Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
16 November 2024, 01:26:40

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,430 Posts in 12,834 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง  |  "ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย" ของ สปัน เธียรประสิทธิ์ [9]
0 Members and 2 Guests are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: "ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย" ของ สปัน เธียรประสิทธิ์ [9]  (Read 672 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,271


View Profile
« on: 31 August 2024, 21:36:15 »

"ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย" ของ สปัน เธียรประสิทธิ์ [9]


Vuttikorn Phavichitr
ผู้ดูแล  · 24 มีนาคม 2017  ·

ย้อนเรื่องราวชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย
สปัน เธียรประสิทธิ์ ตอนที่ ๙

..



..

หลังจากให้กำเนิดลูกคนที่สองได้ ๑ ปี คงเป็นเพราะปัญหารุมเร้ากดดัน จนฉันเกิดมีอาการทางประสาทอย่างแรง เริ่มจากปวดหัวอย่างรุนแรง จนทนไม่ได้ ถ้ามีปืนอยู่ใกล้ตัว  ฉันคงยิงตัวตายไปแล้ว มันทรมานมาก หมอให้ยามากิน จำไม่ได้ว่าเป็นอยู่นานเท่าไหร่  เพราะหลังจากอาการปวดหัวทุเลา ก็เกิดอาการแปลกๆขึ้น คือ กล้ามเนื้อที่ลิ้นถึงลำคอเกิดอาการเกร็ง พูดไม่ได้ จะเป็นผลจากการกินยาหรือเป็นเพราะระบบประสาทก็ไม่แน่ใจ ฉันพูดไม่ได้ พยายามจะเค้นคำพูดออกมาแต่ละคำไม่ได้เลย ยิ่งพยายามก็ยิ่งเหนื่อย ฉันตกใจมาก นึกว่าจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต  เป็นอยู่เกือบหนึ่งเดือน เวลาจะสั่งอะไรก็ต้องเขียนลงกระดาษ จนวันหนึ่งหลังจากอาบน้ำ  นั่งหวีผมอยู่ ฉันรู้สึกสบายอารมณ์ขึ้น นั่งเพลินๆ คนใช้เข้ามาถามว่า

" เย็นนี้คุณจะทานอะไรคะ "
ฉันหันไปตอบโดยไม่รู้ตัวว่า
" อะไรก็ได้ "
คนใช้ดีใจร้องลั่น
" โอ้ คุณพูดได้แล้ว "

เสียงตะโกนทำให้ฉันตกใจ พอจะพูดต่อ อึกอักพูดไม่ได้อีกต่อไป

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้อีก ในที่สุด ฉันก็ค่อยๆพูดได้ โดยรู้สึกว่ากล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ผ่อนคลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่โรคปวดหัวแบบทรมานก็กลับมาเป็นอีกครั้ง   

แต่โรคลิ้นแข็งพูดไม่ได้ก็ได้เกิดขึ้นอีกในวันที่ฉันตกใจมาก เมื่อลูกสาวคนโตเป็นสาวอายุ ๑๘ ปี มีหนุ่มเป็นนายทหารอายุราว ๓๐ ปีจบจากฝรั่งเศสมาสู่ขอ ลูกสาวฉัน ก็ชอบเพราะเขาหล่อมาก เป็นลูกคุณหญิงและคุณพ่อเคยเป็นทูตไทยประจำที่อเมริกา มีทั้งยศศักดิ์   สกุล พ่อฉันดีใจมาก ก็เลยนัดผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาทำพิธีสู่ขอ กำหนดวันหมั้นให้เป็นเรื่องเป็นราว ปรากฏว่าวันนั้นลูกสาวฉันหายตัวไป รอกันนานมาก จนทุกคนเลิ่กลั่กเพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

