Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 16:13:52

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,616 Posts in 12,928 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เหนือเกล้าชาวสยาม  |  ปูชนียภิกขุ  |  สมเด็จพระสังฆราช  |  สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)  (Read 2065 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« on: 26 February 2022, 21:39:05 »

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)





พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
พุทธศักราช ๒๕๓๒-๒๕๕๖

วัดบวรนิเวศวิหาร (วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร)
แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร


หัวข้อ

• พระประวัติในเบื้องต้น
• ทรงบรรพชา
• ทรงอุปสมบท
• พระศาสนกิจและสมณศักดิ์
• สมเด็จพระญาณสังวรรูปที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
• สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
• พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
• พระศาสนกิจในต่างประเทศ
• การสาธารณูปการ
• การสาธารณสงเคราะห์
• พระนิพนธ์
• ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
• ตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบัน
• ชีวิตและปฏิปทาแบบอย่าง


พระประวัติในเบื้องต้น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร
และเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี

มีพระนามเดิมว่า “เจริญ คชวัตร” พระนามฉายาว่า “สุวฑฺฒโน”
ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๗๕
ตรงกับวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ (รัตนโกสินทรศก ๑๓๒)
เวลาประมาณ ๑๐ ทุ่ม มีเศษ (หรือเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ นาฬิกาเศษ
แห่งวันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ตามที่นับแบบปัจจุบัน)
ณ บ้านวัดเหนือ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

พระชนกชื่อ นายน้อย คชวัตร (ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๐๘)

บรรพชนของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นที่น่าสนใจไม่น้อย
กล่าวคือ มาจาก ๔ ทิศทาง

พระชนกนั้นมีเชื้อสายมาจากกรุงเก่าทางหนึ่ง จากปักษ์ใต้ทางหนึ่ง

ส่วนพระชนนีมีมีเชื้อสายมาจากญวนทางหนึ่ง จากจีนทางหนึ่ง



นายน้อย คชวัตร พระชนก


นายน้อย คชวัตร เป็นบุตรนายเล็ก และ นางแดงอิ่ม
เป็นหลานปู่หลานย่าหลวงพิพิธภักดี และนางจีน

ตามที่เล่ามานั้น หลวงพิพิธภักดี เป็นชาวกรุงเก่า
เข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ
ได้ออกไปเป็นผู้ช่วยราชการอยู่ที่เมืองไชยา คราวหนึ่ง
และเป็นผู้หนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปคุมเชลยที่เมืองพระตะบองคราวหนึ่ง

หลวงพิพิธภักดี ไปได้ภริยาชาวเมืองไชยา ๒ คน
ชื่อ ทับ คนหนึ่ง ชื่อ นุ่น คนหนึ่ง
และได้ภริยาชาวเมืองพุมเรียง ๑ คน ชื่อ แต้ม

ต่อมาเมื่อครั้งพวกแขกยกเข้ามาตีเมืองไทร
เมืองตรัง เมืองสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาศรีพิพัฒน์
(ทัด ต่อมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ในรัชกาลที่ ๔)
เป็นแม่ทัพยกออกไปปราบปราม

หลวงพิพิธภักดี ได้ไปในราชการทัพครั้งนั้นด้วย
และไปได้ภริยา ชื่อ จีน ซึ่งเป็นธิดาของพระยาปลัดเมืองตะกั่วทุ่ง (สน)
เป็นหลานสาวพระตะกั่วทุ่ง
หรือ พระยาโลหภูมิพิสัย (ขุนดำ ชาวเมืองนครศรีธรรมราช)

มีเรื่องราวดังที่เขียนไว้ในจดหมายหลวงอดุมสมบัติว่า

หลวงพิพิธภักดี ได้พาจีน
ภริยาจากตะกั่วทุ่งมาตั้งครอบครัวอยู่ในกรุงเทพฯ
ได้รับภริยาเดิม ชื่อ แต้ม จากพุมเรียงมาอยู่ด้วย
(ส่วนภริยาชาวเมืองไชยาอีก ๒ คน ได้ถึงแก่กรรมก่อน)

เวลานั้น พี่ชายของ หลวงพิพิธภักดี
เป็นที่พระพิชัยสงคราม เจ้าเมืองศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี
และ พระยาประสิทธิสงคราม (จำ) เจ้าเมืองกาญจนบุรีครั้งนั้น
ก็เป็นอาของหลวงพิพิธภักดี
ต่อมาหลวงพิพิธภักดีพาภริยาทั้ง ๒
ไปตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี เล่ากันมาว่า

หลวงพิพิธภักดี เป็นคนดุ
เมื่อรับราชการเป็นผู้ช่วยราชการเมืองไชยา
เคยเฆี่ยนนักโทษตายทั้งคา
เป็นเหตุให้หลวงพิพิธภักดีสลดใจลาออกจากราชการ

แต่บางคนบอกเล่าว่า

ต้องออกจากราชการเพราะความขึ้น
เรื่องที่เกี่ยวกับจีนหลานสาวพระตะกั่วทุ่ง
เมื่ออพยพมาอยู่ที่เมืองกาญจนบุรีนั้นแล้ว
พระพิชัยสงคราม ผู้พี่ชาย จะให้เขารับราชการอีก
หลวงพิพิธภักดี ไม่ยอมรับ สมัครทำนาอาชีพ

นายน้อย คชวัตร เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีวอก
ตรงกับวันที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๒๗
ได้เรียนหนังสือ ตลอดจนถึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ ๒ พรรษา
ในสำนัก พระครูสิงคบุรคณาจารย์ (สุด)
เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน

พระครูสิงคบุรคณาจารย์ เป็นบุตรคนเล็กของหลวงพิพิธภักดี
และ นางจีน เป็นอาคนเล็กของ นายน้อย คชวัตร เอง
เมื่อลาสิกขาแล้วได้เข้ารับราชการ

เริ่มตั้งแต่เป็นเสมียนสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เมืองกาญจนบุรี
และได้แต่งงานกับ นางกิมน้อย เมื่ออายุ ๒๗ ปี



นางกิมน้อย คชวัตร พระชนนี


นางกิมน้อย คชวัตร มาจากบรรพชนทางญวนและจีน
บรรพชนสายญวนนั้นเข้ามาในเมืองไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๓
เมื่อครั้ง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
ยกทัพไปปราบจลาจลเมืองญวน
ได้ครอบครัวญวนส่งเข้ามาถวาย

รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ญวนพวกที่นับถือพระพุทธศาสนาไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี
เมื่อปลายปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๗๒ เพื่อรักษาป้อมเมือง

ส่วนพวกที่นับถือคริสต์ศาสนา
ให้ไปรวมอยู่กับพวกญวนเข้ารีตที่ตำบลสามเสน ในกรุงเทพฯ

พวกญวนที่ไปตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองกาญจนบุรีในครั้งนั้น
ได้สร้างวัดญวนขึ้นที่เมืองกาญจนบุรีวัดหนึ่ง ชื่อ วัดครั๊นถ่อตื่อ

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้พระราชทานนามวัดว่า “วัดถาวรวราราม”
บรรพชนสายญวนของนางกิมน้อยเป็นพวกที่เรียกว่า “ญวนครัว”
ที่เข้ามาเมืองไทยในครั้งนั้น

ส่วนบรรพชนสายจีนนั้น ตามที่เล่ามาว่า
ได้โดยสารเรือสำเภามาจากเมืองจีน
เรือมาแตกก่อนจะถึงฝั่งเมืองไทย
แต่ก็รอดชีวิตมาขึ้นฝั่งเมืองไทยได้
และได้ไปตั้งหลักฐานทำการค้าอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี

นางกิมน้อย คชวัตร
เป็นบุตรของนางเฮงเล็ก แซ่ตัน (สายจีน) และนายทองคำ (สายญวน)
เกิดเมื่อวันจันทร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ
ตรงกับวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๙
ที่ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

มีชื่อเรียกเมื่อเป็นเด็กว่า “กิมน้อย” แปลว่าเข็มน้อย
คำว่า “กิม” เป็นคำญวณ แปลว่าเข็ม
แต่งงานกับนายน้อย คชวัตร เมื่ออายุ ๒๕ ปี
และใช้ชื่อเมื่อแต่งงานแล้ว
ตามที่พบในสมุดบันทึกของนายน้อย คชวัตร ว่า “แดงแก้ว”
แต่ต่อมาใช้ชื่อว่า “กิมน้อย” หรือ “น้อย” ตลอดมา
นางกิมน้อย คชวัตร พูดญวนได้
และอ่านเขียนภาษาไทยได้เล็กน้อย

ตามประวัติการรับราชการ นายน้อย คชวัตร
ได้เป็นเสมียนอำเภอเมืองกาญจนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕
จนเป็นผู้ที่รั้งปลัดขวา

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ต่อมาได้ไปตรวจราชการท้องที่
กลับมาป่วยเป็นไข้อย่างแรง
ต้องลาออกจากราชการคราวหนึ่ง
หายป่วยแล้วจึงกลับเข้ารับราชการใหม่

และได้ให้กำเนิดบุตรคนโต
คือ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖
เป็นปลัดขวาอำเภอวังขนายในปีต่อมา
ได้สมัครเป็นสมาชิกเสือป่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘



สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค)


ในศกนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงซ้อมรบเสือป่าที่บ้านโป่งและนครปฐม
ก็ได้มีโอกาสไปร่วมซ้อมรบด้วย

และในศกเดียวกันนั้นเอง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค)
ได้เสด็จตรวจการคณะสงฆ์ จังหวัดกาญจนบุรี
ขณะประทับที่ วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ)
ได้โปรดให้ชาวบ้าน ข้าราชการ นำบุตรหลานเล็กเข้าเฝ้า

ในวันหนึ่ง นายน้อย คชวัตร ก็ได้นำบุตรคนโต อายุ ๒ ขวบ
คือ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าด้วยในโอกาสนั้น

ต่อมา นายน้อย คชวัตร
ได้ย้ายไปเป็นปลัดอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
ได้ไปป่วยเป็นโรคเนื้อร้ายงอกขึ้น
เมื่ออาการมากได้กลับมารักษาตัวที่บ้านจังหวัดกาญจนบุรี
และได้ถึงแก่กรรมเมื่อมีอายุได้เพียง ๓๘ ปี
ทิ้งบุตร ๓ คน ซึ่งมีอายุน้อยๆ ให้อยู่ในความอุปการะของภริยา

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น
ป้าเฮ้ง ผู้เป็นพี่หญิงของนางกิมน้อย
ได้ขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ และได้อยู่กับป้าเรื่อยมา

แม้เมื่อ นางกิมน้อย ต้องย้ายไปอยู่จังหวัดสมุทรสงคราม
ก็หาได้นำเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปด้วยไม่
เพราะเกรงใจป้าซึ่งรัก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาก
ป้าเลี้ยงเจ้าพระคุณสมเด็จด้วยความทะนุถนอม
เอาใจจนใครๆ พากันว่าเลี้ยงตามใจเกินไป
จะทำให้เสียเด็กภายหลัง แต่ป้าก็เถียงว่าไม่เสีย

เมื่อทรงพระเยาว์ก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น
คนภายนอกมักจะเห็นว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ทรงมีร่างกายอ่อนแอ ขี้อาย เจ็บป่วยอยู่เสมอ

คราวหนึ่งป่วยถึงกับผู้ใหญ่คิดว่าไม่หาย
และบนว่าถ้าหายจะให้บวชแก้บน
ข้อนี้เป็นเหตุหนึ่งทำให้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรในเวลาต่อมา

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ทรงมีพระนิสัยทางพระแสดงออกตั้งแต่ทรงพระเยาว์
คือชอบเล่นเป็นพระ ทำคัมภีร์เทศน์เล็ก พัดยศเล็ก

(ตามที่เห็นคือพัดพระครูของท่านพระครูอดุลยสมณิจครั้งนั้น)
เก็บหินมาทำภูเขา มีถ้ำ ทำเจดีย์เล็กบนยอดเขา
เล่นทอดกฐินผ้าป่า เล่นทิ้งกระจาด
และทำรูปยมบาลเล็กด้วยกระดาษแบบพิธีทิ้งกระจาดที่วัดญวน

เมื่อทรงเจ็บป่วยขึ้นผู้ใหญ่ต้องนำรูปยมบาลไปเผาทิ้งเสีย
ในคราวที่ป้าต้องตื่นแต่เช้ามืดออกไปทำงาน
ก็ต้องให้เทียนไว้สำหรับจุดที่นั่งเล่นพราะไม่ยอมนอน



ด้านหน้าวัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี


เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เข้าโรงเรียนประถมศึกษาเมื่อพระชนมายุได้ ๘ ขวบ
ที่ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน
และโรงเรียนในครั้งนั้นก็คือศาลาวัดนั่นเอง ทรงเรียนจนจบชั้นสูงสุด
คือประถมศึกษาปีที่ ๓ ซึ่งเท่ากับจบประถมศึกษาเมื่อครั้งกระนั้น
ถ้าจะเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาก็ต้องย้ายไปเข้า
โรงเรียนมัธยมวัดชัยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้)
ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดกาญจนบุรี

แต่ครูโรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม
ชวนให้ไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งจะเปิดสอนต่อไปที่
โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเท่ากับมัธยมศึกษาปีที่ ๑
และจะเปิดชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ซึ่งเท่ากับมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ต่อไปอีก
แต่ไม่มีภาษาอังกฤษเท่านั้น
จึงตกลงเรียนที่ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ต่อไป
มีเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันหลายคนย้ายไปเรียนชั้นมัธยมที่
โรงเรียนมัธยมวัดชัยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) แล้วมาต่อที่กรุงเทพฯ

ในระหว่างเป็นนักเรียนได้สมัครเป็นอนุกาชาด
และเป็นลูกเสือได้เรียนวิชาลูกเสือ สอบได้เป็นลูกเสือเอก

ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ฝึกซ้อมรบลูกเสืออย่างหนัก
โดยฝึกรบอย่างทหารใช้พลองแทนปืน
เพราะมีกำหนดว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงซ้อมรบเสือป่าที่บ้านโป่งและนครปฐม
และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ลูกเสือจากกาญจนบุรีเข้าร่วมการซ้อมรบด้วย
แต่ก็ได้เสด็จสวรรคตในศกนั้นเอง
จึงเป็นอันเลิกเรื่องการซ้อมรบเสือป่าลูกเสือ

ขณะเป็นนักเรียนอยู่นั้นเคยรับเสด็จเจ้านายหลายครั้ง
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช
ได้เสด็จประพาสจังหวัดกาญจนบุรี
และได้เสด็จเยี่ยม โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ครั้งหนึ่ง



สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช



เมื่อครั้งทรงบรรพชาเป็นสามเณร


ทรงบรรพชา

ในต้นพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๔๖๙
จะมีน้าออกบวชเป็นพระภิกษุที่ วัดเทวสังฆาราม ๒ คน
พระชนนีและป้าจึงชวนให้บวชเป็นสามเณรแก้บนเสียให้เสร็จ
จึงตกลงพระทัยบวชเป็นสามเณรในศกนั้น เมื่อพระชนมายุเข้า ๑๔ ปี

โดยมี พระครูอดุลยสมณกิจ (พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์)
(สุดท้ายได้เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพมงคลรังษี)
เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ)
ที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดเหนือ” เป็นพระอุปัชฌาย์

พระครูนิวิฐสมาจารย์ (สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ)
(สุดท้ายได้เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระโสภณสมาจาร)
เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม (วัดหนองบัว)
ที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดหนองบัว” เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล

บรรพชาแล้วจำพรรษาอยู่ที่ วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ)



พระครูอดุลยสมณกิจ (ดี พุทฺธโชติ) พระอุปัชฌาย์
(สุดท้ายได้เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพมงคลรังษี)
เมื่อครั้งทรงบรรพชาและทรงอุปสมบท ณ วัดเทวสังฆาราม


ก่อนที่ทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไม่เคยอยู่วัด
ไม่คุ้นเคยกับหลวงพ่อและพระทุกองค์
เป็นแต่ไปเรียนหนังสือในวัด
ไปบำเพ็ญกุศลตามเทศกาลต่างๆ ในวัด

เคยพาป้าไปฟังเทศน์ตอนค่ำพรรษาหนึ่ง
มีเทศน์ชาดกติดต่อกันทุกคืนภายในพรรษา
ติดพระทัยเร่งป้าให้ไปฟังนิทานทุกคืน
ถ้าเป็นเทศน์ธรรมะฟังไม่เข้าใจก็เร่งให้กลับ

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้อยู่กับป้าไม่เคยแยก
นอกจากไปแรมคืนเมือเป็นลูกเสือบางครั้งเท่านั้น
คืนวันสุดท้ายก่อนจะทรงบรรพชาเป็นสามเณร ป้าพูดว่า

“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ด้วยกัน”

ซึ่งก็เป็นความจริง ได้แยกจากกันตั้งแต่วันนั้นมา
จนอวสานแห่งชีวิตของป้า (เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗)


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #1 on: 26 February 2022, 21:41:49 »



พระอุโบสถวัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี


พรรษาแรกแห่งชีวิตพรหมจรรย์หมดไปด้วยการท่องสามเณรสิกขา
ทำวัตรสวดมนต์ต่างๆ กับทำอุปัชฌายวัตร ยังมิได้เริ่มศีกษานักธรรม

พระครูอดุลยสมณกิจ หรือหลวงพ่อวัดเหนือ (หลวงพ่อดี พุทฺธโชติ)
ได้ต่อเทศน์กัณฑ์อริยทรัพย์ ๗ ประการ แบบต่อหนังสือค่ำให้กัณฑ์หนึ่ง
คือเมื่อเข้าไปทำอุปัชฌายวัตรทุกคืน
ท่านอ่านนำให้ท่องตามทีละวรรค คืนละตอนจนจำได้ทั้งกัณฑ์
แล้วให้ขึ้นเทศน์ปากเปล่าแก่พุทธบริษัทในคืนวันพระคืนหนึ่ง

ครั้นวันออกพรรษาแล้วก็ยังเพลินอยู่ หลวงพ่อจึงชักชวนให้ไปเรียนภาษาบาลี
ที่ วัดเสนหา ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
เพื่อที่ว่าต่อไปจะได้กลับมาสอนที่ วัดเทวสังฆาราม
ท่านว่าจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้



ศาสนสถานภายในบริเวณวัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี


ครั้นสามเณรและผู้เป็นญาติโยมยินยอมแล้ว
หลวงพ่อจึงนำ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปฝากไว้กับ
พระครูสังวรวินัย (อาจ ชุตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดเสนหา
เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐



เมื่อครั้งทรงบรรพชาเป็นสามเณร


เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เริ่มเรียนไวยากรณ์ที่วัดเสนหา ในพรรษาศกนั้น
อาจารย์ผู้สอนเป็นพระเปรียญมาจาก วัดมกุฏกษัตริยาราม
ออกพรรษาแล้ว อาจารย์เห็นว่าจะทรงเจริญก้าวหน้าในการเรียน
จึงชักชวนให้ไปอยู่ที่ วัดมกุฏกษัตริยาราม
และได้ติดต่อฝากฝังทางวัด ให้ทางวัดจัดกุฏิเตรียมสำหรับที่อยู่
และแจ้งว่ามีนิตยภัตบำรุงของเจ้าของกุฏิด้วย

จึงได้หารือเรื่องนี้กับหลวงพ่อ แต่ท่านไม่เห็นด้วย
เพราะท่านคิดจะนำไปฝากให้เรียนต่อที่วัดบวรนิเวศวิหารอยู่
จึงเป็นอันงดไม่ได้ไปอยู่วัดมกุฏกษัตริยาราม

ส่วน พระครูสังวรวินัย (อาจ ชุตินฺธโร) นั้น
ได้อาพาธเป็นวัณโรคถึงแก่มรณภาพในเวลาต่อมา
พระปลัดห้อย (ต่อมาเป็นพระครูสังวรวินัย) เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเสนหา จังหวัดนครปฐม
เรียนแปลธรรมบทปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อีกพรรษาหนึ่ง
ออกพรรษาแล้วกลับไปพัก วัดเทวสังฆาราม เตรียมเข้ากรุงเทพฯ
เพราะหลวงพ่อได้เข้ามากราบเรียนฝาก
เจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร (พระยศในขณะนั้น)
หรือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(สุจิตฺโต ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์) ในกาลต่อมา และท่านได้กรุณารับไว้แล้ว



เจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต)
หรือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในกาลต่อมา


เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีโอกาสได้เห็น เจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์
เป็นครั้งแรกที่วัดเสนหา เมื่อเสด็จออกไปแสดงธรรมเทศนา
ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสังวรวินัย (อาจ ชุตินฺธโร)

หลวงพ่อได้นำ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
มาฝาก เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ก็ได้ทรงพระเมตตารับไว้
และทรงมอบให้อยู่ในความปกครองดูแลของ
พระครูพุทธมนต์ปรีชา (เฉลิม โรจนศิริ ป.ธ. ๓ ต่อมาลาสิกขา)

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับประทานพระฉายา
จากเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ว่า “สุวฑฺฒโณ”
ได้ปฏิบัติทุกอย่างตามกฎกติกาของวัดบวรนิเวศวิหาร
เช่น ซ้อมสวดมนต์ได้จบหลักสูตรของวัด

ในปีแรกที่มาอยู่ วัดบวรนิเวศวิหาร
ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม สอบได้ตามลำดับ ดังนี้

พ.ศ. ๒๔๗๒ พระชนมายุ ๑๗ สอบได้นักธรรมตรี
พ.ศ. ๒๔๗๓ พระชนมายุ ๑๘ สอบได้นักธรรมโท และเปรียญธรรม ๓ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๕ พระชนมายุ ๒๐ สอบได้นักธรรมเอก และเปรียญธรรม ๔ ประโยค



พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ


เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
ได้เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินหลวง วัดบวรนิเวศวิหาร
ขณะนั้น มีการพระราชทานผ้าไตรแก่พระภิกษุสามเณรเปรียญทั้งวัด

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นสามเณรเปรียญรูปเดียวในศกนั้น
ที่ได้เข้ารับพระราชทานผ้าไตรจากพระราชหัตถ์

ปีต่อจากนั้นก็งด
มีเหลือแต่ไตรสดัปกรณ์เพียง ๑๐ ไตร จนกระทั่งปัจจุบัน



เมื่อครั้งทรงเป็นพระมหาเจริญ สุวฑฺฒโน ทรงถ่ายภาพร่วมกับพระภิกษุสามเณร
วัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี (แถวนั่ง องค์ที่ ๓ จากขวา)


ทรงอุปสมบท

เมื่อ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาอยู่ วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๒
ก็มิได้มาบวชแปลงใหม่เป็นสามเณรธรรมยุต
เพราะหลวงพ่อมีความประสงค์จะให้กลับมาบวช
อยู่ช่วยท่านสอนพระปริยัติธรรมที่ วัดเทวสังฆาราม

ครั้นพระชนมายุครบอุปสมบทได้ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงกลับมาอุปสมบทที่ วัดเทวสังฆาราม
เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖
ตรงกับวันจันทร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา

โดยมี พระครูอดุลยสมณกิจ (พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์)
เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) เป็นพระอุปัชฌาย์
(สุดท้ายเลื่อนขึ้นเป็น พระเทพมงคลรังษี ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐)

พระครูนิวิฐสมาจารย์ (สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ)
เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม (วัดหนองบัว) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
(สุดท้ายเลื่อนขึ้นเป็น พระโสภณสมาจาร ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓)

พระปลัดหรุง เสี่ยงฉี เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสมอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
(ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙)



พระครูอดุลยสมณกิจ (ดี พุทฺธโชติ) พระอุปัชฌาย์
เมื่อครั้งทรงอุปสมบท ณ วัดเทวสังฆาราม



พระครูนิวิฐสมาจารย์ (เหรียญ สุวณฺณโชติ) พระกรรมวาจาจารย์
เมื่อครั้งทรงอุปสมบท ณ วัดเทวสังฆาราม



พระปลัดหรุง เสี่ยงฉี พระอนุสาวนาจารย์
เมื่อครั้งทรงอุปสมบท ณ วัดเทวสังฆาราม


เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
แล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม ๑ พรรษา
แล้วกลับมาพำนักที่ วัดบวรนิเวศวิหาร
ได้ทรงทำทัฬหีกรรม (อุปสมบทซ้ำ) เป็นธรรมยุตอีกครั้งหนึ่ง
ตามธรรมเนียมนิยมของพระสงฆ์ธรรมยุตในครั้งนั้น
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖
(ขณะนั้นยังนับเดือนเมษายนเป็นต้นปี)
ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา
ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร

โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(สุจิตฺโต ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นที่
สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์

พระรัตนธัชมุนี (อิสฺสรญาโณ จู ทีปรักษพันธุ์)
ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพเมธี เป็นพระกรรมวาจาจารย์

มีพระนามฉายาว่า “สุวฑฺฒโน” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า ผู้เจริญดียิ่ง



พระเทพเมธี (จู อิสฺสรญาโณ) พระกรรมวาจาจารย์
เมื่อครั้งทรงอุปสมบทซ้ำ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร


แม้มาอุปสมบทอยู่ วัดบวรนิเวศวิหาร แล้ว
ก็ยังเวียนไปมาช่วยหลวงพ่อสอนพระปริยัติธรรมที่ วัดเทวสังฆาราม อยู่อีก ๒ ปี
ระหว่าง ๓ ปีแรกที่ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุนี้ สอบได้ทุกปี คือ

พ.ศ. ๒๔๗๖ พระชนมายุ ๒๑ สอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๗ พระชนมายุ ๒๒ สอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๘ พระชนมายุ ๒๓ สอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ สอบเป็นพระเปรียญ
สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร เรื่อยมาทุกประโยค
เว้นแต่ประโยค ป.ธ. ๗ สอบในนามสำนักเรียน วัดมกุฏกษัตริยาราม

เพราะเจ้าหน้าที่ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ทำตกบัญชีขอเข้าสอบ
จึงไปเที่ยวแสวงหาว่าสำนักเรียนไหน
ส่งชื่อนักเรียนขอเข้าสอบประโยค ป.ธ. ๗ แต่สลละสิทธิ์ไม่สอบ
และทาง วัดมกุฏกษัตริยราม อนุญาตให้เข้าสอบในสำนักเรียนนั้นได้
โดยเลขที่ของผู้ที่สมัครไว้แต่ไม่สอบนั้น
จึงกลายเป็นพระ สำนักเรียนวัดมกุฏกษัตริยาราม ไปประโยคหนึ่ง

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เรียนภาษาอังกฤษและสันสกฤต
กับ ท่านสวามีสัตยานันทบุรี ปราชญ์ชาวอินเดีย อยู่ประมาณ ๒ ปี
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๗๘ ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร

แต่การเรียนไม่ค่อยสะดวกนัก
เพราะต้องเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมบ้าง บาลีบ้าง ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร
และต้องช่วยทำงานอย่างอื่นๆ อีก
เมื่อเวลาสอนมาตรงกับเวลาเรียน ก็ต้องงดการเรียนไปทำการสอน

ในด้านพระปริยัติธรรมได้ทรงสอบบาลีต่อขึ้นไปอีก ดังนี้

พ.ศ. ๒๔๘๑ พระชนมายุ ๒๘ สอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๘๒ พระชนมายุ ๒๙ สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #2 on: 26 February 2022, 21:46:53 »



ทัศนียภาพภายในวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ



เมื่อครั้งทรงเป็นพระเปรียญ


พระศาสนกิจและสมณศักดิ์

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเริ่มรับภาระทางวัด
และทางการศึกษาตั้งแต่ยังเป็นพระเปรียญตรี เปรียญโท
คือเป็น ครูสอนพระปริยัติธรรม นักธรรมบ้าง บาลีบ้าง

และเมื่อมีวิทยะฐานะเข้าเกณฑ์เป็นกรรมการตรวจนักธรรมและบาลี
ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการตรวจและบาลีแห่งสนามหลวง เรื่อยมา
ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรีถึงชั้นเอก
ตั้งแต่ประโยค ป.ธ. ๓ ถึง ประโยค ป.ธ. ๙
ได้ทรงรับภาระทางคณะสง์และการพระศาสนาต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับคือ

• พ.ศ. ๒๔๘๔

เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่ง
(ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔)
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ฉบับนี้ได้เลิกใช้
เมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แทน

เป็นกรรมการสังคายนาพระธรรมวินัย
ซึ่งแต่งตั้งขึ้นตามความในมาตรา ๖๐
แห่งพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
และเป็น ผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร



เมื่อครั้งทรงเป็นพระเปรียญ


• พ.ศ. ๒๔๘๘

เป็นพระวินัยชั้นอุทธรณ์
เป็น กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

• พ.ศ. ๒๔๘๙

เป็นเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
เป็นอาจารย์บรรยายวิชาพระสูตร และพระอภิธรรม
ในสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

• พ.ศ. ๒๔๙๐

พระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา
ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระโศภณคณาภรณ์
(มีความหมายว่า ผู้เป็นอาภรณ์หรือเครื่องประดับของหมู่คณะอันงาม)
ซึ่งเป็นพระราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นรูปแรก
และเป็น กรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย



เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะที่พระโศภณคณาภรณ์


• พ.ศ. ๒๔๙๓

เป็นกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย

• พ.ศ. ๒๔๙๓

เป็น กรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุต ประเภทชั่วคราว

• พ.ศ. ๒๔๙๔

เป็น กรรมการอำนวยการมหามกูฏราชวิทยาลัย
กรรมการแผนกตำราของมหามกูฏราชวิทยาลัย

• พ.ศ ๒๔๙๕

ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม
และเป็นผู้ร่วมในคณะฑูตพิเศษที่มหามกุฏราชวิทยาลัย
ส่งไปร่วมฉลองพระบรมสารีริกธาตุและพระอัครสาวกธาตุ
ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

• พ.ศ. ๒๔๙๖

เป็นกรรมการตรวจชำระคัมภีร์ฎีกา

• พ.ศ. ๒๔๙๗

เป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุตประเภทถาวร
และเป็นผู้ร่วมในคณะพระเถระแห่งคณะสงฆ์ไทยไปร่วมประชุมสมัยที่ ๒
แห่ง ฉัฏฐสังคายนาพระไตรปิฎก ณ กรุงร่างกุ้ง ประเทศพม่า

• พ.ศ. ๒๔๙๘

ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม



เมื่อครั้งทรงเป็น “พระอภิบาล” ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร


• พ.ศ. ๒๔๙๙

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร พระราชอุปัธยาจารย์
ของ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
ทรงเลือกพระองค์เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระโศภณคณาภรณ์
ให้เป็น “พระอภิบาล” (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อครั้งเสด็จออกทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
ในระหว่างวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ถึง วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙
พร้อมทั้งได้ถวายความรู้ในพระธรรมวินัยตลอดระยะเวลาแห่งการทรงพระผนวช

และในอภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ นั้น
ก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์
(มีความหมายว่า ผู้มีธรรมเป็นอาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ)
ซึ่งเป็นพระราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นรูปแรก
และรักษาการวินัยธรชั้นฎีกา



เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมวราภรณ์


• พ.ศ. ๒๕๐๐

เป็น กรรมการพิจารณาร่างระเบียบบริหารวัดธรรมยุต
และได้รับพระราชทานพัดรัตนาภรณ์

• พ.ศ. ๒๕๐๑

เป็น กรรมการคณะธรรมยุต
และเป็น กรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการพระศาสนาและมนุษยธรรม (ก.ศ.ม.)

• พ.ศ. ๒๕๐๓

เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครอง สั่งการองค์การปกครองฝ่ายธรรมยุต
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
องค์การหนึ่งๆ มีสังฆมนตรีสองรูป
สำหรับฝ่ายมหานิกายหนึ่งรูป สำหรับฝ่ายธรรมยุตหนึ่งรูป
และเป็นกรรมการดำเนินการสร้างธรรมสภา (แต่โครงการนี้ได้หยุดชะงักไป)



เมื่อครั้งทรงเป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครองฯ
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่พระธรรมวราภรณ์


• พ.ศ. ๒๕๐๔

ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง
(คือรองเจ้าคณะใหญ่ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะ) ที่ พระสาสนโสภณ
(มีความหมายว่า ผู้งามในพระศาสนาหรือผู้ยังพระศาสนาให้งาม)

เป็น เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ลำดับที่ ๖ สืบต่อจากพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)
เป็น ผู้อำนวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
เป็น ประธานกรรมการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย

เป็น กรรมการโครงการเชิดชูและบำรุงพระพุทธศาสนา โดยตำแหน่ง
เป็น ผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตทุกภาคทั่วราชอาณาจักร



ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ ณ วัดเทวสังฆาราม
เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมวราภรณ์
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=48818


• พ.ศ. ๒๕๐๐

เป็น กรรมการพิจารณาร่างระเบียบบริหารวัดธรรมยุต
และได้รับพระราชทานพัดรัตนาภรณ์

• พ.ศ. ๒๕๐๑

เป็น กรรมการคณะธรรมยุต
และเป็น กรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการพระศาสนาและมนุษยธรรม (ก.ศ.ม.)

