User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
23 December 2024, 08:28:33
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618
Posts in
12,929
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
เรื่องราวน่าอ่าน
|
หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง
|
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80 (Read 899 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
on:
23 December 2021, 21:49:29 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-71.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71
เนื้อหา
• จูล่งตีเมืองเทียนซุยแพ้กลเกียงอุย
• ขงเบ้งได้เกียงอุยมาเป็นพวก
• อองลองรับอาสาเจรจากับขงเบ้ง
• กวนหินเสียทีทหารเมืองเสเกี๋ยง ปิศาจกวนอูมาช่วย
• โจจิ๋นเสียค่ายแก่ขงเบ้ง
ขณะเมื่อขงเบ้งล้อมเมืองลำอั๋นอยู่นั้น ม้าจุ้นเจ้าเมืองเทียนซุยรู้ จึงหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า แฮหัวหลิมคนนี้เปนลูกตระกูลมาแต่ก่อน อนึ่งก็เปนบุตรเขยพระเจ้าวุยอ๋องเหมือนต้นไม้ทองใบแก้ว หาเคยทำการใหญ่ไม่ บัดนี้เข้าอยู่ในที่ล้อมขงเบ้งเราจะคิดอ่านประการใด ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงจึงว่า แฮหัวหลิมเปนเชื้อสายพระเจ้าโจยอย แม้เสียทีแก่ขงเบ้ง ตัวท่านเปนผู้ใหญ่ก็จะไม่พ้นความผิด ขอให้ท่านยกทหารไปช่วยแก้เอาตัวแฮหัวหลิมส่งไปเมืองหลวงให้ได้จึงจะชอบ ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย พอทหารซึ่งขงเบ้งใช้ปลอมไปนั้นถึงเข้า คนหนึ่งก็เข้าไปหาม้าจุ้น แจ้งเนื้อความเหมือนบอกซุยเหลียง แล้วเอาหนังสือส่งให้ ครั้นเวลาเช้าทหารขงเบ้งมาถึงเข้าอีกก็เข้าไปบอกม้าจุ้นว่า บัดนี้เจ้าเมืองฮันเต๋งยกไปแล้ว ให้ท่านเร่งยกทหารตามไปเถิด ม้าจุ้นก็จัดทหารจะยกออกจากเมือง
ฝ่ายเกียงอุยซึ่งเปนนายทหารอยู่ในเมืองนั้น มีสติปัญญาหลักแหลม แต่น้อยมาได้เรียนวิชาชำนาญในกลสงคราม แล้วมีกตัญญูต่อบิดามารดา ชาวเมืองทั้งปวงก็ยำเกรงนับถือ ครั้นเห็นม้าจุ้นจะยกทหารไปดังนั้นจึงห้ามว่า ขงเบ้งมีสติปัญญาอยู่ ซึ่งว่าทหารแฮหัวหลิมถือหนังสือมานั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย เพราะขงเบ้งล้อมเมืองลำอั๋นไว้เปนสามารถ ทหารคนนี้เล่าแต่ก่อนมาก็มิได้ปรากฎชื่อเสียง แลมาบอกว่าฟันออกจากที่ล้อมถือหนังสือมาได้นั้นไม่เห็นสม ซึ่งทหารมาบอกอีกคนหนึ่งว่าเจ้าเมืองฮันเต๋งยกไปแล้วนั้น ก็ไม่มีสลักสำคัญสิ่งใดมา ข้าพเจ้าเห็นว่าเปนกลของขงเบ้งแกล้งจะลวงให้เรายกไป จึงจะให้ทหารมาซุ่มอยู่คอยชิงเอาเมืองเราภายหลัง
ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงทอดใจใหญ่ว่า ซึ่งท่านเตือนสติเรานี้ชอบนัก ถ้าหาไม่ก็จะเสียทีแพ้ความคิดขงเบ้ง เกียงอุยจึงหัวเราะว่า ซึ่งขงเบ้งทำกลมาทั้งนี้เห็นจะยกทหารมาซุ่มอยู่เปนมั่นคง ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกอ้อมไปตามทางน้อยสกัดต้นทางขงเบ้งไว้ ภายหลังท่านจึงยกทหารออกจากเมือง ทางร้อยห้าสิบเส้นก็ให้ยกกองทัพไปตั้งรออยู่ ถ้าข้าพเจ้าจุดเพลิงขึ้นเปนสำคัญ แล้วเห็นกองทัพใหญ่ยกมาก็ขับทหารล้อมจับตัวขงเบ้งให้จงได้ ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงเกณฑ์ทหารสามพันให้เกียงอุยยกไป แล้วม้าจุ้นก็ยกออกจากเมืองภายหลัง
ฝ่ายจูล่งซึ่งขงเบ้งให้คุมทหารมาตั้งซุ่มอยู่ริมเชิงเขานอกเมืองเทียนซุย ครั้นรู้ว่าม้าจุ้นยกมาออกจากเมืองก็มีความยินดี ให้ทหารไปบอกเตียวเอ๊กโจอี้ซึ่งยกตามมาภายหลังให้ออกสกัดทางคอยรบม้าจุ้นจับ เอาตัวให้จงได้ แล้วจูล่งก็ยกทหารห้าพันเข้าไปถึงเชิงกำแพงเมืองเทียนซุย จึงร้องว่าเราชื่อจูล่งเปนชาวเมืองเสียงสันยกมา เองแพ้กลอุบายเราแล้วเองรู้หรือไม่ ให้เร่งเปิดประตูให้เราโดยดีอย่าให้ทหารทั้งปวงได้ความลำบาก ทหารซึ่งอยู่ในเมืองได้ยินดังนั้นก็หัวเราะว่า ท่านอย่าเจรจาทนงไปเลย ท่านแพ้ความคิดเกียงอุยแล้วยังไม่รู้สึกตัวอีกเล่า
จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับทหารจะให้เข้าหักเอาเมืองเทียนซุย พอเห็นเพลิงโพลงขึ้น ทหารก็โห่ร้องล้อมเข้ามาทั้งสี่ด้าน เกียงอุยก็ขึ้นม้าถือทวนควบตรงเข้ามาร้องประกาศว่า เราชื่อเกียงอุยชาวเมืองเทียนซุย จูล่งเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับเกียงอุยได้เก้าเพลง จูล่งเห็นเกียงอุยมีกำลังเข้มแข็ง จึงคิดว่าในเมืองเทียนซุยแต่ก่อนมาก็มิได้สังเกตว่าจะมีทหารเอกฉนี้
ขณะนั้นม้าจุ้นก็ขับทหารล้อมรบเข้ามา จูล่งอิดโรยสิ้นกำลังลงควบม้าฟันฝ่าออกจากที่ล้อม เกียงอุยก็ควบม้าไล่ติดตามไป ถึงทางซึ่งเตียวเอ๊กกับโจอี้ออกสกัดอยู่ เตียวเอ๊กกับโจอี้ก็ควบม้าออกช่วยจูล่ง เกียงอุยเห็นดังนั้นก็ควบม้ากลับมา พอขงเบ้งมาถึง จูล่งจึงเข้าไปหาขงเบ้งแจ้งเนื้อความทั้งปวงทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าทหารคนนี้ชื่อใดมีสติปัญญานัก ล่วงรู้ความคิดเราได้ ชาวเมืองลำอั๋นซึ่งเข้าเกลี้ยกล่อมมาด้วยขงเบ้งนั้นจึงบอกว่า คนนี้ชื่อเกียงอุยเปนแซ่เกียง มีปัญญาหลักแหลมรู้การสงครามเปนอันมาก จูล่งจึงว่า เกียงอุยคนนี้ท่วงทีจะรบพุ่งก็ประหลาทกว่าคนทั้งปวง แล้วก็รำเพลงทวนอย่างเกียงอุยให้ขงเบ้งดู ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงว่า เราก็มิได้สำคัญว่าในเมืองเทียนซุยจะมีทหารเอกมีฝีมือเข้มแข็งฉนี้ แล้วขงเบ้งก็ให้ยกกองทัพไปเมืองเทียนซุย
ฝ่ายเกียงอุยกลับมาจึงว่าแก่ม้าจุ้นว่า จูล่งเสียทีแก่เราครั้งนี้เห็นจะบอกเนื้อความแก่ขงเบ้ง ๆ เห็นว่าในเมืองเรามิได้มีทหารก็จะรีบยกลอบมาตีเอา จำเราจะแยกทหารออกซุ่มอยู่นอกเมือง ข้าพเจ้าจะอยู่ทิศตวันออก ให้เลี้ยงเขียนกับอินซงคุมทหารซุ่มอยู่ทิศตวันตก ให้เลี้ยงซีคุมทหารอยู่รักษาเมือง ตัวท่านจงไปตั้งซุ่มอยู่ทิศใต้ ถ้าขงเบ้งยกทหารมาเห็นเพลิงสัญญาข้าพเจ้าแล้วก็ให้ล้อมรบเข้าจับเอาตัว ขงเบ้งให้ได้ ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จัดแจงพร้อมไว้ตามคำเกียงอุยทุกประการ
ฝ่ายขงเบ้งยกมาถึงเมืองเทียนซุยเปนเวลากลางคืน ก็ขับทหารให้เข้าโจมตี ทหารทั้งปวงแลเข้าไปในเมืองเห็นปักธงเทียวอยู่เปนอันมากก็ไม่อาจหักโหมเข้า ไป พอเวลาสองยามก็เห็นเพลิงโพลงขึ้นข้างทิศตวันออก ทหารโห่ร้องล้อมรบเข้ามา ทหารในเมืองก็ตีม้าฬ่อฆ้องกลองรับกันอึ้ออึงขึ้น ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจ พากวนหินเตียวเปาแลทหารทั้งปวงควบม้าฟันฝ่าออกจากที่ล้อมทางทิศตวันออก เห็นเกียงอุยคุมทหารออกสกัดทางแล้วจุดเพลิงไว้เปนอันมาก ก็ตกใจพาทหารหนีลัดมาค่าย
ขงเบ้งจึงให้หาทหารเมืองฮันเต๋งมาถามว่า เกียงอุยคนนี้มีสติปัญญาหลักแหลมนัก บิดามารดาอยู่ตำบลใด ทำไฉนเราจะได้ตัวมาไว้ด้วย ทหารจึงบอกว่าบิดาเกียงอุยตายแล้ว ยังแต่มารดาอยู่ ณ เมืองเอ๊กก๋วน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงเรียกอุยเอี๋ยนมาสั่งว่า ท่านจงยกทหารไปตั้งประชิดติดเมืองเอ๊กก๋วนไว้ ถ้าเกียงอุยยกไปก็ให้ทำแพ้ออกตั้งซุ่มอยู่ ปล่อยให้เกียงอุยเข้าไปในเมือง ถ้าเกียงอุยกลับออกจากเมือง ก็ให้ยกทหารเข้าชิงเอาเมืองเอ๊กกวน แล้วแต่งกลให้ทหารปลอมเปนชาวเมืองมาทางเมืองเทียนซุย อุยเอี๋ยนก็ลาขงเบ้งยกทหารไป
ขงเบ้งจึงถามทหารเมืองฮันต๋งว่า ในแดนอันนี้ตำบลใดเปนที่สำคัญบ้าง ทหารจึงบอกว่า เมืองเซียงเท้งมีสเบียงอาหารมั่งคั่งบริบูรณ์ เมืองเทียนซุยก็อาศรัยเมืองนั้นเปนกำลัง แม้มหาอุปราชได้เมืองเซียงเท้งแล้ว เมืองเทียนซุยก็จะขัดสนสเบียงอาหารลง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงให้จูล่งยกไปตีเมืองเซียงเท้ง แล้วก็ถอยเลื่อนออกมาตั้งค่ายมั่นอยู่ไกลเมืองเทียนซุยพันห้าร้อยเส้น ทหารชาวเมืองจึงเข้าไปบอกม้าจุ้นว่า ขงเบ้งถอยทัพเลื่อนออกไป แล้วแยกทหารเปนสามกอง ให้ไปตีเมืองเอ๊กก๋วนกองหนึ่ง เมืองเซียงเท้งกองหนึ่ง เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่ม้าจุ้นว่า บัดนี้ขงเบ้งยกทหารไปตีเมืองเอ๊กก๋วน มารดาข้าพเจ้าอยู่ในนั้นเกลือกจะเปนอันตราย ข้าพเจ้าจะลาท่านขอทหารกองหนึ่งยกไปช่วยป้องกันมารดา ณ เมืองเอ๊กก๋วน ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็เกณฑ์ทหารสามพันให้เกียงอุยยกไปเมืองเอ๊กก๋วน แล้วให้เลี้ยงเขียนคุมทหารสามพันยกไปเมืองเซียงเท้ง
ฝ่ายเกียงอุยยกไปถึงเมืองเอ๊กก๋วน เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารสกัดทางอยู่ อุยเอี๋ยนก็ควบม้าออกรบกับเกียงอุยได้เก้าเพลง อุยเอี๋ยนทำแพ้ควบม้าพาทหารหนี เกียงอุยก็ยกทหารเข้าในเมือง จัดแจงขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง ฝ่ายเลี้ยงเขียนยกไปถึงเมืองเซียงเท้ง เห็นจูล่งตั้งค่ายประชิดติดเมืองอยู่ จูล่งก็เปิดทางให้เลี้ยงเขียนเข้าตั้งอยู่ในเมือง
ขณะเมื่อจูล่งกับอุยเอี๋ยนยกทหารไปแล้ว ขงเบ้งจึงคิดกลอุบายให้ทหารไปเอาตัวแฮหัวหลิมมาว่าท่านถึงที่ตายแล้ว เราก็รั้งรอไว้ช้านานมิได้ฆ่าเสีย ท่านจะคิดอ่านประการใด แฮหัวหลิมได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คำนับกราบลงกับที่อ้อนวอนขอชีวิต ขงเบ้งจึงว่า เกียงอุยทหารม้าจุ้นซึ่งไปอยู่รักษาเมืองเอ๊กก๋วน บัดนี้ให้หนังสือมาว่าให้เอาท่านเลี้ยงไว้ แล้วเกียงอุยก็สมัคมาอยู่ด้วย ท่านจะอาสาเราไปพาเกียงอุยมาจะได้หรือมิได้
แฮหัวหลิมจึงว่า มหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะไปชวนเกียงอุยมาให้ได้ ขงเบ้งก็จัดแจงเสื้ออย่างดีกับม้าตัวหนึ่งให้แฮหัวหลิมรีบไปเมืองเอ๊กก๋วน แฮหัวหลิมมีความยินดีเห็นว่าพ้นเงื้อมมือขงเบ้งแล้ว ก็รีบควบม้าไปถึงกลางทาง พบทหารซึ่งอุยเอี๋ยนแต่งกลเปนชาวเมืองเอ๊กก๋วนหนีมาประมาณสิบคน ทหารนั้นจึงบอกแฮหัวหลิมว่า เกียงอุยสมัคเข้าด้วยขงเบ้ง รับอุยเอี๋ยนเข้าตั้งอยู่ในเมืองเอ๊กก๋วน อุยเอี๋ยนทำหยาบช้าให้ราษฎรชาวเมืองได้ความเดือดร้อน ข้าพเจ้ากับสมัคพรรคพวกเหล่านี้จึงพากันหนีมาจะไปเมืองเซียงเท้ง
แฮหัวหลิมจึงถามว่า บัดนี้ผู้ใดอยู่รักษาเมืองเทียนซุย ทหารนั้นจึงบอกว่า ม้าจุ้นเจ้าเมืองเก่ายังรักษาอยู่ แฮหัวหลิมได้ฟังดังนั้นก็ควบม้าจะกลับมาเมืองเทียนซุย พอทหารปลอมของอุยเอี๋ยนมาถึงอีกพวกหนึ่งทำอาการดุจหนีมาใหม่ หาบเข้าของอุ้มลูกหญิงจูงลูกชาย ทหารนั้นก็บอกเนื้อความแก่แฮหัวหลิมเหมือนทหารพวกก่อนนั้นทุกประการ
แฮหัวหลิมได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตกใจนัก รีบควบม้ามาถึงเมืองเทียนซุย ทหารในเมืองเห็นแฮหัวหลิมมาก็เปิดประตูรับเชิญเข้าไปในเมือง ม้าจุ้นก็คำนับเชิญแฮหัวหลิมไปที่อยู่ แฮหัวหลิมก็เล่าเนื้อความซึ่งเกียงอุยสมัคเข้าด้วยขงเบ้ง แลเนื้อความซึ่งทหารบอกกลางทางนั้นให้ม้าจุ้นฟังทุกประการ
ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ว่า อันเกียงอุยคนนี้แต่ก่อนมาก็สัตย์ซื่อ ไม่เห็นเลยว่าจะเปนขบถคิดเอาใจออกหากฉนี้ เลงซีนายทหารจึงว่าแก่ม้าจุ้นว่า ซึ่งเกียงอุยจะไปเข้าด้วยขงเบ้งโดยจริงนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ดีร้ายเกียงอุยจะคิดกลอุบายลวงขงเบ้งดอก ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านว่านี้เราไม่เห็นด้วย เกียงอุยเปนขบถเข้าด้วยขงเบ้งมั่นคงแล้ว จึงรับอุยเอี๋ยนเข้าอยู่ในเมือง จนราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนทิ้งบ้านเรือนเสียเที่ยวหนีเอาตัวรอด
ขณะนั้นพอเวลาพลบคํ่าขงเบ้งยกทหารเข้ามาถึงเชิงกำแพงเมืองเทียนซุย จึงแต่งทหารคนหนึ่งหน้าเหมือนเกียงอุยให้ขี่ม้าเข้าไปร้องว่า ให้เชิญแฮหัวหลิมออกมาหาเราจะสนทนาด้วยสักหน่อย แฮหัวหลิมกับม้าจุ้นขึ้นยืนอยู่บนเชิงเทิน เห็นเกียงอุยควบม้ารำทวนเข้ามาก็ตกใจ เกียงอุยปลอมจึงร้องขึ้นว่า ซึ่งเราเข้าด้วยขงเบ้งนี้ก็เพราะแฮหัวหลิม เหตุไฉนท่านมากลับถ้อยคืนคำดังนี้
แฮหัวหลิมจึงว่า ตัวเปนทหารอยู่ในแผ่นดินมิได้คิดถึงคุณพระเจ้าโจยอย คิดขบถไปเข้าด้วยขงเบ้ง แล้วยังเจรจาเอาร้ายมาใส่เราว่ากลับกลอกอีกเล่า เกียงอุยจึงร้องตอบว่า ท่านเขียนหนังสือไปถึงเราว่าให้มาสมัคเข้าด้วยขงเบ้ง เราสำคัญว่าจริงก็มา มิได้แจ้งว่าท่านจะลวงเราแต่พอเอาตัวรอดพ้นความตายฉนี้ บัดนี้ ขงเบ้งก็ชุบเลี้ยงให้เราเปนขุนนางผู้ใหญ่ แลเรารับอาสามาว่าจะตีเอาเมืองนี้ให้ขงเบ้งจงได้ แล้วเกียงอุยปลอมก็ขับทหารเข้าโจมตี แฮหัวหลิมกับม้าจุ้นก็รบพุ่งต้านทานเปนสามารถ เกียงอุยปลอมนั้นก็ถอยทหารกลับมาหาขงเบ้ง ๆ ก็ยกทหารไปเมืองเอ๊กก๋วน
ฝ่ายเกียงอุยขึ้นยืนอยู่บนเชิงเทิน เห็นขงเบ้งให้ทหารเข็นเกวียนบันทุกสเบียงมาค่ายอุยเอี๋ยนเปนอันมาก ก็คุมทหารสามพันยกออกจากเมืองตรงไปชิงเอาสเบียงขงเบ้ง ทหารซึ่งคุมเกวียนมานั้นก็แกล้งทิ้งเกวียนสเบียงเสียวิ่งหนีไปสิ้น เกียงอุยได้สเบียงอาหารเปนอันมากก็ดีใจ ยกทหารจะกลับเข้าเมืองพบเตียวเอ๊กสกัดทางอยู่ เตียวเอ๊กก็ควบม้าเข้ารบกับเกียงอุยได้เก้าเพลง พออองเป๋งยกหนุนมาถึงก็ขับทหารระดมตีเกียงอุยเปนสามารถ เกียงอุยเห็นเหลือกำลังก็ควบม้าพาทหารหนีไปจะเข้าเมือง
ขณะเมื่อเกียงอุยยกออกจากเมืองนั้น อุยเอี๋ยนเข้าชิงเอาเมืองได้ก็ให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เปนมั่นคง เกียงอุยกลับมาเห็นธงสำคัญซึ่งปักอยู่บนเชิงเทินนั้นเปนธงสำหรับทัพขงเบ้งก็ ตกใจ ควบม้าพาทหารประมาณสิบม้าตรงไปเมืองเทียนซุย พบเตียวเปาคุมทหารสกัดทางอยู่ เตียวเปาก็ขับทหารเข้ารบเปนสามารถ เกียงอุยเห็นเหลือกำลังก็ทิ้งทหารเสียควบม้าหนีไปเมืองเทียนซุย ก็เรียกทหารในเมืองให้เปิดประตู นายประตูจึงเอาเนื้อความไปบอกม้าจุ้น ๆ แจ้งดังนั้นจึงว่า ซึ่งเกียงอุยมานี้หวังจะลวงให้เราเปิดประตูรับ ก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงเกียงอุยเห็นดังนั้นก็ตกใจชักม้ากลับออกมา พอกองทัพขงเบ้งยกมาถึงเกียงอุย ก็ควบม้าหนีไปหาเลี้ยงเขียน ณ เมืองเซียงเท้ง
เลี้ยงเขียนอยู่บนเชิงเทินเห็นเกียงอุยควบม้ามาถึงก็โกรธ ร้องด่าว่าอ้ายโจร มึงเปนขบถไปเข้าด้วยขงเบ้งแล้วจะกลับมาลวงเอาเมืองกูหรือ แล้วก็สั่งทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงลงไป เกียงอุยก็ตกใจร้องไห้ควบม้าหนีไปทางเมืองเตียงอั๋น ถึงป่าชัฏแห่งหนึ่งได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงอยู่ กวนหินก็สั่งทหารสกัดทางออกมา เกียงอุยเห็นดังนั้นครั้นจะเข้าสู้รบกับกวนหินกำลังก็อิดโรยนัก จึงชักม้ากลับหนีมา พอเห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยพาทหารลัดทางออกมาตามเชิงเขาก็หยุดม้าอยู่
ขงเบ้งจึงร้องว่าแก่เกียงอุยว่า ท่านก็สิ้นคิดได้ความลำบากถึงเพียงนี้แล้ว เหตุไฉนจึงไม่มาอ่อนน้อมต่อเรา เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าตัวเราบัดนี้อยู่ในหว่างศึกเข้าตาจนอยู่แล้ว จะถอยหลังไปกวนหินก็ตั้งสกัดทางอยู่ ครั้นจะเข้าหาขงเบ้งบัดนี้เล่าก็จะสมร้าย ซึ่งคนนินทาว่าเปนขบถต่อเจ้า ตัวกูเปนชาติทหารจะให้ปรากฎชื่อจงได้ แล้วเกียงอุยก็โดดลงจากม้าชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจ ลงจากเกวียนวิ่งเข้ายึดกระบี่ไว้แล้วว่า ตัวเรานี้แต่พระเจ้าเล่าปี่ยังไม่ชุบเลี้ยงเปนคนเข็ญใจอยู่นั้น เราก็พอใจคบเพื่อนแสวงหาวิชา ก็มิได้เห็นผู้ใดที่จะมีสติปัญญาหลักแหลมเหมือนท่าน บัดนี้เรามาพบท่านก็มีความยินดีนัก ท่านไปอยู่กับเราเถิดจะได้ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขสืบไป อย่าให้เสียทีที่ได้เรียนวิชาไว้
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีคำนับกราบลงกับเท้าขงเบ้ง ๆ ก็จูงมือเกียงอุยมาขึ้นบนเกวียนพากันกลับมาค่าย แล้วแต่งโต๊ะเชิญเกียงอุยเสพย์สุรา ขงเบ้งจึงปรึกษาการจะตีเอาเมืองเทียนซุยแลเมืองเซียงเท้งนั้นแก่เกียงอุย ๆ จึงว่า อินเชียงกับเลี้ยงซีซึ่งเปนนายทหารอยู่ในเมืองเทียนซุยเปนเพื่อนชอบใจกันกับ ข้าพเจ้า ๆ จะทำกลเขียนหนังสือสองฉบับ ผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปให้อินเชียงกับเลี้ยงซีเปนไส้ศึกขึ้นในเมือง เราจึงยกทหารเข้าตีกระหนาบรอบนอกก็จะได้เมืองโดยง่าย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย เกียงอุยจึงเขียนหนังสือสองฉบับผูกลูกเกาทัณฑ์ควบม้าเข้าไปถึงเชิงกำแพงแล้ว ยิงเข้าไป ทหารในเมืองได้เห็นหนังสือนั้นก็เอาเข้าไปให้ม้าจุ้น ๆ แจ้งในหนังสือก็คิดสงสัยนัก จึงว่าแก่แฮหัวหลิมว่า อินเชียงเลี้ยงซีกับเกียงอุยเปนคนชอบใจกันมาก่อน บัดนี้อินเชียงกับเลี้ยงซีจะเปนไส้ศึกขึ้น เราจะคิดอ่านประการใด
แฮหัวหลิมจึงว่า เลี้ยงซีกับอินเชียงอยู่ในเงื้อมมือเรา ๆ ให้ทหารไปเรียกลวงเอาตัวฆ่าเสีย ก็จะสิ้นเนื้อความทั้งปวง คนสนิธของอินเชียงรู้ดังนั้น ก็เอาเนื้อความไปบอกแก่อินเชียง ๆ จึงไปหาเลี้ยงซีบอกเนื้อความทั้งปวงแล้วว่า เราจะนิ่งอยู่ฉนี้ก็จะตายเสียเปล่า จำเราจะคิดอ่านออกไปสมัคอยู่ด้วยขงเบ้งจึงจะพ้นอันตราย เลี้ยงซีได้ฟังก็เห็นด้วย ครั้นเวลาคํ่าแฮหัวหลิมให้ทหารมาเชิญเปนหลายครั้ง ว่าจะปรึกษาราชการด้วย เลี้ยงซีอินเชียงก็มิได้ไป แล้วจึงปรึกษากันว่า เราจะไปบัดนี้ม้าจุ้นก็จะฆ่าเสีย จำเราจะคิดอ่านเอาตัวรอด ครั้นเวลาดึกเลี้ยงซีกับอินเชียง ก็พาทหารคนสนิธสิบคนลอบออกไป เปิดประตูรับขงเบ้งเข้ามาในเมือง แฮหัวหลิมกับม้าจุ้นเห็นกองทัพขงเบ้งยกเข้าเมืองได้ก็ตกใจ พาทหารคนสนิธร้อยหนึ่งหนีออกทางประตูตวันตกตรงไปเมืองเกียงเสีย
เลี้ยงซีอินเชียงรับขงเบ้งเข้าตั้งอยู่ในเมืองแล้วก็เกลี้ยกล่อมให้ราษฎร อยู่กินเปนปรกติ ขงเบ้งจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ทำไฉนเราจะได้เมืองเซียงเท้ง เลี้ยงซีจึงว่าเลี้ยงเขียนซึ่งไปอยู่รักษาเมืองนั้นเปนน้องข้าพเจ้า ๆ จะขออาสาไปชักชวนเลี้ยงเขียนให้สมัคเอาเมืองมาขึ้นแก่ท่าน ขงเบ้งได้ฟังก็ดีใจ เลี้ยงซีก็ลาขงเบ้งไปถึงเมืองเซียงเท้ง ก็เข้าไปหาเลี้ยงเขียนพูดจาเกลี้ยกล่อมเปนอันมาก เลี้ยงเขียนก็ยอมสมัคพากันมาหาขงเบ้ง ๆ ก็ให้บำเหน็จรางวัลแก่เลี้ยงซีเลี้ยงเขียนแลอินเชียงเปนอันมาก ตั้งให้เลี้ยงซีเปนเจ้าเมืองเทียนซุย ให้เลี้ยงเขียนเปนเจ้าเมืองเซียงเท้ง ให้อินเชียงเปนเจ้าเมืองเอ๊กก๋วน
ทหารทั้งปวงจึงถามขงเบ้งว่า มหาอุปราชปล่อยแฮหัวหลิมเสียด้วยเหตุสิ่งใด ขงเบ้งจึงว่าเราปล่อยแฮหัวหลิมเสียนั้น เหมือนเสียเปดตัวหนึ่ง ได้เกียงอุยมาไว้เหมือนได้หงส์ตัวหนึ่ง แต่บังทองตายแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดที่จะมีสติปัญญาเหมือนเกียงอุยฉนี้ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้น ก็คำนับกราบลงสรรเสริญขงเบ้ง ว่ามีสติปัญญาหาผู้เสมอมิได้ กิตติศัพท์ก็ฟุ้งเฟื่องต่อกันไป หัวเมืองทั้งปวงก็มาอ่อนน้อมต่อขงเบ้งเปนอันมาก ขงเบ้งก็มีใจกำเริบจัดแจงทหารยกไปถึงเขากิสาน จึงตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำอุยซุย
ทหารม้าใช้ก็เข้าไปเมืองลกเอี๋ยนบอกให้กราบทูล ขณะนั้นพระเจ้าโจยอยขึ้นครองสมบัติได้กึ่งปี (พ.ศ. ๗๗๐) ถึงเดือนอ้ายเสด็จออกพระที่นั่งแซ่งเตี๋ยนขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า แฮหัวหลิมไปทำการครั้งนี้เสียทีแก่ขงเบ้งหนีมาอยู่ ณ เมืองเกียงเสีย บัดนี้ขงเบ้งก็ยกทัพมาถึงเขากิสาน กองหน้าล่วงเข้ามาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำอุยซุยฟากตวันตก จำเราจะยกทหารออกไปต้านทานแต่ไกลจึงจะได้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามขุนนางทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาออกไปทำการเอาชัยชนะขงเบ้งได้บ้าง อองลองจึงทูลว่า อันขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งมีฝีมือเคยทำศึกแต่ครั้งพระเจ้าวุยอ๋องนั้น จะเข้มแข็งอยู่แต่โจจิ๋นผู้เดียว ขอพระองค์ให้โจจิ๋นเปนแม่ทัพยกออกไปรบ เห็นขงเบ้งจะถอยทัพไปเปนมั่นคง พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วย จึงให้หาโจจิ๋นเข้ามาแล้วตรัสว่า เมื่อพระเจ้าโจผีจะสิ้นพระชนม์นั้น ก็ไว้พระทัยฝากการแผ่นดินแก่ท่าน บัดนี้ขงเบ้งล่วงเข้ามาในแดนเรา ท่านลืมรับสั่งพระเจ้าโจผีแล้วหรือจึงนิ่งดูอยู่ได้
โจจิ๋นจึงทูลว่า ข้าพเจ้าก็คิดถึงพระคุณพระเจ้าโจผี ตั้งใจจะทำราชการกว่าจะสิ้นชีวิต แต่ข้าพเจ้ามาคิดเห็นว่า ตัวเปนคนสติปัญญาน้อยเห็นจะทำการไม่ตลอด อองลองจึงว่าแก่โจจิ๋นว่า ท่านเปนคนผู้ใหญ่เคยทำราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าวุยอ๋อง ซึ่งเจรจาถ่อมตัวเปนเชิงอยู่ฉนี้ไม่ชอบ เราช่วยกันทำการอาสาแผ่นดินเถิด ตัวข้าพเจ้าคนแก่นี้อายุเจ็ดสิบหกปีแล้วก็จะยอมไปกับท่าน
โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงทูลพระเจ้าโจยอยว่า ซึ่งข้าพเจ้าทูลทั้งนี้เพราะคิดเจียมตัว ใช่จะบิดพลิ้วนั้นหามิได้ เมื่อไม่มีผู้ใดแล้วข้าพเจ้าก็จะอาสาสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต แต่จะขอกุยห้วยเปนปลัดทัพไปด้วย พระเจ้าโจยอยก็มีความยินดี จึงตั้งให้โจจิ๋นเปนแม่ทัพ ให้กุยห้วยเปนปลัดทัพ ให้อองลองเปนที่ปรึกษา ให้คุมทหารยี่สิบหมื่น โจจิ๋นจึงให้โจจุ้นเปนแม่กองหน้า ให้จูจ้านเปนปลัด ครั้นวันดีได้ฤกษ์ก็ตั้งกระบวรแห่อย่างทัพกษัตริย์ออกจากเมือง พระเจ้าโจยอยก็เสด็จออกมาส่งถึงนอกเมือง ครั้นยกไปถึงแม่น้ำอุยซุยก็ข้ามฟากไปตั้งอยู่ข้างทิศตะวันตก
โจจิ๋นจึงปรึกษากับอองลองกุยห้วยว่า เราจะทำประการใดจึงจะได้ชัยชนะขงเบ้ง อองลองจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เวลาพรุ่งนี้ท่านจงให้ทหารยกธงเธียวตั้งสง่าออกจากค่าย ข้าพเจ้าจะออกหน้าไปพูดจากับขงเบ้ง ตีแต่ด้วยลมปากให้ขงเบ้งพนมมือเข้าอ่อนน้อมต่อเรา แล้วให้ยกกลับไปเมืองเสฉวน มิให้ไพร่พลได้ความลำบากเลย
โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งให้ทหารถือไปให้ขงเบ้ง ณ ค่ายเปนใจความว่า เวลาพรุ่งนี้ให้ยกทหารออกจากค่าย จะรบกันแต่เวลาเช้า แล้วก็สั่งทหารทั้งปวงกินอาหารเตรียมตัวไว้แต่เวลาสามยาม พรุ่งนี้จะออกรบกับขงเบ้ง ครั้นเวลาเช้าทหารทั้งสองฝ่ายก็ตีม้าฬ่อฆ้องกลองยกออกจากค่ายตั้งอยู่หน้า เขากิสานพร้อมกัน ทหารขงเบ้งเห็นทหารโจจิ๋นมีกำลังพะลังมั่นคงเข้มขันกว่าทหารแฮหัวหลิมเปนอัน มากก็คิดเกรงอยู่ ครั้นทหารทั้งสองฝ่ายประชันหน้ากันเข้า สงบเสียงม้าฬ่อฆ้องกลองแล้ว อองลองก็ขับม้าออกหน้าทหาร ให้โจจิ๋นอยู่ขวากุยห้วยอยู่ซ้าย นายทหารทัพหน้าสองทัพออกแซงอยู่คนละมุมทัพ
อองลองจึงให้ทหารม้าใช้ร้องไปว่า ให้เชิญแม่ทัพออกมานายเราจะพูดด้วยสักหน่อย ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ขึ้นเกวียน แต่งตัวอย่างมหาอุปราชให้กวนหินอยู่ขวา เตียวเปาอยู่ซ้าย จูล่งกับนายทหารทั้งปวงกองหลังยกออกหน้าทหาร แลไปเห็นนายทัพยืนม้ากั้นสัปทนเคียงกันอยู่สามม้า ขงเบ้งจึงคิดว่าทหารแก่ซึ่งอยู่กลางนั้น จะเปนที่ปรึกษาผู้ใหญ่สำหรับทัพ ให้เชิญเรามาบัดนี้เห็นจะเกลี้ยกล่อมให้เราอ่อนน้อมต่อเปนมั่นคง แล้วก็เร่งขับเกวียนออกไป ขงเบ้งจึงให้ทหารร้องไปว่านายเราออกมาแล้ว นายท่านจะพูดจาประการใดก็ให้เร่งออกมาเถิด
อองลองได้ฟังดังนั้น ก็ควบม้ามาถึงหน้าเกวียนขงเบ้ง ต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วอองลองจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือชื่อท่านก็ช้านานอยู่แล้ว เราได้พบกันวันนี้ก็เปนบุญของเรา ฝ่ายตัวท่านเปนคนมีวิชารู้ขนบธรรมเนียมการแผ่นดินอยู่ เหตุใดจึงเข้าเปนพวกอ้ายคนพาลชาติตํ่ายกกองทัพมาฉนี้
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เหตุใดท่านจึงเจรจาฉนี้ พระเจ้าเล่าปี่เปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ สั่งเราไว้ว่าให้กำจัดอ้ายพวกโจรศัตรูราชสมบัติเสียให้ได้ เราจึงยกกองทัพมา อองลองจึงว่า อันประเพณีการแผ่นดิน จะยึดเอาเปนเที่ยงนั้นไม่ได้ ผู้ใดมีวาสนามากได้สมบัติเรียกว่าเปนกษัตริย์ ประการหนึ่งวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้นี้แผ่นดินก็เปนอันตรายเกิดจลาจลเนือง ๆ มา เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้สมบัตินั้น ก็เกิดโจรโพกผ้าเหลืองทำจลาจลขึ้น ราษฎรทั้งปวงก็ได้ความเดือดร้อน ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัติเล่า ตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าต่าง ๆ แล้วก็เกิดรบกันกับลิฉุยกุยกีขึ้นกลางเมือง อ้วนสุดหนึ่ง อ้วนเลี้ยวหนึ่ง เล่าเปียวหนึ่ง ลิโป้หนึ่ง ก็เปนขบถตั้งตัวเปนเจ้าแข็งเมืองขึ้นสิ้น ราษฎรทั้งปวงก็ไม่มีความสุข ครั้งนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เหมือนไข่ตั้งอยู่บนศิลา หากว่าพระเจ้าวุยอ๋องเจ้าเรามีบุญมาก กำจัดศัตรูให้ล่าหนีเสียได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้แลราษฎรทั้งปวงจึงได้หลับตานอนเปนสุขมากขึ้น ฝนตกตามเทศกาลฤดู สเบียงอาหารก็บริบูรณ์มิได้ขัดสน
อนึ่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดเปนคนในแผ่นดินให้พิเคราะห์ดูการ ถ้าเห็นผู้ใดมีบุญสมภารมาก ก็ให้เข้านอบนบเปนข้าอยู่ด้วยผู้นั้นจึงจะได้ความสุข แม้นขืนคำโบราณก็จะฉิบหายจนตัวตาย บัดนี้พระเจ้าโจยอยมีรับสั่งให้เราคุมทหารเอกพันหนึ่ง ทหารเลวยี่สิบหมื่น ยกออกมาเหมือนเพลิงไหม้ป่า พิเคราะห์ดูกองทัพท่านเหมือนหิ่งห้อยติดปลายหญ้า ถ้าจะรบพุ่งกันเข้าก็เห็นจะเปนอันตรายยับเยินไปข้างเดียว ตัวท่านเปนคนมีปัญญาหลักแหลม สาระพัดจะรู้ขนบธรรมเนียมการทั้งปวง แม้รู้จักโทษตัวซึ่งคิดผิดไปเข้ากับเล่าปี่นั้นแล้วยอมอ่อนน้อมต่อเราโดยดี เราจะกราบทูลพระเจ้าโจยอยให้ตั้งท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ ก็จะดีกว่าอยู่กับเล่าเสี้ยนอีก ทแกล้วทหารทั้งปวงก็จะได้ความสุขด้วย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะตอบว่า ตัวท่านก็เปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ก่อน ควรเจรจาให้เปนธรรมตามขนบธรรมเนียม เหตุใดจึงมาว่าฉนี้ ท่านจงนิ่งฟังเถิด เราจะว่าบ้างสักคำหนึ่ง
เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัตินั้น เพราะพวกขันทียุยงต่าง ๆ แผ่นดินจึงเปนจลาจลเกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้น มาภายหลังตั๋งโต๊ะแลลิฉุยกุยกีคิดกำเริบทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้พิเคราะห์เอาคนชาติตํ่าช้าซึ่งมิได้มีความคิดมา ตั้งเปนขุนนาง ตัวท่านนี้เราก็รู้จักอยู่ เดิมเปนลูกตระกูลอยู่บ้านกังไฮ คนทั้งปวงนับถือว่าท่านมีสติปัญญา รู้จักคุณบิดามารดา พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ควรท่านจะทำการสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต ช่วยกันยกย่องเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองสมบัติจึงจะชอบ แลท่านคบคิดเข้าด้วยอ้ายโจรชิงเอาราชสมบัติฉนี้ โทษก็ผิดอยู่เปนอันมาก คนทั้งปวงซึ่งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็คิดแค้นท่านนักจะใคร่ฉีกเนื้อกินเสีย ทั้งเปน ถึงเทพดาในชั้นฟ้าก็จะสังหารท่าน บัดนี้เราพิเคราะห์เห็นว่า บุญแซ่เชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมากอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงได้เปนใหญ่ขึ้นในเมืองเสฉวนต่อพระวงศ์กันมา ตัวเรารับสั่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ยกกองทัพมาปราบอ้ายโจรราชสมบัติ ตัวท่านเปนคนอกตัญญูเร่งหนีซุกซ่อนไปเอาตัวรอดให้พ้นความตายเถิด อย่ามาฝืนหน้าพูดถึงการแผ่นดินเลย ให้เร่งคิดถึงตัวด้วยแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว จะตายไปดูหน้าวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้กะไรได้ แล้วขงเบ้งด่าอองลองว่าอ้ายโจรเฒ่า มึงเร่งกลับไปบอกอ้ายพวกขบถให้ยกกองทัพมารบจะได้เห็นฝีมือว่าผู้ใดจะแพ้แล ชนะ
อองลองได้ฟังดังนั้นก็คิดแค้นใจร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก็พลัดตกลงจากม้าถึงแก่ความตาย ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงเอาพัดชี้หน้าโจจิ๋นแล้วร้องว่า ให้ท่านเร่งจัดแจงทหารไว้ให้พร้อมเถิด พรุ่งนี้เราจึงจะออกรบกัน แล้วขงเบ้งก็กลับเข้าค่าย
โจจิ๋นก็จัดแจงศพอองลองจะส่งขึ้นไปเมืองหลวง กุยห้วยจึงว่าแก่โจจิ๋นว่า ขงเบ้งเห็นว่าเราวุ่นวายอยู่ด้วยการศพอองลอง เวลาคํ่าวันนี้เห็นจะยกทหารมาปล้นเอาค่ายเราเปนมั่นคง ขอให้ท่านแต่งทหารไปซุ่มอยู่ริมทางน้อยหลังเขากิสาน ถ้าเห็นขงเบ้งยกมาแล้วก็ให้เข้าชิงเอาค่ายให้ได้ เราจึงยกทหารออกตั้งซุ่มอยู่นอกค่าย เห็นขงเบ้งจะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง
โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงว่าความคิดท่านนี้ต้องน้ำใจเราคิดไว้ทุกประการ จึงให้โจจุ้นกับจูจ้านยกไปตั้งอยู่หลังเขากิสานคอยทำการตามคำกุยห้วยว่า โจจิ๋นก็ให้ทหารอยู่รักษาค่ายประมาณสิบคน ขนเอาเชื้อเพลิงแลฟืนเข้าไว้ในค่ายเปนอันมาก สั่งว่าถ้าขงเบ้งมาถึงก็ให้จุดเพลิงเปนสำคัญ ครั้นเวลาคํ่าโจจิ๋นก็พากุยห้วยยกทหารออกมาซุ่มอยู่นอกค่าย
ฝ่ายขงเบ้งกลับมาค่าย ครั้นเวลาคํ่าจึงเรียกจูล่งกับอุยเอี๋ยนมาสั่งว่า เวลาค่ำวันนี้ท่านจงยกทหารไปปล้นเอาค่ายโจจิ๋นให้ได้ อุยเอี๋ยนจึงว่า โจจิ๋นเปนคนมีสติปัญญาเคยทำศึกอยู่ ซึ่งเราจะดูหมิ่นเห็นว่าโจจิ๋นสารวลอยู่ด้วยการศพอองลองจะยกไปปล้นเอาค่าย นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโจจิ๋นจะรู้ถึงตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขงเบ้งจึงหัวเราะว่า เราพอใจให้โจจิ๋นรู้ตัวอีกจึงจะทำการถนัด เราพิเคราะห์ดูในความคิดโจจิ๋นนั้น เห็นจะเกณฑ์ทหารมาตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสานคอยชิงค่ายเราเปนมั่นคง เราจึงให้ท่านทั้งสองยกทหารไปแต่พอให้ทหารโจจิ๋นเห็น แม้ถึงค่ายแล้วก็หยุดทหารตั้งซุ่มอยู่แต่ไกล ถ้าเห็นเราจุดเพลิงสำคัญขึ้นเมื่อใด ท่านจงคุมทหารออกสกัดทางไว้ แม้ทหารโจจิ๋นแตกหนีเราไปก็ให้เปิดทางไล่ฆ่าฟันไปกว่าจะถึงค่าย โจจิ๋นก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง
ขงเบ้งให้กวนหินกับเตียวเปาคุมทหารไปตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสานแล้วสั่ง ว่า ถ้าเห็นโจจิ๋นแตกไปก็ให้ตามรบไปกว่าจะถึงค่าย กวนหินเตียวเปาก็ยกทหารไปทำตามขงเบ้งสั่ง ขงเบ้งจึงให้ม้าต้ายเตียวเอ๊กเตียวหงีอองเป๋งสี่นายคุมทหารออกซุ่มอยู่นอก ค่าย สั่งว่าถ้าเห็นเพลิงสำคัญก็ให้ล้อมรบเข้ามา ขงเบ้งก็ให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงเข้าไว้ในค่ายเปนอันมาก แล้วก็พาทหารออกซุ่มอยู่หลังค่าย
ฝ่ายโจจุ้นกับจูจ้านยกไปตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสาน ครั้นเพลาสองยามให้ทหารไปสอดแนมดูทางหน้าเขา รู้ว่าทหารขงเบ้งยกไปตีค่ายโจจิ๋น ก็คิดว่ากุยห้วยมีสติปัญญาหลักแหลมคาดการแม่นหาผู้ใดเสมอมิได้ โจจุ้นกับจูจ้านก็รีบยกทหารมาถึงค่ายขงเบ้ง โจจุ้นจึงฟันค่ายเข้าไปก็เห็นเงียบสงัดอยู่ไม่มีทหารพิทักษ์รักษา คิดสดุ้งใจว่าขงเบ้งทำกล ก็กลับม้าจะถอยออกมา พอเพลิงโพลงขึ้นในค่าย ทหารโจจิ๋นก็แตกตื่นกันวุ่นวาย ทหารสี่นายซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็ตีม้าฬ่อยกล้อมเข้ารบพุ่งเปนสามารถ โจจุ้นกับจูจ้านเห็นเหลือกำลังก็พาทหารม้าร้อยหนึ่งควบหนีไปตามทางใหญ่ จูล่งเห็นดังนั้นก็ยกสกัดออกมาริมทาง แล้วร้องว่าอ้ายโจร มึงจะหนีไปไหน โจจุ้นกับจูจ้านก็ตกใจรีบควบม้าฝ่าหนีออกไปจากค่าย อุยเอี๋ยนกับจูล่งก็ยกทหารไล่ตามไป
ฝ่ายทหารในค่ายโจจิ๋นเห็นโจจุ้นกับจูจ้านพาทหารควบม้าตรงเข้ามา สำคัญว่าขงเบ้งยกมาปล้น ก็จุดเพลิงสำคัญขึ้นโจจิ๋นกับกุยห้วยก็ยกทหารกระหนาบรบเข้ามา พอกวนหินเตียวเปายกตามมาถึง เห็นทหารโจจิ๋นหลงฟันกันวุ่นวายอยู่ ก็บัญจบกันเข้ากับอุยเอี๋ยนยกรบเข้าไปเปนสามทาง ฆ่าฟันทหารโจจิ๋นล้มตายแตกกระจัดกระจายกันไปแล้วก็กลับมาหาขงเบ้ง ณ ค่าย
ครั้นเพลาเช้าโจจิ๋นกับกุยห้วย ก็ยกทหารกลับเข้าตั้งอยู่ในค่ายดังเก่า จึงปรึกษากันว่า เราทำศึกกับขงเบ้งครั้งนี้ก็สิ้นความคิดอยู่แล้ว เราจะทำประการใดขงเบ้งจึงจะถอยกลับไป กุยห้วยจึงว่า อันการสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ถึงจะมีฝีมือแลความคิดสักเท่าใดก็จำจะแพ้บ้างชนะบ้าง ท่านอย่าเพ่อเสียใจ ข้าพเจ้าจะให้ขงเบ้งถอยไปจงได้
กุยห้วยจึงว่า เมืองเสเกี๋ยงนอกแดนเราข้างทิศตวันตกนี้ แต่พระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ย่อมมีไมตรีต่อกัน เคยไปนบนอบถวายเครื่องบรรณาการ แก่เตียดลิเกียดเจ้าเมืองเสเกี๋ยงทุกปีมิได้ขาด ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปถึงเตียดลิเกียดว่า ให้ยกทหารวกหลังมาตีเอาเมืองเสฉวน เมื่อสำเร็จราชการแล้ว เราจะแต่งเครื่องบรรณาการไปแทนคุณให้ถึงขนาด โจจิ๋นได้ฟังก็เห็นด้วย จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งกับเครื่องบรรณาการให้คนสนิธถือไปให้เตียดลิเกียด ณ เมืองเสเกี๋ยง
ในเมืองเสเกี๋ยงนั้นมีขุนนางผู้ใหญ่สองคน ขุนนางสำหรับว่าราชการพลเรือนนั้นชื่อแงตั๋น ขุนนางฝ่ายทหารนั้นชื่อออดกิด ครั้นทหารโจจิ๋นไปถึงก็เข้าไปหาแงตั๋น ๆ จึงพาตัวผู้ถือหนังสือแลเครื่องบรรณาการเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเตียดลิเกียด ๆ จึงเอาหนังสือนั้นปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวง แงตั๋นจึงทูลว่า แต่ก่อนมาพระเจ้าวุยอ๋องก็เคยมาอ่อนน้อมทำไมตรีกับเราอยู่ บัดนี้โจจิ๋นทำศึกเสียทีแก่ขงเบ้งให้มาขอกองทัพเราไปช่วย ครั้นเราจะนิ่งเสียไม่เอาธุระก็ไม่ชอบ
พระเจ้าเตียดลิเกียดได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งแงตั๋นกับออดกิดว่า ท่านจงเกณฑ์ทหารยี่สิบห้าหมื่นยกไปช่วยเถิด ให้เบิกเครื่องศัสตราวุธแจกกันให้ครบตัว กับเกวียนเหล็กสำหรับรบศึกด้วย แงตั๋นกับออดกิดก็ไปจัดแจงทหารแลสเบียงพร้อมตามรับสั่ง แล้วก็ลาพระเจ้าเตียดลิเกียดยกทหารตรงไปด่านเสเป๋ง อันเจ๋งรู้ดังนั้นก็ให้ทหารรีบเอาเนื้อความไปบอกแก่ขงเบ้ง ๆ แจ้งดังนั้นจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปรบกับทหารเมืองเสเกี๋ยงได้บ้าง กวนหินกับเตียวเปาจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปรบกับกองทัพเมืองเสเกี๋ยงเอง ขงเบ้งจึงว่าเจ้าทั้งสองยังไม่เคยไปทางด่านเสเป๋ง เราจะให้ม้าต้ายไปด้วย ม้าต้ายชำนาญทางนั้นเคยไปมาเนือง ๆ แล้วก็รู้ท่วงทีเมืองเสเกี๋ยง แล้วขงเบ้งก็เกณฑ์ทหารห้าหมื่นมอบให้กวนหินเตียวเปาม้าต้ายยกทหารไปถึงด่าน เสเป๋ง
กวนหินจึงพาทหารร้อยคนขึ้นไปบนยอดภูเขา เห็นกองทัพเมืองเสเกี๋ยงยกมาถึง เอาเกวียนเหล็กต่อวงเข้าเปนค่าย แล้วเอาเครื่องอาวุธปักไว้บนเกวียนดูมั่นคงสามารถ กวนหินยืนพิเคราะห์ดูอยู่ช้านานก็ไม่เห็นอุบายที่จะแก้ไขเอาชัยชนะได้ กวนหินก็กลับมาค่ายเล่าเนื้อความทั้งปวงให้เตียวเปากับม้าต้ายฟัง แล้วปรึกษาว่าเราจะคิดประการใดทหารเมืองเสเกี๋ยงจึงจะถอยกลับไป ม้าต้ายจึงว่าเวลาพรุ่งนี้เราจะยกออกไปรบดูฝีมือครั้งหนึ่งก่อน เมื่อได้ท่วงทีแล้วเราจะคิดทำการต่อไป กวนหินก็เห็นชอบด้วย
ครั้นเวลาเช้าก็จัดแจงให้ม้าต้ายเปนปีกซ้าย เตียวเปาเปนปีกขวา ตัวกวนหินเปนกองกลางยกไปค่ายทหารเสเกี๋ยง ออดกิดเห็นดังนั้นก็ให้แยกเกวียนเหล็กออกเปนสองทาง แล้วขึ้นม้าถือฆ้อนเหล็กออกยืนหน้าทหาร กวนหินก็ควบม้าออกหน้าพาทหารสามกองไล่รบเข้าไป ออดกิดก็ล่อให้กวนหินกับทหารไล่ถลำเข้าไปแล้วเอาเกวียนนั้นล้อมเข้าไว้ เตียวเปากับม้าต้ายเห็นดังนั้นก็ควบม้าหนีออกมา กวนหินกับทหารเข้าอยู่ในที่ล้อม ครั้นจะฟันฝ่าออกมาเห็นทหารเสเกี๋ยงเอาเกวียนเหล็กล้อมเข้าไว้มั่นคงเปน สามารถ จึงควบม้าขึ้นไปบนเนินเขาน้อยอันหนึ่งข้างทิศเหนือ พอออดกิดควบม้าถือฆ้อนเหล็กมีธงดำแห่หน้า ทหารติดตามมาเปนอันมาก ออดกิดจึงร้องตวาดกวนหินว่า อ้ายทหารลูกเล็กมึงจะหนีไปไหน
กวนหินเห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้าลงจากเนินเขา พอเวลาพลบคํ่าเห็นหนองน้ำอันหนึ่งขวางหน้าอยู่ กวนหินก็ชักม้ากลับมาเข้ารบกับออดกิด กวนหินสู้ออดกิดไม่ได้ก็ควบม้าหนี ออดกิดเอาฆ้อนเหล็กตีถูกหลังม้าล้ม กวนหินพลัดตกลงในหนองน้ำ ออดกิดก็ร้องให้ทหารลงจับตัวกวนหิน ๆ ตกใจ แลขึ้นไปได้ยินเสียงทหารตื่นกันอื้ออึง แล้วเห็นออดกิดตกกระเด็นลงจากหลังม้า กวนหินชักดาบออกจะฟัน ออดกิดก็ลุยน้ำหนีไป กวนหินก็ขึ้นบกเอาม้าของออดกิดขี่ แล้วแลไปเห็นทหารผู้ใหญ่คนหนึ่งไล่ฟันทหารออดกิด จึงคิดว่าผู้ใดมาช่วยชีวิตเรา ครั้งนี้มีคุณต่อเราเปนอันมาก เราจะดูให้รู้จักไว้เมื่อสำเร็จราชการแล้วจะได้แทนคุ ณ เขา แล้วกวนหินก็ควบม้าตามมา จึงเห็นรูปกวนอูหน้าแดงคิ้วขาวห่มเสื้อเขียวใส่เกราะทองขี่ม้าเซ็กเธาว์ มือขวาถือง้าวมือซ้ายลูบหนวดลอยอยู่กลางอากาศ ก็มีความยินดีคำนับลงกับหลังม้า
อสุรกายกวนอูชี้มือไปข้างทิศตวันออกแล้วร้องว่า เจ้าเร่งออกไปทางนี้เถิด บิดาจะพาไปส่งให้ถึงค่าย แล้วรูปกวนอูก็หายไป กวนหินก็รีบควบม้าออกจากที่นั้นมาทางทิศตวันออก พบเตียวเปาคุมทหารมาคอยรับอยู่ เตียวเปาจึงถามกวนหินว่า ท่านพบบิดาหรือไม่ กวนหินจึงถามว่าเหตุใดท่านจึงรู้ เตียวเปาจึงบอกว่า เมื่อข้าหนีออกจากที่ล้อมนั้น ทหารเมืองเสเกี๋ยงติดตามมาเปนอันมาก บิดาท่านมาช่วยให้ทหารเมืองเสเกี๋ยงถอยไป แล้วสั่งข้าพเจ้าให้มาคอยรับท่านอยู่ทางนี้ กวนหินได้ฟังก็มีความยินดีเล่าเนื้อความทั้งปวงให้เตียวเปาฟังแล้วก็พากันมา ค่าย จึงปรึกษากันว่า เราจะคิดอ่านทำประการใดทหารเสเกี๋ยงจึงจะถอยกลับไป ม้าต้ายจึงว่า ทหารเสเกี๋ยงมีกำลังมากนัก เราจะเอาชัยชนะโดยลำพังตัวนั้นขัดสน ขอให้ท่านรีบไปบอกมหาอุปราชให้ยกกองทัพมาช่วย ตัวข้าพเจ้าจะคุมทหารอยู่รักษาค่าย
กวนหินกับเตียวเปาได้ฟังก็เห็นด้วย ขึ้นม้ารีบไปหาขงเบ้ง ณ ค่ายเขากิสาน บอกเนื้อความทั้งปวงทุกประการ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้น จึงให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนคุมทหารเปนกองหน้ายกไปก่อน แล้วจัดทหารสามหมื่นพากวนหินเตียวเปาเกียงอุยเตียวเอ๊กยกไปภายหลัง ครั้นถึงค่ายม้าต้าย ขงเบ้งจึงยืนบนยอดเขา แลลงไปดูกระบวรทัพทหารเสเกี๋ยงเห็นเอาเกวียนเหล็กล้อมเข้าเปนค่าย แล้วเกณฑ์ทหารพิทักษ์รักษามั่นคงเปนสามารถ จึงคิดว่ากองทัพเมืองเสเกี๋ยงตั้งกระบวรแต่เพียงนี้ เห็นพอจะทำการเอาชัยชนะได้
ขงเบ้งกลับมาค่ายเรียกม้าต้ายกับเตียวเอ๊กมากระซิบสั่งเปนความลับ ให้ยกทหารตั้งซุ่มอยู่หลังเขา แล้วเกณฑ์ทหารให้ขุดคูไว้หน้าค่ายให้ตีแตะปิดปากคู บนแตะนั้นให้เอาฟางแลดินเกลี่ยทำเปนกลลวงไว้ ขงเบ้งจึงเรียกเกียงอุยมาถามว่า ท่านจะทำกลอุบายสิ่งใดที่จะรบเอาชัยชนะทหารเมืองเสเกี๋ยงได้บ้าง
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็รู้ความคิดขงเบ้ง จึงตอบว่าทหารเหล่านี้มีฝีมือแลกำลังมากก็จริง แต่สติปัญญาน้อย หารู้ในกลสงครามไม่ แม้เราลวงโดยความคิดแล้วก็จะได้ชัยชนะเปนมั่นคง ขงเบ้งเห็นเกียงอุยรู้ถึงจึงหัวเราะ ว่าการทั้งนี้เราจะเร่งทำให้สำเร็จในฤดูหนาวน้ำค้างลงฉนี้จึงจะได้ แล้วก็ให้กวนหินคุมทหารออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายฝ่ายทิศเหนือ ให้เตียวเปาออกซุ่มอยู่ทิศใต้ ในค่ายนั้นให้ปักธงเทียวไว้เปนอันมาก ขณะเมื่อขงเบ้งทำการนั้นเปนเทศกาลเดือนยี่ น้ำค้างลงแลไม่เห็นดินเหมือนที่นาเกลือ
ครั้นเวลาใกล้รุ่งขงเบ้งจึงให้เกียงอุยคุมทหารยกออกจากค่ายตรงไปกองทัพเส เกี๋ยง ออดกิดเห็นดังนั้นก็คุมทหารเกวียนเหล็กยกออกรบ เกียงอุยทำแพ้ควบม้าหนี ออดกิดก็ให้ทหารเกวียนเหล็กไล่ตามไปใกล้หน้าค่ายขงเบ้ง เกียงอุยก็หนีไปตามหลังค่าย ทหารซึ่งไล่ไปนั้นได้ยินเสียงกระจับปี่แลกลองม้าฬ่ออื้ออึงอยู่ในค่าย แล้วเห็นปักธงเทียวไว้เปนอันมาก กลัวว่าขงเบ้งจะทำกลก็ชวนกันมาบอกออดกิด ๆ ได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยอยู่
แงตั๋นจึงว่าแก่ออดกิดว่า อันการสงครามถ้าทหารมากจะลวงเอาชัยชนะข้าศึก ก็ทำเงียบสงบไว้ดุจมีทหารน้อย ลวงเอาให้ข้าศึกไว้ใจ ถ้าทหารน้อยเห็นจะทำการเอาชัยชนะไม่ได้ ก็ทำสง่าดุจทหารมาก หวังจะให้ข้าศึกคร้ามมิให้ยกเข้าหักโหมทำอันตรายได้ ซึ่งขงเบ้งทำอาการดังนี้ชรอยทหารในค่ายนั้นน้อยจึงทำกลลวงเรา เราจำจะหักเอาค่ายขงเบ้งให้ได้จึงจะชอบ
ออดกิดได้ฟังดังนั้น ก็พากันยกทหารเดิรผ่าเข้าไปในค่ายขงเบ้ง ออดกิดเห็นขงเบ้งถือกระจับปี่ขึ้นเกวียนน้อย พาทหารม้าประมาณสิบคนหนีออกทางหลังค่าย ก็ยกทหารไล่ตามไปถึงซอกเขาหลังค่าย ขงเบ้งก็ชักเกวียนเข้าไปในป่าชัฏ แงตั๋นจึงว่าแก่ออดกิดว่า ซึ่งขงเบ้งทำฉนี้เห็นจะเปนกลแล้ว ถึงกระนั้นเราก็ไม่กลัวจะเอาชัยชนะขงเบ้งให้จงได้ พอเห็นเกียงอุยยกทหารล่อออกมาหน้าค่ายก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเกวียนเหล็กล้อมเข้ามา ออดกิดยกทหารไล่เข้าไป เกียงอุยก็ล่อไปตามคูซึ่งปิดไว้นั้น ออดกิดกับแงตั๋นมิได้สำคัญว่าคู เพราะนํ้าค้างปิดเปนปึกอยู่ ก็เร่งให้ทหารเกวียนเหล็กแลทหารม้าทหารเดิรเท้าล้อมระดมเข้าไปก็ตกลงในคูกล นั้นสิ้น ทหารเกวียนเหล็กซึ่งเหลืออยู่ก็ถอยกลับมาค่าย กวนหินกับเตียวเปาก็รบต้านหน้าไว้ ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิง เกียงอุยกับม้าต้ายเตียวเอ๊กก็ยกทหารเปนสามทางรบสกัดหลังเข้ามา ม้าต้ายเห็นแงตั๋นขึ้นจากคูได้ ก็ควบม้าเข้าจับแงตั๋นได้ กวนหินเห็นออดกิดขึ้นจากคูได้ ก็ควบม้าไล่เข้าไปเอาดาบฟันออดกิดฅอขาดตาย แล้วก็ไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเสเกี๋ยงล้มตายแตกกระจัดกระจายกันไป ม้าต้ายก็เอาตัวแงตั๋นมัดมาให้ขงเบ้ง ๆ ให้ทหารแก้มัดเสีย แล้วแต่งโต๊ะเชิญให้แงตั๋นเสพย์สุรา พูดจาเกลี้ยกล่อมโดยดีเปนอันมาก ขงเบ้งเห็นว่าแงตั๋นรู้คุณอ่อนน้อมต่อแล้วจึงว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ รับสั่งให้เราไปกำจัดอ้ายพวกโจรศัตรูราชสมบัติ ตัวท่านจงกลับไปทูลพระเจ้าเตียดลิเกียดเถิด ว่าอย่าให้ผูกพยาบาทเราเลย จะได้เปนไมตรีต่อกันสืบไป แล้วก็จัดแจงทหารแลเกวียนเครื่องศัสตราวุธซึ่งได้ไว้นั้นมอบคืนให้สิ้น แงตั๋นก็มีความยินดีคำนับลาขงเบ้งพาทหารยกกลับไปเมืองเสเกี๋ยง
ขงเบ้งได้ชัยชนะแล้วจึงให้ทหารถือหนังสือแจ้งเนื้อความทั้งปวงไปกราบ ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน แล้วจัดทหารออกเปนสามกอง ให้กวนหินเตียวเปากับอุยเอี๋ยนเปนทัพหน้า ขงเบ้งเปนทัพหลวงรีบยกไปเขากิสาน
ฝ่ายโจจิ๋นแต่ให้หนังสือไปเมืองเสเกี๋ยงแล้ว ก็ให้ทหารสอดแนมดูค่ายขงเบ้งอยู่มิได้ขาด ครั้นรู้ว่าขงเบ้งทิ้งค่ายเสียยกไปรบกับทหารเมืองเสเกี๋ยงก็มีความยินดีนัก กุยห้วยจึงว่าแก่โจจิ๋นว่า ขงเบ้งนี้เห็นจะเสียทีแก่ทหารเสเกี๋ยงมั่นคงแล้ว จำเราจะให้ทหารยกไปรบกระหนาบขงเบ้งจึงจะชอบ โจจิ๋นได้ฟังก็เห็นด้วย จึงให้โจจุ้นคุมทหารยกไปตีค่ายขงเบ้ง ทหารซึ่งรักษาค่ายนั้นก็ทำเปนแพ้ทิ้งค่ายเสียหนีไป โจจุ้นก็ไล่ตามไปถึงทางน้อยอันหนึ่ง เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารออกสกัดทางอยู่ อุยเอี๋ยนร้องด่าโจจุ้นว่า อ้ายโจรมึงจะหนีไปไหน โจจุ้นก็ควบม้าเข้ารบกับอุยเกี๋ยนได้สามเพลง อุยเอี๋ยนเอาดาบฟันถูกโจจุ้นตกม้าตาย จูจ้านคุมทหารหนุนโจจุ้นไปภายหลัง พบจูล่งยืนม้าขวางทางอยู่ จูล่งก็ควบม้าเข้ารบเอาทวนแทงจูจ้านตกม้าตาย โจจิ๋นกับกุยห้วยยกตามมาภายหลัง ครั้นรู้ว่าทัพหน้าเปนอันตรายก็ตกใจ รีบยกทหารจะกลับไปค่าย พอกวนหินกับเตียวเปายกมาถึงก็ขับทหารเข้าล้อมรบโจจิ๋นเปนสามารถ โจจิ๋นกับกุยห้วยเห็นเหลือกำลังก็ควบม้าฟันฝ่าออกจากที่ล้อมหนีข้ามฟากไป จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือขึ้นไปเมืองลกเกี๋ยงแจ้งความทั้งปวงแก่พระเจ้าโจยอย ขอให้กองทัพหนุนมาช่วย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71
https://drive.google.com/file/d/1CxuybtESh1_4EDWerBiLklU6LJ6DrvVr/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #1 on:
23 December 2021, 21:57:30 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 72
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-72.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 72
เนื้อหา
• พระเจ้าโจยอยกลับตั้งสุมาอี้เป็นนายทัพ
• สุมาอี้คิดกลอุบายกำจัดเบ้งตัด
• สุมาอี้ยกกองทัพไปรบขงเบ้ง
• ม้าเจ๊กเตรียมการด้วยความประมาท
พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า กองทัพเมืองเราเสียทีแก่ขงเบ้งแตกหนีมาฉนี้ ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านแก้ไขประการใด ฮัวหิมจึงทูลว่า กองทัพขงเบ้งยกมาครังนี้เห็นใหญ่หลวงนัก ครั้นจะนิ่งอยู่ฉนี้กองทัพขงเบ้งยกล่วงเข้ามาเราจะทำการขัดสน ขอพระองค์ยกทัพหลวงออกไปเอง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงจะได้ตั้งใจทำราชการถวายให้สิ้นฝีมือ
จงฮิวได้ฟังจึงทูลว่า ผู้จะเปนนายทัพนายกองทั้งปวงให้รู้จักที่เสียที่ได้ เอาใจบำรุงทแกล้วทหารทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีความชอบก็ปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด ถ้ากระทำผิดก็ให้ลงโทษตามอาญาแม่ทัพ อันโจจิ๋นนี้เปนคนผู้ใหญ่เคยทำราชการมาก็จริง แต่มิใช่คู่มือกับขงเบ้ง ข้าพเจ้าเห็นทหารคนหนึ่งมีฝีมือเข้มขัน แม้พระองค์โปรดให้ออกรบกับขงเบ้งแล้ว ถ้าเสียทีแตกพ่ายเข้ามาข้าพเจ้าจะประกันถวายสีสะสิ้นทั้งโคตร แต่เกรงพระองค์จะไม่เห็นด้วย
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า บัดนี้ขงเบ้งทำการกำเริบได้ทีอยู่แล้ว แม้ท่านเห็นผู้ใดจะอาสาออกทำการได้ ก็ว่าออกให้แจ้งเถิดเรามิได้ขัด จงฮิวจึงทูลว่า อันขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นผู้ใด เห็นก็แต่สุมาอี้ผู้เดียว มีสติปัญญาหลักแหลมพอจะเอาชัยชนะขงเบ้งได้ พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่าท่านว่านี้ก็ชอบนัก บัดนี้สุมาอี้อยู่ตำบลใด จงฮิวทูลว่า ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าอยู่เมืองอ้วนเสีย
พระเจ้าโจยอยได้ฟังจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง เปนใจความว่า ตั้งให้สุมาอี้เปนขุนนางเหมือนแต่ก่อน แล้วให้จัดแจงทหารยกไปเขากิสานบัญจบกับกองหลวง ณ เมืองเตียงอั๋น จะได้ยกไปทำศึกกับขงเบ้ง แล้วก็ให้ทหารถือไปให้สุมาอี้ ณ เมืองอ้วนเสีย
ฝ่ายขงเบ้งยกมาถึงเขากิสาน จึงรู้ว่าโจจิ๋นแตกหนีไปก็มีความยินดีให้ทหารยกเข้าตั้งอยู่ในค่ายโจจิ๋น พอทหารมาบอกว่าลิเงียมอยู่ ณ ะเมืองเตงอั๋นให้ลิอ๋องผู้บุตรมาหาท่าน ขงเบ้งคิดสดุ้งใจว่าเอ๊ะเห็นกองทัพเมืองกังตั๋งจะยกมาตีเมืองเสฉวนกระมัง จึงให้หาลิอ๋องเข้ามาที่ข้างในแล้วถามว่า ท่านมาด้วยธุระสิ่งใด ลิอ๋องจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านบัดนี้ด้วยเรื่องเบ้งตัดซึ่งมาอยู่กับโจผีแต่ก่อนนั้นเปน ความจำใจ โจผีเห็นว่าเบ้งตัดเปนคนมีสติปัญญาจึงเอาทรัพย์สิ่งสินไปให้เปนอันมาก แล้วตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ไปรักษาเมืองซงหยง ครั้นโจผีหาบุญไม่แล้วโจยอยได้สมบัติ ขุนนางทั้งปวงชวนกันริษยาเบ้งตัดเปนอันมาก เบ้งตัดก็ไม่มีความสุข คิดถึงพระคุณท่านซึ่งเคยทำการมาแต่ก่อนนั้น จึงว่ากับข้าพเจ้าว่า ได้ทำการผิดแล้วว่าจะขอทำการแก้ตัวใหม่ แม้มหาอุปราชโปรดแล้วก็ให้ยกไปตีเอาเมืองเตียงอั๋นเถิด เบ้งตัดจะยกทหารเมืองซงหยงหนึ่ง เมืองซินเสียหนึ่ง เมืองกิมเสียหนึ่ง บัญจบกันเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงแทนคุณมหาอุปราชให้จงได้ ขงเบ้งได้ฟังก็มีความยินดีนัก จึงปูนบำเหน็จให้แก่ลิอ๋องเปนอันมาก
ขณะนั้นทหารคอยเหตุเอาเนื้อความเข้ามาบอกขงเบ้งว่า บัดนี้โจยอยให้หนังสือรับสั่งไปตั้งสุมาอี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้ยกกองทัพมาบัญจบกันกับโจยอยณะเมืองเตียงอั๋น ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสดุ้งขึ้น ม้าเจ๊กจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ถึงโจยอยจะยกทัพหลวงมาตั้งเมืองเตียงอั๋นจริงก็จะกลัวอันใด เราจะคิดอ่านเอาชัยชนะจับตัวให้จงได้ ขงเบ้งจึงว่า เราจะกลัวอันใดกับโจยอย เราเกรงแต่สุมาอี้คนเดียวมีสติปัญญาหลักแหลมนัก ถึงเบ้งตัดจะยกทหารขึ้นไปตีเอาเมืองหลวง แม้พบสุมาอี้ก็จะเสียทีเปนมั่นคง เพราะความคิดเบ้งตัดอ่อนกว่าสุมาอี้นัก
ม้าเจ๊กได้ฟังก็เห็นด้วยจึงว่า ถ้ากระนั้นเราจะนิ่งให้เบ้งตัดเปนอันตรายก็ไม่ชอบ จำจะมีหนังสือไปกำชับเตือนสติไว้ก่อน ขงเบ้งจึงแต่งหนังสือเปนใจความว่า เบ้งตัดเปนคนมีสติปัญญาคิดจะทำราชการไปตีเมืองลกเอี๋ยงสนองคุณพระเจ้าเล่า เสี้ยนนั้นเราก็ขอบใจมีความยินดีด้วย แม้สำเร็จราชการครั้งนี้ความชอบของท่านก็จะมีในพระเจ้าเล่าเสี้ยนมากกว่าขุน นางทั้งปวง บัดนี้เราได้ยินกิตติศัพท์ว่า โจยอยตั้งให้สุมาอี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้จัดแจงทหารมาบัญจบกันกับกองทัพโจยอยณะเมืองเตียงอั๋น แม้สุมาอี้รู้เนื้อความว่าท่านจะทำการฉนี้ ก็จะยกกองทัพมารบท่านตัดศึกเสียก่อน เห็นว่าท่านจะทำการไม่สำเร็จ ให้ท่านคิดอ่านระมัดระวังตัวจงหนัก จะใช้ทแกล้วทหารทั้งปวงก็ตรึกตรองจงดีอย่าให้รู้ถึงสุมาอี้ แล้วก็ผนึกส่งให้ลิอ๋องถือไปให้เบ้งตัดณะเมืองซงหยง
ลิอ๋องจึงเข้าไปหาเบ้งตัดแจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วเอาหนังสือนั้นยื่นให้ เบ้งตัดรับมาฉีกผนึกออกอ่านดูแจ้งในใจความแล้วจึงหัวเราะ ว่าความคิดขงเบ้งดีจริงแต่คิดเกินสูงกว่าการไป เบ้งตัดจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเปนใจความว่า ข้าพเจ้าเบ้งตัดคำนับมาถึงมหาอุปราช ซึ่งท่านมีเมตตาช่วยเตือนสติมาทั้งนี้พระคุณหาที่สุดไม่ ข้อซึ่งสุมาอี้นั้นมหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะรับเปนธุระ เพราะสุมาอี้อยู่ ณ เมืองอ้วนเสียนั้นทางไกลเมืองลกเอี๋ยงแปดพันเส้น แต่เมืองลกเอี๋ยงจะมาถึงเมืองข้าพเจ้านี้ ทางไกลหมื่นสองพันเส้น แม้สุมาอี้รู้เนื้อความกว่าจะขึ้นไปบอกโจยอย แล้วจึงจะยกทหารมาถึงข้าพเจ้าสักเดือนหนึ่งก็มิใคร่จะถึง ประการหนึ่งทหารทั้งสามหัวเมืองนี้ ข้าพเจ้าจัดแจงไว้พร้อมแล้ว ถึงมาทว่าสุมาอี้ยกมาข้าพเจ้าก็มิได้กลัวจะรบเอาชัยชนะให้จงได้ แล้วก็สั่งให้ลิอ๋องถือกลับมาให้ขงเบ้ง ๆ แจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธ ทิ้งหนังสือแล้วลุกขึ้นสบัดมือกระทืบเท้าว่า เบ้งตัดคิดการดูหมิ่นฉนี้จะตายเพราะฝีมือสุมาอี้เปนมั่นคง
ม้าเจ๊กจึงถามว่า เหตุใดมหาอุปราชจึงว่าฉนี้ ขงเบ้งจึงว่า คำโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้จะเปนขบถคิดร้ายต่อท่าน แม้ท่านไม่รู้ตัวจึงทำการได้สดวก บัดนี้เบ้งตัดทนงคิดการผิดไป แลสุมาอี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ถ้ารู้ว่าเบ้งตัดเปนขบถจะไปบอกโจยอยทำไมให้ช้าการ จะรีบยกทหารมาสักสิบวันก็จะถึงตัวเบ้งตัด ต่อจับตัวเบ้งตัดแล้วจึงจะกลับไปบอกโจยอยไม่ได้หรือ ทหารทั้งปวงได้ฟังก็เห็นด้วย ขงเบ้งจึงแต่งหนังสือให้ทหารรีบไปให้เบ้งตัดว่า ให้ระมัดตัวจงหนัก แม้รู้ไปถึงสุมาอี้จะเสียการ ทหารนั้นก็ลาขงเบ้งไป
ฝ่ายสุมาอี้อยู่ ณ เมืองอ้วนเสีย รู้ว่าพระเจ้าโจยอยแต่งกองทัพออกไปทำศึกกับขงเบ้งเสียทีเปนหลายครั้ง ก็เสียใจทอดใจใหญ่ สุมาสูกับสุมาเจียวซึ่งเปนบุตรสุมาอี้มีสติปัญญาหลักแหลม บิดาได้สั่งสอนให้ชำนาญในกระบวรสงครามมาแต่น้อย ครั้นเห็นบิดาทอดใจใหญ่จึงถามว่า บิดาวิตกด้วยสิ่งใด สุมาอี้จึงว่า เจ้าเปนเด็กถึงบิดาจะบอกก็จะรู้อันใด สุมาสูจึงว่า ซึ่งวิตกของบิดาข้าพเจ้าแจ้งอยู่แล้ว เพราะพระเจ้าโจยอยละเมินเราเสีย ข้าศึกจึงล่วงดูหมิ่นเข้ามาได้ถึงเพียงนี้
สุมาเจียวได้ฟังพี่ชายว่าดังนั้นจึงหัวเราะ ว่าบิดาอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าคะเนดูมิเช้าวันนี้ก็ตวันบ่ายเห็นหนังสือรับสั่งพระเจ้าโจยอยจะมา ถึง ท่านก็จะได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินเปนมั่นคง ขณะนั้นทหารก็เข้ามาบอกสุมาอี้ว่า พระเจ้าโจยอยให้หนังสือมาถึง สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ลงคำนับกราบลงที่ตํ่าแล้วให้เชิญหนังสือรับสั่งเข้ามาอ่านแจ้งในใจความแล้ว ก็จัดแจงทหารจะยกไปเมืองเตียงอั๋นตามรับสั่ง พอทหารเข้ามาบอกว่าซินหงีเจ้าเมืองกิมเสียใช้ให้ทหารคนสนิธมาว่า จะบอกความลับแก่ท่าน สุมาอี้ก็ให้หาเข้ามา ทหารจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านบัดนี้หวังจะแจ้งความลับ ด้วยเบ้งตัดอยู่ ณ ะเมืองซงหยงคิดขบถจะไปเข้าด้วยขงเบ้ง เตงเหียนผู้หลานกับลิจูคนสนิธจึงมาบอกแก่ซินหงี ๆ จึงให้ข้าพเจ้ารีบมาบอกท่าน
