Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 09:00:47

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,624 Posts in 12,930 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง  |  สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 51 - 60
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 51 - 60  (Read 854 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« on: 23 December 2021, 14:13:34 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 51


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-51.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 51

เนื้อหา
• เล่าเจี้ยงให้ทหารเอกไปรักษาเมืองลกเสีย
• อุยเอี๋ยน ฮองตงอาสาตีค่ายช่องแคบได้
• เล่าปี่เสียบังทอง
• เล่าปี่ให้ไปเชิญขงเบ้งมาจากเมืองเกงจิ๋ว
• เตียวหุยจับเงียมหงันเจ้าเมืองปากุ๋นได้


ฝ่าย เล่าเจี้ยงแจ้งว่าเล่าปี่ยกทหารเข้าตีเอาด่านโปยสิก๋วน แลฆ่าเอียวหวยโกภายเสียก็ตกใจ จึงให้ขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษาราชการว่า บัดนี้เล่าปี่ยกมาทำร้ายเราตีเอาด่านโปยสิก๋วนได้แล้ว เราจะคิดอ่านป้องกันรักษาเมืองประการใดจึงจะกำจัดเล่าปี่เสียได้ อุยก๋วนจึงว่า ซึ่งเล่าปี่ยกมาบัดนี้ แลจะคิดอ่านป้องกันเมืองไว้นั้น ขอให้ท่านแต่งกองทหารยกไปตั้งขัดไว้ ณ เมืองลกเสีย ด้วยเปนปากทางจะเข้ามาคับขันนัก ถึงมาทว่าทหารเล่าปี่จะมีฝีมือเข้มแขงก็เห็นจะหักเข้ามามิได้ เล่าเจี้ยงก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งให้เหลงเปาเล่ากุ๋ยเตียวหยิมเตงเหียนคุมทหารห้าหมื่นยกรีบไปทั้งกลาง วันกลางคืนจะไปตั้ง ณ เมืองลกเสีย

แลขณะเมื่อทหารสี่นายยกมากลางทางนั้น เล่ากุ๋ยจึงว่าแก่เหลงเปาเตียวหยิมเตงเหียนว่า เราได้ยินเขาเลื่องลืออยู่แต่ก่อนว่า ในตำบลเขากิมปินสานนี้มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อว่าจีโฮโต้หยิน มีสติปัญญากอปด้วยวิชาการชำนิชำนาญ รู้จักลักษณผู้เคราะห์ร้ายแลเคราะห์ดี เปนแลตายทุกประการ แลบัดนี้เราจำจะแวะเข้าไปสนทนาด้วย ให้พิเคราะห์ดูเราให้รู้ว่าร้ายแลดี เตียวหยิมจึงว่า อันเกิดมาเปนมนุษย์นี้ก็ย่อมกอปไปด้วยความตาย ใครจะพ้นจากอันตรายก็หาไม่ ตัวเราเปนชายชาติทหารจะไปต่อด้วยสงคราม แลจะมาคิดวิตกว่าร้ายแลดีอยู่มิได้เอาใจตัวเปนประมาณ จะไปสืบถามคนบ้านนอกชาวป่าให้เปนลางแก่ตัวหาต้องการไม่

เล่ากุยจึงว่า ท่านว่าฉะนี้มิได้นับถือคติโบราณก็ผิดประเพณี อันธรรมดาผู้มีสติปัญญา ก็เปนที่ไต่ถามแก่คนทั้งปวง ควรเราจะไปคำนับอยู่ เหลงเปาเตงเหียนเตียวหยิมได้ฟังเล่ากุ๋ยว่าก็เห็นด้วย จึงพากันแวะเข้าไป ณ เขากิมปินสานเห็นจีโฮโต้หยินนั่งอยู่บนเตียง ก็ชวนกันเข้าไปคำนับแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าพากันมาคำนับทั้งนี้ หวังจะขอเอาสติปัญญาของท่านช่วยทำนุบำรุง ด้วยเล่าเจี้ยงผู้เปนนายใช้ให้ข้าพเจ้าทั้งสี่นี้ยกกองทัพไปป้องกันขัดทัพ เล่าปี่ ณ เมืองลกเสีย แลจะไปครั้งนี้ดีแลร้ายประการใด ขอท่านได้บอกให้ข้าพเจ้าแจ้งด้วย

จีโฮโต้หยินจึงบอกว่า ตัวเราเปนคนชาวบ้านนอกมีปัญญาน้อย ซึ่งท่านมาถามเรา จะให้บอกร้ายแลดีไปเบื้องหน้านั้นเรามิรู้ เล่ากุ๋ยก็อ้อนวอนไปเปนหลายครั้ง จีโฮโต้หยินเสียมิได้ จึงเอาพู่กรรณมาเขียนอักษรเปนใจความว่า มังกรกับหงส์จะเข้ามาในเมืองเสฉวน ส่วนหงส์มีปีกบินได้มิอาจไปโดยอากาศ ตกอยู่ในพื้นแผ่นดิน ฝ่ายมังกรบินมิได้กลับขึ้นไปสำแดงอานุภาพอยู่ในอากาศ ถ้าผู้ใดรู้จักลักษณะดังนี้แล้ว ก็จงเร่งผ่อนพักรักษาตัวก็จะพ้นจากอันตราย

เล่ากุ๋ยจึงตอบว่า ข้าพเจ้าถามทั้งนี้ประสงค์จะใคร่แจ้งเหตุผลในตัวข้าพเจ้าทั้งสี่ว่าดีแลร้าย ดอก อันท่านว่าทั้งนี้หามีประโยชน์ดังนั้นไม่ จีโฮโต้หยินจึงว่า อันบุญแลกรรมที่ท่านถามเรานั้นก็หาต้องการไม่ ร้ายแลดีก็ย่อมมีสำหรับกันอยู่เอง ใครจะบอกได้ ว่าแล้วก็หลับตานั่งนิ่งเสีย เตียวหยิมเห็นดังนั้นจึงว่า เรามาเจรจาด้วยคนเสียจริตนี้หาต้องการไม่ มาไปเถิด แล้วพากันกลับมาขึ้นม้าคุมทหารรีบไปถึงเมืองลกเสีย เล่ากุ๋ยจึงว่า เมืองลกเสียนี้เปนที่สำคัญนัก ถ้าแลเสียที่ตำบลนี้แล้วก็เหมือนเสียเมืองเสฉวน จำจะให้ตั้งค่ายกระหนาบไว้ ณ เขาช่องแคบหน้าเมือง อย่าให้กองทัพเล่าปี่ล่วงเข้ามาได้ เหลงเปาเตงเหียนเห็นด้วย ก็คุมทหารสองหมื่น ยกออกไปตั้งค่ายสกัดทางกระหนาบอยู่ ณ เขาช่องแคบ เล่ากุ๋ยกับเตียวหยิมก็ตั้งอยู่รักษาเมืองลกเสีย

ฝ่ายเล่าปี่จึงปรึกษาด้วยบังทองว่า จะยกจากด่านโปยสิก๋วนไปตีเมืองเสฉวน พอทหารเข้ามาบอกว่า บัดนี้เล่าเจี้ยงให้ยกทหารมารักษาเมืองลกเสียไว้ แล้วให้เหลงเปาเตียวเหียนสองนายคุมทหารสองหมื่นมาตั้งค่ายอยู่ช่องแคบทาง ประมาณหกร้อยเส้น เล่าปี่จึงถามทหารทั้งปวงว่า ครั้งนี้ใครจะอาสาไปตีค่ายช่องแคบได้ ฮองตงก็รับอาสาว่าข้าพเจ้าจะขอไปตีให้จงได้ เล่าปี่จึงว่า ท่านจะรับไปทำการครั้งนี้ก็ดีแล้ว ฮองตงมีความยินดีคำนับลาจะออกมาจัดแจงทหาร พออุยเอี๋ยนเข้ามาว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งฮองตงจะอาสาไปทำการก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าฮองตงเปนคนชรานัก ขอให้อยู่เถิด ข้าพเจ้าจะอาสาไปเอง ฮองตงได้ฟังอุยเอี๋ยนว่าก็โกรธ จึงว่าท่านนี้ดูหมิ่นเราหนักหนา อุยเอี๋ยนจึงว่า ข้าพเจ้ามิได้ดูหมิ่นท่าน ตัวท่านมีฝีมือก็จริง แต่ว่าแก่แล้วกำลังก็น้อย อันเหลงเปาเตงเหียนสองคนนี้เปนทหารเอกในเมืองเสฉวนมีฝีมือ แล้วก็หนุ่มกว่าท่านมีกำลังมาก เกลือกว่าท่านเปนคนแก่จะเสียการไป ข้าพเจ้าจึงจะไปแทนท่านมิให้ลำบาก เมื่อว่าโดยดีฉนี้เหตุใดท่านจึงโกรธ ฮองตงจึงว่า ท่านสำคัญว่าคนแก่หากำลังมิได้ ตัวท่านหนุ่มจงมาลองฝีมือกับเรา อุยเอี๋ยนก็โกรธจึงว่า ท่านกับเราจะสู้กันดูฝีมือก็มาเถิด ฮองตงคับอุยเอี๋ยนวิวาททุ่มเถียงอื้ออึงกันขึ้น ฮองตงจึงเรียกให้บ่าวไปเอาง้าวมาจะสู้กับอุยเอี๋ยน

เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงห้ามว่า มาทำการทั้งนี้ก็พึ่งกำลังท่านทั้งสอง เมื่อแลเสือต่อเสือจะมาเกิดจลาจลขึ้นฉนี้ การของเราจะมิเสียไปหรือ เราขอเสียเถิด บังทองจึงว่า ท่านอย่าวิวาทกันเลย ทั้งสองก็มีฝีมืออยู่ด้วยกัน แม้จะให้ไปแต่ผู้เดียวก็จะมีความน้อยใจ จงไปด้วยกันทั้งสองนายตีเอาค่ายให้ได้คนละลูก แม้ผู้ใดตีได้ก่อนก็จะมีความชอบมาก แล้วแบ่งทหารให้ฮองตงไปตีค่ายเหลงเปา ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารไปตีค่ายเตงเหียน ทั้งสองคำนับเล่าปี่แล้วก็ลามาจัดทหารอยู่ ภายหลังบังทองจึงว่า อันทหารสองนายซึ่งจะยกไปบัดนี้เห็นจะไม่เปนปรกติ เกลือกว่าจะไปวิวาทกันกลางทางด้วยพยาบาทกันอยู่ ขอท่านยกทหารเปนกองหนุนไป จะได้ดูผิดแลชอบด้วย เล่าปี่ก็เห็นชอบ จึงเกณฑ์ให้บังทองอยู่รักษาค่าย แล้วให้จัดแจงทหารเตรียมพร้อมไว้ซึ่งจะยกเปนกองหนุนไป

ฝ่ายฮองตงจึงสั่งทหารให้หุงเข้ากินเสียแต่เช้าแล้วจะยกไปตามเชิงเขาข้าง ขวามือ แลขณะเมื่อฮองตงสั่งทหารให้หุงเข้ากินเสียก่อนจึงจะยกไปนั้น อุยเอี๋ยนรู้กิตติศัพท์ก็ดีใจ จึงสั่งให้ทหารหุงเข้ากินเสียประมาณยามหนึ่งก็รีบยกไปก่อนแต่ในเวลากลางคืน หมายว่าพอรุ่งจะให้ถึง มากลางทางจึงคิดว่า แม้เราจะตีเอาแต่ค่ายเตงเหียนบัดนี้ความชอบก็จะเปนประมาณ อนึ่งชื่อเสียงก็จะมิได้ปรากฎไปภายหน้า จำจะยกไปตีเอาค่ายเหลงเปาซึ่งเปนส่วนของฮองตงเสียก่อน แล้วจึงจะกลับเข้าตีเอาค่ายเตงเหียน คิดดังนั้นแล้วจึงให้ทหารยกแยกไปทางขวามือหวังจะชิงฮองตง ครั้นมาจะใกล้ถึงค่ายก็ให้ทหารทั้งปวงหยุดอยู่เตรียมตัวจะเข้ารบ

ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เหลงเปา ๆ รู้ดังนั้นก็จัดแจงทหารตระเตรียมไว้ แล้วสั่งทหารกองหนึ่งให้วกไปตีโอบหลัง ครั้นได้เวลาเหลงเปาก็ให้จุดประทัดสัญญายกทหารออกมา อุยเอี๋ยนก็ขับม้าเข้ารบได้สามสิบเพลง พอทหารเหลงเปาเข้าตีหลังได้ ทหารอุยเอี๋ยนเดิรรีบมายังรุ่งอิดโรยอยู่ สู้ทหารเหลงเปามิได้ก็พ่ายถอยแตกลงไป อุยเอี๋ยนเห็นทหารทั้งปวงแตกก็ขับม้าหนี เหลงเปาได้ทีก็ขับม้าไล่ไปทางประมาณห้าสิบเส้น

ขณะเมื่ออุยเอี๋ยนยกมาเตงเหียนรู้ จึงยกทหารมาคอยสกัดอยู่บนเนินเขา พออุยเอี๋ยนแตกหนีมา ก็ขับม้าแลทหารลงมาจากเนินเขาไล่ตามไป อุยเอี๋ยนขับม้ารบหนีด้วยกำลัง ม้าเหยียบศิลาแพลงขะมำล้ม อุยเอี๋ยนก็ตกจากม้าลง เตงเหียนได้ทีก็ขับม้าสอึกมาจะแทงด้วยทวน พอฮองตงยกทหารมาประจวบเข้า เห็นเตงเหียนไล่อุยเอี๋ยนก็ยิงเกาทัณฑ์มาช่วยทันที ถูกอกเตงเหียนตกม้าลง เหลงเปามาข้างหลัง เห็นเตงเหียนถูกเกาทัณฑ์ตกม้าลง ก็ขับม้าเข้ามาจะช่วยเตงเหียน ฮองตงก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า กูชื่อฮองตงทหารเอกอยู่นี่ ใครดีก็เข้ามา เหลงเปาก็ขับม้าเข้าสู้ด้วยฮองตงได้ห้าเพลง ต้านทานมิได้ก็ชักม้าหนี ฮองตงได้ทีก็ขับม้าแลทหารทั้งปวงไล่ไป ทหารเหลงเปาก็แตกกระจายไปสิ้น เหลงเปาจะเข้าค่ายมิทัน เห็นฮองตงไล่กระชั้นมาก็ชักม้าเข้าสู้ได้สิบเพลง เห็นทหารฮองตงติดตามโห่ร้องหนุนมาเปนอันมาก ก็ชักม้าหนีจะไปเข้าค่ายเตงเหียน พอเล่าปี่ยกหนุนมาเปนกองหลังเข้าชิงเอาค่ายเตงเหียนไว้ได้ก่อน เหลงเปาแลไปเห็นเล่าปี่ใส่เกราะทองยืนอยู่ กวนเป๋งอยู่เบื้องซ้าย เล่าฮองอยู่ข้างขวาร้องมาว่า บัดนี้กูชิงเอาค่ายได้แล้วมึงจะหนีไปข้างไหน เหลงเปาจนใจเข้าค่ายมิได้ ก็ชักม้าหนีไปตามทางซอกเขา จะลัดไปทางเมืองลกเสีย

ฝ่ายอุยเอี๋ยนเสียทีมาหวังจะทำการแก้ตัว ก็คุมทหารไปสกัดอยู่ เห็นเหลงเปาแตกมาทางนั้น ก็ให้ทหารเอาเชือกขึงพานท้าวม้าล้มลงจับตัวได้มัดเอามา แลขณะเมื่อเล่าปี่ได้ค่ายเตงเหียนแล้ว จึงให้จารึกอักษรใส่ธงเปนใจความว่า มิให้ผู้ใดทำอันตรายชีวิตข้าศึก ซึ่งเข้ามานบนอบเปนอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดไม่ฟังจะเอาตัวเปนโทษให้ตายตกไปตามกัน ครั้นจารึกแล้วก็เอาธงขึ้นไปปักไว้ ณ ค่าย แล้วก็ว่าแก่ทหารเตงเหียนแลเหลงเปาซึ่งจับมาได้นั้นว่า ท่านทั้งปวงบันดาเปนชะเลยเรานี้ แม้มีน้ำใจรักจะสมัคอยู่ด้วยเราก็อยู่ ถ้าผู้ใดคิดถึงบิดามารดาแลญาติพี่น้องจะกลับคืนไปบ้านเมืองก็ตามใจเถิด คนทั้งปวงได้โอกาศดังนั้น ที่คิดถึงญาติพี่น้องก็คำนับลาไป แลคนทั้งปวงที่มีใจรักใคร่ก็สรรเสริญเล่าปี่เอิกเกริกไปทั้งเมือง

ฝ่ายฮองตงได้ชัยชนะแล้วก็กลับมาหาเล่าปี่แล้วว่า บัดนี้อุยเอี๋ยนทำผิดให้เสียทีแก่ข้าศึกแตกหนีมาทั้งนี้ ครั้นจะมิเอาโทษ ไปเบื้องหน้าการสงครามยังจะมีสืบไป ทหารทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง ขอท่านประหารชีวิตเสียจึงจะชอบ เล่าปี่ก็สั่งให้ทหารหาตัวอุยเอี๋ยน พออุยเอี๋ยนมัดเหลงเปามาถึงเข้าไปคำนับเล่าปี่ ๆ จึงว่า ตัวท่านมีโทษใหญ่หลวงนัก แต่ครั้งนี้หากว่าท่านทำการแก้ตัวจับเหลงเปาได้ เราจะยกโทษเสีย แต่วันนี้สืบไปวันหน้าจะทำการสิ่งใดจงอย่าได้แก่งแย่งทำการเอาหน้า ยกตัวว่าดีดุจหนึ่งครั้งนี้ แลซึ่งท่านรอดจากความตายเพราะฮองตงนั้น ก็จงคำนับฮองตงตามประเพณี อุยเอี๋ยนก็คำนับฮองตงขะมาโทษ เล่าปี่ก็ปูนบำเหน็จรางวัลแก่ฮองตงเปนอันมาก แล้วก็ให้ทหารเอาตัวเหลงเปาเข้ามา แล้วก็ลงไปแก้มัดเหลงเปาเสียเอง จึงให้แต่ง่โต๊ะเลี้ยงแล้วถามว่า ตัวท่านนี้จะมีนํ้าใจภักดีต่อเราหรือจะคิดประการใด

เหลงเปาจึงว่า ชีวิตข้าพเจ้าถึงตายแล้ว ท่านกรุณามิได้ฆ่าเสียทั้งนี้ บุญคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะขอทำการสนองคุณท่าน ที่จะคิดเอาใจออกหากนั้นหามิได้ บัดนี้เล่ากุ๋ยเตียวหยิมซึ่งมาตั้งอยู่ในเมืองลกเสียนั้น กับข้าพเจ้าเปนคนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าท่านกรุณาปล่อยข้าพเจ้าให้กลับไป ข้าพเจ้าก็จะว่ากล่าวคนทั้งสองให้มาสามิภักดิ์ต่อท่าน จะคิดอ่านเอาเมืองลกเสียให้จงได้ เล่าปี่มีความยินดีจึงให้เสื้อผ้าเปนรางวัลแล้วจึงว่า ท่านเจรจาไว้ไปเบื้องหน้าอย่าได้กลับกลาย ท่านจะกลับเข้าไปเมืองลกเสียก็ตามใจเถิด

อุยเอี๋ยนจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งจะให้เหลงเปากลับไปบัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไปแล้วจะไม่กลับมา เล่าปี่จึงว่า ตัวเรามีความเอ็นดูเขามิได้คิดทำร้าย เมื่อเขามิคิดแล้วก็ตามแต่บุญ จะหน่วงเหนี่ยวไว้ใยให้เขาไปเถิด เหลงเปาคำนับเล่าปี่แล้วก็กลับไปเมืองลกเสีย จึงบอกแก่เล่ากุ๋ยว่า ได้รบพุ่งกับเล่าปี่เปนสามารถฆ่าทหารเอกเล่าปี่ตายถึงสิบคน ข้าศึกมีกำลังมากนักจะต้านทานมิได้ ชิงได้ม้าตัวหนึ่งก็หนีมา เล่ากุ๋ยสำคัญว่าจริงก็ตกใจ จึงแต่งให้คนถือหนังสือรีบไปถึงเล่าเจี้ยง ขอกองทัพอุดหนุนมา

เล่าเจี้ยงแจ้งในหนังสือว่าเตงเหียนถึงแก่ความตาย ค่ายช่องแคบก็เสียแก่ข้าศึกแล้วก็ตกใจ จึงให้หาขุนนางเข้ามาปรึกษาราชการ เล่าชุนผู้บุตรจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอยกทหารไปรักษาป้องกันเมืองลกเสียนั้นไว้ให้จงได้ เล่าเจี้ยงจึงถามว่า ตัวเจ้าจะยกไปบัดนี้ก็ดีหนักหนา แต่ว่าจะได้ผู้ใดไปด้วยเปนที่ปรึกษา งออี้น้องภรรยาเล่าเจี้ยงจึงรับอาสาไปด้วย เล่าเจี้ยงก็ยินดีจึงว่า ถ้าฉนั้นท่านจงจัดทหารรองสองนายออกไปด้วย งออี้ก็จัดลุยต๋องงอหลันสองคนเปนทหารรอง กับทหารเลวสองหมื่นให้แก่เล่าชุนเสร็จแล้ว ก็ยกมาถึงเมืองลกเสีย

เล่ากุ๋ยเตียวหยิมรู้ว่าเล่าชุนยกมา ก็ออกมาต้อนรับเข้าในเมืองแล้วจึงเล่าเนื้อความซึ่งเตงเหียนเสียทีแก่เล่า ปี่นั้นให้ฟังทุกประการ งออี้จึงว่า บัดนี้ข้าศึกยกล่วงเข้ามาจะใกล้ถึงเชิงกำแพงอยู่แล้ว เห็นเล่าปี่มีใจกำเริบเปนกำลังนัก อันจะต่อสู้ด้วยฝีมือนั้นเห็นจะมิได้ ใครจะคิดเปนกลอุบายประการใด จึงจะกำจัดศึกเล่าปี่เสียได้

เหลงเปาจึงว่า ซึ่งจะคิดกำจัดข้าศึกครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองลกเสียนั้นตั้งอยู่ในที่สูงกว่าตีนเขาซึ่งข้าศึกตั้ง อยู่นั้นมาก แลแม่นํ้าริมเมืองสายน้ำก็เชี่ยว ข้าพเจ้าคิดว่าจะคุมทหารไปขุดคลองแทงไปตรงค่ายข้าศึก ไขน้ำให้ไหลบ่าหักลงไปเอาค่ายข้าศึก ให้ท่วมทหารทั้งปวงเสีย แล้วเราก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย งออี้เห็นชอบด้วยก็ให้เหลงเปาคุมทหารไปทำการดังว่า แล้วก็ให้งอหลันลุยต๋องคุมทหารสองกองยกไปป้องกันคนทำการ

ฝ่ายเล่าปี่จึงแต่งให้อุยเอี๋ยนฮองตงอยู่รักษาค่ายช่องแคบซึ่งตีได้นั้น แล้วก็ยกกลับมาตั้งอยู่ด่านโปยสิก๋วน จึงหารือกับบังทองซึ่งจะคิดทำการต่อไป พอม้าใช้มาถึงบอกว่า บัดนี้ซุนกวนให้มีหนังสือมาถึงเตียวฬ่อ ให้ยกทหารมาตีเอาด่านแฮบังก๋วน เล่าปี่แจ้งเนื้อความก็ตกใจจึงปรึกษาบังทองว่า ถ้าเตียวฬ่อยกมาตีเอาด่านแฮบังก๋วนแล้วก็จะปิดทางเราเสีย จะไปนั้นก็มิรอดจะถอยไปก็มิได้ จะคิดประการใดดี บังทองจึงว่าแก่เบ้งตัดว่า ท่านเปนชาวเมืองเสฉวน รู้ทางที่จะหนีจะไล่ชำนาญอยู่ ด้วยเปนบ้านของท่าน ท่านจงไปรักษาตำบลแฮบังก๋วนจึงจะชอบ เบ้งตัดก็รับคำแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าขอเอาฮักจุ้นนั้นไปด้วย อนึ่งฮักจุ้นคนนี้มีฝีมือ แต่ก่อนก็เปนทหารของเล่าเปียว เล่าปี่ก็ให้อนุญาต จึงแต่งเบ้งตัดให้คุมทหารยกไปรักษาด่านแฮบังก๋วน

ฝ่ายบังทองลาเล่าปี่กลับมาที่อยู่ ทหารคนหนึ่งเอาเนื้อความมาบอกว่า มีผู้หนึ่งมาหาท่านยืนอยู่ที่ประตู บังทองก็เดิรออกมารับ เห็นผู้หนึ่งรูปร่างใหญ่สูงห้าศอกหน้าตาเข้มขัน จึงถามว่า อาจารย์ชื่อไรมาแต่ไหน ผู้นั้นก็มิได้พูดจาประการใด จึงเดิรเข้าไปนอนลงบนเตียงข้างใน บังทองก็เข้าไปไต่ถาม ผู้นั้นจึงว่านิ่งก่อนเถิด ให้ข้าพเจ้าหายเหนื่อยแล้วจึงจะบอกกิจการบ้านเมืองที่ใหญ่หลวงให้ บังทองก็มีความสงสัยนัก จึงสั่งให้คนใช้ไปแต่งโต๊ะเข้ามา ครั้นคนใช้ยกโต๊ะเข้ามาตั้ง ยังมิทันเชิญให้กินผู้นั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงเข้านั่งกินเอง ครั้นกินอิ่มแล้วก็กลับขึ้นไปนอนนิ่งเสียบนเตียง บังทองยิ่งมีความสงสัย จึงให้คนไปบอกหวดเจ้ง

ครั้นหวดเจ้งมาถึงประตู บังทองจึงออกไปรับแล้วเล่าเนื้อความให้ฟัง หวดเจ้งจึงว่า ถ้าทำการฉนี้น่าจะเปนแพเอี้ยวอยู่ แล้วก็พากันเข้าไปข้างใน แพเอี้ยวแลเห็นหวดเจ้งมาถึงก็ดีใจ ลุกขึ้นตบมือหัวเราะร้องทักว่าหวดเจ้งท่านมาหรือ ทุกวันนี้มีความสุขประการใดบ้าง หวดเจ้งก็ทักไปตามประเพณี บังทองจึงถามว่า ท่านผู้นี้ชื่อไร หวดเจ้งจึงบอกว่า คนนี้ชื่อว่าแพเอี้ยวชาวเมืองก๋งฮาน เปนคนมีสติปัญญามาก ตั้งอยู่ในที่ปรึกษาเล่าเจี้ยง ประกอบด้วยความซื่อตรงนัก จะว่ากล่าวสิ่งใดก็มิได้โลเลเหมือนคนทั้งปวง เล่าเจี้ยงไม่ชอบใจคึ่งโกรธว่าพูดจาหยาบช้า จึงตัดผมเสียทำประจานให้ได้อาย แล้วขับเสียมิให้อยู่ในเมือง บังทองก็มีความยินดีจึงถามว่า ท่านมานี้จะประสงค์สิ่งใด

แพเอี้ยวจึงว่า เรามาบัดนี้หวังจะช่วยชีวิตทหารท่าน แต่ว่าเราจะบอกยังไม่ได้ ให้เล่าปี่มาหาเราจึงจะบอกให้ หวดเจ้งจึงให้คนไปเชิญเล่าปี่มา เล่าปี่จึงถามว่า ท่านจะบอกสิ่งใดให้ ก็ได้เอ็นดูจงแจ้งให้เข้าใจหน่อยหนึ่งเถิด แพเอี้ยวจึงถามว่า ทหารท่านซึ่งตั้งอยู่ที่ค่ายช่องแคบนั้นเท่าใด เล่าปี่จึงบอกว่า มีทหารเอกอยู่แต่ฮองตงกับอุยเอี๋ยนสองนาย คุมทหารเลวประมาณหมื่นหนึ่ง

แพเอี้ยวจึงว่า ท่านก็เคยทำสงครามมา ปรากฎว่ามีสติปัญญา เหตุใดตัวเปนแม่ทัพจึงมิได้รู้จักแผนที่ก่อน แลทำการทั้งนี้ดูเบาแก่ข้าศึกนัก สำคัญว่าตั้งอยู่ที่นั้นดีแล้วหรือ แลแม่นํ้าปวยกั๋งก็อยู่ใกล้ ที่ตั้งค่ายนั้นเปนที่ลุ่ม แม้ข้าศึกจะไขนํ้าให้บ่าหักมาท่วมค่ายเสียแล้ว จะยกทหารมาล้อมหน้าหลังไว้ระดมรบ ทหารท่านจะมิตายเสียสิ้นหรือ

เล่าปี่ได้ฟังแพเอี้ยวดังนั้นก็ตกใจได้สติเห็นชอบด้วย แพเอี้ยวจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับผู้มีบุญขึ้นข้างฝ่ายทิศปราจีน มีรัศมีสุกใสนัก แต่ว่ามีดาวดวงหนึ่งสีขาวเคียงอยู่เห็นร้าย จะมีอันตรายมาถึงท่านเปนมั่นคง ให้เร่งระมัดรักษาตัวจงได้ เล่าปี่ก็คำนับแพเอี้ยวดังที่ปรึกษาผู้ใหญ่ แล้วก็ให้คนรีบไปบอกแก่ฮองตงอุยเอี๋ยน ให้เร่งกำชับตรวจตรารักษาค่ายอย่าให้ข้าศึกไขนํ้ามาท่วมได้ ฮองตงอุยเอี๋ยนได้แจ้งแล้ว ก็ช่วยกันออกตะเวนตรวจตรารักษาค่ายเปนกวดขัน

พอเวลากลางคืนวันนั้นฝนตกห่าใหญ่ เหลงเปาคุมทหารห้าพันรีบมาถึงที่จะขุดคลองแบ่งน้ำ กะเกณฑ์ปันเปนหน้าที่เตรียมจะขุดอยู่ พออุยเอี๋ยนคุมทหารออกมาเที่ยวสอดแนมเห็นก็ร้องโห่ขึ้น เหลงเปาได้ยินดังนั้นก็ตกใจ พอทหารทั้งปวงแตกตื่นเปนอลหม่านเหยียบกันล้มตายเปนอันมาก เหลงเปาขับม้ามาพบอุยเอี๋ยนสกัดอยู่ ก็ขับม้าเข้าสู้กันได้ห้าเพลง อุยเอี๋ยนก็จับตัวเหลงเปาได้ งอหลันลุยต๋องคุมทหารเปนกองป้องกันมาข้างหลัง ได้ยินเสียงอื้ออึงขึ้น ก็ขับม้าแลทหารจะรีบมาช่วยเหลงเปา พอพบฮองตงสกัดอยู่ก็ขับม้าเข้าสู้ด้วยฮองตงได้สองเพลง ต้านทานมิได้ก็ถอยไป อุยเอี๋ยนก็มัดเอาเหลงเปามาให้แก่เล่าปี่ณด่านโปยสิก๋วน เล่าปี่เห็นเหลงเปาจึงด่าว่าอ้ายหาความสัตย์มิได้ ก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย แล้วก็ปูนบำเหน็จแก่อุยเอี๋ยนเปนอันมาก

ขณะนั้นพอม้าเลี้ยงเข้ามาหาเล่าปี่ คำนับแล้วบอกว่า เมืองเกงจิ๋วนั้นอยู่เย็นเปนสุขอยู่หาอันตรายมิได้ แลบัดนี้ขงเบ้งใช้ให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาถึงท่าน แล้วก็เอาหนังสือให้แก่เล่าปี่ ๆ จึงฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความว่า ในปีกุญนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งปรากฎตรงเมืองลกเสียอยู่ฝ่ายปราจีนทิศ นั้นร้ายนัก เห็นจะเสียแม่ทัพนายกองซึ่งยกมาครั้งนี้เปนมั่นคง ขอให้ท่านเร่งระมัดรักษาตัวอย่าประมาท เล่าปี่แจ้งในหนังสือแล้วจึงว่าแก่ม้าเลี้ยงว่า ซึ่งขงเบ้งให้หนังสือมาทั้งนี้ก็แจ้งแล้ว เราก็ระมัดตัวอยู่มิได้ประมาท ให้ท่านรีบกลับไปบอกแก่ขงเบ้งเถิด ม้าเลี้ยงก็คำนับลาเล่าปี่กลับไปเมืองเกงจิ๋ว

เล่าปี่จึงปรึกษากับบังทองว่า ขงเบ้งให้มีหนังสือมาว่าอันตรายจะมีแก่นายทัพนายกองนั้น ครั้นเราจะแข็งอยู่ทำการสืบไปเล่า เกลือกอันตรายจะมีจริงขงเบ้งก็จะติโทษได้ จำเราจะยกกลับไปเมืองเกงจิ๋วก่อน จะได้ปรึกษาหารือด้วยขงเบ้งเปนผู้ใหญ่ บังทองจึงคิดว่าขงเบ้งให้หนังสือมาทั้งนี้ด้วยใจริษยา เห็นว่าเรามาทำการจะได้เมืองเสฉวนนี้มีความชอบเปนอันมาก เขาจึงแกล้งให้หนังสือมาขัดขวางไว้หวังจะมิให้ทำการ จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็รู้อยู่ ดูในอากาศเห็นดาวดวงหนึ่งร้ายจริง แต่ว่าเหตุนั้นได้แก่เหลงเปาต่างหาก ซึ่งดาวดวงนี้ปรากฎอยู่ทุกวันนี้ จะได้แก่ตัวท่านซึ่งจะได้เปนใหญ่ในเมืองเสฉวนอีก เหตุไฉนท่านมาสงสัยว่าจะมีอันตราย จะยกกลับไปเมืองเล่า ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ขอให้ท่านเร่งยกทหารรีบทำการเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวนเถิด เล่าปี่ได้ฟังบังทองว่ากล่าวก็เชื่อ จึงให้ยกทหารกลับเข้าไปใกล้ค่ายช่องแคบ ซึ่งฮองตงอุยเอี๋ยนรักษาอยู่นั้น

บังทองจึงถามหวดเจ้งว่า ทางซึ่งเราจะเข้าไปเมืองลกเสียนั้น เปนทางเดียวหรือมีทางแยกอยู่ หวดเจ้งให้เอาแผนที่ซึ่งเตียวสงให้ไว้นั้นออกดู บังทองจึงพิเคราะห์ดูแผนที่เห็นมีทางเปนสองทาง แลทางน้อยซึ่งจะลัดไปตามซอกเขาเปนทางเร็ว ทางใหญ่อ้อม จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งจะยกเข้าไปเมืองลกเสียครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารไปทางน้อย ขอให้ท่านยกไปทางใหญ่ เล่าปี่จึงว่า อันทางน้อยเปนที่แคบคับขันนัก เกลือกข้าศึกจะแต่งทหารมาสกัดอยู่ ตัวท่านมิชำนาญที่จะยิงเกาทัณฑ์ก็จะขัดสนเห็นจะเสียทีแก่ข้าศึก ชอบให้ท่านคุมทหารไปทางใหญ่ เข้าข้างประตูทิศตวันออก ตัวข้าพเจ้าชำนาญเกาทัณฑ์จะยกไปทางน้อย ถึงมาทว่าจะพบข้าศึกก็จะสู้รบโดยสดวก

บังทองจึงว่า อันทางใหญ่นั้นข้าพเจ้าเห็นว่า ข้าศึกจะยกทหารมาสกัดอยู่เปนอันมาก ซึ่งข้าพเจ้าจะยกไปนั้นจะต่อด้วยกำลังข้าศึกมิได้ จึงจะขอไปทางน้อยด้วยเห็นว่าข้าศึกจะเบาบางพอกำลังข้าพเจ้าจะสู้ได้ อันทางใหญ่นั้นผู้อื่นจะยกไปเห็นจะเสียที ควรท่านยกไปเองจึงจะชอบ เล่าปี่จึงว่าท่านจงไปทางใหญ่ตามข้าพเจ้าว่าเถิด อย่าได้ไปทางน้อยเลย ด้วยเวลาคืนนี้ข้าพเจ้าฝันร้ายเห็นหลากใจอยู่ ว่ามีเทวดาองค์หนึ่งเอาไม้ตะบองเหล็กมาตีถูกแขนซ้ายข้าพเจ้าเจ็บปวดเปนกำลัง จนตื่นขึ้นแล้วยังมิหายเจ็บ กริ่งใจอยู่ฉนี้จึงจะให้ท่านไปทางใหญ่ บังทองจึงว่า อันเกิดมาเปนทหารทำการสงคราม แม้มิตายก็จำต้องบาดเจ็บเปนประเพณี เหตุใดท่านจะมาวิตกเดือดร้อนด้วยความฝันฉนี้หาต้องการไม่

เล่าปี่จึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ ด้วยขงเบ้งให้หนังสือมากลัวจะเปนอันตราย จึงมิไว้ใจเลย คิดจะให้ท่านอยู่รักษาด่านโปยสิก๋วนไว้ แต่ตัวข้าพเจ้าจะยกทหารไปทำการแต่ผู้เดียว ท่านอย่าไปให้เปนกังวลเลย บังทองหัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งขงเบ้งให้หนังสือมานั้นด้วยริษยา เห็นว่าข้าพเจ้ามาทำการด้วยท่านจะได้เมืองเสฉวนเปนความชอบ จึงว่ามาทั้งนี้หวังจะให้ท่านสงสัยใจมิให้ทำการตลอด ข้าพเจ้าก็จะหามีความชอบไม่ ซึ่งท่านนิมิตฝันก็ดีอยู่ดอกอย่ากินใจเลย แลตัวข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยท่าน ตั้งใจจะอาสาให้ถึงขนาด ปราถนาจะเอาโลหิตทาแผ่นดินไว้ให้ปรากฎไปภายหน้า ถึงจะเปนอันตรายแก่ชีวิตก็มิได้คิด เวลาพรุ่งนี้เช้าขอให้ท่านรีบยกทหารไปเถิด

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงจัดให้อุยเอี๋ยนเปนกองหน้าบังทอง ให้ฮองตงเปนกองหน้าทัพหลวง แลทหารทั้งปวงพรักพร้อมแล้ว ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่กับบังทองขึ้นม้าเคียงกันจะยกออกจากค่าย ม้าบังทองนั้นเผอิญให้เดิรพลาดขาขัดไป บังทองก็พลัดตกลงจากหลังม้า เล่าปี่เห็นก็โจนลงจากม้าเข้าพยุงเอาตัวบังทอง แล้วว่าเปนไฉนม้าท่านมาเปนดังนี้ บังทองจึงว่า ม้าข้าพเจ้าเคยขี่ทำการรบพุ่งมาก็ช้านานมิได้เปนฉนี้เลย ซึ่งม้าเปนทั้งนี้ก็เพราะด้วยความประมาท เล่าปี่จึงว่า เมื่อม้าท่านมักพลาดฉนี้ ถ้าเข้ารบสู้กับข้าศึกจะมิเสียทีหรือ ท่านจงเปลี่ยนเอาม้าของข้าพเจ้าขี่ไปเถิด ข้าพเจ้าจะเอาม้าของท่านมาขี่เอง เล่าปี่กับบังทองก็เปลี่ยนม้ากันขี่ บังทองจึงคำนับเล่าปี่แล้วว่า ครั้งนี้ท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ แล้วบังทองรีบยกทหารไปก่อนเล่าปี่ ๆ ก็ยกตามไปมีความวิตกถึงบังทองไม่สบายเลย

ฝ่ายงออี้เล่ากุ๋ยซึ่งไปรักษาเมืองลกเสียอยู่นั้น รู้ว่าเหลงเปาถึงแก่ความตายแล้วก็ปรึกษากันอยู่ เตียวหยิมจึงเข้ามาว่า บัดนี้เล่าปี่จะยกทหารมาทำอันตรายเรานั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าทางลัดซอกเขาที่จะมาเมืองลกเสียเปนทางคับขันนัก จะขออาสายกทหารไปสกัดอยู่ทางนั้น แม้เล่าปี่ยกมาก็จะได้รบพุ่งต้านทานไว้ ขอให้ท่านทั้งสองอยู่รักษาเมืองเถิด เจรจากันยังมิทันขาดคำพอทหารเข้ามาบอกว่า บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพมาเปนสองทาง เตียวหยิมแจ้งดังนั้นก็รีบยกทหารไปคอยสกัดอยู่ ครั้นเห็นอุยเอี๋ยนเปนกองหน้ายกมา จึงห้ามทหารทั้งปวงให้สงบไว้ แล้วชี้บอกว่าซึ่งยกตามมาข้างหลังขี่ม้าขาวนั้นคือเล่าปี่ เราคอยเขม้นจับเอาตัวให้จงได้ ครั้นบังทองมาถึงทางซอกเขา เห็นทางนั้นแคบคับขันนัก แล้วมีต้นไม้ชัฏทั้งสองข้างรกชิดไป ก็คิดกริ่งใจชักม้าหยุดอยู่จึงถามว่า ตำบลนี้ชื่อใด ทหารชาวเมืองเสฉวนซึ่งเข้าเกลี้ยกล่อมอยู่ด้วยจึงบอกว่า ที่นี้ชื่อลกห้องโห

บังทองได้ฟังจึงคิดว่า ตัวเราอาจารย์แต่งนามไว้ให้ชื่อว่าฮองซู แลทางจะออกจากซอกเขานี้เปนท้องทุ่ง ธรรมดาว่าหงส์นั้นแม้จะตกทุ่งก็มิอาจบินไปได้ ตัวเราก็ได้ชื่อว่านามหงส์จะตกลงท้องทุ่งนี้ก็จะมีอันตราย คิดสดุ้งใจดังนั้นแล้วก็ให้ทหารถอยคืนออกมา พอทหารเตียวหยิมจุดประทัดขึ้นโห่ร้อง ยิงเกาทัณฑ์กระหนาบระดมมาทั้งสองข้างทาง ก็ถูกบังทองตกม้าลงถึงแก่ความตาย ทหารทั้งปวงต่างคนก็ตื่นแตกเปนอลหม่านไปสิ้น แลขณะเมื่อบังทองถึงแก่ความตายนั้นอายุได้สามสิบหกปี ทหารทั้งปวงที่แตกตามขึ้นไปถึงอุยเอี๋ยนนั้นจึงบอกว่า บัดนี้ข้าศึกยกมาตั้งสกัดอยู่ ฆ่าบังทองถึงแก่ความตายแล้ว อุยเอี๋ยนแจ้งก็ตกใจ จะยกทหารกลับลงมา พอทหารเตียวหยิมยกเข้าตีด้านหน้าไว้ ก็รบพุ่งอลหม่านกันอยู่จะกลับมิได้ ครั้นจะถอยหลังคืนมาเตียวหยิมก็รบรุกขึ้นมา เมื่ออุยเอี๋ยนต้องรบทั้งข้างหน้าข้างหลังอยู่ดังนั้น ทหารก็ล้มตายเปนอันมาก อุยเอี๋ยนจนใจขัดสนนัก มิรู้ที่จะผ่อนผันไปทางใด

ทหารชาวเมืองเสฉวนซึ่งมาด้วยจึงว่า ท่านจะต้านทานอยู่ฉนี้มิได้ ด้วยทหารข้าศึกตีกระหนาบหน้าหลังเปนสามารถ ขอให้ตีบากทางไปข้างซ้ายมือ ลัดไปเอาทางใหญ่ เข้าบัญจบด้วยกองทัพเล่าปี่เถิด อุยเอี๋ยนเห็นชอบด้วย ก็พาทหารตีบากทางออกมาประมาณสามสิบเส้น พอพบลุยต๋องงอหลันคุมทหารยกมาปะทะเข้าต้านหน้าไว้ เตียวหยิมก็ขับทหารติดตามกระชั้นมาข้างหลัง อุยเอี๋ยนเข้าอยู่ในท่ามกลางจะหักไปแลจะถอยก็มิได้ ก็ขับม้าเข้าสู้รบตีตลบหน้าหลังอุตลุดอยู่ พอฮองตงยกเปนกองหน้าเล่าปี่มาทางใหญ่ ถึงปากทางลัดซึ่งงอหลันลุยต๋องยกไปนั้น แลเห็นทหารเบื้องหลังงอหลันโห่ร้องเร่งกันไป ก็คิดว่าชรอยอุยเอี๋ยนยกมา ข้าศึกสกัดรบพุ่งอยู่ ก็ขับทหารตีกระทบหลังเข้าไป จึงร้องว่า อุยเอี๋ยนอย่ากลัวเลยเรามาช่วยแล้ว อุยเอี๋ยนกับฮองตงก็ช่วยกันตีกระหนาบหน้าหลัง งอหลันลุยต๋องต้านทานมิได้ก็แตกหนี ทหารทั้งปวงล้มตายเปนอันมาก

ฮองตงกับอุยเอี๋ยนได้ที ก็คุมทหารไล่ติดตามไปถึงเชิงกำแพงบัญจบกันกับกองทัพเล่าปี่ เล่ากุ๋ยซึ่งอยู่รักษาเมืองนั้น ก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงรบพุ่งต้านทานไว้ เล่าปี่จะตีหักเข้าเอาเมืองลกเสียมิได้ ก็คุมทหารยกกลับหลังมาจะเข้าค่ายช่องแคบ งอหลันกับเล่ากุ๋ยเห็นดังนั้นก็ขับทหารรบพุ่งติดตามมา พอเตียวหยิมยกตลบหลังมาตามทางซอกเขาทันเล่าปี่ ก็บัญจบกันกับงอหลันเล่ากุ๋ย ช่วยกันรบพุ่งไล่กระชั้นตามไป เล่าปี่จวนตัวจะเข้าค่ายช่องแคบมิได้ ก็หนีร่นลงไปตามทางด่านโปยสิก๋วน

ขณะนั้นม้าซึ่งเล่าปี่ขี่กับทหารทั้งปวงกำลังก็ถอยอ่อนลง จะเข้าต่อสู้ด้วยทหารเตียวหยิมงอหลันเล่ากุ๋ยมิได้ ก็ถอยรับรอไปถึงด่านโปยสิก๋วน กวนเป๋งกับเล่าฮองซึ่งเล่าปี่ให้อยู่รักษาด่านนั้นรู้ ก็คุมทหารสามหมื่นยกมาช่วย เข้าตีทัพงอหลันเล่ากุ๋ยเตียวหยิมแตก ไล่ติดตามฆ่าฟันทหารล้มตาย เก็บได้เครื่องศัสตราวุธเปนอันมาก แล้วก็เชิญเล่าปี่เข้าไปในด่านโปยสิก๋วน เล่าปี่จึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดยังรู้ว่าบังทองนั้นเปนประการใดบ้าง ทหารในกองทัพบังทองซึ่งแตกมาถึงนั้นจึงบอกว่า บัดนี้บังทองถูกเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตายแล้ว เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รักบังทองจนสลบไป ทหารทั้งปวงนั้นก็พากันร้องไห้รักบังทองสิ้นทุกคน แล้วเล่าปี่จึงให้แต่งเครื่องเส้นวักบังทองตามประเพณี

ฮองตงจึงว่า อาจารย์เราก็ถึงแก่ความตายแล้ว เตียวหยิมก็จะมีใจกำเริบยกมาตีเราเปนมั่นคง หาผู้ใดเปนผู้ใหญ่ช่วยคิดอ่านมิได้ ขอให้ท่านไปเชิญขงเบ้งมา จะได้ช่วยคิดอ่านทำการเอาเมืองเสฉวน พอว่ายังมิทันขาดคำม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้เตียวหยิมยกทหารมาถึงเชิงกำแพงด่านแล้ว ฮองตงอุยเอี๋ยนจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าจะอาสายกทหารไปต่อสู้กับเตียวหยิมเอง เล่าปี่จึงห้ามว่า ซึ่งท่านทั้งสองจะยกทหารออกไปสู้กับเตียวหยิมนั้นยังมิได้ ด้วยครั้งนี้ข้าศึกมีกำลังนัก เราจะรักษามั่นไว้ จะแต่งคนให้ไปเชิญขงเบ้งมาช่วยกันคิดอ่านก่อน

แล้วเล่าปี่แต่งหนังสือให้กวนเป๋งรีบถือมาเชิญขงเบ้ง ณ เมืองเกงจิ๋ว กวนเป๋งคำนับเล่าปี่รีบไปทั้งกลางวันกลางคืน ฝ่ายเล่าปี่ก็ให้เร่งรัดแจงรักษาด่านโปยสิก๋วนมั่นไว้เปนสามารถ มิได้ยกออกรบพุ่งด้วยเตียวหยิม

แลเมื่อวันบังทองตายนั้นเปนเดือนเก้าขึ้นเก้าคํ่า ถึงเทศกาลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงแต่งโต๊ะเลี้ยงดูกันเล่นสนุกตามประเพณี ขงเบ้งนั่งกินโต๊ะกับขุนนางทั้งปวงอยู่ที่กลางแจ้งเปนเวลากลางคืน เห็นดาวดวงหนึ่งใหญ่ประมาณสี่กำ ตกลงจากอากาศฝ่ายทิศปราจิน ขงเบ้งก็ตกใจร้องว่าเสียดายนัก แล้วก็ทิ้งจอกสุราลงเสีย จงเอามือปิดตาเข้าร้องไห้ ทหารทั้งปวงจึงถามว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุอันใด ขงเบ้งจึงบอกว่า เดิมเราเห็นดาวดวงหนึ่งร้าย ปรากฎอยู่ตรงเมืองลกเสียนั้น ก็เข้าใจว่าซึ่งนายเรายกกองทัพไปครั้งนี้ จะเสียนายทัพนายกองแลที่ปรึกษาเปนมั่นคง เราได้ให้มีหนังสือไปแจ้งแก่เล่าปี่ให้ระมัดระวังรักษาตัว ควรหรือมิได้คิดอ่านป้องกันภัยอันตรายเลย ปล่อยให้มีเหตุถึงเพียงนี้ได้ แลบัดนี้เราเห็นดาวดวงใหญ่ตกลง ชรอยบังทองถึงแก่ความตายเปนมั่นคง เล่าปี่นายเราแขนหักเสียข้างหนึ่งแล้ว ทหารทั้งปวงได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็แคลงใจอยู่มิเชื่อ ขงเบ้งเห็นคนทั้งปวงมีความสงสัย จึงว่าท่านทั้งปวงจงคอยฟังเถิด อีกสองสามวันก็คงรู้ข่าวดอก ขุนนางทั้งนั้นต่างคนต่างคำนับขงเบ้งแล้วก็ลาไป

ครั้นอยู่มาห้าหกวัน ขงเบ้งกับกวนอูนั่งพูดกันอยู่ พอกวนเป๋งเข้ามาคำนับ แล้วเอาหนังสือยื่นให้ขงเบ้ง ๆ รับเอาหนังสือแล้วอ่านดูก็รู้ว่าบังทองถึงแก่ความตาย ขงเบ้งร้องไห้รักบังทอง ทหารทั้งปวงก็ร้องไห้รักด้วยกันสิ้น ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้เล่าปี่นายเรามาตั้งอยู่ตำบลโปยสิก๋วน แลข้าศึกก็ยกมาประชิดติดพันอยู่ ครั้นจะตีหักเข้าไปก็มิได้ จะถอยหลังออกมาก็มิสดวก เปนที่ขัดสนคับขันนัก แม้เราจะมิยกไปช่วยนายเราบัดนี้ก็จะเสียทีแก่ข้าศึก

กวนอูจึงว่า ซึ่งท่านจะยกไปนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าเมืองเกงจิ๋วนี้เปนที่สำคัญนัก ไม่มีผู้ใดเปนผู้ใหญ่ที่จะป้องกันรักษา ท่านจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเล่าปี่ให้มีหนังสือมาจะให้เราไปทั้งนี้ เราก็รู้อยู่ว่าเล่าปี่เห็นแต่ท่านผู้เดียวจะอยู่รักษาเมืองได้ แลตัวท่านได้สาบาลกับเล่าปี่เปนพี่น้องกันโดยสุจริต ก็อย่าได้คิดรังเกียจสิ่งใดเลย อันเมืองเกงจิ๋วนี้ซึ่งท่านจะอยู่รักษาแต่ผู้เดียวนั้น เห็นว่าพว้าพวังลำบากจริงอยู่ แต่ท่านจงเอาความภักดีต่อเล่าปี่นั้นเปนประธาน อย่าได้บิดพลิ้วเลย กวนอูได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็รับคำ ครั้นเวลาเช้าขงเบ้งจึงแต่งโต๊ะเลี้ยงดูกันแล้ว จึงเอาตราสำหรับว่าราชการเมืองนั้นมาจะมอบให้กวนอูตามประเพณี กวนอูคำนับแล้วยกมือขึ้นจะรับเอาตรา ขงเบ้งก็ยั้งไว้มิส่งให้จึงว่า ถ้าท่านรับเอาตรานี้แล้วกิจการสิ่งใด ๆ ในเมืองเกงจิ๋วก็จะตกเปนธุระของท่านทั้งสิ้น

กวนอูจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนชายชาติทหาร ถึงมาทว่าตัวจะตายก็มิได้คืนคำเสีย ขงเบ้งได้ยินกวนอูเจรจาออกมาว่าความตายดังนี้ จึงคิดในใจว่า แต่แรกเราจะมอบตราว่าราชการเมืองให้เปนมงคล แลมาเจรจาเปนลางฉนี้มิบังควรหนักหนา ขงเบ้งจึงแสร้งถามว่า ตัวท่านจะอยู่รักษาเมืองเอากิจการทั้งปวงเปนภารธุระนั้น ถ้าโจโฉยกมาตีเอาเมืองเกงจิ๋วท่านจะคิดประการใด กวนอูจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนทหารมิได้กลัวแก่ข้าศึก แม้ว่าโจโฉยกมาข้าพเจ้าก็จะสู้รบโดยเต็มกำลังกว่าจะแพ้แลชนะมิให้อัปยศ

ขงเบ้งจึงถามว่า แม้ซุนกวนกับโจโฉจะบัญจบเข้าด้วยกัน แล้วจะยกมาทำร้ายแก่ท่าน ท่านจะคิดประการใดเล่า กวนอูจึงว่า ถ้าฉนั้นข้าพเจ้าก็จะแยกทหารออกเปนสองกองรบทั้งสองด้าน เมื่อใดตัวข้าพเจ้าตายแล้วซุนกวนกับโจโฉจึงจะได้เมืองเกงจิ๋ว แม้มิตายท่านอย่าสงสัยเลยว่าเมืองเกงจิ๋วจะได้แก่ผู้อื่น ขงเบ้งจึงว่า แม้การศึกมีมาท่านมิได้คิดอ่านทำการด้วยกลอุบาย จะเอาแต่กำลังห้าวหาญเข้าหักเอาข้าศึกนั้น เราเห็นว่าเมืองเกงจิ๋วจะเสียเปนมั่นคง ซึ่งท่านจะอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วนี้จงจำเอาถ้อยคำของเราไว้ ถ้าท่านจะประพฤติตามแล้ว เมืองเกงจิ๋วก็จะมิได้มีอันตราย กวนอูจึงถามว่า ท่านจะให้ทำประการใด

ขงเบ้งจึงบอกว่า ท่านจะอยู่ภายหลังนั้น จงจัดแจงระมัดระวังตัวข้างฝ่ายเหนือคอยสู้โจโฉให้ได้ ฝ่ายใต้นั้นท่านจงทำใจดีประนอมด้วยซุนกวนโดยปรกติ เมืองเกงจิ๋วจึงจะมีความสุข กวนอูก็มีความยินดีจึงว่า คำของอาจารย์นี้ข้าพเจ้าแหวกอกสรวมใส่ไว้ในใจไม่ลืมเลย ขงเบ้งสั่งสอนกวนอูดังนั้นแล้ว จึงเอาตราสำหรับว่าราชการเมืองมอบให้ แล้วจึงเกณฑ์อิเจี้ยม้าเลี้ยงเอี่ยงลองบิต๊กฝ่ายพลเรือนสี่นาย กับบิฮองเล่าฮองกวนเป๋งจิวฉองฝ่ายทหารสี่นายนั้น อยู่รักษาเมืองด้วยกวนอูเสร็จแล้ว จึงเกณฑ์ให้เตียวหุยคุมทหารหมื่นหนึ่งเปนทัพบก กำหนดให้ยกไปคอยรับทัพหลวงณประตูด้านตวันตกเมืองลกเสีย เกณฑ์จูล่งคุมทหารหมื่นหนึ่งเปนกองหน้าทัพเรือ ขงเบ้งคุมทหารหมื่นห้าพันเปนกองหลวง ครั้นได้กำหนดฤกษ์ก็ให้ยกทัพบกทัพเรือไปพร้อมกัน ฝ่ายเตียวหุยยกมาถึงแดนเมืองปากุ๋นแล้ว ก็กำชับทหารมิให้ทำอันตรายแก่ผู้ใดตามคำขงเบ้งสั่งทุกประการ

ขณะนั้นม้าใช้จึงเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เงียมหงัน ผู้เปนเจ้าเมืองปากุ๋นว่า บัดนี้เตียวหุยยกกองทัพล่วงเข้ามาในแดนแล้ว เงียมหงันแจ้งดังนั้นก็ให้จัดแจงทหารรักษาเมืองไว้เปนกวดขัน ด้วยแต่แรกนั้นรู้ว่าเล่าปี่ยกทหารมาตีเอาด่านโปยสิก๋วนได้ก็มีใจโกรธอยู่ จึงให้กะเกณฑ์กองทัพจะยกไปตีเล่าปี่อีก แต่ทว่าคิดระวังหลังอยู่ กลัวกองทัพจะยกอุดหนุนมาทางเมืองปากุ๋น จึงงดทัพไว้มิได้ยกไปตีเล่าปี่ ครั้นเตียวหุยยกมาถึงจึงกะเกณฑ์ทหารรักษามั่นไว้มิได้ออกไปอ่อนน้อม ด้วยเงียมหงันเปนคนมีฝีมือเข้มแข็ง ถึงมาทว่าตัวสูงอายุชราแล้วก็จริง แต่ว่ายังมีกำลังมากอาจสามารถจะสู้ทหารหมื่นหนึ่งด้วยง้าวใหญ่ของตัวได้

ฝ่ายเตียวหุยแจ้งว่าเงียมหงันจะต่อสู้ดังนั้น ก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ จึงใช้ให้ทหารเข้าไปร้องด่าตรงประตูเมืองว่า อ้ายเฒ่าชราจงเร่งออกมาคำนับกูโดยดี แม้จะขัดแขงอยู่กูจะยกทหารเข้าไปเหยียบเมืองเสีย แต่ทารกอยู่ในอู่ก็มิเว้นจะฆ่าเสียให้สิ้น เงียมหงันแจ้งดังนั้นก็โกรธ ให้จัดแจงทหารยกออกไปรบ เฮกอวดทหารรองจึงห้ามว่า ท่านอย่าเพ่อยกออกรบก่อน ข้าพเจ้าแจ้งว่าเตียวหุยคนนี้มีฝีมือเข้มแขงนัก จงตั้งมั่นรักษาเมืองไว้ดีกว่า ทหารซึ่งมานั้นเปนทางไกลก็จะขัดสนสเบียงอาหารลง อนึ่งเตียวหุยก็เปนคนใจเร็ว ถ้าเราป้องกันมั่นไว้จะหักเอามิได้โดยสดวกก็จะทะยานใจโกรธ จะทำโทษตีโบยทหารทั้งปวงให้ได้ความเดือดร้อน ทหารนั้นก็จะเบื่อหน่ายเอาใจออกหาก เราจึงจะคิดทำการเอาชัยชนะได้โดยง่าย เงียมหงันเห็นชอบด้วย ก็ให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้

ขณะนั้นเตียวหุยซ้ำให้ทหารคนหนึ่งไปเรียกให้เปิดประตู เงียมหงันก็สั่งให้ทหารเปิดประตูรับเอาตัวเข้าไป ทหารจึงว่าบัดนี้เตียวหุยใช้ให้ข้าพเจ้ามาบอกท่านให้เปิดประตูรับโดยดี ถ้าจะขัดขืนไว้ฉนี้ แม้ทหารตีหักเข้ามาได้ก็จะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งเมือง เงียมหงันก็โกรธจึงว่า อ้ายหาชาติไม่ มาหยาบช้าต่อกูฉนี้คิดว่ากูจะกลัวมึงหรือ ตัวกูเปนผู้เฒ่าหรือจะแบกหน้าออกไปคำนับนายมึง กูขอยืมปากมึงออกไปบอกแก่นายมึงเถิด ว่ากูจะสู้ตายมิออกไปคำนับ แล้วก็ให้ตัดปากแลจมูกทหารเตียวหุยนั้นเสียก็ปล่อยกลับออกไป ครั้นทหารมาถึงก็ร้องไห้บอกแก่เตียวหุยตามถ้อยคำเงียมหงันทุกประการ

เตียวหุยโกรธเปนกำลัง ก็คุมทหารประมาณสองร้อย ขึ้นม้าขับเข้ามาถึงเชิงกำแพง ทหารเงียมหงันซึ่งอยู่บนหน้าที่ก็มิได้ออกมาต่อสู้ แต่ร้องด่าเตียวหุยออกมาด้วยคำหยาบช้าเปนอันมาก เตียวหุยยิ่งโกรธดังเพลิงเผาในหัวใจ จะขับม้ารุกเข้าไปก็ติดคูเมืองอยู่เข้าไปมิได้ ได้แต่คำรามอยู่ในฅอจนเวลาเย็นแล้วก็กลับมาค่าย ครั้นรุ่งเช้าก็คุมทหารกลับเข้ามาร้องด่าอีก เงียมหงันก็เอาเกาทัณฑ์ยิงออกมาถูกหมวกเตียวหุย ๆ โกรธจึงชี้มือด่าว่า อ้ายเฒ่า แม้กูได้ตัวมึงจะฉีกเนื้อเคี้ยวเสียให้สาใจ ร้องด่าอยู่จนเวลาเย็นแล้วก็กลับมา

ครั้นรุ่งขึ้นเปนวันคำรบสาม เตียวหุยคุมทหารกลับเข้าไปให้ร้องด่ารอบเมืองทุกด้าน เห็นเงียมหงันมิได้ยกทหารออกรบพุ่งก็พาทหารขี่ม้าขึ้นไปบนเนินเขา แลลงมาดูในเมืองเห็นทหารทั้งปวงแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธตระเตรียมพร้อมอยู่ เตียวหุยจึงให้ทหารกลับลงมาเสีย แล้วทำนอนอยู่หวังจะให้เงียมหงันเห็นว่าอิดโรยจะยกมารบ ก็มิได้เห็นเงียมหงันออกมา จนเวลาเย็นก็กลับมาค่าย จึงคิดว่าเงียมหงันนี้อดกลั้นโทโษได้มิออกมารบ ครั้นรุ่งเช้าให้ทหารเข้าไปร้องด่าดังนั้นอีกสามวัน เงียมหงันก็มิได้ออกมารบ เตียวหุยจึงแกล้งทำกลให้ทหารเที่ยวเรี่ยรายกันไปเก็บฟืนบ้าง ให้เสาะหาหนทางซึ่งจะยกแยกเข้าไปในเมืองนั้นบ้าง

ฝ่ายเงียมหงันเห็นทหารเตียวหุยเรี่ยรายไปดังนั้น ก็มิได้รู้ว่าจะคิดอ่านทำประการใด จึงแต่งทหารปลอมออกมาสืบเอากิจการทั้งปวง ครั้นเวลาเย็นทหารซึ่งไปเสาะทางมาบอกเตียวหุยว่า พบทางซึ่งจะเข้าไปในเมืองปากุ๋นเปนทางน้อยอยู่ริมซอกเขา เตียวหุยก็มีความยินดี จึงสั่งทหารทั้งปวงให้หุงเข้ากินแต่ดึก กำหนดจะลอบยกมิให้ทันรู้ตัว ให้เอาขลุมใส่ปากม้าผูกไว้อย่าให้ร้องได้ แลตัวเราจะไปหน้า ทหารทั้งปวงที่จะตามไปข้างหลังนั้น ให้เร่งระมัดระวังตัวอย่าได้ประมาท เตียวหุยสั่งกำชับเปนกวดขัน บอกทหารให้รู้ทุกค่ายว่าเวลาสามยามจะยกไป

ฝ่ายทหารเงียมหงันซึ่งแต่งปลอมออกมานั้นรู้เนื้อความ จึงกลับเข้าไปบอกแก่เงียมหงัน ๆ ก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งเตียวหุยจะยกเข้ามาทางน้อยนั้น เราก็จะยกทหารออกไปคอยตีตัดสเบียงเสียให้ได้ แล้วจะตีล้อมเข้ามาจับเอาตัวเตียวหุย เงียมหงันกะเกณฑ์ทหารพร้อมแล้วก็ลอบยกออกจากเมืองแต่เวลากลางคืนไปตั้งซุ่ม คอยสกัดอยู่

ครั้นเวลาสามยาม เตียวหุยจึงให้ทหารคนหนึ่งแต่งตัวห่มเกราะ ใส่เสื้อเหมือนตัว แล้วก็ให้ขี่ม้าเดิรไปก่อน ตัวเตียวหุยนั้นยกทหารตามมาต่อภายหลัง เงียมหงันซุ่มทหารคอยอยู่เห็นก็สำคัญว่าผู้ที่ขี่ม้าไปก่อนนั้นเปนเตียวหุย ก็สงบทหารไว้ ครั้นเห็นล่วงไปไกลแล้ว พอกองสเบียงทั้งปวงยกมาถึงที่ มิทันรู้ว่าเตียวหุยปลอมมาด้วย ก็จุดประทัดตีม้าฬ่อสัญญายกทหารทั้งสองข้างออกตีตัดท้ายวุ่นวายขึ้น

ขณะนั้นเตียวหุยชักม้าเลี้ยวมาข้างหลังเงียมหงัน ร้องตวาดขึ้นว่า อ้ายศัตรูเฒ่า ทีนี้จะหนีกูที่ไหนจะพ้น เงียมหงันได้ยินเสียงเหลียวหลังมาดูเห็นเตียวหุยก็ตกใจ จึงขับม้าเข้าสู้ด้วยเตียวหุยได้สิบเพลง เงียมหงันได้ทีเอาง้าวฟัน เตียวหุยหลบได้ทันที ก็ชักม้าตลบเคียงม้าเงียมหงันเข้าไปฉวยได้ตัวก็พลัดตกม้าลง ทหารทั้งปวงก็กลุ้มกันเข้าจับตัวเงียมหงันมัดไว้ ทหารเงียมหงันก็แตกตื่นไป บ้างกลับมาเข้านบนอบเตียวหุยเปนอันมาก เตียวหุยก็รีบยกทหารเข้าไปเอาเมืองปากุ๋นได้ จึงกำชับทหารทั้งปวงมิให้ทำอันตรายแก่ไพร่บ้านพลเมือง

ขณะนั้นทหารก็พาเอาตัวเงียมหงันเข้ามาให้เตียวหุย ๆ เห็นเงียมหงันมิได้คำนับตามประเพณีก็โกรธ ขบฟันแล้วร้องว่า ตัวกูเปนทหารเอกยกออกมาถึงนี่เหตุใดจึงมิได้ออกไปคำนับ กลับต่อสู้กูอีกเล่า เงียมหงันจึงร้องตอบว่า ตัวมึงเปนคนหยาบช้าหาความสัตย์มิได้ ยกทหารมาทำอันตราย ให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน กูจะคำนับนั้นหาต้องการไม่ ถึงมาทว่ามึงจับกูได้ก็ดีกูมิได้กลัวตาย แม้สีสะจะขาดออกก็มิขอคำนับเลย เตียวหุยก็โกรธนักสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เงียมหงันจึงว่ามึงจะฆ่ากูก็ฆ่าเถิด จะโกรธวุ่นวายไปต้องการอันใด

เตียวหุยเห็นเงียมหงันมีใจยั่งยืนมั่นคง มิได้ย่อท้อต่อความตาย ก็สงบความโกรธเสียจึงลงมาแก้มัดเงียมหงันออกแล้ว ก็พยุงเอาตัวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้จึงคำนับว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า ท่านผู้เฒ่าเปนคนดีมีอัชฌาสัยประกอบด้วยสติปัญญามาแต่ก่อน แลตัวข้าพเจ้าเปนผู้น้อยมิได้คารวะแก่ผู้ใหญ่ มากล่าวถ้อยคำหยาบช้าประมาททั้งนี้มิควรแก่ตัวเลยผิดนักหนา ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด

เงียมหงันได้ฟังดังนั้นก็คิดถึงคุณเตียวหุยเปนอันมาก จึงว่าแต่ก่อนเราได้ยินเขาเลื่องลือว่า ท่านนี้มีใจหยาบช้าสามานย์นัก มิได้รู้จักเด็กแลผู้ใหญ่ บัดนี้เห็นท่านเปนคนสุภาพรู้จักที่ผิดแลชอบขอบใจหนักหนา ถึงท่านเปนเด็กก็จริงก็ควรเราจะคำนับ เงียมหงันก็คำนับเตียวหุยโดยปรกติด้วยนับถือว่าได้มีคุณแก่ตัว

เตียวหุยจึงถามว่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะยกเข้าไปเมืองลกเสียนั้นจะไปทางใด เงียมหงันจึงว่า อันเมืองลกเสียนี้มีด่านทางหลายตำบลนัก ซึ่งจะไปโดยสดวกนั้นขัดสน แต่ทว่าบัดนี้ตัวท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้าให้ทานชีวิตไว้ก็จะสนองคุณท่านให้ถึง ขนาด ซึ่งจะไปเมืองลกเสียนั้น ตัวข้าพเจ้าจะขอยกทหารไปเปนกองหน้า อันด่านทางทั้งปวงนั้นก็อยู่ในบังคับบัญชาข้าพเจ้าสิ้นทุกตำบล เตียวหุยก็มีความยินดีคำนับแล้วจึงให้เงียมหงันยกไปเปนกองหน้า ตัวเองคุมทหารยกตามไปภายหลัง ครั้นเงียมหงันยกไปถึงตำบลใด ขุนนางนายด่านทั้งปวงก็ออกมาคำนับยอมเข้าด้วย มิได้ขัดขวางทุกตำบล เตียวหุยยกไปครั้งนั้นโดยสดวกนัก แต่กระบี่ก็มิได้ถอดออกจากฝัก เกาทัณฑ์ก็มิได้ขึ้นสาย เพราะเงียมหงันเปนทัพหน้าไป


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 51

https://drive.google.com/file/d/1GQRzKJYEVG_Qftpvs72VdcwDVwT5Lqg2/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #1 on: 23 December 2021, 14:24:23 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 52


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-52.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 52

เนื้อหา
• เล่าปี่เสียทีเตียวหยิมแต่เตียวหุยมาช่วยทัน
• เตียวหุยรบกับเตียวหยิม
• ขงเบ้งจับเตียวหยิมได้
• ขงเบ้งปราบปรามหัวเมืองมณฑลเสฉวน
• เล่าเจี้ยงขอกองทัพเตียวฬ่อมาช่วย


ฝ่าย เล่าปี่จึงเอาหนังสือซึ่งขงเบ้งให้กำหนดมานั้น ออกปรึกษาด้วยฮองตงว่า ขงเบ้งบอกมาว่า จะยกกองทัพมาช่วยเรา แต่ณเดือนเก้าแรมห้าคํ่า บัดนี้ใคร่ครวญดูหนังสือก็ได้หลายวันจวนกองทัพจะยกมาถึงอยู่แล้ว เรานิ่งอยู่ฉะนี้มิได้ จำจะคิดอ่านทำการยกไปบัญจบกองทัพขงเบ้ง ณ เมืองลกเสีย ฮองตงจึงว่า บัดนี้ทหารเตียวหยิมเห็นเรามิได้ออกรบพุ่งก็ได้ใจกำเริบนัก เราจึงแต่งทหารออกโจมตีปล้นค่ายในเวลากลางคืนวันนี้เถิด เตียวหยิมเห็นว่าเรากลัวแล้วก็จะเลินเล่อใจประมาทอยู่ น่าจะแตกไปเปนมั่นคง แล้วจงยกทหารไปบัญจบด้วยกองทัพขงเบ้ง เล่าปี่เห็นชอบด้วยก็ให้ตระเตรียมทหารทั้งปวงพร้อมไว้ ครั้นเวลาประมาณสองยามเล่าปี่เห็นสงัดได้ทีแล้วก็ยกทหารออกไปโจมตีปล้นค่าย เตียวหยิมเปนสามด้าน ให้ทหารจุดเพลิงขึ้นไป เตียวหยิมแลทหารทั้งปวงไม่ทันรู้ตัว ก็ตื่นกันเปนอลหม่านแตกออกจากค่ายในเวลากลางคืนจะคุมกันเข้ามิได้ ต่างคนตกใจก็พากันหนีไปตามทางเมืองลกเสีย เล่าปี่ก็คุมทหารไล่ฆ่าฟันติดตามไป ฝ่ายทหารในเมืองลกเสียรู้ว่าเตียวหยิมแตกมา ก็ยกทหารออกรบพุ่งต้านทานรับเอาเตียวหยิมเข้าไปในเมืองได้ เล่าปี่จะหักเข้าเอาเมืองมิได้ ก็ให้ทหารถอยมาตั้งค่ายอยู่ทางไกลเมืองประมาณร้อยเส้น

ครั้นอยู่มาสองวันเล่าปี่ก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองลกเสียไว้เปนสามารถ ฝ่ายเตียวหยิมก็มิได้ยกทหารออกรบพุ่งแต่ให้รักษามั่นไว้ เล่าปี่ก็ยกทหารเข้าหักเอาด้านตวันตก ให้ฮองตงกับอุยเอี๋ยนสองนายคุมทหารเข้าตีด้านตวันออก เปิดไว้แต่ด้านเหนือกับด้านใต้ หวังจะให้คนหนีออก ก็เร่งทหารระดมตีจะเข้าเมืองให้ได้ เตียวหยิมขึ้นยืนดูอยู่บนเชิงเทิน แลเห็นเล่าปี่ขี่ม้าเที่ยวตรวจตราทหารอยู่ แต่เวลาสามโมงเช้าจนบ่าย แลทหารทั้งปวงนั้นก็อิดโรยลงเปนอันมาก เตียวหยิมเห็นได้ทีจึงให้ทหารลงจากหน้าที่ เกณฑ์ให้ชาวเมืองขึ้นเชิงเทินรักษาหน้าที่แทน แล้วให้ขนเอาศิลาขึ้นไว้สำหรับจะสู้รบด้วยทหารเล่าปี่ จึงคุมทหารยกออกทางประตูทิศใต้วกมาตวันตกเข้าตีทัพเล่าปี่ ให้ลุยต๋องกับงอหลันคุมทหารยกออกทางประตูทิศเหนืออ้อมมารบอุยเอี๋ยนกับฮองตง

ฝ่ายเล่าปี่ให้ทหารหักเข้ามิได้ตวันเย็นลงแล้ว จึงสั่งให้ทหารถอยออกมา พอได้ยินเสียงประทัดจุดขึ้น เตียวหยิมยกทหารสวนตีออกมา ทหารเล่าปี่ตกใจตื่นแตกร่นเปนอลหม่าน อุยเอี๋ยนฮองตงเห็นดังนั้น ก็ขับทหารจะมาช่วยเล่าปี่ พอลุยต๋องงอหลันคุมทหารยกสกัดรบออกมา ก็ติดอยู่มามิได้ แลทหารทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันเปนสามารถ เล่าปี่เห็นทหารล้มตายลงมาก เหลือกำลังอยู่เล็กน้อยเห็นจะเสียทีสู้มิได้ ก็ขับม้าหนีเตียวหยิมไปทางน้อยตามซอกเขา เตียวหยิมก็ขับม้าตามกระชั้นไป

แลขณะนั้นเตียวหุยยกทหารมาใกล้ถึงเมืองลกเสียนั้น เห็นผงคลีฟุ้งตลบอยู่ข้างหน้าทางประมาณร้อยเส้น ก็สำคัญว่ากองทัพเมืองเกงจิ๋วเข้ารบพุ่งกันอยู่กับเมืองลกเสีย จึงขับทหารรีบมาโดยเร็ว เล่าปี่ได้ยินเสียงคนอึงคนึงมาข้างหน้าไม่รู้ว่าเตียวหุยยกมา ก็เอามือตีอกเข้าร้องว่า เทวดามาแกล้งสังหารชีวิตข้าพเจ้าเสียจริงครั้งนี้แล้ว พอแลเห็นเตียวหุยขับม้าขึ้นมาหน้าทหารทั้งปวง ถือทวนง่าอยู่ก็ดีใจ จึงร้องว่า เตียวหุยช่วยข้าพเจ้าด้วย เตียวหุยเห็นเตียวหยิมขับม้าไล่เล่าปี่กระชั้นมา ก็ขับม้าบากถลันขึ้นไปช่วยเล่าปี่ สกัดหน้าเตียวหยิมไว้ แล้วก็เข้าสู้ด้วยเตียวหยิมได้สิบเพลง พอเงียมหงันขับม้าหนุนเตียวหุยขึ้นมาทันเข้า เตียวหยิมเห็นดังนั้นก็ชักม้ากลับควบหนี เตียวหุยก็ขับม้าไล่ติดตามเข้าไปถึงเชิงกำแพง เตียวหยิมหนีเข้าเมืองได้ก็ให้ปิดประตูเสียให้ทหารเกาทัณฑ์ยิงระดมออกมา เตียวหุยก็ชักม้ากลับหลังเข้ามาหาเล่าปี่ ๆ มีความยินดีก็พาเตียวหุยมา ณ ค่าย เตียวหุยคำนับตามประเพณีแล้วจึงบอกว่า บัดนี้อาจารย์ขงเบ้งยกกองทัพเรือมาทางแม่นํ้ากิมกั๋งยังมามิถึง ข้าพเจ้ามาถึงก่อนก็กลับได้ความชอบอีก เล่าปี่จึงถามว่าทางนี้เปนซอกห้วยธารเขาป่าดงพงชัฏ จะมานั้นยากลำบากนัก ทั้งด่านทางก็หลายชั้นคับขันอยู่ เหตไฉนท่านมาถึงก่อน เตียวหุยจึงว่า อันทางนี้มีด่านถึงสี่สิบห้าตำบลคับขันก็จริง แต่ว่าท่านผู้เฒ่าเงียมหงันนี้มีความภักดีมาด้วย ช่วยว่ากล่าวขุนนางทั้งปวงให้อ่อนน้อมทุกตำบลมิได้ขัดแขงจึงมาได้โดยสดวก อันความชอบของท่านผู้เฒ่าครั้งนี้หาที่สุดมิได้ แล้วเตียวหุยก็เล่าเนื้อความ ซึ่งได้รบกันกับเงียมหงันให้เล่าปี่ฟังทุกประการ

เล่าปี่ได้แจ้งมีความยินดี จึงว่าแก่เงียมหงันว่า ครั้งนี้หากท่านผู้เฒ่ามีความเมตตาน้องข้าพเจ้าอุตส่าห์มาด้วยจึงไม่มี อันตราย ถ้าหาไม่ที่ไหนน้องข้าพเจ้าจะมาถึงโดยสดวก คุณท่านมีแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ แล้วก็ถอดเกราะทองออกจากตัว ให้แก่เงียมหงันเปนรางวัลตามความชอบ แล้วจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดยังแจ้งว่าอุยเอี๋ยนฮองตงสองนายนั้นเปนประการใดบ้าง

ทหารทั้งปวงจึงบอกว่า เมื่อท่านเสียทียกออกมาจากที่รบนั้น ข้าพเจ้าเห็นงออี้เล่ากุ๋ยคุมทหารยกหนุนออกจากเมืองลกเสียอีก ตีวกหลังอุยเอี๋ยนฮองตงไว้ ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ ฮองตงอุยเอี๋ยนเหลือกำลังก็พากันหนีไปข้างทิศตวันออก เตียวหุยแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า จะนิ่งอยู่มิได้จำจะยกไปช่วย ขอให้ท่านยกไปทางขวาข้าพเจ้าจะไปทางซ้ายตีกระทบกัน เล่าปี่เห็นชอบด้วยก็ยกทหารออกจากค่าย แยกกันไปกับเตียวหุยคนละทาง ฝ่ายงออี้เล่ากุ๋ยซึ่งคุมทหารวกหลังฮองตงอุยเอี๋ยนอยู่นั้น ได้ยินเสียงทหารเล่าปี่กับเตียวหุยโห่ร้องเอิกเกริกมาก็ตกใจ รู้ว่ากองทัพเล่าปี่ยกกระทบมาจะอยู่มิได้ ก็พาทหารบากทางหนีเข้าเมือง เล่าปี่กับเตียวหุยก็รีบขับทหารให้เดิรตามทางต่อไป

