Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 08:00:19

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  ภาพประทับใจ  |  ผนังเก่าเล่าเรื่อง (Moderator: ผนังเก่าเล่าเรื่อง)  |  รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 11 - 20]
0 Members and 2 Guests are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 11 - 20]  (Read 681 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« on: 02 March 2022, 13:14:02 »

รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว  by julapong [ห้องที่ 11 - 20]


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 11 ฉากที่ 1-ทรพีท้าพระอิศวร




ทรพีหลังจากขวิดพ่อตัวเองขึ้นสวรรค์เสร็จ ก็ออกอาการห้าวเป้ง ท้าชนทุกสถาบัน ไม่ว่าเทวดาหน้าไหนควายทรพีก็ไม่มีกลัว จนเลยเถิดไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ ไปท้าเหยงๆ จะรบกับพระอิศวรจ้าวแห่งไตรภพ

แต่พระอิศวรก็ทรงตรัสว่า ไอ้ควายทรพี ฆ่าพ่อตัวเองแล้วยังไม่สำนึก ยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอีก ไปโน้นเลย ไปท้ารบกับพาลีเจ้าเมืองขีดขินโน้น ให้รบชนะพาลีก่อนค่อยมาเจอกับข้า…..

... แต่กระนั้น พระอิศวร ก็ยังไม่วายสาปทรพีให้รบแพ้พาลี (กำหนดผลการแข่งขันได้เองล่วงหน้า ดีจริงๆ) โดนพาลีฆ่าตาย ก่อนจะไปเกิดใหม่กลายเป็น ยักษ์ชื่อว่า มังกรกัณฐ์ ลูกพญาขร ยักษ์เจ้าเมืองโรมคัล ซึ่งในภายหลัง มังกรกัณฐ์ ก็มาช่วยอินทรชิตลูกทศกัณฐ์รบกับพระราม ก่อนจะโดนศรพระรามยิงตาย สรุปคือ อนาคต ทรพี โดนพระอิศวรสาปให้ตายด้วยพาลีดอกแรก พอไปเกิดใหม่ก็โดนพระรามฆ่าตายอีกดอกนึง…..

อนาคตรุ่งริ่งของแท้….ผลกรรมของการฆ่าพ่อตัวเองแท้ๆ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 12 ฉากที่ 1-ทรพีบุกขีดขิน ท้ารบพาลี




หลังจากที่ ทรพี ทะลึ่งไปท้ารบกับพระอิศวร และ พระอิศวร บอกให้รบกับพาลีเจ้าเมืองขีดขินก่อนค่อยมาเจอกับพระองค์

ทรพีก็รีบวิ่งปรู๊ดไปยังเมืองขีดขินที่ พาลี เป็นเจ้าเมืองอยู่ เมืองขีดขินเป็นเมืองแห่งเหล่าวานร โดยมีสองพี่น้อง พาลี และ สุครีพ ปกครองมาช้านาน

พาลีนั้นเป็นพญาลิงที่มีฤทธิ์มาก ในเรื่องรามเกียรติ์น่าจะเป็นรองแค่ หนุมาน เท่านั้นครับ เพราะ พาลี ได้รับพรจากพระอิศวร ในคราวที่ไปช่วยทำให้เขาพระสุเมรุตั้งตรงร่วมกับสุครีพ ว่า ใครก็ตามที่มารบกับพาลี จะต้องสูญเสียกำลังไปครึ่งนึงโดยอัตโนมัติ

ฉะนั้น พาลีรบกับใครก็ชนะเค้าทุกทีเพราะเหมือนมีแต้มต่อตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนรบกับทศกัณฐ์ พาลีสามารถเอาชนะทศกัณฐ์ จับนางมณโฑเมียทศกัณฐ์เอามาเป็นเมียตัวเองดื้อๆได้ ทำเมียไม่ทำเปล่า ทำนางมณโฑท้องซะด้วย ทศกัณฐ์โกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไง แต่ก็ไม่รู้จะไปแก้แค้นและชิงตัวนางมณโฑกลับมายังไง เพราะโผล่หน้าไปเจอะพาลีทีไร ก็โดนพาลีถล่มกลับมาทุกที สุดท้าย ทศกัณฐ์ จึงต้องใช้วิธีทางลัด ด้วยการไปบอกพระฤาษีอังคต อาจารย์ของพาลีช่วยเกลี้ยกล่อมขอคืนเมียให้หน่อย ซึ่งสุดท้าย พาลี ก็ยอมคืนให้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเอาลูกในท้องนางมณโฑ เอาไปใส่ในท้องแพะก่อน เพื่อเป็นการฝากครรภ์ (มีงี้ด้วย??) พอครบกำหนดตั้งครรภ์ ฤาษีอังคต ก็แหวะท้องแพะออกมา กลายเป็นวานรชื่อ องคต หนึ่งในทหารเอกของพระรามในกาลต่อมา....

 

กลับมาที่ ทรพี....

 

ทรพี พอวิ่งมาถึงเมืองขีดขิน ก็เกรียนจัด ถล่มพลวานรของพาลี และวิ่งเข้าไปท้าทายพาลีถึงในพระราชวัง

พาลีเห็นดังนั้น จึงนัดเกรียนทรพี ออกไปดวลกันด้านนอกเมือง .... จากภาพวาด จะเห็นฉากที่พาลีและทรพีออกไปดวลกันนอกเมืองด้วยนะครับ มองดีๆ

ดวลกันไปมาอยู่ตั้งนาน จนค่ำมืด ก็ยังไม่มีแพ้ไม่มีชนะ พาลีจึงบอกทรพีไปว่า พรุ่งนี้เรามาดวลกันใหม่ แต่ไปดวลกันในถ้ำแก้วสุรกานต์ดีกว่า คนแพ้จะได้ไม่ต้องอายใคร และคืนนี้ก็ให้ต่างฝ่ายกลับไปสั่งเสียลูกเมียไว้ก่อนเลย เพราะพรุ่งนี้ เอ็งไม่ตาย ข้าก็ม้วย!!!!!

 

ว่าแล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกกันกลับบ้านไปนอนพักผ่อนรอศึกวันพรุ่งนี้..

