User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
06 November 2024, 06:17:01
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,389
Posts in
12,814
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
ภาพประทับใจ
|
ผนังเก่าเล่าเรื่อง
(Moderator:
ผนังเก่าเล่าเรื่อง
) |
รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54] (Read 533 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,231
รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
«
on:
02 March 2022, 14:49:42 »
รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 51 ฉากที่ 1-ฉัตรแก้วบังสุริยา
ทศกัณฐ์ตอนนี้โกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงแล้ว...เพราะเมื่อไม่นานมานี้ เจอลิงเผือกเผาลงกาเสียวอดวายไปที เมื่อวานดันมาเจอลิงเขียว บุกลงกาเข้ามาหยามเกียรติ จัดการเจี๋ยนทหารเอกของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาอีก
โกรธไปโกรธมา ก็นึกขึ้นมาได้ว่า กรุงลงกา ยังมีไอเท็มเทพประทานอยู่นั่นคือ ฉัตรแก้ว ซึ่งเป็นไอเท็มที่ท้าวสหบดีพรหมได้ประทานให้กับท้าวธาดาพรหม หรือท้าวจตุรพักตร์ หรือท้าวมหาอัชดา (หลายชื่อจังวุ้ย...) เป็นของขวัญตั้งแต่สมัย Grand openning กรุงลงกา ท้าวธาดาพรหม เป็นพ่อท้าวลัสเตียน หรือเป็นปู่ทศกัณฐ์นั่นแหละครับ
ฉัตรแก้วนี่เป็นฉัตรขนาดมหึมา กางขึ้นมาแต่ละทีบังแสงแดดไม่ให้ส่องไปยังที่ใดที่นึงรอบๆกรุงลงกาได้ และบริเวณนั้นจะมืดมิดไปในบัดดล
ว่าแล้ว ทศกัณฐ์ ก็จัดการสั่งให้ไพร่พลไปกางฉัตรแก้วบังแดดที่ส่องไปยังทัพพระรามเสีย พร้อมกันนั้นก็พานางมณโฑ กับบรรดาเมียน้อยทั้งหลายขึ้นไปบนฉัตรเพื่อไปสังเกตุการณ์ทัพพระราม ... ผมหล่ะไม่เข้าใจ ขึ้นไปสังเกตุการณ์แล้วจะพาบรรดาเมียๆขึ้นไปทำไมให้มันเยอะแยะ
ที่ทัพพระราม...อยู่ดีๆท้องฟ้าก็มืดมิดผิดปรกติ พระรามจึงเรียกพิเภกมาไต่ถาม...พิเภกจับยามสามตา พินิจดูแล้วนี่ไม่ใช่เวลาสุริยคราส จะอยู่ดีๆท้องฟ้ามันจะมืดได้ยังไง ฉะนั้น...มันต้องเป็นเพราะฉัตรแก้วประจำกรุงลงกาแน่ๆ
พิเภกแจ้งให้พระรามทราบว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องส่งแม่ทัพของพระองค์ไปหักฉัตรทิ้งเสีย มิฉะนั้นทศกัณฐ์อาจจะลอบเข้ามาตีทัพของเราตอนฟ้ามืดๆก็เป็นได้
พระรามจึงหันไปถามบรรดาลิงๆทั้งหลายว่า งานคราวนี้ใครจะอาสาดี....หนุมานเผาลงกาไปแล้ว องคตก็รับหน้าที่ฑูตไปแล้ว สุครีพเห็นที่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยต้องรีบเสนอตัว...และด้วยความที่เป็นเจ้าเมืองขีดขิน วานรตัวอื่นเลยไม่กล้าขัดแข้งขัดขา...พระรามจึงรับสั่งให้สุครีพรีบมุ่งหน้าไปลงกา แล้วหักฉัตรแก้วทิ้งลงโดยเร็ว
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 51 ฉากที่ 2-สุครีพหักฉัตร
สุครีพรีบบินปร๋อไปกรุงลงกา อาศัยที่ท้องฟ้ามันมืดมิด เลยเนรมิตตัวให้ดำๆๆ พรางตัวไปกับความมืด เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับหมู่ยักษ์
เผลอแพล่บเดียวก็เหาะไปจนถึงฉัตรแก้ว เห็นทศกัณฐ์กับบรรดาภรรเมียกำลังเฮฮาปาร์ตี้บนฉัตรแก้ว เฝ้ามองทัพพระรามกำลังปั่นป่วน
สุครีพเห็นดังนั้น จึงเนรมิตตัวเองอีกทีให้ร่างกายใหญ่โตมโหฬาร ขนาดพอๆกับฉัตรแก้ว แล้วก็ยืนจังก้ามองหน้าทศกัณฐ์ขมึงทึง
ทศกัณฐ์ที่กำลังสรวลเสเฮฮากับสาวๆ ก็ต้องตื่นตะลึงที่อยู่ดีๆก็มีลิงยักษ์มายืนอยู่ตรงหน้าเฉยเลย .. มันมายังไงเนี่ย...
ทศกัณฐ์มองไปมองมาก็จำได้ว่า นี่มันสุครีพ น้องพาลี คู่แค้นเก่าตรูนี่หว่า...ทศกัณฐ์จึงเหน็บแนมสุครีพไปดังๆว่า ตัวเป็นเจ้าเมืองขีดขินซะเปล่า ดันไปลดตัวเป็นขี้ข้ามนุษย์ตัวเล็กเท่ามด ไอ้ลิงไม่รักดี...
สุครีพได้ยินดังนั้นก็เดือดขึ้นมาทันที พร้อมตะโกนกลับไปว่า ไอ้ยักษ์หน้าหม้อ กลัวพระรามจนขี้ขึ้นสมอง ถึงกับต้องเอาฉัตรแก้วมาบังแสงส่องไปยังทัพพระราม ไม่กล้าสู้กันตัวต่อตัว เพราะกลัวพระรามจะเจี๋ยนเอาหล่ะเซ่....
ทศกัณฐ์โดนสุครีพดูถูก พลังความโกรธก็เดือดขึ้นมาเช่นกัน ลิงเผือกเผาเมืองตรูไปแล้ว ลิงเขียวก็ฆ่าลูกน้องตรูตายไปต่อหน้า คราวนี้ไอ้ลิงแดงมันเล่นโผล่มากลางเมืองเลย ถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้ ปล่อยให้ลิงสามสีมันหยามขนาดนี้ ทศกัณฐ์จะเอาหน้าไปไหว้ที่ไหน ว่าแล้วทศกัณฐ์ก็เตรียมกระโดดไปรบกับสุครีพให้รู้แล้วรู้รอด ติดอยู่ตรงบรรดาภรรเมียที่ยืนเกะกะ ร้องวี้ดว้ายกันเต็มฉัตรแก้วไปหมด (แล้วน้าจะพาขึ้นไปทำอะไรให้มันเยอะแยะเนี่ย...)
สุครีพเห็นทศกัณฐ์เตรียมจะกระโดดมาฟัดด้วย จึงรีบปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาก่อนนั่นคือ หักฉัตร
สุครีพกระโจนขึ้นไปบนฉัตร จนฉัตรเอนไปเอนมา บรรดานางสนม นางกำนัล ลิ่วล้อ ที่อยู่บนฉัตร ยืนโงนไปเงนมาจนตกมาตายหลายต่อหลายตน เสียงวิ้ดว้ายยิ่งดังระงมไปใหญ่ ทศกัณฐ์เป็นห่วงบรรดาเมียๆทั้งหลาย เลยแปลงร่างงอกมือมาให้ครบข้างละ 10 โดยมือข้างนึงก็กอดไว้คนนึง กอดไว้จนเต็มอกไปหมด ... แทนที่จะได้สู้กับสุครีพ เลยต้องมามัวสาละวันอยู่กับบรรดาเมียๆๆๆ
สุครีพเห็นทศกัณฐ์มัวแต่ยุ่งอยู่กับเมียทั้งหลาย เลยจัดการหักยอดฉัตรแก้วซะ จนแสงแดดกลับมาส่องทัพพระรามอีกครั้งนึง จากนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศพร้อมตะโกนบอกทศกัณฐ์ว่า เฮ้ยๆ ไอ้ยักษ์หน้าหม้อ...นี่แค่สั่งสอนเบาะๆนะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นการทำเกินหน้าที่ พ่อจะตัดหัวเจ้าเอาไปถวายพระรามเสียโดยพลัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ว่าแล้วสุครีพก็บินจากไปโดยพลัน...
ทศกัณฐ์ต้องมองดูสุครีพบินจากไปด้วยความอัปยศอดสูถึงขีดสุด.....