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงว่า แม้ขงเบ้งกับเบ้งตัดคิดกันเข้าแล้ว เบ้งตัดก็จะรับอาสายกไปตีเมืองลกเอี๋ยง ขงเบ้งจะเข้าตีเอาเมืองเตียงอั๋นก็จะสำเร็จโดยง่าย หากว่าบุญพระเจ้าโจยอยยังมากอยู่ จึงพเอิญให้พระเจ้าโจยอยกลับนับถือตั้งเราเปนขุนนางดังเก่า แล้วให้รู้เนื้อความนี้ เราจะนิ่งเสียบัดนี้ก็ไม่ชอบ จำจะคิดอ่านไปจับตัวเบ้งตัดตัดความคิดขงเบ้งเสียก่อน เห็นขงเบ้งก็จะถอยทัพกลับไป
สุมาสูจึงว่า เบ้งตัดเปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ ขอให้บิดาบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยให้ทราบก่อน สุมาอี้จึงว่า อันการขบถจะนิ่งอยู่ช้านั้นไม่ได้ ข้าศึกจะมีกำลังมากขึ้น เราคิดอ่านยกกองทัพไปจับตัวเบ้งตัดแล้วจึงมากราบทูลพระเจ้าโจยอยต่อภายหลัง แล้วสุมาอี้จึงคิดกลอุบายให้เลียงกี๋ถือหนังสือรีบไปให้เบ้งตัดเปนใจความว่า ให้จัดแจงสเบียงอาหารไว้ให้พร้อม เราจะยกกองทัพไปบัญจบกัน ณ เมืองเตียงอั๋นทำศึกกับขงเบ้ง ครั้นเลียงกี๋ไปแล้ว สุมาอี้ก็จัดแจงทหารยกออกจากเมืองทางสองวัน พบซิหลงคุมทหารมา ซิหลงก็ลงจากม้าเข้าไปหาสุมาอี้บอกว่า บัดนี้พระเจ้าโจยอยจัดแจงทหารจะยกไปเมืองเตียงอั๋น เห็นท่านช้าอยู่จึงให้ข้าพเจ้ามาตามรีบยกกองทัพไป สุมาอี้จึงว่า บัดนี้เบ้งตัดเปนขบถเราจะรีบไปจับเสียก่อน แล้วก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ซิหลงฟังทุกประการ ซิหลงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย สุมาอี้จึงให้ซิหลงเปนกองหน้า ให้บุตรสองคนเปนกองหลัง รีบยกทหารไปถึงกลางทางพบทหารเบ้งตัดซึ่งถือหนังสือไปให้ขงเบ้งนั้นกลับมา ทหารเห็นประหลาทก็จับตัวมาให้สุมาอี้ ๆ จึงถามว่า ตัวเปนทหารผู้ใดไปไหนมาให้บอกตามจริงเราจะไว้ชีวิต แม้อำพรางเราจะตัดสีสะเสีย ผู้ถือหนังสือนั้นกลัวก็บอกความจริงทุกประการ แล้วเอาหนังสือขงเบ้งนั้นให้สุมาอี้อ่านดูแจ้งในหนังสือนั้นก็ตกใจ จึงว่าความคิดขงเบ้งนี้ต้องความคิดเรา แม้เบ้งตัดแจ้งหนังสือนี้แล้วทำตามขงเบ้งก็จะสำเร็จความคิดเปนมั่นคง หากบุญเจ้าเรายังมากอยู่ เทพดาจึงพเอิญให้เราจับผู้ถือหนังสือได้ แล้วสุมาอี้ก็รีบยกทหารไป
ฝ่ายเบ้งตัดอยู่ในเมืองซงหยงให้ไปชักชวนซินหงีเจ้าเมืองกิมเสียกับซินต๋ำ เจ้าเมืองซินเสีย เจ้าเมืองทั้งสองนั้นกลัวเบ้งตัดก็รับไว้แต่ปากแต่จัดแจงทหารเตรียมไว้ ถ้าสุมาอี้มาถึงก็จะรับเปนใส้ศึก เบ้งตัดก็ไว้ใจมิได้สงสัย พอเลียงกี๋ถือหนังสือสุมาอี้มาถึง เบ้งตัดรับหนังสือมาอ่านดูแจ้งในใจความแล้วจึงถามว่า บัดนี้สุมาอี้ยกมาแล้วหรือยัง เลียงกี๋จึงแกล้งบอกว่า สุมาอี้จัดแจงกองทัพจะยกไปเมืองเตียงอั๋นแล้ว เบ้งตัดได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงแต่งโต๊ะเชิญให้เลียงกี๋เสพย์สุรา เลียงกี๋ก็ลาเบ้งตัดออกจากเมืองไปหาซินต๋ำซินหงี บอกเนื้อความทั้งปวงซึ่งสุมาอี้ยกมานั้นให้ฟัง ซินหงีซินต๋ำจึงว่า เบ้งตัดให้สัญญาเราว่าเวลาพรุ่งนี้จะยกธงสำคัญของขงเบ้งขึ้น ให้เราทั้งปวงพร้อมกันยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายเบ้งตัดจัดแจงทหารอยู่ในเมือง พอทหารมาบอกว่านอกเมืองนั้นมีข้าศึกยกมาเปนอันมาก แต่มิได้แจ้งว่าทหารผู้ใด เบ้งตัดได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ขึ้นไปดูบนกำแพงเห็นธงสำคัญก็รู้ว่ากองทัพซิหลงยกมา จึงให้ทหารชักสะพานคูปิดประตูเมืองไว้ให้มั่นคง
ฝ่ายซิหลงควบม้าพาทหารเข้าไปถึงคูเมือง เห็นเบ้งตัดยืนอยู่บนกำแพง จึงร้องด่าว่าอ้ายโจรขบถต่อเจ้าเร่งออกมาหากูโดยดีกูจะไว้ชีวิต เบ้งตัดได้ยินก็โกรธให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงลงไป ถูกหน้าผากซิหลง ทหารทั้งปวงเข้าประคองตัวซิหลงแล้วก็ถอยทัพออกไป เบ้งตัดเห็นดังนั้นก็เปิดประตูเมืองจะยกทหารไล่ออกไป พอสุมาอี้ยกมาถึง เบ้งตัดก็กลับเข้าตั้งมั่นอยู่ในเมืองดังเก่า สุมาอี้ก็ขับทหารให้เข้าล้อมเมืองไว้เปนสามารถ
ฝ่ายซิหลงกลับออกมาตั้งค่ายอยู่ พิษเกาทัณฑ์กลุ้มขึ้นพอเวลาเย็นก็ตาย ขณะเมื่อซิหลงตายนั้นอายุได้ห้าสิบเก้าปี สุมาอี้ก็จัดแจงศพซิหลงส่งขึ้นไปฝังไว้ ณ เมืองลกเอี๋ยงตามบันดาศักดิ์
ฝ่ายเบ้งตัดครั้นเวลาเช้าขึ้นดูบนเชิงเทิน เห็นทหารสุมาอี้เข้าล้อมเมืองไว้โดยรอบ มั่นคงเหมือนล้อมด้วยตรางเหล็ก ก็คิดวิตกนักไม่รู้จะแก้ไขประการใด พอเห็นซินหงีกับซินต๋ำยกมาก็ดีใจ สำคัญว่าจะยกมาช่วยก็เปิดประตูเมืองคุมทหารออกไปรับ
ซินหงีกับซินต๋ำเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้าไป แล้วร้องด่าเบ้งตัดว่า อ้ายขบถมึงคิดทรยศต่อเจ้าเร่งไปหาที่ตายเถิด เบ้งตัดได้ยินดังนั้นก็ตกใจควบม้าจะหนีเข้าเมือง เตงเหียนกับลิจูอยู่บนเชิงเทินก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงต้านไว้ แล้วร้องว่าอ้ายขบถมึงอย่าเข้ามาเลย กูจะเปิดประตูเมืองรับสุมาอี้เอาความชอบแล้ว เบ้งตัดได้ฟังก็ตกใจควบม้าจะพาทหารหนีออกจากที่ล้อม พอซินต๋ำไล่มาทันเอาทวนแทงถูกเบ้งตัดตกม้าตายตัดเอาสีสะมาให้สุมาอี้ ทหารทั้งปวงก็เข้าหาสุมาอี้ เตงเหียนกับลิจูก็เปิดประตูเชิญสุมาอี้เข้าตั้งอยู่ในเมือง
สุมาอี้เกลี้ยกล่อมให้ราษฎรชาวเมืองอยู่เย็นเปนสุข แล้วให้ทหารเอาสีสะเบ้งตัดขึ้นไปถวายพระเจ้าโจยอย ๆ แจ้งเนื้อความทั้งปวงแล้วก็มีความยินดีนัก ให้ทหารเอาสีสะเบ้งตัดไปเสียบประจานไว้ณทางสามแพร่ง แล้วแต่งหนังสือรับสั่งใจความว่า ซินต๋ำกับซินหงีมีความชอบให้ตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่ ยกไปช่วยทำการศึกกับสุมาอี้ ให้ลิจูเปนเจ้าเมืองซินเสีย ให้เตงเหียนเปนเจ้าเมืองซงหยง แล้วก็สั่งให้ทหารถือไปให้สุมาอี้ ณ เมืองซงหยง พระเจ้าโจยอยก็จัดแจงกองทัพยกไปเมืองเตียงอั๋น
สุมาอี้จัดแจงตามหนังสือรับสั่งแล้ว ก็รีบยกกองทัพไปเมืองเตียงอั๋น รู้ว่าพระเจ้าโจยอยยกมาถึงเข้าตั้งอยู่ในเมืองแล้ว ก็หยุดทหารตั้งค่ายอยู่นอกเมือง สุมาอี้ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอย ๆ เห็นสุมาอี้ก็มีความยินดี จึงตรัสว่าท่านอย่าน้อยใจเราเลย ซึ่งเราคิดผิดเบาความแพ้กลอุบายขงเบ้งนั้นเราขออภัยเสียเถิด ครั้งนี้เบ้งตัดคิดขบถหากว่าท่านรู้ หาไม่เมืองก็จะเปนอันตราย สุมาอี้จึงทูลว่า เมื่อเซงหงีให้ทหารไปบอกข้าพเจ้าว่าเบ้งตัดเปนขบถนั้น ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่าเบ้งตัดเปนขุนนางผู้ใหญ่ จะบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระองค์ให้มีหนังสือลงมาก่อนก็กลัวจะช้าไป ซึ่งข้าพเจ้าทำการละเมิดนอกรับสั่งโทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่ตามแต่พระองค์จะโปรด แล้วก็เอาหนังสือของขงเบ้งซึ่งจับได้นั้นถวาย
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า ท่านนี้มีสติปัญญาหลักแหลมหาผู้เสมอมิได้ แต่นี้ไปเมื่อหน้าถ้าผู้ใดทำความผิดโทษถึงตายแล้ว ก็ให้ฆ่าเสียเถิดอย่าบอกเราให้รู้เลย แล้วก็พระราชทานเครื่องยศสำหรับกษัตริย์ให้สุมาอี้เปนอันมาก ให้เร่งยกกองทัพไปรบกับขงเบ้ง สุมาอี้จึงทูลว่า เตียวคับมีฝีมือเข้มแขงเคยทำศึกมาเปนอันมาก ข้าพเจ้าจะขอให้เปนแม่ทัพไปด้วย พระเจ้าโจยอยก็โปรดให้ สุมาอี้ก็ถวายบังคมพาเตียวคับยกทหารไปเขากิสาน ฝ่ายพระเจ้าโจยอยครั้นให้เตียวคับกับสุมาอี้คุมทหารยกไปแล้ว จึงให้ซินผีซุนเล้คุมทหารกองหนึ่งยกไปช่วยโจจิ๋น
ครั้นสุมาอี้ยกทหารยี่สิบหมื่นล่วงด่านออกมา จึงให้ทหารทั้งปวงตั้งค่ายมั่นอยู่ แล้วให้หาเตียวคับเข้ามาปรึกษาว่า ซึ่งจะทำการรบพุ่งกับขงเบ้งบัดนี้จะวู่วามมิได้ ด้วยขงเบ้งนี้เจ้าปัญญาความคิดนัก อันเมืองไปเซียซึ่งโจจิ๋นไปรักษาอยู่นั้นก็ฬ่อแหลมอยู่ เห็นขงเบ้งจะแต่งกองทัพเปนสองกองยกแยกไปตีเอาเมืองไปเซียตำบลกิก๊กเกี่ยวไว้ เปนมั่นคง เราจะให้มีหนังสือไปถึงโจจิ๋นให้ระมัดระวังตรวจตรารักษามั่นไว้ จะให้ซินผีซุนเล้คุมทหารยกไปซุ่มอยู่ตำบลกิก๊กคอยตีกองทัพขงเบ้ง
เตียวคับจึงว่า ท่านคิดทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ตัวท่านนั้นจะยกไปทางตำบลใดเล่า สุมาอี้จึงว่า อันตำบลเกเต๋งกับเมืองหลิวเซียนั้นก็ใกล้กันอยู่เปนที่คับขันนัก แล้วเปนปากทางจะเข้าเมืองฮันต๋ง เราจะยกกองทัพไปซุ่มอยู่อย่าให้ทันรู้ เห็นขงเบ้งจะประมาทสำคัญว่าโจจิ๋นเลินเล่ออยู่จะไม่ตระเตรียมทหารป้องกัน เมืองไปเซีย ก็จะยกกองทัพรีบไปตีเอา ถ้าเราเห็นกองทัพขงเบ้งล่วงตำบลเกเต๋งเข้าไปแล้ว เราจะสกัดทางเสีย ขงเบ้งก็จะจนอยู่ แม้จะเลี้ยวไปตั้งเมืองหลงเส เราจะแต่งทหารไปตั้งสกัดทางน้อยทางใหญ่เสีย อย่าให้ทหารขงเบ้งออกเที่ยวหาสเบียงอาหารได้ก็จะขัดลง อยู่มิได้จะพาทหารหนีไปทางฮันต่ง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกกองทัพออกโจมตีเอา เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว
เตียวคับก็ยกมือขึ้นคำนับแล้วสรรเสริญว่า ท่านมีสติปัญญาเหมือนหนึ่งเทพดา สุมาอี้ปรึกษาเสร็จแล้ว ก็แต่งหนังสือให้คนถือไปถึงโจจิ๋นณะเมืองไปเซียแล้วจึงกำชับเตียวคับว่า เราจะคิดกลอุบายทั้งปวงถึงเห็นชอบด้วยกันก็ดีแต่ทว่าอย่าประมาท อันขงเบ้งนั้นจะเหมือนเบ้งตัดหามิได้ ตัวท่านเปนกองหน้าจะยกทหารเดิรทัพไปอย่าดูเบา จงแต่งกองสอดแนมไปดูลู่ทางทั้งปวงก่อน แม้มิได้เห็นผู้คนซ้ายขวาแล้วจึงยกไป ถ้ามิได้ตรวจตราซับทราบดูให้ถ้วนถี่ เห็นว่าได้ทีแล้วจะยกรีบไปนั้นก็จะต้องกลของขงเบ้งโดยไม่ทันรู้ตัว เตียวคับรับคำแล้วก็คำนับลายกทหารกองหน้าไป
ขณะนั้นขงเบ้งยกทหารมาตั้งอยู่ ณ เขากิสาน คนเอาข่าวราชการแจ้งแต่เมืองซินเสียไปบอกขงเบ้งว่า บัดนี้ซินต๋ำซินหงีลิจูเตงเหียน ซึ่งท่านให้ไปอยู่รักษาเมืองซินเสียด้วยเบ้งตัดนั้น คิดเอาใจออกหากกลับไปเข้าด้วยสุมาอี้เปนไส้ศึก ให้ยกกองทัพลัดทางมาประมาณแปดวัน เบ้งตัดมิทันรู้ตัวสุมาอี้ยกทหารเข้าโจมตีเอาเมืองซงหยงได้ ฆ่าเบ้งตัดถึงแก่ความตายแล้วสุมาอี้กลับไปทูลแก่พระเจ้าโจยอย ๆ มีใจกำเริบ บัดนี้กลับให้เตียวคับเปนกองหน้า สุมาอี้เปนกองหลวงคุมทหารยกมาอีกจะรบกับท่าน
ขงเบ้งได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าสุมาอี้ยกทหารมาครั้งนี้ เห็นจะล่วงเข้าไปตั้งสกัดอยู่ตำบลเกเต๋งจะปิดต้นทางเราเสีย ผู้ใดจะอาสาไปรักษาที่เกเต๋งไว้ได้ ม้าเจ๊กจึงว่า ข้าพเจ้าจะรับอาสาไปเอง ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านจะไปรักษาตำบลเกเต๋งนั้นก็ขอบใจ อันที่เกเต๋งนี้ตำบลน้อยก็จริงแต่ว่าเปนที่สำคัญนัก แล้วหากำแพงไม่ จะป้องกันรักษาก็ยาก ถึงว่าท่านมีฝีมือเข้มแข็งก็จะประมาทไปบ้าง ถ้าเกเต๋งตำบลเดียวเสียแก่ข้าศึก ทหารทั้งปวงก็จะเปนอันตรายสิ้น
ม้าเจ๊กจึงว่า เสียแรงข้าพเจ้าเปนทหารเรียนวิชาการมาแต่น้อยจนใหญ่ทำศึกมาก็ช้านาน แต่ตำบลเกเต๋งเท่านี้รักษาไว้มิได้ก็ตายเสียดีกว่าอยู่ ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าประมาท อันสุมาอี้นี้มีปัญญาความคิดมากฝีมือก็เข้มแขง อนึ่งเตียวคับทหารเอกก็เปนกองหน้ามาด้วยแต่ล้วนคนดี ซึ่งท่านจะไปรักษาเกเต๋งไว้นั้นยังกะไรอยู่หรือ
ม้าเจ๊กจึงว่า อย่าว่าแต่สุมาอี้กับเตียวคับมาเลย ถึงโจยอยจะยกมาเองข้าพเจ้าก็มิกลัว แล้วทำหนังสือทานบนไว้ให้ขงเบ้งว่า ถ้าทำการมิได้เหมือนปาก ให้ประหารชีวิตข้าพเจ้าทั้งบุตรภรรยาเสียให้สิ้น ขงเบ้งรับเอาหนังสือทานบนแล้ว จึงเกณฑ์ทหารสองหมื่นห้าพันให้แก่ม้าเจ๊ก แล้วสั่งอองเป๋งให้ไปด้วย จึงว่าตัวท่านมีสติปัญญาอย่าได้ประมาท จงช่วยกันตรึกตรองคิดอ่านผ่อนผันให้จงดี และจะตั้งค่ายดูทำการทั้งปวงจงปรึกษาปรองดองให้พร้อมกันอย่าแก่งแย่งให้เสีย การ จงทำแผนที่มาให้แก่เรา ถ้าท่านช่วยกันรักษาตำบลเกเต๋งไว้ได้ก็จะมีความชอบ ม้าเจ๊กอองเป๋งรับคำขงเบ้งแล้ว ก็คำนับลาคุมทหารยกไปตำบลเกเต๋ง
ครั้นม้าเจ๊กอองเป๋งยกไปแล้ว ขงเบ้งจึงว่าแก่โกเสียงว่า อันม้าเจ๊กกับอองเป๋งจะไปรักษาเกเต๋งนั้น เราก็มีความวิตกอยู่มิวางใจเลย ด้วยเมืองหลิวเซียนั้นใกล้กันกับเกเต๋ง แล้วเปนซอกเขาป่าดงรกชัฏ มีที่จะซุ่มทแกล้วทหารไว้ได้มาก ท่านจงคุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปตั้งณะเมืองหลิวเซียซุ่มทหารไว้ ถ้าเห็นเกเต๋งจะเปนประการใด จงยกทหารไปช่วยม้าเจ๊กอองเป๋งให้ทันที โกเสียงคำนับลาแล้วก็ยกทหารไปตั้งอยู่ตามสั่ง
ขงเบ้งจึงให้หาอุยเอี๋ยนเข้ามาว่า บัดนี้เราให้โกเสียงไปตั้งณะเมืองหลิวเซียนั้นก็ยังมิวางใจเลย ด้วยการครั้งนี้เห็นจะใหญ่หลวงอยู่ ท่านจงยกทหารไปตั้งซุ่มไว้ณะหลังเกเต๋ง ถ้ากองทัพเราเสียทีก็จะได้ช่วยกัน อุยเอี๋ยนจึงว่า ข้าพเจ้าเปนทัพหน้า ชอบแต่ท่านจะใช้ให้ข้าพเจ้ายกไปทำความชอบก่อนอีก แลบัดนี้มหาอุปราชให้ม้าเจ๊กอองเป๋งโกเสียงยกไปเอาความชอบแล้ว จะกลับใช้ข้าพเจ้าเปนกองหน้าไปภายหลังก็จะเปล่าอยู่ จะเอาความชอบประการใด
ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าน้อยใจเลย อันม้าเจ๊กแลอองเป๋งโกเสียงนั้นเห็นจะสู้เตียวคับมิได้ ท่านยกไปเปนกองหลังครั้งนี้ เห็นจะได้ทำการมีความชอบอีกแล้ว ตำบลเกเต๋งนั้นท่านอย่าคิดว่าเล็กน้อย เปนที่สำคัญอยู่ อย่าได้ประมาท อุตส่าห์ตรวจตราป้องกันเปนกวดขันอย่าให้เปนอันตรายได้ อุยเอี๋ยนก็คำนับลาออกมาจัดแจงทหารพร้อมแล้วก็ยกไปตั้งซุ่มอยู่ ณ หลังเกเต๋ง
ขงเบ้งจึงสั่งจูล่งกับเตงจี๋ว่า ท่านจงคุมทหารไปล่อทัพสุมาอี้ในตำบลกิก๊ก มาทว่าจะมิได้รบพุ่งก็ดี แม้กองทัพสุมาอี้เห็นเข้าก็จะตกใจ แลตัวเราก็จะยกกองหลวงไปเมืองไปเซียทีเดียว ถ้าได้เมืองไปเซียแล้วก็จะได้เมืองเตียงอั๋นด้วย เตงจี๋กับจูล่งรับคำแล้วก็ยกทหารไป ขงเบ้งจึงตั้งเกียงอุยเปนกองหน้า แล้วก็ยกทัพหลวงออกจากค่ายเขากิสาน
ฝ่ายม้าเจ๊กครั้นยกมาถึงเกเต๋ง ก็พิเคราะห์ดูภูมิฐานแล้วก็หัวเราะ จึงว่าตำบลเกเต๋งนี้มีซอกห้วยธารเขาเปนอันมาก ที่ไหนทหารสุมาอี้จะยกมาได้ มหาอุปราชนี้ปรารมภ์หาต้องการไม่ อองเป๋งจึงว่า อันตำบลเกเต๋งนี้มหาอุปราชกำชับมาว่าเปนที่คับขันอยู่เราอย่าประมาท ขอให้ท่านตั้งค่ายใหญ่ครอบปากทางนี้ลงไว้ ด้วยมีทางน้อยแยกเปนห้าทางเข้ามารวมกันในต้นทางนี้ เกลือกจะมีข้าศึกแต่งกองทัพแยกมาบัญจบกันจะไว้ใจมิได้
ม้าเจ๊กจึงว่า อันจะตั้งค่ายลงในกลางทางนี้หามีธรรมเนียมไม่ แลเขาริมทางนี้ก็โดดอยู่เขาเดียว ข้างตีนเขาเล่าก็มีป่าไม้รกชัฏ เหมือนเทพดามาแต่งที่ชัยชนะไว้ให้เรา เราจะยกทหารขึ้นไปตั้งซุ่มอยู่บนยอดเขาจะมิดีกว่าหรือ อองเป๋งจึงว่า จะทิ้งที่สำคัญเสียไม่เห็นด้วย แม้ตั้งค่ายปิดปากทางนี้ลงไว้แล้ว ถึงว่าข้าศึกจะยกมาสักสิบหมื่นก็เห็นจะไม่หักทางล่วงเราไปได้ ถ้าท่านจะคุมทหารขึ้นไปตั้งอยู่บนเขานั้น ข้าศึกรู้ยกทหารมาล้อมไว้ทั้งสี่ด้านจะมิจนเสียหรือ
ม้าเจ๊กหัวเราะแล้วจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้เหมือนความคิดผู้หญิง โบราณว่าไว้ถ้าจะรบศึกให้อยู่ที่สูงถึงจะต่อด้วยศัตรูก็ได้เปรียบ อาจเอาชัยชนะได้โดยเร็วเหมือนผ่าไม้ไผ่ แม้ทหารสุมาอี้ยกมาเราจะไล่ให้แตกหนีไปมิให้มีเกราะติดตัวเลย
อองเป๋งจึงว่า โบราณว่าทำสงครามให้อยู่สูงก็ชอบอยู่ ถ้าแลจะตั้งอยู่บนเขานั้น ข้าศึกยกมาล้อมไว้ปิดทางน้ำเสียทหารเราจะอดน้ำระหายอยู่ เมื่อเปนฉนั้นแล้วจะคิดประการใด ม้าเจ๊กจึงว่า ท่านหารู้จักทำการศึกไม่ โบราณว่าจะทำสงครามให้ตั้งที่ตายก่อนแล้วจึงตั้งที่เปน แม้ข้าศึกล้อมเราไว้ให้ทหารทั้งปวงอดนํ้าก็เหมือนทำโทษใส่ตัวเอง ด้วยทำทหารเราอดน้ำแล้วหรือจะสู้ตายกับที่ ก็จะมีใจกำเริบโกรธมุขึ้น ถึงมาทว่าคนหนึ่งจะสู้ได้ตั้งร้อยคน จะหักออกไปให้จงได้ ข้าศึกก็จะแตกกระจายไป ตัวเราก็ได้เรียนรู้ในกลสงคราม ทำการศึกมาก็หลายครั้ง ถึงมหาอุปราชก็ได้ปรึกษาหารืออยู่เนือง ๆ เหตุไฉนตัวท่านเพียงนี้จะมาดูหมิ่นขัดขวางเรา
อองเป๋งจึงว่า ถ้าท่านมิฟังจะยกทหารขึ้นไปตั้งบนเขาก็ตามใจ ขอแบ่งทหารให้ข้าพเจ้ากึ่งหนึ่งเถิดจะไปตั้งค่ายอยู่ข้างทิศใต้ แม้ข้าศึกยกมาล้อมท่านข้าพเจ้าจะได้รบพุ่งต้านทานไว้ แลขณะเมื่อพูดกันอยู่พอชาวบ้านป่าพวกหนึ่งแตกมาบอกว่า บัดนี้ทหารสุมาอี้ยกกองทัพมาจะใกล้ถึงตำบลนี้แล้ว ม้าเจ๊กแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่อองเป๋งว่า เราจะแบ่งทหารให้ท่านห้าพันจงไปตั้งค่ายอยู่เถิด เราก็จะยกทัพขึ้นไปตั้งบนเขา ถ้าแลทำการกำจัดข้าศึกเสียได้มีชัยชนะแล้ว เราก็มิบอกความชอบให้แก่ท่าน อองเป๋งรับเอาทหารแล้วก็ยกไปตั้งค่ายอยู่ไกลเขาทางประมาณร้อยเส้น จึงทำเปนแผนที่รีบให้คนเอาไปแจ้งแก่ขงเบ้ง
ฝ่ายสุมาอี้จึงใช้สุมาเจียวผู้บุตร คุมทหารยกไปสอดแนมดูสั่งว่า ถ้าไปถึงตำบลเกเต๋งอย่าเพ่อวู่วามจงยับยั้งซับทราบดู แม้เห็นขงเบ้งให้ทหารยกไปตั้งอยู่แล้วจงรีบมาบอกให้แจ้ง ขณะนั้นสุมาเจียวยกไปสอดแนมดู เห็นทหารขงเบ้งไปตั้งอยู่จึงกลับมาบอกแก่สุมาอี้ผู้บิดา
สุมาอี้แจ้งดังนั้นทอดใจใหญ่ว่า ขงเบ้งนี้มีปัญญารู้ตลอดล่วงไปประดุจหนึ่งเทพดา เรานี้รู้มิถึงเลย สุมาเจียวจึงว่า เหตุใดบิดามาด่วนเสียใจฉนี้เล่า ข้าพเจ้าเห็นว่าตำบลเกเต๋งนั้นแม้จะรบเอาก็ได้ง่าย ไม่พักวิตกเลย สุมาอี้จึงถามว่า เหตุไฉนจึงมาเจรจาประมาทฉนี้ สุมาเจียวจึงว่า ข้าพเจ้าไปสอดแนมดู เห็นตำบลเกเต๋งนั้นทหารขงเบ้งจะได้ตั้งค่ายอยู่ในที่สำคัญหามิได้ ขึ้นไปตั้งอยู่บนเขา สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ยินดีจึงว่า แม้ฉนั้นก็เหมือนเทพดาช่วยเรา จะได้ให้ความชอบเปนมั่นคง แล้วสุมาอี้แต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าคุมทหารประมาณร้อยเศษรีบไปถึงตำบลเกเต๋ง เที่ยวดูท่าทางจะเข้าออกรอบเขานั้นแล้วก็กลับมา
ขณะนั้นม้าเจ๊กจึงสั่งทหารทั้งปวงว่า ถ้าเห็นทหารสุมาอี้ยกมาถึงตำบลนี้แล้ว เราโบกธงสำคัญขึ้นเมื่อใด ก็ให้กรูกันลงจากเขาเข้ารบพุ่งตีทหารสุมาอี้ให้แตกไปจงได้
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นกลับมาแล้วก็ยังไม่แจ้งว่าที่ตำบลเกเต๋งนั้นผู้ใดมาตั้ง อยู่ จึงใช้ให้ทหารคนหนึ่งไปสืบดู ทหารกลับมาบอกว่าตำบลเกเต๋งนั้นม้าเจ๊กน้องม้าเหลียงคุมทหารมาตั้งอยู่ สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่าม้าเจ๊กคนนี้ปรากฎก็แต่ชื่อ เปนคนหาปัญญาไม่ ขงเบ้งใช้คนโฉดเขลาฉนี้ก็จะเสียการเปนมั่นคง แล้วจึงถามทหารว่า จะยกมาตั้งอยู่แต่ม้าเจ๊กกองเดียวหรือ ๆ มีทหารตั้งอยู่แห่งใดบ้าง ทหารจึงบอกว่า อองเป๋งคุมทหารตั้งอยู่ไกลเขาออกไปทางประมาณร้อยเส้นนั้นค่ายหนึ่ง
สุมาอี้จึงให้เตียวคับยกไปตั้งสกัดต้นทางไว้ หวังมิให้อองเป๋งมาช่วยกันได้ แล้วให้ซินต๋ำซินหงีสองนายยกทหารไปตั้งปิดทาง ซึ่งทหารม้าเจ๊กจะลงมาตักน้ำกินนั้นเสีย จึงสั่งว่าถ้าเห็นเราทำการได้ท่วงทีแล้วก็ให้ช่วยกัน สุมาอี้จัดแจงกองทัพเสร็จไว้แต่ในเวลากลางคืน ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ให้ยกทหารมา กองทัพสุมาอี้ตั้งล้อมเขาไว้
ฝ่ายม้าเจ๊กเห็นสุมาอี้ยกเข้าล้อมไว้ดังนั้นก็โบกธงสัญญาจะให้ทหารทั้ง ปวงลงมาตีทัพสุมาอี้ ทหารม้าเจ๊กเห็นข้าศึกมาล้อมอยู่เปนอันมากก็กลัวมิอาจลงมารบพุ่งได้แต่เรรวน อยู่ ม้าเจ๊กเห็นทหารทั้งปวงย่อท้อแก่ข้าศึกมิได้ลงมารบพุ่งก็โกรธ จับนายกองทหารสองคนฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็กลัว ม้าเจ๊กจึงลงจากยอดเขาเข้ารบพุ่งด้วยทหารสุมาอี้เปนสามารถ ทหารสุมาอี้รบต้านทานไว้ไม่เปิดช่องให้ ทหารม้าเจ๊กจะหักออกมามิได้เหลือกำลังก็ถอยกลับขึ้นไป ม้าเจ๊กเห็นออกมามิได้ก็เสียใจ จึงให้ตั้งมั่นไว้บนเขาคอยกองทัพจะยกมาช่วย
ฝ่ายอองเป๋งเห็นสุมาอี้ให้ทหารเข้าล้อมเขาไว้ ก็ยกมาจะช่วยม้าเจ๊ก พอพบกองทัพเตียวคับตั้งสกัดทางอยู่ ก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ ทหารเตียวคับก็ตีต้านไว้มามิได้จึงถอยกลับไป สุมาอี้กำชับตรวจตราทหารให้ล้อมเขาไว้เปนกวดขัน แต่เวลาเช้าจนเที่ยง ทหารม้าเจ๊กจะลงมาตักน้ำกินมิได้ต่างคนเรรวนระส่ำระสายนัก อยู่มิได้ก็ลอบหนีลงมาเข้านบนอบสุมาอี้เปนอันมาก ทหารซึ่งยังอยู่บนเขามิลงมานั้น สุมาอี้ก็สั่งทหารให้เอาไฟจุดเผาล้อมขึ้นไป ทหารม้าเจ๊กก็ตื่นร่นเปนอลหม่าน ม้าเจ๊กเสียทีจะอยู่ต้านทานมิได้ก็พาทหารหักลงมา สุมาอี้ก็แกล้งให้ทหารแยกทางให้ม้าเจ๊กหนีไป
เตียวคับเห็นม้าเจ๊กแตกมา ก็ขับทหารไล่ติดตามกระชั้นจะจับเอาตัว พออุยเอี๋ยนรู้ยกทหารรีบมาช่วย พบม้าเจ๊กแตกมาก็แหวกทางให้ออกข้างหลัง อุยเอี๋ยนก็ขับทหารเข้ารบพุ่งด้วยเตียวคับ ๆ สู้มิได้ก็ถอยหนี อุยเอี๋ยนได้ทีก็ไล่ตามรบพุ่งกระชั้นไปจะตีคืนเอาเกเต๋งด้วย ครั้นรีบตามมาทางประมาณห้าสิบเส้น สุมาอี้กับสุมาเจียวพ่อลูกยกทหารมาตั้งซุ่มอยู่ก็ออกกระหนาบตีอุยเอี๋ยนทั้ง สองข้างทาง เตียวคับเห็นดังนั้นก็กลับรบสวนทางลงมา อุยเอี๋ยนเข้าอยู่ในหว่างกลางรบพุ่งฆ่าฟันตลุมบอนกันเปนอลหม่าน
ขณะนั้นทหารอุยเอี๋ยนตายในที่รบกึ่งหนึ่ง พออองเป๋งยกทหารมาทันเห็นสุมาอี้ล้อมอุยเอี๋ยนเข้าไว้ ก็ตีกระทบเข้าไปช่วยอุยเอี๋ยน ๆ เห็นอองเป๋งก็มีความยินดีจึงว่า ทีนี้เราไม่ตายแล้ว สองนายก็คุมทหารบัญจบกันระดมตีกองทัพสุมาอี้ ฆ่าฟันทหารล้มตายลงเกลื่อนทั้งสองข้าง สุมาอี้กับสุมาเจียวเตียวคับก็ถอยทหารพ่ายออกมา อุยเอี๋ยนกับอองเป๋งก็พากันกลับไปจะเข้าค่าย พอมาจะใกล้ถึงแลไปเห็นธงปักไสวอยู่ปลายค่าย ก็รู้ว่าข้าศึกเข้าชิงเอาค่ายได้แล้ว จึงให้ทหารรออยู่
ฝ่ายซินต๋ำซินหงีซึ่งเข้าอยู่ในค่าย เห็นอุยเอี๋ยนอองเป๋งกลับมาจะเข้าค่าย ก็คุมทหารยกออกมาต้านทานไว้ อุยเอี๋ยนอองเป๋งก็พาทหารหนีจะไปหาโกเสียง ณ เมืองหลิวเซีย ขณะนั้นโกเสียงแจ้งว่าเกเต๋งเสียก็ยกทหารมาช่วย พอพบอุยเอี๋ยนกับอองเป๋งแตกมาก็ไต่ถามแจ้งเหตุทั้งปวงทุกประการแล้วจึงว่า เวลาคํ่าวันนี้เราจะช่วยกันยกทหารเข้าปล้นเอาค่ายเกเต๋งคืนให้จงได้ ครั้นปรึกษาพร้อมกันแล้ว เวลาคํ่าก็แยกทหารออกเปนสามกอง ให้อุยเอี๋ยนยกไปเปนกองหน้า โกเสียงก็ยกทหารตามไป
ครั้นอุยเอี๋ยนยกมาถึงตำบลเกเต๋ง เห็นค่ายเปล่าอยู่มิได้มีผู้คนรักษาก็คิดว่าสุมาอี้แกล้งทำกลไว้ จึงให้รอทหารอยู่แต่นอกค่าย โกเสียงก็รีบยกทหารตามมาทันเช้า จึงปรึกษากันว่า บัดนี้เรายกมาเห็นแต่ค่ายเปล่ามิได้เห็นทหารสุมาอี้จะตั้งอยู่แห่งใดตำบลใด ก็ยังไม่รู้ อนึ่งอองเป๋งก็ยังมิมาถึงพร้อมกัน ว่ายังมิทันขาดคำก็ได้ยินประทัดจุดขึ้นทหารโห่ร้องเอิกเกริกก็ตกใจ แลไปเห็นแสงเพลิงจุดไหม้มาริมสองข้างทาง ทหารทั้งปวงก็ร่นเข้าหากัน ฝ่ายสุมาอี้ก็ให้ทหารล้อมโกเสียงกับอุยเอี๋ยนเข้าไว้ อุยเอี๋ยนกับโกเสียงก็ขับทหารเข้ารบพุ่งตลุมบอนกันอยู่ พออองเป๋งยกทหารมาตามเนินเขา เห็นโกเสียงกับอุยเอี๋ยนรบพุ่งกับสุมาอี้ดังนั้น ก็ให้จุดประทัดสัญญาขับทหารเข้าโจมตีหักกลางเข้าไปช่วยโกเสียงกับอุยเอี๋ยน ทหารล้มตายเปนอันมาก ก็พาอุยเอี๋ยนกับโกเสียงออกจากที่ล้อมได้ จะหนีกลับไปเมืองหลิวเซีย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 72
https://drive.google.com/file/d/1eGL3z2mkQgmLUMNf2fGgVOTSgdwhz03l/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #2 on:
23 December 2021, 22:03:40 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 73
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-73.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 73
เนื้อหา
• สุมาอี้ชิงตีเมืองหลิวเซียได้ก่อนโจจิ๋น
• ขงเบ้งดีดพิณลวงสุมาอี้
• จูล่งตีกองทัพที่ติดตามขงเบ้ง
• ขงเบ้งลงโทษม้าเจ๊ก
ขณะ นั้นโจจิ๋นซึ่งรักษาเมืองไปเซีย รู้ข่าวว่าสุมาอี้ตีได้เกเต๋งแล้ว ก็คิดว่าสุมาอี้มีความชอบครั้งนี้เปนอันมาก จึงแต่งให้โกฉุยคุมทหารยกมาจะชิงเอาเมืองหลิวเซียแบ่งเอาความชอบบ้าง พอมาถึงกลางทางก็พบโกเสียงอองเป๋งกับอุยเอี๋ยนแตกมา ก็ขับทหารเข้ารบพุ่งล้มตายลงทั้งสองฝ่าย โกเสียงอองเป๋งอุยเอี๋ยนเสียกำลังทหารเบาบางลงจะสู้โกฉุยมิได้ ก็พาทหารหนีจะไปเข้าด่านยังเบงก๋วน
โกฉุยเห็นอุยเอี๋ยนพ่ายไปแล้ว จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้งนี้ถึงมาทว่ามิได้เกเต๋ง แต่ได้เมืองหลิวเซียก็เปนความชอบมากอยู่ จึงขับทหารให้รีบไป ครั้นถึงเชิงกำแพงแลเห็นธงปักไสวอยู่บนเสมาก็รอทหารไว้ สุมาอี้รู้ว่าโกฉุยยกมาก็ขึ้นบนหอรบเยี่ยมหน้าร้องสัพยอกออกไปว่า เปนไฉนโกฉุยท่านจึงยกมาช้าล้าหลังฉนี้เล่า
โกฉุยเห็นสุมาอี้อยู่บนหอรบร้องออกมาก็อายใจ คิดว่าสุมาอี้นี้สามารถดังเทพดา ที่ไหนความคิดเราจะเสมอด้วย โกฉุยก็เข้าไปในเมืองคำนับสุมาอี้ตามประเพณี สุมาอี้บอกว่า บัดนี้เกเต๋งเปนที่สำคัญนักเราก็ได้แล้ว เห็นขงเบ้งจะยกหนีเปนมั่นคง ท่านกับโจจิ๋นจงคุมทหารยกไปติดตามจับตัวขงเบ้งให้จงได้ โกฉุยรับคำสุมาอี้คำนับแล้วก็กลับมา
สุมาอี้จึงว่ากับเตียวคับว่า โจจิ๋นให้โกฉุยยกมาทั้งนี้ปราถนาจะแบ่งเอาความชอบของเราก็ค้างอยู่ ตัวเราเล่าก็มิได้ตั้งใจที่จะเอาความชอบแต่ผู้เดียว เปนบุญของเราก็ได้ตลอดโดยสดวกเอง แลบัดนี้โกเสียงอุยเอี๋ยนอองเป๋งม้าเจ๊กสี่คนแตกไปนั้น เห็นจะเข้าไปตั้งอยู่ด่านยังเบงก๋วน ครั้นเราจะยกไปตีบัดนี้เล่าก็เกรงขงเบ้งจะยกทหารตีประทับหลังเข้าจะเสียที ท่านจงคุมทหารยกไปตั้งสกัดอยู่กลางทางที่จะเข้าไปค่ายยังเบงก๋วน เราจะยกกองทัพไปตีขงเบ้งตำบลจำก๊ก แต่ทว่าจะเดิรกองทัพไปทางเมืองเสเสียจึงจะได้ ด้วยเมืองเสเสียนั้นขงเบ้งซ่องสุมสเบียงอาหารไว้เปนอันมากเปนที่สำคัญอยู่ ถ้าเราได้เมืองเสเสียแล้ว ก็จะได้เมืองลำอั๋นเมืองเทียนซุยด้วย เพราะเปนทางร่วมตลอดถึงกัน ถ้าแลขงเบ้งหนีมาถึงที่ท่านซุ่มทหารอยู่ จงยกออกตีตัดเอาสเบียงให้จงได้ เตียวคับรับคำก็คำนับลายกทหารไป สุมาอี้จึงแต่งให้ซินต๋ำซินหงีอยู่รักษาเมืองหลิวเซีย จัดแจงกองทัพแล้วก็ยกมา
ฝ่ายคนใช้ซึ่งอ๋องเป๋งให้เอาแผนที่ไปแจ้งแก่ขงเบ้งนั้นมาถึง จึงเอาแผนที่ให้แล้วแจ้งเนื้อความที่รู้เห็นทุกประการ ขงเบ้งคลี่แผนที่ออกพิเคราะห์ดูแล้วก็เอาฝ่ามือตีลงตํ้าผางว่า ไฉนม้าเจ๊กจึงไปตั้งค่ายบนเขาฉนี้ แม้ข้าศึกยกมาล้อมไว้ปิดทางน้ำเสีย ทหารทั้งปวงก็จะเกิดจลาจลกันขึ้นเองจะมิเสียการแล้วหรือ ทำทั้งนี้จะแกล้งฆ่าทหารเราตายสิ้น เอียวหงีจึงว่า ถ้าม้าเจ๊กจะทำให้เสียการฉนี้ ข้าพเจ้าจะอาสาไปรักษาเกเต๋งเอง จะเปลี่ยนให้ม้าเจ๊กกลับมาเสีย
ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบ ถ้ากระนั้นอย่าช้าเลย จงเร่งจัดทหารรีบยกไปเถิด เอียวหงีก็รับคำมาจัดแจงทหารยกไป พอม้าใช้เข้ามาแจ้งว่า บัดนี้เกเต๋งแลเมืองหลิวเซียนั้นแตกแล้ว ขงเบ้งรู้ดังนั้นก็กระทืบเท้าร้องไห้ว่า การใหญ่ของเราครั้งนี้เสียแล้ว จะเสียทหารทั้งปวงสิ้น จึงสั่งกวนหินเตียวเปาให้คุมทหารนายละสามพันยกไปซุ่มอยู่ที่ทางน้อยริมเขาบุ กองสันแล้วกำชับว่า ถ้าเห็นทหารสุมาอี้ยกมาก็อย่าให้ออกรบพุ่งเลย แต่ตีม้าฬ่อโห่ร้องไว้ให้กลัว แม้ว่าทหารสุมาอี้กลับถอยไปก็อย่าให้ติดตาม จงยกทหารรีบไปด่านยังเบงก๋วน
ขงเบ้งก็ให้ทหารทั้งปวงตระเตรียมสเบียงอาหารให้พร้อม จึงให้เตียวเอ๊กคุมทหารเปนกองหน้า สำหรับจะได้ชำระทางให้ทหารไปได้โดยสดวก เกณฑ์เกียงอุยม้าต้ายสองนายเปนกองหลัง ให้ตั้งรอปากทางป้องกันทหารทั้งปวงซึ่งจะยกไปอย่าให้มีอันตราย จึงแต่งคนให้รีบไปบอกผู้ซึ่งรักษาเมืองเทียนซุยเมืองลำอั๋นเมืองเสเสีย ทั้งสามเมืองให้ทิ้งเมืองเสีย ให้รีบยกหนีเข้าไปเมืองฮันต๋งเถิด แล้วจึงใช้ทหารไปรับมารดาเกียงอุยซึ่งเข้ามาเกลี้ยกล่อมนั้นเข้าไปเมืองด้วย ขงเบ้งจัดแจงเสร็จแล้วก็คุมทหารห้าพันยกไปเมืองเสเสีย ครั้นถึงจึงเกณฑ์ทหารสองพันห้าร้อยไปขนเข้าปลาอาหารทุกตำบล แล้วตัวขงเบ้งนั้นก็คุมทหารกึ่งหนึ่งเข้าตั้งอยู่ในเมือง
ขณะนั้นม้าใช้มาบอกว่า สุมาอี้ยกทหารมาแล้ว ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจ ทหารทั้งปวงก็หน้าซีดไปสิ้นทุกคน ขงเบ้งน้อยตัวแลทหารผู้ใหญ่ก็ไม่อยู่ มิรู้ที่จะสู้รบประการใด จึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน เห็นทหารสุมาอี้ยกมาเปนอันมาก ดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย จึงให้ทหารรื้อถอนธงที่ปักไว้บนกำแพงนั้นลงเสียสิ้น แล้วให้เปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน จัดทหารแลชาวบ้านให้กวาดทางประตูเมืองเปนปรกติอยู่ประตูละยี่สิบคน มิให้สดุ้งสเทือน แล้วก็ขับให้ทหารทั้งปวงเข้าซุ่มเสียมิให้พูดจากันเปนปากเสียง จึงว่าเราจะคิดกลอุบายอันหนึ่งให้สุมาอี้ถอยไปจงได้ ถ้าผู้ใดเจรจากันอื้ออึงไปจะตัดสีสะเสีย สั่งแล้วขงเบ้งก็แต่งตัวอ่าโถงพาเด็กน้อยสองคนขึ้นไปบนหอรบให้เด็กนั้นถือ กระบี่คนหนึ่ง ๆ ถือแซ่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง แล้วตั้งกระถางธูปบูชาไว้ข้างหน้า ก็นั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่
ฝ่ายทหารกองหน้าสุมาอี้ยกเข้ามาใกล้เชิงกำแพงเมือง แลขึ้นไปดูบนหอรบเห็นขงเบ้งนั่งดีดกระจับปี่อยู่ก็คร้ามใจ กลับออกไปบอกสุมาอี้ว่า บัดนี้ข้าพเจ้ายกเข้าถึงเชิงกำแพง เห็นเมืองเงียบอยู่ มีแต่คนประตูละยี่สิบคนนั่งกวาดหยากเยื่อเฉยอยู่ แล้วตัวขงเบ้งนั้นขึ้นนั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่บนหอรบเห็นประหลาทนัก จะเข้าเมืองนั้นก็เกรงจะถูกกลขงเบ้ง จึงกลับมาบอกท่าน
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ขงเบ้งนี้จะอาจกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อจะไปดูเอง สุมาอี้ขึ้นม้าพาทหารไปประมาณยี่สิบคน ยืนอยู่แต่ไกลเชิงกำแพง แลขึ้นไปเห็นขงเบ้งแต่งตัวอ่าโถง หน้าตาแช่มชื่นบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเปนการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหามีความสดุ้งใจไม่ กลับดีดกระจับปี่เล่นเสียอีกเล่า ชรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราเปนมั่นคง คิดฉนั้นแล้วก็กริ่งใจกลัวว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไป ความกลัวมิทันจะจัดแจงทหาร ก็ให้กองหน้าเปนกองหลังขับทหารรีบถอยออกมา
สุมาเจียวผู้บุตรจึงห้ามว่า เหตุไฉนบิดาจึงมากลัวขงเบ้งดังนี้ ขงเบ้งนี้เปนคนสิ้นทหารสุดความคิดสู้เรามิได้แล้ว ก็ซังตายแขงใจทำกลเปล่า ๆ อยู่
สุมาอี้จึงว่า ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความยังมิรู้สันทัดเคยกลขงเบ้ง อันขงเบ้งเปนคนมีสติปัญญาชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเปนผู้ใหญ่แก่ในการศึกนั้นมิ บังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไปก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้งพากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่าเราจะเชื่อฟังมิได้ แล้วก็เร่งขับทหารทั้งปวงให้รีบไป
ขงเบ้งเห็นสุมาอี้ยกทหารกลับไปก็ตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงจึงถามว่า สุมาอี้ยกทหารมาถึงสิบห้าหมื่นจะทำร้ายท่าน การจวนตัวอยู่ถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงมิกลัวยังตบมือหัวเราะเสียอีกเล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราหัวเราะทั้งนี้เพราะเห็นสุมาอี้รู้มิเท่าเรา สำคัญว่าเราซุ่มทหารไว้ก็ตกใจกลัวหนีไปเอง อันกลอุบายนี้เรามิทำก็จำทำ ด้วยจนใจจวนตัวอยู่แล้วก็จำเปน แลสุมาอี้กลับไปครั้งนี้เห็นจะไปทางน้อยริมเขาบุกองสันเปนมั่นคง ก็จะพบกองทัพกวนหินเตียวเปาซึ่งไปซุ่มอยู่ จะต้องด้วยกลของเราทำไว้จะไม่เสียทีเปล่า
ทหารทั้งปวงได้ฟังขงเบ้งว่าก็ยินดี ชวนกันลงมาคำนับแล้วว่า ถ้าเปนใจข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ที่ไหนจะแข็งใจอยู่ได้ ก็จะทิ้งเมืองเสียพากันหนีไป ขงเบ้งจึงว่า ถ้าจะทำใจอ่อนทิ้งเมืองเสียเหมือนท่านว่านั้น ทหารเราสองพันห้าร้อยสักหยิบมือหนึ่งหรือจะหนีทหารสิบห้าหมื่นพ้น เขาก็จะไล่จับเอาดังหนู ประเดี๋ยวหนึ่งก็จะจูงจมูกมาได้สิ้น ว่าแล้วก็ตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงก็ดีใจ ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้สุมาอี้ถอยทัพไปด้วยกลของเรานั้น ดีร้ายก็จะยกกลับมาทำร้ายอีกจะไว้ใจมิได้ ก็ให้กวาดครอบครัวอพยพชาวเมืองทั้งปวงลาดถอยทัพมายังเมืองฮันต๋งสิ้น
ฝ่ายสุมาอี้ยกมาถึงตำบลเขาบุกองสัน ได้ยินเสียงทหารกวนหินเตียวเปา ซึ่งตั้งซุ่มอยู่บนเขานั้นโห่ร้องสนั่นลงมาก็ตกใจ จึงว่าแก่สุมาหูสุมาเจียวผู้บุตรว่า แม้เรามิรีบหนีมาก็จะต้องกลของขงเบ้งจริง ว่ายังมิทันขาดคำก็แลไปเห็นกองทัพยกลงมาจากเนินเขา มีธงดำแม่ทัพจารึกอักษรปรากฎชื่อว่าเตียวเปาทหารใหญ่ ทหารทั้งปวงตกใจกลัวทิ้งศัสตราวุธเสีย วิ่งหนีร่นถอยหลังมาถึงปากทางจะออกทางใหญ่ เห็นกองทัพยกสกัดลงมาอีกกองหนึ่ง มีธงแดงจารึกชื่อว่ากวนหินนายทหาร แล้วได้ยินเสียงโห่สนั่นอยู่ในป่านั้นบ้าง
สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งทำกลอุบายซุ่มทหารไว้ก็ตกใจ ทหารทั้งปวงกลัวทิ้งสเบียงอาหารเครื่องศัสตราวุธเสียเปนอันมาก แตกตื่นกันเปนอลหม่าน กวนหินเตียวเปาสองนายก็มิได้ไล่ติดตามไปตามขงเบ้งสั่ง เก็บได้สเบียงอาหารเครื่องศัสตราวุธทั้งปวงแล้วก็รีบลาดทัพถอยมา
ฝ่ายโจจิ๋นรู้ว่ากองทัพของขงเบ้งเลิกไป ก็รีบยกทหารตามมาถึงปากทาง ซึ่งเกียงอุยม้าต้ายตั้งสกัดอยู่ ก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ เกียงอุยม้าต้ายฆ่าฟันทหารโจจิ๋นล้มตายเปนอันมาก โจจิ๋นเสียทีสู้มิได้ก็ถอยทัพกลับหลังไป เกียงอุยม้าต้ายได้ชัยชนะแล้วก็ยกทหารกลับมาเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายจูล่งเตงจี๋ซึ่งยกมาตั้งอยู่ตำบลกิก๊กนั้น แจ้งว่าขงเบ้งเลิกทัพมาจากเขาบุกองสันแล้ว ก็ปรึกษากันกับเตงจี๋ว่า บัดนี้กองทัพตำบลเขาบุกองสันก็เลิกไปแล้ว เห็นว่าสุมาอี้จะยกติดตามมามั่นคง ท่านจงจารึกธงลงอักษรเปนชื่อเรา ถ้าเห็นสุมาอี้ตามมาจงคุมทหารรีบหนีไปทางใหญ่ ตัวเราจะคุมทหารซุ่มเดิรตามราวป่า ทหารสุมาอี้เห็นน้อยตัวก็จะไล่กระชั้นไป เราจะบากทางออกตีกระทบหลัง ท่านจงกลับหน้าลงมารบต้านไว้ ทหารสุมาอี้ก็จะแตกไป ครั้นปรึกษากันแล้วก็ยกทหารออกเดิรตามกำหนดกัน
ฝ่ายโกฉุยยกมาตามคำสุมาอี้ครั้งนั้น ก็กำชับเชาหูว่าตัวท่านคุมทหารเปนกองหน้าไปบัดนี้ จงดูอัชฌาสัยอย่าประมาทแก่ข้าศึก ถ้าเห็นทหารจูล่งหนีแล้วจงอย่าได้กระชั้นไล่ขึ้นไป รอรั้งทหารดูท่วงทีก่อน ด้วยจูล่งนั้นเปนคนเจ้าความคิด มักแต่งกลล่อลวงข้าศึกให้เสียที แล้วก็มีฝีมือเข้มแขงนัก ให้เร่งถอยเสีย
เชาหูจึงว่า ท่านอย่าปรารมภ์เลย ทำไมกับฝีมือจูล่ง ข้าพเจ้ามิได้กลัว ขอให้ท่านยกทหารหนุนไปให้ทันทีเถิด ถ้าพบจูล่งแล้วข้าพเจ้าจะจับเอาตัวให้ได้ เชาหูก็ยกทหารสามพันรีบมาถึงตำบลกิก๊ก เห็นทัพเตงจี๋เดิรรีบหนีไปตามทางใหญ่มีธงสำคัญชื่อจูล่ง ก็คิดว่ากองทัพจูล่งจริง จึงขับทหารตามกระชั้นไปทางประมาณสามสิบเส้น
จูล่งเห็นเชาหูไล่ล่วงขึ้นไป ก็ให้ทหารจุดประทัดโห่ร้องออกมาข้างหลังร้องว่า กูชื่อจูล่งรู้จักหรือไม่ เชาหูเหลียวหลังมาเห็นจูล่งก็ตกใจ ชักม้าจะกลับหน้าออกมาสู้กำลังขวางตัวอยู่ จูล่งก็แทงด้วยทวน เชาหูปัดมิทันถูกสีข้างตกม้าตาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็แตกหนีเข้าป่าสิ้น จูล่งก็ขับทหารรีบตามเตงจี๋มา
แลขณะเมื่อจูล่งรบกับเชาหูนั้น ได้ยินเสียงโห่เอิกเกริกอยู่ข้างหน้า โกฉุยก็ใช้ให้บั้นเจ้งคุมทหารรีบยกขึ้นไปดู จูล่งเห็นทหารยกตามมาก็รออยู่แต่ผู้เดียว จนเตงจี๋ยกทหารไปไกลทางประมาณสามร้อยเส้น บั้นเจ้งแลไปจำสำคัญได้ว่าจูล่งก็กลัวมิอาจจะตามไป จึงให้หยุดทหารอยู่ จูล่งคอยอยู่จนเวลาเย็นแล้ว ไม่เห็นทหารตามมาก็ขับม้าเดิรไปเปนปรกติ
ครั้นโกฉุยยกมาทันบั้นเจ้ง ๆ จึงบอกว่าข้าพเจ้ามาพบจูล่ง ครั้นจะขับทหารติดตามรบพุ่งไปก็เกรงอยู่ ด้วยจูล่งนั้นมีฝีมือกล้าแขงนัก จึงรอท่าท่านอยู่ โกฉุยแจ้งดังนั้นก็มิฟังให้บั้นเจ้งขับทหารรีบตามไป บั้นเจ้งก็คุมทหารร้อยหนึ่งติดตามมาถึงทางซอกเขา ได้ยินเสียงจูล่งร้องตวาดขึ้นแล้วขับทหารทลวงออกมา ทหารทั้งปวงเห็นก็ตกใจพากันวิ่งหนีบุกเข้าไปในป่า บั้นเจ้งก็แขงใจชักม้าเข้าไปต่อสู้จูล่ง ๆ ยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกหมวกบั้นเจ้งพลัดตกจากสีสะก็สดุ้งกลัวตกลงมาจากม้า จูล่งก็ขับม้าสอึกเข้าไปเอาปลายทวนจ่อหัวอกไว้แล้วจึงว่า แม้จะฆ่ามึงเสียบัดนี้ก็เหมือนฆ่าสตรีหาต้องการไม่ กูปล่อยเสียให้ทานชีวิต แล้วมึงเร่งกลับไปบอกให้นายมึงรีบยกมาสู้กับกูเถิดกูจะคอยท่าอยู่ บั้นเจ้งมีความยินดี ก็ขึ้นม้ากลับไปบอกแก่โกฉุยทุกประการ โกฉุยแจ้งดังนั้นก็กลัวมิได้ยกทหารตามไป จูล่งก็ขับม้าตามเตงจี๋ป้องกันทหารทั้งปวงมิได้มีอันตรายสิ่งใดจนถึงเมือง ฮันต๋ง ฝ่ายโจจิ๋นกับโกฉุยก็พากันยกกลับมาจะตีเอาเมืองเทียนซุยกับเมืองลำอั๋นเมือง ฮันต๋ง
ขณะนั้นสุมาอี้ยกทหารมาถึงกลางทาง แจ้งกิตติศัพท์ว่าขงเบ้งยกทหารเลิกไปจากเมืองเสเสียแล้ว ก็ให้กลับพลทหารคืนมาเข้าเมืองเสเสีย จึงให้สืบถามชาวบ้านชาวเมืองทั้งปวงว่า ขงเบ้งมาตั้งอยู่ในเมืองเสเสียนี้มีทหารอยู่สักเท่าใด หญิงชายทั้งนั้นจึงบอกว่า เมื่อขงเบ้งยกทหารมาตั้งอยู่นั้นมีทหารสองพันห้าร้อยแต่ล้วนพลเรือน ทหารที่มีฝีมือนั้นก็หามีไม่
อนึ่งกวนหินเตียวเปาซึ่งไปตั้งอยู่ตำบลเขาบุกองสันนั้นเล่า ก็มีทหารนายละสามพันทำกลวิ่งสับสนเปลี่ยนกันไปหัวเขาท้ายเขา จะได้มีทหารอื่นซุ่มซ่อนอยู่นอกนั้นอีกหามิได้ สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็เอามือตบอกเข้าว่า เรามิรู้เท่าความคิดขงเบ้งเลย ครั้นสุมาอี้พักทหารอยู่เมืองเสเสียจัดแจงบ้านเมืองเปนปรกติแล้ว ก็ยกทหารกลับไปเมืองเตียงอั๋น จึงทูลพระเจ้าโจยอยตามซึ่งได้ทำการรบพุ่งนั้นทุกประการ
พระเจ้าโจยอยได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดีจึงตรัสว่า ซึ่งท่านยกทหารไปกำจัดศัตรูกลับคืนเอาหัวเมืองได้ครั้งนี้ ก็เปนความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้ายกไปทำการกำจัดข้าศึกครั้งนี้ก็ยังมิราบคาบทีเดียว ด้วยทหารขงเบ้งนั้นแตกหนีกลับเข้าไปพักอยู่ในเมืองฮันต๋งนั้นได้มาก เห็นขงเบ้งจะซ่องสุมผู้คนกลับมาทำการอีก ข้าพเจ้าจะยกกองทัพใหญ่ไปตีเมืองฮันต๋งเสีย ถ้าได้เมืองฮันต๋งแล้ว เห็นว่าในขอบขัณธเสมานี้จะมีความสุขสืบไป
พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วยมีพระทัยยินดี จึงให้เกณฑ์ทหารทั้งปวงทุกหัวเมืองให้แก่สุมาอี้นั้นสิ้นเชิง ขณะนั้นซุนจู้เปนขุนนางผู้ใหญ่ จึงเข้ามาทูลห้ามพระเจ้าโจยอยว่า ครั้งพระอัยกาของพระองค์เมื่อยังเปนมหาอุปราชอยู่ ยกพลทหารไปตีเอาเมืองฮันต๋งนั้น ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสไว้ว่า เมืองฮันต๋งคับขันนัก ประดุจหนึ่งตั้งอยู่ในปากเหว หากบุญของเราจึงได้สำเร็จ แม้วาสนาหาไม่ก็จะพาทหารทั้งปวงตายเสียเหมือนหนึ่งตกลงในเหว พระองค์ก็มีสติปัญญาชำนาญในการสงครามยังออกโอษฐ์ถึงเพียงนี้
อนึ่งข้าพเจ้ามาเห็นว่าตำบลจำก๊กนั้นเล่าก็เปนเมืองแดนต่อแดน มีจังหวัดโดยรอบคอบทางถึงห้าพันเส้น แต่ล้วนซอกห้วยธารเขาป่าดงรกชัฏ หนทางที่จะยกพลทหารเดิรขบวรทัพไปนั้นก็ยากขัดสน ซึ่งจะยกไปเห็นจะได้ความลำบาก ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน จงกะเกณฑ์ทหารซึ่งมีฝีมือเปนผู้ใหญ่คุมทหารไปตั้งรักษาด่านทางให้มั่นคงจง ทุกตำบล อย่าให้ศัตรูล่วงเข้ามาได้ พักศึกอยู่ปลูกเลี้ยงบำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังแกลัวกล้าขึ้นไว้ คอยดูท่วงทีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง ด้วยเปนอริกันอยู่ เห็นว่าเมืองสองเมืองนี้ก็จะเกิดจลาจลกันขึ้นเองเปนมั่นคง ฝ่ายเราเห็นได้ทีแล้วจึงยกทหารเดิรสบายเข้าไปเอาเมืองเสฉวน ก็จะได้เปรียบดีกว่ารีบยกไปบัดนี้อีก
พระเจ้าโจยอยจึงถามสุมาอี้ว่า ซุนจู้ว่าดังนี้ท่านจะเห็นประการใด สุมาอี้จึงว่าซุนจู้ว่าดังนี้ก็ชอบอยู่ พระเจ้าโจยอยก็ให้สุมาอี้กะเกณฑ์ทหารยกไปรักษาด่านทางทุกตำบล แล้วก็ให้โกฉุยเตียวคับสองนายคุมทหารอยู่รักษาเมืองเตียงอั๋น จัดแจงบ้านเมืองสำเร็จแล้ว สุมาอี้ก็เชิญเสด็จพระเจ้าโจยอยยกไปอยู่เมืองลกเอี๋ยงเปนเมืองหลวง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกมาถึงเมืองฮันต๋งแล้ว จึงตรวจตรานายทหารทั้งปวงมิได้เห็นจูล่งกับเตงจี๋ก็ทุกข์ใจมีความวิตกนัก พอทหารเข้ามาบอกว่าจูล่งกับเตงจี๋คุมทหารยกมาข้างหลัง ผู้ใดมิได้เปนอันตรายแต่ม้าตัวหนึ่งก็มิได้ตาย ขงเบ้งได้ฟังก็ดีใจพาทหารทั้งปวงออกมารับจูล่งเตงจี๋ถึงประตูเมือง จูล่งเห็นดังนั้นก็ตกใจโจนลงจากม้าวิ่งไปคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ตัวข้าพเจ้าเปนทหารล่าทัพเสียทีข้าศึกมา เหตุไฉนมหาอุปราชจึงออกมารับ
ขงเบ้งเห็นจูล่งคำนับก็มีความยินดี จึงเอามือทั้งสองเข้าประคองตัวจูล่งแล้วก็ว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าผิดมิได้พินิจว่าคนดีแลชั่วใช้ไปจึงทำให้เสียการ ท่านทั้งหลายจึงได้ความลำบากทั้งนี้ก็เพราะเราผู้เดียว เสียทแกล้วทหารทุกหมวดทุกกองเปนอันมาก แต่ท่านผู้เดียวทำประการใดจึงมิได้มีอันตราย เตงจี๋จึงบอกความให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งได้แจ้งก็สรรเสริญว่า จูล่งนี้เปนทหารเอกหาผู้เสมอมิได้ แล้วก็พากันเข้ามา เอาทองสิบชั่งมาปูนบำเหน็จแก่จูล่ง กับแพรดีหมื่นพับให้แจกทหารทั้งปวง
จูล่งคำนับแล้วก็มิได้รับสิ่งของทั้งปวง ว่าตัวข้าพเจ้าเปนคนทัพแตกเสียการมา ก็หาความชอบสิ่งใดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าจะรับเอาสิ่งของทั้งนี้มิบังควร ขอมหาอุปราชให้เอาคืนเข้าไว้ในท้องพระคลังเถิด ถ้าถึงกำหนดเบี้ยหวัดแล้วจงเอาแจกทหารทั้งปวง ขงเบ้งจึงคิดว่า พระเจ้าเล่าปี่ว่าไว้ว่า จูล่งนี้เปนคนซื่อก็จริงทุกประการ แต่วันนั้นไปขงเบ้งก็มีความคารวะจูล่งเปนอันมาก ขณะนั้นพอคนเข้ามาบอกว่า บัดนี้ม้าเจ๊กอองเป๋งอุยเอี๋ยนโกเสียงมาถึงแล้ว
ขงเบ้งให้อองเป๋งเข้ามาแล้วถามว่า ตัวท่านเปนผู้ใหญ่ เราไว้ใจให้ไปรักษาตำบลเกเต๋งด้วยม้าเจ๊กได้กำชับว่ากล่าวไป เหตุไฉนมิได้ห้ามปราม ละให้ม้าเจ๊กขึ้นไปทั้งค่ายอยู่บนเขาให้เสียการทั้งนี้ อองเป๋งคำนับแล้วจึงบอกว่า ซึ่งมหาอุปราชกำชับแก่ข้าพเจ้าไปนั้นจะได้ละลืมเสียหามิได้ เมื่อไปถึงตำบลเกเต๋งนั้นข้าพเจ้าได้ทัดทานเปนหลายครั้ง ม้าเจ๊กขึ้งโกรธมิฟังข้าพเจ้าจึงเสียการไป แล้วอองเป๋งก็แจ้งเนื้อความให้ฟังสิ้นทุกประการ
ขงเบ้งแจ้งแล้วก็ขับอองเป๋งออกไปเสีย จึงให้หาม้าเจ๊ก ๆ รู้ว่าโทษตัวผิดใหญ่หลวง จึงมัดตัวเองเข้ามาหน้าขุนนางทั้งปวง ขงเบ้งจึงถามว่า ตัวท่านมีสติปัญญาได้เรียนรู้ในกลสงครามมาแต่น้อยจนใหญ่ แลขันอาสาไปครั้งนี้เราก็ได้กำชับเปนกวดขัน ว่าตำบลเกเต๋งนั้นเปนที่สำคัญอยู่ ท่านอวดรู้ทำทานบนให้แก่เรา บัดนี้ก็ไม่เหมือนทานบนทำให้เสียการทั้งนี้โทษท่านก็ใหญ่หลวง ครั้นจะมิเอาโทษตามพระอัยการศึกนั้น สืบไปเบื้องหน้าทหารทั้งปวงก็จะดูเบาแก่ราชการ แม้ท่านตายเสียผู้เดียวก็จะเปนกฎหมายอย่างธรรมเนียมไป ราชการก็ไม่แปรปรวนฟั่นเฟือนเสีย ท่านอย่าน้อยใจเราเลย อันบุตรภรรยาอยู่ภายหลัง เราจะช่วยทำนุบำรุงเลี้ยงไปดังตัวท่านยังอยู่ เกิดมาเปนชาติทหารแล้ว อย่าได้อาลัยแก่ชีวิตเลย จงสู้ตายตามโทษานุโทษนั้นเถิด แล้วก็สั่งให้เอาม้าเจ๊กไปฆ่าเสีย ม้าเจ๊กก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษต่าง ๆ
ขงเบ้งเห็นม้าเจ๊กร้องไห้อ้อนวอนก็กลั้นน้ำตามิได้ ร้องไห้แล้วจึงว่าตัวท่านกับเรารักกันอยู่เหมือนพี่กับน้อง ซึ่งเราทำทั้งนี้ก็ตามกฎหมายอย่างธรรมเนียม ใช่จะมีใจชิงชังท่านหามิได้ อันบุตรภรรยาของท่านนั้นเราจะเลี้ยงไว้
พอว่าสิ้นคำลงทหารก็คุมเอาม้าเจ๊กออกไป ขณะเมื่อทหารจะลงดาบนั้น พอเจียวอ้วนมาแต่เมืองเสฉวนจึงห้ามให้งดไว้ ก็เข้าไปว่าแก่ขงเบ้งว่า ซึ่งม้าเจ๊กกระทำให้เสียการครั้งนี้โทษถึงตายอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าบ้านเมืองยังมิราบคาบ แลมหาอุปราชจะมาฆ่าทหารเอกเสียฉนี้หาเสียดายไม่หรือ ขงเบ้งจึงว่าเราทำทั้งนี้ใช่จะมีความขึ้งโกรธหามิได้ แม้จะละโทษม้าเจ๊กเสียทหารทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง พอว่ายังมิขาดคำทหารก็เอาสีสะม้าเจ๊กเข้ามาให้แก่ขงเบ้ง ๆ เห็นสีสะม้าเจ๊กก็ระลึกถึงคำเล่าปี่ว่าไว้แต่ก่อนก็ร้องไห้
เจียวอ้วนจึงถามว่า ม้าเจ๊กทำผิดท่านสั่งให้เอาไปประหารชีวิตเสีย แล้วเหตุใดจึงร้องไห้เล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราร้องไห้ทั้งนี้ใช่จะอาลัยด้วยรักม้าเจ๊กหามิได้ เราคิดถึงคำพระเจ้าเล่าปี่เมื่อมาพักอยู่เมืองเป๊กเต้นั้น จะใกล้ตายได้ว่าไว้แก่เราว่า ม้าเจ๊กนี้ปากรู้มากกว่าใจ ซึ่งจะใช้การใหญ่ไปภายหน้ามิได้ เราลืมไปมิได้คิด ครั้นเห็นสีสะม้าเจ๊กระลึกได้จึงร้องไห้
ขงเบ้งบอกดังนั้นแล้วก็ให้ทหารเอาสีสะไปเที่ยวตะเวนรอบเมือง จึงให้แต่งการศพตามประเพณีแล้ว ก็ให้เงินทองแก่บุตรภรรยาม้าเจ๊กเปนอันมาก ยิ่งกว่าตัวม้าเจ๊กยังมีชีวิตอยู่ ครั้นแล้วก็แต่งเปนเรื่องราวให้เจียวอ้วนไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความ ว่า ข้าพเจ้ายกทหารไปทำการรบพุ่งด้วยสุมาอี้ครั้งนี้ เบาแก่การรู้มิถึงความเสียทีแก่ข้าศึก ให้ทหารเสียในสงครามเปนอันมาก โทษข้าพเจ้าใหญ่หลวงนัก แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะขอถอดตัวออกจากที่ตามโทษานุโทษ
ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า อันการสงครามนี้ก็เปนประเพณีแพ้แลชนะมาแต่ก่อน ซึ่งมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกนั้น จะถอดเสียจากที่ฐานาศักดิ์ก็มิบังควร เหตุไฉนมหาอุปราชจึงมาเจรจาดังนี้
บิฮุยซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า อันกฎหมายอย่างธรรมเนียมสำหรับแผ่นดินมาแต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่า นายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งพระเจ้าหมื่นปีตรัสใช้ให้ถือพลไปทำการสงคราม ก็ย่อมถือกฎหมายเปนบันทัด แลซึ่งขงเบ้งเปนมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกมาทั้งนี้ ก็ต้องด้วยกฎหมายอย่างธรรมเนียมอยู่แล้ว ครั้นพระองค์จะยกโทษเสียมิทำตามขนบธรรมเนียมบัดนี้ ประเพณีแผ่นดินก็จะฟั่นเฟือนไป ขอให้กระทำตามเรื่องราวมหาอุปราชเถิด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังก็เห็นชอบ จึงให้มีตราไปถอดขงเบ้งออกจากที่มหาอุปราช ตํ่าศักดิ์ลงมาสามสถาน ให้เปนแต่ที่อิ้วจงกุ๋น ได้บังคับบัญชาทหารทั้งปวงเหมือนกันกับมหาอุปราช แล้วก็ให้บิฮุยถือไป ครั้นบิฮุยมาถึงเมืองฮันต๋ง เข้าไปคำนับขงเบ้งแล้วจึงเอาตราส่งให้ แล้วคิดกลัวขงเบ้งจะได้ความอัปยศจึงว่า แต่แรกมหาอุปราชยกทหารไปตีหัวเมืองได้ถึงสิบตำบลนั้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนแลเสนาบดีอาณาประชาราษฎรมีความยินดีสรรเสริญปัญญาความคิด ท่านทั้งเมือง
ขงเบ้งได้ยินบิฮุยว่าดังนั้นก็โกรธหน้าตึงขึ้น จึงว่าแต่แรกเราตีได้หัวเมืองก็จริง ครั้นมาภายหลังก็กลับเสียมิได้เปนสิทธิ์แก่ตัวก็รู้อยู่ด้วยกัน ท่านมาเจรจาฉนี้มิเยาะเราหรือ บิฮุยเห็นขงเบ้งโกรธก็แกล้งเฉยเสียทำเปนไม่รู้จึงไถลว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งไปว่ามหาอุปราชได้เกียงอุยทหารพระเจ้าโจยอยมาไว้ก็ ยินดีนักหนา ขงเบ้งจึงว่าเราไปทำการครั้งนี้ ก็เสียทแกล้วทหารเปนอันมาก เสียเปรียบข้าศึกถึงร้อยเท่า แลได้ทหารมาแต่ผู้เดียวนี้จะเกื้อหนุนสิ่งใด ใช่ว่าเขาจะเปลืองทหารลงก็หาไม่ ท่านจะว่าให้เราอัปยศหรือ
บิฮุยจึงถามต่อไปว่า ปัดนี้มหาอุปราชซ่องสุมทหารไว้ได้อีกสามสิบสี่สิบหมื่นนี้ยังจะคิดทำการแก้ มืออีกหรือประการใด ขงเบ้งจึงว่าครั้งก่อนเรายกทหารไปทำเสียการแก่ข้าศึกที่ตำบลกิก๊กนั้นเปนอัน มาก ทุกวันนี้เหมือนเปนฝีอยู่ในอกช้ำใจนัก ก็คิดจะไปทำการแก้แค้นให้ได้ ท่านอุตส่าห์ทำการด้วยเราเถิด บิฮุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีด้วย คำนับแล้วก็ลากลับไปเมืองเสฉวน ฝ่ายขงเบ้งก็ซ่องสุมทแกล้วทหารทั้งปวงซ้อมหัดการตามกระบวรสงคราม แลตระเตรียมพรักพร้อมไว้ทุกประการ
ขณะนั้นกิตติศัพท์แจ้งไปถึงเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยจึงให้หาสุมาอี้เข้ามาปรึกษาว่าจะยกไปตีเมืองเสฉวน สุมาอี้จึงว่า อันเทศกาลนี้ก็เปนฤดูคิมหันต์ร้อนนัก ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งจะยกมาทำอันตรายนั้นก็เห็นยังจะมามิได้ ฝ่ายเราจะยกไปตีเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งเล่าก็มิสดวก ด้วยขงเบ้งรู้ตัวก็จะยกทหารมาตั้งสลักทางเสีย
พระเจ้าโจยอยจึงว่า ซึ่งท่านจะรอกองทัพมิยกไปนั้นก็ชอบอยู่ แม้ว่าข้าศึกจะมาทำอันตรายแก่เราก่อนท่านจะคิดประการใด สุมาอี้จึงว่าอย่าปรารมภ์เลยข้าพเจ้าแจ้งอยู่สิ้นแล้ว แม้ว่าขงเบ้งจะกล้ายกมาทำอันตรายแก่เราครั้งนี้ ก็เห็นจะไม่มาทางเขากิสาน จะยกทหารลัดทางตันฉองเปนมั่นคง ข้าพเจ้าจะแต่งทหารให้ออกไปตั้งค่ายก่อกำแพงปิดปากทางไว้ มิให้ล่วงเข้ามาถึงเมืองได้ พระเจ้าโจยอยก็มีความยินดี จึงถามว่าท่านจะแต่งให้ทหารผู้ใดออกไป
สุมาอี้จึงบอกว่า เฮกเจียวซึ่งเปนที่จบป๋าจงกุ๋นเจ้าเมืองโหไสนี้มีกำลังตัวสูงได้หกศอกเศษ แล้วประกอบด้วยปัญญาความคิดมาก เห็นจะต่อสู้กับขงเบ้งนั้นได้ ข้าพเจ้าจะแต่งให้ออกไปตั้งขัดทัพอยู่ พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วย จึงให้คนถือหนังสือไปถึงเฮกเจียวณะเมืองโหไส ให้ยกทหารมาตั้งขัดทัพอยู่ตำบลตันฉองตามคำสุมาอี้ทุกประการ
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 73
https://drive.google.com/file/d/1v7_ofC7ohl3RFA5LQzts13JB_SKcfFCs/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #3 on:
23 December 2021, 22:10:35 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 74
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-74.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 74
เนื้อหา
• สุมาอี้อาสาตีเมืองกังตั๋ง
• ลกซุนรบชนะโจฮิว
• จูล่งตาย
• เกียงอุยคิดกลอุบายลวงโจจิ๋น
• ขงเบ้งล่าทัพกลับเมืองฮันต๋ง
ขณะนั้นมีทหารถือหนังสือมาแจ้งแต่เมืองเอียวจิ๋วว่า บัดนี้จิวหองเจ้าเมืองกวนหยงยกเอาเมืองมาออกแก่โจหิวแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงเอาหนังสือนั้นฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความเจ็ดข้อ ว่าให้ยกทหารไปตีเอาเมืองกังตั๋ง จึงปรึกษาด้วยสุมาอี้ ๆ จึงทูลว่า ซึ่งว่ามาในหนังสือทั้งนี้ชอบนัก ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะขอยกไปช่วยโจหิวทำการกำจัดข้าศึกเสีย ตีเอาเมืองกังตั๋งให้จงได้
กากุ๋ยขุนนางผู้ใหญ่จึงว่า ซึ่งท่านจะให้สุมาอี้ยกกองทัพไปนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย อันชาวเมืองกังตั๋งนั้นเปนคนหาความสัตย์มิได้พูดจาเหลาะแหละลอมแลมนักไม่มี ความจริง จิวหองนี้เปนชาวเมืองกังตั๋งแล้วก็มีปัญญาความคิดมาก ซึ่งจะมาอ่อนน้อมโดยสุจริตนั้นผิดอยู่ เห็นจะคิดเปนกลอุบายล่อลวงให้หลงยกไปตีเอาเมืองกังตั๋ง แล้วภายหลังจะย้อนทำร้ายเราจะเชื่อฟังมิได้
สุมาอี้จึงว่าท่านว่านี้มิชอบ จิวหองหรือจะอาจลวงเรา การครั้งนี้มิทำก็จำทำ พระเจ้าโจยอยจึงว่า ถ้าฉนั้นท่านจงเอากากุ๋ยไปทำการด้วยเถิด สุมาอี้ก็คำนับลาพระเจ้าโจยอยจัดแจงพลทหารพร้อมแล้ว ก็ยกไปบัญจบกองทัพ ณ เมืองเอียวจิ๋ว ครั้นได้ฤกษ์แล้วโจหิวยกแยกไปเมืองอ้วนเสียกองหนึ่ง ให้กากุ๋ยกับหมันทองเฮาจิดคุมทหารกองหนึ่งยกไปทางเมืองหยงเสีย สุมาอี้เปนกองใหญ่ยกไปทางกังเหลง กำหนดไปพร้อมกัน ณ เมืองกังตั๋ง
ฝ่ายซุนกวนรู้ว่ากองทัพสุมาอี้โจหิวยกมา จึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า จิวหองแต่งกลอุบายทำไปนอบนบเข้าด้วยโจหิว ลวงให้ยกทหารมาเปนสามทางจะใกล้ถึงเมืองเราแล้ว ซึ่งจะเอาชัยชนะแก่ข้าศึกบัดนี้ท่านทั้งหลายจะคิดประการใด
โกะหยงจึงว่า อันการทั้งนี้ก็ใหญ่หลวงอยู่ ขอให้ลกซุนเปนแม่กองใหญ่คุมทหารยกออกไปทำการจึงจะได้ ซุนกวนก็เห็นด้วยจึงตั้งลกซุนเปนฮูก๊กไต้จงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเจ้าพระยาชูเมือง ให้เปนแม่ทัพ ราชการทั้งปวงสิทธิ์ขาดทั่วทั้งขอบขันธเสมาสนององค์พระเจ้าซุนกวน
ลกซุนคำนับรับที่แล้ว จึงขอจูหวนจวนจ๋องเปนปลัดซ้ายขวา ซุนกวนก็ อนุญาตให้ จึงตั้งจูหวนเปนฝ่ายขวา จวนจ๋องเปนฝ่ายซ้าย ลกซุนก็เกณฑ์ทหารทั้งปวงในแปดสิบแปดหัวเมือง ได้ทหารเจ็ดสิบห้าหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธจะยกไปเปนสามกอง
จูหวนจึงว่า ซึ่งโจหิวหลงด้วยกลของจิวหอง ยกกองทัพล่วงเข้ามาทั้งนี้เปนคนหาปัญญามิได้ แลเราจะยกไปต่อด้วยโจหิวทั้งนี้เห็นจะได้ชัยชนะถ่ายเดียว แม้โจหิวแตกแล้วข้าพเจ้าเห็นว่าจะหนีไปทางเหียบเส็บแลกุยกี๋สองทางนี้เปน มั่นคง อนึ่งทางสองตำบลนี้เปนซอกเขาคับแคบนัก ข้าพเจ้ากับจวนจ่องจะขอยกทหารไปตัดไม้ทับทางขนศิลาถมเสียก่อน ก็จะจับตัวโจหิวได้โดยง่าย ถ้าได้ตัวโจหิวแล้วเราก็จะรีบยกเข้าไปตีเอาเมืองซิวฉุนอันเปนเมืองสำคัญนั้น ให้ได้ แม้ได้เมือซิวฉุนสมคะเนแล้ว ก็จะเดิรสบายเข้าไปเอาเมืองฮูโต๋เมืองลกเอี๋ยงได้โดยสดวก
ลกซุนจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้มิชอบ อุบายของเราอันหนึ่งข้าพเจ้าคิดไว้เสร็จอยู่แล้ว ท่านอย่าวิตกเลย จึงให้จูกัดกิ๋นคุมทหารอยู่รักษาเมืองกังเหลงคอยรับทัพสุมาอี้ แล้วก็ตระเตรียมทหารพร้อมไว้คอยฤกษ์อยู่
ฝ่ายจิวหองครั้นรู้ว่าโจหิวยกมาถึงเมืองแล้ว ก็ออกมารับตามประเพณี โจหิวจึงว่า ท่านมีหนังสือมาถึงเราแจ้งเนื้อความเจ็ดข้อนั้น เราก็ได้เอาเนื้อความกราบทูลแก่พระเจ้าโจยอย ๆ ก็มีความยินดีเชื่อท่าน จึงให้เรายกทหารมาเปนสามทาง แลบัดนี้เราคิดกินใจอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยปากคำผู้คนทั้งปวงพูดกันว่า ท่านมีสติปัญญากอปร์ด้วยกลอุบายมาก เกลือกจะล่อลวงเราให้เสียการเมื่อปลายมือ แล้วประการหนึ่งก็คิดว่าซึ่งท่านจะลวงเราก็คงจะไม่เปน แต่ว่ายังคิดสองใจสามใจอยู่
จิวหองได้ฟังดังนั้นก็ทำร้องไห้ ชักเอากระบี่ออกมาจะเชือดฅอตายเสีย โจหิวตกใจฉวยชิงเอากระบี่ไว้แล้วห้ามว่า ท่านจะฆ่าตัวเสียใย จิวหองจึงว่า อันเนื้อความเจ็ดข้อซึ่งข้าพเจ้าแจ้งไปแก่ท่านนั้นเปนความจริง แลผู้ซึ่งมาเจรจาว่าข้าพเจ้าคิดจะล่อลวงท่านนั้น ชรอยจะเปนกลอุบายเมืองกังตั๋งแกล้งจะให้ปรากฎมา ปราถนาจะมิให้ท่านเชื่อใจข้าพเจ้า ๆ น้อยใจว่าตัวนี้ถ้าเปนฟักแฟงจะผ่าอกออกให้ท่านเห็นเท็จและจริง ว่าแล้วก็ทำจะเอากระบี่เชือดฅอเสียอีก
โจหิวเห็นดังนั้นก็ชิงเอากระบี่ไว้เข้ากอดเอาตัวแล้วว่า ข้าพเจ้าว่าสัพยอกลองใจท่านเล่นเท่านี้หรือจะมาฆ่าตัวเสียเล่า ขอขะมาท่านเถิดอย่าถือโทษเลย จิวหองจึงว่า ข้าพเจ้าสัตย์ซื่อต่อท่านจริง ๆ ควรหรือมาว่าฉนี้เล่า ก็เอากระบี่ตัดผมทิ้งออกไป ว่าผมนี้เปนที่รักดังบิดามารดาข้าพเจ้า ๆ ตัดออกให้ท่านเห็นความจริงจงพิเคราะห์ดูเถิด โจหิวเห็นจิวหองทำดังนั้นก็เชื่อหาความรังเกียจไม่ จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยง ครั้นกินโต๊ะแล้วจิวหองก็คำนับลากลับไป
เวลารุ่งเช้ากากุ๋ยมาถึงพร้อมกันเข้า จึงไปหาโจหิวคำนับตามประเพณี โจหิวจึงถามว่าท่านมีกิจสิ่งใดจะว่าไรหรือ กากุ๋ยจึงว่า ข้าพเจ้าเข้ามาบัดนี้หวังจะพูดกับท่านให้แน่นอนเสีย ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าทหารเมืองกังตั๋งนั้นจะมาตั้งสกัดอยู่เมืองอ้วนเสีย ขอท่านอย่าเพ่อยกทหารล่วงเข้าไปก่อน คอยท่าให้กองทัพสุมาอี้ยกมาถึงพร้อมกันแล้วจึงจะยกเข้าไปช่วยกันระดมตีที เดียว
โจหิวจึงว่า ท่านมาห้ามปรามเราทั้งนี้ ปราถนาจะทำการชิงเอาความชอบหรือ กากุ๋ยจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่าจิวหองมาตัดผมสาบาลแก่ท่านนั้น เปนกลอุบายดอกหาจริงไม่ จึงเข้ามาห้ามท่านไว้ให้คอยท่าพร้อมกันก่อน แม้ฉุกมีเหตุประการใดก็จะได้ช่วยกันสดวก
โจหิวจึงว่า แรกจะมาทำการสงคราม ควรหรือมาเจรจาว่าเปนกลอุบายฉนี้ จะให้ทแกล้วทหารทั้งปวงเสียน้ำใจให้เสียการไป จะเอาไว้มิได้ ก็สั่งให้ทหารเอาตัวกากุ๋ยไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ฆ่ากากุ๋ยเสียนั้น สงครามยังมิได้ทำแก่ข้าศึกก่อนเห็นมิควร ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอโทษไว้สักครั้งหนึ่ง โจหิวก็อนุญาตยกโทษให้ จึงให้ถอดกากุ๋ยออกเสียจากแม่ทัพ เอาตัวไว้ใช้กิจการในกองทัพ แล้วก็ให้ยกทหารจะไปตีเมืองอ้วนเสีย
ขณะนั้นจิวหองแจ้งว่าโจหิวถอดกากุ๋ยเสียจากที่นายกองก็คิดว่า แม้โจหิวเชื่อฟังถ้อยคำกากุ๋ยเมืองกังตั๋งก็จะมีอันตราย บัดนี้เทพดาจะให้ความชอบแก่เราพะเอิญเปน คิดแล้วก็มีความยินดี จึงแต่งหนังสือไปถึงลกซุนว่า บัดนี้โจหิวหลงด้วยกลข้าพเจ้ายกกองทัพล่วงเข้ามาแล้ว ขอให้ท่านคิดอ่านเอาชัยชนะเถิด ลกซุนแจ้งหนังสือแล้ว ก็สั่งให้ทหารยกไปซุ่มอยู่ตำบลเซ็กเต๋งนั้นกองหนึ่ง แล้วแต่งให้ชีเซ่งเปนกองหน้ายกทหารล่วงไป โจหิวพาเอาตัวจิวหองยกมาถึงกลางทางจึงถามว่า ที่จะพักทหารข้างหน้านั้นชื่อตำบลใด จิวหองบอกว่าข้างหน้านั้นชื่อว่าเซ็กเต๋ง ขอให้ท่านยกทหารรีบไปเถิดอย่าวิตกเลย โจหิวก็หาความสงสัยมิได้รีบยกทหารทั้งปวงมาพักอยู่ตำบลเซ็กเต๋ง เวลารุ่งเช้าม้าใช้ไปสอดแนมได้เนื้อความมาแจ้งว่า กองทัพเมืองกังตั๋งยกมาตั้งสกัดปากทางอยู่ โจหิวแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า จิวหองบอกเราว่าตำบลเซ็กเต๋งนั้นทางสดวกอยู่หามีกองทัพไม่ แลบัดนี้เหตุไฉนจึงมีกองทัพมาสกัดอีกเล่า จึงให้ทหารไปหาจิวหองในทันใด ทหารจึงบอกว่าจิวหองกับบ่าวประมาณสามสิบคนหนีไปแล้ว
โจหิวรู้ว่าจิวหองลวงมาให้ต้องด้วยกลแล้วหลบตัวเสียก็โกรธ จึงว่าถ้าฉนั้นเราก็ไม่กลัว สงครามเพียงนี้เราจะเอาชัยชนะจงได้ ก็แต่งให้เตียวเภาคุมทหารเปนนายกองหน้ายกเข้าระดมตี ซิเซ่งก็ขับทหารออกมาสู้ด้วยเตียวเภาได้ประมาณสิบเพลง เตียวเภาทานกำลังมิได้ก็ชักม้าหนีกลับหลังไป จึงบอกแก่โจหิวว่าซิเซ่งมีกำลังมากนัก ข้าพเจ้ากลัวจะเสียทีจึงกลับมาแจ้งแก่ท่าน โจหิวจึงว่า ซึ่งซิเซ่งเข้มแข็งนั้นท่านอย่าวิตกเลย ไว้พนักงานเราจะตีให้แตกจงได้ จึงให้เตียวเภาคุมทหารสองหมื่นยกไปตั้งซุ่มอยู่ทิศใต้ จึงให้สีเกี๋ยวคุมทหารสองหมื่นไปซุ่มอยู่ทิศเหนือ กำหนดว่าเราจะเปนกองกลางยกเข้าไปล่อแล้วจะทำเสียทีถอยออกมาให้ไล่ ถ้าได้ยินเสียงประทัดสัญญาแล้ว ให้ยกทหารทั้งสองข้างตีกระหนาบออกมา เตียวเภาสีเกี๋ยวสองนายรับคำแล้วก็คุมทหารไปซุ่มอยู่แต่เวลากลางคืน
ฝ่ายลกซุนจึงแต่งให้จูหวนจวนจ๋องคุมทหารนายละสามหมื่น ยกลัดทางวกไปข้างหลังค่ายโจหิว กำหนดว่าได้ทีแล้วให้จุดเพลิงขึ้น ถ้าเราเห็นแสงเพลิงแล้วจะยกทหารตีกระทบเข้าไป ฝ่ายท่านก็ตีออกมา เห็นจะจับโจหิวได้โดยง่าย จูหวนจวนจ๋องรับคำแล้วก็ยกทหารแยกกันลัดไปแต่เวลาคํ่า
เตียวเภายกไปตั้งซุ่มอยู่ เห็นกองทัพจูหวนมิได้รู้ว่าเปนทหารเมืองกังตั๋ง สำคัญว่าเปนกองตะเวนพวกกัน ก็ขี่ม้าเดิรเข้าไปถามจูหวน จูหวนก็เอาง้าวฟันตกม้าลงตาย ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นอลหม่านไป จูหวนได้ทีก็ให้จุดเพลิงขึ้นในทันใด จวนจ๋องเห็นแสงเพลิงก็รีบยกมา พบกองทัพสีเกี๋ยวซึ่งมาซุ่มอยู่ ก็ขับทหารเข้ารบพุ่งฆ่าฟันกันล้มตายลงเปนอันมาก สีเกี๋ยวสู้มิได้ก็พาทหารแตกหนีไป จูหวนจวนจ๋องสองนายก็ขับทหารเข้าโจมตีค่ายโจหิว ฆ่าฟันกันตลุมบอนเปนอลหม่าน โจหิวแตกหนีออกจากค่ายพาทหารไปตำบลเหียบเส็บ พอพบซิเซ่งคุมทหารขึ้นม้าเข้าไล่ฆ่าฟันทหารโจหิวแตก ทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสียแตกกระจัดกระจายกันไป โจหิวก็ขับม้าหนีไปตามทางซอกเขาแต่ผู้เดียว พอพบกากุ๋ยคุมทหารกองหนึ่งสวนทางลงมารับก็มีความยินดี จึงว่าทีนี้ข้าพเจ้าไม่ตายแล้ว กากุ๋ยก็พาลัดทางหนีมาได้ โจหิวจึงว่า ซึ่งท่านทัดทานข้าพเจ้ามิฟังนั้นโทษผิดนักหนา ขอท่านอย่าได้พยาบาทถือความเลย ฝ่ายสุมาอี้รู้ว่ากองทัพโจหิวเสียแก่ข้าศึกแล้วก็ให้ถอยหลังมา
ฝ่ายจูหวนจวนจ๋องเก็บได้เครื่องศัสตราวุธแลสเบียงอาหารผู้คนซึ่งเข้า เกลี้ยกล่อมประมาณสามหมื่น แล้วก็ยกมาหาลกซุน ๆ หยุดทหารคอยท่าอยู่กลางทาง เห็นจูหวนจวนจ๋องได้ผู้คนแลสเบียงอาหารเครื่องศัสตราวุธมามากก็ดีใจ พากันยกกลับมาเมืองกังตั๋ง
ซุนกวนแจ้งว่าลกซุนชนะศึกมาก็ดีใจ จึงพาขุนนางทั้งปวงออกมารับทัพถึงนอกเมือง แล้วให้เอาสัปทนกั้นลกซุนเข้ามา ครั้นนายทัพนายกองถึงพร้อมแล้ว พระเจ้าซุนกวนจึงว่า ซึ่งจิวหองมีความชอบทำกลล่อลวงข้าศึกจนตัดผมเสียเอาชัยชนะได้ครั้งนี้นั้น ตั้งให้เปนกวนไล่เหาขุนนางในทำเนียบ แล้วก็ปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทแกล้วทหารเปนอันมาก ลกซุนจึงทูลพระเจ้าซุนกวนว่า โจหิวเสียทีแตกกลับไปครั้งนี้เห็นทแกล้วทหารทั้งปวงบอบช้ำอิดโรยนักอยู่แล้ว ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเมืองเสฉวนฉบับหนึ่ง ให้ขงเบ้งยกทหารไปตีเมืองลกเอี๋ยงเถิด พระเจ้าซุนกวนเห็นด้วย ก็ให้มีหนังสือบอกไปถึงเมืองเสฉวนตามถ้อยคำลกซุนทุกประการ แลขณะเมื่อโจหิวเสียทแกล้วทหารแตกไปครั้งนั้น ก็เปนทุกข์ตรอมใจจนเปนไข้มากลางทาง ครั้นถึงเมืองลกเอี๋ยงก็ป่วยหนักลงถึงแก่ความตาย
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นยกทัพกลับมาถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว ขุนนางทั้งปวงจึงเข้ามาถามข่าวว่า ซึ่งโจหิวยกทหารไปทำการครั้งนี้เสียทีแก่ข้าศึกแตกกลับมาก็ชอบอยู่ แต่ตัวท่านนี้เปนนายทัพไปกองหนึ่งต่างหาก จะแตกเสียทแกล้วทหารทั้งปวงเหมือนโจหิวหามิได้ ทหารทั้งปวงก็พร้อมมูลอยู่ เหตุไฉนจึงพลอยกลับมาด้วยเล่า สุมาอี้จึงว่า ซึ่งยกมาทั้งนี้เพราะคิดว่ากองทัพเราเสียทีแล้ว เกลือกขงเบ้งจะรีบยกกองทัพมาตีเอาเมืองเตียงอั๋น ระวังหลังอยู่จึงกลับมา ขุนนางทั้งปวงได้ฟังก็เห็นว่าสุมาอี้กลัวตาย หนีศึกมาแล้วยังพูดอวดตัวอยู่ ก็ชวนกันเอามือปิดปากหัวเราะ แล้วต่างคนก็ลาไปที่อยู่
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งในหนังสือซึ่งพระเจ้าซุนกวนให้มาเปนใจความว่า บัดนี้เราให้ลกซุนคุมทหารไปกำจัดทหารพระเจ้าโจยอยเสีย โจหิวผู้เปนแซ่เดียวกันกับพระเจ้าโจยอยก็ถึงแก่ความตาย สุมาอี้ทหารเอกนั้นก็แตกหนีไปแล้ว ชาวเมืองลกเอี๋ยงก็กลัวฝีมือทหารในเมืองกังตั๋งนัก แลฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ประกอบไปด้วยเกียรติยศ มีทแกล้วทหารปรากฎเสมอกัน ควรเราทั้งสองเมืองจะเปนแผ่นดินเดียวกันโดยทางราชไมตรี แลบัดนี้ทหารในเมืองลกเอี๋ยงก็อิดโรยอยู่แล้ว ขอให้ท่านแต่งทหารยกไปตีเอาเห็นจะได้โดยง่าย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีความยินดี จึงมีหนังสือบอกไปถึงขงเบ้งณะเมืองฮันต๋ง ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็กะเกณฑ์ทหารพรักพร้อมแล้วจะยกกองทัพไป ขณะเมื่อประชุมทหารพร้อมอยู่นั้น พอเกิดลมหัวด้วนพัดมาถูกกิ่งสนธิ์ตรงหน้าโรงประชุมขุนนางหักสบั้นลง ทหารทั้งปวงพากันตกใจ ขงเบ้งจึงจับยามดูก็รู้ว่าทหารเอกตายเปนมั่นคง จึงบอกแก่ขุนนางแลทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ทหารเอกเขี้ยวศึกของเจ้าเราตายเสียแล้ว ว่าพอขาดคำลงทหารคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้เตียวกองเตียวหองบุตรจูล่งจะเข้ามาหาท่าน
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็รู้ว่าจูล่งถึงแก่ความตาย กระทืบท้าวทิ้งจอกสุราลงเสีย ขณะนั้นเตียวกองเตียวหองก็เข้ามาคำนับบอกว่า เวลาคืนนี้ประมาณสามยามบิดาข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งก็ร้องไห้รักจูล่งจนสลบไป ครั้นฟื้นขึ้นแล้วจึงว่า อันจูล่งถึงแก่ความตายนี้เหมือนหนึ่งแขนซ้ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนหัก ด้วยเปนนายทหารผู้ใหญ่เขี้ยวศึกมา ทหารทั้งปวงก็พากันร้องไห้รักจูล่งทุกคน แล้วขงเบ้งก็ให้บุตรจูล่งไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนณะเมืองเสฉวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าจูล่งถึงแก่ความตาย ก็ทรงพระกรรแสงรำพรรณไปถึงความหนหลังทุกประการ แล้วก็ให้แต่งการศพจูล่งไปฝังไว้ที่สมควร จึงปลูกเปนศาลเทพารักษไว้บูชามาตราบเท่าทุกวันนี้ แล้วตั้งให้บุตรจูล่งทั้งสองเปนทหารผู้ใหญ่
ขณะนั้นขงเบ้งจึงใช้ให้คนถือหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพเจ้าจะขออาสายกทหารไปกำจัดศัตรูเสีย ให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเปนสุขตามซึ่งได้รับปฏิญาณพระเจ้าเล่าปี่ไว้ ขอพระองค์อย่าได้ขัดขวางให้เสียประเพณีเลย พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งในหนังสือแล้วก็มีความยินดีจึงตอบไปว่า ให้ขงเบ้งรีบยกกองทัพไปเถิด ขงเบ้งแจ้งในหนังสือตอบแล้ว ก็ตั้งให้อุยเอี๋ยนเปนกองหน้า จึงยกทหารสามสิบหมื่นไปทางตำบลตันฉอง
ขณะนั้นม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาอี้ณะเมืองลกเอี๋ยงว่า บัดนี้กองทัพเมืองเสฉวนยกมาทางตันฉองแล้ว สุมาอี้จึงเอากิจการกราบทูลแก่พระเจ้าโจยอย ๆ จึงให้หาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษา โจจิ๋นจึงทูลว่า แต่ก่อนโปรดให้ข้าพเจ้าไปรักษาเมืองหลงเสนั้น ก็หาความชอบมิได้มีโทษอยู่เปนหลายครั้ง ข้าพเจ้ามิได้ทำการแก้ตัวก่อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสายกทหารไปทำการเอาชัยชนะจงได้ แลอองสงนั้นเปนคนมีฝีมือถือง้าวหนักหกสิบชั่ง ซ่อนลูกขลุบไปได้ในเสื้อถึงสามลูก ทิ้งข้าศึกนั้นก็แม่นยำนัก ข้าพเจ้าจะขอเอาไปเปนทัพหน้าด้วย
พระเจ้าโจยอยมีความยินดี จึงให้หาตัวอองสงเข้ามาหน้าที่นั่ง ทอดพระเนตรเห็นอองสงมีตัวสูงหกศอก หน้าดำตาแดง พูดจาโฮกฮาก กิริยาอาการลักษณเหมือนเสือ ก็ตบพระหัตถ์ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า เรามีทหารเข้มแข็งฉนี้จะกลัวอันใดแก่ขงเบ้ง จึงพระราชทานเกราะทองและเสื้อเปนรางวัล แล้วก็ตั้งให้เปนกองหน้าโจจิ๋น ๆ ก็คำนับแล้วลาออกมาจัดแจงทหารทั้งปวง จึงให้เตียวคับโกฉุยสองนายยกไปรักษาด่าน โจจิ๋นคุมทหารสิบห้าหมื่น ให้อองสงเปนกองหน้ายกไปตามกำหนด
ฝ่ายทหารกองหน้าขงเบ้งยกมาใกล้ตันฉองแล้ว จึงไปแจ้งความแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้ตำบลตันฉองนั้นมีค่ายตั้งสลักอยู่ ก่อกำแพงกั้นไว้ในปากทางลงเขื่อนคูมั่นคงคับขันนัก เฮ็กเจียวคุมทหารมารักษาอยู่ ซึ่งจะยกหักไปเห็นขัดสน ขอให้ละทางตันฉองเสีย ยกทหารไปทางแปะเฉียออกเอาทางเขากิสานเถิด
ขงเบ้งจึงว่า อันตำบลตันฉองนี้เปนที่สำคัญใหญ่หลวง กับเกเต๋งนั้นก็เหมือนกัน แม้ว่าเราได้ตันฉองนี้แล้วจะทำการต่อเข้าไปเอาเมืองลกเอี๋ยงก็จะได้โดยง่าย อันจะถอยไปเดิรทัพทางแปะเฉียนั้นมิได้ ก็สั่งให้อุยเอี๋ยนยกทหารเข้าล้อมค่ายตันฉองไว้ แต่อุยเอี๋ยนให้ทหารเข้าหักค่ายตันฉองถึงสี่วันห้าวันแล้วก็มิได้ จึงให้ทหารล้อมมั่นไว้ แล้วกลับลงมาแจ้งแก่ขงเบ้ง ๆ โกรธจึงว่า ตัวเปนแม่กองหน้ายกมาทำการหวังจะตีเอาเมืองลกเอี๋ยงอีก แต่ตำบลตันฉองเท่านี้ยังตีมิแตก แล้วที่ไหนจะทำการใหญ่หลวงสืบไปได้เล่า ก็สั่งให้ทหารคุมเอาตัวอุยเอี๋ยนไปฆ่าเสีย
กิมเซี่ยงจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า แต่ข้าพเจ้ามาอยู่เปนข้าท่านก็ช้านานแล้วยังมิได้ทำความชอบสิ่งใดสนองคุณ ท่านเลย ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาเข้าไปเกลี้ยกล่อมเฮ็กเจียวให้ออกมานบนอบท่านจงได้ แลซึ่งจะให้ประหารชีวิตอุยเอี๋ยนเสียนั้น ข้าพเจ้าขอโทษไว้ก่อน ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านมีภักดีต่อเรานั้นก็ขอบใจ แต่ซึ่งจะไปเกลี้ยกล่อมเฮ็กเจียวให้มานอบนบเรานั้นจะไปว่าประการใด กิมเซี่ยงจึงว่า อันเฮ็กเจียวกับข้าพเจ้านี้เปนคนคุ้นเคยกันมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะไปว่ากล่าวก็เห็นจะยอมดอก ขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านอาสาสำเร็จครั้งนี้ก็จะมีความชอบมาก กิมเซี่ยงคำนับแล้วก็ลาไป ครั้นถึงหน้าค่ายเฮ็กเจียวจึงร้องบอกว่า เราชื่อกิมเซี่ยงเปนเพื่อนรักกันกับเฮ็กเจียว ระลึกถึงจะมาหา เปิดประตูรับเราด้วย ทหารจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่เฮ็กเจียว ๆ จึงให้เปิดประตูรับเข้าไปในค่าย ต่างคนต่างคำนับกันแล้วเฮ็กเจียวจึงถามว่า ท่านมาหาเรานี้มีกิจกังวลสิ่งใดหรือ กิมเซี่ยงบอกว่า บัดนี้ตัวข้าพเจ้าไปทำราชการอยู่ด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยน ขงเบ้งรู้ว่าท่านกับข้าพเจ้าเปนคนชอบใจกันมาแต่ก่อน ใช้ให้มาหาทั้งนี้หวังจะให้สนทนาด้วย
เฮ็กเจียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธหน้านิ่วเข้าในทันใดจึงว่า ตัวท่านไปเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ตัวเราก็เปนข้าพระเจ้าโจยอย ได้กินเบี้ยหวัดผ้าปีของเจ้าด้วยกัน บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนกับเจ้าเราก็เปนข้าศึกกัน ตัวท่านกับเราต่างคนต่างก็เจ็บร้อนด้วยเจ้า ถ้อยทีเปนข้าศึกกันอยู่ ซึ่งท่านจะมาเจรจาด้วยเรานั้นพูดกันมิเต็มปาก ไปเสียเถิด ว่าเท่านั้นแล้วเฮ็กเจียวก็ลุกหนีเดิรขึ้นไปบนหอรบเสีย ทหารทั้งปวงก็ขับกิมเซี่ยงออกมา
กิมเซี่ยงขี่ม้าออกมาถึงนอกค่าย แลขึ้นไปดูบนหอรบเห็นเฮ็กเจียวยืนอยู่ ก็ร้องขึ้นไปว่า น้องเราเปนไฉนได้ดีแล้วไม่คิดถึงความรักมาแต่หลังบ้างเลย บากหน้าเสียง่าย ๆ ไม่อินังกัน เฮ็กเจียวได้ยินจึงร้องตอบลงมาว่า อันประเพณีเราเปนข้าเจ้าแผ่นดินได้กินเบี้ยหวัดผ้าปีแล้ว ก็ตั้งใจภักดีสนองคุณเจ้าตราบเท่าสิ้นชีวิตจึงจะนับว่าชาย ท่านอย่ามาว่าเซ้าซี้อยู่เลย เร่งไปบอกขงเบ้งให้ยกทหารรีบเข้ามาตีเราเถิด ถ้ามิไปบัดนี้เราจะให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงให้ตายเสีย กิมเซี่ยงก็ขับม้ารีบมาบอกแก่ขงเบ้งตามถ้อยคำเฮ็กเจียวว่าทุกประการ
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็โกรธจึงว่า เฮ็กเจียวนี้เจรจาโอหังหนักหนาจะได้ดูฝัมือกัน จึงให้หาชาวบ้านมาถามว่า เฮ็กเจียวมาตั้งรักษาตำบลตันฉองนี้มีทหารมากน้อยสักเท่าใด ชาวบ้านจึงบอกว่ามีทหารอยู่ประมาณสามพัน ขงเบ้งได้ยินก็หัวเราะว่า เฮ็กเจียวมีทหารเท่านี้หรือจะอาจต่อด้วยเราได้ ก็สั่งให้ทหารทำบันไดแลเชือกสำหรับซึ่งจะคล้องใบเสมาขึ้นไป แลเครื่องศัสตราวุธทั้งปวงตระเตรียมพร้อมทุกประการ
ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งก็ให้เข้าระดมหักค่ายเฮ็กเจียว ๆ เห็นทหารขงเบ้งเอาบันไดเข้าพาดดังนั้น ก็ให้ทหารจุดคบเพลิงเผาบันไดเสีย แล้วก็ให้เอาเกาทัณฑ์ยิงระดมลงไปถูกทหารขงเบ้งล้มตายเปนอันมาก เข้ามิได้ก็ถอยออกมา ขงเบ้งโกรธจึงคิดว่า ทำให้เสียทหารทั้งนี้ก็เพราะเบาความประมาทจึงเสียทีแก่ข้าศึก จำจะตีเอาให้จงได้ จึงให้ทหารทำแตะสำหรับจะกันลูกเกาทัณฑ์บังตัวเข้าไปให้ทั่วทุกคน
ครั้นเวลาเช้าก็ให้ยกทหารเข้าหักค่ายใหม่ เฮ็กเจียวเห็นทหารขงเบ้งทำแตะบังตัวเข้ามากันลูกเกาทัณฑ์ดังนั้น ก็ให้ทหารขนเอาก้อนศิลามาผูกเชือกเข้าทิ้งลงไป ทหารขงเบ้งเอาแตะขึ้นรับทานมิได้ก็ถูกเจ็บปวดล้มตาย ครั้นจะชิงเอาก้อนศิลาก็มิได้ ทหารบนเชิงเทินทิ้งลงมาแล้วก็สาวกลับขึ้นไป ขงเบ้งเห็นทหารล้มตายเบาบางลงเข้ามิได้ก็ให้ถอยออกมา
ครั้นเวลากลางคืนก็ให้เลียวฮัวคุมทหารสามพันขุดอุโมงค์จะให้ทะลุเข้าไปใน กำแพง เฮ็กเจียวรู้ก็ขุดสกัดเสียมิให้ทะลุเข้าไปในกำแพงได้ แต่ขงเบ้งให้ทหารเข้าทำการรบพุ่งอยู่ฉนี้ประมาณยี่สิบวัน ถ้อยทีถ้อยต้านทานกันอยู่มิได้แพ้ชนะกัน ทหารล้มตายลงเปนอันมาก ขงเบ้งมีความวิตกเปนทุกข์ในใจอยู่
ขณะนั้นทหารเข้ามาบอกว่า บัดนี้ทางทิศตวันออกเห็นกองทัพยกมากองหนึ่ง จารึกอักษรมาในธงชื่อว่าอองสง ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงถามว่าผู้ใดจะอาสาเราออกไปรับทัพอองสงครั้งนี้ได้ เจียหยงซึ่งเปนทหารรองจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปเอง ขงเบ้งมีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารอีกสามพันให้แก่เจียหยง ๆ คำนับแล้วก็ยกไป ภายหลังจึงให้จงคีคุมทหารอีกสามพันยกหนุนไป แล้วก็ถอยทัพหลวงเลื่อนลงมาตั้งอยู่พ้นที่เดิมทางประมาณสองร้อยเส้น
ฝ่ายเจียหยงคุมทหารยกไปถึงกลางทาง พบกองทัพอองสงยกมาปะทะกันเข้าก็ขับทหารเข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ เจียหยงออกสู้ด้วยอองสงได้สามเพลง อองสงแทงด้วยทวนตกม้าตาย ทหารทั้งนั้นก็แตกหนีร่นลงมา อองสงได้ทีขับทหารไล่ติดตามไปพบกองทัพจงคีสวนขึ้นมาก็เข้ารบพุ่งกัน จงคีขับม้าเข้าสู้ด้วยอองสงได้สามเพลง อองสงฟันด้วยง้าวตัวขาดตกม้าตาย ทหารก็ตื่นแตกหนีกลับมา จึงบอกกับขงเบ้งตามซึ่งได้รบพุ่งนั้นทุกประการ
ขงเบ้งแจ้งเหตุก็ตกใจ จึงให้เลียวฮัวอองเป๋งเตียวหงีคุมทหารออกไปรบกับอองสง ครั้นเลียวฮัวอองเป๋งเตียวหงีสามนายยกทหารมาพบกองทัพอองสงเข้าก็ตั้งค่ายรบ กันอยู่ ขณะนั้นเตียวหงีจึงให้เลียวฮัวอองเป๋งรักษาค่ายไว้ ตัวก็ขับม้าออกมาต่อสู้ด้วยอองสงได้ประมาณสี่สิบเพลงมิได้เสียทีกัน อองสงทำเสียทีชักม้าหนี เตียวหงีไล่กระชั้นไป เลียวฮัวเห็นดังนั้นก็เกรงว่าจะเสียทีจึงร้องเรียกจะให้กลับมา พออองสงทิ้งลูกขลุบมาถูกอกเข้า เตียวหงีขัดอยู่ก็ซบลงบนหลังม้า อองสงได้ทีก็ขับม้าไล่มา เลียวฮัวอองเป๋งเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนออกมาช่วย เข้าสู้กับอองสงกันเอาเตียวหงีเข้ามาในค่ายได้ ทหารอองสงเห็นได้ทีก็เข้าตีค่ายเลียวฮัวอองเป๋งเตียวหงีแตก ไล่ฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก เลียวฮัวอองเป๋งเตียวหงีก็พาทหารหนีมาหาขงเบ้ง จึงบอกว่าอองสงนั้นมีกำลังมากนักทานมิได้ ขอให้ท่านยับยังตั้งมั่นไว้ในที่นี้ก่อนอย่าเพ่อยกล่วงขึ้นไป ว่าพอสิ้นคำลงเตียวหงีก็รากโลหิตออกมาเปนหลายครั้ง
ขงเบ้งจึงหาเกียงอุยเข้ามาปรึกษาว่า เจียหยงจงคีก็ถึงแก่ความตายแล้ว บัดนี้เตียวหงียกออกไปเล่าก็ป่วยกลับเข้ามา ข้าศึกมีกำลังเข้มแขงนัก อันเราจะไปทางตันฉองนี้เห็นขัดสน จะคิดประการใดดีขอท่านช่วยดำริห์ให้เราด้วย เกียงอุยจึงว่า ซึ่งตำบลตันฉองนี้เปนทางคับขัน แล้วเฮ็กเจียวก็มีสติปัญญา ฝีมือก็เข้มแขงป้องกันรักษามั่นคงอยู่จะหักไปมิได้ ขอให้ท่านแต่งทหารที่มีฝีมือยกไปตั้งค่ายสลักทางรักษาตำบลเกเต๋งไว้ แล้วจึงจัดทหารให้ตั้งรับอยู่ที่นี้กองหนึ่ง เราก็จะลอบยกทัพใหญ่ลัดไปออกเอาตำบลกิสานอย่าให้ข้าศึกทันรู้ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายจับเอาตัวโจจิ๋นให้ได้
ขงเบ้งเห็นชอบ จึงให้อองเป๋งกับลิอิ๋นคุมทหารลัดไปตามทางน้อยให้ตั้งรักษาตำบลเกเต๋งนั้น ไว้ แล้วให้อุยเอี๋ยนตั้งรักษาปากทางตันฉอง จึงให้ม้าต้ายเปนกองหน้า กวนหินเตียวเปาเปนกองหลัง ก็ลอบยกทหารมาทางจำก๊กไปออกทางกิสาน เกียงอุยจึงแต่งเปนหนังสือลับฉบับหนึ่งให้คนถือเข้าไปถึงโจจิ๋น
ฝ่ายโจจิ๋นยกออกมาตั้งอยู่ปากด่านเมืองลกเอี๋ยง ครั้นเกณฑ์ให้อองสงยกไปช่วยเฮ็กเจียว รู้ข่าวว่ามีชัยชนะแก่ข้าศึกก็ยินดี จึงให้ตรวจตรารักษาด่านทางเปนกวดขัน พอทหารซึ่งไปเที่ยวตะเวนสอดแนมจับได้บ่าวเกียงอุยซึ่งใช้ให้ถือหนังสือลับ เข้าไปนั้นมาแจ้ง จึงถามว่าเองมาแต่ไหน คนถือหนังสือจึงบอกว่า ข้าพเจ้านี้จะได้เปนคนสอดแนมเข้ามาซับทราบเอากิจการนั้นหามิได้ ด้วยบัดนี้เกียงอุยคิดถึงคุณท่านใช้ให้ข้าพเจ้าเอาหนังสือลับมาถึงท่านฉบับ หนึ่ง แต่ทว่าทแกล้วทหารทั้งปวงอื้ออึงอยู่ ข้าพเจ้าจะเอาหนังสือออกมาให้ท่านมิได้ ขอให้ขับทหารไปเสีย
โจจิ๋นได้ฟังก็ยินดี จึงขับทหารออกไปเสีย คนใช้จึงแหวกคอเสื้อออกเอาหนังสือนั้นให้ โจจิ๋นจึงฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าเกียงอุยผู้มีโทษ ขอคำนับมาถึงโต๊ะก๊กท่านผู้ใหญ่ให้แจ้ง ด้วยแต่ก่อนข้าพเจ้าจะได้คิดเอานํ้าใจออกหากหามิได้ เปนเหตุทั้งนี้เพราะหลงกลของขงเบ้งจึงต้องมาอยู่เปนข้าให้เขาใช้ ทุกวันนี้จำใจอยู่ คิดจะใคร่กลับมาถิ่นฐานของตัวก็มามิได้ บัดนี้ขงเบ้งก็มีความเอ็นดูข้าพเจ้ารักใคร่สนิธหารังเกียจไม่ แลคุณท่านมีแก่ข้าพเจ้าแต่ก่อนนั้นก็ยังมิได้ทดแทน ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายมิได้กลับไปบ้านเมืองก็ตามเถิด แต่ขอสนองคุณท่านให้สิ้นธุระเสียก่อน ซึ่งท่านจะออกรบด้วยขงเบ้งนั้นอย่าสู้ให้เต็มฝีมือเลย แกล้งทำถอยหนีเสียให้กองทัพเมืองเสฉวนไล่ไป ข้าพเจ้าอยู่ภายหลังจะจุดเพลิงขึ้นในค่ายเผาสเบียงอาหารเสียให้สิ้น ถ้าเห็นทหารทั้งปวงตกใจอลหม่านขึ้นแล้วจึงให้ทหารกลับสวนรบลงมา ก็จะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย
โจจิ๋นแจ้งในหนังสือสำคัญว่าจริงก็ดีใจ จึงว่าชรอยเทพดาจะมาช่วยเราให้ได้ความชอบครั้งนี้ ก็ปูนบำเหน็จรางวัลแก่ผู้ถือหนังสือแล้วจึงว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่นายท่านเถิด ถ้าเราจะทำการได้เมื่อใดจึงจะกำหนดไปให้รู้ คนถือหนังสือคำนับแล้วก็กลับมาบอกแก่เกียงอุย
ฝ่ายโจจิ๋นก็ให้นายทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่า ซึ่งเกียงอุยให้หนังสือลับมาฉนี้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ปี่เอียวจึงว่า ขงเบ้งนี้เปนคนเจ้าปัญญาความคิดเกลือกจะให้เกียงอุยทำกลมา จะเชื่อฟังทีเดียวนั้นมิได้ อนึ่งเกียงอุยก็เอาใจออกหากไปอยู่กับขงเบ้งช้านานแล้ว หรือจะกลับมาเข้าด้วยท่านนั้นก็ผิดอยู่
โจจิ๋นจึงว่า เกียงอุยไปอยู่ด้วยขงเบ้งนั้น ก็มิใช่จะตั้งใจไปโดยสุจริต จำเปนจำอยู่ แล้วตัวก็เปนคนชาวเมืองเรา คิดจะใคร่กลับถิ่นฐานของตัวอยู่ทุกวัน เห็นไม่สมัคที่จะอยู่เมืองเสฉวนจะกลับมาหาเราเปนมั่นคง ท่านอย่าวิตกเลย อันจะลวงเรานั้นก็ผิดไป
ปี่เอียวจึงว่า ซึ่งท่านจะเชื่อฟังก็ตามเถิด แต่ทว่าตัวท่านจงอยู่รักษาค่ายอย่าเข้าไปเลย ข้าพเจ้าจะขอเข้าไปกระทำตามถ้อยคำของเกียงอุยเอง แม้เกียงอุยซื่อตรงต่อจริง ก็เปนความชอบของท่าน ถ้าจะคิดเปนกลอุบายประการใด ก็ไว้เปนพนักงานของข้าพเจ้าจะต่อสู้ด้วยศัตรูมิให้ร้อนถึงท่าน
โจจิ๋นก็เห็นชอบ จึงเกณฑ์ทหารให้ปี่เอียวห้าหมื่น ปี่เอียวก็ลายกทหารไปทางประมาณสองวันจึงให้หยุดกองทัพอยู่ ม้าใช้จึงมาบอกว่า บัดนี้กองทัพเมืองเสฉวนยกมาตั้งอยู่ตำบลจำก๊กเปนหลายค่าย ปี่เอียวแจ้งดังนั้นก็ยกทหารรีบไป ครั้นถึงจำก๊กทหารเมืองเสฉวนก็ยกออกมาดังจะเข้ารบ ปี่เอียวก็ขับทหารรุกเข้าไป กองทัพเมืองเสฉวนก็ทำถอยหนีลงมา ปี่เอียวเห็นดังนั้นก็ให้ทหารหยุดอยู่ กองทัพเมืองเสฉวนก็กลับหน้ารุกขึ้นมา ปี่เอียวก็ให้ทหารประจันหน้าลงไป กองทัพเมืองเสฉวนก็กลับถอยหลังเสีย แต่ล่อให้กองทัพปี่เอียวไล่ไปดังนั้นจนวันยังคํ่าคืนยังรุ่ง ครั้นปี่เอียวจะให้พักทหารหุงเข้ากินก็กลัวกองทัพเมืองเสฉวนจะโจมตีเข้ามาจะ หยุดอยู่มิได้ ก็ขับทหารรีบรุกขึ้นไปจนอิดโรยถอยกำลังลง นายทัพนายกองเมืองเสฉวนซึ่งตั้งซุ่มอยู่นั้นเห็นได้ที ก็ยกทหารโห่ร้องเข้าล้อมหน้าล้อมหลังปี่เอียวไว้โดยรอบ
ฝ่ายขงเบ้งแต่งตัวอ่าโถงถือพัดป้องหน้า ขี่เกวียนน้อยยกทหารออกมาข้างหน้าจึงร้องไปว่า ให้ทหารทั้งปวงบอกนายทัพออกมาเราจะสนทนาด้วย ปี่เอียวได้ยินขงเบ้งร้องมา ก็ขับม้ามาข้างหน้าแล้วสั่งทหารว่า ถ้าเห็นทหารขงเบ้งรบพุ่งเข้ามาก็ให้ถอยเสีย กองทัพเราจะยกวกมาข้างหลังค่ายกองหนึ่ง ถ้าเห็นแสงเพลิงติดขึ้นแล้ว จงเร่งรบพุ่งฆ่าฟันเข้าไป
ขงเบ้งเห็นปี่เอียวขี่ม้าเดิรออกมาหน้าทหารทั้งนั้นจึงร้องว่า ท่านจะออกมาเจรจาด้วยเรานั้นหาควรไม่ จงกลับไปบอกโจจิ๋นให้ออกมาพูดกับเราจึงจะควร ปี่เอียวก็โกรธจึงร้องตอบมาว่า โจจิ๋นนายเราเปนคนตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม หรือจะควรมาเจรจาด้วยท่านเปนคนพาลทรยศต่อแผ่นดิน นายเราเหมือนหนึ่งพฤกษาชาติซึ่งมีลำต้นเปนเงินมีใบแลดอกผลเปนทอง ก็ควรจะตั้งอยู่ในยอดเขา อันจะตั้งอยู่ในพื้นแผ่นดินหาควรไม่
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงเอาพัดโบกให้ทหารล้อมเข้าจับเอาตัว ม้าต้ายเตียวหงียกทหารตีกระหนาบออกมาพร้อมกันทั้งสองข้างทาง ปี่เอียวก็ให้ทหารถอยหนีออกมาทางประมาณสามร้อยเส้น พอเห็นแสงเพลิงติดขึ้นข้างหลังค่ายขงเบ้ง ก็สำคัญว่าเกียงอุยจุดเพลิงขึ้นตามสัญญาแล้วก็ขับทหารรบเข้าไป ขงเบ้งก็ให้ทหารถอยล่อมา ปี่เอียวได้ทีก็ขับม้าไล่ขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง
กวนหินเตียวเปาซึ่งตั้งซุ่มอยู่ก็ยกทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ออกมาทั้งสองข้าง ปี่เอียวรู้ตัวว่าต้องด้วยกลขงเบ้งก็ชักม้าหนี ทหารทั้งปวงแตกตื่นเหยียบกันล้มตาย แลถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บเปนสาหัส ปี่เอียวขับม้าหนีมาถึงปากทาง พบกองทัพเกียงอุยยกออกมาสกัดอยู่จึงร้องด่าว่า อ้ายขบถมึงแกล้งล่อลวงกูให้หลงด้วยกล
เกียงอุยก็หัวเราะแล้วจึงว่า กูตั้งใจจับโจจิ๋นอีก บัดนี้มาพลัดได้มึงเล่า ก็ตามเถิดเร่งลงมาจากม้าให้กูมัดเอาตัวดี ๆ อย่าพักหนีไปเลย ปี่เอียวเห็นทหารล้อมหน้าหลังไว้เปนสามารถจะหนีไปมิพ้น ก็ชักกระบี่เชือดฅอตายเสียในทันใด ทหารทั้งปวงนั้นก็กลับเข้านบนอบด้วยขงเบ้งสิ้น ขงเบ้งมีความยินดีก็ให้รีบยกทหารไปตั้ง ณ ตำบลเขากิสาน แล้วก็ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารทั้งปวงตามความชอบ
ฝ่ายโจจิ๋นแจ้งไปว่าปี่เอียวเสียแก่ข้าศึกแล้ว จึงให้หาโกฉุยเข้ามาปรึกษา แล้วจึงแต่งหนังสือให้คนถือไปแจ้งแก่พระเจ้าโจยอยว่า ข้าศึกยกมาตั้งตำบลเขากิสาน แลเสียทแกล้วทหารล้มตายเปนอันมาก ปี่เอียวนายทหารใหญ่นั้นก็เสียแก่ข้าศึกแล้ว
พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้หาสุมาอี้เข้ามาปรึกษาว่าบัดนี้โจจิ๋นบอกหนังสือมาว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกล่วงเข้ามาตั้ง ณ ตำบลเขากิสานแล้ว ปี่เอียวก็ถึงแก่ความตาย ทแกล้วทหารทั้งปวงก็เสียเปนอันมาก ท่านจะคิดป้องกันข้าศึกประการใด
สุมาอี้จึงทูลพระเจ้าโจยอยว่า ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาทางตันฉองนั้นขัดสนมามิได้ จึงยกกองทัพตลบมาเดิรทางตำบลกิสานนี้ หวังจะแยกพลทหารมาตามทางลัด ข้าพเจ้าจะแต่งทหารออกไปตั้งปิดทางลัดทั้งปวงเสียให้สิ้นอย่าให้เข้ามาได้ ถ้าช้าอยู่ประมาณสองเดือนแล้ว กองทัพขงเบ้งก็จะขัดสนเข้าปลาอาหารเห็นจะเลิกไปเอง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกทหารโจมตีเอา เห็นจะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย ขอให้มีหนังสือไปกำชับโจจิ๋นเสียอย่าให้ยกทหารล่วงไป จงยับยั้งดูท่วงทีชั้นเชิงขงเบ้งให้แน่นอนก่อน ให้ระมัดระวังกลของขงเบ้งซึ่งจะแต่งล่อลวงนั้นให้จงได้
พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำสุมาอี้ให้หันค่ายถือไปแจ้งแก่โจจิ๋น สุมาอี้จึงสั่งแก่คนถือหนังสือว่า ท่านอย่าบอกแก่โจจิ๋นว่า เราทูลพระเจ้าโจยอยให้มีหนังสือกำชับมา โจจิ๋นจะน้อยใจเรา หันค่ายผู้ถือหนังสือรับคำแล้วก็คำนับลาไป ครั้นมาถึงค่ายโจจิ๋นจึงเอาหนังสือข้อรับสั่งนั้นให้ โจจิ๋นแจ้งในข้อรับสั่งแล้ว จึงปรึกษากันกับโกฉุยซุนเล้ว่า ข้อรับสั่งทั้งนี้ท่านจะเห็นประการใด
โกฉุยจึงว่า อันข้อรับสั่งทั้งนี้เห็นจะเปนความคิดของสุมาอี้ ให้มีหนังสือออกมา เห็นว่าเราทั้งปวงจะทำการได้ชัยชนะ มีความปราถนาจะเอาความดีใส่ตัวเองจึงให้ห้ามเสีย โจจิ๋นจึงว่าท่านว่าทั้งนี้เราก็เห็นด้วย ถ้าเราจะทำตามข้อรับสั่งนี้ แม้ว่ากองทัพเมืองเสฉวนมิถอยไปนั้นจะทำประการใด โกฉุยจึงว่า ถ้าฉนั้นขอให้ท่านใช้คนไปบอกแก่อองสงให้ยกทหารเข้าล้อมตีตัดสเบียงขงเบ้ งเสียให้ได้ ถ้าทหารทั้งปวงขัดสเบียงลงแล้วก็จะเลิกไป
ซุนเล้จึงว่าท่านคิดฉนี้ดีนัก ถ้าแลขงเบ้งขัดอาหารเข้าดังนั้น ข้าพเจ้าจะเอาดินประสิวสุพรรณถันบันทุกเกวียนให้มาก แล้วจะเอาหญ้าแลฟางปกเสีย จะคุมทหารเข็นเกวียนไปทำดังหนึ่งจะมาส่งลำเลียงท่าน จึงจะแต่งให้คนสอดแนมไปแจ้งแก่ขงเบ้ง ๆ ขัดสเบียงอยู่ก็จะให้ทหารมาตีเอา ข้าพเจ้าก็จะให้ทิ้งเกวียนเสีย ทหารขงเบ้งก็จะกลุ้มกันเข้าชิงสเบียง จึงเอาเกาทัณฑ์เพลิงยิงเข้าไปให้เพลิงติดขึ้นเผาทหารขงเบ้งเสีย แล้วจะยกออกโจมตีให้แตกไป
โจจิ๋นมีความยินดีก็สั่งให้ซุนเล้ทำตามอุบาย จึงให้ไปบอกอองสงให้ยกทหารลอบไปตีตัดสเบียงขงเบ้งเสีย แล้วโกฉุยยกไปรักษาทางซึ่งจะมาแต่เกเต๋งกิก๊ก มิให้กองทัพขงเบ้งยกมาได้ จึงเกณฑ์ทหารไปรักษาด่านทางสกัดเสียทุกตำบล แต่นั้นก็กำชับทหารให้ตั้งมั่นอยู่มิได้ออกรบพุ่ง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นตั้งอยู่ ณ เขากิสาน มิได้เห็นกองทัพโจจิ๋นยกออกมารบ จึงปรึกษากับเกียงอุยว่า โจจิ๋นมิได้ยกทหารออกมาสู้รบ แต่ให้ตั้งมั่นไว้แล้วให้กองทัพยกไปตั้งสกัดทางทั้งปวงเสีย ซึ่งจะเอาสเบียงอาหารมาส่งทางตันฉองนั้นก็มิได้ แต่ในเดือนนี้ส่งสเบียงกันมิได้แล้วทหารเราก็จะขัดสนอิดโรยลง จะคิดประการใด แลเมื่อขงเบ้งปรึกษาอยู่นั้น พอม้าใช้มาบอกว่าชาวเมืองเสหลงมาแจ้งว่า ซุนเล้คุมทหารเกวียนสเบียงมาส่งกองทัพโจจิ๋นทางตวันตก
ขงเบ้งจึงถามว่า ซึ่งชื่อซุนเล้นั้นผู้ใด ชาวเมืองลกเอี๋ยงซึ่งมาเข้าเกลี้ยกล่อมนั้นจึงบอกว่า ซุนเล้คนนี้เดิมเปนขุนนางผู้น้อยฝ่ายพลเรือน ได้ตามเสด็จพระเจ้าโจยอยไปประพาสป่าครั้งหนึ่ง เสือไล่พระเจ้าโจยอยมาทหารทั้งปวงช่วยมิทัน ซุนเล้สามารถฉวยได้กระบี่วิ่งเข้าฟันเสือตาย พระเจ้าโจยอยจึงตั้งให้เปนนายทหารใหญ่ตามความชอบ ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า โจจิ๋นนี้เห็นว่าเราขัดสนสเบียงอยู่แล้ว แกล้งแต่งซุนเล้ให้คุมลำเลียงมาหวังจะลวงเผาทหารเรา ๆ ก็รู้อยู่ แต่แรกเราทำศึกมามีชัยชนะนั้น ก็เพราะกลอุบายลวงเผาทหารข้าศึกอีก แลบัดนี้โจจิ๋นจะลักเอาความคิดของเรามาทำแก่เราผู้เจ้าของนี้ยังจะได้อยู่ หรือ เราก็จะเอากลซ้อนเหนือกลบ้าง จึงให้ม้าต้ายคุมทหารยกไปตีเกวียนสเบียงสั่งกำหนดไปว่า ถ้าเห็นทหารโจจิ๋นคุมสเบียงมาพักอยู่ทางตวันตก ก็ให้ขึ้นไปเหนือลมจงเอาเพลิงเผาป่าลงมา ฝ่ายโจจิ๋นสำคัญว่าเรายกลงไปตีสเบียงต้องด้วยกลของตัวแล้ว ก็จะยกทหารมาล้อมค่ายเราไว้ จึงสั่งให้ม้าต๋งเตียวหงีคุมทหารห้าพันออกไปตั้งซุ่มอยู่นอกค่าย กำหนดว่าถ้าเห็นโจจิ๋นยกมาล้อมค่ายแล้วให้ตีกระทบเข้ามา จึงแต่งให้กวนหินเตียวเปาคุมทหารยกลอบไปซุ่มอยู่ให้ใกล้ค่ายโจจิ๋น ถ้าเห็นโจจิ๋นยกทหารออกมา ก็ให้เช้าชิงเอาค่ายให้จงได้ จึงให้งอปั้นงออี้คุมทหารไปตั้งอยู่ต้นทาง ถ้าเห็นข้าศึกเสียทีแล้วก็ให้ยกออกสกัดทางเสีย ขงเบ้งจัดแจงเสร็จแล้วพาทหารขึ้นไปอยู่บนเนินเขา
ฝ่ายซุนเล้ครั้นคุมเกวียนมาถึงริมเขาตวันตก ม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า บัดนี้ขงเบ้งแต่งทหารกองหนึ่งให้ยกมาจะตีเกวียนสเบียง ซุนเล้ก็ดีใจ จึงใช้ให้คนรีบไปบอกโจจิ๋น ๆ สั่งให้เตียวฮอกับงักหลิมซึ่งเปนกองหน้านั้นคอยระวังแสงเพลิงข้างตวันตก แลกระซิบบอกว่า ถ้าเห็นแสงเพลิงแล้วก็สมคเน เห็นขงเบ้งจะต้องในกลของเรา จงเร่งยกทหารไปล้อมค่ายขงเบ้งไว้ให้ได้ เตียวฮองักหลิมก็ให้คนขึ้นคอยดูแสงเพลิงอยู่บนเขา
ฝ่ายซุนเล้ครั้นมาถึงริมเขาเปนเวลาพลบคํ่า ก็ให้ทหารเอาเกวียนสุมกันเข้าไว้ แกล้งคอยทหารขงเบ้งจะยกมาปล้น ม้าต้ายคุมทหารมาถึงให้คนลอบเข้าไปดู เห็นทหารซุนเล้ตั้งล้อมเกวียนอยู่ จึงให้ทหารรายไปในป่าล้อมซุนเล้เข้าไว้โดยรอบ พอลมตวันตกพัดหนักมา ม้าต้ายก็ให้ทหารเอาเพลิงจุดเข้าด้นลม ลมก็โบกลงไป ซุนเล้ตกใจให้ทหารออกสกัดดับเพลิง เพลิงหนักขึ้นด้วยกำลังลมเข้ารอมิได้ ก็ไหม้เกวียนดินประสิวสุพรรณถันเข้า ซุนเล้ก็พาทหารหนีเพลิงออกมา ม้าต้ายให้ทหารโห่ร้องยิงเกาทัณฑ์รบต้านหน้าไว้ ทหารซุนเล้ก็ถูกเพลิงเจ็บปวดล้มตายเปนอันมาก ซุนเล้กลัวความตายก็พาทหารหักออกมาหนีไปได้
ฝ่ายเตียวฮองกับงักหลิมเห็นแสงเพลิงติดขึ้นดังนั้น ก็ยกทหารออกมาล้อมค่ายขงเบ้งเข้าไว้ ม้าต๋งเตียวหงีซึ่งตั้งอยู่นอกค่ายเห็นทหารโจจิ๋นยกมาล้อมดังนั้น ก็ตีกระทบออกมาพร้อมกัน ทหารเตียวฮองักหลิมมิทันรู้ตัวถูกเกาทัณฑ์ล้มตายเปนอันมาก ก็แตกร่นกันมาถึงปากทาง พอพบงอปั้นงออี้คุมทหารออกมาสกัดอยู่ ยิงเกาทัณฑ์รบพุ่งต้านทานไว้ ก็เข้าฆ่าฟันตลุมบอนกัน เตียวฮองักหลิมหักออกมาได้
แลขณะเมื่อเตียวฮองักหลิมยกออกมาจากค่ายนั้น กวนหินเตียวเปาซึ่งไปตั้งซุ่มอยู่ก็ยกเข้าชิงเอาค่ายได้ ครั้นเตียวฮองักหลิมแตกมาถึงจะเข้าค่าย กวนหินเตียวเปาก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงออกมา แล้วยกทหารออกไล่ฆ่าฟันล้มตายเปนอันมาก เตียวฮองักหลิมก็แตกหนีไปหาโจจิ๋น จึงแจ้งเนื้อความให้ฟังทุกประการ โจจิ๋นก็เสียน้ำใจจึงกำชับตรวจตราให้ทหารรักษาค่ายมั่นไว้ มิได้ยกออกสู้รบด้วยทหารขงเบ้ง ทหารเมืองเสฉวนครั้นได้ชัยชนะแล้วก็ยกกลับมา
ฝ่ายขงเบ้งใคร่ครวญดูสเบียงอาหารเบาบางลงแล้ว ก็ให้ตรวจตราตระเตรียมทหารพร้อมทุกหมวดทุกกอง กำหนดจะเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวน ขณะนั้นเอียวหงีจึงห้ามว่า สงครามครั้งนี้ก็มีชัยชนะแก่ข้าศึกอยู่อีก เหตุไฉนท่านจึงจะให้ทหารกลับคืนไปเล่า ขงเบ้งจึงว่าเราทำการครั้งนี้ได้เปรียบก็จริง แต่ทว่าสเบียงอาหารซึ่งจะเปนกำลังแก่ราชการก็เบาบางแล้ว เกลือกว่าข้าศึกยกอ้อมไปปิดหลังไว้ก็จะเสียท่วงที ประการหนึ่งกองทัพเมืองลกเอี๋ยงอุดหนุนเพิ่มเติมกันก็จะต้องรบพุ่งช้าอยู่ อันการทำศึกถ้าเห็นจะชนะก็ควรรีบรัดทำการเสียแต่ต้นมือ อันเราจะเลิกทัพบัดนี้เล่า ก็เพราะเห็นว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงมิอาจตามเรา แต่ยังวิตกอยู่ด้วยอุยเอี๋ยนผู้เดียว เราจึงจะใช้ให้ใครไปบอกให้คิดกลอุบายฆ่าอองสงเสียเห็นก็จะสำเร็จอยู่ ครั้นบอกดังนั้นแล้วเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้เลิกกองทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายเตียวคับซึ่งไปรักษาด่านอยู่นั้น ยกทหารมาถึงค่ายโจจิ๋นจึงบอกว่า บัดนี้มีรับสั่งพระเจ้าโจยอย ให้ข้าพเจ้ายกทหารมาให้ท่านใช้สอยกิจการทั้งปวง โจจิ๋นจึงถามว่า เมื่อท่านจะยกมานี้ได้ลาสุมาอี้หรือไม่ เตียวคับจึงบอกว่าข้าพเจ้าได้ไปลา โจจิ๋นจึงถามว่าสุมาอี้ว่าประการใดบ้าง เตียวคับจึงบอกว่า สุมาอี้ว่าแก่ข้าพเจ้าว่า ถ้าขงเบ้งนี้เสียทีแก่เราก็เห็นจะไม่เลิกทัพไป แม้มีชัยชนะก็จะยกพลทหารกลับไปเปนมั่นคง แล้วเตียวคับจึงถามว่า แต่ท่านเสียทีแก่ขงเบ้งมานั้น ได้ให้คนไปสืบดูบ้างหรือไม่ โจจิ๋นจึงบอกว่ายังมิได้ให้คนไปดูก่อน เตียวคับจึงว่า ขอให้ท่านใช้คนไปสืบดูให้แน่นอนเถิด โจจิ๋นจึงใช้ให้คนไปสืบดูกลับมาบอกว่า ขงเบ้งเลิกทัพไปได้สองวันแล้ว โจจิ๋นแจ้งดังนั้นก็เอามือตบอกเข้า เสียใจว่าเรารู้มิทันขงเบ้งเลย
ฝ่ายอุยเอี๋ยนครั้นแจ้งว่าขงเบ้งจะเลิกทัพไปแล้ว สั่งมาให้ฆ่าอองสงเสีย จึงแต่งทหารให้ลอบยกไปซุ่มอยู่หลังค่ายอองสง สั่งว่าถ้าเห็นอองสงออกจากค่ายให้เอาเพลิงเผาค่ายขึ้นแล้วให้รีบหนีมา ครั้นจัดแจงเสร็จแล้ว ก็ให้ทหารทั้งปวงลาดไปก่อน สั่งกำชับว่าถ้าอองสงยกตามมาให้พากันหนีไปอย่ารออยู่ แล้วอุยเอี๋ยนกับทหารสามสิบคนก็เข้าซุ่มอยู่ในป่า แลในเวลากลางคืนนั้นม้าใช้เอาเนื้อความไปบอกแก่อองสงว่า บัดนี้อุยเอี๋ยนยกทหารหนีไปแต่เวลาพลบนั้นแล้ว อองสงแจ้งดังนั้นก็ยินดี จึงยกทหารออกจากค่ายรีบติดตามมา ทหารอุยเอี๋ยนซึ่งล่าไปนั้น เห็นทหารอองสงโห่ร้องกระชั้นเข้ามาใกล้ก็รีบหนีไป ทหารซึ่งซุ่มอยู่หลังค่ายอองสงนั้นได้ทีก็ลอบเข้าไปเอาเพลิงจุดค่ายขึ้น แล้วโห่ร้องวุ่นวายดังจะโจมตีเข้าไปแล้วก็พากันลัดหนีมา
ฝ่ายอองสงยกทหารตามไปวันนั้น เหลียวหลังมาเห็นแสงเพลิงติดขึ้น ณ ค่ายก็รู้ว่าอุยเอี๋ยนทำกล ชักม้าพาทหารจะกลับหลังมาค่าย อุยเอี๋ยนกับทหารสามสิบคนแอบอยู่ในรก ก็ชักม้ารำง้าวออกมาร้องว่ากูชื่ออุยเอี๋ยนอยู่นี่ อองสงเหลือบไปเห็นอุยเอี๋ยน จะชักม้าผินหน้าเข้ารับมิทัน อุยเอี๋ยนก็ฟันด้วยง้าวถูกตัวขาดตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นไป อุยเอี๋ยนก็รีบกลับมาถึงเมืองฮันต๋ง จึงแจ้งแก่ขงเบ้งทุกประการ ขงเบ้งมีความยินดีก็แต่งโต๊ะเลี้ยงนายทัพนายกองทั้งปวง
ขณะนั้นม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปบอกแก่โจจิ๋นว่า อุยเอี๋ยนฆ่าอองสงถึงแก่ความตายแล้ว โจจิ๋นแจ้งก็สลดน้ำใจ จึงเกณฑ์ให้เตียวคับซุนเล้โกฉุยตั้งอยู่รักษาด่านทางเมืองเตียงอั๋นทุกตำบล แล้วก็เลิกทัพกลับเมืองลกเอี๋ยง
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 74
https://drive.google.com/file/d/1MKyAd--I0WH2ejTkiVD_P58PEvb15GiB/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #4 on:
23 December 2021, 22:17:56 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 75
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-75.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 75
เนื้อหา
• พระเจ้าซุนกวนทำพิธีราชาภิเษก
• ขงเบ้งยกไปตีวุยก๊กครั้งที่สาม
• พระเจ้าโจยอยตั้งสุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่
• สุมาอี้ตั้งมั่นไม่ออกรบขงเบ้ง
ฝ่าย ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่พระเจ้าซุนกวนว่า ขงเบ้งยกพลทหารมาทำการรบพุ่งกับโจจิ๋น ฆ่าทหารพระเจ้าโจยอยล้มตายเปนอันมาก บัดนี้ยกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งแล้ว ขุนนางทั้งปวงจึงทูลพระเจ้าซุนกวนว่า บัดนี้ทหารในเมืองลกเอี๋ยงนั้นก็อิดโรย ด้วยขงเบ้งทำไว้บอบช้ำนัก อนึ่งกองทัพเมืองเสฉวนก็ยกกลับไปได้ทีอยู่แล้ว ขอพระองค์ให้ยกทหารไปตีเมืองลกเอี๋ยงในขณะระส่ำระสายอยู่นี้เห็นจะได้สดวก พระเจ้าซุนกวนก็มิได้ตรัสประการใด
เตียวเจียวจึงทูลว่า บัดนี้เมืองกังตั๋งมีฝูงหงส์เข้ามาร้องอยู่ทุกเวลา อนึ่งมังกรก็สำแดงฤทธิ์ในท้องมหาสมุทร เปนอัศจรรย์นักหนา เหมือนจะบอกว่าเทศกาลนี้เปนมงคลอันประเสริฐ ขอพระองค์ให้ตั้งการพิธีราชาภิเษกเสียก่อน แล้วจึงให้ยกพลทหารไปตีเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าซุนกวนก็เห็นด้วย
ครั้นถึงเดือนสี่ (พ.ศ. ๗๗๒) ก็ให้แต่งการพระราชพิธีพร้อมเสร็จทุกประการตามประเพณีแต่ก่อน ตั้งพระองค์เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ในวันศุภมงคลฤกษ์ จึงตั้งซุนเต๋งพระราชบุตรเปนฝ่ายหน้า ให้จูกัดเจ๊กบุตรจูกัดกิ๋นเปนเสนาบดีฝ่ายขวา ให้เตียวหิวบุตรเตียวเจียวเปนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ช่วยทำนุบำรุงพระราชบุตรตามประเพณี
แลจูกัดเจ๊กคนนี้พระเจ้าซุนกวนมีพระทัยรักนัก ด้วยเมื่ออายุได้หกขวบนั้น จูกัดกิ๋นพาเข้าไปกินโต๊ะในท้องพระโรง พระเจ้าซุนกวนเห็นหน้าจูกัดเจ๊กยาวเหมือนหน้าโล่ห์ จึงไปจับเอาโล่ห์มาจารึกอักษรลงไว้ที่หน้าโล่ห์ว่าจูกัดเจ๊ก ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันหัวเราะเยาะ จูกัดเจ๊กเห็นดังนั้นก็ลุกออกมาเอาพู่กรรณ์เขียนอักษรต่อลงต้นบันทัดสองตัว ว่าแต้โล่ห์ของผสมกันเข้าว่าโล่ห์ของจูกัดเจ๊ก ขุนนางทั้งปวงเห็นจูกัดเจ๊กฉลาดก็ชวนกันสรรเสริญ พระเจ้าซุนกวนมีพระทัยเอนดูโปรดปรานแต่นั้นมา จึงตั้งให้เปนขุนนางฝ่ายหน้า
ครั้นพระเจ้าซุนกวนให้ทำการพระราชพิธีเสร็จ ก็ให้กะเกณฑ์ทแกล้วทหารทั้งปวงเข้ากระบวรทัพยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง เตียวเจียวจึงทูลห้ามว่า พระองค์พึ่งสำเร็จการสงครามได้ราชาภิเษกใหม่ แลจะยกกองทัพไปปราบปรามศัตรูนั้นขอให้งดไว้ก่อน จงตั้งซ่องสุมผู้คนเกลี้ยกล่อมเมืองเสฉวนให้เปนไมตรีด้วยกัน แล้วจึงบัญจบทหารทั้งสองฝ่ายไปช่วยกันกำจัดศัตรูรบเอาเมืองลกเอี๋ยงเห็นจะ ได้โดยง่าย
พระเจ้าซุนกวนก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งให้คนถือหนังสือไปถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนณะเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้หาขุนนางเข้ามาปรึกษา ขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่า ซึ่งจะเปนไมตรีด้วยพระเจ้าซุนกวนแลจะช่วยกันกำจัดศัตรูนั้น ขอให้ปรึกษามหาอุปราชก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้ขุนนางผู้ใหญ่ไปปรึกษาด้วยขงเบ้ง ณ เมืองฮันต๋ง
ขงเบ้งจึงให้มีหนังสือตอบมาว่า ซึ่งเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋งจะเปนทองแผ่นเดียวกันนั้นก็ควรอยู่ แต่ทว่าบัดนี้พระเจ้าซุนกวนก็พึ่งเสร็จการพระราชพิธีใหม่ ๆ ขอพระองค์ให้แต่งบรรณาการไปถามข่าวเยี่ยมพระเจ้าซุนกวน ฟังดูกิตติตัพท์ประเพณีแผ่นดินให้แน่นอนก่อน แม้พระเจ้าซุนกวนจะเปนไมตรีด้วยพระองค์โดยสุจริตแล้ว ก็ให้มั่นคงตามสัตยานุสัตย์ ไปภายหน้าอย่าให้แปรปรวนฟั่นเฟือนเสีย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่งเปนทางราชไมตรีต่อกัน กับเครื่องราชบรรณาการแลเครื่องยศสิ่งของทั้งปวงเปนอันมาก ให้ตันจิ๋นคุมไปถวายแก่พระเจ้าซุนกวน ๆ ก็มีความยินดีให้เลี้ยงดูผู้ถือหนังสือตามประเพณี จึงตอบเครื่องราชบรรณาการโดยสมควร แล้วมีหนังสือตอบรับปฏิญาณโดยทางราชไมตรี ให้ตันจิ๋นกลับไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วพระเจ้าซุนกวนจึงปรึกษาด้วยลกซุน ๆ จึงทูลว่า ซึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเปนไมตรีด้วยทั้งนี้ ก็เพราะความคิดของขงเบ้งกลัวสุมาอี้จึงมาเปนไมตรีด้วย การของเราก็จะให้ได้ทางไมตรีก็มิให้เสีย จำจะบอกไปถึงเมืองเสฉวนว่า เราจะยกทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง ให้ขงเบ้งยกทัพไปกองหนึ่ง สุมาอี้ก็จะยกออกมาสู้กันกับขงเบ้ง ฝ่ายเราก็จะลอบยกเข้าไปตีเมืองลกเอี๋ยงได้โดยง่าย พระเจ้าซุนกวนก็เห็นชอบด้วย จึงให้คนถือหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วให้กะเกณฑ์กองทัพพร้อมไว้ทุกหัวเมือง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งหนังสือกำหนดแล้ว ก็ให้ไปแจ้งแก่ขงเบ้ง ๆ ก็มีความวิตกนัก คิดว่าตำบลตันฉองนั้นจะยกไปเปนทางคับขันขัดสนอยู่ จึงใช้ให้คนไปสอดแนมดูรู้ว่าเฮ็กเจียวป่วยหนักก็ดีใจ จึงแต่งให้อุยเอี๋ยนเกียงอุยสองนายคุมทหารห้าพัน สั่งกำหนดให้เข้าประชิดจนถึงกำแพงตันฉอง ถ้าเห็นเพลิงติดขึ้นเมื่อใดแล้วก็ให้ยกทหารไปจงได้ ท่านทั้งสองจงรีบยกไปในสามวันให้ทันท่วงทีอย่าได้มาลาเราเลย อุยเอี๋ยนเกียงอุยคำนับแล้วก็รีบยกทหารไป ขงเบ้งจึงเรียกกวนหินเตียวเปามากระซิบสั่งเปนความลับให้ตระเตรียมทหารไว้ให้ พร้อม
ฝ่ายโกฉุยกับเตียวคับซึ่งโจจิ๋นให้รักษาด่านอยู่นั้น แจ้งว่าเฮ็กเจียวป่วยหนักก็ปรึกษากันให้เตียวคับคุมทหารสามพันยกมาจะให้อยู่ รักษาตำบลตันฉอง
ขณะนั้นขงเบ้งครั้นให้กวนหินกับเตียวเปายกไปแล้ว ก็กะเกณฑ์ทหารรีบยกลัดกลับมาโดยเร็ว ถึงที่ตันฉองก่อนอุยเอี๋ยนเกียงอุย ครั้นเวลากลางคืนได้ที ก็ให้ทหารปลอมเข้าไปในกำแพงจุดเพลิงขึ้น ขงเบ้งก็ให้ทหารตรูกันตีเข้าไปได้ไล่ฆ่าฟันเปนอลหม่าน ทหารซึ่งอยู่ในกำแพงมิทันรู้ตัวก็แตกตื่นหนีออกจากค่ายเหยียบกันล้มตายเปน อันมาก เฮ็กเจียวป่วยหนักลุกมิได้ก็ขาดใจตาย
ฝ่ายอุยเอี๋ยนกับเกียงอุยรีบยกกองทัพมาถึงตำบลตันฉอง เห็นเงียบสงัดอยู่มิได้เห็นทหารเฮ็กเจียวอยู่บนเชิงเทิน เห็นแต่ธงจารึกชื่อเมืองเสฉวนปักอยู่บนกำแพงก็หลากใจ ได้ยินเสียงขงเบ้งร้องออกมาว่า เปนไฉนท่านทั้งสองจึงค่อยมาป่านนี้ อุยเอี๋ยนเกียงอุยครั้นได้ยินเสียงขงเบ้งร้องมาดังนั้นก็ตกใจ ชักม้าเข้าไปใกล้แล้วจึงคุกเข่าลงคำนับ ขงเบ้งก็ให้ทหารเปิดประตูรับเข้าไป อุยเอี๋ยนเกียงอุยคำนับแล้วถามว่า มหาอุปราชทำประการใดจึงมาถึงตำบลตันฉองก่อนอีกเล่า
ขงเบ้งจึงบอกว่า เราแจ้งอยู่ว่าเฮ็กเจียวป่วยหนักจึงเกณฑ์ให้ท่านทั้งสองรีบมา หวังจะให้กิตติศัพท์เลื่องลือให้เฮ็กเจียวระวังทัพท่านอยู่ เราจึงยกทหารลัดมาทางน้อยปลอมเข้าจุดเพลิงเผาค่ายขึ้น ก็เข้าโจมตีเอาได้ง่าย อุยเอี๋ยนเกียงอุยแจ้งดังนั้นก็สรรเสริญว่า มหาอุปราชคิดกลอุบายทั้งนี้ดุจหนึ่งเทพดา
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเรายกมาตีได้ตำบลตันฉองนี้แล้ว ก็ยังจะต้องทำการต่อไป ครั้นจะอยู่ช้าก็มิได้ข้าศึกรู้ตัวก็จะตระเตรียม การซึ่งจะรบสู้ทแกล้วทหารจะได้ความลำบากมาก ท่านทั้งสองอย่าหยุดอยู่เลย จงรีบยกไปตีด่านซันกวนอย่าให้ทันรู้ตัว อุยเอี๋ยนกับเกียงอุยคำนับแล้วก็ยกทหารไป ชาวด่านซันกวนไม่ทันตระเตรียมการ เห็นกองทัพยกมาก็ตกใจต่างคนก็ทิ้งด่านเสีย อุยเอี๋ยนเกียงอุยก็ยกเข้าไปในด่านซันกวน พอกองทัพเตียวคับยกมาถึงเข้า แจ้งว่าด่านซันกวนเสียทีแก่ข้าศึกแล้ว ก็ถอยกองทัพกลับไป อุยเอี๋ยนเกียงอุยเห็นได้ทีก็ยกทหารออกโจมตี ไล่ฆ่าฟันทหารเตียวคับล้มตายเปนอันมาก ก็แตกกระจัดกระจายไปสิ้น
อุยเอี๋ยนเกียงอุยก็ให้คนถือหนังสือรีบมาแจ้งแก่ขงเบ้ง ๆ ก็ให้รีบยกพลทหารไปตั้งมั่นอยู่ตำบลเขากิสาน แล้วจึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า แต่เรายกมาทำการ ณ ตำบลเขากิสานนี้ก็เสียทีต้องยกพลทหารกลับไปถึงสองครั้งแล้ว มิได้ชัยชนะเลย ครั้งนี้เราทำการได้สมคะเนเหมือนใจคิด เห็นสุมาอี้จะหมายว่าบัดนี้เราจะยกเข้าไปทางเมืองไปเสียแลเมืองหยงจิ๋ว ดีร้ายจะยกทหารมาสกัดทางอยู่ คอยรบพุ่งเราเหมือนครั้งก่อน ครั้นเราจะยกกองทัพไปทางนั้นเล่าก็มิได้ จำจะยกไปทางเมืองอิมเป๋งปูเต๋าเดิรหลีกเสีย ลอบเข้าไปตีเมืองอิมเป๋งปูเต๋าให้ได้ก่อน แม้ได้เมืองสองเมืองนี้แล้ว ก็เห็นจะทำการตลอดเข้าไปได้ถึงเมืองลกเอี๋ยง ผู้ใดจะอาสาเราไปทำการครั้งนี้ได้
เกียงอุยกับอองเป๋งจึงรับว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอง ขงเบ้งก็มีความยินดีจึงให้ทหารคนละหมื่นกำหนดให้เกียงอุยยกไปตีเมืองปูเต๋า ให้อองเป๋งไปตีเมืองอิมเป๋ง สองนายคำนับแล้วก็ยกทหารไป
ฝ่ายเตียวคับครั้นยกมาถึงเมืองเตียงอั๋น จึงแจ้งเนื้อความแก่โกฉุยว่า บัดนี้กองทัพเมืองเสฉวนมาตีตำบลตันฉองได้ เฮ็กเจียวก็ถึงแก่ความตาย ด่านซันกวนนั้นก็เสียแล้ว ขงเบ้งยกทัพล่วงเข้ามาตั้งอยู่ตำบลกิสาน โกฉุยแจ้งดังนั้นก็บอกหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าโจยอย แล้วจึงปรึกษากันว่า กองทัพขงเบ้งครั้งนี้เห็นจะยกมาทางเมืองไปเสียแลเมืองหยงจิ๋วเปนมั่นคง จะไว้ใจมิได้ จึงแต่งให้เตียวคับอยู่รักษาเมืองเตียงอั๋น ให้ซุนเลไปรักษาเมืองหยงจิ๋ว ตัวโกฉุยนั้นยกทหารไปป้องกันเมืองไปเสีย
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยแจ้งหนังสือบอกดังนั้นก็ทรงพระวิตกอยู่ พอขุนนางเอาเนื้อความมาแจ้งว่า บัดนี้เมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนนั้นเปนไมตรีกันเข้าแล้ว คิดอ่านจะยกกองทัพมาช่วยกันทำร้ายแก่เมืองเรา แลลกซุนตระเตรียมทหารพรักพร้อมอยู่ จะยกเข้ามาในวันหนึ่งสองวันนี้
พระเจ้าโจยอยได้ฟังก็ทุกข์พระทัยนัก จึงตรัสว่าถ้าทหารทั้งสองเมืองบัญจบเข้ามาทำร้าย เราจะมิขัดสนเสียหรือ สุมาอี้จึงว่าพระองค์อย่าวิตกเลย อันเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่มาทำร้ายเรา ด้วยเปนอริกันอยู่กับเมืองเสฉวน ขงเบ้งคิดจะแก้แค้นเมื่อครั้งตำบลเฮาเต๋งอยู่มิได้ขาด บัดนี้คิดกลัวอยู่ว่ากองทัพเราจะยกไปตีเมืองเสฉวน เกรงซุนกวนจะพลอยทัพหลังเข้า จึงแกล้งแต่งคนไปประจบประแจงเสีย หวังมิให้ทำร้าย ฝ่ายเมืองกังตั๋งก็ซังตายรับไว้เปล่า ๆ ด้วยเสียมิได้กลัวจะอาย ซึ่งลกซุนตระเตรียมทหารซักซ้อมไว้ทั้งนี้ ทำแต่พอให้ขงเบ้งเชื่อมิให้ระแวงใจ ที่จริงนั้นลกซุนจะคอยดูเล่นดอก แม้ขงเบ้งเพลี่ยงพลํ้าเราลง ก็เห็นลกซุนจะซ้ำเอาอีก อันกองทัพเมืองกังตั๋งนั้นจะปรารมภ์ไปใย
พระเจ้าโจยอยจึงว่า ท่านว่านี้ควรหนักหนา มิเสียทีที่มีปัญญาอันสุขุมหยั่งรู้ตลอดไปได้ ขณะนั้นพระเจ้าโจยอยก็ตั้งให้สุมาอี้เปนนายทัพใหญ่ให้อาญาสิทธิ์ทุกประการ สุมาอี้คำนับแล้วออกมาจัดแจงทหารยกไป ครั้นถึงเมืองเตียงอั๋นก็แต่งให้เตียวคับไต้เหลงคุมทหารสิบหมื่นไปตั้งรับ ขงเบ้งเขากิสาน
โกฉุยซุนเลครั้นแจ้งว่าสุมาอี้ยกมาอยู่เมืองเตียงอั๋น ก็ยกมาหาสุมาอี้ จึงถามว่า ซึ่งท่านทั้งสองไปตั้งรักษาเมืองสองตำบลอยู่นั้น ได้รบพุ่งกับกองทัพขงเบ้งบ้างหรือ โกฉุยซุนเลก็บอกว่า ข้าพเจ้าทั้งสองไปตั้งอยู่ก็มิได้เห็นทหารขงเบ้งยกมารบพุ่งเลย สุมาอี้จึงถามว่า บันดาหัวเมืองทั้งปวงนั้นท่านรู้ข่าวร้ายดีประการใดบ้าง
โกฉุยซุนเลจึงบอกว่า อันหัวเมืองทั้งนั้นข้าพเจ้าได้ข่าวว่าดีอยู่สิ้น แต่ปูเต๋าอิมเป๋งสองเมืองนั้นมิรู้ข่าวร้ายดีเลย สุมาอี้จึงว่าถ้าฉนั้นท่านทั้งสองจงคุมทหารคนละพัน ยกไปรักษาเมืองปูเต่าแลเมืองอิมเป๋งไว้ให้ได้ ถ้าจัดแจงมั่นคงแล้วจงช่วยกันคิดอ่านคอยสกัดตีวกหลังกองทัพเมืองเสฉวนให้ พว้าพวังอยู่ ครั้งนี้เราจะคิดทำการจับเอาตัวขงเบ้งให้ได้
โกฉุยซุนเลก็คำนับลาคุมทหารยกมา ครั้นถึงกลางทางม้าใช้มาบอกว่า เมืองปูเต๋าแลเมืองอิมเป๋งนั้นกองทัพขงเบ้งมาตีได้แล้ว บัดนี้ยกทหารออกมาอยู่นอกเมืองทางประมาณร้อยเส้น โกฉุยซุนเลได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษากันว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกมาตีได้เมืองแล้ว เหตุใดจึงจะยกกองทัพมาตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเห็นผิดนัก ชรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราจะล่วงเข้าไปมิได้ ก็ชวนกันพาทหารถอยหลังออกมา พอได้ยินเสียงประทัดจุดขึ้นบนเนินเขา ทั้งสองนายก็ตกใจ แลไปเห็นขงเบ้งแต่งตัวโอ่โถงถือพัดขนนกขี่เกวียนน้อย กวนหินเตียวเปาถือกระบี่เดิรซ้ายขวา ยกทหารสกัดมาตามเนินเขา โกฉุยซุนเลตกใจตลึงอยู่
ขงเบ้งจึงร้องว่า อ้ายทหารสองคนนี้อย่าหนีกูให้ยากเลย เข้ามาคำนับกูเสียโดยดีเถิด อันกลของสุมาอี้นั้นลวงกูไม่ได้ กูรู้อยู่สิ้นแล้ว แม้มิเข้ามาหากูก็จะให้ทหารจับตัวฆ่าเสียบัดนี้ โกฉุยซุนเลก็กลัวเปนกำลังชักม้าจะหนี พออองเป๋งเกียงอุยยกทหารตีกระทบหลังเข้ามาฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก ก็ทิ้งม้าเสียวิ่งหนีขึ้นเขา เตียวเปาก็ควบม้าไล่จะจับเอาตัว วางม้าไปด้วยกำลังเหยียบศิลาพลาดม้าก็ล้มลง เตียวเปาตกม้าหน้าคมำถูกศิลาแตก ทหารทั้งนั้นก็วิ่งเข้าไปช่วยพยุงตัวมา โกฉุยซุนเลคลาดออกก็หนีไปได้ ขงเบ้งจึงให้ทหารรับเตียวเปาไปรักษาตัวเมืองเสฉวน
