Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
15 November 2024, 05:20:30

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,424 Posts in 12,831 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง  |  รักแท้มีจริง โดย ท่านดังตฤณ
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: รักแท้มีจริง โดย ท่านดังตฤณ  (Read 1362 times)
Smile Siam
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 331


View Profile
« on: 22 December 2012, 07:03:41 »

คำนำสำนักพิมพ์

โหยหาความรักกันบ้างไหม?

ไม่ต้องสันนิษฐาน ก็รู้ว่าส่วนลึกของทุกคนปรารถนาไออุ่นในรัก แต่คล้ายความรักจะประกาศกับโลกว่าถ้าอยากได้ไออุ่น ก็ให้เอาน้ำตามาแลก!

ความเข็ดหลาบน่ะหรือ? เมินเสียเถิด กลิ่นหอมหวานเย้ายวนแห่งรักเหมือนมนต์มายา ที่ครอบงำและสะกดจิตมนุษย์ให้หลงเวียนวนปรารถนาไม่รู้เลิก จินตนาการอ่อนละไมไม่เคยหายไปจากใจคน จะนานจนเข้าใกล้วัยชราก็หาได้โรยแรงวาดฝันไม่

ทุกครั้งที่เจอใครสะดุดตาผ่านเข้ามาในชีวิต จะชวนให้อดถามตัวเองไม่ได้ ว่าคนนี้ใช่ไหม?

ใช่หรือไม่ใช่ เอาอะไรมาวัดกัน?

มีรักไม่ได้หมายความว่าจะสมหวังในรัก ไม่แม้แต่จะประกันว่าได้ลิ้มรสแห่งรักแล้ว กระทั่งพิธีสมรสก็ไม่แน่ ว่าเป็นงานประกาศข่าวมงคลอย่างเป็นทางการ หรือเป็นแค่งานหลอกตามหาชนให้หลงร่วมแสดงความยินดี โดยไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริงอยู่ที่ตั่งรับน้ำสังข์เลยด้วยซ้ำ!

หันไปทางไหน ก็ชินตากับการเห็นคนร้องโอดโอย แขนขาถูกกับดักแห่งรักตรึงแน่น ยากขนาดไหนกับการเจอคนยิ้มหวาน แหวกว่ายสำราญในทะเลอมฤตอันขุดสร้างขึ้นด้วยสองหัวใจ

แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?

ถ้าความเข้าใจอันใดจะนำไปสู่คำตอบทั้งหมด พวกเราก็แสวงหาความเข้าใจนั้น เช่นเดียวกันกับทุกคนบนโลก

งานเขียนของคุณดังตฤณให้ความเข้าใจหลากหลาย และหนึ่งในนั้นก็เป็นเหตุผลที่ตรงไปตรงมา ทดลองและเห็นตามได้จริง ไม่ได้เป็นแค่ปรัชญาที่เอาไว้แขวนผนังคู่กับรูปสวยเพื่อยืนแหงนหน้าดูอย่างเดียว

พวกเราเคยคัดข้อเขียนของคุณดังตฤณเกี่ยวกับความรัก และได้จัดพิมพ์เป็นเล่มแจกฟรีมาก่อน ได้แก่ ‘วาทะดังตฤณ’ ฉบับความรักหลากสี และ ‘ดังตฤณวิสัชนา’ ฉบับรู้จักรัก พบว่าได้ทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นในวงกว้าง เป็นประโยชน์อย่างที่พวกเราเองก็คาดไม่ถึง

คุณดังตฤณเองก็แสดงความชื่นชมกับการคัดสรรของพวกเรา และได้เห็นผลตอบรับจากคนอ่านหน้าใหม่ๆ ว่าเกิดแรงบันดาลใจอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพียงใด ฉะนั้น คุณดังตฤณจึงดำริจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรักขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ให้ครอบคลุมที่มาที่ไปของความรักอย่างครบถ้วนในเล่มเดียว ไม่กระจัดกระจายเหมือนชิ้นงานเกี่ยวกับความรักอื่นๆ

และด้วยดำรินี้ของคุณดังตฤณ พวกเราจึงเห็นควรที่จะร่วมมือร่วมใจกัน ก่อตั้งสำนักพิมพ์ฮาวฟาร์ขึ้นมา โดยมี ‘รักแท้มีจริง’ ซึ่งคุณกำลังถืออยู่นี้ เป็นการประเดิม และจะได้ทยอยจัดพิมพ์งานใหม่ที่ทรงคุณภาพอื่นๆออกมาต่อไป โดยมีความมุ่งหวังสำคัญ คือจะได้มีส่วนในการเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้นบ้าง

ชายหญิงไม่ได้มาจากดาวคนละดวง คนทั้งปวงเกิดจากความไม่รู้อันเดียวกัน ตลอดจนมีเหตุผลในการดำเนินชีวิตเหมือนๆกัน นั่นคือกิเลสสั่งให้ทำอะไรก็ทำ สำนักพิมพ์ฮาวฟาร์หวังว่าหนังสือ ‘รักแท้มีจริง’ จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลที่ถูกต้องของการพบรักแท้

หนังสือเล่มนี้อาจไม่ใช่มนต์เรียกความรักให้มาหาคุณในสามวันเจ็ดวัน เพื่อจากคุณไปในสามวันเจ็ดวัน แต่หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณใจเย็นลง ตลอดจนเต็มใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อพร้อมจะพบชีวิตคู่ที่เป็นสุข ไม่ใช่ยอมลงทุนลงแรง เสียเวลาคอย เสียเวลาคบ เพียงเพื่อได้อยู่กับรักที่เป็นทุกข์เหลือทน

สำนักพิมพ์ ฮาวฟาร์





ดังตฤณ

อารัมภบทแห่งรักแท้

ยังไม่ทันต้องรู้ว่ามีหรือไม่มีจริง คำว่า ‘รักแท้’ ก็ทำให้คุณฝันอย่างเป็นสุขได้แล้ว!

ระหว่างรักแท้กับนิทานรัก บางทีเรามักเอามาปนกัน ถ้าได้ยินได้ฟังนิทานโรแมนติกหรือนิยายรักอมตะเรื่องใดแล้วเกิดความประทับใจมากๆ ส่วนลึกของเราก็มักรอความรักแบบนั้นๆโดยไม่รู้ตัว

ตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองนะครับ มีรักแท้ในนิทานอยู่สองเรื่องที่ประทับใจ และคาดว่าจะยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำไปจนตาย วันนี้จะเล่าให้ฟัง

นิทานรักเรื่องแรกเล่าผ่านเสียงเพลง Tie a Yellow Ribbon Around the Old Oak Tree (ผูกริบบิ้นเหลืองรอบต้นโอ๊คทีนะ) เนื้อหาของเพลงกล่าวถึงรักแท้ที่ไม่แพ้กาลเวลา และเป็นรักที่ชนะแม้ความน่ารังเกียจเดียดฉันท์ของอีกฝ่าย

เรื่องมีอยู่ว่านักโทษคนหนึ่งเพิ่งออกจากคุก หลังจากติดอยู่นานสามปี และก่อนพ้นเขตทัณฑสถาน ก็ได้เขียนจดหมายถึงคนรักว่าตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว และสิ่งเดียวที่อยากรู้คือมีสิ่งใดที่ยังเป็นหรือไม่เป็นของเขาอยู่

หากเธอยังต้องการเขา ก็ขอให้ผูกริบบิ้นสีเหลืองไว้อันหนึ่งบนต้นโอ๊คในสนามหน้าบ้าน หากนั่งรถบัสผ่านมาแล้วไม่เห็นริบบิ้นบนต้นโอ๊ค เขาก็จะไม่ลงจากรถบัส และผ่านเลยไปเพื่อลืมเรื่องราวแต่หนหลังเสีย กับทั้งจะตำหนิตนเองที่ก่อเหตุให้ต้องลงเอยอย่างนี้ ไม่โทษเธอเลยที่ตัดสินใจอย่างนั้น

ทว่าเอาเข้าจริงพอใกล้จะถึงบ้าน เขากลับไม่กล้ามองคำตอบที่รออยู่ ได้แต่ไหว้วานคนขับรถให้ช่วยมองแทน ว่ามีสิ่งใดอยู่บนต้นโอ๊คระหว่างริบบิ้นกับความว่างเปล่า เขาได้รำพึงรำพันจนคนในรถได้ยินอย่างหมดเปลือก ว่าที่แท้เขาเป็นนักโทษที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ แต่เหมือนยังคงติดคุกอยู่ และมีเธอในบ้านหลังนั้นถือกุญแจดอกที่จะปลดปล่อยเขาออกมาจากกรงขัง

กุญแจดอกนั้นก็คือริบบิ้นสีเหลืองบนต้นโอ๊คซึ่งเขาเขียนมาขอไว้ เพียงมีริบบิ้นสีเหลืองอันเดียวบนต้นโอ๊ค เขาจะเป็นอิสระทันที…

เมื่อรับทราบความนัย คนทั้งรถเลยพลอยเป็นหูเป็นตาแทนให้พร้อมกัน ซึ่งหลังจากผ่านเวลาระทึก ทุกคนก็มาถึงเขตพิพากษา และบัดนั้นเองคนในรถก็พากันไชโยโห่ร้องลั่น ทำให้หนุ่มผู้รอคอยคำตอบต้องลืมตาขึ้น และแทบไม่เชื่อสายตากับภาพที่เห็น เพราะมีริบบิ้นนับร้อยทอประกายเหลืองอร่ามตอบรับสายตาอยู่บนต้นโอ๊ค!

ริบบิ้นหนึ่งอันจะน้อยไปกระมัง คนรักของเขาคงเกรงจะไม่เห็น จึงสู้อุตส่าห์ให้คำตอบที่หนักแน่นออกมาจากหัวใจที่ยังเปี่ยมด้วยความรักท่วมท้นขนาดนั้น!

เป็นความรักที่ยินยอมรอคอยด้วยความซื่อสัตย์มั่นคง ไม่แปรใจเป็นอื่นทั้งรู้ว่าคนรักของตนกลายเป็นไอ้ขี้คุกไปแล้ว…

เมื่อเนื้อร้องมาประกอบกับท่วงทำนองและจังหวะที่รื่นรมย์ผสมเศร้าได้อย่างลงตัว ทำให้นี่เป็นเพลงกินใจขนาดที่เกือบทุกคนฟังแล้วสะอึกอึ้งด้วยความตื้นตัน ถึงไม่เห็นตัวเธอ ก็เห็นภาพรักแท้ของเธอแจ่มชัดผ่านริบบิ้นนับร้อยที่ถูกบรรจงผูกไว้ ราวกับรักนั้นจะเข้ามาเบ่งบานเป็นนิรันดร์ในหัวใจคุณไปด้วย

เรื่องราวช่างน่าปลื้มจนอาจสะกดคุณให้ลืมนึกไปด้วยซ้ำใช่ไหมครับ ว่าอดีตหวานซึ้งชวนฉงนปานใด จึงบันดาลให้หญิงสาวปักใจรักชายสักคนได้มากมายปานนี้?

เพลงนี้โดนใจแฟนเพลงระดับโลกเลยล่ะ เริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๖ ด้วยยอดขายแผ่นเสียง ๓ ล้านชุดภายใน ๓ อาทิตย์ แถมออกอากาศอย่างต่อเนื่องแบบฮอตฮิตเป็นเวลา ๑๗ ปี! แม้กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังมีเปิดให้ฟังประปรายที่โน่นที่นี่ ทุกวันนี้คุณเองก็ฟังได้จากอินเตอร์เน็ตทันที โดยใช้ชื่อเพลง Tie a Yellow Ribbon Around the Old Oak Tree ค้นหาเอาจากเว็บแจกคลิปเช่น http://youtube.com

ความจริงก็คือเพลงนี้เสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นโดย เออร์วิน ลีไวน์ กับ รัสเซล บราวน์ ซึ่งกล่าวว่าได้ไอเดียเพลงจาก ‘เรื่องเล่าต่อๆกันมาอีกที’ ทว่านี่จะเป็นนิทานหรือตำนานปรัมปรามาแต่ไหนก็ตาม เพลงผูกริบบิ้นรอบต้นโอ๊คก็สะท้อนว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ยอมฟังนิทานเรื่อง ‘รักอมตะชนะกาลเวลามีจริง’ ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อชื่นชอบก็แปลว่าส่วนลึกของทุกคนหวังจะให้รักแท้มีจริง และอาศัยเพลงนี้เป็นเครื่องวัด รักแท้ในใจคนก็น่าจะหมายถึงความพิศวาส ความผูกพัน ความมีใจเดียวทนทานและท้าทายกาลเวลา โดยไม่ยี่หระว่าจะมีเรื่องเลวร้ายขนาดไหนดาหน้ามาพิสูจน์ ขอเพียงมีตัวตนของคนรัก ขอเพียงได้มาซึ่งตัวตนนั้น ที่เหลือจะดีหรือร้ายเพียงใดก็ไร้ความหมายสิ้นเชิง

จบนิทานรักเรื่องแรก มาถึงนิทานรักเรื่องที่สอง เรื่องนี้เล่าผ่านภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด Twilight Zone (แดนสนธยา) ชื่อเรื่องคือ To See the Invisible Man (เพื่อจะเห็นมนุษย์ล่องหนได้) ถ่ายทำตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ โรเบิร์ต ซิลเวอร์เบิร์ก

ตัวหนังบอกแต่แรกว่านี่เป็นโลกสมมุติ เป็นแดนสนธยา ซึ่งโลกนั้นผู้คนเต็มไปด้วยความโอบอ้อมและมีมนุษยสัมพันธ์อันดี กับทั้งรังเกียจพวกทำตัวแปลกแยกจากสังคมเป็นอย่างยิ่ง คณะผู้ปกครองจึงตรากฎหมายโหดๆออกมาข้อหนึ่ง คือให้ถือว่าความเห็นแก่ตัวไม่เอาใคร ไม่ยิ้ม ไม่ทักทาย ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเด็ก สตรี และคนชรา จัดเป็นอาชญากรรมที่ต้องถูกลงทัณฑ์ ๑ ปี โดยที่ระหว่างการต้องทัณฑ์นั้น ห้ามใครพูดคุยกับอาชญากร ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน คนเดินถนน ตลอดไปจนกระทั่งเหล่ามนุษย์ล่องหนด้วยกัน หากใครคุยด้วยจะพลอยได้รับโทษ ต้องกลายเป็นมนุษย์ล่องหน ๑ ปีโดยไม่มีข้อยกเว้น!

งานนี้แอบคุยก็ไม่ได้นะครับ เพราะในแดนสนธยาจะมีหุ่นสอดแนมทรงกลมลอยมาตักเตือน และถ้ายังขืนพูดคุยต่อจ้อไม่หยุดก็เสร็จเลย จะพลอยโดนลากตัวไปรับโทษตามกันทันที

ตัวละครเอกมีนามว่า มิทเชล แชปพลิน เริ่มเรื่องขึ้นมาคือฉากที่แชปพลินกำลังถูกตรึงข้อมือทั้งสองไว้กับแขนเก้าอี้ และโดนศาลไร้หน้าพิพากษาให้เป็นมนุษย์ล่องหนในข้อหา ‘ชาเย็นต่อสังคม’ ซึ่งโดยนิสัยของแชปพลินแล้ว เขาไม่ได้สำนึกผิดหรือกระทั่งแคร์กับบทลงโทษนั้นแม้แต่น้อย แถมยังแค่นหัวเราะเอ่ยเย้ยศาลเสียอีกว่าศาลเป็นบ้าหรือไง ที่คิดว่าทัณฑกรรมพรรค์นี้จะทำอะไรคนอย่างเขาได้

เครื่องหมายของมนุษย์ล่องหนคือแผลเป็นน่าเกลียดกลางหน้าผาก ใครก็ตามเห็นแผลเป็นนี้เข้าเป็นต้องหลีกหนีกันกระเจิดกระเจิง เพราะเกรงกลัวโทษของการเข้ามาสุงสิงกับมนุษย์ล่องหน ดังนั้นหลังกลับออกสู่โลกภายนอกพร้อมหน้าผากประทับตราบาป ก็ไม่มีใครกล้าหยุดทักทายเสวนากับแชปพลินเลย แม้แต่คนรู้จักที่เคยสนิทสนมกัน

ช่วงแรกแชปพลินออกจะสบอารมณ์ด้วยซ้ำที่ผู้คนแกล้งไม่เห็นเขา ปล่อยให้เขาทำอะไรล้ำเส้นแค่ไหนก็ได้ เช่น เมื่อพนักงานตักอาหารทำเป็นเมิน เขาก็กระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปเลือกตักอาหารเอาตามใจชอบ หรือเมื่อพนักงานสปาทำเป็นไม่สน เขาก็เข้าไปดูผู้หญิงแก้ผ้าในห้องอบไอน้ำ พร้อมกระเซ้าเย้าแหย่ต่างๆนานา โดยไม่มีสาวใดสบตาหรือแม้แต่จะกล้ากระโตกกระตากโวยวายเลยสักนาง

ทว่าวันเวลาผ่านไป ความครึกครื้นของการทำเรื่องเลวๆก็ค่อยๆหดหาย กลับกลายมาเป็นความรู้สึกว่าโลกเงียบเหงา ยิ้มเยาะโลกของแชปพลินค่อยๆหุบลงทีละน้อย เพราะไม่มีใครคุยกับเขาจริงๆ ไม่แม้แต่จะแสดงทีท่าว่าเห็นเขา เหมือนเขาแปรสภาพเป็นอากาศธาตุไปแล้ว นั่นเองบีบให้แชปพลินเริ่มหาคนคุยด้วย โดยเริ่มจากมนุษย์ล่องหนที่มีแผลเป็นน่าเกลียดบนหน้าผากเหมือนๆกัน แต่ไม่สำเร็จ เพราะทุกคนต่างหวาดกลัวการได้รับโทษเพิ่ม โอกาสเป็นอิสระจะกลับถูกยืดให้ห่างออกไปอีก

แชปพลินยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ชายตาบอดที่หลงทักทายเขา ให้โอกาสเขาเอ่ยนามแนะนำตัวหลังจากไม่ได้ยินชื่อตนเองมาเนิ่นนาน ก็ลุกหนีทันทีที่มีคนมากระซิบบอกว่ากำลังคุยอยู่กับใคร แถมด่าฝากทิ้งท้ายโทษฐานที่แชปพลินเกือบทำให้ตนพลอยซวยไปด้วย

เมื่ออดรนทนไม่ได้ พอเจอเพื่อนมนุษย์ล่องหนด้วยกันเป็นสาวน้อยหน้าตาบอกบุญไม่รับคนหนึ่ง แชปพลินก็ถลาเข้าไปอ้อนวอนแบบสิ้นท่า เหมือนขอทานไร้ศักดิ์ศรีที่ขอรับเพียงการพูดจาสนทนากับเขาสักแค่นาทีเดียว

แต่สาวน้อยหน้าบูดนางนั้นก็ตัดใจปฏิเสธโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ เดินหนีท่าเดียว ทั้งที่เห็นแชปพลินร้องไห้คร่ำครวญขอความเมตตาอยู่เช่นนั้น นั่นเพราะเธอกลัวบทลงโทษที่จะเพิ่มขึ้นเกินกว่าจะเห็นแก่มนุษยธรรมใดๆ

คืนหนึ่งขณะที่แชปพลินกำลังเดินโต๋เต๋ไปตามทางนั่นเอง เขาเห็นวัยรุ่นกวนเมืองกำลังขโมยรถคันหนึ่ง และเมื่อพวกนั้นเห็นรอยแผลเป็นบนหน้าผากของแชปพลิน ก็ขับรถที่ขโมยมานั่นเองไล่ชนแชปพลินเปรี้ยงเข้าให้ ผลคือแชปพลินขาหัก แต่หมอไม่รับรักษา และถูกปล่อยให้นอนบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ส่งเสียงร้องโหยหวนทั้งคืนโดยปราศจากคนเหลียวแล เพราะความเป็นความตายของนักโทษล่องหนมีค่าเท่ากับศูนย์ ไม่มีใครต้องรับผิดชอบหากมนุษย์ล่องหนต้องเสียชีวิตลงด้วยการถูกทอดทิ้ง

วันคืนอันเหน็บหนาวหฤโหดผ่านไป แล้วในที่สุดวันรับอิสรภาพก็มาถึง ใบหน้ากระด้าง แววตาชาเย็นเห็นแก่ตัว กับรอยยิ้มเย้ยโลกแบบเดิมๆหายไป แชปพลินกลายเป็นอีกคนที่แคร์คน ยิ้มเป็น อากัปกิริยาอ่อนโยนลง และพูดคุยกับคนรู้จักด้วยท่าทีเป็นมิตรมากมาย

เรื่องน่าจะจบด้วยดีสำหรับชายหนุ่มผู้ได้รับบทเรียนอย่างสาสมรายนี้ แต่ก็ไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่อแชปพลินเดินไปบนฟุตบาทอยู่ดีๆ ก็ปะเข้ากับเด็กสาวล่องหนที่เขาเคยอ้อนวอนขอคุยกับเธอ ทีแรกแชปพลินเบือนหน้าหนีแสดงท่าเพิกเฉยทันที เพราะไหนจะยังสยองกับโทษทัณฑ์ที่เพิ่งผ่านมาหยกๆไม่หาย และไหนจะแค้นเคืองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเธอปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยมาก่อน

แต่เธออยู่ในช่วงทรมานเกินทน จนยอมเป็นขอทานไร้ศักดิ์ศรีที่เรียกร้องคำสักคำหนึ่งจากเขา เธอวิ่งไล่ยื้อ วอนขอไม่ให้เขาหันหน้าหนี เขาจะพูดอะไรก็ได้ เธออยู่ตรงนั้น และไม่อยากเป็นมนุษย์ล่องหนอีกแล้ว

น้ำเสียงขมขื่นที่เกิดจากการผ่านคืนวันอันโหดร้าย ประกอบกับการหยุดยืนก้มหน้าร้องไห้อย่างสิ้นท่าของเธอ ทะลวงผ่านปราการแห่งความกลัวและความผูกใจเจ็บของแชปพลินได้สำเร็จ แม้เขาจะได้ยินหุ่นสอดแนมบินมาหึ่งๆ ชายหนุ่มก็ปลงตก ทิ้งกระเป๋าถือลงกับพื้นและเป็นฝ่ายหันกลับไปสวมกอดเด็กสาว ด้วยท่าทีของผู้พร้อมจะอยู่ตรงนั้นเพื่อให้ความอบอุ่นกับเธอ

เธอร้องไห้โฮและกอดตอบด้วยความขอบคุณ แชปพลินพร่ำบอกเธอด้วยถ้อยคำที่ครั้งหนึ่งเขาเคยโหยหา นั่นคือเธอไม่ใช่มนุษย์ล่องหน เขาเห็นเธอ เธอมีเลือดเนื้อและตัวตนให้เขาแคร์…

หุ่นสอดแนมก็ลอยต่ำลงมาขู่เป็นครั้งสุดท้าย ว่าหากไม่ออกห่างมนุษย์ล่องหน เขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์ล่องหนอีก แต่แชปพลินก็ไม่ได้คลายอ้อมแขนออก และยังคงปักหลักเป็นที่พึ่งให้แก่เธอ ทั้งรู้ชะตากรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนต่อไป

หลังจากชดใช้บาปแห่งการเป็นคนเห็นแก่ตัวมาหนึ่งปีเต็ม แชปพลินไม่ใช่แค่ดีขึ้น แต่กลายเป็นใครอีกคนที่ไม่อาจหาใครดีเท่า นาทีแห่งการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของแชปพลินประทับอยู่ในใจผมไม่รู้เลือน ขอเพียงคุณเข้าถึงความรู้สึกของแชปพลิน ก็เท่ากับคุณเข้าถึงชั่วขณะแห่งรักแท้อันอบอุ่นและงดงามยิ่งแล้ว

ในความเป็นจริง จะมีใครหน้าไหนยอมเป็นความอบอุ่นให้กับคนที่เคยทอดทิ้งตนไว้กับความเยียบเย็นเล่า?

หากดูเรื่องนี้อย่างพยายามถอดรหัสสัญลักษณ์ ก็จะพบว่าผู้ประพันธ์พยายามบอกว่าพวกเราเป็นมนุษย์ มีหัวใจและจิตวิญญาณที่น่าจะสูงส่ง แต่ก็มักละเลยหรือดูดายต่อเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ที่ด้อยโอกาสกว่า ราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน หรือเป็นเพียงอากาศธาตุ

เรื่อง To See the Invisible Man ฉายให้เห็นว่า ‘เพื่อจะเห็นคนไร้ค่าและได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขา คุณต้องมีน้ำใจยิ่งใหญ่ผิดมนุษย์ธรรมดา และเพื่อมีน้ำใจยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น คุณอาจจำเป็นต้องผ่านความทุกข์แบบเดียวกันมาเสียก่อน’

ประเด็นนี้สอดคล้องกับธรรมชาติกรรมวิบากอย่างดีทีเดียว คือถ้าคุณเห็นแก่ตัว วันหนึ่งคุณจะไร้ค่าและไม่มีใครเหลียวแล

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังให้บทสรุปทางความรักที่มีค่าน่าจดจำทีเดียวครับ นั่นคือ ‘ความอยากช่วยนั่นแหละ คือต้นทางของรักแท้!’ คุณจะเข้าถึงรักบริสุทธิ์ที่ไม่เจือด้วยเหยื่อล่อใดๆแม้กระทั่งเซ็กซ์ได้ก็ต่อเมื่อ ‘ใจดี’ มากพอเท่านั้น คุณสามารถดูคลิปได้ที่ http://youtube.com/watch?v=JSKKppfqQx0 นะครับ หนังจะตัดหลายฉากหน่อย แต่ก็รู้เรื่องตลอดตั้งแต่ต้นจนถึงฉากสำคัญสุดท้าย

เอาล่ะ! กล่าวถึงรักแท้ในนิทานพอเป็นกระสายไปแล้ว คราวนี้คงถึงเวลากล่าวถึงรักแท้ในโลกความเป็นจริงบ้าง

หนังสือเล่มนี้ตั้งใจบอกคุณว่า รักแท้ไม่ได้มีอยู่ก่อน และไม่เคยหายไปไหนเลย มันขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่ใครจะสร้างสำเร็จเท่านั้น

และเมื่อสร้างรักได้แล้ว คุณต้องรู้วิธีรักษาด้วย โดยการเข้าใจกฎธรรมชาติที่สำคัญประการหนึ่งคือ ถ้าไม่สร้างอนิจจังขาขึ้น คุณจะต้องประสบกับอนิจจังขาลงเป็นธรรมดา

แม้จะยังไม่พบรักแท้ในระหว่างอ่านหนังสือ อย่างน้อยก็ขอให้คุณสงบพอจะเป็นคนรอได้ เป็นสุขอยู่กับตัวเองได้ ไม่บุ่มบ่ามตามอารมณ์ และถ้าวันหนึ่งมีใครเคียงข้าง ก็ไม่สร้างทุกข์ให้กับเขาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เหมือนที่ผ่านมาครับ

ณ ย่อหน้าจบนี้ อยากเปิดเผยว่าที่เล่านิทานรักสองเรื่องให้ฟัง ก็เพราะอยากให้คุณอ่านหนังสือจบอย่างคนที่กำอำนาจสร้างรักแท้ไว้ในมือ ส่วนจะสามารถสร้างรักหวานซึ้งตรึงตราท้ากาลเวลาได้อย่างในเพลง Tie a Yellow Ribbon Around the Old Oak Tree หรือสร้างรักที่ยิ่งใหญ่ขนาดสอนโลกได้เหมือนในหนัง To See the Invisible Man อย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ขอให้เป็นรักแท้ก็แล้วกัน เพราะนั่นจะทำให้โลกที่กำลังขาดความรักอย่างรุนแรงใบนี้ ดูดีขึ้นกว่าเดิมเสียทีครับ

ดังตฤณ
พฤษภาคม ๒๕๕๑
______________________________________________________________________________
บทที่ ๑
รักแท้คือ…

รักแท้น่ะมีจริง แต่ที่จริงกว่าคือกิเลส!

รักแท้ในความรู้สึกของคนทั่วไป หมายถึงรักจริงหวังแต่ง แต่งแล้วอยู่กันยืดจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ที่สำคัญคือต้องมีความสุขกับการอยู่ร่วมกัน ไม่รังเกียจกันเลยตั้งแต่ต้นจนปลาย ทั้งนี้เพราะรักแบบชายหญิงหมายถึงความรู้สึกยินดีในอีกฝ่าย ส่วนคำว่า ‘แท้’ หรือ ‘จริง’ นั้นหมายถึงยืนยงคงกระพันไม่กลับเปลี่ยนเป็นอื่น

ที่กล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่ารักแท้มีจริง ก็เพราะเมื่อกวาดตามองบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ตามงานศพคนชรา คุณสามารถหาตัวอย่างคู่ครองที่เข้าข่ายข้างต้นได้ไม่ยากจนเกินไป แต่ถ้าพยายามถามไถ่ว่าทำไมจึงมีรักแท้เช่นนั้นได้ ก็อาจพบว่าพวกท่านใช่จะตอบให้คุณหายสงสัยง่ายๆ

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อแอบขุดคุ้ยเอาความจริงแบบเปิดอก ฝ่ายชายอาจบอกว่าฝ่ายหญิงเหมือนเทพธิดาในฝัน อยู่ใกล้แล้วทำให้รู้สึกแสนดีอย่างประหลาด และความรู้สึกแสนดีนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพร่างกายเลย กลับจะดีขึ้นทุกวันเสียอีก

ส่วนฝ่ายหญิงอาจเปิดอกในอีกห้องหนึ่ง ว่าอันที่จริงแล้วฝ่ายชายน่ารำคาญออกจะตาย เธอต้องปรับตัวเป็นสิบปีกว่าจะชินกับการอยู่ร่วมกับเขา แต่ความอบอุ่นและเสน่ห์จากฝ่ายชายก็มีพลังดึงดูดอย่างลึกลับ อย่างน้อยก็ไม่เคยทำให้เธออยากห่างเขาไป แม้จะเบื่อหน่ายระอิดระอากับความเป็นเขามิใช่น้อยก็ตาม

ลองถามคู่รักวัยชราที่อยู่กันมาหลายสิบปีให้ได้หลายๆคู่ แล้วคุณจะสับสนว่าเหตุผลของการอยู่กันได้ตลอดรอดฝั่งคืออะไรกันแน่ คำตอบอาจเป็นอะไรที่แม้แต่คู่แท้ก็นึกไม่ถึง หรือตอบถูกเพียงบางส่วน

เพื่อจับจุดให้ถูกว่ารักแท้เกิดจากอะไร ก็อย่าเริ่มมองสิ่งที่ไม่มีให้เห็น แต่ให้นับหนึ่งกันจากสิ่งที่จับต้องได้เสียก่อน ดังเช่นร่างกายอันเป็นพื้นยืนของการมีชีวิตมนุษย์ เริ่มต้นที่สุดเลยกายเปล่าๆไม่รู้จักความรัก ร่างกายรู้จักแต่ราคะ

หมายความว่าถ้าเอาร่างกายชายหญิงมาอยู่ใกล้กัน ความดึงดูดทางเพศจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครบงการ เพราะกายเป็นวัตถุทางเพศโดยตัวเอง มีพลังขับดันทางเพศในตนเอง ทำให้คุณเกิดสัญชาตญาณทางเพศเองโดยไม่ต้องเรียนรู้จากไหน ราวกับร่างกายเป็นวัตถุส่งพลังดึงดูดถึงกันได้ และพลังที่ว่านี้เองก็รบกวนจิตให้เกิดราคะกระสันอยาก กระทั่งต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามไปทำเรื่องบนเตียงในที่สุด

หากเป็นเหล่าสัตว์เดรัจฉานก็คงไม่ต้องมีพิธีรีตองกันมาก ถึงฤดูอยากเมื่อไรก็สมสู่กันให้เสร็จๆ ไม่ต้องเจรจากันมากความ ทว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้สึกได้ว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องต่ำ เป็นเรื่องของสัญชาตญาณดิบ ไม่ใช่สำนึกรู้สึกอันประณีต มนุษย์จึงต้องสกัดกั้นตนเองมิให้ตกต่ำด้วยการมีเซ็กซ์ไม่เลือกหน้าแบบสัตว์

โดยธรรมชาติมนุษย์เป็นผู้มีใจสูง มนุษย์จึงต้องการแสดงให้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เห็นว่าตนมีจิตสำนึกมากพอจะควบคุมสัญชาตญาณดิบ ยิ่งใครแสดงว่าควบคุมได้มากเพียงใด ใครๆก็จะยกย่องว่ามีจิตใจสูงส่งขึ้นเพียงนั้น แต่ถ้าไม่มีเอาเสียเลย ก็ถูกเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์หาว่า ‘ผิดปกติ’ เข้าให้อีกเหมือนกัน

ทางออกที่เหมาะสมคือ ‘มนุษย์ปกติ’ จะต้องมีความสามารถแปลงสัญชาตญาณดิบให้กลายเป็นจิตสำนึกที่สุกงอมแล้ว คือมีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่ครองในที่ลับ ไม่มีใครรู้เห็นหรือได้สิทธิ์ร่วมสนุกด้วย

ธรรมเนียมของการมีคู่ครองในหมู่มนุษย์นั้น เป็นเรื่องของภาพลักษณ์อันสง่าผ่าเผย ก่อให้เกิดความรู้สึกอันประณีตและมีศักดิ์ศรี นับแต่การสู่ขอหญิงสาวจากเจ้าของเดิมคือพ่อแม่ ไปจนกระทั่งจัดทำพิธีหมั้นเพื่อเป็นสัญญาระหว่างครอบครัว แล้วลงเอยด้วยพิธีแต่งงานประกาศให้โลกรู้ว่าจะมีการส่งตัวเข้าเรือนหอในที่สุด หาได้ฉุดกันมาหรือพากันหนีแต่อย่างใด

พูดให้สั้นที่สุด โดยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เซ็กซ์ต้องถูกเก็บไว้ท้ายสุด ศักดิ์ศรีต้องนำมาข้างหน้าสุด แต่ที่สุดของที่สุดคือเริ่มต้นด้วยเซ็กซ์ และลงท้ายด้วยเซ็กซ์อยู่นั่นเอง

บางคนอาจเถียงว่าไม่จริงเลย ตนเองไม่ใช่คนชอบเซ็กซ์ การแสวงหาคู่ครองของตนเป็นไปเพื่อให้ได้เพื่อนแก้เหงาเท่านั้น แต่ถ้าถามกลับว่า ‘แล้วความเหงามันมาจากไหน? ทำไมต้องเอาเพศตรงข้ามมาเคียงกัน?’ อันนี้คงทำเอาคนเถียงอ้ำอึ้งและอ้อมแอ้มตอบทำนอง ‘ก็เพื่อให้เป็นไปตามธรรมชาติ’

ธรรมชาติคืออย่างไร? ธรรมชาติคือทุกคนต้องมีเพศประจำตน ไม่หญิงก็ชาย ความเป็นเพศหนึ่งๆนั่นแหละ คือที่มาของความรู้สึกขาด ต้องการคู่ประกบ ต้องการส่วนเติมเต็มที่หายไปของเพศตน

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีเพศ ก็ขอให้ทราบว่านับจากตรงนั้นแหละ ที่ตัวคุณถูกออกแบบให้เหงา และความเหงาจะเป็นตัวการบีบให้คุณคิดถึงการแสวงหาคู่ ส่วนจะเจอคู่แบบไหน เพศเดียวกันหรือตรงข้าม อันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามชะตากรรม

สรุปคือก่อนมีความรักทุกคนมีราคะ ราคะเป็นของติดตัว ไม่ใช่สิ่งที่ต้องสร้างขึ้นภายหลัง รักแท้อาจมีจริงหรือไม่มีอยู่เลยยังต้องพิสูจน์หรือถกเถียงกัน แต่กิเลสราคะนี่ไม่ต้องพิสูจน์หรือถกเถียงที่ไหนให้เสียเวลา ทุกคนมีราคะหมด และสัญลักษณ์ของราคะก็คือการมีเพศนั่นเอง พอตายแล้วเกิดใหม่คุณอาจหลงลืมรักแท้ไปเสียสนิท แต่คุณจะไม่มีทางลืมราคะ ตราบเท่าที่ต้องอาศัยเพศชายหรือเพศหญิงเป็นเครื่องปรากฏในภพชาตินั้นๆ

และเมื่อความรักมีรากมาจากราคะ ความรักก็พังได้เพราะราคะเช่นกัน คู่รักจะเลิกกันก็ด้วยเหตุใหญ่สองประการ หนึ่งคือหมดความยินดีในคู่ของตน สองคือเกิดความยินดีในคนอื่นยิ่งกว่าคู่ของตน

รักแท้แม้ไม่จริงเท่ากิเลส แต่ก็สูงส่งเหนือกิเลสได้ ขอเพียงคุณเข้าใจและรู้วิธีสร้างความรักที่เป็นอิสระจากราคะ และเมื่อเป็นอิสระจากราคะก็ย่อมไม่พังเพราะราคะ กล่าวคือต่อให้คู่ของคุณหมดสมรรถภาพทางเพศ คุณก็จะยังคงรักเขาหรือเธอไม่เปลี่ยนแปลง หรือต่อให้ใครที่เลิศเลอกว่าคู่ของคุณผ่านเข้ามารบกวนจิตใจให้ไขว้เขว ในที่สุดคุณก็จะเห็นคู่ของคุณมีค่าเหนือกว่าอยู่ดี จะมีสัมพันธ์ทางเพศก็เฉพาะกับคู่ของคุณเพียงคนเดียว

โจทย์คือทำอย่างไรจะสร้างรักอันทรงพลังและมีอายุยืนให้เกิดขึ้น คำตอบคือเนื้อหาที่เหลือของหนังสือเล่มนี้ครับ



ท้ายบท

หวังว่าบทนี้คงช่วยให้คุณตื่นจากฝันส่วนตัว ที่เอาแต่นึกว่ารักแท้ไม่มี หรือมีก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเกินเอื้อม เพราะแท้จริงความรักก็คือกิเลสดีๆนี่เอง

เมื่อคุณมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ถึงเวลาพร้อมจะยอมเล่นตามเกมของความรัก โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือรู้ให้ชัดว่าความรักเรียกร้องสิ่งใดเป็นอันดับแรก

______________________________________________________________________________
บทที่ ๒
สร้างเสน่ห์

รักแท้จะถามหาความถูกใจเป็นอันดับแรก ฉะนั้น ก้าวแรกของคุณจึงไม่ใช่การกวาดตาหาคนถูกใจ แต่เป็นการรู้จักทำตัวให้น่าถูกใจเสียก่อน!

วิธีที่คุณจะพลาดรักแท้ไปจนตายนั้นง่ายนิดเดียว คือทำอะไรตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ

ต่อเมื่อทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่ารักแท้ก็คือกิเลสอย่างหนึ่ง คุณคงเลิกหลงสำคัญผิดคิดว่ารักแท้ไม่ต้องการอะไรเลย คุณจำเป็นต้องลงทุนออกแรงตามใจรักแท้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตามใจตัวเอง

เมื่อกิเลสต้องการแรงดึงดูดใจ รักแท้ก็ต้องการแรงดึงดูดใจเช่นกัน ถ้าคุณไม่มีแรงดึงดูดใจอยู่ในตัว ก็อย่าไปถามหารักแท้ให้เหนื่อยเปล่า

แรงดึงดูดให้ติดใจ หรือเครื่องเร้าใจให้หลงรักนั้น เราเรียกกันว่า ‘เสน่ห์’ ใครมีเสน่ห์มากแปลว่าคนนั้นน่าติดใจมาก หรือเย้ายวนชวนให้ใครต่อใครตกหลุมรักได้ยิ่งกว่าคนทั่วไป

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเสน่ห์เป็นสิ่งที่สร้างไม่ได้ เพราะเป็นของติดตัวมาแต่เกิด ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่ครึ่งผิดครึ่งถูก ขอเพียงรู้เหตุผลอย่างแท้จริงว่าเสน่ห์เกิดจากกรรมและจิตแบบไหน คุณก็อาศัยกรรมและจิตแบบนั้นสร้างเสน่ห์ขึ้นมาในตัวได้

บทนี้เรามาทำความรู้จักกับเสน่ห์มนุษย์ ในแบบที่จะรู้ลู่ทางสร้างเสริมให้คุณพร้อมเป็น ‘แม่เหล็กดึงดูดความรัก’ จะได้ไม่ต้องออกตะลอนพลิกแผ่นดินหาเองให้เหนื่อยเปล่า

เสน่ห์จากบุญเก่า

ถ้าอยากเข้าไปนั่งในหัวใจใคร การมีใบเบิกทางย่อมง่ายกว่าการพยายามออกแรงง้างเป็นไหนๆ

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้ารูป บ้าเสียง บ้ากลิ่น บ้ารส บ้าสัมผัส ดังนั้นความมีรูปงามและเนื้อหอมจึงเป็นข้อได้เปรียบ นี่เป็นสิ่งที่รู้ๆกัน แต่ที่ไม่รู้เลยคือสิ่งใดเป็นตัวกำหนดให้คนเราต่างกันดังเช่นที่เห็นๆอยู่

คนที่รู้นั่นแหละครับได้เปรียบอย่างแท้จริง เพราะต่อให้เดิมทีมีเสน่ห์ทางรูปกายน้อย ก็เพิ่มให้มากขึ้นได้ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ตรงทาง และในทางตรงข้าม คนไม่รู้ก็อาจลดเสน่ห์ที่เคยมากให้น้อยลงได้อย่างน่าใจหาย

สิ่งปรุงแต่งให้รูปกายดูดีมีเสน่ห์คือ ‘บุญ’ และบุญเก่าก็เป็นยิ่งกว่าเวทมนตร์ เพราะเวทมนตร์เนรมิตรูปลวงตาได้เพียงชั่วครู่ แต่บุญเก่าบันดาลรูปจริงเป็นหน้าเป็นตาให้คุณได้ทั้งชาติ!

บุญเก่าทำงานอย่างไร? ก็ปรุงแต่งของน่ารักน่าใคร่ให้เกิดขึ้นในคุณไงครับ!

สัดส่วนที่ลงตัวของรูปพรรณสัณฐานจะเตะตาให้ ‘อยากมอง’ แก้วเสียงที่นุ่มนวลกระจ่างชัดจะสะดุดหูให้ ‘อยากฟัง’ ความน่ามองน่าฟังจะดึงดูดใจให้ใหลหลง แล้วนำไปสู่ความ ‘อยากเป็นเจ้าของ’ ในที่สุด

ดังนั้นถ้ามีคนอยากเป็นเจ้าของคุณทันทีเพียงเมื่อเห็นคุณปรากฏตัว ก็แปลว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณแรงไม่เบา และยิ่งจำนวนคนอยากเป็นเจ้าของคุณมากขึ้นเท่าไร ก็พิสูจน์ว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณไม่ธรรมดายิ่งขึ้นเท่านั้น

เมื่อโตขึ้นมา แต่ละคนย่อมรู้ตัวว่าตนเองมีรูปร่างหน้าตาเป็น ‘ใบเบิกทาง’ หรือ ‘ใบสละสิทธิ์’ สำหรับผู้ที่ตระหนักชัดว่ามีหน้าตาเป็นใบสละสิทธิ์ก็อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ ขอให้จำไว้ว่า ใบสละสิทธิ์มิใช่สิ่งที่คุณเต็มใจถือมาแต่แรก แล้วก็ไม่มีใครห้ามคุณยกระดับมันขึ้นเป็นใบเบิกทางด้วย ขอให้รู้วิธีเถอะ!

ส่วนพวกที่มีใบเบิกทางหลายใบก็อย่าชะล่า เพราะแม้ใบเบิกทางทำให้คุณได้เปรียบ แต่ก็ไม่ประกันว่าจะรักษาความพิศวาสของใครไว้ได้นาน

ช่องทางสร้างใบเบิกทางอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ที่การพูดคุยกันตามธรรมดานี่แหละครับ สิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจคือ รักแท้เกิดขึ้นจากการสื่อสาร ไม่ใช่การจ้องหน้ากัน

พูดให้ฟังง่ายคือความหลงรักอาจเกิดจากการจ้องหน้า แต่ถ้าหวังรักแท้ก็ต้องคุยกันให้เกิดความประทับใจและอยากใกล้ชิดได้ด้วย เมื่อใดเข้าใกล้และมีโอกาสพูดคุยกัน คนจะไม่ได้มองรูปทรงองค์เอวของคุณ ส่วนใหญ่สิ่งที่จะกระทบใจพวกเขาคืออากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียง ฉะนั้น ถ้าคุณปรับปรุงเครื่องมือสื่อสารในตัวเองให้จับตาพวกเขาได้ ก็เท่ากับคุณมีใบเบิกทางไม่น้อยหน้าใครอยู่เหมือนกัน

ต่อให้คุณมีใบเบิกทางระดับเฟิร์สคลาสในมือ แต่ดันมีอากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียงเป็นใบสละสิทธิ์ ก็เท่ากับตัดอายุใบเบิกทางลง ไม่อาจถางทางไปสู่รักแท้ได้ถึงไหน

วิธีเพิ่มเสน่ห์ทางอากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียงนั้น มีมากมายร้อยแปดพันประการ แต่ในที่นี้ผมจะให้ทางลัดชนิดที่เห็นผลทันใจ และไม่ต้องเดินทางไปยังศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพแห่งใดในโลกทั้งสิ้น

มาว่ากันเป็นอย่างๆเลยนะครับ

๑) อากัปกิริยา
อากัปกิริยาที่เป็นเสน่ห์ ไม่ใช่การพยายามดัดจริตเคลื่อนไหวให้โก้เก๋ แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงถึงความรู้สึกตัว รู้จักจังหวะจะโคน ฉับไวในเวลาที่ควรฉับไว แช่มช้าในเวลาที่ควรแช่มช้า และที่สำคัญคือมีความนิ่มนวลสง่างามในที แบบที่ทำให้คนมองพลอยเกิดแรงบันดาลใจจะมีสติรู้สึกตัวตาม
บุญที่ทำให้เป็นผู้มีอากัปกิริยาท่าทีงามสง่าและเต็มไปด้วยความรู้สึกตัว คือการเป็นผู้รู้จักสำรวมในกาละเทศะอันควร โดยเฉพาะกับบุคคลและสถานที่อันเป็นมงคล อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ทางอากัปกิริยาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น ทำความเคารพพระปฏิมาบนโต๊ะหมู่บูชาในบ้านด้วยกิริยาประณีต หรือเดินเข้าไปในวัดวาอารามด้วยความสำรวมกายสำรวมใจ

สำรวมไม่ได้แปลว่าเกร็งนะครับ แต่หมายถึงตามสบายอย่างมีสติรู้ทุกการเคลื่อนไหว ไม่กะเปิ๊บกะป๊าบด้วยความฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิง

ใจนั่นเองเป็นผู้ปรุงแต่งกายให้เกิดความประณีตและสำรวม ถ้าใจคุณเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแสดงกิริยาอันเป็นการเคารพ และกิริยาอันเป็นไปเพื่อความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่แค่ไม่กี่แบบ นับเริ่มตั้งแต่ไม่เอะอะมะเทิ่งใกล้เขตพระพุทธรูป เวลาก้มลงกราบมีความนบนอบศิโรราบ ตอนสวดมนต์ตั้งตัวตรงไม่โยกไปเยกมา เมื่อเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่านก็ยอมรับว่าเหม่อลอย และค่อยๆหันเหกลับมาอยู่กับบทสวด เป็นต้น กิริยาอันเป็นบุญเหล่านี้ รวมกันแล้วจะทำให้คุณรู้สึกถึงความสว่างทางกายขึ้นมาทีละน้อย

ความรู้สึกว่าสว่างนั้นแหละตัววัดว่าเกิดบุญ ไม่ใช่ของหลอก ไม่ใช่อุปาทาน เพราะเมื่อบุญเกิดใจย่อมเป็นสุข แต่ถ้ายังเกร็งหรือต้องแกล้งฝืนทน คุณก็จะไม่รู้สึกถึงความสว่างและความเป็นสุข นั่นแปลว่าบุญยังไม่เกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วย

เครื่องวัดว่าเป็นบุญติดตัวแน่แล้ว คือการเข้าสู่ภาวะสำรวมเรียบร้อยโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับทั้งมีความสม่ำเสมอ คืออยู่ในภาวะนั้นได้นานโดยไม่กระสับกระส่าย เช่น ตั้งแต่เริ่มสวดมนต์จนจบไม่กวัดแกว่งเลย แม้จะต้องกระดุกกระดิกแก้เมื่อยบ้างก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าหลุกหลิก ยังคงความนิ่งทางใจไว้ได้สม่ำเสมอ

จากนั้นคุณจะรู้สึกว่าเป็นการง่ายที่จะสงบสำรวมต่อหน้าผู้ใหญ่หรือบุคคลผู้ควรให้ความนับถือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงศีลในจีวร ตลอดจนบิดามารดาผู้ให้กำเนิดคุณมา และโดยไม่ต้องฝึกพัฒนาบุคลิกตามขั้นตอนใดๆ บุญจะปรุงแต่งให้ทุกอิริยาบถของคุณงามขึ้นมาเอง คือเกิดสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวใหม่ๆ ในแบบที่ทราบได้จากข้างในว่าน่าดู น่ามอง

ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้เอง ว่าความเคลื่อนไหวของกายมนุษย์เป็นเครื่องล่อตาชนิดหนึ่ง เป็นแม่เหล็กดึงดูดสายตาคนได้ และถ้าเนิบนิ่งก็จูงจิตคนเห็นให้นิ่งตามได้ แต่หากคุณลอกแลกหลุกหลิกอยู่ตลอด จะเคลื่อนไหวแต่ละทีกระโดกกระเดกไร้สติ อันนั้นจะเป็นแรงผลักให้คู่สนทนาอยากเบือนหน้าหนี เพราะผู้คนมีจิตฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงอยู่แล้ว จึงไม่อยากรับภาพกระทบตาที่ชวนให้ปั่นป่วนหนักเข้าไปใหญ่

แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งอากัปกิริยาของคุณให้สง่าผ่าเผยที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่สัดส่วนรูปพรรณสัณฐานซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะขับให้ออกท่าออกทางที่เหมาะเจาะที่สุด เท่าที่หัวตัวและแขนขาของคุณจะแสดงได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ควรระลึกนะครับ คืออากัปกิริยาเท่ๆควรมากับกลิ่นตัวที่สร้างสรรค์หน่อย ไม่ใช่ขยับแต่ละทีเหมือนโยนสกั๊งใส่หน้าคนดู เป็นเหตุให้พวกเขาต้องเบนหน้าหลบอย่างไม่เกรงใจ หากอาบน้ำบ่อยยังไม่พอ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลย ร้านสะดวกซื้อมีคำตอบให้สารพัด ทั้งโรลออนและสเปรย์ดับกลิ่น หากใครแพ้หรือรู้สึกยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ ลองซื้อแอลกอฮอล์ใส่ขวดสเปรย์ฉีดก็พอได้ผลเหมือนกัน อย่างน้อยช่วยลดความหมักหมมของแบคทีเรียที่รักแร้ ตลอดจนซอกอับที่หมักดองเหงื่อต่างๆได้บ้างครับ

๒) นัยน์ตา
นัยน์ตาที่เป็นเสน่ห์ ควรฉายแววแจ่มชัด ถ้าสาดประกายจับตาคนมองด้วยยิ่งดี แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ามนต์สะกดที่ตรึงคู่สนทนาให้อยู่กับคุณได้ ด้วยการทำให้เขารู้สึกว่าคุณมองเขาอยู่คนเดียว และจะไม่ละสายตาไปไหน
บุญที่ทำให้เป็นผู้มีประกายตาเงางาม คือการรู้จักมองผู้อื่นด้วยความเมตตาเอ็นดู หรือเล็งแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเลื่อมใสบูชา อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ในประกายตาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น หาพระพุทธรูปที่เห็นแล้วรู้สึกเลื่อมใสจับตาคุณมากๆมาประดิษฐานในห้องพระที่บ้าน แล้วหมั่นแลมองด้วยสายตาตรงให้เห็นถนัดชัดทั้งองค์ แต่ละครั้งให้นิ่งและนานจนกว่าคุณจะรู้สึกได้ว่าประกายศรัทธาสาดออกมาจากนัยน์ตาตัวเองอย่างคงเส้นคงวา

ระหว่างอยู่ในชีวิตประจำวัน พยายามมองผู้คนแบบที่จะเห็นความดีงาม ความน่ารักของพวกเขา กระทั่งคุณสามารถมองพวกเขาด้วยความเลื่อมใสคุณงามความดี และอยากมอบความรู้สึกดีๆให้กับพวกเขา อย่าไปจดจ้องอะไรที่เป็นเรื่องแย่ๆหรือคุณสมบัติที่เป็นโทษ เพราะนัยน์ตาคุณจะขุ่น ใจคุณจะเจือด้วยโทสะยามมอง

ส่วนการสร้างมนต์สะกดที่จะตรึงคู่สนทนาไว้ด้วยสายตาของคุณนั้น อยู่ที่วิธีฝึกมองเป็นหลัก ขอให้จำไว้ว่า การสบตาเปรียบเหมือนการเชื่อมกระแสสื่อสารระหว่างจิต การสื่อสารจะราบรื่นถ้ากระแสตาราบเรียบ แต่จะสะดุดเมื่อคุณลอกแลกอยู่ตลอด

การสบตาจะทำให้คู่สนทนาระลึกได้ในภายหลังว่าคุยอะไรกัน และการสบตาก็มีบทบาทสำคัญยิ่งเมื่อต้องชักชวนหรือโน้มน้าวให้ใครคล้อยตามเหตุผลของคุณ

ขอให้สังเกตว่าคนส่วนใหญ่ชอบเลี่ยงหลบไม่ยอมสบตาคู่สนทนา พวกนี้ถึงตาสวยก็มีเสน่ห์ทางตาน้อย ส่วนอีกพวกหนึ่งแม้สบตาคู่สนทนาบ้าง แต่ก็ขาดๆเกินๆ เช่น บางทีสู้ตาแบบฉันไม่กลัวแก บางทีมองแนวคุกคามข่มขวัญ บางทีมองแบบเสียไม่ได้ บางทีมองแบบฝืนๆ ไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย

คุณต้องฝึกความนิ่งในการมอง ยิ่งนัยน์ตาคุณนิ่งอยู่กับคู่สนทนาเท่าไร อีกฝ่ายจะรู้สึกว่าคุณให้ค่า ให้ความสำคัญกับเขาเท่านั้น และที่จะฝึกให้เป็นนิสัยก็ไม่ใช่ด้วยการเลือกที่รักมักที่ชัง คุณต้องฝึกความนิ่งในการมองทุกคน มนต์สะกดจากสายตาของคุณถึงจะอิ่มพลังอยู่ตัว

เริ่มต้นขึ้นมาขอให้ฝึกกับกระจกเงา สบตาตัวเองจะดีที่สุด เพราะได้เห็นๆกันเลยว่าคุณออกแรงน้อยเกินไปจนเหมือนครึ่งกล้าครึ่งแหย หรือว่าออกแรงมากเกินไปจนเหมือนแกล้งเพ่งให้อึดอัดกัน คุณควรเริ่มฝึกจากการมองธรรมดาที่สุด แต่ให้นิ่งนาน กระจกเงาจะฟ้องเลยว่าสายตาคุณแฉลบซ้ายแฉลบขวาบ่อยแค่ไหน โฟกัสเหมาะหรือไม่เหมาะ

โฟกัสที่พอดีที่สุด คือการมองตรงแล้วเห็นใบหน้าทั้งหมด ปกติเรามองเงากระจกเพื่อดูความเรียบร้อยเดี๋ยวเดียว แต่ในการฝึกมองนี้ คุณต้องเห็นทั้งใบหน้าของตัวเองให้นานขึ้น กับทั้งตั้งใจว่าต่อไปคุยกับใครจะเห็นทั้งหน้าของเขาให้ได้อย่างนี้

โฟกัสที่ดีรองลงมา คือการมองตรงแล้วเห็นสองตาพร้อมกันทั้งแนว การเล็งแลแบบนี้เป็นการปะทะสายตาโดยตรง ถ้าเป็นกระแสตาตัวเองที่ตอบมาจากกระจกคุณจะรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นกระแสตาคนอื่น จะขึ้นอยู่กับว่ารังสีตาระหว่างคุณกับคู่สนทนามีความกลมกลืนหรือขัดกัน การมองคลุมเฉพาะแนวตาจึงอาจหมายถึงการท้าทายให้ลองกำลัง หรือหมายถึงการประสานสัมพันธ์ทางใจให้แนบแน่นเป็นพิเศษ ถ้ารู้สึกเป็นลบก็ควรเปลี่ยนไปมองทั้งหน้าจะดีกว่า และเหนื่อยน้อยลงด้วย

โฟกัสที่ไม่ค่อยดีนัก คือการมองตรงบ้าง เหล่มองบ้าง แล้วเห็นได้เพียงตาข้างเดียว การเล็งแลแบบนี้คับแคบ และดูเหมือนเพ่งพินิจมากไป การมองของคุณอาจให้ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายไม่เต็มใจ หรือเว้าแหว่งครึ่งๆกลางๆชอบกล

เมื่อแน่ใจว่าสามารถมองตรงด้วยโฟกัสที่เหมาะแล้ว ขั้นต่อไปคือทำตาให้ยิ้มได้ เหมือนมียิ้มอยู่ในตา เพราะการยิ้มหมายถึงกระแสความชอบใจ หากนัยน์ตาของคุณยิ้มขณะมองใคร ก็แปลว่าการสบตาระหว่างคุณกับเขาเป็นเรื่องน่าชอบใจ และจะดึงดูดให้เขาพลอยรู้สึกชอบใจตามไปด้วย

เริ่มฝึกคือสบตาตัวเองในกระจกพร้อมทั้งยิ้มมุมปากไปด้วย แล้วสังเกตดูว่าความรู้สึกจากดวงตาเปลี่ยนไปแค่ไหน โดยธรรมชาติกระแสตาจะแปรไปตามวิธีที่ปากของคุณยิ้ม แต่ถ้าปากยิ้มแล้วดวงตาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่อ่อนโยนลง ก็แปลว่าคุณแค่ฉีกยิ้ม โดยไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจเลย

กระจกเงาจะฟ้องให้คุณรู้ตัว และปรับวิธียิ้มเสียใหม่ โดยเริ่มเปลี่ยนที่ใจ แววตาที่อ่อนโยนลงคือหลักฐานว่าใจคุณยิ้มจริง

คุณควรฝึกพิจารณาทั้งการฉีกยิ้มกว้างจนสุด และการยิ้มละไมเพียงน้อย การสนทนาที่ดีควรเริ่มต้นและจบลงด้วยยิ้มกว้างสุด แต่ระหว่างสนทนาควรยิ้มละไมเป็นระยะ

และที่สุดของการสร้างเสน่ห์ในดวงตา คือการพูดโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของคู่สนทนา ไม่ว่าเขาจะสบหรือหลบตาคุณ เริ่มต้นฝึกกับกระจกแบบสบายๆด้วยการเตรียมบทพูดอธิบายอะไรก็ได้สักย่อหน้าหนึ่ง ซึ่งอาจหมายถึงย่อหน้าที่คุณกำลังอ่านอยู่นี่เลยก็ได้ โดยทำความเข้าใจแล้วคิดคำอธิบายเอง