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:51:28 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,231
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
«
Reply #1 on:
02 March 2022, 14:51:51 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 52 ฉากที่ 1-ทศกัณฐ์เรียกหาไมยราพ
ทศกัณฐ์ตอนนี้อ๊าย อาย อายจนแทบจะเอาหน้าซุกกรุงลงกา เพราะแค่ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เจอลิงสามสี สีเผือก สีเขียว สีแดง มาลองดีถึงถิ่นกรุงลงกา โดยที่ฝั่งลงกาไม่ได้เอาคืนอะไรจากทัพพระรามเลย
ทศกัณฐ์เลยเรียกบรรดาลิ่วล้อ เสนาธิการมาปรึกษาหารือกันสิว่า เราจะถอนแค้นนี้คืนจากพระรามได้ยังไงกันบ้าง
เสนาธิการยักษ์ตนนึงเสนอว่า งานนี้ท่านไม่ต้องออกรบเองให้เปลืองตัวหรอกครับนาย นายเรียกใช้บริการจากท้าวไมยราพ ผู้ครองเมืองบาดาลดูสิครับนาย....ท้าวไมยราพนั่นเชี่ยวชาญสารพัดกลเม็ดเวทมนต์ ล่องหนได้ เสกสะกดกองทัพให้หลับทั้งกองทัพยังได้เลย เรียกได้ว่า ครบเครื่องเรื่องมนต์ดำ...อีกอย่าง...นครเมืองบาดาลกับกรุงลงกา ก็มีความสัมพันธ์แนบแน่นมาตั้งแต่สมัยรุ่นเสด็จปู่ของนาย นั่นคือ...ท้าวสหมลิวันเสด็จปู่ของท้าวไมยราพ เคยมอบบุษบกแก้ว (เรือเหาะที่ทศกัณฐ์ใช้เหาะไปลักพาตัวนางสีดา) ให้กับท้าวจตุรพักตร์ เสด็จปู่ของนาย...และนอกจากนั้น รุ่นป๊ะป๋า ท้าวมหายมยักษ์เสด็จป๋าของท้าวไมยราพ ก็เป็นเพื่อนซี้กับเสด็จพ่อของนาย นั่นคือ ท้าวลัสเตียน ด้วยนะครับนาย เรียกได้ว่าแนบแน่นจนหารอยต่อแทบไม่เห็นเลยครับนาย
ทศกัณฐ์ได้ฟังดังนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ได้แม่ทัพฝีมือดีมาช่วยฟรีๆ...เลยรีบรับสั่งให้ลิ่วล้อรีบไปเชิญตัวไมยราพมาพบที่กรุงลงกาโดยด่วน....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 52 ฉากที่ 2-ไมยราพปรึกษานางจันทประภา
ไมยราพพอได้รับเทียบเชิญจาก ทศกัณฐ์ มาเฟียใหญ่แห่งโลกา ก็รู้สึกยินดีปรีดา รีบจัดทัพเตรียมไปพบกับทศกัณฐ์โดยพลัน
ก่อนจะจากเมืองบาดาลไป ไมยราพไม่ลืมที่จะไปกราบลามารดา นางจันทประภา ... ครั้นเมื่อนางจันทประภาทราบว่าไมยราพกำลังจะรีบไปพบทศกัณฐ์เพื่อช่วยรบกับพระราม นางถึงกับรีบเตือนสติไมยราพ นางเตือนไมยราพให้นึกถึงคำสั่งเสียของป๊ะป๋าของไมยราพ หรือ ท้าวมหายมยักษ์ ที่เคยกำชับไว้ว่า แม้รุ่นปู่ รุ่นพ่อ เมืองบาดาลกับเมืองลงกา จะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น แต่พอถึงรุ่นทศกัณฐ์ที่วันๆเอาแต่ระรานชาวบ้านไปทั่วโลกา อะไรที่เป็นเรื่องชั่วๆ ทศกัณฐ์ชำนาญทุกอย่าง ดังนั้น เมืองบาดาล และ เมืองลงกา ไม่ควรจะสุงสิงกันต่อไป ตามภาษิตโบราณ คบคนพาลพาลพาไปหาผิด
นางจันทประภาเลยจำต้องขอร้องลูกว่าอย่าไปพบทศกัณฐ์เลย เพราะนอกจากจะเป็นคำสั่งเสียของป๋าแล้ว คราวนี้ทศกัณฐ์ยังฮึกเหิมออกรบกับพระรามที่เป็นพระนารายณ์อวตารอีก ช่างไม่ดูเงาหัวตัวเองเลย แล้วลูกของแม่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงทำไม...
ไมยราพที่ต้องการจะประกาศศักดาของเมืองบาดาลให้ก้องเกียรติเกริกไกรไปทั่ว นมนานกาเลเอาแต่อยู่ใต้พิภพ จนยุทธภพแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่าเมืองบาดาลอยู่ตรงไหน...และนี่เป็นโอกาสอันดีที่ ไมยราพ จะได้โชว์ฝีมือให้โลกได้เห็นแล้ว นอกจากนั้นการไปรบครั้งนี้ ทศกัณฐ์ขอให้ไมยราพไปช่วยร่ายมนต์สะกดทัพพระราม แล้วจับตัวพระรามและพระลักษณ์เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดครั้งใหญ่ระหว่างสองกองทัพ ฉะนั้น การไปพบทศกัณฐ์คราวนี้ มีแต่ได้กับได้...ฉะนั้นแม่ปล่อยให้ข้าไปเต๊อะ....
นางจันทประภาห้ามแล้วห้ามอีก แต่ก็จนใจ เพราะลูกชายรั้นที่จะไปให้ได้ ... สุดท้ายนางก็จำยอมอนุญาตให้ลูกชายเดินทางไปพบทศกัณฐ์ พร้อมกับอวยพรให้โชคดี...
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 52 ฉากที่ 3-ไมยราพยกทัพมุ่งหน้าลงกา
ไมยราพหลังจากร่ำลามารดา ก็รีบจัดทัพมุ่งหน้าลงกา เพื่อหารือการศึกร่วมกับทศกัณฐ์
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 52 ฉากที่ 4-ไมยราพหารือทศกัณฐ์
เมื่อไมยราพมาถึงกรุงลงกา ก็เข้าไปหารือเรื่องแผนการรบกับทศกัณฐ์
ไมยราพเห็นหน้าทศกัณฐ์ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ก็เอ่ยถามว่า แค่การศึกกับมนุษย์และลิงนี่ทำให้ท่านเครียดระทมขมขื่นได้เพียงนี้เชียวรึ?
ทศกัณฐ์ตอบไปว่า ก็ใช่นะสิ เพราะจำนวนทัพวานรในครั้งนี้แม้จะมากันไม่เยอะเท่ากับทัพยักษ์กรุงลงกา แต่มวลมหาประชาลิงนำทัพมาโดยอภิมหาแม่ทัพวานร ซึ่งถ้าจะมาสู้กันตัวต่อตัวกับแม่ทัพยักษ์แล้วนี่ กรุงลงกาเสียเปรียบแน่......
ไมยราพได้ยินพลันตะหงิดๆ อยากจะออกไปฟัดกับแม่ทัพลิงเสียให้รู้แล้วรู้รอดว่า มันจะแน่สักแค่ไหน เพราะตัวเองก็เป็นถึงเจ้าเมืองบาดาล แต่ทศกัณฐ์ก็ต้องห้ามปรามไว้ก่อน เพราะไอ้แม่ทัพยักษ์ที่ผ่านมาก็ฟึดฟัดแบบนี้แหละ พอออกไปรบกับแม่ทัพลิงเสร็จ คอขาดมั้ง ตัวขาดมั้ง ตายอนาถมั้ง....ฉะนั้น น้องไมยราพที่รัก อย่าเพิ่งเกรียน...แม่ทัพพี่เหลือน้อยเต็มที่
แล้วจะเอาไงกันดีหล่ะพี่ท่าน?
เอางี้...พี่จะลาออกจากรักษาการณ์เจ้าเมืองลงกา เพื่อจะได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูป เอ๊ย!!! ไม่ใช่...พี่จะให้น้องใช้วิชาที่น้องรักเป็นหนึ่งในยุทธภพ นั่นคือ วิชาหุงยา ที่สามารถกำบังตัวเองให้ล่องหน ไม่ว่าใครในสามโลกแม้จะมีวิชาแก่กล้าขนาดไหนก็จะมองไม่เห็น นอกจากนั้นยังมีอีกตัวยาที่สามารถใช้สะกดกองทัพได้ทั้งกองทัพให้หลับผลอยอร่อยไปเลย
แต่การจะหุงยาดังกล่าวมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากมากความ ไมยราพจึงทูลลา ท่านพี่ เพื่อไปเตรียมพิธีในสถานที่ปลอดภัย...
