Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
20 November 2024, 00:37:26

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,446 Posts in 12,839 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  ภาพประทับใจ  |  ผนังเก่าเล่าเรื่อง (Moderator: ผนังเก่าเล่าเรื่อง)  |  รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 21 - 30]
0 Members and 2 Guests are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 21 - 30]  (Read 767 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« on: 02 March 2022, 13:29:24 »

รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว  by julapong [ห้องที่ 21 - 30]


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 21 ฉากที่ 1-พระลักษณ์ปราบกุมภากาศ




ภาพนี้ผมไม่อยากจะเอาโชว์เลย พับผ่าสิครับ สุดยอดของความไม่ชัด เนื่องจากภาพนี้อยู่ตอนบนๆของกำแพง (เกือบจะชนเพดาน) เลนส์เทเลก็ไม่มี ตัวก็เตี้ย แม้จะปีนเก้าอี้แล้วก็สูงได้แค่ครึ่งกำแพง T_T ก็เลยได้ภาพถ่ายห่วยๆแบบนี้มา (คราวหน้าผมจะตามไปซ่อมใหม่)

ภาพนี้แหละที่ทำให้ผมงงฉากในห้องก่อนหน้านี้ เพราะฉากนี้ตามเนื้อเรื่องควรจะเกิดก่อนที่นางสำมนักขาไปหว่านเสน่ห์พระรามและพระลักษณ์

ฉากนี้เป็นฉากที่ยักษ์ชื่อ กุมภกาศ ซึ่งก็เป็นลูกนางยักษ์สำมนักขา บ่างช่างยุประจำเรื่อง กำลังทำพิธีบำเพ็ญเพียรเพื่อขอพรพระพรหม

พระพรหมเห็น กุมภกาศ มีความตั้งใจ เลยประทานพระขรรค์ให้เป็นรางวัล โดยโยนตุ๊บจากบนสวรรค์ลงมาให้ต่อหน้า กุมภกาศ

กุมภกาศ มันเป็นยักษ์อวดดีครับ ต่อว่าพระพรหมว่า ถ้าคิดจะประทานพระขรรค์ให้ ต้องเอามาให้กับมือนี่ ไม่ใช่มาโยนใส่ตรงหน้า แบบนี้มันถือว่าไม่ให้เกียรติกัน (ช่างเป็นยักษ์ที่เกรียนได้ใจจริงๆ)

พระพรหมเห็นดังนั้นก็ถอนใจ แล้วก็พึมพำ งั้นก็เรื่องของมรึงหล่ะกัน ถือว่าตรูไม่ได้โยนไปให้มรึงหล่ะกัน

ผ่านไปสักระยะ พระรามและก๊วนก็เดินทางไปใกล้ๆจุดที่ กุมภกาศ บำเพ็ญเพียรอยู่ พระลักษณ์อาสาไปหาผลหมากรากไม้มาให้

ขณะที่พระลักษณ์กำลังเดินเก็บผลไม้อยู่ก็เหลือบไปเห็นพระขรรค์นอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น จึงลองหยิบขึ้นมาดู เท่านั่นแหละครับ รัศมีพระขรรค์เจิดจรัสออกมาแวววับไปทั่ว ..... ก็มันเป็นอาวุธขั้นเทพที่พระพรหมประทานให้ แต่ยักษ์เกรียนกุมภกาศดันทำตัวเป็นหัวล้านได้หวี ไม่รู้จักของดี

แสงแวววับดันไปกระทบตากุมภกาศ ยักษ์เกรียนเห็นดังนั้นก็โกรธหาว่า พระลักษณ์มาแย่งของดีของตนไป (อ้าว แล้วทีก่อนหน้านี้พี่ไม่ไยดีเลย??) จึงเข้าต่อตีกับพระลักษณ์เพื่อแย่งพระขรรค์คืนมา

ลองดูที่ภาพนะครับ มีฉากพระลักษณ์ในเครื่องแต่งกายฤาษีหยิบพระขรรค์ มีรัศมีแว่บๆๆๆด้วย

พระลักษณ์และ กุมภากาศ ฟัดกันไปมา สุดท้ายพระลักษณ์ตัดคอกุมภากาศขาดกระเด็นด้วยพระขรรค์ที่มันไม่ไยดีนั่นแหละ

และพระลักษณ์ก็นำพระขรรค์ไปถวายให้พระราม แต่พระรามบอกให้พระลักษณ์เก็บไว้เป็นอาวุธคู่กายดีกว่า....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 21 ฉากที่ 2-ยักษ์ชิวหาเฝ้าลงกา




เหตุการณ์นี้ถ้าว่ากันตาม Timeline ก็น่าจะเกิดก่อนฉากนางสำมนักขา

และถ้าผมจำไม่ผิดฉากนี้แหละที่ ทศกัณฐ์ ตัวร้ายของเรื่องโผล่มาเป็นครั้งแรก

ถ้าว่ากันตามเนื้อเรื่องรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ โผล่มาตอนแรกในชาติก่อนที่เกิดเป็น นนทุก ยักษ์ที่คอยล้างเท้าบรรดาเทวดา ที่ตีนบันไดเขาไกรลาส อันเป็นที่พำนักพักอาศัยของพระอิศวร เทวดาที่จะไปเฝ้าพระอิศวรจะต้องให้ นนทุก ล้างเท้าให้เอี่ยมก่อนจะเดินขึ้นไป และด้วยความที่หน้าตา นนทุก อัปลักษณ์ บรรดาเทวดาที่นนทุกคอยล้างเท้าให้ก็มักจะแกล้ง เขกหัว เขกไปเขกมา หัวนนทุก ก็เลยล้านไม่มีผม จากที่ไม่หล่อ ก็เลยกลายเป็นโคตรอัปลักษณ์ไปเลย นนทุกน้อยใจเลยไปตัดพ้อกับพระอิศวร

พระอิศวรก็ใจดีเกินเหตุ ประทานนิ้วเพชรให้ เอาไว้ไปชี้เทวดาองค์ไหนก็ได้ เทวดาองค์นั้นเป็นซีแหงแก๋ (ดีที่ไม่เอาไปชี้พระอิศวร)

นนทุกพอได้นิ้วเพชรมา ก็ลิงโลด รีบเอาไปแก้แค้น ชี้เทวดาตายแหง๋แก๋กันแทบเกลี้ยงสวรรค์ เดือดร้อนพระอิศวร ต้องไปตามพระนารายณ์มาจัดการ (แล้วท่านจะประทานนิ้วเพชรให้มันไปทำมายยย)

พระนารายณ์ก็พระนารายณ์เถอะ เจอนิ้วเพชรเข้าไป ใครๆก็กลัว พระนารายณ์เลยต้องออกอุบายแปลงร่างเป็นนางอัปสร เข้าไปหา นนทุก

นนทุกเห็นก็ชอบอกชอบใจ เกี้ยวพาราสีกันไปมา ตามบทร้อยกรองพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ฉากในตอนนี้มีบทรำระหว่างนนทุกกับนางอัปสรจำแลง ซึ่งมีการดัดแปลงมาเป็นท่ารำในเชิงนาฏศิลป์จริงๆเลยนะครับ โดยส่วนตัวของผม ผมว่าบทกรองฉากนี้ถือว่าเป็นมาสเตอร์พีสด้านร้อยกรองเลยทีเดียว

ร่ายรำกันไปมา จนถึงท่า นาคาม้วนหาง (เป็นท่ารำในทางนาฏศิลป์จริงๆเลยนะครับ) ซึ่งเป็นท่าที่นนทุกต้องชี้นิ้วเพชรเข้าหาขาตัวเอง จนขาตัวเองหักสองข้าง พระนารายณ์เลยจำแลงกลับเป็นร่างเดิมสี่กร เหยียบยอดอกนนทุกไว้

นนทุกก็บ่นกระปอดกระแปดออกไปว่า อีโธ่ ท่านกลัวนิ้วเพชรของข้าหละสิ ถึงได้ต้องเล่นแผนสกปรกแบบนี้ และที่สำคัญท่านมี 4 มือหรอก ถึงเอาชนะข้าได้ ชนะแบบนี้มันไม่สมศักดิ์ศรีหรอกเจ้านาาายยย

พระนารายณ์ได้ฟังดังนั้น เลยตรัสออกไปว่า ได้ๆๆๆ งั้นชาติหน้า เราจะไปเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา 2 มือ 2 ขา ส่วนเจ้า ให้ไปเกิดเป็นอภิมหายักษ์ 10 หน้า 20 มือเลย แล้วเราจะตามไปปราบเจ้าเอง พอตรัสเสร็จพระนารายณ์ตัดคอนนทุกเสียให้จบเรื่องราวไป

.....เล่ามาตั้งนาน ยังไม่เข้าฉากนี้เลย.....

ว่ากันถึงฉากนี้...เป็นฉากของ ยักษ์ชื่อ ชิวหา ฝาละมี ของนางสำมนักขา หรือ พ่อของยักษ์เกรียนกุมภากาศ ที่เพิ่งจะโดนพระลักษณ์ตัดคอไปเมื่อตะกี๋

นางสำมนักขานั้นเป็นน้องสาวคนเล็กของทศกัณฐ์ ฉะนั้น ชิวหา จึงมีสถานะเป็นเหมือนน้องเขยของทศกัณฐ์

มีอยู่คราวนึง (ก็คราวในภาพนี่แหละ) ที่ ทศกัณฐ์ ต้องออกไปนอกเมืองหลายวัน ก็เลยฝากเมืองลงกา ให้น้องเขยสุดเลิฟช่วยดูแลให้หน่อย ชิวหา ก็ปฏิบัติงานได้อย่างเข้มแข็ง เดินตรวจตราเช้าเย็นหลายวันติดต่อกัน พอจนถึงวันสุดท้ายที่ทศกัณฐ์กำลังจะเดินทางกลับ ชิวหาดันเกิดอ่อนเพลียง่วงหงาวหาวนอนจากการตรากตรำเฝ้าเวรมาทุกวัน เลยขออนุญาตงีบ แต่ด้วยความที่หน้าที่สำคัญกว่าการงีบ ชิวหาเลยเนรมิตกายให้ใหญ่โต แล้วแลบลิ้นปิดเมืองลงกาไว้ทั้งเมือง (ทำไมไม่เนรมิตตัวให้ใหญ่แล้วโอบกอดไว้??? จะใช้ลิ้นทำไม? หรือกลัวคนจะไม่รู้ว่าตัวเองชื่อ ชิวหา???)

ทศกัณฐ์เดินทางกลับมาลงกา สังเกตสิ่งผิดปรกติ เมืองตรูหายไปไหน ทำไมมีดุ้นเนื้ออะไรใหญ่ๆมาขวางข้างหน้า? ใครมาแหล่มตรูหรือเปล่าเนี่ย? ว่าแล้วก็ให้บรรดาลิ่วล้อไปเคาะประตูเมืองดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น (ดูจากภาพเลยครับ)

ลิ้วล้อเคาะประตูเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครตอบ เพราะเวรยามและชิวหาต่างก็หลับไหล คร่อกฟี้

ทศกัณฐ์เห็นดังนั้นก็โกรธ แล้วไอ้ดุ้นเนื้อที่มันห่อเมืองตรูอยู่นี่มันอะไรกันฟร่ะ????!????

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 21 ฉากที่ 3-ทศกัณฐ์พลั้งมือฆ่าชิวหา




หลังจากที่ ทศกัณฐ์ ขุ่นเคืองปนไม่รู้ว่า ตกลงแล้ว ไอ้ดุ้นเนื้อนี่มันคืออะไร นึกอย่างเดียวว่า มันต้องมีใครมาลองดูีตรูแน่นอน ว่าแล้วก็ขว้างจักร โช๊ะ! ลิ้นชิวหาขาดสะบัน ตายคาที

สมน้ำหน้าจริงๆ แทนที่จะหาวิธีเฝ้าเมืองดีๆ ดันพิเรนท์เอาลิ้นมาห่อเมือง

นางสำมนักขา รู้ข่าวว่า พี่ชายฆ่าผัวตัวเอง ก็โกรธ ทศกัณฐ์ แต่หลังจาก ทศกัณฐ์ เล่าเรื่องราวให้ฟัง นางก็ค่อยผ่อนคลาย แต่ก็ยังคงโศกเศร้า ว่าแล้วไหนๆผัวก็ตายไปแล้ว เดินทางไปหาลูกชายสุดเลิฟที่ออกไปบำเพ็ญเพียรตั้งนานแล้วดีฝ่า (หารู้ไม่ว่า ลูกตัวเอง ก็โดนฆ่าตายไปแล้วเช่นกัน สรุปตายไปแล้วทั้งลูก ทั้งผัว)....

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:41:37 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #1 on: 02 March 2022, 13:31:07 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 20 ฉากที่ 2-นางสำมนักขายั่วยวนพระราม




หลังจากจบห้องที่ 21 ผมใคร่ขอนำย้อนกลับไปห้องที่ 20 ใหม่ ด้วยฉากที่ผมเปิดประเด็นไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผมไม่มั่นใจว่า ฉากนี้จะเป็นฉากนางสำมนักขาหรือเปล่า? เพราะ timeline มันดูจะขัดแย้ง ไม่เรียงลำดับ.....แต่ฉากนางสำมนักขา ก็ไม่ปรากฏในห้องที่ 21 แถมในห้องที่ 22 ก็เป็นฉากที่ต่อเนื่องจากฉากนางสำมนักขาเสียด้วย

ผมเลยขอสรุปเอามั่วๆของผมแหละว่านี่เป็นฉาก นางสำมนักขา

... หลังจาก นางยักษ์ เดินทางจากลงกา มาตามหาลูกชาย ที่จริงๆแล้ว โดนพระลักษณ์ตัดคอไปเรียบร้อย

ระหว่างเดินทาง นางก็เดินทางผ่านที่พำนักของพระรามและก๊วน สายตาของนางปราดไปเป็นเห็นพระลักษณ์ และก็เกิดหลงไหลสิเน่หาขึ้นโดยพลัน (อาจจะด้วย อารมณ์ที่ผัวเพิ่งจะตายไปกระมัง??)

นางจึงเข้าไปเกี้ยวพาราสีพระลักษณ์ ด้วยการจำแลงเป็นสาวสวยอรชร แต่พระลักษณ์ไม่เล่นด้วย แล้วก็โบ้ยให้ไปหาพี่ชายตัวเองแทน

พระรามเดินออกมาพอดี นางยักษ์เห็นเข้า ก็เลิฟ เลิฟ เลิฟ มากกว่าพระลักษณ์อีก รีบเข้าไปกระหลิ่มกระเหรี่ย แต่พระรามก็ไม่สนใจพร้อมบอกว่า ผมมีเมียแล้วครับ

ว่าแล้วนางสีดาก็เดินออกมาจากที่พัก นางยักษ์เห็นดังนั้น วิญญาณนางร้ายละครน้ำเน่าก็เข้าสิง ด่าว่าทอนางสีดาว่ารูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์แล้วมีสิทธิอะไรมาจับจองพระรามทำผัว??

ต่อปากต่อคำกันไปสักพัก พระรามคงรำคาญ ก็เลยออกปากไล่นางยักษ์ไปไกลๆเลย ถ้าไม่ไปเดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย

ว่าแล้วนางยักษ์ก็เลยกลายร่างเป็นยักษ์ กะจะจับนางสีดากินแก้แค้น


ในภาพ ผมเข้าใจว่า พระรามกำลังไล่นางยักษ์สำมนักขาที่กลายร่างเป็นยักษ์แล้ว ให้ไปไกลๆเลย ขณะที่สีดาคงตกใจ พนมมือด้วยความกลัวยักษ์ ส่วนพระลักษณ์หลังจากโบ้ยนางยักษ์ไปให้พี่ชาย พอได้ยินเสียงเจี้ยวจ้าว เลยเดินออกมาดูเหตุการณ์

หลังจากที่พระรามไล่นางยักษ์ให้กลับไป นางก็ไม่กลับ แต่กลับมุ่งเข้าทำร้ายนางสีดา พระลักษณ์เห็นดังนั้นก็รีบปราดเข้ามาใช้พระขรรค์อันที่ได้มาจาก กุมภากาศ ตัดหู จมูก ของนางยักษ์โช๊ะเช๊ะ พระขรรค์ที่พระลักษณ์ใช้เป็นอาวุธเทพประทาน หูและจมูกของนางยักษ์จึงถูกตัดได้อย่างง่ายดาย

นางเจ็บปวดรวดร้าว จึงรีบวิ่งหนีปรู๊ดๆ ร้องลั่นป่า เลือดไหลเป็นทาง มุ่งหน้าไปยังเมืองโรมคัล อันเป็นเมืองที่ พี่ชายของนางอีกตนนึง ปกครองอยู่ นั่นคือ พระยาขร

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:44:26 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #2 on: 02 March 2022, 13:33:37 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 22 ฉากที่ 1-นางสำมนักขาฟ้องพระยาขร




หลังจากนางยักษ์สำมนักขา ไปทะลึ่งไม่ดูตาม้าตาเรือใส่พระรามและพระลักษณ์ เลยดูพระลักษณ์เอาพระขรรค์ตัดหูตัดจมูกแหว่ง

นางกรีดร้องวิ่งหนีมาจนถึง เมืองโรมคัล นางมาทำไมเมืองนี้?

... ก็เพราะ เมืองนี้มีพระยาขร ซึ่งเป็นพี่ชายตัวเองปกครองอยู่

ถ้าจะไล่ตามลำดับพี่น้องของทศกัณฐ์ จะไล่ได้ดังนี้ครับ

พ่อ+แม่: ท้าวลัสเตียน + นางรัชดา

ไล่ตามคนโตคนเล็ก...

1. ทศกัณฐ์

2. กุมภกรรณ

3. พิเภก

4. พระยาขร

5. พระยาทูษณ์

6. ท้าวตรีเศียร

7. นางสำมนักขา

นางสำมนักขาพอได้เจอกับพี่ชาย พระยาขร ปุ๊บ ก็รีบแจ๊ดแจ๋ตามสไตล์นางร้ายในละครน้ำเน่า เล่าเป็นฉากๆ ฉอดๆ ว่าตัวเองนั้น น่าสงสาร เดินชมนกชมไม้อยู่ดีๆ ก็โดนมนุษย์ตัวเท่ามด มารังแก ทั้งๆที่ ตัวเองเป็นผู้หญิงบอบบางร่างน้อย บลา บลา บลา...

พระยาขร จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า น้องตัวเองนั่น "แหล" ขนาดไหน แต่ด้วยความที่ พระรามพำนักในอาณาเขตปกครองตัวเอง ไอ้การจะให้มนุษย์ตัวเท่ามด มาก่อเรื่องอวดศักดา ในเขตตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ยักษ์ผู้ทรงอิทธิพลยอมไม่ได้จริงๆ เพราะยุคนี้ ในยุคที่ทศกัณฐ์ครองเมือง ทุกตารางนิ้วบนพิภพต้องสยบให้กับตระกูลทศกัณฐ์

ว่าแล้ว พระยาขร ก็เรียกประชุมพลโดยด่วน!!!

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 22 ฉากที่ 2-พระยาขรระดมพล




พระยาขรณ์เรียกเหล่าลิ่วล้ออำมาตย์มาประชุมกันว่าจะจัดการเรื่องพระรามยังไงกันดี

ตอนแรกพระยาขรณ์ได้มีการส่งลิ่วล้อออกไปจัดการพระราม แต่ส่งไปทีไร ไม่เคยกลับมาสักกะที จนในท้ายที่สุด บรรดาอำมาตย์ได้ทูลชี้แจงว่า สงกะสัยว่า ไอ้มนุษย์ในป่า มันจะไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้ว เพราะแผลงศรออกมาแต่ละที พวกยักษ์อย่างเรามองไม่เคยทัน กว่าจะรู้ตัว ศรก็ปักอกตายแล้วขอรับ....

