Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 08:03:21

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  ภาพประทับใจ  |  ผนังเก่าเล่าเรื่อง (Moderator: ผนังเก่าเล่าเรื่อง)  |  รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 1 - 10]
0 Members and 3 Guests are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว by julapong [ห้องที่ 1 - 10]  (Read 670 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« on: 02 March 2022, 11:21:11 »

รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว  by julapong [ห้องที่ 1 - 10]


http://oknation.nationtv.tv/blog/julapong

รามเกียรติ์ฉบับวัดพระแก้ว
Posted by julapong

ภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง “รามเกียรติ์” ที่รายล้อมรอบระเบียงคดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ซึ่งมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ นับเป็น “จิตรกรรมฝาผนังยาวที่สุดในโลก” และเป็น Unseen Thailand ด้วย

..........


ภาพเขียนรามเกียรติ์ห้องที่ 1 ฉากที่ 1-พระชนกลาสิกขา




ภาพเขียนห้องแรก จะเป็นการเกริ่นเกี่ยวกับกำเนิดนางสีดาครับ แต่เป็นการเกริ่นอย่างย่อ

จริงๆแล้ว นางสีดานั้นกำเนิดมาจากข้าวทิพย์ที่ฤาษีกไลโกฏได้ทำพิธีขึ้น พิธีนี้ฤาษีได้ทำการเสกข้าวทิพย์ขึ้นมา 4 ก้อน

... ก้อนแรกให้นางเกาสุริยา มเหสีคนแรกของท้าวทศรถทาน และนางก็ประสูติ พระราม

ก้อนที่สองให้นางไกยเกษี มเหสีคนที่สองทาน และนางก็ประสูติ พระพรต

แต่ตอนทำพิธี ข้าวทิพย์ก้อนที่ 4 ดันโดนนางยักษ์กากนาสูร แปลงร่างเป็นอีกา มาแย่งไปได้ครึ่งลูก ฉะนั้น นางสมุทรเทวี มเหสีคนที่สามของท้าวทศรถจึงต้องรับผิดชอบข้าวทิพย์ก้อนที่ 3 กับเหลืออีกครึ่งก้อนไป และนางก็ประสูตรโอรสแฝด นาม พระลักษณ์ และพระสัตรุต

นางยักษ์กากนาสูรนั้น ขโมยข้าวทิพย์ไปให้ นางมณโฑ มเหสีของทศกัณฐ์ทาน ก่อนจะประสูตรเป็น นางสีดา ในกาลต่อมา

ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ทศกัณฐ์ก็แอบหลงรักลูกตัวเองแบบชู้สาวนั่นเอง บรื้ยส์!!!

แต่ตัวทศกัณฐ์นั้นคงไม่รู้หรอกว่า นางสีดา เป็นธิดาของตัวเอง เพราะต้องพัดพรากจากกันตั้งแต่สีดายังแบเบาะ

เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตอนสีดาประสูตร ดันร้องออกมาว่า "ฆ่ายักษ์ๆๆๆ" พวกยักษ์ที่อยู่ในกรุงลงกาพอได้ยินปุ๊บ ก็สะดุ้งโหยงกันเป็นแถว

พิเภกเสนาธิการที่ปรึกษาของทศกัณฐ์ได้ทำนายทายทักว่า สีดา นี่เป็นตัวกาลกิณี ในภายภาคหน้าจะทำให้กรุงลงกาฉิบหายวายป่วง เอาไว้ไม่ได้ต้องฆ่าทิ้งเสีย (โหดจริงๆ)

แต่นางมณโฑ ด้วยความเป็นแม่ ไม่ยอมให้พิเภกทำแบบนั้นแน่ๆ และด้วยความที่ ทศกัณฐ์ เป็นคนเกลียมัว กลัวเมีย เลยตัดสินใจฆ่าลูกไม่ลง แล้วเลือกที่จะแอบเอา สีดา ใส่ผอบทองคำแล้วปล่อยลอยไปตามแม่น้ำ ตามมีตามเกิดไปแทน