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:25:41 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #1 on: 02 March 2022, 13:15:38 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 13 ฉากที่ 1-พาลีจัดการทรพี




หลังจากเลิกราในการรบครั้งแรก พาลีกลับเข้าเมืองขีดขิน พร้อมกับสั่งสุครีพน้องชายว่า พรุ่งนี้พี่จะไปจัดการเจ้าควายเกรียนทรพี ที่ถ้ำแก้วสุรกานต์ ถ้าผ่านไป 7 วันพี่ยังไม่ออกมาจากถ้ำ ให้ลองไปดูที่ปากถ้ำ สังเกตดูเลือดที่ไหลออกมาจากถ้ำ ถ้าเป็นเลือดสีข้นๆ แสดงว่าเป็นเลือดควายทรพี แต่ถ้าเป็นเลือดสีจางๆ แสดงว่าเป็นเลือดพี่ นั่นหมายความว่าพี่คงโดนมันฆ่าเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะหา...คนปราบมันลำบากแน่ในสามโลก ให้เจ้าและองคตไปแบกเอาหินก้อนใหญ่มาปิดปากถ้ำเสีย ขังมันให้อยู่ในถ้ำไปจนนิรันดร

สุครีพได้ยินแบบนั้น ก็รับทราบ พร้อมอวยพรให้พี่ชายโชคดีในการรบกับควายทรพี

ในวันรุ่งขึ้น การรบก็เป็นไปอย่างเมามันในถ้ำแก้วสุรกานต์ แต่พาลีก็ทำอะไรทรพีไม่ได้ รบกันอยู่ 7 วัน ต่างฝ่ายต่างก็กุมชัยชนะไม่ได้สักที พาลีก็ถาม ทรพีว่า ทำไมควายอย่างเจ้ามันถึงมีฤทธิ์เดชอะไรขนาดนี้ ขนาดข้าได้พรจากพระอิศวรให้คู่ต่อสู้ต้องมีกำลังหายไปครึ่งนึงในการต่อสู้ทุกครั้ง เจ้ายังสู้กับข้าได้สูสีขนาดนี้ มันต้องมีเทพ เทวดา องค์ใดแอบช่วยเจ้าแน่ๆ

ควายทรพี ชื่อก็บอกแล้วว่า มันเป็นควายทรพี ไม่รู้จักบุญคุณของเทวดาที่คอยสิงเขาทั้งสองและขาทั้งสี่อยู่ มันจึงตะโกนบอกพาลีไปว่า ชะเอิงเอย กรูเนี่ยเก่งมาแต่เกิดเฟร้ย ไม่ใช่แค่เก่ง ยังเกรียนด้วย เกรียนแต่กำเนิด ไม่มีใครมาทำให้กรูเก่งและเกรียนได้นอกจากตัวกรูเอง เหอ เหอ เหอ

บรรดาเทวดาพอได้ยิน ทรพี ไม่สำนึกบุญคุณที่อุตส่าห์ติดเทอร์โบให้ จึงพากันจรลีจากทรพีไป ลองดูจากภาพวาดนะครับ จะเห็นได้ว่า เทวดาได้ทยอยกันบินออกจากถ้ำไป ปล่อยให้ พาลีเฉือดทรพีเวอร์ชั่นไม่ติดเทอร์โบได้สบายๆ เสียเวลารบมาตั้ง 7 วัน


เทวดาพอเห็นดังนั้นแล้ว ก็ยินดีปรีดาที่ พาลี สามารถกำจัด ควายเฮงซวย ตายได้ จึงพากันบันดาลให้มีฝนตกลงมาเป็นการแสดงความยินดี


 

ฝนที่ตกลงมาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบรรดาเทวดา ก็ชะล้างเลือดของทรพีที่ควรจะมีสีเข้มข้น ให้เป็นเลือดสีจางๆ


 

สุครีพ และ องคตที่มาเฝ้ารอหน้าถ้ำตามคำสั่งของพาลีอย่างเคร่งครัด ได้เห็นเลือดสีจางๆไหลออกมาจากถ้ำ เห็นเป็นเช่นนั้น ก็จะคิดไปเป็นอื่นไม่ได้นอกจากจะคิดว่า พาลีสงสัยจะโดนควายขวิดตายซะแล้ว....

ว่าแล้ว สุครีพและองคต ด้วยความกลัวที่ว่า ทรพี มันจะวิ่งออกมาจากถ้ำแล้วจะไม่มีใครเอามันอยู่ เลยรีบไปขนหินก้อนใหญ่มาปิดปากถ้ำขังมันเอาไว้ โดยเลือกเอาหินก้อนที่ใหญ่เท่าภูเขา กะว่าไม่ให้มันออกมาเจอแสงตะวันกันอีกเลย

ส่วนพาลีนั้น หลังจากตัดคอ ทรพี เดินหิ้วหัวควายอาดๆออกมา ก็ต้องมาสะดุดที่ปากถ้ำ อ้าว!! ทำไมปากถ้ำมันปิดแบบนี้ฟร่ะ สงสัย สุครีพ น้องตัวดี มันจะเล่นกรูซะแล้ว.....เมื่อก่อนเราแย่งเมียมันมาซะด้วย สงสัยมันจะเอาคืนทั้งเมียและเมืองกระมัง....พาลีคิดในใจ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 13 ฉากที่ 2-พาลีไล่สุครีพออกจากขีดขิน




หลังจากที่ สุครีพ หวังดี ทำตามคำสั่งเสียของพาลีทุกประการ เพราะผ่านไป 7 วัน พาลีก็ยังไม่โผล่ออกมาจากถ้ำแก้วสุรกานต์ แถมบรรดาเทวดาก็ดันหวังดี บันดาลฝนให้ตกลงมาชะให้เลือดข้นๆของทรพีกลับจางลง จนดูเหมือนเลือดพาลีมากกว่า….สุครีพเลยปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดด้วยการไปเอาหินก้อนเท่าภูเขามาปิดปากถ้ำเสีย กะว่าจะขังให้ ทรพี ได้อดข้าวตายอยู่ในนั้นตลอดกาล

แต่ความจริง ทรพี ต่างหา...กที่โดน พาลี ฆ่าตาย พอพาลีกำลังเดินออกจากถ้ำ มาเจอะปากถ้ำถูกปิดตาย เลยบันดาลโทสะว่าสุครีพน้องเรา มันคงหวังจะแย่งสมบัติ แย่งเมีย แย่งทุกสิ่งอย่างจากเราไปแน่นอน มันถึงได้กะจะขังเราให้ตายไปพร้อมกับควายทรพี

พาลีเลยพยายามทำลายหินที่ปิดปากถ้ำ แต่มันก็ไม่ง่าย เพราะ พร ที่พาลีได้จากพระอิศวร คือเวลารบกับใครให้คู่ต่อสู้พลังลดไปครึ่งมันใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ใช้กับก้อนหินไม่ด้ายยย พาลีทั้งชก ทั้งทุบ ทั้งถีบ ทั้งดัน สารพัด หินก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน

พาลีใช้เวลาอยู่ 7 วัน กว่าจะทำลายก้อนหินออกมาด้านนอกได้ ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเหนื่อยมากเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะกระโดดถีบ สุครีพ น้องชายตัวดีมากเท่านั้น พาลีจึงรีบเร่งเดินทางกลับเมืองขีดขิน

