Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 09:10:03

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,624 Posts in 12,930 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  ภาพประทับใจ  |  สถานที่สวยงาม (Moderator: ppsan)  |  วันเดียวก็เที่ยวได้จบครบ “3 แพร่ง”
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: วันเดียวก็เที่ยวได้จบครบ “3 แพร่ง”  (Read 392 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,460


View Profile
« on: 10 January 2022, 15:57:55 »

วันเดียวก็เที่ยวได้จบครบ “3 แพร่ง”


วันเดียวก็เที่ยวได้จบครบ “3 แพร่ง”
วันที่ 20 เมษายน 2563  4,101 Views
นิตยสาร Gourmet & Cuisine ฉบับที่ 237 เดือนเมษายน 2563


อ่านชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งตกใจ เพราะเราไม่ได้จะพาไปเที่ยวทางสามแพร่งสุดอาถรรพ์ที่ไหน แต่เป็น “3 แพร่ง” ย่านเก่าแห่งประวัติศาสตร์บนถนนตะนาวในฝั่งพระนคร ซึ่งประกอบไปด้วย “แพร่งนรา” “แพร่งภูธร” และ “แพร่งสรรพศาสตร์” นอกจากจะเป็นแหล่งรวมร้านอร่อยในตำนานมากมายแล้ว ย่านการค้าเก่าแก่ทั้ง 3 ย่านนี้ยังเหมาะมาเดินเที่ยวเล่นเพลินๆ แบบวันเดย์ทริป ทั้งสนุกและอร่อยครบจบในวันเดียวอีกด้วย



สำหรับการเดินทางมาย่าน 3 แพร่งที่ง่ายที่สุดเราแนะนำให้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมหานครมาลงที่สถานีสามยอด (ช่างสอดคล้องกับสามแพร่งจริงๆ) ออกทางประตู 3 แล้วต่อรถแท็กซี่หรือสามล้อหากไม่อยากเดินฝ่าไอแดดกันยาวๆ (แต่นักถนัดเดินที่อยากเดินชมถนนหนทางไปเรื่อยๆ ก็สามารถเดินไปได้เช่นกัน โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที)



ส่วนตัวผู้เขียนนั้นแน่นอนว่าต้องเรียกรถ (ฮา!) เราไปลงที่ “ศาลเจ้าพ่อเสือ” ก่อน เพื่อไปไหว้พระเสริมสิริมงคล (และไม่พลาดแวะฝากท้องที่ร้านราดหน้ายอดผักสูตร 40 ปี ใกล้ๆ ศาลที่ยังอร่อยเด็ดเหมือนเดิม)



เมื่ออิ่มท้องและอิ่มใจกันเรียบร้อยแล้วเราเริ่มต้นทริปกันที่ “แพร่งสรรพศาสตร์” ตั้งอยู่ระหว่างถนนตะนาวกับถนนอัษฎางค์ ซึ่งเดินเลยจากร้านราดหน้ามาไม่ไกลนัก ไฮไลต์ของย่านนี้คือ “ซุ้มประตูแพร่งสรรพศาสตร์” ที่นับเป็นแลนมาร์กสร้างแบบสถาปัตยกรรมยุโรปผสมไทย จุดเด่นคือบริเวณหน้าปันที่มีประติมากรรมรูปหล่อเทพธิดากรีกขนาดเกือบเท่าคนจริงอยู่ในท่ายืนถือคบไฟ และการก่ออิฐด้านหลังซุ้มเพิ่มความมั่นคงแข็งแรง



ถ้าถ่ายรูปเช็กอินกันจนเหงื่อตกเราแนะนำให้เข้าไปหลบร้อนที่ “Vivit Hostel” หรือชื่อเดิม “วิวิธภูษาคาร” ที่ตั้งอยู่ด้านข้างซุ้มประตู อดีตร้านตัดชุดข้าราชการและชุดลูกเสือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ที่ถูกเปลี่ยนเป็นโฮสเทลสุดฮิปแห่งนี้มีมุมคาเฟ่เล็กๆ ให้เราสั่งกาแฟและเครื่องดื่มสดชื่นในราคาเบาๆ ไปนั่งจิบให้หายเหนื่อย (แนะนำชามะนาวเย็น สดชื่นแบบแก้วเดียวอยู่)





จากนั้นเราเขยิบไปกันต่อที่ “แพร่งนรา” จุดสังเกตคือตั้งอยู่ระหว่างวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารกับวัดมหรรณพารามวรวิหาร โดยต้นซอยจะมีร้านลูกชิ้นแพร่งนราชื่อดังตั้งอยู่ มองเผินๆ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าที่นี่แอบซ่อนกลิ่นอายแห่งอดีตไว้บริเวณบ้านไม้เก่าแก่กลางซอย ซึ่งในอดีตคือตำหนักที่ประทับของสมเด็จกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ และเคยปรับเปลี่ยนเป็น “โรงเรียนตะละภัฏศึกษา” ที่แม้ว่าปัจจุบันจะปิดทำการไปแล้ว แต่ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ไว้ผ่านลวดลายไม้ฉลุบนคานระเบียงและรั้วกำแพง



