Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 02:56:02

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  ภาพประทับใจ  |  ผนังเก่าเล่าเรื่อง (Moderator: ผนังเก่าเล่าเรื่อง)  |  รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 41 - 50]
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 41 - 50]  (Read 803 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« on: 02 March 2022, 14:26:35 »

รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว  by julapong [ห้องที่ 41 - 50]


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 41 ฉากที่ 1-พิเภกสวามิภักดิ์พระราม




พิเภกเมื่อร่ำลาลูกเมียเสร็จ ก็รีบเหาะออกจากลงกา
พิเภกนั้นรู้ตัวมาตั้งนานแล้ว (ก็เป็นหมอดูนิ) ว่าต้องถูกเฉดหัวออกมา และชะตาชีวิตต้องไปเป็นเสนาธิการให้พระราม
พิเภกจึงตัดสินใจเดินทางมุ่งหน้าไปยังค่ายทัพของพระรามที่ตั้งอยู่ที่เขาเหมติรัน แล้วก็ได้ไปเจอะกับนิลนนท์ ที่กำลังตรวจตราเฝ้ายามอยู่

นิลนนท์ทีแรกก็นึกว่าพิเภกจะเป็นพวกยักษ์กองหน้าบุกมาตะลุย จึงเตรียมสู้เต็มที่ แต่พอคุยไปคุยมาจึงได้ทราบว่าพิเภกจะมาสวามิภักดิ์ แต่ด้วยความที่ยังไม่ค่อยไม่มั่นใจว่าจะเป็นกลอุบายอะไรหรือเปล่า นิลนนท์เลยยังไม่กล้าตอบตกลง พร้อมกับพอพิเภกไปพบกับสุครีพ ให้สุครีพที่เป็นหัวหน้าเป็นคนตัดสินใจดีกว่า

สุครีพหลังจากได้พูดคุยกับพิเภกก็รู้สึกถูกชะตา และก็เชื่อว่าพิเภกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่คนตัดสินใจในกองทัพไม่ใช่สุครีพ ต้องเป็นพระรามเท่านั้น สุครีพเลยจูงมือพิเภกไปหาพระราม

พิเภกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระรามฟัง พร้อมกับขอสาบานต่อหน้าศรพรหมมาสตร์ว่า ถ้าตัวเองทรยศต่อพระราม ก็ขอให้ตายตกกันไปด้วยศรพรหมมาสตร์ พระรามจึงรับพิเภกไว้ใช้งาน โดยแต่งตั้งให้เป็นเสนาธิการประจำกองทัพ

หลังจากนั้นพระรามก็ได้สอบถามพิเภกเกี่ยวกับข้อมูลกรุงลงกา และให้พิเภกฟันธงไปเลยว่า ระหว่างกองทัพวานรของพระองค์กับกองทัพยักษ์ของทศกัณฐ์ ฝ่ายไหนจะเหนือกว่ากัน

พิเภกบอกว่ากองทัพของทศกัณฐ์นั้นมีจำนวนมหึมา มากมายกว่ากองทัพวานรของพระรามมากนัก แถมประสบการณ์ในการรบก็ช่ำชอง ฉะนั้นถ้ากองทัพพระรามจะเอาชนะได้ คงต้องอาศัยความเก่งฉกาจของบรรดาแม่ทัพนายกองเป็นหลัก

แต่ตัวพิเภกไม่เคยเห็นฟอร์มของบรรดาแม่ทัพฝั่งพระราม เคยเห็นแต่ฟอร์มของแม่ทัพยักษ์ฝั่งลงกาที่มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ เลยยังไม่สามารถฟันธงอะไรออกมาได้

สุครีพได้ยินเช่นนั้นก็ออกอาการฟึดฟัด อยากจะโชว์พาวว์ให้พิเภกได้เห็น ว่าแล้วก็ขออนุญาตพระราม พาพิเภกไปดูศักยภาพของแม่ทัพฝั่งตนให้เป็นที่ประจักษ์สักกะหน่อย...

พระรามก็อนุญาตให้สุครีพดำเนินการได้...

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 41 ฉากที่ 2-ทัพวานรสำแดงเดช




สุครีพจูงมือพิเภกออกไปด้านนอกกองทัพ พร้อมกับนัดแนะบรรดาแม่ทัพนายกอง ให้มาร่วมกันแสดงแสนยานุภาพให้พิเภกได้เห็นเป็นประจักษ์หน่อยว่า กองทัพวานร ไม่ได้ด้อยไปกว่า กองทัพยักษาของลงกาเลย

หนุมานโชว์พาวไปช้อนดวงอาทิตย์ให้ดูก่อนเป็นลำดับแรก

ตามด้วยนิลพัทเหาะไปเอาวิมานแก้วจากไหนไม่รู้ แบกด้วยฝ่ามือข้างเดียว

องคตปีนขึ้นไปบนเขาแล้วก็ทำท่าเขย่าภูเขา จนเขาแทบจะหลุดออกมาจากพื้นปฐพี

บรรดาสิบแปดมงกุฏก็แสดงท่าทางจับสัตว์ในนิยายต่างๆด้วยความสนุกสนาน ทั้งครุฑ พญานาค กิเลน เสือ กวาง โดนกันถ้วนหน้า


ส่วนพวกบรรดานายกองลิ่วล้อ ก็ช่วยกันโยกภูเขา ทำลายภูเขาแล้วโชว์พลังช้างสารโดยการแบกก้อนหินก้อนเบ้อเริ่มมาโยนเล่นกันอย่างเพลิดเพลินจนเสียงดังวินาศสันตะโรไปทั่วบริเวณ

พิเภกได้ดูการโชว์พลังแล้วก็ ออกปากชมว่า สุดยววววดดด ถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว ฝีมือแม่ทัพนายกอง ทหารเอกของพระรามเหนือกว่าฝั่งลงกามาก

ดังนั้นแม้จำนวนทัพจะน้อยกว่า ทางฝั่งเราสามารถชดเชยด้วยความสามารถของแม่ทัพนายกอง ทำให้ศึกครั้งนี้สูสีเป็นยิ่งนัก.....

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:35:21 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #1 on: 02 March 2022, 14:28:18 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 42 ฉากที่ 1-ฤทธิ์วานรสะเทือนลงกา




ขณะที่พวกวานรกำลังโชว์แสนยานุภาพจนเลือนลั่นไปทั่วแผ่นดิน

ทางฝั่งลงกาก็ได้รับรู้การสั่นไหวเป็นอย่างดี (ทำยังกะเกิดแผ่นดินไหว) สั่นไหวไม่พอ ยังมีหินหล่นมาใส่กลางที่ประชุมสภากลางเมืองลงกาอีก

บรรดาอำมาตย์ เสนาบดี ที่กำลังประชุมสภากับทศกัณฐ์ถึงกับแตกตื่น วิ่งหลบก้อนหินที่พวกวานรโยนทุ่มลงมาอย่างไร้ทิศไร้ทาง

ทศกัณฐ์ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา จึงสั่งให้ สุกรสาร ผู้เชี่ยวชาญในการเป็นจารชน ออกไปสืบหาดูสิว่า ใครมันบังอาจจะโยนหินเข้ามาลงกาเละๆเทะๆแบบนี้

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 42 ฉากที่ 2-จารชนสุกรสาร




สุกรสาร ได้เหาะออกไปดูเหตุการณ์ ก็ถึงกับตื่นตะลึง เมื่อพบกองทัพวานร มาตั้งท่ารอริมฝั่งมหานทีแล้ว นับได้ว่า การข่าวลงกา ห่วยแตกมากครับ พระรามยกทัพมารอเกือบจะถึงหน้าบ้านแล้ว ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลย

สุกรสารจึงรีบแจ้นกลับไปรายงานทศกัณฐ์ ในรูป สุกรสาร คือยักษ์ตัวเขียวๆ ไม่สวมชฏาครับ

ทศกัณฐ์ก็ถึงกับตกอกตกใจเหมือนกันพอได้รู้ว่า พระรามยกทัพมาเยือนแล้ว โชคยังดีที่ พระราม ยังไม่รู้ว่าจะยกทัพข้ามมหาสมุทรมายังไง ทศกัณฐ์จึงมีเวลาหายใจหายคอ

จังหวะนั้น ทศกัณฐ์ ก็นึกถึงปราชญ์ซุนวู่ ที่กล่าวไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ฉะนั้นเราต้องรีบรู้ให้ละเอียดก่อนว่า ฝั่งทัพพระรามมีหน้าตาเป็นยังไง

ว่าแล้วทศกัณฐ์ก็มอบหมายให้ สุกรสาร ทำหน้าที่เป็นจารชน ลอบเข้าไปในทัพพระรามและล้วงความลับ พร้อมรายละเอียดของทัพพระรามมารายงานให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุดด้วย


สุกรสารรับทราบ พร้อมกับไปเตรียมตัวปฏิบัติภารกิจ จารชนพิชิตโลก!!!

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 42 ฉากที่ 3-สุกรสารลอบแฝงตัวทัพวานร




นี่เป็นอีกภาพนึงครับที่ถ้าไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็น แถมภาพอยู่ด้านบนเกือบติดเพดานอีก

จารชนสุกรสารผู้มีความสามารถในการแปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆได้เหมือนยังกะแกะ (แสดงว่าแปลงเป็นแกะได้อย่างเดียว?) เริ่มปฏิบัติการลอบเข้าไปในกองทัพพระรามโดยแปลงร่างเป็นเหยี่ยวเพื่อจะได้ล้วงตับความลับทัพพระรามจากทางอากาศ

หารู้ไม่ พิเภก ได้เตรียมการป้องการการจารกรรมข้อมูลให้กับพระรามเรียบร้อยแล้ว ด้วยการบรรดาทหารลิงคอยเฝ้าเวรยามสังเกตุสังกาบรรดานกเหยี่ยวที่บินโฉบไปโฉบมา เพราะนั่นคือสัญญาณการล้วงความลับจากฝั่งลงกาแน่ๆ เพราะฝั่งลงกาไปรบกับใครก็ใช้มุขนี้ตลอด

เมื่อบรรดาลิงเฝ้ายามเห็นเหยี่ยวบินโฉบไปโฉบมาผิดสังเกตุจึงรีบไปแจ้งข่าวให้พิเภกทราบ เมื่อพิเภกออกมาดูจึงรู้ได้ทันทีว่า ไอ้เหยี่ยวนี่มันไม่ใช่เหยี่ยวปรกติแน่ๆ ทิศทางการบินของมันจ้องแต่จะเข้าไปใจกลางทัพ และกองเสบียง นี่มันต้องเป็นพวกยักษ์แปลงร่างเป็นเหยี่ยวลอบเข้ามาล้วงตับแน่ๆ

พิเภกจึงสั่งให้พลต่อสู้อากาศยาน เขวี้ยงก้อนหินขึ้นไปเพื่อสอยเหยี่ยวลงมา บรรดาวานรพลังช้างสารจึงช่วยการเขวี้ยงห่าก้อนหิน หวังจะสอยมันให้ร่วง

สุกรสารบินหลบได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็เริ่มเอะใจแล้วว่าทางฝั่งทัพพระรามจะรู้ว่าตัวเองเข้ามาจารกรรม ขณะเดียวกันก็เหลือบไปเห็นบรรดาแม่ทัพวานรทั้งหลายเตรียมจะเหาะกระโจนขึ้นมาคว้าตัวเหยี่ยวกลางเวหา

สุกรสารเห็นท่าไม่ดีเลยรีบบินโฉบหนีไปในป่า พร้อมแปลงร่างจากเหยี่ยวให้กลายเป็นลิง ไหนๆลอบเข้าไปทางอากาศไม่ได้ ก็เข้าไปทางบก ทำตัวเป็นลิงแอบเข้าไปดื้อๆนี่แหละ

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:36:36 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #2 on: 02 March 2022, 14:30:32 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 43 ฉากที่ 1-หนุมานดักจับจารชน




หนึ่งในรูปที่ผมชอบมากที่สุด....
สุกรสารยอดจารชนแปลงร่างกลายเป็นลิง แอบมั่วเข้าพวกกับบรรดาลิงที่ออกมาลาดตระเวนเข้าไปด้านในกองทัพพระราม

หลังจากที่สุกรสารในคราบเหยี่ยวหนีไปได้ พิเภกและบรรดาแม่ทัพนายกองก็เครียดกันเลย เพราะถ้าจับตัวไม่ได้ มันอาจจะแอบลอบเข้ามาล้วงความลับอีกเมื่อไหร่ก็ได้ และพวกจารชนยักษ์มันจะชำนาญเรื่องการแปลงร่างซะด้วย

ว่าแล้วที่ประชุมทหารก็ประชุมเครียดเพื่อหาแนวทาง ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่าภายในวันสองวันนี้ ยักษ์จารชนมันต้องปฏิบัติภารกิจอีกแน่นอน เพราะคราวที่แล้วมันไม่ได้ข้อมูลสำคัญๆไป แต่คราวนี้มันไม่น่าจะมาทางอากาศอีก หนทางเดียวที่จะเป็นไปได้คือปลอมตัวแอบแฝงเข้ามาในกองทัพของเราเลย นั่นคือ การแปลงร่างเป็นวานร

หนุมานเสริมขึ้นมาว่า ตนเองก็ได้กลิ่นแปลกๆของยักษ์ในทัพในช่วงวันสองวันนี้เหมือนกัน แต่หาไม่เจอ เพราะถ้ามันแปลงเป็นลิงได้เหมือนขนาดนั้น การจะไปหาลิงปลอมในทัพลิงนับแสนนั้นมันทำได้ยากยิ่ง

แล้วเราจะทำยังไงกันดี?

พิเภกเสนอวิธีว่า เอางี้ ให้หนุมานทำตัวใหญ่โตแล้วให้แม่ทัพนายกองปิดทางเข้ากองทัพทั้งหมด พร้อมกับจัดทัพวานรให้เดินเป็นแถวเป็นแนวผ่านหน้าหนุมาน

หนุมานต้องคอยจับตาลิงทุกตัวที่เดินผ่านหน้า ถ้าลิงตัวไหนไม่มีเงา นั่นแหละยักษ์ปลอมตัวมา (ยักษ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเงาครับ...)

ที่ประชุมทัพนำวิธีไปแจ้งให้พระรามทราบเพื่อขออนุญาตดำเนินการ

พระรามเห็นชอบให้ดำเนินการได้.....

