึ้นอย่างถาวรอยู่แล้วล่ะเต้เอ๋ย มันเป็นความสืบเนื่องของธรรมชาติที่หลอกจิตเราให้หลงละเมอเพ้อพกเรื่องตัวตนเดิม ตัวตนเดียวไปวันๆเท่านั้น ไอ้ที่เห็นเราเป็นเรานี่แท้จริงคืออุปาทานที่เกิดสืบเนื่องเหมือนคลื่นทะเล หลอกตาให้เห็นเป็นลูกคลื่นเดียวกันวิ่งเข้ามา ทั้งที่ความจริงเป็นน้ำคนละกลุ่มแท้ๆ”
ปู่ชนะกระแอมทีหนึ่ง
"หากมีพลังสติพอจะสนับสนุนการพิจารณากายและจิตตามจริง ตัดคิดตัดความหมายจำตัวตนที่ผ่านมา เหลือแต่กายใจที่ปราศจากชื่อแซ่ในวินาทีนี้ ความจริงในเรื่องความไร้ตัวตนจึงปรากฏให้จิตประจักษ์ได้สมเหตุสมผล เมื่อพิสูจน์ความจริงเบื้องต้นได้อย่างนี้ จิตจึงค่อยเชื่อว่าการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากทุกข์ จากอุปาทานอย่างถาวรนั้นคือสิ่งควรพยายาม เพราะจิตนี้เองเที่ยวทุกข์ไปในตัวตนต่างๆที่มันสร้างขึ้น ไม่มีตัวตนไหนหรอกที่ตามไปทุกข์กับจิตด้วย ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาสามารถเห็นชัดเป็นขณะๆว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ เราไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาด้วยเจตนาดับตัวตน เพราะไม่เคยมีตัวตนให้ดับ เราต้องการดับอุปาทานว่ามีตัวตน อันเป็นปัจจัยของการสืบสายทุกข์ต่างหาก”
"แล้วตัวจิตตัวใจของเราอยู่ที่ไหนกันแน่ล่ะครับ ตอนยังเป็นทุกข์กับตอนที่ดับทุกข์แล้วมันอยู่ตรงที่เดียวกันหรือเปล่า?"
"ตรงที่เดียวกัน"
"ตรงไหนครับ?"
"ตรงที่มันรู้น่ะซี"
เกาทัณฑ์เอนหลังพิงพนัก เกิดประสบการณ์เห็นจิตทั้งยังลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ตรงที่กำลังรู้อยู่เดี๋ยวนี้เองคือจิตของเขา เอ…หรือของธาตุรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ?
คลื่นความคิดอีกระลอกหนึ่งทยอยไล่เข้ามาแทนที่ การมีอุปาทานเห็นตัวเห็นตนนี้น่ะหรือคือทุกข์? เขามีอุปาทานติดตัวมาแต่เกิดจนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นมีทุกข์อะไรที่ทำให้อยากบวชหนีโลกเลย เขาพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ ถ้าเจอปัญหาใหญ่เล็กก็แก้ตกได้ง่ายๆเสมอ และที่สำคัญคือรู้จักวิธีโกยสุขสารพัดรูปแบบ ไหนกันที่น่าหนี?
หากมองตามความเหลื่อมล้ำที่แต่ละคนมีความสามารถจัดการกับทุกข์ เผชิญหน้ากับทุกข์เช่นนี้ ก็แปลว่าประเด็นหลักของศาสนาพุทธไม่เป็นสาธารณะเท่าไหร่ อย่างน้อยก็มิได้มีประโยชน์กับคนที่มีความสุขพอตัวอยู่แล้วอย่างเขา
แล้วคำตอบของปู่ก็ผุดขึ้นในใจอย่างรู้โดยไม่ทันต้องถาม ปู่จะบอกว่าเมื่อไหร่เจอทุกข์ที่ฉลาดแค่ไหนก็แก้ไม่ตกถึงจะรู้สึก มุมมองแบบของเขาต่างกับพระพุทธเจ้าและสาวก อย่างเขาแค่อยากแก้ทุกข์ไปวันๆ แลกกับการได้บริโภคกามคุณเป็นพอ แต่อย่างพระผู้รู้ท่านแก้ทุกข์ระยะยาว แก้ทีเดียวจบ สุขแล้วสุขเลยไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเขาพอใจจะอยู่บริโภคกามของเขาอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของทางเลือกอันเป็นสิทธิ์เฉพาะ ตราบใดที่ความดับทุกข์สนิทไม่ปรากฏเป็นข้อเปรียบเทียบ ตราบนั้นเขาก็ยังคงเลือกสิ่งที่ง่าย สิ่งที่เห็นเองด้วยตาเปล่า อันเป็นวิสัยปกติของคนทั่วไป
พยายามนึกถึงประเด็นโน้นประเด็นนี้ แต่ทุกประเด็นก็ได้ยินคำตอบของปู่ผุดขึ้นมาดักคอกลางสมองไปเสียหมด ในที่สุดจึงแบมือทั้งสองออกกว้าง
"มีอะไรมั่งไหมฮะที่ปู่ยังไม่รู้เกี่ยวกับตื้นลึกหนาบางของพุทธศาสนา?"
ถ้าปู่ตอบว่า 'ไม่มี' เขาอาจจะยอมเชื่อก็ได้ แต่กลับกลายเป็นว่า
"บานตะเกียง" ปู่ตอบยิ้มๆ "ความรู้ในวงพุทธนั้นลาดลึกและห่างพ้นจากคำพูดไปเรื่อยๆ ยิ่งเรียนมากยิ่งรู้มาก คิดมาก เทียบกับท่านแขวนแล้วฉันรู้แค่หางอึ่ง"
เกาทัณฑ์ยิ้มเหมือนพอจะนึกออก
"งั้นก็แปลว่าหลวงตาแขวนท่านรู้มาก รู้ครบล่ะสิฮะ”
"ยังไงไม่ทราบ เคยถามอยู่เหมือนกัน เห็นท่านบอกว่าตัวท่านเหมือนขี้เล็บในซอกหัวแม่ตีนอาจารย์ ถึงท่านพยายามเรียนเท่าไหร่ๆก็ขึ้นมาไม่พ้นหัวแม่ตีนอาจารย์สักที"
"โอ้โฮ" เกาทัณฑ์แกล้งร้องออกมา "อย่างนี้ผมก็มีความรู้แค่น่องกิ้งกือมั้ง"
ปู่หัวเราะหึๆ เงียบไปพักหนึ่ง
“ถ้าว่ากันแบบโลกๆน่ะ รู้มากรู้น้อยวัดกันด้วยการสอบ การตอบคำถามปากเปล่าแล้วจัดอันดับเชิดชูยกย่องขึ้นแป้นหนึ่ง สอง สามได้ง่ายอยู่ แต่ทางธรรมแท้น่ะ เทียบรู้กันด้วยนิ่ง เทียบความเข้าถึงกันด้วยความสงบ หากสงบได้ราบคาบถาวร ก็ถือว่าชนะเหมือนกัน ครองฐานะเท่าเทียมกัน ขอให้รู้เอาตัวรอดจากทุกข์ได้อย่างเดียว จะรู้มากกว่านั้นเท่าไหร่ไม่สำคัญเลย"
"แปลว่าผมยังไม่รู้จักเอาตัวรอดจากทุกข์ ก็ถือว่าผมยังไม่รู้อะไรในความเป็นพุทธเลยใช่ไหมฮะ?"
"ก็คล้ายๆอย่างนั้น"
เกาทัณฑ์ถอนหายใจเฮือก ประตูห้องของแพตรีเปิดออก มีผลให้เขาลืมปู่ชนะไปในบัดดล หญิงสาวอยู่ในอีกชุดหนึ่งต่างกับเมื่อครู่ เป็นเสื้อกระโปรงสีฟ้าอ่อนเข้ากัน
"จะทานมื้อเที่ยงไหมคะปู่?"
ปกติชายชราทานแค่มื้อเช้ากับมื้อเย็นร่วมกับหล่อน แต่ในวันเสาร์อาทิตย์อย่างนี้ก็ไม่แน่ ถ้าหิวท่านก็จะทาน ถ้าไม่หิวก็ให้หล่อนทานเองคนเดียว
"เอา...เผื่อให้เต้เขาที่หนึ่งด้วย"
"ค่ะ"
หญิงสาวรับคำแล้วก้าวลงบันไดไป เกาทัณฑ์รีบบอกปู่ทันทีที่ร่างหล่อนลับตา
"ให้ผมลงไปช่วยแพนะครับ"
โดยไม่ต้องมีมารยาทรอแม้แต่อาการพยักหน้าของปู่ แค่ขาดคำร่างสูงก็ย้ายผลุบลงจากเรือนไปทันใด
มาทันหญิงสาวเมื่อหล่อนเข้าห้องครัวแล้ว แพตรีเหลียวหลังมาเห็นเกาทัณฑ์เข้าก็แปลกใจ ส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถาม เมื่อเห็นเขาไม่พูด เอาแต่ยิ้มยิงฟันก็สอบว่า
"ต้องการอะไรคะ?"
"ปละ...เปล่า"
"งั้นตามดิฉันลงมาทำไม?"
หล่อนเคยนิ่มนวลเช่นไรก็ยังคงนิ่มนวลเช่นนั้น ทว่าถ้อยคำที่ส่งออกมาแสดงออกถึงความต้องการช่องว่างอย่างเห็นได้ชัด
"ตามลงมาดูว่าผมจะพอเป็นลูกมือแพบ้างได้ไหม ผมทำกับข้าวเก่งนะ"
"ไม่รบกวนหรอกค่ะ ดิฉันตั้งใจจะทำข้าวผัดง่ายๆ ทำคนเดียวก็พอ"
"ผมคอยช่วยแพจัดจานชาม ยกถาดก็แล้วกัน"
"แค่สามจานเบานิดเดียว ปล่อยเป็นหน้าที่ดิฉันดีกว่า ไปนั่งคุยกับคุณปู่ต่อเถอะนะคะ"
พูดแล้วก็หันไปจัดข้าวของ นำจานถั่วฝักยาวมาหั่นเป็นท่อนสั้นๆที่โต๊ะกลาง ชายหนุ่มยิ้มกริ่มยืนอยู่ที่เดิม หล่อนไล่ด้วยคำพูดปฏิเสธการต่อรองเสนอตัวของเขา ทว่ามิได้หันมาสำทับด้วยสายตาจริงจังแต่อย่างใด คงแปลว่าถ้าเลือกที่ยืนดีๆ ก็คงไม่ถูกมองว่าเกะกะเท่าไหร่
ครู่หนึ่งเมื่อสำเหนียกรู้ว่าเขาปักหลักกับที่แน่ แพตรีก็พึมพำ
"เราทานอาหารมังสวิรัติกัน อาจไม่ถูกปากคุณ"
"งั้นหรือฮะ" เกาทัณฑ์เบิกตาเล็กน้อย "อยากรู้เหมือนกันว่าอาหารมังสวิรัติรสชาติเป็นยังไง เผื่อติดใจอาจคิดทานไปเรื่อยๆมั่ง"
พูดพลางวิตกเล็กๆ รู้จักหล่อนเพิ่มขึ้นอีกนิด ในแง่มุมที่ค่อนข้างน่าลำบากใจ แค่นึกว่าวันหนึ่งถ้าพาไปทานข้าวมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นนอกบ้าน จะหาร้านมังสวิรัติที่ไหนดีก็เหนื่อยแล้ว
“แพกับปู่คงเคร่งน่าดูเลย ออกข้างนอกก็ทานกันอย่างนี้หรือฮะ?”
เกาทัณฑ์ถามให้ฟังปกติ แพตรีไม่ทันคิดว่าเขาถามด้วยความกังวลไปถึงอนาคตก็ตอบตามซื่อ
“ค่ะ”
“คงหาร้านยากเหมือนกันใช่ไหม?”
พูดแล้วนึกได้ว่านั่นเป็นการถามเชิงบ่นในเรื่องส่วนตัวหล่อนก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
"ผมถือว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณแพเรื่องหนึ่ง"
ชายหนุ่มทอดตามองงานในมือแม่ครัวสาว ชอบกิริยานิ่มนวลทว่าฉับไวชวนมองเพลินอันเป็นหนึ่งในคุณลักษณ์ของหล่อน ท่าทางแพตรีคงเก่งงานบ้านไปทุกอย่าง
"เรื่องอะไรคะ?”
เกาทัณฑ์ถอยเท้าไปพิงขอบโต๊ะ ยกแขนกอดอก
"แพนำผมไปพบกับพระดี เชื่อไหมว่าตอนนี้ผมฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว?"