พอกลับไปถึง ก็เห็น สุครีพ นั่งบัญชาการอยู่บัลลังค์ของตัวเอง อารมณ์ของพาลีเลยยิ่งพุ่งปริ๊ด รีบเดินเข้าไปตบกบาลสุครีพแล้วลากลงมาจากบัลลังค์ พร้อมกับด่าทอด้วยคำด่าสารพัดที่จะหามาได้ในจักรวาล แม้ว่าสุครีพกับองคตจะพยายามแก้ตัวยังไง พาลีก็ไม่ฟัง เพราะอารมณ์มันขาดสะบั้นไปแล้ว ยิ่งสุครีพแก้ตัวก็ยิ่งทำให้พาลีโกรธเท่านั้น สุดท้าย พาลี เลยตะโกนตัดพี่ตัดน้องกับ สุครีพ พร้อมกับเอาพระขรรค์กวัดแกว่งไล่สุครีพออกจากเมืองไป สุครีพต้องระเห็จออกจากเมืองด้วยความคับแค้นและคราบน้ำตา…

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:27:24 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #2 on: 02 March 2022, 13:17:38 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 14 ฉากที่ 1-นางค่อมกุจจียุยงพระนางไกยเกษี




หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องราวระหว่าง ทรพี พาลี และสุครีพ … ตอนนี้ สุครีพ โดนเฉดหัวออกจากเมืองขีดขิน

ภาพเขียนในห้องที่ 14 ก็ตัดฉับกลับมาที่เมือง อโยธยา หลังจากที่ พระรามได้อภิเษกกับนางสีดา และเสด็จกลับมายัง อโยธยา แล้ว

อยู่ๆไป ท้าวทศรถ ก็ทรงมีความปรารถนาที่จะยกราชสมบัติให้พระรามได้ปกครองสืบต่อไป โดยทรงโปรดจะแต่งตั้งให้เป็นพระยุพราช ข่าวนี้พอแพร่กระจายออกไป ชาวเมืองอโยธยาต่างก็ดีอกดีใจ เพราะ พระราม นั้นเป็นที่รักของมหาชน ชาวบ้านชาวเมืองต่างก็เฝ้ารอคอยพระราชพิธีอย่างใจจดใจจ่อ

มีอยู่แค่คนเดียวในเมืองที่พอได้รู้ข่าวนี้ก็เกิดความไม่สบายใจ นั่นคือ นางค่อมกุจจี (ในรามายณะ ไม่ได้ชื่อ กุจจี ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว แต่เอาเป็นว่า มีตัวตนเหมือนกันทั้งในรามเกียรติ์ และรามายณะ) นางค่อมกุจจีนั้น ถ้าในเรื่องราวของ รามายณะ จะดูมีความเป็นดราม่ามากกว่ารามเกียรติ์ เพราะพฤติกรรมเหมือนกับพวกตัวร้ายในละครน้ำเน่าเป๊ะๆ นั่นคือ นางกุจจี เป็นแม่เลี้ยงของพระนาง ไกยเกษี พระชายาคนที่สองของท้าวทศรถ พระมารดาของพระพรต บุตรคนรองในทั้งหมด 4 คนของท้าวทศรถ ที่ตอนนี้พระพรตได้กลับไปอยู่เมืองไกยเกษกับพระสัตรุตน์น้องคนสุดท้องเรียบร้อยแล้ว

นางกุจจีนั้นรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ หลังค่อม จึงถูกคนเยาะเย้ยถากถางมาตลอด นางเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจไว้กับตัว โดยอาศัยนางไกยเกษีที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ยังเด็ก เป็นผู้ที่พอจะทำให้นางกุจจีได้ลืมตาอ้าปากมีฐานะกับคนอื่นเค้ามั้ง


ในสมัยที่พระรามและน้องๆทั้งสามยังเป็นเด็กๆ วันหนึ่งขณะกำลังฝึกยิงธนูกัน พระรามหาเป้าเหมาะๆยิงไม่เจอ เผอิญเหลือบไปเห็นนางค่อมกุจจีเดินด๊อกๆแด๊กๆอยู่ พระรามจึงบอกน้องๆว่า เดี๋ยวพี่จะโชว์ฝีมือการยิงธนูขั้นเทพให้ดู ว่าแล้วพระรามก็แผลงศรไปที่หลังค่อมๆของนางกุจจี หลังที่ค่อมก็โก่งไปข้างหน้า พอแผลงศรไปด้านหน้า ไอ้ส่วนที่โก่งก็เด้งกลับไปค่อมใหม่อีกครั้ง พวกมหาดเล็กที่ยืนอยู่แถวนั้น ก็ปรบมือชอบใจ เฮฮากันดังลั่น นางกุจจีพอหันไปมองเห็นพระรามนั่นแหละที่เป็นตัวการทำให้ตัวเองอับอาย จึงเก็บความแค้นไว้ในใจตลอดมา หวังว่าต้องเอาคืนให้ได้สักวัน

และแล้ววันนั้นก็มาถึง พอนางกุจจีได้ทราบข่าวว่า ท้าวทศรถ กำลังทรงจะแต่งตั้งพระรามเป็นพระยุพราช นางกุจจีจึงรีบแจ้นไปบอกลูกเลี้ยงของตน นั่นคือ นางไกยเกษี …. นางไกยเกษี ได้ยินข่าวก็ออกปากยินดีกับพระราม เพราะโดยส่วนตัวแล้วนางก็รักพระรามดั่งลูกในอุทรเช่นกัน นางกุจจีเห็นดังนั้น จึงรีบใช้วิชาละครน้ำเน่า เป่าหูนางไกยเกษีเช้าเย็นๆว่า ความซวยกำลังจะมาเยือนพวกเราแล้ว เพราะหลังจากพระรามได้ครองราชย์ พระรามก็คงต้องหาหนทางกำจัดพวกเสี้ยนหนามที่จะมาชิงบัลลังค์ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาในเมืองอื่นๆหลายเมืองแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น พระพรตบุตรของนางไกยเกษีนั่นแหละจะโดนหมายหัวคนแรก เพราะพระรามซี้กับพระลักษณ์น้องคนที่สามอยู่แล้ว ส่วนพระสัตรุตน์ก็เป็นน้องคนสุดท้อง ยังไงๆ ก็ไม่มีสิทธิ์จะได้ครองราชย์อยู่แล้ว ฉะนั้นคนที่มีโอกาสโดนเจี๋ยนมากที่สุด ก็ พระพรตกับนางไกยเกษีนั่นแหละ

แรกๆนางไกยเกษี ก็ด่าว่า นางค่อม ว่าเพ้อเจ้อ แต่ผู้หญิงก็คือผู้หญิง โดนเป่าหูทั้งวันทั้งคืน และไอ้คนที่เป่าหูดันเป็นคนที่เลี้ยงตัวเองมาด้วย น้ำหยดลงหินสักวันหินมันยังกร่อน นางไกยเกษี เลยเชื่อสนิทใจว่า ไอ้หย่า!!! ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง พระพรต และ นาง ต้องโดนกำจัดเข้าสักวันนึงแน่ แต่เราจะทำยังไงกันดี??