ทัพวานรทั้งหมดจึงต้องเดินเรียงแถวผ่านหน้าหนุมาน....และหนุมานก็สังเกตเห็นลิงตัวนึง มีท่าทางพิรุธ และที่สำคัญมันไม่มีเงา!!!!

ไม่ทราบว่าใครสังเกตในภาพเห็นมั๊ยครับ ว่าตัวไหนคือลิงปลอม?

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 43 ฉากที่ 2-พบตัวสุกรสาร




ไอ้นี่ไง ลิงปลอม เพราะไม่มีเงาตกกระทบพื้น
แถมลิงบ้าอะไร ตัวเป็นลิง แต่หน้าเป็นยักษ์ คนวาดนี่มีอารมณ์ขันดีจริงๆครับ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 43 ฉากที่ 3-ลงโทษสุกรสาร




สุกรสารถูกหนุมานจับได้ว่าเป็นจารชนปลอมตัวมาเป็นลิง จึงตะโกนพลทหารลิงช่วยกันจับตัวไว้ไปให้สุครีพตัดสินคดีความ

สุครีพนำตัวสุกรสารไปให้พระราม พร้อมกับบังคับให้พูดความจริง ว่ามาล้วงความลับอะไร ยังไง ที่ไหน่ ไม่งั้นจะจับไปทำยักษ์แดดเดียว สุกรสารกลัวตายก็สารภาพแต่โดยดีว่า ทศกัณฐ์ ใช้งานมาล้วงความลับ

ที่ประชุมทหารในตอนแรก เห็นพ้องต้องกันว่าประหารทิ้งซะ แต่หลังจากที่หารือกันในรายละเอียดแล้ว พิเภกได้เสนอว่า สุกรสาร ไม่น่าจะได้ข้อมูลอะไรจากทัพพระรามไปมากมาย ถ้าจะฆ่าทิ้งไป ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร สู้เอาตัวไปลงโทษ สักหน้าด้วยถ้อยคำเย้ยหยันทศกัณฐ์ เพื่อยั่วให้ฝั่งทศกัณฐ์โมโหยกทัพออกมารบดีกว่า ไม่งั้นถ้าทศกัณฐ์มุดหัวอยู่แต่ในเมือง จะให้ทัพพระรามยกเข้าตี คงจะต้องเสียไพร่พลเป็นจำนวนมากแน่

ว่าแล้วพระรามก็ทรงรับสั่งให้สุครีพจับตัวสุกรสารไปลงโทษ เฆี่ยนตี พร้อมสักด้วยถ้อยคำสารพัดคำด่า และ ดูถูกทศกัณฐ์ให้ชัดเจนลงบนหน้าสุกรสาร กะว่า พอทศกัณฐ์ได้อ่านแล้ว เอาให้อกแตกตายกันไปเลย

จากนั้นนำตัวไปแห่ประจาน ก่อนถีบตูดส่งกลับไปที่ลงกา สมน้ำหน้าจารชนโหล่ยโท่ย

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 43 ฉากที่ 4-ทศกัณฐ์ปลอมตัวเข้าพบพระราม




สุกรสารที่โดนไล่กลับไปยังลงกา พร้อมรอยสักหน้าอัปยศก็ได้ไปเข้าเฝ้าทศกัณฐ์

ทศกัณฐ์ได้อ่านถ้อยคำเหยียดหยามบนหน้าสุกรสารก็เดือดปุดๆ อยากจะออกไปรบกับพระรามให้รู้แล้วรู้รอด ดีเสียว่ายังพอสงบสติอารมณ์ได้ พร้อมกับตระหนักว่า ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าทัพพระรามมีหน้าตาเป็นยังไง แต่พระรามกลับรู้ทัพฝั่งลงกาอย่างทะลุปรุโปร่งเพราะมีพิเภกเป็นไส้ศึก

ว่าแล้วทศกัณฐ์ก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาประการนึง นั่นคือ แปลงร่างตัวเองให้กลายเป็นฤาษีเพื่อลอบเข้าไปสังเกตุการณ์ทัพพระรามเองเลย

ฤาษีจำแลง เดินผ่านมาที่หน้าค่ายพระราม พวกวานรก็นิมนต์ ถวายอาหารเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี

หลังจากนั้นฤาษีจำแลง ก็บอกบรรดาพลวานรว่า อยากจะพบพระราม ให้ช่วยพาไปพบหน่อย....

ฤาษีจำแลง หลังจากที่ได้พบพระรามแล้ว ก็ได้พูดคุยกับพระรามถามไถ่ว่าจะไปไหน ไยยกทัพใหญ่มากันที่นี่ พร้อมกันนั้นก็ขอให้พระรามพาบรรดาแม่ทัพนายกองและเสนาธิการออกมาให้ดูตัวหน่อย

ทศกัณฐ์ หรือ ฤาษีจำแลงคิดในใจว่า เดี๋ยวพิเภก ไอ้น้องทรยศมันต้องโผล่หัวออกมาแน่ และถ้ามันโผล่มา มันต้องจำเราได้แน่ๆ ทศกัณฐ์เลยร่ายมนต์ที่ใช้ได้เฉพาะกับยักษ์ด้วยกันเท่านั้น ให้พิเภกอยู่ในสภาวะ นะจังงัง ไปชั่วครู่ในขณะที่นั่งอยู่ในที่ประชุมทหาร

ในรูป พิเภกคือยักษ์ที่นั่งตาละห้อยอยู่ด้านล่าง ด้านหลังพระลักษณ์หน่ะครับ

พิเภกอยู่ในโหมด นะจังงัง แม้จะรู้ว่าฤาษีที่อยู่ใกล้ๆพระรามนั่น มันพี่ชายตัวเองแปลงตัวมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพลาดโดนมนต์สะกดของพี่ชายอยู่

ส่วนบรรดาลิงแม่ทัพและพระลักษณ์ ไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า ฤาษีที่อยู่ใกล้ๆพระรามเป็นทศกัณฐ์ปลอมตัวมา

ทศกัณฐ์ลอบแอบถามข้อมูลการทัพของพระรามไปจนทะลุปรุโปร่ง รวมทั้งได้เห็นหน้าตาแม่ทัพของพระรามจนครบ ซึ่งก็ทำให้ทศกัณฐ์เครียดขึ้นมาทันทีเพราะเมื่อประเมินจากขุมกำลังแล้ว แม้ฝั่งพระรามจะไม่ได้เหนือกว่าฝ่ายตน และมั่นใจว่าถ้ารบพุ่งกันพระรามเละแน่... แต่ปัญหามันอยู่ที่ พิเภก ไอ้น้องชายตัวดี เพราะถ้ามีพิเภกอยู่ กลยุทธ์การรบของทศกัณฐ์มันจะเอามาใช้กับพระรามไม่ได้เลย เพราะพิเภกมันต้องดูออกหมด

มีทางเดียวคือต้องฆ่ามันทิ้งซะ .... แต่จะฆ่ายังไงดี?

ทศกัณฐ์พยายามหาวิธีคิด ก็คิดไม่ออกครับ เพราะพิเภกก็รู้ตัวดีว่า พี่ชายเล่นตรูแน่ เลยแอบไปอยู่หลังพระลักษณ์ ให้มากที่สุด

ทศกัณฐ์ในร่างฤาษีจำแลงเลยต้องเล่นท่าไม้ตายคือ ไหนๆ ก็ฆ่าพิเภกไม่ได้แล้ว ก็ใช้วาทะศิลป์กล่อมให้พระรามเลิกทัพกลับไปดีกว่า

โดยการชักแม่น้ำ บอกเหตุผลสารพัดสารพันให้พระรามเชื่อว่า ศึกครั้งนี้พระรามแพ้แน่ๆ และทางที่ดีให้รีบยกทัพกลับไป

แต่พระรามนั้นได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในคนที่ดื้อมากที่สุดในแผ่นดิน ลองว่าได้ทำอะไรแล้ว ใครก็อย่ามาค้าน จึงตอบปฏิเสธไป

ยิ่งพระรามปฏิเสธ ฤาษีปลอมก็ยิ่งรุก กล่อม พระรามมากขึ้นเรื่อยๆ จนฝั่งแม่ทัพลิงเริ่มไม่พอใจ กัดฟันกันกรอดๆ แต่ด้วยเกรงใจพระราม ไม่งั้นจะกระโดดเข้าไปแหง่มฤาษีซะให้รู้แล้วรู้รอด

ในขณะนั้นเอง ทศกัณฐ์ ก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า มนต์สะกด นะจังงัง เริ่มหมดฤทธิ์แล้ว เพราะพิเภกเริ่มจะยุกยิกๆ ซึ่งถ้ามนต์คลายสะกดแล้ว พิเภกคงรีบแจ้งให้พระรามทราบ ถึงตอนนั้น ทศกัณฐ์ บรรลัยแน่นอน เพราะอยู่คนเดียวท่ามกลางวงล้อมแม่ทัพวานร พระราม และพระลักษณ์

ว่าแล้ว ฤาษีปลอมก็ขอทูลลา พร้อมรีบแจ้นตูดออกจากกองทัพไป

หลังจากมนต์สะกดคลาย พิเภกก็รีบทูลพระรามว่า ไอ้ฤาษีเมื่อกี๋ มันเป็นทศกัณฐ์ปลอมตัวมา พระรามก็สุดแสนเสียดาย เพราะมันลอบเข้ามาล้วงคองูเห่า ถ้าจับมันได้เมื่อตะกี๋ เราจะได้ไม่ต้องรบกับกองทัพมันให้ไพร่พลต้องล้มตาย ....

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:38:17 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #3 on: 02 March 2022, 14:33:07 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 44 ฉากที่ 1-ดำริแผนนางลอย




ภาพเขียนห้องนี่จะเป็นภาพที่เกี่ยวกับฉากสำคัญฉากนึงใน รามเกียรติ์ ครับ นั่นคือ ตอน นางลอย (ผมเข้าใจว่าน้ำอบไทยยี่ห้อ นางลอย ก็น่าจะเอาเรื่องราวมาจากตอนนี้เหมือนกัน เดานะครับ)

นางลอย เป็นบทละครโขนหลวงในรัชกาลที่ 6 ครับ เป็นโขนตอนนึงที่มักจะถูกนำมาแสดงอยู่บ่อยครั้ง

ฉากในห้องนี่เขียนยำเอาหลายๆตอนมาใส่ไว้ในห้องเดียว ฉะนั้นการจะดูให้รู้เรื่อง ต้องใช้จินตนาการตามพอสมควรครับ

ผมเดาเอาว่านี่น่าจะเป็นฉากแรกสุดของเรื่อง .... ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ

หลังจากทศกัณฐ์จำแลงตัวไปเป็นฤาษีลอบเข้าไปในทัพพระราม ภารกิจจารกรรมข้อมูลนั้นสำเร็จ แต่ภารกิจที่จะกล่อมให้พระรามถอนทัพกลับไปกลับล้มเหลว ทศกัณฐ์ลองกลับมาครุ่นคิดหลายตลบ ก็พบว่า การศึกครั้งนี้ฝั่งตนไม่ได้มีความได้เปรียบเลย จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่พิเภกยักษ์ที่รู้ไส้รู้พุงฝั่งลงกามากที่สุดดันทรยศไปเข้าอยู่กับฝั่งโน้น

ทศกัณฐ์จึงพยายามหาวิธีที่จะบั่นทอนทัพพระรามก่อนการศึกก่อน หรือถ้าเป็นไปได้ ก็ทำให้พระรามถอนทัพไปโดยไม่ต้องรบกันเลยได้ยิ่งดี

ว่าแล้ว ทศกัณฐ์ ก็ให้เด็กไปตาม นางเบญจกาย ลูกสาวพิเภก มาพบที

ยังจำได้นะครับ ตอนที่พิเภกถูกเฉดหัวออกจากลงกา ทศกัณฐ์ให้พิเภกไปแต่ตัว และทิ้งนางตรีชาดาผู้เป็นเมียและนางเบญจกาย (ที่จริงต้อง นางสาว เพราะยังไม่ได้แต่งงาน) ผู้เป็นลูกอยู่ในลงกาเป็นตัวประกัน

นางเบญจกายนั้นสำเร็จวิชาแปลงกายเข้าขั้นเทพ สามารถแปลงกายเป็นหญิงใดๆในสามโลกก็ได้ ขอเพียงได้เห็นหน้าและรูปร่างของคนที่จะให้แปลงแค่ครั้งเดียว

จากภาพผมไม่แน่ใจว่า ยักษ์ที่กำลังเข้าเฝ้าคือ นางเบญจกายเวอร์ชั่นยักษ์ หรือเป็นลิ่วล้อทศกัณฐ์ที่ทศกัณฐ์สั่งให้ไปตามนางเบญจกายมาเฝ้า

แต่เอาเป็นว่า ภารกิจของนางเบญจกายที่ทศกัณฐ์กำลังจะมอบหมายก็คือ ให้แปลงกายเป็นคนๆนึง ให้เหมือนจนแทบแยกไม่ออก

แปลงเป็นใครดี??

