User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
23 December 2024, 08:16:19
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618
Posts in
12,929
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
เรื่องราวน่าอ่าน
|
หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง
|
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40 (Read 935 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
on:
22 December 2021, 19:56:51 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-31.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31
เนื้อหา
เล่าปี่รบกับเตียวบู ตันสูน
เล่าเปียวให้เล่าปี่กับพวกไปรักษาเมืองด่าน
สมภพอาเต๊า (คือพระเจ้าเล่าเสี้ยน)
เล่าเปียวปรึกษาเล่าปี่เรื่องทายาท
นางชัวฮูหยินคิดฆ่าเล่าปี่
ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนั้น เล่าเปียวก็ทำนุบำรุงถึงขนาด ขณะนั้นพอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกแก่เล่าเปียวว่า เตียวบูกับตันสูนซึ่งท่านให้คุมทหารไปลาดตะเวนทางด่านเมืองกังแฮต่อแดนเมือง กังตั๋งนั้น บัดนี้เตียวบูกับตันสูนนั้น คุมทหารเที่ยวตีชิงเอาทรัพย์สิ่งสินของอาณาประชาราษฎร แล้วมีใจกำเริบตั้งแขงอยู่ ณ เมืองกังแฮ เล่าเปียวแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดอ่านประการใด เล่าปี่จึงว่า ซึ่งเตียวบูกับตันสูนคิดร้ายต่อท่านนั้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกำจัดเสียให้จงได้ เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นจึงเกณฑ์ทหารให้สามหมื่น เล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยจูล่งคุมทหารยกไปถึงแดนเมืองกังแฮ แล้วก็ให้ตั้งค่ายมั่นไว้
ฝ่ายเตียวบูตันสูนรู้ดังนั้น ก็คุมทหารออกมาจะรบด้วยเล่าปี่ ๆ จึงคุมทหารออกจากค่าย แล้วพากวนอูเตียวหุยจูล่ง ขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง เล่าเห็นม้าซึ่งเตียวบูขี่นั้นมีลักษณฝีเท้ารวดเร็วนัก แล้วว่าแก่กวนอูเตียวหุยจูล่งว่า ม้าซึ่งเตียวบูขี่นั้นดี ทำประการใดเราจะได้มาไว้ จูล่งจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปจับม้านั้นมาให้จงได้ แล้วก็ขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยเตียวบูได้สามเพลง จูล่งเอาทวนแทงเตียวบูตาย แล้วจับม้านั้นจะเอามาให้เล่าปี่ ตันสูนเห็นดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำง้าวออกมาจะรบชิงเอาม้าคืน พอเตียวหุยเหลือบเห็นก็ขับม้าออกไปสกัดหน้าไว้ แล้วเอาทวนแทงถูกตันสูนตกม้าตาย ทหารเตียวบูตันสูนแตกไปบ้าง พากันเข้าด้วยเล่าปี่บ้าง
ขณะนั้นเล่าปี่ปราบปรามราษฎรชาวเมืองกังแฮให้อยู่เปนปรกติแล้วก็ยกกลับมา ฝ่ายเล่าเปียวรู้ข่าวก็ออกไปรับเล่าปี่ถึงประตูเมือง แล้วพาเล่าปี่เข้ามา เล่าปี่จึงเล่าเนื้อความให้เล่าเปียวฟังทุกประการ เล่าเปียวมีความยินดี ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่ ขณะเมื่อเล่าปี่เสพย์สุราอยู่นั้น เล่าเปียวจึงสรรเสริญเล่าปี่ว่า เจ้าเปนน้องเรามีสติปัญญาแลฝีมือเปนอันมาก แต่พี่มีความวิตกอยู่ว่าเมืองเรานี้เปนเมืองหน้าด่าน เกรงซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งหนึ่ง เตียวฬ่อเจ้าเมืองตังฉวนหนึ่ง กับเมืองลำอวดซึ่งอยู่นอกแดนเมืองจีนหนึ่ง เกลือกจะยกมาทำอันตรายเมืองเรา เล่าปี่จึงตอบว่า ทหารข้าพเจ้ามีสามคนล้วนมีฝีมือกล้าหาญ ถ้าท่านเห็นว่าด่านทางตำบลใดเปนที่สำคัญ ก็ให้ไปตั้งป้องกันรักษาอยู่เถิด
เล่าเปียวแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้นำทหารนั้นมาดู แล้วให้เตียวหุยคุมทหารไปรักษาด่านต่อแดนเมืองลำอวด ให้กวนอูคุมทหารไปตั้งรักษาด่านข้างแดนเมืองตังฉวน จูล่งนั้นให้คุมทหารไปตั้งรักษาด่านเอาเมืองเกงจิ๋ว ต่อแดนเมืองกังตั๋ง ขณะนั้นเล่าเปียวไว้ใจ มิได้คิดเกรงว่าศึกเมืองใดจะยกมาทำอันตราย
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งชัวมอจึงเข้ามาบอกแก่นางชัวฮูหยินผู้พี่ ซึ่งเปนภรรยาเล่าเปียว ว่าบัดนี้เล่าเปียวเชื่อถือเล่าปี่ ให้ทหารเล่าปี่ทั้งสามคนนั้นคุมทหารออกไปตั้งอยู่ปลายแดนทั้งสามตำบล ตัวเล่าปี่นั้นอยู่ในเมือง นานไปข้าพเจ้าเห็นจะมีภัยถึงเล่าเปียวเปนมั่นคง แล้วชัวมอก็ลาออกไป ครั้นเวลาค่ำนางชัวฮูหยินจึงแกล้งแต่งกลมารยาบอกแก่เล่าเปียวว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าชาวเมืองเกงจิ๋วไปมาหาสู่เล่าปี่เปนอันมาก ขอท่านเร่งระวังตัวจงหนัก หาไม่จงคิดอ่านให้เล่าปี่ไปอยู่รักษาเมืองอื่นซึ่งขึ้นแก่เมืองเราดีกว่า ถ้าท่านมิฟังข้าพเจ้าเห็นภัยจะมาถึงตัวท่าน เล่าเปียวจึงตอบว่า อันเล่าปี่นั้นเปนคนสัตย์ซื่อมิได้คิดร้ายต่อเรา นางชัวฮูหยินจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะประมาณใจเล่าปี่ว่าซื่อนั้น เกลือกเขาจะไม่ซื่อเหมือนใจท่าน เล่าเปียวก็มิได้ตอบประการใด
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เล่าเปียวขี่ม้าพาทหารออกไปเที่ยวนอกเมือง เล่าปี่ก็ขี่ม้าตามไป เล่าเปียวเห็นม้าเล่าปี่งามจึงถามว่า ม้านี้ท่านได้มาแต่ไหน เล่าปี่ก็บอกว่าม้านี้ของเตียวบู ครั้นเจ้าของตายแล้วข้าพเจ้าจึงได้มาไว้ เล่าเปียวแจ้งดังนั้นก็พิศดูม้าแล้วชมว่างามเปนหลายคำ เล่าปี่เห็นเล่าเปียวมีใจรักม้านั้น จึงลงเสียจากม้าแล้วว่า ม้านี้ท่านพอใจหรือ ข้าพเจ้าให้แล้วจงเอาไว้ขี่เล่นเถิด เล่าเปียวมีความยินดี ก็ขึ้นม้านั้นกลับเข้ามาเมือง เกงอวดจึงถามเล่าเปียวว่า ม้านี้ท่านได้มาแต่ไหน เล่าเปียวจึงบอกว่า ม้านี้ของเตียวบูเล่าปี่ไปรบได้เอามาให้เรา เกงอวดจึงพิเคราะห์ดูม้า เห็นลักษณร้ายแล้วจึงว่า เกงเหลียงผู้พี่ข้าพเจ้านั้นรู้ดูลักษณะม้าว่าดีแลร้าย ครั้นเกงเหลียงจะใกล้ตาย จึงบอกตำราให้ข้าพเจ้าเรียนไว้ แลข้าพเจ้าเห็นม้าตัวนี้มีฝีเท้ารวดเร็วอยู่ก็จริง แต่ลักษณะร้าย ที่ริมจักษุทั้งสองข้างล่างนั้นเปนร่องน้ำตา ที่ขวันนั้นมีขนร้ายแซมอยู่ เตียวบูขี่รบศึกจึงถึงแก่ความตาย ซึ่งท่านจะเอาม้านี้ขี่นั้นไม่ควร ด้วยลักษณะม้านี้ให้โทษแก่เจ้าของ
เล่าเปียวแจ้งดังนั้นก็เชื่อคำเกงอวด ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้หาตัวเล่าปี่มากินโต๊ะแล้วว่า ซึ่งเจ้าให้ม้าเรานั้นขอบใจนัก แต่ตัวเราไม่ได้ไปทำสงคราม เจ้าจงเอาม้านี้ไว้ขี่สำหรับทำการศึกเถิด เล่าปี่มิได้รู้เหตุก็มีความยินดี จึงคำนับเล่าเปียวแล้วให้คนรับเอาม้านั้นไป เล่าเปียวจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า สเบียงอาหารในเมืองซินเอี๋ยก็บริบูรณ์ เจ้าจงยกครอบครัวแลทหารออกไปอยู่รักษาเมืองซินเอี๋ยเถิด เล่าปี่ก็รับคำ ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงจัดแจงทหารแล้วพาครอบครัวไป เล่าปี่ขี่ม้าตัวนั้นออกจากเมืองเกงจิ๋ว พอพบอีเจี้ยซึ่งอยู่ด้วยเล่าเปียว เล่าปี่จึงลงจากม้าคำนับอีเจี้ย
ฝ่ายอีเจี้ยจึงบอกเล่าปี่ว่า เวลาวานนี้ข้าพเจ้าได้ยินเกงอวดบอกแก่เล่าเปียวว่า ม้าตัวนี้ชื่อเต๊กเลา ลักษณร้ายให้โทษแก่เจ้าของ เล่าเปียวเกรงอยู่จึงคืนให้ท่าน ๆ ไม่รู้หรือจึงเอามาขี่ เล่าปี่แจ้งดังนั้นจึงว่าซึ่งท่านบอกเรานี้ก็ขอบใจ ข้อซึ่งดีแลร้ายนั้นก็ตามแต่บุญแลกรรมเรามิได้ถือ แล้วเล่าปี่ก็ลาอีเจี้ยไปถึงเมืองซินเอี๋ย ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรโดยสุจริต ชาวเมืองทั้งปวงมีใจรักเล่าปี่เปนอันมาก ฝ่ายอีเจี้ยไปมาหาสู่มิได้ขาด
ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมาอยู่ในเมืองฮูโต๋ได้สิบสองปี ฝ่ายนางกำฮูหยินซึ่งเปนภรรยาใหญ่เล่าปี่มีครรภ์แก่อยู่แล้ว ครั้นเดือนสามข้างขึ้นเวลากลางคืนนั้น นางกำฮูหยินได้ยินเสียงนกวายุภักษ์ร้องอยู่ตรงหลังคาประมาณสี่สิบคำ แล้วได้ยินร้องไปสู่ทิศตวันตก แลมีกลิ่นเครื่องหอมนั้นบันดาลฟุ้งตลบไปในตึกที่อยู่ แล้วนางกำฮูหยินก็คลอดบุตรออกมาเปนชาย แลเมื่อนางกำฮูหยินแรกมีครรภ์นั้น นิมิตฝันว่าได้กลืนดาวจรเข้เข้าไว้ในครรภ์ เล่าปี่จึงให้ชื่อบุตรว่าอาเต๊า เพราะเหตุว่าอาเต๊านั้นภาษาจีนว่าดาวจรเข้ พอเล่าปี่รู้ข่าวว่าโจโฉยกไปหัวเมืองฝ่ายเหนืออีก เล่าปี่จึงเข้าไปเมืองเกงจิ๋ว แล้วบอกเล่าเปียวว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพไปหัวเมืองฝ่ายเหนือ ข้าพเจ้าคิดจะให้ท่านเกณฑ์ทหารในเมืองเกงจิ๋วแลเมืองขึ้นให้สิ้นเชิง ยกไปตีเมืองฮูโต๋เห็นจะได้โดยง่าย เล่าเปียวจึงตอบว่า ตัวเรามีเมืองขึ้นถึงเก้าหัวเมืองก็พอจะเปนสุขอยู่ ซึ่งจะคิดอ่านล่วงไปทำอันตรายเขาก่อนนั้นไม่ควร ถ้าเขายกมาทำร้ายเราจึงค่อยคิดป้องกันรักษาเมืองไว้ดีกว่า เล่าปี่มิได้ตอบประการใด เล่าเปียวจึงพาเล่าปี่ไปกินโต๊ะอยู่ที่ข้างใน
ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้น เล่าเปียวทอดใจใหญ่ เล่าปี่จึงถามว่า ท่านทอดใจใหญ่ด้วยเหตุสิ่งใด เล่าเปียวจึงว่า เรามีความทุกข์ในใจสุดที่จะ หยิบออกปรับทุกข์ได้ เล่าปี่จึงอ้อนวอนว่าความทุกข์ของท่านข้อใดจงบอกให้รู้ด้วย พอเล่าเปียวเห็นนางชัวฮูหยินซึ่งเปนภรรยานั้นเยี่ยมหน้าออกมา เล่าเปียวก็สั่นสีสะให้เล่าปี่ ครั้นกินโต๊ะแล้วเล่าปี่ก็ลาเล่าเปียวกลับไปเมืองซินเอี๋ย พอรู้ข่าวโจโฉยกกองทัพกลับมาเมืองฮูโต๋แล้ว เล่าปี่จึงทอดใจใหญ่คิดเสียดายการ ด้วยเล่าเปียวไม่ทำตาม แม้จะยกกองทัพไปก็จะได้เมืองฮูโต๋โดยง่าย
ขณะนั้นม้าใช้มาบอกเล่าปี่ว่า เล่าเปียวให้เชิญเข้าไปเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ก็ไปคำนับเล่าเปียวแล้วว่า ท่านให้หาข้าพเจ้ามาด้วยเหตุสิ่งใด เล่าเปียวจึงบอกว่า เมื่อเจ้าจะให้เกณฑ์ทหารไปตีเมืองฮูโต๋เราไม่ยอมนั้นเพราะเราคิดผิด บัดนี้เราได้ยินข่าวว่าโจโฉยกกลับมาถึงเมืองฮูโต๋แล้วจะคิดอ่านยกกองทัพมาตี เมืองเรา เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านจะด่วนเสียใจนั้นไม่ควร ทุกวันนี้แผ่นดินก็เปนจลาจลอยู่ ถ้าโจโฉยกไปทำการศึกแห่งใดเห็นได้ทีแล้ว จงยกกองทัพไปโจมตีเอาเมืองฮูโต๋ก็จะได้อยู่ เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงว่า ซึ่งเจ้าคิดทั้งนี้ควรนัก แล้วก็ชวนเล่าปี่กินโต๊ะ ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น เล่าเปียวคิดถึงความทุกข์ขึ้นมาก็ร้องไห้ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงถามว่า เหตุสิ่งใดท่านจึงโศกเสร้า เล่าเปียวจึงตอบว่า ความทุกข์ในอกเรานี้ใหญ่หลวงนัก ครั้งหนึ่งเจ้าถามครั้นจะบอกเนื้อความก็ไม่ทันที เล่าปี่จึงว่า ความทุกข์ท่านสิ่งใดจงบอกให้ข้าพเจ้าแจ้งเถิด ถึงมาทว่าท่านจะใช้สอยไปก็ดี ข้าพเจ้าจะคิดอ่านอาสาไปกว่าจะสิ้นชีวิต
เล่าเปียวจึงบอกว่า นางต้านซีภรรยาของเราซึ่งตายนั้น มีบุตรอยู่คนหนึ่งชื่อเล่ากี๋ ปัญญานั้นฉลาดเฉลียวอยู่ แต่เปนคนใจเย็น เห็นจะคิดการสิ่งใดไม่ตลอด แลเล่าจ๋องบุตรนางชัวฮูหยินซึ่งเปนภรรยาเราทุกวันนี้ มีสติปัญญาฉลาด จะคิดสิ่งไรก็หนักแน่น ดีกว่าเล่ากี๋ผู้พี่ บัดนี้เราคิดว่าจะให้เล่าจ๋องเปนเจ้าเมืองแทนเรา แต่เกรงอยู่ว่าผิดธรรมเนียมโบราณ คนทั้งปวงก็จะคระหานินทาได้ ครั้นจะตั้งเล่ากี๋ผู้พี่ให้เปนเจ้าเมืองตามประเพณีเล่า ก็เกรงอยู่ว่าญาติพี่น้องนางชัวฮูหยิน ซึ่งเปนขุนนางอยู่ในเมืองนี้ก็หลายคน แล้วได้คุมทหารอยู่เปนอันมาก เกลือกเราถึงแก่ความตายแล้ว คนทั้งนี้จะคิดทำร้ายเล่ากี๋เสีย เหตุดังนี้เราจึงว่ามีทุกข์ใหญ่หลวง เล่าปี่จึงตอบว่า อันท่านจะให้บุตรผู้น้อยเปนเจ้าเมืองก่อนบุตรผู้ใหญ่นั้นไม่ควร ซึ่งเกรงว่าญาติพี่น้องนางชัวฮูหยินจะทำร้ายเล่ากี๋นั้น ท่านจงค่อยคิดอ่านผ่อนกำลังคนเหล่านี้เสียให้เบาบาง แล้วจึงตั้งเล่ากี๋เปนเจ้าเมืองแทนก็จะไม่มีอันตราย เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็พยักเอาแล้วก็ร้องไห้
ฝ่ายนางชัวฮูหยินมีใจสงสัยอยู่ เมื่อขณะเล่าปี่กินโต๊ะอยู่กับเล่าเปียวนั้น นางชัวฮูหยินแอบฟังอยู่ที่ข้างใน ครั้นได้ยินเล่าเปียวกับเล่าปี่พูดกันดังนั้น ก็มีความแค้นเล่าปี่เปนอันมาก ฝ่ายเล่าปี่ครั้นว่ากับเล่าเปียวออกไปดังนั้นแล้วกลับได้คิด เกรงว่านางชัวฮูหยินจะมาแอบฟังอยู่ จึงแกล้งลุกขึ้นคำนับเล่าเปียวแล้วว่า ข้าพเจ้าจะลาออกไปข้างนอกบัดเดี๋ยวหนึ่ง เล่าปี่ทำเปนร้องไห้แล้วกลับมา เล่าเปียวเห็นดังนั้นจึงถามเล่าปี่ว่าเหตุใดท่านจึงร้องไห้ เล่าปี่จึงแกล้งบอกว่า ข้าพเจ้าขี่ม้าครั้งใด ที่นั่งก็แตกเปนโลหิตไหลออกทุกทีได้รักษาก็หายไป บัดนี้ข้าพเจ้าขี่ม้าชอกช้ำมาช้านานที่นั่งก็แตกเปื่อยออกไปอีก ข้าพเจ้าเห็นว่าอายุจะสั้นเสียแล้ว จะไม่ได้อยู่ทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ข้าพเจ้าจึงร้องไห้เพราะเหตุฉนี้ เล่าเปียวจึงว่าเมื่อครั้งเจ้าไปอยู่เมืองฮูโต๋นั้นเรารู้กิตติศัพท์มาว่า วันหนึ่งโจโฉกับเจ้าเสพย์สุรากับผลมะเฟืองด้วยกัน โจโฉนั้นถามว่าเจ้าบ้านผ่านเมืองใดมีสติปัญญาเข้มแขง เจ้าจึงบรรยายบอกแก่โจโฉว่า มีอยู่หลายเมือง โจโฉไม่เห็นด้วยแล้วว่า ในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงนั้น หามีผู้ใดที่จะมีสติปัญญาลึกซึ้งเสมอโจโฉกับเจ้าไม่ แลโจโฉนั้นมีความคิดใหญ่หลวง ทั้งทหารก็มีฝีมือเปนอันมาก ยังไม่อาจยกตัวว่าดียิ่งกว่าเจ้า เหตุใดเจ้าจะมาคิดย่อท้อกลัวจะไม่ได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน
ขณะนั้นเล่าปี่เสพย์สุราเมาอยู่ ครั้นได้ยินเล่าเปียวว่าดังนั้น ก็มีใจกำเริบด้วยกำลังเมาจึงตอบว่า ข้าพเจ้าตั้งภูมิฐานเปนที่มั่นลงได้ก็จะกลัวอะไรแก่หัวเมืองทั้งปวง อุปมาดังลูกไก่อยู่ในเงื้อมมือข้าพเจ้า เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด เล่าปี่ขุกคิดได้ว่าเจรจานั้นเกินไปก็ทำเปนเมาหนัก แล้วก็ลาเล่าเปียวมาอยู่ที่อาศรัยในเมืองเกงจิ๋ว
ขณะเมื่อเล่าปี่ไปแล้ว เล่าเปียวคิดแคลงเล่าปี่อยู่ แล้วเข้าไปที่ข้างใน นางชัวฮูหยินจึงแกล้งยุเล่าเปียวว่า เมื่อกี้นั้นเล่าปี่พูดจาหยาบช้า ดูหมิ่นหัวเมืองทั้งปวง แลตัวท่านก็เปนเจ้าเมืองใหญ่อยู่ตำบลหนึ่ง ซึ่งเล่าปี่ว่ากล่าวทั้งนี้ท่านเห็นประจักษ์แล้วหรือ นานไปเห็นเล่าปี่จะคิดเอาเมืองเกงจิ๋ว อันตรายจะมีมาถึงท่าน ขอให้เร่งคิดกำจัดเล่าปี่เสียท่านจึงจะพ้นภัย เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็สั่นสีสะมิได้ตอบประการใด นางชัวฮูหยินเข้าไปยังที่อยู่ จึงให้หญิงคนใช้รีบออกไปหาตัวชัวมอเข้ามา แล้วเอาเนื้อความซึ่งเล่าปี่พูดจาทั้งปวงนั้นเล่าให้ชัวมอฟังทุกประการ ชัวมอจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย บัดนี้เล่าปี่ก็เมาสุราอยู่ ข้าพเจ้าจะรีบออกไปฆ่าเสีย แล้วจะกลับเข้ามาแจ้งเนื้อความแก่เล่าเปียว นางชัวฮูหยินเห็นชอบด้วย จึงว่าการทั้งนี้ให้เร่งทำไปเถิด ชัวมอก็ลากลับออกไป ครั้นเวลาพลบค่ำจึงจัดแจงทหารให้พร้อมกัน
ฝ่ายเล่าปี่จุดเทียนนั่งดูหนังสืออยู่จนเวลาประมาณยามเศษ ขณะนั้นอีเจี้ยรู้จึงเข้ามาหาเล่าปี่ แล้วบอกเนื้อความว่า ชัวมอตระเตรียมทหารไว้จะทำร้ายท่านในเวลาคืนวันนี้ ท่านจงคิดอ่านหนีเอาตัวรอดเถิด เล่าปี่จึงตอบว่า เมื่อเรายังไม่ได้ลาเล่าเปียว จะให้เราหนีไปกระไรได้ อีเจี้ยจึงว่าท่านมัวเปนกังวลอยู่ด้วยเล่าเปียวชัวมอจะมิฆ่าท่านเสียหรือ เล่าปี่เห็นชอบด้วยก็ลาอีเจี้ย แล้วพาทหารซึ่งตามมาด้วยนั้นหนีไปถึงเมืองซินเอี๋ย
ครั้นเวลาประมาณสองยามเศษ ชัวมอก็คุมทหารมาถึงที่อยู่เล่าปี่ มีผู้บอกว่าเล่าปี่หนีไปแล้ว ชัวมอแจ้งดังนั้นก็มีความแค้นเปนอันมาก จึงแกล้งเข้าไปเขียนโคลงสี่บทลงไว้ที่ฝาผนังตึกริมที่นอนเล่าปี่เปนประหนึ่ง ว่าเล่าปี่เขียน แล้วชัวมอก็พาทหารกลับมา ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงเข้าไปบอกแก่เล่าเปียวว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่จะคิดร้ายท่าน เมื่อจะไปนั้นมิได้ลาแล้วเขียนโคลงลงไว้ริมที่นอนนั้นสี่บท ถ้าท่านไม่เชื่อข้าพเจ้าจงเชิญไปดูให้ประจักษ์ เล่าเปียวก็ไปดูถึงที่อยู่เล่าปี่ เห็นโคลงซึ่งเขียนไว้นั้นก็อ่านดู เปนใจความบทหนึ่งว่า สู้จำใจทุกข์ทรมานเปนหลายปีแล้ว บทสองว่าตั้งใจคิดการจะเอาราชสมบัติ บทสามว่าธรรมชาติมังกร ซึ่งจะอยู่ในสระแลห้วยหนองนั้นไม่ได้ บทสี่ว่าอันมังกรนั้นถ้าได้ทีแล้วก็จะขึ้นสำแดงฤทธิบนอากาศ
เล่าเปียวแจ้งในโคลงสี่บทนั้นก็โกรธชักกระบี่ออกแกว่ง ว่ากูจะฆ่าเล่าปี่อันเปนคนทรยศเสียให้ได้ แล้วเดิรออกไปนอกตึกหวังจะสั่งทหารก็พอคิดได้ว่า อันเล่าปี่มาอยู่ด้วยเราช้านาน ยังไม่ปรากฎว่าเล่าปี่จะทำโคลง เกลือกผู้ใดจะมีใจเจ็บแค้นเล่าปี่อยู่จึงแกล้งมาทำโคลงดังนี้ไว้ หวังจะให้เรามีความสงสัยเล่าปี่ แล้วเล่าเปียวก็กลับเข้าไป เอาปลายกระบี่แซะอักษรโคลงนั้นเสีย แล้วก็กลับเข้ามาที่อยู่ ชัวมอจึงว่าแก่เล่าเปียวว่าทหารพร้อมอยู่แล้ว ขอให้ท่านเร่งยกไปจับเล่าปี่มาฆ่าเสียจึงจะไม่มีภัยมาถึงท่าน เล่าเปียวจึงตอบว่า เล่าปี่จะไปไหนพ้นเรา ค่อยคิดอ่านอย่าให้มีความคระหานินทาแก่เราได้ ชัวมอเห็นเล่าเปียวลังเลอยู่ ยังไม่เชื่อลงถนัดดังนั้น ก็ลอบเข้าไปบอกนางชัวฮูหยินตามการซึ่งได้ทำทั้งปวง แล้วว่ายังอีกสามวันจะถึงกำหนดเข้าปีใหม่ หัวเมืองทั้งปวงจะมาประชุมพร้อมกัน ณ เมืองซงหยง ข้าพเจ้าจะคิดอ่านฆ่าเล่าปี่เสียให้ได้ นางชัวหูหยินจึงว่าเจ้าเร่งทำการให้สำเร็จเถิด ชัวมอก็รับคำแล้วลาออกมา ครั้นเวลารุ่งเช้าชัวมอจึงเข้าไปว่าแก่เล่าเปียวว่า ยังอีกสามวันจะถึงกำหนดซึ่งหัวเมืองทั้งปวงจะมาประชุมกัน ณ เมืองซงหยง ท่านจงจัดแจงการจะได้ไปสั่งสอนขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวง เล่าเปียวจึงว่า เราป่วยอยู่เห็นจะไปไม่ได้ จะให้แต่เล่ากี๋เล่าจ๋องผู้บุตรเราทั้งสองไปแทน ชัวมอจึงว่า บุตรท่านทั้งสองยังอ่อนแก่ความคิดนัก ซึ่งจะให้ไปรับคำนับขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงนั้นไม่ควร การประเพณีเมืองจะเสียไป เล่าเปียวจึงว่า กระนั้นก็ให้เชิญเล่าปี่มารับคำนับแทนเราเถิด ชัวมอได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงคิดว่า ครั้งนี้เล่าปี่จะไม่พ้นมือเรา แล้วก็ลาออกมา จึงแต่งคนให้ไปบอกเล่าปี่ว่า บัดนี้เล่าเปียวป่วยอยู่ สั่งว่าอีกสองวันให้เชิญเล่าปี่มารับคำนับขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงแทนเล่า เปียว ณ เมืองซงหยง คนใช้ก็ลาชัวมอไปบอกเล่าปี่
ฝ่ายกวนอูเตียวหุยจูล่งรู้ข่าว ว่าเล่าปี่มาอยู่ ณ เมืองซินเอี๋ยแล้วต่างคนต่างก็คุมทหารมาหาเล่าปี่ ในขณะนั้นซุนเขียนจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เวลาวานนี้ท่านกลับมาแต่เมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าเห็นกิริยาไม่สู้สบาย ท่านมีความสงสัยสิ่งใดอยู่ ซึ่งเล่าเปียวให้เชิญท่านไปรับคำนับขุนนางแทนนั้นก็อย่าไปเลย เล่าปี่จึงบอกเนื้อความซึ่งพูดจากับเล่าเปียวนั้นให้ฟังทุกประการ แล้วว่าอีเจี้ยมาบอกว่า ชัวมอคิดจะทำร้ายเรา ๆ จึงหนีมา กวนอูจึงตอบว่า อันเมืองซงหยงนั้นทางก็ใกล้กับเมืองนี้ ถึงมาทว่าผู้ใดจะคิดทำร้ายท่านจริง ก็พอจะแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งท่านจะด่วนเชื่อฟังคำคนบอกเล่านั้นไม่ควร เพราะว่าไม่ได้เห็นแก่ตามิได้ยินแก่หู ถ้าท่านไม่เข้าไปเล่าเปียวก็จะสงสัย สมร้ายกับคำซึ่งพูดจาไว้นั้น
เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงว่า ซึ่งเจ้าคิดนี้ควรนัก เตียวหุยจึงว่า ท่านมีความสงสัยอยู่แล้วก็อย่าไปเลย จูล่งว่าท่านไปนั้นดี ข้าพเจ้าจะคุมทหารสามร้อยไปด้วย จะได้ป้องกันรักษาท่านมิให้เปนอันตราย เล่าปี่ก็รับคำ ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่ก็ขี่ม้าเต๊กเลา พาจูล่งคุมทหารสามร้อยไป ณ เมืองซงหยง ฝ่ายชัวมอรู้ว่าเล่าปี่มาก็ทำเปนยินดี ออกมารับถึงประตูเมืองแล้วพาเข้าไป เล่ากี๋เล่าจ๋องก็คำนับเล่าปี่ เล่าปี่เห็นเล่ากี๋เล่าจ๋องอยู่นั่นด้วยก็สิ้นความสงสัย เล่าปี่ก็เข้าไปนั่งอยู่ที่ข้างใน จูล่งกับทหารสามร้อยก็นั่งล้อมวงเล่าปี่อยู่ เล่ากี๋จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บิดาข้าพเจ้าป่วยอยู่ จึงให้เชิญท่านมารับคำนับขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงแทน เล่าปี่จึงตอบว่า ตัวเรานี้ไม่ควรจะรับคำนับขุนนาง แต่จำมาด้วยขัดเล่าเปียวไม่ได้
