Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 November 2024, 03:53:50

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,443 Posts in 12,838 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  ภาพประทับใจ  |  ผนังเก่าเล่าเรื่อง (Moderator: ผนังเก่าเล่าเรื่อง)  |  [8] ปฐมบทแห่งรามเกียรติ์ ตอนที่ 8 กำเนิดพาลี สุครีพ
0 Members and 2 Guests are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: [8] ปฐมบทแห่งรามเกียรติ์ ตอนที่ 8 กำเนิดพาลี สุครีพ  (Read 197 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,284


View Profile
« on: 12 September 2023, 14:22:42 »

[8] เล่าเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับลมเพลมพัด ตอน กำเนิดพาลี สุครีพ โดย กลม บางบาน


ปฐมบทแห่งรามเกียรติ์

ตอนที่ 8 กำเนิดพาลี สุครีพ พญาวานรแห่งนครขีดขิน

.

ฤๅษีโคดม


.

ในบรรพกาลกว่าสองพันปีล่วงมาแล้ว พระฤๅษีโคดมออกบวชพำเพ็ญพรตเป็นฤๅษีอยู่ในป่า แต่เดิมนั้น พระฤๅษีโคดมผู้นี้เคยเป็นกษัตริย์ครองเมืองสาเกด แต่ไม่มีโอรสธิดาจึงออกป่ามาบวช  นั่งบำเพ็ญพรตเป็นเวลานานปี ทำให้ฤๅษีโคดมมีหนวดเครายาวผมเผ้ารกรุงรัง จนมีนกกระจาบป่าคู่หนึ่งมาทำรังในหนวดของฤาษีโคดมเพื่อออกไข่เป็นประจำทุกๆ ปี ในปีนี้ก็เช่นกัน นกกระจาบผัวเมียก็มาอาศัยหนวดพระฤๅษีทำรังอย่างเคยจนนางนกกระจาบตัวเมียออกไข่ วันหนึ่งนกตัวผู้ก็บอกแก่นางนกตัวเมียให้อยู่เฝ้ากกไข่ที่รัง ส่วนตนนั้นจะบินออกไปหาอาหาร แล้วนกผู้ผัวก็บินจากไป
               
นกตัวผู้บินออกหาอาหารมาจนถึงสระบัวใหญ่ในป่าหิมพานต์  ดอกบัวบานสะพรั่งเต็มไปหมด ก็บินลงไปจิกกินเกสรเบิกบานสำราญใจอยู่นานจนลืมเวลา ครั้นเวลาพลบค่ำ แดดอ่อนลงกลีบบัวที่เบ่งบานรับแสงก็เริ่มห่อหุ้มกลีบตูมไว้รอแสงแห่งวันใหม่ นกกระจาบตัวผู้ที่หลงเพลินจิกกินเกสรก็ถูกดอกบัวใหญ่ห่อหุ้มติดอยู่ในดอกบัวตลอดทั้งคืน ครั้นย่ำรุ่งแสงแรกแห่งวันส่อง ดอกบัวเริ่มแย้มกลีบบานอีกครั้ง นกกระจาบสามีก็รีบบินกลับรัง

.

นกกระจาบติดในดอกบัว


.
               
ฝ่ายนางนกตัวเมียรอผัวกลับมา เมื่อได้เห็นหน้าผัวก็คลุ้มคลั่งด้วยความโกรธ สบถด่าทอต่างๆ ว่าไปหาอาหารทำไมกลับมาเอาเวลาป่านนี้ นกตัวผู้จึงเล่าให้นางนกฟังว่าตนนั้น ติดอยู่ในดอกบัวใหญ่ ไม่อาจกลับมาได้ ครั้นเวลาวันใหม่ดอกบัวบานอีกครั้งจึงได้รีบบินกลับ แต่นางนกนั้นก็หาเชื่อวาจาของนกตัวผู้นั้นไม่ หาว่านกสามีตนนั้นคบชู้ไปสมสู่กับนางนกตัวอื่น จนเช้าตรู่ถึงได้กลับรัง  นกตัวผู้จึงออกปากเอ่ยคำสาบานว่า...

"ถ้าหากฉันนอกใจเธอจริงๆ ขอให้บาปของพระฤๅษีโคดมทั้งหมด จงมาเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียวเถิด"

เล่นเอาพระฤๅษีโคดม ที่กำลังนั่งหลับตาฟังเหตุการณ์อยู่เงียบๆถึงกับสดุ้งโหยง แล้วร้องถามออกไปดังๆว่า

...ฉะ..ชัดฉ้า..มันจะมากไปแล้ว นี่เจ้านกกระจาบตัวน้อยๆ เจ้าอาศัยหนวดของข้าทำรังยังไม่พอ ยังจะมาลบหลู่ดูถูกกันอีกหรือหว่า...

