User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
23 December 2024, 02:14:03
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618
Posts in
12,929
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
ภาพประทับใจ
|
ผนังเก่าเล่าเรื่อง
(Moderator:
ผนังเก่าเล่าเรื่อง
) |
รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40] (Read 792 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
on:
02 March 2022, 14:04:23 »
รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 31ฉากที่ 1-สามวานรนมัสการชฏิลฤาษี
พอข้ามฝั่งมหานทีมาได้ เดินทัพมาสักกระเดี๋ยวก็มาถึงอาศรมของชฏิลฤาษี
ทั้งสามแม่ทัพ หนุมาน ชมพูพาน และ องคต ก็ได้เดินเข้าไปนมัสการฤาษี
ฤาษีท่านรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีทหารเอกพระนารายณ์เดินทางมาพบ จึงได้เตรียมการต้อนรับขับสู้ จัดน้ำอาหารไว้รอต้อนรับให้ทัพได้พักผ่อนชั่วครู่
ฤาษีได้บอกเส้นทางเดินทัพที่เป็นทางเดินสะดวกๆให้กับทั้งสามแม่ทัพ พร้อมกับชี้แนะว่า หลังจากเดินทางไปได้สักพัก จะไปเจอะกับเขาเหมติรัน ที่นั่นจะเป็นแผ่นดินปลายสุดของภารตวรรษ พวกเจ้าจะเจอซุปเปอร์มหานทีมหาสมุทรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แผ่นดินลงกานั้นอยู่อีกฝากของมหาสมุทร
อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะข้ามฝากไปแผ่นดินลงกาได้อย่างไร? ยังไงก็แล้วแต่พวกเจ้าลองเดินทางไปเขาเหมติรันก่อน ไปสำรวจดูภูมิประเทศแถบนั้นดุก่อน แล้วค่อยหาทางกันว่าจะข้ามมหาสมุทรไปได้ยังไง?
หลังจากพักผ่อนกันได้สักพัก ทัพวานรก็กราบลาฤาษีแล้วมุ่งหน้าเดินทัพต่อไปยังเขาเหมติรัน....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 31ฉากที่ 2-พานพบนกยักษ์สัมพาที
เมื่อทัพวานรเดินทางมาถึงเขาเหมติรัน ก็ได้เจอะกับมหานทีมหาสมุทรสุดกว้างใหญ่เป็นจริงตามที่ท่านฤาษีกล่าว...
และปัญหาหนักอกก็คือ ตกลงกรุงลงกามันอยู่ตรงไหนในมหาสมุทรนี้ มันห่างไกลออกจากฝั่งขนาดไหน? แล้วจะมุ่งหน้าไปทางทิศไหนถึงจะเจอ?
ทั้งหนุมาน องคต และชมพูพาน ก็ได้แต่นั่งเกาหัวแกรกๆ แบบเซ็งอารมณ์ เพราะมองไปรอบตัวก็ไม่เห็นมีตัวช่วยอะไรเลย.....
ทั้งสามเริ่มถอนหายใจ เพราะทั้งสามนำทัพเดินทางออกมาจากขีดขินก็หลายวันแล้ว ถ้ากลับไปโดยไม่ได้เบาะแสอะไรเลย นางสีดาจะอยู่ที่กรุงลงกาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แม้แต่ว่าจะเดินทางไปกรุงลงกายังไงยังไม่รู้เลย....ถ้ากลับไปแบบนี้มีหวังพระรามและพระลักษณ์คงเซ็งเป็ดแน่....
ว่าแล้วองคตและชมพูพานก็พาลจะร้องไห้ ที่อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล แต่ก็เหมือนจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย....ฝูงทัพวานรก็เริ่มจะท้อใจบ่นกันระงมว่า สงสัยจะเหนื่อยเปล่ากันหล่ะทีนี้
หนุมานเห็นทัพวานรเริ่มหมดกำลังใจ เลยต้องอาสากล่าวปลุกใจ โดยบอกแก่ทุกคนว่า อย่าเพิ่งท้อใจ ภารกิจนี้มันต้องสำเร็จแน่ เพียงแค่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าจะทำให้มันสำเร็จได้ยังไง แต่วันพรุ่งนี้ไม่แน่ เราอาจจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมก็ได้ อย่าเพิ่งท้อใจไป ภารกิจนี้แม้ว่าจะยากลำบากสักเพียงไร เราก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ให้ดูนกสดายุเป็นตัวอย่าง ที่ยอมพลีกายเพื่อองค์พระนารายณ์ ภารกิจของพวกเราง่ายกว่าของสดายุตั้งแยะ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อและหมดกำลังใจไป....
หลังจากสิ้นคำกล่าวของหนุมาน....ที่บริเวณปากถ้ำบนเขาเหมติรันก็เกิดการสั่นสะเทือน....สักพักก็มีนกยักษ์เดินออกมาจากถ้ำ พร้อมตะโกนถาม เมื่อตะกี๋ใครเอ่ยถึง สดายุ ผู้เป็นน้องข้า!!!
นกยักษ์ดังกล่าวดูสง่า น่าเกรงขาม ติดอย่างเดียว ไหงขนโกร๋นไปทั้งตัว???
หนุมานจึงกล่าวไปว่า ข้านี่แหละ เอ่ยถึงนกสดายุผู้พลีชีพเพื่อชิงตัวนางสีดาให้กับพระรามผู้เป็นองค์นารายณ์อวตาร
นกยักษ์เมื่อได้ยินว่า สดายุ ได้สิ้นชีพไปแล้วก็ถึงกับร้องไห้ออกมาจนแทบน้ำตาเป็นสายเลือด....แล้วกล่าวต่อทัพลิงว่า...
เราชื่อ สัมพาที เป็นพี่แท้ๆของสดายุ สมัยก่อนสดายุยังเป็นนกเกรียนทะลึ่งบินไปจินกินพระอาทิตย์ จนถูกพระอาทิตย์เปล่งรัศมีใส่เพื่อเผาให้สดายุไหม้เป็นจุล เดือดร้อนเราต้องบินขึ้นไปเพื่อเอาตัวเองปกป้องจนขนโกร๋นไปทั้งตัวแบบนี้ ที่ทำไปก็เพราะเรารักน้องสดายุมาก ออกท่องยุทธภพกับสดายุมาตั้งแต่เล็กๆ ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาด้วยกันมากมาย
หลังจากที่ขนของตัวเองถูกรัศมีพระอาทิตย์เผาจนโกร๋น พระอาทิตย์ก็ได้สาปให้ตนมาเฝ้าถ้ำที่เขาเหมติรันแห่งนี้ จนกว่าจะได้เจอะกับทัพลิงขององค์นารายณ์อวตารโห่ให้สามครั้ง คำสาปของพระอาทิตย์จึงจะคลาย.....
สามแม่ทัพลิงได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจที่ได้พบพานนกยักษ์ในตำนานอย่างสัมพาทีที่โด่งดังในยุทธภพคู่กับสดายุมาตั้งแต่ทั้งสามยังตีนเท่าฝาหอย ว่าแล้วก็ตะโกนบอกทัพลิงให้ช่วยจัดให้ท่านสัมพาทีเต็มๆหน่อย ด้วยการโห่พร้อมๆกันสามครั้ง
หลังจากทัพลิงพร้อมใจกันโห่ให้นกสัมพาทีสามครั้งปุ๊บ ขนที่เคยโกร๋นก็กลับงอกใหม่ดังเดิม นกสัมพาทีดีใจมากจึงลองทะยานบินขึ้นฟ้าใหม่หลังจากที่บินไม่ได้ ดักดานอยู่ในถ้ำมาหลายสิบปี
สัมพาทีโบยบินลิงโลดไปบนท้องฟ้า ฝูงลิงก็ดีใจปลื้มใจไปกับสัมพาทีด้วย....
หลังจากนั้น หนุมานก็เรียนถามสัมพาทีว่า ท่านผู้อาวุโสครับ ท่านพอจะรู้มั๊ยว่า ไอ้กรุงลงกานี่มันอยู่ส่วนไหนของมหาสมุทรนี้?
นกสัมพาทีก็ตอบว่า รู้สิ ในสมัยก่อนที่ยังมีขนดกดำ ข้าบินผ่านลงกาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ตัวกรุงลงกามันอยู่ห่างจากฝั่งมาก ต้องเป็นยักษ์หรือพญาวานรที่มีฤทธิ์เหาะได้เท่านั้นถึงจะข้ามไปได้ พวกยักษ์กากๆ หรือลิงเกรียนๆ ข้ามไปไม่ไหวหรอก ขนาดยักษ์ที่เหาะข้ามไปได้ ยังโคตรจะเหนื่อยเลยกว่าจะถึง ดีไม่ดีร่วงลงกลางมหาสมุทรเจอปลายักษ์จับไปกินซะก่อนอีก
เอางี้ เจ้ามาขึ้นหลังข้า เดี๋ยวข้าจะพาบินโฉบพาเจ้าไปดูให้แน่ชัดว่ากรุงลงกามันอยู่ตรงไหน....
ว่าแล้วหนุมานก็ขออนุญาตผู้อาวุโสปีนขึ้นหลังเพื่อบินไปดูกรุงลงกา....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 31ฉากที่ 3-นกสัมพาทีพาสำรวจลงกา
ท่านผู้อาวุโสนกสัมพาทีพาหนุมานท่องนภาบินไปดูกรุงลงกา
หนุมานพบว่ากรุงลงกานั้งเป็นมหานครกลางน้ำ ห่างจากฝั่งไปไกลมาก มีภูเขาขนาดใหญ่อยู่กลางเมือง สัมพาทีบอกว่า ภูเขานั้นมีชื่อว่า เขานิลกาลา
หนุมานพบว่า ระยะทางจากฝั่งถึงกรุงลงกา น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับความสามารถของตัวเองที่จะเหาะข้ามมา แต่กับระดับพญาวานร สุครีพ องคต นิลพัทธ์ นิลนนท์ และชมพูพานอาจจะเต็มกลืน น้ำลายเหนียวอาจจะเหาะมาถึงหรือไม่ก็เกือบถึง ส่วนวานรลำดับรองๆลงไปตั้งแต่พวกสิบแปดมงกุฏจนถึงไพร่พลวานรนี่คงหมดปัญญาเหาะข้ามมาถึงแน่ แถมในมหาสมุทรที่ล้อมรอบลงกาอยู่นั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายว่ายอยู่เต็มไปหมด คลื่นก็เชี่ยวกราก ครั้นจะต่อเรือข้ามมานี่สงสัยเรือจะอัปปางก่อนตั้งแต่ครึ่งทาง
แล้วพระรามและพระลักษณ์ที่เหาะไม่ได้ จะข้ามไปยังลงกายังไง?