ในที่สุดพิธีก็ต้องหยุด ฉันตกใจทำอะไรไม่ถูก เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทางเจ้าบ่าวและเถ้าแก่เสียหน้ามาก ฉันพยายามจะกล่าวขอโทษเขา ปรากฏว่าไม่มีเสียงออกมาจากปาก พยายามเท่าไหร่ เสียงก็ไม่ออก รู้สึกว่าลิ้นแข็งเกร็ง ขยับไม่ได้เลย ตั้งแต่อาการพูดไม่ได้เป็นครั้งที่สอง ฉันจึงระวังไม่ให้เกิดความเครียด พยายามไม่รับรู้หรือรับปัญหาอะไรให้มาก ทำไมหนอ.....ชีวิตฉันถึงต้องพบกับการป่วยทางประสาทมากมาย อาจเป็นเพราะฉันนั้นพบวิกฤตในชีวิตมากเกินไป จนแทบจะรับไม่ไหว

พระยาศรีวิศาลวาจา องคมนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เอ็นดูฉันเหมือนลูกหลาน ท่านทำให้ฉันได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ในช่วงที่ฉันตกอยู่ในสภาพที่ผู้คนดูถูก การได้เข้าเฝ้าฯทั้ง ๒ พระองค์นั้น เสมือนเป็นน้ำทิพย์หยดจากสวรรค์ ทำให้ฉันมีกำลังที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป ฉันได้เข้าเฝ้าฯถวายตัว คือ มีพานถวายเป็นพิธี นำมาซึ่งความปลาบปลื้มจวบจนทุกวันนี้ โดยเฉพาะ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ท่านทรงตรัสกับฉันอย่างเป็นกันเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ใครก็ตามที่ได้ใกล้ชิดพระองค์จะไม่หลงรัก ฉันยังจำคำที่พระองค์ท่านตรัสกับฉันได้ขึ้นใจ

"ผมที่เกล้าไว้ ยาวแค่ไหนก็อย่าตัดนะ ทูลกระหม่อมโปรดให้ผู้หญิงไทยไว้ผมยาว อย่าเปลี่ยนทรงผมนะ เกล้าผมตั้งทำให้หน้าเด่นและสวยมาก"

ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยจากพื้น

หลังจากนั้น ฉันก็มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จอีกครั้งที่งานสันนิบาต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านแถวที่ฉันยืนอยู่ พระองค์ทรงหยุดและทักฉันว่า

"สปัน  ทำไมผอมลงมาก อย่าทำงานหนักนัก เดี๋ยวไม่สวยนะ"

พระองค์ท่าน.....พระองค์ท่านยังทรงจำฉันได้ ฉันรู้สึกเทิดทูนและประทับใจในความเอื้ออาทรของพระองค์เหลือเกิน
 
เมื่อลูกคนเล็กได้สองขวบ ก็แยกทางกับพ่อเขา ฉันจะไม่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่อยากโทษใคร ไม่โทษแม้แต่ฟ้า...ซึ่งทำให้ชีวิตนั้นแหลกสลาย ฉันโทษตัวเองที่ตัดสินใจผิด

ฉันเอาลูกมาอยู่ด้วยทั้งสองคน โดยไปอาศัยบ้านพี่ใหญ่อยู่ วันหนึ่ง หนิง ลูกสาวคนโตวิ่งเล่นอยู่กลางสนาม พ่อเขามาจากไหนไม่ทราบ พอรถวิ่งเข้าบ้านเขาก็อุ้มหนิงขึ้นรถไปเลย หนิงส่งเสียงร้องกรี๊ดลั่นบ้าน ตะโกนเรียกแม่ๆ ฉันหัวใจแทบสลาย เมื่อได้ยินเสียง ลูกร้องไห้ ฉันได้แค่ขับรถตามไปดูลูก  เพราะถ้าฉันไปฉุดลูกอีก ลูกก็จะประสาทกินแน่ ฉันเลยได้แต่ไปเกาะรั้ว แอบดูลูกว่าเมื่อไหร่จะหยุดร้องไห้ พอเสียงเงียบฉันก็กลับบ้าน ในสมองคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรจะเอาลูกกลับมา ฉันไปหาทนายความที่มีชื่อเสียงเก่งและแพงที่สุดในสมัยนั้น เขาแนะนำให้ฉันเก็บใบเสร็จค่าโรงเรียนของลูก (ตอนนั้นหนิงเพิ่งเข้าโรงเรียนวัฒนา) ค่ารักษาหาหมอ