ได้ยินแบบนั้น แทนที่พระยาขรณ์จะกลัว ดันยิ่งโมโห เพราะนึกว่า ลิ่วล้อ ตัวเองเป็นพวกขี้ขลาด แต่ก่อนแต่ไร พวกยักษ์ไม่เคยเห็นมนุษย์เดินดินอยู่ในสายตา จับมากินเล่นเป็นขนมอยู่เสมอ อยู่ดีๆจะมาแผลงฤทธิ์ฆ่ายักษ์เป็นเบือได้ไง??

ว่าแล้วก็เรียกอำมาตย์มา ระดมพล เพราะคราวนี้ ตัวพระยาขรณ์ จะออกไปรบด้วยตัวเอง เรียกขวัญและกำลังใจให้เหล่ายักษ์เองแล้ว....

ในรามายณะ ศึกครั้งนี้ บรรดาพี่น้องพระยาขรณ์ พระยาทูษณ์ และตรีเศียร จะออกรบพร้อมๆกันนะครับ คล้ายๆว่าอยู่เมืองเดียวกัน แต่ในรามเกียรติ์จะให้แยกกันอยู่คนละเมือง ทยอยกันมารบทีละทัพๆ

เกร็ดอีกอย่างจากรูปข้างบน....พวกยักษ์ลิ่วล้อ มักจะไม่สวมชฏา ไม่งั้นจะแยกลำบากอันไหนยักษ์ไพร่ อันไหนยักษ์ตัวเอก

แต่จะมียักษ์ตัวเอกของเรื่องอยู่ตัวเดียว (ถ้าความจำผมไม่มั่ว-ผมไม่รวมเอายักษ์พิราพเข้าเป็นยักษ์ตัวเอกนะครับ เพราะโผล่มาแป่บเดียวแล้วก็ตาย) ที่ไม่ยอมสวมชฏา......ตอนนี้ยังไม่โผล่ รอดูกันต่อไปว่าเป็นยักษ์ตนไหน???

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 22 ฉากที่ 3-พระยาขรออกศึก




แทน แท่น แท้น....พระยาขร ออกศึก!!!

ผมเข้าใจว่าศิลปินห้องนี้คงประทับใจพระยาขรมาก เพราะเขียนตอนเดียว มีรูปพระยาขรเยอะมาก มีแทบทุกอิริยาบท....

จุดนึงที่ผมสนใจตอนอ่านรามเกียรติ์ช่วงแรกๆก็คือ ทำไมศึกคราวนี้ ลูกๆพระยาขรไม่ออกรบด้วย??

พระยาขรมีลูกชาย 2 ตน คือ มังกรกัณฐ์ และ แสงอาทิตย์ .... โดยตัวมังกรกัณฐ์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ เป็นควายเกรียนทรพีกลับชาติมาเกิดหลังจากโดนพาลีเชือดตายคาถ้ำ

มังกรกัณฐ์ จะโผล่มามีบทบาทอีกที ตอนศึกอินทรชิต ส่วน ส่วน แสงอาทิตย์ จะโผล่มาตอนที่ ทศกัณฐ์ เริ่มออกศึกกับพระรามด้วยตัวเอง

ทั้งคู่ออกศึกเพื่อล้างแค้นให้พ่อ....(แล้วตอนพ่อออกศึก ตัวเองไปอยู่ไหนซะเนี่ย??)

ยักษ์มังกรกัณฐ์ กับ แสงอาทิตย์ เป็นยักษ์ที่มีรูปปั้นเป็นยักษ์ที่ยืนท้าแดดลมอยู่ที่วัดพระแก้วด้วยนะครับ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 22 ฉากที่ 4-พระรามกำราบทัพพระยาขร




ภาพนี้เบลออีกภาพ เพราะศิลปินวาดอยู่ด้านบนเกือบจะติดเพดาน

พอพระยาขร ยกทัพมาเจอะกับพระราม แรกๆพระยาขร ก็นึกดูถูกดูแคลนพระรามที่ตัวเล็กเท่ามด ไม่เห็นจะมี 20 มือ 10 หน้าเหมือนพี่ชายทศกัณฐ์ มันจะไปมีฤทธิ์อะไรมากมาย เสียเวลายกทัพมาจริงๆ ว่าแล้วก็สั่งให้พวกลิ่วล้อออกไปสอยพระรามซะ

พระรามฝากนางสีดาไว้กับพระลักษณ์ ก่อนออกมาซัดกับยักษ์แบบหนึ่งต่อพัน

อันพระรามนั้นแม้จะเป็นมนุษย์ แต่เป็นร่างเทพอวตาร ฉะนั้นฤทธิ์เดชจะไปเหมือนมนุษย์ทั่วไปได้ยังไง? แถมข้างกายก็มีอาวุธเทพเต็มไปหมด โดยเฉพาะ ศร

อย่างที่เคยได้กล่าวไว้แล้วครับ ศร คู่กายพระรามมี สามคัน ... ศรพลายวาต ศรพรหมมาสตร์ ศรอัคนีวาต

เจอะกองทัพยักษ์เยอะขนาดนี้ พระรามเลยจัดศรอัคนีวาตให้ก่อนเพื่อตัดกำลังขบวนยักษ์ อันศรอัคนีวาตนั้นพอแผลงออกไปปุ๊ย จะเหมือนขว้างดวงอาทิตย์ใส่กองทัพศัตรูเพื่อเผาผลาญให้ราบเป็นหน้ากลอง

จากภาพ จะเห็นได้ครับว่า พระรามกำลังแผลงศรเพลิงใส่กองทัพพระยาขรล้มตายกันระเนระนาด.

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 22 ฉากที่ 5-พระรามดวลเดี่ยวพระยาขร




ศิลปินผู้วาดฉากพระยาขรนี่ เก็บรายละเอียดกันทุกเม็ดเลยครับ เสียอย่างเดียว วาดฉากต่อสู้กันอยู่ด้านบนผนังโน้น มองแทบไม่เห็น....

หลังจากพระรามซัดศรอัคนีวาต เผาผลาญทัพพระยาขร จนเกลี้ยงแล้ว ก็ถึงคราวที่แม่ทัพต้องลงมาซัดกันเองแบบ 1-1 แล้ว

... พระยาขรก็มี ศร ดีกับเค้าเหมือนกัน นั่นคือ ศรจักรพาล .... พระยาขรอาศัยจังหวะที่พระรามกำลังเผาผลาญพวกลิ่วล้อ เลยแอบยิงศรจักรพาลจากระยะไกล พระรามหลบเกือบไม่ทัน ต้องเอาคันศรขึ้นบังลูกธนู ผลปรากฏว่าคันศรหักสะบั้นลง

พระยาขรเห็นดังนั้น จึงรีบกระโดดเข้าใส่หมายจะขย้ำพระรามที่อาวุธหักให้ตายคาแทบเท้า

พระรามตอนนี้ตกที่นั่งลำบากครับ เพราะแม้จะมีศรดี แต่ถ้าคันศรหักแล้วจะแผลงออกไปยังไง? คันศรอะไหล่ก็ฝากไว้ที่พระลักษณ์ที่ตอนนี้พานางสีดาไปหลบซ่อนอยู่ .... พระเอกของเราตกที่นั่งลำบากซะแล้ววววว



ทันใดนั้นเอง พระรามก็แว่บคิดขึ้นมาได้ว่า เคยฝากคันศรของรามสูรไว้กับพระพิรุณนี่น่า (หวังว่ายังจำกันได้นะครับ ตอนนั้นพระรามมีอาวุธรุงรังเต็มตัว เลยขอฝากไว้กับพระพิรุณก่อน...)

พระรามเลยส่งซิกเรียกพระพิรุณ ให้รีบเอาคันศรของรามสูรมาให้โดยไว....

จากภาพทางซ้ายมือสุด จะเห็นเทวดาบินลงเอาคันศรมาให้ นั่นแหละครับพระพิรุณ

พอพระรามได้คันศรใหม่ ก็ซัดศรอัคนีวาตใส่พระยาขรโดยพลัน ... พระยาขรโถมเข้ามาทั้งตัว หลบไม่ทันเลยต้องเอาคันศรตัวเองรับศรพระรามแทน ผลปรากฏว่า คราวนี้คันศรของพระยาขรหักมั้ง....

ซวยหล่ะทีนี้ ... พระยาขรไม่ได้เอาคันศรสำรองไปฝากไว้กับเทวดาองค์ไหนซะด้วย แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับพระราม...

ว่าแล้ว พระยาขร ก็ไปถอนเอาต้นรังสูงเทียมฟ้า เอามาฟาดใส่พระรามแทน และเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แบบประชิดตัวแทน เพราะขืนเล่นกันวงนอก มีหวังโดนพระรามซัดศรเข้าให้....

จากภาพจะเห็นนะครับว่า ทั้งคู่ซัดกันนัวเนียเลย

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 22 ฉากที่ 6-พระรามปราบพระยาขร




หลังจากพระรามซัดกันตัวต่อตัวกับพระยาขรณ์ที่ใช้ต้นรังเป็นอาวุธ พระรามก็พิสูจน์ให้พระยาขรเห็นแล้วว่า พระรามไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่เป็นเทพอวตารลงมา แต่มันก็สายไปแล้ว....

พลันพระยาขรโดนพระรามสลัดหลุดอยู่วงนอกได้ พระรามก็แผลงศรไม้ตาย นั่นคือ ศรพรหมมาสตร์ ทะลุดวงใจพระยาขร สิ้นใจคาที่

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:48:15 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #3 on: 02 March 2022, 13:36:13 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 23 ฉากที่ 1-ท้าวตรีเศียรระดมพลแก้แค้น




หลังจากพระยาขรถูกพระรามจัดการสิ้นชีพคาสนามรบ...
ถ้าว่ากันตามเนื้อเรื่องจริงๆ คิวถัดไปที่ต้องยกทัพมาแก้แค้นพระรามคือ พระยาทูษณ์ แล้วค่อยตามด้วย ท้าวตรีเศียร

แต่ถ้าไปดูพภาพเขียนที่วัดพระแก้ว.... ห้องนี้จะให้ความสำคัญกับท้าวตรีเศียรมากกว่า ... ฉากของพระยาทูษณ์มีอยู่นิดเดียว แถมไปแอบอยู่ด้านบนสุดเลย...ผมเลยขออนุญาตสลับคิวการยกทัพหล่ะกันครับ ... แต่มันก็ไม่มีผลอะไร เพราะไม่...ว่าใครจะมาก่อนหลัง ก็โดนยิงตายทั้งนั่น โธ่ววว

หลังจากพระยาขรสิ้นชีพ บรรดาลิ่วล้อวิ่งแจ้นไปที่เมือง มัชวารี เพื่อไปแจ้งเจ้าเมือง นั่นคือ ท้าวตรีเศียร ยักษ์ตนนี้ดูง่ายครับ หน้าขาว 3 หน้า ชฏามีหนาม 3 กิ่ง

ท้าวตรีเศียร ก็เป็นหนึ่งในพี่น้อง ของทศกัณฐ์ และ นางสำมนักขา พอได้ข่าวว่า พี่ชาย คือ พระยาขร โดนมนุษย์ฆ่า ก็ของขึ้น .... รีบสั่งการให้ลิ่วล้อจัดทัพไปแก้แค้นให้พีชายโดยด่วน!!

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 23 ฉากที่ 2-ท้าวตรีเศียรออกศึก



ขบวนรบของท้าวตรีเศียรจัดเต็มจริงๆครับ เล่นขี่ช้างไปรบเลย

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 23 ฉากที่ 3-พระรามถล่มทัพท้าวตรีเศียร



บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจนะครับว่า พวกยักษ์นี่จะแห่กันมาทำไมเยอะแยะ มาเท่าไหร่ ก็เจอพระรามแผลงศรตายกลับไปเท่านั้น

นี่ขนาดยังไม่มีพวกลิงทหารเอกอย่างหนุมาน สุครีพ องคต พระรามวันแมนโชว์ยังสอยพวกยักษ์ได้เป็นกองทัพ ตอนผมอ่านรามเกียรติ์ใหม่ๆ ผมยังรู้สึกเลยว่า แล้วทศกัณฐ์ จะเอาอะไรไปสู้ฝ่ายพระรามเนี่ย??

ว่าแล้วพระรามก็แผลงศรพลายวาต สอยช้างทรงศึกของตรีเศียรจนตาย

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 23 ฉากที่ 4-พระรามจัดการท้าวตรีเศียร



และก็เป็นไปตามคาด พอท้าวตรีเศียรตกจากหลังช้าง พระรามก็คว้าเอาศรไม้ตาย ศรพรหมมาสตร์ ยิงปักอกตัดขั้วหัวใจท้าวตรีเศียรตายตามพี่ชายไป

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 23 ฉากที่ 5-พระรามรบพระยาทูษณ์



ถัดจากคิว พระยาขร และ ท้าวตรีเศียร ก็ถึงคิวน้องทศกัณฐ์อีกตน นั่นคือ พระยาทูษณ์ เจ้าเมืองชนบท

และพระยาทูษณ์ ก็เดินตามรอยพี่ชายทั้งสองตนเป๊ะๆ ด้วยการยกทัพออกมารบกับพระราม

ภาพนี้บรรยาการรบระหว่างพระยาทูษณ์กับพระรามในฉากเดียวเลยครับ...

พระยาทูษณ์นั้นมีวิชานินจา มนตร์กำบังกาย ทำให้พระรามมองไม่เห็นตัวพระยาทูษณ์ แต่ด้วยความปัญญานิ่มของพระยาทูษณ์ มันกำบังกายตัวเอง แต่ดันลืม ไม่ยอมกำบังม้าที่ขี่ไปด้วย พระรามก็สบายแฮ แผลงศรไปที่บนตัวม้าซะก็หมดเรื่อง

โชคยังดีที่ พระยาทูษณ์ หลบศรพระรามทัน แล้วเอาม้าตัวเองไปรับศรพระรามแทน ไม่งั้นคงฮากว่านี้

หลังจากหลบศรพระรามได้ พระยาทูษณ์ ก็เข้าสู่โหมด stealth ล่องหนอีกครั้ง แต่แทนที่จะฉวยโอกาสนี้กำจัดพระรามที่มองไม่เห็นตัวเองไปเลย ดันเสือกทะลึ่งบินไปซ่อนตัวบนก้อนเมฆ

 

ผมหล่ะไม่เข้าใจยักษ์ตัวนี้จริงๆ......

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 23 ฉากที่ 6-พระรามจัดการพระยาทูษณ์



หลังจากพระยาทูษณ์บินขึ้นไปซ่อนตัวหลังเมฆแบบที่พระรามก็ยังงงๆว่า เมิงจะขึ้นไปซ่อนตัวข้างบนโน้นทำไม ในเมื่อมีวิชากำบังกายหายตัวได้

พระยาทูษณ์ ก็ทำพิธีชุบหอกด้วยสายฟ้า ก่อนที่จะซัดหอกสายฟ้าลงมาจากกลีบเมฆใส่พระราม แต่ก็เช่นเคย ดันลืมเสกมนตร์กำบังกายใส่หอกของตัวเอง พระรามเลยเห็นหอกพุ่งลงมาจากฟ้าชัดแจ๋ว

... พระรามจึงแผลงศรพลายวาตกลับขึ้นไป ทำลายหอกของพระยาทูษณ์หักกลางอากาศ

พระยาทูษณ์ไม่ยอมแพ้ ชุบหอกขึ้นมาใหม่ ก่อนจะซัดใส่พระรามไม่ยั้ง แต่ก็นั่นแหละ ทุกครั้งที่ซัดหอก ก็ลืมเสกกำบังหอกตัวเอง พระรามจึงยิงสวนกลับไปได้ทุกนัด

หลังจากเล่นสงครามขีปนาวุธมาได้สักพัก...พระรามคงรำคาญ เลยคว้าเอาศรพรหมมาสตร์ออกมา พร้อมกับส่งซิกบอกบรรดานางฟ้าที่ลอยไปมาในอากาศ ให้ช่วยชี้จุดหน่อย ว่าอ้ายยักษ์โง่ มันซ่อนตัวอยู่ตรงไหน

หลังจากทราบจุดที่แน่นอนแล้ว พระรามก็แผลงศรทะลุชั้นเมฆตัดคอ แขน ขา พระยาทูษณ์หล่นตุ๊บลงพื้นพสุธา ดับอนาถ ไปอีกราย

นางยักษ์สำมนักขา เห็นพี่ชายทั้งสาม ตายอนาถ ด้วยฝีมือพระรามสิ้น จึงต้องรีบวิ่งกลับกรุงลงกา เพื่อพาความซวยไปเยือนพี่ใหญ่ ทศกัณฐ์.....

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:52:14 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #4 on: 02 March 2022, 13:39:15 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 1-นางสำมนักขาฟ้องทศกัณฐ์



หลังจากที่พาพี่ชายทั้งสามคือ พระยาขรณ์ ทูษณ์ และตรีเศียร ไปพบกับความวิบัติแล้ว

นางบ่างช่างยุสำมนักขาก็ยังไม่หยุดสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง คราวนี้นางวิ่งปรู๊ดกลับไปที่กรุงลงกาเลย เพื่อไปฟ้องอาตั๊วเฮีย ทศกัณฐ์

นางเล่าฉอดๆๆๆๆๆๆ ว่าไปเจออะไรมามั้ง พร้อมกับใส่ไข่เป็ด ไข่ไก่ ลงไปจนหมดเล้า พร้อมกับกำชับทศกัณฐ์ด้วยว่า น้องชายของท่านตายด้วยน้ำมือของพระรามคนเดียวเลย ถ้ายังปล่อยให้คนชื่อพระรามมีชีวิตอยู่ ทศกัณฐ์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ในช่วงเวลานั้น ทศกัณฐ์ ยกเว้นเฉพาะพาลีแห่งเมืองขีดขิน ไม่เคยกลัวใครหน้าไหน แม้กระทั่งพระอินทร์ที่ปกครองสวรรค์

ทศกัณฐ์พร้อมบุตรชาย อินทรชิต ก็เคยยกทัพ ไปกำราบพระอินทร์มาแล้ว และชื่อ อินทรชิต หรือพิชิตพระอินทร์ ก็มาจากชัยชนะในศึกครั้งนั้น

การที่พระรามตัวเท่ามด (เอาอีกแล้ว พวกยักษ์ชอบคิดว่าพระรามต๊อกต๋อยเสมอ) มาทำเบ่งในพื้นพิภพ ทศกัณฐ์ เลยยอมไม่ได้

แต่สถานการณ์คราวนี้เปลี่ยนไป....เพราะในกรุงลงกา มีเสนาธิการ ผู้มีความรอบรู้ในเรื่องราวต่างๆ สามารถทำนายทายทักเหตุการณ์ได้แม่นยำ เชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ รู้จักตื้นลึกหนาบางของยักษ์ทุกตนในลงกา นั่นคือ พิเภก น้องคนที่สามของทศกัณฐ์

พิเภก ออกปากเตือนทศกัณฐ์ ที่กำลังจะเดินรอยตามน้องชายทั้งสามว่า ถ้าท่านอยากตายโดยเร็วเหมือน ขร ทูษณ์ และตรีเศียร ก็รีบๆยกทัพออกไปเลย .... เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมามันชี้ให้เห็นแล้วว่า พระราม ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่จริงๆแล้ว คือ นารายณ์อวตาร

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะเอาอะไรไปสู้กับพระนารายณ์....ทศกัณฐ์ได้ฟังคำเตือนจากพิเภกก็พลันให้สะดุดไปนิดนึง

แต่...วิญญาณบ่าวของสำมนักขายังไม่หยุด ยังเล่าฉอดๆๆๆๆๆๆ ใส่ทศกัณฐ์ จนเริ่มลังเลอีกครั้ง แต่ทุกครั้ง พิเภก ก็จะคอยฉุดทศกัณฐ์ให้มีสติคิดให้รอบคอบ

นางสำมนักขาไม่ยอมแพ้...และรู้ด้วยว่า จุดอ่อนที่สำคัญของพี่ชายตัวเองที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องความหื่น

ทศกัณฐ์ จัดได้ว่าเป็นยักษ์ที่หื่นมาก เอาแค่เมียนอกจากเมียหลวงอย่างนางมณโฑแล้ว ยังมีสนามเป็นนางช้าง นางปลา มีสนมสิบตน มีลูกๆเรียกรวมกันว่า สิบรถ และมีสนมรองๆไปอีกพันตน มีลูกๆเรียกรวมๆกันว่า สหัสกุมารทั้งหนึ่งพัน

นี่ยังไม่รวมกิ๊ก นางฟ้าง นางอัปสร นางยักษ์ ที่ไปแอบไข่แบบไม่ออกสื่ออีกเป็นพันเป็นหมื่น

ทศกัณฐ์ถือว่า SEX เป็นยาบำรุงกำลังชั้นดี และที่มีวันนี้ได้ก็เพราะมีการบริหาร SEXERCISE ทุกวันๆละหลายๆครั้ง

นางสำมนักขา รู้ว่าพี่ตัวเองมีต่อมความหื่นแบบฉุดไม่อยู่ เลยงัดไม้ตายบอกว่า นอกจากตัวเองจะไปเจอพระรามและพระลักษณ์แล้ว ตัวเองยังไปเจอกับนางสีดา ซึ่งมีความงามระดับหนึ่งในสามโลก ตั้งแต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ยังไม่เคยเห็นหญิงไหนจะมีความงามขนาดนั้นมาก่อน งามเสียจนอยากจะควักลูกตาออกเพื่อจะได้เก็บความงามของนางไว้ในใจ....