ครั้นเวลารุ่งเช้าเจ้าเมืองโททั้งเก้าหัวเมือง เจ้าเมืองตรีจัตวาสี่สิบสองหัวเมือง ซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว ก็มาพร้อมกันในที่ชุมนุมขุนนาง ในขณะนั้นชัวมอจึงลอบปรึกษากับเกงอวดว่า เล่าปี่นั้นเปนคนหยาบช้าหากตัญญูไม่ แม้จะละไว้ให้อยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้สืบไป อันตรายก็จะมีแก่เราท่านทั้งปวงเปนมั่นคง วันนี้ได้ทีแล้วเราจะจับเล่าปี่ฆ่าเสียเมืองเราจึงจะไม่มีภัย เกงอวดจึงตอบว่า คนทั้งปวงย่อมเลื่องลือว่า เล่าปี่เปนคนมีความสัตย์ซื่อ ซึ่งท่านจะฆ่าเสียนั้น ขุนนางแลราษฎรจะมิคระหานินทาท่านหรือ ชัวมอจึงแกล้งบอกว่า เนื้อความทั้งนี้ใช่เราจะล่วงทำเองก็หาไม่ เล่าเปียวลอบสั่งเราให้ทำ จะเกรงคนทั้งปวงนินทาไย เกงอวดจึงว่า ถ้าเล่าเปียวสั่งดังนั้นไซร้ก็ตามเถิด แต่ซึ่งจะทำการนั้นให้คิดอ่านจัดแจงการจงดี ชัวมอจึงตอบว่า การเราเตรียมไว้พร้อมแล้ว ที่เขาอีสานตรงประตูทิศตวันออกนั้น เราก็ให้ชัวโฮผู้น้องคุมทหารไปคอยสกัดอยู่ อันประตูทิศใต้นั้น เราก็ให้ชัวต๋งคุมทหารไปสกัดไว้ แล้วให้ชัวหุนคุมทหารไปคอยสกัดอยู่ประตูทิศเหนือ แต่ประตูทิศตวันตกนั้นเห็นเล่าปี่จะข้ามแม่น้ำตันเขไม่ได้ เกงอวดจึงว่า ซึ่งท่านจัดแจงไว้นี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เราเกรงอยู่ด้วยจูล่งทหารเล่าปี่นั้นมีฝีมือกล้าหาญ แล้วก็ตามอยู่มิได้ไกลตัวเล่าปี่ ซึ่งจะทำการนั้นเกลือกจะไม่ตลอด ชัวมอจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เราก็เกณฑ์ทหารห้าร้อยคอยซุ่มอยู่ภายนอกกองหนึ่ง เกงอวดจึงว่า ให้สั่งบุนเพ่งกับอองอุ้ยให้เปนนายกองเลี้ยงทหารแลขุนนางทั้งปวงอยู่ภายนอก แล้วให้หาตัวจูล่งกับทหารเล่าปี่ออกมากินเลี้ยง ข้างในนั้นเราจะได้ทำการจับเล่าปี่ได้ถนัด ชัวมอเห็นชอบด้วย ก็สั่งให้บุนเพ่งกับอองอุ้ยให้ทำตามคำเกงอวด
ครั้นได้เวลาชัวมอจึงให้เชิญเล่าปี่ออกขุนนาง แลขุนนางทั้งปวงก็คำนับเล่าปี่ตามอย่างธรรมเนียม เล่าปี่รับคำนับแล้วสั่งสอนขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวง ให้บังคับบัญชาตามลำดับกันลงไป โดยประเพณีการบ้านเมือง ขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงคำนับแล้วก็ชวนกันกินโต๊ะอยู่ จูล่งนั้นถือกระบี่ยืนรักษาเล่าปี่อยู่ข้างหลัง แลบุนเพ่งกับอองอุ้ยจึงเข้ามาว่ากับจูล่ง ให้ออกไปกินโต๊ะภายนอกกับพวกทหารขุนนาง จูล่งบิดพลิ้วอยู่มิได้ออกไป เล่าปี่ได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่จูล่งให้ออกไปกินโต๊ะกับเขาเถิด จูล่งขัดเล่าปี่มิได้ก็พาทหารออกไปกินเลี้ยงอยู่ภายนอก ชัวมอเห็นได้ทีดังนั้นจึงออกมาพาทหารห้าร้อยซึ่งซุ่มอยู่นั้น ลอบเรี่ยรายกันเข้าไปคอยดู ถ้าเล่าปี่เสพย์สุราจะใกล้เมาแล้วก็จะชวนกันจับฆ่าเสีย
ขณะนั้นอีเจี้ยรู้ว่าชัวมอจะทำร้ายเล่าปี่ ก็เข้าไปรินสุราคำนับให้เล่าปี่แล้วทำถลึงตาให้ จึงแกล้งกล่าวกลอุบายแก่เล่าปี่ว่าร้อนนัก ท่านจงถอดเสื้อชั้นนอกเสียเถิด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้ทีจึงแกล้งลุกเข้าไปที่ข้างใน อีเจี้ยก็ตามไปค่อยกระซิบบอกแก่เล่าปี่ว่า ชัวมอคิดจะทำร้ายท่าน บัดนี้เกณฑ์ทหารไปคอยสกัดไว้ ที่ประตูฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ กับทิศตวันออกเปนสามด้าน ว่างอยู่แต่ประตูฝ่ายตวันตก แม้ท่านจะหนีจงไปทางประตูตวันตกนั้นเถิด
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงลอบออกไปทางข้างหลัง แก้เอาม้าเต๊กเลาแล้วก็ขึ้นควบหนีไปถึงประตูทิศตวันตกแต่ผู้เดียว นายประตูจึงถามเล่าปี่ว่า ท่านจะไปไหนเล่า เล่าปี่มิได้ตอบประการใด รีบขับม้าหนีออกจากประตูเมือง ฝ่ายนายประตูเห็นประหลาทดังนั้น จึงเอาเนื้อความมาแจ้งแก่ชัวมอ ๆ แจ้งดังนั้นก็ขึ้นม้าพาทหารรีบตามเล่าปี่ไป เล่าปี่หนีมาทางประมาณสามสิบเส้น ถึงแม่น้ำตันเข แม่น้ำนั้นกว้างประมาณเก้าวาสิบวาทั้งน้ำก็ลึก เล่าปี่มิรู้ที่จะข้ามแห่งใดได้ จึงชักม้าถอยมาหวังจะหาทางข้าม พอเห็นทหารตามมาเปนอันมาก เล่าปี่ตกใจคิดว่าครั้งนี้เห็นชีวิตจะถึงแก่ความตาย เล่าปี่ก็ร้องไห้แล้วขับม้าโผนลงไปริมแม่น้ำ เท้าหน้าม้านั้นถลำเลนลงไป เสื้อแลกางเกงนั้นก็เปียก เล่าปี่จึงเอาแซ่ม้าตีลงเปนหลายทีแล้วร้องว่า วันนี้เต๊กเลามึงจะผลาญเจ้าของเสียแล้วหรือ พอสิ้นคำลงม้านั้นก็ถีบโผนไปได้ประมาณหกวาเจ็ดวา พอถึงน้ำตื้นเล่าปี่ก็ขับม้าขึ้นตลิ่งได้มีความยินดีเปนอันมาก อุปมาเหมือนฝันว่าได้ขึ้นสวรรค์ พอแลเห็นชัวมอคุมทหารมาถึงริมฝั่งฟากข้างโน้น ชัวมอจึงแกล้งร้องถามเล่าปี่ว่า เหตุใดท่านจึงไม่กินโต๊ะ ขับม้ารีบมาแต่ลำพังนั้นจะไปไหน เล่าปี่จึงบอกว่า กูกับมึงก็มิได้ผิดใจกัน เหตุไฉนมึงจึงคิดจะทำร้ายกู ชัวมอจึงว่าเรามิได้คิดร้ายต่อท่าน เหตุไฉนท่านจึงใจเบาเชื่อฟังคำคนยุยงดังนี้ แล้วชัวมอชักลูกเกาทัณฑ์ออกจะยิงเล่าปี่เสีย เล่าปี่เห็นดังนั้นก็กลัว จึงขับม้ารีบหนีไปทางตวันตก ชัวมอเห็นดังนั้นก็มิได้ข้ามตามไป จึงว่าแก่เตียวอินว่า ซึ่งเล่าปี่หนีข้ามแม่น้ำไปได้ครั้งนี้ชรอยเทพดาช่วย แล้วก็ชักม้าพาทหารกลับมาในเมือง ฝ่ายจูล่งขณะเมื่อกินเลี้ยงอยู่นั้น ได้ยินขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงอื้ออึงก็วิ่งเข้าไปดู ครั้นไม่เห็นเล่าปี่ก็ตกใจกลับออกมาได้ยินคนทั้งปวงพูดกันว่า เล่าปี่หนีไปทางประตูตวันตกแล้ว ชัวมอก็คุมทหารตามไป จูล่งก็ขึ้นม้าพาทหารสามร้อย รีบตามออกทางประตูตวันตก พอพบชัวมอกลับมาถึงกลางทาง จูล่งจึงถามว่า เล่าปี่นายเราอยู่แห่งใดท่านพบหรือไม่ ชัวมอจึงว่าเล่าปี่ออกมาจากเมืองจะไปแห่งใดเรามิได้พบ จูล่งนั้นเปนคนหนักแน่นมิได้ว่าประการใด จึงขับม้าพาทหารไปถึงแม่น้ำตันเขไม่เห็นทางซึ่งจะข้ามไปได้ จึงรีบกลับมาเรียกชัวมอไว้แล้วถามว่า เดิมเล่าเปียวให้เชิญนายเรามารับขุนนางแทน เหตุใดตัวจึงคุมทหารไล่ทำร้ายนายเราดังนี้ ชัวมอจึงตอบว่า หัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงเข้ามากินโต๊ะอยู่สิ้น เราจึงคุมทหารมาป้องกัน หวังจะมิให้ทำร้ายแก่เมืองเกงจิ๋ว จูล่งจึงว่าตัวคิดอ่านการทั้งปวงจะทำร้ายแก่เล่าปี่ ครั้นเราถามตัวเอาความอื่นมาแก้หวังจะให้กลบเกลื่อนเสีย ชัวมอจึงตอบว่า เรารู้ว่าเล่าปี่หนีออกจากเมืองนั้นจริง ครั้นเราตามมาก็ไม่พบตัว จูล่งได้ฟังดังนั้นก็ยังไม่สิ้นสงสัย จึงชักม้ากลับมาถึงริมแม่น้ำ แล้วพิจารณาดูแลเห็นรอยเท้าม้าขึ้นไปริมตลิ่งฟากข้างโน้น จูล่งให้คิดแคลงใจว่า แม่น้ำนี้ก็ลึกเล่าปี่จะข้ามได้หรือ ครั้นพิเคราะห์ดูข้างฝั่งฟากข้างนี้ ก็เห็นรอยเท้าม้าเกลื่อนอยู่ไม่รู้ที่สำคัญถนัด จึงชักม้ากลับมา จะถามชัวมอให้ได้เนื้อความ พอชัวมอเข้าไปในเมืองแล้ว จึงให้จับเอาตัวนายประตูตวันตกนั้นมาขู่ถามว่า เห็นเล่าปี่มาทางประตูนี้หรือไม่ ถ้ามิบอกตามจริงกูจะให้ตีจนแทบบันดาตาย นายประตูกลัวจึงบอกว่า เล่าปี่หนีออกมาแต่ผู้เดียวทางประตูนี้ จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธชัวมอ ครั้นจะเข้าไปต่อว่าชัวมอถึงในเมืองก็เกรงอยู่ว่าเปนที่คับขัน จึงขับม้าพาทหารรีบกลับไปเมืองซินเอี๋ย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnR29ObkhUa19JbXc/view?resourcekey=0-qhkQfp6ewEVCi1HsT41VHQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #1 on:
22 December 2021, 20:03:52 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-32.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
เนื้อหา
เล่าปี่หนีไปพบสุมาเต๊กโช
เล่าปี่ได้ชีซี ตันฮกเป็นที่ปรึกษา
โจหยินยกไปรบกับเล่าปี่
เล่าปี่ตีทัพโจหยินแตก
เล่าปี่ได้เมืองห้วนเสีย
เล่าปี่ได้เล่าฮองเป็นบุตรเลี้ยง
ฝ่ายเล่าปี่ขี่ม้าหนีมาทางฟากตวันตก มิได้รู้แห่งทางก็คิดเสียใจ ว่าตัวกูเอ๋ยได้ความลำบากถึงเพียงนี้ แต่มีความสงสัยว่าแม่น้ำตันเขนั้นกว้างถึงเก้าวาสิบวา เหตุใดม้าโจนทีเดียวจึงไปถึงน้ำตื้นได้ ชรอยเทพดาจะช่วยเรามิให้มีอันตรายได้ ครั้นมาถึงแดนเมืองลำเจี๋ยง พอเวลาเย็นเห็นเด็กคนหนึ่งขี่กระบือเป่าขลุ่ยมาตรงหน้า เล่าปี่ทอดใจใหญ่แล้วว่า เรานี้ประกอบไปด้วยความทุกข์ เด็กเลี้ยงกระบือนั้นมีความสุขยิ่งกว่าเราอีก เล่าปี่ก็หยุดม้าฟังเด็กนั้นเป่าขลุ่ย หวังจะให้คลายความทุกข์ เด็กเลี้ยงกระบือนั้นก็ไม่เป่าขลุ่ย หยุดดูรูปร่างเล่าปี่เห็นสูงใหญ่หูยาวถึงบ่าประหลาทกว่าคนทั้งปวง แล้วถามว่าท่านนี้หรือชื่อเล่าปี่ซึ่งช่วยปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองครั้ง เตียวก๊กหรือ
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มีความสงสัยจึงถามว่า ตัวเองเด็กเท่านี้เหตุใดจึงล่วงรู้จักเรา ว่าช่วยปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองครั้งเตียวก๊ก เด็กเลี้ยงกระบือนั้นจึงตอบว่า อายุข้าพเจ้ายังอ่อนอยู่มิได้รู้จักท่านก็จริง แต่ครูสอนหนังสือมีอยู่คนหนึ่ง เพื่อนฝูงของครูข้าพเจ้านั้นมีหลายคน ขณะเมื่อมาหาครูข้าพเจ้านั้น พูดจาสรรเสริญถึงเล่าปี่ ว่าประกอบไปด้วยลักษณะอันดี สูงประมาณหกศอก หูใหญ่ยาวถึงบ่า มือยาวถึงเข่า จักษุกลอกไปเห็นใบหู แล้วทำนายว่ามีสติปัญญา ภายหน้าไปจะมีบุญ บัดนี้ข้าพเจ้ามาเห็นรูปร่างท่านก็สมกับคำเล่าลือ ข้าพเจ้าจึงถามว่าท่านชื่อเล่าปี่หรือ เล่าปี่จึงถามเด็กเลี้ยงกระบือว่า อาจารย์ของเจ้าซึ่งเจรจาถึงเรานั้นชื่อใด เด็กเลี้ยงกระบือจึงบอกว่า ครูข้าพเจ้าชื่อสุมาเต๊กโช เล่าปี่จึงถามว่า เพื่อนของอาจารย์เจ้าชื่อใดเล่า เด็กเลี้ยงกระบือจึงตอบว่า เพื่อนของอาจารย์ข้าพเจ้าสองคน ๆ หนึ่งชื่อบังเต๊กก๋ง อายุแก่กว่าอาจารย์ข้าพเจ้าสิบปี เปนอาว์บังทอง ๆ อ่อนกว่าอาจารย์ข้าพเจ้าห้าปี มีสติปัญญาหลักแหลมนัก สุมาเต๊กโชรักใคร่เรียกว่าเปนน้อง อาว์หลานสองคนนี้อยู่แดนเมืองซงหยง เคยไปมาหาสู่พูดจาสรรเสริญเล่าปี่เนือง ๆ อยู่
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า บัดนี้อาจารย์เจ้าอยู่แห่งใดเล่า เด็กเลี้ยงกระบือจึงชี้มือบอกว่า อาจารย์ข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้ แลเห็นพุ่มไม้อยู่ทางประมาณยี่สิบเส้น เล่าปี่จึงว่าตัวเรานี้ชื่อเล่าปี่ จะใคร่ได้เห็นอาจารย์เจ้า จงพาเราไปสนทนาด้วยสักหน่อยหนึ่ง เด็กเลี้ยงกระบือก็พาเล่าปี่ไป ครั้นถึงประตูที่อยู่สุมาเต๊กโชนั้น พอได้ยินเสียงพิณซึ่งสุมาเต๊กโชดีดนั้นเพราะนักหนา เล่าปี่จึงห้ามเด็กว่า อย่าเพ่อเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่อาจารย์ก่อน ให้อาจารย์ดีดพิณให้สบายใจจึงค่อยเข้าไป เล่าปี่ก็หยุดฟังอยู่
ฝ่ายสุมาเต๊กโช ครั้นดีดพิณแล้วก็ลุกเดิรออกมาจึงว่า เวลาวันนี้เราดีดพิณสละสลวยสายพิณมิได้ขัดข้อง ชรอยจะมีคนผู้มีสติปัญญามาลักลอบฟังเปนมั่นคง เด็กเลี้ยงกระบือเห็นสุมาเต๊กโชเดิรออกมาดังนั้นจึงบอกเล่าปี่ว่า คนนี้แลชื่อสุมาเต๊กโชเปนอาจารย์ข้าพเจ้า เล่าปี่เห็นสุมาเต๊กโชประกอบไปด้วยรูปร่างดี กิริยามารยาทสูงระวาดระไว งามสมควรที่จะเปนอาจารย์ มีความยินดีนัก ก็คำนับตามประเพณี สุมาเต๊กโชเห็นเล่าปี่คำนับ ก็พิเคราะห์ดูเห็นเสื้อแลกางเกงเปียกอยู่จึงว่า ตัวท่านนี้มีบุญแลวาสนาเปนอันมาก ภัยมาถึงตัวแล้วก็หนีเอาตัวรอดได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็หลากใจจึงคิดว่า เหตุไฉนสุมาเต๊กโชจึงรู้เหตุผลทั้งนี้
ขณะนั้นเด็กเลี้ยงกระบือจึงบอกกับสุมาเต๊กโชว่า คนนี้ชื่อเล่าปี่ให้ข้าพเจ้าพามาคำนับท่าน สุมาเต๊กโชแจ้งดังนั้นก็พาเล่าปี่เข้าไปข้างใน จึงจัดแจงที่ให้นั่งแล้วถามว่า ตัวท่านนี้มาแต่แห่งใด เล่าปี่จึงบอกว่าข้าพเจ้ามาเที่ยวเล่น เห็นภูมิ์ฐานบ้านช่องทั้งปวงนี้ก็เพลินเดิรหลงมา พอพบเด็กเลี้ยงกระบือบอกว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจึงแวะเข้ามาคำนับ เปนบุญของข้าพเจ้าได้มาพบท่านวันนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีหาที่สุดมิได้ สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นจึงว่า เล่าปี่ท่านจะพรางเราใยเรารู้อยู่แล้ว บัดนี้ท่านหนีภัยมาเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เล่าเนื้อความแก่สุมาเต๊กโชโดยจริงทุกประการ สุมาเต๊กโชจึงว่า เราได้ยินเขาเลื่องลือมาแต่ก่อนว่าตัวท่านมีปัญญาความคิดหลักแหลม จะหาผู้เสมอเปนอันยาก เหตุไฉนจึงยังตั้งตัวมิได้ เล่าปี่จึงว่า ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้วาสนาน้อย ทั้งชาตาราศีก็อาภัพจึงได้ความลำบาก สุมาเต็กโชจึงว่า ซึ่งท่านว่ามีบุญน้อยวาสนาน้อยนั้นหาควรไม่ เปนเหตุทั้งนี้เพราะท่านหาคนดีที่มีสติปัญญาเปนที่ปรึกษานั้นยังมิได้
เล่าปี่จึงตอบว่า อันที่ปรึกษาของข้าพเจ้าก็มีอยู่ คือซุนเขียนแลบิต๊กกับกันหยง สามคนนี้ก็เปนที่ไว้วางใจมาแต่ก่อน ฝ่ายกวนอูเตียวหุยจูล่ง สามคนนี้ก็เปนทหารเอกซื่อสัตย์รักใคร่ร่วมใจกัน แต่หากบุญข้าพเจ้าหาไม่จึงตั้งตัวมิได้เอง สุมาเต๊กโชจึงว่า อันซุนเขียนแลบิต๊กกับกันหยงนั้น ท่านจะนับว่ามีปัญญาเปนที่ปรึกษาด้วยนั้นไม่ได้ ด้วยคนทั้งสามนี้เปนแต่รู้หนังสือกฎหมายขนบธรรมเนียมเก่าเท่านั้น ซึ่งจะอาศรัยปัญญาคิดอ่านผ่อนผันในการสงครามนั้นไม่ได้ ถึงมีก็เหมือนกับหาไม่ อันกวนอูเตียวหุยจูล่งเล่าก็เปนแต่มีฝีมือกล้าหาญ ถึงสามารถต่อสู้ด้วยคนนับหมื่นนับแสนได้ก็จริง แต่ว่าหามีผู้จะจัดแจงใช้สอยให้ถูกที่ไม่ เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านว่าฉนี้ก็ควรอยู่ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็สืบเสาะหาคนที่ดีมีสติปัญญาจะได้ช่วยทำนุบำรุงสืบไปก็ ขัดสน สุมาเต๊กโชจึงว่า โบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนว่า สิบคนจะหาผู้กล้าหาญได้คนหนึ่ง ร้อยคนจะจัดหาผู้มีสติปัญญาได้คนหนึ่ง แลคนทั้งปวงก็มีอยู่เปนอันมาก แม้ท่านจะประสงค์หาผู้มีสติปัญญานั้นก็จะได้สมความปราถนา เล่าปี่จึงว่าท่านว่านั้นก็ควรอยู่ แต่ทว่าข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อยยากที่จะพิเคราะห์เห็น ขอท่านได้อนุเคราะห์ช่วยแนะให้ข้าพเจ้าด้วย
สุมาเต๊กโชจึงว่า ซึ่งคนมีสติปัญญานั้นก็มีอยู่มิสู้ใกล้ไกลนัก ถ้าท่านมีความปราถนาจะใคร่สมาคมด้วย ก็จงอุตส่าห์มีความเพียรสืบเสาะไปก็จะพบดอก เล่าปี่จึงว่า ซึ่งคนดีมีสติปัญญานั้นอยู่ตำบลใดข้าพเจ้ายังมิแจ้ง สุมาเต๊กโชจึงว่า อันฮกหลงกับฮองซู สองคนนี้ถ้าได้มาเปนที่ปรึกษาด้วยแต่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็อาจสามารถจะคิดอ่านปราบปรามศัตรูแผ่นดินให้สงบได้ เล่าปี่จึงว่า ซึ่งท่านบอกฮกหลงฮองซูนั้น ข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าเปนชื่อผู้ใด สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะ ว่าดีแล้ว เล่าปี่จึงซักถามต่อไปอีกว่า ท่านจงอนุเคราะห์บอกให้ข้าพเจ้าแจ้งก่อน สุมาเต๊กโชจึงว่า เวลาวันนี้ก็จวนค่ำลงแล้ว ถ้าท่านยับยั้งอยู่สักราตรีหนึ่ง พรุ่งนี้เราจึงจะบอกชื่อให้ แล้วก็ให้ลูกศิษย์รับเอาม้าของเล่าปี่เข้าไปผูกไว้หลังบ้าน จึงให้แต่งเข้าปลาอาหารเลี้ยงเล่าปี่ แล้วจัดแจงที่ให้อยู่ เล่าปี่จึงเข้าไปในห้องข้างใน เอนตัวลงนอนให้คิดรำพึงถึงถ้อยคำซึ่งสุมาเต๊กโชบอกเนื้อความมิให้แจ้ง ก็ให้วิตกไปนอนไม่หลับ ครั้นเวลายามหนึ่งพอได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกให้เปิดประตูรับ แล้วเข้าไปหาสุมาเต๊กโชข้างใน สุมาเต๊กโชจึงถามว่า ท่านมานี้มีกังวลสิ่งใด ชีซีจึงคำนับสุมาเต๊กโชแล้วบอกว่า ข้าพเจ้ามานี้มีความปราถนาจะสนทนากับท่าน ด้วยข้าพเจ้าได้ยินเขาเลื่องลือว่า เล่าเปียวนี้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี รักผู้มีสติปัญญาเลี้ยงดูทำนุบำรุงทุกประการ มิได้ชอบใจสมาคมด้วยคนพาล ข้าพเจ้าอุตส่าห์ทำความเพียรเสาะไปหา หวังจะฝากตัวทำราชการด้วยเล่าเปียว ครั้นข้าพเจ้าไปอยู่สำนักเล่าเปียว พิเคราะห์ดูก็หาสมคำที่เลื่องลือนั้นไม่ แลจะใช้สอยคนดีซึ่งมีสติปัญญานั้น ก็ไม่รู้จักการที่จะบังคับบัญชา แลกำจัดคนพาลให้ปราศจากนั้นก็มิได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าเปียวประพฤติการทั้งนี้หาเปนประโยชน์ไม่ ข้าพเจ้าจึงเอาตัวออกหาก
สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นจึงว่า ตัวท่านเปนคนมีสติปัญญา ควรที่จะไปทำราชการอยู่ด้วยผู้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ทุกวันนี้ผู้มีสติปัญญากว้างขวางก็มีอยู่เหมือนจะปรากฎแก่จักษุท่าน เหตุใดจึงไม่พิเคราะห์ดู ว่าเล่าเปียวเปนผู้สมควรที่ท่านจะไปอยู่ด้วยหรือไม่ ชีซีก็รับว่าท่านว่าทั้งนี้ชอบแล้ว ขณะเมื่อชีซีเข้ามาบอกเนื้อความกับสุมาเต๊กโชนั้น เล่าปี่อยู่ข้างในรู้ก็ลุกออกมานั่งแอบฟังได้ยินอยู่สิ้นจึงคิดว่า ซึ่งสุมาเต๊กโชบอกว่าคนมีสติปัญญามีอยู่มิสู้ใกล้สู้ไกลนั้น ชะรอยจะเปนคนนี้มั่นคง สำคัญใจฉนี้แล้วก็มีความยินดีนัก ครั้นจะออกมาสนทนาไต่ถามในเวลากลางคืนนั้นก็เกรงใจสุมาเต๊กโชอยู่
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่จึงถามสุมาเต๊กโช ๆ จึงบอกว่า ผู้ซึ่งมาเจรจาด้วยนั้น เปนเพื่อนรักชอบพอกันกับเรา เล่าปี่จึงว่า ทำไฉนข้าพเจ้าจะได้รู้จักตัว ท่านจงช่วยอนุเคราะห์ให้ได้สนทนาสักหน่อยหนึ่ง สุมาเต๊กโชจึงบอกว่า เขาไปจากเราแต่เวลากลางคืนนี้แล้ว เล่าปี่จึงถามว่าคนนั้นชื่อใด สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ว่าดีแล้ว เล่าปี่จึงถามว่า ซึ่งท่านจะบอกเนื้อความให้ก็เชิญบอกให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ซึ่งว่าฮกหลงฮองซูนั้นจะเปนชื่อผู้ใดเล่า สุมาเต๊กโชก็หัวเราะ ว่าดีแล้ว เล่าปี่เห็นสุมาเต๊กโชมิได้บอกให้แจ้งได้แต่หัวเราะอยู่ฉนี้จึงว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความปราถนาจะทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนสุข ก็ยังไม่สำเร็จ ถ้าได้ท่านผู้ประกอบไปด้วยสติปัญญาฉนี้ไปเปนที่ปรึกษาคิดอ่าน เห็นแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเริญ ขอเชิญท่านไปทำราชการกับข้าพเจ้า เหมือนช่วยทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย สุมาเต๊กโชจึงว่า ตัวเราเปนชาวบ้านนอก มีสติปัญญาน้อย ซึ่งจะไปทำราชการด้วยท่านนั้นมิได้ แลผู้มีสติปัญญามากกว่าเรานั้นก็ยังมีอยู่ ท่านจงอุตส่าห์สืบเสาะหาเถิด
ขณะเมื่อเล่าปี่พูดกับสุมาเต๊กโชอยู่นั้น จูล่งคุมทหารประมาณร้อยหนึ่งเที่ยวติดตามหาเล่าปี่มาถึงเข้า เสียงทหารอื้ออึงได้ยินเข้าไปถึงเล่าปี่ ๆ ตกใจก็ลุกออกมาดู เห็นจูล่งก็มีความยินดี จูล่งก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับเล่าปี่ จึงบอกเนื้อความซึ่งติดตามมาให้ฟัง แล้วว่าขอท่านจงเร่งกลับไปเมืองซินเอี๋ยเถิด เกลือกศัตรูจะไปทำร้ายภายหลัง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เข้าไปลาสุมาเต๊กโช แล้วก็ขึ้นม้ามากับจูล่งไกลบ้านทางประมาณยี่สิบเส้น พอพบกวนอูเตียวหุยยกตามมา เล่าปี่มีความยินดีนัก จึงเล่าความลำบากซึ่งหนีมานั้น ให้กวนอูเตียวหุยฟังทุกประการ แล้วก็พากันไป ครั้นถึงเมืองซินเอี๋ยแล้ว เล่าปี่จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งชัวมอคิดอ่านล่อลวงเราว่าเล่าเปียวให้เชิญไป แลชัวมอจะทำร้ายเราฉนี้ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด ซุนเขียนจึงว่า ซึ่งชัวมอจะคิดทำร้ายท่านทั้งนี้จะนิ่งเสียนั้นไม่ได้ ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าเปียวบอกเนื้อความตามที่เปนมาให้แจ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือให้ซุนเขียนถือไปยังเมืองเกงจิ๋ว นายประตูจึงพาเอาตัวซุนเขียนเข้าไปแจ้งแก่เล่าเปียว ๆ จึงถามว่า เราเชิญเล่าปี่มาให้รับขุนนาง ณ เมืองซงหยงนี้ ยังกำลังเลี้ยงโต๊ะกันอยู่มิทันจะสำเร็จเล่าปี่หนีไปนั้นเหตุผลประการใด
