ppsan
|
|
« on: 02 September 2024, 09:08:07 » |
|
ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย สปัน เธียรประสิทธิ์ ภาค ๒ [6]
Vuttikorn Phavichitr 25 สิงหาคม 2020 ·
ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยายภาค ๒ สปัน เธียรประสิทธิ์
ตอนที่ ๖ ถึงจะเก่งแต่ก็โก๊ะ
คนเราไม่ใช่ดีไปเสียทุกอย่าง มีดีก็ต้องมีเสีย ฉันเป็นคนทำอะไรเร็วมากเสียจนเรียกว่า “ ล่ก “
ตอนอยู่บ้านพ่อจะโดนดุอยู่เกือบไม่เว้นแต่ละวัน เช่น เตะนู่นเตะนี่ เพราะความเร็ว จนกลายเป็นคนซุ่มซ่าม ล้มหรือตกกระไดอยู่เรื่อย
ลืมเป็นประจำ จะว่าเป็นคนสติเลื่อนลอยก็ไม่ใช่ ทำอะไรเร็ว ใจมันไปก่อนสมอง เพราะฉะนั้นจึงทำอะไรผิดๆอยู่เรื่อย
เป็นต้นว่า เวลาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนพอออกจากห้องน้ำก็ต้องปิดไฟ แต่เวลาเข้าห้องน้ำตอนกลางวัน ไม่เปิดไฟ เสร็จแล้วเวลาเปิดประตูจะออก มือหนึ่งจะต้องไปกดสวิตช์ไฟเพราะความเคยชิน ตอนเข้าไปไม่ได้เปิด จึงเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งวัน โดนดุตลอดเพราะเปลืองไฟ ถึงถูกดุว่าอย่างไรก็ไม่หาย
ตอนเด็กรีบแต่งตัวไปโรงเรียน บางครั้งรีบจนลืมนุ่งกางเกงใน ถูกเพื่อนล้อบ่อยๆ
บ้านของพ่อของฉัน ขึ้นได้หลายทาง ฉันรีบถอดรองเท้าแล้วไม่รู้ว่าถอดไว้ที่ไหน ปล่อยให้ฝนตกรองเท้าเสีย
“อย่าไปซื้ออะไรให้เด็กคนนี้ มันไม่รักของ ทิ้งนู้น ทิ้งนี่” เสียงบ่นว่าจากอาๆและเรื่อยไปจนถึงคุณย่าฟ้องกันต่อไปจนถึงพ่อ
ฉันจึงคิดว่าฉันไม่เป็นที่รักของใคร เพราะทำตัวประหลาด ชุ่ยที่สุด จะว่าโง่ก็ไม่ใช่ ก็แปลกจริงๆ ไม่มีใครจะพยายามเข้าใจฉัน ฉันจึงมีชีวิตอยู่ด้วยการถูกจับผิดของผู้ใหญ่ทั้งหลาย
เมื่อฉันได้อยู่กับอาจารย์เจริญ สามีคนที่สอง ฉันทำให้เขาหงุดหงิดหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง จะต้องไปงานแต่งงานเพื่อนซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ( ยุคนั้นเค้าไม่เลี้ยงกันตามโฮเต็ล ) แล้วจากนั้นจะต้องไปชมงานแสดงของลูกหนิงที่โรงเรียนวัฒนา หนิงไปก่อนแล้ว
ฉันเป็นคนอ่านการ์ดแต่งงาน แต่จำเบอร์บ้านไม่ได้ จำได้แต่ซอย สุขุมวิทซอยมากมายพอเข้าซอยไปไม่เห็นมีรถจอด ฉันก็ชี้ให้ไปอีกซอย ไม่เห็นรถจอดซักซอยเดียว
อาจารย์เริ่มหัวเสีย ต้องขับรถย้อนกลับมาดูการ์ดที่บ้าน ปรากฏว่าเลยไปหนึ่งวัน งานเขาจัดไปแล้ว
อาจารย์ก็เร่งให้ขึ้นรถไปรับลูก ฉันรีบวิ่งไปขึ้นรถโดยลืมใส่รองเท้า ทางเข้าโรงเรียนรถก็ติด กว่าจะไปถึงที่จอดรถได้ ปรากฏว่าฉันหารองเท้าไม่เจอ
อาจารย์เลยให้ฉันนั่งรออยู่ในรถ เขาออกไปดูการแสดงของลูกคนเดียว เสร็จแล้วพาลูกกินอาหารที่โรงเรียน แล้วบอกกับฉันว่า
“ ให้หิวเสียให้เข็ด ทีหลังจะทำอะไรจะได้ระวัง มีสติบ้าง “ แต่ก็ไม่ดีขึ้น
สามีฉันมักจะไม่พอใจฉัน คือ ฉันไม่ชอบไปงานกับเขา ไปนั่งชูคอในงาน ซึ่งฉันไม่ชอบ ฉันชอบแต่งานรื่นเริงสนุกสนาน เขาเคยประชดฉันหนหนึ่งว่า เวลาไปงานกับเขาทำไมทำหน้าเหมือนไม่เต็มใจ ทีไปกับเพื่อน ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใสสนุกสนาน
ก็แน่ล่ะ ฉันทำงานเหนื่อยฉันก็อยากสนุกบ้าง จะให้ไปนั่งปั้นหน้าในสังคม ฉันทำไม่ได้ และหันไปบอกกับเขาว่า ถ้าเขาจะสมัครผู้แทนฉันขอเลิกก่อนนะ ยิ่งถ้าจะเป็นรัฐมนตรียิ่งรับไม่ได้ ยังไงฉันก็จะหย่า เพราะฉันเบื่อที่จะคบคนมากวุ่นวาย หาความจริงใจแทบไม่มี
แต่ภายหลังเขาก็ได้เป็นรัฐมนตรีดังที่เขาหวัง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาขอให้ไปงานที่ใหญ่มาก ฉันพยายามแต่งตัวให้สวย เขาก็ยิ้มพอใจ
แต่พอจะออกจากห้อง ฉันบอกว่า รอเดี๋ยว ขอไปสเปรย์ผมก่อน เดี๋ยวผมมันจะยุ่ง
ฉันวิ่งกลับไป ความที่รีบคว้ากระป๋องดีดีทีมาฉีดอย่างแรง หัวเปียกเหม็นฉุน เขาพูดไม่ออก ไม่คิดว่าภรรยาเขาจะโก๊ะถึงขนาดนี้
นี่ดีว่าฉันได้หย่ากับเขาก่อนที่เขาจะได้เป็นรัฐมนตรี มิฉะนั้นสักวันเขาคงทนไม่ได้
ฉันดีใจที่ตัดสินใจเลิกกับเขา โดยเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงทุกวันนี้ ลูกของฉันทั้งสองคนก็เลี้ยงวันเกิดให้เขาทุกปีและยังผูกพันกันเหมือนพ่อลูก
.
.
ขอขอบคุณ https://www.facebook.com/photo/?fbid=2533206833449240&set=gm.4062586097098024
.
|