พอได้ยินดังนั้นปุ๊บ ต่อมหื่นขั้นเทพของทศกัณฐ์ก็ทำงานกันเป็นเครื่องจักรไอน้ำ.....ไม่ว่าพิเภกจะห้ามปรามยังไง มันไม่ฟังอะไรทั้งนั้นแล้ว ความกำหนัดเพิ่มสู่ระดับสูงสุด

ที่ผ่านมาไม่ว่า นางฟ้า นางอัปสร กินรี ยักษี ตนไหนที่ทศกัณฐ์อยากจะได้ มันต้องได้ .... คราวนี้ต้องเหมือนกัน ถ้ามันอยากได้สีดามาเป็นหนึ่งในฮาเร็ม มันก็ต้องได้เช่นเดียวกัน

ว่าแล้ว....เศียรทศกัณฐ์ทั้งสิบก็คิดคำนวณว่าเอาไงดี พอดีก็ได้ยินจากเศียรนึงบอกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ให้ทศกัณฐ์ไปลักพาตัวนางสีดามา เท่านี้พระรามก็จะตรอมใจ หมดอาลัยตายอยากในการดำเนินชีวิตไปเอง พวกเราก็ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับศรของพระรามด้วย แม้วิธีจะดูโคตรโกงไปสักนิด แต่ใครจะไปสนใจ ก็พวกเรามันตัวโกงนี่หว่า ฮา ฮา ฮา

ทศกัณฐ์ รีบขี่บุษบกแก้ว พุ่งปรู๊ดออกจากลงกาไป จุดหมายคือ อาศรมที่พักของ มารีศ ที่ทศกัณฐ์ ได้ข่าวว่า หลังจากมารีศโดนศรพระรามยิงแล้ว แต่ไม่ตาย กลับเนื้อกลับตัวเป็นยักษ์นิสัยดี ไปบำเพ็ญเพียรอยู่แถวๆที่พระรามพำนักอยู่....ทศกัณฐ์มีจุดประสงค์บางอย่างในการไปหามารีศ.....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 2-ทศกัณฐ์พบหน้าสีดา



เท้าความถึง มารีศ เผื่อใครจะลืมไปแล้ว...

มารีศนั้นเป็นลูกนางยักษ์กากนาสูร อีกาจิ๊กข้าวเสกของฤาษีกไลโกฏ มีน้องชายชื่อ สวาหุ

ตอนนางกากนาสูรม่องเท้งด้วยฝีมือพระราม ทั้งมารีศและสวาหุ ก็รีบรุดไปแก้แค้น สวาหุตายในที่เกิดเหตุ ส่วนมารีศหนีหัวซุกหัวซุนออกมาได้ และภาพศรพระรามก็ยังหลอนในหัวใจ จนในท้ายที่สุด ต้องกลับตัวกลับใจมานั่งบำเพ็ญเพียรเป็นฤาษีชีไพรดีกว่า....

นางกากนาสูร นั้นเป็นญาติทางฝ่ายยายของทศกัณฐ์ ฉะนั้น มารีศก็นับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของทศกัณฐ์ได้เช่นกัน เพียงแต่อายุต่างกันไม่เยอะ แถมลูกของมารีศ ชิวหาก็มาแต่งกับนางบ่างสำมนักขา ก็เลยนับญาติกันให้มั่วไปหมด

ทศกัณฐ์รีบขึ้นบุษบกแก้วจากกรุงลงกา มาหามารีศเพราะคิดแผนชั่วขึ้นมาได้แผนนึง

ทศกัณฐ์รู้ว่า มารีศ มีวิชานินจา แปลงกายเป็นตัวอะไรก็ได้บนโลก เลยมีความคิดจะให้ มารีศ แปลงกายเป็นเฟอร์บี้ เอ๊ย!! กวางทองคำ เดินไปใกล้ๆนางสีดา พอนางสีดาเห็นปุ๊บ ก็ต้องนึกอยากได้กวางทองคำมาเลี้ยงไว้แน่ๆ จากนั้นให้กวางทองคำรีบวิ่งปรู๊ดเข้าป่าไป สีดาจะต้องร้องขอให้พระรามพระลักษณ์ออกตามหาแน่ๆ และโอกาสนั่นแหละ ทศกัณฐ์ จะเข้าไปฉุดนางสีดาเอง

แผนการณ์ช่างชั่วร้าย ยังกะโจรในละครน้ำเน่า....

มารีศที่กลับตัวกลับใจเป็นยักษ์ดีๆไปแล้ว ได้ยินดังนั้น ก็เซย์โนวๆๆๆๆ รอบที่แล้ว ตัวเองยังเกือบเอาตัวไม่รอด ทั้งแม่และน้อง โดยศรพระรามสอยเสียตายคาที่ นี่ยังจะให้แปลงกายเป็นกวางไปล่อพระราม แล้วถ้าพระรามรู้ว่าเป็นยักษ์แปลงมาหลอก พระรามไม่เอาข้าไปทำเป็นกวางปิ้งเหรอ??? เรื่องอะไรข้าจะต้องไปเสี่ยงให้เจ้าทำเรื่องชั่วๆด้วยฟร่ะ???

ทศกัณฐ์ได้ยินมารีศปฏิเสธ หนวดก็เริ่มกระดิก วิญญาณยากูซ่า ก็เข้าสิง พร้อมกับเอามือทั้งสิบโอบกอดมารีศไว้ พร้อมกับขู่เบาๆว่า ถ้าน้าไม่ทำ ข้าเกรงว่าชีวิตน้าจะอยู่ไม่พ้นเช้าวันพรุ่งนี้หน่า แถมบรรดาลูกเมียของน้าก็จะพากันอยู่ไม่พ้นคืนวันพรุ่งนี้เหมือนกัน มันจะไม่ดีหน่า....

มารีศคงยังไม่รู้ว่า ไอ้คนฆ่าลูกตัวเอง ชิวหา ก็คือ บักทศกัณฐ์ นั่นเอง ฆ่าลูกเค้ายังไม่พอ ยังมาข่มขู่ชาวบ้านอีก ช่างเลวสมเป็นตัวร้ายในเรื่องจริงๆ

มารีศคิดสารตะ เฮ้อ...แปลงเป็นกวาง ก็โดนพระรามยิงทิ้งอยู่ดี ถ้าไม่แปลง ก็โดนทศกัณฐ์ยิงทิ้งอยู่ดี ตกลงมีทางไหนให้ตรูเลือกมั้งฟร่ะ.... ว่าแล้วก็เลือกเอาลูกเมีย ญาติพี่น้อง มีชีวิตอยู่รอดหล่ะกัน เพราะไหนๆตัวเองก็ต้องตายอยู่แล้วไม่ว่าจะเลือกทางไหน มารีศจึงรับปากทำตามทศกัณฐ์อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก.....

 

ว่าแล้วมารีศก็ขอเวลาไปเสกมนตร์แปลงร่างเป็นกวางทองน้อยน่ารัก....

ทศกัณฐ์เลยถือโอกาส ไปหาที่เหมาะๆซ่อนตัว ดับกลิ่นไอยักษ์เพื่อมิให้พระราม และ พระลักษณ์ รู้ตัว จากนั้นก็แอบเฝ้ามองดูนางสีดา

ในแว่บแรกที่เห็น ทศกัณฐ์ แทบจะควบคุมต่อมหื่นไว้ไม่อยู่ อยากจะพุ่งเข้าไปฉุดมาเร็วพลัน ดีว่าเศียรที่เหลืออีกเก้าเศียรต้องคอยเบรกไว้ก่อน เดี๋ยวจะเสียการณ์ใหญ่ ทศกัณฐ์เลยต้องควบคุมความหื่นเอาไว้ก่อน

นางสีดาช่างงามอะไรอย่างนี้เนี่ย งามกว่าเมียนางมณโฑของกรูซะอีก งามยิ่งกว่านางไหนๆที่เคยฉุดมา.....ไม่ว่ายังไงวันนี้ ข้าต้องฉุดนางสีดากลับลงกาให้จงได้!!!!

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 3-สีดำคร่ำครวญอยากได้กวางทอง



ภาพเขียนฉากที่นางสีดาเห็นกวางน้อยมารีศไม่มีนะครับ...ศิลปินผู้วาดตัดฉับมาที่ฉากนี้เลย

หลังจากสีดาได้เห็นเฟอร์บี้ เอ๊ย! กวางทองน้อย ก็เกิดอาการอยากได้ เพราะตั้งแต่มาอยู่ป่าอยู่เขา ก็ไม่ได้พบเห็นอะไรงามๆน่ารักๆเลย

... นางจึงอยากได้กวางทองน้อยไว้เป็นเพื่อนเล่นเวลาเหงาๆ นางจึงรีบวิ่งไปบอกพระสวามี ให้ออกไปตามจับกวางให้หน่อย

พระรามคิดอยู่ครู่นึง ก็รู้สึกแหม่งๆ ว่า ไอ้กวางน้อยที่ว่า มันน่าจะเป็นกวางจำแลง พวกยักษ์มันน่าจะกำลังเล่นแผนอะไรอยู่แน่เลย ก็เลยบอกนางสีดาไปว่า เดี๋ยวเอาไว้วันไหนว่างๆ จะไปตามจับกวางตัวอื่นมาให้หล่ะกัน วันนี้พี่รู้สึกแปลกๆ

แต่ผู้หญิงก็คือผู้หญิง อยากจะได้อะไรแล้วชายคนรักขัดใจ ก็มักจะเกิดอาการนอยด์ นอยด์ นอยด์ ว่าแล้วก็งอนใส่พระราม ทีตัวเองออกมาอยู่ป่าเขา ตกระกำลำบาก เค้ายังออกมากะตะเองเลย ทีนี้เค้าอยากได้กวางมาอยู่เป็นเพื่อนมั้ง ตะเองไม่ตามใจเค้าเลยนะ ไม่ต้องมาอ้างนู้นอ้างนี้ หรือว่าตะเองหมดรักเค้าแล้ว หรือว่าตะเองมีมือที่สาม หรือว่า.....

 

ขณะที่สีดากำลังจะนอยด์ไปเรื่อยเปื่อย พระรามเลยต้องชิงตัดบทซะก่อนว่า เค เค เค อยากได้กวางเดี๋ยวพี่ก็จะไปตามล่ามันมาให้ก็ได้ แต่เจ้าต้องอยู่ที่นี่ห้ามออกไปไหน และพี่จะให้น้องลักษณ์อยู่กับเจ้า เฝ้าเจ้าไม่ให้คลาดสายตา เคป่ะ?

.....สีดาตกปากรับคำด้วยความตื้นตัน พร้อมกดส่งสติ๊กเกอร์ดวงตาบ้องแบ้วให้พระราม...

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 4-พระรามวานพระลักษณ์เฝ้าสีดา



ก่อนที่พระรามจะออกไปตามล่ากวางทองมารีศ
ด้วยความที่รู้สึกแปลกๆอยู่แล้ว จึงต้องออกไปกำชับพระลักษณ์ว่า เฝ้านางสีดา อย่าให้คลาดสายตาทีเดียวเชียว

พระลักษณ์ก็รู้สึกเช่นเดียวกับพระรามว่าไอ้กวางที่ว่า มันน่าจะเป็นยักษ์แปลงกายมาแน่ๆ เพราะกลิ่นมันตุๆ

แต่ไหนๆก็ไหนๆ พระลักษณ์รับปากพระรามว่า จะอยู่เฝ้านางสีดามิให้คลาดสายตาเลยทีเดียว

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 5-พระรามไล่ล่ากวางทอง



พระรามไล่ออกตามหากวางทองน้อย แต่กวางทองน้อยก็ไม่ยอมให้จับง่ายๆ เพราะจุดประสงค์ของมันคือล่อพระรามให้หลงทาง

พาวนไปทางซ้ายที ขวาที จนพระรามก็มึนไปเหมือนกัน และในท้ายที่สุด ก็เหนื่อยทั้งคนล่าและถูกล่า ทั้งคู่ก็มาไล่ทันกัน หลังจากวิ่งหนีกันไปมาเป็นชั่วโมง

หลังจากพระรามไล่ตามกวางทันปุ๊บ ก็รู้ได้ในทันทีว่า ไอ้กวางนี้มันเป็นกวางจำแลง เพราะกลิ่มมันฟ้อง....

พระรามเลยตะโกนถามกวางทองไปว่า เอ็งเป็นใคร เหตุไฉนจึงต้องแปลงเป็นกวางมาหลอกกันด้วย

ว่าแล้ว กวางทอง ก็คืนร่างกลายเป็น ยักษ์มารีศ....

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:55:23 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #5 on: 02 March 2022, 13:41:45 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 6-กวางทองสิ้นชีพ



หลังจากที่ มารีศ ถูกไล่ทันและถูกจับไต๋ได้ว่าไม่ใช่กวางจริง แต่เป็นกวางเทียม

จึงคืนร่างเป็นยักษ์ ... แต่ไหง๋คืนร่างแค่ครึ่งเดียว กลายเป็นแต่งครึ่งท่อนไปซะงั้น....และรูปร่างแบบนี้เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวมารีศไปเลยครับ ถ้าเห็นหุ่นยักษ์ครึ่งท่อน ท่อนล่างเป็นกวางทีไหน ให้เดาไว้ก่อนเลยว่าเป็น หุ่นมารีศ ถูกแหง่มๆๆ

พระรามซักไซ้ไล่เรียงมารีศว่า มาหลอกกันทำไม...มารีศไม่ยอมตอบ แถมทำท่าจะหนีอีก พระรามรำคาญจัดเลยแผลงศรใส่มารีศซะให้หมดเรื่องหมดราว

ก่อนจะตาย มารีศ ยังอุตส่าห์ไว้ลาย จำแลงกายเป็นตัวพระราม จนพระรามตัวจริงยังตะลึง....เท่านั้นไม่พอมารีศยังรวบรวมลมปราณขั้นสุดท้ายตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังก้องป่าว่า "ลักษณ์ เจ้าอยู่ไหน พี่หลงกลพวกยักษ์มัน มาช่วยพี่ด้วย มาโดยด่วนเลย!!! อ๊ากกกก" แล้วมารีศก็สิ้นชีพลง

พระรามรู้ได้โดยพลันว่า นี่มันแผนล่อเสือออกจากถ้ำนี่หน่า ล่อไม่ล่อธรรมดา มันพากรูออกมาถึงไหนฟร่ะเนี่ย?? พระรามมองไปรอบตัวแล้วก็พาลให้งงเต็กๆ แล้วกรูจะกลับยังไงกันดี??

ว่าแล้วก็รีบหาทางกลับโดยด่วน เพราะรู้ว่า ที่กระท่อมสีดา ต้องมีเรื่องแน่นอน แต่ก็ยังอุ่นใจเพราะที่นั่นยังมีพระลักษณ์คอยคุ้มกันอยู่ดูเพิ่มเติม

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 7-สีดาขอให้พระลักษณ์ออกไปช่วยพระราม



ศิลปินห้องนี้ขยันจริงๆครับ ในหนังสือบรรยายฉากมารีศตั้งหลายหน้า แต่ศิลปินเล่นเอาทุกเหตุการณ์มารวมอยู่ในห้องเดียวเลย.....

ก่อนที่มารีศจะสิ้นลม ยังทำแสบ ตะโกนก้องป่าด้วยลมปราณขั้นสุดท้ายด้วยเสียงที่เหมือนพระรามยังกะแกะ ให้พระลักษณ์รีบมาช่วยโดยด่วน

ทั้งสีดาและพระลักษณ์ได้ยินเสียงตะโกนดังกล่าว...สีดาเป็นกังวลมากมายว่า พระรามคงต้องเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นแน่ๆ แต่พระลักษณ์นั้นกลับนั่งชิวๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สีดาจึงรีบเข้าไปบอกพระลักษณ์ให้รีบไปตามหาพระรามดูสิ นางเป็นกังวลมากว่าพระสวามีจะเป็นอะไรไป แต่พระลักษณ์กลับบอกว่า ท่านไม่ต้องห่วงไยอะไรไปดอก....พระรามหน่ะไร้เทียมทาน ลองดูสิ พระยายักษ์ขร ทูษณ์ ตรีเศียร ยกกันมาทั้งกองทัพ ยังทำอะไรพระรามไม่ได้เลย แล้วนี่กะอีแค่กวางตัวเดียวจะไปทำอะไรพระรามได้

นอกจากนั้นพระรามยังกำชับให้ข้าเฝ้าท่านไม่ให้คลาดสายตา ฉะนั้นหัวเด็ดตีนขาดยังไงข้าก็จะไม่ไปไหน

นางสีดาก็ออกอาการนอยด์อีกครั้งเพราะโดนขัดใจ เลยวีนใส่พระลักษณ์ ตัดพ้อสารพัด เลยเถิดไปถึงบอกว่า นี่ต้องเป็นเพราะท่านต้องแอบพึงในกายเรากระมัง จึงเหมือนจะไม่ไยดีในตัวพี่ชายของท่าน เหมือนจงใจจะให้ท่านตายจากไปแล้ว ท่านคงจะมีหวังในกายข้า

พระลักษณ์ได้ฟังแล้วก็สะดุ้งโหยง....นารีหนอนารี คิดกันไปได้เรื่อยเปื่อยจริงๆ แต่ก็พยายามทำหูทวนลมไป


นางสีดาเลยต้องเล่นท่าไม้ตาย คว้าเอามีดมาจะฆ่าตัวตาย ถ้าขืนพระลักษณ์ยังไม่รีบออกไปตามหาพระราม

พระลักษณ์เจอมุขนี้เข้าไปถึงกับอึ้งกิมกี่ .... เอาไงหล่ะทีนี่ .... นางสีดาเห็นพระลักษณ์ยังลังเล ก็เลยเอามีดแทงให้เห็นเลือดกันซะเลย พระลักษณ์เลยต้องยอมในที่สุด


แต่ก่อนจะจากไป พระลักษณ์ ก็ยังอุตส่าห์เสกมนต์สร้างยันต์เป็นรูปวงกลมรอบกระท่อมน้อย และกำชับ สีดา ว่า ไม่ว่ายังไงก็ห้ามก้าวออกมาจากวงกลมเด็ดขาด และแม้จะอยู่ข้างใน ก็ห้ามจูงมือใครข้ามเส้นนี้เป็นอันขาด


สีดารับปาก พร้อมกับรีบไล่พระลักษณ์ให้รีบไปตามหาพระสวามีโดยเร็ว.

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 8-ทศกัณฐ์ปลอมตัว



ห้องนี้มีหลายฉากจริงๆ......

