Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 15:51:31

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,616 Posts in 12,928 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  ลิงลพบุรีมาจากไหน!
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ลิงลพบุรีมาจากไหน!  (Read 561 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,452


View Profile
« on: 10 August 2022, 14:58:08 »

ลิงลพบุรีมาจากไหน!


เรื่องเก่า เล่าสนุก

รู้หรือไม่...ลิงลพบุรีมาจากไหน! ทั้งลิงทั้งภูเขาเกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์และจีนยกขันหมาก!!
เผยแพร่: 24 มิ.ย. 2565 13:35   ปรับปรุง: 24 มิ.ย. 2565 13:35   โดย: โรม บุนนาค





ลพบุรี เป็นจังหวัดเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยก็ว่าได้ มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ยังไม่เกิดกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ครั้งมีชื่อว่ากรุงละโว้ และจากการสำรวจของนักโบราณคดีทราบว่า ย่านนี้เป็นเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว

เมื่อพูดถึงจังหวัดลพบุรี ก็จะนึกถึงลิง เพราะมีลิงอยู่ในเมืองร่วมกับคนเป็นจำนวนมาก จนใช้จุดนี้ขายเป็นเมืองท่องเที่ยวได้ และมีการจัดโต๊ะจีนเลี้ยงลิงเป็นประจำทุกปี เป็นที่สงสัยกันว่า ลิงเหล่านี้มาจากไหน ตำนานเมืองลพบุรีมีคำตอบให้ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์สมัยที่พระรามรบกับทศกัณฐ์ โดยมีหนุมานเป็นผู้ช่วยพระเอก เมื่อชนะแล้วพระรามจึงให้รางวัลหนุมานไปครองกรุงละโว้ หนุมานก็นำทหารลิงไปด้วยจำนวนหนึ่ง จึงทำให้เมืองนี้มีลิงเป็นพลเมืองส่วนหนึ่ง และแพร่ลูกหลานสืบมาจนถึงวันนี้

พอมาถึงสมัยประวัติศาสตร์ก็กล่าวว่า สมัยก่อนลพบุรีเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีฝูงลิงอาศัยอยู่มาก เมื่อผู้คนบุกเบิกเป็นที่อยู่อาศัยและทำที่ทำกิน ป่าที่มีอาหารของลิงก็น้อยลงทุกที แต่คนที่มาอยู่ก็ไปเคารพกราบไว้ศาลพระกาฬที่สร้างมาตั้งแต่สมัยขอม ลิงก็เลยไปอาศัยของเซ่นไหว้เป็นอาหาร ส่วนคนก็พอใจถือว่าลิงเป็นลูกศิษย์ของเจ้าพ่อ ทั้งยังนำอาหารมาฝากลิงด้วย ลิงกับคนก็เลยอยู่ร่วมกันได้ตลอดมา

ยังมีเรื่องแปลกที่น่าสนใจอีกอย่าง คือภูมิประเทศของเมืองลพบุรี ทั้งภูเขา ถ้ำ และหนองบึง ล้วนมีตำนานเกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ทั้งนั้น อย่างภูเขาทับควายในอำเภอโคกสำโรง ซึ่งพื้นดินย่านนั้นมีสีแดงคล้ำผิดกับที่อื่นๆ มีตำนานบอกเล่าที่มาของเรื่องนี้ไว้ว่า

ในสมัยเมื่อก่อนพันปีที่แล้ว มีควายฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในย่านนี้ หัวหน้าฝูงมีชื่อว่าทรพี แม้จะเป็นฝูงใหญ่แต่ทั้งฝูงก็เป็นตัวเมียทั้งนั้น มีแต่หัวหน้าฝูงเพียงตัวเดียวที่เป็นตัวผู้ ทั้งนี้เมื่อควายตัวใดออกลูกเป็นตัวผู้ ทรพีผู้พ่อจะขวิดตายหมด เพื่อป้องกันไม่ให้มีควายหนุ่มมาแย่งตำแหน่งของตน จนมีแม่ควายตัวหนึ่งแอบไปตกลูกในถ้ำและเป็นตัวผู้ เกรงว่าจะถูกพ่อฆ่าจึงซ่อนลูกไว้ในถ้ำไม่ให้ออกไปไหน แม่ควายพยายามหาอาหารมาเลี้ยงจนลูกเติบโตเป็นหนุ่ม วันใดที่ทรพีไปหากินถิ่นอื่นแม่ควายก็จะพาลูกออกมาสูดอากาศนอกถ้ำ ลูกควายก็รู้ว่าเหตุใดแม่ควายจึงต้องทำเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อออกจากถ้ำคราใด ลูกควายก็จะวัดรอยเท้าพ่อทุกครั้ง