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 44 ฉากที่ 2-นางเบญจกายรับคำสั่ง




ทศกัณฐ์ออกคำสั่งให้นางเบญจกายแปลงกายให้เหมือนนางสีดาให้มากที่สุด จากนั้นก็แกล้งทำฟอร์มว่าตาย ตายไม่ตายเปล่า ต้องตายให้พระรามเห็นด้วย โดยทศกัณฐ์คาดหวัง (เอาเอง) ว่า หลังจากที่พระรามเห็นศพ (ปลอมๆ) ของนางสีดาแล้ว จะเศร้าโศกเสียใจ ไม่เป็นอันทำศึก จนต้องยกทัพกลับไปเอง

จริงๆแล้ว นางเบญจกาย ก็ไม่ได้อยากจะรับทำภารกิจนี้ เพราะใจนึงก็แอบเกลียดทศกัณฐ์อยู่ในที เพราะดันมาขับไล่บิดาตนออกจากเมือง อีกใจนึงก็คิดว่า การส่งตัวเองซึ่งเป็นหญิงตัวเล็กๆ ไปในมือข้าศึกที่มีแต่ผู้ชายและลิง มันเหมือนกับส่งตัวเองไปตายชัดๆ

แต่ใครจะกล้าขัดคำสั่งทศกัณฐ์ สู้ยอมทำตามไปก่อน ยังพอจะมีโอกาสรอดชีวิต

ปัญหาก็คือ นางเบญจกาย ไม่เคยเห็นหน้าตานางสีดา เลยไม่รู้จะแปลงร่างยังไง ว่าแล้วนางก็เดินทางไปพบแม่ของตน นางตรีชาดา ที่ตอนนี้เป็นข้ารับใช้นางสีดาอยู่ที่สวนนอกวังกรุงลงกา

นางตรีชาดา พอรู้ว่าลูกสาวถูกทศกัณฐ์สั่งให้ไปปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตาย ก็ร้องห่มร้องไห้ตามประสาแม่ลูกที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมตัวเองจะเป็นยังไงต่อ


นางตรีชาดาก็พานางเบญจกายเข้าพบนางสีดา แต่ไม่ได้บอกนางสีดาเกี่ยวกับภารกิจแปลงกาย

นางเบญจกายก็จดจำหน้าตารูปร่างของนางสีดาทุกอณู จนคิดว่าตัวเองน่าจะแปลงกายได้เหมือนแบบสำเนาถูกต้องแน่ๆ ก็ขออำลาจากนางสีดามา

นางเบญจกายใช้เวลาครึ่งวันในการแปลงกาย แต่งองค์ทรงเครื่องให้เหมือนนางสีดามากที่สุด แล้วขอไปเข้าเฝ้าทศกัณฐ์อีกครั้งเพื่อทูลลาไปปฏิบัติหน้าที่

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 44 ฉากที่ 3-ทศกัณฐ์หลงสีดาตัวปลอม




นางเบญจกายแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ มั่นใจว่าเหมือนนางสีดาสุดๆ ก็เดินทางไปเฝ้าทศกัณฐ์ เพื่อที่จะได้ลาไปปฏิบัติภารกิจ

ทศกัณฐ์พอได้เห็น สีดาตัวปลอม เข้าในแว่บแรก อารมณ์หื่นตัวพ่อก็เข้าสิงอีกครั้ง เพราะตั้งแต่จับตัวนางสีดามา ทศกัณฐ์ยังไม่มีโอกาสได้ แอ้ม นางสีดาสักกะครั้ง เก็บกดอารมณ์หื่นไว้ภายในมาตลอดจนแทบจะระเบิดออกมาหลายครั้ง

คราวนี้พอได้เจอะกับหน้านางสีดา แม้จะเป็นตัวปลอมก็เหอะ อารมณ์กลัดมันก็พลุ่งพล่านอีกครั้ง หมายจะซั่มนางสีดาตัวปลอมให้ได้ จนนางเบญจกายต้องรีบหนีเป็นพัลวัน พร้อมทั้งบอกทศกัณฐ์ว่า เฮ้ย อย่านะคะ นี่หลานนะคะเสด็จลุง จะหน้ามืดก็ให้มันมีศีลธรรมบ้างนะคะ

พร้อมกันนั้น เหล่าลิ่วล้อก็รีบทูลห้ามทศกัณฐ์ให้สะกดอารมณ์หื่นกามเอาไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะเสียงานใหญ่

ทศกัณฐ์จึงต้องสงบสติอารมณ์ แล้วนั่งคุยแผนกับนางเบญจกายก่อน พร้อมกันนั้นก็บอกให้นางเบญจกายแปลงร่างคืนกลับมาก่อน เพราะถ้าคุยกันในร่างนางสีดาไปเรื่อยๆ เกรงว่า อารมณ์หื่นมันจะพุ่งพรวดออกมาอีก


นางเบญจกายเลยจำต้องกลายร่างเป็นร่างเดิม พร้อมกับบ่นพึมพำ ไอ้ลุงหื่น ทำเอาตรูเสียเวลาแปลงร่างแต่งหน้าแต่งตา .....

ทศกัณฐ์แนะให้นางเบญจกายปลอมเป็นนางสีดาที่บริเวณใกล้ๆทัพพระราม โดยแกล้งทำเป็นตายลอยอยู่บนแม่น้ำ หน้าทัพพระราม เพื่อให้พลวานรของพระรามเห็นได้โดยง่าย หลังจากนั้นต้องแกล้งตายให้เหมือนคนตายมากที่สุด เพื่อให้พระรามเสียใจจนหมดหวัง และหลังจากนั้นค่อยหาทางหนีออกมา โดยทำฟอร์มว่าศพถูกทำลายหรือศพหายไปดื้อๆ

นางเบญจกายรับทราบ พร้อมกับครุ่นคิดว่า ถ้าพระรามเข้าใจว่านางเป็นนางสีดาจริงๆ แล้วถ้าโปรดให้นำร่างสีดาปลอมไปพระราชทานเพลิงศพเสีย แล้วชั้นจะหนีไปได้ยังไง? คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ไปแก้ปัญหากันหน้างานก็แล้วกัน....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 44 ฉากที่ 4-สีดาลอยน้ำ




วันรุ่งขึ้น นางเบญจกาย แปลงร่างเป็นนางสีดาเสียเหมือนจนสำเนาถูกต้องอีกครั้ง รีบเดินลอบออกจากวังกรุงลงกา เพราะเกรงไอ้ลุงหื่นมาจะมาเห็นเข้าอีก


นางเหาะเดินทางมาจนถึงแม่น้ำที่ตั้งทัพของพระราม ในขณะนั้น ทัพของพระรามกำลังหาทางข้ามไปยังกรุงลงกาอยู่ ฉะนั้นบรรดาพลวานรทั้งหลายก็กำลังสาละวันกับการตั้งค่าย หาเสบียง และเตรียมหาทางข้ามไปลงกา นางเบญจกายจึงต้องทำฟอร์มเป็นศพ ลอยน้ำไปใกล้ๆท่าที่ทัพพระรามตั้งอยู่ เพราะเดี๋ยวไม่มีใครสังเกตเห็น นางคงได้ลอยน้ำจนตัวเปื่อยแน่ๆ

ว่าแล้วนางก็ทำฟอร์มตายสนิท ร่ายมนต์ให้ลอยน้ำนิ่งๆ

พลวานรที่เฝ้าเวรยามอยู่เห็นอะไรลอยตุบป่องๆ ก็ตะโกนให้เพื่อนๆช่วยกันมาดู พอไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นหญิงสาวผิวพรรณสวยงาม มาลอยไปลอยมาแถวนี้ได้ยังไง ว่าแล้วก็รีบรายงานไปยังเบื้องบนจนเข้าหูหนุมานและสุครีพ


หนุมานเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ตะโกนออกมา อั๊ยยะ!! นี่มันนางสีดานี่ฟร่า (หนุมานเป็นวานรตนเดียวที่เคยเห็นหน้านางสีดา) ว่าแล้วหนุมานก็รีบวิ่งปรู๊ดไปแจ้งข่าวให้พระราม และ พระลักษณ์ ทราบโดยพลัน

รูปนี้แหละครับ เป็นที่มาของโขนตอนที่ชื่อว่า นางลอย
ก็ลอยจริงๆนะครับ ลอยเท้งเต้งขนาดนี้...

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 44 ฉากที่ 5-พระรามพบศพสีดา




พระรามและพระลักษณ์เมื่อทราบข่าวจากหนุมานก็รีบรุดมายังที่เกิดเหตุ

ด้วยอารมณ์ที่อยู่ในภวังค์ของความคิดถึงและเป็นห่วงภรรเมียที่มีอยู่เดิมจนไม่เป็นอันกินอันนอน พระรามเมื่อมาเห็นนางสีดาตัวปลอมลอยมาเป็นศพ จึงไม่ทันได้เฉลียวใจอะไรทั้งนั้น ถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร

ยิ่งเมื่อสัมผัสร่างกายและมองดูหน้านางอย่างใกล้ชิด พระรามและพระลักษณ์ยิ่งแน่ใจว่านี่คือ นางสีดา แน่ๆ (ก็นางเบญจกายแกเป็นกูรูด้านการปลอมตัวเป็นผู้หญิงหน่ะครับ)

พระรามร้องไห้คร่ำครวญจนสลบไสลไป.....พระเอกในวรรณคดีไทยนี่ชอบร้องไห้จนสลบไสลนะครับ พระรามเองก็เคยร้องไห้จนสลบมาแล้วรอบนึงตอนที่ได้ทราบข่าวว่าพระบิดาสิ้นพระชนม์

ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ร้องไห้จนสลบ นี่ต้องร้องกันขนาดไหน มันถึงจะสลบ รู้อย่างเดียวคือร้องไห้มากๆแล้วมันจะเมื่อยกราม

หลังจากพระรามฟื้นจากการสลบ สิ่งแรกที่พระรามทำคือ หันไปทางหนุมาน พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า นี่ไง ผลงานเจ้า อ้ายลิงเผือก ดันไปเผาลงกาซะวอดวาย ทำงานนอกคำสั่ง ทศกัณฐ์มันเลยจัดการฆ่านางสีดา แล้วเอาศพมาโยนทิ้งน้ำนี่ สาแกใจเจ้าแล้วชิมิเจ้าลิงเผือก?

หนุมานที่อยู่ดีๆก็ตกเป็นจำเลย ก็นึกในใจ อ้าว ซวยแล้วกรู ไหงอยู่ดีๆมาลงตรงกรูฟร่ะเนี่ย

ผมว่านี่เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของประเทศไทยเลยนะครับ เวลาเกิดเหตุอะไรขึ้น เจ้านายมักจะรีบหาแพะก่อน และลูกน้องตัวเองนั่นแหละเป็นแพะชั้นดี ฉะนั้นใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้ระลึกไว้เลยครับ เรื่องแบบนี้มันเกิดมาตั้งแต่สมัยรามเกียร์ติแล้ว จนกลายเป็นวัฒนธรรมของประเทศไปแล้ว

หนุมานหลังจากตกเป็นจำเลยโดยไม่รู้ตัว ก็ต้องแก้ตัวเป็นพัลวัน พร้อมกับหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะสวมวิญญาณหมอพรทิพย์ บอกกับพระรามไปว่า ....

ศพนางสีดานี่แปลกๆ ไม่เห็นมีร่องรอยการฆาตกรรม ถ้าศพลอยมาจากกรุงลงกาจริงๆ ซึ่งอยู่ไกลจากค่ายทัพของเรามาก ศพต้องใช้เวลาลอยมาหลายวัน ศพก็น่าจะเน่าเปื่อยบ้างแล้ว แต่นี่ศพยังดูเหมือนกันคนนอนหลับมากกว่า

สไบและแหวนที่ศพสวมใส่แม้จะดูเหมือนของนางสีดามาก แต่ไอ้ของแบบนี้มันปลอมกันได้ ช่างฝีมือในลงกาก็มีเยอะแยะ

และที่สำคัญ ค่ายทัพของเราตั้งอยู่ในบริเวณเหนือน้ำ เหนือกรุงลงกาขึ้นมาตั้งเยอะ ศพจะอยู่ดีๆลอยทวนน้ำมาได้ยังไง

พระองค์ลองคิดดูให้ถี่ถ้วนด้วยเทอญ...หนุมานปากพูดไปใจก็ตุ้มๆต่อมๆ

พระรามพอได้ฟังคำอธิบายของหมอพรทิพย์ เอ๊ย! หนุมาน แล้วลองใคร่ครวญดูก็เห็นว่าพอจะมีเค้าลางความเป็นไปได้ ยิ่งบรรดาเสนาธิการลิงทั้งหลายให้ความเห็นพ้องตรงกันว่า สงสัยจะเป็นกลลวงของทศกัณฐ์อีกเป็นแน่แท้ เพราะช่วงนี้ทศกัณฐ์เกรงว่าพระรามจะตั้งทัพข้ามมาลงกาได้ เลยต้องรีบออกอุบายมาเบรกไว้ก่อน ไล่ตั้งแต่ส่งสุกรสารมา ปลอมเป็นฤาษีจำแลงมา และครั้งนี้ก็น่าจะเป็นอุบายของทศกัณฐ์อีกเป็นแน่....

หนุมานเห็นพระรามเริ่มคล้อยตาม เลยเอาใหญ่ เสนอให้พระรามเอาศพนี่ไปเผาไฟซะ ถ้าเป็นศพนางสีดาจริง ก็คงไหม้ไปกับกองไฟ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น พระองค์ตัดศีรษะของข้าน้อยโยนเข้ากองไฟตามไปเลยก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ศพนางสีดาจริง เป็นสปายฝั่งทศกัณฐ์แปลงร่างมา เราคงได้เห็นอะไรดีๆแน่...

นางเบญจกายที่ทำเป็นแกล้งตายอยู่ได้ยินดังนั้น ก็คิดในใจ อั๊ยหย่ะ!! ไอ้ลิงเวร เมิงคิดได้ไงเนี่ย .... แล้วชั้นจะทำยังไงดีเนี่ย??!??