หนุมานจึงขอให้นกสัมพาทีพาตัวเองกลับไปส่งที่ฝั่งเพื่อปรึกษาหารือกับผองเพื่อนก่อนว่าจะคิดอ่านประการใดต่อ
หลังจากหารือกัน ทั้งหมดก็สรุปได้ว่า งานนี้ต้องขอให้หนุมานเสี่ยงเหาะข้ามไปลงกาไปสำรวจดูก่อนว่า ตกลงแล้วนางสีดาถูกกักตัวไว้ที่ลงกาแน่ๆหรือไม่ เพราะหนทางจากขีดขินมาลงกานั้นลำบากยากเย็นเหลือเกิน ถ้านางไม่อยู่ที่นี่ การเดินทัพมามันจะเสียเวลา เสียกำลังไพร่พลไปโดยใช่เหตุ ส่วนตัวองคตและชมพูพานจะควบคุมทัพวานรที่เหลืออยู่บนฝั่งเพื่อคิดอ่านหาวิธีจะพากองทัพข้ามไปฝั่งลงกา รอหนุมานเสร็จภารกิจในลงกา ก่อนจะเดินทัพกลับขีดขินพร้อมกัน
ว่าแล้วหนุมานก็ฝากฝังนกสัมพาทีให้ช่วยดูแลทัพวานรอีกแรง ก่อนจะลาทั้งหมดเหาะข้ามไปฝั่งลงกา
ก่อนจะเหาะข้ามไป หนุมาน ต้องเล็งทิศและควบคุมแรงกระโดดให้ดีๆ เพื่อให้ไปถึงลงกาโดยสวัสดิภาพ…..
ดูไปดูมาจากภาพ เหมือนนกสัมพาทีขนทั้งสามเกลอพาทัวร์เลย ทีแรกผมเข้าใจว่า พาหนุมานทัวร์คนเดียวซะอีก.
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:20:49 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #1 on:
02 March 2022, 14:07:37 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 32 ฉากที่ 1-หนุมานปะทะผีเสื้อสมุทร
ขณะที่หนุมานกำลังรวบรวมกำลังเหาะข้ามผ่านมหาสมุทรเพื่อไปยังกรุงลงกา ระหว่างทางก็พบกับคลื่นขนาดใหญ่พัดถาโถมเข้าใส่ ต้นเหตุของคลื่นนั้น มาจากยักษีร่างกายใหญ่โตมหึมาโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ยืนขวางหนุมานไว้....
ยักษีดังกล่าวมีนามว่า ผีเสื้อสมุทร (ไม่รู้ว่าเป็นตัวเดียวกับในเรื่องพระอภัยมณีหรือเปล่า?) ซึ่งทศกัณฐ์ได้มอบหมายให้มาเฝ้าเป็นด่านแรกเพื่อสกัดกั้นศัตรูบุกเข้ากรุงลงกา
หนุมานนั้นแม้จะไร้เทียมทานในการสู้บนบก แต่การสู้ในน้ำซึ่งผีเสื้อสมุทรช่ำชอง ถือว่าไม่ได้เปรียบอะไรเลย สู้ไปสู้มา หนุมาน ไม่สามารถหาที่ทรงตัวในน้ำได้ เกือบโดยนางยักษ์ทุบแหลกคามือไปหลายครา
หนุมานเลยต้องคิดอุบาย ไม่สู้กันซึ่งๆหน้า ด้วยการเนรมิตกายให้หดเล็กกว่าปรกติ แล้วฉวยจังหวะนางยักษ์กำลังอ้าปาก เหาะเข้าไปในปากของนาง หลบคมเขี้ยว แล้วรีบพุ่งลงไปยังกระเพาะนางยักษ์ ก่อนจะใช้ตรีเพชรแหวะท้องของนาง จนเครื่องในนางยักษ์ลอยฟ่องในทะเล สิ้นใจตายคาที่
หนุมานอาศัยร่างนางยักษ์เป็นที่ทรงตัว ก่อนจะกระโดดเหาะไปยังกรุงลงกาต่อ
เกร็ดเล็กน้อย....
เท่าที่ผมเคยอ่านๆมา ผีเสื้อสมุทร น่าจะมีที่มาจาก "เสื้อเมือง" ที่เป็นคติความเชื่อคนโบราณว่า แต่ละเมืองจะมีพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เป็นสิ่งเร้นลับเฝ้าเมือง ปกป้องภยันตราย
ในรามเกียรติ์ก็มี ยักษ์เสื้อเมืองของกรุงลงกา เช่นกัน นามว่า นางอากาศตะไล มี 4 หน้า 8 กร ซึ่งหลังจากหนุมานได้ขึ้นบกที่กรุงลงกาแล้ว ก็ได้ประมือกับนาง ก่อนจะเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็น (ถ้าเรื่องสู้กันบนบก หนุมานแทบจะไม่เป็นรองใคร)
นางอากาศตะไล ก็ได้รับการมอบหมายจากทศกัณฐ์เช่นกันให้ดูแลความปลอดภัยให้กับกรุงลงกา
ผมเข้าใจว่า นางผีเสื้อสมุทร ก็เป็นเสื้อเมืองเหมือนกัน แต่ประจำภาคสมุทร แต่นางอากาศตะไล ประจำภาพพื้นดินและอากาศ
คำว่า เสื้อ ในผีเสื้อสมุทร เลยน่าจะมาจากที่มาของคำว่า เสื้อเมือง
แต่ในวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี นางผีเสื้อสมุทรไม่ได้เป็นเสื้อเมืองของเมืองใดๆเลย เพียงแต่(ผมเข้าใจเอง) ว่าลักษณะของผีเสื้อสมุทรในรามเกียรติ์มันตรงตามที่สุนทรภู่นึกคิดพอดี เลยขอยืมเอาลักษณะตัวละครมากันดื้อๆเลย ....
แต่ทั้งสองเรื่อง นางผีเสื้อสมุทร ก็มีชะตากรรมตายอนาถเหมือนกัน นับว่าเป็นตัวละครที่น่าสงสารตัวหนึ่งจริงๆ (เพียงแต่ในเรื่องพระอภัยมณี จะมีเรื่องชู้สาว ชิงรักหักสวาท ประกอบด้วย)
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 33 ฉากที่ 1-หนุมานลองดีนารทฤาษี
หนุมานหลังจากเสร็จภารกิจจัดการนางผีเสื้อสมุทรเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเหาะมุ่งหน้าสู่กรุงลงกา
หนุมานจำได้ตั้งแต่ตอนเหาะขี่หลังนกสัมพาทีแล้วว่า กรุงลงกา มีภูเขาสูงใหญ่ตระหง่านอยู่ ชื่อนิลกาลา หนุมานเมื่อมาถึงลงกา ก็ไม่คิดอะไรมาก กะว่าต้องขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อส่องดูสภาพกรุงลงกาก่อนว่ามีภูมิประเทศเป็นยังไง จะได้กำหนดเส้นทางถูกว่าจะไปตามหานางสีดาได้ที่ไหน....
หนุมานจึงรีบเหาะไปยังภูเขาที่ใกล้ที่สุดโดยพลัน หารู้ไม่ว่าภูเขานั้นไม่ใช่ภูเขานิลกาลา แต่เป็นภูเขาโสฬส อันเป็นที่พำนักพักอาศัยของฤาษีนารท
ฤาษีนารทที่กล่าวถึงในรามเกียรติ์ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นฤาษีนารทตนเดียวกับในรามายนะหรือเปล่านะครับ ... ฤาษีนารถ หรือที่อ่านกันแบบไทยๆว่า นา-รอด ในรามายณะก็คือ ฤาษีเทพ ที่ชอบท่องไปในสวรรค์และพูดจบประโยคใดๆก็จะตบท้ายด้วยคำว่า นาร้ายย นารายณ์.....
ฤาษีนารทเป็นบุตรของพระพรหม เป็นผู้รับเทวโองการมาจากพระพรหม ให้ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อถ่ายทอดโศลกรามายณะให้กับฤาษีวาลมิกิอีกที
กลับมาที่ภาพในห้องนี้....
หนุมานเมื่อเดินมาถึงอาศรมฤาษี เพื่อที่จะสืบข่าว ก็เนรมิตร่างแปลงเป็นลิงน้อย เข้าไปก้มกราบท่านฤาษี ฤาษีนารทก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมีลิงแถวนี้ แล้วไอ้ลิงตัวนี้มันโผล่มาจากไหน
ลิงน้อยบอกกับฤาษีว่า ตัวเองเป็นลิงป่า แต่ด้วยความอยากรู้ว่ากรุงลงกาจะใหญ่โตสักเพียงไร เลยกะว่าจะปีนขึ้นไปยอดเขานิลกาลา ก็เลยเดินผ่านมาทางนี้
ท่านฤาษีเลยกล่าวว่า อ้ายลิงน้อย เดินมาผิดทิศผิดทางแล้ว ทีนี้มันเขาโสฬส ส่วนเขานิลกาลาหน่ะอยู่โน้น ทางตะวันตกเฉียงใต้โน้น ยอดเขานิลกาลาหน่ะอยู่สูงกว่ายอดเขาโสฬสเยอะ มีแต่ที่นั่นแหละที่จะได้เห็นตัวกรุงลงกาแบบ 360 องศา (พร้อมกับทำท่าเหมือนพิธีกรรายการ 360 องศา)
หนุมานก็เริ่มรู้ว่าตัวเองหน้าแหก ทำฟอร์มซะดี นึกว่ามาถึงเขานิลกาลาแล้ว ที่ไหนได้มาผิดที่ซะนี่...