สีดาตัวน้อยในผอบทอง ก็ลอยตามน้ำมาจนถึงหน้าอาศรมของพระชนกฤาษี (คนที่แต่งตัวเป็นฤาษีครึ่งท่อนในรูป)

พระชนกฤาษีก็เก็บผอบทองขึ้นมาจากแม่น้ำ พอเปิดดูพบเป็นเด็กตัวน้อย ก็เสกนมให้กิน (ประหยัดดีจริงๆ เสกนมได้ด้วย) หลังจากนั้นก็เอาเด็กน้อยวางไปในผอบทองใหม่ พร้อมกับฝังลงไปในดิน และสวดภาวนาให้เทวดา จ้าวป่า จ้าวเขา ให้มาเลี้ยงสีดาต่อจากตัวเองที ส่วนตัวข้านั้นจะไปบำเพ็ญเพียรต่อ (ทิ้งกันเห็นๆ)

กาลเวลาผ่านไป 16 ปี พระชนกฤาษีบำเพ็ญเพียรไปก็ไลฟ์บอย ไม่เกิดฌานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็เลยคิดจะเลิก ไม่ปงไม่เป็นแล้ว ฤาษีชีไพร เนี่ย จะกลับไปประกอบสัมมาชีพเดิม นั่นคือ เป็นกษัตริย์ครองเมือง มิถิลา

และภาพจิตรกรรมในห้องที่ 1 ตอนที่ 1 ก็เป็นฉากที่พระชนกฤาษีกำลังจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย จากฤาษีเป็นกษัตริย์ เพื่อเสด็จกลับเมือง มิถิลา

แต่ก่อนจะเสด็จกลับ ทรงรับสั่งให้ นายโสม ไปขุดหาผอบทอง ที่พระองค์ทรงฝังดินไว้เมื่อ 16 ปีก่อนดูสิ พระองค์ก็จำไม่ค่อยจะได้แล้วว่าไปฝังไว้ตรงไหน (ใส่ใจนางสีดาน่าดูเลยนะนั้น??)

..........


ภาพเขียนรามเกียรติ์ห้องที่ 1 ฉากที่ 2-นายโสมขุดหาสีดา




จากภาพที่แล้ว พระชนกฤาษีได้รับสั่งให้ นายโสม ไปขุุดหาดูสิว่า ตัวเองฝังผอบทองคำไว้ตรงไหน (รู้สึกพระชนกไม่ค่อยรับผิดชอบยังไงไม่รู้??) (แล้วฝังไว้ตั้ง 16 ปี คิดเหรอว่านางสีดาในผอบทองจะอยู่รอดได้??)

นายโสม ก็ขุดตั้งแต่เช้าจรดเย็น วันรุ่งขึ้นก็ขุดใหม่ ขุดแล้วขุดเล่า ขุดเจอหรือไม่ก็ดูจากภาพเอาหล่ะกันครับ......

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 1 ฉากที่ 3-พระชนกขุดหาสีดา




ว่าแล้ว พระองค์ ก็สั่งให้ทหารนำพระยาโคพร้อมคันไถมา แล้วพระองค์ ก็ทรงขุดหาด้วยตัวเอง

... พระโคไถไปก็ไถมา ไม่นานเท่าไหร่ พระชนกก็ได้กลิ่นหอมของดอกบัวลอยมาจากใต้ดิน พอลองขุดให้ลึกดู แท่นแทนแท้น!!! เจอผอบทองคำบนดอกบัวบานอย่างน่าอัศจรรย์

เท่านั้นยังไม่อัศจรรย์ไม่พอ เพราะเมื่อเปิดผอบดู ก็พบ นางสีดา ในวัยสะรุ่น 16 ปีอยู่ด้านใน พระชนกเลยได้ตั้งชื่อ นางที่อยู่ในผอบทองคำว่า "นางสีดา" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

จากนั้นก็ค่อยถอดเครื่องแบบฤาษี ลาเพศโยคี พร้อมเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุง มิถิลา พร้อมนางสีดา บุตรสาวบุญธรรม

(ตกลง นางสีดา เติบโตอยู่ในผอบคนเดียวมา 16 ปี??!??)