นกทั้งคู่เลยเลิกทะเลาะกัน นกตัวผู้คำนับพระฤๅษี ...หามิได้พระเจ้าข้า มิได้ลบหลู่ดูถูกแต่อย่างไร พูดไปแต่ความเป็นจริงทั้งนั้น...
 
พระฤๅษีถึงกับเบิกตากว้างด้วยความสงสัย

...แล้วทำไมถึงว่าข้ามีบาป ก็ข้าบำเพ็ญตบะมาถึงสองพันปีแล้ว บาปกรรมจะมีได้อย่างไร และมิหนำซ้ำพวกเจ้ายังมาทำรังอยู่ในหนวดของข้า ก็ไม่ได้เสียค่าเช่าค่าออนซักกะบาท ยังจะหาว่าข้ามีบาปอีกหรือ...

นกกระจาบจึงพูดต่อว่า...ก็ทำไมท่านจะไม่บาปล่ะ เพราะท่านเป็นถึงพระราชา ไม่มีปัญญาที่จะมีโอรสหรือธิดา สืบราชสมบัติต่อไปได้ ในการที่ท่านมาบวชเป็นพระฤๅษีอยู่ในป่าเช่นนี้ก็เป็นการเห็นแก่ตัวชัดๆที่ทำให้ต้องขาดวงค์ของกษัตริย์ ที่จะต้องปกครองบ้านเมืองสืบต่อไป นี่แหละคือสิ่งที่เป็นบาปและก็เป็นบาปหนักด้วย...

เมื่อพระฤๅษีได้ฟังเช่นนั้น ก็นิ่งพิจารณาดูแล้วก็เห็นเป็นจริงตามคำที่นกกระจาบกล่าวหา จึงทำให้เบื่อจากการเป็นพระฤๅษี หวังจะสึกออกไปครอบครองบ้านเมืองเหมือนอย่างเดิมแต่ครั้นจะย้อนกลับไปที่เมือง ก็ยังมีความละอายใจตนเอง จึงออกมาโกนหนวดเครา ชำระร่างกายแล้วทำพิธีกองกูณฑ์อัคคีบูชาไฟ แล้วก็บริกรรมคาถาไป

เมื่อร่ายคาถาจนครบหนึ่งพันจบ ก็เกิดแผ่นดินไหว แยกตัว เกิดเป็นสาวงามอยู่ท่ามกลางกองเพลิง จึงตั้งชื่อได้ให้ว่า “นางกาลอัคคี”หรือ นางกาลอัจนา ซึ่งแปลว่า นางที่เกิดมาจากกองเพลิง เพื่อที่จะได้มีโอรสธิดาไว้ครองกรุงสาเกด ตามคำของนกกระจาบตัวผู้ 

.

ฤๅษีโคดมทำพิธีชุบนางกาลอัคคี(นางกาลอัจนา)


.

พระฤๅษีโคดมจึงสมสู่อยู่กินกับนางกาลอัคคีในอาศรมกลางป่านั้น จนหลายเดือนต่อมา นางกาลอัคคีก็คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง ฤๅษีโคดมจึงตั้งชื่อให้ว่า “นางสวาหะ” ซึ่งเป็นคำจบสุดท้ายของการท่องบทสวดใดๆ
               
วันหนึ่งพระฤๅษีโคดมก็ให้นางกาลอัคคีอยู่อาศรมเลี้ยงนางสวาหะ แล้วตนจะเข้าป่าไปหาเก็บผลไม้มาให้ แล้วก็บ่ายหน้าเดินเข้าป่าไป

ฝ่ายพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อทราบว่านนทก มาจุติเกิดเป็นทศกัณฐ์ ลูกท้าวลัสเตียนแห่งกรุงลงกา ผู้ที่จะเบียดเบียนก่อความวุ่นวายให้โลกต่อไป ส่วนพระนารายณ์นั้นจะไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปราบทศกัณฐ์นี้ เห็นทีจะต้องแบ่งกำลังของตนลงไปเพื่อเป็นทหารคอยช่วยยามที่พระนารายณ์อวตารลงมาทำศึก เมื่อเพ่งตาทิพย์ไปก็เห็นนางกาลอัคคีสามีออกไปป่า อยู่อาศรมแต่เพียงผู้เดียว จึงคิดจะลงไปสัมผัสกายให้นางเกิดกำหนัด เพื่อจะได้มีโอรสกับนาง คิดดังนั้นพระอินทร์ก็เสด็จไปยังอาศรม
               