 

พอหมดเสี้ยนหนามอย่างพระรามและพระลักษณ์ไปแล้ว ... จอมโจรทศกัณฐ์ที่แอบซุ่มอยู่ตั้งนาน จึงปรากฏกายโดยการปลอมตัวเป็นผู้ทรงศีล เดินจาริกผ่านหน้ากระท่อมน้อย

... สีดาพอเห็นผู้ทรงศีลกำลังเดินผ่าน ก็ประนมมือไหว้ด้วยความเคารพ .... ทศกัณฐ์เห็นดังนั้นก็ยิ้มหึๆ เข้าทางกรูแล้วววว

ว่าแล้ว ทศกัณฐ์ ก็ขอนางสีดา เข้าไปพักในกระท่อมชั่วครู่ เพราะเดินทางมาไกล แล้วรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนคลื่นเหียนจุกเสียดแน่นเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยว....

นางสีดาก็ลืมคำสั่งของพระลักษณ์ไปเสียสนิท (นี่แหละหน่านารี...) จูงมือโจรในคราบผู้ทรงศีลเดินข้ามยันต์ของพระลักษณ์มาหน้าตาเฉย....

พอทศกัณฐ์ได้เข้าไปนั่งในกระท่อม ต่อมหื่นก็เริ่มทำงานอีกครั้ง อยากจะปล้ำนางสีดาซะเลยที่นี่ แต่ก็ต้องอดใจไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวสองพี่น้องวนกลับมาแล้วจะเสียแผน

ว่าแล้ว ทศกัณฐ์ ก็กลายร่างเป็นยักษ์ใจชั่ว....

นางสีดาตกใจแทบสิ้นสติ.....(ตัวเองทำตัวเองแท้ๆๆๆ)

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 9-ทศกัณฐ์ลักพาตัวสีดา



พอกลายร่างเป็นยักษ์แล้ว...ทศกัณฐ์ก็ไม่รอรีอะไรทั้งสิ้นรีบแบกนางสีดาขึ้นบุษบกแก้ว

ก่อนจะรีบขี่บุษบกกลับกรุงลงกาโดยพลัน

พระรามกับพระลักษณ์ยังตามหากันในป่า ยังไม่เจอกันเลย....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 24 ฉากที่ 10-นกสดายุเข้าขัดขวาง



หนทางกลับของทศกัณฐ์สู่กรุงลงกาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดครับ....

ขณะกำลังบึ่งบุษบกแก้วไปบนท้องฟ้า บังเอิ๊ญ บังเอิญ นกสดายุ (หน้าตาเหมือนในภาพนั่นแหละครับ) บินผ่านมาพอดี

... ตอนแรก นกสดายุ ก็ไม่ได้สนใจอะไรอ่ะครับ บินผ่านไปเฉยๆ แต่เผอิญเหลือบไปเห็นนางสีดาเข้า.....เป็นเรื่องเลย

นกสดายุนี่จริงๆ ก็รู้จักมักจี่กับพระรามมาพอสมควร เพราะสดายุนี่ถือเป็นพระสหายของท้าวทศรถ พระราชบิดาของพระราม ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่สดายุจะจดจำหน้าตาของนางสีดาได้

แล้วนางสีดามาตกอยู่ในมือมหาโจรอย่างทศกัณฐ์ได้ยังไง นกสดายุนึกในใจ....


ว่าแล้ว นกสดายุ ก็โฉบบินกลับไปตัดหน้าบุษบกแก้วของทศกัณฐ์

ทศกัณฐ์เห็นนกมาบินตัดหน้า เบรกบุษบกกันตัวโก่ง พร้อมหลุดคำด่าออกมาสารพัด

สดายุยิ่งเห็นชัดว่า นี่คือ นางสีดา แน่นอน แถมหน้าตานางเหมือนร้องไห้โดนรังแก แสดงว่าไอ้ทศกัณฐ์มันต้องลักพาตัวนางมาจากพระรามเป็นแน่ ว่าแล้วก็ตะโกนบอกให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดามาซะดีๆ ไม่งั้นจะโดนไม่ใช่น้อย

สดายุนั้นอายุไม่ใช่น้อยๆแล้วนะครับ เพราะอายุอานามคราวพ่อพระรามเลย แต่ยังต้องไว้ลาย เสือเฒ่าสักหน่อย

ทศกัณฐ์รำคาญสดายุถึงขีดสุด มันบินมาตัดหน้ารถกรูไม่พอ ยังจะมาสะมาเกือกอะไรกับกรูอีกเนี่ย ว่าแล้วก็ซัดอาวุธที่อยู่ในมือทั้งยี่สิบในสดายุ

สดายุแม้อายุจะเยอะแล้ว แต่ถ้าสู้บนอากาศนี่ไม่เป็นรองใครทั้งนั้นในสามโลก

สดายุนั้นเมื่อตอนยังเป็นวัยสะรุ่นนั้นห้าวมากครับ มีพี่ชื่อนกสัมพาที ทั้งคู่ครองจ้าวเวหาจนไม่มีใครกล้าต่อกร อยู่มาวันนึง สดายุ เห็นดวงอาทิตย์ก็นึกว่าเป็นผลไม้สุก (หนุมานตอนเด็กๆ ก็เห็นดวงอาทิตย์เป็นผลไม้สุกเหมือนกัน คนเขียนไม่ยอมเปลี่ยนมุขเลย 555) ก็เลยกะจะบินขึ้นไปเคี้ยวดวงอาทิตย์เล่น

สัมพาที เห็นน้องตัวเอง กำลังทำเรื่องเกรียนๆ เลยรีบบินตามขึ้นไป แต่ก็สายไปแล้ว เพราะ สดายุ บินเข้าสู่รัศมีพระอาทิตย์

พระอาทิตย์ที่กำลังควบรถทำหน้าที่ฉายแสงให้โลกมนุษย์ตามปรกติ เห็นเหตุการณ์ก็ตะโกนบอกสดายุ เฮ้ย ไอ้นกเกรียน เราไม่ใช่ผลไม้สุกนาเว้ย อย่ามามั่ว ถ้ากินเข้าไปเนี่ยปากไหม้ไม่รู้ด้วยหน่า

ด้วยความเกรียนถึงขีดสุด สดายุไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ยังคงบินขึ้นไปจะกินพระอาทิตย์ให้ได้ พระอาทิตย์เลยต้องโชว์พาววปล่อยลำแสงคอสโม่เต็มแรงออกมาเพื่อแผดเผาสดายุ โชคยังดีที่ นกสัมพาที พี่ชาย บินมาทัน กางปีกปกป้องน้องชาย จนขนโกร๋นไปทั้งตัว พร้อมกับตบกบาลสดายุให้หายเกรียน

เท่านั้นไม่พอ พระอาทิตย์โกรธนกสองตัวนี้สุดขีด โทษฐานทำให้เสียการเสียงานในการปฏิบัติหน้าที่เลยสาปให้สัมพาทีต้องไปติดแหง่กอยู่ในถ้ำเหมติรัน โดยอยู่ในสภาพนกโกร๋นตลอดไป ขนจะงอกขึ้นมาใหม่ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงลิงโห่สามครั้ง

ซึ่งเหตุการณ์ลิงโห่ จะเกิดอีกที ในอีกไม่ช้าไม่นานข้างหน้า

.....นอกเรื่องไปเสียตั้งไกล.......

กลับมาที่ฉากทศกัณฐ์กำลังซัดกับสดายุ....

อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วครับ ถ้าเป็นเรื่องซัดกันกลางอากาศ สดายุไม่กลัวใครอยู่แล้ว ทศกัณฐ์พยายามสู้เท่าไหร่ก็สู้ไม่ได้ สู้ไปสู้มา บุษบกแก้ว ก็โดนโจมตีหัก จนไปต่อไม่ได้

ทศกัณฐ์จนปัญญาจะจัดการกับสดายุ ....

แต่ด้วยความเกรียนของสดายุที่อยู่กับตัวเองตั้งแต่เด็กจนแก่ ... จึงตะโกนหยามทศกัณฐ์ไปว่า นี่หรือว่ะ ยักษ์เจ้าพ่อยากูซ่า ทำเบ่งมานาน ฝีมือเท่าลูกเป็ด กรูว่าให้ไปฝึกมาอีกหมื่นปีก็สู้กรูไม่ได้หรอก ในพิภพนี้กรูกลัวอยู่แค่พระอิศวร พระนารายณ์กับแหวนของพระอิศวรทีอยู่ที่นิ้วนางสีดานั่นแหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า.....

อ้าว....แล้วจะไปบอกจุดอ่อนให้ศัตรูรู้ทำไมครับเนี่ย???

ว่าแล้ว ทศกัณฐ์ ก็จัดให้.....ถอดแหวนของสีดาออกมา แล้วเล็งแม่นๆ โดนปีกและหางของสดายุเต็มๆ กระดูกแตกละเอียด บินไม่ไหว ผลอยร่วงลงสู่พื้น ปากพาจนแท้ๆ

แต่สดายุก็ยังอุตส่าห์ไว้ลายเอาปากคาบแหวนสีดาไว้

พอตกลงมาบนดิน บินไม่ได้ ก็เสร็จทศกัณฐ์หล่ะสิครับ ทศกัณฐ์ก็จัดการเฉือด สดายุ โช๊ะๆๆๆ ระบายความแค้น

จากนั้นก็ต้องอุ้มนางสีดาเหาะกลับลงกา ไม่มีพาหนะช่วยแบ่งเบาภาระแล้ว....

อนึ่ง...ในรามายณะ ไม่ได้มีฉากปาแหวนสีดานะครับ เค้าบรรยายแค่ว่า สดายุหน่ะแก่แล้ว พอรบไปนานๆก็อ่อนกำลังลง จนเจอทศกัณฐ์เฉือดโดยง่ายๆ

ผมคิดว่า รามเกียรติ์ คงกลัวคนอ่านจะไม่มันส์ เลยเพิ่มฉากปาแหวนเข้าไป....

แต่แหวนของสีดา ก็จะกลายเป็นไอเท็มสำคัญให้หนุมานใช้ในการตามหาสีดาในกรุงลงกาในอนาคตต่อไปครับ

และก็เป็นที่มาของท่ามวย "หนุมานถวายแหวน" ด้วย

 

ขอแทรกเรื่องที่มาของบุษบกแก้วนิดนึงครับ

จริงๆแล้วบุษบกแก้วนี่เป็นสมบัติของ กุเปรัน พี่ชายต่างมารดาของทศกัณฐ์ โดยท้าวลัสเตียนบิดา ได้มอบหมายให้ไปปกครองเมืองกาลจักร พร้อมกับมอบบุษบกแก้วที่เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ให้เป็นของขวัญ

อยู่มาวันนึงขณะที่ กุเรปัน กำลังขี่บุษบกแสนเพลิดเพลินใจไปเข้าเฝ้าพระอิศวรที่เขาไกรลาส ทศกัณฐ์เผอิญเห็นบุษบกแก้วแล้วก็นึกอยากได้มาเป็นของตัวเอง เลยเหาะขึ้นไปแย่งมาจาก กุเรปัน ดื้อๆ

กุเรปัน ไม่ยอมให้ง่ายๆ ทั้งคู่เลยต้องรบกัน (ยังกะแย่งของเด็กเล่นกัน)

กุเรปันสู้ไม่ได้เลยต้องทิ้งบุษบกและเหาะหนี ทศกัณฐ์เลยได้ทีลองทดสอบสปีดของบุษบกดู ด้วยการบึ่งตาม กุเรปัน พอไล่ทันก็ลงมาทุบที กุเรปันก็ได้แต่ซมซานเหาะหนีไปเรื่อยๆ

พระอิศวรเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าไปขวาง แต่ทศกัณฐ์ก็ยังเกรียนไม่เลิก ไล่ทุบพี่ชายตัวเอง กะเอาให้ตาย

พระอิศวรโกรธที่ทศกัณฐ์ไม่ได้เห็นพระองค์ในสายตาเลย จึงเอางาช้างขว้างปักใส่อกทศกัณฐ์ พร้อมกับสาปว่า ให้งาติดแหง่กอยู่แบบนั้นจนตาย ถอนไม่ออก เอาไว้ตายเมื่อไหร่ งาค่อยหลุดออกมา

ทศกัณฐ์เลยรู้สึกตัวเลิกเกรียน (ใครจะกล้าลองดีกับพระอิศวร??) ขี่บุษบกกลับลงกา พร้อมกับเชิญพระวิษณุกรรมเอาเลื่อยมาเลื่อยงาช้างออกเสมออก แล้วก็เอาเครื่องประดับมาปิดให้ดูสวยงาม

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:58:07 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #6 on: 02 March 2022, 13:46:19 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 25 ฉากที่ 1-พระรามพลัดพรากจากสีดา



หลังจากทศกัณฐ์ลักพาตัวนางสีดาไปไหนต่อไหนแล้ว...

พระรามใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆกว่าจะไปเจอะพระลักษณ์กลางป่า พระรามก็รู้ได้โดยพลันว่า งานเข้าแล้วสิ อุตส่าห์ฝากให้พระลักษณ์อยู่เฝ้าสีดา แล้วนี่มาเจอะกันกลางป่าแบบนี้ได้ไง

... พระลักษณ์ก็อธิบายไป ร้องไห้ไปว่า จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากจะมา แต่โดนสีดาบังคับ ถ้าไม่มา นางจะฆ่าตัวตาย

พระรามก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่มีใครจะรู้ใจเมียเท่าตัวเอง ว่าแล้วทั้งสองพี่น้องก็รีบเร่งเดินทางออกจากป่ากลับกระท่อมน้อย

และก็เป็นไปตามที่สังหรณ์ใจ....

 

สีดาหายตัวไป....

 

พระราม และ พระลักษณ์ ตะโกนเรียกสุดเสียง เที่ยวค้นหาตามป่าในละแวกใกล้ๆอยู่ชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แวว


หลังจากที่ออกตามหาสีดาอยู่หลายชั่วโมง จนร่างกายเหนื่อยอ่อน และจิตใจเหนื่อยล้า ทั้งคู่ก็กลับมาที่กระท่อมน้อยอีกครั้ง

พระรามเอาแต่โทษตัวเองว่าไม่น่าจะทิ้งนางสีดามาเลย รู้ทั้งรู้ว่าไอ้กวางตัวนั้นมันแปลกๆ พระลักษณ์ก็โทษตัวเองแบบเดียวกัน

ทั้งคู่ตัดพ้อกันไปมา ร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว สุดท้ายทั้งสองพระองค์ต่างก็สลบลงไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

พระอินทร์เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปขัดขวางทศกัณฐ์ เพราะตัวเองก็เคยโดนทศกัณฐ์กำราบมาทีนึงแล้ว ก็ได้แต่ถอดถอนใจ เลยได้แต่บอกให้เหล่าบรรดาเทวดาเหาะลงมา บันดาลให้เกิดเป็นละอองฝนเย็นๆ

พร้อมกับบอกใบ้ให้พระรามและพระลักษณ์ ออกตามนางสีดาไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะมีผู้ส่งข่าวให้เพิ่มเติมว่า นางสีดาหายไปไหน

(แล้วทำไมพระอินทร์ไม่บอกไปเลยว่า ทศกัณฐ์ลักพาตัวไป จะได้รู้เรื่องกันไปเลย....ทำยังกะเกม RPG ต้องไปถามข่าวเอาดาบหน้า....)

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 25 ฉากที่ 2-พระรามพานพบนกสดายุ



หลังจากที่พระรามและพระลักษณ์ฟื้นจากการสลบไสล ทั้งคู่ก็พยักหน้ากัน พากันเก็บข้าวของแล้วมุ่งหน้าเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตามที่ทั้งคู่ได้ยินเสียงกระซิบในระหว่างที่สลบ

พอเดินทางไปได้สักพัก พระรามและพระลักษณ์ ก็ได้พบกับสหายเก่า สดายุ นอนซมซานพะงาบๆๆๆ

... ทั้งคู่ตกใจที่เห็นสดายุในสภาพเช่นนี้....

สดายุที่ยังเหลือลมหายใจรวยริน ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พระรามฟัง พระรามก็ฟังด้วยน้ำตานองหน้า เพื่อนหนอเพื่อน น้อยกว่านี้ได้อย่างไร 100 piper

ว่าแล้ว สดายุ ก็มอบแหวนของนางสีดาให้พระรามดูเป็นหลักฐานว่า นางสีดา ถูกไอ้ยักษ์ใจชั่วมันลักพาตัวไปจริงๆ

หลังจากมอบแหวนเสร็จ สดายุ ก็สิ้นใจ พระรามและพระลักษณ์ ถึงกับโศกาอาดูรอย่างมาก

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 25 ฉากที่ 3-พระราชทานเพลิงศพสดายุ



หลังจาก สดายุ สิ้นลม....

เพื่อให้เกียรติแด่สหายคนสนิทของพระบิดา พระรามจึงได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพแบบย่อยๆให้กลางป่า....

โดยใช้ศรพลายวาต แผลงออกไปเพื่อให้เกิดเมรุทองครอบศพของสดายุเอาไว้ (เป็นศรสารพัดประโยชน์จริงๆ)

ก่อนจะใช้ศรพลังเพลิง อัคนิวาต แผลงไปเพื่อให้เผาไหม้ศพ

หลังจากนั้น สองพี่น้อง ก็เดินทางไปตามทิศตะวันตกเฉียงใต้ต่อไป

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 25 ฉากที่ 4-พระรามพบยักษ์กุมพล



สองพี่น้อง เดินทางมาได้สักพักนึง ก็ได้มาเจอะกับ RC เอ๊ย ยักษ์ประหลาดตนนึง มีแค่ครึ่งตัว เถือกไปเถือกมาอยู่บนดิน

ยักษ์ดังกล่าวมีชื่อว่า กุมพล สมัยก่อนนู้น เคยเป็นข้ารับใช้ของพระอิศวร แต่วันดีคืนดี ความหื่นเข้าสิง ไปทำมิดีมิร้ายใส่นางนิลมาลี นางสนมคนโปรดของพระอิศวรเข้า

พระอิศวรทรงพระเวรี่กริ้ว เลยขว้างจักรตัดตัวยักษ์กุมพลเหลือแค่ครึ่งเดียว พร้อมกับไม่ลืมสาปให้ กุมพล ไม่ตาย แล้วไปทุกข์ทรมานมีตัวแค่ครึ่งเดียวบนโลกมนุษย์

คำสาปจะหายก็ต่อเมื่อ กุมพล ได้เจอะกับพระนารายณ์อวตาร และ กุมพล จะต้องท่องสคริปต์ให้ขึ้นใจว่า

 

"ทศกัณฐ์ลักพาตัวนางสีดาไปยังกรุงลงกา ที่อยู่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ จากจุดนี้ ให้พระรามมุ่งหน้าไปที่เมืองขีดขินก่อน จะมีบางสิ่งบางอย่างให้พระรามทำ ถ้าพระรามทำสำเร็จ พระรามจะได้ทหารเอกและกองทัพมหาศาลมาช่วยให้พระองค์บุกลงกาได้"

 

กุมพล จึงต้องท่องสคริปต์ข้างต้นให้ขึ้นใจ แม้จะยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร เพื่อรอวันที่จะเจอะกับพระนารายณ์อวตาร ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

วันๆกุมพลจึงได้แต่นั่งจับสัตว์ป่าที่หลงเข้ามาในอ้อมแขนกิน จะไปไหนก็ไม่ได้ (ผมแอบสงสัย แล้ว กุมพล จะอึยังไง?)


และวันนี้ ก็เหมือนมีลางบอกว่า ความทรมานถึงคราวสิ้นสุดสักที....เมื่อมีมนุษย์ตัวน้อยเดินหลงเข้ามาในอ้อมแขน ตอนแรก กุมพล ก็ว่าจะจับกินสักหน่อย เพราะกินแต่อาหารป่ามาตลอด เลี่ยนลิ้นเต็มที วันนี้ขอกินเนื้อมนุษย์มั้ง...