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:40:26 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #4 on: 02 March 2022, 14:35:25 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 45 ฉากที่ 1-เผานางเบญจกาย




พระรามอนุญาตให้นำเอาศพสีดาตัวปลอมไปเผาตามที่ทหารเอกเสนอแนะ

นางเบญจกายก็เครียดขึ้นสมอง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง หลังจากโดนเผาไปได้ไม่กี่วินาที ก็ร้องลั่น เหาะหนีไปบนอากาศ

หนุมานเล็งไว้อยู่แล้วว่า ต้องเป็นพวกทศกัณฐ์แปลงตัวมาเป็นสีดาตัวปลอมแน่ๆ เลยตั้งท่ารออยู่ พร้อมกับรีบเหาะไปจับตัวนางเบญจกายในทันที

หนุมานจับตัวนางได้ พร้อมกับนำตัวไปให้พระรามซักไซ้ไล่เลียง แต่พระรามอยู่ในอารมณ์ บ่ จอยสุดๆ เพราะเหมือนเสียฟอร์มที่ดันไปร้องห่มร้องไห้จนสลบไสลกับสีดาตัวปลอม เลยให้สุครีพรับหน้าที่ไปสอบสวนหาความว่า ใครเป็นคนจ้างวานให้นางปลอมตัวมา

สุครีพนำตัวนางเบญจกายไปเค้นสอบ ก็ได้ความว่า แท้ที่จริง นางเป็นลูกสาวของพิเภกเพื่อนเลิฟนี่เอง ที่ต้องแอบเข้ามาเป็นสปายก็เพราะแค่อยากจะรู้ข่าวคราวของพ่อ ว่าเป็นตายร้ายดียังไง

นางเบญจกายไม่ได้เอ่ยอะไรถึงภารกิจที่ทศกัณฐ์มอบหมายมาให้ทำเลย แต่สุครีพก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเห็นว่าเป็นลูกสาวเพื่อนเลิฟ

ว่าแล้วสุครีพก็นำความไปทูลเรียนพระราม....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 45 ฉากที่ 2-พระรามลงโทษเบญจกาย




สุครีพนำความไปแจ้งให้พระรามทราบว่า นางเบญจกายแค่ปลอมตัวมาสืบข่าวว่าพิเภกผู้เป็นพ่อจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร หลังจากถูกทศกัณฐ์เฉดหัวออกจากลงกา

พระรามได้ฟังแล้วก็แหม่งๆ พร้อมกับถามสุครีพว่า ถ้าจะมาสืบข่าวพ่อ แล้วจะแปลงกายเป็นสีดาหาสวรรค์วิมานอะไรฟร่ะ แปลงไม่แปลงเปล่า ดันแปลงเป็นศพลอยน้ำมาอีก อีแบบนี้มันไม่ใช่แค่มาสืบข่าวพ่อแน่ๆ

ว่าแล้ว พระรามก็เฉ่งสุครีพเสียยกใหญ่ว่า ให้ไปสืบสวนกระบวนความ แต่นี่ดันเห็นว่าเป็นลูกสาวเพื่อนเลิฟ เลยไม่ได้สืบอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้านางเบญจกายถูกทศกัณฐ์ให้มาทำภารกิจล้วงความลับกองทัพแล้วไซร้ มันจะเป็นอันตรายต่อกองทัพเรามาก แต่นี่เจ้าดันปล่อยปละละเลยในการสืบหาความจริง

สุครีพโดนเจ้านายเฉ่งต่อหน้าธารกำนัล ก็พาลให้อายแทบแทรกแผ่นดิน เพราะอย่าลืมนะครับว่า สุครีพเป็นถึงระดับเจ้าเมืองขีดขิน ในกองทัพพระรามสุครีพเป็นรองแค่พระรามและพระลักษณ์ แต่นี่กลับโดนเจ้านายจัดเต็มต่อหน้าลูกน้องคนอื่นๆ

ว่าแล้วสุครีพก็รีบกลับไป เค้นสอบนางเบญจกายใหม่ ด้วยความคับแค้นใจและอับอาย สุครีพสั่งให้ทรมานนางแบบชุดใหญ่เพื่อเค้นให้นางพูดความจริงให้ได้ ซึ่งสุดท้ายผู้หญิงตัวเล็กๆก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว จนต้องเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดออกมา

นางเบญจกายจึงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนนึงในเรื่องรามเกียร์ตินะครับ ในสมัยที่สิทธิสตรียังไม่เท่าเทียมกับบุรุษเพศ นางถูกลุงสั่งปนขู่ให้มาทำงานที่อันตราย สุ่มเสี่ยงต่อชีวิต สุดท้ายถูกจับ ก็โดนบุรุษจับมาทรมานเค้นความจริงอีก

หลังจากที่นางยอมปริปากออกมา สุครีพจึงรีบแจ้นทำผลงาน รีบนำความไปเรียนเจ้านาย

ก่อนจะตัดสินโทษ พระรามได้หันไปถามพิเภกว่า ในฐานะที่เจ้าเป็นบิดานางเบญจกาย เจ้าเห็นว่านางมีโทษทัณฑ์เพียงไร

พิเภกตอบไปว่า โทษการลอบเข้ามาจารกรรมข้อมูล แถมมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เพื่อบั่นทอนขวัญและกำลังใจของกองทัพ มีเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากตัดคอแล้วเสียบประจาน

พระรามเห็นว่าพิเภกมีความเที่ยงธรรม จึงยกโทษให้ พร้อมกับให้หนุมานพานางไปส่งยังกรุงลงกาเสีย

ผมเห็นว่าที่พิเภกเลือกที่จะตอบแบบนี้ ไม่แน่นะครับ พิเภกอาจจะคิดอยู่แล้วว่า ถ้าคำตอบเป็นอย่างอื่น พระรามที่อยู่ในมูดรมณ์ บ่ จอย คงได้ตัดหัวลูกสาวตัวเองเป็นแน่แท้ ฉะนั้น การตอบให้ดูขึงขัง ยึดมั่นในกฏระเบียบแบบนี้แหละ อาจจะเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่า ถ้าพระรามจะเห็นใจและยกโทษให้ในท้ายที่สุด ซึ่งพิเภกก็คาดการณ์ได้ถูกต้อง

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 45 ฉากที่ 3-หนุมานได้เบญจกาย




พระรามได้ให้หนุมานพานางเบญจกายเหาะไปส่งที่ลงกา

การฝากสาวน้อยไว้กับลิงเจ้าชู้ตัวพ่อ แบบนี้มันก็เสร็จโจรอะดิ....

ก่อนจะไปถึงลงกา หนุมานก็เลยไว้ลาย เกี้ยวพาราสีนางเบญจกายให้ตกเป็นเมียคนที่สอง (แบบที่ปรากฏให้เห็นในนิยาย ยังไม่รู้ว่าที่ไปซะบะระเฮ้ยแบบไม่บอกไม่กล่าวอีกกี่นาง)

ถ้ายังจำกันได้ เมียคนแรกของหนุมาน คือ นางบุษมาลี ที่อยู่คนเดียวในเมือง Silent hill

สำหรับผมแล้ว การวาดตัวละครให้มีความเก่งฉกาจ อยู่ยงคงกระพัน แถมยังเจ้าชู้ประตูดินแบบสุดขั้ว มันเป็นการสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ของ idol ที่ผู้ชายสมัยโบราณหรือแม้กระทั่งผู้ชายในปัจจุบันอยากจะเป็น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ยันต์รูปหนุมานจึงเป็นที่นิยมในการสัก

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:42:09 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #5 on: 02 March 2022, 14:37:28 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 46 ฉากที่ 1-ดำริแผนจองถนนสู่ลงกา




และแล้วก็เข้าสู่ฉากสำคัญอีกฉากในรามเกียรติ์นั่นคือ ตอน หนุมานจองถนน ...

ในระหว่างที่ทศกัณฐ์ทยอยส่งสปายแอบมาจารกรรมสืบข้อมูลทัพพระราม ฝากฝั่งทัพของพระรามก็ไม่ได้นอนกลิ้งแคะสะดือไปวันๆนะครับ หัวข้อที่เหล่าบรรดาเสนาธิการและพระราม พระลักษณ์ นั่งหารือและถกกันเครียดมากที่สุดก็คือ จะยกทัพวานรจำนวนมากข้ามไปยังลงกายังไง

ลำพังพวกวานรฤทธิ์เยอะๆอย่างหนุมาน นิลพัธ องคต หรือสุครีพ นั้นไม่มีปัญหา เหาะไปได้สบายๆ ส่วนบรรดาพวก 18 มงกุฏก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้ ถ้าเหาะไปไม่ถึงก็อาศัยว่ายน้ำต่ออีกหน่อยนึง ส่วนพระรามและพระลักษณ์ก็ให้ขี่บรรดาแม่ทัพวานรข้ามไปก็ได้ แม้จะแลดูไม่น่าพิศมัยหน่อยนึง (ผมว่าไม่หน่อยนึงอ่ะ เข้าขั้นน่าเกลียดเลย ระดับกษัตริย์ออกรบโดยการขี่ลิงเหาะไปมา ^_^)

ไหนจะบรรดาพลลิงอีกจำนวนมากที่ไม่มีปัญญาเหาะข้ามมหานที อย่าว่าแต่เหาะเลย ให้ว่ายน้ำข้ามไปยังไม่มีปัญญาเลย

หลังจากประชุมเครียดกันอยู่หลายวัน พิเภกก็เสนอว่า ถ้าดูจากพละกำลังของบรรดาพลวานรของพระองค์แล้ว การไปขนหินมาถมถนนจากฝั่งเราข้ามไปยังฝั่งลงกาน่าจะเป็นไปได้ แม้จะดูจะอลังการงานสร้างไปสักหน่อย

พระรามจึงได้หันมาถามบรรดาแม่ทัพนายกองว่าไหวมั๊ย ชมพูวราชรีบตอบเลยว่าซำบายๆๆ เพราะชมพูวราชเป็นหนึ่งในวานรบ้าพลัง พลังช้างสารมากที่สุดในบรรดาลิงทั้งหมด ส่วนบรรดาแม่ทัพลิงอืนๆก็เห็นชอบกับวิธีนี้

พระรามจึงเอ่ยปากถาม แล้วใครจะเป็นคนรับหน้าที่ Project manager ในการถมถนนคราวนี้

หนุมานยกมือคนแรก ตามด้วยนิลพัธยกมือตามมาติดๆ

ถ้ายังจำกันได้นะครับ ไอ้ลิงสองตัวนี่ ไม่ค่อยจะถูกชะตากันมาตั้งแต่ตอนที่ หนุมาน แอบลอบเข้าไปเมืองชมพู ไปลักพาตัวท้าวมหาชมพูขณะกำลังนอนหลับปุ๋ยหลุยไปพบพระรามกลางดึก ซึ่งในตอนนั้น นิลพัธ ผู้เป็นหลานท้าวมหาชมพู รับหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมืองชมพู ฉะนั้นการที่หนุมานบังอาจลอบเข้าเมือง มาขโมยจับตัวเจ้าเมืองไปอย่างลอยนวล มันถือว่าเป็นการเหยียบหน้ากันสุดๆ

นิลพัธจึงเก็บความหมั่นไส้หนุมานภายในใจมาตลอด

และที่ผ่านมา พระราม ก็ชอบใช้หนุมานไปทำนู้นทีนี่ ผลงานเข้าตามั้ง ไม่เข้าตามั้ง แต่ก็มีผลงานอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ดูแลเฉพาะทัพวานรจากเมืองชมพูเท่านั้น ยังไม่ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจอะไรเด่นๆเลย ทั้งๆที่นิลพัธมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ถ้าวัดกันตัวต่อตัว ไม่แพ้ไอ้ลิงเผือกนี่แน่

นิลพัธและหนุมานจึงเสมือนเป็นแบล๊กสไปเดอร์และสไปเดอร์แมนคู่กัน

มาคราวนี้ได้โอกาสแสดงผลงาน นิลพัธ เลยไม่ยอมให้ หนุมาน ได้โชว์เดี่ยวอีกต่อไป

ทั้งคู่ต่างพยายามนำเสนอว่าตัวเองมีความเหมาะสมในการเป็น Project manager งานนี้ จนกลายเป็นแย่งกันโชว์ผลงาน แย่งกันโชว์ความดีความชอบ พระรามได้ฟังก็มึนไปหมด ไม่รู้จะให้ใครรับผิดชอบดี เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกัน

ในที่สุด พระราม ก็ต้องหาทางลงด้วยการให้ สุครีพ นั่นแหละ รับภาระเป็น Project manager ไป โดยให้ หนุมาน รับภาระในการคุมทัพวานรเมืองขีดขิน ส่วนนิลพัธรับภาระในการคุมทัพวานรเมืองชมพู

การบริหารจัดการโครงการ ให้สุครีพ ไปแบ่งงานกันเอง

ที่ประชุมเห็นชอบตามนี้ เป็นอันปิดประชุม

แม้ที่ประชุมจะเลิกไปแล้ว แต่ลิงเผือก และ ลิงนิลกาฬ ก็ยังมองหน้า เขม่นหางตาดิ๊กๆๆ กัดฟันกรอดๆ พร้อมจะใส่กันอยู่ตลอดเวลา จน สุครีพและองคต ต้องมาคอยแยกให้ทั้งคู่เดินไปคนละทาง

พระรามเริ่มเจอเรื่องปวดหัวตั้งแต่ยังไม่ทันจะรบกับทศกัณฐ์แล้ว

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 46 ฉากที่ 2-สุครีพแบ่งงานให้หนุมานและนิลพัธ




สุครีพเรียกทั้งหนุมานผู้ดูแลทัพเมืองขีดขินและนิลพัธผู้ดูแลทัพเมืองชมพูมาประชุมว่าจะแบ่งงานกันทำยังไงดี

ทั้งคู่แม้จะนั่งประชุมในที่เดียวกัน แต่ก็เขม่นกันตลอดเวลา จนสุครีพก็ปวดหัว

สุครีพตัดสินใจแบ่งงานให้ทั้งคู่แยกกันไปทำเลย เพราะขืนให้ทำร่วมกัน มันต้องหาเรื่องฟัดกันแน่ๆ

สุครีพเลยให้นิลพัธคุมทัพไปสกัดเอาก้อนหินก้อนใหญ่มาถมทะเล โดยให้มุ่งหน้าไปที่เขาหิมพานต์ที่อยู่ใกล้ๆทัพพระรามและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหินก้อนยักษ์

ส่วนหนุมานให้รับหน้าที่เอาก้อนหินที่ฝั่งนิลพัธขนมาจากเขาหิมพานต์ ถมทะเลและจัดเรียงเป็นถนนให้มีความมั่นคงและแข็งแรง


ทั้งคู่น้อมรับคำสั่ง พร้อมแยกย้ายกันไปทำงาน

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 46 ฉากที่ 3-หนุมานทะเลานิลพัธ




สุครีพจัดการแบ่งหน้าที่แยกให้หนุมานและนิลพัธ ต่างคนต่างไปดำเนินการเพื่อจะได้ไม่มาฟัดกันเอง

นิลพัธพาไพร่พลไปสกัดเอาหินที่เขาหิมพานต์ โดยให้พลวานรที่สามารถเหาะได้เป็นผู้แบกหินไปส่งให้พวกหนุมานทำการถมทะเล

นิลพัธเป็นผู้นำพลวานรเหาะไปหาหนุมาน โดยแบกหินก้อนใหญ่โตมหึมาทั้งสองมือสองเท้าเหาะนำหน้าขบวน

พอไปถึงยังที่หนุมานกำลังรอก้อนหินจะถมทะเล นิลพัธก็คิดแผนกวนโอ๊ยหนุมานขึ้นได้อย่างนึง เลยตะโกนไปว่า เฮ้ย ไอ้ลิงเผือก รับก้อนหินทั้งหมดนี่ไปเร็วๆ กรูหนักจะแย่อยู่แล้ว

หนุมานพอแหงนหน้าขึ้นไปเห็นก็สะดุ้งโหยง พร้อมตะโกนว่า เฮ้ย ไอ้ลิงมืด อย่าเพิ่งโยนลงมานะเฟร้ย เมริงจะขนหินมาทำไมเยอะแยะขนาดนั้น ถ้าจะโยนก็ค่อยๆโยนลงมาทีละก้อนนะ ไอ้มืด!