เมื่อได้บทพูดแล้ว ให้ค่อยๆพูดเหมือนตอนคุณพยายามทำให้ใครสักคนเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อ ขณะเดียวกันก็สังเกตเป็นจังหวะ ว่าสายตาของคุณแข็งหรืออ่อน ทอดเหม่อหรือว่ายังตรงนิ่ง นัยน์ตาที่สะท้อนความมีสติในการอธิบาย จะมีความตรงนิ่ง กระจ่างชัด และอยู่ในโฟกัสเดิมค่อนข้างคงเส้นคงวา

เครื่องวัดว่าคุณมีเสน่ห์ทางตาแล้ว คือแม้กำลังโกรธก็ไม่อยากส่งตาขุ่นขึ้งคุกคามใคร ต่อให้เล็งแลศัตรูอยู่ ก็เป็นไปในลักษณะอ่อนโยนประนีประนอม ไม่ใช่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อตามกิเลสขับดัน จะสังเกตลมหายใจไปด้วยก็ได้ ถ้ามองใครแบบฝืนๆ ลมหายใจของคุณจะติดขัด แต่ถ้ามองด้วยความเต็มใจ ลมหายใจจะยาวและนุ่มนวลราบรื่น

และถ้าคุณสามารถถ่ายทอดความรู้ใดๆให้คนอื่นเข้าใจได้ทั้งยังสบตาตลอด คุณจะพบว่าสติในการเรียบเรียงคำพูดแข็งแรงขึ้นทุกที และมีคนอยากฟังคำอธิบายจากคุณมากขึ้นเรื่อยๆด้วย นั่นเพราะนอกจากคำอธิบายของคุณจะสื่อออกมาจากจิตที่อยู่ในภาวะแจ่มชัดที่สุดแล้ว ตัวตนทั้งหมดของคุณยังเข้าไปประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คน คล้ายมีมนต์เรียกให้อยากกลับมาฟังคุณพูดใหม่อีก

เสน่ห์ทางตาที่อิ่มตัวจะทำให้คุณมั่นใจว่าตัวเองมีมนต์สะกดให้ทุกคนรู้สึกดี สงบเย็นลง ตลอดจนชอบที่จะสบตาอย่างเป็นมิตรกับคุณ แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งนัยน์ตาของคุณให้เงางามน่ามองที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่คุณภาพของแก้วตาซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะฉายรังสีที่น่าดูที่สุด เท่าที่แก้วตาของคุณจะเปล่งประกายออกมาได้

แล้วก็อย่าลืมสังเกตด้วยนะครับว่ามีขี้ตาติดอยู่หรือเปล่า จะหมดท่าเลยล่ะถ้าอุตส่าห์มีมนต์สะกดทางตา แต่ปล่อยให้คู่สนทนาจับได้ว่าขี้ตาไหลไม่ยอมเช็ด

๓) น้ำเสียง
น้ำเสียงที่เป็นเสน่ห์ ควรมีความแจ่มชัดเป็นกังวานนุ่มนวล แต่ละคำถูกเปล่งออกมาเต็มปากเต็มคำโดยไม่มีการดัด และดีที่สุดคือมีชีวิตชีวา เสียงขึ้นสูงลงต่ำอย่างเหมาะกับจังหวะจะโคนตามธรรมชาติ สามารถกล่อมอารมณ์คนฟังให้เพลิดเพลินราวกับเสียงเครื่องดนตรีที่เล่นโดยมืออาชีพ
บุญที่ทำให้เป็นผู้มีกังวานเสียงน่าฟัง คือการมีใจเป็นสุขกับการพูดจาด้วยถ้อยคำที่เป็นจริง ที่สุภาพไพเราะ ที่ประสานสัมพันธ์ และที่ฟังแล้วเกิดสติทั้งเราทั้งเขา ตลอดจนมีปีติกับการสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญเช่นพระพุทธเจ้าและผู้ทรงคุณประเสริฐทั้งหลาย อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ให้กับน้ำเสียงได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของท่าน และพระสงฆ์สาวกของท่าน ด้วยถ้อยคำที่เป็นจริง ด้วยความไพเราะ ด้วยความเข้าใจอันดี และด้วยความมีสติ

การกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัยมีมานมนาน ผ่านรูปแบบของการสวดมนต์นั่นเอง บทสวดอันเป็นที่นิยมที่สุดมาจากการจาระไนคุณสมบัติอันเป็นจริงของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าบท ‘อิติปิโส’

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกับ ‘ผู้สรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยใจ’ คือประกายแก้วเสียงที่สดใสเสนาะโสตขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด อาจจะในทันทีที่สวดจบ และแก้วเสียงจะยกระดับขึ้นถาวรเมื่อสวดต่อเนื่องอย่างมีโสมนัสทุกวัน ถ้าคุณจะคิดว่านี่คือคาถาเปลี่ยนเสียงก็ไม่น่าจะเกินจริงนัก ขอเงื่อนไขเพียงต้องท่องคาถาด้วยใจโสมนัสด้วยนะครับ ไม่ใช่ท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง

บทสวดภาษาบาลีอาจเป็นอุปสรรคกับความเข้าใจ ซึ่งจะมีส่วนลดทอนความรู้สึกดีๆลงได้ ผมจึงขอนำเอาบทอิติปิโสพร้อมคำแปลมาให้คุณไว้ ณ ที่นี้เลย จะได้ไม่ต้องตามหากันที่อื่นอีก เวลาสวดเอาเฉพาะคำบาลี แต่ให้น้อมใจไปตามประมาณคำแปลนะครับ

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

(ส่วนนี้เป็นการกล่าวตามสัจจะความจริงที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้อันวิเศษและความประพฤติชอบ เป็นผู้ไปดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกผู้ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในธรรม เป็นผู้มีความสามารถจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ

(ส่วนนี้เป็นการกล่าวตามสัจจะความจริงที่ว่า พระธรรมคำสอนเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติตามพึงเห็นจริงได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ผู้อื่นบอกหรือยืนยัน เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงโดยไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรชักชวนผู้อื่นให้มาเห็นตามกัน เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว และเป็นสิ่งที่ผู้รู้พึงรู้ได้เฉพาะตน รู้เผื่อคนอื่นไม่ได้)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลิกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ

(ส่วนนี้เป็นการกล่าวตามสัจจะความจริงที่ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติตรง ผู้ปฏิบัติสมควร ผู้ปฏิบัติเพื่อรู้จักธรรมอันนำออกจากทุกข์ได้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคล มีโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหันต์ อันนับเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างแท้จริง เป็นผู้สมควรแก่เครื่องสักการะที่เขานำมาบูชาหรือต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรประนมมือไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า)

ย้ำว่าเสียงที่ไพเราะที่สุด เกิดขึ้นเมื่อคุณมีความสุขที่จะพูดให้เต็มเสียง โดยถ้อยคำพรั่งพรูออกมาจากหัวใจที่ชื่นบาน และบุญแบบลัดๆที่จะสร้างความมั่นใจว่าคุณสามารถพูดแบบสายน้ำไหลรินได้ ก็คือท่องบทสวดให้ขึ้นใจ แล้วเปล่งเสียงอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะจะโคน ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป กับทั้งระวังอย่าให้มีการกระแทกเสียง นอกจากนั้นคุณต้องค้นให้พบด้วยว่าระดับเสียงควรสูงหรือต่ำเพียงใดจึงฟังแจ่มชัดที่สุด

เลือกเวลาเช้าหรือเย็นก็ได้ สวดอิติปิโสสักสองสามจบ หรือสวดจนกว่าจะรู้จักความสุขอันเกิดจากการเปล่งเสียงสรรเสริญอย่างต่อเนื่อง ถ้าฟังเสียงสวดของตัวเองแล้วใจเย็นลง มีความสงบและอบอุ่นผาสุก คล้ายปากกำลังยิ้มอยู่น้อยๆตลอดเวลาที่สวด นั่นแหละใช้ได้แล้ว

หลังจากนั้นพอออกไปพูดคุยกับใคร ให้ใช้ใจอันเบิกบานแบบเดียวกันในการขับเสียง และเปล่งเสียงออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำที่สุด บุญอันเกิดจากการใช้เสียงสรรเสริญพระรัตนตรัย จะช่วยให้คุณเกิดสัญชาตญาณในการพูดให้น่าฟังไปเอง

คุณบางคนอาจเป็นพวกขาดความมั่นใจในการพูดคุย แค่เริ่มต้นก็หงอแล้ว ทำท่าเหมือนพะอืดพะอมที่จะต้องตั้งหลักเจรจาแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้แก้วเสียงล้ำเลิศเพียงใดก็คงเปล่าประโยชน์

เคล็ดลับการเพิ่มความมั่นใจให้อยากคุยมีอยู่นิดเดียว คือตั้งต้นเจรจา หรือ ‘ทักทาย’ ให้มีพลัง คือทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าคุณดีใจที่เห็นเขา และเต็มใจที่จะเปล่งเสียงขานชื่อของเขา เมื่อเริ่มต้นดี การพูดคุยที่ตามมาจะแตกต่างไปเอง

เพื่อฝึกทักทายให้เป็นนะครับ ไปยืนหน้ากระจกที่เห็นได้ทั้งตัว เสมือนกำลังเผชิญหน้ากับคนอื่นอยู่ แล้วเปล่งเสียงว่า สวัสดี! (แล้วเอ่ยชื่อคุณเองตามหลัง) เมื่อได้ยินเสียงทักตัวเองแล้วก็ให้สำรวจดู หากรู้สึกแจ่มใส รู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเดิม หรือรู้สึกว่าชื่อของคุณมีค่าควรเรียกขานให้เต็มเสียง ก็ให้จำไปทักคนอื่นแบบเดียวกันทุกประการ แต่หากรู้สึกทะแม่งๆ หรือกระทั่งรู้สึกห่อเหี่ยว มีอาการคล้ายกล้ำกลืนก้อนฝืนอยู่ในอก อันนี้ก็ขอให้ปรับแต่งเสียใหม่ เอาให้รู้สึกว่าเงาในกระจกมันทักคุณเหมือนดีใจที่ได้เห็นคุณ และเหนี่ยวนำให้คุณพลอยดีใจที่ได้เห็นมัน

คุณจะพบว่าถ้าตั้งใจจริงๆ การฝึกทักทายให้คนดีใจจะใช้เวลาแค่ ๕ หรือ ๑๐ นาทีเท่านั้น แต่สามารถจำเอาไปใช้ได้ตลอดชีวิตที่เหลือ ซึ่งเท่ากับมีกระสุนเชื่อมไมตรีไว้ยิงเข้าหัวใจคนได้ทุกครั้งที่ทักทายพวกเขา การทักทายให้คนดีใจได้สำเร็จ จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่นในการพูดคุยได้ออกรสไปเอง

และยิ่งถ้าบวกบุญอันเกิดจากการพูดคุยกับผู้คนอย่างมีสติ มีเจตนาดี พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดแต่คำที่เป็นประโยชน์ คุณก็จะยิ่งเห็นผลอันน่าอัศจรรย์ แม้บุญใหม่ไม่อาจตกแต่งเสียงของคุณให้เพราะพริ้งที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่คุณภาพของแก้วเสียงซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะขับเสียงที่ไพเราะที่สุด เท่าที่แก้วเสียงของคุณจะเปล่งออกมาได้

แล้วก็อย่าลืมอีกนิดหนึ่ง น้ำเสียงเพราะๆควรมากับกลิ่นปากหอมๆนะครับ ถ้าพูดแต่ละทีมีกลิ่นเหมือนคุณอมหนูตายไว้ในปาก ก็คงไม่มีใครอยากฟังเป็นแน่ ถ้าใช้ยาสีฟันยี่ห้อดีแล้วไม่เวิร์ก ก็ต้องปรึกษาหมอฟันเพื่อรักแท้กันต่อไป

 

 

เสน่ห์อย่างชาย

แค่ความรวยอย่างเดียว ก็อาจเป็นแรงกดดันให้หลายคนเข่าอ่อนยอมกายโดยง่าย แต่ความรวยอย่างเดียว ไม่เคยมีพลังมากพอจะบีบใครให้ใจอ่อนยอมรักได้เลย

เสน่ห์อย่างชายหมายถึงแรงดึงดูดที่ทำให้เพศหญิงสะดุดตาหรือสะดุดใจ เมื่อพูดถึงเสน่ห์อย่างชาย เกือบร้อยทั้งร้อยมักคิดถึงความกำยำล่ำสัน และผู้หญิงนั้น ถ้าไม่แกล้งอายก็ต้องยอมรับว่าสนใจองค์ประกอบสำคัญทางกายแห่งชายชาตรีมากโขอยู่

แน่นอนว่าเครื่องเพศเป็นตัวดึงดูดสายตาได้ เป็นเครื่องกระตุ้นให้เพศตรงข้ามอยากขึ้นเตียงด้วยได้ ตลอดจนเป็นผงชูรสซองสำคัญของรักแท้ได้ อันนี้เป็นความจริงประจำโลกรู้ แต่เสน่ห์ชายไม่ได้มีแค่ที่กายอย่างเดียว ไม่ว่าสมัยนี้หรือสมัยไหนนะครับ ถ้าเอาหนุ่มน้อยอายุ ๒๐ สูงล่ำดำดกแต่ตกงาน มายืนคู่กับชายวัย ๔๐ พุงพลุ้ยหัวเถิกแต่เบิกให้ทีละแสน รับรองว่าสาวๆกรี๊ดหนุ่ม ๒๐ แต่เลือกจดทะเบียนกับชาย ๔๐ เกือบยกบาง!

นี่แปลว่าอะไร เสน่ห์แห่งความเป็นชายมีหลายแบบ และแต่ละแบบก็มีน้ำหนักให้ชั่งวัดกันด้วยหรือ? ใช่แล้ว! ก็เซ็กซ์นั้น พอเคยๆแล้วก็รู้ครับว่าเป็นเรื่องเดี๋ยวเดียว แต่เงินนี่สิเรื่องยาวกันทั้งชีวิต อันไหนสำคัญกว่าไม่ต้องนั่งเถียงกันหรอก

ยุคอินเตอร์เน็ตนี้คนส่วนใหญ่ไม่เลือกมาก คือถ้ารู้ว่ารวยก็เลือกเลย องค์ประกอบอื่นไม่ต้องพูดถึง ประมาณว่ามีเงินแล้วค่อยหาชู้ แต่ต้องอยู่กับคนมีเงินให้ได้ก่อน!

ด้วยค่านิยม ‘เลือกเงินก่อน’ ของคนยุคเรา จึงเป็นเหตุให้เกิดคติ ‘รักแท้แพ้เงินสด’ แล้วก็พูดกันติดปากเสียด้วย เพราะเหตุนั้นเอง คนยุคเราจึงศรัทธาในรักแท้น้อยลงทุกที ค่าของหัวใจถูกตีค่าเป็นเงิน แล้วเสน่ห์อย่างชายก็ถูกมองเป็นความสามารถในการควักกระเป๋า ใครควักได้มากกว่าแปลว่าเสน่ห์แรงกว่าชายอื่นหมด

ข้อเท็จจริงก็คือถ้ามี ๕๐ ล้านเป็นเศษเงิน คุณอาจซื้อร่างนางเอกระดับประเทศไปนอนด้วยได้ แต่ต่อให้ทุ่มตั้ง ๕๐๐ ล้าน คุณก็จะไม่มีทางซื้อแม้รักจากใจของสาวบ้านนา! หรือมีเงินแค่ร้อยเดียวอาจจ้างให้สาวขี้เล่นที่ไหนก็ได้พูดว่า ‘ฉันรักคุณ’ แต่ต่อให้เงินตั้งร้อยล้าน คุณก็ไม่อาจละลายความโลภที่ห่อหุ้มหัวใจผู้หญิง เพื่อฉายแสงรักออกมาให้คุณรู้สึกได้จริงๆเลย!

นั่นเพราะรักแท้ไม่ได้สร้างด้วยเงิน แต่ด้วยความพอใจ!

สรุปคือทั้งเซ็กซ์และเงินไม่ใช่เสน่ห์อย่างชายที่จะดึงดูดรักแท้มาหาคุณ ตรงข้าม พวกมันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้คุณวิ่งเตลิดออกห่างจากรักแท้ และยากจะหาทางกลับได้เจอ เพราะใจที่กร้านโลกจะทำให้คุณเห็นไปว่าโลกนี้มีแต่การแลกซื้อเซ็กซ์กันด้วยเงิน และความรักเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเท่านั้น แถมคุณก็จะเจอแต่ผู้หญิงที่ช่วยยืนยันความเชื่อพรรค์นั้นไปตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสรับรู้เลยว่าโลกนี้ยังมีผู้หญิงอีกพวกหนึ่งอยู่

คุณลักษณ์เด่นแห่งความเป็นบุรุษมีอยู่มากมายหลายหลาก แต่ขอเพียงคุณมี ‘รากฐานความเป็นวีรบุรุษ’ เพียงสองข้อ ก็จะลากจูงคุณลักษณ์ความเป็นชายอื่นๆเข้ามาเองในภายหลัง ดังนี้ครับ

๑) ความเป็นที่พึ่ง

ความเป็นที่พึ่งเป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศชาย เพราะธรรมชาติให้ความแข็งแกร่งกับร่างกายมามากกว่าฝ่ายหญิง หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครสูงใหญ่ล่ำสันและสง่างามเท่าไร ก็จะยิ่งดูเป็นที่เกาะที่พึ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความหนักแน่นมั่นคงเป็นหลัก เพราะความหนักแน่นมั่นคงคือลักษณะของคนที่เอาตัวรอดได้ แก้ปัญหาได้ ตลอดจนพร้อมจะช่วยเหลือคนอื่นได้

ภาวะแกร่งกล้าที่เห็นกันง่ายๆด้วยตาเปล่าในแวบแรก คือเสน่ห์จับตาชั่วคราว ต้องรู้จักและเห็นพฤติกรรมกันสักระยะหนึ่ง คุณจึงรู้ได้ว่าภาวะแกร่งกล้าที่เห็นคือไม้หลักปักขี้เลน หรือเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอย่างแท้จริง ภาวะที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรนั่นแหละ คือเสน่ห์จับใจถาวร

เสน่ห์อย่างชายในข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ดูยาก ถ้าคุณเล่นกีฬาเก่ง ขยันฟิตซ้อมทุกวัน ร่างกายและจิตใจก็ดูแข็งแกร่งมั่นคงพอจะเตะตาสาวๆให้นึกอยากกรี๊ดได้ ต่อเมื่อพวกเธอลองมาอยู่ใกล้สักพัก แล้วพบว่าคุณอ่อนไหว ขี้น้อยใจ ถือสาเอาเรื่องหยุมหยิมมาเป็นอารมณ์ แถมในกระเป๋าแทบไม่มีเงินสักบาท อีกทั้งยังเห็นแก่ตัว ไม่ยอมแม้จะช่วยเธอถือของหนักให้ อย่างนี้เจอสองสามทีเธอก็รู้แล้วว่าคุณเป็นแค่ไม้หลักปักขี้เลน ไม่น่าเล่นด้วยหรอก

แต่บางคนมีนะครับ ที่ทำบาปไว้ในปางก่อน เช่น ชอบทำตัวกร่างอวดศักดาไปทั่ว ชาติปัจจุบันจึงถือกำเนิดในร่างอ้วนเตี้ย ขาสั้นเหมือนขาตั้งโต๊ะสนุ้ก หรือไม่ชาติก่อนก็เคยกดขี่ข่มเหงเพศหญิงเป็นอาจิณ ชาติปัจจุบันจึงถือกำเนิดด้วยรูปร่างเล็กบางน่ารังแก ทว่านิสัยใจคอในชาตินี้เป็นพวกชอบช่วยคน เป็นที่พึ่งได้เสมอมาและเสมอไป พอสนิทกับเขาสักพัก ท้ายสุดเราจะเลิกขำบุคลิกภายนอก แต่จะอยากสรรเสริญหัวใจพ่อพระของเขาไม่ขาดปากไปแทน

เพื่อสร้างความเป็นที่พึ่งให้เกิดขึ้นในตนอย่างครบวงจร คุณจึงจำเป็นต้องหมั่นออกกำลังกาย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเองด้วยการบำเพ็ญตนเป็นผู้อุปการะสังคม จะมากหรือน้อยก็ตาม ขอเพียงให้สม่ำเสมอเป็นพอ

เริ่มต้นขึ้นมาไม่ต้องคิดอะไรยากๆ ทำอะไรยากๆหรอกครับ แค่ทำหน้าที่ตรงหน้าของตัวเองให้เสร็จ รู้สึกว่าเอาตัวรอดได้ เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ก็นับว่าจุดชนวนเสน่ห์อย่างชายได้แล้ว เพราะคนเราจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ ต้องมีความรู้สึกขั้นพื้นฐานว่าเป็นที่พึ่งของตนเองได้เสียก่อน

จากนั้น พอได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือเมื่อไรก็อย่าดูดาย โลกนี้เต็มไปด้วยเสียงขอความช่วยเหลือ ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ เดี๋ยวคุณก็ต้องได้ยินเอง พอมองแล้วเห็นเป็นคนที่สมควรได้รับการช่วยเหลือและก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคุณ ก็ช่วยไปเถอะ

สำคัญคือ อย่าหวังผลตอบแทนจากพวกเขา ให้หวังผลตอบแทนจากธรรมชาติ คือถ้าช่วยสำเร็จแต่ละครั้ง ก็เท่ากับสร้างเสริมภาวะทึ่พึ่งในตนเองให้แกร่งขึ้นทีละหน ความภาคภูมิใจกับการเป็นที่เกาะ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้นั่นแหละ คือรางวัลอันคุ้มค่าเหนื่อยแล้ว

1เมื่อทำบุญจนเกิดภาวะความเป็นที่พึ่งขึ้นในคุณ ไม่ว่าเดิมทีคุณจะรูปร่างหน้าตาเปราะบางหรือบึกบึน จิตใจคุณจะห้าวหาญขึ้น มีความหนักแน่นมั่นคงขึ้น เต็มใจฝ่าอุปสรรคมากขึ้น จนผู้หญิงรู้สึกได้ถึงความเป็นเกราะกำบังคุ้มแดดคุ้มฝน หรืออย่างน้อยที่สุดคือเห็นคุณมีดีพอจะปกป้องเธอ ให้ความอบอุ่นกับเธอได้
๒) ความเป็นผู้นำ

ความเป็นผู้นำคือสิ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจากความเป็นที่พึ่ง ถ้าคุณยังเป็นที่พึ่งให้ตนเองและคนอื่นไม่ได้ ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะเป็นผู้นำ

และภาวะผู้นำก็เป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศชายเช่นกัน เพราะธรรมชาติให้สัญลักษณ์ทางเพศเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ไม่ใช่ฝ่ายตาม หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครมีโหงวเฮ้งดูเด็ดเดี่ยว เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งดูเป็นผู้นำมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นหลัก เพราะความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว คือลักษณะของคนที่คิดเองได้ รู้ผิดรู้ชอบเองได้ ไม่ตามคนอื่นด้วยเหตุผลทางอารมณ์ ตลอดจนไม่เอาแต่ตามใจตนด้วยอัตตามานะ

ความเป็นผู้นำไม่ได้ตั้งต้นจากการเป็นหัวหน้าคนอื่น เพราะตำแหน่งหัวหน้าไม่ได้ประกันว่าคุณจะนำใครได้ โดยที่แท้แล้ว ความเป็นผู้นำตั้งต้นจากการเป็นผู้ริเริ่มก่อน และสิ่งที่ริเริ่มนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์เฉพาะตน

ถ้าจะแสดงความเป็นผู้นำ คุณต้องกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแน่ใจว่าดีแล้ว ถูกแล้ว อย่าได้หันรีหันขวางถามใครว่าควรทำไหม ให้ลงมือทำเลย กับทั้งทำอย่างมีพลังมากพอจะก่อกระแส กระทบหูกระทบตาคนอื่นให้เกิดแรงบันดาลใจใคร่ทำตาม หรือกรูมาช่วยเหลือคุณคนละไม้คนละมือโดยไม่ต้องบีบบังคับกัน

ความเป็นตัวของตัวเอง อาจนำคุณไปสู่ความเก่งกล้าสามารถยากจะหาใครเสมอเหมือน หรือดีกว่านั้นคือมีความริเริ่มสร้างสรรค์โลกใหม่ที่แตกต่าง เพราะตั้งต้นขึ้นมาคุณจะไม่กลัวการทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับงานที่คุณพอใจ ไม่กลัวที่จะต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากคนอื่น หรือได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าคนอื่น จึงไม่ค่อยมีเส้นทางทับกับคนอื่นเขา หาใครมาแข่งด้วยยาก

บุญที่จะทำให้เกิดสัญชาตญาณผู้นำนั้น เกิดจากการเป็นผู้คิดริเริ่มในการบุญและทำสำเร็จ เป็นไปตามเป้าหมาย ตลอดจนจูงใจคนรอบข้างให้เห็นดีเห็นงาม ยอมให้ความร่วมมือ และเชื่อมั่นว่าคุณรู้จักทิศทางไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

การเริ่มทำบุญเพื่อสร้างภาวะผู้นำนั้นง่ายกว่าที่คิด แค่หัดเริ่มชักชวนคนใกล้ตัวให้เห็นดีเห็นงามตามคุณในทางที่ชอบที่ควร ก็นับเป็นบุญที่จุดชนวนภาวะผู้นำขึ้นมาได้แล้ว

และโลกนี้ก็เต็มไปด้วยสถานที่ที่พร้อมจะให้คุณบำเพ็ญบารมีผู้นำ อย่างเช่นตามสถานสงเคราะห์ คุณมีสิทธิ์เปลี่ยนชีวิตของเด็กอนาถาจากภาวะไม่รู้หนังสือ ให้กลายเป็นคนอ่านออกเขียนได้ เพียงอาสาไปเป็นครูสอนเพียงอาทิตย์ละวัน แต่ละวันใช้เวลาไม่นาน การตั้งใจเดินทางไปเปลี่ยนชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้น โดยไม่มีใครขอ โดยไม่มีใครชักชวนนั่นแหละ จุดเริ่มต้นของความเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

ผู้หญิงจะรู้สึกดีที่สุดกับผู้ชายที่นำเธอได้ หมายถึงว่านำได้ในระดับของความคิด เปลี่ยนความเข้าใจ เปลี่ยนวิธีมอง ตลอดจนเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่าง ฉะนั้น ชายที่ทอดอาลัยตายอยากกับชีวิต กระทั่งลุกขึ้นประกาศหาหญิงสาวสักคนที่จะมาทำให้ชีวิตของตนเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น จึงไม่รู้ตัวว่าได้มอบเสน่ห์อย่างชายให้กับฝ่ายหญิง ตลอดจนนำความเป็นหญิงมาสู่ตนเสียแล้ว!

 

เสน่ห์อย่างหญิง

คุณอาจหลอกให้คนอื่นหลงรูปภายนอกอันสะสวย แต่ไม่มีทางหลอกให้รักตัวเองได้เลย ตราบเท่าที่รู้อยู่แก่ใจว่าภายในยังน่าเกลียดขนาดไหน

เสน่ห์อย่างหญิงหมายถึงแรงดึงดูดที่ทำให้เพศชายสะดุดตาหรือสะดุดใจ และเมื่อกล่าวถึงเสน่ห์อย่างหญิง เกือบร้อยทั้งร้อยมักคิดถึงดวงหน้า ทรวงอก สะโพก เรียวแขน ปลีขา กับอื่นๆที่เป็นความเย้ายวนล่อตาให้น้ำลายหก

และนั่นเอง ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงคิดว่าหมดสวยเมื่อไรก็ไร้ค่าเมื่อนั้น อายุยิ่งมากขึ้นเท่าไร เหมือนยิ่งมีความผิดติดตัวที่ต้องปิดบังอำพรางซ่อนพิรุธกันมากขึ้นทุกวัน

นารีมีรูปเป็นทรัพย์ และรักแท้ก็ต้องการ ‘ทรัพย์’ ดังกล่าวของผู้หญิงไม่มากก็น้อย ยิ่งรูปทรัพย์ของฝ่ายหญิงมากขึ้นเท่าใด แรงดึงดูดก็มากขึ้นตามส่วน หากปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ ก็เท่ากับไม่พยายามทำความรู้จักกับรักแท้ให้ถึงแก่น

ผู้ชายบางคนอุตส่าห์ฉลาดมาทุกเรื่อง แต่พอเจอสาวสวยทีเดียวก็เข้าโหมดโง่ทันที ขออะไรให้หมด ถ้าโชคดีเธอรักผู้ชายคนนั้นจริงก็ลงเอยสวยเหมือนรูปร่างหน้าตาของเธอ แต่ความจริงมักไม่ใช่เช่นนั้น ผู้หญิงสวยจะรู้สึกอยู่ลึกๆว่าผู้ชายที่มาหลงรูปเธอเป็นพวกหน้าโง่ ไม่มีค่าพอให้เทใจไปรักจริง

มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้หญิงสวยจะพบอย่างรวดเร็ว ว่าเมื่อใดผู้ชายหลงใหลเสน่ห์แห่งรูปกายเธอ ใจเขาจะเหม่อลอยไร้สติ เหมือนเจอมนต์สะกดหรือถูกสาปให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ภาวะเหม่อลอยขาดสติมันเข้ากันได้กับความฉลาดเสียที่ไหน เสนอหน้าให้เห็นเมื่อไรคุณจะคิดทันทีว่าหน้าโง่ๆนี้โผล่มาอีกแล้ว เหมือนตัวคุณเป็นกับดัก และเขาก็เป็นกวางน้อยที่เข้ามาติดกับอย่างง่ายดาย

แล้ววัดจากความรู้สึกของตัวเอง คุณชอบอยู่กับคนโง่กว่าหรือ? ก็อาจจะชอบอยู่หรอก แต่เอาไว้หลอกใช้นะครับ ไม่ใช่เอาไว้เป็นคู่ชีวิต!

แม้จะรำคาญพวกหน้าโง่และแอบด่าอยู่ในใจแค่ไหน ผู้หญิงก็ยังภูมิใจที่มีทาสความงามเป็นบริวารเยอะๆอยู่ดี หลายคนรู้ตัวดีว่าความภูมิใจในตนจะพอกพูนขึ้นพร้อมๆกับความรังเกียจตัวเอง มองกระจกแล้วหลงรักเงาสะท้อนที่อ่อนหวานงดงามไร้ที่ติ แต่ปิดไฟมืดเมื่อไรเป็นต้องอึดอัดกับความคิดร้ายๆที่หาดีไม่ได้ร่ำไป

ความขัดแย้งในตัวเองมักดำเนินไปเรื่อยๆ ผ่านเดือนผ่านปีไปถึงจุดหนึ่ง ที่ต้องยอมรับว่าเกลียดตัวเองจนเบื่อแม้แต่เงาในกระจก ในกระจกไม่มีอะไรมากกว่าผู้หญิงหน้าตายู่ยี่ ขี้รำคาญ ไม่สบอารมณ์ไปหมด แต่งให้สวยด้วยเครื่องสำอางยี่ห้อไหน ก็ลบรอยยับอันเกิดจากโทสะไม่ได้อยู่ดี

อยู่กับผู้ชายที่ทำให้เธอเกลียดตัวเอง ในที่สุดเธอจะเกลียดผู้ชายคนนั้นเข้าไส้!

ฟังอย่างนี้แล้ว ผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดาลงไปจนถึงขี้เหร่จึงไม่น่าไปตั้งความอิจฉาริษยาอะไรกับผู้หญิงสวยเกินเหตุทั้งหลาย เพราะส่วนใหญ่พวกคุณเธอก็มีปัญหาอันเกิดจากความสวยให้ต้องสะสางกันจนกว่าจะหมดสวยนั่นแหละ สำคัญคือถ้าไม่สร้างเสน่ห์อย่างหญิงที่แท้จริงไว้แต่เนิ่นๆ พอหมดเสน่ห์ทางกายเมื่อไรก็ไร้ค่าขึ้นมาจริงๆเมื่อนั้น

คุณลักษณ์เด่นแห่งความเป็นสตรีมีอยู่มากมายหลายหลาก แต่ขอเพียงคุณมี ‘รากฐานความเป็นเทพธิดาในฝัน’ เพียงสองข้อ ก็จะลากจูงคุณลักษณ์ความเป็นสตรีอื่นๆเข้ามาเองในภายหลัง ดังนี้ครับ

๑) ความเป็นที่ฝากใจ

ความเป็นที่ฝากใจเป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศหญิง เพราะธรรมชาติให้ความละมุนละไมกับร่างกายมามากกว่าฝ่ายชาย หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครมีสัดส่วนโค้งงอนชวนมองมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งดูน่าเอาใจไปฝากไว้มากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความอ่อนโยนเป็นหลัก เพราะความนิ่มนวลอ่อนโยนคือลักษณะของคนที่เป็นสุขกับตัวเองได้ เผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่นได้ ตลอดจนปลอบใจให้ใครๆหายว้าวุ่นได้

ความอ่อนโยนจะทำให้สีหน้าของผู้หญิงสงบเยือกเย็นลง ธรรมชาติออกแบบให้ผู้หญิงดูดีที่สุดเมื่ออ่อนโยน แต่ก็ธรรมชาติเช่นกันที่เหมือนจะให้จิตผู้หญิงโน้มเอียงไปในทางแข็งกระด้างหรืออยากอาละวาดเกรี้ยวกราด ขนาดอยู่ดีๆก็แกล้งให้ร่างกายผิดปกติ มีเลือดไหลได้ทุกเดือน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงชวนให้เห็นอะไรขวางหูขวางตา ขนาดหมาบิดขี้เกียจยังผิด!

ความอ่อนโยนที่เห็นกันง่ายๆด้วยตาเปล่าในแวบแรก จึงถือเป็นเสน่ห์จับตาชั่วคราว ต้องรู้จักและเห็นพฤติกรรมกันสักระยะหนึ่ง คุณจึงรู้ได้ว่าผู้หญิงแต่ละคนควบคุมความโยกเยกทางอารมณ์ได้เพียงใด ความอ่อนโยนที่เห็นคือลมอ่อนต้นพายุร้าย หรือเป็นสายลมรำเพยเย็นสบายหายห่วงอย่างแท้จริง ความเป็นสายลมรำเพยนั่นแหละ คือเสน่ห์จับใจถาวร

เสน่ห์อย่างหญิงในข้อนี้อาจดูยาก เรือนกายที่แบบบางน่าทะนุถนอมของเธอบางคนอาจหลอกตา เห็นยิ้มละไมแล้วชวนให้ทุกคนนึกว่าเธออ่อนหวานน่ารัก น่าหนุนตัก แต่ที่ไหนได้ เข้าใกล้เดี๋ยวเดียวนางมารร้ายเริ่มออกจากที่ซ่อน ถึงแม้ไม่มีเขี้ยวโผล่ออกมาจากเหงือก คุณก็นึกออกอยู่ในใจชัดเลยล่ะว่าเขี้ยวยักษ์และเล็บมารเป็นอย่างไร

แต่บางคนมีนะครับ ที่ทำบาปไว้ในปางก่อน เช่น ชอบอาละวาดฟาดงวงฟาดงากับคนสนิท อย่างเช่นสามีหรือลูกหลาน ชาติปัจจุบันจึงถือกำเนิดในร่างร้าย หน้าตาดุดันเหมือนนางโจร ทว่านิสัยใจคอในชาตินี้เป็นพวกไม่ชอบมีเรื่องมีราว หนักนิดเบาหน่อยอภัยได้ อยู่ใกล้แล้วสบายใจเสมอ พอสนิทกับเธอสักพัก ท้ายสุดคุณจะเลิกเบะปากให้กับความ ‘ไม่สวยอย่างแรง’ ของเธอ เมื่อใดอยากเข้าหาศาลาพักใจ ใบหน้าของเธอจะลอยเด่นขึ้นมาก่อนใครเพื่อน

เพื่อสร้างความเป็นที่ฝากใจให้เกิดขึ้นในตน เริ่มต้นขึ้นมาก็แค่หัดอภัยให้เป็น อย่าเก็บเรื่องที่แล้วไปแล้วมาคิดมาก อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นเรื่อง แล้วที่สำคัญอย่าหาเรื่องก่อน เพศชายรบกันเองมากพอแล้ว พวกเขาจึงต้องการเขตปลอดสงครามไว้พักรบบ้าง ผู้หญิงคนไหนทำตัวเป็นเขตปลอดภัยไร้พิษสง หรือดีกว่านั้นคือเป็นเขตอภัยทานสำหรับเขา เขาก็จะรู้สึกถึงเสน่ห์น่าเข้าใกล้ ร้อนเมื่อใดเป็นต้องนึกอยากมาหาความเย็นอย่างคุณเมื่อนั้น

เขยิบขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งคือหัดรับฟังปัญหาของคนอื่น รู้จักปลอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเป็นเหตุเป็นผล อย่าถือโอกาสสั่งสอนหรือเผลอตัวใช้น้ำเสียงกดข่มให้เขารู้สึกโง่นะครับ อันนั้นนอกจากไม่สร้างแล้วยังทำลายเสน่ห์อย่างแรงด้วย

เมื่อทั้งตัวของคุณกลายเป็นเครื่องผลิตความเย็น แถมเห็นช่องทางที่จะปลอบคนอื่นให้รู้สึกดีขึ้นได้ คุณจะเป็นที่คิดถึงของคนหลายคน ความเป็นที่คิดถึง ความเป็นที่อยากฝากใจของหลายคนนั่นเอง คือเสน่ห์อย่างหญิงที่สำคัญยิ่ง

๒) ความเป็นผู้ดูแล

ความเป็นผู้ดูแลคือสิ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจากความเป็นที่ฝากใจ ถ้าใจคุณแคร์คนน้อย ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะมีความเป็นผู้ดูแล

และภาวะผู้ดูแลก็เป็นภาวะที่สอดคล้องกับเพศหญิงเช่นกัน เพราะธรรมชาติให้สัญลักษณ์ทางเพศเป็นฝ่ายรับฝากชีวิต หมายความว่าถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครมีเนื้อหนังอิ่มเต็มมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเหมือนผู้ดูแลมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นหลัก เพราะความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว คือลักษณะของคนที่มีจิตสำนึกเอาใจใส่ผู้คนและสิ่งรอบข้างได้อย่างถูกจังหวะ ถูกเวลา กับทั้งมีความรอบคอบ ไม่ดูดาย ไม่ละเลย

ความเป็นผู้ดูแลไม่ได้ตั้งต้นจากการเป็นแม่คน เพราะการให้กำเนิดทารกไม่ได้ประกันว่าคุณจะเลี้ยงใครได้ โดยที่แท้แล้ว ความเป็นผู้ดูแลตั้งต้นจากการเป็นผู้มีใจเมตตาการุณย์ ปรารถนาการให้ความอนุเคราะห์แก่คนและสัตว์จากใจจริง

ในขั้นของการเป็นผู้ดูแลจึงไม่ใช่แค่พูดปลอบ คุณต้องลงมือช่วยในทางใดทางหนึ่งอย่างเป็นรูปธรรมได้ด้วย ธรรมดามนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างไรต้องมีพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ให้ฝึกปรนนิบัติดูแล เช่น หาน้ำท่าหรือเตรียมหยูกยาไว้รอบริการ แต่หากคุณถูกเลี้ยงมาให้เป็นคุณหนู หยิบจับเป็นแต่แท่งลิปสติกหรือขวดน้ำหอมมาตกแต่งตนเองให้ดูดี ก็คงสร้างเสน่ห์อย่างหญิงข้อนี้ได้ยากหน่อย

ความมีแก่ใจเป็นห่วงเป็นใย เต็มใจดูแลคนรอบข้างนั้น อาจนำคุณไปสู่จิตวิญญาณแบบหมอหรือพยาบาล ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลมีเกียรติที่โลกนี้ขาดไม่ได้ ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าคุณไม่ได้เป็นหมอ แต่คนที่เห็นเขานึกว่าเป็นหมอ

ผู้ชายจะรู้สึกดีที่สุดกับผู้หญิงที่ดูแลเขาได้ เป็นพลังผลักดันให้เขาพุ่งไปข้างหน้าได้ มีแก่ใจสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นได้ ฉะนั้น หญิงที่คิดว่าสวยอย่างเดียวก็พอ รอผู้ชายรวยๆมาเนรมิตข้าทาสให้ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องดูแลความเป็นไปในชีวิตของเขา จึงไม่รู้ตัวว่าได้มอบเสน่ห์อย่างหญิงให้กับฝ่ายชายไปเสียหมด

 

เสน่ห์แห่งความคิด

คนที่เอาแต่คอยความรักจะไม่เจอความรักไปจนตาย ส่วนคนที่เฝ้าแต่สร้างความรักจะรู้จักความรักในสามวันเจ็ดวัน!

ไม่มีใครที่ไม่คิด แต่คิดแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่นแหละที่ไม่รู้กัน เกือบร้อยทั้งร้อยเข้าใจว่าแค่คิดคงไม่เป็นไร เพราะมันอยู่ในหัวเรา ไม่ได้รบกวนใคร

แท้จริงแล้วผิดถนัด! แค่คุณคิดฟุ้งซ่าน ก็มีคลื่นความปั่นป่วนกระจายออกมาแล้ว แค่คุณคิดอาฆาตพยาบาท ก็มีคลื่นความร้อนผะผ่าวออกมาแล้ว ความปั่นป่วนและความร้อนล้วนเป็นคลื่นรบกวนคนรอบข้างทั้งสิ้น

เคยไหม เห็นใครเดินเข้ามาแล้วคุณนึกรำคาญทันที ทั้งที่เขายังไม่ทันพูดจารบกวนคุณสักคำ? นั่นแหละอาจเป็นตัวอย่างของพวกฟุ้งซ่านจัด เขาพาคลื่นรบกวนติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และทันทีที่คุณมอง หรือทันทีที่คุณรู้สึกถึงเงาร่างของเขาในระยะใกล้ แค่นั้นก็เป็นความระคายพอจะทำให้เกิดความกระวนกระวายขึ้นมาได้แล้ว

ทุกคนอยากหลีกหนีออกห่างความฟุ้งซ่านและความเร่าร้อน ไม่อยากให้มันเกิดกับใจตนเอง และไม่อยากอยู่ใกล้คนที่ปล่อยคลื่นแย่ๆอย่างนี้ออกมา แต่ก็นั่นแหละครับ เกือบทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างพากันขยันสร้างเหตุแห่งความปั่นป่วนและความเร่าร้อนกันทุกวัน

บางคนตั้งแต่เกิดมาหาความชำนาญเรื่องอื่นไม่ได้ เพราะชำนาญอยู่เรื่องเดียวคือฟุ้งซ่าน ถ้าจัดประกวดคงหาแชมป์ยาก เพราะหามือโปรง่าย

ความฟุ้งซ่านมาจากไหนกัน? คำตอบที่ฟังง่ายเหมือนเอากำปั้นทุบดินคือ ‘มาจากความไม่สงบใจ!’

แล้วที่ไม่สงบใจเพราะอะไร? คำตอบคือเพราะความอยากโน่นอยากนี่ไม่รู้จบ!

ทีนี้ลองตรองดูนะครับ ถ้าวันๆคุณเอาแต่รอคอยความรักด้วยความทรมานใจ คอยจ้องแต่จะอิจฉาริษยาคนที่เขาควงคนหล่อคนสวยไปดูหนังและเที่ยวทะเลกัน อะไรจะเกิดขึ้น?

แน่นอน! สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคลื่นรบกวนที่กระจายออกมาอย่างเข้มข้น และยิ่งคุณเสพติดนิสัยคิดมาก เอาแต่จ้องริษยาคนอื่น ความปั่นป่วนร้อนๆก็จะยิ่งทวีตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆตามวันเดือนปีที่ผ่านไป ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เพียงเดินเฉียดคนที่คุณปิ๊ง เขาก็อยากเบือนหน้าหนี ‘ของร้อน’ แล้วจริงไหม?

ต่อให้คุณคบใครอยู่นะครับ ความอิจฉาริษยาและความไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็จะทำให้คุณติดอยู่ในวังวนของการรอคอยไม่รู้จบ พูดง่ายๆคือทั้งชีวิตของคุณจะไม่รู้จักรสแห่งความรัก มีอยู่รสเดียวที่รู้จักดีคือการรอคอยที่ไม่เคยสมหวัง!

ความจริงก็คือพวกเราลิ้มรสแห่งความรักได้โดยไม่ต้องรอคอยให้ใครมาถึงตัวเสียก่อน เพียงคุณตั้งความคิดไว้ในทิศทางที่จะปรารถนาดีกับคนอื่นได้ คุณก็อยู่กับความรักเดี๋ยวนั้นแล้ว

หลายคนฟังแล้วส่ายหน้าพะอืดพะอม เพราะแค่นึกก็รู้สึกแล้วว่าตนเองคงคิดปรารถนาดีกับใครไม่ลง ในเมื่อผู้คนเต็มไปด้วยความน่าหมั่นไส้ น่าโกรธ และกระทั่งน่าเกลียดชังปานนี้ แถมตัวเองก็สะสมความหมั่นไส้ ความโกรธ และความเกลียดมาแต่เกิด จะให้แกล้งคิดปรารถนาดีกับใครต่อใคร คงเหลือวิสัยที่จะทำ

ก็นั่นน่ะซีครับ อย่าไปแกล้งปรารถนาดีซิ! ผมกำลังพูดถึงการมีความปรารถนาดีจากใจจริงอยู่ต่างหากล่ะ และต่อไปนี้ก็จะเป็นวิธีฝึกปรารถนาดี โดยอาศัยความเป็นคนขี้หมั่นไส้ มักโกรธ และเกลียดง่ายของคุณนั่นแหละ เอามาเป็นตัวตั้งในการเริ่มฝึก!

๑) เมื่อหมั่นไส้

ทันทีที่รู้สึกตัวว่าหมั่นไส้ใคร ให้หมั่นไส้ต่อไป! แต่ให้เลิกใช้สายตามองบุคคลผู้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความหมั่นไส้ แล้วใช้ใจทำความรู้จักกับภาวะหมั่นไส้ตรงๆ คือดูว่าความหมั่นไส้ให้ความรู้สึกทางใจอย่างไร ชั่วขณะหนึ่งคุณจะรู้สึกเหมือนคนเพิ่งกินน้ำมันหมูเลี่ยนๆ หรือเกิดความอึดอัดแบบที่น่าระอา ตรงนั้นใจคุณจะเลิกยึดความหมั่นไส้ ทิ้งความหมั่นไส้ไปเองโดยไม่แกล้ง ยิ่งทำบ่อยก็จะยิ่งเห็นความหมั่นไส้หายไปเร็วขึ้นทุกที ย้ำว่าอย่าไปพยายามทำให้มันหายไปนะครับ ปล่อยให้ใจหมั่นไส้ไป เราแค่ทำความรู้สึกถึงมันตรงๆเท่านั้น

๒) เมื่อโกรธ

ทันทีที่รู้สึกตัวว่าโกรธใคร ให้ดูว่าโกรธแรงแค่ไหน ถ้าถึงขั้นอยากด่าหรืออยากทุบสักอั้กก็ให้ห้ามใจไว้ อย่าด่า อย่าลงมือ เก็บไว้ในอกนั่นแหละ ทำอกให้เหมือนตู้นิรภัยที่ระเบิดลั่นก็ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาถึงข้างนอก จากนั้นให้นับดูสนุกๆแบบรู้อยู่คนเดียว ว่าเกิดการระเบิดอยู่ในอกกี่ครั้ง แต่ละครั้งแรงหรือเบาต่างกันเพียงใด

ถ้าปล่อยให้ระเบิดมันดังเปรี้ยงปร้างออกมาทางปากหรือทางมือไม้ คุณจะไม่เหลือสติไว้ดูอะไรเลย แต่ถ้ามันระเบิดอยู่ในอก คุณจะค้นพบว่ามันไม่ทำให้คุณถึงตาย และที่สำคัญคือสติที่รู้เห็นระเบิดในอก จะช่วยให้คุณไม่ต้องเก็บกดด้วย

แต่หากความโกรธของคุณไม่แรงนัก เพียงอยู่ในระดับหงุดหงิด คิดด่าอยู่ในใจ ยังไม่อัดอั้นขนาดต้องทำปากขมุบขมิบหรือชักสีหน้าใส่เขา อันนี้ให้ดูเฉยๆ อย่าห้ามใจไม่ให้หงุดหงิด อย่าไปเร่งให้หายหงุดหงิดเร็วๆ แล้วก็อย่าเผลอคิดถึงเรื่องต้นเหตุ กระทั่งความหงุดหงิดมันกระพือขึ้นเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่โต เริ่มต้นมีควันไฟแค่ไหนก็ปล่อยให้มันคลุ้งอยู่แค่นั้น แล้วในที่สุดมันจะหายไปให้ดู

ฝึกอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าจะโกรธหนักหรือโกรธเบา จิตของคุณจะกลายเป็นนักดูความโกรธ คุณสมบัติเด่นของนักดูความโกรธคือไม่ถูกความโกรธครอบงำ แล้วก็ไม่พยายามครอบงำความโกรธด้วย กระทั่งเหมือนแยกกันเป็นคนละฝ่าย ฝ่ายหนึ่งโกรธให้ดู อีกฝ่ายหนึ่งรู้ความโกรธไป

สรุปให้จำง่ายๆคือ ถ้าอยากพูดด่าหรืออยากลงมือทำร้ายใคร ตอนนั้นความโกรธมีไว้ห้าม ไม่ใช่มีไว้ดู แต่ถ้าแค่หงุดหงิดคิดไม่ดีกับใคร ตอนนั้นความโกรธมีไว้ดู ไม่ใช่มีไว้ห้าม

๓) เมื่อเกลียด

ทันทีที่รู้สึกตัวว่าเกลียดใคร ให้ระลึกว่าคุณผูกใจเจ็บแล้วนะ คุณเก็บเชื้อโรคทางวิญญาณไว้กัดกินตัวเองแล้วนะ มองให้เห็นโทษของความเกลียด มองให้เห็นว่าผูกใจเจ็บแปลว่าเจ็บที่ใจตัวเองนาน แล้วคุณจะตระหนักว่าความเกลียดเป็นโรคทางใจโรคหนึ่ง

คุณกำลังเป็นโรค!

บอกตัวเองซ้ำๆไปอย่างนี้เลยครับ จะพูดออกปากให้ชัดถ้อยชัดคำเลยก็ดี พูดจนกว่าใจจะได้ยินจริงๆ

ชีวิตเป็นของยากครับ วันๆเจอแต่คนทำเรื่องไม่น่าพอใจให้เก็บมาคิด แต่ต่อให้คิดถึงขั้นจ้างหมอผีปล่อยของเข้าท้องศัตรู ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ศัตรูเป็นทุกข์หรือเปล่า ที่แน่ๆคือสุขภาพของคุณจะเลวลงทุกที โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและระบบประสาทอยู่ ไม่ว่าอาฆาตมากหรือน้อยก็จัดเป็นของแสลงทั้งนั้น เพราะมันทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น แม้กระทั่งกล้ามเนื้อก็พลอยเกร็งและบั่นทอนความสามารถในการควบคุมตนเองลง

หลักฐานแสดงอยู่ทนโท่ โรคทางใจลามเป็นโรคทางกายได้ เพียงเท่านี้ก็ควรที่คุณจะฉุกคิดได้ว่า ศัตรูของคุณไม่ใช่คนอื่นที่คิดร้ายกับคุณ แต่เป็นความคิดร้ายของคุณเองที่มีต่อคนอื่นต่างหาก!

ความตระหนักจะทำให้คุณเลิกเข้าใจผิดคิดว่าความแค้นอยู่ส่วนหนึ่ง หัวใจและกล้ามเนื้ออยู่อีกส่วนหนึ่ง เป็นต่างหากจากกัน เหมือนคุณตกเข้ามาอยู่ในเครื่องลงทัณฑ์เครื่องหนึ่ง ซึ่งพร้อมจะบีบให้คุณร้อง หรือกระทั่งบดขยี้ให้คุณตาย ขอเพียงทำผิดกติกา ปล่อยความแค้นให้ครอบงำจิตใจนานพอ

เมื่อเป็นโรคแล้วทำไมไม่อยากหายจากโรค? คุณหวงโรคด้วยหรือ? ไม่เลย! ทุกคนอยากหายจากโรค อยากกลับมีกำลังวังชากันมิใช่หรือ? ตรงจุดของการเห็นเช่นนี้แหละที่จิตจะมีพลังแห่งเหตุผลมากพอจะวางความแค้นลงเสียได้

ชั่วขณะที่จิตของคุณวางความผูกพยาบาทอาฆาตลง คุณจะรู้สึกดี รู้สึกสบาย หรืออาจจะถึงขนาดปลงใจอโหสิกับศัตรูคู่แค้น ยิ่งแค้นหนักแล้วอภัยได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งมีประมาณความรู้สึกคล้ายยกภูเขาออกจากอกเร็วขึ้นเท่านั้น

ฝึกแค่ ๓ ข้อนี้แค่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้สึก ‘โล่งอก’ ขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นความโล่งอกสบายๆอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวกับใคร มีความสุขกับใจของตนเอง สบายใจกับความไม่หมั่นไส้ ไม่โกรธ ไม่เกลียดของตนเอง ตรงนั้นขอให้ทราบเถิดว่าเสน่ห์ทางจิตเริ่มเปล่งประกายแล้ว

และ ณ จุดนั้นเช่นกัน ที่คุณจะสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับความคิดได้ดีขึ้น ความคิดสามารถยกระดับจิตได้ และเมื่อจิตถูกยกระดับแล้ว วิธีคิดก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง

ขอเพียงจิตของคุณไม่ยอมเป็นที่เกาะของความหมั่นไส้ ความโกรธ และความเกลียด คุณจะเห็นโลกต่างไปอย่างน่าแปลกใจ ตรงนั้นคุณจะพบว่า ความคิดที่ดีที่สุดไม่ใช่การคิดพยายามเปลี่ยนโลกทั้งใบให้ดีพร้อม แต่เป็นการยอมคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองจากร้ายให้กลายเป็นดีต่างหาก

บนเส้นทางแห่งความพยายาม วิธีคิดทั้งหมดของคุณจะยืนพื้นอยู่บนความไม่อยากเบียดเบียนใคร แม้เขาจะมาเบียดเบียนคุณก่อน คุณก็ไม่อยากเบียดเบียนตอบ และเมื่อความคิดของคุณยืนพื้นอยู่บนความไม่อยากเบียดเบียนอย่างถาวร แต่ละคลื่นความคิดที่ส่งออกมาเป็นห้วงๆจะกระทบใจคนอยู่ใกล้ให้พลอยรู้สึกดีตาม

คุณคงเคยมีประสบการณ์มองใครสักคนแล้วทราบว่าเขากำลังคิด และแม้ความคิดของเขายังคงเป็นเพียงคลื่นลมเร้นลับอยู่ในหัว คุณก็แน่ใจว่าเขากำลังคิดในเรื่องดีงาม นั่นแหละคือตัวอย่างของคลื่นความคิดที่ส่งเสน่ห์ออกมาได้ ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ขยับปากพูดหรือลงมือทำอะไรเลย

หมั่นสังเกตคลื่นความคิดในหัวของคุณ ว่ากำลังเป็นไปในทางสว่างหรือทางมืด แล้วคุณจะยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขา ว่าแค่คลื่นความคิดในหัว ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นแรงดูดหรือแรงผลักรักแท้ให้มาหา

เมื่อพบความรักในจิตของตนเอง คุณจะแทบไม่แคร์แล้วว่าเมื่อใดรักแท้ถึงจะมา แต่ใครต่อใครจะเริ่มแคร์มากขึ้น ว่าเมื่อใดคุณจะรับรักพวกเขาเสียที!

ท้ายบท

หวังว่าบทนี้คงทำให้คุณเลิกคร่ำครวญถามหาความรักจากฟากฟ้าด้วยความสิ้นหวัง และหันกลับมาทวงถามหาเสน่ห์ทางกายกับเสน่ห์ทางใจจากตนเองแทน

เมื่อคุณมีเสน่ห์ คุณจะมีตัวเลือกมาวางเรียงตรงหน้าเสมอ โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือเมื่อเหล่าตัวเลือกมายืนอยู่ตรงหน้า คุณจะเลือกอย่างไรให้ได้คนที่ใช่

____________________________________________________________________________
บทที่ ๓
เลือกคนที่ใช่

ถ้าคู่ยังไม่ใช่ ใจก็คงจริงยาก!

หากคุณเป็นคนหลายใจ คนโน้นก็ชอบ คนนี้ก็เอา แบบนี้เรียกว่า ‘ไม่มีใจจริง’

แต่ถ้าในทางกลับกัน แม้คุณจริงใจกับทุกคนที่คบ แต่ปีแล้วปีเล่าเอาแต่เจอคนไม่ถูกใจหรือเข้ากันไม่ได้ พยายามทำดีแค่ไหนก็ต้องเลิกกันวันยังค่ำ แบบนี้เรียกว่าเจอแต่ ‘ตัวปลอม’

เอาล่ะสิ! คุณจะไปบอกใครอย่างไรดี ว่าที่เปลี่ยนบ่อยนั้นเพราะคุณดีแต่เจอตัวปลอม หรือว่าเหล่าตัวปลอมดีแต่คุณยังไม่มีใจจริงให้ใคร?

ตกลง ‘ตัวจริง’ กับการมี ‘ใจจริง’ อันไหนมาก่อนอันไหนมาหลัง? มันจะเหมือนปัญหาโลกแตกอย่าง ‘ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน’ หรือเปล่านี่?