แต่ก่อนจะลงมือจับ....กุมพลก็ได้กลิ่นแปลกๆจากสองพี่น้อง ไอ้กลิ่นแบบนี้มันเป็นกลิ่นของเทพนี่หน่า....หรือว่า หนึ่งในสองคนนี้เป็นพระนารายณ์อวตาร???

พระรามเลยแสดงตัวให้ กุมพล เห็นว่า พระองค์คือนารายณ์อวตารจริงๆ....กุมพล เห็นดังนั้น ก็น้ำตาไหล รีบก้มกราบพระนารายณ์ (คงเป็นท่าก้มที่พิลึกๆนะครับ มีแค่ครึ่งตัว)

หลังจากนั้นก็รีบท่องสคริปท์ข้างต้นโดยพลัน.....

พระรามได้ยินดังนั้น ก็ดีใจมาก ขอบอกขอบใจกุมพลเป็นการใหญ่ แม้ว่ากุมพลจะไม่เข้าใจเรื่องราวเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกได้ว่า คำสาป ของพระอิศวร กำลังจะหายไปแล้ว

พระรามจึงสัญญากับกุมพลว่า จะตอบแทนความกรุณาของกุมพลให้ข้อนึง ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง

กุมพล เลยตรัสขอพระราม ให้ช่วยแผลงศรใส่ตัวเอง เพื่อที่ตัวเองจะได้สิ้นชีพแล้วกลับไปเป็นคนรับใช้พระอิศวรที่เขาไกรลาสอีกครั้ง

พระรามเลยต้องปฏิบัติการ การุณย์ฆาต แผลงศรพรหมมาสตร์ ต้องตัวกุมพลสิ้นชีพ แล้วกุมพลก็กลับไปเกิดใหม่ที่เขาไกรลาสตามประสงค์

เป็นอันสิ้นสุดเวรกรรมที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ตัวครึ่งเดียว แต่เพียงเท่านี้.....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 25 ฉากที่ 5-พระลักษณ์โดนอัศมูขีลักพาตัว



ฉากนี้เป็นฉากเล็กๆของห้องครับ อยู่ด้านบนๆด้วย ใครไม่สังเกตอาจจะมองเลยผ่านไป....

หลังจากสองพี่น้องผ่านจุด checkpoint ยักษ์กุมพล มาได้สักระยะ ก็ตัดสินใจพักแรมกันที่แนวป่า...พระลักษณ์อาสาไปหาของกินให้เหมือนเดิม

... ในป่าบริเวณนั้นมีนางยักษ์หน้าตาสุดยอดอัปลักษณ์ ด่อมๆมองๆ จับสัตว์ป่ากินอยู่แถวนั้นเหมือนกัน

นางยักษ์ตนนี้ชื่อ นางอัศมูขี.....

ผมเดาเอาว่า คำด่าว่าผู้หญิงว่าหน้าตาน่าเกลียดเหมือนยักษ์ขมูขี น่าจะเพี้ยนมาจากยักษ์ตนนี้ (เดาล้วนๆนะครับ)

นางยักษ์แอบไปเห็นพระลักษณ์กายาสีทองอร่ามกำลังหาของป่าอยู่ไม่ไกล เกิดปิ๊งขึ้นมาในทันที ผู้ชายอะร้ายหล่อเหลาไปเสียทุกอณูแบบนี้

ตอนแรกก็ว่าจะเข้าไปฉุดมาดื้อๆ แต่นางยักษ์สังเกตเห็นพระขรรค์ของพระลักษณ์ดูมีออร่าเปล่งประกายออกมา นี่ถ้าทะเล่อทะล่าเข้าไป มีหวังถูกพระขรรค์เล่มนั้นฟันเละเทะแน่นอน.....

อย่าลืมนะครับว่าพระขรรค์เล่มนี้เป็นอาวุธที่ประทานโดยพระพรหม ขนาดยักษ์กุมภกาศยังโดนตัดหัวมาแบบง่ายๆมาแล้วเลย นี่ยังไม่รวมนางสำมนักขา ที่โดนพระขรรค์ตัดจมูก หู แหว่งมาแล้วด้วย

ว่าแล้วนางยักษ์ก็ใช้มนตราเข้าช่วย เสกให้พระลักษณ์หลับผลอยอร่อยไปเลย แล้วค่อยๆเข้าไปอุ้มร่างพ่อยอดยาหยีบินเหาะขึ้นฟ้า และเพื่อป้องกันใครจะมองเห็นปฏิบัติการในครั้งนี้ นางยักษ์ก็เสกให้ท้องฟ้ามีเมฆดำมาบดบังแสงแดด จนพื้นดินมืดมิด


พระรามแปลกใจที่อยู่ดีๆ ท้องฟ้าก็มืดมิด ทั้งๆที่เป็นตอนเที่ยงวันแดดเปรี้ยงๆ .... รึว่า พวกยักษ์มันจะเล่นอะไรกับเราแผลงๆอีกแล้ว?

ว่าแล้วพระรามก็แผลงศรขึ้นฟ้าเพื่อเปิดทางให้แสงแดดส่องลงมา เพื่อจะได้ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น....

ด้วยอานุภาพอันสะเทือนเลื่อนลั่นของศรราม พระลักษณ์จึงรู้สึกตัวโดยพลัน และก็แปลกใจที่อยู่ดีๆตัวเองมาอยู่ในอ้อมจักกะแร้ของนางยักษ์ได้ยังไง

พระลักษณ์จึงบอกให้นางยักษ์พาพระองค์กลับไป ณ บัดนาว แต่นางยักษ์ไม่ยอม ทั้งสองเลยต้องต่อสู้กันกลางอากาศ สู้ไปสู้มาก็ลงมาสู้บนดิน

และสุดท้ายนางยักษ์ก็เจอฤทธิ์ของพระขรรค์ของพระลักษณ์เข้าไปจริงๆ มือทั้งสองข้างโดนตัด นางร้องขอชีวิตพระลักษณ์

พระลักษณ์ก็ใจอ่อน ปล่อยนางวิ่งเตลิดกลับเข้าป่าไป

(จริงๆแล้ว ฉากนี้มีพระรามแผลงศรอยู่ด้วยนะครับ ติดตรงที่ว่าจุดที่พระรามยืนอยู่ ดันไปคร่อมฉากถัดไปที่ผมกำลังนำเสนอ และมีตัวละครสำคัญโผล่ออกมาด้วย ผมเลยขออนุญาตตัดพระรามออกไป)

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 19:01:41 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #7 on: 02 March 2022, 13:48:39 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 25 ฉากที่ 6-หนุมานปรากฏตัว



ภาพห้อง 24-26 นี่ เหนื่อยจริงๆครับ มีเหตุการณ์เกิดเยอะจริงๆ แต่ศิลปินใช้โปรแกรม winzip บีบอัดสารพัดเหตุการณ์รวมไว้อยุ่ในสามห้องนี้

และภาพนี้ก็เป็นภาพแรก ที่สุดยอดทหารเอกของพระราม ได้ปรากฏตัวขึ้น ......

สองพี่น้องเดินทางมุ่งหน้ามาทางตะวันตกเฉียงใต้เรื่อยๆ จนกำลังจะเข้าสู่เขตเมืองขีดขิน ตามสคริปท์ที่ยักษ์กุมพลบอกใบ้แล้ว....ทั้งคู่ตัดสินใจพักเหนื่อยก่อนที่ป่ากัทลีวัน

พระรามบอกกับพระลักษณ์ว่า วันนี้ขอพักที่ป่านี้สักระยะก่อน เพราะเดินทางมาหลายวัน วันนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายเหมือนจะมีไข้รุมๆ ขอพักทีนี้สักพักแล้วค่อยมุ่งหน้าสู่เมืองขีดขินต่อไป....

ว่าแล้วพระรามก็ของีบบนตักของพระลักษณ์น้องชาย....

ในบริเวณไม่ไกลกันนั้น มีพญาวานรอยู่ตัวนึงกำลังบำเพ็ญเพียรจำศีลอยู่ วานรดังกล่าวได้กลิ่นมนุษย์อยู่ใกล้ๆ ก็เอะใจ รีบเดินไปดู ก็พบว่า มนุษย์สองคนนี้ ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา เพราะมีออร่าสว่างไสวเหลือเกิน....

ว่าแล้ว วานร ก็แปลงร่างเป็น ลิง (เฮ้ย!! ต้องแปลงด้วยเหรอเนี่ย??) ตัวน้อย ปีนป่ายไปบนต้นหว้าที่ทั้งสองพี่น้องนั่งหลบแดดอยู่....

พอลิงน้อยปีนเข้าไปใกล้ๆ ใบหว้าก็ร่วงหล่นลงไปโดนสองพี่น้อง ยิ่งเข้าไปใกล้ ใบก็ยิ่งร่วง

พระลักษณ์เห็นดังนั้น ด้วยความที่เกรงว่าพี่ชายจะตื่น ก็เลยออกปากชิ้วๆไล่ลิงน้อยให้ไปไกลๆ


แต่ลิงน้อยทำตัวกวนโอ๊ย ยิ่งไล่ก็ยิ่งปีนเข้าไปหา ใบไม้ยิ่งร่วงเข้าไปใหญ่ พระลักษณ์ทนไม่ไหว จึงคว้าเอาคันศร กะว่าจะฟาดอ้ายลิงบ้านี่สักที แต่ยังไม่ทันจะฟาด ลิงน้อยกลับว่องไวกว่า กระโดดขโมยคว้าคันศรพระลักษณ์ แล้วก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไป

พระลักษณ์เห็นแบบนั้นก็เดือดปุดๆ จนพระรามตื่นขึ้นมาพอดี

พระลักษณ์บอกพระรามว่า เดี๋ยวจะปีนไปจับอ้ายลิงนั่นมาตีก้นสักหน่อย ลิงบ้าอะไรซนเป็นลิง (ก็ลิงนี่ครับ พระลักษณ์)

พระรามพอมองเห็นลิงน้อย ก็ตรัสว่า ลิงเผือกตัวนี้ ต้องไม่ใช่ลิงธรรมดาแน่ๆ เพราะมีกุณฑล (ตุ้มหู) มีขนเพชร และมีเขี้ยวแก้ว

พระลักษณ์ตอบว่า นั่นมันลิงธรรมดาๆ ไม่เห็นจะมีกุณฑล ขนเพชร หรือเขี้ยวแก้วอะไรอย่างที่ท่านว่าเลย

ลิงน้อยได้ยินดังนั้น ก็ขนลุก นึกถึงคำของแม่ที่ได้เคยบอกไว้ว่า ถ้าวันนึงข้างหน้า มีผู้หนึ่งผู้ใด เห็นของวิเศษที่ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิด อันได้แก่ กุณฑล ขนเพชร และ เขี้ยวแก้ว คนผู้นั้นก็คือ พระนารายณ์อวตารลงมาปราบมารร้าย ให้เจ้ารีบถวายตัวรับใช้ทันที

ว่าแล้ว...ลิงน้อยก็รีบกระโดดลงมาจากต้นไม้ พร้อมกับคืนร่างเดิมเป็นพญาลิงเผือก นาม หนุมาน

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 25 ฉากที่ 7-หนุมานถวายตัว



ลิงน้อยปฏิบัติตามคำสั่งมารดาอย่างเคร่งครัด หลังจากทราบแล้วว่า บุรุษกายเขียนที่อยู่ใต้ต้นหว้า คือ พระนารายณ์อวตารตัวจริงเสียงจริง ลิงน้อยจึงแปลงร่างกลับมาเป็นพญาลิงเผือกดั่งเดิม พร้อมกับนำคันศรมาถวายคืนอย่างนอบน้อม

หนุมานได้สนทนากับทั้งสองกษัตริย์อยู่ครู่นึง จึงได้ความว่า พระรามและพระลักษณ์กำลังมุ่งหน้าไปกรุงลงกาเพื่อชิงนางสีดาคืน

หนุมานได้กล่าวต่อทั้งสองว่า ตัวเองนั่นเคยได้ยินมาว่า กรุงลงกา เป็นเหมือนมหานคร กำแพงเมืองกว้างใหญ่ ทหารยักษ์มีนับล้าน แต่ก็ไม่เคยไป ไม่รู้แม้กระทั่งมันอยู่ตรงส่วนไหนของแผ่นดินภารตวรรษ

ฉะนั้นการจะไปตามหากรุงลงกาบนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ ในภาวะที่ไม่มี Google map หรือ GPS หนุมานจึงเสนอแนะให้พระรามน่าจะไปหาสมัครพรรคพวกพลลิงที่มีอยู่นับล้านทั่วแผ่นดินดูดีกว่า มันต้องมีลิงสักตัวแหละที่รู้ว่า กรุงลงกา อยู่ที่พิกัดไหน?

นอกจากนั้น การที่พระองค์จะไปบุกเข้ามหานครลงกาแล้วไปชิงตัวนางสีดา เกรงว่าจะมีภัยมากกว่าสำเร็จ เพราะนอกจากต้องเจอกับทหารนับล้าน แม่ทัพยักษ์ฝีมือระดับเทพอีกเป็นพัน ไหนจะต้องเจอกับทศกัณฐ์บรมยักษ์อีก หนุมานจึงแนะนำให้ทั้งสองมุ่งหน้าต่อไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้นั่นแหละ ... เมื่อไปจนสุดทาง จะพบกับเมืองขีดขินที่พาลีครองเมืองอยู่ เมืองขีดขิน เป็นเมืองพี่น้องกับเมืองชมพู ทั้งสองเมืองเป็นมหานครแห่งลิง Ape metro cities ต่างแยกกันปกครองประชากรลิงทั่วพิภพนับล้าน ถ้าท่านได้เป็นพันธมิตรกับทั้งสองเมือง ท่านจะเหมือนมีกองทัพลิงนับล้าน แบบนี้ค่อยสมน้ำสมเนื้อกับทัพกรุงลงกาหน่อย....

ว่าแล้ว...หนุมานก็เสริมต่อว่า การที่ท่านจะเป็นพันธมิตรกับขีดขินได้ ข้ามีเรื่องขอร้องประการนึง นั่นคือการชิงเมืองขีดขินจากพาลี มาให้สุครีพเพื่อนข้าสักหน่อย.....

และนี่คือ ภารกิจ ที่ยักษ์กุมพลท่องสคิปท์ให้พระรามฟัง ว่าต้องไปบรรลุภารกิจนี้ที่เมืองขีดขินก่อนจะมุ่งหน้าสู่ลงกาได้....

หนุมานบอกพระรามและพระลักษณ์ให้รอสักกะเดี๋ยว เดี๋ยวจะไปพาสุครีพ ที่โดนเฉดหัวออกจากเมืองมาตั้งนานแล้ว มาซมซานตกระกำลำบากอยู่ในป่าละแวกนี้เหมือนกัน มาถวายตัวแก่พระราม....

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 19:03:22 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #8 on: 02 March 2022, 13:50:53 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 26 ฉากที่ 1-สุครีพถวายตัว



หลังจากหนุมานถวายตัวกับพระรามเรียบร้อยแล้ว จึงทูลลาไปลากเพื่อนซี้อย่างสุครีพมาถวายตัวด้วย

จะว่าไป สุครีพ กับ หนุมาน ก็นับได้ว่าเป็นญาติเหมือนกันนะครับ เพราะแม่สุครีพหรือนางกาลอัจนา เป็นยายของหนุมาน

... สุครีพนั้นหลังจากโดนเฉดหัวออกจากเมืองขีดขิน ก็ตกระกำลำบาก วันดีคืนดีก็ไปร้องขอโทษพี่ชายพาลี ขอกลับไปอยู่ในเมืองอีกครั้ง แต่พาลีก็ถือทิฐิ โกรธแล้วโกรธเลย ตัดขาดพี่น้อง มองสุครีพเป็นแต่ศัตรู เห็นหน้าสุครีพซมซานกลับมาทีไร เป็นต้องของขึ้น ระดมทุบตีสุครีพจนต้องซมซานหนีไปใหม่

สุครีพก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะตัวเองสู้พี่ชายไม่ได้เลย ก็ได้แต่เก็บงำความแค้นไว้กับตัวเอง

หลังจากที่ได้ทราบจากหนุมานว่า พระรามคือนารายณ์อวตาร สุครีพก็รีบถวายตัวกับพระราม พร้อมกับรีบทูลขอความช่วยเหลือจากพระรามโดยพลัน ให้ช่วยไปสังหารพาลีพี่ชายตัวเองให้หน่อย ถ้าพาลีตายแล้ว สุครีพจะเข้าควบคุมเมืองขีดขินและนำกำลังพลวานรมาช่วยพระรามตามหาสีดา

พระรามก็บอกปฏิเสธไปในทีแรก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องพี่ๆน้องๆ ทะเลาะกัน จะให้คนอื่นไปแทรกเห็นทีจะไม่เหมาะ

แต่สุครีพก็ยังคะยั้นคะยอ พร้อมกับทูลเพิ่มเติมว่า พาลีนั้นเคยสาบานต่อหน้าพระองค์ในขณะที่ัยังทรงเป็นพระนารายณ์ว่า ถ้าตัวเองเกิดคิดมิชอบ แอบแฮ่บเอานางดาราที่พระอิศวรประทานให้สุครีพไปทำเมียซะเอง ตัวเองจะขอตายด้วยคมศรของพระนารายณ์

ถ้ายังจำกันได้นะครับ...ในคราวที่เขาไกรลาสหรือเขาพระสุเมรุเอียง เพราะรามสูรรบกับอรชุน สองพี่น้องพาลี สุครีพ ได้ไปช่วยกันตั้งเขาไกรลาสให้ตรงด้วยการเอาพญานาคไปพันรอบเขา แล้วเอานิ้วจิ้มสะดือพญานาคให้สะดุ้งจนเขากลับมาตั้งตรง

พระอิศวรก็ได้ประทานชื่อ พาลี ให้กับพระยากากาศในขณะนั้น พร้อมกับประทานผอบใส่นางดารา ฝากพาลีไปให้สุครีพ แต่พระนารายณ์ทรงทักท้วงแล้วว่า ฝากหญิงงามไปในมือพาลี เหมือนกับการฝากไข่ไว้กับอีกา สุดท้ายอีกาจะพาลกินไข่ซะเอง

นี่จึงเป็นที่มาของคำสาบานของพาลี ต่อหน้าพระนารายณ์ ซึ่งในท้ายที่สุด พาลี ก็อดทนต่อความยั่วเหย้าของนางดาราไม่สำเร็จ ผิดคำสาบาน จับเอานางมาเป็นเมียตัวเอง สุครีพก็ไม่รู้ทำยังไง ได้แต่มองตาปริบๆ

พระรามได้ฟังดังนั้น ก็เลยตอบตกลง ... ลูกผู้ชายพูดคำไหนก็ต้องคำนั้น พระองค์จะเสด็จไปประทานศรแก่พาลีเอง ส่วนพาลีจะตายภายใต้คมศรของพระองค์หรือไม่ ก็สุดแท้แล้วแต่เวรแต่กรรม

ว่าแล้วพระรามและสุครีพก็นัดแนะแผนการณ์กันว่า จะล่อให้พาลีออกมาจากเมืองขีดขินได้อย่างไร

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 26 ฉากที่ 2-สุครีพท้าดวลพาลี



พระรามนั่งถกแผนการณ์กับสุครีพว่าจัดการพาลียังไงดี เพราะทราบว่า หลังจากที่พาลีทะเลาะกับสุครีพแล้ว พาลี มิค่อยได้ออกมานอกเขตพระราชวังเมืองขีดขินเท่าไหร่ การจะให้พระรามบุกเข้าไปยิงศรใส่พาลีถึงกลางเมือง คงไม่เวิร์คแน่ๆ กองทัพวานรของพาลีในเมืองขีดขินมีเป็นแสนเป็นล้าน จะฝ่าเข้าไปคงไม่ง่ายแน่....