อนึ่ง สีดา แปลว่า รอยไถ นะครับ คงไม่สงสัยนะครับว่า ชื่อ สีดา มาจากไหน?

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 1 ฉากที่ 4-พระชนกเสด็จกลับกรุงมิถิลา




พระชนก เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุง มิถิลา พร้อมกับนางสีดา

....................


« Last Edit: 30 March 2024, 18:15:05 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #1 on: 02 March 2022, 11:23:15 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 2 ฉากที่ 1-พระชนกหารือโหรหาคู่




หลังจากที่ พระชนก และ สีดา ได้เสด็จกลับกรุง มิถิลา พระชนก ก็คิดการณ์อยากให้ สีดา ได้ออกเรือน จึงทรงเรียกบรรดาขุนนาง อำมาตย์ ทั้งหลาย มาประชุมกันสิ ว่าจะเลือกใครมาเป็นคู่ครอง สีดาดี

คุยกันไป คุยกันมา สรุปได้ว่า เราจำจะต้องป่าวประกาศออกไปยังอาณาจักรน้อยใหญ่ทั้งหลาย ว่าอาณาจักรของเรากำลังจะมีพิธีการเลือกคู่ (อินตะระเดียสมัยโบราณ ประกอบไปด้วย อาณาจักรต่างๆ รวมๆเรียกว่า มหาชนบท และเมือง มิถิลา ก็เป็นเมืองหลวงของ อาณาจักรวัชชีครับ)

พิธีการเลือกคู่ ก็คือ เจ้าชายจากอาณาจักรใดก็ได้ ที่สามารถ ยก คันศร คู่เมืองมิถิลา ขึ้น เจ้าชายองค์นั้นก็จะได้ อภิเษกสมรส กับ สีดาไปเลย.....

คันศรที่ว่า ไม่ใช่คันศรธรรมดานะครับ แต่เป็นคันศรของพระอิศวรเลยทีเดีย คันศรนี้ในเรื่อง รามเกียรติ์ และ รามายณะ จะมีที่มาแตกต่างกันครับ แต่ไม่ต้องไปสนใจ (ผมก็จำไม่ค่อยได้) เอาเป็นว่า พระอิศวร เลิกใช้งาน เลยเอามาฝากไว้ให้เป็นสมบัติคู่บ้านคู่เมืองมิถิลานี่แหละ

ฉะนั้น คันศรนี้ ไม่ใช่ว่าใครจะมายกขึ้นได้ง่ายๆ ต้องเป็นคนที่เรียกว่า เทพมาจุติ เท่านั้นถึงจะยกได้..... คุ้นๆแล้วใช่มั๊ยครับ ว่า ใครน่าจะยกขึ้น...

จากรูป เป็นการสนทนาหารือกันระหว่าง พระชนก และ บรรดาอำมาตย์ ในเมืองมิถิลา .... เมืองมิถิลา จริงๆนะครับ ดูจากที่ประตูทางเข้าก็ได้

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 3 ฉากที่ 1-พระชนกประกาศเชิญกษัตริย์




คำประกาศเชิญชวนของพระชนก ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วแผ่นดินชมพูทวีป

กษัตริย์ ผู้ครองเมืองน้อยใหญ่ต่างก็สนใจจะเข้าร่วมงานในครั้งนี้กันอย่างตื่นเต้น

และแน่นอนว่า ประกาศข่าวนี้ จะต้องเผยแพร่ไปจนถึงเมืองอโยธยา เมืองที่พระเอกของเรื่องรามเกียรติ์ประทับอยู่ด้วย