ฝ่ายโกฉุยซุนเลจึงมาแจ้งแก่สุมาอี้ ตามเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งทุกประการ สุมาอี้จึงว่า ซึ่งท่านแตกมาทั้งนี้เราก็มิได้เอาโทษ ด้วยขงเบ้งมีกลอุบายมากเรารู้มิทัน ท่านจงรีบไปรักษาเมืองไปเสียแลเมืองหยงจิ๋วไว้ ถ้าทหารขงเบ้งจะเข้าไปเย้าประการใดอย่าออกสู้รบเลย เราจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่งกำจัดขงเบ้งเสียให้ได้ โกฉุยซุนเลคำนับแล้วก็ยกไปรักษาเมือง สุมาอี้จึงว่าแก่เตียวคับกับไต้เหลงว่า บัดนี้ขงเบ้งตีได้เมืองปูเต๋าแลเมืองหยงจิ๋วนั้นเห็นจะไม่อยู่ค่าย ตัวจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมผู้คนอยู่ในเมือง ท่านจงคุมทหารหมื่นหนึ่งลัดทางน้อยอ้อมเข้าหลังค่ายขงเบ้งตีเข้าไป เราจะคุมทหารยกไปข้างหน้าตีกระหนาบสองด้านชิงเอาค่ายให้จงได้ ถ้าได้สมคะเนแล้วจะกลัวอะไรแก่ขงเบ้ง จะคิดกำจัดเสียภายหลังก็จะง่ายดอก เตียวคับไต้เหลงก็ยกทหารลัดทางไป
ฝ่ายขงเบ้งจึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า เรามาตีได้เมืองสองเมืองนี้ ดีร้ายสุมาอี้จะสำคัญว่าเราเข้าไปอยู่ในเมือง เวลาค่ำวันนี้จะแต่งทหารลัดมาปล้นค่ายเราเปนมั่นคง ก็ให้แต่งเกวียนเชื้อเพลิงไว้เปนอันมาก เกณฑ์ทหารให้ซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางคอยสกัดทัพสุมาอี้จะยกมา ครั้นเวลาสองยามเศษเตียวคับกับไต้เหลงยกมาจะใกล้ถึงค่าย ทหารนั้นได้ยินเสียงคนบนเนินเขาก็ยั้งอยู่ เตียวคับจึงขับม้าตลบหลังลงมา เร่งทหารทั้งปวงซึ่งล้าอยู่ให้เดิรขึ้นไปให้ทันกัน จึงเห็นเกวียนเชื้อเพลิงที่ทหารขงเบ้งชักเข้ามาสกัดหลังไว้ก็ตกใจ จึงเรียกทหารข้างหน้าให้ถอยหลังลงมา พอได้ยินเสียงประทัดแสงเพลิงก็สว่างขึ้นรอบตัว ทหารในป่าก็โห่ร้องล้อมเข้ามา ขงเบ้งอยู่บนเนินเขาจึงร้องว่า สุมาอี้สำคัญว่าเราอยู่ในเมืองให้ท่านมาปล้นค่ายเราหรือ บัดนี้ต้องด้วยกลของเราแล้วเข้ามาคำนับเราโดยดีเถิด ตัวท่านก็เปนทหารเลวหาผู้ใดนับถือไม่ อย่าคิดอายถือตัวอยู่เลย
เตียวคับได้ยินขงเบ้งร้องลงมาก็โกรธ จึงเอาแซ่ชี้ว่ามึงนี้ชาวบ้านนอก อวดตั้งตัวเปนใหญ่องค์อาจล่วงมาถึงแดนเมืองกู ๆ จะจับเอาตัวสับเสียให้ลเอียดมิให้กากลืนแค้น แล้วก็ขับม้าขึ้นไปบนเขาจะจับตัวขงเบ้ง ทหารทั้งปวงก็เอาหินแลเกาทัณฑ์ยิงระดมลงมา เตียวคับขึ้นไปมิได้ก็ชักม้าถอยหลังอยู่ ขงเบ้งก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันทหารเตียวคับเจ็บปวดลำบากล้มตายเปนอันมาก เตียวคับกับไต้เหลงก็บากออกมา ทหารขงเบ้งกลัวฝีมือเตียวคับจะต้านทานไว้มิได้ก็แหวกทางให้ ขณะเมื่อเตียวคับหักออกมา วันนั้นขงเบ้งแลดูอยู่บนเนินเขา จึงสรรเสริญว่าเตียวคับคนนี้ได้ยินลือชื่อมาช้านาน วันนี้พึ่งได้เห็นประจักษ์แก่ตาเข้มแขงพ้นกำลังนัก ทหารคนนี้แม้อยู่สืบไปเมื่อหน้าก็จะทำอันตราย จำจะกำจัดเสียให้ได้ แล้วขงเบ้งก็ยกกลับมาค่าย
ฝ่ายสุมาอี้จัดแจงทหารจะยกมา พอเห็นเตียวคับกับไต้เหลงเสลือกสลนเข้ามาก็ตกใจ จึงถามว่าเปนเหตุไฉนจึงกลับมา เตียวคับก็เล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็เสียใจ จึงว่าขงเบ้งมีสติปัญญาสามารถนัก ก็สั่งให้ยกทหารกลับมาค่าย สุมาอี้จึงว่า เมืองเสฉวนเปนทางไกล ทหารทั้งปวงได้สเบียงอาหารน้อยจึงรีบมาทำการรบพุ่ง ปราถนาจะใคร่ได้ชัยชนะเร็ว ๆ ครั้นเราจะออกรบพุ่งด้วยบัดนี้ก็มิได้ จำจะตั้งมั่นรับไว้ให้ช้าอยู่ สเบียงอาหารขัดสนลงเห็นจะเลิกไป แต่นั้นมาสุมาอี้ก็มิได้ให้ทหารออกสู้รบเลย
ฝ่ายขงเบ้งก็แต่งให้ทหารไปยั่วหลายครั้ง สุมาอี้มิได้ออกรบ แต่คำนึงกันอยู่ถึงสิบสี่สิบห้าวัน พอบิฮุยถือหนังสือพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาถึงขงเบ้งว่า บัดนี้รู้ข่าวมหาอุปราชตีได้หัวเมืองสองตำบลก็มีความยินดีนัก ซึ่งมหาอุปราชมีโทษแต่ก่อนนั้นก็ให้พ้นโทษแล้ว จงคงในถานาศักดิ์เถิด ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ยกมือขึ้นถวายบังคมคำนับรับเอารับสั่งพระเจ้าเล่าเสี้ยน ตามประเพณีแล้ว ก็ให้บิฮุยถือหนังสือบอกกลับไป
ขงเบ้งคิดอุบายจะลวงสุมาอี้ จึงให้ทหารออกจากค่ายถอยเลื่อนลงไปตั้งอยู่ทางประมาณสามร้อยเส้น ม้าใช้จึงไปแจ้งแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งยกกองทัพถอยไปแล้ว สุมาอี้จึงว่า ขงเบ้งยกไปบัดนี้ปราถนาจะลวงเราให้ตาม ถ้าเราตามคงจะต้องด้วยกลมั่นคง เตียวคับจึงว่า ขงเบ้งขัดสนสเบียงอาหารถอยทัพไป เหตุใดท่านจึงมิได้ยกทหารตามไปโจมตี จะมาคิดวิตกกลัวกลของขงเบ้งด้วยอันใด
สุมาอี้จึงว่า ปีก่อนนั้นเราก็รู้ว่าเมืองเสฉวนได้เข้าปลาอาหารมาก แลบัดนี้ก็เปนเทศกาลเข้าโภชน์สาลี กองทัพขงเบ้งจะกินไปได้อยู่อีกครึ่งปีเห็นไม่ขัดสน ซึ่งทำนี้เปนกลลวงจะตามไปนั้นมิได้ แล้วสุมาอี้จึงให้คนไปสืบดูกลับเข้ามาบอกว่า บัดนี้กองทัพขงเบ้งยกไปตั้งอยู่พ้นที่ไปอีกสามร้อยเส้น เตียวคับจึงว่า ขงเบ้งขัดสนอาหารแล้ว ครั้นจะยกรีบไปกลัวเราจะรู้จึงทำค่อยเลื่อนไป ซึ่งท่านจะมิให้ตามไปนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย
สุมาอี้จึงห้ามว่า อันขงเบ้งนี้มีแยบคายมากจะทำลวงเรา จะตามไปนั้นก็จะเสียที ครั้นรุ่งเช้าสุมาอี้ให้คนไปสืบอีก กลับมาบอกว่า ขงเบ้งยกไปตั้งค่ายพ้นที่นั้นไปอีกสามร้อยเส้น
เตียวคับจึงว่า ขงเบ้งยกหนีไปจริง ๆ ท่านมิให้ตามไปนั้นไม่ชอบ ข้าพเจ้าจะขออาสาตามไปตีให้จงได้ แม้เสียทีแก่ข้าศึกมาข้าพเจ้าจะให้สีสะแก่ท่าน แต่ทว่าขอท่านยกหนุนข้าพเจ้าออกไปด้วย
สุมาอี้ห้ามเตียวคับหลายครั้งก็ไม่ฟัง สุมาอี้จึงว่าท่านจะไปก็ตามใจ อันจะไปแต่ลำพังนั้นมิได้ เกลือกขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ก็จะเสียที เราจะยกทหารหนุนไปด้วย ถ้าเพลี่ยงพล้ำจะได้ช่วยกัน แม้ได้รบกับขงเบ้งครั้งนี้แล้วอย่าได้ย่อหย่อนเลย ท่านจงขับทหารเร่งหักโหมเข้าไปจงสามารถเราจะคอยหนุน สุมาอี้จึงกะเกณฑ์ทหารให้เตียวคับไต้เหลงสามหมื่น แล้วกำชับว่าเวลาพรุ่งนี้ท่านยกไปทันทัพขงเบ้งก็อย่าเพ่อเข้าตี จงพักทหารไว้ให้สบายใจก่อน คอยดูท่วงทีขงเบ้งจะทำประการใดบ้าง เตียวคับไต้เหลงรับคำแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ยกทหารออกมาตั้งค่ายอยู่ตามสุมาอี้สั่ง สุมาอี้ก็ยกทหารหนุนออกไป
ฝ่ายขงเบ้งครั้นรู้ว่าสุมาอี้ยกตามมา เวลากลางคืนให้หานายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า ทหารสุมาอี้ยกมาบัดนี้เห็นจะได้รบพุ่งกับเรากวดขันนัก ถึงแพ้แลชนะเปนมั่นคง แลในกองทัพเรานี้ไม่เห็นมีผู้ที่จะอาสาออกต่อสู้ด้วยทหารร้อยคนพันคนแต่ผู้ เดียวได้ ขงเบ้งว่าพลางแลดูอุยเอี๋ยนแล้วก็ก้มหน้าเสีย อองเป๋งจึงว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาท่านให้ถึงขนาด ขงเบ้งจึงว่าท่านภักดีต่อเราจะขออาสาก็ขอบใจอยู่ แต่ทว่ากองทัพสุมาอี้ครั้งนี้ก็เข้มแข็งนักไม่เหมือนทุกครั้ง แม้เสียการของเราไปจะทำประการใด
อองเป๋งจึงว่า ข้าพเจ้าจะอาสาไปครั้งนี้ ใช่จะอาลัยแก่ชีวิตนั้นหามิได้ ถึงจะเปนประการใดก็จะสู้ตาย ถ้าแลเสียการไปข้าพเจ้าจะให้สีสะแก่ท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่าอองเป๋งนี้สัตย์ซื่อภักดีต่อเราจริง ๆ แต่ทว่าตัวท่านผู้เดียวถึงจะมีฝีมือเข้มแข็งก็ดี อันจะสู้ด้วยทหารสุมาอี้นั้นเห็นเหลือตัวนัก เราคิดจะให้ผู้ใดออกไปช่วยท่านเปนสองนายด้วยกัน ก็ไม่เห็นหน้าใครเลย
ขณะนั้นเตียวเอ๊กจึงว่า มหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปช่วยอองเป๋งทำการเอง ขงเบ้งจึงว่า เตียวคับทหารสุมาอี้คนนี้มิใช่พอดี ท่านจะอาสาออกไปนั้นเราเห็นฝีมือจะสู้เตียวคับมิได้ เตียวเอ๊กจึงว่า ตัวข้าพเจ้าก็นับว่าเปนทหารคนหนึ่ง ถึงเตียวคับจะมีฝีมือ ข้าพเจ้ามิกลัวผิดก็สู้ตาย ถ้าแลเพลี่ยงพลํ้าเสียการของท่านก็ให้ตัดสีสะข้าพเจ้าเสีย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ชอบใจ จึงว่าฉนั้นท่านจงคุมทหารคนละหมื่นยกไปซุ่มอยู่ทางซอกเขา ถ้าเห็นทหารกองหน้าสุมาอี้ยกมา จงปล่อยให้ล่วงเข้ามาเถิดอย่ารบพุ่งเลย แม้ได้ยินเสียงทหารเราจุดประทัดโห่ร้องขึ้นแล้ว ท่านทั้งสองจงยกทหารปิดหลังตีกระหนาบมาหาเรา ถ้ากองทัพสุมาอี้ยกร่นมาช่วย จึงให้เตียวเอ๊กแยกทหารออกรบรับทัพสุมาอี้ไว้อยาให้เข้ามาช่วยกันได้ เราจะคิดกลอันหนึ่งไปช่วยท่าน อองเป๋งเตียวเอ๊กสองนายรับคำแล้วก็ยกทหารสองหมื่นไปซุ่มอยู่
ขงเบ้งจึงหาเกียงอุยเลียวฮัวเข้ามา แล้วก็เขียนหนังสือเข้าผนึกให้ฉบับหนึ่งแล้วสั่งว่า ท่านจงคุมทหารสามพันยกไปซุ่มอยู่บนเขา ถ้าเห็นทหารสุมาอี้ล้อมอองเป๋งเตียวเอ๊กไว้จะแก้ตัวมิได้แล้ว จึงฉีกผนึกออกดูหนังสือนี้จงทำตามอุบายของเราเถิด เกียงอุยเลียวฮัวรับคำนับแล้วก็คุมทหารไป ขงเบ้งจึงสั่งงออี้งอปันม้าตงเตียวหงีว่า เวลาพรุ่งนี้ถ้าทหารสุมาอี้ยกมาท่านอย่าเอาชัยชนะเลย จงทำเปนรบพลางถอยพลาง แม้เห็นกวนหินคุมทหารยกตีเข้าไปแล้ว ท่านจงกลับคืนตีกระหนาบเข้ามา งออี้งอปั้นม้าตงเตียวหงีรับคำแล้วคุมทหารไปตั้งคอยอยู่
ขงเบ้งจึงสั่งกวนหินให้คุมทหารห้าพันไปซุ่มอยู่ริมเขา กำหนดว่าเห็นธงแดงบนเขานั้นโบกเมื่อใด ก็ให้คุมทหารรบหักเข้าไปในกองทัพสุมาอี้
ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวคับกับไต้เหลงก็ยกทหารตามมา พบกองทัพงออี้งอปั้นม้าตงเตียวหงี ก็ขับทหารรบพุ่งเปนสามารถ กองทัพเมืองเสฉวนรบรอถอยลงมาทางประมาณสี่ร้อยเส้น
ขณะนั้นเปนระดูคิมหันต์ ทหารสุมาอี้รุกตามมาด้วยกำลัง เหงื่อไหลโซมตัวทุกคนเหนื่อยหอบถอยแรงลง ขงเบ้งขึ้นอยู่บนเนินเขาแลลงมาเห็นทหารสุมาอี้อิดโรยกำลังได้ทีก็ให้ทหารโบก ธงแดง กวนหินตั้งซุ่มอยู่ริมเขาเห็นโบกธงก็ขับทหารฆ่าฟันเข้าไป งออี้งอปันม้าตงเตียวหงีสี่นายก็กลับหน้าตีกระทบคืนหลังลงมา เตียวคับไต้เหลงก็มิถอยหนี ขับทหารตีตลุมบอนกันเปนอลหม่าน อองเป๋งเตียวเอ๊กได้ทีก็ยกสกัดออกมาฆ่าฟันทหารเตียวคับไต้เหลงล้มตาย เปนอนมวก
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ยกทหารหนุนมาล้อมอองเป๋งเตียวเอ๊กเข้าไว้กลาง เตียวเอ๊กก็แยกทหารออกรับทัพสุมาอี้ อองเป๋งกวนหินก็ขับทหารระดมตีเตียวคับไต้เหลงเข้าไป ทหารทั้งสองฝ่ายถ้อยทีรบกันเปนสามารถ ล้มตายลงในที่รบมากกว่ามาก เกียงอุยกับเลียวฮัวอยู่บนเขาเห็นทหารสุมาอี้เข้าล้อมอองเป๋งเตียวเอ๊กไว้ รบพุ่งกันตลุมบอนอ่อนอยู่แล้ว ก็ฉีกผนึกหนังสือซึ่งขงเบ้งให้มานั้นออกดูเปนใจความว่า ถ้ากองทัพสุมาอี้ล้อมอองเป๋งเตียวเอ๊กเข้าไว้ ก็ให้ยกทหารไปตีเอาค่ายสุมาอี้ ๆ ก็จะยกทหารถอยกลับไป ถึงจะมิได้ค่ายสุมาอี้ก็เปนความชอบใหญ่หลวงอยู่ เกียงอุยเลียวฮัวก็ยกทหารรีบไปชิงเอาค่ายสุมาอี้ได้
ขณะเมื่อสุมาอี้ยกทหารออกจากค่ายนั้นก็กริ่งใจอยู่ จึงวางทหารรายไว้ตาม ทางมา ทหารซึ่งอยู่ตามรายทางก็รีบมาบอกแก่สุมาอี้ว่า บัดนี้ทหารขงเบ้งชิงเอาค่ายได้แล้ว สุมาอี้รู้ดังนั้นก็ตกใจจึงว่ารู้อยู่แล้วว่าขงเบ้งทำกล ท่านทั้งปวงมิฟังคำเราจึงเสียการ ว่าแล้วก็ให้ถอยทหารกลับมาจะชิงเอาค่าย
เตียวเอ๊กได้ทีก็เร่งทหารตีร่นหลังลงมา ทหารสุมาอี้ก็แตกตื่นล้มตายเปนอันมาก เตียวคับไต้เหลงเห็นเสียทีดังนั้นก็ทิ้งทหารเสียรบหักออกไปเอาแต่ตัวรอด เกียงอุยเลียวฮัวเห็นสุมาอี้แตกกลับมาก็พาทหารออกจากค่ายรีบมาบัญจบกันกับ นายทัพนายกอง แล้วกลับมาหาขงเบ้ง
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นมาถึงค่าย เห็นทหารขงเบ้งยกกลับไปสิ้นก็พาทหารทั้งปวงเข้าค่าย จึงว่าแก่นายทัพนายกองว่า เรารู้อยู่ว่าเปนกลของขงเบ้ง ได้ห้ามปรามทัดทานคนทั้งปวงมิฟังเรา จึงเสียทหารแลเครื่องศัสตราวุธ แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าผู้ใดมิได้ฟังเรา ขัดขืนให้เสียการดุจหนึ่งครั้งนี้เราจะตัดสีสะเสีย
ขณะนั้นพอคนถือหนังสือมาแต่เมืองเสฉวนแจ้งแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้เตียวเปานั้นหมอพยาบาลบาดแผลซึ่งกระทบศิลากำเริบมากไป ถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งแจ้งว่าเตียวเปาตายก็ร้องไห้รัก จนอาเจียนโลหิตออกมาสลบไป ทหารทั้งปวงก็ตกใจช่วยกันเข้าแก้จึงฟื้นขึ้น ตั้งแต่นั้นไปขงเบ้งก็ป่วยหนักลงนอนอยู่ลุกมิได้ นายทัพนายกองก็ชวนกันเปนทุกข์
ครั้นอยู่มาสองวันขงเบ้งจึงให้หาตังควดกับอ้วนเกี๋ยนสองคนเข้ามาบอกว่า บัดนี้เราป่วยหนักจะว่ากล่าวบังคับกิจการสืบไปมิได้ เราจะเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนเถิด แต่ทว่าอย่าให้เอิกเกริกไป รู้ถึงสุมาอี้จะยกทหารติดตามเราจะไปมิสดวก ท่านจงบอกทหารทั้งปวงให้ตระเตรียมตัวให้พร้อม สั่งแล้วเวลาคํ่าก็ให้ทหารเลิกทัพลอดลัดมาเมืองฮันต๋ง สุมาอี้รู้ว่าขงเบ้งเลิกทัพไปได้ห้าวันแล้ว ก็ทอดใจใหญ่ว่าขงเบ้งนี้ดังเทพดาเรามิรู้เท่าเลย จึงให้จัดแจงทหารอยู่รักษาด่านทางกำชับตรวจตราทุกตำบลแล้ว ก็ยกทหารเลิกกลับมาเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายขงเบ้งยกมาเมืองแล้ว ก็ให้ทหารทั้งปวงประชุมกันพร้อมอยู่ จึงกลับมารักษาตัว ณ เมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนแลขุนนางทั้งปวงก็พากันมาเยี่ยมถามข่าวถึงที่อยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นขงเบ้งป่วยหนักก็ให้หมอพยาบาลรักษาเปนกวดขัน โรคซึ่งป่วยหนักก็บันเทาหาย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 75
https://drive.google.com/file/d/1CVUlXYrK6BQMt0CfsM_tulsWabsKXA0q/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #5 on:
23 December 2021, 22:25:08 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 76
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-76.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 76
เนื้อหา
• ขงเบ้งขาดการศึก
• ขงเบ้งยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่สี่
• สุมาอี้คิดกลอุบายให้ขงเบ้งต้องเลิกทัพ
• ขงเบ้งยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่ห้า
• เตียวคับถูกกลขงเบ้งตายในที่รบ
ครั้น รุ่งขึ้นปีใหม่โจจิ๋นจึงกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกมากระทำยํ่ายีถึงขอบขัณฑเสมาเนือง ๆ กองทัพเมืองลกเอี๋ยงนี้ก็เสียทีเปนหลายครั้ง ทหารเมืองเสฉวนนั้นก็กำเริบใหญ่หลวงนัก จะนิ่งอยู่บัดนี้ก็มิได้ นานไปกองทัพเมืองเสฉวนก็จะทำอันตรายให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนอีก แลเทศกาลนี้ก็เปนคิมหันตฤดูแล้ว ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพไปกับสุมาอี้ ตีเอาเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งให้จงได้ กำจัดศัตรูเสียอย่าให้มีภัยมาถึงเมืองเรา
พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงตั้งให้โจจิ๋นเปนแม่ทัพฝ่ายขวา สุมาอี้เปนฝ่ายซ้าย เล่าฮวนเปนที่ปรึกษา ถือพลทหารสิบสี่หมื่นยกไปทางด่านเกียมก๊ก จะไปตีเมืองฮันต๋ง ม้าใช้จึงเอาเนื้อความแจ้งแก่ขงเบ้ง
ขณะนั้นขงเบ้งให้ซักซ้อมทหารหัดปรือกันอยู่ จะไปตีเมืองลกเอี๋ยงอีก พอม้าใช้เข้ามาบอกจึงให้หาเตียวหงีกับอองเป๋งเข้ามาสั่งว่า ท่านคุมทหารพันหนึ่งยกไปตั้งตำบลตันฉองรับทัพสุมาอี้ไว้ แล้วเราจึงจะยกกองทัพไปช่วย อองเป๋งกับเตียวหงียกมือขึ้นคำนับแล้วจึงว่า บัดนี้กิตติศัพท์ว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาถึงห้าสิบหมื่นหกสิบหมื่น มหาอุปราชจะให้พลข้าพเจ้าทั้งสองไปแต่พันหนึ่งนี้ ที่ไหนจะต่อสู้ทหารสุมาอี้ได้ จะมิเสียการไปหรือ
ขงเบ้งจึงว่า เปนไฉนท่านมาวิตกฉนี้เล่า เราหาลวงท่านให้สุมาอี้ฆ่าเสียไม่ ถึงมาทว่าท่านไปเสียทีแก่ข้าศึกมาเราก็มิเอาโทษ อองเป๋งเตียวหงีก็มิอาจรับ แต่อ้อนวอนขงเบ้งเปนหลายครั้ง ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตก อันเราใช้ไปครั้งนี้ ด้วยเราพิเคราะห์ดูในอากาศเห็นดาวฤกษ์มีรัศมีหม่นหมองนัก ในเดือนนี้จะมีฝนห่าใหญ่ตกเปนหลายวัน เราเห็นว่ากองทัพสุมาอี้จะล่วงแดนเข้ามามิได้ ด้วยน้ำป่าจะหนักมาท่วมทหารสุมาอี้ก็จะกลับไปเอง เราจึงให้ทหารท่านไปแต่น้อย ครั้นจะให้ไปมากก็จะลำบากเสียเปล่า ตัวเราก็จะไปซ่องสุมทหารเมืองฮันต๋งไว้ให้พร้อม ถ้าสุมาอี้ถอยทัพแล้ว เราก็จะยกทหารออกโจมตีซํ้าหลังไป มิพักให้ยากแก่ทแกล้วทหาร กองทัพเมืองลกเอี๋ยงก็จะเสียทีแก่เรา อองเป๋งเตียวหงีก็มีความยินดีคำนับแล้วก็ยกทหารไป
ฝ่ายขงเบ้งก็ไปกะเกณฑ์ทหารเมืองฮันต๋งให้ตระเตรียมสเบียงอาหารหาเข้าตาก ใส่ไถ้ไว้ทุกคน กำหนดให้พอกินเดือนหนึ่งกว่าจะสิ้นระดูฝน หวังมิให้ทหารทั้งปวงหุงเข้ากิน จะได้ทำการรบพุ่งโดยสดวก
ฝ่ายสุมาอี้กับโจจิ๋นยกทหารมาถึงตำบลตันฉองมิได้เห็นผู้คนเย่าเรือนเหลือ อยู่ จึงให้หาชาวบ้านนอกมาถาม ชาวบ้านนอกจึงบอกว่า เมื่อกองทัพเมืองเสฉวนยกไปนั้นให้ทหารจุดเผาเสียสิ้น โจจิ๋นได้แจ้งดังนั้นแล้วปรึกษากับสุมาอี้จะรีบยกกองทัพไป
สุมาอี้จึงว่า อันจะยกกองทัพล่วงไปนั้นยังมิได้ ด้วยเวลาคืนนี้เราเห็นดาวฤกษ์รัศมีมัวอยู่ ในเดือนนี้จะมีฝนห่าใหญ่ จะยกไปนั้นทแกล้วทหารทั้งปวงจะลำบากมากนัก ขอให้ท่านยกกองทัพตั้งอยู่ที่นี่ก่อน เมื่อพ้นเทศกาลฝนแล้วจึงค่อยยกไป โจจิ๋นเห็นชอบด้วยจึงยั้งกองทัพไว้ ครั้นอยู่มาประมาณสิบวันฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมามิได้เหือดถึงสามสิบวัน น้ำในที่นั้นลึกประมาณสามศอกท่วมสเบียงอาหารเสียสิ้น ทแกล้วทหารก็มิรู้ที่จะอาศรัยนั่งนอนแห่งใด ได้ความลำบากก็ร้องไห้อื้ออึงไป กิตติศัพท์ก็แจ้งไปถึงเมืองลกเอี๋ยง ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยขอให้หากองทัพกลับมา พระเจ้าโจยอยก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีหนังสือไปหากองทัพให้เลิกกลับมา
ฝ่ายขงเบ้งจับยามดูรู้ว่าสุมาอี้ยกกองทัพกลับไปแล้ว จึงว่าแก่ทแกล้วทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ชรอยพระเจ้าโจยอยให้มีหนังสือมาหากองทัพกลับไปเปนมั่นคง พอสิ้นคำลงคนถือหนังสือซึ่งอองเป๋งเตียวหงีใช้มานั้น เข้ามาแจ้งว่ากองทัพสุมาอี้เลิกไปแล้ว ขงเบ้งมีความยินดี จึงสั่งผู้ถือหนังสือให้เร่งกลับไปบอกแก่อองเป๋งเตียวหงีว่า อย่าให้ยกทหารตามไปเลย
ขุนนางทั้งปวงจึงว่า สุมาอี้ถอยทัพไปได้ทีอยู่แล้ว เหตุใดมหาอุปราชจึงมิให้ยกไปโจมตีเล่า ขงเบ้งจึงว่า อันสุมาอี้นี้ชำนาญในการสงครามนัก ถึงมาทว่าล่าไปครั้งนี้ก็มิไปเปล่า เห็นจะแต่กองทหารซุ่มไว้คอยรับทัพตามไปมั่นคง เราจะตามไปก็จะต้องด้วยกลของสุมาอี้ ปล่อยให้ไปเถิด แล้วเราจึงค่อยยกทหารไปจำก๊กออกเอาตำบลกิสานอย่าให้ทันสุมาอี้รู้ตัว ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชไปเมืองเตียงอั๋นนั้นจะไปทางอื่นไม่ได้หรือ จำเพาะจะยกไปแต่เขากิสาน ข้าพเจ้าทั้งปวงมิเต็มใจเลย ด้วยเห็นว่าไปถึงสามครั้งแล้วก็มิได้การ
ขงเบ้งจึงบอกว่า ตำบลกิสานนั้นเปนหัวใจเมืองเตียงอั๋น ด้วยจะกะเกณฑ์ทแกล้วทหารแลสเบียงทั้งปวงก็อาศรัยเมืองหลงเส ๆ นั้นก็มารวมในปากทางกิสาน อนึ่งก็เปนซอกห้วยธารเขาที่จะซุ่มทหารไว้ได้มาก ถึงจะทำการสงครามก็ถนัด เราจึงจะยกไปทางกิสานเพราะเห็นเหตุฉนี้ ทหารได้ฟังดังนั้นก็ยกมือขึ้นคำนับ สรรเสริญขงเบ้งว่าปัญญาดังเทพดา
ขณะนั้นขงเบ้งก็ให้อุยเอี๋ยนเตียวหงีเตาเขงตันเซ็กคุมทหารยกไปทางกิก๊ก แล้วให้ม้าต้ายอองเป๋งเตียวเอ็กม้าตงคุมทหารไปตั้งตำบลจำก๊ก กำหนดให้ออกพร้อมกัน ณ เขากิสาน ครั้นจัดแจงนายทัพนายกองให้ยกไปแล้ว ก็ตั้งให้กวนหินเลียวฮัวเปนกองหน้า ขงเบ้งจึงยกทหารเปนทัพหลวงไป
แลขณะเมื่อสุมาอี้กับโจจิ๋นยกมาตำบลตันฉองนั้น กลัวกองทัพขงเบ้งจะตามมา จึงค่อยเลื่อนกองทัพมาเปนปรกติ มิได้รีบรัดทหารโดยเร็ว ม้าใช้มาบอกถึงสองครั้งว่า มิได้เห็นกองทัพขงเบ้งยกตามมา โจจิ๋นว่าแก่สุมาอี้ว่า เราจะเดิรกองทัพรออยู่ฉนี้ ทแกล้วทหารทั้งปวงจะลำบากนัก กองทัพขงเบ้งก็มิได้ติดตามแล้ว เราจงยกทหารรีบไปเถิด
สุมาอี้จึงว่า ซึ่งขงเบ้งมิได้ยกกองทัพตามเราฉนี้ เพราะเหตุว่ากลัวเราจะซุ่มทหารไว้ จึงปล่อยให้เรามาโดยสดวก แลกองทัพลาดมาก็ได้หลายวันแล้วก็มิตาม เห็นขงเบ้งจะยกทหารมาตั้งเขากิสาน โจจิ๋นจึงว่าเราไม่เห็นด้วย สุมาอี้จึงว่า ท่านมิเชื่อก็ขอให้แยกกองทัพไปคนละทางเถิด ท่านจงไปรักษาจำก๊กด้านตวันตก ข้าพเจ้าจะไปรักษากิก๊กทิศตวันออก ถ้าในสิบวันกองทัพขงเบ้งไม่ยกมา ข้าพเจ้าจะไปคำนับท่านถึงค่าย ขอให้ท่านเอาแป้งทาหน้าข้าพเจ้าเสีย แล้วเอาเสื้อผู้หญิงใส่ประจานให้ได้อายแก่ทหารทั้งปวงเถิด
โจจิ๋นจึงว่า ถ้าขงเบ้งยกทหารมาเหมือนปากท่านว่า เราก็จะเอาปั่นเหน่งหยกกับม้าดีที่พระเจ้าโจยอยประทานเรานั้นให้แก่ท่าน สุมาอี้กับโจจิ๋นสัญญากันแล้ว ต่างคนต่างก็ยกทหารแยกไป ครั้นถึงตำบลกิก๊กแล้ว สุมาอี้จึงแต่งตัวปลอมเปนทหารไปเที่ยวตรวจค่าย เห็นทหารคนหนึ่งนั่งทอดใจใหญ่เปนทุกข์บ่นว่า ฝนตกถึงสามสิบวันได้ความลำบากหนักหนา แล้วมิหนำซ้ำมาตั้งอยู่ที่นี่ให้ได้ยากไปอีกเล่า เหมือนมานั่งคอยถ้าหาความทุกข์ใส่ตัว แม้จะกลับไปเมืองให้เห็นหน้าบุตรภรรยาจะมิดีหรือ
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นกลับมาค่าย ให้หานายทัพนายกองมาพร้อมแล้วจึงให้เอาทหารซึ่งเจรจามิชอบนั้นมาถามว่า เรามาทำการทั้งนี้ใช่จะปราถนาเอาความสุขแต่ตัวก็หามิได้ คิดจะให้เปนสุขแก่บุตรภรรยาท่านทั้งปวง เหตุใดมาเจรจาฉนี้มิได้มีความภักดีต่อเจ้า กินเบี้ยหวัดมาร้อยวันพันวันจะเอาการแต่วันเดียวก็มิได้ ซึ่งจะเอาไว้ในกองทัพนี้มิได้ นานไปจะกลับเปนศัตรู จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารก็ตัดสีสะเข้ามาในทันใด
ขณะนั้นทหารทั้งปวงก็ตกใจ สุมาอี้จึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ อุตส่าห์ทำการสนองคุณเจ้าเถิด ถ้าได้ยินเสียงประทัดใหญ่เราจุดขึ้นในกลางค่ายเมื่อใด ก็เร่งรบพุ่งข้าศึกจงสามารถ อย่าได้กลัวแก่ความตาย ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างคนก็ถอยไป
ขณะเมื่ออุยเอี๋ยนเตียวหงีตันเซ็กเตาเขงยกมาใกล้ถึงกิก๊ก พอขงเบ้งใช้เตงจี๋ตามาทันเข้า สี่นายจึงถามว่า ท่านมาด้วยกิจสิ่งใด เตงจี๋จึงบอกว่า มหาอุปราชมิไว้ใจใช้ให้เราตามมากำชับท่าน ว่าให้ระวังกลสุมาอี้จงได้ เกลือกจะวางผู้คนซุ่มไว้ อย่าให้รีบยกล่วงเข้าไปก่อน ซับทราบดูให้จงดี อุยเอี๋ยนแลทหารสามนายจึงว่า มหาอุปราชนี้วิตกหาต้องการไม่ เมื่อแลทหารสุมาอี้ตรำฝนอยู่ถึงสามสิบวัน เกราะนวมแลสเบียงอาหารก็เปียกสิ้น จะรีบไปบ้านเหมือนใจจะขาดหรือจะมาซุ่มอยู่นั้นผิดไป ได้ทีกระทำแก่ข้าศึกแล้วมหาอุปราชมาคิดกลัวให้ถอยหลังอยู่ฉนี้เล่า
เตงจี๋จึงว่า อันมหาอุปราชนี้จะว่าสิ่งใดแต่ก่อนมาก็มิได้ผิดสักครั้ง เหตุไฉนท่านจึงมาติมหาอุปราชนั้นหาควรไม่ ตันเซ็กได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า มหาอุปราชความคิดดีแล้วเหตุใดครั้งก่อนจึงให้เสียตำบลเกเต๋งเล่า อุยเอี๋ยนจึงว่า แต่ก่อนเราได้คิดการให้มหาอุปราชครั้งหนึ่ง แม้ทำตามความคิดเราก็มิได้เมืองลกเอี๋ยงนานแล้วหรือ ที่ไหนจะได้ยกทัพมาได้ความลำบากแก่ทแกล้วทหารทั้งปวง
ตันเซ็กจึงว่าแก่อุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชสิไม่ไว้ใจให้มาห้ามแล้วกระนั้นข้าพเจ้าจะคุมทหารพันหนึ่งไปแต่ผู้ เดียว รีบออกไปกิก๊กไปตั้งค่าย ถ้ามหาอุปราชอยู่ ณ เขากิสาน ให้มหาอุปราชอายจงได้ ตันเซ็กก็คุมทหารรีบไปผู้เดียว เตงจี๋ก็รีบกลับมา
ขณะนั้นตันเซ็กยกทหารมาทางประมาณหกสิบเส้น พอทหารสุมาอี้ตั้งซุ่มอยู่เห็นได้ทีก็จุดประทัดโห่ร้องขึ้น ยกเข้าล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน ตันเซ็กอยู่ในท่ามกลางก็ขับทหารฝ่าฟันเปนสามารถ ล้มตายลงในที่รบเปนอันมาก เหลือทหารอยู่ประมาณหกร้อยก็รบพุ่งตลุมบอนกันอยู่จะหักออกมิได้ ทหารสุมาอี้ล้อมกระชั้นเข้าไปจะจับเอาตัว อุยเอี๋ยนได้ยินเสียงทหารรบพุ่งกันเอิกเกริกดังนั้น ก็ยกทหารรีบไปช่วยโจมตีเข้าไปแก้เอาตัวตันเซ็กออกมาจากที่ล้อมได้ ทหารสุมาอี้ก็รบพุ่งติดพันมา เตาเขงเตียวหงีก็ขับทหารขึ้นไปช่วยกันเอาอุยเอี๋ยนแลตันเซ็กไว้ได้ ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ถอยกลับไป ทั้งสี่นายก็พากันมาค่าย จึงคิดว่ามหาอุปราชมีปัญญาจริง
ฝ่ายเตงจี๋ครั้นถึงจึงบอกแก่ขงเบ้งว่า มหาอุปราชใช้ให้ข้าพเจ้าไปห้ามปรามนั้น อุยเอี๋ยนกับตันเซ็กชวนกันหัวเราะเยาะมหาอุปราชเสียอีก ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า อุยเอี๋ยนนี้เปนคนใจมิตรง ครั้นจะกำจัดเสียก็เสียดายฝีมือ จำเปนจำเอาไว้ใช้ไปพลาง นานไปอุยเอี๋ยนจะเปนขบถต่อแผ่นดินเปนมั่นคง พอพูดกันสิ้นคำลงม้าใช้มาบอกว่า ตันเซ็กยกทหารล่วงขึ้นไปเสียทีแก่สุมาอี้ ผู้คนล้มตายเปนอันมาก เหลือทหารอยู่ประมาณหกร้อยคน บัดนี้กองทัพมาตั้งอยู่ต้นทางกิก๊ก
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า ถ้าจะเอาโทษกับนายทัพนายกองบัดนี้ก็จะเอาใจออกหากไปเข้าด้วยข้าศึกเสีย จึงให้เตงจี๋ไปเอาใจอย่าให้วิตกทุกข์ร้อนเลย เรามิได้เอาโทษ จงอุตส่าห์คิดอ่านทำราชการแก้เอาชัยชนะเถิด แล้วขงเบ้งจึงให้ทหารรีบไปสั่งม้าต้ายม้าตงอองเป๋งเตียวเอ๊กทั้งสี่นายให้ แยกกันไปเปนสองกอง ม้าต้ายกับอองเป๋งนั้นให้ยกทหารไปทางขวามือ ม้าตงกับเตียวเอ๊กจงคุมทหารไปทางซ้ายมือ กลางวันให้ซุ่มอยู่เดิรต่อเวลากลางคืน ถ้ารีบออกจากกิก๊กถึงตำบลกิสานแล้ว จึงกองเพลิงไว้ปากทางเปนสำคัญ ให้เข้าตีเอาค่ายโจจิ๋นจงได้ ฝ่ายเราก็จะยกทหารไปช่วยตีกระหนาบเข้าเปนสามด้าน
ม้าต้ายม้าตงอองเป๋งเตียวเอ๊กแจ้งดังนั้นก็รีบยกทหารมา ขงเบ้งให้หากวนหินเลียวฮัวเข้ามากระซิบสั่งเปนความลับแล้วให้ยกทหารไป ครั้นขงเบ้งยกกองทัพล่วงมาถึงกลางทาง จึงสั่งให้งออี้งอปันยกทหารล่วงขึ้นไปก่อน
ฝ่ายโจจิ๋นมาตั้งค่ายอยู่ตำบลจำก๊กนั้น ก็ประมาทมิได้ตรวจตรารักษาแลตระเตรียมทหารทั้งปวง เพราะมิได้เชื่อคำสุมาอี้ สำคัญว่าถึงกำหนดสิบวันแล้ว ก็จะทำประจานสุมาอี้ตามซึ่งสัญญากันไว้
ครั้นอยู่ได้เจ็ดวันทหารมาบอกว่า บัดนี้ทหารเมืองเสฉวนรายมาตามทางน้อยข้างซอกเขา จึงสั่งจิ๋นเหลียงให้คุมทหารห้าพันไปตะเวนทางป้องกันอย่าให้ทหารเสฉวนล่วง เข้ามาในแดนได้ ครั้นจิ๋นเหลียงคุมทหารยกไปถึงกลางทางพบทหารขงเบ้งยกมา ก็ให้ทหารรีบสวนทางขึ้นไป ทหารขงเบ้งก็ชวนกันถอยหลังกลับลงมา จิ๋นเหลียงก็ขับทหารรีบตามไปจะให้ทัน ทหารขงเบ้งก็เข้าซุ่มเสีย จิ๋นเหลียงตามไปมิได้เห็นทหารเมืองเสฉวนก็คิดสงสัย จึงให้ทหารหยุดอยู่ ม้าใช้มาบอกว่ากองทัพตั้งซุ่มอยู่ข้างหน้า จิ๋นเหลียงแจ้งดังนั้นก็ตระเตรียมทหารให้ระมัดระวังตัวไว้พร้อมกัน
ขณะนั้นพองออี้งอปันกวนหินเตียวเอ๊กตีกระหนาบหลังเข้ามา ทหารจิ๋นเหลียงมิทันรู้ตัวจะหลบหลีกมิได้ ด้วยสองข้างทางมีเขากระหนาบอยู่ ทหารงออี้งอปันกวนหินเตียวเอ๊กก็ร้องว่า ผู้ใดเข้ามานบนอบด้วยเราแล้วก็ไม่ฆ่าเสีย ทหารจิ๋นเหลียงจวนตัวกลัวความตาย ก็เข้ามานบนอบด้วยงออี้งอปันเปนอันมาก
จิ๋นเหลียงเห็นดังนั้นก็คิดมานะ ขับม้าเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเสฉวนจะหักออกมา เลียวฮัวก็ขับม้าเข้าสู้ด้วยได้สองเพลง ก็เอาง้าวฟันถูกจิ๋นเหลียงตัวขาดตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็เข้าด้วยขงเบ้งสิ้น ขงเบ้งจึงถอดเอาเสื้อแลเกราะของทหารจิ๋นเหลียงนั้นมาให้ทหารเมืองเสฉวนใส่ แล้วเกณฑ์ทหารเกลี้ยกล่อมลงมาเปนกองหลัง จึงให้กวนหินเลียวฮัวงออี้งอปันคุมทหารห้าพันซึ่งแต่งตัวปลอมเปนทหารจิ๋น เหลียงยกรีบมาค่ายโจจิ๋น ครั้นงออี้งอปันเลียวฮัวกวนหินยกมาใกล้ค่ายแล้ว ก็หยุดทหารไว้ จึงให้ทหารขึ้นม้ารีบไปบอกแก่โจจิ๋นว่า ทหารขงเบ้งซึ่งรายกันมานั้นไล่แตกไปสิ้นแล้ว
ขณะนั้นพอสุมาอี้ใช้คนมาบอกว่า ทหารเมืองเสฉวนยกมาตั้งซุ่มอยู่ลอบฆ่าทหารเราตายถึงพันเศษแล้ว ให้ระวังตรวจตรารักษาค่ายอย่าประมาท โจจิ๋นแจ้งดังนั้นจึงว่า ที่จำก๊กนี้เรามิได้เห็นทหารเสฉวนแว่วมาสักคนหนึ่ง ท่านจงกลับไปบอกนายท่านเถิด คนใช้ก็รีบกลับไป พอทหารงออี้งอปันปลอมเข้ามาถึงบอกว่า ทหารขงเบ้งแตกไปแล้ว โจจิ๋นมีความยินดีสำคัญว่าจิ๋นเหลียงกลับมาถึงแล้วให้คนเข้ามาบอก ก็ยกทหารออกจากค่ายจะไปรับ
ฝ่ายงออี้งอปันเลียวฮัวกวนหินเห็นโจจิ๋นออกไป ก็กรูกันเข้าในค่ายได้ ให้ทหารเอาเพลิงจุดขึ้นในทันใด ม้าต้ายอองเป๋งก็ขับทหารไล่ตามฟันไปข้างหลัง เตียวเอ๊กกับม้าตงก็คุมทหารตีด้านหน้าขึ้นมา ทหารโจจิ๋นเหลือกำลังทานมิได้ก็แตกกระจัดกระจายกันไป ม้าต้ายอองเป๋งเตียวเอ๊กม้าตงก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันล้มตายเปนอันมาก โจจิ๋นจวนตัวเข้าก็รบหักออกไปกับทหารห้าสิบคน พอพบกองทัพสุมาอี้ยกมาช่วย สุมาอี้รับเอาตัวโจจิ๋นมาค่ายกิก๊ก
ขณะนั้นโจจิ๋นมีความอัปยศแก่สุมาอี้ มิรู้ที่จะไว้หน้าแห่งใดเลย สุมาอี้จึงว่าแก่โจจิ๋นว่า บัดนี้กองทัพขงเบ้งตีเข้ามาตั้งอยู่ตำบลกิสานได้แล้ว ฝ่ายเราจะตั้งรับในที่กิก๊กนี้เห็นเสียเปรียบมากจะสู้มิได้ จำจะยกกองทัพไปตั้งรับ ณ แม่น้ำฮุยโห เปนที่ชอบกลดีจะไม่เสียเปรียบขงเบ้ง สุมาอี้ปรึกษาแล้วก็ให้ยกกองทัพไปตั้ง ณ แม่น้ำฮุยโห
ขณะนั้นโจจิ๋นจึงถามสุมาอี้ว่า เหตุไฉนท่านจึงรู้ว่าข้าพเจ้าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงได้ยกทหารมาช่วย สุมาอี้จึงว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าขงเบ้งจะยกมาตีท่าน จึงให้คนไปกำชับให้ตรวจตราป้องกันรักษาตัว ครั้นคนกลับมาบอกข้าพเจ้าตามถ้อยคำซึ่งท่านว่ามานั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าท่านรู้มิถึงการจะเสียทีเปนมั่นคง จึงรีบยกมาช่วยท่านก็สมคะเนเหมือนข้าพเจ้าคิดไว้
โจจิ๋นได้ฟังก็ยิ่งมีความอายใจนัก แต่ทุกข์ ๆ ตรอม ๆ จนเปนไข้ป่วยหนักลง สุมาอี้เห็นโจจิ๋นป่วยหนัก ครั้นจะยกทหารกลับมาเมือง ก็กลัวทหารทั้งปวงจะสดุ้งสเทือนเสียนํ้าใจก็ตั้งรอทัพอยู่
ฝ่ายขงเบ้งครั้นตีเข้ามาถึงเขากิสานแล้ว ก็ให้ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารตามความชอบ ขณะนั้นอุยเอี๋ยนตันเซ็กเตาเขงเตียวหงียกมาถึงก็เข้าไปคำนับสารภาพโทษแก่ ขงเบ้ง ๆ จึงถามว่า ผู้ใดซึ่งมิได้อยู่ในบังคับบัญชาเราซึ่งเปนแม่ทัพทำให้เสียการครั้งนี้ อุยเอี๋ยนจึงบอกว่า ตันเซ็กมิได้ฟังบังคับท่าน ยกล่วงไปให้เสียการ ตันเซ็กจึงว่า ข้าพเจ้าเลมิดทำการทั้งนี้เพราะอุยเอี๋ยนใช้ให้ข้าพเจ้ายกไปก่อน
ขงเบ้งจึงว่า อุยเอี๋ยนยกทหารไปช่วยท่านอีกจึงรอดจากความตายมา เหตุไฉนท่านจึงซัดเอาอุยเอี๋ยนเล่า ซึ่งท่านมิได้อยู่ในบังคับเราทำให้เสียการทั้งนี้ ครั้นจะยกโทษเสียก็มิได้ ไปเบื้องหน้าทหารก็จะเอาเยี่ยงอย่างสืบไป จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ซึ่งขงเบ้งมิได้ฆ่าอุยเอี๋ยนเสียด้วยนั้นเพราะคิดว่าอุยเอี๋ยนนี้เปนคนมี ฝีมืออยู่ ยังจะทำการสงครามสืบไปก็จะได้ใช้ให้ไปตายภายหน้า
ฝ่ายม้าใช้ซึ่งไปสอดแนมเอากิจการทั้งปวง จึงเอาเนื้อความมาบอกขงเบ้งว่า บัดนี้โจจิ๋นป่วยรักษาตัวอยู่ ณ ค่ายแม่น้ำฮุยโห ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า แม้โจจิ๋นป่วยเปนประมาณที่ไหนสุมาอี้จะอยู่ คงจะยกกองทัพกลับไป นี่ชรอยโจจิ๋นป่วยหนักอยู่แล้วสุมาอี้จึงมิยกไป เพราะกลัวทแกล้วทหารทั้งปวงจะเสียใจ เราจะให้มีหนังสือไปถึงโจจิ๋นฉบับหนึ่ง แม้ได้เห็นหนังสือนี้แล้วก็จะตรอมใจตายเปนมั่นคง จึงให้เรียกทหารจิ๋นเหลียงที่ได้ไว้เปนเชลยนั้นเข้ามาแล้วจึงว่า ท่านทั้งปวงเปนชาวเมืองลกเอี๋ยง ต่างคนต่างมีญาติพี่น้องบุตรภรรยาอยู่สิ้น ซึ่งจะไปอยู่ด้วยเรานั้นก็จะไกล เหมือนหนึ่งเราแกล้งพรากให้พลัดกัน ก็เปนบาปกรรมแก่เรามากนัก เราจะให้ท่านทั้งปวงกลับไปบ้านเมืองผู้ใดจะไปก็ตามเถิด แต่ทว่าโจจิ๋นมีหนังสือมาก็ช้านานแล้ว ยังมิได้ตอบไปเลย เราจะฝากหนังสือไปให้โจจิ๋นด้วย ถ้าท่านทั้งปวงถือหนังสือไปให้แก่โจจิ๋นแล้วก็จะมีบำเหน็จรางวัลอีก ทหารทั้งปวงได้ฟังก็ดีใจชวนกันคำนับแล้วก็ลาไป
ครั้นมาถึงแม่น้ำฮุยโหจึงเข้าไปคำนับโจจิ๋น แล้วเอาหนังสือให้บอกว่าขงเบ้งฝากมาถึงท่าน โจจิ๋นป่วยหนักอุตส่าห์พยุงตัวขึ้นรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านดู เปนใจความว่า มหาอุปราชให้มาถึงโจจิ๋นผู้เปนแม่ทัพใหญ่ ด้วยโบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนมาว่า ถ้าผู้ใดจะเปนแม่ทัพถือพลทหารไปทำการสงครามนั้น ให้พึงรู้ลักษณะในกลศึกจงทุกประการ อนึ่งให้มีปัญญารู้ผ่อนปรนแก้ไขเอาชัยชนะเปนต้น แลตัวท่านเปนแม่ทัพใหญ่มิได้รู้ในกลสงครามทั้งปวงเสียทีแก่เรา เสียทแกล้วทหารเครื่องศัสตราวุธเปนอันมากฉนี้ ท่านจะกลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยงนั้น ถึงมาทว่าพระเจ้าโจยอยจะมิเอาโทษก็ดี ก็จะไม่อายแก่อาณาประชาราษฎรทแกล้วทหารทั้งปวงหรือ จะเอาหน้าไปไว้แห่งใด จงเร่งนบนอบแก่เราเสียโดยดี ถ้าท่านมิคำนับเรา ๆ จะยกทหารเข้าไปเหยียบเมืองลกเอี๋ยงเสีย ตัวท่านเหมือนฝูงแพะอันเข้าอยู่ในปากเสือ สำหรับจะฉิบหายไปด้วยฝีมือทหารทั้งปวง โจจิ๋นแจ้งดังนั้นก็โกรธหนัก โรคซึ่งป่วยก็กำเริบหนักขึ้นถึงแก่ความตายในเวลากลางคืนวันนั้น
สุมาอี้ครั้นแจ้งว่าโจจิ๋นตายแล้ว ก็เอาศพใส่เกวียนมีหนังสือบอกขึ้นไปยังเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยก็ให้แต่งการศพโดยสมควรตามประเพณี แล้วมีหนังสือไปถึงสุมาอี้ให้เร่งทำการรบพุ่งเอาชัยชนะแก่ขงเบ้งให้จงได้ สุมาอี้แจ้งในหนังสือรับสั่งแล้วก็ตระเตรียมพลทหารทั้งปวง จึงให้คนถือหนังสือไปบอกแก่ขงเบ้ง กำหนดว่าเวลาพรุ่งนี้ให้ยกพลทหารออกรบกัน
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า บัดนี้ชรอยโจจิ๋นตายแล้ว สุมาอี้จึงให้คนถือหนังสือมากำหนดรบด้วยเรา ครั้นเวลาคํ่าก็เรียกเกียงอุยกับกวนหินเข้ามากระซิบสั่งเปนความลับ เกียงอุยกับกวนหินรับคำแล้วก็ยกทหารไปแต่ในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าขงเบ้งก็ยกทหารออกจากค่ายกิสานสิ้น มาถึงริมแม่น้ำฮุยโหเปนทำเลที่กลางทุ่ง
ฝ่ายสุมาอี้ก็ยกทหารมาปะทะกันเข้า แลเห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยแต่งตัวโอ่โถง ถือพัดขนนกมาในกลางทหาร ก็ขับม้าขึ้นไปหน้าจึงร้องว่า เจ้าเราได้เสวยราชย์ในเมืองหลวงถึงสองชั่วพระองค์แล้ว ก็มิได้ไปทำร้ายแก่เมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋ง ละให้ตั้งอยู่เปนสุขมาช้านาน เพราะว่ามีความเอนดูกรุณาแก่ราษฎรมิให้ได้ความเดือดร้อน แลตัวขงเบ้งนี้ เปนชาวบ้านนอกอยู่ในแว่นแคว้นแดนเมืองลำหยง ควรหรือจะมาขืนแข่งให้เกินชาติภูมิของตัว บังอาจยกทหารล่วงเข้ามายํ่ายีถึงแดนเมืองเราเปนหลายครั้งมิบังควรนัก ให้ท่านเร่งคิดห้ามใจอย่าได้กำเริบ จงยกพลทหารกลับไปรักษาเมืองตามประเพณีจะดีกว่า แม้มิกลับไปจะขืนล่วงเข้ามายํ่ายีขอบขัณฑเสมาให้ได้ ชีวิตท่านก็จะมิได้คืนไปเมืองด้วยฝีมือทหารของเรา
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ตัวเราเปนข้าพระเจ้าเล่าปี่ ๆ พระราชทานเบี้ยหวัดผ้าปีชุบเลี้ยงเรามาก็ช้านาน แลเมื่อพระองค์ประชวรจะสิ้นพระชนม์นั้น ได้ตรัสสั่งไว้แก่เราว่าให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ผู้มี คุณสืบไป ตัวเราก็ได้รับคำไว้เปนข้อใหญ่ ควรหรือจะมานอนนิ่งเสียมิได้คิดอ่านทำการกำจัดศัตรูแผ่นดินดังคนหากตัญญูมิ ได้ ตัวท่านนี้บิดามารดาก็เปนข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้มาแต่ก่อน ควรที่จะเจ็บร้อนด้วยเจ้าอีก มากลับเข้าด้วยอ้ายศัตรูแผ่นดินนี้หาควรไม่
สุมาอี้ได้ฟังขงเบ้งว่าก็อดสูแก่ใจมิรู้ที่จะตอบ จึงว่าถ้าฉนั้นท่านจะรบกับเราก็รบเถิด ขงเบ้งจึงว่า ท่านจะรบกับเราตัวต่อตัวก็ตาม หรือจะรบด้วยฝีมือทหารเราก็มิกลัว สุมาอี้จึงว่า ถ้าฉนั้นเราจะรบกับท่านด้วยกลพยุหก่อน ขงเบ้งจึงว่าให้ท่านทำมาให้เราดูก่อนเถิด สุมาอี้กลับเข้าไปข้างในทหารทั้งปวงจึงเอาธงแดงนั้นปักขึ้น ทหารก็ตั้งพยุหเข้าพร้อมกันชื่อว่าอิคุยติ๋นพยุห แล้วจึงร้องถามขงเบ้งว่ากลพยุหของเรานี้ท่านรู้จักหรือไม่ ขงเบ้งจึงบอกว่ารู้จักอยู่ชื่ออิคุยติ๋นกลพยุห
สุมาอี้จึงว่า ท่านรู้จักพยุหของเราแล้ว จงตั้งพยุหของท่านมาเราจะขอดูบ้าง ขงเบ้งก็กลับเข้ามาเอาพัดโบกทีเดียว ทหารทั้งปวงก็ตั้งเปนพยุหเข้าในทันใด จึงออกมาร้องถามสุมาอี้ว่า ท่านรู้จักหรือไม่ สุมาอี้จึงบอกว่า พยุหปักกัวติ๋นเรารู้จักอยู่ ขงเบ้งจึงว่าท่านรู้จักแล้วจะตีได้หรือมิได้ สุมาอี้จึงบอกว่าเราจะตีให้ได้ ขงเบ้งจึงว่าท่านจงเร่งเข้าตีเถิด สุมาอี้ก็ขึ้นม้าจัดแจงทหารจะออกตี จึงเรียกไต้เหลียงเตียวฮองงักหลิมสามนายเข้ามาสั่งว่า อันพยุหของขงเบ้งตั้งบัดนี้มีประตูแปดแห่ง คือประตูเปนแลตายประตูออกประตูไขประตูสูญประตูตกใจประตูลวงประตูซุ่ม ท่านจงตีเข้าไปประตูตวันออกมาประตูตวันตกแล้วมาทิศเหนือ อันประตูทิศใต้นั้นอย่าล่วงตีเข้าไปเลย ถ้าทำตามเราสั่งนี้ได้แล้วทหารขงเบ้งก็จะแตกไปเอง
ไต้เหลียงเตียวฮองงักหลิมสามนายรับคำแล้ว ก็คุมทหารสามร้อยยกตีเข้าไปทางประตูทิศตวันออก ทหารขงเบ้งก็กลับพยุหเสียในทันใด ให้เปนประตูแต่สิบประตู ทหารสุมาอี้ก็มิรู้ที่จะตีเข้าไปได้วิ่งกระทบกันอยู่ ทหารขงเบ้งก็จับมัดเอาตัวไปทั้งสิ้น ขงเบ้งจึงว่า นายทหารทั้งสามกับทหารเลวนี้ เราจะฆ่าเสียก็หาต้องการไม่ จึงให้ทหารเปลื้องเอาเสื้อหมวกไว้กับม้า แล้วให้เอาดินหม้อทาหน้าเสียทุกคนจึงสั่งว่า ท่านกลับไปบอกสุมาอี้นายท่านเถิด ว่าให้ไปศึกษาเล่าเรียนอาจารย์ที่ดีเสียอีกก่อนจึงมาสู้กับเรา ว่าแล้วก็ปล่อยให้กลับไป
ครั้นทหารทั้งนั้นมาถึง จึงบอกแก่สุมาอี้ตามคำขงเบ้งทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งทำหยาบช้าแก่เราให้ได้ความอัปยศนัก แม้เรามิเอาชัยชนะได้ครั้งนี้ที่ไหนจะมีหน้ากลับไปเมืองลกเอี๋ยงได้ ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ช่วยกันเอาชัยชนะให้ได้ สุมาอี้ก็ถือกระบี่สำหรับมือให้ยกทหารออกจากค่าย แล้วก็คุมทหารหนุนออกมา
กวนหินตั้งซุ่มอยู่ข้างหลังได้ทีก็ยกทหารโห่ร้องตีเข้ามา สุมาอี้ก็แยกทหารออกตีด้านหลัง ฝ่ายกองทัพขงเบ้งก็ตีกระทบหน้าเข้าไป เกียงอุยก็ตีกระหนาบข้างขวาเปนสามด้านระดมรบเปนอลหม่าน ทหารสุมาอี้เข้าอยู่กลาง ต้องอาวุธรอบตัวล้มตายเปนอันมาก สุมาอี้เห็นเหลือกำลังสู้มิได้ทหารตายประมาณส่วนหนึ่ง ก็รบหักออกมาได้พาทหารข้ามฟากหนีไปตั้งค่ายทิศตวันตก ตั้งแต่วันนั้นมาสุมาอี้ก็ตั้งมั่นมิได้ออกรบพุ่ง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะแก่สุมาอี้แล้ว ก็ให้เลิกทหารกลับมาตั้งอยู่ ณ เขากิสาน พอลิเงียมใช้ให้กิอั๋นคุมสเบียงมาส่งพ้นกำหนดไปถึงสิบวัน ด้วยกิอั๋นเปนคนนักเลงสุราสารวลจะกินเหล้าเมาอยู่มิได้เร่งรัดมาให้ทันที ขงเบ้งก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เตียวหงีจึงว่า ซึ่งกิอั๋นส่งสเบียงมิทันกำหนด มหาอปราชจะฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ว่าราชการศึกจะมีไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ใดซึ่งจะรับคุมสเบียงอาหารมาส่งนั้นขัดสนนัก ขอให้งดโทษครั้งหนึ่งก่อน ขงเบ้งก็เห็นชอบด้วยแต่ว่ายังโกรธนักอยู่ จึงให้ทหารเอาตัวไปตีแปดสิบที กิอั๋นก็มีความเจ็บแค้นนัก ครั้นเวลากลางคืนก็พาบ่าวของตัวซึ่งเปนคนสนิธไปหาสุมาอี้ถึงค่าย ทหารจึงเข้าไปบอกแก่สุมาอี้ ๆ จึงให้หาตัวกิอั๋นเข้ามาข้างใน กิอั๋นก็เล่าเนื้อความให้สุมาอี้ฟังทุกประการ สุมาอี้จึงว่า อันขงเบ้งนี้มีกลอุบายมาก เรายังไม่เชื่อท่านก่อน ถ้าแลท่านทำการให้เราเห็นความสักสิ่งหนึ่งเราจึงจะเชื่อ กิอั๋นจึงว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด ข้าพเจ้าก็จะอุตส่าห์ทำตามให้ท่านเห็นความจริง สุมาอี้จึงว่า ถ้าฉนั้นท่านจงรีบกลับไปเมืองเสฉวน ไปเล่าแก่คนทั้งปวงให้ปรากฎไปว่า ขงเบ้งคิดขบถจะจับพระเจ้าเล่าเสี้ยนฆ่าเสีย จะชิงเอาราชสมบัติตั้งตัวเปนใหญ่ ถ้ามีผู้เลื่องลือเอิกเกริกไปรู้ถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ก็จะมิไว้ใจขงเบ้ง ดีร้ายจะมีตราให้หากองทัพเลิกกลับไป ถ้าท่านทำได้ฉนี้เราจะทูลพระเจ้าโจยอยตามความชอบ ให้ตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่
กิอั๋นได้ฟังดังนั้นก็รับคำนับลารีบกลับไปเมืองเสฉวน จึงพูดกับขันทีทั้งปวงตามคำสุมาอี้สั่งทุกประการ ขันทีทั้งนั้นก็เอาเนื้อความทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ก็ตกใจสำคัญว่าจริง จึงปรึกษาแก่ขันทีทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใดดี ขันทีจึงทูลว่า บัดนี้พระองค์ให้อาญาสิทธิ์แก่ขงเบ้ง คนทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจสิ้น ขงเบ้งจะว่าสิ่งใดก็จะกระทำตาม ขอพระองคํให้มีตราหาตัวขงเบ้งกลับมา เรียกตราอาญาสิทธิ์ซึ่งมอบให้คืนเอามาเสีย แล้วก็เห็นว่าขงเบ้งจะไม่ทำอันตรายได้ เพราะคนทั้งปวงมิได้ยำเกรงก็จะจนอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นด้วย จึงให้มีตราไปหากองทัพจะให้กลับมา
ขณะนั้นเจียวอ้วนจึงเข้ามาทูลว่า มหาอุปราชยกไปครั้งนี้เห็นทำการได้ท่วงทีนักจะได้เมืองลกเอี๋ยงเปนมั่นคง เหตุไฉนพระองค์จะให้หากลับมาเสียเล่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า เรามีธุระเปนความลับจะหามหาอุปราชมาจะปรึกษาด้วย แล้วเร่งให้คนรีบถือหนังสือไป ครั้นขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ว่า เจ้าเรานี้หนุ่มแก่ความนัก มาเชื่อถ้อยคำขุนนางสอพลอยุยงฉนี้ ที่ไหนเราจะทำการต่อไปได้ ครั้นเรามิไปบัดนี้ก็จะเปนข้อขัดรับสั่ง ถ้าจะไปบัดนี้ก็เสียดายนัก สืบไปเบื้องหน้าจะกลับมาทำการสักร้อยครั้งก็มิอาจล่วงเข้ามาถึงที่นี้ได้
เกียงอุยจึงถามว่า มหาอุปราชจะล่าทัพไปครังนี้ ถ้าสุมาอี้รู้ยกทหารตามมารบพุ่งจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อันเราจะยกไปครั้งนี้จะทำกลอุบายอันหนึ่ง มิให้สุมาอี้ตามมาได้ เราจะยกทหารเดิรเปนห้ากอง ถ้าไปพักอยู่ที่ใดเราจะให้ทำเตาไฟเพิ่มขึ้นให้มากทุกวันไป สุมาอี้ก็จะสงสัยอยู่
เตียวหงีจึงว่า ครั้งซุนปินทำศึกกับบังก๋วนนั้น ซ่อนเตาไฟเสียจึงเอาชัยชนะได้(๑) เหตุไฉนครั้งนี้มหาอุปราชจะเพิ่มเตาไฟเข้าอีกเล่า ขงเบ้งจึงว่า ครั้งนั้นจะลวงให้เห็นว่าคนน้อยจึงซ่อนเตาเพลิงเสีย บัดนี้เราจะทำให้เห็นว่าทหารเราเพิ่มมาทุกวัน ด้วยสุมาอี้มีปัญญาหลักแหลมนัก ถ้าเห็นกลเราทำไว้ก็จะสำคัญว่าทหารเราหนุนมามากแกล้งถอยเสีย ทำกลไว้จะลวงให้ตามก็คร้ามใจอยู่ เราก็ยกไปโดยสดวก ครั้นปรึกษาแล้วขงเบ้งก็ให้เลิกกองทัพล่ากลับไป
ฝ่ายสุมาอี้ตั้งใจคอยกิอั๋น พอม้าใช้มาบอกว่ากองทัพเมืองเสฉวนเลิกไปแล้ว สุมาอี้มิเชื่อจึงให้คนสกดไปดูท่วงทีขงเบ้ง ครั้นรุ่งขึ้นวันใดทหารก็เอาเนื้อความมาบอกตามระยะทางว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกไปถึงตำบลนั้น ๆ เห็นเตาเพลิงหุงเข้ามากขึ้นทุกวัน สุมาอี้จึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทหารขงเบ้งยกตามหนุนมาทุกวันมิได้ขาด แต่ทว่าเห็นเราตั้งมั่นอยู่จะทำมิสดวก ซึ่งล่าไปบัดนี้เห็นจะวางทหารซุ่มไว้ ถ้าเราเบาความคิดมิได้หนักหน่วงก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง
ครั้นอยู่สองวันสามวันชาวบ้านบอกว่า ขงเบ้งล่าทัพไปนั้นแกล้งทำเตาเพลิงไว้ให้เห็นว่าทหารมากดอก สุมาอี้ก็ทอดใจใหญ่เอามือตบอกแล้วว่า ขงเบ้งทำกลลวงเราครั้งนี้รู้มิทันเลย ตัวเรามีปัญญาน้อย ซึ่งจะทำศึกไปเบื้องหน้านั้นยาก ที่จะประมาณกลศึกขงเบ้งได้ สุมาอี้ก็ให้ยกทหารกลับมาเมืองลกเอี๋ยง
ขณะเมื่อขงเบ้งยกมาถึงเมืองฮันต๋งก็ให้พักทแกล้วทหารอยู่ แล้วยกล่วงเข้าไปในเมืองเสฉวน จึงกราบทูลถามพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปถึงเขากิสาน หวังจะตีเอาเมืองเตียงอั๋น พระองค์ให้มีหนังสือไปหาตัวข้าพเจ้ามานี้ด้วยประสงค์สิ่งใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่ามิได้มีการสิ่งใด เราระลึกถึงมหาอุปราชจึงให้หากลับมา ขงเบ้งจึงทูลว่า เหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ อ้ายเหล่าสอพลอทูลยุยงพระองค์ว่า ข้าพเจ้าเอาใจออกหากพระองค์จึงให้หากลับมา
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็มิได้ตรัสประการใด ขงเบ้งจึงทูลว่า ตัวข้าพเจ้าชราถึงเพียงนี้แล้ว แล้วก็ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ จึงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินของพระองค์ บัดนี้ศัตรูยุยงอยู่เหมือนวัณโรคอันมีพิษกำเริบอยู่ในอกข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะคิดอ่านกำจัดศัตรูภายนอกเสียนั้นเห็นขัดสน พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่า อันเหตุทั้งนี้เพราะเราเบาความเชื่อฟังคำคนชั่ว หากมหาอุปราชมาว่ากล่าวออกเราจึงรู้เหตุ ซึ่งท่านจะถือโทษนั้นไม่ควร ด้วยทุกวันนี้ตัวเราเหมือนหนึ่งคนจักขุมืด ท่านช่วยนำทางให้จึงค่อยเดิรตามไปได้บ้าง ครั้งนี้เราคิดผิดท่านจึงต้องยกทัพกลับมา
ขงเบ้งจึงสืบสาวขุนนางทั้งปวง ได้เนื้อความว่ากิอั๋นพิททูลยุยง ขงเบ้งจะให้เอาตัว พอรู้ว่ากิอั๋นหนีไปเข้าด้วยสุมาอี้แล้ว ขงเบ้งจึงว่าแก่เจียวอ้วนบิฮุยซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ว่า เมื่อกิอั๋นทูลยุยงนั้นเหตุใดท่านทั้งสองจึงมิได้พิททูลทัดทาน จนให้มีหนังสือรับสั่งไปหาเรามา เจียวอ้วนบิฮุยสารภาพโทษว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้พิททูลทัดทานโทษข้าพเจ้าผิดอยู่ ขงเบ้งก็ให้คาดโทษไว้ จึงสั่งให้ลิเงียมเปนนายกองสำหรับลำเลียงกองทัพเราอย่าให้ขาดได้ แล้วก็ถวายบังคมลาไป ณ เมืองฮันต๋ง จึงจัดแจงทแกล้วทหารจะยกไปตีเมืองเตียงอั๋น
เอียวหงีจึงว่า ทหารในกองทัพเรานี้ถึงยี่สิบหมื่น ยกไปทำศึกครั้งก่อนนั้นก็อิดโรยอยู่ ซึ่งท่านจะยกไปครั้งนี้ขอให้เอาใจทหารไว้ จงแบ่งเปนสองผลัดให้ยกไปตีสิบหมื่น ต่อถึงกำหนดร้อยวันจึงให้ทหารสิบหมื่นนั้นไปเปลี่ยนกัน จะได้มีกำลังทำการศึกสืบไป ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่านี้ต้องความคิดเรา ซึ่งจะทำการสงครามใช่จะสำเร็จในวันเดียวสองวันหามิได้ จำจะคิดเปนการปีจึงจะได้เมืองเตียงอั๋น แล้วก็ให้กำหนดทหารทั้งปวงตามคำเอียวหงี ถ้าถึงกำหนดแล้วผู้ซึ่งจะไปผลัดนั้นไม่ทันเราจะให้ฆ่าเสีย ขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชได้เก้าปี (พ.ศ.๗๗๔) เปนเทศกาลเดือนสี่ ขงเบ้งคุมทหารสิบหมื่นยกกองทัพไปจากเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ได้ห้าปี พอม้าใช้มาบอกให้ทูลว่า บัดนี้ขงเบ้งให้ยกกองทัพมาถึงเขากิสาน พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นจึงปรึกษากับสุมาอี้ว่า ขงเบ้งยกมานี้เราจะคิดอ่านประการใดดี สุมาอี้จึงทูลว่าโจจิ๋นก็ถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้ไว้เปนพนักงานข้าพเจ้า จะอาสาคิดอ่านเอาชัยชนะให้ได้ พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้สุมาอี้เร่งไปทำการเถิด สุมาอี้จึงให้จัดทหารแล้วกราบถวายบังคมลาออกจากเมืองลกเอี๋ยง ขณะนั้นพระเจ้าโจยอยทรงรถออกไปส่งสุมาอี้ถึงประตูเมือง
สุมาอี้ครั้นมาถึงเมืองเตียงอั๋น จึงให้จัดแจงทแกล้วทหารกองทัพใหญ่จะยกไป เตียวคับจึงว่า การศึกครั้งนี้แต่ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอาชัยชนะขงเบ้งให้ ได้ สุมาอี้จึงตอบว่า ขงเบ้งยกมานี้เปนทัพใหญ่หลวงนัก ซึ่งท่านจะไปแต่ผู้เดียวนั้นเห็นจะสู้ความคิดขงเบ้งไฝได้ ถ้าท่านจะรับเปนกองหน้าแล้วเราจะแต่งกองหลังให้ไปตั้งอยู่รักษาเมืองหลงเส แลท่านทั้งปวงจงยกเปนกอง ๆ ไปคิดอ่านรบพุ่งกับขงเบ้ง ณ เขากิสาน เตียวคับก็ดีใจจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าเปนกองหน้านั้น จะขออาสาทำการไปกว่าจะสิ้นชีวิต สุมาอี้จึงให้โกฉุยคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองหลงเส ให้เตียวคับถืออาญาสิทธิ์เปนกองหน้าบังคับนายทหารทุกกอง แล้วให้พากันยกไปก่อน
พอม้าใช้มาบอกสุมาอี้ว่า ขงเบ้งให้อองเป๋งเตียวหงีกองหน้ายกมาทางเกียมโก๊ะก่อน แลทางนั้นมาบัญจบกัน ณ เขากิสาน แล้วขงเบ้งยกกองหลวงหนุนมา สุมาอี้แจ้งดังนั้นจึงว่าแก่เตียวคับว่า ซึ่งขงเบ้งยกมาทางเกียมโก๊ะนั้น หวังจะให้ทหารไปลอบเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีณแดนเมืองหลงเส ท่านเร่งยกไปตั้งสกัดอยู่ ณ เขากิสาน เรากับโกฉุยจะบัญจบกันยกไปป้องกันเมืองหลงเสไว้ มิให้ทหารขงเบ้งเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีได้ เตียวคับรับคำสุมาอี้แล้วก็คุมทหารสี่หมื่นยกไปตั้งอยู่ ณ เขากิสาน สุมาอี้ก็ยกไปบัญจบกันกับโกฉุยตั้งอยู่ ณ แดนเมืองหลงเส
ฝ่ายขงเบ้งยกมาถึงเขากิสานจึงให้ตั้งค่ายมั่นไว้ ครั้นเห็นกองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาก็คิดว่า จะออกรบพุ่งบัดนี้สเบียงในกองทัพเราก็ขัดสน ด้วยลิเงียมมิเอาสเบียงมาส่งทัน จึงให้อองเป๋งเตียวหงีอยู่รักษาค่าย ขงเบ้งก็พาเกียงอุยอุยเอี๋ยนกับทหารเปนอันมาก ยกลัดไปถึงเมืองโลเสีย กินอเจ้าเมืองโลเสียแจ้งว่าขงเบ้งยกมา คิดเกรงก็ออกมาคำนับรับเข้าไปในเมือง ขงเบ้งจึงถามกินอว่าตำบลใดเข้าโภชน์สาลีมีชุม กินอจึงบอกว่า แดนเมืองหลงเสนั้นเข้าโภชน์สาลีสุกเปนอันมาก
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เตียวเอ๊กม้าตงอยู่รักษาเมืองโลเสีย ขงเบ้งก็คุมทหารยกไปหวังจะเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีในแดนเมืองหลงเส ในขณะนั้นทหารกองหน้าก็เอาเนื้อความมาบอกแก่ขงเบ้งว่า สุมาอี้คุมทหารมาตั้งป้องกันอยู่ ณ ะแดนเมืองหลงเส ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า สุมาอี้นั้นล่วงรู้ความคิดเรา จึงยกมาป้องกันเข้าโภชน์สาลีไว้
แลเมื่อขงเบ้งจะยกมาจากเมืองฮันต๋งนั้น ให้ทำเกวียนเหมือนกันกับเกวียนขงเบ้งซึ่งเคยขี่นั้นสามเล่มด้วยกัน แล้วให้ทำหุ่นสองตัวเหมือนรูปขงเบ้งซ่อนมาด้วย ขณะนั้นขงเบ้งอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ให้เอาเกวียนหุ่นทั้งสองนั้นมา เกณฑ์ทหารสำหรับชักเกวียนนุ่งขาวห่มขาวสยายผมเล่มละสิบสี่คน ทหารสำหรับตีฆ้องกลองโห่ร้องเล่มละห้าร้อย แลทหารสำหรับล้อมวงเล่มละพัน เกวียนหนึ่งให้เกียงอุยเปนนายบังคับทหารทั้งปวง เกวียนหนึ่งนั้นให้ม้าต้ายอุยเอี๋ยนคุมทหาร แลขงเบ้งนุ่งห่มเหมือนกันกับหุ่นทั้งสองตัว จึงเกณฑ์ทหารซึ่งมีฝีมือชักเกวียนยี่สิบสี่คนสยายผมนุ่งขาวห่มขาว ให้กวนหินบุตรกวนอูแต่งตัวดังเทพดาถือธงนำหน้าเกวียน ให้ทหารสามหมื่นถือเคียวครบมือสำหรับเกี่ยวเข้าโภชน์สาลี แล้วยกไปณะแดนเมืองหลงเส จึงให้เกวียนหุ่นสองเล่มนั้นเข้าซุ่มอยู่สองข้างทาง
ฝ่ายม้าใช้แจ้งดังนั้นก็ตกใจ คิดสงสัยว่าจะเปนเทพดาหรือผีป่าประการใด จึงรีบไปบอกแก่สุมาอี้ตามซึ่งเห็นนั้นทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ออกมายืนดูหน้าค่าย เห็นขงเบ้งขี่เกวียนถือพัดขนนกโบกไปมา สุมาอี้จึงว่า ขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายมาอีก แล้วสั่งทหารม้าสองพันให้เร่งไปจับเอาตัวขงเบ้งแลเกวียนมาให้ได้ ทหารทั้งสองพันนั้นก็ขับม้าออกไปจากหน้าค่าย
ฝ่ายขงเบ้งเห็นดังนั้นก็อ่านมนตร์เป่ากันทางไว้ มิให้ข้าศึกไล่มาทัน แล้วให้ทหารบ่ายหน้าเกวียนเดิรไปโดยปรกติ แลทหารม้าทั้งนั้นก็รีบขับควบไปตาม กำลังทางประมาณสามร้อยเส้น ระยะไล่แลหนีนั้นคงอยู่มิได้ใกล้เข้าไป ขงเบ้งจึงให้กลับหน้าเกวียนหวังจะยั่วทหารสุมาอี้ให้ไล่มาอีก
ทหารสุมาอี้เห็นดังนั้นก็รีบขับม้าตามไปอีกสองร้อยเส้นก็มิได้ทัน อันไกลแลใกล้นั้นก็คงอยู่ดังเก่าจึงหยุดอยู่ คิดสงสัยว่าขงเบ้งเดิรเปนปรกติอยู่ เหตุใดเราควบม้าด้วยกำลังม้าจึงไม่ทัน ครั้นเห็นขงเบ้งกลับเกวียนมาก็รีบขับม้าไล่ไปก็มิได้ทันข้าศึก สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ควบม้าพาทหารรีบตามไปแล้วว่าแก่ทหารม้าว่า ขงเบ้งได้เรียนมนตร์ป้องกันตัวไว้จึงไล่ไม่ทัน ทหารทั้งปวงอย่าไล่ไปเลยเราพากันถอยไปค่ายเถิด พอได้ยินเสียงโห่ขึ้นข้างขวาอื้ออึงออกมา สุมาอี้แลไปเห็นขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียน ทหารชักเกวียนก็มีเหมือนกัน สุมาอี้ตกใจคิดว่าขงเบ้งสิหนีไปข้างหน้ายังเห็นทหารแลธงอยู่ เหตุใดขงเบ้งจึงขี่เกวียนอยู่ที่นี่อีกคนหนึ่งเล่า แล้วได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นข้างซ้ายทาง เห็นเกวียนรูปขงเบ้งทหารอุตลุดออกมา เหมือนกับข้างขวาดังนั้น ก็ยิ่งตกใจมีความสงสัยเปนอันมาก จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เมื่อขงเบ้งขี่เกวียนทั้งสามแห่งนี้ ชรอยผีโขมดป่าแกล้งมาหลอกหลอนเรา ขณะเมื่อทหารทั้งหลายเห็นแลได้ยินสุมาอี้ว่าดังนั้น ก็ตกใจจะแตกตื่นไป สุมาอี้ร้องห้ามแล้วก็พาทหารทั้งปวงหนีเข้าในเมืองหลงเส ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็กลับมาให้ทหารสามหมื่นเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีอยู่สองวัน ครั้นได้เปนอันมากแล้วก็พากันกลับไปเมืองโลเสีย