พระรามจึงแนะให้สุครีพไปท้าพาลีให้ออกมาซัดกันตัวต่อตัวนอกเมือง แล้วพระองค์จะแปลง...ร่างเป็นสไนเปอร์ส่องพาลีจากระยะไกล มีแค่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะจัดการผู้มีกำลังวังชาไม่แพ้ใครในสามโลกอย่างพาลีได้

อย่าลืมนะครับว่า พาลี ได้รับประทานพรจากพระอิศวร ให้รบกับใคร คู่ต่อสู้ต้องมีพลังเหลือแค่ครึ่งเดียว ปรกติแค่พลังเท่ากัน พาลี ก็แทบจะไร้เทียมทานอยู่แล้ว นี่มีแต้มต่ออีก ในสามโลกคงหาใครจะไปวัดกับพาลีต่อหน้าได้

สุครีพได้ฟังแผนของพระรามก็กระอึกน้ำลายสามที เพราะตัวเองหน่ะเคยไปทั้งขอโทษ เคยไปทั้งท้าตีท้าต่อยกับพาลีหน้าเขตเมืองมาสองสามทีแล้ว แต่ละครั้ง พาลี ก็จัดให้แบบเต็มๆ ทั้งมือทั้งตีน จนสุครีพต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปร่วมเดือน แล้วนี่พระรามยังจะให้ข้าน้อยเอาตัวไปรับบาทาพาลีอีกเหรอ????

พระรามบอกว่า อ่ะน่า ลูกผู้ชายอย่าใจเสาะ คิดจะทำการณ์ใหญ่อย่าใจปลาซิว ว่าแล้วก็เอาน้ำมาชุบศรของพระองค์แล้วราดไปบนตัวสุครีพเพื่อปลุกขวัญและกำลังใจ พร้อมบอกว่า น้ำชุบศรนี้เหมือนพรประทานจากพระนารายณ์ เจ้าจะไม่เป็นอะไร (ถึงตาย) แค่เจ็บๆคันๆ เท่านั้น มันจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา

สุครีพพอได้ของวิเศษเหมือนเป็นเครื่องลางของขลัง ก็เกิดฟิตฟัตมั่นใจขึ้นมา ตอบตกลงว่า พรุ่งนี้เช้าตรู่จะรีบไปท้าพาลีให้ออกมาซัดกับตัวเอง แล้วขอความกรุณาพระราม แผลงศรสไนเปอร์แม่นๆหน่อยนะครับ เดี๋ยวยิงผิดตัวหล่ะก็มีฮาแน่...ว่าแล้ววุครีพก็ขอตัวไปนอนพักผ่อน

ส่วนหนุมานพอได้ยินแผนการณ์เสร็จ ก็ขอตัวไม่ร่วมสังฆกรรมกับการลอบสังหารในครั้งนี้ เพราะจะว่าไปตัวเองก็เป็นญาติกับทั้งพาลีและสุครีพ โดยพาลีเป็นอากู๋รอง และสุครีพเป็นอากู๋เล็ก การจะเห็นอากู๋มาซัดกันเอง เป็นเรื่องที่หนุมานไม่อยากเห็น แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะมันเป็นชะตาฟ้าลิขิต....เลยขอเลี่ยงไม่ไปดูเหตุการณ์เลยดีกว่า

เช้าตรู่...สุครีพที่พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า เหาะไปตะโกนท้าพาลีเหยงๆ ขุดคำด่าสารพัดมาด่าใส่พี่ชายตัวเอง เพื่อยั่วให้พาลีออกมาซัดกับตัวเอง

ขณะนั้นพาลีกำลังนอนกอดกับเมียนางดาราอยู่ ได้ยินเสียงใครมาด่าเหยงๆ พอมองไปดีๆก็เห็นว่าเป็นไอ้น้องรัก สุครีพ นั่นเอง ว่าแล้ว พาลี ก็รีบแต่งตัวเตรียมออกไปสั่งสอนน้องตัวเองซะหน่อย


แต่นางดาราขอร้องให้พาลีอย่าเพิ่งหุนหัน เพราะคราวก่อนๆ สุครีพ ก็มาท้าตีท้าต่อยแบบนี้ ท่านก็จัดเต็มให้สุครีพจนเจ็บสาหัสไปแล้ว มันไม่น่าจะโผล่มาหาเรื่องเจ็บตัวอีก ถ้าไม่ไปได้ของดีอะไรมา ท่านต้องระวังไว้ก่อน

พาลีนั้นทะนงในตัวเอง เพราะตั้งแต่ออกศึกมายังไม่เคยแพ้ใคร ทศกัณฐ์ กับ ทรพี ว่าแน่ๆ ยังเจอ พาลี จัดการซะหมอบมาแล้ว พาลีเลยบอกเมียรักไปว่า ไม่ต้องห่วงน้อง เดี๋ยวพี่ออกไปสั่งสอนไอ้สุครีพ น้องเฮงซวยของพี่แป่บ แล้วเดี๋ยวพี่จะกลับมากอดน้องใหม่....นางดาราก็ได้แต่ถอนหายใจ มองดูพาลีเหาะออกไปนอกเมือง

และแล้วศึกระหว่างพาลีและสุครีพ โดยมีพระรามเป็นสไนเปอร์ก็เริ่มขึ้น....

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:05:39 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #9 on: 02 March 2022, 13:53:04 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 27 ฉากที่ 1-พาลีสิ้นชีพ



ผมนั่งค้นดูรูปที่ถ่ายมา...เพื่อหาฉากต่อสู้ระหว่างสุครีพกับพาลี แต่หาไม่เจอครับ...ไม่แน่ใจว่า ไม่มีภาพนี้ที่วัดพระแก้ว หรือ ผมไม่ได้ถ่ายมาเอง แต่เข้าใจว่าไม่มีที่วัดพระแก้ว .... นั่งนึกอยู่ตั้งนาน นึกไม่ออก....ต้องขอไปถ่ายซ่อมอีกทีครับ


สุครีพตะโกนท้าทายพาลีให้ออกมาซัดกันตัวต่อตัวอีกครั้งที่นอกเมือง แม้พาลีจะรู้แกวๆว่า สุครีพ ต้องไปหาตัวช่วยมาแน่ๆ ไม่งั้นมันไม่กล้ามาท้าซัดกันตัวต่อตัวแน่ แต่จะกลัวอะไร ในเมื่อตัวพาลีนั้นถือว่าตัวเองไร้เทียมทาน....

การต่อสู้เปิดฉากโดยการที่สุครีพโหมโจมตีพาลีแบบสุดแรง เพราะการสู้กับพาลี ถ้าไม่ใส่ตั้งแต่ต้นยกตั้งแต่พาลียังไม่ตั้งตัว การสู้กันแบบยื้อกันไปเรื่อยๆ สุครีพ โดนถลุงเละแน่ เพราะยิ่งสู้พลังของตัวเองก็จะยิ่งหายไปเรื่อยๆตามพรของพระอิศวร

พาลีนั้นด้วยความทะนง หยิ่งในความเก่งฉกาจของตัวเอง ไม่เกี่ยงอยู่แล้วว่าจะต่อยกันแบบไฟท์เตอร์ หรือ บ็อกเซอร์ พอสุครีพโถมเข้ามาตะลุมบอน มันก็จัดให้ ตะลุมบอนกันจนฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

ปัญหาก็เลยมาตกอยู่ที่พระราม เพราะต่างฝ่ายต่างคลุกกันนัวเนีย ฝุ่นตลบมองแทบไม่เห็นการต่อสู้ ไอ้ครั้นจะแผลงศรไป ก็กลัวพลาดไปโดนสุครีพ

พยายามเล็งแล้วเล็งอีก แต่ก็ยังหาจังหวะจบไม่ได้สักกะที

สุครีพยิ่งฟัดกันนัวกับพาลีนานเท่าไหร่ พลังก็เหมือนโดนดูดออกไปเรื่อยๆ พอคลุกวงในนานเข้า ก็เริ่มโดนอัปเปอร์คัตจากพาลีเข้าลำตัวและใบหน้าทำคะแนนอย่างต่อเนื่อง สุครีพเริ่มจุกเสียดแน่นเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยว ใบหน้าเริ่มบวมปูด แผลแตกยับเยินจากทั้งหมัดทั้งหัวโขก

พาลีทุบลงมาที่อกสุครีพแต่ละที แผ่นดินแทบจะยุบตามแรงทุบ ยิ่งสู้กันไปนาน กระดูกกระเดี้ยวสุครีพก็เริ่มแหละละเอียดไปทีละชิ้นๆ

สุครีพคิดในใจ....เมื่อไหร่พระรามจะแผลงศรสักทีฟร่ะ กรูจะตายคากำปั้นพาลีอยู่แล้ว

พระรามก็ร้อนใจ พอจะแผลงศรใส่หลังพาลีปุ๊บ ทั้งคู่ก็ฟัดกันจนกลิ้งเอาหลังสุครีพออกมารับศรแทน พระรามเลยต้องเล็งใหม่ เล็งอยู่หลายรอบ ก็ไม่ได้แผลงสักที ศรพระรามนั้นแผลงไปแล้วเอากลับไม่ได้นะครับ ถ้าโดนเข้าจังๆ ตายสนิทแน่นอน เหมือนเป็นขีปนาวุธดีๆนี่เอง

พระรามยิ่งเล็งนาน สุครีพก็ยิ่งช้ำใน อวัยวะภายในเริ่มแหลกเหลว สุดท้ายพาลีก็จับสุครีพยกขึ้นแล้วเหวี่ยงตัวสุครีพมายังบริเวณที่พระรามกำลังเล็งศรอยู่ โครม!! พระรามและพระลักษณ์หลบกันให้จ้าละหวั่น แล้วพาลีก็ตะโกนลับหลังมาว่า ไอ้สุครีพ ฝีมือเจ้ามันยังห่วยแตกเหมือนเดิม ไปฝึกใหม่มาอีกหมื่นปีก่อน ค่อยมาท้าสู้ใหม่ วันนี้อัดจนกระดูกแหลกทั้งตัวแล้ว เห็นว่าเป็นน้อง เลยยังไม่เอาถึงตาย ฉะนั้น อย่าสะเออะมาแหยมกะตรูอีก ถ้ายังไม่เข็ด คราวหน้าจะจัดให้ถึงตาย ตายแบบศพเละคาบาทาเลย .... ว่าแล้วก็เหาะกลับเข้าไปในเมือง

สุครีพ สะบักสะบอม หน้าตาปูดโปน แผลแตกเต็มหน้า ถ้าชกมวยตามปรกติ กรรมการต้องยุติการชกไปตั้งนานแล้ว ....

พอสุครีพเห็นพระรามเดินออกมาจากพุ่มไม้ ใจอยากจะด่า แต่ด่าไม่ออก .... กรูเจ็บปางตายขนาดนี้ ท่านรออะไรอยู่ ทำไมไม่แผลงศรสักที หรือว่าจะหักหลัง.....

พระรามก็ได้แต่อธิบายไปตามเหตุการณ์ ให้สุครีพเข้าใจ....

ตกดึก พระรามและสุครีพนั่งวางแผนกันใหม่ โดยใช้น้ำชุบศรราดไปบนตัวสุครีพเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด .... แต่น้ำชุบศรก็เหอะ เจอพายุหมัดพาลีระดมเข้าไปแบบนี้ ยังไงสุครีพก็เละ

พระรามบอกสุครีพว่า ให้ไปร้องท้าสู้กับพาลีใหม่พรุ่งนี้ สุครีพถึงกับสะดุ้งโหยง!! เฮ้ย จะส่งตรูไปตายเหรอไงเนี่ย??

พระรามเลยบอกให้ใจเย็นๆ คราวนี้ให้เอาผ้าสีสะท้อนแสงพันข้อมือไว้ พระรามมองระยะไกลจะได้เล็งถูกว่าใครพาลีใครสุครีพ และเวลาสู้ อย่าเข้าไปคลุกวงใน เพราะฝุ่นมันฟุ้ง พอกลิ้งกันไปมา พระรามก็เล็งศรไม่ถูกอีก

ฉะนั้นให้สู้แบบคุมเชิงอยู่รอบนอก อย่าเข้าไปแลก จากนั้นให้พยายามล่อให้พาลีให้อยู่ในตำแหน่งที่พระรามแผลงศรได้แบบเข้าโฟกัส การรบจะได้ไม่ยืดเยื้อ.....

สุครีพรับปากพระรามแบบแหยงๆ เพราะยังระบมไปทั้งตัว

พอรุ่งเช้า สุครีพก็กลับตะโกนท้าทายพาลีใหม่ ... คราวนี้พาลีโกรธสุดขีด เพราะให้โอกาสรอดตายแล้ว มันยังไม่สำนึก และจากการต่อสู้คราวที่แล้ว ก็ไม่เห็นสุครีพมันจะมีไม้เด็ดอะไรซ่อนอยู่เลย คราวนี้ก็คงเหมือนกัน.....คราวนี้พาลีเลยกะจะออกไปเอาสุครีพให้ถึงตายอีกรอบ ไม่งั้นมันจะทำตัวเป็นยุงรำคาญก่อกวนตนเองอยู่ได้ร่ำไป .....

ว่าแล้ว พาลี ก็ลานางดารา กระโจนออกไปซัดกับสุครีพอีกครั้ง หารู้ไม่ว่า การร่ำลาคราวนี้จะเป็นการร่ำลาครั้งสุดท้ายของตัวเอง....

การรบระหว่างพาลีและสุครีพครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะสุครีพเองก็แหยงหมัดพาลี เลยไม่ยอมเข้าไปแลก พยายามวนอยู่รอบนอก ทำให้เปิดโอกาสให้พระรามได้เล็งอย่างเต็มที่

จนกระทั่งสุครีพหลอกล่อให้พาลีมาอยู่ตรงจุดโฟกัสที่นัดแนะไว้กับพระราม พระรามก็สังเกตง่ายๆ เพราะไอ้ลิงที่ยืนอยู่ไม่มีผ้าพันข้อมือ.....ว่าแล้วพระรามก็แผลงศรพรหมมาสตร์ใส่พาลีเต็มเหนี่ยว

พาลีแม้จะเห็นศรพุ่งมา และเอาพยายามจะหลบ แต่ก็หลบไม่พ้น ศรปักคาอก พาลีแทบจะสิ้นชีพในบัดดล

พาลีได้แต่นอนหายใจรวยริน พอพาลีเห็นพระรามเข้ามาใกล้ ก็ได้แต่ตะโกนด่ากลับไปว่า ทำไมต้องลอบกัดกันแบบนี้ด้วย ถ้าอยากจะรบกันทำไมไม่มารบกันซึ่งๆหน้าแบบลูกผู้ชาย

พระรามก็เนรมิตกายเป็นองค์นารายณ์ให้พาลีได้เห็นว่า จริงๆแล้วพาลีกำลังคุยกับใครอยู่....พระรามเลยถามพาลีว่า จำได้มั๊ยว่าครั้งนึง ใครเคยสาบานอะไรไว้ต่อหน้าองค์นารายณ์ พาลีเลยถึงเพิ่งจะจำได้ และก็ปลงตก ยอมรับในความผิดของตัวเองที่เป็นคนตระบัดสัตย์ ฉะนั้นตัวเองในฐานะลูกผู้ชายจึงต้องยอมรับผลที่ตัวเองได้สาบานเอาไว้ในท้ายที่สุด

พระรามก็ตรัสต่อพาลีด้วยว่า จริงๆแล้ว พระองค์สุดแสนเสียดายพาลีมาก อยากได้มาเป็นทหารเอก แต่ก็เพราะพาลีทำตัวเอง ลิขิตชีวิตตัวเองให้ต้องมีจุดจบแบบนี้ .... นอกจากนั้นการที่พาลีเข้าใจสุครีพผิด ก็เป็นเพราะโมหะของตัวเองทำให้ไม่สนใจในคำอธิบายของสุครีพ ทั้งๆที่องคตลูกของพาลีเองก็อยู่ในเหตุการณ์และก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของสุครีพให้ฟังแล้ว แต่พาลีก็เลือกที่จะให้โมหะครอบงำจิตใจ ตัดพี่ตัดน้อง สร้างความพยาบาทระหว่างพี่น้อง

พาลีได้ฟังคำตรัสของพระราม ในร่างพระนารายณ์ก่อนจะสิ้นชีพ ก็สำนึกในความผิดที่ตัวเองทำมาทั้งชีวิต รวมทั้งสิ่งที่ทำไม่ดีต่อน้องตัวเองสุครีพด้วย สุครีพก็เดินเข้ามาร่ำไห้ก้มกราบขอโทษพี่ชาย

ตอนแรกสองพี่น้องก็เกลียดชัง เต็มไปด้วยความแค้นระหว่างกัน แต่พอมีอีกฝ่ายกำลังจะตายจากไป ความผูกพันทางสายเลือด ความผูกพันที่เคยวิ่งเล่น ดูแลกันมาในอดีต ภาพเหล่านั้นก็กลับมาใหม่ จนสุครีพก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตนก็ไม่อยากเห็นพาลีตายจากไปแบบนี้

ทั้งคู่ได้ร่ำไห้กันไปมา หนุมานแม้จะอยู่ในที่ห่างไกลออกไปก็ยังรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าที่ญาติของตัวเองกำลังจะจากไป

พระรามได้อวยพรครั้งสุดท้ายให้พาลีไปเกิดบนสวรรค์ และจากไปอย่างหมดห่วง เพราะพระองค์จะดูแลสุครีพ องคต และเหล่าญาติวานรของพาลีเป็นอย่างดี พาลีได้ฟังดังนั้นก็ยกมือไหว้พระราม ก่อนจะสิ้นใจอย่างสงบทั้งน้ำตา ... สุครีพถึงกับตะโกนร้องเรียกพี่ชายครั้งสุดท้ายลั่นป่า......

หลังจากนั้น สุครีพ ก็ขึ้นปกครองเมืองขีดขินแทนพี่ชาย ตั้งองคตเป็นพระยุพราช พร้อมกับจัดงานศพให้พี่ชายอย่างสมเกียรติ โดยพระรามเป็นผู้พระราชทานศรอัคนิวาตเพื่อทำการปลงศพพาลีให้ไปสู่สรวงสวรรค์.....(ตามภาพประกอบครับ)

ก่อนพาลีจะสิ้นลม ได้ให้คำแนะนำ 10 ประการเป็นหลักในการปฏิบัติตนเป็นลูกน้องที่ดีแก่สุครีพ เพื่อที่จะได้ปฏิบัติรับใช้พระรามสืบไป ... หลัก 10 ประการที่ว่า เป็นที่มาของเรื่องราว พาลีสอนน้อง ครับ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้เลย

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 27 ฉากที่ 2-พระรามประชุมแผนกับสุครีพ



หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปลงศพพาลี พระรามก็โปรดให้สุครีพในปกครองเมืองขีดขินในฐานะเจ้าเมือง

สุครีพก็พาองคตลูกชายพาลี ชมพูพาน และบรรดา 18 มงกุฏมาถวายตัวกับพระราม

สุครีพทูลพระรามว่า ขอเวลาเคลียร์เรื่องในเมืองขีดขินสัก 7 วัน เพราะหลังจากพาลีสิ้นชีพไป ยังมีเรื่องให้สุครีพต้องจัดระเบียบภายในเมืองอีกเยอะแยะไปหมด หลังจากนั้นสุครีพจะรีบสั่งการให้บรรดาวานรช่วยกันส่งข่าวมาทีว่า ตกลงแล้ว กรุงลงกา มันไปทางไหน

ทุกคนรู้แค่ว่า กรุงลงกา หน่ะมันอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่ไม่มีใครสักกะคนรู้ว่า กรุงลงกา มันอยู่ตรงไหนแน่ๆ

เมืองขีดขิน หรือ Kishkinta ในรามายณะนี่ก็ยังถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันนะครับว่า มันอยู่ตรงไหน? แน่ๆเลยคืออยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ (ก็พระรามอุตส่าห์เดินทางมาตามคำบอกของพระอินทร์...555)

เมืองที่เชื่อกันว่าเป็นเมืองขีดขินในสมัยโบราณน่าจะได้แก่เมือง ฮัมปิ รัฐกรณาฏกะ ถ้าไม่รู้จักรัฐนี้ก็ให้นึกถึงกรุงบังกาลอร์ก็แล้วกันครับ เมือง ฮัมปิ อยู่ทางตอนเหนือของบังกาลอร์ไปหน่อยนึง

รัฐกรณาฏกะก็อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ติดมหาสมุทรอินเดียจริงๆนะครับ ไม่เชื่อลองไปดูใน Google map

แต่ปัญหาก็คือ แล้วไอ้กรุงลงกา นี่มันอยู่ตรงไหน?