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:16:55 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #2 on: 02 March 2022, 11:24:49 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 4 ฉากที่ 1-พระรามสบตานางสีดา




ภาพเขียนตัดฉับมาตอนที่ พระราม โตเป็นหนุ่มแล้ว ตามท้องเรื่องรามเกียรติ์ 4 โอรสได้รับการฝึกปรือจนเก่งกล้า จากฤาษีวสิษฐ์ และ ฤาษีสวามิตร จนมีฝีมือการต่อสู้และยิงธนูไร้เทียมทาน

พระพรตและพระสุัตรุต ถูกขอตัวให้ไปอยู่กับ ท้าวไกยเกษพระราชบิดาของ นางไกยเกษี พระราชมารดาของพระพรต ที่เมืองไกยเกษ

ส่วนพระราม และพระลักษณ์ ติดตามพระอาจารย์ฤาษีทั้งสองไปฝึกปรือฝีมือต่อ ซึ่งในช่วงของการฝึกปรือ ได้มีการต่อสู้กับ นางกากนาสูร ที่เคยแปลงเป็นอีกาไปขโมยข้าวทิพย์มาให้นางมณโฑกิน แล้วประสูตรนางสีดา

พระรามจัดการยิงศรสอย นางกากนาสูรในร่างอีกา ร่วงผลอยตกลงมาตาย

มารีศและสวาหุลูกชายนางยักษ์ ได้ข่าวว่าแม่ถูกฆ่า ก็รีบวิ่งปรูู๊ดมาให้พระรามและพระลักษณ์สอยร่วงตามแม่ไป....สวาหุตายในที่เกิดเหตุ แต่มารีศวิ่งหนีกลับไปได้ .... และมารีศนี่แหละที่ในภายภาคหน้าจะกลับมาแปลงเป็นกวางทองคำ หลอกล่อพระราม....ในคราวที่ทศกัณฐ์วางแผนชิงตัวนางสีดา


ส่วนในเรื่อง รามายณะ จะมีเค้าโครงคล้ายๆกัน ต่างกันที่ นางกากนาสูร จะชื่อ นางทัตกะ มีบุตรชื่อ มารีศคนเดียว จริงๆแล้ว นางทัตกะ ไม่ได้เป็นยักษ์ เป็นผู้หญิงธรรมดาๆที่พระพรหมประทานให้กับ ยักษ์นามสุเกตุ......วันนึง นางทัตกะสูญเสียสามีไป จิตใจเศร้าหมอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัว อุ้มมารีศผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เดินไปเดินมา เจอะกับฤาษีอรรคต (น่าจะเป็นฤาษีเดียวกับฤาษีอังคตในรามเกียรติ์) แล้วไปกวนโอ๊ยท่านฤาษี นางทัตกะ เลยถูกท่านฤาษีสาปให้กลายเป็นยักษ์ กินเลือดกินเนื่อ หน้าตาอุบาทว์ รอพระนารายณ์อวตารมาปลดปล่อยเท่านั้น

หลังจากพระรามยิงศรปราบนางทัตกะแล้ว นางก็กลายร่างกลับเป็นผู้หญิงดังเดิม ส่วนมารีศเมื่อตามมาแก้แค้น ก็เจอพระรามยิงศรไปจนตกทะเล แต่ไม่ตาย เพราะพระรามยั้งมือ

นางทัตกะ ตามรามายณะ ไม่ได้ไปขโมยข้าวทิพย์แบบที่ปรากฏในรามเกียรติ์ ... ผมตั้งใจเอาสองเรื่องมาเปรียบเทียบให้ดูความแตกต่างครับ...เค้าโครงคล้ายๆกัน แต่รายละเอียดต่างกัน

ตัดกลับมาที่รามเกียรติ์ .... หลังจากที่พระรามปราบนางกากนาสูร สวาหุ และ มารีศแล้ว พระอาจารย์ฤาษีทั้งสองก็เดินนำทั้งพระรามและพระลักษณ์ ไปเมือง มิถิลา เพื่อเข้าร่วมพิธีการเลือกคู่กะเค้าด้วย