นางค่อมเห็นดังนั้น จึงรีบใส่เกียร์เดินหน้าต่อ รีบทูลไปว่า พระนางไกยเกษี ยังจำได้มั๊ยว่า ท้าวทศรถ ยังติดค้างคำขอของพระองค์อยู่ข้อนึง และจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ใช้คืน??

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปสมัย ท้าวทศรถ ยังข้าวใหม่ปลามันกับนางไกยเกษี ในตอนศึกกับยักษ์นาม ปทูตทันต์ ท้าวทศรถยกทัพไปช่วยพระอินทร์รบ และนางไกยเกษีขอติดสอยห้อยตามทัพไปด้วย ในขณะที่กำลังรบกันช่วงไคลแม็กซ์ ปทูตทันต์แผลงศรไปโดนรถศึกของท้าวทศรถ เพลาขาด รถก็เดินหน้าถอยหลังไม่ได้ ปทูตทันต์เห็นดังนั้น ก็เตรียมจะกระโดดเข้าไปขย้ำท้าวทศรถ

นางไกยเกษีเห็นดังนั้นจึงรีบเอาแขนสอดเข้าไประหว่างล้อรถศึก เพื่อทำเป็นเพลา แล้วร้องบอกให้คนขับรถเคลื่อนรถ ท้าวทศรถจึงรอดตายอย่างหวุดหวิด พอตั้งหลักได้ก็หันกลับมาสู้กับ ปทูตทันต์ ใหม่จนปราบยักษ์ได้

ท้าวทศรถเห็นเมียตัวเอง อุตส่าห์เอาแขนไปทำเป็นเพลารถ (เว่อร์จริงๆ) ทำให้ตัวเองรอดตาย ประกอบกับยังข้าวใหม่ปลามัน เลยออกปากไปว่า ถ้านางไกยเกษี อยากได้อะไร พี่จะจัดให้โดยพลัน … ตอนนั้น นางไกยเกษี ยังไม่รู้จะอยากได้อะไร (คงกำลังเจ็บแขนอยู่) เลยไม่ได้ขออะไรไป และ พรจากท้าวทศรถข้อนั้น ก็ยังอยู่จนกระทั้งปัจจุบัน

นางกุจจีเลยเตือนสติ นางไกยเกษี ว่า นี่ไง….ท้าวทศรถยังติดค้างคำขออยู่ 1 ข้อ ให้เจ้ารีบเข้าไปทูลกับท้าวทศรถโดยพลันว่า ให้ stop การแต่งตั้งพระรามเป็นพระยุพราช และรีบแต่งตั้งพระพรตเป็นพระยุพราชแทน นอกจากนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้พระรามแก้แค้น ก็ให้ท้าวทศรถเนรเทศพระรามไปอยู่ป่าเขา 14 ปี

นางกุจจีคาดเอาเองว่า ถ้าพระรามต้องระเห็จไปอยู่ป่าเขาถึง 14 ปีแล้ว คงจะหมดไฟในการกลับมาเป็นราชา เพราะถ้าต้องให้พระรามโดนประหารไปเสียตอนนี้ เดี๋ยวจะโดนชาวเมืองโวยวายเป็นแน่

หลังจากคบคิดแผนชั่วเสร็จ วันพรุ่งนี้ นางไกยเกษี ก็จะเตรียมเข้าเฝ้า เพื่อไปทูลขอให้พระองค์ทำตามสัญญา…
น้ำเน่าจริงๆ….

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 15 ฉากที่ 1-พระลักษณ์แค้นนางไกยเกษี




หลังจากที่นางไกยเกษีซ้อมบทกับนางค่อมกุจจีเสร็จเรียบร้อยว่า จะเข้าไปทูลบอก ท้าวทศรถ อย่างไรดี....

นางไกยเกษี ก็ขุดเอาเล่มเกวียนทั้งหนี่งหมื่นสามพันสามสิบหกเล่มเกวียนออกมาใช้ เพื่อหว่านล้อมให้ท้าวทศรถยอมยกบัลลังค์ให้พระพรตแทนพระราม แต่ไม่เป็นผล ท้าวทศรถยังไงก็ไม่ยอมทำตาม จนกระทั่ง นางไกยเกษี ต้องงัดไม่ตาย งัดเอาพรที่ท้าวทศรถเคยประทานไว้ ว่าถ้านางอยากได้อะไร พระองค์จะจัดใ...ห้ ออกมาใช้

ท้าวทศรถ เจอไม้ตายนี้เข้าไปถึงกับอึ้งกิมกี่ เพราะดันไปรับปากนางเอง และด้วยความเป็นลูกเสือชาวบ้านมาเก่าแก่ พระองค์ถือคติเสียชีพอย่าเสียสัตย์ แม้จะโกรธแค้นางไกยเกษีมากที่เอาเรื่องบ้านเรื่องเมืองมาต่อรองกับพระองค์ และสุดท้ายก็ต้องตกปากรับคำทั้งน้ำตาที่จะยกบัลลังค์ให้พระพรต และขับไล่พระรามไปเดินดง 14 ปี

ท้าวทศรถ เสียพระทัยอย่างรุนแรงจนสลบเสลไป ส่วนนางไกยเกษีนั้นพอได้ยินว่าพระราชาตอบตกลงแล้ว ก็รีบวิ่งแจ้นไปบอกพระรามว่า ท้าวทศรถมีพระราชโองการเปลี่ยนพระทัยแล้ว ที่จะมอบบัลลังค์ให้พระพรตแทน และพระองค์ต้องระเห็จตัวเองไปอยู่ป่าอยู่เขา 14 ปี ถึงจะกลับมาได้

พระรามได้ยินก็ยังงงๆ ก็เลยเดินไปคุยกับท้าวทศรถที่เพิ่งจะฟื้นจากการสลบว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง และหลังจากที่ได้รับทราบเรื่องราว พระรามก็เข้าใจปัญหา และก็ต้องรับสภาพกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้ว่าท้าวทศรถจะเสนอให้พระรามยึดอำนาจจากพระองค์ไปเลย จะได้หมดเรื่องหมดราว พระรามก็ปฏิเสธ เพียงเพื่อรักษาเกียรติภูมิให้พระราชบิดา และทำตามวิถีแห่งโชคชะตาที่กำหนดมาแล้วให้พระองค์ต้องออกไปผจญภัยเพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า

ท้าวทศรถ ได้ยินแบบนั้น เลยยิ่งตรอมใจหนักเข้าไปใหญ่ เพราะหวังกับลูกชายคนนี้ไว้เยอะมาก อยากให้สืบบัลลังค์ต่อจากพระองค์ใจจะขาด