หญิงสาวเงียบเป็นครู่ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบานุ่มทว่ามีกังวานและน้ำหนักจริงใจ
"อนุโมทนาด้วยค่ะ"
วางมือจากมีดแล้วหันไปตั้งกระทะ เทน้ำมันพืชและเจียวกระเทียมบนเตา
"ไม่ถามหรือฮะว่าผมเรียนอะไรมาบ้าง ถึงอ้างได้ว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน"
"ค่ะ ถาม...คุณเรียนอะไรมาบ้างคะ?"
ชายหนุ่มหัวเราะตาเป็นประกาย คำพูดของแพตรีมีเสน่ห์บางชนิดที่ตรึงใจคนฟังอย่างละเมียดละไม อยู่ใกล้หล่อนเหมือนห่างไกลออกมาจากสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยินมาก่อนทุกอย่าง
"ท่านสอนให้ผมทำสมาธิ และตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าพระดีท่านบวชกันเพื่อกิจชนิดไหน"
ด้วยสติสตังในขณะนั้น เกาทัณฑ์รู้สึกตัวขึ้นมาว่ากำลังจะทำตนเป็นฆ้องที่อยู่ๆก็ดังขึ้นเอง อยากคุยโวจนคันปากยิบๆว่าได้ลุถึงสมาธิระดับใด รวดเร็วน่าอัศจรรย์ปานไหน แต่ก็ประจักษ์ใจในบัดนั้นว่าเรื่องสมาธินี่เอามาอวดกันเหมือนโชว์ฟอร์มเด่นในเกมกีฬาไม่ได้ มันเป็นของข้างใน พูดออกไปแล้วคนฟังจะรับอะไรนอกจากฝอยน้ำลาย
ด้วยดำริประการฉะนี้ เกาทัณฑ์จึงเบนเข็มไปสรรเสริญผู้อื่นเสียแทนความอยากโอ้อวดฤทธิ์เดชในตน
"อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนวัยรุ่นผมเคยเข้าคอร์สฝึกสมาธิกับเขามาแล้วแต่เหลว นึกด้วยซ้ำว่าคงเอาถ่านทางนี้ไม่ไหว ใจมันคะนองเกินกว่าจะบังคับตัวนั่งนิ่งๆยังกับถูกสาปให้เป็นใบ้ มาวันนี้เพราะพระที่ทรงคุณอย่างหลวงตาแขวนแท้ๆทำให้ผมตาสว่าง ได้รู้จักรสชาติหวานชื่นของสมาธิกับท่านบ้าง ถึงจะเตาะแตะไม่ประสีประสาเท่าไหร่ ก็นับได้ว่าเริ่มอยากสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเองบ้างแล้ว”
เว้นจังหวะนิดหนึ่ง เอียงคอเพ่งตานิ่ง หวังว่าหล่อนจะเหลียวมามอง แต่ก็เปล่า
“และจะใครถ้าไม่ใช่แพ ที่นำผมไปพบกับหลวงตาแขวน ผมจึงถือว่าแพมีบุญคุณกับผม ผมจะจำไว้"
"เป็นวาสนาของคุณต่างหากล่ะคะ ดิฉันไม่ได้มีส่วนช่วยด้วยเจตนาสักหน่อย อยู่ๆก็เป็นธุระขนถังสังฆทานให้เอง"
พูดเท้าความถึงวันที่เขาเจ้ากี้เจ้าการอาสาช่วยเหลือโดยหล่อนไม่ได้วานขอ พลางตักข้าวจากหม้อหุงซึ่งอุ่นและทิ้งให้เย็นล่วงหน้าไว้แล้วลงกระทะน้ำมันร้อนได้ที่ ตามด้วยเครื่องปรุงอื่นๆพวกถั่วฝักยาว ถั่วแดง ถั่วลิสง ซอส ซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทราย ลงตะหลิวผัดคลุกแกร๊กๆ
"อือม์ จริง นึกได้ล่ะ เพราะความยุ่มย่ามอยากช่วยเหลือคนดีอย่างแพ จึงนำผลดีๆกลับมาตอบแทนอย่างนี้"
เกาทัณฑ์เออออรับยิ้มๆ
"รู้ไหม ผมเคยได้ยินมานะ ว่าเข้าใกล้คนมีบุญนี่จะมีจิตใจเป็นบุญตาม ผมก็ฟังแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอก เพราะตลอดมาเคยแต่เข้าใกล้คนมีจิตใจชุ่มบาปด้วยกัน และผมก็คงพบเห็นอยู่แค่นั้นตลอดไป ถ้าวันก่อนผมไม่คิดมาเยี่ยมปู่ที่นี่"
หล่อนง่วนผัดข้าวหอมฉุยโดยไม่โต้ตอบ เกลี่ยข้าวไปรอบกระทะ เหลือที่ว่างตรงกลางเติมน้ำมันตอกไข่ใส่ รอจนเหลืองจึงนำข้าวกลับมาผัดคลุก
เกาทัณฑ์มองหล่อนทำอาหารจากด้านหลังแล้วเกิดความรู้สึกแสนดี สาวที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนสมัยนี้หายาก แบบแผนของสังคมรุ่นใหม่เลิกยกย่องเสน่ห์ปลายจวักของเพศหญิงมานานแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกุ๊กตามเหลาตามร้านนอกบ้านไป นานๆแหละถึงเจออย่างแพตรีที่หน่วยก้านบอกเลยว่าใช่อะไรที่เขาเรียกแม่ศรีเรือน ผู้ทำให้บ้านมีความหมายในใจเหนือกว่าอิฐปูนคุ้มแดดคุ้มฝน
"ผมอยากได้ส่วนบุญจากแพบ้าง...นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเปรตนะ อย่าเข้าใจผิด เป็นมนุษย์นี่แหละ แต่ยังไม่ประสาเรื่องบุญเรื่องกุศลเท่าไหร่ ต้องพึ่งพาคนอิ่มบุญอย่างแพไปก่อน"
เห็นเสี้ยวหน้าของหล่อนจากมุมเยื้องว่ายิ้มขันในวิธีพูดของเขา โดยพื้นฐานแล้วแพตรีน่าจะเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ธรรมะในจิตใจเท่านั้นที่ยกหล่อนขึ้นสูงจนเหมือนเกินเอื้อม
"ถ้าได้แพเป็นกัลยาณมิตร เป็นพี่เลี้ยงคอยชี้นำ คอยบอกว่าอย่างนี้ชอบ อย่างนี้ไม่ชอบ วันหน้าผมคงไปรอด ไม่โดนมารฮุบไปกินเสียก่อนถึงฝั่ง"
"คุณก็ศิษย์มีอาจารย์ อย่ามาถ่อมตัวรับการตักเตือนติติงจากดิฉันอีกเลย"
"อาจารย์อยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลาไม่ได้นี่ฮะ"
พูดเฉียดๆจะลดเลี้ยว คล้ายบอกว่าต่อไปอยากให้หล่อนอยู่กับเขาตลอดเวลา และเป็นธรรมดาที่แพตรีคงพบกับพวกช่างเกี้ยวมาแต่แรกสาว หล่อนจึงพอจะไหวตัวทันและสงบคำไป
"ผมเชื่อว่าใจบุญอย่างแพยินดีช่วยคนเพิ่งเริ่มหัดว่ายน้ำให้เอาตัวรอดได้แน่ๆ จริงไหม?”
หญิงสาวเงียบอย่างคิดหาคำพูด ที่สุดก็เอ่ยออกมา
"อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ แพ...ดิฉัน..."
เกาทัณฑ์หูผึ่ง ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเต็มปาก อย่างนั้นซี่แม่เอ๋ย ใจหล่อนคงเริ่มรู้สึกคุ้นสนิทกับเขาแล้ว ถึงเผลอเรียกชื่อเล่นตัวเองออกมา ประเดี๋ยวเถิด เขาจะพังกำแพงที่หล่อนตั้งขึ้นกั้นชายแปลกหน้าให้สำเร็จในเร็ววัน
"เกรงว่าคุณจะเข้าใจบางอย่างผิดไป ดิฉันยังไม่ได้ดีอะไรเลย ใจยังมีกิเลสอยู่มาก รู้สึกว่ายังบุญน้อย ไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยใครให้ได้ดีขึ้นมา"
"บ้านนี้ชอบถ่อมตัวกันจัง แพกับปู่ถ่อมตัวทีไรผมสะดุ้งทุกที ถ้าอย่างแพบุญน้อย ผมไม่กลายเป็นองคุลีมาลเหรอะ"
แพตรีปล่อยหัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง ที่ตรงนั้นเกาทัณฑ์คิดว่าหล่อนเริ่มมาอยู่ในบรรยากาศของเขาบ้างแล้ว
“ท่านองคุลีมาลความจริงเป็นคนดีนะคะ ที่พลาดผิดไปชั่วขณะ ไล่ฆ่าคนไม่เลือกหน้าก็เพราะถูกหลอกให้อยากได้วิชา เมื่อพบพระพุทธองค์แล้วก็สำนึกเร็ว และออกถือบวชจนสำเร็จมรรคผลขั้นสูงสุด เป็นพระผู้หมดกิเลสในเวลาอันสั้น เราต้องกราบไหว้บูชาฐานะสุดท้ายของท่านเท่าพระอรหันต์องค์อื่น”
"อ๋อ…ฮะ"
เกาทัณฑ์ครางรับรู้ ผู้ศรัทธาจริงย่อมละเอียดอ่อนแม้กับสิ่งที่ถูกมองข้ามโดยคนหมู่มาก ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“ผมต้องเร่งทำความดีให้เร็วหน่อยเหมือนกัน ไม่งั้นเดินไปเดินมาในบ้านนี้อยู่ดีๆ…อาจถูกธรณีสูบจ๊วบเดียวหายไปเลย”
เขาทำทีวิตกร้อนตัวและใช้สุ้มเสียงได้น่าขัน ส่งผลคือหญิงสาวยืนหัวเราะร่วนให้ได้ยินเป็นครั้งแรก เกาทัณฑ์นิ่งฟังด้วยนัยน์ตาเป็นประกายสุข อึดใจต่อมาหล่อนจึงหยุด หยุดแบบเงียบไปเฉยๆ ก่อนเหลียวหน้ามาหาเขาเนิบช้า สบตาและส่งยิ้มให้
"ส่งจานให้หน่อยสิคะ"
เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง สะบัดมองซ้ายขวารวดเร็ว เมื่อเห็นชั้นวางจานก็รีบก้าวไปหยิบมาสามใบ แล้วเข้าไปยืนรีรอใกล้ๆเตรียมยื่นส่ง เมื่อแพตรีผัดจนร้อนทั่วแล้วก็หันมารับจานจากเขาไปตักข้าวใส่ทีละใบ
ใกล้หล่อนเพียงก้าวเดียว รู้สึกเย็นเข้าไปถึงกลางอก หล่อนคนนี้แน่แล้วที่เขาต้องการ หวั่นใจก็แต่ว่าเขาอาจไม่เป็นที่ต้องการของหล่อน ครั้งเมื่อแพตรียังอยู่ในวัยช่างฝัน ไม่รู้จักโลก ไม่ซึ้งรสธรรมะ เห็นเด็กหนุ่มรูปงามเป็นเจ้าชายในนิทานไปหมด เขาเคยทำลายความรู้สึกของหล่อนมาแล้วด้วยสีหน้าเย็นชาตอบยิ้มทอดไมตรี เข้าใจดีว่าหล่อนเคยรู้สึกอย่างไร เดาไม่ถูกเท่านั้นว่าเดี๋ยวนี้ยังจำยังย้ำคิดแค่ไหน ความหลงที่กลายเป็นเกลียดของผู้หญิงส่วนมากยากนักจะแก้กลับให้เป็นตรงข้าม
เกาทัณฑ์เป็นคนนำจานข้าวมาวางบนโต๊ะ เพียงเห็นข้าวเรียงเม็ดสวยและได้กลิ่นหอมโชยแตะจมูกก็รู้เลยว่าอร่อย แพตรีเอามะเขือเทศมาใส่พร้อมแตงกวากับผักกาดหอม ระหว่างที่หล่อนจัดหน้าให้ดูดีอยู่นั้น เขาก็ช่วยหยิบกระปุกพริกไทย น้ำส้ม น้ำตาล กับซีอิ๊วขาวซึ่งผู้นิยมมังสวิรัติใช้แทนน้ำปลามาวางร่วมกันในถาดเล็ก ปากก็ถามเอื่อยๆ
"บอกได้ไหม ที่สุดของความพอใจสำหรับแพคืออะไร?"