พระรามก็มีสถานะเป็นเจ้าชายเมืองอโยธยา....ซึ่งสมัยนั้นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโกศล

ตามภาพ ขณะที่พระรามและพระลักษณ์เดินตามพระฤาษีทั้งสองเข้าเขตเมืองมิถิลา พระรามและนางสีดาก็ตาประสานตา ใจประสานใจ ปิ๊งปั้งกันตั้งแต่แรกเห็น.....

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 4 ฉากที่ 2-พระรามประลองยกศร




ทบทวนกติการในการประลองพิธีการเลือกคู่อีกครั้ง เจ้าชายจากอาณาจักรใดก็ได้ก็ตาม ที่สามารถ ยกคันศร คู่เมืองมิถิลา หรือคันศรมหาธนูโมลี ซึ่งเป็นอดีตคันศรของพระอิศวรขึ้น เจ้าชายองค์นั้นก็จะได้ อภิเษกสมรส กับ สีดาไปเลย.....

 หลังจากที่เจ้าชายอาณาจักรต่างๆได้ลองยกศรมหาธนูโมลีดูก็ปรากฏว่า ไม่มีใครยกขึ้นสักกะคน อย่าว่าแต่ยกขึ้นเลย ทำให้ขยับแค่เพียงข้อนิ้ว หรือหนึ่งองคุลี ยังทำกันไม่ได้เลย

 พระชนก พระราชบิดาของนางสีดา ก็เริ่มเซ็งเป็ด สงสัยจะให้โจทย์ยากเกินไปหล่ะมั้งเนี่ย....

 ... แต่สักพัก พลันเหลือบไปเห็นพระรามเดินตามพระฤาษีทั้งสองมา ก็เกิดอารามตะลึงพรึงเพริ่ด เหมือนเห็นเทพมาจุติ ส่วนนางสีดานั้นอายม้วนต้วนไปตั้งแต่แรกเห็นพระรามแล้ว

 พระชนกจึงมีรับสั่งให้พระรามมาลองยกศรดูกะเค้ามั้ง และพระรามก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยกศรขึ้นมาอย่างง่ายดาย ในรามเกียรติ์ พระรามแค่กวัดแกว่งคันศร แต่ในรามายณะนี้ เหนี่ยวคันศรจนหักสองท่อนเลย

 ดังนั้น ผลการเลือกคู่ ก็เป็นเอกฉันท์ แท่นแทนแท้น พระชนกรีบจัดแจงส่งฑูตไปทูลเชิญท้าวทศรถจากเมืองอโยธยา ให้เสด็จมาทำพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่าง พระราม และ นางสีดา โดยพลัน

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:18:10 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #3 on: 02 March 2022, 11:26:51 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 5 ฉากที่ 1-พระชนกส่งสาสน์ไปอโยธยา




พระชนกรีบรับสั่งให้บริวารรีบนำข่าวมงคลไปแจ้งแก่ท้าวทศรถแห่งเมืองอโยธยา

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 6 ฉากที่ 1-พระพรตและพระสัตรุต ลาท้าวไกยเกษ




หลังจากที่พระชนก แจ้งข่าวเรื่องการอภิเษกสมรสให้ ท้าวทศรถทรงทราบ

ท้าวทศรถก็ทรงให้ม้าเร็ววิ่งปรู๊ดไปเมืองไกยเกษ เพื่อแจ้งข่าวดีให้กับพระอนุชาของพระรามนั่นคือ พระพรต และ พระสัตรุต ได้ทราบเช่นเดียวกัน

... และงานสำคัญแบบนี้ มีหรือ น้องชายจะไม่มาร่วมงานด้วย

พระพรตและพระสัตรุตจึงทูลลาท้าวไกยเกษ พระอัยกา หรือ พระเจ้าตาของพระพรต เมื่อขอชะแว่บไปร่วมงานมงคลที่เมือง มิถิลา