ว่าแล้วก็คิดไปคิดมา อยากจะลองดีกับฤาษีตนนี้สักหน่อย ด้วยเกรงว่า จะเป็นยักษ์ที่แปลงมาเป็นฤาษีหรือเปล่า....เลยขอฤาษีพักที่นี่สักคืนนึง แล้วพรุ่งนี้เช้าจะรีบเดินทางต่อไปยังเขานิลกาลา
ฤาษีก็บอกให้หนุมานไปนอนพักที่ศาลา....
เมื่อมาถึงศาลาหนุมานก็เนรมิตตัวเองให้ตัวใหญ่คับศาลา พร้อมกับร้องตะโกนบอกฤาษีว่า ทำไมศาลาของท่านมันคับแคบแบบนี้ แล้วข้าจะนอนได้ยังไงอ่ะเนี่ย???
ฤาษีรู้ได้โดยพลันทันทีว่า ไอ้ลิงเผือกนี่มันกำลังลองดีกับเราแน่ๆ ว่าแล้วก็เสกให้ศาลาใหญ่กว่าเดิมสองเท่า พร้อมบอกหนุมานว่า คราวนี้คงนอนสบายขึ้นนะ....
พอฤาษีคล้อยลับหลังไป หนุมานก็เนรมิตกายให้ใหญ่คับศาลาอีก แล้วก็ตะโกนร้องบอกฤาษีอีกครั้ง
ฤาษีเห็นดังนั้นก็คิดในใจ ได้ๆๆ ถ้าจะเล่นกับตรู เดี๋ยวจัดให้ ว่าแล้วก็เสกให้ศาลาใหญ่ขึ้นอีกสองเท่า หนุมานก็พองตัวเองให้คับศาลาอีก
ลงอีหรอบนี้ฤาษีก็หมดความอดทน เสกให้ฝนตกลงมา โดยเป็นฝนที่หนาวเน็บสุดขั้ว หนุมานตัวใหญ่คับศาลาเลยโดยฝนเข้าไปเต็มๆ ไอ้ครั้นจะหดตัวเองลงให้เล็กกว่าศาลาเพื่อจะได้ไม่โดนฝนก็กลัวเสียฟอร์ม ก็ต้องทนตากฝนอันหนาวเหน็บไปเรื่อยๆ
พอตากฝนไปได้สักพัก ตัวเปียกชุ่ม ลิงเผือกก็ทนไม่ไหว ร่างกายก็ค่อยๆหดๆๆๆๆด้วยความหนาว จนตัวเหลือเท่าเดิม ฤาษีเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา โธ่ นึกว่าแน่....หนุมานได้แต่นอนคุดคู้หลับผลอยไปด้วยความหนาวเหน็บ
ฤาษีเมื่อเห็นหนุมานหลับผลอย เลยคิดจะเอาคืนบ้างเพื่อสั่งสอนไอ้ลิงจอมซน ฤาษีเอาไม้เท้าวางในสระบัว พร้อมเสกให้กลายเป็นปลิงยักษ์ พร้อมสั่งปลิงให้ซ่อนตัวให้ดี ถ้าตอนเช้ามีลิงมากินน้ำในสระเมื่อไหร่ ให้ปลิงโผล่ออกมาเกาะคางให้แน่น อย่าให้หลุดทีเดียวเชียว
พอรุ่งเช้า หนุมานที่หลับผลอยด้วยความหนาว ก็ตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปสระบัวเพื่อล้างหน้า .... เท่านั้นแหละ ปลิงรีบกระโดดมาเกาะคางหนุมานหมับ!
หนุมานแม้จะเป็นลิงกล้าหาญชาญสมร แต่ก็กลัวปลิงขึ้นสมอง วิ่งร้องยังกะโหน่งชะชะช่าเจอแมลงสาบ เอามือแกะก็แกะไม่ออก ยิ่งใช้กำลังดึงมากเท่าไหร่ ปลิงก็ยืดดดดดดดยาววววววออกไปเรื่อยๆ
หนุมานกลัวจนฉี่เล็ด ไม่รุ้จะทำยังไงเลยรีบวิ่งไปขอให้ฤาษีช่วย
ฤาษีนารทเลยกล่าวว่า ฮ่า ฮ่า อ้ายลิงเผือกไหนว่ามีฤทธิ์เยอะนักไง แล้วทีนี้ทำไมไม่แก้ปัญหาเองหล่ะ ทีเมื่อคืนข้าจะสวดมนต์สักหน่อย เอ็งก็มากวนข้าทั้งคืน ว่าแล้วก็เสกมนต์ให้ปลิงคืนร่างเป็นไม้เท้าตามเดิม
หนุมานที่กลัวจนฉี่ราด น้ำตาซึม รีบกราบขอโทษฤาษีนารถ ท่านฤาษีกล่าวว่า แม้ข้าจะอยู่ในเมืองยักษ์ แต่ก็อย่าเหมารวมว่าข้าจะปฏิบัติตัวชั่วช้าเหมือนพวกยักษ์ ข้ารู้ว่าเจ้าสงสัยว่าข้าจะเป็นยักษ์ปลอมตัวมาหรือเปล่า แต่เจ้าคงรู้แล้วนะว่าเจ้าหน่ะคิดผิด......
ท่านฤาษีจึงบอกเส้นทางไปยังเขานิลกาลาอย่างละเอียด พร้อมกับอวยพรให้หนุมานโชคดีในการเดินทาง และวันหน้าถ้าเจอะปัญหาอะไรจากกรุงลงกามา ก็ให้รีบมาหาข้า เดี๋ยวข้าจะจัดการให้....
หนุมานรับปากพร้อมกราบลาฤาษี มุ่งหน้าสู่เขานิลกาลา
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:22:25 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #2 on:
02 March 2022, 14:10:07 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 34 ฉากที่ 1-ทศกัณฐ์เกี้ยวสีดา
ขณะที่หนุมานกำลังสาละวน หาทางเข้ากรุงลงกา เพื่อตามหานางสีดา....
ทศกัณฐ์ได้กักขังนางสีดาไว้ที่สวนแห่งหนึ่ง ประมาณว่า ไม่กล้าพาเข้าไปในวัง ก็ด้วยความเคารพนบนอบและเกรงอกเกรงใจเมียหลวง นางมณโฑ (แต่ดันมีเมียน้อยเป็นพันๆ) เลยนำตัวมากักบริเวณที่สวนนอกเมืองไปก่อน
ทศกัณฐ์นั้นจิตใจอยากจะ "ซั่ม" นางสีดาใจจะขาด แต่ก็ทำไม่ได้ ในรามายณะเล่าว่า ครั้งนึง ทศกัณฐ์ไปขมขื่นนางอัปสรอยู่นางนึง นางคับแค้นอกคับแค้นใจเป็นอย่างมาก จนสาปทศกัณฐ์ด้วยเสียงดังลั่นก่อนจะกลั้นใจตายว่า ถ้าต่อไปทศกัณฐ์ไปข่มขืนหญิงไหนแบบที่เขาไม่เต็มใจ (ถ้าเต็มใจจะเรียกว่าข่มขืนเหรอเจ๊??) ขอให้ทศกัณฐ์โดนไฟเผาไหม้ตัวเองกลายเป็นจุล...ว่าแล้วนางก็กลั้นใจตาย คร่อก....
ทศกัณฐ์ทีแรกก็นึกว่า เป็นคำสาปเล่นๆ ชิวๆ พอไปเจอสาวงามเข้า สันดานเดิมก็ออกลาย กะจะเข้าไปขมขื่น แต่ในขณะที่กำลังปฏิบัติภารกิจ หญิงสาวที่เจ้ายักษ์รุมโทรมขัดขืน ทศกัณฐ์กลับรู้สึกได้เลยว่าร่างกายมันรุ่มร้อน ถ้าร้อนแบบมีราคะก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันร้อนจนเหมือนร่างกายจะถูกเผาไหม้กลายเป็นเพลิง พอนึกถึงคำสาปขึ้นมาได้เท่านั้นแหละ ทศกัณฐ์เลยต้องหยุดปฏิบัติภารกิจทันที
ทศกัณฐ์ยังไม่เชื่อว่าคำสาปจะเป็นจริง เลยลองของหาสาวๆมาซั่มอีกหลายคน แต่ทุกครั้งก็ต้องลงเอยแบบเดียวกันคือ มันทนความร้อนที่เผาไหม้ร่างกายไม่ไหว จนต้องหยุดปฏิบัติภารกิจทุกทีไป
ทศกัณฐ์จึงเชื่อแล้วว่า สงสัยกรูจะโดนคำสาปเข้าจริงๆซะแล้ว.....ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทศกัณฐ์เลยไม่กล้าไปขมขื่นสาวที่ไหน โดยที่น้องนางไม่เต็มใจอีก
แต่ด้วยความที่มันเป็นยักษ์เจ้าเสน่ห์ พอแปลงร่างเป็นมนุษย์ก็หล่อเหล่ายังกะ ณเดชน์ แถมทรัพย์สินเงินทองก็มีใช้ไม่หมด สาวๆมากมายจึงยอมพลีกายให้มันแบบที่ไม่มีการขัดขืน ทศกัณฐ์จึงไม่ค่อยจะเดือดร้อนกับคำสาปเท่าไหร่....