เมื่อไปถึงอาศรมเห็นนางกาลอัคคีกรองมาลัยอยู่ ก็เข้าไปพูดจาปราศรัยด้วย ฝ่ายนางกาลอัคคีเห็นพระอินทร์ร่างกายมีรัศมีผ่องพรรณ ก็นึกชอบกระสันรัญจวนใจขึ้นมา แต่ด้วยความละอายจึงเบือนหน้าหนี พระอินทร์จึงขยับเข้าไปใกล้พลางใช้มือลูบไปที่ปฤษฎางค์ (ปริด-ส-ดาง แผ่นหลัง) ของนาง  ก่อให้นางกาลอัคคีเกิดความกระสันรันจวน มีจิตประดิพัทธ์ต่อพระอินทร์ พระอินทร์ก็ได้สู่สมภิรมย์พักตร์ กับนางกาลอัคคี แล้วก็ลากลับสรวงสวรรค์ไป

ตอนล่างของภาพแสดงพระฤๅษีโคดมกำลังออกไปหาผลไม้ในป่า และตอนบนแสดงพระอินทร์กำลังเหาะจากไปหลังเข้าหานางกาลอัจนา


.
               
ฝ่ายฤๅษีโคดมกลับมาจากป่า ก็ไม่ได้เห็นท่าทีผิดแปลกแต่อย่างใด ด้วยให้ความสนใจใกล้ชิดแต่ลูกรัก ครั้นครบถ้วนเวลาสิบเดือน นางกาลอัคคีก็คลอดบุตรออกมาเป็นชายผิวพรรณผุดผ่อง สีเขียวดุจมรกต งามเหมือนดั่งองค์พระบิดา แต่ฤๅษีโคดมก็หลงรักด้วยคิดว่าเป็นบุตรของตน จึงดูแลเอ็นดูมากเกินกว่าราชธิดาองค์โต
               
ครั้นรุ่งเช้า ฤๅษีโคดมก็เข้าป่าหาเก็บผลาอาหารดังเช่นที่เคยเป็น ก่อนออกไปก็สั่งนางกาลอัคคีให้ดูแลบุตรให้ดี แล้วก็ลาเข้าป่าไป เมื่อฤๅษีลับเข้าป่าไป นางกาลอัคคีที่นั่งอยู่ในศาลามองเห็นพระอาทิตย์ เรืองแสงสีเรืองๆ เหลืองอมแดง ขับรถลอยผ่านมากลางเวหาก็นึกชื่นชมเสน่หาในความงาม จึงยกมือขึ้นอธิษฐานต่อองค์พระอาทิตย์ พระอาทิตย์จึงส่องทิพยเนตรลงมาก็รู้ว่าเป็นนางกาลอัคคีเทวีที่อธิษฐานต่อตนเอง ด้วยความประดิพัทธ์เสน่หา จึงคิดจะแบ่งฤทธิ์ลงมาเพื่อช่วยพระนารายณ์อวตาร ว่าแล้วจึงสั่งให้สารถี (คนขับรถ) ชักรถนำแสงพระอาทิตย์นำไปก่อน ส่วนตนเองเหาะลงมาหานางกาลอัคคีถึงที่อาศรม
               
เมื่อมาถึงก็ทักทายพูดจา ด้วยความอายที่รู้ว่าพระอาทิตย์ทราบว่าตนหลงใหลในร่างกายคาวมงามของพระอาทิตย์ จึงแสดงกริยาเขินอายไม่มองหน้า แต่หันมาสบตาเป็นทีๆ ไป พระอาทิตย์จึงตรัสกับนางไปว่า นางนั้นงามนักจะหลบหน้าไปใย เพราะพี่รักเจ้าดั่งดวงใจจึงได้เหาะลงมาหา ว่าพลางก็กอดจูบลูบคลำเป็นพัลวัลไป นางกาลอัคคีก็ปั่นป่วนรัญจวนใจเป็นหนักหนา จึงได้สู่สมภิรมย์ขวัญ ยั่วเย้าสนิทแนบชิดพัวพัน ต่างก็ยินดีปรีดา ครั้นเวลาเสร็จสมกิจพระอาทิตย์ก็ลากลับไปสู่พิชัยราชรถขับแสงส่องเวหาต่อไป
               
พระฤๅษีกลับมาด้วยความเหนื่อยก็พักและเล่นล้อกับลูกทั้งสอง ไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด ส่วนนางกาลอัคคี ตั้งแต่ได้ยินดีสโมสรกับพระอาทิตย์ทินกรก็บังเกิดครรภ์ เมื่อครบกำหนดเวลาก็คลอดลูกออกมาเป็นชายผิวกายสีแดง นางและฤๅษีโคดมก็รักใคร่เลี้ยงดูด้วยกันมาอย่างดี

.