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:19:39 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #4 on: 02 March 2022, 11:28:53 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 7 ฉากที่ 1-พระพรตและพระสัตรุตรีบกลับไปร่วมงานสมรส




พระพรต และ พระสัตรุต หลังจากทูลลาพระเจ้าตา แล้วก็รีบบึ่งกลับมาหาพระราชบิดา ท้าวทศรถ ก่อนจะยกขบวนขันหมากไปสมทบกับพระรามที่เมือง มิถิลา ที่รออยู่ที่โน้นแล้ว

ในรูปนี้ใครคือพระพรต และ พระสัตรุต?

... พระพรตนั่นมีกายสีแดง

ส่วนพระสัตรุตมีกายสีม่วง

..........


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 8 ฉากที่ 1-พระรามและนางสีดาอภิเษกสมรส ณ เมืองมิถิลา




เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา งานวิวาห์ก็เริ่มขึ้น.....พระรามและสีดา ก็ได้เข้าสู่พระราชพิธีอภิเษกสมรส...

ในรามายณะ จะมีบทเพิ่มเติมให้ ราชบุตรทั้ง 4 ของอโยธยา ได้เป็นครองคู่กับธิดาจากฝั่งมิถิลากันพร้อมหน้าพร้อมตา ดังนี้

พระลักษณ์ สมรสกับ อุรมิลา พระราชธิดาของพระชนก
พระพรต สมรสกับ มณเทวี
พระสัตรุต สมรสกับ ศรุตกีรติ

มณเทวีและศรุตกีรติ เป็นพระธิดาของ กุสาธวัชราชา พระอนุชาของพระชนก

แต่เทวีทั้งหมด นอกจาก สีดา ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายในเนื้อเรื่อง.....ฉะนั้นจะจำหรือไม่จำชื่อก็ได้ครับ...

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:21:21 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #5 on: 02 March 2022, 11:38:49 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 9 ฉากที่ 1-พระรามรบกับรามสูร




หลังจากพระราชพิธีอภิเษกสมรสเสร็จสิ้นลง....ท้าวทศรถและบรรดาราชโอรส และพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ก็ยกขบวนกันกลับกรุงอโยธยา

ระหว่างทาง ขบวนเสด็จไปเจอะกับ รามสูร

รามสูร เดียวกับในนิทาน รามสูร กับ เมขลา ตัวการที่ทำให้เกิดฟ้าแลบแปล่บๆ และฟ้าร้องนั่นแหละครับ

รามสูรในเรื่องรามเกียรติ์นี่ไม่ใช่ยักษ์กระจอกนะครับ เพราะเคยเอาชนะพระอรชุน (คนละอรชุนกับมหาภารตะ) มาแล้ว และพระอรชุนคนเดียวกันนี่แหละที่ เคยจับทศกัณฐ์ตอนเป็นวัยสะรุ่นเป็นตัวประกัน เดือดร้อนให้ฤาษีโคบุตรผู้เป็นอาจารย์ของทศกัณฐ์มาไถ่ตัวคืนกลับไป

 ตอนรามสูรรบกับพระอรชุนนั้น ได้จับพระอรชุนฟาดเข้ากับเขาพระสุเมรุ จนเขาเอียง และพระอรชุนตายในที่เกิดเหตุ