ใจของคนและสัตว์ทั้งหลายพร้อมจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ มามองเป็นเหตุเป็นผลง่ายๆ ถ้าเจอคนที่ใช่ ใจคุณก็พร้อมจะจริง แต่ถ้ายังไม่ใช่ ใจคุณก็พร้อมจะแกว่ง

คุณรักเดียวใจเดียวได้ตลอดชีวิต แต่จะบังคับใจตัวเองให้ ‘รักจริง’ ไม่ได้เลย ถ้าเขาหรือเธอไม่มีความน่าให้รัก หรือน่าให้รักแต่ไปกันไม่ไหว

คุณคงไม่อยากสงสารตัวเองไปตลอดชีวิต ที่ต้องกัดฟันฝืนปฏิบัติหน้าที่สามีหรือภรรยาแสนดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งที่หัวใจเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง อ่อนล้า และแหนงหน่าย มันคงจะดีกว่ากัน ถ้าคุณมีความรักจริงเป็นแรงบันดาลให้ซื่อสัตย์และแสนดี ไม่ใช่ฝืนแสนดีและซื่อสัตย์ไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้

บทนี้จะเริ่มจากการแสดงภาพรวมว่าคนเราชอบรีบร้อนด่วนได้ หรือไม่ก็อยากได้อะไรที่เกินตัว รู้ทั้งรู้ว่า ‘คนที่ใช่’ หมายถึง ‘คนที่เหมาะ’ แต่ใจจะไม่รอคนเหมาะ เพราะกิเลสสั่งให้หาคนที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ซึ่งก็นั่นแหละครับ เป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่เจอคนที่ใช่กันสักที

เมื่อได้ข้อคิดที่ช่วยกระทุ้งให้หลุดจากความสับสนแล้ว ค่อยไปดูคุณสมบัติของคนที่ใช่กัน ขอบอกไว้แต่เนิ่นๆว่าหลักการคือหลักการ ซึ่งให้แนวคิดหรือข้อสังเกตในการมองคน มองตน และมองอนาคต ลงเอยใจคุณต้องเป็นผู้เลือกในขั้นสุดท้ายว่าจะเชื่อหลักการหรือเลือกเอาตามความพอใจของตน

อนึ่ง บทนี้เขียนอยู่บนการสันนิษฐานว่าคุณมีอิสระพอจะดูเอง เลือกเอง หากคุณติดหนี้กรรมเก่าให้ต้องถูกคลุมถุงชน หรือต้องแต่งงานด้วยเหตุจำเป็นอันใดก็ตามที ขอให้ถือว่าบทนี้เอาไว้เป็นมาตรวัดว่าคุณพร้อมจะรัก ‘คนของคุณ’ สักแค่ไหน ด้วยปัจจัยอันใดบ้างนะครับ

ความมีเสน่ห์จะดึงดูดคนเข้ามาหาคุณได้มาก แต่ยิ่งมากเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นคนที่ใช่ได้ยากขึ้นทุกที

ถ้าคุณอ่านบทก่อนอย่างเข้าใจและทำตาม กระทั่งอย่างน้อยเป็นคน ‘มีเสน่ห์ทางความคิด’ ภายในสองอาทิตย์เป็นอย่างช้า คุณก็น่าจะมีคนอยากเข้ามาใกล้ อยากเข้ามาพูดคุยด้วยบ่อยๆบ้างแล้ว เพราะโลกมันร้อน ใครๆก็อยากเจอศาลาริมน้ำไว้พักผ่อนเย็นใจกันทั้งนั้น

ประเด็นคือยิ่งเสน่ห์แรงเท่าไร ตัวคุณจะยิ่งกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งคนที่เหมาะและไม่เหมาะเข้ามาหา จนโลกปรากฏคล้ายตลาดสดทางความรัก คือตัวเลือกเยอะ ข้อเปรียบเทียบแยะ และใจก็อาจรักพี่เสียดายน้อง คุณจำเป็นต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง รู้ให้ได้ก่อนว่าตัวเองเป็นใคร เข้ากับคนแบบไหนได้บ้าง ตลอดจนอยู่กับใครได้ดีที่สุด

คุณเป็นใคร คำตอบอยู่ที่เข้ากับคนแบบไหนได้ และการจะรู้ว่าเข้ากับคนแบบไหนได้ ก็จำเป็นต้องคบคนให้มาก แล้วใช้ใจตัวเองตัดสิน ไม่ใช่เข้าไปขอปรึกษานักจิตวิทยาหรือหมอดูที่ไหน

การคบหลายคนไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด ตราบเท่าที่คุณตั้งระยะห่างไว้ดีพอ ไม่ได้ให้ความหวังใครเกินเพื่อน และขณะเดียวกันก็อาศัยพวกเขาหรือพวกเธอในการสำรวจตนเอง ทำความรู้จักตัวเองไปด้วย

ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพอย่างนี้นะครับ การเลือกฟังเพลงคนเดียว จะทำให้คุณรู้จักตัวเองดีว่าต้องการฟังเพลงแบบไหน แต่การเลือกฟังเพลงกับใครอีกคน จะทำให้คุณรู้จักตัวเองว่ามีความสุขกับใครในบรรยากาศดนตรีแบบใด

เกือบๆกล่าวได้ว่าบรรยากาศดนตรีแบบที่คุณชอบฟังกับเขาหรือเธอ ก็คือความรู้สึกที่คุณมีต่อเขาหรือเธอนั่นเอง เช่น ถ้าเพลงหวานทำให้คุณซาบซึ้งละไม ก็แปลว่าคุณมีอารมณ์โรแมนติกกับเขาหรือเธอได้ และถ้ายิ่งเพลงคึกคักสามารถเร้าใจให้คุณตื่นเพริดไปกับเขาหรือเธอได้ ก็แปลว่าคุณมีอารมณ์สนุกร่วมกับเขาหรือเธอไหว

การที่ใจบอกว่าชอบใคร ก็เปรียบเหมือนบอกว่าอันใดคือ ‘เพลงโปรด’ ในโลกดนตรีคุณมีเพลงโปรดในสต๊อกได้เป็นร้อยเป็นพันโดยไม่มีใครว่า แต่ในโลกความรักคุณต้องเลือกเพลงโปรดไว้ฟังเพียงหนึ่งเดียว จึงจะไม่เป็นที่ครหา

การหว่านเสน่ห์ด้วยความนึกสนุกหรืออยากลองของใหม่เหมือนเปลี่ยนเพลงตามใจชอบ จะทำให้คุณเปลี่ยนเป้าหมายจากการแสวงหาคนที่ใช่ ไปเป็นคึกคะนองกับการล่าคนที่ดีกว่ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกเบื่อง่ายแบบเดียวกับเบื่อเพลง เห็นว่าคนที่คบอยู่ไม่ใช่ ไม่น่าพอใจอยู่ร่ำไป แล้วกลายเป็นคนเลือกมาก ความอดทนต่ำ ไม่อยากง้อใคร และถึงขั้นอยากเปลี่ยนใจเพียงด้วยเหตุเล็กน้อย คิดว่าตัวเองแน่ จะเอาแค่ไหนเมื่อไรก็ได้ไม่จำกัด

มีเสน่ห์ไม่ใช่เพื่อหว่านเสน่ห์ไปเรื่อย เพราะการหว่านเสน่ห์ไม่เลือกหน้าจะเป็นการสั่งสมนิสัยเพื่อหันหลังให้กับรักแท้ ต้องเร่งบอกตนเองว่าคุณกำลังมาผิดทางที่จะพาไปหารักแท้แล้ว ต่อให้คนที่ใช่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ปะปนกับเหล่าตัวเลือกอีกเยอะแยะ สายตาของคุณก็จะเหมือนพร่าเลือนไป แม้แต่คนที่ใช่ก็ถูกมองเป็นหนึ่งในตัวเลือกเหมือนๆกันหมด

เลือกคนที่จะทำให้ใจคุณนิ่ง เพราะความนิ่งจะอยู่ทน อย่าเลือกบางคนหรือหลายคนที่ทำให้คุณกระเจิง เพราะความกระเจิงจะหลอกให้คุณหลงควานต่อไม่รู้จบรู้สิ้น

แล้วก็ท่องจำให้ขึ้นใจนะครับ อย่าเพิ่งให้ความหวังใครก่อนจะรู้จักธาตุแท้ความเป็นเขา และรู้ว่าเขา ‘ใช่’ พอจะทำให้ใจคุณ ‘จริง’ มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาในภายหลัง ตั้งแต่โศกนาฏกรรมทางหัวใจ ไปจนกระทั่งอาชญากรรมทางเพศให้ได้อายคนอ่านหนังสือพิมพ์กัน

แล้วถ้าความใกล้ชิดบังคับให้เผลอใจล่ะ จะทำยังไง? จะให้ดูอย่างไรในเมื่อธาตุแท้ของคนมักปรากฏก็ต่อเมื่อสนิทกันแล้ว?

คำตอบคือ รู้จักกันอย่างเพื่อนสนิทที่ไม่มีสิทธิ์แตะเนื้อต้องตัว เขาก็จะไม่มีสิทธิ์หึงหวง แล้วคุณก็จะได้มีสิทธิ์เห็นธาตุแท้จากความเป็นเพื่อนสนิทนั้นด้วย!

สรุปคือในขั้นนี้ ยึดหลักให้แม่นๆคือ ถึงมีตัวเลือกมาก ก็ต้องเลือกเพียงหนึ่งเดียว ไม่เช่นนั้นจะลงเอยคือทุกตัวเลือกเป็นปัญหาทั้งหมด ไม่ใช่รักแท้ทั้งหมด!

อำนาจที่ทำให้ลุ่มหลงส่งมาจากส่วนสกปรกตรงไหนของร่างกายก็ได้ แต่แรงบันดาลที่ทำให้รักจริงต้องมาจากกลางใจที่ใสพอเท่านั้น

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้ากามกว่าเพื่อน เพราะบนโลกนี้นอกจากมนุษย์ก็มีแต่ปลาโลมาเท่านั้น ที่มีเซ็กซ์เพื่อความบันเทิงได้โดยไม่ต้องเลือกฤดู

เมื่อพื้นฐานของเราเป็นพวกราคะจัดเสียอย่างนี้ ก็ควรเข้าใจตนเองไว้แต่เนิ่นๆว่า คุณมีสิทธิ์หน้ามืดตามัว แยกแยะไม่ออกว่าระหว่างอยากได้กายเขามาเสพกาม กับอยากได้ตัวเขามาเป็นคู่นั้น แตกต่างกันอย่างไร

น้อยเสียเมื่อไหร่ ที่ผลีผลามจับคู่เพียงเพราะเสพสมเสร็จแล้วติดใจกัน ทั้งที่ยังไม่ทันดูความเข้ากันได้ในรายละเอียดอื่นๆเอาเลย การจับคู่กันด้วยเหตุผลทางกามารมณ์ หรือเพียงเพราะติดใจรูปร่างหน้าตาอย่างรุนแรง มักลงเอยเป็นโศกนาฏกรรมทางความรู้สึก คือผิดหวังที่เลือก เสียใจที่ไม่ดูให้ดีเสียก่อน

ทีแรกได้มานึกว่าโชคดี ที่ไหนได้ กลายเป็นเคราะห์ร้ายกว่าใครเพื่อน!

คนเรามักมองที่สัญญาณบอกเหตุง่ายๆ ตื้นๆ แบบเดียวกับคนติดละครเพราะคลั่งไคล้ความสวยหล่อจัดจ้านของดารานำ ขอให้รูปร่างหน้าตามีอำนาจพอจะสะกดให้เพ้อได้เถอะ เป็นสำคัญไปว่าตัวเองถูกศรรักปักอกเข้าให้แล้ว แล้วหลังจากนั้นค่อยเฟ้นหาเหตุผลต่างๆนานามารองรับ ว่าคนนี้แหละใช่ คนนี้แหละคือที่สุด เรียกว่ามีแต่อารมณ์ทั้งนั้นที่เป็นตัวบอกว่าเหมาะ ใช่ ดี เอาเลย!

เข้าใจไว้นะครับว่าถ้าคุณแค่อยากถึงที่สุดทางกาย ไม่ใช่ปรารถนาจะถึงที่สุดทางใจ พอจับพลัดจับผลูถึงที่สุดทางกายกับเขาหรือเธอได้ ใจคุณจะไม่เหลือเยื่อใยใดๆอีก!

ที่สุดของความรู้สึกทางกายนะครับ ก็คือเบื่อกายนั่นแหละ อยากทิ้งไปให้พ้นๆ ส่วนที่สุดของความรู้สึกทางใจ จะเป็นความผูกพันลึกซึ้ง ไม่อยากทอดทิ้งกันไปจนชั่วชีวิต

มองแบบนักเสพกาม คนๆหนึ่งจึงเป็นได้แค่เพียงวัตถุกาม แต่หากมองแบบผู้แสวงหารักแท้ คนๆหนึ่งคือเหตุการณ์ ไม่ใช่ร่างกาย ฉะนั้นถ้าเพิ่งแค่เห็นใครปรากฏตัว ยังไม่ถือว่าคุณเห็นเขาหรือเธอเลย อย่าเพิ่งตัดสินว่าคุณชอบหรือชังเด็ดขาด จนกว่าจะเห็นเหตุการณ์อันเกิดจากเขามากพอ

ตอนกำลังจ้องมองสีหน้าสีตาหรือท่าทางของใครสักคน คนเราชอบถามตัวเองนะครับว่านี่ใช่คู่ของเราไหม เรารู้สึกดีกับเขาได้แค่ไหน สารพันจะเอาคำตอบจากใจตัวเองแบบปุบปับฉับพลันเดี๋ยวนั้น

ที่ถูกคือควรถามใจตัวเองว่ารู้จักเขาดีหรือยัง รู้ไหมว่าเขาทำอะไรมาบ้าง เจอปัญหาแล้วเขาแก้ด้วยความรุนแรงหรือละม่อม เป็นพวกไวไฟหรือติดไฟยาก กว่าจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดจากเขา คุณต้องใจเย็น ใช้เวลามากกว่าเห็นการปรากฏกายหลายเท่าตัว

เมื่อตระหนักว่าคนๆหนึ่งคือบ่อเกิดของเหตุการณ์ นั่นหมายความว่าเมื่อคุณคบกับคนๆหนึ่ง ก็คือการเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่คนๆนั้นสร้างไว้ และกำลังจะสร้างขึ้น

เฝ้ามองเหตุการณ์เหล่านั้นให้ชัด แล้วค่อยถามตัวเองว่า ใจของคุณเข้ากับเหตุการณ์เหล่านั้นได้ไหม?

1ตัดสินในตอนที่ใจคุณสะอาดจากกาม ไม่ถูกอวัยวะน้อยใหญ่ในเขาส่งแรงดึงดูดล่อตาล่อใจ ให้ความรักเกิดขึ้นท่ามกลางเหตุการณ์ดีๆร่วมกับเขา อย่าต้องมาเรียนรู้เมื่อสายไปแล้วว่า การเลือกคบคนแบบใด ก็เท่ากับเลือกใจแบบนั้นด้วย
สรุปคือความลุ่มหลงรูปกายจะทำให้หน้าตาของเราโง่ลง ส่วนการเห็นเหตุการณ์ตามจริงจะทำให้หน้าตาฉลาดขึ้นเป็นคนละคน สิ่งที่ทำให้คนเราโง่เรื่องความรัก ก็ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่ากาม ส่วนสิ่งที่จะทำให้คนเราฉลาดเรื่องความรัก ก็ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าใจที่ใสและเย็นลงแล้ว

รู้สึกว่าใช่ ไม่จำเป็นต้องใช่ โดยเฉพาะถ้าได้ความรู้สึกว่าใช่มาจากการเอาแต่มองด้านดีท่าเดียว

คนเราชอบรักแท้ในฝัน ประเภทแรกพบสบตาตะลึงงันเหมือนต้องมนต์สาปให้แน่นิ่ง อันนี้ต้องระวังเลยนะครับ มีคนหล่อคนสวยที่เจนเวทีอยู่พวกหนึ่ง สามารถสร้างมายาจิต คือทำจิตแบบหนึ่งที่ก่อให้เกิดกระแสพาฝัน คุณจะรู้สึกว่าโลกนิ่งงันเพื่อเป็นนาทีพิเศษสำหรับการพบคู่แท้

แต่ที่จริงไม่ใช่อะไรเลย เขาหรือเธอเจอใครน่าสนใจหน่อยก็แผ่พลังพาฝันอย่างนี้กับทุกราย โดยมีความงามแห่งรูปเป็นศูนย์กลางพิธีสะกดจิต ถ้าใครรู้ไม่ทันก็เสร็จ เจอบ่วงเสน่ห์คล้องคอหนีไปไหนไม่รอด ต้องเฝ้าคิดถึงอย่างทุรนทุรายตั้งแต่เช้ายันค่ำ!

ชีวิตคนบางคนเหมือนความฝัน ไม่ควรที่จะเอาความจริงในชีวิตคุณไปยุ่งด้วย เพราะจะลงเอยเป็นชีวิตครึ่งหลับครึ่งตื่น หาความสุขที่แท้จริงไม่เจอ

สิ่งที่ทำให้คนเรา ‘ติดกับ’ ตั้งแต่เริ่มต้นนั้น นอกจากความงามแห่งรูปแล้ว ก็เห็นจะได้แก่ความ ‘ดูดีไปหมด’ หรือคุณสมบัติที่ถูกใจ อะไรๆแบบที่เคยอยากได้มารวมอยู่ในเขาหรือเธอ

ในโลกความจริง อะไรที่ดูดี ดูเกินๆจริงนั้น มักเป็น ‘กับดัก’ มากกว่า ‘รางวัล’ คุณหลงดีใจว่าตะครุบรางวัล แต่ที่สุดอาจต้องแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อพบในภายหลังว่าที่แท้มันเป็นเพียงกับดัก!

ถ้าถูกใจเสียอย่าง คนเราพร้อมจะเชื่อง่ายอยู่แล้ว เขาสร้างภาพอะไรให้มองก็เชื่อว่าเห็นตัวจริงของเขาแล้วจากภาพนั้น เหล่ามนุษย์มักตาบอดเพราะชอบทึกทักเอาเองว่าเห็นอะไรมา และที่ตาจะสว่างได้ก็เพราะยอมทบทวนดีๆว่ามีอะไรให้เห็นบ้าง

ความไม่มีญาณหยั่งรู้จะทำให้คุณมองคนจากหน้าตาและวาจาในช่วงแรกคบ ซึ่งถ้ากรรมเก่าในชาติก่อนของเขาดี เกิดมาชาตินี้ก็จะดูดีน่าเชื่อถือ แต่คุณจะทราบว่ากรรมใหม่ของเขาเหมือนเดิมหรือต่างไป ก็ต้องคุยกันนานๆ เห็นพฤติกรรมไปนานๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุปตั้งแต่ช่วงต้น

การจะดูว่าใครเป็นนักสร้างภาพ ชอบพูดอะไรให้ตัวเองดูดีนั้นไม่ยาก เพราะนักสร้างภาพมักพูดไม่เป็นธรรมชาติ อยู่ใกล้แล้วอึดอัด หรือแสดงพฤติกรรมขัดแย้งกับคำพูดอันสวยหรูของตนเสมอๆ

แต่ความเข้าข้างตัวเองของคุณอาจช่วยให้งานของนักสร้างภาพราบรื่นขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆที่เห็นกันมาก คือถ้าคนเจ้าชู้มาบอกว่าจะเลิกเจ้าชู้เพื่อคุณ ความโน้มเอียงก็คือคุณจะภูมิใจและอยากเชื่อเขา ในขณะที่คนทั้งโลกเห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีทางเป็นไปได้

และที่สุดของที่สุดนะครับ เขาสร้างภาพไม่น่ากลัวเท่าคุณสร้างภาพให้เขาเอง อย่างเช่นไปเหมาว่าเขาแสนดีอย่างนี้ ทึกทักว่าเธอสูงส่งปานนั้น คุณสมบัติแบบเทพบุตรเทพธิดาในฝันอันใดที่คุณอยากเจอ คุณประเคนให้ใครคนหนึ่งหมดสิ้น แบบนี้จะตาสว่างยาก เพราะต่อให้เขาสารภาพกับปากว่าตนเองเลวทรามต่ำช้าสามานย์ปานงูเห่า คุณก็จะชมว่าเขาช่างถ่อมตัวไปเสียนั่น

เมื่อทำความรู้จักกับใครคนหนึ่ง ให้ตั้งการ์ดไว้เลยว่าตัวตนของคนๆนั้นสร้างขึ้นจากกรรมขาวและกรรมดำ ถ้าใครสามารถทำแต่กรรมขาวอย่างเดียว ไม่ต้องทำกรรมดำเลย ก็คงไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้คุณจะได้ไม่ตั้งความคาดหวังในคนๆหนึ่งไว้สูงจนเกินจริง และที่สำคัญคือจะได้ไม่ต้องหลงภาพฝันที่วาดขึ้นเอง หลงหัวปักหัวปำเอง แล้วผิดหวังช้ำใจเอง

สรุปคือถ้าปักใจว่าใครใช่เพราะ ‘ดีไปหมด’ ให้ชะลอการตัดสินใจไว้ก่อน และบอกกับตัวเองว่าถึงตอนนี้คุณเห็นสิ่งดีๆที่ทำให้รู้สึกว่าเขาใช่แล้ว ขอเวลาอีกสักนิดเพื่อมองให้เห็นข้อติที่จะทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ใช่เสียก่อน เพื่อที่แม้ภายหลังจะรู้ตัวว่าเลือกพลาดก็จะได้ไม่เสียใจมาก เพราะเห็นทั้งด้านดีด้านร้ายของคนรักตามจริงแล้ว เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ใช่ลุ่มหลงมัวเมาแบบลืมหูลืมตาไม่ขึ้นท่าเดียวเสียเมื่อไหร่

การพยายามค้นหาคนไร้ที่ติ ไร้ข้อเสียใดๆ คือการหลงงมเข็มที่ไม่เคยตกลงไปในมหาสมุทร

ความรักมากมายล้มเหลวก่อนที่จะเริ่มต้นจริงจังด้วยซ้ำ เหตุผลคือไม่อาจทนข้อเสียใหญ่น้อยของอีกฝ่ายไหว

ธรรมดาของคนเรานี่นะ ขอให้อยู่ใกล้ใครเถอะ จะจาระไนได้หมดแหละว่าเขาหรือเธอมีข้อเสียอันใดบ้าง แต่ให้เจอข้อดีเพียงหนึ่งเดียวนี่แสนลำเค็ญ นั่นก็เพราะข้อดีเป็นสิ่งที่ต้องค้นหา ส่วนข้อเสียไม่ต้องหาก็เห็นได้ตั้งแต่เจอหน้าตาหรือมองเนื้อตัวแล้ว

หากคุณเป็นพวกรู้สึกว่าตนเองเลิศเลอสมบูรณ์แบบ ก็เท่ากับยืนอยู่ตรงใจกลางปัญหาเลยทีเดียว เพราะแนวโน้มคือคุณจะมองหาคนที่เลิศเลอสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติไปทุกด้าน เพื่อพบว่าคนแบบนั้นไม่เคยมีอยู่ในโลก!

ทุกคนเป็นไปตามกรรม กรรมบันดาลทุกสิ่ง ทีนี้ลองดูว่ามีใครบ้างที่ทำดีได้ตลอดเวลา พูดดีได้ตลอดเวลา คิดดีได้ตลอดเวลา และเพราะไม่อาจคิดดี ไม่อาจพูดดี ไม่อาจทำดีได้ตลอดเวลา คนเราจึงต้องมีข้อบกพร่องทางกายบ้าง มีข้อเสียทางนิสัยบ้าง ตลอดจนกระทั่งมีชะตากรรมแย่ๆบ้าง

พูดอีกอย่างหนึ่งคือหากอยากรู้ว่าทำไมคนดีพร้อมสมบูรณ์ถึงหายากนัก ก็ให้พยายามสักอาทิตย์ ลองทำดีให้ถึงพร้อมดู ห้ามใจไว้ อย่าได้คิดแย่ๆ อย่าได้พูดแย่ๆ อย่าได้ทำแย่ๆเลยสักนิด

ถ้าทำได้ก็นั่นแหละครับ เมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นคนครบสูตรไร้ที่ติในชาติหน้า แต่ถ้าทำไม่ไหว ก็ต้องถามตัวเองว่าจะให้ไม่มีส่วนแย่ในคุณหรือคนอื่นเลยอย่างไรได้?

และอันที่จริงก็ไม่มีใครตอบถูกด้วยซ้ำ ว่า ‘ดีไร้ที่ติ’ เป็นอย่างไร เพราะทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่กับ ‘ความพอใจ’ เป็นหลัก สมมุติว่าคุณพบคนที่หล่อสวย รวย เก่ง ใจดีมีเมตตา แต่ดันนับถือคนละศาสนากับคุณ เท่านี้คุณก็อาจยัดข้อหา ‘งมงายหลงทางผิด’ ให้เขาหรือเธอได้แล้ว

ข้อเสียที่เป็นข้อเสียจริงๆนั้น ถึงอยู่ด้วยกันนานแค่ไหน พลิกมุมมองอย่างไร มันก็เป็นข้อเสียวันยังค่ำ เพราะรบกวนหรือเบียดเบียนกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นขี้เมาอาละวาด ติดพนันงอมแงม ไม่ยอมทำงาน รีดไถผัวเมีย เอะอะด่ากันก็ส่งเสียงดังแปดบ้าน ขุดพ่อล่อแม่หรือกระทั่งตบตีกันแบบไม่ยั้งมือ เหล่านี้ทุกชาติทุกภาษายอมรับตรงกัน ไม่อาจเห็นเป็นอื่น

แต่ยังมีข้อเสียอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ข้อเสียจริงๆ ทว่าเป็น ‘ข้อด้อย’ ที่คุณไม่อยากยอมรับ เช่น โครงสร้างร่างกายบางส่วนดูผิดฝาผิดตัวไม่สมส่วน หรือกระทั่งไม่สมประกอบ ทำให้คุณเกิดความอับอายขายหน้าในที่สาธารณะ ต้องเดินควงไปกับคนตัวงอไม่สง่าผ่าเผย พยายามยืดหลังให้ตรงก็ได้เดี๋ยวเดียว เป็นต้น

โจทย์คงไม่ใช่เห็นข้อเสียหรือข้อด้อยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วคิดว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี แต่คุณต้องรวมข้อเสียและข้อด้อยใหญ่น้อยทั้งหมดของเขามาชั่งน้ำหนัก ว่าผลักดันให้คุณอยากออกห่าง หรือว่ายังไม่อาจเทียบกับความรู้สึกดีๆที่เขาดึงดูดคุณไว้ได้

เอาง่ายๆ ตอนคุณคิดถึงเขา คุณคิดถึงข้อดีหรือติดข้องอยู่กับข้อเสียของเขามากกว่ากัน นั่นแหละคือน้ำหนักที่ใจคุณชั่งเอาไว้ตอบตัวเองแล้ว โดยไม่ต้องมานั่งแยกแยะเป็นข้อๆด้วยซ้ำ

สรุปคือไม่ว่ากับใคร คุณก็ต้องมานั่งชั่งน้ำหนักข้างดีข้างร้ายเช่นนี้เสมอ ส่วนคุณจะเลือกใคร คำตอบอยู่ที่หัวใจของคุณ ไม่ใช่ข้อเสียของเขา!

คู่รักจะเอาใจใส่อีกฝ่าย ส่วนคู่เวรจะเอาแต่ใจตัวเอง

สิ่งที่คนเพิ่งรักกันดูเหมือนน่าจะมีคือความพร้อมจะรัก แต่สิ่งที่ทุกคนมีอยู่แน่คือความพร้อมจะร้าย!

เมื่อใดคนสองคนเริ่มรักกัน ก็แทบรอดูได้เลยว่าใครจะเป็นฝ่ายเอาเปรียบ และใครจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือหนักกว่านั้นคือรอดูไปเถอะว่าใครจะรังแกใคร

พฤติกรรมที่เห็นได้ทั่วไปเมื่อตกลงปลงใจเป็นคู่รักกันแล้ว จะประมาณว่า…

ข้าทำกร่างได้ แต่แกห้ามทำ!

ข้าพูดบ่นได้ แต่แกห้ามพูด!

ข้าคิดนอกใจได้ แต่แกห้ามแม้จะแอบคิด!

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? นั่นเป็นเพราะหญิงชายส่วนใหญ่เป็นคู่รักกันแต่ในนาม ที่ถูกจะต้องเรียกว่าเป็นคู่เวรมากกว่า คืออยู่กันเพื่อผูกเวร หรืออยู่กันเพื่อเป็นภัยต่ออีกฝ่าย อย่างมากก็แค่เอาความรักความหวานชื่นนิดๆหน่อยๆมาบังหน้าพอเป็นพิธี

คู่เวรเกือบร้อยทั้งร้อยแทบจะก๊อปมาจากพิมพ์เดียวกัน นั่นคือแรกๆอะไรดูดีไปหมด จ๊ะจ๋าตลอด แต่เมื่อไรชักเริ่มชิน กลายเป็นของตายในมือแล้ว ฝ่ายที่ถือไพ่ในมือเหนือกว่าจะเริ่มออกลายก่อน!

พูดให้ฟังง่ายนะครับ ส่วนที่ดีในตอนแรกมักแย่ลงในตอนหลัง แต่ส่วนแย่ที่แพลมๆไว้ตั้งแต่ในช่วงแรก มักยิ่งแย่หนักขึ้นอีกในช่วงต่อๆมา

ฉะนั้น ถ้าจะดูคนก็ให้จับตาดูตั้งแต่ช่วงแรกนั่นแหละ เขาเอาเปรียบคุณอย่างไรบ้าง? คุณทนให้เขาเอาเปรียบแบบนั้นได้ไหม? อย่าฟังคำสัญญิงสัญญาว่าจะค่อยๆปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เพราะจากสถิติแล้วน้อยมากที่จะทำได้ตามสัญญา

แท้จริงแล้ว ‘คู่รัก’ ตามความหมายดั้งเดิม คือคู่หญิงชายที่หาได้ยาก มีความเสมอต้นเสมอปลายที่จะเอาใจกันตั้งแต่เริ่มคบหาจนตายจาก แน่นอนครับว่าไม่มีใครทำอะไรให้กันเท่าเทียมเป๊ะๆ แต่อย่างน้อยก็ต้องเท่าเทียมทางความรู้สึก คือทำให้แต่ละฝ่ายรู้สึกว่าเป็นคนรักของกันและกัน ไม่ใช่ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าฉันจะเอาแกเป็นขี้ข้าล่ะ! ฉันจะเอาเธอเป็นนางบำเรอล่ะ!

แล้วขอทีนะครับ เรื่องลองใจ อยากทดสอบดูว่าเขาหรือเธอจะห่วงคุณแค่ไหน ทำอะไรเพื่อคุณได้มากเพียงใด ประเภทจะดูว่ายอมทิ้งเพื่อนเพื่อไปกับคนสำคัญอย่างคุณหรือเปล่า อย่าได้ทำเลยเป็นอันขาด เพราะค่าของคุณจะค่อยๆหมดไปกับความเห็นแก่ตัวที่คุณแสดงออกมาแต่ละครั้ง อยากให้เขาเอาใจ แต่ไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจตน อยากให้เขาเห็นค่าของคุณเกินใคร แต่ไม่เคยเห็นค่าของเขาเกินคนใช้ที่ต้องคอยกุมเป้าเฝ้าบริการ!

สรุปคือหาคนที่เขาเอาใจใส่เทคแคร์คุณตั้งแต่เริ่มคบกันก็ดี เพราะถ้าตั้งต้นขึ้นมาไม่เอาใจ แนวโน้มคือเขาจะไม่เอาใจคุณเลยตลอดไป และในทางกลับกัน คุณสามารถรู้ใจตัวเองว่า ‘จริง’ กับเขาแค่ไหน ก็ตรงความเอาใจใส่ที่มีให้เขานี่แหละ เพราะความรักจะขับดันให้คุณอยากเอาใจใส่เสมอ ถ้าไม่มีแก่ใจอยากทำอะไรให้เขาหรือเธอเลย ก็แปลว่าความรักอาจไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นแล้ว

รักคนมีเจ้าของอย่ามองหน้า อยากหายบ้าให้จ้องเท้า

ถ้าตัวเลือกของคุณมากนัก การเจอคนมีเจ้าของแล้วนับว่าดีเหมือนกัน คือสบายใจได้เลยว่าไม่มีสิทธิ์แน่ คัดออกไปไม่ต้องเอามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกได้เลยแน่ๆ!

อย่าตั้งความหวังรอ อย่าให้ความหวังเขา และอย่าทำตัวเป็นตัวแปร คุณกำลังหาคนที่ใช่ ฉะนั้นอย่าหลงหวังรอแบบผิดๆ ตอกย้ำทำความเข้าใจกับตนเองว่า คนที่ใช่จะมาเจอกันในเวลาที่คุณไม่มีสิทธิ์ได้อย่างไร?

คบไปรังแต่จะมุ่งหน้าสู่ดงงิ้วกันเปล่าๆ!

จริงอยู่ครับ มีอยู่จริงๆ ที่เป็นคู่บุญติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ แต่ดันไปเป็นของคนอื่นเสียก่อน แล้วก็ต้องเกิดความทรมานใจกัน แต่ขอให้จำไว้เถิด ต่อให้ครองคู่กันมาเป็นล้านชาติ ก็หาได้ทำให้ชาตินี้ ‘ใช่’ เหมือนชาติอื่นๆไม่ ในเมื่อพลัดไปมีเจ้าของเสียก่อนแล้ว

ให้เร่งรู้ตัวไว้เสียว่าบาปบางอย่างที่ทำไว้ร่วมกัน สกัดกั้นไว้ไม่ให้ร่วมเรียงเคียงกันอีกในชาตินี้ เพื่อล่อลวงให้พวกคุณประพฤติผิดประเวณีกัน หรืออ้อนวอนให้อีกฝ่ายทรยศคู่ครอง ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มน้ำหนักบาปให้ความสัมพันธ์ข้ามภพข้ามชาติเข้าไปใหญ่

คนเราเข้าคู่กันก็ด้วยกำลังบุญ แล้วก็แยกคู่กันด้วยกำลังบาป คุณจะครองคู่กันเป็นสุขด้วยหนทางแห่งบาปเวรได้อย่างไร

เว้นแต่พวกเขาจะเลิกกันเอง โดยคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆแม้ส่งสัญญาณยักคิ้วหลิ่วตาใดๆ อันนั้นค่อยเป็นอีกเรื่อง นอกเหนือจากนั้นแล้วนะครับ ใส่เกียร์ถอยลูกเดียว ห้ามล่วงล้ำไปข้างหน้าอีกแม้แต่หนึ่งคืบ!

หากปวดแสบปวดร้อน ทรมานใจเพราะต้องเจอหน้ากัน ก็ให้พิจารณาว่าใบหน้าคนเราเป็นศูนย์กลางความดึงดูด จ้องมองใกล้ๆหรือแอบมองห่างๆรังแต่จะทรมานเปล่า ให้เปลี่ยนเป็นจดจ้องเท้าเขาหรือเธอให้มากๆ ภาพที่กระทบตาจะได้กระแทกใจบ่อยๆว่าคุณกำลังใฝ่ต่ำ หาเรื่องใส่ตัว และอาจโดนอวัยวะเบื้องล่างของใครกระทืบเอา

นานไปพอไม่เห็นหน้า เห็นแต่เท้าอยู่เรื่อย ใจคุณก็เลิกยึดมั่นถือมั่น คลายมนต์สะกดแห่งบาปเวรที่ผูกมัด กลายเป็นอิสระโล่งอกไปได้เองครับ

สรุปคือคนมีเจ้าของไม่ใช่คนที่ใช่แน่ๆ ถ้าคุณฝืนจะยื้อมา ก็เท่ากับเอาคนที่ไม่ใช่มาบดบังคนที่ใช่ ซึ่งอาจกำลังเดินตามหลังมาแค่ไม่กี่ก้าวก็ได้

คู่เทียมเจอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คู่แท้ต้องเจอในจังหวะที่พร้อมจะรักกันจริงเท่านั้น

ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือเล่มเดียวสองรอบแล้วรู้สึกต่างกัน ราวกับอ่านหนังสือคนละเล่ม รอบแรกรู้สึกว่าไม่เห็นจะเอาไหน แปลกใจทำไมใครต่อใครถึงชอบกัน แต่รอบที่สองกลับรู้สึกมีอารมณ์ร่วม ยิ่งอ่านยิ่งตาสว่าง ประสบการณ์ทำนองนี้แหละที่เป็นตัวอย่างบอกคุณได้ว่า คนเราไม่พร้อมจะรับสิ่งมีค่าเสมอไป

ถ้าเห็นค่าของคนที่มีค่าไม่ได้ คุณก็จะไม่มีวันเจอคนที่ใช่เลย ต่อให้เขาหรือเธอนั่งอยู่ตรงหน้าก็ตาม และนั่นก็ทำให้คนจำนวนมากต้องมานั่งเสียดายอดีต เฝ้าย้ำคิดอยู่เสมอว่าขอเพียงเจอคนบางคนอีกครั้ง จะเทคแคร์เขาหรือเธอสุดชีวิต จะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปซ้ำสองอีกอย่างเด็ดขาด

แต่นั่นแหละ เวลาเป็นสิ่งย้อนทวนไม่ได้ เมื่อครั้งนั้นไม่พยายามรักษาเขาหรือเธอไว้ ปล่อยให้หลุดมือไปแล้ว ก็สายไปแล้ว นี่คือข้อคิดควรจำที่จะทำให้คุณปลงตกนะครับ ถึงคนใช่ แต่เวลาไม่ใช่ ก็แปลว่าไม่ใช่!

เวลาที่ใช่ของแต่ละคนต่างกัน หากคุณเป็นเด็กหนุ่มที่หาเงินใช้เองได้ตั้งแต่อายุ ๑๗ ก็แปลว่าคุณพร้อมจะรับผิดชอบครอบครัวตั้งแต่ยังวัยรุ่น แต่หากคุณเป็นชายวัย ๔๐ แล้วยังต้องแบมือขอตังค์พ่อแม่ ไม่มีหลักแหล่งพักพิงอาศัยของตนเอง ต้องอาศัยบ้านญาติอยู่ แถมยังขี้เกียจตัวเป็นขน อย่างนี้แปลว่านานแค่ไหนคุณก็ไม่พร้อมจะพบรักแท้เอาเลย เพราะแม้มีเมีย เมียก็จะอยู่กับคุณแบบหมดอาลัยตายอยากไปวันๆ ไม่อาจอยู่ร่วมกันด้วยความรู้จักรักเป็นแน่

หรือถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงกร้านโลก คบทั่วมั่วแหลก ไม่มีแก่ใจมองโลกในแง่ดี อารมณ์ปรวนแปรผันผวน เอาแต่ใจตัวสุดๆ เห็นบรรดาชายหน้าโง่เป็นตู้เอทีเอ็มอย่างเดียว แบบนี้อยู่กับใครเขาก็อยากทิ้งภายในสามวันเจ็ดวันครับ ต่อให้แรงดึงดูดทางเพศสูงขนาดไหนก็เถอะ

ผู้หญิงดีๆส่วนใหญ่ฝันอยากมีรักเดียว เป็นของผู้ชายคนเดียวไปตลอดชีวิต ไม่อยากเป็นของเล่นที่ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อย แต่ในโลกความเป็นจริง ความขาดประสบการณ์ในเรื่องรักๆใคร่ๆจะทำให้ทั้งชายทั้งหญิงไม่รู้ประสีประสา คือยังดิบๆอยู่ นึกว่ามีอีกฝ่ายไว้เอาใจตัวเอง ผ่อนปรนประนีประนอมไม่เป็น เห็นอะไรขัดหูขัดตาจะดูคอขาดบาดตายไปหมด

ฉะนั้น ควรทำใจยอมรับความจริงกัน น้อยเท่าน้อยครับในโลกนี้ ที่เจอแล้วปิ๊งกันตั้งแต่เด็ก อยู่คู่ไม่แยกจากกันเลยจนตาย คือมีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี แต่อย่าหวังว่าจะแจ็คพอตเป็นคุณกับคนรัก ทำนองเดียวกับที่ไม่ควรหวังให้มากนักว่าจะถูกล็อตเตอรี่นั่นแหละ

ประสบการณ์ทางความรักในอดีต จะเป็นทั้งบทเรียน เป็นทั้งแบบฝึกหัด หรือเป็นทั้งการสอบไล่เพื่อผ่านมาถึงตัวจริง กล่าวคือพอถึงเวลาเจอตัวจริง คุณจะเป็นผู้ใหญ่พอ หรืออย่างน้อยต้องมีความคิดอ่านมากพอจะรู้ว่าคนที่มีค่าสำหรับคุณ คือคนที่เหมาะสมกับคุณ และจะทำให้คุณเป็นสุขในระยะยาว ไม่ใช่เอาแต่ฝันแบบเด็กวัยรุ่นว่าคู่ของฉันจะต้องจ๊าบสุด เดินควงแล้วเพื่อนๆอิจฉาตาร้อนกันใหญ่อะไรทำนองนั้น

สรุปนะครับ ถ้าคุณกำลังเป็นลูกแหง่ กำลังเป็นเด็กขี้แย กำลังช่างฝันจะเอาแต่อะไรดีๆ กำลังใจแกว่งง่ายเห็นใครดีกว่าก็ชอบกว่า กำลังเที่ยวแบมือขอตังค์ใครต่อใคร หรือหนักกว่านั้นคือกำลังเป็นบ้า กำลังขี้เมา กำลังอยู่ในบ่อนพนันไม่เห็นตะวันและดาวเดือน อย่างนี้ไม่ใช่จังหวะเหมาะจะเจอคนที่ใช่หรอกครับ คนที่ใช่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่เขาจะไม่มาในเวลาที่คุณยังอยากย่ำอยู่กับที่เป็นอันขาด

ถึงตรงนี้ คุณคงพอเห็นเป็นแนว ว่าเขาหรือเธอที่คุณรักอาจไม่ตรงกับเจ้าชายเจ้าหญิงในความฝันของคุณเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นอย่าเริ่มกวาดตาหาคนที่เหมือนฝัน แต่ให้มองดูคนที่มาในเวลาเหมาะด้วยความใจเย็น

แล้วที่สำคัญนะครับ อย่าให้เสียงนกเสียงการอบข้างมีอิทธิพลกับการตัดสินใจของคุณ แต่ขณะเดียวกันก็อย่าละเลยเสียงทักของเพื่อนแท้ ให้รับฟังและเก็บไว้เป็นข้อมูลภายนอก แล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลอันได้จากประสบการณ์ตรง จึงค่อยชั่งใจ กับทั้งตัดสินใจด้วยตนเองว่าคุณจะเอาแน่ไหม

เพราะที่เหลือต่อจากนั้น คุณเองนั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบทั้งหมด!

ที่กำลังจะกล่าวต่อไป น่าจะช่วยให้คุณชั่งใจได้อย่างมีหลักเกณฑ์มากขึ้นครับ

 

 

ความรู้สึกในช่วงแรกคบ

แรกพบสบตาแค่มายา ปัญหาที่ตามมาคือของจริง

คนเราใช้ชีวิตตามความรู้สึก ไม่ได้ใช้ชีวิตกันด้วยความรู้ตัว ถ้าอยากทำอะไร น้อยคนจะยั้งคิดถึงเหตุผลควรไม่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ่งที่กระตุ้นให้อยากนั้น มีพลังดึงดูดของราคะเข้ามาเกี่ยวข้อง

มามองกันง่ายๆว่าช่วงที่เป็น ‘คนเพิ่งรู้จักกัน’ จะก่อความรู้สึกขึ้นได้สองอย่าง คือ ‘ดึงดูด’ หรือไม่ก็ ‘ผลักออก’

ความรู้สึกดึงดูดหมายถึงความชื่นชม อยากมอง อยากฟัง อยากอยู่ใกล้ชิด ตลอดจนอยากมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งด้วย ส่วนความรู้สึกผลักออกหมายถึงความรังเกียจ อยากเมิน อยากห่าง ตลอดจนปั่นป่วนมวนท้องเพียงแค่คิดว่าจะต้องมีอะไรทางเพศกัน

ความจริงก็คือแต่ละคู่มีแรงดูดและแรงผลักปนอยู่ด้วยกันทั้งสองแรง คงจะดีถ้าทราบเบื้องหลังให้ละเอียด เพราะเมื่อเข้าใจว่า ‘ทำไม’ คุณถึงรู้สึกกับใครคนหนึ่งอย่างที่กำลังเป็น ก็จะช่วยลดความสับสนลง ตลอดจนมีสายตากว้างไกล เห็นเหตุผลว่าปัจจุบันมาจากไหน และมีแนวโน้มแบบไหนต่อไปในอนาคต

๑) ความดึงดูดระหว่างธาตุ

ชายมีความเป็นธาตุดินและธาตุไฟโดยฐาน คือแข็งและร้อน ส่วนหญิงมีความเป็นธาตุน้ำและธาตุลมโดยฐาน คือเย็นและอ่อนไหว ชายหญิงจึงเป็นขั้วตรงข้ามกัน และธรรมชาติของขั้วตรงข้ามก็ก่อให้เกิดแรงดึงดูดเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับแม่เหล็กต่างขั้ว เข้าใกล้กันจะดึงดูดกัน

เหตุนี้ ชายหญิงจึงเกิดความรู้สึกทางเพศได้แม้ไม่เคยรู้จักกัน กับทั้งไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติหรือรูปสมบัติใดๆที่เหมาะสมกันเลย

ความเป็นธาตุชายธาตุหญิงนั้น ไม่ได้นับเอาเฉพาะสิ่งที่จับต้องได้ทางกายอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมเอาแบบแผนทางความรู้สึกนึกคิดเข้าไปด้วย เช่น ชายมักเอาดีทางศาสตร์ที่ต้องใช้เหตุผลและความคิดเป็นระบบ ส่วนหญิงมักเอาดีทางศาสตร์ที่ต้องใช้อารมณ์และจินตนาการเป็นสำคัญ

ฉะนั้น ในทางความรู้สึกโดยทั่วไป ชายหญิงจึงเป็นเสมือนส่วนเสริมเติมของกันและกัน เป็นความรู้สึกครบของกันและกัน ความแข็งแรงที่ถูกเติมเต็มในฝ่ายหญิง กับความอ่อนโยนที่ถูกเติมเต็มในฝ่ายชาย จะทำให้พวกคุณรู้สึกพอดี ไม่ขาดเหมือนตอนอยู่ตามลำพัง และไม่เกินเหมือนตอนอยู่กับเพื่อนเพศเดียวกัน

หากฝ่ายชายมีธาตุแห่งความเป็นบุรุษมาก เช่น บึกบึนล่ำสันทรหดอดทน มีไฟในการเอาชนะ และฝ่ายหญิงมีธาตุแห่งความเป็นสตรีมาก เช่น แบบบางแน่งน้อยน่าทะนุถนอม เย็นและโอนอ่อนได้เหมือนน้ำในยามเกิดเรื่อง เมื่อพบกันย่อมดึงดูดกันด้วยความรู้สึกทางเพศที่ลุกลามรวดเร็วเกินธรรมดา กับทั้งดึงดูดใจกันและกันได้นานกว่าพวกมีธาตุประจำเพศน้อย

สรุปคือแค่เป็นชายเป็นหญิง ก็มีแรงดึงดูดเข้าหากันอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอพวกเสน่ห์เร้าใจสูง ความหน้ามืดจะทำให้คุณแยกไม่ออก และอาจโมเมทึกทักว่าเป็นคู่บุญของคุณอย่างไร้ความกังขา ทั้งที่ความจริงอาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้

๒) ความไม่เข้ากันระหว่างธาตุ

ด้วยความเป็นธาตุดินกับธาตุไฟของชาย และด้วยความเป็นธาตุน้ำกับธาตุลมของหญิง ตามธรรมชาติจึงมีความเข้ากันไม่ได้อยู่โดยเดิม ความไม่กลมกลืนนี้เองส่งผลให้เกิดแรงผลักไสเมื่อเข้าประชิดติดพันนานเกินไป

ร่างกายชายหญิงจึงเป็นแม่เหล็กที่มีความพิสดารกว่าแม่เหล็กธรรมดา กล่าวคือแม้จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดกันในเบื้องต้น แต่ก็อาจกลับผกผัน ผลักดันกันในเบื้องปลาย คือจะเบื่อหน่ายร่างกายกันและกันในเวลาไม่นานหลังการได้เสีย หากรูปทรงไม่เย้ายวนชวนรัญจวนใจ ก็แทบไม่อยากแม้ชายตามองด้วยซ้ำ

และด้วยความที่ฝ่ายชายมักมุ่งคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลแจ่มชัด ส่วนฝ่ายหญิงมักมุ่งคิดแบบอิงอารมณ์ละเอียดอ่อนยืดหยุ่นได้ นานไปย่อมทวีความเข้ากันยาก ไม่สอดคล้องกันมากขึ้นทุกที กระทั่งไม่อยากแม้แต่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันสักคำเดียว

หากมีธาตุทางความรู้สึกนึกคิดต่างกันมากๆ เช่น ฝ่ายชายเอาแต่เหตุผลตรงไปตรงมาเข้าว่า แข็งทื่อไร้อารมณ์เป็นไม้กระดาน ส่วนฝ่ายหญิงจะเอาอารมณ์ความรู้สึกมาเป็นแกนนำ แถมโอนเอนไปมาง่ายยิ่งกว่ายอดหญ้า เมื่อพบปะพูดคุยกันเพียงไม่นานก็จะรำคาญกันและกัน ไม่ต้องรอให้คบนานก็อำลาด่วนแล้ว

สรุปคือแค่เป็นชายเป็นหญิง ก็มีแรงผลักออกจากกันแฝงอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าธาตุนิสัยแตกต่างกันแบบสุดขั้วราวกับยืนอยู่คนละข้างเวทีมวย คุณก็อาจเมินไม่รับไว้พิจารณาเอาเลย แม้ในความเป็นจริงถ้าคุยกันดีๆแค่รอบเดียว ความรู้สึกก็อาจพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือไปเลยก็ได้

๓) ความดึงดูดกันด้วยอำนาจบุญ

บุญเป็นธรรมชาติด้านสว่าง บันดาลให้เกิดผลด้านดี ฉะนั้นคู่ที่เคยร่วมบุญกันมามากในชีวิตก่อน ย่อมได้ร่างกายและจิตใจในชีวิตนี้ที่ดึงดูดกันและกัน พอใจกันและกัน กับทั้งเป็นสุขเมื่อมีกันและกัน

อำนาจของบุญมีพลังยิ่งกว่าพลังใดๆในจักรวาล อะไรอื่นเช่นพลังจากอาหารอาจสร้างเลือดสร้างเนื้อ ตลอดจนช่วยให้เราขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ แต่บุญนั้นถึงขั้นบันดาลรูปชีวิตดีๆได้ หรือขับเคลื่อนรูปชีวิตให้พัฒนาขึ้นได้ จนกว่าจะหมดกำลัง

นั่นหมายความว่าบุญที่เคยทำมาร่วมกัน ย่อมบันดาลให้คู่บุญรู้สึกดีต่อกันตั้งแต่แรกคบ ตลอดจนบันดาลให้พบเจอแต่เรื่องดีๆร่วมกัน มีผลให้เป็นสุขและอยากอยู่ใกล้ชิด ไม่อยากจากไปไหน และไม่อยากมีอะไรอื่นมากกว่านั้น ชวนไปไหนไปกัน นึกครึ้มและคุ้นเคยกับบรรยากาศร่วมกันยิ่งกว่าเมื่ออยู่กับใครอื่นทั้งหมด

และเหนือสิ่งอื่นใด อำนาจของบุญเก่าจะบันดาลให้นึกอยากทำอะไรดีๆร่วมกันอีก ทั้งในแง่ของการช่วยคิด ช่วยพูด และช่วยแก้ปัญหาของอีกฝ่ายให้หมดไป ตลอดจนริเริ่มช่วยคนอื่น ช่วยสังคม ช่วยศาสนาร่วมกันด้วย

บุญที่ใหญ่ยิ่งย่อมก่อให้เกิดความรักที่ยิ่งใหญ่ ในทางพุทธแล้ว บุญอันยิ่งใหญ่ที่ประกันความผูกพันไร้ที่สิ้นสุด คือการมีโอกาสเกิดร่วมชาติกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันตสาวก แล้วมีจิตเลื่อมใส ถวายสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพแด่พวกท่าน กับทั้งอธิษฐานร่วมกัน สนับสนุนกันและกันให้ได้ไปถึงความสิ้นสุดกิเลส สิ้นสุดทุกข์ด้วยกันในอนาคตกาล

เหตุใดจึงตัดสินว่าเป็นบุญยิ่งใหญ่อันให้ผลผูกพันไร้ที่สิ้นสุด? เพราะความผูกพันจะมาในรูปของปฏิกิริยาลูกโซ่ ไม่มีการขาดตอนบนเส้นทางสู่จุดหมายสุดท้าย

อันนี้ต้องเข้าใจด้วยนะครับ ว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมเป็นที่น่าเลื่อมใส กับทั้งสามารถช่วยให้ผู้คนเชื่อเรื่องกรรมวิบาก การเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนการเพียรเจริญสติเพื่อดับกิเลสดับกองทุกข์ เมื่อมีวาสนาพบพวกท่าน กับทั้งเชื่อถือเลื่อมใส ก็ย่อมมีกำลังใจเปล่งวาจาอธิษฐานต่อหน้าพระผู้ทรงคุณ และเมื่ออธิษฐานมุ่งประโยชน์สูงสุด ก็ย่อมเดินทางไปในสังสารวัฏอย่างมีทิศทางชัดเจน ว่าเจอกันแต่ละครั้งจะโน้มเอียงไปในทางบุญแน่นอน

พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเป็นผู้ถึงนิพพาน ผู้ถึงนิพพานแล้ว ย่อมเปรียบเสมือนประตูนิพพานแก่ผู้ยังไม่พบนิพพาน เพียงได้กราบพวกท่านย่อมเทียบเท่ากราบพระนิพพาน การทำบุญกับพวกท่านย่อมเป็นการสั่งสมกำลังเพื่อให้พอแก่การเดินทางสู่นิพพาน นี่เอง จึงเป็นที่มาของการกล่าวว่าถ้าทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์แล้วอธิษฐานถึงนิพพานร่วมกัน ย่อมให้ผลเป็นความผูกพันในทางเกื้อกูลตลอดไป จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อถึงนิพพานด้วยกันนั่นเอง

เปรียบเหมือนการวางรากฐานของตึกหลายร้อยชั้น เมื่อวางรากฐานเสร็จ คุณจะต่อยอดขึ้นไปเป็นหลายสิบชั้นก็ได้ หรือเป็นหลายร้อยชั้นก็ได้ตามปรารถนา หากในอดีตเคยมีวาสนาได้พบและทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือเหล่าพระอรหันต์ คุณย่อมได้รากฐานใหญ่ที่ต่อยอดบุญสูงขึ้นอย่างไร้ขอบเขตจำกัด จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน

คู่ที่ทำบุญร่วมกันระดับนี้ ย่อมได้ชื่อว่ามีความเป็นที่สุดสำหรับกันและกัน เมื่อพบกันในแต่ละชาติ จึงไม่เป็นที่สงสัยในความเป็นตัวจริงตั้งแต่ต้น กับทั้งไม่มีทางทอดทิ้งกันได้ลงไปจนตาย แม้ในชาติที่ไม่รู้เรื่องนิพพาน อย่างน้อยก็ต้องรู้สึกผูกพัน อยากช่วยให้อีกฝ่ายพ้นทุกข์พ้นภัยจนถึงที่สุด

ความดึงดูดที่เกิดขึ้นในช่วงแรกคบจะไม่ธรรมดา เหมือนมีความสดใสกระจ่าง เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ และบันดาลให้นึกออกทันทีว่าหน้าตาของรักแท้เป็นอย่างไร พบกันแล้วเกิดรัศมีบางชนิดคล้ายเกราะแก้วล้อมรอบ กั้นเขตให้รู้ว่านี่คือที่ที่สองคนเท่านั้น มีสิทธิ์ทราบว่าเป็นอย่างไร และถัดจากนั้นจะมีแต่เรื่องดีกับดีประดังเข้ามาช่วยให้แน่ใจ ว่าสมควรยินยอมเป็นสามีภรรยากันแต่โดยดี

ไม่กี่คู่หรอกครับที่ได้พบกับประสบการณ์ประมาณนั้น นั่นก็เพราะโอกาสพบพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เป็นเรื่องยากยิ่ง และแม้พบแล้วก็ไม่แน่ว่าจะมีบุญพอให้เกิดความเลื่อมใสพวกท่าน หรือถึงแม้มีบุญพอให้เกิดความเลื่อมใสพวกท่านก็ไม่แน่ว่าจะมีคู่รักดีๆไปทำบุญกับพวกท่านร่วมกันหรือเปล่า

บุญใหญ่ที่รองลงมา ได้แก่การเคยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแบบคู่ผัวตัวเมีย มีรักเดียวใจเดียว ไม่แยกจากกันจนตาย เหตุการณ์ทั้งหมดนับแต่ร่วมเตียง ร่วมโต๊ะกินข้าว ร่วมเสพความบันเทิง ตลอดจนร่วมเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน จะรวมกันถักทอเป็นสายใยผูกพันที่มองไม่เห็น

ที่ต้องบอกว่า ‘มองไม่เห็น’ เพราะคู่รักอาจไม่รู้สึกถึงสายใยผูกพันด้วยซ้ำในยามเฉยชิน เหมือนตื่นมาเจอหน้าและร่วมกิจวัตรประจำวันกันไปอย่างนั้นเอง ต่อเมื่อพบกันในอีกชีวิตหนึ่ง ทุกอย่างแปลกใหม่ไปหมดแล้ว สายใยอันเหนียวแน่นจึงปรากฏอย่างเด่นชัด ความรู้สึกว่าไม่อาจดิ้นหนีกันและกันพ้นนั่นแหละ การแสดงตัวของสายใยข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับประมาณว่าใช่เลย เคยอยู่ด้วยกันมา

อย่างไรก็ตาม ‘คู่ที่ใช่ไปเรื่อยๆ’ ประเภทนี้อาจไม่ได้รู้สึกหวือหวาเท่า ‘คู่แท้ไปนิพพาน’ คือแค่ตะลึงๆหน่อย ไม่ได้มีรัศมีบุญเก่ามากั้นเขตหยุดโลก แล้วเหตุการณ์ระหว่างกันในช่วงแรกคบก็เรื่อยๆมาเรียงๆ ชุ่มชื่นใจบ้าง สบายใจบ้าง แห้งเหี่ยวบ้าง น่าหงุดหงิดบ้าง แสดงผลของกรรมขาวกรรมดำที่เคยทำร่วมกันมาแบบลุ่มๆดอนๆ ไม่ถึงกับอะไรๆก็ดีไปหมด สนับสนุนให้อยู่ร่วมกันไปหมด

ถ้าเคยปรองดองกันมาก เจอกันใหม่ก็เหมือนเข้ากันได้ง่าย คุยกันได้ทุกเรื่อง สนิทสนมเป็นกันเอง ไม่เป็นอื่นต่อกันเลย พูดไปในทางเดียวกันหมด แต่ถ้าเคยทะเลาะเบาะแว้งบ่อย เจอกันใหม่ก็จะออกแนวขิงก็ราข่าก็แรง จิกกัดทิ่มตำกันแบบพ่อแง่แม่งอน แต่ก็รู้สึกหวานและแสนคิดถึง โดยเฉพาะตอนกลางคืนก่อนหลับไปเดี่ยวๆ

บุญที่รองลงไปกว่านั้น ได้แก่การเคยเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่รักกัน เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตอบแทนกัน ไม่หวังผลประโยชน์จากกัน ในชาติใหม่สายสัมพันธ์ฉันญาตินั้นจะเตือนให้รู้สึกผูกพันและไว้ใจกัน เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน จะขอความช่วยเหลือหรือไหว้วานอะไรก็เกรงใจน้อยกว่าคนอื่น

ความรู้สึกลึกๆจะเป็นไปตามศักดิ์ที่เคยนับญาติ หรือคุ้นศักดิ์คุ้นนิสัยกันมา เช่น ถ้าเคยเป็นพี่เป็นน้อง ก็จะรู้สึกเหมือนพี่เหมือนน้อง หัวเราะเล่นหัวได้โดยที่ฝ่ายน้องไม่ถือสา กับทั้งมีความนับถือยำเกรงฝ่ายพี่อยู่ในที ขณะที่ฝ่ายพี่ก็ให้ความเอ็นดู เป็นห่วงและอยากดูแลโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

แรกเริ่มที่คบหาจะมีความเอ็นดูนำมาก่อน จากนั้นเมื่อใกล้ชิดกันมากขึ้น ก็ค่อยๆแปรเป็นความรู้สึกทางเพศ อันเป็นไปตามความดึงดูดของกายที่กำเนิดมาจากคนละพ่อคนละแม่ แต่กรณีทำนองนี้ก็ไม่แน่นอน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปักใจกับความรู้สึกแบบญาติ ก็อาจไม่อยากเล่นด้วย หรือกระทั่งพลอยเกลียดอีกฝ่ายไปเลยที่มามีความรู้สึกเชิงชู้สาวกับตน

สรุปแล้วความดึงดูดกันด้วยอำนาจบุญ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนเสมอไป แม้ความรู้สึกแรกจะอยากเข้าหากันเป็นพิเศษ ก็ต้องดูด้วยว่าพื้นฐานความรู้สึกที่มีต่อกันเป็นแบบไหน ถ้าขยับความสัมพันธ์ไปในเชิงชู้สาวแล้วจะมีฝ่ายใดเดือดร้อนไหม บางคู่มีอันต้องเลิกคบกันดื้อๆ เพียงเพราะฝ่ายหนึ่งเปิดเผยความในใจแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ก็นับว่าน่าเสียดายมิตรภาพไม่น้อย

๔) ความผลักดันกันด้วยอำนาจบาป

บาปเป็นธรรมชาติด้านมืด บันดาลให้เกิดผลด้านร้าย ฉะนั้นคู่ที่เคยร่วมกันทำบาปหรือผูกเวรกันมามากในชีวิตก่อน ย่อมได้ร่างกายและจิตใจในชีวิตนี้ที่ผลักดันกันออกห่าง ไม่พอใจกันและกัน กับทั้งเป็นทุกข์เมื่อต้องอยู่ใกล้กัน

แต่การจองเวรนั้นพิสดารนัก ถ้ารูปแบบของการจองเวรกันเป็นไปในแบบผัวเมีย ชาติปัจจุบันจะเริ่มความสัมพันธ์ด้วยแรงดึงดูดทางเพศเกินห้ามใจก่อน แล้วจึงตามมาด้วยแรงผลักทางอารมณ์ที่น่ารุ่มร้อนในภายหลัง

มันเป็นวงจรเวรต่อเวรไม่รู้จบรู้สิ้นครับ เคยดี เคยร้าย ลงท้ายไม่ปรองดองกันอย่างถาวร แล้วจบลงด้วยความวิปโยคหรือโศกนาฏกรรมถึงเลือดถึงเนื้อ ผ่านภพผ่านชาตินึกว่าจะจบ กลับต้องมาเจอกันใหม่ คบกันใหม่เพราะจำกันไม่ได้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าเข้าทางวงจรอุบาทว์อีกแล้ว

เวลาฝ่ายหญิงเม้าท์ให้เพื่อนฟังก็มักบ่นว่าไม่รู้เป็นอะไร กับคนนี้ขนลุกแบบกล้าๆกลัวๆอย่างประหลาด ว่าจะไม่ๆ แต่ก็เหมือนเจอหลุมดำลึกลับที่สู้ไม่ไหว คล้ายเจอเสน่ห์ยาแฝดลากให้ถลาเข้าไปหาทุกที

หรือบางกรณีนะครับ กลกรรมบวกกลกามก็แนบเนียนกว่านั้น ไม่มีสังหรณ์ร้ายใดๆให้เฉลียวใจทั้งสิ้น หลงนึกว่ารักแท้คือแรงดึงดูด ภายหลังถึงค่อยรู้ว่าดึงดูดให้มาตบกัน!

