ppsan
|
|
« on: 14 September 2023, 21:34:44 » |
|
[10] เล่าเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับลมเพลมพัด ตอน เขาพระสุเมรุเอียงทรุดด้วยน้ำมือรามสูร โดย กลม บางบาน
ปฐมบทแห่งรามเกียรติ์
ตอนที่ 10 เขาพระสุเมรุเอียงทรุดด้วยน้ำมือรามสูร
.
เมื่อวสันตฤดู (ว-สัน-ต-รึ-ดู ,ฤดูฝน) วนเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ช่วงเวลาแห่งความหรรษาของเหล่านางฟ้าเทวดาก็กลับมาด้วยเช่นกัน ด้วยเป็นฤดูกาลเล่นน้ำฝนอันแสนสนุก เทวดานางฟ้าทุกราศีก็ออกจากวิมานกลีบเมฆเมืองฟ้า เฉลิมฉลองด้วยมหรสพ (ม-หอ-ร-สบ, ละคร) จับระบำรำฟ้อนกันถ้วนทั่วทั้งเมืองฟ้าอมร
อรชุนเทพบุตร (ผู้ที่เกือบสังหารทศกัณฐ์ในครั้งก่อน) ทราบข่าวว่าเหล่าเทวดานางฟ้าออกมาเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า ก็แต่งองค์ออกจากพิมานรัตนมณี (พิ-มาน-รัด-ต-น-ม-นี) จับพระขรรค์อาวุธคู่กายเหาะออกไปยังที่ชุมนุมครื้นเครงของเหล่าเทวดา คอยเฝ้าดูความความครื้นเครงแห่งสรววค์ด้วยความเพลิดเพลิน
เมขลาเทวี สถิตอยู่ในวิมานสมุทรไท (นางฟ้าผู้ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในท้องทะเลและมหาสมุทร) มักจะเข้าร่วมการมหรสพครื้นเครงร่วมกับเหล่านางฟ้าเทวดาอยู่เป็นประจำ ครั้นถึงเวลาเฉลิมวสันตฤดูครานี้ก็ทรงเสื้อผ้าอาภรณ์ (อา-พอน, เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย) รำฟ้อนดวงแก้วมณีออกมายังมหาสมาคม
รามสูร อสูรเทวบุตร สถิตในกลีบเมฆเมืองฟ้าอย่างมีความสุขเสมอมา เป็นที่กริ่งเกรงฤทธาแก่เทวานางฟ้าทั่วไป ด้วยมีขวานเพชรอาวุธคู่กาย ไร้ผู้เทียมทานไปทั้งหกสวรรค์ชั้นฟ้าทั่วโลกและบาดาล ถึงเวลาหรรษาเริงสำราญ ขุนมารแต่งองค์แล้วรีบเหาะมา เหาะมาด้วยความเร็วดุจลมพัด แกว่งขวานสะบัดซ้ายขวา แล้วแสงแปลบปลาบวาบวาวก็เข้า มองไปเห็นนางเมขลาล่อแก้วอยู่แววไว ในดวงจิตก็คิดถวิลหาอยากได้มาครอง จึงเผ่นโผนโจนทะยาน มือก็จับด้ามขวาน เหาะไปหมายจะแย่งชิง
เหล่านางฟ้าเทวากำลังระรื่นชื่นสุข เห็นรามสูรเหาะไล่ล่านางเมขลาก็ตกอกตกใจขวัญหนีดีฟ่อ อุ้มเทวบุตรหลบเข้าวิมานกันวุ่นวาย ด้วยเกรงภัยจากขวานเพชรแห่งรามสูรพญามาร เมื่อเหล่าเทวดานางฟ้าอื่นๆ หลบเข้าวิมานไปหมดแล้ว เห็นแต่เพียงนางเมขลาหลบเข้ากลีบเมฆไวๆ จึงรีบเหาะตามไป นางเมขลามองเห็นรามสูรเหาะตามมาก็ทำท่ารำร่ายวนซ้ายขวาเลาะเลี้ยวไปมาเพื่อยั่วเยาะขุนมาร รำแก้วล่อไปมาแสงวาววับจับตา รามสูรก็ยิ่งเดือดดาล จึงจับขวานแกว่งกวัด แล้วขว้างขวานออกไป ขวานฟ้าหมุนละลิ่วดั่งเปลวแต่ขว้างออกไปมิได้ต้องกายของนางเมขลาแม้แต่น้อย พลอยทำให้รามสูรยิ่งเดือดไปใหญ่ แล้วเหาะไปลับจับเมขลาเทวี
จนเหาะผ่านมาพบอรชุนเทวบุตร ผู้ชำนาญในการแผลงศร (ยิงธนู) ในมือถือพระขรรค์สุรกานต์เหาะผ่านตัดหน้าพญายักษ์ไป ด้วยความโกรธอยู่แล้วจึงร้องถามออกไป
รามสูร...ตัวมึงนี่ช่างอหังการ (เย่อหยิ่ง จองหอง) อาจหาญเหาะผ่านกูไม่ไว้หน้า มึงมีนามชื่อว่าอะไร หารู้ไม่กูนี่รามสูร เทวาสุรารักษ์ (ผู้อาศัยอยู่บนสวรรค์) เกรงไปทุกฟ้าทั่วราศี หารู้ไม่ว่าตัวกูเป็นดังกองอัคคี (กองไฟ) วันนี้จะผลาญ (ฆ่า) มึงให้บรรลัย (ตาย)...
