ppsan
|
|
« on: 01 September 2024, 09:09:24 » |
|
"ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย" ของ สปัน เธียรประสิทธิ์ [13]
Vuttikorn Phavichitr ผู้ดูแล · 29 มีนาคม 2017 ·
ย้อนเรื่องราวชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย สปัน เธียรประสิทธิ์ ตอนที่ ๑๓
..
..
เมื่อฉันไม่อยู่ ฉันได้แต่งตั้งครูใหญ่คนหนึ่งให้ดูแล แต่เค้าทำไม่ได้ดี มีแต่ปัญหา ฉันจึงต้องตัดสินใจเลิก ปิดโรงเรียน ก่อนที่ชื่อจะตก ฉันเลิกกิจการทั้งหมด แล้วย้ายลูกทั้ง ๒ คนไปเรียนต่อที่อเมริกา
หนิงสอบเข้าได้ที่ New York University แต่ชีวิตที่นิวยอร์กโหดมาก พอเข้าไปจริงๆอยู่ไม่ได้ หนิงเลยขอกลับมาเข้ามหาวิทยาลัยกรุงเทพ และจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้แม่ภูมิใจมาก จากนั้นก็กลับไปต่อปริญญาโทที่บอสตัน ส่วนหน่องได้เข้าเรียนโรงเรียนดีไซน์เนอร์และทำงานไปด้วยที่นิวยอร์ก ฉันฝากให้เขาไปเป็นแคชเชียร์เก็บเงินร้านอาหารไทยที่สนิทกัน วันหนึ่งที่ร้านมีลูกค้ามาก มีนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่บอสตันได้มารับประทานอาหาร หน่องไปช่วยเช็ดโต๊ะ ได้ยินเสียงนักเรียนไทยคนหนึ่งพูดกับเพื่อนว่า คนนี้หน้าเหมือนลูกสปันเลย อีกคนตอบว่า ไม่ใช่ลูกสปันหรอก ลูกสปันจะมาเช็ดโต๊ะได้ยังไง หน่องได้ยินจึงหันไปตอบว่า
" ใช่ค่ะ หนูเป็นลูกคุณสปัน "
ฉันสอนลูกเสมอว่าให้ขยัน ไม่มีงานไหนสูงหรือต่ำ จะอยู่ที่ไหนทำตัวให้มีค่าที่สุด นั้นแหละคือคนที่รู้จักใช้ชีวิต
ต่อมาฉันและหมอ ได้ย้ายจากนิวยอร์กมาใช้ชีวิตอยู่ที่แอลเอ ซึ่งสงบขึ้น อยู่เงียบๆคนเดียว ทำสวน บางทีก็แอบทำขนมไปส่งขายที่ตลาดไทย วันหนึ่งหมอลืมของ กลับมาตอนกลางวัน เจอฉันผิงขนมกลีบลำดวน กลิ่นคลุ้งไปทั้งบ้าน หมอไม่พอใจ บอกว่าทำให้หมอขายหน้า การทำขนมไปขายเป็นการไม่เหมาะไม่สมควร ฉันเลยต้องเลิกทำ
ฉันเลยได้แต่ปลูกต้นไม้เล่นไปวันๆ ความเงียบสงบทำให้ฉันทำสมาธิได้สำเร็จ ซึ่งเมื่ออยู่เมืองไทย พยายามทำแล้วไม่สำเร็จ เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ให้เราไปเรียนวิปัสสนา โดยมีแม่ชีมาสอน นั่งเรียงแถวจ้องเทียน ยุบหนอพองหนอ กำหนดลมหายใจ พอตกกลางคืนฉันร้องกรี๊ดเอะอะโวยวายขึ้นมาขณะนอนหลับ ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าผ่าลงบนหัว เสียงเหมือนระเบิดดังเปรี๊ยะ พร้อมกับเหมือนมีแสงสว่างแวบเข้ามาอย่างน่ากลัว ฉันผวาลุกขึ้น ตัวสั่นเหงื่อแตกด้วยความกลัว ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ยอมไปนั่งวิปัสนาอีกเลยคงเป็นเพราะฉันยังเป็นคนมีบาป ไม่มีบารมีพอที่จะรับบุญนี้ จึงบันดาลให้เกิดอาการประหลาดนี้ขึ้น แต่พอมาอยู่อเมริกาคนเดียวในที่สงบ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำสมาธิ
ฉันเริ่มจากการเพ่งจุดที่เพดาน ขณะที่นอน จุดอะไรก็ได้ ให้จิตร่วมเป็นจุดเดียว ขณะที่นั่งก็จะหาจุดอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกว่าจิตเกือบจะรวมได้แล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมีญาติมาจากเมืองไทย ฉันพาเขาไปซื้อของที่ห้าง ฉันขี้เกียจเดินขอนั่งรอในรถ ขณะที่รอ ฉันก็ใช้เวลาที่รอเพ่งจุดขี้ผึ้ง นานเป็นชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้ มันเบาหวิว ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไรเลย มันว่างเปล่า ฉันจึงรู้ว่าฉันทำได้แล้ว มันเป็น ความสบายโล่งอย่างบอกไม่ถูก บุญกุศลคงจะสนองฉัน ฉันดีใจมากที่ทำสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา ฉันอยากจะทำสมาธิเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้เพียงนั่งอยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ทำได้
ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อย เครียด ฉันก็จะหยุดจิตนั่งสมาธิแค่ ๑๕ นาทีก็หายเหนื่อย ใครจะนำวิธีของฉันไปใช้บ้างก็ได้ จะได้เป็นกุศลมาถึงฉันด้วย คุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่วัด แค่เพียง ทำจิตให้นิ่งได้ สักวันหนึ่งคุณก็จะพบความสุขที่แท้จริง
พอหนิงจบปริญญาโทจะกลับเมืองไทย ฉันก็บอกให้หมอย้ายกลับเมืองไทย ฉันอยากกลับเมืองไทยมาอยู่กับลูก แต่หมอไม่ยอม ฉันจึงตัดสินใจกลับโดยขอหย่ากับหมอ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ ทางกงสุลเขาก็ประหลาดใจ เพราะเรากอดคอกันไปจดทะเบียนหย่า เพื่อนสนิทคนหนึ่งได้ไปเที่ยวและพักอยู่ด้วยพูดว่า
"แกจะบ้าหรือเปล่า อยู่ๆก็แต่ง อยู่ๆก็หย่า" ฉันตอบอย่างมีอารมณ์ขันว่า "ก็ได้จดทะเบียนแต่งตั้ง ๓ หน ยังดีกว่าคนไม่ได้แต่งจริงสักหน จริงมั้ย" สมัยนั้นยังไม่นิยมการอยู่ด้วยกันเฉยๆ
หนิงกลับมาอยู่เมืองไทยกับแม่ และได้แต่งงาน ซึ่งคุณอาทั้งหลายของฉันจะเอ่ยเสมอว่า
"เออดีนะ...ได้แก้หน้าให้พ่อของฉัน" เพราะหนิงได้แต่งงานกับคนมีเกียรติ งานแต่งงานจึงเป็นงานที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเป็นงานช้าง นำความปลาบปลื้มมาให้ครอบครัวฉันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแม่สามีของหนิงก็เป็นเพื่อนนักเรียนวัฒนาด้วยกันเล่นด้วยกันมา จึงทำตัวง่ายมาก
ต่อมาพี่สาวของฉันก็ตายจากไปโดยกระทันหัน เธอกินยาเกินขนาด ฉันตกใจทำใจยาก เพราะเราเคยลำบากมาด้วยกันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่มีใครที่จะเชื่อใจไว้ใจได้อีกแล้ว
เมื่อหมดพันธะกับพี่ ซึ่งพ่อเคยขอไว้ให้ดูแลและยอมพี่ เพราะพี่เป็นประสาท ฉันก็ตัดสินใจย้ายบ้านซึ่งอยู่ติดกับพี่ ออกมาอยู่นอกเมือง ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของฉัน
บ้านใหม่นี้ มีน้ำล้อมรอบ ๒ ด้าน มีต้นไม้ใหญ่ มีนก มีกระแต มีสัตว์น้ำทุกชนิด เช้าขึ้นมีเสียงนกร้องเรียกหากัน เป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้ ฉันได้รับเงินจากการขายโรงเรียนและบ้าน ก็มาซื้อบ้านในหมู่บ้านนี้ไว้หลายหลัง ใหญ่บ้างเล็กบ้างก็อยู่ได้โดยเก็บค่าเช่ากิน
ร้อยเรียงเรื่องราวจากหนังสือชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย โดย คุณสปัน เธียรประสิทธิ์
โปรดติดตามตอนต่อไป
.
.
|