หลักสังเกตคู่เวรง่ายๆ คือคุณจะเหมือนมีสองความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน อาจสลับๆหรือควบคู่กันไป เช่น เวลาอยู่ห่างจะคิดถึงกัน ถวิลหาอยากอยู่ใกล้คล้ายมีแรงดึงดูดเกินต้าน แต่พอมาอยู่ใกล้กันจริงๆกลับอึดอัดแปลกๆ มองหน้าไม่เต็มตา ไม่นึกอยากคุย หรือหนักกว่านั้นคือคุยกันมีแต่ทะเลาะ

อีกหลักสังเกตหนึ่งคือพวกคุณจะคิดบุญร่วมกันยาก คิดเมื่อไรเป็นต้องเจอเหตุหน่วงเหนี่ยวหรืออุปสรรคขัดขวางอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ เรียกว่าเวรที่มีร่วมกันจะไม่ยอมให้รู้สึกดีต่อกันง่ายๆ จะแกล้งให้อยู่บนเส้นทางบาปเวรเรื่อยไปนั่นแหละ

เวลากรรมเก่าจะให้ผลแบบมืดๆนะครับ มันมาได้ทุกท่าเลย ต่อให้ไม่มีสถานการณ์เลวร้ายใดๆ แค่เรื่องขี้ปะติ๋วอย่างเช่นมาสายไปหน่อยเดียว ก็ทำเอาของขึ้นได้ คือพายุความโกรธที่กระโชกขึ้นมาจะไม่สมเหตุสมผล เหมือนแค้นอะไรนักหนา แรกๆแค่อาละวาดเกรี้ยวกราดแบบพอทำใจอภัย แต่หลายครั้งเข้าพอถึงขีดสุดความอดทน ก็จะวกกลับไปหาวงจรอุบาทว์ในชาติก่อนเต็มรูปแบบ คือลงมือลงไม้ ทุบ ถอง ตีเข่าเขย่าศอก หรือถึงขั้นตายเป็นตาย หยิบอาวุธขึ้นมาประหัตประหารกัน

สิ่งที่น่ากลัวจริงๆในการต้องมาอยู่ร่วมกับคู่เวรนั้น ไม่ได้อยู่ที่การทะเลาะเบาะแว้งหรือกระทั่งการฆ่าแกงกัน แต่เป็นรูปชีวิตใหม่ที่ถูกบันดาลขึ้นด้วยบาป หลังตายจากโลกนี้ไปแล้ว

หลักการดูคติอันเป็นที่เกิดใหม่นั้น ผู้รู้จักธรรมชาติดีที่สุดเช่นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ฟังง่าย คือถ้าสั่งสมการคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย อันเป็นเหตุให้จิตเศร้าหมองก่อนตาย อบายย่อมเป็นที่หวังได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองตรองดูเถิดว่าถ้าชีวิตคู่ของคุณคือความอึดอัดคัดแน่น ชวนให้คิดร้าย พูดร้าย และทำร้าย อะไรจะเกิดขึ้น?

ความจริงก็คือ ถ้าคุณดับไฟในครัวเรือนไม่ได้ทันก่อนตาย ก็จะต้องเจอไฟในอบายกันต่อไป

มีคนตายไปอบายให้ดูทุกวัน เสียดายคนดูไม่มีความสามารถจะเห็น เพราะเห็นได้ก็แค่ศพที่ไร้ลมเข้าลมออก อย่างอื่นที่นอกเหนือจากนั้นถูกปิดกั้นไว้ มิฉะนั้นพวกเราทุกคนคงตั้งหน้าตั้งตาสอบให้ผ่านด่านชีวิตคู่กันทั้งหมด

กันไว้ดีกว่าแก้ครับ ดูให้ดีว่าระหว่างคุณกับคนที่อยู่ตรงหน้าคุณ เป็นพวกที่จับคู่กันเพื่อกุศลหรืออกุศล อย่าปล่อยให้สายเกินไป เพราะไม่มีใครกลับไปแก้ไขอดีตได้

ท่องไว้นะครับ วิธีดับไฟที่ง่ายที่สุด คือดับมันเสียก่อนจะเริ่มไหม้

สรุปแล้วความดึงดูดกันในเบื้องต้นไม่ได้เป็นประกันว่าคุณกับเขาเป็นคู่บุญ โดยที่แท้อาจเป็นคู่เวรก็ได้ ฉะนั้น ถ้ารู้ตัวว่าเจอคู่เวร และไม่อาจหนีพลังดึงดูดอันมหาศาลของหลุมดำได้ ก็ให้เลือกว่าเจอครั้งนี้เพื่อยุติศึก อย่าได้เจอกันเพื่อต่อเวรอีกเลย

๕) ความรู้สึกเฉยต่อกัน

เมื่อบุญและบาปที่ทำร่วมกับใครมีกำลังอ่อน ก็อาจให้ผลเป็นเศษหลงเหลือเพียงน้อย เมื่อพบกันก็อาจไม่มีอิทธิพลเป็นดูดเข้าหรือผลักออก เป็นอิสระต่อกันมากพอจะดูตามเนื้อผ้า ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ก็ค่อยรู้สึกเอาตามนั้น และโดยมากที่ค่อยๆยอมให้ความสนิททวีขึ้นก็เพราะเหตุผลคือ ‘เห็นเป็นคนดี’

ส่วนที่ว่าจะดีตามที่เห็นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายต่อหลายอย่าง เช่น บางคนตอนไม่สนิทด้วยก็แสนดี แต่พอเริ่มให้ความสนิทสนม ยอมรับเป็นแฟนขึ้นมาเมื่อไร ก็เริ่มทำตัวตามสบาย นึกอยากพูดอะไรก็พูด นึกอยากทำอะไรก็ทำ โดยไม่ค่อยสนใจนักว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร

นั่นเพราะคนธรรมดาจะเอากิเลสเป็นแรงขับดันให้แสดงพฤติกรรมต่างๆ แม้เมื่อมาอยู่ร่วมกับคนอื่น ก็จะยังคงชินกับความอยากเอากิเลสของตนเป็นศูนย์กลาง คนส่วนใหญ่จึงอยู่กันแบบครึ่งดีครึ่งร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้

บางคนขี้ระแวง ขี้หึง เป็นนิสัยส่วนตัว ไม่ว่าอยู่กับใครก็แสดงพฤติกรรมตามโทร.จิกโทร.เช็คตลอด อย่างนี้หมายความว่าความน่ารำคาญเป็นนิสัยประจำตัว ไม่ใช่ว่าเคยผูกเวรกับใครเป็นพิเศษ

กับคนที่คุณไม่ได้ผูกบุญผูกบาปมาเป็นพิเศษ คุณจะไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจมากมาย เอาก็ได้ ไม่เอาก็ไม่เดือดร้อน และเช่นกัน เมื่อไม่มีบุญบาปเป็นหัวขบวนนำความรู้สึก ก็นับเป็นโอกาสให้คุณกับเขาหรือเธอสามารถสร้างความรู้สึกดีร้ายขึ้นได้ใหม่ไม่จำกัด

ตามธรรมชาติแล้ว คู่ที่ไม่มีรากแก้วของทั้งบุญทั้งบาปยึดเหนี่ยวกันไว้ โดยมากจะคบกันอย่างผิวเผินแล้วจากกันอย่างรวดเร็ว กับทั้งสามารถลืมกันและกันได้อย่างสนิทภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ในทางกลับกัน คู่ประเภทนี้ก็อาจนับชาติปัจจุบันเป็น ‘ก้าวแรกที่เริ่มเดินไปในทิศเดียวกัน’ ได้ เช่น ถ้าไม่เคยทำบุญในพุทธศาสนาร่วมกันมาก่อนเลย แล้วมีโอกาสร่วมกันทำสักครั้ง ต่อให้จากกันไปตามวิถีแห่งชะตาที่ถูกกรรมเก่ากำหนดมา ก็จะได้เจอกันอีกในชาติต่อๆไป และมีโอกาสร่วมทางกันนานขึ้นครับ

กล่าวมาทั้งหมดนี้ยืนอยู่บนความจริงที่ว่าทุกคนเคยผูกกรรมกันไว้ก่อน และกรรมที่ทำร่วมกันจะเป็นตัวกำหนดความรู้สึกช่วงแรกคบ กับทั้งจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางชะตาการครองคู่ ว่าเป็นเส้นตรงราบเรียบหรือพลิกผันกลับไปกลับมาอย่างไร ไม่สำคัญว่าคุณจะเคยผูกกรรมกับใครไว้ตั้งแต่เมื่อกี่ร้อยชาติก่อน ต่อให้ไม่เจอกันร้อยชาติ พอมาจับคู่กันก็ต้องรับผลเท่ากับเพิ่งทำเมื่อชาติที่แล้วหยกๆอยู่ดี

นั่นเพราะกรรมไม่เหมือนความทรงจำนะครับ ความทรงจำยิ่งนานยิ่งเลือนไป ส่วนกรรมนั้นจะนานแค่ไหนก็อยู่ยั้งยืนยงเช่นเดิมจนกว่าจะให้ผล เหมือนกับสัจจะความจริง ที่เมื่อเกิดสิ่งใดขึ้น ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงว่าสิ่งนั้นเคยเกิดขึ้น จะบอกว่าไม่เกิดขึ้น หรือลดปริมาณ ลดคุณภาพของการเกิดขึ้นไม่ได้

กรรมจะจัดสรรทุกอย่าง นับแต่ดึงดูดคู่กรรมมาพบกัน บันดาลให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคย ตลอดจนส่งแรงดึงดูดหรือแรงผลักออก โดยไม่สนใจว่าคู่กรรมต้องการให้เป็นไปเช่นนั้นหรือไม่

ฉะนั้นนะครับ การเลือกคบคนไม่ว่าเป็นใคร ก็คือการเลือกคู่กรรมเก่า เลือกคนที่เคยผูกกรรมกันไว้แบบไหนนั่นเอง เกือบทุกขั้นตอนถูกวางแผนไว้แล้ว เว้นไว้ก็แต่ให้โอกาสคุณมีส่วนตัดสินใจ ว่าจะพยายามทำให้อะไรๆดีขึ้นด้วยการเพิ่มแรงบุญให้เข้มข้น หรือปล่อยเลยตามเลยตามเส้นทางที่ถูกวางแผนไว้ท่าเดียว

ถ้าคุณเสน่ห์แรงขนาดมีหลายตัวเลือกที่น่าสนใจเข้ามาติดพัน แถมแต่ละคนยังให้ความประทับใจดีๆเมื่อแรกคบไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันสักเท่าไร ก็สมควรมีเกณฑ์เลือกไว้ช่วยตัดสินใจอีกหลายๆข้อ ซึ่งนั่นก็คือเนื้อหาที่เหลือของบทนี้ครับ

 

 

ความสามารถในการพูดคุยกัน

ความรักไม่ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากถ้อยคำ แต่มาจากความสบายใจที่สามารถคุยกันรู้เรื่องทุกคำ

กล่าวได้เต็มปากว่าการพูดคุยกันคือกระดูกสันหลังของรักแท้ ต่อให้เป็นใบ้ทั้งคู่ก็ต้องสื่อสารพูดคุยกันผ่านภาษาเขียนหรือภาษามือ คู่ที่ไม่คุยกันคือคู่ที่เลิกกันแล้ว

แต่ขณะเดียวกันก็พึงระลึกไว้ด้วยนะครับว่า คู่ที่คุยกันด้วยความเข้าใจผิดเสมอ คือคู่ที่ไม่เคยคุยกันเลย

การพูดคุยเป็นอะไรที่มากกว่าการแลกเปลี่ยนคำพูด แท้จริงเราต่างก็หาใครสักคนมาคุยเพื่อที่จะทำให้ตัวตนของเราปรากฏชัดขึ้น หรือดูมีตัวตนเป็นที่เข้าใจอย่างแท้จริง

มาพิจารณาองค์ประกอบของการสนทนาประสาคนดูใจกันเป็นข้อๆนะครับ พอได้หลักสังเกตแล้วคุณจะทราบว่าการพูดคุยนี่แหละ คือเครื่องมืออันดับต้นๆในการเลือกคนที่ใช่

สรรพนาม

เคยสงสัยไหมว่าแต่ละคำที่เราใช้ๆกันอยู่นี้มาจากไหน ใครเป็นคนบัญญัติ?

เวลามนุษย์จะศึกษาอะไร ก็มักมองออกนอกตัว อย่างเช่นที่มาของภาษานั้น นักภาษาศาสตร์เชื่อว่าเราจะสืบได้ก็จากการ "ถอดรหัส" หลักฐานเท่าที่มีอยู่ เช่น ภาษาสัญลักษณ์บนผนังถ้ำ เป็นต้น

และโดยการพยายามถอดรหัสจากหลักฐานภายนอกนี่เอง ทำให้นักภาษาศาสตร์จำต้องยอมรับแบบเห็นพ้องต้องกันโดยดุษณีว่า ‘ภาษาดั้งเดิมแรกสุด’ ของมนุษยชาติโดยรวมนั้นไม่มี แถมภาษาพูดนี่ไม่มีร่องรอยที่มาที่ไปเอาเลย ขนาดพูดกันเป็นตุเป็นตะ บัญญัติกติกาการใช้ภาษาเป็นหลักไวยากรณ์อย่างดิบดี แต่กลับหาต้นกำเนิดที่มาแรกสุดไม่เจอ ราวกับอยู่ๆมนุษย์ก็พูดขึ้นมาได้เองอย่างนั้นแหละ

แท้จริงแล้ว มันจะง่ายขึ้นถ้าเรามองย้อนกลับมาที่จิต คุณจะพบต้นเค้าของภาษาตั้งแต่จำความได้นั่นแหละครับ ก่อนมีภาษาพูด มนุษย์ทั้งหลายมีภาษาคิดเป็นอันดับแรก และความรู้สึกในตัวตนนั่นแหละ คือรากของภาษาคิด

หลักฐานเกี่ยวกับคลื่นสมองยืนยันว่าเด็กทารกคิดได้ตั้งแต่วันแรก แล้วทายซิว่าเด็กทารกแรกเกิดคิดถึงอะไร? ก็คิดถึงตัวเองยังไงล่ะ!

‘ตัวกู’ และ ‘ของกู’ นั่นแหละ คือต้นตอของภาษา คนเราอยากเรียกร้องความสนใจให้ตัวเองเป็นอันดับแรกเสมอ ลองเงี่ยหูฟังดีๆนะครับ ตอนเด็กแผดเสียงร้องไห้จ้าจะเอาอะไร ในเสียงร้องนั้นมี ‘กู’ ดิบๆแฝงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าเด็กพูดได้คงประมาณว่า ‘กูจะเอา!’ นั่นแหละ แต่เมื่อพูดไม่ได้ ก็ต้องใช้เสียงที่ตะเบ็งออกมาสุดหลอดแทน

สรุปแล้วต้นกำเนิดภาษาก็มาจากความรู้สึกในตัวเรานี่เอง ภาษามีขึ้นเพื่อสื่อความรู้สึกของตัวเอง ทำให้ตัวเองปรากฏและมีความหมายขึ้นมาในโลก ภาษาจิตหรือภาษาทางความคิด จึงมาก่อนภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาจิตมาจากโครงสร้างของกรรมเก่า กรรมเก่าจะเป็นตัวจำแนกว่าใครควรไปอยู่เผ่าพันธุ์ไหน ลักษณะการพูดจาเป็นอย่างไร

สังเกตง่ายๆในขั้นพื้นฐานที่สุดนะครับ แต่ละเผ่าพันธุ์มีความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองต่างกัน หลายภาษามีสรรพนามแทนตัวเองเพียงหนึ่งคำ เช่น ในภาษาอังกฤษเราจะแทนตัวเองว่า ‘ไอ’ ไม่มีการแยกเพศ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใดๆ จะกี่ปีกี่ยุคผ่านไปก็มีแต่บอกว่า ‘ไอ’ นี่แหละฉันล่ะ

แต่ก็มีบางภาษาเช่นภาษาไทย ที่มีสรรพนามแทนตัวเองมากมาย เช่น คำว่า ‘กระผม’ และ ‘ดิฉัน’ เอาไว้บ่งเพศ คำว่า ‘ข้าพเจ้า’ เอาไว้บ่งความเป็นทางการและเป็นกลางทางเพศ คำว่า ‘หนู’ เอาไว้แสดงความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ คำว่า ‘กู’ เอาไว้บ่งอารมณ์ดิบหรือสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดสนิทสนม

คนไทยจึงเป็นพวกที่รู้สึกถึงฐานะของตนผ่านสรรพนามหลากหลาย บางทีถ้าจะเลื่อนระดับความสนิทสนมก็อาศัยสรรพนามนี่แหละเป็นตัวบอก เช่น อาทิตย์ก่อนแทนตัวเองว่า ‘ผม’ วันนี้สนิทขึ้นเลยแทนตัวเองว่า ‘กู’ เป็นต้น

แถมนะครับ สรรพนามแทนตนยังดิ้นได้ เพิ่มเติมได้ตามยุคสมัย เช่น คำว่า ‘เค้า’ นี่ไม่ทราบเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนนำ แต่ก็ใช้กันเป็นปกติ คนไทยจึงมีโอกาสแสดงออกถึงความเป็นตัวตนได้พิสดารมาก ช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ ยังมีการแบ่งเพศอย่างชัดเจนผ่านคำเป็นทางการ เช่น ‘ผม’ หรือ ‘ดิฉัน’ แต่ยุคปัจจุบันวัยรุ่นจะใช้คำเป็นกลางๆไม่แยกเพศ เช่น ‘เรา’ ซึ่งอาจสะท้อนถึงความเสมอภาคทางเพศที่มากขึ้น

สรรพนามที่แสดงความเคารพอาวุโส นับพี่นับน้องเป็นสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นก็ทำให้เกิดความประดักประเดิดได้หากฝ่ายชายต้องเรียกหญิงคนรักว่า ‘พี่’ ในขณะที่ฝรั่งไม่ค่อยแคร์เพราะอย่างไรก็เรียก ‘ยู’ เหมือนกันหมด

สรรพนามนับพี่นับน้อง ยังส่อได้ด้วยว่าอยากนับถือกันแค่ไหน วันใดหญิงเรียกชายว่า ‘พี่’ หมายถึงยังนับถือกันอยู่ แต่วันไหนถ้าเรียก ‘คุณ’ หรือ ‘มึง’ ขึ้นมา นั่นอาจแปลว่ามีเรื่องกันแล้ว

ความพอใจในตัวตนของคนไทยเมื่อคุยกับคนรัก จึงอาจเริ่มต้นจากสรรพนามนี่เอง ผู้ชายที่ต้องการเป็นใหญ่กว่าผู้หญิง ชอบเป็นหัวหน้าครอบครัว จะอยากให้คนรักเรียกตนว่า ‘พี่’ ส่วนผู้ชายที่ชอบหารสองเรื่องค่าใช้จ่าย อาจอยากได้คนรักที่เรียกตนว่า ‘เธอ’ หรือ ‘นาย’ หรือตามสมัยนิยมของวัยรุ่นอาจเป็น ‘มึง’ ไปเลย และถ้ายิ่งเป็นผู้ชายที่มีความสุขกับการให้ผู้หญิงเลี้ยงดูปูเสื่อ ก็อาจอยากได้คนรักที่เรียกตนว่า ‘น้อง’ จึงจะสมใจ

ผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้สึกดีกับผู้ชายที่ทำให้เธอเรียกตัวเองว่าหนูอย่างสนิทใจ น้อยคนจะอยากได้แฟนที่ทำให้เธอจำต้องเรียกตนเองว่า ‘พี่’ แต่หากจำเป็นจริงๆผู้หญิงก็มักมีทางออกเสมอ พวกเธอสามารถเรียกชื่อเล่นของตัวเองเพื่อให้ดูเด็กลงได้อย่างสะดวกปากอยู่แล้ว

เมื่อเข้าใจว่าสรรพนามมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้สึกในตัวตน คุณจะเข้าใจและสังเกตตัวเองมากขึ้น คนที่ใช่สำหรับคุณ คือคนที่ทำให้คุณเรียกตนเองด้วยความพอใจ เพราะการเรียกตนเองด้วยความพอใจ จะทำให้คุยกับคนรักได้โดยไม่รู้สึกสะดุด

แล้วสังเกตด้วยว่าถ้าเขาหรือเธอเรียกเปล่งเสียงขานชื่อคุณ แล้วคุณรู้สึกว่าชื่อของตัวเองมีค่า มีความหมาย คนๆนั้นก็แทบเข้ามายึดที่นั่งในหัวใจคุณเกินครึ่งแล้ว!

สไตล์การคุย

ถ้าให้อธิบายว่าทำไมคุณถึงคุยกับบางคนแล้วสบายใจ คุณอาจงงๆและจับต้นชนปลายไม่ถูก บอกได้แต่ว่าสบายใจก็แล้วกัน

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทราบความรู้สึกของตัวเอง แต่มักอธิบายที่มาที่ไปไม่ถูก และนั่นก็เป็นเหตุให้เกิดความสับสน บางครั้งก็ทรมานใจ เฝ้าถามตัวเองว่าทำไมจึงสบายใจกับคนที่ไม่ควรจะสบายใจ แต่คนที่ควรสบายใจด้วยกลับไม่สบายใจเสียนี่

มนุษย์ต้องการคุยกับใครสักคนที่กระตุ้นให้รู้สึกถึงความเป็นตัวเองอย่างแจ่มชัด คือถ้าคุยแล้วเป็นตัวของตัวเองก็จะชอบ แต่ถ้าคุยแล้วไม่เป็นตัวของตัวเองหรือทำให้ตัวเองบิดเบี้ยวไป ก็จะเอือมระอาและอยากหลีกเลี่ยง

ยุคนี้ผู้คนสามารถพูดคุยผ่านอินเตอร์เน็ตได้ และการพูดคุยผ่านอินเตอร์เน็ตก็สาธิตให้เราดูว่าถ้าจะคุยให้สบายใจ กับทั้งเป็นตัวของตัวเองอย่างน่าติดใจต้องแบบนี้

แบบนี้คือแบบไหน? มาชำแหละกันให้กระจ่างครับว่า ‘การพูดคุยเพื่อความสบายใจ’ เป็นอย่างไร หากจับจุดถูก คุณก็สามารถนำมาพิจารณาคนที่อยู่ตรงหน้า ว่าใช่คนที่จะคุยด้วยอย่างสบายใจไปนานๆไหม

๑) การไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมาก่อน ทำให้คุณคุยกับเพื่อนทางเน็ตได้โดยไม่มีหัวโขน มีแต่คำพูดที่บอกว่าคุณกับคู่สนทนาเป็นใคร ให้ความสำราญหรือแง่คิดได้ถึงใจปานไหน ไม่ต้องสนใจรายละเอียดมากกว่านั้น

การคุยแบบไม่ต้องมีความผูกพัน ทำให้คุณรู้สึกว่าต้องระวังตัวน้อยลงและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ความสบายใจกับการเปิดอกแสดงความเห็นได้อย่างหมดเปลือกนี่แหละ คนเราชอบนัก ยิ่งถ้าได้คู่สนทนาคอเดียวกัน จะยิ่งมันเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นคือโอกาสให้แสดงตัวตนอย่างหมดเปลือก

การเปิดเผยความรู้สึกนึกคิด ก็คือการกระตุ้นให้ตัวตนปรากฏแจ่มชัดนั่นเอง ต่อให้เป็นพวกไม่ชอบปรากฏตัวต่อสังคม ก็ต้องชอบคิดมากอยู่ดี เพราะการคิดมากคือการคุยกับใจตัวเอง ทำให้ตัวตนยังคงอยู่ แม้ไม่มีใครเห็นก็ไม่หายไปไหน เมื่อสามารถคุยกับคนถูกคอได้คล้ายคุยกับความคิดของตัวเอง ก็ย่อมดีกว่าคิดมากอยู่คนเดียวแน่นอน

ในโลกความเป็นจริง บางคนหาเพื่อนคุยถูกคอได้ง่าย แต่บางคนก็พบยากครับ ซึ่งพวกหลังนี้ก็มักจะไปจับคู่คุยกันในเน็ตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพียงแค่ค้นหาว่ามีกระดานสนทนาใดเข้ากับอัธยาศัยของตน อย่างไรต้องเจอคอเดียวกันแน่ๆ ไม่มีทางไม่เจอ และเช่นกัน ถ้าคุณคิดว่าคุยกับคนรอบตัวแล้วไม่ใช่ ก็น่าทดลองเอาตัวเองเข้าไปขลุกกับกระดานสนทนาที่ถูกจริตหลายๆเดือนหลายๆปี จนแน่ใจว่ารู้จักกันจริงไม่ใช่หลอกกันด้วยอารมณ์เหงา ก็คงมีใครสักคนที่ยังโสดและเข้าขากับคุณได้บ้างล่ะ

๒) การไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน ทำให้คุณมีทางเดียวคือจินตนาการเอา และจินตนาการจะมาจากไหนถ้าไม่ใช่วิธีการพูดของคู่สนทนา คำพูดจะเป็นตัวสร้างจินตนาการว่าเขาหล่อหรือเธอสวยเพียงใด

การที่คุณเริ่มรู้จักใครสักคนแบบไม่รู้หน้า แต่รู้ความคิดของเขา มันทำให้คุณข้ามขั้นการตัดสินคนอย่างผิวเผินด้วยตาเปล่า ตัดตรงเข้าไปถึงเนื้อแท้ทางจิตใจของคู่สนทนาโดยตรง คุณจะเข้าใจหลักกรรมวิบากประการหนึ่ง คือถ้าพูดดี พูดฉลาด พูดคม พูดให้คนฟังเป็นสุข ผลจะเป็นใบหน้าโสภาน่าพิสมัย นั่นหมายความว่าถ้าเขาทำให้คุณติดใจในคำพูดได้ก่อนใบหน้า เวลาคุณนึกถึงเขา ก็จะนึกถึงใบหน้าในจินตนาการมากกว่าใบหน้าในความเป็นจริง

รู้อย่างนี้แล้ว คุณก็ควรให้โอกาสกับคนที่อยู่ตรงหน้า อย่าเพิ่งตัดสินเขาด้วยรูปร่างหน้าตา แต่รอฟังซิว่าคำพูดของเขาจะทำให้คุณเกิดจินตนาการดีๆเกินใบหน้าเจ้าตัวมากน้อยแค่ไหน คนที่พูดได้อัปลักษณ์กว่าใบหน้า นานไปจะทำให้คุณนึกถึงใบหน้าอัปลักษณ์กว่าตัวจริง ส่วนคนที่พูดได้สง่างาม นานไปจะทำให้คุณนึกถึงใบหน้าที่สง่างามเกินใคร

๓) การขยับนิ้วพิมพ์ต้องอาศัยการทำงานของสมองมากกว่าตอนขยับปาก ฉะนั้นการคุยผ่านตัวอักษรจึงวกวนน้อย ส่วนปากคนเราเคยชินกับการขยับหมับๆตามอารมณ์ ฉะนั้นการคุยผ่านปากจึงวกวนได้มาก พูดไปแล้วก็วกกลับมาพูดซ้ำอีก โดยไม่ทันคิดว่าน่าเบื่อแค่ไหน

เวลาคุณคุยปากเปล่ากับคนน่าเบื่อ บางทีไม่ใช่คำพูดของเขาหรอกครับ แต่เป็นความคิดวกไปวนมาในหัวของเขาต่างหาก แค่คุณเข้าไปนั่งใกล้คนประเภทนี้ ก็เหมือนเอาตัวไปอยู่กลางพายุความฟุ้งซ่าน สับสน หรือเหม่อลอยไร้จุดหมาย จนอยากออกมาห่างๆแล้ว

ถ้าคุณเลือกคนฟุ้งซ่านจัดหรือเหม่อลอยเก่งเป็นคู่ครอง สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณในระยะยาวคืออาการปั่นป่วนวกวน จับต้นชนปลายไม่ติดตามคู่ครองไปด้วย ฉะนั้น หลีกให้ห่างคนฟุ้งซ่านจัดและเหม่อลอยเก่ง เลือกคุยกับคนที่พูดจาเป็นเส้นตรงหาเป้าหมาย ไม่วกวนกลับมาเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วคุณจะรู้สึกว่าแค่ด้วยการพูดคุย ก็ทำให้คุณภาพสติดีขึ้นได้ง่ายๆเลย

๔) การคุยกับคนแปลกหน้าในเน็ตทำให้คุณเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ ว่าคู่สนทนาไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือเออออห่อหมกกับคุณไปทุกเรื่อง บางทีจะพร้อมกับการโต้ตอบอภิปราย หรือกระทั่งถกเถียงกันอย่างมีเหตุผล คือไม่ใช่ขัดแย้งกันด้วยอารมณ์แบบอยู่ดีไม่ว่าดี เอาเวลาไปทะเลาะกับคนแปลกหน้าเสียอย่างนั้น

ความจริงคนเราไม่ว่าการศึกษาระดับไหน จะชอบนะครับถ้าเจอคนที่พูดให้ยอมฟัง หรือกระทั่งเปลี่ยนใจเราได้ พวกผู้บริหารระดับโลกจะยอมเสียเวลาคุยกับคนแปลกหน้าที่ทำให้เกิดไอเดียใหม่หรือเปลี่ยนใจพวกเขาได้เท่านั้น เพราะเปล่าประโยชน์กับการคุยที่ทำให้ไอเดียเท่าเดิม หรือความรู้ความคิดย่ำอยู่กับที่ ไม่ช่วยให้ธุรกิจก้าวหน้าไปไหน

คุณควรเลือกคนที่คุณฟังคำโต้แย้งของเขาได้ และขณะเดียวกันเขาก็ไม่ถือสาหาความกับคำพูดเล็กๆน้อยๆของคุณ เพราะถ้าขืนสื่อสารกันคลาดเคลื่อนบ่อยๆ ก็อาจต้องผิดใจหรือฆ่ากันตายเพราะคำพูดนี่แหละ

น้ำเสียง

ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา มนุษย์มี ‘อุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณจิต’ ชั้นดีไว้ใช้กัน แล้วคุณก็ใช้มันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อุปกรณ์นั้นก็คือโทรศัพท์นี่เอง! โทรศัพท์นั่นแหละครับอุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณจิตได้ชัดกว่าอะไร เพราะมันส่งเสียงของผู้พูดที่ปลายสายมาเข้าหูคุณเพียวๆ ไม่ได้ส่งใบหน้ามาด้วย นั่นบังคับให้คุณต้องใช้เพียงประสาทหู ไม่ถูกประสาทตามาแย่งการรับรู้ไปเหมือนตอนคุยอยู่ต่อหน้า

ถ้าเพียงคุณเป็นคนช่างสังเกต ก็จะทราบเองว่าเสียงจากโทรศัพท์นั้น ส่งออกมาจากอารมณ์หรือสภาวะทางใจของผู้พูดที่ปลายสายตรงๆ ไม่ว่ากำลังลงหรือกำลังขึ้น แม้ขณะเขาไม่ได้เปล่งเสียงพูด ก็มีความรู้สึกขึ้นๆลงๆที่เปล่งออกมาให้คุณสำเหนียกได้ด้วยหู

การฝึกฟัง ‘สัญญาณที่ส่งมาจากจิต’ นั้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยครับ ถ้าไม่สังเกตคุณก็จะนึกว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่อาจสัมผัสรู้ แต่ขอให้ลองเถอะ ครั้งสองครั้งจะทราบเองว่าไม่ต้องมีอิทธิฤทธิ์ ไม่ต้องมีอภิญญา คลื่นโทรศัพท์ก็ช่วยพาสัญญาณทางจิตมาให้สัมผัสได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆแล้ว

เริ่มต้นฝึกก็ให้คุยไปตามปกติเท่าที่เคยคุยมานั่นแหละ แค่อย่าเอาแต่คิดจะพูด หรือหวังว่าจะให้เขาตอบอย่างใจคุณ ให้ฟังเสียงเขาด้วยความตั้งใจจะรู้เรื่องตลอด แล้วสังเกตว่าเมื่อสิ้นเสียงของเขาแต่ละครั้ง คุณรู้สึกว่าเขากำลังสบายหรืออึดอัด

ความสบายและความอึดอัดเป็นคลื่นทางจิตชนิดหนึ่ง คุณสัมผัสได้มาตั้งแต่เกิด แต่คุณถูกหลอกให้เชื่อเฉพาะสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น ท่าที สีหน้า และประกายตา หากไม่เห็นตัว คุณก็นึกว่าคงไม่มีทางรู้ได้ว่าใครกำลังรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์แค่ไหน

ความสุขที่มากับคลื่นจิต จะมีลักษณะให้สัมผัสได้ คือ เบิกบาน เปิดกว้าง สว่างใส ส่วนความทุกข์ที่มากับคลื่นจิต จะมีลักษณะให้สัมผัสได้ คือ หดหู่ ปิดแคบ มืดหม่น

เมื่อสังเกตและเก็บเกี่ยวลักษณะทางนามธรรมต่างๆไว้ทีละครั้งทีละหน ในที่สุดคุณจะพบว่าสภาพอารมณ์ของคนมีอยู่มากมายก่ายกอง แต่ก็จำแนกได้หลักๆแค่สองอย่างคือเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เท่านี้เอง

คนที่กำลังตื่นเต้นปีติกับความรัก ในอกในใจอาจเหมือนมีน้ำพุแห่งความหรรษาพวยพุ่ง หรือเหมือนมีทะเลแห่งความปรีดาเอ่อล้น หากสัมผัสความสุขของคนที่อยู่ปลายสายได้ คุณก็จะเปรียบเทียบได้ด้วยว่าความสุขของฝ่ายใดมากหรือน้อยกว่ากัน

แต่อารมณ์ปกติของคนเราทั่วไปนั้น ไม่ค่อยจะได้เป็นสุขกันสักเท่าไหร่หรอกครับ เป็นทุกข์เสียมากกว่า ฉะนั้น ในสนามฝึกจริงคุณน่าจะได้เห็นทุกข์มากกว่าสุข ซึ่งก็สนุกอยู่ดีถ้าเห็นจริงๆ เริ่มจากอะไรง่ายๆก่อน เช่น พอเขานึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ จังหวะที่เสียงชะงักค้างไป คุณจะสัมผัสได้ถึงอาการสะดุด หรืออาการอึ้ง ตรงนั้นคือตัวอย่างของความรู้สึกอึดอัด กดดัน หรือพยายามเค้น

เมื่อคุ้นกับสภาพของคลื่นจิตง่ายๆทำนองนั้น ให้ฝึกดูต่อไป อย่างเช่นตอนคนเราโกรธหรือหงุดหงิด จะคล้ายน้ำเดือดปุด โกรธมากเดือดแรง โกรธน้อยเดือดอ่อนๆ แต่ถ้าเป็นความเคียดแค้นอาฆาตนี่ คุณจะสัมผัสไปอีกอย่าง คือเหมือนคลื่นความกดดันขนาดใหญ่ มืดครึ้ม ทะมึน น่ากลัว เป็นต้น

คุณอาจพบว่าช่วงกำลังพูดนั้นคนเราอาจตั้งใจดัดเสียงหลอกได้ แต่พอหยุดพูด ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติตามสภาวะของใจจริงๆ เช่น ถ้าเขาหรือเธออึดอัดไม่อยากพูดด้วย แต่ต้องการรักษาน้ำใจคุณ ก็อาจพยายามทำเสียงปกติ ซึ่งก็จะมีผลให้จิตเป็นปกติไปด้วย ต่อเมื่อหยุดพูด คุณจะสัมผัสได้ถึงความอัดอั้น กดดัน ขุ่นมัว หรือกระทั่งกระแสความคิดกระวนกระวายไม่สบอารมณ์ อยากวางสายเต็มแก่

การฝึกฟังเสียงจนเห็นเข้าไปถึงจิตจะมีความหมายมาก คุณจะได้ผลรวม เห็นออกมาเป็นภาพใหญ่ภาพหนึ่ง ว่าคุยกับเขาหรือเธอแล้วหนักไปทางสุขหรือทางทุกข์ มืดหรือสว่าง กระจ่างเปิดเผยหรือคลุมเครือหมกเม็ด และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด น้ำเสียงของคนที่ใช่ไม่จำเป็นต้องออกประกายกังวานแบบดีใจล้นเหลือที่ได้คุยกัน แต่อย่างน้อยต้องสะท้อนถึงความเต็มใจพูดกับคุณ ทำให้ตัวตนของคุณเท่าเดิมหรือฟูขึ้น ไม่ใช่แฟบลงทุกทีๆ

นอกจากคุณจะรู้ว่าคนๆนี้เป็นคู่สนทนากับคุณได้หรือไม่ ยังอาจชัดเจนลึกซึ้งไปถึงขั้นที่ตอบตัวเองถูกเลยทีเดียวครับ ว่าคนนี้ใช่หรือไม่ใช่สำหรับคุณ!

สายตา

สายตาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสาร แต่มักถูกละเลยเป็นประจำ หญิงชายหลายคู่คบกันแทบไม่สบตากัน ซึ่งนานไปจะเหมือนกับเอาก้อนหินสองก้อนมาตั้งอยู่ใกล้กัน หาความรู้สึกในกันและกันแทบไม่เจอ

การสบตาแทบจะเป็นศาสตร์ได้ศาสตร์หนึ่ง มีอะไรในนั้นมากกว่าการเอานัยน์ตาสองคู่มาเล็งแลกัน ขณะพูดคุยนั้น คนที่พร้อมสื่อสารกับคุณ คือคนที่ยินดีสบตากับคุณ ไม่ใช่คนที่หลบตา

คนเราถ้ายินดีสื่อสารกัน จะประสานตากันได้อย่างสนิทใจ การสบตาคุยกันในระยะยาว จะทำให้คุณทราบได้ว่ารู้สึกดีกับเขาหรือเธอแค่ไหน ส่วนลึกของหัวใจเข้ากันได้เพียงใด

คู่ที่ใช่นั้น อย่างน้อยควรมองกันและกันได้เต็มตา โดยไม่รู้สึกขัดแย้งหรือมีกระแสความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แม้ในช่วงแรกที่เพิ่งรู้จักกัน ก็ควรมีชั่วขณะหนึ่งที่มองกันเต็มตาแล้วเกิดความรู้สึกคุ้นเคย ไม่เป็นอื่น นั่นเพราะอำนาจบุญเก่าที่ทำร่วมกันด้วยดี หรือภาวะคู่อันปรองดองในอดีต น่าจะช่วยตกแต่งกระแสตาให้ประสานกันสนิท เป็นมิตร และปราศจากความรู้สึกสะดุด

แต่ถ้าคนเราไม่ยินดีสื่อสารกัน การสบตาก็เป็นตัวบอกได้ระดับหนึ่ง สบกันทีไรมีจุดสะดุด อยากหลบตากัน หรือบางคู่ที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ปางก่อน แค่สบตาก็ไม่สบอารมณ์ได้ หรือกระทั่งอยากหาเรื่องกันแบบอันธพาลไร้เหตุผลได้

ถ้าผู้ชายสู้ตาผู้หญิงไม่ได้ เหมือนแพ้อำนาจสายตากันอยู่ ทั้งที่เธอก็ไม่ตั้งท่าขู่แต่อย่างใด ก็ขอให้เร่งตระหนักว่าโอกาสที่จะทำให้เธอเชื่อถือในเวลาต่อมานั้น ก็คงยากครับ

ส่วนผู้ชายที่ทำตัวน่าเกรงขาม ชอบส่งสายตาสะกดให้ใครต่อใครอยู่ใต้อำนาจนั้น ถ้าเจอคนที่ใช่จริงๆและเคยทำบุญมาก่อน อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมาก่อน ก็จะเชื่องลง ไม่มีรังสีข่มขู่หรือผลักดันเหมือนตอนสบตากับคนอื่น

ผู้หญิงที่ไม่ชอบสบตากับผู้ชาย อาจเป็นเพราะขี้อาย หรืออาจเป็นเพราะมีปมปัญหาทางเพศอันเป็นแผลทางใจ ถ้าคุณทำให้เธอสบตาด้วยไม่ได้ก็แปลว่ายังพูดหรือแสดงพฤติกรรมให้เธอไว้ใจไม่ได้ แล้วก็อย่าเพิ่งทึกทักนะครับว่าถ้าผู้หญิงกลัวตาผู้ชาย หมายความว่าจะไม่แผลงฤทธิ์ในภายหลัง ผู้หญิงที่ขี้กลัวบางคน บทจะเลือดขึ้นหน้าก็แปลงร่างจากแมวขี้อ้อนเป็นนางเสือดาวเอาได้ดื้อๆ

ส่วนผู้หญิงที่ชอบทำตาดุ บางทีอาจไม่ดุจริง เธอแค่จะดูว่าคุณเอาเธออยู่ไหม ส่วนลึกของผู้หญิงที่ชอบทำตาดุจะโหยหาใครบางคนที่มานำเธอได้ และเธอก็ใช้วิธีส่งกระแสตาขู่ฟ่อเป็นเครื่องมือค้นหา หากคุณพิศวาสเธอจริงๆ ก็ต้องเตรียมตัวไว้ด้วยว่าจะหลุดความเป็นแมนไม่ได้ อ่อนแอให้เธอเห็นไม่ได้ หรืออาจจะกระทั่งเก่งน้อยกว่าเธอก็ไม่ได้ด้วย

ถ้าหากทั้งชายและหญิงมีกำลังสายตาเสมอกัน ก็อาจสบตาแบบลองกำลังกัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแค่หนสองหนแล้วเลิกราก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาได้ แต่หากสบกันแบบ ‘ประสานงา’ ทุกครั้งไม่เลิก ก็อาจเป็นลางบอกเหตุได้ว่าอยู่กันไปจะไม่มีใครยอมใคร ตลอดจนมีสิทธิ์ขยับขึ้นเป็นการทุ่มเถียงเอาแพ้เอาชนะ หรือเอาเป็นเอาตายทีเดียว

สรุปแล้วความสามารถในการคุย หรือแลกเปลี่ยนสื่อสารกันนั้น บอกอะไรได้มากกว่าที่หลายคนคิด ขอเพียงคุณช่างสังเกต จะยกเรื่องใดมาเป็นประเด็นสนทนา หรือจะคุยเก่งแค่ไหนไม่สำคัญ คุยไปเถอะ คุยมากๆจนกว่าจะรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายจริงๆ ก็จะใช้เป็นเครื่องมือชี้ว่าใช่หรือไม่ใช่คนของคุณได้ครับ

 

 

ความสามารถในการทำเรื่องดีๆร่วมกัน

ที่จะเดินมาแล้วใช่เลยนั้นไม่มี มีแต่ทำอะไรร่วมกันก่อนแล้วค่อยใช่

รักแท้ไม่ได้ฝากไว้ที่กาย แค่เอากายมาผูกติดกันมันจุดได้แต่ไฟราคะ ส่วนไฟแห่งรักต้องจุดขึ้นด้วยจิต

ขอให้จำไว้แม่นๆว่า รักแท้จะอยู่คู่กับจิตใจที่สว่างสดใส เต็มไปด้วยกำลังวังชาและความเคลื่อนไหวที่ร่าเริง

จิตที่สว่างสดใสนั้น เป็นภาวะทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งเราเรียกกันมาช้านานว่า ‘กุศลจิต’ กุศลจิตเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เกิดได้ดับได้ไม่ต่างจากเปลวเทียน เปลวเทียนมีเหตุให้เกิด กุศลจิตก็มีเหตุให้เกิดเช่นกัน เปลวเทียนดับได้เมื่อหมดเหตุ กุศลจิตก็ดับได้เมื่อหมดเหตุเช่นกัน

ภาวะทางธรรมชาติที่ตรงข้ามกับกุศลจิตคือ ‘อกุศลจิต’ อกุศลจิตคือจิตที่มืดหม่น เกิดขึ้นด้วยเหตุ และดับเพราะหมดเหตุเช่นกัน รักแท้ไม่อาจยืนอยู่บนจิตที่มืดหม่น ไร้เรี่ยวแรง และเต็มไปด้วยความหดหู่เฉื่อยชา

ที่เราพูดกันในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด ก็มุ่งประเด็นที่ว่าทำอย่างไรจะสร้างเหตุให้เกิดจิตที่สว่างสดใสร่วมกันระหว่างคุณและคนที่คุณรักนั่นเอง

คุณคงเคยได้ยินมานานว่าคู่แท้ที่มาพบและรักกันได้นั้น ก็ด้วยอำนาจบุญเก่าที่เคยทำร่วมกันมา หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงยอมรับความจริงดังกล่าว แต่ยังจะจาระไนให้เห็นด้วยว่าทำบุญแบบคู่รักเขาทำกันอย่างไร

ส่วนท้ายของบทนี้ เรามา ‘คัดคน’ กันด้วยความจริงที่ว่า คนที่ใช่ต้องพร้อมทำเรื่องดีๆร่วมกับคุณ

การทำอะไรดีๆร่วมกันได้ตั้งแต่ต้น จะมีความหมายมากกว่าให้เกิดความประทับใจในช่วงแรกคบ คือจะจุดชนวนความสุกใสสว่างให้กับจิตของกันและกันอีกด้วย

ความบันเทิงร่วมกัน

เคยลองนั่งคิดดูดีๆไหมครับว่า ‘การอยู่ร่วมกัน’ คืออะไร?

ใจจริงน่ะ คนเราชอบความบันเทิงครับ มาอยู่ด้วยกันก็หวังความบันเทิงนั่นแหละ ไม่มีใครอยากอยู่กับคนแปลกหน้าเพราะปรารถนาภาระหนักหรอก

และความบันเทิงร่วมกันระหว่างชายหญิงที่ธรรมชาติให้มาล่อใจก็คือเซ็กซ์!

นี่แปลว่าเหตุผลง่ายๆของการหาคนแปลกหน้ามาอยู่ร่วมกัน คือคุณจะได้มีเซ็กซ์กับเขาหรือเธอได้ทุกวันกระนั้นหรือ?

เอาล่ะ! มามองกันตามจริงให้เห็นเป็นภาพใหญ่กัน เซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราต้องการหรอก ขนาดบางคู่แทบไม่มีเซ็กซ์กัน พวกเขายังมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเจิดจรัสกันได้เลย

มนุษย์เราหาคู่เพื่อแก้เหงา และเพื่อทำชีวิตให้เป็นไปตามที่ธรรมชาติสั่งมา คือ สร้างบ้าน ดูแลบ้าน สร้างลูก ดูแลลูก ทำไปโดยไม่ต้องสงสัยว่าทำไปทำไม เพราะไหนๆก็มีชีวิตแล้ว หลีกหนีไม่ได้อยู่แล้วจนกว่าจะตาย

มองอย่างนี้ก็ได้ข้อสรุปว่าคนเราอยู่ร่วมกันไม่ใช่เพื่อเอาตัวมาอยู่ใกล้กัน แต่เพื่อ ‘ทำอะไรด้วยกัน’ ทว่าในทางปฏิบัติแล้ว บางคนประพฤติตนราวกับเชื่อว่าการอยู่ร่วมกันคือการเอาตัวมาอยู่ใกล้กันตามหน้าที่เฉยๆ

การอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริงคือการทำความรู้จักตัวตนของกันและกัน ตัวตนของคนเรามีหลายแง่มุม และคุณจะไม่มีทางรู้จักแต่ละแง่มุมของคนรักผ่านการบอกเล่าว่าเขาหรือเธอทำอะไรเป็นบ้าง คุณต้องเห็นกับตา ร่วมสนุกด้วยกับตัว จึงจะลงเอยเป็นความ ‘รู้จักกันดี’ จริงๆ

เมื่อคนเรารู้จักกันดี ก็จะยอมรับได้ถูกว่าตรงไหนเข้ากันได้ ตรงไหนเข้ากันไม่ได้ และความรู้จักกันดีนั่นเอง ทำให้ตกลงกันถูกว่าจะไม่ฝืนใจอยู่กับตัวตนด้านนี้ แต่เลือกไปอยู่กับอีกตัวตนที่เข้ากันได้ของคนรัก

ตัวตนที่เข้ากันได้คืออะไร? คือตัวตนแบบเดียวกัน เช่น ถ้าคุณเป็นนักเทนนิสด้วยกัน ก็ย่อมไปสู่สนามเทนนิสเพื่อมีความสุขสนุกสนานกับการหวดแร็กเก็ตร่วมกันได้ แล้วนั่นก็จะทำให้ใจคุณนึกถึงและอยากเจอกันอีกเรื่อยๆ

ตัวตนที่เข้ากันไม่ได้คืออะไร? คือตัวตนคนละแบบ หรือเป็นปฏิปักษ์กัน เช่น ถ้าคุณผู้ชายชอบตกปลา แต่คุณผู้หญิงเกลียดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างนี้คงเป็นที่รำคาญของกันและกัน ไม่อาจร่วมกิจกรรมเทือกนี้ด้วยกัน ซึ่งก็คงไม่ต้องเดานะครับ ถ้ามีใครเข้ามาในชีวิตแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวตนของคุณเป็นสิ่งน่ารำคาญ คุณคงไม่อยากเจอเขาหรือเธอบ่อยนัก

เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ คุณก็มองหาคนที่สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้มาก คือไม่ใช่ทำทุกอย่างได้เหมือนกันหมดนะครับ แต่ขอให้ทำได้มากหน่อย การเลือกอยู่กับคนที่เข้าขากับคุณได้ในกิจกรรมหลากชนิด เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่มีสีสันไม่ซ้ำซากจำเจ ส่วนการเลือกอยู่กับคนที่ทำอะไรร่วมกับคุณได้ยาก หรือกระทั่งชอบแต่กิจกรรมที่เป็นตรงข้ามกัน ย่อมเป็นลางบอกเหตุของชีวิตคู่ที่จะค่อยๆเหินห่างกันออกไปวันละคืบ วันละศอก

ย้ำว่าสำคัญและจำเป็นครับ อะไรก็ตามที่ทำได้ทั้งคู่ เช่น เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ไปวิ่งออกกำลัง ไปร้องคาราโอเกะ ไปฟิตเนส ไปเรียนทำขนม ไปเข้าคอร์สโยคะ ฯลฯ ขอเพียงทำให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นเป็นดีทั้งนั้น เพราะถือว่าสามารถทำอะไรเป็นสุขร่วมกันได้แล้ว

อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนนั่นแหละ ร่างกายที่เคลื่อนไหว และจิตใจที่แช่มชื่น เป็นสิ่งที่รักแท้ชอบ โดยเฉพาะถ้าร่างกายและจิตใจดังกล่าวได้มาจากการทำกิจกรรมร่วมกัน

ถ้าไม่มีกิจกรรมใดที่ทำร่วมกันได้เลย ก็อย่าเลือกมาเป็นคู่เด็ดขาด เพราะแปลว่าในส่วนลึกของพวกคุณไม่ได้ต้องการอยู่ร่วมกันแม้แต่น้อย ถึงขนาดสร้างข้ออ้างว่าทำอะไรง่ายๆด้วยกันไม่ได้เลยสักเรื่องเดียว!

ศักยภาพในการทำบุญร่วมกัน

กิจกรรมที่ดีที่สุดในโลกมนุษย์คือการทำบุญ เพราะการทำบุญด้วยความเลื่อมใสบริสุทธิ์ คือการเพิ่มความสุขให้แก่จิตโดยตรง

จิตที่มีความสุขจากบุญ จะมีความรื่นเริงเหมือนเข้าร่วมงานฉลองที่น่าเพลินใจยินดี แต่ที่ดีกว่านั้นคือมีสติรู้ดีรู้ชั่ว เห็นอะไรๆตามจริงได้ถนัดชัดเจน

หมายความว่ายิ่งฐานของบุญหนาแน่นขึ้นเท่าไร โอกาสที่ใจจะเป็นทุกข์ และโอกาสจะทำอะไรพลั้งพลาด ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

ผลอันมหัศจรรย์ของบุญที่เห็นได้ทันตามีอยู่ เช่น หากทำบุญด้วยความมีปีติสุข ต่อให้เป็นคนโง่ทึบก็จะรู้สึกเหมือนฉลาดขึ้นชั่วขณะ หรือต่อให้กำลังเศร้าจัดแทบอยากฆ่าตัวตาย ก็จะกลับรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาดจนอยากมีชีวิตต่อ ราวมนต์สาปของสิ่งชั่วร้ายคลายลงพักหนึ่ง กล่าวได้อีกอย่างว่าจิตที่มีคุณภาพนั่นแหละ คือผลอันเป็นปัจจุบันแห่งบุญ

ที่พิเศษสำหรับนักเลือกคู่ก็คือ บุญเป็นเครื่องชี้ได้ว่าพอจะไปกันได้ไหม ถ้าทำบุญด้วยกันแล้วเป็นสุขทั้งคู่ก็เรียก ‘ไปกันได้’ แต่ถ้าทำบุญด้วยกันแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นทุกข์ หรือเป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย ก็ควรจะเข้าข่าย ‘ทางใครทางมัน’

ฉะนั้น อาศัยการทำบุญร่วมกันนี่แหละ เป็นหนึ่งในเครื่องมือเลือกคู่ คบใครอยู่ก็ให้ชักชวนไปทำบุญด้วยกันบ่อยๆ ที่ไหนอย่างไรก็ได้ อาจเป็นริมคลองใกล้บ้านเพื่อปล่อยนกปล่อยปลา อาจเป็นสถานสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาสเพื่อทำให้พวกเขามีเสื้อผ้าดีๆใช้สักชุด หรืออาจเป็นวัดที่มีพระดีเพื่อนำของจำเป็นในการดำรงชีพไปถวายพวกท่าน

ถ้าทำครบวงจร ทั้งสงเคราะห์สัตว์ ทั้งให้ความอนุเคราะห์คนยากไร้ กับทั้งถวายทานแด่สงฆ์ อย่างนี้ไม่กี่ครั้งก็จะรู้ผลแล้วครับ หากพวกคุณเป็นคู่บุญกันมา บุญใหม่จะเป็นตัวอย่างให้เข้าใจว่าการจะอยู่กับใครสักคนอย่างมีความรัก มีความสุข มีความเข้าใจ ก็ต้องด้วยการร่วมกันทำอะไรดีๆทำนองนี้ และไม่ควรน้อยไปกว่านี้

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการทำบุญเป็นสิ่งมีอาถรรพณ์ หากเคยร่วมบุญกันไว้มากกว่าร่วมบาป บุญเก่าจะพยายามรักษาเส้นทางเดิมของตนไว้ โดยช่วยสนับสนุนให้รู้สึกดี ตลอดจนขจัดปัดเป่าอุปสรรคทั้งมวลในวันทำบุญออกไป เมื่อทำบุญได้สำเร็จตามความตั้งใจ จึงบังเกิดความเบิกบานร่วมกันเต็มที่ เป็นกำลังใจให้รู้สึกว่าสามารถร่วมทำอะไรดีๆด้วยกันต่อได้อีก

แต่หากพวกคุณเป็นคู่เวรกันมาก่อน บาปเก่าจะตัดหน้า มาเป็นมารขวางไม่ให้ได้ทำบุญกันอย่างราบรื่น โดยอาจแทรกแซงด้วยสารพัดวิธีที่นึกไม่ถึง และไม่ทันเตรียมตั้งตัวรับได้ถูก เช่น อยู่ดีๆก็แกล้งดลใจให้หงุดหงิดง้องแง้งใส่กันจนรุ่มร้อนไปหมด บั่นทอนความเชื่อมั่นว่าจะอยู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่กี่ครั้งคุณจะนึกเข็ดขยาดไม่อยากทำบุญด้วยกันอีก หรือหนักกว่านั้นบางคู่อาจนึกรังเกียจกันและกันไปเลย

ที่รังเกียจก็เพราะความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางทำบุญ จะปรากฏเสมือนร่องรอยน่าเกลียดบนผ้าขาว หรือรอยแผลเป็นบนหน้าผากสะอาด ย่อมน่ารังเกียจกว่าปกติ เพราะถูกขับให้เห็นเด่นชัดเหลือเกิน ตรงนี้ถ้าคิดในทางดีก็คือบุญใหม่ช่วยสงเคราะห์พวกคุณ โดยการส่งสัญญาณเตือนให้รีบถอยเสียก่อนจะสายเกินกว่านี้

สรุปคือน่าสนับสนุนให้คู่ที่กำลังเริ่มๆดูใจกัน ไปทำบุญด้วยกันบ่อยๆ ยิ่งเริ่มทำกันได้เร็วขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้ดำรู้แดงเร็วขึ้นเท่านั้น ย้ำว่าต้องหลายครั้งนะครับ ดูกันครั้งเดียวไม่พอ คู่ที่ ‘ทำบุญขึ้น’ จะมีจิตสว่างสดใสไปด้วยกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ปูพื้นยืนของรักแท้ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นทุกทีครับ


ท้ายบท

หวังว่าบทนี้คงลบความคิดเดิมๆ ที่ว่าคู่แท้หมายถึงคนที่ตรงตามสเปค เจอปุ๊บทุกอย่างลงตัวปั๊บไปหมด ตรงข้ามคนที่คุณหมายมั่นปั้นมือว่าต้องเอาให้ได้ แท้จริงอาจเข้ามาเพื่อเล่นเกมจองเวรกันต่อเท่านั้น

เมื่อคุณมีเสน่ห์และเจอคนที่ใช่ ก็แทบประกันได้ตายตัวว่าความรักอยู่ที่นั่นแล้ว โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือพอความรักอยู่ในมือ คุณจะรักษาไว้ไม่ให้หลุดหายไปได้อย่างไร

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๔
รักษาความรู้สึก

คนที่ใช่ไม่ได้แปลว่าของตาย ถ้าพฤติกรรมของคุณไม่ใช่ ก็เปลี่ยนเขาหรือเธอจากใช่เป็นไม่ใช่ได้เสมอ

ความรักคืออารมณ์ คือความรู้สึกชนิดหนึ่ง ถ้าต้องการรักษาความรัก สิ่งที่ต้องรักษาก็คือความรู้สึกเดิมๆ หรืออารมณ์เดิมๆไว้ให้ได้นั่นเอง

การนั่งกอดยืนกอดกันทั้งชาติไม่มีทางหล่อเลี้ยงความรู้สึกระหว่างกันไว้ การรักษาความรู้สึกต้องใช้ใจ ไม่ใช่มือเท้า ฉะนั้นก่อนอื่นท่องไว้ให้แม่นเลยว่า ความเอาใจใส่คือสัญญาณว่าวันนี้ยังมีใจ ส่วนการตายใจคือสัญญาณเริ่มตายไปของความรัก

คนส่วนใหญ่แทบร้อยทั้งร้อย ยังไม่ทันหมั้นหรือแต่งงาน ขอเพียงไปมาหาสู่คุ้นเคยกัน ก็พร้อมจะเห็นกันและกันเป็นของตาย หรือกระทั่งเห็นคนรักเป็นถังขยะทิ้งอารมณ์ส่วนตัว

โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจให้คิดอยากได้ และพวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะเอามาให้ได้ ทว่าไม่มีความตระหนักว่ายิ่งได้มาเท่าไร ก็ยิ่งต้องพยายามรักษาไว้เท่านั้น โดยเฉพาะความรัก ซึ่งเปรียบเหมือนสิ่งมีชีวิตที่หิวเก่ง บาดเจ็บง่าย และตายไว

เพียงชะล่าใจไม่นาน หันมาอีกทีคุณจะพบว่าในบ้านเหลือแต่ชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินไปมาสวนกัน ส่วนความรักหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ถ้ารักแท้ได้มาง่าย คุณก็คงรักษามันไว้ได้ง่ายๆ เหมือนปล่อยเป็ดไก่หากินตามลานดินเอาเองก็ไม่ตาย แต่หากประสบการณ์บอกคุณว่ารักแท้เป็นสิ่งได้มาโดยยาก คุณก็ควรรู้ว่าไม่อาจใช้วิธีทิ้งขว้าง ปล่อยให้มันเลี้ยงดูตัวเองแล้วจะรอด

สำหรับบทนี้ก็จะครอบคลุมตั้งแต่อาหารหล่อเลี้ยงขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงน้ำพุอมฤตที่บันดาลให้ความรักเป็นอมตะ อยู่เหนือความตายของคู่รักได้

ช่วงเริ่มปลื้ม อารมณ์หวานคือพยานให้กับความรัก แต่ช่วงเริ่มชิน อารมณ์หวานจะเป็นหลักฐานให้กับความไม่เที่ยง

อารมณ์หวานกับความรู้สึกนึกรักมักมาด้วยกัน จะแค่นึกรักเดี๋ยวเดียว จะหลงรักนานหน่อย หรือจะแสนรักเหมือนชนะกาลเวลา ต่างก็ยืนพื้นอยู่บนอารมณ์อ่อนหวานด้วยกันทั้งสิ้น

แต่อารมณ์หวานที่น้อยลง ก็ไม่ได้แปลว่าคุณหรือคนรักแปรใจ บางคนสำคัญผิดคิดว่าอารมณ์หวานที่ลดลง หมายถึงไม่ได้รักกันแล้ว ความจริงคือพวกคุณไม่รู้จักทำให้อารมณ์หวานเติบโตขึ้นตามวันเวลาที่อยู่ด้วยกันต่างหาก มันจึงตกตะกอนนอนก้น หรืออยู่ในสภาพมีเหมือนไม่มี

สังเกตเถิด อารมณ์หวานจะมากับการกระทำ เช่น ในช่วงต้น คนที่ใช่มักเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำอะไรหวานๆบ้าง ต่อให้คุณเคยเป็นพวกเย็นชามานานแค่ไหน ทุกครั้งที่เห็นหน้าคนรัก อย่างน้อยก็ต้องอยากเรียกขานชื่อของเขาหรือเธอด้วยอารมณ์หวานบ้าง ซึ่งก็อาจออกแนวขี้เล่นกุ๊กกิ๊กขำๆอย่างเช่น ‘สุดที่รักจ๋า!’