• พ.ศ. ๒๕๐๓

เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครอง สั่งการองค์การปกครองฝ่ายธรรมยุต
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
องค์การหนึ่งๆ มีสังฆมนตรีสองรูป
สำหรับฝ่ายมหานิกายหนึ่งรูป สำหรับฝ่ายธรรมยุตหนึ่งรูป
และเป็นกรรมการดำเนินการสร้างธรรมสภา (แต่โครงการนี้ได้หยุดชะงักไป)



เมื่อครั้งทรงเป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครองฯ
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่พระธรรมวราภรณ์
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=49524


• พ.ศ. ๒๕๐๔

ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง
(คือรองเจ้าคณะใหญ่ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะ) ที่ พระสาสนโสภณ
(มีความหมายว่า ผู้งามในพระศาสนาหรือผู้ยังพระศาสนาให้งาม)

เป็น เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ลำดับที่ ๖ สืบต่อจากพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)
เป็น ผู้อำนวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
เป็น ประธานกรรมการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย

เป็น กรรมการโครงการเชิดชูและบำรุงพระพุทธศาสนา โดยตำแหน่ง
เป็น ผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตทุกภาคทั่วราชอาณาจักร

• พ.ศ. ๒๕๐๖

เป็น พระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๕๐๕ มีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
กล่าวคือ ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
แล้วให้ใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แทน
ตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ กำหนดให้มหาเถรสมาคม (มส.)
มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน บริหารปกครองคณะสงฆ์
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
นับเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรก
ซึ่งประกอบไปด้วยพระมหาเถระทั้งหมด ๘ รูป คือ

(๑) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘)

(๒) สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔)

(๓) สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖)

(๔) พระธรรมปัญญาบดี (วน ฐิติญาโณ) วัดอรุณราชวราราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐)

(๕) พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑)

(๖) พระสาสนโสภณ (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร
คือ เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรฯ (สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖)

(๗) พระมหาโพธิวงศาจารย์ (สาลี อินฺทโชโต) วัดอนงคาราม
(มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑)

(๘) พระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์
(มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐) ครั้นถึงเดือนพฤษาคม ศกเดียวกัน (พ.ศ. ๒๕๐๖)
ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระมหารัชชมังคลาจารย์

อนึ่ง กรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรกนี้
ได้ประชุมกันครั้งแรก ณ พระอุโบสถวัดสระเกศ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม
ทุกสมัยตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เป็นกรรมการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี
และเป็น อนุกรรมการพิจารณาร่างกฎมหาเถรสมาคม ตลอดมาทุกสมัย



เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะที่พระสาสนโสภณ
และกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.)


• พ.ศ. ๒๕๐๗

เป็น อนุกรรมการพิจารณาร่างระเบียบการเดินทางไปต่างประเทศ
ของพระภิกษุสามเณร

เป็น ผู้ถวายพระธรรมเทศนา “พระมงคลวิเสสกถา” (วิเศษกถา)
ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๗

พระมงคลวิเสสกถา เป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง เริ่มมีมาแต่ในรัชกาลที่ ๔
ซึ่งพรรณนาพระราชจรรยาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเพื่อประโยชน์
จะได้ทรงพระปัจจเวขณ์ (คือพิจารณา) ถึงแล้ว เกิดพระปีติปราโมทย์แล้ว
ทรงบำเพ็ญราชธรรมนั้นยิ่งๆ เป็นการอุปถัมภ์พระราชจรรยาให้ถาวรไพบูลย์
พระเถระที่จะรับหน้าที่ถวายในครั้งนั้น สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ปัจจุบัน การถวายพระมงคลวิเสสกถาเป็นหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช
หรือพระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมอบหมาย

• พ.ศ. ๒๕๐๙

เป็น ประธานกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
และในฐานะที่เป็นประธานกรรมการอำนวยการพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
ได้ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง

เพื่อพิจารณาเพิ่มการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง
กำหนดให้หลักสูตรพระธรรมทูตรวมอยู่ด้วย
เพราะผู้ที่มารับการศึกษาอบรมพระธรรมฑูตนั้น
ได้ผ่านการศึกษาขั้นปริญญาตรีของสองมหาวิทยาลัยสงฆ์มาแล้ว

ทั้งเป็นการช่วยให้พระที่ต้องการจะศึกษาต่อปริญญาโท
ไม่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ
เป็นการช่วยประหยัดการใช้จ่ายของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย

และในโอกาสเดียวกันก็ได้เสนอมหาเถรสมาคม
ให้รับรองมหาวิทยาลัยสงฆ์
คือสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ในวัดบวรนิเวศวิหาร
และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
เป็นการศึกษาของคณะสงฆ์

ผลปรากฏว่า ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒
คณะสงฆ์ก็ได้รับรองสองมหาวิทยาลัยสงฆ์
เป็นการศึกษาของคณะสงฆ์นับว่าเป็นครั้งแรก
ที่ทำให้สองมหาวิทยาลัยสงฆ์ดังกล่าวมาแล้ว
เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์โดยถูกต้องสมบูรณ์

สำหรับข้อพิจารณาเพิ่มการศึกษาขั้นปริญญาโทของคณะสงฆ์ขึ้น
แม้ว่าโครงการนี้จะยังไม่สำเร็จตามโครงการในขณะนั้น
แต่ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง
ก็ได้เปิดหลักสูตรปริญญาโทขึ้นเป็นผลสำเร็จ

นับว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงมีพระคุณูปการ
แก่การศึกษาของคณะสงฆ์ในด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง

• พ.ศ. ๒๕๑๐

เป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาเรื่องวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาประจำปี ๒๕๑๑
เป็นประธานอนุกรรมการพิจาณาร่างระเบียบมหาเถรสมาคม
ว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการปลูกสร้างอากาศในที่ดินของวัดซึ่งที่ผู้เช่าอยู่

เป็นประธานอนุกรรมการพิจาณาหลักเกณฑ์ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟ
ให้พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา
และเป็นอนุกรรมการพิจาณณาแก้ไขข้อขัดข้องในระหว่างวัดกับผู้เช่า (พ.ว.ช.)

• พ.ศ. ๒๕๑๑

เป็น ประธานอนุกรรมการพิจารณาโครงการรับการศึกษา
ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองเป็นการศึกษาของคณะสงฆ์

• พ.ศ. ๒๕๑๒

เป็น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโครงการจัดตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนกลาง

• พ.ศ. ๒๕๑๔

เป็น ประธานอนุกรรมการพิจารณาร่างกฏมหาเถรสมาคม
ว่าด้วยการลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุ

• พ.ศ. ๒๕๑๕

เป็น พระธานกรรมการบริหารงานของสภาการศึกษาของคณะสงฆ์
เป็น รองประธานกรรมการและผู้อำนวยการ
โรงเรียนพระสังฆาธิการคณะธรรมยุต
เป็น เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ (ธรรมยุต)
และเป็น ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อน

• พ.ศ. ๒๕๑๖

เป็น ประธานอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์



เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
(พระรูปฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙)


๏ สมเด็จพระญาณสังวรรูปที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ในอภิลักขิตกาลเฉลิมพระชนมพรรษาที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระญาณสังวร”
สมเด็จพระราชาคณะในราชทินนามนี้ มีขึ้นเมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์

คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ทรงมีพระราชศรัทธาปสาทะในวิปัสสนาคุณ
ของพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย พระนครศรีอยุธยา

จึงทรงอาราธนามาให้ครองวัดพลับ (คือวัดราชสิทธาราม)
และพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “พระญาณสังวรเถร”
ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ได้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของ
สมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนนาท
และบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒

สมัยดำรงพระราชอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
เป็นพระอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๓ สมัยทรงผนวชเป็นพระภิกษุ

และเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ สมัยทรงผนวชเป็นสามเณร

ถึงสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่
“สมเด็จพระญาณสังวร” และกล่าวกันว่าท่านนั่งหน้า
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)
เสมอในงานราชการเพราะมีพรรษายุกาลมากกว่า



สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน”


ครั้นเมื่อสมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์แล้ว
สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ก็ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระองค์ท่านทรงเป็นที่เลื่องลือมากในทางวิปัสสนาคุณ
โดยเฉพาะทางเมตตาพรหมวิหารคุณ กล่าวกันว่า
สามารถแผ่เมตตาจนทำให้ไก่ป่าเชื่องเป็นไก่บ้านได้
ชาวประชาทั้งหลายจึงมักพากันขนานพระนามท่านว่า
“สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน”

ในราชทินนามตำแหน่งที่ “สมเด็จพระญาณสังวร”
ซึ่งพระองค์ท่านได้รับพระราชทานเป็นรูปแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จึงเป็นที่รู้จักและจดจำกันได้ติดใจของคนทั่วไป

ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๓ ราชทินนามตำแหน่งที่ สมเด็จพระญาณสังวร ก็ไม่ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานสถาปนาพระเถระรูปใดอีกเลยนับแต่รัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา

กระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา
พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน เจริญ คชวัตร) วัดบวรนิเวศวิหาร
ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนามที่ สมเด็จพระญาณสังวร
ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงนับเป็น
“สมเด็จพระญาณสังวร” รูปที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ในคราวที่ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระญาณสังวร ทรงปรารภว่า
“ถ้าไม่มีสมเด็จญาณสังวรฯ (สุก ไก่เถื่อน) รูปที่ ๑
ก็คงไม่มีสมเด็จญาณสังวรฯ รูปที่ ๒
พระองค์นับว่าเป็นผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง”

ฉะนั้น เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
จึงเสด็จไปถวายสักการะพระรูปและพระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราช (สุก)
ที่วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) และที่วัดมหาธาตุ ตลอดมาทุกปี

นับแต่ปีที่สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๓ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
มาจนถึงปีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน เจริญ คชวัตร)
ขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ นั้น นับเป็นเวลา ๑๕๒ ปี
ซึ่งเป็นเวลายาวนานถึง ๖ รัชกาลที่ว่างเว้นไม่ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานสถาปนาพระเถระรูปใดในราชทินนามตำแหน่งนี้

ราชทินนามตำแหน่งที่ สมเด็จพระญาณสังวร
ตามพระนาม หมายถึง ผู้สำรวมในญาณคือความรู้
หรือผู้มีความสำรวมในความรู้อย่างยิ่ง
(“ญาณ” หมายถึง ความรู้ และ “สังวร” หมายถึง สำรวม)

หรือหากอ้างถึงพระอรรถกถา ความหมายของ “ญาณสังวร”
จะเป็นหัวข้อหนึ่งใน สังวรวินัย ๕ คือ
สีลสังวร สติสังวร ญาณสังวร ขันติสังวร และวิริยสังวร
และดังได้มีอรรถาธิบายความหมายของ “ญาณสังวร” ว่า

สังวรที่ตรัสไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“ดูก่อนอชิตะ กระแส (ตัณหา) เหล่าใดในโลกมีอยู่
สติย่อมเป็นเครื่องห้ามกระแสเหล่านั้น
เราตถาคตกล่าวสติว่าเป็นเครื่องระวังกระแสทั้งหลาย
กระแสเหล่านั้นอันบุคคลย่อมละด้วยปัญญานี้เรียกว่า ญาณสังวร”

ขุ.สุ. ๒๕/๔๒๕/๕๓๐

เพราะฉะนั้นราชทินนามตำแหน่งที่ “สมเด็จพระญาณสังวร” นี้
จึงกล่าวได้ว่า เป็นตำแหน่งที่มีความหมายสำคัญในประวัติการณ์
ของคณะสงฆ์ไทยแห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตำแหน่งหนึ่ง

อนึ่ง ในวโรกาสที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับสถาปนา
เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร นี้

คณะชาวจังหวัดกาญจนบุรี
โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประธาน
ได้พร้อมใจกันจัดงานสมโภชสุพรรณบัฏ
ในวันที่ ๒๑-๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๖
ณ วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี

คณะกรรมการจัดงานได้มีมติให้จัดสร้างเหรียญที่ระลึกในโอกาสอันเป็นมงคลนี้
สำหรับเป็นที่ระลึกบูชาของคณะศิษยานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ
ในเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขึ้น จำนวน ๒๐,๐๐๐ เหรียญ (สองหมื่นเหรียญ)


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #3 on: 26 February 2022, 21:49:31 »



เหรียญสมโภชน์พระสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระญาณสังวร
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ (ด้านหน้า)


ลักษณะเป็นเหรียญทองแดงรมดำ ขนาด ๒.๗-๓ เซนติเมตร
ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธชินสีห์
ซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถพระวิหารวัดบวรนิเวศวิหาร
มีจารึกอักษรขอม มีมุม มุมๆ ละหนึ่งตัว
อ่าน น ชา ลิ ติ เป็นหัวใจคาพระสิวลี หริอพระฉิมพลี

ใต้รูปพระพุทธชินสีห์มีจารึก

“สมโภชน์พระสมณศักดิ์สมเด็จพระญาณสังวร ๒๒ เมษายน ๒๕๑๖”

สำหรับด้านหลังเป็นคำอำนวยพร
ซึ่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ประพันธ์ขึ้นสำหรับจารึกในเหรียญนี้เป็นพิเศษ
และมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับประวัติของพระองค์ด้วย ดังนี้

อิสฺวาสุรตนตฺตยํ

ขอรัตนสาม คือ อิ (อิติปิโส ภควา, สวา (สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม),
สุ (สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ)

รกขตุ ตฺวํ นิรนฺตรํ

จงรักษาท่านชั่วนิรันดร์

โหตุ สวฑฺฒโน สาธุ

จงเป็นผู้เจริญดี เป็นคนดี

สพฺพตฺถ ญาณสํวโร

และจงเป็นผู้สำรวมในญาณ (คือ ความรู้) ทุกเมื่อแล



เหรียญสมโภชน์พระสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระญาณสังวร
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ (ด้านหลัง)


คำว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งแปลว่า “ผู้เจริญดียิ่ง”
มาจากนามฉายาของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ

คำว่า “ญาณสํวโร” ซึ่งแปลว่า ผู้สำรวมในญาณคือความรู้
หรือผู้มีความสำรวมในความรู้อย่างยิ่ง
(“ญาณ” หมายถึง ความรู้ และ “สังวร” หมายถึง สำรวม)
มาจากราชทินนาม “สมเด็จพระญาณสังวร”



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


• พ.ศ. ๒๕๑๖

ในฐานะคณะกรรมการมหาเถรสมาคม
และรองประธานคณะกรรมการคณะธรรมยุต
ทรงได้รับฉันทานุมัติจากคณะกรรมการคณะธรรมยุต
ให้เสด็จไปทรงตรวจการณ์คณะสงฆ์

และทรงเยี่ยมพุทธศาสนิกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวม ๙ จังหวัด
คือจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์
จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร จังหวัดร้อยเอ็ด
จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดขอนแก่น

• พ.ศ. ๒๕๑๗

เป็นคณะกรรมการคณะธรรมยุต

• พ.ศ. ๒๕๑๘

เป็น ผู้อำนวยการโรงเรียนครูปริยัติธรรม คณะธรรมยุต

• พ.ศ. ๒๕๑๙

เป็นกรรมการคณะมูลนิธิสังฆประชานุเคราะห์

• พ.ศ. ๒๕๒๐

เป็น ประธานอำนวยการมูลนิธิมหาวชิราลงกรณ์ราชวิทยาลัย



เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฏราชกุมาร
ในการทรงผนวช และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร


• พ.ศ. ๒๕๒๑

เป็น พระราชกรรมวาจาจารย์ ของพระภิกษุ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามกุฏราชกุมาร
เมื่อครั้งเสด็จออกทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
และเป็นพระอาจารย์ถวายการอบรมพระธรรมวินัย
ขณะที่พระภิกษุสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามกุฏราชกุมาร เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
ในระหว่างวันจันทร์ที่ ๖ ถึง วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑

เป็นรองประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างพุทธมณฑลฝ่ายสงฆ์

• พ.ศ ๒๕๒๒

เป็นประธานอำนวยการมูลนิธิสิรินธร

• พ.ศ. ๒๕๒๔

ในฐานะ กรรมการมหาเถรสมาคม
และ ประธานกรรมการคณะธรรมยุต
ทรงได้รับฉันทานุมติจากคณะกรรมการคณะธรรมยุต
ให้เสด็จไปทรงตรวจการคณะสงฆ์
และทรงเยี่ยมพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ รวม ๑๐ จังหวัด

คือ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดตาก จังหวัดลำปาง
จังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย
จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ จังหวัดอุรดิตถ์ และจังหวัดกำแพงเพชร

• พ.ศ. ๒๕๒๕

เป็นผู้ถวาย พระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถา (วิเศษกถา)
ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และถวายตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน



พระรูปสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
ประดิษฐาน ณ พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี


• พ.ศ. ๒๕๒๖

เป็น ประธานกรรมการมูลนิธิวัดญาณสังวราราม ในพระบรมราชูปถัมภ์

• พ.ศ. ๒๕๒๗

เป็น ประธานกรรมการมูลนิธิพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
เป็นประธานคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา
เป็นประธานคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของคณะสงฆ์

• พ.ศ. ๒๕๒๘

เป็น ผู้อ่านพระอภิธรรมนำพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
ในกระบวนพระราชอิสริยยศ สู่ พระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวง

เป็น รองประธานกรรมการสังคีติการกสงฆ์
ในการสังคายนาพระธรรมวินัยตรวจชำระพระไตรปิฎก

เป็น สังฆปาโมกข์ปาลิวิโสธกะพระวินัยปิฎก
ในการสังคายนาพระธรรมวินัยตรวจชำระพระไตรปิฎก
เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
จนสำเร็จทันในการพระราชพิธีฉลองเฉลิมพระชนมพรรษา



พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ


• พ.ศ. ๒๕๓๐

เป็น พระประธานกรรมการมูลนิธิแผ่นดินธรรม
เป็นประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิสงเคราะห์และฟื้นฟูจิตใจผู้ติดยาเสพติด

และเป็น พระอุปัชฌาย์ ในวโรกาส
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ในการ หม่อมเจ้าจุฑาวัชร มหิดล
พระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามกุฏราชกุมาร
ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อวันอังคารที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ เวลา ๐๙.๐๐ นาฬิกา

• พ.ศ. ๒๕๓๑

รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
รักษาการเจ้าอาวาสวัดญาณสังวราราม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดชลบุรี
ทรงเป็น นายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ
และ นายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัยฯ



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ นี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนา สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ขึ้นเป็น
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต สืบต่อจาก
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)
มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า

สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล
สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ
สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง
วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ
วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร
สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช

สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวง
ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ
คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนา เทอญฯ

หากถอดความหมายของพระนามแล้ว
จะเห็นเป็นที่ประจักษ์ในคุณลักษณะและพระเกียรติคุณ
แห่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ หลายประการ ดังนี้

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระผู้มีธรรมเป็นเครื่องระวัง
อันประกอบด้วยพระปรีชาญาณ

บรมนริศรธรรมนีติภิบาล
ทรงเป็นพระอภิบาล หรือพระพี่เลี้ยงในการถวายแนะนำพระธรรม
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นใหญ่อย่างยิ่งในหมู่นรชน

อริยวงศาคตญาณวิมล
ผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินด้วยพระญาณ
อันสืบมาแต่วงศ์แห่งพระอริยเจ้า

สกลมหาสังฆปริณายก
ผู้นำแห่งสังฆะทั้งปวง

ตรีปิฎกปริยัตติธาดา
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระปริยัติธรรม คือ พระไตรปิฎก

วิสุทธจริยาธิสมบัติ
ทรงถึงพร้อมอย่างยิ่งด้วยพระจริยา คือ ความประพฤติอันบริสุทธิ์วิเศษ

สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต
ปรากฏพระนามหรือพระฉายาในทางพระสงฆ์ว่า สุวัฑฒนะ

ปาวจนุตตมพิสาร
ทรงพระปรีชากว้างขวางในพระอุดมปาพจน์
(คำอันเป็นประธาน คือ พระธรรมวินัยอันสูงสุด)

สุขุมธรรมวิธานธำรง
ผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมวิธีอันละเอียดอ่อน

วชิรญาณวงศวิวัฒ
ทรงเจริญรอยตามสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

พุทธบริษัทคารวสถาน
ทรงเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพของพุทธบริษัท

วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ
ทรงพระคุณอันเจริญด้วยพระปฏิภาณอันวิจิตร

วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร
ทรงงดงามด้วยพระศีลจารวัตรอันไพบูลย์

บวรธรรมบพิตร
ผู้เป็นใหญ่ในพระธรรมอันประเสริฐ

สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี
ทรงเป็นประธานและอธิบดีผู้เป็นใหญ่ เป็นอิสระแห่งสังฆะทั้งปวง

คามวาสี อรัณยวาสี ทั้งพระบ้าน และพระป่า

สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวง
ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ
คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนา เทอญฯ

ผู้แปลความพระสุพรรณบัฏ
นายสิริ เพ็ชรไชย ป.ธ. ๙
นายสุชีพ ปุญญานุภาพ ป.ธ. ๙ ตรวจ
นายแปลก สนธิรักษ์ ป.ธ. ๙ ตรวจ

หมายเหตุ : บวรธรรมบพิตร
บวร หมายถึง ประเสริฐ ล้ำเลิศ บริสุทธิ์
ธรรม หมายถึง ธรรมะ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บพิตร หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ ประมุข

“บวรธรรมบพิตร” จึงหมายถึง พระผู้เป็นใหญ่ในพระธรรมอันประเสริฐ
คือ สมเด็จพระสังฆราช ที่ประทับ ณ วัด “บวร” นิเวศวิหาร
คือ พระผู้เชื่อมร้อยการพัฒนา “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน ด้วยพระธรรมอันประเสริฐ
คือ พระผู้เผยแผ่ “พระธรรมอันบริสุทธิ์” มายาวนานกว่า ๘๖ ปี
คือ “องค์พระประมุขสูงสุด” ผู้ทรงธรรมอันล้ำเลิศแห่งพระพุทธศาสนาโลก





Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #4 on: 26 February 2022, 21:51:39 »



พระแท่นเศวตฉัตร ๓ ชั้น
หนึ่งในเครื่องประกอบพระสมณศักดิ์สำคัญที่สมเด็จพระสังฆราช


พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

เมื่อการพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ
สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเสร็จสิ้นลงในภาคเช้าแล้ว

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีสถาปนา
สมเด็จพระสังฆราช ในภาคบ่ายวันเดียวกัน

เจ้าพนักงานได้เตรียมการตั้งแต่ง
และตรวจแต่งเครื่องประกอบ
พระราชพิธีในพระอุโบสวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพิ่มเติม ดังนี้

บนธรรมาสน์ศิลาหน้าฐานพระเบญจาบุษบก
ที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ประดับตกแต่งด้วยแจกันดอกบัวขาวแซมด้วยดอกหน้าวัว
ตั้งโต๊ะสลักลายปิดทอง
ปูด้วยผ้าขาววางพานพระมหาสังฆ์ทักษิณาวัฏ
พร้อมด้วยเรื่องยศสมณศักดิ์
ประกอบด้วยพระสุพรรณบัฏวางบนพานแว่นฟ้า
กลีบบัวครอบด้วยคลุมปักดิ้นทอง

ใบกำกับพระสุพรรณบัฏและใบประกาศพระบรมราชโองการ
สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชวางที่ขอบพานกลับบัว
พระตราตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช
วางบนตะลุ่มพุก พัดยศ ไตร แพรวางบนตะลุ่มมุก
บาตรพร้อมด้วยฝาและเชิงบาตรรมปัด

เครื่องถมปัดมี พานพระศรี
ประกอบด้วยมังสี ๒ ตลับพู่ ๑ จอก ๑ ซองพลู ๑ (พร้อมพลู)
ขันน้ำพานรองมีจอกคลุมตาดรูปฝาชี
ถาดสรงพระพักตร์ หีบตราพระจักรี (หีบหลังเจียด)
คณโฑ กาทรงกระบอก หม้อลักจั่น
ปิ่นทรงกลม ๔ ชั้น สุพรรณราช สุพรรณศรี

หน้าธรรมาสน์ศิลาทอดเครื่องนมัสการทองใหญ่
พร้อมพระแท่นทรงกราบสำหรับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และทอดเครื่องนมัสการทองทิศ
สำหรับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ

แนวผนังพระอุโบสถด้านใต้ ปูพรมที่สีแดงลาดสุหนี่ทับ
ทอดพระราชอาสน์สำหรับเป็นที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ
พร้อมด้วยเครื่องราชูปโภค
มีพานพระขันหมาก พระสุพรรณศรีทองคำลงยา
พระมณฑปรัตนกรัณฑ์ พระสุพรรณาราช
พระแสงปืนและพระแสงง้าวด้ามทอง

แถวที่สองหลังพระราชอาสน์ทอดพระราชอาสน์
สำหรับเป็นที่ประทับของ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามมกุฏราชกุมาร
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี
พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา (พระเก้าอี้เหลืองตัด)
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี

แถวที่สามชิดผนังพระอุโบสถ
ตั้งเก้าอี้สำหรับราชเลขาธิการ
เลขาธิการพระราชวังสมุหราชองครักษ์ และผู้ตามเสด็จฯ

หลังพระฉากพระทวารด้านทิศใต้
จัดเก้าอี้เฝ้าฯ เป็น ๓ แถว
ชิดผนังแถวที่ ๑ สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน
แถวที่ ๒ สำหรับประธานองคมนตรี และคณะองคมตรี
และแถวที่ ๓ สำหรับนายกรัฐมนตรี
ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา
คณะรัฐมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน

แนวผนังพระอุโบสถด้านหนือตรงข้ามที่ประทับ
ตั้งอาสนสงฆ์เก้าอี้ แถวหน้า ๑ ตัว
แถวหลังยกพื้นบุด้วยผ้าขาวสำหรับพระสงฆ์ ๑๓๖ รูป
นั่งเจริญชัยมงคลคาถา

ในแถวอาสนะสงฆ์เก้าอี้
จัดไว้เป็นที่ประทับสำหรับ สมเด็จพระสังฆราช
พร้อมด้วยโต๊ะเคียงวางพระศรีพานแก้ว
ขันน้ำพ้นรองแก้ว และกระโถนไว้พร้อม ๑ ที่
และสำหรับสมเด็จพระราชาคณะ ๕ รูป
พระราชาคณะซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ๘ รูป
ต้นอาสนะสงฆ์ติดกับที่ประทับ สมเด็จพระสังฆราช
ทอดเครื่องยศสมณศักดิ์สำหรับ สมเด็จพระสังฆราช

คือพระแท่นเศวตฉัตร ๓ ชั้น ตกแต่งด้วยแจกันดอกบัวขาว
บนพระแท่นตั้งโต๊ะสลักลายปิดทองปูด้วยผ้าเยียรบับ
และหน้าพระแท่นตั้งโต๊ะเคียง ๒ ตัว ปูด้วยผ้าเยียรบับเช่นกัน
สำหรับวางเครื่องยศสมณศักดิ์ที่จะได้รับพระราชทาน

กลางพระอุโบสถ ตั้งอาสนะสงฆ์ยกพื้นปูผ้าขาว
และบุรอบด้วยผ้าขาวปิดทองแผ่ลวดฉลุลายดอกลอย
สำหรับเป็นที่นั่งของสมเด็จพระราชาคณะ
และพระราชาคณะซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
ขณะสดับประกาศกระแสพระบรมราชโองการสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช
แล้วนำพระสงฆ์สวดคาถาสังฆานุโมทนา

ท้ายอาสนะสงฆ์ ตั้งฆ้องชัย และเป็นที่ยืนของชาวพนักงานประโคม

ที่ชานหน้าพระอุโบสถตรงกับพระทวารกลาง
ตั้งเก้าอี้สำหรับบรรพชิตจีนและบรรพชิตญวน
พร้อมด้วยโต๊ะเคียงปูผ้าขาววางพานเรื่องสักการะ
ที่จะถวายแด่ สมเด็จพระสังฆราช

ถัดออกไปทางด้านทิศเหนือและทิศใต้
และระเบียงพระอุโบสข้างพระทวารด้านทิศใต้
ตั้งเก้าอี้สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

ที่มุมระเบียงพระอุโบสถด้านทิศเหนือ
ตั้งโต๊ะปูผ้าขาววางพานผ้าไตร และตั้งเก้าอี้สำหรับพระสงฆ์นั่งพัก

ที่ชานหลังพระอุโบสถ
ตั้งเก้าอี้สำหรับสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และพระสงฆ์นั่งพัก









ครั้นใกล้ถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนิน พระบรมวงศานุวงศ์
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี พร้อมด้วย องคมนตรี
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี
นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานรัฐสภา สมาชิกรัฐสภา
นายจำรัส เขมะจารุ ประธานศาลฎีกา
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร พลเรือน
และผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อมกัน
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ที่ลานนอกกำแพงแก้วพระอุโบสถด้านทิศเหนือ
มีประชาชนรอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ข้างทางลาดพระบาทเป็นจำนวนมาก

• เวลา ๑๖ นาฬิกา ๑๕ นาที

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
เสด็จพระราชดำเนินถึงพระอุโบสถประทับ ณ พระเก้าอี้ที่ทอดถวายไว้

• เวลา ๑๖ นาฬิกา ๒๕ นาที

เจ้าหน้าที่กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา
อาราธนาสมเด็จพระราชาคณะ ๕ รูป มี

สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒโน เจริญ คชวัตร ป.ธ. ๙)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ชุตินฺธโร ฟื้น พรายภู่ ป.ธ. ๙)
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ธมฺมสาโร วิน ทีปานุเคราะห์ ป.ธ. ๙)
สมเด็จพระวันรัต (ฐิตธมฺโม จับ สุนทรมาศ ป.ธ. ๙)
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสโภ อาจ ดวงมาลา ป.ธ. ๘)
ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

สมเด็จพระธีรญาณมุนี (เขมจารี สนิท ทั่งจันทร ป.ธ. ๙)
อาพาธมิได้มาร่วมในพระราชพิธี

และพระราชาคณะที่เป็นคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ๘ รูป มี

พระพุทธิวงศมุนี (สุวณฺณโชโต สุวรรณ วงศ์เรืองศรี ป.ธ. ๗)
พระพรหมคุณาภรณ์ (อุปเสโณ เกี่ยว โชคชัย ป.ธ. ๙)
พระพรหมมุนี (จนฺทปชฺโชโต สนั่น สรรพสาร ป.ธ. ๙)
พระธรรมวโรดม (ฐานิสฺสโร นิยม จันทนินทร์ ป.ธ. ๙)
พระธรรมปัญญาบดี (วรปุญฺโญ ช่วง สุดประเสริฐ ป.ธ. ๙)
พระธรรมดิลก (ปุญฺญาราโม วิชมัย บุญมาก ป.ธ. ๖)
และพระธรรมบัณฑิต (ถาวโร มานิต ก่อบุญ ป.ธ. ๙)

รวม ๑๓ รูป ขึ้นนั่งยังอาสนสงฆ์เก้าอี้แถวหน้าพระสงฆ์ราชาคณะ

นอกนั้นขึ้นนั่งยังอาสนสงฆ์ยกพื้นแถวหลังโดยลำดับ

• เวลา ๑๖ นาฬิกา ๓๐ นาที

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินพร้อม
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามมกุฏราชกุมาร
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี
พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร
และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
ไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี
ทหารกองรักษาการแต่งเต็มยศถวายความเคารพ

อนึ่งในวันนั้น
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ทรงฉลองพระองค์จักรีเต็มยศ
ทรงสายสะพายราชอิสริยาภรณ์
อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
สายสร้อยจักรี ประดับดาราราชอิสริยาภรณ์

• เวลา ๑๖ นาฬิกา ๓๕ นาที

รถยนต์พระที่นั่งเทียบที่ประตูเกยหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการสำนักพระราชวังรับเสด็จ
ตำรวจหลวง ๔ นาย นำเสด็จผ่านเถวทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
รับเสด็จและแซงเสด็จ

เสด็จพระราชดำเนินไปตามทางลาดพระบาทเข้าสู่พระอุโบสถ
ทรงจุดธุปเทียนท้ายที่นั่งบูชา พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
พระสังฆพุทธพรรณี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว
เสด็จไปที่อาสนสงฆ์ ทรงประเคนผ้าไตรแด่สมเด็จพระราชคณะ ๕ รูป

ส่วนพระราชาคณะที่เป็นคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ๘ รูป
เดินเข้าไปรับพระราชทาน
จากนั้นทรงรับถวายการเคารพของผู้มาเฝ้าฯ
แล้วประทับพระราชอาสน์

สมเด็จพระราชาคณะลงจากอาสนะสงฆ์ไปครองผ้าที่ในพระฉากหลัง
พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ส่วนพระราชาคณะกรรมการมหาเถรสมาคม
ออกจากพระอุโบสถไปครองผ้าที่พระระเบียงข้างพระอุโบสถ
เมื่อครองเสร็จแล้วเข้าไปนั่งยังอาสนะสงฆ์ที่เดิม

• เวลา ๑๖ นาฬิกา ๕๐ นาที

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบบพิตร
เสด็จไปทรงจุดธุปเทียนเครื่องนมัสการทองใหญ่

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการทองทิศ
บูชาพระรัตนตรัยที่หน้าธรรมาสน์ศิลา
ทรงกราบแล้วประทับพระราชอาสน์

เจ้าหน้าที่กองศาสนูปถมภ์ กรมการศาสนา
นิมนต์สมเด็จพระราชาคณะะทั้ง ๕ รูป
พระราชาคณะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ๘ รูป รวม ๑๓ รูป
ไปนั่งยังแท่นอาสนสงฆ์กลางพระอุโบสถ
หันหน้าสู่องค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

โดยนั่งเรียงเป็น ๓ แถว คือ

แถวแรก (จากขวาไปซ้าย)

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ สมเด็จพระวันรัต สมเด็จพระพุฒาจารย์

แถวที่ ๒ (จากขวาไปซ้าย)

พระพุทธพจนวราภรณ์ พระพุทธิวงศมุนี
พระพรหมคุณาภรณ์ พระพรหมมุนี

แถวที่ ๓ (จากขวาไปซ้าย)

พระธรรมวโรดม พระธรรมปัญญาบดี พระธรรมดิลก พระธรรมบัณฑิต

• เวลา ๑๖ นาฬิกา ๕๖ นาที

เจ้าหน้าที่กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา อาราธนาศีล
สมเด็จพระญาณสังวรถวายศีล ทรงศีล จบแล้ว