นิลพัธได้ยินหนุมานตะโกน คำก็มืด สองคำก็มืด พาลให้รมณ์ยิ่งเสีย เลยทุ่มหินทั้งหมดใส่ลงไปหาหนุมาน ลิงเผือกเลยต้องกางตำรารับกันแทบไม่ทัน และแม้จะรับได้ แต่ก็เล่นเอาฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัว เท่านั้นยังไม่พอนิลพัธก็สั่งให้บรรดาลูกหาบพากันทุ่มหินที่แบกอยู่ลงไปหาหนุมานและพรรคพวกอย่างเมามัน ทำเอาวานรลูกหาบของหนุมานหัวร้างข้างแตกกันไปตามๆกันๆ

นิลพัธเห็นดังนั้นก็ชอบใจ ที่ได้ระบายความหมั่นไส้เสียที

หนุมานที่สะบักสะบอมจากพายุหิน ก็รีบเดินปรี่ไปหาสุครีพ พร้อมกับบอกสุครีพให้รีบสลับหน้าที่กันเลย โดยตัวเองจะขอไปขนก้อนหินเอง และให้ไอ้ลิงมืดไปถมทะเลแทน นิลพัธแม้รู้ทั้งรู้ว่า หนุมาน คงต้องวางแผนแก้แค้นแน่ๆ แต่ด้วยความทะนง ไม่เกรงกลัวหนุมาน และคิดว่าหนุมานคงไม่มีน้ำยาอะไร จึงรับปากง่ายๆ

ว่าแล้วหนุมานก็รีบพาพรรคพวกไปที่เขาหิมพานต์ ให้ช่วยสกัดหินก้อนโตๆออกมาเร็วๆ หลังจากนั้นหนุมานก็นำทีมแบกหินแบบเดียวกับนิลพัธเด่ะๆ ต่างกันตรงที่หนุมานจัดเต็มกว่า โดยแบกหินก้อนมหึมาทั้งสองมือ สองเท้า เท่านั้นไม่พอยังใช้ขนทุกเส้นมัดรวมกับก้อนหินอีกเป็นพันๆก้อน แล้วค่อยๆปุเลงๆเหาะมาหานิลพัธ

นิลพัธพอแหงนหน้าเจอะกับหนุมาน ก็พลันให้ตกใจ ร้องเจี๊ยกดังลั่น เฮ้ย! ตอนกรูทำ กรูทุ่มหินใส่แค่ 4 ก้อน แต่นี่เมริงเล่นแบกหลังแอ่นมาเป็นพันๆก้อน แล้วใครมันจะไปรับไหวฟร่ะ ไอ้ลิงเผือก

หนุมานไม่สนใจอะไรแล้ว ว่าแล้วก็ทุ่มหินทั้งหมดใส่นิลพัธ ราวกับเป็นพายุหิน นิลพัธรับได้ไม่หมดพร้อมกับโดนพายุหินอัดเข้าไปจนหน้าตาปูดโปน ว่าแล้วความอดทนก็ขาดผึง รีบเหาะขึ้นไปพร้อมชกเข้าท้องหนุมานเสียดอกนึงจนหนุมานลอยไปไกล หนุมานพอตั้งหลักได้ก็รีบเหาะกลับมาใหม่ จับนิลพัธทุ่มจนพื้นดินสั่นสะท้านไปทั่ว นิลพัธอาศัยพลิกตัวหน่อยเดียวก็หลุดออกมาได้แล้วก็จับหนุมานทุ่มใส่พื้นดินแบบเดียวกัน การต่อสู้ของทั้งคู่ทำเอาแผ่นดินไหวไป 7 ริคเตอร์ ทัพพระรามแตกตื่นกันไปทั่ว จนสุครีพต้องรีบออกมาห้ามทัพ แต่เนื่องจากทั้งลิงเผือกลิงมืด ไม่สนใจอะไรแล้ว จ้องจะอัดกันให้ตายกันไปข้าง สุครีพจึงโดนลูกหลงเข้าไปไม่น้อย เดือดร้อนพระลักษณ์ต้องออกมาห้ามทัพเอง ไอ้ลิงทั้งสองจึงจะยอมสงบศึก

พระลักษณ์พาทั้งหมดไปให้พระรามตัดสินความ พระรามโมโหทั้งคู่มาก เพราะนี่ยังไม่ทันจะออกศึก ดันมากัดกันซะก่อน แบบนี้ถ้าออกรบ มีหวังเจอไอ้พวกยักษ์ถล่มเอาเละเทะแน่ๆ

พระรามด่าว่าทั้งคู่ไปฉาดใหญ่ พร้อมกับเอามือกุมกบาล แล้วถามสุครีพว่าจะเอาไงกันต่อดี

สุครีพบอกพระรามไปว่า เห็นทีงานนี้ต้องแยกทั้งคู่ไปห่างๆ เพราะนี่ขนาดให้งานแยกกันทำ มันยังหาเรื่องฟัดกันได้
สุครีพเสนอให้พระรามมอบหมายให้นิลพัธไปคุมกองหลังที่เมืองขีดขิน ทำหน้าที่ขนส่งเสบียงมาอย่าให้ขาด ส่วนหนุมานต้องได้รับการคาดโทษโดยจะต้องเร่งถมหินลงทะเลให้เสร็จภายใน 7 วัน คราวนี้ต้องไปสกัดหินเอง แบกมาเอง และถมทะเลเองด้วย ถ้าหนุมานทำไม่สำเร็จ ประหารสถานเดียว

หนุมานก็ต้องก้มหน้ารับความผิดไป ส่วนนิลพัธก็ต้องคอตกกลับเมืองขีดขินไป
หนุมานรีบเร่งดำเนินการถมทะเล แต่ปัญหาก็คือ คลื่นในทะเลมันเชี่ยวกราก ถมทะเลเท่าไหร่ คลื่นก็พัดหินไปหมด ในแต่ละวันกว่าจะถมถนนให้ได้คืบหน้าไปสักกิโลสองกิโลมันเลยช้ามาก ดูไปดูมาสงสัยงานจะไม่เสร็จภายใน 7 วัน ซวยแล้วหนุมานเอ๋ย….

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:43:48 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #6 on: 02 March 2022, 14:39:48 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 47 ฉากที่ 1-สุพรรณมัจฉาทำลายถนน




หนุมานกุลีกุจอพาพรรคพวกลิงถมถนนด้วยการวางหินลงก้นทะเลทีละก้อนๆ เพื่อให้เกิดเป็นถนนลอยน้ำข้ามไปยังกรุงลงกา แต่ยิ่งทำก็ยิ่งเละ เพราะยิ่งถนนยาวไปกลางทะเลมากเท่าไหร่ คลื่นลมก็ยิ่งแรง พัดพาหินไปทีละก้อนๆ พอพัดไปมากเข้า ถนนก็ทรุด พังทลาย ต้องเริ่มต้นกันใหม่

หนุมานแทบจะร้องไห้ เพราะโดนพระรามขีดเส้นตาย ทำให้เสร็จภายใน 7 วัน

หนุมานไม่รู้จะไปพึ่งใครเลยไปปรับทุกข์กับชมพูวราชลิงจอมพลัง คุยกันไปคุยกันมา ชมพูวราชก็นึกขึ้นมาได้ว่า นิลราช หนึ่งในลิง 18 มงกุฏ ในอดีตเคยโดนคามินฤาษีสาปว่า ไม่ว่าโยนสิ่งของอะไรลงไปในน้ำ แม้กระทั่งใบไม้ สิ่งนั้นๆจะต้องจมลงสู่ใต้น้ำ ไม่ลอยไปไหน (ผมจำไม่ได้แล้วว่า นิลราช ไปก่อวีรเวรอะไรกับคามินฤาษีไว้ จึงโดนสาปแปลกๆอย่างนั้น)

หนุมานได้ทราบดังนั้นจึงลิงโลด (เป็นลิงอยู่แล้วจึงลิงโลดได้ง่าย) รีบวิ่งไปหา นิลราช ให้มาช่วยเป็นคนถมก้อนหินให้หน่อย นิลราช ก็ตบปากรับคำ งานของหนุมานจึงก้าวหน้าพรวดๆ อนาคตสดใส อย่าว่าแต่เจ็ดวันเลย 3 วันก็ทำเสร็จแล้ว เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก

ฝั่งทศกัณฐ์พอได้ข่าวว่าพระรามกำลังจะยกทัพข้ามมา ก็ประชุมเสนาธิการจัดเตรียมกองทัพทางนึง อีกทางนึงก็หาหนทางจะชะลอการจองถนนของพระรามข้ามมาลงกาให้นานที่สุด ทศกัณฐ์ปิ๊งไอเดียนึง นั่นคือ ให้ลูกสาวของตน นางสุพรรณมัจฉา ที่เกิดกับนางปลา ดำน้ำไปทำลายถนนดีกว่า

นางสุพรรณมัจฉา มีพ่อเป็นยักษ์ มีแม่เป็นปลา แต่ดันหน้าตาเหมือนคนได้ไง .... ผมก็ไม่รู้ หน้าตาสะสวย เป็นนางเงือกในอุดมคติเลยทีเดียว นางสุพรรณมัจฉาเป็นหัวหน้ากองเงือกประจำกรุงลงกา มีหน้าที่ปกครองบรรดาเงือกสาวเจ้าเสน่ห์ทั้งหลาย รวมทั้งฝูงปลาน้อยใหญ่ ดังนั้นแค่นางชี้นิ้วสั่งปุ๊บ ฝูงปลาทั้งหลายก็จะรวมกลุ่มกันไปปฏิบัติภารกิจตามต้องการได้

นางสุพรรณมัจฉานำกองกำลังเจ้าสมุทรไปใกล้ๆบริเวณที่หนุมานกำลังควบคุมการสร้างถนนอยู่ จากนั้นก็ให้บรรดาฝูงปลาดำไปใต้น้ำ ไปทำลายฐานรากของถนนให้พังในเวลาค่ำคืนที่บรรดาลิงพักผ่อน

พอฐานรากพัง ผิวถนนด้านบนก็พังตามไปด้วย

ตื่นเช้าขึ้นมา หนุมานเห็นสภาพถนนพังวอดวาย ก็หงายเงิบ ... รีบสั่งให้พลวานรและนิลราชรีบมาซ่อมแซมโดยพลัน ... วันนี้ทั้งวันเลยหมดเวลาไปกับการซ่อมถนน หนุมานเลยคิดในใจ ความซวยเริ่มมาเยือนแล้ว เพราะนี่ก็ผ่านไป 4 วันแล้ว เหลืออีก 3 วันตรูจะทำเสร็จมั๊ยเนี่ย??

พอตกกลางคืน พลพรรควานรกหลบไปพักผ่อนเช่นเคย นางสุพรรณมัจฉาและฝูงปลาก็ออกปฏิบัติการอีกครั้ง พอเช้าขึ้นมา หนุมาน ก็ได้หงายเงิบติดต่อกันเป็นวันที่สอง

หนุมานคิดในใจ ลงอีแบบนี้ มันต้องมีใครมาลองดีกับเราแน่ๆ ว่าแล้วก็ให้พลวานรรีบซ่อมแซมถนน พอตกกลางคืน หนุมาน ก็แอบซุ่มอยู่ คืนนี้ได้เจอกันแน่

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 47 ฉากที่ 2-หนุมานทำลายทัพมัจฉา




หนุมานกะแล้วว่าต้องมีใครมาลองดีแน่ๆ พอเห็นผิวน้ำไหวๆจึงรีบดำลงไปดูให้แน่ชัด

เห็นกันจ๊ะๆ เลยว่า ฝูงปลากำลังช่วยกันคาบหินออกไปทีละก้อนๆ เล่นอีแบบนี้ กลางวันลิงถมหิน กลางคืนปลาไปคาบหินออก แล้วอีกกี่ปีจะทำถนนเสร็จหล่ะเนี่ย??!??

หมุมานเห็นดังนั้นก็เดือดปุดๆๆๆ เอาตรีเพชรเข้ากวัดแกว่งฆ่าปลาเล็กปลาใหญ่ตายไปเป็นเบือ ถ้าเอาไปขายที่มหาชัยคงได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี

ระหว่างที่จัดการกับฝูงปลาอยู่นั้น หนุมานก็เริ่มเหนื่อยเพราะรู้สึกว่าฝูงปลานี่มันไม่ได้มีแค่ร้อยสองร้อยตัว แต่มีกันเป็นหมื่นเป็นแสนตัว ฆ่าไปทั้งคืนก็สงสัยจะไม่หมด

 หนุมานจึงมองหาไอ้คนสั่งการดีกว่า จะได้จัดการทีเดียว พลันก็เหลือบไปเห็นนางสุพรรณมัจฉา เงือกน้อย กำลังชี้มือชี้ไม้สั่งการฝูงปลากันมือเป็นระวิง หนุมานเห็นดังนั้นก็มั่นใจว่า นี่แหละ ตัวแม่…..