พระรามจึงรีบไปแจ้งข่าวนี้ให้พระนางเกาสุริยา มารดา และพระลักษณ์ น้องชายคนสนิททราบเรื่อง ทั้งคู่ก็เศร้าโศกเสียใจไปตามระเบียบ แต่พระลักษณ์นั้นออกไปแนว เสียใจแบบเคียดแค้น เลยรีบไปคว้าศรออกมากวัดแกว่ง จะเอาไปเล่นงานนางไกยเกษี พระรามเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปห้าม (ดูรูปประกอบนะครับ)

ส่วนนางสีดานั้น ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้านหลัง พร้อมครุ่นคิดว่า ถึงเวลาตัวเองคงต้องออกไปเดินดงตามสามีด้วยซะแล้วมั้งเนี่ย

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:29:48 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #3 on: 02 March 2022, 13:19:13 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 16 ฉากที่ 1-พระรามเตรียมออกเดินดง




หลังจากที่พระรามตกลงปลงใจที่จะไปเดินดง 14 ปี พระลักษณ์ก็ไม่รู้ทำยังไงดี ก็เลยขออาสาติดตามพระรามไปคอยอารักขา

จากภาพเขียน ทั้งพระรามและพระลักษณ์ ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นฤาษีชีไพรแล้ว และพระลักษณ์กำลังขออนุญาตพระรามติดตามไปด้วยคน

ส่วนนางสีดานั้น ก็ขอพระรามติดตามไปด้วย แม้ว่าพระรามจะห้ามปรามยังไง นางก็ยังยืนยันว่าจะตามไปด้วยคน พระรามเลยต้องเออออห่อหมก ว่าไงก็ว่ากัน

ในภาพด้านหลัง ผมเข้าใจ (เอาเอง) ว่าเป็นภาพสุมันตัน เสนาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้นำข่าวไปแจ้งให้พระวสิษฐ์ (หรือพระสวามิตรฤาษี ผมก็มิทราบได้) ให้ได้ทราบข่าวว่า พระราม กำลังจะออกเดินดงแล้ว

แม้ท่านอาจารย์ฤาษีทั้งสองจะรู้ได้ด้วยฌานของตนแล้วว่า ยังไง๊ยังไงพระรามก็ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจในป่า เพราะยังมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่รอพระรามอยู่ แต่ดูจากอาการเศร้าหมองของท้าวทศรถแล้ว ก็พาลให้เป็นกังวล ฤาษีทั้งสองเลยทูลขอให้พระรามยกเลิกภารกิจไปก่อน เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกระเทือนจิตใจของท้าวทศรถจนพาลให้สุขภาพย่ำแย่เอา

แต่ก็ไม่เป็นผล....เพราะพระรามก็ยัง ยืนยันว่าจะไป....(โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า พระราม โดยเฉพาะในเวอร์ชั่น รามายณะ เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการ บางทีก็อาจจะยึดมั่นถือมั่นเกินเหตุ จนนำความยุ่งยากมาให้ทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง โดยเฉพาะ นางสีดา ที่สุดท้าย ชีวิตก็ต้องตกระกำลำบาก ก็เพราะความรั้นไม่เข้าท่าของพระรามนั่นแหละ)

หลังจากที่พระราม พระลักษณ์ และนางสีดา เก็บข้าวเก็บของเสร็จ ก็เสด็จออกจากวัง โดยสุมันตันทำหน้าที่สารถีขับรถไปส่ง แต่พระองค์ก็ทรงไล่ให้สุมันตันกลับหลังจากเดินทางไปถึง "สวนขวัญ"

สุมันตันไม่ยอมกลับ นอกจากนั้นยังมีชาวบ้านอโยธยา เดินทางตามพระราม มาอีกเป็นขโยง พระรามออกไปไล่ให้กลับก็ไม่มีใครกลับ

เทวดาจึงดลบันดาลให้ชาวบ้านและสุมันตันหลับผลอยอร่อยไปเลย


พระราม & co จึงได้ปลีกตัวเดินทางเข้าป่าดงสมใจอยาก

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 16 ฉากที่ 2-พระพรตพยายามฆ่าแม่




หลังจากพระราม พระลักษณ์ และสีดา เสด็จออกเดินดงไปแล้ว ท้าวทศรถก็รมณ์บ่จอย ไม่เป็นอันบริหารราชการ นั่งซึมเศร้าเหงาหงอยตลอดเวลา

นางไกยเกษี เห็นดังนั้น จึงทูลขอให้ท้าวทศรถออกพระราชโองการเชิญพระพรตกลับมาจากเมืองไกยเกษ เพื่อมารับมอบราชสมบัติให้เป็นเรื่องเป็นราว ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี ท้าวทศรถในอารมณ์เหงาหงอย ก็ทูลว่า จะไปทำห่_อะไรก็ไปทำเหอะ ตรูไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้...ว....

นางไกยเกษี เลยรีบนำข่าวนี้แจ้งให้พระพรตบุตรชายทราบโดยพลัน

พระพรตหลังจากได้รับทราบข่าว ก็แปลกใจว่า ทำไมอยู่ดีๆ ตัวเองถึงจะได้รับมอบพระราชสมบัติ แล้วพระราม พี่ชายสุดเลิฟหายไปไหนซะเล่า? แล้วเสด็จพ่อ เป็นอีหยัง? ทำไมต้องรีบมอบพระราชสมบัติให้ตอนนี้ด้วย?

พระพรตก็รีบเสด็จกลับมาพร้อมคู่หู พระสัตรุตน์ และเมื่อมาถึงเมืองอโยธยา นางไกยเกษี และนางค่อมกุจจี ก็รีบแจ้นออกไปต้อนรับ พร้อมเล่าฉอดๆๆว่าเรื่องราวเป็นมายังไง พร้อมเน้นย้ำว่า ตอนนี้พระรามที่เป็นเสี้ยนหนามของลูก ได้ออกเดินดงไปแล้ว นู้น อีก 14 ปีถึงจะได้กลับเมือง

พระพรตได้ยินดังนั้นก็งงปนแค้นเคืองว่า แม่ตัวเอง เสร่อ ทำอะไรไม่เข้าท่าเข้าทางหล่ะเนี่ย?? แต่ก็สะกดความโกรธไว้ก่อน พร้อมกับเข้าไปพบท้าวทศรถ พระบิดา

พระพรตพอเห็นสภาพพระบิดาแล้วก็ยิ่งเกิดความแค้นแม่ตัวเองมากขึ้น เพราะท้าวทศรถตอนนี้สภาพยังกะซากศพ ไร้เรี่ยวแรงและจิตใจ ท้าวทศรถยังคิดว่า พระพรตก็รู้เห็นการกระทำของนางไกยเกษีด้วย จึงด่าด้วยเสียงแหบๆเป็นชุดออกไป