• เวลา ๑๗ นาฬิกา

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานอาลักษณ์
กองประกาศิต สำนักเลขาธิการคณะรฐมนตรี
อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช
ผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ที่นั้น
ยืนขึ้นเคารพพระบรมราชโองการพร้อมกัน

นายสุรินทร์ ศรีวิทยา ผู้อำนายการกองประกาศิต
ถวายคำนับแล้วออกไปยืนที่หน้าไมไครโฟน
ซึ่งตั้งไว้ที่มุมช่องว่างด้าน
พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ถวายคำนับอีกครั้งหนึ่ง
แล้วอ่านประกาศพระบรมราชโองการ ดังนี้





Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #5 on: 26 February 2022, 21:53:33 »



พัดยศสำหรับพระสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่


ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ประกาศ พระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า

โดยที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกว่างลง
สมควรที่จะสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะขึ้น
ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเพื่อจักได้บริหารการพระศาสนา
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕
และตามระเบียบพระราชประเพณีให้สมบูรณ์สืบไป

และโดยที่ได้ทรงสดับคำกราบบังคมทูลของคณะรัฐบาลกับ
ทั้งสังฆทัศนะ ในมหาเถรสมาคมเป็นเอกฉันทมติ

จึงทรงพระราชดำริว่า

สมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นพระมหาเถระ
เจริญในสมณคุณเนกขัมมปฏิบัติ
สมบูรณ์ด้วยศีลสมาจารวัตร
รัตตัญญูมหาเถรกรณธรรม
ดำรงสถาพรอยู่ในสมณพรหมจรรย์ตลอดมาเป็นเวลาช้านาน
ได้ประกอบกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์ไพศาลแก่พุทธจักร และอาณาจักร

ดังมีอรรถจริยาปรากฏเกียรติสมภารตามความพิสดาร
ในประกาศสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะมหาสังฆนายก
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕ นั้นแล้ว

ครั้นต่อมา สมเด็จพระญาณสังวรฯ ยิ่งเจริญด้วยอุตสาหะวิริยาธิคุณ
สมารถรับภารธุระพระพุทธศาสนา เป็นพาหุลกิจนิตยสมาทานมิได้ท้อถอย
ยังการพระศาสนาให้เรียบร้อย และเจริญยิ่งขึ้นเป็นลำดับมา

ในการปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช ๒๕๐๕
สมเด็จพระญาณสังวรฯ ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมมาแต่เริ่มแรก
เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ

ฝ่ายธรรมยุตเป็นคณะกรรมการคณะธรรมยุต และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
ในการปริยัติศึกษาเป็นกรรมการปรับปรุงหลักสูตรศาสนศึกษาของคณะสงฆ์
เป็นนายกกรรมการและนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
เป็นผู้อำนวยการครูพระปริยัติธรรม คณะธรรมยุต

ด้านการพระศาสนาในต่างประเทศ

ได้เป็นประธานดำเนินการ และประธานกรรมการอุปถัมภ์
ในการสร้างวัดและพระอุโบสถในต่างประเทศหลายแห่ง

คือ วัดพุทธรังสี ในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
วัดจากาตาร์ธรรมจักรชัย ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
วัดแคโรไลนาเหนือ ประเทศสหรัฐอเมริกา
อุโบสถวัดนครมณฑปศรีกีรติวิหาร ณ เมืองกีรติปูร นครกาฏมัณฑุ ประเทศเนปาล

ได้ไปดูการพระศาสนาที่ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อินเดีย เนปาล หลายวาระ

เป็นประธานสงฆ์จากประเทศไทยไปประกอบพิธีผูกพัทธสีมา
อุโบสถวัดจาการ์ตา วัดธรรมจักรชัย
ซึ่งเป็นการผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ
เป็นครั้งแรกของวัดพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศนั้น

บรรพชากุลบุตรชาวอินโดนีเซีย ณ เมืองสมารัง
ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์สังฆเถรวาทอินโดนีเซีย
ไปบรรพชากุลบุตรศากยะแห่งเนปาล ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์เนปาล
ไปร่วมประชุมสหพันธ์อาศรมคีตาสากล ในฐานะแขกพิเศษ ณ ประเทศอินเดีย

ด้านการแสดงและเผยแผ่ธรรม

แสดงธรรมเป็นประจำในวันธรรมสวณะและวันอาทิตย์
ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
บรรยายธรรมในการฝึกอบรมในการฝึกปฏิบัติการทางจิต
ทุกวันพระ และวันหลังวันพระ ณ ตึกสว. ธรรมนิเวศ
บรรยายธรรมในรายการบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่
ทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต เป็นประจำทุกวันอาทิตย์
บรรยายธรรมแก่ชาวต่างประเทศในวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์

นอกจากนั้นยังเรียบเรียงหนังสือ
ทั้งที่เป็นตำราประกอบการศึกษา ธรรมกถา ธรรมเทศนา และสารคดีอีกเป็นอันมาก
เช่นเรื่องหลักพระพุทธศาสนา แนวปฏิบัติในสติปัฏฐาน
สัมมาทิฏฐิ โสฬสปัญหาธรรมบรรยาย พระพุทธศาสนากับสังคมไทย
ตำนานวัดบวรนิเวศวิหารเล่ม ๒ เป็นต้น

ทั้งยังให้ริเริ่มแปลหนังสืออธิบายธรรมะในพระพุทธศาสนาเป็นภาษาต่างประเทศ
เพื่อเป็นการเผยแผ่และเป็นคู่มือการศึกษา
พระพุทธศาสนาสำหรับชาวต่างประเทศอีกทางหนึ่ง

ในด้านสาธารณูปการ

ได้เป็นประธานกรรมการอุปการะฝ่ายบรรพชิต
ในการก่อสร้างตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ได้ร่วมกับสภากาชาดไทยสร้างตึกวชิรญาณวงศ์
และตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร เป็นตึกสงฆ์
และให้ประโยชน์ทางการแพทย์

ในการพระอารามนั้นก็ได้เอาใจใส่ควบคุมดูแล
ระวังรักษาและบูรณะปฏิสังขรณ์ ปูชนียวัตถุสถาน
ตลอดจนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งทรุดโทรมเสียหาย
ทั้งในเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส
ให้ดำรงคงสภาพที่มั่นคงถาวร และเรียบร้อยงดงาม

ทั้งได้สร้างอาคารขึ้นใหม่อีกหลายหลัง อาทิ ตึก สว. ธรรมนิเวศ
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

นับว่า สมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นผู้มีปรีชาสามารถอย่างยิ่ง
ในการปกครองทะนุบำรุงพระอารามหลวง
ที่มีความสำคัญให้เจริญรุ่งเรืองสมพระราชประสงค์

สมเด็จพระญาณสังวรฯ ยังได้เป็นประธานอุปถัมภ์
การสร้างวัดในต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง
เช่น วัดรัชดาภิเษก วัดพุมุด จังหวัดกาญจนบุรี,
วัดวังพุไทร จังหวัดเพชรบุรี, วัดล้านนาสังวราราม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

ที่สำคัญได้เป็นประธานสร้างวัดญาณสังวราราม
ณ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
ในเนื้อที่ ๓๖๖ ไร่ ให้เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณร
และเป็นประโยชน์เกื้อกูลการพัฒนาอาชีพของประชาชนในถิ่นนั้น

อุทิศถวายพระราชกุศลแด่พระอดีตมหาราชผู้ทรงกอบกู้ชาติไทย
และสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์
ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
และสมเด็จพระบรมราชโอรสธิดาทุกพระองค์
ไปทรงเป็นประธานในพิธีผูกพัทธสีมาในพระอุโบสถ
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๕


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #6 on: 26 February 2022, 21:55:28 »



‘พระรูปเขียนสี’ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


อนึ่งเมื่อคราวทรงพระผนวช
และประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
สมเด็จพระญาณสังวรฯ ได้รับหน้าที่เป็นพระอภิบาลโดยตลอด
และต่อมาได้เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนา พระมงคลวิเสสกถา
ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๕๑๗
และได้ถวายสืบต่อจากสมเด็จพระสังฆราชวาสนมหาเถระ
ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า

สมเด็จพระญาณสังวรฯ ก็เป็นผู้เจริญยิ่งด้วยพรรษานุกาล
รัตตัญญูมหาสถาวีรธรรม ยินดีในเนกขัมมปฏิบัติ
เป็นอจลพรหมจริยาภิรัตยั่งยืนช้านานมา
ดำรงมั่นในศีลสมาธิปัญญามิได้เสื่อมถอย
มีจริยาวัตรสำรวมเรียบร้อย ไม่หวั่นไหวต่อโลกามิส

เป็นพหุลศรุตบัณฑิตผู้ทรงปรีชาญาณลึกซึ้งแจ่มใส
รอบรู้ในพระไตรปิฎกธรรมวิสารท
สามารถวิจัยวิจารณ์ธรรมนำมาแสดงได้ถูกต้องเที่ยงตรงบริสุทธิ์บริบูรณ์
เกื้อกูลสงเคราะห์พุทธบริษัทโดยเสมอหน้าเป็นอเนกประการ

ได้เป็นครูและเป็นอุปัธยาจารย์ของมหาชนมากมาย
มีศิษยานุศิษย์แพร่หลายไพศาล
เป็นที่เคารพสัการแห่งมวลศาสนิกบริษัททั่วสังฆมณฑล
ประธานาธิบดีแห่งสงฆมณฑล
เพื่อเป็นศรีศุภมงคลแด่พระบวรพุทธศาสนาสืบไป

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนา สมเด็จพระญาณสังวรฯ
ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช
มีพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า

สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล
สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ
สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง
วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธะบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ
วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร
สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสีอรัณยวาสี

สมเด็จพระสังฆราช เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวง
เป็นประธานสังฆมณฑลทั่วราชอาณาจักร

ขออาราธนาให้ทรงรับพระธุระพระพุทธศาสนา
เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์
และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในสังฆมณฑลทั่วไป
โดยสมควรแก่พระอิสริยยศ ซึ่งพระราชทานนี้
ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณสุข พล และปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิ์
จิรัฏฐิติวิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ

ให้ทรงมีพระราชาคณะและพระครูฐานานุกรมประดับพระอิสริยยศ ๑๕ รูป คือ

พระมหานายก พุทธปาพจนดิลกโลกยปสาทาภิบาล
สกลสังฆประธานมหาเถรกิจการี
คณาธิบดีศรีรัตนคมกาจารย์ พระราชาคณะปลัดขวา ๑
พระจุลนายก ธรรมนีติสาธกมหาเถราธิการ คณะกิจบรรหารธุรการี
สมุหธิบดีศรีธรรมภาณกาจารย์ พระราชาคณะปลัดซ้าย ๑
พระครูวิสุทธิธรรมภาณ ๑ พระครูพิศาลวินัยวาท ๑ พระครูประสาทพุทธปริตร
พระครูพระปริตร ๑ พระครูประสิทธิพุทธมนต์ พระครูพระปริตร ๑
พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสรภัญญประกาศ พระครูคู่สวด ๑
พระครูสรนาทวิเศษ พระครูคู่สวด ๑ พระครูนิเทศธรรมจัก ๑
พระครูพิทักษ์ธุรกิจ ๑ พระครูสังฆสิทธิกร ๑ พระครูสมุห ๑ พระครูใบฎีกา ๑

ขอให้พระคุณผู้ได้รับตำแหน่งทั้งปวงนี้
มีความสุขสิริสวัสดิ์สถาพรในพระบวรพุทธศาสนาเทอญ

ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ เป็นปีที่ ๔๔ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี

นายสุรินทร์ ศรีวิทยา อ่านจบแล้วถวายคำนับ
ผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ที่นั้น
ถวายคำนับพร้อมกันแล้วนั่ง

เมื่ออ่านประกาศพระบรมราชโองการจบ

• เวลา ๑๗ นาฬิกา ๑๕ นาที

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงเลื่อนพระองค์ไปประทับยังอาสนะ
ซึ่งปูลาดด้วยพระสุจหนึ่สีเหลือง
อันเป็นอาสนะสำหรับสมเด็จพระสังฆราช
ทรงหันพระพักตร์สู่พระกรรมการมหาเถรสมาคม

• เวลา ๑๗ นาฬิกา ๑๖ นาที

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
นั่งกระหย่งเท้าแล้วสวด “สงฺฆราชฎฺฐปนานุโมทนา” มีความดังนี้







สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
ทรงประทับหน้าใบเสมาพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร


สุณาตุ เมภนฺเต สงฺโฆ,

ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า

อิทานิ โข ปเวทิเตน ปรมินฺทสฺส ภูมิพลอตุลเตชสฺส
ธมฺมิกมหาราชาธิราชวรสฺส ปรมราชโองฺการเรน
ญาณสํวโร มหาเถโร สยามรฏฺเฐ สกลมาสงฺฆปริณายโก
สงฺฆราชา ปติฏฺฐาปิโต,

บัดนี้ได้มีการประกาศพระบรมราชโองการ
แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้า
ทรงพระกรุณาสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ประธานาธิบดีสงฆ์ทั่วสยามรัฐราชอาณาจักรแล้ว

โส มหาราชา ธมฺมิโก ธมฺมราชา อคฺคสาสนูปตฺถมฺภโก,

สมเด็จพระมหาราชเจ้าทรงตั้งอยู่ในธรรม
ทรงเป็นธรรมราชา ทรงเป็นเอกอัครรณูปถัมภก

รฏฺฐปาลาโรจนญฺเจว มหาเถรสมาคเม สงฺฆทสฺสนญฺจ
เอกจฺฉนฺาทมเตน สุตาวี สยมฺปิ โยนิโส อุปฺปริกฺขิตฺวา,

ทรงสดับคำกราบบังคมทูลของรัฐบาล
และสังฆทัศนะในมหาเถรสมาคม โดยเอกฉันทมติแล้ว
ทรงพิจารณาโดยรอบคอบ แม้ด้วยพระองค์เองด้วย

ราชารมนฺวาย พุทฺธสาสนํ อุปตถมภิตํ
สงฺฆราชฏฺฐปนปฺปกาสนํ กาเรสิ,

ทรงอาศัยพระราชอำนาจให้ประกาศสถาปนา
สมเด็จพระสังฆราช เพื่ออุปถัมภ์บำรุงพระศาสนา

สาธุ ภนเต สกโล สงฺโฆ อิมญฺจ สงฺฆราชฏฺฐปนํ
อิมญฺจ สงฺฆราชฏฐปิตํ มหาเถรํ อนุโมทตุ สมปสีทตุ,

ข้าแต่ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์ทั้งปวง
จงอนุโมทนาปสาทการ
ซึ่งการทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และพระมหาเถระ
ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ดังนี้

สาธุ โข ปน สกโล สงฺโฆ สงฺฆราชมหาเถรปฺปธาโน
สมคฺโต เอกจฺฉนฺโท หุตวา,

และขอพระสงฆ์ทั้งปวง
ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธาน
จงมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกันเป็นเอกฉันท์

พุทฺธสาสเน สพฺพกรณียํ อนุคฺคณฺหาตุ,

อนุเคราะห์ปฏิบัติกรณียะทั้งปวงในพระพุทธศาสนา

อปิจาหํ ภนฺเต อามนฺเตมิ,

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อนึ่งข้าพเจ้าขอเชิญชวน

สกโล สงฺโฆ กลฺยาณจิตฺตํ สมนฺนาหริตฺวา ปรมินฺทสฺส ภูมิพลอตุลเตชสฺส
ธมฺมิกมหาราชาธิราชวรสฺส สพฺพวรชยมงฺคลํ,

พระสงฆ์ทั้งปวงจงรวมกัลยาณจิตอธิษฐาน
ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้า,

โส มหาราชา สราชินีราปุตฺตธีตุราชวํสโก สามจฺจปริวาโร
สสพฺพวสกนิกโร สุขิโต โหตุ อโรโค นิรุปทฺทโว,

ขอพระองค์จงทรงพระเกษมสำราญ
ปราศจากโรคาพาธอุปัทธวอันตราย
พร้อมทั้งสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระราชโอรสธิดา พระราชวงศ์
พร้อมทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ข้าราชบริพารทุกฝ่าย พสกนิกรทุกหมู่ทุกเหล่า,

จิรํ รชฺเช ปติฏฺฐาตุ,

ขอพระองค์จงเสด็จสถิตในพระศิริราชสมบัติตลอดกาลนาน

อิโต ปรํ สงฺโฆ ญาณสํวรสงฺฆราชฏฺฐปิตสฺส
มหาเถรสฺส กลฺยาเณเนว เจตสา อนูโมทนสชฺฌายนํ กโรตุ,

ต่อแต่นี้ ขอพระสงฆ์ได้มีกัลยาณจิต
สวดอนุโมทนาถวายพระมหาเถร
ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าประกาศสถาปนา
เป็นสมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ บัดนี้ เทอญ.