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 52 ฉากที่ 5-ไมยราพทำพิธีหุงยา
หลังจากขอตัวอำลาทศกัณฐ์เพื่อไปทำพิธีหุงยา...
ไมยราพก็มีรับสั่งให้ลิ่วล้อสร้างโรงพิธีขึ้นมาเฉพาะกิจ จากนั้นก็ตั้งไฟ แล้วเอาส่วนผสมยาวิเศษโยนใส่กระทะ ใส่กระทิอร่อยดี...อร่อยดีทั่วไทย อร่อยไกลทั่วโลก ลงไป เคี่ยวสัก 10 นาทีจนกระทิเริ่มแตกตัว จากนั้นก็เอาเครื่องแกง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใส่ลงไป จนได้กลิ่นกำลังดี ... เฮ้ย!! นี่ไม่ใช่ทำแกงเขียวหวานนะ....ลิ่วล้อคนนึงบอกไมยราพ
ไมยราพเลยต้องเริ่มพิธีใหม่ เพราะหลังๆเข้าครัวบ่อยครั้ง อันเนื่องมาจากอินน์กับรายการครัวคุณต๋อย
พิธีกรรมหุงยาของไมยราพยุ่งยากสลับซับซ้อนมาก เพราะสามารถเสกนางฟ้าขึ้นมาจากกระทะได้ด้วย เสกนางฟ้าได้ก็ฆ่าทิ้งแล้วก็โยนใส่กระทะไปใหม่ เคี้ยวไปสักพักเกิดเป็นสิงโต แล้วก็ฆ่าสิงโตเพื่อแหวกเอาหัวใจสิงโตมาเคี่ยวกับสารพัดสมุนไพรและตัวยาลับเฉพาะ
พอเคี่ยวได้ที่ก็ต้องกรองเอาผงยามาบดอีกเป็นพันๆๆๆครั้ง จนกว่าจะได้ยาสะกดนิทรา ที่ไม่ว่าใครโดนยานี้เข้าไปจะต้องหลับผลอยอร่อยไปเลย
จริงๆแล้วไมยราพไม่ต้องทำพิธีหุงยาอะไรให้ยุ่งยากก็ได้ถ้าอยากจะได้ยาสะกดนิทรา....แค่ไมยราพอ่านฟอร์เวิร์ดเมล์เรื่องแท็กซี่มอมยา แล้วไปตามหาไอ้คนขับแท็กซี่คันนั้น เพื่อขอสูตรยามอมสาวมาก็ได้....เพราะยามอมสาวของแท็กซี่ในฟอร์เวิร์ดเมล์เมืองไทย เป็นที่ขึ้นชื่อ แค่เอายาป้ายช่องแอร์ สูดอากาศดมเข้าไปไม่กี่ที ผู้โดยสารที่นั่งข้างหลังจะมึนงง และหลับผลอยไปได้แบบหมดเรี่ยวหมดแรงในเวลาไม่กี่นาที (ขนาดหมอวิสัญญียังต้องซูฮก เพราะกว่าจะทำให้คนไข้หลับได้ ต้องฉีดยากันเป็นเข็มๆ และใช้เวลาตั้งนานกว่าคนไข้จะผลอยหลับ) นอกจากนั้นคนขับที่มันโดนแอร์ป้ายยาเต็ม มันยังไม่เป็นอะไรเลย ... มันเป็นนวัตกรรมการมอมยาที่เยี่ยมที่สุดในสามโลก!!!
แต่เสียดาย ไมยราพ เกิดไม่ทันยุคโซเชียลมีเดีย...
พอได้ยาสะกดนิทราสูตรพิสดารแล้ว ไมยราพที่เหนื่อยอ่อนจากการทำพิธีกรรม ก็ขอตัวไปพักผ่อนนอนหลับเอาแรงก่อนลงมือปฏิบัติการในวันพรุ่งนี้...
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 52 ฉากที่ 6-ไมยราพฝันร้าย
ไมยราพรู้สึกอ่อนล้าจากการประกอบพิธีหุงยา จึงอาบน้ำอาบท่า เข้านอนทันที...
หลังจากนอนไปสักพัก ไมยราพก็ฝันเห็นพระจันทร์สีนวลสดใสส่องสว่างท่ามกลางหมู่ดาวที่อยู่ล้อมรอบ สักพักนึงดาวที่อยู่ล้อมรอบกลับค่อยมีแสงสว่างเพิ่มขึ้นๆๆๆๆๆ จนสว่างเท่าเทียมกับดวงจันทร์ ... แต่เท่านั้นไม่พอ มันกลับสว่างขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆ จนจะสว่างเท่าดวงอาทิตย์ มองไปก็แสบตาจนหาดวงจันทร์ไม่เจอ
ไมยราพสะดุ้งตื่น!...ไม่รู้สะดุ้งตื่นเพราะแสบตาหรือไม่...แต่ที่แน่ๆ ก่อนจะออกปฏิบัติภารกิจใหญ่ 1 วัน ดันมาฝันแปลกๆแบบนี้มันต้องมี something special แน่ๆ ว่าแล้วไมยราพก็ให้ลิ่มล้อไปตามท่านโหรประจำเมืองบาดาลมาทำนายทายฝันสิ...
ท่านโหรหลังจากจับยามสามตาแล้วก็ทูลไมยราพว่า อันฝันที่ท่านฝันนั้น เป็นฝันบอกลางไม่ดี ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมให้กดโทรศัพท์ไปที่ 1900-1900-52 ดูดวงชะตาฝันพยากรณ์กับหมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม
ไมยราพได้ยินเช่นนั้นก็รีบกดโทรไป ... หมอกฤษณ์คอนเฟิร์มได้ทำนายว่า อันฝันของท่านนั้นเป็นฝันร้าย ดวงจันทร์นั้นหมายถึงตัวท่านเองที่ส่องแสงลงมายังเมืองบาดาล ส่วนดวงดาวบริวารก็หมายถึงญาติพี่น้องคนสนิทของท่านที่รายล้อมตัวท่านอยู่ และการที่ดวงดาวเหล่านั้นส่องแสงจนมากลบแสงจันทราหรือตัวท่านเองนั้นก็หมายถึง ตัวท่านจะถูกญาติสนิทเหล่านั้นมาแทนที่ เป็นผู้ปกครองเมืองบาดาลในไม่ช้า
ไมยราพได้ยินเช่นนั้นก็เหงื่อกาฬไหล พร้อมถามหมอกฤษณ์ไปว่า แล้วไอ้ญาติสนิทคิดไม่ซื่อคนนั้นเป็นใครกัน.??
หมอกฤษณ์ตอบว่า...ก็ ไวยวิก ลูกชาย นางพิรากวน พี่สาวของท่านไง คอนเฟิร์ม!!!!
ไมยราพรีบวางสายหมอกฤษณ์ พร้อมกับโทสะที่เดือดปุดๆๆๆๆ หนอยแน่...ไอ้ไวยวิกหลานเรา เรารึอุตส่าห์เลี้ยงดูมันมาเป็นอย่างดี กลับคิดไม่ซื่อ คิดคดกบฏจะครองเมืองบาดาล แบบนี้เลี้ยงไว้ไม่ได้แล้ว ว่าแล้วก็รับสั่งให้ทหารไปลากตัวสองแม่ลูกมาท้องพระโรงที
เมื่่อสองแม่ลูกถูกลากตัวมาท้องพระโรงด้วยความงงงวย เพราะยังไม่รู้เลยว่า อยู่ดีๆโดนข้อหากบฏได้ไงฟร่ะ?
ไมยราพเมื่อเห็นหน้าสองแม่ลูกก็ของขึ้นชี้หน้าด่าสารพัดสารเพ โดยที่ทั้งสองแม่ลูกก็ยังงงๆอยู่ว่า เมริงฝันเองอะไรเอง โทรไปหาหมอกฤษณ์เอง แล้วอยู่ดีๆเมริงมาลงตรงพวกกรูได้ไงเนี่ย??? แต่ก็ไม่รู้จะตอบโต้ไมยราพยังไง ได้แต่ก้มหน้าฟังคำด่าฉอดๆๆๆๆๆ
ว่าแล้ว ไมยราพก็รับสั่งให้เอาทั้งคู่ไปประหารเสียให้รู้แล้วรู้รอด...แต่ท่านโหรประจำเมืองบาดาลได้ทูลขอชีวิตสองแม่ลูกไว้ก่อน ด้วยเหตุผลว่า ท่านกำลังทำการใหญ่ในวันรุ่งขึ้น ไม่ควรจะทำการอะไรที่ไม่เป็นมงคลก่อนปฏิบัติภารกิจ ฤกษ์มันจะเสียเปล่าๆ ... ไมยราพได้ฟังดังนั้นเลยให้ทหารเอาทั้งคู่ไปจับขังคุกไว้ก่อน รอให้ปฏิบัติภารกิจเสร็จ ค่อยกลับมาลงโทษประหารใหม่...