ซุนเขียนจึงเอาหนังสือนั้นให้แก่เล่าเปียว ในหนังสือนั้นเปนใจความว่า ซึ่งท่านให้หาข้าพเจ้ามากินโต๊ะรับคำนับขุนนาง ข้าพเจ้าก็ได้มา แลขณะเมื่อเลี้ยงโต๊ะกันอยู่นั้นชัวมอคิดจะทำร้ายข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าหนีได้จึงพ้นจากอันตราย แลเหตุผลทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้ทันจะแจ้งแก่ท่านด้วยจะรีบหนีเอาตัวรอด เล่าเปียวได้แจ้งดังนั้นก็โกรธ ให้หาตัวชัวมอเข้ามาด่าว่า มึงนี้บังอาจคิดจะฆ่าเล่าปี่ผู้น้องกูเสียแต่อำเภอใจ หามีความยำเกรงไม่ แล้วก็สั่งทหารจะให้เอาตัวชัวมอไปฆ่าเสีย ขณะนั้นนางชัวฮูหยินผู้พี่ชัวมออยู่ข้างในแจ้งดังนั้น จึงออกมาว่าแก่เล่าเปียวว่า ซึ่งชัวมอบังอาจทำการทั้งนี้โทษก็ผิดอยู่แล้ว ท่านจะให้เอาไปฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าจะขอโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ ด้วยกำลังโกรธมิได้ว่าประการใด
ซุนเขียนเห็นเล่าเปียวโกรธเปนกำลังนักจึงว่า ชัวมอทำผิดท่านจะให้ประหารชีวิตเสียนั้นก็ชอบอยู่ แต่ว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า ถ้าชัวมอตายแล้ว เล่าปี่จะอยู่ในแว่นแคว้นของท่านก็คงไม่มีความสุข ซึ่งเอ็นดูเล่าปี่นั้นก็เหมือนหาประโยชน์ไม่ เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ซุนเขียนว่าดังนี้เพราะเหตุว่าชัวมอมีสมัคพรรคพวกมาก แม้กูฆ่าเสียบัดนี้ คนทั้งปวงซึ่งเปนสมัคพรรคพวกชัวมอ ก็จะมีน้ำใจพยาบาทเจ็บร้อนคิดทำร้ายแก่เล่าปี่เปนมั่นคง เล่าเปียวคิดดังนั้นแล้วก็มิได้ฆ่าชัวมอเสีย แต่คาดโทษไว้ จึงให้เล่ากี๋ผู้บุตรกับซุนเขียนไปขะมาเล่าปี่
เล่ากี๋กับซุนเขียนก็ลาเล่าเปียวไปเมืองซินเอี๋ย จึงเข้าไปคำนับเล่าปี่แล้วบอกว่า บัดนี้บิดาข้าพเจ้าให้มาไหว้ขะมาท่าน ด้วยแจ้งเนื้อความว่า ชัวมอคิดทำร้ายท่านนั้นผิดนัก ท่านอย่าได้ถือโทษสืบไปเลย เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงเชิญให้กินโต๊ะ แลขณะเมื่อเล่ากี๋เสพย์สุราอยู่นั้นก็ร้องไห้ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงร้องไห้ เล่ากี๋จึงบอกว่าข้าพเจ้าร้องไห้ทั้งนี้เพราะคิดถึงตัว ด้วยนางชัวฮูหยินมารดาเลี้ยงข้าพเจ้ามีใจริษยาคิดจะฆ่าเสีย ข้าพเจ้ามิรู้ที่จะคิดอ่านแก้ไขตัวให้พ้นอันตรายได้ จะขอเอาสติปัญญาท่านช่วยสั่งสอนเปนที่พึ่งด้วย เล่าปี่จึงว่า ทุกวันนี้จะรักษาตัวได้ก็เพราะมีอัชฌาสัยอันรอบคอบ ท่านจงอุตส่าห์ปฏิบัติตามน้ำใจนางชัวฮูหยิน อย่าให้นางเคืองขัดประการใดได้แล้วก็จะพ้นจากอันตรายทั้งปวง ครั้นเล่าปี่สั่งสอนแล้วดังนั้น เวลาเช้าเล่ากี๋ก็ลามา เล่าปี่ก็ขึ้นม้าออกมาส่ง ครั้นเล่าปี่กลับเข้ามาเมือง พบคนหนึ่งเดิรทำเพลงอยู่กลางตลาดเปนใจความว่า
แผ่นดินจะกลับ ก็เหมือนไฟดับสิ้นแสง ถ้ากบทูจะหัก จะเอาไม้อันน้อยค้ำ มิอาจจะทานกำลังไว้ได้ ชาวบ้านนอกผู้มีปัญญา ย่อมจะแสวงหานายที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารี แลผู้ที่จะแสวงหาผู้มีปัญญาหารู้จักเราไม่ เล่าปี่ได้ฟังคนทำเพลงดังนั้นก็ประหลาทใจจึงคิดว่า ถ้อยคำสุมาเต๊กโชบอกว่า ฮกหลงฮองซูนั้นชะรอยจะเปนคนนี้มั่นคง เล่าปี่ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับแล้วก็พาเข้าไปถึงที่อยู่ ให้นั่งที่สมควรแล้วถามว่า ท่านนี้ชื่อใดอยู่ตำบลไหน ผู้นั้นจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อตันฮก อยู่ตำบลเองซง ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านนี้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ครั้นข้าพเจ้าจะจู่ลู่เข้ามาหาท่านนั้นก็ไม่สมควร ข้าพจึงแกล้งทำเพลงทั้งนี้ปราถนาจะให้ท่านรู้จัก เล่าปี่ได้ฟังก็มีความยินดี จึงชวนตันฮกให้อยู่ด้วยจะตั้งให้เปนที่ปรึกษา ตันฮกก็ยอม แล้วว่าแก่เล่าปี่ว่า ม้าซึ่งท่านขี่มาเมื่อกี้นั้นข้าพเจ้าจะขอดูสักหน่อย เล่าปี่จึงเรียกให้คนจูงม้ามาให้ดู ตันฮกจึงพิเคราะห์ดูลักษณม้าเห็นร้ายจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ม้านี้ลักษณะชื่อเต๊กเลา มีกำลังแลฝีเท้ารวดเร็วก็จริง แต่ทว่ามักเกิดอันตรายแก่เจ้าของ ซึ่งท่านจะขี่ม้าตัวนี้สืบไปอันตรายก็จะมีแก่ท่าน เล่าปี่จึงตอบว่า แม้ม้าตัวนี้จะทำให้เกิดอันตรายแก่เจ้าของเหมือนท่านว่าแล้ว ที่ไหนจะพาเราข้ามแม่น้ำตันเขมาได้ ตันฮกจึงว่า ถึงมาทว่าม้านี้ได้พาท่านรอดมาจากความตายครั้งนี้ก็จริง แต่ทว่าสืบไปเมื่อหน้าก็จะให้มีอันตรายเปนมั่นคง แต่ข้าพเจ้ารู้เล่ห์กเท่ห์อันหนึ่ง ซึ่งท่านจะขี่ม้าตัวนี้ไปภายหน้าจะมิให้เปนอันตรายก็ได้อยู่ เล่าปี่จึงว่าแยบคายของท่านเปนประการใดก็จงอนุเคราะห์เถิด ตันฮกจึงบอกว่า ซึ่งมิให้มีอันตรายไปภายหน้านั้น ผู้ใดซึ่งมิได้ชอบใจท่าน ๆ จงเอาม้านี้ไปให้ขี่ ก็จะมีอันตรายตายไปก่อน แล้วท่านจึงค่อยกลับเอามาขี่อีกก็จะมีความเจริญต่อไป หาความอันตรายมิได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านนี้มีความปราถนามาอยู่กับเรา ๆ ก็คิดว่าจะช่วยสั่งสอนทำนุบำรุงเราให้เปนธรรม ควรแลหรือมาสั่งสอนมิให้เปนธรรม จะให้ทำร้ายแก่ผู้อื่นฉนี้เรามิขอได้ยิน
ตันฮกหัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าว่ากล่าวทั้งนี้ใช่จะจริงอย่างนั้นหามิได้ ด้วยได้ยินกิตติศัพท์เขาลือไปว่าท่านนี้มีน้ำใจเปนสัตย์เปนธรรมก็ยังมิแจ้ง ประจักษ์ก่อน ซึ่งว่าทั้งนี้เพื่อจะลองน้ำใจท่าน บัดนี้สมเหมือนหนึ่งคำเขาลืออยู่แล้ว เล่าปี่จึงว่า เขาเล่าลือไปนั้นก็ชอบอยู่ แต่ที่จริงตัวเราก็พอประมาณ จะเหมือนคำเขาว่าทีเดียวนั้นก็หามิได้ บัดนี้ท่านมาอยู่ด้วยเราแล้ว จงช่วยสั่งสอนทำนุบำรุงแต่ที่ชอบ แล้วเล่าปี่ก็ตั้งให้ตันฮกเปนใหญ่บังคับบัญชาทหารทั้งปวง
ฝ่ายโจโฉครั้นยกพลทหารกลับมาแต่เมืองกิจิ๋วแล้ว จึงแต่งให้โจหยินลิเตียนลิกองลิเซียงคุมทหารสามหมื่น ยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองห้วนเสียอันเปนหัวเมืองขึ้น หวังจะฟังกิจการบ้านเมืองเกงจิ๋วนั้น ครั้นลิกองลิเซียงรู้จึงว่ากับโจหยินว่า เล่าปี่ยกมาอยู่ ณ เมืองซินเอี๋ย เห็นจะคิดทำการใหญ่หลวง จำจะกำจัดเสียให้ได้ อย่าให้ทำการกำเริบไปภายหน้า แลตัวข้าพเจ้าพี่น้องสองคนนี้ มาอยู่ทำราชการด้วยมหาอุปราช ก็ยังหาความชอบมิได้ คิดจะทำการสนองคุณมหาอุปราชให้ถึงขนาด บัดนี้เล่าปี่มาตั้งอยู่เมืองซินเอี๋ย ข้าพเจ้าพี่น้องจะขออาสาไปตัดเอาสีสะเล่าปี่มาให้ได้ โจหยินกับลิเตียนได้ฟังดังนั้นมีความยินดี จึงจัดแจงทหารห้าพันให้ ลิกองลิเซียงก็คุมทหารยกมาถึงปลายแดนเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายม้าใช้เห็นกองทัพยกมาดังนั้น ก็รีบเข้าไปแจ้งแก่เล่าปี่ ๆ จึงหาตันฮกมาปรึกษาว่า บัดนี้กองทัพยกมาจะทำร้ายแก่เรา ท่านจะคิดประการใด ตันฮกจึงว่า ซึ่งข้าศึกยกมาจะทำร้ายแก่ท่านทั้งนี้ จะละไว้ให้ล่วงมานั้นไม่ควร จำจะกำจัดเสียแต่ไกล ขอให้เตียวหุยคุมทหารยกอ้อมวกไปสกัดหลังไว้ แล้วให้กวนอูยกซุ่มสกัดกลางทาง ตัวท่านกับจู่ล่งจงยกเปนกองหลวงไปรับหน้าข้าศึกกลางทาง ก็จะได้ชัยชนะเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้กวนอูกับเตียวหุยคุมทหารไปตั้งอยู่ตามคำตันฮกว่า เล่าปี่กับจูล่งคุมทหารสองพัน ยกออกจากเมืองมาทางประมาณร้อยเส้นก็พบกองทัพลิกองลิเซียงยกมา เล่าปี่หยุดกองทัพยั้งไว้ แล้วขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร จึงร้องถามว่าท่านนี้ชื่อใด บังอาจยกกองทัพล่วงเข้ามาถึงแดนของเรา ลิกองได้ฟังดังนั้นจึงร้องตอบว่า เราชื่อลิกองเปนทหารเอกของมหาอุปราช บัดนี้จะมาจับตัวท่านให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้จูล่งขับม้าออกรบกับลิกองได้ห้าเพลง จูล่งเอาทวนแทงลิกองตกม้าตาย เล่าปี่เห็นได้ทีดังนั้นก็ขับทหารไล่โจมฟัน ลิเซียงเห็นเหลือกำลังจะรบมิได้ก็พ่ายถอยลงไป กวนอูเห็นได้ทีก็คุมทหารตีสกัดออกมา ไล่ฆ่าฟันทหารลิเซียงตายประมาณสองพันเศษ ลิเซียงเห็นทหารล้มตายเปนมากก็แตกร่นลงไป เตียวหุยซึ่งตั้งสกัดหลังอยู่นั้นเห็นลิเซียงพาทหารแตกมา ก็ขับม้าออกยืนสกัดทางไว้แล้วร้องว่า ตัวกูชื่อเตียวหุยมาสกัดทางคอยท่าอยู่นานแล้ว ลิเซียงเหลือบเห็นเตียวหุยก็ตกใจชักม้าจะหนี เตียวหุยก็ขับม้าไล่เอาทวนแทงถูกลิเซียงตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจายกันไป เล่าปี่ก็ให้ไล่จับได้ทหารเปนอันมาก แล้วก็ให้ยกกองทัพกลับเข้าเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายทหารลิกองซึ่งแตกหนีไปได้นั้น ก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจหยินทุกประการ โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาลิเตียนว่า บัดนี้ลิกองลิเซียงยกไปก็เสียทีแก่เล่าปี่แล้ว เราจะคิดประการใดดี ลิเตียนจึงว่า ลิกองลิเซียงถึงแก่ความตายบัดนี้ ก็เพราะประมาทดูหมิ่นแก่เล่าปี่ ครั้นเราจะหุนหันยกกองทัพไปตีเมืองซินเอี๋ยอีกเล่าก็มิได้ ฝ่ายเล่าปี่มีชัยมีใจกำเริบอยู่ ขอท่านคิดผ่อนผันยับยั้งทหารไว้ บอกหนังสือไปแจ้งแก่มหาอุปราชให้ยกกองทัพหลวงมาก่อน โจหยินจึงว่า เล่าปี่ฆ่าทหารของเราเสียแล้วจับทหารเลวไปไว้เปนอันมาก จะนิ่งอยู่นั้นมิได้ จำเราจะยกกองทัพไปแก้แค้นเล่าปี่ อันเมืองซินเอี๋ยสักกำมือหนึ่งซึ่งจะร้อนถึงมหาอุปราชนั้นไม่ควร แต่ลำพังเราพอจะทำได้อยู่ ลิเตียนจึงว่า อันเล่าปี่นี้ก็มีสติปัญญาหลักแหลมนัก ซึ่งจะยกไปทำแต่ลำพังนั้นอย่าเพ่อดูเบาก่อน โจหยินจึงว่า ท่านเจรจาดังนี้มิกลัวฝีมือเล่าปี่อยู่แล้วหรือ ลิเตียนจึงว่า ข้าพเจ้าว่ากล่าวทั้งนี้มิใช่จะกลัวฝีมือเล่าปี่หามิได้ หวังจะเตือนสติท่าน ด้วยคำโบราณกล่าวไว้ว่า ถ้าจะทำการสงครามพึงให้รู้ลักษณะในไส้ศึกก่อน จึงจะทำการได้ชัยชนะโดยง่าย เหตุฉนี้ข้าพเจ้าจึงทัดทาน เกลือกจะเสียทีแก่ข้าศึกก็จะซ้ำร้ายไปอีก
โจหยินจึงว่า ท่านนี้ทำราชการเปนสองใจ หาภักดีไม่ ถ้าฉนั้นแต่ลำพังเราจะยกไปจับตัวเล่าปี่ให้จงได้ ลิเตียนจึงว่า ซึ่งจะยกไปนั้นก็ตามความคิดเถิด ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารอยู่รักษาเมืองห้วนเสีย โจหยินได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านเจรจาเอาใจออกหากเราฉนี้ ก็เห็นว่าท่านเปนคนสองใจอยู่แล้ว จึงหาเจ็บร้อนด้วยเราไม่ ลิเตียนจึงว่า ข้าพเจ้าว่ากล่าวเตือนสติทั้งนี้โดยความจริง จะได้เอาใจออกหากท่านนั้นหามิได้ แม้ท่านสงสัยอยู่ดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจะไปด้วย โจหยินกับลิเตียนก็ยกทหารสองหมื่นสี่พันรีบไปเมืองซินเอี๋ยด้วยกำลังโทโส มิได้พักทหารทั้งกลางวันกลางคืน แลน้ำใจโจหยินนั้นหมายจะไปเหยียบแผ่นดินเมืองซินเอี๋ยให้จมลงในมหาสมุทร์
ฝ่ายตันฮกจำเดิมแต่เล่าปี่ได้ชัยชนะกลับเข้าเมืองแล้ว จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โจหยินมาตั้งอยู่เมืองห้วนเสีย บัดนี้เสียทหารเอกถึงสองคน เห็นจะมีความแค้นยกมาตีเมืองเราเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงถามตันฮกว่า แม้โจหยินยกมาเราจะคิดอ่านป้องกันประการใด ตันฮกจึงว่า ถ้าโจหยินยกมาครั้งนี้ เห็นจะเกณฑ์ทหารสิ้นเชิง เราจะคิดกลอุบายลอบไปตีเอาเมืองห้วนเสียให้ได้ เล่าปี่จึงถามว่า กลอุบายท่านคิดประการใด ตันฮกจึงกระซิบแก่เล่าปี่เปนความลับว่า เมืองห้วนเสียผู้คนก็เบาบางอยู่แล้ว ขอให้กวนอูคุมทหารลอบไปตีเอาเมืองห้วนเสียเกี่ยวไว้เห็นจะได้โดยง่าย อันเตียวหุยนั้นให้คุมทหารไปซุ่มอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าข้ามเมืองห้วนเสีย เมื่อโจหยินแตกไปก็จะได้ออกสกัดตี ศึกครั้งนี้หมายเอาชัยชนะได้เปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงแต่งให้กวนอูกับเตียวหุยคุมทหารไปทำตามถ้อยคำตันฮกว่า แล้วเล่าปี่ก็ตระเตรียมทหารไว้
พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า โจหยินยกกองทัพมาถึงแดนเมืองแล้ว ตันฮกได้ฟังดังนั้นจึงชวนเล่าปี่ยกทหารออกตั้งค่าย ต้านทานกองทัพโจหยินไว้นอกเมือง เล่าปี่จึงให้จูล่งรำทวนออกล่อโจหยินนอกค่าย โจหยินเห็นดังนั้นก็ขับให้ลิเตียนออกรบกับจูล่งได้ยี่สิบเพลง ลิเตียนเห็นกำลังจูล่งนั้นมากนัก จะต้านทานมิได้ก็ควบม้าหนีเข้าค่าย จูล่งเห็นได้ทีก็ขับม้าตามไป ทหารซึ่งอยู่ในค่ายเอาเกาทัณฑ์ยิงสกัดต้านหน้าไว้ จูล่งจะหักเข้าไปมิได้ก็ควบม้ากลับมาค่าย
ฝ่ายลิเตียนจึงว่าแก่โจหยินว่า ทหารเล่าปี่มีฝีมือแลกำลังเข้มแขงนัก เห็นเราจะเอาชัยชนะไม่ได้ ขอให้ท่านกลับไปเมืองห้วนเสียก่อน จะได้คิดทำการสืบไป โจหยินได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงว่า เมื่อแรกเราจะยกมาตัวทำบิดพลิ้วเราก็เห็นใจอยู่ครั้งหนึ่งแล้ว มาบัดนี้เล่า เราให้ออกรบกับจูล่งก็แตกพ่ายเข้ามา ทำให้เสียทีแก่ข้าศึก ครั้นเราจะไม่เอาโทษบัดนี้ทหารทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง จึงสั่งทหารจะให้เอาตัวลิเตียนไปฆ่าเสีย
นายทัพนายกองทั้งปวงช่วยกันขอโทษไว้ โจหยินก็ยกโทษให้ จึงให้ลิเตียนคุมทหารเปนกองหลัง สำหรับป้องกันรักษาสเบียง ครั้นเวลาเช้าโจหยินจึงให้ตีม้าฬ่อฆ้องกลองดังอื้ออึง แล้วจัดแจงพลทหารตั้งเปนกองพยุหโดยขบวรทัพ ชื่อปักบุนคิมโชตี๋น แปลว่าประแจทองมีประตูแปดด้านเสร็จแล้ว ก็ให้ทหารขี่ม้าเข้าไปร้องประกาศหน้าค่ายเล่าปี่ว่า นายเราตั้งกองทหารเปนพยุหดังนี้ ท่านยังรู้จักหรือว่ากลพยุหอันใด
ตันฮกได้ฟังดังนั้น จึงพาเล่าปี่ขึ้นไปบนเนินเขาสูง แล้วแลลงมาดูก็รู้จักในกลพยุห จึงบอกแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งโจหยินตั้งพลทหารเปนพยุหไว้ดังนี้ ชื่อว่าปักบุนคิมโชตี๋น มีประตูแปดด้าน ถ้าผู้ใดเข้าไปถูกที่ก็จะแพ้ แม้เข้าถูกที่ก็จะมีชัยชนะ โจหยินทำทั้งนี้ก็ดีจริง แต่ว่ายังหาถ้วนถี่ไม่ ขอท่านแต่งทหารให้เข้าข้างด้านใต้ ตีฝ่าออกมาข้างประตูตวันตก ทหารโจหยินทั้งนั้นก็จะแตกเปนอลหม่านกันไปเอง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็พาตันฮกลงมาจากเนินเขา จึงเกณฑ์ทหารให้รักษาค่ายไว้ แล้วก็ให้จูล่งคุมทหารห้าร้อย ยกตีหักเข้าไปทางประตูข้างใต้ ฝ่ายโจหยินครั้นเห็นจูล่งตีเข้ามาดังนั้นก็ขึ้นม้ารำทวนออกล่อ หวังจะให้จูล่งติดตามออกมาข้างประตูทิศเหนือ จูล่งก็มิได้ตามไป แต่รบฝ่าออกมาข้างประตูตวันตก แล้วกลับย้อนหลังตีตลบเข้าไปเลยออกทางประตูทิศใต้ ฝ่ายทหารโจหยินนั้นก็ตื่นฆ่าฟันกันเองเปนอลหม่าน เล่าปี่เห็นได้ทีดังนั้นก็ขับทหารให้ฝ่าฟันเข้าไป ฆ่าทหารโจหยินล้มตายแตกกระจัดกระจายกันไป ตันฮกก็ชวนเล่าปี่กับจูล่งยกทหารกลับเข้าค่าย
ฝ่ายโจหยินเสียทีแก่เล่าปี่ดังนั้น ก็คิดถึงคำลิเตียนซึ่งว่ากล่าวไว้ จึงให้เชิญลิเตียนมาปรึกษา ว่าขบวรศึกครั้งนี้ก็เข้มแขงนัก ชรอยในกองทัพเล่าปี่จะมีคนดีอยู่เปนมั่นคง จึงหักหาญเอาชัยชนะเราได้ ลิเตียนจึงตอบว่า เนื้อความทั้งนี้ข้าพเจ้าก็ได้ว่าแก่ท่านแต่เดิมทีแล้วท่านก็ไม่ฟัง กลับขึ้งโกรธข้าพเจ้าว่าเอาใจออกหาก อนึ่งตัวข้าพเจ้ามาทำศึกอยู่ด้วยท่านข้างนี้ แต่ใจข้าพเจ้าให้คิดวิตกถึงเมืองห้วนเสียอยู่ทุกวันมิได้ขาด ด้วยหามีผู้ใดจะอยู่รักษาป้องกันเมืองไม่ เกลือกจะมีอันตรายภายหลัง โจหยินจึงว่าท่านว่านี้ชอบนัก แต่เราได้ยกกองทัพมาถึงแดนเมืองซินเอี๋ยแล้ว จำจะรบพุ่งกันกับเล่าปี่ให้สิ้นฝีมือก่อน เวลาค่ำวันนี้เราจะยกทหารเข้าปล้น แม้สมความคิดเราก็จะได้ทำการศึกสืบไป ถ้าไม่สำเร็จเราจึงจะถอยกลับไปถึงเมืองห้วนเสีย ลิเตียนจึงว่า เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญาจึงว่ามีชัยชนะก็ดีก็จะไม่ประมาท เวลาวันนี้เห็นจะป้องกันรักษาตัวเปนสามารถ ซึ่งท่านจะยกไปปล้นค่ายเล่าปี่นั้น ก็จะเสียทหารป่วยการเปล่า โจหยินจึงว่า อันการสงคราม แม้คิดกลัวแพ้อยู่เหมือนท่านว่าฉนี้แล้วจะทำศึกสืบไปกระไรได้ โจหยินมิฟังก็ให้เตรียมทหารไว้พร้อมแล้วสั่งว่า เวลาสองยามจะยกเข้าปล้นค่ายเล่าปี่
ฝ่ายเล่าปี่กับตันฮกนั่งปรึกษาราชการพร้อมกันอยู่ พอเกิดลมหัวด้วนขึ้นในค่าย ตันฮกจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ลมพายุนี้อัศจรรย์นัก เวลาค่ำวันนี้โจหยินจะยกทหารมาปล้นค่ายเราเปนมั่นคง เล่าปี่จึงว่า แม้โจหยินยกทหารมา เราจะคิดอ่านป้องกันประการใด ตันฮกจึงหัวเราะแล้วตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งจะสู้รบกับโจหยินนั้นข้าพเจ้าจะรับประกันเปนธุระ
ครั้นเวลาพลบค่ำตันฮกจึงให้จูล่งคุมทหารไปซุ่มสกัดอยู่กลางทาง แล้วให้กองเพลิงไว้รอบค่าย ฝ่ายโจหยินครั้นถึงกำหนดก็ยกทหารออกจากค่าย ให้ลิเตียนเปนกองหลัง ยกไปใกล้ค่ายเล่าปี่ เห็นแสงเพลิงสว่างอยู่รอบค่าย โจหยินสำคัญว่าเล่าปี่รู้ตัว ป้องกันรักษามั่นคงอยู่ ก็ถอยทหารจะกลับมาค่าย จูล่งซุ่มสกัดอยู่เห็นดังนั้นก็คุมทหารตีฝ่าออกมา ทหารโจหยินไม่ทันรู้ตัวก็แตกตื่นพากันหนี จูล่งเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ตามไป
ฝ่ายโจหยินจะเข้าค่ายไม่ทัน ก็รีบยกกองทัพตรงไปเมืองห้วนเสีย ครั้นถึงแม่น้ำแดนเมืองห้วนเสีย จึงหยุดทหารจัดแจงเรือจะข้าม เตียวหุยซึ่งตั้งซุ่มอยู่ริมแม่น้ำเห็นดังนั้นก็คุมทหารโจมฟันเข้าไป โจหยินกับลิเตียนไม่ทันรู้ตัวก็ตกใจ พากันลงเรือหนีข้ามฟากไป เตียวหุยก็ไล่ฆ่าฟันทหารโจหยินตายด้วยอาวุธแลตกน้ำตายบ้าง ประมาณหมื่นเศษ
ฝ่ายโจหยินกับลิเตียนข้ามไปถึงฟากแล้ว ก็พาทหารประมาณหมื่นเศษซึ่งเหลือตายนั้นรีบไปเมืองห้วนเสีย ครั้นถึงจึงเรียกทหารในเมืองให้เปิดประตูรับ กวนอูซึ่งเข้าตั้งอยู่ในเมืองเห็นดังนั้นก็จุดปะทัดสัญญาขึ้น แล้วคุมทหารเปิดประตูเมืองออกมา โจหยินแลเห็นกวนอูก็ตกใจ พาทหารหนีออกจากเชิงกำแพง กวนอูก็ไล่ฆ่าฟันทหารโจหยินล้มตายเปนอันมาก โจหยินก็ยกรีบหนีไปเมืองฮูโต๋ แลเมื่อไปถึงกลางทางมีผู้บอกว่า เล่าปี่ทำการสงครามได้ชัยชนะทั้งนี้เพราะความคิดตันฮก
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นเห็นโจหยินเสียทีแก่จูล่งแตกหนีไปดังนั้น ก็พาตันฮกกับทหารทั้งปวงยกตามไปถึงแดนเมืองห้วนเสีย แจ้งเนื้อความว่ากวนอูได้เมืองแล้ว โจหยินกับลิเตียนพากันหนีไปเมืองฮูโต๋ เล่าปี่ก็ยกทหารจะเข้าไปเมืองห้วนเสีย ฝ่ายเล่าปิดซึ่งเปนผู้รักษาเมืองห้วนเสีย เปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนแซ่เดียวกันกับเล่าปี่ ครั้นรู้ว่าเล่าปี่ยกมาดังนั้นก็มีความยินดี จึงออกมาเชิญเล่าปี่ให้เข้าไปในเมือง แล้วก็แต่งโต๊ะเชิญให้เล่าปี่กิน ขณะเมื่อเล่าปี่กินโต๊ะอยู่นั้นเห็นหลานเล่าปิดหนุ่มน้อยรูปร่างอ่าโถง ยืนอยู่ข้างหลังเล่าปิด เล่าปี่จึงถามว่า ซึ่งยืนอยู่นั้นชื่อใด เล่าปิดจึงบอกว่าชื่อเค้าฮอง เปนบุตร์ของพี่สาวข้าพเจ้า เปนกำพร้าหาบิดามารดาไม่ ข้าพเจ้าเอามาเลี้ยงไว้ เล่าปี่จึงว่า ข้าพเจ้าเห็นรูปร่างงามก็มีใจเอ็นดูนัก ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้าเลี้ยงเปนบุตรเถิดเปนไรเล่า เล่าปิดได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เค้าฮองคำนับ แล้วอนุญาตให้เปนบุตรเล่าปี่ ๆ จึงเปลี่ยนชื่อเค้าฮองนั้นเสีย ให้ชื่อว่าเล่าฮอง แล้วพาตัวไปคำนับกวนอูเตียวหุยให้เรียกว่าอาว์ กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บุตรท่านก็มีอยู่ เหตุไฉนจึงจะเอาผู้อื่นมาเปนเนื้อเหมือนหนึ่งเลี้ยงลูกปลูกหอย นานไปเห็นจะได้ความเดือดร้อน เล่าปี่จึงว่า ถึงผู้อื่นนอกเนื้อก็จริง แต่เรารักใคร่เสมอบุตร ได้เอามาเลี้ยงไว้ก็จะมีกตัญญูรักใคร่ เห็นจะไม่คิดร้ายต่อเรา กวนอูได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็ขัดใจนิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด
เล่าปี่กับตันฮกจึงปรึกษากัน ให้จูล่งคุมทหารพันหนึ่งอยู่รักษาเมืองห้วนเสีย แล้วเล่าปี่กับตันฮกก็พากวนอูเตียวหุยกลับไปเมืองซินเอี๋ย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnRnVQUU9JcUlqejg/view?resourcekey=0-A-PIxuEn1llvuVGIGntJIQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #2 on:
22 December 2021, 20:10:41 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 33
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-33.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 33
เนื้อหา
โจโฉคิดอุบายลวงเอาชีซีไปได้
เล่าปี่เชิญขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษา
ฝ่ายโจหยินกับลิเตียนไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงเข้าไปหาโจโฉแจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วก็ร้องไห้วิงวอนขอโทษ โจโฉจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อันธรรมดาว่าสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ย่อมแพ้บ้างชนะบ้าง แต่เราคิดสงสัยว่า เล่าปี่ทำการได้ถึงเพียงนี้เห็นเกินนัก ชรอยจะมีผู้ใดคิดอ่านให้ โจหยินจึงว่าข้าพเจ้าแจ้งเนื้อความว่า ที่ปรึกษาคิดการทั้งปวงให้เล่าปี่นั้นชื่อว่าตันฮก โจโฉจึงถามว่า ตันฮกคนนี้จะเปนผู้ใด เหตุไฉนแต่ก่อนชื่อเสียงจึงไม่ปรากฎ เทียหยกได้ยินก็หัวเราะแล้วจึงว่า ตันฮกคนนี้เดิมชื่อชีซีอยู่เมืองเองจิ๋ว เมื่อหนุ่มนั้นเปนคนมีเพื่อนมากเที่ยวเรียนวิชา ครั้นอยู่มาไปฆ่าเขาตายแล้วแกล้งทำอาการเปนบ้า ครั้นเขาจับได้เอาตัวไปโบยตีไต่ถาม ก็มิได้บอกชื่อเสียงแลเหตุผลทั้งปวงโดยจริงแกล้งนิ่งเสีย ผู้พิจารณาจึงเอาตัวมัดใส่เกวียนไปเที่ยวตะเวนตีฆ้องร้องป่าวว่าผู้ใดยัง รู้จักชื่อคนนี้บ้าง บันดาชาวบ้านร้านตลาดทั้งปวงซึ่งรู้จักกันนั้น ก็กลัวชีซีจะซัดเอามิอาจที่จะบอกได้ ครั้นตะเวนไปปะพวกเพื่อนชีซีเข้าชิงเอาตัวไปได้ ชีซีจึงหนีไปเรียนวิชาอยู่กับสุมาเต๊กโช เปลี่ยนชื่อว่าตันฮกตราบเท่าทุกวันนี้
โจโฉแจ้งดังนั้นจึงถามว่า ชีซีมีปัญญาความคิดเสมอกับท่านหรือ เทียหยกจึงบอกว่า อันปัญญาความคิดชีซีนี้ดีกว่าข้าพเจ้ามากนัก โจโฉจึงว่า เล่าปี่ได้ผู้มีปัญญาความคิดไปไว้ เห็นจะมีใจกำเริบใหญ่หลวง ทำไฉนเราจึงจะได้ตัวชีซีมาไว้ อย่าให้เล่าปี่กำเริบไปได้ เทียหยกจึงว่า ถ้าท่านมีความปราถนาจะใคร่ได้ชีซีมาไว้นั้นจะยากอะไรมี ถึงมาทว่าชีซีไปอยู่กับเล่าปี่แล้วก็ดี ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขเอาตัวมาให้ท่านจงได้ โจโฉจึงถามว่าท่านจะคิดอ่านประการใด เทียหยกจึงบอกว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะเอาชีซีมานั้น เพราะข้าพเจ้าแจ้งเค้ามูลอยู่ว่า ตัวชีซีนี้เปนคนกตัญญู แลบิดาตายแล้ว ยังแต่มารดาเปนคนชรา ขณะเมื่อชีซีจะจากมานั้น ชีของผู้น้องปฏิบัติมารดาอยู่ บัดนี้ชีของนั้นก็ถึงแก่ความตายแล้ว มารดาเปนคนอนาถาหาผู้ปฏิบัติมิได้ ขอท่านให้ไปรับเอามารดาชีซีมาเลี้ยงไว้ แล้วว่ากล่าวเอาเนื้อเอาใจให้มีหนังสือไปถึงชีซีผู้บุตร เห็นว่าชีซีมีกตัญญูต่อมารดาอยู่ จะทิ้งเสียมิได้ก็จะมา
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงแต่งคนให้รีบไปรับมารดาชีซีมาเลี้ยงเปนปรกติ แล้วโจโฉจึงปลอบโยนว่า บัดนี้เราแจ้งว่าบุตรของท่านคนหนึ่งดีมีสติปัญญา ไปอยู่ด้วยเล่าปี่อันเปนขบถต่อแผ่นดินหาควรไม่ ประดุจหนึ่งเอาแก้วไปทิ้งไว้ที่ตม สำหรับแต่จะอับไป ทุกวันนี้เราคิดเสียดายมิรู้แล้ว อนึ่งก็มีใจเอ็นดูแก่ท่านนัก จึงให้ไปรับมาหวังจะให้มีหนังสือไปถึงชีซีบุตรท่าน ให้มาอยู่ทำราชการด้วยเราในเมืองหลวง จะช่วยเพททูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนขุนางสืบไป แล้วโจโฉจึงให้เอาศิลาฝนหมึกกับกระดาษแลพู่กรรณ์มาส่งให้เขียนหนังสือ มารดาชีซีจึงแกล้งถามโจโฉว่า ซึ่งชื่อว่าเล่าปี่นั้นเปนบุตรผู้ใดท่านยังรู้จักหรือ
โจโฉจึงว่า เล่าปี่นั้นเปนชาวเมืองตุ้นก้วน เปนคนอนาถาหาตระกูลมิได้ โกหกเจรจาล่อลวงให้คนทั้งปวงเชื่อว่าเปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แกล้งทำอาการให้เห็นว่าอารีรอบคอบ ปรากฎแต่ภายนอก น้ำใจมิได้ซื่อตรงต่อผู้ใด มารดาชีซีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดเอาโจโฉว่า มึงเปนคนชั่วหาความอายมิได้ แสร้งใส่โทษเล่าปี่ว่าเปนคนมิดี อันเล่าปี่นี้กูรู้มาแต่เดิมว่า เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน โอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎร แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าเล่าปี่เปนคนดี บัดนี้ลูกกูไปอยู่ด้วยเล่าปี่ ก็เปนที่สำนักอันใหญ่หลวงอยู่แล้ว แลตัวมึงซึ่งว่ามีความสัตย์ซื่อจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น ก็เห็นว่ามึงเปนศัตรูแผ่นดินอีก ซึ่งให้ลูกกูปราศจากเล่าปี่มาอยู่ทำราชการด้วยตัวมึงนั้น ก็เหมือนออกจากที่สว่างมาเข้าที่มืดหาควรไม่ ว่าแล้วก็ฉวยเอาศิลาฝนหมึกทิ้งเอาโจโฉ ๆ เห็นทำหยาบช้าก็โกรธนัก จึงสั่งให้ทหารเอาตัวมารดาชีซีไปฆ่าเสีย เทียหยกเห็นทหารเอามารดาชีซีไปจะฆ่าเสียดังนั้นก็ห้ามไว้ จึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งมารดาชีซีหยาบช้าแก่ท่านทั้งนี้ เพราะปราถนาจะใคร่ตายเสีย ให้ปรากฎชื่อไว้ว่าเปนหญิงสามารถได้ว่ากล่าวหยาบช้าต่อมหาอุปราชมิได้ยำเกรง ถ้าแลท่านจะฆ่าเสียบัดนี้ ก็จะมีความคระหานินทาเปนอันมาก ว่าฆ่าหญิงเสียหาต้องการไม่ อนึ่งแม้มารดาชีซีตายแล้ว รู้ไปถึงชีซีก็จะมีความโกรธท่านมากขึ้น จะช่วยเล่าปี่คิดอ่านกระทำการเปนกวดขันหวังจะแก้แค้น ขออย่าให้ฆ่าเสียเลย เอาเลี้ยงไว้ก่อน ถึงชีซีจะทำการกับเล่าปี่ไปเบื้องหน้าก็คงจะเปนห่วงอยู่ด้วยมารดาเห็นจะไม่ คิดทำการเต็มมือ ภายหลังข้าพเจ้าจะคิดอ่านทำอุบายเอาตัวชีซีมาให้จงได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย มิได้ให้ฆ่ามารดาชีซีเสีย จึงจัดแจงที่อยู่ให้โดยสมควร แล้วก็เลี้ยงดูไว้เปนปรกติดี
อยู่มาวันหนึ่งเทียหยกจึงไปเยียนมารดาชีซีแล้วบอกว่า บุตรท่านกับข้าพเจ้าก็เปนมิตรรักใคร่กันมาแต่ก่อน ท่านเปนมารดาของชีซีก็เหมือนเปนมารดาของข้าพเจ้า มารดาชีซีได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าจริงมีความยินดีนัก ตั้งแต่วันนั้นมาเทียหยกก็ให้เอาของไปให้เนืองๆ แล้วเขียนหนังสือไปคำนับทุกครั้ง มารดาชีซีก็เขียนหนังสือรับคำนับตามประเพณีตอบไปทุกที ครั้นเทียหยกได้หนังสือดังนั้น ก็หัดเขียนให้ชำนาญเหมือนลายมือมารดาชีซีแล้ว จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งเปนใจความว่า เราผู้เปนมารดาบอกมาถึงชีซีผู้บุตรให้รู้ ด้วยชีของผู้น้องเจ้านั้นถึงแก่ความตายแล้ว ตัวแม่เปนคนชราหาผู้ใดจะเลี้ยงรักษาพยาบาลมิได้ โจโฉจับเอาแม่มาทำโทษแล้วจะให้เอาไปฆ่าเสีย เพราะเหตุเจ้ามาอยู่ด้วยเล่าปี่คิดจะทำร้ายโจโฉ หากเทียหยกเมตตาแม่เห็นว่าเปนคนชรา ช่วยว่ากล่าวให้งดไว้จึงมิตาย แม้ว่าเจ้ามีความกตัญญูเอนดูแม่มาหาโจโฉแล้ว ชีวิตแม่ก็จะไม่มีอันตราย แม้เจ้าไม่อาลัยถึงแม่ มิได้มาตามหนังสือนี้เมื่อใด แม่ก็จะตายเพราะอาญาโจโฉเปนมั่นคง เมื่อเทียหยกแต่งหนังสือแล้ว ก็ใช้ให้คนสนิธถือไปให้ชีซี ณ เมืองซินเอี๋ย บอกว่ามารดาจ้างถือหนังสือมาถึงท่าน
ชีซีก็รับเอาหนังสือคลี่ออกอ่าน พิเคราะห์ดูเปนลายมือของมารดาจำได้ถนัดดังนั้นก็ร้องไห้ จึงพาเอาหนังสือเข้าไปหาเล่าปี่แล้วบอกว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจภักดีมาทำราชการอยู่ด้วยท่านก็นานแล้ว ข้าพเจ้ายังมิได้เล่าเนื้อความแต่หลังแก่ท่าน แล้วชีซีก็เล่าเนื้อความแต่หลังให้ฟังทุกประการ ข้าพเจ้าได้มาทำราชการด้วยท่าน ๆ ก็มีความกรุณาแก่ข้าพเจ้า ๆ คิดว่าจะสนองคุณท่านให้ถึงขนาด บัดนี้มีกรรมมาถึง โจโฉรู้ว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านก็โกรธ จับเอามารดาข้าพเจ้าไปทำโทษแล้วจะให้ฆ่าเสีย มารดาข้าพเจ้าจ้างคนถือหนังสือมาถึงข้าพเจ้าให้ไปหาโจโฉ ถ้าข้าพเจ้ามิไปบัดนี้ น่าที่โจโฉก็จะฆ่ามารดาเสีย โทษก็จะมีแก่ตัวข้าพเจ้าไปภายหน้าเปนอันมาก มารดาเลี้ยงมายังมิได้แทนคุณ แล้วมิหนำจะซ้ำทำโทษให้เล่ามิควรนัก ขอท่านได้กรุณาข้าพเจ้าให้ไปหาโจโฉเถิด เหมือนได้แทนคุณมารดาอย่าให้ตายเสีย ข้าพเจ้าไปแล้วจึงจะคิดแก้ไขกลับมาสนองคุณท่านให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สงสารร้องไห้รักชีซีแล้วจึงว่า อันธรรมดาแม่ลูกกันนี้ก็เหมือนชีวิตเดียวกัน เมื่อมีเหตุฉนี้ก็เปนประเพณีบุตรจะสงเคราะห์แก่มารดา ใครห่อนจะอาจทิ้งมารดาเสียได้ ซึ่งท่านจะไปหาโจโฉก็ตามเถิด เมื่อมารดาท่านพ้นภัยแล้ว จึงคิดอ่านกลับมาช่วยสั่งสอนเราสืบไป แต่ทว่าบัดนี้ตัวท่านกับเราจะจากกันไปแล้ว จงยับยั้งอยู่สักราตรีหนึ่งก่อน เวลาพรุ่งนี้เราจะแต่งโต๊ะเลี้ยงท่านให้สบายใจแล้วจึงค่อยไป ชีซีรับคำแล้วก็ลามาที่อยู่ ภายหลังซุนเขียนจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันชีซีเปนคนมีสติปัญญามากนัก แล้วก็ได้มาอยู่ด้วยในเมืองซินเอี๋ย รู้จักตื้นลึกหนักเบาทุกประการ แม้ท่านจะปล่อยให้ไปอยู่ด้วยโจโฉบัดนี้ โจโฉก็จะมีความยินดี เลี้ยงดูทำนุบำรุงให้ถึงขนาด อันตื้นลึกหนักเบาสิ่งใดนั้นชีซีก็จะแจ้งแก่โจโฉสิ้น นานไปภายหน้าก็จะมีภัยมาถึงเราเปนมั่นคง ขอให้ท่านเอาตัวชีซีไว้อย่าปล่อยไป ฝ่ายโจโฉเห็นว่าชีซีไม่ไปแล้วก็จะฆ่ามารดาเสีย ชีซีก็จะมีความพยาบาท ก็จะช่วยทำการกำจัดโจโฉโดยการสุจริต เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้เราไม่เห็นด้วย อันจะให้พรากแม่กับลูกไว้มิให้ไปหากัน ให้มารดาจำตายเพราะลูกนั้น ก็จะเปนบาปกรรมไปภายหน้า อนึ่งเราก็ได้ลั่นวาจาอนุญาตแก่ชีซีแล้ว ถึงมาทว่าตัวเราจะตายก็จะรักษาความสัตย์ไว้ เรามิปราถนาถ้อยคำของท่านอันมิได้เปนสัตย์ ทหารทั้งปวงได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็ชื่นชมยินดีชวนกันสรรเสริญ ว่าเล่าปี่มีความสัตย์ซื่อมั่นคงนัก
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่ก็ให้ไปเชิญชีซีมากินโต๊ะ ขณะเมื่อชีซีหยิบจอกสุราขึ้นจะดื่มนั้นจึงว่ากับเล่าปี่ว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าโจโฉจับมารดาไปทำโทษจองจำไว้ฉนี้ หัวใจข้าพเจ้าร้อนดุจเพลิงสุมอยู่ในอก ถึงมาทว่าท่านจะเอาของอันมีโอชารสมาให้กินก็มิลงฅอเลย เล่าปี่ถึงตอบว่า อันท่านทุกข์ถึงมารดาก็เปนประเพณีอยู่แล้ว แต่ทุกข์ของเราซึ่งท่านจะจากไปบัดนี้ก็ร้อนอยู่ในอกเหมือนกัน ถึงจะเอาตับหงส์แลตับมังกรอันมีรสดุจหนึ่งว่าเปนทิพย์นั้นมากิน ก็หารู้จักว่าเปนรสอันใดไม่
เล่าปี่กับชีซีพูดกันพลาง ต่างคนต่างก็ร้องไห้รักกัน ครั้นกินโต๊ะแล้วชีซีก็ลาเล่าปี่ ๆ ก็ให้ผูกม้าจัดแจงสำเร็จแล้ว ก็ขึ้นขี่ม้าเดิรเคียงกันไปกับชีซีออกไปส่งถึงประตูเมือง ชีซีลงจากม้าคำนับเล่าปี่แล้วว่า ท่านออกมาส่งถึงนี่คุณนักหนา เชิญท่านไปอยู่ให้เปนสุขเถิด เล่าปี่ก็ลงจากม้ารับคำนับชีซียุดมือไว้แล้วจึงว่า ตัวข้าพเจ้านี้เปนคนวาสนาน้อย จึงมิได้ท่านไว้อยู่ช่วยสั่งสอนสืบไป ชีซีร้องไห้ตอบว่า ข้าพเจ้านี้เปนคนมีกรรมตามมาทันทำให้พลัดพรากกันที่กลางคัน เหตุด้วยมารดาเปนข้อใหญ่ ถึงมาทว่าโจโฉจะได้ข้าพเจ้าไปไว้ก็ดี ข้าพเจ้าจะขอสาบาลไว้ต่อท่านว่า ซึ่งจะทำการไปเบื้องหน้า ข้าพเจ้าจะไม่คิดกลอุบายสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้โจโฉทำร้ายแก่ท่านเลย
เล่าปี่จึงว่า ตัวท่านมีสติปัญญา ได้ช่วยสั่งสอนเรามาก่อน บัดนี้จะไปจากเราแล้ว แต่ตัวเราผู้เดียวหาผู้จะทำนุบำรุงมิได้ ก็จะเที่ยวซุ่มซ่อนอยู่ในป่า มิได้คิดอ่านที่จะทำการสืบไป ชีซีจึงตอบว่า ท่านจะมาเสียใจละความเพียรนั้นหาควรไม่ ถึงว่าตัวข้าพเจ้าจะไปจากท่าน ใช่จะสิ้นผู้มีสติปัญญานั้นหาไม่ จงอุตส่าห์สืบเสาะหาผู้มีปัญญาก็จะได้อยู่ แล้วชีซีจึงเหลียวหลังมาสั่งทหารทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายอยู่ทำราชการไปภายหลังจงอุตส่าห์ตั้งใจจงรักภักดีโดยสุจริต แม้สำเร็จการที่คิดสมเหมือนความปราถนา ก็จะได้ตั้งตัวเปนที่พำนักแก่คนทั้งปวง อย่าดูเยี่ยงอย่างเราซึ่งทำราชการมิได้ตลอด ทหารทั้งปวงได้ยินชีซีว่ากล่าวสั่งสอนดังนั้นก็พากันร้องไห้ทั้งสิ้น
เล่าปี่ก็มิอาจกลับเข้าเมืองได้ ให้มีใจลห้อยลเหี่ยนัก ก็ขี่ม้าไปส่งชีซีอีกพักหนึ่ง ชีซีจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านอุตส่าห์มาส่งก็ไกลนักแล้ว จงพาทหารกลับเข้าไปเถิด ข้าพเจ้าจะลาแล้ว เล่าปี่จึงชักม้าเคียงเข้าจับเอาข้อมือชีซีแล้วว่า ตัวท่านกับข้าพเจ้าแต่นี้นับวันจะไกลกันแล้ว เมื่อไรเลยจะได้กลับมาเห็นกัน ว่าแล้วก็ร้องซบลงกับหลังม้า ชีซีเห็นเล่าปี่ร้องไห้ซบอยู่ดังนั้นก็กลั้นน้ำตามิได้ ชักม้าคำนับแล้วก็ควบไป เล่าปี่เห็นชีซีควบม้าเลี้ยวลับพุ่มไม้ แลมิได้เห็นตัวแล้ว จึงเอาแซ่ชี้สั่งให้ทหารตัดพุ่มไม้เสีย ทหารทั้งปวงจึงถามว่า ท่านจะให้ตัดรานไม้เสียทั้งนี้ด้วยเหตุอันใด เล่าปี่จึงบอกว่า เราดูชีซีมิได้เห็นบังตาอยู่
ขณะเมื่อเล่าปี่สั่งให้ทหารตัดไม้นั้น พอเห็นชีซีควบม้ากลับมา เล่าปี่มีความยินดีจึงคิดว่า ชรอยชีซีมีความอาลัยรักใคร่เรา จะไม่ไปแล้วกระมังจึงกลับมา ครั้นชีซีมาใกล้จึงร้องถามว่า ท่านกลับมานี้จะว่าสิ่งใด ชีซีเทียบม้าเข้าแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความแก่ท่าน ก็ยังมิทันที่จะเจรจาเลย ด้วยจะจากกันกับท่าน หัวใจข้าพเจ้าประดุจขั้วเข้าตอกเพราะความทุกข์มิทันคิด บัดนี้พอรำลึกได้ข้าพเจ้าจึงกลับมา หวังจะบอกเนื้อความแก่ท่าน คือมีคนผู้หนึ่งอยู่นอกเมืองซงหยง มีปัญญาความคิดหลักแหลม ขอให้ท่านไปเชิญตัวผู้นั้นมา จะได้ช่วยคิดอ่านทำการสืบไป
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงเอ็นดูพาไปให้รู้จักตัวหน่อยหนึ่งเถิด ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะให้พาไปนั้นก็จะได้อยู่ แต่ทว่าที่จะไปหาเล้าลุมนั้นมิได้ ตัวท่านไปคำนับโดยสุจริตจึงจะควร ถ้าได้คนนี้มาแล้วก็เหมือนพระเจ้าฮั่นโกโจได้เตียงเหลียงผู้มีปัญญามาไว้เปน ที่ปรึกษา เล่าปี่จึงถามว่า ซึ่งว่าคนดีนั้นยังจะมีสติปัญญาเสมอกับท่านกระนั้นแลหรือ ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งจะเอาความคิดแลปัญญาข้าพเจ้าไปเปรียบนั้นไกลกันนัก ตัวข้าพเจ้าอุปมาเหมือนหนึ่งกา จะมาเปรียบพระยาหงส์นั้นไม่ควร อนึ่งม้าอาชามีกำลังอันน้อย หรือจะมาเปรียบพระยาราชสีห์ได้ อันคนๆนี้มีปัญญาลึกซึ้งกว้างขวางนัก อาจสามารถที่จะหยั่งรู้การในแผ่นดินแลอากาศเปนเอกอยู่แต่ผู้เดียว ซึ่งจะหาผู้ใดเปรียบเสมอถึงสองนั้นมิได้ เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงถามว่าผู้นั้นชื่อใด ชีซีจึงบอกว่าชื่อขงเบ้ง แซ่จูกัด บัดนี้หาบิดามารดาไม่ อยู่กับจูกัดกี๋นซึ่งเปนน้องชาย ทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตอยู่บนเขาโงลังกั๋ง ณ ตำบลลงเสีย ชาวบ้านทั้งปวงเรียกชื่อขงเบ้งนั้นว่าอาจารย์ฮกหลง แม้ท่านอุตส่าห์ไปเชิญขงเบ้งมาไว้ช่วยคิดอ่านทำการ ท่านจะปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบเปนสุขได้
เล่าปี่จึงว่า เมื่อเราไปอาศรัยสุมาเต๊กโชอยู่นั้น สุมาเต๊กโชบอกเราว่า ฮกหลงห้องซูสองคนนี้มีสติปัญญาหลักแหลมนัก แม้ได้แต่คนใดคนหนึ่งมาช่วยทำราชการ ก็จะปราบปรามให้บ้านเมืองเปนสุขได้ ซึ่งท่านว่านี้จะเปนฮกหลงหรือห้องซูที่สุมาเต๊กโชบอกเราหรือมิใช่ ชีซีจึงว่าคนนี้ชื่อฮกหลง ห้องซูนั้นคือบังทอง อยู่ ณ เมืองซงหยง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ตบมือหัวเราะแล้วว่า คนดีอยู่ในที่ใกล้ เหมือนจะปรากฎอยู่กับตาของเราหารู้ไม่ หากตัวท่านมาชี้แจงบอกให้เราจึงรู้แจ้งว่า ฮกหลงห้องซูอยู่ตำบลอันนี้ ชีซีแจ้เนื้อความแก่เล่าปี่ดังนี้แล้วก็คำนับเล่าปี่ควบม้ารีบไป
ฝ่ายเล่าปี่ได้ฟังถ้อยคำชีซีบอกต้องกันกับคำสุมาเต๊กโช ก็มีความยินดีสว่างในอารมณ์ ดุจหนึ่งบุทคลหลับตาอยู่แลลืมขึ้น ก็พาทหารทั้งปวงกลับมาเมืองซินเอี๋ย ฝ่ายชีซีลาเล่าปี่ไปแล้ว คิดถึงคุณเล่าปี่ซึ่งเอ็นดูกรุณาแล้วคิดวิตกว่าเล่าปี่จะไปเชิญขงเบ้ง ๆ จะไม่มาทำราชการด้วย จึงควบม้าแวะไปเขาโงลังกั๋ง เข้าไปคำนับขงเบ้ง ๆ จึงถามว่าท่านมาด้วยธุระสิ่งใด ชีซีจึงบอกความหลังให้ฟังทุกประการ แล้วว่าเมื่อข้าพเจ้าลาเล่าปี่มานั้นได้บอกไว้ว่าท่านเปนคนมีสติปัญญาอยู่ใน ที่นี่ เล่าปี่มีความยินดีนัก แม้เล่าปี่จะมาเชิญท่าน ๆ อย่าได้บิดพลิ้ว จงไปช่วยเล่าปี่คิดอ่านปราบปรามแผ่นดินให้ราบคาบเปนสุขด้วย อย่าให้เสียทีซึ่งได้เรียนความรู้นั้นไว้เลย ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่ชีซีว่า ท่านจะไปจากเล่าปี่นั้นไม่มีสิ่งใดจะให้แก่เล่าปี่หรือ จึงจะมาเอาเราไปเปนเครื่องเส้น ขงเบ้งว่าเท่านั้นแล้วก็กอดมือกลับเข้าไปในเรือน ชีซีเห็นขงเบ้งขัดเคือง คิดละอายใจก็ขึ้นม้ารีบไปยังเมืองฮูโต๋
โจโฉรู้ว่าชีซีมาถึงก็มีความยินดี จึงให้ซุนฮกกับเทียหยกออกไปรับถึงนอกเมือง ซุนฮกกับเทียหยกก็พาชีซีเข้ามาหาโจโฉ ๆ จึงว่า ตัวท่านเปนคนมีสติปัญญาอยู่ เหตุไฉนจึงไปอยู่กับเล่าปี่ซึ่งเปนคนหาบันดาศักดิ์มิได้ ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าไปอยู่กับเล่าปี่นั้น เพราะแต่ก่อนข้าพเจ้าทำความผิดเปนข้อใหญ่กลับเขาจะจับได้จึงเปลี่ยนชื่อเสีย แล้วเที่ยวหนีซอกซอนไปถึงเมืองซินเอี๋ย พอพบเล่าปี่ได้พูดจาเปนมิตรรักใคร่กัน ข้าพเจ้าจึงอยู่ด้วย บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่ามหาอุปราชเอามารดาข้าพเจ้ามาไว้ ข้าพเจ้าก็มีความยินดีนัก ข้าพเจ้าจึงมาหา โจโฉจึงว่า เราขอบใจท่านซึ่งมีความกตัญญู แลมาบัดนี้ก็ดีแล้ว จะได้ปฏิบัติมารดาท่านตามประเพณี เราก็จะช่วยทำนุบำรุงสืบไป ชีซีคำนับแล้วลาโจโฉออกมาหามารดา ครั้นมาถึงก็ร้องไห้คุกเข่าคำนับหมอบอยู่ตรงหน้า
ฝ่ายมารดาครั้นเห็นชีซีมาก็ตกใจ จึงถามว่าเหตุใดจึงมาดังนี้ ชีซีได้ฟังมารดาถามดังนั้น จึงเล่าความซึ่งอยู่กับเล่าปี่จนกลับมาให้มารดาฟังทุกประการ มารดาได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เอามือตบเก้าอี้ลงแล้วก็ด่าว่า อ้ายจัญไรโฉดเขลาหาปัญญามิได้ ธรรมเนียมมีหรือเกิดมาเปนชายมิได้พินิจพิเคราะห์ ได้แต่หนังสือแล้วก็เชื่อฟังเอา เสียแรงเที่ยวเรียนวิชามาแต่น้อยคุ้มใหญ่ คิดว่าจะดีเทียมคน มิรู้เลยว่าจะกลับซ้ำร้ายไปอีก กูจะอยู่ให้คนเห็นหน้าก็จะพลอยอายด้วย ด่าดังนั้นแล้วก็ลุกเข้าไปผูกฅอตายเสียในห้อง ชีซีหมอบก้มหน้าอยู่หาทันรู้ไม่ คนใช้จึงวิ่งออกไปบอกชีซีว่ามารดาท่านเข้าไปผูกฅอตาย ชีซีตกใจวิ่งเข้าไปจะแก้มารดาก็มิทันพอขาดใจตาย ชีซีก็ร้องไห้สลบอยู่ ครั้นชีซีฟื้นขึ้นแล้วก็จัดแจงการศพซึ่งจะฝังมารดา
ฝ่ายโจโฉรู้ว่ามารดาชีซีถึงแก่ความตายแล้ว ก็แต่งเข้าของให้คนเอามาช่วย ชีซีก็มิรับให้คืนเอาเข้าของให้แก่โจโฉ ด้วยมิได้มีใจภักดีที่จะอยู่ด้วยโดยสุจริต ชีซีจึงเอาศพมารดาไปฝังไว้ข้างทิศใต้นอกเมืองฮูโต๋ แล้วก็ไปรักษาศพมารดาอยู่ที่นั้น ครั้นอยู่มาโจโฉจะยกกองทัพไปตีหัวเมืองฝ่ายใต้ ซุนฮกรู้จึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปครั้งนี้เปนเทศกาลหนาว ทหารทั้งปวงจะได้ความลำบากนัก ขอท่านได้งดกองทัพไว้ก่อน เมื่อถึงฤดูร้อนจึงค่อยไปเห็นจะดี โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงให้งดกองทัพไว้ ก็ให้หัดปรือพลทหารทั้งปวงให้สันทัดไว้ในขบวรทัพเรือ
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นส่งชีซีไปแล้ว กลับเข้ามาถึงเมืองก็จัดแจงสิ่งของซึ่งจะไปหาขงเบ้ง พอนายประตูเข้ามาบอกว่า บัดนี้อาจารย์ผู้หนึ่งเปนคนผู้ใหญ่รูปร่างงาม แต่งตัวเปนคนสุภาพมาหาท่าน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นสำคัญว่าขงเบ้งมาก็ดีใจ จึงขมีขมันออกมารับ ก็เห็นสุมาเต๊กโช เล่าปี่มีความยินดีหาที่สุดมิได้ จึงเชิญเข้าไปนั่งแล้วคำนับว่า แต่ข้าพเจ้ามาจากท่านวันนั้น ก็มีใจรำลึกถึงอยู่คิดจะไปเยือน ท่านมาบัดนี้มีกิจธุระสิ่งใดหรือ สุมาเต๊กโชจึงบอกว่า เรามาบัดนี้จะมีธุระก็หาไม่ ด้วยรู้ว่าชีซีมาทำราชการอยู่ด้วยท่าน มีใจรำลึกถึงก็มาเยือน เล่าปี่จึงบอกเนื้อความซึ่งชีซีจากไปนั้นให้สุมาเต๊กโชฟังทุกประการ