 ในเรื่องรามเกียรติ์ เขาพระสุเมรุที่พำนักพักอาศัยของพระอิศวรชอบมีคนไปทำให้มันเอนเอียง อย่างน้อยๆ ก็ 2 ครั้งแหละที่ผมจำได้ และครั้งนี้หลังจากที่เขาพระสุเมรุต้องเอนทรุดอีกครั้ง ก็เดือดร้อนพระอิศวรต้องเรียก พาลี สุครีพ พญานาค มาช่วยกันทำให้เขาตั้งตรงแบบเดิม ก่อนที่พาลีจะก่อวีรกรรมเสียสัตย์เพื่อน้องชาย สุครีพ โดยการแฮ่บของรางวัลที่พระอิศวรประทานไปให้สุครีพ นั่นคือ นางดารา เอาไปเป็นเมียตัวเอง แทนที่จะยกให้น้อง .... และจากการเสียสัตย์ในครั้งนี้ ก็เป็นต้นเหตุให้พาลีโดนพระรามฆ่าตายในกาลต่อมา

 

กลับมาที่ขบวนเสด็จ....

 


รามสูร เป็นยักษ์เกเร เห็นใครขวางหูขวางตาไม่ได้ก็ต้องรีบเข้าไปนอยด์ใส่ ว่าแล้วพระรามก็ออกมารับศึก สู้กันไปสู้กันมา รามสูรมาขอยอมแพ้ หลังจากพระรามแปลงร่างกลับไปเป็น พระนารายณ์ เพราะ รามสูร เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า มาเบ่งผิดคนแล้ว

หลังจากยอมแพ้โดยศิโรราบ รามสูร ก็ทูลถวาย ศรตรีเมฆ ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ที่ได้รับประทานมาจากพระอิศวรอีกที ให้กับพระราม

 ในตอนนั้น พระราม มีสุดยอดไอเท็มอยู่แล้วคือ

1. ศรพรหมมาสตร์ เป็นศรไม้ตาย ยิงทีความเร็วเป็นจักรกรด มองตามไม่ทัน ยิงจากโลกมนุษย์ทะลุขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

2. ศรอัคนิวาต เป็นศรที่ยิงออกไปทีนึง เหมือนเอาดวงอาทิตย์มาวางไว้ตรงหน้า เผาผลาญทุกสรรพสิ่ง

3. ศรพลายวาต เป็นศรทีมีระบบติดตามศัตรู ต่อให้หนีลงไปบาดาล มันก็ยังตามไปจนเจอ

 ไหนจะมีชุดเกราะและดาบจากพระอินทร์อีก พกกันพะรุงพะรัง แต่ครั้นจะไม่รับศรจากรามสูรไว้ก็จะเป็นการเสียน้ำใจ พระองค์เลยขอฝากศรตรีเมฆไว้กับพระพิรุณก่อน เอาไว้เมื่อไหร่ต้องการใช้ เดี๋ยวจะส่งซิกให้พระพิรุณเอาลงมาให้

 

ภาพในฉากนี้ก็บรรยายการต่อสู้ระหว่างพระรามและรามสูร ตามที่ผมได้เกริ่นไปนั่นแหละครับ

ส่วนในรามายณะนั้น พระรามได้ต่อสู้กับ ปรสุราม เทพที่ได้รับประทานขวานสายฟ้ามาจากพระศิวะ หรือ พระอิศวร ... ปรสุรามนั้นปรากฏตัวในหลายๆนิทาน รวมถึงปรากฏตัวว่าเป็นหนึ่งในนารายณ์อวตารปางหนึ่งด้วย....พระรามก็นารายณ์อวตาร ปรสุรามก็นารายณ์อวตาร แล้วมาสู้กันเองได้ยังไง???

ส่วนที่ รามเกียรติ์ ของไทย ปรากฏชื่อ รามสูร แทนที่จะเป็น ปรสุราม ก็เพราะ เราไปเอาเค้าโครงมาจาก รามายณะเวอร์ชั่นของอินเดียตอนใต้ แถบศรีลังกาโน้น ... เพราะเวอร์ชั่นนี้ มีการเพิ่มตัวละคร รามสูร เข้าไปครั้งแรกครับ

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:22:18 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #6 on: 02 March 2022, 11:39:59 »


ภาพเขียนรามเกียรติห้องที่ 10 ฉากที่ 1-ตำนานทรพี




ภาพเขียนในห้องนี้เป็นเรื่องราวควาย ทรพา และ ทรพี….