สุครีพหลังจากขอเวลา 7 วันเคลียร์จัดระเบียบเมือง แล้วจะรีบไปทูลพระรามถึงความคืบหน้าในการค้นหากรุงลงกาทันที

พระรามจึงตรัสว่า โอเค ให้เวลา 7 วัน ระหว่างนี้พระรามและพระลักษณ์จะไปพำนักอยู่นอกเขตเมืองที่เขาคันธมาศน์ เพราะไม่อยากไปวุ่นวายเรื่องการบ้านการเมืองภายในเมืองขีดขิน หลังจากนั้นให้สุครีพไปพบพระองค์ที่นั้นหละกัน

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 27 ฉากที่ 3-พระรามพบสไบนาง



ขณะที่พระรามและพระลักษณ์เดินทางไปยังเขาคันธมาทน์ ระหว่างทางก็ได้พบกับฝูงลิงอยู่ฝูงนึง

หัวโจกของลิงฝูงนี้ได้วิ่งเข้ามาหาพระราม พร้อมกับถวายสไบของผู้หญิงให้พระองค์

สไบนี้ไม่ใช่ของใครที่ไหน เป็นของนางสีดานั่นเอง

จ่าฝูงลิงเล่าให้ฟังว่า มันได้พบกับนางสีดา โดนทศกัณฐ์ฉุดลากมุ่งหน้าไปทางใต้ (จังหวะนั้นน่าจะเป็นหลังเหตุการณ์ที่นกสดายุทำลายบุษบกแก้วของทศกัณฐ์เรียบร้อยแล้ว และทศกัณฐ์ต้องเหาะอุ้มนางกลับลงกา แต่เหาะนานๆคงเหนื่อย เลยต้องลงมาฉุดลากนางสีดาบ้างสลับกันไป)

นางสีดาอาศัยช่วงจังหวะที่ทศกัณฐ์นั่งพักผ่อน ถอดสไบแล้วฝากให้ลิงฝูงนี้มาให้กับพระราม นางหวังแค่เพียง พระรามจะได้ใช้แกะรอยตามหานางได้

พระรามได้เห็นสไบแล้วก็พาลให้น้ำตาไหลพราก เพราะคิดถึงเมียรัก....ไม่รู้ป่านนี้จะตกระกำลำบาก เจอยักษ์ใจชั่วมันทำมิดีมิร้ายไปไหนต่อไหนแล้ว....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 27 ฉากที่ 4-พระรามลาสิกขา



เมื่อถึงเขาคันธมาทน์ พระอินทร์และเหล่าเทวดาก็ได้จัดเตรียมที่พักให้กับสองพี่น้องเรียบร้อย

พระอินทร์ได้ขอร้องให้ทั้งสองพระองค์ลาเพศดาบส เพื่อกลับมาทรงเครื่องกษัตริย์อีกครั้ง เพื่อภารกิจในการปราบยักษ์ใจชั่ว....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 27 ฉากที่ 5-พระรามลงสรง



สองพี่น้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อสรงน้ำที่น้ำตกใกล้ๆที่พำนัก

และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นพระรามและพระลักษณ์แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นฤาษีชีไพร

นับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปสองพี่น้อง จะกลับเข้าสู่โหมดกษัตริย์นักรบ เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงลงกา ปราบเหล่ามารร้าย และช่วยเหลือคนรักตัวเองกลับมา!!!!

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:10:29 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #10 on: 02 March 2022, 13:55:32 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 28 ฉากที่ 1-พระลักษณ์เร่งรัดสุครีพ




ในช่วงระยะเวลา 7 วันที่พระรามรอให้สุครีพรีบเคลียร์ปัญหาการเมืองภายในขีดขินให้เสร็จ เพื่อที่จะได้ส่งขบวนวานรออกตามหาว่า ตกลงแล้ว กรุงลงกา มันอยู่ตรงไหน และนางสีดาถูกจับไปอยู่ที่นั่นจริงหรือเปล่า พวกยักษ์มันเล่ห์เหลี่ยมเยอะ อาจจะแสร้งปล่อยข่าวว่าไปลงกา แต่จริงๆแล้วจับนางไปไว้ที่อื่นก็ได้...พระรามเหมือนตกนรกด้วยความที่เป็นห่วงสีดาสุดที่รัก .... 7 วันผ่านไปราวกับ 7 ปี พระรามเฝ้านับวันที่ผ่านไปอย่างใจจดใจจ่อ....

พระลักษณ์เห็นดังนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้ พอใกล้จะครบ 7 วันเลย ขออนุญาตพี่ชายไปเมืองขีดขีน ไป follow-up สุครีพสักหน่อยว่า ทำงานไปถึงไหนแล้ว

เรื่องราวตอนนี้ รามเกียรติ์กับรามายณะ ไม่เหมือนกันอีกแล้วครับ....

ในรามายณะ สุครีพหลังจากได้ปกครองเมือง ก็ทำตัวเละเทะ วันๆเอาแต่สุรากับนารีตามประสาสามล้อถูกหวย แม้หนุมานจะคอยเตือนสุครีพว่า แต่ด้วยกิเลสที่รุมล้อมรอบตัว สุครีพก็กลายเป็นลิงเพลย์บอยสปอยล์ตัวเองไปวันๆ ร้อนถึงพระลักษณ์ต้องตามมาสั่งสอนให้รู้สึกตัว....

แต่ในรามเกียรติ์ สุครีพ ไม่ได้เสเพลย์บอยแบบรามายณะ แต่ที่สุครีพยังไม่สามารถจัดการงานได้ตามที่รับปากพระรามไว้ก็เพราะปัญหาการเมืองภายในขีดขินมันยุ่งยากเกินคาดการณ์

เพราะในเมือง หลังจากที่พาลีสิ้นชีพแล้ว ยังมีบางก๊กบางเหล่าที่ภักดีต่อพาลี และไม่ค่อยถูกใจที่สุครีพนั่นแหละเป็นสาเหตุให้พาลีต้องตาย ก๊วนนี้ได้รับการหนุนหลังจากท้าวชมพู เจ้าเมืองชมพู ที่เป็นซี้ย้ำปึ๊กกับพาลีมาหลายสิบปี

ก๊วนดังกล่าวไม่ยอมรับสุครีพ จึงได้พากันขนย้ายครอบครัวลิงนับแสนย้ายไปอยู่เมืองชมพูแทน สุครีพก็ได้ผูกมิตรกับก๊วนที่เหลือไว้ มิฉะนั้นประชากรลิงได้แห่กันไปเมืองชมพูหมดแน่....

หลังจากที่ได้ทูลพระลักษณ์ไปแล้ว สุครีพ ได้ทูลขอเวลาจัดการเรื่องราวท้าวชมพูอีกสักหน่อย พระลักษณ์จึงตรัสบอกว่า เอางี้....พระองค์รู้มาว่า ท้าวชมพูนั้นมีฤทธิ์มาก ฝีมือไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพาลี จึงไม่เกรงกลัวใครในสามโลก จะกริ่งเกรงก็แต่เทพสูงสุดทั้งสามนั่นคือ พระอิศวร พระพรหม และพระนารายณ์ พวกเจ้าส่งสาส์นไปหาท้าวชมพู ให้มาพบพี่ชายเรา พระราม แล้วท้าวชมพูจะได้ประจักษ์กับตาว่า พระนารายณ์ ที่ท้าวชมพูกริ่งเกรง ได้อวตารลงมาบนโลกมนุษย์แล้ว......เท่านี้ท้าวชมพูก็จะยอมเป็นพันธมิตรกับขีดขิน

สุครีพรับทราบ และจะรีบดำเนินการโดยด่วน....

ตามภาพ....สุครีพ นั่งเฝ้าพระลักษณ์อยู่กับ หนุมาน และ วานรชมพูพาน ครับ

ชมพูพานนั้น ในอนาคต จะทำหน้าที่เป็นหมอประจำกองทัพของพระราม กำเนิดมาจากเหงื่อไคลของพระอิศวร โดยพระอิศวรมีประสงค์จะให้ ชมพูพาน กำเนิดมาเป็นเพื่อนซี้กับหนุมาน ในตอนที่พระพายพาหนุมานไปเข้าเฝ้า....และพระอิศวรได้สอนหนุมาน วิชาแปลงกายให้ยืดหดได้ตามต้องการ แถมยังประทานพรให้ เมื่อใดที่สิ้นชีพ หลังจากโดนพระพายต้องกาย ก็ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่.....หนุมานจึงเหมือนเป็นลิงอมตะ เพราะทุกครั้งที่ตาย พ่อก็จะรีบพัดตัวเองมาต้องกายลูก ลูกก็จะฟื้นชีพตลอด

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 28 ฉากที่ 2-สุครีพเรียกประชุม




หลังจากพระลักษณ์เสด็จกลับไปแล้ว...สุครีพก็งานเข้า เพราะรับปากพระลักษณ์ไปแล้วว่าขอเวลาอีกนิดนึงในการเคลียร์ประเด็นกับท้าวชมพู....

สุครีพได้ให้ลูกน้องส่งสาสน์ไปหาท้าวชมพู เจ้าเมืองชมพูว่า บัดนี้พระนารายณ์ได้อวตารลงมาปราบมารบนโลกมนุษย์ ขอให้ท่านละวางบุญคุณความแค้นกันไว้ก่อน เพื่อที่จะได้ร่วมมือกันเป็นพันธมิตรช่วยพระรามปราบมารร้ายและชิงตัวนางสีดากันกลับมาก่อน หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันใหม่....

หลังจากที่ท้าวชมพูได้รับสาส์น ก็ตอบกลับมาอย่างไม่ไยดีว่า กรูไม่เชื่อหรอกว่า พระนารายณ์จะอวตารลงมาบนโลกมนุษย์ ฉะนั้นอย่ามาชักแม่น้ำให้เสียเวลาไปไย ถ้าอยากจะไปรบอะไรกับใครที่ไหน ก็ขอเชิญเมืองขีดขินโซโล่ไปคนเดียว เมืองชมพูจะไม่ขอยุ่งด้วย....

สุครีพได้เห็นสาส์นตอบกลับมา ก็ปวดเฮ่ดงานเข้าอีกรอบ....นั่งปรึกษากับบรรดาอำมาตย์ในเมืองขีดขินว่าจะเอายังไงกันดี เพราะวันดีคืนดีถ้ายกกองทัพไปช่วยพระรามกันจนหมดเมือง มีหวังเมืองชมพูได้ยกทัพมาตลบหลังพวกเราแน่ๆ

ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว....

พอคิดไม่ออก สุครีพ เลยบอกเหล่าอำมาตย์ว่า เดี๋ยวจะไปทูลพระรามตามตรงว่า ท้าวชมพู ไม่ยอมเล่นด้วย นอกจากไม่ยอมเล่น ยังเล่นเอาชาวบ้านและทหารตั้งเยอะแยะจากขีดขินไปไว้เมืองชมพูอีก.....

แต่หนุมานทักท้วงไว้...ขืนไปทูลพระรามตรงๆแบบนี้ ถ้าพระรามทรงกริ้ว เพราะตอนนี้พระองค์ก็เหมือนตกนรกรายวันอยู่แล้ว พระองค์เกิดเดินทางไปจัดการท้าวชมพูด้วยตัวพระองค์เอง เหตุการณ์มันยังยิ่งบานปลายหน่า....เรื่องของลิง พวกเราชาวลิงก็ควรจะแก้ปัญหากันเอง.....

ว่าแล้ว หนุมาน ก็เสนอว่า ไหนๆท้าวชมพูก็เคยประกาศก้องว่า ในสามโลกตัวเองไม่เคยกลัวใคร นอกจากองค์เทพสูงสุด 3 องค์ ตัวเองจะอาสาลอบเข้าไปในเมืองแล้วจับตัวท้าวชมพูไปแสดงตัวต่อหน้าพระรามเองเลย แล้วขอให้พระรามแสดงอิทธิฤทธิ์เป็นพระนารายณ์ ท้าวชมพูถ้าได้เห็นดังนั้น มีหวังจะสยบแทบเท้าพระรามเอง

สุครีพแม้จะเห็นด้วยกับหนุมาน แต่ไอ้ครั้นจะลอบเข้าไปลักพาตัวเจ้าเมืองนี่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะนั้น....

หนุมานยืนยันว่า จะลองทำให้เต็มที่ ว่าแล้วก็ขอตัวไปเตรียมการลักพาตัว....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 28 ฉากที่ 3-หนุมานลักพาตัวท้าวชมพู




การจะลอบไปลักพาตัวเจ้าเมืองที่มีฤทธิ์ไม่แพ้พาลีนี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำกันง่ายๆนะครับ

เมืองชมพูนี่มีขนาดใหญ่ ไม่ต่างจากเมืองขีดขิน แถมแม่ทัพในเมืองก็เก่งกล้าไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ นิลพัธ ลูกชายของท้าวชมพู ฝีมือนี่ไม่ได้เป็นรองหนุมานเลย (ในอนาคตยังมีเรื่องที่ต้องซัดกับหนุมานตัวต่อตัวด้วย) ฉะนั้นปฏิบัติการของหนุมานในครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่บ้าดีเดือดจริงๆ

หนุมานจึงต้องวางแผนและเตรียมการให้พร้อม โดยเลือกวันที่เป็นข้างแรม การลอบเข้าไปจะได้พ้นหูพ้นตาพวกวานรฝีมือขั้นเทพทั้งหลาย

พร้อมกันนั้น หนุมาน ต้องเตรียมซ้อมการเสกมนต์ให้ท้าวชมพูและบรรดาแม่ทัพทั้งหลายหลับไปชั่วครู่ ต้องเลือกเอามนต์ขั้นเทพมาเท่านั้น ถึงจะเอาไปใช้กับพญาวานรได้

หลังจากหนุมานลอบเข้าไปในเมืองชมพูได้ ก็ร่ายมนต์เสกให้ลิงหลับกันเป็นแถว ก่อนจะค่อยๆปีนขึ้นไปด้านบนพระราชวังของท้าวชมพู ลอบเข้าไปข้างในผ่านทางยอดพระราชวัง


ก่อนที่จะพาตัวท้าวชมพูที่กำลังหลับปุ๋ยหลุยอยู่ ลักพาตัวกันมาแบบทั้งเตียงเลย (ดูรูปประกอบ)

เหตุการณ์ตอนนี้ปรากฏอยู่ในภาพเขียนเล็กมากนะครับ ที่เห็นๆอยู่นี่ ผมใช้ซูมภาพเอา ใครไปเดินดูถ้าไม่สังเกตหล่ะก็ไม่มีทางเห็นฉากตอนนี้แน่ๆ

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 28 ฉากที่ 4-ท้าวชมพูและนิลพัธถวายตัว




หนุมานรีบเหาะพาตัวท้าวชมพูที่กำลังหลับปุ๋ยด้วยมนต์สะกดของตัวเองมาเฝ้าพระราม โดยหนุมานทูลขอให้พระรามได้เนรมิตตัวเองเป็นพระนารายณ์

หลังจากที่หนุมานคลายมนต์สะกด ท้าวชมพูก็ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เห็นหน้าหนุมานก่อนเพื่อนก็เอะอะโวยวายว่า ตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ไงฟร่ะ???

แต่พอให้หลังกลับไปเจอะกับพระนารายณ์อยู่ตรงหน้า ท้าวชมพูแทบจะกลับอุจจาระหดอุจจาระหาย พร้อมกับเป็นลมล้มพับไป

พระลักษณ์ต้องเอาน้ำชุบศรพรหมมาสตร์ไปราดตัวท้าวชมพู ท้าวเธอถึงจะได้ฟื้นคืนสติ พร้อมก้มกราบพระนารายณ์เป็นการยกใหญ่

จากนั้น พระรามในร่างของพระนารายณ์ก็ได้ตรัสเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา ให้ท้าวชมพูฟัง พร้อมกับทูลขอความช่วยเหลือจากกองทัพเมืองชมพู

ท้าวชมพูรีบตอบตกลงในทันทีที่พระรามเอ่ยปาก

สุครีพเห็นดังนั้นก็ให้คลายกังวล เท่านี้กองทัพวานรจะได้เป็นหนึ่งเดียวทั้งเมืองขีดขินและเมืองชมพู

ในเวลาเดียวกันที่เมืองชมพู นิลพัธ ลูกชายท้าวชมพู ทราบข่าวว่าท้าวชมพูหายตัวไป ก็คาดเดาได้ว่าน่าจะถูกพวกขีดขินลักพาตัวไป จึงรีบเหาะมาขีดขินเพื่อสืบข่าว ซึ่งก็ได้ความมาว่า พ่อของตัวเองตอนนี้อยู่ที่เขาคันธมาศน์ นิลพัธจึงรีบเหาะไปหา...

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:13:19 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #11 on: 02 March 2022, 13:57:37 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 29 ฉากที่ 1-พระรามประชุมร่วมกับทหารเอกวานร




นิลพัทธ์เหาะมาเจอปะป๋ากำลังนั่งเข้าเฝ้ามนุษย์อย่างนบนอบ ก็อดแปลกใจมิได้ เลยแปลงร่างเป็นแมลงวัน บินไปเกาะป๋า พร้อมกับถามว่า ป๋าเป็นเจ้าเมืองใหญ่โต ไยอยู่ดีๆมานั่งเจี๋ยมเจี๊ยมต่อหน้ามนุษย์ตัวน้อยนี่หล่ะ

ป๋าได้ยินดังนั้นเลยดุเจ้าลูกชายตัวดีว่า นรกจะกินกบาลเจ้าเอา...ที่เห็นตรงหน้านี่คือ พระนารายณ์อวตารลงมา ว่าแล้วก็รีบคืนร่างซะ ป๋าจะได้ถวายตัวเจ้าให้รับใช้พระองค์

นับแต่นั้นเป็นต้นมา นิลพัทธ์ ก็ถือได้เป็นอีกหนึ่งทหารเอกของพระราม สังเกตในรูป วานรตัวสีดำอ่ะนะครับ

ในภาพ ทหารเอกของพระรามมาเข้าเฝ้ากันพร้อมหน้าไล่จากซ้ายไปขวา

องคต-หนุมาน-นิลพัทธ์-สุครีพ-ชมพูพาน-????


ตัวสุดท้ายนี่ผมไม่แน่ใจจริงๆว่าเป็นชมพูวราชหรือเปล่าเพราะถ้าเป็นชมพูวราชจริง สีกายต้องเข้มกว่านี้...

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 29 ฉากที่ 2-หนุมานตามหานางสีดา




หลังจากที่พระรามช่วยสุครีพเคลียร์ปัญหาการเมืองทั้งในเมืองขีดขินเองและระหว่างเมืองชมพูเรียบร้อย

สุครีพก็รับปากพระรามจะรีบไปดำเนินการตระเตรียมรวบรวมไพร่พลวานรของเมืองขีดขินโดยเร็ว ในขณะที่นิลพัทธ์ก็จะกลับไปรวบรวมพลวานรจากเมืองชมพูมาสมทบ โดยนัดเจอกันที่เขาแก้วอินทนิล

แต่ในช่วงก่อนที่กองทัพทั้งสองจะมารวมพลกันมุ่งหน้าสู่กรุงลงกา ปัญหาเดิมที่ยังไม่ได้แก้ก็คือ ตกลงแล้วกรุงลงกามันอยู่ตรงไหน? แล้วแน่ใจเหรอว่านางสีดาถูกทศกัณฐ์จับไปอยู่ลงกา?