เมื่อเขาทำท่าเข้าใกล้เกินจำเป็น แพตรีก็ขยับห่างไปยืนล้างมือที่อ่างอะลูมิเนียมอีกทาง
“การได้อยู่อย่างสบายใจ ไม่มีใครมาเบียดเบียนมั้งคะ”
ชายหนุ่มตะแคงหน้ามอง ยิ้มมุมปาก หล่อนยืนหันหลังให้เขาอีกแล้ว เชื่อเชียวล่ะว่าผู้หญิงคนนี้อยู่คนเดียวได้ด้วยความสุขกับตัวเองตามลำพัง เสียงที่หล่อนใช้ตอบแฝงสำเนียงปิดกั้นการพยายามตีสนิทของเขาค่อนข้างชัด เกือบล้อว่าถ้าชอบอย่างนั้นสงสัยต้องไปอยู่ป่าแบบทาร์ซาน แต่ไม่แน่ใจว่าหล่อนจะขำด้วยหรือเปล่า เลยพูดอีกอย่าง
“สันโดษดีนะ คงต้องขอวิธีปฏิบัติจิตให้เกิดความสุข ความพอใจจะได้อยู่คนเดียวแบบแพบ้าง ทุกวันนี้ผมค่อนข้างจะติดเพื่อน ติดญาติมากไปหน่อย”
หญิงสาวปิดน้ำ เช็ดมือกับผ้าบนผนัง แล้วหยิบถาดใหญ่จากชั้นวางเดินกลับมาที่โต๊ะ ระหว่างทางก็ตอบว่า
"คุณเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวนแล้วนี่คะ สักวันดิฉันอาจต้องถามขอวิธีปฏิบัติจิตให้เกิดความสุขจากคุณบ้างก็ได้"
"ถึงวันนั้นผมก็คงบอกแพทันทีว่า...จงเป็นตัวเองต่อไป"
"ดิฉันก็จะตอบค่ะว่า...แค่นั้นไม่พอหรอก"
เมื่อจัดจานใส่ถาดเรียบร้อย แพตรีทำท่าจะยกขึ้น
"ให้ผมยกไปเถอะครับ"
แขนมาซ้อนกันแนบเนื้อแตะเนื้อนิดหนึ่ง หญิงสาวรีบหลีกตัวออกมาอย่างทราบเจตนาล่วงเกินของอีกฝ่าย เกาทัณฑ์หันไปพบแววระคางในดวงตาคู่งาม จึงรู้ตัวว่าพลาดไปหน่อย อดใจไม่ไหวจริงๆที่จะแตะต้องตัวสักนิดเมื่อสบโอกาส
วันหนึ่งเขาจะเป็นเจ้าของทั้งหมดที่เป็นหล่อนไม่ว่ากายหรือใจ
บทที่ ๑๐ ผู้วิเศษ
มหานครยามราตรีดูสวยแพรวจากมุมมองบนตึกสูง เกาทัณฑ์ยืนระบายยิ้มรับลมเย็น มองแสงสีที่ตัดกับเงามืดยามค่ำคืนด้วยความรู้สึกอิ่มเอมแตกต่างไปจากที่เคย
ทบทวนช่วงเวลาสั้นๆที่ผ่านมา นับเริ่มจากฝันหลงทาง บันดาลใจให้อยากขับรถไปไกลตามลำพัง กระทั่งผ่านบ้านปู่ชนะ คิดเข้าเยี่ยมและพบกับแพตรี สืบสานไปถึงโอกาสอันประเสริฐได้ไปกราบไหว้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตาแขวน บุคคลและเหตุการณ์ต่างๆผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วทว่าร้อยรัดสนิทลึกราวกับรู้จักกันแล้วแสนนาน
ถึงวันนี้เขาเลิกฝันว่าหลงทางอย่างสิ้นเชิง จะเพราะบังเอิญแก้ต้นเหตุแห่งฝันทรมานไปอย่างไรก็ขี้เกียจสืบค้น รู้แต่ว่าชีวิตจริงๆที่กำลังดำเนินอยู่มันต่างไปจากเดิมมาก จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตามทีเถอะ
ความติดพันที่เกิดขึ้นกับแพตรีไม่ธรรมดาเลย หล่อนมีความหมายอย่างน่าฉงน จนเดี๋ยวนี้ก็แยกแยะและอธิบายให้ตัวเองเข้าใจไม่ได้ เห็นแต่ว่าชีวิตมันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในความจำความลืม รูปร่างหน้าตาของหล่อนเป็นแรงสะเทือนบางชนิดที่สะกิดให้เกิดความคุ้นแปลก เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้อยู่รอมร่อ แต่เค้นนึกจริงๆก็ติดอยู่แค่ความคุ้นเท่านั้น
เคยคิดเล่นๆเกี่ยวกับความเป็นเนื้อคู่ การเคยทำบุญร่วมกันมา หรือเป็นสามีภรรยาในอดีตชาติ โดยทั่วไปถ้าเชื่อเรื่องพวกนี้ก็จะทึกทักเพียงว่าคู่แล้วไม่แคล้วกัน เคยเป็นคู่ผัวตัวเมียมาก่อน ร่วมชาติกันมาก่อน ก็ต้องเป็นกันต่อไปในชาตินี้และชาติหน้า
แต่ถ้าลองมองโลกด้วยตาเปล่า ดูจากที่เห็นปรากฏอยู่จริงกับแก้วตาในชาติปัจจุบัน เขาเห็นแต่หญิงชายมากรัก มากคู่ทั้งนั้น ความหมายของการร่วมชาติ ร่วมชีวิตมันอยู่ที่ตรงไหน? เกี่ยวก้อยกันวันหนึ่ง นอนด้วยกันคืนหนึ่ง แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวสักปีหนึ่ง หรือต้องมีลูกให้ร่วมเลี้ยงดูกันอย่างน้อยสักคนหนึ่ง? เขารู้จักผู้ชายที่แต่งงานมีลูกมาสามหน หมายความว่าผู้ชายคนนั้นมีคู่ชีวิตที่ต้องตามกันไปเรื่อยๆสามคนอย่างนั้นหรือ?
หญิงชายต้องทำบุญร่วมกันสักแค่ไหนจึงเจอแล้วไม่แคล้วกัน เห็นปุ๊บจำได้ปั๊บว่านี่เองคู่เรา และมีโอกาสอยู่เรียงเคียงครองจนกระทั่งเห็นลมหายใจสุดท้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บุญแต่ละชนิดมีความแรงมากน้อยต่างกันเพียงใด เขาเคยทำสังฆทานกับแพตรีหนหนึ่งด้วยความปีติยินดียิ่ง แถมยังอธิษฐานกำกับว่าขอให้ได้ทำอะไรอย่างนี้กันอีกตลอดไป แค่นั้นพอหรือเปล่าสำหรับการไปร่วมบุญกันอีกในปรภพ?
หากภพชาติมีจริง ตายแล้วไปเกิดเป็นนั่นเป็นนี่อีกเรื่อยๆ ถ้าได้ดีเป็นเทวดาก็เดาง่ายอยู่หรอก คงครองกันอีกด้วยความสุขสมท่ามกลางสมบัติทิพย์อันวิลาส แต่หากจับพลัดจับผลูหล่นผลุลงไปเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่ หรือกระทั่งสัตว์นรก อย่างนี้จะต้องจับคู่อยู่ร้อนกินร้อนอีกหรือเปล่า?
ถ้านับตามบันทึกของพุทธ ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์ คนหนึ่งตายแล้วอาจไปนรก ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน มันขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น
ตรงข้าม คู่ผัวตัวเมียที่มีบารมีอันได้แก่ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาเสมอกัน หรือคล้อยตามกัน ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับร่วมกันเสมอๆ ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคงและเป็น ‘ตัวจริง’ ของกันและกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่
แต่เห็นคู่ไหนในโลกความเป็นจริงล่ะ ที่กลมเกลียวสนิทแนบ ไม่เขินอายกับการกล่าวอธิษฐานด้วยดวงใจอันแน่วแน่ ขอพบกันทุกชาติไป แค่ให้เชื่อว่าภพชาติมีจริงยังยากแล้ว แถมยังมาติดความน่าเบื่อเมื่อครองเรือนร่วมกันเข้าอีก ใครจะไปอยากเจอ ‘ไอ้แก่’ หรือ ‘อีแก่’ ข้างตัวบ่อยๆ เรื่องการผูกมัดจองตัวกันข้ามภพข้ามชาติด้วยแรงอธิษฐานจึงเป็นไปได้น้อยเท่าน้อย
และสมมุติว่าตามไปเจอกันข้ามชาติจริง พบใครสักคนที่รู้สึกว่า ‘ใช่’ จะเอาอะไรมายืนยันประกันถูกผิด เส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบสู่ประตูวิวาห์อย่างนั้นหรือ? ได้ยินว่าบางคู่เคยครองรักหวานชื่น แต่เพราะทำบาปร่วมกันบ่อยๆ พอเจออีกชาติเลยประสบแต่เรื่องร้าย บาดหมางกันเอง อย่างที่เขาเรียกว่า ‘ดวงไม่สมพงศ์’
ความเข้ากันได้ระหว่างสองบุคคลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่ยอมรับว่าลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะก่อลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆขึ้นมา ซึ่งเมื่อใกล้กันก็รู้สึกได้ว่าพอจะ 'รับ' กันได้ไหม ถัดจากนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก ทั้งความคิด คำพูด และปฏิกิริยาที่กระทำต่อกัน เป็นตัวตัดสินว่าเข้ากันได้สนิทจริงหรือไม่ ตรงนี้น่าคิดว่าถ้าเคยร่วมบุญกันมา ทว่าเข้ากันยากด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละฝ่าย แม้มีเวลากระดี๊กระด๊าด้วยกันในช่วงแรกอยู่บ้าง ต่อไปก็น่าจะฝ่อลงจนแหนงหน่ายในที่สุด
เคยทำบุญร่วมกันมาก็เรื่องหนึ่ง ลักษณะกระแสจิตคล้ายกันก็เรื่องหนึ่ง เจอกันแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างก็เรื่องหนึ่ง มีโอกาสใช้เวลาในชีวิตด้วยกันนานช้าแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง
สรุปแล้วหากว่าตามหลักอนิจจัง หญิงชายในสังสารวัฏต่างท่องเที่ยวไปไกลตามลำพัง ผลัดเปลี่ยนเวียนจับคู่ด้วยความผูกพันมากน้อย แล้วถอยฉากจากกันไปเรื่อยๆ หาคู่แท้ถาวรมิได้?
เกาทัณฑ์ส่ายหน้านิดหนึ่ง ถ้าเชื่ออะไรสักอย่างที่จับต้องได้ สามารถศึกษาและพิสูจน์ให้เป็นที่ยอมรับได้ในยุคที่มนุษย์คิดกันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์นี้ ความเชื่อนั้นก็เป็นเรื่องชัดเจน มีกรอบ มีพื้นยืนบนความจริง ไม่ต้องสับสนคลางแคลง
แต่ถ้าเกิดเริ่มเชื่อ หรือเริ่มสงสัยอะไรที่ใช้ตาหูมาดูฟังไม่ได้ ก็จะเกิดคำถามวุ่นวาย หาข้อยุติไม่เจอตามไปด้วยดังที่เขากำลังเป็นอยู่
มองย้อนไปในวันก่อนๆ เขาออกท่าต่อต้านเรื่องภพชาติเต็มที่ ด้วยเหตุผลหลักคือปักใจเชื่อตามนักวิจัยหลายต่อหลายกลุ่ม ว่าการทำงานของสมองนั่นเองคือความรู้สึก นึกคิด และจิตใจต่างๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือรูปธรรมเป็นเหตุเกิดของนามธรรม
แต่มาวันนี้ หลังจากมีปัจจัยให้ 'เริ่มเชื่อ' พุทธศาสนามากเข้า ความคิดเขาเริ่มแปรไปอีกอย่างด้วยใจที่เปิดกว้างขึ้น คือเห็นว่าแม้นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยทั้งหลายจะฉลาดปานใด ก็ติดอยู่แค่ความคิดและมุมมองของวิธี 'พิสูจน์ความจริง' เท่านั้น ตัวอย่างเช่นจี้ลงไปบนจุดใดจุดหนึ่งบนสมอง หรือเห็นสมองส่วนหนึ่งชำรุดแล้วมีผลกับความทรงจำและอารมณ์ชุดหนึ่งๆ ก็ด่วน 'ตีความ' ว่าสมองนั้นเองคือที่มาทั้งหมดของความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณ
ธรรมชาตินั้นแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้ามนุษย์พอใจจะเลือกมองอย่างไร หรือตั้งข้อสันนิษฐานเพื่อนำไปสู่การสรุปความ หรือตีความตามความชอบใจของตัวแบบไหน ก็เหมือนจะมี 'ความจริง' แบบนั้นๆมารองรับ หรือช่วยยืนยันเป็นการเอาใจอยู่เสมอ
อย่างเช่นสัจจะทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงว่าขัดแย้งกันอย่างน่าเหลวไหล ก็ได้แก่เรื่องของแสงอันเป็นสิ่งถูกรู้โดยตามนุษย์ทั่วไปนี่เอง หาก 'คิดมาก' สักหน่อย ตั้งคำถามขึ้นมาว่าแสงเป็น 'คลื่น' ต่อเนื่องเหมือนระลอกน้ำ หรือว่าเป็น 'อนุภาค' ละเอียดยิบยับที่เป็นต่างหากจากกันเหมือนก้อนหิน ก็จะพบคำตอบที่ชัดเจนจากการทดลองระดับนักเรียนมัธยมต้นทั่วโลก ว่าเป็นได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน! ขึ้นอยู่กับจะจัดตั้งมุมมองแสงด้วยวิธีไหน
ขนาดเรื่องของแสงอันเป็นรูปธรรมขั้นพื้นฐานยังปรากฏเป็นสิ่งชวนฉงนขนาดนั้น แล้วเรื่องของจิตอันเป็นนามธรรมขั้นละเอียดสูงสุด จะมีแง่มุมให้มอง และชวนคิด ชวนตีความเข้าข้างตนเองกันด้วยทิฏฐิไปต่างๆนานาขนาดไหน?
