User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
23 December 2024, 04:46:00
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618
Posts in
12,929
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
เรื่องราวน่าอ่าน
|
หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง
|
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50 (Read 832 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
on:
23 December 2021, 08:22:27 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-41.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41
เนื้อหา
โจโฉแต่งทหารให้ไปเป็นไส้ศึกในกองทัพจิวยี่
อุยกายรับอาสาซ้อนกลโจโฉ
เจียวก้านอาสาไปสืบข่าวในกองทัพจิวยี่
จิวยี่ซ้อนกลให้บังทองมาเข้ากับโจโฉ
โจโฉประชุมเลี้ยงทหาร
โจโฉเตรียมทัพ
จิวยี่รู้ว่าทัพฝ่ายตนอยู่ใต้ลมก็รากเลือด
ขงเบ้งออกอุบายให้จิวยี่เตรียมทัพแล้วหนีไป
จิวยี่จัดทัพจะเข้าตีโจโฉ
เล่าปี่จัดทัพสั่งดักโจโฉ
ฝ่าย โจโฉครั้นเสียความคิดแลลูกเกาทัณฑ์ ก็มีความอัปยศไม่สบายเลย ซุนฮิวจึงว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้จิวยี่กับขงเบ้งมีสติปัญญาเปนอันมาก ช่วยคิดอ่านทำการสงครามอยู่ ซึ่งเราจะรบพุ่งเอาชัยชนะนั้นเห็นขัดสน ขอให้ท่านแต่งทหารทำเปนหนีไปเข้าเกลี้ยกล่อมอยู่ในกองทัพจิวยี่ ให้คิดอ่านเปนไส้ศึก เราจึงจะทำการรบพุ่งได้ถนัด โจโฉเห็นชอบด้วยจึงว่า ท่านจะเห็นผู้ใดซึ่งจะอาสาทำการทั้งนี้ได้ ซุนฮิวจึงว่าท่านฆ่าชัวมอเสีย ยังแต่ชัวต๋งชัวโฮผู้น้อง ซึ่งเปนทหารเลวอยู่ ท่านจงเอาตัวมาพูดให้มีนํ้าใจ แล้วให้ทำเปนหนีไปเข้าเกลี้ยกล่อมจิวยี่ เห็นจิวยี่จะไม่มีความสงสัย ด้วยเห็นว่าชัวต๋งชัวโฮมีใจเจ็บแค้น ว่าท่านฆ่าชัวมอผู้พี่เสีย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้หาชัวต๋งชัวโฮเข้ามา แล้วตั้งให้เปนนายทหาร ให้เงินทองเสื้อผ้าตามสมควร
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจโฉจึงว่าแก่ชัวต๋งชัวโฮว่า ท่านจงตั้งใจทำราชการด้วยเราโดยสุจริต อย่าคิดเจ็บแค้นว่าเราฆ่าพี่ท่านเสีย บัดนี้เราจะจัดแจงทหารให้ท่านทำเปนหนีเราไปอยู่ด้วยจิวยี่ แม้จิวยี่จะคิดกลศึกประการใด ท่านจงบอกความลับมาให้เรารู้ด้วย ถ้าการสำเร็จแล้วเราจะเลี้ยงให้ถึงขนาด ชัวต๋งชัวโฮจึงว่ามหาอุปราชอย่าได้คิดแคลงข้าพเจ้าเลย อันบุตรภรรยาข้าพเจ้าก็อยู่ในเมืองเกงจิ๋วเหมือนอยู่ในเงื้อมมือท่าน แม้ข้าพเจ้าคิดทำการเปนสองใจก็ให้ฆ่าบุตรภรรยาข้าพเจ้าเสียเถิด ข้าพเจ้าจะขอตั้งใจอาสาไปทำการเอาสีสะจิวยี่กับขงเบ้งมาให้ท่านจงได้ โจโฉมีความยินดีจึงจัดแจงทหารเมืองเกงจิ๋วห้าร้อย กับเรือรบห้าลำให้แก่ชัวต๋งชัวโฮ ครั้นเวลากลางคืนชัวต๋งกับชัวโฮลงเรือ แล้วกางใบแล่นตามลมลงไปถึงฝั่งค่ายจิวยี่
ในขณะนั้นจิวยี่ปรึกษาการสงครามอยู่กับทหารทั้งปวง พอกองตะเวนมาบอกเนื้อความว่า บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮน้องชัวมอพาทหารประมาณห้าร้อยหนีโจโฉมา จะอยู่ทำราชการด้วยท่าน จิวยี่แจ้งดังนั้นก็ให้ทหารออกไปรับชัวต๋งกับชัวโฮเข้ามา ชัวต๋งชัวโฮคำนับแล้วร้องไห้บอกจิวยี่ว่า ชัวมอพี่ข้าพเจ้าหาความผิดมิได้ โจโฉให้ฆ่าเสีย ข้าพเจ้ามีใจพยาบาทคิดแค้นโจโฉอยู่เปนอันมาก จึงพากันหนีมาหวังจะอยู่ทำราชการด้วยท่าน แม้ท่านจะยกออกไปรบเมื่อใด ข้าพเจ้าจะอาสาเปนทัพหน้า จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้เท่าทำเปนมีใจยินดีแล้วแกล้งพูดว่า ซึ่งท่านมีความแค้นโจโฉสมัคมาอยู่ด้วยเราขอบใจนัก จึงให้เงินทองเสื้อผ้าแก่ชัวต๋งกับชัวโฮตามสมควร แล้วให้ชัวต๋งชัวโฮไปเข้ากองทัพหน้ากำเหลง ชัวต๋งชัวโฮก็ลามาอยู่ด้วยกำเหลงแล้วคิดในใจว่า ครั้งนี้เราอาสาโจโฉมาเห็นจะสมความคิดเปนมั่นคง
ฝ่ายจิวยี่จึงให้หากำเหลงมาแล้วค่อยกระซิบสั่งว่า ซึ่งชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ด้วยเรานี้ ใช่จะจริงเหมือนปากนั้นหามิได้ เพราะมิได้เอาครอบครัวมาด้วย ถ้อยคำมั่นว่าทั้งนี้เปนกลอุบายของโจโฉใช้มา เราจะคิดซ้อนกลโจโฉ เอาชัวต๋งชัวโฮไว้ให้กลับลวงโจโฉเอง เราจึงจะทำการได้ถนัด ซึ่งเราให้ชัวต๋งชัวโฮไปอยู่ด้วยท่านนั้น จงช่วยทำนุบำรุงอย่าให้เคืองใจ แล้วระวังระไวเหตุการณ์กว่าเราจะคิดอ่านเห็นช่องมีชัยแก่โจโฉ เราจึงจะฆ่าชัวต๋งชัวโฮตัดเอาสีสะเส้นธงชัย กำเหลงรับคำแล้วก็ลากลับไป ณ ค่าย
โลซกจึงว่าแก่จิวยี่ว่า ชัวต๋งกับชัวโฮมาอยู่ด้วยท่านนี้เปนกลอุบาย อย่าให้ท่านเอาไว้ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธตวาดเอาโลซกแล้วว่า เดิมชัวมอผู้พี่เขานั้นหาความผิดมิได้ โจโฉให้ฆ่าชัวมอเสีย ชัวต๋งกับชัวโฮก็มีความน้อยใจหนีมาอยู่ด้วยเรา หวังจะแก้แค้นโจโฉ แลตัวจะมาคิดแหนงเขาฉนี้ นานไปผู้ใดที่มีความคิดแลฝีมือจะอาจเข้ามาอยู่ด้วยเราเล่า แล้วทำเปนลุกเดิรเข้าไปข้างใน
โลซกจึงเอาเนื้อความซึ่งจิวยี่ว่ากล่าวนั้นไปเล่าให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งได้แจ้งดังนั้นก็หัวเราะ มิได้ว่าประการใด โลซกเห็นดังนั้นแล้วก็ถามว่า เหตุใดท่านจึงหัวเราะ ขงเบ้งจึงตอบว่า ตัวท่านนี้ซื่อนัก มิได้ล่วงเห็นความคิดจิวยี่ บัดนี้จิวยี่แจ้งในกลอุบายโจโฉ ซึ่งคิดอ่านให้ชัวต๋งชัวโฮมาสมัคอยู่ด้วยนั้น เพราะเหตุว่ากองทัพจิวยี่กับโจโฉตั้งอยู่นี้เปนชายทเล ยากที่จะใช้ผู้คนไปมาสอดแนม โจโฉจึงแกล้งให้ชัวต๋งกับชัวโฮทำเปนหนีมาอยู่ด้วยจิวยี่ หวังจะได้บอกการแก่โจโฉ อันจิวยี่เอาไว้นั้นเพราะจะคิดซ้อนกลโจโฉ ซึ่งท่านว่ากล่าวห้ามปรามจิวยี่มิให้เอาชัวต๋งชัวโฮไว้นั้น จิวยี่แกล้งทำโกรธท่านดอก โลซกจึงว่า เมื่อจิวยี่โกรธนั้นข้าพเจ้าไม่แจ้งจริง ต่อท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าจึงเห็นความคิดจิวยี่ แล้วโลซกก็ลาขงเบ้งกลับไปที่อยู่
ครั้นเวลากลางคืนจิวยี่ออกมานั่งคิดราชการอยู่ พอเห็นอุยกายเดิรเข้ามาจิวยี่จึงถามว่า ท่านเข้ามานี้จะเตือนสติเราประการใด อุยกายจึงว่า อันทหารโจโฉซึ่งยกมาทำศึกครั้งนี้มากกว่าเรานัก แม้ท่านจะตั้งรออยู่ให้ช้ามิได้คิดอ่านรบพุ่ง ข้าพเจ้าเห็นจะเสียทีแก่เขาเปนมั่นคง เหตุใดท่านไม่คิดอ่านเอาเพลิงเผากองทัพโจโฉเสีย
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ความคิดอันนี้ผู้ใดสอนให้ท่านมาว่าหรือ อุยกายจึงบอกว่า ความอันนี้ข้าพเจ้าคิดเอง จะได้มีผู้ใดมาสั่งสอนให้ว่ากล่าวหามิได้ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ความคิดอุยกายนี้ต้องกันกับเรา แล้วว่าเราก็คิดเหมือนกับท่าน แต่ว่ายังหามีทีกระทำไม่ บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ด้วยเรา เปนกลอุบายของโจโฉหวังจะใคร่รู้เหตุการณ์ในกองทัพเรา ซึ่งเราเอาตัวชัวต๋งชัวโฮไว้นี้ เพราะจะคิดซ้อนกลโจโฉ แต่วิตกอยู่ข้อหนึ่งว่า หาผู้ใดจะอาสาไปถึงกองทัพโจโฉมิได้ อุยกายจึงบอกว่าท่านอย่าวิตกเลย แม้ท่านจะใช้ข้าพเจ้าจะขออาสา จิวยี่จึงว่าถ้าท่านจะรับอาสาแล้ว จำจะต้องทนอาญาเราถึงสาหัส การทั้งปวงจึงจะสมความคิด แล้วโจโฉก็จะไม่มีความสงสัย อุยกายจึงว่าซุนกวนมีคุณเลี้ยงข้าพเจ้ามาก็ได้มีความสุขเปนอันมาก ยังมิได้แทนคุณสิ่งใดก่อน ครั้งนี้ถึงมาทว่าตัวข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แม้ท่านจะใช้สิ่งใดจะขอตั้งใจอาสา เอาโลหิตทาแผ่นดินไว้ให้ปรากฎว่าได้อาสานายถึงขนาด จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี คุกเข่าลงคำนับอุยกายแล้วว่า แม้ท่านสุจริตรับดังนี้ได้ อันการศึกครั้งนี้ก็จะสำเร็จเพราะท่าน แล้วให้สัญญากันไว้ อุยกายรับคำแล้วก็ลามาที่อยู่
ครั้นเวลาเช้าจิวยี่ออกว่าราชการ ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงมาพร้อมกัน แล้วให้หาขงเบ้งเข้ามาด้วย จึงแกล้งปรึกษาว่าโจโฉยกทัพมาครั้งนี้มีทหารประมาณร้อยหมื่นเศษ ตั้งค่ายเรียงกันไปประมาณสามพันเส้น ฝ่ายทหารเราก็น้อยกว่าเขานัก ซึ่งจะคิดรบพุ่งนั้นใช่จะสำเร็จแต่ในวันเดียวนั้นหามิได้ เราจะแจกสเบียงอาหารให้นายทัพนายกองทั้งปวง ให้แจกทหารเลวกินกำหนดไปให้พอสามเดือน แม้จะกะเกณฑ์ยกไปรบจะได้ทันทีสดวก อุยกายได้ฟังดังนั้นจึงแกล้งว่า อย่าแจกสเบียงไว้แต่สามเดือนเลย ข้าพเจ้าแถมให้แจกไว้ถึงสามสิบเดือนอีก การศึกนั้นก็หาสำเร็จไม่ จงเร่งคิดอ่านรบพุ่งให้กองทัพโจโฉแตกไปในเดือนหนึ่ง ถ้าไม่แตกก็ให้ทำตามคำเตียวเจียวว่า เราท่านทั้งปวงจะชวนกันถอดเกราะทิ้งอาวุธเสีย เข้าไปขอออกแก่โจโฉจะมิดีกว่าอีกหรือ
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็แกล้งทำเปนโกรธ มิให้ผู้ใดสงสัย แล้วจึงว่า ซุนกวนให้เราถืออาญาสิทธิ์คุมทหารเปนแม่ทัพใหญ่มาทำการสงครามด้วยโจโฉ บัดนี้เราคิดการเห็นชอบจึงสั่งให้แจกเข้าดังนั้น เหตุใดตัวจึงบังอาจว่ากล่าวขัดขวางให้ทหารทั้งปวงคิดย่อท้อไม่เปนใจรบพุ่ง ฝ่ายข้าศึกรู้ก็จะมีใจกำเริบบุกบันเข้ามาทำร้ายกองทัพเรา แล้วสั่งทหารให้เอาตัวอุยกายไปฆ่าเสีย
อุยกายได้ฟังดังนั้นก็แกล้งทำเปนโกรธหนักขึ้นจึงตอบว่า ตัวกูอาสาทำการสงครามมาแต่ครั้งซุนเกี๋ยน จนซุนเกี๋ยนได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ครั้นซุนเกี๋ยนถึงแก่ความตาย ตัวกูก็เปนข้าฝ่ายทหารต่อมาจนถึงซุนเซ็กซุนกวนก็ได้สามนายแล้ว แต่กูเปนคนอาภัพครั้งนี้จึงได้เปนลูกกองคนใหม่มา จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ทำโกรธยิ่งขึ้นเปนอันมาก จึงสั่งทหารเร่งให้เอาตัวอุยกายไปฆ่าเสีย
กำเหลงจึงห้ามว่า อุยกายนี้เปนคนเก่า ได้ว่ากล่าวเปนข้อละเมิดผิดลงแล้ว ข้าพเจ้าขอโทษไว้สักครั้งหนึ่งเถิด จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งตัวมาขอโทษอุยกายไว้นี้ สืบไปภายหน้าทหารทั้งปวงจะมิดูเยี่ยงอย่างไปหรือ แล้วสั่งให้ทหารขับกำเหลงออกไปเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงคำนับจิวยี่แล้วว่า อุยกายว่ากล่าวทั้งนี้โทษผิดถึงตายอยู่แล้ว แต่ซึ่งจะให้ฆ่านั้นยังไม่ควรด้วยยังกำลังอยู่ในระหว่างทัพศึก จะเปนอัปมงคลไป ขอให้งดไว้ก่อน แม้กำจัดโจโฉแตกไปแล้วจึงค่อยฆ่าอุยกายเสีย
จิวยี่จึงตอบว่า ท่านทั้งปวงว่ากล่าวนี้ก็ควรอยู่ ครั้นเราจะยกโทษอุยกายเสียทีเดียวภายหน้าก็จะกำเริบขัดขวางอีก แต่ซึ่งจะให้ฆ่าเสียนั้น เรายกโทษให้ท่านทั้งปวง แล้วสั่งทหารให้เอาตัวอุยกายไปตีร้อยหนึ่ง คนใช้จึงเอาตัวอุยกายลงมาตีได้ประมาณห้าสิบที ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงช่วยกันอ้อนวอนขอโทษอีก
จิวยี่จึงลุกขึ้นด่าอุยกายเปนข้อหยาบช้า แล้วว่าครั้งนี้กูให้ตีมึงแต่ห้าสิบที สืบไปภายหน้ามิได้หลาบจำบังอาจขัดขวางอีก กูจะให้ตัดสีสะเสียบประจานไว้ แล้วก็เดิรเข้าไปที่ข้างใน ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงก็เข้าพยุงอุยกายออกไปถึงที่อยู่ แลแผลซึ่งต้องตีนั้นก็แตกช้ำโลหิตไหล อุยกายสลบไปถึงสองครั้งสามครั้ง คนทั้งปวงมีความสงสารร้องไห้รัก แล้วช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้น ฝ่ายขงเบ้งนั้นมิได้ว่าประการใด ก็กลับลงไปเรือ โลซกจึงตามลงไปเรือว่าแก่ขงเบ้งว่า ตัวข้าพเจ้านี้อยู่ในบังคับบัญชาจิวยี่ เห็นจิวยี่ให้ตีอุยกายก็มีความสงสาร แต่จะว่ากล่าวขอโทษนั้นก็เกรงอยู่ ตัวท่านเปนแขกมา เหตุใดจึงนิ่งเสียมิได้ขอโทษอุยกาย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ตัวท่านคิดว่าเราไม่รู้หรือ จึงมาดูหมิ่นว่าเราฉนี้ โลซกจึงตอบว่า แต่ข้าพเจ้าไปพาท่านมาอยู่ ณ เมืองกังตั๋งจนออกมาทัพนี้ ข้าพเจ้ายังมิได้ว่ากล่าวหยาบช้าสิ่งใดให้เคืองใจ เหตุใดท่านจึงว่าข้าพเจ้าดูหมิ่นดังนี้เล่า ขงเบ้งจึงว่า เมื่อจิวยี่ให้ตีอุยกายนั้นเปนกลอุบายของจิวยี่คิดจะซ้อนกลโจโฉ เราจึงนิ่งอยู่มิได้ขอโทษอุยกาย ซึ่งจิวยี่ให้ทำการทั้งนี้ หวังจะให้ชัวต๋งชัวโฮเห็นจริง ก็จะบอกการทั้งปวงไปถึงโจโฉให้แจ้ง แล้วจะให้อุยกายทำเปนเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉ แม้ท่านจะกลับไปหาจิวยี่ อย่าได้บอกว่าเราล่วงรู้เนื้อความทั้งนี้ จงบอกแต่ว่าเราเห็นจิวยี่ให้ตีอุยกายนั้นก็มีความน้อยใจอยู่ ด้วยจิวยี่มิได้รักทหาร
โลซกแจ้งดังนั้นก็รับคำ แล้วลาขงเบ้งกลับไปหาจิวยี่ จิวยี่จึงพาโลซกเข้าไปในที่ข้างใน โลซกจึงแกล้งถามจิวยี่ว่า อุยกายเปนคนเก่าได้ว่ากล่าวพลั้งไป เหตุใดท่านจึงให้ทำโทษถึงเพียงนี้ จิวยี่กลับถามว่า ซึ่งเราให้ตีอุยกายนั้น ท่านเห็นคนทั้งปวงพูดจาเปนทีน้อยใจเราอยู่หรือ โลซกจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นคนทั้งปวงไม่สู้สบาย ด้วยเหตุว่าท่านให้ทำโทษอุยกายเจ็บปวดเปนสาหัส จิวยี่จึงถามว่า ท่านได้ยินขงเบ้งว่ากล่าวประการใดบ้าง โลซกจึงบอกว่า ขงเบ้งมีความน้อยใจอยู่ ว่าท่านมิได้เอ็นดูทหาร จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะแล้วว่า เราคิดการครั้งนี้ขงเบ้งหารู้เท่าไม่ โลซกจึงถามว่า ซึ่งท่านว่าขงเบ้งไม่รู้เท่านั้นด้วยเหตุประการใด
จิวยี่จึงบอกว่า ขงเบ้งมิได้ล่วงรู้ความคิดเรา ซึ่งให้ทำโทษอุยกายนั้น เพราะเหตุว่าจะซ้อนกลให้อุยกายเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉ แลเนื้อความซึ่งเราทำทั้งนี้ ชัวต๋งชัวโฮไม่รู้เท่าก็จะบอกไปถึงโจโฉ ๆ ก็จะคิดว่าจริง เราจึงจะเอาเพลิงจุดทำการศึกให้มีชัยชนะโจโฉ โลซกได้ฟังดังนั้นก็คิดแต่ในใจว่า สติปัญญาของขงเบ้งนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าจิวยี่อีก ซึ่งขงเบ้งสั่งนั้นโลซกก็มิได้บอกจิวยี่ประการใด แล้วก็ลาไปที่อยู่
ฝ่ายอุยกายซึ่งต้องโบยมานั้นนอนอยู่ ณ ค่าย คนทั้งปวงไปเยือนถามข่าวเปนอันมาก อุยกายมิได้พูดจาด้วยผู้ใด แต่ทำเปนเคี้ยวฟันทอดใจใหญ่อยู่
ในขณะนั้นพองำเต๊กซึ่งเปนที่ปรึกษาจิวยี่นั้น เปนเพื่อนรักกับอุยกาย แลงำเต๊กคนนี้นํ้าใจสัตย์ซื่อ แลพูดจากล้าหาญเข้ามาเยือนอุยกาย ครั้นเห็นคนทั้งปวงไปสิ้น อุยกายจึงขับบ่าวไพร่ของตัวออกไปเสีย แล้วเรียกงำเต๊กเข้ามาใกล้ งำเต๊กจึงถามว่า แต่ก่อนนั้นท่านกับจิวยี่มีสาเหตุสิ่งใดกัน จิวยี่จึงให้ทำโทษท่านถึงเพียงนี้ อุยกายจึงบอกว่ามิได้มีสาเหตุกันสิ่งใด งำเต๊กจึงว่า เมื่อไม่มีพยาบาทกัน ซึ่งจิวยี่ให้ทำโทษแก่ท่านเจ็บปวดเปนสาหัสดังนี้จะมิเปนกลอุบายหรือ อุยกายก็ถามว่าเหตุใดท่านจึงรู้ งำเต๊กจึงบอกว่า ซึ่งจิวยี่ทำโทษท่านนี้เราเห็นเปนกลอุบายสิบส่วน แต่เรารู้เก้าส่วนไม่แจ้งนั้นส่วนหนึ่ง
อุยกายจึงว่า เดิมโจโฉคิดเปนกลอุบายให้ชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ด้วยจิวยี่ ๆ จึงปรึกษาเราว่าจะคิดซ้อนกลโจโฉ แลตัวเรานี้ซุนเกี๋ยนซุนเซ็กมีคุณเลี้ยงดูเรามา ครั้นซุนเกี๋ยนซุนเซ็กถึงแก่ความตายแล้ว ซุนกวนก็เลี้ยงดูเราต่อมาคุณนั้นเปนอันมาก เรามิได้มีสิ่งใดจึงเอากายเอาชีวิตนี้แทนคุณ จะอาสาทำการเปนกลอุบาย หวังจะให้กองทัพโจโฉแตกจงได้ เราจึงสู้ทรมานกายเจ็บปวดจนถึงเนื้อถึงเลือด บัดนี้เราพิเคราะห์ดูทหารทั้งปวงในกองทัพนี้มิได้มีผู้ใดที่จะไว้ใจเลย เราเห็นแต่ท่านผู้เดียวมีใจสุจริตสัตย์ซื่อมั่นคงต่อนาย เราจึงบอกความลับทั้งนี้ แม้ท่านรับอาสาได้เราจึงจะบอกต่อไปให้สิ้น
งำเต๊กจึงว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้จะให้เราไปแต่งกลลวงโจโฉหรือ อุยกายจึงตอบว่า ท่านว่านี้ก็ต้องในความคิดเรา แต่ว่าน้ำใจของท่านนั้นจะยอมไปหรือไม่ งำเต๊กจึงตอบว่าเจ้านายก็ได้มีคุณมา ตัวเราบัดนี้ก็มีแต่ชีวิต คิดจะให้ลือชาปรากฎไว้ในแผ่นดิน จะอาสาไปคิดอ่านล่อลวงโจโฉให้ได้ ถึงมาทว่าโจโฉรู้จะฆ่าเสียก็ตามเถิด ขอแต่ให้มีชื่อปรากฎไว้ อุยกายได้ฟังดังนั้นก็ค่อยพยุงตัวขึ้นคำนับงำเต๊กแล้วว่า ซึ่งท่านคิดอ่านทั้งนี้มิเสียแรงเปนชาติทหาร งำเต๊กจึงว่าจะอยู่ช้านักไม่ได้ แม้ท่านจะสั่งเสียอย่างไรก็ให้เร่งทำหนังสือเราจะไป อุยกายจึงอุตส่าห์เขียนหนังสือแล้วผนึกส่งให้งำเต๊กแล้วว่า ท่านจงรีบไปคิดอ่านให้ได้ราชการของนายเรา งำเต๊กรับเอาหนังสือแล้วก็ลามาที่อยู่ ครั้นเวลาคํ่าจึงแต่งตัวปลอมเปนชาวประมง ลงเรือน้อยทอดแหไปใกล้หน้าค่ายกองทัพโจโฉ
ฝ่ายทหารกองตะเวนโจโฉเห็นเรือน้อยทอดแหมาผิดประหลาท ก็จับเอาตัวมาไต่ถาม แล้วเข้าไปบอกเนื้อความแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าจับเรือหาปลาได้ ครั้นถามบอกว่าชื่องำเต๊ก เปนที่ปรึกษาซุนกวน จะมาบอกความลับท่าน โจโฉแจ้งดังนั้นจึงว่า ซึ่งงำเต๊กมานี้หวังจะสอดแนมข้อราชการในกองทัพเรา จึงให้เอาตัวงำเต๊กเข้ามาในเวลาสามยามเศษ แล้วถามว่าตัวมานี้ด้วยเหตุสิ่งใด งำเต๊กจึงว่า คนทั้งปวงลือชาปรากฎว่ามหาอุปราชนี้มีสติปัญญากว้างขวาง ทั้งน้ำใจโอบอ้อมอารีมีความปราถนาจะใคร่เลี้ยงทหารซึ่งมีความคิดแลฝีมือกล้า แข็ง ข้าพเจ้ามาทั้งนี้อุปมาเหมือนหนึ่งคนซึ่งเดิรทางหยากนํ้า ครั้นพบสระน้ำเข้าก็ตักกินด้วยความยินดี บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นมหาอุปราชถือตัวอยู่ มิได้รู้จักคนดีแลชั่ว เมื่อพิเคราะห์ดูก็ไม่สมคำคนทั้งปวงเล่าลือ ซึ่งอุยกายคิดอ่านให้ข้าพเจ้ามาหานี้ก็ป่วยการเสียเปล่าหาประโยชน์มิได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เรากับซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งก็ทำสงครามกันอยู่ ฝ่ายตัวท่านก็เปนที่ปรึกษาซุนกวน ก็เหมือนหนึ่งเปนศัตรูเรา แลเมื่อท่านมาถึงนั้น เหตุใดจึงมิให้ไล่เลียงเนื้อความดูว่ามาดีแลร้ายก่อน จะด่วนให้เราวิ่งลงไปรับนั้นสมควรกับความคิดแม่ทัพแม่กองอยู่แล้วหรือ งำเต๊กได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนสรรเสริญโจโฉแล้วว่า อันอุยกายนั้นอยู่มาแต่ครั้งซุนเกี๋ยนแลซุนเซ็กต่อกันมาถึงซุนกวน แต่เพียงซุนกวนก็ยังมิได้มีโทษประการใด แต่พอได้จิวยี่มาไว้ซุนกวนตั้งให้เปนนายทหาร จิวยี่มีใจกำเริบมิได้ยำเกรงล่วงบังคับบัญชา ตีอุยกายผู้เปนบ่าวเดิมให้ได้ความอัปยศ นํ้าใจนั้นพยาบาทจิวยี่อยู่ อันอุยกายกับข้าพเจ้าเปนเพื่อนรักกันสนิธเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน ครั้นอุยกายจะลอบหนีมาหาท่าน จิวยี่ก็ให้ตีป่วยหนักอยู่ จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือลับลอบมาให้ท่าน หวังจะใคร่แจ้งว่าท่านจะมีความเอ็นดูหรือไม่ยังสงสัยอยู่ แลด้วยตัวต้องถูกลงอาญาเจ็บปวดสาหัส จึงให้ข้าพเจ้ามาคำนับแทน
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า หนังสือซึ่งอุยกายให้มานั้นอยู่ไหนเล่า งำเต๊กจึงเอาหนังสือส่งให้ โจโฉก็รับเอามาฉีกผนึกออกอ่านดู ในหนังสือนั้นเปนใจความว่า ข้าพเจ้าอุยกายคำนับมาถึงมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าอยู่มากับซุนเกี๋ยนซุนเซ็กซุนกวนถึงสามนายแล้วก็มิได้มีภัย อันตราย คุณของแซ่ซุนนั้นหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าคิดตั้งใจจะแทนคุณอยู่มิได้ขาด ซึ่งท่านยกกองทัพมาครั้งนี้มีทหารประมาณร้อยหมื่นเศษ ทั้งสติปัญญาก็ลึกซึ้งกว้างขวาง อุปมาดังก้อนศิลา อันทหารในเมืองกังตั๋งนั้นก็น้อย อุปมาเหมือนฟองไก่แลฟองนก ผู้ซึ่งมีสติปัญญาบ้างก็คิดว่าจะสู้รบด้วยกองทัพท่านสืบไป ดังหนึ่งเอาฟองไก่มากระทบก้อนศิลา น่าที่ก็จะแตกระยำไป จึงปรึกษาพร้อมกันให้ขอออกแก่ท่านจะได้มีความสุขสืบไป แต่จิวยี่ผู้เดียวมีใจองค์อาจมิได้ยอมด้วย ว่ากล่าวขอทหารซุนกวนยกมาทำการสงครามด้วยท่าน อันจิวยี่นั้นกำเริบตั้งสง่าว่ามีสติปัญญาหาผู้ใดจะเสมอมิได้ บังคับการสงครามเอาแต่ตามอำเภอใจ ข้าพเจ้ามิได้มีความผิดก็ให้ทำโทษประจานให้ได้ความเจ็บอาย ข้าพเจ้ามีความเจ็บแค้นเปนอันมาก ได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านมีใจกรุณาแก่สัตว์เหมือนหนึ่งญาติพี่น้อง คนทั้งปวงเข้าพึ่งพาได้อยู่เย็นเปนสุข อุปมาดังห่าฝนอันตกลงมาชุ่มชื่นแผ่นดินอยู่ฉนั้น บัดนี้ตัวข้าพเจ้าจะไปคำนับยังมิได้ ด้วยจิวยี่ให้โบยตีป่วยอยู่เปนสาหัส แม้ค่อยคลายแล้วได้ช่องเมื่อใดข้าพเจ้าจึงจะเอาสเบียงอาหารบันทุกเรือลอบหนี มาหาท่านให้จงได้ ท่านอย่าคิดสงสัยข้าพเจ้าเลย
โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธ อ่านกลับไปกลับมาประมาณเก้าครั้งสิบครั้งจึงตวาดเอา แล้วว่าจิวยี่คิดกลอุบายตีอุยกาย อุยกายจึงแต่งหนังสือให้ตัวถือมานี้เปนทีเยาะเย้ยเรา แล้วสั่งให้ทหารเอาตัวงำเต๊กไปฆ่าเสีย ขณะเมื่อทหารคุมเอาตัวงำเต๊กจะออกไปนั้น งำเต๊กมิได้ย่อท้อทำอาการแหงนหน้าขึ้นไปดูอากาศแล้วหัวเราะ โจโฉเห็นดังนั้นก็สงสัย จึงเรียกให้ทหารเอาตัวงำเต๊กกลับมาแล้วขู่ถามว่า เรารู้อยู่ว่าจิวยี่กับอุยกายแกล้งทำกลอุบายมาลวงเรา ๆ จึงให้ฆ่าตัวเสีย เหตุใดตัวมิได้กลัวความตาย กลับหัวเราะเยาะดังนี้ งำเต๊กจึงบอกว่าข้าพเจ้ามิได้หัวเราะเยาะมหาอุปราช ข้าพเจ้าหัวเราะเยาะความคิดอุยกายต่างหาก ด้วยมิได้รู้จักคนดีแลชั่ว โจโฉจึงถามว่า เหตุใดจึงว่าอุยกายมิได้รู้จักคนดีแลชั่วนั้นฉันใดเล่า งำเต๊กจึงแกล้งตอบว่า ท่านอย่าถามเซ้าซี้ไปให้ช้าเลย จะฆ่าเราก็เร่งฆ่าเสียเถิด
โจโฉจึงว่า ตัวเราได้เรียนพิชัยสงครามชำนาญมาแต่เด็กเปนอันมาก บัดนี้เราก็แจ้งอยู่ในกลศึกต่าง ๆ จึงได้เปนนายถึงเพียงนี้ ซึ่งตัวคิดอ่านทำกลอุบายมาลวงเรา ๆ รู้เกินกว่าความคิดตัวอีก ถ้าตัวจะคิดเล่นฉนี้ จงไปลวงเด็กเลี้ยงโคนั้นเถิด งำเต๊กจึงตอบว่า ท่านก็มีสติปัญญากว้างขวางอยู่ ซึ่งอุยกายให้หนังสือมานี้ ท่านพิเคราะห์เห็นว่าข้อใดซึ่งไม่จริงนั้นจงว่าออกไปให้แจ้ง โจโฉจึงว่า ครั้นเราจะไม่บอกออกให้แจ้งบัดนี้ ซึ่งจะให้ฆ่าตัวเสียนั้น ตัวก็จะน้อยใจว่าเรามิได้ชี้แจงให้เห็นผิดแลชอบ อันในหนังสือที่มีมานั้น ถ้าอุยกายกับตัวจะสมัคมาอยู่ด้วยเราโดยสุจริตแล้ว ก็จะมีกำหนดวันคืนซึ่งจะพาครอบครัวอพยพมาหาเรา นี่อุยกายแกล้งทำกลอุบายมาลวงเรา งำเต๊กได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งท่านอวดตัวว่าได้เรียนตำราพิชัยสงครามชำนาญอยู่นั้นหาจริงไม่ แต่เราเสียดายว่าท่านได้เปนมหาอุปราชมิได้รู้ทีเสียทีได้ เราจะช่วยเตือนสติท่านไว้ ว่าให้เร่งยกทัพกลับไปเสีย แม้ไม่ฟังคำเรา จิวยี่ก็จะจับตัวท่านได้เปนมั่นคง อันตัวเรานี้เปนคนโฉดเขลา ถึงมาทว่าจะตายด้วยอาญาท่านก็หามีคนลือชื่อไม่ โจโฉจึงว่า เหตุใดตัวจึงมาดูถูกเราดังนี้ งำเต๊กจึงว่าท่านหาความคิดมิได้ มิได้รู้การถ่ายเทการสงครามทั้งปวง ไม่รู้ความเท็จความจริง แลไม่รู้คเนนํ้าใจคนว่ามีความสัตย์หรือหาสัตย์ไม่
โจโฉจึงถามว่า เราไม่รู้การนั้นสิ่งใด งำเต๊กจึงว่า ตัวท่านเปนถึงมหาอุปราช คนดีมีปัญญามาหาท่านก็มิได้นับถือ เราจะว่าต่อไปใยให้ป่วยการ ด้วยตัวจะตายอยู่แล้ว โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งตัวมีสติปัญญานั้นจงว่าออกให้เราเห็นประจักษ์เถิด เราจะได้นับถือท่านสืบไป งำเต๊กจึงว่าท่านไม่แจ้งหรือ อันธรรมดาผู้จะหนีเจ้านายไปอยู่กับผู้อื่น ซึ่งจะกำหนดวันคืนมานั้นหามีธรรมเนียมไม่ แม้จะให้กำหนดวันคืนมา เกลือกยังมิได้ช่องก่อน ครั้นถึงวันกำหนดแล้ว ฝ่ายผู้ซึ่งจะมารับนั้นก็จะเสียการ ทั้งผู้ถือหนังสือเล่าก็จะได้ความผิดด้วย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ ค่อยคลายความโกรธ จึงลุกไปจูงมืองำเต๊กขึ้นไปนั่งที่สมควรแล้วขอขะมาว่า ซึ่งได้ประมาทพลาดพลั้งนั้นท่านอย่าน้อยใจเลย เราขออภัยเสียเถิด งำเต๊กจึงว่า อันน้ำใจอุยกายกับข้าพเจ้าอุปมาเหมือนทารกหยากนม ฝ่ายตัวท่านเหมือนมารดา อุยกายกับข้าพเจ้าซึ่งตั้งใจจะมาหาท่าน เหมือนทารกมีความยินดีซึ่งจะได้กินนมมารดา อันจะคิดเปนกลอุบายมานั้นหามิได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สิ้นสงสัยจึงว่า ซึ่งอุยกายกับท่านตั้งใจสุจริตจะมาทำราชการด้วยเรานี้ แม้สำเร็จการศึกแล้ว เราจะตั้งท่านทั้งสองเปนใหญ่กว่าทหารทั้งปวง งำเต๊กจึงว่า อันตัวข้าพเจ้าซึ่งคิดอ่านจะมาอยู่กับท่านนี้ ใช่จะรักยศฐาศักดิ์นั้นหามิได้ เพราะเห็นว่าการแผ่นดินทุกวันนี้จะร่วงโรยอยู่แล้ว หากท่านทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรจึงตั้งอยู่ได้เพียงนี้ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจมาหวังจะฝากตัวท่าน จะได้มีความสุขสืบไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงชวนงำเต๊กกินโต๊ะอยู่ พอคนใช้ซึ่งสนิธเข้ามากระซิบบอกโจโฉว่า บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮลอบบอกความลับมาถึงท่าน แล้วเอาหนังสือนั้นยื่นให้โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดูมิให้งำเต๊กเห็น ในหนังสือนั้นว่าชัวต๋งชัวโฮขอบอกข้อราชการในกองทัพจิวยี่มาถึงมหาอุปราชให้ แจ้ง ด้วยจิวยี่ทำโทษอุยกายเจ็บปวดเปนสาหัส ครั้นโจโฉแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว เห็นสมคำงำเต๊ก โจโฉมีความยินดีนัก หน้าตานั้นผ่องใส งำเต๊กเห็นกิริยาโจโฉนั้นชื่นชมยินดี ก็คิดว่าคงเปนหนังสือชัวต๋งชัวโฮบอกการซึ่งจิวยี่ทำโทษอุยกายมา บัดนี้ต้องคำเรา การทั้งปวงซึ่งคิดไว้ก็จะสำเร็จ
โจโฉจึงว่าแก่งำเต๊กว่า ท่านเร่งกลับไปบอกเนื้อความแก่อุยกายให้คลายทุกข์ แล้วให้อุยกายกำหนดวันคืนซึ่งจะมาได้นั้นบอกให้เราแจ้ง เราจะได้จัดแจงทหารไปรับ งำเต๊กจึงแกล้งตอบว่า ข้าพเจ้าคิดจะอยู่ด้วยท่านจะไม่กลับไปแล้ว ด้วยได้รับความลำบากนัก ครั้นจะนำสื่อสาส์นกลับไปกลับมาอีก เกลือกจิวยี่รู้การทั้งปวงก็จะเสียไป ขอท่านแต่งทหารในกองทัพนี้ให้ลอบไปเอากำหนดอุยกายดีกว่า
โจโฉจึงว่า ทหารของเราเปนคนข้างนอก ครั้นจะใช้ไปมา จิวยี่ก็จะเห็นประหลาท การทั้งปวงก็จะแพร่งพรายไป ท่านจงไปเองจึงจะได้การสดวก งำเต๊กแกล้งทำบิดพลิ้วอยู่ช้านานจึงว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปก็อย่าช้าเลย จงเร่งจัดแจงเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงแพรอย่างดีกับเงินทองให้เปนรางวัลงำเต๊ก งำเต๊กจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชให้บำเหน็จรางวัลทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ ครั้นข้าพเจ้าจะรีบไปบัดนี้ก็ไม่ได้ ด้วยเปนการเร็วจะรีบไปรีบมา คนทั้งปวงจะสงสัย
งำเต๊กจึงเอาสิ่งของคืนให้แก่โจโฉ แล้วก็ลงเรือมาหาอุยกาย ณ ค่ายจิวยี่ งำเต๊กเล่าเนื้อความซึ่งได้พูดกับโจโฉแลโจโฉสั่งมานั้นให้อุยกายฟังทุก ประการ อุยกายได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่งำเต๊กว่า ครั้งนี้แม้ไม่ได้ท่านช่วย ธุระข้าพเจ้าก็จะเจ็บเสียเปล่า งำเต๊กจึงว่า ข้าพเจ้าจะลาไป ณ ค่ายกำเหลงดูกิริยาชัวต๋งชัวโฮจะคิดอ่านประการใดบ้าง อุยกายก็เห็นชอบด้วย งำเต๊กก็ลาไปค่ายกำเหลง งำเต๊กจึงแกล้งว่าแก่กำเหลงหวังจะให้ชัวต๋งชัวโฮรู้ ว่าเมื่อจิวยี่ทำโทษอุยกายอันหาความผิดมิได้นั้นท่านกับขุนนางทั้งปวงเห็น ไม่ชอบ ช่วยอ้อนวอนขอโทษ จิวยี่กลับโกรธตวาดเอาท่าน แล้วว่ากล่าวหยาบช้าให้ท่านได้ความเจ็บอายเปนอันมาก ข้าพเจ้าก็พลอยมีความแค้นด้วย
กำเหลงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะอยู่ ยังไม่ทันจะตอบประการใด พอชัวต๋งชัวโฮเดิรเข้ามา งำเต๊กจึงกระหยิบตาให้กำเหลง ๆ แจ้งในทีจึงแกล้งทำเปนว่า อันจิวยี่นี้ถือตัวอวดรู้ว่ามีสติปัญญาไม่มีผู้ใดจะเสมอ แล้วก็มิได้นับถือเราซึ่งเปนคนเก่า ว่ากล่าวหยาบช้าให้เราได้ความอับอายแก่ขุนนางทั้งปวง แล้วกำเหลงก็ทำเคี้ยวฟันว่าจะเปนไรมี งำเต๊กจึงแกล้งทำกระซิบเข้าที่หูกำเหลง ประหนึ่งจะห้ามว่าอย่าอื้ออึง เนื้อความจะแพร่งพรายไป กำเหลงก็ทำเปนพยักหน้าแล้วคำรามอยู่ ชัวต๋งชัวโฮเห็นกิริยางำเต๊กกับกำเหลงทำดังนั้น ก็คิดว่ามีความแค้นจะเอาใจออกหากจิวยี่ จึงแกล้งปราไสล่อถามว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านทั้งสองไม่สบาย ท่านมีทุกข์สิ่งใดหรือ งำเต๊กจึงตอบว่า เรามีความแค้นอยู่ในใจ ซึ่งท่านจะล่วงรู้นั้นไม่ได้ ชัวต๋งชัวโฮจึงว่า เรารู้แล้วว่าท่านทั้งสองจะใคร่สมัคไปอยู่ด้วยมหาอุปราช แต่ยังไม่สมความคิด ท่านจึงไม่สบาย เราจะไปบอกจิวยี่ งำเต๊กได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้าสลดลง แลดูกำเหลงตลึงอยู่ กำเหลงนั้นทำเปนโกรธถอดกระบี่ออกแล้วว่า การของเราคิดไว้เปนความลับ เหตุใดมารู้แพร่งพรายไปดังนี้ แม้ละไว้ช้ามันก็จะเอาเนื้อความไปบอกจิวยี่จริง เราก็จะถึงแก่ความตาย อย่าเลยเราจะฆ่ามันเสียก่อน แล้วก็ทำคุกคามคำรามจะฆ่าชัวต๋งชัวโฮเสีย ชัวต๋งชัวโฮได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธ ข้าพเจ้าจะบอกความจริงให้แจ้งก่อน กำเหลงจึงว่า ความจริงของตัวทั้งสองอย่างไรให้เร่งว่ามา หาไม่เราจะฆ่าเสีย ชัวต๋งชัวโฮจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าสมัคมาอยู่กับจิวยี่นี้ ใช่จะตั้งใจมาโดยสุจริตหามิได้ มหาอุปราชแต่งกลอุบายให้ทำเปนหนีมาเข้าเกลี้ยกล่อมจิวยี่ หวังจะได้เนื้อความตื้นลึกหนักเบาในกองทัพจิวยี่ลอบไปบอกให้รู้จะได้คิดการ ต่อไป แม้ท่านจะสมัคไปอยู่ด้วยมหาอุปราชเราก็จะพาไป กำเหลงจึงถามว่า ซึ่งท่านบอกนี้เปนความจริงหรือ ชัวต๋งชัวโฮก็สาบาลว่าจริง กำเหลงงำเต๊กทำเปนดีใจลุกขึ้นคำนับ เข้ากอดเอาชัวต๋งชัวโฮแล้วว่า ซึ่งท่านทั้งสองว่านี้ อุปมาเหมือนเทพดาเข้าดลใจให้มาช่วยเรา ครั้งนี้เราจะสิ้นความแค้น แลเนื้อความซึ่งจิวยี่ให้ทำโทษอุยกายนั้น เราก็ให้ลอบบอกไปถึงมหาอุปราชแล้ว งำเต๊กจึงว่า ตัวเราเองเปนผู้ไปถึงมหาอุปราช ๆ ให้เรากลับมาเอากำหนดวันคืนอุยกายจะไปนั้น บัดนี้อุยกายให้เรามาชวนกำเหลง
กำเหลงงำเต๊กจึงชวนชัวต๋งชัวโฮกินโต๊ะ ถ้อยทีถ้อยปรึกษากันไปมา ครั้นกินโต๊ะแล้วชัวต๋งชัวโฮก็ลามาที่อยู่ แล้วแต่งหนังสือลับให้คนสนิธลอบถือไปให้โจโฉเปนใจความว่า ข้าพเจ้าชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ในกองทัพจิวยี่นี้ ได้เกลี้ยกล่อมกำเหลงซึ่งเปนแม่ทัพหน้านั้น มีน้ำใจเจ็บแค้นจิวยี่ต่าง ๆ กำเหลงรับเปนไส้ศึก แม้มหาอุปราชจะยกกองทัพมารบจิวยี่เมื่อใด กำเหลงก็จะคุมทหารออกตีกระหนาบจิวยี่ ฝ่ายงำเต๊กก็แต่งหนังสือให้ทหารถือไปถึงโจโฉเปนใจความว่า ข้าพเจ้างำเต๊กกับอุยกายจะจัดเรือบรรทุกสเบียงมา ณ ค่ายมหาอุปราช ให้คอยดูสำคัญ ถ้าเห็นธงตะขาบเขียวปักมาหน้าเรือเปนสำคัญแล้ว ท่านจงให้ทหารมารับด้วย
ฝ่ายโจโฉแจ้งในหนังสือทั้งสองฉบับดังนั้น จึงปรึกษากับขุนนางแลทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮบอกมาถึงเราว่า กำเหลงซึ่งเปนแม่กองทัพหน้าจะรับเปนไส้ศึกในกองทัพจิวยี่ อนึ่งอุยกายให้งำเต๊กมาหาเราว่าอุยกายนั้นจะมาเข้าเกลี้ยกล่อมเรา บัดนี้งำเต๊กก็ให้หนังสือมาว่า อุยกายกับงำเต๊กจะจัดเรือบรรทุกสเบียงปักธงตะขาบเขียวเปนสำคัญมา ให้เราคอยรับ แลเนื้อความทั้งสองข้อนี้เราแคลงอยู่ ผู้ใดซึ่งมีสติปัญญาจะอาจสามารถปลอมเข้าไปฟังกิตติศัพท์เท็จแลจริงในในกอง ทัพจิวยี่ได้ เจียวก้านจึงว่า ครั้งก่อนข้าพเจ้ารับอาสาไปว่าจะเกลี้ยกล่อมจิวยี่ก็มิได้ข้อราชการ ถึงท่านไม่เอาโทษก็ดี แต่มีความวิตกอยู่ในใจเปนอันมาก ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาแก้ตัวไปสืบเอาข้อราชการมาให้แจ้ง
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงเรือเร็วให้เจียวก้านลำหนึ่ง เจียวก้านลงเรือรีบไปถึงกองทัพจิวยี่ แล้วบอกแก่ทหารว่า เราจะขอเข้าไปหาจิวยี่ ทหารจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกจิวยี่ว่า บัดนี้เจียวก้านจะเข้ามาหาท่านอีก จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งเจียวก้านจะมาหาเราครั้งนี้ อันการของเราที่คิดไว้นั้นก็จะสำเร็จเพราะเจียวก้าน จิวยี่จึงให้ทหารกลับออกไปบอกเจียวก้านว่าเรายังนอนอยู่ ทหารนั้นก็ออกไปบอกเจียวก้านตามคำจิวยี่สั่ง เจียวก้านก็คอยอยู่นอกค่าย
(ในขณะเมื่อกองทัพโจโฉยกลงมาถึงแดนเมืองเกงจิ๋วนั้น บังทองกลัวทหารโจโฉจะทำอันตราย จึงหนีออกมาอยู่แดนเมืองกังตั๋ง โลซกได้ไปถามบังทองว่าจะคิดอ่านรบพุ่งประการใดจึงจะได้ชัยชนะโจโฉ บังทองจึงว่าให้คิดอ่านเอาโซ่ล่ามเรือรบโจโฉ แล้วเอาตะปูตรึงไว้ทุกลำ แล้วจึงให้เอาเพลิงจุดเผาเสียโจโฉจึงจะแตก แลเนื้อความทั้งนี้โลซกได้มาบอกแก่จิวยี่ แล้วสรรเสริญว่าบังทองนั้นมีสติปัญญา จิวยี่ก็นับถือบังทองว่าเปนคนดี ครั้นจิวยี่ยกกองทัพมาครั้งนี้ บังทองก็มาลอยเรืออยู่ด้วย)
ฝ่ายจิวยี่จึงให้หาโลซกมาแล้วสั่งว่า บัดนี้เจียวก้านมาลวงหวังจะดูเหตุการณ์หนักเบาในกองทัพเรา ๆ จะแกล้งให้เอาตัวเจียวก้านไปขังไว้ ท่านจงไปอ้อนวอนบังทองให้พูดจากับเจียวก้านให้เปนไมตรีกันเข้าแล้ว เห็นเจียวก้านจะพาบังทองหนีไปหาโจโฉ ณ ค่าย ให้บังทองคิดอ่านลวงโจโฉให้เอาโซ่ร้อยเรือรบเสียจงสิ้น เราจึงจะได้เอาเพลิงเผาเสียทั้งกองทัพเรือ โลซกก็ลาไปบอกแก่บังทองตามคำจิวยี่สั่งทุกประการ แล้วจิวยี่จึงให้ทหารออกไปรับเจียวก้าน
ฝ่ายเจียวก้านนั้นคิดเห็นว่า น้ำใจจิวยี่มิได้เปนปรกติเหมือนแต่ก่อน จึงให้ทหารซึ่งมาคอยนั้นเอาเรือไปจอดให้พ้นกองทัพจิวยี่ แล้วเจียวก้านเดิรเข้าไปในค่าย เห็นหน้าจิวยี่ตึงอยู่ ฝ่ายจิวยี่นั้นทำโกรธ จึงว่าแก่เจียวก้านว่า ตัวมิได้คิดถึงไมตรี บังอาจดูหมิ่นเรา เจียวก้านได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ตัวเรากับท่านเปนเพื่อนรักกันมาแต่เด็ก บัดนี้เราก็มีความรักเสมออยู่เหมือนพี่น้องของเราอันเกิดร่วมมารดากัน ซึ่งท่านว่าเราบังอาจดูหมิ่นนั้นเปนประการใด จิวยี่จึงว่า เมื่อตัวมาครั้งก่อนนั้น เราก็รู้อยู่ว่าโจโฉให้มาเกลี้ยกล่อมเรา อันความคิดเรานี้แม้น้ำในพระมหาสมุทรแห้ง เราจึงจะไปอยู่ด้วยโจโฉ แต่เราคิดเอ็นดูตัวว่าเปนเพื่อนรักกัน เราจึงห้ามปรามมิให้ตัวออกชื่อโจโฉ หวังจะตัดเนื้อความซึ่งพูดจาเกลี้ยกล่อมเรา ๆ ชวนตัวเสพย์สุรา แล้วพาเข้าไปนอนเตียงเดียวกัน ครั้นเรานอนหลับอยู่ ตัวลักเอาหนังสือซึ่งชัวมอเตียวอุ๋นให้มาแก่เรา แล้วตัวก็มิได้ร่ำลาเรา ลอบหนีไปแต่ในเวลากลางคืน เอาหนังสือไปให้แก่โจโฉ ๆ จึงฆ่าชัวมอเตียวอุ๋นเสีย การใหญ่ของเราซึ่งคิดกันไว้เสียไปเพราะตัว บัดนี้ตัวคิดอ่านมาจะทำร้ายเราอีกเล่า แม้เราไม่คิดถึงว่าได้เปนเพื่อนรักกันมาแต่ก่อนก็จะให้ตัดสีสะตัวเสียบ ประจานไว้หน้าค่าย ครั้นเราจะปล่อยให้ตัวไปบัดนี้เล่า ตัวก็จะเอาเนื้อความในกองทัพเราไปบอกแก่โจโฉ เราจะทำศึกต่อไปนั้นก็ขัดสน ถ้าเรากำจัดโจโฉแตกไปได้เมื่อใดจึงจะปล่อยตัวเสีย แล้วสั่งทหารให้เอาตัวเจียวก้านคุมไว้ จิวยี่ก็เดิรเข้าไปข้างใน ทหารสองคนจงพาตัวเจียวก้านไปคุมไว้ ณ วัดบนเนินเขา
ในขณะนั้นเจียวก้านมีความทุกข์มิได้เปนกินเปนนอน ครั้นเวลากลางคืนเห็นเดือนสว่าง จึงเดิรไปเที่ยวเล่นหลังวัด หวังจะให้ความทุกข์คลาย พอได้ยินเสียงคนในกระท่อมนั้นอ่านหนังสือตำราพิชัยสงครามอันลํ้าลึก แล้วอธิบายออกไปกว้างขวาง เจียวก้านคิดแต่ในใจว่า ผู้อ่านหนังสือนี้มีสติปัญญาเปนอันมาก จึงเข้าไปเคาะประตูหวังจะสนทนาด้วย ฝ่ายบังทองได้ยินเสียงเคาะประตูก็ถามว่าผู้ใด เจียวก้านจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเจียวก้านจะมาหาท่าน บังทองจึงเปิดประตูรับเข้าไป เจียวก้านคำนับแล้วถามว่าท่านชื่อใดบังทองจึงบอกว่าเราชื่อบังทอง เจียวก้านจึงถามว่า ท่านนี้หรือซึ่งเขาเรียกว่าอาจารย์ฮองซู บังทองจึงรับว่าเรานี้แหละ เจียวก้านจึงว่า คนทั้งปวงลือชาปรากฎอยู่ว่า ท่านมีสติปัญญาเปนอันมาก เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ไม่สมควรเลย บังทองจึงตอบว่า จิวยี่นั้นเปนคนถือตัว อวดรู้ว่ามีความคิดหาผู้ใดเสมอมิได้ แล้วดูหมิ่นคนทั้งปวง เราจึงหลบหลีกมาซุ่มซ่อนหวังจะหาความสบาย
เจียวก้านจึงว่า ตัวท่านมีสติปัญญาแล้วก็ชำนาญในตำราพิชัยสงคราม อันจะเที่ยวอยู่ดังนี้ก็เหมือนคนหาความคิดไม่ อันน้ำใจโจโฉนั้นรักผู้มีสติปัญญา จะใคร่สนทนาด้วย แม้ไปอยู่ด้วยโจโฉท่านก็จะได้ความสุข ข้าพเจ้าจะช่วยพาไป แล้วจะเสนอความชอบให้ บังทองจึงแกล้งตอบว่าเราก็คิดอยู่ ว่าจะซอกซอนไปเสียให้พ้นแดนเมืองกังตั๋ง แต่ไม่มีผู้ใดที่จะช่วยชักนำไป บัดนี้ท่านรับธุระแล้วเราก็มีความยินดี ครั้นจะอยู่ช้าไปเกลือกจิวยี่รู้กิตติศัพท์ก็จะทำอันตรายแก่เราทั้งสอง เจียวก้านจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย แล้วพาบังทองลอบหนีลงเรือรีบแจวไปถึงค่ายโจโฉ เจียวก้านจึงเข้าไปบอกเนื้อความซึ่งได้โต้ตอบกับจิวยี่ แล้วว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมได้บังทองมานั้นให้โจโฉฟัง
โจโฉได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงออกมาคำนับรับบังทองเข้าไป เชิญให้นั่งแล้วว่า อายุจิวยี่ก็อ่อนอยู่ แต่นํ้าใจองค์อาจกำเริบ ยกตัวว่ามีสติปัญญาแต่ผู้เดียว มิได้เอาความคิดที่ปรึกษาซึ่งมีสติปัญญาเลย บัดนี้ตัวท่านมาถึงข้าพเจ้าแล้วจงเอ็นดูด้วย การสิ่งใดซึ่งข้าพเจ้าทำนี้ ถ้าไม่ควรก็ช่วยตักเตือนสั่งสอน บังทองจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์คนทั้งปวงลือชาปรากฎอยู่ว่า มหาอุปราชมีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม มาทว่าจะตั้งกระบวรทัพเล่า ก็ต้องในตำราพิชัยสงคราม ข้าพเจ้ามาบัดนี้ก็ยังมิได้เห็นประจักษ์เหมือนคำเลื่องลือก่อน แม้ได้ดูแล้วจึงจะว่าผิดแลชอบได้
โจโฉจึงให้ผูกม้าเข้าสองตัว ให้บังทองขี่ตัวหนึ่ง โจโฉขี่ตัวหนึ่ง แล้วพาบังทองขึ้นไปดูบนเนินเขา บังทองพิเคราะห์ดูแล้วก็แกล้งสรรเสริญว่า ซึ่งมหาอุปราชตั้งค่ายนี้เปนชั้นเชิงแอบพุ่มไม้ เอาเนินเขาเปนที่พึ่งทุกค่าย แล้วก็มีประตูเข้าออกตลอดถึงกัน เปนทีหนีทีไล่ อันขบวรทัพซึ่งตั้งค่ายนี้มั่นคงยิ่งกว่าครั้งซุนบิ๋น๑ตั้ง ขบวรทัพอันหาผู้เสมอมิได้ ถึงมาทว่าซุนบิ๋นจะกลับมีชีวิตมาทำการสงครามด้วยท่านครั้งนี้ ก็ไม่ชนะท่าน โจโฉจึงตอบว่า ท่านอย่ายกย่องข้าพเจ้าเลย แม้ผิดพลั้งสิ่งใดท่านจงช่วยสั่งสอน ข้าพเจ้าจะขอเอาสติปัญญาท่านสืบไป แล้วโจโฉก็พาบังทองไปดูกองทัพเรือ
บังทองเห็นเรือรบใหญ่ ๆ นั้นเอาออกไปทอดเปนค่ายไว้ข้างนอก ไว้ช่องประตูยี่สิบตำบล เรือน้อย ๆ นั้นทอดอยู่ข้างใน มีเรือสอดแนมสำหรับใช้สอยการเร็วนั้นเปนอันมาก บังทองจึงหัวเราะแล้วแกล้งว่า อันมหาอุปราชจัดแจงตั้งขบวรทัพบกทัพเรือนี้ถูกถ้วนนัก สมกับคนทั้งปวงเลื่องลือ อันจิวยี่ครั้งนี้เห็นจะตายอยู่ในเงื้อมมือมหาอุปราชเปนมั่นคง โจโฉได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาบังทองเข้ามากินโต๊ะในค่าย แล้วโจโฉจึงแกล้งถามไต่ไล่เลียงในการสงครามทั้งปวง บังทองแก้ไขชี้แจงให้แจ้งทุกประการ มิได้ขัดขวางแต่สิ่งใด สิ่งหนึ่ง โจโฉก็ยิ่งมีความยินดีเปนอันมาก นับถือบังทองเหมือนหนึ่งอาจารย์ บังทองจึงถามโจโฉว่า ท่านยกมาครั้งนี้มีหมอสำหรับทัพมาหรือไม่ โจโฉตอบว่า ท่านถามหาหมอนั้นจะประสงค์สิ่งใด บังทองจึงว่า ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่า ทหารทั้งปวงของท่านเปนชาวดอน บัดนี้ลงมาชายทเลกินน้ำผิดเพศกัน เกลือกจะป่วยไข้ลงหมอจะได้พยาบาล โจโฉก็บอกว่า หมอนั้นมีสำหรับทัพเปนอันมาก บังทองจึงแกล้งว่า การทัพบกทัพเรือซึ่งท่านจัดแจงนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ทัพเรือนั้นข้าพเจ้าคิดเสียดายการสิ่งหนึ่ง ท่านยังมิได้ทำด้วย โจโฉจึงถามถึงสองครั้งสามครั้งว่าการสิ่งใดซึ่งยังขาดอยู่นั้น บังทองทำบัดพลิ้วอยู่ ประหนึ่งว่าขัดมิได้จึงบอกออกว่า ความคิดข้าพเจ้าที่เห็นยังขาดอยู่นั้น คือทหารเรือรบของท่านเปนชาวป่าชาวดอนไม่สันทัดการทเล อันการในทเลนั้นกอปด้วยคลื่นลมเปนอันมาก ทหารทั้งปวงก็จะเมาคลื่นระส่ำระสายไป เพราะเรือรบนั้นโคลงเคลง การรบพุ่งก็จะไม่ทันที แม้เอาเรือรบใหญ่น้อยทั้งปวงผูกขนานเปนแพเข้ากองละสี่สิบห้าสิบลำ จึงเอาสายยูติดหน้าเรือทุกลำ แล้วเอาสายโซ่ร้อยให้ชิดเข้าไว้เปนกอง ๆ แล้วเอากระดานปูปากเรือให้ตลอดถึงกันทุกลำ กรึงตะปูให้แน่นแน่เหมือนแผ่นดิน จึงให้ตั้งค่ายขึ้นไว้สำหรับจะได้ป้องกันเมื่อเรือรบทั้งปวงแน่อยู่แล้ว ทหารของเราก็จะไม่เมาคลื่น ทั้งม้าแลคนก็เดิรตลอดจะได้ช่วยรบพุ่งถึงกันถนัด
โจโฉได้ฟังดังนั้นไม่ทันคิดก็มีความยินดี ลุกขึ้นคำนับบังทองแล้วว่าอันความคิดของท่านดีนัก ครั้งนี้จะได้เมืองกังตั๋งเพราะท่านบอกเล่ห์กลให้ แล้วสั่งอิกิ๋มกับมอกายซึ่งเปนนายกองทัพเรือ ให้เร่งทำการทั้งปวงตามคำบังทอง แต่เรือรบน้อยๆให้เอาไว้ใช้สักสองร้อยสามร้อยลำ อิกิ๋มมอกายก็รีบให้ทหารทำการตามโจโฉสั่ง บังทองจึงแกล้งว่า ข้าพเจ้าเห็นที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงซึ่งมาในกองทัพจิวยี่นั้น มีความน้อยใจจิวยี่อยู่เปนอันมาก ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมคนทั้งปวงมาอยู่ด้วยมหาอุปราช จิวยี่นั้นก็จะสิ้นความคิดลง ท่านก็จะจับได้เปนมั่นคง แม้ได้จิวยี่แล้ว อันเล่าปี่ขงเบ้งก็เหมือนอยู่ในกำมือท่าน โจโฉมิได้รู้กลก็มีความยินดีจึงว่า ถ้าท่านช่วยการครั้งนี้สำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลความชอบให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งท่านเปนขุนนางผูใหญ่ บังทองจึงว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านนี้ ใช่จะเห็นแก่ยศฐาศักดิ์หามิได้ เพราะเอ็นดูอาณาประชาราษฎรจะให้เปนสุข แม้ท่านได้เมืองกังตั๋งแล้ว ขออย่าได้ฆ่าญาติพี่น้องข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเมืองนั้นเสียเลย
โจโฉจึงว่า ข้าพเจ้าทำการศึกแห่งใดตำบลใดก็ดี ใช่จะให้ราษฎรได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะบำรุงให้มีความสุขอีก ซึ่งข้าพเจ้าให้ฆ่าฟันเสียบ้างนั้น แต่ผู้ซึ่งขัดขวาง แม้ท่านเกรงอยู่ว่าญาติพี่น้องจะเปนอันตราย ข้าพเจ้าจะให้หนังสือไปคุ้มไว้เปนสำคัญ บังทองทำเปนยินดีคำนับแล้วว่า แม้มหาอุปราชเอ็นดูจะให้หนังสือไปคุ้มไว้ ข้าพเจ้าก็จะไม่มีความวิตก โจโฉจึงแต่งหนังสือให้ บังทองรับเอาหนังสือแล้วสั่งโจโฉไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าไปแล้วให้มหาอุปราชเร่งจัดแจงกองทัพไปรบจิวยี่ก่อน อย่าทันให้จิวยี่ยกมา แล้วบังทองก็ลาโจโฉออกมาจะลงเรือ
ฝ่ายชีซีจึงเข้ายุดชายเสื้อบังทองไว้ แล้วค่อยกระซิบว่า ตัวท่านนี้องค์อาจนัก กลัวว่าเพลิงนั้นจะเผาทหารโจโฉไม่สิ้นหรือ จึงแกล้งคิดอ่านเปนกลอุบายมาลวงโจโฉให้ผูกร้อยเรือรบเข้าไว้ฉนี้ หวังจะให้เผาทหารแลเรือรบเสียให้สิ้นทีเดียวหรือ ซึ่งความคิดท่านทั้งนี้จะลวงได้ก็แต่โจโฉ อันตัวเรานี้รู้เท่าอยู่ บังทองได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เหลียวหลังมาเห็นชีซีแต่ผู้เดียวก็ค่อยคลายใจ ด้วยชีซีนั้นเปนเพื่อนรักกันมาแต่ก่อน แล้วว่าซึ่งเราคิดอ่านมาว่ากล่าวแก่โจโฉทั้งนี้ ด้วยเสียดายเมืองกังตั๋งอันเปนหัวเมืองเอก แล้วมีเมืองขึ้นถึงแปดสิบเอ็ดเมือง เกรงว่าจะมีอันตราย ทั้งไพร่บ้านพลเมืองก็จะถึงแก่ความตายเสียสิ้น เราจึงมาล่อลวงโจโฉหวังจะเอาชีวิตชาวเมืองทั้งปวงไว้ ชีซีจึงทำเปนตอบว่า ตัวท่านเสียดายชาวเมืองกังตั๋งจะเปนอันตรายจึงมาคิดอ่านการทั้งนี้ อันทหารโจโฉถึงแปดสิบสามหมื่นนั้น ท่านหามีใจเอ็นดูว่าจะถึงแก่ความตายไม่หรือ
บังทองจึงว่า การทั้งนี้ใช่จะเปนการของซุนกวนผู้เดียวนั้นหามิได้ ก็เปนการของเล่าปี่นายเก่าท่านด้วย ซึ่งท่านว่าฉนี้จะเอาความคิดของเราบอกแก่โจโฉให้แจ้งให้การเสียไปหรือ ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งเราตกมาอยู่ด้วยโจโฉนี้เปนความจำใจ จนมารดาเราถึงแก่ความตาย เราก็มีความแค้นโจโฉอยู่ ทุกวันนี้เราก็มีน้ำใจรักเล่าปี่แลคิดถึงคุณอยู่มิได้ขาด เมื่อจะมานั้นก็ได้สาบาลไว้ต่อเล่าปี่ ถึงมาทว่าจะมาด้วยในกองทัพนี้ก็ดี ก็มิได้บอกกลศึกสิ่งใดให้โจโฉ บัดนี้ตัวท่านจะคิดอ่านเผาทหารโจโฉเสียนั้นจะมิเผาเราด้วยหรือ บังทองจึงว่า เหตุใดท่านมาเจรจาเช่นนี้ อันธรรมดาผู้มีสติปัญญา เมื่อภัยมาถึงตัวแล้ว ถ้าจะไม่คิดเอาตัวรอดก็จักได้ชื่อว่าหาปัญญามิได้ แล้วบังทองก็ลาลงเรือไป
ฝ่ายชีซีครั้นบังทองไปแล้วก็คิดว่า อันเราจะอยู่ในกองทัพโจโฉฉนี้ก็จะได้ความลำบาก จำจะผ่อนผันให้พ้นภัย จึงแต่งคนสนิธให้ไปเที่ยวพูดจาเลื่องลือว่า ลูกค้ามาบอกข่าวว่าม้าเท้งหันซุยซึ่งอยู่เมืองเสเหลียงนั้นยกกองทัพมาจะตี เอาเมืองฮูโต๋ เหล่าทหารโจโฉแจ้งดังนั้นก็ตกใจคิดถึงครอบครัว จึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่โจโฉตามกิตติศัพท์เลื่องลือนั้น โจโฉแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เมื่อเราจะยกกองทัพมาปราบหัวเมืองชายทเลก็คิดเกรงอยู่แต่ม้าเท้งกับหันซุย บัดนี้ก็มีข่าวเลื่องลือว่าม้าเท้งกับหันซุยยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋ จะเห็นผู้ใดซึ่งจะมีฝีมืออาสาไปป้องกันเมืองหลวงไว้
ชีซีจึงว่า ข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยนี้ก็มิได้ทำความชอบสิ่งใดเลย บัดนี้ข่าวศัตรูมีมา ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารสามพันไปจัดแจงด่านทางทั้งปวงกันเมืองฮูโต๋ไว้ แม้ว่าข้าศึกเหลือกำลัง ข้าพเจ้าจะรีบเอาข่าวราชการมาบอกท่านให้แจ้ง โจโฉได้ฟังพาซื่อไปก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งท่านรับอาสานั้นเราขอบใจนัก อันทหารตำบลด่านซันกวนก็เหลืออยู่เปนอันมาก ท่านจงจัดแจงเอาไปด้วย แล้วเกณฑ์ทหารให้สามพัน ให้โจป้าเปนกองหน้า ชีซีกับโจป้าก็ลาโจโฉแล้วคุมทหารรีบไปเมืองฮูโต๋
ฝ่ายโจโฉครั้นเวลาเช้าจึงขึ้นม้าพาทหารไปเที่ยวตรวจดูค่ายบก เห็นมั่นคงอยู่แล้วก็กลับมา ครั้นเวลาเย็นก็ลงเรือออกไปตรวจกองทัพเรือซึ่งอิกิ๋มมอกายจัดแจงให้ผูกเปนแพ ร้อยสายโซ่ไว้เปนกองๆ แล้วสั่งให้ทหารจัดแจงเครื่องศัสตราวุธแลเกาทัณฑ์เตรียมไว้ริมค่าย แล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง ในขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชย์ได้สิบสองปี (พ.ศ. ๗๔๔) เมื่อโจโฉลงมาตรวจกองทัพเรือนั้นเปนเดือนอ้ายขึ้นสิบห้าคํ่า พระจันทร์ส่องสว่างลมสงบ คลื่นในท้องทเลราบดังหน้ากลอง แลเรือขนานทั้งปวงแน่ดังแผ่นดิน ถึงมาทว่าจะเกิดคลื่นลมใหญ่มาเรือรบก็ไม่ระสํ่าระสาย ทั้งทหารก็มิได้เมาคลื่น
ฝ่ายเจ้าพนักงานเครื่องเล่นทั้งปวงก็บำเรอพร้อมมูลอื้ออึงอยู่ โจโฉเห็นทหารเอกกินโต๊ะอยู่ทั้งสองแถวประมาณสามร้อยเศษ พูดจากันถึงการสงครามไปมา ขณะเมื่อโจโฉเสพย์สุราอยู่กลางเรือขนานกับทหารทั้งปวง โจโฉแลดูบนอากาศ เห็นฝ่ายเมืองกังตั๋งซึ่งอยู่ทิศตวันออก แลเมืองกังแฮอันอยู่ชายทเลทิศตวันตก ดูไปทิศเหนือทิศใต้นั้นสว่างด้วยแสงเดือนก็มีความยินดี แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่แรกเราก็คิดว่าจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เปนสุข เราก็ได้ทำการปราบปรามศัตรูมาก็หลายตำบลแล้ว บัดนี้ยังแต่เมืองกังตั๋งกล้าแข็งอยู่เมืองเดียว ให้ท่านทั้งปวงจงประนอมกัน ตั้งใจช่วยเราคิดอ่านกำจัดซุนกวนกับจิวยี่เสียได้แล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เปนสุข เรากับท่านทั้งปวงก็จะมีความสบาย ที่ปรึกษาแลทหารได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็ชวนกันคำนับแล้วว่า ขอให้เทพดาช่วยให้สมความคิดเถิด ข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้พึ่งท่านสืบไป
ขณะนั้นโจโฉเสพย์สุราอยู่กับขุนนางจนเวลาสองยาม ครั้นโจโฉเมาแล้วคิดกำเริบ จึงลุกขึ้นชี้มือว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า อันจิวยี่กับโลซกนั้นมิได้รู้ว่าอากาศสำแดงเหตุ ซึ่งตัวมันทั้งสองจะถึงแก่ความตาย ประการหนึ่งเล่า ทหารในกองทัพมันก็เอาใจออกหากมาเข้าด้วยเราเปนอันมาก เหมือนหนึ่งเทพดาเข้าดลใจชักนำมา หวังจะให้มีชัยชนะแก่มัน ซุนฮิวจึงห้ามโจโฉว่า ท่านอย่ากล่าวให้แพร่งพรายไป เกลือกรู้ถึงจิวยี่การของเราจะเสียไป
โจโฉจึงตอบว่า แต่บันดาผู้ที่อยู่ที่นี่ก็เปนทหารร่วมใจของเราสิ้น อย่าสงสัยเลยซึ่งจะรู้ถึงจิวยี่ แล้วชี้มือไปฝ่ายทิศเมืองกังแฮว่า เล่าปี่กับขงเบ้งนั้นมิได้คเนในกำลังของตัวว่าเหมือนมดแลปลวก องค์อาจคิดจะทำลายภูเขาอันใหญ่นั้นยังจะสมความคิดแล้วหรือ อันอายุของเรานี้ก็ได้ห้าสิบปีแล้ว แม้ได้เมืองกังตั๋งก็จะมีความยินดีอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยแต่ก่อนนั้นเรารู้จักกับนางเกียวก๊กโล แลนางเกียวก๊กโลมีบุตรหญิงสองคน รูปร่างงามกว่าหญิงทั้งปวง เราคิดพอใจอยู่ แต่ว่าพะเอิญให้พลัดไปเปนภรรยาซุนเซ็กคนหนึ่ง เปนภรรยาจิวยี่คนหนึ่ง เมื่อเราไปรบได้เมืองกิจิ๋วนั้น เราให้สร้างเมืองใหม่ทำปราสาทไว้ริมแม่น้ำเจียงโห ครั้งนี้ถ้าเราได้เมืองกังตั๋ง เราจะพาหญิงสองคนนี้ไปอยู่ ณ ปราสาทเมืองกิจิ๋ว จะได้ปรนนิบัติเราให้เปนที่ชอบใจกว่าจะสิ้นชีวิตในที่นั้น แล้วก็หัวเราะ พอแลเห็นกาหมู่หนึ่งบินผ่านหน้าร้องไปทางทิศใต้ โจโฉจึงถามที่ปรึกษาทั้งปวงว่า เหตุใดกาจึงร้องผิดเวลาดังนี้ จะดีแลร้ายประการใด
ที่ปรึกษาทั้งปวงจึงว่า อันการ้องมาบัดนี้ด้วยเห็นเดือนหงาย สำคัญว่าใกล้สว่างหวังจะไปหากิน ซึ่งท่านจะหมายว่าดีแลร้ายนั้นไม่ได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะจึงเสพย์สุราซ้ำเข้าไปอีกสองจอกสามจอก เมาหนักเข้ายิ่งมีใจกำเริบขึ้น ก็ฉวยเอาทวนออกไปยืนอยู่หน้าเรือแล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ทวนเล่มนี้เราถือสำหรับมือมาแต่แรกเปนทหารจนตั้งตัวได้ ได้ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ทั้งลิโป้อ้วนสุดอ้วนเสี้ยว แลได้ปราบปรามหัวเมืองทั้งปวง ก็ไม่เสียทีเกิดมาเปนชาติทหาร แล้วทำเพลงว่า ธรรมดาเกิดมาแล้วก็จะตาย ให้เร่งเล่นให้สนุกสบาย แต่ประหลาทด้วยฝูงกานั้น เพราะว่าหารังแลกิ่งไม้จะจับอาศรัยมิได้จึงบินร้องมาผิดเวลาดังนี้ อันธรรมดาภูเขาก็มักสูง ธรรมดานํ้าในมหาสมุทรก็ลึก ฝ่ายนํ้าใจคนทั้งปวงเล่าก็รักที่จะหาความสุข
เล่าฮกที่ปรึกษาได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านยกกองทัพมาหวังจะทำการสงคราม เหตุใดจึงมาว่ากล่าวเปนข้อปราชัยดังนี้ โจโฉจึงถามว่า กูทำเพลงเล่น เหตุใดจึงว่าปราชัย เล่าฮกจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินทำเพลงว่า ฝูงกาไม่มีรังแลกิ่งไม้จะจับอาศรัย พากันบินร้องมาผิดเวลา ข้าพเจ้าจึงว่าเปนคำปราชัย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ตัวมึงนี้บังอาจพูดจาหมิ่นกู แล้วก็เอาทวนแทงเล่าฮกล้มลงถึงแก่ความตาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงพาโจโฉไป ณ ค่าย
ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉสร่างเมาตื่นนอนขึ้นก็ได้คิด ว่าคืนนี้ฆ่าเล่าฮกเสียนั้นผิดอยู่ ฝ่ายเล่าฮีผู้เปนบุตรเล่าฮกก็เข้าไปร้องไห้อ้อนวอนโจโฉว่า จะขอเอาศพบิดาข้าพเจ้าไปทำการฝังไว้ตามธรรมเนียม โจโฉได้ฟังคำดังนั้นก็มีความสงสารร้องไห้แล้วว่า เวลาคืนนี้เราเสพย์สุราเมาหุนโกรธขึ้นมาฆ่าบิดาท่านเสียดังนั้น เราได้ทำเกินไปแล้ว ท่านอย่าน้อยใจเราเลย ท่านจงเอาศพบิดาท่านไปแต่งการตามตำแหน่งลูกหลวง ณ เมืองฮูโต๋เถิด แล้วก็จัดทหารให้เล่าฮีช่วยเอาศพไป
ครั้นเวลารุ่งเช้าอิกิ๋มกับมอกายซึ่งเปนนายทัพเรือขึ้นไปว่าแก่โจโฉว่า อันเรือรบใหญ่น้อยทั้งปวงนั้น ก็จัดแจงเตรียมเครื่องศัสตราวุธพร้อมอยู่แล้ว ท่านจะยกกองทัพเมื่อใดขอให้กำหนดวันมา ข้าพเจ้าจะได้จัดแจงทหารไว้ให้พร้อม โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ลงมายังเรือรบ ให้เกณฑ์ทหารทั้งทัพบกทัพเรือ แล้วจัดธงสีต่าง ๆ ห้าอย่างสำหรับในกองทัพบกทัพเรือ จะได้ปักเปนสำคัญทั้งห้ากอง อันเรือขนานแม่ทัพหลวงนั้นปักธงสีเหลือง เรือขนานอิกิ๋มกับเรือมอกายนั้นเปนทัพหน้าปักธงสีแดง ให้ลิยอยเปนปีกขวาคุมเรือขนานปักธงสีเขียว บุนเพ่งนั้นคุมเรือขนานเปนปีกซ้ายปักธงสีขาว ให้เตียวคับคุมเรือขนานเปนกองทัพหลังปักธงสีน้ำเงิน
ฝ่ายทัพบกนั้นเล่า แต่งให้ลิกองเปนกองหน้าปักธงสีแดง ให้ลิเตียนเปนปีกขวาปักธงสีเขียว งักจิ้นเปนปีกซ้ายปักธงสีขาว แฮหัวเอี๋ยนเปนกองหลวงปักธงสีเหลือง ซิหลงเปนกองทัพหลังปักธงสีนํ้าเงิน แล้วให้แฮหัวตุ้นกับโจหองเปนกองขัน สำหรับช่วยเพิ่มเติมทั้งทัพบกทัพเรือ แล้วให้เอาข้อราชการมาแจ้งด้วย แลเตียวเลี้ยวกับเคาทูนั้นถืออาญาสิทธิ์เปนสาระวัดใหญ่สำหรับตรวจทัพ อันทหารเอกโททั้งนั้นก็เปนนายหมวดนายกองทัพบกทัพเรือสิ้น ครั้นจัดสำเร็จแล้วนายทหารทั้งปวงก็ไปจับฉลากตามเกณฑ์ทัพบกทัพเรือ
ในขณะนั้นพอลมว่าวพัดลง โจโฉจึงให้ถอนสมอชักใบเรือขนานทั้งนั้น ขึ้นแล่นลองดูตามชายทเล แลทหารใหญ่น้อยทั้งปวงก็วิ่งไปมาเปนทีช่วยกันรบพุ่ง บันดาเรือขนานนั้นต้องลมแลคลื่นก็แน่อยู่ดังแผ่นดิน มิได้โคลงระส่ำระสาย แลทหารชาวดอนนั้นก็มิได้เมาคลื่น ช่วยกันทำการเปนปรกติอยู่
โจโฉเห็นดังนั้นก็มีใจกำเริบ ว่าครั้งนี้จะมีชัยชนะแก่ข้าศึกเปนมั่นคง แล้วก็สั่งให้เรือขนานทั้งปวงลดใบเสียเข้ามาทอดอยู่ที่เก่า โจโฉจึงกลับขึ้นไปค่ายแล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้เทพดาช่วยเรา จึงดลใจบังทองมาบอกให้เราทำการเอาโซ่ร้อยตรึงเรือรบเข้าเปนแพขนานดังนี้ เหมือนแผ่นดิน จะรบพุ่งได้ถนัด เทียหยกจึงว่า การทั้งปวงซึ่งจัดแจงทั้งนี้ก็ดีอยู่แล้ว เกรงอยู่แต่ข้าศึกจะลอบเอาเพลิงมาจุดขึ้น อันเรือรบทั้งปวงร้อยติดกันอยู่ฉนี้ จะแก้ไขถอยออกจากกันนั้นก็ขัดสน ขอให้ท่านเร่งคิดอ่านกันเพลิงให้ได้จึงจะไม่มีอันตราย โจโฉหัวเราะแล้วว่า ซึ่งท่านคิดล้อมไว้ฉนี้ก็ดีอยู่ แต่หากว่ายังรู้เท่าไม่ถึงการจึงเกรงดังนี้ ซึ่งท่านกลัวว่าข้าศึกจะเอาเพลิงมาจุดนั้นอย่าวิตกเลย ด้วยเหตุว่าเปนเทศกาลแล้ง บัดนี้มีแต่ลมว่าวกับลมตวันตก อันกองทัพเรานี้ก็ตั้งอยู่ต้นลม ฝ่ายทัพจิวยี่อยู่ปลายลม แม้จิวยี่จะให้ทหารมาลอบจุดเพลิง ลมก็จะพัดโบกเพลิงนั้นไปไหม้กองทัพจิวยี่เอง ถ้าเปนเทศกาลเดือนสิบสองข้างแรมเปนปลายฝนก็จะเกิดลมสลาตันมาบ้าง บัดนี้มาถึงเดือนอ้ายพ้นเทศกาลแล้วเราจะกลัวอะไร ที่ปรึกษาทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็สั่นสีสะชวนกันคำนับโจโฉแล้วสรรเสริญว่า มีสติปัญญาลึกซึ้งรู้กาลลมเปนอันมาก
โจโฉจึงว่า ทหารของเราแต่ล้วนชาวบ้านป่าเมืองดอน แม้มิได้ความคิดบังทองทำดังนี้ก็เห็นจะไม่ข้ามอ่าวทเลไปเมืองกังตั๋งได้ เจียวเหียกับเจียวหลำซึ่งเปนทหารอ้วนเสียวจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าเปนชาวดอนก็จริง แต่ชำนาญการเรืออยู่บ้าง ข้าพเจ้าจะขอเรือรบยี่สิบลำบันทุกทหารให้พร้อม จะยกไปตีเอากองทัพเรือจิวยี่เอาฤกษ์ไว้ในกองทัพ ให้ปรากฎไว้ว่าชาวดอนก็ชำนาญเรืออยู่