สุมาเต๊กโชแจ้งดังนั้นจึงว่า ชีซีไปหามารดา ณ เมืองฮูโต๋บัดนี้เพราะรู้มิเท่ากลของโจโฉ แลมารดาชีซีนั้นเปนคนสัตย์ซื่อหนักแน่นมั่นคงนัก ถึงมาทว่าโจโฉจะจับเอาไปจองจำทำโทษประการใดก็เห็นจะไม่ให้แจ้งมาถึงบุตร จะสู้ตายแต่ผู้เดียว ซึ่งมีหนังสือมานั้นเห็นจะเปนอุบายของโจโฉ อันชีซีไปบัดนี้เหมือนฆ่ามารดาเสีย ถ้าชีซีมิไปเมืองฮูโต๋ตามหนังสือมารดานั้น มารดาชีซีก็จะมีชีวิตอยู่ เล่าปี่ฟังสุมาเต๊กโชว่าดังนั้นก็ตกใจ จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงว่าดังนี้
สุมาเต๊กโชจึงบอกว่า เราว่าทั้งนี้เพราะเล็งเห็นน้ำใจมารดาชีซีว่า รักจะใคร่ให้บุตรอยู่กับท่าน ซึ่งจะไปอยู่กับโจโฉนั้นมิเต็มใจ ก็จะฆ่าตัวเสีย เล่าปี่จึงว่าท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ ครั้นข้าพเจ้าจะมิให้ชีซีไปเล่าก็มิควรนัก แลเมื่อชีซีจะไปนั้นได้บอกไว้แก่ข้าพเจ้าว่า มีคนหนึ่งชื่อว่าอาจารย์ขงเบ้ง อยู่นอกเมืองซงหยง มีสติปัญญาหลักแหลมนั้น ท่านยังรู้จักบ้างหรือ สุมาเต๊กโชได้ฟังเล่าปี่ถามดังนั้นจึงว่า ชีซีจะไปแต่ตัวนั้นไม่ได้ จะให้ขงเบ้งได้ความระกำใจรากโลหิตออกเมื่อภายหลังนี้หาควรไม่ เล่าปี่จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงว่าดังนี้
สุมาเต๊กโชจึงตอบว่า เราเห็นขงเบ้งจะมาอยู่ทำราชการด้วยท่านนี้เปนการใหญ่หลวงนัก เห็นจะต้องคิดอ่านผ่อนผันทุกเวลา ก็จะช้ำอกหนักใจจึงว่าทั้งนี้ อันขงเบ้งมีสติปัญญาเปนอันมาก เหมือนกับขวันต๋งงักเยซึ่งได้ทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งซุนสิวนั้น[๑]
กวนอูได้ยินสุมาเต๊กโชสรรเสริญขงเบ้งดังนั้นจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ข้าพเจ้าเจ้ายังมิเห็นสมด้วย ขวันต๋งงักเยสองคนนี้มีสติปัญญาหาผู้ใดจะเสมอมิได้ แลจะเอาขงเบ้งมาเปรียบนั้นเห็นเกินนัก สุมาเต๊กโชหัวเราะแล้วจึงตอบว่า เราว่าแต่เพียงนี้เปนประมาณดอก พิเคราะห์ดูสติปัญญาของขงเบ้งนั้นจะเปรียบได้ถึงเก่งสง ผู้เปนที่ทำนุบำรุงแผ่นพระเจ้าจิ๋วบุนอ๋อง ซึ่งได้เสวยราชสมบัติสืบมาได้ถึงแปดร้อยปีนั้นอีก สุมาเต๊กโชว่าเท่านั้นแล้วก็ลาเล่าปี่ ๆ จะห้ามเท่าใดก็มิอยู่ สุมาเต๊กโชลุกออกไปถึงประตูบ้านจึงแหงนหน้าขึ้นหัวเราะ ว่าฮกหลงจะได้นายบัดนี้ก็สมควรอยู่แล้ว แต่เราคิดเสียดายด้วยเปนคนอาภัพหาบุญมิได้ ว่าแล้วก็รีบไปที่อยู่
ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยออกจากเมืองซินเอี๋ย จะไปหาขงเบ้ง ณ เขาโงลังกั๋ง ไปพบคนห้าคนทำไร่อยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง เล่าปี่จึงถามว่า มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อว่าฮกหลงอยู่ตำบลใดท่านรู้บ้างหรือ ชาวไร่นั้นจึงบอกว่า อาจารย์ฮกหลงอยู่เงื้อมเขาข้างทิศใต้ มีพุ่มไม้เปนสำคัญอยู่หน้าเรือน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี พากวนอูเตียวหุยรีบอ้อมเขาไป ทางประมาณสามสิบเส้นถึงพุ่มไม้ตรงหน้าเรือนขงเบ้ง ฝ่ายขงเบ้งรู้ว่าเล่าปี่จะมาหาก็คิดในใจว่า เขาเล่าลืออยู่ว่าเล่าปี่มีสติปัญญาประกอบด้วยอัธยาศัยแลความเพียรเปนอันมาก นั้นจะจริงหรือประการใด ครั้นจะอยู่ให้พบตัวบัดนี้ ก็จะไม่แจ้งว่าเล่าปี่มีความเพียรแลหาเพียรไม่ ซึ่งเราจะไปอยู่ด้วยนั้นใหญ่หลวงนัก ยังจะเปนประโยชน์หรือมิเปนประโยชน์ จะลองดูให้รู้จักน้ำใจเล่าปี่ก่อน แล้วสั่งเด็กไว้ว่า ถ้าผู้ใดมาหาเราจงบอกว่าเราไม่อยู่ สั่งแล้วขงเบ้งก็เข้าไปซ่อนอยู่ที่ข้างใน
ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ก็ลงจากม้าเดิรเข้าไปถึงประตูบ้าน เล่าปี่จึงพิเคราะห์ดูภูมิฐานบ้านเรือนเห็นสอาดสอ้านชอบมาพากล แม้เทศกาลร้อนก็มิได้ร้อน เพราะลมพัดมาได้ เมื่อถึงฤดูฝนก็เปนที่ร่มปิดหยาดฝนมิได้ถูกต้อง หน้าฤดูหนาวเล่าก็มิได้เย็นด้วยลอองน้ำค้าง สมควรเปนที่อยู่ผู้มีสติปัญญาจริง
เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความยินดีเปนอันมาก แล้วก็เดิรเข้าไปถึงประตูเรือน เด็กน้อยคนใช้จึงถามว่าท่านชื่อใดมาแต่ไหน เล่าปี่จึงบอกว่าเราชื่อห้วนจงกุ๋นยี่เซงเตงเฮาเล่าปี่ เปนเชื้อวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะมาคำนับอาจารย์ของท่าน เด็กนั้นจึงบอกว่า ท่านบอกชื่อมากนักเราจำมิได้ เล่าปี่จึงว่า ถ้าจำชื่อเรามิได้จงเข้าไปบอกแก่อาจารย์ว่าแต่เล่าปี่มาหาเถิด เด็กนั้นจึงว่า บัดนี้อาจารย์ข้าพเจ้าไม่อยู่ จะไปตำบลใดมิได้แจ้ง เล่าปี่จึงว่าเมื่อไรจะกลับมาเล่า เด็กนั้นจึงบอกว่า อันอาจารย์ข้าพเจ้าไปนี้จะกำหนดว่ามาช้าแลเร็วนั้นไม่ได้ บางทีสามวันบ้างห้าวันบ้างสิบวันบ้างจึงจะกลับมา
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็คิดเสียใจ กวนอูเตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้อาจารย์ใหญ่ไม่อยู่แล้ว เรากลับไปก่อนเถิด แล้วจึงใช้ให้คนมาสอดแนมดู แม้รู้ว่าอยู่มั่นคงแล้ววันอื่นเราจึงค่อยมาหา เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงสั่งเด็กนั้นไว้ว่า แม้อาจารย์ท่านมาจงบอกว่าเราชื่อเล่าปี่มาคำนับก็ไม่พบ บัดนี้เราจะกลับไปก่อน แล้วเล่าปี่ก็พากันกลับมาขึ้นม้าเดิรออกมาทางประมาณสามสิบเส้น พอพบซุยเป๋งเดิรมา เล่าปี่เห็นรูปร่างกิริยาสมควรเปนอาจารย์ก็สำคัญว่าขงเบ้ง จึงลงจากม้าคำนับแล้วถามว่า ท่านนี้ชื่ออาจารย์ฮกหลงหรือ ซุยเป๋งจึงบอกว่า เรานี้มิใช่ฮกหลงดอก ชื่อซุยเป๋งเปนเพื่อนของขงเบ้ง ท่านนี้มาแต่ไหน ชื่อใดเล่า เล่าปี่จึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ จะมาหาขงเบ้งก็ไม่พบ ซึ่งปะท่านวันนี้ก็เปนบุญนักหนา เชิญท่านขึ้นนั่งบนที่สมควรจะได้สนทนาด้วย ซุยเป๋งนั่งลงแล้วจึงถามว่า ท่านจะมาหาขงเบ้งนี้ด้วยธุระกังวลสิ่งใด เล่าปี่จึงบอกว่า ข้าพเจ้ามาบัดนี้ด้วยแผ่นดินเกิดจลาจลมิได้เปนปรกติ หวังจะเชิญขงเบ้งไปอยู่ทำราชการด้วยข้าพเจ้า จะได้ช่วยปราบปรามแผ่นดินให้เปนสุขสืบไป ซุยเป๋งหัวเราะแล้วจึงตอบว่า ซึ่งแผ่นดินเปนจลาจลจะมาหาขงเบ้งไปช่วยทำนุบำรุงให้เปนสุขนั้น ก็เห็นว่าท่านมีน้ำใจสัตย์ซื่อรอบคอบดีแล้ว แต่ว่าประเพณีแผ่นดินนี้ เกิดจลาจลแล้วก็เปนสุขเล่า เปนสุขแล้วก็เกิดจลาจลเล่า เปนธรรมดามาแต่ก่อน แลซึ่งท่านจะคิดอ่านปราบปรามแผ่นดิน อันถึงกำหนดจลาจลแล้วให้กลับเปนสุขนั้น เกลือกจะไม่สมความปราถนาก็จะป่วยการเสียเปล่า อันเกิดมาเปนคนทุกวันนี้ก็สุดแต่บุญแลกรรม จะหักวาสนานั้นไม่ได้
เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ว่าตัวข้าพเจ้านื้ ได้เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะนิ่งเสียมิช่วยทำนุบำรุงนั้นก็หากตัญญูมิได้ ถึงวาสนาน้อยก็จำจะเพียรพยายามสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ตามสติกำลัง ซุยเป๋งจึงตอบว่า จงไปคิดอ่านด้วยท่านเถิด เล่าปี่จึงตอบว่า ซึ่งท่านเตือนสติสั่งสอนทั้งนี้ ใช่จะลบหลู่คุณเสียนั้นก็หาไม่ แต่ว่าข้าพเจ้ามาบัดนี้จะใคร่พบขงเบ้ง ท่านช่วยอนุเคราะห์บอกให้ด้วย ซุยเป๋งบอกว่า ขงเบ้งจะไปแห่งใดมิได้รู้ ข้าพเจ้ามาบัดนี้ก็ตั้งใจจะพบขงเบ้งอีก เล่าปี่จึงว่า ถ้าฉนั้นเชิญท่านไปอยู่กับข้าพเจ้า ณ เมืองซินเอี๋ยเถิด ซุยเป๋งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเปนคนบ้านนอก ปราถนาแต่ความสบาย ซึ่งจะไปอยู่ทำราชการด้วยท่านจะเอายศฐาศักดิ์นั้นมิได้ยินดี ถ้าว่างเปล่าเมื่อใดจึงจะเข้าไปสนทนาด้วย แล้วซุยเป๋งก็ลาไป
ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ขึ้นม้าพากันไป ณ เมืองซินเอี๋ย อยู่สี่ห้าวันเล่าปี่จึงแต่งให้คนใช้ไปซับทราบดูขงเบ้ง ครั้นคนใช้กลับมาบอกว่าขงเบ้งกลับมาที่อยู่แล้ว เล่าปี่จึงจัดแจงสิ่งของจะไปหาขงเบ้ง เตียวหุยจึงว่าท่านจะมาหลงนับถือว่าขงเบ้งเปนคนมีสติปัญญา จะอุตส่าห์ทรมานกายไปหาให้ลำบากนั้นหาต้องการไม่ จะนับถืออะไรกับขงเบ้งเปนคนบ้านนอก ข้าพเจ้าจะให้แต่ทหารไปเอามาก็จะได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ขงเบ้งเปนคนมีสติปัญญาเหตุใดท่านมาประมาทหยาบช้าดังนี้ ว่าแล้วก็ขึ้นม้าออกไปกับคนใช้ กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็ขึ้นม้าตามออกไปทางประมาณสามสิบเส้น พอน้ำค้างตกลงหนาวเปนกำลัง เตียวหุยจึงว่าเทศกาลนี้เปนฤดูหนาว อันยามหนาวเช่นนี้แม้จะคิดอ่านทำการสงครามเอาบ้านเมืองนั้นก็ยังต้องงดไว้ ควรแล้วหรือมานับถือขงเบ้งซึ่งเปนชาวบ้านนอกนี้หาเปนประโยชน์ไม่ ขอท่านกลับไปเมืองก่อนเถิด
เล่าปี่จึงตอบว่า อันธรรมดาจะปราถนาของดี ก็ย่อมประกอบด้วยความอุตส่าห์จึงจะได้ ซึ่งเราทรมานกายมาทั้งนี้ ก็ปราถนาจะให้ได้ขงเบ้ง อนึ่งจะให้ขงเบ้งรู้ว่าเรามีความรักแลเพียรเปนอันมาก ซึ่งตัวท่านกลัวแต่ความลำบากทนหนาวมิได้ก็ให้เร่งกลับไปในเมืองเถิด เตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะลำบากจึงทัดทาน เล่าปี่จึงห้ามว่า แต่นี้ไปท่านอย่าว่าฉนี้เลย แล้วก็ขับม้าไป
ครั้นมาถึงร้านสุราแห่งหนึ่ง ใกล้กันกับที่อยู่ขงเบ้ง จึงได้ยินเสียงคนเสพย์สุราอยู่ในบ้านนั้นพูดจาโต้ตอบกันสองคน เล่าปี่ชักม้าหยุดฟังอยู่ได้ยินถ้อยคำหลักแหลมนักก็สำคัญว่าขงเบ้ง จึงลงจากม้าเดิรแอบเข้าไปฟังดูที่ประตู เห็นคนหนึ่งหน้าขาวหนวดยาว คนหนึ่งหน้าตาเข้มขัน รูปร่างล่ำสันโตใหญ่ ก็เข้าไปคำนับแล้วว่า ท่านทั้งสองนี้เปนอาจารย์ฮกหลงหรือ โจ๊ะก๋งหงวนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ขงเบ้ง ข้าพเจ้าชื่อโจ๊ะก๋งหงวนต่างหาก คนนั้นชื่อเบงคงอุย เราสองคนนี้เปนเพื่อนรักกับขงเบ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นลอายแก่ใจก็ลาไป ครั้นถึงบ้านขงเบ้งแล้วก็ลงจากม้าเดิรเข้าไปถามเด็กว่า วันนี้อาจารย์ท่านอยู่หรือไม่ เด็กจึงบอกว่า อาจารย์ข้าพเจ้านอนดูหนังสืออยู่ เล่าปี่จึงให้เด็กน้อยนั้นพาเข้าไป พอเห็นคนหนึ่งหนุ่มน้อยเดิรออกมาแต่ข้างใน เล่าปี่สำคัญว่าขงเบ้งมีความยินดีนักจึงเข้าไปคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้านี้ชื่อว่าเล่าปี่ แต่ได้ยินเขาเล่าลือไปก็ช้านานแล้ว ข้าพเจ้าเปนคนวาสนาน้อย ตั้งใจจะมาคำนับท่านก็มิรู้แห่งเลย ต่อชีซีบอกสำคัญให้ ข้าพเจ้าเสาะมาหาท่านครั้งหนึ่งแล้วก็มิพบ วันนี้มิเสียทีข้าพเจ้าตรำน้ำค้างทรมานกายมา ได้พบท่านเปนบุญตัวนักหนา
จูกัดกิ๋นได้ยินดังนั้นจึงว่า ท่านนี้หรือชื่อเล่าปี่ เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวข้าพเจ้านี้ชื่อจูกัดกิ๋น เปนน้องของขงเบ้งดอก พี่น้องสามคนด้วยกัน คนหนึ่งก็ชื่อจูกัดกิ๋น เปนพี่ผู้ใหญ่ ไปทำราชการอยู่ด้วยซุนกวน ณ เมืองกังตั๋ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ลอายใจ จึงถามว่า บัดนี้พี่ท่านอยู่แห่งใดเล่า จูกัดกิ๋นจึงบอกว่า พี่ข้าพเจ้าไม่อยู่ เพื่อนมาชวนไปเที่ยวเล่นแต่เวลาเช้าแล้ว เล่าปี่จึงถามว่า พี่ท่านไปเล่นแห่งใด จูกัดกิ๋นจึงบอกว่า บางทีก็ไปเรือ บางทีก็ไปบก แลจะกำหนดว่าไปหาผู้ใดที่ตำบลใดมิได้แจ้ง เล่าปี่จึงว่า เรานี้วาสนาน้อยเปนนักหนา มาหาพี่ท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิได้พบ เปนคนอาภัพนัก
เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านอุตส่าห์พยายามมาหาขงเบ้งก็มิพบ จะอยู่ช้าไปใยเล่า เวลาก็เย็นลงจวนฝนจะตกพายุพัดหนาวหนัก จงรีบกลับไปเถิด เล่าปี่จึงว่ากับเตียวหุยว่า เรามายังมิทันเจรจาได้สักสองคำเลย ท่านมาด่วนรบให้รีบกลับไปจะประโยชน์สิ่งใด แล้วจึงถามจูกัดกิ๋นว่า เราได้ยินเขาเลื่องลือว่า พี่ท่านมีสติปัญญา ร่ำเรียนวิชารู้หลักแหลมเปนอันมาก ตัวท่านเปนน้องยังแจ้งว่าทุกวันนี้ยังเรียนสิ่งใดอยู่ จูกัดกิ๋นจึงว่า พี่ข้าพเจ้ามีสติปัญญาก็จริงอยู่ แต่ซึ่งจะร่ำเรียนวิชาสิ่งใดนั้นข้าพเจ้าหาล่วงรู้ไม่
เล่าปี่จึงว่า เรามาถึงสองครั้งแล้วก็มิพบ ครั้นจะอยู่ท่าเวลาก็เย็นลงแล้วจะลาไปก่อน เราจะขอกระดาษกับพู่กรรณ์มาเขียนเปนอักษรคำนับพี่ท่านไว้แต่พอให้รู้ว่าเรา อุตส่าห์มาหา จูกัดกิ๋นก็เอากระดาษกับพู่กรรณ์มาให้ เล่าปี่จึงเขียนอักษรไว้เปนใจความว่า ข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ มีความอุตส่าห์มาหาอาจารย์ฮกหลง ด้วยข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์เลื่องลือไปว่า ท่านมีปัญญาวิชาคุณอันประเสริฐหาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก อุตส่าห์ทรมานมาหาท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิพบ เปนคนบุญน้อยอาภัพนัก ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าอย่าให้สูญความปราถนาเลย ถ้าจะเมตตาแก่ข้าพเจ้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้พบสักครั้งหนึ่งเถิด แลมาบัดนี้ก็หวังจะพึ่งปัญญาวิชาคุณของท่าน เชิญไปทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอันเกิดจลาจลให้เปนสุขสืบไป จะได้ปรากฎกำลังปัญญาแลความคิดของท่าน ครั้นเขียนแล้วจึงส่งให้จูกัดกิ๋น แล้วก็คำนับลาออกมา พอขึ้นถึงหลังม้าได้ยินเสียงเด็กร้องว่า อาจารย์ผู้เถ้ามาโน่นแล้ว เล่าปี่แลไปพอเห็นพ่อตาขงเบ้งขี่อูฐมีเด็กน้อยคนหนึ่งเดิรตามข้ามสะพานมาก็ ดีใจ สำคัญว่าขงเบ้ง เล่าปี่จึงลงจากม้าก็คำนับแล้วว่า อาจารย์อุตส่าห์ทรมานตรำน้ำค้างไปแห่งใดมา ข้าพเจ้าอุตส่าห์มาหาพึ่งได้พบวันนี้ จูกัดกิ๋นแลเห็นเล่าปี่คำนับดังนั้น ก็ร้องบอกมาข้างหลังว่าคนนั้นมิใช่ขงเบ้ง ชื่อว่าอุยสิง่านเปนพ่อตาขงเบ้งต่างหาก
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็อดสูแก่ใจ คำนับแล้วก็ขึ้นม้าลาไป ครั้นมาถึงเมืองซินเอี๋ย เล่าปี่มีความทุกข์ซึ่งจะไปหาขงเบ้งนั้นมิได้วาย พอเข้าปีใหม่จึงอาบน้ำชำระกายนุ่งห่มเปนปรกติโดยสมควร สำรวมกายถ้วนสามวันแล้วก็จัดแจงสิ่งของซึ่งจะไปคำนับขงเบ้ง กวนอูเห็นดังนั้นจึงว่าแก่เตียวหุยว่า พี่ท่านนี้มีความนับถือขงเบ้งดังหนึ่งอาจารย์ผู้เถ้าอันใหญ่หลวง อุตส่าห์ทรมานไปถึงสองครั้งแล้วก็ไม่พบ บัดนี้จะไปอีกเล่าหาต้องการไม่ แลขงเบ้งนั้นถ้ามีปัญญาจริงเหมือนเขาเล่าลือก็จะหลบเสียใย ดีร้ายจะให้พบสักครั้งหนึ่ง นี่ชรอยเขาเล่าลือเปล่าๆ จะเชื่อถือว่าจริงดังนั้นก็ดูมิสมควร เตียวหุยได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็ซ้ำแก่เล่าปี่ว่า อันกวนอูว่าดังนี้ก็เหมือนน้ำใจของข้าพเจ้าคิด ถ้าจะปราถนาพบขงเบ้งให้ได้แล้ว ข้าพเจ้าจะรับเปนธุระเอง จะใช้ให้คนไปหาตัวมาจงได้ มาทว่าขงเบ้งจะมิมา ข้าพเจ้าจะเอาแต่เชือกเส้นเดียวไปผูกจูงเอามาให้แก่ท่าน พี่อย่าไปเลย
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดเอาเตียวหุยว่า เจ้าเจรจาหาอัธยาศัยไม่ ลบหลู่ขงเบ้งดังคนไม่มีปัญญา เจ้าไม่รู้หรือสำมหาแต่พระเจ้าจิ๋วบุนอ๋องเปนกษัตริย์อันประเสริฐ ยังทรงพระอุตส่าห์เสด็จออกไปรับเกงสงถึงนอกพระนคร แลตัวเราแต่เพียงนี้ก็ควรที่จะไปรับขงเบ้งอยู่ แม้ตัวท่านเห็นว่ามิสมควรก็อยู่ตามอัธยาศัยเถิด แต่ตัวเรากับกวนอูสองคนจะอุตส่าห์ไป เตียวหุยจึงว่า จะทิ้งพี่เสียกะไรได้จะไปด้วย เล่าปี่จึงว่า ถ้าจะไปกับเราก็ตามเถิด ครั้นใกล้จะถึงที่ขงเบ้งอยู่ประมาณยี่สิบเส้นพบจูกัดกิ๋นเดิรมา เล่าปี่คำนับแล้วถามว่า พี่ท่านอยู่หรือ จูกัดกิ๋นคำนับแล้วบอกว่า พี่ข้าพเจ้ากลับมาแต่เวลาวานนี้แล้ว วันนี้เห็นจะพบ ท่านเข้าไปเถิด ว่าเท่านั้นแล้วเดิรพ้นไป เล่าปี่มีความยินดีก็รีบไป ครั้นถึงประตูบ้านจึงว่ากับเด็กน้อยให้ช่วยเข้าไปบอกแก่ขงเบ้งว่าบัดนี้เล่า ปี่มาหา เด็กน้อยจึงว่า บัดนี้อาจารย์ข้าพเจ้าอยู่บ้านก็จริง แต่ว่านอนหลับอยู่มิรู้ที่จะปลุกได้ เล่าปี่จึงว่า อาจารย์ท่านหลับอยู่ก็อย่าวุ่นวายเลย แล้วจึงสั่งให้กวนอูเตียวหุยอยู่แต่นอกประตู เล่าปี่จึงค่อยย่องเดิรเข้าไปถึงข้างใน เห็นขงเบ้งนอนผินหลังอยู่ เล่าปี่ก็ยืนอยู่แต่เบื้องต่ำ เตียวหุยเห็นเล่าปี่เข้าไปช้านาน มิได้ยินเสียงพูดจาประการใดสงบอยู่ จึงเดิรย่องเข้าไปดู เห็นเล่าปี่ยืนทรมานกายอยู่ที่ต่ำดังนั้นก็โกรธ กลับออกมาบอกแก่กวนอูว่า ขงเบ้งคนนี้หยาบช้านัก มิได้มีคารวะแก่พี่เรา แสร้งทำนอนหลับเสีย ข้าพเจ้าจะเอาเพลิงไปจุดข้างหลังบ้านให้ตกใจตื่นขึ้นจงได้ กวนอูคิดเห็นมิชอบก็ห้ามเสีย
ฝ่ายขงเบ้งแสร้งทำหลับอยู่ช้านานประมาณสี่โมงแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นทำอาการดังหนึ่งจะตื่นแล้วก็กลับนอนเสีย เด็กคนใช้เห็นเล่าปี่ยืนทรมานอยู่ช้านานดังนั้น ก็เวทนาจะไปปลุกขงเบ้งให้ตื่นขึ้น เล่าปี่จึงห้ามว่า ท่านอย่าทำวุ่นวายเลย ให้อาจารย์นอนให้สบายเถิด แลขงเบ้งแสร้งทำนอนเสียวันนั้นช้านาน จนบ่ายห้าโมงแล้วจึงพลิกตัวตื่นขึ้น ว่าโคลงสี่บทเปนใจความว่า ผู้ใดนอนหลับใจก็มิรู้สัญญา จักษุอันหลับอยู่นั้น จะดูสิ่งใดก็มิได้เห็น หอน้อยเรานี้ก็เปนที่สำราญ ถึงเทศกาลฝนก็นอนอุ่น พระอาทิตย์เจ้าเอ๋ย อย่าเพ่อคล้อยคลับให้ลับหน้าต่าง หยุดส่องแสงอยู่ก่อนจะได้นอนให้สบาย ครั้นว่าโคลงแล้วจึงเรียกเด็กน้อยเข้าไปถามว่า ใครมาหาเราบ้างหรือไม่ เด็กน้อยจึงบอกว่า บัดนี้เล่าปี่มาหาท่านยืนคอยท่าอยู่ช้านานแล้ว ขงเบ้งก็ทำเปนโกรธรุกเอาเด็ก ว่าเหตุใดจึงไม่บอกแต่เดิมที นิ่งเสียจนป่านนี้ ว่าดังนั้นแล้วก็ลุกเดิรเข้าไปในห้อง หวีผมใส่เสื้อแต่งตัวแล้วกลับออกมา
เล่าปี่แลเห็นขงเบ้งรูปร่างใหญ่โต สูงถึงหกศอก สีหน้าขาวเหมือนหยวก แต่งตัวโอ่โถง ท่วงทีเปนอาจารย์ผู้ใหญ่ จึงเข้าไปคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าตั้งใจมาหาท่านบัดนี้ เพราะมีความปราถนาจะขอสติปัญญาท่าน ด้วยแผ่นดินทุกวันนี้เปนจลาจลจวนจะสาบสูญอยู่แล้ว ตัวข้าพเจ้านี้เปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ทว่ามีสติปัญญาน้อย แล้วก็เปนชาวบ้านนอกอยู่เมืองตุ้นก้วน แจ้งว่าท่านเปนคนดีมีสติปัญญาปรากฎเอิกเกริกเสมือนเสียงฟ้า ข้าพเจ้ามีความยินดี มาคำนับท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิได้พบ จึงเขียนหนังสือฝากไว้หวังจะให้ท่านแจ้ง ขงเบ้งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นในหนังสือนั้นก็แจ้งอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าตัวยังหนุ่มนัก ทั้งสติปัญญาความคิดก็อ่อน ครั้นจะไปทำราชการด้วยท่านก็จะเสียการของท่านไป เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งเจรจาถ่อมตัวดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านว่าสติปัญญาอ่อนนั้นข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว ด้วยสุมาเต๊กโชแลชีซีได้บอกให้รู้ทุกประการ ขอท่านได้เมตตาอย่าบิดพลิ้วเลย จงช่วยข้าพเจ้าบำรุงแผ่นดินด้วยเถิด ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าไปช่วยคิดอ่านทำราชการนั้น ความคิดท่านจะทำประการใด จงชี้แจงให้ข้าพเจ้าแจ้งก่อน เล่าปี่ขยับเข้าไปใกล้ขงเบ้งแล้วว่า ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชสมบัติ มีศัตรูทำหยาบช้าต่างๆ ข้าพเจ้ามีใจเจ็บร้อนด้วยการแผ่นดินนัก จึงไปเที่ยวแสวงหาผู้มีสติปัญญาซึ่งจะช่วยคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียก็ ยังมิสำเร็จ แต่ผู้คนทั้งปวงนั้นก็ซ่องสุมไว้ได้พร้อมอยู่แล้ว ซึ่งมาหาท่านทั้งนี้หวังจะให้ช่วยทำนุบำรุง จงเอนดูข้าพเจ้าด้วย
ขงเบ้งจึงตอบว่า อันแผ่นดินเกิดจลาจลตราบเท่าทุกวันนี้ก็เพราะตั๋งโต๊ะนั้นเปนต้น ฝ่ายโจโฉเล่าที่ซ่องสุมทหารทั้งปวงแล้วยกไปกำจัดอ้วนเสี้ยวได้นั้น ใช่ว่าจะสำเร็จด้วยกำลังทหารมากก็หาไม่ ทหารโจโฉน้อยกว่าทหารอ้วนเสี้ยวอีก แลอาจสามารถทำการใหญ่หลวงสำเร็จได้ทั้งนี้ ก็เพราะปัญญาแลความคิดของตัว ถึงมาทว่าโจโฉเปนคนชั่วมิได้มีความกตัญญูต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ คิดอ่านทำการหยาบช้าถึงเพียงนี้แล้วก็ดี ก็ยากที่จะกำจัดโจโฉได้โดยง่าย