สองแม่ลูกได้ฟังดังนั้นก็น้ำตานองอาบสองแก้ม แบบไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย....
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:54:08 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,231
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
«
Reply #2 on:
02 March 2022, 14:55:30 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 53 ฉากที่ 1-หนุมานอมพลับพลา
ไม่ใช่แค่เพียงไมยราพเท่านั้นที่นอนหลับแล้วฝันแปลกๆ
พระรามก็ทรงฝันแปลกๆเช่นกัน...พระรามฝันว่า พระองค์ทอดพระเนตรไปบนท้องฟ้า เห็นพระอาทิตย์ทรงกลด แสงแดดเจิดจ้า แต่พลันทันใดนั้น ก็มียักษ์ราหูกระโจนเข้ามาอมดวงอาทิตย์ให้มืดมิดซะอย่างนั้น
และเหมือนทุกครั้ง พระรามได้ใช้บริการหมอดูทำนายฝันจาก พิเภก....พิเภกจับยามสามตาแล้วทูลว่า...นี่เป็นลางไม่ดี สงกะสัยว่าจะต้องมีกลอุบายอะไรสักอย่างมาจากทางฝั่งทศกัณฐ์แน่ๆ พระอาทิตย์ทรงกลดเปรียบได้ดั่งองค์พระรามที่ตอนนี้เดชานุภาพเกรียงไกร ทำเอากรุงลงกาสั่นสะเทือนเลือนลั่น...ยักษ์ราหูที่เข้ามาอมดวงอาทิตย์นี่ คงต้องเป็นใครสักคนที่ทศกัณฐ์ไว้วานมาให้จัดการกับพระองค์โดยการลักพาตัวให้หายแว่บไปเป็นแน่....และจากดวงชะตาของพระองค์ อีกหนึ่งราตรีข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายมาก ถ้าทศกัณฐ์จะลงมือลักพาตัว ก็น่าจะเป็นราตรีถัดไปเป็นแม่นมั่น ฉะนั้น เราควรจะรีบเตรียมการป้องกันไว้เสียแต่เนิ่นๆ...
เช้าวันรุ่งขึ้น พระราม และ พระลักษณ์ จึงเรียกประชุมเสนาธิการทหาร ว่าเราจะรับมือ การบุกจู่โจมลักพาตัว อย่างไรดี?
เสนาธิการลิงหลายท่านกล่าวว่า เวรยามเราออกจากเข้มแข็งขนาดนี้ ใครมันจะลักลอบเข้ามาค่ายทหาร มาลักพาตัวพระรามไปได้กัน? แต่พิเภกก็แย้งขึ้นมาว่า ไมยราพแห่งเมืองบาดาลมีฤทธิ์วิเศษ ปรุงยาให้ตัวเองล่องหน หายตัว หรือแปลงร่างได้เป็นทุกสรรพสิ่ง พร้อมกับยาวิเศษสะกดนิทราที่ไม่ว่าใครจะมีฤทธิ์กล้าแข็งขนาดไหน เจอยานี้ไปเป็นหลับผลอยไปเสียทุกราย และข้าก็ได้ข่าวว่า ทศกัณฐ์มีการนัดแนะพูดคุยกับไมยราพเมื่อวันก่อน...สงกะสัยงานนี้ไมยราพจะต้องออกโรงแน่นอน
เมื่อได้ยินดังนั้น เสนาธิการลิง จึงต้องประชุมกันเครียด เพราะถ้าไมยราพลอบเข้ามาพร้อมกับยาวิเศษได้ แล้วเราจะรับมือมันได้ยังไง?
การจัดวางเวรยามจึงต้องมีการรื้อระบบกันใหม่ โดยการขยายพื้นที่ค่ายให้กว้างออกไป เกินกว่ารัศมีทำการของยาสะกดนิทราจะเป่าเข้ามาถึงพลับพลาที่ประทับของพระราม พร้อมกับตั้งด่านวานรให้ถี่และหนาแน่นขึ้น ป้องกันคน ยักษ์ และลิงปลอมตัวเข้ามา วานรที่ทำหน้าที่ยามต้องมีการสลับผลัดเปลี่ยนกันตลอด 1 ราตรี เพราะ พิเภกได้จับยามสามตาดูแล้วพบว่า ช่วงเวลาที่ทศกัณฐ์จะก่อการสำเร็จมีแค่เพียง 1 ราตรีเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าป้องกันเหตุร้ายได้ภายใน 1 ราตรี พระรามก็จะพ้นเคราะห์
จากนั้นกองทัพพระรามก็มัวสาละวนอยู่กับการจัดเวรยามวานรใหม่ โดยให้พลับพลาของพระรามอยู่ในจุดลึกที่สุดห่างจากทางเข้าทัพพอสมควร และเพื่อป้องกันให้หนาแน่นอีกชั้น หนุมานจึงเสนอตัวเนรมิตตัวเองให้ใหญ่โต แล้วอมพลับพลาพระรามเอาไว้เสียเลย....โชคดีที่หนุมานใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้ ทำให้ไม่มีกลิ่นปาก ไม่งั้นพระรามคงเดดสะมอเร่เพราะกลิ่นปากหนุมานก่อนจะเจอไมยราพ ... พร้อมกันนั้นสุครีพก็สั่งบรรดาแม่ทัพฝีมือฉกาจทั้งหลาย มาเฝ้ายามอยู่ใกล้ๆพระรามเสียด้วยในคราวเดียวกันเลย...ดูสิว่า จะมีใครกล้ามาแหยมลักพาตัวพระรามมั๊ย?
พอตกหัวค่ำ...ได้เวลาปฏิบัติการของไมยราพ...
ไมยราพแอบเลียบๆเคียงๆกองทัพพระราม แล้วก็พาลตกใจ เฮ้ย!! นี่มันรู้ได้ไงเนี่ยว่าเราจะจู่โจมคืนนี้ เล่นจัดเวรยามหนาแน่นขนาดนี้ แล้วย้ายพลับพลาไปอยู่ด้านในสุด...แล้วเราจะลอบเข้าไปได้ยังไงเนี่ย? แม้ว่าจะมียาสะกดนิทราแต่รัศมีทำการมันก็จำกัด แม้จะทำให้ลิงกลุ่มนึงหลับได้ แต่ลิงกลุ่มอื่นที่ไม่โดนยาก็ไม่หลับอยู่ดี แล้วถ้าไปตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมลิงหล่ะ ชีวิตน้อยๆของไมยราพมีหวังแดดิ้น....
ไมยราพเลยต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะเอายังไงกันดี...
ว่าแล้วไมยราพก็แปลงกายเป็นลิงน้อย จัดการเฉือดลิงยามไปตัวนึงแล้วก็แอบแฝงเข้าไปเป็นยามลิงกะเค้า เพื่อลอบเข้าไปดูลาดเลา ไมยราพพบว่า ตัวเองคงวนเวียนเป็นลิงน้อยอยู่ได้เฉพาะรอบๆนอกเท่านั้น เพราะยิ่งเข้าไปลึกๆในกองทัพ เหล่าแม่ทัพฝีมือฉกาจก็กำลังเฝ้ายาม ไม่หลับไม่นอนด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ไมยราพอาจจะแปลงเป็นลิงตบตาลิงระดับล่างๆได้ แต่เชื่อได้ว่า ลิงฝีมือฉกาจ มันต้องดูออกแน่ๆ
ไมยราพได้ยินเหล่าลิงยามคุยกันว่า เฮ้ยๆๆ พวกเรา อดทนกันหน่อย แค่เฝ้าเวรยามให้พ้นราตรีนี้ไป ทุกอย่างก็จบแล้ว เพราะพิเภกบอกมาแล้วว่า พระรามจะมีเคราะห์แค่เพียงราตรีนี้เท่านั้น
ไมยราพได้ยินเช่นนั้น ก็เหมือนกับได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์...เสร็จกรูแน่ๆพวกลิงเอ๋ย....ว่าแล้วไมยราพก็นั่งรอๆๆๆๆ รอจนใกล้รุ่งสาง แล้วค่อยเป่ายาสะกดนิทราให้ลิงบริเวณนั้นผลอยหลับไปก่อน พร้อมกับควักเอายาวิเศษบรรจุลงในกล่องแก้ว ก่อนจะเหาะขึ้นไปปัดป่ายกล่องแก้ว...ยาวิเศษที่ว่านี้เมื่อฟุ้งกระจายไปบนท้องฟ้า จะทำให้ดูประนึงว่า ท้องฟ้าเป็นสีทอง เหมือนกับว่าดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นจากขอบฟ้า....ไมยราพเลื่อนเวลารุ่งสางขึ้นมากว่าปรกติสัก 1-2 ชั่วโมง
เหล่าวานรที่ไม่ได้ถูกสะกดนิทรา เมื่อได้เห็นแสงอาทิตย์สีทองกำลังขึ้นจากขอบฟ้า ก็ดีใจ ไชโยโห่ฮิ้ว! ภารกิจอดตาหลับขับตานอนจบสิ้นเสียที
วานรหลายตัวก็ผ่อนคลายความเข้มงวดในการตรวจตรา วานรบางตัวก็ขอตัวไปนอนเอาเสียดื้อๆ วานรหลายตัวก็รีบไปหาข้าวเช้ากิน สรวลเสเฮฮา...และเนื่องจากพลับพลาของพระรามอยู่ในส่วนลึกที่สุดของกองทัพ จึงไม่ได้รับทราบเลยว่า การตรวจตราของยามวานรได้ถูกยกเลิกไปแบบไม่ได้ตั้งใจแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไมยราพในคราบลิง ก็เดินผ่านกองทัพลิงเข้าไปใกล้ๆพลับพลาได้อย่างสบายใจเฉิบ ก่อนจะถึงพลับพลา ก็ไม่วายใช้ยาสะกดนิทราเป่าใส่กองทัพวานรมาตลอดทาง ... วานรที่กำลังเริงร่าก็ผลอยหลับกันเป็นแถบ....