แต่คราวนี้ไม่เหมือนเคสก่อนๆ....นางสีดาไม่ใช่ว่าจะเหมือนหญิงสาวคนก่อนๆที่มันเคยกะลิ้มกะเหลี่ยมาก่อน สีดารักมั่นในองค์พระรามเพียงคนเดียว ไม่แม้แต่จะคิดเป็นอย่างอื่น
ทศกัณฐ์เที่ยวไล้เที่ยวขื่อมาหานางแทบทุกวัน แต่นางก็ไม่เคยสนใจในตัวทศกัณฐ์เลย
ในรูปทศกัณฐ์อุตส่าห์แปลงร่างจากยี่สิบมือให้เหลือแค่สองมือแล้ว (แต่ดันลืมแปลงหน้าให้เหมือน ณเดชน์) สีดาก็ยังไม่สนใจ ทศกัณฐ์อุตส่าห์ไปเด็ดดอกไม้มาให้นะครับ (เอาดอกไม้มาจีบสาวทั้งที ดันเด็ดมาดอกเดียว มันจะจีบติดมั๊ยเนี่ย อ้ายยักษ์!!)
ส่วนเวอร์ชั่น รามเกียรติ์ ผมจำ บ่ ได้แล้วว่า ทศกัณฐ์โดนคำสาปห้ามไปซั่มใครโดยที่น้องนางไม่ยอมหรือเปล่า ทศกัณฐ์เลยไม่ได้ขืนใจนางสีดาสักกะที (ทั้งๆที่มันอยากจะตายยย)
ถ้ารามเกียรติ์ไม่มีระบุไว้ ผมว่าเอาของรามายณะมาใส่ตรงนี้เลยก็ดูเรื่องราวสมเหตุสมผลดีครับ...
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 34 ฉากที่ 2-ทศกัณฐ์ข่มขู่สีดา
ทศกัณฐ์เกิดอาการเซ็งเป็ดอย่างแรง เพราะแต่ไหนแต่ไรมา หญิงใดๆในสามโลกเป็นอันต้องแพ้เสน่ห์เหนือชายของตนเอง จะมีก็นางสีดานี่แหละที่ทั้งจีบทั้งง้อสารพัดแต่เธอก็ไม่เคยหันมามอง
ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล ใจก็อยากจะจัดการสีดาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แค่คิด กายทศกัณฐ์ ก็แทบจะไหม้เป็นจุลอันเป็นผลจากคำสาปนางอัปสร ทศกัณฐ์จึงได้แต่เก็บความอยากไว้อย่างทรมาน
ในเมื่อวิธีไหนๆก็ใช้ไม่ได้ผล ทศกัณฐ์จึงต้องงัดไม้ตายออกมา ประกาศให้นางสีดารับทราบว่า ถ้าขืนนางยังดื้อดึงไม่ยินยอมพร้อมใจเป็นหนึ่งในฮาเร็มของตน ตนจะจับบรรดานางรับใช้ไพร่บ่าวไปฆ่าทิ้งแบบทรมานสุดๆ
บ่าวไพร่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนฉี่ราด ความซวยอยู่ดีๆก็มาเยือน
หลังจากทศกัณฐ์เดินจากไป บรรดาบ่าวไพร่ก็ร่ำร้องไห้กันต่อหน้านางสีดา เพราะได้ยินกิตติศัพท์มานักต่อนักแล้วว่า ถ้าทศกัณฐ์มันจับมนุษย์คนไหนไปทรมานนี่ มันน่าสยดสยองยิ่งนัก เรียกได้ว่าตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดยังสบายกว่า....
นางสีดาได้ยินดังนั้นก็ตกอกตกจนร้องไห้ออกมา เพราะตัวเองก็ไม่รู้จะทำยังไง ถ้าต้องให้ทรยศนอกใจพระรามหล่ะก็สู้ยอมฆ่าตัวตายดีกว่า
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 34 ฉากที่ 3-หนุมานถวายแหวน
เสียงร้องไห้ระงมไปทั่วกระท่อมน้อยกลางป่า ทั้งนางสีดาและบ่าวไพร่ต่างก็สับสนอลม่านไม่รู้จะเอายังไงต่อไปดี....
เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ทศกัณฐ์โผล่มาจนกลับไป อยู่ในระยะสายตาของหนุมานชาญสมรทั้งหมด (หลังจากใช้เวลาค้นหาสถานที่กักบริเวณนางสีดาอยู่ตั้งนาน)
หนุมานนั้นหมั่นไส้ทศกัณฐ์ตั้งแต่เดินเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะกับนางสีดาแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะโผล่ออกไปซัดกันตัวต่อตัวเลย แต่เนื่องจากนางสีดาอยู่ในบริเวณนั้นด้วยก็เกรงว่าจะโดนลูกหลง แถมทศกัณฐ์ไม่ได้มาตัวคนเดียว เล่นแห่กันมาเป็นร้อย....ทะเล่อทะล่าออกไปสู้เดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสีย หนุมานเลยต้องแอบเฝ้ามองสถานการณ์อยู่ไกลๆ
หลังจากทศกัณฐ์กลับไปแล้ว หนุมานก็เอาแต่คิดว่า เราจะเข้าไปหานางสีดายังไงดี จะไปอธิบายยังไงดี เพราะสีดาตอนนั้นอยู่ในอารมณ์หดหู่สุดๆ
พอตกหัวค่ำ หลังจากบ่าวไพร่ร้องไห้กันจนสลบสไลไปแล้ว นางสีดาก็ปลีกวิเวกเดินออกมาใต้ต้นโศก (แค่ชื่อต้นไม้ก็เศร้าสร้อยแล้วครับ...) พร้อมกับตัดสินใจจะผูกคอตายใต้ต้นโศก เพื่อไม่ให้บรรดาบ่าวไพร่ต้องเดือดร้อนเพราะตัวเอง
หนุมานเห็นดังนั้นก็รีบทะยานออกจากจุดซ่อนตัว ปรากฏกายให้นางสีดาเห็น...นางก็ตกอกตกใจ ที่อยู่ดีๆลิงเผือกโผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้
หนุมานก็เล่าว่าตัวเองเป็นทหารเอกของพระราม พระรามให้ตัวเองออกตามหาว่านางสีดาถูกไอ้ยักษ์ใจชั่วมันจับกุมไว้ที่ไหน ขณะนี้พระรามก็กินไม่ได้นอนไม่หลับคิดถึงนางเช่นเดียวกัน
นางสีดาก็ฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กลัวว่าทศกัณฐ์มันจะเล่นอะไรแปลกๆหรือเปล่า....
หนุมานเห็นดังนั้นเลยต้องงัดไม้ตายออกมา นั่นคือ สไบและแหวน ของนางเองที่พระรามฝากเอามาให้เป็นเครื่องยืนยัน พร้อมกับเล่าเรื่องราวๆต่างตั้งแต่ตอนพระรามเจอกับนางสีดาใหม่ จนกระทั่งอภิเษกสมรส ออกเดินดง และพระรามถูกกวางปลอม มารีศ ล่อออกจากกระท่อม ให้นางสีดาฟัง
นางสีดาได้ยินพร้อมกับเห็นสไบและแหวนของตัวเองดังนั้นแล้วก็ พาลให้ร้องไห้โฮออกมา เพราะตัวเองก็คิดอยู่เสมอว่า ทำไมพระรามถึงไม่ยอมมาช่วยสักที พอได้ยินปุ๊บก็ถึงบางอ้อ และก็ยิ่งพาลให้คิดถึงพระสวามี
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:24:05 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #3 on:
02 March 2022, 14:12:17 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 35 ฉากที่ 1-หนุมานถล่มทัพสหัสกุมาร
หลังจากหนุมานอัพเดทเรื่องราวต่างๆให้สีดาทราบแล้ว ก็ออกปากชวนให้สีดาขี่หลัง แล้วตัวเองจะพาเหาะหนีจากลงกากลับไปหาพระราม
แต่สีดาปฏิเสธ ....
ผมเข้าใจว่า เป็นอารมณ์ผู้หญิงที่อยากให้ชายคนรัก ขี่ม้าขาว มาช่วยเธอมากกว่า การได้เห็นชายคนรักบุกป่าฝ่าดงความยากลำบากมาช่วยหญิงที่ตัวเองรัก มันน่าจะเป็นการพิสูจน์ความรักได้ดีทีเดียว
หนุมานแม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของสีดา แต่ก็ไม่กล้าขัดใจ จึงรีบเซย์กู๊ดบายนางสีดา เพื่อที่จะได้รีบไปอัพเดทข่าวให้พระรามทราบ
สีดาสัญญากับหนุมานว่าจะไม่คิดฆ่าตัวตาย และจะพยายามใช้เสน่ห์หลอกล่อทศกัณฐ์ให้ยืดเวลาในการตัดสินใจออกไปอีก 1 เดือน ฉะนั้นภายใน 1 เดือนนี้ หนุมานต้องรีบไปช่วยพระรามให้ยกทัพมากรุงลงกาเพื่อชิงตัวนางคืนไปให้ได้
หนุมานรับปากพร้อมกับรีบเหาะปรู๊ดกลับไปหาพระราม...
แต่ก่อนจะกลับ อารมณ์หนุมานยังค้างคา มันค้างมาตั้งแต่เห็นทศกัณฐ์ทำท่าเจ๊าะแจ๊ะสีดาแล้ว อยากจะเข้าไปอัดสักดอก แต่ก็ไม่ได้ทำ ว่าแล้วหนุมานก็หันไประบายกับสวนอุทยานของทศกัณฐ์เสียเละตุ้มเปะ
เผอิญว่าสวนอุทยานนี้อยู่ติดกับเขตที่พำนักของสหัสกุมารทั้ง 1000 ตน ซึ่งเป็นบุตรของทศกัณฐ์กับนางสนม
เหล่าสหัสกุมารเห็นลิงเผือกกำลังละเลงเล่นเสียสวนอุทยานเละไม่มีชิ้นดี ก็พากันกรูเข้าไปล้อมเพื่อจะจับลิงมาสั่งสอนซะหน่อย
แต่สหัสกุมารทั้ง 1000 เกิดมาทั้งทีชื่อแต่ละตัวก็ไม่มี บอกยี่ห้อชัดๆว่าเป็นตัวประกอบ ดังนั้นไม่ว่าจะมีกี่ร้อยกี่พันตัวโผล่มา ก็ไม่ครณามือหนุมาน
ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง สหัสกุมารครบทั้ง 1000 ก็ถูกหนุมานทุบเละสภาพไม่ต่างจากสวนอุทยานสักเท่าไหร่
น่าสงสารจริงๆ ตายไปแล้ว คนดูก็ยังไม่รู้ว่าแต่ละตัวมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากะไร...