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อหนีเข้ามาอยู่ในเมืองหลงเสถึงสามวัน ครั้นรู้ว่าขงเบ้งยกกลับไป ก็ให้ทหารออกไปตะเวนนอกเมือง จับได้ทหารขงเบ้งคนหนึ่ง สุมาอี้จึงถามว่าเหตุใดมึงจึงให้พวกกูจับมาได้ ทหารก็บอกว่าข้าพเจ้าตกม้าลงป่วยอยู่ทหารท่านจึงจับมาได้
สุมาอี้จึงถามว่า ขงเบ้งทำความรู้ประการใด เราจึงเห็นขงเบ้งอยู่บนเกวียนทั้งสามคน แลพาผีโขมดป่ามาทำการด้วยหรือ เราจึงไม่สำคัญได้ว่าขงเบ้งอยู่บนเกวียนไหน ทหารนั้นกลัวก็บอกตามขงเบ้งทำทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วว่า ขงเบ้งทำการครั้งนี้ดังเทพดามาช่วย เหลือความคิดเราจะหยั่งรู้ถึง พอโกฉุยยกมาสุมาอี้จึงเล่าเนื้อความให้โกฉุยฟังทุกประการ
โกฉุยจึงว่า ขงเบ้งทำได้แต่ท่านไม่ทันรู้ เมื่อรู้ฉนี้แล้วจะกลัวอะไรเล่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าขงเบ้งสารวลให้ทหารนวดเข้าอยู่ในเมืองโลเสีย ขอให้ท่านแยกทหารออกเปนสองกองตีกระหนาบเข้าไป ก็จะจับขงเบ้งได้โดยง่าย สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงจัดแจงทหารออกเปนสองกอง แล้วยกไปจากเมืองหลงเส
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้เข้าโภชน์สาลีมาแล้ว ก็ให้ทหารนวดเข้าอยู่ จึงว่าแก่ขุนนางนายทหารทั้งปวงว่า เวลาคํ่าวันนี้จะมีผู้มาตีเมืองโลเสีย แลนอกเมืองนี้เปนที่นากว้างขวางนัก ผู้ใดจะอาสาคุมทหารไปซุ่มอยู่ข้างตวันตกตวันออกคอยตีกระหนาบข้าศึกได้ เกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้ายสี่นายรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปซุ่มอยู่ ขงเบ้งได้ฟังก็มีความยินดี จึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่ข้างทิศตวันตก ให้ม้าตงม้าต้ายคุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่ข้างทิศตวันออก แล้วสั่งว่าถ้าได้ยินเสียงประทัดเมื่อใด ก็ให้คุมทหารแยกกันตีเข้ามาทั้งสี่ด้าน นายทหารทั้งสี่คนนั้นก็ไปซุ่มอยู่ตามคำขงเบ้งสั่งทุกประการ ขงเบ้งจึงให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ ครั้นเวลาเย็นขงเบ้งจึงให้ทหารร้อยหนึ่งถือประทัดครบมือ ออกไปซุ่มอยู่นอกประตูข้างทิศเหนือ
ฝ่ายสุมาอี้ยกออกมาใกล้เชิงกำแพงเมืองโลเสีย ครั้นเวลาพลบคํ่าจึงปรึกษากับโกฉุยว่า เราจะเข้าตีเอาเมืองโลเสียให้ได้ในกลางคืนวันนี้ โกฉุยเห็นชอบด้วย สุมาอี้ก็ขับทหารเข้าล้อมเมืองโลเสียไว้ ครั้นเวลายามเศษสุมาอี้ก็ให้ม้าใช้ควบไปบอกให้จุดประทัดต่อ ๆ กันตามสัญญา ทหารทั้งปวงก็โห่ร้องยิงเกาทัณฑ์เข้าไปเปนอันมาก เหล่าทหารหน้าที่เชิงเทินก็รบพุ่งป้องกันไว้
ฝ่ายขงเบ้งเห็นได้ทีก็ให้ทหารจุดประทัดสัญญาขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายเกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้ายได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน เหล่าทหารซึ่งอยู่ในเมืองโลเสียนั้นก็เปิดประตูออกมา ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ล้มตายเปนอันมาก
ฝ่ายสุมาอี้กับโกฉุยพลัดกัน ต่างคนต่างพาทหารซึ่งเหลือนั้นรบฝ่าหนีออกมา สุมาอี้กับโกฉุยพอพบกันเข้าก็พากันไปตั้งอยู่ ณ เนินเขาแห่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้าย ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองทั้งสี่ด้านหวังจะป้องกันข้าศึก
ฝ่ายโกฉุยจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า แต่เราทำสงครามกับขงเบ้งมาก็หลายครั้งยังไม่สำเร็จเพราะมิได้ตัวขงเบ้ง ครั้งนี้ขงเบ้งคิดกลศึกฆ่าทหารเราเสียเปนอันมาก แม้ท่านไม่คิดอ่านกำจัดขงเบ้งเสียให้ได้นานไปก็จะกำเริบใหญ่หลวงขึ้น ขอให้ท่านมีหนังสือไปเมืองเลียงจิ๋ว แลเมืองเลงจิ๋วให้ยกทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารไปตีเอาตำบลเกียมโก๊ะ ซึ่งเปนด่านเมืองฮันต๋งให้ได้ กองทัพขงเบ้งก็จะขาดสเบียงลง ท่านจงคุมทหารเข้าตีจะมีชัยชนะแก่ขงเบ้งเปนมั่นคง
สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงให้มีหนังสือไปถึงเมืองเลียงจิ๋วแลเมืองเลงจิ๋วตาม คำโกฉุยว่า ฝ่ายซุนเลแจ้งในหนังสือดังนั้นก็จัดแจงทหาร แล้วยกมาถึงสุมาอี้แดนเมืองโลเสีย สุมาอี้จึงให้โกฉุยกับซุนเลแบ่งทหารไปตีเอาด่านเกียมโก๊ะ
ฝ่ายขงเบ้งมิได้เห็นสุมาอี้ออกรบเปนหลายวัน จึงหาเกียงอุยกับม้าต้ายมาว่า ซึ่งสุมาอี้มิได้ออกรบพุ่งเห็นจะแกล้งหน่วงไว้ให้เราขาดสเบียง ประการหนึ่งเกรงสุมาอี้จะให้ทหารยกไปคอยตีตัดสเบียงเรา ท่านทั้งสองจงคุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปสกัดไว้ อย่าให้ทหารสุมาอี้ทำอันตรายได้ เกียงอุยม้าต้ายก็คุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปสกัดทางไว้ก่อน
ฝ่ายม้าใช้ถือหนังสือมาให้แก่เอียวหงี ๆ แจ้งดังนั้นก็ไปบอกแก่ขงเบ้งว่า ซึ่งท่านให้กำหนดไว้แก่ทหารทั้งปวงว่า แม้ถึงร้อยวันให้ทหารสิบหมื่นซึ่งอยู่เมืองฮันต๋งนั้นมาผลัด บัดนี้ก็ครบกำหนดแล้ว ทหารทั้งนั้นยกมาถึงกลางทางให้หนังสือบอกมาจะขอให้ทหารไปรับ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า เนื้อความข้อนี้เราได้สั่งไว้แต่เราลืมไป จำจะให้ทหารซึ่งออกนั้นกลับไปจึงจะชอบ ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ดีใจชวนกันจัดแจงเตรียมตัวจะกลับไป
พอม้าใช้มาบอกขงเบ้งว่า ซุนเลคุมทหารประมาณยี่สิบหมื่นมาช่วยสุมาอี้ ๆ เกณฑ์ทหารกองหนึ่งให้ไปตีด่านเกียมโก๊ะ แลตัวสุมาอี้นั้นยกกองทัพจะมาตีเอาเมืองโลเสีย ขงเบ้งยังมิทันตอบประการใด ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ตกใจ
เตียวหงีจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้กองทัพสุมาอี้ยกมาเปนการจวนตัวด้วยกันอยู่แล้ว ซึ่งท่านจะให้ทหารเหล่านี้ออกไปก่อนนั้นไม่ได้ ถ้าทหารเกณฑ์ผลัดมาถึงเมื่อใด จึงให้ทหารซึ่งออกนั้นไป ขงเบ้งจึงตอบว่า ตัวเราได้ออกปากแล้ว ครั้นจะคืนคำเสียทหารทั้งปวงก็จะดูหมิ่นได้ ตัวเราถืออาญาสิทธิ์อยู่ ถึงมาทว่าเพลี่ยงพลํ้าแก่ข้าศึกเราจะรักษาวาจาให้คงไว้ ซึ่งจะขัดเขาไว้นั้นเห็นไม่ชอบ ด้วยบิดามารดาบุตรภรรยาเขาจะคอยหากัน แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ถึงกำหนดผลัดเปลี่ยนแล้วจงเร่งพากันไปเถิด
ทหารทั้งปวงได้ฟังก็ว่า ข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอเอาชีวิตอยู่แทนคุณอาสาท่าน ทำการเอาชัยชนะแก่ข้าศึกให้จงได้ก่อนจึงจะไป ขงเบ้งได้ฟังก็มีความยินดีจึงว่า ทหารทั้งปวงเปนใจแก่ราชการครั้งนี้เราขอบใจนัก จึงพาทหารทั้งปวงนั้นออกไปรักษาค่ายอยู่นอกเมืองแล้วสั่งว่า ถ้าเห็นกองทัพสุมาอี้มาเมื่อใด ก็เร่งออกตีอย่าให้ตั้งอยู่ได้
ฝ่ายสุมาอี้ยกมาใกล้จะถึงเชิงกำแพงเมืองโลเสีย จะให้ทหารเข้าตั้งค่ายลง เหล่าทหารขงเบ้งก็ชวนกันออกโจมตีฆ่าฟันทหารสุมาอี้ ซึ่งมาแต่เมืองเลงจิ๋วล้มตายเปนอันมาก สุมาอี้ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นแตกหนีไป
ขงเบ้งก็เลิกกลับเข้าเมือง แล้วปูนบำเหน็จทแกล้วทหารตามสมควร พอม้าใช้เอาหนังสือลิเงียมซึ่งส่งสเบียงไม่ทัน จึงบอกลวงมานั้นให้ขงเบ้ง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ อ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าลิเงียมแจ้งกิตติศัพท์ว่าซุนกวนให้หนังสือไปถึงโจยอยว่า ให้ยกกองทัพบัญจบกันจะมาตีเอาเมืองเสฉวน โจยอยให้มีหนังสือตอบไปว่า ให้ซุนกวนยกกองทัพไปทำการก่อนโจยอยจึงจะยกหนุนไป บัดนี้ทัพซุนกวนนั้นยังสงบอยู่ ข้าพเจ้าจะไว้ใจแก่ข้าศึกไม่ได้จึงบอกมาให้แจ้ง
ขงเบ้งเห็นในหนังสือดังนั้นก็ยิ่งตกใจเปนอันมาก จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้นเราจะทำศึกอยู่กับสุมาอี้บัดนี้ก็เปนกังวลหลัง ด้วยซุนกวนจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน เราจำจะเลิกทัพกลับไปรักษาเมืองไว้จึงจะควร นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย ขงเบ้งจึงให้ม้าใช้ไปบอกกองทัพซึ่งตั้งอยู่ ณ เขากิสานให้เลิกถอยไปก่อน เราจะอยู่ป้องกันสุมาอี้แล้วจึงจะยกไปภายหลัง
ฝ่ายนายทัพนายกอง ณ เขากิสานแจ้งดังนั้นก็เลิกทัพกลับไป เตียวคับเห็นดังนั้นก็มิได้ยกติดตามไป ด้วยเกรงกลศึกขงเบ้งอยู่ จึงกลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาอี้ ๆ จึงว่า อันกลศึกขงเบ้งนั้นลึกลับนัก ท่านอย่าตามไปรบพุ่งเลย จงไปตั้งอยู่เขากิสานเถิด แม้กองทัพขงเบ้งขาดสเบียงอาหารเมื่อใดก็จะยกกลับไปเอง
งุยเป๋งจึงว่า ข้าศึกถอยไปท่านมิได้ติดตามจะมานิ่งอยู่ดังนี้ไพร่บ้านพลเมืองก็จะหัวเราะ เยาะ ว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวนเหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ยกกองทัพตามตีให้ทหารขงเบ้งระสํ่าระสายจึงจะได้ทีทำการสืบไป สุมาอี้ก็มิได้ทำตาม
ฝ่ายขงเบ้งครั้นรู้ว่ากองทัพเขากิสานเลิกกลับไปแล้ว ก็ให้หาเอียวหงีกับม้าตงเข้ามาสั่งว่า ให้ท่านทั้งสองคุมทหารเกาทัณฑ์หมื่นหนึ่งรีบไปซุ่มอยู่ตำบลบิตกบอกบุ๋นปาก ทางจะไปด่านเกียมโก๊ะ แม้ทหารสุมาอี้ตามไปได้ยินเสียงประทัดสัญญาเมื่อใด ก็ให้ทหารขนเอาก้อนศิลาสมทบปากทางเสีย แล้วให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงออกมาทั้งสองข้างทางจับเอาข้าศึกให้ได้ เอียวหงีม้าตงก็คุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปจากเมืองโลเสีย
ขงเบ้งจึงสั่งอุยเอี๋ยนกวนหินให้คุมทหารเปนกองหลัง ให้เก็บเอาฟืนมาสุมเพลิงไว้ให้ข้าศึกเห็นควันเพลิง แลธงหน้าที่เชิงเทินอย่าให้ลดเสีย แม้กองทัพเรายกออกจากเมืองแล้ว ท่านทั้งสองจึงยกตามไปตำบลบอกบุ๋น ถ้าสุมาอี้ยกตามจงรบล่อไป ครันสั่งเสร็จแล้วขงเบ้งก็พากินอแลชาวเมืองทั้งนั้นยกออกจากเมืองโลเสีย อุยเอี๋ยนกับกวนหินก็ทำตามขงเบ้งสั่ง แล้วคุมทหารตามไปทางบอกบุ๋น
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่สุมาอี้ว่า กองทัพขงเบ้งนั้นเลิกไปจากเมืองโลเสียแล้ว สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ไปดูใกล้เชิงกำแพงเมือง เห็นธงทิวปักอยู่บนหน้าที่เชิงเทินเปนอันมาก แลควันเพลิงนั้นก็มีปรกติอยู่ สุมาอี้หัวเราะแล้วจึงว่า ขงเบ้งเลิกกองทัพกลับไปแล้ว ยังทำอุบายไว้ฉนี้อีกเล่า จึงให้ทหารเข้าไปดูมิได้เห็นผู้คน แล้วกลับออกมาบอกว่ามีแต่เปลือกเมืองเปล่า สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าครั้งนี้ขงเบ้งยกไปแล้ว ผู้ใดจะอาสาตามไปตีให้ทหารขงเบ้งระสํ่าระสายได้
เตียวคับจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปโจมตีตัดท้ายขงเบ้งให้แตกขึ้นไปจนทัพหน้า สุมาอี้จึงตอบว่าใจท่านรวดเร็วนัก ซึ่งจะไปนั้นเกรงจะเสียท่วงที เตียวคับจึงว่า ท่านเกณฑ์ให้ข้าพเจ้าเปนกองหน้า หวังจะได้รบพุ่งต้านทานข้าศึก บัดนี้ขงเบ้งถอยทัพไปเปนธรรมเนียมกองหน้าจะได้ติดตาม เหตุใดท่านจึงห้ามไว้ฉนี้เล่า
สุมาอี้จึงว่า ซึ่งข้าศึกถอยไปเปนธรรมเนียมกองหน้าได้ติดตามนั้นก็จริงอยู่ แต่ทางซึ่งจะไปนั้นเปนซอกธารเขากันดารนัก เราเกรงว่าขงเบ้งจะให้ซุ่มทหารอยู่คอยตีกระหนาบ เราจึงห้ามท่านไว้หวังจะให้มีสติ ท่านจะไปก็ตามเถิดแต่จงประหยัดอย่าเบาความ แม้ครั้งนี้เสียทีมาภายหน้าจะทำการสืบไปท่านก็จะย่อท้อต่อข้าศึก เตียวคับจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนชาติทหารจะอาสาเจ้าโดยสุจริตถึงมาทว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต สุมาอี้จึงเกณฑ์ทหารให้เตียวคับห้าพันแล้วให้งุยเป๋งคุมทหารสองหมื่นหนุนไป ด้วย แล้วสุมาอี้นั้นก็คุมทหารสามพันยกไปเปนกองหลัง
ฝ่ายเตียวคับคุมทหารรีบตามไปทางประมาณสี่ร้อยเส้น พอเห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารโห่ร้องมาจากป่าสนธิ์ อุยเอี๋ยนท้าทายเปนข้อหยาบช้า เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยนได้สิบห้าเพลง อุยเอี๋ยนทำควบม้าหนี เตียวคับขับม้าไล่ตามไปอีกทางประมาณหกร้อยเส้นก็ไม่เห็นอุยเอี๋ยน
พอกวนหินคุมทหารโห่ร้องออกขวางหน้าไว้ เตียวคับเห็นดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ารบด้วยกวนหินได้สิบเพลง กวนหินก็แกล้งควบม้าหนี เตียวคับขับม้าตามไปอีกทางประมาณหกร้อยเส้น กวนหินลับเนินเขาไป พออุยเอี๋ยนคุมทหารโห่ร้องออกมา รบกับเตียวคับได้เก้าเพลงสิบเพลง อุยเอี๋ยนแกล้งให้ทหารทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสีย แล้วควบม้าหนีต่อไป เหล่าทหารเตียวคับมิได้รู้กลอุบาย ก็ชวนกันลงจากม้าทิ้งเครื่องศัสตราวุธไว้เปนอันมาก แลเตียวคับกับทหารประมาณร้อยเศษขับม้ารีบตามอุยเอี๋ยนไปถึงซอกเขาทางบอกบุ๋น ได้รบพุ่งกับอุยเอี๋ยนเปนสามารถ อุยเอี๋ยนก็แกล้งขับม้าหนีต่อไป พอเวลาเย็นเตียวคับเห็นแสงเพลิงไหม้ขึ้นทั้งสองข้างทาง ครั้นจะชักม้าถอยมาทหารขงเบ้งก็เอาก้อนศิลาสมทบปากทางไว้ เตียวคับตกใจได้คิดว่าตัวกูครั้งนี้เสียความคิดแก่ข้าศึกเสียแล้ว พอทหารบนเนินเขายิงเกาทัณฑ์แลทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ไม่รู้ที่จะหนีออกแห่งใดได้ เตียวคับถูกเกาทัณฑ์หลายแห่ง ยิ่งมีใจโกรธพิษเกาทัณฑ์นั้นก็กำเริบขึ้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงซึ่งตามมาทันนั้นก็ถูกเกาทัณฑ์แลก้อนศิลาตายสิ้น
ฝ่ายทหารเตียวคับได้เครื่องศัสตราวุธแล้วก็รีบตามเตียวคับไป เห็นก้อนศิลาสมทบปากทางบอกบุ๋นอยู่ ก็คิดว่าเตียวคับนี้จะมีอันตรายเปนมั่นคง ครั้นจะตามเข้าไปก็กลัวความตาย พอได้ยินเสียงขงเบ้งร้องลงมาแต่เนินเขาว่า อ้ายเหล่าทหารเตียวคับอย่าตกใจกลัวเลย กูหาทำอันตรายไม่ มึงจงเร่งพากันกลับไปบอกแก่สุมาอี้เถิดว่า กูคิดอ่านทำการครั้งนี้หวังจะจับม้าตัวหนึ่งอันมีพยศก็ไม่สมควรคิด บัดนี้จับได้แต่เสือร้ายตัวหนึ่ง มึงจงกำชับสุมาอี้ให้ระวังตัวกูจะคิดอ่านจับให้ได้ ทหารทั้งปวงแจ้งดังนั้นก็ตกใจทั้งยินดี พากันคำนับรีบกลับมา พบสุมาอี้ก็เล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ
สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็ตกใจคิดสงสารเตียวคับแล้วว่า ซึ่งเตียวคับเปนเหตุทั้งนี้เพราะเราใจเบาให้ไปจึงถึงแก่ความตาย แล้วให้เลิกกองทัพกลับมาถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยตามซึ่งได้ทำสงครามจนเตียวคับถึงแก่ความตาย ตำบลทางบอกบุ๋น
พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโศกตรัสว่า เตียวคับนี้เปนทหารเอกแต่ครั้งพระไอยกาแลพระบิดาจนมาถึงเรา บัดนี้มาถึงแก่ความตายในท่ามกลางศึก สมควรเปนชาติทหาร แล้วก็ให้ทหารไปเอาศพเตียวคับมาได้พระราชทานเงินทองให้แต่งศพฝังไว้ณะเมือง ลกเอี๋ยง
ขณะเมื่อขงเบ้งมีชัยชนะสุมาอี้แล้ว ก็ยกกองทัพกลับเข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮันต๋ง ฝ่ายลิเงียมแจ้งว่าขงเบ้งยกทัพกลับมาก็ตกใจ เข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพเจ้าจัดแจงสเบียงไว้พร้อมอยู่แล้วจะไปส่งกองทัพ พอมหาอุปราชยกมาถึงฮันต๋ง พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงให้บิฮุยไปถามขงเบ้ง ณ เมืองฮันต๋งว่า ขัดสนสิ่งใดหรือจึงเลิกกองทัพกลับมา ขงเบ้งจึงบอกว่า ตัวเราทำการสงครามอยู่ พอลิเงียมมีหนังสือไปว่าซุนกวนจะยกไปตีเมืองเสฉวน เราตกใจด้วยเปนกังวลหลังจึงยกกองทัพกลับมาหวังจะป้องกันเมืองไว้
บิฮุยจึงบอกว่า บัดนี้ลิเงียมเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า จัดแจงสเบียงไว้พร้อมอยู่แล้ว จะไปส่งพอท่านยกมาถึง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้ข้าพเจ้ามาถามดู ขงเบ้งจึงให้ทหารไปดูสเบียงอาหารจะพร้อมอยู่เหมือนคำลิเงียมหรือไม่ ทหารได้เนื้อความแล้วกลับมาบอกขงเบ้งว่า ลิเงียมจัดแจงสเบียงไม่ทันจึงให้มีหนังสือมาลวงท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงให้ทหารขึ้นไปณะเมืองเสฉวน จับเอาตัวลิเงียมมาได้ ขงเบ้งจึงว่าพนักงานของตัวแต่งส่งลำเลียงก็ทำไม่ได้ แล้วแกล้งแต่งหนังสือมาลวงเรา โทษตัวถึงแก่ความตาย แล้วสั่งทหารให้เอาตัวลิเงียมไปฆ่าเสีย
บิฮุยจึงว่า อันโทษลิเงียมก็ถึงตาย แต่ท่านจงคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งได้ฝากลิเงียมแลราชการไว้แก่ท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็น้ำตาไหล ด้วยคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่จึงให้ยกโทษลิเงียมไว้ ขงเบ้งจึงให้ลิเงียมบิฮุยไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน บิฮุยกราบทูลตามลิเงียมทำมหาอุปราชจึงกลับมา พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ ตรัสสั่งจะให้เอาตัวลิเงียมไปฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงกราบทูลขอโทษลิเงียมไว้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้ถอดลิเงียมออกเสียจากที่ขุนนาง ขงเบ้งคิดเอนดูลิเงียม จึงเอาลิหลวงบุตรมาตั้งเปนขุนนางแทนที่ลิเงียมผู้บิดา
(๑) มีในเรื่องเลียดก๊ก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 76
https://drive.google.com/file/d/16KpfKHyoqWMPxE7E2PMpwmlit_KGqYOK/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #6 on:
23 December 2021, 22:37:53 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 77
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-77.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 77
เนื้อหา
• ขงเบ้งยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่หก
• ขงเบ้งให้ตีค่ายเสียทีสุมาอี้
• ขงเบ้งทำโคยนตร์
• พระเจ้าซุนกวนยกกองทัพไปตีวุยก๊ก
ขณะ นั้นขงเบ้งตั้งทำนุบำรุงทแกล้วทหารซ่องสุมอาหารอยู่สามปี อาณาประชาราษฎรในเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งทำมาหากินเปนสุข ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบเอ็ดปี (๑) (พ.ศ. ๗๗๖) เปนเทศกาลเดือนสี่ ขงเบ้งจึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ตัวข้าพเจ้าผู้จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เปนสุข ก็ได้ปรนปรือทแกล้วทหารซ่องสุมสเบียงอาหารว่างศึกมาถึงสามปีแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอถวายบังคมลายกกองทัพไปปราบปรามข้าศึกเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเปน เสี้ยนหนามให้ราบคาบ แม้ไม่สมคิดข้าพเจ้าก็ไม่กลับมาดูหน้าชาวเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังก็ตกใจจึงตรัสห้ามว่า บัดนี้เมืองเราก็ราบคาบมีภูมิ์ฐานแผ่ไปกว้างขวาง แลเมืองลกเอี๋ยงเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่ยกมากระทำยํ่ายีแก่เราได้ แม้ท่านจะนิ่งอยู่แต่เมืองนี้ก็พอจะเปนสุขสืบไป เหตุใดจะยกกองทัพไปให้ลำบากกายเล่า
ขงเบ้งจึงกราบทูลว่า พระเจ้าเล่าปี่มีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้า แล้วได้สั่งไว้ให้คิดอ่านปราบปรามศัตรูในเมืองลกเอี๋ยงให้ราบคาบ แล้วจะยกเปนเมืองหลวงขึ้นดังเก่า แลเนื้อความทั้งปวงก็ยังไม่สมความคิด ข้าพเจ้าก็ยังนอนตาไม่หลับ ข้าพเจ้าจึงจะยกไปทำการให้สำเร็จ
เจียวจิ๋วโหรได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้น จึงทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพเจ้าดูในตำราแล้วเห็นดาวมหาอุปราชเมืองเรานี้เสร้าหมอง อันดาวประจำเมืองฝ่ายเหนือนั้นรุ่งเรือง อนึ่งชาวเมืองเราเลื่องลือกันว่า เวลากลางคืนได้ยินใบสนธิ์ซึ่งต้องลมนั้น เหมือนเสียงคนร้องไห้อื้ออึงอยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปครั้งนี้ขอให้งดไว้ก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนยังมิได้ตรัสประการใด
ขงเบ้งจึงว่าแก่เจียวจิ๋วว่า ตัวเราได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ว่าจะคิดอ่านบำรุงแผ่นดินให้ราบคาบ ซึ่งท่านจะเอานิมิตมะโนสาเร่มาขัดไว้นั้นไม่ได้ จำเราจะยกไปทำการตามรับสั่งจึงจะควร แล้วขงเบ้งก็เอาธูปเทียนไปจุดบูชาพระศพพระเจ้าเล่าปี่ จึงกราบลงแล้วร้องไห้รํ่าว่า ตัวข้าพเจ้าได้รับสั่งพระองค์ให้ปราบปรามศัตรูราชสมบัติเสียให้ราบคาบ ข้าพเจ้าก็ได้ยกไปทำการกับเหล่าศัตรูแผ่นดิน ณ เขากิสานถึงห้าครั้งก็ยังไม่ สำเร็จตามรับสั่งก่อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปอีก แม้ไม่สมความคิดก็จะมิได้กลับมาเลย แล้วก็ลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปเมืองฮันต๋ง ให้จัดแจงทแกล้วทหารได้สามสิบสี่หมื่น แลตระเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้ทุกกอง
พอทหารมาบอกว่า กวนหินป่วยปัจจุบันถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจร้องไห้รักกวนหินจนสลบไป ขุนนางทั้งปวงชวนกันเข้าแก้ฟื้นขึ้น ขงเบ้งจึงว่า กวนหินนี้เปนทหารเอก ทั้งมีใจสัตย์ซื่อเหมือนกวนอูผู้บิดา ควรที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ซึ่งกวนหินมาถึงแก่ความตายครั้งนี้ เหมือนเราเสียกำลังไปแก่ข้าศึกกึ่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารเปนกองหน้า ให้ลิอิ๋นคุมสะเบียง ขงเบ้งเปนกองหลวง นายทหารยกเปนห้ากองไปบัญจบกัน ณ เขากิสาน
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เข้าไปบอกให้กราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า บัดนี้ขงเบ้งคุมทหารประมาณสี่สิบหมื่น (๒) ยกมาเขากิสานอีก พระเจ้าโจยอยจึงปรึกษาแก่สุมาอี้ว่า ถึงสามปีแล้วกองทัพเมืองเสฉวนมิได้ยกมาทำอันตรายเมืองเรา บัดนี้ขงเบ้งยกมาจะใกล้ถึงเขากิสาน ท่านจะคิดประการใด สุมาอี้จึงทูลว่า ข้าพเจ้าดูดาวแลตำราเห็นว่าฝ่ายเมืองเรารุ่งเรืองสุกใสอยู่ อันดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเสร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้ แต่ข้าพเจ้าจะขอแฮฮัวป๋าแฮฮัวหุยแฮฮัวฮุยแฮฮัวโหสี่คน ซึ่งเปนบุตรแฮหัวเอี๋ยนไปด้วย จะได้เปนใจทำการสงครามแก้แค้นขงเบ้งซึ่งฆ่าแฮฮัวเอี๋ยนเสีย
พระเจ้าโจยอยจึงตอบว่า ครั้งก่อนนั้นแฮฮัวหลิมบุตรแฮฮัวตุ้นยกไปทำการศึกเสียทีมา ก็มีความละอายมิได้เข้ามาทำราชการในเมืองหลวง ซึ่งท่านจะเอาบุตรแฮฮัวเอี๋ยนสี่คนไปครั้งนี้ เราเกรงว่าจะเหมือนแฮฮัวหลิม สุมาอี้จึงทูลว่า อันนํ้าใจบุตรแฮฮัวเอี๋ยนทั้งสี่คนนี้กล้าหาญนัก จะทำการสิ่งใดเห็นองค์อาจ แล้วก็มีใจเจ็บพยาบาทขงเบ้งอยู่ เห็นจะไม่ย่อท้อข้าศึกเหมือนแฮฮัวหลิม พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า ถ้าท่านเห็นได้การแล้วจะเอาไปก็ตามเถิด อันการทั้งปวงซึ่งจะยกไปนั้น ถ้าเห็นผู้ใดมีความคิดหลักแหลมกล้าหาญพอจะทำการสงครามได้ ก็ให้ท่านตั้งแต่งเปนขุนนางตามสมควรเถิด
สุมาอี้ก็ลาพระเจ้าโจยอยพาบุตรแฮฮัวเอี๋ยนทั้งสี่คนไป ณ เมืองเตียงอั๋น แล้วก็เกณฑ์ทหารได้ประมาณสี่สิบหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ให้แฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยคุมทหารเปนกองหน้า ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกไปถึงแม่น้ำฮุยโห จึงให้แฮฮัวป่าแฮฮัวฮุยข้ามไปตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำสองค่าย ให้ทำกำแพงไว้สำหรับได้ป้องกันข้าศึก แลสุมาอี้นั้นตั้งค่ายใหญ่อยู่ฟากข้างหนึ่ง แล้วให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำไว้ถึงเก้าตำบล โกฉุยซุนเลจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า กองทัพเมืองเสฉวนมาอยู่ ณ เขากิสาน ข้าพเจ้าคิดเกรงว่าขงเบ้งจะลอบไปตีเอาหัวเมืองหลงเส แม้เสียเมืองหลงเสข้าศึกก็จะมีกำลังมากขึ้น ท่านจงคิดป้องกันไว้ให้ได้ สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงว่าท่านว่านี้ควรนัก ท่านทั้งสองจงจัดทหารไปตั้งค่ายอยู่ ณ ปากทางเมืองหลงเส
ขณะเมื่อขงเบ้งยกกองทัพมานั้น ให้ตั้งค่ายรายทางแต่ด่านเกียมโก๊ะมาจนถึงเขากิสานประมาณสิบสี่สิบห้าค่าย หวังจะได้ทำการศึกค้างปี แล้วให้ตั้งค่ายมั่น ณ เขากิสานห้าค่าย ขงเบ้งจึงปรึกษาแก่นายทหารทั้งปวงว่า สุมาอี้ตั้งอยู่ฟากตวันออก กองหน้านั้นตั้งอยู่ฟากตวันตก ให้ทำสะพานข้ามเปนหลายตำบล แล้วให้ทหารไปตั้งสกัดปากทางปักหงวน หวังมิให้เราไปทำอันตรายเมืองหลงเส แลกองทัพเราตั้งอยู่บัดนี้เปนเหนือน้ำ เราจะให้ทำแพสักร้อยเศษ ขนเอาหญ้าฟางลงทำเชื้อเพลิงไว้หลังแพทั้งสิ้น จะเกณฑ์ทหารห้าพันซึ่งมีฝีมือชำนาญการเรือแพลงเตรียมไว้ แต่งทหารยกตามไปตีค่ายปักหงวน แลกองทัพเราจะเข้าตีค่ายหน้าซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำนั้นให้พร้อมกัน ฝ่ายสุมาอี้ก็จะเปนกังวลหน้าหลัง แล้วเราจึงวางแพลอยลงไป ถึงสะพานเข้าเมื่อใดจึงให้ทหารจุดเชื้อเพลิงขึ้น สะพานทั้งนั้นก็จะทำลายลงสิ้น ถึงจะให้ทหารหนุนเพิ่มเติมไปช่วยกันก็เห็นจะไม่ทัน แม้สุมาอี้เสียทีดังนี้เห็นการเราก็จะสำเร็จเปนมั่นคง นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย จึงกะเกณฑ์ทหารแล้วให้ไปตัดไม้ทำแพ เอาหญ้าฟางลงเตรียมไว้ทุกแพ
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบไปบอกแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งให้ทำแพเตรียมไว้ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่นายทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งคิดกลศึกจะให้เปนกังวลหน้าหลัง แล้วก็จะลอยแพมาทำลายสะพานเราเสีย จำจะคิดป้องกันมิให้กองทัพเราเปนอันตรายได้ จึงให้ม้าใช้ไปบอกแก่โกฉุยซุนเลว่า ทหารขงเบ้งจะยกมาตีก็อย่าให้สะดุ้งสะเทือน ให้โกฉุยซุนเลคุมทหารออกมาซุ่มอยู่กลางทาง ถ้าเห็นทหารขงเบ้งยกมาเมื่อใดก็ให้ออกโจมตี เราจึงจะยกหนุนไปช่วยรบพุ่งมิให้ทหารขงเบ้งตั้งตัวได้ แล้วให้หาแฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยมาสั่งว่า แม้ได้ยินเสียงโห่ร้องข้างตำบลปักหงวนเมื่อใด ท่านทั้งสองจงคุมทหารซุ่มอยู่นอกค่ายทิศข้างใต้ แม้เห็นขงเบ้งยกมาตีค่ายหน้าจึงให้ยกเข้าโจมตีอย่าให้ตั้งตัวได้ แล้วสั่งเตียวฮองงักหลิมให้คุมทหารเกาทัณฑ์คนละพันลงไปซุ่มอยู่ ณ เชิงสะพาน ทั้งสองฟาก แม้เห็นทหารขงเบ้งวางแพลอยมาให้เอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไป อย่าให้ทันจุดเชื้อเพลิงขึ้นทำลายสะพานได้ แล้วสั่งสุมาสูสุมาเจียวผู้บุตรว่า ตัวเราจะยกไปตำบลปักหงวน เจ้าทั้งสองจงอยู่รักษาค่ายแทนบิดา แม้ข้าศึกยกมาปล้นค่ายหน้าก็ให้พากันคุมทหารข้ามไปตีกระหนาบให้ได้ชัยชนะ ครั้นสั่งให้จัดแจงสำเร็จแล้ว สุมาอี้ก็คุมทหารลอบออกข้างหลังค่าย ลัดทางไปซุ่มอยู่ใกล้ตำบลปักหงวน
ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้อุยเอี๋ยนม้าต้ายคุมทหารยกไปตีเอาค่ายปัก หงวน ให้งออี้งอปันคุมทหารสำหรับคุมแพ แลให้อองเป๋งเตียวหงีเกียงอุยม้าตงเลียวฮัวเตียวเอ๊กคุมทหารเปนสามกองไปตี ค่ายหน้าสุมาอี้ ฝ่ายอุยเอี๋ยนม้าต้ายยกข้ามแม่น้ำมาถึงปากทาง ครั้นเวลาพลบคํ่าจะยกเข้าตีค่ายปักหงวน โกฉุยกับซุนเลก็แกล้งทิ้งค่ายเสีย พาทหารออกมาซุ่มอยู่ข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง อุยเอี๋ยนกับม้าต้ายเห็นดังนั้นก็ห้ามทหารไว้มิให้เข้าค่าย ด้วยคิดเกรงเกลือกจะเปนกลศึก พอได้ยินเสียงทหารโห่ร้องขึ้นทั้งสองกอง ข้างขวานั้นสุมาอี้ข้างซ้ายโกฉุยซุนเลคุมทหารตีกระหนาบออกมาฆ่าฟันทหารเมือง เสฉวนเสียเปนอันมาก อุยเอี๋ยนม้าต้ายต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นฝ่าหนีออกมาถึงริมแม่น้ำ พอพบงออี้ งออี้จึงรับอุยเอี๋ยนม้าต้ายลงแพข้ามฟากมา ฝ่ายงอปั้นนั้นวางแพรีบลงไปจะใกล้ถึงสะพาน พอทหารสุมาอี้ยิงเกาทัณฑ์ระดมมาดังห่าฝน เกาทัณฑ์ถูกงอปั้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงก็ล้มตายเปนอันมาก แพนั้นก็พัดเข้าตลิ่งเปนหลายแพ เตียวฮองงักหลิมแลทหารทั้งปวงจับทหารเมืองเสฉวนไว้ได้บ้าง โจนหนีไปบ้าง ตกน้ำตายบ้าง
ฝ่ายอองเป๋งเตียวหงีเกียงอุยม้าตงเลียวฮัวเตียวเอ๊กทั้งหกนายยกมาใกล้ ค่ายหน้าสุมาอี้จึงปรึกษากันว่า กองทัพซึ่งขงเบ้งให้ไปตีค่ายปักหงวนนั้นก็ยังไม่รู้เหตุ มาบัดนี้เวลายามเศษแล้ว เราจะยกเข้าตีเถิดหรือประการใด ปรึกษายังมิตกลงพอม้าใช้มาบอกว่า กองทัพซึ่งยกไปตีค่ายปักหงวนแลแพเชื้อเพลิงนั้นเสียแก่ข้าศึกแล้ว ขงเบ้งให้หาท่านกลับไป นายทหารทั้งหกคนก็ตกใจจะถอยกลับมา พอได้ยินเสียงโห่แล้วเห็นแสงเพลิงทั้งสี่ด้าน แลสุมาสูสุมาเจียวแฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาไล่ฆ่าฟันทหารล้ม ตายเปนอันมากประมาณกึ่งหนึ่ง นายทหารทั้งหกคนต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นรบฝ่าหนีออกไป ครั้นถึงค่ายใหญ่ก็เข้าไปบอกแก่ขงเบ้งตามจริงทุกประการ
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก จึงตรวจตราทหารให้รักษาค่ายไว้มั่นคง พอบิฮุยมาแต่เมืองเสฉวน ขงเบ้งจึงแต่งหนังสือไปถึงซุนกวน สั่งให้บิฮุยรับเอาหนังสือแล้วก็ลาไปเมืองกังตั๋ง ขุนนางก็พาเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน ๆ ก็รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าขงเบ้งคำนับมาถึงพระเจ้าซุนกวน ด้วยเมืองลกเอี๋ยงร่วงโรยมาแต่ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพราะโจโฉเปนศัตรูแผ่นดินคิดทำร้ายให้ได้ความเดือดร้อน อันโจโฉนั้นก็ตายแล้ว แลลูกหลานว่านเครือมันทำจลาจลต่อ ๆ มา แลตัวข้าพเจ้านี้ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ให้กำจัดเหล่าศัตรูแผ่นดินเสีย ข้าพเจ้าก็ได้ยกกองทัพไปทำสงครามเปนหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปทำการศึกอีก ก็เสียทแกล้วทหารเปนอันมาก อันเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เปนไมตรีกันมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ให้พระเจ้าซุนกวนเห็นแก่พระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์ ขอกองทัพเมืองกังตั๋งมาช่วยรบเมืองลกเอี๋ยงเปนทัพกระหนาบ แม้สำเร็จราชการสงครามแล้วจะแบ่งเมืองลกเอี๋ยงให้กึ่งหนึ่ง
พระเจ้าซุนกวนแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงตรัสแก่บิฮุยว่า เราคิดอยู่ว่าจะใคร่ยกไปกำจัดโจยอยเสีย พอขงเบ้งให้มีหนังสือมาขอกองทัพนี้ก็สมปราถนาเรา จึงให้ลกซุนกับจูกัดกิ๋นอยู่รักษาปากนํ้าเมืองกังแฮไว้ให้มั่นคง แล้วให้จัดแจงทหารไว้ประมาณสามสิบหมื่นเสร็จ ครั้นเวลารุ่งเช้าให้หาตัวบิฮุยเข้ามากินโต๊ะกับขุนนางทั้งปวง พระเจ้าซุนกวนจึงถามบิฮุยว่า ขงเบ้งยกไปทำการสงครามนั้นให้ผู้ใดเปนกองหน้า บิฮุยจึงทูลว่าให้อุยเอี๋ยนเปนกองหน้า พระเจ้าซุนกวนทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า อันอุยเอี๋ยนนั้นมีกำลังกล้าหาญก็จริง แต่น้ำใจมิได้สัตย์ซื่อมักคิดทรยศ แม้หาบุญขงเบ้งไม่แล้ววันใด อุยเอี๋ยนก็จะเอาใจออกหากเล่าเสี้ยนเมื่อนั้น แลตัวเราจะยกไปช่วยขงเบ้งเอง
บิฮุยจึงทูลว่า พระองค์ตรัสนี้สมควรนัก แล้วคำนับลาพระเจ้าซุนกวนไปบอกเนื้อความแก่ขงเบ้ง ว่าซุนกวนจะยกกองทัพมาเอง แล้วเล่าซึ่งซุนกวนว่ากล่าวถึงอุยเอี๋ยนให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงสรรเสริญซุนกวนว่ามีสติปัญญาหลักแหลมสมควรเปนเจ้า แลตัวเราทุกวันนี้ใช่จะไม่เล็งเห็นใจแลพยศอุยเอี๋ยนหามิได้ เพราะเห็นแก่ฝีมือกล้าหาญจึงเลี้ยงไว้แต่พอเปนเพื่อนทหารเลว
บิฮุยจึงว่า ท่านเห็นประจักษ์อยู่ฉนี้แล้ว เลี้ยงไว้ป่วยการเสียเปล่า ท่านจงคิดอ่านกำจัดเสียอย่าให้มีราคีในกองทัพดีกว่า ขงเบ้งจึงตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลยเราคิดไว้พร้อมอยู่แล้ว บิฮุยก็ลาขงเบ้งกลับไปเมืองเสฉวน พอนายประตูเข้าไปบอกขงเบ้งว่า มีทหารคนหนึ่งจะเข้ามาหาท่าน ขงเบ้งจึงให้เข้ามาแล้วถามว่า ตัวเปนทหารใครมาด้วยเหตุสิ่งใด ทหารนั้นแกล้งอุบายบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อแต้บุ๋นเปนข้าโจยอย ๆ ให้ข้าพเจ้ากับจีนล่งคุมทหารมาเปนลูกกองสุมาอี้ จีนล่งนั้นเปนคนประสมประสาน สุมาอี้ชอบใจใช้สอยตั้งแต่งจีนล่งขึ้นเปนขุนนาง แลสุมาอี้กับจีนล่งข่มเหงดูหมิ่นหยาบช้าแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ข้าพเจ้ามีใจเจ็บแค้นจึงลอบหนีมา หวังจะอยู่พึ่งบุญท่านจะได้ทำการศึกสืบไป ขงเบ้งยังไม่ทันว่าประการใด พอทหารเข้ามาบอกว่า จีนล่งคุมทหารเข้ามาร้องท้าทายถึงหน้าค่ายเปนข้อหยาบช้า แล้วว่าจะตามจับตัวแต้บุ๋น
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงถามแต้บุ๋นว่า ฝีมือท่านกับจีนล่งนั้นเปนกะไรกัน แต้บุ๋นจึงแกล้งบอกว่า ฝีมือข้าพเจ้าดีกว่าจีนล่ง ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปตัดสีสะจีนล่งมาให้ท่านจงได้ ขงเบ้งจึงว่า ถ้าทำได้ดังนั้นเราก็จะสิ้นสงสัยท่าน แต้บุ๋นก็ขึ้นม้าถือง้าวออกไป ขงเบ้งก็ตามออกไปดูถึงหน้าค่าย ฝ่ายจีนล่งเห็นแต้บุ๋นออกมาก็แกล้งร้องด่าว่า เหตุใดมึงจึงลักเอาม้าของกูมา ถ้ามึงกลัวความตายจงเร่งส่งม้ามาให้กูโดยดี แม้ขัดขวางอยู่กูจะตัดสีสะมึงเสีย แล้วขับม้าเข้าปลอมทหารอยู่ ให้จีนเบ้งผู้น้องขับม้าออกไปรบกับแต้บุ๋นได้เพลงหนึ่ง แต้บุ๋นก็เอาง้าวฟันถูกจีนเบ้งตกม้าตาย จีนล่งกับทหารก็ทำถอยแตกไป แต้บุ๋นจึงตัดเอาสีสะจีนเบ้งเข้ามาให้ขงเบ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าได้สีสะจีนล่งมาให้ท่าน
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็โกรธจึงว่า จีนล่งนั้นกูรู้จักอยู่ เหตุใดมึงจึงแกล้งแต่งกลอุบายมาล่อลวงหวังจะให้ไว้ใจ จะได้อยู่เปนไส้ศึกเอาความลับลอบไปบอกแก่สุมาอี้หรือ แม้มึงไม่บอกความจริงก็จะให้ตัดสีสะเสียบไว้หน้าค่าย แต้บุ๋นจึงร้องไห้ขอชีวิตว่าตัวข้าพเจ้าลวงท่านจริง ด้วยสุมาอี้ใช้มาให้อ่อนน้อมอยู่ด้วยท่านหวังจะได้เปนไส้ศึก ท่านอย่าฆ่าเสียเลย ข้าพเจ้าจะขออยู่แทนคุณท่านโดยสุจริต
ขงเบ้งจึงว่า ถ้าตัวรักชีวิตอยู่เราก็จะไม่ฆ่าเสีย แต่ให้เขียนหนังสือเปนลายมือของตัว นัดแนะให้แก่สุมาอี้ออกมาปล้นค่ายเรา แม้เราจับตัวสุมาอี้ได้ก็จะปูนบำเหน็จตั้งให้ตัวเปนทหารเอก แต้บุ๋นจำเปนจำรับคำ จึงเขียนหนังสือตามคำขงเบ้งว่าแล้วส่งให้ ขงเบ้งรับเอาหนังสือมาแล้วให้เอาตัวแต้บุ๋นจำไว้ อ้วนเกี๋ยนจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงรู้ว่าแต้บุ๋นทำกลอุบายมาลวงท่าน ขงเบ้งจึงว่า สุมาอี้นั้นมักใช้คนดีมีฝีมือ แลจีนล่งก็กล้าแขงตั้งให้เปนนายทหาร เราพิเคราะห์ดูเมื่อจีนล่งออกมารบกับแต้บุ๋นได้เพลงเดียวก็ถูกง้าวตาย เราจึงเห็นว่าผิดฝีมือทหารเอก
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญาเปนอันมาก ขงเบ้งจึงเรียกกิตุ้นซึ่งมีความคิดพูดจาหลักแหลมเข้ามากระซิบสั่งเนื้อความ ทั้งปวงแล้วส่งหนังสือให้ กิตุ้นรับคำแลหนังสือแล้วก็ไป ณ ค่ายสุมาอี้ จึงบอกแก่ทหารว่าเราถือหนังสือลับแต้บุ๋นจะมาให้สุมาอี้ ทหารก็เข้าไปบอกสุมาอี้
สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็ให้หาตัวเข้ามาแล้วว่า เหตุใดตัวจึงได้ถือหนังสือของแต้บุ๋นมา กิตุ้นจึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเปนชาวเมืองลกเอี๋ยงด้วยกัน ครั้นข้าพเจ้าพลัดไปอยู่เมืองเสฉวน เข้าเปนทหารเลวมาในกองทัพขงเบ้ง บัดนี้แต้บุ๋นทำความชอบต่อขงเบ้งเปนอันมาก ขงเบ้งตั้งให้แต้บุ๋นเปนนายทหารเอก แต้บุ๋นจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน สุมาอี้ก็รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าแต้บุ๋นขอคำนับมาถึงสุมาอี้ด้วยการทั้งปวงนั้นได้ทีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เวลาสองยามให้ท่านยกมาปล้นค่ายขงเบ้งเถิด ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่าย แล้วจึงจะตีกระหนาบออกไป
สุมาอี้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็อ่านทวนไปทวนมาเปนหลายกลับ จำได้ว่าลายมือแต้บุ๋นมิได้มีความสงสัย จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงกิตุ้นแล้วว่า ท่านจงกลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้จงพร้อม พรุ่งนี้เวลาสองยามเราจะยกไปปล้นค่ายขงเบ้งให้ได้ แม้สำเร็จการครั้งนี้เราจะตั้งท่านให้เปนนายทหารเอก กิตุ้นรับคำแล้วก็ลาไปบอกเนื้อความแก่ขงเบ้งทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ถือกระบี่ออกมากลางแจ้ง คำนับเทพดาแล้วร่ายมนตร์ไปเปนอันมาก จึงเรียกอองเป๋งเตียวหงีม้าตงม้าต้ายอุยเอี๋ยนเกียงอุยเข้ามากระซิบสั่งความ ลับ ครั้นเวลาบ่ายขงเบ้งก็พาทหารประมาณห้าสิบขึ้นไปอยู่บนเนินเขาหวังจะดูการ ทั้งปวง แลนายทหารทั้งหกคนนั้นก็จัดแจงการเตรียมไว้ตามขงเบ้งสั่ง
ฝ่ายสุมาอี้จัดแจงทหารแล้ว ก็พาสุมาสูสุมาเจียวผู้บุตรไปปล้นค่ายขงเบ้ง สุมาสูจึงว่า ซึ่งบิดาจะทำการครั้งนี้อย่าเพ่อเชื่อหนังสือแต้บุ๋นก่อน เกลือกขงเบ้งคิดอ่านซ้อนกลก็จะมีอันตรายถึงท่าน ขอให้แต่งนายทหารยกไปปล้นค่าย ท่านจงยกหนุนไปข้างหลัง ถึงอับจนก็จะได้แก้ไขง่าย สุมาอี้เห็นชอบด้วย จึงให้จีนล่งคุมทหารหมื่นหนึ่งเปนกองหน้ายกไปปล้นค่ายขงเบ้ง จีนล่งก็คุมทหารมาถึงกลางทาง สุมาอี้นั้นก็ยกหนุนไป พอเกิดพายุพยับฝน สุมาอี้จึงคิดว่าการครั้งนี้เทพดาช่วยเรา เห็นจะสำเร็จเปนมั่นคง
ครั้นเวลาสองยามจีนล่งมาใกล้ค่ายขงเบ้ง ก็คุมทหารตีเข้าไปถึงในค่ายมิได้เห็นผู้ใดก็ตกใจ คิดว่าครั้งนี้เห็นขงเบ้งจะซ้อนกลเปนมั่นคง ครั้นถอยกลับออกมาถึงหน้าค่าย พอไต้ยินเสียงโห่ขึ้นทั้งสี่ด้าน แสงเพลิงก็จุดล้อมเข้ามา แล้วเห็นอองเป๋งเตียวหงีม้าตงม้าต้ายคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน ฆ่าฟันทหารจีนล่งล้มตายเปนอันมาก จีนล่งนั้นรบพุ่งป้องกันอยู่ในหว่างทหารขงเบ้ง
ฝ่ายสุมาอี้เห็นแสงเพลิงแลได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง ก็ยังไม่แจ้งว่าจีนล่งจะได้ค่ายหรือยัง จึงขับทหารรีบหนุนไปช่วยจีนล่ง พอได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นข้างหลังแล้วจุดเพลิงเผาสกัดไว้ สุมาอี้แลไปเห็นเกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารตีเข้ามา ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ล้มตายเปนอันมาก ฝ่ายจีนล่งกับทหารหมื่นหนึ่งนั้นต้องเกาทัณฑ์แลอาวุธต่าง ๆ ตายสิ้นทั้งนายแลไพร่ แลสุมาอี้พาทหารซึ่งเหลือตายนั้นกลับไปค่าย พอพยับฝนนั้นสว่างขึ้นก็พอเวลาจะใกล้รุ่ง
ขงเบ้งครั้นมีชัยชนะแล้วก็ตีม้าฬ่อเรียกทหารกลับเข้าค่าย นายทหารทั้งปวงจึงถามขงเบ้งว่า เมื่อเวลายามเศษให้เกิดพายุพยับฝนนั้น ท่านทำความรู้สิ่งใดหรือ ขงเบ้งจึงบอกว่า เราขึ้นไปดูบนเนินเขานั้น เราอ่านมนตร์เรียกลมแลฝนให้มีมาจึงได้ทำการถนัด นายทหารทั้งปวงสรรเสริญวิชาความคิดขงเบ้งซึ่งทำการนี้เสมอเทพดา ขงเบ้งจึงให้เอาตัวแต้บุ๋นไปฆ่าเสีย แล้วคิดการซึ่งจะรบพุ่งให้ได้ชัยชนะ ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้ทหารไปร้องท้าทายต่าง ๆ สุมาอี้ก็มิได้ออกรบพุ่ง
อยู่มาวันหนึ่งขงเบ้งขี่เกวียนน้อยพาทหารไปเที่ยวดูณะเนินเขากิสาน เห็นซอกเขาแห่งหนึ่งชอบกล ทางหน้าหลังแคบแต่พอจุม้าตัวหนึ่ง ที่กลางนั้นกว้างขวางเปนที่ลับสงัด คนจะอยู่ได้ประมาณพันเศษ ขงเบ้งมีความยินดีด้วยจะทำการลับได้ จึงพากันกลับมา ณ ค่าย แลถามชาวบ้านนอกว่า ตำบลซอกเขานั้นชื่อใด ชาวบ้านบอกว่าชื่อเฮาโลก๊ก ขงเบ้งจึงเรียกตอยอยอาวต๋งเข้ามากระซิบสั่งให้คุมช่างพันหนึ่งไปซ่อนทำโค ยนตร์ณเฮาโลก๊ก ตอยอยอาวต๋งก็จัดช่างแล้วไปทำการอยู่ตามขงเบ้งสั่ง ขงเบ้งจึงให้ม้าต้ายคุมทหารห้าร้อยไปคอยรักษาอยู่ ณ ะปากซอกเขาเฮาโลก๊ก อย่าให้ผู้ใดเข้าออกเห็นการซึ่งทำนั้นได้
ขณะเมื่อช่างไปซ่อนทำการอยู่นั้น ขงเบ้งก็ไปดูวันละสองครั้ง เตียวหงีจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า อันสะเบียงซึ่งซ่องสุมไว้ณด่านเกียมโก๊ะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโคกระบือจะลากเข็นมาส่งกองทัพเรานี้ขัดสนด้วยทางไกลกันดาร นัก ขอท่านจงดำริห์การให้ส่งสะเบียงได้โดยง่าย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราได้จัดแจงให้ช่างทำโคยนตร์สำหรับจะได้เข็นสะเบียงทั้งกลางวันกลางคืนมิ ให้ลำบากด้วยโคกระบือ แล้วขงเบ้งก็เอาตำราอย่างโคยนตร์มาให้ดู เตียวหงีแลขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ว่าพึ่งได้เห็นครั้งนี้ แล้วสรรเสริญว่าสติปัญญามหาอุปราชคิดได้ฉนี้ดังเทพดามาดลใจท่าน
ครั้นได้สิบสี่สิบห้าวันช่างทำการแล้ว ตอยอยอาวต๋งก็เอาโคยนตร์พันหนึ่งมาให้ขงเบ้ง ๆ ก็เอาโคยนตร์นั้นลองดู ทหารเข้ารุนแต่พอให้พ้นจากที่ โคยนตร์นั้นก็เดิรไปขึ้นเนินเขาลงลุ่มได้ดังเปน ขงเบ้งจึงว่า ถ้าเดินแต่ตัวเดียวไปได้ทางประมาณสามร้อยเส้น แม้ไปทั้งพวกเดิรทางได้ถึงเจ็ดร้อยแปดร้อยเส้น ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญเปนอันมาก ขงเบ้งจึงให้ทหารคุมไปเข็นเกวียนสะเบียงณด่านเกียมโก๊ะมาส่งถึงค่ายเขากิสาน เปนหลายเที่ยว แลในกองทัพขงเบ้งนั้นมิได้ขาดสะเบียงอาหาร
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่สุมาอี้ ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เราให้หน่วงไว้ไม่ออกรบพุ่งหวังจะให้กองทัพขงเบ้งขาดสะเบียง บัดนี้ขงเบ้งให้ทำโคยนตร์เข็นเกวียนสะเบียงมาส่งกันมิได้ขาด เห็นการสงครามนี้จะยืดยาวไป จำจะคิดอ่านให้ทหารไปตีเอาโคยนตร์มาดูอย่างจะได้ทำเข็นเกวียนสะเบียงเราบ้าง แล้วสั่งเตียวฮองงักหลิมให้คุมทหารห้าร้อยลัดไปทางจำก๊กให้เข้าโจมตีเอาโค ยนตร์มาให้ได้สักสี่ตัวห้าตัว เตียวฮองงักหลิมก็คุมทหารห้าร้อยแต่งตัวปลอมเปนทหารเมืองเสฉวนรีบลัดทางจำ ก๊กไปซุ่มอยู่ ครั้นเห็นทหารขงเบ้งคุมเกวียนสะเบียงมาก็เข้าโจมตีเอา โกเสียงกับทหารทั้งปวงต้านทานมิได้ ก็ทิ้งเกวียนสะเบียงเสียแตกหนีไป เตียวฮองงักหลิมก็ให้ทหารเอาโคยนตร์มาห้าตัว ครั้นถึงค่ายก็เอาเข้าไปให้สุมาอี้ ๆ เห็นโคยนตร์นั้นดังเปน ก็ชมว่าขงเบ้งนั้นคิดอ่านให้ทำดีนัก แล้วสุมาอี้ให้หาช่างมาประมาณร้อยเศษให้รื้อโคยนตร์นั้นออกดูจำกำหนดที่ใหญ่ น้อยหนาบาง แลส่วนสั้นยาวพร้อมกัน ก็ให้ช่างทำโคยนตร์ประมาณห้าสิบวันก็ได้โคยนตร์ถึงสองพัน จึงให้งิมอุ๋ยคุมทหารพันหนึ่งเอาโคยนตร์ไปขนสะเบียง ณ เมืองหลงเสมิได้ขาด
ฝ่ายโกเสียงซึ่งแตกไปนั้น ครั้นเห็นทหารสุมาอี้ไปแล้วก็รีบเข็นเกวียนสะเบียงมาถึงค่าย จึงบอกแก่ขงเบ้งว่า โทษข้าพเจ้านี้ผิดนัก ด้วยทหารสุมาอี้ตีชิงเอาโคยนตร์ไปได้ห้าตัว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งสุมาอี้ได้โคยนตร์ไปนั้นเรามีความยินดีนัก เห็นเราจะได้สเบียงไว้เปนกำลังอีกเปนมั่นคง นายทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ถามขงเบ้งว่า เหตุใดท่านจึงรู้ว่าจะได้สะเบียง ขงเบ้งจึงบอกว่า ซึ่งทหารสุมาอี้ตีชิงโคยนตร์ไปได้นั้นสมความคิดเรา สุมาอี้ก็จะให้ทำโคยนตร์ไปขนสะเบียงบ้าง แล้วเราจะคิดกลอุบายให้ทหารไปตีเอาสะเบียงมาให้ได้
ครั้นอยู่มาประมาณยี่สิบวัน ม้าใช้มาบอกขงเบ้งว่า บัดนี้สุมาอี้ได้ทำโคยนตร์ไปเข็นเกวียนสะเบียงมาส่ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงสั่งอองเป๋งให้คุมทหารพันหนึ่ง แต่งตัวปลอมเปนทหารสุมาอี้ไปซุ่มอยู่กลางทาง เวลากลางคืนเห็นทหารสุมาอี้เข็นเกวียนสะเบียงมาจึงเรี่ยรายกันเข้าไปบอกว่า สุมาอี้ให้มาช่วยป้องกันสะเบียง แม้เหล่ากองลำเลียงนั้นไว้ใจแล้ว ตัวท่านกับทหารทั้งปวงเข้าไปพร้อมกัน จึงไล่ฆ่าฟันเหล่ากองลำเลียงเสียแล้วเข็นเอาเกวียนสะเบียงมา แม้สุมาอี้จะให้ทหารติดตาม ท่านจงให้พลิกลิ้นโคยนตร์ทั้งนั้นอย่าให้เดิรได้ ถึงมาทว่าทหารสุมาอี้จะเข็นเกวียนสะเบียงไปก็จะไม่ทันที เราจึงจะให้ยกเปนทัพผีไปหลอกหลอนสุมาอี้ก็จะตกใจหนีไป เราจึงจะกลับลิ้นโคยนตร์นั้นลงดังเก่าจะได้เข็นสะเบียงมาโดยง่าย แล้วขงเบ้งจึงสั่งเตียวหงีให้คุมทหารห้าร้อย แต่งตัวเขียนหน้าปลอมเปนทัพผีมือหนึ่งถือธงมือหนึ่งถือกระบี่ ให้เอาดินประสิวสุพรรณถันใส่หม้อสะพายไปซุ่มอยู่ทุกคน แม้เห็นทหารสุมาอี้ตามอองเป๋งมา ก็ให้จุดดินประสิวสุพรรณถันขึ้นทุกคน แล้วโห่ร้องคุกคามหลอกหลอนเปนทัพผีออกมา ถ้าทหารสุมาอี้หนีไปก็ให้กลับลิ้นโคยนตร์ลงเสียเข็นเอาเกวียนสะเบียงมา แล้วสั่งเกียงอุยให้คุมทหารหมื่นหนึ่ง ให้คอยป้องกันเกวียนสะเบียงอย่าให้เปนอันตราย อันเตียวเอ๊กกับเลียวฮัวนั้นให้คุมทหารห้าพันไปซุ่มสกัดตีทหารสุมาอี้อย่า ให้ช่วยกันได้ แล้วให้ม้าต้ายม้าตงคุมทหารห้าพันไปร้องท้าทายยั่วสุมาอี้ไว้อย่าให้ยกไป ช่วยกันได้ นายทหารทั้งปวงรับคำแล้วไปทำตามขงเบ้งสั่ง
ฝ่ายงิมอุ๋ยซึ่งคุมเกวียนสะเบียงมาถึงกลางทาง พอเวลาคํ่าได้ฟังทหารขงเบ้งมาบอกว่า สุมาอี้ให้ทหารมาช่วยป้องกันสะเบียงก็คิดว่าจริง ครั้นเวลาประมาณยามเศษ อองเป๋งกับทหารทั้งปวงได้ทีก็ไล่ฆ่าฟันกองลำเลียงล้มตายเปนอันมาก งิมอุ๋ยเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขับม้าเข้ารบกับอองเป๋งได้สามเพลง อองเป๋งเอาทวนแทงถูกงิมอุ๋ยตกม้าตาย แลทหารซึ่งเหลือตายนั้นก็แตกไป อองเป๋งจึงให้ทหารขับเกวียนสเบียงมา
ฝ่ายไพร่ในกองลำเลียงซึ่งแตกมาถึงค่ายปักหงวน จึงเอาเนื้อความบอกแก่โกฉุยทุกประการ โกฉุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงคุมทหารไปไล่โจมตีทหารขงเบ้ง อองเป๋งเห็นดังนั้นก็ให้ทหารพลิกลิ้นโคยนตร์ลงเสียแล้วพากันทำเปนถอยหนีไป โกฉุยมิได้ติดตามให้ทหารเข้าไสโคยนตร์ก็ไม่เคลื่อนจากที่ ครั้นจะให้ขนสะเบียงก็ไม่ทันที โกฉุยนั้นมีความสงสัยนัก พอได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นอื้ออึง แล้วเห็นอองเป๋งเกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารตีกระหนาบมาเปนสามด้าน โกฉุยต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา
อองเป๋งจึงให้ทหารกลับลิ้นโคยนตร์ขึ้นเข็นเกวียนสะเบียงไปได้ดังเก่า โกฉุยเห็นดังนั้นก็มีความโกรธเปนอันมาก จึงคุมทหารรื้อกลับไปจะตีเอาเกวียนสะเบียง พอได้ยินเสียงโห่บนเนินเขา แล้วเห็นควันเพลิงพลุ่งขึ้น ทหารทั้งปวงร้องตวาดคุกคามลงมา โกฉุยเห็นทหารนุ่งห่มผิดประหลาท สยายผมหน้าตานั้นเปนผีโขมดป่า แลทหารทั้งปวงนั้นตกใจกลัวตัวสั่น โกฉุยจึงพาทหารถอยกลับมา แล้วคิดว่าเทพดาแลปีศาจแกล้งมาช่วยขงเบ้งเปนมั่นคง
ฝ่ายสุมาอี้รู้ว่าสะเบียงแลกองทัพโกฉุยเปนอันตรายก็คุมทหารมาช่วย ครั้นมาถึงซอกเขากลางทาง พอได้ยินเสียงประทัดแลโห่ร้องอื้ออึง ข้างขวานั้นเตียวเอ๊กข้างซ้ายเลียวฮัวคุมทหารตีกระหนาบออกมา สุมาอี้กับทหารทั้งปวงไม่ทันรู้ตัวก็แตกหนีไป ขณะเมื่อสุมาอี้หนีนั้น เตียวเอ๊กกันทหารไว้มิให้ตามสุมาอี้ไปได้ สุมาอี้ควบม้าหนีไปแต่ผู้เดียว เลียวฮัวควบม้าตามไปถึงในป่าจะใกล้ทันสุมาอี้ เลียวฮัวจึงเอาง้าวฟันถูกต้นไม้ติดอยู่ สุมาอี้ขับม้าหนีไปข้างทิศใต้ เลียวฮัวชักง้าวขึ้นได้ก็ขับม้าไล่ตามไปไม่ทัน ได้แต่หมวกทองของสุมาอี้ซึ่งตกอยู่ ครั้นกลับม้าออกมาถึงปากทาง พอพบเกียงอุยอุยเอี๋ยนเตียวหงีอองเป๋งจึงให้ทหารขับเกวียนสะเบียงไปถึงค่าย แล้วบอกเนื้อความตามซึ่งได้ทำการให้ขงเบ้งฟังทุกประการ แต่เลียวฮัวบอกเนื้อความแล้วเอาหมวกทองของสุมาอี้ให้ขงเบ้ง อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็มีใจริษยาแลดูเลียวฮัวไม่วางตา ขงเบ้งเห็นกิริยาอุยเอี๋ยนริษยาเลียวฮัวดังนั้น ก็ทำเมินเสีย
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นหนีมาได้ถึงค่ายก็มีความทุกข์วิตกอยู่ ด้วยเสียทหารแลสะเบียงเปนอันมาก พอมีหนังสือพระเจ้าโจยอยบอกมาเปนใจความว่า ซุนกวนยกกองทัพเปนสามทางจะมาทำอันตรายแดนเมืองเรา ให้สุมาอี้ตั้งค่ายมั่นไว้อย่าออกรบพุ่งกับขงเบ้ง เราจะจัดแจงกองทัพยกไปต้านทานซุนกวนไว้ให้ได้ สุมาอี้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก ให้ตรวจตรากำชับทหารรักษาค่ายไว้มิได้ออกรบพุ่งกับขงเบ้ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยจึงให้เล่าเซียวคุมทหารไปช่วยเมืองกังแฮ ให้เตียวอี้คุมทหารไปช่วยเมืองซงหยง พระเจ้าโจยอยกับหมันทองยกกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองหับป๋า หมันทองจึงคุมทหารไปเที่ยวดูริมชายทเล เห็นกองทัพเรือเมืองกังตั๋งมาตั้งอยู่ ณ ปากอ่าวฟากตวันออกเปนอันมาก ก็กลับเข้ามาทูลพระเจ้าโจยอย แล้วว่ากองทัพซุนกวนจะประมาทอยู่ว่าเราพึ่งยกมาถึง เวลาคํ่าวันนี้ขอให้แต่งกองทัพเรือไปปล้นเผาเรือซุนกวนเสียเห็นจะได้โดยง่าย
พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงให้เตียวกิ๋วคุมทหารห้าพันถือคบเพลิงครบมือลงเรือเร็วไปเปนหลายลำ ให้หมันทองคุมทหารยกไปปล้นค่ายบกปากน้ำเมืองกังแฮ หมันทองกับเตียวกิ๋วคุมทหารแยกกันไป ครั้นเวลาสองยามเศษก็เข้าโจมตีปล้นค่ายบกค่ายเรือ แล้วเอาคบเพลิงจุดเผาขึ้น ทหารเมืองกังตั๋งไม่ทันรู้ตัว เสียเรือรบแลเครื่องศัสตราวุธกับสะเบียงอหารเปนอันมาก แลจูกัดกิ๋นซึ่งอยู่รักษาค่ายหน้าปากน้ำเมืองกังแฮนั้นก็แตกหนีไป หมันทองเตียวกิ๋วครั้นเผาค่ายบกเรือแล้ว ก็พาทหารกลับมาทูลพระเจ้าโจยอย
ฝ่ายลกซุนซึ่งตั้งอยู่ ณ ค่ายแฮเค้ารู้ดังนั้น ก็ปรึกษากันกับนายทหารทั้งปวงว่า เราจะให้มีหนังสือไปทูลขอกองทัพพระเจ้าซุนกวน ณ เมืองซินเสีย ให้ยกมาตีท้ายโจยอย เราจะคุมทหารเข้าตีกระหนาบหน้ากองทัพโจยอยก็จะแตกไป นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตามเรื่องราวซึ่งปรึกษา แล้วให้ทหารลอบลัดทางไป ฝ่ายกองตะเวนจับได้ผู้ถือหนังสือก็เอาไปส่ง ณ ค่ายหลวง พระเจ้าโจยอยจึงให้ค้นได้หนังสือมาอ่านดู ก็รู้เนื้อความทั้งปวงแล้วว่า ลกซุนคนนี้มีความคิดหลักแหลมนัก ให้เอาผู้ถือหนังสือไปจำไว้ แล้วให้ม้าใช้ไปสั่งเล่าเซียวว่า ให้เล่าเซียวคุมทหารไปตั้งสกัดทางไว้ อย่าให้ซุนกวนยกมาทำอันตรายข้างท้ายกองทัพเราได้
ฝ่ายจูกัดกิ๋นเห็นทหารโจยอยกลับไปแล้ว จึงพาทหารคืนมา ณ ค่าย ขณะนั้นเปนเทศกาลร้อน ทหารทั้งปวงซึ่งต้องอาวุธแลอดเข้าปลาอาหารล้มตายเปนอันมาก จูกัดกิ๋นจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้ลกซุนว่า ซึ่งจะตั้งรบพุ่งนั้นเห็นขัดสนนัก ท่านกับเราจะพากันกลับไปเมืองกังตั๋งดีกว่า ลกซุนแจ้งดังนั้นก็สั่งผู้ถือหนังสือว่า เราคำนับไปถึงจูกัดกิ๋นอย่าให้วิตกเลย ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในค่ายเถิด การทั้งปวงเราคิดไว้พร้อมแล้วผู้ถือหนังสือนั้นก็กลับมาบอกจูกัดกิ๋น ๆ จึงถามว่า เห็นลกซุนทำประการใดบ้าง ผู้ถือหนังสือจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นลกซุนให้ปลูกถั่วปลูกมันแลผักไว้ริมค่ายเปนอันมาก แล้วลกซุนพาทหารออกมาซ้อมหัดอาวุธแลม้าอยู่หน้าค่าย
จูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ลกซุนจะคิดอ่านสู้รบแล้วเหตุใดมาปลูกผักดังนี้เล่า จึงพาทหารไป ณ ค่ายลกซุนแล้วถามวา ท่านจะคิดสู้รบประการใด ลกซุนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้แต่งหนังสือไปขอกองทัพพระเจ้าซุนกวนให้ยกมาช่วยเปนทัพกระหนาบ ทหารโจยอยก็จับผู้ถือหนังสือไปได้ การซึ่งคิดไว้นั้นเสียไปแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าได้ซ้ำบอกไปถึงพระเจ้าซุนกวนอีกว่า จะขอยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จูกัดกิ๋นจึงว่า ถ้าท่านคิดดังนั้นก็เร่งยกกลับไปเถิด ลกซุนจึงตอบว่า ครั้นเราจะยกไปบัดนี้ทหารโจยอยรู้ก็จะยกมาโจมตี ท่านเปนกองหน้าจงไปจัดเรือรบให้เห็นเปนทียกไปทำการด้วยข้าศึก แล้วเราจะเถิกทัพกลับไป จูกัดกิ๋นก็ลาลกซุนกลับมาถึงค่ายจึงจัดแจงเรือรบเตรียมไว้
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกให้ทูลพระเจ้าโจยอย ๆ แจ้งดังนั้นก็ว่า อันความคิดลกซุนนั้นลึกซึ้งนัก ครั้นเราจะยกไปต่อสู้บัดนี้ ก็เกรงกลศึกลกซุนอยู่ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้รักษาค่ายไว้เปนมั่นคง ครั้นอยู่มาประมาณห้าวัน พอม้าใช้มาบอกให้ทูลพระเจ้าโจยอยว่า ทหารซุนกวนทั้งทัพบกทัพเรือเลิกกลับไปเมืองกังตั๋งแล้ว พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ยังไม่เชื่อ ให้ทหารไปสืบดูก็รู้ว่าจริงเหมือนคำม้าใช้ จึงสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้รักษาด่านทางไว้เปนมั่นคง พระเจ้าโจยอยนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองหับป๋า หวังจะดูท่วงทีกองทัพเมืองกังตั๋ง
(๑) ในฉบับภาษาจีนว่า ๑๒ ปี
(๒) ฉบับภาษาจีนว่าประมาณสามสิบหมื่นเศษ