จนวันหนึ่งเมื่อรอยเท้าเท่าพ่อแล้ว เจ้าทรพีจึงพุ่งเข้าหาพ่อทันที แต่ทรพากลายเป็นควายแก่แล้ว จึงถูกทรพีฆ่าตาย ทรพีได้ครองตำแหน่งหัวหน้าฝูง และเป็นควายที่เกเรเที่ยวระรานรังแกสัตว์ที่ด้อยกำลังกว่า โดยเพาะลิงทั้งหลายก็ได้รับความเดือดร้อนด้วย เมื่อทรพารู้ว่าต้นไม้ต้นไหนเป็นอาหารของลิง ก็จะชนจนโค่นหมด ด้วยเหตุนี้พาลีและสุครีพลูกพี่ของฝูงลิงจึงต้องมาบำบัดทุกข์ให้ลูกน้อง
พาลีได้เข้าต่อสู้กับทรพีเอง และพาลีก็ไม่ใช่ลิงธรรมดา ควายทรพีสู้ไม่ได้จึงหนีเข้าไปในถ้ำ พาลีก็ตามเข้าไป โดยสั่งกับสุครีพก่อนเข้าว่า ถ้าเห็นเป็นเลือดสีแดงข้นไหลออกมาก็แสดงว่าเป็นเลือดควาย แต่ถ้าเป็นเลือดสีแดงใสก็เป็นเลือดลิง ก็ให้ปิดปากถ้ำได้เลย ขังทรพีไว้ในนั้น ปรากฏว่าพาลีฆ่าทรพีได้สำเร็จ แต่ขณะต่อสู้กันนั้นมีฝนตกลงมา เลือดที่ไหลออกจากถ้ำจึงเป็นสีแดงใส สุครีพนึกว่าเป็นเลือดลิงจึงเอาหินปิดปากถ้ำทันที

พาลีก็เข้าใจว่าสุครีพคิดจะฆ่าตัวด้วย จึงเกิดโทสะตัดหัวทรพีขว้างใส่หินที่ปิดปากถ้ำเต็มแรง จนหินกระเด็นไปตกในแม่น้ำลพบุรี ตรงนั้นจึงได้ชื่อว่า “ตำบลท่าหิน” ส่วนหัวทรพีกระเด็นไปตกกลางทุ่งใต้เมืองลพบุรี กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ เรียกกันว่า “หนองหัวกระบือ” ส่วนถ้ำที่ต่อสู้ระหว่างลิงกับควายนั้น พาลีได้ทลายถ้ำฝังทรพีไว้ข้างใต้ จึงได้ชื่อว่า “เขาทับควาย”

แต่วิทยาการสมัยใหม่พบว่า สีแดงของดินที่เขาทับควายก็คือแร่เหล็ก เนื่องจากภูมิประเทศมีความลาดเอียง เมื่อฝนมากก็ชะล้างเอาแร่ธาตุอื่นออกไป เหลือแต่ธาตุเหล็กสะสมอยู่ ในสมัยโบราณก็เคยนำไปถลุงเหล็กใช้กัน

ส่วน “เขาสมอคอน” ในเขตอำเภอท่าวุ้ง ซึ่งเป็นภูเขาลูกเล็กเรียงรายกันหลายลูกอยู่กลางทุ่งที่ราบลุ่ม ดูแปลกกับเขาอื่นๆ มีตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งที่พระรามทรงกริ้วทศกัณฐ์ ทรงขว้างจักรจากทะเลชุบศรเข้าใส่ทศกัณฑ์ แต่จักรนั้นไปเฉี่ยวยอดเขาช่องลพ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมือง แตกกระจายกระเด็นไปตกกลางทุ่ง กลายเป็นหมู่เขาสมอคอนที่แปลกตา