จุดเด่นของตึกรามบ้านช่องในย่านนี้คืออาคารลักษณะเป็นตึกแถว 2 ชั้น เรียบง่ายแต่งดงาม นิยมใช้บานประตูเป็นบานเฟี้ยม 6 บาน ทาสีเขียว ส่วนตัวตึกทาสีเหลืองอ่อนที่ตัดกันอย่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งยังคงทำนุบำรุงและอนุรักษ์ไว้อย่างดี



จากนั้นเราไปกันต่อที่แพร่งสุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) อย่าง “แพร่งภูธร” ที่ไม่ได้มีแค่อาคารเก่าแก่สวยงามเช่นทั้ง 2 แพร่งที่ผ่านมา แต่ที่นี่ยังแอบซ่อนร้านอร่อยในตำนานอีกแห่งคือร้านบะหมี่แพร่งภูธร (ที่ปัจจุบันมีหลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ) และ “ลานภูธเรศ” ลานสาธารณะโล่งร่มรื่นขนาดกำลังดีด้านหลังสถานีอนามัยเก่าแก่ที่ปรับเปลี่ยนจากตลาดโต้รุ่งให้กลายเป็นลานอเนกประสงค์สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ของชาวชุมชนแพร่งภูธรแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นถนนคนเดิน เทศกาลอาหาร งานวันเด็ก ไปจนถึงงานรวมกลุ่มรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยต่อยอดและฟื้นฟูย่านสามแพร่งนี้ให้ยังมีลมหายใจต่อไป







เดินเล่นจนครบทั้งสามแพร่งแบบนี้มีหรือสาย (ชอบ) กินอย่างเราจะจบทริปไปง่ายๆ เราเลยขอเดินกลับมาตั้งต้นอีกครั้งที่ศาลเจ้าพ่อเสือ แล้วเดินหันไปทางซ้าย (จากที่เราไปเที่ยวสามแพร่งโดยเดินไปด้านขวาของศาล) ตรงไปยังตรอกเล็กๆ ตรงข้ามกับวัดมหรรณพารามฯ เพื่อไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจพร้อมจิบกาแฟและชิมขนมอร่อยที่ “Foxhole BKK” Art Shelter Café เล็กๆ ที่เหมือนหลุมหลบภัยแสนสงบที่พร้อมต้อนรับทุกคนที่ผ่านมาเยี่ยมเยือน



นอกจากภาพวาดกราฟฟิตีรูปสุนัขจิ้งจอกบนกำแพงตรอกและพื้นที่อาร์ตสเปซที่ร้านแบ่งปันไว้สำหรับคนรักศิลปะแล้ว เรายังประทับใจกับกาแฟรสเลิศของที่นี่ทั้ง What the Fox กาแฟผสมนมเย็น เคลือบขอบแก้วด้วยคาราเมลหอมหวาน และ Candy Crushed Americano กาแฟดำผสมโซดา เพิ่มความหวานด้วยลูกอมฮาร์ทบีทบดละเอียด



รวมทั้งเมนูโฮมเมดอย่าง Stewed Beef Pie พายสอดไส้สตูเนื้อวัว กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟอุ่นๆ กินเพลิน และ Orange & Poppyseed Friand with Marmalade Sauce เนื้อเค้กนุ่มแน่น สอดแทรกเนื้อส้มและงาขี้ม่อน ราดมาร์มาเลดรสหวานๆ เปรี้ยวๆ ที่กินแล้วสดชื่นหายร้อนจากการเดินเล่นถ่ายรูปมาตลอดวันเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว





อิ่มทิ้งทวนเสร็จแล้วก็ได้เวลากลับบ้านเสียที แต่เราจะไม่ลืมจดบันทึกย่านเก่าแก่ที่ยังคงมีชีวิตชีวาทั้ง 3 แพร่งแห่งนี้ไว้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสุดประทับใจไปอีกนาน



ที่สำคัญในช่วงไวรัสอันตรายแพร่ระบาดแบบนี้ลองเปลี่ยนจากการเล่นสาดน้ำหรือปาร์ตี้โฟมเป็นการมาเดินเล่น ชิม ชอป ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนของเราก็ไม่เลวนะ

เกร็ดความรู้
ชื่อของทั้ง 3 แพร่งมาจากบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือ “ถนนแพร่งนรา” ชื่อถนนมาจากพระนาม “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์” ส่วน “ถนนแพร่งภูธร” ชื่อถนนมาจากพระนาม “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์” และ “ถนนแพร่งสรรพศาสตร์” ชื่อถนนมาจากพระนาม “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ”

แหล่งข้อมูล : www.resource.lib.su.ac.th/rattanakosin

https://www.gourmetandcuisine.com/stories/detail/820

เรื่องโดย

RealPetal


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.034 seconds with 20 queries.