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 35 ฉากที่ 2-ทศกัณฐ์ทราบข่าวสหัสกุมารตายเรียบ
เรื่องที่หนุมานทุบสหัสกุมาร ลูกๆทศกัณฐ์ทั้ง 1000 ตนตายเรียบ ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงหูทศกัณฐ์
ทศกัณฐ์ได้ยินแล้วก็ทรงพระเวรี่กริ้ว ใครมันกล้ามาแหยมถึงลงกาว่ะเนี่ย? ว่าแล้วก็ขอให้ อินทรชิต บุตรชายคนโต ออกไปดูสถานการณ์สิ.....
อินทรชิต นี่เป็นยักษ์ไม่ธรรมดานะครับ จัดได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของลงกาเลยทีเดียว และชื่อ อินทรชิต ที่แปลว่า พิชิตพระอินทร์ ก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 35 ฉากที่ 3-อินทรชิตยกทัพปราบผู้บุกรุก
อินทรชิตยกทัพออกไปที่สวนอุทยานเพื่อตามจับหนุมานมาลงโทษ
ไหนๆ อินทรชิต ก็โผล่หน้ามาให้เห็นจะๆแล้ว กระผมก็ใคร่ขอย้อนกลับไปเล่าประวัติของ อินทรชิต ให้ฟังกันสักหน่อย
อินทรชิตนั้นชื่อ เดิมว่า รณพักตร์ เป็นลูกชายคนโตสุดสวาทขาดดิ้นของทศกัณฐ์และนางมณโฑ ถ้าจะนับกันแล้ว ก็เป็นพี่ชายแท้ๆของนางสีดา (ถ้ายังจำกันได้นะครับ นางสีดาเกิดมาในครรภ์นางมณโฑ หลังจากนางยักษ์กากนาสูรแปลงร่างเป็นอีกาไปขโมยข้าวเสกของฤาษีกไลโกฏ เอามาให้นางมณโฑกิน)
รณพักตร์นั้นเป็นศิษย์สำนักฤาษีโคบุตร ก็อาจารย์คนเดียวกับของทศกัณฐ์นั่นแหละครับ แต่รณพักตร์ฉลาดปราดเปรื่องกว่าทศกัณฐ์ที่มีสิบหัวซะอีก สรรพวิชา การต่อสู้ต่างๆ รณพักตร์ สามารถเรียนรู้จนช่ำชองได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยก
แค่วัยเด็ก รณพักตร์ ก็มีฝีมือฉกาจเหนือยักษ์ทั่วๆไปแล้ว
และด้วยความที่เกิดเป็นลูกคนเดียว พ่อรักดังดวงใจ อยากจะได้อะไรพ่อคอยตามใจ ตามใจ ตามมมใจ รณพักตร์ก็ดำเนินชีวิตแบบ พ่อกูใหญ่ เบ่งคับพิภพ นอกจากนิสัยขี้โอ่ ขี้เบ่งแล้ว รณพักตร์ยังมีนิสัยโหด วิปริต ผิดมนุษย์มนา (ก็เค้าเป็นยักษ์นี่ครับ) คู่ต่อสู้ของรณพักตร์ ถ้าถูกจับตัวได้ ก็มักจะขอให้รีบๆฆ่าให้ตายดีกว่า จะได้ไม่ต้องทรมาน
พอโตเข้าสู่วัยหนุ่ม รณพักตร์ ก็สำเร็จสุดยอดวิชาบูชาไฟ ... ตามหลักศาสนาฮินดูโบราณ เค้าจะใช้การบูชาไฟในการบวงสรวงพระผู้เป็นเจ้าครับ
และรณพักตร์ก็ใช้เวลาหลายปีในการบำเพ็ญเพียรบูชาไฟ จนกระทั่งเทพตรีมูรติทั้งสามยังรู้สึกร้อนรุ่มจนต้องลงมาปรากฏกายต่อหน้ารณพักตร์
เทพตรีมูรติทั้งสามได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม เทพทั้งสามได้ประทานอาวุธเทพให้กับรณพักตร์ด้วย เพื่อเป็นของกำนัลในการที่อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรบูชาไฟอยู่หลายปี
อาวุธเทพที่ว่าก็คือ....
พระอิศวรประทาน ศรพรหมมาสตร์ (แบบเดียวกับที่พระรามมีเด่ะ...)
พระนารายณ์ประทาน ศรวิษณุปานัม ศรนี้ทำลายจักรเพชรของพระอินทร์ได้สบายๆ
พระพรหมประทาน ศรนาคบาศ ศรที่อินทรชิตใช้บ่อยที่สุด เป็นศรที่แผลงออกไปปุ๊บจะกลายเป็นพญานาคมัดตัวคู่ต่อสู้แบบดึงยังไงก็ไม่ออก
นอกจากนั้น พระพรหม ยังประทานพร ให้อินทรชิตถ้าถูกตัดคอและหัวตกถึงพื้น พิภพจะกลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ (ไม่รู้จะอวยพรแบบนี้ทำไม??)
เมื่ออินทรชิตได้อาวุธเทพทั้งสามมา ผนวกกับบรรลุสุดยอดสรรพวิชากับอาจารย์ฤาษีโคบุตรแล้ว ก็ออกรบร่วมกับทศกัณฐ์ ในสงครามกับพระอินทร์ ซึ่งผลสุดท้าย พระอินทร์ แพ้เละเทะ จนเป็นที่มาของชื่อ อินทรชิต
ฉะนั้น ถ้าจะวัดกันจริงๆ เฉพาะในกรุงลงกา อินทรชิต น่าจะมีฝีมือสูสีกับทศกัณฐ์และกุมภกรรณเลยทีเดียว
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 35 ฉากที่ 4-อินทรชิตจับกุมหนุมาน
เมื่ออินทรชิตเจอะหนุมานกำลังยืนอยู่บนซากศพสหัสกุมารทั้ง 1000 เห็นดังนั้นแล้ว อินทรชิต ก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ที่เห็นไอ้ลิงบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ มาฆ่าน้องๆตัวเองตายเกลี้ยง
อินทรชิตเห็นดังนั้นก็สั่งให้บรรดาลิ่วล้อรีบยกขบวนกันเข้าไปจัดการลิงเผือกโดยพลัน
บรรดาตัวประกอบทั้งหลาย แห่กันเข้าไปเท่าไหร่ ก็โดนซัดกลับออกมาเท่านั้น
อินทรชิตเห็นดังนั้นจึงคว้าศรออกมายิงใส่ แต่ศรที่ใช้ไม่ใช้ศรเทพประทานนะครับ ด้วยความที่อินทรชิตยังดูถูกดูแคลนว่า หนุมานเป็นแค่ลิง ยังไม่คู่ควรกับอาวุธเทพ
แต่อินทรชิตก็คิดผิดเพราะ ศรที่แผลงออกไปเป็นพันๆเล่ม กลับทำอะไรหนุมานไม่ได้เลย
ขณะที่หนุมานพอตั้งหลักได้แล้ว ก็กำลังจะกระโจนใส่รถศึก อินทรชิตก็ตัดสินใจคว้าเอาศรนาคบาศออกมาแผลง ด้วยตระหนักแล้วว่า ไอ้ลิงตัวนี้ มันต้องไม่ใช่ลิงธรรมดาแน่ๆ ครั้นจะใช้ศรพรหมมาสตร์หรือวิษณุปาณัมก็เดี๋ยวจะฆ่ามันตายไปซะก่อน ใช้ศรนาคบาศแปลงเป็นพญานาคไปรัดตัวมันเนี่ยแหละ จะได้เอาเค้นสอบได้ว่า มันเป็นใครมาจากไหน?
หนุมานไม่เคยเห็นศรนาคบาศมาก่อน ก็เลยพลาดโดนพญานาครัดตัว ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
อินทรชิตเห็นดังนั้นจึงบอกให้บรรดาลิ่วล้อไปตามจับตัวหนุมานมา เพื่อนำไปถวายให้เสด็จพ่อทศกัณฐ์....
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:26:17 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #4 on:
02 March 2022, 14:14:25 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 36 ฉากที่ 1-หนุมานถูกตัดสินประหาร
อินทรชิตจับตัวหนุมานไปให้ทศกัณฐ์ตัดสินคดีความ
ทศกัณฐ์อดแปลกใจไม่ได้ว่า ไอ้ลิงเผือกตัวนี้ มันมีดีอะไรถึงได้ฆ่าสหัสกุมารทั้ง 1000 ตายเกลี้ยง ถามที่มาที่ไป มันก็ไม่ยอมบอกว่ามาจากไหน ทศกัณฐ์เห็นแล้วว่า ไอ้ลิงนี่ มันแสบเกินจะไว้ชีวิตได้ ก็เลยสั้งให้เพชฌฆาตหาเชือกเหนียวๆมัดมันไว้หลายๆชั้น แล้วเอาตัวไปประหารเสียให้พ้นๆลูกตา
หนุมานแม้จะถูกเชือกเหนียวๆมัด แต่ก็ใช้เวลาช่วงที่ถูกนำไปลานประหารแกะเชือกออกได้โดยง่าย เพชฌฆาตเห็นดังนั้นจึงรีบเอาสารพัดอาวุธออกมาจัดการหนุมาน แต่อาวุธทั่วๆไปจะไปทำอันตรายอะไรกับทหารเอกพระรามได้?.....เพชณฆาตก็เลยถูกหนุมานจัดการเสียตายเกลี้ยง
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 36 ฉากที่ 2-หนุมานกำราบช้างยักษ์
หลังจากหนุมานจัดการเพชฌฆาตจนตายเกลื่อนไปแล้ว ทศกัณฐ์พอรู้ข่าว ก็ออกลูกหงุดหงิด
อะไรกัน แค่ลิงตัวเดียว ทำไมฆ่ามันไม่ตายหรือไงกันว่ะ???