ว่าแล้วลิงเผือกก็รีบกระโจนเข้าไปหานางสุพรรณมัจฉา ฝูงปลามังกร (ไม่ใช่แป้งมันนะคร้าบบ) ที่เป็นองครักษ์ก็รีบว่ายเข้ามาขวาง แต่จะเอาอะไรไปสู้กับทหารเอกพระราม ยิ่งเข้ามาขวาง ก็ยิ่งถูกหนุมานจับไปทำซาซิมิมากขึ้นเรื่อยๆ นางสุพรรณมัจฉาเห็นจวนตัวเลยต้องพึ่งหลวงพ่อโกย ว่ายหนีไปก่อน

เรื่องว่ายน้ำ นางสุพรรณมัจฉาไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว เพราะเคยได้เหรียญทองที่ปักกิ่งเกมส์และลอนดอนเกมส์มาแล้ว หนุมานเป็นลิง เก่งแต่ไต่ต้นไม้ ไอ้เรื่องว่ายน้ำแข่งกับปลานี่ไม่มีทางเลยจะว่ายทัน เจ้าลิงเผือกเลยต้องหาตัวช่วยด้วยการไปจับปลามังกรมาตัวนึง แล้วบังคับให้มันว่ายตามเจ้านายมันไป ถ้าขืนชักช้า พ่อจะแหกปากเจ้าไม่ให้มีวันได้หุบปากอีกเลย

ปลามังกรผู้โชคร้ายกลัวหนุมานจะจับตัวเองแหกปาก จึงต้องว่ายน้ำตามเจ้านายไปอย่างว่องไว ไล่กันไปไล่กันมาอยู่สักพัก นางสุพรรณมัจฉาก็เริ่มเหนื่อย เพราะนางเป็นนักว่ายน้ำระยะสั้น ไม่ใช่นักว่ายน้ำมาราธอน ส่วนเจ้าลิงเผือกนั้นไม่เหนื่อยเลย เพราะเล่นควบปลายังกะควบม้า

ว่าแล้วหนุมานก็กระโดดถีบปลามังกรให้ไปไกลๆ แล้วค่อยเดินดุ้ยๆ เข้าไปหานางสุพรรณมัจฉา

นางสุพรรณมัจฉา เงือกสาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองไย ทรวดทรงองค์เอวยังกะพริ้ตตี้มอเตอร์โชว์ เสียอย่างเดียวช่วงล่างดันเป็นปลา ตอนนี้กำลังตกอยู่ในมือไอ้ลิงเผือก เจ้าชู้ตัวพ่อ หนึ่งในสามโลก ลองคิดเอาเองต่อดูครับว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:44:56 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #7 on: 02 March 2022, 14:41:47 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 48 ฉากที่ 1-หนุมานได้สุพรรณมัจฉา




หนุมานซักไซ้ไล่เรียงนางสุพรรณมัจฉาว่า ยกขโยงฝูงปลามาคาบหินออกไปทำพรื้อ?

นางก็ตอบออกไปว่า เป็นคำสั่งของบิดา ตัวนางเองก็เป็นธิดา ก็จำต้องปฏิบัติตามคำสั่งของบิดาอย่างเคร่งครัด แม้ว่าใจจริง ก็ไม่ได้อยากจะออกมาทำอะไรแบบนี้เลย ว่าแล้วนางก็แปลงร่างเป็นคุณนายโฮ เอาแต่ร้องไห้ร้องห่ม

หนุมานเห็นน้ำตาหญิงสาวไม่ได้ มีอันต้องเข้าไปสวมกอด และปลอบประโลม (ได้ทีนะเมริง…) พร้อมกับกล่าวให้อภัย แต่นางต้องสัญญาว่าจะนำพาฝูงปลาไปคาบก้อนหินไปคืนไว้ที่เดิม เพราะหากถนนไม่เสร็จภายใน 7 วัน หนุมานก็จะถูกพระรามเจี๋ยนแน่นอน

นางสุพรรณมัจฉาขอบคุณที่หนุมานไม่เอาความ และสัญญาว่าจะรีบนำฝูงปลาคาบหินไปคืน ว่าแล้วนางก็ขอตัวกลับไปหาฝูงปลา แต่ก่อนจะไปลิงเผือกก็จับแขนนาง ไม่ให้รีบจากไป พร้อมกับตามองตาสายตามาจ้องมองกัน

จากนั้นหนุมานก็เล่นบทพระเอก โชว์กล้ามอกอันผึ่งผาย พร้อมกระดุกกระดิกกล้ามอกขึ้นๆลงๆอย่างงดงาม แล้วฉุดนางมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เงือกน้อยตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มร่างกำยำ ร่างของนางเลยอ่อนระทวย

หลังจากนั้นก็พอจะเดาต่อได้นะครับว่า ทั้งคู่จะรังสรรค์กิจกรรมอะไรต่อไป…..

สรุปคือแค่ชั่วระยะเวลาพระรามเดินทัพไปลงกา หนุมานจัดการหาเมียให้ตัวเองได้มาแล้ว 3 คน ไม่ธรรมดาจริงๆ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 48 ฉากที่ 2-กำเนิดมัจฉานุ




หลังจากนางสุพรรณมัจฉา ได้สร้างปรากฏการณ์มหัศจรรย์กับหนุมานเรียบร้อย นางก็ตั้งครรภ์ในบัดดล!!!

 

อารามตอนที่นางตั้งครรภ์คงไม่แตกต่างอะไรจากเด็กสก๊อยส์ใจแตก เมื่อรู้ว่าท้อง ครั้นจะไปบอกพ่อ คงโดนพ่อเอ็ดตะโรบ้านแตกแน่ๆ

 

นางสุพรรณมัจฉาก็เลยเลือกที่จะหลบหน้าทศกัณฐ์ผู้เป็นพ่อ แอบไปคลอดลูกเอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง

 

เทวดาบนสวรรค์รู้ได้โดยญาณวิเศษว่า เด็กที่กำลังจะคลอด เป็นเด็กวิเศษ ที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับพระราม นารายณ์อวตารในอนาคต จึงรีบแห่กันลงมาช่วยกันทำคลอดให้นาง

 

นางสุพรรณมัจฉาคลอดลูกออกมาเป็นวานรเผือกเหมือนหนุมานเป๊ะ! ต่างกันตรงที่มีหางเป็นปลาให้พอรู้ว่ามีแม่เป็นนางเงือก (ถ้ามีตัวเป็นปลา แต่ขาเป็นลิงคงน่าเกลียดน่าดู) วานรน้อยคลอดออกมาปุ๊บ ก็เหมือนเด็กอายุ 16 ปั๊บ! (จะได้ไม่เสียเวลาเลี้ยงดู) เทวดาที่บินลงมาทำคลอดให้เห็นแล้วก็ปลื้มปิติ พร้อมช่วยกันตั้งชื่อว่า มัจฉานุ


 

นางสุพรรณมัจฉา ได้บอกกับมัจฉานุว่า พ่อของเจ้านั่น หน้าและร่างกายเหมือนกับเจ้าราวกับแกะมาเป็นพิมพ์เดียวกัน ต่างกันตรงที่พ่อของเจ้าไม่มีหางปลา ตอนนี้พ่อของเจ้าต้องจากแม่ไปทำงานซาอุ เอ๊ย! ไปเป็นทหารเอกให้พระราม สักวันนึงดวงชะตาจะพาเจ้าและพ่อให้มาพบกัน ถ้าเจ้าสงกะสัยว่าวานรตนนั้นเป็นพ่อเจ้าหรือไม่ ให้ร้องขอให้วานรตนนั้นแสดงอภินิหาร เหาะเหินเดินอากาศและหาวเป็นดาวเป็นเดือนได้ ถ้าวานรตนนั้นทำได้ นั่นแหละพ่อของเจ้า ให้เจ้ารีบเข้าไปกราบโดยพลัน

 

พอกล่าวจบ นางสุพรรณมัจฉาก็หมดบทบาท ปลีกตัวหายแว่บไปจากเรื่อง….

 

ในภาพนี้นอกจาก มัจฉานุ ที่ปรากฏตัวครั้งแรกแล้ว ยังมีพญายักษ์ชื่อว่า ไมยราพณ์  ปกครองเมืองบาดาล ปรากฏโฉมให้เห็นกันด้วยครับ

 

ปู่ของไมยราพณ์ชื่อ ท้าวสหมลิวัน เป็นเพื่อนซี้กับปู่ของทศกัณฐ์ที่ชื่อ ท้าวจตุรพักตร์ ในสมัยที่ท้าวจตุรพักตร์ก่อร้างสร้างเมืองลงกาใหม่ๆ ท้าวสหมลิวัน ที่แต่เดิมก็เคยปกครองลงกาอยู่แต่โดนพิษการเมือง เอ๊ย โดนพระนารายณ์กำราบจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปกบดานอยู่ที่เมืองบาดาลอยู่หลายปี นั้นเคยมอบของขวัญแก่ท้าวจตุรพักตร์เป็นบุษบกแก้ว ที่ทศกัณฐ์ใช้ขี่ไปชิงตัวนางสีดามานั่นแหละครับ และถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าอ้างอิงจากรามายณะ ท้าวสหมลิวัน และ ท้าวจตุรพักตร์ นั้นก็เกี่ยวดองเป็นญาติกันด้วย ฉะนั้น ไมยราพ กับ ทศกัณฐ์ ก็ถือได้ว่าเป็นญาติกันเหมือนกัน แต่อาจจะห่างๆกันสักหน่อย

 

นอกจากจะเป็นญาติที่ค่อนข้างห่างกันแล้ว พ่อของไมยราพณ์ที่ชื่อ ท้าวมหายมยักษ์ ก็ดันเกลียดชัง ทศกัณฐ์ เข้าไส้ กำชับลูกๆของตัวเอง ซึ่งก็รวมถึง ไมยราพณ์ด้วยว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับ ทศกัณฐ์ เด็ดขาด มิฉะนั้นจะนำความฉิบหายมาสู่เมืองบาดาล

วันนึง ในขณะที่ ไมยราพณ์ ปกครองเมืองบาดาลอย่างผาสุข ก็ได้ฝันประหลาดว่า อยู่ดีๆก็มีเทวดาเหาะลงมาเอาดวงแก้วสว่างไสวมาวางไว้ตรงหน้า ตื่นเช้ามาไมยราพณ์เลยให้โหรทำนายสิว่า ฝันนี้มีความหมายว่ากะไร?

 

โหรทำนายทายทักว่า ท่านกำลังจะได้บุตรบุญธรรมที่มีบุญญาธิการและอิทธิฤทธิ์มากมายในไม่ช้า ซึ่งก็ประจวบเหมาะเจาะพอดีที่วันนึง ไมยราพยณ์ไปเดินเล่นริมฝั่งทะเล แล้วก็ได้พบกับ มัจฉานุ กำลังว่ายน้ำไปมาอยู่ ไมยราพณ์เห็นมัจฉานุวานรน้อยรูปร่างทะมัดทะแมง ดูมีฤทธิ์เก่งกล้าเกินหน้ายักษ์ในเมืองบาดาล ……หรือว่านี่คือบุตรบุญธรรมตามที่โหรทำนายไว้?

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 48 ฉากที่ 3-มัจฉานุเฝ้าด่าน




ไมยราพณ์เห็นวานรน้อย ณ ริมฝั่งทะเล ก็รีบเข้าไปสนทนาจนรู้สึกถูกคอ และคิดว่า นี่แหละฝันเป็นจริงแล้ววว

จึงรับมัจฉานุเป็นบุตรบุญธรรม โดยสั่งให้ยักษ์สมุนขุดทะเลสาบขึ้นที่ด่านชั้นในของเมืองบาดาล พร้อมปลูกบัวให้เต็มสระ เพื่อที่มัจฉานุจะได้แหวกว่ายเล่นได้อย่างเต็มอารมณ์ โดยไมยราพณ์ได้ร้องขอให้ มัจฉานุ เฝ้าด่านแห่งนี้ ป้องกันไม่ให้ศัตรูบุกเข้าเขตชั้นในของเมืองบาดาลได้

มัจฉานุก็เฝ้าด่านเมืองบาดาลอย่างแข็งขัน ป้องกันศัตรูที่จะเข้ามาโจมตีเมืองบาดาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.....รอวันที่จะได้พบศัตรูตัวฉกาจในวันข้างหน้า

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:46:34 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #8 on: 02 March 2022, 14:44:16 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 49 ฉากที่ 1-พระอินทร์ประทานราชรถแก้ว




ผ่านไปครบ 7 วัน หนุมานภายใต้การกำกับการของสุครีพก็จองถนนไปกรุงลงกาสำเร็จ

จากนี้ไป พระราม จะได้เคลื่อนพลวานรจำนวนมหาศาลข้ามมหานทีไปกรุงลงกา เพื่อทวงนางสีดาคืนเสียที

พระอินทร์เห็นความเคลื่อนไหวของทัพพระราม จึงโปรดให้ พระมาตุลีเทพบุตร เทวดาผู้ซึ่งเป็นสารถีคนสนิทของพระอินทร์ จัดราชรถแก้วมาถวายพระราม พร้อมกำชับให้พระมาตุลีไปทำหน้าที่สารถีให้กับพระรามและพระลักษณ์จนกว่าจะเสร็จศึกกรุงลงกา

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 49 ฉากที่ 2-พระรามเคลื่อนพล




พระรามรับสั่งให้พิเภกตรวจดวงชะตาหาฤกษ์งามยามดีในการเคลื่อนทัพ

เมื่อถึงวันฤกษ์งามยามดี พระรามก็โปรดให้เคลื่อนขบวนทัพ ข้ามมหานที ประชิดติดกรุงลงกา

บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ได้มีการบรรยายเกี่ยวกับราชรถแก้วของพระราม ที่มีพระมาตุลีเป็นสารถีไว้ดังนี้….

 

    รถเอยรถแก้ว   เพริศแพรวกำกงอลกต

    แอกงอนอ่อนสลวยซวยซด   เครือขดซ่อตั้งบัลลังก์ลอย

    รายรูปสิงห์อัดหยัดยัน   สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย

    ดุมเพลาวาววับประดับพลอย   แปรกแก้วกาบซ้อยสะบัดบัง

    เทียมด้วยสินธพเทพบุตร   ทั้งสี่บริสุทธิ์ดั่งสีสังข์


    มาตุลีขับโผนด้วยกำลัง   รี่เรื่อยเร็วดั่งลมพัด

    เครื่องสูงมยุรฉัตรชุมสาย   ธงฉานธงชายปลายสะบัด

    กาหลพลแห่เหยียดยัด    ขนัดฆ้องกลองประโคมโครมครึก

    โยธาโลดโผนโจนทะยาน   เริงร่าลำพองคะนองศึก

    เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพันลึก   คึกคึกรีบข้ามชลธี

ผมไม่แน่ใจว่า ราชรถแก้ว นี่จะมีที่มาหรือจะเป็นที่มาของ พระมหาพิชัยราชรถที่รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้นหรือไม่อย่างไรครับ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 49 ฉากที่ 3-ไชยามพวานนำทัพ




ภาพการเคลื่อนทัพของพระราม มีเกร็ดเล็กน้อยแทรกอยู่ที่ต้องเพ่งมองดูดีๆครับ

นั่นคือ ภารกิจสำคัญของหนึ่งใน 18 มงกุฏ ไชยามพวาน

ไชยามพวาน เป็นวานรมีกายสีเทา ได้รับพรจากพระอิศวรให้กาลภายหน้าจักต้องมานำทัพถือธงให้กับพระรามในยามเคลื่อนพลบุกลงกา เพราะว่า นามไชยามพวานมีความหมายนัยยะว่าสามารถข่มศัตรูได้ (ผมก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร)

รูปไชยามพวานเวลาไปปรากฏในที่ต่างๆจึงมักจะเป็นท่าวานรถือธงนำทัพเสมอๆ โดยที่วัดพระแก้วจะมีโคลงประจำภาพของไชยามพวานว่า....