โจโฉจึงตอบว่า ถึงท่านทั้งสองจะชำนาญการเรือก็จริง เจนแต่ในแม่น้ำแลคลอง อันชาวเมืองกังตั๋งสันทัดเรือนั้นรวดเร็วดังปลาว่ายอยู่ในน้ำ ท่านทั้งสองอย่าได้ดูหมิ่น ซึ่งจะอาสาไปนั้นก็ขอบใจแล้ว แต่เราจะให้ไปนั้นเหมือนหนึ่งแกล้งให้ท่านตายเสียเปล่า เจียวเหียเจียวหลำจึงอ้อนวอนว่า ถ้าข้าพเจ้าอาสาไปถึงแก่ความตายในกองทัพ ท่านจงเอาบุตรภรรยาญาติพี่น้องข้าพเจ้าทั้งสองคลอกเสียให้สิ้น โจโฉจึงว่า เรือรบใหญ่ ๆ นั้นก็ล่ามโซ่ตรึงสายยูเสียสิ้นแล้ว ยังแต่เรือเร็วสำหรับจะได้ใช้สอดแนม แล้วก็จุทหารแต่ยี่สิบห้าคน ซึ่งจะไปนั้นเห็นไม่ได้
เจียวเหียเจียวหลำจึงว่า ยังแต่เรือเร็วก็ดีอีก จะได้ทำการถนัด แม้ท่านจะโปรดแล้วจะแบ่งเรือให้เจียวหลำคุมสิบลำข้าพเจ้าสิบลำ ยกข้ามไปตีกระหนาบเอากองทัพเรือจิวยี่ ตัดเอาสีสะจิวยี่มาให้ได้ โจโฉจึงว่าถ้าจะอาสาไปก็ตามเถิด เราจะเกณฑ์ทหารให้ห้าร้อย แล้วจะให้บุนเพ่งคุมเรือรบสามสิบลำหนุนไป แต่ท่านทั้งสองทำแต่พอให้เห็นฝีมือ อย่าหักหาญเข้าไปให้เสียการ เจียวเหียเจียวหลำมีความยินดีคำนับลาโจโฉแล้วก็ออกมาจัดทหารแลเครื่องศัสตรา วุธลงเรือยี่สิบลำ ยกไปยังหน้ากองทัพจิวยี่
ฝ่ายทหารจิวยี่ขณะเมื่อวันโจโฉให้ลองเรือรบนั้น รู้ข่าวจึงเข้าไปบอกจิวยี่ ๆ จึงพาทหารขึ้นไปดูบนเนินเขาสูง เห็นทหารในกองทัพโจโฉลองเรือรบตีกลองโห่ร้องอื้ออึงอยู่จึงกลับลงมาค่าย ครั้นเมื่อเจียวเหียเจียวหลำยกมา ทหารกองตะเวนก็เข้าไปบอกจิวยี่ ๆ จึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ทหารโจโฉยกล่วงมาถึงหน้ากองทัพเรือเรานี้ ผู้ใดจะอาสาออกไปรบด้วยข้าศึกได้ ฮันต๋งจิวท่ายจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอออกไปรบด้วยทหารโจโฉ จิวยี่ได้ฟังก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งท่านทั้งสองจะไปนั้นก็ควรนัก แล้วกำชับแก่ทหารกองทัพเรือให้เร่งระวังอย่าประมาทแก่การสงคราม ฮันต๋งกับจิวท่ายก็ลาจิวยี่มาจัดทหารลงเรือเร็วห้าลำแล้วยกออกไป
ฝ่ายเจียวเหียเจียวหลำเห็นทหารจิวยี่ออกมาก็ร้องว่า กูทั้งสองนี้มีฝีมือนัก ผู้ใดซึ่งจะบังอาจมาสู้กู แต่เจียวเหียถือทวนขึ้นไปยืนอยู่หน้าเรือเร่งให้ทหารรีบแจว แล้วให้ยิงเกาทัณฑ์ระดมไปเปนอันมาก ฝ่ายฮันต๋งเอาโล่ป้องลูกเกาทัณฑ์ ครั้นเรือรบชิดกันเข้าฮันต๋งจึงเอาทวนพุ่งถูกเจียวเหียตาย แล้วโจนขึ้นจากเรือฆ่าฟันทหารในเรือเจียวเหียเสียสิ้น เจียวหลำเห็นดังนั้นก็ให้ทหารรบแจวเรือหนุนเข้าไปรบพุ่ง ฝ่ายจิวท่ายก็เร่งขับเรือเข้าใกล้กัน จิวท่ายจึงโดดขึ้นไปจากเรือ แล้วเอากระบี่ฟันเจียวหลำตาย แล้วฟันแทงทหารในเรือนั้นตายเสียสิ้นทั้งลำ แลทหารเจียวเหียเจียวหลำซึ่งเหลือนั้นก็รีบแจวเรือถอยหนีกลับมา ฝ่ายฮันต๋งเร่งเรือตามไปพบทัพเรือบุนเพ่งหนุนมาก็เข้ารบพุ่งกันอยู่
ในขณะนั้นจิวยี่ขึ้นไปบนเนินเขา แลไปข้างเหนือเห็นเรือกองทัพโจโฉนั้นปักธงปลิวไสวอยู่เปนอันมาก แล้วแลมาตรงหน้าค่ายของตัวนั้น เห็นธงเรือรบฮันต๋งจิวท่ายรบพุ่งกันอยู่กับบุนเพ่งเปนสามารถ แลเรือบุนเพ่งต้านมิได้ก็ถอยหนี เรือฮันต๋งจิวท่ายนั้นยังแจวตามไป จิวยี่คิดเกรงว่ากองทัพโจโฉจะซุ่มอยู่ทำอันตรายฮันต๋งจิวท่าย จึงให้ทหารโบกธงตีม้าฬ่อเรียกเปนสำคัญ ครั้นฮันต๋งจิวท่ายกลับมาแล้ว จิวยี่จึงปรึกษากับนายทัพนายกองว่า เรือรบโจโฉนั้นมากมายพ้นที่จะนับ อุปมาดังใบไม้อันอยู่บนต้น เราจะคิดอ่านรบพุ่งประการใดจึงจะได้ชัยชนะ
ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงยังมิทันว่าประการใด พอเกิดพายุหนักมา จิวยี่แลเห็นธงเหลืองใหญ่ในกองทัพโจโฉหักสบั้นลง จิวยี่จึงหัวเราะแล้วว่า ซึ่งธงชัยโจโฉหักดังนี้เปนการอัปมงคลแก่โจโฉ พอว่าสิ้นคำลงปลายลมนั้นก็พัดหนักมา ถูกธงชัยในกองทัพจิวยี่นั้นหลุดจากคันปลิวขึ้นไปตกลงบนเนินเขาตรงหน้าจิวยี่
ครั้นจิวยี่เห็นดังนั้นก็สดุ้งใจ จึงคิดว่าบัดนี้กองทัพโจโฉเปนต้นลม ฝ่ายทัพเราอยู่ปลายลม แลการซึ่งคิดไว้ว่าจะเผาเรือโจโฉเสียเห็นไม่สำเร็จ เพราะลมมิได้พัดกลับไปข้างทัพโจโฉ จะคิดอ่านประการใดเห็นขัดสน จิวยี่มีความทุกข์เปนอันมาก จนอาเจียนโลหิตออกมาล้มสลบลงกับที่ ทหารทั้งปวงตกใจช่วยกันหามพยุงจิวยี่กลับมา ณ ค่าย ครั้นแก้ไขฟื้นขึ้นแล้วทหารทั้งปวงจึงปรึกษาว่า ครั้งนี้จิวยี่ซึ่งเปนแม่ทัพออกมาก็ป่วยอยู่ แม้โจโฉรู้ก็จะยกมารบ เราก็จะได้ความขัดสน จำเราจะบอกไปถึงซุนกวน ขอหมอเอกมารักษาจิวยี่ให้หายก่อนจึงจะได้คิดการสืบไป
ขณะนั้นโลซกเห็นจิวยี่ป่วยอยู่ดังนั้นก็ไม่มีความสบาย จึงไปหาขงเบ้งแล้วบอกเนื้อความซึ่งจิวยี่อาเจียนโลหิตออกมาป่วยอยู่ ขงเบ้งจึงแกล้งถามว่า เมื่อจิวยี่ป่วยอยู่ดังนี้ท่านเห็นการทั้งปวงนั้นจะเปนประการใด โลซกจึงว่า อันจิวยี่เปนแม่ทัพผู้บังคับการ เมื่อมาป่วยลงฉนี้แล้วก็เปนบุญของโจโฉแลเปนกรรมของขาวเมืองกังตั๋ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า อันโรคจิวยี่นี้เราพอจะรักษาให้หายได้
โลซกจึงว่า แม้ท่านรักษาโรคจิวยี่ให้คลายได้ก็เปนบุญของชาวเมืองกังตั๋ง แล้วโลซกจึงพาขงเบ้งเข้าไป ณ ค่าย ให้ขงเบ้งอยู่แต่ภายนอก โลซกนั้นเข้าไปถึงที่ข้างใน เห็นจิวยี่ป่วยนอนอยู่โลซกจึงถามว่า ซึ่งท่านป่วยนี้เพื่อโรคอันใด จิวยี่จึงว่า โรคเรานี้ไม่รู้แห่งที่จะบอก ในอกในใจนั้นชอกชํ้าดังต้องอาวุธต่าง ๆ โลซกจึงถามว่า ท่านได้กินยาสิ่งใดบ้าง จิวยี่จึงบอกว่ายามีอยู่แต่กินไม่ได้ ด้วยเหตุว่าลมนั้นปะทะขึ้นมาอยู่ โลซกจึงบอกว่า อันโรคท่านป่วยนี้ขงเบ้งว่าจะรักษาให้หาย บัดนี้ขงเบ้งเข้ามาอยู่ภายนอก จิวยี่จึงให้เชิญขงเบ้งเข้ามา แล้วให้คนใช้พยุงขึ้น ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าไม่ได้มาหาสองสามวันนี้ ท่านบังเกิดปัจจุบันโรคขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ทันรู้ จิวยี่จึงตอบว่า ธรรมดาเกิดมาเปนมนุษย์ อันโรคแลความตายนั้นจะกำหนดวันมิได้ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า อันธรรมดาเกิดมาเปนมนุษย์นี้ยากที่จะรู้การในอากาศ
จิวยี่ได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็โกรธ มิได้ตอบประการใด ทำเปนครางว่าโรคนั้นกำเริบหนัก ขงเบ้งจึงว่า ในอกท่านนั้นก็ประกอบด้วยความวิตกสะสมเพิ่มภูลขึ้นจึงเกิดโรคดังนี้ จำจะประกอบยาเย็นแก้จึงจะคลาย จิวยี่จึงว่า ยาเย็นก็ได้กินหลายขนานแล้วโรคนั้นก็ไม่บันเทา แล้วถามขงเบ้งว่า ยาเย็นของท่านขนานใดเกลือกจะกินชอบโรคเรา
ขงเบ้งจึงให้ขับคนทั้งปวงออกไปเสียแล้ว เอาพู่กรรณ์มาเขียนอักษรสิบหกตัว เปนใจความว่า ซึ่งจะคิดกำจัดโจโฉนั้นก็ได้จัดแจงการไว้ทุกสิ่งเสร็จแล้ว เพื่อหวังจะเอาเพลิงเผากองทัพโจโฉเสีย ยังขาดอยู่แต่ลมสลาตันซึ่งมิได้พัดมาสมความคิดท่านเท่านั้น ครั้นเขียนแล้วก็ส่งให้จิวยี่แล้วว่า อันโรคซึ่งป่วยนี้อุปมาเหมือนธาตุทั้งสี่ในกายท่าน อันธาตุดินธาตุนํ้าปรกติอยู่ แต่ธาตุลมกับเพลิงนั้นหย่อน ถ้าลมพัดมาต้องเพลิงกำเริบขึ้นกล้าแล้วโรคท่านก็จะหาย
จิวยี่เห็นหนังสือแลได้ฟังขงเบ้งอุปมาดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดว่าขงเบ้งนี้ล่วงรู้ความคิดเราดังเทพดาดลใจ จิวยี่ก็บอกเนื้อความทั้งปวงซึ่งคิดนั้นให้ขงเบ้งฟังทุกประการ แล้วถามขงเบ้งว่า ท่านจะคิดประการใดจึงจะให้เกิดลมสลาตันมาได้ ขงเบ้งนั้นรู้ในตำราว่าเดือนอ้ายแรมห้าคํ่าจะเกิดลมสลาตัน ครั้นจะบอกตำราให้จิวยี่รู้ไว้สืบไปเกลือกจิวยี่กับเราจะได้ทำศึกต่อกัน จิวยี่จะไม่เกรงความคิดเรา จำเราจะคิดอุบายบอกจิวยี่ให้ทำการแล้วจะลอบหนีไป
ครั้นคิดแล้วจึงว่าข้าพเจ้านี้สติปัญญาน้อย แต่ได้พบอาจารย์คนหนึ่งบอกตำราขอลมขอฝนไว้แก่ข้าพเจ้า ถ้าท่านจะประสงค์ลมสลาตันก็ให้ปลูกร้านสามชั้น สูงชั้นละสามศอกเศษ ขึ้นบนเขาลำปินสานนี้แล้ว ขอทหารร้อยยี่สิบคนถือธงต่าง ๆ นั่งล้อมโรงพิธีไว้กับจะได้ใช้การ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปอ่านมนตร์ตามตำราทั้งสามวันสามคืน เพื่อขอลมสลาตันให้มีมาสามวันสามคืนจงได้ ท่านจะได้ยกกองทัพไปทำการกับโจโฉถนัด จิวยี่จึงว่าท่านอย่าว่าถึงสามวันสามคืนเลย ถ้าลมมีมาแต่คืนเดียวก็จะทำการได้สดวก แม้ท่านจะทำแล้วก็ให้ได้ในวันนี้พรุ่งนี้ ถ้าช้าไปความซึ่งคิดนี้จะรู้ไปถึงโจโฉ ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าจะทำการเรียกลมต่อเดือนอ้ายแรมห้าคํ่าเวลายามเศษ ให้ลมสลาตันเกิดหนักจนแรมเจ็ดคํ่าจึงสงบ
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ดังขงเบ้งเอายาทิพย์มาทาลงให้ โรคซึ่งเปนไข้ใจนั้นก็หาย จึงลุกขึ้นคำนับขงเบ้ง แล้วสั่งให้ทหารไปปลูกโรงพิธี ให้ทหารรักษาตามคำขงเบ้ง ๆ จึงว่า ซึ่งท่านจะให้ไปขอลมนั้นข้าพเจ้าจะขออาญาสิทธิ์ไปด้วยจึงจะทำการได้สดวก จิวยี่ไม่ทันคิดก็เอากระบี่ซึ่งซุนกวนให้มานั้นส่งให้แก่ขงเบ้ง ๆ รับเอากระบี่แล้วพาโลซกแลทหารทั้งปวงไป ณ เขาลำปินสาน แล้วทำเปนดูภูมิที่ให้ทหารปลูกร้านสามชั้น สูงชั้นละสามศอกเศษ ชั้นต้นนั้นกว้างยี่สิบวายาวยี่สิบวา แล้วให้ขุดเอาดินทิศอาคเณย์มาปั้นเปนรูปมังกรไว้ณทิศบุรพปักธงเขียวเจ็ดคัน ปั้นเปนรูปเทพดาชื่อเฮียนบู๊ไว้ทิศอุดรปักธงดำเจ็ดคัน ปั้นเปนรูปเสือไว้ทิศปัศจิมปักธงขาวเจ็ดคัน ปั้นรูปนกยูงไว้ทิศทักษิณปักธงแดงเจ็ดคัน แลชั้นกลางนั้นคนถือธงเหลืองประจำทิศทั้งแปดทิศ ๆ ละแปดคน ชั้นบนนั้นมีคนสี่คน ๆ หนึ่งอยู่ทิศบุรพถือโคมระย้าอยู่เจ็ดดวง คนหนึ่งอยู่ทิศอุดรถือไม้ผูกขนไก่ คนหนึ่งถือกระบี่อยู่ทิศประจิม คนหนึ่งถือกระถางรูปอยู่ทิศทักษิณ ครั้นจัดการสำเร็จแล้วขงเบ้งจึงทำเปนว่าแก่โลซกว่า ท่านจงช่วยกลับไปบอกแก่จิวยี่ว่า ซึ่งเรารับมาขอลมให้นี้ ถ้าไม่ได้สมความคิดก็อย่าให้จิวยี่เอาโทษแก่เราเลย โลซกรับคำแล้วก็ลาไป
ฝ่ายขงเบ้งเมื่อเดือนอ้ายแรมสามคํ่าเวลาเช้าก็อาบน้ำชำระร่างกายแต่งตัว ใส่เสื้อบงเฉียงสยายผมแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราจะทำการใหญ่ แต่บันดาทหารซึ่งเราจัดไว้นี้ ถ้าเห็นเราทำประการใดก็อย่าให้พูดจาเดิรไปมาจากที่ ให้นิ่งปรกติอยู่กว่าเราจะสำเร็จ แม้ผู้ใดไม่ฟังเราจะเอากระบี่อาญาสิทธิ์ซึ่งจิวยี่ให้มานี้ตัดสีสะเสีย ครั้นกำชับทหารแล้วขงเบ้งก็ขึ้นไปบนร้านชั้นบน จึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชาแล้วทำนั่งอ่านมนตร์เรียกลมอยู่ ครั้นเวลาสมควรแล้วก็พาทหารทั้งนั้นลงมาอาบนํ้ากินอาหารแล้วก็กลับขึ้นไปทำ การอยู่ดังเก่า
ฝ่ายจิวยี่จึงสั่งให้โลซกกับเทียเภาจัดแจงกองทัพให้พร้อม แม้เกิดลมสลาตันมาจะได้ยกไปทำการทันที แล้วแต่งหนังสือบอกไปถึงซุนกวนให้ยกกองทัพมาช่วย ฝ่ายอุยกายจึงจัดเรือยี่สิบลำ เอาหญ้าแลฟางบันทุกลงแล้ว เอาน้ำมันปลาสาดให้ชุ่มเปนเชื้อเพลิง แล้วเอาดินประสิวกับสุพรรณถันปรายบนหญ้าแลฟางให้สิ้นทั้งยี่สิบลำ แล้วเอาธงตะขาบสีเขียวปักหน้าเรือเปนสำคัญ ครั้นเตรียมเสร็จแล้วก็จอดคอยจิวยี่สั่งเมื่อใดจะได้ยกไปโดยเร็ว
ฝ่ายกำเหลงกับงำเต๊กเมื่อได้ทราบเนื้อความดังนั้นก็แกล้งเลี้ยงดูชัวต๋ง กับชัวโฮไว้ แล้วสั่งทหารให้ระวังชัวต๋งชัวโฮไว้อย่าให้หนีไปได้ ถ้าจิวยี่จะยกทัพเมื่อใดจะได้ทำการตามจิวยี่สั่งไว้ ฝ่ายทหารกองตะเวนจึงเข้าไปบอกจิวยี่ว่า บัดนี้ซุนกวนยกกองทัพเรือมาทอดอยู่ทางไกลค่ายนี้ประมาณแปดร้อยเส้น จิวยี่แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้โลซกไปประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ให้จัดแจงเรือรบไว้ให้พร้อม ถ้าจะยกเมื่อใดก็ให้ยกได้ทันที แม้หมวดใดกองใดขาดก็จะให้ตัดสีสะเสีย โลซกก็ไปสั่งตามคำจิวยี่ แลทหารทั้งปวงก็จัดแจงเรือรบแลเครื่องศัสตราวุธเตรียมไว้แต่เวลาเช้าจนรุ่ง ก็มิได้เห็นลมพัดกลับไป จิวยี่จึงว่าแก่โลซกว่า ขงเบ้งนั้นไปทำการวันกับคืนหนึ่งแล้วก็มิได้มีลมสลาตัน โลซกจึงว่าขงเบ้งทำนั้นเห็นจะได้การอยู่ ครั้นพูดกันดังนั้นแล้วก็ชวนกันคอยดูตั้งแต่เช้าจนเวลาสองยามเศษ จึงได้ยินเสียงอื้ออึงข้างทิศอาคเณย์ จิวยี่จึงพาโลซกออกมาดูกลางแจ้งก็มิได้เห็นลมว่าวแลลมตวันตกพัดมาสงบเปน ปรกติอยู่ อีกสักครู่หนึ่งลมสลาตันก็พัดหนักมา จิวยี่ก็มีความยินดีแล้วว่าแก่โลซกว่า อันสติปัญญาขงเบ้งรู้ตำราเรียกลมในอากาศหาผู้เสมอมิได้ อุปมาดังจะนับดาวในท้องฟ้าแลหยั่งพระมหาสมุทรอันลึกได้ ครั้นเอาขงเบ้งไว้สืบไปภายหน้าเมืองกังตั๋งก็จะเปนอันตราย จำจะคิดอ่านฆ่าเสีย เมืองเราจึงจะมีความสุขสืบไป จึงสั่งเตงฮองกับชีเซ่งให้คุมทหารคนละร้อย แลเตงฮองนั้นเร่งไป ณ เขาลำปินสาน อย่าได้ว่ากล่าวประการใดให้รู้ตัวเลย จับเอาตัวขงเบ้งฆ่าเสีย อันชีเซ่งนั้นคุมทหารเร่งลงเรือไปสกัดอยู่ชายทเล เกลือกขงเบ้งรู้ตัวก็จะหนีลงเรือ ให้จับตัวฆ่าเสียแล้วตัดเอาสีสะมาให้เรา เตงฮองกับชีเซ่งก็ลากลับมาจัดแจงทหารแยกกันรีบไป
ฝ่ายขงเบ้งครั้นเห็นลมสลาตันพัดมาดังนั้นแล้ว ก็แลดูทหารทั้งปวงเห็นถือธงมัธยัสถ์เปนปรกติอยู่ตามสั่ง ก็ลอบหนีลงจากร้านรีบไปยังท่าเรือซึ่งนัดไว้ให้จูล่งมารับนั้น ทหารทั้งปวงก็มิได้สำคัญว่าขงเบ้งจะหนี ครั้นเตงฮองมาถึงกลางทาง พอลมสลาตันพัดหนักขึ้น เตงฮองรีบขับม้าไปถึงที่ทำการ เห็นทหารทั้งปวงยืนถือธงอยู่มิได้ผันแปรไปมา เตงฮองก็ลงจากม้าถือกระบี่ขึ้นไปบนร้านก็ไม่เห็นขงเบ้ง จึงถามทหารทั้งปวงว่าขงเบ้งไปไหน ทหารซึ่งถือธงนั้นบอกว่าขงเบ้งลงไปเมื่อก่อนหน้าท่านมา เตงฮองก็ลงจากร้านรีบตามลงไป พอถึงชายทเลพบชีเซ่ง ถ้อยทีถ้อยถามกันก็ไม่ได้เนื้อความ พอทหารเลวคนหนึ่งมาบอกว่า เมื่อเวลาเย็นนั้นข้าพเจ้าเห็นเรือเร็วลำหนึ่งมาจอดอยู่ที่หัวแหลมริมหาด ทรายชายทเล ครั้นเวลาสองยามเศษเห็นขงเบ้งเดิรมาลงเรือแล้วรีบไปข้างทิศเหนือ เตงฮองกับชีเซ่งก็ลงเรือแล้วชักใบขึ้นแยกกันรีบตามไป
ฝ่ายชีเซ่งมาทันก็ร้องเรียกให้ขงเบ้งหยุดอยู่ก่อน แล้วบอกว่าจิวยี่เชิญให้กลับไป ขงเบ้งได้ยินทหารร้องเรียกดังนั้นจึงตอบไปว่า ท่านจงกลับไปบอกจิวยี่เถิดว่าบัดนี้ลมก็มีมาแล้ว ให้เร่งจัดแจงทำการกับโจโฉจงดี อันตัวเรานี้จะลากลับไปเมืองกังแฮก่อน ต่อวันอื่นจึงจะกลับมาเยี่ยมจิวยี่ ชีเซ่งจึงซ้ำว่าให้หยุดอยู่ก่อน เราจะบอกเนื้อความซึ่งจิวยี่สั่งมาเปนการลับ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านมานี้เราก็รู้อยู่ก่อนอีก คือจิวยี่คิดอ่านไว้จะให้ทำร้ายแก่เรา ๆ จึงให้จูล่งมาคอยรับ ท่านจงกลับไปบอกจิวยี่เถิด แม้ไม่ฟังขืนตามมาก็หาทำอันตรายเราได้ไม่
ชีเซ่งเห็นเรือขงเบ้งมิได้กางใบก็ให้ทหารรีบแจวตามไป จูล่งเห็นชีเซ่งตามมาใกล้จึงร้องว่าตัวเราชื่อจูล่ง ได้รับคำขงเบ้งไว้เราจึงมารับ แลขงเบ้งได้ว่ากล่าวห้ามตัวก็มิได้ฟัง ขืนจะตามมาทำร้ายแก่ขงเบ้ง ครั้นเราจะเอาเกาทัณฑ์ยิงให้ตายเสียบัดนี้ เล่าปี่นายเรากับซุนกวนก็จะผิดใจกันเสีย เราจะยิงแต่พอให้รู้จักฝีมือไว้ ว่าแล้วก็ขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกสายลดใบนั้นขาดตกลง เรือชีเซ่งก็หันขวางลำไป จูล่งจึงให้ทหารชักใบไป
ฝ่ายชีเซ่งนั้นครั้นเห็นเรือเตงฮองมาทันก็บอกเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง แล้วว่าจูล่งคนนี้มีฝีมือกล้าหาญนัก ครั้งรบตำบลทุ่งตงบันโบ๋นั้นฆ่าทหารโจโฉเสียเปนอันมาก ซึ่งเราจะติดตามไปเห็นจะสู้จูล่งไม่ได้ ปรึกษากันแล้วก็กลับมาบอกแก่จิวยี่ตามเนื้อความแต่หลังทุกประการ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจแล้วว่า อันความคิดขงเบ้งนั้นหลักแหลมลึกซึ้ง แม้ไม่คิดอ่านฆ่าขงเบ้งเสียได้ตัวเราก็นอนตาไม่หลับ อุปมาเหมือนเสี้ยนยอกอยู่ในอก โลซกจึงห้ามว่าท่านอย่าด่วนคิดวุ่นวายไปก่อนเลย จงตั้งใจทำการกำจัดโจโฉเสียให้ได้แล้ว การฝ่ายขงเบ้งนั้นจึงค่อยคิดต่อไป
ขณะเมื่อเกิดลมสลาตันนั้น จิวยี่สั่งกำเหลงให้คุมทหารยกไปทางบก ณ ตำบลฮัวหลิม แล้วให้เข้าปล้นเผาสเบียงโจโฉเสีย เมื่อได้ฤกษ์จะยกไปให้ฆ่าชัวต๋งเสีย แล้วตัดเอาสีสะเส้นธงชัยให้เปนสง่าทัพไว้ แลตัวชัวโฮนั้นเอาไว้ให้เราข้างฝ่ายทัพเรือจะได้ทำการ ให้ลิบองคุมทหารสามพันเปนกองหนุนกำเหลง แล้วให้ไทสูจู้คุมทหารสามพันยกทัพบกไปตำบลหับหุยโจมตีตัดทหารโจโฉเสียอย่า ให้หนุนกันได้ แม้เห็นเพลิงไหม้ขึ้นในกองทัพเรือโจโฉ จึงให้ดูธงแดงเปนสำคัญแล้วให้เร่งคุมทหารเข้ามาบัญจบกัน กำเหลงลิบองกับไทสูจู้ก็ลาออกมาจัดแจง พอได้ฤกษ์ก็ยกแยกกันไปก่อนกองทัพเรือด้วยเปนทางไกล แลเมื่อกำเหลงจะยกนั้นจึงเอาตัวชัวโฮไปมอบไว้ณทัพเรือ แล้วเอาชัวต๋งมาฆ่าเสียตัดเอาสีสะมาเส้นธงชัยจึงยกทัพบกไป
ฝ่ายจิวยี่ก็ให้เล่งทองคุมทหารสามพันยกไปตำบลอิเหลง แม้เห็นแสงเพลิงตำบลฮัวหลิมไหม้ขึ้นก็ให้ทหารคอยสกัดตีกองทัพโจโฉ แล้วให้ตังสิดคุมทหารสามพันยกไปปล้นค่ายโจโฉตำบลริมแม่น้ำฮันฉวน แม้เห็นธงขาวเปนสำคัญจึงคุมทหารเข้าบัญจบกัน กองหนึ่งให้พัวเจี้ยงคุมทหารสามพันยกไปณแดนเมืองฮันหยง ให้ทหารปักธงขาวไว้เปนสำคัญ ถ้าขัดสนประการใดจะได้ช่วยหนุนตังสิด นายทหารทั้งสามกองก็คุมทหารยกแยกกันไปทางบกตามคำจิวยี่สั่ง
ฝ่ายจิวยี่จึงให้อุยกายเขียนหนังสือกำหนดไปถึงโจโฉ เปนใจความว่า ข้าพเจ้าอุยกายได้ท่วงทีแล้ว ด้วยจิวยี่ใช้ข้าพเจ้าไปรับเรือสเบียง ณ เมืองฮวนหยง ข้าพเจ้าจะตัดเอาสีสะนายเรือซึ่งคุมสเบียงแลเรือลำเลียงมาเปนกำนัลมหาอุปราช ในเวลาสองยามวันนี้ ให้มหาอุปราชคอยรับด้วย แล้วจิวยี่ให้แต่งเรือรบสี่ลำบัญจุทหารเลวซึ่งมีฝีมือ แลนายเรือทั้งสี่คนนั้นชื่อฮันต๋งจิวท่ายจิวขิมตันบู แลนายทหารทั้งสี่คนนี้คุมเรือรบคนละสามร้อยลำ เปนเรือรบพันสองร้อย สำหรับจะได้ป้องกันอุยกายจะเข้าจุดเพลิงนั้น แม้เห็นข้าศึกมีกำลังประการใดจะได้ช่วยรบพุ่ง ให้โลซกงำเต๊กอยู่รักษาค่าย เทียเภาเห็นจิวยี่จัดแจงทัพบกทัพเรือเปนขบวรกวดขันดังนั้นก็คิดเกรงจิวยี่ เปนอันมาก
ขณะนั้นมีหนังสือซุนกวนมาถึงจิวยี่เปนใจความว่า ซุนกวนให้ลกซุนคุมทหารเปนกองหน้า ตัวซุนกวนนั้นเปนกองหลวง จะยกหนุนไปทางตำบลอุยเต้ ฝ่ายจิวยี่แจ้งในหนังสือซุนกวนดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้ทหารเอาประทัดขึ้นคอยอยู่บนยอดเขาลำปินสาน ถ้าเห็นเวลาพลบคํ่าลงจึงจุดประทัดขึ้นเปนสำคัญ กองทัพเรือจะได้ยกพร้อมกัน
ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งตั้งอยู่ ณ ค่ายแฮเค้า ครั้นลมสลาตันมีก็ตั้งใจคอยจูล่งซึ่งไปรับขงเบ้ง ขณะนั้นพอเล่ากี๋ยกกองทัพเรือมาถึงจึงขึ้นไปหาเล่าปี่ ๆ จึงบอกว่า เราให้จูล่งไปรับขงเบ้งก็ยังไม่กลับมา จะเปนประการใดก็ยังไม่แจ้ง เล่ากี๋ยังมิได้ว่าประการใดพอจูล่งพาขงเบ้งมาถึง เล่าปี่ก็มีความยินดี จึงถามว่าท่านไปทำการสิ่งใดบ้าง ขงเบ้งจึงว่า จะบอกนั้นยังมิได้ก่อนจะช้าการไป แล้วถามเล่าปี่ว่าการซึ่งข้าพเจ้าสั่งไว้นั้น ได้จัดแจงพร้อมแล้วหรือ เล่าปี่จึงบอกว่าการทั้งนั้นจัดไว้ท่าพร้อมอยู่แล้ว ขงเบ้งจึงให้จูล่งคุมทหารสามพันยกข้ามแม่นํ้ารีบลัดไปซุ่มอยู่ใกล้ตำบลฮัว หลิม เวลาสามยามวันนี้กองทัพโจโฉจะแตกไปทางนั้น ท่านจงคุมทหารออกโจมตีเข้าตัดกลางทัพ ถึงทหารโจโฉจะไม่เสียสิ้นก็จะตายลงบ้างสักกึ่งหนึ่ง ก็คงจะได้ม้าแลอาวุธเปนอันมาก จูล่งจึงว่า ตำบลฮัวหลิมนั้นเปนสองทางอยู่ ทางหนึ่งจะไปเมืองลำกุ๋น ทางหนึ่งจะไปเมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าโจโฉจะไปทางใด ขงเบ้งจึงว่า ทางเมืองลำกุ๋นนั้นใกล้ข้างกองทัพจิวยี่ ทหารจิวยี่คงจะติดตาม เห็นโจโฉจะแตกไปทางเมืองเกงจิ๋ว ท่านจงไปคอยอยู่ทางนั้นเถิด แล้วให้เตียวหุยคุมทหารสามพันยกไปซุ่มอยู่ ณ เนินเขาปากทางตำบลโฮโลก๊ก เวลาพรุ่งนี้ฝนจะตก ครั้นฝนเหือดโจโฉมาถึงตำบลนั้น จะหยุดอยู่ให้ทหารหุงเข้ากิน แต่พอท่านเห็นควันเพลิงก็ให้เร่งทหารออกโจมตีเอาอย่าให้ทันหุงเข้าสุก ถึงมาทว่าจับโจโฉไม่ได้ ท่านก็จะมีความชอบ ด้วยได้ฆ่าฟันทหารโจโฉเสีย จูล่งกับเตียวหุยรับคำขงเบ้งแล้วยกทหารแยกกันไป
ขงเบ้งจึงให้บิต๊กบิฮองเล่าฮองคุมเรือรบไปเที่ยวอยู่ตามชายทเล คอยจับทหารโจโฉซึ่งหนีลงมา แล้วให้เล่ากี๋คุมเรือรบไปตั้งอยู่ตำบลฮูเชียงซึ่งเปนที่สำคัญ แม้เห็นโจโฉแตกมาทางนั้นเห็นพอที่จะจับได้ก็ให้จับไว้ อนึ่งท่านจะได้ป้องกันเมืองกังแฮด้วย เล่ากี๋กับนายทหารทั้งสามนั้นก็รับคำขงเบ้งแล้วคุมเรือรบแยกกันไป ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ให้ท่านคุมทหารไปคอยดูอยู่ ณ เนินเขา ว่าเวลาคํ่าวันนี้จิวยี่จะทำการได้สำเร็จหรือไม่
กวนอูเห็นขงเบ้งใช้คนทั้งปวงไปดังนั้นก็คิดน้อยใจว่า ขงเบ้งมิได้กะเกณฑ์ตัวให้ไปทำการแห่งใด จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ตัวข้าพเจ้านี้มาอยู่กับเล่าปี่ช้านานแล้ว แม้เล่าปี่จะทำการสิ่งใดก็ย่อมใช้สอยข้าพเจ้าให้อาสาไปทำการก่อนทุกแห่ง ครั้งนี้ท่านแคลงข้าพเจ้าสิ่งใดหรือจึงไม่ใช้ไปทำการเหมือนคนทั้งปวง ขงเบ้งจึงตอบว่า ยังมีที่สำคัญอยู่แห่งหนึ่ง ครั้นจะให้ท่านไปก็มีความสงสัยอยู่ กวนอูจึงถามว่าท่านสงสัยด้วยเหตุอันใด ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราแคลงท่านนั้นด้วยเหตุว่าแต่ก่อนท่านได้ไปอยู่กับโจโฉ ๆ ก็ได้เอนดูทำนุบำรุงท่าน อันน้ำใจท่านมีความสัตย์รู้จักคุณคน เวลาวันนี้โจโฉจะแตกไปทางฮัวหยง ครั้นเราจะให้ไปท่านจะคิดถึงคุณโจโฉอยู่ จะไม่ฆ่าโจโฉเสีย กวนอูจึงตอบว่า อันสติปัญญาของท่านนี้ลึกซึ้งหลักแหลมนัก ซึ่งโจโฉเลี้ยงดูนั้นข้าพเจ้าก็ได้อาสาฆ่างันเหลียงบุนทิวแทนคุณโจโฉแล้ว แม้จะให้ข้าพเจ้าไปครั้งนี้ ถ้าพบโจโฉแล้วข้าพเจ้ามิได้ตัดสีสะโจโฉมาให้ท่าน ก็ให้ท่านตัดสีสะข้าพเจ้าแทนเถิด แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่า ถ้าโจโฉจะไม่หนีไปทางฮัวหยงอันเปนทางลัด ฝ่ายท่านจะว่าประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่า แม้ท่านยกไปไม่พบโจโฉทางนั้นก็ให้เร่งกลับมาเถิด เราจะตัดสีสะเรานี้ให้แทนโจโฉ แล้วสั่งกวนอูให้คุมทหารห้าร้อยไปตั้งสกัดอยู่ทางฮัวหยง ด้วยที่นั้นเปนสองทางร่วมกันจะไปเมืองเกงจิ๋ว แต่ทางใหญ่อ้อมไกลกว่าทางลัดถึงห้าร้อยเส้น อันทางลัดนั้นเร็วแต่เดิรยากด้วยเปนซอกเขา ท่านจงให้ทหารขนเอาฟืนแลฟางมากองสุมเพลิงไว้ปากทางลัด โจโฉเห็นแสงเพลิงก็จะหนีไปทางลัดด้วยเปนทางตรง
กวนอูจึงถามว่า โจโฉจะหนีความตายเหตุใดท่านจึงกลับว่าโจโฉจะเข้ามาตามแสงเพลิงเล่า ขงเบ้งจึงตอบว่า โจโฉนั้นมีความคิดชำนาญในการล่อลวง ครั้นเห็นแสงเพลิงก็จะคิดว่าจิวยี่แกล้งทำกลให้ไปกองเพลิงไว้ แต่งกองทัพไปซุ่มสกัดอยู่ปากทางใหญ่ โจโฉก็คงจะไปทางกองเพลิง ท่านจงจับฆ่าเสียตัดเอาสีสะมา กวนอูรับคำขงเบ้งแล้วก็พากวนเป๋งจิวฉองกับทหารห้าร้อยรีบไป
ขณะเมื่อกวนอูไปแล้วเล่าปี่จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ตัวท่านก็รู้น้ำใจกวนอูอยู่ว่าเปนคนกตัญญูต่อผู้มีคุณ เมื่อท่านใช้กวนอูไปครั้งนี้ ถึงมาทว่าจะพบโจโฉเข้ากวนอูก็จะไม่ทำอันตราย เพราะคิดถึงคุ ณ เขาอยู่ แลการทั้งปวงซึ่งท่านคิดไว้ก็จะมิเสียไปหรือ ขงเบ้งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าดูดาวสำหรับมหาอุปราชก็ยังรุ่งเรืองสุกใสอยู่ เพราะชาตาโจโฉยังไม่ขาดข้าพเจ้าจึงแกล้งให้กวนอูไปทำการครั้งนี้ หวังจะให้แทนคุณโจโฉเสียให้เสร็จกัน สืบไปภายหน้ากวนอูจะได้ทำการกับโจโฉถนัด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สรรเสริญสติปัญญาขงเบ้งว่าท่านคิดสมควรนัก ขงเบ้งจึงให้ซุนเขียนกับกันหยงอยู่รักษาค่ายแฮเค้า แล้วพาเล่าปี่ลงเรือไปคอยดูกองทัพโจโฉณปากนํ้าฮวนเค้า
[๑] อยู่ในเรื่องเลียดก๊ก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnb3l0a0dVRlFaSzg/view?resourcekey=0-v2fMxdyetaYuaOujLHMiqQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #1 on:
23 December 2021, 08:39:41 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 42
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-42.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 42
เนื้อหา
จิวยี่เผาทัพเรือโจโฉ
โจโฉถูกตีซ้ำเติมตามทางยับเยิน
กวนอูปล่อยโจโฉ
โจโฉจัดการหัวเมืองชายแดน
ฝ่าย โจโฉนั้นตั้งใจคอยฟังข่าวอุยกายอยู่ทุกเวลา เทียหยกจึงว่าแก่โจโฉว่า เวลาวันนี้ลมสลาตันพัดมา ขอให้ท่านจัดแจงระวังกองทัพเราอย่าให้มีอันตรายได้ โจโฉจึงตอบว่าท่านอย่าวิตกเลย อันเทศกาลนี้ถึงมาทว่าลมสลาตันจะมีมาก็น้อย ถึงจะมีเหตุมาก็พอจะแก้ไขได้
ฝ่ายคนสนิธของอุยกายครั้นมาถึงก็เอาหนังสือเข้าไปให้โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดูแจ้งในเนื้อความทั้งปวงแล้ว ก็ชวนทหารลงมาอยู่ ณ กองทัพเรือหวังจะคอยรับอุยกาย
ฝ่ายจิวยี่ครั้นเวลาเย็นใกล้จะได้ฤกษ์ จึงให้เอาตัวชัวโฮมามัดเข้าแล้วถามว่าเหตุใดตัวมาลวงเรา บัดนี้เราจะยกกองทัพไป ยังขาดแต่เครื่องเส้นธงชัย เราจะให้ตัดเอาสีสะตัวเส้นธงเอาฤกษ์ไว้ ชัวโฮจึงว่าการทั้งนี้กำเหลงงำเต๊กก็ได้ร่วมคิดกับข้าพเจ้าเหตุใดท่านจึงไม่ ฆ่าเสียด้วย จิวยี่จึงตอบว่า อันกำเหลงงำเต๊กนั้นเราใช้ให้ไปลวงดอกตัวทั้งสองจึงออกเนื้อความ แล้วให้ฆ่าชัวโฮตัดเอาสีสะเส้นธงชัย ครั้นเวลาพลบจิวยี่ก็ให้อุยกายคุมเรือยี่สิบลำ ซึ่งแต่งปักธงเขียวไว้นั้นรีบยกไป อุยกายรับคำจิวยี่แล้วแต่งตัวใส่เกราะลงเรือ คุมเรือเชื้อเพลิงยี่สิบลำไปตำบลเซ็กเพ็ก
ขณะนั้นพอเกิดลมสลาตันหนักมาก ทั้งเดือนก็สว่าง โจโฉจึงออกไปนั่งอยู่หน้าเรือกับทหาร แลเห็นคลื่นใหญ่มีมาตามลม โจโฉคิดประมาทว่าจิวยี่นั้นเห็นจะไม่พ้นมือเรา พอทหารมาบอกว่า บัดนี้อุยกายให้เรือน้อยมาแจ้งข้อราชการว่า ตัวอุยกายนั้นคุมเรือสเบียงมาแล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งอุยกายมานี้เปนบุญของเรานัก เทพดาหากช่วยดลใจให้มา พอแลเห็นเรือนั้นเข้ามาใกล้ เทียหยกจึงแลไปเห็นเรือนั้นเบาฟ่องอยู่ก็มีความสงสัยจึงว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้ลมสลาตันก็เกิดหนักอยู่ ซึ่งจะไว้ใจให้อุยกายเข้ามานั้นไม่ได้เกลือกจะเปนกลอุบาย ถ้ามีเหตุขึ้นจะแก้ไขขัดสนนัก โจโฉจึงถามว่าท่านเห็นอย่างไร เทียหยกจึงตอบว่า อันธรรมดาเรือบันทุกสเบียงอาหารก็จะเพียบหนักอยู่ บัดนี้ข้าพเจ้าแลเห็นว่าเรืออุยกายซึ่งมานั้นเบาฟ่องนํ้าอยู่ เกรงจะมีเหตุข้าพเจ้าจึงห้ามท่าน โจโฉเห็นชอบด้วยจึงให้บุนเพ่งออกไปห้ามไว้ก่อน บุนเพ่งกับทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคนก็ลงเรือเร็วออกไปร้องห้ามว่า มหาอุปราชสั่งมาให้เรืออุยกายนั้นทอดไว้แต่ไกลก่อนอย่าเพ่อเข้ามา ด้วยเปนเวลากลางคืนอยู่ ครั้นว่าพอขาดคำลงทหารอุยกายก็ยิงเกาทัณฑ์มาถูกไหล่ขวาบุนเพ่งล้มลง แล้วให้ถอยเรือมาจึงจุดประทัดสัญญาขึ้น อุยกายได้ยินเสียงประทัดสัญญาดังนั้นจึงโบกธงสัญญาขึ้น พอลมสลาตันพัดหนักมา เรือทั้งยี่สิบลำก็ชักใบแล่นตามลมเข้าไปจุดเพลิงขึ้น แล่นประดากันเข้าไปปะเรือขนานกองทัพโจโฉ
ฝ่ายทหารโจโฉเห็นเพลิงติดขึ้นณ เรือขนาน ก็ชวนกันสาดน้ำดับเพลิงเปนอลหม่าน แต่ว่าลมพัดกล้านัก ครั้นจะแก้ไขก็ขัดสนด้วยโซ่แลสายยูนั้นตรึงไว้เปนมั่นคง เพลิงก็ยิ่งไหม้ลามขึ้น ฝ่ายอุยกายจึงพาทหารประมาณเก้าคนสิบคนลงเรือเร็วรีบเข้าไปหวังจะจับโจโฉฆ่า เสีย ขณะนั้นโจโฉแกว่งกระบี่เร่งให้ทหารดับเพลิง ๆ ยิ่งติดมากขึ้น ทหารทั้งปวงทนไฟมิได้ก็วิ่งวุ่นวายไป โจโฉจึงร้องให้เอาเรือรบเล็ก ๆ ถ่ายคนขึ้นบก ครั้นแลขึ้นไปเห็นค่ายบนบกนั้นเพลิงไหม้ขึ้นเปนหลายตำบลก็ยิ่งตกใจหนัก ครั้นเพลิงไหม้มาถึงเรือขนานซึ่งโจโฉอยู่ พอเตียวเลี้ยวเอาเรือเข้ามารับโจโฉก็ลงเรือจะหนีขึ้นบก
ฝ่ายอุยกายถือกระบี่นั่งอยู่หน้าเรือ แลเห็นโจโฉใส่เสื้อแดงหนีเพลิงลงเรือเร็วจะหนีขึ้นบก อุยกายจึงให้ทหารรีบแจวเข้าไปแล้วร้องว่าอ้ายโจโฉมึงจะหนีไปไหน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตกใจ เตียวเลี้ยวเห็นอุยกายตามมา จึงขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกอุยกายตกนํ้าลง เตียวเลี้ยวจึงพาโจโฉขึ้นมาได้ถึงตลิ่ง เห็นทหารทั้งปวงแตกตื่นเปนอลหม่านมิได้เปนกระบวรทัพ เตียวเลี้ยวจึงให้เอาม้าตัวหนึ่งมาให้โจโฉขี่แล้วพาทหารรีบหนีไป
ฝ่ายฮันต๋งซึ่งคุมเรือรบสามร้อย ครั้นมาถึงก็ขับเรือทั้งปวงรบเข้าไปในหว่างเรือขนาน พอได้ยินเสียงคนอยู่ในนํ้าร้องให้ช่วยก็จำเสียงได้ว่าอุยกาย จึงให้ทหารลงไปช่วยพยุงขึ้นมา แล้วชักลูกเกาทัณฑ์ออกเสียจากไหล่ได้ แต่ปลายลูกเกาทัณฑ์นั้นหักติดเนื้ออยู่ ฮันต๋งจึงเอาปลายกระบี่ผ่าเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งหักอยู่นั้นออกมาได้ จึงเอาแพรพันแผลบาดเจ็บไว้ แล้วฮันต๋งถอดเสื้อออกให้อุยกายใส่
ในขณะเมื่อเพลิงไหม้เรือขนานอยู่นั้น นายทหารซึ่งคุมเรือรบคนละสามร้อยนั้น เจียวขิมคุมเรือสามร้อยหนุนฮันต๋งเข้าไป แลตันบูคุมเรือรบสามร้อยตีเข้าไปในหว่างเรือขนานข้างทิศตวันตก จิวท่ายนั้นคุมเรือรบสามร้อยตีกระหนาบเข้าไปข้างทิศตวันออก ในขณะนั้นเรือรบจิวยี่กับเทียเภาแลเตงฮองกับชีเซ่งเปนปีกซ้ายปีกขวา จิวยี่มาถึงค่ายก็ตีตลุมบอนเข้าไปพร้อมกัน เพลิงนั้นติดเข้าที่ใดทหารจิวยี่ก็ตามเข้าไปถึงที่นั้น ทหารจิวยี่เข้าไปถึงไหนเพลิงก็ยิ่งไหม้ ติดลามขึ้นที่นั่นเปนอันมาก เหล่าทหารโจโฉรบพุ่งต้องอาวุธเจ็บปวดล้มตายเปนอันมาก ตกน้ำตายบ้าง ตายในเพลิงบ้าง
ฝ่ายกำเหลงแม่ทัพบก ขณะเมื่อเข้าจุดเพลิงเผาสเบียง ณ ค่ายฮัวหลิมเสียนั้น ลิบองเห็นแสงเพลิงก็คุมทหารยกหนุนเข้าไปจุดเพลิงเผาค่ายต่อกันไป กำเหลงได้ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก ฝ่ายตังสิดกับพัวเจี้ยงก็ให้ทหารเอาเพลิงเผาค่ายทหารโจโฉขึ้นทั้งสี่ด้าน เหล่าทหารโจโฉสู้รบล้มตายบ้างหนีไปบ้าง ฝ่ายโจโฉกับเตียวเลี้ยวแลทหารประมาณร้อยเศษ เมื่อหนีขึ้นมาจากตลิ่งนั้น จะเข้าอาศรัยค่ายใดเพลิงก็ไหม้ลามไปเปนหลายค่าย จึงพากันหนีไปที่เพลิงยังไม่ติดขึ้นนั้น
ขณะเมื่อบุนเพ่งถูกเกาทัณฑ์กลับมาแล้ว ครั้นเพลิงไหม้เรือขนานขึ้น มอกายหนีออกได้มาพบบุนเพ่งเข้าก็พากันขึ้นตลิ่ง ได้ทหารประมาณห้าสิบคนรีบหนีไปพบโจโฉ ๆ จึงถามเตียวเลี้ยวว่า จะหนีไปแห่งใดจึงจะพ้นข้าศึก เตียวเลี้ยวจึงบอกว่า ให้หนีไปทางตำบลฮัวหลิมเห็นจะพ้นภัย โจโฉก็พาทหารทั้งปวงรีบหนีไป พอได้ยินเสียงทหารกองหนึ่งโห่ร้องตามมาข้างหลังก็ตกใจ
ฝ่ายลิบองตามมาใกล้เข้าจึงร้องว่า โจโฉมึงจะหนีไปแห่งใด ตัวกูเปนทหารซุนกวนมาคอยสกัดอยู่หวังจะเอาชีวิตมึง โจโฉได้ยินดังนั้นก็ให้เตียวเลี้ยวลงมาป้องกันข้างหลัง ตัวนั้นพาทหารรีบไปข้างหน้า แลไปเห็นเพลิงตรงทางจะไปนั้นไหม้ขึ้นเปนอันมาก พอได้ยินเสียงทหารคนหนึ่งร้องมาแต่เนินเขาว่า ตัวกูชื่อเล่งทองคุมทหารมาสกัดอยู่หวังจะเอาชีวิตมึง โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พอซิหลงมาทันเข้าจึงว่า มหาอุปราชอย่ากลัว แล้วซิหลงก็เข้าสู้รบกับเล่งทองเปนสามารถมิได้แพ้ชนะกัน ซิหลงก็พาโจโฉรีบหนีต่อไป
ฝ่ายม้าเอี๋ยนกับเตียวคี ซึ่งโจโฉให้ไปตั้งค่ายอยู่ตำบลลิมหยงนั้น เห็นทัพโจโฉเกิดเพลิงไหม้ขึ้นก็คุมทหารสามพันยกมาช่วย พอพบโจโฉเข้าโจโฉค่อยคลายใจ ให้ม้าเอี๋ยนกับเตียวคีคุมทหารพันหนึ่งนำทางไปก่อน แลทหารสองพันนั้นโจโฉเอาไว้ป้องกันตัวไปข้างหลัง ม้าเอี๋ยนเตียวคีคุมทหารพันหนึ่งนำหน้าโจโฉไปทางประมาณร้อยเส้น พอได้ยินเสียงทหารกองหนึ่งโห่ร้องอยู่ข้างหน้าแล้วนายทหารร้องมาว่า ตัวกูชื่อกำเหลงคุมทหารมาสกัดอยู่ หวังจะจับอ้ายเหล่าร้ายฆ่าเสียให้สิ้นเชิง ม้าเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าเข้าไปจะรบ ยังไม่ทันประอาวุธกัน กำเหลงเอาง้าวฟันถูกม้าเอี๋ยนตัวขาดสองท่อน เตียวคีเห็นดังนั้นก็โกรธ ขับม้าไปจะรบพุ่งแก้แค้นแทนเพื่อนกัน กำเหลงก็ขับม้าออกมาแล้วร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง เห็นเตียวคีตกใจเสียทีกำเหลงก็เอาง้าวฟันเตียวคีตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกหนีลงมาบอกเนื้อความแก่โจโฉ ๆ ได้ฟังดังนั้นก็พากันอ้อมหนีไปทางหับหุย
ฝ่ายซุนกวนซึ่งมาตั้งกองทัพอยู่ตำบลอุยเต้นั้น ครั้นเห็นแสงเพลิงไหม้ขึ้นที่กองทัพโจโฉก็มีความยินดี คิดว่าครั้งนี้จิวยี่ทำการชนะโจโฉแล้ว จึงให้ลกซุนจุดเพลิงขึ้นเปนสำคัญ ครั้นไทสูจู้มาพบซุนกวน ๆ จึงให้ลกซุนกับไทสูจู้คุมทหารบัญจบกันรีบยกมาช่วยจิวยี่ทำการ โจโฉเห็นกองทัพไทสูจู้ลกซุนยกมาก็พาทหารรีบลัดทางหนีจะไปตำบลอิเหลง พอพบเตียวคับเข้าโจโฉจึงให้คอยป้องกันข้างหลังกับเตียวเลี้ยวแล้วขับม้ารีบ หนีไป ครั้นเวลาจะใกล้รุ่งเหลียวหลังไปเห็นแสงเพลิงนั้นไกลแล้วก็ค่อยคลายใจลง จึงถามทหารทั้งปวงว่าที่นี้ชื่อตำบลใด ทหารจึงบอกว่าท่านมานี้จะใกล้ถึงตำบลฮัวหลิมอยู่แล้ว
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็รีบขับม้าพาทหารไปตามทางเนินเขา แลที่นั้นเปนดงไม้ใหญ่ โจโฉแหงนหน้าขึ้นแล้วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง ทหารทั้งปวงเห็นโจโฉหัวเราะดังนั้นก็สงสัยจึงถามว่า ครั้งนี้เสียทีแก่ข้าศึกมา มหาอุปราชหัวเราะนี้ด้วยเหตุสิ่งใด โจโฉจึงบอกว่า เราหัวเราะนี้ด้วยเหตุว่าความคิดขงเบ้งกับจิวยี่ยังน้อยนัก แม้เราได้คิดอ่านทำการเหมือนขงเบ้งกับจิวยี่นั้น เราก็จะแต่งกองทัพมาซุ่มอยู่ ณ เนินเขาป่านี้ ที่ไหนข้าศึกจะหนีพ้นมือเรา นี่ขงเบ้งจิวยี่มิได้คิดเหมือนใจเรา ครั้นว่าสิ้นคำลง พอได้ยินเสียงประทัดแล้วเห็นแสงเพลิงจุดขึ้นสองข้างทาง ทหารก็โห่ร้องออกมาจากป่าเนินเขาเปนอันมาก แลจูล่งร้องมาว่า ตัวเรานี้ขงเบ้งให้มาคอยสกัดจับอ้ายศัตรูราชสมบัติฆ่าเสีย โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เตียวเลี้ยวเตียวคับป้องกันข้างหลัง โจโฉก็พาทหารหนีไป
ขณะนั้นทหารโจโฉทิ้งม้าแลอาวุธไว้เปนอันมากรีบหนีตามโจโฉไป ฝ่ายจูล่งแลทหารทั้งปวงจับได้ม้าแลเครื่องศัสตราวุธไว้เปนอันมาก เมื่อโจโฉหนีไปนั้นลมสลาตันพัดยังไม่หยุด จนเวลารุ่งขึ้นฝนตกห่าใหญ่ ครั้นฝนหายทหารทั้งปวงจึงพากันไปเที่ยวตีชิงเข้าปลาอาหารของราษฎรชาวบ้านนอก มาได้ พอพบเคาทูซิหลงกับที่ปรึกษาผู้น้อยสี่ห้าคนโจโฉจึงค่อยคลายใจจึงถามทหารว่า ป่านี้ชื่อใด ทหารก็บอกว่าแดนป่าตำบลอิเหลงทางนั้นเปนสองทาง โจโฉจึงว่า เราจะไปเมืองลำกุ๋นนั้นจะไปทางใดเร็ว ทหารบอกว่าไปทางใต้เร็วกว่าทางเหนือ ตัดตรงออกปากทางโฮโลก๊ก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็พาหหารรีบไป ครั้นถึงตำบลโฮโลก๊กเห็นทหารทั้งปวงอิดโรยกำลังจึงให้หยุดหุงอาหาร แล้วให้ฆ่าม้าเสียเอาเนื้อแจกกัน แลทหารทั้งปวงถอดเสื้อถอดเกราะนั้นออกตากไว้ แล้วเอาม้าผูกให้กินหญ้า
ในขณะนั้นอาหารยังไม่ทันสุก โจโฉนั่งอยู่ใต้ร่มไม้หัวเราะขึ้น ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มีความสงสัยจึงถามว่า เมื่อเวลาจะใกล้รุ่งนั้นท่านหัวเราะครั้งหนึ่งว่าขงเบ้งกับจิวยี่มีความคิด น้อย จูล่งก็คุมทหารออกมาโจมตีท่านจึงพาทหารหนีต่อมา บัดนี้เหตุใดท่านจึงหัวเราะอีกเล่า โจโฉจึงว่า ซึ่งเราหัวเราะนี้เพราะเห็นว่าความคิดขงเบ้งจิวยี่นั้นน้อยทำการไม่ตลอด แม้เหมือนตัวเราได้คิดการดังนี้ก็จะแต่งกองทัพมาซุ่มไว้ณปากทางนี้ ถ้าข้าศึกหนีมาก็จะจับตัวได้โดยง่าย ครั้นว่าสิ้นคำลง พอเห็นแสงเพลิงจุดขึ้นทั้งสี่ด้าน แล้วได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงยกมาตั้งสกัดปากทางนั้นไว้กองหนึ่ง แลทหารทั้งปวงนั้นก็ล้อมเข้ามาเปนอันมาก เตียวหุยจึงร้องว่า อ้ายโจโฉนี้เปนศัตรูแผ่นดิน ขงเบ้งให้กูมาตั้งสกัดทางอยู่ ครั้งนี้เห็นมึงไม่รอดชีวิต โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจโดดขึ้นม้าพาทหารสี่ห้าคนรีบหนีไปก่อน แลทหารทั้งปวงนั้นก็แตกบ่าไปทุกตำบล แต่เคาทูเตียวเลี้ยวซิหลงรบพุ่งป้องกันอยู่ภายหลังแล้วหนีตามโจโฉไป เหล่าทหารซึ่งเตียวหุยคุมมานั้นก็ได้ม้าแลอาวุธทั้งเกราะแลเสื้อเปนอันมาก เตียวหุยนั้นมิได้ติดตามโจโฉไป
ฝ่ายโจโฉครั้นหนีมาไกลแล้ว เห็นทหารของตัวซึ่งตามมานั้นต้องอาวุธบาดเจ็บเปนหลายคน โจโฉจึงถามทหารทั้งปวงว่า เราจะไปเมืองลำกุ๋นนั้นไปทางใดจึงจะเร็ว ทหารคนหนึ่งจึงบอกว่า ทางลัดนั้นเร็วกว่าทางใหญ่ห้าร้อยเส้น อันทางลัดนั้นเดิรยากด้วยเปนซอกเขามีหลุมบ่อก็มาก บัดนี้ข้าพเจ้ารีบไปดูปากทางลัดมีกองเพลิงอยู่ โจโฉจึงสั่งให้ทหารไปตามทางซึ่งมีเพลิงอยู่นั้น ทหารจึงว่าทางลัดนั้นมีกองเพลิง ข้าพเจ้าคิดว่าพวกข้าศึกคงมาซุ่มสกัดอยู่เปนมั่นคง เหตุใดท่านจึงจะให้ไปทางนั้นเล่า
โจโฉจึงตอบว่า เรารู้อยู่ว่าความคิดขงเบ้งนั้นจะลวงเรา จึงแกล้งให้เอาเพลิงมากองไว้ปากทางลัด แล้วเอาทหารไปซุ่มไว้ทางใหญ่ หวังจะให้เราคิดเกรงกองเพลิงนั้นว่าจะมีทหารอยู่ จะให้เราคิดหนีไปทางซึ่งซุ่มทหารไว้นั้น ทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย โจโฉก็พาทหารรีบหนีไปตามทางลัดซึ่งมีกองเพลิงอยู่นั้น
ขณะเมื่อโจโฉหนีมานั้น ทหารทั้งปวงซึ่งต้องอาวุธเจ็บป่วยลำบากเปนอันมาก ทั้งอิดโรยกำลังอุตส่าห์รีบเดิรไปมิใคร่ได้ บ้างก็หลบหลีกเข้าไปแอบต้นไม้อยู่ริมเนินเขา แลทหารนั้นคั่งกันอยู่ โจโฉจึงถามว่า เหตุใดไม่รีบเดิรไป ทหารจึงบอกต่อกันมาว่า ทหารเจ็บป่วยเปนอันมาก ทั้งทางก็กันดารนัก ด้วยเปนซอกเขาแลเนินเขา แล้วเมื่อเช้านั้นฝนตกนํ้าขังอยู่ ที่หลุมที่บ่อแลท้องธารม้าแลคนเดิรลื่นลำบากนักจึงคั่งกันอยู่
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เมื่อแรกจะยกกองทัพมานั้น ต่างคนต่างขันอาสาว่าจะรบพุ่งกว่าจะสิ้นชีวิต แม้ภูเขาแลแม่น้ำกั้นหน้าอยู่ก็จะทำตะพานทำลายภูเขาไปให้ได้ บัดนี้เสียทีกลับมา คนทั้งปวงย่อท้ออยู่หรือ โจโฉจึงให้คนป่วยเจ็บนั้นหลีกลงมาเดิรข้างหลัง แลทหารข้างหน้านั้นให้ตัดไม้ถมที่ลุ่มที่บ่อลงให้ม้าเดิรเร็วไปได้ แม้ผู้ใดไม่ทำตามให้ตัดสีสะเสีย แล้วสั่งเคาทูซิหลงซึ่งคุมทหารป้องกันข้างหลังนั้น ถ้าเห็นคนป่วยเจ็บไม่รีบเดิรก็ให้ฆ่าเสียอย่าให้ข้าศึกพบพาน เหล่าทหารข้างหน้าก็ทำตามคำโจโฉสั่ง โจโฉก็ขับม้ารีบไป ในขณะนั้นทหารทั้งปวงเหยียบกันตายเปนหลายคน ผู้ซึ่งเจ็บป่วยไปไม่ได้นั้นทหารทั้งปวงก็ฆ่าเสียบ้าง คนทั้งปวงกลัวต่างคนต่างร้องไห้
โจโฉได้ยินเสียงร้องไห้ก็โกรธ จึงว่าเหตุใดคนทั้งปวงจึงร้องไห้อื้ออึงดังนี้ อันเปนแลตายนั้นก็สุดแต่บุญแลกรรม ครั้นไปพ้นซอกเขาเห็นทหารซึ่งมาด้วยนั้น เหลืออยู่ประมาณสามร้อยเศษโจโฉก็ให้เร่งทหารรีบเดิรไป ทหารทั้งปวงจึงว่าม้าแลคนอ่อนนักแล้ว ขอให้หยุดอยู่ก่อนสักหน่อยหนึ่งจึงค่อยไป โจโฉก็ว่า เร่งไปให้ถึงเมืองเกงจิ๋วก่อนจึงหยุดพักเถิด แล้วรีบขึ้นม้าไปทางห้าสิบเส้นถึงตำบลฮัวหยง โจโฉก็หัวเราะขึ้น ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สงสัยจึงถามว่า ท่านหัวเราะถึงสองครั้งก็มีเหตุทุกที บัดนี้หัวเราะอีกใยเล่า โจโฉจึงว่า เราหัวเราะเย้ยความคิดขงเบ้งจิวยี่ ด้วยที่นี้ชอบกลมิได้แต่งทหารมาซุ่มไว้ แม้มีพวกขงเบ้งจิวยี่มาตั้งสกัดอยู่เราก็จะเสียทีแก่เขา ครั้นว่าขาดคำดังนั้น พอได้ยินเสียงประทัด แล้วกวนอูขี่ม้าถือง้าวคุมทหารออกมายืนสกัดทางไว้
โจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจจะหนีไปก็มิได้ แล้วคิดมานะขึ้นมาจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้จวนตัวแล้วให้ตั้งใจสู้รบทุกคน ทหารทั้งปวงจึงว่า คนทั้งปวงก็อ่อนอยู่แล้ว ทั้งม้าก็ไม่มีกำลัง จะเข้าสู้รบนั้นเห็นขัดสน เทียหยกจึงว่า จะหนีจะสู้นั้นก็ไม่ได้ อันน้ำใจกวนอูเปนทหารนั้นก็จริง ถ้าเห็นผู้ใดไม่สู้รบแล้วก็มิได้ทำอันตราย ประการหนึ่งเปนผู้มีความสัตย์ ทั้งรู้จักคุณคนนักด้วย แล้วท่านก็ได้เลี้ยงดูมีคุณไว้ต่อกวนอูเปนอันมาก แม้ท่านเข้าไปว่ากล่าวโดยดีเห็นกวนอูจะไม่ทำอันตรายท่าน โจโฉเห็นชอบด้วย จึงขับม้าเข้าไปใกล้ถ่อมตัวลงคำนับแล้วร้องถามว่า แต่ท่านจากเรามายังมีความสุขอยู่หรือ
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ยอบตัวลงคำนับแล้วว่า สุขแลทุกข์ก็เปนประมาณอยู่ บัดนี้ขงเบ้งให้ข้าพเจ้ามาฆ่ามหาอุปราชเสีย โจโฉจึงว่าเราแตกจิวยี่มาครั้งนี้ได้ความลำบากนัก ท่านจงเห็นแก่ความไมตรีของเราซึ่งมีไว้แก่ท่านแต่ก่อนจงเปิดทางให้เราไป กวนอูจึงตอบว่า ซึ่งคุณของมหาอุปราชอยู่กับข้าพเจ้านั้นก็จริงอยู่ ครั้งเมื่ออ้วนเสี้ยวยกมารบท่านตำบลแปแบ้นั้น ข้าพเจ้าได้อาสาฆ่างันเหลียงบุนทิวแทนคุณท่านแล้ว บัดนี้เปนการของขงเบ้งใช้ให้มา ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าเปิดทางให้ไปนั้น ขงเบ้งจะมิเอาโทษข้าพเจ้าหรือ
โจโฉจึงว่า ซึ่งท่านแทนคุณเราครั้งหนึ่งก็จริง แลเมื่อท่านหักด่านออกมาถึงห้าตำบล แล้วฆ่านายด่านแลทหารทั้งปวงเสียเปนอันมาก เราก็มิได้โกรธ ด้วยคิดถึงคำที่ท่านได้ว่าไว้ เราจึงให้หนังสือไปถึงแฮหัวตุ้นซึ่งอยู่แม่น้ำฮองโหให้ปล่อยท่านไป บัดนี้ตัวเราเข้าตาจนเหมือนหนึ่งคนตกน้ำ แล้วก็ไม่ต่อสู้ท่าน ๆ จงเห็นไมตรีเราซึ่งได้อ้อนวอน ท่านจงปล่อยเราให้พ้นภ้ยเถิด กวนอูได้ฟังโจโฉว่าดังนั้นก็มีความสงสาร ทั้งคิดถึงคุณซึ่งมีมาแต่หลัง จึงขับม้าพาทหารหลีกทางเสีย
โจโฉเห็นดังนั้นค่อยคลายใจรีบขับม้าไป ทหารเหลือตามมาได้ประมาณสามสิบคน กวนอูเห็นทหารโจโฉซึ่งอยู่ภายหลังนั้นจะรีบตามโจโฉไป กวนอูจึงตวาดด้วยเสียงอันดัง ทหารซึ่งขี่ม้าเดิรเท้าได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงลงคุกเข่าคำนับกวนอูสิ้นทุกคน กวนอูเห็นทหารทั้งปวงอ่อนน้อมก็มีความสงสารมิได้ว่าประการ ใด ทหารทั้งปวงคำนับลากวนอูแล้วก็รีบตามโจโฉไป
ฝ่ายโจโฉครั้นมาพ้นตำบลฮัวหยง เหลียวหลังมาเห็นทหารซึ่งตามมายี่สิบเจ็ดคน ขณะเมื่อเดิรทางมานั้นโจโฉสรรเสริญกวนอูว่าสัตย์ซื่อนัก ครั้นเวลาพลบคํ่า โจโฉเห็นทหารกองหนึ่งจุดคบเพลิงมาข้างหน้าเปนอันมากก็ตกใจ คิดว่าครั้งนี้ชีวิตเราจะถึงแก่ความตายเปนมั่นคง ครั้นใกล้เข้าเห็นโจหยินก็ค่อยคลายใจ โจหยินเข้าคำนับโจโฉแล้วบอกว่า ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่ามหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกจึงคุมทหารมารับท่าน โจโฉจึงปรับทุกข์แก่โจหยินแล้วพาทหารเข้าเมืองลำกุ๋น โจหยินจึงให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญโจโฉกับที่ปรึกษาเสพย์สุราหวังจะให้คลายความ ทุกข์
ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้นโจโฉร้องไห้ ที่ปรึกษาแลทหารเห็นดังนั้นก็สงสัยจึงถามโจโฉว่า เมื่อแตกมากลางทางนั้นได้ความลำบากเปนอันมาก ข้าพเจ้าเห็นท่านหาสู้เปนทุกข์ไม่ บัดนี้ท่านพ้นมาจากเงื้อมมือข้าศึกแล้ว ชอบแต่จะซ่องสุมทหารยกไปแก้แค้นจึงจะควร เหตุใดท่านจึงมาร้องไห้ฉะนี้เล่า โจโฉจึงว่า ซึ่งเราร้องไห้เพราะเหตุคิดถึงกุยแก แม้กุยแกยังไม่ตายก็จะได้มาด้วยเรา ๆ ก็จะไม่ยากถึงเพียงนี้ ว่าแล้วก็ร้องไห้รํ่าถึงกุยแก
ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงว่าแก่โจหยินว่า เราจะกลับไปเมืองฮูโต๋ก่อน จัดแจงทหารแล้วจะยกมาตีเอาเมืองกังตั๋งให้ได้ ตัวเจ้าจงอยู่รักษาเมืองลำกุ๋น เราจะเขียนหนังสือเข้าผนึกไว้ให้สำหรับตัว แม้อับจนเมื่อใดก็ให้ฉีกผนึกออกอ่านดูแล้วจงทำตามหนังสือ อันชาวเมืองกังตั๋งนั้นจะไม่มายํ่ายีได้ แล้วโจโฉก็เขียนหนังสือเข้าผนึกส่งให้โจหยิน ๆ รับเอาหนังสือแล้วว่า เมืองหับป๋านั้นเปนแดนต่อแดนเมืองกังตั๋ง ท่านจะให้ผู้ใดอยู่รักษา โจโฉจึงว่า เมืองเกงจิ๋วกับเมืองลำกุ๋นเจ้าจงรักษาไว้ทั้งสองเมืองเถิด อันเมืองซงหยงนั้นเราก็ให้แฮหัวตุ้นอยู่รักษาแล้ว แต่เมืองหับป๋านั้นเราจะให้เตียวเลี้ยวอยู่เปนเจ้าเมือง แลลิเตียนกับงักจิ้นเปนปลัด ถ้ามีการสิ่งใดก็ให้บอกไปถึงจะได้ช่วยกัน แล้วโจโฉจัดแจงขุนนางแลทหารเมืองเกงจิ๋วได้เปนอันมากก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋ โจหยินจึงให้โจหองผู้น้องคุมทหารไปอยู่รักษาด่านอิเหลง
ฝ่ายกวนอูครั้นเปิดทางให้โจโฉไปแล้ว จึงคุมทหารกลับมาถึงหน้าค่ายแฮเค้าพร้อมกันกับเตียวหุยจูล่ง ในขณะนั้นเตียวหุยจูล่งได้ทหารแลม้ากับเครื่องศัสตราวุธสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปให้ขงเบ้ง ๆ ครั้นรู้ว่ากวนอูมาถึงหน้าค่ายจึงพาเล่าปี่ทำเปนออกไปรับแล้วว่าแก่กวนอูว่า ตัวเรารู้ว่าท่านผู้มีน้ำใจช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินไปได้สีสะโจโฉซึ่งเปนศัตรู ราชสมบัติมา เราออกมารับท่านด้วยความยินดี
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ ขงเบ้งเห็นกวนอูสเทินใจดังนั้นจึงแกล้งซ้ำว่า ท่านน้อยใจเราหรือว่าไม่ไปรับถึงกลางทาง แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เหตุใดจึงไม่บอกข่าวให้เรารู้ก่อนจะได้ไปรับกวนอู ควรหรือนิ่งเสียได้ แกล้งให้กวนอูโกรธจนไม่พูดกับเรา กวนอูได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะมารับโทษ ขงเบ้งจึงแกล้งถามว่าท่านไปไม่พบโจโฉจะกลับมาเอาสีสะเราหรือ กวนอูจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไปนั้นพบโจโฉเหมือนคำท่าน แต่ข้าพเจ้าหามีฝีมือไม่ โจโฉจึงหนีไปได้ ขงเบ้งก็หัวเราะแล้วถามว่า อันตัวโจโฉหนีไปได้นั้นก็ตามทีเถิด แต่ท่านยังจับทหารมาได้บ้างหรือไม่ กวนอูบอกว่า ถึงทหารโจโฉนั้นข้าพเจ้าก็จับไม่ได้ ขงเบ้งทำเปนโกรธแล้วว่า ตัวท่านไปพบโจโฉแล้ว หากคิดถึงคุ ณ เขาอยู่จึงมิได้เอาสีสะมานั้นโทษท่านใหญ่หลวงนัก ซึ่งสัญญาไว้แก่เรานั้นลืมเสียแล้วหรือ กวนอูจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าได้สัญญาไว้ว่า ถ้าพบโจโฉแล้วมิได้เอาสีสะมานั้นก็จะให้สีสะข้าพเจ้าแทนตามสัญญา แล้วก็ชักกระบี่ออกจะตัดสีสะให้ขงเบ้ง ๆ เห็นกวนอูชักกระบี่จะตัดสีสะให้ดังนั้นก็เข้ายุดมือไว้แล้วห้ามว่าซึ่งเรา ใช้ท่านไปทั้งนี้ปราถนาจะให้ท่านแทนคุณโจโฉดอก มิได้คิดว่าจะเอาโทษท่าน ซึ่งท่านจะให้สีสะเราตามสัญญานั้นก็ขอบใจที่มิได้เสียความสัตย์ สมเปนชาติทหาร แล้วไปเถิด กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงเอากระบี่ใส่ฝักเสีย ขงเบ้งกับเล่าปี่ก็พากวนอูเข้ามาค่าย
ฝ่ายจิวยี่ครั้นมีชัยชนะแก่โจโฉแล้ว ก็ยกกองทัพกลับมา ณ ค่าย ให้ปูนบำเหน็จทหารใหญ่น้อยทั้งปวงตามสมควร จึงให้เอาเรือรบบันทุกทหารโจโฉซึ่งจับไว้ได้นั้นส่งไปให้ซุนกวนณปากน้ำเมือง กังตั๋ง แล้วจิวยี่ยกกองทัพไปตั้งอยู่ที่ตำบลลิมกั๋ง หวังจะคิดอ่านไปตีเมืองลำกุ๋น
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 42
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnTUlacVNMaHJZeVU/view?resourcekey=0-5eEXY6t2yjlCZdMQPoJWIw
«
Last Edit: 23 December 2021, 08:41:30 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #2 on:
23 December 2021, 08:45:05 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 43
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-43.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 43
เนื้อหา
จิวยี่ไม่ยอมให้เล่าปี่ตีเมืองลำกุ๋น
เล่าปี่คิดจะเอาเมืองลำกุ๋นให้ได้
จิวยี่ตีเมืองลำกุ๋น
ฝ่าย เล่าปี่จึงจัดแจงสิ่งของสำหรับเลี้ยงทหารให้ซุนเขียนนำไปให้จิวยี่ ซุนเขียนก็เอาสิ่งของทั้งนั้นไปให้จิวยี่ จิวยี่จึงถามซุนเขียนว่า บัดนี้เล่าปี่นายท่านตั้งอยู่ตำบลใด ซุนเขียนจึงบอกว่า เล่าปี่กับขงเบ้งคุมทหารมาตั้งอยู่ ณ ปากนํ้าเมืองอือกั๋ง จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสดุ้งขึ้น แล้วว่าให้ซุนเขียนกลับไปก่อนเถิด ต่อวันอื่นเราจึงจะไปเยี่ยมเล่าปี่ ซุนเขียนก็ลาจิวยี่กลับไป โลซกจึงถามจิวยี่ว่า ซุนเขียนบอกท่านว่าเล่าปี่กับขงเบ้งคุมทหารมาตั้งอยู่ปากนํ้าเมืองอือกั๋ง แลท่านสดุ้งตกใจขึ้นนั้นด้วยเหตุอันใด จิวยี่จึงบอกว่า เราตกใจสดุ้งขึ้นนั้นเพราะเหตุว่าเล่าปี่กับขงเบ้งจะชิงเอาเมืองลำกุ๋นเปน มั่นคง ซึ่งเราทำการครั้งนี้ได้เสียเงินทองแลสิ่งของเปนบำเหน็จทหารเปนอันมาก อันเมืองลำกุ๋นนั้นเหมือนหนึ่งอยู่ในเงื้อมมือเรา เมื่อเล่าปี่กับขงเบ้งได้เมืองลำกุ๋นแล้ว เราก็จะมีความน้อยใจ เห็นจะถึงแก่ความตาย เราจึงตกใจสดุ้งขึ้นเพราะเหตุฉนี้ โลซกจึงว่าท่านจะคิดอุบายประการใดจึงจะให้เล่าปี่กับขงเบ้งยกทหารถอยไปให้ ไกลแดนเมืองลำกุ๋นได้ จิวยี่จึงตอบว่า เราจะคิดอ่านให้ไปว่ากล่าวเล่าปี่แต่โดยดีก่อน ถ้าเล่าปี่ไม่ฟังเรา จึงจะคิดกำจัดเสียให้ได้ โลซกจึงว่า ท่านคิดนี้ชอบอยู่ แม้ท่านจะไปหาเล่าปี่เมื่อใดข้าพเจ้าจะไปด้วย แล้วจิวยี่จึงพาโลซกกับทหารสามพันลงเรือรบออกจากกองทัพหวังจะไปหาเล่าปี่
ฝ่ายซุนเขียนครั้นมาถึงก็เอาเนื้อความซึ่งจิวยี่ว่ากล่าวนั้นเล่าให้เล่า ปี่ฟังทุกประการ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษาแก่ขงเบ้งว่า อันจิวยี่จะมาคำนับตอบเรานี้ท่านยังเห็นประการใด ขงเบ้งจึงว่า อันนํ้าใจจิวยี่นั้นมิได้นับถือข้าพเจ้ากับท่าน ซึ่งจะมาคำนับตอบโดยปรกตินั้นหามิได้ ซึ่งจิวยี่จะมาบัดนี้ เพราะมีความสงสัยว่าท่านจะชิงเอาเมืองลำกุ๋น เล่าปี่จึงถามว่า ถ้าจิวยี่มาเปนขบวรทัพเราจะคิดอ่านประการใด ขงเบ้งจึงกระซิบบอกเนื้อความให้เล่าปี่ตอบจิวยี่ แล้วให้ทหารจัดเรือรบออกไปทอดอยู่ ณ ปากนํ้า แม้เห็นจิวยี่มาโดยร้ายก็ให้ช่วยกันรบพุ่งป้องกันไว้ พอคนใช้เข้ามาบอกว่า บัดนี้จิวยี่กับโลซกคุมทหารยกมาประมาณสามพัน เล่าปี่จึงให้จูล่งคุมทหารประมาณห้าสิบออกไปรับจิวยี่ถึงนอกค่าย จิวยี่จึงให้ทหารทั้งปวงอยู่แต่ภายนอก แล้วพาโลซกเข้าไปในค่าย เล่าปี่กับขงเบ้งลงไปรับจิวยี่โลซกขึ้นมาให้นั่งที่สมควร ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน แล้วเล่าปี่สั่งให้แต่งโต๊ะเชิญจิวยี่โลซกเสพย์สุรา เล่าปี่จึงสรรเสริญจิวยี่ว่า ซึ่งท่านคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียได้นั้น อาณาประชาราษฎรได้ความสุขเพราะท่าน จิวยี่จึงถามเล่าปี่ว่า ซึ่งท่านคุมทหารมาตั้งอยู่ที่นี้ ท่านคิดจะยกไปตีเอาเมืองลำกุ๋นหรือ เล่าปี่จึงตอบตามคำขงเบ้งกระซิบสั่งว่า ซึ่งข้าพเจ้ายกมาตั้งอยู่ที่นี้ เพราะคิดว่าท่านจะยกไปตีเอาเมืองลำกุ๋น ข้าพเจ้าจะคุมทหารไปช่วยเปนการเร็ว แม้ท่านไม่ไปข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่าจะไปตีเอาเมืองลำกุ๋นให้ จิวยี่ได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า ตัวเราเปนชาติทหารอยู่เมืองกังตั๋งก็คิดอยู่ว่าจะยกกองทัพไปตีเอาหัวเมือง ฝ่ายเหนือให้เปนบำเหน็จมือไว้ พอโจโฉยกกองทัพลงมาตีหัวเมืองฝ่ายใต้ครั้งนี้ เราได้ออกมาตั้งสู้รบจนโจโฉแตกหนีไปแล้ว เราก็เสียสเบียงอาหารแลเงินทองแจกทหารเปนอันมาก อันเมืองลำกุ๋นบัดนี้เหมือนหนึ่งอยู่ในเงื้อมมือเรา แม้จะคิดเอาเมื่อใดก็จะได้โดยง่าย เหตุใดท่านจึงถามว่าเราจะไม่เอาหรือ เล่าปี่จึงตอบว่า เมื่อโจโฉแตกไปนั้นได้ให้โจหยินอยู่รักษาเมืองลำกุ๋น แล้วแต่งทหารเอกซึ่งมีฝีมืออยู่รักษาด่านทางเปนหลายตำบล อันโจหยินนั้นก็มีกำลังกล้าหาญนัก ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านทำการจะไม่สมความคิด จิวยี่จึงว่า แม้เราตีเอาเมืองลำกุ๋นไม่ได้ท่านก็จงยกไปตีเอาเถิด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า จิวยี่ว่าทั้งนี้โลซกกับขงเบ้งจงเปนพยานเราด้วย สืบไปภายหน้าถ้าจิวยี่จะคืนคำเสียเราจะได้อ้างท่านทั้งสองเปนพยาน จิวยี่จึงว่า ตัวเราเกิดมาเปนชาย ได้ลั่นวาจาออกมาแล้วก็ไม่คืนคำเลย ขงเบ้งจึงแกล้งว่า อันจิวยี่นี้แม้จะเจรจาสิ่งใดก็มั่นคงนัก อันเมืองลำกุ๋นนั้นให้จิวยี่ไปตีก่อน ถ้าขัดสนประการใดเล่าปี่จึงยกไปทำการต่อภายหลัง จิวยี่กับโลซกก็ลาเล่าปี่ลงเรือกลับไป
เล่าปี่จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า อันจิวยี่จะยกกองทัพไปตีเอาเมืองลำกุ๋นนั้นก็จะได้เปนมั่นคง แต่เราคิดวิตกอยู่ว่าทุกวันนี้เราหาเมืองจะอาศรัยมิได้ ขงเบ้งจึงว่า เดิมข้าพเจ้าได้ว่ากล่าวให้ท่านเอาเมืองเกงจิ๋วไว้เปนที่อาศรัยจะได้คิดการ ต่อไป ท่านก็ไม่ฟังคำข้าพเจ้า บัดนี้ท่านได้คิดแล้วหรือจึงคิดวิตกดังนี้ เล่าปี่จึงตอบว่า แต่ก่อนท่านว่านั้นก็จริง ซึ่งเราไม่เอาเมืองเกงจิ๋วไว้เปนที่อาศรัยนั้น เพราะเหตุว่าเปนเมืองของเล่าเปียว บัดนี้เมืองเกงจิ๋วเปนเมืองของโจโฉแล้ว เราจะต้องคิดอ่านเอาให้ได้ ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย จงงดอยู่ให้จิวยี่ตีเอาเมืองลำกุ๋นให้ได้แล้ว ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเปนกลอุบายมิให้ยากแก่ทหารทั้งปวง จะให้ได้เมืองลำกุ๋นโดยง่าย เล่าปี่จึงถามว่าท่านจะคิดอ่านทำประการใด ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าเพ่อถามก่อนเลย ต่อภายหลังจึงค่อยรู้ เล่าปี่มีความยินดีมิได้ตอบประการใด
ฝ่ายจิวยี่กับโลซกครั้นกลับมาถึงค่าย โลซกจึงถามจิวยี่ว่า เหตุใดท่านจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ถ้ายกกองทัพไปรบเอาเมืองลำกุ๋นไม่ได้ก็ให้เล่าปี่ไปตีเอาเถิด จิวยี่จึงตอบว่า ซึ่งเราว่าแก่เล่าปี่นี้เปนคำลวง เพราะเหตุว่าจะให้เล่าปี่กำเริบ แล้วว่าครั้งนี้เราจะยกไปตีเอาเมืองลำกุ๋น ผู้ใดจะอาสาเปนกองหน้า จิวขิมจึงว่าตัวข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารเปนกองหน้าไป จิวยี่จึงจัดแจงทหารห้าพัน ให้ชีเซ่งเตงฮองไปด้วยจิวขิม แล้วสั่งว่า ให้รีบยกข้ามแม่นํ้าฮั่นกั๋งไปก่อน เราจึงจะยกกองทัพหลวงตามไปภายหลัง จิวขิมชีเซ่งเตงฮองก็ลาจิวยี่คุมทหารห้าพันยกไปจะรบเอาเมืองลำกุ๋น ครั้นมาถึงด่านอิเหลงชีเซ่งเตงฮองก็คิดกันว่า จะรบพุ่งหักหาญเข้าไปทางด่านนั้นไม่ได้ จึงคุมทหารอ้อมทางไปใกล้เมืองลำกุ๋นแล้วก็ให้ตั้งค่ายมั่นอยู่
ฝ่ายม้าใช้จึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่โจหยินว่า บัดนี้กองทัพเมืองกังตั๋งยกมาตั้งค่ายมั่นอยู่ใกล้เมืองเรา โจหยินได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้จิวยี่ให้ชีเซ่งเตงฮองคุมทหารยกมาหวังจะทำอันตรายเมืองเรา อันสเบียงอาหารในเมืองนี้ก็มีอยู่เปนอันมาก จำเราจะตั้งมั่นรักษาเมืองไว้ให้ข้าศึกขัดสนสเบียงก็จะยกกองทัพกลับไปเอง งิวขึ้มจึงว่า ซึ่งจะตั้งมั่นอยู่ในเมืองฉนี้ข้าศึกก็จะได้ใจ ประการหนึ่งทหารทั้งปวงก็จะคิดเสียใจว่าเราย่อท้อ ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารห้าร้อยออกต้านทานไว้ โจหยินเห็นชอบด้วยจึงจัดทหารห้าร้อยให้ งิวขึ้มก็คุมทหารเปิดประตูเมืองออกไปรบกับเตงฮองได้ห้าเพลง เตงฮองก็ถอยหนี แลงิวขึ้มนั้นก็ขับม้าไล่บุกรุกไป เตงฮองเห็นดังนั้นก็ขับม้าหยุดอยู่ แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงให้ล้อมงิวขึ้มเข้าไว้ งิวขึ้มก็สู้รบอยู่ในหว่างทหารเปนสามารถ