ความจริงเกี่ยวกับจิตมีกี่แง่นั้นยกไว้ ตอนนี้เขาเห็นจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าคุณภาพของจิตเป็นอะไรที่พัฒนาได้แน่ กับทั้งแปลกสภาพ แปลกรสไปกว่าภาวะที่รู้สึกนึกคิดตามปกติยิ่ง
เข้าที่ทำสมาธิด้วยกำลังกายและกำลังใจพรักพร้อม การทำอย่างมีเป้าหมายก็ดีตรงนี้ คือตื่นตัวพร้อมปฏิบัติอยู่เสมอ เกาทัณฑ์หมายมั่นว่าหากทำได้ผลและหลวงตาแขวนเปิดตาในให้เขาเห็นอดีตอันฝังลืม นอกจากจะรับรู้ด้วยตนเองว่าจริงเท็จเกี่ยวกับชาติก่อนเป็นอย่างไรแล้ว เขาจะต้องสืบทราบให้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับแพตรีนั้น มีความเป็นมาอย่างไร
ปิดตาเหลือบต่ำแล้วสนิทนิ่งกับที่ อัดลมหายใจ เริ่มกำหนดสติเมื่อหายใจออก จิตเหมือนพร้อมรวมนิ่งอยู่ล่วงหน้า ปลดพันธะระหว่างจิตกับระบบประสาทตาลงได้แทบทันที เพียงแค่ไม่กี่ระลอกลมหายใจที่กำหนดรู้อาการหายใจออกและหายใจเข้า ก็เกิดความเห็นราวกับส่วนหัวเปิดโล่งไปครึ่งหนึ่ง คล้ายตำแหน่งบนสุดของศีรษะย้ายมาอยู่ที่จุดลมหายใจลากผ่าน หัวหูดูว่างโล่งเหมือนถ้าเอามือวาดผ่านก็จะไม่กระทบกับอะไรเลย
ระบบประสาททั่วร่างผ่อนพักลงทั้งหมด สบายกายสบายใจดีเหลือเกิน
ทว่าเมื่อกระแสจิตเกือบๆจะรวมศูนย์เป็นอันเดียว ล็อกตัวเป็นขณิกสมาธิครอบกายหนักแน่นสมบูรณ์ เกาทัณฑ์ก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนไหวบางอย่างรบกวน เริ่มจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่ค่อนข้างผิดปกติ วันนี้เขาอยู่ใกล้แพตรีแค่เอื้อม และกระแสความใกล้นั้นก็เหมือนเวียนวนตวัดรัดให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่ตลอดเวลา ต่อเนื่องมาจนกระทั่งยามนี้ แม้ความจริงจะห่างกายออกมามากแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการตั้งหลักเข้าที่ทำสมาธิก็ตาม
พยายามเพิกเฉยกับชนวนแห่งความคิดฟุ้งซ่านซัดส่ายนั้น กำหนดเห็นความออกและเข้าของสายลมหายใจใหม่ ซึ่งก็เป็นไปได้ด้วยฐานจิตมีกำลังมากพอ ทว่าผ่านลมหายใจที่สาม ก็เกิดความสะเทือนไหวขึ้นอีก เห็นชัดถึงความกระสับกระส่ายในช่องอกที่ต่อยอดเป็นมโนภาพสวยหวานของแพตรี
วันนี้เขาเข้าใกล้หล่อนมากเกินไป
ความรัก ความติดหลง ความใกล้ชิดกับมาตุคามเป็นศัตรูต่อองค์สมาธิอย่างไรเพิ่งได้ประจักษ์ซึ้ง มันคุกรุ่นเหมือนรมควันอัดอกอัดใจ ยากจะสะกดระงับให้สงบเยี่ยงนี้เอง
หลวงตาแขวนให้เขาสัญญาว่าจะงดเสพกาม ก็นึกถึงแต่การเสพแบบถึงเนื้อถึงหนัง บัดนี้จึงทราบว่าถ้ามองในมุมของโยคาวจรผู้อยู่ในระหว่างปฏิบัติภาวนา ระดับของการเสพมันมีแยกย่อยมากมาย ผัสสะอะไรก็แล้วแต่ที่ก่อกวนให้ใจป่วนปั่นระส่ำระสายในลักษณะนี้ได้ ควรนับรวมเข้าเป็นการส้องเสพอารมณ์ที่เป็นอันตรายต่อสมาธิทั้งหมด
เกิดความเข้าใจว่าด้วยเหตุนี้เอง กติกาการปฏิบัติเพื่อตัดขาดจากโลก จึงต้องเว้นขาดจากเรื่องเพศ ระงับอารมณ์จากกามฉันทะหรือความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสให้สนิท ขนาดเขามีฐานสมาธิดีพร้อม ยังไม่อาจผนึกรวมเป็นดวงเดียวดังเคย เพียงเพราะปล่อยให้เกิดความเวียนวนครุ่นคิดถึงหญิงอันเป็นที่รักเกินไป
ถอนใจเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นด้วยความรำคาญตัวเอง หันมองทางอื่นเป็นครู่ เห็นอุปสรรคสมาธิชัดแจ้ง จึงคิดทบทวนดูว่ามีลู่ทางใดสามารถขจัดอุปสรรคนั้นได้บ้าง
ที่ใจโคลงเคลงเหมือนเรือถูกคลื่นลมโยกไปมานี้ พินิจแล้วเป็นเพราะเริ่มรู้สึกสนิท และเห็นทางเป็นไปได้ที่จะเข้าหาแพตรี หล่อนอยู่ไหนเขารู้ดี และเดินทางไปถึงได้ภายในเวลาอันสั้นด้วยพาหนะคู่ใจ แถมไม่จำเป็นต้องลำบากนัดแนะให้เสียเวลาในเมื่อความเป็นหลานปู่ชนะนั้นเพียงพอกับการเข้านอกออกในอย่างสะดวก ถึงหล่อนไปธุระข้างนอกเขาก็นั่งคุยกับปู่รอสบายๆ ใครจะว่าอะไร
พยักหน้ากับตนเอง ถ้านี่เป็นต้นเหตุแห่งความจับจิตตั้งยาก เขาก็จะตั้งสัตย์กับตนเองว่าพ้นช่วงเก็บตัวฝึกสมาธิแล้วเท่านั้น จึงจะคิดเหยียบย่างเข้าบ้านปู่ชนะ ก็แค่อาทิตย์เดียวเอง คงไม่ถึงกับทำลายสัมพันธภาพที่เริ่มก่อตัวให้พังครืนลงเหมือนอย่างปราสาททรายเจอคลื่นทะเลหรอกน่า
เมื่อปลงใจกำหนดได้อย่างเด็ดขาดเช่นนั้น ก็เหมือนก้อนอะไรแข็งๆกลางอกถูกยกไป รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาในบัดดล เกิดความเข้าใจกระจ่างขึ้นว่าความเด็ดเดี่ยวในขณะตั้งเจตนาใดๆมีผลกระทบกับสภาวะจิตขนาดไหน
เหลือแต่ความเบิกบานพรักพร้อมอย่างเดียว เกาทัณฑ์เข้าที่ทำสมาธิด้วยกำลังสติเต็มแน่น คล้ายขุนศึกขึ้นหลังม้าด้วยความเชื่อมั่นในพลกำลังและความเจนศึกแห่งตน
การตั้งต้นจับอารมณ์สมาธิเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมีแรงขับดันจากปีติสุขอย่างเหลือเฟือ ความฟุ้งซ่านขาดสายหายหนไปจนสิ้น เมื่อเห็นผลเช่นนั้นก็ได้ใจ เกิดเจตนาเพ่งรวมให้จิตควบแน่นเป็นปึกแผ่น เฝ้าตามลมหายใจอันแช่มชัดอย่างสบายอารมณ์ด้วยความเห็นแจ้งว่าการรู้ลมชัดควบคู่กับความปล่อยใจสบายนั้นเองเป็นตัวปรับสภาพจิตให้สว่างขึ้น มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
เกือบชั่วโมงโดยประมาณ กว่าที่จิตจะคล้อยลงทรงตัว เห็นลมหายใจเป็นสายชัดราวกับธารทิพย์ ถึงขั้นอุปจารสมาธิ ทว่าทรงอยู่เพียงระยะเวลาอันสั้นก็คลายแรงดึงดูดออกมา ซึ่งเมื่อคลายแล้วก็รู้ได้เอง ว่าที่ผ่านมาทั้งวันจิตดิ้นรนอยู่ในวังวนกิเลสนานเกินไปจนอ่อนแรง เมื่อพยายามผนึกรวมให้ถึงฐานสมาธิจึงยากเย็นและสลายตัวง่ายเยี่ยงนี้
รู้สึกเหนื่อยและอยากพักจากสมาธิ กำหนดจิตปล่อยอารมณ์และลืมตาเนิบช้า หงุดหงิดหน่อยๆคล้ายนักกีฬาที่เห็นตัวเองฟอร์มตก ผลการปฏิบัติเมื่อคืนก่อนทำให้นึกว่าจะสามารถไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆวันต่อวัน ทว่าตระหนักแล้วว่าหากขาดเหตุและปัจจัยอันเหมาะสม ปล่อยตัวปล่อยใจให้สมาธิถูกกิเลสแทะ กลับเปลี่ยนเป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างง่ายดาย
ลุกขึ้นเดินไปเดินมา เหตุแห่งความฟุ้งนั้นไม่ต้องกังขา หนีไม่พ้นแพตรีอีกนั่นเอง วนไปวนมาเหมือนพายเรือในอ่าง แม้ตัดใจว่าจะห่างหล่อนอย่างเด็ดขาดระยะหนึ่ง เป็นเหตุให้เลิกถวิลหาขนาดอยากพุ่งตัวไปบ้านปู่อยู่ทุกนาทีแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็ยังมีใจจ่อตลอดในลักษณะก้อนอารมณ์ตกค้าง พอพยายามกำหนดใจให้นิ่งแล้วเห็นชัดถึงแรงดันในอก เหมือนพวยน้ำที่ถูกกักไว้ และรอเวลาพลุ่งขึ้นทันทีที่ได้โอกาส
เขาเป็นประเภทที่เมื่อคิดแล้วคิดแรง อารมณ์ปั่นป่วนแรง โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องที่ติดใจมากๆขนาดจ่อไม่หลุด จะเหมือนคลื่นพลังระลอกใหญ่ก่อตัวขึ้นเป็นแรงอัดภายในกาย หากพลังดังกล่าวไม่กระจายออกเป็นงานหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้หมดสิ้น ก็จะขุ่นคลุ้งทรมานทรกรรม กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเลยทีเดียว
มาหยุดเดินตรงหน้ากลองบองโก ซึ่งเป็นกลองตีมือขนาดย่อมสองลูกคล้ายกระถางต้นไม้ เขาตั้งไว้ตรงตำแหน่งที่ดูเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับห้องนอนชายมากกว่าจะชอบเล่นจริงจัง ยามนี้นึกอยากรัวกลองแก้ฟุ้งซ่านเสียหน่อย เลยลงสองมือตบหน้ากลองซ้ายขวาถี่ยิบ
เกิดเสียงเป๊าะๆๆๆยืดยาว ไม่หวังอะไรมากไปกว่าระบายความฟุ้งที่กักและเหมือนเก็บกดในหัวให้พ้นๆ แต่ด้วยความคาดไม่ถึง และมิได้กำหนดความตั้งใจไว้ล่วงหน้า ด้วยกำลังความสงบที่เหลือเป็นเศษจากการนั่งสมาธิเมื่อครู่ เกาทัณฑ์พบออกมาจากภายในว่าเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นกลาง รู้ผัสสะรัวกระทบอย่างต่อเนื่อง ผลที่เกิดคือความเงียบลงอย่างสงัดของคลื่นลมความคิดความฟุ้ง
นั่นเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนทีเดียว จิตที่จ่อเฉพาะมือกระทบกลองนั้นเอง เป็นจิตที่ปราศจากความคิด มีแต่ความรู้ตัวแบบว่างๆเกิดขึ้นแทน
หยุดมือลง ปล่อยตัวตามสบายสังเกตใจตนเอง พบว่าอาการเงียบจากความคิดยังคงดำเนินไปอีกพักใหญ่ กว่าที่คลื่นลมความคิดจะกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง อ๊ะ! แปลว่าอย่างนี้ได้อุบายกำจัดความฟุ้งอย่างง่ายๆแล้ว ความช่างสังเกตและเปิดใจกว้างรู้จักเหตุรู้จักผลที่แท้จริง ไม่ยึดติดกับรูปแบบตายตัวในการระงับจิตให้เงียบลง ทำให้ทราบว่าอารมณ์สมาธิอาจเป็นอะไรก็ได้ ขอเพียงรู้จักรักษาใจจ่อไว้กับอารมณ์นั้นให้ต่อเนื่องเป็นพอ
เขาเคยตีกลองมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหน แต่ไม่เคยเลยที่จะสังเกตว่าขณะรัวหน้ากลองอยู่นั้น ความคิดอ่านสงบเงียบเชียบลงอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เคยตั้งใจรักษา หรือยืดเวลาของความสงบเงียบดังกล่าวให้ยาวออกไป
มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ถ้าเคาะกลองแล้วสงบ ก็แปลว่าเคาะอย่างอื่นน่าจะสงบได้เช่นกัน ลองหลับตาเอาอุ้งมือขวาวางแนบกับต้นขา ใช้นิ้วทั้งสี่ตบหน้าตักเป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว ไม่หนักและไม่เบา ใจรู้อยู่เฉพาะที่เกิดผัสสะกระทบเปาะๆๆๆ