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 77
https://drive.google.com/file/d/1NMD4skFkkgqjDAK0jmEnZIAGiBx5CSDo/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #7 on:
23 December 2021, 22:46:30 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 78
https://www.samkok911.com/2020/07/samkok-ebook-78.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 78
เนื้อหา
• ขงเบ้งเกลี้ยกล่อมราษฎร
• ขงเบ้งดูดาวรู้ว่าจะตาย
• ขงเบ้งตาย
• อุยเอี๋ยนเป็นกบฏ
ฝ่าย ขงเบ้งเมื่อตั้งอยู่ ณ เขากิสานนั้น มิได้เห็นสุมาอี้ออกรบพุ่งเปนช้านาน ก็คิดว่าการศึกนี้จะยืดยาวอยู่ จึงให้ทหารเลวทั้งปวงไปเอาใจผูกรักบันดาชาวบ้านนอกในแดนเมืองลกเอี๋ยง ขอช่วยทำนาปลูกผักฟักถั่ว ครั้นเปนผลแล้วทหารทั้งปวงให้เจ้าของสองส่วนขอเอาส่วนหนึ่ง แล้วเหล่าทหารขงเบ้งมิได้ข่มเหงชาวบ้านนอกเลย ราษฎรทั้งปวงมีใจรักขงเบ้งเปนอันมาก
ฝ่ายสุมาสูบุตรสุมาอี้รู้ดังนั้นจึงบอกแก่บิดาว่า บัดนี้ทหารขงเบ้งไปเที่ยวผูกรักแก่ชาวบ้านนอกช่วยทำมาหากิน ได้เข้าปลาอาหารไว้เปนกำลังมาก อนึ่งราษฎรทั้งปวงก็มีใจรักขงเบ้งเปนอันมาก ซึ่งบิดาจะนิ่งอยู่ไม่รบพุ่งฉนี้ข้าศึกก็จะมีใจกำเริบขึ้น สุมาอี้จึงตอบว่า พระเจ้าโจยอยให้ตั้งมั่นไว้ ครั้นเราจะรบพุ่งก็จะผิดกับรับสั่ง
พออุยเอี๋ยนเอาหมวกทองของสุมาอี้ใส่ปลายไม้มาร้องด่าว่าเปนข้อหยาบช้าที่ หน้าค่าย สุมาอี้มิได้ว่าประการใด ขุนนางแลทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็โกรธ ต่างคนต่างแต่งตัวใส่เกราะจะออกไปรบกับอุยเอี๋ยน สุมาอี้จึงห้ามว่าอย่าออกไปเลย อันโบราณกล่าวไว้ว่าเหตุการณ์นิดหนึ่งจะพาให้เสียการใหญ่ ทหารทั้งนั้นก็ฟังคำสุมาอี้ อุยเอี๋ยนร้องเย้ยเยาะอยู่จนเวลาเย็น มิได้เห็นผู้ใดออกมารบพุ่งก็พาทหารกลับเข้าค่าย
ขงเบ้งจึงให้ม้าต้ายคุมทหารไปตัดไม้ทำค่ายณปากทางเฮาโลก๊ก แล้วให้ชุดหลุมเอาไม้ผุแลหญ้าฟางมาใส่ไว้ในหลุม เอาดินประสิวสุพรรณถันปรายไว้เปนเชื้อเอาชะนวนฝักแคล่ามไว้ จึงเอาดินแลหญ้าเกลี่ยเสีย ที่ในเขาเฮาโลก๊กนั้นให้ทำทับน้อย ๆ แลตึกดินไว้ ให้เอาดินประสิวสุพรรณถันมาใส่ไว้ในตึกแลทับจึงล่ามชะนวนไว้ ครั้นเวลาค่ำให้จุดโคมเจ็ดใบแขวนไว้เปนสำคัญ ม้าต้ายก็ให้ทำตามขงเบ้งสั่ง
ขงเบ้งจึงสั่งอุยเอี๋ยนให้คุมทหารห้าพันไปร้องท้าทายสุมาอี้ แม้สุมาอี้ออกรบท่านจงต่อสู้ป้องกันหน่วงไว้กว่าจะพลบคํ่า จึงล่อให้ไล่เข้ามาตรงโคมสำคัญเราจะจับเอาตัวให้ได้ จึงสั่งโกเสียงให้จัดทหารคุมโคยนตร์ไปกองละสี่สิบห้าสิบ แม้เห็นสุมาอี้ออกมาตี จึงให้ทิ้งโคยนตร์เสีย แล้วสั่งทหารให้ยกเปนกอง ๆ ไปซุ่มอยู่ ถ้าเห็นทหารข้าศึกยกออกมาตีกีให้ทหารเราทำถอยหนีเสีย ต่อสุมาอี้ออกมาเองจึงชวนกันเข้ารบพุ่งจงสามารถ นายทหารทั้งนั้นก็คุมกันไปทำการตามคำขงเบ้งสั่ง ขงเบ้งจึงคุมทหารกองหนึ่งไปตั้งอยู่บนเนินเขาเปนต้นลม
ฝ่ายแฮหัวโฮแฮหัวฮุยเห็นดังนั้นจึงเข้าไปบอกสุมาอี้ว่า ขงเบ้งให้ตั้งค่ายอยู่บนเนินเขาแลปากทางเฮาโลก๊ก แล้วตั้งทัพแลตึกดินน้อย ๆ รายอยู่เปนอันมาก ข้าพเจ้าเห็นการศึกครั้งนี้จะยืดยาว ขอให้ท่านคิดอ่านตัดเสียให้ทันที นานไปเห็นจะกำจัดขัดสนนัก สุมาอี้จึงตอบว่า ซึ่งข้าศึกทำการทั้งปวงนั้น เห็นจะเปนกลอุบายของขงเบ้ง ครั้นจะยกออกรบพุ่งก็เกรงจะเสียที
แฮหัวโฮแฮหัวฮุยจึงว่า ถึงขงเบ้งจะคิดกลศึกประการใด ข้าพเจ้าสองคนพี่น้องจะขออาสาออกไปตีเอาชัยชนะสนองพระคุณเจ้าเราให้ได้ สุมาอี้จึงว่า ท่านทั้งสองจะอาสานั้นเรามีความยินดีด้วย แต่ท่านจงคุมทหารคนละพันยกออกไปตีเปนสองกอง แฮหัวโฮแฮหัวฮุยก็คุมทหารออกจากค่าย พอม้าใช้มาบอกว่าบัดนี้ข้าศึกเข็นเกวียนสเบียงมาเปนอันมาก แฮหัวโฮแฮหัวฮุยแจ้งดังนั้น ก็บัญจบกันเข้าเปนกองเดียวยกไปโจมตีได้โคยนตร์แลสเบียงมาให้สุมาอี้เปนอัน มาก
ครั้นเวลารุ่งเช้าแฮหัวโฮแฮหัวฮุยก็คุมทหารออกไปรบพุ่ง จับทหารเลวได้ประมาณร้อยคน เอาเข้าไปให้สุมาอี้ ณ ค่าย สุมาอี้จึงถามทหารเลวว่า ขงเบ้งคิดการศึกประการใด ทหารทั้งนั้นจึงตอบว่า ขงเบ้งมิได้เห็นท่านออกไปรบพุ่งก็มีใจกำเริบคิดจะทำศึกยืดยาว จึงให้ข้าพเจ้าทั้งปวงไปเที่ยวทำไร่ปลูกผักฟักถั่ว ข้าพเจ้าทั้งนี้ประมาทไปทหารท่านจึงจับมาได้ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วให้ปล่อยทหารนั้นเสีย
แฮหัวโฮจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า เมื่อจับข้าศึกมาได้แล้วเหตุใดท่านจึงให้ปล่อยเสียเล่า สุมาอี้จึงตอบว่า ท่านหนุ่มแก่ความนัก จึงไม่ล่วงรู้ความคิดเรา ซึ่งเราให้ปล่อยทหารขงเบ้งเสียนั้น หวังจะให้เลื่องลือว่าใจเรานี้มิได้พยาบาทแก่ทหารเลว ถึงมาทว่าทำการศึกก็คิดเอาแต่นายทัพนายกองซึ่งเปนตัวการ ซึ่งเราทำทั้งนี้เปนกลอุบาย เหมือนครั้งลิบองรบกวนอู ณ เมืองเกงจิ๋ว ลิบองจับทหารกวนอูได้ก็ให้ปล่อยเสีย แฮหัวโฮเห็นชอบด้วย สุมาอี้จึงสั่งนายทหารทุกหมวดทุกกองว่า ถ้าผู้ใดจับได้ทหารขงเบ้งก็ให้ปล่อยเสีย แล้วให้ตรวจตราทหารเตรียมไว้ให้พร้อม
ฝ่ายขงเบ้งให้โกเสียงคุมโคยนตร์ขนสเบียงไป ณ ค่ายปากทางเฮาโลก๊กอยู่ทุกวัน มิได้ขาด แฮหัวโฮแฮหัวฮุยก็คุมทหารมาตีเอาโคยนตร์แลสเบียงทุกวัน ครั้นอยู่มาวันหนึ่งแฮหัวโฮแฮหัวฮุยคุมทหารไปโจมตี จับทหารขงเบ้งได้ประมาณห้าสิบคน จึงเอาไปให้สุมาอี้ ณ ค่าย สุมาอี้จึงถามทหารว่าขงเบ้งอยู่แห่งใด ทหารนั้นจึงบอกว่าขงเบ้งมาตั้งค่ายอยู่ ณ เนินเขาเซียมก๊ก ให้ทหารขนสเบียงไว้ในค่ายใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ปากทางเฮาโลก๊ก สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ให้ปล่อยทหารทั้งห้าสิบเสีย แล้วสั่งนายทหารทั้งปวงว่า เวลาพรุ่งนี้ท่านยกไปตีเอาค่ายมั่นขงเบ้ง ณ เขากิสาน ตัวเราก็จะยกหนุนไป
สุมาสูจึงว่า ค่ายใหญ่ขงเบ้งนั้นอยู่ข้างหลัง ซึ่งขงเบ้งไปตั้งค่ายอยู่บนเนินเขาเซียมก๊กนั้นเยื้องเข้ามาเปนค่ายหน้า เหตุใดบิดามิได้สั่งให้ไปตีเอาค่ายหน้าก่อน จะด่วนให้ไปตีเอาค่ายหลังนั้นเกลือกขงเบ้งยกไปช่วย ทหารเราก็จะมิเสียทีหรือ สุมาอี้จึงว่า ค่าย ณ เขากิสานนั้นเปนค่ายมั่น แม้เรายกไปตีเห็นขงเบ้งแลทหารทั้งปวงก็จะยกไปช่วยค่ายใหญ่เปนมั่นคง เราจึงจะแยกทหารไปโจมตีเอาค่ายปากทางเฮาโลก๊กแลเนินเขาเซียมก๊กให้ได้ แล้วจะให้เผาเข้าปลาอาหารเสีย เมื่อขงเบ้งเสียสเบียงแล้ว เราก็จะทำศึกมีชัยชนะโดยง่าย ครั้นเวลารุ่งเช้าสุมาอี้จึงให้เตียวฮองงักหลิมคุมทหารห้าพันเปนกองหลังแล นายทหารทั้งปวงคุมทหารยกเปนกองๆไปหน้า สุมาอี้นั้นก็คุมทหารหนุนไป
ฝ่ายขงเบ้งอยู่บนค่ายเนินเขาเซียมก๊กนั้น แลลงไปเห็นสุมาอี้ยกมาเปนหลายกอง จึงสั่งทหารทั้งปวงว่า ถ้าเห็นกองทัพสุมาอี้ยกไปตีค่ายใหญ่เรา ณ เขากิสาน ท่านทั้งปวงจงลงไปทำเปนจะไปช่วยป้องกันค่ายใหญ่ แล้วจึงตลบหลังไปตีค่ายสุมาอี้ให้ได้ แลค่ายปากทางเฮาโลก๊กกับค่ายบนเนินเขานี้ไว้เปนพนักงานเราจะคิดอ่านทำการให้ สำเร็จ นายทหารทั้งนั้นก็มาจัดการเตรียมไว้
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นเห็นกองทัพหน้าพ้นค่ายปากทางเฮาโลก๊กไป พอเวลาเย็นเห็นทหารขงเบ้งซึ่งตั้งอยู่เปนกอง ๆ นั้นพากันไปช่วยค่ายเขากิสาน สุมาอี้กับบุตรทั้งสองจึงพาทหารเข้าไปจะตีค่ายปากทางเฮาโลก๊ก อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนออกมาร้องว่า สุมาอี้จะหนีไปไหนยังจะพ้นมือกูหรือ
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยนได้สามเพลง อุยเอี๋ยนทำชักม้าหนีล่อเข้าไปตามทางซึ่งมีโคมสำคัญ สุมาอี้กับบุตร์ก็ขับม้าตามเข้าไปถึงปากทางเฮาโลก๊กมิได้เห็นผู้ใด จึงให้ทหารเข้าไปดูในช่องแคบ ทหารกลับออกมาบอกว่าเฮาโลก๊กนั้นมีแต่ทับตึกดินน้อย ๆ ตั้งอยู่ตามเนินเขา มิได้เห็นทหารขงเบ้งอยู่แต่สักคนหนึ่ง สุมาอี้จึงพาบุตร์แลทหารทั้งปวงเข้าไปจากค่ายปากทาง เห็นทับน้อย ๆ มีแต่หญ้าฟางอยู่เปนอันมาก จึงว่าที่นี้ขงเบ้งคิดจะย้ายเอาสเบียงมาซ่อนไว้ อันในหุบเขานี้จำเพาะมีทางเข้าออกตามซอกแต่สองทาง แม้ขงเบ้งแต่งทหารมาซุ่มสกัดปากทางไว้ทั้งสองข้าง เราก็จะได้ความขัดสนนัก ครั้นว่าขาดคำลง พอได้ยินเสียงประทัดแลทหารโห่ร้องอื้ออึงขึ้น แล้วทั้งคบเพลิงลงมาจากเนินเขาเปนอันมาก เพลิงนั้นก็ติดชะนวนแลดินประสิวไหม้เชื้อแลทับขึ้น ทหารทั้งปวงตายด้วยเพลิงเปนอันมาก สุมาอี้เห็นดังนั้นก็สิ้นสติ ตกลงจากม้าเข้ากอดบุตร์ทั้งสองไว้ก็ร้องไห้รํ่าว่า ครั้งนี้ชีวิตเราพ่อลูกจะตายในที่นี้เปนมั่นคง แล้วเผ่นขึ้นม้าตกม้าลงถึงสามครั้งสี่ครั้ง จะหนีก็มิได้ก็ยิ่งร้องไห้เปนอันมาก พอเกิดลมพายุใหญ่พัดมาฟ้าผ่าลงเสียงดังแผ่นดินจะถล่มไป ฝนตกลงมาเปนห่าใหญ่เพลิงนั้นดับไปสิ้น น้ำในหุบเขาท่วมขึ้นประมาณศอกหนึ่ง สุมาอี้จึงร้องว่าบุญของเรามีอยู่เปนอันมาก เทพดาจึงบันดาลให้ฝนตกลงมาช่วยเรา แล้วพาบุตรทั้งสองออกมาถึงปากทาง พอพบเตียวฮองงักหลิมซึ่งเปนกองหลังคุมทหารตามมาทัน
ฝ่ายม้าต้ายเห็นดังนั้นก็คิดว่า ครั้นจะรบพุ่งบัดนี้ทหารของตัวก็น้อย จึงพาทหารเลิกไป สุมาอี้กับบุตร์ทั้งสองก็รีบกลับมาถึงค่าย เห็นทหารขงเบ้งเข้าอยู่ในค่ายเปนอันมากก็พากันถอยไป เหล่าทหารขงเบ้งก็ชวนกันออกติดตามรบพุ่งสุมาอี้ไปทางประมาณร้อยเส้น ขณะนั้นสุมาอี้พบโกฉุยซุนเลเข้า จึงพากันรบพุ่งต้านทานทหารขงเบ้งไว้เปนสามารถ ทหารขงเบ้งก็ถอยกลับมารักษาค่ายสุมาอี้ไว้ แลสุมาอี้ก็พาทหารทั้งปวงไปตั้งค่ายใหม่อยู่ ทางไกลค่ายเก่าประมาณสองร้อยเส้น
ฝ่ายทหารกองหน้าสุมาอี้ซึ่งไปตีค่าย ณ เขากิสานนั้น ครั้นรู้ว่าสุมาอี้เสียค่ายก็พากันจะเลิกทัพกลับ พอทหารขงเบ้งตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้านไล่ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ตายสิบส่วน เหลืออยู่แต่ส่วนหนึ่งสองส่วนหนีไปหาสุมาอี้ณะค่ายใหม่
ฝ่ายขงเบ้งอยู่บนเนินเขา ขณะเมื่อเห็นอุยเอี๋ยนล่อสุมาอี้เข้ามาในหุบเขาเฮาโลก๊กนั้น ก็คิดว่าครั้งนี้สุมาอี้จะตายอยู่ในเพลิงเปนมั่นคงแล้ว ครั้นฝนตกลงมาสุมาอี้รอดออกไปจากหุบเขา ขงเบ้งจึงทอดใจใหญ่แล้วว่า ธรรมดาคนทั้งปวงจะทำการสิ่งใดก็ย่อมสำเร็จด้วยความคิด แม้การไม่ตลอดก็เพราะผู้นั้นมีกรรมอยู่ ขงเบ้งก็พาทหารทั้งปวงกลับลงมาค่ายใหญ่
ฝ่ายสุมาอี้ให้ประกาศแก่ทหารใหญ่น้อยว่า แม้เห็นทหารขงเบ้งยกมาก็อย่าให้ออกรบพุ่ง จงรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง ถ้าผู้ใดมิฟังออกสู้รบเราก็จะให้ตัดสีสะเสีย ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโกฉุยจึงบอกแก่สุมาอี้ว่า บัดนี้ขงเบ้งให้ตั้งค่ายรายทางเข้ามาถึงสองค่าย แล้วให้ทหารมาร้องท้าทายทุกเวลา สุมาอี้ก็ว่าให้รักษาค่ายไว้จงมั่นคงเถิดอย่าออกรบพุ่งเลย
ฝ่ายขงเบ้งมิได้เห็นสุมาอี้ออกรบเปนหลายวัน จึงให้เอาผ้าซับในกางเกงหญิงนั้นมาใส่หีบลงกับหนังสือซึ่งแต่งฉบับหนึ่ง ให้ทหารแบกเอาไปให้สุมาอี้ ณ ค่าย สุมาอี้เปิดหีบขึ้นเห็นผ้ากับหนังสือ จึงเอาหนังสือมาฉีกออกอ่านดูเปนใจความว่า สุมาอี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยง ยกกองทัพออกมาจะทำสงครามด้วยเรา เหตุใดจึงนิ่งอยู่แต่ในค่ายช้านาน มิได้ออกรบพุ่งให้รู้จักฝีมือแลความคิดกันไว้ อันธรรมดาเปนชาติทหารแล้วมิได้ออกมาจากค่ายฉนี้ ก็เหมือนหนึ่งผ้าซับในกางเกงของหญิงซึ่งเราให้ไปนั้น แลเราทำการมาให้ทั้งนี้ หวังจะให้สุมาอี้อัปยศแก่ทหารทั้งปวง จะได้มีมานะออกรบพุ่งด้วยเรา
สุมาอี้แจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธอยู่แต่ในใจ แต่ทำเปนหัวเราะแล้วสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญา จึงให้เลี้ยงดูผู้ถือหนังสือแล้ว จัดเสื้อผ้าให้เปนบำเหน็จตามสมควร สุมาอี้จึงถามผู้ถือหนังสือว่า ทุกวันนี้ขงเบ้งยกมาทำการศึก ยังกินนอนปรกติอยู่หรือ ประการหนึ่งให้กำชับตรวจตราทแกล้วทหารพร้อมมูนอยู่หรือประการใด ผู้ถือหนังสือจึงบอกว่า แต่มหาอุปราชยกกองทัพมานี้ จะกินอาหารแลสิ่งของก็น้อย นอกนั้นมิได้ปรกติด้วยกำชับตรวจตราทแกล้วทหารให้รักษาค่ายเปนการใหญ่อยู่ สุมาอี้จึงว่า ซึ่งขงเบ้งคิดการศึกดังนี้ก็มีความทุกข์ใหญ่หลวง เห็นอายุขงเบ้งจะสั้นเสียแล้ว เราคิดวิตกอยู่ ถ้าหาขงเบ้งไม่ อันจะทำการสงครามด้วยผู้ใดเห็นจะไม่สู้สนุก
ผู้ถือหนังสือได้ฟังดังนั้นก็ลากลับมา ณ ค่าย จึงบอกขงเบ้งว่า สุมาอี้อ่านหนังสือแล้วหัวเราะ มิได้เห็นขึ้งโกรธประการใด แล้วเล่าเนื้อความตามสุมาอี้ว่านั้นให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า สุมาอี้น้มีสติปัญญาล่วงรู้สุขแลทุกข์เรา เอียวหูจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ท่านคิดการทั้งปวงเห็นจะเหนื่อย เอาเหงื่อต่างน้ำอดกินอดนอนจนซูบผอมถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าเห็นจะต้องคำสุมาอี้ว่า
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้แล้วจึงตอบว่า ทุกวันนี้ใช่เราไม่รู้หรือ ซึ่งเราทำการทั้งปวงนี้เพราะคิดถึงคุณพระเจ้าเล่าปี่ ครั้นจะละเลยก็หาผู้ใดที่จะไว้ใจมิได้ เราจึงอุตส่าห์มาทำการศึกหวังจะปราบปรามศัตรูแผ่นดิน จะได้บำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้อยู่เย็นเปนสุข ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็กลั้นน้ำตาไม่ได้ ร้องไห้รักขงเบ้งสิ้นทุกคน ขณะนั้นหน้าขงเบ้งก็เสร้าสลดไม่สบาย ให้ป่วยในอกอยู่ดังหนามยอก มิได้คิดออกไปรบพุ่งกับสุมาอี้เปนหลายวัน
ฝ่ายนายทหารใหญ่น้อยในกองทัพสุมาอี้รู้ว่าขงเบ้งให้หนังสือมาเปนข้อหยาบ ช้าดังนั้น จึงว่าแก่สุมาอี้ว่า ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เหตุไฉนมานิ่งอยู่ให้ทหารเมืองเสฉวนซึ่งเปนเมืองน้อยมาดูหมิ่นว่ากล่าวดัง นี้ไม่ควร ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบพุ่งเอาชัยชนะแก่ขงเบ้งให้จงได้ สุมาอี้จึงตอบว่า ซึ่งเรานิ่งอยู่นี้ใช่จะกลัวขงเบ้งหามิได้ ด้วยมีรับสั่งพระเจ้าโจยอยห้ามไว้เราจึงไม่ออกรบพุ่ง แม้ท่านทั้งปวงจะตั้งใจอาสาทำการสงครามก็ให้งดอยู่ เราจะบอกไปให้กราบทูลพระเจ้าโจยอยก่อน แม้โปรดประการใดจึงจะทำตาม แล้วสุมาอี้แต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปแจ้งข้อราชการแก่พระเจ้าโจยอย ณ เมือง หับป๋า
พระเจ้าโจยอยรับหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าสุมาอี้ได้ทำการรบพุ่งกับขงเบ้งตามเนื้อความแต่หลัง ข้าพเจ้าก็ตั้งมั่นอยู่ตามรับสั่ง บัดนี้ขงเบ้งให้หนังสือมาเยาะเย้ยเปนข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าแลทหารในเมืองหลวงได้ความอัปยศชาวเมืองเสฉวน จึงปรึกษากันจะขอออกรบพุ่งกับขงเบ้ง ถ้าโปรดประการใดจะได้ทำตาม พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงตามในหนังสือสุมาอี้ ชินขุนขุนนางจึงทูลว่า อันสุมาอี้แลทหารในกองทัพนั้นได้ความอัปยศ เพราะขงเบ้งให้หนังสือเยาะเย้ย อันสุมาอี้มิได้ออกรบพุ่งก็เพราะเกรงรับสั่งให้ห้าม แต่นายทหารทั้งปวงนั้นโกรธแค้นจะใคร่ออกไปรบกับขงเบ้ง ซึ่งสุมาอี้ให้ถือหนังสือมาทูลข้อราชการนี้ หวังจะให้มีรับสั่งไปประกาศแก่นายทัพนายกองอย่าให้ออกรบ พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงให้ชินขุนขุนนางถือรับสั่งไปให้สุมาอี้ว่าอย่าให้ออกรบพุ่งเลย ให้รักษาค่ายไว้ให้มั่นคง สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็เอาหนังสือรับสั่งไปประกาศแก่นายทัพนายกอง ทหารทั้งปวงก็รักษาค่ายอยู่
ฝ่ายขงเบ้งรู้กิตติศัพท์ว่าโจยอยให้หนังสือมาถึงสุมาอี้ดังนั้น ก็ว่าแก่นายทหารทั้งปวงว่า สุมาอี้คิดย่อท้อจึงมิได้ยกออกมารบพุ่งกับเรา เกียงอุยจึงถามว่า เนื้อความทั้งนี้เหตุใดท่านจึงแจ้ง ขงเบ้งจึงบอกว่า เราเห็นว่าสุมาอี้มิได้ออกรบเปนช้านานเพราะเกรงเราอยู่ แต่กลัวทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจจึงบอกไปถึงโจยอยว่าจะขอยกกองทัพออกรบ โจยอยจึงให้มีหนังสือมาห้ามมิให้ออกรบพุ่ง หวังจะเอาใจทแกล้วทหารไว้
พอบิฮุยมาแต่เมืองเสฉวน บอกแก่ขงเบ้งตามเนื้อความซึ่งโจยอยยกเปนสามทางไปตีเมืองกังตั๋งนั้นให้ ขงเบ้งฟังทุกประการ แลว่าบัดนี้กองทัพเมืองกังตั๋งเสียทีแก่โจยอยก็เลิกกลับเข้าเมืองกังตั๋ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ร้องหวีดขึ้นด้วยเสียงอันดังก็ทอดใจใหญ่ พอลมประทะขึ้นมาก็ล้มสลบลงกับที่ ขุนนางแลทหารทั้งปวงก็ตกใจช่วยกันแก้ฟื้นขึ้น ขงเบ้งจึงว่าโรคเก่าเรากำเริบขึ้นแล้ว เห็นชีวิตเราจะไม่ยืนสืบไป
ครั้นเวลาคํ่าขงเบ้งอุตส่าห์เดิรออกไปดูอากาศ เห็นดาวสำหรับตัวนั้นเสร้าหมองกว่าแต่ก่อนก็ยิ่งตกใจเปนอันมาก จึงพาเกียงอุยเข้าไปที่ข้างในแล้วว่า ชีวิตเรานี้เห็นจะตายในวันพรุ่งนี้แล้ว เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า เหตุใดมหาอุปราชจึงว่าฉนี้ ขงเบ้งจึงบอกว่า เราพิเคราะห์ดูอากาศเห็นดาวสำหรับตัวเรานี้วิปริต จึงรู้ว่าจะสิ้นอายุแล้ว
เกียงอุยจึงว่า ถ้ากระนั้นท่านจงแต่งการบูชาเทพดาเสดาะเคราะห์เสีย เห็นพอจะสืบอายุไปได้บ้าง ขงเบ้งจึงตอบว่า อันการนี้เราก็แจ้งอยู่ แต่เปนโบราณกรรมถึงอายุของเราแล้ว จำจะแต่งบูชาขอกำลังเทพดาให้ช่วยตามบุญ แล้วสั่งเกียงอุยว่าท่านจงจัดทหารสี่สิบเก้าคน ให้ห่มเสื้อขาวใส่หมวกขาวถือธงขาวล้อมวงเราอยู่ อย่าให้ผู้ใดเข้าออกรู้เห็นเปนอันขาด เราจะนิ่งทำการอยู่ในม่านแต่เวลากลางคืนให้ครบเจ็ดวัน แม้เห็นโคมสำหรับตัวเราสุกใสสว่างอยู่ เราก็จะมีอายุสืบไปได้อีกสองปี ถ้าเพลิงในโคมนั้นดับ เราก็จะถึงแก่ความตายเปนมั่นคง เกียงอุยก็ออกมาจัดแจงทำการตามขงเบ้งสั่ง
ครั้นเวลาค่ำขงเบ้งจึงจุดโคมไว้นอกม่านสี่สิบเก้าใบ ในม่านนั้นจุดโคมล้อมตัวอยู่เจ็ดใบ แลโคมใหญ่เสี่ยงทายนั้นจุดไว้กลาง จึงตั้งเข้าตอกดอกไม้จุดธูปเทียนขึ้นคำนับบูชาตามตำรา แล้วอาราธนาเทพดาว่า ตัวข้าพเจ้าชื่อจูกัดเหลียงคือขงเบ้ง เอากำเนิดมาในหว่างแผ่นดินจลาจล พระเจ้าเล่าปี่มีความอุตส่าห์ไปหาข้าพเจ้าถึงสามครั้งก็ได้มาช่วยทำการทำนุ บำรุงแผ่นดิน พระเจ้าเล่าปี่นั้นมีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้าถึงขนาด เมื่อพระองค์จะสวรรคตก็ได้สั่งการทั้งปวงไว้แก่ข้าพเจ้า แลข้าพเจ้าก็ได้คิดอ่านทำการสงครามหวังจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน แลการทั้งนี้ก็ไม่สำเร็จ บัดนี้เห็นดาวสำหรับตัวข้าพเจ้าเสร้าหมอง จะถึงกำหนดอายุอยู่แล้ว ตัวข้าพเจ้าตั้งใจทำการบำรุงพระมหากษัตริย์ก็ยังไม่สำเร็จ ขอเทพดาทั้งปวงจงให้กำลังแลชีวิตข้าพเจ้าไว้ก่อน จะได้ช่วยป้องกันดับร้อนอาณาประชาราษฎรสืบไป แล้วนั่งอ่านมนตร์ไปจนรุ่ง
ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งก็ออกว่าราชการ ตรวจตรากำชับทแกล้วทหารให้รักษาค่าย พอขงเบ้งอาเจียนโลหิตออกมาเปนหลายครั้ง ขุนนางแลนายทหารทั้งปวงช่วยกันแก้ไข ครั้นเวลาคํ่าขงเบ้งก็เข้าทำการไปตามตำรา กลางวันอุตส่าห์ออกว่าราชการมิได้ขาด แลทำการได้ถึงหกคืน
ฝ่ายสุมาอี้มิได้เห็นทหารขงเบ้งออกมารบพุ่งเปนหลายวันก็มีความสงสัยอยู่ ครั้นเวลากลางคืนวันนั้นสุมาอี้ออกมาดูอากาศเห็นวิปริตก็ดีใจ จึงบอกแก่แฮหัวป๋าว่า เห็นดาวมหาอุปราชเมืองเสฉวนนั้นเสร้าหมอง เห็นอายุขงเบ้งจะถึงกำหนดอยู่แล้ว ท่านจงคุมทหารพันหนึ่งไป ณ ค่ายขงเบ้ง แม้เห็นทหารในค่ายนั้นสงบอยู่ ขงเบ้งจะป่วยลงเปนมั่นคง ท่านจึงร้องท้าทายให้ทหารขงเบ้งยกออกมารบ แม้เรารู้ประจักษ์ว่าขงเบ้งเปนประการใดจะได้คิดการต่อไป แฮหัวป๋าก็คุมทหารไปลอบดูตามสุมาอี้สั่ง
ฝ่ายขงเบ้งทำการคำรบหกคืนนั้น เห็นเพลิงในโคมใหญ่ซึ่งจุดไว้สำหรับเสี่ยงทายอายุนั้นรุ่งเรืองสว่างอยู่ก็ ค่อยมีความยินดี คิดว่าจะสืบอายุไปได้ ในขณะนั้นเกียงอุยตรวจตราทหารซึ่งล้อมวงทั้งสี่สิบเก้าคนให้คอยดูผู้คนอย่า ให้เข้าออกได้ แล้วเกียงอุยเข้าไปแหวกม่านดู เห็นขงเบ้งสยายผมถือกระบี่นั่งอ่านมนตร์อยู่ พอได้ยินเสียงสุมาอี้มาร้องท้าทายถึงหน้าค่ายเปนข้อหยาบช้า เกียงอุยจึงออกมาจากที่ข้างในสั่งทหารให้ออกไปสืบดู
ฝ่ายอุยเอี๋ยนได้ยินทหารสุมาอี้ร้องท้าทายดังนั้นก็โกรธ มิได้รู้ว่าขงเบ้งทำการอยู่ข้างใน จึงทะลวงเข้าไปหวังจะบอกขงเบ้ง พอสะคุดโคมสำหรับเสี่ยงทายอายุขงเบ้งนั้นดับไป ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจทิ้งกระบี่เสียร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ความตายนี้เปนบุราณกรรม ถึงมาทว่าจะคิดอ่านแก้ไขประการใดก็ไม่พ้น ตัวเราครั้งนี้จะถึงความตายเปนมั่นคง
เกียงอุยกลับเข้ามาเห็นดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกจะฆ่าอุยเอี๋ยนเสีย ขงเบ้งยุดมือไว้แล้วห้ามว่า ซึ่งท่านจะฆ่าอุยเอี๋ยนเสียนั้นไม่ควร อันเหตุทั้งนี้เพราะกรรมของเราจะถึงที่ตาย แล้วขงเบ้งอาเจียนโลหิตออกจนสลบลงกับที่ เกียงอุยอุยเอี๋ยนก็ช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้น ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงว่าแก่อุยเอี๋ยนว่า สุมาอี้หมายใจว่าเราป่วยอยู่จึงให้ทหารมาเย้าดูหวังจะให้รู้ประจักษ์ ท่านจงคุมทหารออกไปรบกับทหารสุมาอี้ อุยเอี๋ยนก็ขับม้าพาทหารออกไปถึงหน้าค่าย
แฮหัวป๋าเห็นอุยเอี๋ยนขับม้าออกมา ก็พาทหารถอยกลับมา ณ ค่าย อุยเอี๋ยนขับม้าตามไปทางประมาณสองร้อยเส้น ครั้นไม่ทันแล้วก็กลับมาบอกแก่ขงเบ้งให้แจ้ง ขงเบ้งจึงให้อุยเอี๋ยนไปรักษาหน้าที่อยู่ดังเก่า แล้วขงเบ้งก็พาเกียงอุยเข้ามาที่ข้างในแล้วว่า ตัวเราตั้งใจจะบำรุงพระมหากษัตริย์ก็ไม่สมความคิด เพราะชีวิตเราจะตายอยู่แล้ว แต่เรามีวิชาแลความรู้แลตำราซึ่งได้เรียนมา คิดเปนอักษรสิบหมื่นสี่พันร้อยสิบสองตัว คิดเปนความยี่สิบสี่ข้อ การพิชัยสงครามแลตำราดูฤกษ์บนฤกษ์ตํ่าอยู่ในนั้นสิ้น เราพิเคราะห์ดูไม่เห็นผู้ใดซึ่งจะมีความอุตสาหเรียนตำราทั้งนี้ได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวมีสติปัญญาสัตย์ซื่อ ทั้งประกอบด้วยความเพียรเปนอันมาก ควรจะรักษาตำราแลเรียนให้ชำนาญไว้ได้ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็รับตำราทั้งนั้นไว้แล้วก็ร้องไห้
ขงเบ้งจึงเอาตำราฉบับหนึ่งมาชี้แจงให้เกียงอุยดู แล้วว่าตำราหน้าไม้นี้ของเราคิดเองแต่ยังมิได้ทำ ท่านจงเอาไว้แล้วคิดอ่านทำเถิด ยิงได้ทีละสิบลูก เกียงอุยคำนับแล้วก็รับไว้ ขงเบ้งจึงว่าท่านจงบำรุงแผ่นดินตามตำรานี้เถิด อันเมืองเสฉวนนั้นมิได้มีข้าศึกล่วงเข้าไปทำอันตรายได้ ด้วยด่านทางนั้นเปนซอกห้วยเนินเขากันดารนัก ท่านจงระวังแต่ตำบลอิมเป๋งนั้น เห็นจะมีข้าศึกล่วงเข้าไปทำอันตรายได้ทางเดียว แล้วเรียกม้าต้ายเข้าไปกระซิบสั่งว่า ถ้าเราตายแล้วอุยเอี๋ยนจะเปนขบถต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยน ท่านจงไปอยู่กับอุยเอี๋ยน ณ ค่าย แล้วคิดอ่านกำจัดเสียให้จงได้ ม้าต้ายรับคำแล้วก็ลาออกมาอยู่กับอุยเอี๋ยน
ขงเบ้งจึงให้หาตัวเอียวหงีเข้ามา แล้วว่าตัวเราจะถึงแก่ความตายแล้ว อันอุยเอี๋ยนนั้นจะเปนขบถต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยน ท่านจงเอาหนังสือนี้ไว้ ถ้าขัดสนเมื่อใดจึงให้ฉีกผนึกออกดูแล้วจึงให้ทำการ แต่ผู้ซึ่งจะฆ่าอุยเอี๋ยนนั้นมีตัวอยู่แล้ว เอียวหงีร้องไห้แล้วรับหนังสือลาออกมา ขงเบ้งสั่งการสำเร็จแล้วก็สลบไปเปนช้านาน ครั้นเวลาพลบคํ่าขงเบ้งฟื้นขึ้นจึงแต่งหนังสือบอกอาการป่วยหนัก ให้ม้าใช้ถือรีบขึ้นไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ลิฮกรีบไปเยี่ยม แม้ขงเบ้งจะสั่งความประการใดท่านจงจำเอามาบอกแก่เรา ลิฮกก็ลาไปถึงค่ายเขากิสาน แล้วเข้าไปบอกขงเบ้งว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าท่านป่วยหนักก็ไม่สบายจึงใช้ข้าพเจ้ามาเยี่ยม ขงเบ้งจึงว่าตัวเรานี้คิดจะอยู่ทำราชการ บัดนี้หาบุญไม่อายุจะถึงแก่ความตายในวันนี้พรุ่งนี้แล้ว ตัวท่านอยู่ภายหลังจงตั้งใจสุจริตต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เหมือนเรา ซึ่งจะใช้ผู้คนทำการสิ่งใด ๆ จงประมาณการหนักแลเบา กับสติปัญญาผู้นั้นให้ควรแก่การจึงใช้ อันการข้างฝ่ายทหารแลตำราพิชัยสงครามนั้นเราก็สั่งเกียงอุยไว้เสร็จแล้ว ท่านจงกลับไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนก่อนเถิด ว่าเราเปนคนบุญน้อย จะขอกราบถวายบังคมลาในวันพรุ่งนี้แล้ว เราจะแต่งหนังสือขึ้นไปถวายต่อภายหลัง ลิฮกก็ลาขึ้นม้ารีบกลับไป
ขงเบ้งจึงให้ทหารพยุงขึ้นเกวียนออกไปเที่ยวตรวจตราหน้าค่าย ขณะนั้นเปนเทศกาลหนาว ขงเบ้งสะท้านขึ้นมาก็กลับเกวียนคืนเข้าค่าย ถอนใจใหญ่แล้วว่า ตัวเรานี้มีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจะมาถึงแก่ความตาย เทพดาไม่ช่วยเราแล้วหรือ แล้วให้หาเตียวหงีเข้ามาสั่งว่า ตัวเราจะหาบุญไม่ ท่านจะเปนผู้ใหญ่อยู่ในกองทัพ จงเลี้ยงดูทหารทั้งปวงอย่าให้เสียใจ อันอองเป๋งม้าต้ายเลียวฮัวเตียวเอ๊กเตียวหงีห้าคนนี้มีใจสัตย์ซื่อ ท่านจงทำนุบำรุงให้เหมือนตัวเรา อนึ่ง เมื่อท่านจะเลิกกองทัพกลับไปนั้นอย่าวู่วาม ให้ถอยไปโดยปรกติ ถึงมาทว่าข้าศึกรู้จะติดตามไป ก็ช่วยกันรบพุ่งป้องกันอย่าให้มีอันตรายแก่ทหารใหญ่น้อยได้ อันเกียงอุยนั้นมีสติปัญญาแลฝีมืออยู่ เราก็ได้สั่งการทั้งปวงไว้เสร็จแล้ว แม้ท่านจะทำการสิ่งใดก็ให้ปรึกษากันกับเกียงอุย เอียวหงีรับคำแล้วก็ร้องไห้
ขงเบ้งจึงอุตส่าห์เขียนหนังสือซึ่งจะถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความว่า ข้าพเจ้าขงเบ้งขอกราบถวายบังคมมาให้ทราบ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าบุราณกรรมมาถึงแล้ว แลตัวข้าพเจ้านี้ก็อุตสาหตั้งใจทำราชการตามสติปัญญา พระเจ้าเล่าปี่ชุบเลี้ยงให้เปนใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ ว่าศัตรูฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ยังไม่ราบคาบ ควรหรือจะมาด่วนถึงแก่ความตาย ก็คิดแค้นอยู่ทุกเวลา แม้ข้าพเจ้าตายแล้ว พระองค์จงรักษาความสัตย์ บำรุงทหารอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุขตามประเพณี อย่าให้เชื่อฟังคำคนอันเปนพาล บ้านเมืองจึงจะปรกติสืบไป อันในที่อยู่ข้าพเจ้านั้นมีต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมอยู่ถึงแปดร้อยต้น นาห้าสิบไร่ แลที่นากับต้นหม่อนนี้ก็พอเลี้ยงบุตรภรรยาข้าพเจ้าอยู่แล้ว อันทรัพย์สิ่งของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเรือนนั้นขอให้เอาเข้าไปไว้ในห้องพระ คลังจะได้แจกทหาร เขียนแล้วเข้าผนึกมอบไว้แก่คนสนิธ
ขงเบ้งจึงสั่งเอียวหงีว่า เมื่อเราตายแล้วเมื่อใด อย่าให้ทหารทุกข์ร้อนนุ่งขาวห่มขาวเลย จงทำกิริยาให้ปรกติเหมือนเรายังอยู่ อย่าให้กิตติศัพท์ที่ตายนั้นรู้ไปถึงข้าศึก ท่านจงให้ต่อโลงใส่ศพเรานั่งไว้ ให้เอาเข้าสารใส่ปากไว้เจ็ดเมล็ด เอาโคมจุดเพลิงรองไว้ใต้ที่นั่งเรา หวังจะรักษาดาวสำหรับอายุเรามิให้หายไป แม้เพลิงโคมนั้นดับลงเมื่อใด ดาวสำหรับอายุเราก็จะสูญไปเมื่อนั้น ถ้าสุมาอี้ไม่เห็นดาวนั้นแล้ว ก็จะรู้ว่าเราถึงแก่ความตาย จะยกกองทัพมาทำอันตรายแก่ทหารทั้งปวง แม้สุมาอี้เห็นดาวนั้นยังอยู่ ก็จะไม่อาจยกมาทำยํ่ายี ท่านจงเลิกกองทัพกลับไป ถ้าสุมาอี้จะคุมทหารไปติดตาม ท่านจงจัดทหารทั้งดารับเปนหน้ากระดานไว้ แล้วเอาหุ่นรูปเราใส่เกวียนชักออกมากลางทหาร สุมาอี้เห็นก็จะตกใจถอยไป เอียวหงีก็รับคำไว้ทุกประการ
ครั้นเวลาคํ่าขงเบ้งจึงให้ทหารพยุงออกไปที่ข้างหน้า ขึ้ให้ทหารทั้งปวงดูดาวแล้วว่า ดาวดวงโน้นซึ่งอยู่ข้างทิศเหนือเฉียงตวันตกนั้นเปนดาวสำหรับอายุเรา ทหารทั้งปวงดูไปเห็นดาวสำหรับขงเบ้งนั้นรุบหรู้อยู่เปนทีประหนึ่งจะตกลงมา จากอากาศ ขงเบ้งจึงให้ทหารพยุงเข้าไปที่ข้างใน ขณะนั้นขงเบ้งไม่มีสมประดีเจรจาก็ไม่ออก ขุนนางแลนายทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ พอลิฮกมาแต่เมืองเสฉวนเข้าไปเห็นขงเบ้งเจรจาไม่ออกก็ตกใจ ร้องไห้รํ่าว่าตัวข้าพเจ้ามาไม่ทัน เห็นจะไม่ได้ราชการไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว พอขงเบ้งฟื้นขึ้นกลับได้สมประดีมาลืมตาขึ้นเห็นลิฮก ขงเบ้งจึงว่า เรารู้อยู่ว่าท่านกลับไปแล้วพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะใช้กลับมา
ลิฮกจึงบอกว่า เนื้อความทั้งปวงซึ่งท่านสั่งนั้นข้าพเจ้าก็ไปทูลแล้ว บัดนี้ทรงพระวิตกอยู่ข้อหนึ่งว่า ท่านจะถึงแก่ความตายแล้ว จะให้ผู้ใดเปนมหาอุปราชแทนท่าน ขงเบ้งจึงตอบว่า แม้เราตายแล้วจงให้เจียวอ้วนเปนมหาอุปราชแทนเรา ลิฮกจึงว่า ถ้าเจียวอ้วนหาบุญไม่ ท่านจะให้ผู้ใดเปนมหาอุปราชต่อไปเล่า ขงเบ้งจึงว่าให้เอาบิฮุยตั้งขึ้นแทนเจียวอ้วนเถิด ลิฮกจึงถามว่า ถ้าบิฮุยตายแล้วท่านเห็นผู้ใดจะเปนแทนที่เล่า พอขงเบ้งสิ้นใจในเดือนสิบแรมแปดคํ่า เมื่อขงเบ้งตายนั้นอายุได้ห้าสิบสี่ปี พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบสองปี (พ.ศ. ๗๗๗)
ขณะนั้นในกองทัพขงเบ้งให้เย็นเยียบไปทั้งค่าย พยับลมมัวไปทั่วอากาศ ทหารทั้งปวงรู้ก็ตกใจต่างคนต่างร้องไห้ แล้วห้ามกันสงบอยู่มิให้เลื่องลืออื้ออึง เกียงอุยเอียวหงีก็จัดแจงการศพแล้วทำตามขงเบ้งสั่งไว้ทุกประการ จึงตรวจตราทหารทั้งปวงจะเลิกกองทัพกลับไป ให้กองหลังเปนกองหน้า
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อเวลากลางคืนวันขงเบ้งตายนั้น ออกมาดูเห็นดาวสำหรับมหาอุปราชเมืองเสฉวนแดงดังแสงโลหิต ตกลงมากลางค่ายขงเบ้งถึงสามครั้งแล้วกลับขึ้นไปอยู่ที่เก่า แต่รัศมีหรุบหรู้มิได้ปรกติ สุมาอี้คิดว่าขงเบ้งตายแล้วก็มีใจยินดี จะยกกองทัพไปโจมตีค่ายขงเบ้ง จึงคิดถอยหลังว่าเหตุนี้เชื่อเอายังมิได้ก่อน เกลือกขงเบ้งเห็นว่าเรามิได้ยกออกรบพุ่งเปนหลายวัน แกล้งทำกลอุบายเอาทหารออกซุ่มไว้นอกค่าย แล้วให้จุดดอกไม้เพลิงทิ้งลงมาแต่ยอดเขากิสาน หวังว่าจะให้เราเห็นว่าขงเบ้งตายแล้ว จะมีใจกำเริบยกกองทัพไปโจมตี ทหารขงเบ้งจะได้ออกสกัดรบเปนทัพกระหนาบ สุมาอี้คิดเห็นดังนั้นก็มิได้ยกไป แล้วให้แฮหัวป๋าคุมทหารประมาณห้าสิบคน ไปสืบดูให้รู้ว่าขงเบ้งตายหรือยัง แฮหัวป๋าก็คุมทหารไปตามสุมาอี้สั่ง
ฝ่ายอุยเอี๋ยนในกลางคืนวันนั้นนอนหลับอยู่ในค่าย ฝันว่าแง่สีสะมีเขาโคงอกขึ้นมาทั้งซ้ายขวา อุยเอี๋ยนตื๋นขึ้นก็คิดสงสัย จึงแก้ฝันให้เตียวติดนายทหารฟัง เตียวติดพิเคราะห์ดูฝันนั้นเห็นร้าย จึงแกล้งทำนายว่าท่านฝันนี้ดีนัก อันมีเขานั้นอุปมาเหมือนแปลงตัวได้ ด้วยมังกรนั้นก็มีเขาแล้วมีฤทธิ์กำลังเปนอันมาก อันในนิมิตร์ท่านนี้จะเหมือนหนึ่งมังกรสำแดงฤทธิ อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า แม้สมเหมือนความท่านทำนายไว้ เราก็จะแทนคุณให้ถึงขนาด เตียวติดทำรับคำแล้วก็ออกมาจัดทหารยกไปจากค่าย พอพบบิฮุยเข้า ๆ จึงถามว่า ท่านพึ่งยกมาจากค่ายดอกหรือ เตียวติดจึงบอกว่า พึ่งยกมาแต่ค่าย มาแวะเข้า ณ ค่ายอุยเอี๋ยน ๆ แก้ฝันให้เราฟัง แล้วเตียวติดก็เล่าความฝันอุยเอี๋ยนแลแกล้งทำนายนั้นให้บิฮุยฟังทุกประการ บิฮุยถามว่าเหตุใดท่านจึงรู้ว่าฝันนั้นร้าย เตียวติดจึงบอกว่า เราเห็นร้ายเพราะว่าอักษรเขานั้นประกับกันสองตัวจึงเรียกว่าเขา ถ้าแลแยกออกว่าทีละตัวอ่านเปนมิตร์เขาทำร้าย เราจึงแกล้งทำนายเอามังกรมาเปรียบ หวังจะให้อุยเอี๋ยนมีใจกำเริบ
บิฮุยจึงห้ามว่าท่านอย่าบอกให้ผู้ใดรู้ แล้วบิฮุยก็มา ณ ค่าย เข้าไปหาอุยเอี๋ยนแล้วขับคนใช้เสีย บิฮุยจึงว่าแก่อุยเอี๋ยนว่า เมื่อขงเบ้งตายนั้นได้สั่งไว้ว่าให้เลิกกองทัพกลับไป ให้ท่านคุมทหารอยู่รั้งหลัง บัดนี้นายทหารหมวดนายกองทั้งปวงจะเลิกไปตามลำดับ ท่านผู้เปนกองหลังจะอยู่ให้นายกองทัพทั้งปวงยกไปสิ้นก่อนหรือ
อุยเอี๋ยนจึงถามว่า ขงเบ้งให้ผู้ใดเปนแม่กองทัพเล่า บิฮุยจึงบอกว่า ขงเบ้งสั่งไว้ให้เกียงอุยว่าราชการฝ่ายทหารสำหรับกะเกณฑ์ออกรบพุ่ง ให้เอียวหงีถืออาญาสิทธิ์บังคับนายทหารทั้งปวง อุยเอี๋ยนจึงว่า เอียวหงีเปนแต่ขุนนางผู้น้อย ซึ่งจะให้ถืออาญาสิทธิบังคับนายทหารทั้งปวงนั้นไม่ได้ ชอบแต่ให้คุมศพขงเบ้งกลับไปเมือง ตัวเราจะคุมทหารทำการสงครามเอาความชอบไว้จึงจะควร อันขงเบ้งตายแต่ผู้เดียวซึ่งจะเลิกการศึกเสียกลับไปเมืองนั้นไม่ได้ บิฮุยจึงว่า เดิมขงเบ้งสั่งไว้ว่า ถ้าขงเบ้งตายแล้วให้เลิกทัพกลับไปเมือง ซึ่งท่านจะอยู่ทำการสืบไปนั้นจะมิผิดคำขงเบ้งสั่งไว้หรือ
อุยเอี๋ยนจึงตอบว่า การศึกครั้งนี้หากขงเบ้งไม่ฟังคำเรา แม้เอาความคิดเราอยู่บ้างก็จะทำกลอุบายต่าง ๆ เห็นจะได้เมืองลกเอี๋ยงไว้นานแล้ว แลตัวเราก็เปนขุนนางผู้ใหญ่แล้วก็ได้เปนแม่กองทัพหน้า บัดนี้หาบุญขงเบ้งไม่แล้ว ซึ่งจะให้เราเปนลูกกองป้องกันข้างหลังเอียวหงีนั้นเราไม่ยอม บิฮุยจึงแกล้งว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ เราจะไปบอกเอียวหงีให้เอาตราสำหรับที่แม่ทัพหลวงมาให้ท่านจึงจะควร แล้วก็ลาไปหาเอียวหงี ณ ค่ายใหญ่ แล้วเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ
เอียวหงีได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า อันอุยเอี๋ยนนั้นมหาอุปราชได้ทำนายไว้ว่า ถ้าหาบุญไม่เมื่อใดอุยเอี๋ยนก็จะคิดกำเริบขึ้นเมื่อนั้น บัดนี้ก็สมเหมือนคำมหาอุปราช แม้อุยเอี๋ยนจะทำเปนประการใดก็ตามแต่ความคิดของมัน จึงให้เกียงอุยคุมทหารเปนกองหลัง หวังจะได้ป้องกันข้าศึก แล้วเชิญศพขงเบ้งขึ้นรถแลรูปหุ่นนั้นใส่เกวียน ให้เลิกทัพเดิรเปนปรกติไปตามขงเบ้งสั่งไว้
ฝ่ายอุยเอี๋ยนคอยบิฮุยมิได้เห็นกลับมาก็คิดแคลงใจ จึงให้ม้าต้ายคุมทหารสิบสี่สิบห้าม้า ไปสืบดูว่ากองทัพผู้ใดยกไปบ้าง ม้าต้ายกลับมาบอกอุยเอี๋ยนว่า กองทัพทั้งปวงยกไปบ้างแล้ว เอียวหงีให้เกียงอุยคุมทหารอยู่เปนกองหลัง อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งเอียวหงีให้เกียงอุยเปนกองหลังนั้นมันบังอาจดูหมิ่นเรา แล้วว่าแก่ม้าต้ายว่า ซึ่งเอียวหงีทำทั้งนี้ท่านจะช่วยเราหรือไม่ ม้าต้ายจึงว่า ข้าพเจ้ามีความแค้นเอียวหงีอยู่แต่ก่อนเปนอันมาก ข้าพเจ้าจะขอเข้าด้วยท่าน จะได้ช่วยกันฆ่าเอียวหงีเสียให้ได้ อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็มีใจยินดีด้วยมิได้รู้กลม้าต้าย จึงจัดทหารพร้อมกันแล้วก็รีบลัดทางไปสกัดอยู่ หวังจะทำร้ายเอียวหงี
ฝ่ายแฮหัวป๋ามาลอบดูเห็นดังนั้นก็รีบมาบอกสุมาอี้ว่า บัดนี้ทหารเมืองเสฉวนเลิกกองทัพกลับไปแล้ว สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็กระทืบเท้าลงแล้วว่า อันขงเบ้งนั้นเห็นจะตายเปนมั่นคง สุมาอี้ก็จัดแจงทหารแล้วขึ้นม้าพาบุตรทั้งสองรีบไปถึงค่ายขงเบ้งมิได้เห็น ผู้ใด จึงคุมทหารเร่งติดตามไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง สุมาอี้แลไปเห็นทหารขงเบ้งเดิรไปข้างหน้าเปนอันมาก พอได้ยินเสียงประทัดแลทหารโห่ร้องบนเนินเขาทั้งสองข้างทาง อันทหารขงเบ้งซึ่งไปหน้านั้นก็ดากันกลับมา แลสุมาอี้เห็นขงเบ้งถือพัดโบกอยู่ในเกวียน ธงขาวนั้นจารึกอักษรว่าขงเบ้งเปนแม่ทัพ สุมาอี้ตกใจหยุดอยู่ คิดว่าขงเบ้งมิได้ถึงแก่ความตาย ตัวกูนี้ต้องกลอุบายขงเบ้งแล้วจึงให้ถอยทัพจะกลับมา
เกียงอุยขับม้าลงมาจากเนินเขาร้องว่า สุมาอี้ต้องกลมหาอุปราชแล้วจะหนีไปไหนได้เล่า ทหารสุมาอี้ได้ฟังก็ตกใจ ต่างคนต่างทิ้งอาวุธเสีย วิ่งหนีล้มลุกไปเหยียบกันตายเปนอันมาก สุมาอี้ก็ขับม้าฝ่าหนีกลับไป พอได้ยินเสียงแฮหัวป๋าแฮหัวฮุยขับม้ามายุดม้าสุมาอี้ไว้ แล้วว่าหยุดอยู่ก่อน สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก คิดว่าข้าศึกตามมาตัดเอาสีสะไปได้ จึงเอามือคลำดูก็รู้ว่าสีสะติดตัวอยู่ ก็ยิ่งขับม้ารีบหนีไป แฮหัวป๋าแฮหัวฮุยจึงว่าท่านอย่าตกใจเลย ทหารเมืองเสฉวนกลับไปแล้ว สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงได้สติก็หยุดอยู่ซ่องสุมทหารได้แล้วพากันกลับมาอยู่ ณ ค่าย
ครั้นอยู่สองวันชาวบ้านนอกจึงเข้าไปบอกแก่สุมาอี้ว่า กองทัพเมืองเสฉวนเมื่อกลับไปนั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องไห้อื้ออึง อันเกวียนซึ่งปักธงขาวชักออกมานั้นมิใช่ขงเบ้ง เปนรูปหุ่นทำปลอมไว้หวังจะให้ท่านเกรง แลขงเบ้งนั้นตายแล้ว
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเราคะเนการก็เห็นว่าขงเบ้งตายแล้ว แต่เรายังไม่ประจักษ์ทักแท้ บัดนี้เรารู้แน่แล้วจำจะยกกองทัพไปติดตาม จึงให้จัดแจงทหารพร้อมทุกหมวดทุกกองแล้วก็ยกตามไปถึงตำบลชะงันโผ เห็นไม่ทันกองทัพเมืองเสฉวนแล้วก็พากันกลับมา จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งขงเบ้งตายเสียบัดนี้ บันดาเราท่านจะได้นั่งเปนสุขจะได้นอนตาหลับ ครั้นกลับมาถึงค่ายขงเบ้ง จึงดูค่ายใหญ่น้อยซึ่งขงเบ้งตั้งไว้นั้นต้องในตำราพิชัยสงคราม แล้วว่าอันสติปัญญาขงเบ้งนั้นหาผู้ใดจะเปรียบมิได้ จึงให้กำชับด่านทางทุกตำบลให้ตรวจตรารักษาไว้เปนมั่นคง แล้วยกกลับมาเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายเอียวหงีกับเกียงอุย ครั้นยกมาถึงตำบลเจี๋ยงโต๋เปนปากทางจะเข้าไปเมืองเสฉวนจึงให้หยุดทัพอยู่ แล้วบอกแก่ทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งตายแล้วให้นุ่งขาวห่มขาวตามธรรมเนียม ทหารใหญ่น้อยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจต่างคนต่างร้องไห้รักขงเบ้ง ที่เอาสีสะกระทบศิลาแตกบ้างจนสลบไปเปนอันมาก พอได้ยินเสียงทหารโห่ขึ้น แล้วเห็นแสงเพลิงเผาเข้ามาซอกเขา เอียวหงีจึงให้ม้าใช้รีบไปดู ม้าใช้กลับมาบอกว่าอุยเอี๋ยนคุมทหารสกัดอยู่
เอียวหงีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า มหาอุปราชยังอยู่นั้นก็ได้ทำนายไว้ว่าอุยเอี๋ยนจะเปนขบถ บัดนี้ก็สมคำมหาอุปราช ซึ่งอุยเอี๋ยนมาตั้งสกัดอยู่ดังนี้ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด บิฮุยจึงว่า ซึ่งจะรบพุ่งนั้นจะกลัวอะไรแก่อุยเอี๋ยน แต่บอกไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้แจ้งก่อน จะได้ป้องกันเมืองเสฉวนไว้ให้มั่นคง เอียวหงีจึงว่า ทางเจ้าสันนั้นลัดไปเมืองเสฉวนได้ แล้วก็แต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปแจ้งข้อราชการทั้งปวง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนแต่แจ้งว่าขงเบ้งป่วยก็ไม่มีความสบายเลย เมื่อขงเบ้งตายนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้าที่บันทมทรงพระสุบินว่า เขากิมปีนสานนั้นบันดาลทำลายลง ครั้นเวลารุ่งเช้าเสด็จออกจึงแก้สุบินนิมิตร์ให้ขุนนางทั้งปวงฟัง เจียวจุยจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับมหาอุปราชตกลงข้างทิศตวันตกเฉียงเหนือ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีภัยแก่มหาอุปราช ซึ่งพระองค์ทรงพระสุบินก็เห็นยุติกัน พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ยิ่งเสร้าหมองไม่สบายเลย
ครั้นอยู่มาห้าวันลิฮกมาทูลตามขงเบ้งสั่งไว้ทุกประการ บัดนี้ขงเบ้งถึงแก่ความตายแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงตรัสว่า ซึ่งขงเบ้งถึงแก่ความตายนั้น ชะรอยเทพดาจะสังหารชีวิตเรา แล้วก็ทรงกรรแสงจนสลบไป ขันทีทั้งปวงเข้าแก้ฟื้นขึ้นแล้วพยุงเข้าไปที่ข้างใน พระเจ้าเล่าเสี้ยนมิได้ออกว่าราชการเปนหลายวัน แลขุนนางอาณาประชาราษฎรในเมืองนั้นร้องไห้รักขงเบ้งทุกตัวคน
ฝ่ายลิเงียมแต่ต้องถอดจากที่นั้นก็เห็นว่าตัวผิด คิดอยู่ว่าจะทำความเพียรให้ขงเบ้งใช้สืบไป ครั้นรู้ว่าขงเบ้งตายแล้วก็ร้องไห้รักเปนอันมาก จึงคิดว่าผู้ซึ่งจะเปนมหาอุปราชนั้น จะมีใจสัตย์ซื่อเหมือนขงเบ้งนั้นหาไม่ ลิเงียมทุกข์ตรอมจนถึงแก่ความตาย
พอม้าใช้ถือหนังสืออุยเอี๋ยนมาให้กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน เปนใจความว่า เอียวหงีเปนขบถชิงเอาศพมหาอุปราชไว้ แลคบกับข้าศึกจะยกมาทำอันตรายเมืองเสฉวน ข้าพเจ้าจึงคุมทหารสกัดอยู่ ณ ปากทางเจียงโต๋
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงตรัสปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่าแม้เอียวหงีจะเปนขบถจริง อันอุยเอี๋ยนก็มีฝีมือพอจะสู้รบเอียวหงีได้ เหตุใดจึงรีบมาว่าสกัดทางเจียงโต๋ไว้ดังนี้ อนึ่งแต่ก่อนนั้นเราได้ยินพระราชบิดาตรัสว่า ขงเบ้งทำนายไว้ว่าอุยเอี๋ยนนั้นลักษณะเปนขบถ จะให้ฆ่าเสียเนือง ๆ อยู่ หากคนทั้งปวงห้ามไว้ว่าอุยเอี๋ยนมีฝีมือ จึงเอาไว้เปนเพื่อนทหารเลว ซึ่งอุยเอี๋ยนกล่าวโทษเอียวหงีมานี้ ครั้นเราจะทำตามเกลือกว่าเอียวหงีดีอยู่ก็จะเสียใจแตกตื่นไป เราจำจะฟังดูให้แน่ก่อน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเห็นชอบด้วย
พอม้าใช้ถือหนังสือเอียวหงีมา ให้กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความว่า เมื่อมหาอุปราชยังไม่ตายนั้นได้สั่งไว้ว่าให้อุยเอี๋ยนเปนกองหลัง จะเลิกทัพกลับมาเมืองเสฉวน ครั้นมหาอุปราชตายแล้วอุยเอี๋ยนมิได้ทำตาม แล้วคิดเปนขบถคุมทหารรีบมาสกัดอยู่ปากทางเจียงโต๋ หวังจะชิงเอาศพไปให้ข้าศึก พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงเอาหนังสือสองฉบับนั้นปรึกษากับขุนนางทั้งปวง ว่าผู้ใดจะเห็นประการใด
เจียวอ้วนจึงทูลว่า อันน้ำใจอุยเอี๋ยนนั้นริษยาหาความสัตย์มิได้ แล้วถือตัวว่าเปนใหญ่ ครั้นเห็นเอียวหงีเปนแม่ทัพก็มีทิฎฐิมานะมิได้อ่อนน้อม จึงคิดเอาใจออกหากบอกกล่าวโทษเอียวหงีมา อันเอียวหงีนั้นเปนคนสัตย์ซื่อ มหาอุปราชได้ใช้สอยมานานแล้วมิได้ติเตียนประการใด ข้าพเจ้าขอประกันตัวเอียวหงีไว้ แม้เอียวหงีเปนขบถก็ให้เอาบุตรภรรยาข้าพเจ้าฆ่าเสียให้สิ้นเถิด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงถามว่า ซึ่งอุยเอี๋ยนเปนขบถนี้เราจะคิดกำจัดเสียประการใด เจียวอ้วนจึงทูลว่าพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าเห็นว่ามหาอุปราชจะบอกกลอุบายไว้แก่เอียวหงีให้คิดอ่านกำจัดอุย เอี๋ยนเสียเปนมั่นคง พอบิฮุยมาทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามอุยเอี๋ยนคิดอ่านเอาใจออกหากนั้นทุกประการ พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น ก็ปรึกษากับขุนนางทั้งปวงแล้วให้ตั๋งอุ๋นไปเกลี้ยกล่อมเอาใจอุยเอี๋ยนไว้ ตั๋งอุ๋นก็กราบถวายบังคมลาไป
ฝ่ายอุยเอี๋ยนเมื่อตั้งอยู่ ณ ทางเจี๋ยงโต๋ แล้วยกเลื่อนเข้าไปตั้งมั่นอยู่ ณ ปากทางจำก๊ก ก็มีใจยินดีว่าครั้งนี้สมความคิดเปนมั่นคงแล้ว ขณะนั้นเอียวหงีกับเกียงอุยรู้ จึงให้โฮเป๋งคุมทหารสามพันอยู่ป้องกันข้างหลัง แล้วก็ยกทัพพาศพขงเบ้งออมลัดทางจะไป ณ เมืองฮันต๋ง โฮเป๋งคุมทหารมาข้างท้าย ครั้นเห็นเอียวหงีเกียงอุยยกไปพ้นตำบลจำก๊กแล้ว ก็ให้ทหารโห่ขึ้นเปนทีเยาะอุยเอี๋ยน ม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบไปบอกแก่อุยเอี๋ยนว่า เอียวหงีเกียงอุยพาศพขงเบ้งหนีลัดทางไป ณ เมืองฮันต๋ง โฮเป๋งคุมทหารอยู่ป้องกันข้างหลัง บังอาจร้องท้าทายเยาะเย้ยท่าน
อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงใส่เกราะถือทวนขึ้นม้าพาทหารรีบตามไป โฮเป๋งเห็นอุยเอี๋ยนตามมาก็หยุดอยู่ จึงเอาแซ่ชี้หน้าแล้วร้องด่าอุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชตายเนื้อยังไม่ทันเย็น เหตุใดมึงจึงคิดขบถดังนี้ แล้วร้องประกาศแก่ทหารซึ่งมากับอุยเอี๋ยนว่า บันดาชาวเจ้าทั้งปวงนี้เมื่อมหาอุปราชยังอยู่นั้นก็มิได้ทำสิ่งใดให้เคืองใจ เหตุใดจึงมาเข้าด้วยอ้ายขบถนี้ไม่คิดถึงบุตรภรรยาหรือ จงชวนกันเข้าไปรับเอาเบี้ยหวัด ณ เมืองเสฉวน จะได้เลี้ยงบุตรภรรยาสืบไป ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นเห็นชอบด้วย ก็หนีอุยเอี๋ยนไปประมาณกึ่งหนึ่ง
อุยเอี๋ยนได้ฟังโฮเป๋งว่าแล้วเห็นทหารหนีไป ก็มีใจโกรธเปนอันมาก จึงขับม้ารำง้าวเข้ามารบกับโฮเป๋งได้สิบเพลง โฮเป๋งทานกำลังอุยเอี๋ยนไม่ได้ก็ขับม้าหนี อุยเอี๋ยนได้ทีขับม้าไล่ตามไปแต่ตัวผู้เดียวทหารโฮเป๋งเห็นดังนั้นก็ช่วย กันเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงมาเปนสามารถ อุยเอี๋ยนเห็นทุกเกาทัณฑ์นั้นหนาหนักก็ชักม้าถอยมา เห็นทหารของตัวนั้นเบาบางไปก็โกรธ ท่าสง่าไล่ฆ่าฟันทหารตายประมาณเก้าคนสิบคน ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็กลัวมิได้หนีต่อไป อุยเอี๋ยนเห็นม้าต้ายคุมทหารเปนปรกติ จึงว่าตัวท่านนี้ใจสัตย์ซื่อต่อเรา แม้เราทำการได้สมความคิดแล้วจะปูนบำเหน็จท่านให้ถึงขนาด แล้วก็พาม้าต้ายแลทหารทั้งปวงตามโฮเป๋งไปทางประมาณสองร้อยเส้น ครั้นไม่ทันแล้วก็หยุดอยู่ จึงปรึกษาแก่ม้าต้ายว่า เราจะชวนกันไปเข้าด้วยโจยอยเถิดหรือประการใด
ม้าต้ายจึงแกล้งตอบว่าท่านว่านี้ไม่ควร ธรรมดาเปนชาติทหารถ้าคิดการสิ่งใดก็ให้สำเร็จ จึงจะปรากฎชื่อเสียงไปภายหน้า อันตัวท่านบัดนี้ก็มีฝีมือกล้าหาญ ประกอบด้วยสติปัญญาคิดการลึกซึ้ง ในเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งนั้น หาผู้ใดจะต้านทานฝีมือแลความคิดท่านไม่ ข้าพเจ้าจะขออาสาตีเอาเมืองฮันต๋ง แล้วจะตีเมืองเสฉวนให้ได้ ท่านก็จะได้เปนใหญ่ อุยเอี๋ยนมิได้รู้กลอุบายก็มีใจยินดี จึงพาทันรีบยกไปตั้งอยู่ใกล้กำแพงเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายเกียงอุยขึ้นบนเชิงเทิน เห็นอุยเอี๋ยนตั้งค่ายอยู่เชิงกำแพงเมืองก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่เอียวหงีว่า อุยเอี๋ยนมีทหารน้อย แต่กำลังแลฝีมือกล้าหาญนัก ทั้งได้ม้าต้ายไว้เปนกำลัง เราจะคิดกำจัดนั้นประการใด เอียวหงีจึงตอบว่า มหาอุปราชได้ให้หนังสือไว้ แล้วสั่งไว้ว่าอุยเอี๋ยนจะเปนขบถ ถ้ามันยกตามมาถึงเชิงกำแพงเมืองจึงให้เอาหนังสือออกดู ประการหนึ่งก็ได้สั่งความลับกับม้าต้าย ๆ ไปอยู่กับอุยเอี๋ยนหวังจะคอยทำการ แล้วเอียวหงีก็ฉีกออกดูเห็นหนังสือชั้นนอกนั้นสั่งไว้ว่า ถ้าขึ้นม้าออกไปรบกับอุยเอี๋ยนจึงให้ฉีกหนังสือชั้นในออกดู
เกียงอุยเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าแก่เอียวหงีว่าท่านจงเอาหนังสือนี้ไว้เถิด ตัวเราจะออกไปรบกับอุยเอี๋ยนก่อน ท่านจงคุมทหารหนุนออกไป เอียวหงีเห็นชอบด้วย เกียงอุยก็ขึ้นม้าคุมทหารไปร้องด่าอุยเอี๋ยนว่า เมื่อมหาอุปราชยังอยู่นั้นมิได้ทำหยาบช้าแก่มึงประการใด เหตไฉนมึงจึงคิดขบถดังนี้ อุยเอี๋ยนจึงตอบว่า มิใช่เปนการของมึง จงเร่งกลับไปบอกเอียวหงีตัวการออกมารบกับกูจึงจะชอบ
ขณะนั้นเอียวหงีคุมทหารหนุนออกไปอยู่ในกองทหารเกียงอุย พอได้ยินอุยเอี๋ยนร้องว่ามาดังนั้น ก็ฉีกหนังสือออกดูเปนใจความว่าให้ลวงอุยเอี๋ยน แม้อุยเอี๋ยนมีใจกำเริบร้องว่าใครจะอาจสามารถฆ่ากูได้ แลเนื้อความทั้งนี้ก็ได้สั่งความลับไว้กับม้าต้าย เอียวหงีแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงร้องว่าไปแก่อุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชแจ้งอยู่ว่ามึงจะเปนขบถ จึงสั่งไว้ให้กูฆ่าเสีย แม้มึงอาจสามารถแหงนหน้าขึ้นไปบนอากาศร้องด้วยเสียงอันดังได้สามคำว่า ผู้ใดซึ่งกล้าหาญจะบังอาจมาฆ่ามึงได้ กูจะยกเมืองฮันต๋งให้
อุยเอี๋ยนจึงตอบว่ามึงจงฟังเถิด แล้วแหงนหน้าขึ้นไปร้องว่า ผู้ใดอาจสามารถจะฆ่ากูได้ ม้าต้ายยืนม้าอยู่ข้างหลังอุยเอี๋ยน ได้ยินอุยเอี๋ยนร้องขึ้นแต่คำเดียวดังนั้น ก็ร้องว่ากูผู้มีฝีมือได้รับคำมหาอุปราชไว้ว่าจะฆ่ามึง แล้วเอากระบี่ฟันถูกสีสะอุยเอี๋ยนขาดออกจากกาย เอียวหงีกับเกียงอุยเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ม้าต้ายเอาสีสะอุยเอี๋ยนกลับเข้าเมืองฮันต๋ง พอพบตั๋งอุ๋นถ้อยทีถอยแจ้งเนื้อความให้กันฟังทุกประการ เอียวหงีกับเกียงอุยจึงให้ม้าต้ายกับตั๋งอุ๋นเอาสีสะอุยเอี๋ยนขึ้นไปถวายพระ เจ้าเล่าเสี้ยนก่อน เราจะนำศพมหาอุปราชไปต่อภายหลัง ม้าต้ายตั๋งอุ๋นก็ลาไปถึงเมืองเสฉวน จึงเอาสีสะอุยเอี๋ยนถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วทูลเนื้อความทั้งปวงให้ทราบทุกประการ พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นจึงตรัสแกขุนนางทั้งปวงว่า อุยเอี๋ยนกระทำความผิดก็ถึงแก่ความตายแล้ว อันความชอบอุยเอี๋ยนก็มีอยู่แต่ก่อน จึงพระราชทานเงินทองไปให้บุตรภรรยาแต่งการศพอุยเอี๋ยน
ฝ่ายเอียวหงีเกียงอุยนำศพขงเบ้งมาถึงนอกเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ทรงเครื่องขาว ให้ขุนนางทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาว แล้วเสด็จขึ้นรถออกไปรับศพขงเบ้งทางประมาณสองร้อยเส้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนกับขุนนางทั้งปวง แลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็ร้องไห้รักทุกคน แล้วเชิญศพขงเบ้งเข้ามาให้จูกัดเจี๋ยมรักษาไว้ ณ บ้านก่อน เอียวหงีจึงเอาหนังสือขงเบ้งถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วทูลว่า ขงเบ้งสั่งว่าให้เอาศพไปฝังไว้ ณ เขาเตงกุนสัน แต่อย่าให้ก่อกุฏิแลแต่งเครื่องเส้นเลย พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งในหนังสือแลคำขงเบ้งสั่งก็ทรงโศกเสร้าเปนอันมาก ครั้นถึงวันกำหนดก็เชิญศพขงเบ้งไปฝังไว้ณะเขาเตงกุนสาน แล้วตั้งเอียวหงีเปนขุนนางฝ่ายกรมวัง ให้ม้าต้ายเปนที่ขุนนางแทนอุยเอี๋ยน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งม้าใช้เอาเนื้อความมาบอก ขุนนางทั้งปวงปรึกษากันแล้วทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า กองทัพเมืองกังตั๋งคุมทหารประมาณสิบหมื่นยกมาตั้งอยู่ ณ ปากทางเมืองปากิ๋ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่ามหาอุปราชถึงแก่ความตาย เมืองกังตั๋งยกกองทัพมาดังนี้จะทำประการใด
เจียวอ้วนจึงทูลว่า ขอให้เตียวหงีกับอองเป๋งคุมทหารสิบหมื่นไปตั้งอยู่ ณ เมืองเองอั๋น แล้วให้แต่งขุนนางไปบอกซุนกวนว่าขงเบ้งตายแล้ว หวังจะได้ฟังกิตติศัพท์เมืองกังตั๋งว่าซุนกวนจะคิดอ่านประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นชอบด้วย จึงให้เตียวหงีกับอองเป๋งยกกองทัพไป แล้วให้จองอี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งมีสติปัญญาไป ณ เมืองกังตั๋งตามคำเจียวอ้วน ว่า จองอี้ก็ลาไปถึงเมืองกังตั๋ง เห็นขุนนางทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาว จองอี้เข้าไปคำนับซุนกวนแล้วบอกว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ข้าพเจ้ามาแจ้งเนื้อความว่าขงเบ้งถึงแก่ความตายแล้ว
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ทำโกรธแล้วว่า เมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เปนไมตรีกัน เรารู้ว่าขงเบ้งตายเราให้ชาวเมืองนุ่งขาวห่มขาว เหตุใดพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ ณ เมืองเองอั๋น หวังจะแก้แค้นครั้งลกซุนให้เผาทหารเล่าปี่เสียถึงเจ็ดสิบสองหมื่น จนเล่าปี่หนีเข้าไปอยู่เมืองเป๊กเต้เสียจนถึงแก่ความตาย จองอี้จึงตอบว่าแดนเมืองเสฉวนฝ่ายตวันออกมาจนถึงเมืองปากิ๋ว ฝ่ายตวันตกไปถึงเมืองเป๊กเต้เสีย พระเจ้าเล่าเสี้ยนรู้ว่ากองทัพเมืองกังตั๋งยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองปากิ๋ว จึงแต่งกองทัพเมืองเสฉวนมาป้องกันไว้ ณ เมืองเองอั๋น
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ซึ่งเล่าเสี้ยนทำดังนี้เอาความคิดเตงจี๋ผู้ตายอยู่ในเมืองเสฉวน แล้วว่าแต่เรารู้ข่าวว่าขงเบ้งถึงแก่ความตาย เราก็เปนทุกขอยู่เปนอันมาก เราเกรงว่าโจยอยจะให้ยกไปตีเมืองเสฉวน เราจึงแต่งกองทัพไปตั้งสกัดไว้ ณ เมืองปากิ๋ว หวังจะช่วยป้องกันเมืองเสฉวน จองอี้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีกราบคำนับซุนกวนแล้วว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้สมควรนัก
ซุนกวนจึงว่า ตัวเรานี้รักษาความสัตย์อยู่ มิได้คิดร้ายต่อเมืองเสฉวนเลย จึงเอาลูกเกาทัณฑ์มาหักออกเปนสองท่อนแล้วสาบาลว่า ถ้าเราคิดร้ายต่อเมืองเสฉวน ก็ให้เราแลลูกหลานเราทั้งปวงเปนอันตรายเหมือนลูกเกาทัณฑ์นี้เถิด แล้วจัดแจงสิ่งของให้ทหารคุมไปเส้นศพขงเบ้ง จองอี้ก็ลาพาทหารซุนกวนไปถึงเมืองเสฉวนทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนทุกประการ บัดนี้ซุนกวนให้ทหารคุมสิ่งของมาเส้นศพขงเบ้งด้วย พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ยินดี จึงปูนบำเหน็จจองอี้แล้วพระราชทานทหารซุนกวนซึ่งมาเส้นศพขงเบ้งนั้นตามสมควร ทหารซุนกวนก็ลากลับไปเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตั้งเจียวอ้วนขึ้นเปนมหาอุปราชตามคำขงเบ้ง ให้บิฮุยเปนผู้ช่วยราชการมหาอุปราช งออี้นั้นเปนทหารใหญ่ได้ว่าราชการในเมืองฮันต๋ง เกียงอุยเปนขุนนางสำหรับบังคับบัญชานายทหารทำการสงครามแลขุนนางทั้งปวงให้ อยู่ตามที่ งออี้กับเกียงอุยกราบถวายบังคมลาไปอยู่ ณ เมืองฮันต๋ง เอียวหงีครั้นออกมาถึงบ้านก็มีความน้อยใจว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนตั้งเจียวอ้วนเปนมหาอุปราชแทน จึงว่าแก่บิฮุยว่า เมื่อขงเบ้งตายนั้นก็มอบตราสำหรับที่ไว้แก่เรา แม้เราจะคิดเอาใจออกหากไปเข้าด้วยโจยอยก็จะมีความสุข จะไม่ได้อยู่ในบังคับเจียวอ้วน บิฮุยมิได้ว่าประการใด ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงเข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามคำเอียวหงีว่าทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็โกรธจึงเอาตัวมาถาม เอียวหงีก็รับตามซึ่งได้ว่ากล่าว พระเจ้าเล่าเสี้ยนจะให้เอาไปฆ่าเสีย เจียวอ้วนจึงทูลว่า แต่ก่อนนั้นเอียวหงีก็ได้ทำความชอบมาเปนอันมาก ครั้งนี้เอียวหงีเจรจาผิดข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้ แต่ให้ถอดออกจากที่ขุนนาง พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ให้ทำตาม แล้วให้เอียวหงีเปนไพร่ไปอยู่ ณ เมืองแก่กุ๋นซึ่งขึ้นแก่เมืองฮันต๋ง เอียวหงีมีความแค้นแลอัปยศแก่ไพร่บ้านพลเมืองก็เชือดคอตายเสีย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 78