พอเข้าใกล้พลับพลา อยู่ในระยะทำการของ M79 เอ๊ย! ยาสะกดนิทรา ไมยราพก็จัดการพ่นยาออกไป เหล่าแม่ทัพนายกองที่เฝ้าพระรามอยู่ก็หลับผลอยไปตามๆกัน ไม่เพียงเท่านั้น หนุมาน ที่อมพลับพลาอยู่ก็หลับผลอยไปเช่นกัน
ไมยราพจึงเดินอาดๆๆๆเข้าไปถึงตัวพระรามได้โดยง่าย สะดวกโยธิน จัดการอุ้มพระรามใส่บ่า แล้วรีบมุดกลับไปยังเมืองบาดาล
สรุป....พระรามมีเคราะห์ในชั่วราตรีนั้นจริงๆ....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 53 ฉากที่ 2-ไมยราพลักพาตัว
ภาพนี้แสดงการลักพาตัวพระราม แบบที่พระรามยังบรรทม นอนหลับผลอยอร่อยไปเลยอยู่...ไมยราพก็ลักพาตัวกันมาในท่านอน ไม่มีปรับเปลี่ยนอิริยาบถใดๆเลย
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 53 ฉากที่ 3-ปรึกษาหารือแผนชิงตัวพระราม
เมื่อไมยราพลักพาตัวพระรามลงไปสู่เมืองบาดาลแล้ว ก็รีบจัดแจงนำพระรามไปขังกรงเหล็ก กลางดงตาล พร้อมกับสั่งลงโทษนางพิรากวน ที่ตอนนี้นั่งจุมปุ๊กอยู่ในคุกกับ ไวยวิก ลูกชาย ให้ไปตักน้ำจากสระใส่กะทะใบใหญ่ให้เต็ม จากนั้นก็ต้มน้ำให้เดือด...หลังจากไมยราพอาบน้ำอาบท่าชำระร่างกายเสร็จ ก็จะเริ่มพิธีต้มพระราม และ ไวยวิก ไอ้เด็กทรยศ กันเสียคราวเดียวกันเลย
ฝากฝั่งหนุมานที่อ้าปากอมพลับพลาอยู่นานสองนาน ก็ยังหลับผลอยด้วยมนต์สะกดของไมยราพ ... พระพายบิดาแห่งลิงน้อยเห็นบุตรตัวเองทำหน้าที่ได้ทู่เรสมาก อุตส่าห์เสนอตัวอมพลับพลาให้พระรามแต่ดันมาหลับผลอยจนไมยราพเดินเข้ามาล้วงคอลิง ลักตัวพระรามไปต่อหน้าต่อตา มันก็ยังหลับปุ๋ยอยู่ พระพายเลยพัดลมใส่หนุมานเสียหนึ่งดอก
หนุมานนั้นถ้าได้ต้องลมพระพายขึ้นมาครั้งใด ไม่ว่าจะต้องมนต์สะกดใดๆ หรือแม้กระทั่งร่างกายจะแหลกเหลวเพียงใด ก็จะฟื้นคืนชีพใสบัดดล และคราวนี้ก็เช่นกัน...หนุมานตื่นขึ้นมาทันทีหลังจากต้องลมพระพาย...
หลังจากตื่นงัวเงียขึ้นมา หนุมานก็เห็นเหล่าวานรรอบๆปากตัวเองหลับผลอยกันโดยถ้วนทั่ว เลยรีบร้องตะโกนๆๆ ทั้งๆที่ปากตัวเองยังอมพลับพลาอยู่....พวกที่อยู่ในปากหนุมานเลยต้องตื่นขึ้นมาตาม ... ไม่ใช่ตื่นเพราะเสียงแต่ตื่นเพราะกลิ่น....หนุมานเป็นลิง จึงไม่เคยแปรงฟัน....
พวกที่อยู่ในปากหนุมานรีบตื่นและวิ่งออกมาจากปากหนุมาน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอ้วกแตก ล้างหน้าล้างตาแล้วก็กลับมารวมตัวกันใหม่...เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมากลางวง...."เฮ้ยๆๆ พระรามอยู่ไหนเนี่ย??"
เท่านั้นแหละ...วงแตกทันที เพราะหลังจากสำรวจตรวจตราแล้ว พระรามไม่อยู่ หายไปไหนก็ไม่รู้
พระลักษณ์จึงรับสั่งให้ลิงแถวนั้นค้นหาตัวพระรามโดยด่วน แต่ก็ไม่พบ...
พิเภกจับยามสามตาดูก็ทูลพระลักษณ์ไปว่า ไอ๋หย่า พวกเราโดนมนต์สะกดของไมยราพเข้าจริงๆ และมันก็ฉวยโอกาสตอนที่พวกเราหลับปุ๋ย เข้ามาลักพาตัวพระรามไป!!! ณ ตอนนี้พระรามยังมีชีวิต แต่ชะตาชีวิตเริ่มมืดลงเรื่อยๆ....คาดเดาได้ว่าไมยราพคงจะเตรียมตัวกำจัดพระรามในเวลาไม่ช้าแน่...
พระลักษณ์จึงรับสั่งให้หนุมานทำคุณไถ่โทษ รีบลงไปยังเมืองบาดาล แล้วชิงตัวพระรามกลับมา...
หนุมานไม่เคยไปเมืองบาดาล เลยมึนตึบ ไม่รู้จะไปยังไง?
พิเภกเอาแผนที่ Google map เมืองบาดาลมากางให้หนุมานดู พร้อมกับชี้แนะอะไรบางอย่างว่า...
นี่แน่ะหนุมาน...เมืองบาดาลเนี่ยถ้าเดินไปตามแผนที่ Google แล้ว เจ้าจะเจอสระบัวที่ใหญ่ทั้งสระและใหญ่ทั้งบัว บัวในสระนั้นจะใหญ่โตกว่าบัวทั่วไปมากมายเหลือคณานับ เพราะบัวพวกนั้นแหละจะเป็นถนนเข้าไปประตูเมืองบาดาล ... วิธีจะเข้าไป เจ้าต้องหักก้านบัวออก แล้วก็มุดตัวลงไปตามก้านบัว ลงไปเรื่อยๆๆๆๆๆ แล้วเจ้าจะเห็นประตูเมืองบาดาล จากนั้นเจ้าจะเจอสารพัดค่ายกล...เจ้าต้องผ่านค่ายกลต่างๆให้ได้ก่อน ถึงจะเข้าถึงปราสาทด้านในของไมยราพได้...
หนุมานได้ยินดังนั้น กำแผนที่ Google ไว้ข้างกายแล้วรีบเหาะไปตามทางโดยพลัน....เวลาเหลือน้อยลงทุกที....