ขณะนั้นโจหยินอยู่บนหอรบ เห็นทหารเตงฮองล้อมงิวขึ้มเข้าไว้ จึงแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าพาทหารประมาณสามร้อย รีบยกออกจากประตูเมืองฝ่าฟันพวกข้าศึกเข้าไปหวังจะแก้งิวขึ้ม ฝ่ายชีเซ่งเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบกับโจหยินอยู่เปนช้านาน ชีเซ่งต้านทานมิได้ก็ชักม้าถอยไป โจหยินก็พางิวขึ้มออกมาได้ ครั้นเหลียวดูเห็นทหารยังเหลือตามออกมาประมาณห้าสิบคน โจหยินจึงพางิวขึ้มกลับเข้าไปรบพุ่งด้วยจิวขิม หวังจะแก้แค้นทหารทั้งปวง ฝ่ายโจซุนอยู่บนหอรบเห็นโจหยินออกไปรบพุ่งกันอยู่ ก็ขึ้นม้าถือทวนพาทหารหนุนออกไปช่วยรบพุ่งตลุมบอน ไต้ฆ่าฟันกันตายเปนอันมาก แลจิวขิมชีเซ่งเตงฮองต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นถอยไป โจหยินมีชัยชนะก็พาโจซุนกับงิวขึ้ม แลทหารกลับเข้าเมือง
ฝ่ายจิวขิมครั้นมาพบกองทัพจิวยี่ก็เอาเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งแลแตกมานั้น เล่าให้จิวยี่ฟังทุกประการ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธสั่งให้ทหารเอาตัวจิวขิมไปฆ่าเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงขอโทษจิวขิมไว้ จิวยี่จึงจัดแจงทหารจะยกเข้าตั้งประชิดเมืองลำกุ๋น กำเหลงจึงว่า ซึ่งจะยกเข้าตั้งประชิดเมืองลำกุ๋นนั้นไม่ได้ ด้วยโจหยินให้โจหองผู้น้องคุมทหารไปตั้งอยู่ ณ ด่านอิเหลง บัดนี้กองทัพเรายกอ้อมเข้ามาพ้นด่านอิเหลงแล้ว ครั้นโจหองรู้ก็จะยกตีกระหนาบมา ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีด่านอิเหลงให้ทหารโจหองระส่ำระสาย แล้วจึงยกเข้าไปตั้งประชิดเมืองทำการรบพุ่งสืบไป จิวยี่เห็นชอบด้วยก็จัดทหารให้กำเหลงสามพัน กำเหลงคุมทหารรีบกลับไปใกล้ด่านอิเหลง
ฝ่ายม้าใช้ก็เอาเนื้อความมาบอกแก่โจหยินว่า บัดนี้จิวยี่ให้กำเหลงยกไปตีด่านอิเหลง โจหยินได้ฟังจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวง ตันเกียวจึงว่าถ้าละไว้ช้าเสียด่านอิเหลงแล้วเราจะป้องกันเมืองลำกุ๋นไว้มิ ได้ โจหยินจึงให้โจซุนกับงิวขึ้มคุมทหารลอบไปทางลัด จะได้ช่วยโจหองรบพุ่งป้องกันด่านอิเหลงไว้ให้ได้ โจซุนกับงิวขึ้มคุมทหารลัดไปถึงกลางทาง แล้วให้ทหารรบไปบอกโจหองว่า บัดนี้โจหยินให้เราทั้งสองคุมทหารยกมาช่วย ให้โจหองเร่งยกออกมารบกับกำเหลง เราจึงจะตีกระหนาบเข้าไป ทหารม้าใช้ก็รีบไปบอกโจหอง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้จัดแจงทหารเตรียมไว้
ฝ่ายกำเหลงครั้นมาถึงด่านอิเหลงก็ตั้งค่ายประชิดอยู่ โจหองเห็นดังนั้นก็คุมทหารเปิดประตูค่ายออกไปรบพุ่งเปนสามารถแล้วทำถอยหนีไป ขณะนั้นกำเหลงก็เข้าอยู่ในค่ายอิเหลง ฝ่ายโจหองซึ่งหนีไปนั้น ครั้นพบโจซุนงิวขึ้มจึงเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ ครั้นเวลากลางคืนโจหองโจซุนงิวขึ้มก็คุมทหารล้อมค่ายอิเหลงไว้ ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปบอกแก่จิวยี่ว่ากำเหลงตีด่านอิเหลงได้แล้วเข้าตั้ง อยู่ในค่าย บัดนี้โจหองโจซุนงิวขึ้มคุมทหารเข้าล้อมค่ายอิเหลงไว้ จิวยี่แจ้งดังนั้นก็ตกใจ ยังไม่ทันปรึกษาประการใด เทียเภาจึงว่าขอให้แบ่งทหารไปช่วยกำเหลง จิวยี่จึงตอบว่า ซึ่งท่านจะให้แบ่งทหารไปช่วยกำเหลงนั้นทหารในกองทัพเราก็จะเบาลง เกลือกรู้ถึงโจหยิน ๆ ก็จะยกกองทัพมาตี เราก็จะเสียทีแก่ข้าศึก
ลิบองจึงว่า อันกำเหลงนั้นมีฝีมือเปนทหารเอกในเมืองกังตั๋ง ซึ่งท่านจะไม่แบ่งทหารไปช่วยนั้นกำเหลงก็จะน้อยใจ ทั้งการของเราก็เสียไป จิวยี่จึงตอบว่า ตัวเราคิดจะใคร่แบ่งทหารแล้วยกไปเองเสียอีก แต่ค่ายซึ่งตั้งอยู่นี้เกลือกคนทั้งปวงจะรักษาไว้ไม่ได้ ลิบองจึงว่าให้เล่งทองอยู่รักษาค่ายไว้แต่ในสิบวัน ท่านเปนกองหลวง ข้าพเจ้าจะขออาสาเปนทัพหน้ายกไปช่วยกำเหลงจึงจะควร จิวยี่จึงสั่งให้เล่งทองอยู่รักษาค่าย เล่งทองจึงตอบว่าท่านใช้แล้วข้าพเจ้าไม่ขัด แต่ในสิบวันนี้ข้าพเจ้าจะรับรักษาค่ายไว้ให้ได้ ถ้าพ้นกว่านั้นเห็นจะเหลือกำลัง
จิวยี่จึงว่าในสิบวันเราจะกลับมาให้ถึง แล้วแบ่งทหารให้เล่งทองไว้หมื่นหนึ่ง เหลือนั้นจิวยี่กับลิบองก็ยกไปถึงกลางทางลิบองจึงว่า ด่านอิเหลงนี้ข้างทิศใต้มีทางลัดไปเมืองลำกุ๋นอยู่ทางหนึ่ง ขอให้ท่านแต่งทหารไปตัดไม้ล้มขวางทางไว้ให้มาก แม้โจหองหนีไปทางนั้นเห็นจะได้ความขัดสน ก็จะทิ้งม้าแลเครื่องศัสตราวุธเสีย เราก็จะได้ไว้เปนกำลัง จิวยี่เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารห้าร้อยให้ไปตัดไม้ขวางทางไว้ตามคำลิบอง แล้วจิวยี่ก็ยกกองทัพไปใกล้ด่านอิเหลง จิวยี่จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาตีฝ่าเข้าไปบอกกำเหลงให้รู้ว่าเรายกกองทัพมาถึงแล้ว ให้กำเหลงรบหักออกมา เราจะตีกระหนาบเข้าไป จิวท่ายรับอาสาขับม้ารำง้าวตีฝ่าทหารโจหองเข้ามาถึงริมค่าย กำเหลงเห็นดังนั้นก็เปิดประตูรับจิวท่ายเข้ามา จิวท่ายจึงบอกเนื้อความแก่กำเหลง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงจัดแจงทหารเตรียมไว้
ฝ่ายโจหองโจซุนก็แต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปถึงโจหยินเปนใจความว่า ข้าพเจ้าล้อมกำเหลงไว้ บัดนี้จิวยี่ยกกองทัพมาช่วยกำเหลง แล้วโจหองก็จัดแจงทหารเตรียมมั่นไว้ทั้งสองด้านหวังจะสู้รบจิวยี่กำเหลง ขณะนั้นจิวยี่จึงขับทหารเข้ารบพุ่งกับโจหองเปนสามารถ ฝ่ายกำเหลงได้ยินเสียงรบพุ่งอื้ออึง ก็คุมทหารตีกระหนาบออกมาฆ่าฟันทหารโจหองล้มตายเปนอันมาก โจหองโจซุนงิวขึ้มต้านทานมิได้ก็พาทหารหนีไปทางลัด จิวยี่ก็คุมทหารตามรบไป ทหารโจหองเห็นไม้ไหล้นั้นขวางทางอยู่จะไปนั้นไม่สดวก จึงทิ้งม้าแลอาวุธเสียพากันรีบหนีไปแต่ตัว
ขณะเมื่อจิวยี่คุมทหารตามไปนั้นได้ม้าแลอาวุธเปนอันมาก แล้วก็รีบตามไปถึงปากทาง พบกองทัพโจหยินซึ่งรู้หนังสือโจหองแล้วยกกองทัพมาช่วยนั้น ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ จนเวลาเย็นมิได้แพ้ชนะกัน โจหยินจึงพาโจหองโจซุนกลับเข้าเมืองลำกุ๋นแล้วปรึกษากันว่า บัดนี้เราเสียด่านอิเหลงแล้ว เห็นเราจะป้องกันเมืองลำกุ๋นไว้มิได้ ก็ฉีกหนังสือซึ่งโจโฉให้ไว้ออกดู ครั้นแจ้งเนื้อความทั้งปวงแล้วก็ให้เอาธงขึ้นไปปักเรียงไว้รอบเชิงเทิน ให้ทหารทั้งปวงหาบตะพายอาหารทำประหนึ่งจะพากันหนีไปจากเมือง แล้วสั่งตันเกียวงิวขึ้มให้เปิดประตูเมืองไว้สามประตู ให้ขุดหลุมริมประตูเอาดินเกลี่ยปากหลุมไว้อย่าให้เห็นรอย เมื่อทหารจิวยี่ยกเข้ามานั้นก็จะตกหลุมลง จึงจะจับได้โดยง่าย แลท่านทั้งสองนี้ให้เกณฑ์ทหารเกาทัณฑ์ซุ่มไว้ทั้งสามประตู แม้เห็นจิวยี่คุมทหารเข้ามาก็ให้รบป้องกันไว้พลาง ต่อได้ยินเสียงประทัดเมื่อใด ก็ให้ทหารเกาทัณฑ์ช่วยกันระดมยิงจงกวดขัน ครั้นสั่งให้ทำการเสร็จแล้ว โจหยินโจหองก็พาทหารซึ่งตะพายสเบียงนั้นทำเปนหนีออกจากเมือง
ฝ่ายจิวยี่ขึ้นดูบนหอรบมิได้เห็นทหารอยู่รักษาหน้าที่กำแพงเมือง แล้วเห็นโจหยินโจหองพาทหารตะพายสเบียงออกจากเมืองดังนั้น ก็คิดว่าโจหยินโจหองจะหนีไป จิวยี่จึงลงมาจากหอรบ แล้วสั่งทหารกองหน้าให้เข้ารบด้วยโจหยินโจหอง ให้ปีกซ้ายขวาดากันเข้ารบเปนสามารถ ตัวเราจะคุมทหารเปนทัพหนุน แม้กองหน้าได้ยินเสียงม้าฬ่อแล้วให้เร่งหักเข้าไป ฝ่ายทหารกองหน้าแลปีกซ้ายขวาก็ยกเข้ารบโจหยินโจหองเปนตลุมบอน แล้วจิวยี่ให้จิวท่ายขับม้าออกไปรบด้วยโจหยินได้สิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน จิวยี่จึงให้ฮันต๋งขับม้าเข้ารบกับโจหองได้สามสิบเพลง โจหยินโจหองมิได้เข้าเมืองลำกุ๋นทำถอยหนีไปทางทิศเหนือ จิวท่ายฮันต๋งเห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ติดตามไป จิวยี่ก็ขับทหารหนุนไปจนถึงชานกำแพงเมือง เห็นประตูเมืองนั้นเปิดอยู่ ก็แลเข้าไปดูมิได้เห็นทหารรักษาอยู่ จิวยี่ก็พาทหารประมาณห้าสิบคนเข้าในประตูเมือง
ฝ่ายตันเกียวก็ว่า อันความคิดมหาอุปราชให้หนังสือไว้นี้ดีนัก อุปมาดังเทพดาเข้าดลใจ พอได้ยินเสียงประทัดก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ระดมไปเปนอันมาก แล้วตันเกียวก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกขาซ้ายจิวยี่ตกม้าลง งิวขึ้มเห็นดังนั้นก็คุมทหารเข้าไปจะจับเอาตัวจิวยี่ พอชีเซ่งเตงฮองเข้ามาทันก็ช่วยป้องกันจิวยี่ไว้ แล้วพยุงขึ้นม้าจะถอยมาจากเมือง ตันเกียวก็ขับทหารไล่รบพุ่งไป เหล่าทหารจิวยี่นั้นตกหลุมลงเปนอันมาก ตันเกียวจับได้บ้างฆ่าเสียบ้าง ชีเซ่งเตงฮองก็ป้องกันจิวยี่ออกมาได้ถึงนอกเมือง เทียเภาเห็นจิวยี่ถอยมาก็ตีม้าฬ่อขึ้น หวังจะเรียกทหารทั้งปวงให้กลับมา จิวท่ายกับฮันต๋งได้ยินเสียงม้าฬ่อก็พาทหารถอยมาตามสัญญา
ฝ่ายโจหยินโจหองเห็นดังนั้น ก็คุมทหารแยกกันเปนสองกองตามตีกระหนาบไป จิวยี่แลทหารก็ถอยเข้าค่าย จิวยี่ชักถูกเกาทัณฑ์ออกเสียแล้วให้หมอรักษาแผล อันความเจ็บปวดนั้นเปนคราวๆ หมอจึงว่าลูกเกาทัณฑ์นี้ใส่ยาพิษ ให้ท่านดับความโกรธเสีย แม้มีความโกรธแล้วเมื่อใดพิษยาก็จะกำเริบขึ้น เทียเภาจึงสั่งทหารทั้งปวงให้ตรวจตรารักษาค่ายไว้จงมั่นคง อย่าให้ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงเอาการสิ่งใดไปปรึกษาแก่จิวยี่ ถ้าขัดสนสิ่งใดก็ให้นายทัพนายกองช่วยกันปรึกษา จะได้ป้องกันอันตรายไว้กว่าจิวยี่จะคลาย
ฝ่ายโจหยินโจหองจึงให้งิวขึ้มคุมทหารไปร้องด่าจิวยี่ที่หน้าค่ายเปนข้อ หยาบช้าถึงสามวัน เทียเภาก็ห้ามทหารทั้งปวงไว้มิให้ออกรบ แล้วปรึกษาแก่นายทัพนายกองว่า บัดนี้จิวยี่ป่วยอยู่ เราจะคิดอ่านให้จิวยี่เลิกกองทัพกลับไปบอกเนื้อความแก่ซุนกวน แล้วจึงค่อยยกกองทัพมาทำการสืบไป นายทัพนายกองมิได้ว่าประการใด
ขณะเมื่อจิวยี่ป่วยอยู่นั้น ได้ยินเสียงทหารโจหยินมาร้องด่าว่าท้าทายทุกเวลา แต่จิวยี่ระงับความโกรธไว้ ด้วยกลัวพิษยาจะกำเริบขึ้น ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจหยินคุมทหารมาถึงหน้าค่ายจิวยี่ แล้วให้ตีฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงทำประหนึ่งจะเย้ยจิวยี่ ฝ่ายจิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ถามบันดาคนพยาบาลว่าเสียงสิ่งใดซึ่งอื้ออึงอยู่ คนพยาบาลจึงบอกว่า ทหารในกองทัพซึ่งเราซ้อมหัดอาวุธ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าทหารโจหยินมาร้องท้าทายเปนหลายวันเราก็รู้อยู่ จึงให้หาตัวเทียเภามาแล้วว่า ตัวเราเปนแม่ทัพป่วยอยู่ แลโจหยินให้ทหารมาร้องท้าทายเปนข้อหยาบช้าถึงสามสี่วัน ตัวท่านเปนปลัดทัพเหตุใดจึงนิ่งเสียมิบอกแก่เรา เทียเภาจึงว่า ข้าพเจ้ามิได้บอกแก่ท่านนั้นเพราะเกรงอยู่ว่าท่านจะโกรธ แผลเกาทัณฑ์นั้นจะกำเริบขึ้น จิวยี่จึงว่า ท่านนิ่งเสียไม่ออกสู้รบฉะนี้จะคิดอ่านประการใดหรือ เทียเภาจึงว่า ข้าพเจ้ากับทหารทั้งปวงปรึกษากันเห็นว่าตัวท่านป่วยอยู่ จะขอเลิกกองทัพกลับไปเมืองกังตั๋งก่อน แล้วจึงค่อยยกมาทำการศึกด้วยโจหยิน จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นแล้วว่า ตัวเราแลท่านทั้งปวงเปนทหารกินเบี้ยหวัด แต่ตัวเรานี้คิดจะสนองคุณนายจึงมาทำการทั้งนี้ ถึงมาทว่าชีวิตเราจะตายในท่ามกลางศึกก็ให้เอาอานม้าปิดซากศพไว้เร่งทำการต่อ ไป แลท่านทั้งปวงเปนนายหมวดนายกองสิ้นทุกคน เหตุใดมาวิตกถึงเราป่วยอยู่ แลมิได้ยกออกรบพุ่งด้วยข้าศึกนั้นมิสมควร แล้วจิวยี่ก็แต่งตัวใส่เกราะถือทวนขึ้นม้า ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ชวนกันตามจิวยี่ออกมาถึงประตูค่าย
ฝ่ายโจหยินใช้ทหารมาร้องด่าว่า อ้ายจิวยี่นั้นอายุก็ยังอ่อนอยู่ แต่ความคิดนั้นกำเริบโอหังนัก ชีวิตมึงจะตายในกลางศึกครั้งนี้ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ขับม้าออกไปแล้วร้องว่า ตัวกูอยู่นี่แน่โจหยินมึงอย่าว่าหยาบช้าเลย จะรบกันก็มาเถิด จึงให้พัวเจี้ยงขับม้าออกรบด้วยโจหยิน แล้วจิวยี่เร่งขับทหารหนุนออกไป ในขณะนั้นพอพิษยากำเริบขึ้นอาเจียนโลหิตออกมาตกม้าลง โจหยินเห็นดังนั้นก็คุมทหารรบฝ่าฟันเข้าไป เหล่าทหารจิวยี่ก็รบพุ่งต้านทานไว้ แล้วป้องกันจิวยี่เข้าไปในค่ายช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้น ฝ่ายโจหยินก็ยกทัพกลับเข้าเมือง
เทียเภาจึงถามจิวยี่ว่า เมื่อท่านป่วยอยู่ฉนี้จะคิดอ่านประการใด จิวยี่จึงค่อยกระซิบบอกว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราคิดการไว้ได้แล้ว จึงบอกเทียเภาว่า เราจะแต่งให้คนสนิธเข้าไปพูดจาว่าเราถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งจะอยู่ด้วยนายทัพนายกองนั้นไม่ได้ จึงหนีเข้าไปหาโจหยิน ๆ ก็จะมีใจกำเริบยกมาตีค่ายเราเปนมั่นคง เราจึงจะทิ้งค่ายเสียแต่งทหารไปซุ่มไว้สี่กอง แล้วให้ตีกระหนาบเข้ามา ก็จะจับเอาตัวโจหยินได้โดยง่าย เทียเภาเห็นชอบด้วย จิวยี่ก็สั่งทหารทั้งปวงให้ร้องไห้ขึ้นว่าจิวยี่ถึงแก่ความตายแล้ว ให้เอาธงขาวขึ้นปักหน้าค่าย ทหารทั้งปวงนั้นก็ให้นุ่งขาวห่มขาวสิ้น แล้วก็สั่งทหารให้ทำการตามคิดไว้
ฝ่ายโจหยินจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เราให้ร้องด่าจิวยี่เปนข้อหยาบช้า จิวยี่โกรธออกมารบก็หาทำสิ่งใดเราได้ไม่ จนอาเจียนโลหิตออกมา เราเห็นชีวิตจิวยี่นั้นจะถึงความตายครั้งนี้เปนมั่นคง พอทหารเข้ามาบอกโจหยินว่า บัดนี้ทหารจิวยี่สิบสองคนจะเข้ามาหาท่าน โจหยินจึงให้หาเข้ามาแล้วถามว่า บัดนี้ตัวมาด้วยเหตุสิ่งใด ทหารสิบสองคนนั้นจึงบอกว่า ทหารสิบคนนี้เปนทหารจิวยี่ อันทหารสองคนนั้นเปนทหารโจโฉจิวยี่จับไว้ได้ เมื่อจิวยี่ออกมารบด้วยท่านนั้น จิวยี่อาเจียนโลหิตออกมาก็กลับเข้าค่าย อยู่หน่อยหนึ่งจิวยี่ก็ตาย บัดนี้เทียเภาเปนแม่ทัพบังคับการกำเริบทำตามอำเภอใจ ข้าพเจ้าทั้งนี้อยู่ไม่ได้จึงพากันหนีมาหวังจะพึ่งท่าน
โจหยินได้ฟังดังนั้นจึงพิศดูทหารทั้งสองคนนั้นก็จำได้ว่าทหารโจโฉ ก็สิ้นสงสัยมีความยินดี จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า จิวยี่ถึงแก่ความตายแล้ว เวลาคํ่าวันนี้เราจะยกทหารคุมออกไปปล้นเอาค่ายเทียเภาให้จงได้ ชิงเอาศพจิวยี่นั้นมาตัดเอาสีสะส่งขึ้นไปให้โจโฉ ณ เมืองหลวง ทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย โจหยินจึงให้ตันเกียวอยู่รักษาเมือง งิวขึ้มคุมทหารเปนกองหน้า แลตัวโจหยินนั้นเปนกองหลวง ให้โจหองกับโจซุนคุมทหารเปนกองหลัง ครั้นเวลาประมาณยามเศษก็ยกออกไปถึงหน้าค่ายเทียเภามิได้เห็นคนในค่าย โจหยินจึงคิดว่าจิวยี่ทำกลอุบายไว้ฉนี้ ก็ให้ถอยทัพจะกลับเข้าเมือง พอได้ยินเสียงประทัดแลทหารโห่ร้องอื้ออึงทั้งสี่ด้าน แล้วเห็นข้างทิศตวันออกนั้นฮันต๋งจิวขิมคุมทหารตีเข้ามา ข้างทิศตวันตกนั้นพัวเจี้ยงกับจิวท่ายตีกระหนาบเข้ามา ชีเซ่งกับเตงฮองคุมทหารตีเข้ามาข้างทิศใต้ ตันบูกับลิบองคุมทหารตีตลุมบอนเข้ามาฝ่ายทิศเหนือ แลทหารจิวยี่ฆ่าฟันทหารโจหยินล้มตายเปนอันมาก โจหยินกับทหารทั้งปวงต้านทานมิได้ก็พากันแตกหนีแยกไปเปนสามทาง โจหยินนั้นเหลือทหารประมาณยี่สิบคน ครั้นเวลาสามยามเศษพอพบโจหองจะพากันกลับเข้าเมือง เห็นเล่งทองคุมทหารมาตั้งสกัดอยู่ โจหยินก็พาโจหองหนีไปถึงปากทาง พอพบกำเหลงก้าวสกัดอยู่ โจหยินกับโจหองเข้ารบกับกำเหลงเปนสามารถ ต้านทานกำเหลงมิได้ก็พาทหารประมาณยี่สิบคนหนีจะไปทางเมืองซงหยง ครั้นเวลารุ่งเช้านายทหารทั้งปวงก็เข้าไปหาจิวยี่ ๆ จึงพาทหารใหญ่น้อยทั้งนั้นจะเข้าไปในเมืองลำกุ๋น
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 43
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgna0pZcWlnTHh2bWc/view?resourcekey=0-ANqUakrxp7uCziWTU5c25A
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #3 on:
23 December 2021, 08:51:16 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 44
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-44.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 44
เนื้อหา
เล่าปี่กับขงเบ้งลอบเข้าเมืองลำกุ๋นได้ก่อน
เล่าปี่ได้เมืองเกงจิ๋วแลเมืองซงหยง
โลซกไปทวงเมืองสามเมืองกับเล่าปี่
เล่าปี่ปราบปรามหัวเมืองมณฑลเกงจิ๋ว
เล่าปี่ได้ฮองตงแลอุยเอี๋ยนเป็นทหารเอก
ขณะ เมื่อจิวยี่ยกกองทัพมาจะตีเอาเมืองลำกุ๋นนั้น ฝ่ายเล่าปี่กับขงเบ้งก็พาเล่ากี๋กวนอูเตียวหุยจูล่งแลทหารทั้งปวงยกตามกอง ทัพจิวยี่มาตั้งซุ่มอยู่กลางทาง ขงเบ้งจึงให้ม้าใช้ลอบไปคอยฟังเหตุการณ์ซึ่งจิวยี่กับโจหยินรบกันนั้น ฝ่ายม้าใช้กลับมาบอกขงเบ้งว่าบัดนี้จิวยี่ตายแล้ว ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็รู้ว่าจิวยี่คิดทำกลอุบาย จึงพาเล่าปี่แลทหารทั้งปวงตัดอ้อมทางไปตั้งซุ่มอยู่ริมเมืองลำกุ๋นไม่ให้จิ วยี่รู้ ครั้นโจหยินยกออกมาปล้นค่ายจิวยี่ ขงเบ้งจึงให้ทหารร้องเข้าไปบอกแก่ชาวเมืองว่า บัดนี้ทัพโจหยินแตกมาให้เร่งเปิดประตูรับ ตันเกียวคิดว่าจริงก็ให้ทหารเปิดประตูรับ เล่าปี่กับขงเบ้งก็เข้าไป แล้วให้จูล่งกับทหารทั้งปวงขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินทั้งปวงไว้
ฝ่ายจูล่งครั้นเห็นจิวยี่คุมทหารเข้ามาถึงเชิงกำแพงเมืองจึงร้องลงไปว่า ข้าพเจ้าขออภัยจิวยี่เถิด บัดนี้ขงเบ้งให้ข้าพเจ้าคุมทหารมาตีเมืองลำกุ๋นได้ก่อนแล้ว จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารเข้ารบพุ่งทำลายประตูแลกำแพง จูล่งเห็นดังนั้นก็ให้ทหารทิ้งก้อนศิลายิงเกาทัณฑ์ไปเปนอันมาก จิวยี่เห็นทหารเข้ารอเชิงกำแพงไม่ได้ก็ถอยทหารกลับมาค่าย แล้วปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ขงเบ้งพาเล่าปี่มาชิงเอาเมืองลำกุ๋นแล้ว อันเมืองเกงจิ๋วกับเมืองซงหยงนั้น ถ้าละไว้ช้าไม่ไปตีเอาให้ได้ก่อน ขงเบ้งก็จะแต่งทหารไปชิงเอาอิก ภายหลังเราก็จะได้ความขัดสน ที่ปรึกษาเห็นชอบด้วย จิวยี่จึงให้กำเหลงคุมทหารสามพันยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว ให้เล่งทองคุมทหารสามพันยกไปตีเมืองซงหยง
ขณะเมื่อจิวยี่สั่งกำเหลงเล่งทองนั้นก็พอม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้ขงเบ้งให้ทหารปลอมเปนทหารโจหยิน ถือตราแลธงสำหรับเรียกทหารในเมืองเกงจิ๋ว ผู้รักษาเมืองมิได้รู้กลอุบายก็จัดทหารให้ แลเตียวหุยก็ยกทหารเข้าตีเมืองเกงจิ๋วแล้ว เมืองซงหยงนั้นขงเบ้งก็ให้ทหารปลอมไปว่าเหมือนกัน ครั้นแฮหัวตุ้นคุมทหารออกมาให้ ฝ่ายกวนอูก็ยกเข้าตีเมืองซงหยง จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าขงเบ้งได้ตราแลธงไหนมา เทียเภาจึงว่า เมื่อขงเบ้งได้เมืองลำกุ๋นแล้ว ตันเกียวก็อยู่ในเงื้อมมือเขา ขงเบ้งจึงเรียกเอาตราแลธงแต่งให้กวนอูเตียวหุยไปทำการทั้งนี้ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็เสียใจยิ่งมีความโกรธขึ้นเปนอันมาก จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ตัวกูเปนชาติทหารทำการมาได้ถึงเพียงนี้ ขงเบ้งมาชิงเอาเมืองไปได้ถึงสามตำบล กูจำจะคิดฆ่าขงเบ้งเสียให้ได้ แล้วจะชิงเอาเมืองทั้งสามนี้มาขึ้นแก่เมืองกังตั๋งให้ได้ แลพิษยานั้นก็กำเริบขึ้นจิวยี่สลบลง คนทั้งปวงช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้น จิวยี่จึงให้หาโลซกเข้ามาปรึกษาว่า บัดนี้ขงเบ้งคิดการชิงเอาเมืองได้ถึงสามตำบล จำเราจะยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่ขงเบ้งเสียให้ได้ ท่านจะเห็นประการใด
โลซกจึงว่า ซึ่งโจโฉแตกไปครั้งนี้ใช่จะนิ่งเสียทีเดียวหามิได้ เห็นจะคิดอ่านแก้แค้นเปนมั่นคง อันซุนกวนนายเราบัดนี้ก็ยกไปตีเมืองหับป๋าอยู่ เราก็ยังไม่ได้ข่าวประการใดก่อน ฝ่ายเล่าปี่กับเราก็เหมือนหนึ่งเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่ขงเบ้งเสียนั้น เกลือกโจโฉรู้ไปจะยกมาตีเอาเมืองกังตั๋ง เราก็จะเปนสองกังวลอยู่ ประการหนึ่งเล่าปี่ก็เปนคนรู้จักกันมาแต่ก่อน เกลือกเล่าปี่จะเอาเมืองทั้งสามตำบลนี้ไปออกแก่โจโฉ แล้วตัวเล่าปี่ขงเบ้งนั้นก็จะเข้าร่วมคิดทำการศึกด้วยโจโฉนั้น เมืองกังตั๋งนี้ก็จะมีอันตรายเปนมั่นคง
จิวยี่จึงตอบว่า เมื่อทำการศึกกับโจโฉนั้นเราก็ได้เสียสเบียงแลเงินทองปูนบำเหน็จทหารเปนอัน มาก แล้วก็ได้ยกมาทำการรบพุ่งถึงเมืองลำกุ๋น อันเล่าปี่กับขงเบ้งมิได้เสียเงินทองแลสเบียงอาหารเลย มาชุบมือเอาเมืองสามตำบลนี้โดยง่าย เราก็มีความแค้นเปนอันมาก โลซกจึงว่าท่านมีความแค้นนั้นก็ควรอยู่ แต่ของดให้ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวแก่เล่าปี่ขงเบ้งโดยดีก่อน แม้เล่าปี่ขงเบ้งขัดขวางประการใด จึงค่อยคิดการสืบต่อไป จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวง ๆ ก็ว่าโลซกคิดนี้ชอบอยู่ จิวยี่ก็ยอมให้โลซกไป
โลซกก็ลาจิวยี่แล้วพาพัคพวกเก้าคนสิบคนเข้าไป ณ เมืองลำกุ๋น พอพบจูล่งโลซกจึงว่า ท่านจงบอกเล่าปี่ว่าเราจะขอเข้าไปหา จูล่งจึงว่าบัดนี้เล่าปี่กับขงเบ้งพากันกลับไปอยู่เมืองเกงจิ๋ว โลซกแจ้งดังนั้นก็พาพัคพวกรีบตามไปถึงเมืองเกงจิ๋วเห็นธงที่ปักอยู่บน หน้าที่เชิงเทิน โลซกจึงคิดว่า อันสติปัญญาขงเบ้งนั้นลึกซึ้งนัก ยากที่จะหยั่งได้ แล้วจึงบอกนายประตูว่าเราจะขอเข้าไปหาเล่าปี่ นายประตูก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกขงเบ้งว่าโลซกเข้ามาหา ขงเบ้งจึงให้เปิดประตูรับโลซกเข้ามา ขงเบ้งเห็นโลซกเข้ามาก็เชิญให้นั่งที่สมควร แต่เล่าปี่นั้นขงเบ้งให้อยู่ที่ข้างใน โลซกคำนับขงเบ้งแล้วว่า ซึ่งโจโฉคุมทหารประมาณร้อยหมื่นยกกองทัพมานั้นใช่จะทำอันตรายแก่เมืองกัง ตั๋งหามิได้ โจโฉคิดจะจับเอาแต่ตัวเล่าปี่ อันซุนกวนกับจิวยี่มีใจเอ็นดูเล่าปี่ จึงปรึกษากันให้จิวยี่ยกกองทัพออกมาต้านทานโจโฉ หวังจะช่วยเล่าปี่ให้พ้นความตาย ทั้งจะได้ช่วยป้องกันเมืองกังตั๋งด้วย ซึ่งซุนกวนจิวยี่ทำการทั้งปวงนี้ท่านก็แจ้งอยู่ว่าเสียเงินทองแลสเบียงอาหาร เปนอันมาก ครั้นโจหยินโจหองแตกไป ท่านกับเล่าปี่คิดอ่านกันชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว เมืองซงหยงเมืองลำกุ๋นไว้นี้ไม่สมควร ข้าพเจ้าเห็นผิดประเพณี จึงมาว่ากล่าวหวังจะเตือนสติท่าน
ขงเบ้งจึงตอบว่า ตัวท่านเปนคนมีสติปัญญาอยู่ ควรหรือมาว่าดังนี้เล่า อันเมืองสามตำบลนี้แม้เปนเมืองของโจโฉเราก็จะยกให้ซุนกวน อันเมืองทั้งสามนี้เปนเมืองของเล่าเปียว ท่านก็แจ้งอยู่ว่า เล่าเปียวกับเล่าปี่เปนพี่น้องกัน ถึงเล่าเปียวตายแล้วเล่ากี๋ผู้บุตรก็ยังอยู่ เรากับเล่าปี่จึงชิงเอาเมืองสามตำบลนี้ไว้หวังจะให้กับเล่ากี๋ ท่านจะว่าผิดประเพณีด้วยอันใด โลซกจึงว่า เมืองทั้งนี้เปนของเล่าเปียวก็จริงอยู่ แต่เล่ากี๋ผู้บุตรนั้นก็ไปอยู่ ณ เมืองกังแฮ จะได้มาอยู่ที่นี้ด้วยหามิได้ เหตุใดท่านจึงว่าจะเอาเมืองนี้ไว้ให้แก่เล่ากี๋ ขงเบ้งจึงตอบว่า ท่านจะใคร่เห็นเล่ากี๋หรือ บัดนี้เล่ากี๋ป่วยอยู่ แล้วก็สั่งให้คนพยุงเล่ากี๋ออกมา เล่ากี๋จึงว่าแก่โลซกว่าเราขออภัยเถิด ด้วยเราป่วยอยู่จะคำนับท่านนั้นไม่ได้ แล้วก็ให้พยุงกลับเข้าไป โลซกจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ซึ่งท่านว่ามาแต่หลังนั้นก็ชอบอยู่ แม้เล่ากี๋มีชีวิตอยู่สืบไปก็จะได้เมืองทั้งนี้แทนบิดา ถ้าเล่ากี๋หาชีวิตไม่ท่านจะว่าประการใดเล่า ขงเบ้งจึงตอบว่า ถ้าบุญของเล่ากี๋มีอยู่วันหนึ่งสองวันก็ดีเราก็จะช่วยบำรุงไป แม้หาบุญเล่ากี๋ไม่แล้วจึงค่อยคิดอ่านต่อไป
โลซกจึงซักถามจะให้แจ้งว่า แม้เล่ากี๋ถึงแก่ความตายแล้วท่านยังจะคืนเมืองสามตำบลนี้ให้ซุนกวนหรือ ขงเบ้งก็รับคำเคลือบว่าชอบแล้ว ๆ ก็เชิญโลซกกินโต๊ะเสพย์สุราด้วยกัน โลซกครั้นกินโต๊ะแล้วก็ลาขงเบ้งกลับไปถึงค่าย จึงเอาเนื้อความเล่าให้จิวยี่ฟังทุกประการ จิวยี่แจ้งดังนั้นจึงว่า เล่ากี๋นั้นยังหนุ่มอยู่เมื่อไรจะถึงความตาย เหตุใดท่านจึงมาสัญญาดังนี้ โลซกจึงตอบว่า อันตัวเล่ากี๋ก็ป่วยหนักอยู่แล้ว แลเนื้อความทั้งนี้ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาเมืองสามตำบลนี้มาขึ้นแก่เมืองกังตั๋งให้จงได้ จิวยี่ถามว่าท่านคิดเห็นอย่างไรจึงว่าฉนี้ โลซกจึงตอบว่า อันเล่ากี๋นั้นเปนเด็กหนุ่ม พอใจเสพย์สุรามักรักสตรี ซึ่งโรคป่วยอยู่นั้นก็เพราะเหตุสองประการนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าอายุเล่ากี๋จะไม่ยืนไปถึงกึ่งปี แม้ตายลงเมื่อใดข้าพเจ้าจะไปทวงเอาเมืองสามตำบลนั้นให้ได้
ขณะนั้นพอม้าใช้ถือหนังสือซุนกวนมาให้จิวยี่เปนใจความว่า ซุนกวนยกไปทำการสงครามอยู่ ณ เมืองหับป๋า ได้รบพุ่งกับเตียวเลี้ยวทหารโจโฉยังไม่แพ้ชนะกัน ให้จิวยี่แบ่งทหารยกมาช่วยจะได้ทำการต่อไป ครั้นจิวยี่แจ้งดังนั้นจึงจัดแจงแบ่งทหารให้เทียเภาคุมไปช่วยซุนกวน อันจิวยี่นั้นป่วยอยู่ จึงเลิกกองทัพกลับไปเมืองฉสองกุ๋นปากนํ้าเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายเล่าปี่เมื่อได้เมืองสามตำบลไว้ ก็ตั้งใจบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ได้ความสุข ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเล่าปี่จึงปรึกษาขงเบ้งแลทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดอ่านทำประการใดจึงจะรักษาเมืองเกงจิ๋วไว้ได้ แล้วจะได้คิดการบำรุงแผ่นดินสืบไป ขงเบ้งกับทหารทั้งปวงยังไม่ทันว่าประการใด อิเจี้ยจึงว่า ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความให้ข้อหนึ่ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วคิดถึงคุณอิเจี้ยซึ่งได้บอกเหตุ ณ เมืองซงหยง เล่าปี่จุงมืออิเจี้ยขึ้นมานั่งที่ข้างบนแล้วถามว่า ท่านจะบอกเนื้อความสิ่งไรเรา อิเจี้ยจึงว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าในแดนเมืองเกงจิ๋วนั้น มีแซ่ม้าอยู่ห้าคนเปนพี่น้องกัน อันม้าเจ๊กผู้น้องนั้นมีฝีมือกล้าแข็ง แต่ม้าเลี้ยงผู้พี่นั้นมีสติปัญญาหลักแหลม แม้ท่านได้มาไว้เปนที่ปรึกษาก็จะได้ช่วยคิดการต่อไป เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารไปหาม้าเลี้ยงมาแล้วเชิญให้นั่งที่สมควร ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน เล่าปี่จึงว่า แผ่นดินทุกวันนี้เปนจลาจลต่าง ๆ อยู่ เราคิดจะทำนุบำรุงให้อยู่เย็นเปนสุข ซึ่งเราเข้ามาอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้หวังจะได้คิดการต่อไป แต่เราวิตกอยู่ว่า จะป้องกันเมืองเกงจิ๋วประการใดราษฎรจึงจะไม่ได้ความเดือดร้อน ม้าเลี้ยงจึงว่า อันเมืองเกงจิ๋วนี้เปนหน้าศึกอยู่ทั้งสี่ด้าน ยากที่จะป้องกันรักษา ท่านจงตั้งเล่ากี๋เปนเจ้าเมืองเกงจิ๋วไว้เปนเจว็จ แล้วแต่งไปให้เกลี้ยกล่อมคนเก่าของเล่าเปียวเข้ามาซ่องสุมไว้ให้มาก ราษฎรทั้งปวงก็จะอยู่ปรกติ เพราะเห็นว่าเล่ากี๋เปนเจ้าเมืองเกงจิ๋วอยู่ แล้วจงให้แต่งกองทัพไปตีเอาหัวเมืองฝ่ายใต้ซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋วนี้ คือเมืองบุเหลง เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยง เมืองเลงเหลง สี่หัวเมืองนี้ประกอบด้วยเงินทองเข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์จะได้เปนกำลังต่อไป
เล่าปี่จึงถามว่าท่านจะให้เราตีเอาหัวเมืองใดก่อน ม้าเลี้ยงจึงบอกว่า ให้แต่งกองทัพไปตีเมืองเลงเหลงก่อนด้วยเปนต้นทาง แล้วจึงตีเอาเมืองบุเหลง อันเมืองเตียงสากับเมืองฮุยเอี๋ยงนั้นอยู่ฝ่ายตวันตก ให้ยกไปตีต่อภายหลัง เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงตั้งม้าเลี้ยงไว้เปนที่ปรึกษา ให้เล่ากี๋เปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แต่ให้ไปอยู่เมืองซงหยง จะได้เกลี้ยกล่อมผู้คนของเล่าเปียวไว้เปนกำลัง แล้วเล่าปี่จึงปรึกษาแก่ขงเบ้งแลทหารทั้งปวงตามคำม้าเลี้ยง ขงเบ้งเห็นชอบด้วย เล่าปี่จึงให้หากวนอูมาจากเมืองซงหยงให้อยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว แล้วเล่าปี่จัดแจงทหารได้หมื่นห้าพัน ให้เตียวหุยเปนกองหน้า ตัวเล่าปี่กับขงเบ้งเปนกองหลวง จูล่งนั้นเปนกองหลัง แล้วก็ยกไปตั้งอยู่ใกล้เมืองเลงเหลง
ฝ่ายเล่าเตาเจ้าเมืองเลงเหลง ครั้นรู้ว่าเล่าปี่ยกกองทัพมา ก็ปรึกษาแก่เล่าเหียนผู้บุตร์ว่า เล่าปี่ยกกองทัพมาจะรบเอาเมืองเรา เจ้าจะคิดอ่านประการใด เล่าเหียนจึงว่า เขาลืออยู่ว่าเล่าปี่มีทหารเอกชื่อเตียวหุยจูล่งมีฝีมือกล้าหาญนัก แต่ทหารเลวนั้นน้อย ฝ่ายเมืองเราโต๊ะเองก็เปนทหารเอก สู้คนได้ถึงหมื่นหนึ่ง จะกลัวอะไรแก่เล่าปี่ ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปตีให้แตกไปจงได้
เล่าเตาได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงจัดทหารให้หมื่นหนึ่ง เล่าเหียนก็ลาบิดาแล้วขี่ม้าคุมทหารออกมาทางประมาณสามร้อยเส้น จึงให้ตั้งค่ายลงที่เนินเขาแห่งหนึ่ง ขงเบ้งเห็นกองทัพเมืองเลงเหลงยกออกมา จึงขึ้นเกวียนถือพัดขนนกมีธงเหลืองปักเกวียนคันหนึ่ง แล้วพาทหารออกไปถึงหน้าค่าย โต๊ะเองเห็นดังนั้นก็ขี่ม้าถือขวานใหญ่คุมทหารออกมาแล้วร้องว่าอ้ายพวกโจร เหตุใดจึงยกล่วงเข้ามาในแดนเมืองของนายกู มึงไม่กลัวความตายหรือ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ตัวกูชื่อขงเบ้งอยู่ ณ แดนเมืองลำหยง ครั้งโจโฉคุมทหารร้อยหมื่นยกกองทัพมาจะตีเอาหัวเมืองฝ่ายใต้ กูคิดกลอุบายแต่ข้อเดียวก็เผากองทัพบกทัพเรือโจโฉเสียได้ ซึ่งนายกูยกกองทัพมานี้ แม้มึงอ่อนน้อมโดยดีก็จะรอดชีวิต
โต๊ะเองได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า กูรู้อยู่มึงอย่าอวดไปเลย เมื่อโจโฉแตกนั้นเพราะความคิดจิวยี่ดอก แล้วขับม้าไล่เข้าไปจะจับเอาตัวขงเบ้ง ๆ ก็ให้ขับเกวียนถอยมา โต๊ะเองก็ขับม้าไล่ไปถึงเนินเขา เห็นธงเหลืองซึ่งปักเกวียนนั้นลับหายเข้าไปในหุบเขา ฝ่ายเตียวหุยก็ขับม้ารำทวนออกมา ร้องว่าตัวกูชื่อเตียวหุยมึงจะบังอาจมารบด้วยหรือ โต๊ะเองได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าถือขวานใหญ่เข้ารบด้วยเตียวหุยได้สิบเพลง โต๊ะเองทานกำลังเตียวหุยไม่ได้ก็ควบม้าหนีไป เตียวหุยก็ขับม้าติดตาม โต๊ะเองรีบขับม้าหนีไปถึงปากทาง พอได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึงแล้วเห็นทหารสองข้างทางออกมาสกัดไว้ จูล่งจึงร้องว่าตัวกูชื่อจูล่งมาจะเอาชีวิตมึง แล้วก็ให้ทหารล้อมเข้าไป โต๊ะเองเห็นจวนตัวเข้าดังนั้น จะหนีออกทางใดก็ไม่ได้จึงทิ้งขวานเสียลงจากม้าเข้ามาคำนับจูล่ง ๆ จึงให้ทหารมัดโต๊ะเองเข้าแล้วพาเอาตัวมาให้เล่าปี่ ณ ค่าย เล่าปี่จึงสั่งให้เอาตัวโต๊ะเองไปฆ่าเสีย ขงเบ้งจึงห้ามไว้แล้วถามโต๊ะเองว่า ตัวท่านถ้าจะยอมอยู่ด้วยนายเรา ๆ จะปล่อยให้ท่านไปเร่งคิดอ่านเอาตัวเล่าเหียนมาให้เราจะได้หรือมิได้ โต๊ะเองก็ว่าแม้ท่านไว้ชีวิตข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาตัวเล่าเหียนมาให้ท่านจงได้ ถ้าท่านได้ตัวเล่าเหียนก็จะได้ตัวเล่าเตาบิดานั้นโดยง่าย
ขงเบ้งจึงถามว่า ท่านจะไปทำประการใดจึงจะได้ตัวเล่าเหียน โต๊ะเองจึงว่า เวลาคํ่าวันนี้ให้ท่านแต่งกองทัพไปปล้นค่ายเล่าเหียน ข้าพเจ้าจะเปนใส้ศึกจับเอาตัวเล่าเหียนมาให้ท่าน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ว่า อันโต๊ะเองว่านี้เห็นไม่จริง จะแกล้งว่าเอาแต่ชีวิตรอด ขงเบ้งจึงตอบว่า โต๊ะเองนี้เปนคนมีสัตย์พอจะเชื่อถือได้อยู่ แล้วก็ให้แก้มัดเสียปล่อยไป โต๊ะเองครั้นมาถึงค่ายจึงเล่าเนื้อความทั้งปวงให้เล่าเหียนฟังทุกประการ
เล่าเหียนจึงว่า เราจะคิดอ่านประการใดดี โต๊ะเองจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดแก้ไขให้ได้ ในเวลาวันนี้ทหารเล่าปี่จะยกมาตามคำข้าพเจ้าว่า ค่ายนี้เราจะทิ้งเสีย จะยกทหารออกซุ่มอยู่นอกค่ายเปนสองกอง แม้เห็นทหารเล่าปี่ยกมาเราจึงจะยกเข้าตีกระหนาบ เล่าเหียนเห็นชอบด้วยก็ให้ทำตามคำโต๊ะเอง ครั้นเวลาสองยามเศษเห็นทหารเล่าปี่กองหนึ่งถือมัดฟางครบมือกันลอบมาจุดเพลิง ณ ค่ายไหม้ขึ้น เล่าเหียนกับโต๊ะเองก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามา เหล่าทหารเล่าปี่ก็ลอบหนีไป เล่าเหียนกับโต๊ะเองตามไปไม่ทันก็รื้อกลับมาจะใกล้ถึงค่าย เพลิงนั้นติดสว่างอยู่แล้วแลไปเห็นเตียวหุยขี่ม้ายืนกั้นทางไว้
เล่าเหียนจึงว่าแก่โต๊ะเองว่า เล่าปี่ยกทหารมาปล้นเผาค่ายเรา ทหารในค่ายเล่าปี่นั้นก็จะเบาบาง เราจะคุมทหารไปปล้นเอาก็จะได้โดยง่าย โต๊ะเองเห็นชอบด้วยก็ยกไปปล้นเอาค่ายเล่าปี่ ครั้นมาถึงกลางทางพบจูล่งคุมทหารสกัดอยู่ จูล่งขับม้ารบฝ่าทหารข้าศึกเข้าไปแล้วเอาทวนแทงถูกโต๊ะเองตกม้าตาย เล่าเหียนเห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้าหนีไปพบเตียวหุย ๆ เข้ารบพุ่งแล้วจับเล่าเหียนได้มัดเอาตัวมาให้ขงเบ้ง ๆ จึงถามว่า เราจับโต๊ะเองได้ ครั้นปล่อยไปก็กลับคิดการล่อลวง เล่าเหียนจึงว่า ซึ่งทำการล่อลวงท่านนั้นเปนความคิดของโต๊ะเอง ขงเบ้งจึงให้แก้มัดออกเสียเอาเสื้ออย่างดีให้เล่าเหียนเชิญให้กินโต๊ะแล้ว ว่า เราจะปล่อยท่านให้ไปบอกแก่บิดาท่านออกมานบนอบเราโดยดี แม้ท่านเข้าไปไม่พาบิดาออกมา เรารบเข้าไปได้ในเมือง เราจะให้ฟันครอบครัวแลญาติพี่น้องเสียให้สิ้น
เล่าเหียนก็รับคำว่าข้าพเจ้าจะพาบิดามาหาท่าน ขงเบ้งก็ปล่อยเล่าเหียนไป เล่าเหียนเข้ามาถึงเมืองจึงเล่าเนื้อความให้บิดาฟังแล้วว่า อันน้ำใจเล่าปี่กับขงเบ้งนั้นโอบอ้อมอารีนัก เล่าเตาได้ฟังดังนั้นก็เอาธงขาวขึ้นปักบนเชิงเทินให้รู้ว่าเปนเมืองออก เปิดประตูเมืองเสียทั้งสี่ด้าน จัดแจงเงินทองสิ่งของตระการกับตราสำหรับที่ แล้วพาเล่าเหียนผู้บุตรกับชาวเมืองทั้งปวงออกไปคำนับเล่าปี่ ขงเบ้งจึงเอาตราสำหรับที่คืนให้เล่าเตา แล้วว่าเราจะให้ท่านเปนเจ้าเมืองอยู่ดังเก่า แต่เล่าเหียนผู้บุตรยังหนุ่มอยู่เราจะเอาไปเมืองเกงจิ๋วด้วย จะได้ช่วยทำการต่อไป แล้วขงเบ้งก็พาเล่าปี่กับทหารทั้งปวงเข้าไปในเมืองเลงเหลง
เล่าปี่จึงปราบปรามสั่งสอนไพร่บ้านพลเมืองให้อยู่เปนปรกติแล้วว่า ซึ่งเรายกมานี้ก็ได้เมืองเลงเหลงแล้ว อันเมืองฮุยเอี๋ยงนั้นผู้ใดจะอาสาไปตีเอาได้ จูล่งจึงรับว่าข้าพเจ้าจะอาสาไป เตียวหุยก็ว่าอย่าให้จูล่งไปเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอง จูล่งจึงว่าข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือให้ทานบนไว้ จะขอทหารสามพันยกไปตีเมืองฮุยเอี๋ยง ถ้าไม่ได้ก็ให้ตัดสีสะข้าพเจ้าเสีย แล้วก็เขียนหนังสือทานบนให้ไว้เปนสำคัญ ขงเบ้งรับทานบนไว้แล้วก็จัดทหารให้จูล่งสามพัน
เตียวหุยจึงว่า อันทานบนนั้นข้าพเจ้าก็จะทำให้ไว้บ้าง จะขอไปรบเอาเมืองฮุยเอี๋ยงถ้าไม่ได้ก็ฆ่าเสียเถิด เล่าปี่ได้ฟังก็ตวาดเอาเตียวหุยแล้วว่า เมื่อจูล่งเขารับอาสาทั้งให้ทานบนไว้เหตุใดจึงมาชิงเขาดังนี้ เตียวหุยก็มิได้ว่าประการใด จูล่งก็ลาเล่าปี่ขงเบ้งแล้วคุมทหารสามพันยกไปจะรบเอาเมืองฮุยเอี๋ยง ม้าใช้ครั้นเห็นกองทัพก็เอาเนื้อความรีบไปบอกเตียวหอมเจ้าเมืองฮุยเอี๋ยงว่า บัดนี้จูล่งทหารเล่าปี่ยกกองทัพมาจะรบเอาเมือง
เตียวหอมได้ฟังดังนั้นก็ปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใด ตันเอ๋งกับเปาหลงนายทหารจึงว่า อันเล่าปี่ให้ยกทัพมานี้ ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารออกไปรบพุ่งต้านทานไว้มิให้มีอันตรายถึงเมือง เตียวหอมจึงตอบว่าท่านอย่าดูหมิ่นเล่าปี่ อันเล่าปี่นั้นเปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ มีสติปัญญาสัตย์ซื่อเปนอันมาก ทั้งกวนอูเตียวหุยซึ่งมีฝีมือกล้าแขงเปนทหารเอก บัดนี้เล่าปี่ให้จูล่งนายทหารยกกองทัพมาจะตีเอาเมืองเรา อันจูล่งนั้นมีกำลังกล้าหาญนัก ครั้งโจโฉคุมทหารประมาณร้อยหมื่นมาณทุ่งเตียงบันโบ๋ จูล่งรบพุ่งหักหาญเข้าออกรวดเร็วเหมือนหนึ่งที่เปล่าอันหาทหารมิได้ ซึ่งท่านยังบังอาจจะไปต่อสู้นั้นไม่ได้ ทั้งทหารเราก็น้อย เราจะคิดอ่านอ่อนน้อมจึงจะมีความสุขสืบไป ตันเอ๋งจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอออกไปรบดูสักครั้งหนึ่งก่อน แม้ต้านทานไม่ได้จึงอ่อนน้อมต่อภายหลัง เตียวหอมก็ว่าตามเถิด ตันเอ๋งจึงจัดแจงทหารยกออกไปใกล้ค่ายจูล่ง
ฝ่ายจูล่งเห็นดังนั้น ก็ขี่ม้าถือทวนออกมาหน้าทหาร แล้วร้องว่าตัวกูเปนทหารเล่าปี่ ๆ นั้นเปนเชื้อพระวงศ์แล้วก็เปนน้องของเล่าเปียวผู้ตาย บัดนี้เล่าปี่ทำนุบำรุงเล่ากี๋ผู้หลานไว้ แล้วให้กูยกกองทัพมาปราบปรามเมืองฮุยเอี๋ยงซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว เหตุใดมึงจึงอาจคุมทหารออกมาต่อสู้ด้วยกูอันมีฝีมือนี้ มึงไม่กลัวความตายหรือ ตันเอ๋งจึงตอบว่าอันเมืองฮุยเอี๋ยงนี้ขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋วก็จริง แต่บัดนี้เล่าเปียวก็ตายแล้ว เตียวหอมนายกูจึงเอาเมืองไปขึ้นแก่โจโฉ มึงอย่าอวดฝีมือเลย อันกูจะอ่อนน้อมเล่าปี่นั้นหาไม่ จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำทวนเข้ารบด้วยตันเอ๋งได้ห้าเพลง ตันเอ๋งทานกำลังจูล่งไม่ได้ก็ขับม้าหนี จูล่งขับม้าไล่ตามไปทันจับตันเอ๋งได้ให้ทหารมัดไว้แลทหารตันเอ๋งนั้นก็แตก หนีไปสิ้น จูล่งให้แก้มัดออกเสียแล้วว่าแก่ตันเอ๋งว่าเราไม่ฆ่าชีวิตตัวแล้ว เราจะปล่อยให้ตัวเอาเนื้อความเข้าไปบอกเตียวหอมเจ้าเมืองให้เร่งมาอ่อนน้อม ต่อเราโดยดี ถ้าขัดแขงอยู่เรารบเข้าไปในเมืองได้ก็จะฆ่าเสียทั้งบุตรภรรยา ตันเอ๋งมีความยินดีรับคำจูล่งแล้วก็คำนับลากลับเข้าไป จึงเอาเนื้อความนั้นเล่าให้เตียวหอมฟัง เตียวหอมจึงว่าเราได้ห้ามแล้วท่านก็ไม่ฟัง ขืนยกทัพออกไปสู้รบจนได้ความอัปยศ แล้วเตียวหอมจัดแจงสิ่งของกับตราสำหรับที่พาทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคนออกไป คำนับจูล่ง ๆ รับเอาตรากับสิ่งของไว้แล้วเชิญเตียวหอมกินโต๊ะ
ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นเตียวหอมจึงว่า ท่านกับข้าพเจ้าเปนแซ่เดียวกัน แล้วก็เปนชาวเมืองจีนเต๋งด้วยกัน ซึ่งข้าพเจ้าได้ผิดพลั้งนั้นอย่าถือโทษเลย จะขอเปนพี่น้องกันตามแซ่สืบไป จูล่งมีความยินดีถ้อยทีถ้อยถามปีเดือนกัน แลอายุจูล่งนั้นแก่กว่าเตียวหอมสี่เดือน เตียวหอมก็เรียกจูล่งพี่ ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวหอมจึงพาจูล่งกับทหารจูล่งเก้าคนสิบคนเข้าเมือง จูล่งปราบปรามราษฎรชาวเมืองให้อยู่เย็นเปนสุข เตียวหอมเชิญจูล่งเข้าไปกินโต๊ะถึงข้างใน ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น เตียวหอมจึงให้หาพี่สะใภ้ออกมาคำนับจูล่ง ๆ เห็นหญิงนั้นรูปงาม จึงถามว่าหญิงนี้ชื่อใดเปนอะไรแก่ท่าน เตียวหอมจึงบอกว่าหญิงนี้ชื่อนางฮวนซี เปนภรรยาเตียวหับพี่ข้าพเจ้า บัดนี้เตียวหับตายเสียแล้ว จูล่งจึงว่าพี่สะใภ้ท่านเปนผู้ใหญ่ซึ่งจะให้มาคำนับเราฉนี้ไม่ควร แล้วจูล่งก็บอกให้นางฮวนซีเข้าไปข้างใน นางฮวนซีก็ลาเข้าไป เตียวหอมจึงว่าแก่จูล่งว่า เตียวหับผู้พี่ข้าพเจ้าตายได้สามปีแล้ว ข้าพเจ้าได้ว่ากล่าวให้นางฮวนซีมีผัวใหม่ นางฮวนซีว่าถ้าผู้ใดรูปงามมีสติปัญญาประการหนึ่ง มีฝีมือกล้าหาญลือชาปรากฎประการหนึ่ง เปนแซ่เดียวกีบเตียวหับประการหนึ่ง แม้ได้พร้อมทั้งสามประการดังนี้นางอวนซีจึงจะเอาเปนผัว บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านพร้อมทั้งสามประการเหมือนนางฮวนซีว่าไว้ แล้วท่านก็หาภรรยาไม่ ข้าพเจ้าจึงให้ออกมาคำนับหวังจะยกให้เปนภรรยาท่าน จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ลุกขึ้นตวาดเอาแล้วว่า ตัวท่านกับเราก็นับถือว่าแซ่เดียวกัน แลนางฮวนซีเปนพี่สะใภ้ของท่านก็เหมือนพี่สะใภ้ของเรา เหตุใดท่านมาคิดอ่านทำดังนี้จะมิผิดธรรมเนียมไปหรือ เตียวหอมได้ฟังดังนั้นก็มีความละอายใจ จึงพยักให้ทหารซึ่งรับใช้อยู่นั้นจะให้ทำร้ายจูล่ง ๆ เห็นดังนั้นก็โกรธเข้าผลักเอาเตียวหอมล้มลง แล้วจูล่งก็ลงมาขึ้นม้าพาทหารสิบคนกลับออกมา ณ ค่าย เตียวหอมจึงปรึกษากับตันเอ๋งเปาหลงว่า บัดนี้จูล่งโกรธเรา ครั้นเราจะคุมทหารไปทำการรบพุ่ง จูล่งก็มีฝีมืออยู่เห็นจะสู้เขาไม่ได้ ท่านทั้งสองจะเห็นประการใด ตันเอ๋งเปาหลงจึงว่า ข้าพเจ้าจะคุมทหารห้าร้อยทำเปนเข้าด้วยจูล่ง ท่านจงยกกองทัพออกไป แม้จูล่งจะยกออกมารบท่าน ข้าพเจ้าทั้งสองจะจับจูล่งฆ่าเสีย เตียวหอมเห็นชอบด้วย ตันเอ๋งเปาหลงก็คุมทหารห้าร้อยไปถึงค่ายแล้วบอกแก่ทหารจูล่งว่า เราทั้งสองจะขอเข้าไปคำนับจูล่ง ทหารจึงบอกเนื้อความแก่จูล่ง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าตันเอ๋งเปาหลงมานี้หวังจะล่อลวงเรา จำจะให้รับเข้ามาจึงจะคิดอ่านจับตัวให้จงได้ แล้วจูล่งก็ให้ทหารออกไปรับตันเอ๋งเปาหลงเข้ามา ตันเอ๋งเปาหลงครั้นเข้าไปถึงก็คำนับจูล่งแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเห็นเตียวหอมทำความผิด ครั้นข้าพเจ้าจะนิ่งอยู่ในเมืองก็จะพลอยกันตายเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงพากันออกมาคำนับท่านหวังจะเปนบ่าวสืบไป จูล่งได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนยินดี จึงเอาเสื้อผ้าให้ตันเอ๋งกับเปาหลงเปนบำเหน็จแล้วให้แต่งโต๊ะเชิญตันเอ๋งเปา หลงเสพย์สุรา ขณะนั้นตันเอ๋งเปาหลงเปนคนมีความคิดน้อย เสพย์สุราเมาจนเหลือกำลังกินอนหลับไป จูล่งจึงให้ทหารจับตัวตันเอ๋งเปาหลงมัดไว้ แล้วให้จับตัวทหารทั้งห้าร้อยมัดเข้าแล้วขู่ถามว่า ซึ่งตันเอ๋งเปาหลงมานี้ดีแลร้ายประการใด ให้เร่งบอกตามจริง ถ้าอำพรางไว้ก็จะฆ่าเสียให้สิ้น ทหารทั้งนั้นกลัวก็บอกตามทำกลอุบายมา
ฝ่ายจูล่งแจ้งดังนั้นก็ให้เอาตัวตันเอ๋งเปาหลงไปฆ่าเสีย จึงให้แก้มัดทหารทั้งปวงออกให้เลี้ยงดูแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งห้าร้อยว่า อันตัวตันเอ๋งเปาหลงคิดร้ายต่อเรา ๆ ก็ให้ฆ่าเสียแล้ว แต่ท่านทั้งปวงเปนผู้น้อยขัดมันมิได้จึงมาด้วย เราก็จะไว้ชีวิตให้อยู่เลี้ยงบุตรภรรยาสืบไป ถ้าไม่เปนใจด้วยเรา ๆ ก็จะฆ่าเสียให้สิ้นเชิง เวลาคํ่าวันนี้เราจะยกทัพไปตีเมืองฮุยเอี๋ยง ท่านทั้งปวงจงเปนกองหน้าเข้าไปเรียกให้ชาวเมืองเปิดประตูรับจะได้หรือมิได้ ทหารทั้งนั้นมีความยินดีจึงชวนกันรับว่าจะทำตาม ครั้นเวลากลางคืน จูล่งจึงคุมทหารเข้าไปใกล้เชิงกำแพงเมืองฮุยเอี๋ยง แลเหล่าทหารห้าร้อยจึงร้องเข้าไปว่า บัดนี้ตันเอ๋งกับเปาหลงออกไปจับจูล่งฆ่าเสียได้แล้ว ให้เร่งเปิดประตูรับเราจะเข้าไปแจ้งเนื้อความแก่เตียวหอม
ฝ่ายทหารบนเชิงเทินได้ยินดังนั้นก็จุดคบใส่ปลายไม้ส่องลงมาดู เห็นทหารซึ่งออกไปกับตันเอ๋งเปาหลงก็ไม่มีความสงสัย ก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกเตียวหอม เตียวหอมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีด้วยไม่รู้เท่าจูล่ง จึงพาทหารเปิดประตูออกไป หวังจะรับตันเอ๋งเปาหลง จูล่งเห็นดังนั้นจึงขับม้าเข้าไปจับเอาตัวเตียวหอมได้ให้ทหารมัดไว้ แล้วยกเข้าเมืองประกาศแก่ราษฎรทั้งปวงอย่าให้ตกใจ เรามิได้ทำสิ่งใดให้ได้ความเดือดร้อน ครั้นเวลารุ่งเช้าจูล่งให้แต่งหนังสือบอกไปถึงเล่าปี่ขงเบ้ง เล่าปี่กับขงเบ้งแจ้งในหนังสือก็มีความยินดี จัดแจงทหารแล้วก็ยกไปเมืองฮุยเอี๋ยง จูล่งครั้นรู้ว่าเล่าปี่ยกมาจึงออกไปรับเข้ามาในเมือง แล้วเอาตัวเตียวหอมมาให้เล่าปี่
ขงเบ้งจึงถามว่าเหตุใดให้มัดเตียวหอมไว้ เตียวหอมจึงบอกเนื้อความให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงให้แก้มัดเตียวหอมเสียแล้วว่าแก่จูล่งว่า เตียวหอมนับถือท่าน จะยกพี่สะใภ้ให้เปนภรรยาท่านนั้นก็ดีอยู่อีก เหตุใดจึงขัดแข็งเล่า จูล่งจึงว่าเตียวหอมกับข้าพเจ้าได้ชักเรื่องชักแถวเปนแซ่เดียวกันแล้ว เตียวหอมจะยกพี่สะใภ้ให้ข้าพเจ้านั้นไม่ควร ด้วยหญิงนั้นเปนหม้ายอยู่ จะมาข่มใจให้มีผัวนั้นผิดไป ประการหนึ่งข้าพเจ้าก็ยังไม่ไว้ใจ ด้วยเตียวหอมนั้นพึ่งรู้จักกัน เกลือกจะทำอุบายประการใด การของท่านซึ่งใช้มาก็จะเสียไป ประการหนึ่งเล่าปี่นายข้าพเจ้าคิดอ่านทำการทั้งปวงหวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินก็ ยังไม่สำเร็จก่อน เล่าปี่นั้นก็ยังนอนตาไม่หลับลงเปนปรกติ ซึ่งข้าพเจ้าจะมามีภรรยานั้นไม่ควร เหมือนหนึ่งชิงสุกก่อนห่าม คนทั้งปวงก็จะคระหานินทาได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่จูล่งว่า การในเมืองฮุยเอี๋ยงก็สำเร็จแล้ว เราจะยกให้อยู่ด้วยกันตามคำเตียวหอม จูล่งจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะให้อยู่ด้วยหญิงหม้ายคนนี้ไม่ควร ประการหนึ่งว่าไร้หญิงสาวแล้วหรือ ประการหนึ่งท่านก็ยังตั้งตัวไม่ได้ ซึ่งจะด่วนให้มีภรรยานั้นข้าพเจ้าไม่ยอม เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญจูล่งว่ามีใจสัตย์ซื่อนัก จึงให้เงินทองเปนบำเหน็จความชอบแก่จูล่งเปนอันมาก แล้วเอาตราสำหรับที่นั้นคืนให้เตียวหอมเปนเจ้าเมืองฮุยเอี๋ยงอยู่ดังเก่า
เตียวหุยเห็นดังนั้นจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า จูล่งได้อาสามีความชอบแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันอาสายกไปตีเมืองบุเหลงจับเอาตัวกิมสวนมาให้ ท่าน จะได้เปนความชอบไว้บ้าง ขงเบ้งจึงว่าแก่เตียวหุยว่าเมื่อจูล่งอาสานั้นก็เขียนหนังสือสัญญาไว้แก่เรา แลท่านจะไปตีเมืองบุเหลงบัดนี้ จงเขียนหนังสือสัญญาให้เราไว้ก่อน เตียวหุยจึงเขียนหนังสือสัญญาให้ขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเมืองบุเหลงจับเอาตัวกิมสวนมาให้ได้ แม้ไม่ได้ก็ให้ตัดสีสะเสียเถิด แล้วเตียวหุยก็ลาขงเบ้งคุมทหารสามพันรีบยกไปถึงเมืองบุเหลง ก็ให้ตั้งค่ายมั่นอยู่นอกเมือง
ฝ่ายกิมสวนเจ้าเมืองรู้ว่าเตียวหุยยกมา ก็จัดแจงตระเตรียมทหารให้พร้อมจะยกออกรบ ขงจีที่ปรึกษาจึงว่าแก่กิมสวนว่า ซึ่งท่านจะออกรบกับเตียวหุยนั้นไม่ควร ด้วยเล่าปี่เปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็มีสติปัญญาน้ำใจโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎรทั้งปวง เตียวหุยซึ่งเปนน้องเล่าปี่ยกมาบัดนี้เล่าก็มีกำลังกล้าหาญนัก เห็นเราจะสู้ไม่ได้ ขอท่านออกไปนบนอบขอออกแก่เตียวหุยเถิดจะได้เปนสุขสืบไป
กิมสวนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่ขงจีว่า ตัวนี้คิดเปนใส้ศึกเข้าด้วยเตียวหุยจึงเจรจาย่อท้อฉนี้ แล้วก็สั่งทหารให้เอาตัวขงจีไปฆ่าเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงจึงว่า ท่านจะทำศึกครั้งนี้เปนการใหญ่อยู่ ซึ่งท่านจะฆ่าที่ปรึกษาเสียนั้นไม่ควร ขอให้ยกโทษไว้ก่อน กิมสวนได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงยกโทษขงจีไว้ แล้วกิมสวนก็จัดแจงทหารยกออกไปไกลเมืองทางสองร้อยเส้น พบกองทัพเตียวหุยยกมาก็หยุดทหารไว้ เตียวหุยขี่ม้าถือทวนออกมายืนอยู่หน้าทหารทั้งปวงแล้วร้องถามว่า ผู้ใดจะออกมาสู้กับเรา กิมสวนได้ฟังดังนั้นจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาออกสู้กับเตียวหุยได้บ้าง ทหารทั้งปวงกลัวฝีมือเตียวหุยก็นิ่งอยู่สิ้น กิมสวนเห็นทหารทั้งปวงนิ่งอยู่ดังนั้นก็ขับม้าออกรบกับเตียวหุย ๆ เห็นกิมสวนควบม้าออกมาก็ตวาดด้วยเสียงอันดัง กิมสวนตกใจควบม้าหนีจะเข้าเมือง เตียวหุยก็ยกทหารตามไป ขงจีแลทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองนั้น เห็นกิมสวนแตกหนีเตียวหุยมาใกล้ถึงเชิงกำแพง ก็ชวนกันเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมต้านทานไว้ กิมสวนตกใจแลขึ้นไปเห็นขงจียืนอยู่บนเชิงเทิน ขงจีจึงร้องว่าแก่กิมสวนว่า การครั้งนี้เราก็ได้ห้ามท่านไว้แต่เดิมทีแล้วไม่ฟังเรา บัดนี้ชาวเมืองทั้งปวงก็สมัคเปนใจด้วยเล่าปี่สิ้น ขงจีก็เอาเกาทัณฑ์ยิงลงไปถูกที่หน้าผากกิมสวนตกจากม้า ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้น จะใคร่ได้ความชอบก็ตัดเอาสีสะกิมสวนไปให้เตียวหุย
ฝ่ายขงจีก็เปิดประตูเมืองพาทหารออกมาคำนับเตียวหุย ๆ ก็มีความยินดีพาเอาตัวขงจีมาหาเล่าปี่ขงเบ้ง ณ เมืองฮุยเอี๋ยง แล้วเสนอความชอบขงจีเปนอันมาก เล่าปี่ขงเบ้งก็มีความยินดี พากันยกทหารมา ณ เมืองบุเหลง เล่าปี่จึงมอบตราสำหรับที่ให้ขงจีเปนเจ้าเมือง เล่าปี่ขงเบ้งจึงให้ทหารถือหนังสือไปให้กวนอู ณ เมืองเกงจิ๋ว ในหนังสือนั้นเปนใจความว่า เรายกทัพมาตีได้เมืองเลงเหลงแล้ว จูล่งยกไปตีเมืองฮุยเอี๋ยง เตียวหุยไปตีเมืองบุเหลงก็ได้สำเร็จแล้ว ตัวเราแลทหารทั้งปวงก็เปนสุขอยู่หาอันตรายมิได้
กวนอูได้แจ้งดังนั้นจึงตอบหนังสือไปถึงเล่าปี่เปนใจความว่า ข้าพเจ้ากวนอูคำนับมาถึงพี่ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านมีความสุขหาอันตรายไม่ก็มีความยินดีนัก แลเมืองฮุยเอี๋ยงเมืองบุเหลงนั้น จูล่งกับเตียวหุยก็รบได้แล้ว ยังแต่เมืองเตียงสามิได้อ่อนน้อมต่อท่าน ข้าพเจ้าผู้มีสติปัญญาอันน้อยจะขออาสาไปรบเอาให้ได้ ทหารก็ลากวนอูเอาหนังสือนั้นมาให้แก่เล่าปี่ ๆ แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เตียวหุยไปอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วให้กวนอูมา ณ เมืองบุเหลง
ฝ่ายขงเบ้งจึงแกล้งว่ากับกวนอูว่า เมื่อจูล่งกับเตียวหุยยกไปตีเมืองฮุยเอี๋ยงแลเมืองบุเหลงได้นั้น ก็เอาทหารไปแต่คนละสามพัน แลเมืองเตียงสานั้นเดิมขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวจึงให้เล่าผวนผู้เปนหลานเปนเจ้าเมือง ครั้นเล่าเปียวหาบุญไม่ เมืองเตียงสาไปขึ้นแก่เมืองฮูโต๋ โจโฉตั้งให้ฮันเหียนเปนผู้ใหญ่อยู่รักษาเมือง ฮันเหียนเปนคนหาสติปัญญาไม่ จะทำการสิ่งใดมิได้พิเคราะห์ แล้วข่มเหงให้ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน ราษฎรชวนกันเอาใจออกหากอยู่สิ้น บัดนี้เกรงอยู่แต่ทหารเอกคนหนึ่งชื่อฮองตงชาวเมืองลำเอี๋ยง อายุได้หกสิบปีมีกำลังกล้าหาญ เดิมเปนทหารเล่าผวน ครั้นเล่าผวนออกจากที่เจ้าเมืองแล้ว ฮองตงจึงสมัคเข้าทำการอยู่ด้วยฮันเหียน แลท่านจะยกไปรบเมืองเตียงสาบัดนี้ จำจะเอาทหารไปให้มากจึงจะได้ เพราะฮองตงมีฝีมืออยู่
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็คิดมานะจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าจะกลัวอันใดกับฮองตงซึ่งเปนคนแก่ ข้าพเจ้าจะเอาแต่ทหารในสมัคพัคพวกข้าพเจ้าห้าร้อยยกไปตีเมืองเตียงสา ตัดเอาสีสะฮันเหียนฮองตงมาให้ท่านจงได้ เล่าปี่จึงว่าแก่กวนอูว่า น้องเราอย่าเพ่อดูหมิ่นฮองตงก่อน ถึงแก่ก็จริงแต่มีกำลังกล้าหาญเข้มแข็งนัก ซึ่งเจ้าจะเอาทหารไปแต่ห้าร้อยนั้นพี่ยังไม่ไว้ใจเกลือกจะเสียที
กวนอูได้ฟังดังนั้นครั้นจะเอาทหารไปอีก ก็ผิดคำซึ่งว่าไว้กับขงเบ้ง กวนอูก็ลาเล่าปี่กับขงเบ้งพาทหารยกไปเมืองเตียงสา ครั้นกวนอูไปแล้วขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า กวนอูยกไปครั้งนี้พูดจาดูหมิ่นฮองตงนักเกลือกจะทำการไม่สำเร็จ จำเราจะยกทหารหนุนไปอีก เล่าปี่เห็นชอบด้วย ก็จัดแจงทหารกับขงเบ้งยกตามกวนอูไป
ฝ่ายฮันเหียนเจ้าเมืองเตียงสา ครั้นรู้ว่ากวนอูยกทัพมาจึงปรึกษากับฮองตงว่า ท่านจะคิดอ่านป้องกันประการใด ฮองตงจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย จะกลัวอันใดกับกวนอู ถึงมาทว่าจะยกทหารมาสักพันหนึ่งก็จะตายด้วยเกาทัณฑ์แลง้าวของข้าพเจ้า เอียวเหลงนายทหารจึงว่าแก่ฮันเหียนว่า ซึ่งจะไปรบกับกวนอูนั้นอย่าเพ่อให้ร้อนถึงฮองตงก่อนเลย ข้าพเจ้าจะอาสาไปจับกวนอูมาให้ได้ ฮันเหียนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารให้พันหนึ่ง เอียวเหลงก็ลาฮันเหียนยกทหารออกจากเมืองทางห้าร้อยเส้น พอกวนอูยกมาถึงเอียวเหลงก็ขับม้าออกหน้าทหาร กวนอูเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับเอียวเหลงได้สามเพลง กวนอูเอาง้าวฟันถูกเอียวเหลงตกม้าตาย แล้วก็ไล่ฆ่าฟันทหารเอียวเหลงไปจนเชิงกำแพง ฮันเหียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ฮองตงคุมทหารห้าร้อย ยกออกไปรบกับกวนอู ๆ เห็นฮองตงขี่ม้าคุมทหารออกมา จึงร้องถามว่าท่านนี้ชื่อฮองตงแลหรือ ฮองตงจึงตอบว่าท่านรู้จักชื่อเราแล้วเหตุใดจึงบังอาจมาสู้รบกับเรา หากลัวความตายไม่หรือ กวนอูจึงตอบว่า เรายกมาประสงค์จะเอาสีสะท่าน ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ารบกับกวนอูได้ร้อยเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน ฮันเหียนยืนดูบนเชิงเทินเห็นฮองตงรบกับกวนอูนานนัก คิดเกรงอยู่ว่าฮองตงชรากำลังน้อยจะเสียทีแก่กวนอู จึงตีม้าฬ่อเรียกฮองตงให้ยกทหารกลับเข้าเมือง
ฝ่ายกวนอูก็ยกทหารกลับเข้าค่ายแล้วคิดว่า เวลาวันนี้เรารบกับฮองตงถึงร้อยเพลงก็ยังมิแพ้ชนะกัน เวลาพรุ่งนี้เราจะทำกลอุบายลวงฮองตงเอาชัยชนะให้จงได้ ครั้นเวลาเช้ากวนอูคุมทหารเข้าไปถึงเชิงกำแพงแล้วร้องเรียกฮองตง ฮันเหียนเห็นดังนั้นก็ให้ฮองตงยกทหารออกรบกับกวนอูได้ห้าสิบเพลง กวนอูแกล้งทำเปนแพ้ชักม้าหนี ฮองตงก็ไล่ตามไป ม้านั้นพลาดฮองตงตกจากม้าล้มลงอาวุธพลัดจากมือ กวนอูเหลียวมาเงื้อง้าวขึ้นจะฟัน แล้วได้คิดว่าเราได้ออกปากไว้ว่า ผู้ใดไม่มีอาวุธอยู่กับมือเราจะไม่ทำอันตราย บัดนี้ฮองตงล้มลงแล้วอาวุธพลัดมือไป ครั้นเราจะฆ่าเสียก็ไม่ควร กวนอูจึงว่าแก่ฮองตงว่า ครั้งนี้เราไว้ชีวิตท่าน ๆ จงกลับเข้าเมืองเถิด เอาม้าตัวอื่นขี่ออกมาสู้กับเราใหม่
ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็ขึ้นม้าพาทหารกลับเข้าเมือง ฮันเหียนจึงถามฮองตงว่าเหตุใดท่านจึงตกม้า ฮองตงจึงบอกว่า ม้าตัวนี้มิได้ขี่ออกทำศึกนานแล้วจึงพลาดล้มลง ฮันเหียนจึงว่า ท่านก็มีฝีมือเข้มแขงแม่นเกาทัณฑ์หาผู้เสมอมิได้ เหตุใดท่านจึงไม่เอาเกาทัณฑ์ยิงกวนอู ฮองตงจึงว่า เวลาวันนี้รบพุ่งติดพันกันอยู่ ครั้นจะยิงเกาทัณฑ์ก็ไม่ทันที เวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะทำเปนแพ้ลวงกวนอูให้ไล่มาถึงเชิงกำแพงเมือง แล้วจึงจะเอาเกาทัณฑ์ยิงกวนอูให้ได้
ฮันเหียนจึงเอาม้าซึ่งขี่นั้นให้ฮองตง ฮองตงก็ลาฮันเหียนไปที่อยู่แล้วจึงคิดว่า เขาลือมาว่ากวนอูมีความสัตย์ก็พึ่งเห็นประจักษ์ครั้งนี้ กวนอูไว้ชีวิตเรามีคุณต่อเราเปนอันมาก เวลาพรุ่งนี้เราจะเอาเกาทัณฑ์ยิงกวนอูให้ตายเสียนั้นหาควรไม่ ครั้นจะไม่ยิงเล่าฮันเหียนก็จะลงโทษแก่เรา ฮองตงคิดวิตกดังนี้จนเวลารุ่งเช้า ทหารเอาเนื้อความมาบอกว่า กวนอูขึ้นม้ามายืนคอยจะรบอยู่ใกล้เชิงกำแพง ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็ขึ้นม้าคุมทหารออกจากเมือง
ฝ่ายกวนอูคิดประมาทหมายจะเอาชัยชนะให้ได้ ครั้นเห็นฮองตงยกออกมาก็ขับม้าเข้ารบได้สามสิบเพลง ฮองตงทำเปนแพ้ชักม้าหนี กวนอูควบม้าไล่ตามไป ฮองตงจึงเหลียวหลังมาเอาแต่คันเกาทัณฑ์น้าวสายมิได้ใส่ลูกยิงกวนอูสองครั้ง กวนอูคอยจะหลบก็ไม่เห็นลูกเกาทัณฑ์ก็มีใจกำเริบ จึงควบม้าไล่ขยิกเคียงตามไป ฮองตงหนีไปถึงเชิงกำแพงเห็นกวนอูไล่ใกล้เข้ามา จึงเอาเกาทัณฑ์ใส่ลูกยิงไปให้ถูกแต่พู่หมวกกวนอู ๆ ตกใจควบม้ากลับมาค่าย ฮองตงกลับเข้าเมือง กวนอูจึงคิดว่าเขาลือว่าฮองตงแม่นเกาทัณฑ์ก็จริงอยู่ เวลาวันนี้ฮองตงคิดถึงคุณเราซึ่งไว้ชีวิตไม่ฆ่าเสีย จึงยิงเกาทัณฑ์ให้ถูกแต่พู่หมวกเรา