ว่าแล้วก็สั่งให้ควาญช้างไปลากเอาช้างยักษ์ที่กำลังตกมันอยู่ ไสเข้าไปขวิดหนุมานให้มันตายคาที่ไปเลย....
ช้างยักษ์กำลังตกมันได้ที่ วิ่งกระโจนเข้าใส่หนุมานอย่างสุดกำลัง ยังดีที่หนุมานหลบทัน ไม่งั้นงาช้างได้ทะลุร่างเป็นรูโบ๋แน่
การจะกำราบช้างยักษ์ให้ได้ ต้องกำราบไอ้คนบังคับช้างก่อน ว่าแล้วหนุมานก็กระโดดไปบนคอช้าง ทุบหัวควาญช้างซะเละ ก่อนจะควบคุมช้างซะเอง
หลังจากบังคับช้างให้มันวิ่งจนเหนื่อย หนุมานก็ได้ทีหักคอช้างให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอด....
หนุมานมองไปโดยรอบ ดูผลงานที่ตัวเองก่อวีรเวรไว้ แล้วก็หัวเราะฮึๆๆ ก่อนจะกลับไปหาพระราม หาอะไรทำสนุกๆดีกว่า ทศกัณฐ์มันอยากให้เราตาย เราต้องแกล้งให้มันอกแตกตายมั้งดีกว่า
หนุมานคิดแผนในใจได้แล้วแผนนึง....พร้อมกับบอกตัวเองว่า
เผาไปเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง....
ตอนหน้าหนุมานจะได้เผาลงกาให้วอดวายแล้ว..
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 36 ฉากที่ 3-ทศกัณฐ์เผาหนุมาน
หลังจากหนุมานก่อวีรเวรอาละวาดไปทั่วลงกา ทีแรกก็นึกจะเหาะกลับไปในทันที แต่คิดไปคิดมา เล่นอะไรแผลงๆที่ลงกาแกล้งทศกัณฐ์มันหน่อยคงจะดี...
ว่าแล้วก็เดินอาดๆเข้าไปในวังของทศกัณฐ์ เหล่าลิ่วล้อเห็นดังนั้นจึงรีบแจ้งทศกัณฐ์ให้เตรียมรับมือ ทศกัณฐ์เลยเรียกทั้งอินทรชิต กุมภกรรณ์ และพิเภก เข้ามาในวัง...
ทศกัณฐ์กำลังอยู่ในโหมดกริ้วสุดๆ เพราะไอ้ลิงบ้านี่อาละวาดเสียจนกรุงลงกาวุ่นวายไปหมด แถมฆ่าด้วยอาวุธยังไงมันก็ไม่ตาย เลยกะจะตบสั่งสอนไอ้ลิงเผือกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่พิเภกก็เตือนสติไว้ก่อนว่า ลิงตัวนี้สงสัยมันจะไม่ธรรมดา ยังไงอย่าไปตอแยกับมันมาก
ตอนนั้นทศกัณฐ์ไม่อยู่ในรมณ์อยากจะปรองดองอะไรแล้ว พอเจอะหน้าหนุมานเท่านั้นก็อยากจะกระโดดเข้าไปขย้ำ แต่หนุมานก็พูดเบรกไว้ก่อนว่า...
ช้าก่อน เจ้ายักษ์ ลำพังอาวุธทั่วไปมันทำอะไรข้าไม่ได้หร๊อก อย่างเอ็งจะมาทำอะไรข้าได้ ถ้าจะเล่นข้าให้ตายหน่ะ มีแต่ใช้ไฟเผาข้าเท่านั้นแหละ
ทศกัณฐ์ได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจที่อยู่ดีๆหนุมานจะบอกจุดอ่อนให้ฟังทำไม ก็ตอนนั้นอารมณ์โกรธมันพุ่งไปแล้ว พอได้ยินว่าสามารถฆ่าไอ้ลิงเผือกให้ตายได้ด้วยไฟ จึงออกอุบายกับอินทรชิต และบรรดาลิ่วล้อให้ช่วยกันล่อจับเอาหนุมานมาพันด้วยผ้าและน้ำมัน
หนุมานก็รู้แกวอยู่แล้ว เลยทำเนียน ขัดขืนพอประมาณและก็ยอมให้จับแต่โดยดี
ทศกัณฐ์เห็นหนุมานโดนจับโดยละม่อม มีผ้าชุบน้ำมันพันรอบกาย ก็คำรามหัวเราะออกมาอย่างดัง ปัดติโธ่ ไอ้ลิงเผือก ไหนว่าแน่ แค่นี้ก็โดนจับ ถึงคราวข้าปิ้งลิงเผือกกินแล้ว
ว่าแล้วก็เสกหอกแก้วให้เกิดประกายไฟ แล้วจุดเข้าที่ตัวหนุมาน จนไฟลุกคลอกตัวหนุมานแดงฉาน
หนุมานเป็นลิงดราม่า พอไฟเริ่มคลอก ก็ทำฟอร์มว่าทุกข์ทนทรมานอย่างหนัก สะดีดสะดิ้ง วิ่งหนีออกจากท้องพระโรง ทศกัณฐ์เห็นไฟลุกท่วมตัวขนาดนั้น คงวิ่งหนีไปได้ไม่ไกล
ที่ไหนได้ หนุมาน นั้นทนไฟได้ มันทำฟอร์มร้องโหยหวนทรมานไปอย่างนั้นแหละ แต่ตัวเองวิ่งว่อนไปทั่ววังทศกัณฐ์ ไฟจากตัวหนุมานก็ลามไปติดห้องนู้นห้องนี้ จนไฟไหม้ไปทั่วทั้งพระราชวัง เท่านั้นไม่พอ หนุมานยังวิ่งเอาไฟไปลามติดบ้านยักษ์ด้านนอก จนกรุงลงกาแดงเถือกไปด้วยไฟไหม้
ทศกัณฐ์มองเห็นกรุงลงกาตกอยู่ในเปลวเพลิง ก็เพิ่งจะคิดได้ในใจว่า ไอ้ลิงบัดซบ เล่นกรูอีกแล้วสิเนี่ย!!???
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 36 ฉากที่ 4-หนุมานเผาลงกา
ด้วยวีรเวรของหนุมาน หลังจากพาตัวเองวิ่งวนไปทั่วลงกา ตอนนี้เมืองลงกาก็โดนเผาไปสมใจอยาก ทั้งเซนทรัลเวิรลด์ เอ๊ย! พระราชวัง ปราสาท ราชฐาน วอดวายบรรลัยสิ้น
ทศกัณฐ์เห็นดังนั้น ก็รีบป่าวประกาศบอกบรรดาภรรเมียและนางสนม ญาติสนิทมิตรสหาย ให้รีบอพยพออกจากลงกาโดยด่วนครับพี่น้อง!!!
ตัวเองก็กระเตงเมียหลวงนางมณโฑและเมียรองนางกาลอัคคีออกจากวัง
ขบวนผู้อพยพทั้งหมดมุ่งหน้าสู่เขาสัตนาคีรี เพื่อไปซุกหัวนอนก่อนคืนนึง แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยตามมาจัดการไอ้ลิงบ้านี่ใหม่....
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:28:23 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #5 on:
02 March 2022, 14:17:21 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 37 ฉากที่ 1-ทศกัณฐ์อพยพหนีเพลิง
ขบวนอพยพหนีภัยจากกรุงลงกาไปเขาสัตนาคีรีของทศกัณฐ์
ขนาดจะหนียังต้องขึ้นราชรถ??!??
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 37 ฉากที่ 2-หนุมานกับน้ำบ่อน้อย
หลังจากหนุมานเผาลงกาวอดวายแล้ว ก็ได้เวลาหนีกลับสักที มิฉะนั้นถ้าพวกยักษ์มันตั้งตัวได้แล้ว อยู่ตัวคนเดียวในลงกา เดี๋ยวจะโดนพวกมันเอาคืนไม่ใช่น้อย
ว่าแล้วก็กระโดดลงแม่น้ำ เพื่อดับไฟที่ไหม้อยู่บนตัว ปรากฏว่าดับไฟได้หมดทุกส่วนยกเว้นที่หาง ดับยังไงก็ดับไม่ได้
หนุมานจนปัญญา....จึงนึกขึ้นมาได้ว่า พระฤาษีนารถเคยบอกไว้ ถ้ามีปัญหาอะไรคิดไม่ออกบอกไม่ถูก ให้รีบกลับมา ท่านฤาษีจะช่วยแก้ปัญหาให้ ว่าแล้วหนุมานก็รีบเหาะไปหาท่านฤาษี
ฤาษีนารถเห็นหนุมานมีไฟไหม้หางอยู่ก็อดหัวเราะมิได้ 5555 ไอ้ลิงน้อย เสียทีเป็นทหารเอกพระนารายณ์ ไฟแค่นี้ก็ดันดับไม่ได้ น้ำบ่อน้อยหน่ะจะมีไว้ทำพรื้อ? เอามาดับไฟเสียสิ....
ว่าแล้วหนุมานก็เอาปลายหางมาอมไว้ในปาก พร้อมกับพ่นน้ำลาย ถุยๆๆๆๆๆ ใส่จนไฟดับ (แต่หางคงบรมเหม็นเลย)
หนุมานเห็นดังนั้นก็สุดแสนดีใจ กราบขอบคุณท่านฤาษีพร้อมกราบลา เพราะต้องรีบกลับไปแจ้งข่าวให้พระรามทราบ
ฤาษีก็ให้พรแก่หนุมาน.....แล้วล่ำลาจากกัน...