https://drive.google.com/file/d/1osOjQjXpttW8-qZtnBaxPMsp1fF80Nv9/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #8 on:
23 December 2021, 22:59:19 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 79
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-79.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 79
เนื้อหา
• สุมาอี้เป็นมหาอุปราช
• กองซุนเอี๋ยนกำเริบ สุมาอี้ยกทัพไปปราบ
• โจฮองเสวยราชย์
• สุมาอี้แสร้งทำป่วย
• สุมาอี้ชำระพวกที่คิดการเป็นกบฏ
ขณะ นั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ในเมืองเสฉวนได้สิบสามปี พระเจ้าซุนกวนเสวยราชย์ในเมืองกังตั๋งได้สิบปี พระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ในเมืองลกเอี๋ยงได้เก้าปี (พ.ศ. ๗๗๘) ทั้งสามเมืองนี้มิได้เปนศึกกันมาช้านาน ราษฎรทั้งปวงค่อยได้ความสุข ขณะเมื่อพระเจ้าโจยอยกลับมาแต่เมืองหับป๋านั้น ตั้งประทับอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ จึงตั้งสุมาอี้เปนที่มหาอุปราช แล้วให้ยกไปตรวจค่ายคูประตูหอรบด่านทางทุกตำบล แล้วสุมาอี้ก็กลับไปเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจยอยก็ให้สร้างปราสาทราชวังในเมืองฮูโต๋ แล้วให้ม้ากิ้นเปนแม่กองคุมนายช่างสามหมื่น ลูกมือสำหรับใช้ทำการสามสิบหมื่นไปสร้างปราสาทแลซ่อมแปลงค่ายคูประตูหอรบ ณ เมืองลกเอี๋ยง แลให้ทำปราสาทนั้นสูงยี่สิบวา ม้ากิ้นก็คุมนายจ้างไปทำการอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง ตังสิมขุนนางเห็นคนทั้งปวงได้ความลำบากนักจึงทูลพระเจ้าโจยอยว่า อันจะทำการเมืองเปนช้านานรออยู่ฉนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าช่างทั้งปวงได้ความลำบากนัก ประการหนึ่งเกลือกว่าข้าศึกรู้จะยกจู่มา ฝ่ายเมืองเราจะกะเกณฑ์สู้รบไม่ทันก็จะเสียแก่ข้าศึก ขอให้งดการไว้ บำรุงทหารไพร่บ้านพลเมืองให้พร้อมดีกว่า แม้มีการสงครามมาจะได้กะเกณฑ์สดวก
พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แต่มิได้ว่าประการใด ขุนนางซึ่งชังตังสิมนั้นทูลยุยงจะให้ฆ่าตังสิมเสีย พระเจ้าโจยอยจึงตอบว่า ตังสิมเปนคนเก่ามีความชอบอยู่ ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นไม่ได้ พระเจ้าโจยอยจึงถอดตังสิมออกจากที่ขุนนางแล้วห้ามว่า สืบไปเมื่อหน้าถ้าผู้ใดขัดขวางมิให้สร้างเมืองลกเอี๋ยงก็จะให้ตัดสีสะเสีย เตียวบ้อเห็นไพร่ได้รับความลำบากนักก็ทูลห้ามพระเจ้าโจยอยว่า อย่าให้สร้างเมืองลกเอี๋ยงเลย พระเจ้าโจยอยจึงให้เอาตัวเตียวบ้อไปฆ่าเสีย แล้วยกไปอยู่เมืองลกเอี๋ยงให้หาตัวม้ากิ้นไปถามว่า เราจะให้สร้างปราสาทให้สูงกว่านี้ หวังจะขอยาเทพดามากินจะได้จำเริญอายุ
ม้ากิ้นจึงทูลว่า ครั้งพระเจ้าฮั่นบู๊เต้นั้นชรา[๑] สร้างปราสาทสูงสามสิบวา แล้วเอาทองแดงมาหล่อรูปคนมีมือชูถาดรองน้ำค้างอยู่ปลายเสาทองแดงทะลุขึ้นไป ตามหลังคา จึงสมมุติว่าน้ำสุรามฤตย์ เอามาละลายยาเสวยเปนอัตราหวังจะให้เปนหนุ่มขึ้น แลพระเจ้าฮั่นบู๊เต้จึงมีอายุยืน พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จะใคร่ให้อายุยืนบ้าง จึงให้ม้ากิ้นคุมทหารหมื่นหนึ่งไปยกรูปคนทองแดง ณ เมืองเตียงอั๋น ม้ากิ้นครั้นมาถึงเมืองเตียงอั๋นจึงให้ทำนั่งร้านขึ้นไป แล้วผูกรูปทองแดงนั้นหย่อนลงมาตามเสารอก ครั้นลงมาถึงพื้นแผ่นดินเห็นรูปคนทองแดงนั้นน้ำตาไหลออกมาทั้งสองข้าง พอบังเกิดมืดฟ้ามัวฝนลมพายุใหญ่พัดหนัก ปราสาทแลเสาทองแดงก็หักลงมาทับทหารซึ่งไปนั้นตายประมาณพันเศษ ม้ากิ้นจึงให้เอาคนทองแดงนั้นใส่เลื่อนลากมาถวายพระเจ้าโจยอย แล้วทูลตามมีอัศจรรย์ทุกประการ พระเจ้าโจยอยจึงถามว่า เสาทองแดงซึ่งหักลงนั้นอยู่ไหนเล่า ม้ากิ้นจึงทูลว่า เสาทองแดงนั้นหนักถึงร้อยหมื่นชั่ง ซึ่งจะลากมานั้นไม่ได้
พระเจ้าโจยอยจึงให้ม้ากิ้นคุมทหารกลับไปยกเสาทองแดงนั้นมาได้สิ้น แล้วให้หล่อรูปคนสองคนเรียกชื่อฮองต๋ง จึงให้เอาไปตั้งไว้ประตูวังอันชื่อสุมา แล้วให้ทำหงส์ตัวหนึ่งมังกรตัวหนึ่งเอาไปตั้งไว้หน้าปราสาท ให้สร้างสวนในวังปลูกต้นไม้มีดอกแลผลเปนอันมาก จึงให้เอานกเนื้อกวางทรายมาเลี้ยงไว้ในสวน แลรูปทองแดงซึ่งเอามาแต่เมืองเตียงอั๋นนั้นก็ทั้งไว้ในสวนสำหรับจะได้ชมเล่น ให้จัดหญิงรูปงามไว้ณะตำหนักในสวนเปนอันมาก แล้วให้ม้ากิ้นตรวจตรากำชับนายช่างให้เร่งทำปราสาทให้แล้วจงเร็ว
ขุนนางทั้งปวงทูลทัดทานมิให้ทำปราสาท พระเจ้าโจยอยก็ไม่ฟัง ม้ากิ้นก็ตรวจตราให้นายช่างทำตามรับสั่ง แลพระเจ้าโจยอยมีพระมะเหษีชื่อนางมอซือ อยู่ด้วยกันมาแต่พระเจ้าโจผียังเสวยราชอยู่ บัดนี้พระเจ้าโจยอยมีพระสนมคนหนึ่ง ชื่อนางโกยฮุยหยิน พระเจ้าโจยอยรักยิ่งกว่านางมอซือ ด้วยการใช้สอยมีอัชฌาสัย ขณะนั้นพระเจ้าโจยอยอยู่กับนางโกยฮุยหยิน มิได้ออกว่าราชการประมาณเดือนเศษ
ครั้นอยู่มาเดือนห้าปีระกานพศก เปนเทศกาลดอกไม้งาม พระเจ้าโจยอยจึงพานางโกยฮุยหยินลงมาชมสวนดอกไม้ แล้วเสพสุราอยู่ด้วยกัน นางโกยฮุยหยินจึงทูลว่า ไฉนพระองค์ไม่ให้เชิญนางมอซือมาเสพย์สุราด้วย พระเจ้าโจยอยจึงตอบว่า เจ้าจะให้นางมอซือมาด้วยนั้นเห็นเราจะเสพย์สุราไม่ลงฅอ แล้วห้ามสาวใช้ทั้งปวงอย่าให้ไปบอกนางมอซือว่าเราพานางโกยฮุยหยินมาชมสวน แล้วก็ให้นางพนักงานขับบำเรอ
ฝ่ายนางมอซือมิได้เห็นพระเจ้าโจยอยเสด็จมาถึงเดือนเศษแล้วก็ไม่สบายใจ วันนั้นมิได้รู้ว่าพระเจ้าโจยอยลงไปชมสวน นางมอซือจึงพานางสาวใช้ประมาณสิบสองคนไปณตำหนักซุยฮัวเหลา หวังจะให้สบายใจ พอได้ยินเสียงคนขับร้องจึงถามนางผู้รักษาตำหนักว่าเสียงขับร้องที่ไหน นางนั้นก็ทูลว่าพระเจ้าโจยอยพานางโกยฮุยหยินมาชมสวนดอกไม้ นางบำเรอจึงขับถวาย นางมอซือได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความวิตกเปนอันมาก จงพาข้าสาวใช้กลับไปตำหนักที่อยู่
ครั้นเวลารุ่งเช้านางมอซือจึงเดิรไปตามถนนที่ข้างในหว่างตำหนักสองข้าง พอพบพระเจ้าโจยอยนางมอซือหัวเราะแล้วทูลว่า เวลาวานนี้พระองค์เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าเห็นจะมีความสนุกสบายหาที่สุดมิได้ พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ขันทีจับข้าสาวใช้ซึ่งอยู่ในสวนมาแล้วถามว่า เวลาวันวานนี้กูได้กำชับไว้ เหตุใดมึงจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่นางมอซือ แล้วสั่งขันทีให้เอาตัวสาวใช้ทั้งนั้นไปส่งแก่บูซูให้ฆ่าเสีย นางมอซือได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงกลับมาที่อยู่
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยโกรธนางมอซือเปนอันมาก จึงส่งกระบี่กับสุรายาพิษแลแพรดำสำหรับรัดคอให้ขันทีแล้วสั่งว่า นางมอซือนั้นโทษผิดใหญ่หลวงนัก จงเอาของสามสิ่งนี้ไปทำโทษนางมอซือตามแต่จะควรด้วยของสิ่งใด ขันทีก็รับเอาของนั้นมาทำโทษแก่นางมอซือจนถึงแก่ความตาย พระเจ้าโจยอยก็ตั้งนางโกยฮุยหยินขึ้นเปนพระมเหษี
ครั้นอยู่มามีหนังสือบูขิวเคียมเจ้าเมืองอิ๋วจิ๋ว บอกมาให้ทูลพระเจ้าโจยอยว่า กองซุนเอี๋ยนบุตรก๋งซุนของเจ้าเมืองเสียวตั๋งคิดขบถ ยกตัวเปนเจ้าเอียนอ๋อง ตั้งแต่งขุนนางขึ้นเปนอันมาก ให้สร้างเวียงวังค่ายคูประตูหอรบไว้เปนมั่นคง แล้วซ่องสุมทแกล้วทหารได้ร้อยหมื่นจะยกมาตีเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้หาสุมาอี้แลขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษา สุมาอี้จึงทูลว่า ซึ่งกองซุนเอี๋ยนมีใจกำเริบคิดขบถต่อพระองค์นั้น ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารสี่หมื่นในสมัคพรรคพวกข้าพเจ้าจะยกไปตีเอาเมือง เสียวตั๋ง จับตัวกองซุนเอี๋ยนให้จงได้
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า ซึ่งท่านรับอาสานี้ขอบใจนัก แต่ซึ่งจะไปนั้นเราเห็นว่าทหารก็น้อยทางก็ไกลกันดาร เกลือกจะมิได้ราชการ สุมาอี้จึงทูลว่า อันการสงครามนั้น ใช่มีทหารมากจึงได้ชัยชนะนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้าจะยกไปครั้งนี้ ถึงมาทว่าทหารน้อยก็จะขอทำด้วยความคิดแลเอาบารมีของพระองค์ปกไปเปนที่พึ่ง เห็นจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกเปนมั่นคง
พระเจ้าโจยอยจึงถามว่า ท่านคะเนเห็นกองซุนเอี๋ยนจะคิดอ่านรบพุ่งประการใด สุมาอี้จึงทูลว่า แม้กองซุนเอี๋ยนทิ้งเมืองเสียหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่า เห็นจะติดตามขัดสนด้วยไม่เจนทาง ข้อนี้เห็นว่ากองซุนเอี๋ยนคิดการศึกเปนเอก ข้อหนึ่งถ้ากองซุนเอี๋ยนยกออกมาตั้งค่ายอยู่หน้าเมืองเสียวตั๋งนั้น เปนความคิดโท ข้อหนึ่งแม้กองซุนเอี๋ยนยกมาตั้งอยู่ ณ เมืองเซียงเป๋งเปนแดนต่อแดนนั้น เปนความคิดตรี เห็นจะจับกองซุนเอี๋ยนได้เปนมั่นคง
พระเจ้าโจยอยจึงถามว่า ท่านจะยกไปครั้งนี้จะช้าเร็วสักเท่าใด สุมาอี้จึงทูลว่า อันทางจะไปเมืองเสียวตั๋งนั้นไกลกันดารนักข้าพเจ้าคะเนทางจะไปถึงนั้นสัก ร้อยวัน จะทำการสงครามก็สักร้อยวันจะกลับมาก็สักร้อยวัน จะหยุดพักทั้งไปทั้งมานั้นสักหกสิบวัน ครบปีหนึ่งจึงจะได้กลับมาถึงเมืองหลวง พระเจ้าโจยอยจึงว่า ท่านจะไปช้าถึงปีหนึ่ง แม้กองทัพเมืองเสฉวนหรือเมืองกังตั๋งยกมาทำอันตรายเมืองเราจะทำประการใด สุมาอี้จึงทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าคิดอ่านจัดทหารไว้รักษาเมืองพร้อมอยู่แล้ว พระเจ้าโจยอยมีความยินดีจึงว่าถ้าดังนั้นแล้วท่านจะไปก็ตามเถิด สุมาอี้ก็ถวายบังคมลาออกมาจัดทหารในพรรคพวกได้สี่หมื่น ให้โฮจุ๋นคุมทหารเปนกองหน้า ครั้นได้ฤกษ์สุมาอี้ก็ยกกองทัพออกจากเมืองลกเอี๋ยงหวังจะไปตีเมืองเสียวตั๋ง
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบไปบอกกองซุนเอี๋ยนว่า สุมาอี้ยกมาจะทำอันตรายเมืองเรา กองซุนเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ให้บีเอี๋ยนกับเอียวจอคุมทหารแปดหมื่นออกไปตั้ง รับอยู่ตำบลเลียวซุนพ้นแดนเมืองเซียงเป๋ง ปีเอี๋ยนเอียวจอก็ยกมาถึงจึงให้ตั้งค่ายมั่นกว้างสองร้อยเส้น แล้วให้ขุดคูรอบตรวจตราทหารให้รักษาไว้มั่นคง
ฝ่ายโฮจุ๋นกองหน้าครั้นยกมาถึงเห็นดังนั้น จึงให้ม้าใช้ไปบอกสุมาอี้ ๆ จึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ซึ่งกองซุนเอี๋ยนให้ทหารมาตั้งขัดตาทัพอยู่ ณ ตำบลเลียวซุนนั้น หวังจะแกล้งหน่วงไว้ให้ช้าจะให้กองทัพเราขาดสะเบียง อันทหารซึ่งออกมาตั้งอยู่นี้เห็นจะมากกว่าทหารในเมือง เราจำจะยกอ้อมเข้าไปตีเอาเมืองเซียงเป๋งเปนที่แดนต่อแดนให้ได้แล้วจึงจะคิด การต่อไป ผู้ใดจะเห็นประการใด ทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย สุมาอี้จึงให้ยกกองทัพอ้อมทางไปข้างทิศใต้
ฝ่ายปีเอี๋ยนเอียวจอจึงปรึกษากันว่า ครั้งขงเบ้งยกไปตั้งอยู่ ณ เขากิสาน สุมาอี้แกล้งหน่วงไว้มิได้ออกรบพุ่งจนขงเบ้งตาย อันกองทัพสุมาอี้ยกมาครั้งนี้ทางไกลถึงสิบหมื่นเส้น เราจงตั้งมั่นอยู่อย่าออกรบพุ่งกับสุมาอี้เลย แม้สุมาอี้ขาดสะเบียงก็จะเลิกทัพถอยไป เราจึงคุมทหารออกไล่โจมตีเห็นจะจับสุมาอี้ได้ พอม้าใช้มาบอกว่าสุมาอี้ยกอ้อมเข้าไปจะตีเอาเมืองเซียงเป๋ง ปีเอี๋ยนตกใจจึงปรึกษากับเอียวจอว่า สุมาอี้ยกอ้อมไปนั้นเพราะคิดว่าทหารในเมืองเซียงเป๋งน้อย ซึ่งเราจะตั้งอยู่ที่นี้ไม่ได้ จำจะถอยเข้าไปช่วยจึงจะควร เอียวจอเห็นชอบด้วยก็เลิกทัพกลับเข้าไป
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบไปบอกสุมาอี้ว่า บัดนี้ปีเอี๋ยนเอียวจอเลิกทัพถอยเข้ามาหวังจะช่วยเมืองเซียงเป๋ง สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งปีเอี๋ยนเอียวจอถอยเข้ามานี้เห็นจะสมความคิดเรา จึงสั่งแฮหัวป๋ากับแฮหัวฮุย ให้คุมทหารไปซุ่มสกัดอยู่ริมแม่นํ้าเจซุ้ย ถ้าเห็นกองทัพเมืองเสียวตั๋งถอยเข้ามา ก็ให้ขับทหารออกโจมตีกระหนาบเอาชัยชนะให้ได้ แฮหัวป๋าแฮหัวฮุยก็คุมทหารไปซุ่มอยู่ ครั้นเห็นปีเอี๋ยนเอียวจอยกมาก็ให้จุดประทัดสัญญาขึ้น แล้วแฮหัวป๋าแฮหัวฮุยก็คุมทหารตีกระหนาบออกมา ฝ่ายปีเอี๋ยนเอียวจอไม่ทันรู้ตัวเสียที จึงพาทหารรบฝ่าออกไปข้างทิศเหนือ พอพบกองซุนเอี๋ยนคุมทหารยกมาข้างเขาซิวสาน ปีเอี๋ยนเอียวจอจึงบอกเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง แล้วพากองซุนเอี๋ยนยกกลับมาถึงริมแม่นํ้าเจซุ้ย ปีเอี๋ยนจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารแล้วร้องว่า อ้ายเหล่าศัตรูมึงอย่าคิดกลศึกอยู่ให้ช้า จงเร่งออกมารบกับกูให้เห็นฝีมือกันไว้
แฮหัวป๋าได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำง้าวออกไปรบได้สามเพลง แฮหัวป๋าฟันถูกปีเอี๋ยนตกม้าตาย แล้วไล่ฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก กองซุนเอี๋ยนเห็นจะต้านทานมิได้ก็พาเอียวจอกับทหารทั้งปวงถอยหนีเข้าไปใน เมืองเซียงเป๋ง แล้วให้ปิดประตูเมืองเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปบอกสุมาอี้ ๆ ได้แจ้งดังนั้นก็รีบยกเข้าไปตั้งค่ายล้อมเมืองเซียงเป๋งไว้
ขณะนั้นเปนเทศกาลวสันตฤดู ฝนตกทั้งกลางวันกลางคืนถึงเดือนเศษ น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอกเศษ สะเบียงซึ่งส่งมานั้นมิได้ขาดเปนแต่สะเทินนํ้าสะเทินบก แลทหารกับม้าในกองทัพสุมาอี้นั้นได้ความลำบากด้วยน้ำท่วม ปวยเกงสารวัดขวาจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า ฝนตกถึงเดือนเศษแล้วยังไม่สงบ ทหารทั้งปวงได้ความลำบากด้วยน้ำท่วม ขอให้เลิกค่ายขึ้นไปตั้งอยู่บนเนินเขา แม้ฝนตกสงบแล้วเมื่อใดจึงคิดการต่อไป
สุมาอี้ได้ฟังก็โกรธจึงว่า เรามาตั้งล้อมเมืองเซียงเป๋งไว้ เห็นจะจับตัวกองซุนเอี๋ยนได้ในวันพรุ่งนี้แล้ว เหตุใดมาว่าจะให้การเนิ่นช้าไปฉนี้ แล้วประกาศแก่นายหมวดนายกองทั้งปวงว่า แต่นี้สืบไปอย่าให้ผู้ใดมาว่ากล่าวเหมือนปวยเกงเลย ผู้ใดไม่ฟังเราจะให้ตัดสีสะเสียบไว้หน้าค่าย
ครั้นเวลารุ่งเช้าชือเหลียนสาระวัดซ้ายจึงเข้าไปว่าแก่สุมาอี้ว่า ข้าพเจ้าเห็นทหารทั้งปวงได้ความลำบากนัก จะนั่งนอนก็จมน้ำอยู่กึ่งตัวบ้าง จะหุงหาอาหารก็ไม่ใคร่จะได้ ขอให้เลิกไปตั้งอยู่ที่ดอนก่อน ถ้าฝนคลายลงเมื่อใดจึงยกเข้ามาล้อมเมืองไว้ดังเก่า สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวเราเปนแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ได้ออกปากห้ามแล้ว เหตุใดตัวจึงไม่ฟัง บังอาจล่วงอาญาจะให้เสียการของเรา จึงให้ทหารเอาตัวชือเหลียนไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะมาเสียบไว้หน้าค่าย มิให้ทหารทั้งปวงดูเยี่ยงอย่าง บันดานายทหารเห็นดังนั้นก็กลัว มิได้ว่ากล่าวทัดทาน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง สุมาอี้จึงให้เลิกค่ายถอยออกไปตั้งอยู่ไกลเมืองประมาณสองร้อยเส้น หวังจะให้ชาวเมืองเซียงเป๋งแลทหารออกมาหากินจะได้เกลี้ยกล่อม ตันก๋นมีความสงสัยจึงถามสุมาอี้ว่า ครั้งเมื่อท่านยกไปรบเบ้งตัดนั้น ท่านแบ่งทหารออกเปนแปดทาง ยกไปแปดวันก็ถึงเมืองซงหยง จึงคิดอ่านรบพุ่งจับเอาตัวเบ้งตัดได้ ท่านก็มีความชอบเปนอันมาก ครั้งนี้ท่านยกกองทัพมาก็มีทหารแต่สีหมื่น ทางก็ไกลถึงสิบหมื่นเส้น เหตุใดท่านจึงมาตั้งนิ่งอยู่มิได้ยกเข้าไปตีเอาเมืองให้ได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะแกล้งทรมานทหารให้ลำบากด้วยนํ้าแลฝน แล้วเลิกออกไปตั้งค่ายอยู่ไกลเมืองฉนี้ จะให้ชาวเมืองออกมาหากินให้มีกำลังขึ้นหรือ
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทัวเราะแล้วตอบว่า เมื่อยกไปรบเมืองซงหยงนั้น ทหารเราก็มาก แต่สะเบียงก็น้อยกว่าเขา เราจึงรีบทำการโดยเร็วก็จับตัวเบ้งตัดได้ เรายกมาครั้งนี้ทหารกองซุนเอี๋ยนมีมาก แต่สะเบียงนั้นน้อยกว่าเรา ๆ จึงคิดอ่านหนักหน่วงไว้มิได้รบพุ่ง ซึ่งยกออกมาตั้งอยู่ไกลเมืองนี้ เพราะจะให้ทหารกองซุนเอี๋ยนซึ่งอดหยากเข้าปลาอาหารหนีออกจากเมือง เมื่อเห็นกำลังกองซุนเอี๋ยนน้อยลงแล้ว เราจึงจะให้ยกกองทัพเข้าโจมตีเอาเมือง ก็จะจับตัวกองซุนเอี๋ยนได้โดยง่าย ตันกุ๋นแจ้งดังนั้นก็คำนับแล้วสรรเสริญว่า ความคิดท่านนี้ควรเปนแม่ทัพหลวง
สุมาอี้จึงให้ทหารกองหนึ่งไปขอสะเบียง ณ เมืองลกเอี๋ยง หวังจะได้เพิ่มเติมไว้มิให้อดหยาก ทหารทั้งปวงนั้นรับคำสุมาอี้แล้ว ก็รีบไปบอกความทั้งปวงแก่ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแจ้งดังนั้นปรึกษากัน แล้วกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า สุมาอี้ยกกองทัพไปตีเมืองเสียวต๋งครั้งนี้เปนเทศกาลฝน ทหารแลม้าได้ความลำบากด้วยนํ้าท่วม บัดนี้ให้มาขอสะเบียง ขอให้มีหนังสือไปให้สุมาอี้เลิกกองทัพมาก่อน ต่อเทศกาลแล้งจึงให้ยกไปตีเอาเมืองเสียวตั๋งก็จะได้โดยง่าย พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านทั้งปวงอย่าวิตกเลย อันสุมาอี้นั้นมีสติปัญญาทั้งชำนาญในการสงคราม ไม่ช้านักก็จะรู้ข่าวว่าสุมาอี้มีชัยชนะแก่กองซุนเอี๋ยน แล้วก็สั่งให้จ่ายสเบียงให้ทหารสุมาอี้
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อให้ทหารไปขอสะเบียงแล้ว อยู่มาสามวันเวลากลางคืนฝนมิได้ตก สุมาอี้ออกไปดูฤกษ์บนเห็นอุกาบาทว์ผ่านมาแต่ทิศตวันออกเฉียงเหนือ ณ เขาซิวสาน ตกลงข้างทิศตวันออกเฉียงใต้ ทหารในกองทัพก็ตกใจกลัว สุมาอี้จึงห้ามว่าอย่าตกใจเลย อันเปนเหตุทั้งนี้เพราะเทพดาสำแดงเหตุจะให้เรามีชัยชนะแก่ข้าศึก พ้นไปจากนี้ห้าวันเมืองเซียงเป๋งก็จะเสียแก่เรา ซึ่งอุกาบาทว์ตกลงแห่งใดเราก็จะได้ฆ่ากองซุนเอี๋ยนในที่นั้น พรุ่งนี้เราจะยกเข้าไปทำการตีเมืองเซียงเป๋ง
ครั้นเวลารุ่งเช้าสุมาอี้ก็ให้ทหารยกเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ จึงให้ขนมูลดินมาถมเปนเนินขึ้นทั้งสี่ด้าน ให้ทำพะองแลบันไดหกเข้าไปพาดรบพุ่งทุกหน้าที่ ให้ทหารเกาทัณฑ์ระดมยิงเข้าไปในเมืองดังห่าฝน ทหารอยู่บนหน้าที่เชิงเทินก็รบพุ่งป้องกันไว้ทั้งกลางวันกลางคืนเปนสามารถ
ขณะนั้นทหารเมืองเซียงเป๋งขัดสนด้วยสเบียงอาหาร กองซุนเอี๋ยนจึงให้ฆ่าโคแพะแจกให้ทหารกิน บรรดาทหารแลไพร่บ้านพลเมืองได้ความลำบากอดหยากนัก จึงชักชวนกันว่า เราจะนิ่งอยู่ฉนี้ก็จะพลอยตายเสียเปล่า จำจะชวนกันตัดเอาสีสะกองซุนเอี๋ยนออกไปให้สุมาอี้ เราจึงจะพ้นความตาย เมื่อชาวเมืองทั้งปวงชักชวนกันดังนั้นมิได้กลัวกองซุนเอี๋ยน ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจมิได้คิดที่จะรบพุ่ง จึงให้อองเกี๋ยนกับลิวฮูออกไปว่าแก่สุมาอี้ว่า เราจะขอเข้าเกลี้ยกล่อม อองเกี๋ยนกับลิวฮูรับคำแล้วก็ออกไปกับคนใช้สี่คน แล้วบอกทหารให้พาเข้าไปคำนับสุมาอี้แล้วว่า กองซุนเอี๋ยนให้ข้าพเจ้าออกมาอ่อนน้อมว่าจะขอเข้าเกลี้ยกล่อมทำราชการสืบไป
สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงว่ากองซุนเอี๋ยนดูหมิ่นมิได้ออกมาคำนับเรา ใช้แต่ทหารออกมานี้เห็นจะคิดร้ายแก่เรา แล้วให้เอาตัวอองเกี๋ยนลิวฮูไปฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะให้แก่คนใช้ซึ่งมาด้วยนั้นเอาเข้าไปให้กองซุนเอี๋ยน แล้วบอกเนื้อความให้ฟังทุกประการ กองซุนเอี๋ยนแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงสั่งให้โอยเอี๋ยนออกไปว่าแก่สุมาอี้ว่า อย่าเพ่อให้ท่านโกรธเลย พรุ่งนี้เราจะให้เอากองซุนสิวผู้บุตรออกไปไว้เปนจำนำก่อน แล้วเรากับขุนนางทั้งปวงจึงจะทำโทษตัวมัดกันออกไปหาสุมาอี้ โอยเอี๋ยนรับคำแล้วก็ออกไปจากเมือง
ขณะนั้นสุมาอี้รู้ข่าวว่ากองซุนเอี๋ยนให้โอยเอี๋ยนออกมา ก็แกล้งให้ทหารถืออาวุธย่นข้างหน้าเปนสองแกว โอยเอี๋ยนครั้นออกมาถึงหน้าค่ายก็คลานเข้าไปคำนับสุมาอี้ด้วยความกลัว แล้วบอกเนื้อความซึ่งกองซุนเอี๋ยนว่าทุกประการ สุมาอี้จึงตอบว่า อันธรรมดาการสงครามนี้มีอยู่ห้าประการ ประการหนึ่งเห็นว่าจะต้านทานได้ก็ให้คิดออกมารบพุ่งจงสามารถ ประการหนึ่งถ้าเห็นสู้มิได้ก็อย่าออกมารบพุ่งให้รักษาเมืองจงมั่นคง ประการหนึ่งถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ให้หนีเอาตัวรอด ประการหนึ่งแม้ไม่หนีก็ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดีจะมีชีวิตสืบไป ประการหนึ่งถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็ควรที่จะตาย เหตุใดกองซุนเอี๋ยนจึงบิดพลิ้วอยู่ให้แต่ทหารออกมาเจรจาว่าจะเอาบุตรมาไว้ เปนจำนำก่อนไม่ควร ตัวจงเร่งกลับไปบอกกองซุนเอี๋ยนให้เร่งคิดอ่านโดยดีจึงจะรอดชีวิต ถ้าขัดขวางอยู่เราจับได้ก็จะให้ตัดสีสะเสียบไว้ที่ประตูเมือง โอยเอี๋ยนตกใจตัวสั่น คำนับลาเข้ามาบอกกองซุนเอี๋ยนทุกประการ กองซุนเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงลอบบอกกองซุนสิวผู้บุตรให้จัดทหารซึ่งสนิธไว้ เวลากลางคืนวันนี้เราจะหนีออกจากเมือง
ฝ่ายสุมาอี้คิดเกรงว่ากองซุนเอี๋ยนจะลอบหนีออกจากเมืองเซียงเป๋ง จึงยกไปริมเนินเขาข้างตวันออกเฉียงใต้ แล้วให้บุตรทั้งสองกับนายทหารตั้งซุ่มสกัดอยู่เปนหลายกอง ครั้นเวลากลางคืนกองซุนเอี๋ยนกองซุนสิว กับทหารสนิธประมาณพันหนึ่ง ก็เปิดประตูทิศใต้หนีไปข้างทิศอาคเณย์ประมาณร้อยเส้น กองซุนเอี๋ยนจึงว่า ครั้งนี้เห็นจะพ้นจากเงื้อมมือข้าศึกแล้ว ครั้นว่าขาดคำลงพอได้ยินเสียงทหารโห่ขึ้นบนเนินเขาทั้งสองข้างทาง แลเห็นสุมาอี้คุมทหารมาสกัดทางไว้ ข้างขวาสุมาสูฝ่ายซ้ายสุมาเจียวคุมทหารตีกระหนาบออกมา สุมาสูสุมาเจียวร้องว่าอ้ายกองซุนเอี๋ยนเปนขบถแล้วจะหนีไปไหนเล่า กองซุนเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตกใจ จึงพากองซุนสิวกับทหารรบฝ่าหนีออกมาได้แล้วลัดไปตามทางน้อย พอพบโฮจุ้นคุมทหารสกัดอยู่ ข้างขวาแฮฮัวป๋ากับแฮหัวฮุย ฝ่ายซ้ายเตียวฮอกับงักหลิมตีกระหนาบเข้ามาล้อมกองซุนเอี๋ยนไว้ สุมาอี้ก็ยกตามไป กองซุนเอี๋ยนเห็นจวนตัวเข้า ก็พาบุตรลงจากม้าเข้ามาคำนับสุมาอี้ ว่าข้าพเจ้าจะขอทำราชการด้วยสืบไป สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เราเห็นอุกาบาทว์ตกแลได้ทำนายไว้ว่า พ้นกำหนดห้าวันจะจับกองซุนเอี๋ยนได้ แต่วันอุกาบาทว์ตกมาจนวันนี้ ก็นับได้ห้าวันเราจึงได้ตัวกองซุนเอี๋ยน ทหารทั้งปวงได้ฟังก็สรรเสริญว่าทำนายแม่นดังเทพดามาบอกเหตุ สุมาอี้จึงว่ากองซุนเอี๋ยนนี้มีใจกำเริบนัก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นไม่ได้ ให้ทหารเอาตัวกองซุนเอี๋ยนกับกองซุนสิวไปฆ่าเสีย แล้วสุมาอี้ก็ยกไปถึงเชิงกำแพงเมืองเสียวตั๋ง พอโฮจุ้นกองหน้ารีบยกมาได้เมืองเสียวตั๋งก่อน สุมาอี้ยกเข้าไปในเมืองให้จับบุตรภรรยาพรรคพวกกองซุนเอี๋ยน กับขุนนางซึ่งเปนใจด้วยนั้นมาฆ่าเสียประมาณเจ็ดสิบเศษ แล้วปราบปรามอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุข ชาวเมืองจึงบอกสุมาอี้ว่า เมื่อกองซุนเอี๋ยนคิดเปนขบถนั้นแก่หวนกับลุนติดได้ห้ามกองซุนเอี๋ยนโกรธให้ เอาตัวแก่หวนลุนติดไปฆ่าเสีย สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงให้แต่งการศพแก่หวนลุนติดแล้วให้ฝังไว้ตามธรรมเนียม ให้เงินทองแก่บุตรภรรยาแก่หวนลุนติดตามสมควร แลให้เอาเงินทองสิ่งของในคล้งนั้นมาแจกทแกล้วทหารทั้งปวง แล้วยกกองทัพกลับมาถึงกลางทาง จึงให้ม้าใช้รีบเอาเนื้อความมาทูลพระเจ้าโจยอยว่าได้เมืองเสียวตั๋งแล้ว
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยไม่สบายยกมาอยู่เมืองฮูโต๋ ครั้นเวลาพลบคํ่าวันหนึ่งพระเจ้าโจยอยเสด็จอยู่บนปราสาท พอลมพัดมาเทียนยามนั้นดับไป จึงเห็นรูปนางมอซือกับสนมเก้าคนสิบคนเดิรเข้ามาแล้วร้องทวงชีวิต พระเจ้าโจยอยตกใจกัประชวรลง จึงให้หาเล่าฮองแลซุนจูซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่กับโจฮูบุตรพระเจ้าโจผีเข้ามา แล้วว่า เรานี้ป่วยหนักอยู่ จะให้โจฮองบุตรเราครองราชสมบัติสืบไป แต่อายุโจฮองพึ่งได้แปดขวบ ให้โจฮูช่วยว่าราชการไปกว่าโจฮองจะเจริญอายุขึ้น แล้วเล่าฮองซุนจูนั้นให้เปนขุนนางผู้ใหญ่คงที่อยู่ โจฮูได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ตัวเราสัตย์ซื่อทั้งมีใจกรุณาแก่คนทั้งปวง ซึ่งจะช่วยราชการนั้นไม่ควร แล้วทูลว่าข้าพเจ้านี้สติปัญญาน้อย ซึ่งจะให้ช่วยว่าราชการเมืองนั้นไม่ได้
พระเจ้าโจยอยจึงถามเล่าฮองซุนจูว่า จะเห็นผู้ใดซึ่งเปนพระญาติวงศ์อันมีนํ้าใจสัตย์ซื่อ พอช่วยประคองโจฮองว่าราชการเมืองได้ เล่าฮองซุนหองซุนจูจึงคิดพร้อมกันว่า โจจิ๋นนั้นได้มีคุณแก่เรา บัดนี้โจจิ๋นก็ตายแล้วยังแต่โจซองผู้บุตร เราจะพิททูลให้โจซองช่วยโจฮองว่าราชการเมืองเถิด จะได้แทนคุณโจจิ๋นผู้ตาย แล้วทูลว่าข้าพเจ้าเห็นโจซองบุตรโจจิ๋นนั้นสัตย์ซื่อพอจะช่วยโจฮองว่าราชการ แผ่นดินได้ พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงตั้งโจซองเปนผู้ช่วยราชการ ให้โจฮูเปนที่เอี๋ยนอ๋องไปอยู่รักษาเมืองเสียวตั๋ง แล้วสั่งว่าถ้าเรามีหนังสือให้หาจึงให้เข้ามา โจฮูกราบถวายบังคมลาแล้วยกไปเมืองเสียวตั๋ง
พระเจ้าโจยอยจึงให้ออกไปรับสุมาอี้เข้ามาแล้วว่า เราป่วยหนักอยู่แล้ว เราเอาใจไว้ถ้าแต่พอได้เห็นหน้าท่านหน่อยหนึ่งเถิด ถึงมาทว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต สุมาอี้จึงทูลว่า ข้าพเจ้ามาถึงกลางทางแจ้งกิตติศัพท์ว่าพระองค์ประชวรหนักก็ไม่มีความสบายเลย แม้มีปีกก็จะรีบบินมาให้ถึงก่อน ซึ่งข้าพเจ้าได้มาทันถวายบังคมเปนบุญของข้าพเจ้านัก พระเจ้าโจยอยจึงให้หาโจฮองผู้บุตรกับโจซองผู้ช่วยราชการแลเล่าฮองซุนจูเข้า มา พระเจ้าโจยอยจึงยุดมือสุมาอี้ไว้แล้วว่า ครั้งเล่าปี่ป่วยหนักอยู่ในเมืองเปกเต้นั้น ให้หาเล่าเสี้ยนขงเบ้งเข้ามาแล้วฝากเล่าเสี้ยนไว้กับขงเบ้ง เล่าปี่ก็ถึงแก่ความตาย ขงเบ้งนั้นตั้งใจทำนุบำรุงเล่าเสี้ยนมาโดยสุจริต จนขงเบ้งถึงแก่ความตายในขณะทำสงคราม เล่าเสี้ยนก็ยังตั้งตัวเปนสุขอยู่ ณ ะเมืองเสฉวน บัดนี้เราจะให้โจฮองครองราชสมบัติ ให้โจซองผู้เปนพระราชวงศ์ ช่วยประคองว่าราชการไปกว่าอายุโจฮองจะจำเริญขึ้น ให้ท่านกับราชวงศ์แลขุนนางทั้งปวงช่วยกันทำนุบำรุงโจฮองสืบไป แล้วว่ากับโจฮองว่าบิดานี้กับสุมาอี้ก็เหมือนกัน แลบัดนี้บิดาก็จะถึงแก่ความตายแล้ว เจ้าจงฝากตัวคำนับสุมาอี้เหมือนบิดาเถิด แล้วให้สุมาอี้อุ้มโจฮองไว้ โจฮองนั้นก็กอดคอสุมาอี้ไว้มั่นคง
พระเจ้าโจยอยจึงรับสั่งกับสุมาอี้ว่า โจฮองนั้นก็มีอาลัยฝากตัวแก่ท่าน ท่านจงเห็นแก่เราอย่าได้ลืมลูกน้อยเสียเลย อันชีวิตเราเห็นจะตายในวันนี้แล้ว ก็ทรงพระกรรแสงรํ่าไปจนเจรจาไม่ออก ยกแต่มือนั้นชี้เข้าที่โจฮองกับสุมาอี้จนสิ้นใจ แลพระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ได้สิบสามปี ขณะเมื่อดับสูญนั้นอายุได้สามสิบหกปี สุมาอี้ก็ให้แต่งการศพไปฝังไว้ ณ ตำบลโกเบงเหลง
แลโจฮองนั้นมิได้แจ้งว่าบุตรผู้ใด พระเจ้าโจยอยเอามาเลี้ยงเปนบุตร รักสนิธเหมือนบุตรในอุทร ครั้นอยู่มาณเดือนสามข้างแรม (พ.ศ. ๗๘๓) สุมาอี้กับโจซองแลขุนนางทั้งปวงก็แต่งการตั้งโจฮองให้เสวยราชสมบัติในเมือง หลวง โจซองเปนผู้ช่วยว่าราชการ แลเมื่อโจฮองได้เสวยราชย์นั้น ถ้าจะมีราชการสิ่งใดโจซองก็ปรึกษาหารือสุมาอี้ก่อนจึงตัดสินได้
ขณะเมื่อโจซองยังน้อยอยู่นั้น พระเจ้าโจยอยนับถือว่าเปนเชื้อพระวงศ แล้วเห็นว่ามีสติปัญญา เข้าเฝ้าทุกเวลามิได้ขาด พระเจ้าโจยอยทรงพระเมตตาเปนอันมาก โจซองมีคนใช้สนิธอยู่ห้าคนกับทหารห้าร้อย แลทหารห้าคนนั้นชื่อโฮอั๋นหนึ่ง เตงเหยียงหนึ่ง หลีซินหนึ่ง เตงปิดหนึ่ง บิดห้วนหนึ่ง แม้ห้าคนนี้จะว่าสิ่งใดโจซองก็เชื่อฟัง แลฮวนห้อมขุนนางฝ่ายกรมนานั้น ก็มีสติปัญญาปรากฎอยู่ โจซองก็นับถือฮวนห้อมเปนที่ชอบอัชฌาสัยไปมาหากัน
ครั้นอยู่มาโฮอั๋นจึงว่าแก่โจซองว่า ตัวท่านเปนเชื้อพระวงศ์ พระเจ้าโจยอยก็ให้เปนผู้ช่วยราชการ ข้าพเจ้าเห็นสุมาอี้มีใจกำเริบสูงศักดิ์อยู่ ซึ่งท่านจะไปคำนับสุมาอี้นั้นไม่ควร โจซองจึงตอบว่า สุมาอี้ก็เปนที่อุปราช ตัวเราเปนผู้ช่วยราชการ พระเจ้าโจยอยก็ได้สั่งไว้ให้ประนอมกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้อยู่เย็นเปนสุข สุมาอี้นั้นก็มีอายุแก่กว่าเรา ซึ่งจะมิให้เราคำนับเขานั้นไม่ควร โฮอั๋นจึงว่าโจจิ๋นบิดาท่านครั้งไปรบกับกองทัพเมืองเสฉวนนั้นก็ได้ความแค้น เพราะสุมาอี้ จนบิดาท่านถึงแก่ความตาย แลตัวท่านจะไม่มีความแค้นไปคำนับสุมาอี้นั้นควรอยู่แล้วหรือ
โจซองได้ฟังดังนั้นก็มีความแค้น จึงปรึกษาแก่พรรคพวกว่า เราจำจะคิดอ่านทูลพระเจ้าโจฮองให้เลื่อนที่สุมาอี้ไปเปนอาจารย์ผู้ใหญ่ จะไม่ได้บังคับเรา คนสนิธห้าคนนั้นก็เห็นชอบด้วย โจซองจึงเข้าไปปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า สุมาอี้มีความชอบเปนอันมาก เราจะทูลพระเจ้าโจฮองให้เลื่อนที่ขึ้นไปเปนอาจารย์ผู้ใหญ่ จะได้สั่งสอนโจฮองกับเราท่านทั้งปวง ขุนนางผู้โหญ่ผู้น้อยเห็นชอบด้วย โจซองจึงเข้าไปทูลพระเจ้าโจฮองตามปรึกษากันกับขุนนางทั้งปวงทุกประการ
พระเจ้าโจฮองแจ้งดังนั้นก็ให้สุมาอี้เลื่อนที่เปนอาจารย์ผู้ใหญ่ แลราชการที่อุปราชนั้นให้โจซองว่า โจซองจึงตั้งโจอี้ผู้น้องเปนนายทหารเอก แล้วตั้งโจหุ้นโจง่านน้องน้อยนั้นเปนนายทหารซ้ายขวา แลโจอี้โจหุ้นโจง่านเข้าเฝ้ามีทหารตามแห่คนสามพัน แม้ผู้ใดเดิรผ่านหน้าก็ให้จับเอาตัวไปฆ่าเสีย โจซองจึงตั้งคนสนิธห้าคนเปนขุนนางปรึกษาราชการ แลขุนนางห้าคนนั้นพิทักษ์รักษาโจซองทั้งกลางวันกลางคืน
ในขณะนั้นบ่าวไพร่ขุนนางทั้งปวงชวนกันเข้าอยู่ด้วยโจซองเปนอันมาก ฝ่ายสุมาอี้เห็นดังนั้นก็แกล้งทำป่วยมิได้เข้าเฝ้า สุมาสูสุมาเจียวบุตรสุมาอี้เห็นดังนั้นก็มีความน้อยใจลาออกจากราชการ โจซองกับที่ปรึกษาห้าคนก็ชวนกันเสพย์สุราทุกวันมิได้ขาด โจซองนั้นแต่งตัวเหมือนพระเจ้าโจฮอง ถ้ามีเครื่องบรรณาการหัวเมืองทั้งปวงมาถวาย โจซองก็เลือกเก็บเอาของดีไว้ตามชอบใจ เตียวต๋องขุนนางล้อมวังจึงมายุยงโจซองว่า ให้เข้าไปจัดนางสนมของพระเจ้าโจยอยมาไว้สักเจ็ดคนแปดคน โจซองก็ทำตาม แล้วให้จัดหญิงทั้งเมืองบันดารูปงามมีตระกูลมาไว้สำหรับขับร้องเปนที่ประโลม ใจประมาณสี่สิบคน จึงให้จัดช่างมาทำตึกที่อยู่ประมาณห้าร้อยหกร้อย
ครั้นอยู่มาโฮอั๋นจึงให้ไปหาตัวกวนลอหมอดูมาแต่เมืองเพงงวนก้วน พอเตงเหยียงมาอยู่ที่นั้นด้วย โฮอั๋นจึงบอกกวนลอว่า เราฝันเห็นว่าแมลงวันประมาณสิบตัวบินมาจับอยู่ที่ปลายจมูกเรา จะดีร้ายประการใด อนึ่งท่านจงดูว่าตัวเรานี้จะได้เปนที่มหาอุปราชหรือไม่ กวนลอจึงทำนายว่า ซึ่งท่านฝันว่า แมลงวันจับปลายจมูกสิบตัวนั้น ท่านจะมีความสุขอยู่ แมลงวันนั้นเปนของโสโครก อันจมูกนั้นเหมือนต้นไม้สูงมีกลิ่นหอม บัดนี้ท่านมียศฐาศักดิ์อยู่แล้วจงประหยัดอย่าเห็นแก่ของดี ถ้าไม่ฟังจะมีอันตรายเหมือนลมพายุพัดมาต้องไม้สูงหักลง แม้ท่านละโลภเสียได้อุตส่าห์บำรุงตัวโดยสัตย์ซื่อ ก็จะได้มียศฐาศักดิ์จำเริญขึ้นไป
เตงเหยียงได้ฟังกวนลอว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าทำนายฝันแลดูฉนี้เหมือนมิได้เรียนตามตำรา ฟังเอาแต่คำผู้เฒ่าผู้แก่มาทำนาย กวนลอจึงประชดว่า ตัวเรานี้ไม่ได้เรียนตามตำรา แต่เราได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดไม่ฟังคำโบราณก็มีอันตรายต่าง ๆ มาถึงผู้นั้นหาทันรู้ตัวไม่ แล้วลุกขึ้นสบัดมือเดิรไป โฮอั๋นเตงเหยียงเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่ากวนลอนี้เปนคนเสียจริต
ฝ่ายกวนลอกลับมาถึงเมืองเพงงวนก้วน ก็บอกเนื้อความตามโฮอั๋นกับเตงเหยียงว่านั้นให้น้าชายฟังทุกประการ น้าชายแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่าโออั๋นกับเตงเหยียงเปนขุนนางอยู่ในโจซอง เหตุใดเจ้าจึงไปว่ากล่าวดังนี้ กวนลอจึงตอบว่า โฮอั๋นกับเตงเหยียงเปนคนถึงตายอยู่แล้วกลัวอะไร น้าชายจึงถามว่า เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าโฮอั๋นเตงเหยียงจะตาย กวนลอจึงบอกว่า โฮอั๋นเตงเหยียงนั้น รูปแลลักษณะกิริยากับโลหิตนั้นเปนปีศาจอยู่แล้ว ไม่ช้านักภัยจะมาถึง มันจะฆ่าตัวมันเอง น้าชายไม่เชื่อด่ากวนลอว่าอ้ายบ้า
ฝ่ายโจซองกับโฮอั๋นเตงเหยียงหลีซินเตงปิดปิดห้วนนั้น พากันไปเที่ยวยิงเนื้อทุกวันมิได้ขาด โจอี้เห็นดังนั้นก็ห้ามโจซองผู้พี่ว่า ท่านมียศถาศักดิ์ถึงเพียงนี้ ซึ่งจะพากันไปยิงเนื้อในป่านั้นไม่ควร เกลือกศัตรูจะลอบไปทำอันตรายก็จะเสียทีแก่มัน โจซองได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดเอาร้องว่า ตัวเรามีบุญถึงเพียงนี้ คนทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือเรา ผู้ใดจะอาจทำอันตรายได้ ฮวนหวบก็เข้ามาห้ามโจซองเหมือนโจอี้ว่า โจซองก็ไม่ฟัง
ขณะนั้นพระเจ้าโจฮองเสวยราชย์มาได้สิบปี (พ.ศ. ๗๙๒) แลโจซองนั้นเห็นสุมาอี้ป่วยอยู่มิได้เข้ามาเฝ้าก็มีใจกำเริบทำการหยาบช้า ต่าง ๆ ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือโจซองสิ้น ครั้นอยู่มาโจซองจึงตั้งหลีซินที่ปรึกษาจะให้เปนเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว จึงสั่งให้ไปลาสุมาอี้แล้วให้ดูอาการสุมาอี้ด้วย เห็นจะป่วยจริงหรือประการใด หลีซินรับคำแล้วก็ลาโจซองไปถึงบ้านสุมาอี้ จึงบอกแก่คนใช้ว่าเราจะขอไปหาสุมาอี้ คนใช้ก็เข้าไปบอกสุมาอี้ ๆ แจ้งดังนั้น จึงว่าแก่สุมาสูสุมาเจียวผู้บุตรว่า อันหลีซินมานี้โจซองแกล้งใช้ให้มาดูเราว่าป่วยหรือไม่ สุมาอี้จึงสยายผมเอาผ้าห่มนอนห่มไว้ ให้หญิงคนใช้ทั้งสองเข้ามาประคองอยู่ แล้วให้ออกไปรับหลีซินเข้ามา หลีซินคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ป่วยหนักถึงเพียงนี้ บัดนี้พระเจ้าโจฮองให้ข้าพเจ้าไปเปนเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว ข้าพเจ้าจึงมาหาหวังจะลาท่านไป
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนหูหนักจึงแกล้งว่า ซึ่งรับสั่งให้ท่านไปเปนเจ้าเมืองเปงจิ๋วนั้นก็ดีอยู่แล้ว ด้วยเมืองเปงจิ๋วใกล้กับเมืองหลวง มีราชการจะได้ให้หามาง่าย หลีซินจึงว่า มิใช่เมืองเปงจิ๋วหามิได้ รับสั่งให้ไปเมืองเซียงจิ๋วดอก สุมาอี้หัวเราะแล้วแกล้งถามว่า ท่านมาแต่เมืองเซียงจิ๋วหรือ หลีซินจึงว่า ท่านอาจารย์ป่วยหนักจึงพูดฟั่นเฟือนไป คนใช้จึงบอกว่า ท่านป่วยครั้งนี้จนลมกำเริบขึ้นให้หูหนัก ผู้ใดเจรจาก็ไม่ได้ยินถนัด หลีซินจึงให้เอากระดาษกับพู่กรรณมาเขียนหนังสือลงว่า พระเจ้าโจฮองให้ข้าพเจ้าไปเปนเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว ข้าพเจ้าจึงมาคำนับจะลาไป แล้วส่งให้สุมาอี้ดู
สุมาอี้เห็นดังนั้นจึงทำเปนว่าอ้อ บัดนี้โปรดให้ท่านไปเมืองเซียงจิ๋วหรือ ดีแล้วให้อุตส่าห์ทำราชการรักษาตัวอย่าประมาท แล้วเอามือชี้เข้าที่ปาก หญิงคนใช้ก็เอาน้ำอาหารต้มมาให้ สุมาอี้กินเข้าไปแกล้งสะอึกให้นํ้าข้าวนั้นไหลออกมา หวังจะให้หลีซินเห็นว่าป่วยหนัก แล้วว่าตัวเราทุกวันนี้ก็ชราทั้งโรคก็กำเริบป่วยหนัก จะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่รู้เลย อันสุมาสู สุมาเจียวบุตรเราทั้งสองเปนคนโฉดเขลา ท่านจงเอนดูสั่งสอนด้วย จงช่วยบอกโจซองว่า เราขอฝากบุตรทั้งสองด้วยเถิด แล้วเอนตัวนอนลงทำหอบขึ้นมา หลีซินก็ลากลับไปบอกโจซองตามที่สุมาอี้ป่วยแลว่ากล่าวนั้นทุกประการ โจซองแจ้งดังนั้นก็ดีใจด้วยมิได้รู้กลสุมาอี้ แล้วว่าถ้าอ้ายคนนี้ตายแล้วเราก็จะสิ้นความวิตก ถึงจะทำการสิ่งใดก็จะได้สดวก
ฝ่ายสุมาอี้ก็ลุกขึ้นว่าแก่บุตรทั้งสองว่า หลีซินมาเห็นบิดาป่วยอยู่แล้วก็จะกลับไปบอกโจซอง เห็นโจซองจะไม่สงสัยเราแล้ว เราจะคิดอ่านเตรียมการไว้ให้พร้อม ถ้าโจซองออกไปไล่เนื้อเมื่อใดเห็นได้ทีแล้วเราก็จะทำการ บุตรทั้งสองรับคำแล้วก็เตรียมการไว้
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจซองให้แต่งเครื่องเส้นไว้ แล้วทูลเชิญเสด็จพระเจ้าโจฮองแลขุนนางทั้งปวงออกไป จะเส้นศพพระเจ้าโจยอยตำบลโกเบงเหลง แล้วจะไปไล่เนื้อด้วย ขณะนั้นโจอี้โจหุ้นโจง่านผู้น้องคุมทหารมาตามเสด็จด้วย ครั้นออกไปถึงนอกเมือง ฮวนห้อมจึงเข้ายุดบังเหียนม้าโจซองไว้แล้วว่า ท่านเปนผู้ใหญ่จะพาพี่น้องออกมานอกเมืองนี้ไม่ควร เกลือกจะมีอันตรายขึ้นในเมืองเห็นจะป้องกันไม่ทันที โจซองได้ฟังดังนั้นก็โกรธตวาดเอาแล้วว่า ขุนนางทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือเราสิ้น ผู้ใดจะบังอาจเปนขบถได้ อย่ามาว่ามากมายไปเลย แล้วก็ขับม้าไปตามเสด็จ
ฝ่ายสุมาอี้แจ้งว่าโจซองโจอี้โจหุ้นโจง่านกับนายทหารชื่อโฮอั๋นหนึ่ง เตงเหยียงหนึ่ง เตงปิดหนึ่ง ปิดห้วนหนึ่ง หลีซินหนึ่ง ซึ่งเปนคนสนิธห้าคน แลทหารทั้งปวงตามพระเจ้าโจฮองออกไปเยี่ยมศพพระเจ้าโจยอยแล้วไปเที่ยวเล่นป่า สุมาอี้ดีใจนักก็เข้าไปในเมือง จึงใช้ให้โกหยิวแต่งตัวเปนขุนนางผู้ใหญ่ มีทหารถือศัสตราวุธแห่หน้าหลังเปนอันมาก ให้ล้อมจวนโจซองไว้ ใช้ให้อองก๋วนแต่งตัวเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ มีทหารถือศัสตราวุธแห่หน้าหลังไปล้อมจวนโจอี้ไว้ ฝ่ายสุมาอี้พาขุนนางเก่าทั้งปวงเข้าไปเฝ้านางกวยทายเฮามารดาพระเจ้าโจฮองจึง ทูลว่า บัดนี้โจซองไม่คิดถึงคำพระเจ้าโจยอยซึ่งฝากฝังพระเจ้าโจฮองไว้เลย จะทำการสิ่งใดก็ทำตามอำเภอใจ ความผิดชอบประการใดก็ไม่ทูล ที่โจซองทำการทั้งนี้เห็นคิดขบถต่อแผ่นดิน โทษอันนี้ใหญ่นักจะนิ่งเสียนั้นไม่ควร นางกวยทายเฮาได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงว่า บัดนี้พระองค์เสด็จไปประพาสป่า เราจะรู้แห่งคิดประการใด สุมาอี้จึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอทำเรื่องราวถวายพระเจ้าโจฮองว่า ให้กำจัดบันดาคนซึ่งเปนพรรคพวกศัตรูนั้นเสีย การครั้งนี้พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย เปนธุระข้าพเจ้า
ฝ่ายนางกวยทายเฮาก็กลัวสุมาอี้อยู่ จึงพลอยว่าตามแต่ใจท่านเถิด สุมาอี้ออกมาแล้วจึงปรึกษาด้วยเจียวเจ้กับสุมาหูซึ่งเปนคนสนิธของตัว เข้าชื่อด้วยกันทำเรื่องราวใช้ให้ห้องหวุนตามออกไปถวายพระเจ้าโจฮอง ฝ่ายสุมาอี้ก็คุมทหารเข้าไปเปนอันมาก ให้ทหารรักษาโรงแสงทุกโรงซึ่งสำหรับไว้อาวุธทั้งปวง แล้วก็พาทหารเดิรไปตามถนนเฉียดบ้านโจซองไปจะออกนอกเมือง มีทหารคนหนึ่งเข้าไปบอกแก่นางเล่าซีเมียโจซองว่า บัดนี้สุมาอี้กับโกหยิวคุมทหารมาเปนอันมาก ถือศัสตราวุธครบมือมาใกล้จวนท่าน จะทำเปนประการใดมิได้แจ้ง
นางเล่าซีก็ออกไปหน้าจวน จึงเรียกนายทหารซึ่งรักษาจวนนั้นมาถามว่า โจซองสิตามเสด็จออกไปแล้ว สุมาอี้คุมทหารมาเปนอันมากดังนี้จะทำเปนประการใด พัวกี๋ผู้รักษาจวนจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะออกไปถามให้ได้เนื้อความ ว่าแล้วก็คุมทหารประมาณห้าสิบคนขึ้นไปบนหอใหญ่หน้าจวน แลลงไปเห็นสุมาอี้คุมทหารเดิรเข้ามาถึงหน้าจวน ก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ลงไป สุมาอี้จะเดิรไปก็ไม่ได้
ซุนเหียมทหารสุมาอี้ยืนอยู่ใกล้สุมาอี้ จึงร้องห้ามขึ้นไปว่าอย่ายิงเกาทัณฑ์ลงมา ท่านผู้ใหญ่จะไปเปนข้อราชการบ้านเมือง ถ้าขืนยิงลงมาทหารทั้งปวงจะเปนโทษถึงตาย ซุนเหียมร้องห้ามถึงสองครั้งสามครั้ง พัวกี๋ก็ห้ามทหารมิให้ยิงลงไป สุมาเจียวบุตรสุมาอี้ยกทหารไปก่อนบิดา พอออกจากกำแพงเมืองไปถึงตีนท่าก็ตั้งกองทหารอยู่รักษาสะพาน สุมาอี้สั่งทหารให้ปิดประตูเมืองแล้วให้ทหารรักษาประตูไว้ ตัวก็ไปรักษาเชิงสะพาน ๆ ข้ามแม่น้ำอันนี้หาเสาลงดินมิได้ เปนสะพานแพทุ่นทอดสมอไว้สำหรับคนข้ามไปมา
สุมาเล่าจี๋ทหารโจซองเห็นสุมาอี้ทำการดังนั้น จึงไปปรึกษากันกับซินเปซึ่งได้ตรวจตราทหารโจซองว่า สุมาอี้ทำการทั้งนี้จะคิดอ่านเปนประการใด ซินเปจึงว่าเห็นประหลาทอยู่แล้ว เราอย่าอยู่เลย จงคุมทหารของเรายกไปตามเสด็จเถิด สุมาเล่าจี๋จึงว่า ท่านว่าดังนั้นข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ ซินเปจึงว่า ถ้ากระนั้นเราพากันไปที่หลังบ้านข้าพเจ้าเปนที่สงัด จะได้คิดอ่านปรึกษากัน สุมาเล่าจี๋กับซินเปก็พากันไป
นางซินเหียนเอ๋งเปนพี่สาวซินเป แลเห็นซินเปมาจึงถามว่า มีเหตการณ์อันใดหรือจึงตกใจเดิรลนลานเข้ามา ซินเปจึงบอกว่า พระเจ้าโจฮองเสด็จไปประพาสป่า สุมาอี้ปิดประตูเมืองเสียเห็นจะคิดเปนขบถอยู่แล้ว นางซินเหียนเอ๋งจึงว่า สุมาอี้ทำการทั้งนี้ข้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าหาเปนขบถไม่ ทำทั้งนี้คิดการจะกำจัดโจซอง ซินเปได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ถ้าเขาทำร้ายแก่นายข้าพเจ้าดังนั้น ข้าพเจ้าจะทำกระไรดี
นางซินเหียนเอ๋งจึงว่า โจซองนี้หามีปัญญาความคิดเหมือนสุมาอี้ไม่ เห็นจะแพ้แก่สุมาอี้ ซินเปจึงว่า วานซืนนี้สุมาอี้ชักชวนข้าพเจ้าให้ไปเข้าด้วย เราจะไปเข้าด้วยเขาดีหรือ ๆ ว่าอย่าไปดี นางซินเหียนเอ๋งจึงว่า ธรรมดาชาติทหารนี้สัตย์ซื่อ เราเปนบ่าวโจซองมาช้านาน ครั้นเห็นว่าโจซองจะแพ้แก่สุมาอี้เราจะเข้าด้วยสุมาอี้ นานไปสุมาอี้ก็จะหาเลี้ยงเราไม่ ถึงมาทว่าโจซองจะเปนประการใด เราจำจะไปหาโจซองจึงจะควร ซินเปเห็นชอบด้วย จึงพาสุมาเล่าจี๋กับทหารประมาณห้าสิบคนไปฆ่าคนที่รักษาประตูนั้นเสีย ก็หนีไปหาโจซอง ทหารซึ่งรักษาประตูก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาอี้ ๆ รู้ดังนั้น คิดเกรงว่าฮวนห้อมทหารโจซองจะหนีตามไปด้วย จึงให้ทหารไปหาตัวฮวนห้อม
ฝ่ายฮวนห้อมเห็นสุมาอี้ทำดังนั้น จึงปรึกษาด้วยลูกชายว่าเราจะคิดประการใด ลูกชายจึงว่า โจซองนายเราไปตามเสด็จ ซึ่งเราจะเข้าคบคิดกับสุมาอี้นั้นหาควรไม่ เราจะหนีออกไปทางประตูทิศใต้ไปตามนายเราจึงจะควร ฮวนห้อมเห็นชอบด้วย จึงขี่ม้าออกมาทางประตูทิศใต้ เห็นประตูปิดอยู่ แลไปเห็นสูหวนเปนบ่าวของตัวอยู่ก่อนได้มาเปนนายประตู จึงชูไม้จดหมายรับสั่งให้ดูแล้วจึงว่า นางกวยทายเฮามีรับสั่งใช้ให้เราไปเปนการเร็ว ท่านเร่งเปิดประตูให้เรา
สูหวนจึงว่า ข้าพเจ้าขอดูรับสั่งก่อน ฮวนห้อมจึงว่า เจ้าเปนบ่าวเราอยู่ก่อน ข้อราชการถึงเพียงนี้หาควรที่จะหนักหน่วงเราให้ช้าไม่ สูหวนก็เปิดประตูให้ ฮวนห้อมออกไปนอกประตูแล้วจึงว่า สุมาอี้คิดขบถแล้วเจ้าอย่าอยู่เลยมาไปด้วยเราเถิด สูหวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เห็นว่าตัวเปิดประตูให้ฮวนห้อมออกไปนั้นผิด วิ่งตามไปจะจับตัวฮวนห้อมก็มิทัน นายประตูจึงไปแจ้งความแก่สุมาอี้ ว่าฮวนห้อมหนีไปแล้ว
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับเจียวเจ้ว่า การเราทำทั้งนี้คนข้างนอกจะรู้ก็เพราะฮวนห้อมหนีออกไป เจียวเจ้จึงว่า ถึงคนข้างนอกจะรู้ก็จะกลัวอันใด เราเร่งรักษาเมืองให้มั่นคงเถิด สุมาอี้จึงให้หาเค้าอิ๋นต้านท่ายทหารโจซองสองคนมาสั่งว่า ท่านเร่งไปบอกแก่โจซองว่า เราทำการทั้งนี้หาได้คิดทำร้ายแก่เจ้าแผ่นดินแลโจซองไม่ ท่านอย่าแคลงเลย เราเห็นว่าทหารสมัคพรรคพวกท่านมากนัก ละไว้นานไปเกลือกจะเปนอันตราย เราทำทั้งนี้หวังจะยกทหารสมัคพรรคพวกพี่น้องของท่านมาเปนของหลวง สั่งแล้วให้เค้าอิ๋นต้านท่ายออกไป สุมาอี้เกรงว่าโจซองจะมิฟังคำเค้าอิ๋นต้านท่าย จึงให้หาอินต้ายบกทหารผู้ใหญ่เปนคนสนิธซองโจซองมา จึงใช้ให้เจียวเจ้แต่งหนังสือเรื่องราวเหมือนสั่งแก่เค้าอิ๋น ต้านท่ายนั้นส่งให้อินต้ายบก จึงสั่งซ้ำว่าท่านเร่งไปบอกแก่โจซองว่า เรากับเจียวเจ้ได้ให้สัตย์สาบาลต่อกัน เราคิดอ่านทำการทั้งนี้หาทำอันตรายแก่ครอบครัวบุตรภรรยาของโจซองไม่ ทำแต่พอจะยกเอาทหารของพี่น้องโจซองมาเปนของหลวง อินต้ายบกรับหนังสือแล้วก็ลาออกไป
ฝ่ายโจซองขี่ม้าไล่เนื้อเล่นในกลางป่า มีทหารไปบอกว่า บัดนี้ในเมืองเกิดวุ่นวาย สุมาอี้ใช้ให้คนถือหนังสือเรื่องราวมาถวายพระเจ้าโจฮอง จะว่าเนื้อความประการใดมิได้แจ้ง โจซองได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ลงจากหลังม้ามาเฝ้าพระเจ้าโจฮอง แลไปเห็นห้องหวุนถือหนังสือหมอบอยู่หน้าที่นั่ง โจซองจึงรับเอาหนังสือส่งให้คนอื่นอ่านถวาย
ในเรื่องราวนั้นว่า ข้าพเจ้าสุมาอี้ได้ตามเสด็จพระองค์มาแต่เมืองเสียวตั๋ง ทำราชการมาช้านานแล้ว เมื่อพระบิดาของพระองค์จะดับสูญให้หาพระองค์กับข้าพเจ้าแลโจซองเข้าไปเฝ้าใน ที่บันทมซึ่งประชวรอยู่นั้น จึงยื่นพระหัตถ์มาลูบหลังข้าพเจ้า แล้วฝากพระองค์แลบ้านเมืองแก่ข้าพเจ้าแลโจซอง บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโจซองหารำลึกถึงพระบิดาพระองค์ซึ่งฝากฝังนั้นไม่ ทำการทั้งนี้เห็นจะคิดขบถต่อแผ่นดิน จึงตั้งให้เตียวต๋องคนสนิธเปนที่เต้าก๋ำเข้าเฝ้าข้างในได้ ให้คอยฟังความลับทั้งปวง แล้วให้รักษาพระแสงแลตราหยกสำหรับกษัตริย์ ครั้งก่อนโจซองทูลยุยงให้ขับมเหษีซ้ายขวาพระบิดาของพระองค์ผิดแผกกันจนตาย เสียองค์หนึ่ง ก็ได้ความแค้นเคิองถึงพระญาติวงศ์ บัดนี้การแผ่นดินทั้งปวงก็มิได้พิททูลพระองค์เลย แม้จะให้ล้างคนโทษถึงตายก็มิได้ทูล ก็สั่งให้ฆ่าเสียตามอำเภอใจ
อนึ่งพี่น้องแลทหารพรรคพวกโจซองคุมเหงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้ง ปวงได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก โจซองทำทั้งนี้หาคิดถึงคำพระบิดาของพระองค์ซึ่งฝากไว้ไม่เลย อันตัวข้าพเจ้าหาลืมคำสั่งพระบิดาของพระองค์ไม่ ข้าพเจ้ากับเจียวเจ้สุมาหูรำลึกถึงคุณพระบิดาของพระองค์ซึ่งชุบเลี้ยงมาแต่ ก่อน จึงปรึกษาพร้อมกันจัดแจงให้ทหารไปรักษาจวนโจซองแลจวนพี่น้องโจซอง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปทูลเนื้อความทั้งนี้แก่พระมารดาของพระองค์ ๆ ก็เห็นชอบด้วย จึงให้ข้าพเจ้าทำเรื่องราวทั้งนี้มาทูลแก่พระองค์ ข้าพเจ้าจึงให้ห้องหวุนเอาเรื่องราวมาถวาย ขอให้พระองค์ถอดโจซองโจอี้โจหุ้นออกจากที่ แล้วให้ยกเอาทหารทั้งปวงไปเปนหลวง แต่ข้าพเจ้าคอยหาช่องมาพึ่งมาได้ทีครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงคิดอ่านทำการทำนุบำรุงพระองค์ ข้าพเจ้าก็ยกกองทหารมารักษาอยู่ ณ ะเชิงสะพานแพตำบลลกโหคอยดูผิดแลชอบ
พระเจ้าโจฮองได้ฟังดังนั้นจึงตรัสแก่โจซองว่า ท่านจะคิดประการใด โจซองแจ้งดังนั้นตกใจนัก หน้าเผือดไม่มีเลือด อ่อนระทวยไปทั้งตัว จึงเหลียวหน้ามาปรึกษาแก่โจอี้ว่า ความทุกข์มีมาถึงเราครั้งนี้ เราจะคิดอ่านแก้ไขประการใด โจอี้จึงว่า ข้าพเจ้าได้ห้ามท่านแต่ก่อนท่านก็ขืนทำตามอำเภอใจ ได้ผิดแล้วข้าพเจ้าจะรู้ที่จะคิดประการใด สุมาอี้คนนี้มีสติปัญญาความคิดมากนัก จนถึงขงเบ้งซึ่งเปนคนดีหลักแหลมนักก็หามีชัยชนะแก่สุมาอี้ไม่ เราพี่น้องเท่านี้จะรู้ที่คิดอ่านแก้ไขประการใด ควรที่จะมัดตัวเข้าไปหาเขายอมให้ทำโทษเห็นจะรอดชีวิต ว่ายังมิทันจะสิ้นคำ พอซินเปสุมาเล่าจี๋ไปถึง โจซองจึงถามถึงการในเมือง ทหารสองคนก็เล่าการในเมืองให้ฟังแล้วจึงว่า เขารักษาเมืองครั้งนี้มั่นคงนัก เหมือนหนึ่งตีปลอกเหล็กรัดถัง ฝ่ายตัวสุมาอี้ก็คุมทหารเปนอันมากมารักษาอยู่เชิงสะพาน ท่านอย่าเพ่อเข้าไปเลย เร่งคิดกลอุบายแก้ไขตัวเถิด
พอฮวนห้อมควบม้าไปถึงเข้า โจซองถามถึงการเมือง ฮวนห้อมจึงว่า สุมาอี้คิดขบถแล้ว ท่านเร่งเชิญเสด็จไปเมืองฮูโต๋เถิด จะได้เกลี้ยกล่อมทหารจัดแจงศัสตราวุธได้พร้อมแล้วจะได้ยกมาทำการแก่สุมาอี้ โจซองจึงว่า ขุนนางมาทั้งนี้ครอบครัวบุตรภรรยาอยู่ในเมืองสิ้นทุกคน อันจะคิดทำดังนั้นหาได้ไม่ ฮวนห้อมจึงว่า ท่านกลัวบุตรภรรยาจะเปนอันตรายจึงไม่คิดการสงคราม จะ ยอมเข้าไปหาข้าศึก คิดอ่านทั้งนี้หารักชีวิตไม่เลย รักบุตรภรรยายิ่งกว่าชีวิตอีกเล่า ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ เปนธรรมดาชาติทหารหารักชีวิตผู้อื่นไม่ คิดแต่จะรักษาชีวิตตัวไว้ให้ได้ โจซองก็ไม่ฟังคำฮวนห้อม คิดถึงตัวร้องไห้นํ้าตาไหลลงอาบหน้า
ฮวนห้อมจึงว่า แต่นี่ไปเมืองฮูโต๋มิสู้ไกลนัก ไปประมาณสักสองยามก็จะถึง ที่นั้นเข้าปลาอาหารก็มาก จะเลี้ยงทหารได้สักสองเดือนกว่า จะเตรียมการพร้อมจะได้อยู่ ท่านเร่งคิดเถิดอย่าช้าเลยจะเสียการ โจซองจึงว่า การครั้งนี้เปนการใหญ่ เร่งรีบนักจะเสียการ เราจะขอตรึกตรองให้ลเอียดก่อน อยู่สักครู่หนึ่งเค้าอิ๋นต้านท่ายมาถึงจึงว่าแก่โจซองว่า สุมาอี้กระทำครั้งนี้หาทำอันตรายแก่ท่านไม่ ทำแต่พอจะยกเอาทหารของท่านแลทหารของพี่น้องท่านไปเปนหลวง โจซองหาเห็นด้วยไม่ก็นิ่งอยู่ แล้วอินต้ายบกทหารคนสนิธของโจซองไปถึงจึงแจ้งเนื้อความว่า สุมาอี้กับเจียวเจ้ตั้งสัตย์สาบาลกันคิดอ่านกระทำการครั้งนี้ มิได้ทำอันตรายแก่ท่าน แล้วเจียวเจ้มีหนังสือมาถึงท่านให้มอบทหารทั้งปวงให้แก่สุมาอี้ ฝ่ายตัวท่านอย่าวิตกเลยหาเปนไรไม่ ให้เร่งเข้าไปหาบุตรภรรยาเถิด โจซองเห็นด้วยก็ค่อยคลายใจ
ฮวนห้อมก็เตือนว่า การร้อนถึงเพียงนี้แล้วยังจะฟังคำคนอื่นอีกเล่า ไม่คิดอ่านแก้ตัวจะบ่ายหน้าเข้าไปหาความตายอีกเล่า ฝ่ายโจซองเวลากลางคืนวันนั้นให้เสร้าโศกนัก คิดอ่านหาอุบายซึ่งจะแก้ตัวก็ไม่เห็นช่องเลย ชักกระบี่ออกถือไว้เปนทุกข์ทอดใจใหญ่น้ำตาไหลลงอาบหน้า คิด ๆ ไปแต่เวลาคํ่าจนสว่างก็ไม่เห็นอุบายเลย ฮวนห้อมจึงเตือนว่า คิดมาแต่หัวคํ่าจนรุ่งแล้ว เห็นอุบายที่จะแก้ไขประการใดจงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังจะได้คลายใจ โจซองได้ยินดังนั้นทิ้งกระบี่ลงเสียแล้วจึงว่า เราไม่ยกทัพไปให้ลำบากทหารแล้ว จะถอดเราเสียจากที่ก็ตามเถิด เราจะได้นั่งนอนกินให้สบาย
ฮวนห้อมได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง แล้วเดิรออกมาจากที่นั้นจึงว่า โจจิ๋นพ่อโจซองอวดตัวว่าเปนคนมีสติปัญญา มีบุตรสามคนก็ไม่สั่งสอนให้มีความรู้วิชาการเลย เหมือนหมูแลกระบือ ว่าแล้วก็ร้องไห้ เค้าอิ๋นต้านท่ายจึงเข้าไปว่าแก่โจซองว่า ถ้าท่านยอมแล้วจงเร่งให้คนถือตราสำหรับที่เข้าไปมอบให้สุมาอี้ให้สิ้นสงสัย โจซองได้ยินดังนั้นจึงส่งตราให้เค้าอิ๋นต้านท่าย มีสมุห์บาญชีคนหนึ่งชื่อเอียวจ๋งเห็นดังนั้นก็ร้องไห้เข้าฉุดตราไว้แล้วว่า ท่านทิ้งทหารทั้งปวงเสียจะมัดตัวเข้าไปรับอาญาเขา ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่พ้นที่ตายกลางตลาดเลย โจซองจึงว่า สุมาอี้เปนคนดีเห็นจะไม่เสียวาจาสัตย์ ว่าแล้วก็ยื่นตราให้แก่เค้าอิ๋นต้านท่ายแล้วสั่งว่า ท่านจงเอาไปส่งให้สุมาอี้อย่าให้มีความแคลงเรา เค้าอิ๋นต้านท่ายก็กลับเข้าไปเมือง ฝ่ายโจซองจึงค่อยตามไป
ครั้งนั้นทหารทั้งปวงเห็นโจซองไม่มีตราสำหรับที่แล้ว ก็หนีกระจัดกระจายไป ยังเหลือแต่พี่น้องสามคนกับขุนนางซึ่งเปนคนสนิธพากันกลับเข้าไปในเมือง ครั้นถึงเชิงสะพานแพก็เข้าไปหาสุมาอี้ ๆ จึงว่า เชิญท่านพี่น้องสามคนไปเรือนเถิด แต่ขุนนางซึ่งเปนพรรคพวกมานั้นสุมาอี้ก็สั่งให้เอาไปจำไว้ ณ คุก โจซองพี่น้องสามคนเดิรไปหามีผู้ใดติดตามไม่เลย ครั้นฮวนห้อมไปถึงเชิงสะพาน สุมาอี้นั่งอยู่บนหลังม้าแลเห็นฮวนห้อมเข้ามาก็ชี้มือแล้วร้องว่า ท่านฮวนห้อมทำไมจึงมาทำข้าอย่างนี้ ฮวนห้อมมิรู้ที่จะตอบก็ก้มหน้าไปบ้าน ฝ่ายสุมาอี้ก็คอยรับเสด็จอยู่ที่นั้น ครั้นพระเจ้าโจฮองมาถึง สุมาอี้เชิญเสด็จเข้าไปในวัง บ้านโจซองพี่น้องสามคนนั้นอยู่เรียงกันมามีกำแพงล้อมเปนอันเดียวกัน สุมาอี้จึงใช้ให้ทหารปิดประตูลั่นกุญแจเสียทุกประตู จึงสั่งชาวบ้านซึ่งอยู่นอกกำแพงบ้านโจซองนั้นเปนแปดร้อยเศษ ว่าท่านทั้งปวงรักษาให้มั่นคง ถ้าโจซองแลน้องโจซองหนีไปได้ ชาวบ้านจะเปนโทษถึงตาย โจอี้เห็นโจซองเปนทุกข์นักจึงว่า เข้าสเบียงในเรือนเราก็สิ้นแล้ว ท่านจงให้มีหนังสือไปถึงสุมาอี้ขอยืมเข้ากิน ถ้าสุมาอี้ให้เข้าแก่เราก็เห็นว่าสุมาอี้จะไม่ทำอันตรายแก่เรา โจซองเห็นชอบด้วย จึงทำหนังสือส่งให้ชาวบ้านซึ่งรักษาถือไปให้แก่สุมาอี้ ๆ ก็ให้ทหารคุมเข้าสารร้อยถังมาส่งให้ ณ บ้านโจซอง ๆ ก็คลายใจจึงว่าแก่น้องทั้งสองว่า สุมาอี้หาทำอันตรายแก่เราไม่ จริงแล้ว
ฝ่ายสุมาอี้จึงสั่งให้ทหารจับตัวเตียวต๋อง ซึ่งโจซองตั้งให้เปนเต้าก๋ำกรมวังนั้นไปเฆี่ยนถามเอาเนื้อความว่า ได้คบคิดกับโจซองจะทำการขบถต่อแผ่นดินหรือไม่ ครั้นเฆี่ยนถามเต้าก๋ำรับเปนสัตย์ว่า ข้าพเจ้าได้คบคิดทำการขบถกับโจซองจริง ฝ่ายทหารซักถามว่าคิดการขบถแต่สองคนนี้ดอกหรือ เรายังหาเห็นจริงไม่ เต้าก๋ำซัดว่าเมื่อคิดกันนั้นโฮอั๋นคนหนึ่ง เตงเหยียงคนหนึ่ง หลีซินคนหนึ่ง เตงปิดคนหนึ่ง ปิดห้วนคนหนึ่ง ขุนนางห้าคนนี้ได้คิดการด้วยข้าพเจ้ากับโจซอง สุมาอี้ให้ทหารไปจับตัวมาถามทั้งห้าคนก็รับเปนสัตย์ แล้วจึงให้การว่า ได้สัญญากันว่าอีกสามเดือนจึงจะทำการ สุมาอี้สังให้จำคาตรึงตะปูให้มั่นทั้งห้าคน