พระพรตยืนฟังทั้งน้ำตา ... ตัวเองไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย กลับมาโดนพ่อตัวเองด่า แถมพ่อตัวเองก็มีสภาพเหมือนคนตายไปแล้ว พระรามพี่ชายและพระลักษณ์น้องชาย ก็หายไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ไปตกระกำลำบากยังไงมั้งก็ไม่รู้

ทั้งหมดทั้งมวล มันมีต้นเหตุมาจากนางค่อมกุจจีคนเดียว ว่าแล้วพระพรตก็พาพระสัตรุตน์ จัดการระดมมือตีนใส่นางกุจจีจนหน้าตาบวมปูด นางกุจจีก็ได้แต่บอกไปว่า นางแค่เสนอความเห็นเฉยๆ ถ้านางไกยเกษีไม่เห็นด้วย แล้วเรื่องมันจะบานปลายแบบนี้เหรอ (โยนกันเห็นๆ)

ว่าแล้วพระพรตที่กำลังเดือดสุดๆ ก็คว้าพระขรรค์ เดินจ้ำๆ เข้าไปหานางไกยเกษี แม่ตัวเอง พร้อมกับกำลังจะลงมือมาตุฆาต ดีที่ว่าพระสัตรุตน์เข้ามาห้ามไว้ก่อน แต่พระพรตก็ฝากคำด่าสารพัดสารพันใส่แม่ตัวเองไปเรียบร้อย

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว พระพรต ก็คิดได้ว่า งานนี้ถึงฆ่าแม่ตัวเองไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ตัวเองก็จะเป็นบาปไปซะเปล่าๆ ก็เลยคุยกันกับอำมาตย์และพระอาจารย์ฤาษีทั้งสองว่า ตนจะรีบออกไปตามหาพระรามโดยด่วน และจะทูลคืนตำแหน่งพระยุพราชให้พระองค์ในทันทีที่ได้เจอ

ตำแหน่งพระราชาในมุมมองของพระพรต ถือว่าเป็นลาภที่มิควรได้จริงๆ

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:31:33 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #4 on: 02 March 2022, 13:21:40 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 17 ฉากที่ 1-ท้าวทศรถสิ้นพระชนม์




ภาพนี้ออกจะเอียงๆนะครับ เพราะเค้ากำลังซ่อมแซมวันที่ผมไปถ่าย เลยต้องเอียงๆถ่าย เพราะติดกองอุปกรณ์ซ่อม

ภาพนี้ไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะหลังจากที่ท้าวทศรถนั่งซึมเศร้ามาได้สักพัก ก็เสด็จสวรรคต มีพระวสิษฐ์ (หรือพระสวามิตรก็มิทราบได้ ตามเคย) นั่งอยู่หน้าพระบรมศพ

หลังจากเสร็จสิ้นงานพระบรมศพ พระพรตและพระสัตรุตน์ พร้อมบรรดาแม่ๆ ก็พากันเสด็จออกไปตามหาพระราม

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 18 ฉากที่ 1-พระพรตออกตามหาพระราม




ภาพตอนนี้ ผมต้องนั่งตีความเอาเองพอสมควรครับ เพราะภาพอยู่ในมุมที่ถ่ายรูปยาก (สืบต่อเนื่องมาจากห้องที่แล้ว ที่มีการซ่อมแซมอยู่ กองอุปกรณ์ของช่างวางล้ำมาจนห้องนี้ แถมมันอยู่ตรงมุมๆ มืดๆ ภาพถ่ายเลยไม่ค่อยชัด และภาพก็มีหลายเหตุการณ์ปนกันไปมาอยู่ด้วย)

ภาพที่เห็น…เริ่มจากด้านบนของภาพก่อนที่ มีพระราม (กายเขียว) พระลักษณ์ และนางสีดา กำลังนั่งบนโขดหินคุยกับใครสักคนอยู่ (จริงๆทั้งพระรามแอนด์โค ต้องสวมใส่ชุดฤาษีชีไพรแล้ว ไม่ใช่แต่งองค์ทรงชุดกษัตริย์ … ซึ่งผมเข้าใจว่า ภาพวาดที่วัดพระแก้วในแต่ละห้อง จะวาดโดยศิลปินหลายๆท่าน ดังนั้นจึงอาจจะเป็นไปได้ว่า เหตุการณ์ในแต่ละห้อง อาจจะไม่ต่อเนื่องสอดคล้องกัน อาจจะลืมรายละเอียดบางอย่างไป….anyway…ความคิดของผมคนเดียวเน้อ) ภาพนี้...ผมเดาว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งสามออกเดินดงมาระยะนึงแล้วพบกับ นายพรานขุขัน (ในรามายณะ จะเรียกว่า ราชาขุขัน ราชาแห่งพงไพร คล้ายๆกับโรบิน ฮู้ด อะไรทำนองนั้นอ่ะครับ) นายพรานขุขัน ได้แนะนำทั้งสามให้เดินทางต่อไปเพื่อพบฤาษีทวาราช เพื่อจะได้พำนักพักอาศัยกับท่านฤาษีได้

ส่วนฉากตอนกลางของภาพที่มีขบวนเสด็จบนบก และในน้ำ ผมเดาเอาว่า น่าจะเป็นขบวนเสด็จของพระพรต และ พระสัตรุตน์ ภายหลังจากเสร็จสิ้นงานพระบรมศพท้าวทศรถ ทั้งคู่ได้ออกเดินทางตามหาพระราม เพื่อจะได้ร้องขอให้พระรามกลับไปครองเมืองอโยธยาแทนตน

พระพรต และ พระสัตรุตน์ น่าจะประทับอยู่ในเรือแล้ว สังเกตจากองค์ที่มีกายสีแดง (พระพรต) และสีม่วง (พระสัตรุตน์) และก็เช่นเคย…ตามเรื่องแล้ว ทั้งคู่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นฤาษีชีไพรแล้วเช่นกัน ผมคาดว่าศิลปินคงลืมประเด็นนี้ไป

ในขบวนเสด็จทางชลมาคร ยังมีเรือตามหลังมาที่มีผู้หญิงสวมชฎาประทับอยู่ด้วย ผมเดาเอาว่า น่าจะเป็นพระนางเกาสุริยา มารดาของพระราม และ พระนางสมุทรเทวี มารดาของพระลักษณ์และพระสัตรุตน์ ที่ขอออกเสด็จตามมาด้วย

และถ้ามองไปด้านขวาสุด จะเห็นแพที่มีผู้หญิงสองคนบนแพ ผมเดาว่า น่าจะเป็นนางไกยเกษี มารดาพระพรต และนางค่อมกุจจี ที่ถูกลดชั้นให้ลงเสด็จบนแพ แทนจะเป็นเรือพระที่นั่ง โทษฐานทำเรื่องวุ่นวาย

ณ จุดนี้ ขบวนเสด็จของพระพรต ยังตามขบวนของพระรามไปไม่ทันนะครับ … ยังห่างกันหลายสิบโยชน์เลยทีเดียว (แต่ภาพเขียนเหมือนจะทันกันแล้ว….)