จบแล้ว พระสงฆ์ในพิธีมณฑลพนมมือถวายอนุโมทนา
เปล่งวาจา “สาธุการ” พร้อมกันแล้ว



เนื่องในมงคลวโรกาสคล้ายวันประสูติ ๙๕ พรรษา
สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร
ในวันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช


• เวลา ๑๗ นาฬิกา ๒๐ นาที

สมเด็จพระวันรัต (แทนสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ นำสวด)

พระสงฆ์ทั้งปวงในพิธีมณฑลพนมมือทั้งปวงรับพร้อมกัน ๓ จบ จบแล้ว

• เวลา ๑๗ นาฬิกา ๒๑ นาที

นายเสนาะ พ่วงภิญญโญ
รองอธิบดีกรมการศาสนารักษาการแทนอธิบดีกรมการศาสนา
กราบทูลนำเสด็จ สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ไปประทับ ณ อาสนะซึ่งปูลาดไว้ข้างพระท่านเศวตฉัตร
ที่ต้นอาสนะสงฆ์สังฆมณฑล

สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะกรรมการมหาเถรสมาคม
ตามไปนั่งที่อาสนะสงฆ์ในลำดับถัดจากสมเด็จพระสังฆราช

• เวลา ๑๗ นาฬิกา ๒๔ นาที

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
เสด็จไปถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัตรแด่ สมเด็จพระสังฆราช

ทรงแบพระหัตถ์เหนือพานแก้วรับน้ำนั้นทรงลูบพระเศียร
ขณะนั้นพระสงฆ์ในสังฆมณฑลเจริญชัยมงคลคาถา
โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พรานบันลือสังข์ พนักงานภูษามาลาไกวบัณเฑาะว์
เจ้าพนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์
(พิณพาทย์กรมศิลปากรบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ มหาชัย)

พระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรชุมนุมในพระอุโบสถเจริญชัยมงคลคาถา
และมีการย่ำระฆังพร้อมด้วยวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เมื่อถวายน้ำมหาสังข์ทักษิณาวัฏแล้ว
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ถวายพระสุพรรณบัฏ ตราตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
พัดยศ ไตรแพร เครื่องสมณศักดิ์ รวม ๑๙ รายการ ตามลำดับดังนี้

- พระแท่นเศวตฉัตร ๓ ชั้น

ทอดถวาย ณ ที่ต้นอาสนะสงฆ์

- พระสุพรรณบัฏ พร้อมด้วยพระบรมราชโองการใหญ่
และใบกำกับการเลื่อนสมณศักดิ์

นายสุรินทร์ ศรีวิทยา ผู้อำนวยการกองประกาศิต เป็นผู้เชิญทูลเกล้าฯ ถวาย
สมเด็จพระสังฆราช ทรงรับแล้ว
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเชิญไปตั้งไว้บนแท่นพระเศวตฉัตร

- พระตราตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

นายเสนาะ พ่วงภิญโญ รองอธิบดีกรมการศาสนา
รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการศาสนา เป็นผู้เชิญทูลเกล้าฯ ถวาย
สมเด็จพระสังฆราช ทรงรับแล้ว
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเชิญไปตั้งไว้บนแท่นพระเศวตฉัตร

- พัดยศ

เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเป็นผู้เชิญทูลเกล้าฯ ถวาย
สมเด็จพระสังฆราช ทรงรับแล้ว
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเชิญไปตั้งไว้ที่ฐานปักพัดยศ

- ไตรแพร ๑ สำรับ บาตรพร้อมฝาและเชิงบาตร

เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเป็นผู้เชิญทูลเกล้าฯ ถวาย
สมเด็จพระสังฆราช ทรงรับแล้ว
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเชิญไปตั้งไว้ที่ฐานปักพัดยศ

- พานพระศรีประกอบด้วยมังสี ๒
ตลับพู่ ๑ จอก ๑ ซองพลู ๑ (พร้อมพลู)
ขันน้ำพานรองมีจอกคลุมตาดรูปฝาชี
หีบตราจักรี (หีบหลังเจียด) คณโฑกาทรงกระบอก
หม้อลักจั่นปิ่นโตกลม ๔ ชั้นสุพรรณาราช สุพรรณศรี

เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเป็นผู้เชิญทูลเกล้าฯ ถวาย
สมเด็จพระสังฆราช ทรงรับแล้ว
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนารับไปตั้ง
ที่โต๊ะข้างพระแท่นเศวตฉัตร โดยลำดับ

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ถวายใบปวารณาแทนจตุปัจจัยไทยธรรม
แด่สมเด็จพระราชาคณะที่อาสนะสงฆ์

พระราชาคณะและสงฆ์นอกนั้นในสังฆมณฑล
ลงจากอาสนสงฆ์เดินเข้าไปรับพระราชทานตามลำดับ รวม ๑๔๘ รูป
แล้วกลับเขานั่งในอาสนะที่เดิม
พระสงฆ์ในสังฆมณฑลเจริญชัยมงคลคาถาจบ ดุริยางค์หยุดประโคม

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระทับพระราชอาสน์ทรงหลั่งทักษิโณทก
พระสงฆ์ในสังฆมณฑลถวายอนุโมทนา
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ถวายอดิเรกจบแล้ว

เจ้าหน้าที่กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา
เชิญพัดยศ สมเด็จพระสังฆราชไปตั้งที่เบื้องขวา
ที่ประทับ สมเด็จพระสังฆราช ที่แท่นอาสนะสงฆ์กลางพระอุโบสถ
กราบทูลนำเสด็จ สมเด็จพระสังฆราช ไปประทับที่อาสนะสงฆ์
หันพระพักตร์ออกไปทางพระทวารกลางพระอุโบสถ

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ฝ่ายมหานิกาย
และสมเด็จพระวันรัต พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ฝ่ายธรรมยุต
(แทนสมเด็จพระมหาวีระวงศ์)
ถวายเครื่องสักการะ ดอกไม้ ธง ธูปเทียนแพ ทรงรับไว้แล้ววางไว้
เจ้าหน้าที่กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา เชิญออกไป


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #7 on: 26 February 2022, 21:57:37 »



พระรูปปั้นสมเด็จพระญาณสังวรฯ แกะจากหินอ่อนขาวคาร์ราร่า ประเทศอิตาลี
ประดิษฐาน ณ วัดป่าภูก้อน ต.บ้านก้อง อ.นายูง จ.อุดรธานี



ตราอักษรย่อพระนาม ญสส.


• เวลา ๑๗ นาฬิกา ๕๐ นาที

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
เสด็จไปถวายเครื่องสักการะ ธูปเทียนแพ พร้อมกระทงดอกไม้ ทรงกราบราบ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงประนมพระหัตถ์ถวายอนุโมทนา
เสด็จไปประทับพระราชอาสน์ที่เดิม

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จไปถวายเครื่องสักการะ ธูปเทียนแพ พร้อมกระทงดอกไม้ ทรงกราบราบ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงประนมพระหัตถ์ถวายอนุโมทนา เสด็จไปประทับพระราชอาสน์ที่เดิม

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามมกุฏราชกุมาร
เสด็จไปถวายเครื่องสักการะ ธูปเทียนแพ พร้อมกระทงดอกไม้ ทรงกราบราบ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงประนมพระหัตถ์ถวายอนุโมทนา เสด็จไปประทับพระราชอาสน์ที่เดิม

อนึ่ง เมื่อจะเสด็จไปถวายเครื่องราชสักการะ
เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังลาดพระสุจหนี่ถวายที่พื้นหน้าอาสนะสงฆ์
และเมื่อเสร็จการแล้วถอนออก และขณะเครื่องสักการะนั้น
ผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทลดตัวลงนั่งคุกเข่า

ลำดับจากนั้น นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี
นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานรัฐสภา
และนายจำรัส เขมะจารุ ประธานศาลฎีกา
เข้าถวายเครื่องสักการะตามลำดับ



ตราอักษรย่อพระนาม ญสส.


• เวลา ๑๗ นาฬิกา ๕๕ นาที

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
หันพระองค์ไปทรงกราบพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
แล้วเสด็จลงจากอาสนะสงฆ์

นายเสนา พ่วงภิญโญ รองอธิบดีกรมการศาสนา
รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการศาสนา
นำเสด็จออกจากพระอุโบสถลงทางพระทวารกลาง
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเชิญพัดยศนำเสด็จ
เจ้าหน้าที่กองประกาศิตและเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา
เชิญพระสุพรรณบัฏไตรแพร และเครื่องยศสมณศักดิ์ตามเสด็จ

ณ ที่ระเบียงหน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงรับเครื่องสักการะของบรรพชิตญวน ๑๐ รูป
และบรรพชิตจีนรวม ๒๐ รูป มีดังนี้

พระคณานัมธรรมวิธานาจารย์ เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย วัดกุศลสมาคร
พระสมณานัมวุฒาจารย์ รองเจ้าคณะใหญ่ วัดถ้าเข้าน้อย
พระครูบริหารอนัมพรต ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่ วัดอนัมนิกายาราม
องสุตบทบวร ปลัดซ้าย วัดสมณานัมบริหาร
องสรพจนสุนทร รองปลัดขวา วัดอุภัยราชบำรุง
องพจนกรโกศล รองปลัดซ้าย วัดเขตร์นาบุญญาราม
องอนนตสรภัญ ผู้ช่วยปลัดขวา วัดถาวรวราราม กาญจนบุรี
องปลัดวันเดื๊อก คณานุกรม วัดกุศลสมาคร
องใบฏีกาไพศาล คณานุกรม วัดกุศลสมาคร
พระภิกษุจิ้นฟุก วัดสมณานัมบริหาร
พระคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร พุทธบริษัทจีนเนตา (เย็นเต๊ก)
เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม
หลวงจีนคณาณัติจีนพรต (ซิวแจ๋) ปลัดขวา เจ้าสำนักสงฆ์สุธรรม
หลวงจีนธรรมนาทจีนประพันธ์ (เย็นช้ง) รองปลัดขวา เจ้าอาวาสวัดโพธิ์เย็น
หลวงจีนธรรมนันท์จีนประภัทธ์ (เย็นเฮ้า) รองปลัดซ้าย เจ้าอาวาสวัดฉื่อฉาง
หลวงจีนธรรมรักษ์จีนประจิต (เย็นเกา) ผู้ช่วยปลัดซ้าย วัดโพธิธัตตาราม
หลวงจีนวินัยธร (เย็นจี่) คณานุกรมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย วัดโพธิ์แมนคุณาราม
หลวงจีนสังฆรักษ์ (เย็นซิม) คณานุกรมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย วัดโพธิ์แมนคุณาราม
รักษาการเจ้าอาวาสวัดเทพพุทธาราม
หลวงจีนสมุห์ (เย็นบุ๊ง) คณานุกรมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย วัดโพธิ์แมนคุณาราม
หลวงจีนใบฎีกา (เย็นงี้) คณานุกรมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย วัดโพธิ์แมนคุณาราม
หลวงจีนเย็นจี่ วัดมังกรกมลาวาส



หลวงจีนสังฆรักษ์ (เย็นซิม)
หรือพระอาจารย์จีนธรรมนันท์จีนประพัทธ์


จากนั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เสด็จออกจากพระอุโบสถไปประทับรถยนต์ประเทียบ
ที่ประตูเกยหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเสด็จไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร

อนึ่ง พระสงฆ์นอกนั้นในสังฆมณฑล
กลับออกจากพระอุโบสถทางพระทวารด้านท้ายอาสนะสงฆ์

• เวลา ๑๘ นาฬิกา ๓ นาที

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จฯ ไปทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการหน้าธรรมาสน์ศิลา
แล้วทรงรับการถวายการเคารพของผู้มาเฝ้าฯ
เสด็จออกจากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เจ้าพนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์
เสด็จไปตามทางลาดพระบาท
ทรงรับพวงมาลัยและเงินโดยเสด็จพระราชกุศลจากประชาชน
เสด็จไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง
ที่ประตูเกยหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เสด็จออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษชัยศรี
กลับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต

อนึ่งการพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นี้
โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
ได้ถ่ายทอดให้ประชาชนได้ชมและฟังตั้งแต่ต้นจนเสร็จการพระราชพิธี

ในปีเดียวกันนั้น ได้เสด็จเยี่ยมพระภิกษุสามเณร
และพุทธศาสนิกชนใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
คือ สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
ตามคำกราบทูลอาราธนาของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๒

• พ.ศ. ๒๕๓๓

เป็นประธานสงฆ์ในการเจริญพระพุทธมนต์
พระราชพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปชัยวัฒน์
และพระกริ่งสมเด็จระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนี
ทรงเจริญพระชนมายุ ๙๐ พรรษา
และเป็นประธานจุดเทียนชัย
ทรงนั่งปรก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


พระศาสนกิจในต่างประเทศ

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ได้ทรงปฏิบัติพระกรณียะต่างๆ
มาแต่ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ
เช่น การจัดให้มีการเทศน์เป็นภาษาอังกฤษ
จัดให้มีการสอนกรรมฐานแก่ชาวต่างประเทศ
และจัดให้มีการสนทนาธรรมแก่ชาวต่างประเทศเป็นประจำ
(ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์)

โดย เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นผู้ดำเนินการเองร่วมกับพระภิกษุไทย
และพระภิกษุชาวต่างประเทศที่บวชอยู่ วัดบวรนิเวศวิหาร
นอกจากนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังได้เสด็จไปปฏิบัติศาสนกิจ
เกี่ยวกับการพระศาสนาในต่างประเทศอีกหลายคราว คือ

• พ.ศ. ๒๕๐๙

ในฐานะประธานกรรมการอำนายการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
ได้เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์
ในพิธีเปิดวัดพุทธประทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๙

การเสด็จไปประเทศอังกฤษ คราวนี้
ก็เป็นโอกาสให้ได้ดูกิจการพระธรรมทูต
และการพระศาสนาในประเทศนั้น
และในประเทศอิตาลีในขากลับประเทศไทยอีกด้วย

• พ.ศ. ๒๕๑๐

ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม ได้ตามเสด็จ
สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
ซึ่งเสด็จเยือนประเทศศรีลังกาอย่างเป็นทางการ
ตามคำทูลอาราธนาของรัฐบาลศรีลังกา
เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างศาสนิกชนแห่งประเทศทั้งสอง

และเป็นการตอบแทนไมตรีของรัฐบาลไทย
ที่ได้นิมนต์พระมหานายกะของสยามวงศ์นิกายแห่งลังกา
มาเยือนประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙

• พ.ศ. ๒๕๑๑

เสด็จไปดูการพระศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษาทั่วไป
ในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์
ในฐานะประธานสภาการคึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
โดยอนุมัติของมหาเถรสมาคม
พร้อมด้วย พระเทพกวี (ประยูร สนฺตงฺกุโร ป.ธ. ๙)
(สมณศักดิ์สุดท้ายที่ สมเด็จพระญาณวโรดม)
เลขาธิการสภาการศึกษาฯ ในขณะนั้น

เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้
ผลปรากฏว่าต่อมาได้มีการติดต่อกับหัวหน้าชาวพุทธไปประเทศอินโดนีเซีย
และได้วางโครงการร่วมกันในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น
สุดท้ายหัวหน้าชาวพุทธในประเทศอินโดนีเซียได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย
เจรจากับ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
ขอพระธรรมทูตไทยออกไปช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย

กรมการศาสนาร่วมกับสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
จึงได้คัดเลือกพระธรรมทูตไทย ๔ รูป เสนอ มหาเถรสมาคม
ส่งออกไปปฏิบัติศาสนกิจช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น
พระธรรมทูตชุดแรกออกไปเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๒
และพระธรรมทูตชุดนี้ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในประเทศนี้ถึง ๑๐ ปีเศษ

สำหรับประเทศออกเตรเลียนั้น
ปรากฏว่ามีผู้นับถือและสนใจพระพุทธศาสนาอยู่เป็นจำนวนมาก
มีความประสงค์ให้มีพระสงฆ์อยู่
เพื่อประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศนั้นด้วย

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในฐานะผู้อำนวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย
จึงได้เสนอเรื่องการจัดตั้งสำนักสงฆ์ไทยในออสเตรเลีย
ต่อคณะกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย และผู้ที่เกี่ยวข้อง
ก็ได้รับความเห็นชอบ และจัดตั้งสำนักสงฆ์ไทยขึ้นในประเทศนั้น
ในความอุปการะของ มหามกุฏราชวิทยาลัย

และได้จัดส่งพระภิกษุไทยร่วมกับพระภิกษุชาวต่างประเทศ
(ซึ่งบวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร) ออกไปปฏิบัติศาสนกิจเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๖ และต่อมาก็ได้จัดตั้งวัดขึ้น
และประกอบพิธีเปิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘




• พ.ศ. ๒๕๑๓

เสด็จไปประเทศอินโดนีเซียอีกครั้งหนึ่ง
ตามคำอาราธนาของหัวหน้าพระธรรมทูตไทย
และ พระชินรักขิตเถระ หัวหน้าพุทธศาสนิกชนชาวอินโดนีเซีย

เพื่อให้การบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวอินโดนีเซีย ๗ คน
พร้อมด้วย พระธรรมโสภณ (สนธิ์ กิจฺจกาโร)
(ภายหลังเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นที่ พระญาณวโรดม
รองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร)

การเดินทางไปประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้
เป็นโอกาสให้ได้สังเกตการณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่
วัฒนธรรม และความเป็นไปของพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น

พระขนฺติปาโล ได้บันทึกการเดินทางเล่าถึงสิ่งที่พบเห็น
และข้อคิดเห็นบางประการไว้อย่างน่าสนใจ
หนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔



พระญาณวโรดม (สนธิ์ กิจฺจกาโร)



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


• พ.ศ. ๒๕๑๔

ในฐานะประธานสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
เสด็จไปดูการศาสนาและการศึกษา
ในประเทศปากีสถาน เนปาล และอินเดีย
พร้อมด้วย พระเทพกวี (ประยูร สนฺตงฺกุโร ป.ธ. ๙)
(สมณศักดิ์สุดท้ายที่ สมเด็จพระญาณวโรดม)
เลขาธิการสภาการศึกษาฯ ในขณะนั้น

ในโอกาสเดียวกัน ก็ได้รับอนุมัติจาก มหาเถรสมาคม
ให้เป็นผู้แทนของคณะสงฆ์ไทยไปเยี่ยมเยียนพระสงฆ์
และวัดพระพุทธศาสนาในประเทศปากีสถานตะวันออก
และนำสาส์นของ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี)
ถึงพุทธศาสนิกชนชาวปากีสถานตะวันออก



สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี)


พร้อมทั้งนำเอาวัสดุสิ่งของต่างๆ และกัปปิยภัณฑ์จำนวนหนึ่ง
ซึ่งทางคณะสงฆ์ไทยได้จัดหามาไปมอบแก่
พระภิกษุสามเณรและชาวพุทธในประเทศปากีสถานตะวันออก
ที่ประสบวาตภัยครั้งใหญ่ในคราวนั้นด้วย

เมื่อกลับจากการเดินทางครั้งนั้นแล้ว
ก็ได้ทำรายงานเสนอมหาเถรสมาคม
ทำให้คณะสงฆ์ได้ทราบถึงความเป็นไปของพระพุทธศาสนาในประเทศนั้นๆ
ซึ่งกำลังต้องการความช่วยเหลือในการฟื้นฟู

และทำให้คณะสงฆ์เห็นชอบด้วยกับความดำริของคณะสงฆ์เนปาล
ซึ่งจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น
และยินดีสนองความต้องการของคณะสงฆ์เนปาล

ในขั้นแรกนี้สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
ได้เสนอให้ทุนการศึกษาจำนวน ๒ ทุน
สำหรับให้พระภิกษุสามเณรชาวเนปาล
เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

ต่อมาคณะสงฆ์เนปาลก็ได้คัดเลือกสามเณร ๒ รูป
ส่งเข้ามาศึกษาในประเทศไทย โดยพักอยู่ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร
เข้าศึกษาที่สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ในหลักสูตรพิเศษ ๓ ปี
สำหรับพระภิกษุและสามเณรชาวต่างประเทศ

• พ.ศ. ๒๕๑๘

เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ในพิธีเปิด วัดพุทธรังษี สแตนมอร์
ณ นครซิดนีย์ รัฐนิวเซ้าท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย
ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามมกุฏราชกุมาร
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิด
และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา
ระหว่างวันที่ ๒๒ พฤษภาคม-๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๘

• พ.ศ. ๒๕๒๐

เสด็จไปบรรพชากุลบุตรชาวอินโดนีเซียจำนวน ๔๓ คน
ณ เมืองสมารัง ประเทศอินโดนีเซีย
ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์สังฆเถรวาทอินโดนีเซีย
ได้เสด็จไปเยี่ยมชมกิจการพระศาสนา ณ ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

ขากลับทรงแวะเยี่ยมชมการพระศาสนา ณ ประเทศสิงคโปร์ ด้วย
ระหว่างวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐-๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑

• พ.ศ. ๒๕๒๓

เสด็จไปร่วมประชุม สหพันธ์คีตาอาศรมสากล
ในฐานะที่ทรงเป็นพระอาคันตุกิเศษ ณ ประเทศอินเดีย

เมื่อทรงเสร็จภารกิจที่ประเทศอินเดียแล้ว
ได้เสด็จไปเยี่ยมชมกิจการพระศาสนา ณ ประเทศเนปาล อีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างวันที่ ๑๑-๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓

ในศกเดียวกัน เสด็จไปทรงดูกิจการพระศาสนา
ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศยุโรป
ตามคำอาราธนาของบริษัท ศรีกรุงวัฒนา จำกัด

พร้อมด้วย พระธรรมดิลก (ปุญฺญาราโม วิชมัย บุญมาก)
(สมณศักดิ์สุดท้ายที่ พระพรหมมุนี)
ระหว่างวันที่ ๓ เมษายน-๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๓

• พ.ศ. ๒๕๒๘

เป็นประธานคณะสงฆ์พร้อมด้วยพระสงฆ์อีก ๑๙ รูป
จากประเทศไทยไปทรงประกอบพิธีผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ
วัดจาการ์ตาธรรมจักรชัย ณ ประเทศอินโดนีเซีย
ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์เถรวาทอินโดนีเซีย

เป็นการผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดพระพุทธศาสนาเถรวาท
เป็นครั้งแรกในประเทศอินโดนีเซียนั้น
ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๘

ในศกเดียวกัน เสด็จพร้อมด้วยคณะสงฆ์จากประเทศไทย
ไปเป็นประธานบรรพชากุลบุตรศากยะแห่งเนปาล
จำนวน ๗๓ คน ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล
ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์เนปาล
ระหว่างวันที่ ๒๓-๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘

• พ.ศ. ๒๕๓๖

เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ
ตามคำกราบทูลอาราธนาของรัฐบาลจีน
โดยได้เสด็จเยือนเมืองต่างๆ คือ
ปักกิ่ง ซีอาน คุนหมิง และสิบสองปันนา
ระหว่างวันที่ ๒๐ มิถุนายน-๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖

นับเป็นการเจริญศาสนสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน
เป็นทางการเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง

• พ.ศ. ๒๕๓๘

เสด็จไปทรงเป็นประธานวางศิลาฤกษ์
วัดไทยลุมพินี ณ เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล
ซึ่งรัฐบาลไทยได้จัดสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๘


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #8 on: 26 February 2022, 21:59:55 »



วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ


การสาธารณูปการ

นับแต่ทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร
ได้ทรงบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะและถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัด
ตลอดถึงการก่อสร้างถาวรวัตถุอันเป็นสาธารณประโยชน์
ในที่อื่นๆ ภายนอกวัดบวรนิเวศวิหาร อีกเป็นจำนวนมาก

ถาวรวัตถุที่สร้างขึ้นใหม่ในวัดบวรนิเวศวิหารคือ

๑. ตึกกวีบรรณาลัย ห้องสมุดของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
๒. ตึกวชิรญาณวงศ์ อาคารเรียนของวัดบวรนิเวศ
๓. ซุ้มปรางที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ บนลานประทักษิณชั้นที่ ๒ ของพระเจดีย์ใหญ่
๔. กุฏิหลวงเจริญฤทธิศาสตร์ ในคณะเหลืองรังษี
๕. กุฏิพระนิกรบดี คณะเขียวรังษี
๖. ตึก ภ.ป.ร. พิพิธภัณฑ์วัดบวรนิเวศวิหาร
๗. กุฏิคุณหญิงจี๊ด สัตยานุรักษ์ ในคณะเหลืองรังษี
๘. กุฏิรามเดชะ ในคณะสูง
๙. ถังน้ำบ่อบาดาล พร้อมติดตั้งนาฬิกาไฟฟ้าและระฆัง ข้างตึกมนุษยนาควิทยาทาน
๑๐. อาคารกิจกรรม หลังตึกวชิรญาณวงศ์ โรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร
๑๒. มณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง หลังพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
๑๓. โพธิฆระ (เรือนโพธิ์) หลังพระวิหารพระศาสดา
๑๔. ศาลาวชิรญาณ วัดบวรนิเวศวิหาร ๑๕๐ ปี
๑๕. ศาลาหน้าศาลาวชิรญาณ
๑๖. กุฏิตึกหน้ากุฏิใหญ่คณะเขียวรังษี



ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย


ส่วนเสนาสนะและถาวรวัตถุอื่นๆ ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร
ก็ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่หมดทั้งพระอาราม ที่สำคัญคือ

๑. ปิดทองเจดีย์ใหญ่ด้วยโมเสกสีทองตลอดทั้งองค์
๒. ประดับหินอ่อนพระอุโบสถตลอดทั้งหลัง

การก่อสร้างถาวรวัตถุอื่นๆ ภายนอกวัด
ตลอดถึงการอุปถัมภ์การก่อสร้างวัดต่างๆ นั้นก็มีจำนวนมาก ที่สำคัญคือ

๑. สร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สำหรับเป็นตึกสงฆ์และใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
๒. สร้างตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สำหรับเป็นตึกสงฆ์และใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
๓. ทรงอุปถัมภ์การสร้างวัดล้านนาสังวราราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่



วัดญาณสังวราราม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี


๔. ทรงสร้างวัดสันติคีรี ณ ดอยแม่สลอง บ้านสันติคีรี
ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
๕. ทรงอุปถัมภ์การสร้างโรงเรียนมัธยมญาณสังวร อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
๖. ทรงอุปถัมภ์การสร้างวัดรัชดาภิเษก อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี
๗. ทรงอุปถัมภ์การสร้างวัดพุมุด อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
๘. สร้างวัดญาณสังวราราม ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี



อาคารสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี


๙. สร้างโรงเรียน และโรงพยาบาลสมเด็จพระปิยะมหาราชรมณียเขต
ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
๑๐. ทรงอุปถัมภ์การสร้างตึก ภ.ป.ร.
(ตึกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย)
๑๑. ทรงอุปถัมภ์การสร้างโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม
ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
๑๒. ทรงจัดสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทรามหาสันติคิรี
ณ ดอยแม่สลอง ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย



ตึกวชิรญาณวงศ์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย


นอกจากนี้ก็ยังทรงอุปถัมภ์การก่อสร้างวัดในต่างประเทศอีกหลายแห่งคือ

๑. วัดพุทธรังษี สแตนมอร์ ณ นครซิดนีย์ รัฐนิวเซ้าท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย
ในความอุปถัมภ์ของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ และเปิดวัดเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
๒. วัดจาการ์ตาธรรมจักรชัย ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ และผูกพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘
๓. พระอุโบสถวัดนครมณฑปศรีกีรติวิหาร
ณ เมืองกิรติปูร กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล
วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑
๔. วัดแคโรไลนาพุทธจักรวนาราม
ณ เมืองโบลิเวีย รัฐแคโรไลนาเหนือ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อตั้งเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑



พระอุโบสถวัดนครมณฑปศรีกีรติวิหาร ณ เมืองกิรติปูร ประเทศเนปาล



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


การสาธารณสงเคราะห์

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเป็นสาธารณสงเคราะห์
เพื่อสุขประโยชน์ของสาธารณชนเป็นเอนกประการ
ทั้งในด้านการศึกษา ด้านการสาธารณสุข และด้านสาธารณประโยชน์อื่นๆ

เป็นต้นว่า ประทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ขาดแคลน
ทั้งในโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร และโรงเรียนในต่างจังหวัดจำนวนมาก

ทรงจัดสร้างสถานศึกษา เช่น
โรงเรียนสมเด็จพระปิยะมหาราชรมณียเขต
อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
เพื่ออำนวยให้เยาวชนมีที่ศึกษาเล่าเรียนได้โดยสะดวก

ทรงจัดสร้างโรงพยาบาล
สำหรับเป็นที่รักษาพยาบาลทั้งแก่ประชาชนทั่วไป
และพระภิกษุสามเณรอาพาธ เช่น
โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยะมหาราชรมณียเขต
อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น

ที่นับว่าสำคัญก็คือเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
ทรงพระดำริให้จัดสร้าง “ตึกสกลมหาสังฆปริณายก”
สำหรับสงฆ์อาพาธในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร
เพื่อถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระสังฆราช
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ รวม ๑๙ พระองค์

ในถิ่นที่ขาดแคลนสถานพยาบาล
กระจายไปในจังหวัดต่างๆ ทุกภาคของประเทศ



สะพานสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร อ.เมือง จ.กาญจนบุรี


พร้อมทั้งโปรดให้สร้างพระรูปของสมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๑๙ พระองค์
ประดิษฐานไว้เป็นที่สักการบูชาประจำโรงพยาบาล
ที่สร้างถวายเป็นพระอนุสรณ์แต่ละแห่ง
และเป็นที่สักการบูชาของพุทธศาสนิกชนสืบไป ดังนี้

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑”
ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆังโฆสิตาราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๒”
ณ โรงพยาบาลละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๓”
ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง จังหวัดราชบุรี
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๔”
ณ โรงพยาบาลเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๕”
ณ โรงพยาบาลแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๖”
ณ โรงพระปริยัติธรรมวัดพระบาทมิ่งเมือง จังหวัดแพร่
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (นาค) วัดราชบุรณะ

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๗”
ณ โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
(พระองค์เจ้าวาสุกรี) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

“ตึกสกลมหาสังปริณายก ๘”
ณ โรงพยาบาลหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค) วัดบวรนิเวศวิหาร

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๙”
ณ โรงพยาบาลชลบุรี จังหวัดชลบุรี
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๐”
ณ โรงพยาบาลนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหาร

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๑”
ณ โรงพยาบาลนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
(หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๒”
ณ โรงพยาบาลขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศน์เทพวราราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๓”
ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๔”
ณ โรงพยาบาลอ่าวลึก จังหวัดกระบี่
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(ปลด กิตฺติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๕”
ณ โรงพยาบาลตราด จังหวัดตราด
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๖”
ณ โรงพยาบาลภูกระดึง จังหวัดเลย
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๗”
ณ โรงพยาบาลลานสะกา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๘”
ณ โรงพยาบาลไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

“ตึกสกลมหาสังฆปริณายก ๑๙”
ณ โรงพยาบาลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี
ถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
(เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร



โรงพยาบาลท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #9 on: 26 February 2022, 22:02:06 »



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


๏ พระนิพนธ์

ทางด้านงานพระนิพนธ์ หรือตำรับตำรานั้น
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ได้เริ่มเกี่ยวข้องมาตั้งแต่ยังทรงเป็นพระเปรียญ
โดยการเป็นเจ้าหน้าที่แผนกตำราของมหามกุฏราชวิทยาลัย
และเป็นเจ้าหน้าที่หนังสือธรรมจักษุ เป็นต้น

ได้เรียบเรียงเรื่องต่างๆ ไว้มาก
บางเรื่องก็ได้พิมพ์ออกเผยแพร่มาแล้วหลายครั้ง
บางเรื่องก็ยังไม่เคยได้พิมพ์เผยแพร่
กล่าวเฉพาะเรื่องที่เคยพิมพ์มาแล้ว
ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็นประเภท ดังนี้

ประเภทตำรา

พ.ศ. ๒๔๙๒ เรียบเรียงอธิบายวากยสัมพันธ์ ภาค ๑-๒
เป็นหนังสืออธิบายบาลีไวยากรณ์
สำหรับใช้เป็นหนังสือประกอบการศึกษาของนักเรียนบาลี

และ พ.ศ. ๒๕๑๒ ทรงเป็นผู้อำนายการในการจัดทำปทานานุกรม
บาลี ไทย อังกฤษ และสันสกฤต
ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พิมพ์ขึ้นในงานทำบุญอายุ ๖๐ ปี ของหม่อมหลวงบัว กิตติยากร
พระชนนีของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๒













ประเภททั่วไป

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงเรียบเรียงไว้มาก เช่น
๑. แนวความเชื่อ
๒. บัณฑิตกับโลกธรรม
๓. บวชดี
๔. การนับถือพระพุทธศาสนา
๕. คำกลอนนิราศสังขาร
๖. บุพพการี-กตัญญูกตเวที
๗. อาหุเนยโย
๘. ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร (เล่ม ๒)
๙. หลักพระพุทธศาสนา
๑๐. พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเลิศล้ำ
๑๑. แนวปฏิบัติในสติปัฏฐาน
๑๒. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า
๑๓. พระพุทธเจ้าสั่งสอนอะไร ไทย-อังกฤษ
๑๔. วิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องทางธรรมะ
๑๕. ศีล ไทย-อังกฤษ
๑๖. เรื่องกรรม
๑๗. สันโดษ
๑๘. อวิชชา
๑๙. หลักธรรมสำหรับการปฏิบัติอบรมทางจิต
(ทางลม-อาหารใจ-ปริญญา-บันทึกกรรมฐาน)
๒๐. พระพุทธศาสนากับสังคมไทย
๒๑. การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่

(เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ รวมพิมพ์เป็นเล่มใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์
เนื่องในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองพระชนมายุครบ ๗๒ พรรษา
ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕)






สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


ประเภทพระธรรมเทศนา

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงเรียบเรียงไว้มาก และพิมพ์เป็นเล่มแล้ว
เช่น ปัจคุณ ๕ กัณฑ์ ทษพลญาณเทศนา ๑๐ กัณฑ์
มงคลเทศนาถึงมงคลคาถาที่ ๖ โอวาทปาฏิโมกข์เทศนา ๓ กัณฑ์
สังฆคุณ ๙ กัณฑ์ พระมงคลวิเสสกถา
และพระธรรมเทศนาในการพระราชกุศล รวม ๑๐๙ กัณฑ์ เป็นต้น

ประเภทริเริ่มให้มีการรวบรวมและแปล

เนื่องในการจัดงานมหาสมณานุสรณ์ครบ ๕๐ ปี นับแต่วันสิ้นพระชนม์ของ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ได้ทรงดำริให้รวบรวมพระนิพนธ์เรื่องต่างๆ
ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น
อันนอกเหนือไปจากที่ใช้เป็นหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี โท เอก อยู่แล้ว
ซึ่งบางเรื่องนั้นยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่มาก่อน
และบางเรื่องเคยพิมพ์แล้วแต่หายาก หรือกระจัดกระจายอยู่
ให้เป็นหมวดหมู่ตามประเภท เป็นหนังสือขนาดใหญ่
(เท่าที่พิมพ์เสร็จแล้วในขณะนั้น) ๑๗ เล่ม
โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ เป็นผู้จัดพิมพ์เผยแพร่

และต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๕
ทางวัดได้จัดงานวชิรญาณวงศานุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปี
นับแต่วันที่ประสูติของ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ได้ทรงดำริให้รวบรวมพระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้น
พิมพ์ขึ้นเป็นหนังสือชุดรวม ๖ เล่ม
โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นผู้จัดพิมพ์เผยแพร่เช่นเดียวกัน

และได้ให้มหามกุฏราชวิทยาลัยฯ จัดรวบรวมและพิมพ์พระราชนิพนธ์
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ออกเผยแพร่ด้วย
โดยจัดพิมพ์เป็นหนังสือชุดแบ่งตามประเภทของเรื่อง
ขณะนี้ได้จัดพิมพ์แล้ว ๔ เล่ม (ส่วนที่เหลือจะจัดพิมพ์ต่อไป)



สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ)
ทรงฉายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ


นอกจากนี้ ยังได้ให้รวบรวมประวัติวัดบวรนิเวศวิหาร
จัดพิมพ์ออกเผยแพร่ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษด้วย

ในด้านการริเริ่มในการแปลตำราภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษนั้น
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ได้จัดให้พระภิกษุไทยร่วมกับพระภิกษุชาวต่างประเทศ
ที่บวชจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารช่วยกันแปลหนังสือขึ้น
เป็นคู่มือในการศึกษาพระพุทธศาสนา

ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เป็นภาษาอังกฤษหลายเล่ม เช่น

๑. นวโกวาท ซึ่งเป็นหนังสือหลักในการศึกษาพระวินัยของพระภิกษุ
๒. วินัยมุข เล่ม ๑-๓ ซึ่งเป็นหนังสืออธิบายขยายความนวโกวาทให้เข้าใจง่ายขึ้น
๓. พุทธประวัติ เล่ม ๑-๒-๓ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังได้ทรงริเริ่มให้มีการแปลหนังสือพุทธศาสนาที่สำคัญๆ
จากภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศ
เพื่อเป็นการเผยแพร่และเป็นคู่มือการศึกษาพระพุทธศาสนา
สำหรับชาวต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมาก

เช่น หนังสือภิกขุปาติโมกข์ อุปสมบทวิธี ทำวัตรสวดมนต์ เป็นต้น
แล้วโปรดให้มหามกุฏราชวิทยาลัยฯ จัดพิมพ์เผยแพร่

ในระยะเดียวกันนี้
โปรดให้จัดตั้งแผนกจำหน่ายหนังสือพระพุทธศาสนาต่างประเทศ
ของมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ ขึ้นด้วย

เพื่อให้เป็นศูนย์หนังสือทางพระพุทธศาสนา
สำหรับชาวต่างประเทศที่สนใจจะศึกษาพระพุทธศาสนา
ตลอดถึงชาวไทยที่ต้องการหนังสือพระพุทธศาสนา
ในภาษาต่างประเทศไว้ประกอบการศึกษา
ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒
และเจริญก้าวหน้ามาด้วยดีจวบจนทุกวันนี้



ตึกมนุษยนาคมานพวิทยาทาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

• พ.ศ. ๒๕๒๙

มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญา

• พ.ศ. ๒๕๓๒

มหาวิทยาลัยมหิดล
ถวายปริญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาศาสนาเปรียบเทียบ

• พ.ศ. ๒๕๓๓

มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทย
ถวายปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

• พ.ศ. ๒๕๓๗

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ถวายปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญาและศาสนา

• พ.ศ. ๒๕๓๘

มหาวิทยาลัยนเรศวร
ถวายปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา

• พ.ศ. ๒๕๓๙

มหาวิทยาลัยศรีนครินทราวิโรฒ
ถวายปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

• พ.ศ. ๒๕๔๑

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาภาษาไทย

• พ.ศ. ๒๕๔๓

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

• พ.ศ. ๒๕๔๕

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #10 on: 26 February 2022, 22:03:38 »





ตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบัน

๑. เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
๒. เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
๓. เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร
๔. รักษาการเจ้าอาวาสวัดญาณสังวราราม ในพระบรมราชูปถัมภ์
๕. เป็นนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
๖. เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพระสังฆาธิการคณะธรรมยุต
๗. เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างพุทธมณฑลฝ่ายสงฆ์
๘. เป็นประธานคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา
๙. เป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
๑๐. เป็นประธานกรรมการมูลนิธิพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
๑๑. เป็นประธานกรรมการมูลนิธิวัดญาณสังวราราม ในพระบรมราชูปถัมภ์



ภาพทรงฉายร่วมกับคณะสงฆ์ของวัดบวรนิเวศวิหาร
เนื่องวันวันคล้ายวันประสูติ ๙๒ พรรษา เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘



ชีวิตและปฏิปทาแบบอย่าง

ชีวิตของ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น
ก็ไม่แตกต่างไปจากชีวิตของคนทั่วๆ ไป
คือมีทั้งผิดหวังและสมหวัง มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว มีทั้งดีใจและเสียใจ

แต่โดยที่ทรงมีคุณธรรมหลายประการ
ที่โดดเด่นเป็นแกนหรือเป็นแก่นของชีวิต
ชีวิตของพระองค์จึงมีความสมหวังมากกว่าผิดหวัง
มีความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว
และมีความดีใจมากกว่าเสียใจ

กล่าวโดยรวมก็คือ ด้วยคุณธรรมอันเป็นแกนของชีวิตดังกล่าว
พระองค์จึงทรงประสบความสำเร็จ
หรือทรงเจริญก้าวหน้าไปตามครรลองของชีวิตจนถึงที่สุด
ดังเป็นที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้

หากวิเคราะห์ตามที่ปรากฏในพระประวัติ
ก็จะเห็นได้ว่าพระคุณธรรมที่โดดเด่นในชีวิตของพระองค์ก็คือ
• อดทน
• ใฝ่รู้
• กตัญญู
• ถ่อมตน
• คารวธรรม





ความอดทน (ขันติ : พระคุณธรรมประการแรก)

ที่ปรากฏเด่นชัดในชีวิตของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็คือ ความอดทน (ขันติ)
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงมีพระสุขภาพอ่อนแอไม่แข็งแรงมาตั้งเยาว์วัย
และมีผลสืบเนื่องมาจนถึงเมื่อทรงบรรพชาเป็นสามเณร

พระสุขภาพที่อ่อนแอนับเป็นอุปสรรคสำคัญของการศึกษาเล่าเรียน
พระองค์ต้องทรงใช้ความอดทนอย่างหนัก
จึงสามารถผ่านพ้นอุปสรรคแต่ละขั้นตอนมาได้
ทรงเล่าว่า บางครั้งเมื่อถึงเวลาสอบ
ต้องทรงใช้ผ้าสักหลาดพันรอบอกหลายชั้น
เพื่อไม่ให้เกิดอาการหนาวสั่นในเวลานั่งสอบ

นอกจากจะต้องอดทนต่อความไม่สมบูรณ์ของร่างกายแล้ว
ยังต้องงอดทนต่อเสียงค่อนแคะของเพื่อนร่วมสำนักอีกนานัปการ

แต่สิ่งเหล่านี้แทนที่จะทำให้กำลังพระทัยลดน้อยลง
แต่กลับทำให้ทรงรู้สึกว่าจะต้องมีความอดทนมากขึ้น

ความใฝ่รู้ (สิกขกามตา) : พระคุณธรรมที่โดดเด่นประการต่อมา

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นผู้ใฝ่รู้มาโดยตลอด
แม้เมื่อทรงเป็นพระมหาเถระแล้ว พระอัธยาศัยใฝ่รู้ของพระองค์ก็ไม่เคยจืดจาง
ได้ทรงแสวงหาความรู้อยู่เสมอด้วยการทรงอ่านหนังสือ
ทั้งที่เป็นหนังสือภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

หนังสือดีมีประโยชน์บางเรื่องที่ทรงอ่านแล้ว
ยังทรงพระเมตตาแนะนำให้ผู้ใกล้ชิดอ่านด้วย โดยมักมีรับสั่งว่า

“เรื่องนี้เขาเขียนดี น่าอ่าน”

พระคุณธรรมข้อกตัญญูดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงมีพระคุณธรรมข้อนี้อย่างเด่นชัด
และทรงหาโอกาสสนองคุณของผู้ที่มีพระคุณต่อพระองค์
แม้เพียงเล็กน้อยอยู่เสมอ



พระรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)


ดังเช่น เมื่อทรงได้รับพระราชทานสถาปนา
เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร
ก็ทรงรำลึกถึงพระคุณของ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)
ที่ทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
เป็นรูปแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์

เพราะหากไม่มี สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นรูปที่ ๑
ก็คงไม่มีสมเด็จพระญาณสังวร คือพระองค์เอง เป็นรูปที่ ๒

ฉะนั้นเมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษา
จึงเสด็จไปถวายสักการะพระรูป สมเด็จพระญาณสังวร (สุก)
ที่วัดราชสิทธารามเป็นประจำทุกปีตลอด

อีกกรณีหนึ่ง เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมวราภรณ์
และทรงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารใหม่ๆ (พ.ศ.๒๕๐๔)

คราวหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ
ได้ทรงปรารภกับพระองค์ด้วยความห่วงใยว่า

“เจ้าคุณ จะเอาวัดบวรได้อยู่หรือ”

ซึ่งหมายความว่า จะปกครอง วัดบวรนิเวศวิหาร
ที่เป็นพระอารามหลวงที่สำคัญ ทั้งมีพระเถระที่มีอาวุโสมากกว่า
อยู่มากองค์ในขณะนั้นให้เรียบร้อยได้หรือ

ด้วยพระปรารภดังกล่าวนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงถือว่า
สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) ทรงมีพระเมตตาต่อพระองค์
จึงทรงรำลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้นอยู่เสมอ

เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษาจึงทรงไปถวายสักการะ
สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) พระองค์นั้น
นับแต่เมื่อยังมีพระชนม์อยู่และตลอดมาจนกระทั่งสิ้นพระชนม์



สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)


พระคุณธรรมข้อถ่อมตน (นิวาตะ)

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงมีความถ่อมพระองค์มาแต่ต้น
เพราะความถ่อมตน เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
จึงทรงเป็นพระเถระที่สงบเสงี่ยม สำรวมระวัง ตรัสน้อย และไม่ชอบแสดงตน

ดังเช่นในการสอนสมาธิกรรมฐาน
พระองค์ก็มิได้แสดงพระองค์ว่าเป็นผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญกว่าใครๆ
แต่มักตรัสว่า

“แนะนำในฐานะผู้ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วยกัน”

บางครั้งมีผู้กล่าวถึงพระองค์ว่า
เป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อทรงทราบจะทรงแนะว่า ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น เพราะ

“ใครๆ ไม่ควรที่จะอวดอ้างตนว่าเป็นครูอาจารย์
ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทุกคนมีหน้าที่ต้องถวายงานสนองพระราชประสงค์เท่านั้น”

อีกตัวอย่างหนึ่ง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม
มาตั้งแต่ทรง ดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ และทรงเป็นตลอดมาทุกสมัย

ในการประชุมมหาเถรสมาคมแต่ละครั้ง
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ประทับเก้าอี้ท้ายแถวเสมอ

กระทั่งครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช (จวน) วัดมกุฎกษัตริยาราม
ซึ่งทรงเป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมในขณะนั้น
ทรงทักแบบสัพยอกด้วยพระเมตตาว่า

“เจ้าคุณสานั่งไกลนัก กลัวจะเป็นสมเด็จหรือไง”

พระคุณธรรมข้อคารวธรรม

คือความเป็นผู้มีความเคารพต่อผู้ที่ควรเคารพ

คารวธรรม ประการแรกของ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ก็คือความเคารพในพระรัตนตรัย





ความเคารพในพระพุทธเจ้า

ทรงแสดงออกด้วยการเคารพต่อพระพุทธรูปในทุกสถานการณ์
ดังเช่น ทรงแนะนำภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า
การลงโบสถ์ทำวัตรเช้าค่ำนั้น ก็เสมือนการไปเฝ้าพระพุทธเจ้าประจำวัน
ทำให้รำลึกถึงพระพุทธคุณ จิตใจไม่ห่างไกลจากพระธรรม

ข้อที่ทรงแนะนำอีกประการหนึ่งก็คือ
พระพุทธรูปไม่ควรตั้งวางในที่ต่ำ
หรือในที่ที่จะต้องเดินข้ามไปข้ามมาเป็นต้น

ความเคารพต่อพระธรรม

ก็ทรงแสดงออก
ด้วยการเคารพต่อพระคัมภีร์ เช่นพระคัมภีร์ทาง
พระพุทธศาสนาทุกชนิดทรงเก็บรักษาไว้ในที่สูงเสมอ
ไม่เก็บไว้ในที่ที่ต้องเดินข้ามเดินผ่านเช่นกัน

แม้หนังสือธรรมทุกชนิดก็ไม่ทรงวางบนพื้นธรรมดา
ต้องวางไว้บนที่สูงเช่น บนโต๊ะ บนพานเป็นต้น
หากทรงเห็นใครวางหนังสือธรรมบนพื้น ก็จะตรัสเตือนว่า

“นั่นพระธรรม อย่าวางบนพื้น”

ความเคารพในพระสงฆ์

ก็ทรงแสดงออกโดยทรงมีความเคารพต่อ
พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือที่เรียกกันว่าพระกรรมฐานเป็นพิเศษ

เช่นเมื่อมีพระกรรมฐานเป็นอาคันตุกะมาสู่พระอาราม
แม้จะเป็นผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่าก็ทรงต้อนรับปฏิสันถารด้วยความเคารพ

พระคุณธรรมข้อนี้ที่ปรากฏต่อสาธารณชนทั่วไปก็คือ
ทรงแสดงความเคารพต่อพระเถระผู้มีอาวุโสมากกว่าพระองค์ทุกรูป
ไม่ว่าพระเถระรูปนั้นจะเป็นภิกษุธรรมดาไม่มียศศักดิ์อะไร
หากมีอาวุโสพรรษามากกว่า
พระองค์ก็ทรงกราบแสดงความเคารพเสมอ

เมื่อมีพระสงฆ์จากที่ต่างๆ มาเข้าเฝ้า
หากมีพระเถระผู้เฒ่ามาด้วยก็จะทรงถามก่อนว่า

“ท่านพรรษาเท่าไร”

หากมีอายุพรรษามากกว่า
จะทรงนิมนต์ให้นั่งบนอาสนะและทรงกราบตามธรรมเนียมทางพระวินัย

พระคุณธรรมเหล่านี้ ทำให้ชีวิตของ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
เป็นชีวิตที่งดงามหรือกล่าวอย่างภาษาชาวโลกก็คือ

เป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
เป็นชีวิตที่สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้สำหรับทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตทางโลกหรือชีวิตทางธรรม





การกล่าวถึงพระคุณธรรมในชีวิตของ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ข้างต้นนั้น
เป็นการมองชีวิตของ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในภาพรวม
เช่นกับชีวิตของคนทั่วไปว่า

ทรงมีอะไรบ้าง ทรงทำอะไรบ้าง
แต่ถ้ามองชีวิตของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง
ก็จะเห็นแบบอย่างของชีวิตในทางธรรมที่ชัดเจนอีกภาพหนึ่ง

นั่นคือ ปฏิปทาอันควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง
สำหรับพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั่วไป
พระปฏิปทาอันเป็นแบบอย่างดังกล่าวก็คือ

• ความเป็นผู้ทรงปริยัติและไม่ทิ้งปฏิบัติ
• ความเป็นผู้สำรวมระวังในพระวินัย
• ความเป็นผู้มักน้อยสันโดษ

สาธุ สาธุ สาธุ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.121 seconds with 20 queries.