เห็นชัดว่าด้วยใจที่ราบเรียบแล้วระดับหนึ่ง จึงลดความเร็วลง เมื่อเคาะเพียงช้าและเบา ก็อาจรักษาความสงบว่างจากความคิดไว้ได้อย่างดี แต่ถ้าฟุ้งจัด ก็อาจตบเร็วและแรงหน่อยเป็นการใช้ผัสสะเรียกจิตมาจ่อ
เลี้ยงความนิ่งว่างจากกระแสความคิดได้เพียงนาทีเดียว ความรู้สึกเหมือนเหลือเพียงจังหวะกระทบเปาะๆๆๆกับใจที่สงบอยู่ตรงกลาง ก็บังเกิดรสแห่งปีติสุขขึ้นท่ามกลางความเงียบที่จิตเสมอพอดีกับผัสสะเปาะๆๆๆนั้น
เกาทัณฑ์ยิ้มชื่นใจ เมื่อเมื่อยมือขวาก็เปลี่ยนเป็นมือซ้ายแทน รักษาไว้แต่กระแสปีติสุขอันเกิดแต่จิตตวิเวกไปเรื่อย ซึ่งเมื่อประณีตเข้า ทดลองขยับนิ้วชี้เพียงหนึ่งเดียวให้เกิดกระทบช้าและแผ่วเบา ก็เพียงพอแล้วที่จะเลี้ยงสติรู้ มั่นคง ทรงปีติสุขเอกาได้อีกยืดยาว
ยิ้มอย่างปลาบปลื้มยินดี อย่างนี้เท่ากับเขาได้อุบายไว้ปฏิบัติ เลี้ยงสติให้อยู่ในร่องรอยความตั้งมั่นทั้งวัน เพราะเคาะมือหรือเคาะนิ้วนั้น ทำเล่นกันเป็นปกติไม่มีใครเห็นแปลกอยู่แล้ว แตกต่างกันก็ภายใน ที่จิตดำเนินอย่างรู้สติต่อเนื่องจนเกิดความสงบลงถึงปีติได้
นี่เป็นทำนองเดียวกันกับที่คนทั้งหลายหายใจกันตลอดเวลา แต่แทบไม่มีสักขณะที่รู้ว่าตอนไหนหายใจออก ตอนไหนหายใจเข้า จิตจะส่งออกเหม่อ หรือหมกมุ่นกับความรู้สึกนึกคิดอยู่ร่ำไป
เบาสบายไปทั้งตัวราวกับสลายตนกลมกลืนกับอากาศโดยรอบ รู้สึกสดชื่นตื่นเต็มบริบูรณ์ จิตเหมือนดำเนินมาติดตันกับความเบาเป็นปีติ ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้อีก
นี่ยังเพิ่งหัวค่ำ อีกนานกว่าจะง่วง นิสัยช่างอ่านทำให้ชายหนุ่มเลือกหยิบดูหนังสือที่ซื้อมาเรียงไว้เป็นตับบนชั้นวาง มีหลายเล่มที่ซื้อทิ้งไว้แบบหาเวลาว่างอ่านทีหลัง แต่ก็มีหลายเล่มที่ซื้อมาด้วยความสนใจด้านจิตวิญญาณในช่วงนี้
เลือกได้เล่มหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้พลังจิตที่ฝรั่งรวบรวมไว้ เอามานั่งพลิกๆหาหัวข้อน่าสนใจ การเผยแพร่เรื่องราวทางจิตวิญญาณอันลึกลับเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นทางสื่อต่างๆ เขาสามารถค้นอ่านได้มากมายทั้งจากสิ่งพิมพ์และสื่อกลางครอบโลกเช่นอินเตอร์เน็ต ข้อมูลแปลกใหม่ทั้งที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์น่าเชื่อถือ และทั้งที่มั่วไปมั่วมาตามหลักนักเดา กระจายตัวเกลื่อนกลาดดาษดื่น ซึ่งอะไรที่ดาษดื่นหาง่ายนั้น ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป แม้เคยถูกมองว่าเป็นสิ่งลี้ลับเข้าถึงยากมาก่อน
หนังสือเล่มที่กำลังอยู่ในมือเขากล่าวถึงพลังจิตอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เริ่มด้วยการชี้ให้เห็นว่าคนเราสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนระดับพลังกายได้ด้วยตนเองจากภาวะอารมณ์ต่างๆ เช่นเพิ่มกำลังขึ้นกว่าปกติมากมายเมื่อเกิดฮึดฮัดบันดาลโทสะเพราะถูกแกล้ง หรือเมื่อตื่นเต้นปีติมากๆตอนเล่นเกมกีฬาชนะ
ระบบพลังงานในร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน เข้าถึงให้ทะลุปรุโปร่งได้ยาก อย่างเช่นที่ต่อมต่างๆสามารถหลั่งฮอร์โมนและอัดฉีดไปทั่วร่างในเวลาอันรวดเร็วผ่านกระแสเลือด หากศึกษาเหตุปัจจัยและผลลัพธ์ผลต่างในแต่ละรายแล้วจะทราบว่าชวนอัศจรรย์ปานไหน
ว่ากันตามประสบการณ์ที่รู้ได้ในคนปกติ เมื่อฮอร์โมนบางชนิดเพิ่มระดับขึ้นมามากๆ จะมีผลทั่วไปทั้งกำลังวังชา ความไวของระบบประสาท ซึ่งเมื่อมองกันที่ความรู้เห็น ทุกสิ่งจะดูเหมือนแตกต่างจากเคย อย่างเช่นจับมองภาพมุมกว้างได้ชัดขึ้น เห็นรายละเอียดมากขึ้น
และเมื่อมีการตรวจวัดด้วยเครื่องไม้เครื่องมือจริงจัง ก็พบว่าผู้มีพลังจิตกระทำเรื่องเหนือสามัญเช่นหักงอช้อน หรือเคลื่อนย้ายวัตถุได้ ล้วนหลั่งฮอร์โมนออกมามากผิดมนุษย์มนา ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าความสามารถในการบังคับรูปวัตถุนอกตัวด้วยกำลังจิตนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยสิ่งที่แฝงเร้นในธรรมชาติความเป็นกายใจมนุษย์นี่เอง
ความแตกต่างคือน้อยคนนักจะรู้ทางเข้าถึงขุมพลังในตนเอง คล้ายเจ้าของที่ดินผู้ไม่รู้ว่าลึกลงไปใต้พื้นในอาณาเขตของตน คือบ่อน้ำมันกว้างใหญ่ไพศาล หรือถึงแม้ระแคะระคาย ก็จนปัญญาจะขุดขึ้นมาขาย เพราะขาดอุปกรณ์ ขาดความรู้ ขาดผู้แนะนำช่วยเหลือ
ปัจจุบันเป็นที่กล่าวกันทั่วไปว่าปฐมบทของการขุดพลังจิตขึ้นมาใช้ ต้องมาจากการควบคุมจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ ทว่าก็มี 'ของเล่น' บางอย่างที่อาจทำให้มั่นใจในเบื้องต้น ว่าทุกคนสามารถก่อพลังชนิดพิเศษขึ้นในเวลาอันสั้นและอาศัยสมาธิเพียงเล็กน้อย เพียงใช้บางจุดในร่างกายที่มีสนามพลังแรงอยู่แล้วในตัวเองให้เป็น
ขั้นแรกให้ถูฝ่ามือเข้าหากันแรงๆจนเกิดความร้อนสักครู่ แล้วแยกมือออกห่างสักหนึ่งฟุต จากนั้นจึงเคลื่อนช้าๆเหมือนจะให้มาประกบ แต่พอเข้าใกล้เกือบสัมผัส ก็ค่อยๆเลื่อนห่างออกจากกันอีก จังหวะใดจังหวะหนึ่งในระยะประชิดนั้นเอง ที่จะเกิดสนามพลังระหว่างฝ่ามือให้รู้สึกได้
เกาทัณฑ์อ่านขั้นตอนปฏิบัติจบก็วางหนังสือแล้วทดลองตามทันที โดยนั่งหลังตรง ถูมือจนร้อนแล้วแยกออกจากกันนิดๆ เขาเคยถูมือมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จับสังเกต ว่าหลังจากถูแล้วมีไอร้อนลอยวนอยู่ระหว่างฝ่ามือ คล้ายคลื่นที่ส่งออกมาปะทะกันระหว่างสองมือ
ชายหนุ่มแยกฝ่ามือที่หันเข้าหากันออกห่างประมาณหนึ่งฟุต แล้วขยับเข้าหากันเชื่องช้าเหมือนจะให้มาประกบกัน ยิ่งฝ่ามือใกล้กันเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ว่ามีแรงกระทำต่อกันเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามระยะ พอเข้าประชิด เหลือช่องว่างเพียงหนึ่งนิ้วฟุต แล้วขยับผละห่างจากกันอีกครั้ง หน่วยตาก็เบิกขึ้น เมื่อรู้สึกคล้ายแยกฝาแม่เหล็กสองข้างซึ่งมีแรงดึงดูดออกจากกัน
ขยับเลื่อนเข้าออกช้าๆหลายรอบจนแน่ใจว่ามิใช่อุปาทาน มีแรงดึงดูดระหว่างฝ่ามือกระทำต่อกันจริงๆ เกาทัณฑ์ก็ทดลองตั้งระยะฝ่ามือให้ห่างจากกันคงที่ แล้วกำหนดนึกให้พลังดึงดูดเข้มขึ้น ยิ่งหน่วงนึกถึงพลังนานเท่าไหร่ ความเข้มข้นก็ยิ่งทวีราวกับกำลังแม่เหล็กขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันก็สำเหนียกไอร้อนจัดที่แฝงมากับแรงกระทำ
หายสงสัยทันทีเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยพลังจากฝ่ามือ ไอร้อนอันเป็นพลังจากมนุษย์ด้วยกันนี่เอง คืออำนาจรักษาได้จริง หาใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์หรือการดลบันดาลจากสิ่งเหนือโลกชนิดใดเลย
ด้วยความเป็นคนช่างทดลอง เกาทัณฑ์อยากดูว่าไอร้อนนั้น เป็นเตโชธาตุที่อยู่ใต้การควบคุมของอำนาจการกำหนดนึกหรือเปล่า เขาคิดให้ความร้อนในมือเปลี่ยนเป็นไอเย็น พอนึกเท่านั้น ความเย็นก็แผ่กระจายเต็มมือเกือบจะทันทีทันใด ส่งผลให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างด้วยความสนเท่ห์ การเล่นสนุกทางจิตเป็นอย่างนี้เอง ทุกอย่างเป็นไปได้ ภายใต้อำนาจการควบคุมของจิตที่นึกคิดไปต่างๆ
แรงกระทำที่ส่งจากฝ่ามือนั้น เหนี่ยวนำเอาแรงกระทำจากจุดอื่นในร่างให้โลดเต้นขึ้นมาด้วย เกาทัณฑ์สังเกตว่าเมื่อสายตาเขาจับนิ่งไปยังวัตถุใด ก็จะมีสายพลังผลักออกกระทำต่อวัตถุนั้นๆ เขาทดลองมองพร้อมสำเหนียกถึงสายพลังระหว่างตากับวัตถุ ก็พบด้วยความตื่นเต้นว่าเห็นเป็นกระไอประหลาด คล้ายมองฝ่าคลื่นความร้อนเหนือยอดเปลวไฟฉะนั้น
เมื่อลองเล่นดูจนชำนาญ เกาทัณฑ์พบว่าพลังชนิดเดียวกันนี้ อาจถูกส่งออกจากจุดใดๆก็ได้ ขอเพียงกำหนดนึกไปที่จุดนั้น เช่นปลายนิ้ว กระหม่อม ฝ่าเท้า ฯลฯ เมื่อนึกถึงตำแหน่งที่ตั้งของอวัยวะหนึ่งๆแล้วกำหนดขับพลังออกมา ก็ได้ผลใกล้เคียงกัน แตกต่างเพียงความเข้มความอ่อนของแต่ละจุดเท่านั้น
กลับมาอ่านหนังสือต่ออย่างจดจ่อขวนขวายหาของเล่นเพิ่มเติม หนังสือให้คำแนะนำสั้นๆเกี่ยวกับการสร้างจินตภาพและวิธีบังคับการไหลเวียนของพลัง เช่นเพื่อหักงอช้อน เคลื่อนย้ายวัตถุขนาดเบา การบังคับให้เมฆปรากฏเป็นรูปทรงตามปรารถนา ตลอดจนกระทั่งการฝึกเพื่อแข่งนั่งสมาธิลอยตัวตามชมรมพลังจิตในต่างแดน เร้าความสนใจเอาเรื่อง
คว่ำหนังสือลงบนโต๊ะเล็กข้างตัว หันรีหันขวางแล้วนึกสนุกขึ้นมากะทันหัน ลุกขึ้นเดินไปหยิบช้อนมาคันหนึ่งจากหลังตู้เย็นแล้วกลับมานั่งที่เดิม จับด้ามช้อนไว้ในมือมั่น เพ่งพิศและคิดใคร่ครวญหาเหตุผลที่เหล่านักพลังจิตชอบเอาช้อนส้อมมาเล่นกันนัก
ทบทวนความรู้ที่พอจะเคยได้ยินได้ฟังมาจากหลวงตาแขวน พลังจิตก็คืออำนาจของการนึก เขาลองนึกให้ช้อนในมืองอ โดยกำหนดสำเหนียกพลังที่ขับออกมากับกระแสตา นึกไปๆจนหน้าท้องแขม่วเกร็งอึดอัด แล้วที่สุดก็เลิกนึกและหัวเราะพรืดหนึ่ง คิดในใจว่าของมันจะงอได้อย่างไร แข็งออกอย่างนี้ อย่าว่าแต่แรงนึกเลย ขนาดแรงมือซึ่งเป็นรูปธรรมด้วยกันก็คงต้องเกร็งกันมากหน่อยสำหรับช้อนโลหะชนิดแข็งตรงหน้า
หรือว่ากำลังจิตเขายังแกร่งน้อยไป อำนาจนึกจึงให้ผลเป็นความว่างเปล่า?