อีกตำนานก็เล่าเรื่องเขาสมอคอนไว้เหมือนกัน แต่เรื่องกลับไม่เหมือนกัน ตำนานนี้มีว่า เมื่อครั้งที่พระลักษณ์ถูกหอกโมกศักดิ์ของทศกัณฑ์สิ้นสติสมปดี ถ้าถอนหอกออกไม่ได้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นก็จะสิ้นชีพ หนุมานจึงอาสาไปเอาต้นสังกรณีตรีชวา ยาวิเศษที่ใช้ฝนทาถอนหอกโมกศักดิ์ได้ ซึ่งอยู่ที่เขาสรรพยา ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดชัยนาท แต่หนุมานไปค่ำแล้วมองหาต้นสังกรณีตรีชวาไม่เห็น จึงแบกเขามาทั้งลูก แต่เมื่อเหาะผ่านมาทางเมืองลพบุรีที่ยังเกิดเพลิงไหม้ตั้งครั้งหนุมานเอาหางกวาดเมืองไว้ แสงไฟทำให้เห็นต้นสังกรณีตรีชวา หนุมานจึงทิ้งภูเขาที่คอนมา แล้วถอนเอาแต่ต้นยาไป ภูเขาที่ทิ้งลงมาในทะเลเพลิงจึงถูกไฟเผาจนกลายเห็นหินขาว ได้ชื่อว่า “เขาสมอคอน”

สถานที่เหล่านี้ได้กลายเป็นสถานท่องเที่ยวของเมืองลพบุรีในปัจจุบัน ถือเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ ที่แต่งเรื่องทำประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนเกิดความสนใจสถานที่น่าชมเหล่านี้ จนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในสมัยที่มีการค้าขายกับต่างประเทศ ก็มีตำนานเกี่ยวกับชื่อตำบล หมู่บ้าน ของเมืองละโว้ และใช้มาจนเป็นจังหวัดลพบุรีในวันนี้ ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยที่ทะเลยังไปถึงเมืองละโว้ ทำให้เป็นเมืองท่าค้าขาย ได้มีพ่อค้าจีนคนหนึ่งชื่อ กงจีน แต่เรียกกันว่า เจ้า หรือ เจ้ากงจีน และเพี้ยนไปเป็นเจ้ากรุงจีนก็มี เจ้ากงจีนแล่นเรือสำเภาหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเรือตะเภามาค้าขายในย่านนี้ เนื่องจากเป็นเศรษฐีมีเงินมากและเจ้าชู้ เมื่อพบสาวงามเมืองใดก็จะสู่ขอมาเป็นเมีย แล้วพากลับไปเมืองจีน พอออกเรือเที่ยวใหม่พบสาวงามถูกใจใหม่ ก็ขอแต่งงานแล้วเอาไปไว้เมืองจีนอีก จนมีเมียนับไม่ถ้วน

ครั้งหนึ่งเจ้ากงจีนมาพบ นางนงประจันทร์ สาวงามของเมืองละโว้ เกิดถูกใจได้สู่ขอแต่งงาน นางนงประจันทร์มีคนรักอยู่แล้วจึงไม่ปลงใจด้วย แต่พ่อเห็นแก่เงินจึงตกลงจะรับขันหมากจากเจ้ากงจีน เจ้ากงจีนก็จัดขบวนขันหมากวางฟอร์มใหญ่โต จัดเป็นขบวนเรือมาบ้านเจ้าสาวที่อยู่ในคลอง คลองนั้นจึงได้ชื่อ “คลองขันหมาก”