คนธงนำทัพไท้.............อวตาล
นามว่าไชยามพวาร........ภาพนี้
สีเทาพระอิสาณ............เทวบุตร์
จุติจากสวรรค์ลี้.............แบ่งเพี้ยงภาคย์ผัน ฯ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 49 ฉากที่ 4-ประคนธรรพ์สำรวจชัยภูมิ




กองทัพพระรามเดินทางข้ามมหานที ไปบนถนนที่สุครีพและหนุมานช่วยกันสรรสร้าง จนข้ามมายังกรุงลงกาได้อย่างปลอดภัย

หลังจากทัพของพระรามแลนด์ดิ้งที่ฝั่งลงกาเสร็จ พระรามก็มีรับสั่งให้ตั้งทัพจัดขบวนเสียก่อน ด้วยเกรงว่าุถ้าืทะเล่อทะล่าบุกเข้าไปในเขตพระนครทันทีจะเจอทัพทศกัณฐ์แอบซุ่มโจมตี

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทศกัณฐ์ได้สั่งการให้ยักษ์ที่มีชื่อว่า ภานุราช ที่มีความเชี่ยวชาญในการร่ายมนต์ เสกพื้นที่ให้เป็นภูมิประเทศต่างๆ ทั้งภูเขา ทะเลทราย แม่น้ำ ได้ดั่งใจนึก ออกไปปฏิบัติการนิมิตพื้นที่แถวๆที่พระรามตั้งทัพอยู่ และอยู่บนเส้นทางที่พระรามจะต้องยกทัพบุกนครลงกา ให้กลายเป็นป่าจำแลง ถ้าเห็นทัพพระรามเดินผ่านป่าจำแลงนี้เมื่อไหร่ ให้ ภานุราช ที่แอบซ่อนตัวแบกแผ่นดินอยู่ด้านล่าง คว่ำแผ่นดินกลืนกินทัพพระรามทั้งหมดให้จมธรณีเสียในทันใด

ภานุราช ก็ไปแอบซุ่มปฏิบัติการนี้ รอทัพพระรามยกทัพเดินทางผ่านป่าจำแลง

พระรามก็ตระหนักอยู่แล้วว่า ทศกัณฐ์ จอมเจ้าเล่ห์คงไม่ปล่อยให้พระองค์ยกทัพประชิดติดพระนครลงกาโดยง่ายแน่ๆ หลังจากตั้งทัพที่ชายฝั่งเรียบร้อย พระองค์ก็รับสั่งให้ ประคนธรรพ์ ซึ่งก็เป็นคนธรรพ์ มนุษย์กึ่งเทพผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ในเรื่องดนตรีศาสตร์ ออกไปสำรวจตรวจตราพื้นที่การเดินทัพดูสิว่า ปลอดภัยสะดวกโยธินหรือไม่ อย่างไร

ประคนธรรพ์นี่ัมาขอเข้าร่วมทัพกับพระรามเมื่อไม่นานมานี้เอง ยังไม่ได้โชว์ผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอได้รับโอกาสก็เลยคิดจะแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์สมกับที่ตัวเองเป็นระดับเทพ

ประคนธรรพ์เดินทางออกสำรวจพื้นที่นอกที่ตั้งทัพเข้าไปในป่าจำแลง ก็พบว่า หนทางสะดวกโยธิน แถมในป่าจำแลง ผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การตั้งทัพจริงๆ เพราะพวกทัพวานรสามารถเด็ดผลไม้กินกันได้อย่างเพลิดเพลินใจ โดยที่ประคนธรรพ์ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ตัวเองกำลังยืนอยู่บนผืนป่าที่มียักษ์แบกแผ่นดินอยู่ด้านล่าง

ประคนธรรพ์รีบวิ่งแจ้นกลับมารายงานพระรามด้วยความดีใจที่เจอชัยภูมิที่เหมาะสม พระรามก็เรียกประชุมแม่ทัพนายกองว่าจะเอายังไงกันต่อดี ในที่ประชุมมีการทักท้วงกันว่า มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ ทศกัณฐ์ มันจะนอนรอทัพเราอยู่เฉยๆในเมือง โดยไม่มีกลอุบายอะไรมาถล่มทัพเราในระหว่างที่เราเดินทัพ ยิ่งหนทางเดินทัพสะดวกโยธิน นั่นยิ่งน่ากลัว.....พิเภกที่นั่งฟังเงียบๆอยู่พักนึง ก็ถามประคนธรรพ์อย่างละเอียดถึงเส้นทางที่ได้ไปสำรวจ โดยเฉพาะไอ้ป่าอุดมสมบูรณ์ว่ามันอยู่พิกัดตรงไหนแน่ๆ พร้อมกับเปิดแผนที่ GPS เทียบดู

หลังจากพิเคราะห์อย่างละเอียด พิเภกก็ตบเข่าตัวเอง ฉาดใหญ่ พร้อมกับร้องออกมาว่า ไม่ได้ๆๆๆๆ พื้นที่ป่าแห่งนั้นเป็นพื้นที่อันตราย เพราะจากข้อมูลแผนที่ แถบนั้นมันไม่ได้เป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ มันเป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่มีพรรณไม้อะไรมากมาย แล้วอยู่ดีๆ วันดีคืนดี มันจะกลายเป็นป่าไปได้ยังไง ถ้าทศกัณฐ์มันจะไม่เล่นอะไรแปลกๆ


แต่ประคนธรรพ์ที่กลัวจะเสียหน้า ก็รีบพูดแทรกว่า ตัวเองสำรวจเป็นอย่างดีแล้ว ไม่เห็นจะพบสิ่งผิดปรกติใดๆ ท่านพิเภกพูดออกมาแบบนี้ต้องการจะหักหน้าข้ากระมัง?? จากนั้นที่ประชุมก็เกิดบรรยากาศอึมครึม

ว่าแล้ว พระลักษณ์ ก็ทูลให้พระราม ส่งหนุมานเดินทางไปพร้อมกับ ประคนธรรพ์ อีกครั้ง เพื่อสำรวจให้ละเอียดก่อนจะเคลื่อนทัพ เพราะถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นทั้งกองทัพ ความพยายามที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมามันจะพังทลายกันหมด

พระรามจึงรับสั่งให้ประคนธรรพ์ พาหนุมาน ออกไปสำรวจอีกที..... แม้ว่าประคนธรรพ์จะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ก็ตาม ....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 49 ฉากที่ 5-หนุมานปราบภานุราช




ความเดิมจากตอนที่แล้วที่ ภานุราช ร่ายมนตร์ เสกให้พื้นที่เส้นทางเดินทัพของพระรามเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยอาหารของเหล่าวานร เพื่อหลอกล่อให้ทัพพระรามมาตั้งทัพในบริเวณป่าจำแลง แล้ว ภานุราช ที่ซ่อนตัวใต้ผืนป่าแบกแผ่นดินอยู่ จะได้พลิกแผ่นดิน กลืนทัพพระรามทั้งหมดให้ตายตกไปตามกันในคราวเดียว

 

ฝากฝั่งพระรามก็ตระหนักในกลเล่ห์ของฝั่งทศกัณฐ์ จึงได้ส่ง ประคนธรรพ์ ออกไปสำรวจตรวจตราพื้นที่ตั้งทัพ แต่ด้วยความที่ ประคนธรรพ์ อยากจะสร้างผลงาน เพราะเพิ่งมาสังกัดทัพพระรามหมาดๆ ผลงานก็ไม่เคยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แตกต่างจากพวกแม่ทัพวานรที่โชว์ผลงานกันเป็นว่าเล่น ประคนธรรพ์พอได้เห็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์จึงรีบแจ้นกลับมาแจ้งพระราม โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองหลงกลยักษ์ภานุราชเข้าเสียแล้ว

 

โชคยังดีที่ฝั่งพระรามยังมีเสนาธิการอย่างพิเภกที่สังเกตความไม่ชอบมาพากลอยู่ พระรามจึงรับสั่งให้ หนุมาน ออกไปสำรวจตรวจตรากับประคนธรรพ์อีกครั้ง

 

ประคนธรรพ์แม้จะออกลูกไม่ค่อยพอใจ เพราะเหมือนโดนพิเภกหักหน้ายังไงไม่รู้ ก็ต้องจำใจพาหนุมานออกไปสำรวจป่าที่ว่าอีกครั้ง

 

เมื่อมาถึงป่า สัญชาตญาณนักรบของหนุมานที่ผ่านศึกมามากมาย ก็สังเกตได้ถึงความผิดปรกติ  เพราะแม้ป่านี้มันจะดูเผินๆแล้วน่าเข้าไปตั้งทัพมาก แต่ไหงจึงมีกลิ่นไอสังหารรุนแรงออกมาจากป่าแห่งนี้ หนุมานพยายามควานหาที่มาของไอสังหารรุนแรงนั้น หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แม้จะเดินสำรวจไปทั่วป่าแล้วก็ตาม

 

หลังจากแทบจะจนใจ....หนุมานก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีอีกที่นึงที่ยังไม่ได้ไปสำรวจ นั่นคือใต้ดิน!

 

ว่าแล้ว หนุมานก็แทรกตัวเองลงไปใต้ดิน และยิ่งมุดตัวเองลงไป ก็ยิ่งพบว่าไอสังหารรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่า ไม่ผิดแน่ มันต้องมีอะไรผิดปรกติอยู่ที่ใต้แผ่นดินป่าแห่งนี้แน่นอน

 

จะเอ๋!!!.......หลังจากมุดลงไปสักพัก หนุมานก็พบกับต้นตอไอสังหาร ยักษ์ภานุราช กำลังแบกแผ่นดินอยู่นั้นเอง เห็นดังนั้นแล้ว ภานุราช ก็ไม่สนใจเรื่องแบกแผ่นดงแผ่นดินแล้ว รีบปรี่เข้าซัดกับหนุมานโดยพลัน

 

ภานุราชมีความชำนาญในการเสกมนตร์สร้างภูมิประเทศจำแลง แต่พลังความสามารถในการต่อสู้นั่นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สู้กับหนุมานได้ไม่กี่เพลง ก็โดนหนุมานตัดคอเลือดกระฉูด ตายคาที่

 

หลังจากเสร็จภารกิจ หนุมาน กับ ประคนธรรพ์ ก็กลับไปรายงานให้พระรามทราบ และแน่นอน งานนี้ ประคนธรรพ์ โดนเฉ่งปีบเต็มๆ เพราะเกือบทำให้ทัพทั้งหมดของพระรามฉิบหายตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ออกรบ ว่าแล้วพระรามก็รับสั่งขับประคนธรรพ์ออกจากกองทัพ ไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆต่อไป.....ประคนธรรพ์จึงเป็นตัวละครที่น่าสงสารมากตัวนึงครับ เพราะโผล่มากลางๆเรื่อง แล้วก็โดนเฉดหัวออกไปตอนกลางๆเรื่องเหมือนกัน เป็นเพราะความเลิ่นเล่ออยากสร้างผลงานโดยไม่ได้มีความละเอียดรอบคอบในการทำงานแท้ๆ

 

จากนั้นพระรามก็สามารถเดินทัพได้อย่างสะดวกโยธิน และก็ไปตั้งทัพที่เขามรกต ประชิดกรุงลงกา ที่เขามรกตแม้จะมียักษ์ชื่อ กุมภาสูร ดูแลอยู่ แต่เมื่อพระรามส่งหนุมานไปปราบ ต่อให้มีกุมภาสูร 100 ตัวก็ไม่ครณามือ พระรามจึงลงหลักปักฐานที่เขามรกต จัดกระบวนทัพ ตั้งค่ายให้เรียบร้อย รอวันประกาศศึกยกทัพตีลงกา

 

ฝากทศกัณฐ์ ก็เล็งไว้แล้วว่า ถ้าภาณุราชและกุมภาสูร สกัดทัพพระรามไม่อยู่ ทัพพระรามจะต้องมาจ่อคอหอยแน่ๆ จึงรับสั่งล่วงหน้าให้แม่ทัพนายกองของลงกาเตรียมพร้อมรับศึกเต็มอัตราศึก

 

ทัพทั้งฝั่งลงกาและฝั่งพระรามตอนนี้พร้อมจะประจันหน้ากันเต็มที่แล้วครับ.....สงครามรอวันระเบิดในอีกไม่ช้า....

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:48:36 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #9 on: 02 March 2022, 14:46:45 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 50 ฉากที่ 1-ทูตองคต




ณ เวลานี้ทัพของพระรามเคลื่อนที่ประชิดติดกรุงลงกา ภายในกรุงลงกาก็เตรียมระดมทัพยักษ์พร้อมรบเต็มอัตราศึก...