ชายหนุ่มลองคิดใหม่อีกครั้ง ถ้าช้อนคันนี้อยู่ในมือหลวงตาแขวนจะเกิดอะไรขึ้น เกจิอย่างท่านคงทำให้มันหักงอได้แน่ เขาเชื่อเช่นนั้น
จึงกำหนดจิตนึกใหม่ให้จริงจังกว่าเดิม ยึดเอาสัมผัสในตบะเดชะแห่งครูบาอาจารย์เป็นสรณะ กำด้ามช้อนมั่น ถ่ายเทความรู้สึกนึกคิดทั้งมวลไปที่ตัวช้อนอย่างเดียว เริ่มเห็นความโน้มเอียงบางประการ จับเหตุผลได้แล้วว่าทำไมจึงนิยมเอาช้อนมางอด้วยพลังจิตกัน ที่แท้ก็เพราะเมื่อจับมันไว้ในมือแล้วสร้างความเชื่อได้ง่ายว่าจะงอลงได้สำเร็จนั่นเอง คอช้อนดูแบบบางปานนั้น หัวช้อนที่ป้านออกและดูมีน้ำหนักเหมือนพร้อมจะช่วยถ่วงตัวงอลงมาดังใจนึกอยู่แล้วอย่างนั้น
เมื่อใคร่ครวญได้ความเห็นจริงดังกล่าว เกาทัณฑ์ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลอีกต่อไป เขาขยับตัวตรงและเพ่งความนึกคิดอย่างแน่วแน่ สร้างจินตภาพเหนี่ยวหัวช้อนลงมา และด้วยเพราะเพิ่งออกจากสมาธิได้ไม่นาน ทำให้มีกำลังจิตพอจะรักษาอาการนึกไว้ได้คงที่ เมื่อรู้สึกเกร็งหน้าท้องก็พยายามผ่อนมันออกเป็นอาการหายใจตามปกติ
แจ่มแจ้งในบัดดลว่าการทำสมาธิแตกต่างกับการใช้พลังจิตอย่างไร สมาธิคือการกำหนดจิตติดตามอาการที่เกิดขึ้นเป็นปกติของอารมณ์ เป็นต้นว่าลมหายใจมันไหลเข้าไหลออกอยู่แล้ว หน้าที่คนภาวนาก็แค่เฝ้าตามมันไปเรื่อยๆจนจิตแทรกเข้าไปรวมกับความเป็นอย่างนั้นของกลุ่มลม แต่การใช้พลังจิตนั้นเป็นการนึกให้เกิดผลบางอย่างที่ผิดธรรมดาต่อวัตถุที่ใช้เป็นอารมณ์ อย่างเช่นช้อนซึ่งเป็นรูปธรรมในมือเขาเดี๋ยวนี้ มันไม่มีทางงอเองได้เลย แต่เขาปรารถนาให้มันงอ เขามีจินตภาพที่สร้างขึ้นในใจ เห็นมันค่อยๆงอลง บีบบังคับให้มันยอมตาม ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่ามันเป็นสสารแข็งแรง มีเสถียรภาพอันยากจะดัดแปลงได้
เริ่มรู้สึกถึงสนามพลังที่เกิดขึ้นจากความเพียรนึกนั้น ทว่าไม่เข้มข้นขนาดสำเหนียกว่ามีอิทธิพลกระทำกับความแข็งของช้อน ช้อนแข็งยังคงเป็นช้อนแข็งในความเป็นจริง แม้ใจจะเห็นมันโน้มเอียงที่จะอ่อนลงอยู่บ้าง ทั้งนี้ก็คงเพราะความต่อเนื่องของการสะกดจิตตนเองให้เชื่อเช่นนั้น
เกาทัณฑ์จี้อาการเพ่งนึกเข้าไปที่ตัวช้อนอย่างไม่ยอมแพ้ รู้สึกว่าตนถลำลึกเข้ามาจนถึงขั้นต้องเอาให้ได้อย่างรุนแรงเสียแล้ว ความเด็ดเดี่ยวมุทะลุบังเกิดขึ้นท่วมท้น เขาไม่ลุกจากที่แน่จนกว่าจะสำเร็จ
การใช้พลังจิตเป็นเรื่องของการเสียพลังอย่างนี้เอง เขาเพ่งจนเหงื่อตก เกิดความปักใจเชื่อเข้มข้นขึ้นทุกทีว่าจะสามารถงอช้อนลงได้ โลกดูเปลี่ยนไป มีความอึมครึมอันเกิดจากสนามพลังที่อัดตัวแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ ศูนย์กลางการรับรู้มารวมแน่วอยู่ที่ช้อนจนตัวช้อนดูใหญ่โตผิดจากเดิมอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งเขารู้สึกงงเคว้ง แต่ก็ปรับสติให้เข้าที่ได้ดุลตามเดิมในเวลาอันสั้น เพราะเศษสมาธิยังเป็นฐานรองรับมั่นคงพอควร
และที่สุดจากความรู้สึกถึงสนามพลังที่กระจายรอบตัวเหมือนคลื่นน้ำ ก็กลายเป็นปึกพลังที่หนักแน่นจนเหมือนส่งกระแสคลื่นอันมีตัวตนไปเหนี่ยวจับเอาหัวช้อนได้ เขารู้สึกจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นอีกต่อไป อำนาจจิตหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง
เหมือนมีมือไร้ตนอยู่ในการควบคุม และเขาก็กำลังพยายามหักงอบางสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง การนึกจนมีจินตภาพเห็นมันค่อยๆงอลงนั่นเองเป็นตัวส่งพลังออกไป รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ไม่ยินยล เขากำลังจะทำสำเร็จอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว รู้สึกว่ามันกำลังจะสยบอยู่ใต้อำนาจนึกอีกอึดใจนี้แล้ว
อุ้งมือร้อนและแฝงพลังมากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วัตถุในมือกำลังถูกความร้อนและพลังกระทำในตัวเขาหลอมให้อ่อนลงและหักงอตามแรงประสงค์
ต๊อด!
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เกาทัณฑ์สะดุ้งสุดตัว โลกทลายลงทั้งใบ หัวใจเต้นถี่โครมครามเหมือนกำลังจะตาย เขาค่อยๆวางช้อนลงบนโต๊ะและเอื้อมมือไปยกกระบอกโทรศัพท์จากแป้นด้วยมือไม้สั่นเทางกเงิ่น
"ฮัลโหล…"
พูดแหบพร่าและสับสนมึนงง อาการรับโทรศัพท์เกิดจากความเคยชินเดิมมากกว่าเจตนา
"นี่แอ้นะคะ" เสียงจากฝ่ายโน้นก้องอยู่ในหูเหมือนปิศาจ "หายไปไหนมา มือถือก็ปิด รังเกียจกันแล้วหรือไง เพจเรียกก็เงียบไม่ตอบกลับ"
ชายหนุ่มนิ่งอยู่อึดใจ ค่อยๆเรียกสติคืนมาอย่างยากลำบาก
"เอ่อ..."
"หลับอยู่ล่ะซีท่า"
เลอะเลือนอยู่อีกพัก ก่อนกลับเข้าที่แบบเคว้งๆ
"แอ้เหรอ?"
"ค่า...แอ้เอง เมาหรือเปล่านะนั่น"
"อ้า...ก็คล้ายๆอย่างนั้น ผมขอเวลาล้างหน้าหน่อยได้ไหม แล้วจะโทร.กลับไปในห้านาทีนี้แหละ"
"ตามสบายค่ะ"
ฝ่ายนั้นตัดสวิทช์ไปฉับพลันอย่างมีอารมณ์หน่อยๆ ชายหนุ่มยังงงไม่สร่าง เหมือนกำลังเมาเหล้าอยู่จริงๆ การถูกปลุกจากภาวะจิตที่กำลังดิ่งลึกกะทันหันมันอันตรายอย่างนี้ คราวหน้าเขาต้องระมัดระวังมากขึ้น
ลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้า พอเริ่มแจ่มใสบ้างก็นึกเสียดายเป็นกำลัง เหมือนมีมารมาขัดจังหวะในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ทุกอย่างมันเข้าไคลอยู่แล้ว จู่ๆก็มีอันต้องพับฐานล้มเหลวไปอย่างง่ายๆ มันน่าบีบคอยายแอ้นัก ยามนี้หล่อนช่างไม่น่าพิศวาสเอาเลยจนนิดเดียว
ออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาและนั่งปรับสติอีกพักใหญ่ อย่างไรก็ได้รู้แล้วว่าภาวะเหนือสามัญวิสัยเป็นอย่างไร ต้องฝ่าฟันด้วยวิธีใดจึงได้มา ก่อนอื่นเขาต้องมีกำลังจิตเป็นพื้นพอประมาณ จากนั้นต้องสร้างจินตภาพให้แน่วแน่ เพ่งและเพ่งอยู่อย่างนั้น จนสนามพลังในตัวกลายเป็นปึกพลังเข้มข้นถึงขีด นั่นเองคงเป็นจุดที่ฮอร์โมนหลั่งออกมามาก คลื่นพลังเริ่มกระจายตัวจากขุมลับในกาย
อย่างไรก็ตาม ที่จุดนั้นไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เขาเพียงส่งพลังต่อไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าความร้อนในอุ้งมือหรือเปล่าที่เป็นกุญแจสำคัญ มันเกิดขึ้นในวินาทีที่ดวงจิตสัมผัสถึงความเป็นไปได้จริงที่ช้อนกำลังจะหักงอ ถ้าใช่ดังคิด คราวหน้าคงหาทางลัดได้ไม่ยาก มือคนเรามีอุณหภูมิให้รู้สึกอยู่แล้วเมื่ออยู่ในท่ากำ เพียงเพ่งเห็นความร้อนในมือไปเรื่อยๆควบคู่กับการสร้างจินตภาพบังคับช้อนให้งอ ภาวะแบบเมื่อครู่ก็คงเกิดเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
เกาทัณฑ์ต่อโทรศัพท์เข้ามือถือของหญิงสาวผู้นำความล้มเหลวมาให้ตามสัญญา
"ผมเต้พูดนะ"
น้ำเสียงของเขาเนือยนายเป็นอย่างยิ่ง อีกฝ่ายฟังรู้ทีเดียว
"จะออกมาเจอกับพวกเราไหม?"