ฝ่ายซุนกวนอันเปนเจ้าเมืองกังตั๋งเล่า ถึงจะมีกำลังน้อยก็เสมือนมีกำลังมาก ด้วยอาณาประชาราษฎรทั้งปวงรักใคร่เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ท่านอย่าพึงประมาทแก่ซุนกวน ควรที่จะรักใคร่เปนไมตรีต่อกัน อันเมืองเกงจิ๋วเล่าก็เปนเมืองหน้าศึก เหมือนศัตรูมีอยู่รอบทั้งสี่ด้าน ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาสามารถก็จะรักษาได้ แลเมืองนี้นานไปก็จะได้แก่ท่าน แลเมืองเสฉวนเล่าก็เปนหัวเมืองใหญ่ มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สมบัติเปนอันมาก แลครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจก็ตั้งตัวได้ในเมืองนั้นก่อน บัดนี้เล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวนก็เปนคนโลเลอยู่หาแน่นอนไม่ แล้วก็มิได้อารีรอบคอบที่จะปลูกเลี้ยงทหาร ถึงจะมีสมบัติดังเมืองฟ้าก็นับวันจะสาบสูญ บัดนี้ทหารทั้งปวงก็คอยทีจะเอาใจออกหากอยู่ ตัวท่านก็เปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วประกอบไปด้วยสติปัญญาอันรอบคอบ ถ้าจะคิดเอาเมืองเกงจิ๋วแล้ว เมืองเสฉวนก็จะได้โดยง่าย แต่ทว่าได้แล้วจงทำไมตรีให้รอบคอบต่อหัวเมืองทั้งปวง อันซุนกวนนั้นก็จะได้เปนที่พำนักของท่านไป จะได้ตั้งทำนุบำรุงทหารให้พร้อมมูล ถ้าเห็นแผ่นดินระส่ำระสายแล้วเมื่อใดก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไปได้สดวก ฝ่ายอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะมีใจรักใคร่ท่านเปนอันมาก ซึ่งท่านมีความปราถนาจะให้ช่วยทำนุบำรุงนั้น ข้าพเจ้าก็สั่งสอนให้ได้ตามสติปัญญาแต่เพียงนี้ แม้ท่านมีความอุตส่าห์กระทำตามถ้อยคำของข้าพเจ้าก็จะสำเร็จความปราถนา
ขงเบ้งสนทนาด้วยเล่าปี่ดังนั้นแล้ว ก็เรียกให้เด็กหยิบแผนที่ตำบลเมืองเสฉวน อันมีหัวเมืองขึ้นห้าสิบหัวเมืองมาแขวนให้ดู แล้วขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านมีความอุตส่าห์พยายามคิดอ่านทำการได้เมืองเสฉวนนี้แล้ว ก็จะได้เปนใหญ่สมความปราถนา เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งบอกดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านมีความเมตตาสั่งสอนแนะนำให้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก สว่างในดวงใจดุจว่าพระอาทิตย์มีปริมณฑลอันปราศจากเมฆ ส่องสว่างไปทั่วโลก แต่ทว่าเมืองเสฉวนแลเมืองเกงจิ๋วนั้น ก็เปนเชื้อสายญาติวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าข้าพเจ้าจะคิดทำการเอาเมืองทั้งสองนี้ก็เหมือนหนึ่งขบถต่อแผ่นดิน ดังคนหาความกตัญญูมิได้
ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เราพิเคราะห์เห็นว่า เล่าเปียวคนนี้อายุจะไม่ยืดยาวสืบไป ฝ่ายเล่าเจี๋ยงนั้นเล่า ก็เปนคนโลเลหามั่นคงไม่ ทั้งอาณาประชาราษฎรก็มิได้รักใคร่ ถึงว่าท่านมีความกตัญญูต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้คิดจะทำร้ายคนทั้งสองนี้ก็ดี นานไปก็จะเกิดอันตรายเอง เมืองทั้งสองนี้ก็จะได้แก่ท่านเปนมั่นคง
แลขงเบ้งว่ากล่าวทั้งนี้เหตุพิเคราะห์เห็นโดยตำราว่า ต่อไปภายหน้า เล่าปี่จะได้เปนใหญ่อยู่ก๊กหนึ่ง โจโฉก๊กหนึ่ง ซุนกวนก๊กหนึ่ง เปนสามก๊กฉนี้ แลบันดาคนจีนทั้งปวงจึงพากันนับถือขงเบ้งว่ามีปัญญารู้ตำราดูตลอดไปถึงกาล ภายหน้า เปนที่สรรเสริญมาตราบเท่าทุกวันนี้
ฝ่ายเล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็คำนับแล้วว่า ถ้าดังนั้นขอเชิญท่านไปอยู่ทำราชการช่วยทำนุบำรุงสั่งสอนข้าพเจ้าสืบไป ขงเบ้งจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนคนชาวบ้านนอกสติปัญญาน้อย เคยแต่ทำการหยาบ ซึ่งจะไปอยู่ทำราชการสั่งสอนท่านนั้นเปนการละเอียดสุขุมนัก เห็นจะทำไปมิได้ก็จะเสียการของท่าน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็อ้อนวอนว่า ถ้าท่านมิได้ทำนุบำรุงแผ่นดินแล้ว น่าที่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อน เล่าปี่ว่าเท่านั้นแล้วก็ร้องไห้สอื้นไม่เงยหน้าขึ้นได้ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเล่าปี่มีความรักโดยสุจริตจึงว่า ถ้าท่านมีความรักใคร่ข้าพเจ้ามั่นคงอยู่แล้วก็อย่าร้องไห้วิตกไปเลย ตัวข้าพเจ้าก็จะไปทำราชการด้วยท่าน ถึงมาทว่าข้าพเจ้าจะเปนประการใดก็ดี ก็จะช่วยทำนุบำรุงตามสติปัญญา เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงเรียกกวนอูเตียวหุยเข้ามาให้คำนับ แล้วเอาแพรแลสิ่งของทั้งปวงซึ่งเอามานั้นให้แก่ขงเบ้งเปนคำนับ
ขงเบ้งรับเอาของทั้งนั้นแล้วจึงชวนเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ให้อยู่นอนด้วยคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าจึงเรียกจูกัดกิ๋นผู้น้องเข้ามาแล้วว่า เล่าปี่มีความอุตส่าห์มาถึงสามครั้ง ว่ากล่าวอ้อนวอนให้ไปอยู่ทำราชการด้วยช่วยทำนุบำรุง ครั้นจะตัดประโยชน์เสียก็เอ็นดูแก่เล่าปี่ ตัวเราจำจะไปด้วยเล่าปี่ เจ้าอยู่ภายหลังจงรักษาโคกระบือไร่นาเข้าของทั้งปวงไว้ อย่าให้เปนอันตรายเสียได้ ถ้าเราไปช่วยเล่าปี่ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขสำเร็จแล้ว ก็จะกลับคืนมาทำมาหากินด้วยกันเหมือนดังเก่า ครั้นขงเบ้งสั่งเสียจูกัดกิ๋นผู้น้องเสร็จแล้ว เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็คำนับลาจูกัดกิ๋น พาขงเบ้งมา ณ เมืองซินเอี๋ย แล้วทำคารวะเลี้ยงดูขงเบ้งตั้งเปนที่อาจารย์ผู้ใหญ่กินเข้าร่วมสำรับกัน เปนที่ปรึกษากิจการทั้งปวง
[๑] อยู่ในเรื่องเลียดก๊ก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 33
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnTzhBSXVzbk4zNDg/view?resourcekey=0-wUoCc1r8HzdwfhoZkapfWA
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #3 on:
22 December 2021, 20:16:35 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 34
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-34.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 34
เนื้อหา
ขงเบ้งให้ไปสืบราชการเมืองกังตั๋ง
ซุนกวนตีเมืองกังแฮ
ซุนเซียงน้องซุนกวนถูกฆ่า
ซุนกวนได้กำเหลงเป็นทหารเอก
กำเหลงอาสาตีเมืองต๋องง่อได้
อยู่มาวันหนึ่งขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้โจโฉขุดสระใหญ่ไว้สระหนึ่ง ชื่อว่าเหียนหมูตี้อยู่ในเมืองกิจิ๋ว ซ้อมหัดทหารทั้งปวงให้ชำนิชำนาญในการเรือ เห็นจะยกไปตีเมืองกังตั๋งเปนมั่นคงอยู่แล้ว ขอให้ท่านแต่งคนไปสืบดูราชการเมืองกังตั๋ง ว่าจะรู้จัดแจงบ้านเมืองพรักพร้อมอยู่แล้วหรือหาไม่ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงแต่งคนให้ไปสืบ ณ เมืองกังตั๋ง
ฝ่ายซุนกวนมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎรทั้งปวง จึงสร้างตึกใหญ่ตึกหนึ่ง ไว้เปนที่พำนักแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงอันมีสุขทุกข์ตั้งให้เกายงเตียว เหียนเปนผู้ใหญ่สำหรับรับรองผู้มีปัญญาซึ่งไปมา แลซ่องสุมเกลี้ยกล่อมผู้คนทั้งปวงได้เปนอันมาก แลขอดเต๊กชาวเมืองห้อยเข เหยียมจุ้นชาวเมืองเพ้งเสีย ชีจ๋องชาวเมืองไพก๊วน เทียเป๋งชาวเมืองยีหลำ จีห้วนลกเจ๊กกับเตียวอุ๋นนั้นชาวเมืองต๋องง่อ เล่งทองกับงอซันนั้นชาวเมืองห้อยเข เก้าคนนี้ซุนกวนตั้งไว้เปนที่ปรึกษา แลลิบองชาวเมืองยีเอ๋ง ลกซุ่นชาวเมืองต๋องง่อ ชีเซ่งชาวเมืองลงเสีย พัวเจี้ยงชาวเมืองตองกุ๋น เตงอ๋องชาวเมืองโลกั๋ง ห้าคนนี้ซุนกวนตั้งให้เปนนายทหาร แลเมื่อครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติได้เจ็ดปีนั้น โจโฉจัดแจงทหารไปตีเมืองอ้วนเสี้ยว จึงได้มีหนังสือไปถึงซุนกวนเปนใจความว่า ให้ส่งบุตรมาถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ทำราชการในเมืองหลวงเปนความชอบ
ขณะนั้นซุนกวนจึงปรึกษามารดา ๆ จึงให้หาเตียวเจียวกับจิวยี่สองคนเข้ามาปรึกษาตามมีหนังสือไปนั้น เตียวเจียวจึงว่า ซึ่งโจโฉให้มีหนังสือมาทั้งนี้ ก็ตามประเพณีบ้านเมืองอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ครั้นจะมิส่งบุตรท่านไปทำราชการในเมืองหลวง ก็จะผิดด้วยขนบธรรมเนียม โจโฉก็จะมีใจพยาบาท จะยกทัพมาทำอันตรายแก่เรา ฝ่ายเรากำลังก็น้อยเห็นจะสู้มิได้ จิวยี่ได้ยินเตียวเจียวว่าดังนั้น จึงว่ากับซุนกวนว่า ทุกวันนี้ตัวท่านก็ได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋ง มีเมืองใหญ่ขึ้นถึงหกหัวเมือง ทหารก็พรักพร้อมมีความรักใคร่ท่าน อนึ่งสเบียงอาหารก็มั่งคั่งบริบูรณ์อยู่ แลจะคิดย่อท้อกลัวโจโฉนั้นหาควรไม่ แม้ว่าท่านส่งบุตรไป ก็เหมือนเอาบุตรไปเปนคนจำนำไว้ เบื้องหน้าไปจะได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก ขอท่านอย่าได้ส่งไป ถึงมาทว่าโจโฉจะยกกองทัพมาตีเมืองเรา ก็จะสู้กันกว่าจะสิ้นความคิด
ฝ่ายนางงอฮูหยินผู้เปนมารดา แลซุนกวนได้ฟังจิวยี่ว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงว่าแก่คนถือหนังสือว่า ซึ่งโจโฉจะให้ส่งบุตรไปนั้นจะส่งไปมิได้ ท่านเร่งกลับไปแจ้งแก่โจโฉเถิด ครั้นคนถือหนังสือกลับมาแจ้งแก่โจโฉ ๆ โกรธจึงจัดแจงกองทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง พอกองทัพฝ่ายเหนือยกลงมาตีเมืองฮูโต๋ก็รบพุ่งติดพันกันอยู่ จึงยังมิได้ยกไปตีเมืองกังตั๋ง แลต้องงดมาแต่ครั้งนั้น
ครั้นรุ่งขึ้นปีใหม่เปนเดือนสิบสอง ซุนกวนจึงยกทัพเรือไปตีหองจอ ได้รบพุ่งกันในท้องทเลเปนสามารถ หองจอต้านทานมิได้ก็แตกเข้าเมืองเล่งโฉ ทหารซุนกวนก็ลงเรือเร็วไล่ตามเข้าไปถึงปากคลองเมืองกังแฮ กำเหลงเปนทหารหองจอก็รบต้านทานไว้ แล้วยิงเกาทัณฑ์มาถูกเล่งโฉตาย เล่งทองผู้บุตรอายุสิบห้าปีมีกำลังสามารถเข้มแขง ก็เข้าชิงเอาศพเล่งโฉบิดาได้ ขณะนั้นลมว่าวพัดลงหนัก กองทัพเรือซุนกวนจะฝ่าไปมิได้ก็ให้ถอยกองทัพกลับมาเมือง
ฝ่ายซุนเซียงน้องซุนกวนซึ่งไปกินเมืองตันเอี๋ยงนั้น มีใจหยาบช้าเสพย์สุราร้ายกาจนัก มิได้ปรานีแก่ขุนนางทั้งปวง แลทำโทษตีโบยต่างๆ อิหลำกับไต้อ้วนผู้เปนปลัดมีใจขึ้งโกรธเจ็บแค้น จึงไปคบคิดกับเปียนหองซึ่งเปนคนสนิธของซุนเซียง คิดจะฆ่าซุนเซียงเสีย ครั้นอยู่มาถึงกำหนดเข้าปีใหม่ เปนประเพณีขุนนางทั้งปวงจะเข้ามาคำนับ ซุนเซียงจึงให้แต่งโต๊ะที่จะเลี้ยงขุนนาง นางชีฮูหยินซึ่งเปนภรรยาซุนเซียงนั้น รู้ในการเสี่ยงทายว่าร้ายแลดี จึงเสี่ยงทายดูก็แจ้งว่า เวลาเช้าพรุ่งนี้สามีเคราะห์ร้ายนัก จึงว่าแก่ซุนเซียงว่า เวลาเช้าท่านจะออกเลี้ยงโต๊ะขุนนางที่ศาลากลางเหมือนอย่างทุกครั้งนั้น ท่านอย่าออกไปเลย เคราะห์ร้ายนักอยู่
ซุนเซียงได้ฟังดังนั้นก็ไม่เชื่อ ถึงเวลาเช้าก็ออกไปเลี้ยงขุนนางณ ศาลากลาง ครั้นขุนนางคำนับกินโต๊ะแล้วต่างคนต่างไป ซุนเซียงก็กลับเข้ามา พอถึงประตูจะเข้าไปข้างใน เปียนหองคนสนิธซึ่งเดิรมาข้างหลังเห็นซุนเซียงประมาทมิได้ระวังตัว ก็ชักดาซึ่งซ่อนมานั้นฟันซุนเซียงล้มลงตายอยู่กับประตู อิหลำกับไต้อ้วนก็กลับจับเปียนหองว่าเปนขบถทำร้ายแก่ซุนเซียงให้เอาไปฆ่า เสีย แล้วก็เก็บเอาเข้าของทรัพย์สมบัติของซุนเซียงรวมไว้ แล้วอิหลำให้หาตัวนางชีฮูหยินมาว่า บัดนี้เปียนหองคิดมิชอบเปนขบถฆ่าสามีท่านเสีย ข้าพเจ้าก็ได้แก้แค้นแทนท่าน ให้เอาเปียนหองไปฆ่าเสียแล้ว ตัวท่านเปนผู้หญิงควรจะปฏิบัติตามเรา แม้มิยอมเปนภรรยาเรา ๆ ก็จะฆ่าเสีย นางชีฮูหยินจึงทำกลอุบายตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนหญิงหาสามีมิได้ เปนที่คนทั้งปวงดูหมิ่น ซึ่งท่านเมตตาจะเลี้ยงข้าพเจ้าเปนภรรยานั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่ทว่าผัวข้าพเจ้าตายใหม่ๆ ใจยังไม่ปรกติ ขอท่านได้งดก่อน ข้าพเจ้าจะแต่งโต๊ะเส้นวักสามีตามประเพณีแล้วจึงจะปฏิบัติตามท่าน อิหลำได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก ก็กลับไปยังที่อยู่
นางชีฮูหยินจึงให้คนลอบออกไปหาซุนโก๋เปาเอ๋ง ซึ่งเปนคนเก่าของซุนเซียงเข้ามาแล้วร้องไห้บอกว่า บัดนี้อิหลำไต้อ้วนสองคนนี้คิดอ่านให้เปียนหองฆ่าซุนเซียงถึงแก่ความตาย แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงไว้เปนอาณาประโยชน์ แล้วมิหนำซ้ำจะมาข่มเหงเอาตัวเราไปเปนภรรยาอีกเล่า บัดนี้เราจะทำเปนว่ากล่าวอ้อนวอนไว้มิให้ขัดใจ แลตัวท่านทั้งสองเปนที่รักใคร่ไว้วางใจ จงได้อนุเคราะห์แก่เรา เหมือนเอ็นดูซุนเซียงผู้ตาย ให้มีหนังสือบอกไปถึงซุนกวนผู้พี่ให้แจ้งเหตุผลทั้งนี้ด้วย แลตัวเราก็จะคิดอ่านเพทุบายฆ่าอิหลำไต้อ้วนสองคนนี้เสียให้ได้ ซุนโก๋เปาเอ๋งได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้านี้เปนข้าเก่าของซุนเซียง ๆ ได้เอ็นดูกรุณาคุณหาที่สุดมิได้ ครั้นรู้ว่าอิหลำไต้อ้วนทำร้ายแก่สามีท่านก็คิดจะแก้แค้นแทนคุณอยู่ แล้วก็ลาออกมายังที่อยู่ จึงแต่งหนังสือตามเหตุผลทั้งปวงให้คนถือไปแจ้งแก่ซุนกวน
ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่ง นางชีฮูหยินให้หาซุนโก๋เปาเอ๋งเข้ามาแอบอยู่ริมเตียงนอน จึงแต่งโต๊ะเส้นวักสามีตามประเพณีเสร็จแล้ว ก็อาบน้ำแต่งตัวทำกิริยาประดุจมีความยินดีที่จะมีสามีใหม่ ฝ่ายอิหลำครั้นแจ้งกิตติศัพท์ว่า นางชีฮูหยินแต่งโต๊ะเส้นผีแล้วแต่งตัวคอยท่าอยู่ ครั้นเวลาค่ำนางชีฮูหยินจึงให้ไปเชิญอิหลำมากินโต๊ะ แส้งรินสุราให้เสพย์เมาแล้ว ก็ทำเปนประหนึ่งรักใคร่ประคองตัวเข้าไปข้างใน แล้วซุนโก๋เปาเอ๋งก็ถอดดาบวิ่งมาฟันอิหลำถึงแก่ความตาย แล้วนางชีฮูหยินจึงให้คนไปบอกไต้อ้วน ว่าวันนี้เปนวันดีขอเชิญท่านไปกินโต๊ะ ไต้อ้วนสำคัญว่าจริงก็รีบมา ครั้นถึงประตูข้างใน ซุนโก๋เปาเอ๋งก็จับตัวฆ่าเสีย แล้วก็คุมทหารรีบไปจับบุตรภรรยาพรรคพวกอิหลำไต้อ้วนฟันเสียสิ้น นางชีฮูหยินก็ให้ตัดสีสะอิหลำไต้อ้วนไปเส้นคำนับไว้ที่หน้ากุฎิ์ศพสามี
ฝ่ายซุนกวนครั้นแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็มีความโกรธนัก จึงยกทหารรีบมาเมืองตันเอี๋ยง แจ้งว่านางชีฮูหยินคิดฆ่าอิหลำไต้อ้วนเสียแล้วก็มีความยินดี จึงตั้งให้ซุนโก๋เปาเอ๋งอยู่รักษาเมืองตันเอี๋ยง แล้วจัดแจงบ้านเมืองเสร็จแล้ว ก็รับนางชีฮูหยินผู้เปนน้องสะใภ้ยกกลับคืนมาเมืองกังตั๋ง แล้วจึงตั้งให้จิวยี่เปนนายกองใหญ่ บังคับว่ากล่าวทหารสำหรับเรือรบเจ็ดพันลำ แต่นั้นก็อยู่เปนปรกติมา จนพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสองปี
ถึงเดือนสิบสองข้างขึ้น นางงอฮูหยินผู้เปนมารดาซุนกวนเปนโรคป่วยหนักลง จึงให้หาจิวยี่กับเตียวเจียวเข้ามาแล้วสั่งว่า แต่ก่อนเราเปนชาวเมืองต๋องง่อ บิดามารดาตายเปนกำพร้า เลี้ยงกันอยู่แต่พี่น้องสามคน แลมาได้ซุนเกี๋ยนเปนสามีจนเกิดบุตรถึงสี่คน แลเมื่อเราจะตั้งท้องซุนเซ็กผู้บุตรหัวปีนั้นเราฝันเห็นว่า ดวงพระจันทร์อยู่ในครรภ์ แลเมื่อซุนกวนจะเข้าท้องนั้นฝันเห็นว่า ดวงพระอาทิตย์เข้าอยู่ในท้อง หมอทำนายว่าบุตรท่านทั้งสองนี้นานไปจะได้เปนใหญ่ แลซุนเซ็กก็อายุน้อยถึงแก่ความตายเสียก่อน เมื่อจะใกล้ตายก็มอบเมืองกังตั๋งไว้แก่ซุนกวนผู้น้องให้เปนเจ้าเมือง บัดนี้ตัวเราป่วยหนัก เห็นจะไม่คงชีวิตอยู่ จะลาท่านทั้งสองแล้ว แม้ว่าเราหาบุญไม่ ท่านจงได้เอนดูช่วยอนุเคราะห์สั่งสอนซุนกวนสืบไปโดยความชอบ อย่าทิ้งเสียเลย แล้วนางงอฮูหยินจึงสั่งแก่ซุนกวนว่า แม้สืบไปเมื่อหน้าเจ้าจะทำการสิ่งใดจงปรึกษาหาลือด้วยจิวยี่แลเตียวเจียว ซึ่งเปนผู้ใหญ่ ให้รู้จักผิดแลชอบ อย่าถือทิฏฐิมานะ จงคารวะนับถือท่านทั้งสองนี้เปนอาจารย์ผู้ใหญ่ อย่าได้ทำการแต่อำเภอใจ อนึ่งนางงอก๊กไถ้น้องเราผู้เปนแม่น้าของเจ้านั้น ถ้าแม่ตายแล้วก็อย่าได้ละเมินเสีย จงตั้งใจอุปถัมภ์บำรุงปฏิบัติรักษาดุจตัวของแม่ อนึ่งน้องหญิงซึ่งร่วมบิดาของเจ้านั้น จงตั้งใจเลี้ยงรักษาไว้ให้ปรกติด้วย แม้จะให้มีสามีเจ้าจงพิเคราะห์ดู ผู้ใดมีสติปัญญาจึงยกให้เปนภรรยา ครั้นสั่งสอนซุนกวนแล้ว นางงอฮูหยินก็สิ้นใจ ซุนกวนจึงแต่งการศพตามธรรมเนียมแล้วให้ก่อกุฎิ์ฝังไว้
ครั้นเข้าปีใหม่เดือนสามข้างขึ้น ซุนกวนจึงปรึกษากับจิวยี่เตียวเจียวแลนายทหารทั้งปวงว่า จะยกกองทัพไปตีหองจอเจ้าเมืองกังแฮหวังจะได้แก้แค้นหองจอซึ่งได้รบพุ่งกับ ซุนเกี๋ยนผู้บิดาเรา ในขณะนั้นปรึกษายังไม่ตกลงกัน พอลิบองซึ่งไปอยู่รักษาด่านปากน้ำเมืองลงจิ๋วมาบอกซุนกวนว่า บัดนี้กำเหลงทหารหองจอ มาขอเข้าเกลี้ยกล่อมจะอยู่ทำราชการด้วยท่าน ข้าพเจ้าสืบดูรู้ว่ากำเหลงคนนี้อยู่ชายทะเลตำบลลิมกั๋ง แต่ก่อนนั้นกำเหลงคบพวกเพื่อนเปนโจรเที่ยวตีชิงเรือลูกค้าวาณิชอยู่ในท้อง ทเล แลพวกโจรทั้งนั้นเอาพรวนแลกระดึงร้อยผูกกายทุกคน แล้วกำเหลงให้เอาแพรขบวรลายทอง ซึ่งตีได้ในเรือลูกค้าเมืองเสฉวนมาทำใบเรือ แลลูกค้าวาณิชเห็นเรือสำคัญดังนั้นก็กลัวมิอาจที่จะต่อสู้ ครั้นอยู่มากำเหลงละความชั่วเสีย จึงพาพวกเพื่อนไปอยู่กับเล่าเปียวเปนหลายเดือน กำเหลงเห็นว่าเล่าเปียวเปนคนมีความคิดน้อย จึงหนีข้ามอ่าวมาจะอยู่ด้วยท่าน พอพบหองจอกลางทาง หองจอว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมกำเหลงไปไว้ด้วย เมื่อครั้งท่านยกทัพเรือไปรบกันกับหองจอนั้น ถ้าหองจอไม่ได้กำเหลงไว้เปนกำลัง หองจอก็จะถึงแก่ความตาย หองจอมิได้ปูนบำเหน็จเลี้ยงดูกำเหลงให้ถึงขนาด แล้วซ้ำนินทาว่ากำเหลงเปนโจร กำเหลงนั้นมีความน้อยใจคิดจะออกจากหองจอ
ฝ่ายโซหุยซึ่งเปนทหารหองจอ เห็นกำเหลงเสียใจไม่สบายดังนั้นจึงเข้าไปว่าแก่หองจอว่า ขอให้ท่านเอาใจกำเหลงไว้ให้เปนนายทหารอยู่ ณ เมืองเอียนก๋วนซึ่งขึ้นแก่เมือง กังแฮนั้น หองจอก็ยอม โซหุยจึงพาตัวกำเหลงมากินโต๊ะแล้วบอกว่า เราช่วยว่ากล่าวเสนอความชอบให้ท่าน บัดนี้หองจอให้ท่านเปนนายทหารอยู่ ณ เมืองเอียนก๋วน แลตัวท่านก็เปนชาติทหาร จงพิเคราะห์ดูให้ประจักษ์ใจเถิด ใช่ว่าเดือนตวันนี้จะอยู่ถ้าก็หามิได้ ครั้นจะนิ่งอยู่เล่า ท่านก็จะแก่ชราลงทุกวัน ซึ่งท่านจะไปเปนนายทหารนั้นจงเร่งคิดตั้งตัวให้ได้
ครั้นกำเหลงมาอยู่ ณ เมืองเอียนก๋วน เห็นได้ทีแล้วจึงมาว่ากล่าวจะขอมาอยู่ทำราชการด้วยท่าน บัดนี้กำเหลงก็มาด้วย แต่เกรงอยู่ว่าท่านจะมีใจพยาบาทเมื่อครั้งท่านยกไปจะจับหองจอ แลกำเหลงช่วยแก้ไขเอาเกาทัณฑ์ยิงเล่งโฉถึงแก่ความตาย กำเหลงจึงพาหองจอหนีไปรอด ข้าพเจ้าจึงตอบว่า อันน้ำใจท่านมิได้พยาบาท แลประการหนึ่งในท่ามกลางสงคราม ต่างคนต่างอาสานายทำศึกจะเอาชัยชนะ แลเนื้อความทั้งนี้ข้าพเจ้าได้รับคำกำเหลงมาแล้ว ท่านจงมีใจเอ็นดูข้าพเจ้าอย่าให้เสียวาจา ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า การทั้งปวงซึ่งท่านได้รับคำกำเหลงมานั้นอย่าได้วิตกเลย แม้เราได้กำเหลงมาไว้ด้วยแล้ว อันหองจอนั้นอุปมาเหมือนอยู่ในเงื้อมมือเรา แล้วก็ให้ลิบองออกไปพากำเหลงเข้ามา กำเหลงคำนับซุนกวน ๆ จึงว่าแก่กำเหลงว่า ซึ่งท่านสมัคมาอยู่ด้วยเรานี้ก็สมความปราถนาที่เราคิดไว้ การสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งได้ผิดพลั้งกันมาแต่ก่อนนั้นเรามิได้พยาบาทท่าน ท่านจงตั้งใจทำราชการโดยสุจริตเถิด เราจะเลี้ยงให้ถึงขนาด ท่านจงเร่งคิดอ่านกำจัดหองจอเสียให้ได้ กำเหลงจึงตอบว่า ครั้งนี้โจโฉก็ตั้งตัวเปนใหญ่หลวง ฝ่ายเล่าเปียวนั้นเปนคนโลเล แล้วความคิดก็น้อย บัดนี้ตัวก็แก่ชราแล้ว ท่านจงเร่งยกไปรบเอาเมืองเกงจิ๋วเสียให้ได้ก่อน แม้ละไว้ช้าเห็นโจโฉจะยกกองทัพมาตีเอาเมืองเกงจิ๋วได้ การทั้งปวงซึ่งท่านจะคิดทำนั้นก็จะลำบากแก่ทหาร ถ้าท่านเห็นด้วย เมื่อจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วนั้นจงตีเมืองกังแฮซึ่งเปนต้นทางเสียก่อน ด้วยหองจอเจ้าเมืองกังแฮนั้นสติปัญญาน้อย ทั้งประกอบไปด้วยโลภนักทำร้ายแก่ไพร่บ้านพลเมืองให้ได้ความเดือดร้อน ราษฎรทั้งปวงชังหองจออยู่แล้ว น้ำใจนั้นก็ประมาทมิได้ซ่องสุมทหารจัดแจงเรือรบเรือไล่ แลอาวุธไว้ป้องกันรักษาเมือง ถ้าเห็นด้วยข้าพเจ้าแลท่านจะยกไปครั้งนี้ก็จะได้เมืองกังแฮโดยง่าย แม้ได้เมืองกังแฮแล้วจึงยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว ก็จะได้ทหารใหญ่น้อยเปนอันมาก แล้วจึงค่อยยกไปตีเอาเมืองเสฉวน เมื่อได้เมืองเสฉวนแล้ว ท่านจะคิดการใหญ่หลวงให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็เห็นจะสมความปราถนา