ถึงคำพูดคล้ายจะแหย่ให้หัวเราะหรือแกล้งให้เลี่ยนเล่น แต่อารมณ์หวานก็เกิดขึ้นในใจจริงๆ และพวกคุณก็จะสัมผัสความจริงนั้นได้ด้วยใจ

อย่างไรก็ตาม อารมณ์หวานของคุณจะผูกติดอยู่กับคนรักเพียงในระยะแรกที่ความปลื้มยังไม่จาง นานไปพอความปลื้มจางลง ซึ่งอาจเร็วกว่าสีบ้าน อารมณ์หวานของคุณก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป แม้จะรู้ตัวว่ายังคงปักใจอยู่กับเขาหรือเธอเช่นเดิมก็ตาม

แล้วจะทำอย่างไรให้อารมณ์หวานยังคงอยู่คู่ชีวิตรักของพวกคุณ? คำตอบคือต้องทำอะไรหวานๆบ้าง อย่าเอาแต่มองหน้าหรือพูดจากันด้วยความเคยชิน เพราะความเคยชินจะเหมือนแกงจืดที่เพิ่มปริมาณขึ้นทุกที กระทั่งความหวานถูกเจือจางจนไม่เหลือรส

การทำอะไรบ้างที่ว่าหวานๆ? คำตอบเป็นที่รู้อยู่ แต่คนสมัยนี้ชอบแกล้งทำเป็นแหวะใส่ อย่างเช่นการให้ดอกไม้กัน การใช้คำพูดคำจาเป็นศัพท์แสงลิเกเป็นครั้งคราว ตลอดจนพูดง่ายๆแต่ชัดถ้อยชัดคำว่า ‘ผมรักคุณ’ หรือ ‘เค้ารักตัวเองนะ’ แค่นี้ก็เรียกหวานแล้ว ไม่ใช่ต้องสร้างฉากวิลิศมาหราเลิศลอยเกินจินตนาการใดๆเลย

ถ้ากระดากที่จะพูดคำว่ารัก แต่ร้องเพลงรักได้เก่งก็เอาเลย ร้องมันเข้าไป ยิ่งถ้ามีฝีมือแต่งเพลงเองได้ก็ยิ่งแจ่ม แต่งให้คนรักแบบอุทิศให้เขาหรือเธอคนเดียว แบบนี้เรียกหวานอย่างมีเอกลักษณ์ คนรักจะประทับใจความคิดสร้างสรรค์ที่คุณทำให้โดยเฉพาะเหนือสิ่งอื่นใด แม้วันหนึ่งคุณหลงๆลืมๆแล้ว คนรักของคุณก็จะยังคงจดจำได้อย่างแม่นยำเสมอไป คำโบราณเขาเรียกซาบซึ้งตรึงตรา ซึ่งสมัยนี้หายากแล้ว

วันเกิดก็เป็นวันรักษาอารมณ์หวานประจำปีด้วยนะครับ เป็นวันที่ห้ามลืมเด็ดขาด สั่งให้มือถือเตือนแบบประจำทุกปีไว้เลย เพราะนั่นเป็นวันแห่งตัวตน ถ้าจำวันเกิดไม่ได้ คนรักก็อาจเข้าใจว่าคุณจำตัวตนของเขาไม่ได้เช่นกัน

ถ้าเคยสร้างบรรยากาศน่าประทับใจในวันเกิดไว้แค่ไหน ก็ให้รักษาระดับความพิเศษนั้นไว้ให้ดี มิฉะนั้นคนรักจะรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญกับเขาน้อยลง ทางที่ดีทำให้เป็นกลางๆตั้งแต่แรก ของขวัญซื้อแบบที่มีความหมาย ราคาไม่ถูกจนน่ายี้ แล้วก็ไม่แพงจนคุณต้องหนักใจทุกปี และอย่าสร้างสรรค์บรรยากาศเสียจนลวงให้คนรักรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชาย เสร็จแล้วในปีหลังๆโดนลดบรรดาศักดิ์ ค่อยๆเลื่อนลงมาเป็นสามัญชน แล้วอาจตกฮวบลงมาคล้ายไพร่ เพราะท่านั้นไม่มีใครทนไหวหรอกครับ

หากมีเงินพอ การไปเที่ยวทางไกลด้วยกัน เอาแบบสถานที่ที่น่าประทับใจมากๆ ก็นับเป็นการสร้างอารมณ์หวานไม่รู้ลืม ฝรั่งเขาถึงเรียกการเที่ยวทางไกลด้วยกันว่าไป ‘ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์’ หรือฮันนีมูนไงครับ

แต่การเดินทางที่ดีที่สุด หวานที่สุด ชนิดเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ คือการเดินทางไปทำบุญ! คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินมากนัก ขอแค่รู้จักวัดดี ขอแค่รู้จักเลือกของดีไม่กี่ชิ้นไปถวายพระ แค่นั้นก็พอๆกัน หรือเลิศกว่าไปฮันนีมูนแล้ว

ลองถวายสังฆทานด้วยความมีใจเลื่อมใสศรัทธาร่วมกัน เอาให้ได้ ๔ วัดภายในวันเดียว ระวังอย่าให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งในวันนั้น แล้วดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับความรู้สึกของคุณ ความสบายใจอย่างประหลาด หรือความสุขอันโอฬาร หรือปีติเย็นซ่านไปทุกทิศ หรือโสมนัสจนต้องฉีกยิ้มค้างไว้อย่างนั้น

แล้วลองถามคนรักด้วยว่ารู้สึกอย่างเดียวกันไหม

ปีติสุขที่เกิดขึ้นไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลทางวัตถุ เพราะข้าวของที่ถวายสงฆ์เป็นเพียงรูปธรรม แต่ความรู้สึกของพวกคุณเป็นนามธรรม คุณรู้แต่ว่ามันเวิร์ก รู้แต่ว่านี่แหละเขาเรียก ‘บุญ’

แล้วในที่สุดก็ได้ข้อสรุปแบบรู้อยู่เต็มอกว่า บุญร่วมกันนั่นแหละตัวเสกอารมณ์หวาน

ชีวิตแต่งงานมักนำมาซึ่งรสขมหลายรูปแบบ คุณต้องสู้กับกองทัพรสขมด้วยสายน้ำแห่งอารมณ์หวาน พยายามให้มันไหลรินไม่หยุดทุกวัน แล้วจะอัศจรรย์ใจว่าอารมณ์หวานกับโลกที่สว่างสวยยังคงอยู่กับพวกคุณ ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปีผ่านไปก็ตาม

สรุปคือทางเดียวที่จะรักษาน้ำหวานที่ลดระดับลง คือต้องเติมของใหม่เพิ่มลงไปทุกวันนะครับ

เสียงหัวเราะเป็นได้ทั้งวิตามินและยาสมานแผล

วิตามินคือสารสำคัญที่ร่างกายของคุณต้องได้รับ มิฉะนั้นก็อาจเจ็บป่วย ฉันใดก็ฉันนั้น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะคือวิตามินที่รักแท้ต้องได้รับ มิฉะนั้นอาจทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว

คนเราใช้ชีวิตระมัดระวังอย่างไร ก็ต้องเจอดีได้แผลบนเนื้อตัวเข้าสักวัน ซึ่งหมอก็ปรุงยารักษาหรือสมานแผลไว้หลายขนาน แม้แต่น้ำผึ้งหวานๆก็มีสรรพคุณสมานแผลได้ดี เนื่องจากความเข้มข้นของน้ำผึ้งจะทำให้เชื้อโรคฝ่อตาย และนั่นก็เช่นกัน รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเปรียบเสมือนน้ำผึ้งที่สมานแผลให้รักแท้ได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางอารมณ์จนได้แผลทางใจระหว่างคุณกับคนรัก

วิตามินเป็นสิ่งที่ควรกินตุนไว้ทุกวัน ส่วนยาสมานแผลก็ควรมีประจำบ้านไว้ก่อนเกิดแผล ไม่ใช่เกิดแผลแล้วค่อยวิ่งหาซื้อ มันอาจช้าไปหน่อย

ถ้าคุณเลือกได้คนที่ใช่ตามแนวทางในบทก่อน แนวโน้มคือคุณกับคนรักจะพูดจากันด้วยความเข้าอกเข้าใจ อยู่ร่วมกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทั้งนี้เพราะความรักทำให้ใจเปิดและสมองเบา ดังนั้นอะไรที่เกิดขึ้นกับความรักจึงมักเป็นเรื่องเบาสมองได้หมด

แต่คนเรามักหัวร่อต่อกระซิกกันแค่ในช่วงต้น พอเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันก็ชักลืมๆ คล้ายต่างคนต่างต้องแอบไปหัวเราะกับเพื่อน นั่นถือเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงร่วมกัน ต้องมีสักคนพาเสียงหัวเราะกลับมานะครับ

หากรู้ตัวว่าคุณเป็นเสือยิ้มยากหรือสิงห์เส้นลึกที่หัวเราะไม่ค่อยเป็น อันนี้น่าปรับปรุง ผมไม่ได้จะให้พวกคุณแกล้งขำโดยไม่มีเหตุผลเหมือนคนบ้า แต่อยากให้ใช้ความเครียดหรือความขี้โมโหของคุณนั่นแหละ เป็นสนามฝึกปล่อยอารมณ์ขัน

วิธีนั้นไม่ยาก แต่ต้องจำขั้นตอนให้แม่น และตั้งสติให้ทันเท่านั้น

ตอนคุณกำลังตึงเครียดหรือเผชิญปัญหากับคนรักด้วยความรู้สึกอึดอัด ใจคุณจะหนักอึ้ง ความคิดวนเวียนอยู่แต่ว่านี่เป็นเรื่องแย่ คุณจำเป็นต้องรู้สึกแย่ๆ และแบกความอึ้งหนักนั้นเอาไว้ มิฉะนั้นจะเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับปัญหา

แต่ถ้าพลิกมุมมองใหม่แค่นิดเดียว ถามตัวเองว่า ‘ทำไมต้องให้ความสำคัญกับปัญหามากกว่าใจด้วยล่ะ?’

เมื่อเห็นค่าของใจ เมื่อเห็นแก่จิตมากกว่าเรื่องนอกตัว คุณจะฉลาดขึ้นทันที อย่างน้อยก็เลิกสำคัญผิดคิดว่ามีปัญหาต้องทำใจหนักๆจึงจะสมควร

ใจหนักๆตันๆน่ะ คิดไม่ค่อยออกนะครับ ไม่ใช่คิดได้แคล่วคล่องว่องไว ท่องไว้เป็นคาถาประจำตัวก็ได้ ยิ่งหนักอกเท่าไร ยิ่งโง่หนักขึ้นเท่านั้น

ขอให้อกใสใจเบาขึ้นหน่อยเถอะ ถอยออกมาจากตรงนั้นแล้วคุณจะเห็นเลยว่าความหนักอกทำให้คิดช้าลง ตัดสินใจผิดพลาดง่ายขึ้น

หลังจากพลิกมุมมองได้จริงๆแล้ว ต่อไปพอเกิดเรื่องกดดันให้เครียด หรือส่อเค้าว่าจะมีปากเสียงกัน คุณจะไม่ส่งสายตาจ้องหน้าคนรักอย่างเดียว แต่จะเฉลียวนึกขึ้นได้ว่าเอาแล้ว หนักอกแล้ว และกำลังจะพูดอะไรโง่ๆแล้ว

ทันทีที่รู้สึกตัว จิตจะเริ่มฉลาดขึ้นทันที และคลายอาการยึดมั่นถือมั่นออกได้เอง ดุจเดียวกับการปลดตะขอปล่อยถุงขยะทิ้งพื้น

การปลดตะขอแห่งความยึดมั่นออก จะทำให้ใจคุณโล่ง และเข้าสู่ภาวะรับความจริงได้ พร้อมจะแก้ปัญหาได้ ตลอดจนพร้อมจะพูดอะไรฉลาดๆออกไปอย่างทันการณ์ ที่เด็ดคือความเบาสมองจะช่วยให้คุณคิดมุขตลกออก ไม่เอาแต่ทำหน้าเครียดตีบตันอั้นตู้

ยกตัวอย่างนะครับ ตอนสมองข้นหนัก คุณอาจอยากร้องอุทานว่า ‘เฮ้ย! ทำไมเป็นอย่างนี้วะ?’ แต่ถ้าคุณมีอารมณ์ขันเป็นฐานแข็งแรงพอ ใจจะคลายได้ในพริบตาและเปลี่ยนเป็น ‘โอ๊! ทำไมเป็นอย่างนี้ได้ล่ะจ๊ะ… สุดที่รัก?’

ทั้งสีหน้าสีตา ท่าทาง ตลอดจนน้ำเสียงของคุณ รวมกันอาจบ่งได้ว่าคุณยังโมโหอยู่นั่นแหละ คำว่า ‘สุดที่รัก’ อาจถูกเค้นออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นหรือขึ้งเคียด แต่ไม่ใช่แบบขาดสติ แล้วก็ไม่มีความคิดประทุษร้ายคนรักเจืออยู่ด้วยเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวถ้อยคำที่เกินๆ ยังแฝงแววตลก ดูออกว่าอีกไม่กี่พริบตาคุณก็หัวเราะได้ และนั่นก็อาจทำให้คนรักของคุณชิงหัวเราะตัดหน้าเสียก่อน

ถ้าตั้งต้นอยู่ด้วยกันเป็นอย่างนี้ ยิ่งเกิดเรื่องน่าโมโหบ่อยขึ้นเท่าไร ระหว่างคุณกับคนรักก็จะยิ่งอบอวลด้วยบรรยากาศขำขันมากขึ้นเท่านั้น

และเช่นกัน หากเกิดเรื่องร้ายแรงให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งหนักๆ ชนิดที่ตอนแรกยังจุกอก หัวเราะไม่ออก หรือกระทั่งรู้สึกเหมือนเกิดรอยร้าวขึ้นในหัวใจ ต้องเมินๆหรือเหินห่างกันสักพัก ถึงจุดหนึ่งเมื่อพอที่จะหันหน้าเข้าหากัน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจะมามีบทบาทสำคัญในการช่วยประสานสัมพันธ์ได้

อย่าไปเชื่อใครนะครับว่าความรักเหมือนแก้วเปราะบาง ร้าวแล้วไม่อาจประสาน เพราะความจริงก็คือคุณอาศัยเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันประสานรอยร้าวได้สนิทดังเดิม หรืออาจจะแนบเนียนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

แล้วถ้าเลือกได้ หมั่นดูหนังตลกหรือที่ทำให้หัวเราะครึกครื้นร่วมกัน มากกว่าหนังสยองขวัญหรือหนังเศร้าโศกหดหู่ก็จะดี ความจริงถึงเป็นหนังประเภทไหน ถ้าได้ดูกับคนรักก็มีความสุขทั้งนั้น แต่หนังตลกหรือหนังน่ารักที่พวกคุณดูแล้วยิ้มหรือหัวเราะร่วมกันบ่อยๆ จะสร้างแนวโน้มทางอารมณ์ให้พวกคุณอยากคุยกันในเรื่องเฮฮามากกว่าเรื่องเคร่งเครียด

หัวข้อนี้ท่องไว้นิดเดียวก็ได้ วิตามินยังต้องกินวันละหน ฉะนั้นพวกคุณก็ต้องหัวเราะร่วมกันให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง แล้วขำแบบฝืดๆกับขำแบบไม่จริงใจนี่ไม่ถือเป็นวิตามินนะครับ!

สรุปคือทำใจเบาๆ ทำสมองเบาๆเข้าไว้ให้ชินแต่เนิ่นๆเถิด แล้วจะรู้เองว่าทุกปัญหาในโลกนี้เบาเหมือนปุยนุ่นได้หมด แต่ถ้าคุณมองอย่างยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจังไปทุกเรื่อง โลกนี้ทั้งใบก็คือลูกเหล็กให้คุณอุ้ม!

ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆคือเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตคู่ เพราะไม่มีความรู้สึกใดเกิดขึ้นบ่อยเท่านี้อีกแล้ว

ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆที่ดูเหมือน ‘ไม่มีอะไร’ หรือเหมือนชินๆผ่านๆไปนั่นแหละครับ พอผ่านเดือนผ่านปีสะสมรวมตัวกันแล้ว จะกลายเป็นความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อกัน

คิดให้ดี คนเราคบหาและอยู่ร่วมกัน ส่วนใหญ่จะมีแต่ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆ นานทีปีหนหรอกถึงจะเกิดความประทับใจใหญ่ๆขึ้นมา และเวลาคนเราระลึกถึงกัน ก็จะนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่ด้วยกันตามปกติ ไม่ใช่ความรู้สึกแสนพิเศษในเทศกาลไหน
ฉะนั้น เร่งสำรวจเถิด…
วิธีทักทายยามเจอกัน คุณยิ้มให้หรือเมินเฉย?
วิธีใช้คำทัก คุณพูดทีเล่นทีจริงเช่น ‘หวัดดีอีแก่’ บ่อยแค่ไหน?
วิธีใช้หางเสียง คุณออกห้วนตลอดหรือทอดเสียงอ่อนโยนบ้าง?
วิธีเจรจาปัญหา คุณใช้เสียงกระด้างหรือนุ่มนวลเป็นเหตุเป็นผล?
วิธีแสดงความไม่เห็นด้วย คุณใช้โทสะหรือเมตตา?
วิธีพูดว่า ‘ไม่ให้’ คุณอธิบายเหตุผลอย่างดีหรือมีเพียงคำปฏิเสธ?
วิธีแสดงความไม่พอใจ คุณใช้ท่าทีกระแนะกระแหนหรือรอให้หายขุ่นแล้วค่อยพูด?
เวลาอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง คุณจิกกัดแบบขายกันเองหรือยกยอปอปั้นกันดีๆ?
เวลาเห็นอีกฝ่ายเหนื่อย คุณเอาเรื่องเย็นไปลูบหรือเอาเรื่องร้อนไปช่วยซ้ำ?
เวลาอีกฝ่ายเข้ามาสัมผัส คุณเบี่ยงหลบหรือสัมผัสตอบ?
เวลาไปเที่ยวกัน คุณคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเป็นชั่วโมงหรือรีบขอวาง?
เวลาเดินไปด้วยกัน คุณเหล่หนุ่มเหล่สาวอย่างเปิดเผยหรือขอแค่ตอนคนรักเผลอ?
เวลาป่วยไข้ คุณอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานหรืออ้างธุระขอตัวเร็ว?
เวลาร้องไห้ คุณเป็นความอบอุ่นหรือตัวเพิ่มความเหน็บหนาว?
คนเราจะทำตามอำนาจความเคยชิน แล้วทุกคู่นะครับ ถ้าผ่านเดือนผ่านปีไปนานๆ ถึงเวลานั่งปรับความเข้าใจครั้งใหญ่กันเมื่อใด ก็มักอ้าปากหวอด้วยความงงว่าเรื่องแค่นี้คิดด้วยเหรอ?
ทุกสิ่งที่คุณทำกระทบหูกระทบตาคนรัก มันกระตุ้นให้คิดหมดแหละครับ ถ้านึกว่ามีสิ่งใดเป็นเรื่องเล็ก ขอให้คิดใหม่ และให้ถามตัวเองว่า ถ้าจะให้เรื่องเล็กๆนั้นแปรเป็นความทรงจำด้านดี คุณจะต้องลงทุนอะไรบ้าง?
ส่วนใหญ่นะครับ ก็แค่เปลี่ยนคำพูดบางคำ หรือกระทั่งเปลี่ยนน้ำเสียงเสียใหม่ ในระยะยาวคุณจะอยู่ในความทรงจำของคนรักเป็นอีกแบบหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
ตัวตนของคุณในความทรงจำของคนรักน่ะ เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กล่ะครับ?
สรุปคือต้องให้ค่าความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งกับความรู้สึกเล็กๆน้อยๆนะครับ ไม่ใช่ให้เป็นอันดับสุดท้ายอย่างที่ทำกันผิดๆเกือบทุกคู่

รักแท้ไม่ได้แปลว่ามีความสุขตลอดกาล แต่หมายถึงการร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกันตลอดไป

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงความรัก สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงคือความสุขหวานแหวว พอพบรักที่กำลังสดชื่นตื่นใจก็ลิงโลด หัวใจพองโตราวกับขึ้นสวรรค์ และปักใจว่านี่แหละ รางวัลทางความรู้สึกที่คนๆหนึ่งควรได้รับจากความรัก

แต่พออยู่กับความรักไปได้สักพัก พบว่ารักไม่ได้มีให้แต่ความสุข แต่ยังพ่วงทุกข์มาด้วยอีกเป็นขบวนยาว สีหน้าสีตาคุณจะเปลี่ยนไปเป็นผิดหวัง ซมเศร้า และอยากถอยหนี แต่ก็เป็นไปแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะชักสับสนว่าที่เผชิญอยู่นั้นเป็นสุขหลอกๆ ทุกข์จริงๆ หรือว่าสุขจริงๆ ทุกข์หลอกๆ กันแน่

ความอ่อนแอทางกายจะทำให้คุณมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ส่วนความอ่อนแอทางวิญญาณจะทำให้คุณมีภูมิต้านทานความทุกข์น้อย ถ้าพื้นฐานของคุณเป็นคนมีความอดทนสูง ความรักก็จะไม่ถูกกระทบกระเทือนให้สั่นคลอนง่ายนัก

แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเข้าใจความจริงข้อนี้ได้แค่ไหนด้วยครับ ความจริงคือ เหตุการณ์ภายนอกไม่ใช่ทั้งสุข ไม่ใช่ทั้งทุกข์ สุขและทุกข์เป็นของจริงที่เกิดขึ้นจริงในใจคุณ แล้วก็จะหายไปจากใจคุณจริงๆเช่นกัน สุดแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

คุณไม่ได้กำลังหายใจอยู่บนสวรรค์ คุณกำลังปักหลักยืนอยู่บนพื้นดิน และบนพื้นดินนี้ก็มีทั้งเรื่องน่าชอบใจและไม่น่าชอบใจเรียงรายหลายหลาก ฉะนั้น อย่าหวังว่าจะไม่เป็นทุกข์เลยอย่างเด็ดขาด แม้จะได้รับการคุ้มครองจากคนรัก คุณก็มีสิทธิ์แค่คาดหมายว่าคนรักจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ไม่ว่าจะกำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ และในทางกลับกัน คุณเองก็ต้องเป็นความคาดหวังให้คนรักเช่นเดียวกันด้วย

เวลาคนรักเป็นสุข คุณอยู่ที่นั่นไหม?

แล้วเวลาที่คนรักเป็นทุกข์ล่ะ คุณอยู่ด้วยหรือเปล่า?

ขณะกำลังเสวยสุข คนรักจะเป็นสุขยิ่งขึ้นถ้ามีคุณร่วมสุขด้วยอีกคน เหมือนเทียนสองดวงย่อมสว่างกว่าเทียนดวงเดียว และการประสานแสงสุขคู่กันย่อมให้รสดูดดื่ม แตกต่างจากการส่องแสงสุขของจิตเพียงโดดเดี่ยวเอกา

และขณะกำลังเสวยทุกข์ ความรู้สึกของคนรักเหมือนเปลวเทียนดับ ก็อาจกลับส่องสว่างได้ใหม่ถ้าแสงสุขของคุณยังไม่มอด การมีคุณอยู่ข้างเคียงย่อมเปรียบเหมือนการต่อเทียนให้ใหม่แทนเปลวเดิมที่ดับแล้ว

สำคัญคือพวกคุณต้องไม่เป็นเปลวเทียนที่ดับพร้อมกัน เมื่อเห็นทำท่าริบหรี่จะดับรอมร่อทั้งคู่ ต้องปลุกปลอบกันและกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน ว่าเราจะกอดคอกันลุก ไม่ใช่เหนี่ยวตัวกันล้ม

คนในโลกเป็นความห่อเหี่ยวให้แก่กันและกันอยู่แล้ว ทุกคนจึงต้องการใครสักคนที่ไว้ใจได้ว่าจะเป็นความชุ่มชื่นให้ และนั่นก็คือความหมายของการพบรักและมีคนรักไว้เคียงกัน เพียงเริ่มต้นด้วยความตั้งใจจะเป็นความชุ่มชื่น อุบายวิธีจะหลั่งไหลมาเหมือนน้ำริน เหมาะกับการดับไฟในแต่ละสถานการณ์ไปเอง

ช่วงเวลาที่มีกันและกันทั้งยามสุขและยามทุกข์ จะประทับลงในความทรงจำของคุณไปจนตาย ฉะนั้นจึงคุ้มที่จะอยู่ที่นั่น แม้คุณจะต้องแลกกับอะไรบ้าง ก็เชื่อเถอะว่ามีไม่กี่อย่างในโลกนี้หรอก ที่คุ้มกว่าความทรงจำยามได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนรัก

คู่รักที่มีความทรงจำร่วมกันน้อย จะมีความเดียวดายติดอยู่ในความทรงจำมากเกินไป จนกระทั่งจำได้แม่นอย่างเดียว คือความสูญเปล่าของการมีกันและกัน

สรุปคือเมื่อคนรักเป็นทุกข์ อย่าทิ้ง เมื่อคนรักเป็นสุข ให้รีบเสนอหน้าก่อนใคร!

ไม่สำคัญว่าพวกคุณแก้ปัญหาอย่างไร มันสำคัญที่พวกคุณพยายามแก้ปัญหาด้วยกันหรือเปล่า

เพราะโลกนี้มีโจร ตำรวจจึงเป็นความอุ่นใจ

เพราะชีวิตนี้มีโรค หมอจึงเป็นความอุ่นใจ

และเพราะการครองเรือนเต็มไปด้วยปัญหา คนรักจึงเป็นความอุ่นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!

คิดให้เห็นคู่ตรงข้ามเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกที่มีต่อปัญหาน่าจะเปลี่ยนไปได้บ้างนะครับ แม้ว่าปัญหาจะไม่ใช่สิ่งดีที่น่ารอคอย แต่ก็เป็นสิ่งน่าสนใจไม่น้อย ถ้าคิดว่ามันเป็นเหตุให้คุณกับคนรักรู้จักความอุ่นใจในการมีกันและกัน

แต่ละคนมีดี มีสิ่งที่อีกฝ่ายขาดอยู่เสมอ ขอเพียงเปิดโอกาสให้ปัญหามาเป็นเครื่องพิสูจน์เถอะ ทุกครั้งที่ช่วยกันปัดเป่าปัญหาใหญ่น้อยให้ผ่านพ้นไปได้ พวกคุณจะรู้สึกอุ่นใจกับการมีกันและกันมากขึ้นทุกที อาจเพราะได้เห็นเปรียบเทียบว่าดีกว่าแก้ปัญหาด้วยความเหน็บหนาวตามลำพังเพียงใดนั่นเอง

สำคัญคืออย่าเผลอหันเอาแง่ร้ายของแต่ละฝ่ายมาซ้ำเติมปัญหาเท่านั้น!

จุดเริ่มต้นของการรู้จักร่วมกันแก้ปัญหา อาจเป็นอะไรที่ง่ายดาย แค่ยกของหนักด้วยกัน แค่ล้างจานด้วยกัน แค่ทำความสะอาดบ้านด้วยกัน แค่ช่วยทำครัวด้วยกัน ลองสำรวจเถอะว่าอย่างไหนให้ความรู้สึกดีกว่า ระหว่างทำคนเดียวกับมีอีกคนช่วย

การหัดทำภาระเล็กๆน้อยๆให้ลุล่วง จะจุดชนวนให้ระบบความคิดของคุณทั้งสองสามารถประสานงานกัน เห็นการขจัดอุปสรรคคือเรื่องเป็นไปได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ แต่ถ้างานไหนต้องการสองแรงร่วมกันแล้วมีฝ่ายหนึ่งผละหนีด้วยความคิดเอาเปรียบ ก็จะเป็นชนวนความคิดทำนอง ‘เรื่องของแก!’ และ ‘ฉันไม่เกี่ยว!’ จนติดเป็นนิสัย แล้วกลายเป็นชีวิตคู่แบบต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างพยายามผลักภาระ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูตามจริงด้วยนะครับ ว่าขอบเขตความสามารถในการแก้ปัญหาหนึ่งๆของคุณ มีมากหรือน้อยกว่าคนรัก บางคนเป็นพวกไฮเปอร์จัด อยากแสดงให้เห็นว่าช่วยคนรักแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง อาจกลับกลายเป็นเพิ่มปัญหาอย่างบริสุทธิ์ใจไปโน่น

สรุปคือเมื่อปัญหามา ทำอะไรได้ให้รีบทำ และเป็นการทำร่วมกันด้วย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเพิ่งเข้าโหมดขยัน ปล่อยให้ฝ่ายที่ถนัดกว่าแก้ปัญหาไป แค่คุณคอยเอาใจช่วย หรือคอยอยู่ฝ่ายสนับสนุนเมื่อคนรักขอ ก็นับว่าดีพอแล้ว

ปัญหาที่น่าหนักใจที่สุดของชีวิตคู่ คือการเอาคนมีปัญหาสองคนมาอยู่ด้วยกัน

แต่ละคนมีปัญหาติดตัวมาเสมอ เช่น ปัญหานอนห้องแอร์แล้วแพ้ ปัญหาฟังเพลงลูกทุ่งได้แนวเดียว ปัญหากรนดัง ปัญหานิยมดูดบุหรี่ก่อนนอน ปัญหาเข้าผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่ง ฯลฯ

ปัญหาส่วนใหญ่จะไม่เป็นปัญหาถ้าอยู่คนเดียว แต่จะเริ่มเป็นปัญหาทันทีเมื่อมาอยู่ร่วมกับใครอีกคน!

คิดไปคิดมาคุณอาจมองก็ได้ว่า คนเราแตกต่างกัน การเอาความแตกต่างมาอยู่ร่วมกันนั่นแหละคือตัวปัญหา

เมื่อปัญหามันเริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ตอนจับคู่กัน คุณก็ต้องเตรียมใจไว้ว่า คู่รักเริ่มต้นจากความเข้ากันได้เป็นบางส่วน และเข้ากันไม่ได้เป็นบางส่วนเสมอ ต่อเมื่อได้อยู่ด้วยกัน ลงท้ายจะพบว่าคุณกับคนรักเข้ากันได้เป็นบางส่วน และเข้ากันไม่ได้เป็นบางส่วนอยู่ดี!

การเตรียมใจจะนำไปสู่ความพร้อมในการยอมรับความจริง ตลอดจนยอมปรับตัวบางอย่าง ไม่ใช่จะเอาแต่พยายามปรับทุกอย่างให้มาเข้ากับตัวท่าเดียว

เมื่อความรักถูกสร้างขึ้นจากคนสองคนที่ไม่เหมือนกัน ความรักจึงคล้ายการประกบประกอบของวัตถุสองชิ้นที่ต่างเหลี่ยมต่างทรง คุณจำเป็นต้องหาจุดที่เชื่อมต่อกันได้มาเป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวไว้ และปล่อยให้เหลี่ยมมุมที่เหลือหันไปอยู่ด้านนอกไกลๆ ไม่ต้องมาโดนกัน

อยู่กับสิ่งที่พอใจร่วมกันให้มาก จับตามองจุดนั้นให้ชัด แล้วความไม่น่าพอใจจะดูพร่าเลือนไปเอง เช่น พวกคุณชอบพรรคการเมืองคนละฟากพรรค คนหนึ่งเข้าข้างรัฐบาล อีกคนเข้าข้างฝ่ายค้าน ก็อย่าคุยเรื่องการเมือง หันหัวข้อเกี่ยวกับการเมืองออกไปห่างๆ ไม่ว่าจะนึกคึกอยากด่านักการเมืองแค่ไหน พยายามเหหัวสนทนาไปหาเรื่องที่ชอบด้วยกัน เป็นต้นว่ารายการทีวีสุดโปรด หนังใหม่ประจำสัปดาห์ เบื้องหลังการถ่ายทำ ฯลฯ ขอให้ชอบด้วยกัน ใจตรงกันเถอะ ยิ่งคุยเรื่องที่ใจตรงกันบ่อยขึ้นเท่าไร คุณจะรู้สึกว่าส่วนที่ต่างกันลดน้อยถอยลงเรื่อยๆเท่านั้น

ตอนอยู่บ้าน บางทีคุณต้องพูดบางเรื่องที่ชอบใจให้น้อยลง เพื่อเพิ่มความชอบใจในการอยู่บ้านร่วมกับคนรักให้มากขึ้น!

สรุปนะครับ การเตรียมใจไว้ล่วงหน้าเป็นที่มาของการปรับตัว ปรับความรู้สึก และปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับ ‘ตัวจริง’ ของคนรัก แต่การคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นดังเดิมเหมือนเมื่อครั้งเป็นโสด ก็คือการนับถอยหลังเข้าสู่ภาวะ รับไม่ได้ ทนไม่ไหวนั่นเอง

คนเราจะทำผิดกี่ครั้งก็ถูกหมด ถ้าพยายามแก้ไข

การเรียนรู้จากความผิดพลาด คือคุณสมบัติเด่นที่มนุษย์ทำได้เหนือกว่าสัตว์อื่น

และยิ่งกว่านั้นนะครับ การเปลี่ยนความผิดพลาดให้เป็นความถูกต้อง หรือกลับร้ายให้กลายเป็นดี พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส คืออาวุธชิ้นเดียวที่มนุษย์จะชนะกรรมเก่าเน่าๆของตัวเองได้

คุณๆที่เชื่อหมอดูนะครับ ถ้าหมอดูระดับประเทศทายทักว่าดวงต้องเลิกกัน คุณจะหักคำทำนายได้ก็ด้วยอาวุธชิ้นนี้แหละ!

 

 

หมอดูแม่นๆอาจทายถูกว่าคุณกับคนรักจะลงเอยดีหรือร้าย ก็เพราะกรรมเก่า ของพวกคุณถูกฟ้องไว้หมดแล้วบนดวงดาว แต่หมอดูไม่มีทางบอกถูกว่าคุณ จะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีด้วยท่าไหน เพราะกรรมใหม่ของพวกคุณอยู่ที่ การตัดสินใจ ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนเลย สาเหตุของการเลิกร้างกันจะว่าไปก็เป็นเรื่องตื้นๆแต่แก้ยากของมนุษย์ นั่นคือทำผิดแล้วไม่รับผิด อย่าว่าแต่จะพยายามแก้ไขจากผิดให้เป็นถูกเลย อัตตาของคนเราจะบีบให้รู้สึกว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว คนอื่นนั่นแหละต้องเปลี่ยนให้เหมือนกับที่เราคิด! การฝึกนิสัยเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกนั้น เริ่มง่ายๆจาก ‘ตัว’ ของคุณนี่แหละ ถ้ารู้ว่าเหม็นก็หมั่นอาบน้ำให้บ่อยขึ้น ลงทุนซื้อยาสีฟันดีๆมาฆ่าแบคทีเรียในปาก เพื่อยับยั้งกลิ่นซะ ผมเผ้าอย่าปล่อยรุงรังเป็นทาร์ซานเข้าเมือง ฯลฯ นิสัยปล่อยตัวตามสบายนี่ถ้าอยู่คนเดียวในห้องเล็กๆตามลำพังก็เรื่องของคุณ แต่เมื่ออยู่ร่วมบ้านกับคนอื่น มันคือการรบกวน มันคือความผิด มันคือ ความไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น มันคือความเห็นแก่ตัว! กระโดดจากความผิดเล็กๆขึ้นไปหาความผิดใหญ่ๆกันเลย อย่างเช่นเรื่อง ชู้สาวที่มักเป็นตัวการเรียกใบหย่าอันดับต้นๆนั้น ไม่ได้แค่ท้าทายความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดีอย่างเดียว แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ด้วยว่าคุณมีความพยายามแก้ไขความผิดสักแค่ไหน หากคุณหน้ามืดถลำเข้าห้องลับกับใครที่ไม่ใช่คู่ผัวตัวเมีย คุณได้ชื่อว่า ผิดแล้วที่ ‘ตั้งใจ’ ละเมิดศีลข้อกาเมฯ แต่ยังแก้ไขได้ทัน ถ้ากลับลำเดินพรวดพราด ออกจากห้องเสียก่อนจะมีการเข้าด้ายเข้าเข็ม การแก้ไขข้อผิดพลาดของคุณ จะยังไม่ทำให้คุณทำผิดสำเร็จ แค่มัวหมอง ไปบ้าง ศีลด่างพร้อยไปหน่อย แต่จุดใหญ่ใจความคือคุณพูดได้เต็มปากว่า คุณยังไม่ได้ทำผิด คุณยังเป็นคนถูกอยู่ คุณยังไม่ทำศีลขาด! แต่หากคุณหน้ามืดตามัวขนาดทุกกระบวนการดำเนินไปเองจนเสร็จสิ้น ราวกับนักบินเข้าโหมดบินอัตโนมัติ ประทับตรา ‘ข้าคือชู้’ ไว้ในวิญญาณเรียบร้อย แล้ว คุณก็ได้ชื่อว่าผิดศีลข้อกาเมฯ ทำศีลขาดทะลุอย่างสมบูรณ์ แต่คุณยังไม่ตาย ยังมีโอกาสกลับตัว ยังทันเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ให้ตายเยี่ยงคนทุศีลได้! การกลับตัวกลับใจไม่ได้เริ่มขึ้นบนเตียง แต่เริ่มขึ้นได้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในใจคุณ! แค่ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่เอาอีก เป็นตายอย่างไรไม่มีการทำอีก นั่นแหละ ครับ รอดจากการเป็นคนทุศีลมาครึ่งหนึ่งแล้ว และเมื่อมีตัวยั่วมาล่อให้เข้าห้อง แห่งความลับอันดำมืดอีกครั้ง หรือหลายๆครั้ง นั่นแหละคือโอกาสพิสูจน์ตัว ว่าเลิกเป็นคนทุศีลเด็ดขาดแล้ว ขอเพียงคุณปฏิเสธ หรือปฏิญาณไว้ว่า ยอมตายดีกว่าเสียสัตย์เสียศีล! นะครับ! ถ้ามีมันจุกอก กดดันจนเลือดกำเดาออกตาย ก็ให้ตายไปเลย! ตายเพื่อรักแท้หรือตายเพื่อรักษาศีล ก็ได้ชื่อว่าตายอย่างคนถูกคนดีทั้งสิ้น นอกจากเรื่องชู้สาวที่ถือเป็นความผิดขั้นอาญาต่อรักแท้ ยังมีความผิด อีกชนิดหนึ่ง ที่แม้ไม่ผิดขั้นอุกฉกรรจ์เยี่ยงการมีชู้ ก็ถือว่าฆ่ารักแท้ให้ตายแบบ ผ่อนส่งได้ ความผิดชนิดนี้ เป็นผิดซ้อนผิด และจัดเป็นโรคชนิดหนึ่งของมนุษย์เรา นั่นคือโรคยัดเยียดความผิดให้คนอื่น! ความผิดหนึ่งๆนี่นะครับ ส่วนใหญ่แค่ยอมรับก็สิ้นเรื่องแล้ว ให้อภัยได้แล้ว แต่เพราะคนเรามีโรคบ้าอัตตา มีทิฐิมานะอยากปกป้องตนเอง แทนที่ผิดแล้ว จะยอมรับผิด ก็กลับไปยัดเยียดให้คนอื่นดูชั่ว แล้วตัวเองดูดีไปเสียหมด คนเป็นโรคพรรค์นี้ถ้าเข้าขั้นเรื้อรัง ชนิดเอาตะปูตอกหน้าไม่เป็นรูแล้วล่ะก็ ไม่ทราบจะอภัยท่าไหนดีเลยครับ ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนผิด แล้วจะให้ ไปรับการอภัยจากใครได้ ขอให้ระลึกไว้ว่าเวลาเกิดกรณีใครผิดใครถูกขึ้นมา มีคุณคนเดียวที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าทำอะไรหรือไม่ทำอะไรลงไปบ้าง ตลอดจนตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไว้แค่ไหน ฉะนั้น มีแค่คุณเองที่พิพากษาได้เที่ยงธรรม คนอื่นได้แค่ปรักปรำตามที่เห็นหรือคาดเดาเอา ถ้าคุณยืนยันจะไม่พิพากษาให้ตัวเองผิด ยืนกระต่ายขาเดียวจะยัดข้อหาให้ คนอื่น แม้รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองคือต้นเหตุ บ้านจะเริ่มเบี้ยวบิดผิดรูปไปทีละน้อย จริงๆนะครับ พูดเหมือนหนังการ์ตูน แต่ลองสังเกตดูจะทราบว่าเป็นอย่างนั้นแหละ หากคุณทำผิดแล้วไม่รับ ตัวเองทำบอกว่าคนอื่นทำ กล้าโกหก กล้ากลับดำให้เป็น ขาว ข้าวของจะขวางหูขวางตาง่าย คนในบ้านจะเป็นเป้าให้เพ่งโทษง่าย ราวกับ บ้านทั้งหลังไม่สมประกอบ ผิดสัดส่วน ผิดปกติไปหมด ไม่น่าพอใจไปหมด โลกไม่ได้เบี้ยวบิด แต่จิตของคุณนั่นแหละบิดเบี้ยว! นิสัยเอาดีเข้าตัว โยนชั่วให้คนอื่นนั้น เมื่อเป็นแล้วแก้ยากมาก นับวันจะทวีขึ้น เรื่อยๆ มีวิธีเดียวคืออย่าเริ่มเป็นมันเลย อย่าให้มีก้าวแรกเป็นนับหนึ่งขึ้นมาได้ เพราะ คุณอาจได้นับถึงสิบภายในเวลาอันสั้น และถึงตรงนั้นคุณจะลืมวิธีคิดอย่างมีเหตุผล รูปความคิดจะวิกลวิการ ผิดจากเดิมจนไม่เหลือความน่ารักแล้ว ทุกคนเริ่มจากความไม่รู้และการถูกกิเลสจูงจมูก ไม่มีใครเริ่มต้นชีวิตได้ด้วย ความไม่ผิด ฉะนั้นให้มีความรักเป็นกำลังใจในการเปลี่ยนผิดเป็นถูกเสีย แล้วคุณจะได้จำว่าความรักทำให้คุณเป็นคนดีขึ้น ความรักเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้! ถึงเวลานั้นจะได้รู้ไงครับว่าความรักมีค่าขนาดไหน สรุปคือปากที่แก้ตัวเก่ง อาจพาคุณรอดตัวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มือเท้าที่ ไม่ชอบแก้ไข จะพาชีวิตคู่ของคุณไปสู่หายนะอยู่ดี คนเราจะอยู่กันให้ยืดได้ ไม่ใช่ด้วยการพยายามทำทุกอย่างให้ถูกหมด ต้องได้รับคำชมไปหมด แต่เป็น การรู้ตัวว่าผิดแล้วเร่งคิดแก้ไข ได้รับเสียงติแล้วย้อนดูตัวโดยพลัน!

รักมีคำเดียว แต่ความหมายของรักนั้น มีได้มากเท่าวิธีเห็นแก่ตัวของแต่ละคน!

ความเห็นแก่ตัวและความเสียสละนั้น เมื่อสั่งสมสิ่งใดให้มากแล้ว จะฉายออก มาทางตาได้นะครับ คิดดูว่าจริงไหม อำนาจนัยน์ตาของคนที่รักคุณจริง อาจทำให้คุณสงบลงได้ทั้งที่กำลังวุ่นวายสิ้นดี แต่อำนาจนัยน์ตาของคนที่ เอาแต่เรียกร้องให้คุณรัก อาจทำให้คุณวุ่นวายสิ้นดีทั้งที่กำลังสงบอยู่แท้ๆ ตั้งคำถามขั้นพื้นฐานง่ายๆดู ระหว่างความเห็นแก่ตัวกับความเสียสละ อันไหนทำหน้าที่รักษาความรู้สึกได้ดีกว่ากัน? ตอบน่ะตอบได้ แต่จะมีสักกี่คนที่เอา ‘คำตอบที่ถูกต้อง’ ไปใช้ประคบประหงม รักแท้ มาดูนิยามความรักกันดีกว่า นิยามใดทำให้คุณรู้สึกว่าตรงกับตัว ก็โปรด พิจารณาเถิดว่าควรรักษาไว้หรือได้เวลาเปลี่ยนแปลงนิยามเสียที ต่อไปนี้คือความหมายของรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าต่างฝ่ายต่างจ้องจะเอาเปรียบด้วยกันทั้งคู่ คู่รักนั้นย่อมกล่าวว่าความรักคือ ‘ผลประโยชน์’ ถ้ามีฝ่ายหนึ่งจ้องจะเอาเปรียบ แต่อีกฝ่ายพร้อมจะให้เปล่า คู่รักนั้นย่อมกล่าว ว่าความรักคือ ‘ความไม่เสมอภาค’ ถ้าทั้งสองฝ่ายผลัดกันเอาเปรียบและผลัดกันให้เปล่า คู่รักนั้นย่อมกล่าวว่า ความรักคือ ‘การใช้หนี้’ แล้วความหมายของรักที่เจืออยู่ด้วยความเสียสละคืออะไร? ถ้าต่างฝ่ายต่างจ้องจะให้เปล่าด้วยกันทั้งคู่ คู่รักนั้นย่อมกล่าวว่าความรักคือ ‘ความเอื้ออาทร’ ต่างฝ่ายต่างเอื้ออาทรนั่นแหละ ความรู้สึกแบบรักแท้! มนุษย์เราอยากมีคนรักไว้เป็นพวกเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง คู่รักมัก แบ่งข้างกันโดยไม่รู้ตัว และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบไปจนตาย ว่าสิ่งเดียวที่ จะทำลายการแบ่งข้างลงได้ ก็คือความพร้อมใจเสียสละ ไม่ใช่กะเกณฑ์ ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีน้ำใจคิดให้อยู่ข้างเดียว เรามีคนรักไว้รบกวนกันหรือเป็นกำลังหนุนแก่กันก็ได้ แน่นอนว่าถ้าคุณ เลือกคนที่ใช่มาเป็นคู่ ก็ต้องดูดีแล้ว ว่ามีพื้นฐานของความพร้อมจะเสียสละ เพื่อกันและกันไม่มากก็น้อย แต่ขอให้ทราบเถิดว่ายากที่จะมีความเท่าเทียม ในการอยู่ร่วมกัน และเพียงอยู่ร่วมกันไม่นานนัก ความไม่เท่าเทียมก็มักเป็น แรงกระตุ้นความเห็นแก่ตัวให้กำเริบได้โดยไม่มีใครทันสังเกต เพื่อให้ความรักของคุณเป็นไปตามความหมายของการเอื้ออาทร คุณต้อง ไม่ลืมกฎสำคัญ คือ เมื่อได้รับ อย่าลืมขอบคุณ เมื่อได้ให้ อย่าลืมอมยิ้ม นอกจากนั้น พวกคุณต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘เวลาของครอบครัว’ ให้ดี ครอบครัวเริ่มตั้งต้นขึ้นเมื่อชายหญิงมาอยู่ร่วมกัน ถ้ายังหาเวลาให้ครอบครัวได้ ไม่มากพอ ก็อย่าเพิ่งริมีครอบครัว เพราะครอบครัวต้องการเวลาจากสมาชิกทุกฝ่าย เหมือนร่างกายต้องการลมหายใจ ขาดลมหายใจแล้วตายฉันใด ครอบครัวขาดเวลา จากสมาชิกก็ต้องล่มสลายฉันนั้น ถ้าชีวิตมาถึงความเป็นภาวะคู่จริง ชีวิตต้องให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก ภาวะเดี่ยว ถ้าคุณยังรู้สึกเหมือนเป็นโสด ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องแคร์ใคร เวลาทั้งหมดอุทิศให้แก่ตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ก็แปลว่าคุณยังมาไม่ถึงภาวะคู่ แถมใบสมรสของคุณยังอาจกำลังทำให้ใครบางคนเศร้า เหงา และทนทุกข์ อย่างมากมายเสียด้วย การพูดแล้วไม่ทำตามที่พูด สัญญาไม่เป็นสัญญา นัดไม่เป็นนัด ถ้าหาก ไม่มีเหตุผลภายนอกบีบ ก็เหลือเหตุผลภายในอันเดียว คือคุณเห็นแก่ตัวมาก! ในทางกลับกัน เวลาของครอบครัวไม่ใช่ ‘เวลาทั้งหมด’ ที่คนในครอบครัว จะถือสิทธิ์เอาแค่ไหนก็ได้ ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่สร้างบ้านและรักษาบ้าน ขณะเดียวกันต่างคนต่างก็ต้องการเวลาส่วนตัว เพื่อพักวางภาระจากภาวะคู่ บ้าง ได้สูดกลิ่นอิสรภาพคล้ายในภาวะเดี่ยวบ้าง การได้เวลาในชีวิตของเขาหรือเธอไว้ทั้งหมด ไม่ได้ทำให้คุณมีคนรักหรอก นะครับ แต่เป็นนักโทษต่างหาก! ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าความรักช่วยให้คุณได้นักโทษมาคนหนึ่ง และ ต้องทำให้คุณเป็นทุกข์กับฐานะผู้คุมนักโทษ ที่ระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าวันหนึ่ง นักโทษจะทนไม่ได้ และหาทางแหกคุกหนีไป เคยสัมผัสใช่ไหม ตอนที่ใครได้ทำอย่างใจตัวเอง มีเวลาเป็นอิสระบ้าง เขาเต็มไปด้วยความสุข ความยินดี และหายใจหายคอได้ด้วยความแน่ใจว่า ตนไม่ใช่นักโทษ ถ้าดีใจเวลาเห็นใครเป็นสุข คุณอาจไม่จำเป็นต้องรักเขาเสมอไป แต่ถ้าอ้างว่าคุณรักใครแล้วไม่ยินดีกับความสุขของเขา แปลว่าคุณเห็นแก่ตัวและดีแต่พูดเท่านั้น จำไว้ว่าการอยู่ใกล้นานเกินไป จะพลิกผันเป็นแรงผลักให้คนรักอยากออกห่าง มากขึ้นทุกที ความหึงหวงและการบังคับหน่วงเหนี่ยวกักกัน อาจทำให้คุณพอใจ ที่ได้เห็นกับตาว่าได้คนรักไว้ใกล้ตัวเกือบตลอด แต่คุณจะรู้ได้ด้วยใจ ว่าใจของเขา หรือเธอไม่อยากอยู่ตรงนั้น หรือกระทั่งหนีหายไปที่อื่นนานแล้ว รักแท้ไม่ใช่การอยู่ใกล้กันตลอดเวลา แต่คือการยอมรับกฎธรรมชาติระหว่าง ชายหญิงที่มีทั้งแรงดูดและแรงผลัก ห่างกันบ้างเพื่อให้คิดถึง และเติมแรงดึงดูดเข้ามาหากันใหม่ ดีกว่าเอาแต่ อยู่ใกล้แล้วสะสมแรงผลัก หรือเก็บกดกระทั่งระเบิดแตกกระจายออกจากกันเป็น เสี่ยงๆอย่างถาวร ใกล้ชิดกันบ้างเพื่อให้อบอุ่นกายอบอุ่นใจ และสร้างแรงผลักให้ออกไป หาอิสระบ้าง ดีกว่าเอาแต่อยู่ห่างแล้วสะสมความโหยหา จนแปรเป็นการไปหา คนอื่นแทนอย่างไม่มีวันได้กลับมาใกล้กันอีกเลย รูปแบบความรักในชีวิตหลังแต่งงานนั้น จะไม่เป็นไปตามข้อตกลงหรือ คำมั่นสัญญาใดๆก่อนแต่งงาน มนุษย์มีคำพูดในวันก่อนเอาไว้ลืม แต่มี ความเห็นแก่ตัวเฉพาะหน้าไว้จำ ถ้าอยากรักษาความรู้สึกดีๆก่อนแต่งงานไว้ พวกคุณต้องให้ความร่วมมือด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทำเหตุของผลที่อยากได้ อย่าอยากได้ในสิ่งที่เคยสัญญากันด้วยปากแบบลมๆแล้งๆ ถามตัวเองสั้นๆนะครับ ระหว่างยอมเหนื่อยกับยอมเสียความรัก คุณเลือก อันไหน คำตอบจะเป็นตัวชี้ชะตาความรักของพวกคุณ! สรุปคือรักที่ตายได้คือรักแต่จะเอา ส่วนรักอมตะคือรักการสละความเห็นแก่ตัว คุณคาดหวังได้ว่าจะอยู่กินกับคนรักเพียงสองคน แต่อย่าคาดหวังว่าจะไม่ต้อง ข้องเกี่ยวใดๆเลยกับญาติพี่น้องของคนรัก ทุกคนมีฐานของความรู้สึกในชีวิต ซึ่งดั้งเดิมจะอยู่กับผู้ให้กำเนิด ญาติผู้ใหญ่ ญาติพี่น้อง ตลอดจนวงศ์วานว่านเครือ ความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันทำให้ มนุษย์รู้สึกว่าตนมีที่มาที่ไป แน่ใจว่าไม่ได้ถูกคนแปลกหน้าเก็บมาเลี้ยง ตนเอง ยังมีหน้ามีตาคล้ายคลึงกับใครอยู่ มีความผูกโยงทางกายใจกับใครอยู่

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ก็เป็นธุระของญาติหลายๆคนด้วย