หล่อนถามห้วน ชนิดที่เห็นหน้าคว่ำตาเขียวลอยมาทีเดียว
"พรุ่งนี้ทำงานไม่ใช่เหรอ?"
จงใจใช้เสียงเอื่อยเฉื่อยให้รู้ว่านั่นคือคำปฏิเสธ
"งั้นก็นอนหลับฝันดีไปแล้วกันนะคะ พ่อคนรักงาน!"
หญิงสาวตัดสวิทช์ไปอย่างคนสวยที่ชอบเอาแต่ใจตัว และเกาทัณฑ์ก็ไม่หลงเหลือความไยดีในตัวหล่อนเอาเลย ทั้งที่ติดหล่อนแจมาเป็นนาน อาจเพราะต่างคนต่างรู้ว่าแต่ละฝ่ายมีตัวเลือกสำรองอยู่เยอะกระมัง เขาพิศวาสรอยยิ้มและท่าทีเก๋ไก๋ ถูกใจสีสันหลากหลายในตัวหล่อน หรือจะบังคับให้รับว่าหลงใหลได้ปลื้มเป็นที่สุดก็ยอมล่ะ แต่ทั้งหมดนั่นก็แค่ทำให้แต่ละวันสดชื่นรื่นใจ จะมาเทียบอะไรกับแพตรีที่มีอิทธิพลขนาดเปลี่ยนชีวิตเขาได้ทั้งชีวิต
นั่งกะพริบตาทบทวนเหตุการณ์เหนือสามัญเมื่อครู่ บัดนี้สนามพลังอันเข้มข้นเริ่มจางตัวลง อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอย่างธรรมดากลับมา สิ่งที่เลือนไปก็คล้ายอุปาทานหรือฝันผ่าน ลังเลหน่อยๆว่าที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันใช่การก่อตัวของอำนาจจิตแน่หรือเปล่า
ความคิดเรื่อยเปื่อยสุดทางลงเมื่อเกิดแรงบันดาลใจอยากทำสมาธิขึ้นมาอีก ชายหนุ่มเข้าที่พริ้มตาหลับลงง่ายๆ กำหนดภาวนาเห็นสายลมหายใจเข้าออกด้วยวิธีการหายใจตามแบบหลวงตาแขวนสอน
งวดนี้เข้าท่ากว่าเดิม จริงๆแล้วเขาอ่อนเพลียน่าดูชมเหมือนกันที่เล่นพลังจิตไปเมื่อครู่ คล้ายเหนื่อยจากการวิ่งทางไกลหลายกิโลเมตรอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อทำความสงบกำหนดลมสบายๆ พอตัวความแช่มชื่นเกิดขึ้นกำลังก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว เข้าอกเข้าใจเดี๋ยวนั้นว่าสมาธิเป็นการประจุพลังกายใจอันยอดเยี่ยมเหนือวิธีอื่นใด
ความคิดฟุ้งซ่านสลายไปหมดสิ้นด้วยความอิ่มเอมเปรมใจในรสสมาธิ ดวงจิตทวีตัวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เกาทัณฑ์เรียนรู้ที่จะเพ่งนึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวด้วยพลังกายใจทั้งหมดมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปกับการเพ่งภาวนาตามสายลมหายใจเข้าออกอย่างนี้
นานสักครึ่งชั่วโมงในอาการทรงตัวแนบแน่นของขณิกสมาธิเฉียดอุปจาระ แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ขณะที่จิตเหมือนจะดิ่งลงสู่ความดึงดูดจากศูนย์กลาง มีพลังอะไรอย่างหนึ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้นในตัว มันปุบปับฉับพลันเหมือนการลั่นเปรียะของสายฟ้า ร่างของเขาคล้ายเกิดกลุ่มพลังมหาศาลขึ้นข้างใน มันแล่นปราดพรวดเดียวจับไปทั่วร่าง ยังผลให้เกิดสำนึกรู้สึกที่ผิดไป บอกตัวเองว่านี่อาจเป็นอาการหนึ่งของปีติ ให้ใจเย็นไว้ แต่มันก็ช่างคงที่จนเหมือนจะไม่แปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว
สำนึกของนายเกาทัณฑ์ถูกลบไปเกือบสิ้นเชิง รู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์ ทรงอำนาจร้าย พลังมหาศาลที่อัดแน่นในตัวทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมด แม้ลืมตาขึ้น ก็พบว่าพลังนั้นยังอยู่กับตัว ดูไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ความคิด ความเห็น และมโนภาพในตัวตนพลิกผันเป็นอื่นอย่างสิ้นเชิง ณ เวลานั้นสำนึกและโลกทัศน์เยี่ยงมนุษย์ธรรมดาสาบสูญไปหมด เหลือแต่การรับรู้ถึงอำนาจ ความแข็งกร้าว และความต้องการแบบดิบๆ เป็นอีกอัตตาที่ชวนคร้ามเกรงยิ่ง
หยิบช้อนขึ้นมาด้วยเจตจำนงเดิมอันค้างคา สัมผัสถึงปึกพลังอันแน่นหนาราวกับผาหินในตน ก้มหน้าลงจ้องช้อนด้วยลูกตาเบิ่งโปนถมึงทึง แค่กำหนดเรียกความร้อนในอุ้งมือก็บันดาลพลังร้อนมากมายชวนกระหยิ่ม รูปช้อนดูแปลกไปเป็นคนละอย่างกับเมื่อก่อน ส่วนเว้าส่วนโค้งของหัวช้อนที่เข้าตาช่างพิลึกกึกกือ สีสันของสิ่งรอบข้างเข้มชัดและดูทะมึนประหลาด เกาทัณฑ์ทุ่มพลังนึกให้ช้อนงอลง มันเป็นคำสั่งที่เด็ดขาดแน่วแน่ ไม่หลงเหลือความลังเลสงสัย ไม่เจือปนความคิดอื่นใดแม้แต่น้อย
ในภาวะอันถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มพลังยิ่งใหญ่เช่นนั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกเลยที่ช้อนมันงอลงต่อหน้า งอทีละน้อยแต่ลงเรื่อยคงที่กระทั่งเกือบจรดด้าม จิตจึงบอกว่าจบงาน ถอนกำลังออกมา
แล้วสำนึกแบบเดิมๆก็คืนกลับ กลุ่มพลังแรงสูงที่จับไปตลอดกายหายไป กระแสธารแห่งความคิดหลั่งไหลเป็นปกติ มโนภาพของนายเกาทัณฑ์ฟื้นคืน มิใช่ยักษาผู้ทรงฤทธิ์ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป
เกาทัณฑ์หายใจโดยปราศจากอาการหอบ จังหวะเต้นของหัวใจยังเป็นปกติ เขามองช้อนที่เห็นงอก่องอขิงเหมือนเพิ่งตื่นจากหลับ มันงอลงแล้วจริงๆ หาใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด ยามนั้นบรรยายความรู้สึกยาก ไร้ความตื่นเต้นทะนงตัวที่จู่โจมทันควันดังควร เป็นแค่ความเฉยเมยชอบกล ดูแล้วดูอีกให้แน่ใจว่าช้อนมันงอแน่ งอเกือบพับลงมาทับด้ามทีเดียว
ทำไมถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้วิเศษ?
เอนตัวหลับตานอนบนพื้นพรมนั่นเอง อ่อนเพลียเหลือเกิน พลังชีวิตขอดแห้งไปสิ้น ความเหนื่อยล้าคล้ายมีแรงดึงมหาศาลฉุดเขาเข้าสู่ภาวะดับสติปุบปับ เหมือนตายอย่างไรอย่างนั้น
คืนวันจันทร์ อังคาร และพุธเขามีเวลาว่างที่จะทำสมาธิเต็มที่ แต่คืนวันพฤหัสกับศุกร์ต้องไปสอนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัย กลับมาก็เปลี้ยเพลียเต็มแก่ ไหนจะงานประจำตอนกลางวัน ไหนจะงานสอนตอนกลางคืนซึ่งเผอิญต้องคุมแล็บกันเหน็ดเหนื่อย นั่งจับอารมณ์แค่ห้านาทีก็ต้องโงนเงนลุกขึ้นพุ่งตัวใส่ที่นอนแล้ว
มีความเข้าถึงภาวะรวมตัวแบบลุ่มๆดอนๆ เขาพยายามควบคุมคำพูด และการกระทำให้อยู่ในร่องในรอยที่พระอาจารย์กำหนดไว้ถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่วายมีเรื่องรุงรังรกใจ ก่อนิวรณ์ขัดขวางความก้าวหน้าในสมาธิจนได้ ในเมื่อยังต้องคลุกคลีอยู่กับหมู่คนที่ต้องการปลดภาระบนบ่าของตนไปไว้บนบ่าคนอื่น
เคยลองเอาช้อนมางอด้วยพลังจิตดูอีก แต่ก็ไม่อาจรวมกลุ่มพลังให้เป็นปึกแผ่นได้เลย ท่าทางเขาจะได้เป็นผู้วิเศษแค่คืนเดียวเท่านั้นล่ะกระมัง? ได้แต่เก็บช้อนไว้ในตู้โต๊ะหัวเตียงอย่างดี และคงไม่อาจนำไปโฆษณาว่านั่นเป็นผลของพลังจิต เพราะทุกคนที่ได้ยินจะหัวเราะก๊ากและบอกว่ามันเป็นพลังมือต่างหาก
การรวมจิตส่วนใหญ่อยู่ในขั้นขณิกสมาธิ จะถึงอุปจารสมาธิบ้างก็แบบแป๊บๆ ที่จะประคองรักษาสภาวะให้แนบแน่นนับชั่วโมงยังเป็นสิ่งไกลเกินเอื้อม จึงกระวนกระวายนิดๆ ว่าเท่าที่ทำได้นี้หลวงตาแขวนท่านพอใจแล้วหรือยัง
ชายหนุ่มหวังไว้มากเหลือเกินเรื่องพิสูจน์ภพชาติ ไม่อาจทราบว่าพระอาจารย์ท่านจะสอนแบบไหน หรือมีวิธีการพิสดารประการใดในอันที่จะเปิดหูเปิดตาเขา มีแต่ความมั่นใจอย่างเดียวว่าท่านต้องทำตามที่รับปากได้แน่ ตัวเขาเองเท่านั้นแหละมีปัญญาทำจิตให้ถึงระดับที่ท่านกะเกณฑ์เป็นเงื่อนไขไว้หรือไม่
ถึงกำหนดวัน เกาทัณฑ์ตื่นนอนตอนตีสามด้วยความวิตกอยู่ลึกๆ ลองนั่งสมาธิอีกครั้งก่อนจะไปพบพระอาจารย์ คงรอไม่ไหวหากท่านบอกว่าจะต้องปฏิบัติให้ได้ดีกว่านี้ ซึ่งอย่างต่ำๆก็ต้องรอไปอีกอาทิตย์หนึ่ง อย่าว่าแต่อาทิตย์หนึ่งเลย พรุ่งนี้เขาก็ขาดใจเสียก่อนแล้ว
ทำสมาธิได้ผล มีความอิ่มเอิบพอประมาณ สำรวจดูความเป็นไปและประเมินความก้าวหน้าถึงขั้นนี้ ก็ได้ความว่าตนสามารถทำจิตให้ถึงอุปจารสมาธิอย่างอ่อนๆในช่วงกำหนดลมประมาณห้าสิบครั้ง ซึ่งนับว่าดีกว่าวันแรกๆซึ่งต้องใช้ช่วงลมอย่างต่ำกว่าร้อยหรือสองร้อยครั้ง เสียตรงที่หน่วงภาวะผนึกแน่นแห่งจิตอันเอิบอาบปีติสุขล้นหลามนั้นได้ราวสามสิบช่วงลมก็สลายแรงดึงดูดลง และยากจะเอากลับมาใหม่
อีกอย่างที่นับเป็นความก้าวหน้าคือการมีสติควบคุมนิมิตได้มั่นคง เมื่อเริ่มเกิดอาการเปลี่ยนแปลงภาวะจิต ปราศจากความมึนงงและนิมิตบิดเบี้ยวทั้งปวง สามารถติดตามวิถีจิตไปตลอดสายโดยไม่คลาดเคลื่อน หน่วงยึดแต่ลมหายใจเป็นสรณะอย่างเหนียวแน่น ด้วยความสังเกตรู้ว่าความสม่ำเสมอของการเห็นอารมณ์คือปัจจัยหลักในการรักษาสภาวะให้คงที่
อาบน้ำล้างหน้าอย่างดี อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว หากพระอาจารย์ท่านยังไม่พอใจก็สุดวิสัยจะทำประการใดให้ดีขึ้นกว่านี้
แวะซื้อดอกไม้ธูปเทียนและข้าวถุงกับอาหารแห้งที่ตลาดใกล้ซอยบ้านปู่ชนะ เพิ่งเกือบหกโมงเท่านั้น หวังว่าจะได้ใส่บาตรเช้าสักที ครั้งสุดท้ายที่ใส่บาตรพระนานเท่าไหร่ก็ลืมไปแล้ว วันนี้กำลังสดชื่นและอยากได้ฤกษ์งาม จึงตั้งใจจะไปดักขบวนพระแถวหน้าวัดเลยทีเดียว
ชาวบ้านแถวนั้นตั้งโต๊ะเตรียมใส่บาตรกันแทบจะหลังเว้นหลัง เดี๋ยวนี้หาดูชาวบ้านรอทำบุญกันเป็นทิวแถวได้ยากแล้ว มีแต่ที่ต่างจังหวัดซึ่งก็เริ่มร่อยหรอเช่นเดียวกับในกรุงเทพฯ
ดีใจจนบอกไม่ถูก เมื่อผ่านหน้าบ้านปู่ชนะเห็นใครคนหนึ่งยืนรอใส่บาตรเช่นเดียวกับชาวบ้านละแวกเดียวกัน เกาทัณฑ์เปลี่ยนความตั้งใจที่จะไปรอขบวนพระถึงหน้าวัดทันที จอดรถไว้ใต้ร่มไม้ของอีกฝั่งถนนแล้วเปิดประตูลงมา
"สวัสดีฮะแพ"
เขาทักมาจากอีกฝั่ง หญิงสาวยิ้มให้
"ค่ะ สวัสดี"
"ขออาศัยโต๊ะวางของด้วยคนนะ"
แช่มชื่นเหมือนงานรื่นเริงตามเทศกาล มีผู้คนมากมายรอคอยทำบุญ แม้ห่างกัน ก็ร่วมบรรยากาศเดียวกัน เป็นเช้าที่อากาศดูโปร่งโล่งเย็นสบายไปทั่วฟ้า เกาทัณฑ์เปิดประตูตอนหลังและเดินข้ามถนน นำเครื่องของไปวางบนโต๊ะหน้าหญิงสาวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
"ปู่ตื่นหรือยัง?"