ในชาติก่อน ทรพา เกิดเป็นยักษ์ชื่อ นนทกาล ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูให้พระอิศวร วันนึงเห็นนางมาลีบนสวรรค์เดินเก็บดอกไม้ นนทกาล เห็นแล้วก็เลยเข้าไปเจ๊าะแจ๊ะ แทะโลม ซกมก ใส่ นางมาลีเห็นแล้วก็นอยด์ รีบแจ้นไปฟ้องพระอิศวร พระอิศวรเลยลงโทษสาปให้ นนทกาล ตายไปเกิดไปควายชื่อ ทรพา มีลูกชื่อ ทรพี และโดน ทรพี ฆ่าตาย จึงหมดคำสาป กลับมานั่งเฝ้าประตูใหม่...

และแล้ว นนทกาล ก็ลงมาเกิดเป็นควายเผือก และด้วยกลัวในคำสาป พอมีลูกเป็นควายตัวผู้ปุ๊บ ทรพา จะรีบเอาไปฆ่าทิ้งเสียทันที

 
...แต่คำสาปก็ยังต้องเป็นคำสาป เพราะเมียทรพา ชื่อ นิลกาสร หลังจากท้องแก่มาก ก็หนี ทรพา ไปคลอดลูกเป็น ทรพี ที่ถ้ำแก้วสุรกานต์ ทรพีนั้นเป็นควายบิ๊กไซส์ สีดำเขื่อง มีกำลังขนาดโยกขุนเขาได้สบายๆ

 
พอคลอด ทรพี เสร็จปุ๊บ นางนิลกาสร ต้องรีบทิ้ง ทรพี กลับไปหา ทรพา ไม่งั้นแล้ว เดี๋ยว ทรพา จะพาลสงสัยว่าหายไปไหน นางนิลกาสร เลยต้องฝาก ทรพี ให้เทวดา จ้าวป่า จ้าวเขาดูแล ดังในภาพครับ จะมีรูปนึง ที่เทวดานั่งล้อมรอบควายตัวสีดำ เทวดาทั้งหลายก็เข้าประจำตำแหน่ง สิงเขาสองเขา ขาสี่ข้างของ ทรพี ทรพีเลยกลายเป็นซุปเปอร์ควาย พลังช้าง

พอ ทรพี เป็นหนุ่ม และรู้เรื่องราวที่ ทรพา จ้องจะฆ่าตัวเองตั้งแต่แรกเกิด ก็พาลให้แค้นเคือง สะกดรอยตาม ทรพา แล้วลองเอารอยเท้าตัวเองไปเทียบดู ปรากฏว่า เท้าตัวเองเล็กกว่าของ ทรพา เยอะ เลยต้องเก็บความแค้นไว้ก่อน เพราะถ้าออกไปท้ารบตอนนี้มีหวังถูก ทรพา ขวิดตายแน่ๆ

ทรพีเฝ้าวัดรอยเท้า ทรพา ผู้พ่อทุกวันๆๆๆ จนกระทั่งพบว่า รอยเท้าตัวเองใหญ่เท่ากับ ทรพา … จึงไปดักรอพบ ทรพา แล้วก็ท้ารบกันตามรูปเลยครับ … ขวิดกันไปขวิดกันมา ทรพา สู้ไม่ได้ เพราะไซส์เท่ากัน แต่ ทรพี มีการติดเทอร์โบด้วยการให้เทวดามาประจำเขาและเท้า ทรพา เลยถูกขวิดไส้ทะลัก ตายด้วยน้ำมือลูกตัวเองตามคำสาป กลับไปเกิดเป็นยามเฝ้าประตูดังเดิม

 
และ ทรพี ก็กลายเป็นคำศัพท์ของคนเนรคุณคนมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

..........


« Last Edit: 30 March 2024, 18:23:05 by ppsan » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.04 seconds with 21 queries.