ฝ่ายฮันเหียนเมื่อฮองตงกับกวนอูรบกันนั้นยืนดูบนเชิงเทิน เห็นฮองตงยิงเกาทัณฑ์มิได้ใส่ลูกก็โกรธ ครั้นฮองตงกลับเข้ามา ก็สั่งทหารให้จับเอาตัวฮองตงไปฆ่าเสีย ฮองตงจึงว่าจะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียนี้ด้วยผิดสิ่งใด ฮันเหียนจึงว่า เมื่อแรกกวนอูยกมาตัวรับอาสาว่าจะเอาชัยชนะให้ได้ เราแกล้งดูตัวทำศึกกับกวนอูมาถึงสามวันแล้วก็หาแพ้ชนะกันไม่ เวลาวานนี้แกล้งทำให้เสียทีแก่กวนอูแตกพ่ายมาครั้งหนึ่งแล้ว เราก็มิได้เอาโทษ มาวันนี้ยิงเกาทัณฑ์มิได้ใส่ลูก ครั้นภายหลังยิงให้ถูกแต่พู่หมวก ตัวคบคิดกับกวนอูมิได้มีใจเจ็บร้อนทำการด้วยเรา แม้จะไม่ฆ่าเสียบัดนี้คนทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างกันต่อไป ทหารแลที่ปรึกษาทั้งปวงก็คิดอ่านจะขอโทษฮองตง ฮันเหียนจึงว่ากันไว้หวังจะมิให้ผู้ใดขอโทษ ว่าฮองตงกระทำความผิดโทษถึงสิ้นชีวิตเราจะฆ่าเสีย ถ้าผู้ใดขอโทษก็จะเอาโทษผู้นั้นเสมอด้วยฮองตง ว่าแล้วก็เร่งทหารให้เอาตัวฮองตงไปฆ่าเสีย ทหารก็จับเอาตัวฮองตงไป
ขณะนั้นอุยเอี๋ยนชาวเมืองงีเอี๋ยง เมื่อเล่าปี่ไปรบเมืองซงหยงนั้น อุยเอี๋ยนจะไปอยู่กับเล่าปี่ก็ไม่พบ จึงมาทำการอยู่ด้วยฮันเหียน ๆ หารู้จักคนมีฝีมือแลหาฝีมือไม่ ก็มิได้ชุบเลี้ยงอุยเอี๋ยน แต่ใช้เปนทหารเลวอยู่ ครั้นอุยเอี๋ยนรู้ว่าฮันเหียนให้ทหารเอาตัวฮองตงนายทหารเอกไปจะฆ่าเสียดัง นั้น ก็วิ่งตามไปจับทหารนั้นฆ่าเสียชิงเอาตัวฮองตงมาได้ แล้วร้องประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า ฮองตงนี้เปนหลักเมืองเตียงสา ฮันเหียนจะให้ฆ่าฮองตงเสียก็เหมือนฆ่าราษฎรทั้งปวงเสียเราจึงชิงไว้ บัดนี้เราจะคิดอ่านฆ่าฮันเหียนเสีย ผู้ใดจะเข้าด้วยเราบ้าง
ฝ่ายชาวเมืองทั้งปวงมีใจเจ็บแค้นชังฮันเหียนอยู่แล้ว ก็สมัคเข้าด้วยอุยเอี๋ยนเปนอันมากจะไปทำอันตรายฮันเหียน ฮองตงจะห้ามปรามสักเท่าใดอุยเอี๋ยนก็ไม่ฟัง พาเอาชาวเมืองทั้งปวงบุกรุกขึ้นไปบนเชิงเทิน เห็นฮันเหียนนั่งอยู่ อุยเอี๋ยนก็วิ่งเข้าไปเอาดาบฟันฮันเหียนตัวขาดเปนสองท่อน แล้วก็ตัดเอาสีสะขึ้นม้าพาทหารทั้งปวงออกไปหากวนอู ณ ค่าย กวนอูมีความยินดีจึงยกทหารเข้าตั้งอยู่ในเมืองเตียงสา แล้วให้ทหารไปเชิญฮองตง ๆ เห็นว่ากวนอูมิได้นับถือ ให้แต่ทหารไปเชิญตัวดังนั้นก็บอกป่วยเสียมิได้มา กวนอูจึงแต่งหนังสือตามซึ่งได้ทำการทั้งปวง แลได้อุยเอี๋ยนกับฮองตงนั้นแจ้งไปยังเล่าปี่ขงเบ้ง
ฝ่ายเล่าปี่ขงเบ้งยกตามกันมาถึงกลางทาง เห็นธงเขียวสำหรับเรียกทหารซึ่งแห่หน้าเล่าปี่นั้นกลับม้วนเข้ากับคัน แล้วมีกาตัวหนึ่งบินมาแต่ทิศใต้ร้องเปนสองเสียงแล้วก็บินไปทิศเหนือ เล่าปี่เห็นอัศจรรย์ประหลาทจึงถามขงเบ้งว่า ซึ่งบังเกิดดังนี้กวนอูไปตีเมืองเตียงสาจะได้หรือมิได้ประการใด ขงเบ้งจับยามดูก็รู้แจ้งจึงบอกว่า บัดนี้กวนอูได้เมืองเตียงสาแล้ว ได้ทหารเอกด้วย เวลาบ่ายวันนี้จะรู้ข่าว
ครั้นเวลาบ่ายทหารซึ่งกวนอูให้ถือหนังสือไปถึง ก็เข้าไปหาเล่าปี่แจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วเอาหนังสือนั้นส่งให้เล่าปี่ ๆ แจ้งในหนังสือก็มีความยินดี พาขงเบ้งรีบยกทหารไปถึงเมืองเตียงสา กวนอูก็ออกมารับแล้วเชิญเล่าปี่ขงเบ้งเข้าไปในเมือง จึงเล่าเนื้อความซึ่งได้รบกับฮองตงให้เล่าปี่ฟังทุกประการแล้วบอกว่า บัดนี้ข้าพเจ้าให้ทหารไปเชิญตัวฮองตง ๆ ก็บอกป่วยเสียมิได้มา
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าฮองตงเปนผู้ใหญ่มีทิฏฐิมานะอยู่ กวนอูให้ทหารไปหาตัวจึงมิได้มา จำเราจะไปเองจึงจะควร แล้วเล่าปี่ก็ไปหาฮองตง ณ บ้าน ฮองตงเห็นเล่าปี่มาก็มีความยินดี ออกมาคำนับเล่าปี่นอกบ้าน เล่าปี่ก็พูดจาเกลี้ยกล่อมฮองตง ๆ ก็สมัคยอมเปนทหารอยู่ด้วย แล้วเล่าปี่ก็พาฮองตงมาที่อยู่
ฮองตงอ้อนวอนเล่าปี่ขอเอาศพฮันเหียนไปฝังไว้นอกเมืองทิศตวันออก เล่าปี่ก็ยอมให้ กวนอูจึงพาอุยเอี๋ยนเข้าไปคำนับเล่าปี่ขงเบ้งแล้วเล่าความชอบให้ฟัง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็สั่งทหารให้เอาตัวอุยเอี๋ยนไปฆ่าเสีย เล่าปี่ตกใจจึงถามว่า อุยเอี๋ยนคิดอ่านฆ่าฮันเหียนเสียก็มีความชอบต่อเราอีก แลท่านจะให้ฆ่าเสียนั้นด้วยความผิดสิ่งใด ขงเบ้งจึงว่า ผู้ใดกินเข้าแดงท่านแลฆ่าท่านผู้มีคุณเสีย ผู้นั้นเปนคนหากตัญญูไม่ ผู้ใดอาศรัยอยู่ในแผ่นดินของท่านแล้วคิดยกเอาแผ่นดินไปให้ผู้อื่นเสีย ผู้นั้นเปนคนหาความสัตย์ไม่ อุยเอี๋ยนนี้มิได้มีความสัตย์แลกตัญญู ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นไม่ควร อนึ่งข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูในลักษณะอุยเอี๋ยนนั้นเห็นหาตรงต่อผู้มีคุณไม่ ถึงมาทว่าเราจะเลี้ยงไว้นานไปก็จะทรยศเปนมั่นคง เล่าปี่จึงว่าท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่จะฆ่าอุยเอี๋ยนเสียนั้นเรายังจะทำการศึกสืบไปเมื่อหน้า ผู้ซึ่งจะมาสมัคทำความชอบอยู่ด้วยก็จะเสียใจ ท่านจงงดโทษอุยเอี๋ยนไว้สักครั้งหนึ่งก่อน
ขงเบ้งได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงชี้มือว่าแก่อุยเอี๋ยนว่า ครั้งนี้เราจะยกโทษตัวครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นี้ต่อไปเมื่อหน้าตัวอย่าได้คิดอ่านทรยศต่อท่านผู้มีคุณสืบไป แม้ไม่ฟังคำเราจะตัดสีสะตัวเสีย อุยเอี๋ยนก็รับคำขงเบ้งแล้วคำนับลาไปที่อยู่ ฮองตงจงมาหาเล่าปี่แล้วบอกว่า บัดนี้เล่าผวนหลานเล่าเปียวยังอยู่ในเมืองนี้ ขอให้หามาตั้งเปนเจ้าเมืองจึงจะสมควร ด้วยเล่าผวนเปนเชื้อสายอยู่ในท่าน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารไปเอาตัวเล่าผวนมาตั้งให้เปนใหญ่ควบคุมทหารอยู่รักษาเมือง
ฝ่ายเล่าปี่ปราบปรามหัวเมืองสี่ตำบลสำเร็จแล้ว ได้ทหารแลที่ปรึกษาเปนอันมาก ก็พาขงเบ้งกวนอูจูล่งยกทหารกลับมาเมืองเกงจิ๋ว จึงเปลี่ยนชื่ออ่าวอิวกังปากนํ้าเมืองเกงจิ๋ว ชื่อว่าอ่าวกังอั๋น เล่าปี่ซ่องสุมสเบียงอาหารเบี้ยหวัดสำหรับแจกขุนนางแลทหารไว้เปนอันมาก แล้วจัดแจงให้ทหารที่มีฝีมือไปตั้งตรวจตะเวนรักษาปากน้ำแลด่านทุกตำบล
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 44
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnRnhKZEFHZ0JQWFE/view?resourcekey=0-OM3qPMeSpjfPZzcPoqhfFQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #4 on:
23 December 2021, 09:05:11 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 45
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-45.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 45
เนื้อหา
ซุนกวนตีเมืองหับป๋า
ซุนกวนเสียกลเตียวเลี้ยว ไทสูจู้ตาย
เล่ากี๋ตาย จิวยี่ให้ไปทวงเมืองเกงจิ๋วอีก
จิวยี่คิดอุบายให้ซุนกวนยกนางซุนฮูหยินให้เล่าปี่
เล่าปี่ไปแต่งงานกับนางซุนฮูหยินที่เมืองกังตั๋ง
เล่าปี่พานางซุนฮูหยินหนี
ขงเบ้งมารับเล่าปี่กลางทาง
ฝ่าย จิวยี่มารักษาตัวอยู่ ณ เมืองฉสองกุน โรคนั้นคลายแล้วจึงแต่งให้กำเหลงไปอยู่รักษาเมืองปาเหลง ให้เล่งทองไปรักษาเมืองอันเอี๋ยง แล้วสั่งว่าให้จัดแจงทหารแลเรือรบไว้ให้พร้อม แม้มีสงครามมาเมื่อใดจะได้ใช้การโดยเร็ว แล้วให้โลซกกับเทียเภาคุมทหารยกไปช่วยซุนกวน ณ เมืองหับป๋า
ฝ่ายซุนกวนยกมาตั้งอยู่ ณ เมืองหับป๋าก็ช้านาน ได้รบพุ่งกับเตียวเลี้ยวกว่าสิบครั้ง ก็ยังไม่แพ้ชนะกัน จึงถอยออกมาตั้งอยู่ไกลกำแพงเมืองทางห้าร้อยเส้น ครั้นรู้ข่าวว่าจิวยี่ให้เทียเภายกทหารมาช่วยก็มีความยินดี ขึ้นม้าออกไปรับอยู่นอกค่าย ทหารเอาเนื้อความไปบอกว่าโลซกมาด้วย ซุนกวนได้ฟังดังนั้น ก็ลงจากม้ายืนคอยรับโลซกอยู่
ฝ่ายโลซกขี่ม้ามาเห็นซุนกวนลงยืนคอยอยู่ ก็ลงจากม้าแต่ไกลเดิรเข้ามาคำนับซุนกวน ๆ ก็ทำเปนอ่อนน้อมคำนับโลซก แล้วเรียกว่าอาจารย์ ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ยำเกรงโลซกเปนอันมาก ซุนกวนจึงชวนโลซกขึ้นม้าคนละตัวเดิรเคียงกันเข้าไปค่าย ซุนกวนจึงค่อยว่าแก่โลซกว่า เราทำอ่อนน้อมให้เปนสง่าไว้แก่ท่าน ครั้งนี้จะชอบใจท่านแล้วหรือยัง โลซกจึงตอบว่า ข้าพเจ้ายังไม่ชอบใจก่อน ซุนกวนจึงถามว่า ท่านจะให้ทำอย่างไรเล่า โลซกจึงว่า ขอให้ท่านคิดอ่านตั้งตัวเปนใหญ่ให้จงได้ แล้วตั้งอยู่ในสัตย์ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้ได้ความสุขจึงจะชอบใจ ข้าพเจ้า นานไปภายหน้าชื่อข้าพเจ้าก็จะปรากฎว่าเปนทหารสัตย์ซื่อช่วยทำนุบำรุงต่อท่าน ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะ พาโลซกไปถึงค่ายให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง แล้วปรึกษากันที่จะยกเข้าตีเมืองหับป๋า พอคนใช้เข้ามาบอกว่า เตียวเลี้ยวให้ทหารถือหนังสือมาหาท่าน ซุนกวนจึงให้ทหารนั้นเข้ามา แล้วรับหนังสือนั้นมาอ่านดูเปนใจความว่า ซุนกวนได้ทหารเติมมากขึ้นแล้วก็ให้ยกมารบกันเถิด ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเตียวเลี้ยวดูหมิ่นเรา เห็นว่าโลซกกับเทียเภามาถึง จึงให้ทหารถือหนังสือมาท้าทาย เวลาพรุ่งนี้เราไม่เอาทหารใหม่ไปเลย แต่กำลังพวกเราจะออกรบกับเตียวเลี้ยวให้สิ้นฝีมือสักครั้งหนึ่ง ผู้ถือหนังสือนั้นก็ลาซุนกวนกลับมาบอกแก่เตียวเลี้ยว
ครั้นเวลาสามยามเศษซุนกวนก็จัดแจงทหารยกออกจากค่าย จะไปรบกับเตียวเลี้ยว ยกไปถึงกลางทางเวลากินอาหารเช้าแล้ว พอกองทัพเตียวเลี้ยวยกมาพบกันเข้า ต่างคนต่างก็หยุดทหารทั้งสองฝ่าย ซุนกวนจึงแต่งตัวห่มเกราะทองใส่หมวกทองขึ้นม้าถือทวน ให้ซงเขียมอยู่ขวา ให้แกหัวอยู่ซ้าย ให้ทหารตีม้าฬ่อฆ้องกลอง แล้วออกยืนอยู่หน้าทหาร เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นก็ขี่ม้า ให้ลิเตียนอยู่ขวางักจิ้นอยู่ซ้าย รำทวนออกมาชวนซุนกวนรบ ซุนกวนก็ขับม้าจะเข้ารบกับเตียวเลี้ยว ไทสูจู้เห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับเตียวเลี้ยวแทนซุนกวนได้แปดสิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน
ซุนกวนยืนม้าดูไทสูจู้กับเตียวเลี้ยวรบกันในเพลงทวนก็พิสวง สิ้นสติไปมิได้ระวังตัว ลิเตียนจึงว่าแก่งักจิ้นว่า ซึ่งห่มเกราะทองขี่ม้าอยู่นั้นชื่อซุนกวนหรือ ถ้าเราจับตัวได้ก็จะแก้แค้นของมหาอุปราชได้ งักจิ้นได้ฟังดังนั้นคิดจะใคร่ได้ความชอบ ก็ถือดาบควบม้าตรงเข้าไปถึงซุนกวนก็เงื้อดาบขึ้นจะฟัน ซงเขียมกับแกหัวเห็นดังนั้นก็เอาทวนขึ้นรับ ทวนสองเล่มนั้นหักยังแต่ด้าม ซงเขียมก็เอาด้ามทวนนั้นตีงักจิ้น ๆ ควบม้าหนี ซงเขียมจึงชิงเอาทวนที่มือทหาร แล้วควบม้าไล่ตามงักจิ้นไป ลิเตียนเห็นซงเขียมไล่งักจิ้นใกล้จะทัน ก็เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกอกซงเขียมตกม้าตาย
ไทสูจู้เห็นดังนั้นก็ตกใจละเตียวเลี้ยวเสียควบม้าหนี เตียวเลี้ยวได้ทีก็ขับทหารไล่รบพุ่งติดตามฟันเข้าไปในกองทัพซุนกวน ทหารซุนกวนก็แตกกระจัดกระจายไป เตียวเลี้ยวแลเห็นตัวซุนกวนก็ควบม้าไล่ตามไป ขณะเมื่อซุนกวนยกไปนั้น เทียเภาอยู่ ณ ค่ายไม่ไว้ใจ กลัวซุนกวนจะเปนอันตราย ก็ยกทหารมาซุ่มอยู่กลางทาง เห็นเตียวเลี้ยวไล่ซุนกวนมา เทียเภาก็คุมทหารออกรบกั้นสกัดเตียวเลี้ยวไว้ เตียวเลี้ยวเห็นทหารซุนกวนหนุนกันมาดังนั้น ครั้นจะไล่ติดตามไปก็เกรงอยู่ จึงพาทหารกลับมาเมืองหับป๋า ซุนกวนก็ยกทหารเข้าค่าย แล้วร้องไห้รักซงเขียมเปนอันมาก
เตียวเหียนที่ปรึกษาจึงว่าแก่ซุนกวนว่า ซึ่งเปนเหตุทั้งนี้เพราะท่านทนงตัวดูหมิ่นแก่ข้าศึกมิได้รักษาตัว อันประเพณีการสงครามควรจะให้ทหารซึ่งมีฝีมือออกรบพุ่งให้สามารถก่อน อันแม่ทัพจะยกออกรบก่อนนั้นไม่ควร ตัวท่านเปนใหญ่ไม่พิเคราะห์ดูการว่าควรแลมิควร ออกสู้รบกับเตียวเลี้ยวอันเปนแต่นายทหาร จึงได้ความอัปยศเสียทหารเอกฉนี้ ซุนกวนจึงรับว่าท่านว่านี้ชอบนัก อันเสียการทั้งนี้เพราะเราคิดผิดเอง
ขณะนั้นไทสู้จู้จึงเข้ามาบอกซุนกวนว่า โกเตงบ่าวข้าพเจ้ามีพี่น้องชื่ออาวโจเปนคนเลี้ยงม้าของเตียวเลี้ยว อาวโจหาความผิดไม่ เตียวเลี้ยวเอาตัวไปทำโทษ อาวโจมีความเจ็บแค้น ให้คนมาบอกข้าพเจ้าว่า เวลาคํ่าวันนี้จะคิดอ่านฆ่าเตียวเลี้ยวเสียแล้วจะจุดเพลิงขึ้นเปนสำคัญ ข้าพเจ้าจะขอทหารยกไปทำการกับอาวโจ เห็นจะแก้แค้นซึ่งเสียซงเขียมนั้นได้
ซุนกวนจึงถามว่า บัดนี้โกเตงอยู่ไหนเล่า ไทสูจู้จึงบอกว่าโกเตงปลอมเปนทหารเตียวเลี้ยวเข้าไปในเมืองหับป๋าแล้ว ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดทหารพันหนึ่งให้ไทสูจู้ จูกัดกิ๋นจึงว่ากับไทสูจู้ว่า เตียวเลี้ยวมีสติปัญญาทั้งฝีมือก็เข้มแขง เห็นจะไม่ประมาท ท่านจงคิดอ่านตรึกตรองให้ดี อย่าเพ่อดูหมิ่นเตียวเลี้ยวก่อน ไทสูจู้มิได้ตอบประการใด ก็ลาซุนกวนยกทหารออกจากค่าย
ฝ่ายโกเตงปลอมเปนทหารเข้าไปในเมืองหับป๋าได้แล้ว จึงว่าแก่อาวโจว่า วันนี้เราให้คนไปบอกไทสูจู้ ๆ สั่งมาว่า เวลาคํ่าวันนี้จะยกทหารมาตั้งคอยอยู่นอกเมือง การภายในนี้ท่านจะคิดอ่านทำประการใด อาวโจจึงว่า ที่อยู่เราบัดนี้ใกล้กันกับเตียวเลี้ยว เวลาคํ่าวันนี้เราจะเอาเพลิงจุดกองฟางให้ลุกสว่างขึ้น แล้วท่านจงร้องว่าข้าศึกเข้าเมืองได้แล้ว ชาวเมืองทั้งปวงไม่ทันรู้ก็จะตื่นกันวุ่นวายไป แม้เตียวเลี้ยวจะมาดับเพลิง ข้าพเจ้าจึงจะลอบแทงเตียวเลี้ยวเสีย โกเตงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย
ฝ่ายเตียวเลี้ยวเมื่อกลับมาเมืองหับป๋า เลี้ยงดูทหารทั้งปวงสำเร็จแล้วจึงสั่งว่า เวลาคํ่าวันนี้ท่านทั้งปวงอย่าได้ประมาท ให้คิดอ่านป้องกันรักษาตัวจงหนัก ใส่เกราะนอนจงทุกคน ทหารทั้งปวงจึงตอบว่าเวลาวันนี้เราได้ชัยชนะซุนกวนแตกหนีไปแล้ว ท่านจะให้ระวังรักษาด้วยเหตุอันใด เตียวเลี้ยวจึงว่า อันธรรมดาผู้เปนนายทัพนายกองจะทำการสงคราม ถ้าแพ้ก็อย่าเพ่อเสียใจ แม้ได้ชัยชนะก็อย่าเพ่อทนง เวลาวันนี้เราได้ชัยชนะแก่ซุนกวนก่อน ครั้นประมาทเกลือกซุนกวนมีใจเจ็บแค้นคิดเห็นว่าเราเลินเล่อจะยกทหารมาโจมตี เราจะมิขัดสนหรือ เราจึงบังคับท่านทั้งปวงด้วยเหตุฉนี้
ขณะเมื่อเตียวเลี้ยวพูดอยู่กับทหารทั้งปวงนั้น เห็นเพลิงสว่างขึ้นหลังค่าย แล้วได้ยินเสียงร้องว่าข้าศึกเข้าเมืองได้แล้ว ชาวเมืองทั้งปวงก็ตื่นกันวุ่นวายขึ้น เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขึ้นม้าพาทหารสี่คนออกยืนขวางทางอยู่ ทหารจึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่าเสียงนี้ใกล้นัก เห็นข้าศึกจะกระชั้นเข้ามาแล้ว เตียวเลี้ยวจึงว่าเห็นเลือกตัวจะเปนดอก มันแกล้งทำทั้งนี้หวังจะให้คนทั้งปวงตกใจ แล้วเตียวเลี้ยวจึงกำชับทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดวุ่นวายไปจะตัดสีสะเสีย ให้ช่วยกันจับตัวต้นเหตุให้จงได้ พอเวลาประมาณทุ่มหนึ่ง ลิเตียนจับตัวโกเตงกับอาวโจมาให้เตียวเลี้ยว ๆ จึงถามแจ้งเนื้อความแล้วก็ให้ทหารเอาตัวโกเตงกับอาวโจไปฆ่าเสีย พอได้ยินเสียงทหารตีม้าฬ่อฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงอยู่นอกเมือง เตียวเลี้ยวจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า กองทัพซุนกวนยกมาคอยทำการตามสัญญาโกเตงแล้ว เราคิดอ่านแก้กลอุบายซุนกวนให้ได้ เตียวเลี้ยวจึงให้ทหารเอาเพลิงจุดขึ้นในเมือง โห่ร้องเปิดประตูออกร้องว่าข้าศึกเข้าเมืองได้แล้ว
ไทสูจู้เห็นดังนั้นสำคัญว่าโกเตงกับอาวโจทำการสำเร็จแล้ว ก็ควบม้านำหน้าทหารเข้าไปในเมือง เตียวเลี้ยวก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงสองข้างทาง ถูกไทสูจู้เปนหลายแห่ง ไทสูจู้ตกใจขับม้าหนี เตียวเลี้ยวก็ให้งักจิ้นไล่รบไทสูจู้ไปจนถึงหน้าค่าย ซุนกวนลกซุนกับตังสิดเห็นดังนั้น ก็ยกออกช่วยไทสูจู้ ลิเตียนกับงักจิ้นไล่ฆ่าฟันทหารไทสูจู้ตายเปนอันมาก แล้วเห็นลกซุนตังสิดออกช่วยไทสูจู้ ลิเตียนกับงักจิ้นก็ยกทหารกลับมาเมือง ลกซุนตังสิดก็พาไทสูจู้เข้าไปค่าย ซุนกวนเห็นไทสูจู้ถูกเกาทัณฑ์เจ็บป่วยเปนหลายแห่ง จะไม่รอดก็คิดวิตกนัก
ฝ่ายเตียวเจียวจึงว่าแก่ซุนกวนว่า เรายกมาครั้งนี้ก็เสียทหารเปนอันมาก บัดนี้ไทสูจู้ก็ป่วยหนักอยู่ ขอให้ท่านยกทหารกลับไปเมืองก่อนเถิด จะได้คิดการต่อไป ซุนกวนเห็นชอบด้วย ก็จัดแจงเรือยกทหารกลับมาเมืองลำซี พอมาถึงไทสูจู้ก็ป่วยหนักลง ซุนกวนจึงให้เตียวเจียวไปเยือนไทสูจู้ ๆ จึงว่าแก่เตียวเจียวว่า เกิดมาเปนชายถึงจะตายในท่ามกลางศึกก็อย่าเสียดายชีวิต ชอบจะคิดทำการให้ถึงขนาด เหตุใดจะมาสิ้นอายุเสียแต่หนุ่มฉนี้ ไทสูจู้ว่าเท่านั้นแล้วก็สิ้นใจ เมื่อไทสูจู้ตายนั้นอายุได้สี่สิบเอ็จปี ซุนกวนรู้ว่าไทสูจู้ตายก็คิดสงสารอยู่มิได้ขาด จึงแต่งการศพไปฝังไว้ณเชิงเขาปักกัว แล้วเอาไทสูเอี๋ยงบุตรไทสูจู้มาเลี้ยงไว้แทนบิดา
ฝ่ายเล่าปี่อยู่เมืองเกงจิ๋ว รู้ว่าซุนกวนยกไปตีเมืองหับป๋าเสียทีแก่เตียวเลี้ยวกลับมาเมืองลำซี จึงหาขงเบ้งมาปรึกษา ขงเบ้งจึงว่าเวลาคืนนี้ข้าพเจ้าดูฤกษ์เห็นดาวดวงหนึ่งตกลงมาข้างทิศตวันตก เฉียงเหนือ จะเสียวงศ์ท่านคนหนึ่งเปนมั่นคง พอทหารมาบอกเล่าปี่ว่า เล่ากี๋บุตรเล่าเปียวเปนไข้ตายแล้ว เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รักเล่ากี๋ ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันเกิดมาแล้วสุดแต่จะตายทุกคนมิได้เว้น ท่านจะมาเสร้าโศกอยู่ฉนี้โรคก็จะบังเกิด การเราซึ่งจะกระทำสืบไปนั้นยังมากอยู่ ขอจงคิดอ่านแต่งให้ทหารไปอยู่รักษาเมืองซงหยงแทนเล่ากี๋
เล่าปี่ก็ให้กวนอูไปแต่งการศพเล่ากี๋ แล้วให้อยู่รักษาเมืองซงหยง เล่าปี่จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้เล่ากี๋ตายแล้ว เห็นซุนกวนจะให้มาทวงเมืองเกงจิ๋วเปนมั่นคง ท่านจะคิดแก้ไขตอบโต้ประการใด ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ตกพนักงานข้าพเจ้าจะรับเปนธุระ อยู่ประมาณสิบห้าวันทหารมาบอกเล่าปี่ว่า ซุนกวนให้โลซกมาถามข่าวเล่ากี๋ ขงเบ้งจึงชวนเล่าปี่ออกไปรับโลซกเข้ามาในเมือง คำนับกันแล้วโลซกจึงว่า ซุนกวนแจ้งว่าเล่ากี๋หาบุญไม่แล้ว จึงให้ข้าพเจ้าเอาธูปเทียนมาถามข่าวท่าน เมื่อข้าพเจ้าจะมานั้นจิวยี่ก็อวยพรมาถึงท่านด้วย เล่าปี่กับขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับรับเอาธูปเทียน แล้วเชิญให้โลซกกินโต๊ะ ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น โลซกจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เดิมท่านว่าข้าพเจ้าว่า ถ้าหาบุญเล่ากี๋ไม่แล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ซุนกวน บัดนี้เล่ากี๋ตายแล้วท่านจะคืนเมืองให้เมื่อไรเล่า จะได้แต่งให้ทหารมาอยู่รักษา เล่าปี่จึงว่าเชิญกินโต๊ะเสพย์สุราให้สบายก่อนเถิด แล้วจึงค่อยปรึกษากัน โลซกขัดเล่าปี่มิได้ก็เสพย์สุราต่อไป โลซกเห็นนานแล้วจึงเตือนเล่าปี่ขึ้น เล่าปี่ยังมิได้ตอบประการใด
ขงเบ้งทำโกรธว่าแก่โลซกว่า ท่านก็มีสติปัญญาแจ้งการทั้งปวงอยู่ แต่จะนิ่งให้เราออกปากก่อนไม่ได้หรือ เมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น ก็มีน้ำใจโอบอ้อมกรุณาแก่ราษฎรทั้งปวง จึงได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ต่อกันมาจนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทุกวันนี้แผ่นดินก็ไม่ราบคาบ ขุนนางหัวเมืองทั้งปวงที่มีสติปัญญากำลังมาก ก็ไม่ปรองดองช่วยกันบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ต่างคนต่างแข็งเมืองอยู่สิ้น เล่าปี่นายเราเปนเชื้อพระวงศ์ติดพันมาแต่ครั้งพระเจ้าเฮ้าเก๋งเต้ ได้ยี่สิบสี่ชั่วกษัตริย์จนถึงเล่าปี่ ๆ ก็เปนอาว์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่แผ่นดินเมืองเกงจิ๋วเท่านี้จะเอาไว้ไม่ได้หรือ ซุนกวนนายท่านเปนเชื้อผู้คุมเมืองจีต๋อง บัดนี้ก็ได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋ง มีเมืองโทหกหัวเมือง ๆ ตรีจัตวาแปดสิบเอ็ดหัวเมือง ทั้งไพร่พลทหารก็มั่งคั่งอยู่แล้วยังไม่อิ่มใจหรือ จึงให้มาทวงเมืองเกงจิ๋วอีกเล่า อนึ่งเมื่อโจโฉยกทัพเรือมาตีเมืองกังตั๋งนั้น เล่าปี่ก็ได้ยกทหารไปช่วยรบพุ่งเปนสามารถ เราก็เรียกลมให้ซุนกวนจึงไม่เปนอันตราย แม้เราไม่ไปช่วย ก็อย่าว่าแต่บุตรหญิงนางเกียวก๊กโลเลย ถึงภรรยาแลญาติท่านก็จะเปนของโจโฉสิ้น
โลซกได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด นิ่งอยู่ช้านานแล้วจึงว่ากับขงเบ้งว่า อันเมืองเกงจิ๋วนี้เปนธุระปะตัวข้าพเจ้าอยู่ด้วย ซึ่งท่านว่าเปรียบเทียบนี้หาต้องทางความไม่ ขงเบ้งจึงถามโลซกว่า เหตุใดท่านจึงว่าไม่ต้องทางความ โลซกจึงว่า เมื่อครั้งเล่าปี่ได้ความลำบากแตกโจโฉ ณ เมืองซงหยงนั้น ข้าพเจ้าก็ได้พาท่านไปหาซุนกวน ข้อหนึ่งก็ได้ช่วยว่าเมืองเกงจิ๋วให้ ครั้งจิวยี่จะยกทหารมารบคืนเอาเมืองเกงจิ๋วเล่า ข้าพเจ้าก็ช่วยว่ากล่าวห้ามมิให้จิวยี่ยกมา ข้าพเจ้าจึงมาหาท่าน ๆ กับเล่าปี่ก็ได้ว่า ถ้าหาบุญเล่ากี๋ไม่จะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ซุนกวน ข้าพเจ้าก็ได้รับไว้ บัดนี้ท่านเจรจาผิดกับคำก่อน จะให้ข้าพเจ้าเอาเนื้อความอันใดไปบอกกับซุนกวน จิวยี่กับซุนกวนก็นับถือว่าท่านกับเล่าปี่มีความสัตย์ แม้ข้าพเจ้าไปบอกตามคำท่านว่า ซุนกวนก็จะไม่เชื่อ จะลงโทษข้าพเจ้า ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่คิดวิตกอยู่ว่าเล่าปี่กับซุนกวนจะเปนศัตรูกันไป เมื่อเล่าปี่กับซุนกวนจะเปนศึกกันขึ้น ท่านก็จะไม่มีความสุข คนทั้งปวงที่รู้ก็จะหัวเราะว่า ท่านเปนคนมีสติปัญญามาเจรจากลับกลอกจึงเปนเหตุทั้งนี้
ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าว่าเลย เราจะกลัวอันใดกับจิวยี่ซึ่งเปนลูกเด็กเล็กน้อย ถึงมาทว่าโจโฉจะยกทหารมาสักร้อยหมื่นเราก็ไม่กลัว แต่ว่าเราเห็นแก่ท่านซึ่งกลัวความผิด เราจะคิดอ่านกับเล่าปี่เขียนหนังสือไปถึงซุนกวน ว่าจะยืมเมืองเกงจิ๋วไว้เปนที่อาศรัยก่อน ต่อเล่าปี่ไปรบเมืองอื่นได้เล่าปี่จึงจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ ท่านจะเห็นเปนประการใด
โลซกจึงถามว่า ท่านตีเมืองใดได้แล้วจึงจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ ขงเบ้งจึงตอบว่า เราคิดจะไปตีเมืองฮูโต๋ แต่เห็นว่าเปนเมืองใหญ่จะเอาโดยเร็วนั้นไม่ได้ เมืองเสฉวนนั้นเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเปนคนหาสติปัญญามิได้ เราจะให้เล่าปี่ยกกองทัพไปตี แม้ได้เมืองเสฉวนแล้ว เราจึงจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ โลซกได้ฟังดังนั้นก็เกรงใจขงเบ้ง ก็ยอมตามคำทุกประการ
เล่าปี่จึงเขียนหนังสือตามซึ่งว่ากันนั้น ใส่ชื่อขงเบ้งเปนนายประกัน ขงเบ้งจึงว่าแก่โลซกว่า ตัวข้าพเจ้าเปนพวกเล่าปี่ ลงชื่อเปนนายประกันซุนกวนจะไม่ไว้ใจ จะขอชื่อท่านใส่ลงด้วยซุนกวนจึงจะสิ้นสงสัย โลซกจึงว่า อันข้าพเจ้านี้นับถือเล่าปี่ว่าเปนคนมีเมตตาแลมีความสัตย์ซื่อ ถึงจะใส่ชื่อก็ตามเถิด เล่าปี่จึงเขียนชื่อใส่ลงท้ายหนังสือว่า โลซกรับเปนนายประกันด้วย แล้วส่งหนังสือให้โลซก ๆ รับหนังสือแล้วก็ลาเล่าปี่ขงเบ้งกลับไป เล่าปี่ขงเบ้งก็ตามไปส่งโลซกถึงเรือ เมื่อโลซกจะออกเรือนั้นขงเบ้งจึงแกล้งว่าแก่โลซกว่า ท่านไปถึงซุนกวนแล้ว จงช่วยว่ากล่าวโดยดีให้นายเราทั้งสองปรกติกัน อย่าให้โจโฉมันดูหมิ่นเราได้ แม้ไม่ทำตามเรา ถึงเมืองกังตั๋งกับหัวเมืองทั้งปวงเราก็จะชิงเอาด้วย
โลซกรับคำขงเบ้งแล้วก็ออกเรือไปถึงเมืองฉสองกุ๋น จึงเข้าไปหาจิวยี่ ๆ เห็นโลซกมาก็ดีใจแล้วถามว่า ท่านไปทวงเมืองเกงจิ๋วได้แล้วหรือ โลซกจึงเอาหนังสือให้จิวยี่ดู จิวยี่แจ้งดังนั้นก็โกรธกระทืบเท้าแล้วว่า ท่านนี้แพ้ความคิดขงเบ้งแล้ว ซึ่งว่ามาในหนังสือว่ายืมเมืองเกงจิ๋วนั้นเห็นหามีกำหนดไม่ จะรู้ว่าเล่าปี่จะได้เมืองเสฉวนเมื่อใด แม้ตีเมืองเสฉวนไม่ได้เราก็จะมิได้เมืองเกงจิ๋วคืน หนังสือฉนี้จะเอามาต้องการสิ่งใด แล้วมิหนำซ้ำใส่ชื่อตัวเปนนายประกันด้วยอีกเล่า ถ้าเล่าปี่ไม่คืนเมืองให้ความผิดก็จะไม่พ้นตัวท่าน แม้ซุนกวนจะเอาโทษท่านจะคิดประการใด
โลซกได้ฟังดังนั้นตกตะลึงนิ่งไป แล้วจึงว่าเล่าปี่นี้เห็นจะไม่คิดคดต่อเรา จิวยี่จึงว่าท่านอย่าซื่อนัก อันเล่าปี่นั้นภายนอกโอบอ้อมอารีกระทำดุจมีความสัตย์ น้ำใจนั้นจะทำการใดประกอบด้วยเล่ห์กลล่อลวง ขงเบ้งเล่าก็มีสติปัญญาคิดอ่านกลับกลอกต่าง ๆ เห็นว่าน้ำใจเล่าปี่กับขงเบ้งจะไม่เหมือนใจท่าน โลซกจึงว่าเราจะคิดอ่านประการใดเล่า จิวยี่จึงว่า ข้าพเจ้าคิดถึงท่านซึ่งมีคุณได้ให้อาหารแก่ข้าพเจ้าเมื่อคราวขัดสนนั้น จึงช่วยเตือนสติทั้งนี้ ท่านอย่าคิดวุ่นวายไปเลย เราคอยท่าทหารซึ่งไปสืบข่าวราชการโจโฉกลับมาแล้วจึงจะคิดการสืบไป โลซกก็คิดวิตกนักไม่มีความสบาย
อยู่มาทหารไปสืบราชการ ณ เมืองเกงจิ๋วกลับมาบอกจิวยี่ว่า ในเมืองเกงจิ๋วนั้นเล่าปี่ให้ทหารแลชาวเมืองทั้งปวงนุ่งขาวโพกผ้าขาวทุกคน จิวยี่ตกใจจึงถามว่า เหตุผลทั้งนี้เปนประการใด ทหารนั้นจึงบอกว่า นางกำฮูหยินภรรยาเล่าปี่ตาย จิวยี่จึงว่าแก่โลซกว่า เราคิดกลอุบายได้สิ่งหนึ่ง เล่าปี่อยู่ในเงื้อมมือเราแล้ว โลซกจึงถามว่าท่านจะทำประการใด จิวยี่จึงว่า บัดนี้เล่าปี่หาภรรยาไม่เห็นจะคิดอ่านหาภรรยาใหม่ นางซุนฮูหยินน้องของนายเรายังมิได้มีสามีแล้วก็มีฝีมืออยู่ เราจะจัดข้าหญิงสักร้อยคน ให้ถือเครื่องศัสตราวุธเข้าอยู่ในตึก จัดแจงที่อยู่ให้ชอบกล แล้วจะให้ซุนกวนมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ว่า จะยกน้องสาวให้เปนภรรยา ลวงให้เล่าปี่มาทำงาน ณ เมืองลำซี เราคิดอ่านจับตัวเล่าปี่ใส่คุกไว้ แล้วจึงจะให้ทหารไปหาขงเบ้งให้เอาเมืองเกงจิ๋วมาเปลี่ยนเอาตัวเล่าปี่ เมื่อได้เมืองเกงจิ๋วแล้วจึงจะคิดการสืบไป ตัวท่านก็จะพ้นความผิด โลซกได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จิวยี่จึงให้เขียนหนังสือตามซึ่งคิดไว้นั้นให้โลซกเอาไปให้ซุนกวน โลซกก็ลาจิวยี่ไปถึงเมืองลำซี จึงเข้าไปหาซุนกวนแจ้งเนื้อความทั้งปวงแล้วเอาหนังสือสัญญาของเล่าปี่ส่งให้ ซุนกวน ๆ รับหนังสือนั้นมาอ่านดูแล้วจึงว่า หนังสือนี้ท่านเอามาต้องการอันใด
โลซกจึงว่า หนังสือของจิวยี่ให้มาถึงท่านยังมีอยู่อีกฉบับหนึ่ง แล้วก็เอาหนังสือนั้นส่งให้ซุนกวน ๆ แจ้งในหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี พยักหน้ารับเอา แล้วคิดว่าจะได้ผู้ใดที่จะใช้ให้สื่อสาส์นไปมาพูดจาด้วยเล่าปี่ได้ เห็นก็แต่ลิห้อมผู้เดียว ซุนกวนก็ให้ทหารไปหาตัวลิห้อมมาแล้วว่า บัดนี้ภรรยาเล่าปี่ตายแล้ว เราใคร่จะยกนางซุนฮูหยินให้เปนภรรยาเล่าปี่ เรากับเล่าปี่จะได้เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันทำการกำจัดโจโฉ แต่ไม่มีผู้ใดจะไปพูดจาด้วยเล่าปี่ เห็นแต่ท่านผู้เดียวจะช่วยธุระเราไปหาเล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋วได้ ลิห้อมก็รับคำซุนกวนแล้วก็ลาลงเรือไป
ฝ่ายเล่าปี่ตั้งแต่นางกำฮูหยินหาบุญไม่แล้วไม่มีความสบาย ด้วยเล่าเซี่ยนผู้บุตรยังเด็กนักอยู่หาผู้จะรักษามิได้ เล่าปี่จึงให้เชิญขงเบ้งมาปรึกษาราชการ หวังจะให้คลายความทุกข์ พอทหารเข้ามาบอกว่า ซุนกวนให้ลิห้อมมาหา ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ว่าอันลิห้อมมานี้เปนกลของจิวยี่ แม้ลิห้อมจะว่ากล่าวประการใด ท่านอย่าเพ่อรับคำเปนอันขาด ข้าพเจ้าจะแอบฟังอยู่หลังฉาก แม้ผิดชอบประการใดเราจึงจะคิดอ่านต่อภายหลัง เล่าปี่ก็รับคำขงเบ้ง แล้วให้ทหารไปรับลิห้อมเข้ามา คำนับกันแล้วเล่าปี่จึงถามว่า ท่านมานี้ด้วยธุระสิ่งใด ลิห้อมจึงว่าข้าพเจ้าแจ้งว่าภรรยาท่านหาบุญไม่ ก็มีความวิตกถึงท่านมิได้ขาด ข้าพเจ้าเห็นหญิงคนหนึ่งสมควรกันกับท่าน คิดจะใคร่ชักนำให้แต่ไม่แจ้งว่าใจท่านจะคิดประการใด เล่าปี่จึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าก็ยังไม่แก่ชรานัก เปนวิบาก ภรรยาจึงมาสิ้นบุญเสียแต่ท่ามกลางอายุฉนี้ ครั้นจะคิดอ่านหาภรรยาใหม่เล่า อารมณ์ก็ยังอาลัยถึงภรรยาเก่านักอยู่
ลิห้อมได้ฟังดังนั้นจึงว่า อันธรรมดาเกิดมาเปนชาย ครั้นมิได้มีแม่เรือนจะทำการสิ่งใดก็มักจะขัดขวางไม่ใคร่จะสำเร็จ เสมือนเรือนไม่มีพื้น ตัวท่านเปนใหญ่อยู่ จำจะคิดหาแม่เรือนจึงจะควร ซุนกวนนายข้าพเจ้ามีน้องสาวคนหนึ่ง รูปร่างก็งามมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ควรจะปฏิบัติท่านได้ อนึ่งแม้ท่านกับซุนกวนรักใคร่เปนเกี่ยวดองร่วมใจกันแล้ว เห็นโจโฉก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ ข้าพเจ้าว่านี้เปนความจริง ท่านอย่าได้คิดรังเกียจเลย แต่นางซุนฮูหยินนั้นนางงอก๊กไถ้ผู้มารดารักใคร่นัก แม้ท่านได้เห็นด้วยข้าพเจ้าแล้ว ขอให้เร่งคิดอ่านไปว่ากล่าวทำการ ณ เมืองตองง่อเถิด
เล่าปี่จึงถามว่า การซึ่งท่านว่าทั้งนี้ซุนกวนรู้หรือไม่ ลิห้อมจึงตอบว่า แม้ซุนกวนไม่รู้ข้าพเจ้าจะอาจมาว่าหรือ เล่าปี่จึงว่าตัวข้าพเจ้านี้อายุก็ถึงห้าสิบปีแล้ว ผมแลหนวดก็หงอกแล้ว น้องสาวซุนกวนยังเด็กอยู่ไม่สมควรกับข้าพเจ้า ลิห้อมจึงว่า อันนางซุนฮูหยินน้องซุนกวนยังเปนเด็กอยู่ก็จริง แต่น้ำใจดีกว่าผู้ใหญ่อีก แม้ผู้ใดไม่มีสติปัญญาแลเชื้อตระกูลแล้ว นางก็ไม่ยอมเปนภรรยา อันจะว่าด้วยอายุนั้นหาต้องการไม่ ตัวท่านนี้ก็ลือชาปรากฎชื่อเสียงแลสติปัญญา ต้องความปราถนานางอยู่แล้ว ซุนกวนก็ปลงใจด้วย ท่านจะบิดพลิ้วอยู่ฉนี้ด้วยเหตุอันใด
เล่าปี่จึงว่า ท่านพึ่งมายังไม่ทันหายเหนื่อย เวลาพรุ่งนี้เราจึงคิดอ่านกัน เล่าปี่ก็เชิญให้ลิห้อมกินโต๊ะ แล้วให้ไปอยู่ในตึกรับแขก ลิห้อมก็ลาเล่าปี่ไป ครั้นเวลาคํ่าเล่าปี่จึงปรึกษาแก่ขงเบ้ง ๆ จึงว่า ซึ่งซุนกวนทำกลแกล้งใช้ให้ลิห้อมมา ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่สิ้นแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าเสี่ยงทายดู เห็นว่าท่านจะมีลาภสำเร็จความปราถนา ท่านจงรับคำลิห้อมเถิด เมื่อไปนัดการนั้นจึงให้ซุนเขียนไปหาซุนกวน ให้ซุนกวนรับคำแน่นอนแล้วจึงจะได้ว่ากล่าวกำหนดวันคืนที่จะทำการให้มั่นคง เล่าปี่จึงว่า จิวยี่คิดอ่านจะทำร้ายเรา แลเราดูหมิ่นเข้าไปในเงื้อมมือจิวยี่ เหมือนเอาเนื้อไปให้แก่เสือ ขอท่านดำริห์ดูให้ควรก่อน
ขงเบ้งจึงว่า อันความคิดจิวยี่ทำกลครั้งนี้ เห็นหาเกินความคิดข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าจะให้จิวยี่แพ้ความคิดจงได้ ทั้งน้องสาวซุนกวนก็จะให้ได้แก่ท่าน เมื่อท่านกับซุนกวนเกี่ยวดองกันแล้ว เมืองเกงจิ๋วก็จะเปนสิทธิ์แก่เรา เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งว่าก็ไม่วางใจยังคิดสงสัยอยู่ ขงเบ้งจึงสั่งซุนเขียนว่า ท่านจงไปกับลิห้อมนัดการซึ่งซุนกวนจะแต่งงานนางซุนฮูหยินกับเล่าปี่
ครั้นเวลาเช้าลิห้อมเข้ามาหาเล่าปี่ ขงเบ้งจึงว่าแก่ลิห้อมว่า กลับไปบอกซุนกวนเถิด ว่าเล่าปี่มีความยินดีนัก เราจะให้ซุนเขียนไปหาซุนกวนด้วย ลิห้อมก็คำนับลาพาซุนเขียนไปถึงเมืองลำซี จึงเข้าไปหาซุนกวน ๆ จึงว่าแก่ซุนเขียนว่า ท่านจงไปบอกแก่เล่าปี่เถิด ว่าเรารักเล่าปี่โดยสุจริต มิได้คิดรังเกียจสิ่งใดจึงยกน้องสาวเราให้ ให้ขงเบ้งพิเคราะห์ดูวันดีกำหนดจะได้ทำการเมื่อใดแล้วให้บอกมาถึงเราด้วย ซุนเขียนก็คำนับลาซุนกวนกลับมาเมืองเกงจิ๋ว แจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่เล่าปี่
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ยังคิดสงสัยอยู่ ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านไปตามคำซุนกวนเถิด ข้าพเจ้าจะแต่งหนังสือสามฉบับให้จูล่งไปกับท่านด้วย ขงเบ้งจึงเขียนหนังสือสามฉบับสลักผนึกแล้วสั่งว่า แม้ขัดสนประการใดก็ให้ฉีกหนังสือฉบับหนึ่งฉบับสองฉบับสามออกดูกว่าจะสำเร็จ ได้กลับมาเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้งจึงเรียกจูล่งเข้ามากระซิบบอกว่า บัดนี้เล่าปี่นายเราจะไปแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน ท่านไปด้วยจงเอาใจใส่อย่าให้เล่าปี่เปนอันตราย ถ้าอับจนประการใดจงทำตามหนังสือที่เราเขียนไปนั้นเถิด แล้วก็เอาหนังสือสามฉบับนั้นส่งให้จูล่ง
ครั้นถึงกำหนดจะได้วันดี ขงเบ้งจึงจัดแจงสิ่งของให้ทหารเอาไปให้ซุนกวน บอกกำหนดวันคืนซึ่งเล่าปี่จะไปทำการ แล้วขงเบ้งจัดเรือรบสิบลำทหารห้าร้อย ให้เล่าปี่จูล่งซุนเขียนยกไปเมืองลำซี ฝ่ายเล่าปี่มีความสงสัยคิดวิตกไม่มีความสบาย ครั้นเรือรบถึงท่าเมืองลำซี จูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่าขงเบ้งสั่งมาว่า แม้ขัดสนสิ่งใดให้ฉีกหนังสือออกดู จูล่งก็ฉีกหนังสือฉบับหนึ่งออกอ่านดูเปนใจความว่า ให้ทหารทั้งปวงแต่งตัวจงโอ่โถงไปเที่ยวซื้อของในเมืองลำซี ถ้าชาวเมืองจะถามว่ามาธุระสิ่งใด ก็ให้บอกว่าเล่าปี่จะมาแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน ให้ชาวเมืองรู้จงทั่วกัน แล้วให้เล่าปี่แต่งสิ่งของเข้าไปคำนับนางเกียวก๊กโล ซึ่งเปนมารดาภรรยาซุนเซ็กแลจิวยี่
จูล่งแจ้งในหนังสือแล้ว ก็ให้ทหารทั้งปวงเที่ยวซื้อของในเมืองลำซี ให้แกล้งพูดจาตามมีในหนังสือขงเบ้งทุกประการ ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็เล่าลือต่อกันไปว่า เล่าปี่จะมาแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน แล้วเล่าปี่ก็จัดสิ่งของขึ้นไปหานางเกียวก๊กโล คำนับแล้วบอกว่าข้าพเจ้ามาบัดนี้ด้วยธุระจะมาแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน
ขณะนั้นซุนกวนรู้ว่าเล่าปี่มาถึงก็มีความยินดี จึงให้ลิห้อมลงไปรับ เชิญให้เล่าปี่ไปอยู่ ณ ตึกรับแขก
ฝ่ายนางเกียวก๊กโลครั้นแจ้งเนื้อความแล้ว จึงไปหานางงอก๊กไถ้แล้วว่า ข้าพเจ้ารู้เนื้อความวันนี้ก็มีความยินดีด้วยท่านนัก นางงอก๊กไถ้จึงถามว่า ท่านรู้เนื้อความสิ่งใดมา นางเกียวก๊กโลจึงว่า ท่านจะยกบุตรหญิงให้เปนภรรยาเล่าปี่ ชาวเมืองทั้งปวงก็รู้ทั่วกัน บัดนี้เล่าปี่มาถึงเมืองแล้ว ท่านยังจะพรางไปถึงไหนเล่า
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเนื้อความทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่รู้เลย แล้วก็ให้คนใช้ไปสืบเนื้อความดูว่า จะสมคำนางเกียวก๊กโลหรือไม่ คนใช้จึงกลับมาบอกว่า ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงเล่าลือกันว่า ซุนกวนจะยกน้องสาวให้เล่าปี่ ลิห้อมเปนผู้ชักนำเดินสื่อสาส์นไปมา ฝ่ายเล่าปี่ให้ซุนเขียนมาสื่อสาร บัดนี้เล่าปี่ก็มาถึงเมืองแล้ว ซุนกวนให้เชิญไปอยู่ ณ ตึกรับแขก
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นจึงให้หาซุนกวนมา แล้วนางงอก๊กไถ้ก็ตีอกร้องไห้ ซุนกวนตกใจจึงถามว่า มารดาร้องไห้ด้วยเหตุอันใด นางงอก๊กไถ้จึงว่า ตัวเจ้านี้มิได้เกิดในอุทรเรา ๆ ก็รักเสมอกับบุตรอันเกิดในอุทร เมื่อพี่เราจะตายนั้นก็ได้สั่งเจ้าไว้ จะกระทำสิ่งใดให้ปรึกษาเราก่อน แลเจ้าทำการถึงเพียงนี้ก็มิได้บอกเรา ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า ข้าพเจ้าทำการสิ่งใดให้มารดาขัดเคือง จงว่าให้แจ้งเถิด จะมานั่งร้องไห้อยู่ฉนี้ข้าพเจ้าหามีความสบายไม่ นางงอก๊กไถ้จึงว่า อันธรรมดาเกิดมาเปนคนที่มีบุตรหญิงชาย ครั้นเลี้ยงใหญ่แล้วก็คิดอ่านจะตกแต่งให้มีเหย้าเรือน ตัวเราก็เปนมารดาเลี้ยงของเจ้า ก็เหมือนมารดาตัวเจ้าคิดอ่านจะเอาบุตรหญิงของเราไปให้แก่เล่าปี่ จนนัดงานการกันพาเล่าปี่มาถึงเมืองแล้ว เหตุใดจึงไม่ปรึกษาเรา
ซุนกวนจึงถามว่า ผู้ใดมาบอกมารดา นางงอก๊กไถ้จึงว่า อันการดังนี้แม้มิให้ใครรู้ก็อย่าทำ อันทำแล้วจะปิดให้มิดนั้นไม่ได้ ราษฎรชาวเมืองลำซีนี้ก็รู้ทั่วกันแล้ว เจ้ากลับมาพรางเราอีกเล่า นางเกียวก๊กโลจึงว่า เนื้อความอันนี้ข้าพเจ้ารู้มาหลายวันแล้ว ก็มีความยินดีด้วย จึงมาถามข่าวท่าน ซุนกวนเห็นมารดาขัดเคืองนัก แล้วนางเกียวก๊กโลมายืนคำเปนพยานอยู่ด้วยจึงพูดจาแก้ตัวว่า อันการงานครั้งนี้ข้าพเจ้าจะเปนตัวคิดอ่านทำหามิได้ เปนความคิดกลอุบายของจิวยี่จะคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว จึงคิดอ่านลวงให้เล่าปี่มาแล้วจะจับเอาตัวใส่คุกไว้ ให้ขงเบ้งเอาเมืองเกงจิ๋วนั้นเปลี่ยนตัวเล่าปี่ไป แม้ขงเบ้งไม่ทำตามคำก็จะฆ่าเล่าปี่เสีย ใช่จะทำโดยสุจริตนั้นหาไม่ ข้าพเจ้าจึงมิได้ปรึกษากับมารดา
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงด่าจิวยี่ว่า มันเปนนายทหารผู้ใหญ่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองเอกถึงหกหัวเมือง เมืองตรีจัตวาแปดสิบเอ็ดหัวเมือง อาญาสิทธิ์ก็อยู่กับมือ แต่จะคิดกลอุบายเอาเมืองเกงจิ๋วเท่านี้ไม่ได้หรือ จำเพาะเอาบุตรีเราไปทำกลจะลวงฆ่าเล่าปี่ ให้คนทั้งปวงเลื่องลือว่าเรายกบุตรหญิงให้เปนภรรยาเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่ตายแล้วบุตรเราก็เปนม่ายอยู่ สืบไปเมื่อหน้าผู้ใดจะอาจมาขอเล่า จะทำให้บุตรีเราเสียคนไปฉนี้ ให้มันทำจงดี นางเกียวก๊กโลจึงว่า อันความคิดจิวยี่เหมือนว่าฉนี้ก็จะได้เมืองเกงจิ๋วเปนมั่นคง แต่จะฆ่าเล่าปี่เสียนั้นชาวเมืองทั้งปวงก็จะหัวเราะเยาะว่าท่านเอาลูกสาวไป ลวงฆ่าเล่าปี่เสีย ความอัปยศก็จะมี ซุนกวนได้ฟังนางเกียวก๊กโลว่า ด้วยความกลัวมารดาก็ไม่อาจตอบประการใด นางงอก๊กไถ้ยิ่งมีความโกรธ ด่าจิวยี่ไม่ขาดคำ นางเกียวก๊กโลจึงว่าแก่นางงอก๊กไถ้ว่า การก็เปนถึงเพียงนี้จนราษฎรรู้ทั่วกันแล้ว เล่าปี่ก็เปนคนมีสติปัญญา แล้วเปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ เอาเปนเขยเถิดจะได้พ้นความละอายซึ่งคนทั้งปวงจะคระหานินทา
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงว่า เล่าปี่มีสติปัญญาก็จริง แต่เปนคนผู้ใหญ่ อายุจะได้สมกับน้องเราหามิได้ นางเกียวก๊กโลจึงว่าแก่ซุนกวนว่า เล่าปี่เปนคนดี มีนํ้าใจโอบอ้อมอารีกรุณาแก่ราษฎรทั้งปวง รูปร่างก็งาม นานไปก็จะได้เปนใหญ่ แม้ได้ไว้เปนเขยก็จะไม่ขายหน้าน้องสาวท่าน นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ซุนกวนว่า อันเล่าปี่นี้เรายังไม่รู้จัก เวลาพรุ่งนี้ให้เชิญเล่าปี่ไป ณ วัดกำลอ เราจะดูให้รู้จักก่อน แม้ชอบใจเราจึงจะยกให้ ถ้าไม่ชอบใจเราเจ้าจะทำสิ่งใดก็ตามแต่ความคิดเจ้าเถิด
ซุนกวนเปนคนมีกตัญญูรู้จักคุณนางงอก๊กไถ้ซึ่งได้เลี้ยงมา ครั้นได้ฟังดังนั้นก็ไม่อาจจะขัดได้ จึงลามาที่อยู่ แล้วเรียกลิห้อมมาสั่งว่า เวลาพรุ่งนี้ให้เชิญเล่าปี่ไปกินโต๊ะ ณ วัดกำลอ มารดาเราจะดูตัว แม้ไม่ชอบใจก็อนุญาตว่าตามเราจะทำเถิด ลิห้อมจึงว่า ถ้าดังนั้นขอให้ท่านคิดอ่านสั่งแกหัวให้คุมทหารสามร้อยไปซุ่มอยู่สองข้างทาง วัดกำลอ ถ้ามารดาท่านไม่ชอบใจแล้ว ก็ให้สำคัญแกหัวกับทหารทั้งนั้นออกจับตัวเล่าปี่ไว้ การซึ่งเราคิดก็จะสำเร็จโดยง่าย ซุนกวนก็เห็นชอบด้วย จึงเรียกแกหัวมาสั่งให้คุมทหารไปซุ่มอยู่ตามคำลิห้อมว่า
ฝ่ายนางเกียวก๊กโลพานางงอก๊กไถ้มาที่อยู่ แล้วให้คนใช้ไปบอกเล่าปี่ว่า เวลาพรุ่งนี้นางงอก๊กไถ้จะใคร่ดูตัวท่าน สั่งให้เชิญท่านไปกินโต๊ะ ณ วัดกำลอ ให้ตระเตรียมตัวไปจงดี เล่าปี่รู้ดังนั้นจึงเรียกจูล่งแลซุนเขียนมาปรึกษา จูล่งจึงว่า นางงอก๊กไถ้ให้เชิญท่านไปนั้นจะไว้ใจซุนกวนไม่ได้ ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารห้าร้อยตามไปด้วย จะได้ป้องกันรักษาท่าน ครั้นเวลาเช้านางงอก๊กไถ้กับนางเกียวก๊กโลพากันไปคอยท่าเล่าปี่อยู่ ซุนกวนให้จัดแจงโต๊ะแล้วก็พาที่ปรึกษาทั้งปวงออกไปพร้อมกัน ณ วัดกำลอแล้วให้ ลิห้อมมาเชิญเล่าปี่
เล่าปี่จึงแต่งตัวใส่เกราะน้อยชั้นในใส่เสื้อชั้นนอก ทหารซึ่งจะไปด้วยนั้น ก็ให้แต่งตัวเอากระบี่ตะพายแล่งทุกคน เล่าปี่ก็ขึ้นม้าไปกับลิห้อม จูล่งแต่งตัวใส่เกราะเหมือนจะเข้าสงครามคุมทหารตามเล่าปี่ไป ครั้นไปถึงวัดกำลอแล้วเล่าปี่ก็ลงจากม้าเดิรเข้าไป ซุนกวนเห็นเล่าปี่แต่งตัวรูปร่างคมสัน ก็คิดเกรงเล่าปี่แล้วมีความกรุณาจึงคิดว่า แต่เราเปนชายหมายจะทำอันตรายเล่าปี่อยู่ยังมีใจกรุณา แม้มารดาเราเห็นก็จะมีใจรักยิ่งกว่าเราอีก การซึ่งเราคิดไว้เห็นจะไม่สำเร็จ แล้วซุนกวนก็ลุกออกมารับเล่าปี่ คำนับกันแล้วก็พาเข้าไปคำนับนางงอก๊กไถ้
นางงอก๊กไถ้เห็นเล่าปี่มาถึงก็มีความยินดีเชิญให้กินโต๊ะ แล้วจึงว่าแก่นางเกียวก๊กโลว่า เล่าปี่รูปร่างจริตกิริยาก็สมควรเปนเขยเราอยู่แล้ว นางเกียวก๊กโลจึงว่า อันลักษณะเล่าปี่ดีนัก มีนํ้าใจกรุณาแก่ราษฎรทั้งปวงนานไปจะมีบุญทั้งอายุก็จะยืน ควรที่จะเปนบุตรเขยของท่าน ขณะเมื่อพูดจากันอยู่นั้น นางงอก๊กไถ้เห็นจูล่งแต่งตัวเปนทหารเหน็บกระบี่เดิรเข้ามายืนแอบหลังเล่าปี่ อยู่ จึงถามเล่าปี่ว่าทหารคนนี้ชื่อใด เล่าปี่บอกว่าชื่อจูล่ง เปนแซ่เตียวชาวเมืองเสียงสาน
นางงอก๊กไถ้จึงถามว่า เมื่อโจโฉยกทหารร้อยหมื่นมารบท่าน ณ เมืองตงเอี๋ยงล้อมครอบครัวท่านไว้นั้น จูล่งคนนี้หรือรบชิงเอาบุตรภรรยาของท่านออกจากที่ล้อมได้ เล่าปี่ก็รับคำว่าคนนี้ นางงอก๊กไถ้ก็สรรเสริญจูล่งว่า รูปร่างจริตกิริยาสมควรเปนนายทหารเอก แล้วก็ให้คนใช้รินสุราให้จูล่งกิน จูล่งกระซิบบอกเล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าเดิรเข้ามาเห็นทหารประมาณสามร้อย ถือเครื่องศัสตราวุธซุ่มอยู่ ให้ท่านคิดอ่านแก้ไขตัวจงดี เห็นเขาจะคิดร้ายต่อท่าน นางงอก๊กไถ้จึงถามเล่าปี่ว่า จูล่งบอกเนื้อความอันใด เล่าปี่ร้องไห้พลางคำนับแล้วว่า ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสียก็ตามเถิด แต่โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าได้ความลำบากเลย นางงอก๊กไถ้จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงว่าฉนี้ เล่าปี่ก็บอกเนื้อความตามจูล่งว่า นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่ซุนกวนว่า เล่าปี่เปนบุตรเขยของเรา เหตุใดตัวจึงแต่งทหารมาซุ่มไว้จะทำร้ายเล่าปี่หรือ
ซุนกวนได้ฟังดังนั้น ด้วยความกลัวมารดาก็ตอบว่า การทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่แจ้ง จึงแกล้งเรียกลิห้อมมาถามว่า ผู้ใดมาคิดอ่านทำการทั้งนี้ ลิห้อมเห็นซุนกวนกลัวมารดาอยู่แล้วก็บอกว่า การทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่แจ้ง แกหัวคิดอ่านทำต่างหาก นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นก็ให้เรียกแกหัวมาด่าทอหยาบช้าเปนอันมาก แล้วสั่งทหารจะให้เอาตัวแกหัวไปฆ่าเสีย
เล่าปี่จึงว่าแกนางงอก๊กไถ้ว่า บัดนี้จะทำการมงคล ซึ่งท่านจะฆ่าทหารเอกเสียเพราะข้าพเจ้านั้นไม่ควร อนึ่งข้าพเจ้าจะอยู่พึ่งบุญท่านสืบไปก็จะไม่มีความสุข ท่านจงเมตตาข้าพเจ้าโปรดยกโทษแกหัวไว้ครั้งหนึ่งก่อน นางเกียวก๊กโลก็ช่วยเล่าปี่ขอโทษ นางงอก๊กไถ้ก็ยกโทษแกหัวไว้ แล้วก็ขับเสียให้พ้น ทหารทั้งปวงซึ่งซุ่มอยู่รู้ดังนั้นก็หนีไปสิ้น
แลนางงอก๊กไถ้กับนางเกียวก๊กโลครั้นเลี้ยงดูเล่าปี่สำเร็จแล้วก็ชวนกัน กลับมาที่อยู่ เล่าปี่กับซุนกวนก็พากันกลับมาถึงหน้าวัด เห็นศิลาสองก้อนใหญ่วัดโดยรอบได้อ้อมหนึ่ง เล่าปี่จึงชักกระบี่ออกไหว้พระแล้วอธิษฐานว่า แม้ข้าพเจ้าจะได้กลับไปเมืองเกงจิ๋วบำรุงราษฎร ขอให้ข้าพเจ้าฟันศิลานี้ขาดออกเปนสองท่อน ถ้าข้าพเจ้าจะตายอยู่ในเมืองลำซีมิได้กลับไป ขออย่าให้ศิลานี้แตกชํ้าร้าวเลย แล้วเล่าปี่ก็ฟันลงก้อนศิลาขาดออกเปนสองท่อน ซุนกวนเดิรตามหลังเล่าปี่มาเห็นดังนั้นจึงถามว่า ท่านโกรธก้อนศิลานี้ด้วยเหตุสิ่งใด เล่าปี่จึงว่า ตัวข้าพเจ้าอายุถึงห้าสิบปีแล้ว ยังมิได้ทำการทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ช่วยกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย บัดนี้เปนบุญของข้าพเจ้า นางงอก๊กไถ้มีใจกรุณายกบุตรหญิงให้ ก็มีความยินดีนัก ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้ากับท่านเปนเกี่ยวดองกันแล้ว จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉบำรุงให้ราษฎรเปนสุขสืบไป ขอให้ฟันศิลาขาดสองท่อนเถิด ข้าพเจ้าจึงฟันก้อนศิลานี้ ซุนกวนได้ฟังจึงคิดว่า เล่าปี่เจรจานี้เห็นหาจริงไม่ แกล้งเอาแต่ความดีมาลวงเรา
ซุนกวนจึงชักกระบี่ออกอธิษฐานว่า แม้ข้าพเจ้าจะเอาเมืองเกงจิ๋วคืนได้ จะได้ทำนุบำรุงให้ราษฎรในเมืองตองง่อเปนสุขสืบไป ขอให้ข้าพเจ้าฟันศิลานี้ขาดเหมือนเล่าปี่เถิด แล้วว่าออกให้เล่าปี่ได้ยินว่า ข้าพเจ้าขออธิษฐานแก่เทพารักษ์ทั้งปวงว่า แม้ข้าพเจ้ากับเล่าปี่จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉศัตรูราชสมบัติได้สมความคิด ขอให้ฟันศิลาขาดเปนสองท่อนเถิด ซุนกวนก็เอากระบี่ฟันลง ศิลาก็ขาดเหมือนเล่าปี่ ซุนกวนกับเล่าปี่ก็มีความยินดี ยุดมือกันหัวเราะกลับเข้าไปกินสุราในวัด
ซุนเขียนเห็นเล่าปี่เสพย์สุราอยู่กับซุนกวนช้านานแล้ว จึงชายตาดูเล่าปี่ ๆ เห็นดังนั้นก็แจ้งความคิดซุนเขียน จึงว่าแก่ซุนกวนว่า ข้าพเจ้าเสพย์สุราไม่สู้ได้จะลาท่านแล้ว ซุนกวนก็วางจอกสุราเสีย จูงมือเล่าปี่ขึ้นไปบนเนินเขาริมวัดกำลอ ชี้ให้ชมถิ่นฐานบ้านเมืองในเมืองตองง่อ เล่าปี่ก็ชมว่าเมืองตองง่อนี้ผู้คนมั่งคั่งสมบัติพัสถานก็บริบูรณ์เปน เอกอยู่แล้ว เล่าปี่แลไปเห็นเรือน้อยแล่นไปหน้าเมืองรวดเร็วนัก จึงว่าแก่ซุนกวนว่า เขาเล่าลือกันว่าชาวเมืองกังตั๋งชำนาญในการเรือ จะแจวแลใช้ใบก็รวดเร็วพร้อมกัน แลว่าชาวเมืองกังป๊กฝ่ายทิศเหนือชำนาญในการขี่ม้า ก็เห็นจริงสมคำคนทั้งปวง
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงว่า เล่าปี่เจรจาทั้งนี้เยาะเย้ยเรา เห็นว่าชาวเมืองกังตั๋งชำนาญแต่การเรือท่าเดียว จึงให้ทหารไปเอาม้าซึ่งเคยขี่นั้นมา ซุนกวนขึ้นขี่ม้าควบลงมาจากเนินเขาแล้วกลับควบขึ้นไป ซุนกวนจึงหัวเราะเย้ยเล่าปี่ ว่าชาวเมืองกังตั๋งหารู้ขี่ม้าไม่ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ให้ทหารไปเอาม้ามาขี่ให้ซุนกวนดู ซุนกวนก็ขี่ม้าควบตามเล่าปี่ลงมาจากเนินเขาจะไปที่อยู่ ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงเห็นซุนกวนกับเล่าปี่ควบม้าตามกันมาก็มีความยินดีนัก
ครั้นเล่าปี่มาถึงที่อยู่ ซุนเขียนกับจูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ให้ท่านคิดอ่านไปหานางเกียวก๊กโลอ้อนวอนให้เร่งแต่งงานเสียจงได้ ครั้นช้าอยู่เกลือกจิวยี่จะคิดอ่านสั่งสอนซุนกวนประการใดการเราจะเสียไป ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่ก็ไปหานางเกียวก๊กโล ๆ ก็ออกไปรับคำนับกันแล้วพาเข้ามาที่อยู่ เล่าปี่จึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้ามาอาศรัยอยู่ ณ ตึกรับแขกก็เปลี่ยวนัก ด้วยที่นั้นหามิดชิดมั่นคงไม่ ซึ่งนางงอก๊กไถ้กับซุนกวนมีความเมตตานั้นข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ เกลือกว่าทหารแลชาวเมืองทั้งปวงจะคิดร้าย ข้าพเจ้าจะอยู่ช้านักไม่ได้
นางเกียวก๊กโลจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะไปว่านางงอก๊กไถ้ให้จัดแจงพิทักษ์รักษาท่าน เล่าปี่ก็คำนับลากลับมาที่อยู่ นางเกียวก๊กโลจึงไปหานางงอก๊กไถ้แล้วบอกว่า เล่าปี่มาว่ากับข้าพเจ้าว่าจะอยู่ช้านักไม่ได้ เกรงทหารแลชาวเมืองทั้งปวงจะคิดอ่านทำร้าย นางงอก๊กไถ้จึงว่า เล่าปี่เปนบุตรเขยเรา ผู้ใดจะอาจทำร้าย แล้วก็จัดแจงรับเล่าปี่เข้าไปอยู่ที่ข้างใน คอยหาวันดีซึ่งจะกำหนดแต่งงาน เล่าปี่จึงว่าแก่นางงอก๊กไถ้ว่า ตัวข้าพเจ้ามาอยู่ในนี้แล้ว จูล่งกับซุนเขียนคุมทหารอยู่ภายนอกมิได้มีผู้ใดว่ากล่าว เกลือกจะไปข่มเหงราษฎรทั้งปวง นางงอก๊กไถ้ก็จัดแจงที่ให้จูล่งซุนเขียนกับทหารทั้งปวงเข้ามาอยู่ข้างใน
ครั้นวันดีได้ฤกษ์แล้ว นางงอก๊กไถ้ก็จัดแจงโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวง แต่งงานเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินตามประเพณี ครั้นเวลาคํ่าขุนนางทั้งปวงก็กลับไปที่อยู่ นางงอก๊กไถ้จึงให้จุดเทียนสองข้างทางแต่ที่อยู่เล่าปี่ไปถึงตึกนางซุนฮูหยิน แล้วให้คนนำตัวเล่าปี่ไป ครั้นเล่าปี่ไปถึงตึกนางซุนฮูหยินเดิรเข้าไปในห้อง เห็นหญิงคนใช้ทั้งปวงแต่งตัวเหน็บกระบี่เหมือนทหารจะเข้าสู้สงคราม เห็นเครื่องศัสตราวุธต่าง ๆ แขวนพิงไว้เปนอันมาก เล่าปี่ตกใจยืนตลึงอยู่
หญิงแก่คนหนึ่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่าท่านอย่าตกใจ อันนางซุนฮูหยินนี้ แต่น้อยมารักการสงคราม พอใจดูทหารรำอาวุธสู้รบกัน จึงฝึกสอนหญิงคนใช้ให้รำกระบี่ แลสู้กันด้วยเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้ดี เล่าปี่จึงว่า อันการรำอาวุธรบพุ่งกันนี้ หาควรที่นางซุนฮูหยินจะดูไม่ น้ำใจข้าพเจ้านี้คิดครั่นคร้ามนัก ให้เก็บเสียก่อนเถิด หญิงแก่คนใช้นั้นก็เข้าไปบอกนางซุนฮูหยิน นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ว่าทำการสงครามมาถึงอายุปานนี้แล้วเห็นเครื่องอาวุธยังกลัวอยู่อีกเล่า แล้วสั่งหญิงคนใช้ให้เก็บเครื่องอาวุธทั้งปวงเสีย หญิงคนใช้ก็ชวนกันเก็บเครื่องอาวุธเสีย แล้วก็เชิญเล่าปี่เข้ามาอยู่ด้วยนางซุนฮูหยิน ครั้นเล่าปี่ได้อยู่กับนางซุนฮูหยินแล้ว ก็จัดแจงเข้าของเงินทองทั้งปวงให้หญิงคนใช้ทั้งปวงเปนอันมากหวังจะผูกนํ้าใจ แล้วก็ให้ซุนเขียนเอาเนื้อความทั้งปวงไปบอกขงเบ้ง ณ เมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายซุนกวนจึงเขียนหนังสือบอกเหตุทั้งปวงทุกประการ ให้ทหารเอาไปให้จิวยี่ ณ เมืองฉสองกุ๋น จิวยี่แจ้งในหนังสือดังนั้นก็เสียนํ้าใจวิตกนัก จึงคิดกลอุบายได้อย่างหนึ่งก็เขียนหนังสือลับเปนใจความว่า เดิมข้าพเจ้าทำการทั้งนี้หวังจะทำร้ายเล่าปี่จะได้คืนเอาเมืองเกงจิ๋ว ก็เสียความคิดกลับเปนคุณแก่เล่าปี่อีก จำจะคิดกลอุบายทำการสืบไป แต่เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญา ภายนอกก็ทำโอบอ้อมอารีแก่ราษฎรทั้งปวง แล้วก็ได้ขงเบ้งเปนที่ปรึกษาผู้ใหญ่ กวนอูเตียวหุยจูล่งเปนนายทหารเอก เห็นจะไม่เปนน้อยอยู่ในอำนาจผู้ใด ขอให้ท่านประโลมเอาใจเล่าปี่ไว้ให้หลงอยู่ในเมืองตองง่อ จะได้ลืมขงเบ้งกวนอูเตียวหุย เราจึงคิดอ่านไปตีเมืองเกงจิ๋วก็จะสำเร็จโดยง่าย แม้เล่าปี่กลับไปเมืองได้เหมือนหนึ่งปล่อยมังกรลงทเล ก็จะเปนศัตรูไปภายหน้า ให้ท่านพิเคราะห์ดูจงควรเถิด แล้วก็ส่งให้ทหารถือไปให้ซุนกวน ณ เมืองลำซี
ซุนกวนแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงหาเตียวเจียวมาปรึกษา เตียวเจียวจึงว่าแก่ซุนกวนว่า อันความคิดจิวยี่ครั้งนี้ชอบนัก ต้องความคิดข้าพเจ้า ขอให้ท่านก่อตึกให้เล่าปี่อยู่ แล้วขุดสระปลูกบัวสร้างสวนดอกไม้ จัดข้าหญิงที่รูปงามให้ใช้สอย เล่าปี่เปนคนเข็ญใจอยู่ก่อน หาเคยได้ดีไม่ ครั้นเราบำรุงให้เงินทองใช้สอยมิได้อนาทร ก็จะละเลิงนํ้าใจลืมขงเบ้งกวนอูเตียวหุย ขงเบ้งกวนอูเตียวหุยก็จะน้อยใจเล่าปี่ เห็นเราจะได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย ขอท่านเร่งรัดคิดทำการตามความคิดจิวยี่เถิด
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ก่อตึกขุดสระสร้างสวนสำเร็จแล้ว เชิญให้เล่าปี่กับนางซุนฮูหยินมาอยู่ ให้ข้าหญิงชายกับเงินทองเปนอันมาก แล้วจัดหญิงรูปงามสิบคนให้ขับรำบำเรอเล่าปี่ทุกวัน นางงอก๊กไถ้เห็นซุนกวนรักใคร่เล่าปี่ดังนั้น มิได้รู้กลอุบายก็มีความยินดีนัก
ขณะนั้นเล่าปี่ได้สมบัติพัสถานเปนอันมากก็ละเลิงหลงไป มิได้คิดที่จะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ฝ่ายจูล่งมิได้มีการสิ่งใดก็พาทหารห้าร้อยออกไปควบม้าหัดยิงเกาทัณฑ์ทุกวัน มิได้ขาด ทำเช่นนี้อยู่ช้านานจนย่างเข้าปีใหม่จึงคิดขึ้นได้ถึงคำขงเบ้งซึ่งสั่งมาว่า แม้ถึงเมืองลำซีให้ฉีกหนังสือฉบับหนึ่งออกดู เมื่อจะเข้าปีใหม่ให้ดูหนังสือฉบับสอง หนังสือฉบับสามต่อถึงที่อับจนจึงให้ฉีกออกดู บัดนี้เรามาก็ช้านานจนย่างเข้าปีใหม่แล้ว เล่าปี่ก็หลงไปด้วยภรรยา มิได้พบพูดจากันกับเรา จำจะฉีกหนังสือของขงเบ้งออกดู
จูล่งจึงฉีกหนังสือฉบับสองออกดูเปนใจความว่า แม้เล่าปี่หลงด้วยกลซุนกวน แลมีอาลัยด้วยนางซุนฮูหยิน ไม่คิดอ่านจะกลับเมือง ก็ให้จูล่งลวงเล่าปี่ว่า โจโฉยกทัพมาตีเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้งให้กวนอูเตียวหุยออกรบต้านทานเปนสามารถ กองทัพโจโฉยังหากลับไปไม่ ถ้าเห็นว่าเล่าปี่ยังมีอาลัยด้วยภรรยาอยู่ ก็ให้เล่าปี่บอกเนื้อความซึ่งจิวยี่กับซุนกวนทำกลอุบายให้นางซุนฮูหยินฟัง ถ้านางซุนฮูหยินเปนคนมีน้ำใจสัตย์ซื่อก็จะมาด้วยเล่าปี่เปนมั่นคง จูล่งแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้วก็รีบเข้าไปหาเล่าปี่ ครั้นถึงประตูตึกจึงให้หญิงคนใช้เข้าไปบอกเล่าปี่ว่า จูล่งมาหาเปนการร้อน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ออกมา จูล่งทำเปนตกใจว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านมาอยู่ได้ความสุขลืมเมืองเกงจิ๋วแล้วหรือ เล่าปี่จึงถามว่า เหตุใดท่านจึงตกใจเข้ามา จูล่งจงบอกเนื้อความตามหนังสือขงเบ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า เราจะปรึกษากับนางซุนฮูหยินก่อน จูล่งจึงว่า ซึ่งท่านจะปรึกษาเห็นนางซุนฮูหยินจะไม่ให้ไป ท่านอย่าให้นางรู้เลย เวลาคํ่าวันนี้เราพากันรีบหนีไปเถิด จะได้ช่วยขงเบ้งคิดอ่านรบกับโจโฉ
เล่าปี่จึงว่า ท่านกลับไปเถิดเราจะตรึกตรองดูก่อน จูล่งก็คำนับลาเล่าปี่ไปที่อยู่ เล่าปี่จึงกลับเข้ามาแกล้งทำเปนร้องไห้หวังจะให้ภรรยาถาม นางซุนฮูหยินจึงถามว่า ท่านเปนทุกข์สิ่งใดจึงร้องไห้ เล่าปี่จึงแกล้งบอกว่า ข้าคิดวิตกถึงบิดามารดา เมื่อชีวิตยังอยู่ก็ยังมิได้แทนคุณ ครั้นหาบุญไม่แล้วก็มิได้บูชาเหมือนมิได้มีกตัญญู ข้ามาอยู่กับเจ้าก็ช้านานจนเข้าปีใหม่แล้ว คิดวิตกรำลึกถึงคุณบิดามารดาจึงไม่มีความสบาย นางซุนฮูหยินจึงว่า ท่านอย่าลวงข้าพเจ้าเลย เนื้อความจึงจูล่งมาบอกท่านนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินอยู่แล้ว ท่านจะใคร่กลับไปเมืองเกงจิ๋วโดยเร็ว เหตุใดจึงมาบอกข้าพเจ้าดังนี้เล่า
เล่าปี่จึงว่า เนื้อความทั้งนี้เจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว แม้ข้าไม่กลับไปเมืองเกงจิ๋วก็จะเปนอันตราย คนทั้งปวงก็จะหัวเราะเยาะว่าหลงด้วยภรรยาจนเสียเมืองแก่โจโฉ ครั้นจะไปบัดนี้เล่าก็มีความอาลัยถึงเจ้านักจึงร้องไห้ นางซุนฮูหยินจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนภรรยาก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน แม้ท่านคิดอ่านประการใดข้าพเจ้าก็จะตามทุกประการ เล่าปี่จึงว่าเจ้าว่านี้ก็ชอบ แต่กลัวมารดาเจ้ากับซุนกวนจะไม่ให้ไป แม้เจ้ามีความเมตตามิให้ข้าได้เจ็บอายแก่คนทั้งปวงก็ค่อยอยู่จงดีเถิด ข้าจะรีบกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จะได้คิดอ่านสู้รบกับโจโฉ แล้วเล่าปี่ก็ทำเปนร้องไห้
นางซุนฮูหยินจึงปลอบว่า ท่านอย่าทุกข์ร้อนไปเลย ข้าพเจ้าจะไปอ้อนวอนลามารดาก็เห็นจะยอมให้ไปกับท่าน เล่าปี่จึงว่า ถึงมารดาเจ้าจะยอมให้ไปแล้วแม้ซุนกวนไม่ยอมให้ไปเจ้าจะคิดประการใด นางซุนฮูหยินจึงว่า ข้าพเจ้าจะไปลามารดาว่า ถึงปีใหม่วันตรุษท่านจะไปเส้นบิดามารดาณชายทเล ข้าพเจ้าจะลาไปด้วย แม้มารดาอนุญาตแล้ว เราจึงพากันหนีไปอย่าให้ซุนกวนทันรู้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่าแก่นางซุนฮูหยินว่า ไม่เสียทีที่ข้ารักใคร่มีอาลัยต่อเจ้า แม้เจ้าแก้ไขครั้งนี้ ถึงจะตายข้าก็ไม่ลืมคุณเจ้า แล้วเล่าปี่จึงหาจูล่งมาสั่งว่า ถึงวันตรุษให้คุมทหารทั้งปวงออกไปพร้อมกัน คอยท่าเราณทางหลวงนอกเมือง เรากับนางซุนฮูหยินจะทำกลอุบายพากันหนีไป ท่านจงเตรียมการไว้ให้พร้อม จูล่งรับคำแล้วก็ลาออกไปจัดแจงทำการตามเล่าปี่สั่ง ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบหกปี (พ.ศ. ๗๔๔) เปนตรุษวันแรก ซุนกวนก็แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแลทหารทั้งปวง