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:56:02 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,231
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
«
Reply #3 on:
02 March 2022, 14:58:49 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 54 ฉากที่ 1-หนุมานลอบเข้าเมืองบาดาล
เผลอแพล่บเดียว หนุมานก็มายืนอยู่ตรงหน้าสระบัวขนาดยักษ์ตามคำบอกกล่าวของพิเภกและแผนที่ใน Google
หนุมานยืนตรวจตราดูอยู่สักครู่พบดอกบัวยักษ์ ขนาดใหญ่กว่าใครเพื่อน ไหวติงไปมาน่าสงกะสัย ... ว่าแล้วหนุมานก็เหาะเข้าไปสังเกตสังกาใกล้ ยิ่งพิศดูก็ยิ่งมั่นใจว่าดอกบัวนี่ประหลาดกว่าใครเพื่อน ... มันจะต้องเป็นประตูไปสู่เมืองบาดาลตามที่พิเภกได้บอกกล่าวเป็นแม่นมั่น
ว่าแล้ว หนุมานก็จัดการหักก้านดอกบัวเสีย จากนั้นก็หดตัวเองให้เล็กพอที่จะลอดลงไปในก้านดอกบัวได้
พลุ่บ!!! ......
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 54 ฉากที่ 2-หนุมานลอดก้านบัว
หนุมานกระดุกกระดิกผ่านก้านดอกบัว ไปได้สักพัก ก็โผล่มาที่ประตูทางเข้าเมืองบาดาล
ไมยราพสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่า ฝากฝั่งทัพพระรามจะต้องส่งใครมาช่วยพระรามกลับไปแน่ๆ จึงวางกองกำลังยักษ์ดักรอหน้าปากประตูไว้ ... หนุมานยังไม่ทันลอดตัวเองออกมาจากก้านบัวได้สุด พวกกองกำลังยักษ์ก็เห็นหนุมานดุ๊กดิ๊กอยู่แต่ไกล ทั้งหมดเลยแห่กันมา กะว่าจะรุมหนุมานให้ตายคาเท้า
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 54 ฉากที่ 3-หนุมานฟาดฟันกองกำลังไมยราพ
กองกำลังยักษ์ที่ไมยราพแห่กันเข้ามามะรุมมะตุ้มหนุมาน แต่ยักษ์ระดับปลายแถวหรือจะมาอาจสู้ลิงที่มีฝีมืออันดับหนึ่งในแผ่นดินได้ กองกำลังยักษ์ที่แห่กันเข้ามาเท่าไหร่ ก็โดนหนุมานฟาดฟันตายแดดิ้นไปเท่านั้น
ในที่กองกำลังยักษ์นับพันก็โดยหนุมานจัดการเรียบภายในเวลาไม่กี่นาที ... เลเวลมันต่างกันเกินไปจริงๆ
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 54 ฉากที่ 4-หนุมานหักคอคชสาร
หลังจากฝ่าด่านกองกำลังยักษ์ลิ่วล้อได้ ด่านต่อไปที่หนุมานต้องเจอคือ พญาคชสารตกมัน ที่หากินอยู่แถวๆนั้น พญาคชสารตัวนี้ตัวดำทะมึน งายาวโง้งพร้อมจะแทงศัตรูให้ไส้ทะลักได้ทุกเมื่อ เป็นพญาช้างเหนือช้างที่ปกครองโขลงช้างในเมืองบาดาลอยู่
ไมยราพเลี้ยงช้างโขลงนี้ไว้เพื่อเป็นยามอารักขาประตูเข้าเมืองบาดาล
พญาคชสารเห็นหนุมานหักด่านยักษ์มาได้ ก็เกิดอาการตกมันสุดขีด รีบวิ่งปรี่เข้าใส่หนุมาน ... หนุมานยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนช้างชนเข้าอย่างจัง จนกระเด็นไปหลายเมตร พญาคชสารยังไม่หยุด ยังวิ่งเข้ามาหาหวังจะกระทืบหนุมานให้เละคาเท้า
หนุมานต้องกลิ้งไปกลิ้งมาหลบกันเป็นพัลวัน เล่นเอาสะบักสะบอมกันเลยทีเดียวกว่าจะหลบให้พ้นดงเท้าของพญาช้างได้...พอตั้งหลักได้ หนุมานปาดเหงื่อแล้วกวักนิ้วเรียกพญาคชสาร มาลองกำลังกันหน่อย มาดูสิว่า พญาช้างกับพญาวานรใครจะแน่กว่ากัน
หนุมานพุ่งเข้าชนพญาคชสาร เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผลการปะทะ แม้หนุมานจะมีพลังเหนือวานรทุกตัวบนพื้นพิภพ แต่เมื่อมาเจอเจ้าแห่งช้างในเมืองบาดาลกลับต้องยอมแพ้ ... ที่สำคัญงาของพญาช้างนั้น คมกริบ ... หนุมานต้องหลบกันเป็นพัลวัน
หนุมานตัดสินใจถอยออกมาตั้งหลักก่อน...ช้างตัวนี้ไม่เหมือนช้างทุกตัวที่หนุมานเคยประมือมา (หนุมานเคยหักคอช้างตกมันมาแล้ว สมัยที่บุกลงกา) พลังคชสารของมันเหลือคณา แถมงาของมันก็คมกริบ จะเข้าปะทะตรงๆนี่มีแต่จะเสียเปรียบ
ว่าแล้วหนุมานก็กวักมือเรียกพญาช้าง วิ่งเข้ามาประลองกำลังกันอีกรอบ แต่คราวนี้หนุมานเลี่ยงที่จะชนกันตรง โดยการเอี้ยวตัวหลบไปด้านข้าง ใช้ขา ใช้มือ หักงวงช้าง ในท่า หักงวงไอยรา ... พญาช้างถึงกับร้องลั่น จากนั้นหนุมานจึงไต่งวงขึ้นไปยังกระหม่อมช้าง จุดอ่อน จุดตายของพญาช้าง ... จุดนี้พญาช้างไร้การป้องกันใดๆ หนุมานจึงขวักพระขรรค์ขึ้นมา ปักลงไปกลางกระหม่อมช้าง จนมิดด้าม
พญาช้างร้องลั่นเมืองบาดาลก่อนจะล้มลง...โขลงช้างเมื่อเห็นพญาช้างจ่าฝูงถูกหนุมานปราบ ก็แตกตื่น วิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง
หนุมานที่ตอนนี้สะบักสะบอมสุดขีด ก็มุ่งหน้าต่อไป ยังมีอีกหลายด่านที่ต้องฝ่าเข้าไปก่อนจะถึงตัวพระราม
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 54 ฉากที่ 5-หนุมานฝ่าด่านเขาเพลิงกรด
หนุมานพาร่างที่สะบักสะบอมมาจากการโรมรันกับพญาคชสารมาเจอด่านถัดมา....เขาเพลิงกรด ด่านนี้เป็นภูเขาสูงทะมึนอยู่เบื้องหน้า มียอดเขาอยู่นับสิบลูก
ถ้าเป็นแค่ภูเขาธรรมดา คงไม่ครณามือของหนุมาน แต่ภูเขาเพลิงกรดมันไม่ธรรมดา!!
ยอดเขานับสิบลูกเคลื่อนที่ไปมาได้ โดยจะเคลื่อนที่เข้าๆออกๆกระทบกันเสียงดันสนั่นเลื่อนลั่น ถ้าเผลอเดินเข้าไปไม่ดูตาม้าตาเรือ มีหวังโดนยอดเขาบดป่นปี้เป็นเนื้อลิงทุบ
นอกจากยอดเขาที่เคลื่อนที่กระทบกันอันน่าครั้นคร้ามแล้ว ที่พื้นภูเขาแต่ละลูก ยังมีเพลิงกรด ที่ไม่มีควัน แต่ร้อนดั่งแสงอาทิตย์ก็มิปาน แค่เฉียดไปใกล้ๆ หนุมานก็ได้กลิ่นขนเพชรของตัวเองไหม้ขึ้นมาเป็นหย่อมๆ
งานนี้หนุมานเพ่งพินิจอยู่ที่ตีนเขาอยู่ครู่นึง...แล้วพบว่าหนทางเดียวที่จะผ่านเขาเพลิงกรดไปได้ก็คือ ต้องปีนขึ้นไปยังยอดเขา แล้วโดดข้ามจากเขาลูกนึงไปยังอีกลูกนึงเท่านั้น ขืนเดินทะเล่อทะล่าไปตามซอกเขามีหวังไม่โดนป่น ก็โดนไหม้เกรียมแน่
ว่าแล้วหนุมานก็เปล่งพลังซุปเปอร์ไซย่าขั้นที่สาม รีบทะยานตัวเองผ่านเพลิงกรด ที่แม้จะร่างกายจะถูกเผาไหม้แต่ก็ต้องยอมทน พร้อมหลบหลีกเขาที่มาชนกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว
ชั่วอีดใจเดียวหนุมานก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาลูกแรก หนุมานสังเกตตัวเองดู ผิวไหม้เกรียมเป็นหย่อมๆ แต่แค่นี้จิ๊บๆ สำหรับหนุมานชาญสมร ... ก่อนจะกระโดดจากยอดเขาลูกนี้ไปยังลูกต่อไป หนุมานคิดขึ้นมาได้ ไหนๆขาออกเราก็ต้องออกทางนี้นี่หว่า แล้วตอนนั้นต้องแบกพระรามกลับออกมาด้วย เกรงว่าตัวเองจะหลบหลีกเพลิงกรดได้แต่พระรามนี่สิ? ว่าแล้วหนุมานก็เปล่งพลังซุปเปอร์ไซย่าขั้นที่สี่ อัดพลังลมปราณใส่กำปั้นเต็มร้อย แล้วชกกำปั้นใส่ยอดเขาเต็มแรง ด้วยท่ากำปั้นสะท้านโลกันตร์ ...