ในดึกวันหนึ่งขณะที่กำลังมีการตระเตรียมการระดมพล พระราม พระลักษณ์ สุครีพ หนุมาน องคต ชมพูพาน และเหล่าสิบแปดมงกุฏ ได้ร่วมกันปรึกษาหารือกันในเมืองขีดขินว่าจะเอายังไงกันต่อดี....

องคตรายงานว่า จากสายวานรทั่วแผ่นดินได้รวบรวมแกะรอยส่งข่าวมาว่า มีอยู่ประมาณ 10 เมืองที่มีความเป็นไปได้ที่ทศกัณฐ์จะลักพานางสีดาไปกักตัวไว้ ปัญหาคือไอ้ 10 เมืองที่ว่ามันอยู่กันคนละทิศละทาง แต่กระนั้นเอง กรุงลงกา เป็นเมืองที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด โดยการเดินทางสู่กรุงลงกานั้น ต้องเดินทางลงไปใต้สุดของแผ่นดินภารตวรรษ ไม่เท่านั้น ยังอาจจะต้องข้ามมหาสมุทรไปอีก ซึ่งเหล่าวานรที่รายงานข่าวมา ก็ไม่เคยมีสักกะตัวที่เคยข้ามไป


พระรามจึงตรัสว่า ฉะนั้นเราควรจะส่งสปายไปสืบดูให้แน่ชัดก่อนว่า ตกลงแล้วนางสีดาถูกจับไปอยู่ที่กรุงลงกาหรือไม่ แล้วถ้าใช้จะเคลื่อนขบวนทัพไปตามเส้นทางไหนดี เพราะการเคลื่อนย้ายทัพนับแสนไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย มันจะเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างมาก พวกยักษ์อาจจะวางกับดักอะไรระหว่างทางก็เป็นได้

ว่าแล้ว สุครีพ ในฐานะเจ้าเมืองก็แจกจ่ายหน้าที่ให้กับบรรดาลิงระดับหัวหน้าให้แยกย้ายกันไปสำรวจเมืองต่างๆที่มีความเป็นไปได้ทั้งหมด ยกแต่เพียงกรุงลงกา ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ต้องมอบหมายให้กับมือดีที่สุดลองลอบเข้าไปสำรวจดี แล้วใครหล่ะจะเหมาะกับงานนี้?

ไม่ต้องคิดมากครับ ... สุครีพชำเลืองมองไปที่ หนุมาน

ผลงานการลอบไปอุ้มท้าวชมพูมาทั้งๆที่ยังหลับปุ๋ยอยู่นี่ เป็นที่ประจักษ์มาก พระรามและพระลักษณ์ก็เห็นด้วย แต่ยังอยากให้มีเพื่อนร่วมทางไปกับหนุมานด้วย เพราะคราวนี้ต้องลอบเข้าไปในเมืองศัตรู ไม่ใช่เมืองลิง และระหว่างทางจะเจออะไรมั้งก็ไม่รู้ ฉะนั้นหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

สุครีพเลยมอบหมายให้หนุมานเป็นหัวหน้าคณะทำงานมุ่งหน้าไปลงกา โดยมีองคต และ ชมพูพาน ร่วมทางไปด้วย

พระราม ได้มอบแหวนและผ้าสไบของนางสีดา ให้หนุมานไปด้วย ในกรณีที่เจอตัว ให้นำถวายแก่นางสีดา เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า หนุมาน เป็นทหารของพระองค์ และกำชับให้หนุมานบอกกับนางด้วยว่า พระองค์จะรีบตามไปช่วยนางโดยเร็ว

หนุมานกล่าวขึ้นว่า แล้วถ้านางยังไม่เชื่อหล่ะครับ ว่ากระผมเป็นทหารของพระองค์?

พระรามก็เลยเล่าอดีตที่ผ่านมาว่า ได้ผ่านอะไรมาร่วมกับนางสีดาบ้าง เพื่อให้หนุมานจะได้นำไปเล่าต่อให้นางฟัง ถ้านางได้ฟังนางก็จะเชื่อเองว่า หนุมาน ได้ยินมาจากพระโอษฐ์ของพระรามเอง

ว่าแล้วหนุมาน องคต และ ชมพูพานก็ขอตัว ไปจัดเตรียมไพร่พลลิงจำนวนนึง ออกเดินทางไกล

ในขณะเดียวกัน สุครีพ และเหล่า 18 มงกุฏก็ตระเตรียมกองทัพมหึมาเตรียมออกศึกร่วมกับนิลพัทธ์ที่กำลังจะยกทัพมาเสริมในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ศึกใหญ่ระหว่างธรรมะและอธรรมใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว....

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:15:04 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,286


View Profile
« Reply #12 on: 02 March 2022, 13:59:51 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 30 ฉากที่ 1-องคตปะทะยักษ์ปักหลั่น




สามเกลอขีดขิน อันประกอบไปด้วย หนุมาน องคต และชมพูพาน มุ่งหน้าไปทางทิศใต้สู่กรุงลงกา ตามเส้นทางที่สายวานรแจ้งให้ทราบ

ในระหว่างเดินทาง มีอยู่วันหนึ่งที่ทัพลิงได้เดินทางผ่านสระโบกขรณีหรือแปลเป็นไทยง่ายๆว่า สระบัว และได้พำนักข้างแรมที่ข้างๆสระนี้

สระนี้มียักษ์ตัวมหึมาอยู่ตนนึงเฝ้าสระอยู่ คอยดักจับสัตว์น้อยใหญ่ที่เดินมากินน้ำในสระกิน ยักษ์ตนนี้ชื่อ ยักษ์ปักหลั่น (ผมเข้าใจว่า คำว่า ใหญ่โตเหมือนยักษ์ปักหลั่นน่าจะมาจากยักษ์ตนนี้ เดาเอานะครับ...)

ยักษ์ตนนี้มีประวัติคล้ายๆกับยักษ์ครึ่งตัว กุมพล นั่นก็คือสมัยก่อนเป็นข้ารับใช้พระอิศวร แต่ดันไปเจ๊าะแจ๊ะกับนางเกสรมาลา นางสนมของพระอิศวร (พวกข้ารับใช้พระอิศวรนี่ไว้ใจไม่ได้สักกะตัว จ้องแต่จะตีท้ายครัว...) พอพระอิศวรจับได้ ก็เลยสาปให้มาเป็นยักษ์เฝ้าสระบัว จะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อ โดนทหารเอกของพระนารายณ์อวตารลูบหลัง....(เอาอีกแล้ว พระอิศวรสาปแบบรายละเอียดเยอะแยะอีกแล้ว...)

ยักษ์ปักหลั่น เห็นพวกวานรมาค้างแรมริมสระ ด้วยความไม่รู้ว่าพวกนี้แหละคือ ทหารเอกพระนารายณ์ ที่จะมาปลดเปลื้องคำสาปให้ คิดอย่างเดียวว่าที่ผ่านมากินแต่ช้างม้ากวางเสือจนเบื่อแล้ว ลองเปลี่ยนบรรยากาศมากินซกเล็กลิงดูมั้งท่าจะดี

ว่าแล้วก็เล็งไปที่ลิงตัวเขียวๆ เพราะตัวอื่นนอนอ้าปาก ท่าทางน่าเกลียด ไอ้ตัวเขียวๆนี่นอนหุบปากอยู่ตัวเดียว

ยักษ์ปักหลั่นเลยกระโดดเข้าไปจะเอากระบองฟาดกบาลองคต แต่องคตก็ไหวตัวทันด้วยสัญชาตญาณ พร้อมกับลากยักษ์ปักหลั่นไปซัดกันที่อื่น เดี๋ยวเพื่อนพ้องตื่นนอนกันพอดี (จะซัดกันยังมีมารยาทอีก....)

องคตนั้นเป็นลูกพญาพาลี โคตรมหาลิงแห่งยุค และลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แม้ฝีมือและกำลังจะไม่เท่าพ่อ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นจอมยุทธแนวหน้าของยุทธภพ ยักษ์ปักหลั่นเป็นแค่ยักษ์กากๆจับสัตว์ป่ากินไปวันๆ ไม่ได้บำเพ็ญตบะ ฝึกวิชาใดๆ จึงสู้องคตไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

ในขณะที่องคตกำลังจะทุบปักหลั่นให้เละคามือ ยักษ์ก็รีบร้องขอชีวิต พร้อมกับบรรยายความเป็นมาของตัวเองให้องคตฟัง

องคตได้ฟังดังนั้นก็เลยบอกไปว่า ก็ข้านี่แหละทหารเอกของพระนารายณ์ ถ้าเจ้าอยากจะพ้นคำสาปพระอิศวรของรีบๆเอาแผ่นหลังมาให้ข้าลูบซะ....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 30 ฉากที่ 2-องคตปลดเปลื้องคำสาป




องคตเอามือลูบหลังยักษ์ปักหลั่น....ทันใดนั้นเอง คำสาปของพระอิศวรก็ถูกปลดเปลื้อง ปิ๊ง!!!! ยักษ์ปักหลั่นกลายร่างเป็นเทวดา เตรียมเหาะขึ้นไปรับใช้พระอิศวรใหม่

องคตบอกให้เทวดาปักหลั่นว่า หลังจากท่านได้กลับไปรับใช้พระอิศวรแล้ว ก็อย่าดันไปทะลึ่งตีท้ายครัวเจ้านายอีกหล่ะ เดี๋ยวจะต้องมาดักดานจับสัตว์กินบนโลกอีกไม่รู้ด้วย

ว่าแล้ว เทวดาปักหลั่น ก็เหาะบินกลับสู่เขาไกรลาส

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 30 ฉากที่ 3-หนุมานได้นางบุษมาลี




ฉากนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กและสตรีมีครรภ์ สมควรได้เรท ฉ...

หนุมาน นี่เป็นต้นแบบให้ชายไทยยุคก่อนยกให้เป็นไอดอลเลยนะครับ ดูได้จากบรรดาลายสักยันต์ ยันต์ผ้ารูปหนุมาน เพราะนอกจากจะมีกำลังเก่งกล้าแล้วพ่อยอดขมองอิ่มยังโคตรบรมเจ้าชู้ประตูดิน เดี๋ยวลองนับกันเอาเองนะครับ ว่าสาวๆที่หนุมานไปเจ๊าะแจะเรี่ยราดไว้มีกี่นางกันมั้ง

ถ้าความจำผมไม่ผิด นางที่เห็นในภาพนี่แหละ คนแรกที่เสร็จคารมหนุมาน โปรดสังเกตมือขวาลิงเผือก

หลังจากคณะวานรได้พักผ่อนที่สระโบกขรณีเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินทางมาได้สักพัก ทั้งหมดก็มาเจอเมืองอยู่ตรงหน้า

เมืองนี้เป็นเมืองแปลกๆ ยังกะ Silent hill ดูยังกะไม่มีคนอยู่สักกะคน ช่างดูลึกลับเหลือเกิน


หนุมานบอกองคตและชมพูพานว่า เดี๋ยวขอตัวเข้าไปสำรวจตรวจตราดูก่อน เกิดแห่กันเข้าไปแล้วไปเจอะซอมบี้เข้า มันจะยุ่งกันใหญ่ ว่าแล้วหนุมานก็อาสาลอบเข้าไปในเมืองคนเดียว

เมื่อเดินเข้าไปใกล้เมือง หนุมาน ก็เห็นป้ายชื่อเมืองว่า มายัน เมืองนี้สิ่งก่อสร้างยังอยู่ในสภาพดีอยู่เลย แล้วไหงไม่มีคนอยู่ในเมืองเลย ดูยังกะเมืองร้าง???

เดินไปสักพัก สายตาของหนุมานก็ต้องจ้องเขม่ง ... ไม่ได้เจอซอมบี้ครับ แต่เจอนางอัปสรหน้าตาจิ้มลิ้ม ขาว สวย ตามสเปคลิงเผือกจุงเบยยย

ว่าแล้วสันดานเจ้าชู้ก็เริ่มทำงานด้วยการทำฟอร์มเข้าไปสอบถามทาง ว่าเหตุใดเมืองนี้มันช่างประหลาดนัก ไม่เห็นมีชาวบ้านอยู่เลย แล้วทำไมเจ้ามานั่งให้เปล่าเปลี่ยวเอกาอยู่นางเดียว?

น้องนางจึงได้เอ่ยว่า นางชื่อ บุษมาลี ตะก่อนเป็นนางอัปสรอยู่สวรรค์ชั้นฟ้าในความดูแลขององค์อินทร์ วันนึงเพื่อนของนางคือท้าวตาวัน เจ้าเมืองมายันนี่แหละ เกิดไปปิ๊งสนมขององค์อินทร์เข้า ก็เลยคิดอยากจะลองตีท้ายครัวองค์อินทร์ดูสักที

บุษมาลีก็ดันเออออห่อหมกไปกะเค้าด้วยการทำตัวเป็นแม่สื่อ นำพาให้ทั้งคู่รู้จักกันจนเลยเถิดไปไหนต่อกัน

วันนึงพระอินทร์จับได้ องค์อินทร์ทรงเวรี่กริ้วมากจัดการประหารท้าวตาวัน พร้อมกับสาปให้เมืองของท้าวเธอกลายเป็นเมืองร้าง พร้อมกับหันไปเล่นงานนางแม่สื่อตัวดี ด้วยการสาปให้ไปเฝ้าเมืองร้างนาน 3 หมื่นปี!!! อุแม่เจ้า!!!

จะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อได้เจอะทหารเอกพระนารายณ์มาอุ้มนางแล้วโยนขึ้นท้องฟ้าเท่านั้น .... นึกว่าจะมีเฉพาะพระอิศวรเท่านั้นที่ชอบสาปแบบระบุรายละเอียดเวิ่นเว้อ พระอินทร์ก็เอากะเค้าด้วย สงสัยกลัวคนอ่านจะไม่สนุก....

หนุมานได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ก็ตาเยิ้มขึ้นมาทันที เข้าทางตรูซะแล้ว .... ว่าแล้วก็หัวเราะออกมา แล้วกล่าวว่า น้องนางจ๋า ข้านี่แหละทหารเอกของพระรามที่เป็นพระนารายณ์อวตารลงมาเพื่อปราบมารบนโลก มาม่ะมาให้พี่อุ้มเจ้าเพื่อส่งเจ้ากลับสู่สวรรค์

นางบุษมาลีก็รีบตัดบทแบบเหนียมอายว่า พี่ลิงอย่ามามั่วนิ่มเลย ใครจะไปเชื่อว่าพี่เป็นทหารเอกพระนารายณ์จริง ถ้าเป็นทหารเอกจริง พี่ต้องมีฝีมือระดับเหนือมนุุษย์ปุถุชนทั่วไปนะ แต่ดูๆไปไม่เห็นพี่จะมีอะไรต่างจากลิงทั่วๆไปเลย

ว่าแล้ว หนุมาน เลยต้องสำแดงเดช เหาะขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับ หาวเป็นดาวเป็นเดือน ให้ดู นางบุษมาลีเห็นแล้วก็อ้าปากค้าง

ฮ่า ฮ่า ฮ่า เชื่อหรือยังว่าพี่หน่ะเป็นทหารเอกพระนารายณ์จริงๆ .....

ตอนนี้นางบุษมาลีพร้อมให้หนุมานอุ้มนางพาไปสู่สวรรค์แล้ว

แต่พออุ้มไปอุ้มมาดังภาพ แทนที่จะได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นไตรตึงส์ เจ้าลิงเผือกดันพาน้องนางไปสู่สวรรค์บนโลกมนุษย์ซะก่อน ลองดูบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ตอนนี้ดูนะครับ อ่านแล้วช่างเห็นภาพดีจุงเบย

บังเกิดเป็นคลื่นคลั่งฝั่งสมุทร กุมภาผุดฝ่าละลอกกลอกกลิ้ง
ฟ้าลั่นครั่นครื้นดังปืนยิง พายุยิ่งฮือฮือกระพือพัด
ประเดี๋ยวรดฝนตกลงซู่ซู่ ท่วมคูขอบวังทั้งจังหวัด
ถ้อยทีภิรมย์โสมนัส ตามกำหนัดเสน่หาอาวรณ์....

และแล้วทั้งคู่ก็มีฟามสุขกันดูดดื่ม ปล่อยให้ผองเพื่อนนั่งรอตบยุงอยู่นอกเมือง....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 30 ฉากที่ 4-นางบุษมาลีร่ำลาหนุมาน




หลังจากทั้งคู่ใช้เวลาท่องไปในสวรรค์บนดินเรียบร้อย ก็ถึงกาลจะต้องจากลา

ก่อนจากนางบุษมาลีได้บอกว่า หนทางสู่ลงกา ให้ท่านมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (หนุมานคนนึกในใจ ตรูรู้แล้ว!! ทุกคนบอกแบบเดียวกันหมดเลย...) แล้วจะเจอแม่น้ำใหญ่ ที่นั้นท่านต้องหาทางข้ามไปให้ได้ก่อน แล้วจะเจอ RC จุดถัดไป....

จากนั้น หนุมาน ก็อุ้มนางด้วยความละมุ่นละม่อม สายตาประสานกันเหมือนไม่อยากจะจากลา ทั้งคู่ได้แต่ถอนหายใจในโชคชะตาและสัญญาไว้ว่าชาติหน้าจะต้องเกิดมาคู่กันใหม่....ว่าแล้ว หนุมาน ก็จับนางโยนขึ้นท้องฟ้า นางอัปสรก็พ้นคำสาป โบยบินกลับสวรรค์ทั้งน้ำตา ทิ้งภาพความสุขกับลิงเผือกไว้เบื้องหลัง.....

เสร็จภารกิจแล้ว....หนุมาน ก็เดินอาดๆๆตัวหอม ไปหาพรรคพวกที่นั่งหาวอยู่ที่นอกเมือง

ลิงทุกตัวเป็นห่วงหนุมานว่าจะเจอซอมบี้จับกินไปแล้วหรือเปล่า แต่หนุมานบอกว่า นอกจากจะไม่ได้เจอซอมบี้แล้วยังเจอนางฟ้าอีกตะหาก .... พร้อมกับเล่าฉากอัศจรรย์ให้ผองเพื่อนฟังไปน้ำลายหกไป พร้อมกับคิดว่า ทำไมตอนแรกตรูปล่อยให้เจ้าลิเผือกนี่มันเข้าไปฟร่ะ ทำไมตรูไม่เสนอตัวเอง เฮ้อ.....

ว่าแล้วทัพลิงก็เดินทางผ่านเมือง มายัน ไปจนถึงริมมหานที .....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 30 ฉากที่ 5-ทัพวานรข้ามมหานที




ทัพลิงออกเดินทางจากเมืองร้างมายัน มาจนถึงริมมหานที ตามคำบอกของนางบุษมาลีคือว่า หลังจากมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เรื่อยๆก็จะไปเจอแม่น้ำนี้ และทัพลิงต้องหาทางข้ามไปเอง เพราะไม่มีเรือข้ามฟากนะจ๊ะ พอข้ามไปแล้วจะพบกับอาศรมของฤาษีชฏิล ผู้กว้างขวางฝั่งกระโน้น ท่านจะแนะนำต่อได้ว่าทางไปลงกานั้นไปยังไงต่อ....

พอไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก็เป็นจริงดั่งที่นางบุษมาลีว่าไว้คือไม่มีท่าเรือข้าม .... เลยต้องเดือดร้อนหนุมานเนรมิตตัวเองให้ใหญ่โต กระโดดข้ามไปฝั่งกระโน้น แล้วใช้หางมัดเนินเขาฝั่งกระนี้ไว้เพื่อให้ทัพลิงได้เดินข้ามอย่างสะดวกโยธิน

จากภาพ องคต กับ ชมพูพาน คุมทัพลิงเดินข้ามฝั่งอย่างสบายใจเฉิบ.....

..........



« Last Edit: 07 April 2024, 21:17:54 by ppsan » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.133 seconds with 21 queries.