อรชุน...อันนามกร (ชื่อ) ของกูหรือ ชื่อว่า อรชุน ผู้กล้า เหาะผ่านมาทางเมฆา ตัวข้าไปเหยียบหัวมึงหรืออย่างไร ตัวกูก็เป็นชายผู้กล้าหาญ ปราบมารมานับมิได้ แม้แต่ทศกัณฐ์สิบหน้ายี่สิบมือ กูก็ยังเคยจับมันมัดได้ แล้วมึงสองมือหรือจะมาสู้คนอย่างกูได้...
แล้วสองเทวบุตรผู้มีฤทธิไกรก็เหาะขับเข้าต่อสู้กัน มือซ้ายอรชุนเข้าจับได้ทางหัวยักษา มือขวาก็ง้าพระขรรค์ฟัน แต่รามสูรสลัดกายหลบได้ทันท่วงที หลุดออกมาก็กระโดดขึ้นเหยียบบ่า รามสูรจับได้ชฎาของอรชุน ง้าขวานจะบั่นคอเสียให้ขาด แต่พลาดโดนสลัดตกลงไป ได้ทีอรชุนก็กระโดดขึ้นเหยียบไหล่ ฟาดฟันลงไปพัลวัน แต่รามสูรก็หลบหลีกได้ทัน พลันให้อรชุนเสียหลัก พลัดตกลงจากบ่า คว่ำหน้าลงไป รามสูรรีบคว้าได้ข้อเท้าอรชุนเหวี่ยงออกไป ฟาดเข้ากับเหลี่ยมเขาพระสุเมรุ อรชุนสิ้นใจตายในทันที เขาพระสุเมรุก็เอียงทรุดตามไปด้วยกำลังฟาดของยักษ์รามสูร เสียงดังกัมปนาท (เสียงดักครึกโครม) สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นฟ้า แต่ก็หาได้ใส่ใจไม่ ชำนะศึกแล้วก็รีบเหาะกลับไปวิมานของตน (เลิกสนใจเมขลาไปแล้ว)
พระอิศวรบรมนาถนาถา เห็นพระสุเมรุเอียงทรุดลงตรงหน้าก็ตกใจ จึงรีบมีบัญชาออกไป ให้เหล่าเทวา ครุฑทานาคี มาช่วยกันฉุดรั้งเขาพระสุเมรุแกนของจักรวาลให้ตรงขึ้นดังเดิมให้จงได้
.
(เพิ่มเติม)
นางเมขลาเป็นนางฟ้าผู้ดูแลท้องสมุทร ผู้ที่ช่วยอุ้มเอาพระมหาชนกขึ้นจากน้ำ หลังจากว่ายน้ำมาด้วยความเพียรยาวนานถึง 7 วัน 7 คืน (เรื่องพระมหาชนก พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9)
ตามความเชื่อโบราณเล่าว่าการเกิดฟ้าแลบ แสงวาบๆ นั้นเกิดจากแสงจากแก้วมณีที่นางเมขลารำล่อยักษ์รามสูร ส่วนเสียงฟ้าร้องโครมคราม เกิดจาก การกวัดแกว่งขวานเพชรของรามสูรในขณะไล่ล่านางเมฆขลา เสียงโครมของฟ้าผ่าเกิดจาก ขวานแหวกอากาศอย่างรวดเร็วเกิดเป็นเสียงฟ้าผ่า ยามที่รามสูรขว้างขวานออกไป แต่ไม่ถูกนางเมขลา แผ่นฟ้าที่ถูกขวานแยกแตกออกเป็นเส้นสายของฟ้าผ่า
มารอดูกันว่าใครที่จะเป็นผู้ที่ทำให้เขาพระสุเมรุที่เอียงทรุดในครั้งนี้ตั้งตรงกลับคืนมาได้
.
|