ฉันเก็บเป็นเวลาหนึ่งปี และ ฉันต้องมีทะเบียนสมรสกับคนที่ศาลจะเชื่อถือได้ ซึ่งขณะนั้น มีอาจารย์ที่เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยของพี่สาวฉันมาติดพันอยู่ เขาดีกับลูกสาวฉัน โดยเฉพาะหน่อง เวลาหน่องไม่สบาย ฉันไม่มีเวลาพาไปหาหมอ เพราะต้องเร่งทำเสื้อให้ลูกค้า เค้าก็พาไปโรงพยาบาล เขารักและผูกพันกับหน่อง หน่องก็ รักเขามาก ในที่สุด ฉันก็จดทะเบียนแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว ต่อมาฉันจึงยื่นฟ้อง เอาลูกมาเป็นกรรมสิทธิ์ เวลา๑ปีที่แสนทรมาน เพราะหนิงจะแอบมากับพี่เลี้ยง เพื่อมารับเงินเดือนจากฉัน เมื่อไหร่แม่จะเอาลูกมาอยู่ด้วยฉันก็ได้แต่บอกให้ลูกอดทน แม่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด ลูกจะได้มาอยู่กับแม่แน่นอน ฉันได้แต่ปลอบลูกไปเช่นนี้

วันที่เรื่องถึงศาล ทนายความให้ฉันไปรับลูกที่โรงเรียนก่อนเลิก เอาลูกไปเก็บไว้ก่อนที่พ่อจะไปชิงตัว ทีแรกครูไม่ยอม ฉันจึงต้องเล่าให้ครูฟัง ครูจึงช่วยให้ฉันออกประตูหลังโรงเรียน แต่พอผ่านออกมาหน้าโรงเรียน รถต้องชะลอเพราะเด็กยืนกันเต็ม พ่อเขามากับชายฉกรรจ์สองคนเอารถมาขวางดักรอ พอรถจอดก็เปิดประตูฉุดหนิงให้ลงจากรถ หนังสือพิมพ์ได้ข่าวจากศาล หูตาไวเกินคาด  เข้ามารุมที่รถถ่ายรูปกัน มีคนหนึ่งเข้ามาถึงตัว พ่อเขาซึ่งกำลังลากหนิงลงจากรถอย่างไม่ปราณีปราศรัย หนิงส่งเสียงกรีดร้อง เขาเลยช่วยฉุดให้หนิงกลับขึ้นรถ ฉันรีบบึ่งกลับบ้านโดยไม่ทันสังเกตว่าถูกตามมาอย่างกระชั้นชิด พอประตูบ้านเปิด รถวิ่งตามเข้ามาเป็นพรวน ฉันลากหนิงเข้าบ้าน พ่อเขาก็คว้าขาทั้งสองข้างของหนิง ฉันดึงช่วงไหล่หนิงเป็นลมหน้าเขียว นักข่าวกรูเข้ามาช่วย

"ปล่อยนะ เดี๋ยวเด็กตาย หน้าเขียวแล้วไม่เห็นหรือ"

แล้วเขาก็ช่วยกันดึงพ่อออกจากลูก เสียงถ่ายรูปกันอย่างสนุก ฉันส่งลูกให้คนช่วยพยาบาล แล้วเราก็เปิดฉากสาดโคลนใส่กันต่อหน้าหนังสือพิมพ์ เขาคงสนุกกันมาก

ต่อมาต้องไปขึ้นศาลตามวันนัด เขาก็ให้หนิงเข้าไปนั่งในห้อง โดยไม่ให้ใครเข้าไปและชวนหนิงคุยอย่างสนุกสนาน หนิงเลยไม่รู้สึกกลัว เขาจะถามโดยให้หนิงเล่าแบบไม่รู้ตัว   ฉันนั่งอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงลูกเล่าอะไรต่ออะไรเสียงแจ๋วแบบสนุกสนาน เมื่อศาลรู้ความจริง สรุปว่าฉันชนะความ ศาลตัดสินให้ดูแลลูกทั้งสองคน เป็นอันว่าจบคดี

.



.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,271


View Profile
« Reply #1 on: 31 August 2024, 21:36:52 »






Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.036 seconds with 20 queries.