แต่คนรักของนางนงประจันทร์เป็นผู้มีวิทยาคมสามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ จึงได้แปลงร่างเป็นจระเข้ตัวใหญ่เข้าขวางขบวนเรือ พวกลูกเรือเห็นเข้าก็ตกใจ หันหัวเรือกลับชักใบหนี จระเข้ยักษ์ก็ตามไปและฟาดหางจนสำเภาบางลำล่ม ลูกเรือต่างกระโจนขึ้นฝั่ง ซึ่งตรงนั้นเป็นภูเขาลูกเตี้ยๆ จึงได้ชื่อว่า “เขาจีนโจน” ลูกเรืออีกลำที่ล่มขึ้นเขาอีกลูกได้ หันมองดูของขันหมากที่ลอยเกลื่อน ภูเขาลูกนี้มีลักษณะเหมือนคนยืน จึงได้ชื่อว่า “เขาจีนแล” ปัจจุบันเขาทั้งสองลูกนี้อยู่ในตำบลห้วยซับเหล็ก อำเภอเมืองลพบุรี ส่วนเรือสำเภาที่ล่มก็กลายเป็นภูเขา มีลักษณะคล้ายเรือสำเภาตะแคง ได้ชื่อว่า “เขาตะเภา” อยู่ในตำบลเพนียด อำเภอโคกสำโรง

ส่วนของขันหมากต่างๆจมบ้างลอยบ้าง ผ้าแพรอย่างดีเป็นพับๆ ลอยไปติดอยู่ที่หนึ่ง ต่อมากลายเป็นภูเขามีหินเป็นชั้นๆเหมือนแพรผับ จึงเรียกกันว่า “เขาพับผ้า” หรือ “เขาหนีบ” อยู่ทางตะวันออกของตัวเมืองลพบุรี ส่วนแก้วแหวนเงินทองได้จมลงในบริเวนที่ได้ชื่อต่อมาว่า “เขาแก้ว” มีลักษณะเป็นหย่อมๆ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเหมือนคนเอาหินมากองไว้ เขาลูกนี้อยู่ริมทางเข้านิคมลพบุรี มีวัดแก้ว หรือวัดคีรีรัตนารามตั้งอยู่บนเขา

ตะกร้าที่ใส่ของต่างๆในเรือ ไปจมอยู่บริเวนอ่างเก็บน้ำซับเหล็กในปัจจุบัน ได้ชื่อว่า “เขาตะกร้า” มีลักษณะเหมือนตะกร้าคว่ำ ส่วนขนมที่ลอยน้ำไปก็กลายเป็นภูเขาเหมือนกัน ได้ชื่อว่า “เขาขนมบูด” และน่าแปลกที่กล่าวกันว่า หินของภูเขาลูกนี้ทุกวันนี้ก็มีกลิ่นคล้ายขนมบูด ใครไม่เชื่อก็ไปลองดมดูได้
ส่วนนางนงประจันทร์ นางเอกของเรื่องผู้มั่นคงในรัก ดีใจที่เห็นสำเภาขันหมากล่ม นอกจากเนื้อเต้นแล้วขาก็เต้นด้วย เลยพลาดตกลงไปในทะเล นางว่ายน้ำไม่เป็นเลยจมน้ำตาย กลายเป็นภูเขาไปอีกราย ได้ชื่อว่า “เขานงประจันทร์” ต่อมาเพี้ยนเป็น “นางพระจันทร์” จนเพี้ยนเป็น “เขาวงพระจันทร์” ในปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของลพบุรี มีบันได ๓,๗๙๐ ให้คนไต่ขึ้นไปพิชิต

ส่วนจระเข้หนุ่มเห็นขบวนเรือขันหมากล่มสมใจแล้วก็ว่ายน้ำเข้าฝั่ง พอเห็นสาวคนรักตายเลยใจสลายตายตาม กลายเป็นภูเขาไปด้วย มีชื่อว่า “เขาตะเข้” หรือ “เขาจระเข้” อยู่ไม่ห่างจากเขาตะเภาไม่มากนัก

นี่ก็เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่ช่างสังเกต นำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมาแต่งเป็นเรื่องราวเหมือนเป็นนิยาย จูงใจให้คนสนใจสถานที่ที่น่าท่องเที่ยว แม้จะเชื่อกันว่าเรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นจริงไปไม่ได้ แต่ตำนานนี้ก็ให้ความรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ในอดีตอันไกลโพ้น ทะเลเคยขึ้นไปถึงเมืองละโว้







.....
ภาพและเรื่องจาก
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000060143



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.071 seconds with 21 queries.