พระรามเรียกประชุมแม่ทัพนายกอง และเสนาธิการ ว่า เราจะบุกกรุงลงกายังไงดี เพราะตอนนี้ฝั่งทัพยักษ์เตรียมรบเต็มที่ ถ้ายกทัพไปตีเมืองกันแบบดื้อๆ มีหวังได้ล้มตายกันระนาว นอกจากนั้นทัพวานรฝั่งเรามีจำนวนน้อยกว่าทัพยักษ์หลายเท่า และอีกฝั่งก็ตั้งรับ ยิ่งรบกันไปมีหวังทัพของฝั่งเราแพ้หลุดลุ่ยแน่ๆ

ที่ประชุมสรุปกันว่า ทัพเราเพิ่งจะยกทัพมาถึง ยังต้องให้เวลาทัพวานรพักเอาแรง และจัดตั้งทัพให้เรียบร้อยก่อนสัก 2-3 วัน ในช่วงนี้ เราควรส่งทูตทหารไปเจรจากับฝั่งลงกา เพื่อหาทางออกครั้งสุดท้าย โดยหวังว่าทศกัณฐ์จะคืนนางสีดาให้ทัพพระราม เพื่อที่จะได้หลีกเหตุนองเลือด (ผมคิดในใจ ถ้าทศกัณฐ์ยอมคืนนางสีดาให้ตอนนี้ และเรื่องรามเกียรติ์ตัดจบง่ายๆแบบนี้ แฟนๆก็เซ็งเป็ดอ่ะดิ ... )

ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า ควรจะส่งทูตทหารไปเจรจาก่อน แต่ปัญหาคือใครจะไปเป็นทูต เพราะการจะไปเป็นทูตในเมืองศัตรู ที่ล้อมรอบไปด้วยยักษ์ที่เจ้าเล่ห์เพห์ทุบาย โหดเหี้ยมอำมหิต มันเหมือนกับการซื้อตั๋วเดินทางไปแต่ไปหาตั๋วขากลับเอาดาบหน้าเอาเอง งานนี้แม้จะมีเหล่าแม่ทัพวานรเสนอตัวกันมากมาย เพราะแย่งกันแสดงผลงาน แต่พระรามได้ตรึกตรองดูแล้ว เห็นว่า องคต นี่แหละน่าจะเหมาะสมที่สุด นี่ถือเป็นทักษะการใช้คนของพระรามที่สุดยอดนะครับ เลือกใช้คนให้ถูกกับงาน

สาเหตุที่พระรามเลือกองคต แทนที่จะเป็นแม่ทัพวานรตนอื่น เพราะ องคต ดูสุขุม ไม่บ้าบิ่นแบบหนุมาน ตัดสินใจแก้ปัญหาได้รวดเร็ว มีวาทะศิลป์ในการเจรจา และที่สำคัญความสามารถในการรบ ไม่แพ้แม่ทัพวานรตนอื่นๆเลย

รุ่งเช้า องคต เดินถือสาส์น ไปยังกรุงลงกา เมื่อถึงประตูเมือง พวกยักษ์เฝ้าประตูเมืองรีบปิดประตูลงกลอน เตรียมซัดหอก ธนู ใส่เต็มที่ จนองคตต้องรีบตะโกนบอกว่า ตัวข้านี่เป็นทูตนะเฟร้ย จะมาเจรจาความศึกกับเจ้ากรุงลงกา พวกเอ็งเล่นจะมาฆ่าแกงกันตั้งแต่หน้าประตูเมืองเชียวรึ??!

ว่าแล้วยักษ์เวรเฝ้าประตู ก็รีบส่งข่าวเข้าไปยังพระราชวัง เมื่อทศกัณฐ์ทราบเรื่อง ก็หนวดกระดิก และสั่งให้ เปาวนาสูร เสนาธิการยักษ์คู่ใจ (ทศกัณฐ์มีเสนาธิการคู่หูคู่ใจ อีกตนคือ มโหทร ครับ) ไปเจรจาดูสิว่า ลิงตัวนี้มันจะมาไม้ไหน

เปาวนาสูร ออกไปยืนบนป้อมและเจรจากับองคต ว่ามาทำอีหยัง? องคตหลังจากยืนรอมาแล้วสิบนาทีก็เริ่มเมื่อย ร้องตะโกนไปว่า ข้าเป็นทูต (ตะโกนครั้งที่สองแล้วนะเฟร้ย..) จะมาเจรจาการศึกกับทศกัณฐ์ รีบๆเปิดประตูให้ข้าเข้าไปพบทศกัณฐ์โดยเร็ว....เปาวนาสูร แทนที่จะเปิดประตู กลับซักไซ้ถามนู้นนี่นั่น จนองคตเริ่มหงุดหงิด เพราะต้องตอบคำถามวกไปวกมาอยู่นั่นแหละ และพอจะเจรจาอะไรลงรายละเอียด เปาวนาสูร ก็เอาแต่บอกว่า ไม่รู้ เป็นเรื่องของสภา ไม่รู้ เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการ ไม่รู้ เป็นเรื่องของมติ ครม ไม่รู้ เพราะไม่ใช่เรื่องของกรู..........องคต เลยแทบจะอดรนทนไม่ไหว เพราะในเมื่อเมริงไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วจะมาเสียเวลาเจรจากับตรูทำมายเนี่ย ว่าแล้ว องคต ก็เนรมิตตัวเองให้ใหญ่จนบังแสงอาทิตย์จนมิด กรุงลงกาจึงตกอยู่ในสภาพ black out มืดมิดไปทั้งเมือง เปาวนาสูร เห็นดังนั้น ก็เริ่มกลัว จึงเลิกทำตัวเวิ้นเว่อ รีบแจ้นกลับไปแจ้งข่าวทศกัณฐ์

ทศกัณฐ์แปลกใจมากที่อยู่ดีๆ ลงกาไฟดับทั้งเมือง....เมื่อได้รับทราบเรื่องจากเปาวนาสูร แล้วยิ่งหนวดกระดิกไปกันใหญ่ อยากจะส่งแม่ทัพยักษ์ออกไปสั่งสอนไอ้ลิงตัวนี้เสีย แต่ที่ประชุมทหารยักษ์ ห้ามไว้ก่อน เพราะเป็นธรรมเนียมการศึก เราจะไม่ควรเข่นฆ่าคณะทูต เดี๋ยวจะเสื่อมเสียพระเกียรติอภิมหายักษ์เปล่าๆ

ที่ประชุมทหารเสนอว่า ในเมื่อทูตที่มาเจรจาคือ องคต ซึ่งเป็นวานรที่มีฤทธิ์เยอะ เลื่องลือระบือไกลไปทั่ว เหตุใดเราไม่ส่งนางมณโฑที่เป็นแม่แท้ๆขององคตออกไปเกลี้ยกล่อมให้องคตมาอยู่กับฝั่งลงกาเสียเลย

ถ้ายังจำกันได้นะครับ องคต นั่นเป็นบุตรของ พาลี และ นางมณโฑ ในสมัยที่พาลียังมีชีวิต เห็นนางมณโฑครั้งแรกแล้วปิ๊ง จึงไปแย่งมาจากทศกัณฐ์ดื้อๆ ทศกัณฐ์สู้พาลีไม่ได้ จนต้องไปขอร้องให้ฤาษีอังคต ไปทวงขอนางมณโฑคืน ซึ่งพาลีก็ยอม เพราะเห็นแก่หน้าฤาษีอังคต ติดตรงที่ว่า นางมณโฑ ท้องโย้ เสียแล้ว ฤาษีอังคตเลยต้องทำพิธีแหวะท้อง เอาบุตรซึ่งก็คือ องคต นั่นแหละ ไปใส่ในท้องแพะ เพื่อให้ครบกำหนดตั้งครรภ์ ก่อนจะส่งตัวนางมณโฑ คืนให้ทศกัณฐ์ และชื่อของ องคต ก็มาจากฤาษีอังคตนั่นแหละครับ ฉะนั้นตั้งแต่ องคต เกิด มาจนบัดนี้ ยังไม่เคยเจอหน้าแม่บังเกิดเกล้าสักกะที นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่แม่ลูกจะได้พบหน้า

ทศกัณฐ์จึงสั่งให้ไปตามตัวนางมณโฑมา....ในระหว่างนี้ องคต ยืนรอหน้าประตูมาจะสามชั่วโมงแล้ว จุดเดือดกำลังใกล้จะแตก .... มันจะให้กรูยืนรอไปอีกนานขนาดไหนฟร่ะ ร้อนนะเฟร้ยยยย

นางมณโฑเมื่อได้รับฟังแผนของทศกัณฐ์ ก็ตกใจ เพราะแม้ตัวเองจะเป็นแม่ขององคต แต่ก็แค่อุ้มครรภ์ไม่กี่เดือน แถมไม่ได้คลอด ไม่ได้เลี้ยงองคตเลย ความผูกพันแม้จะมีแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เกรงว่า องคต จะไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแม่ (จริงๆแล้วคนที่องคตนับถือว่าเป็นแม่ คือ นางดารา เมียพาลี ที่เลี้ยงดูองคตมาตั้งแต่อ่อนแต่ออกครับ) จะออกไปเจอพบหน้ากันตรงๆ ก็กลัวว่า องคต อาจจะทำร้ายได้ นางจึงสั่งให้ นางกำนัล จัดแต่งเครื่องกับข้าว คาวหวานไปต้อนรับองคตที่หน้าประตูเมืองก่อน คอยสังเกตอารมณ์ ถ้าองคตอารมณ์ดี ยิ้มแย้มเมื่อไหร่ ค่อยส่งซิกให้นางออกไปเจรจา

นางกำนัลก็รีบจัดการแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าแต่งตา จัดเครื่องคาวหวาน ใช้เวลาในการอีกเป็นชั่วโมงๆๆ องคตที่ยืนตากแดดมาแล้วครึ่งวัน เริ่มตะโกน ออกมา กรูทนไม่ไหวแล้วนาว้อย ถ้ายังไม่เปิดประตูเมือง เดี๋ยวพ่อจะพังเข้าไป ณ บัดนาว

พอดีขบวนนางกำนัลก็รีบวิ่งแจ้นออกมาพอดี พร้อมกับ รีบเอาเครื่องคาวหวาน น้ำดื่มเย็นๆมอบให้ องคต เพื่อให้อารมณ์เย็นๆหน่อย องคต ในเวลานั้นไม่สนใจอาหารบ้าๆบอๆนี่แล้ว ตะโกนกลับไปว่า ไม่มีอารมณ์จะกินอะไรทั้งนั้น ยืนรอตากแดดมาครึ่งวันแล้ว ทศกัณฐ์จะเอายังไงก็ให้ว่ามา ... นางกำนัลได้ยินลิงยักษ์ตะโกนก็กลัวกันจนหัวหด ร้องห่มร้องไห้ซิกๆๆๆๆ กันเป็นแถว องคต เห็นดังนั้นก็ยิ่งเดือด เพราะบอกให้รีบไปแจ้งทศกัณฐ์ให้เปิดประตู นี่ดันมาร้องห่มร้องไห้อาไรกันอีกเนี่ย

นางกำนัลก็บอกว่า ถ้าท่านไม่รับประทานอาหารที่พวกนางจัดมา นางจะต้องถูกลงโทษแน่ๆ นางเสียใจ นางเฮิร์ท นางระทมขมขืน นางอ่อนไหว นาง.....

องคตได้ยินนางกำนัลเวิ้นเว่อไปเรื่อยเปื่อยแบบนั้นก็ฟิวส์ขาด .... โธ่ว้อย ไอ้ยักษ์เมืองนี้มันพันธุ์เดียวกันหมด เรื่อยเปื่อยกันทั้งเมือง ว่าแล้วองคตก็เอาส้นเท้าถีบเข้าที่ประตูเมือง ถีบอยู่ไม่กี่ทีกำแพงเมืองก็พังเป็นแถบ พวกยักษ์เวรยามและนางกำนัลต่างวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง

ถ้าประตูเมืองมันห่วยขนาดให้องคตถีบไม่กี่ทีก็พัง แล้วมันจะสร้างไว้ป้องกันอะไรได้เนี่ย??? สงสัยมันจะมีการคอร์รัปชั่นในโครงการก่อสร้างประตูเมือง

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 50 ฉากที่ 2-องคตเจรจา




หลังจากองคตถีบประตูเมืองพังกระจัดกระจาย ก็เดินอาดๆเข้าไปยังท้องพระโรง นับได้ว่าระบบการรักษาความปลอดภัยของลงกาห่วยแตกมาก...

ที่ท้องพระโรง ทศกัณฐ์กำลังนั่งรออยู่พอดี องคตเห็นดังนั้นจึงม้วนหางทำเป็นที่นั่งส่วนตัว ให้ตัวเองอยู่ในระดับเดียวกับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์เห็นแบบนั้นก็หนวดกระดิก อุเหม่...มันเป็นทูตภาษาอะไรฟร่ะ มาทำตัวสูงเสมอเจ้าลงกาอย่างข้า แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะที่นั่งขององคตมันเป็นที่นั่งส่วนตัว แบบติดตัวมาเอง

องคตเจรจาว่าความ โดยขอร้องให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดามาเต๊อะ สงครามจะได้ไม่เกิด ทศกัณฐ์จะได้ไม่ต้องอับอาย พ่ายแพ้พระราม และยังพาลให้ลูกเต้า ญาติสนิท มิตรสหายต้องล้มตายเป็นเบือในสงคราม เพราะพระรามหน่ะ เป็นพระนารายณ์อวตาร ทศกัณฐ์จะไปเอาอะไรมาสู้ สู้ไปก็มีแต่ตายตกไปตามกันซะมากกว่า

 

ตกลง องคต มันมาเป็นฑูตหรือ มากระตุ้นต่อมสงครามให้ทศกัณฐ์ กันหล่ะนี่??

 

ทศกัณฐ์ทนนั่งฟังอยู่นาน จนอดรนทนไม่ไหว เพราะเหมือนนั่งให้องคตมันด่าเอาๆๆๆ ว่าแล้วก็สั่งลูกสมุนยักษ์ 4 นายจับตัวองคตไปเจี๋ยนเสีย .... แต่ลูกสมุนของทศกัณฐ์ก็โหล่ยโท่ยเกินกว่าจะไปสะกิดผิวขององคตได้ เจอองคตลากเอาทั้ง 4 ไปเหวี่ยงเล่นสนุกสนาม คอหักตายกันเรียบทั้ง 4 นาย...สมแล้วที่องคตบอกว่า ทัพทศกัณฐ์ จะเอาอะไรมาสู้ ทัพพระราม

 

องคตเห็นแล้วว่า เจรจาไปก็ไลฟ์บอย (ก็แหง๋หล่ะ พี่เล่นหลอกด่าเค้าอย่างเดียวนิ) ... ก็ขอตัวลา พร้อมแอบเยาะเย้ยทศกัณฐ์ก่อนลาว่า ถ้าไม่ติดว่าทำเกินหน้าที่ที่พระรามมอบหมายมาให้เป็นฑูต ข้าจะฆ่าเจ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเบยย

ทศกัณฐ์นั้นยืนตัวแข็ง...ไม่รู้ว่าเพราะกลัวองคต หรือว่าเพราะกำลังเซ็งห่านที่ทำไมลูกน้องตรูมันถึงได้โหล่ยโท่ย โดนองคตหักคอตายภายในพริบตา (แล้วตรูจะเอาอะไรไปสู้พระรามเนี่ย??)

องคตเดินอาดๆกลับทัพพระรามแบบสะดวกโยธิน...พระรามตรัสชมองคตว่า ยอดเยี่ยมจุงเบยยย (ตกลงส่งองคตมันไปทำหน้าที่อะไรเนี่ย!!???)

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:50:05 by ppsan » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.097 seconds with 20 queries.