เมื่อจะมีคู่ชีวิต ฐานของความรู้สึกในชีวิตอาจแตกต่างไปบ้าง คล้าย ขาข้างหนึ่งก้าวออกมาเหยียบยืนอยู่บนฐานใหม่ที่สร้างเอง แต่ขาอีกข้างของ คนส่วนใหญ่ ยังคงต้องปักหลักอยู่บนฐานเดิมที่พ่อแม่ให้มาอยู่ดี จะเต็มเท้า หรือแค่แตะไว้หน่อยเดียวก็ตาม คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าแค่แคร์ความรู้สึกของคนรักก็น่าจะพอแล้ว คนอื่นแม้ ไม่เอาใจใส่ให้มากก็ไม่น่าจะถือว่าบกพร่อง แต่ขอให้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าพ่อแม่พี่น้องมาฟ้องว่าคนรักของคุณดูถูกพวกเขา ไม่ให้เกียรติพวกเขา คุณ จะรู้สึกอย่างไร? รักแท้ไม่ได้อยู่ข้างการกระทำลวกๆที่ขาดพิธีรีตอง รักแท้เป็นอะไรที่ต้อง มีฐาน มีราก ไม่น้อยหน้าน้อยตา ไม่หลบๆซ่อนๆ จึงจะตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ถ้า คุณยังเห็นพิธีหมั้นและพิธีแต่งเป็นส่วนเกินของชีวิต ทำให้ชีวิตไม่ปราดเปรียว ตามสมัยนิยม ก็ขอให้มองย้อนกลับมาที่ใจตัวเอง เอาใจของคุณเองเป็นที่ตั้งว่า การอยู่ด้วยกันเฉยๆ เข้าฝ่ายไหนระหว่างความรู้สึกผิดกับความรู้สึกถูกต้อง การทำความรู้จักกับญาติของคนรัก เท่ากับการยอมรับรากของความเป็น คนรัก การแสดงความรังเกียจญาติของคนรัก ก็คือรังเกียจรากแห่งตัวตน ของคนรักนั่นเอง มันอาจเจ็บได้เท่ากับหรือยิ่งกว่าแสดงความรังเกียจ ตัวคนรักเองก็ได้ นอกจากญาติก็ยังมีเพื่อนและผู้คนในสังคมของคนรักรวมทั้งของคุณเอง ทุกคนเป็นส่วนประกอบใหญ่บ้างเล็กบ้าง ขอให้จำไว้ว่าถ้าคนรักแคร์ใคร คุณ ก็จงแคร์คนนั้นด้วย ไม่ว่าใจส่วนลึกจะชอบหรือชัง อย่างน้อยคุณต้องระลึก ให้ดีว่าคนๆนั้นสำคัญกับความรู้สึกของคนรัก คุณปฏิบัติต่อคนๆนั้นอย่างไร ก็เหมือนกระทำกับความรู้สึกของคนรักอย่างนั้น การพูดถึงคนรักให้เพื่อนๆหรือญาติๆของคุณฟัง เป็นสิ่งควรระมัดระวัง อย่าเอามันปากเข้าว่า เพราะสังคมมนุษย์เป็นสังคมกระจายข่าว พูดกระซิบข้างหู บางคน ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพูดใส่โทรโข่งให้คนฟังกันเป็นพัน ขอให้ถามตัวเอง ว่าแต่ละคำที่คุณคุยให้คนอื่นฟัง ถ้าคนรักได้ยินกับหูจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่า จะพูดกับคนที่คุณรู้สึกไว้ใจขนาดไหน ขอให้นึกถึงความเป็นไปได้ว่านั่น จะไปถึงหูคนรักได้เสมอ แค่อย่านำไฟในออก อย่านำไฟนอกเข้ายังไม่พอ เสียงชมต้องดังกว่าเสียงติ ด้วยนะครับ ติอย่างมีเหตุผลในห้องนอน แล้วชมอย่างสบายอารมณ์ในห้องรวมญาติ แล้วคุณจะรักษาความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันไว้ได้เสมอไป สรุปคือเวลาคุยกับญาติของคนรัก ให้นึกถึงหน้าของคนรัก แล้วคุณ จะไม่เผลอนึกว่ากำลังคุยกับคนแปลกหน้า อย่างที่กล่าวแล้วแต่ต้น ความรักคือกิเลสทางเพศ กิเลสทางเพศก็คือ กามราคะ และสิ่งเร้ากามราคะได้แก่ความน่าพอใจทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตลอดจนความตรึกนึกถึงเพศสัมพันธ์กับใครสักคนที่คุณปิ๊ง หากปราศจากแรงดึงดูดทางกาย หรือหากคนเราปราศจากกามราคะ เนื้อหนังมังสาของมนุษย์ก็คงถูกเห็นว่าสักแต่เป็นธาตุ ไม่ต่างจากก้อนดิน ผืนน้ำ ไอแดด และสายลม ที่เอามาผสมรวมกันชั่วคราว หาความน่าสนใจมิได้ กามราคะทำให้ร่างกายของมนุษย์เป็นวัตถุกาม และมีกระบวนวิธีเสพกาม แบบที่เราเรียกกันสั้นๆทุกวันนี้ว่า ‘มีเซ็กซ์กัน’ เซ็กซ์ในหมู่มนุษย์แตกต่างจาก เซ็กซ์ในสัตว์อย่างเห็นได้ชัด คือมนุษย์มีอารมณ์หวานและพิธีการนำมาก่อน ส่วนสัตว์นั้นเป็นไปตามฤดู ไม่ต้องมีอารมณ์หวาน ไม่ต้องมากเรื่องมากพิธี คลำดูมีหางเป็นใช้ได

้แรงดึงดูดเริ่มที่กาย แต่สุดท้ายสายใยอยู่ที่จิต

ธรรมชาติของเซ็กซ์เป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าจะพูดง่ายๆว่ามีเซ็กซ์คือ การมีความสุข เพราะเซ็กซ์เป็นได้ทั้งตัวการทำให้รักกันหวานชื่น เป็นได้ทั้ง ตัวการทำให้เกลียดกันเข้าไส้ หรือเป็นได้กระทั่งวิธีทำร้าย วิธีลงโทษ และ วิธีสั่งสอนกัน มันตั้งต้นกันที่ใจ ใจจะนำไปสู่การปฏิบัติทางกาย ที่ให้ความรู้สึกว่าเซ็กซ์ เป็นแค่ของต่ำ หรือเป็นสัมผัสแห่งรักอันจัดจ้านถึงใจ เป็นต้มยำรสสะเด็ดสะเด่า หรือเป็นเนื้อเน่าชวนคลื่นเหียน ว่ากันโดยความรู้สึกเลยนะครับ… เซ็กซ์ที่ปราศจากความรักรองรับ คือเซ็กซ์จากสัญชาตญาณดิบ ให้ความรู้สึก ต่ำ เซ็กซ์ที่ปราศจากพิธีการนำหน้า คือเซ็กซ์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกผิด นั่นเพราะโดยจิตสำนึกแล้ว สิ่งมีชีวิตระดับมนุษย์จะมีเซ็กซ์เพื่อแสดงว่า ยอมรับกันและกันเป็นคู่ครอง ยอมเปิดเปลือกออกหมดแล้ว พร้อมจะร่วมทุกข์ ร่วมสุขโดยปราศจากเครื่องห่อหุ้มปิดซ่อนแล้ว มีเพียงคู่ครองเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เห็น และสัมผัสเนื้อแท้ของกันและกัน การเปิดเปลือกออกโล่งโจ้งเร็วเกินไป หรือขาดพิธีการที่ให้เกียรติกัน ย่อม นำมาซึ่งความรู้สึกไม่มีค่า ไม่มีความหมาย ไม่ต้องใช้ความพยายาม ซึ่งหมายความ ว่าเมื่อพบตำหนิเพียงน้อยในสิ่งไร้ค่านั้น ใจคุณย่อมพร้อมจะผละจากหรือทิ้งขว้าง อย่างไม่แยแส ผมไม่ได้พูดแบบคนหัวโบราณนะครับ นี่ว่ากันตามเนื้อผ้าจริงๆ ถ้าคุณทำงาน หาเงินเลี้ยงตัวได้ เนื้อตัวของคุณก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ถ้าไวไฟไปหน่อย ยังไม่ทัน รู้จักมักจี่ ยังไม่ทันมีกิจกรรมเกื้อกูลให้เห็นน้ำใจสักกี่มากน้อย แล้วแลกเนื้อแลกหนัง ให้ชื่นชมกันในที่ลับ เซ็กซ์จะอยู่ในความทรงจำของคุณในฐานะเครื่องชี้ว่า คุณไม่มีความห้ามใจ ยิ่งถ้าคุณยังมีผู้ปกครอง ต้องใช้เงินพ่อแม่ซื้อข้าวน้ำมาเลี้ยงเนื้อเลี้ยงตัว แต่เอาเนื้อตัวไปใช้ในแบบที่ไม่รู้ว่าเจ้าของยินยอมหรือเปล่า คุณย่อมได้ชื่อว่า ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น กิจกรรมที่ร่วมกันละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ถือเป็นการร่วมกันทำผิด ย่อมไม่อาจนับเป็นการทำอะไรดีๆร่วมกันได้ อย่างที่เคยกล่าวไว้ก่อนแล้ว ว่าธาตุความเป็นชายและธาตุความเป็นหญิง คือสิ่งดึงดูดให้เข้าหากัน แต่เมื่อใกล้ชิดกันแล้วก็จะผลักออกจากกัน แรงดึงดูด ของเซ็กซ์นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่รูปพรรณสัณฐานของอวัยวะเพศ แต่ อยู่ที่ความลับของสิ่งที่คุณไม่เคยเห็น ตลอดจนรสสัมผัสที่คุณไม่เคยลอง ถ้าเห็นจนคุ้น ลิ้มรสจนชิน คุณจะไม่อยากเสียเวลามองซ้ำอีกเลยด้วยซ้ำ การทำเรื่องผิดศีลธรรมจึงเข้ากันได้ดียิ่งกับเซ็กซ์ เพราะเซ็กซ์มักเร่งเร้า ให้คุณอยากลองของใหม่ เจอรสชาติแปลกใหม่ที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูด ยังไม่ถึงเวลาส่งแรงผลักเหมือนคู่ขาหน้าเดิม หากเซ็กซ์เป็นเหตุให้ทิ้งคนเก่ามาหาคนใหม่ คุณจะได้เห็นกับตาว่าเซ็กซ์ ทำให้คนเรามีปากมีเสียงกันได้อย่างไร เซ็กซ์จะปรากฏคล้ายความฝันอันโสมม ที่คุณไม่อยากยอมรับว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน คราวนี้มาดูในทางตรงข้ามนะครับ… เซ็กซ์ที่ตามหลังความรักมา คือเซ็กซ์จากสำนึกที่สุกงอม ให้ความรู้สึก เป็นเจ้าของสมใจ เซ็กซ์ที่มีพิธีเป็นหน้าเป็นตาให้สังคมยอมรับ คือเซ็กซ์ที่มาพร้อมกับ ความรู้สึกถูกต้อง นั่นเพราะโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์เราต้องการความชอบธรรม ไม่ต้อง ทำอะไรหลบๆซ่อนๆเหมือนคนผิดอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ปรารถนาความสง่างาม ไม่เป็นที่ติฉินนินทา ความพร้อมจะรับผิดชอบชีวิตคู่ ทำให้คุณรู้สึกเกี่ยวกับเซ็กซ์ไปอีกแบบ คือ เห็นเซ็กซ์เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ถ้าผิดหวังจากเซ็กซ์ ก็จะไม่อยากทิ้งขว้างกันทันที เซ็กซ์ที่มีฐานรองรับแน่นหนา ให้ความรู้สึกอุ่นใจว่าถึงแม้ขาดเซ็กซ์ไป ก็ยัง มีอะไรเหลืออยู่อีกมาก ภาวะคู่จะยังไม่ขาดสะบั้นไปตามเซ็กซ์ ถามตัวเองง่ายๆว่ากับคู่ของคุณ เมื่ออารมณ์เพศหายไป แล้วอะไรที่มาแทน? หากนึกออกเป็นบัญชีหางว่าว นั่นแปลว่าเซ็กซ์ของคุณมีฐานรองรับแน่นหนา เหลือเกิน แต่หากนึกไม่ออกสักข้อเดียว ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย ที่คุณคิดว่าใช่ มันใช่แค่เรื่องเซ็กซ์ชั่วคราว นอกนั้นไม่มีอะไรเลยที่ใช่จริง! สรุปคือถ้ามีแต่แรงดึงดูดทางกาย รับรองว่าพวกคุณอยู่กันเดี๋ยวเดียวจบ แต่ถ้า มีสายใยทางใจมาร้อยรัดกันและกันไว้ ก็อยู่กันไปได้เรื่อยๆครับ เพราะสายใยทางใจ ไม่ใช่สิ่งเหม็นเน่าเหมือนกายมนุษย์ แล้วก็ไม่แน่นเหนียวน่าอึดอัดระคายเคือง เหมือนเชือกมนิลา คุณอาจเปรียบสายใยทางใจ เทียบได้กับผืนแพรในจินตนาการ ที่ให้สัมผัสแสนละไม น่าติดใจกับการตกอยู่ในพันธนาการอย่างไร้วันจบวันสิ้น ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด เป็นเพียงสายใยแห่งความผูกพันที่ประกันว่า พวกคุณจะอยู่กันยืด ไม่ทิ้งขว้างกันง่ายๆ แต่ถ้าจะเอาแบบเข้ากันได้อย่างสนิท อยู่ด้วยแล้วสบายใจไปจนชั่วชีวิต กับทั้งประกันว่าต้องได้พบกันอีกในชาติหน้า อันนี้ก็ต้องศึกษาส่วนที่เหลือของบทครับ

 

 

ทำอย่างไรจะอยู่ด้วยกันตลอดไป?

คำว่า ‘ตลอดไป’ ในที่นี้ ขึ้นอยู่กับรากฐานความเชื่อของคุณด้วยครับ ถ้าคุณ เชื่อว่ามีแค่ชาตินี้ชาติเดียว คำว่าตลอดไปก็หมายถึง ‘ความพอใจ’ จะอยู่กับ คนรักจนกว่าจะตายจาก แต่ถ้าคุณเชื่อว่ามีชาติหน้ารออยู่ คำว่าตลอดไป ก็หมายถึง ‘ความแน่นอน’ ที่จะได้พบกับคนรักอีกในชาติหน้า ถามว่าทำอย่างไรภาวะคู่จึงเสถียร? คำตอบนั้นแน่นอนว่าไม่ได้อยู่ที่กาย เพราะกายเป็นแค่กระบวนการทางชีวเคมีที่ไว้ใจไม่ได้ดึงดูดเร็วและผละออกไวเสมอ สิ่งเดียวที่เหลือให้เป็นคำตอบได้คือ ‘ใจ’ เท่านั้น เพราะใจเป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่าจะมั่นคง ถ้ามีปัจจัยเพียงพอ เพื่อให้เห็นภาพชัด ต่อไปนี้ผมขอเปรียบเทียบว่าใจของคุณกับคนรักกำลังอยู่ ใน ‘รถยนต์’ คันหนึ่งซึ่งแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆ การจะไปด้วยกันได้ตลอดสายนั้น ใจของคุณทั้งสองต้องมีพื้นฐานของความสามารถร่วมทางกัน ไม่อยากแยกทางกัน ใจที่สามารถเดินทางไปด้วยกัน มีคุณสมบัติใหญ่ๆ ๔ ประการดังนี้ครับ

 

๑) มุ่งไปในทางเดียวกัน ข้อนี้หมายถึงใจที่มีจุดหมายปลายทางร่วมกันอย่างแน่ชัด ถ้าใจคุณจะขึ้น เชียงราย แต่ใจคนรักจะลงภูเก็ต ก็ต้องมีใครสักคนขึ้นรถผิด หรือไม่ก็ผิดทั้งคู่ที่มา ขึ้นรถคันเดียวกัน ใจที่มุ่งทางเดียวกัน ก็คือการมีศรัทธาแบบเดียวกัน อย่างน้อยถ้าคุณและคน รักนับถือความรัก ราวกับความรักเป็นศาสนาหนึ่ง ศาสนาของพวกคุณก็ต้องยึดหลัก เดียวกัน เช่น จะรักเดียวใจเดียวไปจนกว่าจะหาไม่ ชาติหน้ามีจริงก็จะจองรัก จอง ฤกษ์เกิดร่วมชาติอย่างนี้อีก เป็นต้น นอกจากนั้น คุณและคนรักจะศรัทธาศาสนาใดคงไม่สำคัญเท่าที่ว่า ต้องเป็น ศรัทธาแบบเดียวกัน จึงจะพาใจให้แล่นไปบนทางเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะต้องถึงจุดตัด ทางแยกเข้าจนได้

สิ่งเดียวที่คุณอยากอยู่ด้วยตลอดไปคือตัวเอง ฉะนั้น ถ้าได้คนรักที่เสมอกับตัวเอง คุณก็จะอยากอยู่กับคนรักตลอดไปเช่นกัน

เรื่องของศรัทธา เรื่องของศาสนานั้น รบไปมีแต่เสีย คือมีแต่คนตายไม่มีคน เกิด หากต่างฝ่ายต่างปักใจยึดมั่นความเชื่อไปคนละทิศ ชนิดที่จิตวิญญาณ ฝังรากลงในศาสนาหนึ่งๆมั่นคงแล้ว ก็อย่าพยายามเสียเวลาเปลี่ยนแปลงคน รักให้มาเชื่อแบบตน เพราะมีแต่ความแตกแยกรออยู่ อย่างเช่นคนหนึ่งนับถือศาสนาที่สอนให้กล้าคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และ กล้าที่จะฝึกจิตให้รู้ตามจริง ส่วนอีกคนหนึ่งนับถือศาสนาที่สอนให้กล้าเชื่อ กล้า ไว้ใจ ตลอดจนห้ามค้านสิ่งที่พระคัมภีร์บอก ก็จะขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วโดยรากของ ความคิด เมื่อเริ่มคบกันยังหวานอยู่อาจมองไม่เห็น ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันนานเข้า หลักการต่างๆของศาสนาจะเริ่มมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่าง ที่เห็นชัดคือการยินยอมให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมกับศาสนาใด เป็นต้น คนสมัยนี้ไม่ค่อยจริงจังกับศาสนาเต็มร้อย เพราะเข้ามาถึงศรัทธาแบบเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ซึ่งก็มีข้อดีคือยังพอคุยกันรู้เรื่อง ไม่ต่างฝ่ายต่างสุดโต่งเถียงคอเป็นเอ็น ครับ เมื่อไม่ยึดมั่นว่าต้องเอาวิถีชีวิตในชาตินี้และชาติหน้าตามศาสนา ‘ของกู’ ให้ได้ ก็ย่อมคุยด้วยเหตุด้วยผลเหมือนคนปกติ หากใครประพฤติตนน่าเลื่อมใสกว่า หรือโน้มน้าวใจเก่งกว่า ก็มีสิทธิ์เอาคนรักมาร่วมพุ่งสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันได้ ศรัทธาตามความหมายของพระพุทธศาสนาคือความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม เชื่อ ในกรรมที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ และไม่ใช่ปักใจยอมรับเพียงเพราะใครต่อใคร รอบข้างบีบให้ยอมรับ ศรัทธาที่ดีคือศรัทธาที่ไม่เอาแต่คิดตามคนอื่น แต่ต้องทำจริงด้วยตนเองจน เห็นแจ้งถ่องแท้ และมั่นใจในเส้นทางที่คุณเดินมากพอ ดุจการขับรถไปตามแผนที่ เมื่อผ่านเส้นทางแล้วพบว่าแผนที่ถูกต้องมาเรื่อยแต่ต้น ก็ย่อมเชื่อว่าแผนที่จะพา ตัดตรงสู่เป้าหมายอันถูกต้องด้วยเช่นกัน พุทธศาสนาไม่นิยมปาฏิหาริย์แห่งศรัทธาและการร้องขอ เพราะการร้องขอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เห็นตัวตนนั้น ถ้าได้ตามต้องการทันใจก็ดีไป แต่ถ้าไม่มาตามคำขอ ก็อาจดับไฟศรัทธาให้มอดลงในชั่วข้ามคืน พุทธศาสนาแสดงความจริงตามเหตุตามผล กรรมเป็นพร กรรมเป็นคำสาป ใครทำอะไรก็ได้สิ่งที่สอดคล้องกันอย่างนั้น กรรมขาวย่อมบันดาลชีวิตสว่าง เป็นสุข กรรมดำย่อมบันดาลชีวิตมืด เป็นทุกข์ และพุทธศาสนาก็ช่วยให้เข้าใจว่าบนเส้นทางแห่งศรัทธาเดียวกัน พวกคุณ จะผลัดกันขับหรือผลัดกันนั่งข้างก็ไม่เป็นไร ในเมื่อตกลงกันแล้วว่าจะร่วมทางสู่ จุดหมายเดียวกัน อย่างไรก็ได้นั่งคู่กันเคียงบ่าเคียงไหล่ รถจะแล่นเร็วหรือช้า พวกคุณก็ไปในทิศเดียวกัน ไม่เร็วและไม่ช้าไปกว่ากันอยู่ดี

 

๒) มีความสะอาดเสมอกัน ข้อนี้หมายถึงใจที่มีความ ‘รักสะอาด’ เหมือนๆกัน ถ้าคนรักของคุณชอบทำ ความสะอาดรถให้น่านั่ง ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะติดเชื้อโรคให้เดือดเนื้อ ร้อนใจ แต่คุณดันชอบถ่มเสลดลงพื้น แคะขี้มูกดีดใส่กระจกเป็นประจำ แบบนี้คนรัก คงโบกมือลา ไม่อยากอาศัยรถคันเดียวกับคุณในการเดินทางอีกต่อไป ใจที่รักสะอาดเหมือนกัน ก็คือการมีศีลมีธรรมระดับเดียวกัน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งศีลในข้อที่ว่าด้วยการประพฤติผิดทางกาม หากคุณกับคนรักทำบุญเก่ามาด้วยกันดี มีวาสนาได้พบรักแท้ ก็นับว่าเหมาะ ครับ เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญให้คิดซื่อกับคู่ครองของตนอยู่แล้วโดยพื้นฐาน เรียก ว่าได้รักษาศีลข้อกาเมฯอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีใจจริงคอยช่วยค้ำจุนอยู่ก่อน แต่ให้ดีกว่านั้นคือควรตั้งใจงดเว้นขาด ต่อให้มีใครเอาเนื้อหนังมายั่วใจ ต่อให้ ใครเอาผลประโยชน์มาล่อ ก็คิดไว้ล่วงหน้าเลยว่า ‘ไม่!’ การตั้งใจงดเว้นขาดนั่นแหละเรียกว่าการถือศีล ถ้ายังยักแย่ยักยันว่าเอาดีหรือ ไม่เอาดี นั่นไม่เรียกว่าเป็นคนถือศีล คุณแค่ได้ชื่อว่ายังมีมโนธรรมสู้กับกิเลสฝ่ายต่ำ อยู่บ้างเท่านั้น การถือศีลเพียงข้อเดียวก็อาจมีพลังลากจูงศีลข้ออื่นๆให้ตามมา ด้วยความ เห็นตามจริงว่ารักษาศีลได้แค่ไหน ศีลก็รักษาเราให้อยู่สบายไม่เดือดร้อนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมดาของผู้ตั้งใจรักษาศีล ๕ ด้วยกันนั้น ย่อมไว้ใจกัน และอบอุ่นใจว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่เป็นภัยต่อกัน ลองดูก็ได้ ถ้าคุณเป็นคู่ที่ระแวงกันและกันนะครับ ลองมาตั้งสัตย์อธิษฐาน ต่อหน้าพระปฏิมา ว่าวันนี้จะรักษาศีล ๕ ให้ได้ โดยเปล่งเสียงออกมาให้เต็มปาก เต็มคำว่า

พวกเราจะไม่ฆ่าสัตว์ไหนๆ
พวกเราจะไม่ลักทรัพย์ใคร
พวกเราจะไม่นอกใจกัน
พวกเราจะไม่โกหกกัน
พวกเราจะไม่กินเหล้าเมายา

วันเดียวคงต้องทำได้แน่ วันต่อมาก็เอาอีก ตั้งปณิธานทีละวัน ก่อนสวดมนต์ ทุกครั้ง และทุกๆครั้งให้ดูกันจะจะเลย ว่าเกิดผลเป็นความเชื่อมั่นในกันและกันเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆไหม คุณจะพบว่าการตั้งจิตงดเว้นพฤติกรรมผิดๆ ก็คือการสร้าง ความสบายใจขั้นพื้นฐานให้ชีวิตคู่นั่นเอง อย่าใช้วิธีสาบาน อย่าตั้งเป้าสาปแช่งไว้ว่าถ้าทำไม่ได้ขอให้ตายไม่ดี เพราะ นั่นจะเป็น ‘สัญญาเลือด’ ที่เขียนขึ้นด้วยจิตอันเจือด้วยโทสะ อาศัยความกลัวเป็นตัว ขู่ จึงย่อมมีความไม่สบายใจระหว่างกันอยู่ไม่มากก็น้อย ทางที่เหมาะคือให้อธิษฐานเป็นคำสัตย์ด้วยจิตที่แน่วนิ่งมั่นคง มีความเป็น กุศล มีความเมตตา ยังผลให้รู้สึกเป็นมงคล และเกิดกำลังใจในทางที่สว่าง ทางที่ ดีขึ้นร่วมกัน นั่นจะบริสุทธิ์มั่นคงกว่าวิธีใช้คำสาบานเป็นไหนๆ โลกเต็มไปด้วยเครื่องล่อให้ผิดศีล อย่ากลัวไม่ได้เจอแบบทดสอบ และแต่ละ ครั้งที่สอบผ่าน คุณก็จะรู้สึกว่าการรักษาศีลไม่เห็นจะยากอะไร ทำไปๆก็เกิดอำนาจ ความเคยชินที่จะปฏิเสธความอยากผิดศีล คือตอนแรกปฏิเสธด้วยความคิด ต่อมา ปฏิเสธเองออกมาจากใจ สำคัญคือหากผ่านด่านได้ตลอด เหล่าแบบทดสอบจะ ค่อยๆถอยทัพทีละน้อย กระทั่งเหมือนหายไปเลย นานทีปีหนถึงจะโผล่มาทดสอบ ใหม่ ศีลที่สะอาดหมดจดจะบันดาลหน้าตาที่หมดจดสดใส ยังไม่ตายก็เห็นได้ ทันตา แต่เมื่อเกิดใหม่จะเห็นชัดขึ้น พวกคุณจะดูคล้ายคลึงกัน กับทั้งฉายรัศมีสมน้ำ สมเนื้อกัน เห็นกันและกันแล้วต่างตะลึงแลวางตาไม่ลง กับทั้งรู้สึกว่าความสวยหล่อ ดุจกิ่งทองใบหยก มีไว้เป็นอภิสิทธิ์ให้กันและกันชื่นชมเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์! พอศีลสะอาด ใจจะถึงใจมากขึ้น ลองคิดง่ายๆนะครับ ถ้าตัวอยู่ห่างแล้วยัง รู้สึกอบอุ่นและไว้ใจกัน ก็แน่ใจได้ว่าพวกคุณรักกันด้วยใจ ไม่ใช่หลงติดกัน ด้วยกาย เห็นหรือยังว่าศีลมีส่วนสร้างรักให้เป็นของแท้ได้อย่างไร?

 

๓) เปี่ยมน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ข้อนี้หมายถึงใจที่รู้จักเสียสละ ถ้าคุณขับรถจนเหนื่อยอยากพัก นึกอยากหลับ บ้างหรืออย่างน้อยอยากได้ผ้าเย็นลูบหน้าบ้าง แต่คนรักปฏิเสธท่าเดียวไม่ช่วยเหลือ ใดๆทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลสั้นๆคือ ‘ขี้เกียจ!’ อย่างนี้คุณคงถอดใจ และรู้สึกว่าเดินทาง มากับพวกชอบเอาเปรียบอย่างน่าเกลียด ผู้ที่อยู่ร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างมีน้ำใจมาก ย่อมไม่มีวันหิวกระหายเลยตลอด เส้นทาง ส่วนการเดินทางไปกับผู้มีความตระหนี่ถี่เหนียวไร้น้ำใจ ย่อมทำให้คุณรู้สึก ฝืดคอ เหมือนรอบตัวแห้งแล้งน่าหน่ายหนีเสียเหลือเกิน เมื่อมีน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกันได้ กระทั่งอาจ กระตือรือร้นมากพอจะแผ่เผื่อเจือจานไปถึงสังคมรอบข้าง ถึงตรงนั้นพวกคุณจะเริ่ม เป็นสองแรงแข็งขัน ร่วมกันช่วยคนอื่นได้ดุจเดียวกับงานอดิเรกที่น่ารื่นเริง ความ รื่นเริงที่จะช่วยสังคมร่วมกันนั่นแหละ คือที่มาของการอยู่ร่วมกันกด้วยความ หฤหรรษ์สุดยอด การร่วมมือกันช่วยคนแปลกหน้านี่นะครับ จะบอกได้ระดับหนึ่งว่ามีลูกแล้ว พวกคุณจะมีแก่ใจช่วยกันเลี้ยงแค่ไหน ใครจะเป็นคนออกแรงมากกว่ากัน! ไม่ว่าตายแล้วเกิดชาติไหนภพใด คุณจะไม่พบใครที่อยู่ด้วยแล้วบันเทิงเท่า คนรักที่เคยมีน้ำใจต่อสังคมเสมอกันเลย ความคิดยกให้ ความคิดบริจาค และความคิดช่วยเหลือ เรารวมเรียกว่า ‘จาคะ’ จาคะจึงหมายถึงการสละออก นับตั้งแต่การแบ่งปันสิ่งของ ช่วยออกแรงช่วยงานกับ ผู้สมควรได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนั้น จาคะยังเหมารวมไปถึงการสละสิ่งที่เป็นโทษทิ้งไป เพื่อเอาสิ่ง ใหม่ที่เป็นประโยชน์เข้ามาแทน ดังเช่นการให้อภัยเป็นทาน ที่ยกความแค้นออกไป เพื่อเอาไมตรีคืนมา โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าถือสา ถ้าคุณวางเสียได้ ไม่ถือสา ก็จะ ไม่เป็นคนขี้หงุดหงิด กระแสจิตของคุณจะเย็น และถ้าพวกคุณเย็นด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้ต้องวิ่งผ่านทะเลทรายก็จะเย็นฉ่ำอยู่ข้างใน ประดุจเป็นแอร์ให้แก่กันและกัน ตลอดเส้นทางไกล ไม่ต้องแวะซ่อมที่ไหน จาคะคือสิ่งเปิดจิตให้กว้างขวาง อย่างที่เรียกกันว่า ‘ใจกว้าง’ ยิ่งมีจาคะมาก เท่าใด ใจยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น ทีนี้ก็ดูว่าระหว่างคุณกับคนรักใจกว้างพอๆกันหรือ ไล่เลี่ยกันไหม สังเกตเถิดว่าคนใจแคบจะไปด้วยกันกับคนใจกว้างไม่ได้ ถึง แม้จับพลัดจับผลูต้องทนอยู่ร่วมกัน ก็จะไม่มีความสุขเลย ภพที่คนใจแคบกับคนใจกว้างไปเสวยก็ผิดกันลิบลับนะครับ คนใจกว้างย่อม เหมาะกับพื้นที่กว้างขวาง สุขสบายไม่อึดอัด ขณะที่คนใจแคบย่อมเหมาะกับพื้นที่ คับแคบ ทุกข์ทนไม่มีดี ถ้าคนหนึ่งตายอย่างคนใจกว้าง อีกคนตายอย่างคนใจแคบ แนวโน้มคือสองคนนั้นจะไม่ได้เจอกันในชาติต่อไป หรือแม้ต้องเจอกันอีกในชาติ ถัดๆไป ก็ยากที่จะมาอยู่ร่วมกันโดยง่าย เพราะใจสอดคล้องกับลักษณะภพที่ต่างกัน เกินไป

 

๔) คิดอ่านได้ไม่น้อยหน้ากัน ข้อนี้หมายถึงใจที่ ‘เข้าถึงคำตอบ’ หรือ ‘เห็นทางออก’ ได้ทันๆกัน หรือช่วย เป็นกำลังทางความคิดเสริมกันและกัน เหมือนถ้าขับรถหลงทาง คุณคงไม่อยากคิด แก้สถานการณ์อยู่คนเดียว แต่จะอยากได้เพื่อนคู่คิด ต่างฝ่ายต่างออกความเห็นได้ ว่าควรทำเช่นไรดี หรืออย่างน้อยก็น่าจะรู้จักเงียบในเวลาที่ควรเงียบ ไม่แสดงความ โง่เขลาทำนองมือไม่พายเอาเท้าราน้ำให้คุณนึกรำคาญใจ ปัญญาเชิงพุทธจะออกไปในทางคิดเป็น เห็นตามจริง แสวงหาเหตุผลต้น ปลาย ถ้ากำลังหลงทางต้องรู้ทันว่าหลงทางและเร่งหาทางออก ไม่ใช่หลงทางแล้ว ยังเพลินเที่ยวไถล ยิ่งไกลจากจุดหมายไปทุกที ระบบความคิดที่ถูกฝึกมาให้แก้ปัญหาร่วมกัน จะทำให้ปัญญาของพวกคุณ เขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้นทุกทีตามวันเวลาที่ผ่านไป อย่างน้อยก็ในแง่ความสามารถ ในการเห็นทางออกของปัญหา จะไม่แตกเป็นคนละทางสองทาง ส่วนในทางธรรมนั้น ปัญญาจะมุ่งเอาความสามารถในการเห็นว่าสิ่งใดเป็น ประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ บางคนมีนะครับ แสนฉลาดทางโลก เรียนเก่งขั้นเกียรติ- นิยม แต่ทั้งชีวิตดำเนินไปในแบบโยนประโยชน์ทิ้งน้ำ มัวแต่ไปเก็บเกี่ยวโทษเข้าตัว แทบล้วนๆ ประเภทฉลาดแบบผู้ก่อการร้ายนั่นแหละ ถ้าฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีก ฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา มาอยู่ด้วยกันก็วิบัติเห็นๆ เพราะพูดและทำบนฐานของ ปัญญาคนละแบบ ลึกไปกว่านั้น ถ้าฝ่ายหนึ่งเห็นชัดตามจริงว่าอะไรๆไม่เที่ยง กายใจก็ไม่เที่ยง กระทั่งความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นมาก เหตุ เล็กนิดเดียวแต่ขยายให้เป็นผลใหญ่โต อย่างนี้คงนึกระอาหรือหมั่นไส้กันและกัน เป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่เสมอกันย่อมสร้างความร่าเริงในการสนทนา และย่อมเป็นความ อุ่นใจไม่พรั่นพรึงที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน จึงย่อมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ตลอดไป คงเห็นแล้วนะครับว่าถ้าศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน จะทำให้พวก คุณนั่งไปในรถคันเดียวกันตลอดรอดฝั่งได้ท่าไหน คู่ที่เสมอกันทุกด้าน จะอยู่ร่วม กันอย่างกลมกลืนเสมือนเป็นคนเดียวที่แบ่งเป็นภาคชายและภาคหญิง และนี่คงเป็นคำตอบให้กับหลายคำถามที่น่าปวดหัว เช่น ทำไมคู่รักในอุดมคติจึงหาได้ยากนัก? เหตุใดคู่รักส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกแต่ต้นว่าเป็นพวกเดียวกัน? นั่นก็เพราะคนเราอย่างเก่งก็เต็มใจแค่ ‘ปรับตัว’ เข้าหากัน แต่ที่จะปรับศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาให้เสมอกันนั้น พวกคุณต้องมีกำลังใจมหาศาลจากรักแท้ เสียก่อน! ชาติก่อนบำเพ็ญมาอย่างไรไม่รู้ แต่ชาตินี้รู้ และสุดแต่ว่าพวกคุณจะช่วยกัน ลงทุนลงแรงเพียงใด เพื่อเส้นทางร่วมกันทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า สรุปคือการปรับจิตวิญญาณให้เสมอกันจะทำให้ได้เสวยภพเดียวกัน ทั้งภพ ปัจจุบันและภพในอนาคต ฟังง่าย ทำยาก แต่บรรลุผลได้จริงครับ!

 

 

ทำอย่างไรจะรู้ใจกันได้?

ในกายมนุษย์นี้ ที่น่าอายเหนือสิ่งอื่นใดคืออะไร? อวัยวะเพศไงครับ! คนเราอาบน้ำเสร็จก็ต้องซ่อนอวัยวะเพศไว้ใต้ร่มผ้าเป็นอันดับแรกล่ะ
แล้วในความเป็นมนุษย์นี้ สิ่งที่น่าอายกว่าอวัยวะเพศคืออะไร? ความคิดไงครับ! คนบางคนไม่อายที่จะเปิดเผยอวัยวะเพศต่อสาธารณะ ขนาดแสดงหนังอย่างรู้ทั้งรู้ว่าจะมีคนเห็นกันเป็นล้านยังกล้าเลย แต่ความคิดนี่สิ รู้เมื่อไรอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีเมื่อนั้น!
นี่แสดงว่าทั้งกายทั้งใจมนุษย์เต็มไปด้วยสิ่งซ่อนเร้น และสิ่งที่มนุษย์ต้องการฝังให้เร้นลึกที่สุดก็คือความคิด!
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่ปราศจากความสัมพันธ์กันนะครับ ตามหลักกรรมวิบากแล้ว ยิ่งความคิดที่ซ่อนเร้นเป็นไปในทางร้ายขึ้นเท่าไร รูปกายใต้ร่มผ้าในชาติต่อไปก็ยิ่งน่าเกลียดขึ้นเท่านั้น และกลับกัน ยิ่งมีความคิดแอบทำดีไม่อยากได้หน้ามากขึ้นเท่าไร ส่วนของกายอันเป็นความลับก็จะยิ่งบาดตาน่าดูน่าชมปานกันในชาติหน้า
ของเร้นลับย่อมสัมพันธ์กันทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนามด้วยประการฉะนี้ จิตสร้างเหตุคือความคิดอันเร้นลับเอาไว้ ธรรมชาติจึงแสดงผลออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม ผ่านร่างกายภายในอันรู้กันว่าเป็น ‘ของลับ’ ซึ่งทุกคนเห็นตัวเองถนัดว่าเป็นเช่นไร อีกทั้งต้องเก็บๆเม้มๆให้ดี ไม่ว่าจะงามตาหรือน่าเกลียดแค่ไหน
ทว่ายิ่งปิดเท่าไร ยิ่งน่าดูเท่านั้น และถ้าใครดูได้ ก็แปลว่าคนนั้นสนิทใกล้ชิดเป็นกันเองยิ่ง คนกันเองเท่านั้นมีสิทธิ์รู้ว่าเนื้อแท้ที่ถูกปิดซ่อนของคู่ตน น่าชื่นชมหรือชวนแสยะยี้
แต่ถึงคู่รักจะไม่อายที่จะเปิดเผยเขตแดนสนธยาใต้ร่มผ้าต่อกัน ก็ยังอายความคิดใต้กะโหลกอยู่ดีนะครับ แม้ร่วมเตียงกันมาสามสิบสี่สิบปียังซ่อนความคิดบางอย่าง ไม่เปิดเผยให้กันและกันรู้ด้วยวาจาเลย ตราบเท่าที่ยังรู้สึกว่าความคิดนั้นเทียบเท่าแผลอัปลักษณ์อุจาดตา ก็คงไม่มีใครอยากให้หลุดรอดไปสู่การรับรู้ของผู้อื่น
ไม่มีใครไม่อายความคิด และไม่ต้องถึงขั้นความคิดอุบาทว์อะไรนักหนาหรอก ทุกคนจะตื่นตกใจเสมอหากถูกจับได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เว้นแต่นึกครึ้มหรืออยากบ้าระห่ำ ประกาศความคิดเป็นวาจาออกไปเอง อันนั้นไม่เป็นไร แต่ที่จู่ๆใครมารู้ความลับในหัวทั้งที่ไม่เต็มใจเปิดเผยนี่แย่เลย แย่กว่าแก้ผ้าล่อนจ้อนเสียอีก!
อ้าว! ไหนใครต่อใครบ่นกันว่าอยากมีคนรู้ใจไม่ใช่หรือ?

การพยายามอ่านความคิดคนอื่น
อาจไม่ช่วยให้คุณรู้ใจตัวเองดีขึ้น แต่การรู้ใจตัวเองดีขึ้น
จะช่วยให้คุณอ่านความคิดคนอื่นออกอย่างรวดเร็ว

มนุษย์เรานี่นะครับ ที่อยากให้รู้ใจน่ะ เอาเฉพาะใจตอนที่คิดดีๆหรอก แต่ถ้ามารู้ใจตอนกำลังคิดร้ายๆหรือน่าอับอายล่ะก็อีกเรื่องหนึ่งเลย
ที่ตรงนี้เรามาวิเคราะห์กันก่อน ว่าการมี ‘คนรู้ใจ’ ไปหมดทุกเรื่องนั้น เป็นสิ่งน่าพอใจหรือน่าหลีกเลี่ยงกันแน่?
คำตอบว่าดีหรือไม่ดี แปรไปตามสถานการณ์ครับ
หากคุณครึ่งรักครึ่งชัง ยังเล่นบทพ่อแง่แม่งอน หรือเอาเถิดเจ้าล่อ ผลัดกันเมินผลัดกันมอง แบบนี้ให้เขารู้แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะแค่เขาทราบว่าคุณมีใจให้หรือใคร่มีเซ็กซ์ด้วย คุณคงอยากมุดท่อหนีหายไปเดี๋ยวนั้นแล้ว และอาจไม่อยากเจอกันอีกเลยตลอดชีวิตด้วย!
แต่หากคุณรักแสนรักใครสักคนจนรู้สึกราวจะควักหัวใจมาให้เขากำเล่นได้ แบบนั้นจะมีสิ่งใดเล่าที่คุณไม่ยอมให้เขารู้ได้อีก ยิ่งเขารู้ทะลุทะลวงสิ้นไส้สิ้นพุงเพียงใด ก็ยิ่งทำให้คุณดีใจที่เขารู้จักคุณมากขึ้นเท่านั้น
บทนี้เรามุ่งให้คนรักได้รู้จักรักษาความรู้สึกที่ดีต่อกันไว้ ฉะนั้นต้องบอกว่า ‘ดีเหมือนกันถ้ารู้ใจคนรักเสียบ้าง’ เพราะการรู้ใจจะทำให้คุณปฏิบัติตัวถูก แบบทราบทางลมว่าควรไปทางไหนอย่างไร
จะดีไหมถ้าคุณพูดกับคนรักดีๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าบึ้งใส่ คุณไม่ต้อง ‘ทำความเข้าใจ’ ให้เหนื่อย ก็แค่รู้ว่าคนรักกำลังอารมณ์บ่จอยเรื่องเพื่อน เรื่องงาน เรื่องเงิน ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องคุณ!
จะดีไหมถ้าคุณอยากมีเซ็กซ์ แต่เห็นเข้าไปในสภาพร่างกายและจิตใจของคนรัก แล้วรู้ว่ากำลังเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะมารับศึกกับคุณไหว คุณจึงเข้าใจและไม่อยากรบกวน ไม่เริ่มรุกให้คนรักรำคาญใจตั้งแต่ต้น
เมื่อคำนึงว่าเมื่อคนเราตกลงปลงใจร่วมหอลงโรงกันแล้ว ความรู้สึกนึกคิดในหัวคงเป็นอะไรที่ ‘ปิดแบบอยากเปิด’ ไม่ต่างจากของลับทางกายสักเท่าใด เห็นครั้งแรกอาจเหนียมอยู่บ้าง แต่ดูบ่อยเข้าก็เฉยๆ ไม่ตื่นเต้นอะไรอีก แล้วจะรู้สึกดีด้วยถ้าเอาใจของกันและกันมาใส่ใจกัน
พอไม่ตื่นเต้นกับการรู้ใจกันและกันนั่นแหละ แปลว่าสนิทยิ่งกว่าสนิท มีความแน่นแฟ้นเหนือคู่รักอื่นอย่างเทียบกันไม่ติด ลองคิดดูว่าคนเราถ้าเปิดอกเผยใจกันเต็มร้อย ไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายจะดูแคลนหรือเกลียดกลัว สามารถพูดปรึกษาตรงไปตรงมาแบบคิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ราวกับคุยอยู่กับตัวเอง มันจะวิเศษขนาดไหน?
เมื่อต่างฝ่ายต่าง ‘เห็นใจ’ กันจริงๆ คุณจะรู้สึกเหมือนบ้านเป็นวิมาน และไม่ต้องการความเห็นใจจากใครอีกทั้งโลก!
แล้วอันที่จริงก็ไม่น่าตื่นกลัวอะไรมากหรอกนะครับ เพราะที่จะให้ล่วงรู้เข้าไปละเอียดเป็นคำๆนั้น ใช่จะหาคนทำได้ง่ายๆ คนทำได้นี่ยากที่จะอยากใช้ชีวิตคู่ เนื่องจากต้องไม่ฝักใฝ่กามารมณ์ ต้องไม่มีอคติหยาบๆ ต้องสะอาดด้วยศีลระดับสูง ต้องปราศจากความฟุ้งซ่านซัดส่าย จิตจึงเสถียรพอจะอยู่ในภาวะเป็นใหญ่สงัดเงียบผ่องใส สามารถรับคลื่นความคิดของใครต่อใครได้แบบเป็นคำๆ
จุดมุ่งหมายหลักสำหรับส่วนที่เหลือของบทนี้ คือการแนะให้คุณรู้เฉพาะสิ่งที่ควรรู้ เพื่อเอาไว้รักษาความรู้สึกต่อคนรักไปนานๆ และเป็นอะไรง่ายๆที่คนรักควรรู้กันอยู่แล้ว เช่น จิตกำลังมีราคะหรือไม่มีราคะ จิตกำลังมีโทสะหรือไม่มีโทสะ จิตกำลังมีความหลงผิดหรือไม่มีความหลงผิด เป็นต้น
ผมจะทำให้คุณรู้สึกว่าระหว่างเล่นกับความรัก คุณสามารถเล่นกับจิตไปด้วยพร้อมกัน พูดง่ายๆคือเอาความรักที่มีอยู่นั่นแหละ มาทำความรู้จักกับจิตตัวเองและคู่ครองให้รู้ดำรู้แดงกันไป แล้วคุณจะรู้ว่าความรักที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างล้นหลามนั้น เกิดขึ้นขณะฝึกรู้ใจนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องรู้ใจกันได้จริงๆเสียก่อนเลย เพราะวิธีฝึกรู้ใจนั่นเองจะทำให้คุณเกิดนิสัย ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ มากขึ้น
สรุปคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นแหละครับ ตัวการสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรักแนบแน่นขึ้น

ฝึกรู้จักกระแสความรักของตนเอง
ลองถามตัวเองว่าคุณ ‘รักเขาไหม?’ ถ้าต้องชั่งใจหาคำตอบเกินพริบตาเดียว แปลว่าดีกรีความรักที่คุณมีต่อเขาคนนั้นยังต่ำอยู่ คุณอาจรู้สึกถึงอาการชะงัก อาการอึดอัด อาการสับสน อาการควานหาคำตอบจากก้นบึ้ง
แต่ถ้าตอบสวนทันทีด้วยความเต็มใจสุดๆว่า ‘รักแน่นอน’ ก็ลองสังเกตดูเถิดว่าอาการทางจิตแตกต่างไปขนาดไหน ทันทีที่คุณนึกถึงเขาหรือเธอ จะเกิดความสว่างหวานหนุนขึ้นมาทันที ขับดันให้ตอบทันทีว่ารักชัวร์
แค่ ‘รัก’ หรือ ‘ไม่รัก’ ก็ทำให้คุณสังเกตอาการทางจิต รู้จักจิตของตัวเองได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ถ้ารักมากจะมีแรงดึงดูดสูงจนอยากเอื้อมแขนไปดึงเข้ามากอด ถ้ารักน้อยจะมีแรงดึงดูดต่ำจนน่าสงสัย ถ้าเฉยๆจะไม่มีทั้งแรงดึงดูดและแรงผลักออก แต่ถ้าเกลียดหน่อยๆจะมีแรงผลักออกเล็กน้อย และถ้าเกลียดมากจะมีแรงผลักออกแทบบันดาลให้อยากยกเท้าถีบส่ง
เอาคนรักเป็นตัวตั้ง ตอนเจอกันให้สังเกตใจตัวเองเป็นขณะๆ คุณจะพบรายละเอียดต่างๆมากมาย ภายใน ๑๐ นาทีอาจมีแรงดึงดูดไม่เท่ากันหลายระดับ บางช่วงมีแรงดึงดูดมาก พอเผลอก็คลายไป แล้วอาจกลับมาดึงดูดใหม่ แต่แรงไม่เท่าเดิม
ถ้าคุณรักเขาหรือเธอจริง สิ่งที่จะคงเหลือยาวนานกว่าความดึงดูดก็คือความสบายใจ ตราบเท่าที่ยังเห็นหรือนึกถึงคนที่คุณรัก ตราบนั้นคุณจะมีความสบายใจเป็นตัวยืน แม้จะไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูดให้อยากใกล้หรืออยากกอดเลยก็ตามที
หากความรักมีกามราคะเจืออยู่ คุณจะรู้สึกถึงกระแสความคันในกาย และจิตจะพุ่งแน่วไปที่คนรักด้วยความโลภอยากครอบครองกายใจไว้ในมือคุณคนเดียว แต่หากไม่มีกามราคะเจืออยู่เลย คุณจะไม่รู้สึกถึงอาการผิดปกติทางกาย แต่จะรู้ชัดเข้ามาที่กลางใจ ใจจะเบา เนื้อตัวเหมือนโปร่งแสงไปชั่วขณะ ยิ่งถ้ารู้สึกสว่างโล่ง จิตไร้อาการเกี่ยวกระหวัดรัดร้อย อันนั้นแหละครับ ความรู้สึกรักที่อยู่เหนือกามารมณ์ ซึ่งเกิดขึ้นได้เป็นบางครั้งบางคราวกับรักแท้ของคุณ
บางขณะความรักทำให้จิตของคุณกระวนกระวาย โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรกับเขาหรือเธอดี อันนี้แปลว่าทั้งดึงดูดและผลักออกปะปนระคนกันจนน่าสับสน
สภาพต่างๆที่ถูกสังเกตและถูกจดจำได้จากตัวเองนั้น ก็เป็นสภาพอันเดียวกับของคนอื่นนั่นแหละ ถ้าคุณสัมผัสรู้สึกถึงภาวะทางใจของตัวเองได้ คุณก็จำไว้ไปเทียบเคียงกับของคนอื่นได้เช่นกัน

ฝึกรู้จักกระแสความรักของคนอื่น
เมื่อเริ่มฝึกดูใจคนอื่นนะครับ อย่าจ้องหน้า อย่าใช้สายตา เวลายืนอยู่ต่อหน้าเขาหรือเธอ ให้ถามตัวเองว่าปฏิกิริยาทางใจที่มีต่อคุณขณะนั้น เป็นไปในทางพอใจหรือไม่พอใจ สบายใจหรือขุ่นข้อง
ถ้าเป็นไปในทางพอใจ คุณจะรู้สึกถึงสภาพดึงดูดเหมือนจะเหนี่ยวคุณไว้ แต่หากเป็นไปในทางไม่พอใจ คุณจะรู้สึกถึงสภาพผลักออกเหมือนพยายามยันไม่ให้มาใกล้ ความรู้สึกที่ออกมาในช่วงแรกที่สบตาหรือทักทายกันจะเด่นชัดที่สุด แสร้งปลอมแปลงกันได้ยากที่สุด
ถัดจากช่วงแรกจะเป็นความรู้สึกขั้นพื้นฐาน คือสบายใจหรือขุ่นข้องที่จะอยู่กับคุณ ถ้าเป็นไปในทางสบายใจ คุณจะรู้สึกถึงความโปร่งเบา เปิดออกไม่คับแคบ แต่
หากเป็นไปในทางขุ่นข้อง คุณจะรู้สึกถึงความทึบตัน หรืออึ้งๆหนัก หรือเป็นกระแสความระคายวิ่งไปวิ่งมาวนเวียนอยู่ในใจฝ่ายนั้น
สังเกตใจตนเองควบคู่ไปด้วย ก็จะเห็นความพิสดารระหว่างใจมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น หากเขากับคุณต่างสนใจกันและกันอย่างเท่าเทียม จะรู้สึกราวกับเป็นคู่แม่เหล็กที่ส่งแรงกระทำดึงดูดต่อกันอยู่อย่างหนักหน่วง แทบเผลอกอดจูบลูบคลำต่อหน้าธารกำนัลได้ ความดึงดูดแบบนี้ไม่ต้องสอนก็รู้สึกเอง เพียงแต่ยากหน่อยที่จะเจอคนที่สนใจคุณเท่ากับที่คุณสนใจเขาพอดิบพอดี
แต่หากเขากับคุณต่างหมั่นไส้ไม่อยากคุยกัน จะรู้สึกเป็นแม่เหล็กอีกแบบที่ส่งแรงกระทำเป็นผลักกันออกห่างอย่างแรง ความรู้สึกผลักไสหรือต่อต้านไม่ใช่ของหายาก เจอตามถนนหนทางได้ถมไป
หากฝึกสังเกตไปเรื่อย คุณจะค่อยๆแยกแยะถูกว่ามีองค์ประกอบแยกย่อยใด ร่วมอยู่กับแรงดึงดูดและแรงผลักออก เช่น ในความดึงดูดระหว่างกันนั้น มาจาก กามราคะเป็นหลัก หรือมีความชื่นชมจากใจที่ใสสะอาด และในแรงผลักไสระหว่างกัน มีอารมณ์พยาบาทแฝงอยู่ หรือมีแต่ความขุ่นเคืองเล็กๆน้อยๆที่ไร้รากแก้ว
เดิมทีคุณอาจเคยชินกับการสังเกตแค่สีหน้าและท่าทาง เช่น เมื่อใครดีใจ เขาจะเบิกตาโตยิ้มกว้างและเสียงใส แต่ถ้าเย็นชาจะคอแข็ง ไม่ยิ้มไม่สนใจ แต่พอฝึกสัมผัสจิต คุณอาจเห็นไปอีกแบบ คือสภาพจิตคนอาจขัดแย้งกับสีหน้าท่าทางอย่างรุนแรง อาจถึงขั้นเป็นตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว
นั่นเพราะมนุษย์เป็นนักซ่อนอารมณ์ โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนนะครับ แอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งหลายปี แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่สน หรือกระทั่งแสดงสีหน้ารังเกียจ กลัวเพื่อนล้อ หรือเกรงใครจะว่าตาบอดมาหลงคนไม่เอาไหน หรือไม่ก็อายที่รู้สึกอย่างนั้นเป็นครั้งแรก แต่ใจนี่หลอกกันไม่ได้หรอก ถ้าสนใจต้องมีแรงดึงดูดออกมาให้รู้แน่ๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอบอกว่ากระแสความดึงดูดหรือผลักออกนี้ จัดเป็นของตื้นนะครับ สัมผัสได้ง่ายๆ แต่ไม่ประกันว่าบอกอะไรลึกซึ้งแค่ไหน คุณต้องเก็บข้อมูลสังเกตเอา โดยอาศัยใจตนเองเป็นหลัก แล้วจะพบว่าความดึงดูดแบบต่างๆ มีลักษณะวิจิตรพิสดารหลากหลายขนาดไหน
เอาหลักสังเกตไปคร่าวๆแค่ ๓ ข้อก่อน แล้วคุณจะเจาะรายละเอียดลึกลงไปตามลำดับได้ในภายหลัง
๑) ความรักฉันญาติมิตรทำให้จิตของคุณและอีกฝ่ายมีแรงดึงดูดอ่อนๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง
๒) ความนิยมชมชอบดูเหมือนใกล้เคียงกับอารมณ์รัก เพียงแต่ความนิยมจะมีเพียงจิตที่สดใส อาจมีแรงดึงดูดบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดวาบหวาม
๓) ความเมตตาอยู่เหนือกามารมณ์ เพราะรู้สึกดี เหมือนส่งสุขให้กันด้วยใจ แต่ไม่แวะมาข้องเกี่ยวกับกามารมณ์ ไม่เกาะเกี่ยวกระหวัดรัดรึง ไม่มีความกระสับ
กระส่ายกระวนกระวายภายในกายให้รู้สึกเลย เปรียบเหมือนคนรดน้ำต้นไม้โดยหวังเพียงความฉ่ำชื่นตอบแทนกลับมาในขณะกำลังรินน้ำอยู่นั่นเอง

ฝึกจำกระแสจิตประกอบคำพูด
ตอนคนรักคิดอะไรในหัว ถ้าไม่พูดคุณก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร และต่อให้เขาพูดอะไรออกมา ก็ไม่แน่ว่าสิ่งนั้นจะตรงกับความคิดที่แท้จริงหรือไม่
ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าคุณอุตส่าห์ไปเลือกดอกไม้มากำนัล เมื่อถามคนรักว่า ‘สวยไหม?’ แน่นอนต้องมีการตอบตามธรรมเนียมทันทีว่า ‘สวย!’
คำตอบหรือคำอุทานสั้นๆนี่จะเป็นแบบฝึกหัดให้เข้าไปรู้ความคิดข้างในได้ อย่างดี อย่างเช่นคำว่า ‘สวย’ คำเดียว คุณฟังแล้วบอกได้ว่าอะไรเป็นตัวขับออกมา
ถ้าออกมาจากหัวใจที่พองโต คุณจะรู้สึกถึงแรงปีติในอากาศ กลางอกของคนตอบจะเปิดโล่งเบ่งบาน แล้วก็เนิ่นนานพอสมควร
ถ้าออกมาจากความยินดีธรรมดาๆ คุณจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้าที่เฉยๆ กลายเป็นสุขสดชื่นเล็กน้อย แล้วจางลงอย่างรวดเร็ว
แต่หากออกมาจากการเล่นละคร คุณจะรู้สึกถึงความว่างเปล่า มีแต่การฉีกยิ้มหรือส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดภายนอก ไร้ปีติสุขภายในอย่างสิ้นเชิง
และหากถึงขั้นออกมาจากการฝืน ‘กัดฟันพูด’ คุณจะรู้สึกถึงอาการกลั้นใจและอึดอัดกลางอกหน่อยๆ กับทั้งคาอยู่อย่างนั้นค่อนข้างนานกว่าจะหายไป
การสังเกตความรู้สึกของอีกฝ่ายขณะตอบคำถามหรืออุทานสั้น จะพาคุณเข้าไปลึกกว่านั้น คุณจะสังเกตเห็นว่าก่อนเปิดปากพูด ทุกคนจะมีห้วงความคิดหนึ่งเกิดขึ้นก่อน และส่งเป็นคลื่นไร้รูปออกมาให้คุณสัมผัสได้ คล้ายคลื่นกระแทกที่มีความแรงหรือความเบาต่างกัน คุณไม่ต้องพยายามแปล ไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้น แค่สังเกตและจดจำ ‘กระแสแบบนั้น’ ที่ส่งออกมาจากฝ่ายนั้นเอาไว้เฉยๆ
ความคิดในหัวของคนๆหนึ่ง ก็คือคำพูดของเขาที่คุณได้ยินอยู่เรื่อยๆนั่นแหละครับ ใช้คำพูดไหนเป็นประจำ คำพูดนั้นก็จะอยู่ในหัวของเขาบ่อยหน่อย หากคุณจับกระแสจากใจในขณะที่เขาพูดได้ คุณก็จะจำได้เมื่อมันเกิดขึ้นอีก แม้เขาจะไม่เปิดปากเปล่งเสียงออกมาเลยก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่นถ้าเขาเป็นคนชอบพูดคำว่า ‘บ้าจริงๆ!’ คุณจะได้ยินเขาอุทานทุกครั้งที่อยากด่าใคร แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่เขาเกรงใจ ก็จะมีแต่คำว่า ‘บ้าจริงๆ!’ หรืออะไรคล้ายๆอย่างนั้นอยู่ในหัว โดยไม่เล็ดรอดออกมาทางปาก ทว่าคุณก็จะจับได้ว่ามันอยู่ในหัวเขา เพราะจำแบบแผนคลื่นความคิดเดียวกันได้
ความคิดที่ประกอบด้วยอารมณ์จะถูกเห็นง่ายกว่าความคิดประเภทสักแต่คิด ยกตัวอย่างง่ายที่สุดเช่นคำว่า ‘เอา’ ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนตอบว่า ‘เอา’ จะเจือด้วยกระแสความรู้สึกเต็มใจ จริงจัง ในขณะที่อีกคนพูดคำเดียวกันนี้จะเบาโหวง เรื่อยเฉื่อยไม่หนักแน่นคล้ายเอาก็ได้ไม่เอาก็ไม่เป็นไร
หากยินดีจะฝึกรู้ใจกันจริงๆ เพื่อให้เชื่อมั่นว่าไม่ใช่อุปาทานหลอกๆ ก็ให้เอาเศษกระดาษเล็กๆมาสามชิ้น เขียนเลข ๑ ถึง ๓ ลงไป จากนั้นสุ่มเลือกขึ้นมาชู เพื่อให้คนรักอ่านเลขนั้นๆออกเสียงอย่างเต็มปากเต็มคำ เลือกสลับไปสลับมา ระหว่างนั้นคุณก็จับตาดูสบายๆ และพยายามจำให้ได้ว่ามีลักษณะคลื่นจิตแบบไหนปรากฏพร้อมคำพูด หากแยกแยะได้ว่าแต่ละเลขมีคลื่นประจำที่แตกต่างกัน วนเวียนกี่ทีคุณก็สัมผัสได้เป๊ะๆแบบนั้น นั่นแสดงว่าคุณสัมผัสเข้าไปถึงคลื่นความคิดของคนรักแล้ว
ที่จะหมดความสงสัย คือให้คนรักนึกถึงตัวเลขระหว่าง ๑ ถึง ๓ ในหัวโดยไม่ต้องพูดบอก แล้วคุณใช้ความรู้สึกเอา ว่าสัญญาณคลื่นความคิดของคนรักตรงกับเลขใด อันนี้ต้องตกลงกันดีๆด้วยนะครับ ถ้าแกล้งคิดเป็นเลขอื่นหลอกกัน คุณจะสับสนและเสียกำลังใจ ต่อจิตกันไม่ติดไปเลย และสำคัญคือห้ามใช้วิธีดูตาแล้วคาดเดา ย้ำว่าคุณต้องสัมผัสถึงคลื่นความคิดที่ส่งออกมาจากหัวของอีกฝ่ายเท่านั้น
อ่านให้เข้าใจและลองทำตามขั้นตอนข้างต้นอย่างใจเย็น หากทายสิบครั้งคุณถูกเกินห้าครั้งขึ้นไป ให้ถือว่าเริ่มสัมผัสคลื่นความคิดของคนรักได้ และก็อาจจะถึงตาคนรักให้ลองสลับข้างกับคุณบ้าง
หากต่างฝ่ายต่างทายถูกอย่างแม่นยำ ให้เพิ่มเลขขึ้นทีละหนึ่ง คือเป็น ๔, ๕, ๖ ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจะพบว่าไม่ต้องให้คนรักอ่านเลขออกเสียงให้ฟังก่อน คุณก็อาจทายถูก และที่ตรงนั้นคุณจะเริ่มจำคลื่นความคิดที่ซับซ้อนของคนรักมากขึ้นเรื่อยๆได้ โดยเฉพาะความคิดสั้นๆที่เขาหรือเธอชอบพูดให้คุณได้ยินติดหู
นี่เป็นคำอธิบายว่าคู่รักบางคู่พออยู่กันนานๆแล้วทำไมจึงรู้ความคิดกันได้โดย ไม่ต้องพูด คำพูดที่ตรงไปตรงมาต่อกัน ย่อมก่อกระแสความคิดเป็นคลื่นแบบเดิมๆให้คุ้นเคย ซึ่งสัมผัสแล้วจำได้ทันทีว่าแบบนี้ เอา ไม่เอา ชอบ ไม่ชอบ ผิดกับคู่รักส่วนใหญ่ที่แม้อยู่กันมาทั้งชีวิต เห็นกันมาทั้งชีวิต ก็ไม่เคยรู้ใจกันเลย นั่นก็เพราะไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจตน หรือไม่เคยแม้กระทั่งสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังพอใจหรือขุ่นเคือง มีแต่ใส่ใจว่าตนอยากได้สิ่งใด พอใจหรือไม่พอใจอย่างไรท่าเดียว