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:29:38 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #6 on:
02 March 2022, 14:19:03 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 38 ฉากที่ 1-ทศกัณฐ์ฟื้นฟูกรุงลงกา
ทศกัณฐ์ให้ลิ่วล้อเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ไปตาม ให้พระอินทร์ ลงมาซ่อมแซมกรุงลงกาให้หน่อย
พระอินทร์ นั้นเป็นเทพผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Project management ครับ โดยมีพระวิศวกรรมหรือวิษณุกรรม เป็นนายช่างวิศวกรใหญ่คอยดูแลงานก่อสร้าง ฉะนั้นโปรเจ็คท์ใหญ่น้อยบนสวรรค์ พระอินทร์และพระวิศวกรรมรับเหมาผูกขาดหมด (ดีที่บนสวรรค์ไม่มีใครไปฟ้องเรื่องการฮั้วประมูล)
ทศกัณฐ์เห็นว่า กรุงลงกา มันยับเยินเกินกว่าจะให้พวกยักษ์ซ่อมกันเอง เลยต้องไปตามให้พระอินทร์ลงมาซ่อมให้หน่อย...
พระอินทร์ด้วยความที่กริ่งเกรงและกลัวทศกัณฐ์ เลยต้องยอมรับปากด้วยความไม่ค่อยจะเต็มใจ พร้อมกับส่งเทวดาลงไป survey หน้างานประเมินความเสียหายและราคาการก่อสร้าง
พอเทวดานำราคาประเมินไปแจ้งให้ทศกัณฐ์ทราบ พี่ยักษ์ก็ถึงกับแสดงสีหน้ากริ้ว (แบบในภาพ) ... งานนี้ซ่อมฟรีว้อย ยักษ์ระดับอภิบรมโคตรยักษ์แบบข้านี่ต้องเสียเงินค่าซ่อมด้วยเหรอ ซ่อมฟรีไม่พอ ต้องซ่อมห้างด้วยนะเฟร้ยยยย ขืนยอกย้อนโยเยอีก เดี๋ยวพ่อจับกินทั้งสวรรค์เลย!!!
เทวดาผู้รับหน้าที่เป็นเซอร์เวเยอร์เลยต้องก้มหน้ารับคำไปแจ้งให้พระอินทร์ทราบ ....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 38 ฉากที่ 2-พระอินทร์ซ่อมแซมลงกา
พระอินทร์ผู้น่าสงสารพอโดนบรมยักษ์ข่มขู่ ก็จำใจต้องพาเทวดาผู้รับเหมาลงมาเนรมิตลงกาให้เหมือนใหม่ดั่งเดิม โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่ราตรี!!
จากภาพจะเห็นพระอินทร์กำลังทำหน้าที่เป็น Project manager ควบคุมงานอยู่ทางด้านซ้ายล่างของภาพครับ
อนึ่ง พระอินทร์ นี่ถือเป็นเทพเจ้าที่ค่อนข้างจะตกอับพอสมควร .... สมัยยุคพระเวท ช่วงที่เผ่าอารยันได้อพยพเข้ามาดินแดนอินเดียตอนเหนือใหม่ๆ และมีการรบรากับชนเผ่าดั้งเดิมคือพวกดราวิเดียน (จนในท้ายที่สุดพวกดราวิเดียนแพ้และต้องกลายเป็นพวกทาสรับใช้พวกอารยัน ซึ่งระบบวรรณะก็เริ่มต้นมาจากจุดนี้) เทพเจ้าของพวกอารยัน หรือช่วงก่อนการเกิดศาสนาฮินดูโบราณ มีอยู่ไม่กี่องค์ และพระอินทร์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพสูงสุด (สมัยโบร่ำโบราณ ระบบความคิดเรื่องเทพเจ้ายังไม่ได้สลับซับซ้อนมาก เพราะการนับถือเทพเจ้ามักจะไปอิงกับปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆมากกว่า อาทิ พระอาทิตย์ พระพิรุณ ฯลฯ พวกเทพที่ไม่ได้ทำงานทำการจะยังไม่ได้มีการคิดค้นขึ้น...พอต่อมาสังคมมนุษย์เริ่มลงหลักปักฐานได้ มีความเป็นอยู่อย่างสงบมากขึ้น ก็มีเวลาให้พวกนักบวชประดิดประดอยเทพองค์ใหม่ๆมากขึ้นๆๆๆๆๆ จนในท้ายที่สุดศาสนาฮินดูมีเทพเป็นพันๆองค์ แต่ก็ยังน้อยกว่าเทพทางฝั่งอียิปต์โบราณที่มีร่วมหมื่นองค์!!!)
หลังจากศาสนาฮินดูได้มีการนับถือกันมากขึ้น ผ่านกาลเวลามาสักระยะ สถานะของพระอินทร์ก็เริ่มถูกลดบทบาทลงเหลือเท่าๆกับเทพองค์อื่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกาลต่อมาที่ศาสนาฮินดูเริ่มมีการนับถือ องค์ตรีมูรติ อันประกอบด้วย พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม พระอินทร์ได้ถูกลดชั้นให้อยู่ลำดับล่างกว่าองค์เทพทั้งสามอีก เหลือเป็นเพียงแค่จ้าวแห่งสวรรค์
หลังจากการมาของมหากาพย์ มหาภารตะ และ รามายณะ สถานะของพระอินทร์เริ่มถูกลดลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับพฤติกรรมอันเหลวแหลกของพระอินทร์ก็ถูกเติมเสริมแต่งเข้าไปมากขึ้นๆ ทั้งเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน ทั้งไม่อยากเห็นใครได้ดีไปกว่าตนเอง ทั้งอาฆาตเคียดแค้น เจ้ายศเจ้าอย่าง...มีการแต่งเติมตามแต่ละนักบวชพรามหณ์สมัยก่อนจะใส่เข้าไป
สถานะพระอินทร์ก็ยิ่งต่ำลงและมัวหมองเรื่อยๆ จนสุดท้ายมีสถานะเท่าๆกับบรรดาเทพที่เฝ้าสวรรค์ทั้ง 4 ทิศ
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรครับ.....เพราะตำนานของเทพในแต่ละลัทธิความเชื่อก็มาแนวๆนี้เหมือนกันหมด พฤติกรรมของเทพที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ มันก็คือพฤติกรรมของมนุษย์ที่สะท้อนลงไปตามอารมณ์คนรจนาขึ้นมานั่นแหละ
เทพเจ้าจึงเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนเงาของมนุษย์ .....
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:30:39 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #7 on:
02 March 2022, 14:20:48 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 39 ฉากที่ 1-พระรามลงสรง
หลังจากหนุมานป่วนกรุงลงกาเสียจนเละเทะ ก็รีบอำลาจากฤาษีนารท เหาะกลับมาหาพรรคพวกที่รออยู่ที่เขาเหมติรัน เล่าเรื่องให้สุครีพและองคตฟังเรื่องที่ได้เจอะนางสีดาแล้ว
ทั้งหมดจึงขอตัวลานกสัมพาที เพื่อรีบกลับไปแจ้งข่าวให้พระรามทราบ
ทัพวานรจึงเร่งรุดเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับขีดขิน
เมื่อมาถึงขีดขิน ทั้งหนุมานและสุครีพรีบร้อนจะไปทูลให้พระรามทราบเกี่ยวกับข่าวนางสีดา โดยไม่ได้เช็คก่อนว่าพระรามกำลังทำอะไรอยู่ ปรากฏว่าตอนนั้นพระรามและพระลักษณ์กำลังสรงน้ำ
พระรามได้ทราบข่าวของสีดาว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ปิติดีใจเป็นอย่างยิ่ง และเคยสัญญากับหนุมานว่าถ้าทำงานสำเร็จจะประทานของสิ่งหนึ่งให้ทันที แต่ลิงทั้งสองดันมารายงานข่าวตอนสรงน้ำ มองไปรอบกายก็ไม่เห็นของมีค่าอะไรจะประทานให้
พระรามก็เลยตัดสินใจประทาน ผ้าสรงน้ำ ให้หนุมานเป็นของรางวัล
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 39 ฉากที่ 2-ประชุมแผนบุกลงกา
หลังจากเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องเสร็จพระรามก็ตรัสเรียกบรรดาทหารเอกเข้าไปสนทนาหารือกันว่าจะเอายังไงกันต่อไป...
ก่อนหน้าจะลงรายละเอียดการศึก พระรามได้ให้หนุมานเล่าสภาพลงกาว่าเป็นยังไง หนุมานก็เล่าอย่างละเอียดและปิดท้ายว่า ตอนนี้กรุงลงกาคงไหม้เป็นขี้เถ้าไปแล้ว เพราะตัวเองเป็นคนเผาซะจนเละเทะ
พระรามได้ยินดังนั้นก็ สะดุ้ง พร้อมเอ็ดหนุมานว่า เฮ้ย ให้ไปทำแค่ 10 นี่มันเล่นทะลึ่งไปทำตั้ง 110 ถ้าทศกัณฐ์มันโกรธจนหน้ามืดขึ้นมา แล้วพาลไปลงกับสีดา เจ้าจะรับผิดชอบยังไง
หนุมานได้ยินดังนั้นก็หน้าตาจ๋อยขึ้นมาทันที เพราะตัวเองก็เล่นซะจนมันส์มือไปหน่อย จนเสียงานเสียการ แต่ก็พอจะอ้อมแอ้มตรัสบอกพระรามไปว่า ทศกัณฐ์มันคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นทหารเอกของพระราม และคงไม่รุ้หรอกว่าตัวเองมีconnection กับนางสีดายังไง เพราะหนุมานแจ้งต่อทศกัณฐ์ไปว่าเป็นแค่ลิงป่า และตอนลอบไปพบนางสีดา ก็แอบเข้าไปพบตัวเดียวไม่มีใครเห็น
พระรามได้ยินดังนั้นก็พอจะคลายใจ แต่ก็คาดโทษหนุมานไว้ว่าทีหน้าทีหลัง อย่าทะลึ่งทำอะไรเกินคำสั่งอีก หนุมานก็รับฟังแต่โดยดี
หลังจากนั้นที่ประชุมอันประกอบไปด้วย พระราม พระลักษณ์ สุครีพ องคต ชมพูพาน และหนุมาน ก็หารือกันต่อเกี่ยวกับการจัดทัพ เคลื่อนทัพ และวิธีบุกลงกา
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 39 ฉากที่ 3-พระรามเคลื่อนทัพ
แอ่น แอ๊น ทัพพระรามเคลื่อนจากกรุงลงกา ไปตั้งทัพกันที่เขาเหมติรัน แม้ว่าจะเคลื่อนทัพวานรกันยกใหญ่แล้ว แต่ทั้งหมดก็ยังคิดไม่ออกเลยว่า จะพาทัพวานรทั้งหมดข้ามมหาสมุทรไปกรุงลงกายังไง แต่กระนั้น ยกไปดูสถานที่จริงก่อน ค่อยว่ากัน...