เปรี้ยง!!!!!
เขาเพลิงกรดลูกแรกแตกกระจายเป็นผุยผง เพลิงกรดก็พลอยมอดไหม้ตามไปด้วย
หนุมานกระโดดข้ามจากเขาลูกนี้ไปยังลูกถัดไป แล้วก็ทำแบบเดียวกัน จนยอดเขาเพลิงกรดทั้งหมดราบเป็นหน้ากลอง เพลิงกรดมลายหายสิ้น.....
หนุมานพักปรับลมปราณสักครู่ ด่านนี้่กินพลังงานเหลือเกิน.....
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:58:21 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,231
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
«
Reply #4 on:
02 March 2022, 15:00:52 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 54 ฉากที่ 6-หนุมานตะลุยยุงยักษ์
ด่านต่อไปที่หนุมานจะต้องฝ่าเข้าไปช่วยพระรามคือ ด่านยุงยักษ์.....
ที่ด่านนี้ไมยราพได้ตัดต่อพันธุกรรมยุง GMO ขึ้นมาใหม่ โดยเอาไปผสมกับไก่งวง เลยได้ยุงไซส์ไก่งวง แถมเพิ่มความดุร้ายด้วยการเอายีนของปลาปิรันย่าผสมลงไปด้วย
ยุงฝูงนี้เลยบรมน่ากลัว เพราะตัวใหญ่โตเท่าแม่ไก่งวง หากินเป็นฝูงและดุร้ายเหมือนปลาปิรันย่า
พวกยักษ์ในเมืองบาดาลถ้าเดินหลงมาแทบนี้หล่ะไม่ต้องหวังจะหลุดรอดชีวิตออกไปได้เลย
ยุงพวกนี้ถ้าเจอกับหนุมานตัวต่อตัว มีเรอะจะทำอะไรหนุมานชาญสมรได้ แต่งานนี้มาเป็นฝูง และฝูงนึงมีเป็นหมื่นๆตัว
ในสมัยรามเกียรติ์ ไบกอน เชลท็อกซ์ ก็ไม่มี หนุมานจึงต้องยืนคิดอยู่ชั่วครู่ว่าจะลุยฝ่าเข้าไปยังไงดี
แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก งานนี้มีอยู่ทางเดียวลุยกันไปตรงๆนี่แหละ ว่าแล้วหนุมานก็ทะยานเข้าไปในฝูงยุงยักษ์
ฝูงยุงนับหมื่นก็บินเข้ามาโจมตีหนุมาน...หนุมานใช้สองมือสองเท้าจัดการยุงตัวแล้วตัวเล่า จากหลักสิบ กลายเป็นหลักร้อย กลายเป็นหลักพัน แต่แม้หนุมานจะเก่งกล้าขนาดไหน ตอนนี้หนุมานฝ่าด่านมาแล้วสามด่าน เจอยุงเข้าไปอีกเป็นพันๆตัว เรี่ยวแรงที่เคยมีก็แทบจะหมดเกลี้ยง
....ตอนนี้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล สะบักสะบอม เหนื่อยล้าเต็มที่ แต่เพื่อเจ้านายที่ตัวเองจงรักภักดี ยังไงๆงานนี้ต้องกัดฟันลุยกันต่อไป
สู้ว้อยยยยยยย.....ว่าแล้วหนุมานก็เปล่งพลังซุปเปอร์ไซย่าขึ้นมาอีกครั้ง ระเบิดพลังทีเดียวยุงยักษ์ตายเป็นเบือ
ตอนนี้เหลือยุงอยู่ตรงหน้าไม่กี่ร้อยตัว ... หนุมานเพ่งดูเห็นไอ้ตัวราชินียุง ตัวใหญ่สุดอยู่ด้านหลัง ถ้ากำจัดราชินียุงได้ ก็เท่ากับกำจัดยุงยักษ์ GMO ฝูงนี้ได้โดยเด็ดขาด ว่าแล้วหนุมานก็เร่งพลังขึ้นมาอีก พุ่งทะยานเข้าไปหาราชินียุง บรรดายุงองครักษ์ก็บินเข้ามาขวางหนุมาน แต่มีเรอะที่จะมาขวางพญาวานรได้ หนุมานฟาดฟันยุงเหล่านั้นร่วงหล่นบนพื้น หักคอ หักปีก หักขา จนยุงองครักษ์ตายเกลี้ยง จากนั้นก็เหวี่ยงพระขรรค์ในมือ พุ่งเข้าใส่ยุงราชินีอย่างแม่นยำ ตายคาที่
ฝูงยุงยักษ์นับหมื่นก็ถูกหนุมานปราบจนไม่เหลือหลอ....
หนุมานทรุดเข่าลงกับพื้น เรี่ยวแรงแทบจะมลายหายสูญไปจนสิ้น.....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 54 ฉากที่ 7-หนุมานพบมัจฉานุ
หนุมานผ่านมาหลายด่าน ร่างกายชักเหนื่อยล้า เดินโซซัดโซเซมาจนถึงสระบัวแห่งนึง สระบัวนี้กว้างขวางมาก หนุมานเกาหัวแกรกๆ เอาไงต่อดีเนี่ย จะไปทางไหนต่อดี?
สักพักมีเสียงตะโกนก้องมาจากสระบัว.....
"เหวย เหวย เหวย ไอ้ลิงเผือก มาทำอะไรที่สระบัว รู้มั๊ยแถวนี้ใครคุม? แถวนี้เค้าไม่ได้อนุญาตให้มาเดินเล่นนะเฟร้ย! มาทางไหนรีบกลับไปทางนั้น เดี๋ยวจะหาว่าเจ้าถิ่นไม่เตือน!!"
หนุมานได้ฟังก็ตะโกนกลับไปว่า กรูกำลังจะเข้าไปเหยียบเมืองบาดาลให้จมมิด นี่ก็หักด่านมาไม่รู้กี่ด่านแล้ว ถ้าเจ้าถิ่นแน่จริง ก็โผล่หัวออกมา พ่อจะกระทืบให้จมเมืองบาดาลเลย
ยังมิทันขาดคำ มีลิงน้อยหน้าตาคล้ายคลึงกับหนุมานเดี๊ยะ ต่างกันตรงที่มีหางเป็นปลา โผล่พรวดขึ้นมาจากสระ ลอยขึ้นในอากาศ พร้อมชี้หน้าหนุมาน ...."ชิชะ! ไอ้ลิงเผือก (ว่าเค้าแล้วทำยังกะตัวเองไม่เผือก?!?) ทำมาเป็นปากดี...ไอ้ด่านที่ผ่านมาหนะ มันกระจอก ของจริง ลอยอยู่ตรงหน้าเอ็งแล้ว ปากดีนัก เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนให้รู้จักฤทธิ์ของเจ้าถิ่นสักหน่อย"
ว่าแล้ว ลิงหางปลา ก็รีบโจนทะยาน พุ่งเข้าใส่หนุมานเป็นลูกกระสุน
หนุมานที่เหนื่อยอ่อนยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ต้องปัดป้องกันเป็นพัลวัน พร้อมตะโกนไปว่า ... ไอ้ลิงน้อย ดูจากอายุแล้วเจ้ายังอ่อนกว่าข้าหลายปี อย่ามาสู้กันให้เสียเวลาเลย เดี๋ยวจะหาว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเปล่าๆ
ลิงน้อยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งเดือด....หนอยยย มาหาว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก เดี๋ยวเด็กอย่างข้าจะเหยียบผู้ใหญ่อย่างเอ็งให้จมธรณีเลย
ลิงน้อยพุ่งเข้ามาหาหนุมานใหม่ ประเคนหมัด เท้า สารพัด ใส่หนุมาน....