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า อันความคิดของท่านซึ่งว่ากล่าวทั้งนี้ อุปมาเหมือนเอาทองมารองรับหยก แล้วจัดแจงทหารได้สิบหมื่น ให้จิวยี่เปนนายทหารใหญ่ บังคับทั้งทัพบกทัพเรือ ให้ลิบองกำเหลงตังสิดคุมทหารเปนกองหน้า ซุนกวนนั้นเปนทัพหลวง แล้วยกทัพเรือไปตีเมืองกังแฮ ให้กองทัพบกรีบยกตามไป
ฝ่ายทหารกองตะเวนเห็นกองทัพยกมาดังนั้น ก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่หองจอว่า บัดนี้ซุนกวนยกกองทัพบกแลเรือมาเปนอันมาก หองจอได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารในเมืองกังแฮได้สิ้นเชิงแล้ว ให้โซหุยเปนแม่ทัพบก ให้ตันจิ๋วกับเตงหลงเปนกองหน้า ยกทัพเรือออกไปตั้งรับอยู่ ณ ปากน้ำเมืองกังแฮ ฝ่ายตันจิ๋วกับเตงหลงเมื่อยกมาถึงปากน้ำนั้น ก็ให้เรือรบทั้งปวงทอดสมอเรียงลำกันไปเปนหน้ากระดาน จึงเอาพวนใหญ่นั้นผูกโยงต่อๆ กันทุกลำ หวังจะมิให้เรือนั้นเหไปมาได้ แล้วให้เอาเกาทัณฑ์เตรียมไว้ทุกคน
ฝ่ายกองทัพเรือซุนกวน ครั้นยกมาถึงปากน้ำเมืองกังแฮ จึงให้พลแจวทั้งปวงรีบแจวจะหักเข้ามาในปากน้ำ ฝ่ายตันจิ๋วกับเตงหลงเห็นดังนั้นก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงต้านทานไว้เปน สามารถ เหล่าทหารซุนกวนเห็นจะเข้าไม่ได้ก็ถอยไปทางประมาณห้าสิบเส้น แล้วก็ให้ทอดสมอตั้งมั่นอยู่
กำเหลงจึงปรึกษากับตังสิดว่า ตัวเราเปนแม่กองทัพหน้า ครั้นจะนิ่งอยู่ฉนี้ก็ไม่ควร จำจะจัดเรือเร็วให้ได้ประมาณร้อยลำ บัญจุคนลำละห้าสิบคน ยี่สิบคนนั้นสำหรับให้แจวเรือ อันทหารอิกสามสิบคนนั้นสำหรับถือเครื่องศัสตราวุธรบพุ่งฝ่าเข้าไปตัดพวนซึ่ง ผูกโยงเรือนั้นเสียให้ได้ เห็นกองทัพเรือเมืองกังแฮก็จะแตก ตังสิดเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงเรือเร็วแลทหารได้ครบตามคำกำเหลงว่า แล้วก็ตีฝ่าเข้าไป
ฝ่ายทหารตันจิ๋วกับเตงหลงก็เข้ารบพุ่งตลุมบอนกัน แลเหล่าทหารกำเหลงตังสิดก็รีบแจวเรือบุกบั่นเข้าไป เอาขวานโปเถาตัดสายสมอแลพวนใหญ่ขาด เรือรบทั้งปวงก็เหระส่ำระสายไป แต่กำเหลงนั้นอาจสามารถโจนขึ้นเรือเตงหลงได้ ไล่ฆ่าฟันทหารกับตัวเตงหลงถึงแก่ความตาย ฝ่ายตันจิ๋วเห็นดังนั้นก็กลัว โจนลงเรือน้อยรีบจะหนีขึ้นบก ขณะนั้นลิบองเห็นกำเหลงได้ที ก็ลงเรือเร็วช่วยทหารรีบแจวเข้าไป แล้วเอาเพลิงทิ้งขึ้นไปบนเรือรบเมืองกังแฮไหม้เสียเปนอันมาก พอเหลือบเห็นตันจิ๋วลงเรือน้อยหนีไป ลิบองก็ให้ทหารทั้งปวงรีบแจวตามไปทันเกยทับเรือตันจิ๋วเข้า แล้วลิบองจับตัวตันจิ๋วได้ก็เอากระบี่ตัดสีสะเสีย
ฝ่ายโซหุยรู้ดังนั้นก็คุมทหารรีบลงมาหวังจะจัดเรือรบออกไปช่วย พอเห็นทหารซุนกวนรีบแจวเรือรบใหญ่น้อยเข้ามาประทะ แล้วล่วงขึ้นมาบนบกก้าวสกัดไว้บ้าง แลโซหุยกับทหารทั้งปวงเห็นจะต้านทานมิได้ ก็พากันถอยหนีไป พอพบพัวเจี้ยงขี่ม้าสกัดรบพุ่งกับโซหุยได้สิบเพลง พัวเจี้ยงจับตัวโซหุยได้ จึงมัดแล้วคุมลงไปส่งให้ซุนกวนณ เรือรบ ซุนกวนก็สั่งให้เอาตัวโซหุยไปจำไว้ก่อน แม้เราจับตัวหองจอได้จึงจะให้ฆ่าพร้อมกันเสียทีเดียว แลซุนกวนก็คุมทหารขึ้นจากเรือรบยกตีล่วงเข้าไป
ขณะนั้นกำเหลงจึงคิดในใจว่า ครั้งนี้หองจอจะต้านทานไม่ได้ เห็นจะหนีไปหาเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว กำเหลงจึงคุมทหารไปซุ่มสกัดอยู่ฝ่ายประตูทิศตวันออกทางซึ่งจะไปเมืองเกงจิ๋ว ฝ่ายหองจอครั้นแจ้งว่าเสียกองทัพบกทัพเรือ ทหารก็ล้มตายเปนอันมาก ซึ่งจะอยู่ต้านทานกองทัพซุนกวนนั้นเห็นไม่ได้ จำจะละเมืองกังแฮเสีย หนีไปเมืองเกงจิ๋วจึงจะรอดชีวิต ครั้นคิดแล้วจึงพาทหารซึ่งสนิธประมาณสามสิบคน หนีออกจากเมืองทางประตูตวันออก พอได้ยินเสียงทหารโห่ร้องสกัดทางอยู่ แล้วเห็นกำเหลงขี่ม้าขวางหน้าไว้ หองจอจึงว่า ตัวเราได้มีคุณเลี้ยงดูท่านมาโดยปรกติ เหตุใดจึงมิได้คิดถึงคุณเรา กลับมาทรยศจะทำร้ายเราดังนี้
กำเหลงจึงตอบว่า เมื่อครั้งเราอยู่ด้วยท่านนั้น เราก็ได้ทำความชอบต่อท่านเปนอันมาก ท่านก็มิได้ปูนบำเหน็จสิ่งใด แล้วซ้ำนินทาว่าเราเปนโจรเที่ยวตีชิงกลางทเล ให้เราได้ความอัปยศแก่ทหารไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง เหตุใดท่านยังมีหน้ามาต่อว่า ว่ามีคุณต่อเรานั้นควรอยู่แล้วหรือ หองจอได้ฟังดังนั้นก็คิดว่ากำเหลงนี้พูดจาองอาจ จะทำร้ายเราให้ได้ ครั้นจะอยู่สู้รบก็เหลือกำลัง จึงทิ้งทหารเสีย ขับม้ารีบหนีไปแต่ตัวผู้เดียว
กำเหลงเห็นดังนั้นก็รีบขับม้าตามไป พอได้ยินเสียงโห่ร้องหนุนมาข้างหลังเปนอันมาก ครั้นเหลียวมาก็เห็นเทียเภาคุมทหารตามมา กำเหลงเปนคนโลภ จึงคิดแต่ในใจว่า แม้จะละไว้ช้าเทียเภากับทหารทั้งปวงก็จะตามจับหองจอได้ ความชอบก็จะอยู่กับเขา จำเราจะรีบทำการเสียก่อน แล้วกำเหลงก็ขับม้ารีบตามขึ้นไปใกล้จะทัน จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกหองจอตกม้าตาย แล้วตัดเอาสีสะกลับมาให้ซุนกวน ๆ ก็มีความยินดี จึงให้เอาสีสะหองจอใส่ถังผนึกไว้แล้วว่า ถ้าเรากลับไปถึงเมืองจะได้เอาสีสะหองจอนี้เส้นศพบิดาเราให้หายความแค้น จึงตั้งกำเหลงให้เปนนายทหาร แล้วปรึกษาแก่เตียวเจียวว่า เราจะคิดทำการต่อไปจำจะต้องแบ่งทหารให้อยู่รักษาเมืองกังแฮบ้างหรือประการใด
เตียวเจียวจึงว่า อันเมืองกังแฮนี้เปนทางเปลี่ยวกันดารนัก จะแบ่งทหารให้อยู่รักษานั้นไม่ได้ ประการหนึ่งซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วนั้น เห็นทหารจะได้ความลำบากนัก เพราะเหตุว่าเล่าเปียวรู้ตัวก็จะตระเตรียมป้องกันรักษาเมืองไว้เปนมั่นคง ขอให้ท่านยกกองทัพกลับไปเมืองกังตั๋งก่อน บำรุงทหารไว้ให้มีกำลัง ฝ่ายเล่าเปียวรู้ว่าหองจอตายแล้วก็จะมีใจโกรธ เห็นจะยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง หวังจะแก้แค้นซึ่งเสียหองจอนั้น เราจึงจะยกออกตั้งรบพุ่งนอกเมือง แล้วคิดอ่านเปนกลอุบายเห็นจะจับตัวเล่าเปียวได้ ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงเลิกกองทัพกลับมาถึงเมืองกังตั๋ง แล้วสั่งทหารจะให้ฆ่าโซหุยเสีย ตัดเอาสีสะมากับสีสะหองจอ จะแต่งการเส้นศพบิดาเรา กำเหลงแจ้งดังนั้นจึงเข้าไปคำนับแล้วอ้อนวอนซุนกวนว่า เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับหองจอนั้น ข้าพเจ้าเปนคนเสียน้ำใจ โซหุยได้ช่วยว่ากล่าวให้ข้าพเจ้าออกมาเปนนายทหารอยู่เมืองเอียนก๋วน ข้าพเจ้าจึงได้ทำราชการอยู่ด้วยท่าน ซึ่งท่านจะให้ฆ่าโซหุยเสียนั้น ข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้ทำราชการอยู่กับท่านด้วยกัน
ซุนกวนจึงตอบว่า ซึ่งโซหุยมีคุณแก่ท่านเราจะยกโทษให้ แต่เกรงอยู่ว่าโซหุยจะไม่สมัคอยู่ด้วยเรา จะคิดอ่านหนีไป กำเหลงจึงว่า ท่านไม่ฆ่าชีวิตเสียนั้นคุณหาที่สุดมิได้ โซหุยก็จะมีความยินดีตั้งใจทำราชการอยู่ด้วยท่านโดยสุจริต แม้โซหุยคิดเอาใจออกหากหนีท่านไปอยู่แห่งใดตำบลใด ข้าพเจ้าจะขอเอาสีสะข้าพเจ้านี้ประกันให้ท่านแทน ซุนกวนจึงยกโทษโซหุยให้กำเหลง แล้วเอาสีสะหองจอกับธูปเทียนไปจุดเส้นศพซุนเกี๋ยนผู้เปนบิดา แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแลทหารทั้งปวง
ขณะเมื่อทหารทั้งปวงเสพย์สุราอยู่นั้น เล่งทองคิดแค้นกำเหลงซึ่งฆ่าบิดาเสีย ร้องไห้แล้วจับกระบี่วิ่งเข้าไปในที่ประชุมทหารทั้งปวง หวังจะทำร้ายกำเหลง ๆ เสพย์สุราอยู่เหลือบเห็นเล่งทองเงื้อกระบี่ขึ้นจะฆ่าก็ตกใจยกเก้าอี้ขึ้นรับ ไว้ ซุนกวนเห็นดังนั้นจึงว่าแก่เล่งทองว่า ซึ่งท่านจะคิดแค้นพยาบาทกำเหลงนั้นหาควรไม่ เมื่อกำเหลงฆ่าบิดาท่านเสียนั้น เพราะกำเหลงเปนทหารกินเข้าแดงของหองจอ จำจะอาสาให้ถึงขนาด บัดนี้กำเหลงก็ได้มาอยู่กับเราแล้ว ท่านจงเห็นแก่เรา อย่าคิดพยาบาทกำเหลงสืบไปเลย
เล่งทองได้ฟังซุนกวนว่าดังนั้น คุกเข่าลงคำนับแล้วร้องไห้ พิศดูกำเหลงคิดแค้นมิได้ขาด แต่หากเกรงอาญาซุนกวนจึงมิได้ว่าประการใด ซุนกวนเห็นเล่งทองยังมีใจพยาบาทกำเหลงอยู่ จึงคิดเพทุบายให้กำเหลงคุมทหารห้าพัน เรือรบร้อยลำ ไปตั้งเปนกองตะเวนอยู่ปากน้ำเมืองกังแฮ แล้วตั้งให้เล่งทองเปนนายทหารผู้ใหญ่ หวังจะให้คลายความพยาบาทกำเหลง แล้วซุนกวนให้จัดแจงเรือรบแลซ่องสุมทหารให้พร้อม จึงให้จิวยี่คุมทหารยกกองทัพเรือไปตั้งรักษาอยู่ปากน้ำเมืองเองฮอ
ขณะเมื่อจิวยี่มาตั้งอยู่นั้น ก็ฝึกสอนทหารอยู่มิได้ขาด หวังจะให้ชำนาญ แลซุนกวนนั้นก็คุมทหารไปตั้งอยู่ตำบลชีสองนอกเมืองกังตั๋ง หวังจะได้ต้านทานข้าศึก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 34
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnOW5RQ0lLbUZrZXM/view?resourcekey=0-BxDEypd9PwjJGQf4AauWLg
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #4 on:
22 December 2021, 20:21:11 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 35
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-35.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 35
เนื้อหา
เล่าเปียวคิดจะตีเมืองกังตั๋ง
ขงเบ้งสอนอุบายให้เล่ากี๋ไปรักษาเมืองกังแฮ
แฮหัวตุ้นรับอาสาไปรบเล่าปี่
ขงเบ้งตีทัพแฮหัวตุ้นแตก
ฝ่ายทหารซึ่งเล่าปี่ใช้ให้ลอบไปฟังราชการเมืองกังตั๋ง ได้เนื้อความมาบอกเล่าปี่ว่า บัดนี้ซุนกวนยกกองทัพไปตีเมืองกังแฮ ฆ่าหองจอเจ้าเมืองเสีย แล้วยกกลับมาเมืองตระเตรียมทหาร ให้จิวยี่ยกกองทัพเรือไปตั้งอยู่ปากน้ำเองฮอ แลตัวซุนกวนนั้นคุมทหารออกตั้งป้องกันรักษาเมืองอยู่ตำบลชีสอง เล่าปี่แจ้งดังนั้นจึงให้เชิญขงเบ้งมา แล้วบอกเนื้อความทั้งปวงให้แจ้งทุกประการ ขงเบ้งยังไม่ทันว่าประการใด พอคนใช้มาบอกเล่าปี่ว่า เล่าเปียวให้เชิญไปเมืองเกงจิ๋ว จะปรึกษาข้อราชการด้วย ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งเล่าเปียวให้มาหาท่านไปปรึกษาราชการ เพราะเหตุว่าซุนกวนฆ่าหองจอเจ้าเมืองกังแฮเสีย ซึ่งท่านจะไปนั้นข้าพเจ้าจะขอไปด้วย จะได้ช่วยคิดการทั้งปวง เล่าปี่จึงถามว่า เมื่อเราไปถึงเล่าเปียวแล้วท่านจะให้ว่าประการใด
ขงเบ้งจึงตอบว่า เมื่อท่านไปถึงแล้วจงรับสาระภาพโทษแก่เล่าเปียวก่อนว่า ซึ่งมิได้อยู่รับคำนับขุนนางแทนตัวเล่าเปียวนั้นผิดอยู่แล้ว แม้เล่าเปียวจะให้ท่านยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ท่านอย่าเพ่อรับคำ จงว่ากล่าวบิดพลิ้วว่า จะขอกลับมาจัดแจงการเมืองซินเอี๋ยก่อน เล่าปี่ก็รับคำ แล้วพาขงเบ้งกับเตียวหุยแลทหารประมาณห้าร้อยไปถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงให้เตียวหุยคุมทหารอยู่ภายนอกแล้วพาขงเบ้งเข้าไป เล่าปี่จึงคำนับเล่าเปียวแล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้อยู่รับคำนับขุนนางทั้งปวงแทนท่านนั้นโทษข้าพเจ้าผิดอยู่ แล้ว
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งปวงนั้นเราไม่ได้คิดอ่านด้วย ครั้นภายหลังเราแจ้งเนื้อความ เราจะให้ตัดสีสะชัวมอคนผิดไปขะมาท่าน แลที่ปรึกษากับทหารทั้งปวงขอไว้ ซึ่งน้องเราได้ความขัดเคืองทั้งนี้อย่าได้ถือโทษโกรธเราเลย เล่าปี่จึงแกล้งตอบว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ใช่ชัวมอจะล่วงทำการนั้นหามิได้ ด้วยชัวมอเปนผู้ใหญ่ทั้งน้ำใจสัตย์ซื่อ เกลือกจะเปนแต่พรรคพวกบ่าวไพร่ชัวมอคบคิดกันทำเอง ข้าพเจ้าก็หาถือโทษไม่ เล่าเปียวจึงว่า บัดนี้ซุนกวนยกกองทัพมาตีเมืองกังแฮฆ่าหองจอเสีย เราจึงเชิญท่านมาปรึกษาราชการหวังจะให้ยกไปตีเมืองกังตั๋งจะได้แก้แค้นแทน เรา
เล่าปี่แจ้งดังนั้นจึงตอบว่า หองจอเปนคนหยาบช้าหาความคิดมิได้ แล้วก็ไม่รู้จักเลี้ยงคนดี จึงมีภัยมาถึงตัว ซึ่งท่านจะให้ยกไปตีเมืองกังตั๋ง แม้รู้ข่าวไปถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉก็จะยกกองทัพรีบลงมาตีเมืองเกงจิ๋ว ครั้นจะคุมทหารกลับมาช่วยเมืองเราเล่า ฝ่ายกองทัพซุนกวนก็รบติดพันกันอยู่ เห็นเราจะได้ความขัดสน ขอท่านดำริห์ดูจงควรก่อน
เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงว่า เราทุกวันนี้ก็แก่ชราแล้ว ทั้งโรคก็เบียดเบียฬเนืองๆ เจ้าจงมาอยู่ช่วยว่าราชการเมืองเกงจิ๋วไปพลาง แม้เราหาบุญไม่ ตัวเจ้าจงเปนเจ้าเมืองแทนเราเถิด เล่าปี่จึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าสติปัญญาแลกำลังก็น้อย แลได้มาพึ่งบุญท่านอยู่นี้คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าว่าราชการแทนท่านนั้นไม่สมควร แต่คุณของท่านมีอยู่แก่ข้าพเจ้า ๆ จะช่วยทำนุบำรุงไปตามสติปัญญา แล้วก็พาขงเบ้งลาเล่าเปียวออกมาอยู่ที่เคยอาศรัย
ขงเบ้งจึงถามเล่าปี่ว่า ซึ่งเล่าเปียวว่าทั้งนี้หวังจะยกเมืองเกงจิ๋วให้แก่ท่าน เหตุใดท่านจึงไม่รับกลับบิดพลิ้วอยู่ฉนี้ เล่าปี่จึงตอบว่า เล่าเปียวมีคุณแก่เรา แล้วลูกหลานว่านเครือก็มีอยู่เปนอันมาก ครั้นเราจะล่วงเข้ารับเอา ความคระหานินทาก็จะมีแก่เราต่างๆ ขงเบ้งจึงว่า ตัวท่านมีความสัตย์ซื่อนัก พอเล่ากี๋บุตรเล่าเปียวเข้ามาเยือน เล่าปี่จึงเชิญให้นั่งที่สมควร เล่ากี๋คำนับแล้วร้องไห้ แล้วเล่าเนื้อความให้เล่าปี่ฟัง ว่าทุกวันนี้นางชัวฮูหยินมารดาเลี้ยงข้าพเจ้ามีใจหึงสา หมายจะทำร้ายข้าพเจ้าให้ถึงสิ้นชีวิต ท่านจงอนุเคราะห์ช่วยคิดอ่านอย่าให้ภัยมาถึงตัวข้าพเจ้าเลย
เล่าปี่เห็นขงเบ้งยิ้มอยู่ดังนั้นจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า จงช่วยคิดอ่านให้เล่ากี๋ด้วย ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งจะให้คิดอ่านการในเรือนด้วยนั้นไม่ได้ เล่ากี๋ก็ลาออกมา เล่าปี่จึงตามออกมาส่งแล้วค่อยกระซิบสั่งเล่ากี๋ว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะแกล้งให้ขงเบ้งไปหา เจ้าจงอ้อนวอนไต่ถามให้ขงเบ้งช่วยคิดอ่านบอกความออกจงได้ เล่ากี๋รับคำแล้วก็ลาไป
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่แกล้งทำป่วย แล้วหาขงเบ้งเข้ามาว่า เวลาวานนี้เล่ากี๋มาคำนับเรา วันนี้ครั้นเราจะไปตามประเพณีบ้างเราก็ป่วยอยู่ ท่านจงไปแทนตัวเราหน่อยหนึ่งเถิด ขงเบ้งก็รับคำแล้วลาไปหาเล่ากี๋ คำนับกันตามธรมเนียมแล้ว เล่ากี๋จึงเล่าเนื้อความให้ขงเบ้งฟังว่า ทุกวันนี้มารดาเลี้ยงข้าพเจ้าคิดจะทำร้ายข้าพเจ้าอยู่มิได้ขาด ท่านจงเอ็นดูด้วยช่วยคิดอ่านอย่าให้มีภัยมาถึงข้าพเจ้าเลย
ขงเบ้งจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนแขกมาภายนอก ซึ่งจะล่วงเข้าไปคิดอ่านการภายในให้ญาติพี่น้องท่านร้าวฉานกันนั้นไม่ควร แม้เนื้อความรู้ถึงเล่าเปียวเราก็จะไม่พ้นความผิด แล้วขงเบ้งลุกขึ้นจะลาไป เล่ากี๋จึงแกล้งลวงว่า ท่านอย่าเพ่อไป หนังสือโบราณของข้าพเจ้ามีอยู่ฉบับหนึ่ง เชิญท่านขึ้นไปดูเล่นบนหอก่อน จึงจูงมือขงเบ้งขึ้นไปบนหอสูง แล้วร้องไห้อ้อนวอนถามขงเบ้งว่า ชีวิตข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตายเพราะมารดาเลี้ยงอยู่แล้ว เปนไฉนท่านจึงไม่เอ็นดูช่วยคิดอ่านให้ข้าพเจ้ารอดจากความตาย แม้ท่านไม่โปรดข้าพเจ้าก็จะถึงแก่ความตายในที่นี้ แล้วเล่ากี๋ก็ชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงเข้ายุดกระบี่ไว้แล้วห้ามว่า ท่านอย่าเพ่อทำอันตรายแก่ชีวิตเสียเลย ข้าพเจ้าจะช่วยคิดอ่านแก้ไขให้ท่านพ้นภัยจงได้ แล้วว่าตัวท่านก็ได้เรียนหนังสืออยู่ไม่รู้หรือ ในนิทานครั้งเจ้าสิบแปดองค์ได้ครองราชสมบัติทั้งสิบแปดหัวเมืองนั้น[๑] พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งได้ครองเมืองจิ้น พระมเหษีนั้นมีพระราชบุตรสององค์ ชื่อซินเสงหนึ่ง ตงยี่หนึ่ง แลนางลิกี๋เปนพระสนมก็มีบุตรสององค์ ชื่อฮีเจ้หนึ่ง ต๊กจู๊หนึ่ง ครั้นอยู่มาพระมเหษีถึงแก่ความตาย ฝ่ายนางลิกี๋นั้นมีใจริษยา คิดว่านานไปแม้พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งสวรรคต ราชสมบัติก็จะได้แก่ซินเสงกับตงยี่ อันลูกเราทั้งสองก็จะอยู่ในเงื้อมมือเขา จำเราจะคิดกลอุบายให้พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งฆ่าซินเสงกับตงยี่เสีย ราชสมบัติก็จะได้แก่ลูกเรา
ครั้นอยู่มากลางคืนวันหนึ่ง เวลาประมาณสามยามเศษนั้น นางลิกี๋ตื่นนอนขึ้นแล้ว แสร้งทำร้องไห้ร่ำไรเปนอันมาก พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งเห็นดังนั้นจึงตรัสถามนางลิกี๋ ว่าเหตุใดจึงร้องไห้ นางลิกี๋จึงทูลว่าข้าพเจ้าฝันเห็นว่า พระมเหษีของพระองค์ซึ่งถึงแก่ความตายนั้น เดิรเข้ามายังที่ข้างใน แล้วร้องไห้ร่ำว่าอดเข้าปลาอาหาร ข้าพเจ้าตื่นขึ้นให้มีความสงสารจึงร้องไห้รัก พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งมิได้รู้ในกลสตรีจึงตรัสว่าเจ้าอย่าโศกเสร้าเลย เราจะให้แต่งโต๊ะไปเส้น มเหษีของเราก็จะได้กิน
ครั้นเวลาเช้ารับสั่งให้หาซินเสงกับตงยี่เข้ามาตรัสบอกเนื้อความทั้งปวง ให้ฟัง แล้วให้เร่งแต่งโต๊ะเส้นศพมารดา ซินเสงกับตงยี่ก็มีความสงสารจึงให้ทำตามบิดาสั่ง แล้วเอาของซึ่งเซ่นนั้นมาถวายจะให้บิดาเสวยตามธรรมเนียม ฝ่ายนางลิกี๋จึงเอายาพิษลอบใส่ลงในของทั้งปวง ครั้นพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งจะเสวย นางลิกี๋จึงว่าพระองค์อย่าเพ่อเสวยก่อน อันของนี้ทำมาแต่ภายนอก อย่าไว้ใจเกลือกจะมีอันตราย ขอให้ชันสูตร์ดูก่อนจึงเสวย พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วย จึงให้เอานักโทษถึงตายซึ่งจำไว้ ณ คุกนั้นมากินของชันสูตร์ดู คนโทษนั้นกินเข้าไปก็ถึงแก่ความตาย พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งเห็นดังนั้นก็ทรงพระโกรธจึงว่า ซินเสงกับตงยี่ใส่ยาพิษจะแกล้งฆ่าเราเสียหวังจะชิงเอาราชสมบัติ จึงสั่งขุนนางทั้งปวงให้เร่งไปจับซินเสงกับตงยี่ฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงก็ออกไป
ในขณะนั้นคนสนิธจึงรีบออกไปบอกเนื้อความแก่ซินเสงตงยี่ตามรับสั่ง แลตงยี่ผู้น้องแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาแก่ซินเสงผู้พี่ว่า บัดนี้ภัยมาถึงตัวเข้าแล้ว เราจะหนีเอาตัวรอดก่อน ซินเสงจึงตอบว่า ตัวเราเปนบุตร พระราชบิดาจะให้ลงโทษถึงตาย ครั้นจะหนีไปให้พ้นภัยนั้น ก็เหมือนหนึ่งหากตัญญูต่อบิดามิได้ ประการหนึ่งเล่า ธรรมดาผู้เปนเสนาบดีซึ่งเปนข้าราชการนั้น ทำความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ดี แม้พระมหากษัตริย์จะลงโทษ แลจะหนีซึ่งราชทัณฑ์นั้นไม่ควร เหมือนคนมิได้มีสัตย์ซื่อต่อพระมหากษัตริย์ อันตัวพี่นี้จะขอเข้าไปรับราชอาญากว่าจะสิ้นชีวิต ตงยี่ได้ฟังซินเสงผู้พี่ว่าดังนั้นก็ว่า ตัวข้าพเจ้าไม่ยอมตายเลย แล้วก็รีบหนีออกไปจากเมือง ฝ่ายซินเสงก็เข้ามา ครั้นขุนนางพบก็จับเอาตัวไปฆ่าเสียตามรับสั่ง
ครั้นอยู่มาพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งสวรรคต ฮีเจ้กับต๊กจู๊ได้เสวยราชสมบัติอยู่สิบเก้าปี ฝ่ายตงยี่ซึ่งหนีไปอยู่นอกแดนนั้น ซ่องสุมทหารได้เปนอันมาก แล้วยกกองทัพกลับมาตีเอาเมืองจับฮิเจ้กับต๊กจู๊ฆ่าเสีย ตงยี่ก็ได้เสวยราชสมบัติแทนบิดามา แลนิทานนี้ท่านก็แจ้งอยู่ว่า ซึ่งจะอยู่ในเมืองนั้นก็ย่อมมีอันตรายฉนี้ ซึ่งไปอยู่นอกเมืองนั้นก็กลับได้ดีภายหลัง อันเมืองกังแฮนั้นก็ว่างเปล่าอยู่ ท่านจงคิดอ่านอ้อนวอนเล่าเปียวผู้เปนบิดาขอไปอยู่รักษาเมืองกังแฮดีกว่า แล้วอุตส่าห์กระทำความเพียรให้เหมือนตงยี่นั้น ภายหน้าก็จะมีความสุขสืบไป เล่ากี๋ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงคุกเข่าคำนับแล้วว่า ซึ่งท่านชี้แจงให้นี้คุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะขอคิดอ่านทำตามคำท่าน ขงเบ้งก็ลาเล่ากี๋มาหาเล่าปี่ บอกเนื้อความให้ฟังทุกประการ
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่ากี๋จึงเข้าไปว่าแก่บิดาว่า บัดนี้ซุนกวนก็ฆ่าหองจอเสียแล้ว อันเมืองกังแฮก็ว่างเปล่าอยู่ ข้าพเจ้าจะขอไปรักษาไว้ เล่าเปียวยังมิได้ตอบประการใด จึงให้หาเล่าปี่มาปรึกษาตามคำเล่ากี๋ เล่าปี่จึงว่า อันเมืองกังแฮนั้นก็เปนที่คับขันอยู่ ซึ่งเล่ากี๋จะขอไปรักษาอยู่นั้นก็ควรนัก ด้วยเปนเมืองชายทเล อันซุนกวนจะยกมาได้ง่าย ขอท่านกับเล่ากี๋ช่วยกันรักษาอย่าให้ข้าศึกล่วงมาได้ ฝ่ายเหนือข้างทางโจโฉจะยกมานั้นเปนพนักงานข้าพเจ้าจะรับป้องกัน แล้วเล่าปี่ก็ลาเล่าเปียวกลับไปเมืองซินเอี๋ย ขณะนั้นเล่าเปียวจึงจัดทหารสามพันให้เล่ากี๋คุมไปรักษาเมืองกังแฮ