เล่าปี่กับนางซุนฮูหยินจึงพากันเข้าไปหานางงอก๊กไถ้ คำนับแล้วนางซุนฮูหยินจึงว่า เล่าปี่คิดถึงบิดามารดาคณาญาติทั้งปวงอันหาบุญไม่ซึ่งฝังศพไว้ ณ เมือง ตุ้นก้วน จะลาท่านไปเส้นศพที่ชายทเลแต่พอเปนเหตุตามธรรมเนียม ข้าพเจ้าจะลาไปด้วย
นางงอก๊กไถ้จึงว่า ทั้งนี้เปนประเพณีผู้รู้จักคุณบิดามารดา อนึ่งตัวเจ้าก็ยังหาได้คำนับบิดามารดาผัวไม่ จะไปก็ตามเถิด นางซุนฮูหยินมีความยินดีคำนับมารดากลับมาที่อยู่แล้วจัดแจงเงินทองกับสิ่ง ของที่ดีใส่ในรถ เล่าปี่ก็ขึ้นม้าให้นางซุนฮูหยินขึ้นขี่รถ กับข้าหญิงคนใช้ซึ่งสนิธออกจากเมืองลำซี ไปตามทางซึ่งสัญญาให้จูล่งไปคอยอยู่นั้น ครั้นจูล่งเห็นเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินขับรถออกมาก็มีความยินดี คุมทหารทั้งปวงป้องกันรักษาไป
ฝ่ายซุนกวนแลขุนนางทั้งปวงเสพย์สุราอยู่จนเวลาเย็น ทหารทั้งปวงเห็นซุนกวนเมาสุรานักไม่มีสมประดี ก็ชวนกันพยุงซุนกวนเข้าไปในตึก ขุนนางทั้งปวงก็กลับมาที่อยู่ พอทหารรู้เนื้อความว่าเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินพากันหนีไปแล้ว ก็รีบเข้าไปจะบอกซุนกวน เห็นซุนกวนเมาสุราไม่รู้สมประดี ต่อเวลารุ่งเช้าซุนกวนส่างเมาตื่นขึ้น ทหารจึงบอกว่าเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินหนีไปแต่วานนี้แล้ว ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงหาขุนนางแลทหารทั้งปวงมาปรึกษา
เตียวเจียวจึงว่า เล่าปี่มีปัญญาลึกซึ้ง แม้ไปถึงเมืองได้นานไปจะเปนศัตรูแก่ท่าน ขอให้ท่านเร่งรัดแต่งทหารตามไปจับตัวเล่าปี่คืนมาให้จงได้ ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงเรียกตันบูกับพัวเจี้ยงมาสั่งว่า ท่านจงคุมทหารห้าร้อยตามไปจับตัวเล่าปี่มาให้จงได้ ตันบูกับพัวเจี้ยงก็ลาซุนกวนรีบยกทหารไป ซุนกวนมีความโกรธคิดแค้นเล่าปี่นัก เอาศิลาฝนหมึกทิ้งลงกับพื้นตึกจนศิลานั้นแตกกระจายไป เทียเภาจึงว่า ถึงท่านจะโกรธสักเท่าใดก็หาต้องการไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าตันบูกับพัวเจี้ยงซึ่งท่านให้ยกตามไปนั้นจะมิได้ตัวเล่าปี่ มา เพราะนางซุนฮูหยินน้องสาวท่านมีสติปัญญา แล้วมารดาท่านก็รักเสมอชีวิต นางก็พร้อมใจไปด้วยเล่าปี่ เห็นทหารทั้งปวงจะเกรงอยู่ไม่อาจเข้าจับกุมได้
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงเอากระบี่ส่งให้จิวขิมกับจิวท่ายแล้วสั่งว่า ท่านเร่งยกตามตันบูกับพัวเจี้ยงไป เอากระบี่เล่มนี้ตัดสีสะนางซุนฮูหยินกับเล่าปี่มาให้เราจงได้ แม้ไม่ได้มาเราจะเอาสีสะท่านแทน จิวขิมกับจิวท่ายก็รับคำซุนกวน แล้วคุมทหารพันหนึ่งยกตามไป
ฝ่ายเล่าปี่หนีไปวันนั้น ครั้นเวลาสองยามหยุดพักทหารครู่หนึ่งแล้วก็รีบยกไปถึงแดนเมืองฉสองกุ๋น ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึง แลเห็นผงคลีฟุ้งตลบมาข้างหลัง เล่าปี่จึงปรึกษาจูล่งว่า บัดนี้ทหารยกติดตามมาเปนอันมาก เราจะคิดอ่านประการใด จูล่งจึงว่า ท่านรีบพานางซุนฮูหยินไปก่อนเถิด ข้าพเจ้ากับทหารทั้งปวงจะรอป้องกันไปภายหลัง เล่าปี่ก็พานางซุนฮูหยินหนีอ้อมไปตามเชิงเขาหลังเมืองฉสองกุ๋น
ขณะนั้นจิวยี่รู้ว่าเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินพากันหนีออกจากเมืองลำซี จึงคิดว่าอันเล่าปี่หนีไปครั้งนี้แม้มาทางบกเห็นจะอ้อมเมืองเรามาตามเชิงเขา เปนมั่นคง จึงให้ชีเซ่งเตงฮองคุมทหารสามพันไปคอยสกัดอยู่ ชีเซ่งกับเตงฮองขึ้นยืนดูบนเนินเขา แลเห็นเล่าปี่แต่ไกลก็ออกสกัดทางไว้ แล้วร้องว่าแก่เล่าปี่ว่า จิวยี่ให้เรามาคอยอยู่นานแล้ว ท่านเร่งลงจากหลังม้า เราจะจับตัวท่านไปให้จิวยี่
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แลเห็นทหารสกัดอยู่เปนอันมาก จึงควบม้ามาหาจูล่งแล้วบอกว่า ทหารสกัดหน้าอยู่เปนอันมาก เราจะคิดอ่านประการใด จูล่งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เมื่อเราจะมานั้นขงเบ้งให้หนังสือมาสามฉบับ ได้ดูสองฉบับแล้วก็ทำการตลอดมาถึงเพียงนี้ ยังหนังสือฉบับที่สามนี้ขงเบ้งสั่งมาว่า แม้ถึงที่อับจนจึงให้ฉีกออกดู บัดนี้ถึงที่อับจนแล้ว จำเราจะดูหนังสือขงเบ้งก่อนจะคิดทำการต่อไป แล้วจูล่งจึงฉีกหนังสือฉบับสามออกให้เล่าปี่ดู
เล่าปี่แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงกลับไปบอกนางซุนฮูหยินตามในหนังสือขงเบ้งนั้น ว่าเดิมซุนกวนกับจิวยี่คิดกลอุบายว่าจะยกเจ้าให้เปนภรรยาข้า หวังจะลวงข้าให้มา ณ เมืองลำซีแล้วจะจับตัวจำไว้ แม้คืนเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็จะฆ่าเราเสีย ใช่จะยกเจ้าให้โดยจริงนั้นหามิได้ เอาชื่อเจ้าเปนเหยื่อไปล่อมา อนึ่งข้ารู้ว่าเจ้าเปนหญิงก็จริง แต่มีสติปัญญาความคิดยิ่งกว่าผู้ชายอีก จึงอุตส่าห์มานี้มิได้คิดถึงตัวกลัวความตาย นี่หากว่ามารดากับนางเกียวก๊กโลมีความเมตตาข้าจึงรอดจากความตาย แลซุนกวนกับจิวยี่ยังคิดกลอุบายต่าง ๆ อยู่หวังจะทำอันตรายข้า ๆ เห็นจะอยู่ในเมืองลำซีไม่ได้ก็คิดอ่านจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงแกล้งบอกเจ้าว่าเมืองเกงจิ๋วเกิดศึกจะรีบไปเปนการเร็ว เจ้าก็มีความสัตย์ติดตามข้ามา คุณเจ้าหาที่สุดไม่ ข้าก็ยังมิได้ตอบแทนคุณ บัดนี้ซุนกวนก็ยกทหารตามมาเปนอันมาก จิวยี่ก็ให้ทหารมาสกัดหน้าอยู่ ทหารทั้งสองฝ่ายนี้อยู่ในอำนาจเจ้า แม้เจ้าไม่ช่วยแก้ไขครั้งนี้ข้าจะตายอยู่ในที่นี้ อันจะได้แทนคุณเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อต่อข้านั้นหามิได้แล้ว
นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็คิดน้อยใจซุนกวนจึงว่า ซึ่งซุนกวนทำทั้งนี้มิได้มีอาลัยที่จะเปนพี่น้องกันสืบไป จะกลับไปหาซุนกวนกะไรได้ การครั้งนี้ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้พ้นอันตรายจงได้ นางซุนฮูหยินจึงให้คนใช้ม้วนมู่ลี่ขึ้นแล้วก็รีบขับรถไป เห็นชีเซ่งเตงฮองสกัดทางอยู่ นางซุนฮูหยินจึงร้องว่า ตัวทำการทั้งนี้จะทำร้ายเราหรือ ชีเซ่งเตงฮองตกใจจึงลงจากม้าวางอาวุธเสีย เข้าไปคำนับนางซุนฮูหยินตรงหน้ารถแล้วว่า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านทำอันตรายท่านนั้นหามิได้ จิวยี่ให้ข้าพเจ้าคุมทหารมาคอยจับเล่าปี่
นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็โกรธด่าจิวยี่ว่าอ้ายผู้ร้ายมิได้มีกตัญญู ตัวมาอยู่เมืองกังตั๋งนี้ กินเข้าแดงแกงร้อนของพี่เรา ๆ ก็ตั้งให้เปนนายทหารแล้วเลี้ยงดูมิให้อนาทร ควรหรือไม่รู้จักผิดแลชอบ เล่าปี่เปนอาว์พระเจ้าเหี้ยนเต้ มารดาเรากับซุนกวนก็ได้ยกให้เปนสามีเรา เมื่อเล่าปี่จะพาเรามานั้นมารดาเรากับซุนกวนก็ได้รู้ยอมให้เรามา แลจิวยี่เห็นว่าเราได้ทรัพย์สิ่งของมามากหรือ จึงให้ตัวทั้งสองคุมทหารปลอมเปนโจรมาคอยตีชิงเรา
ชีเซ่งเตงฮองได้ฟังดังนั้นแล้วกลัวตัวจะมีความผิดจึงว่า อันตัวข้าพเจ้าทั้งสองคนนี้จะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้ เพราะกลัวอาญาจิวยี่จึงมา ท่านจงเมตตายกโทษข้าพเจ้าเถิด นางซุนฮูหยินตวาดเอาแล้วร้องว่า ตัวเห็นว่าจิวยี่มีอาญาสิทธิ์ฆ่าตัวได้ตัวจึงทำตาม แต่เรานี้จะฆ่าตัวไม่ได้ฉนั้นหรือจึงมาบังอาจทำการทั้งนี้ นางซุนฮูหยินก็ด่าจิวยี่เปนอันมากแล้วก็เร่งขับรถไป เล่าปี่แลจูล่งก็คุมทหารตามไป
ฝ่ายชีเซ่งเตงฮองกลัวนางซุนฮูหยิน แลเห็นจูล่งเปนนายทหารมีฝีมือติดตามเล่าปี่มาด้วยก็มิอาจทำประการใด จึงให้ทหารแหวกทางให้ ครั้นเล่าปี่ไปไกลทางประมาณหกสิบเส้น พอตันบูพัวเจี้ยงยกตามเล่าปี่มาถึงที่นั้น ชีเซ่งเตงฮองก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ตันบูพัวเจี้ยงฟัง ตันบูจึงว่าท่านปล่อยให้เล่าปี่ไปเสียนั้นผิดนัก บัดนี้ซุนกวนให้เรามาจับเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินกลับไป ชีเซ่งเตงฮองได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ยกทหารสองกองบัญจบกันเข้าแล้วรีบตามเล่าปี่ไป
ฝ่ายเล่าปี่ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงมาข้างหลัง จึงว่าแก่นางซุนฮูหยินว่า บัดนี้ทหารตามมาอีกเราจะคิดประการใด นางซุนฮูหยินจึงว่าท่านรีบไปก่อนเถิด ข้าพเจ้ากับจูล่งจะอยู่ต้านทานภายหลัง เล่าปี่กับทหารสามร้อยรีบไปตามชายทเล จูล่งจึงให้ทหารยืนกั้นอยู่กลางทาง ตัวจูล่งขี่ม้าถือทวนยืนเคียงรถนางซุนฮูหยินอยู่ พอทหารสี่นายยกตามมาถึง ก็ลงจากม้าเข้ามาคำนับนางซุนฮูหยิน ๆ จึงถามตันบูพัวเจี้ยงว่า ตัวติดตามมานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ตันบูพัวเจี้ยงจึงบอกว่า ซุนกวนให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านกับเล่าปี่กลับไป
นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนโกรธร้องตวาดว่า เพราะคนเหล่านี้จะให้เราพี่น้องผิดใจกัน มารดาเรากับซุนกวนก็แต่งให้เราเปนภรรยาเล่าปี่ เมื่อเรากับเล่าปี่จะมานั้นมารดาก็อนุญาตให้เราไปอยู่เมืองเกงจิ๋วกับสามี เราแล้ว ใช่เราจะหนีมาตามอำเภอใจก็หาไม่ ถึงซุนกวนพี่เราก็เห็นจะว่ากล่าวตามขนบธรรมเนียม คงจะผ่อนเอาใจเราบ้าง แต่ตัวสองคนนี้แอบรับคำสั่งซุนกวนยกทหารมาจะทำอันตรายเราหรือ
นายทหารสี่คนได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า นางซุนฮูหยินกับซุนกวนเปนพี่น้องกัน นางงอก๊กไถ้รักใคร่เสมอชีวิต แม้เราจะทำหักหาญบัดนี้เล่า ซุนกวนก็มีกตัญญูรู้จักคุณมารดาอยู่ มิอาจขัดมารดาได้ นานไปภายหน้าเห็นจะไม่พ้นผิด เพราะซุนกวนกลัวมารดาก็จะผลักเสียให้พ้นตัว ความผิดก็จะอยู่แก่ตัวเราทั้งปวง แม้เราจะทำความชอบไว้จะดีกว่า นานไปก็เห็นว่าจะไม่มีความผิด แล้วก็มิได้เห็นเล่าปี่ เห็นแต่จูล่งขี่ม้าถือทวนท่วงทีเข้มขันเหมือนจะเข้าสู่สงคราม นายทหารทั้งสี่คนคิดต้องกันดังนั้น ต่างคนต่างว่ากันแล้วกระทำคำนับแล้วก็ปล่อยให้ไป นางซุนฮูหยินก็เร่งทหารให้ขับรถตามเล่าปี่ไปให้ทัน
ครั้นนางซุนฮูหยินกับทหารทั้งปวงไปพ้นแล้ว ชีเซ่งจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้นางซุนฮูหยินก็ไปแล้ว เรากลับเอาเนื้อความทั้งปวงซึ่งนางซุนฮูหยินว่านี้ไปบอกจิวยี่เถิดเปนไรเล่า ปรึกษายังไม่ตกลงกันพอจิวขิมจิวท่ายมาถึง จึงถามนายทหารสี่คนว่า ท่านพบเล่าปี่หรือ นายทหารสี่คนจึงบอกว่า พบแต่เวลาเช้า บัดนี้เล่าปี่ยกพ้นไปแล้ว จิวขิมจึงว่า ท่านพบเล่าปี่แล้วเหตุใดจึงไม่เอาตัวไว้ ตันบูกับพัวเจี้ยงก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้จิวขิมฟัง จิวขิมจึงว่า ท่านทั้งปวงคิดเกรงนางซุนฮูหยิน มิได้จับตัวเล่าปี่ไว้นั้นโทษท่านผิดนัก แม้ซุนกวนคิดรักใคร่นางซุนฮูหยินแลกลัวมารดาอยู่แล้ว ก็จะให้กระบี่อาญาสิทธิ์มาแก่เราหรือ บัดนี้ซุนกวนให้กระบี่อาญาสิทธิ์เรามาแล้วสั่งว่า ถ้าพบเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินก็ให้ฆ่านางซุนฮูหยินเสียก่อนจึงฆ่าเล่าปี่ แล้วให้ตัดสีสะไปให้ซุนกวนจงได้ แม้มิได้สีสะนางซุนฮูหยินกับเล่าปี่ไปให้ซุนกวน ๆ ก็จะตัดสีสะเราเสีย
นายทหารทั้งสี่คนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า บัดนี้เล่าปี่ยกไปนานแล้ว เราจะคิดประการใดดี จิวขิมจึงว่ากับชีเซ่งเตงฮองว่า เล่าปี่ยกไปบัดนี้ล้วนแต่ทหารเดิรเท้าเห็นจะหนีเราไม่พ้น ให้ท่านทั้งสี่รีบไปบอกจิวยี่ให้จัดแจงทหารเรือเร็วยกไปสกัดชายทเล ตัวเราสี่คนกับทหารจะเร่งยกไปทางบกให้ทัน ถึงเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินจะว่ากล่าวประการใดก็ดี เราก็จะตัดเอาสีสะมาให้จงได้ ชีเซ่งเตงฮองเห็นชอบด้วยก็รีบกลับไปหาจิวยี่ ณ เมืองฉสองกุ๋น จิวขิมจิวท่ายตันบูพัวเจี้ยงก็พาทหารยกตามเล่าปี่ไป
ฝ่ายเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินพากันไปพ้นแดนเมืองฉสองกุ๋น ถึงชายทเลแห่งหนึ่งชื่อตำบลเล่าลองไพ่ เล่าปี่จึงพาทหารเดิรเลียบไปตามชายทเลจะหาเรือข้ามฟากไปเมืองเกงจิ๋วก็มิได้ เห็นเรือไปมาคิดวิตกนัก จูล่งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เรามานี้ก็พ้นเมืองฉสองกุ๋นจะเข้าแดนเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว เหมือนหนึ่งเสือหนีออกจากจั่นได้ ท่านอย่าคิดวิตกเลย เราทำการสงครามสำเร็จทั้งนี้เพราะความคิดขงเบ้ง บัดนี้เรามาถึงแดนเมืองเราแล้ว เห็นขงเบ้งจะคิดอ่านมาช่วยเราเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังจูล่งว่าก็คิดถึงความลำบากซึ่งทรมานมากลางทาง แล้วคิดถึงความสุขซึ่งซุนกวนทำนุบำรุงให้ที่ในเมืองตองง่อก็นั่งลงร้องไห้ อยู่ริมชายทเล พอได้ยินเสียงทหารม้ายกตามมาเปนอันมากจึงปรึกษากับจูล่งว่า บัดนี้ทหารม้าติดตามมาเปนอันมาก เห็นเราจะถึงที่ตายในครั้งนี้แล้ว จูล่งยังมิได้ว่าประการใดพอแลเห็นเรือประมาณยี่สิบลำแล่นมาตามชายทเล จูล่งจึงว่าเปนบุญของเรามีเรือแล่นมาแล้ว ให้ท่านเร่งรัดขับทหารลงโดยสารเรือนี้ข้ามไปเถิดจะได้พ้นอันตราย
ครั้นเรือนั้นเข้ามาถึงฝั่ง เล่าปี่พิเคราะห์เห็นเปนเรือลูกค้า แล้วแลเห็นขงเบ้งใส่เสื้อใส่หมวกออกมาจากประทุนเรือก็มีความยินดี จึงพานางซุนฮูหยินกับทหารทั้งปวงรีบลงเรือ ขงเบ้งเห็นเล่าปี่ตกใจจึงหัวเราะว่า แต่ข้าพเจ้าจัดทหารแต่งปลอมเปนเรือลูกค้ามาคอยรับท่านอยู่นานนักหนาแล้ว เล่าปี่ได้ฟังมีความยินดีนักก็เร่งให้ทหารถอยเรือออกจากฝั่ง พอจิวขิมจิวท่ายตันบูพัวเจี้ยงยกทหารมาถึงริมฝั่ง
ขงเบ้งจึงหัวเราะชี้มือร้องขึ้นไปว่า ให้ท่านกลับไปบอกจิวยี่เถิดว่า เราคิดการมาก็นานอยู่แล้วพึ่งสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งจิวยี่ให้ท่านตามมาส่งเล่าปี่นั้นเราขอบใจนัก เล่าปี่มิได้มีอันตรายสิ่งใด อย่าให้จิวยี่คิดกลอุบายฉนี้สืบไปเลย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปดังห่าฝนก็มิได้ถึงขงเบ้ง ๆ ก็เร่งให้ทหารแจวเรือข้ามฟากไปใกล้จะถึงฝั่ง
ฝ่ายจิวยี่ได้แจ้งเนื้อความซึ่งจิวขิมให้ชีเซ่งเตงฮองมาบอก ก็เร่งจัดทัพเรือให้อุยกายเปนปีกขวา ฮันต๋งเปนปีกซ้าย ตัวจิวยี่เปนทัพหลวงรีบยกตามเล่าปี่ไป จิวยี่เห็นเล่าปี่ข้ามฟากไปก็เร่งให้ทหารแจวเรือรบไล่ไปจะให้ทัน ขงเบ้งเห็นจิวยี่ไล่ขยิกเข้ามาก็ให้ทหารจอดเรือเข้าริมฝั่งฝ่ายเหนือ พาเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินขึ้นบกรีบหนีไป จิวยี่ก็ขึ้นขี่ม้าพาอุยกายฮันต๋งชีเซ่งเตงฮองกับทหารทั้งปวงยกตามไป
ฝ่ายขงเบ้งกับเล่าปี่หนีไปถึงเขาแดนตำบลองจิ๋วซึ่งให้กวนอูซุ่มอยู่นั้น ก็พาเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินขึ้นอยู่บนยอดเขา ครั้นจิวยี่ยกตามมาถึงเขานั้น กวนอูกับอุยเอี๋ยนฮองตงก็ยกทหารออกสกัดทางไว้ จิวยี่ขับทหารจะรบพุ่งกับกวนอูก็เกรงอยู่ ด้วยทหารจิวยี่ชำนาญแต่การเรือไม่เคยรบบกแล้วก็มิได้มีม้าขี่ จิวยี่จึงถอยทหารกลับมา กวนอูขับทหารไล่รบพุ่งฆ่าฟันทหารจิวยี่ล้มตายเปนอันมาก ฮันต๋งกับอุยกายเข้ารบป้องกันรับจิวยี่กับทหารทั้งปวงลงเรือได้ กวนอูก็คุมทหารไล่ตามไปถึงริมฝั่งแล้วให้ทหารร้องว่าแก่จิวยี่ว่า ท่านคิดกลอุบายจะลวงเรา ครั้นเราลวงบ้างก็แพ้ความคิดเรา แล้วมิหนำยังยกมาตามส่งเล่าปี่ให้เสียทหารอีกเล่า นี่แลจะคิดอ่านปราบปรามแผ่นดินสืบไป
จิวยี่ได้ยินก็แลขึ้นไปเห็นเล่าปี่นางซุนฮูหยินกับหญิงคนใช้อยู่บนยอดเขา แค้นใจนัก จึงสั่งทหารว่าจะยกขึ้นไปรบอีก ฮันต๋งกับอุยกายจึงห้ามว่าทหารเรามิได้มีม้าขี่ ทหารเขามีม้าครบตัวคน เห็นจะสู้กวนอูไม่ได้ จิวยี่เห็นชอบด้วยแล้วคิดในใจว่า เราคิดกลอุบายให้ซุนกวนทำครั้งนี้หมายจะจับตัวเล่าปี่คืนเอาเมืองเกงจิ๋วให้ ได้ ก็ซ้ำเสียของหาต้องการไม่ เราจะกลับไปเมืองตองง่อดูหน้าซุนกวนกระไรได้ จิวยี่คิดแค้นนัก พิษยาซึ่งถูกลูกเกาทัณฑ์แต่ก่อนนั้นก็กลุ้มขึ้นสลบไปไม่รู้สมประดี ทหารทั้งปวงช่วยกันแก้จนฟื้นขึ้นได้สติแล้วก็ยกทหารกลับไปเมืองฉสองกุ๋น
ฝ่ายขงเบ้งก็พาเล่าปี่กลับมาเมืองเกงจิ๋ว ปูนบำเหน็จทหารตามสมควร ฝ่ายจิวขิมจิวท่ายตันบูพัวเจี้ยงก็ยกทหารกลับไปเมืองลำซี จึงเข้าไปบอกเนื้อความให้ซุนกวนฟังทุกประการ ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้เทียเภาเปนแม่ทัพจะยกไปเมืองเกงจิ๋ว พอจิวยี่ให้หนังสือมาถึง ซุนกวนจึงรับหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ซึ่งข้าพเจ้าคิดพลาดครั้งนี้เพราะความคิดขงเบ้งสูงกว่าการนั้นจึงเสียไป โทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอทหารยกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วแก้แค้นให้จงได้
ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็ให้เกณฑ์ทหารจะยกไปเอง เตียวเจียวจึงห้ามว่า ท่านจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วนั้น ให้ยับยั้งพิเคราะห์ดูจงควรก่อน ด้วยโจโฉเสียทีแก่เราแตกหนีไปครั้งนั้น ก็ผูกใจเจ็บคิดจะยกมาแก้แค้นเราอยู่ แต่เห็นว่าท่านกับเล่าปี่เปนนํ้าหนึ่งใจเดียวกันจึงไม่อาจยกทัพมา แม้ท่านยกไปรบเมืองเกงจิ๋ว โจโฉรู้ว่าท่านกับเล่าปี่ผิดใจกันแล้ว ก็จะยกกองทัพมาตีเอาเมืองเรา ภายหลังเห็นเราจะรับรองป้องกันยาก
โกะหยงจึงว่าแก่ซุนกวนว่า เห็นโจโฉจะแต่งทหารมาสอดแนมราชการอยู่มิได้ขาด แม้ว่าท่านกับเล่าปี่ผิดใจกันออกแล้ว ก็จะแต่งทหารไปเกลี้ยกล่อมเล่าปี่ ๆ กลัวท่านจะไปตีก็จะเข้าด้วยโจโฉ เมื่อโจโฉกับเล่าปี่ร่วมคิดเข้าทำการด้วยกันแล้ว เมืองกังตั๋งก็จะไม่มีความสุข ขอให้ท่านแต่งหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งเล่าปี่เปนเจ้า เมืองเกงจิ๋ว โจโฉเห็นว่าท่านกับเล่าปี่ชอบกันอยู่ก็จะไม่อาจยกทัพมารบเมืองเรา อนึ่งเล่าปี่ก็จะไม่มีความแค้นท่าน แล้วเราจึงคิดกลอุบายให้คนสนิธไปพูดจาล่อลวงให้เล่าปี่กับโจโฉผิดใจรบพุ่ง กันขึ้น เราจึงยกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย ซุนกวนเห็นชอบด้วยจึงถามโกะหยงว่า ท่านจะเห็นผู้ใดซึ่งจะใช้ให้ถือหนังสือไปเมืองฮูโต๋ได้ โกะหยงจึงว่า เห็นแต่ฮัวหิมผู้เดียวมีสติปัญญาหลักแหลม แล้วโจโฉก็นับถือมาแต่ก่อน ซุนก๋วนเห็นชอบด้วยจึงให้เขียนหนังสือตามคำโกะหยงว่า ผนึกส่งให้ฮัวหิม ๆ ก็ลาไปเมืองฮูโต๋ พอโจโฉพาขุนนางทั้งปวงไปเที่ยวเล่น ณ เมืองเงียบกุ๋น ฮัวหิมก็รีบตามไป
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 45
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnZUg0aEY5cUZLRE0/view?resourcekey=0-bfLsbXwMv17-b-T9LTBP1A
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #5 on:
23 December 2021, 09:22:00 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 46
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-46.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 46
เนื้อหา
• โจโฉประลองฝีมือทหาร
• โจโฉอุบายตั้งจิวยี่เป็นเจ้าเมืองลำกุ๋น
• ซุนกวนให้โลซกไปทวงเมืองเกงจิ๋วอีก
• จิวยี่อุบายว่าจะไปตีเมืองเสฉวนแลกเอาเมืองเกงจิ๋ว
• ขงเบ้งคิดซ้อนกลจนจิวยี่เสียใจตาย
ฝ่าย โจโฉตั้งแต่แตกทัพเรือเสียทหารครั้งนั้นก็ได้ความอัปยศ คิดจะแก้แค้นอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด แต่เห็นว่าซุนกวนกับเล่าปี่ยังทำการประนอมพร้อมใจกันอยู่ จึงไม่อาจยกกองทัพไปรบเมืองกังตั๋ง ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบหกปี ถึงเทศกาลร้อนโจโฉจึงพาขุนนางทั้งปวงไปชมปราสาทตั้งเซ็กไต๋ ซึ่งสร้างใหม่ริมแม่นํ้าเจียงโห โจโฉแต่งตัวห่มเสื้อเขียวใส่หมวกทองขึ้นนั่งบนปราสาท แต่บันดาขุนนางแลทหารทั้งปวงยืนเปนขนัดกันอยู่ริมปราสาท โจโฉจะใคร่ดูฝีมือทหารทั้งปวง จึงให้เอาเสื้อแพรแดงอย่างดีไปแขวนไว้ที่กิ่งสนธิ์ แล้วให้เอาเป้าไปปักไว้ตรงหน้าปราสาทไกลยี่สิบห้าวา ให้ทหารแต่งตัวเปนสองเหล่า ทหารซึ่งแซ่เดียวกับโจโฉ ๆ ให้ใส่เสื้อแดงหมวกแดง ทหารนอกนั้นให้ใส่เสื้อเขียวหมวกเขียว ยืนเรียงกันอยู่ตรงหน้าปราสาท แล้วสั่งว่าแม้ผู้ใดยิงถูกเป้าตรงใจดำ เราจะให้เสื้อแก่ผู้นั้นเปนบำเหน็จ ถ้ายิงไม่ถูกเราจะให้กินน้ำจอกหนึ่ง
ทหารทั้งปวงจัดแจงกันขึ้นขี่ม้า โจฮิวใส่เสื้อแดงหมวกแดง ขับม้าวงเวียนออกไปหน้าทหารได้สามรอบ แล้วขึ้นเกาทัณฑ์ยิงถูกใจดำ ทหารทั้งปวงตีม้าฬ่อฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงขึ้น โจโฉมีความยินดีจึงว่า ไม่เสียทีที่โจฮิวเปนเชื้อสายของเรา แล้วร้องสั่งทหารไปเอาเสื้อมาให้โจฮิว ขณะนั้นบุนเพ่งนายทหารก็ควบม้าออกมาว่าแก่โจโฉว่า ท่านอย่าเพ่อให้เสื้อโจฮิวก่อน แล้วบุนเพ่งก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกใจดำ ทหารทั้งปวงก็โห่ร้องอื้ออึงขึ้น
บุนเพ่งจึงร้องว่าแก่ทหารว่า ให้เอาเสื้อมาให้เรา โจหองได้ยินดังนั้นก็ควบม้าออกมาร้องว่าแก่บุนเพ่งว่า ท่านอย่าเพ่อชิงเอาเสื้อไปก่อน เราจะยิงให้ดีกว่าท่านอีก โจหองก็ขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกใจดำ ปักเคียงลูกเกาทัณฑ์ก่อนนั้นอยู่ เตียวคับเห็นดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านทั้งสามยิงเกาทัณฑ์หาแม่นเหมือนเราไม่ เตียวคับก็เอี้ยวตัวยิงเกาทัณฑ์ไปถูกใจดำปักเคียงลูกเกาทัณฑ์เก่าอยู่เปนสี่ มุม แฮหัวเอี๋ยนใส่เสื้อแดงมายืนม้าอยู่เห็นดังนั้นก็ขึ้นเกาทัณฑ์เหลียวหลังยิง ไปถูกใจดำ ลูกเกาทัณฑ์ปักอยู่หว่างกลาง แฮหัวเอี๋ยนจึงร้องว่า เรายิงเกาทัณฑ์นี้ประหลาทกว่าท่านทั้งปวง แล้วควบม้าจะไปชิงเอาเสื้อ
ซิหลงจึงร้องว่า ท่านทั้งห้าคนยิงถูกแต่ใจดำเป้า แล้วจะไปเอาเสื้อนั้นหาควรไม่ เราจะยิงให้ประหลาทกว่าท่าน แล้วซิหลงก็ขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกกิ่งสนซึ่งห้อยเสื้อนั้นขาดเสื้อตกลง ซิหลงก็ควบม้าไปเอาเสื้อนั้นใส่แล้วกลับมาคำนับโจโฉ ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญซิหลงว่าแม่นเกาทัณฑ์หาผู้เสมอมิได้ ซิหลงก็ควบม้าออกมา เคาทูเห็นดังนั้นจึงร้องว่าแก่ซิหลงว่า ท่านอย่าเพ่อเอาเสื้อนั้น เอาไว้ให้เราก่อน ซิหลงจึงว่าเสื้อผืนนี้เรายิงเกาทัณฑ์ถูก ได้เปนของเราแล้ว เรามิให้แก่ท่าน เคาทูได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด ควบม้าเข้าไปชิงเอาเสื้อ ซิหลงเอาคันเกาทัณฑ์หวดเอาเคาทู ๆ เอามือรับได้ กระชากมาจะให้ซิหลงตกม้า ซิหลงวางเกาทัณฑ์เสียโจนลงจากม้า เคาทูก็ลงจากม้า สองคนก็ปลํ้าชิงเสื้อกันจนเสื้อนั้นขาดยับไปทั้งผืน
โจโฉเห็นซิหลงกับเคาทูปลํ้ากัน โทโสมากขึ้นทั้งสองฝ่าย จึงให้ทหารเข้าไปห้ามให้ออกจากกัน แล้วเรียกขึ้นมาบนปราสาท ฝ่ายเคาทูกับซิหลงกัดฟันทำอาการประหนึ่งจะเข้าสู้กันอีก โจโฉจึงหัวเราะ ว่าท่านทั้งสองเปนทหารฝีมือดีเสมอกัน แล้วจะมาผิดใจกันด้วยเสื้อผืนหนึ่งนั้นหาควรไม่
โจโฉเรียกทหารทั้งปวงขึ้นมาบนปราสาท แจกแพรลายกระบวรอย่างดีคนละพับ แล้วก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแลทหารทั้งปวง แล้วว่าเรามาเล่นครั้งนี้มีความสบายนัก ได้เห็นฝีมือทหารต่าง ๆ แล้วจึงว่าท่านทั้งปวงซึ่งเปนขุนนางล้วนกอปไปด้วยสติปัญญาแต่งกาพย์โคลงเปน ทุกคน บัดนี้มาอยู่ในปราสาทพร้อมกันสิ้น ท่านจงแต่งโคลงชมปราสาทนี้เล่นให้สบายใจ
ขุนนางทั้งปวงก็คำนับรับคำโจโฉ อองลองหนึ่ง จงฮิวหนึ่ง อองชันหนึ่ง ตันหลิมหนึ่ง จึงแต่งโคลงคนละบทเปนใจความว่า มหาอุปราชมีความชอบต่อแผ่นดินเปนอันมาก ทั้งน้ำใจก็เมตตาแก่ราษฎรทั้งปวง แล้วสร้างปราสาทตำบลนี้สนุกดังเมืองสวรรค์ หาผู้ใดเสมอมิได้ ควรที่มหาอุปราชจะได้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่งแล้วส่งให้โจโฉ
โจโฉรับโคลงนั้นมาอ่านดูแล้วจึงว่า โคลงนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ที่ท่านสรรเสริญนั้นเกินนัก แต่ก่อนเราก็เปนคนมีปัญญาน้อย ถือเอาความสัตย์แลกตัญญูเปนที่ตั้ง มาเมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัติแผ่นดินเปนจลาจลต่าง ๆ เราจึงปลูกเรือนอยู่นอกเมืองเจากุ๋นข้างทิศตวันออกไกลเมืองทางห้าร้อยเส้น ครั้นเทศกาลร้อนแลฤดูฝนเราก็ดูขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ครั้นเทศกาลหนาวจึงไปเที่ยวไล่เนื้อ ในน้ำใจคิดว่าแผ่นดินเปนสุขราบคาบแล้วจะเข้าทำราชการเปนขุนนาง ไม่รู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเพาะให้เราเปนนายทหารฉนี้ บัดนี้เรามีใจกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์คิดจะปราบปรามให้แผ่นดินเปนสุข ความชอบจะได้ปรากฎไปภายหน้า ว่าเราได้เปนนายทหารช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็สมความคิดอยู่แล้ว เราก็ได้คิดอ่านปราบปรามกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียเปนอันมาก แต่ครั้งเตียวก๊กโจรโพกผ้าเหลืองนั้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตั้งให้เราเปนมหาอุปราช ใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวงอยู่แล้ว เราจะได้คิดอ่านเอายศศักดิ์ให้ยิ่งกว่านี้หามิได้ แต่เราคิดอยู่ว่าได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินแล้วก็จะทำให้ตลอด อนึ่งแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้ ถ้าหาเราไม่ก็จะมีผู้โอหังตั้งตัวเปนเจ้าทุกตำบล คนทั้งปวงซึ่งหาปัญญาไม่ มิได้คิดถึงคุณเรา เห็นว่าเราได้เปนใหญ่ว่ากล่าวสิ่งใดสิทธิ์ขาด ก็คิดสงสัยเราเปล่า ๆ หาต้องการไม่ ก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทุกวันนี้เราคิดตั้งใจทำราชการสนองพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต คิดวิตกอยู่อีกว่าจะยกที่มหาอุปราชนี้ให้พระญาติพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็มิได้เห็นผู้ใดจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินได้ ครั้นเราจะขืนยกให้บัดนี้เล่า ก็จะทำโลเลให้แผ่นดินเปนอันตราย นานไปภายหน้าตัวเราก็จะพลอยได้ความเดือดร้อนด้วยซึ่งเราว่ากล่าวมาทั้งนี้ เปนความจริง ใช่จะว่าแต่ปากนั้นหามิได้ แต่ทว่าท่านทั้งปวงจะหยั่งเห็นน้ำใจเราหรือ ก็จะแกล้งว่าเราเอาความดีมาเจรจา
ขุนนางทั้งปวงคำนับแล้วจึงว่า ความคิดมหาอุปราชคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งนี้ดีกว่าอิอิ๋นกับจิวกอง ซึ่งช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งพระเจ้าเซงถองพระเจ้าเซงฮองนั้นอีก[๑] โจโฉได้ฟังดังนั้นก็กำเริบน้ำใจ เสพย์สุราเข้าไปเปนหลายจอก แล้วเอาพู่กรรณ์กับกระดาษจะมาเขียนโคลง พอซุนกวนให้ฮัวหิมถือหนังสือมาให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า เล่าปี่อยู่เมืองเกงจิ๋ว ได้หัวเมืองขึ้นเปนหลายตำบลแล้ว บัดนี้ซุนกวนก็ยกน้องสาวให้เปนภรรยาเล่าปี่ ขอให้ตั้งเล่าปี่เปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พู่กรรณ์ซึ่งถืออยู่นั้นพลัดตกจากมือ เทียหยกเห็นดังนั้นจึงว่า มหาอุปราชเข้าสู้สงครามความตายส่อตัวยังมิได้สดุ้งตกใจ เหตุใดมาตกใจด้วยเนื้อความเพียงนี้ โจโฉจึงว่าเล่าปี่อุปมาเหมือนมังกรอยู่ในหนอง แต่กำเนิดมายังไม่พบนํ้าลึก บัดนี้ได้เมืองเกงจิ๋วมีกำลังมากขึ้น เหมือนมังกรออกได้ถึงทเลใหญ่ นานไปเมื่อหน้าเห็นเราจะกำจัดขัดสน เหตุฉนี้เราจึงตกใจ
เทียหยกจึงว่า ฮัวหิมถือหนังสือมานี้ท่านรู้หรือไม่ ว่าซุนกวนคิดกลอุบายประการใด โจโฉจึงว่ามิได้แจ้ง เทียหยกจึงว่า ซุนกวนให้หนังสือมานี้ ใช่จะรักใคร่เล่าปี่โดยสุจริตนั้นหามิได้ ซุนกวนกับเล่าปี่เห็นจะแหนงใจกันแล้ว ครั้นซุนกวนจะยกทหารไปรบเมืองเกงจิ๋ว กลัวมหาอุปราชจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋ง จึงคิดกลอุบายให้มีหนังสือมากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ตั้งเล่าปี่เปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว หวังจะให้เล่าปี่ไว้ใจ แล้วจะให้ท่านคิดพะวงว่าเล่าปี่กับซุนกวนพร้อมใจกันอยู่ มิได้คิดอ่านที่จะยกไปรบเมืองกังตั๋ง ซุนกวนจะได้คิดทำการถนัด ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่งให้เล่าปี่กับซุนกวนเกิดรบกันขึ้นให้จงได้
โจโฉจึงถามว่า กลอุบายของท่านประการใด เทียหยกจึงว่า ทุกวันนี้ซุนกวนได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ก็อาศรัยความคิดจิวยี่ผู้เดียว ขอให้ท่านกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งให้จิวยี่เปนเจ้าเมืองลำกุ๋น ให้เทียเภาเปนเจ้าเมืองกังแฮ ตัวฮัวหิมซึ่งถือหนังสือมานั้น เอาไว้ใช้ราชการในเมืองฮูโต๋ ฝ่ายจิวยี่มีน้ำใจพยาบาทคิดแค้นเล่าปี่ขงเบ้งอยู่ เห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งแต่งให้เปนใหญ่ ก็จะมีใจกำเริบยกไปตีเมืองเกงจิ๋วแก้แค้นเล่าปี่เปนมั่นคง เมื่อซุนกวนกับเล่าปี่เกิดรบพุ่งกันแล้ว เราจึงจะคิดการสืบไป
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้หาตัวฮัวหิมขึ้นมาบนปราสาท แล้วให้บำเหน็จรางวัลเลี้ยงดูตามสมควร แล้วก็พาฮัวหิมกับขุนนางทั้งปวงกลับ โจโฉจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบทูลว่า จะขอตั้งจิวยี่เปนเจ้าเมืองลำกุ๋น ให้เทียเภาเปนเจ้าเมืองกังแฮ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ โจโฉจึงตั้งฮัวหิมให้เปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองฮูโต๋ แล้วให้ทหารถือหนังสือรับสั่งแลตราตั้งไปให้จิวยี่กับเทียเภา
ฝ่ายจิวยี่ก็มีความยินดี ออกมาคำนับรับเอาตราตั้ง แล้วบอกหนังสือไปถึงซุนกวนเปนใจความว่า บัดนี้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ โปรดมาให้ข้าพเจ้าเปนเจ้าเมืองลำกุ๋นแล้ว ซึ่งขงเบ้งกับเล่าปี่ทำความแค้นแก่ท่านนั้น ข้าพเจ้าจะขออาสาแก้แค้นให้จงได้ ขอให้ท่านใช้โลซกไปทวงเมืองเกงจิ๋ว ฟังสำนวนเล่าปี่ขงเบ้งดูสักครั้งหนึ่งก่อน จึงจะคิดการสืบไป
ซุนกวนแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงให้หาโลซกมาว่า เมืองเกงจิ๋วนี้เดิมท่านก็เปนผู้ยืมให้เล่าปี่ แล้วก็รับประกันด้วย บัดนี้เล่าปี่บิดพลิ้วไม่ให้เมืองเกงจิ๋ว ท่านจะว่าประการใด โลซกจึงว่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งเล่าปี่ว่ามา ก็แจ้งอยู่ในหนังสือสัญญานั้นแล้ว ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็โกรธตวาดเอาโลซกแล้วว่า ในหนังสือของเล่าปี่ว่า ได้เมืองเสฉวนแล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ ก็ไม่เห็นเล่าปี่คิดอ่านจะยกไปตีเมืองเสฉวน จะให้เราคอยอยู่กว่าจะแก่หรือ โลซกเห็นซุนกวนโกรธดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอไปทวงเมืองเกงจิ๋ว ฟังคารมขงเบ้งดูอีกสักครั้งหนึ่งก่อน ซุนกวนก็จัดเรือให้โลซกไปเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายเล่าปี่กับขงเบ้ง จำเดิมแต่ได้นางซุนฮูหยินมาถึงเมืองเกงจิ๋วแล้ว ก็ตั้งซ่องสุมสเบียงอาหารแลฝึกสอนทหารทุกวันมิได้ขาด ผู้ซึ่งมีสติปัญญาก็เข้าอยู่ด้วยเล่าปี่เปนอันมาก พอคนใช้มาบอกเล่าปี่ว่า ซุนกวนใช้ให้โลซกมาหา เล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า ซึ่งโลซกมานี้จะมีเนื้อความสิ่งใด ขงเบ้งจึงว่า เดิมซุนกวนให้มีหนังสือไปถึงเมืองฮูโต๋ กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้จะให้ตั้งท่านเปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว หวังจะให้โจโฉเกรงว่าซุนกวนกับท่านยังประนอมใจกันอยู่ โจโฉรู้ถึงความคิดซุนกวน จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งให้จิวยี่เปนเจ้าเมืองลำกุ๋น เทียเภาเปนเจ้าเมืองกังแฮ หวังจะให้จิวยี่กำเริบน้ำใจ จะได้เปนศึกรบพุ่งกับท่าน ภายหลังโจโฉจะได้คิดทำการถนัด ซึ่งโลซกมานี้เห็นจะเปนความคิดซุนกวนกับจิวยี่ให้มาทวงเมืองเกงจิ๋วเปนมั่น คง
เล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า เราจะคิดอ่านตอบโลซกประการใด ขงเบ้งจึงว่า แม้โลซกมาหาท่านพูดจาขึ้นถึงการเมืองเกงจิ๋ว ท่านอย่าได้ตอบประการใด ทำเปนร้องไห้สอื้นจงหนัก ข้าพเจ้าจึงจะพูดจาแก้ไขเอง เล่าปี่จึงให้หาโลซกขึ้นมาคำนับกันแล้วเล่าปี่เชิญให้นั่งที่อันเดียวกัน โลซกจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านเปนอาว์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็เปนน้องเขยของนายข้าพเจ้า ซึ่งจะให้ข้าพเจ้านั่งร่วมที่เดียวกันกับท่านนั้นไม่ควร เล่าปี่จึงหัวเราะว่า ท่านกับเราเปนเพื่อนชอบใจกันมาแต่ก่อน เหตุใดท่านเจรจาถ่อมตัวดังนี้ โลซกได้ฟังดังนั้นก็นั่งลงแล้วว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านบัดนี้ ด้วยซุนกวนใช้ให้มาทวงเมืองเกงจิ๋ว แลท่านกับซุนกวนก็เปนเกี่ยวดองกันแล้ว จงเห็นแก่ไมตรีอย่าให้เคืองใจกัน เร่งคืนเมืองเกงจิ๋วให้ซุนกวนเถิด ท่านกับซุนกวนจะได้ประนอมใจกันทำการสืบไป
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนร้องไห้สอื้นอยู่มิได้ตอบประการใด โลซกเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุอันใด เล่าปี่ก็ยังทำร้องไห้ไปเปนอันมาก ขงเบ้งแอบอยู่หลังฉาก จึงเดิรออกมาว่าแก่โลซกว่า เราฟังอยู่นานแล้วไม่เห็นได้เนื้อความ ท่านรู้หรือไม่ว่านายเราร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งใด โลซกจึงว่าข้าพเจ้ามิได้แจ้ง ขงเบ้งว่าท่านไม่รู้เราจะเล่าให้ฟัง เดิมเล่าปี่ให้หนังสือสัญญาไปแก่ซุนกวนว่า ได้เมืองเสฉวนแล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ บัดนี้เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนนั้นก็เปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ติดพันธ์กันอยู่กับนายเรา ครั้นจะยกไปตีเมืองเสฉวนคนทั้งปวงก็จะคระหานินทาได้ ครั้นจะนิ่งอยู่ในเมืองเกงจิ๋ว ก็เกรงซุนกวนจะขัดเคือง ครั้นจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ก็ไม่มีที่อาศรัย เหตุฉนี้นายเราจึงร้องไห้ เล่าปี่ก็ทำเปนร้องไห้หนักไป
โลซกมีใจสงสารจึงปลอบเล่าปี่ว่า ท่านอย่าร้องไห้วุ่นวายไปเลย จงคิดอ่านกับขงเบ้งแก้ไขให้จงดีก่อน ขงเบ้งเห็นโลซกนั้นใจอ่อนจึงว่า ถ้ากระนั้นท่านจงอนุเคราะห์เอาทุกข์ร้อนทั้งนี้ไปบอกแก่ซุนกวน ให้ซุนกวนงดก่อน โลซกจึงว่า ซึ่งจะไปว่าแก่ซุนกวนนั้นก็พอจะได้อยู่ แม้ซุนกวนไม่ยอมท่านจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้นายเราก็เปนน้องเขยซุนกวนแล้ว อันซุนกวนจะไม่ยอมนั้นไม่เห็นด้วย ให้ท่านอนุเคราะห์ว่ากล่าวให้จงดีเถิด ฝ่ายโลซกเปนคนซื่อคิดสงสารก็รับคำขงเบ้งแล้วลาลงเรือไปเมืองฉสองกุ๋น จึงขึ้นไปหาจิวยี่บอกเนื้อความตามเล่าปี่ขงเบ้งว่า
จิวยี่โกรธกระทืบเท้าแล้วว่า โลซกนี้แพ้ความคิดขงเบ้งแล้ว อันนํ้าใจเล่าปี่นั้นหาเหมือนปากไม่ เมื่อเล่าปี่อยู่กับเล่าเปียว ก็คิดร้ายต่อเล่าเปียวจะชิงเอาเมือง บัดนี้เล่าปี่คงจะคิดอันใดกับเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนแล้ว แต่หากจะไม่ให้เมืองเกงจิ๋วแก่เราจึงแกล้งบิดพลิ้วทั้งนี้ ตัวท่านผู้รับจะพลอยได้รับความเดือดร้อนด้วย ข้าพเจ้าคิดกลอุบายได้อย่างหนึ่ง ถ้าขงเบ้งความคิดน้อยก็หาพ้นมือเราไม่ แต่ท่านอุตส่าห์กลับไปเมืองเกงจิ๋วอีกครั้งหนึ่งก่อน โลซกจึงถามว่า กลอุบายท่านคิดไว้ประการใด จิวยี่จึงว่าท่านอย่าไปหาซุนกวนเลย เร่งกลับไปเมืองเกงจิ๋วบอกเล่าปี่ว่า ซึ่งเล่าปี่ไม่ไปตีเมืองเสฉวน ด้วยเล่าเจี้ยงเปนแซ่เดียวกันกับเล่าปี่ กลัวคนทั้งปวงจะนินทาก็ชอบอยู่แล้ว บัดนี้ซุนกวนปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะยกไปรบเมืองเสฉวน ถ้าได้แล้วก็จะยกให้เล่าปี่จะขอเอาเมืองเกงจิ๋วคืน โลซกจึงว่าซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นเห็นจะได้โดยยาก เพราะเมืองเสฉวนเปนทางไกลกันดารนัก จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ว่าโลซกนี้ซื่อนัก ใช่เราจะไปตีเมืองเสฉวนโดยจริงหามิได้ เราจะหลอกให้เล่าปี่ดีใจว่าเราจะไปตีเมืองเสฉวน ครั้นไปถึงหน้าเมืองเกงจิ๋วเราจึงจะให้ไปขอสเบียงเล่าปี่ ๆ ไม่รู้ตัวก็จะออกมารับเลี้ยงดูเรา ๆ จึงจับตัวเล่าปี่ฆ่าเสีย คืนเอาเมืองเกงจิ๋ว จะได้แก้ความแค้นซึ่งเราแพ้ขงเบ้ง ทั้งตัวท่านก็จะพ้นความผิด
โลซกได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ก็ลาจิวยี่ลงเรือกลับไปหาเล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋ว ทหารเข้าไปบอกเล่าปี่ว่าโลซกมาหา ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งโลซกกลับมาครั้งนี้เห็นไปยังหาถึงซุนกวนไม่ ดีร้ายจิวยี่จะคิดกลอุบายให้โลซกมาลวงเราเปนมั่นคง แม้โลซกเข้ามาถึงจะว่ากล่าวประการใดให้แลดูหน้าข้าพเจ้าก่อน ครั้นปรึกษากันแล้วเล่าปี่ให้ไปรับโลซกเข้ามาคำนับกันแล้ว โลซกจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้ากลับไปเมืองกังตั๋ง แจ้งความทุกข์ร้อนของท่านให้ซุนกวนฟังทุกประการ ซุนกวนก็มีความยินดีสรรเสริญท่าน ว่ามีสติปัญญารู้ผิดแลชอบ ซุนกวนจึงให้หาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษา จะยกกองทัพไปช่วยตีเมืองเสฉวนให้ท่าน เมื่อได้เมืองเสฉวนแล้วจะได้ขอเมืองเกงจิ๋วคืน ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมกันสิ้น ซุนกวนจึงให้ข้าพเจ้ากลับมาหาท่านว่า เมื่อจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นเปนทางกันดาร แม้ขัดสนด้วยสเบียงอาหารสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ดี ให้ท่านอนุเคราะห์เปนธุระด้วย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าให้เล่าปี่ว่า ซึ่งซุนกวนมีนํ้าใจโอบอ้อมอารีฉนี้ เพราะเห็นว่าน้องเขยได้ความเดือดร้อน จึงคิดอ่านแก้ไขเอาเปนธุระ เล่าปี่ก็ยกมือขึ้นคำนับแล้วว่า ซุนกวนมีใจเมตตาเราฉนี้ก็เพราะโลซกช่วยว่ากล่าว คุณของโลซกอยู่แก่เราเปนอันมาก ขงเบ้งจึงว่า แม้ซุนกวนจะยกกองทัพมาเมื่อใด เราจะยกครอบครัวออกไปคอยรับอยู่นอกเมือง แล้วว่าแก่โลซกว่า ให้ท่านกลับไปบอกซุนกวนเถิดว่า ซึ่งจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนนั้นอย่าให้วิตกถึงสเบียงอาหารเลย นายเราผู้เปนน้องเขยจะรับเปนธุระมิให้ขัดสน โลซกมีความยินดีนัก เล่าปี่ก็เชิญให้โลซกกินโต๊ะ แล้วโลซกก็ลาเล่าปี่กลับไปเมืองฉสองกุ๋น เล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า ซึ่งโลซกว่ากล่าวทั้งนี้ท่านคิดเห็นประการใด ขงเบ้งจึงหัวเราะแล้วว่า จิวยี่จะถึงที่ตายอยู่แล้ว อันความคิดจิวยี่ครั้งนี้แต่จะลวงเด็กก็ไม่ได้ควรหรือมาลวงเรา เล่าปี่ถามว่าความคิดจิวยี่ประการใด ขงเบ้งจึงว่า จิวยี่คิดอ่านว่ากล่าวมาครั้งนี้เหมือนเมื่อพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋ง จะยกไปตีเมืองเค็ก ทางข้ามเมืองหงีไป เมืองสามเมืองนี้เปนทางเดียวกัน พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งจึงหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่าเราจะยกไปตีเมืองเค็กบัด นี้ เกลือกเจ้าเมืองหงีจะยกทหารออกตีสกัดเราไว้มิเสียการไปหรือ ซุนเซงซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า เจ้าเมืองหงีเปนคนโลภรักทรัพย์นัก ขอพระองค์แต่งเครื่องบรรณาการแลแก้ววิเศษสำหรับเมืองเรานี้ไปให้เจ้าเมือง หงี ยืมทางไปรบเมืองเค็กเห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งจึงว่า แก้วสำหรับเมืองเรานี้เปนของวิเศษมีราคาเปนอันมาก ซึ่งท่านว่าจะเอาไปให้เจ้าเมืองหงีเสียนั้น ถึงมาทว่าจะได้เมืองเค็กก็จะเหมือนแก้ววิเศษของเราหรือ ซุนเซงจึงทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้วิตกเลย ซึ่งเราจะเอาแล้วไปให้เจ้าเมืองหงีไว้นั้น เหมือนหนึ่งของอยู่คลังในย้ายไปไว้คลังนอก แม้เราได้เมืองเค็กแล้วจึงยกกองทัพกลับมาตีเอาเมืองหงีก็จะได้โดยง่าย ทั้งแก้วแลเครื่องบรรณาการทั้งปวงนั้นก็จะคืนเปนของเราสิ้น
หันเหล่งที่ปรึกษาจึงว่าแก่ซุนเซงว่า ท่านอย่าดูหมิ่นแก่เจ้าเมืองหงีก่อน อันก๋งจีกี๋ซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่นั้นก็มีสติปัญญาหลักแหลมอยู่ เห็นจะทัดทานเจ้าเมืองหงีมิให้รับเครื่องบรรณาการของเรา ซุนเซงจึงว่า ก่งจีกี๋มีสติปัญญาก็จริง แต่กลัวอาญาเจ้าเมืองหงีนักอยู่ เพราะเจ้าเมืองหงีเปนคนโลภ ไม่รู้จักผิดแลชอบ
พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งเครื่องบรรณาการแลแก้วให้เจ้าเมืองหงีตามคำซุนเซงว่า เจ้าเมืองหงีเห็นแก่ทรัพย์มิได้พิเคราะห์หน้าหลังก็รับเครื่องบรรณาการไว้ ก๋งจีกี๋จึงว่าแก่เจ้าเมืองหงีว่า ซึ่งท่านรับเครื่องบรรณาการไว้แล้วให้พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งยกไปตีเมืองเค็ก นั้นเห็นไม่ควร เพราะเมืองเค็กเปนกำลังเราอยู่ แม้พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งได้เมืองเค็กแล้วก็จะมาตีเมืองเราเปนมั่นคง เจ้าเมืองหงีไม่ฟังตวาดเอาก๋งจีกี๋ ฝ่ายพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งยกกองทัพผ่านเมืองหงีไปรบเอาเมืองเค็กได้แล้วก็ยก ทหารกลับมาตีเอาเมืองหงีได้[๒]
บัดนี้จิวยี่คิดกลอุบายว่า จะยกไปตีเมืองเสฉวนให้เรา หวังจะให้เราไว้ใจ แม้จิวยี่ยกกองทัพมาถึงหน้าเมืองเราแล้ว ถ้าท่านเอาสเบียงอาหารออกไปเลี้ยงทหารทั้งปวง จิวยี่ก็จะจับท่านฆ่าเสียชิงเอาเมืองเกงจิ๋วคืน เล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า เราจะคิดประการใดจึงจะแก้ความคิดจิวยี่ได้ ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อันการครั้งนี้เราจำต้องคิดไว้ให้พร้อมเหมือนขัดแร้วดักเสือ เกี่ยวเหยื่อตกปลา จะนิ่งไว้ต่อแลเห็นตัวเสือแลปลาผุดจึงจะจับทำการนั้นไม่ได้ อันจิวยี่ครั้งนี้เห็นจะแพ้ความคิดเราตรอมใจตายเปนมั่นคง
ขงเบ้งจึงเรียกจูล่งมาสั่งว่า การที่เราจะได้ทำกับจิวยี่นั้นเห็นคับขันอยู่ก็ครั้งเดียวนี้ ท่านจงจัดแจงทหารให้พร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ ให้มั่นคง ถ้าจิวยี่ยกกองทัพมาถึงหน้าเมือง แม้จะถามถึงเรากับเล่าปี่ ท่านจงตอบโต้ตามคำเราสั่งนี้ทุกประการ จูล่งก็รับคำแล้วลาไปจัดแจงตระเตรียมไว้ตามสั่ง ขงเบ้งจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งส่งให้เล่าหองกวนเป๋งแล้วสั่งว่า เจ้าทั้งสองจงคุมทหารไปสกัดอยู่เหนือน้ำทางจะไปเมืองเสฉวน ถ้าจิวยี่ยกมาถึงเมืองเกงจิ๋วได้ยินกวนอูว่ากล่าวท้าทาย ก็จะมีใจมานะยกไปตีเมืองเสฉวน เจ้าจงเอาหนังสือนี้ไปให้ เล่าหองกวนเป๋งก็รับคำคำนับแล้วลาขงเบ้งไป แล้วขงเบ้งจึงให้กวนอูคุมทหารไปตั้งอยู่ทางเมืองกังเหลง ให้เตียวหุยไปตั้งอยู่ทางเมืองจีกุ๋ย ให้ฮองตงไปตั้งอยู่อ่าวกังอั๋น ให้อุยเอี๋ยนไปตั้งอยู่ตำบลอิเหลง เปนทางใกล้เมืองเกงจิ๋วทั้งสี่ทาง แล้วสั่งว่าถ้าท่านเห็นจิวยี่ยกมาถึงเชิงกำแพง ก็ให้โห่ร้องว่าจะจับตัวจิวยี่ แต่ว่าอย่าทำอันตรายสิ่งใด สี่นายรับคำแล้วคำนับลาไป
ฝ่ายโลซกครั้นมาถึงเมืองฉสองกุ๋น ก็เข้าไปหาจิวยี่แจ้งเนื้อความตามเล่าปี่ขงเบ้งว่านั้นทุกประการ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะว่าแก่โลซกว่า ขงเบ้งแพ้ความคิดเราแล้ว เราจะได้แก้แค้นขงเบ้งครั้งนี้ ท่านเร่งเอาเนื้อความทั้งปวงไปบอกแก่ซุนกวนให้แจ้งเถิด โลซกก็ลาจิวยี่ไปหาซุนกวนแจ้งเนื้อความทั้งปวง ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เทียเภาคุมทหารไปช่วยราชการจิวยี่ ๆ จัดแจงทหารห้าหมื่น แยกออกเปนสี่กอง ให้กำเหลงคุมทหารเปนกองหน้า ให้ชีเซ่งกับเตงฮองเปนกองกลาง ให้เล่งทองกับลิบองเปนกองหลัง ตัวจิวยี่กับเทียเภาบัญจบทหารเข้ากันเปนกองหลวง ครั้นได้ฤกษ์ก็ลงเรือรบยกออกจากเมืองฉสองกุ๋น
ฝ่ายขงเบ้งรู้ข่าวว่าจิวยี่ยกทัพมาแล้ว จึงเรียกบิต๊กมาสั่งว่า ท่านรีบไปคอยรับจิวยี่อยู่ปากอ่าวแฮเค้า ถ้าจิวยี่จะถามถึงเรากับเล่าปี่ ท่านจงบอกว่าออกไปตั้งครัวคอยรับอยู่นอกเมืองเกงจิ๋วแล้ว ให้จิวยี่รีบยกมาเถิด บิต๊กก็รับคำแล้วคำนับลาขงเบ้งไป ขงเบ้งจึงชวนเล่าปี่ไปเที่ยวเล่นบนยอดเขาริมเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายจิวยี่ยกมาถึงปากอ่าวแฮเค้าจึงถามทหารทั้งปวงว่า เล่าปี่ให้ผู้ใดออกมาคอยรับเราอยู่บ้างหรือไม่ ว่ายังไม่ทันสิ้นคำ พอทหารเข้ามาบอกว่า เล่าปี่ให้บิต๊กมาคอยท่าท่านอยู่ จิวยี่ก็ให้หาบิต๊กเข้ามา บิต๊กคำนับแล้วจึงบอกว่า เล่าปี่นายข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านยกกองทัพมาก็มีความยินดี ตระเตรียมการทั้งปวงไว้พร้อมแล้ว บัดนี้เล่าปี่ออกมาตั้งโรงเลี้ยงอยู่นอกเมือง จับจอกสุราคอยท่าจะรินให้ท่านกิน จึงให้ข้าพเจ้ามาคอยรับท่าน ให้ท่านรีบยกไปเถิด
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่าแก่บิต๊กว่า เรายกกองทัพมาครั้งนี้ก็เปนการของนายท่าน ให้ท่านเร่งกลับไปบอกแก่เล่าปี่ว่า ให้ตระเตรียมสเบียงอาหารซึ่งจะส่งกองทัพไว้ให้พร้อม บิต๊กก็คำนับลาไป จิวยี่ยกไปถึงอ่าวกังอั๋นก็มิได้เห็นผู้คนมาคอยรับเหมือนคำบิต๊กว่า จิวยี่คิดประหลาทใจก็รีบยกไปถึงเมืองเกงจิ๋ว ใกล้กำแพงเมืองเห็นเงียบสงัดอยู่ จึงให้ทหารขึ้นไปสอดแนมดูในเมืองเกงจิ๋ว เห็นประตูเมืองปิดอยู่ มิได้เห็นผู้คนเดิรไปมา เห็นแต่ธงขาวปักไว้บนเชิงเทินสองคัน จิวยี่สงสัยนักจึงให้จอดเรือรบเข้า แล้วขึ้นบกขี่ม้าพากำเหลงชีเซ่งเตงฮองกับทหารสามพันยกเข้าถึงเชิงกำแพงเมือง เกงจิ๋ว จึงให้ทหารเข้าไปร้องเรียกนายประตูให้เปิดรับ นายประตูจึงถามว่า ท่านชื่อใด มาธุระสิ่งใด ทหารนั้นจึงบอกว่า เราเปนทหารจิวยี่ บัดนี้จิวยี่ยกกองทัพมาถึงแล้ว
ฝ่ายจูล่งก็ตีกลองสัญญาเรียกทหารทั้งปวง ซึ่งถือเครื่องศัสตราวุธอยู่บนหอรบแลเชิงเทินให้ยืนขึ้นพร้อมกันแล้ว ร้องว่าแก่จิวยี่ตามคำขงเบ้งสั่งไว้ ว่าท่านยกทหารมาบัดนี้จะมีธุระไปแห่งใด จิวยี่จึงร้องตอบว่าท่านไม่รู้หรือ เราจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้นายท่าน จูล่งจึงตอบว่า ท่านคิดกลอุบายอย่างพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋ง ยืมทางเจ้าเมืองหงีไปตีเมืองเค็กนั้นหรือ ขงเบ้งก็แจ้งอยู่แล้ว จึงให้เราคุมทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินคอยท่าท่านอยู่ ซึ่งท่านจะไปตีเมืองเสฉวนนั้นก็ให้รีบยกไปเถิด แม้เมืองเสฉวนเปนอันตรายแล้ว เล่าปี่นายเราก็จะไม่พ้นความอาย เพราะเล่าเจี้ยงกับเล่าปี่เปนเชื้อสายติดพันกันอยู่ จึงสั่งเราไว้ให้บอกท่านว่า แม้ท่านได้เมืองเสฉวนสมความคิดแล้ว เล่าปี่กับขงเบ้งก็จะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ แล้วก็จะพาทหารอพยพไปอยู่ป่า ไม่คิดอ่านทำการสงครามสืบไปเลย
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นว่าขงเบ้งรู้ตัวจัดแจงการไว้พร้อมอยู่ ก็ชักม้าจะกลับมา พอกวนอูเตียวหุยฮองตงอุยเอี๋ยน ซึ่งขงเบ้งให้ไปตั้งอยู่ทั้งสี่ทางก็ยกมา แล้วร้องว่าให้จับตัวจิวยี่จงได้ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นแลเข้าไปในป่า มิได้รู้ว่าทหารมากน้อยเท่าใด ได้ยินแต่เสียงโห่ร้องอื้ออึงอยู่ทางไกลประมาณร้อยเส้น จิวยี่เสียใจด้วยเสียรู้ขงเบ้ง พิษเกาทัณฑ์ซึ่งถูกอยู่เก่านั้นกลุ้มขึ้นมาก็สิ้นสติพลัดตกจากม้า ทหารทั้งปวงก็เข้าประคองมาลงเรือ ครั้นจิวยี่ฟื้นขึ้นทหารทั้งปวงก็เข้ามาบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นเล่าปี่กับขงเบ้งขึ้นไปนั่งเสพย์สุราอยู่บนยอดเขานอกเมืองเก งจิ๋ว
จิวยี่ได้ฟังคิดแค้นใจนัก ครั้นจะยกทหารไปรบพุ่งจับตัวเล่าปี่ ก็ไม่รู้ว่าขงเบ้งจะคิดกลอุบายล่อลวงประการใด จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งขงเบ้งดูหมิ่นทำการเยาะเย้ยท้าทายเราฉนี้ เห็นว่าเราจะไปตีเมืองเสฉวนไม่ได้หรือ เราได้ออกวาจาแล้วก็จะยกไปรบเอาเมืองเสฉวนให้ได้ พอซุนกวนให้ซุนยี่น้องชายยกทหารหนุนมาช่วย จิวยี่ก็ให้รับซุนยี่เข้ามาแล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งขงเบ้งทำกลับกลอก ให้ซุนยี่ฟังทุกประการ แล้วจิวยี่กับซุนยี่ก็ให้ทหารออกเรือรบหวังจะไปตีเมืองเสฉวน ไปถึงตำบลปาขิว พอเล่าหองกับกวนเป๋งซึ่งคุมทหารตั้งสกัดอยู่เหนือนํ้านั้น เอาหนังสือของขงเบ้งมาให้จิวยี่ ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ขงเบ้งอวยพรมาถึงจิวยี่ ซึ่งเปนที่ปรึกษาผู้ใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ด้วยตัวข้าพเจ้าแต่จากท่านมาก็ช้านาน ยังคิดถึงไมตรีท่านทุกวันมิได้ขาด บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนก็คิดวิตกถึงท่านนัก ด้วยเมืองเสฉวนนั้นสเบียงอาหารแลไพร่พลก็มั่งคั่งบริบูรณ์อยู่ ถึงมาทว่าเล่าเจี้ยงมีสติปัญญาน้อยก็เห็นจะรักษาเมืองได้ แลท่านจะยกไปนั้นทางก็ไกล ถึงจะส่งสเบียงอาหารก็ขัดสน อนึ่งโจโฉจำเดิมแต่เสียทหารแปดสิบสามหมื่นครั้งนั้นก็คิดจะแก้แค้นอยู่มิได้ ขาด แม้รู้ว่าท่านทิ้งเมืองเสียฉนี้ ก็จะยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนสู้โจโฉไม่ได้ เมืองกังตั๋งก็จะเสียแก่โจโฉเปนมั่นคง ตัวข้าพเจ้ากับท่านก็มีไมตรีต่อกันอยู่ ครั้นจะนิ่งให้ท่านทำการผิดก็หาควรไม่ จึงช่วยเตือนสติท่าน
จิวยี่แจ้งในหนังสือดังนั้นก็ทอดใจใหญ่คิดแค้นใจ พิษเกาทัณฑ์กลุ้มขึ้นมาก็สลบไป ทหารเข้าแก้ฟื้นขึ้น จิวยี่เห็นว่าตัวจะไม่รอดจึงเขียนหนังสือไว้ฉบับหนึ่ง แล้วสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงไว้ว่า เราทำการทั้งนี้ตั้งใจจะทำนุบำรุงซุนกวนโดยสุจริต บัดนี้ความตายมาถึงตัวเราแล้ว ท่านทั้งปวงอยู่ภายหลังจงช่วยกันทำนุบำรุงนายเราให้สำเร็จตามที่คิดไว้จงได้ ท่านจงเอาหนังสือนี้ไปให้นายเราเถิด ว่าเราคำนับลาแล้ว จิวยี่สั่งเท่านั้นพิษเกาทัณฑ์กลุ้มขึ้นมาก็สลบไป ทหารแก้ฟื้นขึ้นแล้ว จิวยี่คิดแค้นในใจนัก จึงแหงนหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วร้องว่า เทพดาองค์ใดหนอซึ่งให้เราเกิดมาแล้ว เหตุใดจึงให้ขงเบ้งเกิดมาด้วยเล่า แต่จิวยี่ร้องประกาศอยู่ดังนั้นหลายคำโดยความแค้น พิษเกาทัณฑ์กลุ้มหนักขึ้นมาจิวยี่ก็สิ้นใจ เมื่อจิวยี่ตายนั้นอายุได้สามสิบหกปี
ฝ่ายทหารทั้งปวงก็เลิกทัพกลับมา จัดแจงศพจิวยี่ไว้ตามบันดาศักดิ์ แล้วเอาหนังสือซึ่งจิวยี่เขียนนั้นไปให้ซุนกวน แล้วแจ้งความให้ซุนกวนฟังโดยนัยหนหลัง ซุนกวนครั้นแจ้งว่าจิวยี่ตายก็ร้องไห้รักจิวยี่เปนอันมาก แล้วรับหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าจิวยี่ขอคำนับมาถึงท่านด้วยท่านเมตตาตั้งข้าพเจ้าให้เปนนายทัพแลที่ ปรึกษานั้นคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าตั้งใจทำการโดยสัตย์สุจริตหวังจะสนองคุณท่าน บัดนี้การของท่านก็ยังไม่สำเร็จ เปนกรรมมาตามทัน ความแค้นของข้าพเจ้าครั้งนี้ถึงมาทว่าชีวิตจะละลายก็ไม่เสียดายเลย แต่คิดวิตกอยู่ที่จะไม่ได้ทำการต่อไป อนึ่งทุกวันนี้แผ่นดินก็ยังไม่ราบคาบ ฝ่ายเหนือเล่าโจโฉก็ได้เปนใหญ่ ณ เมืองฮูโต๋มีใจกำเริบนักอยู่ ฝ่ายเล่าปี่อาศรัยอยู่ ณ เมืองเกงจิ๋ว ก็เหมือนหนึ่งเลี้ยงเสือไว้ นานไปมีกำลังใหญ่ขึ้นก็จะเปนศัตรูท่าน แล้วการบ้านเมืองเรายังไม่สำเร็จ อันขุนนางทั้งปวงในเมืองกังตั๋งก็มิได้เห็นผู้ใดซึ่งจะว่าราชการแทนที่ ข้าพเจ้า เห็นแต่โลซกผู้เดียวมีสติปัญญามั่นคงสัตย์ซื่อ ขอให้ตั้งโลซกเปนขุนนางผู้ใหญ่ว่าราชการแทนที่ข้าพเจ้า ถ้ายังเมตตาข้าพเจ้าอยู่ขอจงทำตามทุกประการ
ซุนกวนแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงว่า จิวยี่มีสติปัญญาควรที่จะเปนมหาอุปราชได้ เสียดายมาสิ้นอายุเสียแต่หนุ่ม เราจะได้ผู้ใดช่วยคิดอ่านราชการสืบไปเล่า ซึ่งจิวยี่สั่งไว้นี้เราก็เห็นด้วย จึงตั้งโลซกเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่แทนจิวยี่ แล้วก็ให้ทหารไปรับศพจิวยี่มาแต่งการ ณ เมืองฉสองกุ๋นตามบันดาศักดิ์ขุนนาง ผู้ใหญ่
[๑] มีในเรื่องไคเพ๊กแลเรื่องหองสิน
[๒] มีในเรื่องเลียดก๊ก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 46
https://drive.google.com/file/d/1G2JipSZ3FoxR3q73Ru274dKbSh9ETtKM/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #6 on:
23 December 2021, 09:28:16 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 47
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-47.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 47
เนื้อหา
• ขงเบ้งไปเซ่นศพจิวยี่
• เล่าปี่ได้บังทองเป็นที่ปรึกษา
• โจโฉลวงฆ่าม้าเท้ง
ฝ่าย ขงเบ้งครั้นจิวยี่ยกพ้นไปแล้ว ก็พาเล่าปี่ลงจากเนินเขากลับมาเมืองเกงจิ๋ว ครั้นเวลาคํ่าขงเบ้งพิเคราะห์ดูฤกษ์บน แลเห็นดาวตกลงมาจากอากาศดวงหนึ่ง ขงเบ้งจึงหัวเราะบอกเล่าปี่ว่า จิวยี่ตายวันนี้แล้ว พอทหารซึ่งสืบราชการนั้น กลับมาแจ้งว่าจิวยี่ตายแล้ว เล่าปี่จึงปรึกษาขงเบ้งว่า เราจะคิดทำประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่าจิวยี่ตายแล้ว เห็นแต่โลซกผู้เดียวจะได้ว่าที่แทนจิวยี่ กับอนึ่งข้าพเจ้าดูฤกษ์บน เห็นดาวไปประชุมกันอยู่ทิศตวันออก จำข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมศพจิวยี่ ณ เมืองกังตั๋งจะได้สืบเสาะดูผู้มีสติปัญญา จะได้เกลี้ยกล่อมมาช่วยทำราชการกับท่าน
เล่าปี่จึงตอบขงเบ้งว่า ซึ่งท่านจะไปเมืองกังตั๋งนั้น เกลือกขุนนางแลทหารจะคิดทำอันตรายแก่ท่าน ขงเบ้งจึงว่า แต่ตัวจิวยี่อยู่ข้าพเจ้ายังไปได้ไม่กลัว บัดนี้จิวยี่ตายแล้วจะเกรงผู้ใดเล่า แล้วขงเบ้งสั่งจูล่งให้คุมทหารห้าร้อย จัดแจงเครื่องเส้นไปด้วย ครั้นลงเรือไปถึงกลางทาง ได้ยินข่าวชาวบ้านรายทางบอกว่า ซุนกวนตั้งโลซกเปนขุนนางนายทหารผู้ใหญ่ว่าราชการแทนจิวยี่ แลศพจิวยี่นั้นซุนกวนให้รับไปเมืองฉสองกุ๋น ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ให้บ่ายเรือไป ณ เมืองฉสองกุ๋น
ฝ่ายโลซกรู้ข่าวว่าขงเบ้งมาถึงก็ลงไปเชิญขึ้นมา คำนับกันตามอย่างธรรมเนียม ทหารจิวยี่เห็นขงเบ้งมาก็แค้นใจคิดจะฆ่าขงเบ้ง แต่เห็นจูล่งถือกระบี่ติดตามอยู่จึงทำอันตรายไม่ได้ ขงเบ้งครั้นไปถึงศพจิวยี่ก็เส้นวักตามธรรมเนียม แล้วทำโศกเสร้าร้องไห้เปนอันมาก ฝ่ายทหารจิวยี่เห็นดังนั้นจึงเจรจากันว่า คนข้างนอกเล่าลือกันว่า ขงเบ้งกับจิวยี่เปนคนอริมิชอบกัน บัดนี้ขงเบ้งมาเส้นวักร้องไห้รักจิวยี่ฉนี้ก็เห็นว่าขงเบ้งมีใจสัตย์ซื่อต่อ จิวยี่อยู่ ไม่สมกับคำลือว่าเปนอริกัน โลซกดูขงเบ้งทำการโศกเสร้าแล้วร้องไห้ ก็พลอยสงสารด้วยขงเบ้ง แล้วคิดว่าขงเบ้งนี้น้ำใจอารีรอบคอบหามีความพยาบาทไม่ แต่ข้างจิวยี่เปนคนริษยาพยาบาทจนตัวตาย คิดดังนั้นแล้วให้แต่งโต๊ะเชิญขงเบ้งกินด้วยกัน แล้วขงเบ้งก็ลาโลซกกลับไป