           
จนวันหนึ่งพระฤๅษีเกิดอาการร้อนรนไปทั่วกาย จึงคิดจะไปสรงน้ำที่แม่น้ำ ว่าแล้วมือขวาจึงอุ้มลูกชายคนน้อย (ลูกพระอาทิตย์-สีแดง) ลูกชายคนโต (ลูกพระอินทร์-สีเขียว) ก็ให้ขี่หลัง ส่วนมือข้างซ้ายนั้นจูงนางสวาหะเดินไปยังท่าน้ำ ฝ่ายนางสวาหะก็เคืองพระบิดาที่ไม่ยอมอุ้ม จึงเดินบ่นมาตลอดทางจนถึงท่าน้ำ ว่า

.
               
อนิจจาหลงรักลูกเขา                     ช่างเอาอุ้มชูแล้วให้ขี่               
ลูกตนให้เดินปัถพี                     ไม่ปรานีบ้างเลยพระบิดา
           
(หลงรักแต่ลูกคนอื่น ทั้งอุ้มทั้งให้ขี่หลัง แต่ลูกตัวเองกลับต้องเดิน”)

.

นางสวาหะกำลังเดินร่ำไห้ตามฤๅษีโคดมผู้พ่อซึ่งกำลังอุ้มบุตรชายทั้งสอง


.

พระฤๅษีได้ฟังก็สงสัย จึงถามหาเหตุผล นางจึงตอบไปว่า เดิมทีพระบิดาออกไปป่า ส่วนนางกาลอัคคีอยู่อาศรม ได้สมสุขเกษมศรีด้วยสองชาย ถึงสองครั้งสองคราที่อาศรมนั่นเอง
               
พระฤๅษีได้ฟังวาจาก็เสียใจ ทั้งรักทั้งแค้นดั่งเอาไฟมาเผาหัวใจ เสียแรงรักใคร่ แต่สุดท้ายกลับคบชู้สู่ชาย แล้วก็เกิดความสงสัยว่าลูกชายทั้งสองที่เลี้ยงมานั้นเป็นลูกของตนเองหรือไม่ ว่าแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานด้วยตบะพระฤๅษีอันแก่กล้า ว่าแล้วก็ยกมือกล่าวคำเสี่ยงทาย
.
               
แม้นว่าสามเจ้านี้เป็นเนื้อ                     เชื้อสายโลหิตแห่งข้า               
ทิ้งออกไปกลางคงคา                     จงว่ายกลับมาทันใด
               
แม้นว่าเป็นลูกชายอื่น                     อย่าได้ว่าคืนเข้ามาได้               
จงเป็นสวาวานรไพร                     เสี่ยงแล้วขว้างไปในทันที

(ถ้าสามคนนี้เป็นลูกสืบเชื้อมาจริง เมื่อทิ้งไปกลางแม่น้ำแล้วขอให้จงว่ายกลับมา แต่ถ้าไม่ใช่ ขออย่าให้ว่ายกลับมาได้ ขอให้กลายเป็นลิงเข้าป่าไป เสร็จแล้วจึงจับลูกทั้งสามคนโยนไปในแม่น้ำ)
.

ฤๅษีโคดมเสี่ยงทายบุตร


.

หลังจากโยนลูกทั้งสามคนลงน้ำเพื่อพิสูจน์ความจริง บุตรชาย 2 คนก็กลายเป็นลิงขึ้นฝั่งหนีหายเข้าป่า ในขณะที่ฤๅษีโคดมอุ้มนางสวาหะบุตรสาวแท้จริงของตนขึ้นจากฝั่ง


.

พระฤๅษีอุ้มนางสวาหะกลับมาที่กระท่อมเพื่อต่อว่านางกาลอัจนา


.
               