หนุมานเห็นว่าลิงตัวนี้ไม่ธรรมดา เพราะฤทธิ์เยอะน่าดู จะทำเป็นเหยาะแหยะคงไม่ได้ ว่าแล้วก็ระเบิดพลังซุปเปอร์ไซย่าออกมา!!! จับลิงน้อยฝาดลงกับพื้น ลิงน้อยถึงกับสลบเหมือด
หนุมานจ้องดูลิงน้อย หน้าตามันคุ้นๆ เหมือนหน้าตัวเองยังไงชอบกล.....
ขณะที่กำลังเพ่งดูหน้าลิงน้อย ลิงน้อยก็ลืมตาขึ้น ฟื้นจากสลบโดยพลัน แล้วก็พุ่งกระโจนตะลุมบอนใส่หนุมานต่อ
ลิงทั้งคู่ฟัดกันไปมาอยู่นาน หนุมานรำคาญจึงต้องเปล่งพลังซุปเปอร์ไซย่าออกมาอีกหรอบ คราวนี้ประเคนฝ่าสิบแปดมังกรใส่ลิงน้อยเต็มๆ จนกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร สลบเหมือดอีกครั้ง
หนุมานยืนนิ่ง กำหนดลมปราณ เพราะใช้พลังงานไปเยอะเหลือเกิน ... แต่ยังไม่ทันจะหายเหนื่อย ไอ้ลิงน้อยก็ฟื้นจากสลบแล้วก็พุ่งมาหาหนุมานอีกครั้ง.....เฮ้ย!!! ไอ้ลิงนี่มันยังไงกันว่ะเนี่ย ทำไมทำอะไรมันไม่ได้เลย
ลิงทั้งสองตะลุมบอนกันอีกครั้ง คราวนี้หนุมานต้องใช้วิธีจับล็อค ไม่ให้ลิงน้อยเคลื่อนไหวได้ แล้วหนุมานก็ถามลิงน้อยว่า....
"เฮ้ย ไอ้ลิงน้อย พ่อแม่เจ้าเป็นใครกันเนี่ย ทำไมเจ้าถึงได้มีฤทธิ์เดชขนาดนี้ แล้วเก่งขนาดนี้ทำไมต้องมาเฝ้าด่านให้ไอ้ยักษ์ไมยราพด้วย?"
ลิงน้อยบอกหนุมานว่า ข้าชื่อมัจฉานุ พ่อข้าหน่ะเป็นสุดยอดลิงในสามโลก ชื่อหนุมานบุตรพระพาย ส่วนแม่ข้าหน่ะชื่อ สุพรรณมัจฉา เป็นนางเงือก ตอนข้ายังเด็กๆหน่ะ ไมยราพ เอาตัวข้ามาเลี้ยง รักประดุจดั่งลูกบุญธรรม ข้าเลยตอบแทนคุณโดยการมาเฝ้าเมืองบาดาลให้ท่านพ่อบุญธรรมอยู่นี่ไง ไอ้ลิงเผือก!!
หนุมานได้ฟังดังนั้น ก็ปลื้มปิติที่ได้พบหน้าลูกชาย จึงคลายล็อค แล้วก็กล่าวว่า มัจฉานุ นี่พ่อเจ้าเอง หนุมาน ทหารเอกของพระรามซึ่งเป็นนารายณ์อวตาร
มัจฉานุเพ่งมองหนุมาน เพ่งดูจุดเด่นต่างๆของหนุมานที่แม่ นางสุพรรณมัจฉา เคยบอกไว้ตอนเด็กๆว่า พ่อเจ้าหน่ะเป็นลิงเผือกที่ไม่เหมือนใคร มีทั้งกุณฑล ขนเพชร และเขี้ยวแก้ว ซึ่งลิงที่อยู่ตรงหน้ามีครบทุกไอเท็มเลย
แต่ที่สำคัญที่สุด ที่มัจฉานุจำคำกล่าวของแม่ได้แม่นเลยคือ ...พ่อเจ้าหน่ะหาวเป็นดาวเป็นเดือนได้ด้วยนะ...
มัจฉานุนึกถึงคำมารดาได้ จึงกล่าวกับหนุมานไปว่า ถ้าเจ้าเป็นพ่อข้าจริงๆ เจ้าต้องหาวเป็นดาวเป็นเดือนได้ ถ้าเจ้าทำได้ ข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าเป็นพ่อข้า...
หนุมานยิ้ม พร้อมกับพึมพำว่า เรื่องหมูๆ ดูให้ดีหล่ะมัจฉานุ..ว่าแล้วก็รวมลมปราณไว้ที่ท้องน้อย แล้วพ่นพลังออกไป กลายเป็นดาวเป็นเดือนลอยอยู่ในอากาศ
มัจฉานุตาค้าง ..... สรุปนี่คือพ่อของเราจริงๆด้วย....
มัจฉานุรู้สึกผิดที่ประเคนหมัดเท้าใส่พ่อ ทุ่มพละกำลังประหัตประหารพ่อบังเกิดเกล้า มัจฉานุเลยร้องไห้ ก้มกราบขอขมาบิดาตัวเอง
หนุมานก็สุดแสนจะดีใจที่ได้เจอลูกตัวเอง เพราะหลังจากไปทำนางสุพรรณมัจฉาท้อง ตัวเองก็ไม่เคยเจอหน้าลูกและเมียอีกเลย
ทั้งคู่สวมกอดกันและนั่งคุยกันอย่างสนิทสนมอยู่ชั่วครู่ หนุมานจึงกล่าวกับลูกชายว่า พ่อมีภารกิจสำคัญที่ต้องรีบไปช่วยองค์พระรามมาจากไมยราพโดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วทัพพระรามจะต้องเพลี่ยงพล้ำทัพของทศกัณฐ์เป็นแน่ ... หนุมานขอให้มัจฉานุช่วยบอกทางเข้าสู่เมืองบาดาลให้ที
มัจฉานุเกิดอาการลังเล เพราะฝั่งนึงก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้า อีกฝั่งก็เป็นพ่อบุญธรรมที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก จะให้ทรยศบอกทางเข้าเมืองไป มันก็จะเป็นการเนรคุณข้าวแดงแกงร้อน
มัจฉานุเลยได้แต่บอกหนุมานเป็นปริศนาไปว่า....
“บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่ จงเร่งพินิจคิดดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญ”
หนุมานหยุดคิดอยู่ชั่วครู่....
อ๋อ...ตอนเข้าเมืองบาดาลด่านแรก เราหักก้านบัวแล้วลอดเข้ามา ตอนนี้เราเจอสระบัวอีกครั้ง ก็น่าจะต้องทำแบบเดียวกันอีก
บิงโก!!! ว่าแล้วหนุมานก็หักก้านบัว แล้วย่อตัวให้เล็กเพื่อลอดก้านบัว
ก่อนจะจากมัจฉานุไป หนุมานตะโกนบอกลูกชายว่า ขอบใจมากไอ้ลูกชายแสนรัก เอาไว้พ่อเสร็จภารกิจเมื่อไหร่ จะกลับมาพบเจ้าในทันที ลาก่อน จุ๊บๆๆ
ว่าแล้ว หนุมานก็ลอดก้านบัว เข้าสู่เมืองบาดาลชั้นใน ที่คุมขังพระราม
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:59:52 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,231
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 51 - 54]
«
Reply #5 on:
02 March 2022, 15:13:20 »
เรื่องกำลังสนุกเลยครับ แต่น่าเสียดายที่ท่าน julapong โพสต์ไว้ใน
http://oknation.nationtv.tv/blog
เพียงเท่านี้ (ห้องที่ 54 จาก 178 ห้อง)
.....
ภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง “รามเกียรติ์” ที่รายล้อมรอบระเบียงคดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ซึ่งมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ นับเป็น “จิตรกรรมฝาผนังยาวที่สุดในโลก” และเป็น Unseen Thailand ด้วย
.....
อย่างไรก็ตาม เราก็ได้รับชมภาพและคำอธิบายเรื่อง อย่างสนุกสนาน
ขอขอบคุณ ท่านจุลพงษ์ (julapong) และ oknation เป็นอย่างสูง มา ณ ที่นี้ ด้วย
รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว
Posted by julapong
http://oknation.nationtv.tv/blog/julapong
.....
http://oknation.nationtv.tv/blog/
http://oknation.nationtv.tv/blog/julapong
http://oknation.nationtv.tv/blog/julapong/page7
.....
http://oknation.nationtv.tv/blog/julapong/2013/05/29/entry-1
.....
«
Last Edit: 07 April 2024, 22:04:36 by ppsan
»
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.101 seconds with 22 queries.
Loading...