ฝ่ายงอหลันลุยต๋องมิทันรู้ว่าเล่าปี่เตียวหุยยกมาข้างหลัง ก็เร่งทหารไล่กระชั้นไป จะจับเอาตัวฮองตงกับอุยเอี๋ยนให้ได้ ฮองตงแลอุยเอี๋ยนเห็นจวนตัวแล้ว ก็ชักม้ากลับหน้ามาพาทหารเข้ารบพุ่งต้านทานเปนสามารถ พอเล่าปี่กับเตียวหุยยกมาทัน ก็ตีกระหนาบหลังงอหลันลุยต๋องเข้าไป งอหลันลุยต๋องเข้าอยู่ในหว่างกองทัพกระหนาบ เห็นเหลือกำลังจะสู้มิได้ก็ลงจากม้าพาทหารทั้งปวงเข้ามาคำนับนบนอบขอเปนข้า อยู่กับเล่าปี่ ๆ ก็รับเอาไว้ทำการด้วย จึงให้ทหารทั้งปวงตั้งค่ายประชิดล้อมเมืองลกเสียเข้าไว้ข้างด้านตวันออก

เตียวหยิมรู้ว่างอหลันกับลุยต๋องเข้านบนอบด้วยเล่าปี่แล้วก็เปนทุกข์ใจ จึงปรึกษาด้วยงออี้เล่ากุ๋ยเล่าชุนว่า บัดนี้งอหลันกับลุยต๋องก็ไปเข้าเสียกับเล่าปี่แล้ว ข้าศึกเข้ามาตั้งประชิดถึงเชิงกำแพงจะนิ่งอยู่ฉนี้มิได้ จำจะให้มีหนังสือไปถึงเล่าเจี้ยงขอกองทัพมาช่วย แล้วเราจะแต่งทหารยกออกไปตีอย่าให้ตั้งติดได้ งออี้เล่ากุ๋ยเล่าชุนก็เห็นพร้อมด้วย

เตียวหยิมจึงแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงเล่าเจี้ยง แล้วจึงว่าแก่เล่าชุนว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะยกทหารออกรบกับเล่าปี่ แล้วจะทำเสียทีแตกมาข้างเชิงกำแพงด้านเหนือ ให้งออี้คุมทหารออกไปซุ่มสกัดทางอยู่ ถ้าเห็นทหารเล่าปี่ไล่ตามมาจงออกสกัดตี ทหารเล่าปี่มิทันรู้ตัวก็จะแตกไป เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย แลตัวเล่ากุ๋ยนั้นจงอยู่รักษาเมืองกับท่านช่วยกันตรวจตรากำชับทหารอย่าได้ ประมาท ครั้นจัดแจงเสร็จแล้วเวลารุ่งเช้าเตียวหยิมก็ยกทหารโห่ร้องออกมาจากเมือง

เตียวหุยเห็นเตียวหยิมออกมา ก็ยกทหารออกจากค่ายให้เข้ารบพุ่งด้วยทหารเตียวหยิมเปนสามารถ เตียวหุยขับม้าเข้าสู้ด้วยเตียวหยิมได้สิบสองเพลง เตียวหยิมทำเสียทีชักม้าหนีอ้อมเชิงกำแพงไป เตียวหุยก็ขับม้าสอึกกระโจนตามด้วยกำลังหนักมา งออี้คุมทหารซุ่มอยู่เห็นเตียวหุยไล่ล่วงขึ้นไป ก็ยกทหารออกมาสกัดหลังไว้ เตียวหยิมก็ให้ทหารกลับหน้าสวนรบลงมาล้อมเตียวหุยเข้าไว้ ยิงเกาทัณฑ์ระดมทั้งสองข้าง เตียวหุยเข้าอยู่ในหว่างทัพกระหนาบมิรู้ที่จะทำประการใด เอาแต่ทวนปัดลูกเกาทัณฑ์ป้องกันตัวอยู่ พอจูล่งยกทัพเรือมาถึงก็คุมทหารขึ้นจากเรือยกมาช่วยเตียวหุยในทันที ก็เข้าตีงออี้กระทบหลังเข้าไป ฆ่าฟันทหารล้มตายลงเปนอันมาก ที่เหลือตายนั้นก็แตกกระจายไป จูล่งก็จับเอางออี้ได้ เตียวหุยได้ทีก็ขับทหารเข้าไล่ตลุมบอนฆ่าฟันทหารเตียวหยิมแตกหนีเข้าเมือง

เตียวหุยเห็นจูล่งจึงถามว่า บัดนี้ขงเบ้งอยู่ไหนเล่า จูล่งจึงบอกว่า ขงเบ้งก็มาถึงกำลังสนทนาอยู่ด้วยเล่าปี่ แต่ตัวข้าพเจ้านี้ยกมาช่วยท่าน เตียวหุยกับจูล่งถ้อยทีมีความยินดีนักก็ชวนกันพาเอาตัวงออี้มาค่าย เห็นขงเบ้งนั่งสนทนากับเล่าปี่อยู่ เตียวหุยก็เข้าไปคำนับ ขงเบ้งจึงถามว่า ท่านทำประการใดจึงมาถึงได้ก่อนเรา เตียวหุยก็เล่าเนื้อความซึ่งทำการรบพุ่งมาแต่หลังให้ฟังทุกประการ ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันเตียวหุยนี้แต่ก่อนมีใจร้ายกาจนัก แลมาดับใจให้เสียพยศอันร้าย สู้เอาราชการเปนประมาณได้ทั้งนี้ก็เพราะบุญของท่าน

ขณะนั้นจูล่งจึงเอาตัวงออี้เข้าไปให้เล่าปี่ ๆ จึงถามว่า ตัวท่านอยู่ในเงื้อมมือเราฉนี้แล้ว จะคำนับหรือจะคิดประการใด งออี้จึงว่า ตัวข้าพเจ้าท่านจับได้มาอยู่ในอำนาจ ก็จะขอเปนข้าท่าน แล้วคำนับตามประเพณี เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ลงมาแก้มัดงออี้เสีย ขงเบ้งจึงถามงออี้ว่าผู้ใดรักษาเมืองลกเสียอยู่ งออี้จึงบอกว่าเล่าชุนผู้บุตรเล่าเจี้ยงมาอยู่รักษาเมือง แลทหารนั้นมีแต่เล่ากุ๋ยกับเตียวหยิม ๆ เปนทหารเอกในเมืองเสฉวนมีฝีมือนัก

ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงคิดว่า จะทำการเอาตัวเตียวหยิมให้ได้ก่อน จึงจะเอาเมืองลกเสียได้โดยสดวก ขงเบ้งจึงขึ้นม้าพาทหารไปดูที่จะเข้าทำการ ครั้นไปถึงประตูด้านตวันออก เห็นป่าไม้อ้อแห่งหนึ่งไกลสะพานกิ๋มงันเกียวโป๋ประมาณหกสิบเส้น จึงให้ฮองตงกับอุยเอี๋ยนคุมทหารนายละพันเข้าซุ่มอยู่ทั้งสองข้างทางซ้ายขวา ในป่าไม้อ้อ แล้วสั่งว่าถ้าเตียวหยิมยกออกมาก็ให้กระหนาบรบ ให้เตียวหุยคุมทหารกองหนึ่งไปสกัดอยู่ปลายทาง ให้จูล่งคุมทหารกองหนึ่งไปซุ่มอยู่ข้างทิศเหนือแล้วสั่งว่า แม้เราล่อเตียวหยิมให้ยกทหารไล่ล่วงพ้นสะพานออกมา ก็ให้ยกออกสกัดทางไว้รื้อสะพานเสีย อย่าให้เตียวหยิมถอยกลับเข้าเมืองได้ แล้วให้เล่าปี่กับเงียมหงันคุมทหารแอบอยู่สองฟากทางพ้นต้นสะพานออกไปทาง ประมาณยี่สิบเส้น ครั้นขงเบ้งจัดแจงเสร็จแล้วก็ขึ้นเกวียนน้อยแต่งตัวซอมซ่อ พาทหารประมาณสามสิบเข้าไปล่อเตียวหยิมจะให้ออกมา

ฝ่ายเตียวหยิมเห็นขงเบ้งคุมทหารมาเยาะเย้ยก็โกรธ จัดแจงทหารออกไปรบ แลขณะเมื่อเตียวหยิมบอกหนังสือไปถึงเล่าเจี้ยงขอกองทัพมาช่วยนั้น เล่าเจี้ยงแต่งให้โตเอ๋งคุมทหารยกมา ณ เมืองลกเสีย เตียวหยิมจึงให้เตียวเอ๊กอยู่รักษาเมือง ให้โตเอ๊งคุมทหารเปนกองหลังออกมาจากเมือง ครั้นแลเห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อย คุมทหารประมาณสามสิบคนเดิรล้อมมา จึงชี้บอกทหารว่า ขงเบ้งนี้ได้ยินเล่าลือว่า มีปัญญาความคิดรู้แต่งกลศึกล่อลวงเปนหลายประการ บัดนี้เราเห็นทำการเข้ามาดังคนหาปัญญาไม่ ไม่สมกันกับคำเขาลือเลย จะกลัวอะไรกับขงเบ้ง ว่าแล้วจึงเอาคันทวนโบกให้ทหารไล่รุกเข้าไปจะจับเอาตัว

ขงเบ้งเห็นเตียวหยิมไล่มาก็ทิ้งเกวียนเสีย ขึ้นม้าทำเปนกลัวพาทหารทั้งปวงรีบหนีข้ามสะพานมา เตียวหยิมได้ทีก็ขับทหารรีบตามไป จูล่งคุมทหารซุ่มอยู่ เห็นเตียวหยิมไล่ล่วงพ้นสะพานไปก็ออกมารื้อสะพานเสีย ฝ่ายเล่าปี่กับเงียมหงันคุมทหารแอบอยู่เห็นได้ทีก็ยกตีกระหนาบออกมาทั้งสอง ฟากทาง เตียวหยิมเห็นดังนั้นก็ตกใจ รู้ว่าขงเบ้งแต่งกลลวงก็พาทหารกลับมาจะเข้าเมือง ครั้นถึงสะพานจะข้ามคูไปมิได้ก็คั่งกันอยู่ จูล่งก็ให้ทหารตีออกมา เตียวหยิมก็แตกคุมทหารร่นขึ้นไปตามทางข้างใต้ ถึงที่ฮองตงกับอุยเอี๋ยนสกัดอยู่ ก็ยกทหารออกระดมตีทั้งสองฟาก ฆ่าฟันทหารเตียวหยิมล้มตายเปนอันมาก เตียวหยิมเห็นเหลือกำลังสู้มิได้ ก็พาทหารประมาณสามสิบคนขับม้ารบหนีขึ้นไป พบเตียวหุยสกัดอยู่ปลายทาง คุมทหารออกมายืนขวางหน้าไว้ร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง ทหารเตียวหยิมตกใจก็แตกกระจายกันไปสิ้น เตียวหุยก็ให้ทหารเข้าล้อมจับเอาตัวเตียวหยิมได้ โตเอ๋งเห็นเตียวหุยจับตัวเตียวหยิมได้แล้ว เห็นจะรบพุ่งสู้ฝีมือทหารเล่าปี่มิได้ ก็เข้ามาคำนับแก่จูล่ง ๆ แลเตียวหุยกับนายทัพนายกองทั้งปวงครั้นได้ชัยชนะแล้วก็กลับมาค่าย จูล่งจึงเอาตัวโตเอ๋งเข้าไปให้แก่เล่าปี่ ๆ ก็มิได้เอาโทษโตเอ๋ง กลับปูนบำเหน็จให้อีก ขณะนั้นเตียวหุยจึงพาเอาตัวเตียวหยิมเข้ามา เล่าปี่จึงว่าบันดาทหารในเมืองเสฉวนนี้ ก็ยอมกลัวอำนาจมาเข้านบนอบคำนับเราสิ้น แต่ท่านผู้เดียวนี้เปนไฉนจึงมีใจกระด้างขัดแขงนัก มิได้อ่อนน้อมเรานั้นคิดประการใด

เตียวหยิมได้ฟังเล่าปี่ถามดังนั้นก็โกรธ มิได้กลัวแก่ความตายร้องตวาดว่า ตัวเราเปนชายชาติทหาร จะกลัวอันตรายกลับไปนบนอบเข้าด้วยผู้อื่นหวังจะรักษาชีวิตนั้น ก็มิควรแก่คนที่ซื่อต่อเจ้า อันเปนชาติทหารแลจะมีเจ้าเปนสองนั้นก็มิต้องประเพณี ธรรมดาสตรีที่ดีมีมารยาทก็มิอาจมีผัวให้เปนสอง แม้ท่านจะขืนให้เรานบนอบนั้นขัดมิได้ก็จะคำนับ แต่ว่าเรามิได้ตั้งภักดีต่อท่าน แล้วก็ด่าเล่าปี่เปนข้อหยาบช้า ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้เอาตัวเตียวหยิมไปฆ่าเสีย

เล่าปี่เห็นว่าเตียวหยิมเปนคนซื่อสัตย์สุจริตต่อเจ้าก็มีใจเอ็นดู จึงให้เอาศพเตียวหยิมไปฝังไว้ที่ต้นสะพานกิ๋มงันเกียวโป๋ แล้วให้จารึกอักษรใส่ฉลากไว้ว่าเตียวหยิมเปนคนซื่อตรง หวังจะให้คนทั้งปวงเอาเยี่ยงอย่างไปภายหน้า ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่ให้เงียมหงันงออี้ แลบันดาทหารในเมืองเสฉวนซึ่งเข้ามาอ่อนน้อมนั้น คุมทหารเปนกองหน้ายกเข้าไปเมืองลกเสีย ครั้นทหารทั้งปวงมาใกล้เชิงกำแพง จึงร้องเรียกเล่าชุนเล่ากุ๋ยเข้าไปว่า การจวนตัวถึงเพียงนี้แล้วอย่าขัดแขงอยู่เลย เร่งเปิดประตูออกมาคำนับเล่าปี่โดยดีเถิด ถึงจะมานะอยู่ก็เห็นจะรักษาเมืองไว้มิได้ อย่าให้ได้ความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงเลย

เล่ากุ๋ยยืนอยู่บนกำแพงได้ยินร้องขึ้นมาก็โกรธ ร้องตอบลงมาเปนคำหยาบช้ามิได้อ่อนน้อม เงียมหงันเห็นเล่ากุ๋ยมีใจโอหังก็โกรธจับทวนจะพุ่งขึ้นไป พอเตียวเอ๊กตัดเอาสีสะเล่ากุ๋ยโยนลงมาให้ แล้วก็เปิดประตูเมืองออกมารับ เงียมหงันก็มีใจยินดี จึงพาทหารทั้งปวงเข้าไปในเมือง

เล่าชุนเห็นทหารเล่าปี่ตรูเข้าได้ ก็ให้เปิดประตูด้านตวันออก คุมทหารรีบหนีไปเมืองเสฉวน ครั้นเล่าปี่เข้าไปในเมืองแล้วจึงถามว่า ผู้ใดมีความสามิภักดิ์ต่อเราตัดเอาสีสะเล่ากุ๋ยเสีย เงียมหงันจึงบอกว่าเตียวเอ๊กคนนี้ซึ่งมาคำนับท่าน ได้ตัดสีสะเล่ากุ๋ยโยนลงไปจากเชิงเทิน เล่าปี่ก็ปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่เตียวเอ๊กเปนอันมาก แล้วก็จัดแจงชาวบ้านชาวเมืองให้อยู่เปนสุขมิให้ทหารผู้ใดทำอันตรายได้

ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้เมืองลกเสียก็ได้แก่เราแล้ว อันเมืองเสฉวนนั้นก็เหมือนอยู่ในกำมือ จะยกเข้าไปเมื่อใดก็จะได้ แต่ทว่าหัวเมืองทั้งปวงยังมิราบคาบ ขอให้เตียวเอ๊กกับงออี้พาจูล่งคุมทหารยกไปเที่ยวปราบหัวเมืองเตงกั๋ง ให้เงียมหงันกับโตเอ๋งพาเตียวหุยคุมทหารไปกำจัดหัวเมืองเต๊กหยง ซึ่งยังขัดแขงอยู่นั้นให้ราบคาบเปนปรกติ จัดแจงตั้งแต่งขุนนางไว้อยู่รักษาเมืองตามภูมิ์ลำเนาเสร็จแล้ว จึงให้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ เมืองเสฉวน นายทัพนายกองทั้งปวงรับคำขงเบ้งแล้ว ต่างคนก็คุมทหารแยกกันไป

ขงเบ้งจึงถามชาวเมืองเสฉวนว่า เราจะยกเข้าไปเมืองเสฉวนบัดนี้ยังมีด่านทางคับขันอยู่อีกสักกี่ตำบล ชาวเมืองจึงบอกว่ามีด่านกิมก๊กเปนด่านใหญ่อยู่อีกตำบลหนึ่ง แลด่านกิมก๊กนี้ทหารพรักพร้อมเข้มแขงนัก ถ้าแลได้ด่านนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดจะขัดขวาง จะยกเข้าไปเอาเมืองเสฉวนได้โดยง่าย

ขงเบ้งได้แจ้งดังนั้นก็ให้จัดแจงทหารจะยกไป หวดเจ้งจึงว่า ซึ่งท่านจะยกเข้าไปเมืองเสฉวนนั้น ข้าพเจ้าเห็นอาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อนนัก ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน ด้วยเมืองลกเสียนั้นก็ได้แก่เราแล้ว เมืองเสฉวนเหมือนอยู่ในกำมือ ข้าพเจ้าจะมีหนังสือไปถึงเล่าเจี้ยงฉบับหนึ่ง ให้มานอบน้อมตามประเพณี เล่าเจี้ยงรู้ว่าเมืองลกเสียนี้เสียกับเราแล้วก็จะยอมคำนับ แม้จะขัดแขงอยู่ประการใด เราจึงจะยกทหารไปตีต่อภายหลัง ขงเบ้งเห็นชอบด้วยจึงให้งดกองทัพไว้ แล้วให้หวดเจ้งมีหนังสือเข้าไปแจ้งแก่เล่าเจี้ยง

ฝ่ายเล่าชุนครั้นหนีไปถึงเมืองเสฉวนแล้ว จึงแจ้งความแก่เล่าเจี้ยงผู้บิดาทุกประการ เล่าเจี้ยงจึงให้หาขุนนางเข้ามาปรึกษาว่า บัดนี้เมืองลกเสียก็เสียแล้ว เห็นว่าเล่าปี่จะยกเข้ามาติดเมืองเราเปนมั่นคง จะคิดป้องกันประการใดดี

แต่ต่อที่ปรึกษาจึงว่า เล่าปี่ได้เมืองลกเสียก็จริง แต่ทหารนั้นเปนคนสำส่อน ด้วยได้ชเลยมามิได้เปนนํ้าหนึ่งใจเดียว ถึงจะทำการก็มิได้พร้อมเพรียงกัน อนึ่งก็น้อยตัวเห็นพอจะสู้รบได้อยู่ ขอให้แต่งคนออกไปขับต้อนอาณาประชาราษฎรหัวเมืองปาเสฝ่ายตวันตก ให้ข้ามแม่นํ้าโป๋ชุยเข้ามาอยู่เสียฟากเมืองเราให้สิ้นเชิง แล้วให้เผาเข้าปลาอาหารซึ่งเอามาไม่ได้ยังเหลืออยู่นั้นเสียให้สิ้น แม้เล่าปี่จะยกทัพมาล้อมเมืองเรา สเบียงอาหารในเมืองก็มีมากบริบูรณ์อยู่ เพียงแต่รักษาเมืองมั่นไว้จะทำไม่ได้ ฝ่ายเล่าปี่มาทางไกลสเบียงอาหารก็น้อย แม้ช้าอยู่เข้าเมืองมิได้ก็จะสิ้นอาหารลง ทหารทั้งปวงก็จะอิดโรยกำลัง ถึงจะทำการก็ไม่เต็มมือ หน้าที่จะเลิกทัพกลับไปเมือง ทหารเรามีกำลังพรักพร้อมอยู่ก็จะยกโจมตีเอาเมื่อปลายมือ เห็นจะจับเล่าปี่ได้โดยง่าย

เล่าเจี้ยงจึงว่า ธรรมดาข้าศึกมาทำอันตราย ชอบจะป้องกันรักษาขอบขัณฑเสมาไว้ อย่าให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน นี่ข้าศึกยกมามิทันที่จะได้รบพุ่งต้านทาน กลับจะไปขับต้อนอาณาประชาราษฎรให้พลัดจากถิ่นฐาน ได้ความระหกระเหินฉนี้อีกเล่า เราไม่เห็นด้วย แลเมื่อเล่าเจี้ยงปรึกษากิจการอยู่นั้น พออุยก๋วนเอาหนังสือซึ่งหวดเจ้งบอกมานั้นเข้าไปให้แก่เล่าเจี้ยง ๆ ฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าหวดเจ้งขอคำนับมาถึงท่าน ด้วยเดิมท่านมีใจรักใคร่เล่าปี่โดยสุจริตมิได้คิดรังเกียจสิ่งใด จึงใช้ให้ข้าพเจ้าคุมทหารออกไปรับเล่าปี่มา ณ เมืองเสฉวน หวังจะให้ช่วยป้องกันขอบขัณฑเสมาให้เปนสุข แลบัดนี้ท่านมาเชื่อถือถ้อยคำคนยุยงมิได้พิเคราะห์ จึงมีความกินแหนงสนเท่ห์ในเล่าปี่ กลับเปนข้าศึกแก่กัน ฝ่ายเล่าปี่ก็ได้ทำการใหญ่หลวงมาถึงเพียงนี้ อนึ่งหัวเมืองทั้งปวงก็เข้าอยู่ในเล่าปี่สิ้นแล้ว ขอให้ท่านคิดอ่านผ่อนผันอ่อนน้อมตามประเพณีเถิด อันเล่าปี่นี้เปนคนสัตย์ซื่อ แล้วก็อารีมิได้พยาบาทแก่ผู้ใด แม้ท่านพิเคราะห์เห็นชอบก็ให้คำนับเล่าปี่เสีย แล้วก็จะมีความสุขสืบไป เห็นเล่าปี่จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าน

เล่าเจี้ยงแจ้งแล้วก็โกรธ จึงฉีกหนังสือทิ้งเสีย ด่าว่าอ้ายขายเจ้า มันกล่าวทั้งนี้ปราถนาจะเอาประโยชนใส่ตัวเอง เสียแรงเราเลี้ยงมาหาความกตัญญูไม่ แล้วก็ให้ขับคนถือหนังสือเสีย จึงให้อุยหวนผู้เปนน้องภรรยากับลิเหยียมคุมทหารสามหมื่นยกไปรักษาด่านเมือง กิ๋มก๊กไว้ ตั๋งโหที่ปรึกษาจึงเข้ามาว่าแก่เล่าเจี้ยงว่า ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋ง ขอให้กองทัพยกมาช่วยเถิดเห็นจะสู้เล่าปี่ได้ เล่าเจี้ยงจึงว่าซึ่งท่านจะให้ไปขอกองทัพเมืองฮันต๋งมาช่วยนั้น เตียวฬ่อกับเราซิเปนอริกันอยู่ที่ไหนเขาจะมาช่วย

ตั๋งโหจึงว่า ถึงเตียวฬ่อหมางใจกับเราอยู่ก็จริง แต่ว่าบัดนี้เล่าปี่ทำการใหญ่หลวงกำเริบนัก แม้ได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะตีเอาเมืองฮันต๋งด้วยเปนมั่นคง อันเมืองเสฉวนอุปมาเหมือนริมฝีปาก เมืองฮันต๋งดังฟัน ถ้าริมฝีปากแหว่งแล้วก็จะเห็นฟันด้วยใกล้กว่าใกล้กันนัก ขอให้ท่านมีหนังสือว่ากล่าวไปว่า เล่าปี่คิดใหญ่หลวงกำเริบเข้มขันอยู่ เตียวฬ่อก็คงคิดกลัวว่าข้าศึกจะไปถึงเมือง ดีร้ายจะยกทหารมาช่วยท่าน เล่าเจี้ยงเห็นชอบด้วยก็แต่งหนังสือให้คนถือไปถึงเตียวฬ่อ


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 52

https://drive.google.com/file/d/17wjdcArrxNEi0f-vCJEYeIFM39x3Ox6V/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #2 on: 23 December 2021, 14:34:22 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 53


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-53.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 53

เนื้อหา
• ม้าเฉียวกลับมาตีหัวเมืองของโจโฉ
• ม้าเฉียวหนีไปอยู่กับเตียวฬ่อ
• ม้าเฉียวอาสาเตียวฬ่อมาช่วยเล่าเจี้ยง
• เล่าปี่ตีด่านกิมก๊กได้
• เตียวหุยอาสามารบม้าเฉียว
• ขงเบ้งอุบายให้เตียวฬ่อสงสัยม้าเฉียว
• ขงเบ้งเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวมาได้
• ม้าเฉียวอาสามาเกลี้ยกล่อมเล่าเจี้ยง
• เล่าเจี้ยงยกเมืองเสฉวนให้เล่าปี่
• เล่าปี่แต่งตั้งขุนนางแลกฎหมาย


ฝ่าย ม้าเฉียวครั้นแตกหนีโจโฉมาแต่แม่นํ้าอุยโหครั้งนั้น ก็ไปอยู่เมืองเจี๋ยงนอกแดนเมืองจิ๋นได้ประมาณสามเดือน ซ่องสุมทหารได้เปนอันมาก ก็ยกมาตีหัวเมืองแว่นแคว้นของโจโฉได้เปนหลายตำบล แล้วจึงยกมาตีเมืองกิจิ๋ว อุยของเจ้าเมืองกิจิ๋วให้หนังสือไปถึงแฮหัวเอี๋ยนให้ยกมาช่วย แฮหัวเอี๋ยนก็ยังมิได้เอากิจการไปแจ้งแก่โจโฉ ครั้นจะยกกองทัพมาช่วยอุยของก็มิได้ อุยของคอยถ้ากองทัพแฮหัวเอี๋ยนอยู่เปนหลายวันมิได้เห็นยกมาช่วย กองทัพม้าเฉียวก็ยกเข้าล้อมเมืองไว้ คิดจะออกไปคำนับม้าเฉียว

เอียวหูนายทหารจึงเข้ามาร้องห้ามว่า ซึ่งท่านจะออกไปอ่อนน้อมม้าเฉียวนั้น ข้าพเจ้ามิเต็มใจ ด้วยม้าเฉียวคนนี้อกตัญญูต่อเจ้าหาความสัตย์มิได้ ต้องการอะไรจะไปคำนับผิดก็สู้ตายในเมืองดีกว่า อุยของจึงว่า เมื่อการจวนตัวถึงเพียงนี้แล้ว ท่านจะมาห้ามเรามิให้ออกไปคำนับนั้นมิได้ อุยของมิฟังก็เปิดประตูเมืองออกมารับม้าเฉียวเข้าไป แล้วคำนับตามประเพณี ม้าเฉียวเข้าไปในเมืองกิจิ๋วจึงว่า ตัวท่านเปิดประตูรับคำนับเราบัดนี้ จะได้นบนอบโดยสุภาพหามิได้ เหตุว่าการจวนตัวแล้วก็จำเปน ถ้าท่านภักดีต่อเราจริงก็จะคำนับเราแต่แรกมาโดยปรกติ ทำทั้งนี้เห็นหาสุจริตไม่นานไปก็จะคิดทำอันตรายจะไว้ใจมิได้ ก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสียสิ้นทั้งครอบครัว ทหารทั้งปวงจึงว่า เอียวหูนี้ก็เปนทหารอุยของ เมื่อแรกอุยของจะออกไปคำนับท่านนั้นก็ขัดแขงทัดทานไว้ หามีใจภักดีต่อท่านไม่ ขอให้เอาเอียวหูไปฆ่าเสียด้วย ม้าเฉียวจึงว่า เอียวหูทัดทานทั้งนี้เปนประเพณี ด้วยเปนคนซื่อตรงจะฆ่าเสียนั้นไม่ชอบ ก็ตั้งให้เอียวหูเปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่รักษาเมืองกิจิ๋ว เอียวหูคำนับแล้วจึงว่า บัดนี้ภรรยาข้าพเจ้าตายอยู่เมืองหลิมเอีย จะขอลาท่านไปทำการศพสักสองเดือน ถ้าเสร็จการแล้วข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่าน ม้าเฉียวก็อนุญาตให้เอียวหูไป เอียวหูลาม้าเฉียวมาถึงเมืองลกเส ซึ่งเกียงขิมผู้เปนบุตรของอาว์รักษาอยู่นั้น ก็ตรงเข้าไปหามารดาเกียงขิม คำนับแล้วก็ร้องไห้ว่า ตัวข้าพเจ้าไปทำราชการอยู่ด้วยอุยของ ณ เมืองกิจิ๋ว มิได้ป้องกันรักษานายของตัวให้พ้นอันตราย แลม้าเฉียวอ้ายศัตรูแผ่นดินมาฆ่าอุยของเสีย ข้าพเจ้ามิรู้ที่จะไว้หน้าแห่งใดได้เลย ได้ความอัปยศแก่ชาวเมืองทั้งปวง เพราะว่ารักษานายมิได้ แลบัดนี้อาณาประชาราษฎรในเมืองกิจิ๋วก็เดือดร้อนเจ็บแค้นอยู่ทุกคน คิดจะทำร้ายม้าเฉียวเสียให้ได้ เหตุใดพี่ข้าพเจ้าเปนถึงเจ้าเมืองลกเส มิได้จัดแจงทหารยกไปกำจัดศัตรูเสีย ช่างนิ่งอยู่ได้มิได้คิดอ่านเลย

มารดาเกียงขิมเปนผู้ใหญ่มีอายุได้แปดสิบสองปี ได้ฟังดังนั้นจึงหาตัวเกียงขิมมาบอกว่า บัดนี้เมืองกิจิ๋วมีศึกม้าเฉียวยกมาทำร้ายอุยของ ตัวเจ้ามิได้ยกทหารไปช่วยจนเสียเมือง อุยของถึงแก่ความตายนั้น โทษเจ้าก็ผิดใหญ่หลวงอยู่ แม้รู้ถึงมหาอุปราชก็จะติโทษได้ แล้วว่าแก่เอียวหูว่า ตัวเจ้าก็คำนับต่อม้าเฉียว ๆ ก็ตั้งแต่งให้เปนขุนนางได้กินเบี้ยหวัดเขาแล้ว เหตุไฉนจึงมาคิดประทุษฐร้ายต่อผู้มีคุณฉนี้เล่า

เอียวหูจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้านบนอบต่อม้าเฉียวนั้นมิได้สุจริต หวังจะรักษาชีวิตไว้ดอก เพื่อจะคิดอ่านทำการแก้แค้นให้จงได้ เกียงขิมจึงว่าม้าเฉียวคนนี้ มีฝีมือเข้มแขงนัก ซึ่งจะคิดกำจัดเสียนั้นเปนอันยาก เอียวหูจึงว่า ถึงฝีมือกล้าแขงก็จริง แต่มิได้มีสติปัญญาที่จะคิดอ่านในการสงคราม แม้ว่าท่านจะคิดกำจัดเสียก็ได้ แลเมื่อข้าพเจ้าจะมานั้นได้นัดไว้แก่เลงควันเตียวเหง ถ้าพี่จะยกทหารไปกำจัดม้าเฉียวเสีย คนทั้งสองก็จะรับเปนไส้ศึกทำการข้างในเมือง

มารดาเกียงขิมจึงว่า ถ้าฉะนั้นจงเร่งกำจัดเสียให้จงได้ แม้ละไว้นานไปศึกแก่ความคิดแล้วก็จะทำยาก อันเกิดเปนคนไหน ๆ ก็จะตายหนหนึ่งเหมือนกัน เจ้าจะทำสงครามอย่ากลัวแก่ความตาย อนึ่งอย่าได้คิดอาลัยพะวักพะวนถึงมารดานี้เลย ถ้าเจ้าวิตกถึงเราอยู่เราก็จะตายเสียให้รู้แล้วไป มิให้เปนกังวลแก่เจ้า เกียงขิมได้ฟังมารดาว่า ก็ให้เตียวกั๋งจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว กับเอียวหูผู้น้องก็ยกทหารมา

ม้าเฉียวครั้นแจ้งว่า เอียวหูไปบอกเกียงขิมให้ยกกองทัพมาจะทำอันตรายดังนั้นก็โกรธ จึงคุมทหารยกออกมาจากเมืองกิจิ๋วกับบังเต๊กม้าต้ายหวังจะรับทัพเกียงขิม ครั้นเกียงขิมยกทหารมาถึงกลางทางพบกองทัพม้าเฉียวมาปะทะกันเข้า จึงขับม้าขึ้นมาหน้าทหารทั้งปวงร้องด่าว่า อ้ายศัตรูแผ่นดินมึงจะสู้กับกูก็เร่งมา ม้าเฉียวได้ยินก็โกรธ ขับทหารตีเข้าไปฆ่าฟันทหารเกียงขิมล้มตายเปนอันมาก เกียงขิมเอียวหูสู้มิได้ก็ชักม้าควบหนี ม้าเฉียวได้ทีก็เร่งทหารขับม้าไล่ขึ้นไป เตียวกั๋งทหารเกียงขิมเห็นดังนั้น ก็คุมทหารวกหลังมาตีกระทบขึ้นไป เกียงขิมเห็นก็กลับทหารรบลงมา ม้าเฉียวเข้าอยู่ในระหว่างทัพกระหนาบก็รับรองป้องกันตัวไว้เปนสามารถ

พอแฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพรีบมาประจบทันเข้า ก็ขับทหารเข้าช่วยเกียงขิม รบพุ่งตลุมบอนทั้งสามด้าน ม้าเฉียวเหลือกำลังต้านทานมิได้ ก็แตกหนีขับม้ารีบมาคืนยังรุ่ง พอถึงเมืองกิจิ๋วก็เรียกเข้าไปให้ทหารเปิดประตูรับ เลงควันเตียวเหงซึ่งอยู่ในเมืองนั้นมิให้เปิดประตูรับ ขึ้นบนเชิงเทินให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงลงมา ร้องด่าม้าเฉียว แล้วก็เอาบุตรภรรยาสมัคพรรคพวกตัดสีสะโยนลงมาตรงหน้าม้าเฉียว ๆ ก็โกรธดังไฟไหม้ในอก ตกลงจากม้าถึงสามครั้งสี่ครั้ง มิรู้ที่จะทำประการใดได้

ขณะนั้นแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารตามทันเข้า ม้าเฉียวน้อยตัวก็พาทหารตีหักหนีออกไป พอพบกองทัพเกียงขิมกับเอียวหูสกัดอยู่ ก็ขับม้าฝ่าฟันพาทหารทั้งปวงออกมาพ้น เตียวกั๋งยกหนุนมาภายหลังก็ล้อมม้าเฉียวเข้าไว้ ฆ่าฟันทหารล้มตายกลาดเกลื่อนอยู่ ม้าเฉียวกับบังเต๊กม้าต้ายเห็นทหารเหลือตายอยู่ประมาณห้าสิบคน ก็ขับม้าพาทหารออกมาได้ก็รีบหนีไปวันยังคํ่า ครั้นเวลาคํ่าก็ถึงเมืองลกเส เดิรไปริมกำแพง ทหารในเมืองลกเสไม่ทันสังเกตด้วยเปนเวลาคํ่า สำคัญว่าเกียงขิมเจ้าเมืองยกกลับมาก็เปิดประตูรับ ม้าเฉียวก็พาทหารล่วงเข้าไปในเมืองได้ ไล่ฆ่าฟันชาวเมืองทั้งปวงล้มตายเปนอันมาก แล้วก็เข้าไปจับเอาตัวมารดาเกียงขิมออกมาจากบ้าน มารดาเกียงขิมก็มิได้กลัวตาย ชี้หน้าด่าม้าเฉียวว่า อ้ายศัตรูแผ่นดิน มึงจะฆ่ากูเปนหญิงเสียก็ตามเถิด ม้าเฉียวโกรธก็เอากระบี่ฟันมารดาเกียงขิมตาย ครั้นเวลารุ่งเช้า แฮหัวเอี๋ยนรู้ข่าวก็ยกทหารติดตามมา ม้าเฉียวหนีออกจากเมืองลกเส พอพบเอียวหูคุมทหารยกมาก็สวนกันเข้า ม้าเฉียวก็ขับม้าเข้ารบด้วยเอียวหูเปนสามารถ ฆ่าฟันทหารล้มตายป่นลงด้วยกันทั้งสองข้าง เอียวหูถูกทวนเจ็บปวดเปนหลายแห่งก็มิได้หนี เข้าต่อสู้ด้วยม้าเฉียวเปนสาหัส พอแฮหัวเอี๋ยนยกตลบหลังมาทันขับทหารโห่ร้องเข้ามา ม้าเฉียวเห็นทหารยังเหลือเจ็ดคนน้อยตัวนัก ก็พาบังเต๊กม้าต้ายตีบากออกรีบหนีไป

ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนกำจัดม้าเฉียวหนีไปแล้ว ก็ยกทหารไปปราบปรามหัวเมืองลกเสให้ราบคาบเปนปรกติทุกตำบล ตั้งให้เกียงขิมอยู่รักษาเมืองดังเก่า จึงพาเอาเอียวหูซึ่งถูกทวนป่วยนั้นขึ้นเกวียนกลับมาเมืองฮูโต๋ แจ้งความแก่โจโฉทุกประการ โจโฉมีความยินดีนักจึงตั้งให้เอียวหูเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่

แลขณะเมื่อม้าเฉียวแตกหนีมานั้น จึงปรึกษากันกับบังเต๊กม้าต้ายว่า บัดนี้เราก็หาที่อยู่มิได้แล้ว จะไปอาศรัยหัวเมืองฝ่ายตวันตกตวันออกนี้เล่า ก็เปนแว่นแคว้นของโจโฉทั้งสิ้น เราจะพากันไปอาศรัยเตียวฬ่อ ณ เมืองฮันต๋งเถิด ปรึกษากันแล้วม้าเฉียวกับบังเต๊กม้าต้าย ก็พาทหารห้าคนเข้าไปอยู่ในเมืองฮันต๋งด้วยเตียวฬ่อ ๆ ก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้ม้าเฉียวมาอยู่ด้วยเราแล้ว ซึ่งจะคิดทำการไปภายหน้าเห็นจะสดวก ฝ่ายทิศตวันออกก็จะได้ต่อสู้กับโจโฉ ข้างตวันตกนั้นก็คิดจะเอาเมืองเสฉวน ครั้งนี้ข้าศึกทั้งปวงก็จะยำเกรง เพราะม้าเฉียวมาเปนกำลังของเรา ควรที่จะยกลูกสาวเราให้อยู่ด้วยกันตามประเพณี

เอียวเป๊กจึงห้ามว่า ซึ่งท่านจะยกลูกสาวให้แก่ม้าเฉียวนั้น ข้าพเจ้ามิเต็มใจ ด้วยม้าเฉียวจะรักษาภรรยาของตัวเองยังมิได้ หรือท่านจะเอาบุตรไปยกให้ สืบไปเบื้องหน้าเห็นจะรักษาบุตรท่านมิได้ จะละให้เปนอันตรายเหมือนครั้งนี้ ขอท่านได้ดำริห์ดูก่อน เตียวฬ่อเห็นชอบด้วยก็มิได้ยกลูกสาวให้ม้าเฉียว ๆ รู้ว่าเอียวเป๊กทัดทานดังนั้นก็น้อยใจ คิดแค้นเอียวเป๊กมิรู้วายหมายจะทำร้ายให้ได้ เอียวเป๊กรู้ตัวก็ปรึกษาด้วยเอียวสงผู้พี่ว่า จะช่วยกันกำจัดม้าเฉียวเสีย

ฝ่ายอุยก๋วนซึ่งถือหนังสือมาแต่เมืองเสฉวนนั้น จึงเข้าไปคำนับเตียวฬ่อ แล้วจึงเอาหนังสือเล่าเจี้ยงส่งให้เตียวฬ่อ ๆ แจ้งในหนังสือเปนใจความว่า บัดนี้เล่าปี่ยกมาทำร้ายแก่เมืองเสฉวน คิดการกำเริบใหญ่หลวงนัก แลเมืองเสฉวนกับเมืองฮันต๋งนี้ก็เหมือนปากกับฟันใกล้กันนัก แม้เล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้ว ก็เห็นว่าจะมาทำร้ายแก่เมืองฮันต๋ง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความเดือดร้อน ขอท่านยกทหารมาช่วยกันกำจัดเล่าปี่เสีย ถ้าสำร็จราชการแล้วจะยกหัวเมืองเสฉวนให้แก่ท่านยี่สิบหัวเมือง เตียวฬ่อมีความยินดีจะใคร่ได้หัวเมืองเสฉวน ก็รับต่ออุยก๋วนว่าจะยกกองทัพไปช่วย

เงียมเภาจึงทัดทานว่า เล่าเจี้ยงกับท่านก็เปนอริกันอยู่ ซึ่งว่ามาทั้งนี้ด้วยการจวนตัว อนึ่งจริงกับเท็จนั้นก็กึ่งกัน เกลือกว่าการสำเร็จแล้วจะมิให้หัวเมืองแก่ท่านจะมิเสียทีเปล่าหรือ ขอท่านอย่าเพ่อเชื่อถ้อยฟังคำเล่าเจี้ยงก่อน ขณะนั้นม้าเฉียวจึงว่าแก่เตียวฬ่อว่า ข้าพเจ้าได้มาพึ่งท่านอยู่ก็ยังมิได้แทนคุณเลย บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพมาตีได้ตำบลแฮบังก๋วนซึ่งเปนด่านเมืองเสฉวน ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารไปทำการรบจับเอาตัวเล่าปี่ฆ่าเสีย เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนมีความยินดี ก็จะยกหัวเมืองขึ้นให้ยี่สิบหัวเมืองเปนกำนัลท่าน เตียวฬ่อได้ฟังมีความยินดี จึงว่าแก่อุยก๋วนให้เร่งกลับไปบอกแก่เล่าเจี้ยงเถิด ว่าเราจะช่วยธุระไปกว่าจะสิ้นกำลัง อุยก๋วนก็ลาเตียวฬ่อกลับไป

เตียวฬ่อจึงจัดทหารสองหมื่น ให้เอียวเป๊กกำกับไปด้วยม้าเฉียว ขณะนั้นบังเต๊กป่วยอยู่ม้าเฉียวแต่งคนให้อยู่พิทักษ์รักษา ณ เมืองอันต๋ง ครั้นได้ฤกษ์ม้าเฉียวม้าต้ายผู้น้องก็ยกกองทัพออกจากเมืองจะไปด่านแฮบังก๋วน

ฝ่ายเล่าปี่เมื่อยังตั้งอยู่ในเมืองลกเสีย หวดเจ้งบอกแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าได้ให้หนังสือลับไปแก่ทหารผู้เปนไส้ศึกในเมืองเสฉวน แลผู้ถือหนังสือกลับมาบอกข้าพเจ้าว่า แต่ต่อนั้นปรึกษาให้ทหารเล่าเจี้ยงออกไปเผาเข้าปลาอาหารของชาวบ้านนอก กวาดครอบครัวข้ามฟากแม่น้ำโปซุยมาให้พ้นข้าศึก แล้วสั่งทหารซึ่งรักษาด่านให้ตั้งมั่นไว้อย่าให้ยกออกสู้รบ เล่าปี่กับขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เมื่อแต่ต่อให้เล่าเจี้ยงทำฉนี้เราจะคิดประการใด หวดเจ้งจึงว่า แต่ต่อนั้นมีความคิดชำนาญการล่อลวงก็จริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าเจี้ยงจะไม่ทำตาม ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีคนมาบอกแก่เล่าปี่ว่า เล่าเจี้ยงมิได้ทำตามแต่ต่อ

เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็คลายใจ ขงเบ้งจึงปรึกษาแก่เล่าปี่ว่า จำจะยกไปตีเมืองกิมก๊ก ถ้าได้แล้วก็จะได้เมืองเสฉวนโดยง่าย เล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงแต่งอุยเอี๋ยนฮองตงคุมทหารเปนกองหน้า เล่าปี่กับขงเบ้งเปนกองหลวง ยกไปตั้งอยู่ ณ แดนเมืองกิมก๊ก ฝ่ายอุยหวนเจ้าเมืองกิมก๊กรู้ก็ให้ลิเหยียมคุมทหารสามพันยกออกไป ได้รบกับฮองตงถึงห้าสิบเพลงมิแพ้ชนะกัน ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตีม้าฬ่อหวังจะเรียกฮองตงให้กลับมา ฮองตงได้ยินเสียงม้าฬ่อก็พาทหารกลับเข้ามา จึงถามขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าได้ทีจะจับตัวลิเหยียมอยู่แล้ว เหตุใดท่านจึงตีม้าฬ่อเรียกดังนี้

ขงเบ้งจึงว่า อันลิเหยียมนั้นมีกำลังกล้าหาญ ซึ่งท่านจะรบพุ่งเอาชัยชนะซึ่งหน้านั้นไม่ได้ เราจึงตีม้าฬ่อเรียกกลับมาหวังจะทำกลอุบายเอาชัยชนะให้ได้ เวลาค่ำวันนี้เราจะแต่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่ริมซอกเขา ต่อพรุ่งนี้ท่านออกไปรบจึงทำถอยหนี ล่อเข้าไปทางซอกเขา ลิเหยียมตามมาทหารซึ่งซุ่มไว้ก็จะตีกระหนาบเข้ามา เห็นจะได้ชัยชนะเปนมั่นคง ฮองตงเห็นชอบด้วย เวลาคํ่าวันนั้นขงเบ้งก็ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารไปสกัดอยู่ปากทาง แล้วแต่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่ริมซอกเขา ครั้นเวลารุ่งเช้าฮองตงก็ขี่ม้าพาทหารออกไป

ฝ่ายลิเหยียมเห็นดังนั้นก็ขับม้าออกรบด้วยฮองตงได้สิบเพลง ฮองตงทำถอยหนีล่อไปตามซอกเขา ลิเหยียมมิได้รู้กลก็ขับม้าไล่ตามเข้าไปถึงปากทางซอกเขา พอขุกคิดเกรงว่าข้าศึกจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าจะกลับออกมา เห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารสกัดอยู่เปนอันมาก ครั้นจะหนีไปแห่งใดก็ไม่ได้ ขณะนั้นขงเบ้งขึ้นไปอยู่บนเนินเขา จึงร้องลงมาว่า ลิเหยียมจงเร่งเข้ามานบนอบเราโดยดี ถ้ามิฟังก็จะให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่ทั้งสองกองเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงให้ถึงแก่ความ ตาย ลิเหยียมได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงคิดว่าตัวกูอยู่ในที่แคบแม้จะขัดขวางบัดนี้ ก็จะไม่รอดชีวิต จำจะขออ่อนน้อมดีกว่า คิดแล้วก็ลงจากม้าแล้ววางอาวุธถอดเกราะเสีย ขึ้นไปคำนับขงเบ้งโดยดี

ขงเบ้งมีความยินดี จึงพาลิเหยียมไปหาเล่าปี่ ณ ค่าย เล่าปี่เชิญให้ลิเหยียมกินโต๊ะแล้วว่า เราจะบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขจึงมาทำการทั้งนี้ ลิเหยียมจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อุยหวนนั้นเปนพี่น้องกับเล่าเจี้ยงก็จริง แต่ข้าพเจ้าจะว่าสิ่งใดก็เชื่อฟัง ข้าพเจ้าจะขอลาเข้าไปว่ากล่าวให้อุยหวนอ่อนน้อมต่อท่านให้ได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า แม้ท่านตั้งใจสุจริตต่อเราแล้ว ก็เร่งเข้าไปว่ากล่าวอุยหวนโดยดีเถิด ลิเหยียมคำนับลาเล่าปี่ขงเบ้งแล้ว พาทหารกลับเข้าไปถึงเมืองกิมก๊ก จึงเล่าเนื้อความให้อุยหวนฟังแล้วว่า อันเล่าปี่นั้นมีนํ้าใจโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎร ซึ่งเล่าปี่มาทำทั้งนี้หวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข ถ้าท่านจะขัดแข็งอยู่ไม่ออกไปอ่อนน้อม เมืองเราก็จะมีอันตรายเปนมั่นคง

อุยหวนได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงพาทหารไปคำนับเล่าปี่แล้วว่ากล่าวเชื้อเชิญเล่าปี่ขงเบ้งให้เข้าเมือง เล่าปี่ขงเบ้งสิ้นสงสัยก็พากันเข้าไปในเมืองกิมก๊ก อุยหวนได้แต่งโต๊ะเชิญเล่าปี่แลทหารทั้งปวงให้กิน ครั้นกินโต๊ะแล้วเล่าปี่จัดแจงทหารจะยกไปเมืองเอ๊กจิ๋ว พอม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้เตียวฬ่อให้ม้าเฉียวม้าต้ายเอียวเป๊กยกกองทัพมารบ เบ้งตัดกับฮักจุ้นซึ่งท่านให้อยู่รักษาด่านแฮบังก๋วนนั้น ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ แม้ท่านไม่ยกไปช่วยให้ทันทีด่านนั้นจะเสีย เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับขงเบ้งว่า ท่านจะคิดอ่านประการใด ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่เตียวหุยจูล่งสองนายนี้ จะต้านทานกำล้งม้าเฉียวม้าต้ายเอียวเป๊กได้

เล่าปี่จึงว่า จูล่งนั้นไปเกลี้ยกล่อมคนณชายทเลแดนเมืองเตงกั๋งก็ยังไม่กลับมา อยู่แต่เตียวหุย ท่านจงเร่งจัดทหารให้เตียวหุยยกไปช่วยให้ทันที ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าเพ่อว่าวุ่นวายไปก่อน ไว้ข้าพเจ้าจะคิดว่ากล่าวแก่เตียวหุยเอง ขณะนั้นเตียวหุยรู้ข่าวว่า ม้าเฉียวยกมาตีด่านแฮบังก๋วน จึงรีบเข้ามาร้องว่าแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้ม้าเฉียวยกมารบเบ้งตัดฮักจุ้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปต่อรบด้วยม้าเฉียว ขงเบ้งทำเปนไม่ได้ยิน จึงแกล้งว่าแก่เล่าปี่หวังจะยั่วใจเตียวหุยว่า อันม้าเฉียวนั้นมีกำลังแลฝีมืออยู่ จำจะให้ม้าใช้รีบไปเมืองเกงจิ๋วหาตัวกวนอูมา จึงจะต่อสู้กับม้าเฉียวได้

เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า อันตัวข้าพเจ้านี้ก็มีปัญญาแลฝีมืออยู่บ้าง ครั้งโจโฉคุมทหารถึงร้อยหมื่น ตามมาณสะพานเตียงปันเกียว ข้าพเจ้าก็ได้รบต้านทานแล้วคิดอ่านทำกลอุบายจนทหารโจโฉถอยกลับไป อันม้าเฉียวนั้นจะมีปัญญาแลฝีมือสักเพียงไร ท่านจึงจำเพาะจะให้กวนอูไป ขงเบ้งจึงแกล้งตอบว่า ครั้งโจโฉคุมทหารร้อยหมื่นตามมา ท่านได้ต้านทานก็จริงอยู่ แต่เหลือกำลังนัก ซึ่งท่านคิดกลอุบายให้ทหารโจโฉถอยไปนั้น หากข้าศึกไม่ทันคิด แม้โจโฉรู้ที่ไหนท่านจะรอดชีวิต ท่านอย่าดูหมิ่นประมาทเลย อันม้าเฉียวนั้นมีฝีมือกล้าหาญนัก ครั้งรบกับโจโฉตำบลแม่น้ำมอซุยนั้น โจโฉเสียทีเปนหลายครั้ง จนโจโฉถอดเกราะตัดหนวดเสีย เข้าปลอมเหล่าทหารจึงหนีม้าเฉียวได้

เตียวหุยจึงว่า ถ้าท่านแคลงอยู่ข้าพเจ้าจะให้ทานบนไว้ แม้ข้าพเจ้ายกไปไม่ได้ชัยชนะม้าเฉียว ก็ให้ตัดสีสะข้าพเจ้าเสียเถิด ขงเบ้งจึงว่า ถ้ายอมรับดังนี้เราพอจะไว้ใจได้ เตียวหุยก็เขียนทานบนให้ขงเบ้ง อุยเอี๋ยนจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอไปด้วย ขงเบ้งก็ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารห้าร้อยเปนกองหน้า ให้เตียวหุยเปนกองกลาง เล่าปี่เปนกองหลัง แล้วว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าจะอยู่ช่วยรักษาเมืองกิมก๊กก่อน แม้จูล่งมาถึงแล้วจึงจะพากันยกตามไป เล่าปี่เตียวหุยอุยเอี๋ยนก็ยกกองทัพไปถึงด่านแฮบังก๋วน ก็ให้ตั้งมั่นอยู่ ณ ด่าน

ม้าเฉียวจึงให้เอียวเป๊กขับม้าออกรบด้วยอุยเอี๋ยนได้สิบเพลง เอียวเป๊กเห็นจะต้านทานไม่ได้ก็ขับม้าหนี อุยเอี๋ยนมีใจกำเริบจะใคร่ได้ความชอบก็ขับม้าไล่ไปพบม้าต้ายสกัดอยู่ อุยเอี๋ยนสำคัญว่าม้าเฉียวก็ขับม้ารำง้าวเข้ารบด้วยม้าต้ายได้สิบเพลง ม้าต้ายทำชักม้าควบหนี อุยเอี๋ยนเห็นได้ทีก็ขับม้าไล่ตามมา ม้าต้ายผันหน้ามาขึ้นเกาทัณฑ์ ยิงไปถูกไหล่ซ้ายอุยเอี๋ยน ๆ ก็ชักม้าควบหนีกลับมา ม้าต้ายก็ขับม้าไล่ตามไปถึงหน้าด่าน เตียวหุยเห็นก็ขับม้าออกมาจากด่าน เข้าสกัดหน้าร้องตวาดม้าต้ายไว้ อุยเอี๋ยนก็หนีเข้าด่านได้ เตียวหุยจึงถามว่า ตัวนี้ชื่อใดจึงบังอาจไล่อุยเอี๋ยนมาถึงหน้าด่าน เร่งบอกมาให้แจ้งจึงค่อยรบกันให้เห็นฝีมือ

ม้าต้ายจึงบอกว่า เราชื่อม้าต้ายน้องม้าเฉียวอยู่เมืองเสเหลียง เตียวหุยจึงว่า อันตัวนี้ไม่คู่ควรด้วยฝีมือเรา ครั้นจะสู้รบกันบัดนี้ตัวก็จะตายเสียเปล่าเราไว้ชีวิตแล้ว ตัวจงเร่งกลับไปบอกม้าเฉียวมารบด้วยเราจึงจะควร ม้าต้ายได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงขับม้าเข้ารบด้วยเตียวหุยได้สิบเพลง ม้าต้ายทานกำลังเตียวหุยไม่ได้ก็ขับม้าหนี เตียวหุยเห็นได้ทีก็ขับม้าไล่ตามไป เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตีม้าฬ่อขึ้น เตียวหุยได้ยินก็ชักม้ากลับมา เล่าปี่จึงว่า พี่รู้นํ้าใจเจ้าอยู่ว่าวู่วามนัก เกลือกไล่ข้าศึกไปจะมีอันตราย พี่จึงตีม้าฬ่อให้กลับมา อนึ่งเจ้าก็มีชัยแก่ม้าต้ายแล้วควรจะเอาฤกษ์ไว้ก่อน จงหยุดพักให้มีความสบาย พรุ่งนี้จึงค่อยรบพุ่งต่อไป

ครั้นเวลารุ่งเช้า เล่าปี่ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงมาถึงหน้าด่านเปนอันมาก เล่าปี่จึงขึ้นดูบนหอรบ ทหารชี้ให้ดูตัวม้าเฉียว เล่าปี่เห็นรูปม้าเฉียวขึงขังสมเปนทหาร หน้านั้นดังสีหยกใส่เกราะเงินขี่ม้าถือทวนอยู่กลางทหาร แล้วชมว่าบันดาคนทั้งปวงเลื่องลืออยู่ว่า ม้าเฉียวรูปงามกล้าหาญก็สมเหมือนคำเขาว่า เตียวหุยเห็นม้าเฉียวยกมาก็ว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบด้วยม้าเฉียว เล่าปี่จึงห้ามว่าให้รั้งรออยู่แต่ในด่านก่อน จงคอยดูอยู่ถ้าเห็นทหารอดอาหารพ้นเวลาจึงค่อยยกออกไปโจมตี

ฝ่ายม้าเฉียวมิได้เห็นเล่าปี่ยกออกมารบ ก็ให้ทหารออกไปร้องท้าทายเปนข้อหยาบช้า เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ประหนึ่งจะทยานออกกินเนื้อม้าเฉียวเสีย แต่หากเกรงเล่าปี่อยู่จึงอุตส่าห์สกดใจไว้ ม้าเฉียวมิได้เห็นผู้ใดโต้ตอบออกมา ก็ให้ทหารผลัดกันเข้าไปร้องเยาะเย้ยด่าทอต่าง ๆ จนเวลาบ่าย เล่าปี่เห็นม้าเฉียวแลทหารม้าเฉียวอดอาหารอิดโรยกำลังลงแล้ว ก็จัดทหารห้าร้อยให้เตียวหุยคุมออกไปจากประตูด่าน ม้าเฉียวเห็นเตียวหุยออกมาก็ดีใจ จึงโบกธงเรียกทหารให้ถอยมา เตียวหุยเห็นดังนั้นก็ขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวงแล้วร้องว่า ตัวกูชื่อเตียวหุย ม้าเฉียวมึงรู้จักกูหรือไม่ ม้าเฉียวจึงร้องตอบว่า ตัวกูเปนเชื้อขุนนางมาหลายชั่วคนแล้ว เหตุใดกูจะรู้จักมึงอันเปนชาติชาวบ้านนอกทรพลนั้นไม่สมควร

เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ารบกับม้าเฉียวได้ร้อยเพลงก็ยังไม่แพ้ชนะกัน เล่าปี่เห็นดังนั้นชมฝีมือเตียวหุยกับม้าเฉียวว่า รบพุ่งกันรวดเร็วสมเปนทหารเสือ แล้วคิดเกรงว่าเตียวหุยจะเพลี่ยงพลํ้า จึงตีม้าฬ่อสัญญาขึ้นให้กลับเข้าค่าย เตียวหุยได้ยินก็ชักม้ากลับเข้ามาถอดเกราะเสีย หยุดพักอยู่ประมาณครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่ใส่เกราะขึ้นม้ากลับออกไป ร้องท้าทายม้าเฉียวเปนข้อหยาบช้า ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ารบกับเตียวหุยเปนสามารถ

เล่าปี่คิดเกรงว่าเตียวหุยจะเสียที ก็ใส่เกราะขึ้นม้าออกไปยืนอยู่หน้าทหาร เห็นเตียวหุยกับม้าเฉียวรบกันอยู่ประมาณร้อยเพลงจึงตีม้าฬ่อขึ้น เตียวหุยก็กลับมาหาเล่าปี่ ๆ จึงว่า พี่เกรงอยู่ว่าเจ้าจะเหนื่อยนัก จึงตีม้าฬ่อเรียกให้กลับมา หวังจะพาเจ้าเข้าไปหยุดอยู่ในค่าย เตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากอาสาจะทำการให้มีชัยชนะแก่ม้าเฉียว บัดนี้ก็ยังไม่แพ้ชนะกัน ครั้นจะหยุดอยู่ก็ป่วยการไป แล้วเตียวหุยขบฟันคำรามจะออกไปรบกับม้าเฉียว เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงห้ามเตียวหุยว่า เวลาวันนี้ก็เย็นแล้ว จงเข้าไปหยุดอยู่ให้สบายก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงค่อยออกรบต่อไป เตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าไม่เข้าไปแล้ว ถ้าท่านเห็นพลบคํ่าก็ให้จุดคบเพลิงขึ้น ข้าพเจ้าจะออกไปรบกับม้าเฉียวกว่าจะได้ชัยชนะ

ขณะเมื่อเล่าปี่ตีม้าฬ่อเรียกเตียวหุยถอยไปนั้น ฝ่ายม้าเฉียวก็กลับคืนมา ณ ค่าย คิดแค้นเตียวหุยอยู่เปนอันมาก จึงใส่เกราะแล้วเอาม้าตัวอื่นมาผูก แล้วขึ้นขี่ม้าพาทหารไปถึงหน้าด่าน จึงร้องด้วยกำลังโทโสว่า เวลาคํ่าวันนี้เตียวหุยจงเร่งออกมารบกับกู เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงเปลี่ยนเอาม้าเล่าปี่มาขี่ แล้วพาทหารออกไปร้องว่า เวลาคํ่าวันนี้แม้กูไม่จับม้าเฉียวได้กูไม่กลับเข้าด่านเลย ม้าเฉียวจึงร้องตอบว่า แม้เวลาวันนี้ ถ้ากูไม่มีชัยชนะแก่มึงกูก็หากลับไปค่ายไม่

ในขณะนั้นทหารทั้งสองฝ่ายจุดคบเพลิงขึ้นสว่างดังกลางวัน ม้าเฉียวกับเตียวหุยรบกันได้ยี่สิบเพลง ม้าเฉียวทำถอยหนีเตียวหุยขับม้าไล่ตามไปพลางคิดว่า ม้าเฉียวยังมิได้เพลี่ยงพลํ้าชักม้าหนีไปดังนี้ เห็นจะทำกลอุบายสิ่งใดเปนมั่นคง เตียวหุยคิดอ่านป้องกันตัวอยู่ ม้าเฉียวเห็นเตียวหุยไล่เข้ามาใกล้ จึงเอาตะบองเหลี่ยมเหวี่ยงเอาเตียวหุย ๆ เอาทวนปัดเสียได้ แล้วทำชักม้าถอยหนี ม้าเฉียวขับม้าไล่ตามไป เตียวหุยจึงกลับหน้ามาขึ้นเกาทัณฑ์ยิงม้าเฉียว ๆ ก็เอาทวนปัดลูกเกาทัณฑ์เสียได้ พอเวลาสองยามเศษม้าเฉียวก็กลับมายังที่ประชุมทหาร เตียวหุยก็กลับไปหาเล่าปี่ยังหน้าด่าน

เล่าปี่จึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง แล้วร้องประกาศหวังจะเอานํ้าใจม้าเฉียวว่า เวลาก็ดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้ว ท่านจงกลับไปหยุดพัก ณ ค่ายก่อนเถิด ต่อรุ่งเช้าจึงมารบกับเตียวหุย ม้าเฉียวได้ฟังก็พาทหารกลับมาค่าย เล่าปี่กับเตียวหุยก็กลับเข้าด่าน ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวหุยก็จัดแจงทหารจะออกไปรบม้าเฉียว พอม้าใช้มาบอกเล่าปี่ว่า บัดนี้ขงเบ้งตามมาถึงแล้ว เล่าปี่ได้ฟังมีความยินดี จึงออกไปรับขงเบ้งเข้ามา ขงเบ้งจึงว่า อันม้าเฉียวนั้นฝีมือกล้าหาญนัก แม้จะรบกับเตียวหุยฉนี้ อุปมาเหมือนหนึ่งเสือสองตัวสู้กัน เห็นจะเพลี่ยงข้างหนึ่งเปนมั่นคง ข้าพเจ้าจะขอคิดกลอุบายให้ม้าเฉียวเข้ามาหาท่านโดยดี เล่าปี่จึงว่า เราได้เห็นฝีมือม้าเฉียวแล้ว เราก็คิดอยู่จะใคร่ได้มาไว้ด้วย ซึ่งท่านว่านี้เรายินดีนัก แต่ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะได้ม้าเฉียวโดยดี

ขงเบ้งจึงว่า เตียวฬ่อนั้นมีนํ้าใจกำเริบจะตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าในเมืองฮันต๋ง มีที่ปรึกษาคนหนึ่งชื่อเอียวสง แลเอียวสงนั้นเปนคนโลภเห็นแต่จะได้สิ่งของต่าง ๆ ไว้เปนประโยชน์ของตัว ขอให้ท่านจัดสิ่งของอันตระการกับหนังสือให้คนลอบไปให้แก่เอียวสง ให้เอียวสงให้แก่เตียวฬ่อเปนใจความว่า ตัวท่านยกกองทัพมานี้จะตีเอาแต่เมืองเสฉวน หวังจะช่วยแก้แค้นซึ่งเล่าเจี้ยงให้ฆ่ามารดาเตียวฬ่อเสีย แม้เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนจะให้มาว่ากล่าวสิ่งใดแก่เตียวฬ่อ ก็อย่าให้เอาธุระเลย ถ้าท่านได้เมืองเสฉวนแล้ว จะตั้งใจบำรุงให้เตียวฬ่อขึ้นเปนเจ้าในเมืองฮันต๋งจงได้ แล้วให้เตียวฬ่อมีหนังสือมาหาตัวม้าเฉียวกลับไป แลเมื่อม้าเฉียวจะเลิกกองทัพกลับไปนั้น ข้าพเจ้าจะแต่งคนให้ไปสกัดเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวให้มาอยู่ด้วยท่านจงได้

เล่าปี่ได้ฟังมีความยินดี จึงให้แต่งหนังสือตามคำขงเบ้งว่า แล้วจัดเงินทองแพรอย่างดี ซึ่งจะเปนของกำนัลเอียวสงนั้น ให้ซุนเขียนถือหนังสือลอบลัดทางไปให้เอียวสง ณ เมืองฮันต๋ง ซุนเขียนครั้นมาถึงก็เข้าไปคำนับเอียวสงแล้วบอกว่า เงินทองแลสิ่งของทั้งนี้เล่าปี่ให้ข้าพเจ้านำมาให้ท่าน ๆ จงเห็นแก่ไมตรี ช่วยเอาหนังสือนี้เข้าไปให้เตียวฬ่อด้วย เอียวสงเห็นสิ่งของทั้งปวงก็มีใจยินดี เพราะเปนคนโลภ จึงพาตัวซุนเขียนผู้ถือหนังสือเข้าไปคำนับเตียวฬ่อแล้วบอกว่า บัดนี้เล่าปี่ให้มีหนังสือเปนทางไมตรีมาถึงท่าน เตียวฬ่อรับเอาหนังสือมาอ่านดู ครั้นแจ้งใจความแล้วจึงว่า ตัวเล่าปี่นั้นเปนแต่นายทหารกองนอก เหตุใดจึงบังอาจล่วงว่า จะช่วยทำนุบำรุงเราให้เปนเจ้านั้น เกินกำลังความคิดแลยศศักดิ์นัก

เอียวสงจึงว่า เล่าปี่นั้นเปนนายทหารก็จริง แต่เปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ นับถือว่าเปนอาว์ แล้วเล่าปี่จะพิททูลสิ่งใดพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ชอบพระอัชฌาสัย ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่ได้ออกปากไว้แล้ว ก็คงจะช่วยทำนุบำรุงท่านให้ขึ้นเปนเจ้าได้ เตียวฬ่อได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีเพราะใจกำเริบ จึงให้แต่งหนังสือไปหาตัวม้าเฉียวให้กลับมา ซุนเขียนก็ลาเตียวฬ่อออกมาอาศรัยอยู่ ณ บ้านเอียวสง หวังจะคอยฟังเนื้อความซึ่งม้าเฉียวจะกลับมาหรือไม่

ฝ่ายม้าใช้ซึ่งไปหาม้าเฉียวนั้น กลับมาบอกกับเตียวฬ่อว่าม้าเฉียวบอกตอบมาว่า จะขอทำการสงครามให้มีความชอบก่อน จึงจะเลิกกองทัพกลับมา เตียวฬ่อจึงให้ม้าใช้กลับไปหาตัวม้าเฉียวอีก ถึงสองครั้งสามครั้ง ม้าเฉียวก็ว่ายืนคำอยู่ เอียวสงรู้เนื้อความดังนั้นก็เข้าไปว่าแก่เตียวฬ่อว่า อันนํ้าใจม้าเฉียวนั้นเปนคนหากตัญญูไม่ ซึ่งท่านให้ไปหาตัวมิได้ยกกองทัพกลับมานั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าม้าเฉียวจะเอาใจออกหากท่านเปนมั่นคง ให้ท่านคิดอ่านระวังตัวจงดี แล้วเอียวสงก็ลาออกมา จึงแต่งคนสนิธให้ไปเที่ยวพูดจาว่ากล่าวแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า ม้าเฉียวนั้นเอาใจออกหากเตียวฬ่อ แล้วคิดอ่านจะไปตีเอาเมืองเสฉวน จะตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าเมือง จะซ่องสุมทหาร แล้วจะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋หวังจะแก้แค้นโจโฉซึ่งฆ่าม้าเท้งผู้เปนบิดาเสีย นั้น แลกิตติศัพท์ทั้งนี้รู้เข้าไปถึงเตียวฬ่อ ๆ นั้นมิได้รู้อุบายเอียวสง ก็คิดเกรงว่าม้าเฉียวนั้นได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะยกมาตีเมืองฮันต๋ง เตียวฬ่อจึงให้หาเอียวสงเข้ามาปรึกษาว่า ซึ่งเราให้หาม้าเฉียวไม่กลับมา แลอาณาประชาราษฎรก็เลื่องลือดังนี้ ท่านจะคิดประการใด

เอียวสงจึงว่า ม้าเฉียวไม่มานั้น ท่านจงให้มีหนังสือไปคาดโทษม้าเฉียวไว้เปนใจความสามข้อ ข้อหนึ่งให้ม้าเฉียวเร่งทำการรบพุ่งให้กองทัพเล่าปี่แตกไปจงได้ ข้อสองให้ม้าเฉียวเร่งยกไปตีเอาเมืองเสฉวนให้ได้ ข้อสามถึงมาทว่าเล่าเจี้ยงจะหนีออกจากเมือง ก็ให้ม้าเฉียวเร่งติดตามจับฆ่าเสียตัดสีสะมาให้เราจงได้ แลการทั้งสามข้อนี้แม้ม้าเฉียวทำได้ ก็จะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด ถ้าขัดแต่ข้อหนึ่งก็จะฆ่าเสีย แล้วให้เตียวโอยน้องท่านกับทหารไปตั้งขัดทัพอยู่ทุกด่านทั้งสี่ด่าน เกลือกม้าเฉียวจะมีใจขัดแค้นจะยกมาตีเอาเมืองเรา กองทัพทั้งนี้ก็จะได้ป้องกันไว้แต่ภายนอก เตียวฬ่อเห็นชอบด้วย ก็ให้เตียวโอยจัดแจงทหารไปตั้งรักษาอยู่ทั้งสี่ด่าน แล้วให้หนังสือคาดโทษให้ม้าใช้ถือไปถึงม้าเฉียวตามคำเอียวสงว่า

ฝ่ายม้าเฉียวครั้นแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงปรึกษากับม้าต้ายผู้น้องว่า เตียวฬ่อโกรธเราว่ามิเลิกกองทัพกลับไปตามหนังสือเดิม จึงคาดโทษมาให้เราทำการทั้งสามข้อนี้ให้ตลอด ถ้าไม่สำเร็จจะเอาโทษเราถึงตาย แลการทั้งสามข้อนี้เราจะทำไปตลอดหรือ จำจะเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋งตามคำเตียวฬ่อจึงจะพ้นโทษ ม้าต้ายเห็นชอบด้วย ม้าเฉียวก็ยกกลับไป

ฝ่ายเอียวสงครั้นรู้ว่าม้าเฉียวจะเลิกทัพกลับมา ก็แต่งคนให้ไปเที่ยวพูดจาแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า บัดนี้ม้าเฉียวคิดอ่านจะยกเข้ามาตีเอาเมืองฮันต๋ง แล้วเกณฑ์ทหารไปตั้งขัดทัพแซกเข้าอีก ทั้งเก่าใหม่เปนแปดด้านแล้วสั่งกำชับว่า อย่าให้ทหารม้าเฉียวแปลกปลอมเข้ามาได้ ฝ่ายม้าเฉียวครั้นยกทัพกลับมา เห็นทหารเตียวฬ่อขัดทัพอยู่ ครั้นจะเข้าไปในเมืองก็ไม่ได้ จะถอยออกไปก็เกรงว่าเตียวฬ่อจะมีความสงสัย ม้าเฉียวไม่รู้ที่จะคิดประการใดได้ มีความทุกข์เปนอันมาก

ฝ่ายขงเบ้งแจ้งว่าม้าเฉียวเปนทุกข์อยู่ดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้ม้าเฉียวจะเข้าไปหาเตียวฬ่อก็ไม่ได้ ครั้นจะถอยออกมาก็เกรงว่าเตียวฬ่อจะมีความสงสัย ม้าเฉียวนั้นสิ้นความคิดอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะขออาสาไปว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวให้มาอยู่ด้วยท่านจงได้ เล่าปี่จึงตอบว่าตัวท่านอุปมาเหมือนหนึ่งดวงใจเรา ซึ่งท่านจะไปเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวนั้น เกลือกจะมีความอันตรายสิ่งใดมา เราจะได้ความเดือดร้อน

ขณะเมื่อเล่าปี่ขงเบ้งว่ากล่าวยังไม่ตกลงกัน พอม้าใช้ถือหนังสือจูล่งมาให้เล่าปี่ ๆ รับเอาหนังสือนั้นมาอ่านดูเปนใจความว่า ลิอิ๋นชาวเมืองเสฉวนรู้จักกันมาแต่ก่อน บัดนี้สมัคเข้ามาอยู่ด้วยท่าน เล่าปี่ได้แจ้งในหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้หาตัวลิอิ๋นเข้ามาแล้วถามว่า เมื่อเล่าเจี้ยงจะให้รับเราเข้าไปปรึกษาการสงครามด้วย ตัวท่านได้ห้ามปรามเล่าเจี้ยงมิให้รับเราเข้าไป บัดนี้เอาใจออกหากเล่าเจี้ยงสมัคมาอยู่ด้วยเรานั้นด้วยเหตุอันใด

ลิอิ๋นจึงบอกว่า คำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดานกแม้จะทำรังอาศรัยก็ให้ดูต้นไม้อันร่มชิดจึงจะได้อยู่เปนสุข อนึ่งเกิดมาเปนชายก็ให้พึงพิเคราะห์ดูเจ้านายอันมีน้ำใจโอบอ้อมอารีจึงเข้า อยู่ด้วย จะได้มีความสุขสืบไป แลตัวข้าพเจ้าเปนบ่าวกินเข้าแดงของเล่าเจี้ยง ข้าพเจ้าจึงห้ามตามสติปัญญาเพราะมีใจกตัญญู เมื่อเล่าเจี้ยงมิฟังคำแล้ว ข้าพเจ้าก็มีความน้อยใจ ครั้นจะอยู่ด้วยสืบไปก็จะพลอยเปนอันตรายด้วย บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่าท่านมีใจอารีกว้างขวาง บันดาชาวเมืองเสฉวนมีใจรักใคร่ท่านเปนอันมาก อันการทั้งปวงซึ่งท่านคิดทำนั้นเห็นจะสำเร็จเปนมั่นคง ข้าพเจ้าจึงลอบหนีมาสมัคอยู่ด้วยท่าน

เล่าปี่จึงถามว่า ซึ่งท่านตั้งใจมาอยู่ด้วยเรานี้ จะคิดอ่านทำการสิ่งใดให้เปนประโยชน์แก่เราได้บ้าง ลิอิ๋นจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่า ม้าเฉียวนั้นจะเข้าไปหาเตียวฬ่อก็ไม่ได้ จะถอยมาก็เกรงกลัวอยู่ เห็นสิ้นคิดอยู่แล้ว อันม้าเฉียวนั้นกับข้าพเจ้าได้รู้จักกันมา ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวให้มาอยู่กับท่านให้จงได้ ขงเบ้งจึงว่า เราก็จัดหาผู้มีสติปัญญาซึ่งจะให้ไปเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวอยู่ แลท่านรับอาสานี้ดีนัก จงเร่งไปให้ได้การมาเถิด จะได้มีความชอบ

ลิอิ๋นก็รับคำเล่าปี่ขงเบ้งแล้วก็รีบไป ถึงกองทัพม้าเฉียวจึงบอกแก่ทหารว่า ตัวเราชื่อลิอิ๋นจะขอเข้าไปหาม้าเฉียว ทหารก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกม้าเฉียว ๆ แจ้งดังนั้นจึงว่า อันลิอิ๋นนั้นเปนคนช่างเจรจา ซึ่งมานี้มีประสงค์จะเกลี้ยกล่อมเรา แล้วก็จัดทหารซึ่งมีฝีมือยี่สิบคนถืออาวุธครบมือสั่งว่า ถ้าลิอิ๋นเข้ามาพูดจาอยู่ด้วยเรา แม้ท่านได้ยินเราว่าให้ลงมือแล้ว ทหารทั้งปวงจงเร่งจับลิอิ๋นฆ่าเสีย แล้วสับให้เนื้อนั้นจงละเอียดอย่าให้กากลืนแค้น ครั้นสั่งการเสร็จแล้ว ก็ให้ทหารออกไปหาตัวลิอิ๋นเข้ามา

ม้าเฉียวจึงถามลิอิ๋นด้วยเสียงอันดังว่า ตัวมาหาเราบัดนี้ด้วยเหตุสิ่งใด ลิอิ๋นจึงบอกว่า เรามานี้เพื่อจะเกลี้ยกล่อมท่าน ม้าเฉียวจึงตอบว่า ท่านจะเกลี้ยกล่อมประการใดจงว่าไปแต่ดี อันกระบี่ของเราซึ่งถืออยู่นี้พึ่งชำระใหม่ ถ้าท่านว่าไม่ชอบใจเรา ๆ ก็จะเอากระบี่นี้ลองสีสะท่าน

ลิอิ๋นได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า บัดนี้เราเห็นว่าภัยจะมาถึงตัวท่าน เราจึงมาช่วยหวังจะให้พ้นภัย ท่านกลับว่าจะเอากระบี่นั้นลองสีสะเราอีกเล่า แลกระบี่ของท่านซึ่งชำระไว้นั้นเห็นจะไม่ได้ลองสีสะเรา จะมีผู้อื่นเอาลองสีสะท่าน ม้าเฉียวจึงถามว่า ภัยสิ่งใดจะมาถึงเรา ลิอิ๋นจึงตอบว่า อันหญิงรูปงามถึงจะเอาเครื่องอันชั่วนุ่งห่มเข้า ใช่รูปนั้นจะหายงามไปก็หามิได้ ฝ่ายหญิงรูปชั่วเล่า แม้จะเอาเครื่องนุ่งห่มอันดีประดับเข้า ใช่รูปนั้นจะงามขึ้นก็หามิได้ เปนแต่ชศรีหน้าขึ้นหน่อยหนึ่ง อันดวงอาทิตย์นั้น ถ้าถึงกำหนดเที่ยงเมื่อใดรัศมีนั้นกล้าร้อนนัก อันพระจันทร์เล่าก็มีแสงสว่างบริสุทธิ์เมื่อวันเพ็ญ ครั้นแรมลงรัศมีนั้นก็โรยร่วงทุกวัน อันนี้เปนธรรมดาโลกบุรุษ บัดนี้ตัวท่านยังหนุ่มอยู่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญแลพระอาทิตย์เมื่อเที่ยง ทั้งรูปก็สมเปนทหารพอจะคิดการศึกสืบๆไป ฝ่ายโจโฉซึ่งฆ่าบิดาท่านเสีย ท่านก็ตั้งใจจะแก้แค้นให้ได้ อันตัวท่านครั้งนี้สิ้นคิดคับอกอยู่ ครั้นจะไปหาเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนก็ไม่ได้ ข้างเอียวสงเล่าก็ยุยงเตียวฬ่อ ๆ ก็ให้ทหารมาตั้งขัดทัพอยู่หลายตำบล ท่านจะเข้าไปแจ้งเนื้อความให้เตียวฬ่อเห็นจริงก็ขัดสน ครั้นท่านจะคิดอ่านตีกองทัพเล่าปี่ให้แตกไปจะได้เปนความชอบในเตียวฬ่อก็ไม่ ได้ เมื่อท่านเข้าอยู่ในหว่างกองเพลิงฉนี้ จะคิดอ่านประการใด เราเห็นว่าซึ่งท่านจะตั้งขึงอยู่ดังนี้ ภัยก็จะมีถึงท่านเปนมั่นคง ครั้งท่านไปรบตำบลแม่น้ำอุยโหเสียทีโจโฉมานั้น ก็ได้ความลำบากนัก ครั้งนี้ถึงมาทว่าท่านจะไม่ตาย เราเห็นว่าจะได้ความอัปยศยิ่งกว่าครั้งนั้นอีก จะดูหน้าคนก็ไม่เต็มตา เราจึงมาช่วยว่ากล่าวเพราะเหตุนี้

ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็คลายความโกรธทิ้งกระบี่เสีย ก็ลุกขึ้นคำนับลิอิ๋นแล้วว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวทั้งนี้ควรนัก แต่ตัวเราอยู่ในที่คับขันไม่เห็นช่องที่จะไปแห่งใดได้เลย แม้ท่านเอนดูช่วยแนะนำให้เราจะได้ทำตาม ลิอิ๋นจึงตอบว่า เราจะช่วยแนะให้พอจะได้อยู่ แต่ทหารของท่านให้ถืออาวุธเตรียมไว้คอยจะทำร้ายเรา ๆ จะบอกกะไรได้ ม้าเฉียวจึงขับทหารทั้งนั้นออกไปเสียภายนอก ลิอิ๋นจึงว่า เล่าปี่นั้นเปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทั้งมีน้ำใจอารีกว้างขวางคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข อนึ่งม้าเท้งบิดาท่านเมื่อครั้งอยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น ก็ได้ร่วมคิดกันกับเล่าปี่ว่าจะช่วยกันคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย การนั้นยังไม่สำเร็จ บัดนี้ตัวท่านก็เข้าตาจนอยู่ ถ้าจะสมัคไปอยู่ด้วยเล่าปี่ช่วยคิดอ่านทำการกำจัดโจโฉเสีย ท่านก็จะได้คลายความแค้นด้วย ทั้งชื่อเสียงท่านก็จะปรากฎไปภายหน้า

ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้หาตัวเอียวเป๊กซึ่งเปนทหารเตียวฬ่อเข้ามาแล้วก็ฆ่าเสียตัดสีสะเอียว เป๊ก แล้วพาลิอิ๋นกับทหารทั้งปวงไปณด่านแฮบังก๋วน ฝ่ายเล่าปี่ครั้นรู้ว่าลิอิ๋นพาม้าเฉียวมาก็มีใจยินดี จึงออกไปรับเข้ามา ม้าเฉียวคำนับเล่าปี่แล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้าได้มาอยู่ด้วยท่านผู้มีสติปัญญานี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก อุปมาเหมือนอยู่ที่มืดมีผู้นำมาให้ถึงที่สว่าง แลการสิ่งใดของท่านนั้น ข้าพเจ้าจะอาสาไปตามสติปัญญากว่าจะสิ้นชีวิต ขณะนั้นซุนเขียนรู้ว่าม้าเฉียวมาอยู่กับเล่าปี่แล้ว ก็ลาเอียวสงกลับมาบอกแก่เล่าปี่ทุกประการ

เล่าปี่จึงให้เบ้งตัดกับฮักจุ้นอยู่รักษาด่าน แล้วให้จัดแจงทแกล้วทหารยกกลับไปจะตีเมืองเสฉวน ครั้นมาถึงเมืองกิมก๊ก จูล่งฮองตงรู้ดังนั้นก็ออกมารับเล่าปี่เข้าไปในเมืองแล้วบอกว่า บัดนี้เล่าเจี้ยงให้เล่ายวนกับม้าหั้นคุมทหารมาเปนอันมาก ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดสีสะนายทหารทั้งสองมาให้ท่าน เล่าปี่ก็ยอมให้ไป จูล่งก็ขี่ม้าพาทหารออกไปจากเมืองกิมก๊ก ได้รบกับนายทหารทั้งสอง ฝ่ายเล่าปี่อยู่ในเมืองให้แต่งโต๊ะจะเลี้ยงม้าเฉียวยังไม่ทันสำเร็จ พอจูล่งหิ้วสีสะเล่ายวนเข้ามาให้ ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ตกใจคิดว่าจูล่งนายทหารนี้มีฝีมือรวดเร็วนัก ม้าเฉียวยิ่งยำเกรงเล่าปี่เปนอันมาก จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันเมืองเสฉวนนั้น ท่านอย่าได้ยกกองทัพไปให้ได้ความลำบากแก่ทหารทั้งปวงเลย ข้าพเจ้าจะอาสาไปว่ากล่าวเล่าเจี้ยงให้มาอ่อนน้อมโดยดี แม้เล่าเจี้ยงขัดแขงอยู่ ข้าพเจ้ากับม้าต้ายผู้น้องจะคุมทหารไปตีเอาเมืองเสฉวนให้ท่านจงได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเลี้ยงดูกันสำเร็จแล้ว นายทหารทั้งปวงก็ลาไปยังที่สำนัก

ฝ่ายทหารซึ่งมาในกองทัพเล่ายวนม้าหั้นนั้น แตกไปบอกเล่าเจี้ยงทุกประการ เล่าเจี้ยงแจ้งดังนั้นก็ตกใจ ให้ปิดประตูเมืองเสีย ให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เปนมั่นคง ขณะนั้นม้าเฉียวก็ลาเล่าปี่ยกกองทัพไปเมืองเสฉวน ทหารบนหน้าที่เชิงเทินเห็นม้าเฉียวยกมา ก็เข้าไปบอกแก่เล่าเจี้ยงว่า ม้าเฉียวยกกองทัพมาตั้งอยู่ริมคูเมือง เล่าเจี้ยงจึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน ฝ่ายม้าเฉียวเหลือบขึ้นไปเห็น จึงร้องเรียกเชิญเล่าเจี้ยงให้เยี่ยมหน้าออกมาข้าพเจ้าจะเจรจาด้วย

เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็เยี่ยมออกไปแล้วร้องถามว่า ท่านจะพูดเนื้อความสิ่งใดก็เร่งว่ามาเถิด ม้าเฉียวจึงว่า เดิมเราคุมทหารเตียวฬ่อไปทำสงครามกับเล่าปี่หวังจะช่วยป้องกันเมืองท่าน ฝ่ายเอียวสงยุยงเตียวฬ่อให้มีความสงสัยเรา ๆ จึงพาทหารไปอยู่ด้วยเล่าปี่ ตัวท่านจงเร่งคิดอ่านออกมานบนอบยกเมืองให้เล่าปี่โดยดี อันตรายจึงจะไม่มีถึงท่าน แลไพร่บ้านพลเมืองจะได้อยู่เย็นเปนสุข แม้ท่านขัดขวางอยู่ ตัวเรานี้จะอาสาเล่าปี่ตีเอาเมืองเสฉวนให้ได้

เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสลบลง ที่ปรึกษากับทหารทั้งปวงช่วยกันแก้ฟื้นขึ้น เล่าเจี้ยงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า การทั้งนี้เรามิได้ตรึกตรองให้ตลอดก่อนจึงเสียที บัดนี้ครั้นจะคิดอ่านสู้รบเล่า การก็จวนตัวถึงเพียงนี้ เราเอ็นดูแก่อาณาประชาราษฎรหวังจะมิให้ได้ความเดือดร้อน คิดจะออกไปนบนอบยกเมืองให้เล่าปี่ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ตั๋งโหจึงว่า อันทหารในเมืองเราก็มีอยู่ถึงสามหมื่นเศษ ทั้งเข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ พอจะเลี้ยงทแกล้วทหารไปได้สักปีหนึ่ง ซึ่งท่านจะยกเมืองให้เล่าปี่โดยง่ายนั้นไม่ควร

เล่าเจี้ยงจึงตอบว่า บิดาเรากับตัวเรานี้ได้มาอยู่ในเมืองเสฉวนถึงยี่สิบสามสิบปีแล้ว ไพร่บ้านพลเมืองก็มิได้ความเดือดร้อนสิ่งใด ครั้งนี้เล่าปี่ก็ยกกองทัพมาทำอันตรายหัวเมืองขึ้นเข้ามาจนถึงด่านเมืองเรา ราษฎรทั้งปวงก็ได้ความเดือดร้อนมาถึงสามปีแล้ว ตัวเรามีใจเอ็นดูแก่อาณาประชาราษฎรจึงคิดอ่านจะไปอ่อนน้อมแก่เล่าปี่ เจาจิ๋วที่ปรึกษาจึงว่า ท่านคิดนี้ชอบ อนึ่งข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นหายไป มีดาวดวงใหญ่ขึ้นแทนที่รัศมีสว่างดังพระจันทร์ มีดาวน้อยล้อมเปนบริวารอยู่หลายดวง แล้วข้าพเจ้าได้ยินเด็ก ๆ ในเมืองเสฉวนทำเพลงเล่นว่า แม้ผู้ใดจะใคร่กินเข้าใหม่จงคอยให้เจ้าใหม่มาครองเมืองเถิด ก็จะได้กินสมความคิด

อุยก๋วนเล่าป๊าได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกจะฆ่าเจาจิ๋วเสีย เล่าเจี้ยงก็เข้าห้ามปรามไว้ พอคนใช้บอกเล่าเจี้ยงว่า เคาเจ้งซึ่งเปนปลัดนั้นลอบหนีออกไปเข้าด้วยเล่าปี่ เล่าเจี้ยงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเสียใจร้องไห้แล้วกลับเข้าไปที่ข้างใน ครั้นเวลารุ่งเช้านายประตูเข้ามาบอกเล่าเจี้ยงว่า บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพมาจากด่านแฮบังก๋วน ตั้งอยู่นอกเมือง ให้กันหยงมาหาท่าน เล่าเจี้ยงจึงสั่งให้เปิดประตูเมืองรับเข้ามา นายประตูก็ออกไปเปิดประตูรับ

ฝ่ายกันหยงนั้นก็ขี่เกวียนเข้าไปในท่ามกลางเมือง จิ๋นปี่เห็นดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกแกว่งแล้วร้องว่าแก่กันหยงว่า ตัวมึงชาติต่ำเหตุใดจึงบังอาจขี่เกวียนเข้ามาถึงในเมือง มึงดูหมิ่นว่าในเมืองเสฉวนนี้ไม่มีคนดีหรือจึงโอหังทำดังนี้ กันหยงได้ฟังดังนั้นก็ลงจากเกวียนคำนับถามชื่อเสียงกันแล้วกันหยงจึงว่า ข้าพเจ้าประมาทไปจึงขี่เกวียนเข้ามาถึงในเมือง ท่านอย่าได้ถือโทษเลย จิ๋นปี่นั้นคลายโกรธจึงพากันหยงเข้าไปหาเล่าเจี้ยง กันหยงจึงคำนับเล่าเจี้ยงแล้วว่า เล่าปี่นั้นมีใจกรุณาแก่ราษฎรเปนอันมาก แม้ท่านตั้งใจประนอมต่อเล่าปี่โดยสุจริต เล่าปี่ก็จะมิได้ทำสิ่งใดแก่ท่าน

เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้น ก็พเอิญยำเกรงเล่าปี่เปนอันมาก จึงว่าเปนคำขาดแก่ทหารทั้งปวงว่าผู้ใดอย่าได้ขัดขวางเราเลย เราจะทำนุบำรุงราษฎรทั้งปวงให้ได้ความสุขสืบไป บัดนี้เราจะออกไปนบนอบแก่เล่าปี่ แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูกันหยง ครั้นเลี้ยงดูสำเร็จแล้ว ก็เอาตราสำหรับที่แลสิ่งของอันตระการพาทหารออกไปคำนับเล่าปี่ ณ ค่าย เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ลงไปจูงเอามือเล่าเจี้ยงขึ้นมาที่ข้างบน เล่าปี่ร้องไห้พรางว่าแก่เล่าเจี้ยงว่า ตัวเรานี้มีใจสุจริตคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุขสืบไป ซึ่งมาทำการทั้งนี้เปนความจำใจ ครั้นจะไม่ทำฉนี้เล่า การซึ่งคิดไว้ก็จะไม่ตลอด ท่านจงเห็นแก่แผ่นดินซึ่งได้ความเดือดร้อนอยู่นี้เถิด อย่าได้คิดถือโทษแก่เราเลย

เล่าเจี้ยงจึงตอบว่า ธรรมดาผู้จะทำนุบำรุงแผ่นดินก็จำทำเหมือนท่านนี้ ข้าพเจ้าหาถือโกรธไม่ แล้วก็เอาตราสำหรับเมืองแลสิ่งของทั้งปวงให้แก่เล่าปี่ ๆ มีความยินดี รับเอาตราสำหรับเมืองไว้ เล่าเจี้ยงจึงเชิญเล่าปี่กับทหารทั้งปวงเข้าไปในเมือง แลชายหญิงชาวเมืองเสฉวนเห็นเล่าปี่เข้ามามีความยินดี จุดธูปเทียนบูชาเล่าปี่ไปทั้งสองข้างทาง เล่าปี่ครั้นมาถึงที่ว่าราชการ เห็นที่ปรึกษาแลนายทหารเล่าเจี้ยงนั้นมาคำนับเล่าปี่สิ้นทุกคน แต่อุยก๋วนเล่าป๊านั้นมิได้มาคำนับเล่าปี่

ฝ่ายทหารเล่าปี่รู้ดังนั้น ก็ชวนกันจะไปจับตัวอุยก๋วนเล่าป๊ามาฆ่าเสีย เล่าปี่ได้ยินทหารชวนกันดังนั้น ก็แกล้งสั่งว่าให้ฆ่าเสียทั้งพวกพี่น้องด้วย แล้วเล่าปี่ก็รีบตามทหารทั้งปวงไป ครั้นถึงบ้านอุยก๋วนเล่าป๊า เล่าปี่จึงห้ามทหารทั้งปวงไว้ แล้วแกล้งร้องประกาศหวังจะให้ได้ยินตระหนักว่า อันอุยก๋วนเล่าป๊านั้นมีความสัตย์ซื่อต่อนายนัก ควรเราจะเลี้ยงสืบไป อย่าให้ทหารทั้งปวงทำอันตรายแม้แต่ด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งเปนอันขาดที เดียว ถ้าผู้ใดไม่ฟังเราจะให้ลงโทษถึงตาย อุยก๋วนเล่าป๊าได้ฟังเล่าปี่ร้องประกาศดังนั้น ก็ปรึกษากันว่าเล่าปี่มีนํ้าใจโอบอ้อมอารีเหมือนคำเขาเลื่องลือจริง ควรที่เราจะไปทำราชการด้วย แล้วก็ชวนกันออกมาคำนับเล่าปี่ ๆ ก็พาอุยก๋วนเล่าป๊ากลับมา แล้วตั้งให้คงที่อยู่ดังเก่า

ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันเมืองเสฉวนนี้ก็ราบคาบอยู่แล้ว ซึ่งจะเปนเจ้าเมืองเสฉวนอยู่สองคนนี้ไม่ควร ท่านจงให้เล่าเจี้ยงไปอยู่เมืองเกงจิ๋วเถิด เล่าปี่จึงว่า ตัวเราพึ่งได้เมืองเสฉวน ครั้นจะให้เล่าเจี้ยงไปอยู่เมืองเกงจิ๋ว คนทั้งปวงก็จะคระหานินทาเราว่า แกล้งเสือกไสเล่าเจี้ยงเสียจากเมืองเสฉวน

ขงเบ้งจึงว่า อันเล่าเจี้ยงนั้นความคิดน้อย ทั้งเปนคนเสียน้ำใจ แม้จะเอาไว้ในเมืองเสฉวนนี้นานไปเกลือกมีคนยุยงเล่าเจี้ยงก็จะฟังคำ ตัวท่านก็จะได้ความเคืองใจ เล่าปี่เห็นชอบด้วย ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเล่าปี่ก็ให้เชิญเล่าเจี้ยงมากินโต๊ะ แล้วว่าแก่เล่าเจี้ยงว่า เราจะให้ท่านไปอยู่เมืองกองอั๋น เล่าเจี้ยงก็รับคำ เล่าปี่จึงให้แต่งตราตั้งเล่าเจี้ยงชื่อจิวหวุยจงกุ๋น ให้พาครอบครัวไปอยู่เมืองกองอั๋น ซึ่งขึ้นแก่เมืองลำกุ๋นในแดนเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ส่งตราให้เล่าเจี้ยงแล้วว่า เงินทองแลทรัพย์สิ่งสินของท่านนั้นจงเอาไปด้วยให้สิ้นเถิด เล่าเจี้ยงรับเอาตราลาเล่าปี่แล้ว พาครอบครัวแลพรรคพวกไป ณ เมืองกองอั๋น

ฝ่ายเล่าปี่เมื่ออยู่ในเมืองเสฉวน บันดาที่ปรึกษาแลทหารของเล่าเจี้ยงนั้น เล่าปี่ตั้งให้เปนขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนสิ้น แต่หวดเจ้งนั้นเปนปลัดเมืองเสฉวน แล้วเล่าปี่ตั้งให้ขงเบ้งเปนอาจารย์ผู้ใหญ่สำหรับสั่งสอน กวนอูนั้นให้เปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แลเตียวหุยจูล่งอุยเอี๋ยนฮองตงม้าเฉียวห้าคนนี้เปนนายทหารเอก ซุนเขียนกันหยงบิต๊กบิฮองกวนเป๋งจิวฉองเล่าฮองเลียวหัวม้าเจ๊กม้าเลี้ยง เจียวอ้วนอิเจี้ย แลคนทั้งนี้ให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แล้วปูนบำเหน็จรางวัลเปนอันมาก แต่จิวฉองกวนเป๋งนั้นให้ไปอยู่ช่วยราชการกวนอู ณ เมืองเกงจิ๋ว แล้วเล่าปี่ให้จัดทองห้าร้อยชั่ง เงินพันชั่ง อิแปะห้าพันหมื่น แพรอย่างดีพันพับ ให้ทหารคุมไปเปนบำเหน็จกวนอู ณ เมืองเกงจิ๋ว แล้วให้แจกบันดาทหารเลวทั้งสิ้นทุกคน

ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่จึงให้ไขยุ้งฉาง เอาเข้าปลาอาหารแจกไพร่บ้านพลเมือง ขุนนางแลทหารกับอาณาประชาราษฎรในเมืองเสฉวนนั้นก็มีความสุขหาอันตรายมิได้ แล้วเล่าปี่จึงสั่งว่า เรือกสวนไร่นาซึ่งมิได้มีผู้ใดจับจองทำมาหากินนั้น ให้แบ่งให้แก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเปนกำลังราชการสืบไป จูล่งจึงว่า เมืองเสฉวนนี้มีศึก ราษฎรทั้งปวงพลัดพรากจาภูมิ์ลำเนาที่ทำมาหากิน ซึ่งจะเอาเรือกสวนไร่นามาแบ่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยนั้น ราษฎรซึ่งเปนเจ้าของนั้นก็จะได้ความเดือดร้อน ท่านจงให้ป่าวร้องไพร่บ้านพลเมืองว่า ภูมิ์ลำเนาแลเรือกสวนไร่นาของผู้ใดก็ให้เข้าอยู่ทำมาหากินดังเก่า ราษฎรจึงจะมีความสุขสืบไป เล่าปี่เห็นชอบด้วย ก็ให้ทหารไปประกาศป่าวร้องแก่ราษฎรทั้งปวงตามคำจูล่งว่า

เล่าปี่จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า กฎหมายสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเราจะให้เลิกเสีย ท่านจงเร่งแต่งกฎหมายใหม่สำหรับเมือง แต่ให้คาดโทษนั้นให้หนักขึ้นกว่าเก่าคนทั้งปวงจึงจะกลัวเกรงจะได้ทำตาม กฎหมาย บ้านเมืองจึงจะราบคาบสืบไป หวดเจ้งจึงว่า ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้เสวยราชสมบัตินั้น ให้แต่งกฎหมายคาดโทษผู้กระทำผิดไว้เปนประมาณ มาจนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้ท่านจะให้แต่งกฎหมายคาดโทษผู้ลเมิดให้หนักขึ้นกว่าเก่านั้น ข้าพเจ้าเห็นราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อน ขอให้ผ่อนลงแต่พอประมาณตามกฎหมายเก่า

ขงเบ้งจึงตอบว่า อันความคิดท่านนี้เห็นชั้นเดียว ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจให้แต่งกฎหมายไว้ได้ใช้ต่อมาถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านเห็นว่าขุนนางแลหัวเมืองปรกติอยู่หรือ อันเล่าเจี้ยงเล่าก็เปนคนความคิดน้อย หาอาชญาข่มขี่มิได้ แม้รักผู้ใดถึงหาสติปัญญาไม่ ก็ตั้งแต่งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ แลผู้นั้นมีน้ำใจกำเริบละกฎหมายเสีย ข่มเหงอาณาประชาราษฎรแต่ตามอำเภอใจ ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนจนเสียเมือง ครั้งนี้เราจึงให้เลิกกฎหมายเก่าเสีย ให้คาดโทษผู้ทำผิดให้หนักขึ้น หวังจะให้คนทั้งปวงตั้งใจทำความชอบ แม้ขุนนางแลราษฎรเห็นผู้ใดทำความชอบมีบำเหน็จ ก็จะละความชั่วของตัวเสีย จะได้ดูเยี่ยงอย่างกันทำตามกฎหมายก็จะมีความชอบขึ้น บ้านเมืองก็จะค่อยปรกติราบคาบไป หวดเจ้งเห็นด้วยก็คำนับเล่าปี่ขงเบ้งว่าชอบแล้ว

ขงเบ้งจึงแต่งกฎหมายใหม่ตามธรรมเนียมแผ่นดิน แต่คาดโทษนั้นหนักขึ้นกว่าเก่า แล้วให้แจกไปแก่เมืองโทสี่สิบเอ็ดหัวเมือง ซึ่งขึ้นแก่เมืองเสฉวน เจ้าเมืองทั้งนั้นแลเมืองตรีจัตวา ซึ่งขึ้นต่อ ๆ กันทั้งร้อยเศษเมืองนั้นก็ทำตามกฎหมายสิ้น ราษฎรทั้งปวงก็มีความสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเล่าปี่ออกว่าราชการ พอคนใช้เข้ามาบอกเล่าปี่ว่า บัดนี้กวนอูใช้ให้กวนเป๋งมาคำนับท่าน เล่าปี่จึงให้หาตัวกวนเป๋งเข้ามา กวนเป๋งคำนับแล้วบอกเนื้อความว่า กวนอูบิดาข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยท่านปูนบำเหน็จไปนั้น จึงให้ข้าพเจ้ามาคำนับ ข้อหนึ่งบิดาข้าพเจ้าสั่งว่า ได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือว่า ม้าเฉียวนั้นฝีมือกล้าหาญนักหาผู้เสมอมิได้ บิดาข้าพเจ้าจะขอมาต่อสู้กับม้าเฉียว

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษาขงเบ้งว่า กวนอูจะมาลองฝีมือม้าเฉียวนั้น ถ้าผู้ใดเพลี่ยงพลํ้าก็จะมีพยาบาทกันไป ท่านจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขอแต่งหนังสือไปถึงกวนอูให้คลายอิจฉาจงได้ เล่าปี่จึงว่า ครั้นจะนิ่งอยู่ช้ากวนอูมาถึงเนื้อความก็จะฟุ้งซ่านไป ท่านจงเร่งแต่งหนังสือให้กวนเป๋งถือกลับไป ขงเบ้งก็แต่งหนังสือสรรเสริญกวนอู เข้าผนึกแล้วส่งให้กวนเป๋ง ๆ ก็รับเอาหนังสือ แล้วลาเล่าปี่กลับไปเมืองเกงจิ๋ว ครั้นถึงจึงบอกเนื้อความแก่บิดาตามซึ่งได้ว่ากล่าวนั้นทุกประการ แล้วเอาหนังสือยื่นให้

กวนอูรับเอาหนังสืออ่านดูใจความว่า ขงเบ้งอวยพรมาถึงจงกุ๋นกวนอู ด้วยเรารู้ว่าท่านมีความวิตกด้วยม้าเฉียวนั้นไม่ควร อันฝีมือม้าเฉียวนี้เปรียบเสมอแต่กับเตียวหุยน้องท่าน แลการกลศึกนั้นฝีมือท่านยิ่งกว่าม้าเฉียวเปนอันมาก ซึ่งท่านจะละเมืองเกงจิ๋วเสีย จะมาลองฝีมือกับม้าเฉียวนั้นไม่ได้ เกลือกมีอันตรายมาถึงเมืองเกงจิ๋วโทษก็จะมีแก่ท่าน ซึ่งว่ามาทั้งนี้ท่านดำริห์ดูจงควร ครั้นแจ้งในหนังสือแล้วก็มีความยินดี คิดว่าขงเบ้งนั้นสมควรเปนอาจารย์สั่งสอนเรา จึงเอาหนังสือให้ขุนนางแลทหารทั้งปวงดูแล้วว่า เดิมเราวิตกอยู่ว่าม้าเฉียวนั้นมีฝีมือกล้าหาญนักคิดจะใคร่ไปลองดูฝีมือ บัดนี้เราก็สิ้นวิตกแล้ว


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 53

https://drive.google.com/file/d/1ZToCZpmd4SZZktaw0GBik0Fn7fhxUUEA/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #3 on: 23 December 2021, 14:48:50 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 54


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-54.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 54

เนื้อหา
 • ซุนกวนให้จูกัดกิ๋นไปทวงเมืองเกงจิ๋ว
 • โลซกให้เชิญกวนอูมากินโต๊ะ
 • โจโฉเตรียมจะมาตีเมืองกังตั๋ง
 • พระเจ้าเหี้ยนเต้กับนางฮกเฮาคิดกำจัดโจโฉ
 • โจโฉยกบุตรีของตนเป็นอัครมเหสีพระเจ้าเหี้ยนเต้
 • โจโฉตีเมืองฮันต๋งได้บังเต๊กเป็นทหารเอก


ฝ่าย ซุนกวนครั้นแจ้งกิตติศัพท์ว่า เล่าปี่ไปได้เมืองเสฉวนแล้ว ให้เล่าเจี้ยงมาอยู่เมืองกองอั๋น จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋วไว้เปนที่อาศรัย เราจะให้ไปทวงคืนไว้ให้ขึ้นแก่เมืองเรา แม้เล่าปี่ขัดขวางอยู่ไม่ให้ เราก็จะยกกองทัพไปตีเอาเมืองไว้ให้จงได้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

เตียวเจียวจึงว่า การศึกเมืองเราพึ่งสงบลง ทแกล้วทหารก็ยังอิดโรยอยู่ ซึ่งจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วนั้นขอให้งดไว้ก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านให้เล่าปี่ยกเมืองเกงจิ๋วให้ท่านโดยดี ซุนกวนจึงถามว่า ท่านจะคิดประการใด เตียวเจียวจึงว่า อันเล่าปี่คิดทำการทั้งปวงนั้น ก็เพราะความคิดขงเบ้ง อันขงเบ้งนั้นเปนน้องจูกัดกิ๋น ขอให้ท่านเอาครอบครัวจูกัดกิ๋นใส่คุกไว้ แล้วให้จูกัดกิ๋นไปว่าแก่ขงเบ้งให้เร่งคืนเมืองเกงจิ๋วให้ท่าน เห็นขงเบ้งจะเสียพี่ชายไม่ได้ ก็จะว่าให้เล่าปี่คืนเมืองเกงจิ๋วให้ท่านโดยง่าย

ซุนกวนจึงตอบว่า จูกัดกิ๋นเปนคนสัตย์ซื่อ แล้วก็หาความผิดมิได้ ครั้นเราจะทำเหมือนท่านว่า จูกัดกิ๋นจะน้อยใจ ประการหนึ่งคนทั้งปวงก็จะคระหานินทาเรา เตียวเจียวจึงว่า แม้ท่านจะทำแล้ว จงบอกจูกัดกิ๋นเสียก่อน ซึ่งท่านจะทำโทษครอบครัวนั้นเปนกลอุบายดอกอย่าให้น้อยใจเลย จูกัดกิ๋นเปนคนมีสติปัญญาก็จะทำตามคำท่าน ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงให้หาจูกัดกิ๋นมาบอกเนื้อความทั้งปวงตามคำเตียวเจียวแล้ว แต่งหนังสือส่งให้จูกัดกิ๋น จึงให้เอาครอบครัวจูกัดกิ๋นจำใส่คุกไว้ จูกัดกิ๋นก็รับเอาหนังสือ แล้วก็ลาซุนกวนไป ณ เมืองเสฉวน จึงบอกเนื้อความทั้งปวงแก่นายทหาร ๆ ก็เข้าไปบอกเล่าปี่ บัดนี้จูกัดกิ๋นจะเข้ามาหาท่าน

เล่าปี่แจ้งดังนั้นจึงถามขงเบ้งว่า จูกัดกิ๋นพี่ท่านจะมาหาเรานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ขงเบ้งจึงบอกว่า ซุนกวนใช้ให้พี่ข้าพเจ้ามาทวงเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่จึงถามว่า เมื่อฉนี้ท่านจะให้ตอบประการใด ขงเบ้งจึงค่อยกระซิบบอกเล่าปี่ให้โต้ตอบพี่ชาย แล้วขงเบ้งก็ออกไปคำนับรับจูกัดกิ๋นเข้าไว้ณตึกรับแขก จูกัดกิ๋นทำแกล้งร้องไห้สอื้นไปเปนอันมาก ขงเบ้งจึงแกล้งถามว่า พี่มาเห็นหน้าข้าพเจ้าแล้วเหตุใดจึงร้องไห้ฉนี้เล่า จูกัดกิ๋นจึงว่า บัดนี้ซุนกวนจับบุตรภรรยาพี่ไปจำไว้ เห็นจะถึงแก่ความตายสิ้น ขงเบ้งจึงว่า เปนเหตุทั้งนี้เพราะซุนกวนจะคืนเอาเมืองเกงจิ๋วจึงให้ทำฉนี้ แล้วถามว่าซุนกวนให้มาหรือ ๆ พี่หนีมา จูกัดกิ๋นจึงบอกว่า ซุนกวนใช้พี่ถือหนังสือมาให้เล่าปี่ ขงเบ้งจึงว่าอย่าวิตกเลย เราจะพากันเข้าไปหาเล่าปี่ แล้วข้าพเจ้าจะว่ากล่าวให้เล่าปี่คืนเมืองเกงจิ๋วให้ซุนกวน จูกัดกิ๋นได้ฟังก็มีความยินดี

ขงเบ้งจึงพาจูกัดกิ๋นเข้าไปคำนับเล่าปี่ แล้วจูกัดกิ๋นก็เอาหนังสือนั้นยื่นให้เล่าปี่ ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า เดิมเล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋วไว้เปนที่อาศรัย บัดนี้ถึงสัญญาแล้วซุนกวนจะคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่แจ้งในหนังสือแล้วก็โกรธ จึงตอบตามคำขงเบ้งกระซิบบอกไว้ว่า เดิมซุนกวนยกน้องสาวให้เปนภรรยาเรา ๆ ก็ได้พามาไว้ ณ เมืองเกงจิ๋ว ครั้นเรายกมาเมืองเสฉวน ซุนกวนมิได้เกรงใจเรา ทำกลมาล่อลวงพาภรรยาเราไปไว้ ณ เมืองกังตั๋ง บัดนี้ยังซ้ำให้มาว่าจะคืนเมืองเกงจิ๋วอีกเล่า แลซุนกวนคิดอ่านทำการทั้งนี้หาสมเปนผู้ใหญ่ไม่ เราคิดอยู่ว่าจะยกกองทัพไปรบเมืองกังตั๋งให้ได้

ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนร้องไห้รํ่าว่าแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้ซุนกวนให้จับบุตรภรรยาพรรคพวกพี่ข้าพเจ้าจำไว้ หวังจะคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว แม้ไม่ได้ก็จะทำอันตรายแก่พี่ข้าพเจ้าแลบุตรภรรยาให้ถึงสิ้นชีวิต ถ้าพี่ข้าพเจ้าตายแล้วเห็นข้าพเจ้าจะตายด้วย ท่านจงเอ็นดูคืนเมืองเกงจิ๋วให้ซุนกวนเถิด จูกัดกิ๋นกับข้าพเจ้าจะได้มีชีวิตสืบไป เล่าปี่แกล้งทำบิดพลิ้วไว้ไม่ยอม ขงเบ้งก็ทำร้องไห้อ้อนวอนเล่าปี่ไปเปนช้านาน เล่าปี่จึงว่า เมืองเกงจิ๋วนั้นมีเมืองโทขึ้นหกหัวเมือง เราเสียไม่ได้เพราะเห็นแก่หน้าท่าน เราจะคืนแต่เมืองเตียงสา เมืองเลงเหลง เมืองฮุยเอี๋ยงสามตำบลนี้แบ่งให้ซุนกวนกึ่งหนึ่ง

ขงเบ้งก็ทำเปนยินดีจึงว่า ถ้าท่านเอนดูดังนั้นแล้ว จงแต่งหนังสือให้จูกัดกิ๋นถือไปถึงกวนอูให้แจ้ง จะได้แบ่งเมืองสามตำบลให้แก่ซุนกวน เล่าปี่ให้แต่งหนังสือเปนใจความว่า เล่าปี่ให้ยกเมืองเตียงสา เมืองเลงเหลง เมืองฮุยเอี๋ยง ซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋วนั้นให้แก่ซุนกวน ครั้นแต่งเสร็จแล้วก็ส่งให้จูกัดกิ๋นแล้วว่า เมื่อท่านจะไปหากวนอูนั้น จงนบนอบว่ากล่าวแต่โดยดี ด้วยน้ำใจกวนอูนั้นร้ายวู่วามนัก แต่เราก็คิดเกรงอยู่ จูกัดกิ๋นรับคำแลหนังสือแล้วกลับมา ณ เมืองเกงจิ๋ว จึงให้ทหารพาเข้าไปคำนับกวนอู บอกเนื้อความทั้งปวงแล้วเอาหนังสือส่งให้

กวนอูแจ้งในหนังสือแล้วจึงว่า เล่าปี่เตียวหุยกับเราคิดร่วมใจกันจะบำรุงแผ่นดินให้เปนสุข อันหัวเมืองทั้งปวงแต่ก่อนมาก็ขึ้นอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ บัดนี้คนทั้งปวงซึ่งมีฝีมือเห็นว่าแผ่นดินเปนจลาจล ต่างคนต่างทำศึกกำเริบแขงเมืองไว้ อันธรรมดาผู้ใดเปนหัวเมืองแล้วก็ตั้งใจทำราชการโดยสุจริต แม้มีข้อรับสั่งมาประการใดก็ให้พึงพิเคราะห์ดู ถ้าเห็นชอบให้ทำตาม แม้ผิดก็ให้บอกชี้แจงไปแก่ผู้ทำนุบำรุงราชการให้แจ้ง บัดนี้เล่าปี่พี่เราจะให้คืนเมืองสามตำบลให้ซุนกวนนั้นเห็นไม่ควร เรามิได้ให้ตามคำเล่าปี่ ท่านจงกลับไปบอกซุนกวนเถิด

จูกัดกิ๋นได้ฟังกวนอูว่าดังนั้น อ้อนวอนว่าท่านจงเอนดูกับข้าพเจ้าเถิด ซุนกวนเห็นว่าข้าพเจ้ากับขงเบ้งเปนพี่น้องกัน จึงให้จับบุตรภรรยาข้าพเจ้าจำไว้ แล้วใช้ตัวข้าพเจ้ามาทวงเมืองเกงจิ๋ว ถ้าไม่ได้เมืองคืนก็จะให้ฆ่าบุตรภรรยาข้าพเจ้าเสีย กวนอูจึงว่า ซึ่งซุนกวนทำทั้งนี้เปนกลอุบาย หวังจะลวงเอาเมืองเกงจิ๋วให้ได้ จูกัดกิ๋นจึงว่า ท่านเจรจาดังนี้เหมือนคนหาความคิดไม่

กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกแล้วว่า ถ้าเราไม่คิดถึงขงเบ้งก็จะตัดสีสะเสีย แต่นี้ไปตัวอย่าว่าหยาบช้าแก่เราเหมือนดังนี้ ถ้าไม่ฟังเราก็หาอดได้ไม่ กวนเป๋งจึงห้ามว่าบิดาอย่าทำวุ่นวายเลย จงเห็นแก่ขงเบ้งเถิด กวนอูจึงตอบว่า จูกัดกิ๋นว่าหยาบช้าแก่เรา หากว่าเราคิดถึงขงเบ้ง หาไม่จะตัดสีสะเสีย จูกัดกิ๋นได้ความอัปยศก็กลับไปเมืองเสฉวน ขณะนั้นพอขงเบ้งคุมทหารออกไปตรวจด่าน จูกัดกิ๋นจึงเข้าไปหาเล่าปี่ แล้วร้องไห้บอกเนื้อความตามซึ่งกวนอูจะฆ่าเสียนั้น ให้เล่าปี่ฟังทุกประการ

เล่าปี่จึงตอบว่า เราได้บอกท่านแล้วว่า นํ้าใจกวนอูวู่วามนัก ท่านจงกลับไปบอกซุนกวนโดยดีก่อนว่า ให้งดอยู่แต่พอเรายกไปตีเมืองฮันต๋งได้แล้ว เราจะให้กวนอูมาอยู่เมืองฮันต๋ง อันเมืองเกงจิ๋วแลหัวเมืองทั้งนั้นเราจะคืนให้ซุนกวนทั้งสิ้น จูกัดกิ๋นมิรู้ที่จะตอบประการใด ก็จำใจกลับไปเมืองกังตั๋ง จึงบอกเนื้อความตามซึ่งเล่าปี่กวนอูว่ากล่าวนั้นให้ซุนกวนฟังทุกประการ

ซุนกวนได้ฟังก็โกรธจึงว่า อันเล่าปี่กวนอูว่ากล่าวมาทั้งนี้ เปนความคิดขงเบ้งน้องท่าน จูกัดกิ๋นจึงบอกว่า ขงเบ้งนั้นก็เปนทุกข์ด้วยข้าพเจ้าได้อ้อนวอนเล่าปี่ ๆ จึงสั่งให้กวนอูคืนเมืองสามตำบลให้ท่าน ครั้นข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้กวนอู ๆ โกรธไม่ให้ แล้วจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ซุนกวนจึงว่า เล่าปี่นั้นก็ได้ออกปากคืนเมืองสามตำบลให้แล้ว เราจำจะแต่งทหารซึ่งมีฝีมือไปรักษาเมืองสามตำบลไว้ จะดูท่วงทีกวนอูจะทำประการใด

จูกัดกิ๋นจึงว่า ท่านคิดนี้สมควรนัก ซุนกวนจึงสั่งให้ปล่อยบุตรภรรยาจูกัดกิ๋นเสีย แล้วจัดทหารซึ่งมีฝีมือไปรักษาเมืองทั้งสามตำบล แลนายทหารทั้งสามคนนั้นกลับมาบอกซุนกวนว่า ข้าพเจ้าไปจะใกล้ถึงเมือง กวนอูคุมทหารออกมาไล่รุกราญข้าพเจ้า แล้วท้าทายมิให้อยู่รักษาเมืองทั้งสามตำบล แม้ผู้ใดช้าอยู่ล่วงวันไปก็จะจับฆ่าเสีย

ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้หาโลซกเข้ามาแล้วว่า เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋วไว้นั้นว่า ต่อได้เมืองเสฉวนแล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ ตัวท่านก็เปนนายประกัน บัดนี้เล่าปี่ก็ได้เมืองเสฉวนแล้ว ให้หนังสือมาให้คืนเมืองสามตำบลให้เรา กวนอูขัดขวางไว้แล้วทำหยาบช้าดังนี้ ตัวท่านเปนนายประกันช่างนิ่งฟังเล่นได้

โลซกจึงว่า ใช่ข้าพเจ้าจะนิ่งเสียหามิได้ ซึ่งกวนอูทำดังนี้ ข้าพเจ้าคิดกลอุบายไว้ข้อหนึ่ง เห็นจะได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย ซุนกวนจึงถามว่าอุบายประการใด โลซกจึงบอกว่า ข้าพเจ้าจะคิดให้ไปตั้งค่ายอยู่ ณ ปากนํ้าเมืองเราให้ทหารซุ่มอยู่ แล้วจะให้ไปเชิญกวนอูมากินโต๊ะ ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวเอาเมืองเกงจิ๋วแต่โดยดี ถ้ากวนอูขัดขวางอยู่ก็จะให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นจับตัวฆ่าเสีย แม้กวนอูไม่มาสมความคิดข้าพเจ้า ท่านจงยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วให้ได้

ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงการทั้งปวงตามคำโลซก งำเต๊กจึงว่า ท่านอย่าดูหมิ่น อันกวนอูนั้นฝีมือดังทหารเสือ แม้ไม่สมความคิดก็จะกลับมาทำอันตรายเรา ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าจะให้คอยอยู่เมื่อใดจะได้เมืองเกงจิ๋ว แล้วสั่งโลซกให้เร่งทำการตามซึ่งคิดไว้ โลซกรับคำแล้วก็คำนับลาออกมาจัดแจงเรือ แลทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว ก็ไปทอดอยู่ ณ ปากนํ้าลกเค้า ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บนบก จึงให้กำเหลงหนึ่งลิบองหนึ่งคุมทหารซุ่มอยู่ แล้วให้แต่งโต๊ะเตรียมไว้ จึงให้แต่งหนังสือไปเชิญกวนอูมากินโต๊ะ แล้วจัดทหารซึ่งมีถ้อยคำถือไป ณ เมืองเกงจิ๋ว ทหารนั้นจึงบอกแก่กวนเป๋งตามในหนังสือโลซก

กวนเป๋งจึงพาผู้ถือหนังสือนั้นเข้าไปคำนับกวนอู แล้วจึงเอาหนังสือยื่นให้กวนอู ๆ แจ้งในหนังสือว่า โลซกให้เชิญไปกินโต๊ะ ณ ค่ายปากนํ้าลกเค้า แล้วกวนอูจึงสั่งผู้ถือหนังสือว่า ให้เร่งไปบอกแก่โลซกเถิด พรุ่งนี้เราจึงจะไป ทหารนั้นก็คำนับลากวนอูกลับไป กวนเป๋งจึงว่าแก่กวนอูว่า ซึ่งโลซกให้มาเชิญบิดาไปกินโต๊ะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเปนกลอุบาย เหตุใดบิดารับว่าจะไป

กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วตอบว่า เหตุทั้งนี้เพราะจูกัดกิ๋นไปบอกซุนกวน โลซกจึงคิดกลอุบายให้เราไปกินโต๊ะ แล้วจะได้ทวงเอาเมืองเกงจิ๋วคืนไปไว้เปนกรรมสิทธิ์ซุนกวน ครั้นเราจะไม่ไปชาวเมืองกังตั๋งจะดูหมิ่นเราว่ากลัว พรุ่งนี้เราจะพาทหารแต่ยี่สิบคนลงเรือเร็วไปกินโต๊ะ จะดูท่วงทีโลซกจะเกรงง้าวที่เราถือหรือไม่ กวนเป๋งจึงว่า อันตัวบิดานี้อุปมาเหมือนทองคำ ซึ่งจะล่วงเข้าไปในพวกโจรนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าเกรงว่าเมืองเกงจิ๋วนี้จะมีอันตราย เล่าปี่ก็จะติโทษท่าน

กวนอูจึงตอบว่า เจ้าอย่าวิตกเลย อันบิดานี้ก็มีฝีมือเลื่องลืออยู่ แต่ทหารโจโฉเปนอันมากนับตั้งแสน บิดากับม้าตัวเดียวก็ยังไม่ต้องเกาทัณฑ์แลอาวุธทั้งปวง ขับม้ารบพุ่งรวดเร็วเปนหลายกลับ อุปมาเหมือนเข้าดงไม้อ้อแลออกจากพงแขม จะกลัวอะไรแก่ทหารเมืองกังตั๋งเพียงนี้ดังหนูอันหาสง่าไม่ ได้ออกปากว่าจะไปแล้วจะให้เสียวาจาไย ม้าเลี้ยงจึงว่า ท่านจะไปนั้นจงเร่งคิดอ่านระวังตัวเกลือกจะมีอันตราย กวนอูจึงว่า ซึ่งท่านกำชับครั้งนี้ก็ควรอยู่ ตัวเรากับกวนเป๋งจะคุมทหารไปสักห้าร้อย แล้วสั่งกวนเป๋งให้จัดแจงทหารห้าร้อย ลงเรือรบสิบลำให้จอดคอยดูอยู่ แม้เห็นเราโบกธงขึ้นเมื่อใด จึงคุมทหารเข้าไปช่วย กวนเป๋งรับคำแล้วก็ออกมาจัดเรือรบแลทหารพร้อมไว้ตามกวนอูสั่ง

ฝ่ายผู้ถือหนังสือกลับมาถึงค่าย จึงบอกโลซกว่า กวนอูยินดีจะมาพรุ่งนี้ โลซกได้ฟังก็ดีใจ จึงปรึกษากับลิบองว่า อันกวนอูนั้นมีฝีมือจะมาพรุ่งนี้ เราจะคิดอ่านจับประการใด ลิบองจึงว่า กำเหลงกับข้าพเจ้าก็จัดแจงทหารซุ่มอยู่ข้างนอกเปนสองกอง ถ้าเห็นกวนอูไม่มีทหารมา เราจะจัดซุ่มทหารไว้แต่ข้างในสักห้าสิบคน ถ้าได้ทีแล้วจึงจะช่วยกันจับกวนอูฆ่าเสีย แม้กวนอูมีทหารมาด้วย ข้าพเจ้ากับกำเหลงได้ยินเสียงประทัดเมื่อใด ก็จะคุมทหารตีกระหนาบเข้าจับกวนอูฆ่าเสียให้ได้

โลซกเห็นชอบด้วย ครั้นเวลารุ่งเช้าจัดแจงการตามซึ่งคิดไว้ แล้วให้ทหารไปคอยดูกวนอู ว่าจะมีทหารมาด้วยหรือไม่ ทหารนั้นกลับมาบอกโลซกว่า ข้าพเจ้าเห็นกวนอูลงเรือเร็วมาลำหนึ่ง มีพลแจวประมาณยี่สิบคน กับธงแดงสำหรับกวนอู แลกวนอูนั้นแต่งตัวโอ่โถงใส่เสื้อแพรสีม่วง โพกแพรสีเขียวมิได้ใส่เกราะ เห็นจิวฉองนั้นแบกง้าวนั่งเคียงกวนอูอยู่ แลทหารซึ่งมีฝีมือนั้นก็มาด้วยกวนอูสักเจ็ดคนแปดคน โลซกได้ฟังดังนั้นก็ออกไปรับ เห็นกวนอูแต่งตัวมีสง่า แลทหารก็มาด้วยเปนหลายคน โลซกคิดพรั่นอยู่เกลือกจะทำการไม่สำเร็จ ครั้นพากวนอูเข้ามาถึงในค่าย ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน แล้วโลซกเชิญกวนอูกินโต๊ะ

ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น โลซกครั่นคร้ามมิได้เงยหน้าขึ้นดูกวนอู ให้แต่คนใช้รินสุราให้กิน กวนอูเสพย์สุราพลางมิได้คิดย่อท้อ พูดจาถึงการรบพุ่งแล้วหัวเราะเล่น โลซกคอยชำเลืองดู เห็นกวนอูจะใกล้เมาจึงว่า เรามีเนื้อความข้อหนึ่ง จะขอเจรจาด้วยท่าน กวนอูจึงถามว่า ท่านจะว่าสิ่งใด โลซกจึงว่า เดิมซุนกวนให้เราทวงเมืองเกงจิ๋วถึงสองครั้งสามครั้ง เล่าปี่ยังขัดสนอยู่ ว่าจะยืมเมืองเกงจิ๋วไว้เปนที่อาศรัยก่อน ต่อได้เมืองเสฉวนแล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ เนื้อความทั้งนี้เราได้ประกันไว้ต่อซุนกวน บัดนี้เล่าปี่ก็ได้เมืองเสฉวนแล้ว ซึ่งจะหวงเมืองเกงจิ๋วไว้นั้นไม่ควร กวนอูจึงตอบว่า ท่านให้มีหนังสือไปหาเรามาจะกินโต๊ะเล่น บัดนี้เปนหน้าเหล้าหน้าเข้าอยู่ ซึ่งท่านจะเอาการบ้านเมืองมาว่านี้ไม่ควร จงนิ่งเสียก่อนเถิด

โลซกจึงว่า นายเราเปนเจ้าเมืองกังตั๋ง ก็คิดจะแผ่แดนเมืองออกไปให้กว้างขวาง แต่มีน้ำใจเอนดูท่านกับเล่าปี่ซึ่งหนีโจโฉมา จึงให้ยืมเมืองเกงจิ๋วอยู่เปนที่อาศรัย บัดนี้เล่าปี่ก็คิดถึงไมตรีนายเรา จึงให้มีหนังสือมาให้ท่านคืนเมืองสามตำบลให้นายเราก่อน ซึ่งท่านขัดขวางไว้นั้นเห็นไม่สมควร

กวนอูจึงตอบว่า ครั้งโจโฉยกมาจะตีเอาเมืองกังตั๋งนั้น เล่าปี่ก็ได้เกณฑ์ทแกล้วทหารยกไปสกัดรบโจโฉเปนหลายตำบล ทหารทั้งปวงได้สู้เกาทัณฑ์แลอาวุธต่าง ๆ ได้ความลำบากยากแค้นทุกคน แล้วเล่าปี่ได้เสียสเบียงเลี้ยงทหารเปนอันมาก แต่เมืองเกงจิ๋วเพียงนี้หาสมควรเปนบำเหน็จเล่าปี่แลทหารซึ่งได้ทำการศึกไม่ ซึ่งท่านจะมาทวงเอาเมืองเกงจิ๋วนี้ไม่ควร

โลซกจึงว่า ครั้งเล่าปี่กับท่านแตกมาแต่ทุ่งเตียงปันโป๋ นายเราคิดสงสาร จึงให้อยู่เมืองเกงจิ๋วจนกว่าจะตั้งตัวได้ อันเล่าปี่นั้นเปนคนมีความสัตย์ ได้ออกปากสิ่งใดแล้วก็มิได้เสียวาจา แต่ตัวท่านมาว่ากล่าวทั้งนี้ คนทั้งปวงก็จะล่วงติเตียนได้ กวนอูจึงตอบว่า อันการทั้งนี้ใช่จะสิทธิ์ขาดอยู่กับเรานั้นหามิได้ เปนการของเล่าปี่ ตามแต่จะว่ากันเถิด โลซกจึงว่า เรารู้อยู่ว่าท่านกับเล่าปี่ได้สาบาลกันไว้เปนพี่น้องร่วมอุทรกัน แม้จะมีการสิ่งใดมาเปนของเล่าปี่ ก็เหมือนหนึ่งของท่าน ธุระสิ่งใดของท่านก็เหมือนธุระของเล่าปี่ เหตุใดท่านจะมาบิดพลิ้วทั้งนี้ กวนอูยังไม่ได้ตอบประการใด จิวฉองทหารกวนอูจึงร้องว่า หัวเมืองทั้งปวงนี้เปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดโลซกจึงว่าเมืองเกงจิ๋วเปนของซุนกวนเล่า

กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ทำโกรธลุกออกมา ให้นัยกับจิวฉองเปนสำคัญ แล้วชิงเอาง้าวมาถือไว้ จึงแกล้งว่า เรากับโลซกว่ากล่าวกันด้วยการบ้านเมือง ตัวเปนแต่ทหารเราให้ถือง้าวมา เหตุใดตัวจึงล่วงเข้ามาเจรจาด้วยดังนี้ไม่ควร ตัวจงเร่งออกไปเสียจากค่าย จิวฉองแจ้งในทีกวนอูดังนั้นก็ออกมา จึงเอาธงแดงโบกขึ้นเปนสำคัญ

ฝ่ายกวนเป๋งเห็นธงสัญญา ก็ขับให้ทหารแจวเรือรบทั้งสิบลำรีบเข้าไปให้ถึงหน้าค่าย กวนอูนั้นทำเปนเมาแกว่งง้าวอยู่มือหนึ่ง มือหนึ่งนั้นยุดเอามือโลซกแล้วว่า ท่านหามากินโต๊ะนี้ก็ขอบใจแล้ว แต่เหตุใดจึงเอาการเมืองเกงจิ๋วมาว่าด้วยเล่า บัดนี้เราก็เมาสุราอยู่ แม้ไม่คิดถึงว่าได้รักกันมาแต่ก่อน ก็จะขัดเคืองกันเสีย เราจึงอุตส่าห์ระงับโทโสไว้ เราจะลาท่านไปก่อน ต่อวันอื่นเราจึงจะเชิญท่านไปกินโต๊ะที่เมืองเกงจิ๋วบ้าง แล้วจึงจูงมือโลซกออกมานอกค่าย

ฝ่ายกำเหลงลิบองซึ่งคุมทหารซุ่มอยู่นั้น ครั้นเห็นกวนอูถือง้าวจูงมือโลซกออกมา ครั้นจะเข้าทำอันตรายตามสัญญา ก็เกรงกวนอูจะฆ่าโลซกเสีย กวนอูครั้นพาโลซกมาถึงริมตลิ่ง จึงว่าเราขอบใจท่านนัก ค่อยอยู่จงดีเถิด ว่าแล้วก็วางมือโลซกเสีย ลงเรือให้ทหารชักใบกลับไปถึงเมืองเกงจิ๋ว โลซกก็กลับมาค่าย จึงให้หากำเหลงลิบองเข้ามาปรึกษาว่า เราคิดอ่านจะทำร้ายกวนอูก็ไม่สมคิด เราจะทำประการใดอีกเล่า ลิบองจึงว่า ท่านจงแต่งหนังสือบอกไปถึงซุนกวนว่า ซึ่งจะทำร้ายกวนอูนั้นก็ไม่สมความคิด ขอให้จัดแจงทหารยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วใหม่ แลการข้างปากนํ้านี้ท่านจงรักษาไว้ โลซกเห็นชอบด้วย ก็แต่งหนังสือตามคำลิบอง แล้วให้ม้าใช้ถือไปให้ซุนกวน

ซุนกวนแจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงจัดแจงเกณฑ์ทหารสิ้นทั้งเมืองกังตั๋งเตรียมไว้ จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว พอม้าใช้ฝ่ายเหนือมาแจ้งข้อราชการว่า บัดนี้โจโฉเกณฑ์ทหารได้ประมาณสามสิบหมื่น จะยกลงมาตีเอาเมืองกังตั๋ง ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้แต่งหนังสือบอกข้อราชการฝ่ายเหนือไปถึงโลซกว่า เราจะยกไปตั้งรับโจโฉอยู่ตำบลหับหุย ให้โลซกตั้งรักษาปากน้ำเมืองเราให้มั่นคง แล้วซุนกวนจึงให้ทหารยกไปตั้งขัดทัพอยู่ตำบลยี่สู ซุนกวนนั้นก็ยกกองทัพไปตั้งมั่นอยู่ตำบลหับหุย หวังจะรับกองทัพโจโฉ

ฝ่ายโจโฉตระเตรียมทแกล้วทหารแล้ว จะยกกองทัพออกจากเมืองหลวง พอโปหั้นเอาหนังสือเข้ามาให้ โจโฉรับเอามาอ่านดูในหนังสือนั้นเปนใจความว่า ข้าพเจ้าโปหั้นขอคำนับเตือนท่านวุยก๋งให้แจ้ง ด้วยคำโบราณกล่าวไว้ว่า ฝ่ายทหารผู้จะเปนแม่ทัพแม่กอง แม้จะยกไปทำการสงครามแห่งใดตำบลใด ให้บำรุงทแกล้วทหารแลเครื่องศัสตราวุธให้พร้อมเปนสง่าแล้ว จึงจะยกไปเปนธรรมดา ฝ่ายพลเรือนเล่าก็ให้มีนํ้าใจโอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปน สุข แล้วทำนุบำรุงบ้านเมืองไว้ให้เปนสง่า แลเนื้อความสองประการนี้ผู้ใดทำได้ จึงจะคิดอ่านตั้งตัวเปนใหญ่ได้ อันหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเปนจลาจลอยู่นั้น ท่านก็ปราบปรามได้ถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนเดียวคือเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวน อันเมืองกังตั๋งนั้นทางกันดาร ด้วยเปนชายทเล เมืองเสฉวนนั้นลำบากด้วยซอกห้วยเนินเขาเปนอันมาก ซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองกังตั๋งครั้งนี้ เห็นทแกล้วทหารจะได้ความลำบากนัก ขอให้งดอยู่บำรุงทหารให้มีกำลังแล้วจึงค่อยยกไป ก็จะมีชัยชนะโดยง่าย

โจโฉครั้นแจ้งในหนังสือแล้ว ก็ให้งดกองทัพไว้ แล้วคิดอ่านทำการตามหนังสือโปหั้น ถ้าผู้ใดมีปัญญาแลฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ ก็เอาตัวมาทำนุบำรุงเลี้ยงไว้ ในขณะนั้นอองซานโตสิบอุไค้โอจับสี่คนนี้ปรึกษาเห็นพร้อมกัน จึงเข้ามาว่าแก่โจโฉว่า ท่านมีสติปัญญาทำนุบำรุงบ้านเมือง ปราบปรามข้าศึกศัตรูก็ราบคาบแล้ว ควรจะเลื่อนที่เปนเจ้าวุยอ๋อง แปลภาษาไทยว่าเจ้าต่างกรม โจโฉยังไม่ทันตอบประการใด ซุนฮิวได้ยินขุนนางทั้งสี่ว่าดังนั้น จึงคำนับโจโฉแล้วว่า ทุกวันนี้ท่านเปนที่วุยก๋ง ก็เปนใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวง ราชการสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดอยู่กับท่านสิ้น ซึ่งขุนนางทั้งสี่คนจะให้ท่านเลื่อนที่เปนที่วุยอ๋องนั้นไม่ควร

โจโฉได้ฟังซุนฮิวว่าดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านมาว่าดังนี้เห็นจะเหมือนซุนฮกเสียกระมัง ซุนฮิวเห็นโจโฉโกรธก็มิได้ว่าสิ่งใดต่อไป จึงลากลับออกมาบ้าน มีความทุกข์แลน้อยใจเปนอันมาก จนตรอมใจตาย โจโฉแจ้งว่าซุนฮิวถึงแก่กรรมก็สงสาร จึงให้ทรัพย์สิ่งของไปแต่งการศพ แล้วให้เอาไปฝังไว้ตามธรรมเนียม อันการซึ่งจะเลื่อนที่เปนเจ้าวุยอ๋องนั้นโจโฉก็นิ่งเสีย

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉถือกระบี่เข้าไปถึงที่ข้างใน พระเจ้าเหี้ยนเต้กับนางฮกเฮาผู้เปนพระมเหษีเห็นดังนั้นก็ตกใจ โจโฉจึงทูลว่า บัดนี้ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งกับเล่าปี่ได้เปนเจ้าเมืองเสฉวน สองเมืองนี้กล้าแขงมิได้มาอ่อนน้อมตามประเพณี พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสตอบว่า การทั้งนี้จะมาบอกเราไยเล่า จะทำสิ่งใดก็สุดแต่วุยก๋งเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า พระองค์ตรัสดังนี้เหมือนจะให้คนทั้งปวงคระหานินทาข้าพเจ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า การเมืองทั้งปวงนี้ แม้ท่านจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินของเรา ก็สุดแล้วแต่ท่าน ถ้าท่านจะคิดอ่านทำประการใดเราหรือจะขัดได้

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธ มิได้คำนับลาตามธรรมเนียม ก็กลับไปที่อยู่ ขันทีทั้งปวงครั้นเห็นโจโฉกลับไป จึงชวนกันกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า โจโฉนั้นคิดอ่านจะเลื่อนที่เปนเจ้าวุยอ๋อง นานไปข้าพเจ้าเห็นจะเปนขบถชิงเอาราชสมบัติเปนมั่นคง พระเจ้าเหี้ยนเต้กับนางฮกเฮาได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระกรรแสง จึงพากันเสด็จเข้าในห้อง นางฮกเฮาจึงกราบทูลว่า ฮกอ้วนบิดาข้าพเจ้าเห็นโจโฉทำการหยาบช้ามีใจเจ็บแค้น คิดอยู่ว่าจะฆ่าโจโฉเสีย ข้าพเจ้าจะให้หนังสือออกไปถึงบิดาข้าพเจ้า ให้เร่งคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียให้ได้

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า ซึ่งเจ้าจะให้หนังสือไปถึงฮกอ้วนนั้น เราเกรงอยู่จะเหมือนเมื่อครั้งเราเขียนอักษรด้วยโลหิตให้ไปถึงตังสิน ๆ ทำการไม่มิด โจโฉจับได้ก็ฆ่าเสียกับพวกเพื่อนเปนหลายคน ครั้งนี้เจ้าจะทำการเกลือกจะไม่ลับ เรากับเจ้าจะพากันตายเสีย นางฮกเฮาจึงทูลว่า พระองค์กับข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ อุปมาเหมือนหนึ่งอยู่ในหว่างขวากหนาม หาความสบายมิได้ แม้เดชะบุญของพระองค์กับข้าพเจ้าก็จะคิดได้ตลอด ถ้ากรรมแล้วก็ตายเสียดีกว่าอยู่ ข้าพเจ้าเห็นบอกสุ้นขันทีนั้นมีใจสัตย์ซื่อพอจะไว้ใจได้ จะให้ถือหนังสือไปให้บิดาข้าพเจ้า

พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นชอบด้วย จึงให้หาบอกสุ้นขันทีเข้ามา แล้วทรงพระกรรแสงตรัสเล่าเนื้อความให้ฟังว่า โจโฉทำการหยาบช้าจนได้เปนถึงวุยก๋งแล้วยังมีใจกำเริบจะเลื่อนที่เปนเจ้าวุย อ๋อง หวังจะคิดขบถชิงเอาราชสมบัติของเรา ตัวเรากับนางฮกเฮาได้ความทุกข์ร้อนดังนอนอยู่ในระหว่างกองเพลิง มิได้เห็นผู้ใดที่จะช่วยร้อนได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวพอจะไว้ความลับได้ จะให้ถือหนังสือลอบไปให้ฮกอ้วนผู้เปนบิดานางฮกเฮาให้ช่วยคิดกำจัดโจโฉเสีย

บอกสุ้นได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้แล้วกราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้อยู่เย็นเปนสุขมาก็เพราะบุญของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขอเอาชีวิตเปนแดนแทนพระคุณอาสาถือหนังสือไป เร่งทรงพระอักษรเถิด นางฮกเฮาก็เขียนหนังสือตามเรื่องราวที่มีความทุกข์ แล้วเข้าผนึกส่งให้ บอกสุ้นรับหนังสือมาซ่อนใส่ในมวยผมแล้วถวายบังคมลา ก็ตรงไปบ้านฮกอ้วน ถึงจึงเอาหนังสือส่งให้ แล้วบอกเนื้อความทุกประการ

ฮกอ้วนรับหนังสือมาอ่านดู รู้ว่าลายมือนางฮกเฮาผู้บุตรบอกความทุกข์ทุกประการว่า เห็นแต่บิดาจะช่วยคิดอ่านการลับกำจัดโจโฉเสีย แผ่นดินจึงจะเปนสุขสืบไป ฮกอ้วนแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงว่า ทุกวันนี้โจโฉทำการใหญ่หลวง ทั้งหูตาก็จะคอยซับทราบระวังเหตุผลก็มีมาก ซึ่งจะคิดการเบานั้นเห็นจะไม่สำเร็จ แม้ให้หนังสือลับไปถึงเล่าปี่กับซุนกวนให้ยกกองทัพมาทำการข้างนอก โจโฉก็จะยกออกไปต้านทาน แล้วเราจึงจัดผู้มีความคิดสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินนั้น ทำการเปนไส้ศึกอยู่ในเมืองนั่นแหละการจึงจะสำเร็จ บอกสุ้นเห็นชอบด้วย ฮกอ้วนจึงแต่งหนังสือสองฉบับ ซึ่งจะส่งไปให้เล่าปี่แลซุนกวน แล้วเขียนหนังสือบอกเรื่องราวฝากไปถึงนางฮกเฮา ให้ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ฉบับหนึ่ง แล้วเข้าผนึกส่งให้

บอกสุ้นรับหนังสือมาซ่อนใส่ในมวยผม แล้วลาจะเข้าไปในวัง ขณะนั้นหญิงซึ่งโจโฉแต่งให้เข้าไปไว้คอยฟังเหตุอยู่ในวัง ครั้นรู้ความดังนั้นก็บอกความแก่โจโฉ ๆ แจ้งดังนั้นก็พาทหารรีบไปคอยสกัดบอกสุ้นอยู่ ณ ที่ประตูวัง ครั้นเห็นบอกสุ้นเดิรมา โจโฉจึงถามว่า ไปไหนมา บอกสุ้นจึงบอกว่า นางฮกเฮาป่วยไห้ข้าพเจ้าไปหาหมอ โจโฉจึงว่า ไหนหมอเล่า บอกสุ้นจึงแก้ว่า หมอจะตามมาต่อภายหลัง โจโฉจึงว่าตัวนี้พิรุธอยู่ จึงให้ทหารถอดเสื้อบอกสุ้นดู ก็มิได้เห็นมีสำคัญสิ่งใด จึงให้ปล่อยบอกสุ้นไป บอกสุ้นก็ลาเดิรออกมาประมาณสิบวา พอลมพัดมาหมวกพลัดตกจากสีสะ โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความสงสัย จึงเรียกบอกสุ้นกลับมาค้นดู ก็ไม่เห็นสิ่งใด โจโฉก็ให้ปล่อยไป บอกสุ้นตกใจลาโจโฉแล้วเอาหมวกใส่ลง หมวกนั้นเบี้ยวไป ด้วยความประหม่าจะรีบไปให้พ้น โจโฉเห็นดังนั้นก็เห็นผิด คิดว่าบอกสุ้นพิรุธอยู่จึงตกใจประหม่าฉนี้ ก็เรียกกลับมาค้นดู ก็ได้หนังสือในมวยผมบอกสุ้น โจโฉจึงให้ทหารคุมเอาตัวไว้ แล้วเอาหนังสือฉีกผนึกออกอ่านดู เปนใจความว่า ข้าพเจ้าฮกอ้วนซึ่งคิดจะกำจัดโจโฉเสียนั้น จำจะให้หนังสือไปเกลี้ยกล่อมเล่าปี่กับซุนกวนให้ยกกองทัพมาก่อน จึงจะทำได้ตลอด

ครั้นแจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงพาทหารกับบอกสุ้นมา ณ บ้านแล้วให้จำบอกสุ้นไว้ แล้วให้คุมทหารสามพันไปจับฮกอ้วนกับครอบครัวพรรคพวกมาจำไว้ ริบเอาทรัพยสิ่งสินมาสิ้น แลทหารได้หนังสือนางฮกเฮามาให้โจโฉแล้วบอกว่า หนังสือนี้ได้ในตึกฮกอ้วน โจโฉรับมาอ่านดูรู้แจ้งแล้วก็โกรธ จึงให้ทหารไปจับแต่บรรดาญาติพี่น้องนางฮกเฮาจำไว้ ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงให้เอ๊กลีคุมทหารสามร้อยถืออาวุธครบมือเข้าไปจะเอา ตราสำหรับที่นางฮกเฮา ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จออกขุนนาง ทอดพระเนตรเห็นเอ๊กลีคุมทหารเข้ามาดังนั้นจึงตรัสถามว่า ท่านเข้ามานี้ด้วยเหตุสิ่งใด เอ๊กลีจึงทูลว่า วุยก๋งให้ข้าพเจ้ามาเอาตราสำหรับที่นางฮกเฮาพระมะเหษี

พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ทรงพระดำริห์ว่าการที่คิดนั้นรู้ถึงโจโฉแล้วจึงเปนเหตุดังนี้ ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก มิได้ตรัสประการใด เอ๊กลีก็พาทหารไปถึงที่ข้างใน แล้วร้องประกาศว่า สาวใช้ผู้ใดซึ่งได้รักษาตราสำหรับที่นางฮกเฮานั้น จงเร่งส่งตรามาให้เราตามคำวุยก๋ง สาวใช้ผู้สำหรับรักษาตราได้ฟังก็ตกใจกลัว จึงเอาตราส่งให้เอ๊กลี ๆ ได้ตราก็พามาให้โจโฉ

ขณะนั้นนางฮกเฮาเห็นทหารโจโฉมาเรียกเอาตราสำหรับที่ไปดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดว่าเนื้อความซึ่งให้หนังสือไปถึงบิดานั้น โจโฉรู้แล้วจึงเปนเหตุขึ้น อันชีวิตของเราเห็นจะตายเปนมั่นคงครั้งนี้ แล้วนางจึงเข้าไปซ่อนอยู่ในตำหนักแห่งหนึ่ง จึงสั่งให้ใส่กุญแจข้างนอก หวังจะมิให้ผู้ใดเข้าไปทำอันตรายได้

ฝ่ายโจโฉจึงให้ฮัวหิมคุมทหารห้าร้อยเข้าไปจับนางฮกเฮา ฮัวหิมเมื่อเข้าไปถึงข้างในจึงถามสาวใช้ทั้งปวงว่า นางฮกเฮาอยู่ไหน บันดาหญิงข้างในได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงบอกว่า นางฮกเฮาหนีไปอยู่แห่งใดก็ไม่รู้ ฮัวหิมคุมทหารเที่ยวค้นดูทุกตำบลก็มิได้พบ ครั้นดูไปเห็นตำหนักหลังหนึ่งปิดประตูประหลาทอยู่ ก็ให้ทหารถล่มเข้าไป ฮัวหิมก็เข้าไปจึงเห็นนางฮกเฮาซ่อนอยู่ ก็จับจิกมวยผมลากออกมาจากตำหนัก นางฮกเฮากลัวความตายร้องไห้อ้อนวอนว่า ท่านจงเอ็นดูอย่าให้ถึงแก่ความตายแลย ฮัวหิมจึงว่าเราเปนแต่คนใช้ นางฮกเฮาไปอ้อนวอนวุยก๋งเถิด แล้วก็จิกมวยผมนางฮกเฮาลากออกมาถึงที่ข้างหน้า

พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นดังนั้นก็ตกพระทัย แล้วเสด็จลงไปกอดนางฮกเฮาไว้ ทรงพระกรรแสงรำพรรณไป นางฮกเฮาร้องไห้พลางทูลว่า อันชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้เห็นจะไม่รอดแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า ทั้งนี้ก็เพราะเวรกรรมของเรา อย่าว่าแต่ตัวเจ้าจะถึงซึ่งความตายเลย อันชีวิตของเรานี้ก็ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ฮัวหิมเห็นดังนั้นก็ร้องตวาดว่า วุยก๋งให้มาเอาตัวนางฮกเฮาออกไป เหตุใดพระองค์จะทรงพระกันแสงอยู่ให้ช้าดังนี้ โทษจะมิมีอยู่กับคนใช้หรือ แล้วให้ทหารลากเอาตัวนางฮกเฮาออกไป

พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นก็ยังทรงพระกรรแสงไปเปนอันมาก พอเห็นเอ๊กลีที่โจโฉใช้ให้มาเอาตราสำหรับที่นางฮกเฮานั้นกลับเข้ามาเฝ้าอยู่ จึงตรัสว่าเอ๊กลีบ้านเมืองแต่ก่อนมาเกิดเหตุฉนี้ท่านยังพบเห็นบ้างหรือ เอ๊กลีมิได้ทูลประการใด พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระกรรแสงจนสลบไป เอ๊กลีเห็นดังนั้นก็ให้ขันทีทั้งปวงเข้าแก้ไข แล้วเชิญเสด็จให้เข้าไปข้างใน

ฝ่ายฮัวหิมก็พานางฮกเฮามาให้โจโฉ ๆ จึงว่า ตัวกูอุตส่าห์คิดอ่านปราบปรามเสี้ยนหนามให้ราบคาบทั้งแผ่นดิน ตัวมึงจึงค่อยมีความสุข มึงมิรู้คุณกลับทรยศคบคิดกับบิดามึงจะทำร้ายกู ครั้นจะเอามึงไว้นานไปมึงก็จะฆ่ากูเสีย จึงให้ทหารเอาตะบองตีนางฮกเฮาถึงแก่ความตาย แล้วให้ทหารเข้าไปจับบุตรนางฮกเฮาทั้งสองคน ซึ่งเกิดด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไปฆ่าเสีย ครั้นเวลากลางคืนโจโฉจึงให้เอาตัวฮกอ้วนกับบอกสุ้น แลครอบครัวพรรคพวกฮกอ้วน บรรดาญาติพี่น้องนางฮกเฮามาฆ่าเสียสิ้น

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้สิบเก้าปี (พ.ศ. ๗๕๗) พระองค์ทรงโศกถึงนางฮกเฮา แลพระเจ้าลูกเธอทั้งสองทุกเวลา มิได้ทรงเสวยเลย โจโฉแจ้งดังนั้นก็เข้าไปเฝ้าแล้วทูลว่า พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย อันตัวข้าพเจ้านี้แต่แรกก็ทูลไว้ว่า จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ซึ่งผู้ผิดนั้นก็ให้ทำตามโทษ ข้าพเจ้ามิได้คิดเปนสองใจ คิดอยู่แต่ว่าจะทำนุบำรุงพระองค์ไปโดยสุจริต ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงอยู่คนหนึ่ง เฉลียวฉลาดทั้งนํ้าใจก็ดีสัตย์ซื่อ ข้าพเจ้าจะถวายพระองค์ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นขัดมิได้ก็รับคำโจโฉ

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบปี (พ.ศ. ๗๕๘) เปนเทศกาลเดือนสามตรุษจีน โจโฉจึงจัดแจงแต่งบุตรหญิงเข้าไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วตั้งบุตรนั้นให้เปนที่พระมเหษี ขุนนางทั้งปวงในพระเจ้าเหี้ยนเต้กลัวโจโฉอยู่สิ้น จึงหาได้มีผู้ใดพิททูลทัดทานประการใดไม่ โจโฉก็ยิ่งมีใจกำเริบทำการหยาบช้าต่าง ๆ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉให้หาที่ปรึกษาแลขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า เราบำรุงทแกล้วทหารก็มีกำลังอยู่แล้ว บัดนี้เราจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง จะเห็นประการใด กาเซี่ยงจึงว่า ขอให้ไปหาตัวโจหยินกับแฮหัวตุ้นกลับมาปรึกษาราชการ แม้เห็นได้ทีแล้วท่านจงยกกองทัพไป โจโฉเห็นชอบด้วย ก็ให้ทหารรีบไปหาตัวโจหยินกับแฮหัวตุ้น ณ เมืองซงหยง

ฝ่ายโจหยินกับแฮหัวตุ้นรู้ก็รีบเข้าไปเมืองฮูโต๋ แต่โจหยินเข้ามาถึงเมืองหลวงก่อน ขณะนั้นโจโฉเสพย์สุราเมานอนอยู่ข้างใน พอโจหยินจะเข้ามาหาโจโฉ เคาทูนั้นถือทวนรักษาอยู่ที่ข้างหน้า ครั้นเห็นโจหยินเข้ามา เคาทูจึงห้ามว่า ท่านอย่าเพ่อเข้าไป โจหยินได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวกูเปนลูกหลานว่านเครือของมหาอุปราช ตัวเปนแต่ทหาร เหตุใดจึงมาล่วงว่าห้ามกูฉนี้ เคาทูจึงตอบว่า ท่านเปนลูกหลานวุยก๋งก็จริง แต่วุยก๋งให้ท่านไปรักษาเมือง ตัวเราเปนแต่ทหารรักษาวุยก๋งอยู่ข้างใน ท่านมาทางไกลจะละให้เข้าไปนั้นยังไม่ได้ โจหยินเห็นชอบด้วย ก็ถอยออกมาอยู่ภายนอก

ขณะเมื่อโจหยินกับเคาทูเถียงกันนั้น โจโฉยังหาหลับไม่ ได้ยินเคาทูกล่าวนั้นชอบตามขนบธรรมเนียม ก็สรรเสริญเคาทูว่ามีความสัตย์ซื่อ ครั้นแฮหัวตุ้นมาถึง โจหยินกับแฮหัวตุ้นก็พากันเข้าไปคำนับโจโฉ ๆ มีความยินดี จึงปรึกษาด้วยโจหยินแลแฮหัวตุ้นว่า เราคิดจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวน ท่านจะเห็นเปนประการใด

แฮหัวตุ้นจึงว่า เมืองกังตั๋งนั้นขอให้งดไว้ก่อน เมืองฮันต๋งนั้นเหมือนหนึ่งต้นทางเมืองเสฉวน ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮันต๋งให้ได้แล้ว จึงยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะได้โดยง่าย อันการข้างเมืองกังตั๋งนั้นจึงค่อยคิดต่อไป โจโฉเห็นชอบด้วย ก็ให้กะเกณฑ์ทแกล้วทหารเปนอันมาก แล้วให้แฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับเปนกองหน้า โจโฉเปนกองหลวง ให้โจหยินกับแฮหัวตุ้นเปนกองหลังให้คุมสเบียง ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกกองทัพออกจากเมืองฮูโต๋ จะยกไปตีเมืองฮันต๋ง

ฝ่ายม้าใช้ครั้นรู้ก็รีบไปบอกแก่เตียวฬ่อ ๆ แจ้งดังนั้นก็ปรึกษากับเตียวโอยว่า โจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้ เราจะคิดป้องกันประการใด เตียวโอยจึงว่า อันเมืองฮันต๋งนี้ก็เปนที่คับขันอยู่แต่ด่านเองเปงก๋วน ถ้าเสียด่านนั้นแล้ว เมืองฮันต๋งก็จะเสียด้วย แลหน้าด่านเองเปงก๋วนนั้นมีเนินเขาข้างหนึ่งป่าข้างหนึ่ง ขอให้แต่งทหารเปนสองกองไปตั้งค่ายมั่นไว้คอยต้านทานกองทัพโจโฉจึงจะได้ ตัวท่านจงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง

ฝ่ายเตียวฬ่อเห็นชอบด้วย จึงให้เตียวโอยกับเอียวเหียมเอียวหงงคุมทหารเปนอันมาก ให้ยกกองทัพไปตั้งค่ายรักษาด่านเองเปงก๋วน เตียวโอยเอียวเหียมเอียวหงงคุมทหารยกไปถึงด่าน เตียวโอยก็อยู่รักษาด่าน เอียวเหียมเอียวหงงก็คุมทหารออกไปทางไกลประมาณหกร้อยเส้น ให้ตั้งค่ายรายกันไปสองข้างทางข้างละห้าร้อยค่าย แล้วตรวจตราทแกล้วทหารป้องกันรักษาด่านแลค่ายไว้เปนมั่นคง

ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับ ซึ่งเปนกองหน้านั้น ครั้นยกมาใกล้รู้ว่าทหารเตียวฬ่อออกมาตั้งอยู่หน้าด่าน จึงหยุดทหารให้ตั้งค่ายอยู่ทางไกลกันประมาณร้อยห้าสิบเส้น ในเวลาคํ่าวันนั้น ทหารแฮหัวเอี๋ยน เตียวคับเหนื่อยนักพักหยุดประมาทไป มิได้ตรวจตรากัน ครั้นเวลายามเศษเอียวเหียมเอียวหงงรู้ว่าทัพโจโฉยกมาตั้งอยู่ดังนั้น ก็ปรึกษากันว่า ทัพหน้าโจโฉพึ่งมาถึง ทหารทั้งปวงก็จะเมื่อยเหนื่อยพักประมาทนอนหลับไป จำเราจะยกไปปล้นค่ายเห็นจะได้โดยง่าย แล้วก็จัดแจงทหารยกไปลอบจุดเพลิงเผาค่ายแฮหัวเอี๋ยนเตียวคับขึ้น แล้วก็โจมตีตลุมบอนเข้าไปฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก เตียวคับกับแฮหัวเอี๋ยนแลทหารทั้งนั้นไม่ทันรู้ตัวก็เสียทีแตกหนีกลับไปบอก เนื้อความแก่โจโฉทุกประการ

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ตัวก็ได้ทำศึกมาด้วยเราเปนช้านานย่อมรู้อยู่ว่าพึ่งยกไปถึง ทหารทั้งปวงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็ให้กำชับตรวจตราป้องกัน นี่ตัวลเมิดมิได้ระวังเหตุการณ์ ให้เสียทีแก่ข้าศึกดังนี้โทษใหญ่หลวงนัก แล้วสั่งให้เอาตัวแฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับไปฆ่าเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงคำนับขอไว้ โจโฉก็ยกโทษให้ แล้วยกกองทัพรีบไป ทางซึ่งดำเนิรทัพไปนั้นเปนซอกห้วยเนินเขาป่าชัฏ ทแกล้วทหารเดิรขัดสนนัก โจโฉจึงว่า เราไม่รู้เลยว่าทางกันดารดังนี้ แม้รู้ก็หายกกองทัพมาไม่ แล้วก็เกรงข้าศึกจะเอาทหารมาซุ่มไว้ เคาทูซิหลงจึงค่อยกระซิบว่า วุยก๋งอย่าเจรจาดังนี้ ถ้าทหารทั้งปวงรู้จะเสียใจ โจโฉเห็นชอบด้วย ครั้นมาถึงค่ายเก่าที่เตียวคับกับแฮหัวเอี๋ยนตั้งไว้เพลิงไหม้เสียสิ้น โจโฉจึงให้ตั้งค่ายลงใหม่ แล้วกำชับนายทหารเอกโทให้ระวังตรวจตราทหารทั้งปวง ให้นั่งยามตามเพลิงรักษาไว้จงมั่นคง

ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉจึงขี่ม้าพาเคาทูซิหลงออกจากค่าย ไปถึงเขาแห่งหนึ่งจึงขึ้นดูบนเนินเขา เห็นข้าศึกตั้งอยู่หน้าด่านมั่นคงนัก ซึ่งทางที่จะเข้ารบพุ่งนั้นก็ขัดสนเห็นจะไม่ได้ที ว่ายังมิทันขาดคำลง พอได้ยินเสียงประทัดแลทหารโห่ร้องก้องสนั่นกระหนาบเข้ามาทั้งสองข้างทาง โจโฉตกใจจึงว่าเราจะรบพุ่งประการใด เคาทูจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวจะขออาสารบต้านทาน มิให้เปนอันตรายถึงท่าน แล้วว่าแก่ซิหลงให้เร่งพาวุยก๋งกลับไปค่ายเถิด ขณะนั้นเอียวเหียมเอียวหงง ขับม้าพาทหารเข้ามาทั้งสองข้างทาง เคาทูก็ขับม้ารำทวนเข้ารบเปนสามารถ เอียวเหียมเอียวหงงทานกำลังมิได้ ก็ชักม้าพาทหารถอยไป

ฝ่ายเตียวคับกับแฮหัวเอี๋ยนได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง จึงพาทหารตามไปหวังจะช่วยโจโฉ ครั้นมาถึงปากทางเห็นซิหลงพาโจโฉข้ามเนินเขามาก็รีบเข้าไปรับด้วยความยินดี แลเคาทูนั้นก็ตามมาทัน โจโฉจึงพาทหารทั้งปวงกลับมายังค่าย ตั้งมั่นอยู่ที่นั้นห้าสิบวัน แล้วโจโฉจึงแกล้งว่า เรายกกองทัพมาครั้งนี้ ทหารได้ความลำบากนัก เห็นจะเอาเมืองฮันต๋งไม่ได้ จำจะยกกลับไปดีกว่า กาเซี่ยงจึงว่า ท่านยกกองทัพมาครั้งนี้ยังหาได้รบพุ่งเคี่ยวขับกับข้าศึกไม่ ได้รบแต่ประปรายกัน ยังมิทันที่จะเห็นฝีมือทหารเมืองฮันต๋ง เหตุใดท่านจะยกกองทัพกลับคืนเมือง

โจโฉจึงค่อยกระซิบบอกว่า เราเห็นทหารเมืองฮันต๋งออกมาตั้งค่ายมั่นคงอยู่มิได้ประมาท เราว่าจะยกกองทัพกลับไปนั้น หวังจะให้กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงข้าศึก จะได้คิดประมาทลง เราจึงแต่งทหารให้ยกอ้อมไปตีด่านเองเปงก๋วนก็จะได้โดยง่าย กาเซี่ยงได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่าความคิดท่านนี้เสมอเทพดา

โจโฉจึงว่าแก่เตียวคับแฮหัวเอี๋ยนว่า โทษตัวผิดอยู่ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เราจะให้ไปทำการแก้ตัว แม้ไม่ได้ราชการก็จะให้ฆ่าเสีย เตียวคับกับแฮหัวเอี๋ยนก็รับว่า ท่านจะใช้สิ่งใดข้าพเจ้าจะขออาสาให้ได้ราชการ โจโฉจึงว่า ท่านทั้งสองจงคุมทหารแยกกันอ้อมทางเข้าไปโจมตีเอาหลังด่านเองเปงก๋วน ตัวเราจะยกเข้าตีหน้าด่าน เตียวคับแฮหัวเอี๋ยนก็รับคำแล้วออกมาจัดแจงทหารพร้อมไว้

ฝ่ายเอียวหงงจึงปรึกษาเอียวเหียมว่า บัดนี้เราได้ยินกิตติศัพท์ว่า โจโฉจะยกกองทัพกลับไป เราจะคุมทหารตามไปโจมตีเอา เห็นจะแตกระส่ำระสายเปนมั่นคง เอียวเหียมจึงตอบว่า ท่านจะคิดกำเริบดังนี้ไม่ได้ ด้วยโจโฉชำนาญในกลศึก มักล่อลวงเท็จเปนจริงๆเปนเท็จ ซึ่งจะฟังเอาเปนแน่นั้นเราไม่เห็นด้วย เอียวหงงไม่ฟังจึงจัดแจงทหารทั้งห้าร้อยค่าย ให้อยู่รักษาค่ายนั้นแต่คนป่วยคนไข้ แล้วก็ยกไปเวลาสามยามเศษ ขณะนั้นหมอกลงหนักมิได้เห็นหนทาง เอียวหงงคิดเกรงก็หยุดทหารตั้งมั่นอยู่กลางทาง

ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนยกอ้อมมาในเวลานั้นหมอกลงนัก ได้ยินเสียงทหารแลม้าก็คิดว่าทหารเมืองฮันต๋งมาซุ่มอยู่ ก็รีบยกล่วงเข้าไปจะให้พ้น แลกองทัพแฮหัวเอี๋ยนนั้นมิได้ไปทางด่าน หลงทางไปพบค่ายเอียวหงงเข้า หมอกนั้นก็คลาย ฝ่ายทหารเอียวหงงซึ่งรักษาค่ายนั้น คิดว่าเอียวหงงกลับมาก็เปิดประตูรับ แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารเข้าไปเที่ยวดูทั้งห้าร้อยค่าย เห็นทหารรักษาอยู่นั้นน้อยกว่าคนป่วยไข้ แฮหัวเอี๋ยนจึงจุดเพลิงเผาค่ายขึ้น ทหารซึ่งรักษาหนีไปได้บ้างตายด้วยอาวุธบ้าง แต่คนป่วยไข้นั้นตายด้วยเพลิงสิ้น

ฝ่ายเอียวเหียมเห็นแสงเพลิงไหม้ค่ายเอียวหงงขึ้น ก็คุมทหารยกไปช่วย แฮหัวเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบด้วยเอียวเหียมได้ห้าเพลง เอียวเหียมทานกำลังแฮหัวเอี๋ยนไม่ได้ ก็ขับม้าพาทหารถอยเข้าค่าย พอเห็นเตียวคับคุมทหารอยู่ในค่ายเปนอันมาก เอียวเหียมก็พาทหารหนีไปทางเมืองลำเต๋ง

ฝ่ายเอียวหงงเห็นแสงเพลิงหน้าค่ายไหม้ขึ้นดังนั้น ก็คิดว่าดีร้ายทหารโจโฉยกไปเผาค่ายเสีย ครั้นจะถอยกลับมาก็เกรงว่าโจโฉจะติดตามแต่เรรวนอยู่ พอทหารโจโฉตีกระหนาบเข้ามาสามด้าน เอียวหงงจวนตัวก็ทิ้งทหารเสีย ขับม้าลัดทางหนีไปแต่ผู้เดียว พบเตียวคับก็สู้รบกันเปนสามารถ เตียวคับเอาทวนแทงถูกเอียวหงงตกม้าตาย ขณะนั้นทหารเอียวหงงซึ่งแตกหนีมา จึงเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่เตียวโอยทุกประการ เตียวโอยแจ้งดังนั้นก็ตกใจทิ้งด่านเสีย พาทหารหนีจะกลับไปเมืองฮันต๋ง

ฝ่ายโจโฉยกทัพล่วงเข้าไปในด่านเองเปงก๋วน เตียวโอยเมื่อกลับมานั้นพบเอียวเหียม จึงพากันเข้าไปในเมือง แล้วเตียวโอยบอกเตียวฬ่อว่า เสียค่ายหน้าด่านทั้งซ้ายขวานั้นเพราะเอียวหงงเอียวเหียมประมาท ข้าพเจ้าเห็นศึกเหลือกำลัง จึงละด่านเสียเข้ามาแจ้งเนื้อความแก่ท่าน

เตียวฬ่อได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้เอาตัวเอียวเหียมไปฆ่าเสีย เอียวเหียมจึงว่า โทษข้าพเจ้าผิดก็จริงอยู่แต่ว่าน้อย เดิมเอียวหงงจะยกไปโจมตีโจโฉ ข้าพเจ้าห้ามเอียวหงงก็ไม่ฟัง ขืนยกไปจนข้าศึกล่วงเข้ามาเผาค่ายเสีย ข้าพเจ้าเห็นแสงเพลิงจึงคุมทหารไปช่วย ครั้นถอยมาทหารโจโฉยกเข้าชิงเอาค่ายข้าพเจ้าได้ อันโทษข้าพเจ้าผิดนั้น จะขอชีวิตไว้ทำราชการแก้ตัวก่อน ถ้ายกไปเสียทีกลับมาอีกจึงให้ฆ่าเสีย เตียวฬ่อให้งดโทษไว้ แล้วเกณฑ์ทหารสองหมื่นให้เอียวเหียมยกไปตีกองทัพโจโฉชิงเอาด่านคืน เอียวเหียมคุมทหารสองหมื่นยกไปพ้นเมืองลำเต๋งแล้วก็ตั้งค่ายมั่นอยู่

ฝ่ายโจโฉให้แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารสองพันเปนกองหน้า ยกจากด่านล่วงเข้าไปก่อน ขณะนั้นม้าใช้สืบข่าวกลับมาบอกแฮหัวเอี๋ยนว่า บัดนี้เอียวเหียมยกกองทัพมาตั้งค่ายอยู่แดนเมืองลำเต๋ง แฮหัวเอี๋ยนแจ้งดังนั้นก็ให้ตั้งค่ายลง เอียวเหียมรู้ว่าแฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพล่วงเข้ามาตั้งค่ายอยู่ดังนั้น ก็ให้เชียงกีคุมทหารออกไปรบแฮหัวเอี๋ยน ๆ เห็นก็คุมทหารออกมาหน้าค่าย แล้วขับม้าเข้ารบกับเชียงกีได้สามเพลง แฮหัวเอี๋ยนเอาง้าวฟันถูกเชียงกีตัวขาดออกสองท่อน

เอียวเหียมเห็นเชียงกีตายก็โกรธ จึงขับม้าออกรบกับแฮหัวเอี๋ยนได้สามสิบเพลง ยังมิได้แพ้ชนะกัน แฮหัวเอี๋ยนทำชักม้าถอยหนี เอียวเหียมมิได้รู้กลศึกก็ขับม้าไล่ตามไป แฮหัวเอี๋ยนชักม้ากลับมาฟันถูกเอียวเหียมตกม้าตาย แลทหารทั้งปวงก็แตกตื่นไปทุกตำบล

ฝ่ายโจโฉครั้นม้าใช้มาบอกว่าแฮหัวเอี๋ยนมีชัยชนะแล้ว มีความยินดี จึงยกทัพหลวงล่วงเข้าไปตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองฮันต๋ง เตียวฬ่อแจ้งดังนั้น จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เอียวเหียมก็ถึงแก่ความตายแล้ว บัดนี้โจโฉก็ยกล่วงเข้ามาใกล้เมืองเรา ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เงียมเภาจึงว่า ม้าเฉียวเอาใจออกหากท่านนั้น บังเต๊กป่วยอยู่ไปด้วยไม่ได้ แลบังเต๊กนั้นมีฝีมือกล้าหาญแลน้ำใจก็ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าได้ยินสรรเสริญคุณท่านอยู่ว่า ครั้งม้าเฉียวหนีโจโฉมาพึ่งท่านอยู่นี่ บังเต๊กก็พลอยได้เปนสุขด้วย คิดจะแทนคุณท่านมิได้วายปาก ขอให้ท่านหาตัวบังเต๊กมา ให้ยกกองทัพออกไปเห็นจะต้านทานทหารโจโฉได้

เตียวฬ่อได้ฟังมีความยินดี จึงให้หาตัวบังเต๊กมาปูนบำเหน็จเปนอันมากแล้วว่า เราจะให้ท่านออกไปรบกับทหารโจโฉ จะได้หรือไม่ บังเต๊กจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอสนองคุณท่านกว่าจะสิ้นชีวิต เตียวฬ่อก็จัดแจงทหารให้หมื่นหนึ่ง บังเต๊กก็ลาเตียวฬ่อออกไปตั้งค่ายมั่นไว้ บังเต๊กจึงขี่ม้าพาทหารไปถึงหน้าค่ายโจโฉ แล้วร้องท้าทายโจโฉเปนข้อหยาบช้า โจโฉได้ยินดังนั้นก็ถามทหารว่า ทหารเตียวฬ่อคนนี้ชื่อใด ทหารที่รู้จักจึงบอกว่าชื่อบังเต๊ก

โจโฉแจ้งดังนั้นก็รำลึกขึ้นได้ว่า บังเต๊กคนนี้มีฝีมือกล้าแข็ง เปนทหารม้าเฉียวครั้งรบกับเรา ณ ตำบลแม่น้ำอุยโห ซึ่งมาอยู่กับเตียวฬ่อนี้ด้วยความจำใจ เพราะม้าเฉียวหนีไปอยู่กับเล่าปี่ ณ เมืองเสฉวน เราจะคิดอ่านเอาตัวบังเต๊กมาไว้ด้วยให้ได้ แล้วสั่งทหารทั้งปวงว่า บังเต๊กคนนี้มีกำลังแลฝีมือเปนอันมาก แม้ท่านจะออกไปรบ ถึงมาทว่าบังเต๊กจะเสียที ก็อย่าให้ถึงแก่ความตาย จงประหยัดรบพุ่งแต่พอให้บังเต๊กถอยกำลังลง เราจะคิดอุบายเอาตัวบังเต๊กมาให้ได้

เตียวคับรับคำแล้วขับม้าออกไปรบด้วยบังเต๊กได้ห้าเพลง เตียวคับก็ถอยหนีเข้าค่าย แฮหัวเอี๋ยนก็ขับม้าเข้ารบด้วยบังเต๊กได้เจ็ดเพลง แล้วแฮหัวเอี๋ยนก็ถอยคืนเข้ามา ซิหลงขับม้ารำทวนออกต่อสู้กับบังเต๊กถึงสิบเพลง ซิหลงก็ทำถอยเข้าค่าย เคาทูก็ขับม้ารำง้าวออกรบกับบังเต๊กได้ห้าสิบเพลง เคาทูก็ขับม้ากลับมา บังเต๊กได้ชัยชนะแก่ทหารโจโฉทั้งสี่คนแล้ว ก็พาทหารกลับมาค่าย

ฝ่ายนายทหารโจโฉทั้งสี่คน จึงสรรเสริญว่า บังเต๊กนั้นชำนาญในการสงครามนัก โจโฉมีความยินดี จึงปรึกษาหวังจะดูความคิดทหารทั้งปวงว่า ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะได้ตัวบังเต๊กมาอยู่กับเรา กาเซี่ยงจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าเตียวฬ่อนั้นมีที่ปรึกษาคนหนึ่งชื่อเอียวสง อันเอียวสงนั้นเปนคนโลภ เห็นแต่จะได้สิ่งของไว้เปนประโยชน์แก่ตัว ให้ท่านจัดแจงเงินทองสิ่งของให้นำเข้าไปให้แก่เอียวสง ให้เอียวสงคิดยุยงเตียวฬ่อว่า บังเต๊กนั้นไม่เปนใจรบพุ่ง คิดจะเอาใจออกหากเตียวฬ่อ ๆ ก็จะมีความสงสัยบังเต๊ก ท่านจึงคิดอ่านต่อไป ก็จะได้ตัวบังเต๊กโดยง่าย

โจโฉจึงว่า ท่านคิดนี้ก็ชอบอยู่ แต่จะให้ผู้ใดนำสิ่งของเข้าไปให้เอียวสงในเมืองฮันต๋ง กาเซี่ยงจึงว่า เวลาพรุ่งนี้บังเต๊กออกมารบ ท่านจงทำทิ้งค่ายเสียแตกหนีไป บังเต๊กก็จะเข้าอยู่ในค่ายนี้ ท่านจงจัดทหารซึ่งรู้พูดจา จงให้เอาทองคำแลเงินแผ่เปนแผ่น ให้ทหารนั้นซ่อนไว้ในมือเสื้อแล้วสั่งว่า ถ้าทหารบังเต๊กแตกกลับเข้าเมือง ก็ให้ปลอมเข้าไปด้วย จะได้ว่ากล่าวแลเอาสิ่งของนั้นให้แก่เอียวสง ครั้นเวลาคํ่าท่านจึงคุมทหารเข้าไปปล้นค่าย บังเต๊กก็จะแตกหนีเข้าเมือง โจโฉเห็นชอบด้วย จึงจัดทหารซึ่งมีสติปัญญามาทำตามคำกาเซี่ยง แล้วให้ซิหลงกับเคาทูเปนกองล่อ ให้เตียวคับกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารไปซุ่มอยู่สองข้างทาง นายทหารสี่คนก็ทำตามคำโจโฉสั่ง

ฝ่ายบังเต๊กเห็นเคาทูกับซิหลงยกมา ก็คุมทหารเข้ารบกับเคาทูซิหลงเปนสามารถ ซิหลงเคาทูก็ทำถอยหนีไปมิได้เข้าค่าย บังเต๊กก็คุมทหารโจมตีเข้าไปถึงประตูค่ายโจโฉ ๆ ก็พาทหารถอยหนีออกจากค่าย บังเต๊กพาทหารเข้าไปในค่าย ได้เครื่องศัสตราวุธแลสเบียงอาหารเปนอันมาก บังเต๊กมีใจกำเริบให้แต่งโต๊ะเตรียมไว้ ครั้นเวลากลางคืนก็ชวนทหารทั้งปวงเสพย์สุราอื้ออึงอยู่ในค่าย

ฝ่ายซิหลงเคาทูคุมทหารเข้าข้างทิศเหนือ แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารเข้าข้างทิศตวันออก เตียวคับคุมทหารเข้าข้างทิศตวันตก เปนสามด้าน แต่ทิศใต้นั้นเปิดไว้ ด้วยเปนทางจะไปเมืองฮันต๋ง ครั้นได้สำคัญเสียงประทัดก็จุดเพลิงเผาค่ายขึ้นทั้งสามด้าน แล้วขับทหารเข้าโจมตี

ฝ่ายบังเต๊กต้านทานไม่ได้ ก็พาทหารหนีไปข้างทิศใต้ เข้าในเมืองฮันต๋ง แลทหารโจโฉซึ่งแต่งไปคอยอยู่นั้น ก็ปลอมเข้าไปในเมืองฮันต๋งด้วย จึงไปหาเอียวสงเอาเงินทองให้ แล้วบอกเนื้อความว่า บัดนี้โจโฉผู้เปนวุยก๋งรู้ข่าวว่าท่านมีสติปัญญา เปนที่ชอบอัชฌาสัยกับเตียวฬ่อ ให้ท่านช่วยคิดอ่านยุยงให้เตียวฬ่อมีความสงสัยบังเต๊ก แลไมตรีท่านกับวุยก๋งจะได้มีต่อกันสืบไป

เอียวสงเห็นเงินทองก็มีความยินดีด้วยโลภ จึงสั่งทหารผู้นั้นว่า ท่านจงไปบอกโจโฉเถิด การสิ่งนี้อย่าได้วิตกเลย เราจะคิดอ่านว่ากล่าวกับเตียวฬ่อ ทหารก็กลับออกมาบอกโจโฉทุกประการ โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี

ฝ่ายเอียวสงจึงเข้าไปยุเตียวฬ่อว่า บังเต๊กนั้นออกไปตีได้ค่ายโจโฉได้ทรัพย์สิ่งของเปนอันมาก ครั้นจะอยู่รบพุ่งกับโจโฉต่อไป กลัวท่านจะรู้ว่าได้ทรัพย์สิ่งของไว้ บังเต๊กแกล้งทำทิ้งค่ายเสียแตกหนีมา หวังจะเอาทรัพย์สิ่งสินเปนอาณาประโยชน์ของตัว

ขณะนั้นพอบังเต๊กเข้าไปหาเตียวฬ่อ แล้วบอกเนื้อความตามซึ่งแตกมา เตียวฬ่อได้ฟังแล้วพิเคราะห์ดูเห็นสมกับคำเอียวสง ก็มีความโกรธเปนอันมาก สั่งทหารให้เอาตัวบังเต๊กไปฆ่าเสีย เงียมเภาจึงขอโทษไว้ เตียวฬ่อจึงว่ากับบังเต๊กว่า เราจะยกโทษตัวนี้ให้เงียมเภาไว้ครั้งหนึ่ง แม้พรุ่งนี้ตัวคุมทหารออกไปรบไม่มีชัยชนะแก่ข้าศึกเข้ามา ก็จะให้ตัดสีสะเสีย บังเต๊กมีความน้อยใจ จำเปนรับคำเตียวฬ่อ แล้วก็ลาออกมาจัดทหารเตรียมไว้

ฝ่ายโจโฉครั้นเวลากลางคืน ก็ให้เตียวคับกับแฮหัวเอี๋ยน คุมทหารไปซุ่มอยู่ข้างเนินเขาทั้งสองข้าง แล้วให้ทหารขึ้นไปขุดหลุม เอาดินเกลี่ยปากหลุมไว้บนเนินเขา ครั้นเวลาจะใกล้รุ่งก็จัดแจงทหารให้ยกเข้าทำลายกำแพงเมือง แต่ตัวโจโฉกับทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคน ขึ้นไปอยู่บนเนินเขาซึ่งขุดหลุมไว้นั้น

ฝ่ายบังเต๊กก็คุมทหารเปิดประตูเมือง ยกออกโจมตีทหารโจโฉ เคาทูเห็นดังนั้น ก็ขับม้าเข้ารบกับบังเต๊กเปนสามารถ แล้วทำถอยหนีบังเต๊กเห็นได้ทีก็ขับม้าไล่ไปถึงเนินเขา

ฝ่ายโจโฉอยู่บนเขา เห็นบังเต๊กชักม้าไล่เคาทูมา จึงร้องว่าลงไปแก่บังเต๊กว่า อันเมืองฮันต๋งนั้นเหมือนอยู่ในเงื้อมมือเรา เตียวฬ่อนั้นเหมือนลูกไก่ เราจะหักเข้าตีเอาเมือง ตัวบังเต๊กก็จะพลอยตายเสียด้วย จงเร่งคิดอ่านเข้ามานบนอบเราโดยดีจะได้พ้นความตาย

บังเต๊กได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ถ้าแม้นเราจะจับทหารได้สักร้อยหนึ่งเอาไปให้เตียวฬ่อ ก็ไม่เท่าจับโจโฉได้ เราจะขึ้นไปจับเอาตัวโจโฉเข้าไปให้แก่เตียวฬ่อ ก็จะมีความชอบเปนอันมาก คิดแล้วบังเต๊กมิได้รู้กลอุบาย ก็ขับม้าขึ้นไปบนเนินเขา พอได้ยินเสียงประทัดม้านั้นถลำหลุม บังเต๊กตกม้าลง เหล่าทหารโจโฉก็เข้ากล้มรุมกันจับบังเต๊กมัดมาให้โจโฉ

โจโฉเห็นดังนั้น ก็แกล้งห้ามทหารอย่าให้ทำวุ่นวายไป โจโฉก็ลงจากม้าเข้าไปแก้มัดบังเต๊กเสียแล้วถามว่า ตัวท่านจะยอมอยู่ด้วยเราหรือ เราจะไว้ชีวิต บังเต๊กจึงคิดว่านํ้าใจโจโฉนี้หาพยาบาทมิได้ อันเตียวฬ่อนั้นเปนคนเบาความคิด มิได้พิเคราะห์ตามผิดแลชอบ ควรเราจะอยู่ด้วยโจโฉจึงจะมีความสุขสืบไป แล้วว่าตัวข้าพเจ้าเปนข้าศึก ท่านจับได้ไม่ฆ่าเสียนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขออยู่ทำราชการสนองคุณท่านไปกว่าจะสิ้นชีวิต

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้จัดม้ามาให้บังเต๊กขี่ตัวหนึ่งแล้วก็พากันกลับมา ณ ค่าย จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงบังเต๊กแล้ว ให้เงินทองแก่บังเต๊กเปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉจึงให้ทหารเอาบันไดหกแลพะองเข้าไปพาดกำแพงเมือง ทหารบนหน้าที่เชิงเทินก็ยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงมาถูกทหารโจโฉป่วยเจ็บตาย เปนอันมาก เหล่าทหารโจโฉก็เอาดินประสิวสุพรรณถันห่อล่ามชะนวนฝักแค จุดทิ้งเข้าไปไหม้เรือนอาณาประชาราษฎรขึ้น ชาวเมืองทั้งปวงช่วยกันดับได้

เตียวฬ่อรู้ว่าบังเต๊กไปเข้าด้วยโจโฉ จึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า บังเต๊กเอาใจออกหากเราไปเข้าด้วยโจโฉแล้ว บัดนี้โจโฉก็ยกกองทัพมาถึงเชิงกำแพงแล้ว ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เตียวโอยจึงว่า อันจะป้องกันไว้นั้นเห็นจะไม่ได้ ขอให้เผาเมืองเสีย อย่าให้โจโฉได้ทรัพย์สิ่งของแลสเบียง ท่านจึงพาครอบครัวแลทหารหนีไปอยู่เมืองปาต๋ง เอียวสงจึงว่า อันจะทำตามคำเตียวโอยนั้นไม่ควร ถึงมาทว่าจะไปอยู่เมืองปาต๋งก็ไม่พ้นโจโฉ ขอท่านออกไปนบนอบโจโฉโดยดีก็จะพ้นภัย

เตียวฬ่อได้ฟังเตียวโอยกับเอียวสงว่า ก็ยังคิดสงสัยอยู่ไม่รู้ที่จะทำตามข้างไหน แล้วว่าเมื่อเดิมเราคิดตั้งตัวนั้น หวังจะบำรุงอาณาประชาราษฎร บัดนี้มีกรรมเปนเหตุมาจวนตัวเข้าดังนี้ ครั้นจะเผาทรัพย์สิ่งของแลสเบียงอาหารสำหรับเมืองเสียก็ไม่ควร เราจำจะพากันหนีไปให้พ้นภัย ครั้นเวลาสองยามเศษ เตียวฬ่อก็พาครอบครัวพรรคพวก หนีออกทางประตูทิศใต้ไป ณ เมืองปาต๋ง โจโฉรู้ดังนั้นก็มิได้ให้ทหารติดตามเตียวฬ่อ ต่อรุ่งเช้าก็พาทหารทั้งปวงเข้าไปในเมืองฮันต๋ง โจโฉเห็นคลังแลฉางนั้นใส่ประแจอยู่ จึงให้ทหารกะทุ้งประตูเข้าไป เห็นเข้าของทั้งปวงมีอยู่มาก โจโฉมีความสงสาร จึงคิดว่าเตียวฬ่อนั้นเปนคนสัตย์ซื่อ มิได้ทำอันตรายเข้าของในเมืองเสีย หนีไปแต่ตัวนั้นต้องคำโบราณ แล้วโจโฉก็แต่งหนังสือให้ทหารถือไปเกลี้ยกล่อมเตียวฬ่อ ว่าให้มานบนอบเราโดยดีเถิด เรามิทำอันตรายสิ่งใด ทหารนั้นก็รับเอาหนังสือไปถึงเมืองปาต๋ง แล้วเอาหนังสือนั้นให้เตียวฬ่อ

เตียวฬ่อแจ้งในเนื้อความดังนั้น ก็คิดเกรงโจโฉอยู่ว่าจะทำกลอุบาย จึงปรึกษาเตียวโอยผู้น้องตามในหนังสือโจโฉ เตียวโอยจึงว่า อันนํ้าใจโจโฉนั้นประกอบด้วยกลอุบายล่อลวง ซึ่งจะไปนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ขอให้รักษาเมืองปาต๋งไว้ให้มั่นคง แม้โจโฉยกตามมาจะได้รบพุ่งต้านทานไว้ เตียวฬ่อก็ฟังคำเตียวโอยผู้น้อง เอียวสงจึงลอบแต่งหนังสือลับให้คนสนิธถือไปให้โจโฉ ณ เมืองฮันต๋ง

โจโฉรับหนังสือมาอ่านเปนใจความว่า ข้าพเจ้าเอียวสงขอคำนับมาถึงท่านวุยก๋ง ด้วยเตียวฬ่อขัดขวางอยู่ไม่มานั้น เพราะเตียวโอยผู้น้อง ขอให้ท่านยกกองทัพมาตีเมืองปาต๋งเถิด ข้าพเจ้าจะเปนไส้ศึกอยู่ในเมือง โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงกองทัพยกไปตั้งอยู่ใกล้เมืองปาต่ง

ฝ่ายเตียวฬ่อครั้นรู้ว่าโจโฉยกมา ก็ปรึกษาด้วยทหารทั้งปวงว่า บัดนี้โจโฉยกตามมา เราจะคิดป้องกันประการใด เตียวโอยจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารออกไปรบด้วยโจโฉ แล้วเตียวโอยก็จัดแจงทหารยกออกไป

โจโฉเห็นดังนั้นก็ให้เคาทูเข้ารบด้วยเตียวโอยได้ห้าเพลง เคาทูก็เอาทวนแทงถูกเตียวโอยตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกหนีเข้าไปบอกแก่เตียวฬ่อ ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินเปนมั่นคง เอียวสงเห็นดังนั้นจึงแกล้งเพทุบายว่าแก่เตียวฬ่อว่า อันจะนิ่งอยู่ฉนี้ไม่ควร ด้วยข้าศึกมาตั้งประชิดเมืองอยู่ ข้าพเจ้าจะขอรักษาเมืองไว้ ท่านจงยกกองทัพออกไปทำสงครามด้วยโจโฉ จึงจะสมควรด้วยชาติทหาร ทั้งชื่อเสียงท่านก็จะปรากฎไปภายหน้า

เตียวฬ่อมิได้รู้กลอุบาย ก็จัดแจงทหารยกออกไป แลทหารซึ่งออกไปด้วยเตียวฬ่อนั้น ก็ชวนกันกลับเข้าไปรักษาครอบครัวอยู่ในเมือง เตียวฬ่อเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขับม้าถอยหนีเข้ามาถึงเชิงกำแพงเมือง โจโฉก็คุมทหารไล่ตามเข้าไป

ฝ่ายเอียวสงอยู่บนเชิงเทิน เห็นเตียวฬ่อหนีกลับมา ก็ให้ทหารปิดประตูเมืองเสีย โจโฉจึงร้องว่ากับเตียวฬ่อว่า ตัวท่านจะถึงแก่ความตายครั้งนี้แล้ว แม้เข้ามานบนอบเราโดยดีเราก็จะไว้ชีวิต เตียวฬ่อได้ฟังดังนั้นก็ลงจากม้าทิ้งอาวุธเข้าไปคำนับโจโฉ ๆ มีใจเอ็นดู จึงพาเตียวฬ่อเข้าไปในเมือง แต่งให้เตียวฬ่อเปนเจ้าเมืองปาต๋ง บันดาทหารของเตียวฬ่อนั้นก็ตั้งตามผู้ใหญ่ผู้น้อย

โจโฉปราบปรามหัวเมือง ซึ่งขึ้นแก่เมืองฮันต๋งราบคาบสิ้น ก็ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารเปนอันมาก จึงให้หาเอียวสงมาแล้วว่า ตัวนี้เปนคนโลภหากตัญญูต่อนายมิได้ เห็นแก่ลาภสักการ ควรหรือเอาใจออกหากเตียวฬ่อ แม้เราจะเลี้ยงตัวไว้สืบไป ก็จะเอาใจเผื่อแผ่แก่ข้าศึกศัตรู แล้วก็ให้ทหารเอาตัวเอียวสงไปตะเวนแล้วฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะเสียบประจานไว้หวังมิให้ผู้ใดดูเยี่ยง เมื่อโจโฉปราบปรามเมืองฮันต๋งแลหัวเมืองขึ้นนั้น คนทั้งปวงเรียกแว่นแคว้นนี้ว่าตังฉวน แปลภาษาไทยว่า ทางกันดารฝ่ายตวันออก


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 54

https://drive.google.com/file/d/1chBDmKlmIybrPhqYBaWWVtlHOe1sWGno/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #4 on: 23 December 2021, 14:58:08 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 55


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-55.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 55

เนื้อหา
• โจโฉคิดจะตีเมืองเสฉวน
• ขงเบ้งอุบายให้ซุนกวนไปตีเมืองหับป๋า
• ซุนกวนรบกับเตียวเลี้ยว
• โจโฉยกไปช่วยเตียวเลี้ยว
• โจโฉรบกับซุนกวน
• โจโฉเป็นเจ้าวุยอ๋อง
• โจโฉตั้งทายาท
• กล่าวถึงโจจู๋ผู้วิเศษ
• โจจู๋หลอกล้อโจโฉจนเจ็บ
• กวนลอหมอวิเศษมารักษาโจโฉ
• เกงจีกับพวกคิดกำจัดโจโฉ


ขณะ นั้นสุมาอี้ได้เข้ามาอยู่ด้วยโจโฉแต่เมื่อยังอยู่เมืองฮูโต๋ โจโฉให้สุมาอี้เปนสมุห์บาญชีทหารเลว สุมาอี้จึงเข้าไปคำนับโจโฉแล้วว่า ครั้งนี้ท่านยกกองทัพมาตีก็ได้เมืองฮันต๋งแล้ว ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่าเล่าปี่ได้เมืองเสฉวน แล้วขับเล่าเจี้ยงจากเมือง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ปรกติต่อเล่าปี่ ท่านยกกองทัพมาถึงนี่ก็เปนทางกันดารอยู่ ซึ่งจะเลิกกองทัพกลับไปนั้นไม่ควร เมื่อไรจึงจะได้ยกมาอีกเล่า ขอให้ไปตีเมืองเสฉวนให้ได้ในครั้งนี้ทีเดียวจึงค่อยยกทัพกลับไป

โจโฉได้ฟังดังนั้น ก็ทำทอดใจใหญ่แล้วแกล้งว่า อันธรรมดาคนนี้ เดิมคิดว่าจะหาแต่หนึ่ง ครั้นได้หนึ่งแล้วก็คิดกำเริบจะหาสองต่อขึ้นไปเพราะโลภ แต่ได้เมืองฮันต๋งแล้วยังมิหนำจะซ้ำไปตีเอาเมืองเสฉวน ซึ่งเปนทางกันดารอีกเล่า

เล่าหัวจึงว่า สุมาอี้ว่านี้ชอบอยู่ แม้ท่านจะละไว้ช้า ขงเบ้งก็มีสติปัญญา จะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมราษฎรชาวเมืองเสฉวนให้มีใจเปนปรกติด้วย ทั้งกวนอูเตียวหุยจูล่งทหารเอกทั้งปวงก็มีเปนอันมาก ซึ่งท่านจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเห็นจะขัดสน โจโฉจึงตอบว่า เรายกกองทัพมานี้ทางก็กันดารนัก ประการหนึ่งได้เมืองฮันต๋งนี้ ทแกล้วทหารก็ยังอิดโรยอยู่ ซึ่งจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเรายังไม่เห็นด้วย แล้วก็ให้ตั้งบำรุงทแกล้วทหารอยู่ในเมืองปาต๋ง

ฝ่ายอาณาประชาราษฎรในเมืองเสฉวนแลหัวเมืองขึ้นนั้น รู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉยกกองทัพมาตีเอาเมืองฮันต๋งได้ ต่างคนต่างตกใจสดุ้งสเทือน กลัวโจโฉจะยกกองทัพล่วงมาตีแดนเมืองเสฉวน เล่าปี่แจ้งว่าราษฎรทั้งปวงสดุ้งตกใจดังนั้น จึงปรึกษาขงเบ้งว่า ราษฎรชาวเมืองเรากลัวโจโฉจะยกมาทำอันตราย ท่านคิดประการใด

ขงเบ้งจึงว่า ข้อนี้อย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอุบายมิให้โจโฉยกมาทำอันตรายถึงเมืองเรา จะให้ยกกลับไป เล่าปี่จึงถามว่า ท่านจะทำประการใด ขงเบ้งจึงว่า โจโฉนั้นเกรงซุนกวนอยู่ จึงให้แฮหัวตุ้นกับเตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมืองหับป๋า เมื่อโจโฉยกมาตีเมืองฮันต๋งนี้ ก็เอาแฮหัวตุ้นมาด้วย ขอให้แต่งผู้มีสติปัญญาไปว่ากล่าวแก่ซุนกวนว่า ท่านจะให้เมืองกังแฮ เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยง แล้วยุยงให้ซุนกวนยกมาตีเมืองหับป๋า โจโฉรู้ก็จะเปนกังวลหลังเลิกทัพกลับไปช่วยกันเปนมั่นคง

เล่าปี่จึงว่า ท่านจะเห็นผู้ใดที่จะถือหนังสือไปว่ากล่าวกับซุนกวนได้ อิเจี้ยจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาถือหนังสือไป เล่าปี่จึงให้แต่งหนังสือให้อิเจี้ยแล้วสั่งว่า ท่านไปจงเข้าไปบอกเนื้อความแก่กวนอูให้แจ้งก่อน อิเจี้ยรับเอาหนังสือแล้วลาเล่าปี่รีบไปเมืองเกงจิ๋ว แล้วบอกเนื้อความแก่กวนอูตามซึ่งโจโฉยกมารบเมืองฮันต๋ง บัดนี้เล่าปี่ให้ข้าพเจ้าถือหนังสือไปให้ซุนกวนว่า จะยกเมืองสามตำบลให้ซุนกวน แล้วก็ลากวนอูไปเมืองกังตั๋ง จึงบอกทหารให้เข้าไปบอกเนื้อความแก่ซุนกวนว่า เล่าปี่ใช้ให้เรามาหา ทหารก็เข้าไปบอกซุนกวนตามคำอิเจี้ย

ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็ให้หาตัวอิเจี้ยเข้ามาแล้วถามว่า เล่าปี่ใช้มาด้วยเหตุสิ่งใด อิเจี้ยจึงเอาหนังสือนั้นให้ซุนกวนแล้วบอกว่า เมื่อจูกัดกิ๋นไปว่าด้วยเมืองเกงจิ๋วนั้น เล่าปี่ก็รับว่าจะให้สามเมืองนั้นเปนเท็จไปแล้ว บัดนี้เล่าปี่จะคืนเมืองกังแฮ เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยงให้ก่อน จึงให้หนังสือมาแก่ท่านเปนสำคัญ อันเมืองเกงจิ๋วเมืองเลงเหลงเมืองลำกุ๋นก็จะคืนให้ท่านด้วย แต่ติดขัดอยู่เพราะโจโฉยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง กวนอูยังไม่มีที่อาศรัยจะยืมไว้ก่อน อันเมืองหับป๋าซึ่งโจโฉแต่งคนมารักษาอยู่นั้น ทหารก็เบาบาง ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเอาเมืองหับป๋า โจโฉก็จะเลิกกองทัพมาช่วยเมืองหับป๋า เล่าปี่จึงจะยกมาตีเอาเมืองฮันต๋ง แม้ได้แล้วก็จะให้กวนอูไปอยู่เมืองฮันต๋ง แลเมืองเกงจิ๋วเมืองเลงเหลงเมืองลำกุ๋นนั้นก็จะให้ท่านด้วย

ซุนกวนได้ฟังดังนั้น ก็ฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความต้องกันกับคำอิเจี้ย แล้วก็ให้อิเจี้ยไปอยู่ ณ ตึกรับแขกก่อน ซุนกวนจึงเอาหนังสือซึ่งเล่าปี่ให้มานั้นปรึกษาขุนนางทั้งปวง เตียวเจียวจึงว่า ซึ่งเล่าปี่ให้หนังสือมานี้เปนกลอุบาย เพราะกลัวโจโฉจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวน ถึงมาทว่าเปนกลของเล่าปี่ก็ดี แต่เปนประโยชน์แก่เราสองประการ ๆ หนึ่งจะได้เมืองสามตำบล ประการหนึ่งจะได้เมืองหับป๋าด้วย ถึงมาทว่าเล่าปี่จะมีใจกำเริบว่าลวงเราได้ก็ตามเถิด จำจะทำตามหนังสือนี้จงได้

ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงให้หาตัวอิเจี้ยเข้ามาแล้วสั่งว่า ท่านจงเร่งกลับไปบอกเล่าปี่เถิดว่า เราจะยกไปตีเมืองหับป๋า อิเจี้ยรับคำแล้วก็ลาไป ขณะนั้นเทียเภาอุยกายหันต๋ง ไปตรวจด่านยังไม่กลับมา ฝ่ายซุนกวนจึงให้โลซกไป หวังจะรับตราสำหรับเมืองสามตำบล แล้วซุนกวนก็พาทหารออกไปตั้งอยู่ปากนํ้าลกเค้า จึงให้หากำเหลงลิบองเล่งทอง แต่กำเหลงลิบองมาถึงก่อน

ซุนกวนจึงปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉยกไปตีเมืองฮันต๋ง เราคิดจะไปตีเมืองหับป๋า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ลิบองจึงว่า โจโฉให้จูก๋งอยู่รักษาเมืองโลกั๋ง จูก๋งมาตั้งอยู่ ณ เมืองอ้วนเสีย บัดนี้เปนเทศกาลเข้าโภชน์สาลีสุก จูก๋งจึงให้เกี่ยวเข้าโภชน์สาลีส้องสุมไว้ในเมืองหับป๋า ขอให้ยกไปตีเอาเมืองอ้วนเสียเสียก่อน แล้วจึงยกล่วงไปตีเอาเมืองหับป๋า เห็นจะได้โดยง่าย

ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทแกล้วทหารได้สิบหมื่น ให้กำเหลงลิบองคุมทหารเปนกองหน้า จิวขิมกับพัวเจี้ยงเปนกองหลัง ซุนกวนเอาจิวท่ายตันบูตังสิดซิเซ่งสี่นายนี้ไว้ในกองหลวง ครั้นจัดทัพเสร็จแล้ว ซุนกวนก็ยกข้ามฟากไปขึ้นทางเมืองไฮจิ๋ว ยกเปนกระบวรทัพบกไป พอใกล้เมืองอ้วนเสียแล้วให้หยุดตั้งค่ายมั่นไว้

ฝ่ายจูก๋งรู้ว่าซุนกวนยกกองทัพมาก็เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่ไว้เปนมั่น คง แล้วให้คนใช้ถือหนังสือข่าวทัพไปถึงเตียวเลี้ยว ซึ่งอยู่ ณ เมืองหับป๋า ฝ่ายซุนกวนคุมทหารไปเที่ยวดูกำแพงเมืองอ้วนเสีย ถ้าเห็นที่ไหนเบาบางก็จะให้ทหารเข้าหักเอาเมือง เหล่าทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินเห็นซุนกวนคุมทหารมา ก็ชวนกันเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมออกไปเปนอันมาก

ซุนกวนเห็นดังนั้นก็พาทหารกลับมา ณ ค่าย จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เราจะรบพุ่งประการใดจึงจะได้เมืองอ้วนเสีย ตังสิดจึงว่า ให้เกณฑ์ทหารขนเอาดินมาถมเปนเนินเข้า ให้สูงเท่ากำแพงเมืองจงหลายกอง จึงให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปดังห่าฝน ทหารที่อยู่บนเชิงเทินก็จะละหน้าที่เสีย แล้วให้ทหารเอาบันไดหกพาดปีนเข้าไปเห็นจะได้เมืองโดยง่าย ลิบองจึงว่าแก่ตังสิดว่า อันจะทำการเหมือนท่านว่านั้นช้านัก เห็นกองทัพเมืองหับป๋าจะมาช่วยกันทันที อันทหารเราก็มีกำลังอยู่ ขอให้ยกเข้าโจมตีเอาแต่เวลาเดียวก็จะได้เมืองอ้วนเสีย แล้วจะได้ล่วงไปทำการเมืองหับป๋า

ซุนกวนเห็นด้วย ครั้นเวลาสามยามจึงให้ทหารหุงอาหารกินพร้อมแล้ว เวลาสิบเอ็ดทุ่มก็ยกทหารข้ามคูเมืองเข้าไปโจมตีทำลายประตูแลกำแพงเมือง เสียงฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงดังแผ่นดินจะถล่มลง ฝ่ายทหารบนเชิงเทินก็เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงดังห่าฝน กำเหลงกับลิบองซึ่งเปนนายกองหน้าเห็นดังนั้น ก็เร่งขับทหารให้เอาบันไดแลพะองพาดกำแพงปีนขึ้นไปรบพุ่งเปนสามารถ แล้วกำเหลงนั้นก็ขึ้นไปถึงกลางพะอง แล้วเอาโซ่เหวี่ยงขึ้นไปจะให้คล้องใบเสมาจะหน่วงตัวขึ้นไป

ฝ่ายจูก๋งก็ให้ทหารเอาก้อนศิลากรวดทรายทิ้งลงมาเปนอันมาก กำเหลงซํ้าเหวี่ยงโซ่ขึ้นไปถูกจูก๋งล้มลง ทหารบนเชิงเทินก็ตกใจเข้าช่วยพะยุงไว้ กำเหลงกับทหารทั้งปวงก็ปีนขึ้นไปได้ จึงเอากระบี่แลทวนแทงฟันจูก๋งตาย แลทหารจูก๋งก็เข้ามาคำนับกำเหลงสิ้น

ฝ่ายเตียวเลี้ยวครั้นแจ้งในหนังสือซึ่งจูก๋งให้มานั้น ก็จัดแจงทหารยกกองทัพไปช่วยเมืองอ้วนเสีย ครั้นถึงกลางทางรู้ข่าวว่าซุนกวนได้เมืองอ้วนเสียแล้ว เตียวเลี้ยวก็ยกกลับมารักษาเมืองหับป๋าไว้

ฝ่ายเล่งทองคุมทหารรีบตามซุนกวนมา ครั้นถึงพอซุนกวนได้เมืองอ้วนเสียแล้ว ซุนกวนจึงพาเล่งทองกับทหารทั้งปวงเข้าในเมืองอ้วนเสีย ให้ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารใหญ่น้อย แล้วให้แต่งโต๊ะจะเลี้ยงขุนนางทหารทั้งปวงนั้น ซุนกวนจึงว่า เรามาตีเมืองอ้วนเสียครั้งนี้ กำเหลงมีความชอบเปนอันมาก เพราะเข้าเมืองได้ก่อน ให้กำเหลงนั้นนั่งกินโต๊ะที่ขุนนางผู้ใหญ่

ขณะนั้นที่ปรึกษาแลนายทหารทั้งปวงกินโต๊ะอยู่พร้อมกัน เล่งทองเห็นกำเหลงนั่งกินโต๊ะอยู่ที่สูงกว่าทหารทั้งปวง ก็ยิ่งมีความแค้น ด้วยกำเหลงฆ่าบิดาของตัวเสีย จึงชายตาค้อนกำเหลง แล้วว่าแก่นายทหารทั้งปวงว่า เราจะรำกระบี่ให้ท่านดู แล้วเล่งทองก็รำไป

กำเหลงเห็นดังนั้นก็คิดว่า เล่งทองนี้ยังมีใจพยาบาทอยู่ ซึ่งรำกระบี่นี้หวังจะทำร้ายเรา จำเราจะรำบ้างจะได้ป้องกันตัว แล้วกำเหลงจึงว่า เล่งทองรำผู้เดียวนั้นไม่สู้งาม ตัวเราชำนาญถือทวนสองเล่ม เราจะรำให้ท่านทั้งปวงดู แล้วก็ลุกขึ้นรำ ลิบองเห็นกำเหลงเล่งทองรำทวนแลกระบี่ด้วยกันดังนั้นก็คิดว่า นายทหารทั้งสองนี้พยาบาทจะทำร้ายกัน จำเราจะป้องกันไว้อย่าให้มีอันตรายข้างผู้ใดเลย จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงนั้นว่า ตัวเราชำนาญเขนเราจะรำให้ท่านดู แล้วก็ลุกขึ้นรำอยู่หว่างกำเหลงเล่งทองหวังมิให้ทำร้ายกัน ทหารคนหนึ่งเห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกซุนกวน ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจ รีบไปยังที่ชุมนุมขุนนาง เห็นกำเหลงเล่งทองรำอาวุธอยู่คนละข้าง ลิบองนั้นรำอยู่กลาง กำเหลงกับเล่งทองเห็นซุนกวนมาก็ตกใจวางอาวุธเสีย แล้วคุกเข่าลงคำนับซุนกวนอยู่ ซุนกวนจึงว่าแก่เล่งทองว่า การซึ่งท่านพยาบาทกำเหลงนั้น เราก็ได้ขอเสียแต่ครั้งก่อนแล้ว เหตุใดจึงมาทำครั้งนี้อีกเล่า เล่งทองมิได้ตอบประการใด แต่นั่งร้องไห้อยู่

ซุนกวนจึงปลอบโยนเล่งทองว่า ท่านกับกำเหลงเหมือนหนึ่งปลาค่องเดียวกัน จงตั้งใจประนอมทำราชการด้วยกันให้ปรกติเถิด เล่งทองก็นิ่งอยู่ ซุนกวนจึงให้ตรวจตราทแกล้วทหารเตรียมไว้พร้อมอยู่ทุกกอง ครั้นเวลารุ่งเช้า ซุนกวนก็ยกกองทัพไปใกล้เมืองหับป๋า จึงให้ตั้งค่ายมั่นไว้

ฝ่ายเตียวเลี้ยวนั้น กะเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง ครั้นรู้ว่าซุนกวนยกกองทัพมาใกล้เมืองหับป๋า เตียวเลี้ยวก็คิดจะออกไปรบพุ่งกับซุนกวน พอทหารเข้ามาบอกเตียวเลี้ยวว่า โจโฉให้เอาหีบน้อยนี้มาให้ท่าน เตียวเลี้ยวรับเอาหีบมาดู เห็นหนังสือฉลากบอกว่า ถ้าจะมีศึกมากระทำยํ่ายีเมืองหับป๋า แม้จะต้านทานขัดสนประการใด ให้เปิดเอาหนังสือออกมาดูแล้วให้ทำตาม

ขณะนั้นเตียวเลี้ยวปรึกษากับลิเตียนงักจิ้นว่า ซึ่งจะออกไปต่อสู้ด้วยซุนกวนนั้นยังไม่ตกลงกัน เตียวเลี้ยวจึงเปิดหีบออก เอาหนังสือโจโฉออกมาอ่านดูเปนใจความว่า ถ้าซุนกวนยกมาตีเมืองหับป๋า ก็ให้เตียวเลี้ยวกับลิเตียนคุมทหารออกไปรบด้วยซุนกวน ให้งักจิ้นอยู่รักษาเมือง เตียวเลี้ยวแจ้งแล้วก็เอาหนังสือนั้นให้ลิเตียนงักจิ้นดู

ลิเตียนงักจิ้นเห็นหนังสือแล้ว จึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า เมื่อหนังสือวุยก๋งให้มาฉนี้ ท่านจะคิดประการใด เตียวเลี้ยวจึงว่า ซุนกวนรู้ว่าวุยก๋งยกไปตีฮันต๋ง ซุนกวนมีใจกำเริบ จึงมาทำอันตรายเมืองเรา ๆ จำจะคุมทหารออกไปรบพุ่ง เอาชัยชนะซุนกวนไว้ให้ได้ครั้งหนึ่งก่อน แต่พอยอใจให้ทหารทั้งปวงของเรากำเริบไว้ เราจึงจะคิดอ่านต่อไป ลิเตียนได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ แต่งักจิ้นตอบเตียวเลี้ยวว่า ซุนกวนคุมทหารมาครั้งนี้เปนอันมาก ทหารเมืองเราน้อย ซึ่งจะยกออกไปนั้นเห็นจะต้านทานทหารซุนกวนไม่ได้ ขอให้รักษาเมืองไว้ให้มั่นคง อย่าให้ข้าศึกเข้าเมืองได้

เตียวเลี้ยวจึงว่า อันจะรักษาเมืองนิ่งอยู่ฉนี้ จะมิผิดกับหนังสือวุยก๋งให้มาหรือ ผู้ใดจะอยู่ก็ตามเถิด แต่เราผู้เดียวจะคุมทหารออกไปทำการสงครามกับซุนกวน แล้วก็สั่งให้จัดแจงทหาร ลิเตียนงักจิ้นจึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า ถ้าฉนั้นตัวเราร่วมสุขทุกข์ผิดชอบด้วยกัน เราจะขอออกไปด้วย จะให้แต่ทหารอยู่รักษาเมือง

เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นมีความยินดี จึงว่าแก่ลิเตียนว่า เวลาสามยามวันนี้ ท่านจงคุมทหารอ้อมออกไปทำลายสะพานเสียวเกียวข้างทิศใต้เสีย อย่าให้ข้าศึกข้ามไปมาได้ แล้วคุมทหารซุ่มอยู่ตำบลเสียวเกียว คอยสกัดตีกองทัพซุนกวน เวลารุ่งเช้าตัวเรากับงักจิ้นจะคุมทหารออกโจมตี ลิเตียนเห็นชอบด้วย ก็คุมทหารไปทำตามเตียวเลี้ยวสั่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวเลี้ยวจึงให้งักจิ้นคุมทหารเปนกองล่อ ตัวเตียวเลี้ยวนั้นคุมทหารออกไปซุ่มอยู่หวังจะคอยโจมตี

ฝ่ายซุนกวนกับเล่งทองยกล่วงเข้ามา แลกำเหลงกับลิบองซึ่งเปนกองหน้านั้น เห็นงักจิ้นคุมทหารออกมา กำเหลงก็ขับม้าเข้ารบกับงักจิ้นได้สิบเพลง งักจิ้นทำชักม้าถอยหนีเข้าปากทางเสียวเกียว แล้วรีบขับม้าไปทางแยก ลิบองเห็นได้ทีก็ขับทหารหนุนไป ซุนกวนเห็นดังนั้น ก็ขับม้าพาทหารรีบไป พอถึงตำบลซึ่งเตียวเลี้ยวซุ่มทัพ ก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาแลทหารโห่ร้องอื้ออึง เห็นข้างซ้ายนั้นลิเตียนคุมทหารตีออกมาเปนอันมาก ข้างขวาทางนั้นเตียวเลี้ยวคุมทหารตีกระหนาบเข้ามา ฆ่าฟันทหารล้มตายแตกตื่นไป ซุนกวนเสียทีดังนั้นก็ตกใจ แลกำเหลงกับลิบองก็ไล่งักจิ้นเกินขึ้นไป ครั้นจะให้ทหารควบม้าไปบอกให้มาช่วย กองทัพเตียวเลี้ยวก็สกัดทางอยู่

ขณะนั้นซุนกวนยังเหลือทหารอยู่ประมาณสามร้อย เล่งทองจงว่าแก่ซุนกวนว่า จงเร่งข้ามสะพานไปให้ถึงฟากจึงจะพ้นข้าศึก ครั้นว่าขาดคำลง พอเตียวเลี้ยวคุมทหารไล่เล่งทองเข้ามา ซุนกวนขับม้าหนีขึ้นสะพานศิลาไปถึงฟากตวันตก เห็นเชิงสะพานนั้นขาดอยู่ไม่มีศิลาพาดประมาณเก้าศอกสิบศอก ซุนกวนตกใจจึงคิดว่าครั้งนี้เห็นจะไม่พ้นมือข้าศึก จะชักม้าถอยหลังมาก็ไม่ได้ ด้วยทหารเตียวเลี้ยวตามมาถึงสะพานฟากตวันออกแล้ว ทหารคนหนึ่งซึ่งตามมาด้วยจึงเตือนสติซุนกวนว่า ให้ท่านชักม้าถอยไปถึงกลางสะพาน แล้วจึงขับม้าควบให้โจนข้ามสะพานซึ่งไม่มีศิลาพาดนั้นก็จะถึงแผ่นดิน ซุนกวนเห็นชอบด้วย ก็ชักม้าถอยหลังไป แล้วขับม้าควบโจนไปถึงแผ่นดิน พอซิเซ่งกับตังสิดขี่เรือลำหนึ่งมาเห็นเข้า ก็ขับทหารรีบเข้าไปรับซุนกวนลงเรือ ฝ่ายเล่งทองต่อรบกันอยู่กับเตียวเลี้ยวเปนสามารถ เตียวเลี้ยวฆ่าฟันทหารเล่งทองเสียสิ้นทั้งสามร้อย

ฝ่ายกำเหลงลิบองได้ยินทหารข้างหลังนั้นโห่ร้องอื้ออึง ก็พาทหารถอยมาหวังจะช่วยซุนกวน พอพบลิเตียนก็เข้ารบกันอยู่เปนช้านาน ขณะนั้นงักจิ้นคุมทหารย้อนตลบหลังลงมา เห็นลิเตียนกับกำเหลงลิบองรบกันอยู่ ก็เข้าช่วยลิเตียนรบเปนสามารถ ลิเตียนกับงักจิ้นฆ่าฟันทหารกำเหลงล้มตายเปนอันมาก เล่งทองสิ้นทหารยังแต่ตัวผู้เดียว กายนั้นต้องอาวุธเปนหลายแผล เหลือกำลังที่จะอยู่ต้านทาน ก็ขับม้าหนีเตียวเลี้ยวไปถึงเชิงสะพาน พอกำเหลงกับลิบองแลทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคน ต่างคนต่างทิ้งม้าเสียโจนลงน้ำว่ายหนีไป ซุนกวนเห็นดังนั้นจึงให้ถอยเรือเข้าไปรับขึ้นเรือรบ แล้วก็พาเอาทหารทั้งปวงรีบหนีไปปากน้ำญี่สูแดนเมืองกังตั๋ง แล้วให้ตั้งค่ายอยู่บนบก

ขณะเมื่อซุนกวนแตกมานั้น ทหารแลชาวเมืองกังตั๋งกลัวฝีมือเตียวเลี้ยวเปนอันมาก ถ้าเด็กร้องไห้มีผู้ขู่ออกชื่อเตียวเลี้ยว เด็กนั้นก็กลัวนิ่งอยู่ ซุนกวนมีความน้อยใจ จึงซ่องสุมทหารหวังจะยกไปแก้แค้นเตียวเลี้ยว แล้วให้แต่งหนังสือไปถึงโลซกเปนใจความว่า ให้โลซกเร่งคุมทหารเติมมา เราจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองหับป๋า จับตัวเตียวเลี้ยวมาฆ่าเสียให้จงได้

ฝ่ายเตียวเลี้ยวครั้นมีชัยชนะแก่ซุนกวนแล้ว ก็คุมทหารกลับเข้าเมือง จึงคิดเกรงว่าซุนกวนแตกไปครั้งนี้ เห็นจะเกณฑ์ทหารเติมทวีมากขึ้น ยกมาแก้แค้นเราเปนมั่นคง อันทหารในเมืองหับป๋านี้น้อยนัก เห็นจะต้านทานซุนกวนมิได้ จำจะบอกไปถึงโจโฉให้ยกมาช่วย คิดแล้วก็ให้แต่งหนังสือบอกข่าวราชการ ซึ่งมีชัยชนะแก่ซุนกวนไปถึงวุยก๋งทุกประการ แล้วว่าเตียวเลี้ยวเกรงอยู่ว่าซุนกวนจะยกกองทัพมาอีก แลทหารในเมืองหับป๋าน้อย ให้ขอกองทัพวุยก๋งยกมาช่วย ครั้นแต่งแล้วก็ให้ซิแท่รีบถือไป ซิแท่ครั้นมาถึงเมืองฮันต๋งก็เอาหนังสือเข้าไปให้โจโฉ

โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้ว ก็ปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงตามในหนังสือเตียวเลี้ยว ว่าเราจะคิดประการใด เล่าหัวจึงว่า ซึ่งจะยกไปรบเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ได้ก่อน ด้วยเล่าปี่จัดแจงทหารเตรียมไว้หวังจะป้องกันเมืองเสฉวนมิให้เปนอันตราย อันเมืองหับป๋านั้นก็เปนเมืองใหญ่ แม้ท่านจะละเสีย ซุนกวนยกกองทัพมาตีได้ก็จะร้อนถึงเมืองฮูโต๋ ขอให้ท่านยกไปช่วยเมืองหับป๋าจึงจะควร โจโฉเห็นชอบด้วยจึงว่า เขาเตงกุนสันกับเขาบองเทาเหงียม สองตำบลนี้เปนปากทางเมืองฮันต๋ง ให้แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารอยู่รักษาเขาเตงกุนสัน ให้เตียวคับอยู่รักษาปากทาง ณ เขาบองเทาเหงียม แล้วก็จัดแจงทหารได้สี่สิบหมื่น โจโฉก็ยกไปถึงเมืองหับป๋า แล้วพาเตียวเลี้ยวลิเตียนงักจิ้นยกล่วงเข้าไปตั้งอยู่ต่อแดนเมืองกังตั๋ง

ฝ่ายม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกซุนกวนว่า บัดนี้โจโฉคุมทหารประมาณสี่สิบหมื่นมาตั้งอยู่แดนต่อแดน ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ตังสิดกับซิเซ่งคุมเรือรบห้าสิบลำออกไปตั้งขัดทัพอยู่ ณ ปากน้ำญี่สู ให้ตันบูคุมทหารเที่ยวตะเวนอยู่ริมทเล เตียวเจียวจึงว่าแก่ซุนกวนว่า โจโฉพึ่งยกมาถึงเห็นทหารยังอิดโรยอยู่ ขอให้แต่งทหารไปโจมตีให้ทหารโจโฉถอยกำลังลงแล้วจะได้ทำการต่อไป ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงถามนายทหารว่า ผู้ใดจะอาสาไปทำตามเตียวเจียวได้ เล่งทองจึงรับอาสาว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกไปโจมตีให้ทหารโจโฉเสียทีจงได้ กำเหลงจึงว่า เล่งทองจะเอาทหารสามพันนั้นมากนัก ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่งยกไปทำการเอาชัยชนะให้จงได้

ขณะนั้นกำเหลงกับเล่งทองทุ่งเถียงไม่ตกลงกัน ซุนกวนจึงว่าแก่กำเหลงว่า อันความคิดแลฝีมือทหารโจโฉนั้นใหญ่หลวงนัก ท่านจะดูหมิ่นนั้นไม่ได้ จงให้เล่งทองไปเถิด แล้วจัดแจงทหารให้เล่งทองสามพัน เล่งทองลาซุนกวนแล้วคุมทหารไปถึงแดนเมืองหับป๋า พอพบเตียวเลี้ยวเปนกองหน้าโจโฉ เตียวเลี้ยวขับม้ารำทวนเข้ารบกับเล่งทองได้ห้าสิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน

ฝ่ายซุนกวนเมื่อให้เล่งทองไปนั้น ก็คิดวิตกว่าเล่งทองจะเสียทีแก่ทหารโจโฉ จึงให้ลิบองคุมทหารหนุนไป ลิบองก็รีบไป พบเล่งทองก็พากันกลับมาค่ายญี่สู กำเหลงจึงเข้าไปว่าแก่ซุนกวนว่า เวลากลางคืนวันนี้ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่งไปปล้นค่ายโจโฉให้ได้ แม้เสียทหารแต่คนหนึ่งก็ดี ม้าตัวหนึ่งก็ดี ก็อย่าให้ยกความชอบข้าพเจ้าเลย

ซุนกวนได้ฟังก็มีใจยินดี เพราะได้เห็นฝีมือกำเหลง จึงจัดทหารม้าซึ่งมีฝีมือร้อยหนึ่งกับสุราห้าสิบไห เนื้อแพะสิบชั่งให้กำเหลง ๆ ใช้ให้คนแบกสุราแลสิ่งของ แล้วพาทหารมา ณ ค่าย กำเหลงจึงเอาขันเงินตักสุรากินเข้าไปสองขัน แล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งนั้นว่า บัดนี้นายเราให้ไปปล้นค่ายโจโฉ ชาวเจ้าทั้งปวงจงช่วยกันทำการให้เต็มมือจึงจะได้ชัยชนะ ทหารร้อยหนึ่งได้ฟังดังนั้นต่างคนต่างคิดว่า เมื่อคนร้อยหนึ่งเท่านี้หรือจะปล้นค่ายโจโฉได้ แล้วก็ก้มหน้าเปนทุกข์อยู่

กำเหลงเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกแล้วว่า ตัวกูเปนนายทหารเอกมิได้รักชีวิต มึงเหล่านี้เปนแต่ทหารเลว เหตุใดจึงกลัวความตาย แม้ผู้ใดย่อท้อไม่เปนใจทำการ กูจะเอากระบี่นี้ตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงนั้นได้ฟังคำกำเหลงว่าก็กลัว ต่างคนต่างว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปปล้นค่ายโจโฉให้ได้ กำเหลงมีความยินดี จึงเอาเนื้อแพะกับสุรานั้นแจกให้ทหารกินสิ้นทุกคน

ครั้นเวลาพลบค่ำ กำเหลงจึงให้เอาขนห่านมาปักหมวกทหารทั้งนั้นเปนสำคัญ แล้วให้แต่งตัวใส่เกราะผูกม้าเตรียมไว้ ครั้นเวลายามหนึ่งกำเหลงก็ขึ้นม้าถือทวนพาทหารทั้งนั้นไปซุ่มอยู่ข้างเนิน เขาแห่งหนึ่ง เห็นได้ทีแล้ว ก็พาทหารฝ่าขวากหนามโห่ร้องเข้าไปโจมตีปล้นค่ายโจโฉ แล้วจุดเพลิงเผาค่ายขึ้นเปนหลายตำบล แลทหารกำเหลงทั้งร้อยหนึ่งนั้นก็ไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก โจโฉแลทหารทั้งปวงตื่นตกใจ ก็แตกหนีเปนอลหม่าน เหยียบกันป่วยเจ็บล้มตายเปนหลายคน

ฝ่ายซุนกวนก็ให้จิวท่ายคุมทหารหนุนกำเหลงไป หวังจะได้ช่วยป้องกันกำเหลง ๆ เห็นโจโฉแลทหารหนีกระจายไป แลทหารร้อยหนึ่งนั้นก็มิได้เปนอันตราย ก็พากันคืนออกจากค่าย พบจิวท่ายก็ชวนกันกลับไป ขณะนั้นโจโฉหนีออกมาซ่องสุมทหารไว้แล้ว ครั้นจะยกติดตามไปก็เกรงอยู่ว่าซุนกวนจะซุ่มทหารไว้ ก็ให้ตรวจตราทหารอยู่ในที่นั้น

ฝ่ายกำเหลงกับจิวท่ายพากันมาจะใกล้ถึงค่ายพอเวลารุ่งขึ้น ซุนกวนรู้ข่าวว่ากำเหลงไปปล้นค่ายโจโฉได้ก็มีใจยินดี จึงให้ทหารตีฆ้องกลองแลม้าฬ่ออื้ออึง แลซุนกวนออกไปรับกำเหลงถึงนอกค่าย กำเหลงเห็นซุนกวนออกมารับ ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับอยู่ ซุนกวนเข้ายุดมือกำเหลงพากลับมาค่ายแล้วว่า ท่านอาสาครั้งนี้ทำให้อ้ายศัตรูเฒ่าตกใจเสียทหารเปนอันมาก ตัวเรามิใช่จะไม่รักท่านนั้นหามิได้ แต่คิดว่าจะให้ทหารทั้งปวงปรากฎฝีมือท่านไว้ เราก็ได้ให้จิวท่ายคุมทหารหนุนไปช่วย แล้วซุนกวนก็ให้เอาดาบอย่างดีร้อยเล่ม แพรอย่างดีพันพับให้กำเหลงเปนบำเหน็จ กำเหลงคำนับรับเอาสิ่งของทั้งนั้นมา แล้วแจกให้ทหารทั้งร้อยคน ซุนกวนเห็นดังนั้นยิ่งมีความยินดีจึงว่า โจโฉนั้นได้เตียวเลี้ยวไว้เปนทหารเอก เราก็ได้กำเหลงไว้เปนทหารเอก พอจะสู้กับเตียวเลี้ยวได้

ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉจึงให้เตียวเลี้ยวลิเตียนงักจิ้นคุมทหารไปร้องท้าทายถึงหน้าค่ายซุนกวน เล่งทองได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ตัวกูเปนอริกันอยู่กับกำเหลง บัดนี้กำเหลงทำการมีความชอบเปนหลายครั้ง จำกูจะอาสาออกไปรบกับเตียวเลี้ยว จะได้มีความชอบเสมอกำเหลง คิดแล้วจึงว่าแก่ซุนกวนว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปรบให้เตียวเลี้ยวแตกไปให้จงได้ ซุนกวนก็จัดทหารให้เล่งทองห้าพัน เล่งทองก็คุมทหารออกจากค่าย

ซุนกวนจึงพากำเหลงแลทหารทั้งปวงออกไป หวังจะดูเล่งทองรบกับเตียวเลี้ยว เล่งทองขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร เห็นลิเตียนกับงักจิ้นยืนม้ากระหนาบเตียวเลี้ยวทั้งซ้ายขวา เล่งทองจึงร้องว่า เตียวเลี้ยวมาร้องท้าทายแล้วจงเร่งออกมารบกับเราให้เห็นฝีมือกันไว้ เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นก็ให้งักจิ้นขับม้าออกไปรบกับเล่งทองถึงห้าสิบเพลง ก็ยังไม่แพ้ชนะกัน

ขณะนั้นโจโฉคุมทหารหนุนออกไป เห็นงักจิ้นกับเล่งทองรบกันอยู่ โจโฉจึงสั่งโจฮิวให้ลอบเอาเกาทัณฑ์ยิงเล่งทองหวังจะช่วยงักจิ้น โจฮิวก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกม้าเล่งทอง ม้านั้นตกใจสบัดเล่งทองพลัดตกจากหลังล้มอยู่กลางดิน งักจิ้นเห็นได้ทีก็ขับม้าเข้าไปจะเอาทวนแทงเอาเล่งทอง พอกำเหลงยิงเกาทัณฑ์มาถูกหน้าผากงักจิ้นตกม้าลง ทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้าช่วยกันป้องกันงักจิ้นกับเล่งทองออกจากที่รบ

ซุนกวนจึงบอกเล่งทองว่า เมื่อท่านตกม้าลง งักจิ้นขับม้าเข้ามาจะเอาทวนแทงท่านนั้น หากกำเหลงช่วยยิงเกาทัณฑ์ไปถูกงักจิ้นตกม้าลงท่านจึงรอดจากความตาย เล่งทองได้ฟังก็ลุกไปคำนับกำเหลงแล้วว่า ท่านช่วยแก้เราไว้ครั้งนี้คุณท่านหาที่สุดมิได้ ซึ่งเราคิดพยาบาทท่านมาแต่ก่อนนั้นเราขออภัยเถิด แต่นี้สืบไปภายหน้าเราจะได้ตั้งใจประนอมต่อท่าน กำเหลงได้ฟังก็มีความยินดี แล้วต่างคนต่างสาบาลว่า ตัวเราทั้งสองแต่วันนี้ไปก็จะเปนมิตรแก่กันมิได้มีความสงสัยกันเลย

ฝ่ายโจโฉครั้นกลับมาถึงค่าย ก็ให้หมอรักษาแผลเกาทัณฑ์งักจิ้นแล้วคิดว่า จะแต่งทหารยกไปโจมตีค่ายซุนกวนเปนห้าทางจึงจะมีชัยชนะ ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉคุมทหารเปนกองกลาง ให้เตียวเลี้ยวกับลิเตียนคุมทหารคนละหมื่นยกแยกกันไปริมชายทเลเปนสองทาง ให้ซิหลงกับบังเต๊กคุมทหารกองละหมื่นยกแยกกันไปริมเนินเขาเปนสองทาง ครั้นจัดแล้วโจโฉแลนายทหารทั้งสี่กองก็คุมทหารดากันไป

ฝ่ายตังสิดกับซิเซ่งซึ่งคุมทหารเรืออยู่นั้นเห็นกองทัพโจโฉยกดากันมา แล้วเห็นทหารเลวในเรือรบนั้นหน้าซีดสลดลง ซิเซ่งจึงว่า ธรรมดาเปนชาติทหารกินเบี้ยหวัดท่าน ถ้ามีสงครามมาก็ให้ตั้งใจรบพุ่งเปนสามารถ แลตัวท่านทั้งปวงนี้ เห็นแต่ข้าศึกมาก็ให้ตั้งย่อท้อดังนี้ ไม่สมควรเปนชาติทหาร บัดนี้เราจะขนต่อสู้ด้วยข้าศึก แม้ผู้ใดครั่นคร้ามอยู่เราก็จะตัดสีสะเสีย แล้วพาทหารสามร้อยลงเรือน้อยขึ้นมาถึงหาดทราย ก็เข้าตีตลุมบอนอยู่กับทหารลิเตียน

ตังสิดอยู่ในเรือรบเห็นดังนั้น ก็ให้ทหารตีฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงขึ้น พอลมพายุใหญ่พัดมา เสียงคลื่นแลละลอกนั้นเอิกเกริก เรือรบทั้งปวงก็จลาจลดังจะล่มลง ทหารเลวทั้งปวงตกใจกลัวเรือนั้นจะล่ม ก็วิ่งวุ่นวายหวังจะลงเรือน้อยหนีขึ้นหาดทรายให้พ้นจากความตาย

ตังสิดเห็นดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกไล่ฆ่าฟันทหารเลวตายประมาณสิบสี่สิบห้าคน แล้วร้องประกาศว่า นายเราให้มาขัดทัพอยู่ เกิดลมพายุแต่เพียงนี้ ต่างคนต่างจะหนีขึ้นบก แม้จะขืนขึ้นไปให้ได้ เราจะฟันเสียให้สิ้น

ขณะนั้นพายุใหญ่ยิ่งพัดหนักมา คลื่นก็กำเริบหนักขึ้น เรือรบซึ่งทอดอยู่นั้นสายสมอขาดล่มลงเปนหลายลำ เรือตังสิดนั้นก็ล่มด้วย ตังสิดว่ายน้ำสิ้นแรงก็ถึงแก่ความตาย ทหารทั้งปวงจมน้ำตายเปนอันมาก

ฝ่ายตันบูซึ่งเปนกองตะเวน เห็นบังเต๊กคุมทหารมาตามเนินเขา ตันบูก็ขับทหารเข้ารบตลุมบอนอยู่เปนสามารถ ขณะนั้นพอซุนกวนรู้ ก็ขึ้นม้าพาจิวท่ายกับทหารทั้งปวงรีบไป เห็นซิเซ่งกับลิเตียนคุมทหารเข้ารบกันอยู่ ซุนกวนเกรงว่าทหารซิเซ่งน้อยจะเสียทีแก่ข้าศึก ซุนกวนกับจิวท่ายก็คุมทหารเข้าช่วยซิเซ่งรบกับทหารโจโฉเปนตลุมบอน เตียวเลี้ยวกับซิหลงเห็นดังนั้น ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้าล้อมซุนกวนไว้ โจโฉอยู่บนเนินเขาเห็นได้ที ก็ให้เคาทูไปช่วยป้องกัน หวังมิให้ทหารซุนกวนแก้กันได้

ขณะเมื่อรบกันอลหม่านอยู่นั้น จิวท่ายกับซุนกวนพลัดกัน จิวท่ายขับม้าเที่ยวหาออกมาถึงชายทเล ก็ไม่พบซุนกวน แล้วขับม้าฝ่าทหารโจโฉเข้าไปก็ไม่พบซุนกวน จึงถามทหารว่าเห็นนายเราอยู่ที่ไหน ทหารจึงชี้บอกว่า ซุนกวนรบอยู่ในหว่างทหารกองโน้น จิวท่ายก็ขับม้ารำทวนฝ่าเข้าไปพบซุนกวนแล้วว่า ท่านจงขับม้าตามข้าพเจ้าจะพาออกไปให้พ้นข้าศึก ซุนกวนรับคำแล้วจิวท่ายก็ขับม้าฝ่าทหารโจโฉออกมาถึงชายทเล ครั้นเหลียวหลังมาไม่เห็นซุนกวนก็ตกใจ จึงรีบขับม้าตลบฝ่าฟันเข้าไปในหว่างทหารโจโฉ พอพบซุนกวนเข้าจิวท่ายจึงว่า ให้ท่านเร่งขับม้าตามข้าพเจ้าให้ทันจงได้ ซุนกวนจึงว่า เราตามท่านออกไปเมื่อกี้นั้นข้าศึกระดมยิงเกาทัณฑ์มาหนานักจึงพลัดกัน จิวท่ายจึงว่า ถ้าดังนั้นท่านจงขับม้าขึ้นหน้าเถิด ข้าพเจ้าจะป้องกันลูกเกาทัณฑ์ไปข้างหลัง ซุนกวนก็ขับม้าขึ้นหน้าจิวท่าย ๆ ก็ขับม้าเอาทวนปัดลูกเกาทัณฑ์ไปข้างหลัง ครั้นออกมาถึงชายทเล พอลิบองคุมเรือรบมาถึง ก็รับเอาซุนกวนจิวท่ายกับทหารสี่สิบห้าสิบลงเรือ ซุนกวนก็สรรเสริญฝีมือจิวท่าย ซึ่งฝ่าทหารโจโฉเข้าออกเปนหลายครั้ง แต่เราวิตกอยู่ถึงซิเซ่งนั้นยังอยู่ในหว่างทหารโจโฉ ผู้ใดจะแก้เอาซิเซ่งมาได้ จิวท่ายจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะรับอาสาขึ้นไปเอง แล้วก็จับทวนลงจากเรือ ขึ้นม้าฝ่าเข้าไปในทหารโจโฉ ครั้นพบซิเซ่งก็พากันขับม้ากลับออกมา ขณะนั้นจิวท่ายกับซิเซ่งต้องอาวุธชอกช้ำเปนหลายแห่ง ลิบองอยู่ในเรือรบก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปช่วยป้องกัน จิวท่ายกับซิเซ่งก็ลงมาได้ถึงเรือรบ

ฝ่ายตันบูรบกับบังเต๊กอยู่เปนช้านาน ทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายเปนอันมาก ตันบูสิ้นกำลังชักม้าถอยหนี บังเต๊กขับม้าไล่ตามไป ตันบูควบม้าหนีเข้าไปริมเนินเขาช่องแคบแห่งหนึ่ง กิ่งไม้ริมทางนั้นเกี่ยวเกราะไว้ ตันบูเสียทีเอี้ยวตัวไปจะปลดกิ่งไม้ พอบังเต๊กมาทันเข้าก็เอาง้าวฟันตันบูตกม้าตาย

ฝ่ายโจโฉแลลงไปเห็นซุนกวนหนีลงเรือ ก็คุมทหารตามลงไปถึงริมชายทเลจะจับตัวซุนกวน ลิบองเห็นดังนั้นก็ให้ทหารในเรือรบยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปเปนอันมาก พอลกซุนบุตรเขยซุนเซ็กคุมเรือรบบัญจุทหารประมาณสิบหมื่นใช้ใบมาถึง ก็ให้ทหารทั้งปวงเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงขึ้นไปดังห่าฝน แล้วลกซุนก็คุมทหารขึ้นจากเรือเข้ารบกับทหารโจโฉ ๆ อิดโรยกำลังก็ถอยมาค่าย ทหารลกซุนได้ศพตันบูมาให้ซุนกวน ๆ มีความสงสาร คิดถึงตังสิดซึ่งเรือล่มตาย จึงให้ทหารเอาอวนมาพานได้ศพตังสิด แล้วให้เงินทองแก่ทหารให้เอาศพตันบูตังสิดไปแต่งการฝังไว้ ณ เมืองกังตั๋ง

ซุนกวนก็คุมทหารเรือรบกลับมา ณ ค่ายญี่สู แล้วซุนกวนคิดถึงความชอบจิวท่าย ให้แต่งโต๊ะขึ้นเลี้ยง ซุนกวนรินสุราให้จิวท่ายกินเอง ซุนกวนจึงว่าแก่จิวท่ายว่า ตัวท่านตั้งใจสุจริตต่อเราครั้งนี้ สู้เอาชีวิตเข้าไปแลกเอาชีวิตเราออกมาได้นั้น คุณหาที่สุดไม่ อุปมาเหมือนตายอยู่ในหว่างทหารโจโฉ ท่านเอาซากศพเรามาชุบขึ้นให้เปน เราจะให้ท่านบังคับทหารในเมืองกังตั๋งกึ่งหนึ่ง ตัวท่านจงคิดว่าเปนพี่น้องร่วมอุทรกันเถิด แล้วให้จิวท่ายถอดเสื้อออก เห็นแผลอาวุธนั้นทั่วกาย ทหารทั้งปวงสั่นสีสะ

ซุนกวนจึงถามว่า แผลนี้แผลนั้นแผลโน้นถูกอาวุธสิ่งใด จิวท่ายจึงบอกว่า แผลนี้ถูกทวนเมื่อเที่ยวหาท่าน แผลนั้นถูกง้าวเมื่อพบท่าน แผลโน้นถูกกระบี่เมื่อพลัดกันกับท่าน จิวท่ายบอกแผลสิ้นทุกประการ จิวท่ายบอกแผลที่ใด ซุนกวนก็รินสุราให้กินที่นั้น จนจิวท่ายเมาสุรานอนหลับไป ซุนกวนจึงให้ทหารยกตัวจิวท่ายขึ้นใส่เกวียน ให้เอาสัปทนทองนั้นมากั้นจิวท่ายไปส่งจิวท่ายถึงค่าย