ฝ่ายบังทองเห็นจึงเดิรมายุดชายเสื้อขงเบ้งหัวเราะแล้วว่า ท่านแกล้งทำกลอุบายให้จิวยี่มีความแค้นจนตาย แล้วมิหนำซ้ำมาแกล้งทำเปนเส้นวักเสร้าโศกร้องไห้รักจิวยี่อีกเล่า ทำการเยาะเย้ยดูถูกทั้งนี้เห็นว่าชาวบ้านกังตั๋งไม่มีผู้รู้เท่าท่านแล้ว หรือ
ขงเบ้งตกใจเหลียวมาเห็นบังทองเพื่อนสนิธก็คลายใจ จึงหัวเราะแล้วจูงมือกันลงไปนั่งณ เรือ สนทนากันด้วยความทุกข์ยากมาแต่หนหลัง แล้วขงเบ้งจึงเขียนหนังสือปิดตราให้ไว้แก่บังทองฉบับหนึ่ง จึงสั่งนอกหนังสือว่า ถ้าซุนกวนมิได้เอาท่านไว้ทำราชการ ไม่สมความคิดประการใดแล้ว ก็เชิญท่านไป ณ เมืองเกงจิ๋ว ช่วยกันทำราชการทำนุบำรุงเล่าปี่เถิด เบื้องหน้าไปเล่าปี่ก็จะได้เปนใหญ่ ไม่เสียทีท่านได้เรียนความรู้มาด้วยกัน ถ้าท่านไปข้าพเจ้ามิได้อยู่ก็ให้เอาหนังสือนี้ออกให้เล่าปี่เถิด บังทองก็รับว่าจะไป ขงเบ้งก็ลามา ณ เมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายโลซกก็ไปส่งศพจิวยี่ถึงตำบลบูอาว ฝ่ายซุนกวนให้จัดแจงสิ่งของไปเส้นศพจิวยี่ ก็ร้องไห้เสร้าโศกถึงจิวยี่เปนอันมาก แล้วจึงสั่งทหารให้แต่งการศพจิวยี่ตามบันดาศักดิ์ ฝังไว้ณที่เกิดจิวยี่ ซุนกวนจึงเอาจิวซุนจิวอิ๋นบุตรจิวยี่ทั้งสองมาเลี้ยงไว้ อยู่มาวันหนึ่งโลซกจึงว่าแก่ซุนกวนว่า ซึ่งตั้งข้าพเจ้าแทนที่จิวยี่นั้นคุณหาที่สุดมิได้ แต่สติปัญญาข้าพเจ้าน้อยนักรู้มิถึงราชการ ข้าพเจ้าจะขอไปเชิญผู้มีสติปัญญามาให้อยู่ด้วยท่านคนหนึ่งชื่อบังทอง กับข้าพเจ้าก็เปนเพื่อนกันมา เปนคนมีสติปัญญามาก เรียนความรู้ครูเดียวกันกับขงเบ้ง รู้ฤกษ์บนแลการแผ่นดิน ถึงขงเบ้งจิวยี่ก็ย่อมนับถืออยู่ เดิมบังทองอยู่เมืองซงหยง บัดนี้เข้ามาอยู่ ณ เมืองเรา
ซุนกวนได้ยินโลซกว่าก็ดีใจจึงว่า เราได้ยินชื่ออยู่ช้านานแล้ว จงไปเชิญมาเถิด โลซกก็ไปเชิญบังทองเข้าไปหาซุนกวนแล้วคำนับตามธรรมเนียม ซุนกวนจึงพิจารณารูปร่างแลลักษณบังทอง เห็นคิ้วใหญ่จมูกโด่งหน้าดำหนวดสั้น รูปนั้นวิปริตนักน้ำใจจึงไม่ยินดี ซุนกวนจึงถามบังทองว่า ความรู้ซึ่งท่านได้เรียนมานั้น เอาอันใดเปนหลักเปนที่ยึด บังทองจึงบอกว่า ซึ่งจะเปนหลักเปนที่ยึดนั้น สุดแต่การเปนประมาณ เมื่อการสิ่งใดมีมาจึงจะคิดต่อไป
ซุนกวนจึงถามว่า ปัญญาวิชาการท่านเรียนมากับจิวยี่ยังเปนกะไรกัน บังทองจึงตอบว่า ความรู้วิชาการข้าพเจ้าเรียนมาผิดกันกับจิวยี่มากนัก ซุนกวนนั้นยังนับถือจิวยี่อยู่ไม่ชอบน้ำใจจึงว่าแก่บังทองว่า เชิญท่านออกไปก่อนเถิด เมื่อมีราชการข้างหน้าไปจึงเชิญท่านมาคิดอ่าน บังทองได้ยินซุนกวนว่าดังนั้นทอดใจใหญ่แล้วก็ออกมา
โลซกครั้นเห็นบังทองออกไปแล้วจึงถามซุนกวนว่า เปนไรท่านไม่เอาบังทองไว้ทำราชการเล่า ซุนกวนจึงถามว่า เราพิเคราะห์ดูรูปร่างก็ไม่สมที่ว่ามีสติปัญญา แล้วพูดจาพลุ่มพล่าม ถึงเอาไว้ก็ไม่เห็นจะได้ราชการ โลซกจึงว่า เมื่อครั้งโจโฉยกทัพเรือลงมารบเมืองเราครั้งนั้น บังทองได้ช่วยจิวยี่แต่งกลอุบายไปลวงโจโฉ จิวยี่จึงได้เผาเรือแลทหารโจโฉตายเปนอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าบังทองมีความชอบอยู่ ขอท่านดำริห์จงควร
ซุนกวนจึงว่า โจโฉทำการครั้งนั้น เปนความคิดของโจโฉเอง จะเปนความคิดบังทองนั้นหาไม่ เราไม่ชอบใจไม่เอาไว้แล้ว โลซกจึงไปหาบังทองว่า เราช่วยว่ากล่าวอุดหนุนท่านก็หนักหนา ซุนกวนก็ไม่เอาท่านไว้ ท่านจงค่อยรักษาตัวอยู่พลางเถิด บังทองได้ยินโลซกว่าดังนั้น ก็ก้มหน้านิ่งเสียมิได้ตอบประการใด แต่ทอดใจใหญ่อยู่ โลซกจึงว่า เราเห็นกิริยาอาการท่านต่อจะไม่อยู่ในเมืองกังตั๋งแล้ว ท่านก็มีวิชาการประกอบทั้งปัญญา จงพิเคราะห์ดูเห็นว่าจะไปอยู่ทิศใดตำบลใดจะเปนประโยชน์แก่ท่านก็เชิญบอกเรา ให้แจ้งเถิด
บังทองได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า น้ำใจเราใคร่ไปอยู่ด้วยโจโฉ โลซกจึงว่า ท่านมีสติปัญญาดุจแก้วอันงาม ซึ่งจะไปอยู่ด้วยโจโฉนั้นเหมือนไปอยู่ในที่มืดที่ลับไม่สมควร ขอท่านไป ณ เมืองเกงจิ๋วอยู่ด้วยเล่าปี่ เห็นจะเปนประโยชน์แก่ท่าน บังทองจึงตอบว่า ความจริงในใจเราคิดเหมือนหนึ่งท่านว่า ที่เราว่าจะไปอยู่ด้วยโจโฉนั้นหากว่าลองใจท่านดู โลซกจึงว่ากะนั้นเราจะมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ใบหนึ่ง ฝากท่านไปให้ช่วยทำนุบำรุงเล่าปี่ หวังมิให้เล่าปี่กับซุนกวนนายเราเปนอริแหนงกันได้ทั้งสองฝ่าย จะได้พร้อมใจช่วยกันกำจัดโจโฉเสีย บังทองจึงว่าความคิดท่านเหมือนหนึ่งข้าพเจ้าคิดไว้ เชิญท่านเขียนหนังสือเถิด โถซกเขียนหนังสือให้บังทอง ๆ ก็รับเอาหนังสือแล้วไปเมืองเกงจิ๋วจะเข้าไปหาเล่าปี่
ขณะนั้นขงเบ้งไม่ได้อยู่ ไปชำระทุกข์ราษฎรณหัวเมืองสี่ตำบล นายประตูเข้าไปบอกเล่าปี่ว่า บังทองมาแต่เมืองกังตั๋งจะเข้ามาหา เล่าปี่ได้ฟังจึงว่า ได้ยินเล่าลือชื่อมาช้านานแล้วแต่ยังมิได้พบตัว ก็ให้เชิญบังทองเข้ามา ฝ่ายบังทองมิได้คำนับเล่าปี่โดยปรกติ เล่าปี่ก็พิจารณาดูลักษณเห็นรูปร่างวิปริต นํ้าใจไม่สู้ยินดีต่อ จึงแกล้งว่าแก่บังทองว่า ท่านมาหาเราแต่ทางไกล เราก็มิได้มีธุระสิ่งใด
บังทองเห็นเล่าปี่ไม่สู้นับถือก็คิดน้อยใจ มิได้เอาหนังสือของขงเบ้งโลซกออกให้เล่าปี่ดูแต่ตอบว่า ได้ยินลือว่าอาว์พระเจ้าเหี้ยนเต้เกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญาแลทหาร ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์มาหาท่าน เล่าปี่จึงว่า เมืองเกงจิ๋วนี้สงบราบคาบอยู่ จะเอาท่านไว้ด้วยก็ไม่ควร ยังแต่เมืองลอยเอี๋ยงอยู่ทิศตวันออกเฉียงเหนือ ทางไกลกับเมืองเกงจิ๋วสามร้อยเส้นยังหามีเจ้าเมืองไม่ เชิญท่านไปว่าที่อยู่ก่อนเถิด ถ้ามีที่อื่นชอบกลจึงจะให้เลื่อนขึ้นไป บังทองคิดแต่ในใจว่าเล่าปี่ดูถูกไม่นับถือ ครั้นจะสนทนาสำแดงให้เห็นสติปัญญาเล่าขงเบ้งก็มิได้อยู่ จำเปนจำใจรับแล้วก็ลาเล่าปี่ไป
ครั้นบังทองไปถึงเมืองลอยเอี๋ยงก็กินแต่เหล้าแล้วนอน ๆ ตื่นขึ้นแล้วกินเหล้ามิได้ว่าราชการ ชาวเมืองมาฟ้องแก่เล่าปี่ว่า บังทองเสพย์สุราทุกวันมิได้ว่ากิจการบ้านเมือง เล่าปี่ก็โกรธว่าบังทองเปนคนไม่ดี จะทำให้เราเสียการ แล้วสั่งเตียวหุยให้ไป ณ เมืองลอยเอี๋ยงสืบดูบังทอง ถ้าละราชการจริงเหมือนหนึ่งปากราษฎรมาร้องก็ให้เอาตัวมา แล้วกลับมีสติว่าเตียวหุยทำการสิ่งใดมักวู่วามนัก จึงให้ซุนเขียนไปด้วยช่วยดูผิดแลชอบ
เตียวหุยซุนเขียนกับทหารก็พากันไปถึงเมืองลอยเอี๋ยง เห็นแต่ทหารกับราษฎรชวนกันออกมารับนอกเมือง มิได้เห็นบังทองเจ้าเมืองออกมา เตียวหุยจึงถามว่า เจ้าเมืองไปไหนจึงไม่ออกมารับเรา ราษฎรทั้งปวงจึงบอกว่า เจ้าเมืองเสพย์สุราเมานอนอยู่ เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธนัก จึงสั่งทหารจะให้จับตัวบังทองมา ซุนเขียนจึงห้ามเตียวหุยว่า อย่าเพ่อหุนหันดูถูกเขาก่อน เราเข้าไปในเมืองเอาตัวมาไต่ถามดูให้รู้ผิดแลชอบ ถ้าสมจริงเหมือนหนึ่งปากราษฎรแล้วจึงทำโทษ เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงพากันเข้าไปศาลากลาง แล้วให้คนเข้าไปหาตัวบังทองออกมา คนใช้จึงเข้าไปเห็นบังทองยังเมาสุราอยู่ก็พยุงออกมานั่ง เตียวหุยเห็นบังทองเมาสุราดังนั้นก็โกรธจึงว่า พี่เราคิดว่าท่านเปนคนดีจึงให้มาเปนเจ้าเมือง เหตุใดมากินสุราแล้วละราชการบ้านเมืองเสีย บังทองจึงหัวเราะแล้วตอบว่า ท่านว่าเราละราชการบ้านเมืองเสียนั้นข้อใด
เตียวหุยจึงว่า ท่านมารักษาเมืองอยู่ถึงร้อยวันเศษ กินแต่สุรามิได้ตัดสินเนื้อความของราษฎร จนราษฎรไปฟ้อง บังทองจึงว่าเราเห็นเมืองก็น้อย ราชการก็น้อย ยากอะไรกับจะตัดสินเนื้อความเพียงนี้ เชิญท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะตัดสินเนื้อความของราษฎรให้ฟัง จึงให้คนใช้เอาข้อเนื้อความของราษฎรซึ่งฟ้องกล่าวโทษกันที่ค้างอยู่ ทั้งโจทจำเลยเปนหลายคู่มา บังทองจึงให้อ่านฟ้องแลคำโจทจำเลย ครั้นเสมียนอ่านข้อความไป บังทองก็รับฟ้อง ปากนั้นก็ว่ากล่าวตัดสิน มือจับพู่กรรณ์จดความไว้ด้วยรวดเร็วว่องไว ในครู่หนึ่งก็แล้วเสร็จมิได้ผิดแต่สักข้อหนึ่ง
ฝ่ายอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็สรรเสริญบังทองเปนอันมาก แล้วบังทองจึงว่าแก่เตียวหุยว่า ที่ท่านว่าเราละราชการเสียนั้น คือการอันใดเล่าก็ว่ามาเถิด เตียวหุยจึงว่าเนื้อความก็สิ้นแต่เท่านี้ บังทองจึงว่าความแต่เพียงนี้จะเปนไร ข้าพเจ้าจะว่าให้มิได้หรือ แต่หากว่ายังไม่สบายใจจึงมิได้ตัดสิน ถึงราชการโจโฉกับซุนกวนก็ดี เหมือนเราจับหนังสือชูไว้บนฝ่ามือ ถ้าเปิดพลิกดูเมื่อใดก็จะเห็นแจ้งสิ้น เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจแล้วว่าแก่บังทองว่า เล่าปี่กับข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าท่านมีสติปัญญาถึงเพียงนี้ คิดว่าท่านละราชการเสียจริง จึงใช้ข้าพเจ้ามาฟังดูจะได้ช่วยทำนุบำรุงท่าน ข้าพเจ้าจะเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งให้เล่าปี่ฟัง บังทองจึงเอาหนังสือซึ่งโลซกให้มาแก่เล่าปี่นั้นออกให้ซุนเขียนอ่านให้เตียว หุยฟัง
เตียวหุยแจ้งในหนังสือแล้วจึงถามว่า เมื่อมาพบเล่าปี่นั้นเปนไรมิให้เล่าปี่เล่า บังทองจึงว่า เมื่อแรกพบนั้นเล่าปี่ยังหารู้ว่าข้าพเจ้าดีชั่วไม่ ครั้นจะให้ดูหนังสือนั้น ก็เหมือนข้าพเจ้าแกล้งขอหนังสือมาเปนนายหน้าให้ผู้อื่นช่วยสรรเสริญข้าพเจ้า จึงมิให้ดู เตียวหุยจึงว่ากับซุนเขียนว่า ถ้าท่านมิขัดเราไว้เมื่อกี้ก็จะเสียความ ว่าเท่านั้นแล้วเตียวหุยซุนเขียนก็ลาบังทองไป ณ เมืองเกงจิ๋ว จึงเล่าเนื้อความให้เล่าปี่ฟังทุกประการ แล้วส่งหนังสือโลซกให้เล่าปี่ดูเปนใจความว่า บังทองคนนี้ได้รํ่าเรียนความรู้วิชาการเปนอันมาก แล้วก็มีสติปัญญาควรจะเปนที่ปรึกษาท่านได้ แม้จะดูแต่ลักษณรูปร่างภายนอกก็เห็นว่าไม่สมที่จะว่ามีความรู้วิชาการดี ข้าพเจ้าเสียดายบังทอง กลัวบังทองไปอยู่ด้วยผู้อื่นเสีย ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือให้บังทองมาหาท่าน
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นได้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ยังคิดตรึกตรองแคลงอยู่ พอทหารเข้าไปบอกว่าขงเบ้งกลับมาถึง เล่าปี่ก็ออกไปรับเข้ามา แล้วขงเบ้งจึงถามเล่าปี่ว่า บังทองมาอยู่นั้นเขาได้ความสบายอยู่หรือ เล่าปี่แกล้งบอกว่าบังทองมาหา เราก็ตั้งให้เปนเจ้าเมืองลอยเอี๋ยง แล้วละราชการเสียมิได้ว่ากล่าวกิจทุกข์สุขของราษฎร กินแต่สุราแล้วก็นอนเสีย ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นหัวเราะแล้วว่า บังทองคนนี้ได้เรียนวิชาการมีสติปัญญาเปนอันมาก ความรู้เขานั้นดีกว่าข้าพเจ้าสิบส่วนอีก ข้าพเจ้าได้ให้หนังสือมากับบังทองฉบับหนึ่งท่านได้เห็นแล้วหรือ เล่าปี่จึงบอกว่าวันนี้ได้เห็นแต่หนังสือโลซกให้มา หนังสือของท่านนี้ยังไม่แจ้ง
ขงเบ้งจึงว่า ท่านตั้งให้บังทองเปนเจ้าเมืองลอยเอี๋ยงซึ่งเปนเมืองน้อยนั้น ชรอยบังทองจะเห็นว่าไม่สมควร จึงแกล้งละราชการกินแต่เหล้าแล้วนอนเสีย เล่าปี่จึงว่า ถ้าเตียวหุยน้องเราไม่มาบอกก็จะเสียคนดีไปคนหนึ่ง แล้วก็สั่งเตียวหุยให้ไปเชิญบังทองมา เตียวหุยก็ไปเชิญบังทองมา ณ เมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ขงเบ้งก็ชวนกันออกไปรับบังทองถึงนอกประตู คำนับรับกันตามธรรมเนียมแล้ว เล่าปี่จึงว่าแก่บังทองว่า ข้าพเจ้าใจเบาไม่รู้เลยว่าท่านมีสติปัญญา ให้ท่านไปอยู่เมืองน้อยนั้นข้าพเจ้าขออภัยแก่ท่านเถิด แล้วพากันไปนั่ง บังทองจึงเอาหนังสือซึ่งขงเบ้งให้ไว้นั้นออกยื่นให้เล่าปี่ ๆ รับเอามาอ่านดูเปนใจความว่า ฮองซูผู้ชื่อว่าบังทองมาถึงวันไรก็ให้เล่าปี่เลี้ยงรักษาไว้จะได้ช่วยราชการ เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าเราลืมไปพึ่งระลึกได้ถึงคำสุมาเต๊กโชอาจารย์ได้ว่าไว้แก่เราว่า ฮกหลงผู้ชื่อว่าขงเบ้ง ฮองซูผู้ชื่อว่าบังทอง สองคนนี้ถ้าได้มาแต่คนหนึ่งจะปราบศัตรูแผ่นดินได้ บัดนี้เราก็ได้มาพร้อมกันทั้งสองคนแล้ว ควรที่จะทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้รุ่งเรืองสืบไป จึงตั้งบังทองให้เปนที่ปรึกษากับขงเบ้งด้วยกัน ช่วยฝึกสอนทหารให้ชำนาญในการสงคราม แลกิจการบ้านเมืองให้เปนสิทธิ์แก่ขงเบ้งบังทองว่ากล่าวทั้งสิ้น
ฝ่ายคนสอดแนมจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ว่า เล่าปี่ได้ขงเบ้งบังทองมาไว้เปนที่ปรึกษา แล้วเกลี้ยกล่อมซ่องสุมทหารแลสเบียงอาหารไว้เปนอันมาก เห็นจะประนอมกันเข้ากับซุนกวนจะยกมาทำอันตรายแก่ท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงให้หาที่ปรึกษาแลนายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาราชการที่ จะยกไปทิศใต้
ซุนฮิวจงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าเห็นจิวยี่พึ่งตาย ยังหามีนายทัพแลที่ปรึกษาไม่ ควรจะยกไปรบเอาเมืองซุนกวนเห็นจะได้โดยสดวก แล้วจึงยกไปตีเล่าปี่ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า เราจะยกทหารไปทางไกลเกรงเกลือกม้าเท้งรู้จะยกมาตีเอาเมืองฮูโต๋ เหมือนเมื่อคราวที่เรายกทัพเรือทหารแปดสิบสามหมื่นลงไปตีเมืองกังตั๋ง ครั้งนั้นก็ได้ยินเล่าลือมาว่า ม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงจะยกมาปล้นเอาเมืองฮูโต๋ เราจะคิดจัดแจงป้องกันเมืองไว้ก่อนจึงจะได้
ซุนฮิวจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าเกรงฉนั้นจำจะมีหนังสือพระเจ้าเหี้ยนเต้ลวงไปว่า ท่านเปนผู้รับสั่งตั้งม้าเท้งให้เลื่อนที่ขึ้นไปเปนนายทหารใหญ่จะให้ปราบ ปรามหัวเมืองฝ่ายใต้แลรบเอาเมืองซุนกวน แต่ให้หาตัวเข้ามาคิดราชการก่อน ครั้นมาถึงแล้วเราจับตัวฆ่าเสีย จึงยกไปรบเอาเมืองซุนกวนก็จะไม่มีกังวลทางหลัง โจโฉได้ฟังซุนฮิวว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้เขียนหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เหมือนคำซุนฮิวว่านั้น ให้ข้าหลวงถือไปให้ม้าเท้ง
ฝ่ายม้าเท้งเห็นหนังสือรับสั่ง ก็ให้ม้าเฉียวม้าฮิวม้าเทียดผู้ลูก ม้าต้ายผู้หลานมาปรึกษาว่า เดิมตังสินได้รับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้มาคิดอ่านกับเล่าปี่จะกำจัดโจโฉเสีย ตังสินทำการไม่ลับ โจโฉจับตังสินฆ่าเสีย เรากับเล่าปี่หนีมาได้ เรามาอยู่เมืองเสเหลียงนี้ก็เปนที่ลับอยู่ อนึ่งก็ได้ยินข่าวว่าเล่าปี่ไปตีเมืองเกงจิ๋ว เราก็คิดจะใคร่ไปหาแลช่วยทำนุบำรุงเล่าปี่ บัดนี้โจโฉให้มีรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้มาหาเรา ๆ จะคิดประการใด
ม้าเฉียวจึงว่า โจโฉถือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หา ครั้นมิไปจะว่าขัดรับสั่งจะเอาโทษภายหลัง จำจะไปตามรับสั่ง แต่เมื่อถึงเมืองหลวงแล้วเราดูท่วงทีก่อน ถ้าเห็นจะทำการได้ก็จะทำตามรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เมื่อครั้งเขียนอักษร ด้วยโลหิต ม้าต้ายผู้หลานจึงว่า โจโฉเปนคนมีความคิด กลัวว่าจะให้หาไปถึงแล้วจะทำร้ายแก่ท่าน ม้าเฉียวจึงว่า ข้าพเจ้าขอยกทหารไปเปนทัพหน้ารบเอาเมืองฮูโต๋ ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้เหมือนหนึ่งบิดาคิดไว้นั้น
ม้าเท้งจึงว่า เจ้าอย่าเพ่อวุ่นวายไปก่อน เราจะให้เจ้ากับหันซุยสหายเราอยู่รักษาเมืองเสเหลียง เรากับม้าฮิวม้าเทียดผู้บุตรม้าต้ายผู้หลานจะคุมทหารทั้งปวงยกไป ถ้ามีรับสั่งให้หาจริงก็ดีมิจริงก็ดีจะทำร้ายเราประการใด ก็จะคิดเกรงถึงตัวทั้งสองผู้อยู่รักษาเมือง ม้าเท้งจึงให้แบ่งทหารอยู่รักษาเมืองบ้าง แล้วก็คุมทหารห้าพันให้ม้าฮิวม้าเทียดเปนทัพหน้า ม้าต้ายเปนทัพหลังยกไปใกล้เมืองฮูโต๋ประมาณสองร้อยเส้นก็ตั้งทัพอยู่
ฝ่ายโจโฉรู้จึงสั่งอุยกุ๋ยให้ออกไปหาม้าเท้งแล้วบอกว่า ม้าเท้งยกทหารมาด้วยเปนอันมาก จะเข้ามาในเมืองนั้นให้แต่ตัวม้าเท้งกับทหารผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยน เต้ แลทหารทั้งปวงนั้นมาทางไกลเห็นจะขัดสนด้วยสเบียงอาหาร ให้หยุดอยู่แต่ภายนอกนั้นเถิด พรุ่งนี้จะเอาสเบียงไปส่งให้ อุยกุ๋ยก็รับคำโจโฉแล้วไปหาม้าเท้ง ก็คำนับกันแล้วชวนให้กินโต๊ะแลสุรา อุยกุ๋ยครั้นกินสุราเมาตึงตัวแล้วจึงว่า บิดาเราชื่ออุยอ๋วนตายเสียเมื่อครั้งลิฉุยกุยกียกเข้ามาทำร้ายถึงวังพระเจ้า เหี้ยนเต้ ครั้งนั้นใจข้าพเจ้ายังหาหายแค้นไม่ บัดนี้มาพบอ้ายศัตรูราชสมบัติอีกเล่า
ม้าเท้งจึงถามว่า ผู้ใดเปนศัตรูราชสมบัติ อุยกุ๋ยจึงว่าศัตรูราชสมบัติคือโจโฉนี้แหละ ท่านไม่รู้จักหรือจึงมาถามเรา ม้าเท้งคิดกริ่งใจว่าอุยกุ๋ยเปนพวกโจโฉเกลือกจะใช้มาลวงเอาความ จึงทำเปนตกใจว่าท่านอย่าเจรจา น้ำใจโจโฉหรือจะเปนดังนั้น ถ้ารู้ถึงโจโฉเราจะพากันตายเสีย อุยกุ๋ยจึงตวาดเอาม้าเท้งว่าท่านลืมไปแล้วหรือ เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เขียนพระอักษรออกมาด้วยพระโลหิตครั้งนั้น เราเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้เปนข้าโจโฉ ท่านอย่ากินแหนงเราเลย การสิ่งใดเราจะช่วยท่านคิด ม้าเท้งฟังอุยกุ๋ยเจรจาเหมือนน้ำใจเห็นไม่ล่อลวงแน่แล้ว ก็บอกการซึ่งคิดมาแต่หนหลังนั้นให้อุยกุ๋ยฟังทุกประการ
อุยกุ๋ยได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า อันโจโฉจะให้หาท่านเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไม่จริง ถ้าเข้าไปแล้วเขาจะจับฆ่าเสีย ท่านเร่งคิดแก้ไขจงดี ม้าเท้งจึงว่า ความคิดโจโฉนั้นจะทำประการใด ท่านอยู่เมืองเดียวกันก็แจ้งอยู่ ขอท่านคิดให้เถิดข้าพเจ้าจะทำตาม อุยกุ๋ยจึงว่า ซึ่งโจโฉจะหาท่านเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น ท่านจงบอกเข้าไปว่ามาแต่ทางไกลยังเหนื่อยบอบชํ้าอยู่ขอให้งดก่อน พรุ่งนี้โจโฉจะให้เอาสเบียงมาส่ง ดีร้ายตัวจะออกมาดูทหารท่านด้วย ถ้าโจโฉออกมาแล้วให้ท่านเร่งคิดการจับตัวฆ่าเสียให้จงได้
ม้าเท้งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงว่าการในเมืองนั้นท่านช่วยคิดแก้ไขเถิด การข้างนอกเมืองไว้ข้าพเจ้าจะคิดเอง ว่ากันแล้วอุยกุ๋ยก็ลาม้าเท้งไปบอกแก่โจโฉว่า ม้าเท้งมาทางไกลเห็นจะเหนื่อยอยู่ ซึ่งจะเข้ามาเฝ้านั้นขอให้งดก่อน บอกแล้วอุยกุ๋ยก็ลาโจโฉไป ณ เรือน ตรึกตรองซึ่งจะทำร้ายโจโฉนั้นกลัวจะไม่สำเร็จ เปนทุกข์ร้อนรำคาญใจนักอยู่
ฝ่ายเมียหลวงเห็นอุยกุ๋ยไม่สบาย จึงเข้าไปปลอบถามถึงสามครั้ง อุยกุ๋ยก็ไม่บอกประการใด ฝ่ายนางลิซุ่นเอี๋ยงเมียน้อยอุยกุ๋ยนั้น เปนชู้กันกับเบียวเต๊กน้องเมียหลวง เบียวเต๊กนั้นจะใคร่ได้นางลิซุ่นเอี๋ยงเปนเมีย แต่คอยหาความผิดอุยกุ๋ยเปนช้านานยังไม่สมคิด
ฝ่ายนางลิซุ่นเอี๋ยงเมียน้อย เห็นอุยกุ๋ยผู้ผัวกลับมาดูหน้าเห็นประหนึ่งโกรธอยู่ จึงเอาเนื้อความไปบอกแก่เบียวเต๊กผู้ชู้ว่า อุยกุ๋ยไปหาโจโฉปรึกษาราชการ แล้วกลับมาวันนี้เห็นกิริยาโกรธ แล้วทุกข์ร้อนไม่สบายไม่รู้เหตุประการใด เบียวเต๊กจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าอุยกุ๋ยออกไปหาม้าเท้งแล้วกลับมาไม่สบายดังนี้น่าที่จะมี ความลับ เจ้าจงอ้อนวอนปลอบถามดูให้ได้เนื้อความเถิด แล้วนางลิซุ่นเอี๋ยงก็ไป
ครั้นเวลาคํ่าอุยกุ๋ยไปหานางลิซุ่นเอี๋ยง ๆ ทำปฏิบัติตามประเพณี แล้วจึงกล่าวอุบายแก่อุยกุ๋ยว่า เล่าปี่เปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งใจทำราชการทำนุบำรุงแผ่นดินโดยสุจริต ข้างโจโฉเปนคนหยาบช้า ทำการหาตรงต่อแผ่นดินไม่ ตัวท่านก็มีสติปัญญาอยู่ เหตุใดจึงมาอยู่ด้วยโจโฉซึ่งเปนศัตรูราชสมบัติ
อุยกุ๋ยเสพย์สุราเมา ไม่ทันพิเคราะห์หลงด้วยกลแห่งสตรีจึงบอกว่า ตัวเจ้าเปนหญิงยังรู้จักผิดแลชอบ ตัวข้าเปนชายก็รู้อยู่ว่าโจโฉเปนศัตรูราชสมบัติ แต่มาวิตกว่าความคิดซึ่งจะทำร้ายโจโฉนั้นกลัวจะไม่สำเร็จ นางลิซุ่นเอี๋ยงทำเปนอ้อนวอนว่า ความคิดท่านจะทำประการใดจึงจะฆ่าโจโฉได้โปรดบอกให้แจ้งด้วย ข้าพเจ้าเปนหญิงแม้เห็นผิดแลชอบประการใดจะได้ช่วยเตือนสติท่านบ้าง อุยกุ๋ยไม่ทันคิดก็เล่าเนื้อความซึ่งคิดไว้กับม้าเท้งนั้นให้นางลิซุ่นเอี๋ ยงฟังทุกประการ ครั้นอุยกุ๋ยนอนหลับแล้ว นางลิซุ่นเอี๋ยงก็มาบอกแก่เบียวเต๊ก ๆ ก็รีบเข้าไปบอกแก่โจโฉในเวลากลางคืน โจโฉก็ให้คุมเบียวเต๊กไว้ แล้วให้ไปจับตัวอุยกุ๋ยกับบุตรภรรยามาจำไว้สิ้น
โจโฉจึงเรียกโจหองเคาทูซิหลงแฮหัวเอี๋ยนมากระซิบบอกเนื้อความซึ่งเบียว เต๊กฟ้องอุยกุ๋ยนั้นให้ฟัง แล้วสั่งว่าพรุ่งนี้เวลาเช้าท่านแต่งตัวให้เหมือนเรา เอาธงแดงสำคัญของเราแห่นำไป แล้วให้เคาทูเปนปีกขวา ให้แฮหัวเอี๋ยนเปนปีกซ้าย โจหองเปนกองหลวง ซิหลงเปนกองหนุน ยกออกไปตั้งท้องสนามนอกเมือง ให้ทำอาการเหมือนเราจะยกไป ม้าเท้งไม่ทันรู้จะสำคัญว่าเรายกออกไปก็จะเข้ามาตามสัญญาอุยกุ๋ย ท่านจึงจุดประทัดสัญญาให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ล้อมม้าเท้งไว้จับมาให้ได้ โจหองกับทหารทั้งปวงก็ยกออกไปตั้งอยู่ตามสั่งทุกประการ
ฝ่ายม้าเท้งครั้นเวลาเช้าก็จัดแจงทหารยกออกมาจากค่ายเข้าไปใกล้เมืองฮู โต๋ เห็นทหารออกมามีธงแดงปักอยู่ก็ดีใจ สำคัญว่าโจโฉยกมาเหมือนอุยกุ๋ยว่า ม้าเท้งก็ขับม้ายกทหารตรงเข้าไป ครั้นใกล้ได้ยินเสียงประทัดแล้วเห็นทหารพวกธงแดงเอาเกาทัณฑ์ระดมยิง โจหองก็ควบม้าตรงออกมา ม้าเท้งตกใจชักม้ากลับจะหนี พอเคาทูซิหลงแฮหัวเอี๋ยนยกทหารเข้าล้อมไว้ ม้าเท้งกับม้าฮิวม้าเทียดก็ฟันฝ่าออกมาถูกเกาทัณฑ์ทั้งสามนายตกม้าลง แต่ม้าเทียดนั้นตาย ทหารทั้งปวงก็รุมกันเข้าจับม้าเท้งม้าฮิวมัดเข้าไปให้โจโฉ ๆ จึงเอาตัวอุยกุ๋ยออกมาถามสอบกันกับม้าเท้ง อุยกุ๋ยก็ไม่รับ จึงว่าข้าพเจ้าจะได้คบคิดกับม้าเท้งทำร้ายมหาอุปราชนั้นหามิได้ แล้วว่าแก่ม้าเท้งว่า ท่านอย่าวิตกตัวเรามิได้มีความผิดสิ่งใด โจโฉจึงให้เอาตัวเบียวเต๊กมาถามต่อหน้าอุยกุ๋ย เบียวเต๊กยืนคำอยู่ โจโฉจึงถามอุยกุ๋ยกับม้าเท้งต่อไป อุยกุ๋ยม้าเท้งก็จนอยู่ในคำพูดเบียวเต๊กหมด
ม้าเท้งโกรธด่าอุยกุ๋ยว่า อ้ายคนหลงทำให้เสียการของกูไป ถึงตัวกูจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่มาคิดน้อยใจว่าจะล้างศัตรูราชสมบัติเสีย ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขก็ไม่สมความคิด โจโฉก็ให้ทหารเอาตัวม้าเท้งม้าฮิวกับอุยกุ๋ยไปฆ่าเสีย ม้าเท้งก็ด่าโจโฉมิได้ขาดคำจนทหารลงดาบฟันถึงแก่ความตาย โจโฉจึงว่าแก่เบียวเต๊กว่า ท่านมีความชอบต่อเราเปนอันมาก ท่านจะปราถนาสิ่งใดเราจะให้ท่าน เบียวเต๊กจึงว่า ข้าพเจ้าจะได้รักยศฐาศักดิ์นั้นหามิได้ ข้าพเจ้าจะขอแต่นางลิซุ่นเอี๋ยงภรรยาน้อยอุยกุ๋ยมาเปนภรรยา
โจโฉจึงว่า นางลิซุ่นเอี๋ยงเปนคนชั่วไม่รู้จักคุณสามี พี่เขยของท่านก็ตายเพราะปากมัน ซึ่งท่านจะเลี้ยงมันเปนภรรยานั้นไม่ควร เบียวเต๊กได้ฟังดังนั้นกลัวโจโฉจะฆ่านางลิซุ่นเอี๋ยงเสีย จึงเล่าเนื้อความซึ่งเปนชู้กับนางลิซุ่นเอี๋ยงนั้นให้โจโฉฟังทุกประการ
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวเปนน้องภรรยาเขา บังอาจทำชู้กับภรรยาน้อยของพี่เขย แล้วคิดอ่านล้างชีวิตเขาเสียด้วยประสงค์หญิงผู้เดียว ตัวเปนคนมิได้มีสัตย์กตัญญู ถ้าเราจะไม่เอาโทษบัดนี้ คนทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างสืบไป โจโฉก็ให้ทหารเอาตัวเบียวเต๊กแลพรรคพวกพี่น้องเบียวเต๊กไปฆ่าเสียพร้อมกัน กับภรรยาแลสมัคพรรคพวกอุยกุ๋ย แล้วโจโฉจึงประกาศเกลี้ยกล่อมทหารม้าเท้งว่า ม้าเท้งกับม้าฮิวกระทำความผิดคิดคดต่อเรา ๆ ฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงเปนทหารมิได้รู้เห็นด้วย ถ้าจะสมัคเข้าด้วยเราก็เข้ามาเถิด เราก็จะชุบเลี้ยงตามสมควร แล้วมีหนังสือไปกำชับทางด่านทั้งปวงว่า ม้าเท้งเปนขบถเราฆ่าเสียทั้งพ่อลูกแล้ว ยังแต่ม้าต้ายผู้หลาน ให้นายด่านทั้งปวงคิดอ่านจับตัวมาให้เราจงได้จะได้ปูนบำเหน็จ
ฝ่ายม้าต้ายคุมทหารพันหนึ่งยกหนุนม้าเท้งมาถึงเมืองฮูโต๋ พบทหารม้าเท้งหนีมาได้เล่าเนื้อความทั้งนั้นให้ม้าต้ายฟัง ม้าต้ายแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงแต่งตัวเปนลูกค้าหนีกลับไปเมือง
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 47
https://drive.google.com/file/d/1A66y53IFMVwve6HLA_awJW20eHsEIGMr/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #7 on:
23 December 2021, 09:34:36 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 48
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-48.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 48
เนื้อหา
• โจโฉเกณฑ์กองทัพจะไปตีเมืองกังตั๋ง
• ซุนกวนขอให้เล่าปี่ช่วย
• เล่าปี่มีหนังสือให้ม้าเฉียวยกมารบโจโฉ
• ม้าเฉียวกับหันซุยยกมารบกับโจโฉ
• ม้าเฉียวได้เมืองเตียงฮันแลด่านตงก๋วน
• โจโฉตัดหนวด
• ม้าเฉียวรบกับเคาทู
• ม้าเฉียว หันซุยเสียกลโจโฉ
• โจโฉตีทัพม้าเฉียวแตก
ฝ่าย โจโฉครั้นฆ่าม้าเท้งเสียแล้ว ก็คิดอ่านจะยกกองทัพไปรบซุนกวนกับเล่าปี่ พอทหารไปสืบข่าวราชการกลับมาบอกโจโฉว่า เล่าปี่จัดแจงทหารจะยกไปรบเมืองเสฉวน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแม้เล่าปี่ไปตีได้เมืองเสฉวนแล้ว ก็จะซ่องสุมรี้พลแลสเบียงอาหารไว้เปนอันมาก เราจะยกไปทำการกับเล่าปี่เห็นจะขัดสน ตันกุ๋ยที่ปรึกษาจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้อนั้นมหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่ง ให้ซุนกวนกับเล่าปี่ผิดใจกันมิให้ทำการประนอมกัน จะให้เมืองทั้งสองเปนสิทธิ์อยู่ในท่าน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงถามว่า ท่านจะคิดทำกลอุบายประการใด ตันกุ๋ยจึงว่า ทุกวันนี้เล่าปี่กับซุนกวนเปนเกี่ยวดองประนอมใจกันอยู่ท่านจึงทำการขัดสน บัดนี้เล่าปี่จะยกทหารไปตีเมืองเสฉวนแล้ว ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารไปบัญจบกันกับเตียวเลี้ยว ณ เมืองหับป๋ายกไปตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็จะให้ไปขอกองทัพเล่าปี่มาช่วย ฝ่ายเล่าปี่จัดแจงทหารจะไปตีเมืองเสฉวนอยู่ก็จะไม่ให้กองทัพมาช่วย เราก็จะได้เมืองกังตั๋งโดยง่าย เมื่อได้เมืองกังตั๋งแล้ว เราจึงยกไปตีเมืองเกงจิ๋วเมืองเสฉวน ได้แล้วแผ่นดินเราก็จะราบคาบเปนสุขสืบไป
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงว่ากลอุบายอันนี้ดีนัก ต้องความคิดเราทุกประการ จึงเกณฑ์ทหารสิบหมื่นให้ยกไปเมืองหับป๋า แล้วสั่งไปว่าให้เตียวเลี้ยวซึ่งอยู่รักษาเมืองจัดแจงสเบียงอาหารยกบัญจบกัน ไปตีเมืองกังตั๋ง เราจะเกณฑ์ทหารหนุนไปอีก ทหารทั้งปวงก็ลาโจโฉยกไปถึงเมืองหับป๋าจึงเข้าไปหาเตียวเลี้ยว บอกเนื้อความตามโจโฉสั่งทุกประการ เตียวเลี้ยวก็จัดแจงทหารสเบียงเตรียมพร้อมไว้จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายม้าใช้ก็เอาเนื้อความไปบอกแก่ซุนกวน ๆ จึงหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉให้เตียวเลี้ยวเปนแม่ทัพจะยกมาตีเมืองเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านป้องกันเปนประการใด เตียวเจียวจึงว่า ขอท่านให้โลซกแต่งหนังสือไปเมืองเกงจิ๋วขอกองทัพเล่าปี่มาช่วย เล่าปี่เปนน้องเขยท่าน แล้วโลซกก็มีคุณต่อเล่าปี่อยู่ เห็นเล่าปี่จะไม่ขัด จะยกมาช่วยทำการศึก ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ทหารไปหาโลซก ณ เมืองฉสองกุ๋น ให้โลซกมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ ครั้นเล่าปี่แจ้งในหนังสือ จึงให้ทหารไปเชิญตัวขงเบ้ง ณ เมืองลำกุ๋นมา แล้วเอาหนังสือนั้นมาให้ขงเบ้งดู
ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่ง ทหารเมืองเราก็ไม่ให้ยกไปช่วยซุนกวน ทหารซุนกวนก็ไม่ต้องให้รบโจโฉ เมืองกังตั๋งก็จะให้อยู่เย็นเปนสุข มิให้โจโฉล่วงดูหมิ่นเราได้ แล้วขงเบ้งจึงสั่งผู้ถือหนังสือว่า ท่านกลับไปบอกซุนกวนเถิดว่าอย่าวิตกเลย ให้ซุนกวนกับชาวเมืองกังตั๋งนอนหลับตาให้เปนสุขเถิด แม้กองทัพโจโฉยกมาถึงเมืองกังตั๋งเมื่อใด เราจะรับอาสาเปนธุระเอง ผู้ถือหนังสือก็ลาเล่าปี่ขงเบ้งกลับมาบอกซุนกวน
ฝ่ายเล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า บัดนี้โจโฉเกณฑ์ทหารบัญจบกันทั้งสองหัวเมือง เปนคนถึงห้าสิบหมื่นยกมาจะตีเมืองกังตั๋ง แลท่านว่าไปแก่ซุนกวนนั้น กลอุบายของท่านจะทำประการใด ขงเบ้งจึงว่า แต่ก่อนมาชาวเมืองฝ่ายเหนือโจโฉเกรงอยู่แต่ทหารเมืองเสเหลียง บัดนี้โจโฉฆ่าม้าเท้งเสียแล้ว ยังแต่ม้าเฉียวผู้บุตรคุมทหารรักษาเมืองเสเหลียง ก็จะมีใจเจ็บแค้นยกไปแก้แค้นโจโฉอยู่ ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงม้าเฉียวให้เร่งยกทหารไปตีเมืองฮูโต๋ กองทัพโจโฉก็จะเลิกกลับไป เล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามขงเบ้งว่า แล้วให้คนสนิธถือรีบไปให้แก่ม้าเฉียว ณ เมืองเสเหลียง
ฝ่ายม้าเฉียวเวลากลางคืนวันนั้นนอนหลับสนิธ ฝันว่านอนอยู่กลางคืนมีเสือฝูงหนึ่งเข้ามารุมกัด ความกลัวจนตัวสั่น ม้าเฉียวตกใจตื่นขึ้นจึงหาที่ปรึกษาทั้งปวงมาทำนายฝัน บังเต๊กจึงว่าอันลักษณะฝันนี้ร้ายนัก บิดาท่านซึ่งยกไปเมืองฮูโต๋นั้นเห็นจะมีอันตรายเปนมั่นคง ว่าไม่ทันขาดคำพอม้าต้ายมาถึงเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วว่าถึงตัวข้าพเจ้านี้โจโฉก็จะฆ่าเสียด้วย หากว่าข้าพเจ้าแปลงตัวเปนลูกค้ารีบมาทั้งกลางวันกลางคืนจึงพ้นอันตราย
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ล้มสลบลงกับที่ ทหารทั้งปวงช่วยกันเข้าแก้ฟื้นขึ้น ม้าเฉียวคิดแค้นนักกัดฟันแล้วว่า กูจะแก้แค้นอ้ายโจโฉให้จงได้ พอทหารเล่าปี่เอาหนังสือเข้ามาให้ม้าเฉียว เปนใจความว่าหนังสือเล่าปี่อวยพรมาถึงม้าเฉียว ด้วยโจโฉเปนอุปราชอยู่ในเมืองฮูโต๋คิดทำการหยาบช้าต่าง ๆ จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน เนื้อความทั้งนี้เจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว อนึ่งเมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระอักษรด้วยพระโลหิตให้ตังสินนั้น บิดาเจ้ากับเราก็ได้ลงชื่อร่วมคิดกันว่าจะทำการกำจัดโจโฉให้ได้ บัดนี้เราแจ้งว่าบิดาเจ้าทำการเสียทีแก่โจโฉจนสิ้นชีวิตก็มีความน้อยใจนัก ตัวเจ้าก็เปนชาติทหาร เห็นจะมีใจเจ็บแค้นแทนบิดาอยู่ แม้เจ้าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋แก้แค้นเมื่อใด เราจะยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วไปช่วยกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ จะได้ทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนสุข
ม้าเฉียวแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว คิดแค้นโจโฉนัก ครั้นค่อยคลายโศกแล้ว จึงเขียนหนังสือตอบไปให้เล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋ว ม้าเฉียวก็จัดแจงกะเกณฑ์ทหารจะยกไปเมืองฮูโต๋ พอทหารมาบอกว่าหันซุยให้เชิญตัวท่านไป ม้าเฉียวก็ไปหาหันซุยณตึก หันซุยจึงบอกม้าเฉียวว่า โจโฉให้หนังสือมาถึงเราว่า ให้จับเจ้าสองคนพี่น้องจำส่งขึ้นไป ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉจะตั้งเราเปนเจ้าเมืองเสเหลียง
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นคำนับกราบลงแล้วจึงว่า ท่านกับบิดาข้าพเจ้าก็เปนสหายรักใคร่กันนัก บัดนี้โจโฉก็ฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสียแล้ว ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ท่านจงเห็นแก่บิดาข้าพเจ้าเถิด หันซุยจึงว่าบิดาเจ้ากับเราก็รักใคร่กันนัก ซึ่งโจโฉฆ่าบิดาเจ้าเสียนั้นเราก็มีใจเจ็บแค้นอยู่ แม้เจ้าจะยกไปรบเมืองฮูโต๋แก้แค้นเมื่อใดเราก็จะไปด้วย
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็คำนับด้วยความยินดี หันซุยก็ให้เอาตัวทหารโจโฉซึ่งถือหนังสือมานั้นฆ่าเสียต่อหน้าม้าเฉียว แล้วม้าเฉียวกับหันซุยก็จัดแจงทหาร ให้เฮาชวนเทียนหงันลิขำเตียวเหงเลียงหินเซงหงีแปออนเอียวฉิวแปดนายคุมทหารไป กับหันซุยกองหนึ่ง ตัวม้าเฉียวกับม้าต้ายบังเต๊กคุมทหารยี่สิบหมื่นกองหนึ่ง ครั้นได้ฤกษ์ม้าเฉียวกับหันซุยก็ยกกองทัพไปเมืองฮูโต๋
ขณะเมื่อถึงด่านเมืองเตียงอั๋น จงฮิวเจ้าเมืองก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือบอกไปแจ้งข้อราชการแก่โจโฉ แล้วยกทหารออกตั้งนอกเมือง ครั้นม้าต้ายคุมทหารห้าพันเปนกองหน้ายกมาถึงเข้า จงฮิวก็ควบม้าเข้ารบกับม้าต้ายได้เพลงหนึ่ง จงฮิวสู้ม้าต้ายไม่ได้ก็ควบม้าพาทหารกลับหนีเข้าเมืองแล้วก็จัดแจงทหารให้ ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เปนสามารถ ม้าเฉียวหันซุยยกมาถึงก็ขับทหารเข้าล้อมเมืองเตียงอั๋นไว้ถึงสิบวัน ก็มิได้เห็นผู้ใดยกทหารมารบพุ่ง ครั้นจะยกทหารเข้าโจมตี ก็เห็นจงฮิวให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นคงอยู่
บังเต๊กจึงว่าแกม้าเฉียวว่า เมืองเตียงอั๋นนี้เปนเมืองใหญ่ ค่ายคูประตูหอรบก็มั่นคง เปนเมืองพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งอยู่ก่อน เราจะมานิ่งล้อมอยู่ฉนี้ก็ป่วยการไพร่พลนัก อนึ่งแม้โจโฉยกกองทัพมาทัน ตั้งรบกระหนาบเราเข้า เราจะมิขัดสนเสียหรือ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่ง ให้ได้เมืองเตียงอั๋นโดยง่าย ด้วยบัดนี้ไพร่พลในเมืองเตียงอั๋นก็ขัดสนสเบียงอาหารอยู่แล้ว ขอให้ท่านถอยกองทัพออกไปซุ่มอยู่ให้ไกลเมือง ให้คนในเมืองออกหาสเบียงอาหาร ข้าพเจ้าจึงจะคิดอ่านปลอมเข้าไปในเมืองแล้วจะจุดเพลิงสัญญาขึ้นเปิดประตู เมืองรับท่าน ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ครั้นเวลาคํ่าก็ให้เอาธงสำคัญไปบอกเลิกทหารทั้งปวงให้ถอยทัพออกไปตั้งอยู่ ไกลเมืองตามคำบังเต๊กว่า
ฝ่ายทหารแลราษฎรเมืองเตียงอั๋นนั้นขัดสนด้วยสเบียงอาหารน้ำแลฟืนนัก เพราะพื้นที่เมืองเตียงอั๋นนั้นเปนดินแล้ง ถึงจะขุดบ่อให้ลึกสักเท่าใดก็ไม่ได้น้ำ แต่หากว่าไว้ใจด้วยกองทัพโจโฉจะยกมาช่วย จึงอุตส่าห์รักษาเมืองนั้นไว้ได้ ครั้นเวลาเช้าเห็นกองทัพม้าเฉียวเลิกไปก็มีความยินดีนัก แต่จงฮิวนั้นคิดสงสัยเกรงว่าจะเปนกลศึก จึงให้ทหารออกไปสอดแนมดูก็มิได้พบกองทัพ จงฮิวจึงเปิดประตูให้ชาวเมืองทั้งปวงออกหาสเบียงอาหารประมาณห้าวัน บังเต๊กกับทหารซึ่งสนิธก็ปลอมเปนคนหาฟืนเข้าไปได้ในเมืองเตียงอั๋น ม้าเฉียวก็กลับยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้ดังเก่า จงฮิวเห็นดังนั้นก็ปิดประตูเมืองให้ทหารประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้
ฝ่ายบังเต๊กครั้นเวลาสามยามก็เอาเพลิงจุดขึ้นในเมืองข้างทิศด้านตวันตก จงจิ๋นน้องจงฮิวซึ่งคุมทหารรักษาประตูด้านนั้น ครั้นเห็นเพลิงติดโพลงขึ้นก็ตกใจ จึงควบม้าลงมาจะดับเพลิง บังเต๊กเห็นดังนั้นก็ควบม้าสกัดหน้าจงจิ๋นไว้ แล้วร้องว่าเราชื่อบังเต๊ก เข้ามาอยู่ในเมืองนี้แล้วท่านรู้หรือไม่ จงจิ๋นได้ฟังดังนั้นไม่ทันจะรับอาวุธ บังเต๊กก็เอาดาบฟันจงจิ๋นตกม้าตาย ทหารซึ่งรักษาหน้าที่นั้นก็แตกหนีไปสิ้น บังเต๊กก็ฟันกุญแจเปิดประตูออกรับม้าเฉียวเข้าไปในเมือง
ฝ่ายจงฮิวคุมทหารรักษาเมืองอยู่ด้านตวันออก เห็นเพลิงติดขึ้นทหารแตกตื่นกันวุ่นวาย รู้ว่าม้าเฉียวกับหันซุยเข้าเมืองได้ ก็ตกใจพาทหารออกจากเมืองหนีไปตั้งอยู่ด่านตงก๋วน แล้วให้ทหารรีบเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ฝ่ายม้าเฉียวหันซุยได้เมืองเตียงอั๋นแล้ว ก็ปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วก็รีบยกตามจงฮิวไป ณ ค่ายตงก๋วน
ฝ่ายโจโฉคิดจะยกไปเมืองกังตั๋ง ครั้นรู้ว่าม้าเฉียวยกกองทัพมาตีเมืองเตียงอั๋นก็จัดแจงทหารจะยกไปช่วย พอทหารมาบอกว่า ม้าเฉียวหันซุยได้เมืองเตียงอั๋นแล้ว จัดแจงทหารจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ บัดนี้จงฮิวเจ้าเมืองเตียงอั๋นก็หนีมาอยู่ ณ ด่านตงก๋วน
โจโฉจึงว่า เดิมเราคิดจะยกทัพหลวงไปตีเมืองกังตั๋ง บัดนี้ม้าเฉียวทำบังอาจยกทัพล่วงเข้ามาตีเอาเมืองเรา จำเราจะกำจัดม้าเฉียวเสียก่อน แล้วก็ให้หาโจหองผู้น้องกับซิหลงมาสั่งว่า เจ้าจงคุมทหารหมื่นหนึ่งไปช่วยจงฮิวรักษาด่านตงก๋วนไว้ ถ้ากองทัพม้าเฉียวมาถึงก็ให้รักษาด่านมั่นไว้อย่าให้เปนอันตรายได้ในสิบวัน แม้ด่านตงก๋วนเสียแก่ม้าเฉียว เราจะเอาตัวเปนโทษ ถ้าพ้นสิบวันแล้วก็ตามเถิด โจหองกับซิหลงก็รับคำลาโจโฉรีบยกทหารไปณด่านตงก๋วน
โจหยินจึงว่าแก่โจโฉว่า โจหองเปนเด็กหนุ่ม ทั้งน้ำใจก็ดื้อดึง ไม่มีพิเคราะห์เหตุการณ์ว่าหนักแลเบา ซึ่งท่านให้ไปรักษาด่านตงก๋วนนั้นเห็นจะเปนอันตรายเสียเปนมั่นคง โจโฉเห็นด้วย จึงให้โจหยินคุมทหารยกตามโจหองไป แล้วโจโฉก็ยกทหารตามไปภายหลัง
ฝ่ายม้าเฉียวยกมาถึงด่านตงก๋วนก็ให้ทหารเข้าล้อมด่านไว้ โจหองกับซิหลงจงฮิวก็เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาเชิงเทินด่านไว้ มิได้ยกออกรบพุ่ง ม้าเฉียวจึงให้ทหารเข้าไปยืนร้องด่าโจโฉเปนคำหยาบช้า ลำเลิกถึงสามชั่วโคตร โจหองได้ยินดังนั้นก็โกรธ จะยกทหารออกรบกับม้าเฉียว ซิหลงจึงห้ามว่า ซึ่งม้าเฉียวให้ทหารมาร้องว่ากล่าวหยาบช้าทั้งนี้หวังจะให้เราเจ็บแค้น ท่านจงอดเอาเถิด อย่าออกรบพุ่งเลย ยับยั้งอยู่ท่าแต่พอทัพหลวงยกมาถึง มหาอุปราชจะคิดอ่านประการใด เราจึงค่อยทำตาม โจหองก็เห็นชอบด้วย
ฝ่ายม้าเฉียวก็เกณฑ์ทหารให้เปลี่ยนกันเข้าไปร้องด่าโจโฉทั้งกลางวันกลาง คืนมิได้ขาด ฝ่ายโจหองโกรธนักก็เกณฑ์ทหารจะออกรบ ซิหลงจึงห้ามว่า มหาอุปราชสั่งเรามาว่า ให้รักษาด่านมั่นไว้ในสิบวันอย่าให้เปนอันตราย บัดนี้ก็ได้เก้าวันแล้ว ท่านจงอดใจเสียอิกวันหนึ่งเถิด โจหองได้ฟังคิดเกรงใจซิหลงก็นิ่งอยู่ ซิหลงก็ไปจัดแจงสเบียงจะแจกทหาร ครั้นซิหลงไปแล้ว โจหองขึ้นดูบนเชิงเทิน เห็นทหารม้าเฉียวเรี่ยรายกัน บ้างนั่งนอนหาเปนกระบวรทัพไม่ โจหองก็คุมทหารสามพันเปิดประตูยกออกจากด่าน ทหารม้าเฉียวซึ่งเรี่ยรายกันอยู่นั้นก็วิ่งหนี โจหองควบม้าไล่ตามไป ซิหลงรู้ดังนั้นก็ตกใจ พาจงฮิวคุมทหารยกตามโจหองออกไป ครั้นทันเข้าจึงร้องเรียกโจหองให้กลับ พอม้าเฉียวยกทหารต้านหน้าไว้ โจหองก็ควบม้าหนีจะเข้าด่าน พอพบม้าต้ายยกทหารสกัดรบออกมาข้างหลังเข้าทางขวามือ บังเต๊กยกสกัดรบออกทางข้างหลัง แล้วล้อมโจหองกับซิหลงเข้าไว้ โจหองกับซิหลงเห็นเหลือกำลังนักก็ทิ้งด่านตงก๋วนเสีย พาทหารฟันฝ่าออกจากที่ล้อมหนีไป บังเต๊กก็ควบม้าไล่ตามไปพอพ้นด่านตงก๋วน พบโจหยินยกทหารมาช่วยโจหองซิหลง ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ยกตามไปพาเอาตัวบังเต๊กกลับมาเข้าอยู่ในด่านตงก๋วน
ฝ่ายโจหองซิหลงโจหยินจงฮิวก็พาทหารยกไปทางวันหนึ่งพบกองทัพโจโฉยกมา โจหองซิหลงโจหยินเข้าไปหาโจโฉ ๆ จึงว่าแก่โจหองว่า เมื่อเราจะให้ตัวยกทหารมานั้นก็ได้กำชับไว้ว่า ให้ตั้งมั่นรักษาด่านไว้อย่าให้เปนอันตรายในสิบวัน เหตุใดตัวจึงทิ้งด่านตงก๋วนเสียให้ข้าศึกได้ใจ โจหองจึงว่า เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่รักษาด่านนั้น ก็ให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นคงอยู่ จะได้ทำล่วงเกินคำมหาอุปราชนั้นหามิได้ แต่ม้าเฉียวให้ทหารเข้ามาด่าหยาบช้าลำเลิกโคตรตระกูลต่าง ๆ ข้าพเจ้าคิดแค้นนักอดไม่ได้ จึงยกออกรบกับม้าเฉียว ซึ่งข้าพเจ้าดูหมิ่นประมาทให้การเสียไปนั้นโทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว ตามแต่มหาอุปราชจะโปรด
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า โจหองเปนเด็กหนุ่มความคิดน้อย เราก็ไม่ไว้ใจ จึงให้ซิหลงเปนผู้ใหญ่มาด้วย หวังจะให้ช่วยเตือนสติว่ากล่าวดูผิดแลชอบ ควรหรือนิ่งให้เสียการของเราได้ ซิหลงจึงว่า เมื่อม้าเฉียวให้ทหารมาว่ากล่าวหยาบช้านั้น โจหองโกรธจะยกทหารออกรบ ข้าพเจ้าได้ห้ามปรามเปนหลายครั้ง เมื่อโจหองออกรบกับม้าเฉียวนั้น ข้าพเจ้าสารวลจะแจกเข้าปลาทหารอยู่ ครั้นรู้ก็ตกใจกลัวโจหองจะเสียทีแก่ม้าเฉียว จึงยกทหารตามออกไปช่วยจนเสียการทั้งนี้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งให้ทหารเอาตัวโจหองไปฆ่าเสีย ขุนนางแลนายทัพนายกองทั้งปวงจึงว่า ยังจะทำการศึกกับม้าเฉียวครั้งนี้เปนการใหญ่จะเอาฤกษ์อยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะฆ่าน้องเสียนั้นเห็นไม่ชอบ ขอให้ยกโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน โจโฉเห็นชอบด้วยก็ให้คาดโทษโจหองไว้ แล้วก็รีบยกทัพไปด่านตงก๋วน ครั้นใกล้ถึงด่านทางยี่สิบเส้นโจหยินจึงว่าแก่โจโฉว่า เราจะยกทหารบุกรุกเข้าไปบัดนี้ ม้าเฉียวจะทำกลล่อลวงไว้ประการใดก็มิได้แจ้ง ขอให้หยุดกองทัพตั้งมั่นฟังกำลังศึกดูทีหนึ่งก่อน แล้วจึงยกเข้าไปตีด่านตงก๋วนก็จะได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงหยุดทหารตั้งค่ายมั่นอยู่สามค่าย ให้โจหยินอยู่รักษาค่ายขวา ให้แฮหัวเอี๋ยนอยู่ค่ายซ้าย ตัวโจโฉอยู่ค่ายกลาง แล้วเกณฑ์ทหารที่มีฝีมือจะให้ยกเข้าตีด่านตงก๋วน
ฝ่ายม้าเฉียวเห็นโจโฉยกมาตั้งค่ายดังนั้นก็ยกทหารออกจากด่าน เห็นทหารโจโฉจะยกเข้ามา ม้าเฉียวก็ควบม้าออกยืนอยู่หน้าทหาร โจโฉขึ้นม้าออกมายืนอยู่หน้าค่าย เห็นทหารม้าเฉียวล่ำสันสามารถเข้มแขงเสมอทุกตัวคน แล้วเห็นม้าเฉียวห่มเกราะเงิน ใส่หมวกขาว ขี่ม้าถือทวนออกมายืนหน้าทหารรูปร่างคมสัน ไหล่ผายเอวกลมหน้าขาวปากแดง สมควรเปนนายทหารเอก แล้วเห็นบังเต๊กยืนม้าอยู่ข้างขวา ม้าต้ายอยู่ซ้าย โจโฉจึงคิดว่า ม้าเฉียวนี้ไม่เสียทีเปนชาติทหาร จะเข้าสู่สงครามก็งามเปนสง่าคมสันนัก โจโฉก็ควบม้าเข้าไปใกล้แล้วร้องว่าแก่ม้าเฉียวว่า ตัวท่านก็เปนเชื้อขุนนางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินอยู่ เหตุใดจึงคิดขบถยกทัพมาฉะนี้
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ กัดฟันแล้วร้องด่าโจโฉว่า อ้ายโจรศัตรูราชสมบัติ มึงทำการหยาบช้าดูหมิ่นพระเจ้าเหี้ยนเต้ โทษมึงก็ผิดเปนอันมาก ควรจะสับให้ละเอียดเหมือนสับสุกรทำบะอ๋วนจึงจะชอบ แล้วมึงฆ่าบิดากับน้องกูเสีย กูก็มีความแค้นนัก จะจับตัวมึงเคี้ยวเนื้อสูบเลือดกินเสียทั้งเปนให้จงได้ แล้วก็ควบม้าเข้าไปใกล้จะจับตัวโจโฉ อิกิ๋มเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับม้าเฉียวได้ยี่สิบเพลง อิกิ๋มสิ้นกำลังลงก็ควบม้าหนี ลิกองก็ควบม้าเข้ารบกับม้าเฉียวได้เก้าเพลง ม้าเฉียวเอาทวนแทงถูกลิกองตกม้าตาย แล้วม้าเฉียวก็เรียกทหารให้ฟันตลุมบอนเข้าไปในกองทัพโจโฉ ทหารโจโฉก็แตกกระจัดกระจายกัน ม้าเฉียวขับให้ทหารฟันเข้าไป แล้วร้องสั่งทหารว่าให้จับตัวโจโฉจงได้ ทหารทั้งปวงก็สั่งกันต่อไปว่า อ้ายใส่เกราะแดงนั้นโจโฉคนร้ายให้จับเอาตัวมันจงได้ โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ถอดเกราะทิ้งเสียควบม้าหนีปนไปกับทหารเลว เหล่าทหารม้าเฉียวร้องว่า อ้ายหนวดยาวนั้นและโจโฉ ให้จับตัวจงได้ โจโฉก็เอากระบี่ตัดหนวดทิ้งเสีย แล้วได้ยินทหารม้าเฉียวร้องว่า โจโฉตัดหนวดเสียแล้ว ให้จับตัวอ้ายหนวดสั้นตัดใหม่นั้นจงได้ โจโฉก็เอาแพรชายธงห่อคางแล้วควบม้าหนีไป ม้าเฉียวก็ควบม้าไล่ โจโฉเหลียวมาเห็นม้าเฉียวเข้าก็ตกใจพลัดตกจากหลังม้าวิ่งเข้าไปแอบต้นไม้ อยู่ ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้าไปเอาทวนแทงโจโฉ ๆ หลบได้วิ่งหนีเข้าป่า ทวนนั้นปักต้นไม้อยู่ ครั้นม้าเฉียวชักทวนออกได้ก็ไล่ตามโจโฉใกล้จะถึงค่าย โจหองเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับม้าเฉียวได้ห้าสิบเพลง แฮหัวเอี๋ยนเห็นโจหองอิดโรยกำลังลง กลัวจะเสียทีแก่ม้าเฉียวก็ควบม้าเข้าช่วย ม้าเฉียวไล่เกินทหารไปแต่ผู้เดียวไม่ไว้ใจก็ควบม้ากลับมาด่านตงก๋วน โจโฉก็กลับเข้าค่าย กำชับทหารทั้งปวงให้รักษาค่ายมั่นไว้ มิได้ออกรบม้าเฉียว แล้วก็ยกความชอบโจหอง ให้บำเหน็จรางวัลเปนอันมาก
ฝ่ายม้าเฉียวก็จัดแจงทหารยกออกจากด่านจะไปรบเอาค่ายโจโฉ เห็นโจโฉรักษาค่ายมั่นอยู่มิได้ยกทหารออกสู้รบ ม้าเฉียวจึงเกณฑ์ทหารให้ผลัดกันไปร้องด่าโจโฉตรงหน้าค่ายทุกวันมิได้ขาด ทหารโจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ ต่างคนก็จะยกออกรบกับม้าเฉียว
โจโฉจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งม้าเฉียวให้มาร้องว่ากล่าวหยาบช้าฉนี้หวังจะให้เจ็บแค้น ครั้นเราจะยกทหารออกรบพุ่งบัดนี้ ก็เหมือนหนึ่งแพ้กลม้าเฉียว ท่านทั้งปวงจงช่วยกันป้องกันรักษาค่ายไว้ให้มั่นคงเถิด ซึ่งจะคิดอ่านเอาชัยชนะนั้น ไว้เปนธุระเราเอง แม้ผู้ใดไม่ฟังเรา ขืนยกออกรบกับม้าเฉียวเราจะตัดสีสะเสีย
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ลาโจโฉลุกออกมา จึงพูดกันว่า แต่ก่อนมหาอุปราชจะเข้าสู่สงครามก็องค์อาจ ออกหน้าทหารมิได้ครั่นคร้ามผู้ใด มาบัดนี้เห็นขยาดกลัวฝีมือม้าเฉียวนักอยู่ จนม้าเฉียวให้คนมาร้องด่าถึงหน้าค่ายก็นิ่งเสียได้ อยู่สามวันทหารไปสอดแนมข่าวราชการมาบอกโจโฉว่า บัดนี้ทหารม้าเฉียวยกมาอีกสองหมื่น โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า แต่เมืองเสเหลียงจะมาถึงด่านตงก๋วนก็เปนทางไกลขัดสนกันดารนัก ม้าเฉียวมีกำลังกล้าหาญเข้มแขงก็จริง แต่เปนเด็กหนุ่มความคิดน้อย ยังหาเคยทำการใหญ่ไม่ แล้วก็ยังไม่ชำนาญที่จะผ่อนปรนเอาใจทหารทั้งปวง นานไปสเบียงอาหารขัดสนลง เห็นทหารทั้งปวงจะเอาใจออกหากสิ้น เราก็จะได้ทำการถนัด โจโฉจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งทหารม้าเฉียวหนุนมาอีกสองหมื่นนั้นเราก็มีความยินดีนัก จะคิดอ่านเอาชัยชนะให้จงได้
ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งทหารมาบอกโจโฉว่า ทหารม้าเฉียวหนุนมาอีกเปนอันมาก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า การสงครามครั้งนี้เราหมายชนะถ่ายเดียว แล้วก็แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแลนายทัพนายกองทั้งปวง ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น ทหารทั้งปวงคิดถึงการสงครามซึ่งโจโฉขยาดม้าเฉียวก็ยิ้มในใจ โจโฉแกล้งถามประชดหวังจะลองความคิดทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ท่านทั้งปวงหัวเราะเยาะในใจ สำคัญว่าเราจะแพ้ฝีมือม้าเฉียวสิ้นความคิดอยู่แล้ว ก็ความคิดท่านทั้งปวงจะทำประการใดที่จะได้ชัยชนะก็จงเร่งบอกมาให้เราแจ้ง
ซิหลงจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชตั้งมั่นรักษาค่ายนี้ก็ดีอยู่แล้ว บัดนี้ม้าเฉียวตั้งอยู่ในด่านตงก๋วนก็มีใจกำเริบ หาคิดอ่านป้องกันระวังทางหลังไม่ ขอให้มหาอุปราชแต่งทหารยกอ้อมไปตัดทางสเบียงตีกระหนาบหลังลงมา ให้ม้าเฉียวพะวงหลัง แล้วเราจึงยกทหารเข้าตีเอาด่านตงก๋วนก็จะได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงแกล้งว่าซิหลง หวังจะมิให้คนทั้งปวงดูหมิ่นว่า ๆ พลอยความคิดเขา ว่าความคิดซึ่งท่านว่านี้ต้องกับความคิดเราแต่หาสู้ลึกไม่ เราคิดไว้ลึกกว่านี้ เราจะให้ท่านกับจูเหลงคุมทหารสี่พันลอบยกอ้อมไป เห็นป่าแลเขาอันใดเปนทางชอบกลก็ให้ตั้งซุ่มอยู่ เราจึงจะยกอ้อมไปทางทัพเรือเข้าตีเอาด่านตงก๋วน ท่านจงยกทหารตีกระหนาบลงมา ซิหลงกับจูเหลงก็รับคำลาโจโฉคุมทหารยกไป โจโฉก็ให้โจหยินคุมทหารอยู่ป้องกันรักษาค่าย แล้วก็พาโจหองยกทหารอ้อมไปตั้งต่อเรือรบณแม่นํ้าฮุยโหข้างทิศตวันออกด่านตง ก๋วน
ฝ่ายม้าเฉียวแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่หันซุยทหารทั้งปวงว่า บัดนี้โจโฉไปตั้งต่อเรือรบหวังจะยกมาตีเราทางเรือ แม้เรายกทหารข้ามฟากไปสกัดทางสเบียงเสียได้ โจโฉก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง หันซุยจึงว่า ซึ่งจะยกทหารไปสกัดทางสเบียงนั้นเห็นไม่ชอบ เพราะเปนหว่างกองทัพโจโฉอยู่ เราคอยให้โจโฉข้ามฟากมาแล้ว เจ้าจงอ้อมไปตีสกัดหลัง เราจะคุมทหารต้านหน้าไว้ โจโฉก็จะระส่ำระสาย ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารไปคอยสอดแนมกองทัพโจโฉ ว่าจะเข้าตีเอาด่านตงก๋วนเมื่อใด
ฝ่ายโจโฉครั้นต่อเรือรบสำเร็จแล้ว ก็จัดแจงทหารลงเรือรบเปนสามกองจะยกข้ามฟากไป ทหารสอดแนมก็เอาเนื้อความมาบอกม้าเฉียว ๆ ก็เกณฑ์ทหารออกซุ่มสกัดคอยอยู่ ครั้นกองทัพโจโฉถึงฝั่ง โจโฉกับทหารพันหนึ่งขึ้นบกจัดแจงจะตั้งค่าย ม้าเฉียวก็ลงเรือรบอ้อมสกัดหลังเข้าไป ทหารโจโฉทั้งปวงซึ่งยังไม่ถึงฝั่งก็แตกกระจัดกระจายกันไป ซึ่งอยู่บนบกก็วิ่งหนีลงเรือ โจโฉมิได้แจ้งว่าข้าศึกจะมาทางเหนือแลทางใต้ประการใด จึงยกกระบี่ขึ้นห้ามหวังจะเอาใจทหารทั้งปวงว่า อย่าตื่นกันวุ่นวายไป เราอยู่นี่แล้วจะกลัวอันใด
ฝ่ายม้าเฉียวเห็นโจโฉนั่งดูให้ทหารตั้งค่ายอยู่บนตลิ่ง ก็แอบเรือเข้าขึ้นบกขี่ม้าไล่ฟันเข้าไปในหมู่ทหารโจโฉ ทหารทั้งปวงก็วิ่งวุ่นวายร้องว่าม้าเฉียวมาแล้ว เคาทูเห็นม้าเฉียวไล่ฟันทหารเข้ามา ยังอีกห้าสิบวาจะถึงตัวโจโฉก็ตกใจ โดดเข้าอุ้มเอาโจโฉลงเรือ มือซ้ายถือหางเสือ มือขวาคํ้าเรือออกจากฝั่ง ทหารทั้งปวงก็ตกใจวิ่งกลุ้มเข้ายุดเรือโจโฉไว้แล้วร้องว่า มหาอุปราชช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วย
เคาทูเห็นม้าเฉียวใกล้เข้ามา ก็ชักกระบี่ออกฟันทหารมือขาดสีสะขาด ถอยเรือออกจากฝั่งไกลประมาณสามวา พอม้าเฉียวมาถึงริมฝั่ง โจโฉเห็นม้าเฉียวก็ตกใจตัวสั่นวิ่งเข้าแอบเคาทู ๆ ก็รีบแจวเรือไป ม้าเฉียวก็ให้เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงไปดังห่าฝน เคาทูเห็นดังนั้นกลัวเกาทัณฑ์จะถูกโจโฉ จึงเอาเบาะม้าคลุมตัวโจโฉไว้ แล้วเอากระบี่คอยปัดป้องกันตัวข้ามฟากลอยลงไปทางเมืองอุยหลำ เต๋งฮุยเจ้าเมืองอุยหลำก็มารับโจโฉขึ้นไป พอม้าเฉียวลงเรือรบตามมาถึงเมืองอุยหลำ ก็ยกทหารขึ้นบกจะเข้าตีชิงเอาตัวโจโฉ เต๋งฮุยเจ้าเมืองอุยหลำเห็นดังนั้นจึงคิดว่า ทหารม้าเฉียวยกมาแต่เมืองเสเหลียงก็ช้านาน อดสเบียงอาหารสดคาวอยู่ จำกูจะคิดกลอุบายให้กองทัพม้าเฉียวช้าลงโจโฉจึงจะหนีพ้น ก็เปิดประตูต้อนฝูงโคกระบือออกจากเมืองเปนอันมาก ฝ่ายทหารม้าเฉียวก็ชวนกันจับโคกระบือฆ่ากินเปนอาหาร มิได้ยกติดตามโจโฉไป
ฝ่ายโจโฉครั้นถึงค่ายอุยโห เห็นเหล็กปลายเกาทัณฑ์ติดเกราะเคาทูอยู่เปนอันมาก จึงว่าครั้งนี้แม้เรามิได้เคาทูที่ไหนเราจะมีชีวิตกลับมาถึงค่าย ทหารทั้งปวงได้ยินโจโฉว่าดังนั้น ก็ชวนกันคำนับกราบลงกับตีนโจโฉ ๆ จึงหัวเราะ ว่าเราทำศึกครั้งนี้หาควรที่จะเสียทีแก่อ้ายโจรลูกเด็กไม่ หากว่าเคาทูช่วยแก้ไขเราจึงได้รอดชีวิตมา เคาทูได้ฟังดังนั้นจึงว่า เมื่อข้าพเจ้ากับท่านขึ้นบกได้นั้น ม้าเฉียวคุมทหารตามมา เต๋งฮุยทำกลอุบายปล่อยฝูงโคกระบือออกต้านหน้าไว้ ม้าเฉียวจึงมิได้ยกตามมาทัน
ขณะนั้นเต๋งฮุยมาถึง โจโฉจึงว่าแก่เต๋งฮุยว่า ท่านช่วยคิดอ่านแก้ไขเราให้พ้นมือโจรครั้งนี้ ท่านมีความชอบแก่เราเปนอันมาก แล้วก็ตั้งเต๋งฮุยให้เปนเตียนกุ๋ยเฮาฮุย แปลภาษาไทยว่าเปนขุนนางสนิธสำหรับปรึกษาราชการ เต๋งฮุยจึงว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้ม้าเฉียวมีใจกำเริบยกกลับไปแล้ว เวลาพรุ่งนี้เห็นจะยกทหารมาทำการอีก มหาอุปราชจงคิดกลอุบายไว้แก้แค้นมันเถิด
โจโฉจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย อันการข้อนั้นเราคิดไว้สำเร็จแล้ว โจโฉจึงเกณฑ์ทหารให้ขุดดินตั้งสนามเพลาะรอบค่าย นอกค่ายนั้นให้ขุดลึกสองวา แล้วให้ปักขวากในคู บนปากคูนั้นให้เอาไม้ตีแตะปู แล้วให้เอาดินเกลี่ยกลบมิให้เห็นแตะ หวังจะลวงให้ทหารม้าเฉียวตกลงในคูนั้น แล้วให้ทหารในค่ายปักธงเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้ให้พร้อม
ฝ่ายม้าเฉียวกลับไปถึงค่ายบอกแก่หันซุยว่า ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้มีชัยชนะแทบจะจับตัวโจโฉได้ มีทหารคนหนึ่งรูปร่างล่ำสันสามารถอุ้มลงเรือหนีไปได้ หันซุยจึงว่า ทหารโจโฉมีฝีมืออยู่สองคนแต่เตียนอุยกับเคาทู บัดนี้เตียนอุยก็ตายแล้ว ซึ่งเข้าแก้โจโฉครั้งนี้เห็นจะเปนเคาทู ๆ คนนี้มีกำลังแลฝีมือดีกว่าทหารทั้งปวง เหมือนหนึ่งเสืออันร้าย เจ้าพบมันเข้าจะรบพุ่งอย่าประมาทระวังจงดี ม้าเฉียวจึงว่า เคาทูคนนี้ข้าพเจ้าได้ยินชื่ออยู่นานแล้ว แต่พึ่งได้เห็นครั้งนี้
หันซุยจึงว่า บัดนี้โจโฉหนีข้ามฟากไปอยู่ ณ ค่ายอุยโหแล้ว ข้าคิดว่าจะยกไปรบอย่าให้ทันตั้งมั่นลงได้ ถ้าช้าอยู่โจโฉตั้งค่ายมั่นลงได้แล้ว เห็นเราจะทำการขัดสน เจ้าอยู่ภายหลังจงระวังรักษาด่านแลทางหลังไว้ให้มั่นคง เกลือกโจโฉจะยกทหารอ้อมมาตัดทางสเบียงเรา ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นเห็นด้วย จึงว่าอันความคิดบิดานี้ชอบนัก จะยกไปก็ตามเถิด ซึ่งค่ายแลทางหลังนั้นข้าพเจ้าจะรักษาป้องกันมิให้เปนอันตราย แม้โจโฉจะยกข้ามฟากมา ข้าพเจ้าจะยกทหารออกสกัดต้านไว้มิให้ข้ามมาได้ แล้วม้าเฉียวก็ให้บังเต๊กคุมทหารห้าหมื่นเปนทัพหน้าไปด้วยหันซุย ๆ ก็ยกทหารข้ามไปค่ายอุยโห
ฝ่ายโจโฉรู้ว่ากองทัพม้าเฉียวยกมาดังนั้น จึงจัดให้คนแก่ออกรักษาสนามเพลาะอยู่นอกค่ายแล้วสั่งว่า ถ้าแม้ทหารม้าเฉียวบุกรุกเข้ามา ก็ให้ทำเปนหนีล่อให้ไล่ถลำข้ามคูเข้ามาจงได้ แล้วสั่งทหารเกาทัณฑ์เตรียมตัวอยู่ในค่าย
ฝ่ายหันซุยครั้นยกไปถึง บังเต๊กเห็นทหารโจโฉรักษาค่ายนั้นเบาบางก็ยกทหารเข้าโจมตี ทหารซึ่งรักษาสนามเพลาะอยู่นั้นก็ทำล่อหนีให้ไล่ บังเต๊กกับทหารเห็นได้ทีก็ไล่รุกเข้าไปตกลงในคู โจโฉให้โจเอ๋งคุมทหารออกล้อม ไล่ฟันทหารบังเต๊กตายในคูประมาณสองร้อยเศษ กับเตียวหัวเทงหงินนายทหาร ตัวบังเต๊กนั้นใส่เกราะเหล็กจึงมิได้มีอันตราย โจนขึ้นจากคูได้ เห็นโจเอ๋งขี่ม้าถือทวนอยู่ บังเต๊กวิ่งตรงเข้าไปเอาดาบฟันโจเอ๋งตกม้าตาย แล้วก็โดดขึ้นหลังม้าพาหันซุยกับทหารทั้งปวงฟันฝ่าออกมาจากที่ล้อมจะกลับไป ค่ายตงก๋วน โจโฉก็ยกทหารไล่ตามไป
ฝ่ายม้าเฉียวคอยหันซุยเห็นช้าพ้นกำหนด กลัวหันซุยจะเสียที ก็ยกทหารข้ามฟากตามไป พอถึงฝั่งเห็นโจโฉไล่หันซุยมา ก็ยกทหารขึ้นแก้พาเอาตัวหันซุยกับบังเต๊กลงเรือข้ามมาด่านตงก๋วน ม้าเฉียวจึงว่ากับหันซุยว่า โจโฉมีสติปัญญาลึกซึ้ง ครั้นจะนิ่งไว้นานไปเห็นจะทำการยาก จำเราจะยกทหารเร่งรัดไปปล้นค่ายโจโฉเสียให้ได้ในเวลาคํ่าวันนี้จึงจะชอบ หันซุยได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยจึงจัดแจงให้ม้าเฉียวคุมทหารเปนทัพหน้า บังเต๊กกับม้าต้ายเปนกองหลัง ตัวหันซุยคุมทหารห้ากองเปนสาระวัดดูผิดแลชอบ รีบยกข้ามฟากไปแต่ในเวลากลางวัน ครั้นถึงฝั่งก็ให้ทหารขึ้นซุ่มเตรียมตัวพร้อมกันอยู่ในป่า เวลาคํ่าจึงจะยกเข้าปล้นค่ายโจโฉ
ฝ่ายโจโฉได้ชัยชนะหันซุยยกกลับเข้าค่ายแล้ว จึงเรียกเคาทูมาสั่งว่า ม้าเฉียวมันมาทำบังอาจรบพุ่งเราทั้งนี้ เพราะมันไม่ให้เราตั้งตัวได้ เวลาวันนี้มันเสียทีเราไปเห็นจะมีใจเจ็บแค้นยกมาปล้นค่ายเราเปนมั่นคง ท่านจงจัดแจงทหารออกไปซุ่มรายกันไว้นอกค่าย เวลาคํ่าวันนี้แม้ม้าเฉียวยกเข้ามาปล้นค่ายเราจะจุดประทัดสัญญาขึ้น จงให้ทหารที่ซุ่มอยู่นั้นล้อมกระหนาบหลังระดมเข้ามา เห็นเราจะจับตัวม้าเฉียวได้เปนมั่นคง เคาทูก็รับคำไปจัดแจงไว้พร้อมตามโจโฉสั่งทุกประการ