เมื่อโยนออกไปแล้ว มีแต่เพียงนางสวาหะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ว่ายกลับมาได้ ส่วนลูกชายทั้งสองคนกลายร่างเป็นลิงแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่า เมื่อฤๅษีเสี่ยงทายให้เห็นประจักษ์ตาแล้วจึงเข้าอุ้มนางสวาหะกลับมายังบรรณศาลา เมื่อถึงศาลาก็ร้องด่าทอนางกาลอัคคี ออกไปว่าคบชู้เป็นกาลี จึงสาปว่า

...ด้วยมึงคบชู้สู่ชาย ขอให้ร่างกายจงเป็นหิน แม้พระนารายณ์อวตารลงมาสังหารเผ่ายักษ์ในทวีปลงกา จงให้เอาแผ่นศิลา (แผ่นหิน) นี้ไปจองถนน ให้มึงได้จมอยู่ใต้มหาสมุทร อย่าได้รู้ผุดขึ้นมาได้ ขอให้เป็นไปตามคำสาปกูว่าไว้ อีกาลี...

เมื่อนางกาลอัคคีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ร่ำให้เสียใจ แล้วกล่าวแก่ธิดาว่า

...เสียแรงอุ้มท้องมาสิบเดือน คลอดแล้วทนุถนอมดูแลรักษา ทำไมมึงมิรู้คุณกูเลี้ยงมา กลับมาผลาญชีวากูบรรลัย นี่มึงเป็นลูกในอุทร หรือว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ กูจะสาปมึงเอาไว้ ให้มึงได้รู้จักทรมาน จงไปยืนอ้าปากด้วยตีนเดียวเหนี่ยวกินลมอยู่ในป่า เชิงเขาจักรวาล เมื่อมึงได้มีลูกเป็นวานร มีฤทธิ์เดชอันเลิศล้ำ แล้วจึงจะพ้นคำสาป สิ้นบาปอันอัปรีย์...
               
แล้วนางกาลอัคคีก็กลายเป็นหินไป ส่วนางสวาหะก็กราบลาพระบิดา กราบลาไปยืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลม อยู่ในป่าเชิงขอบเขาจักรวาล 

นางสวาหะถูกสาปให้มายืนตีนเดี่ยวกินลมบนยอดเขา ทางด้านซ้ายของภาพเป็นพระพายกำลังเหาะมาหา และถัดลงมาทางด้านล่างแสดงภาพนางสวาหะกับลูกลิงเผือก


.


พระอินทร์และพระอาทิตย์เมื่อเห็นลูกถูกสาปเป็นลิง หากินอยู่ในป่าริมธารก็เกิดความสงสาร จึงลงไปเนรมิตเมืองขึ้นมาใหม่ นำวานรลิงทั้งหลายมาเป็นข้ารับใช้ เป็นเสนาอำมาตย์ แล้วออกนามว่า “บุรีขีดขิน” แล้วสอนพระเวทวิทยาให้แก่บุตรทั้งสองครบถ้วน  แล้วก็ตั้งชื่อให้ลูกพระอินทร์ผู้พี่ (กายสีเขียว) ว่า “กากาศพิริยจุลจักร” ให้เป็นเจ้าครองนครขีดขิน ส่วนลูกพระอาทิตย์ตั้งชื่อว่า “พญาสุครีพ” เป็นมหาอุปราชของนครขีดขินเช่นกัน ทั้งสองพี่น้องจึงครองนครขีดขิน สืบต่อมา เพื่อรอคอยพระนารายณ์อวตาร

.

กากาศ (พาลี) ลูกพระอินทร์ กายสีเขียว


.

สุครีพ ลูกพระอาทิตย์ กายสีแดง


.....


(เพิ่มเติม)
               
นางกาลอัคคี  บางครั้งก็เรียกว่า “นางกาลอัจนา” หรือ “นางอัจนา” ก็ได้
             
อัจนา แปลว่า การบูชา การบวงสรวง นางอัจนา จึงหมายถึง นางที่เกิดมาจากการทำพิธีบูชาบวงสรวง หรือนางที่เกิดจากพิธีบูชาไฟนั่นเอง
               
พระยากากาศ มักจะรู้จักกันในชื่อว่า “พาลี” ในกระบวนเรือพยุหยาตราจะมีเรือพระราชพิธีสำคัญ 2 องค์ ชื่อตามตัวละครรามเกียรติ์ โดยตั้งให้คล้องจองกันคือ “เรือพาลีรั้งทวีป” และ “เรือสุครีพครองเมือง”

.




« Last Edit: 05 June 2024, 15:31:30 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,284


View Profile
« Reply #1 on: 05 June 2024, 15:33:05 »










Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.073 seconds with 24 queries.