ขณะนั้นโจโฉกับซุนกวนตั้งรบกันอยู่เดือนเศษแล้ว เตียวเจียวจึงว่าแก่ซุนกวนว่า แต่ท่านตั้งรบกันมากับโจโฉครั้งนี้ก็ได้เดือนเศษแล้ว ทหารทั้งสองฝ่ายก็ล้มตายเปนอันมาก โจโฉนั้นก็ชำนาญในการสงคราม ซึ่งท่านจะเอาชัยชนะนั้นเห็นจะไม่ได้ อันจะตั้งรบกันไปฉนี้ ทหารเราก็ยิ่งตายลงอีก ขอให้ท่านแต่งทหารไปขอออกแก่โจโฉ ถ้าถึงปีเดือนกำหนดแล้ว จะแต่งเครื่องบรรณาการขึ้นไปตามธรรมเนียม ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงให้เปาจิดไป เปาจิดก็ลาซุนกวนไปถึงค่ายโจโฉ ๆ ให้หาเปาจิดเข้ามา เปาจิดคำนับโจโฉแล้วบอกว่า ซุนกวนให้ข้าพเจ้ามาแจ้งแก่ท่านว่า ซึ่งจะตั้งรบพุ่งกันสืบไปฉนี้ ทหารทั้งสองฝ่ายก็จะได้ความเดือดร้อนล้มตายเปลืองไป ขอให้ท่านยกกองทัพกลับไป ถ้าถึงกำหนดปีจะแต่งเครื่องบรรณาการไปขึ้นตามประเวณีผู้ใหญ่ผู้น้อย

โจโฉจึงตอบว่า ตัวเราเปนผู้ใหญ่ ซุนกวนนายท่านอายุอ่อนกว่าเรา ครั้นเราจะเลิกทัพกลับไปก่อนก็มีความลอายอยู่ ท่านจงไปบอกซุนกวนให้ยกทัพกลับเข้าเมืองแล้ว เราจึงจะเลิกทัพกลับไป เปาจิดก็ลากลับมาบอกแก่ซุนกวน ๆ ได้ฟังก็ให้จิวท่ายกับจิวขิมอยู่รักษาค่ายญี่สู แล้วก็ยกทัพกลับเข้าเมืองกังตั๋ง โจโฉจึงให้เตียวเลี้ยวกับโจหยินอยู่รักษาเมืองหับป๋า แล้วโจโฉก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋

ครั้นอยู่มาหลายวัน ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงประชุมปรึกษาพร้อมกันจะตั้งโจโฉเปนเจ้าวุยอ๋อง ซุนตํ่าได้ยินปรึกษากันดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านทั้งปวงจะตั้งโจโฉเปนเจ้าวุยอ๋องนั้นเราไม่เห็นด้วย นายทหารทั้งปวงจึงตอบว่า ท่านไม่รู้หรือเมื่อครั้งซุนฮกขัดขวางก็ถึงแก่ความตาย ซุนตํ่าได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ครั้งนี้ได้ทีท่านทั้งปวงแล้ว จะทำประการใดก็ทำเอาตามชอบใจเถิด ทหารคนหนึ่งได้ฟังซุนต่ำว่ากล่าวเปนข้อหยาบช้าก็เอาเนื้อความไปบอกโจโฉ

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สั่งให้เอาตัวซุนต่ำไปจำใส่คุกไว้ ซุนต่ำมีใจเจ็บแค้น ด่าโจโฉเปนข้อหยาบช้าต่าง ๆ ทุกเวลา ผู้คุมก็เอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ๆ ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งให้ชักฅอซุนต่ำเสียให้ถึงแก่ความตาย

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบเอ็ดปี (พ.ศ. ๗๕๙) เมื่อเดือนเจ็ดข้างขึ้นนั้น ขุนนางแลทหารทั้งปวงซึ่งมีใจรักโจโฉก็ร่วมคิดกันแต่งเรื่องราวกราบทูลพระ เจ้าเหี้ยนเต้เปนใจความว่า วุยก๋งมีความชอบได้ปราบปรามข้าศึกเปนอันมาก ขอให้ตั้งวุยก๋งขึ้นเปนเจ้าวุยอ๋อง

พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังขุนนางทั้งปวงทูลดังนั้น ก็ตรัสสั่งเจงอิ้วให้แต่งชื่อวุยก๋งขึ้นเปนเจ้าวุยอ๋อง ให้ขี่รถทองเทียมม้าหกตัว แลเครื่องแต่งตัวแห่แหนนั้นเหมือนกันกับที่เจ้าแผ่นดิน เจงอิ้วก็ขนานชื่อไปให้โจโฉตามรับสั่ง

โจโฉได้พระราชทานชื่อดังนั้นก็มีความยินดีจึงคิดว่า เมืองเงียบกุ๋นนั้นเปนแดนต่อแดน จำจะสร้างขึ้นไว้ให้รุ่งเรือง จะได้เปนเกียรติยศไปภายหน้า แล้วสั่งทหารให้ไปสร้างตำหนักแลวังซ่อมแซมค่ายคูประตูหอรบขึ้นให้เปนสง่าดัง เมืองหลวง เวลาไปมาจะได้เปนที่อาศรัย ทหารก็เกณฑ์กันไปทำเมืองเงียบกุ๋นตามสั่ง

แลโจโฉนั้นมีบุตรสี่คน ชื่อโจผีคนหนึ่ง โจเจียงคนหนึ่ง โจสิดคนหนึ่ง โจหิมคนหนึ่ง แต่โจสิดนั้นมีสติปัญญารู้ทำโคลง โจโฉมีใจรักโจสิดกว่าบุตรทั้งสามคน แม้โจโฉจะไปทัพครั้งใด ถ้ามิได้เอาบุตรไปด้วย บุตรทั้งสี่คนนั้นออกไปตามส่ง โจผีร้องไห้ตามบิดา โจเจียงโจหิมนิ่งอยู่ แต่โจสิดนั้นถือพู่กรรณ์ทำโคลงสรรเสริญเกียรติยศบิดา แล้วให้พรต่าง ๆ เปนอันมาก

โจโฉเห็นดังนั้นก็คิดว่า โจสิดมีสติปัญญาก็จริง แต่น้ำใจกำเริบ โจผีนั้นมัธยัสถ์เห็นจะทำการลึกซึ้ง ขณะนั้นโจโฉจึงคิดว่า ตัวกูก็ชราแล้วจะตั้งโจผีหรือโจสิดแทนตัวสืบไป แต่ยังหาตกลงไม่ จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า เราจะตั้งบุตรเราเปนใหญ่แทนตัวสืบไป ท่านเห็นผู้ใดจะแทนตัวเราได้บ้าง กาเซี่ยงจึงว่า อันการข้อนี้จะปรึกษานั้นไม่ควร ขอให้ท่านพิเคราะห์ดูอย่างอ้วนเสียวกับเล่าเปียวนั้นเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดได้แล้วหัวเราะจึงว่า ท่านว่านี้สมควรนัก แล้วโจโฉก็ตั้งโจผีบุตรใหญ่นั้นเปนกรมขึ้น เรียกว่าเจ้าชีจู๊

ครั้นถึงเดือนสิบสอง ทหารซึ่งไปทำการเมืองเงียบกุ๋นนั้นบอกมาให้ทูลเจ้าวุยอ๋องว่า การทั้งปวงเสร็จแล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้จัดแจงทหารแลประเทียบข้างในพร้อมแล้ว ก็ยกกองทัพเปนขบวรพยุหยาตราไปถึงเมืองเงียบกุ๋น จึงให้มีตราไปทุกหัวเมือง ให้จัดต้นไม้มีดอกแลผลมาปลูกไว้จงมาก จึงให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ไปถึงซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งเปนใจความว่า พระเจ้าวุยอ๋องจะต้องพระประสงค์ผลส้มในเมืองกังตั๋ง ให้ซุนกวนเร่งจัดมาถวาย ม้าใช้ก็เอาหนังสือรับสั่งนั้นรีบไปให้ซุนกวน ณ เมืองกังตั๋ง

ซุนกวนแจ้งในหนังสือรับสั่งแล้ว ก็ให้ขุนนางจัดส้มให้ห้าสิบหาบให้คนใช้หาบไปส่ง ครั้นมาถึงกลางทาง ลูกหาบทั้งปวงหยุดพักอยู่ริมเนินเขาแห่งหนึ่ง พอแลเห็นชายผู้หนึ่งออกมาจากหุบเขา มีเท้าสั้นข้างหนึ่ง จักษุส่อนรูปร่างพิกลประหลาทเปนผู้วิเศษ ห่มเสื้อเขียวใส่หมวกสานด้วยหวายตะค้า ครั้นเดิรมาใกล้จึงถามลูกหาบเหล่านั้นว่า ท่านทั้งปวงจะหาบส้มไปไหนจึงมาหยุดพักอยู่นี่ ลูกหาบเหล่านั้นก็แจ้งความให้ฟังแล้วว่า ข้าพเจ้าหาบมาทางไกลเหนื่อยเต็มที หยุดพอหายเหนื่อยแล้วก็จะไป โจจู๋จึงว่า เราจะช่วยหาบให้คนละพักพอเบาแรงท่าน ว่าแล้วโจจู๋ก็เข้าหาบส้มส่งทีละหาบ ๆ หาบละห้าสิบเส้น ทั้งห้าสิบหาบเปนหนทางสองพันห้าร้อยเส้นด้วยกัน ลูกหาบเหล่านั้นก็มีความยินดี

โจจู๋จึงว่าแก่ลูกหาบทั้งปวงว่า ท่านไปถึงพระเจ้าวุยอ๋อง จงช่วยทูลด้วยเถิดว่า เราชื่อโจจู๋ เปนชาวบ้านเดียวกันมาแต่ก่อน คำนับมาถึงเจ้าวุยอ๋องด้วย แล้วโจจู๋ก็เที่ยวไปในป่า ฝ่ายลูกหาบทั้งปวงก็หาบส้มนั้นไป ต่างคนต่างคิดสงสัยว่า เมื่อแรกหาบมานั้นหนักอยู่ แต่อาจารย์โจจู๋มาช่วยผลัดหาบ ส้มนี้ก็เบาไปกว่าเก่า ครั้นถึงเมืองเงียบกุ๋นก็เอาส้มเข้าไปถวาย

พระเจ้าวุยอ๋องเห็นส้มก็มีความยินดี ด้วยซุนกวนนั้นอ่อนน้อมโดยสุจริต จึงเอาส้มนั้นมาฉีกดูเปนหลายคู่ มิได้เห็นมีเนื้อเห็นแต่เปลือกเปล่า โจโฉมีความสงสัยจึงถามลูกหาบทั้งนั้นว่า เหตุใดส้มจึงเปนดังนี้ ลูกหาบทั้งปวงจึงทูลว่า เมื่อข้าพเจ้าหาบมาหยุดพักอยู่กลางทาง มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อโจจู๋มาช่วยผลัดหาบมาทางคนละห้าสิบเส้น ทั้งห้าสิบหาบ โจจู๋จึงสั่งคำนับมา แล้วว่าได้รู้จักท่านมาแต่ก่อน

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยังสงสัยอยู่ พอนายประตูเข้ามาบอกให้ทูลว่าโจจู๋จะเข้ามาเฝ้า โจโฉก็ให้หาตัวโจจู๋เข้ามา ลูกหาบทั้งนั้นเห็นก็ร้องขึ้นพร้อมกันว่า อาจารย์โจจู๋คนนี้ซึ่งช่วยผลัดหาบส้มมา โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ถามโจจู๋ว่า ตัวได้เรียนวิชามาแต่ไหน จึงแกล้งทำเอาเนื้อส้มออกเสีย เอาแต่เปลือกเปล่ามาให้เราฉนี้ โจจู๋จึงว่า ธรรมดาส้มจะไม่มีเนื้อนั้นหามิได้ ถ้าท่านยังสงสัยอยู่ข้าพเจ้าจะปอกให้ดู แล้วโจจู๋จึงเอาส้มนั้นมาปอก ก็มีเนื้อปรกติเห็นประจักษ์อยู่ด้วยกัน

โจโฉเห็นดังนั้น จึงหยิบเอาส้มฉีกดูบ้าง ก็มิได้เห็นเนื้อ มีแต่เปลือกเปล่า ก็ยิ่งมีความสงสัย จึงเชิญโจจู๋ให้ขึ้นมานั่งแล้วถามว่าเหตุใดส้มจึงเปนดังนี้ โจจู๋จึงว่า ข้าพเจ้าจะขอสุราแลเครื่องเลี้ยงมากินก่อน จึงจะบอกให้แจ้ง โจโฉจึงให้เอาสุรามาให้โจจู๋กินถึงห้าไหก็ไม่เมา แล้วให้เอาแพะตัวหนึ่งมาให้กินก็ไม่อิ่ม

โจโฉเห็นประหลาทดังนั้นจึงถามว่า ท่านเรียนวิชานี้มาแต่ไหน จึงทำเล่ห์กะเท่ห์ได้ดังนี้ โจจู๋จึงบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าถือศีลอยู่ ณ เขางูปีสันแดนเมืองเสฉวนได้สามสิบปี เทพดาเอาตำรามาให้ข้าพเจ้าสามฉบับ ๆ หนึ่งชื่อเทียนตุน ฉบับสองชื่อเต้ตุน ฉบับสามชื่อยินตุน ฉบับเทียนตุนนั้นสำหรับเรียกลมแลฝน แลทำอิทธิฤทธิ์เหาะไปได้โดยอากาศ ฉบับเต้ตุนนั้นถึงมาทว่าจะไชก้อนศิลาแลแซกภูเขาออกก็ได้ ฉบับยินตุนนั้น แม้บังกายแลจะใช้อาวุธไปทำอันตรายผู้ใดก็ได้ แลตัวท่านได้พบยศศักดิ์แล้วแต่หารู้วิชาฉนี้ไม่ ท่านจงละสมบัติเสียไปถือศีลอยู่ในป่าแลภูเขากับข้าพเจ้าเถิด จะได้เรียนวิชาทั้งสามฉบับนี้ไว้ให้ชำนาญ

โจโฉจึงว่า อันวิชาฉนี้เราก็รักจะใคร่เรียนอยู่ แต่จะไปนั้นไม่ได้เพราะราชการบ้านเมืองมากมาย ยังไม่มีผู้ใดจะรับธุระแทนตัวเราได้ โจจู๋ได้ฟังจึงหัวเราะแล้วว่า เล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวนก็มีสติปัญญา แล้วเปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดท่านจึงไม่มอบราชการบ้านเมืองให้ แม้ท่านขัดขืนไม่ทำตามคำเรา ๆ จะสำแดงวิชาใช้อาวุธให้ตัดสีสะท่านเสีย

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงร้องสั่งทหารว่า อ้ายคนนี้พวกเล่าปี่มันแกล้งมาสอดแนมราชการในเมืองเรา ให้จับตัวมันไว้ ทหารโจโฉประมาณสามสิบก็กลุ้มกันเข้ามัดผูกโจจู๋ แล้วตีด้วยอาวุธเปนอันมาก โจจู๋ทำนอนหลับตาหัวเราะอยู่ โจโฉให้เอาคามาจำ แล้วลงพืดโจจู๋ให้มั่นคง แล้วให้ทหารพิทักษ์รักษาอยู่เปนอันมาก ครั้นเพลาเช้าผู้คุมเห็นคาแลพืดเหล็กนั้นออกกองอยู่สิ้น ตัวโจจู๋นั้นนอนเปนปรกติอยู่ จึงเอาเนื้อความมาบอกให้กราบทูลพระเจ้าวุยอ๋อง

โจโฉได้ฟังดังนั้น จึงสั่งให้ขังโจจู๋ไว้ถึงเจ็ดวัน อดเข้าอยู่ในคุกนั้น ผู้คุมจึงคิดว่า โจจู๋อดเข้าน้ำถึงเจ็ดวัน จะมิตายแล้วหรือ จึงเปิดประตูคุกเข้าไปดู เห็นโจจู๋นั่งหัวเราะสบายอยู่ ผู้คุมคิดสงสัย แล้วไปบอกให้ทูลเนื้อความทั้งปวง โจโฉจึงให้เอาตัวโจจู๋ออกมาแล้วถามว่า จะทำสิ่งใดตัวจึงจะถึงแก่ความตาย โจจู๋จึงว่า ถึงมาทว่าจะอดอาหารอยู่สักสิบปีข้าพเจ้าก็ไม่ตาย แม้จะกินแพะพันตัวในวันเดียว ข้าพเจ้าหาเปนอันตรายไม่

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สิ้นความคิด ไม่รู้ที่จะทำประการใดให้โจจู๋ถึงแก่ความตายได้ ขณะนั้นเปนวันฤกษ์โจโฉขึ้นตำหนักใหม่ ให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะอยู่ โจจู๋จึงลุกขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะกลางประชุมขุนนางทั้งปวง แล้วว่าแก่โจโฉว่า ท่านทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ยังจะประสงค์ของสิ่งใดบ้างหรือ โจโฉจึงแกล้งว่า ของทั้งปวงของเราก็มีอยู่พร้อมแล้ว ยังขาดอยู่แต่ตับมังกรเราจะใคร่ได้ ท่านจงเร่งไปหามาให้เรา

โจจู๋ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเรียกเอาพู่กรรณ์มาเขียนเปนรูปมังกรลงไว้ที่ฝาผนัง แล้วเอามือเสื้อปัดไป ท้องมังกรนั้นก็แตกออกไป โจจู๋ก็หยิบเอาตับมังกรออกมาให้โจโฉ โลหิตก็ยังติดสดอยู่เห็นประจักษ์ด้วยกันทั้งสิ้น โจโฉตวาดเอาแล้วว่า เราหาเชื่อไม่ ตัวหากแกล้งทำกลอุบายเอาตับสัตว์ใด ๆ มาซ่อนไว้ในมือเสื้อ โจจู๋จึงตอบว่า ท่านไม่เชื่อก็แล้วไปเถิด บัดนี้เปนเทศกาลเดือนอ้ายขาดฤดูดอกไม้ทั้งปวง แม้ท่านจะต้องประสงค์ดอกไม้สิ่งใด ข้าพเจ้าจะเอามาให้

โจโฉจึงว่า เราจะใคร่ได้ดอกไม้โบตั๋น ท่านจงเร่งเอามาให้เรา โจจู๋จึงให้เอากระถางใส่ดินมา แล้วเษกน้ำรด บัดเดี๋ยวหนึ่งต้นโบตั๋นก็งอกขึ้นมา ผลิดอกออกสองดอก โจจู๋ก็ยกกระถางต้นไม้เข้ามาให้โจโฉ ๆ แลขุนนางทั้งปวงเห็นประหลาทดังนั้นก็แลดูกันตะลึงอยู่ โจโฉจึงว่า อันต้นโบตั๋นนี้ปลูกยากนัก แม้ผู้ใดจะปลูก ก็ให้ปลูกต้นไม้ดอกอื่น ๆ ครบร้อยสิ่ง จึงเอาต้นโบตั๋นนั้นปลูกท่ามกลางจึงจะเปน แลต้นไม้ทั้งร้อยสิ่งนั้น ก็ผันดอกเข้าไปหาตันโบตั๋นสิ้น แล้วโจโฉก็เชิญโจจู๋เข้ากินโต๊ะด้วยขุนนางทั้งปวง

ขณะเมื่อโจจู๋เสพย์สุราอยู่นั้นจึงว่า ทำไฉนจะได้ขิงสดมากินแกล้มเหล้า โจโฉจึงว่า ท่านมีความรู้จงทำขิงมาให้ได้ โจจู๋จึงให้เอาถาดมาใบหนึ่ง ถอดเอาเสื้อของตัวคลุมถาดลงไว้ บัดเดี๋ยวก็เปิดเสื้อขึ้น บันดาลเปนขิงสดเต็มถาด แล้วยกเอาไปให้โจโฉ ๆ เห็นหนังสือฉบับหนึ่งวางอยู่บนถาด มีสารบานว่าบังเต๊ก แล้วโจโฉก็หยิบมาดูจำลายมือได้ จึงคิดว่าหนังสือฉบับนี้ของเราแต่งเอง เราฉีกเสียแต่ครั้งเตียวสงซึ่งมาแต่เมืองเสฉวน เหตุใดจึงมาเปนฉบับดีอยู่นี่น่าสงสัยนัก โจจู๋จึงหยิบเอาจอกหยกรินสุราคำนับยื่นให้โจโฉแล้วว่า เชิญพระเจ้าวุยอ๋องเสวยสุรานี้เข้าไปเถิด อายุจะยืนได้พันปี

โจโฉจึงว่า ให้ท่านกินเข้าไปก่อนเถิด โจจู๋จึงชักเอาปิ่นปักผมมาคั่นกลางถ้วยสุราไว้ครึ่งหนึ่ง จึงดื่มเหล้าเข้าไป แลถ้วยสุราก็เปล่าอยู่ซีกหนึ่ง มีสุราอยู่เพียงปิ่นคั่น แล้วก็เอาถ้วยสุรายื่นให้โจโฉ

โจโฉเห็นประหลาทดังนั้น ก็ตวาดเอาโจจู๋ ๆ ก็เอาจอกสุราปาเอาโจโฉ จอกหยกนั้นก็กลายเปนนกกระเรียนร่อนอยู่บนสีสะโจโฉ ขุนนางทั้งปวงเห็นประหลาทก็ตกใจ ต่างคนต่างพิศดูนกนั้น ครั้นแลลงมาก็ไม่เห็นโจจู๋ ก็ยิ่งสงสัยเปนอันมาก พอทหารเข้ามาบอกว่า โจจู๋หนีออกไปนอกประตูแล้ว โจโฉจึงว่า โจจู๋มีเล่ห์กะเท่ห์แลอาคมต่าง ๆ ถ้าเราละมันไว้ มันก็จะทำอันตรายแก่เรา จำจะคิดอ่านฆ่าเสียให้ได้ แล้วให้เคาทูคุมทหารสามร้อยไปจับตัวโจจู๋

เคาทูคุมทหารรีบตามไปถึงกลางป่า เห็นโจจู๋เดิรเปนปรกติไป เคาทูกับทหารทั้งปวงก็ควบม้าตามไปพักหนึ่ง แทบจะสิ้นกำลังม้าก็ไม่ทัน เห็นโจจู๋เดิรเปนปรกติอยู่ดังเก่า ครั้นไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอเด็กต้อนฝูงแพะออกมาเลี้ยง โจจู๋จึงเข้าไปในฝูงแพะนั้น เคาทูเห็นก็เอาเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปเปนหลายดอก โจจู๋นั้นก็หายตัวไป เคาทูโกรธจึงให้จับแพะฝูงนั้นมาฆ่าเสียสิ้น ศพแพะเกลื่อนอยู่ แล้วพาทหารกลับมาทูลเนื้อความแก่พระเจ้าวุยอ๋องทุกประการ

ฝ่ายเด็กเลี้ยงแพะเห็นแพะนั้นตายสิ้น ก็เปนทุกข์นั่งร้องไห้อยู่ พอได้ยินเสียงคนในสีสะแพะร้องมาว่า อย่าร้องไห้ไปเลย จงเอาสีสะแพะกับตัวแพะมาประสมกันเข้าเถิด แพะของเองก็จะเปนขึ้นมา เด็กเลี้ยงแพะได้ยินก็ตกใจ คิดว่าปีศาจหลอก ก็เอามือปิดตาวิ่งร้องไห้ไป โจจู๋ออกจากสีสะแพะหวังจะให้แพะนั้นเปนขึ้น จึงตามไปร้องบอกเด็กว่า เร่งกลับมาลำดับสีสะเข้าเถิด แพะก็จะเปนขึ้นมาดังเก่า เด็กนั้นเหลียวมาเห็นโจจู๋ก็ค่อยคลายใจ จึงกลับมาเอาสีสะแพะลำดับกันเข้า แพะนั้นก็เปนขึ้นมาสิ้น

แต่ก่อนนั้นแพะตัวเมียไม่มีเขาแลหนวด เมื่อเด็กลำดับเข้านั้นมิได้พิจารณา สีสะแพะตัวผู้ลำดับเข้ากับแพะตัวเมีย สีสะแพะตัวเมียลำดับเข้ากับตัวผู้ แพะตัวเมียจึงมีเขาแลหนวดจนทุกวันนี้ เมื่อแพะเปนขึ้นแล้ว โจจู๋ก็หายไป เด็กเลี้ยงแพะก็ตกใจ จึงต้อนแพะกลับเข้าไปบ้าน แล้วเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่นาย ๆ เด็กเลี้ยงแพะรู้ดังนั้นก็เข้าไปบอกให้ทูลพระเจ้าวุยอ๋องตามคำเด็กเลี้ยงแพะ บอก

โจโฉแจ้งดังนั้นก็ให้ช่างเขียน ๆ รูปโจจู๋เสียจักษุข้างขวาเท้าพิการข้างหนึ่ง แล้วแต่งหนังสือส่งรูปโจจู๋ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดเห็นรูปดังนี้ก็ให้จับส่งมา จะปูนบำเหน็จเปนอันมาก บันดาหัวเมืองเห็นคนเหมือนรูปที่เขียนมา ก็จับส่งเข้าไปให้โจโฉเมืองละเก้าคนสิบคนถึงสามร้อยเศษ

โจโฉเห็นรูปคนทั้งนั้นเหมือนรูปโจจู๋ โจโฉก็คุมทหารออกมานอกเมือง ให้เอาคนทั้งสามร้อยมามัดเข้า ให้เอาโลหิตสุกรแลสัตว์ทั้งหลายมารดสาดคนโทษ หวังจะให้มนตร์นั้นเสื่อม แล้วให้ทหารตัดสีสะคนทั้งสามร้อยเศษเสียสิ้น คนทั้งนั้นก็นั่งอยู่แต่ตัวเปล่าหาสีสะมิได้ แลโลหิตนั้นกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ กลายเปนคนขี่นกกระเรียนประมาณสามร้อยเศษ นกนั้นก็บินร่อนอยู่ คนซึ่งขี่นกก็ตบมือร้องเยาะเย้ยโจโฉอยู่อื้ออึง โจโฉเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงขึ้นไป

ขณะนั้นบังเกิดลมพายุใหญ่พัดหนักมา หอบเอาผงคลีฟุ้งตลบมืดมัว แลรูปคนซึ่งฆ่าเสียนั้น ก็ลุกขึ้นเดิรแต่ตัวหิ้วเอาสีสะวิ่งวุ่นเข้ามาตีโจโฉ ๆ ล้มอยู่ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็ตกใจ เอามือปิดตาร้องกรีดกราดอื้ออึงไป ครั้นพายุสงบลง ซากศพทั้งนั้นก็หายไป แลโจจู๋ก็ยังเปนอยู่ แต่ไปจากเมืองเงียบกุ๋น

ฝ่ายขุนนางทั้งปวงช่วยกันพยุงโจโฉกลับเข้ามาถึงตำหนักแล้ว โจโฉนั้นก็ป่วยหนักไป พอเคาจีซึ่งเปนโหรมาเยี่ยมแต่เมืองฮูโต๋ โจโฉให้หาเข้ามาแล้วว่า ท่านจงช่วยดูเคราะห์เราจะดีหรือร้าย เคาจีจึงว่า ท่านรู้จักกวนลอหรือไม่ อันกวนลอนั้นรู้ตำราดูชำนาญยิ่งกว่าข้าพเจ้า โจโฉจึงถามว่ากวนลอนั้นดีอย่างไร

เคาจีจึงว่า กวนลอเปนชาวเมืองเปงหงวน เมื่อเด็กมักเสพย์สุราแลเรียนดูฤกษ์ ครั้นใหญ่มาได้ตำราจิวก๋งไว้ จึงชำนาญดูเคราะห์โศกป่วยไข้ แม้ผู้ใดจะตายก็รู้ แลครั้งหนึ่งอองกี๋เจ้าเมืองอันเป๋งนั้นภรรยาป่วยให้ปวดสีสะ บุตรนั้นให้เจ็บในอกอยู่เปนอัตรา ก็ให้หากวนลอมาดู กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า ที่อยู่ของท่านนี้มีศพชายอยู่สองศพ ศพหนึ่งถือทวน ศพหนึ่งถือเกาทัณฑ์ ศพซึ่งถือทวนนั้น ผนังตึกท่านทับสีสะอยู่ จึงพะเอิญให้ภรรยาท่านปวดสีสะ อันบุตรซึ่งป่วยอยู่ในอกนั้น เพราะเหตุว่าศพซึ่งถือเกาทัณฑ์อยู่ในล่องถุน อองกี๋จึงให้รื้อผนังตึก แล้วให้ขุดลงไปลึกประมาณสี่ศอก ได้ศพสองศพเหมือนคำกวนลอ อองกี๋จึงให้เอาศพไปฝังไว้ที่อื่น ภรรยากับบุตรก็หายป่วย แลหญิงคนหนึ่งโคหายให้กวนลอดู กวนลอบอกว่าโคนั้นผู้ร้ายเจ็ดคนลักไปฟากข้างโน้น บัดนี้มันฆ่าเสียแล้ว ยังแต่กระดูกกับหนังทิ้งไว้ริมรั้วบ้านมัน หญิงนั้นก็ข้ามไปดู เห็นหนังกับกระดูกทิ้งอยู่ จึงเยี่ยมเข้าไปดูเห็นผู้ร้ายเจ็ดคนเอาเนื้อโคทำแกล้มเหล้าอยู่ จึงไปบอกเล่าปินเจ้าเมืองเพงงวนก้วน เล่าปินก็ไปจับเอาผู้ร้ายเจ็ดคนมา พิจารณาเปนสัตย์แล้ว จึงถามหญิงเจ้าของโคว่า เหตุใดตัวจึงรู้ว่าผู้ร้ายเหล่านี้ลักโคไป หญิงนั้นก็บอกว่า กวนลอดูให้ข้าพเจ้าจึงรู้ เล่าปินจึงให้หาตัวกวนลอมา แล้วแกล้งเอาตราออกเสียจากหีบ เอาขนไก่ใส่ไว้เต็มหีบ จึงยกออกมาแล้วให้กวนลอทายว่าสิ่งใดอยู่ในหีบ กวนลอจึงทำนายว่า ขนไก่แดงเท่านั้น ขนไก่ดำเท่านั้น ขาวเท่านั้น เล่าปินเปิดออกนับดูก็สมเหมือนคำกวนลอ เล่าปินนับถือกวนลอ ตั้งกวนลอไว้เปนที่ปรึกษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งกวนลอไปเที่ยวเล่น เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งรูปงามไถนาอยู่ กวนลอพิจารณาดูก็รู้ว่าจะถึงแก่ความตาย จึงถามเด็กหนุ่มว่าตัวท่านชื่อใด เรามีใจเอนดูด้วยรูปงาม แต่อายุจะสิ้นเสียแล้ว ยังอีกสามวันท่านก็จะตาย เด็กหนุ่มได้ฟังจึงบอกว่าชื่อเตียวหงัน แล้วถามว่าตัวท่านชื่อไร เหตุใดจึงรู้ว่ายังอีกสามวันข้าพเจ้าจะตาย กวนลอจึงบอกว่าเราชื่อกวนลอแล้วว่า ซึ่งเรารู้นั้นเพราะเห็นขนร้ายแซมขนคิ้วท่านขึ้นมาเราจึงบอก เตียวหงันก็ตกใจจึงรีบไปหาบิดาบอกเนื้อความตามคำกวนลอ บิดานั้นก็ตกใจจึงพาบุตรไปหากวนลอแล้วว่า ท่านผู้วิเศษจงช่วยบุตรข้าพเจ้าให้รอดด้วย กวนลอจึงตอบว่า อันเราจะช่วยนั้นไม่ได้ ด้วยกำหนดอายุเขาเปนมาเอง บิดาเตียวหงันจึงร้องไห้อ้อนวอนว่า ข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว คิดว่าจะได้ฝากผี บัดนี้จะมาถึงความตาย ข้าพเจ้าจะเห็นหน้าผู้ใดสืบไปเล่า ท่านผู้มีความรู้จงเอนดูข้าพเจ้าช่วยคิดอ่านแก้ไขให้สืบอายุเตียวหงันไว้ จะได้แทนตัวข้าพเจ้า

กวนลอได้ฟังมีใจสงสารจึงว่า ท่านจะให้สืบอายุแล้ว จงเอาสุราขวดหนึ่งกับเนื้อก้อนหนึ่งไป ณ เขาลำสัน มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีศิลาใหญ่เปนแท่นอยู่ใต้ต้นไม้นั้น แม้เห็นคนชราทั้งสองใส่เสื้อขาวคนหนึ่งใส่เสื้อแดงคนหนึ่ง นั่งเล่นหมากรุกอยู่บนแท่นศิลา ต่อเวลาเที่ยงท่านจงเอาสุรากับเนื้อให้กิน แล้วอ้อนวอนขออายุสืบไป แม้คนชราทั้งสองจะถามว่าผู้ใดบอกมา ท่านอย่าได้บอกชื่อเรา บิดาเตียวหงันได้ฟังก็ค่อยคลายใจ จึงชวนกวนลอมาบ้านแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงดู ในเวลากลางคืนนั้นก็ชวนกวนลอไว้นอนด้วย

ครั้นรุ่งเช้าเตียวหงันเอาสุราขวดหนึ่ง กับเนื้อก้อนหนึ่งรีบไปทางประมาณห้าสิบเส้นถึงเขาลำสันเห็นต้นไม้ใหญ่ ใต้ร่มไม้นั้นเห็นคนชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่บนแท่นศิลา เตียวหงันจึงเอาสุรากับเนื้อคำนับแล้วมิได้ว่าประการใด ครั้นเพลาเที่ยงเตียวหงันจึงรินสุราฉีกเนื้อนั้นวางไว้ คนชราทั้งสองเล่นหมากรุกเพลินอยู่ แล้วก็ชวนกันเสพย์สุราจนสิ้น เตียวหงันเห็นดังนั้นก็ร้องไห้อ้อนวอนว่า ข้าพเจ้าจะขอสืบอายุต่อไป ท่านทั้งสองจงมีใจเอนดูข้าพเจ้า คนชราซึ่งใส่เสื้อแดงได้ฟังก็ตกใจ จึงว่ากวนลอบอกมาเปนมั่นคง จึงปรึกษากันว่า เราได้กินของเขาเข้าไปแล้ว ครั้นจะไม่ช่วยก็ไม่สมควร คนชราซึ่งใส่เสื้อขาวนั้นเห็นชอบด้วย จึงเอาบาญชีคนในมือเสื้อออกมาดู เห็นชื่อเตียวหงันนั้นกำหนดตายสิบเก้าปี จึงว่าอายุของท่านก็ครบสิบเก้าปีแล้ว ยังอีกสองวันก็จะตาย เราจะช่วยแถมตัวเก้าใส่ลงแทนตัวสิบ ให้สืบอายุไปเก้าสิบเก้าปีจึงตาย แล้วเขียนตัวเก้าใส่ลงในบาญชี จึงสั่งไปถึงกวนลอว่า การทั้งนี้อย่าได้บอกแก่ผู้ใดสืบไป แล้วคนชราทั้งสองนั้นก็กลายเปนนกบินไปจากแท่นศิลา

เตียวหงันมีความยินดี ก็กลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่กวนลอทุกประการ แล้วถามกวนลอว่า คนชราทั้งสองนั้นผู้ใด กวนลอจงบอกว่า ซึ่งใส่เสื้อแดงนั้น คือเทพดาฝ่ายใต้ สำหรับถือบาญชีคนทั้งปวงซึ่งเอากำเนิด อันใส่เสื้อขาวนั้น คือเทพดาฝ่ายเหนือ สำหรับถือบาญชีคนทั้งปวงกำหนดอายุคนซึ่งจะถึงแก่ความตาย ครั้นบอกเท่านั้นแล้วจึงห้ามว่า ตัวท่านพ้นทุกข์แล้ว อย่าถามต่อไปเลย กวนลอก็ลาบิดาเตียวหงันมาที่อยู่ แต่นั้นกวนลอกลัวตายมิได้เรียนความรู้ต่อไปเลย เคาจีจึงว่า บัดนี้กวนลออยู่ ณ เมืองเพงงวนก้วน ท่านจงให้หามาดูก็จะแจ้งประจักษ์ว่าเคราะห์ดีแลร้าย

โจโฉได้ฟังก็มีความยินดี จึงแต่งคนไป ณ เมืองเพงงวนก้วนหาตัวกวนลอมา แล้วโจโฉให้ดูเคราะห์ว่า ดีหรือร้ายหนักหรือเบา กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า ซึ่งท่านป่วยนี้เปนแต่คนมีความรู้คนองทำเล่ห์กะเท่ห์ต่าง ๆ อย่าวิตกเลยเห็นหาเปนไรไม่ โจโฉได้ฟังก็เห็นจริง ซึ่งป่วยนั้นก็คลาย แล้วถามว่าท่านจงดูว่า เมืองจะดีหรือร้ายประการใด

กวนลอจึงทำนายเปนคำโคลงว่า ฝูงสุกรเที่ยวซ่อนอยู่ในป่า เสือโคร่งตัวกล้าไล่กระจัดพลัดพราย จะมีศึก ณ เขาเตงกุนสัน ท่านจะเสียแขนซ้ายข้างหนึ่ง ข้อหนึ่งคือทหารเอกแลพี่น้องของท่านจะตายก็ว่าได้ โจโฉจึงว่า การดูนี้ท่านชำนาญนัก เราจะตั้งให้เปนโหร กวนลอจึงว่า ข้าพเจ้านี้บุญน้อยนัก ควรแต่เที่ยวอยู่ในถํ้าธารแลป่าเขา บำราบได้แต่ปิศาจแลโขมดป่า อันจะอยู่ในเมืองหลวงบังคับผู้คนนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่า ท่านจงดูชะตาเราว่าจะมีบุญขึ้นไปอีกหรือไม่

กวนลอจึงว่า ท่านก็มีบุญเปนถึงพระเจ้าวุยอ๋อง เสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ฉนี้แล้ว ซึ่งจะให้ดูขึ้นไปอีกนั้นสิ้นตำราแล้ว โจโฉจึงว่า ท่านจงดูขุนนางทั้งปวงซึ่งนั่งพร้อมกันอยู่ในที่นี้ เห็นผู้ใดจะดีแลร้ายบ้าง กวนลอหัวเราะแล้วว่า อันขุนนางทั้งปวงนี้แต่ล้วนมีสติปัญญาควรเปนข้าราชการอยู่สิ้น

โจโฉจึงว่า ท่านจงพิเคราะห์ดูเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง จะตั้งเปนปรกติอยู่หรือไม่ กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า เมืองกังตั๋งนั้นจะเสียทหารเอกคนหนึ่ง อันเล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวนนั้น ก็ยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง ซึ่งจะว่าเปนปรกตินั้นยังไม่ได้ โจโฉไม่เชื่อ พอม้าใช้เมืองหับป๋าถือหนังสือมาบอกว่าโลซกทหารเอกเมืองกังตั๋งถึงแก่ความ ตายแล้ว อนึ่งม้าใช้ถือหนังสือมาแต่เมืองฮันต๋ง บอกข่าวราชการมาถึงพระเจ้าวุยอ๋องว่า เล่าปี่ให้เตียวหุยม้าเฉียวอยู่รักษาเมืองปาเส เห็นจะเข้ามาทำอันตรายด่านเมืองฮันต๋ง

โจโฉแจ้งดังนั้นก็โกรธ จัดแจงทหารจะยกไปช่วยเมืองฮันต๋ง จึงให้กวนลอหาฤกษ์ซึ่งจะยกกองทัพไป กวนลอดูแล้วจึงว่า ซึ่งจะยกไปครั้งนี้ยังไม่ได้ ด้วยจวนเข้าปีใหม่อยู่แล้ว ในเมืองฮูโต๋นั้นจะเกิดเพลิงใหญ่หลวงนัก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สั่งให้งดกองทัพไว้ จึงจัดทหารห้าหมื่นให้โจหองยกไปช่วยแฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับรักษาเมืองฮันต๋ง ไว้ให้มั่นคง ให้แฮหัวตุ้นคุมทหารสามหมื่นเปนกองรับใช้ ไปบอกข่าวราชการในเมืองฮูโต๋อย่าให้ขาด แล้วให้อองปิดบังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋

สุมาอี้นายบาญชีจึงทูลพระเจ้าวุยอ๋องว่า ซึ่งจะให้อองปิดบังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋นั้นไม่ได้ ด้วยอองปิดมักเสพย์สุราหยาบช้าดุดันอยู่ โจโฉจึงตอบว่า อองปิดนี้ได้เปนเพื่อนยากติดตามเรามาแต่ก่อน นํ้าใจก็สัตย์ซื่อนัก ควรจะให้ไปบังคับนายทหารในเมืองฮูโต๋ได้ นายทหารทั้งสามคนก็ยกไปตามโจโฉสั่ง แลอองปิดนั้นครั้นมาถึงเมืองฮูโต๋แล้วก็ตั้งจวนอยู่ข้างประตูทิศตวันออก

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบสามปีแล้ว (พ.ศ. ๗๖๑) ครั้นเดือนสามเข้าปีใหม่ เกงจีซึ่งแต่ก่อนนั้นเปนขุนหมื่นอยู่ในบังคับบัญชาโจโฉ แล้วเกงจีได้เลื่อนที่เปนขุนนางในทำเนียบ มีใจสามิภักดิ์ต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลเกงจีนั้นมีเพื่อนรักคนหนึ่ง เปนขุนนางชื่ออุยหลง เกงจีจึงเชิญอุยหลงมาปรึกษากันที่สงัดว่า โจโฉทำการหยาบช้าเปนศัตรูราชสมบัติ บัดนี้ตั้งตัวเปนเจ้าวุยอ๋อง นานไปมันจะชิงเอาราชสมบัติเปนมั่นคง เราคิดจะให้แผ่นดินเปนสุขสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านจะคิดเห็นประการใดจึงจะกำจัดโจโฉเสียได้

อุยหลงจึงว่า เรามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งชื่อกิมหัน เปนเชื้ออุปราชมาแต่ก่อน แลกิมหันก็ได้ออกปากไว้แก่เราว่า โจโฉนั้นทำการหยาบช้า กิมหันคิดจะกำจัดโจโฉเสีย แต่ยังหาได้ทีไม่ กิมหันนั้นเปนเพื่อนรักกับอองปิด ซึ่งโจโฉให้บังคับนายทหารอยู่ในเมืองหลวง เราจะว่ากับกิมหันให้ไปชักชวนเกลี้ยกล่อมอองปิด แม้อองปิดปลงใจด้วย การก็จะสำเร็จโดยง่าย

เกงจีจึงว่า กิมหันนั้นเปนเพื่อนรักกับอองปิด เห็นกิมหันจะไม่เปนใจว่ากล่าว ประการหนึ่งอองปิดก็เปนทหารเอกของโจโฉ อุยหลงจึงว่า เราจะพากันไปพูดจาดูท่วงทีกิมหันก่อน แล้วก็พากันไป ณ บ้านกิมหัน ๆ ออกมารับเกงจีกับอุยหลงขึ้นไปนั่งบนตึกที่สงัด ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน อุยหลงจึงแกล้งแต่งกลอุบายว่า เรามาหาท่านนี้เพราะมีประสงค์จะใคร่ว่าเนื้อความข้อหนึ่ง แต่เกรงว่าท่านจะไม่เอนดู กิมหันจึงว่าจงว่าไปเถิด

อุยหลงจึงว่า เรากับท่านได้เปนเพื่อนสนิธกันมา ตัวท่านเล่าก็เปนเพื่อนรักกับอองปิด บัดนี้เราเห็นพระเจ้าวุยอ๋องจะได้ครองราชสมบัติแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่แล้ว แลอองปิดเปนข้าหลวงเดิม ก็จะเสนอความชอบ ตั้งแต่งท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ ตัวเราจึงมาหาท่าน หวังจะให้ช่วยทำนุบำรุงเราด้วย

กิมหันได้ฟังก็โกรธลุกขึ้นตวาดเอา พอคนใช้ยกนํ้าชาเข้ามา กิมหันหยิบเอาป้านน้ำชานั้นเทเสียแล้วว่า จะให้กินนั้นจะเอาประโยชน์สิ่งใด อุยหลงเห็นดังนั้นก็ทำเปนโกรธ แกล้งซ้ำว่าตัวเราคิดว่าท่านได้ดีขึ้น จึงอุตส่าห์บ่ายหน้ามาหาหวังจะฝากตัวกับท่านสืบไป ยังไม่ทันไรท่านมาดูหมิ่นผลักหน้าเราเสียให้ได้ความอัปยศแก่คนใช้ของท่าน

กิมหันจึงว่า ใช่เราจะไม่คิดถึงท่านนั้นหามิได้ แต่เราน้อยใจด้วยท่านรู้อยู่ว่า โจโฉนั้นเปนศัตรูราชสมบัติ ควรหรือยังมายกยอมัน อนึ่งตัวท่านก็เปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านไม่คิดสนองพระคุณให้ปรากฎไว้ ซึ่งจะมาตั้งใจคอยพึ่งบุญโจโฉนั้นเราหานับถือว่าเปนเพื่อนไม่

อุยหลงกับเกงจีเห็นดังนั้น ก็คิดว่ากิมหันนี้มีกตัญญูต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ อุยหลงจึงว่า ตัวเราพาเกงจีมานี้หวังจะชวนท่านกำจัดโจโฉเสีย จะช่วยกันบำรุงแผ่นดินสืบไป ครั้นจะบอกท่านโดยจริงก็เกรงอยู่ จึงแกล้งกล่าวอุบายถามหวังจะดูใจท่าน บัดนี้เราเห็นความสัตย์ซื่อท่านแล้ว จงดับความโกรธเสียเถิด

กิมหันจึงว่า ปู่แลบิดาเราก็เปนข้าราชการต่อ ๆ มาจนถึงตัวเรา ๆ หรือจะเปนขบถไปเข้าด้วยอ้ายศัตรูแผ่นดินนั้นหามิได้ ซึ่งท่านทั้งสองคิดจะกำจัดมันเสียนั้นเราก็ยินดีด้วย แต่ท่านจะทำประการใดจึงจะสำเร็จ อุยหลงจึงตอบว่า เราคิดอยู่แต่จะกำจัดโจโฉเสียให้ได้ ซึ่งจะทำกลอุบายนั้นเรายังมิได้คิดต่อไป

กิมหันจึงว่า ตัวเราเปนเพื่อนกับอองปิดก็จริง แต่จะไว้ใจมันไม่ได้ เราคิดจะทำกลอุบายฆ่าอองปิดเสีย ชิงเอาตราสำหรับที่นั้นมาไว้จะได้บังคับนายทหารสืบไป แล้วเราจะแต่งหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาตี เมืองเงียบกุ๋น เราจะคุมทหารเปนไส้ศึกตีกระหนาบออกไปเห็นจะจับตัวโจโฉได้โดยง่าย

อุยหลงเกงจีได้ฟังก็มีใจยินดี ตบมือหัวเราะแล้วว่า ท่านคิดดีนัก กิมหันจึงว่าเรามีเพื่อนอยู่อีกสองคน แลคนทั้งสองมีใจเจ็บแค้นเปนอันมาก ด้วยโจโฉฆ่าบิดาแลพี่น้องเสีย เราจะชวนคนทั้งสองมาร่วมคิดกัน เกงจีจึงถามว่าชื่อใด กิมหันจึงบอกว่า พี่ชายนั้นชื่อเกียดเมา น้องชายนั้นชื่อเกียดบก เปนบุตรเกียดเป๋งหมอ ซึ่งโจโฉฆ่าเสียกับตังสิน เกียดเมาเกียดบกหนีออกไปอยู่หัวเมือง บัดนี้เข้ามาซุ่มอยู่บ้านนอกแขวงจังหวัดเมืองฮูโต๋ แม้เราให้ไปชวนก็เห็นจะมาทำการด้วย เพราะใจนั้นพยาบาทโจโฉอยู่

อุยหลงเกงจีเห็นชอบด้วย กิมหันจึงกำหนดวันให้อุยหลงเกงจีมาพร้อมกัน แล้วให้คนใช้รีบไปหาตัวเกียดเมาเกียดบกเข้ามา แลอุยหลงเกงจีก็มาพร้อมกัน กิมหันจึงบอกเนื้อความให้ตามซึ่งคิดไว้ เกียดเมาเกียดบกได้ฟังก็ร้องไห้แล้วว่า บิดาเราก็ตายเพราะโจโฉ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อนเราก็มีใจเจ็บแค้นอยู่ แม้ท่านคิดดังนี้เราก็จะร่วมคิดด้วย แล้วสาบาลว่าตัวเราพี่น้องจะขอฆ่าโจโฉเสียจะได้แก้แค้น

กิมหันจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เราจะช่วยคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียให้ได้ แล้วให้สัญญาว่า เมื่อถึงเดือนสามขึ้นสิบห้าคํ่า เปนธรรมเนียมชาวเมืองทั้งปวงจุดโคมบูชา ขุนนางทั้งปวงแลหญิงชายเที่ยวเล่นในเวลากลางคืนอึ้ออึงเปนการมหรศพ ตัวเราจะเข้าไปหาอองปิด แล้วเราจะคุมพรรคพวกไปซุ่มอยู่ริมจวน แล้วอุยหลงเกงจีจงคุมบ่าวไพร่ซึ่งสนิธไปซุ่มซ่อนอยู่เปนสองกอง ถ้าเห็นแสงเพลิงเราจุดขึ้น ท่านจงลอบจุดต่อ ๆ ไป แล้วคุมพรรคพวกตีเข้ามาให้ถึงจวนอองปิด ท่านจงตามเราเข้าไปในวัง เราจะเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ขึ้นอยู่บนปราสาทงอหองเหลา เราจึงจะปรึกษากับขุนนางทั้งปวงตามซึ่งคิดไว้ แล้วให้เกียดเมาเกียดบกซึ่งอยู่นอกกำแพงนั้นจุดเพลิงขึ้น จึงพาพรรคพวกตีเข้ามา ให้ร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ทำการทั้งนี้จะกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย ผู้ใดสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็ให้มาช่วยกัน แล้วเราจะกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้มีรับสั่งไปประกาศแก่ราษฎรทั้งปวงให้ เปนใจทำการด้วย แล้วจึงจะให้มีหนังสือรับสั่งไปให้หาเล่าปี่ยกกองทัพมาช่วย เราจึงจะยกไปจับโจโฉ ณ เมืองเงียบกุ๋น แลการทั้งปวงนี้เราจะต้องทำเปนการเร็ว แม้จะละไว้เปนการปี อันตรายก็จะมีแก่ตัวเราเหมือนตังสิน

ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันทั้งห้าคนแล้ว ก็แทงโลหิตออกปนสุราสาบาลต่อกัน ต่างคนต่างก็กินเข้าไป แล้วอุยหลงเกงจีเกียดเมาเกียดบกก็ลากิมหันกลับไปที่อยู่ แต่อุยหลงเกงจีจัดแจงบ่าวไพร่ได้คนละสามร้อยเศษ กับเครื่องศัสตราวุธเตรียมไว้ อันเกียดเมา เกียดบกชักชวนเพื่อนฝูงได้ประมาณสามร้อย ถืออาวุธสำหรับมือไปเที่ยวซุ่มไว้ในป่าริมเมือง ทำการประหนึ่งจะไล่เนื้อเพื่อมิให้คนนอกนั้นสงสัย

ฝ่ายกิมหันครั้นถึงวันขึ้นสิบสี่คํ่า จึงเข้าไปหาอองปิดคำนับแล้วกิมหันจึงว่าแก่อองปิดว่า ทุกวันนี้บ้านเมืองก็เปนสุขเพราะบุญพระเจ้าวุยอ๋อง ปราบปรามข้าศึกศัตรูราบคาบ พรุ่งนี้เปนวันเข้าปีใหม่ ราษฎรเคยจุดโคมบูชา ขุนนางแลราษฎรชายหญิงทั้งปวงเคยเล่นเปนสุขมาแต่ก่อน ท่านจงป่าวร้องอาณาประชาราษฎรให้เล่นตามธรรมเนียมบ้านเมืองเถิด อองปิดเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารป่าวร้องบันดาชาวเมืองให้ทำตามการปี

ครั้นถึงวันสิบห้าคํ่าเวลากลางคืน ชาวเมืองจุดตามโคมรุ่งเรืองทุกตำบล ขุนนางใหญ่น้อยราษฎรชายหญิงทั้งปวง เที่ยวโห่เล่นร้องอื้ออึง บ้างเล่นกระจับปี่สีซอเปนการมหรศพแน่นไปทั่วทั้งเมืองหลวง อองปิดเห็นดังนั้นก็มีความยินดี ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารอยู่ในจวน

ฝ่ายกิมหันก็คุมพรรคพวกไปซุ่มอยู่ใกล้ประตูตวันออก อุยหลงเกงจีกับเกียดเมาเกียดบก ก็พาพรรคพวกไปซุ่มอยู่ตามสัญญา ครั้นเวลาสองยามกิมหันก็จุดเพลิงขึ้นเปนหลายตำบล อุยหลงเกงจีเห็นแสงเพลิงก็จุดต่อไป แล้วไล่ฆ่าฟันผู้คนเปนอลหม่าน เกียดเมาเกียดบกซึ่งอยู่นอกกำแพงเห็นดังนั้น ก็จุดเพลิงตีเข้ามาเปนสองด้าน แล้วร้องประกาศแก่ทหารชาวเมืองทั้งปวงว่า เราจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน ผู้ใดจะเข้าด้วยให้เร่งมาทำการด้วยกัน ขุนนางซึ่งมีใจเจ็บแค้นก็มาเข้าด้วยเปนอันมาก

ฝ่ายอองปิดเห็นแสงเพลิงไหม้ใกล้จวนก็ตกใจ จึงขึ้นม้าหนีออกจากจวน พอพบเกงจีก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ อองปิดนั้นถูกเกาทัณฑ์แลอาวุธต่างๆ ตกม้าลงแล้วเผ่นขึ้นม้าซ้ำถูกอาวุธอีก ก็ตกม้าลงถึงสี่ครั้งห้าครั้ง อองปิดเห็นเหลือกำลังก็ขับม้าหนีไปถึงหน้าบ้านกิมหัน แล้วร้องเรียกกิมหันเข้าไป

ฝ่ายภรรยากิมหันได้ยินดังนั้นก็สำคัญว่ากิมหันเรียก จึงวิ่งไปหวังจะเปิดประตูรับ แล้วถามว่าได้สีสะอองปิดมาหรือไม่ อองปิดได้ฟังก็ตกใจ จึงคิดว่าเกิดเหตุทั้งนี้เพราะกิมหันจะทำร้ายเรา แล้วก็รีบขับม้าไป พอพบโจฮิวคุมทหารมาประมาณพันหนึ่ง อองปิดจึงบอกเนื้อความทั้งปวง โจฮิวได้ฟังก็พาทหารรีบไป เห็นเพลิงนั้นติดเข้ามาถึงประตูวังเปนหลายแห่ง แล้วไหม้ลามเข้าไปถึงประตูริมปราสาทงอหองเหลา จึงให้ทหารเข้าช่วยกันดับเพลิงวุ่นวายอยู่

ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็หลบหลีกหนีเพลิงอยู่ในพระราชวัง แลเสียงคนทั้งปวงร้องประกาศอื้ออึงทั้งเมืองว่า เราจะกำจัดพวกศัตรูแผ่นดินเสีย จะบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่เย็นเปนสุข ขณะนั้นบันดาพี่น้องแลพรรคพวกโจโฉ ก็คุมกันเปนเหล่า ๆ มาตั้งรักษาประตูวังไว้ทุกตำบล

ฝ่ายแฮหัวตุ้นซึ่งโจโฉให้มาคอยเหตุอยู่นอกเมืองนั้น ครั้นเห็นแสงเพลิงในเมืองไหม้ขึ้น ก็ให้ทหารกองหนึ่งป้องกันเมืองฮูโต๋ แล้วให้ทหารกองหนึ่งเข้าไปดับเพลิง แลโจฮิวนั้นเห็นทหารแฮหัวตุ้นเข้ามาก็ดีใจ ขับทหารของตัวเข้าบัญจบดับเพลิง แลพวกโจโฉกับพวกซึ่งทำการเผาบ้านเมืองนั้นก็ฆ่าฟันล้มตายเปนอันมาก จนเวลารุ่งขึ้น

ฝ่ายอุยหลงเกงจีนั้นพรรคพวกก็เบาบางลง หาผู้ใดจะหนุนนั้นมิได้ พอบ่าวคนหนึ่งมาบอกว่า เหล่าทหารโจโฉฆ่ากิมหันเกียดเมาเกียดบกตายเสียแล้ว อุยหลงเกงจีก็ตกใจ จึงพาบ่าวไพร่ที่เหลืออยู่นั้นฝ่าหนีเพลิงออกไปถึงประตูเมือง พบแฮหัวตุ้นคุมทหารอยู่เปนอันมาก แฮหัวตุ้นเห็นประหลาทก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันบ่าวไพร่อุยหลงเกงจีเสีย แต่ตัวอุยหลงเกงจีนั้นแฮหัวตุ้นให้จับจำไว้เปนมั่นคง จึงคุมทหารเข้าไปช่วยดับเพลิงในเมืองเหือดแล้ว จึงให้เอาตัวอุยหลงเกงจีมาถามได้ความแล้ว ก็ให้ทหารไปจับครอบครัวแลพี่น้องอุยหลงเกงจีเกียดเมาเกียดบกกิมหันมาจำไว้ ทั้งสิ้น แฮหัวตุ้นจึงให้ม้าใช้ถือหนังสือไปทูลพระเจ้าวุยอ๋อง

โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงให้แต่งตราตอบไปเปนใจความว่า ให้แฮหัวตุ้นฆ่าอุยหลงเกงจีกับพรรคพวกครอบครัวแลพี่น้องอ้ายเหล่าร้ายห้าคน เสียให้สิ้น แล้วให้แฮหัวตุ้นเอาตัวบันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองฮูโต๋มา ณ เมือง เงียบกุ๋นเราจะพิจารณาเอง

แฮหัวตุ้นแจ้งในหนังสือแล้ว ก็ให้เอาอ้ายเหล่าร้ายมีชื่อห้าคนกับพรรคพวกครอบครัวไปฆ่าเสียสิ้น แล้วเอาอุยหลงเกงจีมาจะฆ่าเสีย อุยหลงเกงจีก็มิได้ย่อท้อ ด่าโจโฉมิได้ขาดปาก จนทหารลงดาบถึงแก่ความตาย แล้วแฮหัวตุ้นก็ไปจับเอาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยบันดาอยู่ในเมืองฮูโต๋ส่งไป เมืองเงียบกุ๋น

โจโฉจึงให้เอาตัวขุนนางทั้งนั้นมาณท้องสนาม ก็ให้เอาธงแดงปักคันหนึ่ง เอาธงขาวปักไว้คันหนึ่ง ไกลกันประมาณสิบเส้น แล้วโจโฉจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่ออ้ายเหล่าร้ายห้าคนคบคิดกันเผาเมืองฮูโต๋ขึ้นนั้น ขุนนางผู้ใดซึ่งได้ไปช่วยดับเพลิงนั้นก็ให้ชวนกันไปข้างธงแดง ผู้ซึ่งมิได้ไปช่วยดับเพลิงนั้นก็ให้พากันไปข้างธงขาว

ขุนนางทั้งปวงได้ฟังโจโฉว่าดังนั้น ต่างคนต่างคิดว่า โจโฉให้ทำทั้งนี้หวังจะเอาโทษผู้ซึ่งมิได้มาช่วยดับเพลิง จึงพากันไปอยู่ข้างธงแดงถึงสามส่วนสี่ส่วน แต่ขุนนางซึ่งมีใจสัตย์ซื่อ ไม่ได้มาช่วยดับเพลิงนั้นก็เข้าอยู่ข้างธงขาวประมาณส่วนหนึ่ง

โจโฉเห็นดังนั้นจึงว่า บันดาผู้ไปช่วยดับเพลิงนั้น มิได้ไปโดยสุจริต ไปเพราะจะเข้าด้วยอ้ายพวกขบถ หวังจะบัญจบกันมาทำร้ายเรา แล้วให้เอาตัวขุนนางประมาณสามร้อยเศษ ซึ่งไปอยู่ข้างธงแดงนั้น ไปฆ่าเสียริมแม่น้ำเซียงโห แล้วว่าขุนนางซึ่งไปอยู่ข้างธงขาวนั้นมีใจสัตย์ซื่อต่อเรา ให้บำเหน็จตามสมควร แล้วให้คงที่เปนขุนนางกลับไปเมืองฮูโต๋

ขณะนั้นพอมีหนังสือโจฮิวบอกมาเปนใจความว่า อองปิดนั้นต้องอาวุธบาดเจ็บเปนหลายแห่ง แผลเกาทัณฑ์นั้นกำเริบขึ้นถึงแก่ความตาย โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีใจสงสาร จึงให้เงินทองไปแต่งการศพอองปิดฝังไว้เมืองฮูโต๋ แล้วให้แต่งหนังสือตั้งโจฮิวให้บังคับบัญชานายทหารทั้งปวงในเมืองฮูโต๋ ให้จงอิ้วเปนมหาอุปราช หัวหิมนั้นเปนปลัดอุปราช แลที่ขุนนางซึ่งหาตัวไม่นั้น ก็จัดทหารใหญ่น้อยตั้งขึ้นไปไว้ตามตำแหน่ง

โจโฉจึงคิดว่า กวนลอชำนาญการทำนายแม่นนัก จึงจัดทองเงินแลสิ่งของให้กวนลอเปนบำเหน็จ กวนลอคำนับแล้วว่า ตัวข้าพเจ้ารักเที่ยวอยู่ในถํ้าในเขา จะเอาเงินทองไปนั้นหาต้องการไม่ ท่านจงเอาไว้แจกทแกล้วทหารเถิด


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 55

https://drive.google.com/file/d/1BmwY2hlh8cXZ2LOPp5REea-Iy5bCBBVj/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #5 on: 23 December 2021, 15:22:59 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 56


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-56.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 56

เนื้อหา
• เตียวคับรบกับเตียวหุย
• เตียวคับไปตีด่านแฮบังก๋วน
• ฮองตงกับเงียมหงันอาสาไปรบกับเตียวคับ
• ฮองตงตีเสบียงที่เขาบิซองสันได้
• เล่าปี่กับขงเบ้งยกทัพไปตีเมืองฮันต๋ง


ฝ่ายโจหองเมื่อไปถึงเมืองฮันต๋งนั้น ก็จัดแจงให้แฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับอยู่รักษาด่านทางทุกตำบลไว้มั่นคง แล้วโจหองยกกองทัพจะไปรบเตียวหุยม้าเฉียว ณ เมืองปาเส ครั้นมาถึงกลางทาง พอรู้ว่าเตียวหุยให้ม้าเฉียวยกล่วงเข้ามาถึงตำบลแฮเปียน

ขณะนั้นม้าเฉียวให้งอหลันกับงิมเอ๋งคุมทหารไปตะเวน พอพบโจหองเข้า งอหลันจึงปรึกษากับงิมเอ๋งว่า ครั้นเราจะเข้ารบพุ่งทหารเราก็น้อย จำจะกลับไปบอกม้าเฉียวให้แจ้งจึงจะชอบ งิมเอ๋งจึงว่า ซึ่งจะกลับไปเปล่า ม้าเฉียวก็จะติโทษเราได้ อันกองทัพโจหองพึ่งยกมาถึง จำจะเข้าตีให้ทหารโจหองถอยกำลังก่อนจึงจะกลับไป แล้วงิมเอ๋งก็ขับม้ารำทวนออกไปร้องท้าทายโจหองถึงหน้าค่าย

โจหองได้ฟังก็โกรธ ขับม้ารำทวนออกมารบกับงิมเอ๋งได้สามเพลง โจหองเอาทวนแทงถูกงิมเอ๋งตกม้าตาย แล้วฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก งอหลันเห็นจะต้านทานไม่ได้ ก็พาทหารที่เหลือนั้นหนีไปถึงตำบลแฮเปียน จึงบอกเนื้อความแก่ม้าเฉียวทุกประการ

ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวเปนแต่กองตะเวน พบข้าศึกเข้าเหตุใดไม่มาบอกแก่เราก่อน ด่วนรบพุ่งให้เสียทีมาดังนี้โทษตัวใหญ่หลวงนัก งอหลันจึงว่าเดิมพบข้าศึกเข้า ข้าพเจ้าจะกลับมาบอกท่าน งิมเอ๋งบังอาจเข้ารบพุ่งจนถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าจึงแตกมา ม้าเฉียวก็คาดโทษงอหลันไว้ จึงให้ตรวจตราทแกล้วทหารไว้เปนมั่นคง แล้วให้แต่งหนังสือบอกเรื่องราวทั้งปวงขึ้นไปถึงเมืองเสฉวนฉบับหนึ่ง ให้เตียวหุยฉบับหนึ่ง

ฝ่ายโจหองมิได้เห็นม้าเฉียวยกออกมารบพุ่งเปนหลายวัน ก็คิดเกรงว่าม้าเฉียวจะทำกลอุบายต่าง ๆ จึงเลิกกองทัพถอยมาตั้งอยู่ ณ เมืองฮันต๋ง เตียวคับแจ้งดังนั้นจึงมาว่าแก่โจหองว่า ตัวท่านยกทัพออกไปฆ่าฟันทหารม้าเฉียวล้มตายเปนอันมาก เหตุใดจึงเลิกกองทัพเข้ามา

โจหองจึงตอบว่า ตัวเราได้ทีแก่ข้าศึกก็จริงอยู่ แต่มิได้เห็นม้าเฉียวออกมารบพุ่งเปนหลายวัน เราคิดเกรงว่าม้าเฉียวจะทำกลศึกต่าง ๆ ประการหนึ่งเมื่อเราอยู่ในเมืองเงียบกุ๋นนั้น กวนลอทำนายว่าพระเจ้าวุยอ๋องจะเสียพี่น้องแลทหารเอกคนหนึ่ง ณ เขาลำสัน เราเกรงจะเหมือนคำกวนลอ เราจึงถอยทัพเข้ามา

เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าตัวท่านเปนวงศ์ของพระเจ้าวุยอ๋อง แล้วท่านก็เปนทหารเอก เหตุใดจะมาเชื่อคำหมอดูนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารของข้าพเจ้ายกไปตีเอาเมืองปาเสให้ได้ แม้ได้เมืองปาเสแล้ว เมืองเสฉวนเหมือนอยู่ในเงื้อมมือเรา

โจหองจึงตอบว่า ท่านก็รู้อยู่ว่าเตียวหุยนี้มีฝีมือกล้าหาญ บัดนี้มารักษาเมืองปาเสอยู่ เหตุใดท่านจึงดูหมิ่นเตียวหุยดังนี้ เตียวคับจึงว่า คนทั้งปวงกลัวฝีมือเตียวหุย แต่ข้าพเจ้านี้เห็นความคิดเตียวหุยเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ข้าพเจ้าจะขอไปจับตัวเตียวหุยมาให้ได้ โจหองจึงว่า ถ้าไปทำการนั้นไม่ได้เหมือนปากว่าจะให้ทำประการใด

เตียวคับจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือสัญญาไว้ ถ้าไม่สมเหมือนปากว่า ก็ให้ตัดสีสะข้าพเจ้าเสียเถิด แล้วเขียนหนังสือทานบนให้โจหองไว้ เตียวคับก็จัดแจงทหารได้สามหมื่นยกไปใกล้ตำบลแฮเปียน ให้ตั้งค่ายใหญ่แอบเชิงเขาสามค่าย ค่ายหนึ่งชื่อเพ็กเงียม ค่ายหนึ่งชื่อบองเทา ค่ายหนึ่งชื่อบองเซ็ก แบ่งทหารให้อยู่รักษาค่ายละหมื่น ม้าเฉียวก็มิได้ยกออกรบพุ่ง ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เตียวคับจึงแบ่งทหารค่ายละห้าพันยกลัดทางไปจะตีเอาเมืองปาเส

เตียวหุยแจ้งดังนั้น จึงปรึกษากับลุยต๋องว่า เราจะคิดประการใด ลุยต๋องจึงว่า อันทางเหล่านี้กันดารนัก แต่ล้วนซอกห้วยธารเขา ข้าพเจ้าจะขอทหารไปซุ่มอยู่ กองตะเวนเตียวคับจะไม่ได้เดิรถึง ด้วยทางนั้นจำเพาะซอกเขา ท่านจงยกกองทัพออกไปรบด้วยเตียวคับ ข้าพเจ้าจะคุมทหารเข้าสกัดตีท้าย ก็จะจับตัวเตียวคับได้

เตียวหุยเห็นชอบด้วย ก็จัดแจงทหารห้าพันให้ลุยต๋องยกไปซุ่มอยู่นอกเมือง แล้วเตียวหุยก็คุมทหารหมื่นหนึ่งยกออกไปตั้งค่ายประชิดกันอยู่ เตียวหุยก็ขับม้าพาทหารไปร้องท้าทายเตียวคับ ๆ ได้ฟังก็โกรธ ขับม้าออกมารบกับเตียวหุยได้สามสิบเพลง

ฝ่ายลุยต๋องเห็นดังนั้น ก็คุมทหารตีตัดท้ายเข้าไป ฆ่าทหารเตียวคับล้มตายเปนอันมาก เตียวคับเห็นเสียทีก็ขับม้าพาทหารหนี เตียวหุยก็ตามตีไป ลุยต๋องคุมทหารตีต้านหน้าไว้ เตียวคับกับทหารก็แตกกระจัดพลัดพรายไป เตียวหุยลุยต๋องบัญจบกันรีบตามตีไป เตียวคับก็หนีเข้าค่าย เตียวหุยกับลุยต๋องก็คุมทหารเข้าตีค่ายเพ็กเงียม แล้วให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาเข้าไปเปนอันมาก เตียวคับให้ทหารรักษาค่ายเปนมั่นคง

เตียวหุยเห็นดังนั้น ก็คุมทหารถอยออกมาตั้งค่ายอยู่ทางไกลประมาณร้อยเส้น ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ยกไปให้ทหารร้องท้าทาย เตียวคับให้ทหารรักษาค่ายมั่นไว้ แล้วเตียวคับขึ้นไปเล่นกระจับปี่สีซออยู่บนเนินเขา เตียวหุยจึงให้ทหารร้องด่าเตียวคับเปนข้อหยาบช้าหลายครั้ง เตียวคับก็มิได้ลงมารบพุ่ง เตียวหุยก็คุมทหารกลับมาค่าย ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวหุยก็ยกไปให้ทหารร้องด่าว่าประการใด ๆ เตียวคับก็นิ่งเสีย เล่นแต่มะโหรีอยู่บนเขา

ลุยต๋องเห็นดังนั้น ก็คุมทหารเข้าตีค่ายเพ็กเงียมเปนสามารถ เตียวคับให้ทหารทิ้งก้อนศิลาลงมา ถูกทหารเตียวหุยป่วยเจ็บเปนหลายคน เตียวหุยให้ถอยออกมา แล้วให้ทหารร้องด่าท้าทายเตียวคับเปนอันมาก เตียวคับก็ให้ทหารร้องด่าตอบลงมาว่า อ้ายเตียวหุยเปนคนขายสุรา เตียวหุยโกรธไม่รู้ที่จะทำประการใด แต่รอกันอยู่ถึงห้าสิบวัน เตียวหุยเสพย์สุราเมาแล้วก็ให้ทหารร้องด่าเตียวคับทุกเวลา เตียวคับก็มิได้ออกรบพุ่ง

ฝ่ายทหารซึ่งเอาสเบียงมาส่งเตียวหุยเห็นดังนั้น ครั้นกลับมาถึงเมืองเสฉวน ก็เอาเนื้อความแจ้งแก่เล่าปี่ว่า เตียวหุยนั้นตั้งรอกันอยู่กับเตียวคับถึงห้าสิบวัน เตียวหุยเสพย์สุราเมาเหล้าแกล้งให้ทหารไปร้องด่าเปนข้อหยาบช้าทุกเวลา เตียวคับมิได้ออกรบพุ่ง

เล่าปี่แจ้งดังนั้น จึงปรึกษาแก่ขงเบ้งว่า เตียวหุยไปทำการศึก ก่นแต่เสพย์สุราฉนี้ เราจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเตียวหุยเปนฉนี้ เพราะไม่มีสุราเข้มในกองทัพ ขอให้จัดสุรากลั่นเข้มสักห้าสิบไห เล่าปี่จึงว่า เมื่อเตียวหุยเสพย์สุราหนักครั้งใดก็เสียการทุกที เหตุใดท่านยังจะให้สุราไปอีกเล่า เมื่อเตียวหุยกินเข้าไปมากแล้ว การศึกจะมิเสียไปหรือ

ขงเบ้งได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า ท่านเปนพี่น้องกันมาช้านานแล้วมิได้รู้จักนํ้าใจเตียวหุย แต่ก่อนนั้นเตียวหุยเปนคนองค์อาจวู่วาม ครั้นยกมาตีเมืองเสฉวนนี้ ข้าพเจ้าเห็นเตียวหุยละพยศอันร้ายเสีย คิดจับเงียมหงันได้ด้วยปัญญา ก็เปนนิมิตรประกอบบุญท่านอยู่แล้ว ซึ่งเตียวหุยแกล้งพาทหารออกไปด่าเตียวคับนั้น เพราะจะทำกลอุบาย

เล่าปี่จึงว่า เรายังไม่ไว้ใจ จะให้อุยเอี๋ยนไปช่วย แล้วก็ให้จัดสุราใส่ไหบันทุกเต็มทั้งสามเกวียน มีธงจารึกอักษรว่า ให้เตียวหุยเร่งทำการให้มีชัยชนะแก่เตียวคับให้ได้ อุยเอี๋ยนรับคำลาเล่าปี่แล้ว ก็พาทหารคุมเกวียนสุราไปถึงค่าย แล้วบอกเนื้อความแก่เตียวหุยทุกประการ

เตียวหุยแจ้งดังนั้นก็มีใจยินดี จึงสั่งลุยต๋องกับอุยเอี๋ยนว่า เราจะเลี้ยงทแกล้วทหารให้มีใจกำเริบ ท่านทั้งสองจงคอยดูให้เปนสุขเถิด แม้เห็นเรายกธงแดงขึ้นเมื่อใด จึงคุมทหารเข้าโจมตีเตียวคับ แล้วผูกหุ่นเหมือนรูปเตียวหุยซ่อนไว้ ครั้นเวลาเย็นก็ให้เอาสุรามาเลี้ยงทหารทั้งปวงให้ตีฆ้องโห่ร้องอื้ออึงอยู่ ในค่าย

ฝ่ายทหารเตียวคับลอบมาดูเห็นก็ไปบอกแก่เตียวคับ เตียวคับแจ้งดังนั้นก็พาทหารซึ่งมาบอกลอบไปดูบนเนินเขาริมค่าย เห็นเตียวหุยนั่งเสพย์สุราให้ทหารปลํ้ากันอยู่ เตียวคับก็กลับมาค่าย แล้วคิดว่าเตียวหุยนั้นมิได้เห็นเราออกรบพุ่ง จึงมีใจกำเริบเล่นเอิกเริกอยู่มิได้เกรงเรา จึงสั่งทหารว่า เวลาคํ่าวันนี้เราจะยกเข้าปล้นค่ายเตียวหุย ให้ทหารค่ายบองเทากับค่ายบองเซ็กยกเข้ามารบกระหนาบซ้ายขวา

ครั้นเวลากลางคืนเดือนสว่าง เตียวหุยก็ให้เอาหุ่นใส่เสื้อนั่งถือจอกสุราเปนทีจะดื่ม ทหารเข้ามาคอยรับใช้เปนหลายคน ตัวเตียวหุยนั้นซุ่มอยู่ แล้วให้อุยเอี๋ยนลุยต๋องจัดแจงทหารเตรียมไว้

ฝ่ายเตียวคับก็คุมทหารมาถึงหน้าค่ายเตียวหุย เห็นรูปเตียวหุยนั้นนั่งเสพย์สุราอยู่ก็สำคัญว่าเตียวหุยจริง เตียวคับจึงขับทหารเข้าโจมตีหักเข้าไปในค่ายได้ ก็ขับม้าเข้าไปเอาทวนแทงรูปเตียวหุยซึ่งนั่งเสพย์สุราอยู่นั้น ครั้นเห็นเปนหุ่นก็ตกใจ ควบม้าจะกลับออกจากค่าย เตียวหุยเห็นก็จุดประทัดขึ้นเปนสำคัญ ทหารเตียวหุยจึงจุดเพลิงเผาค่ายขึ้น เตียวหุยก็ขี่ม้าออกร้องว่ากูชื่อเตียวหุย แล้วขับม้าเข้ารบกับเตียวคับได้สามสิบเพลง

ขณะเมื่อเตียวหุยกับเตียวคับรบกันอยู่นั้น ทหารทั้งสองค่ายก็ยกมาคอยจะกระหนาบ พอพบอุยเอี๋ยนลุยต๋องออกสกัดอยู่ อุยเอี๋ยนลุยต๋องก็ขับม้าเข้ารบ ตีทหารสองกองนั้นแตกกลับไป อุยเอี๋ยนลุยต๋องยกตามไปตีเอาค่ายเตียวคับได้ จึงเอาเพลิงจุดเผาขึ้นทั้งสามค่าย

เตียวคับเห็นดังนั้นก็รู้ว่าค่ายเสียด้วยกลเตียวหุยแล้ว ก็ควบม้าหนีไปด่านอวนเทาก๋วน เตียวหุยครั้นได้ชัยชนะแล้ว ก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งราชการแก่เล่าปี่ ๆ แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเตียวหุยเสพย์สุราเปนกลอุบายเหมือนคำขงเบ้งว่า

ฝ่ายเตียวคับเสียทหารประมาณสองหมื่น จึงพาทหารหมื่นหนึ่งมาตั้งอยู่ด่านอวนเทาก๋วน แล้วให้ทหารไปบอกโจหองให้ยกมาช่วย โจหองได้ฟังก็โกรธ จึงว่าเราได้ห้ามแล้วไม่ฟัง ขืนยกไปรบกับเตียวหุยจนเสียท่วงทีฉนี้ ยังจะให้เรายกไปช่วยเล่า โจหองจึงสั่งทหารนั้นไปว่าให้เตียวคับเร่งยกออกรบกับเตียวหุยคืนเอาชัยชนะ ให้ได้ ทหารก็กลับมาบอกเตียวคับตามคำโจหองว่า

เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็คิดวิตกนัก จึงเกณฑ์ทหารกองหนึ่ง ให้ไปตั้งซุ่มอยู่ทางน้อยริมเชิงเขาหน้าด่าน แล้วสั่งว่าเราจะยกไปรบกับเตียวหุย ถ้าเตียวหุยไล่เรามาทางนี้ ก็ให้ยกออกรบสกัดเอาชัยชนะให้จงได้ ครั้นเวลาเช้าเตียวคับก็ยกทหารออกจากค่าย พอพบลุยต๋องยกมา เตียวคับก็ขับม้าเข้ารบกับลุยต๋องได้ห้าเพลง เตียวคับทำเปนถอยหนี ลุยต๋องมิได้รู้กลอุบายก็ตามไปถึงทางน้อยซึ่งทหารเตียวคับซุ่มอยู่นั้น ทหารทั้งปวงก็รุมกันออกสกัดรบลุยต๋อง

เตียวคับเห็นดังนั้น ก็กลับมารบกับลุยต๋อง เตียวคับเอาทวนแทงลุยต๋องตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกหนีกลับไป ณ ค่าย จึงเอาเนื้อความบอกแก่เตียวหุย ๆ โกรธก็คุมทหารรีบไป เตียวคับเห็นก็ขับม้าเข้ารบกับเตียวหุยได้ห้าเพลง เตียวคับทำเปนแพ้ชักม้าหนี เตียวหุยแจ้งในกลเตียวคับก็มิได้ไล่ตามไป

เตียวคับเห็นดังนั้นก็กลับม้ารีบมารบกับเตียวหุยอีกห้าเพลง แล้วก็ทำเปนหนี เตียวหุยก็พาทหารกลับมาค่าย จึงว่ากับอุยเอี๋ยนว่า บัดนี้เตียวคับทำกลซุ่มทหารไว้ลวงฆ่าลุยต๋องเสีย แล้วยังจะลวงฆ่าเราอีกเล่า เราจะคิดซ้อนกลเตียวคับให้ได้ อุยเอี๋ยนจึงถามว่า ท่านจะทำประการใด

เตียวหุยจึงว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะไปรบกับเตียวคับ ท่านจงคุมทหารไปซุ่มอยู่ข้างหลังทหารเตียวคับซึ่งซุ่มไว้ทางน้อย แล้วแบ่งทหารไปขนหญ้าแห้งบันทุกเกวียนไว้จงมาก เราจะไล่เตียวคับไปถึงทางน้อย ท่านจงให้เผาหญ้าขึ้นสกัดต้นทางปลายทางเสีย เห็นเราจะจับตัวเตียวคับได้เปนมั่นคง อุยเอี๋ยนรับคำแล้ว ครั้นเวลาจะใกล้รุ่งก็คุมทหารไปทำตามเตียวหุยสั่ง