ฝ่ายม้าเฉียวครั้นเวลาคํ่า จึงให้เซงหงีกับทหารสามพันลอบเข้าไปสอดแนมดู ณ ค่ายโจโฉ ว่าตระเตรียมการไว้เปนประการใด ม้าเฉียวกับบังเต๊กจึงยกทหารตามไปภายหลัง เซงหงีกับทหารสามพันไปถึงค่ายโจโฉเห็นเงียบสงัด มิได้เห็นทหารเตรียมตัวตรวจตะเวนกันก็มีความยินดีนัก จึงพาทหารม้าสามสิบข้ามสนามเพลาะเข้าไป โจโฉเห็นดังนั้นก็จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารซึ่งซุ่มอยู่นอกค่ายนั้นก็ล้อมเข้ามา แฮหัวเอี๋ยนก็ขึ้นม้าถือทวนออกมาจากค่าย พบเซงหงีขี่ม้าเข้ามา แฮหัวเอี๋ยนก็เอาทวนแทงเซงหงีตกม้าตาย แล้วก็ไล่ฆ่าฟันทหารเซงหงีแตกตื่นกันวุ่นวาย ม้าเฉียวกับบังเต๊กซึ่งตามไปภายหลังรู้ดังนั้นก็แยกกันเปนสามกอง ฟันฝ่าทหารโจโฉเข้าไปช่วยกัน แลทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ ถ้อยทีมิได้เสียกัน ต่างคนต่างก็ถอยเข้าค่าย
ม้าเฉียวก็แต่งให้ทหารออกปล้นค่ายโจโฉทุกวัน โจโฉก็ตรวจตราให้รักษาค่ายซึ่งตั้งอยู่ริมตำบลแม่น้ำอุยโหนั้นเปนกวดขัน จึงให้ทำสะพานเปนสามเส้นข้ามแม่น้ำไป ให้เดิรตลอดช่วยกันได้กับค่ายโจหยิน ม้าเฉียวแจ้งดังนั้น ก็สั่งให้ทหารมีคบเพลิงทุกคน บัญจบด้วยทหารหันซุยยกเข้าตีค่ายโจโฉแตก ให้เอาเพลิงจุดเผาเสียสิ้น ทหารโจโฉต้านทานมิได้ก็หนีออกจากค่ายพลัดพรายกันไป ม้าเฉียวหันซุยให้ทหารทั้งปวงตั้งค่ายมั่นลงณที่ค่ายเก่าโจโฉ ๆ แตกออกมาทางประมาณห้าสิบเส้น เห็นม้าเฉียวให้ตั้งค่ายลงในที่ค่ายเก่าของตัวดังนั้น ครั้นจะตั้งค่ายรับก็มิทัน จึงให้ทหารขุดดินปั้นก้อนขึ้นตั้งเปนสนามเพลาะเข้ารักษาอยู่
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่ม้าเฉียว ๆ ก็คุมทหารยกมาถึงหน้าสนามเพลาะโจโฉ ๆ รู้ดังนั้นก็ขึ้นม้าออกมายืนอยู่หน้าค่ายกับเคาทู จึงร้องว่ากับทหารม้าเฉียวว่า ให้บอกแก่นายท่านว่าเราออกมาคอยอยู่ที่นี่แต่ผู้เดียว ให้ม้าเฉียวออกมาเราจะเจรจาด้วย ม้าเฉียวได้ยินโจโฉร้องมาดังนั้นก็ขับม้าออกมายืนตรงหน้าโจโฉ ๆ จึงร้องว่า ท่านเห็นฝีมือเราหรือไม่ คิดว่าเผาค่ายเราเสียได้แล้วจะไม่มีค่ายอยู่หรือ แต่ทำครู่เดียวก็ได้ดังเทพดามานฤมิตรให้ ซึ่งท่านจะต่อสู้นั้นที่ไหนจะมีชัยชนะแก่เรา จงเร่งคำนับเสียเถิด
ม้าเฉียวขัดใจก็ขับม้าสอึกเข้าไปจะจับเอาตัวโจโฉ พอเหลือบเห็นเคาทูถือทวนถลึงตาเขม้นอยู่ข้างหลังก็ตกใจชักม้าหยุดไว้ คิดว่าทหารโจโฉคนหนึ่งชื่อเคาทูลือฝีมือว่าเข้มแขงนัก จะเปนคนนี้หรือมิใช่ จึงถามว่าทหารเสือของท่านชื่อใดอยู่ไหน เคาทูได้ยินจึงขับม้าขึ้นมาแล้วบอกว่า ตัวเรานี้แลทหารเสือชื่อเคาทู ท่านจะทำไมเราหรือ ม้าเฉียวแลเห็นเคาทูรูปร่างทมิฬน่ากลัวขับม้าออกมาดังนั้น มิได้ว่าประการใด ก็ชักม้ารีบกลับเข้าค่าย
โจโฉกลับเข้ามาจึงว่าแก่เคาทูว่า ม้าเฉียวนี้ก็รู้ว่าท่านเปนทหารเสือกลัวฝีมือท่านอยู่ เคาทูจึงว่า เวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะขอออกรบด้วยม้าเฉียว จะจับเอาตัวมาให้ได้ โจโฉจึงว่า อันม้าเฉียวนี้เขาก็เข้มแขง ท่านอย่าประมาท เคาทูจึงว่า แม้ข้าพเจ้าจับตัวม้าเฉียวมิได้ก็จะขอตายเสียในกลางสงคราม เคาทูก็ให้คนถือหนังสือไปถึงม้าเฉียวแต่ในเวลากลางคืน ว่ารุ่งเช้าให้ม้าเฉียวออกมารบกับเรา ม้าเฉียวเห็นหนังสือก็โกรธ จึงว่าเคาทูนี้เจรจาโอหังดูหมิ่นเรานัก ฝีมือจะเปนกระไรมา เวลาพรุ่งนี้เราจะยกทหารออกจับเอาตัวให้จงได้
ครั้นเวลารุ่งเช้า เคาทูแลม้าเฉียวก็ยกทหารออกจากค่าย เมื่อประทะกันเข้า ม้าเฉียวจึงขับม้าออกหน้าทหารทั้งปวงชูทวนขึ้นร้องว่า ผู้ใดเปนทหารเสือนั้นจงออกมาสู้กัน โจโฉยืนม้าอยู่หน้าทหารจึงว่า ม้าเฉียวมีกำลังมากนัก กับลิโป้ก็เหมือนกัน พอโจโฉว่ายังมิทันขาดคำ เคาทูขับม้าออกต่อสู้กับม้าเฉียว ๆ กับเคาทูสู้กันได้ร้อยเพลง มิได้เพลี่ยงพลํ้ากันทั้งสองฝ่าย ม้าก็อ่อนลง ถ้อยทีถ้อยชักม้ากลับเข้ามาในกองทหาร แล้วผลัดม้าเสียใหม่ ต่างคนต่างออกไปรบกันได้อีกร้อยเพลง
แลเมื่อเคาทูออกไปรบกับม้าเฉียวเปนคำรบที่สองนั้น มีโทโสเปนกำลัง ถอดเกราะเสียออกไปตัวเปล่า ทหารทั้งปวงเห็นนายมีกำลังกํ้ากึ่งกันถ้อยทีมิได้ย่อท้อดังนั้น ก็ชวนกันโห่ร้องเอิกเกริกทั้งสองฝ่าย แลม้าเฉียวกับเคาทูสู้กันได้อีกสามสิบเพลง เคาทูโกรธเปนกำลัง ฟันด้วยง้าวผ่าลงมา ม้าเฉียวหลบหน้าได้ปัดด้วยปลายทวน แล้วแทงถูกอกเคาทู ๆ ทิ้งง้าวเสียฉวยยุดเอาทวนได้ ถ้อยทีถ้อยชิงกัน ทวนหักสบั้นออกได้คนละท่อน ตีกันตลุมบอนอยู่บนหลังม้า โจโฉเห็นดังนั้นก็กลัวว่าเคาทูจะเสียทีเพลี่ยงพลํ้า จึงให้แฮหัวเอี๋ยนโจหองสองนายขับม้าออกกระหนาบช่วยเคาทู
ฝ่ายบังเต๊กกับม้าต้ายเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ามาช่วยม้าเฉียว ทหารทั้งสองข้างก็เข้ารบพุ่งกันเปนอลหม่าน ทหารม้าเฉียวยิงเกาทัณฑ์ถูกหลังเคาทูติดอยู่สองดอก ทหารโจโฉเห็นดังนั้นก็แตกหนีเข้าค่าย ม้าเฉียวได้ทีก็ขับทหารไล่รบพุ่งเข้าไปถึงริมค่าย โจโฉก็ให้ปิดประตูค่ายเสียมิให้ออกรบพุ่ง แต่ให้รักษามั่นไว้ ม้าเฉียวก็คุมทหารกลับมาค่าย จึงว่าแก่หันซุยว่า แต่ได้ทำการรบพุ่งมานี้ ผู้ใดจะรบพุ่งมุด้วยโทโษหักหาญเหมือนเคาทูไม่มีเลย ทำอาการดุจเสือเหมือนเขาว่าก็สมจริง
ฝ่ายโจโฉเห็นว่าม้าเฉียวเข้มแขงนัก จึงให้ซิหลงกับจูเหลงคุมทหารยกไปตั้งค่ายฟากตวันตกเปนทัพกระหนาบม้าเฉียวไว้ แล้วขึ้นยืนอยู่ที่สูงแลไปเห็นม้าเฉียวแลทหารม้าอยู่หน้าค่ายประมาณสามร้อย จึงถอดหมวกออกจากสีสะทิ้งลงแล้วว่า ม้าเฉียวนี้แม้มิตายเพราะมือเรา นานไปเบื้องหน้าก็จะทำอันตรายแก่เรา ศพเรานี้มิรู้ที่จะกำหนดว่าจะอยู่แห่งใดได้ แฮหัวเอี๋ยนได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็ฉุนโกรธ จึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปกำจัดม้าเฉียวให้ได้ โจโฉห้ามเท่าใดก็มิฟัง ขึ้นม้าคุมทหารออกมาจากค่าย โจโฉเห็นแฮหัวเอี๋ยนกำลังโกรธอยู่ กลัวจะเสียทีแก่ม้าเฉียว ก็ยกทหารตามออกมา ม้าเฉียวเห็นแฮหัวเอี๋ยนยกทหารออกมาดังนั้น ก็ขับม้าเข้าไปจะสู้กับแฮหัวเอี๋ยน พอเหลือบไปเห็นธงทัพหลวงปักมาเปนสำคัญอยู่ ก็รู้ว่าโจโฉเปนกองหนุนออกมา ม้าเฉียวก็มิได้เข้ารบด้วยแฮหัวเอี๋ยน แล้วคุมทหารขับม้าวกเข้าไปจะจับเอาตัวโจโฉ
ฝ่ายโจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัวชักม้าหนี ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นเปนอลหม่าน ม้าเฉียวได้ทีก็ขับทหารไล่ฆ่าฟันเข้าไป พอทหารคนหนึ่งบอกว่าบัดนี้โจโฉให้ทหารยกไปตั้งค่ายกระหนาบอยู่ฟากตวันตก ม้าเฉียวแจ้งดังนั้นจะไล่ล่วงไปมิได้ระวังหลังก็นึกเกรง จึงคุมทหารกลับมาค่าย แล้วปรึกษาแก่หันซุยว่า บัดนี้โจโฉให้ทหารยกข้ามฟากไปตั้งค่ายกระหนาบเราไว้ จะรบทั้งสองฝ่ายเห็นเหลือกำลังเราจะรบมิได้ จะคิดแก้ไขประการใดดี ลิขำทหารหันซุยจึงว่า อันโจโฉทำอาการครั้งนี้เห็นเข้มแขงนัก ขอให้ท่านคิดเพทุบายเปนไมตรีกันเสีย อย่าทำสงครามด้วยกันเลย ชวนกันเลิกทัพไปก่อน เมื่อพ้นเทศกาลหนาวแล้วจึงค่อยคิดทำการสืบไปใหม่
หันซุยจึงว่าแก่ม้าเฉียวว่า อันลิขำคิดอ่านทั้งนี้ก็เห็นดีอยู่ ขอท่านได้อนุกูลตามเถิด ม้าเฉียวก็นิ่งอยู่ เอียวฉิวเฮาชวนทหารหันซุยจึงว่าลิขำว่านี้ชอบ ขอให้ทำตามเถิด หันซุยจึงแต่งให้เอียวฉิวถือหนังสือไป ณ ค่ายโจโฉว่า เราทั้งสองจะรบพุ่งกันนั้นหาต้องการไม่ บัดนี้ก็เปนเทศกาลหนาวแล้ว เราทั้งสองฝ่ายจงเปนไมตรีเสียด้วยกันเลิกทัพไปเถิด
โจโฉแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่เอียวฉิวว่า ท่านกลับไปค่ายบอกนายท่านก่อนเถิด ว่าพรุ่งนี้เราจึงจะให้หนังสือตอบไป เอียวฉิวก็ลาโจโฉกลับมา ที่ปรึกษาทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า ซึ่งมหาอุปราชจะให้มีหนังสือตอบไปนั้นคิดประการใด โจโฉจึงบอกว่า ซึ่งเราว่าทั้งนี้เปนอุบายแกล้งรับคำไว้ดอก ครั้นเวลารุ่งขึ้นจึงใช้คนถือหนังสือไป ณ ค่ายหันซุยว่า ซึ่งท่านกับเรามิได้ทำสงครามด้วยกันสืบไปนั้นเราก็ยินดีด้วย แต่บัดนี้เราจะรีบเลิกทัพกลับไปนั้นยังมิได้ ให้งดอยู่ช้า ๆ ก่อน แล้วให้ทหารเร่งรัดทำสะพานดังหนึ่งจะข้ามพลเลิกทัพไป หวังจะให้ม้าเฉียวกับหันซุยไว้ใจ
ฝ่ายม้าเฉียวครั้นแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงว่าแก่หันซุยว่า ซึ่งโจโฉให้มีหนังสือรับคำมาฉนี้ก็จริง แต่ทว่าจะไว้ใจมิได้ เกลือกจะลวงเรา ขอท่านได้ตระเตรียมทหารไว้สำหรับรับทัพโจโฉด้านหน้า ข้าพเจ้าก็จะจัดแจงทหารไว้รับทัพกระหนาบด้านหลัง หันซุยเห็นชอบด้วย ก็ตระเตรียมทหารทั้งปวงตามถ้อยคำม้าเฉียว
ฝ่ายโจโฉครั้นแจ้งว่า หันซุยรักษาหน้าที่ข้างด้านหน้า โจโฉก็มีความยินดี จึงว่าต้องในอุบายแล้ว การของเราจะสำเร็จเปนมั่นคง ครั้นเวลาเช้าโจโฉก็คุมทหารทั้งปวงออกมานอกค่าย ฝ่ายทหารหันซุยเห็นโจโฉยกออกมาก็คิดว่าโจโฉจะเลิกทัพไป ไม่เคยเห็นโจโฉต่างคนก็ต่างเบียดเสียดกันออกมานอกค่าย ร้องบอกกันอึงไปว่า มาดูโจโฉ ๆ ก็ขับม้าขึ้นไปหน้าทหารแล้วร้องว่า กูมีจักษุสองข้าง มีปากอันเดียวกับจมูกอันหนึ่งเหมือนคนทั้งปวง ใช่จะมีปากสองข้างแลจักษุสี่ก็หาไม่ แต่ว่าประหลาทหน่อยหนึ่งด้วยมีอำนาจมาก คนที่มีปัญญาแลความคิด ผู้ใดจะมาดูก็มาเถิด ทหารหันซุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจยืนดูตัวแขงอยู่ โจโฉจึงใช้ให้ทหารไปบอกหันซุยว่า บัดนี้มหาอุปราชให้เชิญท่านออกไปจะสนทนาด้วย
หันซุยได้แจ้งดังนั้นก็ขับม้าออกมานอกค่าย โจโฉเห็นหันซุยออกมาก็ถอดเกราะเสีย ใส่แต่เสื้อเปนปรกติ ขับม้าเข้าไปเคียงกันกับม้าหันซุยแต่สองต่อสอง ต่างคนต่างคำนับกัน โจโฉจึงว่า ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็ใช่คนอื่น บิดาของท่านเล่าข้าพเจ้าก็ได้คำนับว่าเปนอาว์ เราทั้งสองเมื่อหนุ่มนั้นเปนขุนนางทำราชการอยู่ด้วยกัน เปนคนชอบอัธยาศัย แลบัดนี้เราจากกันมาช้านานแล้วพึ่งได้เห็นกัน อายุท่านจะได้สักเท่าใด หันซุยจึงบอกว่า อายุข้าพเจ้าได้สี่สิบแล้ว
โจโฉก็ทำเอามือลูบอกเข้าแล้วว่า เราทำราชการอยู่ด้วยกันในเมืองหลวงหลัด ๆ แลจากกันมาดังหนึ่งมิทันจะเหลียวหลัง อายุล่วงไปถึงเพียงนี้แล้ว เมื่อไรบ้านเมืองจะราบคาบเปนปรกติ เราทั้งสองจะได้อยู่เย็นเปนสุขด้วยกัน แลหันซุยกับโจโฉพูดจาด้วยกันวันนั้น จะได้กล่าวในการสงครามหามิได้ ต่างคนต่างหัวเราะชื่นชมยินดีด้วยกัน จนเวลาบ่ายโมงหนึ่งแล้ว ก็คำนับลาจากกันมา ทหารคนหนึ่งจึงไปบอกม้าเฉียวว่า บัดนี้หันซุยออกไปเจรจากับโจโฉเปนช้านาน จะว่ากล่าวประการใดยังมิได้แจ้ง
ม้าเฉียวรู้ดังนั้นจึงมาถามหันซุยว่า ท่านออกไปเจรจากับโจโฉท่ำกลางสงครามวันนี้พูดจาสิ่งใดกัน หันซุยจึงบอกว่า พูดถึงเนื้อความซึ่งเคยได้ทำราชการมาด้วยกันแต่ก่อน ม้าเฉียวจึงถามว่า ท่านหาได้เจรจาด้วยการสงครามนี้ไม่หรือ หันซุยจึงว่า โจโฉมิได้เจรจา ข้าพเจ้าก็มิได้พูด ม้าเฉียวมีความสงสัย แต่นิ่งไว้มิได้ว่าประการใดก็กลับไป
ฝ่ายโจโฉครั้นกลับมาถึงค่าย จึงถามกาเซี่ยงว่า วันนี้เราออกไปสนทนาด้วยหันซุยนั้น ท่านยังรู้แยบคายเราประการใดบ้างหรือไม่ กาเซี่ยงจึงว่า อันแยบคายท่านซึ่งออกไปเจรจาด้วยหันซุยนั้น ชอบกลดีอยู่แล้ว แต่ทว่าม้าเฉียวกับหันซุยยังหามีความแคลงกันไม่ ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าทำกลอันหนึ่งให้แหนงกันเห็นจะดี
โจโฉจึงว่า ความคิดของท่านจะทำประการใด กาเซี่ยงจึงว่า ข้าพเจ้าคิดจะให้เอากระดาษเปล่าเข้าผนึกแล้ว สลักหลังผนึกเปนอักษรให้ลบเลือนเสียอย่าให้เห็นตัวถนัด ให้คนถือไปให้หันซุยทำเปนว่าท่านให้หนังสือลับไป ม้าเฉียวรู้ก็จะมาดู ครั้นฉีกผนึกออกเห็นกระดาษเปล่า ก็จะสงสัยว่าหันซุยซ่อนหนังสือเสีย แกล้งเอาผนึกกระดาษเปล่าให้ ดีร้ายม้าเฉียวกับหันซุยจะขุ่นหมองผิดใจกัน ภายหลังเราจึงจะแต่งคนไปเจรจาเกลี้ยกล่อมเอาตัวหันซุยมาไว้เปนพวกเรา เห็นจะกำจัดม้าเฉียวได้โดยง่าย
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เอากระดาษมาเข้าผนึกสลักหลังทำตามกาเซี่ยง ให้คนถือไปให้แก่หันซุย ณ ค่าย ครั้นม้าเฉียวรู้จึงมาถามว่า โจโฉให้หนังสือมาว่าประการใด หันซุยจึงเอาหนังสือนั้นส่งให้ดู ม้าเฉียวฉีกผนึกออกมิได้มีอักษร เห็นแต่กระดาษเปล่าจึงถามว่า เหตุใดจึงมิได้มีอักษรเล่า ท่านเอาหนังสือไปเสียไหน หันซุยจึงบอกว่า หนังสือโจโฉให้มาอย่างนั้นเอง เรายังมิทันฉีกผนึกก็พอท่านมา ซึ่งมิได้มีอักษรมานี้ ชรอยโจโฉหลงไปมิได้เอาหนังสือใส่ผนึก เอากระดาษเปล่าใส่มา
ม้าเฉียวจึงว่า ท่านว่านี้ไม่เห็นสม โจโฉเปนคนมีสติปัญญามั่นคง อันจะลืมหนังสือเสียนั้นผิดไป ชรอยท่านเข้าด้วยโจโฉคิดจะทำร้ายเรา ให้หนังสือลับมาถึงกันจึงมิให้เราเห็น แกล้งเอากระดาษเปล่าให้เราดู หันซุยจึงว่า เปนความจริงของเรา ถ้าท่านสงสัยแคลงใจอยู่ดังนั้น เวลาพรุ่งนี้เราจะออกไปพูดกับโจโฉนอกค่าย ท่านจงแอบฟังดูในค่าย ถ้าได้ยินเรากับโจโฉพูดจากันเห็นพิรุธประการใด ท่านจงเอาทวนแทงเราให้ตกม้าตายเสียเถิด ม้าเฉียวจึงว่า ถ้าท่านสัตย์ซื่อทำได้เหมือนว่านั้นเราก็จะสิ้นสงสัย
ครั้นเวลาเช้าหันซุยจึงพาเฮาชวนลิขำเหลียงเหงม้าอ้วนเอียวฉิวทหารห้าคน ออกมาจากค่าย หันซุยให้ทหารไปร้องเรียกโจโฉถึงหน้าค่าย ว่าหันซุยให้เชิญท่านมาเจรจาด้วยกันในที่กลางแปลง โจโฉรู้ดังนั้นจึงให้โจหองคุมทหารม้าสามสิบม้าออกมาคำนับแล้วบอกว่า มหาอุปราชให้มากำชับท่านว่า หนังสือซึ่งให้ไปนั้นอย่าให้ผู้ใดรู้แพร่งพรายไป จะเสียการเสีย โจหองบอกดังนั้นแล้วกลับมาค่าย ม้าเฉียวได้ยินก็โกรธ จึงขับม้ารำทวนออกมาจะแทงหันซุย ทหารหันซุยช่วยป้องกันไว้ได้ แล้วพาหันซุยหนีเข้าค่าย หันซุยจึงร้องว่าแก่ม้าเฉียวว่า หลานเราอย่าสงสัยเลย อันจะคิดร้ายต่อเจ้านั้นหามิได้ ม้าเฉียวโกรธเปนกำลังมิได้เชื่อก็ขับม้าตรงเข้าไปค่าย
ฝ่ายหันซุยจึงปรึกษาแก่ทหารห้าคนว่า บัดนี้ม้าเฉียวมีความแหนงว่าเรากลับไปเข้าด้วยโจโฉ เราจะทำประการใดจึงจะสิ้นสงสัย เอียวฉิวจึงว่าม้าเฉียวเปนคนมิได้คำนับผู้ใหญ่ โอหังถือตัวว่าเปนคนมีฝีมือประมาทท่านนัก ถึงจะทำการสืบไปก็ที่ไหนจะชนะโจโฉ ต้องการสิ่งใดที่ท่านจะเฝ้าของ้อเด็ก เราจะกลับไปเข้าเปนพวกโจโฉเสียดีกว่า โจโฉก็จะให้ทำนุบำรุงให้โดยยศฐาศักดิ์เปนใหญ่ในเบื้องหน้า หันซุยจึงว่า ตัวเรากับม้าเท้งบิดาม้าเฉียวเปนมิตรกันมาแต่ก่อน แลจะทิ้งความสัตย์เสียกลับไปเข้าด้วยโจโฉจะทำร้ายม้าเฉียวผู้บุตรมิตรนั้นมิ ควรนัก เราทำมิได้ เอียวฉิวจึงว่า ท่านกลัวจะเสียความสัตย์ก็ชอบอยู่ แต่ว่าบัดนี้การจะเกิดจลาจลถึงตัวแล้วจะมิทำก็จำทำ
หันซุยก็เห็นชอบจึงว่า ถ้ากระนั้นผู้ใดจะนำเอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจโฉได้เล่า เอียวฉิวจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาท่านไปเอง หันซุยก็แต่งหนังสือฉบับหนึ่งว่า ข้าพเจ้าหันซุยขอคำนับมาถึงมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าได้ประมาท ยกทหารมาต่อรบสู้ท่านนั้น เพราะเบาความมิได้พิเคราะห์ผิดแลชอบ แลบัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโทษตัวแล้ว มิได้คิดที่จะทำร้ายแก่ท่านสืบไป จะมาอ่อนน้อมคำนับท่านตามประเพณี ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด ครั้นแต่งหนังสือแล้วก็ให้เอียวฉิวถือไปให้โจโฉ ๆ แจ้งหนังสือดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงว่าหันซุยมีความภักดีต่อเรานั้น ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะตั้งให้เปนเจ้าเมืองเสเหลียง ตัวท่านจะให้เปนปลัด ทหารทั้งปวงเราจะชุบเลี้ยงตามผู้ใหญ่ผู้น้อย ท่านจงกลับไปบอกแก่หันซุยเถิดว่า เวลาคํ่าวันนี้ให้จุดเพลิงขึ้นในค่ายม้าเฉียว เราจะคุมทหารยกเข้าตีจับเอาตัวม้าเฉียวให้จงได้ เอียวฉิวคำนับโจโฉแล้วก็ลามา บอกเนื้อความแก่หันซุยตามถ้อยคำโจโฉว่าทุกประการ
หันซุยได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารเก็บฟืนมากองไว้หลังค่ายเปนอันมาก แล้วจึงปรึกษาด้วยทหารห้าคนว่า เวลาค่ำวันนี้เราจะแต่งโต๊ะเชิญให้ม้าเฉียวมากินโต๊ะ เห็นได้ทีแล้วจะจับตัวฆ่าเสีย ขณะเมื่อปรึกษากันอยู่นั้น พอทหารม้าเฉียวรู้ระคายว่าหันซุยคิดจะทำร้ายจึงเอาเนื้อความไปบอกม้าเฉียว ๆ รู้ดังนั้นก็รีบมา ให้บังเต๊กม้าต้ายคุมทหารสามสิบป้องกันมาข้างหลัง จึงเดิรเข้าไปในค่าย เห็นหันซุยนั่งปรึกษากันอยู่กับทหารห้าคน ได้ยินว่าให้รีบไปทำการจงเร็วจะไว้ช้ามิได้ ม้าเฉียวก็เดิรสาวตีนเข้าไป ด่าว่าเหม่อ้ายศัตรูจะคิดทำร้ายกู ทหารหันซุยทั้งห้าคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจตลึงอยู่ ม้าเฉียวก็ชักกระบี่ออกฟันหันซุย ๆ ยกแขนขึ้นรับถูกแขนขาดตกลง ทหารหันซุยทั้งห้าคนต่างถอดกระบี่ออกวิ่งเข้าต่อสู้ด้วยม้าเฉียว ๆ ก็ถอยออกไปนอกค่าย ทหารห้าคนก็ไล่ตามฟันออกไป ม้าเฉียวรับด้วยกระบี่ฟันถูกม้าอ้วนล้มลง แล้วแทงถูกเหลียงเหงด้วยกระบี่ตายกับที่ เฮาชวนลิขำเอียวฉิวสามคนเห็นดังนั้น จะต่อสู้ม้าเฉียวมิได้ต่างคนต่างหนี ม้าเฉียวก็กลับไล่เข้าไปจะฆ่าหันซุยเสีย พอทหารพาเอาตัวหนีไปได้แล้วลอบจุดเพลิงขึ้นหลังค่าย ทหารม้าเฉียวแลทหารหันซุยก็เข้าทิ่มแทงฆ่ากันตลุมบอนขึ้นเปนอลหม่าน
พอบังเต๊กม้าต้ายคุมทหารตามมาทันม้าเฉียว ก็ช่วยกันตีหักออกมาจากค่าย ปะทหารโจโฉยกมาบัญจบเข้า ก็เข้ารบพุ่งกันเปนสี่ด้านอุตลุดวุ่นวาย มิได้รู้จักพวกตัวพวกเขา บังเต๊กกับม้าต้ายก็พลัดกันกับม้าเฉียว ๆ เห็นเหลือกำลังก็ขึ้นม้าคุมทหารร้อยหนึ่ง ตีบากหนีข้ามมาถึงกลางสะพาน พอเวลารุ่งสว่างขึ้น เห็นลิขำคุมทหารไล่ตามมา ม้าเฉียวก็ขับม้ารำทวนเข้ามาต่อสู้ด้วยลิขำ ๆ เห็นจะสู้มิได้ก็ชักม้าพาทหารหนี ม้าเฉียวขับม้าไล่ตามไป
ฝ่ายอิกิ๋มคุมทหารตลบไล่ตามม้าเฉียวมาข้างหลังยิงเกาทัณฑ์ไป ม้าเฉียวได้ยินเสียงลมลูกเกาทัณฑ์วู่มาข้างหลังก็หมอบตัวหลบลง ลูกเกาทัณฑ์เลยไปถูกลิขำตกม้าตาย ม้าเฉียวเห็นดังนั้น ก็ชักม้ากลับจะเข้าต่อสู้ด้วยอิกิ๋ม ๆ ก็ชักม้าหนีไป ม้าเฉียวคุมทหารกลับมายืนอยู่กลางสะพาน ทหารโจโฉก็ยกสกัดต้นสะพานปลายสะพานไว้ ยิงเกาทัณฑ์ระดมมาดังห่าฝน ม้าเฉียวเอาทวนปัดลูกเกาทัณฑ์ตกนํ้าสิ้น มิได้ถูกตัวแต่สักเล่มหนึ่ง ก็ให้ทหารเข้าตีทหารโจโฉจะให้เลิกจากต้นสะพาน ทหารน้อยตัวนักตีหักออกมิได้เหลือกำลังก็กลับมา ม้าเฉียวโกรธเปนกำลังตวาดด้วยเสียงอันดังขับม้าควบตีหักออกมาแต่ผู้เดียว ทหารโจโฉก็แหวกช่องให้ ม้าเฉียวก็ถลำเข้าไปในกลางทหาร ๆ ก็รดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกม้าเฉียวล้มลง ทหารโจโฉกรูกันเข้ามาจะจับเอาตัว พอบังเต๊กม้าต้ายคุมทหารตีเข้ามาทันก็ช่วยรบพุ่งเปนสามารถ กันเอาม้าเฉียวไว้ได้ ทหารคนหนึ่งก็ลงเสียจากม้าแล้วให้ม้าเฉียวขึ้นขี่ช่วยกันรบหักออกมาได้
ฝ่ายโจโฉรู้ว่าม้าเฉียวหนีได้ดังนั้น ก็ให้ประกาศแก่ทหารทั้งปวงให้รีบติดตามทั้งกลางวันกลางคืน ว่าถ้าผู้ใดได้สีสะม้าเฉียวมาให้เรา ๆ จะปูนบำเหน็จทองพันหนึ่งเงินพันหนึ่ง ถ้าจับเปนได้จะตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ทหารทั้งปวงต่างคนจะใคร่เอาความชอบก็ตรูกันเร่งรีบติดตามไป ม้าเฉียวหนีมาครั้งนั้นน้อยตัวนัก มีแต่บังเต๊กแลม้าต้ายกับทหารประมาณสามสิบคน จะรั้งรอต่อสู้ทหารโจโฉนั้นมิได้ ก็รีบหนีไปข้างทิศใต้เมืองเสเหลียง
โจโฉยกหนุนตามมาข้างหลัง รู้ว่าม้าเฉียวหนีไปพ้นตามมิทันแล้วก็ให้ยกทหารกลับมา ณ เมืองเตียงอั๋น พักทหารอยู่รักษาแขนหันซุยให้หายแผลแล้ว โจโฉเห็นว่าเปนคนพิการจะทำสงครามต่อไปมิได้ ก็ตั้งให้เปนเจ้าเมืองเสเหลียง ให้เฮาชวนกับเอียวฉิวเปนปลัด สำหรับได้คุมทหารไปตะเวนตามลำนํ้าอุยโห เพื่อป้องกันกองทัพม้าเฉียว แลทหารทั้งปวงนั้นก็ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยความชอบ
ขณะนั้นเอียวหูทหารรองเอียวฉิวจึงว่า มหาอุปราชจะเลิกทัพไปบัดนี้ เมืองเตียงอั๋นหาผู้ใดจะเปนผู้ใหญ่รักษาไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าม้าเฉียวแตกครั้งนี้มีความพยาบาทอยู่ จะคิดตอบแทนเปนมั่นคง เกลือกม้าเฉียวจะซ่องสุมผู้คนได้มากแล้วจะยกมาทำอันตรายภายหลังก็จะเสียท่วง ที ขอให้แต่งผู้ใดที่แน่นอนไว้ใจได้อยู่รักษาเมืองเตียงอั๋นป้องกันม้าเฉียว ก่อน ถ้าม้าเฉียวยกมาจะได้ช่วยกันรบพุ่ง โจโฉจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เราจัดแจงเสร็จอยู่แล้ว เอียวหูได้ฟังดังนั้นก็คำนับลาไปเมืองเสเหลียงกับหันซุย
แลเมื่อหันซุยยกไปแล้ว ทหารทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า ข้าพเจ้ามีความสงสัยนัก ด้วยเมื่อแรกม้าเฉียวยกมาตีด่านตงก๋วนนั้น เปนไฉนมหาอุปราชจึงมิให้ยกไปตั้งโอบหลังหันซุยไว้เล่า ถ้ายกไปโอบหลังเข้าจะมิได้ชัยชนะเร็วหรือ มหาอุปราชมาตั้งรับม้าเฉียวอยู่ที่ด่านตงก๋วนนี้หนักหน่วงอยู่ช้าจนเสียท่วง ที แล้วจึงให้ยกไปตั้งกระหนาบฟากตวันออกนั้นด้วยเหตุอันใด
โจโฉจึงว่า กลอันนี้ชื่อฟ้าร้องมิทันเอามือปิดหู ท่านทั้งปวงหารู้ไม่ ขณะเมื่อม้าเฉียวยกมานั้น เรามิได้ให้ยกไปตั้งโอบหลังไว้ เพราะเราเห็นทหารม้าเฉียวยกมา ๆ ยังไม่สิ้นเชิง ครั้นจะด่วนให้รีบไปตั้งโอบหลังสกัดไว้ ทหารม้าเฉียวยกมาภายหลังก็จะคั่งอยู่ จะต้องรบพุ่งกันเปนสองหน้า เห็นจะพว้าพะวังนักเอาชัยชนะยาก เราจึงแกล้งตั้งรับอยู่ให้ช้า หวังจะให้ทหารยกมาให้สิ้นเชิง ภายหลังเราจึงให้ซิหลงกับจูเหลงคุมทหารยกข้ามฟากไปตั้งกระหนาบไว้ก็ต้องด้วย กลอุบาย ได้ทำการรบพุ่งแต่หน้าเดียว มิได้เปนธุระที่จะระวังทัพอื่น ก็ได้ชัยชนะด้วยกำลังแลฝีมือทหารทั้งปวงโดยสดวก
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงถามว่า เมื่อท่านตั้งอยู่นั้น มีคนเอาเนื้อความมาบอกว่า ทหารม้าเฉียวยกมาอีกสองพันสามพัน มหาอุปราชมีความยินดีกลับหัวเราะนั้นด้วยเหตุอันใดเล่า โจโฉจึงบอกว่า เมืองเสเหลียงนั้นมีหัวเมืองขึ้นเรี่ยรายอยู่เปนอันมาก ครั้นทหารยกเติมมาเราก็แจ้งว่ากองทัพหัวเมืองยกมาสิ้นเชิงแล้วจึงมีความ ยินดี เพราะเห็นว่าทหารทั้งปวงต่างเมืองกัน มิได้พรักพร้อมเปนนํ้าหนึ่งใจเดียว ถึงจะมามากก็เหมือนน้อย เห็นจะแพ้แก่ฝีมือทหารเราเปนมั่นคงเราจึงหัวเราะ ถ้าผู้มีสติปัญญาน้อย จะทำสงครามกับม้าเฉียวเพียงขวบปีหนึ่ง ที่จะได้ชัยชนะแก่ทหารทุกหัวเมืองเหมือนเรานี้ก็เปนอันยาก
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ชวนกันคำนับแล้วสรรเสริญว่า มหาอุปราชนี้มีสติปัญญาอันสุขุม ประกอบไปด้วยอานุภาพประดุจหนึ่งเทพดา โจโฉจึงว่า เรามีชัยชนะครั้งนี้ก็อาศรัยท่านทั้งปวง แล้วปูนบำเหน็จทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยความชอบ จึงมอบทหารของม้าเฉียวซึ่งจับได้มาเปนชะเลยนั้นให้แก่แฮหัวเอี๋ยนคุมอยู่ รักษาเมืองเตียงอั๋น ให้เตียวกี๋เจ้าเมืองเกงเตียวอยู่ช่วยราชการด้วย โจโฉจัดแจงทหารบ้านเมืองเสร็จแล้ว ก็ให้ยกกองทัพกลับมาเมืองหลวง
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 48
https://drive.google.com/file/d/15yyp3tKRZpqZovCbzHEpYnYLWEJPUg3J/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #8 on:
23 December 2021, 13:38:00 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 49
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-49.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 49
เนื้อหา
• กล่าวถึงเตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋ง
• เตียวฬ่อคิดตีเมืองเสฉวน
• เล่าเจี้ยงให้เตียวสงไปเจรจาการเมืองกับโจโฉ
• เตียวสงไปหาเล่าปี่
• เล่าเจี้ยงขอให้เล่าปี่ยกทัพไปช่วย
• เล่าปี่ยกทัพไปเมืองเสฉวน
• เล่าเจี้ยงต้อนรับเล่าปี่
• เล่าเจี้ยงให้เล่าปี่ไปรับทัพเตียวฬ่อ
ฝ่าย พระเจ้าเหี้ยนเต้รู้ว่ามหาอุปราชมีชัยชนะแก่สงคราม ยกกองทัพกลับมาแล้วมีความยินดีนัก เสด็จทรงรถออกมารับกองทัพถึงนอกเมือง แล้วจึงว่าแก่โจโฉว่า แต่นี้ไปเมื่อหน้า ถ้ามิได้ให้หาก็อย่าให้เข้ามาเฝ้าดุจหนึ่งขุนนางทั้งปวงเลย แม้เราสั่งให้หาเข้ามาเฝ้าก็ให้เหน็บกระบี่เข้ามาในที่เฝ้า แล้วอย่าให้ถวายบังคมเปนอันขาดทีเดียว
ฝ่ายโจโฉได้รับสั่งก็มีใจกำเริบใหญ่หลวงขึ้นกว่าแต่ก่อน กิตติศัพท์ก็ฟุ้งเฟื่องปรากฎไปถึงเตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋ง แลเตียวฬ่อคนนี้เปนหลานเตียวเหลง ๆ นั้นแต่ก่อนเปนชาวเมืองเสฉวน ไปเที่ยวเรียนวิชาอยู่ตำบลเขาโฉะเบงสัน ครั้นเรียนวิชาได้ชำนาญแล้วก็มาอยู่ในเมืองฮันต๋ง อาณาประชาราษฎรชาวเมืองผู้ใดจะเจ็บไข้ได้สาระทุกข์ประการใดก็เอาเปนธุระช่วย ทำนุบำรุงให้สำเร็จความปราถนาทุกประการ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็นับถือไปมาเปนที่คารวะ แม้รักษาโรคผู้ใดหายก็มิได้เอาสิ่งใด ให้เอาแต่เข้าห้าถังไปคำนับบูชาครู ครั้นเตียวเหลงตายเตียวฬ่อผู้หลานก็ได้วิชาการนั้น กระทำตามประเพณีสืบต่อมา อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็นับถือ ตั้งอยู่ในโอวาทบังคับบัญชาทุกประการ สมมุติให้เปนผู้ใหญ่ เตียวฬ่อก็สั่งสอนคนทั้งปวงให้กระทำตามโอวาท ตั้งอยู่โดยปรกติมิได้เบียดเบียฬกัน ถ้าผู้ใดกระทำผิดจนสามครั้งก็มิได้เอาโทษ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเปนสุขทุกภูมิลำเนา บันดาแว่นแคว้นอันขึ้นเมืองฮันต๋งนั้นก็เกรงกลัวเตียวฬ่อสิ้น แลเจ้าเมืองฮันต๋งนั้นก็คำนับนบนอบแก่เตียวฬ่อ
ขณะนั้นเตียวฬ่อแจ้งไปว่า โจโฉมีชัยชนะแก่ม้าเฉียวมีใจกำเริบใหญ่หลวงนัก กลัวจะยกทหารมาทำอันตรายแก่เมืองฮันต๋ง จึงให้หาคนทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจสิ้น แลม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงนั้นเล่า โจโฉก็ฆ่าเสียได้ ม้าเฉียวผู้บุตรนั้นก็แตกแก่โจโฉ ๆ คิดการใหญ่หลวงกำเริบกว่าแต่ก่อน จะยกทหารมาตีเอาเมืองฮันต๋ง เห็นอาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้รับความเดือดร้อนนัก แลเราจะตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าชื่อพระเจ้าฮานเหลงอ๋อง จะซ่องสุมทหารทั้งปวงคิดทำการต่อสู้โจโฉ ป้องกันเมืองไว้มิให้เปนอันตราย รักษาอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
เยียมเภาจึงว่า ท่านคิดทั้งนี้ก็ดีอยู่ เมืองฮันต๋งผู้คนก็มาก อยู่ในโอวาทท่านตั้งสิบหมื่น เข้าปลาอาหารบริบูรณ์ก็จริง แต่ยังหาเท่าโจโฉไม่ ม้าเฉียวซึ่งแตกโจโฉมาบัดนี้ก็จะมาอาศรัยเรา เห็นว่าศึกโจโฉจะยกมาถึงเมืองเราเปนมั่นคง ซึ่งจะคิดทำการต่อด้วยโจโฉนั้น ชอบจะไปตีเอาเมืองเสฉวนทั้งสี่สิบหัวเมืองให้ได้ก่อน กำลังเราจะได้มากขึ้น ด้วยเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเปนใหญ่ในเมืองเสฉวนนั้น ก็เปนคนโลภอยู่เห็นจะได้โดยง่าย แม้ได้สำเร็จแล้ว ท่านจึงตั้งตัวเปนเจ้า เตียวฬ่อได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงให้หาเตียวโอยเข้ามาปรึกษา ซึ่งจะคิดอ่านยกทัพไปตีเมืองเสฉวน
ฝ่ายเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋วกับเตียวฬ่อนั้น เปนคนอริกันมาแต่ก่อน ด้วยเล่าเอียงผู้บิดาเล่าเจี้ยงถึงแก่ความตายแล้ว เล่าเจี้ยงได้ขึ้นกินเมืองแทน จับเอามารดาเตียวฬ่อไปฆ่าเสีย กลัวเตียวฬ่อจะยกมาทำอันตรายจึงตั้งให้บังยี่เปนเจ้าเมืองปาเส หวังจะให้คอยรับทัพเตียวฬ่อ ครั้นบังยี่รู้ข่าวว่าเตียวฬ่อคิดอ่านตระเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองเสฉวน จึงให้ม้าใช้รีบเอาข่าวไปแจ้งแก่เล่าเจี้ยง ๆ แจ้งดังนั้นก็กลัว จึงให้หาบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงมาปรึกษา
เตียวสงที่ปรึกษาจึงว่า ซึ่งเตียวฬ่อจะยกมาทำอันตรายแก่เมืองเสฉวนนั้นอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะเอาแต่ลิ้นสามนิ้วนี้อาสาไปต่อด้วยเตียวฬ่อ มิให้ยกมาทำอันตรายได้ เล่าเจี้ยงได้ฟังก็แลดูเตียวสงเห็นรูปร่างตํ่าเตี้ยสีสะรีดังผลมะตูม จมูกก็เฟ็ดฟันก็เสี้ยม รูปไม่สมกับวาจาก็มิได้เชื่อ จึงถามว่า ท่านจะคิดอ่านประการใดจงว่าให้เข้าใจก่อน
เตียวสงจึงบอกว่า ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าโจโฉนี้เที่ยวปราบปรามขอบขัณฑเสมาให้อยู่ในอำนาจสิ้น ทั้งอ้วนเสียวอ้วนสุดนั้นก็กำจัดเสียได้ บัดนี้ม้าเฉียวบุตรม้าเท้งเล่าก็แตกโจโฉ ๆ มีทหารเปนอันมาก ขอให้ตกแต่งเครื่องบรรณาการไปอ่อนน้อมคำนับโจโฉ ข้าพเจ้าจะอาสาถือหนังสือไปว่ากล่าวให้โจโฉยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง ถ้าเมืองฮันต๋งเปนศึกรบติดพันกันอยู่แล้ว ก็เห็นจะไม่ยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เราได้ เล่าเจี้ยงเห็นชอบด้วยมีความยินดี จึงจัดแจงแต่งเครื่องบรรณาการกับหนังสือฉบับหนึ่งให้แก่เตียวสง ๆ ก็ลอบเขียนแผนที่เมืองเสฉวนถ้วนถี่ทุกประการแล้ว ก็ไปเมืองฮูโต๋ผ่านเมืองเกงจิ๋วไป
ขณะนั้นขงเบ้งแจ้งว่าเล่าเจี้ยงใช้ให้เตียวสงคุมเครื่องบรรณาการไปคำนับ โจโฉ จึงแต่งให้คนตามสอดแนมฟังกิจราชการดู ณ เมืองฮูโต๋ ฝ่ายเตียวสงไปถึงเมืองฮูโต๋แล้ว จะเข้าไปคำนับโจโฉมิได้ ด้วยโจโฉมิได้ออกว่าราชการ แต่คอยอยู่ถึงสามวัน จึงให้คนใช้เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่โจโฉ ๆ จึงให้หาเตียวสงเข้าไปข้างใน เตียวสงคำนับแล้วจึงส่งหนังสือแลเครื่องบรรณาการให้แก่โจโฉ
ฝ่ายโจโฉแจ้งในหนังสือนั้นแล้วจึงถามเตียวสงว่า เล่าเจี้ยงนายท่านนั้น หลายปีแล้วมิได้ส่งเครื่องบรรณาการมาคำนับตามประเพณีด้วยเหตุอันใด เตียวสงจึงว่า เมืองเสฉวนเปนทางไกลกันดาร ยากที่จะไปมานัก อนึ่งหัวเมืองทั้งปวงก็เปนเสี้ยนหนามยังมิราบคาบเปนปรกติ กลัวโจรผู้ร้ายจะคุมกันเข้าช่วงชิงสิ่งของบรรณาการในกลางทางจึงมิได้มา โจโฉจึงตวาดเอาว่า กูเที่ยวปราบปรามหัวเมืองทั้งปวงราบคาบเปนผาสุกแล้ว โจรที่ไหนยังมีอยู่อีกเล่า
เตียวสงจึงว่า ทิศใต้นั้นซุนกวนเปนศัตรูของท่านก็ยังอยู่ ทิศตวันตกเล่าก็เล่าปี่ ทิศเหนือนั้นก็เตียวฬ่อ เมื่อข้าศึกของท่านยังอยู่รอบตัวฉนี้ เหตุไฉนจึงว่าปราบปรามหัวเมืองราบคาบแล้ว โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ พิศดูรูปร่างเตียวสงเห็นลักษณะหยาบช้ามิชอบอัธยาศัย ก็ลุกเข้าไปเสียข้างใน ที่ปรึกษาทั้งปวงจึงชวนกันว่าแก่เตียวสงว่า ท่านนี้หาอัธยาศัยมิได้ มาพูดสลักเอามหาอุปราชดังนี้ควรแล้วหรือ นี่หากว่าท่านนำเอาบรรณาการมาถวายแต่ทางไกล มหาอุปราชจึงมิเอาโทษ ท่านเร่งออกไปเสียเร็ว ๆ เถิดอย่าอยู่ช้าเลย
เตียวสงจึงว่า ตัวเรานี้เปนชาวเมืองเสฉวน จะพูดจาสิ่งใดก็ตามซื่อ มิได้เอาเท็จมาเจรจาสอพลอเหมือนคนทั้งปวง เอียวสิวได้ฟังดังนั้นจึงตวาดเอาว่า ตัวเปนชาวเมืองเสฉวนเจรจาแต่ล้วนซื่อ เราชาวเมืองหลวงนี้ท่านเห็นผู้ใดพูดประจบประแจงเล่า เตียวสงเหลียวหน้ามาดูเอียวสิวเห็นรูปร่างหลักแหลมเปนคนเจ้าปัญญาพาที จึงเสพูดไปว่า ท่านนี้ชื่อไร มหาอุปราชตั้งให้ว่าราชการฝ่ายไหน เอียวสิวจึงบอกว่า เราชื่อเอียวสิว เปนชาวคลังของมหาอุปราช
เตียวสงรู้ว่าเอียวสิวเปนคนมีปัญญา ก็พูดจาปราไสโดยสุภาพ เอียวสิวเห็นเตียวสงประกอบด้วยอัธยาศัยลงแล้ว ก็พากันออกไปบ้าน จัดแจงให้นั่งที่สมควรแล้วจึงว่า เมืองเสฉวนนั้นหนทางไกลกันดารนัก ท่านอุตส่าห์มาถึงเมืองหลวงได้ เตียวสงจึงว่าเปนบ่าวท่านนายใช้แล้วก็จำเปน ถึงว่าหนทางจะลุยนํ้าลุยเพลิงก็จำมา เอียวสิวจึงถามว่า เมืองเสฉวนภูมิ์ฐานเปนประการใด
เตียวสงจึงบอกว่า อันเมืองเสฉวนนั้นภูมิ์ฐานกว้างขวางสนุกสบาย แต่ก่อนเรียกว่าเมืองเอ๊กจิ๋ว ทิศใต้นั้นมีแม่นํ้ากิ๋มกั๋งกั้นอยู่ ฝ่ายทิศเหนือนั้นมีด่านเกียมก๊ก หนทางซึ่งจะไปมาคับขันนัก แลเมืองนั้นมปริมณฑลได้สามพันเส้น มีระยะบ้านพอไก่ขันได้ยินเสียง ทั้งเข้าปลาอาหารสารพัดจะบริบูรณ์ เปนที่สนุกสบายยิ่งกว่าหัวเมืองทั้งปวง เอียวสิวจึงถามว่า ขุนนางทั้งปวงในเมืองเสฉวนนั้นมีสติปัญญาที่จะทำนุบำรุงช่วยผ่อนผันกิจการ บ้านเมืองพรักพร้อมมากอยู่หรือ เตียวสงจึงว่า อันผู้คนซึ่งมีสติปัญญาแลทหารที่ดีมีฝีมือนั้นมากกว่ามาก มิรู้ที่จะพรรณนาให้ท่านฟังได้
เอียวสิวจึงถามว่า ขุนนางที่มีสติปัญญาเหมือนท่านว่าฉนี้มีสักกี่คน เตียวสงจึงบอกว่า ขุนนางที่มีสติปัญญาพิสดารกว้างขวางแลกอปไปด้วยความสัตย์ซื่อมั่นคงที่ดีมี ฝีมือนั้นประมาณสักร้อยหนึ่ง แต่ที่ปัญญาเปนประมาณเหมือนข้าพเจ้านี้ แม้จะเอาเกวียนไปบรรทุกก็มิสิ้น เอียวสิวจึงว่า บัดนี้ท่านเปนขุนนางชื่อใด เตียวสงจึงบอกว่า ข้าพเจ้านี้เปนแต่ที่ปรึกษาผู้น้อยดอก หาสมควรที่จะเปนขุนนางเหมือนเขาทั้งปวงไม่ ตัวท่านนี้เปนที่อันใด เอียวสิวจึงว่า ตัวเรานี้เปนขุนนางสำหรับถือบาญชีสิ่งของมหาอุปราชได้ตรวจตราขาดเหลือทั้ง ปวง เตียวสงจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือชื่อเสียงท่านอยู่ว่ามีสติปัญญา เหตุไฉนท่านมาเปนขุนนางนอกตำแหน่งอยู่ในมหาอุปราชเล่า ถ้าจะอุตส่าห์ทำราชการในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ได้เปนที่ขุนนางผู้ใหญ่ จะได้ช่วยทำนุบำรุงเจ้าแผ่นดินจะมิดีหรือ
เอียวสิวได้ฟังดังนั้นก็อดสูแก่ใจจึงว่า ถึงตัวข้าพเจ้าอยู่ในมหาอุปราชนี้เปนขุนนางนอกตำแหน่งก็จริง คนทั้งปวงก็ยำเกรงนับถือเหมือนกัน ด้วยมหาอุปราชเปนที่วางใจ มอบทรัพย์สมบัติทั้งปวงให้ว่ากล่าว แล้วก็มีความเอนดูกรุณามาก สั่งสอนกิจการทั้งปวงเปนนิตย์ คุณของมหาอุปราชหาที่สุดมิได้ เราจึงภักดีอยู่ด้วย เตียวสงหัวเราะแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ อันมหาอุปราชนี้จะรู้สิ่งใดดียิ่งนักก็หามิได้ ถึงจะรู้หนังสือแลวิชาการศิลปศาสตร์ในทางทหารก็เปนแต่ประมาณ จะเอาวิชาสิ่งใดมาสั่งสอนท่าน ๆ จึงมานับบุญยอคุณของมหาอุปราช ทุกวันนี้หากว่าวาสนาหนหลังช่วยคํ้าชู จึงได้ตั้งตัวเปนใหญ่
เอียวสิวจึงว่า ท่านอยู่เมืองไกลมิได้รู้ว่ามหาอุปราชนี้มีวิชาการแลกลอุบายปัญญากว้างขวาง อันมหาอุปราชนายเราสารพัดรู้ ถ้าท่านจะใคร่แจ้งว่าเท็จแลจริง เราจะเอาหนังสือของมหาอุปราชแต่งไว้ให้ใหม่ ชื่อว่าบังเต๊กมาให้ดู แล้วก็หยิบหนังสือนั้นมาส่งให้แก่เตียวสง ๆ จึงอ่านดูเปนเนื้อความสิบสามข้อ ว่าด้วยการสงครามให้ตั้งค่ายแลจัดแจงพลทหารทัพบกทัพเรือโดยขบวร จึงถามว่าหนังสือนี้มหาอุปราชเอาอย่างธรรมเนียมที่ไหนมาเขียนไว้ เอียวสิวจึงว่า มหาอุปราชแต่งเอง เลียนคำโบราณเปนธรรมเนียมไว้ หวังจะให้เปนฉบับสืบไปภายหน้า เหตุใดท่านจึงมาประมาทมหาอุปราชว่าสติปัญญาน้อย ถ้าหาปัญญามิได้จะแต่งหนังสือนี้ไว้ได้หรือ
เตียวสงหัวเราะแล้วจึงว่า หนังสือเช่นนี้เด็ก ๆ ในเมืองเสฉวนอ่านเล่นอึงอยู่ทั้งเมือง เปนคำโบราณผู้มีปัญญาแต่งไว้ก่อน เหตุใดท่านจึงว่ามหาอุปราชแต่งเองเล่า ลักเอาคำเก่ามาว่า ปดได้ก็แต่ท่านให้หลงนับถือว่าดี เอียวสิวจึงว่า หนังสือนี้มหาอุปราชคิดแต่งไว้เพื่อจะให้ปรากฎไปตราบเท่าสิ้นแผ่นดิน คนทั้งปวงก็แจ้งอยู่เหตุใดท่านจึงว่าสำหรับเด็กอ่านเล่น แสร้งเอาความมิจริงมาว่ากล่าวประมาทมหาอุปราชฉนี้มิควร เตียวสงจึงว่า ท่านมิเชื่อคำก็ปิดหนังสือเสียเถิด เราจะว่าให้ฟังแต่ปากเปล่า เตียวสงก็สาธยายให้ฟังด้วยไวปัญญาอันจำได้ ต้องกันกับหนังสือนั้นมิได้วิปลาสสักข้อ
เอียวสิวได้ฟังดังนั้น ก็รู้ว่าเตียวสงฉลาดจำไว้ได้ จึงว่าท่านนี้มีปัญญาสามารถหลักแหลมนัก ได้ดูหนังสือของเราทีเดียวก็จำได้ไม่ลืมเลย จะหาผู้ใดเสมอท่านก็เปนอันยาก เตียวสงก็คำนับเอียวสิวแล้วว่า ท่านจงอยู่สำราญเถิด เราจะลาไปเมืองก่อนแล้ว เอียวสิวจึงว่า ท่านอย่าเพ่อด่วนกลับไปเมืองเลย จงยับยั้งอยู่ก่อนเราจะเข้าไปว่ามหาอุปราชให้พาท่านเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยน เต้ให้จงได้ เตียวสงมีความยินดีก็รับคำแล้วคำนับลาไปที่อยู่
เอียวสิวจึงเข้าไปหามหาอุปราชว่า เหตุใดเมื่อกี้มหาอุปราชขึ้งโกรธเตียวสงหนักหนา โจโฉจึงว่า มันเจรจาหยาบช้าหามีความยำเกรงเราไม่ เราจึงโกรธ เอียวสิวจึงว่า เมื่อครั้งยีเอ๋งเหตุใดท่านจึงอดใจได้ แต่เตียวสงเพียงนี้ควรหรือมิอดใจเล่า โจโฉจึงว่า อันยีเอ๋งนั้นเปนคนมีสติปัญญาปรากฎอยู่ เราจึงแสร้งอดใจเสีย เพราะกลัวความคระหานินทา เตียวสงนี้มันเปนคนรูปชั่วทรลักษณ์หาสติปัญญามิได้ จะอดให้มันนั้นจะต้องการอันใด เอียวสิวจึงว่า มหาอุปราชอย่าประมาท เตียวสงนี้ข้าพเจ้าเห็นว่ามีสติปัญญาสามารถนัก เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้าเอาหนังสือซึ่งท่านแต่งไว้นั้นให้ดูอ่านทีเดียวก็จำได้ สิ้น เปนคนหลักแหลมอยู่ แล้วว่าหนังสือนี้เปนคำโบราณ เด็ก ๆ ในเมืองเสฉวนอ่านเล่นเปนอันมาก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าคนแต่ก่อนมาบอกเราหรือก็หาไม่ เมื่อหนังสือนี้ของเราแต่งต้องกันกับคำโบราณแล้วจะเอาไว้เพื่อประโยชน์อันใด ก็ให้เรียกเอาหนังสือนั้นมาฉีกเผาไฟเสีย
เอียวสิวจึงว่า อันเตียวสงนี้เปนชาวบ้านนอก ขอมหาอุปราชพาเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ได้เห็นในพระราชฐานอันประกอบไปด้วยสง่าราศีเปนที่ศัตรูยำเกรง ให้กลัวอานุภาพของท่านจงได้ โจโฉจึงว่า เตียวสงเปนชาวบ้านนอกจะด่วนพาเข้าไปเฝ้ามิได้ ถ้ากระนั้นเวลาพรุ่งนี้เราจะเอาทหารออกไปซ้อมหัดที่สนามกลางแปลง ท่านจงพาเตียวสงออกไปดูให้เห็นฝีมือทหารเรา จะได้ออกไปเล่ากันในเมืองเสฉวนให้ปรากฎเลื่องลือไป แล้วเราจะเกณฑ์ทหารยกไปตีเมืองกังตั๋ง ถ้าได้ทีสมคเนก็จะเลยยกไปตีเมืองเสฉวนทีเดียว
เอียวสิวรับคำแล้วคำนับลาออกมาที่อยู่ ครั้นเวลาเช้าเอียวสิวจึงพาเตียวสงออกไปดูทหารทั้งปวงซ้อมหัดกัน ขณะนั้นโจโฉเกณฑ์ทหารที่มีฝีมือเรียกว่าทหารเสือนั้นออกไปถึงห้าหมื่น แต่ล้วนแต่งตัวใส่เสื้อห่มเกราะขี่ม้าถือง้าวแลทวนทั้งซ้ายขวาโดยขบวร เข้าสู้รบซ้อมหัดกันอลหม่านเอิกเกริกอยู่
โจโฉเห็นเตียวสงแหงนหน้าดูทหารทั้งปวง จึงให้เรียกเข้ามาใกล้แล้วก็ถามว่า ทหารในเมืองเสฉวนเหมือนทหารของเราฉนี้มีหรือไม่ เตียวสงบอกว่า อันเมืองเสฉวนนั้นจะได้ซ่องสุมผู้คนหัดปรือทหารทั้งปวงยกไปปราบปรามบ้าน เมืองเหมือนฉนี้หามิได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น อันประเพณีเมืองเสฉวนปราบปรามข้าศึกซึ่งเปนเสี้ยนหนามนั้น ต้องถือเอาความสัตย์สุจริตเปนเบื้องหน้า
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ในขอบขัณฑเสมานี้เราเล็งดูมิได้เห็นผู้ใดที่จะมีทหารเหมือนเรา บรรดาบ้านเมืองทั้งปวงซึ่งขัดแขงมิได้คำนับต่อเรานั้น จะอุปมาก็เหมือนหย่อมหญ้า ถ้าจะยกทหารไปแห่งใดก็จะเหยียบเสียเปนผงคลี ผู้ใดมิอาจต่อด้วยทหารเราได้ แม้จะตีเมืองไหนก็ได้เมืองนั้นท่านรู้หรือไม่ เตียวสงจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชยกกองทัพไปปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวง ไปทิศไหนชนะทิศนั้น เขาเลื่องลือเอิกเกริกทั้งแผ่นดินว่า ท่านมีวิชาชำนาญศึกนัก เมื่อครั้งเมืองปักเอี้ยงรบกับลิโป้ เมืองอ้วนเสียรบกับเตียวสิ้ว เมืองกังตั๋งรบกับจิวยี่ ตำบลพัวหยงพบกับกวนอู แล้วตัดหนวดถอดเกราะเสียที่ด่านตงก๋วนนั้นก็ครั้งหนึ่ง เปนสี่ครั้งด้วยกัน ข้าพเจ้าก็รู้อยู่ว่าหาใครสู้ได้ไม่
โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงด่าว่าอ้ายหาชาติไม่ มันมาเจรจาลำเลิกกูฉนี้หาความยำเกรงมิได้ ก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เอียวสิวจึงห้ามว่า ซึ่งเตียวสงเจรจาหยาบช้าต่อมหาอุปราช จะให้เอาตัวไปฆ่าเสียนั้นก็ชอบอยู่ แต่เห็นว่าเตียวสงนี้เปนแขกเมืองมา ถ้าท่านมิอดโทษให้เสียแล้ว กิตติศัพท์นั้นก็จะระบือไปทุกเมือง ซึ่งผู้ใดจะมาคำนับท่านสืบไปภายหน้านั้นก็จะมีความรังเกียจอยู่
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย แต่โทสะยังมิสงบ จึงสั่งให้ทหารเอาตะบองไล่ตีเตียวสงออกไปเสีย เตียวสงวิ่งหนีออกมาจัดแจงตัวรีบหนีไปในเวลากลางคืน จึงคิดว่าตัวกูจะเอาเมืองเสฉวนมาออกแก่โจโฉ ควรหรือมาทำหยาบช้าต่อกูอีกเล่า เมื่อกูจะมาก็ได้ว่าแก่เล่าเจี้ยงไว้เปนข้อใหญ่ แลบัดนี้มิสมเหมือนปากว่า จะกลับไปคนทั้งปวงก็จะหัวเราะเยาะเล่น ผิดก็จะไปหาเล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋ว ฟังแยบคายเล่าปี่จะคิดดีร้ายประการใดจะได้คิดอ่านผ่อนผันเมื่อภายหลัง เตียวสงคิดแล้วก็ขับม้าพาทหารรีบไปเมืองเกงจิ๋ว พอขงเบ้งรู้ข่าวก็ใช้จูล่งคุมทหารห้าร้อยออกมารับ จูล่งย่อตัวลงคำนับแล้วถามว่า ท่านนี้หรือชื่อว่าเตียวสง ชาวเมืองเสฉวน เตียวสงรับคำแล้วถามว่า ท่านนี้ชื่อจูล่งหรือ จูล่งก็รับคำว่าข้าพเจ้านี้แลชื่อจูล่ง ต่างคนต่างลงมาจากม้า
จูล่งจึงว่า เล่าปี่นายข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าท่านอุตส่าห์มาแต่เมืองไกล เห็นว่าผู้คนทั้งปวงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานัก จึงให้ข้าพเจ้าคุมของเลี้ยงออกมารับท่าน ให้หยุดพักกินอยู่ให้สบายแล้วจึงพาเข้าไป เตียวสงได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงหยุดอยู่ จูล่งก็ให้ทหารแต่งโต๊ะเลี้ยงดูกันตามประเพณี เตียวสงจึงคิดในใจว่า เล่าปี่นี้มีใจอารีรักคนผู้มีสติปัญญาจริงเหมือนคำเขาว่า ครั้นกินโต๊ะสำเร็จแล้ว จูล่งก็พาเตียวสงมาถึงที่สำนักแขกเมือง กวนอูคุมทหารร้อยหนึ่งมาคอยรับ ครั้นเห็นเตียวสงมาถึงก็ให้ตีฆ้องกลองแลม้าฬ่อรับ แล้วเข้าไปคำนับว่า เล่าปี่พี่ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมาแต่เมืองไกล ก็ให้ข้าพเจ้าออกมาจัดแจงที่สำนักให้อยู่ให้สบาย เตียวสงก็หยุดพักอยู่ในที่นั้นคืนหนึ่ง
ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูแลจูล่ง ก็พาเตียวสงมาทางประมาณห้าสิบเส้น พอพบเล่าปี่แลขงเบ้งบังทองคุมทหารออกมารับคำนับเตียวสงแล้วจึงว่า แต่ก่อนก็ได้ยินเขาสรรเสริญถึงท่านอยู่ ว่ามีสติปัญญามาก ครั้นจะไปสนทนาด้วยท่านก็เปนหนทางกันดาร ท่านมาบัดนี้เปนบุญหนักหนา ขอเชิญท่านเข้าไปเมืองเกงจิ๋วจะได้สนทนาด้วยกัน เหมือนท่านเอาน้ำมาให้เรากิน ซึ่งหอบกระหายอยากก็จะคลาย เล่าปี่ก็พาเตียวสงเข้ามาในเมืองจัดแจงให้นั่งที่สมควร จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงแล้วก็พูดจากันตามประเพณี
เตียวสงเห็นเล่าปี่พูดจาแต่เนื้อความอื่น มิได้ว่าเนื้อความถึงเมืองเสฉวน จึงแกล้งถามว่า ท่านมาอยู่เปนใหญ่ในเมืองเกงจิ๋วนี้มีเมืองขึ้นสักกี่หัวเมือง ขงเบ้งจึงชิงบอกว่า เมืองเกงจิ๋วนี้นายของเราขอยืมซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งอยู่ดอก มิได้เปนสิทธิ์ของตัว ด้วยนายเราเปนน้องเขยซุนกวน เขาเสียมิได้ก็จำใจให้อยู่ ทุกวันนี้เขาก็เวียนมาทวงจะเอาคืน รำคาญใจมิรู้ที่จะผ่อนผันเลย เตียวสงจึงว่า อันเมืองกังตั๋งนั้นมีหัวเมืองเอกถึงหกหัวเมือง ๆ ตรีก็มีถึงแปดสิบเอ็ดหัวเมือง สาระพัดจะบริบูรณ์ทุกสิ่ง ผู้คนก็มากยังไม่อิ่มใจหรือ แต่เมืองเกงจิ๋วเท่านี้ยังเฝ้าทวงอยู่อีกเล่า บังทองจึงว่า นายเรานี้ก็เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่เมือง ๆ หนึ่งก็ไม่มีอยู่ จะตั้งตัวก็มิได้ กลับไปง้อยืมเมืองเขาอยู่ให้ศัตรูบังคับใช้ฉนี้ก็หาพอที่ไม่เลย
เล่าปี่จึงว่าท่านทั้งสองอย่าว่าเลย วาสนาข้าพเจ้าน้อยตามแต่บุญเถิด แต่เพียงนี้ก็เปนสุขอยู่แล้ว ข้าพเจ้าไม่คิดที่จะเปนใหญ่ให้เกินวาสนาดอก เตียวสงจึงว่า ตัวท่านก็เปนเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ผู้คนทั้งปวงก็สรรเสริญมีความรักใคร่มาก อย่าว่าแต่จะชิงเอาเมืองเกงจิ๋วเท่านี้เลย อันวาสนาท่านถึงตั้งตัวเปนเจ้าแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็คงจะหามีใครนินทาไม่ เล่าปี่ยกมือขึ้นคำนับแล้วจึงห้ามว่า ท่านจงได้เอ็นดูเถิดอย่าว่าเลย เกินวาสนาเรานักหาสมควรไม่ เล่าปี่แกล้งชวนพูดแต่เนื้อความอื่นถึงสามวันแล้วเตียวสงคำนับลาจะกลับไป เมืองเสฉวน เล่าปี่ก็คุมทหารออกมาส่งถึงนอกเมือง แล้วก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยง
เล่าปี่จึงว่า ท่านมาถึงเมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าได้ชักชวนท่านไว้ถึงสามวัน ได้สนทนาด้วยกันก็มีความสบาย บัดนี้ท่านจะจากข้าพเจ้าไปแล้ว เมื่อไรเราจะได้พบกันอีกเล่า ว่าแล้วเล่าปี่กระทำร้องไห้ เตียวสงเห็นดังนั้นก็คัดเอ็นดูเล่าปี่นักจึงว่า ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ก็คิดว่าจะใคร่มาอยู่ด้วยท่านให้ใช้สอย แต่ว่ายังมิได้ท่วงทีชอบกลเลย อนึ่งท่านจะตั้งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้ก็เห็นจะไม่เปนที่มั่นได้ ด้วยฝ่ายตวันออกนั้นซุนกวนก็เปนศัตรู ข้างทิศเหนือเล่าโจโฉก็จะมาย่ำยี ที่ไหนจะมีความสุขเหมือนท่านอยู่ในกลางใจไฟ เล่าปี่จึงว่า เราก็รู้ว่าจะอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้มิสบาย แต่ทว่าจนใจด้วยทุกวันนี้ไม่มีที่จะเล็งเห็นที่ไหนจะเปนที่อาศรัยได้ เตียวสงจึงว่า อันเมืองเสฉวนนั้นภูมิ์ฐานก็กว้างขวาง ผู้คนก็มาก เข้าปลาอาหารสารพัดจะบริบูรณ์ ผู้มีสติปัญญาทั้งปวงก็นับถือท่าน ว่ามีใจอารีรอบคอบปรากฎอยู่ แม้จะยกทหารไปตีเมืองเสฉวนนั้น แต่ชี้มือไปก็จะได้โดยง่าย มิพักลำบากแก่ทหารทั้งปวง เห็นจะตั้งอยู่เปนสุขได้
เล่าปี่จึงว่า อันเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน ก็เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็ได้ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรมาแต่ก่อน ผู้อื่นหรือจะอาจไปทำร้ายได้ เตียวสงจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ ข้าพเจ้าก็มิใช่เปนคนขายเจ้า แต่ว่าได้มาพบท่านแล้วก็มีความเอนดู จึงบอกตื้นลึกหนักเบาทั้งนี้ให้แจ้ง ด้วยเล่าเจี้ยงนั้นเปนเชื้อวงศ์ก็จริง แต่เปนคนโลเลหาสติปัญญาไม่ แล้วก็ไม่รู้จักเลี้ยงคนดี อนึ่งเตียวฬ่ออยู่ฝ่ายเหนือนั้นก็จะมาทำอันตราย ผู้คนทั้งปวงก็เรรวนแต่จะเอาใจออกหาก ถ้าเหมือนท่านฉะนี้ยกไปก็เห็นคนทั้งปวงจะมีความยินดี จะเข้าหาท่านเปนอันมาก ซึ่งข้าพเจ้ามาบัดนี้ ก็ปราถนาจะเอาเมืองเสฉวนไปให้แก่โจโฉ เห็นโจโฉอ้ายศัตรูแผ่นดินนั้นโอหังถือว่าตัวดี ลบหลู่ผู้มีสติปัญญาเสีย ข้าพเจ้าจะยกเมืองเสฉวนให้ก็หาต้องการไม่ ข้าพเจ้าจึงแวะมาหาท่านหวังจะบอกเนื้อความทั้งนี้ ขอให้ท่านคิดผ่อนผันดูเถิด ถ้าได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะได้คิดอ่านทำการเอาบ้านเมืองทั้งปวง เห็นจะได้เปนใหญ่เหมือนความปราถนา แม้ท่านเต็มใจจะเอาเมืองเสฉวนมั่นคงจริง ข้าพเจ้าจะรับเปนธุระทำการข้างในมิให้ขัดสน แต่บัดนี้ยังมิแจ้งว่าท่านจะคิดทำการเปนประการใด
เล่าปี่จึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ขอบใจหนักหนา แต่ว่าเราจนใจด้วยเล่าเจี้ยงนี้ก็เปนแซ่เดียวกัน ถ้าเรายกไปทำร้าย คนทั้งปวงจะมิชวนกันติฉินนินทาหรือ เตียวสงจึงว่า อันธรรมดาเกิดมาเปนชาย เมื่อปราถนาจะเปนใหญ่ แม้ได้ทีที่ไหนก็จะทำการที่นั้น อันจะคิดรั้งรออยู่กลัวแต่ความนินทาฉนี้ นานไปเมื่อหน้าเปนของผู้อื่นแล้ว จะคิดอ่านทำการต่อภายหลังก็จะมิได้ความเดือดร้อนเสียใจอยู่หรือ เล่าปี่จึงว่า ท่านเมตตาสั่งสอนเราทั้งนี้คุณหนักหนา แต่ว่าเมืองเสฉวนนี้เราก็แจ้งอยู่ ว่าลู่ทางกันดารเปนซอกห้วยธารเขา จะเดิรเหินนั้นยากลำบากนัก ม้าฬาจะไปก็ขัดสน ซึ่งจะคิดอ่านทำการนั้น จะอุบายผ่อนผันประการใดดี
เตียวสงจึงแหวกอกเสื้อชักเอาแผนที่เมืองเสฉวนส่งให้เล่าปี่แล้วว่า ท่านไม่เข้าใจทางที่จะไปมาในตำบลเมืองเสฉวนนั้นก็จงพิเคราะห์ดูแผนที่นี้ เถิด ซึ่งน้ำท่าเข้าปลาอาหารแห่งใดจะขัดสนหรือบริบูรณ์ในตำบลใดนั้นก็มีอยู่สิ้น ทุกประการ อนึ่งในเมืองเสฉวนนั้น เพื่อนรักของข้าพเจ้ามีสองคน ๆ หนึ่งชื่อหวดเจ้งคนหนึ่งชื่อเบ้งตัด สองคนนี้ก็เปนที่ไว้ใจได้ ข้าพเจ้าจะไปว่ากล่าวก็เห็นจะไม่ขัด ถ้าหวดเจ้งเบ้งตัดมาถึงท่านแล้วก็จงปรึกษาหารือกันเถิด อย่าคิดสงสัยสิ่งใดเลย เล่าปี่ยกมือขึ้นคำนับแล้วจึงว่า ซึ่งท่านบอกกล่าวแนะนำให้ทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ แม้สำเร็จราชการแล้วก็จะแทนคุณท่านให้ถึงขนาด เตียวสงจึงว่า ตัวข้าพเจ้านี้มีความปราถนาจะหามุลนายที่ดีมีนํ้าใจอารีรอบคอบก็ได้เหมือนใจ ถึงมาทว่ารู้สิ่งใดเปนการลับก็มิควรที่จะอำไว้ จำจะบอกออกให้สิ้น ที่จะตั้งใจให้ท่านทดแทนคุณนั้นหามิได้ ว่าดังนั้นแล้วก็คำนับลาไป ขงเบ้งก็ให้กวนอูคุมทหารไปส่งทางประมาณร้อยเส้นแล้วก็กลับมา
ครั้นเตียวสงมาถึงเมืองเสฉวนแล้ว ก็แวะไปหาหวดเจ้งเพื่อนรักสนิธกันก่อน จึงเล่าเนื้อความซึ่งโจโฉทำหยาบช้านั้นให้ฟังทุกประการ แล้วว่าอันโจโฉนั้นที่เราทั้งปวงจะไปอยู่ด้วยประสงค์จะเอาความสุข เห็นจะได้แต่ความทุกข์อีก ซึ่งจะเอาเมืองเสฉวนไปให้ก็หาความต้องการไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ายกให้เล่าปี่เสียแล้ว จึงกลับมาปรึกษาท่านจะเห็นประการใด
หวดเจ้งได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่าจะไปอยู่ด้วยเล่าปี่ เพราะเห็นว่าเล่าเจี้ยงนี้เปนคนหาเอาการไม่ บัดนี้ท่านสมัคไปอยู่ด้วยเล่าปี่ เอาเมืองเสฉวนไปยกให้ ก็เหมือนนํ้าใจข้าพเจ้าคิดแล้ว เราจะรังเกียจกันสิ่งใดเล่า พอเบ้งตัดเข้ามาถึงจึงว่า ท่านทั้งสองพูดจากันนี้ข้าพเจ้ารู้น้ำใจแล้ว ชรอยจะเอาเมืองเสฉวนไปยกให้ผู้อื่นเสีย เตียวสงจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ถูกนํ้าใจเราทั้งสองอยู่แล้ว แต่ว่าท่านมีปัญญาจงทายดูว่าเราจะยกให้แก่ผู้ใด เบ้งตัดจึงว่า อันเมืองเสฉวนนี้จะยกให้ผู้อื่นนั้น เราเลงดูแล้วหาเห็นสมควรกับผู้ใดไม่ เห็นสมควรแต่จะยกให้แก่เล่าปี่ผู้เดียว เตียวสงหวดเจ้งเบ้งตัดสามคนก็ตบมือหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ต่างคนก็ต่างพูดจากันไป เตียวสงจึงว่า เราทั้งสามก็เห็นด้วยกันแล้ว อย่ากระนั้นเลย เวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปหาเล่าเจี้ยง จะว่าให้เล่าเจี้ยงใช้ให้ท่านทั้งสองไปหาเล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋ว หวดเจ้งเบ้งตัดก็รับคำเตียวสง ๆ ก็เข้าไปหาเล่าเจี้ยง ๆ ถามว่า ท่านไปเมืองหลวงได้ข้อราชการมาประการใดบ้าง
เตียวสงจึงว่า ข้าพเจ้าไปเมืองหลวงนั้นหวังจะป้องกันอันตรายมิให้มาถึงเมืองเรา ก็ไม่สมความคิด ด้วยโจโฉนั้นเปนศัตรูแก่แผ่นดิน มีนํ้าใจอันหยาบช้านัก อันความชั่วของโจโฉจะพรรณนามิรู้สิ้น บัดนี้ก็มีนํ้าใจกำเริบจะมาทำร้ายแก่เมืองเราอีก เล่าเจี้ยงจึงว่า ถ้ากระนั้นจะคิดประการใดดี เตียวสงจึงว่า ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเล่าปี่กับท่านเปนแซ่เดียวกัน แลขณะเมื่อจิวยี่เผาทัพโจโฉแปดสิบสามหมื่นเสียที่ปากอ่าวเมืองกังตั๋งนั้น เล่าปี่ก็ได้ช่วยทำการจึงสำเร็จ โจโฉก็กลัวปัญญาความคิดเล่าปี่อยู่ แต่พอออกชื่อเล่าปี่ก็ดูเหมือนขวัญจะออกจากตัว จะสาอะไรแก่เตียวฬ่อที่จะมิกลัวเล่าปี่ ขอให้ท่านคิดอ่านไปเปนไมตรีด้วยตามประเพณี ก็จะได้ช่วยป้องกันเมืองเรา เตียวฬ่อจะไม่ทำร้ายได้ เล่าเจี้ยงจึงว่า อันท่านว่าทั้งนี้ก็ต้องนํ้าใจเรา แต่เราคิดอยู่ที่จะไปเปนไมตรีกับเล่าปี่นั้นก็นานแล้ว บัดนี้ท่านว่าก็เห็นด้วย แต่ยากที่จะใช้ให้ผู้ใดไป
เตียวสงจึงว่า ซึ่งจะให้ถือหนังสือไปถึงเล่าปี่นั้น เห็นแต่หวดเจ้งเบ้งตัดสองคนนี้จะได้ราชการเปนมั่นคง เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้หาหวดเจ้งเบ้งตัดเข้ามาแล้วแจ้งเนื้อความให้ฟังทุกประการ จึงให้แต่งหนังสือเปนใจความว่า ข้าพเจ้าเล่าเจี้ยงผู้น้องขอคำนับมาถึงเล่าปี่ผู้พี่ ด้วยทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีใจรำลึกถึงอยู่ แต่ทว่าเปนทางกันดารยากที่จะไปมา ครั้นจะจัดแจงสิ่งของมาคำนับตามประเพณีก็มิทันที ซึ่งมิบังควรประการใดนั้นขอท่านได้อดโทษข้าพเจ้าเถิด ด้วยบัดนี้เตียวฬ่อคิดการใหญ่หลวงนัก จะมาทำร้ายแก่ข้าพเจ้า ๆ หาที่จะเห็นมิได้ หวังจะพำนักแต่ท่านผู้เดียว โดยโบราณว่าไว้ว่าสิบผู้อื่นมิเท่าแซ่เดียวกัน ขอท่านได้อนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้า อย่าให้ได้ความอัปยศแก่เตียวฬ่อนั้นเลย ครั้นแต่งหนังสือเสร็จแล้ว ก็ส่งให้หวดเจ้งจะให้ถือไปหาเล่าปี่ แล้วจึงให้เบ้งตัดคุมทหารห้าพัน ส่งให้ยกออกไปอยู่กลางทางคอยรับเล่าปี่ ถ้าเล่าปี่มาถึงเมื่อใดก็ให้เชิญเข้ามาในเมืองเสฉวน
ขณะนั้นอุยก๋วนชาวเมืองเสหลงเปนที่ปรึกษา รู้ว่าเล่าเจี้ยงจะให้หวดเจ้งถือหนังสือไปคำนับเชิญเล่าปี่ดังนั้นจึงวิ่ง เหงื่อถ้วมตัวมาถึงจึงร้องว่า เหตุใดท่านมาเชื่อถือถ้อยคำเตียวสงนี้ จะเอาเมืองเสฉวนทั้งสิบเอ็ดหัวเมืองไปให้แก่ผู้อื่นเสียเล่า เตียวสงได้ยินก็ตกใจนั่งตลึงอยู่ เล่าเจี้ยงจึงว่า เปนไฉนท่านมาว่าดังนี้ ไม่รู้หรือว่าเล่าปี่นั้นเปนแซ่เดียวกันกับเรา ซึ่งให้ไปเชิญมาทั้งนี้ก็หวังจะให้ช่วยป้องกันบ้านเมือง จะได้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป ท่านจะเห็นประการใดจึงว่าฉนี้เล่า
อุยก๋วนจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ ด้วยเล่าปี่กับท่านเปนแซ่เดียวกันก็จริง แต่ว่าเปนคนเจ้าปัญญาความคิดแยบคายนั้นมาก เหมือนหนึ่งเสือเถ้าจำศีล แส้งทำน้ำใจอารีรอบคอบให้คนนับถือลือชาปรากฎ เห็นแต่ภายนอกมิรู้ก็ว่าดี อันนํ้าใจเล่าปี่นั้นคด ประการหนึ่งเล่าปี่ก็มีขงเบ้งแลบังทองเปนที่ปรึกษา แลกวนอูเตียวหุยจูล่งอุยเอี๋ยนฮองตงเปนทหารเอกมีฝีมือเข้มแข็งนัก อันท่านจะให้ไปรับเล่าปี่มาไว้ในเมืองเสฉวนนี้ที่ไหนเล่าปี่จะยอมเปนผู้น้อย จะเอาราชสีห์มาไว้ในกรงจะได้หรือ อนึ่งเมืองเสฉวนจะมีเจ้าเมืองเปนสองนั้น ก็เหมือนช้างนํ้ามันอยู่โรงเดียวกันเห็นจะอยู่มิได้ ชรอยเตียวสงนี้จะแวะไปเมืองเกงจิ๋วพูดจาให้กัติกาสัญญากับเล่าปี่แล้ว จึงกลับมาว่ากล่าวล่อลวงท่านให้เสียเมืองแก่ผู้อื่น ขอให้ท่านจบตัวเตียวสงฆ่าเสียจึงจะชอบ อันเมืองเสฉวนนี้เหมือนหนึ่งอิงภูเขาอยู่ ท่านอย่าวิตกว่าผู้ใดจะมาทำร้ายได้ เราจะซ่องสุมทหารให้พร้อมแล้วจะยกไปกำจัดเล่าปี่เสีย
เล่าเจี้ยงจึงว่า ท่านว่าดังนี้ก็ควรอยู่ แต่ถ้าโจโฉกับเตียวฬ่อจะยกมาทำอันตรายเราท่านจะคิดประการใดเล่า อุยก๋วนจึงว่า ซึ่งจะป้องกันโจโฉแลเตียวฬ่อนั้นเห็นจะไม่ยากนัก ถ้าโจโฉแลเตียวฬ่อจะยกมา เราจะแต่งทหารยกไปรักษาด่านทางป้องกันไว้ให้มั่นคงอย่าให้เข้ามาได้ ก็จะเบื่อหน่ายใจยกกลับไปเอง เมืองเสฉวนก็จะเปนสุขอยู่
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงว่า อันธรรมดาศึกมาติดเมืองจวนจะได้แล้วจะถอยเสียนั้นก็หามีอย่างไม่ เหมือนเพลิงลามไหม้ติดขนคิ้วร้อนจักษุอยู่แล้วจะมิดับเสียแลจะนิ่งอยู่ให้ เพลิงดับเองนั้นได้หรือ ถ้อยคำอันนี้เรามิเอาเปนครู ท่านออกไปเสียเถิด อองลุยเห็นดังนั้นจึงห้ามว่า ท่านมาเชื่อฟังถ้อยคำเตียวสงนั้นเหมือนหนึ่งหาภัยมาใส่ตัว