สุหวนนายประตูว่าแก่สุมาอี้ว่า ฮวนห้อมลวงข้าพเจ้าให้เปิดประตูว่ามีรับสั่งใช้ ออกไปได้แล้วกล่าวโทษว่าท่านเปนขบถ สุมาอี้จึงว่ามันเปนขบถเองซิกลับมากล่าวโทษว่าเราเปนขบถอีกเล่า ว่าแล้วสั่งให้ทหารให้จับฮวนห้อมกับพรรคพวกแลโจซองพี่น้องไป สั่งให้ทหารจำไว้ในคุก สุมาอี้จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า อ้ายคิดมิชอบเหล่านี้รับเปนสัตย์แล้วจะเอาไว้มิได้ ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบด้วย สุมาอี้ก็สั่งให้เอาคนโทษทั้งปวงประมาณพันหนึ่ง ไปฆ่าเสียทั้งโคตรที่กลางตลาด แล้วก็สั่งให้ขนทรัพย์สิ่งของเข้าพระคลังหลวง
มีนางคนหนึ่งเปนบุตรแฮฮัวเหลง เปนเมียโจวุนซกน้องโจซอง โจวุนซกตายนานแล้ว นางนั้นเปนหม้ายมีบุตรชายคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งบิดาจะให้มีผัวใหม่ นางมิยอมสบถสาบาลว่าไม่มีผัวอีก แล้วก็เชือดใบหูเสียหน่อยหนึ่ง ครั้นโจซองเปนโทษ บดากลัวจะพลอยเปนโทษด้วย จึงจะให้ลูกสาวมีผัวนางกีมํยอม จึงเอามีดเช้อดปลายจมูกเสียหน่อยหนึ่งประสงค์จะให้เสียโฉม คนในเรอนเห็น ดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เปนธรรมดาคนทั้งปวงจะแต่งรูปโฉมให้งาม ทำไมเจ้าจง มาทำให้เวทนาดังนี้ นางจึงว่า เราทำทั้งนี้ประสงค์จะไม่มีผัวแล้ว
คนทั้งปวงจึงว่า โจซองเปนโทษบิดากลัวว่าจะพลอยเปนโทษด้วย จึงจะให้เจ้ามีผัวหวังจะให้พ้นจากเกี่ยวข้องกับโจซอง นางจึงตอบว่า ประเพณีลูกผู้หญิงเมื่อยังหาสามีมิได้ก็ตั้งอยู่ในบังคับบัญชาของบิดา ถ้ามีสามีแล้วก็ตั้งอยู่ในบังคับสามี ถ้าสามีได้ยศศักดิ์เปนสุขก็ได้เปนสุขด้วยสามี ถ้าสามีประกอบไปด้วยทุกข์ก็ให้สู้ทุกข์สู้ยากด้วยสามี เมื่อยังมีชีวิตอยู่รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ฉันใด สามีตายแล้วให้รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ดังนั้น โจซองมีบุญซิพึ่งบุญเขามา ครั้นเขาเปนโทษจะเอาตัวหนีออกหากดังนี้เห็นเปนคนอกตัญญูหารู้คุ ณ เขาไม่ เหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ความอันนี้ก็แจ้งไปถึงสุมาอี้ ๆ คิดว่าใจคนสัตย์ซื่ออย่างนี้หายากนัก ถึงว่าบิดาชั่วมารดาดีควรเราจะขอเอาบุตรมาเลี้ยงไว้ จะให้ต่อแซ่โจสืบไป สุมาอี้ก็ขอบุตรชายนางนั้นมาเปนบุตรเลี้ยง
เจียวเจ้จึงเข้าไปว่าแก่สุมาอี้ว่า พรรคพวกโจซองยังหาสิ้นไม่ สุมาเล่าจี๋กับซินแปสองคนนี้ฆ่านายประตูเสียแล้วหนีไปหาโจซอง ยังเอียวจ๋งคนหนึ่ง ครั้งเมื่อโจซองส่งตราให้เอามามอบท่าน เอียวจ๋งฉุดไว้ สามคนนี้ควรจะเอาโทษ สุมาอี้ตอบว่า สามคนนี้ดีสัตย์ซื่อต่อนาย อย่าทำอันตรายแก่เขาเลย ควรจะให้เปนขุนนางคงที่ เราได้ชุบเลี้ยงเขาก็มีกตัญญูรู้คุณเรา สุมาอี้ก็ให้เอาสามคนนั้นมาตั้งเปนขุนนางคงที่เก่า สามคนก็ทำคำนับแล้วก็ลาออกไป ซินเปคิดถึงความหลังแล้วทอดใจใหญ่ จึงว่าแก่สุมาเล่าจี๋เอียวจ๋งว่า ถ้าเรามิฟังคำพี่เราที่ไหนเราจะรอดชีวิต ว่าแล้วต่างคนต่างไปเรือน
ฝ่ายสุมาอี้จึงเขียนหนังสือเกลี้ยกล่อมแขวนไว้ทุกประตูเมือง ในหนังสือนั้นว่า แต่บันดาพรรคพวกโจซองซึ่งหนีอยู่บ้านใดตำบลใด ให้คืนเข้ามาอยู่ที่เย่าเรือนให้หมดเราไม่เอาโทษแล้ว ถ้าเปนขุนนางแลทหารให้เข้ามาคงที่ รับราชการตามตำแหน่ง ถ้าเปนราษฎรให้กลับมาอยู่บ้านเรือน ทำมาหากันตามภูมิ์ลำเนา
[๑] มีในเรื่องไซ่ฮั่น
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 79
https://drive.google.com/file/d/1LzYerUW42KxmCvqzf4nyWWfzi1bqqMJE/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 71 - 80
«
Reply #9 on:
23 December 2021, 23:09:10 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 80
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-80.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 80
เนื้อหา
• สุมาอี้เป็นมหาอุปราชตามเดิม
• สุมาอี้ตาย
• จูกัดเก๊กตีทัพสุมาเจียวเสียทีถอยกลับ
• เกียงอุยยกทัพเสฉวนจะไปช่วยจูกัดเก๊ก
• เกียงอุยทำอุบายตีสุมาเจียวแตกล้อมไว้
ฝ่าย พระเจ้าโจฮองจึงตั้งสุมาอี้ให้เปนที่มหาอุปราช มีเครื่องยศเก้าสิ่งตามบันดาศักดิ์ สุมาอี้ก็มิรับ พระเจ้าโจฮองก็มอบที่แก่สุมาอี้อีกสองครั้ง สุมาอี้จึงรับที่เปนมหาอุปราช พระเจ้าโจฮองจึงสั่งให้สุมาอี้กับบุตรว่าราชการบ้านเมือง ฝ่ายสุมาอี้สืบสาวหาพรรคพวกโจซองในเมืองนั้นเห็นสิ้นแล้ว ยังแต่แฮหัวป๋าซึ่งเปนเชื้อสายโจซอง ๆ ตั้งให้เปนเจ้าเมืองฮองจิ๋ว ได้ว่ากล่าวหัวเมืองทั้งปวงซึ่งขึ้นเมืองฮองจิ๋วด้วย สุมาอี้คิดว่า ถ้าแม้แฮหัวป๋ารู้ว่าโจซองเปนอันตราย มันก็จะคิดแก้แค้น จะพลอยให้ทหารทั้งปวงได้ความยาก คิดแล้วให้ต้านท่ายถือตรารับสั่งให้หาตัวแฮหัวป๋า
ฝ่ายแฮหัวป๋ารู้ว่าโจซองเปนอันตรายเสียแล้ว คิดถึงตัวนักจะทำการแก้ตัว จึงเกณฑ์ทหารได้สามพัน ก็จัดแจงนายทัพนายกองเตรียมการซึ่งจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง กวยหวยเปนเจ้าเมืองเก่ารู้ดังนั้นก็พาทหารสมัคพรรคพวกของตัวยกมาตีแฮหัวป๋า กวยหวยถือทวนขี่ม้าควบเข้าไปร้องด่าแฮหัวป๋า ว่ามึงเปนเชื้อพระวงศ์ ควรหรือมาคิดขบถต่อแผ่นดิน แฮหัวป๋าก็ร้องด่า ว่ามึงได้พึ่งบุญปู่ย่าตายายของกูมาก็ได้อยู่เย็นเปนสุข อ้ายสุมาอี้มันคิดกำจัดแซ่โจเสียสิ้น มึงยังเห็นชอบด้วยอีกเล่า มึงนี้มิเปนพวกอ้ายขบถแล้วหรือ กวยหวยได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก ขี่ม้ารำทวนเข้าไป แฮหัวป๋ารำง้าวเข้าสู้กันได้ประมาณสิบเพลง กวยหวยเสียทีก็ควบม้าหนี แฮหัวป๋าได้ทีก็ไล่ติดตามไป
ฝ่ายต้านท่ายซึ่งสุมาอี้ใช้ให้คุมทหารถือหนังสือให้ไปหาตัวแฮหัวป๋าพอยก ไปถึง ครั้นรู้ว่าแฮหัวป๋ากับกวยหวยรบกันก็ตีกระหนาบเข้าไปช่วยกวยหวย ฝ่ายแฮหัวป๋าเห็นต้านท่ายตีกระหนาบเข้ามาฆ่าทหารล้มตายเปนอันมาก เหลือกำลังที่จะต้านทานก็พาทหารที่เหลือตายหนีไปเมืองฮันต๋งสามิภักดิ์เข้า ไปเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน นายด่านจึงให้ม้าใช้เข้าไปแจ้งแก่เกียงอุยผู้รักษาเมืองฮันต๋ง เกียงอุยสงสัยนักจึงใช้ให้ทหารไปซักไซ้หาความจริง ได้ความจริงแล้วก็พาแฮหัวป๋าเข้ามาหาเกียงอุย กระทำคำนับแล้วแฮหัวป๋าก็ร้องไห้ เล่าความแค้นซึ่งสุมาอี้ฆ่าโจซองเสียนั้นทุกประการ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านมาทางไกลนักสามิภักดิ์มาเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้งนี้ไม่เสียที ด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนเชื้อวงศ์กษัตริย์ ว่าแล้วชวนแฮหัวป๋ากินโต๊ะด้วยกัน จึงถามว่าอ้ายสุมาอี้พ่อลูกว่าราชการเมืองอยู่นั้น ท่านยังได้ยินคิดอ่านจะทำเปนเสี้ยนหนามกับเมืองเสฉวนหรือไม่
แฮหัวป๋าจึงว่า อ้ายเฒ่าศัตรูแผ่นดินคนนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นมันยังคิดอ่านจะทำขบถแก่พระเจ้าโจฮองอยู่ ยังไม่สำเร็จความคิด ซึ่งจะคิดทำการกับเมืองอื่นเห็นยังไม่ได้ ข้าพเจ้าเห็นคนดีมีสติปัญญาคุมทหารมากมายมีอยู่สองคน ถ้าสุมาอี้ใช้มาทำการเมืองกังตั๋งเมืองเสฉวนจะเปนอันตราย เกียงอุยจึงถามว่าสองคนนั้นชื่อใด
แฮหัวป๋าบอกว่า คนหนึ่งชื่อจงโฮยบุตรจงฮิวชาวเมืองเองจิ๋ว เมื่ออายุได้เจ็ดขวบบิดาพาไปเฝ้าพระเจ้าโจผี ๆ ให้ว่าเพลงถวาย จงโฮยคนนี้เฉลียวฉลาดนัก ก็ว่าเพลงถวายได้ในทันใด พระเจ้าโจผีก็โปรดปราน ครั้นใหญ่มาบิดาก็สั่งสอนให้รู้ตำราพิชัยสงคราม แล้วศึกษาให้ชำนาญในศิลปศาสตร์สำหรับทหาร เมื่อพระเจ้าโจผีดับสูญแล้วก็ได้เปนที่ปีสูหลวงเจ้ากรมอาลักษณ์มาจนครั้งพระ เจ้าโจยอย สุมาอี้กับเจียวเจ้ก็ยำเกรงจงโฮยนัก ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อว่าเตงงายบุตรชาวเมืองหงีเอี๋ยง บิดาตายแต่น้อย นํ้าใจห้าวหาญ พอใจจะเปนแม่ทัพแม่กอง แสวงหาวิชาการพิชัยสงครามชำนิชำนาญนัก สุมาอี้นับถิอจึงตั้งให้เปนที่ขำจานกุนจี๋ได้ว่ากล่าวทหารหั้งปวง สองคนนี้แลเห็นหลักแหลมนัก
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะจึงว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูอ้ายเด็กสองคนนี้ความคิดมันจะต้านทานเราไม่ได้ ว่าแล้วพาแฮหัวป๋าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนเมืองเสฉวน ถวายบังคมแล้วทูลว่า สุมาอี้คิดอ่านกำจัดโจซองเสีย แล้วจะมาทำร้ายแก่แฮหัวป๋า ๆ ก็หนีมาสามิภักดิ์เข้ามาเปนข้าพระองค้ ฝ่ายพระเจ้าโจฮองก็อ่อนแก่ความนัก ข้าพเจ้าเห็นว่าสุมาอี้พ่อลูกทำการทั้งนี้จะชิงเอาราชสมบัติเปนมั่นคง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเมืองวุยก๊กเห็นก็ร่วงโรยอยู่แล้ว ข้าพเจ้ารักษาเมืองฮันต๋งมาช้านาน เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ ทแกล้วทหารก็มีกำลังมากขึ้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเมืองวุยก๊ก จะตั้งให้แฮหัวป๋าเปนทัพหน้าไปทำการเห็นจะได้เปนมั่นคง
หุยวุยเสนาบดีผู้ใหญ่จึงว่า เตียวอ้วนตังอุ๋นมีสติปัญญาฝีมือรบพุ่งก็กล้าเปนทหารเอกของเราก็ตายเสียแล้ว ในเมืองเราหามีคนดีไม่ จะยกไปบัดนี้เห็นจะไม่สำเร็จ อย่าเพ่อเบาแก่ความ ให้ได้ท่วงทีแล้วจึงยกไปทำการ เกียงอุยจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย วันคืนปีเดือนล่วงไปไม่หยุดเลย จะคอยท่าให้ได้ทีก็จะแก่เสียเปล่า เมื่อไรจะได้ทีเล่าจึงจะยกไป หุยวุยตอบว่า โบราณท่านกล่าวไว้ว่า แม่ทัพแม่กองผู้จะทำการสงคราม พึงให้พิเคราะห์ดูกำลังความคิดแลฝีมือทหารแลอาวุธของตัวกับข้าศึก ถ้าเห็นชนะฝ่ายเดียวแล้วจงให้ทำการ ถ้าไม่รู้จักหนักเบาเลยเหมือนท่านจะไปทำการครั้งนี้ ถึงท่านมหาอุปราชซึ่งเปนคนดีมีสติปัญญายังมีชีวิตอยู่ก็หาอาจไปทำไม่
เกียงอุยจึงว่า ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองฮันต๋งนี้ พิเคราะห์ดูพวกชาวเหนือในเมืองเกี๋ยงเห็นว่าจะมาเข้าเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าจะยกไปทำการครั้งนี้จะมีหนังสือให้ไปเกลี้ยกล่อม เมืองเกี๋ยงก็จะยอมมาเข้าด้วยข้าพเจ้า ๆ จะให้เปนทัพหนุน ถ้ายังมิได้เมืองวุยก๊กจะทำหัวเมืองขึ้นทั้งปวงให้อยู่ในเงื้อมมือให้ได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า ถ้าท่านจะอาสาเราไปตีเมืองวุยก๊กครั้งนี้จงตรึกตรองให้ละเอียด ให้ทหารทำการให้เต็มมือให้มีชัยชนะแก่ข้าศึกจงได้อย่าให้เสียทีไป
เกียงอุยก็ทูลลาพาแฮหัวป๋ากลับไปเมืองฮันต๋ง ถึงเมืองแล้วจึงให้ทหารถือหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเมืองเกี๋ยง แล้วจึงปรึกษากันว่า เราจะให้กุอั๋นลิหิมสองคนนี้คุมทหารหมื่นห้าพันยกไปตีกวยหวยเมืองเองจิ๋ว ไปตั้งค่ายอยู่เขาก๊กสันเปนสองค่ายทำการไปพลาง เราจึงค่อยยกทัพตามไป ปรึกษาแล้วให้จัดแจงม้าแลเครื่องศัสตราวุธเข้าสเบียง จึงให้กุอั๋นลิหิมยกไป ๆ ถึงเขาก๊กสันก็แยกทหารออกเปนสองกอง ๆ ละเจ็ดพันห้าร้อย ตั้งค่ายกระหนาบเขาก๊กสันไว้ กุอั๋นอยู่ข้างตวันออก ลิหิมอยู่ข้างตวันตก
ฝ่ายทหารกองตะเวน ให้ม้าใช้เอาเนื้อความไปแจ้งแก่กวยหวยว่า เกียงอุยเมืองฮันต๋งให้ยกกองทัพมาตั้งกระหนาบเขาก๊กสันไว้สองค่าย กวยหวยรู้ดังนั้นให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ฝ่ายต้านท่ายซึ่งถือหนังสือไปหาตัวแฮหัวป๋ายังไม่กลับไป กวยหวยก็ให้ต้านท่านคุมทหารห้าหมื่นยกออกไป กุอั๋นลิหิมเห็นต้านท่ายยกมาก็ยกออกจากค่าย เห็นทหารต้านท่ายมากนักจะต้านทานมิได้ก็พาทหารกลับเข้าค่าย ฝ่ายต้านท่ายก็ให้ทหารตั้งค่ายล้อมไว้ทั้งสองค่าย แล้วเกณฑ์กองทัพให้ไปสกัดต้นทางตัดลำเลียง ฝ่ายกุอั๋นลิหิมอยู่ในค่ายเข้าปลาอาหารขัดสน
กวยหวยยกกองทัพออกไป เห็นต้านท่ายล้อมข้าศึกไว้ได้ดังนั้นดีใจนัก ก็เข้าไปในค่ายจึงว่าแก่ต้านท่ายว่า ข้าศึกนี้ขัดสนน้ำอยู่แล้ว ได้อาศรัยแต่น้ำธารซึ่งไหลออกจากเขา ถ้าเราคิดอ่านปิดธารนํ้าเสียแล้วอย่าให้น้ำไหลลงไปได้ ข้าศึกอดนํ้าแล้วก็ถอยกำลัง เราจึงเข้าหักเอาค่ายเห็นจะได้โดยสดวก ต้านท่ายเห็นชอบด้วยก็เกณฑ์ให้ทหารไปสมทบปิดธารนํ้าเสีย
ลิหิมเห็นทหารอดน้ำนักจึงคุมทหารออกจากค่ายจะไปตักน้ำ ทหารต้านท่ายก็รบสกัดไว้ ลิหิมเห็นเหลือกำลังก็พาทหารกลับเข้าไปในค่าย ฝ่ายกุอั๋นเห็นทหารหยากน้ำนักแล้วก็ยกทหารมา พาลิหิมออกไปเปนสองกองจะไปตักนํ้า ทหารต้านท่ายตีสกัดไว้ไปไม่ได้ก็พากันกลับเข้าค่าย ลิหิมจึงปรึกษาว่านิ่งอยู่ดังนี้ก็ไม่ได้จำจะยกหนีไป กุอั๋นไม่ยอมจึงว่า ซึ่งจะยกทัพกลับไปนั้นเห็นไม่ชอบ เราจำจะคอยท่าทัพเกียงอุยซึ่งจะยกตามมา ลิหิมจึงว่าเมื่อไรจะมาเล่า เขาปิดทางน้ำเสียแล้ว ถ้าจะอยู่ฉนี้จะพากันอดน้ำตายเสียสิ้น ท่านมิไปแล้วเราจะไป ว่าแล้วก็ชวนทหารไปประมาณสี่สิบคน ครั้นเวลากลางคืนก็ตีออกไป ทหารต้านท่ายก็รบสกัดไว้ฆ่าฟันทหารลิหิมตายสิ้น
ฝ่ายตัวลิหิมถูกอาวุธเจ็บชํ้าเปนหลายแห่งหนีออกไปได้ ขี่ม้าไปตามเชิงเขาเสสันเวลากลางคืนมืดนัก หารู้ที่จะหานํ้ากินไม่ ได้กินแต่นํ้าค้าง อดอาหารไปถึงสองวันจึงพบกองทัพเกียงอุย ลงจากม้าแล้วเข้าไปหาเกียงอุยจึงแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง เกียงอุยจึงว่ามิใช่ว่าข้าจะนอนใจ เตรียมกองทัพแล้วจะรีบยกมา ช้าอยู่ทั้งนี้เพราะคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงไม่เห็นมาเลย ว่าแล้วให้ทหารส่งตัวลิหิมไปรักษาตัว ณ เมืองเสฉวน เกียงอุยจึงว่าแก่แฮหัวป๋าว่า เราคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงช้านานแล้วก็ไม่เห็นมาเลย บัดนี้กองทัพซึ่งให้ไปตั้งอยู่ที่เขาก๊กสันนั้นเห็นจะเสียแก่ข้าศึกอยู่แล้ว เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะมีชัยแก่ข้าศึก
แฮหัวป๋าจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่ากองทัพเมืองเองจิ๋วยกออกไปล้อมลิหิมกุอั๋นอยู่แล้ว ถ้าเรายกไปเข้าทางเขางิวเทาสันหลังเมืองเองจิ๋วตีเข้าไป กวยหวยต้านท่ายก็จะยกกองทัพกลับมาสู้กับเรา กองทัพกุอั๋นก็จะมิได้เปนอันตราย เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนักจึงชมว่า ท่านคิดอุบายดังนี้เห็นจะมีชัยชนะเปนแท้ ก็เร่งรีบยกกองทัพไปตามคิดกันนั้น
ฝ่ายต้านท่ายจึงปรึกษาแก่กวยหวยว่า ลิหิมหนีไปได้แล้ว จะไปบอกแก่เกียงอุย ๆ รู้ข่าวว่าเรายกกองทัพมาล้อมอยู่ที่นี่เห็นจะยกทัพตีเข้ามา ทางเขางิวเทาสันมั่นคง ขอให้ท่านยกทัพไปสกัดอยู่ตำบลเตียวซุยเปนต้นทางอย่าให้ส่งลำเลียงได้ ข้าพเจ้าจะยกทัพไปตีเกียงอุยซึ่งตีถลำเข้ามาถึงเขางัวเทาสันนั้น ถ้าเกียงอุยรู้ว่าเราสกัดตัดทางลำเลียง ก็จะตกใจแตกหนีไปเปนมั่นคง กวยหวยเห็นชอบด้วยก็ยกไปตามคิดกันขึ้น
กองสอดแนมให้ม้าใช้มาบอกแก่เกียงอุยว่ากองทัพเมืองเองจิ๋วยกออกมา เกียงอุยขึ้นม้าถือทวนเร่งรีบพาทหารเข้าไป ต้านท่ายแลเห็นเกียงอุยจึงร้องว่า กูรู้อยู่แล้วว่ามึงจะยกหลีกเข้ามาทางนี้กูจึงยกออกมารับ ว่าแล้วก็ขี่ม้ารำง้าวเข้าไป เกียงอุยรำทวนเข้ารบกับต้านท่ายได้สามเพลง ต้านท่ายก็หนีพากองทัพขึ้นไปบนเขางิวเทาสัน เกียงอุยก็ไม่ตามขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขา ก็ให้ทหารไปร้องท้าทายต้านท่ายเร่งยกมารบกัน ต้านท่ายก็ยกทหารลงมารบกับเกียงอุยเปนหลายเวลามิได้แพ้ชนะกัน
แฮหัวป๋าจึงว่าแก่เกียงอุยว่า เรารบกันมาก็หลายเวลาอยู่แล้ว ไม่แพ้ไม่ชนะกัน จะอยู่นานนักก็ไม่ได้เกรงข้าศึกจะคิดกลอุบายทำร้ายแก่เรา ขอให้ท่านล่าทัพไปก่อนเถิด จะได้คิดกลอุบายอื่นให้มีชัยชนะจงได้
ม้าใช้กองสอดแนมมาบอกว่า กวยหวยยกกองทัพไปตั้งสกัดอยู่ต้นทาง แล้วเห็นจะส่งลำเลียงขัดสน เกียงอุยตกใจนักก็ให้แฮหัวป๋าล่าทัพไปก่อน เกียงอุยจึงยกออกภายหลัง ต้านท่ายรู้ว่าเกียงอุยล่าทัพหนีแล้ว ก็จัดแม่ทัพแม่กองออกเปนห้ากองให้ไล่ตีกระหนาบไปข้างละสองกอง ตัวก็ติดตามไปข้างหลัง
ฝ่ายเกียงอุยอยู่รั้งท้ายก็รบต้านทานไว้ ต้านท่ายก็หักโหมเข้าไปมิได้ ก็รีบยกทหารหนีไป ฝ่ายกวยหวยก็ยกทหารเข้าตีสกัดไว้ เกียงอุยก็กระโจมตีพาทหารหักออกไปได้ ทหารเกียงอุยล้มตายเปนอันมาก ซึ่งยังเหลืออยู่นั้นน้อยกว่าที่ตายอีก เกียงอุยพาทหารไปปะกองทัพสุมาสูบุตรสุมาอี้
เมื่อแรกเกียงอุยยกไปตีเมืองเองจิ๋ว กวยหวยจึงให้มีหนังสือขอกองทัพ สุมาอี้จึงให้สุมาสูบุตรยกมาเปนคนห้าหมื่น สุมาสูรู้ว่าเกียงอุยรบอยู่กับกวยหวยแล้วก็ยกไปสกัดอยู่ต้นทาง สุมาสูคนนี้หน้ากลมริมฝีปากหนาใบหูใหญ่หางตาข้างขวามีปมใหญ่เท่าผลส้มมะแป้น มีโลมาอยู่สี่สิบห้าสิบเส้น ครั้นแลเห็นกองทัพเกียงอุยยกมา ก็ขึ้นม้ารำง้าวออกไป
เกียงอุยแลเห็นโกรธนักร้องว่าอ้ายเด็กน้อยเท่านี้ ควรหรือองอาจมาสู้กู ว่าแล้วก็ควบม้าเข้ารบกับสุมาสู ๆ สู้ได้สามเพลงเห็นเหลือกำลังก็พาทหารหนีไป เกียงอุยก็พาทหารไปถึงด่านแฮบังก๋วนเปนด่านเมืองเสฉวน ทหารก็เปิดประตูรับเกียงอุยเข้าไปแล้วก็ปิดประตูเสีย สุมาสูกลับตามไปก็ให้ทหารทำลายประตู เมื่อขงเบ้งจะใกล้ตายนั้นได้สอนทหารให้ยิงหน้าไม้คนหนึ่งยิงทีเดียวได้สิบ ลูก ทหารซึ่งอยู่บนหอรบก็ยิงหน้าไม้ลงไปเหมือนห่าฝน ถูกทหารสุมาสูตายเปนอันมาก ครั้นสุมาสูเสียทหารมากมายแล้วก็ยกทัพกลับไปเมือง
ฝ่ายกุอั๋นซึ่งรักษาค่ายอยู่ริมเขาก๊กสันนั้นครั้นลิหิมหนีไปแล้ว คอยหากองทัพหนุนก็ไม่เห็น ทหารขัดสนด้วยนํ้านัก ครั้นจะหักออกก็มิได้ จึงเปิดประตูค่ายพาทหารมายอมเข้าด้วยกวยหวย ฝ่ายเกียงอุยยกทัพไปทำการครั้งนั้นเสียทหารมากมายนัก ครั้นกลับไปเมืองฮันต๋งก็ให้ซ่อมแปลงกำแพงแลประตูหอรบซึ่งชำรุดนั้นให้มั่น คง ฝ่ายสุมาสูกลับไปถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว เข้าไปแจ้งข้อราชการแก่บิดา
ครั้งนั้นพระเจ้าโจฮองเสวยราชย์ได้สิบสามปี (พ.ศ. ๗๙๔) พอถึงเดือนสิบสุมาอี้ก็ป่วยหนัก เห็นจะไม่รอดแล้วจึงให้หาสุมาสูสุมาเจียวบุตรทั้งสองเข้าไปถึงเตียงที่นอน จึงว่าบิดาได้เปนที่มหาอุปราชว่าราชการทั้งแผ่นดินโดยสัตย์โดยธรรม หาได้คิดคดต่อแผ่นดินไม่ คนทั้งปวงยังมาแกล้งว่าเปนขบถต่อแผ่นดิน เราอาศรัยสัตย์สุจริตรักษาตัวหาเปนอันตรายไม่ บัดนี้บิดาจะตายแล้ว เจ้าจะเปนข้าราชการสืบไป จงตั้งใจสัตย์ซื่อสามิภักดิ์ต่อเจ้าแผ่นดินกว่าจะสิ้นชีวิต ทำการสิ่งใดอย่าเบาแก่ความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจึงทำ พอสิ้นคำเท่านั้นก็ตาย สุมาสูสุมาเจียวเอาเนื้อความไปกราบทูลว่าบิดาข้าพเจ้าตายแล้ว พระเจ้าโจฮองก็สั่งให้เจ้าพนักงานทำการศพสุมาอี้ตามขนบธรรมเนียมมหาอุปราช ให้เชิญศพไปฝังไว้ณกุฏิ์ จารึกอักษรไว้ตามประเพณี แล้วตั้งสุมาสูเปนที่เสนาบดีผู้ใหญ่ สุมาเจียวเปนเตียวกี๋เซียงจงกุ๋น ได้ว่ากล่าวทหารทั้งปวง
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนอยู่ ณ เมืองกังตั๋ง ตั้งให้ซุนเต๋งบุตรนางซีฮูหยิน เปนไทจู๋ ครั้นซุนเต๋งตายแล้วตั้งซุนโฮบุตรนางฮองฮูหยินเปนที่ไทจู๋ อยู่นานมาซุนโฮวิวาทกับนางกิมก๋งจู๋ผู้เปนพี่สาว นางกิมก๋งจู๋จึงเข้าไปทูลยุยงบิดาให้โกรธถอดซุนโฮเสียจากที ซุนโฮได้ความแค้นเคืองเจ็บอายก็ตรอมใจเปนไข้ตาย พระเจ้าซุนกวนเลี้ยงบุตรนางพัวฮูหยินให้เปนที่ไทจู๋ ครั้งนั้นลกซุนแลจูกัดกิ๋นซึ่งเปนคนดีมีสติปัญญาก็ตายแล้ว มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อจูกัดเก๊กว่าราชการใหญ่น้อยทั้งปวง
เมื่อเดือนสี่ขึ้นคํ่าหนึ่งปีแล้วไปนั้น บังเกิดเหตุพายุใหญ่คลื่นในแม่นํ้าแลทะเลก็กำเริบนัก เกิดน้ำใหญ่ท่วมไปในเมืองกังตั๋ง นํ้าลึกถึงแปดศอก พายุก็ถอนเอาต้นสนใหญ่ซึ่งปลูกอยู่หน้ากุฏิ์ซึ่งฝังศพซุนเซ็ก ลอยขึ้นไปในอากาศ ต้นสนธิ์ก็ตกลงริมประตูเมืองกังตั๋ง ปลายลงปักดินอยู่ พระเจ้าซุนกวนเห็นประหลาทดังนั้นหาแจ้งว่าจะดีหรือร้ายไม่ ก็เปนทุกข์พระทัย จึงประชวรมาช้านานประมาณขวบหนึ่ง โรคนั้นกำเริบขึ้นเห็นจะไม่รอดอยู่แล้ว จึงให้หาจูกัดเก๊กกับลิต้ายเปนขุนนางผู้ใหญ่สองคนเข้ามาถึงที่บันทม แล้วฝากฝังบ้านเมืองบุตรแลภรรยาประชาราษฎร แล้วก็สิ้นใจตาย เมื่อตายนั้นเดือนหก (พ.ศ. ๗๙๕) อายุพอได้เจ็ดสิบเอ็ดปี เสวยราชย์ได้ยี่สิบสี่ปี
จูกัดเจ๊กกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงก็ให้ซุนเหลียงเสวยราชย์แทนพระ บิดา พระเจ้าซุนเหลียงก็ให้แต่งการเชิญศพไปฝังที่ตำบลเตียวเหลงตามประเพณี แล้วให้จารึกอักษรว่าที่ฝังศพพระเจ้าไต้ฮ่องเต้
มีคนเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาสูเมืองลกเอี๋ยงว่า พระเจ้าซุนกวนตายแล้ว สุมาสูแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า เราจะยกทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งจะเห็นประการใด เหาตวนที่ปรึกษาจึงว่ายังหาเห็นทีที่จะได้ไม่ ด้วยเมืองกังตั๋งนี้มีแม่น้ำกั้นอยู่เปนที่คับขัน ข้าศึกที่จะไปทำการยากนัก กษัตริย์แต่ก่อนหลายพระองค์มาแล้วยกกองทัพไปตีก็หาได้ไม่ ซึ่งจะยกทัพไปทำการครั้งนี้ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ บ้านเมืองของใคร ๆ ก็รักษาอยู่เห็นจะเปนสุขกว่า ถ้าได้ทีแล้วยกไปตีจึงจะมีชัยชนะ สุมาสูจึงว่า ซึ่งจะยับยั้งสงบอยู่ให้ได้ทีนั้น อายุเราจะยืนสักกี่ร้อยปีจึงจะได้ทีเล่า สุมาเจียวน้องสุมาสูจึงว่า ซุนกวนซิตายแล้ว ซุนเหลียงได้สมบัติแทนบิดา อายุก็น้อยทั้งความคิดก็อ่อน ถ้าเรายกไปทำการเห็นจะได้ฝ่ายเดียว สุมาสูเห็นชอบด้วยจึงใช้ให้อองซองเปนนายทหารใหญ่คุมทหารสิบหมื่น ให้บู๊ขิวเขียมคุมทหารสิบหมื่น ให้สุมาเจียวผู้น้องเปนแม่ทัพหลวงยกไปตีเมืองกังตั๋ง เมื่อยกทัพครั้งนั้นเดือนสิบสอง ครั้นยกกองทัพไปถึงแดนเมืองกังตั๋งแล้ว สุมาเจียวจึงให้หานายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า หัวเมืองกังตั๋งทั้งปวงเห็นมั่นคงนักแต่เมืองตังหิน ด้วยหน้าเมืองนั้นมีป้อมใหญ่กระหนาบอยู่ทั้งซ้ายขวา ซึ่งจะหักเข้าไปนั้นยากนัก เราจำจะจัดแจงให้ดี ว่าแล้วสั่งให้อองซองบูขิวเขียมสองนายให้คุมทหารคนละสามหมื่นเปนปีกซ้ายขวา จึงสั่งว่าอย่าเพ่อตีก่อน ต่อกองทัพหลวงทัพหน้าปีกซ้ายปีกขวาพร้อมกันแล้วจึงจะให้ช่วยกันระดมตีที เดียว แล้วให้อ้าวจุ๋นเปนทัพหน้าคุมทหารห้าหมื่น จึงสั่งว่าท่านยกไปถึงตีนท่าแล้วให้ทำสะพานแพข้ามแม่นํ้า ไปได้แล้วจัดทหารออกเปนสองกองเร่งเข้าตีป้อมซ้ายขวา ถ้าตีได้แล้วจะมีความชอบนัก อ้าวจุ๋นก็ยกไป
ฝ่ายจูกัดเก๊กเมืองกังตั๋งแจ้งว่าสุมาเจียวเมืองวุยก๊กยกทัพมา จึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ปรึกษาทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันจึงว่า สุมาเจียวยกทัพมาครั้งนี้จะได้ผู้ใดออกไปต้านทาน เตงฮองทหารผู้ใหญ่จึงว่าเมืองตังหินนี้เปนกำลังเมืองกังตั๋ง ด้วยเข้าปลาอาหารทั้งปวงก็บริบูรณ์ แล้วก็มีป้อมค่ายมั่นคงเปนที่คับขัน ถ้าเมืองตังหินเสียแล้วเห็นว่าเมืองบู๊เฉียงก็จะเปนอันตราย ควรเราจะรักษาเมืองตังหินไว้ให้มั่นคง
จูกัดเก๊กจึงว่าท่านว่านี้ชอบนัก ท่านจงเปนแม่ทัพเรือคุมทหารสามพันยกไป ลีกีต๋องจูเล่าเบาทหารสามคนนี้คุมทหารคนละหมื่น เปนแม่ทัพบกยกไปเปนสามกอง ตัวข้าพเจ้าจะยกทัพหลวงหนุนไป เมื่อจะยกเข้าตีนั้นมีประทัดสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดก็ให้แม่ทัพแม่กองเร่งยกเข้าตีให้พร้อมกันทั้งบกทั้ง เรือ เตงฮองก็ยกทัพเรือสามสิบลำคุมทหารสามพันยกไปเมืองตังหิน ลีกีต๋องจูเล่าเบาคุมทหารคนละหมื่นเปนทัพบกยกไปเมืองตังหิน จูกัดเจ๊กก็ยกทัพหลวงหนุนไป
ฝ่ายอ้าวจุ๋นทัพหน้าสุมาเจียวทำสะพานข้ามกองทัพไปถึงฝั่งแล้ว ก็ใช้ให้หวนแก ฮั่นจ๋งคุมทหารเข้าตีป้อมซ้ายขวา นายทหารรักษาป้อมขวาชื่อเล่าเลียก ป้อมซ้ายชื่อจวนเต๊ก ป้อมสองอันนี้สูงใหญ่มั่นคงนัก หวนแกกับฮั่นจ๋งจะหักเข้าไปก็มิได้ก็ถอยออกมาตั้งค่ายอยู่ เล่าเลียกจวนเต๊กเห็นทหารเข้ามามากนัก จะเปิดประตูป้อมออกไล่ตีมิได้ ก็ตั้งมั่นอยู่ในป้อม ครั้งนั้นเปนเทศกาลหนาว อ้าวจุ๋นก็ชวนนายทัพนายกองทั้งปวงมาเสพย์สุราอยู่ในค่าย กองคอยเหตุจึงให้ม้าใช้ไปบอกว่า กองทัพเรือเมืองกังตั๋งยกมาเปนเรือสามสิบลำ อ้าวจุ๋นก็ออกไปนอกค่ายแลไปเห็นกองทัพแต่ไกล ประมาณดูก็เห็นว่าเรือลำหนึ่ง จะบันทุกทหารได้แต่ร้อยหนึ่ง จึงกลับเข้ามาในค่ายแล้วบอกแก่นายทัพนายกองว่า เรือสามสิบลำจะบันทุกทหารได้ประมาณสามพัน เราหาพอที่จะกลัวไม่ ว่าแล้วสั่งให้ทหารรักษาค่าย ฝ่ายตัวกลับมานั่งเสพย์สุรากับนายทัพนายกองอีก ก็เมาสุราทั้งบ่าวแลนาย
ฝ่ายเตงฮองแม่ทัพเรือก็ให้เทียบเรือเข้าตลิ่ง แลไปเห็นคนในค่ายเลินเล่อหารักษาค่ายไม่ เห็นได้ทีแล้วจึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เราเปนชาติทหารตั้งใจแต่จะหาความชอบใส่ตัว เราเร่งทำความชอบให้ได้วันนี้ ว่าแล้วก็สั่งทหารทั้งปวงให้ถอดหมวกแลเสื้อออกทุกคน ห้ามอย่าให้ถืออาวุธยาว ให้ถือแต่กระบี่แลดาบ ฝ่ายทหารในค่ายแลเห็นดังนั้นก็หัวเราะเล่นมิได้ระวังตัว เตงฮองก็จุดประทัดสัญญาสามนัด แล้วถือดาบสองมือโดดขึ้นจากเรือวิ่งตรงเข้าไปในค่าย ทหารทั้งปวงก็วิ่งตามพากันแหกเข้าค่ายได้ ฮั่นจ๋งก็ถือทวนวิ่งออกมาแทงเตงฮอง ๆ หลบได้ก็ฟันด้วยดาบถูกท้องฮั่นจ๋งล้ม เตงฮองก็เข้าตัดเอาสีสะ ฝ่ายหวนแกแลเห็นฮั่นจ๋งตายก็โกรธนัก ถือง้าววิ่งเข้าไปแทงเตงฮองพลาดไปหว่างรักแร้ เตงฮองหนีบเอาง้าวไว้ หวนแกก็วิ่งหนี เตงฮองก็ขว้างด้วยดาบถูกแขนซ้ายหวนแกก็ล้มลง เตงฮองก็สะอึกเข้าไปแทงด้วยทวนหวนแกก็ตาย ทหารเตงฮองสามพันก็ไล่ฆ่าฟันทหารอ้าวจุ๋น ๆ ขี่ม้าพาทหารแหกค่ายหนีไป ครั้นถึงสะพานแพทหารทั้งปวงกลัวตายก็วิ่งชิงเบียดเสียดกันข้ามไป คนลงมากเหลือกำลังสะพานแตกแพก็ขาดล่ม ทหารก็ตายในนํ้าเปนอันมาก อ้าวจุ๋นเสียทหารตายในค่ายแลในนํ้าประมาณสองส่วนยังเหลืออยู่สักส่วนหนึ่ง เสียม้าแลศัสตราวุธเครื่องอุปโภคบริโภคเปนอันมาก ก็พาทหารที่เหลือตายหนีไปหาสุมาเจียว ๆ ได้แจ้งเนื้อความแล้วตรองดูการเห็นจะทำการสืบไปนั้นขัดสนนักก็ล่าทัพกลับไป เมือง
ฝ่ายจูกัดเก๊กแม่ทัพแม่กองทั้งปวงยกมาถึงเมืองตังหินแล้ว เห็นเตงฮองทำการมีชัยชนะก็ให้ปูนบำเหน็จรางวัลแก่นายทัพนายกองแลทหารเปนอัน มาก แล้วจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า สุมาเจียวยกทัพมาทำแก่เราครั้งนี้เสียทีแล้วล่าทัพหนีไปเมือง เราได้ทีแล้วจะยกตามไปตั้งค่ายประชิดอยู่ข้างทิศใต้ แล้วให้มีหนังสือไปถึงเกียงอุยให้ยกกองทัพมาตีกระหนาบข้างฝ่ายเหนือ เห็นจะได้เมืองลกเอี๋ยงโดยสะดวก ได้แล้วจะแบ่งแผ่นดินแดนเมืองคนละครึ่ง ว่าแล้วก็เร่งเกณฑ์ทหารให้ได้ยี่สิบหมื่นก็ยกไปตีเมืองวุยก๊ก ไปถึงกลางทางบังเกิดควันพลุ่งขึ้นจากแผ่นดินให้มืดนัก นั่งอยู่ใกล้กันก็ไม่เห็นตัว เจียวเอี๋ยนที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่า การประหลาทเกิดดังนี้ดีร้ายจะเสียแม่ทัพ ขอให้ท่านล่าทัพกลับไปเมืองกังตั๋งเถิด อย่าไปตีเมืองจุยก๊กเลย
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็โกรธหนักจึงว่า เราจะทำการใหญ่ให้มีชัย ท่านมาว่าให้ร้ายแก่เราดังนี้จะให้นายทัพนายกองแลทหารทั้งปวงเสียน้ำใจ ว่าแล้วก็สั่งให้เอาตัวเจียวเอี๋ยนไปฆ่าเสีย นายทัพนายกองชวนกันขอโทษจูกัดเก๊กก็ให้ แต่ถอดเสียจากขุนนางให้เปนไพร่ แล้วก็เร่งยกทัพไป เตงฮองจึงว่าแก่จูกัดเก๊ก ว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นด่านซินเสียนี้มั่นคงนัก เปนที่สำคัญเมืองวุยก๊ก ถ้าเราตีได้แล้วสุมาสูก็จะตกใจ เราจึงจะตีต่อเข้าไปก็เห็นจะได้โดยสดวก จูกัดเก๊กเห็นชอบด้วย ก็ให้เร่งยกทัพไปทางด่านซินเสีย
ทหารตะเวนด่านจึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เตียวเต๊กนายใหญ่ผู้อยู่รักษาด่าน ว่า กองทัพฝ่ายเมืองกังตั๋งยกมามากนัก เตียวเต๊กเห็นเหลือกำลังจะออกตีมิได้ก็ให้ปิดประตูด่านตั้งมั่นรักษาอยู่ จูกัดเก๊กให้ตั้งค่ายล้อมไว้ แล้วให้ม้าใช้ถือหนังสือไปถึงเกียงอุยเหมือนคิดมานั้น เตียวเต๊กก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง
งีสงที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่าแก่สุมาสูว่า ครั้งนี้จูกัดเก๊กมาล้อมด่านซินเสีย ด่านนั้นก็มั่นคงผู้คนอยู่รักษาก็เข้มแขงเห็นจะไม่เปนอันตราย เรานิ่งเสียก่อนเถิดอย่าเพ่อแต่งกองทัพออกไปช่วยเลย จูกัดเก๊กยกทัพมาเปนทางไกลนักจะได้สเบียงอาหารมาสักกี่มากน้อย หน่อยหนึ่งก็จะสิ้นสเบียงอาหารก็จะล่าทัพกลับไปเอง เมื่อล่าทัพหนีไปเราจึงจะยกทัพไล่ติดตามตีเห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว ข้อหนึ่งข้าพเจ้าเกรงข้างฝ่ายเหนือเกียงอุยจะยกลงมาเปนทัพกระหนาบ ขอให้แต่งกองทัพไปป้องกัน สุมาสูเห็นชอบด้วย ก็ให้สุมาเจียวคุมทหารไปช่วยกวยหวยรักษาเมืองเองจิ๋ว จึงใช้บู๊ขิวเขียมกับอ้าวจุ๋นคุมทหารยกไปทางด่านซินเสีย จึงสั่งว่าท่านคอยดูรู้ว่าทัพจูกัดเก๊กยกหนีแล้ว จะเร่งรีบทหารไล่ตามตีจงสามารถ
ฝ่ายจูกัดเก๊กก็สั่งทหารว่า เร่งหักเข้าไปจงได้ เร่งให้ทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าผู้ใดหลบหลีกแชเชือนมิเปนใจด้วยราชการจะตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงเร่งรีบทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน ฝ่ายกำแพงด้านเหนือนั้นเห็นจะทำลายเข้าไปได้อยู่แล้ว เตียวเต๊กเห็นดังนั้นจึงคิดกลอุบายแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงจูกัดเก๊กว่า ธรรมเนียมเมืองวุยก๊ก ถ้าข้าศึกมาตีแลผู้รักษาเมืองป้องกันไว้ได้ถึงร้อยวันแล้ว ไม่มีกองทัพเมืองหลวงมาช่วยเลย ผู้รักษาเมืองนั้นเห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน ก็พาทหารออกไปยอมเข้าด้วยข้าศึก พี่น้องซึ่งยังอยู่ในเมืองนั้นก็หาเปนโทษไม่ ข้าพเจ้าอุตส่าห์รักษาด่านมาได้ประมาณเก้าสิบวันแล้วก็ไม่เห็นกองทัพมาช่วย เลย ขอให้ท่านงดให้ข้าพเจ้าสักสิบห้าวัน แต่พอข้าพเจ้าจัดแจงการซึ่งจะได้พาทหารออกไปเข้าด้วยท่าน จูกัดเก๊กก็เชื่อ จึงมิให้ทหารทำลายกำแพง
ฝ่ายเตียวเต๊กครั้นลวงจูกัดเก๊กดังนั้นแล้ว ก็เร่งให้แต่งกำแพงด้านเหนือซึ่งยับเยินไปนั้นมั่นคงแล้ว ก็ให้ทหารถืออาวุธไปเตรียมพร้อมอยู่บนเชิงเทิน แล้วเตียวเต๊กจึงร้องว่า สเบียงอาหารของกูยังบริบูรณ์อยู่จะเลี้ยงทหารอีกสักปีหนึ่งกูก็หากลัวไม่ กูจะยอมไปเข้าด้วยเองเหล่าชาติสุนัขเมืองกังตั๋งนั้นมิชอบ จูกัดเก๊กได้ฟังก็โกรธนัก จึงสั่งทหารให้เร่งเข้าทำลายกำแพง ทหารเตียวเต๊กก็ยิงเกาทัณฑ์ลงมาถูกจูกัดเก๊กที่หน้าผาก จูกัดเก๊กตกม้าลง ทหารก็อุ้มเข้าไปในค่าย จูกัดเก๊กม้ความแค้นนัก ก็สังให้ทหารเร่งเข้าทำลายกำแพง
นายหมวดนายกองจึงว่า บัดนี้ทหารทั้งปวงมาอยู่ช้านานนัก กินน้ำกินอาหารผิดสำแดงป่วยเจ็บลงเปนอันมาก ซึ่งท่านจะเข้าไปรบเห็นไม่ได้ท่วงทั จูกัดเก๊กโกรธจึงว่า ถ้าผู้ใดมิเปนใจด้วยราชการบอกป่วยให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็กลัวความตายก็หนีไปเปนอันมาก ชิวหลิมนายทหารผู้ใหญ่ก็พาทหารพรรคพวกของตัวหนีไปเมืองวุยก๊ก มีทหารเข้าไปบอกจูกัดเก๊กว่าทหารหนี่เบาบางไปแล้ว ชัวหลิมทหารผู้ใหญ่ก็ยกทหารหนีไปด้วย จูกัดเก๊กได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ขี่ม้าไปเที่ยวตรวจตราดูทหารเห็นเบาบางไป ซึ่งยังอยู่นั้นก็เปนไข้พุงโรหน้าบวมผอมเหลืองไปเปนอันมาก ก็สังให้ล่าทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายกองสอดแนมรู้ดังนั้นก็ให้ม้าใช้ไปแจ้งแก่บู๊ขิวเขียม ๆ ก็เร่งยกกองทัพไล่บุกบันฆ่าทหารจูกัดเก๊กล้มตายเปนมาก ฝ่ายจูกัดเก๊กเสียทัพครั้งนั้นมีความละอายนัก ด้วยหักไปตามอำเภอใจแต่ผู้เดียวก็เสียการ จึงพาทหารซึ่งเหลือตายหนีไปเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนเหลียงแจ้งว่าจูกัดเก๊กถูกเกาทัณฑ์มาป่วยอยู่ ณ บ้าน ก็พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปเยี่ยม
ฝ่ายจูกัดเก๊กมีความละอายนัก จึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ข้าพเจ้าไปทำการทุกครั้งทุกทีมีแต่ชัยชนะ ครั้งนี้เคราะห์ร้ายทั้งตัวก็แทบตาย แล้วก็เสียทหารเปนอันมากได้ความอัปยศนัก เพราะนายทัพนายกองทั้งปวงมิได้เปนใจจึงเสียทีแก่ข้าศึก ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่าเราเสียทัพ เราจะจับตัวผู้นั้นไปฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงก็เจ็บใจ ครั้นจะตอบจูกัดเก๊กก็มิได้ด้วยเกรงว่าเปนใหญ่ พระเจ้าซุนเหลียงก็พาขุนนางกลับไป จูกัดเก๊กก็ถอดซุนจุ๋นซึ่งได้คุมทหารรักษาองค์ออกเสียจากที่ จึงตั้งเตียวเอียดกับจูอิ๋นให้เปนนายทหารรักษาองค์ ซุนจุ๋นคนนี้เปนเชื้อพระวงศ์เปนลูกซุนหยงเปนหลานซุนเจ้ง ๆ นี้เปนน้องซุนเกี๋ยนบิดา ซุนกวน ครั้นจูกัดเก๊กถอดเสียจากที่มีความแค้นนัก แต่ว่าไม่รู้ที่จะทำประการใดก็นิ่งอยู่
เตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งมีใจเจ็บแค้นจูกัดเก๊กมาแต่ก่อน ครั้นแจ้งเนื้อความดังนั้นก็ไปหาซุนจุ๋น จึงว่าจูกัดเก๊กคนนี้ได้เปนใหญ่แล้วข่มขี่ขุนนางทั้งปวงนัก ทำการทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นเปนขบถต่อแผ่นดิน ท่านเปนเชื้อพระวงศ์เหตุใดจึงนิ่งเสียไม่คิดอ่านที่จะกำจัดศัตรูราชสมบัติ เลย ซุนจุ๋นจึงว่า การอันนี้ข้าพเจ้าคิดมานานอยู่แล้ว แต่ว่าจนใจด้วยหารู้ที่จะปรึกษาผู้ใดไม่ ถ้าได้ท่านเปนเพื่อนคิดแล้วเห็นจะสำเร็จการ ข้าพเจ้าคิดว่าจะพาท่านเข้าไปทูลแก่พระเจ้าซุนเหลียงให้แจ้ง ซึ่งการที่ข้าพเจ้าทำทั้งปวง แล้วจะคิดอ่านจับจูกัดเก๊กท่านจะเห็นประการใด เตงอิ๋นเห็นชอบด้วยก็พากันไปเฝ้า จึงกระซิบทูลความทั้งปวง
พระเจ้าซุนเหลียงจึงว่า การอันนี้ข้าพิเคราะห์เห็นนานอยู่แล้ว แต่ทว่าจนใจหารู้ที่จะทำประการใดไม่ บัดนี้ท่านทั้งสองจงรักภักดีต่อเรา เห็นแก่การแผ่นดินก็เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียให้จงได้ เตงอิ๋นจึงทูลว่า ขอพระองค์ให้ทหารซึ่งมีฝีมือถืออาวุธไปซุ่มอยู่ในฉากแล้วจึงสั่งว่า ถ้าได้ยินเสียงทิ้งจอกสุราลงแล้วให้ทหารออกมาฆ่าจูกัดเก๊กเสีย ครั้นเตรียมการพร้อมแล้วจึงไปเชิญจูกัดเก๊กมากินโต๊ะ
ฝ่ายจูกัดเก๊กป่วยอยู่ ณ เรือนให้เดือดร้อนรำคาญใจนัก จึงออกมาว่าราชการ แลไปเห็นผู้หนึ่งนุ่งขาวห่มขาวโพกผ้าขาวเดิรเข้าไปแลปะหน้าโกรธนัก สั่งทหารให้จับเอาตัวไปตีถามเอาเนื้อความ คนนั้นจึงให้การว่าบิดาข้าพเจ้าตาย จะไปนิมนต์หลวงจีนมาทำบุญ ไม่รู้จักว่าจวนท่าน คิดว่าวัด ข้าพเจ้าผิดนักแล้วแต่จะโปรด จูกัดเก๊กโกรธนัก จึงให้หาทหารรักษาประตูเข้ามาถามว่า เหตุใดจึงให้อ้ายคนนี้เข้ามาในบ้าน ทหารซึ่งรักษาประตูประมาณสี่สิบคนให้การว่า ข้าพเจ้าถืออาวุธครบมือรักษาประตูพร้อมหน้ากันอยู่หาเห็นผู้ใดเข้ามาไม่ จูกัดเก๊กก็สั่งให้เอาทหารซึ่งรักษาประตูแลผู้เข้าไปนั้นไปฆ่าเสีย ครั้นเวลากลางคืนรำคาญใจนักนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่า ครั้นออกมาแลดูเห็นอกไก่จวนนั้นขาดออกไปเปนสองท่อนตกใจนัก กลับเข้าไปนอนมิหลับ ปีศาจหลอกหลอนทำเปนลมพัดมาถูกตัว เหลียวไปก็เห็นคนซึ่งฆ่าเสียนั้นไม่มีสีสะ มือหิ้วสีสะเดิรตามกันเข้ามาร้องว่า ท่านจงเอาชีวิตมาให้เรา
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นกลัวนักก็ดิ้นจนพลัดลงจากเตียง นิ่งไปเปนครู่ ผู้พยาบาลเข้าแก้ฟื้นขึ้น ครั้นเวลาเช้าจูกัดเก๊กออกมาล้างหน้า เหม็นคาวนํ้าในกระถางเปนกลิ่นโลหิตก็โกรธนัก จึงให้คนใช้ไปตักน้ำมาใหม่เปนหลายครั้ง ก็เหม็นคาวเปนกลิ่นโลหิตไปสิ้นทั้งนั้นก็สงสัยใจนัก พอผู้รับสั่งเข้ามาบอกว่า พระเจ้าซุนเหลียงให้เชิญท่านไปกินโต๊ะ จูกัดเก๊กก็ขึ้นเกวียนมีทหารแห่หน้าหลังจะเข้าไปเฝ้า สุนัขเหลืองซึ่งเลี้ยงไว้ ณ เรือนนั้นก็กัดเอาเสื้อจูกัดเก๊กคร่าไป แล้วร้องประดุจหนึ่งเสียงร้องไห้ จูกัดเก๊กหลากใจตวาดสุนัขเสียแล้วก็ไปหน่อยหนึ่ง จึงแลเห็นควันเพลิงพลุ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน เปนเหตุประหลาทเหมือนครั้งเมื่อไปทัพ ก็ประหลาทใจอีกครั้งหนึ่ง เตียวเอียดทหารคนสนิธเห็นดังนั้นก็ให้สติว่า ซึ่งมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปกินโต๊ะเลี้ยงครั้งนี้ หารู้จักเหตุหนักแลเบาไม่เลย ขอให้ท่านตรึกตรองจงดีก่อนอย่าเพ่อเบาความ จูกัดเก๊กได้ยินก็ให้กลับเกวียนไปบ้าน เตงอิ๋นกับซุนจุ๋นรู้ว่าจูกัดเก๊กกลับไป ก็ขับม้าทันเกวียนเข้าจึงว่า พระเจ้าซุนเหลียงระลึกถึงท่านมหาอุปราชนักจึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะ ท่านจะกลับไปไหนเล่า จูกัดเก๊กจึงว่า ข้ามาถึงนี่แล้วให้ปวดท้องเปนกำลัง เห็นจะเฝ้าไม่ได้ข้าจึงกลับไปบ้าน
เตงอิ๋นจึงว่า แต่ท่านมหาอุปราชไปทัพกลับมาแล้วยังไม่ได้เข้าไปเฝ้าเลย พระเจ้าซุนเหลียงเอาพระทัยไต่ถามอยู่เนือง ๆ แจ้งว่าท่านคลายแล้ว จึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะหวังจะได้ปรึกษาราชการแผ่นดิน ได้เข้ามาถึงนี่แล้ว อุตส่าห์แขงใจเข้าไปเฝ้าสักหน่อยหนึ่งเถิด ให้พระเจ้าซุนเหลียงดีพระทัย จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็หายสงสัย จึงเข้าไปเฝ้า เตียวเอียดทหารก็ตามเข้ามาด้วย
พระเจ้าซุนเหลียงกระทำคำนับจูกัดเก๊กแล้วเชิญให้นั่งเก้าอี้ จึงเชิญให้เสพย์สุรา จูกัดเก๊กระวังตัวอยู่จึงทูลว่า ข้าพเจ้าป่วยอยู่เสพย์สุราไม่ได้ ซุนจุ๋นจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นมหาอุปราชกินยาดองสุราอยู่อัตรา อย่าให้ขัดพระอัชฌาสัยเลย ใช้ให้บ่าวไปเอายาดองมากินแต่พอใช้ชอบพระอัชฌาสัย จูกัดเก๊กก็ให้คนไปเอายาดองมากิน พระเจ้าซุนเหลียงเห็นจูกัดเก๊กกินสุรายาดองเมามึนตัวแล้ว จึงกลับเอาเนื้อความซึ่งพระบิดาฝากฝังบ้านเมืองแลพระองค์นั้นมาพูดให้จูกัด เก๊กไว้ใจ ซุนจุ๋นก็เข้าไปในฉากถอดเสื้อออกเสีย แล้วแต่งตัวให้มั่นคงเปนทีจะเข้ารบศึกแล้วถือกระบี่ออกมาจึงร้องว่า มีรับสั่งให้เราฆ่าอ้ายจูกัดเก๊กขื่งเปนศัตรูแผ่นดินให้สิ้นชีวิต จูกัดเก๊กตกใจมือจับกระบี่ขยับตัวจะลุกขึ้นสู้ ซุนจุ๋นก็ฟันจูกัดเก๊กสีสะขาดตกลง เตียวเอียดก็รำง้าวเข้ามาแทงถูกมือซุนจุ๋น ๆ ฟันถูกไหล่เตียวเอียด ทหารซึ่งถืออาวุธตระเตรียมอยู่ในฉาก จึงกรูออกมาเข้ากลุ้มรุมกันแทงฟันเตียวเอียดตาย ซุนจุ๋นสั่งทหารให้ไปจับบุตรภรรยาจูกัดเก๊กกับเตียวเอียด แลให้ริบพัสดุทองเงินเข้าไปเปนของหลวง ครั้นสั่งแล้วจึงให้ทหารเอาเสื่อพันศพจูกัดเก๊กเตียวเอียดไปทิ้งเสียนอก กำแพงเมืองข้างทิศใต้
ฝ่ายภรรยาจูกัดเก๊กให้เปนทุกข์หนักอกหนักใจนัก แลไปเห็นหญิงคนใช้ซึ่งปีศาจจูกัดเก๊กมาเข้ามีกลิ่นตัวเหม็นโลหิตเดิรเข้าไป ในเรือน จึงถามว่าตัวมึงถูกอะไรจึงเหม็นคาวโลหิต หญิงนั้นก็เหลือกตาแล้วโลดขึ้นไปนั่งบนขื่อ จึงร้องว่า กูนี้คือจูกัดเก๊ก พอทหารไปถึงเข้าก็ล้อมเรือนไว้ไล่จับมัดตัวภรรยาจูกัดเก๊กแลคนในเรือนได้ แล้วริบพัสดุเงินทอง เอาคนทั้งปวงไปฆ่าเสียกลางตลาด สิ่งของทั้งปวงเอาเข้าไปเปนหลวงสิ้น ครั้งนั้นเดือนสิบสอง พอพระเจ้าซุนเหลียงเสวยราชย์ได้สองปี (พ.ศ. ๗๙๖) เมื่อซุนจุ๋นฆ่าจูกัดเก๊กเสียดังนั้น พระเจ้าซุนเหลียงก็ตั้งให้เปนที่มหาอุปราชว่าราชการแผ่นดินทั้งปวง
ฝ่ายเกียงอุยทหารเมืองเสฉวน ครั้นแจ้งหนังสือจูกัดเก๊กก็ดีใจนัก จึงเอาเนื้อความมาทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วทูลลาจะยกกองทัพไปตีเม็องวุยก๊ก พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ยอม เกียงอุยกะเกณฑ์ทหารยี่สิบหมื่น ให้เลียวฮัวเปนปีกซ้าย เตียวเอ๊กเปนปีกขวาให้ยกไปหน้า ให้แฮหัวป๋าเปนที่ปรึกษาในกองหลวง เตียวหงีเปนทัพหลังคุมลำเลียง จึงให้ยกกองทัพไปทางด่านแฮเบงก๋วน ยกทัพครั้งนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบหกปี (พ.ศ. ๗๘๓) เกียงอุยจึงปรึกษาด้วยแฮหัวป๋าว่า เรายกกองทัพไปครั้งก่อนเสียทีแก่ข้าศึก ครั้งนี้ทหารก็มากเครื่องศัสตราวุธก็พร้อม เราจำจะคิดอ่านทำการให้สามารถ ท่านจะคิดทำประการใดจึงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึก
แฮหัวป๋าจึงว่า หัวเมืองขึ้นวุยก๊กข้างฝ่ายเหนือเห็นแต่หัวเมืองอันหนำนี้มีเข้าปลาอาหาร บริบูรณ์ ถ้าเราตีได้จะได้เปนกำลังเลี้ยงทหาร เมื่อเรายกไปครั้งก่อนเสียทีแก่เขา ด้วยกองทัพมิพร้อมทัพเมืองเกี๋ยงก็มามิทัน ครั้งนี้ขอท่านให้มีหนังสือไปให้ยกกองทัพมาทางเซ็กเอ๋ง ให้มาบัญจบทัพเรา ณ เมืองตองเต๋งพร้อมกัน แล้วเราจะยกไปตีเมืองอันหนำ
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้จัดแจงคุมเอาเพ็ชร์แลเงินทองแพรกระบวรอย่างดีเปนเครื่องราชบรรณาการไป ถึงปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกกองทัพมาช่วย ปีต๋องเจ้าเมืองบ้านนอกได้บรรณาการดีใจนัก จึงเกณฑ์กองทัพห้าหมื่น ให้โงโหเสียวกั้วสองคนเปนแม่ทัพหน้า ตัวปีต๋องเปนแม่ทัพหลวงยกไปเมืองตองเต๋ง
ฝ่ายกวยหวยเจ้าเมืองเองจิ๋วแจ้งว่าเกียงอุยยกทัพมา ก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเกี๋ยง สุมาสูจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า กองทัพเกียงอุยยกมาครั้งนี้ ผู้ใดจะอาสาออกไปต้านทาน ชิจิดขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกไป สุมาสูแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าชิจิดเปนคนดีมีสติปัญญากำลังก็มาก แล้วห้าวหาญในการสงคราม ครั้นได้ยินชิจิดรับอาสาดังนั้นดีใจนัก จึงให้ชิจิดเปนทัพหน้า สุมาเจียวเปนแม่ทัพหลวง คุมทหารยกไปถึงตองเต๋ง ชิจิดถือขวานขี่ม้าคุมทหารออกไป เกียงอุยใช้ให้เลียวฮัวคุมทหารออกรบ เลียวฮัวถือทวนขี่ม้าคุมทหารออกไปสู้กับชิจิดได้สามเพลง ทวนพลัดตกจากมือเสียทีก็ชักม้าหนีไป เกียงอุยใช้ให้เตียวเอ๊กออกช่วย เตียวเอ๊กถือทวนขี่ม้าออกรบกับชิจิดได้ประมาณห้าเพลงเหลือกำลังก็หนี ชิจิดได้ทีพาทหารไล่รุกบุกบันฆ่าทหารเกียงอุยตายเปนอันมาก เกียงอุยเห็นทหารระส่ำระสายนักจะต้านทานมิได้ ก็ล่าทัพถอยไปประมาณสามร้อยเส้นก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ ฝ่ายสุมาเจียวห้ามทหารไม่ให้ติดตาม ก็สั่งให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ที่นั่น
เกียงอุยจึงปรึกษากับแฮหัวป๋าว่า ชิจิดคนนี้มีกำลังมากนัก เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะฆ่าเสียได้ แฮหัวป๋าจึงว่า ต่อเวลาพรุ่งนี้เราให้ซุ่มทหารไว้สองฟากทางแล้ว ให้ทหารออกไปรบด้วยชิจิดให้ทำเปนแพ้หนีมา ชิจิดไล่มาเราจึงให้ทหารซึ่งซุ่มไว้ตีวกหลังเข้าเห็นจะจับชิจิดได้เปนมั่นคง
เกียงอุยจึงว่า สุมาเจียวคนนี้เปนบุตรสุมาอี้ เห็นเขาจะชำนาญนักในกลศึก ซึ่งจะล่อลวงดังนั้นเกรงจะไม่สมความคิด ด้วยที่ทางชอบกลนัก เห็นเขาจะไม่ติดตาม พิเคราะห์ดูเห็นทัพเมืองวุยก๊กมาทำการแก่เราแต่ก่อนมักให้กองทัพไปสกัดต้น ทางลำเลียง ซึ่งเราจะฆ่าชิจิดในที่รบซึ่งหน้าดังนี้เห็นไม่ได้ ด้วยกำลังก็มากทหารก็มาก เราตั้งมั่นอยู่ในค่ายไม่ออกรบ สุมาเจียวก็จะใช้ชิจิดไปตีลำเลียง เราคิดอ่านลวงชิจิดให้เสียทีแก่เราเมื่อไปตีลำเลียงที่ทางแคบ เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว แฮหัวป๋าเห็นชอบด้วย
เกียงอุยจึงให้หาเลียวฮัวกับเตียวเอ๊กมาสอนให้ทำกลอุบาย ซึ่งตัวเคยทำด้วยขงเบ้งแต่ก่อนนั้นให้ไปลวงชิจิดแล้วก็ใช้ไป เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กก็ไปทำเหมือนความคิดเกียงอุยสั่งมานั้น ฝ่ายเกียงอุยอยู่รักษาค่ายให้ทหารทำขวากกระจับเหล็กรายรอบค่าย แล้วให้ตัดไม้ทำขวากปักรายรอบชั้นนอกเปนอันมาก ฝ่ายชิจิดคุมทหารมาหน้าค่ายเกียงอุยร้องท้าทายทุกวันให้เกียงอุยออกรบ เกียงอุยก็มิได้ออกรบ ครั้นจะเข้าหักชิงเอาค่ายเห็นไม่ได้
กองสอดแนมจึงให้ม้าใช้มาบอกสุมาเจียวว่า ทหารเกียงอุยคุมลำเลียงมาถึงหลังเขาเทียดลองสัน สุมาเจียวจึงปรึกษาด้วยชิจิดว่า เกียงอุยมิได้ออกสู้รบเรา ตั้งมั่นอยู่ในค่ายชรอยจะคอยทัพหนุน เราจำจะให้ไปตัดลำเลียงเสีย เกียงอุยขัดสนลำเลียงลงแล้วเห็นจะหนีเราเปนมั่นคง ท่านจงคุมทหารไปตัดลำเลียงเสียให้จงได้ ชิจิดคุมทหารห้าพันยกไปเวลาพลบคํ่าไปถึงเขาเทียดลองสัน กองสอดแนมก็มาบอกว่า ทหารเกียงอุยประมาณสองร้อยเศษ คุมลำเลียงบันทุกโคยนตร์ประมาณร้อยเศษมาแล้ว ชิจิดก็ให้ทหารซุ่มอยู่สองฟากทาง ตัวเองไปตั้งสกัดอยู่ต้นทาง กองสอดแนมก็ให้ม้าใช้ไปบอกเกียงอุยว่า ชิจิดยกทัพจะไปตีลำเลียงแล้ว เกียงอุยก็ยกทัพมา ครั้นกองลำเลียงไปถึงเข้า ชิจิดก็ให้ทหารโห่ตีกระหนาบเข้าไป ทหารซึ่งคุมลำเลียงมานั้นก็หนีตามทางซึ่งเลียวฮัวเตียวเอ๊กทำกลสั่งให้ไป นั้น ชิจิดก็ให้ทหารสองพันห้าร้อยคุมลำเลียงกลับมา ตัวก็พาทหารสองพันห้าร้อยไล่ตามไป ครั้นไปได้ประมาณร้อยเส้นถึงทางแคบ พอพบเกวียนกลเปนอันมาก ซึ่งเลียวฮัวเตียวเอ๊กทำขวางทางไว้ ก็ให้ทหารลงจากม้าช่วยกันเข็นเกวียนแอบเข้าเสียข้างทาง ทหารก็เข้ากลุ้มรุมช่วยกัน ทหารซึ่งตามมานั้นก็คับคั่งกันอยู่เปนอันมาก แต่พอเกวียนเคลื่อนไหวจากที่ ก็เกิดเพลิงขึ้นในเกวียนเปนพลุพลุ่งออกมา ถูกทหารล้มตายเจ็บปวดเปนอันมาก ชิจิดก็คิดว่าเขาทำกลขวางหน้าไว้แล้ว ครั้นจะกลับไปทางมาเกรงเขาจะซุ่มทหารสกัดไว้ ก็พาทหารหนีไปทางน้อยริมเชิงเขาข้างหนึ่ง พอไปใกล้ถึงปากทางก็พบเกวียนกลแอบอยู่ริมสองฟากทางเปนอันมาก ตกใจนักก็เร่งรีบทหารไปให้พ้น เกวียนก็เกิดเพลิงพลุพลุ่งออกมาจากเกวียนทั้งสองฟากทาง ถูกทหารเจ็บปวดล้มตายมากนัก ชิจิดก็พาทหารซึ่งเหลือตายหนีพ้นไป แล้วได้ยินเสียงประทัดสำคัญ แลไปเห็นเลียวฮัวออกมาข้างซ้าย เตียวเอ๊กออกมาข้างขวา คุมทหารโห่ออกมาตีกระหนาบเข้า ทหารชิจิดก็ล้มตายสิ้น ชิจิดก็ควบม้าหนีไป พบเกียงอุยคุมทหารสกัดทางอยู่ ชิจิดตกใจนัก จะกลับอาวุธเข้าสู้ก็มิทัน เกียงอุยแทงถูกชิจิดตกม้าลง ทหารก็เข้ากลุ้มรุมกันฟันแทงชิจิดตาย
ฝ่ายทหารชิจิดครึ่งหนึ่งซึ่งคุมสำเลียงมานั้นไปพบแฮหัวป๋าเข้า แฮหัวป๋าก็ให้ทหารล้อมไว้ ทหารชิจิดเห็นสู้มิได้ก็ยอมเข้าด้วยแฮหัวป๋า ๆ กับทหารของตัวก็ถอดเอาเสื้อกางเกงทหารชิจิดมาใส่ แล้วให้ทหารถือธงชิจิดนำหน้าพาทหารแลสเบียงตรงเข้าไปค่ายสุมาเจียว ๆ เห็นทหารชิจิดตีลำเลียงได้มาก็เปิดประตูค่ายให้เข้าไป แฮหัวป๋าพาทหารเข้าไปในค่ายแล้วก็ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาเจียว ๆ พาทหารหนีออกไปได้ เลียวฮัวกับเตียวเอ็กเร่งรีบมาพบสุมาเจียวก็พาทหารเข้าระดมตี สุมาเจียวต้านทานมิได้ก็หนีไปทางหนึ่งพบทัพเกียงอุยเข้า เกียงอุยก็พาทหารเข้าโจมตี สุมาเจียวมิรู้ที่จะไปก็พาทหารหนีขึ้นไปบนเขาเทียดลองสัน เขานั้นมีทางจำเพาะขึ้นทางเดียว มีห้วงน้ำน้อยอยู่อันหนึ่งพอจะกินได้สักร้อยคน ทหารซึ่งขึ้นไปด้วยสุมาเจียวนั้นประมาณหกพันกินน้ำนั้นก็แห้งสิ้น เกียงอุยจะตามขึ้นไปมิได้ก็ให้ทหารล้อมเชิงเขาไว้ สุมาเจียวเห็นม้าแลทหารอดน้ำนัก ก็เงยหน้าขึ้นดูอากาศแล้วกระทืบเท้าร้องว่า เทพดาไม่เอ็นดูเลย จะให้อดน้ำตายเสียสิ้นแล้วหรือ
อองโถสมุห์บาญชีจึงว่า แต่ครั้งก่อนเกรงกะหยงคนหนึ่ง ยกกองทัพไปรบข้าศึกไม่มีนํ้าจะกิน พบห้วงน้ำอันหนึ่งเข้าหาน้ำมิได้ ก็กราบลงเสี่ยงทายเทพดาก็ได้น้ำกินบริบูรณ์ ท่านขัดสนด้วยน้ำครั้งนี้ขอให้เสี่ยงทายดูเถิด สุมาเจียวเห็นชอบด้วยก็ขึ้นไปถึงห้วงน้ำ กราบลงสามทีแล้วเสี่ยงทายว่า ข้าพเจ้าสุมาเจียวอาสาพระเจ้าแผ่นดินมาปราบปรามข้าศึก ถ้าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตแล้วขออย่าให้น้ำมีมาเลย ข้าพเจ้าจะได้เชือดคอตายเสีย ทหารทั้งปวงจะยอมเข้าไปหาข้าศึก ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่จะได้ทำราชการรักษาแผ่นดินสืบไป ขอใหเทพดาเจ้าบันดาลให้มีนํ้ามาเต็มห้วงนี้เถิด แต่พอสิ้นคำลงก็มีน้ำไหลออกมาเต็มห้วง ทหารแลม้าได้กินบริบูรณ์ไม่รู้สิ้นเลย
ฝ่ายเกียงอุยจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า มหาอุปราชล้อมสุมาอี้ไว้ได้ทีหนึ่งก็หาจับตัวได้ไม่ เรายังมีความแค้นอยู่ ครั้งนี้ข้าเห็นสุมาเจียวไม่พ้นมือแล้วจะจับได้เปนมั่นคง
ฝ่ายกวยหวยอยู่ ณ เมืองเองจิ๋ว ได้แจ้งว่าเกียงอุยล้อมสุมาเจียวไว้ที่เขาเทียดลองสันแล้ว จึงปรึกษากับต้านท่ายว่าจะยกกองทัพไปช่วย ต้านท่ายจึงว่า ซึ่งจะยกไปช่วยนั้นข้าพเจ้าเกรงอยู่ เพราะเกียงอุยยกมาครั้งนี้กองทัพเมืองเกี๋ยงก็มาด้วย ยกมาถึงแดนเมืองอังหนำแล้ว ครั้นรู้ว่าท่านยกมาช่วยสุมาเจียว ก็จะยกเข้าตีเอาเมืองเองจิ๋ว เราจะมิเสียทีหรือ ข้าพเจ้าคิดว่าจะทำลายทัพเมืองเกี๋ยงเสียก่อน จะให้ขุดหลุมกว้างยาวสกัดหน้าเมืองไว้ แล้วข้าพเจ้าจะไปลวงปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกมาตีเมืองเรา ๆ กำจัดปีต่องเสียได้แล้วจึงจะไปช่วยสุมาเจียวจะมิต้องระวังหลังเลย
กวยหวยเห็นชอบด้วย ก็ให้ด้านท่ายคุมทหารห้าพันไปลวงปีต๋อง ต้านท่ายยกไปใกล้ปีต๋องแล้ว ให้ทหารมัดศัสตราวุธแบกเข้าไปให้ปีต๋อง ต้านท่ายไปถึงปีต๋องแล้วกราบลงร้องไห้จึงว่า ข้าพเจ้าทำราชการด้วยกวยหวยมีความชอบหนักหนา กวยหวยมิได้ยกความชอบข้าพเจ้าเลย ตั้งตัวเปนใหญ่แล้วคิดกำจัดข้าพเจ้าเสียอีกเล่า ข้าพเจ้ามีความน้อยใจนัก จึงสมัคเข้ามาเปนข้าท่าน ด้วยแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าท่านมีสติปัญญารู้เลี้ยงคนดี ข้าพเจ้าจึงมาเข้าด้วยท่าน แลซึ่งจะตีเอาเมืองเองจิ๋วเปนพนักงานข้าพเจ้าผู้เดียวมิให้ท่านลำบากเลย ขอให้ยกกองทัพไปในเวลาคํ่าวันนี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอไปแก้ความแค้น ปีต๋องก็เชื่อ จึงสั่งให้โงโหกับเสียวกั้วยกกองทัพไปกับต้านท่าย
ฝ่ายโงโหเสียวกั้วก็ให้ทหารต้านท่ายอยู่รั้งหลัง เอาแต่ตัวต้านท่ายไปก่อน เวลาสองยามก็ถึงเมืองเองจิ๋ว แลไปเห็นประตูเปิดอยู่ ต้านท่ายก็ควบม้าไปบอกกวยหวยซึ่งตระเตรียมกองทัพไว้นั้นพากันออกมาตีวกหลัง ทหารต้านท่ายซึ่งตามมานั้นก็ไล่ฟันตามหลังเข้าไป ทหารโงโหเสียวกั้วก็ตกลงในหลุมทั้งม้าทั้งคน เหยียบกันเจ็บปวดล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งเหลือตายก็ยอมเข้าด้วยต้านท่าย
ฝ่ายโงโหเสียวกั้วก็เอาดาบเชือดฅอตายทั้งสองคน ครั้นรุ่งเช้ากวยหวยกับต้านท่ายก็ยกเข้าไปตีปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยง ซึ่งตั้งอยู่แดนเมืองอันหนำนั้น ปีต๋องเห็นทัพต้านท่ายกับกวยหวยมีความแค้นนัก ขี่ม้าคุมทหารออกมานอกค่าย ฝ่ายทหารกวยหวยต้านท่ายเห็นทหารปีต๋องน้อยนักก็เข้ากลุ้มรุมจับตัวปีต๋องได้ มัดเอามาให้กวยหวย ๆ เห็นทำเปนตกใจลงจากม้าขมีขมันไปแก้ปีต๋องออกเสียแล้วจึงว่า พระเจ้าโจฮองทรงพระเมตตาท่านนักว่าเปนคนสัตย์ซื่อ ตั้งพระทัยคอยจะชุบเลี้ยงท่าน เหตุใดท่านจึงเข้าด้วยเกียงอุยซึ่งเปนคนหยาบช้า ปีต๋องก็นบนอบขอชีวิตแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขอเปนข้าพระเจ้าโจฮอง กวยหวยจึงว่า ถ้ากระนั้นท่านจงเปนทัพหน้ายกไปตีเกียงอุยซึ่งล้อมสุมาเจียวไว้นั้น ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะทูลยกความชอบให้ ปีต๋องก็รับอาสา เวลาค่ำก็คุมทหารยกไปเปนทัพหน้า ครั้นเวลาสามยามใกล้ค่ายเกียงอุยเข้า จึงใช้ทหารไปบอกเกียงอุยว่าทัพปีต๋องมาถึงแล้ว เกียงอุยดีใจนักก็สั่งว่าให้เชิญปีต๋องเข้ามาเถิด ปีต๋องก็พาทหารซองตัวแลทหารกวยหวยเข้าไปด้วยเปนอันมาก เกียงอุยเห็นประหลาทใจจึงว่า ให้ทหารตั้งค่ายอยู่แต่นอกเถิด เชิญแต่ท่านกับทหารซึ่งตามหลังนั้นเข้ามา ปีต๋องก็พาทหารกวยหวยแลทหารของตัวซึ่งมีฝีมือประมาณร้อยหนึ่งเข้าไปในค่าย เกียงอุยกับแฮหัวป๋าออกมารับเข้าไปในค่าย ปีต๋องยังมิทันสั่งให้ทำการ ทหารได้ทีแล้วก็ไล่บุกบันฆ่าทหารเกียงอุยวุ่นวายขึ้น ทหารข้างนอกก็แหกค่ายเข้าไปช่วยกัน
เกียงอุยตกใจนักมิทันฉวยอาวุธเผ่นขึ้นม้าหนีไป ทหารทั้งปวงก็วิ่งออกจากค่ายกระจัดกระจายหนีไป เกียงอุยไม่มีอาวุธถือคว้าหาเกาทัณฑ์ที่สะเอวได้แต่คันลูกนั้นตกเสียแล้ว กวยหวยเห็นเกียงอุยก็ควบม้าไล่เกียงอุยก็ยิงแต่สายเกาทัณฑ์เปล่า กวยหวยได้ยินแต่เสียงเกาทัณฑ์หาเห็นลูกไม่ กวยหวยจึงเอาหอกซัดทำเปนลูกเกาทัณฑ์ยิงไป เกียงอุยฉวยได้ก็รออยู่ ให้กวยหวยเข้าไปใกล้คะเนได้ทีก็ยิงถูกกวยหวยตกม้าลง เกียงอุยก็กลับมาชิงได้ทวนสำหรับมือกวยหวยจะแทง พอทหารกวยหวยตามมาทันเกียงอุยก็หนีไป ทหารก็พากวยหวยเข้าไปค่าย แต่พอชักหอกออกได้โลหิตก็ไหลออกมากวยหวยก็ตาย สุมาเจียวก็พาทหารลงมาจากเขาช่วยกันไล่ติดตามข้าศึก
ฝ่ายแฮหัวป๋าหนีไปพบเกียงอุยเข้าก็พากันกลับไปเมึองฮันต๋ง จึงปรึกษากันว่าเราไปทัพครั้งนี้เสียทหารมากมาย แต่ว่าได้เปรียบด้วยล้างนายทหารใหญ่มีฝีมือได้สองคน ทหารเลวนั้นก็ล้มตายลงเปนอันมาก ความผิดเราก็มีความชอบเราก็มี ถึงจะเข้าไปเฝ้าเห็นมิพอเปนไร ว่าแล้วก็พากันไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
ฝ่ายสุมาเจียวก็ให้รางวัลแก่ปีต๋องแลทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วจึงสั่งว่าท่านจงกลับไปเมืองเถิด ข้าพเจ้าไปเฝ้าจะทูลความชอบให้ ปีต๋องก็ลาพาทหารกลับไปเมืองเกี๋ยง สุมาเจียวก็ยกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายสุมาสูแลสุมาเจียวได้ว่าราชการเมืองวุยก๊ก บันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็อยู่ในบังคับบัญชาสิ้นทั้งนั้น จะผิดแลชอบประการใดก็หาผู้ทัดทานได้ไม่
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 80
https://drive.google.com/file/d/135rpBsA-kaCyWk99R04GAlxHG-FH08Fo/view
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.526 seconds with 20 queries.
Loading...