ในภาพนี้บรรดาวานรทหารเอกของพระรามโชว์ตัวกันครบครัน รวมทั้ง 18 มงกุฏ แต่ผมคงชี้ชัดไม่ได้ทุกตัวแน่ๆว่าไผเป็นไผ
ลองเดามั่วๆดู ไล่จากขวาไปซ้าย
1.วิสันตราวี (18 มงกุฏ)
2.ไวยบุตร (18 มงกุฎ)
3. องคต
4. นิลพัท (อยู่ระหว่างพระลักษณ์และพระราม)
5. ชมพูพาน
6. นิลพานร (18 มงกุฎ)
7. นิลขัน (18 มงกุฏ)
8. โกมุท (18 มงกุฏ-->กายสีสว่าง ปากหุบ)
9. นิลเอก (18 มงกุฏ-->กายสีทองแดงเข้มอยู่ด้านล่าง ปากหุบ)
10. นิลปาสัน (18 มงกุฏ --> ตัวนี้เดายากเพราะไม่เห็นว่าปากอ้าหรือปากหุบ ผมถ่ายมาไม่ดีเอง)
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:32:02 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 31 - 40]
«
Reply #8 on:
02 March 2022, 14:22:49 »
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 40 ฉากที่ 1-ทศกัณฐ์ฝันร้าย
ภาพนี้ที่วัดพระแก้วเล็กมากครับ ถ้าไม่สังเกตนี่ไม่เห็นแหงมๆ ผมต้องถ่ายภาพใหญ่ๆมาแล้วมา crop ตัดเฉพาะส่วน....
ขณะที่พระรามกำลังยกทัพจากขีดขิน มาเขาเหมติรัน เพื่อตั้งท่าจะบุกลงกา
ฝั่งทศกัณฐ์หลังจากขู่เข็ญให้พระอินทร์ลงมาบูรณะเมืองให้ใหม่หลังจากถูกหนุมานเผาจนวายวอดมาแล้ว วันนึงก็นอนกอดเมียนางมณโฑหลับผลอย
หลับไปหลับมาก็ฝันแปลกๆ โดยฝันว่า มีพญาแร้งสีขาวบินมาจากทิศตะวันออกข้ามแม่น้ำมาเจอะกับพญาแร้งอีกตัวแต่ตัวนี้สีดำ แร้งทั้งสองเจอะกันก็เขม่นกัน เข้าจิกตีกัน
ตัวสีดำสู้ไม่ได้ ก็ร่วงผลอยลงมาตาย กลายร่างเป็นทศกัณฐ์ยืนถือกะลาที่มีน้ำมันพร้อมเชื้อไส้อยู่ในมือ (ฝันละเอียดมาก)
ทศกัณฐ์ยืนถือกะลาน้ำมันอยู่พักนึง (ในฝัน) ก็มีหญิงนางนึง หน้าตาดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนดีเท่าไหร่ (ทำยังกะหน้าทศกัณฐ์จะเป็นคนดี) วิ่งเข้ามาหา พร้อมกับจุดไม้ขีด จุดไฟติดเชื้อไส้ในกะลา ไฟก็ลุกโชติช่วง ลุกไม่ลุกเปล่า ไฟดันลุกติดมือทศกัณฐ์ จนลามไปทั่วร่าง
นี่มันฝันร้ายชัด......ทศกัณฐ์ถึงกับสะดุ้งตื่น พร้อมให้เด็กๆไปตามพิเภกผู้หยั่งรู้มาทำนายทายทักสิว่า ไอ้ฝันแบบนี้มันหมายถึงอะไร?
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 40 ฉากที่ 2-พิเภกทำนายฝัน
พิเภกได้สดับตรับฟังทศกัณฐ์เล่าสิ่งที่เจอในฝันก็ครุ่นคิดนิดนึง พร้อมกับ ทำนายทายทักออกไปว่า...
พญาแร้งดำคือทศกัณฐ์ พญาแร้งขาวคือพระราม ฝันบอกเป็นนัยแล้วว่าท่านจะต้องรบแพ้พระราม โดยสาเหตุการรบก็ทำนายได้จากฝันตอนหลัง กะลาที่เห็นเปรียบได้กับกรุงลงกา ส่วนเชื้อไฟคือตัวทศกัณฐ์ น้ำมันยางในกะลาเปรียบได้กับวงศาคณาญาติของเหล่ายักษ์ในลงกา หญิงหน้าตาเป็นคนพาลคือ นางสำมนักขา ส่วนไฟที่หญิงพาลนำมาจุด ก็คือ นางสีดา
สรุปเป็นใจความอย่างย่อก็คือ นางสำมนักขา นำข่าวนางสีดา ซึ่งก็คือไฟมาแจ้งให้ท่านทราบ เปรียบได้กับการนำไฟมาจุดติดเชื้อไส้ และไฟนั้นก็ลุกเพราะวงศาคณาญาติของท่านแต่ละตนส่งเสริมกันจังให้รบกับพระราม (มีแค่พิเภกตนเดียวที่ไม่อยากให้เกิดสงคราม) ส่งเสริมกันเข้า ไฟก็ลุกแรงขึ้น จนสุดท้ายก็ไหม้ไปทั้งกะลา นั่นคือ กรุงลงกาจะวอดวาย
ฝันนี้มันเป็นฝันร้าย เคราะห์กำลังจะมาเยือนลงกา...
พิเภกได้แนะนำให้ ทศกัณฐ์เลิกล้มความคิดที่จะรบกับพระราม ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี และคืนนางสีดาให้พระรามไป
ทศกัณฐ์ได้ยินดังนั้นก็หงุดหงิด ตนเป็นยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ในสามโลก จะอยู่ดีๆมายอมแพ้มนุษย์และลิง คืนตัวประกันไปง่ายๆ แบบนี้ แล้วจะไปปกครองปฐพีได้ยังไง ทศกัณฐ์ก็เลยด่าพิเภกไปฉอดใหญ่
ไม่ใช่แค่ทศกัณฐ์ อินทรชิตลูกชายสุดเลิฟ ก็ปีนเกลียวเอากะเค้าด้วย ด่าสารพัดคำด่าใส่พิเภก ซึ่งโดยศักดิ์แล้วเป็นอาเจ็ก ว่าเป็นพวกขี้ขลาดตาเขลา เสียทีที่เกิดเป็นยักษ์ ดันไปกลัวมนุษย์ตัวเท่ามด
จะมีก็เพียงกุมภกรรณเท่านั้นที่พอจะคล้อยตามพิเภก พยายามเตือนสติพี่ชายให้ใจเย็นๆ อย่าไปก่อสงครามพร่ำเพรื่อ เพราะพระรามจัดการสอยบรรดา ทูษณ์ ขร ตรีเศียรมาแล้ว ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดาๆ แต่กุมภกรรณก็ไม่กล้าจะค้านเต็มตัว เพราะรู้ว่าอาเฮียพี่ชายตัวเอง โคตรจะรั้น บทท่าจะรบ ก็ต้องรบแน่ๆ
ยิ่งพิเภกเบรกทศกัณฐ์มากเท่าไหร่ ทศกัณฐ์ก็ยิ่งจะโกรธน้องตัวเองมากเท่านั้น จนท้ายที่สุดไปหยิบเอาพระขรรค์มากะจะฟันพิเภกให้ตายคาที่ซะให้รู้แล้วรู้รอด ดีที่กุมภกรรณช่วยห้ามไว้ก่อน
ทศกัณฐ์จึงประกาศก้องไล่พิเภกออกไปจากลงกาซะ อยู่ไปก็จะมีแต่ทำให้กองทัพเสียขวัญและกำลังใจ แต่ไปหน่ะให้ไปคนเดียว ลูกเมียให้อยู่ในลงกา
(ในรามายณะ พิเภก พาคนสนิทไปด้วยอีก 4 ตน)
และนี่เป็นจุดเปลี่ยนของสงครามครับ...ถ้ากองทัพขาดเสนาธิการไป แล้วใครจะเป็นมันสมองให้กองทัพ? เหมือนเล่าปี่ขาดขงเบ้งไม่ได้....
..........
ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 40 ฉากที่ 3-พิเภกถูกขับจากลงกา
หลังจากโดนเฉดหัวให้เก็บข้าวเก็บของไปให้พ้นๆลงกา
พิเภกก็เข้ามาร่ำลา ลูก (นางเบญจกาย-->จริงๆต้องใช้ นส. เพราะยังไม่ได้แต่งงาน) และเมีย (นางตรีชฏา) เพราะทศกัณฐ์ไล่พิเภกคนเดียว
ในภาพ ผมไม่รู้จริงๆว่าคนซ้ายกับคนขวา ใครคือแม่ใครคือลูก
และที่สำคัญยักษ์อีกตนที่นั่งตาละห้อยด้านหน้า เป็นใครมาจากไหน?
..........
«
Last Edit: 07 April 2024, 21:33:25 by ppsan
»
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.11 seconds with 20 queries.
Loading...