เล่าเจี้ยงจึงว่า ซึ่งเราจะให้ไปเชิญเล่าปี่มาบัดนี้ ก็หวังจะให้ช่วยรักษาบ้านเมือง เหตุใดจึงว่าจะมีภัยเล่า อองลุยจึงว่า เตียวฬ่อนี้ถึงจะเปนศัตรูท่านก็เหมือนกับหูดสิวอันเปนที่กายภายนอก แต่จะเอาเล็บสกิดเสียก็จะหายไป อันเล่าปี่จะเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองนั้น เหมือนวัณโรคอันเปนยอดขึ้นในอก ยากที่จะรักษาได้ ด้วยเล่าปี่นั้นเปนคนอกตัญญูมิได้รู้จักคุณคน โจโฉเอาไปเลี้ยงไว้ยังกลับคิดร้ายแก่ผู้มีคุณ แล้วไปอาศรัยซุนกวนเล่าก็ชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว มิได้ซื่อตรงต่อผู้ใด ซึ่งท่านจะไว้ใจเล่าปี่แล้วรับเข้ามาในเมืองนี้ น่าที่จะเกิดอันตรายเปนมั่นคง
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตวาดเอาว่า เล่าปี่เปนแซ่เดียวกับเรา ที่ไหนจะคิดทำร้ายต่อพี่น้อง ตัวท่านว่าฉนี้มิควรนัก ก็สั่งให้ทหารจับเอาตัวอองลุยกับอุยก๋วนออกไปเสีย แล้วเร่งให้หวดเจ้งรีบถือหนังสือไป ครั้นหวดเจ้งมาถึงเมืองเกงจิ๋ว เข้าไปคำนับเล่าปี่แล้วส่งหนังสือให้ เล่าปี่ได้แจ้งในหนังสือนั้นมีความยินดีนัก จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงหวดเจ้งตามประเพณี
ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นเล่าปี่จึงว่า เตียวสงบอกข้าพเจ้าออกชื่อถึงท่านว่ามีสติปัญญาน้ำใจอารี ข้าพเจ้าก็มีความยินดีนักอยู่ บัดนี้ท่านมาถึงได้เห็นหน้าสนทนาด้วยกันเปนบุญหนักหนา หวดเจ้งจึงว่า ข้าพเจ้านี้เปนขุนนางผู้น้อยใครก็ไม่สู้นับถือ แต่ว่าเตียวสงไปบอกออกชื่อถึงท่านก็มีใจยินดีด้วย ข้าพเจ้ามาบัดนี้หวังจะใคร่แจ้งว่า เตียวสงมาเจรจาไว้แก่ท่านนั้นท่านก็ยังมีความวิตกอยู่หรือ
เล่าปี่จึงว่า ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ก็อาภัพ แผ่นดินทั้งแผ่นดินแต่หาที่จะอาศรัยก็ไม่มี ต้องยืมเมืองเขาอยู่ คิดมาก็น่าเวทนา แต่นกยังมีกิ่งไม้จับ เกิดมาเปนคนไม่มีที่อยู่ก็น่าสมเพช ซึ่งเตียวสงมาว่าไว้นั้นข้าพเจ้าก็คิดอยู่ แต่จนใจด้วยเล่าเจี้ยงก็เปนแซ่เดียวกันมิรู้ที่จะคิดเลย หวดเจ้งจึงว่า อันเมืองเสฉวนนี้ภูมิ์ฐานมั่นคงบริบูรณ์ทุกสิ่ง เปนที่อุดมกว่าทุกเมือง ถ้าผู้ใดหาสติปัญญามิได้ ถึงจะตั้งตัวเปนใหญ่ก็คงจะเปนของผู้อื่น บัดนี้เล่าเจี้ยงให้มีหนังสือมาถึงท่านก็เหมือนเอาเมืองมายกให้ เปนวาสนาของท่านแล้วขออย่าได้ทิ้งเมืองเสฉวนเสียเลย ซึ่งท่านจะคิดทำการไปเบื้องหน้านั้นข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงให้สำเร็จ ถึงจะตายก็ไม่เสียดายแก่ชีวิตเลย เล่าปี่ก็ยกมือขึ้นคำนับว่าขอบใจท่านหนักหนา
ครั้นเสพย์สุราแล้ว ขงเบ้งก็จัดแจงที่อยู่ให้แก่หวดเจ้งอาศรัยตามสมควร บังทองเห็นเล่าปี่นั่งง่วงรำพึงอยู่จึงเข้ามาว่า อันธรรมดาผู้มีสติปัญญานั้น ถ้าจะคิดอ่านทำการสิ่งใด ถึงจะเต็มใจก็ดีมิเต็มใจก็ดี ก็ย่อมว่ากล่าวให้แตกฉานปรากฎออก แลจะนิ่งรำพึงรวนเรอยู่ก็เหมือนคนหาปัญญามิได้ ตัวท่านก็ประกอบด้วยสติปัญญา จะมานั่งวิตกถอยหน้าถอยหลังอยู่ฉนี้หาควรไม่ เล่าปี่จึงว่าท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ทว่าข้าพเจ้ามาพิเคราะห์ดูก็ยังมิรู้ที่จะคิดเลย สติปัญญาของท่านเล่าเห็นประการใด
บังทองจึงว่า อันเมืองเกงจิ๋วนี้ ข้างตวันออกนั้นซุนกวนเปนอริอยู่ ฝ่ายทิศเหนือนั้นโจโฉก็เปนศัตรู ทุกวันนี้เหมือนอยู่กลางไฟ ด้วยศัตรูนั้นอยู่รอบตัว อันเมืองเสฉวนนั้นผู้คนก็มากพรักพร้อม ทรัพย์สมบัติทั้งปวงก็บริบูรณ์ เห็นจะเปนที่ตั้งตัวให้เปนสุขได้ บัดนี้เตียวสงหวดเจ้งทั้งสองก็มีใจภักดีต่อท่านจะช่วยทำนุบำรุง เหมือนเทพดามาชี้ขุมทองให้ เหตุไฉนท่านจึงยังมีความวิตกนั่งนิ่งอยู่ฉนี้เล่า
เล่าปี่จึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ามีความวิตกทั้งนี้ ด้วยเห็นว่าโจโฉกับข้าพเจ้าทำการทุกวันนี้เหมือนนํ้ากับเพลิง อันโจโฉนั้นดังไฟ มักทำให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน เพราะใจกำเริบหยาบช้าใหญ่หลวง แลตัวข้าพเจ้าอุปมาเหมือนนํ้า จะทำการสิ่งใดก็ตั้งใจแต่จะให้เปนประโยชน์ ปราถนาจะรักษาอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุข เดชะผลความสัตย์ของเราจึงได้มาตั้งตัวอยู่ถึงเพียงนี้ แลจะละความสัตย์เสียเพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติทำให้ผิดธรรมเนียมนั้นเราทำมิ ได้
บังทองจึงว่า อันซึ่งท่านตั้งอยู่ในความสัตย์นี้ ก็เปนที่เทพดามนุษย์สรรเสริญควรอยู่แล้ว แต่แผ่นดินทุกวันนี้มิได้เปนปรกติ เกิดจลาจลต่าง ๆ คนกุมอาวุธรักษาตัวมิวางมือ ซึ่งท่านจะถือความสัตย์ให้มั่นคงอยู่นั้นก็มิได้ ธรรมดาภัยมาถึงตัวแล้วก็ย่อมจะรักษาตัวก่อน อันเมืองเสฉวนนั้นควรจะยืมเอาเปนที่อาศรัยแต่พอสงบอันตราย ถ้าแผ่นดินราบคาบเปนปรกติมีความสุขแล้วจึงค่อยสนองคุณท่านเมื่อภายหลังโดย สมควร ให้สิ้นความครหานินทามิดีหรือ ถ้าท่านมิคิดเอาเมืองเสฉวนบัดนี้ นานไปเบื้องหน้าก็จะเปนของผู้อื่น จะกลับคิดทำการเมื่อภายหลังเห็นจะไม่สำเร็จ จะป่วยการสติปัญญาของผู้ช่วยอุปถัมภ์เสียเปล่า
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงว่า อันถ้อยคำของท่านสั่งสอนทั้งนี้ควรจะจารึกไว้ในแผ่นทองสอนใจไปเช้าคํ่า จึงให้หาขงเบ้งเข้ามาปรึกษาที่จะเกณฑ์กองทัพยกไปเมืองเสฉวน ขงเบ้งจึงว่า เมืองเกงจิ๋วเปนที่สำคัญนัก จะยกทหารไปบัดนี้จะไว้ใจราชการภายหลังมิได้ จำจะเกณฑ์คนไว้ให้อยู่รักษา เล่าปี่จึงว่าท่านว่านี้ชอบนัก ถ้ากระนั้นตัวข้าพเจ้ากับบังทองอุยเอี๋ยนฮองตงจะคุมทหารยกไปเมืองเสฉวน ตัวท่านกับกวนอูเตียวหุยจูล่งจงอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วเถิด ขงเบ้งก็รับคำ จึงให้กวนอูอยู่รักษาเมืองซงหยง เตียวหุยเปนกองตะเวรรักษาหัวเมืองทั้งสี่ซึ่งตีได้ใหม่ ให้จูล่งไปรักษาเมืองกำเหลง
ฝ่ายเล่าปี่จึงตั้งให้ฮองตงเปนกองหน้า อุยเอี๋ยนเปนกองหลังคุมทหารห้าหมื่นพร้อมไว้ คอยฤกษ์จะยกไปเมืองเสฉวน ขณะนั้นเลียวฮัวซึ่งเปนโจรป่าอยู่ ณ เขาหน้าด่านเมืองฮูโต๋ ก็คุมพวกเพื่อนเข้ามาอยู่ด้วยเล่าปี่ ๆ จึงให้ไปรักษาเมืองซงหยงกับกวนอู ครั้นได้ฤกษ์แล้วเล่าปี่ก็ให้ยกกองทัพไปทางประมาณสองพันเส้น พอพบเบ้งตัดคุมทหารห้าพันออกมาคำนับแล้วบอกว่า บัดนี้เล่าเจี้ยงนายข้าพเจ้าให้คุมทหารออกมาคอยรับท่าน เล่าปี่มีความยินดี จึงให้คนถือหนังสือรีบไปแจ้งแก่เล่าเจี้ยง
เล่าเจี้ยงแจ้งดังนั้นแล้ว ก็ให้มีหนังสือไปถึงหัวเมืองรายทางว่า ถ้าเล่าปี่มาถึงตำบลใดก็ให้เลี้ยงดูทหารทั้งปวง อย่าให้อดอยากขัดสนได้กว่าจะถึงเมืองเสฉวน แล้วก็ให้จัดทหารสามหมื่นแลรถสำหรับขี่มีสัปทนเครื่องแห่ กับสิ่งของเงินทองทั้งปวงเปนอันมาก จะออกไปรับเล่าปี่ ณ ตำบลโปยเสีย อุยก๋วนเห็นเล่าเจี้ยงจัดแจงทหารจะออกไปรับเล่าปี่จึงเข้ามาว่า ตัวข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยท่าน ๆ ก็ให้ทำนุบำรุงให้กินเบี้ยหวัดผ้าปีมาช้านาน ยังมิได้ทำความชอบสิ่งใดสนองคุณเลย บัดนี้ท่านจะออกไปรับเล่าปี่นั้นข้าพเจ้าเห็นมิชอบ จะขอห้ามท่านไว้ให้ยับยั้งก่อน ซึ่งท่านจะออกไปบัดนี้น่าที่จะเสียด้วยกลของเล่าปี่เปนมั่นคง จงรำพึงดูให้ถ้วนถี่เถิด
เตียวสงจึงว่า อันอุยก๋วนมาห้ามปรามทัดทานท่านทั้งนี้ ข้าพเจ้าจะได้เห็นว่าเปนประโยชน์สิ่งใดหามิได้เลย เปนคนริษยามีแต่จะให้ท่านตัดพี่น้องให้ขาดกัน ปรารถนาจะให้เปนเสี้ยนหนามไปอีก เล่าเจี้ยงจึงตวาดเอาอุยก๋วนว่า ท่านอย่ามาเจรจาเซ้าซี้อยู่เลย เราคิดเห็นประโยชน์แน่นอนอยู่แล้ว เรามิได้เชื่อฟังท่าน อุยก๋วนก็มีความน้อยใจ จึงเอาหน้ากระทบลงกับศิลาจนโลหิตไหลออก ก็กัดเอาชายเสื้อเล่าเจี้ยงไว้มิให้ออกไป เล่าเจี้ยงโกรธเปนกำลังก็กระชากชายเสื้อสบัดมา อุยก๋วนก็มิวางจนฟันหักหลุดออกเปนสองซี่ เล่าเจี้ยงก็ให้ทหารจับตัวออกไปเสีย อุยก๋วนก็ร้องไห้กลับมาบ้าน
หลีอิ๋นเห็นดังนั้นจึงเข้ามาร้องว่า ท่านมิได้เชื่อฟังถ้อยคำอุยก๋วนทัดทานฉนี้ จะขืนออกไปรับเล่าปี่นั้นก็เหมือนไปหาที่ตาย แลจะรับเล่าปี่เข้ามาในเมืองเสฉวนนี้ก็เห็นจะเหมือนรับเสือเข้ามาไว้ในบ้าน เล่าเจี้ยงจึงว่า อันเล่าปี่นี้ก็เปนแซ่เดียวกันกับเรา หรือจะมาคิดร้ายนั้นก็ผิดไป ถ้อยคำของท่านเรามิขอได้ยิน แล้วก็ให้ทหารขับออกไปเสีย เตียวสงจึงว่าแก่เล่าเจี้ยงว่า อันขุนนางทั้งปวงนี้เสียแรงท่านเลี้ยงให้กินเบี้ยหวัดผ้าปีเสียเปล่า หามีความกตัญญูไม่ มีประโยชน์แต่จะเอาความสุขแต่ตัว เลี้ยงบุตรภรรยาให้สบายใจ มิได้ซื่อตรงต่อท่าน ชรอยคิดจะทำร้ายเปนมั่นคง ครั้นเล่าปี่เข้ามาก็จะขัดขวางอยู่จะทำการมิถนัด จึงแกล้งมาว่ากล่าวริษยาเล่าปี่มิให้เข้ามาทั้งนี้ เล่าเจี้ยงจึงว่า อันท่านว่าทั้งนี้เปนประโยชน์แก่ข้าพเจ้าจริง ๆ มิเสียแรงว่ารักเรา
ครั้นเวลาเช้าเล่าเจี้ยงจะให้ทหารไปรับเล่าปี่ พอทหารคนหนึ่งมาบอกว่า บัดนี้อองลุยเอาเชือกผูกห้อยตัวอยู่ที่ซุ้มประตูเมือง มือหนึ่งถือหนังสือมือหนึ่งถือกระบี่ร้องว่า หนังสือนี้เราฟ้องเจ้า ถ้าฟังเราก็แล้วไป แม้มิฟังเราจะเอากระบี่นี้ตัดเชือกให้สีสะกระแทกลงให้ตายเสีย เล่าเจี้ยงรู้ดังนั้นก็ใช้ให้คนไปเอาหนังสือนั้นมาพิเคราะห์ดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าอองลุยคำนับไว้ถึงท่านให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้าได้ยินโบราณเล่าสืบกันมาว่า ยาดีกินขมปากแต่เปนประโยชน์แก่คนไข้ คนซื่อกล่าวคำไม่เพราะหู แต่เปนประโยชน์แก่กาลภายหน้า ซึ่งท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจะออกไปรับเล่าปี่ ณ เมืองโปยเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเมื่อไปจะมีทางไปสดวก แต่เมื่อจะกลับมาเห็นจะขัดสนไม่มีทางมา ให้ท่านพิเคราะห์ดูจงดีก่อน แม้ท่านฟังคำข้าพเจ้าจงจับตัวเตียวสงตัดสีสะเสีย แล้วสกัดเล่าปี่อย่าให้เข้ามาเมืองเสฉวนได้ ตัวท่านก็จะได้ครองสมบัติสืบไป ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็จะไม่มีความเดือดร้อน
เล่าเจี้ยงได้แจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธ ว่าเล่าปี่เปนคนมีสติปัญญา แล้วกับเราก็รักใคร่เสมอพี่น้องเกิดร่วมอุทรเดียวกัน มิได้มีนํ้าใจรังเกียจกินแหนงกัน เหตุใดอ้ายคนเหล่านี้มันแกล้งมาพูดจาขัดขวาง จะให้เรากับเล่าปี่เปนศัตรูกันหรือ อองลุยได้ทราบดังนั้นก็คิดน้อยใจ ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วเอากระบี่ตัดเชือกนั้นขาดสีสะปักลงมาฅอหักตาย เล่าเจี้ยงก็จัดทหารสามหมื่น แพรอย่างดีบรรทุกเกวียนสามเล่มกับสิ่งของเงินทองแลสเบียงอาหารเปนอันมาก ยกออกจากเมืองรีบไปคอยรับเล่าปี่ ณ เมืองโปยเสีย
ฝ่ายเล่าปี่ยกมาถึงแดนเมืองเสฉวน ก็กำชับทหารทั้งปวงมิให้เบียดเบียฬทำอันตรายราษฎรตามหัวเมืองรายทางทั้งปวง ราษฎรชาวเมืองก็มีความยินดี เล่าปี่ไปถึงหัวเมืองใดราษฎรชาวเมืองก็ชวนกันออกมาคำนับเล่าปี่ ๆ ก็พูดจาเกลี้ยกล่อมโดยสุภาพ หวดเจ้งจึงว่าแก่บังทองว่า เตียวสงให้หนังสือลับมาถึงข้าพเจ้าว่า เล่าเจี้ยงจะยกทหารออกมารับนายท่าน ณ เมืองโปยเสีย เห็นได้ทีอยู่แล้ว จงคิดอ่านกำจัดเล่าเจี้ยงเสียแต่ต้นมืออย่าให้ทันคิดแก้ตัวได้ บังทองจึงว่า เนื้อความทั้งนี้ท่านอย่าเพ่อว่าวุ่นวายไปก่อน กิตติศัพท์จะแพร่งพรายไป ให้เล่าเจี้ยงกับเล่าปี่นายเราถึงกันเข้าก่อนจึงค่อยคิดทำการ หวดเจ้งเห็นชอบด้วย แลเมืองเสฉวนกับเมืองโปยเสียนั้นระยะทางไกลกันหกร้อยเส้น ครั้นเล่าเจี้ยงมาถึงเมืองโปยเสียแล้วก็แต่งทหารออกไปรับเล่าปี่ ๆ ก็ให้ทหารทั้งปวงหยุดตั้งค่ายอยู่นอกเมือง แล้วก็เข้าไปหาเล่าเจี้ยงแต่ตัว ต่างคนต่างคำนับกันตามประเพณีพี่น้อง พูดจาปราสัยเล่าความทุกข์ยากแต่หลังให้ฟังทุกประการแล้วร้องไห้ เล่าเจี้ยงจึงให้แต่งโต๊ะเชิญเล่าปี่กินอยู่เสพย์สุราด้วยกันเปนผาศุก จนเวลาพลบค่ำแล้วเล่าปี่ก็คำนับลาเล่าเจี้ยงไปค่าย
เล่าเจี้ยงจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า อองลุยกับอุยก๋วนสองคนนี้หาปัญญามิได้ ข้าพเจ้าคิดมาก็น่าหัวเราะ ควรหรือมาสงสัยเล่าปี่ว่าจะไม่สัตย์ซื่อต่อพี่น้องนั้นไม่ควร เราเห็นเล่าปี่พี่เราวันนี้พิเคราะห์ดูกิริยาอาการเห็นเปนคนซื่อตรงอารีต่อ พี่น้องจริง ถ้าเราได้เล่าปี่พี่เรามาไว้ช่วยทำนุบำรุงเปนที่ป้องกันอันตรายอยู่รอบนอก แล้ว ก็จะกลัวอะไรแก่โจโฉแลเตียวฬ่อ ตัวข้าพเจ้านี้ก็ผิดหนักหนาที่มิได้รำลึกถึงพี่น้องของตัวเลย ต่อเตียวสงมาบอกจึงคิดได้ ความชอบของเตียวสงมีเปนอันมาก แล้วก็ถอดเสื้อออกจากกายให้คนเอาไปให้แก่เตียวสง ณ เมืองเสฉวนกับทองคำห้าร้อย ตำลึง
ขณะนั้นเล่ากุ๋ยเหลงเปาเตียวหยินเตงเหียน กับที่ปรึกษาทั้งปวงฝ่ายทหารพลเรือนจึงว่าแก่เล่าเจี้ยงว่า ท่านอย่ายินดีเข้าใกล้เล่าปี่ก่อน อันเล่าปี่นี้ทำกิริยาแช่มช้อยพูดจาไพเราะอ่อนโยนก็จริง แต่ว่าเปนคนเจ้ามารยา น้ำใจนั้นกระด้างดังเหล็กเพ็ชร์หาเหมือนกับวาจาไม่ ขอท่านอย่าประมาทเร่งระมัดตัวให้จงดี เล่าเจี้ยงหัวเราะแล้วจึงว่า ท่านทั้งนี้มาชวนกันสงสัยเปล่า ๆ หาต้องการไม่ อันเล่าปี่พี่เรานั้นเห็นจะไม่คิดเปนสองใจ ที่ปรึกษาทั้งนั้นก็พากันทอดใจใหญ่แล้วก็ถอยมา
ฝ่ายเล่าปี่กลับมาถึงค่าย บังทองจึงเข้าไปถามว่า วันนี้ท่านไปกินเลี้ยงกับเล่าเจี้ยงนั้น เห็นแยบคายเปนประการใดบ้าง เล่าปี่จึงบอกว่า เล่าเจี้ยงนั้นเปนคนซื่อสัตย์มั่นคงอยู่ บังทองจึงว่า อันเล่าเจี้ยงเปนคนมั่นคงก็จริง แต่ทว่าขุนนางทั้งปวงเปนคนกระด้างจะมิลงใจ จะขัดแข็งไว้นานไปจะเสียการ ข้าพเจ้าคิดว่าขอให้ท่านหาเล่าเจี้ยงมากินโต๊ะ ณ ค่ายเรา ๆ จะให้ทหารจับตัวฆ่าเสีย แล้วจึงยกเข้าไปเอาเมืองเสฉวนเห็นจะได้โดยง่าย มิพักถอดกระบี่ออกจากฝัก มิพักขึ้นเกาทัณฑ์ให้เสียสายจะมิดีหรือ
เล่าปี่จึงว่า ท่านคิดทั้งนี้ข้าพเจ้ามิเต็มใจ ด้วยเล่าเจี้ยงนั้นเปนแซ่เดียวกัน แล้วก็มีใจรักใคร่นับถือเราจริง ๆ เรามาบัดนี้เล่าก็หวังจะตั้งตัวโดยสุจริตให้เปนที่สรรเสริญ แรกยกมาถึงควรจะให้คนทั้งปวงเห็นนํ้าใจมีความยินดีต่อ ควรหรือมิทันไรจะมาทำอันตรายแก่เล่าเจี้ยง จะมิเปนที่ครหาติเตียนแก่เทวดาแลมนุษย์หรือ ซึ่งจะทำให้เสียสัตย์ผิดด้วยประเพณีนั้นทำมิได้
บังทองจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้จะเปนความคิดของข้าพเจ้าก็หามิได้ ด้วยเตียวสงให้มีหนังสือมาถึงหวดเจ้งให้คิดการกำจัดเสีย หวดเจ้งจึงเอาหนังสือมาแจ้งแก่ข้าพเจ้า ๆ จึงว่าให้ท่านกระทำการ พอว่ายังมิทันขาดคำหวดเจ้งจึงเข้ามาว่า ซึ่งข้าพเจ้าให้กระทำการทั้งนี้ใช่จะเปนประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าหามิได้ หวังจะให้เปนคุณแก่ท่านอีก ใช่จะผิดประเพณีนั้นหามิได้ ก็ต้องกับประเพณีแผ่นดินแต่ก่อน
เล่าปี่จึงว่า เล่าเจี้ยงนี้เปนแซ่เดียวด้วยกันกับเรา ซึ่งจะทำอันตรายนั้นจะควรหรือ หวดเจ้งจึงว่า ซึ่งท่านจะมิทำตามถ้อยคำข้าพเจ้านั้นก็เห็นจะเสียการเปนมั่นคง ด้วยเล่าเจี้ยงกับเตียวฬ่อก็เปนคู่อริกันอยู่ แม้ว่าเตียวฬ่อยกมาตีเมืองเสฉวนได้บัดนี้ ท่านมาแต่ทางไกลเสียแรงได้ลำบากแก่ทหารทั้งปวง ก็จะป่วยการเสียเปล่า ประการหนึ่งจะคิดรีรออยู่ให้ช้าวันช้าคืน แม้มีผู้ไปยุยงเล่าเจี้ยงให้ประทุษฐร้ายแก่ท่าน ก็ที่ไหนจะกลับตัวทันจะมิเสียทีหรือ บัดนี้ผู้คนทั้งปวงก็มีความยินดีต่อท่านเปนอันมาก จงเร่งคิดอ่านทำการกำจัดเล่าเจี้ยงเสียอย่าให้รู้ตัว เอาเมืองเสฉวนเปนที่ตั้งให้จงได้ก่อน ซึ่งจะคิดทำการใหญ่หลวงไปเบื้องหน้านั้นก็จะสดวก เล่าปี่ก็มิยอม แต่ว่ากล่าวกันอยู่ฉนั้นเปนหลายครั้ง
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่จึงเข้าไปกินโต๊ะกับเล่าเจี้ยงอีก ต่างคนต่างเสพย์สุราพูดกันเปนปรกติตามประเพณีพี่น้อง บังทองจึงกระซิบกับหวดเจ้งว่า การก็จวนตัวอยู่ถึงเพียงนี้แล้ว นายเราถือความซื่อตรงมิได้กระทำตามคำเราก็เห็นจะเสียการ ถึงนายจะถือความสัตย์อยู่ก็ทำเนาเราจะคิดอ่านกันทำการเอง จึงสั่งแก่อุยเอี๋ยนว่า บัดนี้เล่าเจี้ยงเสพย์สุราเมาได้ทีอยู่แล้ว ท่านจงฆ่าเสียเถิด อุยเอี๋ยนก็ถอดกระบี่เดิรเข้าไปตรงหน้าโต๊ะแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอรำกระบี่ให้ท่านทั้งสองดูเล่นเปนขวัญตา บังทองจึงร้องขึ้นว่า ถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว ทหารทั้งปวงจงถอยลงมาข้างชั้นล่างให้อุยเอี๋ยนรำกระบี่ดูเล่น อุยเอี๋ยนก็รำกระบี่อยู่หน้าโต๊ะ ทหารเล่าเจี้ยงเห็นอุยเอี๋ยนรำกระบี่ แลพวกทหารนอกนั้นก็ถือเครื่องศัสตราวุธ พากันแลดูเล่าเจี้ยงเขม้นอยู่อยู่ก็กริ่งใจ เตียวหยิมจึงชักกระบี่ออกมาแล้วว่า อันจะรำกระบี่ไม่มีคู่นั้นดูไม่งาม ข้าพเจ้าจะขอรำกระบี่ให้ท่านดูเปนคู่กันกับอุยเอี๋ยน ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเปนเชิงกันอยู่ อุยเอี๋ยนรำกระบี่พลางชายตาดูเล่าฮอง ๆ ก็ถอดกระบี่เข้ารำด้วย เล่ากุ๋ยเหลงเปาเตงเหียนทหารเล่าเจี้ยงเห็นดังนั้นก็ถอดกระบี่ออกร้องว่า ข้าพเจ้าจะขอรำให้ท่านทั้งสองหัวเราะเล่นตามสบายบ้าง ต่างคนต่างก็รำกระบี่เข้าเปนพวกกัน
เล่าปี่เห็นทหารทั้งปวงรำดังนั้นก็ตกใจ จึงชักกระบี่ออกมาจากมือทหารซึ่งดูอยู่นั้น ลุกออกมายืนที่หน้าโต๊ะแล้วว่า ตัวเราพี่น้องมาพบกันมีความยินดี เสพย์สุราเลี้ยงดูกันให้สบายตามประเพณี ควรหรือท่านทั้งปวงมีความกินแหนงสนเท่ห์ฉนี้มิชอบ ใช่จะเหมือนครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจแลพระเจ้าฌ้อปาอ๋องเสพย์สุราด้วยกันณด่าน งักปุนก๋วนนั้นหามิได้ จงทิ้งกระบี่เสียให้สิ้นทุกคน ถ้าผู้ใดมิวางกระบี่ลงก็จะตัดสีสะเสีย
เล่าเจี้ยงจึงตวาดเอาทหารทั้งนั้นว่า เราพี่น้องรักกันโดยสุจริต เหตุใดคนทั้งปวงจึงมาทำวุ่นวาย ถือกระบี่เข้ามาในที่เฝ้าฉนี้ เร่งถอยออกไปให้พ้น ทหารทั้งปวงต่างคนต่างกลัวเล่าเจี้ยงก็ถอยออกไปสิ้น เล่าปี่จึงเรียกทหารเล่าเจี้ยงซึ่งเปนผู้ใหญ่นั้นขึ้นมาบนที่กินโต๊ะ จึงรินสุราให้กินทุกคนแล้วจึงว่า ตัวเราทั้งสองเปนพี่น้องกัน เรามาบัดนี้จะช่วยป้องกันรักษาบ้านเมืองให้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป ซึ่งเราจะได้คิดเปนสองใจนั้นหามิได้ ท่านทั้งปวงอย่ามีความสงสัยเลย ทหารทั้งปวงได้ยินเล่าปี่ว่าก็ยินดี ยกมือขึ้นคำนับแล้วก็ถอยลงมา
เล่าเจี้ยงได้ฟังเล่าปี่ว่าฉนั้นก็ยุดเอาข้อมือว่า พี่นี้รักข้าพเจ้าหนักหนา เห็นสุจริตจริง ๆ ข้าพเจ้ามิได้มีความสงสัยเลย จะขอสนองคุณท่านไปตราบเท่าวันตาย เล่าปี่กับเล่าเจี้ยงก็มีความยินดีต่อกัน เสพย์สุราอยู่จนเวลาจะใกล้พลบคํ่า เมื่อเล่าปี่กลับไปค่ายจึงว่าแก่บังทองว่า ท่านนี้หาความพินิจไม่ ทำทั้งนี้จะให้คนติเตียนเราได้ แต่วันนี้สืบไปวันหน้าจงอย่าได้ทำฉนี้เลย บังทองก็คำนับลาออกมาที่อยู่
ฝ่ายเล่ากุ๋ยเหลงเปาเตงเหียนจึงว่าแก่เล่าเจี้ยงว่า วันนี้ท่านเสพย์สุราด้วยเล่าปี่นั้นเห็นแยบคายหรือไม่ ขอท่านเร่งกลับไปเมืองเถิดอย่าอยู่ช้าเลย แม้ท่านมิกลับไปภัยจะมีเปนมั่นคง เล่าเจี้ยงจึงว่า อันเล่าปี่พี่เรานั้นมีใจสุจริตเห็นประจักษ์อยู่จริงๆ ที่จะคิดทำร้ายแก่เราเหมือนนํ้าใจคนทั้งปวงหามิได้ ท่านอย่าสงสัยเลย เล่ากุ๋ยเหลงเปาเตงเหียนจึงว่า อันนํ้าใจเล่าปี่นั้นเปนคนซื่อตรงอยู่จริง แต่ว่าทหารทั้งปวงมีใจหยาบช้านัก เห็นจะคิดทำร้ายเอาเมืองเสฉวนให้แก่เล่าปี่ ปราถนาจะเอาประโยชน์ใส่ตัว เล่าเจี้ยงก็มิได้เชื่อฟัง จึงเชิญเล่าปี่ให้เข้ามากินโต๊ะด้วยกันในเมืองโปยเสียนั้นทุกวัน
ขณะนั้นม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้เตียวฬ่อจะยกทัพมาตีด่านแฮบังก๋วน เล่าเจี้ยงจึงหาเล่าปี่เข้ามาปรึกษา แล้วก็ว่ากล่าวอ้อนวอนให้เล่าปี่ยกทหารไปป้องกันเตียวฬ่อ เล่าปี่รับคำแล้วก็ยกทหารไปตั้งค่ายณด่านแฮบังก๋วน ทหารทั้งปวงจึงว่าแก่เล่าเจี้ยงว่า บัดนี้เล่าปี่ก็ยกไปรับทัพเตียวฬ่อแล้ว ขอท่านอย่าไว้ใจแก่เล่าปี่ เกลือกจะคิดทำร้ายกลับย้อนหลังมาทำอันตรายเรา จงให้จัดแจงรักษาด่านทางทั้งปวงไว้ให้มั่นคงป้องกันตัว เล่าเจี้ยงก็มิฟังคำ ครั้นที่ปรึกษาทั้งปวงต่างคนเข้ามาช่วยกันว่าเปนอันมาก เล่าเจี้ยงก็เห็นด้วย จึงเกณฑ์ให้เอียวหวยโกภายสองคนคุมทหารออกไปรักษาด่านโปยสิก๋วนหวังจะป้องกัน เล่าปี่ แล้วก็ยกทหารกลับมาเมืองเสฉวน ฝ่ายเล่าปี่ครั้นมาถึงด่านแฮบังก๋วนแล้ว ก็กำชับทหารทั้งปวงมิให้ทำอันตรายแก่ชาวบ้านชาวเมือง หวังจะให้กิตติศัพท์เลื่องลือขจรไป เพื่อจะเอาใจอาณาประชาราษฎรให้มีความยินดีด้วย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 49
https://drive.google.com/file/d/1MbeMfTkFdNF7_VRi34tbhR4RKXbL1Rx8/view
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41 - 50
«
Reply #9 on:
23 December 2021, 13:58:01 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 50
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-50.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 50
เนื้อหา
• ซุนกวนไปรับนางซุนฮูหยิน
• ซุนกวนเตรียมจะตีเมืองเกงจิ๋ว
• โจโฉเลื่อนเป็นที่วุยก๋ง
• โจโฉรบกับซุนกวน
• เล่าปี่เกิดผิดใจกับเล่าเจี้ยง
• เล่าปี่ตีด่านโปยสิก๋วนได้
ฝ่าย ซุนกวนแจ้งว่าเล่าปี่ยกไปเมืองเสฉวน จึงให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษา โกะหยงจึงว่า ซึ่งเล่าปี่ยกไปเมืองเสฉวนบัดนี้ก็เปนทางไกลได้ทีอยู่แล้ว ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารยกสกัดตัดทางเมืองเสฉวนอย่าให้เล่าปี่กลับมาได้ แล้วจงเกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองเกงจิ๋วเห็นจะได้โดยง่าย ซุนกวนจึงว่า ท่านคิดการทั้งนี้ชอบ พอนางงอก๊กไถ้เดิรออกมาถึงหลังฉากได้ยินจึงร้องว่า ผู้ใดคิดการดังนี้ปราถนาจะให้เล่าปี่ฆ่าลูกสาวเราเสียหรือ ชอบให้ตัดสีสะเสีย แล้วก็เดิรสาวเท้าออกมานอกฉากจึงว่าแก่ซุนกวนว่า น้องสาวเจ้าผู้เดียวเราสู้อุ้มท้องรักษามา ถนอมดังหนึ่งดวงชีวิต บัดนี้ก็ได้ยกให้เปนภรรยาเล่าปี่แล้ว แลเจ้าจะมาเชื่อถือถ้อยคำคนทั้งปวงยุยงฉนี้จะฆ่าน้องสาวหรือ ตัวเจ้าได้สมบัติของพี่เปนใหญ่อยู่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองขึ้นถึงแปดสิบเอ็ดยังไม่อิ่มใจหรือ จึงจะไปเอาเมืองเกงจิ๋วซึ่งเปนสมบัติของผู้อื่นอีกเล่า
ซุนกวนได้ฟังมารดาว่า ก็คำนับรับคำว่าข้าพเจ้าผิดแล้ว ขอมารดาอดโทษเถิด แล้วก็ขับที่ปรึกษาทั้งปวงออกไปเสีย นางงอก๊กไถ้ก็กลับเข้ามา ซุนกวนนั่งอยู่แต่ผู้เดียวก็คิดว่า ครั้งนี้มิได้เมืองเกงจิ๋วแล้วที่ไหนไปเบื้องหน้าจะได้ พอเตียวเจียวเข้ามาถึงจึงถามว่า เหตุใดวันนี้ท่านนั่งเปนทุกข์อยู่ ซุนกวนจึงว่า ซึ่งเราเปนทุกข์อยู่ทั้งนี้เพราะวิตกถึงเนื้อความที่ว่ากันเมื่อตะกี้
เตียวเจียวจึงว่า จะทุกข์ไปใยกับเนื้อความเท่านี้ ง่ายไม่ยากดอก ขอท่านให้มีหนังสือลับไปถึงนางซุนฮูหยินน้องท่านว่า บัดนี้มารดาป่วยระลึกถึงอยู่ จะขอเห็นหน้าสักครั้งหนึ่ง ให้รีบมาทั้งกลางวันกลางคืนอย่าให้ช้าได้ แล้วให้พาเอาบุตรเล่าปี่มาเมืองเราด้วย เล่าปี่มีบุตรคนเดียวก็จะสลดน้ำใจ จะต้องเอาเมืองเกงจิ๋วมาเปลี่ยนเอาบุตรของตัวไป ที่ไหนจะทิ้งบุตรเสียได้ ถ้าเล่าปี่มิได้อาลัยถึงบุตรไม่เอาเมืองมาเปลี่ยน เราก็จะยกทหารไปรบเมืองเกงจิ๋ว หามีที่จะขัดข้องสิ่งใดไม่
ซุนกวนจึงว่า ท่านคิดนี้ชอบนัก ก็ให้แต่งหนังสือลับฉบับหนึ่งตามถ้อยคำเตียวเจียว แล้วจึงส่งให้จิวเสี้ยนซึ่งเปนคนสนิธเคยใช้สอยข้างในมาแต่ก่อนนั้น ลอบลงเรือไปเมืองเกงจิ๋วมิให้มารดาทันรู้ ครั้นจิวเสี้ยนมาถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงเข้าไปคำนับนางซุนฮูหยิน แล้วเอาหนังสือนั้นให้นางซุนฮูหยิน ๆ แจ้งในหนังสือนั้นก็สำคัญว่าจริง มีความเสร้าโศกนัก จึงถามว่ามารดาป่วยนั้นเปนประการใด จิวเสี้ยนจึงว่า มารดาท่านป่วยหนักอยู่แล้ว แม้มิได้เห็นหน้าท่านก็จะตายเสีย แล้วสั่งมาว่าจะขอเห็นหน้าอาเต๊าหลานชายด้วย นางซุนฮูหยินจึงว่า บัดนี้เล่าปี่ก็ไม่อยู่ ซึ่งเราจะไปนั้นจำจะบอกกล่าวขงเบ้งให้รู้ก่อน
จิวเสี้ยนจึงว่า มารดาท่านป่วยหนักจะรีบไปให้ทันเห็นใจ จะบอกแก่ขงเบ้งก่อน ถ้าขงเบ้งจะบอกไปถึงเล่าปี่ ๆ ก็ไปทางไกล กว่าหนังสือจะไปถึงแลจะตอบมาจะมิช้านักหรือ ที่ไหนจะทันเห็นใจมารดาท่าน ก็จะเสียการไป นางซุนฮูหยินมีความรักมารดาเปนกำลัง ดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในหัวใจ จะใคร่ไปเห็นมารดาโดยด่วนก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงตัวแล้วให้สาวใช้สามสิบคนถือเครื่องศัสตราวุธครบมือกันเสร็จแล้ว ก็อุ้มเอาอาเต๊ามาขึ้นรถขับออกจากเมือง ครั้นถึงท่าเรือทอดอยู่นั้นจิวเสี้ยนก็เชิญให้ลงเรือ
ขณะนั้นจูล่งรู้ว่านางซุนฮูหยินจะไปเมืองกังตั๋ง ก็คุมทหารสี่คนรีบตามมาทัน เห็นชักสมอจะออกเรือก็ร้องเรียกว่าอย่าเพ่อถอยเรือไป หยุดอยู่ก่อน เราจะขอพูดด้วยนางซุนฮูหยินสักสองคำ จิวเสี้ยนจึงร้องว่า เองนี้ผู้ใดจึงบังอาจมาห้ามนายไว้ฉนี้มิได้ยำเกรง แล้วก็ให้ทหารจับเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อมมือ จึงให้เคลื่อนเรือออกไป จูล่งก็ขับม้ารีบตามมาริมตลิ่ง แล้วว่าท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ว่าข้าพเจ้าจะขอเจรจาคำนับสักหน่อยก่อน จิวเสี้ยนก็มิได้หยุด เร่งให้ทหารแจวเรือรบไป จูล่งก็ขับม้าตามมาทางประมาณร้อยเส้น พอเห็นเรือปลาลำหนึ่งจอดอยู่ริมตลิ่ง จูล่งก็โจนลงจากหลังม้า เรียกทหารลงเรือด้วย ถือทวนง่าอยู่กลางเรือให้แจวตามออกไป จิวเสี้ยนก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิง จูล่งปัดด้วยคันทวนมิได้ถูก ครั้นใกล้เรือจิวเสี้ยนเข้าไป จิวเสี้ยนก็ให้ทหารเอาทวนแลง้าวแทง จูล่งก็เอากระบี่แทงถอดเกี้ยมออกปัดป้องอาวุธทั้งปวง ให้ทหารรุกเข้าไปปีนขึ้นบนเรือได้ ทหารจิวเสี้ยนต่างคนต่างกลัวจูล่ง ก็วิ่งเข้าแอบตัวอยู่ จูล่งจึงเข้าไปในห้องเรือ เห็นนางซุนฮูหยินอุ้มอาเต๊านั่งอยู่ จึงเอากระบี่สอดฝักเข้าเสีย แล้วคำนับถามว่าท่านจะไปไหน เหตุใดจึงมิได้แจ้งแก่ขงเบ้งให้รู้ก่อน
นางซุนฮูหยินจึงบอกว่า มารดาเราป่วยหนักจะรีบไป ไม่ทันไปบอกแก่ขงเบ้งแล้ว จูล่งจึงว่า ซึ่งท่านจะไปเยือนมารดาก็ชอบแล้ว เหตุใดจึงเอาอาเต๊าไปด้วยเล่า นางซุนฮูหยินจึงว่า อาเต๊านี้เปนบุตรของเล่าปี่ก็เหมือนบุตรของเรา ด้วยตัวจะไปแล้วจะทิ้งลูกไว้กับเมือง เล่าปี่รู้ก็จะน้อยใจว่าเรามิรักลูก ประการหนึ่งจะไว้ใจแก่ผู้ใดมิได้ เวลาไข้เจ็บผู้ใดจะรักษาพยาบาล เราจึงพาเอามาด้วย จูล่งจึงว่า เล่าปี่นายข้าพเจ้ามีบุตรผู้เดียวที่เปนสายโลหิตในอก รักดังดวงใจ แลเมื่อครั้งทุ่งเตียงปันโผข้าพเจ้าอุตส่าห์ตีฝ่าทหารร้อยหมื่นเข้าไปมิได้ คิดแก่ชีวิต ก็เพราะประสงค์อาเต๊าแก้วตาของเล่าปี่ ปิ้มตัวข้าพเจ้าจะตายในท่ามกลางทหารโจโฉ ควรหรือท่านจะมาพาเอาอาเต๊าดวงใจของเล่าปี่ไปด้วย
นางซุนฮูหยินจึงว่า มึงเปนแต่นายทหาร ควรหรือมาล่วงบังคับการในเรือนเจ้าฉนี้ โอหังหนักหนา ไสคอออกไปเสียให้พ้น แล้วก็ให้สาวใช้เข้าฉุดชักเสื้อจะเอาตัวออกไปเสีย จูล่งสบัดสาวใช้ทั้งนั้นล้มกระเด็นออกไปสิ้นแล้วจึงว่า แม้ท่านจะขืนเอาอาเต๊าไป ถึงชีวิตข้าพเจ้าจะตายอยู่ที่นี่ก็ตามเถิด ข้าพเจ้ามิให้เอาไป จึงเข้าไปชิงเอาอาเต๊ามาจากมือนางซุนฮูหยิน พาออกมายืนอยู่หน้าเรือมิรู้ที่จะขึ้นบกได้ แลหาเรือน้อยเหล่าทหารจิวเสี้ยนก็ไสเสียตามมิทัน จูล่งก็จนใจ ครั้นจะทำจลาจลฆ่าฟันกันวุ่นวายก็มิได้ ด้วยนางซุนฮูหยินอยู่ในเรือนั้นด้วย สาวใช้ทั้งปวงช่วยกันเข้ามาชิงเอาอาเต๊าก็มิได้ ด้วยจูล่งถือกระบี่แกว่งอยู่
ฝ่ายจิวเสี้ยนก็สารวลเร่งให้ทหารแจวเรือไป พอเตียวหุยไปเที่ยวตะเวนทางรู้ระคายก็รีบกลับมา จูล่งแลเห็นเรือรบเตียวหุยปักธงไสวบัญจุทหารพรักพร้อม รีบแจวสวนหน้าเรือขึ้นมา ไม่ทันรู้ว่าเตียวหุยก็ตกใจ คิดว่าซุนกวนแกล้งทำกลหวังจะฆ่าตัวเสีย ครั้นได้ยินเตียวหุยร้องมาว่า ท่านจะไปก็ไปแต่ตัว จงเอาอาเต๊าหลานเราไว้ จูล่งก็ดีใจ เตียวหุยเข้ามาใกล้ก็ฉวยทวนโจนขึ้นบนเรือ จิวเสี้ยนเห็นดังนั้นก็ชักกระบี่ออกจะเข้าสู้กับเตียวหุย ๆ ก็เอาทวนแทงถูกจิวเสี้ยนล้มลง ก็ตัดเอาสีสะโยนเข้าไปถูกนางซุนฮูหยิน ๆ ก็ตกใจ จึงว่าเหตุใดเตียวหุยจึงมาทำหยาบช้าต่อเราดังนี้ เตียวหุยจึงว่า ท่านเปนพี่สะใภ้ เมื่อมิได้รักพี่เราโดยสุจริตจะทิ้งเสียหนีไปเมือง มิได้ยำเกรงถึงเพียงนี้ เราว่าชอบกลับว่าทำหยาบช้าต่อท่านอีกเล่า
นางซุนฮูหยินจึงว่า บัดนี้มารดาเราป่วยหนักจึงจะรีบไป ครั้นจะบอกพี่ท่านก่อนก็จะช้าอยู่มิทันไปเห็นใจ ท่านทั้งสองจะขัดขวางไว้มิให้เราไปเราก็จะ โจนน้ำตายเสีย เตียวหุยจึงปรึกษาจูล่งว่า ถ้าจะขัดขวางไว้ก็เหมือนแกล้งให้นางซุนฮูหยินตาย ด้วยมารดานั้นป่วยหนัก เปนประเพณีแม่กับลูก เห็นมิชอบ ควรเราจะเอาแต่อาเต๊าไว้ ซึ่งตัวนางซุนฮูหยินจะไปนั้นก็ตามอัชฌาสัยเถิด จึงว่าแก่นางซุนฮูหยินว่า อันเล่าปี่พี่เราก็เปนอาว์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งท่านได้มาอยู่กับพี่เรา ๆ ก็กรุณาเอนดูมิสู้ได้ความอายนัก ถึงมาทว่าตัวท่านจะไปก็จงคิดถึงความอาลัยแต่หนหลัง ซึ่งได้เปนภรรยาสามีกันตามประเพณีโลกทั้งปวง แล้วเร่งกลับมา ว่าแล้วก็อุ้มเอาอาเต๊าพาจูล่งลงเรือมา ฝ่ายนางซุนฮูหยินก็เร่งให้ทหารสิบคนรีบแจวเรือไปเมืองกังตั๋ง
ขงเบ้งรู้ข่าวว่านางซุนฮูหยินหนีไปดังนั้น ก็คุมทหารลงเรือรีบตามมา พอพบเตียวหุยจูล่งกลางทางได้อาเต๊าก็มีความยินดี ทั้งสามนายก็พากันกลับมาเมือง ขงเบ้งจึงแต่งให้คนถือหนังสือไปแจ้งแก่เล่าปี่ ณ เมืองเสฉวน เปนใจความว่า บัดนี้นางซุนฮูหยินหนีกลับไปเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายนางซุนฮูหยินมาถึงเมือง ก็แจ้งเนื้อความแก่ซุนกวนทุกประการ ซุนกวนครั้นรู้ว่าเตียวหุยจูล่งติดตามมาชิงเอาอาเต๊าไป แล้วฆ่าจิวเสี้ยนเสีย ก็มีความโกรธนักจึงว่า บัดนี้น้องเรากลับมาได้แล้ว อันเล่าปี่กับเราก็ขาดจากประเพณีที่จะผูกพันกันสืบไป เราจะยกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้จงได้ จึงให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษา แล้วก็ให้เกณฑ์กองทัพซึ่งจะยกไป พอม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้โจโฉจะยกกองทัพมารบเอาเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็ให้งดกองทัพไว้ จึงปรึกษาด้วยขุนนางที่จะต่อสู้ด้วยโจโฉ
ขณะนั้นพอขุนนางมาแจ้งว่า บัดนี้เตียวเหียนซึ่งป่วยไปรักษาตัวอยู่บ้านนั้นถึงแก่ความตายแล้ว ทำหนังสือไว้ให้ท่านฉบับหนึ่ง ซุนกวนรับเอาหนังสือมาฉีกผนึกออกอ่านดู เปนใจความว่า ท่านจะอยู่ในเมืองกังตั๋งนั้นมิได้ ขอให้ยกไปตั้งอยู่ในเมืองเบาะเหลง เห็นภูมิ์ฐานนั้นกว้างขวาง จะเปนที่ตั้งตัวเปนใหญ่ได้ ซุนกวนเห็นหนังสือแล้วก็ร้องไห้ จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เตียวเหียนนี้มีความรักใคร่เราโดยสุจริต จนจะตายแล้วยังทำหนังสือให้แก่เรา เพื่อจะให้เปนประโยชน์ไปภายหน้า ควรเราจะทำตาม ก็กะเกณฑ์ให้ทหารไปกระทำเมืองเบาะเหลง ลิบองจึงเข้ามาว่าแก่ซุนกวนว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพมา การก็จวนถึงเมืองอยู่แล้ว ขอท่านให้ทหารเร่งไปขุดสนามเพลาะรับกองทัพโจโฉณปากนํ้ายี่สู ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารสามหมื่นไปทำการทั้งกลางวันกลางคืนให้แล้วโดยเร็ว
ฝ่ายติ๋วเจี๋ยวผู้เปนที่ปรึกษา จึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า อันขุนนางทั้งปวงซึ่งเปนข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น ผู้ใดจะมีความชอบเหมือนมหาอุปราชนี้หามิได้ ครั้งนี้ท่านประกอบด้วยอุตส่าห์ตากฝนทนแดด ยกทหารไปเที่ยวปราบปรามขอบขันธเสมาให้ราบคาบ ทำนุบำรุงแผนดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่เย็นเปนสุข อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีนักหนา แลแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็คืนบริบูรณ์เปนปรกติ ความชอบของท่านครั้งนี้ก็ยิ่งกว่าความชอบของลิบอง ซึ่งเปนอุปราชของพระเจ้าจิวบุนอ๋องอีก[๑] ซึ่งท่านจะตั้งอยู่ในที่มหาอุปราชฉนี้หาควรไม่ ขอให้เลื่อนที่ขึ้นเปนอุยก๋ง แลประกอบด้วยยศอีกเก้าประการ จึงจะสมด้วยความชอบของท่าน
แลยศเก้าประการนั้น ประการหนึ่งให้ขี่รถเข้าเฝ้าเทียมม้าแปดม้า ประการหนึ่งแต่งตัวอย่างลูกหลวงเอก ประการหนึ่งให้มีดนตรีแตรสังข์ประโคมเช้าคํ่า ประการหนึ่งที่อยู่ให้ทาชาดอย่างเรือนหลวง ประการหนึ่งให้มีท้องพระโรงเปนที่ออกว่าราชการแก่ขุนนางทั้งปวง ประการหนึ่งให้มีหมู่ทหารสามร้อยรักษาองค์ ประการหนึ่งให้แห่แหนโดยขบวรอย่างเสด็จมีที่ประพาส ประการหนึ่งให้มีทหารถือเกาทัณฑ์แซงนอกในซ้ายขวาโดยขนาด ประการหนึ่งจะไปแห่งใดให้มีเจ้าพนักงานชูกระถางธูปแห่ไปข้างหน้าอย่างแห่ เสด็จ
ซุนฮกจึงว่า ซึ่งติ๋วเจี๋ยวว่าทั้งนี้ข้าพเจ้ามิเห็นชอบ อันมหาอุปราชจะทำตามนั้นมิได้ ด้วยแต่แรกมหาอุปราชซ่องสุมผู้คนแลทหารทั้งปวงตั้งใจจะสนองพระเดชพระคุณพระ เจ้าเหี้ยนเต้ให้แผ่นดินเปนสุขโดยสุจริต เพราะว่าเปนข้าแผ่นดินของท่าน ถึงมาทว่ามีความชอบสักเท่าใดก็ดี ก็ควรจะเจียมตัวคำรบตามประเพณีข้ากับเจ้า
โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธหน้าบึ้งอยู่ ติ๋วเจี๋ยวจึงว่า การจะทำมีผู้มาขัดขวางไว้ฉนี้จะเชื่อฟังมิได้ ก็แต่งเรื่องราวกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ขอให้เปนที่อุยก๋ง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็อนุญาตให้ ซุนฮกจึงทอดใจใหญ่ว่าไม่รู้ว่าการจะเปนถึงเพียงนี้เลย ความนั้นก็รู้ไปถึงโจโฉ ๆ ก็มีความน้อยใจว่าซุนฮกนี้หามีใจที่จะช่วยทำนุบำรุงเราไม่ ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชย์ได้สิบเจ็ดปี[๒] (พ.ศ. ๗๔๙) เปนเดือนสิบสอง โจโฉยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง พระเจ้าเหี้ยนเต้รับสั่งให้เอาซุนฮกไปในกองทัพด้วย
ซุนฮกแจ้งว่าโจโฉมีความโกรธอยู่ ก็เกรงบอกป่วยเสีย โจโฉจึงให้เอาตระบะเปล่าปิดตราประจำเสียดังหนึ่งใส่ของกิน ให้คนเอาไปเยือนซุนฮก แล้วเขียนเปนอักษรไปว่าอย่าให้ผู้อื่นเปิด ครั้นซุนฮกเปิดขึ้นดูก็เห็นแต่ตระบะเปล่า ก็เข้าใจว่าโจโฉคิดร้ายจะทำอันตรายตัว มีความโทมนัศก็กินยาตายเสีย แลเมื่อซุนฮกถึงแก่ความตายนั้นอายุได้ห้าสิบห้าปี ซุนหุนผู้บุตรจึงมาบอกแก่โจโฉ ๆ มีความเสียดาย ก็ให้เงินทองไปแต่งการศพ แล้วโจโฉยกกองทัพมาตั้งอยู่ ณ แดนเมืองยี่สู จึงให้โจหองคุมทหารสามหมื่นยกไปตะเวนสอดแนมฟังดูกิจการทั้งปวง ก็กลับมาบอกแก่โจโฉว่า ชายทเลนั้นเห็นธงปักอยู่เปนริ้วรายไปเปนอันมาก แต่มิได้เห็นผู้คนตั้งอยู่แห่งใด โจโฉก็มีความสงสัยไม่ไว้ใจแก่ราชการ ก็ให้ยกทหารรีบมาตั้งตำบลปากน้ำยี่สู จึงคุมทหารเอกประมาณร้อยเศษขึ้นไปดูบนเนินเขา เห็นเรือรบกองทัพซุนกวนนั้นมาตั้งอยู่ฟากข้างหนึ่ง แลซุนกวนนั้นแต่งตัวกั้นสัปทนเขียว มีทหารแวดล้อมซ้ายขวาโดยขบวร โจโฉจึงว่า ผู้ใดมีบุตรเหมือนซุนกวนนี้ก็ควรจะนับถือสรรเสริญว่าดี อันมีบุตรเหมือนเล่าจ๋องนั้น ก็มีเสียเปล่าหาต้องการไม่ พอโจโฉว่ายังมิทันจะสิ้นคำ ทหารซุนกวนซึ่งวางไว้ในสนามเพลาะนั้น ได้ทีก็โห่ร้องยกปิดหลังโจโฉขึ้นไป ซุนกวนก็ให้เร่งทหารแจวเรือรบเข้าไปสกัดทางตามลำคลอง
โจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ทหารรบหักออกมา เคาทูก็คอยป้องกันมิให้มีอันตรายพาโจโฉมาค่าย ขณะนั้นโจโฉก็ปูนบำเหน็จรางวัลเคาทูเปนอันมาก ครั้นเวลาประมาณสองยามซุนกวนก็ให้ทหารระดมตีค่ายโจโฉ จุดเพลิงเผาขึ้นหักเข้าค่ายได้ ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก โจโฉก็แตกถอยมาตั้งอยู่ทางประมาณห้าร้อยเส้น เทียหยกจึงว่าแก่โจโฉว่า แต่ก่อนมหาอุปราชจะยกไปตีแห่งใดตำบลใด จะค่อยไปค่อยมาดุจหนึ่งครั้งนี้หามิได้ ย่อมรีบรัดทหารทั้งปวงไปโดยเร็ว ศัตรูมิทันจะรู้ตัวจัดแจงป้องกันได้ ก็มีชัยชนะแก่ข้าศึกโดยง่าย แลครั้งนี้มหาอุปราชยกกองทัพมาละเลิงใจอยู่ มิได้รีบรัดเอาการ ให้ซุนกวนรู้ตัวจัดแจงป้องกันไว้เปนสามารถ จึงเอาชัยชนะมิได้ กลับเสียทีมา แลมหาอุปราชจะคิดทำการต่อไปบัดนี้เห็นมิได้ ขอให้ท่านยกทหารกลับเมืองก่อน ปลูกเลี้ยงทหารทั้งปวงให้มีนํ้าใจ จึงค่อยยกมาทำการใหม่เห็นจะไม่เสียท่วงที โจโฉมิได้ว่าประการได เทียหยกก็กลับมา โจโฉนอนหลับอยู่วันนั้นฝันว่าได้ยินเสียงคลื่นในท้องมหาสมุทรนั้นฟัดฝั่งดัง กึกก้องเหมือนเสียงคนอึงคนึงอยู่ จึงลุกออกไปดู เห็นเปนพระอาทิตย์ดวงหนึ่งผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทรมีรัศมีอันกล้า แล้วเห็นพระอาทิตย์ปรากฎอยู่บนอากาศสองดวง แลพระอาทิตย์ซึ่งขึ้นจากท้องมหาสมุทรนั้น ไปตกลงตรงเนินเขาตรงหน้าค่าย โจโฉตกใจตื่นขึ้น พอคนเข้ามาบอกว่าเวลาเที่ยงแล้ว โจโฉจึงคิดว่าฝันนี้จะเปนประการใด จึงจัดแจงทหารม้าห้าสิบออกไปดูที่หน้าผาตรงค่าย พอแลเห็นซุนกวนกั้นสัปทนทอง แต่งตัวใส่เกราะทองยกทหารมาตามเนินเขา
ซุนกวนก็แลมาเห็นโจโฉจึงให้หยุดทหารไว้ แล้วก็เอาแซ่ชี้ไปเอาโจโฉว่า มหาอุปราชเปนใหญ่อยู่ในเมืองหลวงประกอบด้วยยศศฤงคารบริวารเปนอันมาก มีความสุขดุจหนึ่งอยู่ในวิมาน ควรหรือยังมิอิ่มใจอีกเล่า ลุอำนาจแก่โลภ มิได้พิเคราะห์ด้วยปัญญาให้เปนธรรม ยกทหารมาจะทำร้ายแก่เราไม่สมควรเลย
โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งเรายกทหารมาทั้งนี้ใช่จะมีความปราถนาสมบัติของท่านนั้นหามิได้ ด้วยตัวท่านอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วมิได้มีกตัญญูต่อเจ้าแข็งเมืองไว้มิได้ไปอ่อนน้อม พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงให้เรายกกองทัพมาจับตัวท่าน ซุนกวนหัวเราะแล้วจึงว่า ท่านเจรจาฉนี้หามีความอายไม่ ตัวเราอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้ ใช่จะไม่มีกตัญญูนั้นหาไม่ ผู้ใดมิได้ปรากฎว่าเราเปนขบถต่อแผ่นดิน ได้ยินแต่เขาเล่าลือว่า ท่านอีกล่วงบังคับขุนนางทั้งปวง มีใจกำเริบคิดการใหญ่หลวงหยาบช้าต่อเจ้า เรามีน้ำใจเจ็บร้อนด้วยคิดจะทำการกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียอีก
โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องประกาศว่า ทหารผู้ใดจะอาจสามารถจับซุนกวนให้เราได้ พอว่ายังมิขาดคำก็ได้ยินเสียงประทัดจุดขึ้นบนเนินเขา โจโฉเหลียวไปเห็นจิวท่ายฮันต๋งคุมทหารยิงเกาทัณฑ์ระดมมาตามซอกทางข้างซ้าย เห็นตันบูพัวเจี้ยงคุมทหารตีกระหนาบมาข้างขวา ยิงเกาทัณฑ์ดังห่าฝนก็ตกใจจึงถอยหลังมา จิวท่ายตันบูพัวเจี้ยงเห็นได้ที่ก็ขับทหารรีบรุกรบไป
เคาทูเห็นดังนั้นก็คุมทหารเสือเปนอันมาก ยกออกจากค่ายรีบไปช่วยโจโฉ ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ กองทัพซุนกวนถอยไป โจโฉก็กลับมาค่ายจึงคิดว่า ซุนกวนมีวาสนามาก ซึ่งเราฝันเห็นว่าพระอาทิตย์ตกลงมาที่ภูเขานั้น เห็นจะได้แก่ซุนกวน นานไปจะได้เปนเจ้าก๊กหนึ่ง แล้วกองทัพโจโฉกับซุนกวนตั้งรบกันอยู่ประมาณเดือนเศษ มิได้มิเสียกัน ครั้นล่วงเข้าปีใหม่เปนเทศกาลฝนตกหนัก ทหารทั้งปวงจะทำการรบพุ่งลำบากนัก ซุนกวนจึงใช้ให้คนถือหนังสือมาถึงโจโฉเปนใจความว่า ตัวเรากับมหาอุปราชก็เปนข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งให้ท่านเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ ควรที่ท่านจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเปนสุข แลกลับยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เรา ให้อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั้งนี้ ก็ผิดด้วยประเพณีเสนาบดีผู้ใหญ่ ประการหนึ่งก็เปนฤดูฝน ทหารทั้งปวงได้ความลำบากนัก ขอท่านได้ยกกองทัพกลับไปเถิด แม้จะขืนอยู่ทำการสืบไปก็จะมีภัยถึงตัวท่าน
โจโฉได้แจ้งในหนังสือแล้วหัวเราะว่า ซุนกวนมีความคารวะแก่เราว่าเปนผู้ใหญ่ แล้วก็ให้บำเหน็จรางวัลแก่ผู้ถือหนังสือให้กลับไปแจ้งแก่ซุนกวน แล้วโจโฉก็เลิกทัพกลับมาเมืองฮูโต๋ ฝ่ายซุนกวนก็ยกทัพไปเมืองเบาะเหลง จึงหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉก็ยกกลับไปเมืองแล้ว ฝ่ายเล่าปี่ก็ยังมิได้กลับมาแต่เมืองเสฉวน ยังตั้งอยู่ตำบลด่านแฮบังก๋วน เราคิดว่าจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วทีเดียวจะเห็นประการใด
เตียวเจียวจึงว่า ซึ่งจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วบัดนี้ขอให้งดก่อน เกลือกโจโฉรู้ไปจะกลับยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เมืองเรา ข้าพเจ้าคิดว่า ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าเจี้ยงว่า บัดนี้เล่าปี่มิได้ซื่อตรงต่อท่าน กลับเข้าด้วยเตียวฬ่อเปนนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน คิดจะย้อนมาทำร้ายท่าน ให้เล่าเจี้ยงมีความสงสัยเล่าปี่ แล้วมีหนังสือไปถึงเตียวฬ่อฉบับหนึ่งว่า เมืองเกงจิ๋วนี้เล่าปี่ก็มิได้อยู่ ให้ยกทหารตีเอาเถิดเห็นจะได้โดยสดวก
ครั้นเล่าเจี้ยงกับเตียวฬ่อได้แจ้งดังนี้แล้ว ก็จะจัดกองทัพกำเริบขึ้น เห็นว่าเล่าปี่แลเตียวฬ่อเล่าเจี้ยงก็จะรบพุ่งกันติดพันอยู่ ภายหลังเราจึงจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย ถึงว่าเล่าปี่รู้จะกลับมารักษาเมืองก็มิได้ เห็นจะพว้าพวังอยู่ ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือสองฉบับตามถ้อยคำเตียวเจียวทุกประการ แล้วใช้ให้คนถือไปถึงเล่าเจี้ยงแลเตียวฬ่อ
ฝ่ายเล่าปี่ตั้งอยู่ตำบลด่านแฮบังก๋วนนั้น มีนํ้าใจโอบอ้อมแก่อาณาประชาราษฎร ๆ ก็รักใคร่เปนอันมาก ครั้นแจ้งในหนังสือซึ่งขงเบ้งให้มาว่า นางซุนฮูหยินกลับไปเมืองกังตั๋ง แลรู้ว่าโจโฉยกกองทัพมารบพุ่งกันอยู่กับซุนกวน ณ ตำบลยี่สู จึงปรึกษาด้วยบังทองว่า บัดนี้โจโฉกับซุนกวนก็รบพุ่งต้านทานกันอยู่ ถ้าโจโฉมีชัยชนะได้ทีก็จะยกมาตีเอาเมืองเกงจิ๋ว แม้ว่าซุนกวนได้ทีก็จะยกมาตีเอาเมืองเรา จะคิดอ่านประการใดดี
บังทองจึงว่า ซึ่งท่านจะกลับไปรักษาเมืองนั้น ขอให้มีหนังสือไปบอกเล่าเจี้ยงว่า บัดนี้โจโฉยกมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนให้มีหนังสือมาขอกองทัพเมืองเกงจิ๋วไปช่วย ด้วยตัวเรากับซุนกวนเล่าก็เปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ครั้นจะมิไปช่วยก็มิชอบ เราจะขอทหารท่านสามหมื่นกับสเบียงสิบหมื่นถัง จะยกกองทัพกลับไปช่วยซุนกวนกำจัดโจโฉเสียให้ได้ก่อน ถึงมาทว่าเตียวฬ่อจะยกทหารมาทำร้ายแก่ท่าน ก็จะกลัวอะไรด้วยมีแต่คนบ้านนอกสำส่อน แม้เรายกไปกำจัดโจโฉเสร็จแล้ว ก็จะยกกลับมากำจัดเตียวฬ่อเสีย ถ้าเล่าเจี้ยงให้คนแลสเบียงอาหารเรามีกำลังมากขึ้นแล้ว ซึ่งจะคิดอ่านถ่ายเทประการใดก็จะได้ เล่าปี่เห็นชอบด้วยก็แต่งหนังสือให้คนถือเข้าไปให้แก่เล่าเจี้ยง
ครั้นคนถือหนังสือมาถึงด่าน เอียวหวยก็ให้โกภายอยู่รักษาด่าน ตัวก็คุมผู้ถือหนังสือเข้าไปแจ้งแก่เล่าเจี้ยง ๆ จึงถามว่า เราตั้งให้ท่านอยู่รักษาด่าน มิได้ให้หาเหตุใดจึงเข้ามา เอียวหวยจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาทั้งนี้ ด้วยเล่าปี่ให้มีหนังสือมา ครั้นข้าพเจ้าจะปล่อยให้แต่ผู้ถือหนังสือเข้ามาแต่ลำพังก็มิได้ ด้วยเล่าปี่เปนคนเจ้าความคิดหวานนอกขมใน ซึ่งจะขอคนแลสเบียงอาหารนั้นขอท่านอย่าได้ให้ แม้เล่าปี่ได้ผู้คนแลอาหารก็จะมีกำลังมากขึ้น เหมือนเอาฟืนมาใส่ไฟ เล่าเจี้ยงจึงว่า อันเล่าปี่นี้เปนพี่น้องของเรา แล้วก็มีความซื่อตรง แม้มิให้ตามปรารถนาจะได้หรือ
เล่าป๋าจึงว่า อันเล่าปี่นี้เปนคนหามีกตัญญูไม่ ซึ่งท่านเอามาไว้ในเมืองเสฉวนนี้ เหมือนหนึ่งเลี้ยงเสือไว้ในบ้าน แล้วมิหนำซ้ำจะให้ผู้คนแลสเบียงอาหารอีกเล่า ก็ยิ่งให้มีกำลังกำเริบขึ้น นานไปก็จะจริงดังถ้อยคำเอียวหวยว่า เล่าเจี้ยงได้ฟังที่ปรึกษาทั้งปวงชวนกันว่าก็แคลงใจ เสียมิได้จึงจัดทหารที่สูงอายุนั้นสี่พัน กับเข้าหมื่นถังให้แก่ผู้ถือหนังสือ แล้วก็แต่งคนให้คุมไปส่ง จึงกำชับเอียวหวยให้รักษาด่านทางเปนกวดขันกว่าแต่ก่อน
ครั้นคนถือหนังสือกลับมา จึงเข้าไปแจ้งแก่เล่าปี่ ๆ ก็โกรธจึงลุกขึ้นด่าว่า เสียแรงมาช่วยป้องกันรักษาบ้านเมืองไว้ แต่เราขัดสนผู้คนเข้าปลาอาหารให้ไปขอควรหรือให้มาแต่เท่านี้ แลเราจะทำการสืบไปก็จะเสียเปล่า เล่าปี่ก็เอาหนังสือซึ่งเล่าเจี้ยงให้มานั้นฉีกทิ้งเสีย คนซึ่งคุมสเบียงมาส่งนั้นเห็นเล่าปี่โกรธนัก ต่างคนต่างกลัวก็พากันหนีกลับมาเมืองเสฉวน
บังทองจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า แต่ก่อนท่านทำน้ำใจสุภาพไม่หยาบช้าคนทั้งปวงก็ปรากฎ แลบัดนี้ท่านมาโกรธวู่วามฉีกหนังสือทิ้งเสีย แล้วว่ากล่าวหยาบช้าฉนี้ คนทั้งปวงก็แจ้งไป เสียแรงทำดีมาแต่ก่อนนั้นจะมิเสียประโยชน์เสียเปล่าหรือ เล่าปี่จึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ชอบหนักหนา เมื่อข้าพเจ้าได้ประมาทผิดพลั้งไปฉนี้แล้วจะทำประการใดดี บังทองจึงว่า บัดนี้ท่านได้ทำผิดเกินไปแล้ว จะกลับทำดีไปภายหน้าอันความรังเกียจนั้นก็จะไม่หาย เมื่อได้เปนถึงเพียงนี้จะนิ่งอยู่ก็มิได้ ขอให้ท่านแต่งทหารซึ่งมีฝีมือลัดทางรีบไปลอบโจมตีเอาเมืองเสฉวนให้ได้ประการ หนึ่ง ถ้ามิฉนั้นขอให้ท่านยกกองทัพทำเปนจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ดีร้ายเอียวหวยโกภายซึ่งรักษาด่านนั้นจะสำคัญว่าท่านจะไปจริงก็จะไปตามส่ง เราจึงจะจับเอาตัวฆ่าเสีย ชิงเอาด่านไว้ให้ได้แล้วก็จะยกเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวนประการหนึ่ง ถ้ามิฉนั้นขอให้ท่านยกทหารไปอยู่เมืองปักเต้ก่อน แล้วเราจะค่อยลอบยกหนีไปเมืองเกงจิ๋วจัดแจงผู้คนซ่องสุมทหารพรักพร้อมแล้ว จึงยกมาตีเอาเมืองเสฉวนเมื่อภายหลัง เล่ห์กลสามประการนี้ท่านจะเห็นประการใดดีก็ตามอัชฌาสัยเถิด ซึ่งท่านจะนิ่งอยู่มิได้คิดทำการต่อไปนั้น นานไปภัยจะมีมาถึงตัวเปนมั่นคง
เล่าปี่จึงว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ก็ดีอยู่ แต่ทว่ากลเปนประถมนั้นเห็นฉกรรจ์นัก กลที่สามนั้นก็เนือยไป กลอันเปนคำรบสองนั้นพอเปนประมาณ เห็นจะได้การของเรา เล่าปี่จึงให้มีหนังสือไปถึงเล่าเจี้ยงเปนใจความว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพมาทำอันตรายเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้งมีหนังสือมาถึงเราให้รีบยกทหารไปจงเร็ว ครั้นจะช้าอยู่ก็มิได้ เราจะขอลาท่านไปรักษาเมืองก่อน ซึ่งเรามิได้เข้ามาคำนับลาท่านตามประเพณีนั้น ด้วยเปนการร้อนนักอย่าน้อยใจเลย
ขณะนั้นเตียวสงแจ้งว่าเล่าปี่ให้มีหนังสือเข้ามาลาเล่าเจี้ยง จะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ไม่รู้ว่าเปนกลอุบายสำคัญว่าจริง จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งจะให้คนถือออกไปให้เล่าปี่ ครั้นเข้าผนึกแล้วพอเตียวซกพี่ชาย ซึ่งเปนเจ้าเมืองเกงฮันมาหา เตียวสงจึงเอาหนังสือนั้นซ่อนเสียในมือเสื้อ เตียวซกพี่ชายเห็นกิริยาเตียวสงทำลนลานอยู่ก็กินใจ แต่มิได้ว่าประการใด
ครั้นเตียวสงกินโต๊ะด้วยกันกับเตียวซก เสพย์สุราเมาหนังสือในมือเสื้อนั้นตกลงมิทันรู้ตัว บ่าวเตียวซกเก็บได้จึงเอาหนังสือให้แก่เตียวซก เตียวซกฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าเตียวสงคำนับมาถึงเล่าปี่ ด้วยข้าพเจ้าเจรจาไว้แก่ท่านแต่ก่อนนั้นเปนคำมั่น แลบัดนี้ท่านยกมาถึงเมืองเสฉวนแล้ว ถ้าจะคิดทำการดังว่ากันไว้ก็จะได้ดังความปราถนา เมืองเสฉวนเหมือนอยู่ในกำมือ เหตุไฉนท่านจึงมิได้คิดที่จะทำการเล่า จะยกกลับไปเมืองนั้นจะมิป่วยการทหารเสียหรือ ขอให้คิดทำการจงได้ ตัวข้าพเจ้าจะอาสาทำการรับท่านในเมืองเสฉวน
เตียวซกแจ้งในหนังสือดังนั้นก็ตกใจจึงคิดว่า น้องเรามาคิดการฉนี้จะมิพากันฉิบหายเสียหรือ อันจะนิ่งไว้ฉนี้ก็มิได้จำจะบอกเล่าเจี้ยงให้แจ้ง เตียวซกก็รีบเอาหนังสือไปให้แก่เล่าเจี้ยง ว่าบัดนี้เตียวสงน้องข้าพเจ้าคิดร้ายต่อท่าน เล่าเจี้ยงเห็นหนังสือก็โกรธจึงว่า ตัวเราได้เลี้ยงดูอุปถัมภ์เตียวสงมา ควรที่จะช่วยทำนุบำรุงเราอีก แลมาคิดประทุษฐร้ายต่อเรา จะเอาเมืองเสฉวนไปยกให้แก่เล่าปี่นั้นมิควรนัก ก็สั่งให้ทหารจับเอาตัวเตียวสงกับบุตรภรรยาไปฆ่าเสีย แล้วจึงปรึกษาว่า บัดนี้เล่าปี่จะมาคิดทำร้ายเรา หวังจะเอาเมืองเสฉวนเปนสิทธิ์ของตัว ที่ปรึกษาทั้งปวงจะคิดประการใด อุยก๋วนจึงว่า ซึ่งเล่าปี่คิดจะทำร้ายท่านนี้ก็รู้ตัวแล้ว จะนิ่งช้าอยู่มิได้ ขอให้เร่งระมัดระวังรักษาด่านทางไว้จงกวดขัน อย่าให้ทหารเล่าปี่ล่วงเข้ามาในด่านทางได้ เล่าเจี้ยงก็เห็นชอบจึงให้มีหนังสือไปกำชับตรวจตราด่านทางทุกตำบล
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นยกกองทัพมาถึงด่านโปยสิก๋วน จึงให้คนเข้าไปบอกเอียวหวยโกภายออกมา หวังจะทำเปนคำนับลา เอียวหวยจึงว่าแก่โกภายว่า บัดนี้เล่าปี่คิดประการใดจึงจะยกกลับไปเมืองเกงจิ๋วเล่า โกภายจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย เล่าปี่ครั้งนี้จะถึงแก่ความตายแล้ว เราจะชวนกันเอาอาวุธซ่อนไปในมื้อเสื้อ แล้วจะแต่งเข้าของไปคำนับ เล่าปี่ที่ไหนจะทันรู้ ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว ถ้าเห็นประมาทลงเมื่อใดเราก็ฆ่าเสีย เมืองเสฉวนก็จะไม่มีอันตราย เอียวหวยโกภายคิดอ่านกันแล้วก็แต่งสิ่งของทั้งปวง คุมทหารสองร้อยออกไปคำนับเล่าปี่
ขณะนั้นบังทองจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งท่านให้เข้าไปหาตัวเอียวหวยโกภายบัดนี้ แม้ออกมาโดยดีก็อย่าไว้ใจ จำจะป้องกันรักษาตัวจะประมาทมิได้ ถ้าว่ามิออกมาโดยดี เราก็จะยกทหารเข้าตีเอาเมืองเสฉวนอย่าให้ทันรู้ตัวเลย พอว่ายังมิทันขาดคำก็เกิดลมหัวด้วนพัดมาถูกคันธงชัยหักสบั้นลง เล่าปี่เห็นอัศจรรย์ใจจึงถามบังทองว่า เหตุทั้งนี้จะเปนคุณหรือโทษ
บังทองจึงว่า อันเหตุทั้งนี้มาบอกข่าวร้ายว่าอันตรายจะมี แลเอียวหวยโกภายจะออกมาหาท่านนั้น หวังจะทำร้ายเปนมั่นคงอย่าได้ประมาท จงเร่งระมัดระวังตัวไว้ เล่าปี่แจ้งแล้วจึงแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธสำหรับมืออยู่ แล้วสั่งให้ทหารหยุดตั้งค่ายเปนหมวดกองกัน พอคนเข้ามาบอกว่าบัดนี้เอียวหวยโกภายเอาสิ่งของจะเข้ามาคำนับ บังทองจึงให้อุยเอี๋ยนกับฮองตงออกไปอยู่ข้างหน้าแล้วสั่งว่า ทหารซึ่งมากับเอียวหวยโกภายนั้นให้จับไว้ให้สิ้น อุยเอี๋ยนฮองตงก็ออกไปคอยอยู่
ฝ่ายเอียวหวยโกภายคุมทหารมาถึงหน้าค่ายเล่าปี่ เห็นเล่าปี่มิได้ตระเตรียมทหารทั้งปวง ก็คิดว่าเล่าปี่ทีนี้ต้องในกลของเราแล้ว ก็พากันเข้าไปถึงข้างใน เห็นเล่าปี่กับบังทองนั่งอยู่ด้วยกัน จึงเข้าไปคำนับว่า บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านจะกลับไป จึงเอาสิ่งของทั้งนี้ออกมาคำนับท่านตามประเพณี เล่าปี่จึงว่า ขอบใจท่านหนักหนา แล้วแต่งโต๊ะเชิญให้เอียวหวยโกภายกิน จึงว่าท่านทั้งสองได้รักษาทางเมืองเสฉวนไว้นี้เปนความชอบหนักหนา จงเสพย์สุราให้สบาย แต่เราคิดว่าจะเจรจาความลับแก่ท่านทั้งสอง ทหารทั้งปวงเข้ามาอยู่มากนัก ความจะแพร่งพรายไป ท่านจงขับทหารออกไปอยู่นอกค่ายให้สิ้น เราจะได้สนทนาด้วยกัน
เอียวหวยโกภายหาความสงสัยมิได้ ก็ขับทหารออกมานอกค่าย เล่าปี่จึงร้องขึ้นว่า ผู้ใดจะอาสาจับอ้ายโจรสองคนให้เราได้ เล่าฮองกับกวนเป๋งได้ยินก็รับคำ วิ่งออกมาจับเอาตัวเอียวหวยโกภายไว้ เล่าปี่จึงว่า กูกับนายมึงเปนแซ่เดียวกัน เหตุไฉนมึงทั้งสองจึงมาคิดร้ายต่อกู หวังจะให้เราพี่น้องผิดกัน
ขณะนั้นบังทองก็ให้ทหารค้นดู ได้อาวุธในเสื้อเอียวหวยแลโกภาย ก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ฮองตงอุยเอี๋ยนก็จับทหารทั้งสองร้อยนั้นได้ จึงพาเข้ามาให้เล่าปี่ ๆ ก็ให้เลี้ยงดูโดยปรกติแล้วจึงว่า อันเอียวหวยโกภายออกมามิได้สุจริต ประสงค์จะทำร้ายเรา ๆ จึงให้จับฆ่าเสีย แลคนทั้งปวงเหล่านี้หาความผิดมิได้อย่าตกใจเลย เสพย์สุราให้สบายเถิด ทหารทั้งปวงก็ยกมือขึ้นคำนับเล่าปี่ ต่างคนต่างมีความยินดี
บังทองจึงว่า บัดนี้เราจะให้ท่านทั้งปวงยกเข้าไปตีเอาด่านโปยสิก๋วน ถ้าได้แล้วเราจะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด คนทั้งปวงต่างก็รับคำ ครั้นเวลาคํ่าก็ยกไปเปนกองหน้า เล่าปี่ยกกองทัพตามไปภายหลัง ถึงตำบลด่านโปยสิก๋วน ทหารสองร้อยซึ่งรับเปนกองหน้าก็ร้องเข้าไปว่า นายเรากลับเข้ามาแล้ว จงเปิดประตูรับจะรีบเข้าไปกะเกณฑ์ทหารเปนการเร็ว ทหารซึ่งรักษาด่านเห็นว่าเปนเพื่อนกันก็มิได้สงสัย ก็เปิดประตูรับ ทหารเล่าปี่ก็ชวนกันกรูเข้าไปได้ ชาวด่านทั้งปวงต่างคนตกใจกลัวจะต่อสู้มิได้ ก็ชวนกันเข้ามาคำนับเล่าปี่สิ้น เล่าปี่ก็ให้ปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงเปนอันมาก แล้วก็ให้จัดแจงทหารให้รักษาป้องกันเปนกวดขัน จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงกันตามประเพณี
เล่าปี่เสพย์สุราเมาจึงว่าแก่บังทองว่า ทีนี้เราตีล่วงเข้ามาได้ด่านโปยสิก๋วน ก็เห็นจะมีความสุขอยู่แล้ว บังทองจึงว่า เรามาตีเมืองเขาก็ปราบปรามยังมิราบคาบ ท่านจะประมาทว่าเปนสุขนั้นยังมิบังควร เล่าปี่จึงว่า ครั้งพระเจ้าจิวบู๊อ๋องยกไปตีเอาเมืองพระเจ้าติ๋วอ๋องนั้น ไปถึงตำบลใดก็มีความสนุกสบายไปทุกแห่ง แลตัวเราได้ด่านโปยสิก๋วนล่วงเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว จะไม่ได้ชื่อว่าเปนสุขเจียวหรือ ท่านว่าฉนี้หาชอบไม่ จงถอยออกไปเสียเถิด บังทองได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็สำคัญว่าเสพย์สุราเมาอยู่ว่าด้วยสามารถความ หลงหาโกรธไม่ หัวเราะแล้วลุกออกไป เล่าปี่เมาสุราเปนกำลังก็นอนเสีย
ครั้นเวลารุ่งเช้าคนสนิธเห็นเล่าปี่ส่างเมาสุราตื่นจากที่นอน จึงเข้าไปถามว่า เวลาวานนี้ท่านเจรจาด้วยบังทองตามกำลังเมานั้น บังทองจะมิน้อยใจหรือ เล่าปี่ได้ฟังทหารคนสนิธว่าก็ตกใจ กลับได้คิดกลัวว่าบังทองจะโกรธ จึงให้หาตัวบังทองมาแล้วว่า เวลาวานนี้ข้าพเจ้าเมาสุราได้ประมาทเจรจาหยาบช้าต่อท่านไม่ทันคิด ขอท่านได้อดโทษข้าพเจ้าอย่าถือความเลย บังทองจึงว่า ซึ่งเจรจาวานนี้ใช่จะผิดแต่ตัวท่านหามิได้ ข้าพเจ้าก็ประมาทผิดด้วยกัน ฝ่ายท่านก็อดโทษเถิด เล่าปี่บังทองถ้อยทีว่ากันฉนั้นแล้ว ต่างคนต่างหัวเราะสนทนาด้วยกันเปนปรกติ
[๑] มีในเรื่องห้องสิน
[๒] ฉบับภาษาจีนกล่าวว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชย์ได้ ๒๓ ปี (พ.ศ. ๗๕๕)
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 50
https://drive.google.com/file/d/1LpkgMjuS46_JzVEurYo0u3KJddYnjHFt/view
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.432 seconds with 20 queries.
Loading...