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:32:43 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #5 on: 02 March 2022, 13:23:16 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 19 ฉากที่ 1-พระรามเยือนอาศรมพระสระภังค์ฤาษี




ภาพห้องนี้ มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนผมต้องตัดออกมาเป็นส่วนๆ เพื่อจะได้ไม่งงๆ

ฉากนี้จะอยู่ด้านบนสุดของห้อง (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นฉากการเดินดงของพระราม พระลักษณ์ และสีดา

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากพรานขุขัน ให้เดินทางไปพบฤาษีภารทวาช พระรามก็ได้ไปพบกับท่านฤาษี (น่าจะเป็นภาพทางซ้ายมือสุด)

ฤาษีทวาราช ก็ได้แนะนำทั้งสามให้เดินทางต่อไปยังอาศรมพระสระภังค์ฤาษี จากภาพวาด จะเห็นพระรามเดินนำพระลักษณ์และสีดาไปพบฤาษีสระภังค์ตอนกลางของภาพ

ตามเนื้อเรื่อง ฤาษีสระภังค์ ประสงค์ให้พระรามได้พำนักอยู่ที่นี่ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่พระรามปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่า สถานที่มันใกล้เมืองอโยธยาเกินไป เดี๋ยวชาวเมืองเดินตามมาเจอแล้วจะยุ่งเปล่าๆ

ท่านฤาษีเลยแนะนำให้พระรามเดินทางข้ามแม่น้ำไปพำนักอาศัยกับพระฤาษีที่เขาสัตตกูฏแทน (ผมจำชื่อพระฤาษีที่นี่ไม่ได้ครับ) ซึ่งในท้ายที่สุดพระรามก็ลงหลักปักฐาน บำเพ็ญพรตอยู่ที่นี่

ส่วนภาพด้านบนที่กำลังมีคนเผาป่าอยู่เป็นอีกเหตุการณ์ที่ผมจะได้นำเรียนต่อไป

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 19 ฉากที่ 2-ยักษ์พิราพปรากฏกาย




จริงๆแล้ว ภาพเขียนห้องนี้ น่าจะมีอีกฉากที่สำคัญคือ ฉากที่พระราม ได้พบกับขบวนเสด็จของพระพรต พระสัตรุตน์ และบรรดาแม่ๆทั้งหลาย เท่าที่ผมจำได้ ผมว่าผมไม่เห็นฉากนี้ แต่ผมอาจจะพลาดไปก็ได้ ต้องขอกลับไปดูใหม่...

ฉากที่ว่า เป็นฉากที่ พระรามได้พบกับพระพรต และได้มีการพูดจาปรับความเข้าใจ ถึงที่มาที่ไป พระนางไกยเกษีก็ขอโทษขอโพย พระรามก็ให้อภัยไม่ถือโทษ แต่สิ่งที่ทำให้พระรามเสียใจมา...กที่สุดก็คือ ข่าวการสิ้นพระชนม์ของท้าวทศรถ ตามเนื้อเรื่อง หลังจากที่พระรามได้ทราบข่าวนี้ก็ถึงกับสลบไสลไปเลย และคนอื่นๆพอเห็นพระรามสลบ ก็สลบตามพระรามไปมั้ง (นี่มันอุปาทานหมู่แล้ว!!!)

เดือดร้อนให้เทวดาลงมาประพรมน้ำทิพย์ ให้ตื่นขึ้นมาเจรจากันต่อ.....พระพรตเรียนเชิญพระรามกลับไปครองเมืองดั่งเดิม แต่พระรามก็ปฏิเสธเพื่อรักษาเกียรติยศของบิดา และ ทำตามหัวใจเรียกร้อง....

พระพรตก็ไม่ยอม บอกว่า ถ้าพี่ไม่กลับน้องก็ไม่กลับ จะเดินดงไปกับพี่ ทั้งคู่เถียงกันไปมา เดือดร้อนเทวดาต้องลงมาบอกพระพรตว่า ถ้าไม่ยอมให้พระรามออกเดินดง เนื้อเรื่องรามเกียรติ์มันก็ไม่เดินไปไหนอ่ะดิ คนแต่งเค้าเขียนบทมาแล้วให้พระรามต้องเดินดง ฉะนั้นพระพรตอย่าเวิ่นเว้อ...ทำให้คนอ่านเสียรมณ์

ว่าแล้วพระพรตก็ต้องขอตัวกลับเมือง แต่ก่อนกลับ ได้ทูลของฉลองพระบาท (รองเท้า) ของพระราม (แล้วพระรามจะเอาอะไรใส่??) เพื่อเอาไปใส่พานแก้ว ดูต่างหน้าที่อโยธยา ประหนึ่งว่าพระรามประทับอยู่ที่อโยธยา ส่วนตัวเองจะไปสร้างเมืองอยู่ใกล้ๆอโยธยา ชื่อว่า เมืองประจันตคาม เวลาจะหารือกิจการบ้านเมืองอโยธยา พระพรตจะไปหารือกับบรรดาอำมาตย์ต่อหน้ารองเท้าของพระราม เพื่อเตือนสติทุกๆคนว่า เมืองอโยธยานั้น แท้จริงแล้วยังคงเป็นของพระราม

พระพรตยังทูลพระรามเพิ่มเติมด้วยว่า หลังจาก 14 ปีผ่านไป พระรามต้องกลับไปที่อโยธยา มิฉะนั้นพระพรตจะฆ่าตัวตาย......

หลังจากตกลงกันได้...ขบวนเสด็จของพระพรตก็ดำเนินกลับอโยธยา

ส่วนก๊วนของพระรามนั้น อยู่ๆที่เขาสัตตกูฏไปสักพัก ก็พาลให้เกิดความเร่าร้อนใจยังไงบอกไม่ถูก พระรามจึงตัดสินใจพาพระลักษณ์และนางสีดาเดินดงหาที่พำนักใหม่ดีกว่า

และวันนีงขณะเดินดงมาเรื่อยๆ ก็มาถึงบริเวณเขาอัศกรรณ ที่นี่เป็นที่พักและสวนของยักษ์ตนนึง ชื่อ พิราพ


สวนของพิราพนั้น มีต้นชมพู่ในตำนาน ชื่อ ชมพูชวาทอง มีผลที่มีรสเอร็ดอร่อย ยักษ์พิราพจึงหวงนักหวงหนา บอกให้บรรดาลิ่วล้อเฝ้าสวนเสียให้ดี อย่าให้ใครมาขโมยชมพู่ไปกิน

ภาพที่เห็น ผมเข้าใจว่าเป็นภาพยักษ์พิราพ วิ่งเล่นไปมาในสวน ยักษ์ตนนี้มีฤทธิ์มากครับ จับช้างกินเล่นได้สบายๆ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 19 ฉากที่ 3-ยักษ์พิราพจับช้างกิน




...เรื่องของยักษ์พิราพนี่ มีเรื่องเกร็ดที่ชวนงงๆอยู่ครับ ผมก็งงๆอยู่หลายปี จนกระทั่งได้ไปอ่านกระทู้ในเว็บเรือนไทยที่มีคนมาโพสต์ แต่ก็มิทราบได้ว่า ถูกต้องประการใด...