ครั้นเวลาเช้าเตียวหุยจึงคุมทหารออกไปที่รบ เตียวคับเห็นก็ขับม้าออกรบกับเตียวหุยได้สิบเพลง เตียวคับทำชักม้าถอยหนี เตียวหุยไล่ตามไปถึงทางน้อย เตียวคับกลับมาสู้รบอยู่เปนช้านานก็มิได้เห็นทัพตีกระหนาบออกมา

ฝ่ายอุยเอี๋ยนซึ่งคุมเกวียนเชื้อเพลิงไปนั้น ได้รบพุ่งฆ่าฟันทหารเตียวคับล้มตายเปนอันมาก แล้วเอาเพลิงจุดเชื้อขึ้นต้นทางปลายทาง เตียวหุยเห็นแสงเพลิงสว่าง ก็พาทหารรีบออกมาทางซอกเขา ฝ่ายเตียวคับเห็นเพลิงไหม้เข้ามา ก็พาทหารหนีข้ามเขาไปถึงด่านอวนเทาก๋วน แล้วให้ทหารรักษาด่านไว้มั่นคง

ฝ่ายเตียวหุยก็คุมทหารเข้าบัญจบกัน ยกไปตีด่านอวนเทาก๋วนถึงเก้าวันสิบวันก็ไม่ได้ เตียวหุยจึงพาทหารถอยมาตั้งค่ายอยู่ทางไกลด่านประมาณสองร้อยเส้น แล้วเตียวหุยก็พาทหารยี่สิบสี่ยี่สิบห้าคนกับอุยเอี๋ยนไปเที่ยวดูทางตามซอก ห้วยเนินเขา แลทางนั้นกันดารนัก จำเพาะข้ามเขาจึงจะมาได้ พอเห็นชาวบ้านห้าคนหาบคอนมาตามเนินเขา แล้วหย่อนตัวลงตามเถาวัลย์ ด้วยเขานั้นสูงชะโงกอยู่

เตียวหุยจึงห้ามทหารอย่าวุ่นวายไป เตียวหุยจึงลงมาจากม้าพาอุยเอี๋ยนเดิรเข้าไปหาชาวบ้าน แล้วถามว่าอยู่เมืองใดพากันไปไหนมา คนห้าคนนั้นบอกว่า ข้าพเจ้าเปนชาวเมืองฮันต๋งมาเที่ยวค้าขาย ครั้นจะกลับไปเมืองตามทางหลวงก็กลัวกองทัพซึ่งมาตั้งอยู่ ณ ด่านอวนเทาก๋วน จึงพากันลัดหนีมาทางนี้ เตียวหุยจึงถามว่าทางนี้ตลอดไปถึงไหน พ่อค้าจึงบอกว่า เปนทางน้อยจำเพาะเดิรตลอดไปเข้าทางท้ายด่านอวนเทาก๋วน

เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาพ่อค้าห้าคนนั้นมา ณ ค่าย ให้เลี้ยงดูแล้วสั่งอุยเอี๋ยนว่า เวลาพรุ่งนี้ท่านจงคุมทหารกองหนึ่งไปตีข้างด่านอวนเทาก๋วนข้างหน้า เราจะจัดเอาทหารซึ่งกล้าแข็งสักห้าร้อย จะให้พ่อค้านำไปตีท้ายด่าน อุยเอี๋ยนเห็นชอบด้วย ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวหุยก็จัดทหารที่กล้าแข็งได้ห้าร้อย ก็ให้พ่อค้านำไปทางลัด อุยเอี๋ยนก็คุมทหารยกไปถึงหน้าด่าน

ฝ่ายเตียวคับเมื่อเสียทีเตียวหุยมานั้น คอยทหารซึ่งไปซุ่มตีกระหนาบถึงคืนหนึ่งแล้วยังไม่เห็นกลับมา ก็คิดวิตกอยู่ พอทหารเข้ามาบอกว่า อุยเอี๋ยนคุมทหารมาร้องท้าทายถึงหน้าค่าย เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงแต่งตัวใส่เกราะถือทวนออกมาถึงประตูค่าย พอทหารข้างหลังด่านวิ่งมาบอกว่า มีทหารมาลอบจุดเพลิงขึ้นข้างหลังด่านถึงห้าตำบล แล้วคุมทหารตีเข้ามาถึงท้ายด่าน

เตียวคับแจ้งดังนั้นก็ตกใจ กลับมาไม่ทันถึงท้ายด่าน พอเห็นเตียวหุยคุมทหารเข้ามาไล่ฆ่าฟันทหารในด่านล้มตายเปนอันมาก เตียวคับก็ขับม้าออกมาถึงหน้าด่านจะไปทางน้อยริมซอกเขา ม้านั้นถูกอาวุธเดิรไม่ได้ เตียวคับก็ทิ้งม้าเสียหนีข้ามเขาไป มีทหารตามมาด้วยประมาณสิบเอ็ดสิบสองคน ครั้นมาถึงเมืองฮันต๋ง ก็เข้าไปแจ้งแก่โจหองบอกเนื้อความตามจริงทุกประการ

โจหองแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราก็ได้ห้ามแล้ว ตัวก็ไม่ฟัง อวดฝีมือทำทานบนไว้ คุมทหารสามหมื่นไปทำศึกด้วยเตียวหุย เหลือทหารมาแต่สิบเอ็ดสิบสองคนฉนี้ โทษตัวผิดกับทานบน โจหองสั่งให้เอาตัวเตียวคับไปฆ่าเสีย

โกฉุยจึงห้ามว่า ทหารเลวนั้นหาง่าย อันทหารเอกนั้นหายาก อนึ่งพระเจ้าวุยอ๋องก็เอนดูเตียวคับอยู่ ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าขอโทษไว้ครั้งหนึ่งเถิด จะให้เตียวคับคุมทหารไปตีด่านแฮเบ้งก๋วนไว้ อย่าให้กองทัพเมืองเสฉวนทำอันตรายเมืองฮันต๋งได้ ราษฎรชาวเมืองก็จะมีความสุข ถ้าเตียวคับเสียทีมาอีก ท่านจึงทำโทษทั้งสองข้อทีเดียว

โจหองเห็นชอบด้วย ก็ให้คาดโทษเตียวคับไว้ แล้วจัดทหารห้าพันให้เตียวคับยกไปทำการตามคำโกฉุยว่า เตียวคับก็ลาโจหองคุมทหารห้าพันไปถึงด่านแฮเบ้งก๋วน แล้วให้ทหารเข้าตีด่านเย้าไว้ เบ้งตัดกับงักจุ้นซึ่งคุมทหารอยู่รักษาด่านแฮเบ้งก๋วนเห็นดังนั้นก็ปรึกษา กันว่า เราจะยกออกรบดีหรือ ๆ จะรักษาด่านไว้ให้มั่นคงดี

งักจุ้นจึงว่า ให้ตั้งรักษาด่านไว้ดีกว่า เบ้งตัดไม่ฟัง คุมทหารออกรบกับเตียวคับ ๆ ขับม้าเข้ารบพุ่งฆ่าฟันทหารเบ้งตัดล้มตายเปนอันมาก เบ้งตัดทานกำลังเตียวคับไม่ได้ก็พาทหารซึ่งเหลือตายนั้นหนีเข้าด่าน งักจุ้นเห็นดังนั้นก็แต่งหนังสือบอกข้อราชการไปถึงเมืองเสฉวน

เล่าปี่แจ้งในหนังสือแล้วจึงปรึกษาด้วยขงเบ้งว่า เตียวคับยกมาตีด่านเมืองเราฉนี้ ท่านจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดให้ทหารออกไปตีให้เตียวคับแตกไปจงได้ จึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาต่อหน้าเล่าปี่ แล้วขงเบ้งจึงแกล้งว่า อันเตียวคับนั้นมีฝีมือกล้าหาญนัก ขอให้มีหนังสือไปหาตัวเตียวหุยมา จึงจะสู้ฝีมือเตียวคับได้

ฮองตงจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ท่านอาจารย์หลู่ทหารทั้งปวงดังนี้ จะมิเสียนํ้าใจไปสิ้นหรือ แต่ตัวข้าพเจ้าชรานี้จะขออาสาไปตัดเอาสีสะเตียวคับมาให้ได้ ขงเบ้งจึงตอบว่า ท่านมีฝีมือก็จริง แต่ทว่าชราแล้ว เราเกรงว่าจะทานกำลังเตียวคับไม่ได้

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ลุกขึ้นแล้วว่า ถึงข้าพเจ้าชราก็ยังมีกำลังขึ้นเกาทัณฑ์อันทรงของหนักสามร้อยชั่งได้ ควรหรือท่านประมาทข้าพเจ้าว่าจะสู้ฝีมืออ้ายเตียวคับไม่ได้ ขงเบ้งจึงว่า เมื่ออายุท่านได้ถึงเจ็ดสิบเศษแล้ว ยังขืนว่ามีกำลังนั้นเราไม่เห็นด้วย

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเปนอันมาก จึงออกมาเอาง้าวสำหรับมือเข้าไปรำจนสิ้นเพลงง้าว เล่าปี่ขงเบ้งแลขุนนางทั้งปวงเห็นฮองตงรำนั้นงามคล่องแคล่วรวดเร็ว จึงสรรเสริญว่า ถึงฝีมือหนุ่มซึ่งชำนาญแลมีกำลังก็หาเสมอฮองตงไม่ ฮองตงจึงเอาเกาทัณฑ์อันแขงนั้นมาขึ้นลองกำลังให้ขงเบ้งดู จนเกาทัณฑ์นั้นหักไปทั้งสองคัน

ขงเบ้งจึงว่าแก่ฮองตงว่า ท่านจะไปก็ไปเถิด แต่เอาทหารรองไปด้วยสักคนหนึ่ง จะได้ช่วยกันทำการ ฮองตงจึงว่า เงียมหงันนั้นก็เปนคนชราเหมือนกับข้าพเจ้า จะขอเอาไปด้วย ถ้าไม่ได้ราชการก็ให้ตัดสีสะหงอกนี้เสียเถิด

เล่าปี่ได้ฟังก็มีใจยินดี ยอมให้ฮองตงกับเงียมหงันไป จูล่งจึงว่า เตียวคับนั้นมีฝีมือกล้าแขง ซึ่งท่านจะให้ฮองตงเงียมหงันอันเปนคนชราออกไปรบกับเตียวคับนั้นไม่ได้ ถ้าเสียด่านแฮเบ้งก๋วนแล้ว เมืองเสฉวนก็จะเสียด้วย ขงเบ้งจึงตอบว่า ท่านอย่าดูหมิ่นฮองตงเงียมหงันว่าเปนคนชราเลย อันเมืองฮันต๋งนั้นจะได้ด้วยความคิดแลฝีมือคนชราทั้งสองเปนมั่นคง จูล่งมิได้ตอบประการใด ฮองตงเงียมหงันก็ลาออกมาจัดแจงทหารแล้วยกไปถึงด่านแฮเบ้งก๋วน

เบ้งตัดกับงักจุ้นเห็นคนชราทั้งสองคุมทหารมา ก็ค่อยกระซิบว่า ขงเบ้งให้ฮองตงกับเงียมหงันมาดังนี้ ยังจะทานฝีมือเตียวคับได้แล้วหรือ ก็ชวนกันหัวเราะเปนทีเย้ย ฮองตงเห็นดังนั้นจึงว่าแก่เงียมหงันว่า ท่านเห็นแล้วหรือ เบ้งตัดกับงักจุ้นหัวเราะเยาะเรา ว่าคนชราหามีฝีมือไม่ เราจำจะคิดอ่านเอาชัยชนะเตียวคับให้ได้ คนทั้งนั้นจึงจะเกรงเราสืบไป เงียมหงันจึงว่า ท่านจะคิดประการใดข้าพเจ้าจะทำตาม ฮองตงจึงว่า ให้ท่านคุมทหารอ้อมไปซุ่มอยู่หลังค่ายเตียวคับ แม้เห็นเราออกรบเมื่อใด ก็ให้คุมทหารตีกระหนาบเข้ามา เงียมหงันก็พาทหารไปซุ่มอยู่ตามคำฮองตงสั่ง ฮองตงจึงคุมทหารออกไปร้องท้าทายเตียวคับ

เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขึ้นม้าพาทหารมาจากค่าย แล้วว่าแก่ฮองตงว่า ตัวชราถึงเพียงนี้ยังหาความละอายไม่ ช่างมีหน้าอาสาออกมาทำการสงคราม จะเอายศศักดิ์ไปถึงไหน ฮองตงจึงตอบว่า ถึงตัวกูชราก็จริง แต่ง้าวซึ่งกูถืออยู่นี้ยังคมอยู่ แล้วก็ขับม้ารำง้าวเข้ารบกับเตียวคับได้สิบเพลง แลทหารทั้งสองฝ่ายก็โห่ร้องอื้ออึง

ฝ่ายเงียมหงันเห็นได้ทีก็คุมทหารตีกระหนาบท้ายเข้ามาตลุมบอน ไล่ฆ่าฟันทหารเตียวคับล้มตาย เตียวคับอยู่ในหว่างทหาร จะต้านทานมิได้ ก็ขับม้าพาทหารแตกหนี ฮองตงกับเงียมหงันก็คุมทหารไล่ตามไป ทางประมาณเก้าร้อยเส้น จนเวลารุ่งขึ้นจึงให้ทหารตั้งค่ายมั่นลงไว้

ฝ่ายโจหองรู้ว่าเตียวคับแตกมา ก็สั่งให้ทหารเที่ยวหาตัวเตียวคับมาจะฆ่าเสีย โกฉุยจึงห้ามว่า ซึ่งท่านจะทำดังนี้ไม่ควร แม้รู้ไปถึงเตียวคับก็จะหนีไปเข้าด้วยกองทัพเมืองเสฉวน การศึกซึ่งจะทำสืบไปก็จะขัดสน ขอให้แต่งทหารไปช่วยกำกับไว้ อย่าให้เตียวคับเอาใจออกหากได้ โจหองเห็นชอบด้วย จึงให้แฮหัวซงหลานแฮหัวตุ้นกับฮันโฮน้องฮันเหียนคุมทหารห้าพันไปช่วยป้องกัน กำกับเตียวคับไว้ตามคำโกฉุยว่า แฮหัวซงกับฮันโฮครั้นมาพบเตียวคับ ก็บอกว่าโจหองให้ข้าพเจ้าทั้งสองมาช่วย

เตียวคับจึงว่า ฮองตงกับเงียมหงันเปนคนชรามีฝีมือกล้าหาญ ซึ่งเราจะคิดเอาชัยชนะนั้นยากนัก ฮันโฮจึงว่า ฮองตงนั้นข้าพเจ้ารู้จักอยู่ เดิมฮองตงอยู่เมืองเตียงสา เปนไส้ศึกเข้าด้วยกวนอู แล้วให้อุยเอี๋ยนฆ่าฮันเหียนพี่ชายข้าพเจ้าเสีย ตัวข้าพเจ้าจะขอทำการแก้แค้นฮองตงให้ได้ แล้วก็พาแฮหัวซงคุมทหารออกไปหวังจะรบกับฮองตง

ฝ่ายฮองตงเมื่อมาตั้งค่ายอยู่นั้น ก็พาเงียมหงันกับทหารเที่ยวดูรู้แห่งทางใหญ่น้อยทุกตำบล แล้วเห็นทหารโจโฉมารักษาสเบียงอยู่ ณ เขาเทียนตองสัน เงียมหงันจึงว่าแก่ฮองตงว่า ถ้าคิดอ่านตัดสเบียงตำบลนี้เสียได้ ก็จะได้เมืองฮันต๋งโดยง่าย ฮองตงจึงว่า ท่านคิดนี้ต้องความคิดเรา แล้วกระซิบให้สัญญากับเงียมหงัน ครั้นกลับมาถึงค่าย เงียมหงันก็จัดแจงทหารไปทำตามคำฮองตงสั่ง

ฝ่ายฮองตงครั้นรู้ว่าแฮหัวซงกับฮันโฮยกมา ก็คุมทหารออกไปจากค่าย ฮันโฮเห็นฮองตงออกมา ก็ขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร ร้องด่าฮองตงเปนข้อหยาบช้า แล้วขับม้าเข้ารบกับฮองตง แฮหัวซงเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้าช่วยฮันโฮรบ ฮองตงรบพุ่งป้องกันได้ยี่สิบเพลง ก็แกล้งชักม้าพาทหารถอยหนีไปทางประมาณสองร้อยเส้น ให้เอาฟางทำค่ายไว้

ฝ่ายแฮหัวซงกับฮันโฮก็คุมทหารไล่ตามไปท้าทายถึงหน้าค่าย ฮองตงก็ออกมารบกับแฮหัวซงฮันโฮ ถึงสิบสี่สิบห้าเพลง แล้วก็ทำชักม้าพาทหารถอยหนีไปอีกสองร้อยเส้น ก็ให้เอาฟางทำค่ายไว้

ฝ่ายแฮหัวซงกับฮันโฮจึงให้ม้าใช้กลับไปบอกเนื้อความทั้งปวงแก่เตียวคับ ให้รักษาค่ายไว้จงมั่นคง เตียวคับแจ้งดังนั้นก็รีบมาแจ้งแก่แฮหัวซงฮันโฮว่า ซึ่งฮองตงถอยหนีไปถึงสองครั้งนั้นเราเห็นจะเปนกลอุบาย อย่าได้ยกตามไปเลย แฮหัวซงกับฮันโฮได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตวาดแล้วว่า ตัวท่านนี้ขี้ขลาดนักจึงเสียทีแก่ข้าศึกมาเปนหลายครั้ง ท่านอย่าว่าวุ่นวายไปเลย จงนิ่งเสียเถิด

เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็อัปยศแก่ทหารทั้งปวง แล้วกลับไปรักษาค่ายอยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้าแฮหัวซงกับฮันโฮก็คุมทหารติดตามฮองตงมาถึงหน้าค่าย แล้วร้องเย้ยเยาะต่าง ๆ ฮองตงได้ยินดังนั้นก็ขับม้าออกมาต่อสู้ได้สิบเพลง แล้วขับม้าพาทหารหนีไปได้สองร้อยเส้น ก็ให้เอากิ่งไม้มาตั้งค่ายไว้

ฝ่ายแฮหัวซงกับฮันโฮคุมทหารตามไปโจมตีค่ายฮองตง ๆ สู้รบได้ห้าเพลงก็พาทหารรีบหนีไปเข้าด่านแฮเบ้งก๋วน แฮหัวซงฮันโฮคุมทหารตามไปตั้งค่ายประชิดด่านไว้ เบ้งตัดเห็นดังนั้นก็ลอบบอกเนื้อความไปถึงเล่าปี่เปนใจความว่า ฮองตงแตกแฮหัวซงกับฮันโฮมาเปนหลายครั้ง บัดนี้เข้ามาอยู่ในด่าน แฮหัวซงกับฮันโฮก็ตามมาตั้งค่ายประชิดอยู่

เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่ขงเบ้ง ๆ จึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย อันฮองตงแตกหนีมานั้น หวังจะทำกลอุบายลวงข้าศึก เล่าปี่จูล่งได้ฟังขงเบ้งว่า ยังไม่สิ้นสงสัย เล่าปี่จึงให้เล่าฮองซึ่งเปนบุตรเลี้ยงคุมทหารไปช่วยฮองตง เล่าฮองครั้นมาถึงด่านแฮเบ้งก๋วนก็บอกแก่ฮองตงว่า บัดนี้เล่าปี่ให้เราคุมทหารมาช่วยท่าน ฮองตงจึงถามว่า เล่าปี่แจ้งเหตุสิ่งใดหรือ เล่าฮองจึงบอกว่า เล่าปี่แจ้งว่าท่านแตกมาหลายครั้งจนหนีเข้ามาอยู่ในด่าน จึงให้เรายกมาช่วย

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งเราแตกถอยมานี้ด้วยกลอุบาย จะให้ข้าศึกเอาอาวุธแลสเบียงอาหารมารวมไว้ในค่ายประชิด เพลาคํ่าวันนี้ท่านจงคอยดูเถิด เราจะยกออกตีค่ายแฮหัวซงฮันโฮแตกไปแล้ว จะให้ทหารเก็บเครื่องศัสตราวุธแลสเบียงอาหารไว้ให้จงได้ ครั้นเวลาคํ่าฮองตงจึงสั่งแก่งักจุ้นว่าให้ตรวจตรารักษาด่านไว้จงมั่นคง แล้วว่าแก่เบ้งตัดว่า วันนี้เราจะออกไปทำการ ท่านจงเอนดูเราพาทหารออกไปขนเอาสเบียงอาหารแลเครื่องศัสตราวุธ นายทหารทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็ไม่เชื่อ แต่เห็นแก่หน้าก็รับไว้

ฝ่ายฮันโฮกับแฮหัวซงมาตั้งอยู่ถึงสามวัน มิได้เห็นฮองตงแลทหารผู้ใดออกมารบ ก็มีใจประมาทถอดเกราะแก้อานม้าเสีย มิได้ตรวจตรารักษาค่าย ครั้นเวลาสองยามเศษ ฮองตงก็พาเล่าฮองคุมทหารห้าพันออกไปโจมตีค่ายแฮหัวซงกับฮันโฮ ฆ่าฟันทหารทั้งปวงล้มตายเปนอันมาก แฮหัวซงกับฮันโฮมิทันรู้ตัว ก็พาทหารหนีออกจากค่าย ฮองตงก็ตามตีค่ายรายทางได้ทั้งสามค่าย

ฝ่ายเบ้งตัดเห็นข้าศึกแตกไป ก็คุมทหารออกมาเก็บเอาเกราะแลอาวุธกับสเบียงอาหารไว้เปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งขึ้นฮองตงจะตามแฮหัวซงกับฮันโฮไป เล่าฮองจึงห้ามว่าทแกล้วทหารอิดโรยนัก จงหยุดให้ทหารมีกำลังจึงค่อยตามไป ฮองตงจึงตอบว่า เมื่อเราตามมาพบซุ้มเสือแล้วจะไม่รีบเข้าจับลูกเสือให้ได้นั้น จะละไว้ให้มีกำลังไปหรือ จึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า จงช่วยกันทำการให้สำเร็จ แล้วก็ยกตามไปใกล้จะถึงค่ายเตียวคับ

ฝ่ายแฮหัวซงกับฮันโฮหนีไปพ้นค่ายเตียวคับ แลทหารเตียวคับเห็นดังนั้นก็พากันตกใจแตกตื่นไป เตียวคับโบกธงทหารทั้งปวงก็ไม่หยุด เตียวคับก็พลอยหนีไปถึงแม่นํ้าฮันซุย พอพบแฮหัวซงกับฮันโฮ เตียวคับจึงว่ากับนายทหารทั้งสองว่า ซึ่งเราจะหนีไปฉนี้ไม่ได้ อันเมืองฮันต๋งนี้ได้อาศรัยสเบียงซึ่งซ่องสุมไว้ ณ เขาเทียนตองสันกับเขาบิซอง สัน แม้เสียสเบียงสองตำบลนี้แล้ว เมืองฮันต๋งก็จะเสียด้วย เราจะคิดอ่านไปรักษาสเบียงสองตำบลนี้ไว้ เห็นจะได้เปนกำลังทำการสืบไป

แฮหัวซงจึงตอบว่า อันสเบียงซึ่งซ่องสุมไว้ ณ เขาบิซองสันนั้นอย่าวิตกเลย ด้วยแฮหัวเอี๋ยนอาว์ข้าพเจ้าไปตั้งอยู่ ณ เขาเตงกุนสัน ทางนั้นก็ใกล้กัน เห็นจะจัดแจงทหารไปรักษาไว้เปนมั่นคง เกรงอยู่แต่เขาเทียนตองสัน ซึ่งแฮหัวเต๊กผู้พี่ข้าพเจ้ารักษาอยู่ แต่ทหารนั้นก็น้อย เราจะชวนกันไปช่วยรักษาไว้ เตียวคับเห็นชอบด้วย ก็พาทหารทั้งปวงรีบไปถึงเขาเทียนตองสัน แล้วเล่าเนื้อความให้แฮหัวเต๊กฟังทุกประการ

แฮหัวเต๊กจึงตอบว่า เราคุมทหารสิบหมื่นอยู่รักษาสเบียงแล้ว จงชวนกันเร่งไปกระทำการเอาชัยชนะแก่ข้าศึกให้ได้เถิด เตียวคับจึงว่าทหารมากก็จริงอยู่ แต่จะไว้ใจท่านนั้นไม่ได้ ครั้นว่าขาดคำลง พอได้ยินเสียงทหารโห่ร้องขึ้นมาข้างหน้าเขา แล้วม้าใช้มาบอกกับแฮหัวเต๊กว่า ฮองตงคุมทหารมาเปนอันมาก แฮหัวเต๊กได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า อ้ายฮองตงนี้มีใจกำเริบว่าฝีมือกล้าหาญ บังอาจยกเข้ามาทำการถึงนี่

เตียวคับจึงตอบว่า อันฮองตงนั้นใช่จะมีแต่ฝีมือหามิได้ ประกอบด้วยสติปัญญาคิดกลศึกต่าง ๆ แฮหัวเต๊กจึงว่า ถึงมาทว่าฮองตงจะมีสติปัญญาความคิดสักเท่าใด อันล่วงเข้ามาถึงนี่ก็เหมือนหาปัญญาไม่ ฮันโฮจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกไปทำการเอาชัยชนะแก่ฮองตงให้ได้ แฮหัวเต๊กก็จัดทหารให้สามพัน ฮันโฮก็คุมทหารลงไปร้องท้าทายฮองตง ๆ ได้ฟังก็โกรธ ขับม้าออกมารบไม่ทันพักหนึ่ง ฮองตงก็เอาง้าวฟันถูกฮันโฮตกม้าตาย แล้วไล่ฆ่าฟันทหารทั้งปวงแตกตื่นไป เตียวคับแฮหัวซงเห็นดังนั้นก็คุมทหารจะลงไปรบกับฮองตง พอได้ยินเสียงประทัดแลทหารโห่ร้องขึ้นข้างหลังเขา แล้วเห็นเพลิงไหม้ขึ้นข้างหลังค่ายเปนหลายตำบล แฮหัวเต๊กก็คุมทหารออกมาหวังจะรบกับข้าศึก เงียมหงันขับม้ารำทวนเข้ารบกับแฮหัวเต๊กได้เพลงหนึ่ง แล้วเงียมหงันเอาทวนแทงถูกแฮหัวเต๊กตกม้าตาย

ฝ่ายฮองตงเห็นแสงเพลิงเงียมหงันจุดขึ้นตามสัญญาดังนั้น ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้าไปข้างหน้าเขา แล้วเอาเพลิงเผาค่ายไหม้สเบียงอาหารเสียสักส่วนหนึ่ง แล้วไล่ฆ่าฟันทหารล้มตายเปนอันมาก เตียวคับกับแฮหัวซงเห็นจะต้านทานไม่ได้ ก็พากันหนีไปหาแฮหัวเอี๋ยน ฮองตงกับเงียมหงันก็ให้ทหารเข้าดับเพลิงซึ่งไหม้สเบียงไว้ได้บ้าง ก็ให้ทหารตั้งค่ายรักษาสเบียงไว้ แล้วแต่งหนังสือบอกเนื้อความทั้งปวงให้ม้าใช้ถือไปให้เล่าปี่ ณ เมืองเสฉวน

เล่าปี่แจ้งในหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี หวดเจ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ครั้งโจโฉยกมาตีเมืองฮันต๋งนั้น ก็คิดจะมาตีเอาเมืองเสฉวน บัดนี้โจโฉให้แฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับอยู่รักษาเมืองฮันต๋ง ตัวโจโฉยกกองทัพกลับไปนั้น เหมือนหนึ่งมิใช่ความคิดโจโฉ แล้วเตียวคับก็แตกยับเยิน ทั้งเสียสเบียง ณ เขาเทียนตองสัน ครั้งนี้เห็นได้ทีอยู่แล้ว ขอให้ยกกองทัพหลวงไปตีเอาเมืองฮันต๋งไว้ให้ได้แล้ว แม้จะยกล่วงไปกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียก็เห็นจะได้โดยง่าย ถ้ามิดังนั้นก็ให้แต่งผู้รักษาเมืองฮันต๋งไว้เปนเมืองหน้าด่าน ท่านจงยกกลับมารักษาเมืองเสฉวนไว้ให้เปนที่มั่นคงก็จะมีความสุขสืบไป

เล่าปี่กับขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีหนังสือออกไปกำชับนายด่านเมืองเสฉวนแลหัวเมืองขึ้นทั้งปวง ให้รักษาด่านไว้ให้มั่นคง แล้วให้จูล่งคุมทหารเปนกองหน้า เล่าปี่กับขงเบ้งนั้นคุมทหารสิบหมื่นเปนกองหลวง


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 56

https://drive.google.com/file/d/1_V17D8G0wco5sdK-sbVlYEPV42mYFWn3/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #6 on: 23 December 2021, 15:39:18 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 57


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-57.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 57

เนื้อหา
• ฮองตงอาสาตีกองเสบียงที่เขาเตงกุนสัน
• ฮองตงรบกับแฮหัวเอี๋ยน
• ฮองตงฆ่าแฮหัวเอี๋ยน
• โจโฉไปรบกับเล่าปี่
• โจโฉเสียทีจูล่ง

ขณะ นั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่ในเมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบสามปี (พ.ศ. ๗๖๑) เปนเทศกาลเดือนเก้า เล่าปี่ยกกองทัพออกจากเมืองเสฉวน ครั้นมาถึงด่านแฮเบ้งก๋วน ให้ตั้งค่ายอยู่นอกด่าน จึงให้ม้าใช้รีบไปหาตัวฮองตงกับเงียมหงันมาปูนบำเหน็จเปนอันมากแล้วว่า ทหารทั้งปวงดูหมิ่นว่าท่านเปนคนชราจะทำการศึกไม่ได้ แต่เรากับขงเบ้งรู้อยู่ว่าท่านจะทำการสงครามได้ จึงให้อาสามาทำการได้ชัยชนะแก่เตียวคับ บัดนี้ท่านก็ได้สเบียงข้างเขาเทียนตองสันแล้ว ยังแต่สเบียงข้างเขาเตงกุนสันซึ่งแฮหัวเอี๋ยนรักษาอยู่นั้น แม้เราได้สเบียงตำบลนี้อีก เมืองฮันต๋งก็จะอยู่ในเงื้อมมือเรา

ฮองตงจึงว่า ข้าพเจ้าขออาสาไปทำลายสเบียง ณ เขาเตงกุนสันให้ได้ ขงเบ้งจึงว่า ท่านผู้เฒ่านี้มีแต่ฝีมือ กำลังนั้นน้อยอยู่แล้ว อันแฮหัวเอี๋ยนคนนี้มีฝีมือยิ่งกว่าเตียวคับ โจโฉนับถือไว้ใจจึงให้มารักษาเมืองฮันต๋ง ซึ่งท่านจะไปหักหาญเอานั้นเห็นจะไม่ได้ จำจะจัดทหารให้ไปรักษาเมืองเกงจิ๋วแทนกวนอู ให้กวนอูมาทำการกับแฮหัวเอี๋ยนจึงจะได้

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วว่า ครั้งนั้นเจ้าเมืองก๊กมีทหารคนหนึ่ง ชื่อเลียมเภา อายุแปดสิบเศษ(๑) มีกำลังเปนอันมาก กินอาหารเสมอวันละถัง สุกรหนักวันละสิบชั่ง หัวเมืองทั้งปวงยังเกรงเลียมเภาเปนอันมาก แลตัวข้าพเจ้านี้อายุแต่เจ็ดสิบปี จะขอแต่ทหารเลวไปด้วยสามพัน จะตัดเอาสีสะแฮหัวเอี๋ยนมาให้ได้ ขงเบ้งก็ว่ากล่าวห้ามปรามถึงสามครั้ง ฮองตงก็ไม่ฟัง อ้อนวอนจะขออาสาไปให้ได้ ขงเบ้งจึงว่าแก่ฮองตงว่า ท่านจะไปก็ตามเถิด เราจะให้หวดเจ้งไปด้วย ตัวเราอยู่ภายหลังจึงจะจัดแจงทหารยกหนุนไปช่วย ฮองตงก็จัดแจงทหารของตัวกับทหารหวดเจ้งบัญจบกันแล้ว ก็คำนับลาขงเบ้งรีบไป ณ เขาเตงกุนสัน

ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้ายุให้ฮองตงทหารเฒ่าไปทำการครั้งนี้จะไว้ใจมิได้ ด้วยฮองตงชราอยู่แล้ว จำเราจะให้ทหารยกหนุนไปอีก ขงเบ้งจึงสั่งจูล่งว่า ท่านจงยกทหารกองหนึ่งรีบไปตามทางน้อย ถ้าเห็นฮองตงเพลี่ยงพลํ้าก็ให้ยกออกช่วย ถ้าเห็นได้ท่วงทีแล้วก็ให้สงบอยู่ในป่า แล้วสั่งเล่าฮองกับเบ้งตัดว่า ให้ท่านคุมทหารสามพันยกไปทางหนึ่ง ถ้าถึงเขาเตงกุนสันเห็นที่ใดเปลี่ยวก็ให้หยุดกองทัพ ให้ทหารปักธงแลโห่ร้องจงหนัก

จูล่งเล่าฮองเบ้งตัดก็คำนับลาขงเบ้งไป ต่างคนก็ต่างยกไปทำตามขงเบ้งสั่ง แล้วขงเบ้งจึงให้เงียมหงันไปอยู่รักษาเมืองปาเส ให้หาเตียวหุยกับอุยเอี๋ยนมาณด่านแฮเบ้งก๋วน จะคิดอ่านยกไปตีเมืองฮันต๋ง

ขณะนั้นเตียวคับกับแฮหัวซงจึงไปบอกแฮหัวเอี๋ยนว่า เขาเทียนตองสันเสียแก่ฮองตงแล้ว แฮหัวเต๊กกับฮันโฮก็ตายในที่รบ บัดนี้ได้ข่าวว่าเล่าปี่จะยกทหารมาตีเมืองฮันต๋ง จำเราจะเอาเนื้อความนี้บอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าวุยอ๋องจึงจะควร จะได้คิดการสงครามป้องกันเล่าปี่ แฮหัวเอี๋ยนได้ฟังก็เห็นด้วย จึงให้ทหารรีบไปบอกโจหอง ณ เมืองลำเต๋ง โจหองก็ให้ถือหนังสือขึ้นไป ณ เมืองฮูโต๋ ทูลแจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่โจโฉ

โจโฉแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้เขาเทียนตองสันเสียแก่เล่าปี่แล้ว เล่าปี่คิดอ่านจะยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เล่าหัวจึงทูลว่า อันเมืองฮันต๋งนี้เปนเมืองหน้าด่านเราอยู่ แม้เล่าปี่ได้เมืองฮันต๋งแล้ว เห็นจะล่วงมาตีเอาเมืองเราเปนมั่นคง ขอพระองค์คิดอ่านยกไปป้องกันไว้จึงจะควร

พระเจ้าวุยอ๋องจึงว่า เราคิดน้อยใจด้วยเราไม่ฟังคำท่าน เล่าปี่จึงคิดทำการล่วงเข้ามาดูหมิ่นเราถึงเพียงนี้ แม้เราฆ่าเล่าปี่เสียตามคำท่านแล้ว ที่ไหนเราจะได้ความเดือดร้อน แล้วจึงให้เกณฑ์ทหารสี่สิบหมื่นแยกออกเปนสองกอง ให้แฮหัวตุ้นเปนกองหน้า ให้โจฮิวเปนทัพหลัง ครั้นได้ฤกษจึงให้แฮหัวตุ้นยกล่วงไปก่อน

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบสามปี ถึงเดือนสิบ พระเจ้าวุยอ๋องแต่งตัวอย่างกษัตริย์ ถือธงอาญาสิทธิ์ ขี่ม้าผูกเครื่องทองกั้นสัปทนทอง ทหารเดิรแห่หน้าม้า ถือธงเดือนธงตวันธงมังกรธงหงส์ตามธรรมเนียมกษัตริย์ แล้วจัดทหารที่มีฝีมือสำหรับรักษาพระองค์สองหมื่นห้าพันแยกเปนห้ากอง กองหน้าให้ถือธงแดงเปนสำคัญ กองขวาถือธงเขียว กองซ้ายให้ถือธงขาว กองหลังให้ถือธงดำ กองกลางซึ่งเดิรข้างม้านั้นถือธงเหลือง

ครั้นได้กำหนดเพลาก็ให้ทหารโห่ร้องตีฆ้องกลองแลม้าฬ่อ ตั้งขบวรแห่ออกไปจากเมือง โจฮิวก็ยกทหารกองหลังตามไปพ้นด่านตงก๋วน โจโฉอยู่บนหลังม้า แลไปเห็นพุ่มไม้ใหญ่เขียวชะอุ่มอยู่ในป่าข้างขวามือ จึงถามทหารว่าป่านี้เรียกชื่อตำบลใด ทหารจึงทูลว่าชื่อตำบลลำฉัน ถัดป่านั้นลงไปถึงริมนํ้า เรียกตำบลบ้านซัวแกจิ๋ง ซัวหยงซึ่งเปนนายบ้านนั้นมีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปร่างงามชื่อนางซัวเอี๋ยม โจเอียนอ้องจับเอาไป

โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซัวหยงนี้แต่ก่อนก็ชอบใจกันอยู่ เมื่อครั้งโจเอียนอ้องจับเอาบุตรไปนั้น เราให้ทหารเอาทองพันตำลึงไปถ่ายมา เราจึงตบแต่งยกให้เปนภรรยาตังกี๋ บัดนี้ซัวหยงก็ตายนานแล้ว เราจะแวะเข้าไปเยี่ยมนางซัวเอี๋ยมสักหน่อย ครั้นไปถึงหน้าบ้านโจโฉจึงให้ทหารยกล่วงไปก่อน โจโฉกับคนสนิธประมาณร้อยเศษก็พากันเข้าไปในบ้านซัวแกจิ๋ง ถึงประตูบ้านโจโฉก็ลงจากม้าเดิรเข้าไป

นางซัวเอี๋ยมเห็นก็มีความยินดี วิ่งออกมาคำนับเชิญโจโฉเข้าไปในตึก โจโฉเห็นศิลาปักอยู่ตรงประตูตึกแผ่นหนึ่ง จึงถามนางซัวเอี๋ยมว่านั่นศิลาอันใด นางซัวเอี๋ยมจึงบอกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าโฮ้เต้ได้ราชสมบัติในเมืองหลวง(๒) บิดานางโจหงอมาเล่นแข่งเรือตกน้ำตายศพหายไป นางโจหงอผู้บุตรอายุได้สิบสี่ปี เที่ยวร้องไห้หาศพบิดาถึงเจ็ดวันก็มิได้พบ นางโจหงอคิดแค้นใจก็โจนน้ำตายตามบิดา อยู่ห้าวันนางโจหงอก็กอดศพบิดาลอยขึ้นมา เจ้าเมืองโตเสียงจึงเอาเนื้อความขึ้นกราบทูลพระเจ้าโฮ้เต้ ๆ จึงให้เขียนชื่อนางโจหงอใส่ศิลา มาปักไว้ เปนอักษรว่าเฮาลี แปลภาษาไทยว่า นางรู้จักคุณบิดามารดา

โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งนางโจหงอมีกตัญญูต่อผู้มีคุณฉนี้ประเสริฐนัก ควรที่คนทั้งปวงจะดูเยี่ยงอย่างสืบไป แล้วโจโฉก็ลานางซัวเอี๋ยมออกจากบ้านรีบไป ทางกึ่งวันถึงเมืองลำเต๋งซึ่งโจหองอยู่รักษาพร้อมกันกับทหารที่ไปก่อน โจหองก็มีความยินดี ออกมาคำนับเชิญโจโฉเข้าไปในเมือง แล้วทูลเนื้อความตามซึ่งเตียวคับทำการเสียทีแก่ข้าศึกให้ฟังทุกประการ

โจโฉจึงว่า อันการสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ จำต้องแพ้บ้างชนะบ้าง ซึ่งเตียวคับเสียทีแก่ข้าศึกครั้งนี้ เราจะยกโทษไว้ให้ทำราชการแก้ตัวครั้งหนึ่งก่อน โจหองจึงทูลว่า บัดนี้เล่าปี่ให้ฮองตงยกมารบเขาเตงกุนสัน แฮหัวเอี๋ยนรู้ว่าพระองค์ยกกองทัพมา ก็รั้งรออยู่ยังหาออกสู้รบกับฮองตงไม่

โจโฉได้ฟังดังนั้น จึงแต่งหนังสือจะให้ทหารถือไปให้แฮหัวเอี๋ยนฉบับหนึ่งเปนใจความว่า ให้แฮหัวเอี๋ยนเร่งยกออกรบกับฮองตง เล่าหัวจึงทูลว่า แฮหัวเอี๋ยนเปนคนโมโหมาก จะทำการสิ่งใดก็ไม่พิเคราะห์ เกลือกเล่าปี่ขงเบ้งจะคิดอ่านทำกลล่อลวงมา แฮหัวเอี๋ยนรู้ไม่ถึงก็จะเสียทีเปล่า ซึ่งพระองค์จะให้แฮหัวเอี๋ยนออกรบกับฮองตงนั้น จงพิเคราะห์ดูให้จงควรก่อน

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงแต่งหนังสืออีกฉบับหนึ่งเปนใจความว่า ธรรมดาผู้เปนนายทัพนายกอง จะทำการสงครามก็ให้รู้จักทีเสียทีได้ อย่าให้เชื่อกำลังฝีมือของตัว อันกำลังฝีมือของตัวนั้นจะหักหาญเอาคนร้อยคนพันนั้นไม่ได้ จะสู้ได้ก็ตัวต่อตัว ถ้าเว้นไว้แต่ผู้มีความคิดรู้กลในการสงคราม จึงจะอาจสามารถเอาชัยชนะแก่ข้าศึกอันมากกว่าได้ ซึ่งแฮหัวเอี๋ยนจะทำการสงครามครั้งนี้ ให้ตรองตรึกจงหนัก อย่าให้เสียทีที่เราชุบเลี้ยงเปนทหาร บัดนี้เราก็ยกมาถึงเมืองลำเต๋งแล้ว จะรอดูความคิดเจ้าสักครั้งหนึ่งก่อน อนึ่งซึ่งเตียวคับทำการให้เสียทีแก่ข้าศึกนั้นเราก็ยกโทษเสียแล้ว ให้เร่งคิดอ่านทำการแก้ตัวเถิด แล้วโจโฉก็สั่งทหารให้ถือไปให้แฮหัวเอี๋ยนทั้งสองฉบับ

แฮหัวเอี๋ยนแจ้งในหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งทหารผู้ถือหนังสือนั้นว่า ให้ท่านกลับไปทูลพระเจ้าวุยอ๋องว่าอย่าวิตกเลย การแต่เพียงนี้เราจะอาสาให้สำเร็จจงได้ ผู้ถือหนังสือก็กลับมาทูลเนื้อความแก่โจโฉ แฮหัวเอี๋ยนจึงหาตัวเตียวคับมาเอาหนังสือให้ดู แล้วปรึกษาว่าบัดนี้พระเจ้าวุยอ๋องก็ยกทัพหลวงมาตั้งอยู่ ณ เมืองลำเต๋ง เราจะมานิ่งอยู่ฉนี้จะมีบำเหน็จความชอบประการใด เพลาพรุ่งนี้เราจะคิดอ่านยกออกรบกับฮองตง จะจับตัวฮองตงมาให้ได้

เตียวคับจึงว่า ฮองตงเปนคนมีฝีมือรบพุ่งสันทัด แล้วหวดเจ้งก็มีสติปัญญาหลักแหลมนัก ท่านอย่าเพ่อดูหมิ่นฮองตงก่อน อนึ่งเขาเตงกุนสันนี้ก็เปนที่สำคัญอยู่ หวดเจ้งจะคิดกลอุบายประการใดก็ยังหาแจ้งไม่ ขอให้ท่านยับยั้งตั้งมั่นไว้ ฟังกำลังศึกดูก่อน

แฮหัวเอี๋ยนจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ถ้ามีผู้มาอาสาชิงตีฮองตงแตกได้ก่อน เราจะมิได้ความอัปยศเสียหรือ จะเอาหน้าอันใดกลับไปเฝ้าพระเจ้าวุยอ๋อง ซึ่งท่านไม่ยอมก็อยู่รักษาค่ายเถิด แต่กำลังเราจะเอาชัยชนะให้ได้ แล้วแฮหัวเอี๋ยนจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาเปนกองหน้าได้บ้าง แฮหัวซงจึงรับว่า ข้าพเจ้าขออาสาเปนกองหน้าคุมทหารยกออกตีก่อน

แฮหัวเอี๋ยนได้ฟังก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารสามพันให้แฮหัวซงแล้วสั่งว่า ท่านจะออกไปตีฮองตงครั้งนี้อย่าเอาชัยชนะเลย จงทำเปนแตกหนีให้ฮองตงไล่เข้ามาทางนี้เถิด เราจึงจะคิดกลอุบายแก้ไขให้มีชัยชนะเมื่อภายหลัง แฮหัวซงก็รับคำแล้วคุมทหารสามพันยกออกจากค่าย แฮหัวเอี๋ยนก็ยกทหารออกตั้งอยู่ปากทาง แล้วให้ทหารขนก้อนศิลาตัดท่อนไม้ขึ้นเตรียมไว้บนเนินเขาสองข้างทางเปนอันมาก

ฝ่ายฮองตงกับหวดเจ้งยกกองทัพมาตั้งอยู่หน้าเขาก็ช้านาน ให้ทหารไปร้องท้าทายหลายครั้งแล้ว แฮหัวเอี๋ยนก็มิได้ยกออกสู้รบ ตั้งมั่นอยู่ในหุบเขา ฮองตงก็ตั้งมั่นอยู่ในค่าย พอทหารเข้ามาบอกว่า แฮหัวเอี๋ยนให้แฮหัวซงยกออกมา ฮองตงก็จัดแจงทหารยกออกจากค่าย ตันเซ็กนายทหารจึงว่า การแต่เพียงนี้ท่านอย่าวิตกเอาเปนธุระเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบกับแฮหัวซงจับเอาตัวมาให้ได้

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงเกณฑ์ทหารพันหนึ่งให้ตันเซ็กยกออกตั้งอยู่หน้าค่าย ครั้นแฮหัวซงยกมาถึง ตันเซ็กก็ขับม้าเข้ารบกับแฮหัวซงได้เจ็ดเพลง แฮหัวซงทำเปนแพ้ควบม้าหนี ตันเซ็กเห็นได้ทีก็ควบม้าไล่ตามไปประมาณยี่สิบเส้น ถึงข้างหุบเขาซึ่งแฮหัวเอี๋ยนเตรียมกองทัพซุ่มไว้นั้น ทหารซึ่งอยู่บนเนินเขาก็ทิ้งก้อนศิลาแลท่อนไม้ลงมาดังห่าฝน ตันเซ็กตกใจก็ควบม้ากลับออกมา พบแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารสกัดปากทางอยู่ แฮหัวเอี๋ยนเห็นตันเซ็กบอบช้ำด้วยก้อนศิลาแลท่อนไม้ ก็ควบม้าเข้าจับเอาตัวได้มัดเข้าไปในค่าย ทหารตันเซ็กก็แตกกระจัดกระจายล้มตายเปนอันมาก แฮหัวเอี๋ยนจับไว้ได้บ้าง ที่หนีได้ก็กลับมาค่ายแจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่ฮองตง

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาหวดเจ้งว่า บัดนี้ตันเซ็กยกไปก็เสียทีแก่แฮหัวเอี๋ยนแล้ว เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะแก้แค้นคืนเอาชัยชนะได้ หวดเจ้งจึงว่า แฮหัวเอี๋ยนคนนี้มีกำลังก็จริง แต่โมโหมากจะทำการสิ่งใดหาพินิจไม่ เราจะคิดกลศึกอันหนึ่ง ชื่อฮวนเคกอุยจู๋จีอวด แปลภาษาไทยว่า แขกกลับมาช่วยเจ้าเรือน เราจะตั้งค่ายเรียงออกไป ไว้ระยะห่างกันเส้นหนึ่งจงหลายค่าย เอาทรัพย์สิ่งของไว้ในค่ายให้ทหารรักษาแต่น้อย แฮหัวเอี๋ยนเห็นว่าเราตั้งค่ายประชิดเรียงใกล้เข้าไปก็จะยกออกมาตี เราจะให้ทหารซึ่งรักษาค่ายอยู่นั้นทำแตกหนีทิ้งค่ายเสีย แฮหัวเอี๋ยนได้ทรัพย์สิ่งของเปนอันมากก็จะตีล่วงลามเข้ามา เราจึงยกทหารออกตีล้อมวงสกัดไว้ เห็นจะจับตัวแฮหัวเอี๋ยนได้โดยง่าย

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารตั้งค่ายเรียงเข้าไปห่างกันเส้นหนึ่ง ไว้ทรัพย์สิ่งของตามคำหวดเจ้งว่า แฮหัวเอี๋ยนเห็นดังนั้นไม่แจ้งในกลหวดเจ้ง ก็คิดว่าฮองตงตั้งค่ายประชิดเข้ามาดังนี้ เห็นจะคิดอ่านเข้าตีเอาค่ายเราเปนมั่นคง จึงจัดแจงทหารจะยกออกตีค่ายฮองตง

เตียวคับจึงว่าแก่แฮหัวเอี๋ยนว่า ซึ่งฮองตงทำการทั้งนี้ ใช่จะยกเข้าตีหักหาญเอาค่ายเรานั้นหาไม่ ทำเปนกลอุบายเรียกชื่อว่า ฮวนเคกอุยจู๋จีอวด แม้ท่านจะยกออกไปรบบัดนี้ ก็เห็นจะเสียทีแก่ฮองตงเปนมั่นคง

แฮหัวเอี๋ยนก็ไม่ฟัง ให้แฮหัวซงคุมทหารพันหนึ่งยกออกตีค่ายฮองตง ค่ายทั้งนั้นก็ทำเปนแตกตามสัญญา ครั้นแฮหัวซงมีใจกำเริบรบถลำเข้าไปแล้ว ฮองตงก็ควบม้าถือดาบคุมทหารออกสกัดแฮหัวซง ๆ รบได้เพลงหนึ่ง ฮองตงก็จับแฮหัวซงได้มัดมาค่าย ทหารทั้งปวงแตกกระจัดกระจายกลับไปค่าย บอกเนื้อความแก่แฮหัวเอี๋ยน

แฮหัวเอี๋ยนแจ้งดังนั้น จึงให้ทหารออกไปร้องบอกฮองตงว่า เวลาวานนี้เราจับตัวตันเซ็กได้ มาบัดนี้ท่านจับตัวแฮหัวซงได้ สงครามก็เสมอกันอยู่ ทั้งสองฝ่ายหาเสียเปรียบกันไม่ ท่านจงส่งแฮหัวซงมาให้เรา ๆ จะส่งตันเซ็กให้ท่าน

ฮองตงได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว เพลาพรุ่งนี้ให้แฮหัวเอี๋ยนพาตันเซ็กออกมาเถิด เราจึงจะพาตัวแฮหัวซงออกไปหน้าค่าย อย่าให้ใส่เกราะถืออาวุธด้วยกันทั้งสองข้าง ทหารก็ลาฮองตงกลับมาบอกแก่แฮหัวเอี๋ยน

แฮหัวเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าก็พาตัวตันเซ็กออกมาริมเชิงเขา ตรงหน้าค่ายฮองตง ๆ ก็พาแฮหัวซงออกมาหน้าค่าย ให้ขึ้นม้าเตรียมไว้ทั้งสองข้าง แล้วตีกลองสัญญา ตันเซ็กก็ควบม้ามาค่าย แฮหัวซงก็ควบม้าไปค่ายแฮหัวเอี๋ยน ขณะเมื่อแฮหัวซงควบม้าไปนั้น ฮองตงขึ้นเกาทัณฑ์พาดลูกเตรียมอยู่ ครั้นแฮหัวซงไปถึงประตูค่าย ฮองตงก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกแฮหัวซงตกม้าตาย

แฮหัวเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็โกรธ ควบม้าเข้ารบกับฮองตงได้ยี่สิบเพลง ทหารที่อยู่ในค่ายก็ตีม้าฬ่อเรียกแฮหัวเอี๋ยนตามสัญญา แฮหัวเอี๋ยนก็กลับเข้าค่าย ฮองตงก็ไล่ฆ่าฟันทหารแฮหัวเอี๋ยนล้มตายเปนอันมาก แฮหัวเอี๋ยนจึงถามทหารในค่ายว่า ท่านตีม้าฬ่อเรียกเราด้วยเหตุใด ทหารจึงบอกว่า เมื่อท่านกับฮองตงรบกันนั้น ข้าพเจ้าเห็นทหารมาตั้งอยู่ในหุบเขาเปนอันมาก แล้วเห็นปักธงเปนขบวรทัพใหญ่ ข้าพเจ้าแคลงว่าข้าศึกจะทำกลอุบายเอาทหารมาซุ่มไว้ จึงตีม้าฬ่อร้องเรียกท่าน

แฮหัวเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ให้ทหารรักษาค่ายมั่นไว้ มิได้ยกออกสู้รบกับฮองตง ๆ จึงปรึกษากับหวดเจ้งว่า เราทำการศึกครั้งนี้เสียเปรียบแฮหัวเอี๋ยนนัก เพราะแฮหัวเอี๋ยนตั้งอยู่ในหุบเขา ต่อเห็นได้ทีจึงยกออกมารบกับเรา ถ้าเห็นเสียทีแล้วก็หนีเข้าค่าย เราจะคิดอ่านทำประการใดจึงจะจับตัวแฮหัวเอี๋ยนได้

หวดเจ้งจึงว่า แม้เราได้เขาไทสันข้างทิศตวันตกแล้ว เขาเตงกุนสันก็ไม่พ้นเงื้อมมือเรา เพราะเขานั้นสูงเปนที่สำคัญชอบกล แม้เราขึ้นตั้งบนนั้นได้แล้ว แฮหัวเอี๋ยนจะตั้งขบวรศึกประการใดเราก็เห็นสิ้น เราจะคิดทำการเมื่อใดก็จะได้โดยสดวก

ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ครั้นเวลาสองยามจึงกะเกณฑ์พร้อมกันแล้ว ก็ยกขึ้นไปถึงเนินกลางเขาไทสัน โตสิบซึ่งแฮหัวเอี๋ยนให้คุมทหารร้อยหนึ่งอยู่รักษาเขานั้น ครั้นเห็นฮองตงยกทหารมาเปนอันมาก ก็พาทหารลงทางหลังเขาหนีมาหาแฮหัวเอี๋ยน

หวดเจ้งจึงว่าแก่ฮองตงว่า ครั้งนี้เราได้ทีอยู่แล้ว ให้ท่านตั้งมั่นอยู่ที่เนินเขานี้เถิด ข้าพเจ้าจะคุมทหารขึ้นอยู่บนยอดเขา แม้แฮหัวเอี๋ยนจะยกมาว่ากล่าวท้าทายประการใดก็ดี ให้ดูสำคัญข้าพเจ้าก่อน ถ้าเห็นข้าพเจ้าถือธงขาวอยู่ก็อย่าเพ่อยกออกรบกับแฮหัวเอี๋ยน ถ้าเห็นข้าพเจ้ายกธงแดงขึ้นแล้ว ก็ให้ยกทหารออกรบเถิด แฮหัวเอี๋ยนจะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง ฮองตงเห็นชอบด้วยยอมทำตามคำหวดเจ้งทุกประการ

ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนครั้นรู้เนื้อความว่า ฮองตงยกไปชิงเขาไทสันได้ก็โกรธ จึงว่าเราจะนิ่งอยู่ฉนี้ไม่ชอบ จำจะยกไปรบคืนเอาเขาไทสันไว้จึงจะควร เตียวคับจึงว่า ฮองตงทำการทั้งนี้เปนกลอุบายของหวดเจ้ง ขอท่านจงตั้งมั่นไว้ฟังกำลังข้าศึกดูก่อน แฮหัวเอี๋ยนไม่ฟังยกทหารออกจากค่ายล้อมเขาไทสันไว้เปนสี่ด้าน แล้วให้ทหารร้องว่ากล่าวหยาบช้าท้าทายฮองตงเปนอันมาก ฮองตงโกรธจะยกทหารออกรบกับแฮหัวเอี๋ยน ก็เห็นหวดเจ้งถือธงขาวอยู่

ครั้นเวลาบ่ายหวดเจ้งเห็นทหารแฮหัวเอี๋ยนอิดโรยลงแล้ว จึงยกธงแดงโบกขึ้นให้สำคัญ ฮองตงก็ให้ทหารโห่ร้องตีม้าฬ่อฆ้องกลองยกลงมาจากเนินเขา เห็นแฮหัวเอี๋ยนลงนั่งหยุดพักอยู่ หามีเครื่องศัสตราวุธถือไม่ ฮองตงก็ควบม้าเข้าไปใกล้ แล้วร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง แฮหัวเอี๋ยนตกใจไม่ทันจับอาวุธ ฮองตงเอาดาบฟันถูกแฮหัวเอี๋ยนสีสะขาดตาย ทหารทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจายไป ฮองตงก็รีบยกทหารไปตีเขาเตงกุนสัน

ฝ่ายเตียวคับเห็นฮองตงตีทัพแฮหัวเอี๋ยนแตกแล้วยกทหารมา ก็ยกทหารออกจากค่าย ฮองตงกับตันเซ็กก็ขับทหารเข้ารบพุ่งเปนสามารถ ฆ่าฟันทหารเตียวคับล้มตายเปนอันมาก เตียวคับเห็นจะสู้ฮองตงมิได้ ก็ทิ้งค่ายเขาเตงกุนสันเสีย ก็ควบม้าพาทหารพ่ายหนีไปเมืองลำเต๋ง พอจูล่งซึ่งขงเบ้งให้มาตั้งซุ่มอยู่นั้นยกทหารสกัดทางออกมาจากซอกเขา แล้วร้องว่าเราชื่อจูล่ง เตียวคับเห็นดังนั้นก็ตกใจ ควบม้าพาทหารหนีลัดทางมาในป่า จูล่งก็ยกทหารกลับมาเมืองเสฉวน

ขณะเมื่อเตียวคับฮองตงออกรบกันอยู่นอกค่ายนั้น เล่าฮองกับเบ้งตัดซึ่งตั้งอยู่ในซอกเขา ก็ยกทหารเข้าโจมตีค่ายเตงกุนสัน โตสิบซึ่งอยู่รักษาค่ายต้านทานไม่ได้ ก็พาทหารหนีลัดไปในป่า พอเตียวคับหนีมาพบกันเข้า ก็เล่าเนื้อความซึ่งเสียค่ายเตงกุนสันแก่เล่าฮองเบ้งตัดให้เตียวคับฟัง เตียวคับก็พาโตสิบรีบหนีไปถึงทุ่งฮันซุยจึงให้ตั้งค่ายพักทหารอยู่ แล้วให้ทหารเอาเนื้อความทั้งปวงไปกราบทูลแก่โจโฉ ณ เมืองลำเต๋ง

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้รักแฮหัวเอี๋ยนเปนอันมาก แล้วคิดแค้นฮองตงนัก จึงจัดแจงทหารให้ซิหลงเปนทัพหน้า ตัวโจโฉเปนทัพหลวง คุมทหารสี่สิบหมื่นยกไปถึงทุ่งฮันซุย เตียวคับกับโตสิบรู้ก็ออกมาหาโจโฉแล้วทูลว่าฮองตงยกมานั้นหวดเจ้งคิดกลอุบาย ล่อลวงต่าง ๆ ข้าพเจ้าก็ได้ห้ามแฮหัวเอี๋ยนแล้วเปนหลายครั้ง ว่าให้ยับยั้งฟังท่วงทีดูก่อน แฮหัวเอี๋ยนไม่ฟัง ขืนยกออกรบพุ่งด้วยกำลังโวหารจึงเสียการทั้งนี้ บัดนี้เขาบิซองสันยังมีสเบียงอาหารอยู่เปนอันมาก ขอให้ท่านไปย้ายสเบียงมาไว้ก่อน จึงยกทหารไปรบกับฮองตง โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้เตียวคับคุมทหารไปขนเสบียงมาไว้ในค่ายเขาปักสัน

ฝ่ายฮองตงครั้นได้ชัยชนะ เห็นว่าเล่าฮองกับเบ้งตัดเข้าตั้งอยู่ในค่ายเขาเตงกุนสันแล้ว ก็ตัดเอาสีสะแฮหัวเอี๋ยนพาหวดเจ้งยกทหารกลับมาหาเล่าปี่ณด่านแฮเบ้งก๋วน เล่าปี่เห็นฮองตงได้ชัยชนะมาก็มีความยินดี จึงตั้งให้ฮองตงเปนเจงไล้ไตจงกุ๋น แปลว่านายทหารปราบศัตรูฝ่ายตวันตก แล้วให้บำเหน็จรางวัลตามสมควร พอเตียวคีเข้ามาบอกเนื้อความแก่เล่าปี่ว่า โจโฉให้เตียวคับขนสเบียง ณ เขาบิซองสันไปไว้ในค่ายฮันซุยเปนอันมาก บัดนี้ยกทหารประมาณสี่สิบหมื่นเศษมาเขาเตงกุนสันจะแก้แค้นฮองตง

ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า อันโจโฉยกทัพมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แม้ทหารผู้ใดเข้มแขงลอบยกทหารไปเผาสเบียงอาหารโจโฉ ณ ค่ายฮันซุยเสียได้ โจโฉก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง ฮองตงได้ฟังดังนั้นจึงรับว่า การแต่เพียงนี้ อย่าให้ถึงท่านผู้อื่นเลย ข้าพเจ้าทหารแก่จะขออาสาไปเอง ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าเพ่อดูหมิ่นก่อน อันโจโฉนั้นมีสติปัญญาลึกซึ้งอยู่หาเหมือนแฮหัวเอี๋ยนไม่ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า แฮหัวเอี๋ยนมีกำลังกล้าหาญก็จริง แต่ความคิดน้อยกว่าเตียวคับนัก ถึงจะฆ่าคนอย่างแฮหัวเอี๋ยนได้สักสิบคน ก็ยังหาเท่าเตียวคับคนหนึ่งไม่ ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็คิดมานะ จึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้จะตัดสีสะเตียวคับมาให้ท่านจงได้ ขงเบ้งจึงว่าแก่ฮองตงว่า ท่านจะไปก็ตามเถิดเราจะให้จูล่งไปด้วย แม้ทำการขัดสนสิ่งใดก็ให้ปรึกษาหารือกัน เราจะดูความคิดแลฝีมือด้วย ว่าเมื่อกลับมาผู้ใดจะมีความชอบ ฮองตงกับจูล่งก็จัดแจงทหารยกไป ขงเบ้งจึงให้เตียวคีคุมทหารเปนกองหนุนยกตามไปด้วย ครั้นไปจะใกล้ถึงทุ่งฮันซุย ฮองตงกับจูล่งต่างคนต่างก็คุมทหารตั้งค่ายอยู่ จูล่งคิดจะใคร่เอาความชอบแต่ผู้เดียวจึงว่าแก่ฮองตงว่า โจโฉยกกองทัพมาตั้งอยู่ครั้งนี้คับขันนัก แลมีทหารถึงสามสิบหมื่นเศษ แล้วตั้งรายกันไปถึงสิบกอง การนี้มิใช่น้อย เหตุใดท่านจึงบังอาจรับอาสาต่อนายเราว่า จะปล้นเอาสเบียงอาหารโจโฉให้ได้

ฮองตงแจ้งในความคิดจูล่งจึงว่า ท่านอย่าวิตกเอาเปนธุระเลย เราได้รับอาสามาแล้ว แต่กำลังเราจะรับทำการให้สำเร็จจงได้ จูล่งจึงว่า ข้าพเจ้าคนหนุ่มมาด้วยจะให้ท่านคนแก่เข้าทำการก่อนนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจะขออาสาเข้าทำการก่อน ฮองตงจึงว่า การทั้งนี้เราเปนตัวการรับอาสามา ซึ่งจะให้ท่านผู้มาช่วยเข้าทำการก่อนนั้นไม่ชอบ เกลือกเพลี่ยงพลํ้าเสียแก่ข้าศึก ความผิดนั้นก็จะไม่พ้นตัวเรา จูล่งจึงว่า ตัวท่านกับข้าพเจ้าขงเบ้งบังคับมาว่า จะทำการสิ่งใดก็ให้ปรึกษากัน แม้มีความผิดแล้วถึงตัวข้าพเจ้าก็ไม่พ้นโทษ ซึ่งจะมาเกี่ยงกันอยู่ฉนี้หาต้องการไม่ ข้าพเจ้าจะทำฉลากเสี่ยงทายด้วยกัน แม้ผู้ใดได้ฉลากสำคัญก็ให้ยกเข้าตีก่อน

ฮองตงเห็นด้วยจึงจับฉลากกัน ฮองตงได้ฉลากสำคัญมีความยินดี จูล่งจึงว่าแก่ฮองตงว่า ท่านได้ฉลากสำคัญแล้วจงยกเข้าตีก่อน พรุ่งนี้เวลาตวันเที่ยงแม้ไม่เห็นท่านกลับมา ข้าพเจ้าจึงจะยกทหารหนุนตามเข้าไป ฮองตงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จูล่งก็กลับมาค่ายจึงสั่งเตียวเอ๊กว่า ฮองตงจะเข้าปล้นสเบียงในค่ายโจโฉ แม้พรุ่งนี้เวลาตวันเที่ยงไม่กลับมาเราจะยกทหารไปช่วย ท่านอยู่ภายหลังจงระวังอย่าประมาทรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง

ฝ่ายฮองตงจึงเรียกเตียวคีเข้ามาสั่งว่า เวลาวันนี้เราจะยกทหารเข้าปล้นค่ายสเบียงโจโฉ ท่านจงจัดแจงทหารอยู่รักษาค่ายแต่ห้าร้อย เหลือนั้นจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อม อันการครั้งนี้เห็นจะไม่เปนไรนัก เพราะเตียวคับเกรงฝีมือเราเมื่อครั้งยกมารบเขาเตงกุนสันฆ่าแฮหัวเอี๋ยนก็ ขยาดอยู่แล้ว เห็นหาอาจจะต่อเราไม่ เราจะยกทหารไปทางเชิงเขาปักสัน เข้าตีค่ายเตียวคับจับตัวให้ได้ก่อน ท่านจึงยกปล้นค่ายสเบียงโจโฉ เตียวคีก็รับคำแล้วจัดแจงไว้ตามฮองตงสั่ง ครั้นเวลาสามยามทหารทั้งปวงกินอาหารตระเตรียมตัวแล้ว ฮองตงก็ยกทหารตรงไปค่ายเตียวคับ เตียวคีก็คุมทหารสามร้อยขึ้นไปบนเขาปักสัน ทหารซึ่งโจโฉให้อยู่รักษาสเบียงนั้นน้อย ครั้นเห็นเตียวคียกขึ้นมา ก็ทิ้งสเบียงเสียหนีไปหาเตียวคับ ณ ค่ายฮันซุย เตียวคับรู้ดังนั้นก็คุมทหารยกออกจากค่าย พอพบฮองตงก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ

โจโฉครั้นรู้ดังนั้นแล้ว จึงให้ซิหลงกับบุนเพ่งคุมทหารยกออกไปช่วยเตียวคับ ฝ่ายเตียวคีขึ้นไปถึงยอดเขาเห็นสเบียงอาหารเปนอันมาก ยังให้ทหารเที่ยวหาฟืนแลเชื้อเพลิงอยู่ พอเวลาสว่างแลลงมาเห็นฮองตงรบพุ่งติดพันกันเปนสามารถ แล้วเห็นทหารยกออกจากค่ายโจโฉเปนอันมากก็ตกใจ รีบยกทหารลงจากเขาจะหนีมาค่าย ลงมาถึงเชิงเขาพบซิหลงบุนเพ่งยกทหารมาถึง ซิหลงบุนเพ่งก็ขับทหารให้ล้อมเตียวคีกับฮองตงไว้ในที่อันเดียวกัน

ฝ่ายจูล่งคอยฮองตงแต่เช้าจนเที่ยง ก็มิได้เห็นฮองตงกลับมา จึงสั่งเตียวเอ๊กว่า บัดนี้ฮองตงไปก็พ้นกำหนดแล้ว เราจะยกทหารหนุนไปตามสัญญา ท่านอยู่รักษาค่ายภายหลัง แม้โจโฉจะให้ทหารยกมาตีก็อย่าให้ออกสู้รบ ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ป้องกันค่ายไว้อย่าให้เปนอันตราย แล้วจูล่งก็ขึ้นม้าถือทวนพาทหารสามพันยกตามฮองตงไปถึงตำบลฮันซุย เห็นบัวเหลียดคุมทหารออกสกัดทางอยู่ บัวเหลียดก็ควบม้ารำดาบเข้ารบกับจูล่ง ๆ เอาทวนแทงถูกบัวเหลียดตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกถอยหนีไป จูล่งก็ยกไปถึงที่ล้อม มีทหารคนหนึ่งชื่อเจาเปงยกมาสกัดหน้าม้าจูล่งไว้ จูล่งเห็นก็สำคัญว่าทหารของตัว จึงร้องถามว่าทหารเราอยู่ไหนเล่า เจาเปงจึงบอกว่า ทหารท่านนั้นเราฆ่าเสียสิ้นแล้ว จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าร้าทวนเข้าไปแทงเจาเปงตกม้าตาย แล้วไล่ทหารเจาเปงแตกหนีกระจัดกระจายไป จูล่งก็ควบม้าไปทางทิศเหนือ พอเตียวคับกับซิหลงสองนายคุมทหารเข้าล้อมฮองตงไว้ พวกทหารซึ่งอยู่ในค่ายล้อมนั้นก็ได้รบพุ่งป้องกันไว้เปนช้านาน จูล่งจึงเคียงม้าเข้ามาใกล้ตวาดด้วยเสียงอันดัง แล้วขับม้ารำทวนไล่ทหารทั้งปวง ไปแต่ซ้ายตลบมาขวาดังหนึ่งว่าหามีคนไม่ เตียวคับเห็นจูล่งมีกำลังนักไม่อาจที่จะออกสู้รบ จูล่งก็แก้เอาฮองตงออกมาได้ก็ค่อยพากันมา โจโฉตั้งกองทัพอยู่ที่สูงแลไปเห็นก็ตกใจ จึงถามทหารทั้งปวงว่า คนนี้คือผู้ใด ทหารทั้งปวงจึงบอกว่า เปนชาวบ้านเสียงสันชื่อจูล่ง โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่า แต่ก่อนเรายกทหารแปดสิบหมื่นไปที่เมืองลกเอี๋ยงสะพานเตียงปันโป๋ มีทหารฝีมือกล้าแขงคือผู้นี้ จึงสั่งแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งจะรบกับจูล่งอย่าได้ประมาทเปนอันขาดทีเดียว

ฝ่ายจูล่งฮองตงพากันมาตามทาง ทหารทั้งปวงซึ่งมาด้วยกัน จึงชี้บอกว่า ข้างทิศใต้ทหารโจโฉล้อมเตียวคีพวกเราไว้ จูล่งได้ฟังก็ไม่กลับไปค่าย จึงให้เอาธงซึ่งเขียนเปนอักษรสี่ตัวว่า เสียงสันจูล่งให้ทหารถือนำหน้ามา ทหารโจโฉซึ่งล้อมอยู่นั้นแลเห็นธงเปนอักษรสี่ตัวก็รู้แจ้ง จึงบอกกันว่า ทัพซึ่งยกมานี้คือจูล่งมีฝีมือกล้าแขงนักเห็นจะสู้มิได้ ต่างคนต่างก็ถอยหนีไป

โจโฉเห็นจูล่งหักหาญชิงเอาฮองตงเตียวคีไปได้ ก็มีใจโกรธนัก จึงขับทหารซ้ายขวาไล่ตามจูล่งมา จูล่งก็พาฮองตงเตียวคีกลับมาค่าย เตียวเอ๊กซึ่งอยู่รักษาค่ายก็ออกมารับจูล่ง พอแลไปข้างหลังเห็นผงคลีตลบอยู่ ก็รู้ว่าทหารตามมา จึงบอกแก่จูล่งว่า บัดนี้ทหารโจโฉติดตามมาใกล้อยู่แล้ว จงเร่งปิดประตูค่ายขึ้นหอรบตระเตรียมไว้ให้มั่นคง จูล่งจึงว่า อย่าให้ปิดประตูค่ายเลย เจ้าไม่รู้หรือเมื่อครั้งเรารบที่เมืองลกเอี๋ยง เราขี่ม้าถือทวนอยู่แต่ผู้เดียว ทหารโจโฉถึงแปดสิบหมื่นดูเหมือนหญ้าแพรก บัดนี้มีทั้งนายแลพลทหารเหตุใดจะกลัวข้าศึกอิกเล่า ว่าเท่านั้นแล้วก็ให้ลดธงหน้าค่ายเสีย ม้าฬ่อแลกลองก็มิให้ตี ให้ทหารถือเกาทัณฑ์ไปซุ่มอยู่ที่ในคูนอกค่าย ส่วนตัวจูล่งนั้นขี่ม้าถือทวนออกยืนอยู่หน้าค่าย

เตียวคับซิหลงยกทหารติดตามมา ครั้นจวนจะถึงค่ายจูล่งพอเวลาจะใกล้คํ่า แลไปดูในค่ายไม่เห็นธง แลเสียงกลองม้าฬ่อก็สงัด ทั้งประตูค่ายก็เปิดอยู่ เห็นจูล่งขี่ม้าถือทวนยืนอยู่หน้าค่ายแต่ผู้เดียว เตียวคับกับซิหลงเห็นประหลาทใจจึงรออยู่มิอาจที่จะรุกเข้าไป พอทัพโจโฉยกมาทันจึงให้ทหารทั้งปวงโห่ร้องรุกเข้าไป เห็นจูล่งขี่ม้าอยู่มิได้สดุ้งสเทือน ทหารทั้งปวงประหลาทใจกลับตัวจะถอยออกมา จูล่งได้ทีจึงแกว่งทวนเปนสำคัญ ทหารซึ่งถือเกาทัณฑ์ซุ่มอยู่ ครั้นเห็นดังนั้นก็ดากันยิงเกาทัณฑ์กระหนํ่าไป พอเวลาพลบคํ่าลง โจโฉไม่รู้ว่าทหารจูล่งมากน้อยเท่าใดก็กลับม้าถอยมา ครั้นได้ยินเสียงคนโห่ร้องติดตามมา ก็ชวนกันตกใจวิ่งเหยียบกันมาด้วยความกลัว ลงในแม่นํ้าฮันซุยล้มตายเปนอันมาก จูล่งฮองตงเตียวคีก็พาพวกทหารติดตามมา

ขณะเมื่อโจโฉแตกหนีจูล่ง หมายใจจะไปทุ่งฮันซุยซึ่งให้ตั้งทัพรักษาสเบียงอยู่นั้น พอได้ยินข่าวลือมาว่า เล่าฮองเบ้งตัดคุมทหารสองหมวด ยกมาทางเขาบิซองสันเผาสเบียงเสียแล้ว โจโฉก็เสียใจจึงทิ้งเขาปักสันอยู่ทิศเหนือซึ่งไว้สเบียงเสียด้วย แล้วก็หนีกลับไปเมืองลำเต๋ง เตียวคับกับซิหลงซึ่งตั้งค่ายอยู่ทุ่งฮันซุยเห็นจะอยู่มิได้ก็พลอยยกหนีตาม โจโฉมาด้วย จูล่งฮองตงซึ่งได้ติดตามมา ก็มีชัยชนะได้เครื่องศัสตราวุธแลสเบียงเปนอันมาก แล้วเอาข่าวราชการไปแจ้งแก่เล่าปี่ทุกประการ

[๑] มีในเรื่องเลียดก๊ก
[๒] มีในเรื่องตั้งฮั่น


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 57

https://drive.google.com/file/d/1U9BStqt9oRNmSC1eRB8LW77GA0Ydhgpn/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #7 on: 23 December 2021, 15:50:46 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 58


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-58.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 58

เนื้อหา
• โจโฉเสียทีขงเบ้งที่ทุ่งฮันซุย
• โจโฉเสียด่านเองเปงก๋วน
• โจเจียงมาช่วยโจโฉ
• โจโฉล่าทัพ
• เล่าปี่ได้เมืองฮันต๋ง
• ชาวเมืองเสฉวนยกเล่าปี่เป็นเจ้าฮันต๋ง
• โจโฉกับซุนกวนคิดจะรวมกันรบกับเล่าปี่

เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ตระเตรียมกองทัพกับขงเบ้งยกมาโดยด่วน ถึงทุ่งฮันซุยจึงให้หาทหารของจูล่งมาถามว่า ซึ่งจูล่งทำการสงครามด้วยโจโฉครั้งนี้ได้ชัยชนะประการใด ทหารจึงแจ้งแก่เล่าปี่ตามได้ทำการมาแต่ต้นทุกประการ เล่าปี่ได้แจ้งดังนั้นมีความยินดีนัก พิจารณาดูไปหน้าเขาหลังเขาเห็นท่าทางล้วนทางเปลี่ยว จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ความคิดของจูล่งทำสงครามครั้งนี้ ล้วนเปนโวหารทั้งนั้น แล้วจึงให้หาจูล่งแลทหารทั้งปวงมาพร้อมกัน จึงว่าแก่จูล่งว่า ท่านมีความชอบในสงคราม เราจะตั้งให้เรียกท่านว่าทหารเสือ จึงเลี้ยงโต๊ะแลเหล้าเข้าตามความยินดี ครั้นเวลาเย็นลงมีทหารคนหนึ่งมาแจ้งข่าวราชการแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้โจโฉจะยกทัพใหญ่มาตามทางเขาสกัดทางน้อย จะรบคืนเอาทุ่งฮันซุยให้ได้ เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็หัวเราะจึงว่า ซึ่งโจโฉจะยกมาเห็นไม่ชนะเปนแทั ด้วยเราตั้งมั่นอยู่แล้ว บัดนี้จะให้ทหารไปตั้งค่ายรับอยู่ทิศตวันตกชายทุ่งฮันซุยให้จงมั่นคง

ฝ่ายโจโฉก็ตระเตรียมทหาร ตั้งให้ซิหลงเปนทัพหน้าจะยกมา อองเป๋งพนักงานรักษาประตูเข้ามาคำนับโจโฉแล้วว่า ข้าพเจ้าได้เรียนดูที่ตั้งค่าย รู้ว่าจะมีชัยชนะแลแพ้ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาไปช่วยทำราชการกับซิหลงตามสติปัญญาเอาชัยชนะให้จง ได้ โจโฉมีความยินดีตั้งอองเป๋งให้เปนทัพหน้าทหารซ้ายช่วยราชการซิหลง ครั้นจัดแจงการเสร็จแล้ว ก็ยกมาเขาเตงกุนสันทิศเหนือ ซิหลงอองเป๋งนายทัพทั้งซ้ายขวาก็คุมทหารยกล่วงมาถึงทุ่งฮันซุย ซิหลงจึงปรึกษาว่า เราจะข้ามน้ำไปตั้งค่ายอยู่ข้างโน้นจะเห็นประการใด

อองเป๋งจึงว่า ถ้าจะข้ามไปเกลือกมิทันจะถึงที่ ขุกมีข้าศึกยกมาในขณะนั้นเราจะผ่อนปรนประการใด ซิหลงจึงตอบว่า เมื่อครั้งฮั่นสินทำศึกด้วยพระเจ้าฌ้อปาอ๋องนั้น (๑) ก็ได้ยกพลทหารไปตั้งอยู่ริมน้ำเสียทีแก่ข้าศึกอีกยังเอาชัยชนะได้ แลครั้งนี้เราจะยกไปตั้งค่ายรับริมน้ำนั้นกลัวจะแพ้ด้วยเหตุอันใด อองเป๋งจึงว่า ครั้งฮั่นสินนั้นฮั่นสินเห็นพลทหารของพระเจ้าฌ้อปาอ๋องอิดโรยกำลังอยู่แล้ว จึงอาจสามารถไปตั้งค่ายรับริมน้ำได้ แลครั้งนี้ท่านยังรู้ว่ากำลังจูล่งกับฮองตงนั้นเปนประการใด จึงจะอาจสามารถไปตั้งค่ายดุจฮั่นสินนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ซิหลงจึงว่า ซึ่งไม่เห็นด้วยนั้นก็ตามใจเถิด เจ้าจงคุมทหารตามไปตั้งอยู่ริมน้ำฝ่ายตวันออกให้มั่นคงอย่าให้มีอันตรายได้ ซิหลงก็ให้ทหารทั้งปวงทำสะพานเรือกข้ามแม่น้ำฮันซุย ไปตั้งค่ายตามซึ่งว่ากันนั้น