"ตื่นตั้งแต่ก่อนตีสี่ทุกเช้าแหละค่ะ แต่ท่านจะลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิไปจนถึงเจ็ดโมงเป็นอย่างต่ำ"
"โอ้โฮ นั่งเก่งนะฮะ…แล้วท่านไม่มาใส่บาตรกับแพบ้างหรือ?"
"เลือกเฉพาะวันพระน่ะค่ะ"
"แพคงทำเป็นประจำทุกเช้าเลยสินะ?"
"แค่เกือบเท่านั้น บางวันก็ตื่นสาย หรือต้องทำธุระอื่นเหมือนกัน"
"สั่งสมบุญไว้เยอะน่าดูเลย"
เขากล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
"ไม่เท่าไหร่หรอก ต้องคุณยายคนนั้นสิคะ"
หล่อนหันหน้าไปทางหน้าบ้านติดกันขวามือ ชายหนุ่มมองตามและเห็นคุณยายผมขาวใส่แว่น รูปร่างอ้วนท้วน นั่งประจำที่เตรียมใส่บาตร ล้อมรอบไปด้วยเด็กสาวๆผู้เป็นบริวารคอยช่วย หลายคนในกลุ่มนั้นเมียงมองมาทางเขาและแพตรีเช่นกัน
"เชื่อไหม ท่านใส่บาตรตั้งสามสิบกว่าปีไม่เคยขาดสักวัน ต่อให้เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ให้เด็กเข็นรถออกมาดูคนอื่นใส่บาตรแทนใกล้ๆ"
เกาทัณฑ์อึ้ง คนปกติที่ไหนทำได้ถึงปานนั้น สามสิบปีไม่ขาดสักวัน!
"ต้องมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจแน่เลยใช่ไหมฮะ?"
"สามีคุณยายเสียตั้งแต่ยังอยู่ในวัยกลางคนน่ะค่ะ ก่อนเสียเคยสัญญากันต่อหน้าพระพุทธรูปไว้ว่าถ้าใครตายก่อนจะมาบอกอีกฝ่ายว่าไปอยู่ที่ไหน สัมปรายภพมีจริงหรือไม่ แล้ววันหนึ่งท่านก็เห็นสามีมาหาในฝัน ฉายราศีสวรรค์งดงามมาก บอกว่าตอนนี้อยู่เบื้องบน มีความสุขสบายเหลือล้น ถ้าอยากมาอยู่ด้วยก็หมั่นทำบุญสุนทานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำแล้วก็ย้ำอธิษฐานมาอยู่ร่วมกันข้างบน นับแต่นั้นมาชีวิตของท่านก็ประกอบแต่งานบุญ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสารพัดพิธี เห็นอย่างนี้สติยังแจ่มใสมากเลยนะคะ"
เกาทัณฑ์ฟังเพลิน แก้วเสียงหล่อนเหมือนเครื่องดนตรีสักชิ้นที่เล่นยาวแล้วเปลี่ยนอารมณ์คนฟังให้เป็นกุศลได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
"คนใจบุญอยู่บ้านติดกันอย่างนี้ก็ยิ่งดีสิฮะ แพคงสนิทกับแกมากนะ"
"ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่แหละค่ะ"
พระองค์แรกเดินมาถึงบ้านคุณยาย แพตรีรีบถอดรองเท้าเตรียม เกาทัณฑ์เห็นหล่อนทำอย่างนั้นก็ชักเงอะงะไป เขาใส่คัทชูมา ถ้าถอดก็เกรงถุงเท้าจะเปื้อน จึงตัดสินใจใช้วิธีถอดแล้วเหยียบไปบนรองเท้านั่นเอง ซึ่งแพตรีก้มลงมาเห็นแล้วก็ยิ้มขัน
"ผมทำผิดเหรอฮะ?"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความร้อนตัวกลัวเปิ่นเทิ่น
"ท่านให้ถอดรองเท้าเพราะไม่อยากให้เรายืนสูงกว่าพระซึ่งยืนเท้าเปล่าน่ะค่ะ คุณทำแบบนี้ใส่อย่างเดิมจะดีกว่า"
"อ้าว! เหรอฮะ นึกว่าถอดแสดงความเคารพ"
หญิงสาวหัวเราะนิดหนึ่ง ก่อนสำรวมสงบ เกาทัณฑ์ตัดใจยอมให้ถุงเท้าเปื้อนดิน ก้าวออกมายืนบนพื้นเต็มๆฝ่าเท้า แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ายอมเปื้อนเพื่องานบุญนี่อิ่มใจแปลกๆ เลิกเป็นหนุ่มสำรวยกลัวถุงเท้าสกปรกได้โดยไม่ต้องฝืน
เกาทัณฑ์คุ้นหน้าพระองค์นั้น ท่าทางมีอายุแล้วพอควร ท่วงทีเดินเหินดูมีสติสำรวมน่าเลื่อมใส ไม่ช้าไม่เร็วและก้มมองต่ำอยู่ตลอดเวลาอย่างมีสมณสารูปอันงาม ต่างกับพระกรุงทั่วไปที่ชอบเดินท่อมๆอย่างคุ้นชินกับวิธีเดินสมัยเป็นฆราวาส ท่านคงอยู่ที่วัดทางนฤพานนั่นเองจึงมีราศีความเป็นพระฉายให้เห็นเช่นนี้
"นิมนต์ด้วยครับ"
เกาทัณฑ์แสดงความรู้ออกมาหน่อย รีบชิงส่งเสียงนิมนต์พระตั้งแต่ท่านเพิ่งปิดบาตรจากบ้านคุณยายราวกับเกรงว่าช้าไปจะต้องให้แพตรีเป็นฝ่ายใช้เสียง หญิงสาวเบือนหน้าไปซ่อนยิ้มทางอื่น พวกเด็กหน้าบ้านโน้นปิดปากหัวเราะกันคิกคักและมองมาเขาด้วยประกายขัน
เมื่อหลวงพ่อมาถึงและเลิกชายจีวรแง้มฝา แพตรีตักข้าวในขันด้วยทัพพี ยื่นใส่ลงไปในลูกบาตรซึ่งกำลังอวลไอข้าวกรุ่นของญาติโยมคนก่อนๆ ภาพที่เห็นและกลิ่นที่ได้รับกับบรรยากาศรอบข้างทำให้ชายหนุ่มมีจิตใจสบายเป็นกุศลยิ่ง มันเป็นกลิ่นไอการทำบุญที่ชาวกรุงใจกลางเมืองทั่วไปเห็นทีจะสัมผัสได้ยาก เมื่อถึงคราวเขา เกาทัณฑ์นำถุงอาหารส่วนของตนวางบนฝาบาตรที่ท่านหงายรับแล้วพนมมือไหว้
แพตรีวางขันข้าวลงบนโต๊ะ ยอบกายลงคุกเข่าพนมมืออย่างรู้ว่าองค์นี้ท่านสวดสัพพีสั้นๆให้เสมอ เกาทัณฑ์รีบทำตาม เขาได้ทำบุญร่วมกับหล่อนอีกแล้ว
"พระที่บิณฑบาตแถวนี้มาจากวัดทางนฤพานแห่งเดียวหรือเปล่านะแพ?"
ชายหนุ่มถามเมื่อหลวงพ่อท่านเดินจากไปและต่างลุกขึ้นยืน
"ใช่ค่ะ แห่งเดียว"
"เป็นวาสนาของชาวบ้านแถวนี้นะ ได้ทำบุญกับพระแท้ แพรู้ไหม เวลาที่ผมรู้สึกว่าจิตใจเป็นกุศลมากๆอย่างนี้ ใครมาพูดเรื่องสวรรค์ให้ฟังนี่มันโน้มเอียงไปเชื่อได้ง่ายๆเลย"
หญิงสาวพยักหน้า แล้วเขาจะเข้าใจเองว่าจิตชนิดที่เป็นตัวสร้างสวรรค์ย่อมให้กลิ่นอายสวรรค์ในตัวเอง อย่าพักต้องรอให้ใครพูดถึงเลย มันเกิดความรู้สึกขึ้นมากลางใจได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
"แพ"
"คะ?"
"รู้ไหมทุกครั้งที่ผมทำบุญร่วมกับคุณ ผมอธิษฐานว่ายังไง"
หล่อนสงบคำ สายลมระลอกน้อยรำเพยผ่าน เกาทัณฑ์กล่าวต่อโดยไม่เหลียวมา
"ผมขอให้มีโอกาสร่วมทำบุญกับแพตลอดไป ยังไม่รู้หรอกว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า แต่ถ้ามี คำว่าตลอดไปของผมก็ขอจองเอาทุกภพทุกชาติสืบไปตราบจนเราสองคนเข้าถึงพระนิพพาน"
แพตรียังสงบเป็นปกติ เกาทัณฑ์ยกมือพนมจรดหน้าผาก กระแสใจที่แผ่จากร่างนิ่งนั้นอ่อนโยนทว่าหนักแน่นนัก น่าแปลกที่เผอิญมีสายลมกรูเกรียวเกิดขึ้นในบัดดล ทำให้กลุ่มผมและชายกระโปรงของแพตรีพลิ้วไสวตามแรง หญิงสาวนิ่งสงบดุจเดิม แต่ริมฝีปากค่อยๆสยายออกเป็นรอยยิ้มงามละมุน ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อเกาทัณฑ์หันมาเห็น ก็รู้สึกในชั่วขณะนั้นว่าแพตรีสวยเกินจริงราวกับไม่ใช่มนุษย์
|