คือยักษ์พิราพเนี่ย ในวงการนาฏศิลป์และดุริยางศิลป์ นับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์สูงสุด มีการไหว้พระพิราพกันเป็นพิธีกรรมเลยทีเดียว หัวโขนของพระพิราพที่ใช้ในพิธีไหว้ครู ก็คล้ายคลึงกับ ยักษ์พิราพที่ปรากฏในภาพนี้แหละครับ

และนั่นเอง ทำให้ผมก็เข้าใจเอาเองว่า พระพิราพที่เป็นครูนาฏศิลป์ (ซึ่งตามตำนาน ว่ากันว่า เป็นปางนึงของพระอิศวร แต่ในรามเกียรติ์ไม่ได้บอกอย่างนั้นครับ บอกแค่เพียงว่า พระอิศวรประทาน สวนชมพู่ให้) กับยักษ์พิราพในรามเกียรติ์ เป็นองค์เดียวกัน

แต่ในเว็บเรือนไทย เค้าบอกว่า ยักษ์ในรามเกียรติ์หน่ะจริงๆชื่อ วิราธ แต่เรียกกันเพี้ยนมาเป็น พิราพ

แต่ที่วัดพระแก้ว ภาพเขียนที่เขียนกันมาตั้ง 60 กว่าปี ก็เขียนว่า พิราพ นะครับ แสดงว่า เรียกกันเพี้ยนมาตั้งนมนานแล้วเหรอ???

อันนี้ ผมก็ไม่ทราบนะครับ....รู้แค่งูๆปลาๆเหมือนกัน....แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้ พระราม และ ก๊วน กำลังเดินทางเข้าสู่สวนของยักษ์พิราพแล้ว และก็ดันไปแอบกินชมพู่ชวาทองซะด้วย พอลิ่วล้อยักษ์พิราพเห็นเข้า ก็จะตามมาเอาเรื่อง ก็เจอพระรามและพระลักษณ์แผลงศรกันจนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ

ยักษ์พิราพนั้นจะมาตรวจตราดูสวนตัวเองทุก 7 วัน

พอครบวันที่ 7 วันที่ยักษ์พิราพมาตรวจตรา ก็ได้พบกว่าภาพสวนชมพูถูกเด็ดกินไปเป็นเบือ (พระรามกินอะไรเยอะแยะขนาดนั้น?) และลูกน้องโดนถล่มเละ ลูกพี่ใหญ่จึงทนไม่ได้ รีบวิ่งเข้าไป จัดการ กับพระรามในทันที.....ดูเพิ่มเติมแท็กรูปภาพแท็กเรียบร้อยแล้วเพิ่มสถานที่แก้ไข

โน๊ตไว้ก่อนว่า ตอนนี้พระรามและพระลักษณ์ได้ประมือกับยักษ์ตนใดไปแล้วบ้าง

1. นางกากนาสูร

2. สวาหุ

3. มารีศ

4. รามสูร

5. พิราพ....

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:34:41 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #6 on: 02 March 2022, 13:24:53 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 20 ฉากที่ 1-พระรามช่วยนางเสาวรี




พูดตรงๆนะครับว่าห้องที่ 19-21 นี่มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแอบอยู่เยอะจริงๆ มันเยอะเสียจนผมดันลืมเก็บภาพประเด็นสำคัญ นั่นคือ ฉากพระรามแผลงศรฆ่ายักษ์พิราพไปซะนั้น

ลองดูที่ด้านล่างตรงกลางๆหน่ะครับ (โผล่มานิ๊ดนึง) จะเห็นชฏาพระรามกำลังแผลงศร ถ้าผมจำไม่ผิดนี่แหละ ฉากพระรามแผลงศรฆ่ายักษ์พิราพ ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยนะครับ

ภาพนี้ยังมีฉากสำคัญแอบซ่อนอยู่ด้านบนคือ ฉากพระรามดับไฟป่า ... เป็นฉากที่หลังจากพระรามและก๊วนจัดการกับยักษ์พิราพเรียบร้อย ก็ออกเดินทางต่อมาพบกับนางเสาวรี ที่ถูกพระอิศวรสาปให้มาเฝ้าป่าสาลวัน ซึ่งเป็นป่าที่มีไฟไหม้ตลอดเวลา (สาปข้อหาอะไร ผมลืมไปแล้ว อิอิ) และจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อเจอะกับพระนารายณ์อวตาร ซึ่งก็คือพระรามนั่นเอง มาดับไฟป่าให้ นางจึงจะพ้นคำสาป

พระรามได้รับการร้องขอจากนาง จึงแผลงศรพลายวาต ขึ้นไป กลายเป็นฝนเทลงมาดับไฟป่าสนิท นางจึงพ้นคำสาป ลอยกลับสวรรค์ไป

ภาพนี้มีจุดที่ผมสนใจมาก และก็ยังไม่ค่อยแน่ใจอยู่ก็คือ จุดตรงขวามือ ที่มีศาลา และมีคนสามคน (น่าจะเป็นคนสองคนกับยักษ์หนึ่งตนมากกว่า) กำลังยืนคุยกันอยู่

ตอนอยู่วัดพระแก้ว ผมเดาไม่ออกว่าเป็นฉากไหน เพราะมันอยู่ด้านบนๆของกำแพง มองแทบไม่เห็นครับ เลนส์เทเลก็ไม่ได้พกไป

แต่หลังจากที่กลับบ้านมาเอามานั่งซูมเอง ผมขอเดาว่าน่าจะเป็นฉากที่นางสำมนักขา บ่างช่างยุประจำเรื่อง กำลังหว่านเสน่ห์ใส่พระรามและพระลักษณ์

แต่จุดที่น่าสังเกตก็คือถ้าจัดตาม timeline ของเรื่อง ถัดไปจากห้องนี้มันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์นี้ ซึ่งเดี๋ยวผมจะได้นำเสนอต่อไป

ผมเลยเริ่มลังเลแล้วว่า ตกลงสามคนที่คุยกันนั้น มันเป็นฉากนางสำมนักขาจริงหรือเปล่า?

แต่อย่างที่บอกอ่ะครับ แต่ละห้องวาดกันโดยศิลปินคนละคนกัน อาจจะเป็นไปได้ที่ความต่อเนื่องของเรื่องอาจจะสลับไปมาตามแต่ที่ศิลปินจะตกลงกันวาด (เดาล้วนๆนะครับ)

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:36:04 by ppsan » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.046 seconds with 20 queries.