ฝ่ายฮองตงกับจูล่งทั้งสองคนพากันเข้าไปหาเล่าปี่แล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งสองจะขออาสาคุมทหารออกไปรบกับทัพโจโฉเอาชัยชนะครั้งนี้จงได้ เล่าปี่ก็เห็นด้วย ฮองตงกับจูล่งสองนายก็ยกไป ครั้นถึงกลางทางฮองตงจึงว่าแก่จูล่งว่า ซิหลงยกมานี้มีกำลังกล้าหาญนัก เราอย่าเพ่อจู่โจมเข้า คอยดูกำลังฝ่ายทหารเขาก่อน ถ้าเห็นอิดโรยได้ท่วงทีแล้ว จึงยกทหารเข้าตีกระหนาบเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย จูล่งก็เห็นด้วยต่างคนต่างก็ไปตั้งค่ายตามคำปรึกษา

ครั้นเวลารุ่งเช้าซิหลงก็ยกทหารมาจะรบกับจูล่ง แต่ไปคอยอยู่จนเวลาเย็นแล้วก็ไม่เห็นทหารจูล่งยกมาต่อสู้ ซิหลงจึงให้ทหารกองหน้ายิงเกาทัณฑ์กระหน่ำไปตามหน้าค่าย ฮองตงเห็นดังนั้นจึงบอกแก่จูล่งว่า ข้าศึกยังเกาทัณฑ์มาบัดนี้ เห็นทหารเขาซึ่งมานั้นเรรวนจะถอยอยู่แล้ว ถ้าเราออกไปตีเห็นจะได้ สองนายพูดกันยังมิทันจะขาดคำ พอทหารไปสอดแนมกลับมาบอกว่า ทัพหน้าซิหลงถอยไปแล้ว ฮองตงก็มีความยินดี คุมทหารออกพร้อมกัน แล้วให้ตีม้าฬ่อฆ้องกลองโห่ร้อง ยกออกตีกระหนาบทัพซิหลง ๆ ก็แตกหนีไปถึงแม่น้ำริมทุ่งฮันซุย แต่ทหารเหยียบกันตายเปนอันมาก ส่วนตัวซิหลงนั้นมีกำลังมาก ก็หนีไปค่ายอองเป๋งได้ จึงว่าแก่อองเป๋งว่า เจ้าเห็นทหารเราเพลี่ยงพลํ้าแก่ข้าศึก เหดุใดเจ้าจึงไม่ยกมาช่วย

อองเป๋งจึงตอบว่า เราจะยกไปช่วยท่านนั้นหามีผู้จะรักษาค่ายไม่ แต่แรกจะไปนั้นเราก็ได้ทัดทาน ท่านมิฟังจึงเปนเหตุทั้งนี้ท่านจะว่าแก่ผู้ใด ซิหลงได้ยินดังนั้นก็โกรธจะใคร่ฆ่าอองเป๋งเสีย อองเป๋งครั้นเห็นซิหลงโกรธ เห็นว่าความร้ายจะถึงตัว ครั้นเวลาคํ่าก็ให้ทหารของตัวเอาเพลิงจุดค่ายขึ้น ซิหลงเห็นดังนั้นก็ตกใจทิ้งค่ายเสียหนีไป ส่วนอองเป๋งนั้นก็ข้ามแม่น้ำฮันซุยไปสมัคอยู่ด้วยจูล่ง ๆ ก็พาเอาตัวอองเป๋งเข้าไปคำนับเล่าปี่ อองเป๋งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ในตำบลฮันซุยนี้ข้าพเจ้ารู้ท่าทางอยู่

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงว่าท่านมาอยู่ด้วยเราแล้ว ซึ่งการเราจะคิดเอาเมืองฮันต๋งเห็นจะได้สมดังความปราถนา แล้วตั้งอองเป๋งให้เปนทหารสำหรับนำทางทำการศึกต่อไป ฝ่ายซิหลงหนีมาถึงโจโฉแล้ว จึงทูลเนื้อความว่า บัดนี้อองเป๋งเปนขบถหนีไปเข้าด้วยเล่าปี่แล้ว

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงรีบยกทหารมาจะชิงเอาค่ายตำบลฮันซุยคืนให้ได้ ฝ่ายจูล่งมีชัยชนะแล้วก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ รู้ข่าวว่าโจโฉยกมาเห็นว่าจะตั้งอยู่ที่นั่นมิได้ ก็ล่าทัพไปตั้งมั่นอยู่ริมแม่น้ำฮันซุยฟากตวันตก จึงสั่งให้ทหารตั้งค่ายอยู่ริมแม่นํ้า

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นเวลาเย็นก็พาขงเบ้งออกดูท่าทาง ขงเบ้งจึงว่าตำบลฮันซุยนี้ มีเขาอยู่ข้างเหนือเปนอันมาก พอจะซ่องสุมทหารได้สักพันเศษ แล้วก็พากันมาในค่าย จึงให้หาจูล่งเข้ามาแล้วสั่งว่า ท่านจงคุมทหารห้าร้อยเอากลองแลแตรไปอยู่ที่เชิงเขาเหนือน้ำ ถ้าเวลากลางคืนได้ยินเสียงประทัดจุดขึ้นในค่ายเราเปนสำคัญเมื่อใด ก็ให้เร่งเป่าแตรตีฆ้องกลองอื้ออึงอยู่ที่นั่น อย่าออกรบพุ่งเลย จูล่งก็คุมทหารมาอยู่ตามคำขงเบ้งสั่ง ส่วนว่าขงเบ้งครั้นเวลาเย็น ก็ขึ้นไปอยู่บนเขาสูง คอยดูชั้นเชิงโจโฉจะทำประการใด

ครั้นรุ่งเช้าทหารโจโฉจะเข้ารบ เล่าปี่ก็ห้ามเหล่าทหารให้สงบไว้ในค่ายมิให้ออกต่อสู้ ฝ่ายทหารโจโฉเห็นดังนั้นก็ประหลาทใจ พอเวลาจะคํ่าก็ชวนกันกลับคืนไป ครั้นเวลาเที่ยงคืน ขงเบ้งมิได้เห็นทหารโจโฉอยู่ในค่าย ทั้งแสงเพลิงก็มืดอยู่ จึงให้ทหารจุดประทัดขึ้นเปนสำคัญ จูล่งตั้งกองซุ่มอยู่ได้ยินดังนั้น ก็ให้ทหารตีกลองแลเปาแตรขึ้นพร้อมกัน โจโฉได้ยินก็ตกใจ สำคัญว่าเล่าปี่มาปล้นค่าย จึงให้ทหารออกไปดู ทหารก็กลับมาบอกโจโฉว่า ข้าพเจ้าออกไปดูหาเห็นอะไรไม่

ครั้นเวลาดึกแล้วได้ยินเสียงกลองแลประทัดอื้ออึงขึ้นอีกก็ประหลาทใจ ตั้งแต่เวลาคืนวันนั้นจนสามคืนมิได้เปนอันหลับนอน โจโฉคิดครั่นคร้ามใจนัก ก็ให้ล่าทัพไปจากที่นั่นไกลได้ประมาณสามร้อยเส้น ตั้งค่ายอยู่ที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง ขงเบ้งแลไปเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าแก่เล่าปี่ว่า โจโฉนี้ดีแต่การณรงค์ฝ่ายเดียว หารู้อุบายศึกไม่ วันนี้ขอเชิญท่านไปตั้งค่ายอยู่ฟากข้างโน้นเถิด

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ท่านจะให้เราไปนั้น ท่านคิดอุบายไว้เปนประการใด ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าคิดไว้ว่า ถ้าโจโฉยกมาครั้งนี้ ฝ่ายท่านกับเล่าฮองเบ้งตัดทำเปนแตก ทิ้งค่ายเครื่องศัสตราวุธเสีย ข้าพเจ้าจะเตรียมทหารไว้ให้พร้อม ทั้งปีกซ้ายปีกขวาไปคอยท่า แม้เห็นข้าพเจ้าโบกธงสำคัญ จงกลับหน้าเข้าตีเถิด เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงพาทหารข้ามไป

ฝ่ายโจโฉเห็นเล่าปี่ข้ามมาตั้งค่ายอยู่ก็ประหลาทใจ จึงเขียนหนังสือให้ทหารถือไปค่ายเล่าปี่ว่า จะนัดรบกันเวลาไร ขงเบ้งจึงตอบว่า จะรบกันเวลาพรุ่งนี้ ครั้นเวลารุ่งเช้าต่างคนต่างก็ยกทหารมาหยุดอยู่หน้าเขาเงาไกสันพร้อมกันทั้ง สองฝ่าย โจโฉขี่ม้าออกยืนอยู่ริมธงรบ ให้ทหารตีกลองสามหน เรียกเล่าปี่ออกมาพูดจากัน เล่าปี่จึงเอาเล่าฮองเบ้งตัดกับทหารเมืองเสฉวนซึ่งได้ไว้นั้นออกมาด้วย โจโฉเห็นเล่าปี่ออกมาจึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าแล้วร้องด่าเล่าปี่ว่า อ้ายคนอกตัญญูเสียสัตย์ กลับมาทรยศเปนศัตรูแก่เจ้าแผ่นดิน

เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านมาดูหมิ่นเราฉนี้ไม่ชอบ เราเปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ถือรับสั่งมาปราบปรามศัตรูราชสมบัติ ตัวทำผิดฆ่าพระอัครมเหษีพระเจ้าเหี้ยนเต้เสีย ตั้งตัวเปนเจ้าจะเบียดเบียฬเอาราชสมบัติให้เกินศักดิ์ ตัวยังจะถือว่าไม่เปนขบถอีกหรือ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ซิหลงออกรบเล่าปี่ ๆ ก็ให้เล่าฮองออกต่อสู้

ขณะเมื่อเล่าฮองกับซิหลงเข้ารบกันด้วยเพลงทวน เล่าปี่นั้นหลีกเข้าอยู่ในกองทัพ ครั้นเล่าฮองสู้ซิหลงไม่ได้ เล่าปี่นั้นทำเปนแตกหนี โจโฉเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดจับเล่าปี่ได้เราจะปูนบำเหน็จให้เปนเจ้าเมืองเสฉวน ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้น ก็ชวนกันโห่ร้องไล่ติดตามเล่าปี่ไป

ฝ่ายเล่าปี่กับทหารทั้งปวงทำเปนแตกหนี ทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสียหนีมาทางตำบลฮันซุย ทหารโจโฉได้ค่ายก็ดีใจ เข้าชิงสิ่งของแลเครื่องศัสตราวุธกันอื้ออึง โจโฉจึงให้ตีม้าฬ่อเรียกทหารให้หยุดอยู่ ทหารทั้งปวงจึงถามว่า ข้าพเจ้าจะไล่ตามจับตัวเล่าปี่มาให้ได้ เหตุใดท่านจึงห้ามไว้เล่า

โจโฉจึงว่า เราพิเคราะห์ดูการผิดประหลาท ซึ่งเล่าปี่ข้ามน้ำมาตั้งค่ายฟากข้างนี้ ยังมิทันช้านานแตกไป ก็เปนที่สงสัยข้อหนึ่ง แลทิ้งม้าเครื่องศัสตราวุธไว้ในค่ายเปนอันมาก ก็สงสัยเปนสองข้อ ควรเราจะล่าทัพเสียก่อน อย่าเพ่อให้ทหารทั้งปวงเก็บเอาเข้าของเลย ถ้าผู้ใดไม่ฟังเราจะเอาโทษถึงตาย ว่าแล้วก็เร่งล่าทัพกลับไป

ขณะเมื่อโจโฉล่าทัพกลับไปนั้น ขงเบ้งจึงให้เอาธงสำคัญขึ้นโบก ฝ่ายเล่าปี่เห็นก็ยกทัพกลับมา ให้ฮองตงเปนปีกขวา ให้จูล่งเปนปีกซ้าย ตีกระหนาบกันทั้งสองข้าง โจโฉมิอาจสู้ได้ก็แตกหนี ขงเบ้งจึงให้ติดตามในเวลากลางคืน ขณะนั้นโจโฉหนีไปใกล้เมืองลำเต๋ง แลเห็นเพลิงติดขึ้นในเมืองทั้งสี่ทิศก็ตกใจ จึงรู้ว่าเมืองเสียแก่ข้าศึกแล้ว ด้วยแต่ก่อนนั้นขงเบ้งใช้ให้เงียมหงันไปรักษาเมืองปาเสแทนตัวอุยเอี๋ยน แล้วให้เตียวหุยอุยเอี๋ยนสองนายนั้นยกไปตีเอาเมืองลำเต๋งได้ โจโฉก็หนีมาทางด่านเองเปงก๋วน

ฝ่ายเล่าปี่ขงเบ้งซึ่งยกทหารตามโจโฉมา ก็เข้าไปในเมืองลำเต๋ง แล้วเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรให้อยู่เปนปรกติ วันหนึ่งเล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า ซึ่งโจโฉยกมาทำการด้วยเราครั้งนี้ เหตุใดจึงพลาดพลั้งเสียทีแก่เรานั้นด้วยประการใด ขงเบ้งจึงบอกว่า โจโฉเปนคนมีสันดานมักคิดสงสัยมาก ชำนาญแต่ใช้ทหารรบสิ่งเดียว เหตุฉนี้จึงพ่ายแพ้เราโดยง่าย เล่าปี่จึงว่า บัดนี้เห็นโจโฉจะหนีไปอยู่ที่ด่านเองเปงก๋วน เห็นจะอยู่พวกเดียว ท่านจะคิดอุบายประการใดจึงจะได้ตัวโจโฉเล่า ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าคิดไว้ได้แล้ว จึงให้เตียวหุยกับอุยเอี๋ยนพาทหารไปสองทาง ก้าวสกัดตัดสเบียงโจโฉให้ได้ แล้วจึงใช้ให้ฮองตงแลจูล่งนั้นไปเผาหนทางริมเขาซึ่งโจโฉจะไปนั้นเสีย ทหารสี่เหล่ารับคำแล้วก็ลาเล่าปี่ขงเบ้งคุมทหารให้คนนำทางไป

โจโฉอยู่ ณ ด่านเองเปงก๋วน ใช้ให้ทหารไปเที่ยวสอดแนมดูทุกตำบล ครั้นทหารไปสอดแนมแล้วกลับมาทูลแก่โจโฉว่า บัดนี้เล่าปี่ให้ทหารตัดไม้ทับทางน้อยแลทางใหญ่เสียสิ้น แล้วเอาเพลิงจุดไว้ ไม่รู้ว่าทหารเล่าปี่จะซุ่มซ่อนอยู่ที่ไหนแน่ โจโฉได้ฟังก็คิดสงสัยอยู่

ขณะนั้นพอมีผู้มาบอกว่า เตียวหุยอุยเอี๋ยนยกทหารมาสกัดจะชิงเอาสเบียงของเราแล้ว โจโฉจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาสู้กับเตียวหุยอุยเอี๋ยนได้บ้าง เคาทูจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปสู้ให้ได้ โจโฉจึงจัดทหารให้พันหนึ่ง เคาทูก็รีบไปตามทางด่านเองเปงก๋วน คอยป้องกันรับสเบียงมิให้เปนอันตราย

ฝ่ายขุนนางซึ่งคุมสเบียงอยู่นั้น พบเคาทูเข้าก็ดีใจ จึงว่าถ้าเรามิได้ท่านก็เห็นจะไม่ถึงด่านเองเปงก๋วนได้ จึงเอาเหล้าเข้าแลสุกรมาเลี้ยงเคาทู เคาทูครั้นกินสุราเมาแล้ว ก็เดิรนำหน้าเกวียนสเบียงมา ครั้นมาถึงกลางทาง ขุนนางซึ่งคุมสเบียงจึงว่าแก่เคาทูว่า เวลานี้เย็นแล้ว ข้างหน้าตำบลเมืองโปจิ๋วเปนเขาริมทางเปลี่ยวอยู่ เราจะไปบัดนี้เห็นจะไม่พ้นภัย

เคาทูจึงว่าเรามีกำลังพะลัง ท่านจะกลัวอะไรแก่ศัตรู ในเวลากลางคืนแสงเดือนก็สว่างเราจะอยู่ใย เคาทูก็ขึ้นม้านำหน้าเกวียนมา เวลาประมาณยามเศษ พอถึงเขาริมทางตำบลเมืองโปจิ๋ว ได้ยินเสียงกลองแลเสียงแตรอื้ออึง

เตียวหุยเห็นดังนั้นก็ควบม้าถือทวนตรงเข้าไล่เคาทู ๆ รบกับเตียวหุยด้วยกำลังเมาสุรา มิทันได้สักกี่เพลง เตียวหุยก็เอาทวนแทงถูกไหล่เคาทูตกม้าลง พวกทหารซึ่งมาด้วยเคาทูก็ทิ้งเกวียนเสีย เข้าอุ้มเอาตัวเคาทูหนีไปได้ เตียวหุยได้เกวียนแลสเบียงก็กลับมา ทหารซึ่งรักษาเคาทูมาได้ก็พาเข้าไปหาโจโฉ ๆ เห็นดังนั้นจึงให้หมอไปพยาบาลเคาทู แล้วโจโฉก็ยกกลับมาทำสงครามด้วยเล่าปี่ ๆ เห็นโจโฉยกกลับเข้ามาจึงให้เล่าฮองคุมทหารออกไป โจโฉจึงว่า อ้ายเล่าปี่มันจำเพาะให้อ้ายเล่าฮองลูกคนขายเกือกมาต่อสู้กับเราไม่สมควร เราจะให้ลูกเราชื่อโจเจียงหนวดเหลืองออกไปต่อสู้ฟันให้เนื้อละเอียดไป เล่าฮองได้ยินก็โกรธ ควบม้ารำทวนเข้าไล่ทหารโจโฉ ๆ จึงให้ซิหลงออกต่อสู้ เล่าฮองทำเปนชักม้าหนี โจโฉก็คุมทหารไล่ติดตามเล่าฮองไป

ฝ่ายเล่าปี่อยู่ในค่ายแลเห็น ก็ให้ทหารจุดประทัดตีฆ้องกลองเป่าแตรขึ้นอื้ออึง โจโฉเห็นว่ายังมีทหารซ่องสุมอยู่ ก็คิดตกใจกลัว จึงให้ทหารกลับถอยหนี พอมาถึงกำแพงด่านเองเปงก๋วนซึ่งเปนที่อยู่นั้น ทหารเล่าปี่ตามมาทัน ล้อมเข้าทั้งสี่ทิศ จุดเพลิงโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน โจโฉก็ตกใจหนีออกจากที่นั้น

ขณะเมื่อโจโฉหนีไปนั้น เตียวหุยคุมทหารหมู่หนึ่งตั้งสกัดอยู่ข้างหน้า จูล่งคุมทหารพวกหนึ่งรบประชิดข้างหลังมา ฮองตงคุมทหารหมวดหนึ่งเร่งยกมาตามทางตำบลเมืองโปจิ๋ว โจโฉครั้นหนีมาถึงตำบลหุบเขาเสียดก๊กเห็นผงคลีฟุ้งขึ้น มีทหารหมวดหนึ่งยกมา โจโฉจึงว่าถ้าเปนทหารของเล่าปี่มาซ่องสุมไว้ เห็นว่าเราจะตายเปนมั่นคง ครั้นว่ากันเท่านั้น พอทหารนั้นมาใกล้ จึงรู้ว่าโจเจียงผู้บุตรที่สองยกมาก็ดีใจ อันโจเจียงคนนี้เมื่อยังหนุ่มน้อยอยู่นั้น มักขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ มีกำลังยิ่งกว่าคนทั้งหลาย โจโฉผู้บิดาก็ได้สั่งสอนว่า เจ้าไม่พอใจอ่านหนังสือ พอใจแต่ขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ ศิลปศาสตร์นี้เปนประโยชน์มีกำลังแต่ผู้เดียว ไม่มีเกียรติยศเลื่องลือ

โจเจียงจึงว่าแก่บิดาว่า อันศิลปศาสตร์สิ่งนี้ก็เปนการทหารสำหรับลูกผู้ชาย อาจสามารถจะคุมทหารได้ถึงแสนหนึ่ง จะหาความชอบรักษาแผ่นดินก็จะดีกว่าเรียนหนังสืออีก โจโฉถามบุตรทั้งปวงว่า ซึ่งโจเจียงว่าดังนี้ นํ้าใจบุตรทั้งปวงผู้ใดจะรักประการใดบ้าง บุตรทั้งนั้นก็นิ่งอยู่ แต่โจเจียงผู้เดียวนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้ารักจะเปนทหาร

โจโฉจึงว่า จะเปนทหารขณะเมื่อเจ้าจะต่อสู้สงครามนั้น จะทำประการใดในกระบวรสงคราม โจเจียงจึงว่า ข้าพเจ้าจะทำสงครามแก่ข้าศึกนั้น จะใส่เสื้อเกราะถืออาวุธออกหน้าทหารทั้งปวง ถึงจะอับจนก็ไม่อาลัยแก่ลูกเมียเลย ถ้าทหารผู้ใดมีความชอบในสงครามก็จะปูนบำเหน็จ ถ้าผู้ใดผิดก็จะประหารชีวิตเสีย

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ดีใจหัวเราะแล้วจึงว่า เจ้าคิดดังนี้ชอบอยู่แล้ว ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบสามปี พอออหวนอยู่เมืองไตกุ๋นคิดการขบถ โจโฉจึงให้โจเจียงผู้บุตรยกทหารห้าหมื่นไปรบเมืองไตกุ๋น จึงสั่งสอนว่า เมื่อเราอยู่บ้านอยู่เรือนนั้นเปนพ่อลูกกัน บัดนี้เจ้าจะไปทำการศึก ก็เหมือนข้ากับเจ้า อย่าได้คิดประมาท ถ้าผิดก็จะเอาโทษตามผิด เราสั่งสอนเจ้าจงควรจำเถิด ว่ากันเท่านั้นแล้ว โจเจียงก็ลาโจโฉยกทหารไปเมืองไตกุ๋นทิศเหนือ ก็เข้ารบพุ่งด้วยออหวน ๆ แตกหนีโจเจียงไปที่ตำบลสองเขียน โจเจียงก็ปราบปรามเมืองไตกุ๋นราบคาบแล้วพอได้ยินข่าวว่าโจโฉผู้บิดามาตั้ง ทัพอยู่ ณ ด่านเองเปงก๋วนก็ยกทหารมาช่วย

ฝ่ายโจโฉเห็นโจเจียงมาจึงว่า เจ้าหนวดเหลืองบุตรเรามาถึงแล้ว การซึ่งจะสู้รบกับเล่าปี่เห็นจะไม่เปนไรนัก ก็พากันยกมาถึงค่ายอยู่ ณ เขาเสียดก๊ก จึงมีผู้นำข่าวราชการไปแจ้งแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้โจโฉพาโจเจียงผู้บุตรยกทัพกลับมาอีกแล้ว

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปรบกับโจเจียงได้บ้าง เล่าฮองจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไป ฝ่ายเบ้งตัดได้ยินจึงว่าข้าพเจ้าจะขอไปด้วย เล่าปี่จึงว่าครั้งนี้เราจะดูท่านทั้งสอง ฝีมือใครจะดีกว่ากัน ก็จัดทหารให้คนละห้าพัน เล่าฮองเปนทัพหน้าเบ้งตัดเปนทัพหนุน ลาเล่าปี่แล้วยกทหารมา

ครั้นถึงทัพโจเจียง ก็เข้ารบพุ่งกับโจเจียงได้สามเพลง เล่าฮองแพ้กลับถอยหลังมา ส่วนเบ้งตัดเห็นก็ขับทหารหนุนเข้ามา เมื่อจะเข้ารบกันนั้น เห็นทหารโจโฉแลโจเจียงวุ่นวาย เหตุด้วยม้าเฉียวแลงอหลันทหารเล่าปี่ยกตามรบมาภายหลังอีกพวกหนึ่ง ส่วนเบ้งตัดได้ที ก็ให้ทหารโห่ร้องเข้าตีกระหนาบกับม้าเฉียวด้วยกันทั้งสองทัพ พวกทหารโจโฉก็แตกหนีไป

ฝ่ายโจเจียงครั้นเห็นทหารแตกแล้ว แต่ตัวผู้เดียวเข้ารบกับงอหลัน มิทันถึงเพลงหนึ่ง โจเจียงเอาทวนแทงถูกที่สำคัญ งอหลันตกม้าตาย ทหารทั้งปวงต่างก็กลับเข้ารบอีก มิทันได้แพ้ชนะกัน โจโฉจึงให้ทหารถอยกลับมาตั้งอยู่ ณ หุบเขาเสียดก๊ก โจโฉคิดในใจว่า แต่มาตั้งอยู่ที่นี่ช้านานแล้ว ครั้นจะยกไปบัดนี้ก็เห็นว่าม้าเฉียวยังต้านทานอยู่ คิดละอายแก่พวกข้าศึกก็หยุดอยู่ยังไม่ยกไป

ฝ่ายพ่อครัวครั้นเวลาเย็นจึงยกเอาไก่ต้มตัวหนึ่งเข้ามาถวายแก่โจโฉ ๆ กินเนื้อไก่สิ้นแล้ว ยังเหลือแต่กระดูก จึงเอาตะเกียบหยิบเอาขาไก่ชูขึ้นไว้ รำพึงแต่ในใจว่า จะทิ้งเสียก็เสียดายด้วยยังมีรสอยู่ ขาไก่นี้เปรียบดังการสงครามครั้งนี้ ครั้นจะเลิกละเสียก็จะอัปยศ จะทำเอาชัยชนะก็ไม่สดวก

เมื่อโจโฉรำพึงอยู่ดังนั้น พอแฮหัวตุ้นเข้ามาทูลถามว่า ในเวลาคืนวันนี้ จะเรียกชื่อสิ่งใดเปนสำคัญขานยาม โจโฉสาละวนพิเคราะห์ขาไก่อยู่จึงพลั้งปากออกไปว่าขาไก่ แฮหัวตุ้นได้ยินดังนั้นก็กลับออกมา ครั้นเวลาคํ่าจึงบอกกันให้ขานยามว่าขาไก่ เสียวสิ้วสมุห์บาญชีกองทัพนั้นมีปัญญาก็รู้แจ้งซึ่งขานยาม จึงบอกทหารบันดาพวกพ้องของตัวว่า ให้ตระเตรียมจะเลิกทัพอยู่แล้ว

ขณะนั้นมีทหารคนหนึ่งมาบอกแฮหัวตุ้นว่า เอียวสิ้วให้พรรคพวกตระเตรียมไว้ว่าจะยกทัพกลับไปแล้ว แฮหัวตุ้นจึงให้หาเอียวสิ้วมาถามว่า ท่านรู้อย่างไรจึงว่าจะยกทัพไป เอียวสิ้วจึงว่า เราได้ยินขานยามว่าขาไก่ก็เข้าใจว่าโจโฉจะยกทัพไปอยู่แล้ว จึงตระเตรียมกัน แฮหัวตุ้นได้ฟังก็ตกใจ จึงสั่งทหารให้จัดแจงเตรียมตัวไว้บ้าง

ส่วนโจโฉในเวลากลางคืนวันนั้น ไม่สบายใจเที่ยวไปดูรอบค่าย จึงเห็นทหารทั้งปวงตระเตรียมก็ประหลาทใจ โจโฉกลับมาที่อยู่ จึงให้หาแฮหัวตุ้นมาถามว่า ทหารทั้งปวงทำดังนี้เปนประการใด แฮหัวตุ้นจึงทูลว่า เอียวสิ้วมาบอกข้าพเจ้าว่าจะเลิกทัพไปแล้ว โจโฉจึงให้หาเอียวสิ้วเข้ามาถามว่า ท่านบอกแฮหัวตุ้นดังนี้เห็นเหตุประการใด เอียวสิ้วจึงทูลว่า ข้าพเจ้าได้ยินทหารขานยามว่าขาไก่ ก็รู้ว่าจะเลิกทัพ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ว่าท่านมากล่าวดังนี้ผิด แกล้งจะให้ทหารเราเสียน้ำใจ โทษท่านถึงตาย จึงให้ทหารเอาตัวเอียวสิ้วไปตัดสีสะเสียเสียบไว้ประตูค่าย มิให้ทหารทั้งปวงดูเยี่ยงกัน

แลเอียวสิ้วคนนี้ แต่ก่อนมาเปนคนมักอวดตัว ว่าวิชาการดีมีความคิด โจโฉเกรงขามแก่เอียวสิ้วอยู่ แลเมื่อครั้งมีผู้คิดร้ายโจโฉ ๆ อุบายสั่งคนใช้สนิธว่า เรานอนร้ายมักเลมอฆ่าคน ถ้าเรานอนอย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้ วันหนึ่งเวลากลางวัน โจโฉทำนอนหลับอยู่บนเตียง แกล้งทำให้ผ้าห่มนอนตกลงจากตัว จึงมีข้าสนิธคนหนึ่งเข้ามาหยิบผ้าห่มขึ้นห่มให้ โจโฉทำเลมอลุกขึ้นชักกระบี่ฟันคนนั้นถึงแก่ความตาย แล้วก็กลับนอนไป อีกสักครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นแกล้งทำเปนตกใจ ถามว่าผู้ใดมาฆ่าคนสนิธของเราเสีย คนทั้งปวงก็บอกโดยความจริง โจโฉก็ทำเปนร้องไห้ สั่งให้เอาศพนั้นไปฝังไว้ คนทั้งปวงไม่รู้เท่า จึงว่าโจโฉนอนร้ายมักเลมอฆ่าคน จำเพาะเอียวสิ้วคนเดียวล่วงรู้อุบาย ครั้นให้ยกเอาศพผู้ตายไปฝัง เอียวสิ้วก็สงสารจึงว่าแก่ศพนั้นว่า มหาอุปราชหานอนฝันร้ายไม่ เปนกรรมของท่านจึงตาย โจโฉแจ้งเหตุดังนั้น เห็นว่าเอียวสิ้วรู้เท่าก็โกรธแต่ในใจ

อีกครั้งหนึ่งโจโฉจะใคร่ล่วงรู้ดูปัญญาโจสิดแลโจผีบุตรทั้งสองคน จึงใช้ให้เดิรออกไปนอกประตูวัง แล้วโจโฉจึงลอบใช้ให้คนไปลอบสั่งนายประตูไว้ว่าวันนี้อย่าให้ใครออกไป ส่วนโจผีเดิรมาถึงประตูแล้วก็จะออกไป นายประตูห้ามไม่ให้โจผีไป โจผีก็กลับคืนมา ฝ่ายโจสิดรู้ว่านายประตูห้ามไม่ให้โจผีผู้พี่ออกไปก็มีความสงสาร จึงเอาเนื้อความมาถามเอียวสิ้ว ๆ จึงว่า รับสั่งใช้ให้ท่านออกไป ถ้าผู้ใดบังอาจห้ามไว้จงให้ฆ่าผู้นั้นเสียจึงจะควร โจสิดได้ฟังดังนั้น ก็กลับมาตามคำเอียวสิ้ว ครั้นถึงประตูนายประตูก็ห้ามไว้ โจสิดโกรธจึงตวาดนายประตูว่า เองบังอาจมาห้ามเราผู้ถือรับสั่งไว้ แล้วก็ฆ่านายประตูเสีย

โจโฉแจ้งดังนั้นก็เข้าใจว่าโจสิดมีปัญญากว่าโจผี ครั้นอยู่มาภายหลังมีผู้มาทูลโจโฉว่า โจสิดกระทำการได้ดังนี้ เพราะได้ปัญญาเอียวสิ้วสั่งสอน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธแก่เอียวสิ้ว ทั้งโจสิดนั้นก็หายินดีไม่ ครั้นนานมาโจโฉจึงถามการสงครามแก่โจสิด ๆ ก็บอกได้ทุกประการไม่ขัดสน เพราะเอียวสิ้วสั่งสอน โจโฉก็ยิ่งคิดสงสัยนัก

อยู่มาวันหนึ่งโจผีมาบอกโจโฉว่า ซึ่งโจสิดรู้หลักมากนั้น เพราะได้ความคิดเอียวสิ้วสอนมาดอก โจโฉก็ยิ่งมีความโกรธเปนอันมาก คิดพยาบาทจะใคร่ฆ่าเอียวสิ้วเสียให้ได้ ครั้นเมื่อมาที่ตำบลเขาเสียดก๊ก พอเอียวสิ้วทำความผิดว่าด้วยขาไก่ ล่วงรู้เท่าความคิดโจโฉ ๆ โกรธกำลังพยาบาท ได้ทีแล้วก็ฆ่าเอียวสิ้วเสีย โจโฉทำเปนโกรธจะฆ่าแฮหัวตุ้นเสียด้วย

ฝ่ายขุนนางทั้งปวงจึงทูลขอโทษแฮหัวตุ้นไว้ โจโฉจึงตวาดให้แฮหัวตุ้นถอยออกไปจากที่นั้น แล้วสั่งแก่ทหารทั้งปวงว่า พรุ่งนี้เราจะยกไปแล้ว ครั้นรุ่งขึ้นโจโฉก็ยกทัพออกจากหุบเขาเสียดก๊ก พออุยเอี๋ยนคุมทหารยกมาสกัดทางอยู่ตรงหน้า โจโฉจึงร้องว่า ท่านมาอยู่ด้วยเราเถิด เราจะให้บำเหน็จแก่ท่านจงมาก

อุยเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงร้องด่าโจโฉด้วยคำหยาบช้า ฝ่ายโจโฉขัดใจจึงใช้ให้บังเต๊กออกรบ ฝ่ายทหารทั้งสองข้างเข้ารบพุ่งติดพันกันอยู่ พอมีผู้นำข่าวมาบอกโจโฉว่า บัดนี้ม้าเฉียวตามมาจะปล้นเอากองกลางกองหลังของเราด้วยแล้ว โจโฉได้ฟังจึงถอดกระบี่ออกแกว่งว่า ถ้าทหารผู้ใดย่อท้อถอยออกมาเราจะฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงก็เข้ารบเสมอหน้ากันมิได้ย่อท้อ

ฝ่ายอุยเอี๋ยนแกล้งทำหนี โจโฉก็ให้ทหารเข้ารบกับม้าเฉียวอีกเล่า ส่วนตัวโจโฉขี่ม้ายืนอยู่บนเนินเขา ดูทหารทั้งสองฝ่ายซึ่งรบกัน อุยเอี๋ยนควบม้าวิ่งมาตรงหน้าโจโฉ แล้วจึงร้องว่า เราชื่ออุยเอี๋ยนกลับมานี่แล้วก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกปากโจโฉ ฟันหน้าหักสองซี่ตกลงจากม้า อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ดีใจทิ้งเกาทัณฑ์เสีย ถือเอาง้าวเร่งขับม้าไล่มาตามเนินเขา จะจับตัวโจโฉฆ่าเสียให้ได้ ขณะนั้นพอบังเต๊กกลับมาเห็นอุยเอี๋ยนไล่โจโฉ บังเต๊กจึงร้องว่า ท่านอย่าทำร้ายเจ้าเรา ก็เข้าต้านหน้าพาทหารเข้ารบอุยเอี๋ยนแก้โจโฉไว้ ฝ่ายม้าเฉียวแลเห็นดังนั้นก็พาทหารถอยไปหยุดอยู่

ฝ่ายบังเต๊กกับทหารทั้งปวงช่วยโจโฉได้แล้ว ก็พากันกลับมาค่าย จึงเร่งให้หมอมารักษาแผลโจโฉซึ่งถูกเกาทัณฑ์นั้น ส่วนโจโฉได้รับความเจ็บปวด จึงคิดไปถึงเอียวสิ้วซึ่งว่าให้เราถอย เราไม่ฟังฆ่าเอียวสิ้วเสียคิดเสียดาย ก็ให้เอาสีสะซึ่งเสียบไว้นั้นไปฝังไว้ แล้วจึงสั่งให้ยกทัพกลับให้บังเต๊กเปนทัพรั้งหลัง ส่วนตัวโจโฉนั้นป่วยอยู่นอนมาในรถ ทหารซ้ายขวาก็ป้องกันมา

ฝ่ายขงเบ้งเห็นว่า ครั้งนี้โจโฉจะทิ้งเมืองฮันต๋งเสีย จึงใช้ให้ม้าเฉียวคุมทหารทั้งปวงแยกเปนสิบเหล่า ออกสกัดรบแลปล้นทั้งกลางวันกลางคืนอย่าได้ขาด โจโฉจึงจะไม่ตั้งอยู่นานได้ เพราะถูกเกาทัณฑ์ของอุยเอี๋ยนครั่นคร้ามใจอยู่

โจโฉได้ความเจ็บปวด จึงยกทหารจากเขาเสียดก๊กหนีไป ครั้นถึงกลางทางมีผู้มาทูลว่า หุบเขาเสียดก๊กนั้น บัดนี้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นแล้ว โจโฉก็รีบให้ทหารหนีไป ฝ่ายม้าเฉียวเห็นโจโฉแตกหนีไปแล้วก็คุมทหารเร่งติดตามไปภายหลัง โจโฉเห็นทหารทั้งปวงอิดโรยก็มิได้หยุดเร่งไปทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงเมืองเกงเตียวแล้วก็ให้หยุดพักทหารอยู่

ฝ่ายเล่าปี่ขงเบ้งยกทัพไป สั่งให้เล่าฮองเบ้งตัดอองเป๋ง คุมทหารยกไปตีเมืองซงหยง ฝ่ายสินต่ำเจ้าเมืองซงหยง ครั้นรู้ว่าโจโฉปราชัยแก่ข้าศึกหนีไป ทิ้งเมืองฮันต๋งเสียแล้ว ก็มิอาจจะสู้รบเล่าปี่ได้ จึงพาทหารบันดาพรรคพวกมาสมัคทำราชการด้วยเล่าปี่ ๆ ครั้นได้เมืองซงหยงแล้ว ก็เกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรได้เปนปรกติ แล้วก็ปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงโดยมีความชอบ

ฝ่ายชาวเมืองแลขุนนางทั้งปวงคิดกันจะใคร่ยกเล่าปี่ขึ้นเปนเจ้า แต่ชวนกันคิดมิรู้ที่จะว่าได้ ก็ชวนกันเข้ามาหาขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าชาวเมืองทั้งปวงเห็นพร้อมกันว่า จะให้เล่าปี่เปนเจ้า ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ใจเราก็คิดอยู่ แล้วพาหวดเจ้งแลทหารทั้งปวงไปหาเล่าปี่ว่า อันโจโฉอหังการทำสูงศักดิ์มาสู้กับเราแล้วหนีไป บัดนี้อาณาประชาราษฎรหามีที่พึ่งไม่ เห็นท่านประกอบไปด้วยความสัตย์ ใจเผื่อแผ่ไปในแผ่นดิน แลเมืองเสฉวนเมืองฮันต๋ง ซึ่งเปนเมืองใหญ่ทั้งสอง ก็ปราบได้ราบคาบแล้ว ฝ่ายขุนนางแลทหารชาวเมืองทั้งปวงปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า ท่านนี้ควรจะป้องกันศัตรูเปนที่พึ่งได้ ขอเชิญท่านขึ้นเปนเจ้าแก่ข้าพเจ้าทั้งปวงเถิด

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ท่านมากล่าวคำดังนี้ผิดนัก เราเปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ จะมาทำดังนี้มิเปนขบถต่อเจ้าแผ่นดินหรือ ขงเบ้งจึงตอบว่า หาเปนเช่นนั้นไม่ ด้วยบ้านเมืองทุกวันนี้เปนจลาจล ต่างคนต่างก็แขงเมือง เกิดรบพุ่งฆ่าฟันกันเปนอันมาก บัดนี้คนทั้งปวงหาที่พึ่งมิได้ ตั้งใจจะเอาท่านเปนที่พึ่ง แลท่านจะมาว่าดังนี้คนทั้งปวงจะมิเสียใจหรือ เล่าปี่จึงตอบว่า น้ำใจเราทุกวันนี้ก็หายินดีที่จะเปนเจ้าไม่ ท่านจงปรึกษาหาที่พึ่งอื่นเถิด คนทั้งปวงจึงว่า ถ้าท่านไม่ยอมดังนั้นข้าพเจ้าทั้งปวงก็จะลาไป

ฝ่ายขงเบ้งจึงว่า ขอเชิญท่านขึ้นเปนเจ้าฮันต๋งเถิด ข้าพเจ้าเห็นสมควรอยู่แล้ว เล่าปี่จึงว่า ยังหามีรับสั่งตั้งให้เราเปนเจ้าไม่ ท่านว่าดังนี้ก็เห็นเปนยกย่องกันเองมิบังควร ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าถือสัตย์อยู่ฉนี้เลย ท่านจงทำตามคำที่ปรึกษาเถิด

ฝ่ายเตียวหุยผู้ได้ให้สัตย์แก่เล่าปี่เปนพี่น้องกันมาแต่ก่อนนั้น จึงร้องว่าแก่คนทั้งปวงว่า แต่แซ่อื่นยังเปนเจ้าได้ อันเล่าปี่พี่เรานี้ก็เปนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ อย่าว่าแต่เปนเจ้าฮันต๋งนี้เลย ถึงจะเปนเจ้าแผ่นดินในเมืองหลวงก็จะได้ เหตุใดจึงว่าไม่สมควร เล่าปี่ได้ฟังก็โกรธตวาดเอาแล้วจึงว่า เจ้าอย่าพูดมากไป

ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านจงเปนเจ้าฮันต๋งก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะให้หนังสือไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อภายหลัง ท่านอย่าวิตกเลย เล่าปี่มิสมัครีรออยู่ถึงสามครั้ง ครั้นเห็นคนทั้งปวงว่ากล่าววิงวอนนักแล้วขัดไม่ได้ ก็ยอมเปนเจ้าเมืองฮันต๋งตามคำปรึกษา

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบสี่ปี (พ.ศ. ๗๖๒) ครั้นถึงเดือนเก้า จึงปลูกโรงพิธีนอกเมืองฮันต๋ง ที่ตำบลไกเอี๋ยงกว้างขวางได้เก้าเส้น จึงยกเครื่องกระยาหารเส้นวัก เชิญเทพารักษ์มาพร้อมกันเปนที่ชัยมงคล

ฝ่ายเคาเจ้งกับหวดเจ้งนั้น ก็เชิญเล่าปี่ขึ้นบนโรงพิธี แล้วให้แต่งตัวตามสมควร ให้นั่งผินหน้าไปสู่ทิศตวันออก ขุนนางทั้งปวงก็กราบพร้อมกัน อวยชัยให้พรตามธรรมเนียม เล่าปี่นั้นจึงตั้งเล่าเสี้ยนผู้บุตรให้เปนเจ้า ตั้งขงเบ้งให้เปนที่เสนาบดีผู้ใหญ่ในการสงคราม เคาเจ้งกับหวดเจ้งเปนที่ปรึกษา ตั้งกวนอูเตียวหุยจูล่งม้าเฉียวฮองตงเปนทหารเสือ ตั้งอุยเอี๋ยนเปนทหารเอก

ครั้นจัดแจงตั้งแต่งทหาร ผู้กระทำความชอบสำเร็จแล้ว เล่าปี่จึงมีหนังสือไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนใจความว่า บัดนี้ข้าพเจ้าตีเมืองฮันต๋งเมืองเสฉวนได้แล้ว ฝ่ายทหารแลไพร่พลเมืองทั้งปวง มีขงเบ้งเปนประธาน ปรึกษาพร้อมกันให้ยกข้าพเจ้าเปนเจ้าเมืองฮันต๋ง ข้าพเจ้ากลัวความผิดด้วยหามีรับสั่งไม่ คนทั้งปวงก็มิฟังจึงว่า ถ้าข้าพเจ้ามิยอมเปนเจ้า คนทั้งปวงต่างคนต่างว่าจะไปเสียสิ้น ข้าพเจ้าเห็นว่าราชการสงครามนั้นยังจะทำไปอยู่ เกลือกผู้คนจะระส่ำระสาย กลัวจะเสียราชการไป จึงยอมตามคำปรึกษา ซึ่งข้าพเจ้ากระทำบังอาจทั้งนี้มิควรนัก แล้วเล่าปี่จึงให้ทหารถือหนังสือไปเมืองฮูโต๋

ฝ่ายโจโฉเห็นทหารเล่าปี่ถือหนังสือมา จึงเอาหนังสือออกอ่านดูรู้เนื้อความว่า เล่าปี่ตั้งตัวเปนเจ้าดังนั้นก็โกรธ จึงด่าเล่าปี่ว่า อ้ายชาติทอเสื่อขาย ตั้งตัวเองเปนเจ้า กูจะกำจัดเสียให้ได้ โจโฉก็หยิบหนังสือไว้มิได้บอกไปแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วสั่งให้ตระเตรียมทหารจะยกไปรบกับเล่าปี่

ฝ่ายสุมาอี้จึงทูลว่า อย่าเพ่อยกไปให้ทหารลำบากก่อน ข้าพเจ้ามีอุบายสิ่งหนึ่งมิพักให้ไปรบเลย จะให้เล่าปี่มีภัยขึ้นในเมืองเสฉวนต่าง ๆ ได้ ถ้าเห็นอิดโรยแล้วจึงค่อยยกไปให้มีชัยชนะโดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงถามสุมาอี้ว่าจะทำประการใด

สุมาอี้จึงว่า ซึ่งเมืองกังตั๋งซุนกวนยกน้องสาวให้เล่าปี่นั้น ควรเราจะยุยงซุนกวนให้มีความโกรธ ไปคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ก็จะมิให้โดยง่าย ทั้งสองฝ่ายก็จะเปนอะริแก่กัน แล้วจึงใช้คนดีมีฝีปากไปเกลี้ยกล่อมซุนกวนให้ยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว ครั้นเล่าปี่รู้แล้วก็จะยกทหารเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งมาช่วยเมืองเกงจิ๋ว ภายหลังท่านจึงยกทหารไปตีเมืองฮันต๋งแลเมืองเสฉวน เล่าปี่ก็เปนธุระทั้งสองฝ่าย มิให้ช่วยกันได้ เราก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงเขียนหนังสือแล้วให้บวนทงถือไปเมืองกังตั๋ง ฝ่ายซุนกวนรู้ว่าบวนทงมาถึง จึงให้หาขุนนางมาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉให้บวนทงมาหาเราจะเปนประการใด ฝ่ายเตียวเจียวผู้เปนที่ปรึกษาจึงว่า โจโฉกับเราแต่ก่อนมาก็เปนข้าศึกกันอยู่ แต่เห็นเราเปนพวกกับเล่าปี่แล้ว โจโฉจึงมิได้รบกับเรามาช้านาน แลซึ่งโจโฉใช้บวนทงมานี้เห็นจะประนอมกับเรา ท่านจงให้รับบวนทงเข้ามาเถิด

ซุนกวนได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้ขุนนางไปรับบวนทงเข้ามา บวนทงเข้ามาถึงคำนับแล้วยื่นหนังสือให้ซุนกวน ๆ คลี่หนังสืออ่านดูเปนใจความว่า เรามิได้ไปมาหากันช้านาน ก็เพราะเล่าปี่มาตั้งตัวเปนเจ้าเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งจึงขาดไมตรีกัน ถ้ากะไรก็ให้ท่านเร่งไปรบเอาเมืองเกงจิ๋วเถิด ฝ่ายเราก็จะยกไปรบเมืองฮันต๋งแลเมืองเสฉวน เล่าปี่ก็จะพว้าพวังสองฝ่าย เห็นจะไม่สู้เราได้ ภายหลังเราจึงค่อยแบ่งปันกันแล้วเราก็จะตั้งความสัตย์มิได้คิดเบียดเบียฬกัน เลย

ซุนกวนได้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็แต่งโต๊ะให้บวนทงกินอยู่สำเร็จแล้ว ก็ให้ไปอยู่ตึกตำแหน่งแขกเมือง ฝ่ายซุนกวนจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า โจโฉมีหนังสือมาดังนี้จะเห็นประการใด โกะหยงจึงว่า ซึ่งโจโฉว่ามาดังนี้ก็ชอบอยู่ ควรเราจะรับคำให้บวนทงกลับไปบอกโจโฉ ให้ยกทัพไปตีกระหนาบ ภายหลังเราจึงให้ทหารสอดแนมดูว่ากวนอูจะทำประการใด จึงค่อยทำการต่อไป

จูกัดกิ๋นจึงว่าแก่ซุนกวนว่า ข้าพเจ้ารู้ว่ากวนอูซึ่งตั้งอยู่เมืองเกงจิ๋วนั้น เล่าปี่ก็ขอเมียให้จนเกิดบุตรสองคน เปนหญิงคนหนึ่งเปนชายคนหนึ่ง บุตรหญิงนั้นยังหาผัวมิได้ ข้าพเจ้าจะขอเปนพ่อสื่อไปขอให้แก่บุตรท่าน ถ้ากวนอูยอมให้แล้ว เราจึงจะคิดการกับกวนอูไปกำจัดโจโฉเสีย ถ้ากวนอูมิยอมให้ เราก็จะไปช่วยโจโฉรบเอาเมืองเกงจิ๋ว

ซุนกวนได้ฟังจูกัดกิ๋นว่าดังนั้นก็เห็นชอบ จึงสั่งให้ส่งตัวบวนทงกลับคืนไปเมืองฮูโต๋ แล้วให้จูกัดกิ๋นไปเมืองเกงจิ๋ว จูกัดกิ๋นจึงเข้าไปกระทำคำนับแก่กวนอู ๆ จึงถามว่า ท่านมาหาเราบัดนี้ด้วยธุระสิ่งใด จูกัดกิ๋นจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ ด้วยซุนกวนมีบุตรชายคนหนึ่ง มีปัญญาหลักแหลม รู้ว่าท่านมีบุตรหญิงคนหนึ่งจึงให้ข้าพเจ้ามาสู่ขอหวังจะได้เปนมิตรกันทั้ง สองฝ่าย จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉ ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้เปนการมงคล ขอท่านจงได้พิเคราะห์ดูให้ควรเถิด

กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า อันบุตรของเรานี้เปนชาติเชื้อเหล่าเสือ ไม่สมควรจะให้แก่สุนัข ท่านว่ามาดังนี้ ถ้าเรามิคิดเห็นแก่หน้าขงเบ้งน้องของท่าน เราก็จะฆ่าท่านเสียอย่าว่าไปเลย ว่าเท่านั้นแล้วก็ให้หหารขับจูกัดกิ๋นออกไปเสีย จูกัดกิ๋นเห็นกวนอูโกรธก็ตกใจกลัว กลับคืนไปหาซุนกวน จึงบอกความตามกวนอูว่าทุกประการ

ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เหตใดกวนอูจึงมาดูถูกเราดังนี้ จึงให้หาเตียวเจียวแลขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้เราจะไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วจะเห็นประการใด เปาจิดจึงว่า อันโจโฉนี้คิดจะใคร่ชิงเอาราชสมบัติพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็นานอยู่แล้ว แต่ทว่าเกรงเล่าปี่อยู่จึงมิอาจทำการได้ แลบัดนี้ให้คนถือหนังสือมาจะให้เราไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วนั้น ก็เหมือนหนึ่งจะแกล้งเอาภัยมาให้เรา

ฝ่ายซุนกวนจึงว่า ท่านว่านี้มิชอบ แต่เล่าปี่ล่อลวงเราว่า จะคืนเมืองเกงจิ๋วให้เราแล้วก็มิให้ เรามีความแค้นอยู่นานแล้ว เปาจิดจึงว่า บัดนี้โจหยินคุมทหารอยู่รักษาเมืองอ้วนเสีย แฮหัวตุ้นอยู่รักษาเมืองซงหยง ก็เปนทางบกหามีแม่นํ้ากั้นหน้าไม่ เหตุใดจึงไม่ไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วเล่า ซึ่งจะให้เราไปตีนี้ท่านยังไม่คิดเห็นประหลาทหรือ ท่านจงใช้ทหารไปหาโจโฉว่า ให้ใช้โจหยินไปรบเอาเมืองเกงจิ๋วเถิด ถ้ากวนอูรู้ก็จะยกไปตีเมืองอ้วนเสีย แล้วท่านจึงวกไปตีเมืองเกงจิ๋วก็จะได้ไม่ขัดสน ซุนกวนได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือไปบอกโจโฉให้ใช้โจหยินไปรบเมืองเกงจิ๋ว

ฝ่ายโจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี แล้วให้บวนทงไปช่วยราชการเปนที่ปรึกษากับโจหยินซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองอ้วนเสีย นั้น โจโฉจึงตอบหนังสือไปถึงซุนกวนว่า ถ้าดังนั้นท่านจงยกเปนทัพเรือไป เห็นว่าจะตีเอาเมืองเกงจิ๋วได้ไม่ขัดสน

(๑) มีอยู่ในเรื่องชิดก๊กไซ่ฮั่น


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 58

https://drive.google.com/file/d/1-GYs_IudklgBs48mxWgSh5ydxWLWRbEG/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #8 on: 23 December 2021, 15:54:57 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 59


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-59.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 59

เนื้อหา
• เล่าปี่ให้กวนอูไปตีเมืองอ้วนเซีย
• กวนอูตีเมืองซงหยงได้
• กวนอูล้อมเมืองอ้วนเซีย
• บังเต๊กอาสามารบกวนอู
• กวนอูถูกเกาทัณฑ์


ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งเปนเจ้าเมืองฮันต๋งนั้น จึงสั่งให้อุยเอี๋ยนคุมทหารตั้งอยู่ในเมืองเสฉวนตรวจตรามิได้ขาด ส่วนเล่าปี่ยกทัพกลับมายังเมืองเสฉวนแล้ว จึงให้สร้างวังแลจัดแจงบ้านเมืองบริบูรณแล้ว ให้นามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองเซงโต๋ จึงให้ตระเตรียมซ่องสุมทแกล้วทหารแลเครื่องศัสตราวุธที่จะทำสงครามพร้อมทุก ประการ

ฝ่ายทหารซึ่งไปเที่ยวสอดแนม ได้ข่าวจึงมาบอกแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่า โจโฉกับซุนกวนคิดกัน จะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ครั้นรู้ดังนั้น จึงปรึกษากับขงเบ้งว่า ซึ่งโจโฉจะยกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วนั้น เห็นจะจริงหรือประการใด

ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า โจโฉจะยกมาจริง ด้วยเดี๋ยวนี้ซุนกวนเปนพวกเดียวกัน แล้วก็มีคนดีที่ปรึกษามาก จะให้โจโฉใช้โจหยินมาตีเมืองเกงจิ๋วมั่นคงอยู่ เล่าปี่จึงถามว่า ถ้าดังนั้นเราจะคิดประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่า ควรเราจะให้ทหารถือหนังสือไป ตั้งกวนอูให้เปนทหารเสือที่เอก แล้วให้เร่งไปตีเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ก่อน เห็นว่าข้าศึกจะเสียทีย่อท้อใจ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงใช้ให้บิสีถือหนังสือไป ณ เมืองเกงจิ๋วตามคำขงเบ้งว่า

ฝ่ายกวนอูครั้นรู้ว่าบิสีมาแล้ว จึงให้คนไปรับเข้ามาให้นั่งที่อันสมควร เคารพกันตามประเพณีแล้วจึงถามว่า ท่านมาบัดนี้ด้วยเหตุประการใด บิสีจึงบอกว่า พระเจ้าเล่าปี่ให้ข้าพเจ้าถือตรามาตั้งท่านให้เปนทหารเสือที่เอก กวนอูจึงถามว่า ที่ทหารเสือทั้งห้านี้ตั้งผู้ใดบ้าง บิสีจึงบอกว่า คือท่านหนึ่ง เตียวหุยหนึ่ง จูล่งหนึ่ง ม้าเฉียวหนึ่ง ฮองตงหนึ่ง

กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เตียวหุยก็เปนน้องของเรา จูล่งเล่าก็ได้ติดตามพี่เรามาช้านานแล้ว ก็เหมือนหนึ่งเปนน้องของเรา ฝ่ายม้าเฉียวเล่าก็เปนชาติเชื้อตระกูลอยู่ แต่ฮองตงคนนี้เปนแต่เชื้อพลทหารชาติตํ่า เปนคนแก่ชราหาควรจะตั้งให้เสมอด้วยเราไม่ ซึ่งมีตรามาดังนี้เรายังหายอมไม่ก่อน

บิสีหัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งท่านโกรธว่ากล่าวดังนี้มิชอบ ประเวณีก็มีมาแต่ก่อน เหมือนครั้งเสียวโหแลโจฉำ ซึ่งทำราชการด้วยพระเจ้าฮั่นโกโจมาก็เปนที่ชอบพระอัชฌาสัย ครั้นอยู่มาฮั่นสินซึ่งอยู่ด้วยพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง ๆ ไม่นับถือ ว่าเปนคนตระกูลอันตํ่า ฮั่นสินจึงหนีมาเปนข้าทหารทำราชการอยู่ด้วยพระเจ้าฮั่นโกโจ คุมทหารไปตีเอาเมืองพระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ พระเจ้าฮั่นโกโจปูนบำเหน็จตั้งให้เปนขุนนางอันมียศไปกินเมืองเจ๋ มียศศักดิ์มากกว่าเสียวโหโจฉำ ซึ่งเปนข้าหลวงเดิมนั้นอีก เสียวโหโจฉำก็มิได้มีใจคิดอิจฉากัน แลซึ่งท่านกับเล่าปี่ก็ได้ปฏิญาณเปนพี่น้องกัน ตัวท่านก็เหมือนพระเจ้าเล่าปี่ ซึ่งตั้งแต่งมานี้ขอท่านจงเห็นแก่ราชการเถิด อย่าถือเลยจงรับเอาตราตั้งนี้ไว้เถิด

กวนอูจึงว่า แต่แรกเราหาทันคิดไม่ ต่อท่านมาว่าดังนี้เราจึงคิดขึ้นได้ ถ้าหาไม่เราก็จะได้ความผิด แล้วก็รับเอาตราตั้งไว้ บิสีจึงเอาหนังสือรับสั่งออกแจ้งแก่กวนอูว่า พระเจ้าเล่าปี่ให้ท่านยกทหารไปเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ กวนอูก็ทำตามรับสั่ง จึงใช้เปาสูหยินแลบิฮองสองนาย คุมทหารเปนทัพหน้าไปตั้งอยู่นอกเมืองเกงจิ๋วให้พร้อมกันแล้ว จึงให้พนักงานแต่งโต๊ะมาให้บิสีกัน แต่เลี้ยงดูกันอยู่จนเวลายามเศษจึงมีผู้มาบอกว่า กองทัพหน้าซึ่งออกไปตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเกิดเพลิงไหม้ขึ้นแล้ว

กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ใส่เสื้อเกราะแล้วขึ้นขี่ม้ารีบออกไปให้ทหารดับเพลิง แล้วรู้ว่าเปนเปาสูหยินกับบิฮองสารวลเสพย์สุราอยู่มิได้เอาใจใส่ราชการ จึงเกิดเพลิงไหม้ขึ้นดังนี้ ครั้นกวนอูดับเพลิงแล้วกลับเข้ามา จึงให้หาเปาสูหยินกับบิฮองเข้ามาแล้วว่า เราใช้ให้ท่านยกออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ยังมิทันจะได้ยกไปท่านทำให้เพลิงไหม้สเบียงแลเครื่องศัสตราวุธ ผู้คนป่วยเจ็บเปนอันมาก ให้เสียราชการไปทั้งนี้ เราจะยกโทษเสียก็มิได้ จึงสั่งทหารให้เอาตัวเปาสูหยินกับบิฮองไปฆ่าเสีย

บิสีจึงทัดทานว่า ยังจะยกทัพไปทำการสงครามเปนการใหญ่อยู่ อันจะมาฆ่าทหารเสียดังนี้ไม่บังควร จะเสียฤกษ์ไป กวนอูยังมิหายโกรธ จึงตวาดเอาแล้วว่ากับเปาสูหยินแลบิฮองว่า ถ้าเรามิเห็นแก่บิสีผู้ห้าม เราก็จะตัดสีสะท่านทั้งสองเสีย จึงสั่งแก่ทหารให้เอาตัวเปาสูหยินแลบิฮองไปโบยคนละสี่สิบที แล้วให้ถอดออกเสียจากที่แม่กองทัพหน้า ให้บิฮองไปรักษาเมืองลำกุ๋น ให้ เปาสูหยินไปอยู่เมืองกังอั๋น แล้วจึงสำทับว่า บัดนี้เรางดโทษท่านไว้ครั้งหนึ่ง ถ้าแลเราไปทำสงครามมีชัยกลับมา ภายหลังถ้าทำความผิดเราจะให้ประหารชีวิตท่านเสีย บิฮองเปาสูหยินได้ความอัปยศแก่ทหารทั้งปวง ด้วยความกลัวก็ไปตามคำกวนอูสั่ง

ฝ่ายกวนอูจึงตั้งให้เลียวหัวเปนแม่ทัพหน้า ให้กวนเป๋งเปนทัพหลัง ม้าเลี้ยงอิเจี้ยเปนที่ปรึกษา ฝ่ายกวนอูเปนกองหลวง ให้ตระเตรียมทหารพร้อมไว้ ได้ฤกษ์จะยกไป ในขณะนั้นกวนอูจึงว่าแก่งอปั้นผู้เปนบุตรงอหัวว่า ท่านมีคุณเมื่อเรายกออกจากด่านโจโฉ ท่านได้ช่วยชีวิตเราไว้ครั้งหนึ่งเราก็คิดถึงคุณอยู่ บัดนี้สิเราจะยกทัพไปแล้ว ท่านจงไปเมืองเสฉวนกับบิสีไปอยู่ด้วยพระเจ้าฮันต๋งเถิด กวนอูก็ให้งอปั้นไปกับบิสี ไปทำราชการอยู่กับพระเจ้าฮันต๋งในเมืองเสฉวน

ครั้นกวนอูบูชาเทวดาอันรักษาธงชัยแล้วก็นอน กวนอูจึงฝันเห็นว่ามีสุกรตัวหนึ่งดำใหญ่เท่าโค เข้ามากัดเอาเท้ากวนอู ๆ ก็เอากระบี่ฟันสุกร ๆ ก็สูญหายไป กวนอูก็สดุ้งตกใจตื่นขึ้น จึงให้หากวนเป๋งบุตรเลี้ยงเข้ามาเล่าความฝันให้ฟัง กวนเป๋งจึงทำนายว่า ซึ่งสุกรกัดเอาเท้าท่านนั้น ใช่อื่นไกลได้แก่มังกร ท่านจะได้ดีเปนที่สูงศักดิ์ประเสริฐกว่าคนทั้งปวง เวลาเช้ากวนอูจึงให้หาทหารทั้งปวงเข้ามาพร้อมกัน แล้วจึงเล่าความฝันนั้นให้ทหารทั้งปวงฟัง ทหารทั้งปวงจึงทำนายว่าร้ายบ้างดีบ้าง กวนอูจึงว่า อายุเราก็ถึงห้าสิบเศษแล้วจะเปนประการใดก็ตามเถิด อันเกิดมาเปนชายจะกลัวความตายก็หาควรไม่

ขณะนั้นพอคนถือหนังสือมาแจ้งแต่เมืองเสฉวนว่า บัดนี้เล่าปี่ซึ่งเปนเจ้าฮันต๋งนั้น มีรับสั่งซ้ำมาตั้งให้ท่านเปนทหารเอกฝ่ายหน้า ถืออาญาสิทธิเปนใหญ่ในหัวเมืองทั้งเก้าซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว กวนอูก็รับตามรับสั่ง ทหารทั้งปวงจึงพร้อมกันว่า ซึ่งท่านฝันนั้นได้แก่รับสั่งแล้วกวนอูก็มีความยินดี จึงให้ยกทหารไปโดยทางใหญ่เมืองซงหยง

ฝ่ายโจหยินซึ่งอยู่เมืองอ้วนเสีย ครั้นรู้ว่ากวนอูยกทัพมาจะตีเมืองซงหยงก็ครั่นคร้าม จึงเกณฑ์ทหารให้รักษาบ้านเมืองเปนกวดขัน เต๊กหงวนผู้เปนทหารรองจึงว่าแก่โจหยินว่า พระเจ้าวุยอ๋องมีรับสั่งให้ท่านไปชักชวนซุนกวนยกทหารเมืองกังตั๋งบัญจบกันไป ตีเมืองเกงจิ๋ว บัดนี้กวนอูยกทัพมาตีเมืองเรา เหมือนหนึ่งเอาชีวิตมาให้เรา ๆ จะย่อท้ออยู่ว่าไร ควรเราจะยกออกต่อสู้ด้วยกวนอูเถิด

บวนทงผู้เปนที่ปรึกษาครั้นได้ยินเต๊กหงวนว่าดังนั้น จึงห้ามโจหยินว่า อันกวนอูนี้มีกำลังแลสติปัญญาความคิดเปนอันมาก ซึ่งท่านจะต่อสู้ด้วยเขานั้นเห็นขัดสน เราจงรักษามั่นไว้แต่ในเมืองเถิด ฝ่ายแฮหัวจุ้นจึงว่า บวนทงนี้เปนแต่คนรู้หนังสือ หารู้การสงครามไม่ เราก็เปนชาติทหารหรือจะกลัวตาย เขายกมาแต่ทางไกล ทหารก็เหน็จเหนื่อยมาเห็นหาชนะเราไม่ โจหยินได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้บวนทงข้ามไปรักษาเมืองอ้วนเสีย โจหยินก็ยกทหารออกจะรบด้วยกวนอู

กวนอูครั้นเห็นโจหยินยกมา ก็สั่งกวนเป๋งกับเลียวหัวว่า ท่านออกไปรบกับโจหยินแล้ว จงกระทำเปนแพ้แตกหนีมาเถิด กวนเป๋งเลียวหัวก็รับคำแล้วยกออกไป ส่วนเลียวหัวนั้นขี่ม้ามาหน้า ฝ่ายโจหยินจึงให้เต๊กหงวนขี่ม้าออกรบกันด้วยกระบวรม้า มิทันถึงเพลงหนึ่ง เลียวหัวจึงขับม้าหนีไปตั่งค่ายอยู่ไกลประมาณสองร้อยเส้น ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนเป๋งกับเลียวหัวก็ยกกองทัพออกไป โจหยินกับแฮหัวจุ้นเต๊กหงวนก็ยกออกรบ

ฝ่ายเลียวหัวกวนเป๋งก็ทำเปนแตกหนี โจหยินก็ไล่ตามไปไกลประมาณสองร้อยเส้น จึงได้ยินเสียงโห่ร้องมาข้างหลัง จึงให้ทหารซึ่งไล่ไปหน้านั้นกลับถอยมา เลียวหัวกับกวนเป๋งก็กลับไล่ไป โจหยินแจ้งว่าเปนกลก็ตกใจ พาทหารหนีข้ามมาทางเมืองซงหยง พบกวนอูขี่ม้าถือง้าวสกัดทางอยู่ โจหยินสดุ้งตกใจกลัวมิอาจจะสู้ ก็ลัดทางหนีข้ามไปทางเมืองอ้วนเสีย กวนอูก็ไล่ติดตามไป พบแฮหัวจุ้นยกสวนลงมา ก็เข้ารบกับกวนอูพอได้เพลงหนึ่ง กวนอูก็ฟันด้วยง้าวถูกแฮหัวจุ้นตกม้าตาย ฝ่ายกวนเป๋งขับม้าไล่ฟันเต๊กหงวนตัวขาดตกม้าลงตาย ทหารทั้งปวงก็ฆ่าฟันทหารโจหยินกระจัดพลัดพรายตกน้ำตายเปนอันมาก กวนอูก็ได้เมืองซงหยง จึงให้บำเหน็จแก่ทหารตามมีความชอบ แล้วเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุขโดยปรกติ

อองฮูผู้เปนที่ปรึกษาจึงว่าแก่กวนอูว่า ท่านทำศึกครั้งนี้สดวกนัก แต่พริบตาเดียวก็ได้ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ซุนกวนอยู่เมืองกังตั๋งนั้น ให้ลิบองคุมทหารมาตั้งอยู่ที่ด่านลกเค้า เปนแดนต่อแดนจะมาตีเมืองเกงจิ๋ว ถ้าเขาจะยกมาท่านจะคิดประการใด

กวนอูจึงว่าเราคิดเห็นอยู่แล้ว เจ้าจงไปตระเตรียมทหารให้ปลูกร้านเพลิงรายตามริมนํ้า ที่สูงนั้นแต่ด่านแฮเค้าเข้ามาจนถึงเมืองเรา ให้ไกลกันสองร้อยเส้นบ้าง สามร้อยเส้นบ้าง ให้คนอยู่รักษาแห่งละห้าสิบคน ถ้าซุนกวนข้ามมาแล้ว เวลากลางคืนให้จุดเพลิงให้สว่าง ถ้ากลางวันให้สุมเปนควันขึ้น จะได้รู้เปนสำคัญ เราจะได้ยกไปช่วยกันรบ

อองฮูจึงว่า บิฮองกับเปาสูหยิน ซึ่งไปรักษาปากอ่าวสองหัวเมืองนั้น เกลือกว่านํ้าใจจะมิคิดโดยสุจริต ท่านจงให้ทหารซํ้าไปตรวจตราดูเมืองเกงจิ๋วก่อน กวนอูจึงว่าเราก็ให้พัวโยยไปอยู่รักษาแล้ว ท่านอย่าวิตกเลย อองฮูจึงตอบว่า พัวโยยคนนี้ประกอบไปด้วยโลภเห็นแก่ลาภ ข้าพเจ้าเห็นหาไว้ใจได้ไม่ ขอท่านจงใช้เตียวลุยนายกองสเบียงเปนคนสัตย์ซื่อมั่นคงไปอยู่เถิด เห็นไม่เปนอันตราย ถึงจะทำการยิ่งกว่านี้สักหมื่นเท่าก็หามีความย่อท้อไม่

กวนอูจึงว่า อันพัวโยยนี้ชั่วดีมาอย่างไรเราย่อมรู้อยู่แล้ว ซึ่งจะให้เตียวลุยไปอยู่แทนที่นั้นอย่าให้ไปเลย อันตัวเตียวลุยสำหรับคุมสเบียงก็เปนใหญ่อยู่ ท่านอย่าสงสัยเลยจงไปทำตามคำเราเถิด อองฮูได้ฟังดังนั้นก็ลากวนอูไป กวนอูจึงสั่งกวนเป๋งให้จัดแจงเรือรบ จะยกข้ามแม่น้ำซงกั๋งไปตีเอาเมืองอ้วนเสีย

ฝ่ายโจหยินครั้นเสียทหารสองคนแล้ว จึงถอยทหารมาตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองอ้วนเสีย แล้วจึงว่าแก่บวนทงว่า ท่านห้ามเราแล้วเราไม่ฟังจึงเสียทหารแลบ้านเมือง บัดนี้เราจะคิดประการใดดี บวนทงจึงว่า กวนอูคนนี้มีกำลังมาก ท่านจงคิดป้องกันให้มั่นคง ขณะนั้นลิเสียงจึงว่าแก่โจหยินว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันไปสู้ด้วยกวนอูเอาชัยชนะให้ได้ บวนทงจึงว่า ถึงท่านจะยกไปก็หาชนะเขาไม่

ลิเสียงจึงว่า ทำไฉนจะกำจัดข้าศึกเสียได้ไม่รู้หรือในพิชัยสงครามว่าไว้ว่า ข้าศึกยกมาถึงท่ามกลางแม่น้ำ ถ้าออกไปตีก็จะมีชัย บัดนี้กวนอูยกมาถึงกลางแม่นํ้าซงกั๋งแล้ว เหตุใดจึงมิได้ยกออกตี ถ้าเขาข้ามมาถึงประชิดเชิงกำแพงได้เห็นจะขัดสน โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ให้ลิเสียงคุมทหารสามพันยกออกจากเมืองอ้วนเสีย พอแลเห็นกวนอูข้ามมาขึ้นขี่ม้าถือง้าวยืนอยู่หน้า

ฝ่ายทหารลิเสียงแลไปเห็นกวนอูก็ตกใจกลัว ต่างคนต่างก็แตกหนี ลิเสียงจึงร้องห้ามทหารทั้งปวงไว้ก็ไม่หยุด ฝ่ายกวนอูเห็นได้ทีก็ขับทหารทั้งปวงไล่ฆ่าฟันทหารลิเสียงตายเปนอันมาก ส่วนตัวลิเสียงกับทหารซึ่งหนีได้นั้น ก็กลับเข้าไปในเมืองอ้วนเสีย ฝ่ายโจหยินจึงใช้ทหารไปถึงเมืองเตียงอั๋นทูลแก่โจโฉว่า กวนอูยกมาตีได้เมืองซงหยงแล้ว บัดนี้ยกมาล้อมเมืองอ้วนเสียไว้ จะขอกองทัพยกไปช่วย

โจโฉรู้ดังนั้นจึงว่าแก่อิกิ๋มว่า เราเห็นแต่ท่านผู้เดียวอาจไปช่วยเมืองอ้วนเสียได้ อิกิ๋มจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารเปนกองหน้าไปด้วย บังเต๊กจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาเปนกองหน้าไปจับเอาตัวกวนอูมาถวาย โจโฉจึงว่า อันกวนอูคนนี้เปนคนมีฝีมือปรากฎ ไม่เห็นผู้ใดจะต่อสู้ได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวอาจสามารถจะต่อสู้ได้ จึงตั้งอิกิ๋มให้เปนทัพหลวง ตั้งบังเต๊กเปนทัพหน้า ให้ตังเหงตังเฉียวเสงโห คุมทหารเจ็ดหมวดไปช่วยเมืองอ้วนเสีย ตังเหงจึงว่าแก่อิกิ๋มว่า อันท่านจะยกไปช่วยราชการเมืองอ้วนเสียนั้นเห็นจะได้อยู่ ซึ่งบังเต๊กเปนทัพหน้าไปนั้นเห็นจะเสียราชการ

อิกิ๋มได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า ท่านเห็นเหตุผลประการใด ตังเหงจึงตอบว่า อันบังเต๊กคนนี้เมื่อก่อนนั้นเปนทหารม้าเฉียว ครั้นไม่อยู่ด้วยม้าเฉียวแล้ว จึงมาอยู่ด้วยพระเจ้าวุยอ๋อง แลม้าเฉียวนายเก่านั้น ก็เปนทหารเสืออยู่ในเล่าปี่ บังยิวผู้พี่ก็เปนขุนนางอยู่ในเมืองเสฉวน แลบัดนี้จะให้บังเต๊กเปนนายกองทัพหน้านั้น ดังเอาน้ำมันไปซัดเข้าในกองเพลิง เหตุใดท่านจึงมิทูลพระเจ้าวุยอ๋องให้จัดผู้อื่นไป อิกิ๋มได้ฟังดังนั้นก็เข้าไปในเวลากลางคืน จึงทูลแก่พระเจ้าวุยอ๋องตามคำตังเหงทุกประการ

โจโฉได้ฟังจึงให้หาบังเต๊กมาแล้วว่า ซึ่งเราตั้งท่านเปนทัพหน้านั้นท่านอย่าไปเลย เราจะจัดผู้อื่นไป บังเต๊กจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะตั้งใจทำราชการสนองพระคุณโดยสุจริต พระองค์จะมิให้ไปนั้นด้วยเหตุประการได โจโฉจึงว่า ซึ่งเรามิให้ท่านไปบัดนี้ เพราะบังยิวพี่ของท่านแลม้าเฉียวนายเก่าท่านนั้นก็อยู่ด้วยเล่าปี่ แลซึ่งท่านจะเปนกองหน้าไปนั้นเราก็เห็นด้วย แต่ทหารทั้งปวงหาเปนใจไม่

บังเต๊กได้ฟังดังนั้น จึงถอดหมวกออกเอาหน้าผากกระทบลงกับศิลา สีสะแตกโลหิตไหลอาบหน้าแล้วจึงทูลว่า ข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยพระองค์ แต่ครั้งเมืองฮันต๋ง พระองค์ได้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ยังมิได้แทนพระคุณเลย เหตุใดจึงมาสงสัยฉนี้ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยพี่ชายนั้น พี่สะใภ้ทำประทุษฐร้ายต่อข้าพเจ้า ๆ เสพย์สุราเมาแล้วจึงฆ่าพี่สะใภ้เสีย พี่ชายโกรธข้าพเจ้าก็ตัดกันแต่นั้นมา เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับม้าเฉียวนั้น เห็นว่าม้าเฉียวเปนแต่คนใจกล้าหาปัญญามิได้ พาทหารไปทำศึกตายเสียสิ้น อยู่แต่ตัวผู้เดียวจึงไปอยู่กับเล่าปี่ ข้าพเจ้าก็มาเปนข้าพระองค์ บัดนี้ต่างคนต่างก็มีเจ้าด้วยกัน ขาดไมตรีต่อกันแล้ว อันพระองค์มีคุณแก่ข้าพเจ้า ๆ ก็จะขออาสาไปทำสงครามแทนคุณท่านครั้งนี้

โจโฉจึงลุกไปจูงมือบังเต๊กเข้ามาใกล้แล้วจึงปลอบว่า อันความจริงนั้นเราก็รู้อยู่ว่า ท่านเปนคนสัตย์ซื่อประกอบไปด้วยกตัญญู ซึ่งเราแกล้งว่านั้นหวังจะให้คนทั้งปวงสิ้นสงสัย ท่านจงไปทำราชการโดยสุจริตเถิด บังเต๊กได้ฟังดังนั้นก็เคารพลาพระเจ้าวุยอ๋องไปบ้าน จึงให้ต่อโลงใบหนึ่ง แล้วเรียกชาวบ้านพวกเพื่อนมาเลี้ยงโต๊ะพร้อมกัน แล้วก็ยกโลงออกมาตั้งไว้ต่อหน้าคนทั้งปวง ๆ จึงถามว่า ท่านสิจะยกทัพไป เหตุใดจึงมาทำดังนี้จะมิเปนลางไปหรือ

บังเต๊กชูจอกเหล้าขึ้นแล้วจึงว่า พระเจ้าวุยอ๋องมีคุณแก่เรา บัดนี้เราจะอาสาไปทำการสงครามกับกวนอูครั้งนี้ก็เปนที่สุดอยู่แล้ว ถ้ากวนอูไม่ตายเราก็จะตายเปนมั่นคง คนทั้งปวงจึงสรรเสริญว่า ท่านว่าดังนี้ก็ชอบอยู่ แล้วบังเต๊กจึงเรียกนางลิซีผู้เปนภรรยามาแล้วจึงสั่งว่า ถ้าเราหาบุญไม่ บังโฮยบุตรชายของเรานี้มีลักษณะอันดี จงอุตส่าห์เลี้ยงไว้จะได้ไปรบกับกวนอูแทนตัวเรา

ขณะเมื่อจะยกทัพนั้น บังเต๊กจึงสั่งแก่ทหารพร้อมกันว่า ถ้าแลเราตาย ท่านจงเอาใส่โลงนี้มาถวาย ถ้าเราฆ่ากวนอูตาย จะตัดเอาสีสะกวนอูใส่โลงมาถวาย ทหารทั้งห้าร้อยก็ชื่นชมยินดีจึงว่า ถ้าท่านตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริตดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าทั้งปวงก็เต็มใจที่จะทำราชการด้วยท่าน ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็ยกทัพไป จึงมีผู้เอาเนื้อความซึ่งบังเต๊กว่านั้นไปทูลแก่พระเจ้าวุยอ๋อง ๆ ก็ชื่นชมยินดีจึงว่า ถ้าบังเต๊กสัตย์ซื่อดังนี้แล้ว เราจะวิตกอันใดกับข้าศึกเล่า

แกอูได้ยินจึงทูลว่า บังเต๊กนี้ดีแต่กล้าอย่างเดียว ข้าพเจ้าคิดวิตกอยู่เห็นหาชนะกวนอูไม่ พระเจ้าวุยอ๋องก็เห็นด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือตามไปว่าแก่บังเต๊กว่า กวนอูเขามีกำลังพะลังทั้งความคิดก็มาก ซึ่งจะรบกันนั้นอย่าประมาท ถ้าเห็นได้ทีแล้วจึงทำการ ถ้าไม่ได้ทีก็รักษาตัวมั่นไว้อย่าให้มีอันตรายได้

ฝ่ายบังเต๊กครั้นรู้ในรับสั่งพระเจ้าวุยอ๋องแล้ว จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า กวนอูนี้เปนคนกล้าปรากฎมาถึงสามสิบปีแล้ว บัดนี้เราจะมากำจัดเสียให้ได้ เหตุใดเจ้าเราจึงมาสรรเสริญกวนอูนักดังนี้ อิกิ๋มผู้เปนแม่ทัพหลวงได้ฟังบังเต๊กว่าดังนั้นจึงว่า ซึ่งมีรับสั่งมาดังนี้ก็ควรที่เราจะทำตามจึงจะชอบ ครั้นอิกิ๋มบังเต๊กปรึกษากันดังนั้นแล้ว ก็ยกทัพล่วงเข้ามาใกล้เมืองอ้วนเสีย จึงให้ทหารโห่ร้องตีกลองขึ้นพร้อมกัน