ฝึกรู้สึกถึงกันจากทางไกล
หากฝึกรักษาความรู้สึกกันและกันตามที่กล่าวแล้วทั้งหมดในบทนี้ ก็เท่ากับพวกคุณจูนจิตให้ตรงคลื่นกันได้อย่างยากจะหาคู่ใดเสมอเหมือน พวกคุณจะรู้สึกว่ากำลังมองไปในทางเดียวกันตลอดเวลา เดินควงคู่อยู่บนดิน ก็เหมือนโบยบินไปในฟ้ากว้างด้วยการเป็นปีกซ้ายและปีกขวาให้กับรักแท้
จิตที่ประณีตเสมอกันด้วยบุญ คือมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คลื่นจิตโดยรวมจะมีความใกล้เคียงกันมาก ยิ่งหากฝึกรู้ใจ เล็งจิตกันและกันเข้าไปอีก พวกคุณจะพบด้วยความอัศจรรย์ใจว่าสิ่งลึกลับในหัวของคนเรา อาจถูกรู้กันได้ง่ายๆแค่นี้เอง
ความเพลินในกันและกันจะมีรสหลากหลาย ทั้งทางกายและทางใจ แม้กายห่างกัน ก็เหมือนใจสัมผัสกันได้คล้ายอยู่ใกล้
คุณหาความมั่นใจได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในบ้าน ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องนัดแนะกันเป็นพิเศษ เมื่ออยู่ต่างห้องกันให้นึกถึงคนรัก ถามตัวเองว่าคนรักกำลังสบายใจหรืออึดอัดใจ กำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ทันทีนั้นเอง กระแสความผ่อนคลายหรืออึดอัดจะมาปรากฏในใจคุณทันที
ถ้าเป็นสุขสบายใจเต็มที่ จะเห็นเหมือนเกิดแสงสว่างเต็มดวงขึ้นในใจคุณ และพลอยทำให้คุณเกิดความเบิกบานตามไปด้วย
ถ้าแค่สบายใจธรรมดา จะเห็นเหมือนแสงสว่างครึ่งๆ ซึ่งอาจไม่มีผลใดๆกับความรู้สึกของคุณ
ถ้าอึดอัดใจมาก จะเห็นเหมือนเกิดความมืดขึ้นในใจคุณ และพลอยทำให้คุณเกิดความคับข้องตามไปด้วย
ถ้าแค่อึดอัดธรรมดา จะเห็นเหมือนความมืดสลัว ซึ่งอาจไม่มีผลใดๆกับความรู้สึกของคุณ
สำรวจดูดีๆว่าคุณแค่ทำความรู้สึกถึงเขาธรรมดาๆ หรือ ‘มีความอยาก’ ให้เขาเป็นสุขเป็นทุกข์แบบหนึ่งๆ ถ้าจับได้ไล่ทันตัวเองว่าตั้งความอยากไว้ ก็ให้ทราบเลยครับว่าความอยากคือตัวเบี่ยงเบนสัมผัสให้บิดเบี้ยวและผิดพลาด
เพื่อพิสูจน์ว่าคุณรู้สึกถูกต้อง ให้เดินหาคนรักจนเจอ แล้วถามตัวเองซ้ำอีกครั้ง ว่าด้วยอิริยาบถปัจจุบันของคนรักนั้น เขาหรือเธอกำลังรู้สึกอย่างที่คุณสัมผัสได้จากอีกห้องหนึ่งหรือเปล่า
และเพื่อยืนยันให้เกิดความมั่นใจชนิดไม่มีทางพลาด ให้ทักถามคนรักไปตรงๆว่ากำลังรู้สึกประมาณนั้นประมาณนี้อยู่ไหม ถ้าคำตอบออกมาถูกหลายๆครั้ง คุณจะเชื่ออย่างไม่สงสัยอีกต่อไปว่าตนสัมผัสจิตคนรักจากทางไกลได้จริง ไม่ใช่อุปาทานไปเอง
จิตไม่มีระยะทาง เพราะอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่เป็นต่างหากจาก กว้าง ยาว ลึก ฉะนั้นแม้พวกคุณอยู่ห่างกันถึงดาวพระศุกร์ คุณภาพของจิตสัมผัสก็จะไม่ลดทอนลง
ตามระยะทางแม้แต่น้อย
จิตสัมผัสของรักแท้ เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่น่าสนุก และความสนุกนั้นก็จะทำให้คุณติดใจในกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ กับทั้งอยากสื่อสารกันให้รู้ซึ้งยิ่งๆขึ้นไป ราวกับเป็นคนเดียวกันจริงๆ ไม่เป็นอื่นต่อกันจริงๆ และจิตสัมผัสจะไม่มีผลกระทบข้างเคียง หากคุณหมั่นพิจารณาว่าสิ่งที่สัมผัสได้ เป็นเพียงภาวะหนึ่ง เกิดขึ้นเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็ดับ ไม่ต่างจากลมฟ้าอากาศ ที่มีร้อนบ้างเย็นบ้างสลับกัน
ความไม่ยึดมั่นถือมั่นจะทำให้คุณยังคงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ติดค้างคาใจ ไม่ถือสาความคิดหยุมหยิมของใคร แต่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ต่อให้ไม่รู้จริงว่าใครคิดอย่างไร คุณก็จะทึกทักและปักใจเชื่ออยู่อย่างนั้น ว่าเขากำลังคิดอย่างที่คุณสำคัญผิดว่าเขาคิด
หากคลื่นจิตเท่ากัน เล็งตรงกัน ผูกพันกันอยู่เสมอๆ ก็อย่าแปลกใจเมื่อถึงเวลาหนึ่งมีเสียงของคนรักดังขึ้นในหัว ได้ยินชัดๆเหมือนหูฟังเสียง เพียงแต่นี่เป็นเสียงที่คุณรู้ว่าเกิดขึ้นกระทบใจ ไม่ใช่ความสั่นสะเทือนผ่านอากาศมากระทบแก้วหู
การมีเสียงของคนรักดังขึ้นในหัวไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่เป็นธรรมชาติของจิตที่ทำตัวเป็นคลื่นรับส่งย่านเดียวกัน หลายคู่ก็เกิดประสบการณ์ทำนองนี้หรือยิ่งกว่านี้โดยไม่ต้องฝึก เพียงแต่ไม่ถึงระดับสื่อสารสองทางราวกับคุยโทรศัพท์ เพราะถึงขั้นนั้นต้องเรียกว่าเป็น ‘โทรจิต’ แล้ว
การมีโทรจิตต้องอาศัยความนิ่งและคุณภาพของจิตอีกระดับหนึ่ง ใจคุณต้องคิดน้อยลงกว่าธรรมดาเกิน ๙๐% ด้วยการเอาใจไปเกาะอยู่กับเครื่องทำความสงบเช่นลมหายใจหรือกสิณ ซึ่งยากที่ชาวบ้านทั่วไปจะทำ เอาแค่สัมผัสใจตอนตัวห่างไกลได้ก็สนุกพอแล้ว แน่นแฟ้นกว่าคู่อื่นไม่รู้เท่าไรแล้วครับ อย่าไปไกลถึงขั้นโทรจิตเลย

ฝึกฝันร่วมกัน
การฝันร่วมกันแทบเป็นประสบการณ์สามัญสำหรับคู่รักที่นอนพร้อมกัน และก่อนนอนคุยกันไปจนหลับ ทั้งนี้เนื่องจากจิตก่อนหลับจะถูกโยงเข้าหากัน หรือกระทั่งเล็งตรงกัน โดยมีข้อเรื่องที่พูดคุยกันเป็นตัวเหนี่ยวนำ พอหลับลงไปจึงมีคลื่นจิตของอีกฝ่ายมากระทบใจ ทำให้เห็นนิมิตฝันเป็นกันและกันในเรื่องราวคล้ายคลึงกัน
ฝันร่วมกันของคู่รักธรรมดามักจะตรงกันเพียงบางส่วน เช่น ฝันว่าไปเที่ยวน้ำตกด้วยกันก็จริง แต่สอบถามดูจะพบว่าฝ่ายหนึ่งไปเที่ยวน้ำตกไนแอการา ส่วนอีกฝ่ายไปเที่ยวน้ำตกที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ไม่ได้ใหญ่มหึมาขนาดไนแอการาแน่นอน
หากอธิบายตามหลักจิตวิทยาขั้นพื้นฐาน ก็คือทั้งสองอาจคุยกันในแบบที่ทำให้รู้สึกชุ่มฉ่ำ ประมาณเดียวกับไปเที่ยวน้ำตก แต่น้ำตกในความประทับใจอยากไปเที่ยวของฝ่ายชายอาจเป็นไนแอการา ในขณะที่ฝ่ายหญิงไม่มีความปรารถนาหรือประทับใจไนแอการาเป็นพิเศษมาก่อน
แต่ยังมีฝันอีกแบบหนึ่ง ซึ่งพ้นไปจากฝันธรรมดา แต่เป็นการ ‘ร่วมฝัน’ ในความหมายของการร่วมสร้างนิมิตฝันขึ้นมาด้วยกันจริงๆ กับทั้งฝึกบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ด้วย เช่น ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าถ้าเจอกันในฝัน จะบินไปด้วยกัน หรือไปดำน้ำเล่นกัน
การฝึกถ้าให้ลัดที่สุดนะครับ ต้องการคู่รักที่มีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกันดีแล้ว รู้วาระจิตกันพอสมควรแล้ว คลื่นจิตอยู่ในย่านเดียวกันแล้ว
ที่เหลือจากนั้นก็เล่นไม่ยาก ทำอย่างไรก็ได้ให้จิตไปจดจ่อกับความฝันของอีกฝ่าย เช่น หมั่นถามว่าเมื่อคืนฝันถึงกันและกันบ้างหรือเปล่า ฝันว่าอะไร และตั้งข้อสังเกตอย่างเป็นกิจจะลักษณะ คุยเฟื่องกันไปเลยว่าคุณอยู่ในความฝันของคนรักโดยมีความหมายแบบใด
ขุดคุ้ยเรื่องฝันๆมาคุยกันให้เยอะๆ แล้วจิตจะเล็งอยู่กับความฝันของกันและกันไปเอง พอก่อนนอนให้ตกลงกันธรรมดาๆ อย่าตั้งใจมาก เอาแค่ว่าถ้าเจอกันในฝันคืนนี้นะ ลองจับมือกันบินจากพื้นขึ้นฟ้าไปในแนวตั้ง แล้วมองลงมาว่าเห็นอะไร ช่วยกันจำไว้ตรวจดูกันตอนเช้าว่าตรงไหม
หากคืนนั้นต่างคนต่างฝันไปคนละเรื่องก็ไม่เป็นไร ให้ทำความตกลงกันอีกทุกคืน จะเปลี่ยนแนวไปทางไหนก็ได้ เพราะบางทีจิตต้องเจอเรื่องที่สนใจพร้อมกันจริงๆ จึงจับติด เอาไปเป็นนิมิตฝันได้
ประสบการณ์แรกๆในการเจอกันในฝัน อาจนำหน้าด้วยฝันมั่วเลอะเทอะทั่วไป แต่พอเกิดนิมิตของคนรัก ก็จะกระตุ้นเตือนความทรงจำ ว่าเจอกันในฝันจะทำอะไรบ้าง และนั่นแหละ นิมิตฝันจะเป็นไปตามที่ถูกโปรแกรมไว้ก่อนหลับ
คลื่นจิตเป็นสิ่งอ่อนไหว ไม่มีทางที่คุณจะบังคับดังใจว่าต้องเกิดฝันร่วมกันในคืนนั้นคืนนี้ แต่ที่แน่คือถ้าคืนไหนจับพลัดจับผลูมีกันและกันในฝันขึ้นมา คืนนั้นพวกคุณจะสนุกมาก อาจเหมือนตะลุยผจญภัยอย่างน่าตื่นเต้นไปในนิทานอาหรับราตรีด้วยกัน ซึ่งไม่มีทางจะเกิดขึ้นจริงเลยในชั่วชีวิตคนธรรมดาเดินดิน
ถ้าจุดเครื่องติดแค่ครั้งเดียว คุณจะร่วมฝันด้วยกันได้อีกบ่อยๆ โดยอาจไม่ต้องสร้างข้อตกลงเป็นพิเศษ เพราะจิตขณะหลับจะทำงานเอง จูนกันติดเองเป็นอัตโนมัติ พวกคุณจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น เข้าถึงกันมากขึ้น เพราะความฝันคือส่วนสำนึกครึ่งดิบครึ่งสุก ทุกสิ่งจะไม่เหลือเป็นที่ปิดบังกันอีกเลย
และถ้าต้องฝันร้ายด้วยกัน จิตสำนึกของความเป็นคู่แท้ที่สร้างกันมา จะบันดาลนิมิตไปในทำนองฉุดมือช่วยกันอยู่ กอดคอร่วมกันตาย แน่นอนตื่นขึ้นมา พวกคุณอาจอยากร้องไห้กอดกันแน่นด้วยความดีใจที่เป็นเพียงฝัน กับทั้งเห็นใจกันลึกซึ้งขึ้น เชื่อมั่นว่าถ้าเป็นอย่างในฝันจริงก็จะไม่ทอดทิ้งกันแน่นอน

ท้ายบท

หวังว่าบทนี้คงช่วยให้คุณเห็นแนวทาง
ที่จะเป็นสุขกับการมีรักเดียวใจเดียวได้ตลอดไป
แน่นอนว่าไม่ง่าย แต่เป็นไปได้แน่ถ้าเอาจริง

เมื่อคุณสามารถรักษาความรู้สึกไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง
โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือพอถึงเวลาต้องจากกัน
คุณจะทำอย่างไรดี

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๕ จากเป็นจากตาย

จ า ก กั น ใ ห้ เ ป็ น
แ ล้ ว ค ว า ม รั ก จ ะ ไ ม่ ต า ย

รัก แท้ไม่ได้มีแต่การอยู่ร่วมกัน การอยู่ร่วมกันตลอดไปไม่อาจเป็นรักแท้ เหมือนกับเพลงที่บรรเลงอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น ย่อมไม่อาจได้ชื่อว่าเป็นเพลง เพราะหากปราศจากจุดจบของเพลง เราก็ไม่รู้ขอบเขตเนื้อหาของเพลง ไม่รู้ว่าเพลงต้องการบอกอะไร ลงเอยสุขหรือเศร้า ฉันใดก็ฉันนั้น วิธีจากลาก็เป็นเครื่องบอกว่าความรักของพวกคุณงดงามที่สุดได้แค่ไหน ไม่เช่นนั้นพวกคุณก็แค่อยู่กันไปเรื่อยๆอย่างปราศจากบทสรุปอันใด

ถ้า คุณทำตนให้เป็นคนมีเสน่ห์ เจอคนที่ใช่แล้ว และพยายามรักษาความรู้สึกให้ตลอดรอดฝั่งได้แล้ว แนวโน้มคือความรักของคุณจะเป็นอมตะ แม้ต้องเกิดตายครั้งแล้วครั้งเล่า ความรักอันสว่างหวานก็จะยังคงบันดาลชีวิตคู่ใหม่ให้ไม่รู้จบ ความเกิดและความตายจะเป็นเพียงอุบายทางธรรมชาติที่รักษาความรักไว้ให้สดใหม่ อยู่เสมอ

แต่ถ้าคุณพยายามแล้ว และไม่อาจเจอคนที่ใช่จริง หรือไม่สามารถรักษาความรู้สึกไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง อย่างน้อยก็ไม่มีใครว่าคุณได้ ว่าไม่พยายามทำให้ดีที่สุดเสียก่อน

จุด ลงเอยของความรักมีทั้งจากเป็นและจากตาย มีทั้งบอกได้ว่าเป็นรักแท้หรือรักเทียม ถึงเป็นรักเทียมคุณก็ต้องดีใจที่ได้รู้ เพราะจะไม่ต้องหลงเสียเวลาเปล่า และเริ่มต้นแสวงหารักแท้กันเสียที

บทนี้จะชี้ให้เห็นว่าเพียง ทำความเข้าใจ เพียงไม่มองแค่ฉากหลอกในยามจาก คุณก็จะเห็นกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น ดำเนินไป และมาถึงจุดจบ กระทั่งกลายเป็นภาพรวมแห่งความรักที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะสมบูรณ์ในทางสำเร็จหรือล้มเหลว คุณก็ได้ชื่อว่ารู้จักรักอย่างถ่องแท้และไม่ขาดสติ

จากเป็น

มีความสามารถในการผ่านรักร้าว
ดีกว่ามีแค่ความสามารถฝันถึงแต่รักแสนหวาน

หลังจากจับคู่ เกิดภาวะคู่รักขึ้นมา คุณควรมองว่านั่นเป็นภาวะหนึ่ง มีความผูกพันระดับหนึ่ง มีความทนต่อการแตกร้าวระดับหนึ่ง ไม่ใช่ความเป็นเนื้อเดียวกันดุจธาตุกายสิทธิ์ที่ไม่มีทางพังพินาศ

ในอีกทางหนึ่ง ภาวะคู่ถูกผูกไว้ด้วยสายใย จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างเสริมสายใยขึ้นใหม่ไม่จำกัด

เดิมมีสายใยที่คุณมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอยู่ก่อน จากบุญเก่าในอดีตที่ทำไว้ระหว่างกัน คุณจะรู้สึกว่ามีพันธะหนาแน่นแข็งแรงเพียงใด ก็ด้วยการลองเจอปัญหา หรือเจอสิ่งที่ไม่ชอบในตัวอีกฝ่ายจริงๆ ดูว่าสามารถรับได้แค่ไหน โดยเฉพาะที่ต้องเจอซ้ำๆ ถ้าความอดทนต่ำก็แปลว่าสายใยผูกพันไม่ได้เหนียวแน่นหรือแข็งแรงอะไรเลย

ยิ่งรักมากเท่าไร ใจคุณจะยิ่งสู้มากขึ้นเท่านั้น!

แต่ความจริงก็มีอยู่อีกอย่าง คือ นักสู้ที่เก่งที่สุดในโลก ก็ต้องหมดแรงเข้าสักวัน หากต้องสู้เรื่อยไปไม่หยุดหย่อน

เช่นกัน หากหมดแรงที่จะรัก ก็ไม่มีเหตุผลใดในโลกที่จะต้องฝืน เพราะถ้าฝืนแล้วเป็นประสาท คุณก็ต้องตกนรกทั้งเป็นหลังจากความรักตายไปอยู่ดี ตัวตนของคนที่ใช่อาจเพิ่งออกลายเต็มร้อยหลังจากร่วมชายคากัน ตรงนั้นคุณต้องเชื่อสามัญสำนึกแล้วว่า ‘รับได้ไหม’

หลังจากพยายามอดทนกล้ำกลืนระยะหนึ่งแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น บางทีการลองห่างกันไปบ้างเพื่อรักษาสุขภาพจิต ก็อาจเป็นหนึ่งในวิธีรักษาความรักไว้ครับ

คุณค่าของการจากเป็น

เคยนึกถึงคุณค่าของการจากกันเป็นๆบ้างไหม?

การจากกันเสียก่อนตาย บางครั้งดีกว่าอยู่กันไปเรื่อยๆนะครับ เพราะอาจเป็นทางเดียวที่ทำให้คุณค้นพบว่าเคยมีความรักอยู่ตรงนั้นขนาดไหน

พฤติกรรมที่น่ารำคาญบางอย่างของคนรัก ตอนอยู่ด้วยกันคุณจะรำคาญไม่เลิก ต่อเมื่อจากกันไป คุณจะลืมความรู้สึกรำคาญ เหลือแต่ความอาลัยและอยากมีโอกาสสัมผัสพฤติกรรมน่ารำคาญเหล่านั้นอีก

บางคู่อยู่อย่างซังกะตาย แล้วคุณจะรักษาความซังกะตายไว้เพื่อใคร แทนที่จะลองให้การจากกันสร้างความแปลกใหม่น่าค้นหา และให้มันบอกว่าความซังกะตายของการอยู่ร่วมกันทั้งหมดนั้น ตกลงเรียกว่า ‘รัก’ ได้ไหม

ความซังกะตายอาจกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำที่คุณเพิ่งรู้ค่า การเพิ่งได้สำนึกรู้ค่าจะตามมาด้วยความคิดถึงแทบขาดใจ การต้องทนนอนร้องไห้คนเดียว และการอยากกลับมาอยู่ด้วยกันอีก ถึงกับอาจทำให้คุณแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ

นี่คือความจริง คนบางคนอาจทำให้คุณนับวันรอว่าเมื่อไรจะถึงเวลาสิ้นสุด แต่เมื่อสิ้นสุดเข้าจริงๆ เขาหรือเธอก็จะทำให้คุณนับวันรอว่าเมื่อไรจะถึงเวลาเริ่มต้นใหม่

ตอนอยู่ด้วยกัน ผู้หญิงอาจกักขังผู้ชายไว้ด้วยความน่ารักหรือความน่าสงสาร ส่วนผู้ชายก็อาจกักขังผู้หญิงไว้ด้วยอำนาจเงินหรืออำนาจความป่าเถื่อน แต่สุดท้ายทุกคนก็กักขังตัวเองไว้ด้วยอำนาจกรรมที่ทำไว้กับคนอื่นนั่นเอง

ความรุนแรงของความรู้สึกผิดจะเป็นตัวฟ้องว่าคุณเคยเลวร้ายกับเขาหรือเธอมามากน้อยแค่ไหน เวลาผ่านไป ฝันร้ายของคุณอาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนหลากรูปแบบ แต่ทั้งหมดก็คือการวนเวียนซ้ำซาก ตอกย้ำความรู้สึกผิดเดิมๆที่มีต่อคนรักอยู่นั่นเอง

เมื่อใดที่เกิดมโนภาพคนรักตกอยู่ในสภาพน่าสงสารซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่คุณก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด หรือกระทั่งพยายามลืมแต่ก็ยิ่งจำ นั่นแหละขอให้ทราบว่ากรรมเริ่มเล่นงานคุณทางใจแล้ว เมื่อใดมีใจตัวเองเป็นกรง เมื่อนั้นจะรู้ว่ากายดิ้นแค่ไหน หรือต่อให้เตลิดไปไกลสุดขอบโลก ก็ไม่มีประโยชน์เลย ไม่อาจพ้นจากสภาพถูกคุมขังเลย

บางคู่น่าสงสารมาก ที่เป็นคู่เวรกันอย่างไม่รู้ คู่เวรนี่ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ไม่เคยทำบุญร่วมกันมานะครับ เคย… แต่ก็ทำบาปและจองเวรมากกว่า

เรื่องของเรื่องคือเคยทำบุญ เคยอธิษฐานขอเกิดร่วมกัน แต่ลืมฝึกอยู่ร่วมกันแบบปรองดอง ลืมช่วยกันรักษาศีลข้อกาเมฯ พอมีชู้ให้จับได้ไล่ทันก็เจ็บใจกันแทบต้องฆ่าแกง เสร็จจากนั้น เจอกันใหม่ก็รักกันใหม่ แล้วก็ทะเลาะกันใหม่ หรือนอกใจกันใหม่ พอห่างหายไปพักหนึ่ง เพียงเขาหรือเธอกลับมาหาด้วยท่าทีหงอยๆเศร้าๆ ก็จะทนสงสารไม่ได้ และเลือกจะทนต่อ ทั้งที่ไม่เหลือกำลังจะให้ทนอีกแล้ว

ถ้ารู้ทางกรรมเสียหน่อย ตอนกลับมาดีกันอีกที ให้ต่ออายุรักด้วยความตั้งใจร่วมกันที่จะละบาป ละเวร เลิกแล้วต่อกัน เปลี่ยนเป็นตั้งหน้าตั้งตาคิดดี พูดดี ทำดีต่อกัน การจากกันชั่วคราวของพวกคุณ จะเท่ากับเป็นการปล่อยให้ความรักตายไป เพื่อให้มันเกิดใหม่อย่างไร้มลทินในวันหนึ่ง

ความเข้ากันไม่ได้โดยธาตุ

คนเราอยู่กับอะไรซ้ำซากจำเจ ก็ต้องเบื่อบ้างเป็นธรรมดา แต่จะดูว่า ‘เบื่อจริง’ หรือเป็นเพียงอารมณ์หนึ่ง ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจว่าจิตเป็นสิ่งบังคับไม่ได้ว่าจะให้รู้สึกอย่างไร แต่ละความรู้สึกเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ซึ่งเหตุปัจจัยทางความรู้สึกไม่ได้มาจากคนรักเสมอไป ชีวิตของคุณต้องเกี่ยวข้องกับอะไรมากกว่านั้น

อย่างเช่นคุณกำลังเซ็งงาน เงินน้อย อยากลาออก หันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้แม้แต่คนร่วมเตียง แน่นอนคุณต้องเกิดอารมณ์พาล และสำคัญว่าตนเองเบื่อคนรักเต็มประดา ทั้งที่จริงตัวตนของเขาเป็นที่รักมาแต่ต้น แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

เป็นใจคุณเองที่เปลี่ยนไปตามเวลาและเหตุการณ์ อย่างนี้ถือว่าไม่เบื่อจริง แต่ถูกกิเลสบีบให้เบื่อชั่วคราว

สำหรับการเบื่อจริงนั้น ผู้ร้ายที่เป็นต้นเหตุของความสุดทน มักจะเป็น ‘ความเข้ากันไม่ได้’

ความเข้ากันไม่ได้ หรือความมีเรื่องมีราว มีปากมีเสียงไม่รู้จักจบสิ้น เกิดจากเหตุหลายประการ ทั้งที่ลึกลับและเปิดเผย

หากพวกคุณมีบาปเวรผูกกันมา การกลั้นใจให้อภัยไปเรื่อยๆอาจช่วยได้ เพราะบาปย่อมหมดกำลังส่งผลเมื่อไม่มีการต่อเวร วันหนึ่งพวกคุณอาจอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุขเมื่อบาปเวรอ่อนกำลังลง กับทั้งได้แรงบุญใหม่ช่วยอุดหนุนให้ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายสว่างไสวและพร้อมจะหวานชื่นขึ้นกว่าเดิม

แต่หากพวกคุณมีธาตุนิสัยแตกต่างกัน อันนี้คงแก้ยาก เว้นแต่จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมละทิฐิมานะ เปลี่ยนแปลงตัวเองตามอีกฝ่ายในทางดี ย้ำว่าต้องเป็นทางดีเท่านั้นนะครับ ถ้าเปลี่ยนไปในทางร้ายจะไม่ช่วยเลย

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรารู้กันอยู่แล้วว่าแรงดึงดูดแบบรักแท้ถาวรต้องสร้างด้วยบุญ ไม่ใช่ด้วยบาป

การเปลี่ยนแปลงตามกันไปในทางมืด อาจเป็นแรงดึงดูดให้ร่วมหัวจมท้ายกันต่ออีกพักหนึ่ง เพื่อทำเรื่องเลวๆร่วมกันอีก ก่อนจะแปรเป็นพลังผลักออกอย่างรุนแรงและน่ากลัว

สำหรับคู่ที่รู้ว่าจะไปไม่รอดแน่ อาจเพราะภาพลวงตาที่เข้ากันได้หายไป และกลายเป็นภาพความจริงคือไม่มีอะไรที่ไปด้วยกันได้เลย เช่นนี้คุณควรคิดเองให้ได้ว่า จากกันเสียก่อนจะหมดรัก ดีกว่าหมดรักแล้วค่อยจากกัน

คำบอกลาที่ดีที่สุด คือคำที่กลั่นออกมาจากน้ำใจ น้ำใจจะเป็นตัวเลือกคำพูดได้ดีที่สุดในโลก

คำลาที่ประกอบด้วยหยดน้ำตาอาจน่าซึ้งใจ แต่การบอกเลิกด้วยวิธีบีบน้ำตาแสดงละครเยิ่นเย้อจะน่ารำคาญมากกว่ามีประโยชน์ เมื่อคุณทำใจได้ดี ปากก็พูดได้ดีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องพูดความในใจทั้งหมด ขอเพียงให้ปากตรงกับใจทั้งหมดเถอะ แล้วสติจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหลังคุยจบ

คำพูดลาอาจเป็นคำที่เอ่ยได้ยากที่สุดนับแต่คบกันมา แต่ถ้าคุณไม่ตกลงปลงใจให้เด็ดขาด คุณอาจต้องประสบกับช่วงเวลาลำบากกายลำบากใจที่สุดนับแต่เกิดมาทีเดียว!

ทำใจกับการสูญเสีย

ช่วงของการตัดขาดกัน เลิกเป็นคนรักกัน จิตใจคุณจะปั่นป่วนสับสน กลับไปกลับมาระหว่างอโหสิกับคิดแค้น เหมือนหัวใจไม่ใช่ของคุณ นั่นเพราะความจำจะมีอิทธิพลกับจิตใจอย่างที่สุดในช่วงนี้ และเมื่อมีทั้งความทรงจำด้านดีกับด้านร้าย คุณก็ย่อมรู้สึกดีบ้าง ร้ายบ้างเป็นธรรมดา

ทางออกที่สวยงามที่สุด คือหัดเดินทางเข้าวัดเพื่อไปทำบุญคนเดียว โดยมีเจตนาว่าจะให้ความสุขสดชื่นอันเกิดจากการทำบุญสำเร็จตามลำพัง เป็นพลังให้ยืนหยัดอยู่คนเดียวด้วยความเข้มแข็ง

ระหว่างไปทำบุญคนเดียว ถ้าเหงาให้มีสติรู้ว่าเหงา และเอาใจไปจดจ่อกับการทำบุญ คุณจะรู้สึกถึงความแช่มชื่นที่กลบทับความหดหู่เสียได้

หากพบว่าได้ผล ขอให้ทำบุญคนเดียวเรื่อยๆ อาทิตย์ละครั้งน่าจะกำลังดี ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินมากๆ ให้ใช้กำลังใจมากๆแทนก็แล้วกัน ถ้ารู้ว่ามีงานสงเคราะห์ที่ไหนให้รีบไปโดยไม่ต้องชวนใคร ผลบุญที่เกิดขึ้นจากการเดินทางเองคนเดียวอย่างเป็นสุขหลายครั้ง จะบันดาลให้คุณรู้สึกเชื่อมั่นว่าการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายความว่า ต้องเหงา ต้องเศร้าอย่างที่นึกคร่ำครวญไปเองเลย

ไสยศาสตร์มีจริง ได้ผลจริง แต่ก็ทำให้ซวยจริงไม่รู้จบรู้สิ้นเหมือนกัน แถมไม่ใช่ทางมาของรักแท้ด้วย อย่างดีก็ได้แค่รักเก๊ชั่วคราวเท่านั้น ฉะนั้นห้ามคิดถึงของต่ำจำพวกไสยเวทย์เรียกผัวเรียกเมียคืนเป็นอันขาด!

จำไว้ว่าทำใจได้ก็เจอคนใหม่ได้ ให้ตัวคุณในวันนี้เป็นคนจัดการ อย่าให้ตัวคุณที่ตายไปแล้วเมื่อวานเป็นคนเลือก เพราะมันจะเลือกใครที่ตายจากความเป็นคนรักของคุณไปแล้ว ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นเอง

สิ่งดีๆที่ผ่านไป อาจเปิดทางให้สิ่งดีกว่าที่กำลังจะผ่านเข้ามา หากคุณมัวแต่เสียดายของเก่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าของใหม่น่าเสียดายยิ่งกว่าหรือเปล่า

เมื่อลากันด้วยความรู้สึกดีๆ คุณจะเหลือความรู้สึกดีๆให้ตัวเองมากพอจะเชื่อ ว่าการเริ่มต้นใหม่ยังดีได้อยู่ ตลอดจนพร้อมจะเริ่มกับคนโชคดีที่จะได้คุณไปในรูปแบบใหม่ที่ดีขึ้น

แต่ถ้าลากันด้วยความรู้สึกแย่ๆ คุณจะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แม้แต่เงาตัวเองในกระจกก็ดูแย่และร้ายกาจ แล้วคุณจะเอาความเชื่อมาแต่ไหน เกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่า และคนโชคดีที่จะได้คุณเป็นรายต่อไป

หากการจากลาคือจุดเริ่มต้นของการทบทวนตนเอง ก็นับเป็นการจากลาที่คุ้มค่า หลายคนเป็นพวกความรู้สึกช้า ต้องจากกันไปเสียก่อนถึงจะนึกออกว่าคนรักมีคุณงามความดีขนาดไหน น่าสงสารเพียงใดกับการต้องอดทนอยู่กับความเห็นแก่ตัวของตน ความสำนึกผิดต่อผู้โชคร้ายในวันก่อน จะกลายเป็นตัวสร้างพ่อพระแม่พระให้กับผู้โชคดีในวันหน้า

ระหว่างรอคนรักใหม่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม ลองยืนอยู่ด้วยขาของตัวเองที่ปราศจากคนรักพยุง ลองนึกถึงขาของตัวเอง ว่ายืนตรงโดยปราศจากไม้เท้าช่วยค้ำรักแร้ได้ไหม ถ้าขาของคุณทำได้ ใจของคุณก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้นเช่นกัน

 

จากตาย

ความโหดร้ายที่สุด คือการหลอกตาด้วยของจริง ภาพที่ปรากฏในวันสุดท้าย จะบีบให้คุณอยากเชื่อว่ารางวัลของความเหนื่อยที่ทุ่มให้กับรักแท้ทั้งหมด คือการจากลาชั่วนิรันดร์

พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยเหตุสองประการ เหตุแรกคือเคยอยู่ร่วมกันในปางก่อน เหตุที่สองคือเกื้อกูลกันในปางนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าไม่ตายจากกัน คุณจะเอาเหตุแรกมาแต่ไหน?

ความตายเป็นส่วนหนึ่งของความรัก นี่นับเป็นสัจจะความจริงอันยิ่งใหญ่!

สุดท้ายปลายทางของชีวิตคุณทั้งสองจะตอบได้ว่าคนเรามีรักแท้ไปทำไม รักแท้จะทำให้ใจคุณนิ่ง ไม่ซัดส่าย ไม่หลงทาง และไม่มืดยามตาย สิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดคือการรักษารักแท้ไว้รอพบจุดจบที่งดงาม เพื่อการเริ่มต้นด้วยตัวตนใหม่อันไม่เป็นที่รู้ว่าที่ไหนและเมื่อใด

แค่รู้เท่านั้นว่ารักแท้จะรออยู่ที่นั่นเสมอ!

ถ้าคุณมีคนรักที่กำลังจะตาย คุณอาจเห็นความตายเป็นศัตรู อยากต่อสู้กับมัน แต่การต่อสู้กับความตายนั้น ไม่อยากแพ้ก็ต้องแพ้ ฉลาดแค่ไหนก็เอาชนะไม่ได้ เพราะกำเนิดชีวิตคือจุดเริ่มต้นนับถอยหลังสู่ความตาย ความตายมันแฝงอยู่แล้วในความเกิด

ระหว่างมีชีวิตคุณจะเรียนรู้วิธีเตรียมใจทันหรือไม่ทันเท่านั้น!

หากเตรียมใจทัน คุณจะเห็นความตายเป็นครู และสอนวิชา ‘เห็นตามจริง’ ได้ดีที่สุดในโลก ความจริงมีอยู่ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วต้องดับเป็นธรรมดา ใจที่ยึดมั่นถือมั่นมากเท่านั้น จะทำให้กลายเป็นเรื่องผิดปกติไป

นี่เป็นมุขเด็ดของธรรมชาติ คือแกล้งให้พวกคุณรู้สึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ตายแล้วตายเลย เหมือนหายสาบสูญไร้ร่องรอยใดๆ

นั่นเองคนอยู่ข้างหลังจึงอดร้องไห้ไม่ได้ เพราะกลัวไม่เจอกันอีก และเหมือนต้องทำอะไรต่างๆอยู่คนเดียวไปจนสิ้นกาลนาน

ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ควรร้อง คือเสียใจที่ทำอะไรให้คนรักน้อยไป คุณไม่รู้หรอกว่าคุณและคนรักทำอะไรไว้ให้แก่กันมากเกินหรือน้อยไปเพียงใด จนกว่าคนรักของคุณจะหายไปแบบไม่มีวันกลับมา

อันที่จริงความรู้สึกผิด ล้วนแล้วแต่จะเป็นตัวกำหนดว่าเมื่อเกิดใหม่ คุณจะอยากทำอะไรให้คนรัก เพราะสิ่งที่อยากทำให้กับคนรัก จะถูกระดมมาชุมนุมอย่างหนาแน่นในช่วงรอเวลาตายนั่นเอง เมื่ออยากทำอะไรดีๆในช่วงใกล้ตาย ย่อมบันดาลให้ได้ทำจริงในชีวิตหน้า

ความตายคือการล้างความจำให้หมดเสียก่อน คิดดูนะครับว่าถ้าไม่ตาย คุณก็จะเคยชินกับการอยู่ร่วมกันแบบเดิมๆไปเรื่อยๆ และถ้าไม่ลืม ยังคงจำได้เท่าเดิม การพบกันใหม่ก็จะมีค่าเท่ากับภพเดิมอีก เพราะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจความเคยชินเดิมๆอยู่นั่นเอง เสวยบุญชุดเก่าไม่เลิกราอยู่นั่นเอง ไม่เปิดโอกาสให้บุญใหม่ๆได้แสดงบทเสียบ้าง

จะวัดว่าทำอะไรให้กันและกันดีพอหรือยัง ดูที่ตอนจบก็ได้ ชีวิตคือเกมๆหนึ่ง ถ้าตอนจบดีก็ให้นับว่าชนะ ไม่ต่างจากเล่นกีฬา ถึงระหว่างเล่นจะล้มลุกคลุกคลาน ผิดพลาดฉกาจฉกรรจ์ปานไหน ถ้าตอนจบฉวยโอกาสทองทัน ก็ถือว่าคุณเป็นผู้ชนะอยู่ดี

จบดีแบบรักแท้ คือรู้สึกดีต่อกัน และมีกำลังใจรอเจอกันใหม่อีก ชัยชนะในเกมรักจึงหมายถึงการที่พวกคุณจะได้ไปเปิดศักราชพบรักใหม่อย่างเป็นสุข จะเคยทุกข์ร่วมกันมาเพียงใด ไม่ต้องเอามานับแล้ว ลืมไปให้หมดได้แล้ว

รูปกายกับดวงจิตในภพใหม่เป็นผลของกรรมในชาตินี้ พูดอีกทีได้ว่าการกระทำของคุณทั้งหมดตั้งแต่จำความได้ ก็คือมนต์เนรมิตตัวตนใหม่ กายใจใหม่ขึ้นมานั่นเอง ฉะนั้น เมื่ออยู่กับใครมานาน มีกรรมสัมพันธ์ร่วมกันมามาก ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่เจอกันอีก พวกคุณจะมีกายใจใหม่เพื่อกันและกัน เหมือนสั่งสมแรงแม่เหล็กไว้วันต่อวัน พอเกิดใหม่ย่อมล้นไปด้วยพลังแม่เหล็กดึงดูดสะสม อย่างไรก็ต้องดึงดูดให้เข้ามาติดกันอีกแน่ๆ

ถ้าเชื่อมั่นว่าระหว่างอยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นแรงบันดาลใจให้อยู่อย่างสว่าง ก็ย่อมหวังได้ว่าจะพบกันในความสว่าง รูปชีวิตต่อไปของพวกคุณจะถูกตกแต่งให้เป็นที่สบาย และแม้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ สายตาของพวกคุณจะมองไม่เห็นตัวเลือกอื่น บุญก็จะคุมไม่ให้พวกคุณตัดสินใจผิดคิดเลือกใครมาแทนคู่แท้เลย แม้ตัวเลือกจะมากมายขนาดไหนก็ตาม


ท้ายบท

หวังว่าบทนี้คงช่วยให้คุณมองเห็นค่า
ที่มีอยู่ตามจริงของการจากกันได้บ้าง
ความตายคือการต่ออายุให้กับรักแท้
แต่ความเป็นอมตะของชีวิตจะฆ่ารักแท้ด้วยสองดาบ
คือความเบื่อหน่ายและความชาชิน

เมื่อคุณเห็นแล้วว่ารักแท้มิใช่การอยู่ร่วมกันตลอดไป
โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือจะเอาอย่างไรดี
ถ้าเบื่อหน่ายวังวนแห่งการพบแล้วพรากเต็มทีแล้ว

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๖ รักเหนือรัก
ไม่มีใครรักจะเป็นทุกข์
แต่ทุกข์อันใดเล่าจะเท่ารัก

หาก มีวาสนาเก่ากับความเพียรใหม่ กระทั่งได้พบและสามารถเลี้ยงดูรักแท้ ก็คงเป็นแรงบันดาลให้พวกคุณเต็มใจเกิดตายไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาความเป็นอมตะแห่งรักแท้เอาไว้

แต่ ความจริงก็คือการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี้ หาใช่มีแต่รักแท้ให้คุณชื่นชม รักแท้เป็นเพียงเหยื่อล่อให้เวียนวนอยู่ในมหาสมุทรแห่งทุกข์ พบทุกข์นานาเสีย ๙๙ ส่วน จึงพบสุขล่อใจจากความรักสัก ๑ ส่วน แต่ เพียงหนึ่งในร้อยส่วนนั้น มีพลังมากพอจะทำให้คุณยอมทนแล้ว กับการแบกรับความลำบากทางกาย ความโทมนัสทางใจ ความมีใจแห้งเหี่ยว ความคร่ำครวญ ความคับแค้น ความไม่ได้อย่างใจ ความจำใจประสบสิ่งไม่น่าพิสมัย และความจำจากพลัดพรากสิ่งที่รัก…

ข้อหลังนี้แหละสาหัสที่สุด โหดร้ายที่สุด เพราะไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย อย่างไรก็ต้องจากกัน!

บทนี้จะชวนคุณหาวิธีรักอีกแบบหนึ่ง ที่เหนือขึ้นไปกว่ารักด้วยกิเลส เพื่อให้คุณได้ทางเลือกครบสมบูรณ์ คือเห็นว่ามีการ ‘จากกัน’ อีกแบบหนึ่ง ที่เปรียบเสมือนน้ำหลากสายไหลไปรวมในมหาสมุทรเดียว และไม่ต้องจากกันอีกเลยตลอดอนันตกาล
คุณอยู่กับความไม่รู้
มากกว่าอยู่กับคนรัก

รู้ไหมคนรักเป็นอะไรให้คุณได้บ้าง?

ถ้ามองมุมกว้างครอบจักรวาลอย่างที่สุดตามพระพุทธเจ้า พวกเรากำลังหลงติดว่ายวนอยู่ในการเกิดตาย

เกิดด้วยความลืมอดีต

ตายอย่างไม่มีทางเลือกอื่นมากไปกว่าถูกกรรมเหวี่ยงไปเกิดใหม่

ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์

กายใจต่างๆ ล่อให้หลงนึกว่ามีเราเกิดมา นึกว่ามีเราตายไป นึกว่าเราได้คนรักมา นึกว่าเราเสียคนรักไป โดยย่นย่อ กายใจนี่เองคือทุกข์ทั้งแท่ง!

เช่นนี้แล้ว สิ่งใดที่เป็นเหยื่อล่ออันดับหนึ่งให้หลงติดอยู่กับความไม่รู้ว่ากายใจเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็คือมหันตภัยที่ใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด!

แล้วคนรักของคุณ ชวนให้หลงนึกว่ากายใจเป็นของดี หรือเห็นตามจริงว่ากายใจเป็นทุกข์เล่า?

คน ที่คุณรักและรักคุณอย่างที่สุด คือบุคคลน่าปรารถนาสูงสุดเมื่อเทียบกับบุคคลอื่นๆในโลก แต่ขณะเดียวกันก็คือกับดักที่ทำให้คุณดิ้นไม่หลุดด้วยเช่นกัน!

ถ้า มองอย่างรู้จักแค่การมีชีวิตเดียว คนรักคือคนที่น่ารักที่สุด แต่ถ้ามองอย่างคนกำลังศึกษาว่าชีวิตคือส่วนหนึ่งในปฏิกิริยาลูกโซ่แห่งทุกข์ คนรักคือกับดักที่แกะยากที่สุด!

เมื่อพบรักแท้ คุณจะรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งน่าฝากใจ คือความปลอดภัยไร้กังวล และไม่ชวนให้คิดแสวงหาความสุขอื่นที่เหนือกว่า ความหลงนึกว่ารักแท้คือที่สุดแห่งสุขนั่นแหละ สัญญาณบอกว่าคุณติดกับเข้าแล้วอย่างจัง

ที่ แท้แล้ว แม้แต่คนรักเองก็อาจพลิกผันเป็นทุกข์ หรือกระทั่งเป็นภัยต่อคุณได้ทุกเมื่อ ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างก็เชื่อกิเลสที่ขับดันให้งับเหยื่อล่อเฉพาะหน้า มากกว่าอย่างอื่น อยากลองรสใหม่ก็ไปมีชู้ โกรธขึ้งก็ตึงตังทุบตีกัน ไม่มีรักแท้ของใครดลใจให้คู่รักมีสติและรู้จริงอยู่เสมอ อย่างไรก็ต้องเผลอทำตามอำนาจกิเลสวันยังค่ำ

ถ้า คุณเคยหลงทำบุญใหญ่กับเขาหรือเธอ แม้ทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นอยากฆ่ากัน สุดท้ายบุญเก่าก็บันดาลให้รู้สึกว่าทิ้งกันไม่ลงอยู่ดี อย่างนี้พอจะทำให้คุณรู้สึกถึงความเป็นกับดักได้ชัดขึ้นไหม?

แล้ว การทำบุญร่วมกันก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องทำกับคนเดียวนะครับ เจอกี่คนคุณก็ทำด้วยหมดนั่นแหละ จะมากหรือน้อยเท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นไปได้ที่จะอธิษฐานมั่ว ขอสองเราจงติดตามกันไปจนชั่วฟ้าดินดับ เกิดเท่าไรเจอเท่านั้น ถ้าชาติไหนเจอคู่สัญญาเก่าเข้ามาทวงพร้อมกัน คุณก็ต้องเป็นทุกข์ล่ะว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับใครดี ชาตินั้นๆจะกลายเป็นสนาม ‘แข่งบุญเก่า’ กันโดยไม่มีผู้เข้าแข่งขันรายใดรู้ตัว

ถ้า สักชาติหนึ่งคุณเคยเป็นชายวาสนาน้อย หาผู้หญิงมาชอบไม่ได้ แล้วเกิดเลื่อมใสในการทำบุญ ตลอดชีวิตทำบุญด้วยเจตนาขอมีสาวเยอะๆไปทุกชาติ ผลของบุญจะทำให้เกิดใหม่เตะตาเตะใจสาว ต่อให้ไม่หล่อ ก็มีกลิ่นกายในแบบยั่วสาวให้เกิดอารมณ์ได้ หรือมีเสน่ห์ลึกลับอันยากจะอธิบาย เอาเป็นว่าดึงดูดสาวได้มากมายเหมือนขุนแผน ซึ่งก็ไม่ใช่มีแต่ดีนะครับ เพราะต่อให้เบื่อหน่ายกามหลากสีสัน อยากหยุดเพื่อจริงใจกับใครสักคน ใจคุณก็จะไม่ยอมลง ด้วยความติดใจและต้องการลิ้มรสหวานของสาวหน้าใหม่ร่ำไป ซึ่งถ้าดวงไม่ดี รักจะเป็นนักดาบฟันดะไม่เลือกหน้านานเข้า ก็อาจเจอฟันกลับด้วยดาบของจริงเข้าให้สักวัน

เซ็กซ์ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในชีวิตคู่ ถ้าไม่ถึงใจก็ทำให้คนส่วนใหญ่หน่ายแหนง บางครั้งเหตุของความไม่ถึงใจอาจเกิดจากความไม่ต้องตากับรูปพรรณสัณฐานของคู่ ขา แต่บางครั้งก็เกิดจากการที่เคยเป็นญาติกันในชาติใกล้ ทำไปทำมารู้สึกไม่ดี เหมือนมีความสัมพันธ์ผิดๆอยู่กับพี่น้องตัวเอง หรือหนักกว่านั้นคือเหมือนพ่อแม่ลูก ต่อให้เอาไปให้จิตแพทย์วินิจฉัยอย่างไร ก็ไม่มีวันเจอต้นตอของความผิดปกติทางจิต เพราะจิตแพทย์เองก็ระลึกชาติไม่ได้เหมือนกัน

ถ้า คู่ของคุณพลาดไปทำบาปอะไรเข้า แม้คุณอยู่ดีๆ ก็ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ไปโกงแชร์ชาวบ้านไว้ เวลาชาวบ้านแห่มาที่บ้าน เขาก็ต้องชี้หน้าด่าคุณด้วย หาว่าผัวเมียกันอย่างไรก็ต้องรู้เห็นเป็นใจวันยังค่ำ จะมาปฏิเสธเป็นคนอื่นคนไกลไม่ได้

คุณไม่มีทาง รู้ได้เลยนะครับ ว่าคนรักของคุณเคยก่อเรื่องไว้ที่ไหนบ้าง และจะก่อเรื่องเข้าให้อีกเมื่อไร ลากให้คุณต้องพลอยฟ้าพลอยฝนรับผลกระทบเพียงใด ตอนยังไม่โดนก็อาจบอกว่าไม่กลัว ในเมื่อรักจริงเสียอย่าง แต่พอโดนขึ้นมาถ้าหนักหนาสาหัสก็ร้องโอ้กเป็นวัวถูกเชือดกันทุกราย

การ เกิดเป็นมนุษย์นั้น ไม่ได้หมายถึงความมีอิสระที่จะเลือกคู่โดยไม่มีสายตาอื่นคอยดูอยู่ เวลาคุณคิด คุณจะคิดว่าตัวเองอุตส่าห์ตั้งใจจริงกับคนรักเพียงใด แต่เวลาพ่อแม่ของคนรักมอง พวกเขาจะมองว่าคุณสามารถดูแลลูกของพวกเขาได้แค่ไหน หากไม่พอใจ คุณก็อาจอด หรือไม่ก็ต้องพาหนีให้เป็นที่รู้สึกผิด รู้สึกบาดหมางกันต่อไป

แล้ว ตอนเลือก คุณจะเลือกด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ใช่ว่าพอแต่งแล้วเหตุผลอันนั้นจะอยู่ช่วยเป็นเสาค้ำเรือนหอให้มั่นคงคู่ฟ้า ดินเสมอไป สมมุติว่าคุณเลือกผู้หญิงคนหนึ่งเพราะเธอเป็นนางงามจักรวาล คุณก็อาจได้พบสัจธรรมหลังแต่งงาน ว่าผู้หญิงบางคนพอท้องโย้ขึ้นมาจะหน้าแก่ลงทันที และไม่กลับสาวขึ้นมาใหม่อีกเลย ถ้าบังเอิญผู้หญิงที่ว่ามาลงแจ็คพอตเอากับคุณ คุณจะได้แต่บ่นไปจนชั่วชีวิตว่าทีบางคนทำไมลูกสองแล้วยังเต่งตึงไฉไลราวกับ สาวแรกรุ่น นี่แหละ! คุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าจะเจอแบบไหน

หาก โชคดีอยู่กันยืดถึงขั้นถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ภาวะคู่จะไม่ใช่แค่ ‘ภาวะอะไรอย่างหนึ่ง’ แต่เป็น ‘ชีวิต’ อีกแบบที่อาศัยคนสองคนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจุดสุดท้ายเมื่อมัจจุราชมาริบเอาคนๆหนึ่งออกไป ก็เท่ากับ ‘ชีวิต’ แบบนั้นหายไปด้วย เมื่อชีวิตแบบนั้นไม่มีอีกแล้ว คุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองตายตาม คล้ายหมดเรี่ยวแรง หมดกำลังจะอยู่ต่อ ที่ยังเห็นอยู่เป็นแค่ซากของอีกซีกชีวิตที่รอเวลาตรอมใจเพื่อวางวายตาม

ใน อีกทางหนึ่ง แม้สะสมความรักมาหลายสิบปี แต่ก่อนตายถ้าพลาดพลั้งไปมีความน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วทวีขึ้นเป็นความอาฆาตแค้นก่อนจิตดับ อย่างนี้ก็ซวยเลยครับ เพราะจิตก่อนดับมีความหนักแน่นมาก สามารถเป็นหัวขบวนรถจักรฉุดลากไปสู่ภูมิต่ำหรือภูมิสูงก็ได้ หากหัวจักรนั้นสร้างขึ้นด้วยโทสะ ก็ย่อมเข้าสู่อบายภูมิอันมีความเร่าร้อนสอดคล้องกัน และเมื่อเข้าสู่อบายภูมิด้วยเหตุคือคนรัก ก็ย่อมกลายเป็นปมความรู้สึกร้ายๆต่อกัน ฝังแน่นไปอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ อย่างนี้เหมือนอุตส่าห์เล่นหมากรุกดีมาทุกตา แต่ดันพลาดท่าเสียทีแค่ตาเดียวตอนใกล้จบเกม จากชนะใสๆก็กลายเป็นแพ้แบบตะลึงโลกไปได้

ยิ่ง กว่าความไม่รู้เกี่ยวกับคนรัก ยังมีใครต่อใครในชีวิตที่คุณจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นจำนวนเท่าไร พากันรอหยิบยื่นเรื่องน่าแปลกใจให้คุณไม่เว้นแต่ละวัน แต่ละคนเต็มไปด้วยเรื่องที่คุณไม่เข้าใจ ไม่รู้เห็น เช่นเดียวกับความลึกลับของแผ่นดินแผ่นฟ้า ดวงดาวและจักรวาล จนกระทั่งถึงยอดสุดของความน่าประหลาดใจ นั่นคือ…

ความมีตัวคุณ!

ธรรมชาติ โกหกหลอกลวงให้คุณเชื่อว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากพ่อแม่ โดยบีบให้มนุษย์เห็นได้แค่นั้น กี่คนๆเกิดมาก็ด้วยวิธีออกจากท้องพ่อท้องแม่เท่านั้น ไม่เห็นจะมีกระบวนการอื่นใดก่อนหน้าเลย

ความ จริงกระบวนการปฏิสนธิมีอะไรมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น และลึกลับเกินกว่าวิทยาการล้ำยุคอันใดจะตรวจสอบ คุณไม่ได้เป็นแค่ผลผลิตของพ่อแม่ แต่ยังเป็นทายาทรับกรรมที่ตัวตนเก่าสร้างเอาไว้ด้วย บุญจะสร้างวิญญาณระดับสูงพอจะหยั่งลงในครรภ์มารดา และนั่นก็เป็นจังหวะที่วิทยาศาสตร์รู้กันว่าอสุจิผสมกับไข่สุกได้ แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ก็คือหากปราศจากวิญญาณหยั่งลงมา ก็ไม่มีทางที่อสุจิจะผสมกับไข่ได้ตัวอ่อนขึ้นมาเลย แม้จะพยายามใช้เทคนิคมหัศจรรย์ปานไหนก็ตาม

และที่สุดของความไม่รู้ คือ ความมีตัวคุณเช่นนี้ น่าพอใจหรือน่าหน่ายแหนงกันแน่!

ข้อ สุดท้ายอันเป็นที่สุดนี้ ถ้ามีหลักเกณฑ์ชัดเจนเสียหน่อยก็คงทราบครับ แต่ถ้าวัดเอาตามความพอใจ ตามอารมณ์ และตามความไม่รู้เรื่องเงื่อนไขของการเวียนว่ายตายเกิด คนส่วนใหญ่จะบอกว่าชีวิตเป็นของน่าพอใจ นั่นก็เพราะภพมนุษย์เป็น สุคติภูมิ มีความน่าพอใจอยู่มาก แต่หากได้รู้ว่าพวกเรามีสิทธิ์ร่วงหล่นลงไปเป็นสัตว์เดรัจฉานด้วยความรู้ เท่าไม่ถึงการณ์ ความน่าพอใจของการเวียนว่ายตายเกิดจะลดระดับลงอย่างฮวบฮาบทันที!