ฝ่ายกวนอูซึ่งตั้งประชิดเมืองอ้วนเสียอยู่นั้น ครั้นแจ้งว่าอิกิ๋มกับบังเต๊กยกทัพมา แลกล่าวคำหยาบช้าเอาโลงมาจะใส่สีสะ กวนอูมีความแค้นยิ่งนัก จึงว่าตัวเราก็มีฝีมือเลื่องลืออยู่ในแผ่นดิน เหตุใดอ้ายบังเต๊กเปนแต่คนต่ำช้าจึงมาว่าเราฉนี้ จึงสั่งให้กวนเป๋งบุตรเลี้ยงไปรบเมืองอ้วนเสีย ส่วนกวนอูนั้นจะยกไปรบกับบังเต๊ก กวนเป๋งจึงว่าแก่บิดาว่า ตัวท่านดังหนึ่งเขาอันใหญ่ อันบังเต๊กนั้นดังก้อนศิลาอันน้อย ดังรือจะไปต่อสู้กับมันนั้นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขอไปต่อสู้ด้วยบังเต๊กแทน กวนอูจึงว่าเจ้าจะไปก็ตามเถิด เราจึงจะยกตามไปภายหลัง กวนเป๋งก็ลาบิดายกทหารไป

ฝ่ายบังเต๊กเห็นกวนเป๋งมา ก็ให้ทหารเอาธงใหญ่ซึ่งเขียนเปนอักษรสี่ตัว ชื่อว่าชาวลำหันบังเต๊กถือนำหน้า บังเต๊กนั้นใส่เสื้อเกราะถือง้าวขี่ม้าออกมายืนอยู่หน้าทหารทั้งห้าร้อย แล้วจึงให้ยกเอาโลงมาตั้งไว้ตรงหน้า กวนเป๋งครั้นเห็นบังเต๊กขี่ม้ายืนอยู่ดังนั้น จึงร้องด่าว่าอ้ายคนทรยศไม่ตรงต่อนาย

ฝ่ายบังเต๊กได้ยินจึงถามทหารทั้งปวงว่า ซึ่งยกมานี้คือผู้ใด ทหารจึงบอกว่าชื่อกวนเป๋ง เปนบุตรเลี้ยงกวนอู บังเต๊กจึงร้องว่าแก่กวนเป๋งว่า พระเจ้าวุยอ๋องใช้ให้เรายกมาจะเอาสีสะกวนอูผู้เปนบิดาตัว เองเปนแต่ลูกเล็กหาควรคู่กับเราไม่ เองเร่งกลับไปบอกให้บิดาออกมารบกับเราจึงจะควร

กวนเป๋งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกับบังเต๊กด้วยกระบวรม้าได้สามสิบเพลงก็มิได้แพ้ชนะกัน ต่างคนต่างก็ล่าทัพถอยไป ขณะนั้นทหารมาบอกกวนอูว่า บัดนี้กวนเป๋งซึ่งออกไปรบกับบังเต๊กนั้นยังไม่แพ้ชนะกัน กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งเลียวหัวให้เข้าตีเอาเมืองอ้วนเสีย กวนอูก็ยกทัพรีบตามกวนเป๋งออกไป กวนเป๋งครั้นเห็นกวนอูมาจึงบอกว่า ข้าพเจ้ารบกับบังเต๊กได้สามสิบเพลง ยังไม่เอาชัยชนะได้บังเต๊กก็ล่าทัพไป กวนอูก็เร่งทหารเข้าประชิดค่ายบังเต๊กไว้ แล้วจึงร้องว่าเราชื่อกวนอู ท่านจงเร่งเอาชีวิตมาให้แก่เราเถิด

บังเต๊กครั้นได้ยินดังนั้นจึงออกมาร้องว่า พระเจ้าวุยอ๋องใช้ให้เรามาเอาสีสะท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อก็แลมาดูแต่โลงนี้เถิด แม้กลัวความตายก็ให้เร่งลงจากม้ามานบนอบแก่เรา ๆ จะช่วยเอาชีวิตไว้ กวนอูจึงว่า เองว่านั้นกูเห็นเกินไปไม่สมควร กูจะฆ่ามึงเหมือนฆ่าหนูน้อยเสียตัวหนึ่ง กูคิดเสียดายคมง้าวของกู กวนอูว่าดังนั้นแล้วก็ขับม้าถือง้าวเข้ารบกับบังเต๊ก รบกันได้ร้อยเพลงเศษ ก็ยังมิได้แพ้ชนะกัน ฝ่ายทหารทั้งปวงกลัวบังเต๊กจะแพ้ จึงให้ตีม้าฬ่อเปนสำคัญให้ถอยไป กวนเป๋งเห็นว่าบิดาชรากลัวจะเสียที ก็ให้ตีม้าฬ่อล่าทัพ ต่างคนต่างก็กลับไป

ฝ่ายบังเต๊กมาถึงค่ายแล้ว จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เขาเล่าลือมาว่า กวนอูมีฝีมือ เราพึ่งได้เห็นวันนี้เขาดีจริง ขณะนั้นอิกิ๋มจึงว่าแก่บังเต๊กว่า ท่านเข้ารบกันกับกวนอูถึงร้อยเพลงแล้ว เหตุใดท่านจึงมิถอยทัพเสีย จะมิผิดจากรับสั่งหรือ บังเต๊กจึงตอบว่า พระเจ้าวุยอ๋องตั้งท่านเปนแม่ทัพหลวง เหตุใดจึงมาย่อท้อแก่ข้าศึกดังนี้มิบังควร เวลาพรุ่งนี้เราจะออกต่อสู้ด้วยกวนอูกว่าจะสิ้นชีวิต มิได้ถอยหลังเลย อิกิ๋มมิอาจที่จะขัดได้ก็กลับไปค่ายของตัว

ฝ่ายกวนอูครั้นกลับมาถึงค่ายแล้วจึงว่ากับกวนเป๋งว่า บังเต๊กนี้เขาก็ดีอยู่ ในกระบวรง้าวมีฝีมือก็พอทันกันกับเรา กวนเป๋งจึงว่าแก่บิดาว่า ถึงมาทว่าท่านจะต่อรบฆ่าบังเต๊กเสีย ถ้าชนะก็เหมือนชนะผู้หญิง ถ้าขุกแพ้แก่มันก็จะเสียเกียรติยศของพระเจ้าฮันต๋งหาควรไม่ กวนอูจึงว่า ถ้าเรามิฆ่าอ้ายบังเต๊กเสียได้ก็หาหายความแค้นไม่ เจ้าอย่าว่าดังนี้เลย ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูก็ยกไป ฝ่ายบังเต๊กก็ออกต่อสู้รบกันได้สิบเพลง บังเต๊กแกล้งทำเสียทีลากง้าวหนี กวนอูเห็นดังนั้นก็ไล่ติดตามไป จึงร้องด่าว่ามึงอย่าพักแกล้งทำกระบวรหนีเลย กูรู้เท่ามึงอยู่หากลัวไม่

ฝ่ายกวนเป๋งกลัวว่ากวนอูผู้บิดาจะเปนอันตรายก็ตามไป พอแลเห็นบังเต๊กเอาง้าวพาดตักชักเกาทัณฑ์ออกจะยิงจึงร้องด่าไปว่า อ้ายศัตรูมึงอย่าเพ่อยิงบิดากูก่อน กวนอูได้ยินจึงกลับหน้าเหลียวมา พอบังเต๊กยิงหลบมิทันจึงถูกไหล่ขวา กวนเป๋งก็เข้าแก้ช่วยบิดามาค่ายได้ ฝ่ายอิกิ๋มอยู่ในค่ายเห็นบังเต๊กยิงถูกกวนอู ก็คิดอิจฉากลัวบังเต๊กจะมีชัยได้ความชอบ จึงแกล้งตีม้าฬ่อให้สัญญาถอยทัพ

บังเต๊กได้ยินคิดว่าเกิดเหตุก็กลับมาค่าย จึงถามอิกิ๋มว่าเรามีชัยจะตามข้าศึกไป เหตุใดจึงตีม้าฬ่อ อิกิ๋มจึงตอบว่า มีรับสั่งพระเจ้าวุยอ๋องมาว่า กวนอูเปนคนมีปัญญาอุบายมาก ซึ่งถูกเกาทัณฑ์นั้นเกลือกจะลวง เราจึงตีม้าฬ่อห้ามไว้ บังเต๊กจึงว่า ถ้าท่านมิห้ามเรา ๆ ก็จะตามฆ่ากวนอูได้ อิกิ๋มจึงว่า ซึ่งจะทำใจเร็วนั้นไม่ดีเกลือกจะมีภัย เราจะต้องคิดยับยั้งให้ดีก่อน บังเต๊กหารู้ถึงใจอิกิ๋มไม่ คิดเสียดายซึ่งได้ทีนั้นไม่รู้แล้ว

ฝ่ายกวนอูครั้นกลับมาถึงค่ายแล้ว จึงให้ชักลูกเกาทัณฑ์ซึ่งติดไหล่ออกแล้วจึงเอายาใส่ คิดโกรธจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ท่านจงเปนพยานเราด้วย เราจะแก้ฝีมืออ้ายบังเต๊กให้จงได้ ถ้าแก้แค้นมิได้เราก็ไม่ทำศึกสืบไปเลย ทหารทั้งปวงจึงว่า ท่านจงรักษาตัวเสียให้หายก่อนเถิด จึงค่อยยกออกรบกับข้าศึกอีก

ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูรู้ว่าบังเต๊กจะยกมารบ กวนอูจะออกไปรบกับบังเต๊ก ทหารทั้งปวงก็ห้ามไว้ บังเต๊กจึงให้ทหารร้องด่าหวังว่าจะให้กวนอูโกรธยกออกมารบกัน กวนอูก็มิได้ออกมารบ กวนเป๋งผู้เปนบุตรจึงให้รักษาค่ายไว้เปนสามารถ แล้วจึงสั่งทหารมิให้เอาข่าวเข้าไปบอกแก่กวนอู บังเต๊กแต่ยกไปยั่วกวนอูถึงสิบวัน ครั้นไม่เห็นทัพกวนอูออกมารบก็ปรึกษาแก่อิกิ๋มว่า ชรอยกวนอูถูกเกาทัณฑ์จะป่วยอยู่จึงไม่เห็นออกมารบกับเรา บัดนี้ควรเราจะยกทหารทั้งเจ็ดหมวดเข้าตีค่ายกวนอูเถิด จึงจะแก้เมืองอ้วนเสียไว้ได้ อิกิ๋มกลัวว่าบังเต๊กจะมีความชอบ จึงทัดทานไว้ตามรับสั่งไม่ยอม แต่ห้ามไว้เปนหลายครั้ง ส่วนอิกิ๋มนั้นก็ยกทหารไปสกัดทางใหญ่อยู่ที่ทุ่งจันเค้า ไกลเมืองอ้วนเสียทางประมาณร้อยเส้น ให้บังเต๊กไปตั้งซุ่มอยู่ข้างหลังหวังมิให้ออกรบ

ฝ่ายกวนเป๋งครั้นรู้ข่าวแล้วจึงไปบอกกับบิดาว่า บัดนี้อิกิ๋มกับบังเต๊กยกทัพไปตั้งอยู่ที่หุบเขาไม่รู้ว่าจะคิดทำเปนประการ ใด กวนอูพอรักษาแผลเกาทัณฑ์หายแล้ว ได้ยินข่าวดังนั้นก็ขึ้นม้าพาทหารไปยืนบนเนินเชิงเขาแห่งหนึ่ง แลไปในเมืองอ้วนเสียเห็นธงแลทหารก็ร่วงโรยไม่ตระเตรียม จึงแลไปเห็นทุ่งมีในหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทิศเหนือ เห็นพวกอิกิ๋มบังเต๊กตั้งอยู่ไกลเมืองประมาณร้อยเส้น แล้วเห็นแม่นํ้าซงกั๋งไหลเชี่ยวเปนกำลัง จึงให้หาชาวบ้านออกมาแล้วถามว่า ทุ่งอันนี้ชื่อไร ชาวบ้านจึงบอกว่าทุ่งจันเค้า กวนอูดีใจจึงว่า อิกิ๋มครั้งนี้หาพ้นเงื้อมมือเราไม่ ทหารจึงถามว่า ท่านเห็นเหตุประการใด กวนอูจึงบอกว่า ข้าศึกเข้าตั้งอยู่ที่แคบ เห็นจะคิดทำการได้สดวก แล้วก็พาทหารมาค่าย จึงสั่งให้ทำเรือรบน้อยใหญ่ตระเตรียมไว้เปนอันมาก

กวนเป๋งจึงถามกวนอูว่า บัดนี้สิเราจะได้ยกโดยขบวรบกอีก เหตุใดท่านจึงให้ตระเตรียมเรือฉนี้เล่า กวนอูจึงบอกแก่กวนเป๋งว่า บัดนี้อิกิ๋มบังเต๊กยกถอยออกไปทั้งค่ายอยู่ทุ่งจันเค้าในหุบเขา เราเห็นว่าที่นั่นเปนที่ลุ่ม ตำบลเราเปนที่ดอน เห็นว่าในเดือนสิบฝนจะตกหนักน้ำจะเกิดมากก็จะท่วมที่ค่าย คนทั้งปวงก็จะลำบากหาที่อาศรัยมิได้ เราก็จะยกทัพเรือไปรบเอา เห็นจะได้โดยง่าย กวนเป๋งได้ยินดังนั้นก็นบนอบเห็นชอบด้วยบิดา

ฝ่ายทหารทั้งปวงซึ่งมาทั้งค่ายอยู่ที่นั้น ครั้นเห็นฝนตกมิได้ขาด วันหนึ่งเสงโหจึงว่าแก่อิกิ๋มว่า ซึ่งเราตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งจันเค้านี้ เปนที่แคบที่ลุ่มใกล้กันกับเขา บัดนี้ก็เปนฤดูฝน ๆ ก็ตกชุกทุกวันมิได้ขาด ทหารทั้งปวงได้ความลำบากนัก บัดนี้ได้ยินว่ากวนอูให้ตั้งค่ายอยู่บนเนินเขาอันสูง แล้วให้ตระเตรียมเรือรบใหญ่น้อยไว้เปนอันมาก ถ้าน้ำมามากเห็นพวกเราจะลำบากด้วยน้ำ หาที่จะอาศรัยมิได้ เราจะคิดประการใด อิกิ๋มจึงร้องตวาดด่าว่าอ้ายคนชั่ว มึงมาว่าดังนี้หวังจะให้ทหารเราเสียน้ำใจ อย่าเจรจาต่อไปเลย ถ้ามิฟังกูจะฆ่าเสีย

ฝ่ายเสงโหได้ยินดังนั้นก็ตกใจได้ความละอาย จึงถอยออกมาแล้วไปบอกแก่บังเต๊กตามคำของตัวและอิกิ๋มว่านั้น บังเต๊กจึงว่า ท่านว่านี้ชอบ แลอิกิ๋มผู้แม่ทัพมิยอมยักย้ายก็ตามความคิดเขา แต่เวลาพรุ่งนี้เราจะยกไปตั้งอยู่ที่อื่น ครั้นปรึกษาแล้วเวลาคํ่าก็เกิดพายุฝนตกหนัก บังเต๊กได้ยินพายุแลฝนอึงมาดังนั้นก็ตกใจ จึงขี่ม้าออกไปยืนดูหน้าค่าย แลไปทั้งแปดทิศเห็นนํ้ามาเปนอันมาก ท่วมค่ายลึกได้ประมาณหกศอก ทหารได้ความลำบากจมนํ้าตายเปนอันมาก อิกิ๋มกับบังเต๊กแลทหารที่เหลือตายนั้น ต่างคนต่างหนีไปอาศรัยอยู่บนเนินเขาน้อย แลอิกิ๋มกับบังเต๊กนั้นมิได้อยู่แห่งเดียวกัน ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูก็ให้ทหารโห่ร้องโบกธงตีกลองแล้วยกทัพเรือเร่งรีบมา

ฝ่ายอิกิ๋มเห็นกวนอูยกมาก็ตกใจ มีทหารอยู่ประมาณห้าสิบหกสิบคน เห็นจะสู้ไม่ได้จึงร้องไปว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ต่อรบแล้ว จะขอยอมแพ้ไปเปนข้าท่าน แล้วกวนอูจึงให้อิกิ๋มถอดเสื้อทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสีย แล้วเอาเรือรบเข้ารับตัวไป แล้วจะไปจับตัวบังเต๊ก

ฝ่ายบังเต๊กกับตังเหงตังเฉียวเสงโห มีทหารอยู่ประมาณห้าร้อยคน ยืนอยู่บนเนินเขา เห็นกวนอูมาก็มิได้เกรงกลัว กวนอูก็ให้เอาเรือรบล้อมเข้า ยิงเกาทัณฑ์กระหน่ำขึ้นไปถูกทหารบังเต๊กตายลงสักสองส่วน

ฝ่ายตังเหงตังเฉียวครั้นเห็นจะถึงที่อับจนแล้วจึงบอกบังเต๊กว่า ทหารเราตายกว่าครึ่งทั้งท่าทางจะหนีก็ขัดสน ควรเราจะยอมแก่กวนอูเอาชีวิตให้รอดไว้เถิด บังเต๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราเปนข้าพระเจ้าวุยอ๋องได้ให้ความสัตย์ไว้แล้ว ซึ่งเราจะยอมไปเปนข้ากวนอูนั้นไม่บังควร ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็ฆ่าตังเหงตังเฉียวเสีย แล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดว่าดังนี้เราจะเอาโทษเหมือนอ้ายสองคนนั้น พวกทหารได้ฟังก็เร่งรบกับกวนอูมิได้ย่อท้อ แต่เวลาเช้าจนเวลาจวนเที่ยง กวนอูก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์แลทิ้งก้อนศิลากระหนาบไปเปนห่าฝน

ฝ่ายบังเต๊กก็ให้รบไม่หยุดหย่อน แล้วจึงว่าแก่เสงโหว่า เราได้ยินเขาว่ามาแต่ก่อน อันขึ้นชื่อว่าทหารแล้วมิได้มีความย่อท้อแก่ข้าศึก อุตส่าห์รบเอาชัยชนะจงได้ แลบัดนี้เราก็อับจนถึงที่ตายอยู่แล้ว ท่านทั้งปวงจงมานะช่วยกันรบกว่าจะตายเถิด เสงโหได้ยินก็มานะถือง้าวออกหน้าเข้ารบด้วยกวนอูก็ถูกเกาทัณฑ์ตาย

ฝ่ายทหารทั้งปวงเห็นเสงโหตายแล้วก็เสียใจ ชวนกันไปยอมเข้าเปนพวกกวนอูสิ้น ส่วนตัวบังเต๊กนั้นอยู่แต่ผู้เดียว จึงเห็นเรือน้อยลำหนึ่งมีคนสิบคนแจวเข้ามาใกล้ บังเต๊กถือง้าวก็โดดลงเรือได้ไล่ทหารทั้งนั้นลงน้ำหนีไป บังเต๊กครั้นได้เรือแล้วมือหนึ่งถือง้าว ก็เร่งแจวเรือจะหนีเข้าเมืองอ้วนเสีย

ฝ่ายจิวฉองทหารกวนอู มีกำลังชำนาญรบในขบวรเรือ ครั้นแลเห็นบังเต๊กแจวเรือหนีไปดังนั้น ก็เร่งให้ทหารถ่อเรือรบไล่มาเกยเรือบังเต๊กล่ม

บังเต๊กนั้นก็ทิ้งง้าวเสียโดดลงนํ้า จิวฉองก็จับตัวได้แล้วพามาให้กวนอู ๆ ก็ยกทัพกลับมาถึงค่าย จึงให้เอาตัวอิกิ๋มขึ้นมาจากเรือแล้วถามว่า ครั้งนี้เหตุใดตัวจึงองค์อาจมารบกับเรา อิกิ๋มจึงว่า ข้าพเจ้าเปนข้าพระเจ้าวุยอ๋องใช้ขัดมิได้ ซึ่งมารบกับท่านนั้นโทษก็ผิดอยู่แล้ว ท่านจงละชีวิตข้าพเจ้าไว้จะอยู่เปนข้าทำการศึกแทนคุณสืบไป

กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า เราจะฆ่าชีวิตตัวเสียนี้ ดังหนึ่งฆ่าสุนัขเสียตัวหนึ่งก็เหมือนกัน จึงสั่งให้ทหารมัดตัวอิกิ๋มพากลับไปเมืองเกงจิ๋วให้จำใส่คุกไว้กว่าจะเสร็จ การศึก แล้วจึงสั่งให้เอาตัวบังเต๊กเข้ามาถามว่า บัดนี้เราจับมาได้ตัวจะคิดประการใด

ฝ่ายบังเต๊กมีความมานะยืนอยู่มิได้คำนับ กวนอูจึงถามว่า บังฮิวพี่ของตัวแลม้าเฉียวนายเก่านั้นก็เปนข้าราชการอยู่ในเมืองเสฉวน แลบัดนี้เรายกกองทัพมาเหตุใดตัวจึงไม่มาสมัคอยู่ด้วยเรา บังเต๊กได้ฟังก็โกรธจึงว่า เราเปนข้าพระเจ้าวุยอ๋อง ๆ มีคุณแก่เราเปนอันมาก ซึ่งเราจะยอมเข้าแก่ท่านนั้นมิบังควร เราจะขอตายด้วยคมหอกคมดาบหารักชีวิตไม่ แล้วว่ากล่าวหยาบช้าแก่กวนอูเปนอันมาก กวนอูโกรธจึงให้เอาบังเต๊กไปฆ่าเสีย แล้วกลับคิดปรานีขึ้นมาจึงให้เอาศพไปฝังไว้

ฝ่ายโจหยินซึ่งอยู่ในเมืองอ้วนเสียนั้น ครั้นเห็นน้ำมากจึงเร่งให้ชาวบ้านปิดช่องแลคลองเสีย นํ้าก็หักพุ่งเข้ามาในเมืองได้ ทหารทั้งปวงได้ความลำบากเปนอันมาก โจหยินจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้งนี้เห็นเราจะมีอันตรายเสียจริง ทั้งน้ำก็มากคนทั้งปวงได้ความลำบากนัก ข้าศึกเข้ามารบเห็นจะต้านทานมิได้ ควรเราจะทิ้งเมืองอ้วนเสียยกหนีไปรักษาชีวิตไว้ก่อน แล้วจึงสั่งให้ตระเตรียมเรือซึ่งจะหนีไป

ขณะนั้นบวนทงที่ปรึกษาจึงห้ามว่า ซึ่งจะทิ้งเมืองอ้วนเสียนั้นไม่ควร อยู่สักสองสามวันน้ำนั้นก็จะถอยลงแห้ง เราเห็นว่าอันกวนอูซึ่งจะยกมารบในคราวน้ำนี้ก็เห็นว่ายังหามาไม่ก่อน เห็นจะให้แต่ทหารไปขัดทัพอยู่เกียบแฮ ซึ่งเปนทางจะเข้ามาเมืองอ้วนเสีย ด้วยกลัวว่าพวกเราจะไปตีวกหลัง อันเมืองอ้วนเสียนี้เปนหลักใหญ่กว่าหัวเมืองปากใต้ทั้งปวง ถ้าทิ้งเมืองอ้วนเสียเสียแล้ว เมืองเตียงอั๋นก็จะเปลี่ยวอยู่

โจหยินจึงตอบบวนทงว่า ท่านว่านี้เราก็เห็นชอบด้วย ถ้าท่านมิได้ทักท้วงเราเห็นจะเสียราชการไปครั้งนี้ ว่าดังนั้นแล้วก็ขี่ม้าขาวขึ้นไปยืนอยู่บนเชิงเทิน แล้วจึงร้องว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราถือรับสั่งพระเจ้าวุยอ๋องมา ถ้าผู้ใดทำราชการย่อหย่อนออกปากว่าจะทิ้งเมืองอ้วนเสีย เราจะตัดสีสะผู้นั้นเสีย ทหารทั้งปวงจึงว่าพร้อมกันว่า ข้าพเจ้าขอรักษาเมืองไว้กว่าจะสิ้นชีวิต โจหยินได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงให้ทหารทั้งปวงตระเตรียมอาวุธแลเกาทัณฑ์ตรวจตราให้พร้อมทั้งกลางวันกลาง คืน อยู่มาสองสามวันน้ำก็ถอยลง กวนอูเมื่อมีชัยชนะก็ลือชาปรากฎไปแก่คนทั้งปวงยิ่งกว่าแต่ก่อน

ฝ่ายกวนหินผู้บุตรที่สองของกวนอู ซึ่งอยู่ ณ เมืองเกงจิ๋วยกมาเยียนบิดา กวนอูจึงให้กวนหินถือหนังสือไปทูลแก่พระเจ้าฮันต๋งในเมืองเซงโต๋ว่า บัดนี้ข้าพเจ้าตีเมืองซงหยงได้แล้ว จับตัวอิกิ๋มส่งไปเมืองเกงจิ๋ว แลบังเต๊กนั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว ซึ่งทหารทั้งปวงมาทำการศึกครั้งนี้ก็มีความชอบเปนอันมาก กวนหินรับเอาหนังสือแล้วลาบิดาไปเมืองเซงโต๋

ฝ่ายกวนอูจึงแบ่งทหารไปตั้งอยู่ที่ตำบลเกียบแฮอันเปนทางเข้าเมืองอ้วน เสีย แล้วจึงยกทหารเข้าไปจะรบเอาเมืองอ้วนเสีย กวนอูขี่ม้ายืนอยู่ตรงประตูทิศเหนือ จึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าร้องเข้าไปว่า อ้ายพวกหนูเปนไรมึงจึงมิพากันออกมาสมัคยอมอยู่ด้วยกู จะคอยทีอยู่เมื่อครั้งใดเล่า

ขณะนั้นโจหยินยืนอยู่บนหอรบ แลเห็นกวนอูใส่เสื้อมีแต่เกราะปิดอกมายืนอยู่ดังนั้น จึงให้ทหารห้าร้อยเอาเกาทัณฑ์ยิงกระหนาบออกไป กวนอูหลบหนีมิทันลูกเกาทัณฑ์ถูกไหล่เบื้องซ้ายตกลงจากหลังม้า โจหยินครั้นเห็นกวนอูถูกเกาทัณฑ์ตกม้าลงดังนั้น จึงให้ทหารยกออกรบ

ฝ่ายกวนเป๋งผู้บุตรจึงให้ทหารเข้ารบกับทหารโจหยิน ๆ ก็ถอยกลับคืนเข้าเมือง กวนเป๋งก็พาเอาบิดาคืนมาค่าย จึงให้ชักลูกเกาทัณฑ์ออกเสีย แลลูกเกาทัณฑ์นั้นอาบด้วยยาพิษซาบเข้าไปถึงกระดูกมีพิษเจ็บปวดเปนกำลัง แต่จะไหวตัวก็มิได้ กวนเป๋งกับทหารทั้งปวงเห็นว่ากวนอูป่วยอยู่ดังนั้น จึงพากันเข้าไปว่าแก่กวนอูว่า บัดนี้ท่านก็ป่วยอยู่ ซึ่งจะทำการต่อไปนั้นเห็นว่าท่านลำบากนัก ข้าพเจ้าปรึกษาพร้อมกันจะขอยกทัพกลับไปเมืองเกงจิ๋ว รักษาแผลท่านให้หายก่อนจึงค่อยทำการต่อไป

กวนอูได้ยินก็มีความโกรธ จึงว่าเราจะกลัวอันใดแก่ความเจ็บน้อยหนึ่งเท่านี้ เราจะตีเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ แล้วจะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋กำจัดโจโฉเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จะมีความสุข เจ้าอย่าว่าดังนี้ต่อไป ไพร่พลทั้งปวงจะเสียน้ำใจ กวนเป๋งแลทหารทั้งปวงได้ยินกวนอูว่าก็มิอาจที่จะขัดขืนได้ ต่างคนต่างก็ลาออกมา วันนั้นพอฮัวโต๋หมอเอกชาวเมืองเจากุ๋นมาถึงค่าย ทหารทั้งปวงจึงไปบอกแก่กวนเป๋ง ๆ จึงให้รับเข้ามา ฮัวโต๋จึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าบิดาของท่านถูกเกาทัณฑ์ป่วยอยู่ ข้าพเจ้ามาหวังจะรักษา กวนเป๋งจึงถามว่า เมื่อครั้งรักษาจิวท่ายในเมืองกังตั๋งนั้นคือท่านนี้หรือ ฮัวโต๋ก็รับว่าคือข้าพเจ้านี้ กวนเป๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงให้ทหารพาฮัวโต๋เข้ามาในค่าย

ฝ่ายกวนอูมีความเจ็บปวดเปนอันมาก แต่เกรงว่าทหารทั้งปวงจะเสียนํ้าใจ จึงอุตส่าห์แขงใจทำเปนสบาย จึงเรียกม้าเลี้ยงเข้ามาเล่นหมากรุก หวังจะให้ทหารทั้งปวงมีน้ำใจ พอแลเห็นฮัวโต๋เข้ามาจึงเรียกให้กินน้ำชาแล้วจึงให้พิจารณาดูแผล ฮัวโต๋จึงว่า แผลเกาทัณฑ์อาบด้วยยาพิษซาบเข้าไปในกระดูก ถ้ามิเร่งรักษานานไปไหล่จะเสีย กวนอูถามว่าท่านจะรักษาได้หรือไม่ได้ ฮัวโต๋จึงว่า จะรักษาได้อยู่แต่กลัวท่านจะทนมิได้ กวนอูจึงว่า ท่านจะทำอย่างไรก็ตามเถิด ฮัวโต๋จึงว่า ข้าพเจ้าจะให้เอาปลอกรัดท่านไว้กับเสามิให้ไหวตัวได้

กวนอูหัวเราะแล้วจึงว่าเราหากลัวไม่ อย่าพักเอาปลอกรัดเลย ท่านจะทำประการใดก็ตามแต่จะทำเถิด เราจะนิ่งให้ทำ จึงชวนฮัวโต๋กินเหล้า ครั้นเมาแล้วจึงเรียกม้าเลี้ยงเข้ามาเล่นหมากรุก แล้วจึงเอียงไหล่ให้ฮัวโต๋ ๆ จึงเอามีดเข้าเชือดเนื้อร้ายออกเสียแล้วเอายาใส่ แล้วจึงเอาเข็มเย็บไว้ คนทั้งปวงมิใคร่จะดูได้ กวนอูจึงลุกขึ้นร้องว่าเราหาเจ็บไม่หายแล้ว จึงสรรเสริญว่าหมอคนนี้ดีประหนึ่งว่าเทวดาก็ว่าได้ ฮัวโต๋จึงว่า แต่ข้าพเจ้ารักษาคนป่วยมานี้ก็มากอยู่แล้วหาเหมือนท่านไม่ อันท่านนี้น้ำใจทนทานต่อความเจ็บไม่สดุ้งสเทือนเลยดีนัก

ฝ่ายกวนอูครั้นหายความเจ็บแล้วก็ดีใจ จึงให้ยกโต๊ะแลสุรามาเลี้ยงฮัวโต๋กินอยู่ตามสบาย ฮัวโต๋จึงว่าแก่กวนอูว่า อันแผลนี้พึ่งหาย ท่านจงระงับความโกรธกว่าจะถ้วนร้อยวัน พิษเกาทัณฑ์จึงจะหายสนิธ กวนอูก็รับคำแลขอบใจแก่ฮัวโต๋นัก จึงเอาทองหนักสามชั่งสิบบาทให้แก่ฮัวโต๋เปนบำเหน็จ ฮัวโต๋จึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ามารักษาท่านทั้งนี้จะเห็นแก่บำเหน็จหามิได้ ข้าพเจ้าเห็นท่านนี้ประกอบด้วยความสัตย์ซื่อ จึงมาช่วยพยาบาลมิให้เปนอันตราย แลซึ่งท่านให้บำเหน็จข้าพเจ้า ๆ ไม่เอาขอคืนไว้ให้ท่าน ว่าเท่านั้นแล้วก็เอายาปิดแผลให้ไว้อีกแล้วก็ลาไป


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 59

https://drive.google.com/file/d/1eFTB3WM8DY7QdWxFG2nl-U9mGzjVXDEV/view



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,460


View Profile
« Reply #9 on: 23 December 2021, 16:02:03 »


สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 60


https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-60.html





สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 60

เนื้อหา
• โจโฉยุให้ซุนกวนตีเมืองเกงจิ๋ว
• ซุนกวนได้เมืองเกงจิ๋วแลหัวเมืองขึ้น
• โจโฉตีทัพกวนอูแตก


ขณะ นั้นฝ่ายม้าใช้ซึ่งไปสืบราชการ จึงเอาข่าวไปทูลแก่พระเจ้าวุยอ๋องซึ่งอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ว่า บัดนี้กองทัพซึ่งยกไปช่วยเมืองอ้วนเสียนั้นพ่ายแพ้ กวนอูจับเอาอิกิ๋มไปได้ ฆ่าบังเต๊กถึงแก่ความตายไพร่พลก็สิ้น พระเจ้าวุยอ๋องครั้นแจ้งดังนั้นก็ตกพระทัยนัก จึงให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่า กวนอูนั้นเปนคนดีมีวิชาชำนาญในการศึก บัดนี้ก็จับอิกิ๋มไปได้ซ้ำฆ่าบังเต๊กถึงแก่ความตายแล้ว ถ้าเขาจะยกมารบเมืองเรา ๆ จะคิดยักย้ายหนีเสียก่อนหรือ ๆ จะคิดประการใดดี

สุมาอี้จึงทูลว่าข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ซึ่งอิกิ๋มเสียแก่กวนอูนั้นใช่จะแพ้ในขบวรรบหามิได้ แพ้เพราะน้ำมากหารู้ที่จะทำการไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าซุนกวนซึ่งอยู่ ณ เมืองกังตั๋งนั้น ก็หาชอบกันกับเล่าปี่ไม่ ซุนกวนก็จะไม่มีความสบาย กลัวกวนอูจะยกไปตีเอาเมือง ขอพระองค์จงแต่งทหารไปยุยงซุนกวนให้มีความโกรธ ให้ยกไปรบเอาเมืองเกงจิ๋ว ถ้าซุนกวนได้เมืองเกงจิ๋วแล้ว เราก็จะยกที่กังหลำทิศใต้ให้แก่ซุนกวน เห็นว่าเมืองอ้วนเสียนั้นจะพลอยรอดด้วย

ฝ่ายเจียวเจ้สมุห์บาญชีจึงทูลพระเจ้าวุยอ๋องว่า ซึ่งถ้อยคำสุมาอี้ว่านี้ควรอยู่แล้ว ขอท่านจงกระทำตามเถิด แลซึ่งท่านคิดว่าจะยักย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นนั้นไม่ชอบ ไพร่บ้านพลเมืองก็จะเอิกเกริกเสียนํ้าใจ โจโฉได้ยินดังนั้นก็พิเคราะห์ดูเห็นชอบด้วย มิได้ยักย้ายทหารไป แล้วคิดรำพึงน้อยใจจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า อิกิ๋มนี้แต่ทำการศึกมาด้วยเราก็ช้านานได้ถึงสามสิบปีแล้ว ควรหรือมาพ่ายแพ้ข้าศึกโดยง่ายฉนี้เล่า อันบังเต๊กเปนแต่ทหารมาอยู่ใหม่ ก็มานะทำสงครามจนตัวตาย เรานี้คิดขอบใจเขานัก แล้วเขียนหนังสือให้ทหารถือไปถึงซุนกวน ณ เมืองกังตั๋งตามคำสุมาอี้ทุกประการ แล้วจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดยังจะอาสาไปรบศึกกับกวนอูได้บ้าง

ซิหลงจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารไปรบเอาชัยชนะแทนคุณท่านให้จงได้ โจโฉได้ฟังซิหลงว่าดังนั้นก็ดีใจ จึงจัดทหารให้ห้าหมื่น แล้วตั้งลิเตียนเปนปลัดทัพ ครั้นได้ฤกษ์ดีซิหลงลาพระเจ้าวุยอ๋อง แล้วยกทัพไปตั้งอยู่ตำบลที่ทุ่งเอียงเลงโผ คอยฟังข่าวคราวซุนกวนจะบอกมาเปนประการใด แล้วจึงจะยกกองทัพเข้าตีช่วยเมืองอ้วนเสีย

ฝ่ายซุนกวนครั้นรู้หนังสือโจโฉแล้วก็ดีใจ จึงให้ผู้ถือหนังสือนั้นกลับไปแจ้งแก่โจโฉว่า ซึ่งจะให้เราไปตีเมืองเกงจิ๋วนั้นเราก็จะไปตีตามคำท่าน แล้วจึงให้หาขุนนางมาพร้อมกันแล้วปรึกษาว่า โจโฉจะให้เราไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วนั้นจะเห็นประการใด เตียวเจียวจึงว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าโจโฉใช้อิกิ๋มแลบังเต๊กยกทหารมาช่วยเมืองอ้วนเสีย ก็พ่ายแพ้แก่กวนอู บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า โจโฉคิดย่อท้อกวนอูอยู่ แลซึ่งจะให้เราไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วให้ได้ ว่าจะยกตำบลกังหลำให้แก่เรานั้น ข้าพเจ้าเห็นหาจริงไม่ ซุนกวนครั้นปรึกษากันยังมิทันวายคำพอได้ยินว่า ลิบองซึ่งไปตั้งอยู่ด่านลกเค้านั้นมาด้วยเรือเร็ว จึงให้หาตัวเข้ามาแล้วถามว่า เจ้ามานี้ด้วยราชการประการใด

ลิบองบอกว่า กวนอูละเมืองเกงจิ๋วไว้ ยกกองทัพไปตั้งล้อมเมืองอ้วนเสียอยู่ทางไกล ควรเราจะเร่งยกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วเห็นจะได้โดยง่าย ซุนกวนจึงแกล้งว่าลองใจลิบองว่า เราคิดจะใคร่ไปตีเอาเมืองชีจิ๋วซึ่งขึ้นแก่โจโฉนั้นท่านจะเห็นประการใด ลิบองจึงว่า ซึ่งท่านจะไปตีเอาเมืองซิจิ๋วทิศเหนืออันเปนเมืองขึ้นของโจโฉนั้น ผู้คนก็น้อยเห็นพอจะได้อยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ซึ่งจะยกกองทัพไปนั้นเปนทางกันดารเดิรบกก็จะลำบากแก่ทหารทั้งปวง ถึงได้แล้วก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้ายกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วเห็นจะดีกว่า ถ้าได้แล้วเราจึงค่อยคิดการต่อไป

ซุนกวนจึงว่า เราก็คิดจะใคร่ไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วอยู่ เราว่าทั้งนี้แกล้งจะดูทีเจ้า บัดนี้เจ้าจงเร่งช่วยเราคิดราชการซึ่งจะไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วก่อน เราจึงจะค่อยยกทัพไปต่อภายหลัง ลิบองรับคำซุนกวนแล้วก็ไปด่านลกเค้า

ฝ่ายม้าใช้รู้ว่าลิบองกลับมาแล้ว จึงเอาข่าวเข้ามาบอกว่า บัดนี้เมืองเกงจิ๋วคิดอ่านทำการให้ตั้งร้านไฟรายตามริมแม่น้ำ ห่างกันสองร้อยเส้นบ้างสามร้อยเส้นบ้าง มีคนรักษาอยู่มิได้ขาด ทั้งทหารในเมืองก็เตรียมไว้เปนกวดขัน ลิบองได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงรำพึงว่า ซึ่งเราว่าแก่ซุนกวนไว้ว่าจะรับไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว บัดนี้ทหารเขาตระเตรียมมั่นคงอยู่ ซึ่งจะไปทำการนั้นไม่ได้ เราจะคิดว่ากล่าวแก้ตัวซุนกวนประการใดจึงจะพ้นความเท็จเล่า แล้วจึงอุบายใช้ทหารไปบอกแก่ซุนกวนว่า บัดนี้ลิบองป่วยอยู่

ฝ่ายซุนกวนครั้นทหารมาบอกว่าลิบองป่วยดังนั้น ก็ไม่มีความสบาย ลกซุนจึงว่าแก่ซุนกวนว่า ซึ่งลิบองป่วยนั้นเปนอุบาย เห็นหาป่วยจริงไม่ ซุนกวนจึงว่า ที่จะรู้ว่าลิบองแกล้งทำป่วยนั้นเจ้าจงทำไปเยี่ยมดูให้รู้แน่ ลกซุนได้ฟังดังนั้นก็ลาไปถึงค่ายลกเค้าแล้วเข้าไปหาลิบอง เห็นหน้าลิบองชื่นบานหาป่วยจริงไม่ จึงบอกลิบองว่า บัดนี้ซุนกวนใช้ให้ข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่านว่าท่านป่วยเปนประการใด

ฝ่ายลิบองจึงตอบว่า ป่วยครั้งนี้ก็ไม่สู้หนักนัก ลกซุนจึงว่า ซึ่งซุนกวนสั่งให้ท่านตระเตรียมทำการจะไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วนั้น เหตุใดท่านจึงนิ่งอยู่จะคิดประการใด ลิบองได้ฟังลกซุนรู้เท่าก็แลดูตาลกซุน แล้วนิ่งอยู่มิได้ตอบคำลกซุน ๆ จึงว่า ข้าพเจ้ามียาขนานหนึ่งจะรักษาไข้ของท่านให้หายได้ ท่านจะให้รักษาหรือประการใด ลิบองได้ยินลกซุนว่าดังนั้นจึงขับทหารทั้งปวงออกไปเสีย แล้วจึงถามว่าท่านจะรักษาเราด้วยยาสิ่งใด ลกซุนหัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งความเจ็บของท่านนั้นด้วยเหตุว่าเมืองเกงจิ๋วเขาตระเตรียมทหาร แล้วปลูกร้านไฟรายตามแม่นํ้า ป้องกันบ้านเมืองเปนมั่นคงอยู่ ท่านจึงคิดวิตกนักด้วยการสิ่งนี้ ข้าพเจ้ามีอุบายสิ่งหนึ่งอาจจะให้ทหารเมืองเกงจิ๋วซึ่งทำการรักษาเมืองนั้น ให้มาประนอมด้วยท่านมิให้ลำบากเลย ท่านจะเห็นประการใด

ลิบองได้ยินลกซุนว่าล่วงรู้ในความคิดก็ตกใจ จึงถามว่า ซึ่งอุบายของท่านจะคิดให้ชาวเมืองเกงจิ๋วมาประนอมด้วยเรานั้น ท่านได้อุบายประการใด ลกซุนจึงบอกว่า ซึ่งเมืองเกงจิ๋วตระเตรียมทหาร แลจัดแจงเมืองไว้ทั้งนี้ เพราะกวนอูคิดวิตกอยู่ด้วยท่านมาตั้งอยู่ที่นี่จึงไม่ไว้ใจ ถ้าท่านรู้อุบายทำเปนป่วยไปเสียจากที่นี้ แลจัดแจงให้ผู้อื่นมาอยู่แทนแล้วให้พูดสรรเสริญกวนอู ๆ ก็จะทะนงใจจะอยู่รบเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ไม่คิดระวังหลัง เราจึงคิดวกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย ลิบองได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงว่าแก่ลกซุนว่า อุบายของท่านนี้ดีหนักหนา ลิบองก็ทำป่วยอยู่ จึงให้ลกซุนเอาหนังสือไปแจ้งแก่ซุนกวนว่า ข้าพเจ้าจะขอลาออกจากที่แล้ว ลกซุนจึงเอาหนังสือมาแจ้งแก่ซุนกวน

ซุนกวนครั้นแจ้งดังนั้นจึงให้หาลิบองกลับมารักษาตัว ลิบองก็เข้ามาหาซุนกวน ๆ จึงว่า แต่ก่อนจิวยี่มาว่าให้เราตั้งโลซกออกไปอยู่ที่ด่านลกเค้า ครั้นอยู่มาโลซกจึงมาว่า ให้ตั้งตัวท่านนี้ออกไปอยู่ แลบัดนี้ท่านสิป่วยอยู่ ก็ควรเราจะให้คนดีมีสติปัญญาออกไปอยู่แทนตัวท่าน ลิบองจึงว่า ซึ่งท่านจะให้คนดีออกไปอยู่นั้นฝ่ายกวนอูก็มิไว้ใจ จะให้รักษาเมืองมั่นคงไว้ อันลกซุนนี้ยังหาปรากฎชื่อลือนามไม่ ท่านจงให้ออกไปอยู่เถิดเห็นว่ากวนอูจะไว้ใจไม่ระวังหลัง ก็เห็นจะได้เมืองเกงจิ๋วดังความปราถนา

ฝ่ายซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงตั้งลกซุนเปนทหารแม่ทัพซ้าย ไปรักษาค่ายลกเค้าแทนลิบอง ลกซุนจึงว่า ข้าพเจ้าเปนเด็กหนุ่มยังหามีความรู้วิชาสิ่งใดไม่ ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปอยู่รักษาค่ายลกเค้านั้นเห็นมิบังควร ซุนกวนจึงว่า ลิบองเขาบอกแก่เราว่าเจ้ามีความคิดลึกซึ้งเห็นจะได้ราชการอยู่ อย่าได้บิดพลิ้วไปเลย ลกซุนขัดมิได้ก็รับเอาตราออกไปรักษาค่ายลกเค้า

ครั้นวันหนึ่ง ลกซุนจึงให้คนถือหนังสือกับเครื่องบรรณาการไปถึงกวนอูว่า บัดนี้ซุนกวนให้ข้าพเจ้าออกมารักษาค่ายลกเค้าแทนลิบอง ข้าพเจ้าขัดมิได้ก็ออกมาอยู่ ขอท่านจงเปนที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าด้วย กวนอูจึงถามผู้ถือหนังสือว่า ลิบองซึ่งรักษาอยู่ก่อนนั้นไปไหนเล่า ผู้ถือหนังสือจึงบอกว่า ลิบองนั้นป่วยอยู่ จึงให้ลกซุนออกมารักษาแทน กวนอูจึงว่า ซุนกวนนี้ก็เปนคนดี เหตุไฉนจึงใช้ให้ลูกเด็กออกมาอยู่ดังนี้ ผู้ถือหนังสือจึงว่า ลกซุนให้ข้าพเจ้าถือหนังสือกับสิ่งของทั้งปวงมาคำนับท่าน จะให้ท่านทั้งสองฝ่ายเปนไมตรีแก่กัน ขอท่านได้รับเอาสิ่งของทั้งนี้ไว้เถิด

ฝ่ายกวนอูครั้นรู้ว่าลกซุนถ่อมตัว ส่งสิ่งของแลหนังสือมาว่าฝากตัวดังนั้นก็หัวเราะ แล้วก็ให้ทหารรับเอาสิ่งของทั้งปวงไว้ ผู้ถือหนังสือก็กลับไปบอกแก่ลกซุนว่า กวนอูมีความยินดีนักเห็นจะไว้ใจหาเกรงซึ่งเมืองกังตั๋งจะมาตีไม่ ลกซุนก็ดีใจจึงแต่งทหารไปสอดแนมดูก็รู้ว่า ในเมืองเกงจิ๋วหาตระเตรียมการไม่ แลยกทหารเตรียมไปรบเมืองอ้วนเสีย แล้วเห็นกวนอูจะยับยั้งให้แผลหายสนิธ จึงจะยกเข้าตีเอาเมืองอ้วนเสีย ลกซุนจึงให้เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ซุนกวน

ซุนกวนจึงปรึกษาแกลิบองว่า บัดนี้กวนอูหาแคลงแก่เราไม่ ให้ยกทหารเติมไปตั้งใจจะตีเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ เราคิดว่าจะให้ท่านกับซุนเกียว บุตรของอาว์เรายกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว ท่านจะเห็นประการใด ลิบองจึงว่า ซึ่งท่านจะใช้ซุนเกียวกับข้าพเจ้าไปทำการด้วยกันนั้น ข้าพเจ้าเห็นขัดสนอยู่ แม้ท่านจะให้ซุนเกียวไปก็ให้ไปแต่ผู้เดียวเถิด ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อครั้งท่านตั้งจิวยี่กับเทียเภาซึ่งเปนคนเก่าของท่าน เปนแม่ทัพซ้ายขวาทำการด้วยกัน แลฝ่ายจิวยี่มีสติปัญญาจะว่าสิ่งใด เทียเภาซึ่งเปนแม่ทัพซ้ายก็ประนอมด้วยปัญญาของจิวยี่ จึงทำการด้วยกันได้ แลบัดนี้ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปกับซุนเกียวนั้น ปัญญาข้าพเจ้าหาเหมือนหนึ่งจิวยี่ไม่ สิ่งใดซึ่งจะว่ากล่าวกันนั้นเห็นจะขัดสน แลซุนเกียวนั้นเล่าก็เปนพี่น้องของท่านมีปัญญากล้าแขงอยู่ ขอท่านจงใช้ให้ซุนเกียวไปแต่ผู้เดียวเถิด ก็จะทำได้ไม่ขัดสน

ซุนกวนได้ยินลิบองว่าดังนั้นก็กลับคิดเห็นด้วย จึงตั้งให้ลิบองเปนแม่ทัพหลวง เปนใหญ่กว่าทหารในแว่นแคว้นเมืองกังตั๋ง สำหรับคิดการศึกทั้งปวง จึงตั้งซุนเกียวให้เปนนายทหารกองสเบียงอยู่ในบังคับลิบอง ๆ คำนับซุนกวนแล้ว จึงจัดแจงทหารสามหมื่นลงซุ่มไว้ในเรือแปดสิบลำ จึงให้ทหารซึ่งชำนาญในการเรือนั้นใส่เสื้อขาวทำเปนเพศลูกค้าสำหรับแจวเรือ จึงให้ฮันต๋ง จิวท่าย เจียวขิม จูเหียน พัวเจี้ยง ชีเซ่ง เตงฮอง เปนนายทหารเจ็ดคน ตระเตรียมไว้จะได้ยกไปเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งทหารเหลืออยู่มิได้ไปทัพเรือนั้นจะได้ยกกองทัพหนุนไปกับซุนกวน ครั้นจัดแจงทหารทั้งปวงแล้ว จึงให้มีหนังสือไปถึงโจโฉให้เร่งยกกองทัพวกไปตีกวนอูซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองอ้วน เสียนั้นให้ได้ แล้วจึงให้ทหารไปบอกลกซุนว่า บัดนี้การซึ่งคิดกันไว้นั้นเราตระเตรียมกองทัพไว้เสร็จแล้ว ให้ ท่านเร่งรัดจัดแจงให้พร้อมเถิด แล้วก็ยกทัพเรือไปตามแม่นํ้าชิมเอี๋ยง ที่ร้านไฟตำบลแฮเค้า

ฝ่ายทหารชาวด่านร้องถามว่าท่านมาแต่ไหน ทหารลิบองจึงบอกว่า เราเปนลูกค้าสำเภาถูกพายุซัดเข้ามา ลิบองจึงให้เอาสิ่งของขึ้นไปให้ทหารซึ่งรักษาร้านไฟ ๆ ก็เชื่อจึงให้จอดเรืออาศรัยอยู่ที่นั้น ครั้นเวลาประมาณทุ่มเศษ ลิบองจึงให้ทหารซึ่งมาในเรือขึ้นล้อมจับทหารซึ่งรักษาร้านไฟนั้นลงเรือไป สิ้นทุกร้าน แล้วแจวเรือเข้าไปถึงเมืองเกงจิ๋วในเวลากลางคืนวันนั้น ผู้ใดจะได้รู้ว่าลิบองยกทัพเข้ามาหามิได้ ลิบองจึงปลอบเอาใจทหารซึ่งจับมาแต่ร้านไฟนั้นว่า ท่านจงอยู่ทำราชการศึกด้วยเราเถิด เราจะปูนบำเหน็จแก่ท่านให้ถึงขนาด แล้วใช้ให้เรียกชาวเมืองเพื่อนกันนั้นเปิดประตูเมืองรับ

ฝ่ายว่าทหารชาวเมืองไม่ทันสำคัญว่าข้าศึก คิดว่าเพื่อนกันจึงเปิดประตูรับ ลิบองครั้นเห็นดังนั้นก็ให้ทหารเข้าไปโห่ร้องเอาไฟจุดขึ้น หาผู้ใดจะสู้รบมิได้ก็ได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย ลิบองจึงให้ป่าวร้องแก่กองทัพทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดบังอาจฆ่าฟันแลริบราชบาทว์สิ่งของชาวเมืองให้ได้ความเดือดร้อน เราจะเอาโทษแก่ผู้นั้นถึงตาย บันดาขุนนางทั้งปวงในเมืองเกงจิ๋วนั้นก็ให้คงอยู่ตามตำแหน่ง แลบุตรภรรยาของกวนอูนั้นก็ให้พิทักษ์รักษาไว้หามีผู้ใดทำอันตรายไม่ ลิบองครั้นได้เมืองเกงจิ๋วแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปบอกแก่ซุนกวนว่า บัดนี้ข้าพเจ้าตีเมืองเกงจิ๋วได้แล้ว ขอเชิญท่านยกกองทัพมาเถิด

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งลิบองขี่ม้าออกเที่ยวตรวจตราดูบ้านเมือง พอฝนตกหนักแลดูเห็นทหารผู้หนึ่งเข้าช่วงชิงเข้าของชาวเมือง จึงให้พาตัวมาถามว่า มึงเปนพวกไหนจึงมาทำดังนี้ ทหารจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเปนพวกกองทัพมาด้วยท่าน ซึ่งข้าพเจ้าช่วงชิงนี้มิได้เอาพัสดุเงินทอง เอาแต่ร่มหมวกจะมากั้นฝน ลิบองจึงว่า เราได้ประกาศไว้แต่หลังว่า มิให้เบียดเบียฬแก่อาณาประชาราษฎรให้ได้ความขัดเคือง แลเองทำดังนี้โทษถึงตาย ทหารผู้นั้นจึงว่า ข้าพเจ้าคิดว่าเสื้อเกราะจะเปียก จึงชิงเอาร่มมากั้นทั้งนี้โทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว ขอท่านจงงดโทษข้าพเจ้าครั้งหนึ่งเถิด ลิบองมิฟังก็ให้เอาไปฆ่าเสีย แล้วกลับคิดสงสารให้เอาศพนั้นไปฝังไว้ ฝ่ายทหารทั้งปวงเห็นลิบองทำโทษดังนั้น ก็ย่อท้อหามีผู้ใดจะทำอันตรายแก่ชาวบ้านชาวเมืองแต่สิ่งใดไม่

ซุนกวนครั้นรู้ว่าลิบองได้เมืองเกงจิ๋วแล้วก็ดีใจ เร่งยกทหารติดตามมา ณ เมืองเกงจิ๋ว ฝ่ายลิบองรู้ว่าซุนกวนยกมาถึงแล้ว ก็ออกไปคำนับเชิญเข้ามาในเมือง ซุนกวนจึงตั้งพัวโยยให้เปนผู้รักษาเมืองเกงจิ๋ว จึงให้อิกิ๋มออกจากคุกให้คืนไปเมืองฮูโต๋ แล้วเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุข เลี้ยงดูปูนบำเหน็จแก่ทหารทั้งปวงตามมีความชอบเสร็จแล้ว ซุนกวนจึงว่าแก่ลิบองว่า บัดนี้เราก็ตีเมืองเกงจิ๋วได้แล้ว ซึ่งเปาสูหยินตั้งอยู่ ณ เมืองกังอั๋น บิฮองตั้งอยู่เมืองลำกุ๋นนั้น เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะได้เมืองทั้งสองนี้ จีหลวนได้ยินดังนั้นจึงว่า ท่านจะคิดเอาเมืองกังอั๋นซึ่งเปาสูหยินอยู่นั้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอาด้วยลมปากให้มายอมด้วยท่านโดยง่าย มิให้ต้องรบลำบากแก่ทหารทั้งปวงเลย

ซุนกวนจงถามจีหลวนว่า ซึ่งท่านจะไปเอาเมืองกังอั๋นให้ได้ด้วยลมปากนั้น อุบายของท่านประการใด จีหลวนจึงว่า ข้าพเจ้ากับเปาสูหยินนี้รักใคร่กันมาแต่น้อยเปนที่ไว้ใจแก่กัน ข้าพเจ้าจึงคิดเห็นว่า จะว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยอุบายต่างๆก็เห็นจะเชื่อมาเข้าด้วยท่าน ซุนกวนก็ดีใจจึงเกณฑ์ทหารให้แก่จีหลวนห้าร้อย แล้วจีหลวนก็ลาซุนกวนยกไปเมืองกังอั๋น

ฝ่ายว่าเปาสูหยินครั้นรู้ข่าวว่าเมืองเกงจิ๋วเสียทีแก่ข้าศึกแล้วก็ไม่ ไว้ใจ ให้ทหารตระเตรียมเครื่องศัสตราวุธ ปิดประตูเมืองรักษามั่นคงไว้ ฝ่ายจีหลวนมาถึงเมืองกังอั๋นเห็นปิดประตูเมืองมั่นคงอยู่ จะเข้าไปในเมืองมิได้ จึงเขียนหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์แล้วยิงเข้าไปในเมือง หวังจะให้เปาสูหยินรู้

ฝ่ายทหารเปาสูหยินเห็นหนังสือดังนั้นก็พาเอาหนังสือไปให้เปาสูหยินดู ใจความในหนังสือนั้นว่า เราชื่อจีหลวนมาหาท่านโดยดี บัดนี้ซุนกวนซึ่งเปนนายของเราจะยกทหารมารบเอาเมืองท่าน เรานี้คิดถึงท่านนักด้วยเห็นว่าได้เปนเพื่อนสนิธกันมาแต่เล็กอยู่ด้วยกัน นั้น จึงว่ากล่าวอ้อนวอนนายเราไว้มิให้ยกมา แลบัดนี้เรามาว่าท่านให้เร่งไปสมัคอยู่ด้วยนายเรา

ฝ่ายเปาสูหยินแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้ว คิดรำพึงว่ากวนอูกับเรานี้มีความพยาบาทกันอยู่เมื่อครั้งเราทำให้เพลิงไหม้ ค่ายครั้งจะยกทัพนั้น ให้ตีโบยเราได้ความเจ็บอาย แล้วว่าจะฆ่าเราเสียให้ได้ บัดนี้ควรเราจะไปสมัคอยู่ด้วยซุนกวนเถิดเห็นจะพ้นภัย ครั้นคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารให้เปิดประตูเมือง รับตัวจีหลวนเข้ามาคำนับตามประเพณี จีหลวนจึงว่า อันซุนกวนนายเราประกอบไปด้วยน้ำใจอารีแก่ทหารนัก ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาเชี่ยวชาญในการศึก ก็ปูนบำเหน็จรางวัลต่าง ๆ อันพระคุณนั้นหามีผู้ใดเสมอไม่ เปาสูหยินได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงสมัคไปเมืองเกงจิ๋วกับจีหลวน

ฝ่ายซุนกวนครั้นรู้ข่าวว่า เปาสูหยินสมัคมาอยู่ด้วยก็ดีใจ จึงให้ทำราชการคงที่อยู่ดังเก่า ครั้นอยู่มาลิบองจึงกระซิบว่ากับซุนกวนว่า อันตัวกวนอูเราก็ยังจับหาได้ไม่ แลท่านจะให้ตั้งเปาสูหยินคงที่อยู่ดังเก่านั้น เห็นว่าเปาสูหยินจะไม่ทำราชการโดยสุจริต ควรท่านจะให้ไปเกลี้ยกล่อมบิฮองซึ่งตั้งอยู่เมืองลำกุ๋นนั้นให้มาสมัคแก่ ท่าน

ซุนกวนเห็นชอบด้วยจึงให้หาเปาสูหยินมาว่า บิฮองซึ่งอยู่ในเมืองลำกุ๋นนั้นก็เปนคนชอบกับท่าน ๆ จงเร่งคิดไปชักชวนเอาตัวมาเข้ากับเรา ๆ จะปูนบำเหน็จแก่ท่าน เปาสูหยินรับคำซุนกวนแล้วก็ลาขึ้นม้าไปเมืองลำกุ๋นกับด้วยทหารม้าสิบม้า

ฝ่ายบิฮองรู้ว่าเมืองเกงจิ๋วเสียแก่ซุนกวนแล้วก็ตกใจ จึงคิดการซึ่งจะรักษาเมืองของตัวไว้ให้มั่นคง พอทหารบอกว่าเปาสูหยินเข้ามา บิฮองเชิญให้เปาสูหยินนั่งที่สมควรแล้วจึงถามว่า ท่านมาบัดนี้ด้วยราชการอันใด

เปาสูหยินแจ้งความไปตามจริงว่า บัดนี้ซุนกวนยกกองทัพมาตีเอาเมืองเกงจิ๋วได้แล้ว เราเห็นว่ากำลังเขามากจะยกไปต่อด้วยเขามิได้ เราก็สมัคเข้ากับเขาแล้ว อันพระเจ้าเล่าปี่นั้นก็มีพระคุณเปนอันมาก ครั้งนี้เปนจนใจอยู่แล้วมิเข้าด้วยเขาก็จำเข้า อันท่านนี้จะคิดประการใด

บิฮองจึงตอบว่า ตัวเราได้กินน้ำพิพัฒน์สัจจาเปนข้าพระเจ้าเล่าปี่แล้ว แลจะสมัคไปเข้าด้วยซุนกวนนั้นมิบังควร เปาสูหยินจึงตอบว่า เมื่อครั้งก่อนนั้นเรากับท่านกระทำความผิด กวนอูได้คาดโทษแก่เราไว้ว่า ถ้ายกทัพไปมีชัยกลับมาจะฆ่าเราเสีย ครั้งนี้เห็นว่าเราทั้งสองจะไม่พ้นตาย ท่านจงพิเคราะห์ดูเถิด บิฮองจึงว่า ญาติพี่น้องเราก็ทำราชการมาช้านานแล้ว ซึ่งจะคิดคดไปเข้าด้วยข้าศึกนั้นหารู้ที่จะคิดไม่

ขณะนั้นพอทหารกวนอูเข้ามาแจ้งข้อราชการว่า ท่านมาอยู่พร้อมกันทั้งสองก็ดีแล้ว บัดนี้กวนอูให้ท่านทั้งสองเมืองจัดเข้าสเบียงให้ได้หกร้อยเกวียน แล้วให้ท่านทั้งสองเมืองคุมเอาไปส่งถึงด่านอย่าให้ช้า ถ้ามิได้จะเอาโทษท่านถึงตาย ฝ่ายบิฮองครั้นแจ้งดังนั้นจึงแลดูหน้าเปาสูหยินแล้วจึงว่า บัดนี้เมืองเกงจิ๋วซุนกวนเขาก็ตีได้แล้ว แลซึ่งเราจะเอาเข้าลำเลียงไปส่งนั้นก็เห็นขัดสน ด้วยจำเพาะไปทางเมืองเกงจิ๋ว เปาสูหยินจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า อย่าคิดสงสัยมากไปเลย ว่าดังนั้นแล้วก็เอากระบี่ฟันทหารซึ่งมานั้นตายในที่นั้น บิฮองเห็นดังนั้นจึงว่า ท่านมาทำการดังนี้จะคิดประการใด เปาสูหยินจึงว่า อันกวนอูนี้คิดจะแกล้งฆ่าเราทั้งสองเสียจึงให้มาว่าดังนี้ เราจะนิ่งตายอยู่ใยเล่า มาเราจะไปสมัคเข้าด้วยซุนกวนเถิด

ขณะนั้นพอลิบองยกมาถึงเชิงกำแพง บิฮองรู้ก็ตกใจกลัว จึงออกไปกับเปาสูหยินสมัคเข้ากับลิบอง จึงพาเอาตัวบิฮองกับเปาสูหยินไปหาซุนกวน ๆ ก็ดีใจจึงปูนบำเหน็จแก่เปาสูหยินบิฮอง แล้วให้เกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุขทั้งสองเมือง

ขณะนั้นโจโฉจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า จะไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว พอซุนกวนใช้ให้ทหารถือหนังสือมาถึงพระเจ้าวุยอ๋อง พระเจ้าวุยอ๋องจึงให้หาเข้ามา ผู้ถือหนังสือคำนับแล้ว ก็ถวายหนังสือแก่พระเจ้าวุยอ๋อง ๆ ดูหนังสือแล้วก็แจ้งเปนใจความว่า บัดนี้ซุนกวนจะยกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว จะให้เรายกไปตีกระหนาบเอาทัพกวนอู เนื้อความนี้อย่าให้แพร่งพรายเกลือกจะรู้ไปถึงกวนอู ๆ มันจะตระเตรียมตัว พระเจ้าวุยอ๋องแจ้งในหนังสือแล้ว จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวง ตังเจี๋ยวสมุห์บาญชีจึงทูลว่า บัดนี้เมืองอ้วนเสียอับจนอยู่แล้ว ควรเราจะให้เอาหนังสือนี้ผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมืองอ้วนเสีย โจหยินแลทหารทั้งปวงรู้ในหนังสือนี้ก็จะมีนํ้าใจขึ้นทั้งนั้น

พระเจ้าวุยอ๋องเห็นชอบด้วย ก็ให้ทำตามถ้อยคำตังเจี๋ยว แล้วจึงใช้ให้ทหารรีบไปบอกซิหลงซึ่งตั้งอยู่ที่ทุ่งเอียงลกโผนั้น. ครั้นใช้ให้ทหารไปแล้ว ก็ยกกองทัพหลวงออกไปตั้งอยู่ที่ทุ่งเอียงลกโผ จะคอยช่วยราชการเมืองอ้วนเสีย ฝ่ายซิหลงเห็นทหารเข้ามาจึงถามว่า ท่านมาด้วยราชการอันใด ทหารจึงบอกว่า บัดนี้พระเจ้าวุยอ๋องยกกองทัพออกจากเมืองแล้ว ให้ท่านเร่งยกไปตีกวนอูช่วยแก้เอาเมืองอ้วนเสียไว้

ขณะนั้นพอม้าใช้มาบอกซิหลงว่า บัดนี้กวนเป๋งยกทัพมาตั้งอยู่เมืองเอียนเสีย เลียวฮัวตั้งอยู่ตำบลซูทง กวนเป๋งกับเลียวฮัวสองนายตั้งค่ายชักถึงกันได้สิบสองค่าย ซิหลงได้ยินดังนั้นจึงให้ชีเสียงลิเตียนทหารรองสองนายเอาธงสำคัญของซิหลงยก เข้าตีด้านหน้า ซิหลงนั้นคุมทหารห้าร้อยมาตามทางทิไกซุย เข้าข้างด้านหลัง จะตีเอาเมืองเอียนเสีย

ฝ่ายกวนเป๋งสำคัญว่าธงซิหลงยกมา จึงขึ้นม้าพาทหารออกรบกับชีเสียง พอได้สามเพลงชีเสียงทำเปนหนี ลิเตียนจึงเข้าต่อสู้กวนเป๋งพอได้หกเพลงก็ทำเปนหนี กวนเป๋งได้ทีก็ไล่ตามไปไกลประมาณสองร้อยเส้น ซิหลงเห็นกวนเป๋งไล่ไปไกลค่ายดังนั้นจึงให้ทหารเอาไฟเผาเมือง กวนเป๋งเห็นเพลิงเกิดขึ้นในเมือง จึงรู้ว่าเขาแกล้งทำกลอุบาย จึงยกทหารจะกลับไปดับเพลิงในเมือง พอพบกองทัพซิหลงตั้งสกัดหลังอยู่ ซิหลงเห็นกวนเป๋งกลับมาจึงร้องว่า ตัวท่านไม่พ้นความตายแล้ว บัดนี้ซุนกวนเขาตีเอาเมืองเกงจิ๋วได้ ยังมาลเมอทำการดังนี้

ฝ่ายกวนเป๋งได้ยินซิหลงว่าดังนั้นก็โกรธ จึงควบม้ารำง้าวเข้ารบกับซิหลงยังไม่ทันถึงสามสี่เพลง ทหารซิหลงโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน กวนเป๋งเห็นเพลิงไหม้เมืองเอียนเสียขึ้นเปนอันมาก มิอาจที่จะรบต่อไปก็ควบม้าพาทหารหนีมาค่าย

เลียวฮัวซึ่งตั้งอยู่ตำบลซูทงนั้นจึงบอกกับกวนเป๋งว่า บัดนี้เราได้ยินข่าวมาว่า ลิบองยกมาตีเอาเมืองเกงจิ๋วได้แล้ว ทหารทั้งปวงรู้เนื้อความก็พากันย่อท้อไปสิ้น ถ้าเปนดังนี้เราจะคิดอ่านประการใด กวนเป๋งจึงว่าการทั้งนี้หาจริงไม่ เปนคำข้าศึกล่อลวงหาควรที่จะเจรจาต่อไปไม่ ถ้าผู้ใดขืนว่าดังนี้อีกเราจะเอาโทษถึงตาย

ขณะนั้นพอม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้ซิหลงจะยกมาตีเอาค่ายฝ่ายเหนือซึ่งตั้งอยู่ริมแม่นํ้าไกซุยนั้น กวนเป๋งจึงว่า ถ้าค่ายเหนือเสียแก่ข้าศึกแล้ว เห็นว่าค่ายทั้งปวงจะไม่มีสบาย จะขัดสนด้วยเข้านํ้า บัดนี้ควรเราจะยกไปช่วยอย่าให้เสียทีแก่ข้าศึกได้ เลียวฮัวได้ยินดังนั้นจึงจัดแจงทหารให้อยู่รักษาค่ายพอสมควรแล้วสั่งว่า ถ้ามีศึกมาตีจงจุดไฟให้เปนสำคัญ เราจะได้ยกมาช่วยท่าน ทหารจึงตอบว่า อันค่ายซูทงลูกนี้เปนค่ายใหญ่ สนามเพลาะก็แน่นหนา ถึงข้าศึกบินมาก็เข้าไม่ได้ จะกลัวอันใดแก่ข้าศึก กวนเป๋งกับเลียวฮัวได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงยกทหารไปช่วยค่ายฝ่ายเหนือ ครั้นถึงจึงแลไปดูเห็นว่าค่ายอันหนึ่งตั้งอยู่บนเขาน้อยซึ่งซิหลงทำลวงไว้ นั้น กวนเป๋งจึงปรึกษากับเลียวฮัวว่า ซิหลงมาตั้งค่ายอยู่ที่นี่เปนที่ชอบกล ควรเราจะยกไปปล้นเอาค่ายในเวลากลางคืนวันนี้เห็นจะได้โดยง่าย

ฝ่ายเลียวฮัวจึงว่า ข้าพเจ้าขออยู่รักษาค่าย ท่านจงยกทหารไปทำการเถิด ครั้นเวลาคํ่ากวนเป๋งก็ยกทหารไป เห็นแต่ค่ายเปล่าหามีผู้ใดไม่ ก็เข้าใจว่าแกล้งทำไว้ จึงถอยกลับคืนมาเข้าค่าย ขณะนั้นพอชีเสียงแลลิเตียนยกทหารมาล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน กวนเป๋งกับเลียวฮัวเห็นจะอยู่ในค่ายมิได้ จึงทิ้งค่ายเสียพาทหารหนีมาไกลแล้ว จึงแลเห็นธงสำคัญของซิหลงนั้นปักอยู่หน้าค่ายซูทงก็มิอาจจะเข้าไปได้ จึงกลับมาตามทางใหญ่จะกลับไปค่ายกวนอูซึ่งล้อมเมืองอ้วนเสียอยู่นั้น พอพบซิหลงซึ่งตั้งสกัดอยู่กลางทางก็รบรอกันมา แล้วเข้าในค่ายกวนอูได้ กวนเป๋งจึงเข้าไปแจ้งแก่กวนอูว่า บัดนี้ซิหลงยกมาตีเอาเมืองเอียนเสียได้ แลค่ายทั้งปวงเสียแก่ข้าศึกแล้ว บัดนี้โจโฉยกกองทัพมาเปนสามทางจะมาช่วยเมืองอ้วนเสีย อนึ่งได้ยินว่าลิบองมาตีเอาเมืองเกงจิ๋วได้แล้ว

กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงร้องว่า คำอันนี้หาจริงไม่ เปนคำข้าศึกแกล้งล่อลวงหวังจะให้ทหารเราเสียนํ้าใจ อนึ่งลิบองซึ่งอยู่เมืองกังตั๋งก็ป่วยอยู่ บัดนี้ลกซุนหนุ่มน้อยออกมารักษาค่ายอยู่แทนตัวลิบอง จะวิตกอะไรมี

ขณะนั้นพอม้าใช้เอาข่าวมาบอกว่า บัดนี้ซิหลงยกกองทัพมาถึงแล้ว ฝ่ายกวนอูรู้ว่าซิหลงยกมาจึงให้ตระเตรียมทหารไว้พร้อมว่าจะออกไปรบกับซิหลง กวนเป๋งจึงว่า บิดาสิป่วยอยู่แผลเกาทัณฑ์พึ่งหายสนิธ ซึ่งจะออกไปรบนั้นเห็นไม่ได้ กวนอูจึงว่า ซิหลงนี้ฝีมือชั่วดีก็ย่อมแจ้งกันอยู่ ซิหลงมิถอยขืนยกเข้ามาเราก็จะฆ่าเสีย ให้ทหารทั้งปวงเกรงกลัวจะได้เห็นประจักษ์ไว้ ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็ใส่เสื้อเกราะขี่ม้าถือง้าวออกยืนอยู่หน้า

ฝ่ายทหารซิหลงเห็นกวนอูก็คร้ามกลัวทุกคน กวนอูแลไปไม่เห็นซิหลงจึงร้องถามว่า ตัวซิหลงอยู่ไหน ซิหลงขึ้นม้าออกมายืนตรงหน้ากวนอู ทำยอบตัวลงหน่อยหนึ่งแล้วจึงร้องว่าแก่กวนอูว่า แต่ข้าพเจ้าจากมาก็ช้านานหลายปี ท่านนี้หนวดเคราเผ้าผมก็หงอกไปสิ้น สิ่งใดซึ่งท่านได้สั่งสอนให้แต่ก่อน ก็คิดถึงคุณท่านไม่วายวัน อันตัวท่านเปนคนดีมีเกียรติยศในแผ่นดิน ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าท่านในวันนี้ความดีใจหาที่สุดมิได้ กวนอูจึงตอบว่า ตัวเรากับท่านแต่ก่อนนั้นก็เปนที่รักใคร่แก่กันหาผู้ใดจะเหมือนมิได้ ครั้งนี้เปนไรท่านจึงมาทำการให้ลูกเราพ่ายแพ้ดังนี้

ซิหลงจึงกลับหน้ามาว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดอาจสามารถฆ่ากวนอูได้กูจะให้ทองพันตำลึง กวนอูได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เปนไรท่านจึงมาว่าดังนี้ ซิหลงจึงตอบว่า เปนทีขบวรสงคราม ถึงจะชอบมีไมตรีต่อกันประการใดก็จำจะทำเอาชัยให้ได้ ซิหลงว่าดังนั้นแล้วก็ขึ้นม้าถือขวานใหญ่ออกมา กวนอูขี่ม้าถือง้าวเข้ารบกันกับซิหลงได้ประมาณแปดสิบเพลง กวนอูชำนาญในขบวรรบหามีผู้ใดจะเปรียบมิได้ แต่ทว่าป่วยไหล่อยู่ทั้งกำลังก็น้อย ซิหลงจึงต้านทานได้

ฝ่ายกวนเป๋งเห็นว่าบิดาป่วยอยู่เกลือกจะสู้ซิหลงมิได้ จึงตีม้าฬ่อสำคัญให้ถอย กวนอูก็ควบม้ากลับมาค่าย ฝ่ายโจหยินซึ่งอยู่ ณ เมืองอ้วนเสีย รู้ว่าพระเจ้าวุยอ๋องยกมาช่วยก็ดีใจ จึงยกทัพออกจากเมืองอ้วนเสียแยกกันไปทั้งสี่ทิศ แล้วให้ทหารโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน กวนอูได้ยินเสียงโห่ร้องทั้งสี่ทิศดังนั้นก็ตกใจ โจหยินก็ตีกระหนาบเข้ามา ซิหลงก็ตีกระหนาบเข้ามา ฝ่ายทหารในค่ายก็ตกใจวุ่นวาย กวนอูเห็นจะสู้มิได้ จึงทิ้งค่ายเสียขี่ม้าพาทหารหนีมาตามแม่นํ้าซงกั๋ง ฝ่ายทิศเหนือทหารซิหลงเห็นกวนอูหนีก็ติดตามมา กวนอูก็ข้ามแม่นํ้าซงกั๋งหนีมาตามทางเมืองซงหยง

ขณะนั้นพอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกแก่กวนอูว่า บัดนี้เมืองเกงจิ๋วเสียแก่ลิบองแล้ว ครอบครัวบุตรภรรยาเขาก็จับได้สิ้น กวนอูครั้นแจ้งดังนั้นแล้วก็ตกใจมิอาจจะไปเมืองซงหยงได้ ก็ตรงมาตามทางเมืองกังอั๋น จึงรู้ข่าวว่าเปาสูหยินซึ่งตั้งอยู่เมืองกังอั๋นไปเข้ากับซุนกวนแล้ว กวนอูก็ยิ่งน้อยใจแผลซึ่งถูกเกาทัณฑ์นั้นกลับกระทำพิษยิ่งกว่าเก่า กวนอูก็ตกจากหลังม้าลงสลบอยู่ที่นั้น ทหารทั้งปวงก็แก้ไขกวนอูก็ได้สมประดีขึ้นมา จึงว่าแก่ฮองฮูว่า เปนเหตุทั้งนี้เพราะเรามิฟังคำท่าน กวนอูจึงถามไปแก่ม้าใช้ว่า เมื่อข้าศึกยกเข้ามาเปนไรมิจุดไฟสำคัญขึ้นตามคำเราสั่งไว้

ม้าใช้จึงแจ้งว่า ลิบองแกล้งแปลงเปนลูกค้าเข้ามา จับเอาทหารซึ่งรักษาร้านไฟไปได้สิ้นจึงมิได้จุดเพลิงขึ้น กวนอูได้ฟังดังนั้นกระทืบเท้าถอนใจใหญ่ จึงออกปากว่าเราเสียความคิดแก่ข้าศึกไหนเราจะได้กลับไปเห็นหน้าพระเจ้าเล่า ปี่ได้ เตียวลุยนายกองลำเลียงจึงว่า ครั้งนี้เราก็อับจนอยู่แล้ว ควรเราจะให้ม้าใช้รีบไปเมืองเซงโต๋ขอกองทัพมาช่วย แล้วเราจึงยกขบวรบกไปตีเมืองเกงจิ๋วคืน กวนอูได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ม้าเลี้ยงกับอิเจี้ยสองนายคุมเอาหนังสือไปเมืองเซงโต๋ ฝ่ายกวนอูคุมทหารจะยกไปรบ ให้กวนเป๋งกับเลียวฮัวเปนทัพหลัง

ฝ่ายโจหยินครั้นมีชัยชนะแล้ว จึงออกมาเฝ้าพระเจ้าวุยอ๋อง ณ กองทัพ แล้วร้องไห้อ้อนวอนขอโทษตัว พระเจ้าวุยอ๋องจึงตรัสแก่โจหยินว่า ซึ่งเปนเหตุดังนี้เปนเคราะห์บ้านเมือง เราหาเอาโทษแก่ท่านไม่ ว่าดังนั้นแล้วประทานรางวัลแก่ทหารทั้งปวงตามมีความชอบ แล้วยกมาอยู่ที่ค่ายซูทง เห็นแน่นหนาหลายชั้นมั่นคงนัก จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ค่ายหลายชั้นมั่นคงถึงเพียงนี้ ซิหลงคิดอ่านเอาชัยชนะได้ แต่เราใช้ให้ทหารมาทำศึกถึงสามสิบปีเศษก็มิอาจเอาชนะให้เหมือนซิหลงได้ อันซิหลงนี้เปนคนมีปัญญารู้การซึ่งจะได้จะเสีย ทหารทั้งปวงก็พลอยสรรเสริญซิหลงทุกคน

พระเจ้าวุยอ๋องก็ยกกองทัพกลับไปตั้งอยู่ที่คอโผ ซิหลงครั้นรู้ดังนั้นก็ยกตามไป พระเจ้าวุยอ๋องเห็นซิหลงยกมาก็ออกไปรับซิหลงมาถึงค่าย เห็นซิหลงยกทัพมาจะได้ผิดขบวรหามิได้ พระเจ้าวุยอ๋องเห็นก็ดีพระทัย จงตั้งให้ซิหลงเปนทหารเอกสำหรับปราบข้าศึกทิศใต้ จึงให้แฮหัวซงอยู่รักษาเมืองซงหยงกับซิหลงสำหรับจะได้ต้านทานกวนอู ส่วนพระเจ้าวุยอ๋องก็ตั้งอยู่ที่คอโผ คอยฟังข่าวราชการเมืองเกงจิ๋วจะเปนประการใด


Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 60

https://drive.google.com/file/d/1hoJg9Iihcug6h9YOk83zD52gwMepBkv5/view



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.318 seconds with 20 queries.