สรุป คือการไม่รู้ว่าคนรักเป็นกับดักให้ติดอยู่ในวังวนเกิดตาย เป็นเหยื่อล่อให้แหวกว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ เลือกไม่ได้ และไม่อยากรับรู้อะไรมากไปกว่าจะอยู่กับคนรักให้ได้ นั่นแหละที่ทำให้คุณได้ชื่อว่า ‘อยู่กับความไม่รู้มากกว่าอยู่กับคนรัก’
ผลข้างเคียงของบุญเก่าอันใหญ่โต
คือการมีความพรักพร้อม
จะทำบาปใหม่ได้หนักยิ่ง

มา เห็นกันให้ถึงกึ๋นกันตั้งแต่รากเหง้าเลยดีกว่า ความเหงาทำให้คุณอยากมีคนรัก การอยากเป็นที่สนใจของคนรักทำให้คุณอยากมีเสน่ห์ ความอยากมีเสน่ห์บีบให้คุณต้องทำบุญ เพราะแลไปมีแต่บุญเท่านั้น ที่เป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดของเสน่ห์ทุกชนิด

ถ้า ตลอดชีวิตของคุณได้บริจาคทานอย่างสม่ำเสมอ แถมเป็นทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสในการให้ พลังบุญจะบันดาลให้เกิดใหม่มีผิวพรรณงามเลิศ สวยหล่อสมกับเพศ กับทั้งมีความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขเป็นบารมีติดตัว

แล้ว ดูตามจริงเถอะครับ คนที่หล่อ สวย รวย เก่ง ครบสูตรนั้น คุณเห็นใครดีมาแต่เกิดบ้าง? ส่วนใหญ่จะหลงตัว และอาศัยคุณสมบัติล้ำเลิศที่ตนมีเพื่อการหลอกใช้คนอื่น หลงนึกว่าตนเป็นเทวดาเหนือมนุษย์ หรือไม่ก็ถางทางสู่อำนาจด้วยวิถีทางการทำเงินผิดๆกันเกือบทั้งสิ้น

ถ้า จะเพิ่มเสน่ห์อย่างชายให้มาก ก็ต้องมีความเป็นผู้นำมากๆ พอเหลิงหรือเพลินหน่อยก็พลิกจากผู้นำเป็นเผด็จการบ้าอำนาจ หรือกระทั่งติดนิสัยไปเป็นทรราชได้เลย

เห็นไหมว่าพลิกจากบุญนิดเดียว มันกลายเป็นบาปได้ง่ายๆเลย เสน่ห์และเสนียดจึงอยู่ใกล้ตัวคุณนิดเดียว คุณ ไม่มีทางคิดดีอย่างเดียว ธรรมชาติของกิเลสมันไม่เอื้อ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนจึงต้องมีวันขึ้นวันลง มีดวงขึ้นดวงตก สลับกันตลอดศก

ที่กล่าวมาเป็นแค่ภาพ คร่าวของผลข้างเคียงแห่งบุญอันทำคนเดียวรับคนเดียวนะครับ เดี๋ยวจะฉายภาพคร่าวให้เห็นอีก ว่าผลข้างเคียงแห่งบุญอันเกิดจากการร่วมกันทำเป็นอย่างไร

คุณ ทำบุญร่วมกับใคร กิริยาที่ทำร่วมกันจะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ให้เป็นไปตามนั้น เช่น ถ้าช่วยกันคนละไม้คนละมือ เห็นพ้องต้องกัน ไม่มีความขัดกัน ก็จะเป็นเหตุให้ปรองดอง ฟังเหตุฟังผลของอีกฝ่าย กับทั้งมีความคิดไปในทางเดียวกัน ร่วมแรงร่วมใจทำอะไรก็สำเร็จเสมอ

แต่ ในทางกลับกัน หากคุณมีโอกาสร่วมบุญกับใครบ่อยๆ แล้วติดนิสัยทำบุญกันไปทะเลาะกันไป นึกว่าไม่เป็นไร ไม่มีผล แต่ที่ไหนได้ครับ ผลบุญอาจทำให้พวกคุณได้อยู่ร่วมกันในบ้านใหญ่โต ทว่าจะเป็นบ้านที่ร้อนด้วยเสียงแห่งความขัดแย้ง หรือพวกคุณอาจอยากทำธุรกิจร่วมกัน แล้วก็ขัดแข้งขัดขากันเองจนบริษัทไปไม่รอด

ยิ่งบุญหนักเท่าไร อิทธิพลก็ยิ่งใหญ่เท่านั้น ทั้งทางบวกและทางลบ แค่ทำบุญอย่างไม่ระวัง ไม่สำรวมต่อสถานที่ ไม่เคารพสมณะ ไม่สามัคคีกับเพื่อนร่วมบุญ ล้วนแล้วแต่ให้ผลร้ายอย่างคาดไม่ถึงทั้งสิ้น

แต่ ด้วยความไม่รู้ คุณจะนึกอยู่แต่ว่าไปทำบุญคือได้บุญ และได้เหมือนเดิมเพิ่มทุกครั้ง มันไม่ใช่เลยครับ ต้องดูใจคุณเป็นครั้งๆไปด้วย หากใจเป็นบาปขณะทำบุญ บางทีจะให้ผลร้ายเสียยิ่งกว่าตอนทำบาปตามปกติเสียอีก

แล้ว ทุกชาติที่เป็นมนุษย์อันครึ่งรู้ครึ่งหลงนี่นะครับ ส่วนใหญ่ถ้าเชื่อจะเชื่อเรื่องบุญ แต่ไม่เชื่อเรื่องบาป ฉากหน้าบางคนดูธรรมะธัมโมมาก แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความเน่าในอย่างน่าตะลึงอึ้ง เพราะพวกนี้ผูกใจอยู่แต่ว่าฉันทำดี ฉันทำบุญใหญ่ อย่างไรก็ต้องขึ้นสวรรค์ ไม่รู้เลยว่าบาปที่ก่อมีน้ำหนักขนาดไหนแล้ว

ถ้า บาปเสมอกันกับบุญ ก็กลับมาอยู่ในโลกมนุษย์แบบครึ่งหนึ่งทุกข์หนัก อีกครึ่งหนึ่งสุขมาก แต่ถ้าบาปมีกำลังเกินบุญก็จบเลย เหมือนตุ้มถ่วงที่ฉุดบอลลูนไม่ให้ขึ้นฟ้า แถมจะถลาลงเหวเอา

สรุป คือการทำบุญนั้นได้ผลเป็นความสุขความเจริญแน่ แต่ไม่เป็นหลักประกันเลยว่าคุณจะปลอดภัยไร้กังวลตลอดไป กลับจะยิ่งเสี่ยงกับการมีโอกาสทำบาปหนัก ในเมื่อถึงเวลารับผลบุญนั้น คุณหลงลืมไปหมดแล้วว่าได้อะไรอย่างนี้มาอย่างไร รู้แต่ว่ามีดี ก็ใช้ความมีดีนั้นทำเรื่องร้ายๆสนองตัณหาซะ
การเดินทางไปเรื่อยๆ คือการเสี่ยงไปเรื่อยๆ

การเดินทางชั่วนิรันดร์…

ฟัง ชวนฝันและก่อให้เกิดจินตนาการใช่ไหมครับ? โดยเฉพาะสำหรับคู่รักที่กำลังอยู่ในอารมณ์หวาน คำว่า ‘การเดินทางชั่วนิรันดร์’ คงทำให้นึกถึงเส้นทางสายยาวสู่หมู่ดาวไร้ที่สิ้นสุด

แต่ ขอโทษที แบบนั้นมันแค่จินตนาการระหว่างเป็นมนุษย์เท่านั้น ในความเป็นจริง การเดินทางเป็นอนันตกาลคือฝันร้ายชนิดต้องดิ้นไม่หยุดต่างหาก!

ภพมนุษย์เป็นเพียงสถานีให้ลง ‘เก็บเสบียง’ คุณจะมีสิทธิ์เป็นมนุษย์ได้อีกก็ต่อเมื่อเก็บเสบียงได้มากพอ มิ ฉะนั้นการเดินทางสู่หมู่ดาวในจินตนาการ จะแปรเป็นการเดินทางไปสู่ไฟนรก หรือไม่ก็กองขี้กองเยี่ยวของสัตว์เดรัจฉาน หรือไม่ก็ความลุ่มๆดอนๆของเปรต อันเป็นของจริงไปในทันที!

เมื่อคุณ เห็นหมูหมากาไก่กับตา ก็ขอให้ทราบเถิดว่านั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางท่องเที่ยวเกิดตาย พวกมันเก็บเสบียงบุญไว้ไม่พอ พอแต่เสบียงบาป เลยต้องตกต่ำไปเป็นต่างๆ ความรักความโรแมนติกแบบมนุษย์น่ะเมินเถอะ อย่างพวกหมาแมวนี่ ถึงฤดูมันก็ผสมพันธุ์กันให้เสร็จๆ ไม่มีหรอกไปดินเนอร์กลางแสงเทียน ไม่มีหรอกพิธีหมั้นหรูอลังการ ไม่มีหรอกพิธีแต่งห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูงน่าประทับใจ

และแม้แต่ความเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่การรับปากว่าคุณจะมีความสุข แล้วก็ไม่ได้ประกันว่าคุณจะพบกับความรักแสนหวานเสมอไป คุณจะมีความสุขกับการเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อเสบียงที่เตรียมไว้นั้น มีคุณภาพสูงพอด้วย!

ที่ เกิดมาตาโหล พุงโร ก้นปอด มาแต่เด็ก วันๆเจอแต่สงครามกลางเมืองหรือสมรภูมิกลางบ้าน โตขึ้นถูกเกณฑ์ไปกดขี่ใช้แรงงานเยี่ยงทาส ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากหรือหนีพ้นไปจากชีวิตเยี่ยงนั้นตลอดไป นั่นแหละครับ ตัวอย่างของการมีบุญพอจะเป็นมนุษย์ แต่คุณภาพของบุญไม่มากพอจะช่วยให้เห็นชีวิตเป็นสุขไปได้

เมื่ออัตภาพต่างๆคือการเดินทางแต่ละก้าว พวกเราก็เดินทางมาไม่รู้กี่ล้านก้าว พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้รวบรวมน้ำตาที่เคยหลั่งมาในระหว่างการเดินทางเกิดตายไม่รู้จบนี้ ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก!

บน โลกนี้คุณเห็นมนุษย์นับพันนับหมื่นล้านเหมือนล้นโลกจะแย่ แท้จริงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตแค่สปีชีส์หนึ่ง ยังไม่ได้นับหมู่สัตว์เดรัจฉานอีกหลายล้านสปีชีส์นะครับ แถมมีอัตภาพอื่นที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าอีกตั้งเท่าไร พิสดารพันลึกเกินบรรยายทั้งหลายนี้ ก็จำแนกโดยกรรมขาวกรรมดำของแต่ละเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้น

กรรมพิสดารได้แค่ไหน ผสมดีผสมร้ายได้เท่าไร อัตภาพก็พิสดารผสมดีผสมร้ายได้เท่านั้น!

การ เดินทางเวียนว่ายตายเกิดอันหาต้นหาปลายไม่ได้นี้ เราเรียกว่า ‘สังสารวัฏ’ เริ่มเค้าเงื่อนจากความไม่รู้ว่ากายใจเป็นเหยื่อล่อให้หลงยึด แล้วก่อบุญก่อบาปขึ้นจากความหลงยึดนั้น โดยมีความทะยานอยากเป็นแรงขับดันให้ทำบุญใหญ่บ้าง ก่อบาปหนักบ้าง จึงเป็นสุขบ้าง ต้องประสบทุกข์บ้าง ตามอัตภาพที่เสกขึ้นด้วยอำนาจบุญบาปนั่นเอง

กรรม เก่ามีหน้าที่วางแผนไว้หมดว่าชาติถัดมาคุณจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง วิทยาศาสตร์ระดับ DNA เริ่มเห็นมากขึ้นเรื่อยๆว่าพวกเราถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าจะเกิดมามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร มีแนวโน้มจะเกิดอุบัติเหตุถี่บ่อยแค่ไหน และกระทั่งมีสิทธิ์ตายดีหรือตายร้ายด้วยโรคมะเร็งหรือโรคชราเมื่ออายุเท่าไร

กรรมใหม่ก็คือการโต้ตอบกับผลของกรรมเก่า คุณตัดสินใจทำอะไรไปแต่ละอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นตัวกำหนดเส้นทางใหม่ในอนาคตทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเดินทางไปเรื่อยๆนั้น ที่จะเลี่ยงหลบนรกมิใช่วิสัย เพราะอย่างไรก็ต้องพลาดท่า ต้องหลงทำบาปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ระแคะระคายเลยว่ามีสิ่งใดเป็นผลตอบแทนของบาปนั้น

กรรมนั่นเองคือพร กรรมนั่นเองคือคำสาป
กรรม…
ทำเอง รับเอง
ไม่รู้เอง เสี่ยงเอง

สรุป แล้ว จนกว่าจะรู้วิธีหยุดเดินทาง คุณต้องเวียนวนอยู่กับหนทางแห่งพรและคำสาปจากตนเองเรื่อยไป บนความแกว่งไกวแห่งความไม่แน่นอนสารพัด!
ความรักไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่ใจทั้งดวง
เพราะหัวใจกว้างไม่ถึงคืบ
ขณะที่ดวงใจแผ่กว้างได้ครอบโลกเท่าความรัก

เกิด มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พวกเราทุกคนถูกธรรมชาติฝึกให้เห็นแก่ตัว อยากได้อะไรต้องได้ ไม่ว่าจะอยากดูดนม อยากอยู่ในอ้อมอกแม่ อยากได้ของเล่น ฯลฯ คนอื่นต้องหามาให้ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครเขาจะเหนื่อยยากขนาดไหน ไม่ต้องสนใจฟังว่าใครเขาจะอ้อนวอนให้หยุดแผดเสียงอย่างไร ฉันจะเอาของฉันเสียอย่าง ใครจะทำไม

เมื่อโต ขึ้น คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่พ้นจากแรงทะยานอยากและความเห็นแก่ตัวแบบเมื่อแรกเกิดสัก เท่าใด จะเขยิบขึ้นมานิดเดียว ก็คือความเข้าใจว่าไม่มีใครตามใจให้เราทุกอย่างเหมือนพ่อแม่เท่านั้น

ที่แน่ยิ่งกว่าอะไร คือ เราจะสนใจความอยากของตัวเองมากกว่าความทุกข์ของคนอื่นเสมอ!

รัก แท้อาจสอนให้คุณเห็นแก่ตัวน้อยลง และค่อยๆยกระดับรักให้สูงขึ้น แต่คงดีหากคิดจะยกระดับความรักด้วยตนเองโดยไม่ต้องคอยรักแท้บงการ เพราะบางครั้งรักแท้มาช้า หรือสายเกินกว่าที่คุณจะแก้ความเห็นแก่ตัวจัดเสียแล้ว

ความ รักที่สูงเหนือกว่าภาคพื้นกามารมณ์ เรียกว่าความรักแบบพรหม คือเหล่าพรหมใช้ความรักแบบนี้เป็นเครื่องกำเนิด ตลอดจนเป็นเครื่องรักษาชีวิต จิตของพวกท่านรักได้โดยไม่ต้องอาศัยกามล่อ อีกทั้งเป็นความรักไม่จำกัด ไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ เราจึงเรียกความรักแบบพรหมว่า ‘พรหมวิหาร ๔’ ซึ่งแปลตรงตัวว่า ‘เครื่องอยู่ของพรหม’

ความรักแบบพรหมจะทำให้คุณบังเกิดความเข้าใจว่า รักแท้เป็นสิ่งที่ตั้งต้นจากตัวคุณได้ ไม่ใช่ต้องรอขอความร่วมมือจากใคร

รัก แท้แบบพรหมไม่เคยตามหาตัวคุณ แต่คุณต้องไล่ล่าหามันเอาเอง และเมื่อหาเจอ คุณจะย้อนกลับมาเปรียบเทียบได้ว่ารักแบบหญิงชายอยู่ต่ำระดับกว่าเพียงใด เป็นสุขน้อยกว่ากันขนาดไหน คุณจะเห็นถนัดว่า ก็เมื่อเท้าของคนเรา จมอยู่ในโคลนตมแห่งกิเลส แล้วแสวงหาความรักกันด้วยมือที่เปื้อนโคลนตมแห่งกิเลส ความรักจะไม่เปื้อนมลทินอย่างไรได้

ต่อเมื่อมือเท้าสะอาดจากโคลนตมแห่งกิเลส นั่นเองความรักจึงอยู่ในมือได้โดยไม่เปื้อนมลทิน

รักได้โดยไม่ต้องรอความน่ารัก คือรักเหนือรัก เป็นรักในอุดมคติที่ทำได้จริง ลองมาดูเป็นข้อๆครับว่าเหล่าพรหมท่านทำกันอย่างไร
๑) มีเมตตา

เมตตา ในความรักแบบพรหม ก็คือความรู้สึกรักนั่นเอง แต่เป็นรักที่ไม่เจืออยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว มีแต่ความปรารถนาให้ใครต่อใครเป็นสุข ซึ่งก็เป็นตรงข้ามกับความเกลียดชังหรือผูกใจพยาบาท อันเปรียบเสมือนไฟทางจิตที่ลุกโพลงตลอดวันตลอดคืน โดยมีหัวใจร้อนๆเป็นถ่านเชื้อเพลิง

เริ่มรัก แบบหญิงชาย คุณอาจถูกดึงดูดให้มา ‘ปรารถนาดีต่อกัน’ ด้วยเรื่องคาวๆ แต่ต่อมาเมื่อร่วมบุญ ร่วมกุศลทางกาย วาจา ใจ ก็อาจพัฒนาขึ้นเป็นความรู้สึกลึกซึ้งซึ่งไม่ต้องอิงกามารมณ์ ต่อให้แยกจากกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว ก็ยังอยากให้อีกฝ่ายมีความสุขเสมอ ห่วงใยอยู่เสมอ เรื่องแต่หนหลังที่แล้วมาจะแค้นเคืองเพียงใดก็ลืมได้หมด ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ทั้งหมด

ความเมตตาจึงเป็น เรื่องของใจล้วนๆ คุณเห็นใครมีเมตตาได้จากรังสีเยือกเย็นที่ฉายชัดจากนัยน์ตา หรือรัศมีความอบอุ่นอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากตัวให้รู้สึก

ใคร ที่ไปถึงความมีเมตตาอย่างใหญ่ ย่อมรู้สึกได้ถึงพื้นฐานความเป็นจิตที่หนักแน่นมั่นคง และแผ่รัศมีได้กว้างขึ้นเรื่อยๆ จึงเรียกว่า ‘แผ่เมตตา’ และเมื่อประคองไว้ในอาการเช่นนั้นได้นานเกิน ๕ นาที จิตจะเข้าสู่ภาวะตั้งมั่นเป็นสมาธิอย่างใหญ่ เหมือนหัวตัวหายไป เหลือแต่ความเบิกบาน ยิ้มแย้ม และขยายขอบเขตรอยยิ้มกว้างไกลไพศาล ปีติสุขเบิกบานเหมือนน้ำพุที่ฉีดซ่านไม่รู้อิ่มรู้เบื่อ

ความ แผ่ไปแห่งรักอย่างไม่เลือกหน้า ไม่มีประมาณชนิดนั้น เรียกว่า ‘อัปปมัญญาสมาบัติ’ คือเป็นฌาน จิตใหญ่เป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วยความรู้สึกรักได้โดยไม่ต้องเห็นหน้าใคร ไม่ต้องมีคน ไม่ต้องมีสัตว์มาเป็นเป้ายิงความรักใส่ จิตแผ่ไปครอบโลก ปีติสุขจึงซ่านไกลขนาดรู้สึกว่าจะเผื่อแผ่ความสุขไปถึงใครก็ได้ เป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ เป็นเทวดาหรือสัตว์นรกก็ได้
๒) มีความกรุณา

กรุณา ในความรักแบบพรหม หมายเอาความคิดจะลงมือช่วยใครต่อใครให้พ้นทุกข์ หรือที่สุขอยู่แล้วก็อยากช่วยให้สุขยิ่งๆขึ้นจนถึงความบริบูรณ์ไม่กลับไม่ เปลี่ยน ซึ่งเป็นตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัวและความตระหนี่ถี่เหนียว อันก่อความแห้งแล้งให้กับสังคมมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย

เริ่ม รักแบบหญิงชาย คุณอาจอยากได้รับความกรุณาจากอีกฝ่าย และไม่ค่อยอยากเป็นฝ่ายกรุณาเขาหรือเธอ อาจด้วยความกลัวเสียเปรียบ หรืออาจจะเห็นว่าเขาหรือเธอรักคุณมากกว่า ก็ต้องเอาใจคุณมากกว่า ทำอะไรให้คุณมากกว่า

แต่ต่อมาเมื่อร่วมบุญ ร่วมกุศลทางกาย วาจา ใจ ก็อาจพัฒนาขึ้นเป็นความอยากทำอะไรให้คนรักบ้าง อาจจะในรูปของการตอบแทน แล้วเขยิบขึ้นเป็นความหวังดี คิดริเริ่มช่วยเหลือเองโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายทำให้ก่อน รวมทั้งไม่ได้หวังจะให้คนรักมาตอบแทนในรูปแบบเดียวกันหรือรูปแบบไหนๆด้วย

ถ้า ต่อยอดพัฒนาจากกรุณาคนรักไปเป็นกรุณาสังคมผู้ด้อยโอกาส หรือกรุณาสัตว์หน้าตาน่าสงสารทั้งหลาย ก็ย่อมไปถึงความกรุณาอย่างใหญ่ สะสมไว้เป็นสิบๆปีแล้ว จิตจะแผ่กระแสเยือกเย็นโอฬาร ราวกับเป็นปราสาทราชวังให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดได้รู้สึก

ความ อยากช่วยเหลือไม่เลือกหน้า ไม่มีประมาณชนิดนั้น ถ้าตกถึงฌาน มีความเป็นหนึ่งเดียว ก็เรียกว่าเป็นอัปปมัญญาสมาบัติเช่นกัน แต่ทางเข้าของสมาบัติจะมีความยิ่งใหญ่กว่าการแผ่เมตตาเฉยๆ เนื่องจากพัฒนามาจากการสั่งสมบารมีลงมือช่วยจริง
๓) มีมุทิตา

มุทิตา ในความรักแบบพรหม คือการพลอยยินดีกับเรื่องดีของคนอื่น หมายถึงว่าเมื่อเห็นใครได้ดี มีสุข มีความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จทางโลกหรือทางธรรม ก็เกิดความแช่มชื่นโสมนัสตาม ซึ่งเป็นตรงข้ามกับความริษยา อันก่อความร้าวฉานให้กับใครต่อใครทั้งโลกมาชั่วกาลนาน

เริ่ม รักแบบหญิงชาย คุณอาจพลอยดีใจไปกับความสำเร็จหรือความเจริญก้าวหน้าของคนรัก แทบเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดีของคุณเอง เพราะหน้าตาของคุณอยู่คู่เขา เมื่อใบหน้าของเขาใหญ่ขึ้น ใบหน้าของคุณก็พลอยใหญ่ตามไปด้วย

ทว่า พอเลิกเป็นคนรักกัน ความพลอยดีใจของคุณอาจกลับเปลี่ยนเป็นหมั่นไส้ ไม่สบอารมณ์ ไม่อยากได้ยินเรื่องดีๆที่เป็นมงคลของคนรักเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ยินว่าพบคนใหม่ที่ดีกว่าคุณ ให้ความสุขได้มากกว่าที่คุณเคยให้ อันนี้อย่าว่าแต่จะพลอยยินดี แค่เอาตัวให้รอดจากการกระอักเลือดเสียก่อนก็ยากแล้ว!

ความ รักแบบพรหมจะไม่คำนึงว่าใครเคยเป็นคนรัก ใครกำลังเป็นคนชัง ขอให้เป็นคนเถอะ ขอให้เป็นสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆเถอะ ถ้าได้ดีเป็นพลอยชื่นใจด้วยได้หมด

การฝึกให้ ยินดีกับทุกคนนับเป็นเรื่องยาก เพราะความริษยาหรือความพยาบาทมักออกมาขวางหน้า ยิ่งเค้นยิ่งฝืด เหมือนจะให้เสแสร้งแกล้งยินดีที่คนรักเก่าไปได้คนใหม่ดีกว่าตนนั้น มันผิดธรรมชาติเอามาก

ทางเดียวที่คุณจะชื่นใจ ได้กับความสุขความเจริญของคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า คือต้องคอยแผ่เมตตาและกรุณามากจนเกิดสมาธิ จิตตั้งมั่น ซ่านปีติสุขเยือกเย็นได้โดยไม่ต้องมีใบหน้าใครเป็นเครื่องเหนี่ยวนำ ทำได้อย่างนั้นธรรมชาติของใจคุณถึงจะต่างจากเดิม จิตของคุณจะพลอยยินดีกับใครต่อใครไปเองโดยไม่ต้องฝืน เพราะสิ่ง เดียวที่จิตคุณต้องการคือความสุขในรัก ไม่อยากเสียสุขในรักให้กับกิเลสคู่ปรับ อันได้แก่ความริษยาและความพยาบาทแต่อย่างใด

ความ สามารถแช่มชื่นกับผู้อื่น เมื่อสะสมให้มากอย่างไม่เลือกหน้า ไม่มีขอบเขตประมาณแล้ว ย่อมเข้าถึงอัปปมัญญาสมาบัติได้เช่นกัน เพียงมีความโสมนัสกับเรื่องดีของใคร ใจก็หน่วงเป็นอารมณ์แห่งฌานได้แล้ว

สรุป คือสิ่งที่จะรักษาความสุขไว้ได้ ก็คือความพลอยยินดี ไม่ใช่ความริษยาพยาบาท นี่เองมุทิตาจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่พรหมต้องมี หากยังบกพร่อง หากยังมีข้อยกเว้น ก็ยังนับเป็นพรหมไม่ได้ครับ

หมาย เหตุไว้ด้วย ว่าไม่ใช่ช่วยยินดีหรือพลอยแช่มชื่นดะไปหมด เป็นต้นว่าเห็นคนยิงชู้ดับคามือ แก้แค้นสำเร็จ เลยพลอยตบมือหัวเราะร่าไปกับเขา นั่นเท่ากับคุณร่วมยินดีในการฆ่า ซึ่งก็จะได้ส่วนแห่งบาปอันเกิดจากการฆ่า ไม่ใช่มุทิตาแบบพรหมแน่นอนครับ
๔) มีอุเบกขา

อุเบกขาในความรักแบบพรหม คือการมีใจเป็นกลางกับกรรมของคนอื่น เพราะเห็นตามจริงแล้วว่าใครทำอย่างไร ย่อมได้รับผลสอดคล้องตามนั้น

โดย ทั่วไปความรักแบบหญิงชายจะไม่สอนให้คุณเป็นกลางวางเฉย เพราะเมื่อเห็นคนรักประสบทุกข์ ก็ย่อมอยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ตลอดจนทำทุกอย่างเพื่อให้คนรักพ้นความผิด แม้จะต้องเป็นคนทำผิดเสียเอง

ตรง ข้าม เมื่อเห็นคนรักเก่าประสบสุข ก็จะนึกอยากแช่งให้เจอความทุกข์เสียบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณยังคงเสียอกเสียใจกับการเลิกรากัน คุณอาจถึงขนาดอยากทำตัวเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ของเขาเสียเองเลยก็ได้

อุเบกขา แบบพรหมเกิดขึ้นได้สองระดับ ระดับแรกคือการทำความเข้าใจด้วยสติปัญญาแบบนึกคิด คือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนต่างเคยทำทั้งบุญและบาป เมื่อบุญถึงเวลาผลิดอกออกผลเต็มที่ ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดทำให้เจ้าของบุญต้องเป็นทุกข์ เช่นเดียวกับเมื่อบาปถึงเวลาเผล็ดผลเต็มกำลัง ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดทำให้เจ้าของบาปเป็นสุขไปได้เช่นกัน

ความ เข้าใจในระดับนึกคิดนั้น จะให้ผลเป็นความรู้สึกวางเฉยได้ก็ต่อเมื่อคิดบ่อย เห็นเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับใคร ถ้าช่วยได้ก็ช่วยด้วยความกรุณาแบบพรหม แต่หากช่วยไม่ได้ก็ต้องคิดวางอุเบกขาแบบพรหมว่าเป็นกรรมของเขาเช่นกัน

อีก ระดับหนึ่งที่เหนือกว่านั้น คือการหยั่งรู้เข้าไปในเรื่องของกรรมวิบากจริงๆ คือจิตเกิดอภิญญาอันมีสมาธิชั้นสูงเป็นบาทฐาน คือเมื่อเรียนรู้ไว้ก่อนว่าร่างกายเป็นผลของกรรมเก่า รูปร่างหน้าตาเป็นผลของกรรมเก่า เพศเป็นผลของกรรมเก่า ชะตากรรมทั้งหลายเป็นผลของกรรมเก่า ก็สามารถใช้จิตตรวจสอบดูความจริงอันเป็นเบื้องหลังกรรมทั้งหมดเหล่านั้น

เมื่อ จิตมีกำลังมากพอ ย่อมเกิดญาณหยั่งรู้ และพบว่ากรรมวิบากเป็นความจริง โดยจะเห็นเป็นเรื่องๆไป เช่น เมื่อพบว่าคนรักเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จู่ๆมีรถบรรทุกถลาเข้าบี้บดจนยับเยินไปทั้งคัน แทนที่จะร้องไห้คร่ำครวญ ตัดพ้อต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าทำไมไม่เห็นดูแลคนดี ผู้มีอภิญญาย่อมตรวจดูได้ด้วยตนเอง โดยหน่วงนิมิตโศกนาฏกรรมของคนรักไว้ด้วยใจ แล้วน้อมนึกว่าโศกนาฏกรรมนี้มีสิ่งใดเป็นต้นเหตุ

ด้วย ความแก่กล้าของญาณ ผู้ทรงอภิญญาก็อาจเห็นถนัดว่าคนรักเคยไปซุ่มดักฆ่าใครกลางทางเอาไว้แต่ปาง ก่อน มาชาตินี้ถึงจุดตัดของเวลาที่ต้องเสวยผลบาปนั้น จึงบันดาลให้ต้องตายอนาถกลางทาง ทั้งหมดหาใช่การกลั่นแกล้งหรือการดูดายจากภูตผีหรือเทวดาที่ไหนเลย

คุณ จะทราบด้วยญาณ ว่าปาณาติบาตหนักๆที่เคยทำไว้ มักวางแผนให้เจ้าของกรรมต้องตายด้วยอุบัติเหตุก่อนที่จะเกิดมามีเลือดเนื้อ เสียอีก ด้วยความหยั่งทราบนี้เอง คุณจึงไม่ตีโพยตีพายโวยวายกับใคร แต่จะสงสารสัตว์โลกเท่าเทียมกัน แม้แต่คนที่กำลังอยู่ดีมีสุข คุณก็จะไม่รู้สึกว่าเขา ‘เคราะห์ดี’ ไปกว่าคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายแต่อย่างใดเลย

ทุกคนโชคร้ายที่ไม่รู้เรื่องกรรมวิบากเหมือนๆกันหมด!

อุเบกขา แท้จริงระดับพรหมที่อยู่เหนือมนุษย์ ใจจึงเป็นกลาง หนักแน่นยิ่งกว่าแผ่นดิน ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ไม่ปล่อยให้ความรักหรือความเกลียดมาครอบงำได้ จิตจึงเป็นอิสระ และพร้อมจะเข้าถึงฌาน เป็นอัปปมัญญาสมาบัติได้ทุกเวลา

สำหรับ อุเบกขาที่ฝึกได้ในชีวิตคู่นี่นะครับ เอาแค่ให้ชีวิตคู่เป็น ‘สนามฝึกดัดจิต’ ก็พอแล้ว คนเราไม่เห็นตัวเองผิด เห็นแต่ตัวมีความชอบ และเห็นแต่ความผิดของคู่ครอง แล้วบางทีรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองผิด ก็จะดันทุรังงัดเหตุผลข้างๆคูๆมาบีบให้คนรักยอมรับว่าตนเองถูกให้จงได้

ที่ ผ่านมาเมื่อผิดแล้วไม่ว่าตามผิด ทำให้จิตบิดเบี้ยว ถึงตอนครองคู่ก็อาจอาศัยชีวิตคู่เป็นสนามฝึกดัดจิตให้ตรง โดยเริ่มจากการยอมลงให้กับเหตุผล ตอนแรกๆอัตตาจะยังหนา ไม่เอื้อให้อยากยอมรับ แต่เมื่อพิจารณามากเข้า ย้ำกับตัวเองมากเข้าว่าทำอย่างนี้เราผิดจริง หรือทำอย่างนั้นเรามีส่วนผิดด้วย เลิกคิดคำแก้ตัวต่างๆนานา ผ่านเดือนผ่านปีคุณจะกลายเป็นคนจิตตรง เห็นอะไรตามจริงอย่างเต็มตัว โดยไม่ต้องฝืนใจอีก

ยกระดับบุญ
คนรักจะนำมาให้คุณทั้งสุขทั้งทุกข์
แต่บุญจะนำมาให้คุณแต่ความสุขถ่ายเดียว

 

ระหว่าง ได้บุญกับได้คนรัก อันไหนดีกว่ากัน ปัญญาจะตอบว่าได้บุญดีกว่าแน่นอน เพราะเที่ยงที่บุญจะนำความสุขมาให้ ไม่ช้าก็เร็ว ส่วนคนรักนั้น ยังไม่รู้ว่าจะคุ้มดีคุ้มร้าย ให้คุณให้โทษขนาดไหน

แต่ถ้าไปถามกิเลสนะครับ ว่าระหว่างได้บุญกับได้คนรัก อันไหนดีกว่า กิเลสจะตอบทันทีว่าได้คนรักสิดีกว่า!

กิเลสน่ะ ไม่ช่วยให้คุณกลัวความทุกข์หรอกครับ มันจะขับดันให้คุณละโมบอยากเขมือบสุขท่าเดียว!

อัน นี้ต้องมาตีข้อเด่นของบุญให้โด่งขึ้นชัดๆหลายๆหน ถึงจะเปรียบเทียบได้เกิดความเข้าใจอันดีเช่น ถามว่าถ้าคุณรักและเป็นห่วงใคร อยากปกป้องใคร คุณควรทำเช่นไรจึงเป็นผลดีกับเขาหรือเธอมากที่สุด?

จากความจริงที่คุณไม่อาจตามดูแลใครให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวเต็มปากเต็มคำว่า ‘รักแท้ช่วยไม่ได้’

รักแท้ช่วยให้ใครเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่ความละอายต่อบาปช่วยได้

รักแท้ช่วยให้ใครมั่งมีศรีสุขอย่างเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ แต่ทานบารมีช่วยได้

รักแท้ช่วยให้ใครปราศจากภัยเวรไม่ได้ แต่ศีลบารมีช่วยได้

รักแท้ช่วยให้ใครเป็นอมตะไม่ได้ แต่การมีสติตื่นรู้สัจจะความจริงขั้นสูงสุดช่วยได้

บุญ เท่านั้นที่ตามไปเป็นสมบัติ เป็นพี่เลี้ยงดูแล เป็นบอดี้การ์ด เป็นพยาบาล เป็นผู้ช่วยสารพัด ตลอดจนเป็นผู้บันดาลความเป็นอมตะได้ กล่าวโดยรวมคือมีแต่บุญเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงให้กับคนรักของคุณ ไม่ใช่ตัวคุณ และไม่ใช่รักแท้แต่อย่างใด!

 
มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดด้วย ถึงจะคิดทำบุญได้!

 

บาง คนรักเมียมาก อุตส่าห์หาซื้อเครื่องช็อตไฟฟ้าให้เมียไว้ป้องกันตัว ซึ่งถ้าจวนตัวหน้าสิ่วหน้าขวานขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้จะหยิบทันหรือเปล่า ไม่รู้จะใช้เป็นหรือเปล่า ไม่รู้จะโดนโจรล็อกคอก่อนหรือเปล่า หรือหนักกว่านั้นคือไม่รู้จะลืมไว้ที่บ้านหรือเปล่า

แต่ ถ้ามอบความเข้าใจในการสร้างบุญให้เมีย เธอจะมีปราการแก้วคุ้มครองตนเองตลอดไป ด้วยบุญ เธอจะไม่อยู่บนเส้นทางเจอโจร ถึงเจอก็มีเหตุให้แคล้วคลาด ถึงไม่แคล้วคลาดก็มีเหตุให้โจรใจอ่อน ถึงไม่มีเหตุให้โจรใจอ่อนเธอก็ไม่ถูกทำร้าย ถึงถูกทำร้ายเธอก็ไม่ตาย ถึงตายเธอก็ได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ ไม่ต้องร่วงหล่นลงต่ำด้วยเหตุคือโทสะหรือพยาบาท

เข้าใจเรื่องบุญ ก็คือเข้าใจเรื่องสร้างที่พึ่ง และความเข้าใจเรื่องบุญ ก็ใช้เงินซื้อไม่ได้!

บน เส้นทางไร้ต้นไร้ปลาย เกิดตายเป็นอนันตชาตินี้ ไม่เคยมีการสั่งสมการเรียนรู้ มีแต่การสั่งสมบุญ หมายความว่าจะเกิดกี่ล้านครั้ง ต้องทนทุกข์ทรมานกี่ล้านหน ถ้าเกิดใหม่ลืมหมด ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สูญเปล่า ไม่ทำให้เข็ดหลาบ ไม่ทำให้เพียรอยากหาทางหยุดเกิดตายด้วยตนเอง คุณต้องสั่งสมบุญใน ทางสายปัญญา เพราะบุญเท่านั้นที่สะสมได้ ผลักดันให้คุณเล็งหาประโยชน์สูงสุดได้ซึ่งนั่นก็คือหยุดหลงผิดคิดว่ากอง ทุกข์เป็นของดี กองทุกข์เป็นสมบัติของคุณเสียที

การทำบุญคือการขนเอาความตระหนี่ ความโลภ ความโกรธ และความหลงสำคัญผิดต่างๆออกจากตัว ถ้าทำบุญโดยหวังอะไรเข้าตัว ก็แปลว่าคุณลืมสละความโลภ บุญที่ลืมสละความโลภ ไม่ถือเป็นบุญสายปัญญา

ยก ตัวอย่างนะครับ ถ้าทำบุญอย่างคนโลภ ก็มักอธิษฐานว่าขอให้บุญนี้จงส่งแฟนมาให้ฉันเร็วๆ ซึ่งอำนาจบุญใหญ่อาจส่งมาจริงๆ แต่เป็นแฟนประเภทผ่านมาชิม ไม่ใช่เข้ามาเพื่อครองคู่อยู่ร่วมกัน เพราะจะครองคู่ให้หายเหงาไปทั้งชาตินั้น ต้องการปัจจัยเท่าบ่อน้ำ หรือทะเล หรือมหาสมุทร ไม่ใช่แค่เท่ากระป๋องนม!

แต่ ถ้าทำบุญอย่างคนฉลาด คุณจะสำรวจใจตัวเองว่ายังโลภอยากได้อะไรเกินตัวไหม ยังคิดพยาบาทมาดร้ายใครอยู่ไหม ยังหดหู่ท้อแท้ไหม ยังฟุ้งซ่านจัดไหม ยังสงสัยในกุศลผลบุญไหม เมื่อสำรวจพบว่าใจหลังทำบุญเสร็จยังคงมี มลทินอันใด ก็ขอให้ความสว่าง ความแช่มชื่นแห่งบุญ จงเป็นน้ำสะอาดล้างมลทินอย่างนั้นๆด้วยเถิด

ผู้ มีจิตสะอาดปราศจากมลทินปนเปื้อนนะครับ ต่อให้ไม่อธิษฐานขอคนรัก ก็จะเป็นที่รักของคนจำนวนมาก เพราะคนจำนวนมากเหม็นเบื่อความสกปรกของตนเองเต็มทน อยากได้น้ำดีชะล้างความหมักหมมเสียบ้าง ซึ่งถ้ากระแสของใจคุณสะอาดพอ ผู้คนก็อยากมาอาศัยอาบรดกันอยู่แล้ว

คน เราทำบุญได้ ๓ ระดับ คือ ทาน ศีล และภาวนา เรียงตามลำดับจากต่ำไปหาสูง เหมือนบันไดขั้นแรกที่พาไปหาบันไดขั้นถัดๆไป มีรายละเอียดดังนี้ครับ
๑) ทาน

ทาน คือการให้ ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารสัตว์ ให้ของคนยากจน ตลอดจนถวายข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตแด่สงฆ์ ล้วนเรียกว่าทานทั้งสิ้น

ที่ ชาวพุทธนิยมทำสังฆทาน เพราะเป็นทานขั้นสูงสุดสำหรับคนทั่วไปเท่าที่จะทำได้ ความจริงยังมีทานสูงกว่านั้นอีก คือการให้ธรรมเป็นทาน หมายถึงการให้ปัญญา ชี้แนะแนวทางให้ผู้อื่นเห็นถูกเห็นชอบในกรรมวิบากและทางพ้นทุกข์ แม้สังฆทานที่มีหนังสือธรรมปฏิบัติสำหรับพระ ก็จัดเป็นมหาธรรมทานได้เช่นกัน

เมื่อ ทำบุญโดยการให้ทาน สิ่งที่คุณควรอธิษฐานหวังผล และเห็นผลได้ทันใจ ได้แก่การขอให้ความท้อหายไปและกำลังใจคืนมา ความฟุ้งซ่านเบาลงและมีความเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น ความเคลือบแคลงในผลแห่งบุญหมดสิ้นไปและมีใจมั่นคงในการทำบุญให้ก้าวหน้า ยิ่งๆขึ้นไป

ที่ต้องหวังความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ก็เพราะ แม้ทานเป็นประกันว่าคุณจะมีความสุขอันเกิดจากการให้ แต่ไม่ได้ประกันว่าจิตของคุณจะสะอาดน่าสบายใจสักแค่ไหน

เพื่อประกันว่าจิตจะสะอาดน่าสบายใจ คุณต้องทำบุญขั้นกลางซึ่งเหนือกว่าการทำทาน นั่นคือการรักษาศีลครับ
๒) ศีล

ศีล คือการรักษากายและวาจามิให้เป็นที่เบียดเบียนกัน คือต่อให้ใจคิดเบียดเบียนก็ห้ามไว้ อย่าให้ถึงขั้นลงมือลงไม้ หรือกระทั่งพ่นพิษอันใดออกไปทางปาก

การรักษาศีลถือเป็นการสละความเห็นแก่ตัว เพราะ…

ไม่ฆ่าแม้ถูกยั่วยุให้ฆ่าในนามของความคับแค้น

ไม่ขโมยแม้ถูกล่อใจว่ามีสิทธิ์ขโมยโดยไม่มีใครรู้

ไม่ลักลอบเป็นชู้แม้สบโอกาสเป็นชู้ในที่ลับหูลับตาทุกคน

ไม่โกหกทั้งรู้ว่าถ้าไม่โกหกก็จะอดได้ในสิ่งที่ปรารถนา

ไม่เสพสุรายาเมาแม้การเสพสุรายาเมาคือการสนุกแบบไม่ต้องยั้งมาก

จะ เห็นว่าเหล่านี้เป็นการสละความเห็นแก่ได้ สละอาการเอาเข้าตัวทั้งนั้น เมื่อตั้งใจงดเว้นพฤติกรรมผิดๆแล้วเว้นได้สำเร็จจริง ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น จึงควรได้ชื่อว่าเป็นผู้ลดความเห็นแก่ตัวลงแล้วอย่างแท้จริง

หาก ถือศีลได้สะอาด ชนะขาดในการต่อสู้กับสิ่งยั่วยุ คุณควรอธิษฐานหวังผลได้ทันใจ ได้แก่การขอให้ราคะผิดๆจงอ่อนกำลังลง ขอให้ความอาฆาตพยาบาททั้งหลายจงหลุดล่อนออกจากใจไปทีละน้อย และขอให้ความฟุ้งซ่านไปในเรื่องผิดทั้งหลายจงสงบระงับลง กลายเป็นผู้มีสมาธิตั้งมั่น ด้วยธรรมชาติของจิตที่ปราศจากการละเมิดศีล

เมื่อไม่ละเมิดศีล ย่อมได้ชื่อว่าละเหตุแห่งความเดือดร้อนกระวนกระวาย อย่างไรก็ตาม แม้ศีลเป็นประกันว่าคุณจะมีความสะอาดทางใจ แต่ไม่ได้ประกันว่าจิตของคุณจะหนีความทุกข์ได้พ้น

เพื่อประกันว่าคุณจะหมดทุกข์หมดโศก เป็นอิสระหายห่วงได้จริง คุณต้องทำบุญขั้นสูงซึ่งเหนือกว่าการรักษาศีล นั่นคือรู้วิธี "ทำใจ" ให้เท่าทันความจริงทั้งหลาย ที่กำลังปรากฏอยู่ทั้งภายนอกและภายใน
๓) ภาวนา

ภาวนา คือการทำสติให้เจริญขึ้น และที่ต้องทำให้เจริญขึ้นก็เพราะพวกเรากำลังหลับอยู่ทั้งลืมตา หลงสำคัญผิด ยึดมั่นผิดๆไปต่างๆนานา เช่น…

เรา หลงสำคัญไปว่ากายนี้จะเต่งตึงตลอดไป เมื่อกายเหี่ยวย่นลง ใจย่อมเหี่ยวแห้งเป็นทุกข์ตาม ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้ลมหายใจก็ต้องเปลี่ยน แม้อิริยาบถก็ต้องเปลี่ยน อะไรๆในกายต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่สักอย่าง เมื่อนั้นจึงคลายความหลงยึดมั่นผิดๆในกายเสียได้

เรา หลงสำคัญไปว่าความสุขเป็นสิ่งที่เกิดแล้วเกิดเลย เมื่อความสุขเปลี่ยนไปเป็นทุกข์ เราก็ยึดทุกข์แทน นึกว่ามันจะไม่หายทุกข์อีกแล้ว ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงเข้ามาในตัวว่าแม้สุขที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ก็มีขึ้นมีลง เดี๋ยวสุขมากบ้าง เดี๋ยวสุขน้อยบ้าง เดี๋ยวทุกข์มากบ้าง เดี๋ยวทุกข์น้อยบ้าง เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าสุขทุกข์เป็นของติดตัวติดใจตลอดไปเสียได้ ขึ้นอยู่กับจะมีสิ่งใดมากระทบเท่านั้น

เรา หลงสำคัญไปว่าความทรงจำต้องฝังอยู่ในหัวตลอดไป เมื่อนึกไม่ออก ระลึกไม่ได้ เราก็ขัดเคืองตัวเอง ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าความทรงจำจะแม่นหรือไม่แม่น ขึ้นอยู่กับแรงประทับลงมาในใจ ถ้าแรงมากก็จำแม่น ถ้าแรงน้อยก็ลืมเร็ว แล้วก็ขึ้นอยู่กับความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของสังขารด้วย ระบบความจำเป็นเรื่องซับซ้อนและไม่เป็นไปตามอำนาจการควบคุมของใคร เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าความจำต้องดีตลอดเสียได้

เรา หลงสำคัญไปว่าความคิดอ่านและเจตนาคือตัวเรา ต่อเมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์มากขึ้น เราก็พบว่าความคิดอ่านของเราแตกต่าง เจตนาดีกลายเป็นร้าย เจตนาร้ายกลับเป็นดี พลิกผันกลับกลอกได้ตลอดเวลา ทั้งที่เราก็ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้น ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้ความรู้สึกนึกคิดในแต่ละขณะ ก็ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกร่วมปรุงแต่งเป็นขณะๆ เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าความนึกคิดเป็นตัวเราเสียได้

เรา หลงสำคัญไปว่ามีจิตเป็นของเรา มีจิตของเราเป็นผู้รับรู้โลก และจิตนี้เป็นอมตะ ไม่ตายไปตามตัว ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้แต่การรับรู้ทางหูตายามตื่น หรือกระทั่งการรับรู้นิมิตฝันยามหลับ ต่างก็เป็นเพียงการรับรู้ชั่วขณะ รู้สิ่งหนึ่งแล้วหมุนเวียนเปลี่ยนไปรู้อีกสิ่งหนึ่ง เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริงว่าจิตเกิดดับตลอดวันตลอดคืน คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าจิตเป็นบุคคล หรือมีบุคคลอยู่ในจิตเสียได้

เมื่อตัดสินใจว่าจะเจริญสติไปเรื่อยๆ กับทั้งทำสติให้เจริญขึ้นได้สำเร็จจริงๆ คุณไม่ต้องอธิษฐานหวังผลใดๆ ผลก็เกิดขึ้นให้ประจักษ์ใจในปัจจุบัน

คุณจะเป็นผู้มีสติอยู่เสมอๆ ไม่ขาดสติเป็นคนเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่านเก่งเหมือนแต่ก่อน

คุณ จะรับมือกับความทุกข์ได้เกือบทุกสถานการณ์ เพราะสติเต็มตัวจะทำให้รู้สึกกับชีวิตด้วยอีกมุมมองหนึ่ง ที่ต่างไปเป็นคนละมิติ แม้ความทุกข์ก็ถูกรู้ว่าเป็นแค่สภาวะชั่วคราว ไม่ใช่ของจริงแท้ถาวร ใจคุณจึงลดแรงดิ้นรนลง ไม่กระสับกระส่ายเกินเหตุดังเคย

คุณ จะรู้สึกถึงความเป็นเหตุเป็นผลของกายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมีความยุติธรรมและสมบูรณ์แบบอยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีใครได้อะไรมาเปล่าๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครได้อะไรมาจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุที่ทำไว้ในอดีตและปัจจุบัน เมื่อต้นเหตุหมดกำลังส่ง สิ่งที่มีอยู่ก็หายไปหมด เราจะชอบหรือไม่ชอบ เสียดายหรืออยากทิ้งขว้าง อย่างไรก็ต้องถึงจุดยุติเข้าสักวัน

คุณจะพบว่าบนเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ จำเป็นต้องอ่านและฟังให้มาก และคุณจะรู้สึกว่ารู้มากตอนเริ่มต้น รู้น้อยลงเมื่อศึกษาลึกขึ้น แล้วที่สุดจะไม่นับว่ารู้อะไรเลย หากยังไม่รู้สึกตัวอยู่กับกายใจในบัดนี้

คุณ จะตระหนัก พบรักแท้ว่ายากแล้ว เหมือนโชคดีเหลือเกินแล้ว แต่ความจริงคือพบทางพ้นทุกข์นั้นยากกว่า และโชคดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะความรักเป็นสิ่งที่เจืออยู่ด้วยความว้าวุ่น และต้องยุติลงด้วยการจากเป็นหรือจากตาย แต่ความพ้นทุกข์มีแต่ความสงบที่เต็มบริบูรณ์ กับทั้งเป็นอมตะอย่างแท้จริง ไม่มีการพรากจากอีกเลย

คุณ จะเปรียบเทียบเห็นได้ถนัดชัด ว่าความรักบังคับให้คุณต้องรอการพิพากษาจากคนที่คุณรักว่าจะเอาด้วยหรือไม่ แต่ความพ้นทุกข์มีตัวคุณคนเดียวเลือกเอง ตัดสินเอง ดุจเดียวกับการตัดสินใจเลือกว่าจะถ่มเสลดในปากทิ้งเสียทีไหม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคุณล้วนๆ

คุณ จะเล็งเห็นว่าบนเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ คุณไม่จำเป็นต้องง้อใครให้มาเคียงข้างเป็นกำลังใจ ขอเพียงคุณหนักแน่น สามารถเป็นกำลังใจให้ตนเอง ก็อาจเดินเดี่ยวได้ตั้งแต่ต้นจนสุดสาย

คุณ จะย้อนกลับมาเห็นว่ารักแท้เป็นเพียงอีกสิ่งหนึ่งที่ลวงโลกให้สำคัญผิด คิดว่าคุณได้ คิดว่าคุณเสีย แท้จริงคุณไม่เคยได้หรือเสียอะไร เหมือนต่อให้ฝึกฝันร่วมกันสำเร็จ ตื่นขึ้นมาพวกคุณก็จะไม่รู้สึกว่าจะจับฉวยสิ่งใดในฝันไว้เป็นสมบัติได้ โลกความจริงก็เช่นนั้น แม้นานกว่าฝัน ดูจับต้องได้มากกว่าฝัน แต่ก็ไม่ต่างจากฝัน ตรงที่มันต้องเลอะเลือนไป เสื่อมสลายหายสูญไป ก็เมื่อสิ่งใดต้องเลอะเลือนแล้วสาบสูญไป คุณควรอ้างหรือว่าครั้งหนึ่งจับคว้ามันไว้ครองได้? มันนานกว่าคว้าลมก็จริง แต่สาระแก่นสารมันต่างอะไรจากคว้าลมเล่า?

คุณ อาจระลึกชาติได้ หลังจากฝึกรู้ได้แจ่มชัดพอ จนเห็นว่ากายใจนี้ก็เป็นเพียงชาติหนึ่ง ยังมีกายใจก่อนหน้าเรียงเป็นตับ คุณจะพบว่าแต่ละกายใจเป็นเหตุผลของกันและกัน เป็นที่มาที่ไป ในแบบคลี่คลายจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่งอย่างสืบเนื่อง

คุณ จะรู้ซึ้งว่าใครที่ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกทำทารุณ ถูกอุบัติภัยพรากคนในครอบครัวให้เหลือตัวคนเดียว ก็ไม่ได้น่าสงสารมากไปกว่าตัวคุณและคนรักเลยสักนิดเดียว เพราะคุณและคนรักก็ถูกอวิชชาลากไปลากมา ขึ้นสวรรค์ลงนรก ถูกมัจจุราชพรากไปจากเหล่าบุคคลที่รัก นับครั้งนับหนไม่ถ้วน บนเส้นทางวิบากกันดารนี้

คุณ จะเห็นเป็นภาพรวม ว่าชาติก่อนๆคุณก็สำคัญผิดเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ วินาทีหนึ่งๆ เหมือนไม่น่าสงสัยเลยว่าตัวเองเป็นใคร แล้วก็เชื่อมั่นว่านี่เป็นตัวคุณ ต้องใช่แน่ๆ ไม่มีตัวอื่น ทั้งที่จริงมีกายใจเกิดตายสืบเนื่องกันยิ่งกว่าขบวนมดปลวก แต่ละหน้าตา แต่ละอัตภาพ แต่ละชื่อแซ่ แต่ละความรู้สึก ไม่ซ้ำแบบกันเลย คุณอาจเคยเป็นคนแบบเดียวกับที่กำลังเกลียดอยู่เดี๋ยวนี้ หรืออาจเคยเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักหนา ทว่าอัตภาพเหล่านั้นก็สูญสลายไปหมด ถูกหลงลืมไปหมด และคลี่คลายกลายมาเป็น ‘ตัวนี้’ ที่จำอะไรเกี่ยวกับอดีตชาติไม่ได้เลย

คุณ จะเห็นว่าคู่รักเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะคู่ของคุณหรือคู่ของคนอื่น ไม่มีใครเป็นคู่ใครจริงชนิดไม่แยกจากกันตลอดไป และพวกเขาก็ตกอยู่ในวังวนแห่งความเกิดตายอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนๆกับ คุณ กามและบุญบาปอันเคยทำร่วมกัน ดึงดูดให้มาพบกัน จะยาวนานหรือแสนสั้นก็ขึ้นอยู่กับแรงส่งเก่าและสายใยใหม่ สำคัญคือช้าเร็วต้องจากกันแน่

คุณ จะเห็นตัวเองยกระดับการรับรู้ ทราบชัดว่าจินตนาการและคลื่นความปรุงแต่งในหัวนั่นแหละคือความฝัน การมีชีวิตมนุษย์ที่คุ้มที่สุด คือโอกาสได้รู้สึกถึงลมหายใจ รู้สึกถึงกาย รู้สึกถึงจิต รู้จริงว่าเหล่านั้นไม่ใช่เรา เพราะเฝ้ามองกายใจจนเห็นว่ามันเป็นเพียงเครื่องล่อให้ยึด แท้จริงมีความไม่เที่ยง ไม่อาจทนได้ เพราะไม่ใช่ตัวตน ความรู้สึกในตัวคุณจะหายไป และกลายเป็นรสแห่งจิตอันบริสุทธิ์จากความหลงผิดไปแทน

คุณ จะเล็งเห็นว่าคู่รักที่ชักชวนกันเจริญสติ นับเป็นความโชคดีของกันและกันอย่างใหญ่หลวงที่มาพบกัน อาจจะเทียบเท่ากับพบพระอรหันต์ เพราะแม้พระอรหันต์จะสว่างประดุจแสงอาทิตย์ แต่ก็ไม่อาจช่วยดูแลเป็นแรงบันดาลใจให้พวกคุณพากันเจริญสติได้ในเวลากลางคืน ส่วนพวกคุณแม้เป็นแสงเทียน ก็ยังส่องสว่างในความมืดให้แก่กันและกันได้ตลอดเวลา

 

คุณ ค่าสูงสุดของรักแท้ คือการมีกันและกันให้สติบนเส้นทางขึ้นสูง จนกว่าจะถึงความสิ้นทุกข์ที่ยอดคือนิพพาน การพากันรักนิพพานนั่นแหละคือรักอันเหนือรักอย่างแท้จริง มีแต่ได้กับได้ เพราะแม้ยังไปไม่ถึงฝั่ง อย่างน้อยที่สุดพวกคุณก็ได้ชื่อว่ารักจะเป็นสุข มิใช่รักจะเป็นทุกข์เยี่ยงคนหลงทาง หาทางออกยังไม่เจอ.

ท้ายบท

หวังว่าบทนี้และเนื้อหาของหนังสือทั้งเล่ม
คงช่วยให้คุณเห็นความจริง
และทางเลือกทั้งหมดที่เกี่ยวกับรักแท้

เมื่อเห็นความจริงและทราบว่ามีทางเลือกมากกว่าที่คิด
โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือถามตัวเองว่า
ทุกวันนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่
ต่อสู้เพื่อรักอันเป็นทุกข์หรือเพื่อรักอันเป็นสุข

 

สำหรับ งานเขียนอื่นๆทั้งหมดที่ผ่านมาของผม ซึ่งมีตั้งแต่นวนิยายรักสนุกๆ ไปจนกระทั่งวิธีเจริญสติอย่างละเอียด ตลอดจนนิตยสารรายปักษ์ "ธรรมะใกล้ตัว" สามารถเข้าไปอ่านได้ฟรีที่

http://dungtrin.com

 

ส่วน เว็บที่เน้นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรักโดยตรง ขอแนะนำเว็บแสงดาวส่องทาง ซึ่งเหมาะตั้งแต่สำหรับวัยรุ่นที่ยังวุ่นอยู่กับรัก ไปจนถึงวัยทำงานที่เข้าสู่ช่วงของการใช้ชีวิตคู่แล้ว

http://star4life.com

 

และหากต้องการแลกเปลี่ยนความเห็น ถามไถ่หรือสนทนาประสาธรรม ขอเชิญที่ "ลานธรรมเสวนา"

http://larndham.net

 
Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.401 seconds with 21 queries.