ฝ่ายโจโฉครั้นได้สุมาอี้มาไว้เปนที่ปรึกษา แลสุมาอี้นั้นเปนบุตรสุมาหองเจ้าเมืองโฮโล่ โจโฉนั้นมีใจกำเริบให้หาขุนนางแลทหารมาปรึกษาว่า จะยกกองทัพไปตีหัวเมืองชายทเลให้อยู่ในเงื้อมมือเราจงสิ้น ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด แฮหัวตุ้นจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า เล่าปี่อยู่ ณ เมืองซินเอี๋ย ซ่องสุมผู้คนแล้วซ้อมหัดทหารให้ชำนาญไว้เปนอันมาก ถ้าจะละไว้นานไปจะกำจัดเล่าปี่นั้นขัดสน ขอให้เร่งแต่งกองทัพไปตีเมืองซินเอี๋ยเสียก่อนแล้วจึงคิดการต่อไป โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้แฮหัวตุ้นเปนแม่ทัพใหญ่ ให้ลิเตียนอิกิ๋มแฮหัวอันฮันโฮ นายทหารสี่คนนี้เปนปลัดทัพ คุมทหารสิบหมื่น จะให้ยกไปตีเมืองซินเอี๋ย ชีซีจึงว่าแก่แฮหัวตุ้นว่า ท่านจะไปทัพครั้งนี้อย่าประมาทดูเบาแก่เล่าปี่ ด้วยเล่าปี่ได้ขงเบ้งมาไว้เปนที่ปรึกษา อุปมาเหมือนเสืออันคะนองอยู่ในป่าใหญ่ ท่านเร่งระวังตัวจงดี
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยอยู่จึงถามว่า ขงเบ้งนั้นคือผู้ใด ชีซีจึงบอกว่า ขงเบ้งนั้นคือจูกัดเหลียง แลขงเบ้งคนนี้มีสติปัญญา การในอากาศแลแผ่นดินก็รู้ดูชำนาญสิ้น เสมอเทวดาเข้าดลใจ โจโฉจึงถามว่า ขงเบ้งมีสติปัญญานั้น จะเปรียบกับตัวท่านใครจะมีภาษีกว่ากัน ชีซีจึงว่า อันความคิดของข้าพเจ้านี้อุปมาเหมือนหนึ่งหิ่งห้อย อันสติปัญญาขงเบ้งดังหนึ่งรัศมีพระจันทร์
แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่าแก่โจโฉว่า ชีซีแกล้งยกย่องขงเบ้งหวังจะให้ท่านคิดย่อท้อ อันข้าพเจ้ายกไปครั้งนี้จะจับตัวเล่าปี่ขงเบ้งมาให้จงได้ ถ้ามิได้สมดังปากว่า ท่านจงตัดสีสะข้าพเจ้าแทนเถิด โจโฉจึงว่า ท่านจะยกไปตีเมืองซินเอี๋ย ถ้าได้ทีประการใดจงบอกข้อราชการมาถึงเราเนืองๆ แฮหัวตุ้นรับคำโจโฉแล้ว ก็ลาออกมาจัดแจงทหารทั้งปวงตามกระบวรทัพแล้วก็ยกออกมาจากเมืองฮูโต๋
ฝ่ายเล่าปี่ตั้งแต่ได้ขงเบ้งมาไว้แล้วก็ปฏิบัติดังอาจารย์ทุกเวลามิได้ ขาด กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็มีความน้อยใจจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ขงเบ้งนั้นอายุยี่สิบเจ็ดปีอ่อนกว่าท่านอีก แล้วก็ยังมิได้ปรากฎปัญญาแลความคิดก่อน เหตุใดท่านจึงมาคำนับขงเบ้งดังอาจารย์ฉนี้ เล่าปี่จึงตอบว่า ตัวเรานี้อุปมาเหมือนปลาเกลือกอยู่บนดอน ซึ่งได้ขงเบ้งมาไว้นี้เหมือนเราเกลือกลงมาถึงน้ำได้ เจ้าทั้งสองไม่รู้ก็อย่าว่าเลย แม้รู้ถึงขงเบ้งก็จะมีความน้อยใจ พอมีคนเอาขนจามรีมาให้เล่าปี่ถักหมวกเล่น ขงเบ้งเดิรมาเห็นเล่าปี่นั่งถักขนจามรีก็โกรธจึงว่า การซึ่งจะป้องกันรักษาตัวเหตุใดจึงไม่คิด ท่านมานั่งถักขนจามรีเล่นอยู่ฉนี้ไม่ควร
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงวางหมวกนั้นเสียคำนับขงเบ้งแล้วว่า เราไม่สบายใจ จึงเอาขนจามรีถักหมวกเล่นหวังจะให้คลายความทุกข์ ขงเบ้งจึงว่า ทุกวันนี้ทหารเรามีประมาณหมื่นเศษ แลท่านนิ่งเสียไม่คิดอ่านป้องกันรักษาตัวฉนี้ แม้โจโฉยกมาท่านจะคิดอ่านประการใด เล่าปี่จึงว่า ทุกวันนี้เราก็คิดวิตกอยู่ ถ้าท่านจะให้คิดอ่านป้องกันประการใดก็จงช่วยแนะนำให้เถิด ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้ทหารเราก็น้อยนัก ให้ท่านเร่งคิดอ่านเกลี้ยกล่อมทหารให้มากขึ้นอีก แม้กองทัพโจโฉยกมาข้าพเจ้าจะรับจัดแจงสู้รบมิให้เสียที
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตั้งเกลี้ยกล่อมได้ทหารสามพัน บัญจบกันกับทหารเก่า แล้วก็สั่งให้ขงเบ้งฝึกสอนมิได้ขาด ขณะนั้นกิตติศัพท์รู้ว่าแฮหัวตุ้นคุมทหารสิบหมื่น ยกจากเมืองฮูโต๋จะมาตีเมืองซินเอี๋ย เตียวหุยจึงว่าแก่กวนอูว่า กองทัพแฮหัวตุ้นยกมาครั้งนี้เราทำเปนนิ่งเสีย ให้ขงเบ้งคิดอ่านออกสู้รบลองฝีมือความคิดดูสักครั้งหนึ่ง จะได้ประจักษ์แก่ตาว่าดีแลชั่ว เล่าปี่จึงหาขงเบ้งมาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉให้ยกทัพมา ท่านจะคิดอ่านป้องกันประการใด ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งกองทัพโจโฉยกมานั้นไม่เปนไรนัก พอจะคิดอ่านแก้ไขเอาชัยชนะได้ แต่น้องท่านทั้งสองนั้นน้ำใจดื้อดึง มิได้นับถืออยู่ในถ้อยคำข้าพเจ้า แม้ท่านจะให้ข้าพเจ้าจัดแจงสู้กับกองทัพโจโฉครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะขอกระบี่กับตราอาญาสิทธิ์ไว้ จะได้บังคับทหารทั้งปวงให้สิทธิ์ขาด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มอบกระบี่แลตราอาญาสิทธิ์ให้ขงเบ้งแล้วสั่งว่า แต่บันดาทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ให้อยู่ในบังคับบัญชาขงเบ้งจงสิ้น แม้ผู้ใดขัดขืนไม่ทำตามถ้อยคำขงเบ้งก็จะให้ตัดสีสะเสีย เตียวหุยแจ้งว่าเล่าปี่สั่งดังนั้นจึงว่าแก่กวนอูว่า บัดนี้พี่เราให้อาญาสิทธิ์แก่ขงเบ้งแล้ว แม้ขงเบ้งจะบังคับบัญชากิจการก็อย่าเพ่อขัดขืน จงทำตามลองดูสักครั้งหนึ่งก่อน จะได้เห็นความคิดขงเบ้ง
ฝ่ายขงเบ้งจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ตำบลทุ่งพกบ๋องนอกเมืองซินเอี๋ยนี้เปนที่ชอบกล มีเขาอีสันอยู่ข้างขวา ป่าอันหลิมอยู่ข้างซ้าย เห็นเราจะซุ่มทหารไว้ได้ ขงเบ้งจึงให้มีหนังสือไปหาตัวจู่ล่งมาแต่เมืองห้วนเสีย แล้วจึงแต่งให้กวนอูเตียวหุยคุมทหารคนละพัน ให้กวนอูยกไปตั้งซุ่มอยู่ ณ เขาอีสัน ให้เตียวหุยไปตั้งซุ่มอยู่ ณ ป่าอันหลิม จึงสั่งว่า ถ้าเห็นกองทัพแฮหัวตุ้นยกมาแล้ว ท่านจงสงบทหารไว้อย่าเพ่อยกออกตีก่อน ปล่อยให้กองทัพล่วงเข้ามา ถ้าเห็นแสงเพลิงข้างทิศใต้เมื่อใด จึงให้ยกทหารออกตีกระหนาบตัดท้ายเผาสเบียงเสียให้จงได้ แล้จึงแต่งให้กวนเป๋งกับเล่าฮองสองนายคุมทหารห้าร้อย มีคบเพลิงทุกตัวคน ให้ยกไปซุ่มอยู่ ณ ชายทุ่งพกบ๋องแล้วกำหนดว่า ถ้าเห็นแฮหัวตุ้นยกทหารมาถึงที่นั่นแล้ว เวลายามหนึ่งให้จุดเพลิงขึ้น จึงแต่งให้จูล่งคุมทหารยกไปเปนกองหน้า แล้วสั่งว่าท่านจะรบกับแฮหัวตุ้นครั้งนี้อย่าเห็นแก่ชัยชนะเลย จงทำแพ้ถอยเสียทีให้ไล่เลยเข้ามาเถิด แล้วขงเบ้งจึงกำชับว่า ซึ่งคำเราสั่งไปครั้งนี้ท่านทั้งปวงอย่าได้ละเมิด จงกระทำตามถ้อยคำเราทุกประการ แล้วให้เล่าปี่นั้นคุมทหารยกเปนกองหนุนจูล่ง
กวนอูจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ท่านจัดแจงเราทั้งปวงให้ยกไปทำการทั้งนี้ก็เห็นชอบอยู่ แลตัวท่านนั้นจะทำเปนประการใดเล่า ขงเบ้งจึงบอกแก่กวนอูว่า ท่านทั้งปวงยกไปแล้วเราก็จะอยู่รักษาเมือง เตียวหุยจึงตบมือหัวเราะแล้วว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวทั้งนี้ก็เห็นว่าท่านมีสติปัญญาจริง คิดเอาความสบายแต่ตัว อันเราทั้งปวงนี้จะออกไปสู้ความตาย ท่านจะอยู่รักษาเมืองจงแต่งโต๊ะกินเล่นให้สบายใจเถิด
ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้เล่าปี่ก็ให้กระบี่อาญาสิทธิ์อยู่กับมือเรา แลท่านมาบิดพลิ้วขัดขวางอยู่ฉนี้เห็นไม่ชอบ แม้เราไม่ทำตามอาญาสิทธิ์ นานไปเบื้องหน้าที่ไหนจะบังคับทหารสืบไปได้ ก็จะเสียการไป
เล่าปี่จึงว่าแก่กวนอูเตียวหุยว่า ท่านทั้งสองไม่รู้หรือว่าท่านผู้มีสติปัญญานั้น ถึงมาทว่าจะนั่งนอนหลับตาอยู่ในเรือน มิได้เห็นกิจการทั้งปวงเลยก็ดี ก็อาจสามารถจะคิดเอาชัยชนะแก่ข้าศึกร้อยพันได้ น้องเราทั้งสองอย่าได้ขัดขวางขงเบ้งเลย กวนอูได้ยินดังนั้นจึงพูดแก่เตียวหุยว่า แม้เราจะขัดขวางไว้ทั้งนี้ก็จะเคืองใจพี่เรา จำจะทำตามถ้อยคำขงเบ้งก่อน เมื่อมิสมเหมือนปัญญาแลความคิดภายหลังจึงค่อยว่า กวนอูเตียวหุยก็ลาออกมายังที่อยู่
ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เวลาพรุ่งนี้กองทัพแฮหัวตุ้นจะยกมาถึง ขอท่านยกทหารรีบออกไปตั้งอยู่เปนกองหนุนจูล่งณเชิงเขาอีสันเถิด ข้าพเจ้ากับบิต๊กบิฮองจะคุมทหารอยู่รักษาเมือง แล้วจะแต่งโต๊ะให้ซุนเขียนกับกันหยงคุมออกไปรับท่านณกลางทาง ให้ทหารกินเลี้ยงเล่นให้สบายใจ เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็ยกกองทัพไป แต่ว่ายังสงสัยมิได้เชื่อลงเปนแท้
ฝ่ายกองทัพแฮหัวตุ้นยกมาใกล้จะถึงทุ่งพกบ๋องแล้ว ก็จัดแจงทหารทั้งปวงยกมาเปนลำลอง ให้พลสเบียงนั้นยกตามมาภายหลัง พอถึงเวลาพลบค่ำก็ถึงตำบลทุ่งพกบ๋อง แลไปข้างหน้าเห็นผลคลีฟุ้งตลบเปนควันอยู่ จึงให้หยุดทหารทั้งปวงสงบไว้แล้วให้อิกิ๋มคุมทหารอยู่ แฮหัวตุ้นก็ขับม้ารีบขึ้นไปข้างหน้า พอเห็นกองทัพจูล่งยกมาก็หัวเราะ ทหารทั้งปวงจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงหัวเราะ แฮหัวตุ้นจึงบอกว่า เราคิดถึงถ้อยคำชีซีก็กลั้นหัวเราะมิได้ แลชีซีนั้นสรรเสริญสติปัญญาขงเบ้งแก่มหาอุปราชต่อหน้าเราวันนั้น ดังหนึ่งจะหยั่งรู้ตลอดไปในแผ่นดินแลอากาศ บัดนี้เราเห็นขงเบ้งแต่งกองทัพยกมาดังหนึ่งทารกหาปัญญามิได้ ประดุจหนึ่งไล่ฝูงเนื้อเข้ามาสู่ปากเสือ ซึ่งถ้อยคำเราว่าไว้แก่มหาอุปราชว่า จะจับตัวขงเบ้งให้ได้นั้น เห็นจะสมคำของเราในครั้งนี้เปนมั่นคง แล้วแฮหัวตุ้นก็คุมทหารรีบยกขึ้นไป
ฝ่ายจูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้าขึ้นมาหน้าทหารทั้งปวง แฮหัวตุ้นจึงร้องด่าว่ามึงนี้โฉดเขลาหาปัญญามิได้ มาอยู่เปนทหารเล่าปี่ดังหนึ่งผีท้องเลวเที่ยวตามกินเครื่องเส้นหานิยมมิได้ จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าขึ้นไปสู้กับแฮหัวตุ้นได้ประมาณห้าเพลง แล้วก็ชักม้ากลับหลังพาทหารทั้งปวงทำถอยหนีมา แฮหัวตุ้นเห็นได้ทีดังนั้นก็ขับม้าแลทหารทั้งปวงไล่ติดตามขึ้นไปทางประมาณ ห้าร้อยเส้น ฮันโฮจึงขับม้ารีบขึ้นไปสกัดหน้าแฮหัวตุ้นไว้แล้วก็ห้ามว่า ขอท่านได้ยับยั้งหยุดอยู่ก่อน อันจูล่งคนนี้มีฝีมือเข้มแขงนัก สู้กับท่านยังไม่ทันเหนื่อยพัก แลชักม้าถอยไปนั้นเห็นผิดอยู่ เกลือกจะทำกลอุบายซุ่มทหารไว้คอยรบกระหนาบเอาชัยชนะแก่ท่าน แฮหัวตุ้นจึงว่า ถึงมาทว่าจูล่งจะทำกลซุ่มทหารไว้สักสิบตำบลก็ดี เราก็ไม่ย่อท้อ แล้วแฮหัวตุ้นก็ขับม้าพาทหารรีบตามไปทางประมาณอีกห้าสิบเส้น
ฝ่ายเล่าปี่เห็นแฮหัวตุ้นยกทหารติดตามจูล่งมาดังนั้น จึงให้จุดประทัดสัญญาขึ้น แล้วก็ยกหนุนจูล่งขึ้นไป ขณะนั้นแฮหัวตุ้นเห็นกองทัพเล่าปี่ยกหนุนออกมาดังนั้นก็หัวเราะ แล้วก็บอกแก่ฮันโฮว่า ขงเบ้งแต่งกองทัพซุ่มไว้ฉนี้ ท่านเห็นแล้วหรือ น่ากลัวนักหนา เวลาวันนี้เราจะรีบยกไปเหยียบเมืองซินเอี๋ยเสียให้ได้ ถ้ามิได้เราไม่ขอกลับไปให้มหาอุปราชเห็นหน้าเลย แล้วแฮหัวตุ้นก็ขับทหารรีบรุกตามขึ้นไป เล่าปี่กับจูล่งก็มิได้ต่อสู้ ทำถอยหนีมา พอถึงเวลาประมาณยามเศษเกิดพายุมืดฟ้ามัวฝนขึ้น
ฝ่ายอิกิ๋ม ลิเตียนคุมสเบียงยกตามแฮหัวตุ้นมาภายหลังนั้น ลิเตียนจึงปรึกษากันว่า บัดนี้กองทัพนายเรายกล่วงเข้าไปในแดนเมืองซินเอี๋ยเปนเวลาค่ำ หนทางเดิรมิสดวก ต้องบุกป่าฝ่าแขมมาดังนี้ ถ้าข้าศึกลอบมาจุดเพลิงขึ้นข้างหลังเราจะมิพากันตายเสียสิ้นหรือ อิกิ๋มจึงว่าแก่ลิเตียนว่า ท่านว่าทั้งนี้ชอบนัก ถ้าฉนั้นท่านจงคุมลูกหาบหยุดอยู่ที่นี่ ตัวเราจะรีบขึ้นไปตามห้ามแฮหัวตุ้นไว้ ลิเตียนเห็นชอบด้วย จึงห้ามทหารลูกหาบทั้งปวงให้หยุดอยู่ อิกิ๋มก็ขับม้ารีบตามขึ้นไปทันแฮหัวตุ้นเข้าจึงห้ามว่า ท่านยกพลทหารรีบล่วงเมืองซินเอี๋ยเข้ามานี้เปนเวลากลางคืน หนทางก็เดิรยาก ข้างหนึ่งเปนเขา ข้างหนึ่งเปนป่าแขม แม้ข้าศึกมาซุ่มอยู่ลอบจุดเพลิงขึ้นก็จะเสียท่วงที ขอท่านหยุดกองทัพไว้ก่อน
แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ได้สติเห็นชอบด้วย จึงให้หยุดทหารไว้ ขณะนั้นเล่าฮองกวนเป๋ง ซึ่งคุมทหารคนละห้าร้อยซุ่มอยู่สองข้างทางนั้น ก็จุดเพลิงขึ้นพร้อมกัน กวนอูซึ่งคุมทหารลงไปโอบหลังอยู่นั้น แลเห็นแสงเพลิงสว่างขึ้นทั้งสี่ทิศด้วยกำลังลมพายุดังนั้น ก็โห่ร้องยกทหารตีรุกเข้ามา ฝ่ายทหารแฮหัวตุ้นก็ตกใจ วิ่งแตกตื่นเหยียบกันตายเปนอลหม่าน บ้างหนีไฟมิพ้นก็ตายในเพลิงเปนอันมาก จูล่งเห็นได้ทีดังนั้นก็ยกทหารกลับเข้าตีกระทบลงมา แฮหัวตุ้นเสียทีรับมิทันก็ขับม้าฝ่าเพลิงหนีออกไป อิกิ๋มเห็นแฮหัวตุ้นทิ้งทหารเสียดังนั้น อยู่มิได้ก็ขับม้าตามไป ลิเตียนซึ่งคุมสเบียงอยู่กองหลัง ครั้นเห็นกวนอูตีขนาบหลังเข้ามา ได้สู้รบกันเปนสามารถ เห็นเหลือกำลังก็ขับม้าหนี
ฝ่ายแฮหัวอันแลฮันโฮซึ่งอยู่ในกองหน้านั้น ขับม้ารีบกลับลงมาหวังจะช่วยป้องกันรักษาสเบียงให้พ้นจากเพลิง พอพบเตียวหุยยกออกมาจากป่าอันหลิมก็เข้าสู้รบกัน เตียวหุยเอาทวนแทงแฮหัวอันตกม้าตาย ฮันโฮเห็นจะต้านทานมิได้ก็ขับม้าหนี แลพลทหารฝ่ายเล่าปี่ก็ไล่ฆ่าฟันทหารแฮหัวตุ้นในเวลากลางคืนนั้นโลหิตไหลแดง ไปทั้งป่า ศพดาษไปดังขอนไม้ ครั้นเวลารุ่งเช้าแฮหัวตุ้นได้ทหารซึ่งเหลือตายแตกมานั้นยกกลับไปเมืองฮูโต๋ ฝ่ายกวนอูเตียวหุยจูล่ง ครั้นมีชัยชนะแก่แฮหัวตุ้นดังนั้นก็ชวนกันสรรเสริญว่า ปัญญาแลความคิดขงเบ้งนั้นเห็นปรากฎจริงในครั้งนี้แล้ว
ฝ่ายขงเบ้งครั้นเวลาเช้าก็ขึ้นเกวียนพาทหารคุมโต๊ะออกมาตามเล่าปี่ ครั้นเล่าปี่กวนอูเตียวหุยจูล่งยกกลับมาพบขงเบ้งที่กลางทาง ก็มีความยินดีต่างคนก็เข้าไปคำนับขงเบ้ง ๆ จึงให้ทหารทั้งปวงกินโต๊ะ เลี้ยงดูกันสนุกสบาย แล้วก็ยกกลับเข้ามาเมืองซินเอี๋ย
[๑] ในเรื่องเลียดก๊ก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 35
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnSUtXQWttWDBwczQ/view?resourcekey=0-w4zLChBmBjyEObITq5gXOw
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #5 on:
22 December 2021, 20:25:36 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 36
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-36.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 36
เนื้อหา
เล่าปี่ปรึกษากับขงเบ้งเรื่องจะต่อสู้โจโฉ
โจโฉยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองเกงจิ๋ว
เล่าเปียวตาย เล่าจ๋องได้เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว
เล่าจ๋องขออ่อนน้อมต่อโจโฉ
ขงเบ้งตีทัพหน้าโจโฉแตก
โจโฉให้ชีซีมาเกลี้ยกล่อมเล่าปี่
เล่าปี่อพยพจากเมืองอ้วนเซีย
กวนอูไปบอกเล่ากี๋
ขงเบ้ง จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านมีชัยแก่แฮหัวตุ้นครั้งนี้ ท่านอย่าเพ่อยินดีก่อน เห็นว่าโจโฉจะยกกองทัพมาตอบแทนแก้แค้นท่านเปนมั่นคง เล่าปี่จึงถามว่า ถ้าฉนั้นท่านจะคิดประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเข้าพเจ้าจะคิดอ่านต่อสู้โจโฉนั้นพอจะได้อยู่ แต่มาเห็นว่าเมืองซินเอี๋ยนี้คับแคบนัก จะคิดอ่านผ่อนปรนยาก บัดนี้เล่าเปียวก็ป่วยหนักอยู่ แต่ก่อนก็ได้อนุญาตว่าจะให้เมืองเกงจิ๋วแก่ท่าน ครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีอยู่แล้ว แม้ท่านยกไปเมืองเกงจิ๋ว ถึงมาทว่าโจโฉจะยกกองทัพมา ก็จะคิดอ่านผ่อนผันทำการรบพุ่งได้ถนัด เพราะเมืองเกงจิ๋วกว้างขวางเปนเมืองใหญ่
เล่าปี่จึงว่า ท่านว่าดังนี้ก็ชอบอยู่ แต่ทว่าเล่าเปียวมีคุณแก่เรามาแต่ก่อนเปนอันมาก ครั้นจะยกไปบัดนี้ก็เหมือนไปชิงเมืองท่านอยู่ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้ใช่จะให้ท่านทำร้ายแก่เล่าเปียวนั้นหาไม่ อันเมืองเกงจิ๋วนั้นก็จะได้แก่ท่านเปนมั่นคงอยู่ แม้มิยกไปตามคำข้าพเจ้านานไปจะมีอันตราย เมื่อมีเหตุขึ้นแล้วท่านจึงจะรู้จักสำนึก เล่าปี่จึงว่า ถึงมาทว่าจะมีอันตรายประการใดก็ดี ตัวเราก็จะสู้ตาย ซึ่งจะทรยศต่อผู้มีคุณนั้นเราทำมิได้ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านมิเต็มใจที่จะทำตามถ้อยคำข้าพเจ้าก็ตามอัธยาศัยเถิด จึงจะคิดอ่านผ่อนผันต่อไป
ฝ่ายแฮหัวตุ้นครั้นยกไปถึงเมืองฮูโต๋ ก็มัดตัวเข้าไปหาโจโฉโดยคำนับ ว่าบัดนี้โทษข้าพเจ้าถึงสิ้นชีวิตแล้ว ด้วยข้าพเจ้ามีความประมาทมิได้รู้เท่ากลขงเบ้ง จึงเสียทหารล้มตายเปนอันมาก เมื่อข้าพเจ้าจะไปนั้นก็ได้สัญญาไว้ว่า ถ้าไม่ได้ตัวเล่าปี่ขงเบ้งมาก็ให้ตัดสีสะข้าพเจ้าเสีย ซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดตามแต่ท่านจะทำโทษ
โจโฉเห็นแฮหัวตุ้นทำโทษตัวเข้ามาดังนั้นก็มีความเอ็นดู จึงให้แก้มัดเสียแล้วว่า ซึ่งท่านไปทำการสงครามให้เสียทีแก่ข้าศึกมาฉนี้ โทษท่านก็ถึงตาย แต่ทว่าตัวท่านมีความชอบในการสงครามมาแต่ก่อนเปนอันมาก โทษนั้นเราจะยกไว้ครั้งหนึ่ง แล้วว่าธรรมดาชาติทหารทำการสงครามมาก็มีชนะแลแพ้ทุกคน แฮหัวตุ้นยินดีคำนับแล้วจึงว่า ข้าพเจ้ายกไปครั้งนี้อิกิ๋มแลลิเตียนก็ได้ตักเตือนให้สติอยู่ แต่ทว่าข้าพเจ้าทำการล่วงเกินดื้อดึงไป จึงเสียท่วงทีทั้งนี้เพราะประมาท
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ปูนบำเหน็จรางวัลแก่ลิเตียนอิกิ๋มโดยความชอบแล้วจึง ว่า ทุกวันนี้เรามีความวิตกอยู่แต่เล่าปี่กับซุนกวนสองคนนี้ใหญ่หลวงนัก นอกกว่านั้นเรามิได้ปรารมเลย แลบัดนี้การศึกก็ได้กระทำติดพันกันเข้าแล้ว จะคิดกำจัดเล่าปี่แลซุนกวนเสียให้จงได้ แผ่นดินจึงจะราบคาบเปนสุขสืบไป โจโฉก็ให้เกณฑ์ทหารห้าสิบหมื่น ตั้งให้โจหยินโจหองคุมทหารสิบหมื่นเปนกองหนึ่ง ให้เตียวเลี้ยวเตียวคับคุมทหารสิบหมื่นเปนกองสอง ให้แฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารสิบหมื่นเปนกองสาม ให้อิกิ๋มกับลิเตียนคุมทหารสิบหมื่นเปนกองสี่ ตั้งให้เคาทูคุมทหารสามพันเปนกองหน้าสำหรับสอดแนม แลโจโฉนั้นคุมทหารหกหมื่นเปนกองหลวง
ขณะเมื่อโจโฉเกณฑ์กองทัพจะยกไปครั้งนั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสามปีแล้ว ถึงเดือนเก้าข้างขึ้นได้ฤกษ์ดี จะให้ยกกองทัพไป พอขงหยงเข้ามาว่า ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่บัดนี้ เล่าปี่ก็เปนเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่หาควรไม่ ฝ่ายซุนกวนเล่าก็ตั้งภูมิฐานลงได้เปนมั่นคง แล้วมีเมืองเอกขึ้นถึงหกหัวเมือง ทหารทั้งปวงก็พรักพร้อม แลทางจะไปนั้นก็กันดาร ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปนั้น เกลือกมิได้ท่วงทีก็จะเสียทหารเปนอันมาก ขอท่านจงดำริห์ดูจงควรก่อน
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านมาห้ามเรามิให้ยกไปกำจัดเล่าปี่ ซุนกวนนั้นมิชอบ ด้วยคนสองคนนี้หาความกตัญญูไม่ แล้วก็ขับขงหยงเสีย ว่าท่านอย่าได้มาเจรจาดังนี้สืบไป ถ้ามิฟังเราจะตัดสีสะเสีย ขงหยงเห็นโจโฉโกรธขับดังนั้น ลุกออกมาพ้นแล้วจึงทอดใจใหญ่ว่า มหาอุปราชนี้เปนคนหาตั้งอยู่ในสัตย์ไม่ แม้จะขืนยกไปกระทำแก่ผู้มีสัตย์สุจริตน่าที่ก็จะเปนอันตรายไปเอง
ขณะนั้นคองสีซึ่งเปนอริกันกับขงหยงได้ยินว่าดังนั้น ก็เอาเนื้อความเข้ามาบอกแก่โจโฉว่า ขงหยงนี้เปนคนมิดี ลอบนินทาท่านภายหลัง แลครั้งเมื่อยีเอ๋งหยาบช้าต่อท่านนั้น ก็เพราะขงหยงยุยงให้ว่ากล่าว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เชื่อ มีความโกรธนัก จึงให้ทหารจับตัวขงหยงไปฆ่าเสีย คนใช้ขงหยงจึงวิ่งไปบอกแก่บุตรขงหยงทั้งสองคนว่า บัดนี้มหาอุปราชจังเอาบิดาท่านไปฆ่าเสียแล้ว เหตุใดท่านยังเล่นหมากรุกอยู่ หากลัวตายไม่หรือจึงไม่หนีเสีย บุตรขงหยงทั้งสองจึงตอบว่า ซึ่งท่านเอ็นดูแก่เรานี้คุณหาที่สุดมิได้ แต่ธรรมดานกทั้งปวงซึ่งตกฟองในรัง แม้ว่ารังทำลายแล้วฟองนั้นก็ตกแตก มิอาจสามารถจะตั้งอยู่ได้ แลบิดาเราถึงแก่ความตายบัดนี้ ตัวเราผู้เปนบุตรหรือจะหนีพ้น ว่าดังนั้นยังมิทันจะขาดคำ พอทหารโจโฉเข้ามาถึงก็ล้อมเรือนเข้าไปจับเอาบุตรภรรยาไป โจโฉจึงสั่งให้ฆ่าเสีย แล้วโจโฉให้เอาศพขงหยงไปประจานไว้ที่หนทางสามแพร่ง มิให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่างสืบไป
ขณะนั้นชีสิบผู้เปนเพื่อนรักกันกับขงหยง รู้ว่ามหาอุปราชเอาศพไปประจานไว้ดังนั้น ก็ไปเยือนศพกอดไว้ร้องไห้รัก แล้วมีคนเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ๆ ก็โกรธ จึงสั่งทหารจะให้จับเอาตัวชีสิบไปฆ่าเสีย ซุนฮกจึงว่า ซึ่งท่านจะให้เอาตัวชีสิบไปฆ่าเสียนั้นไม่ควร ด้วยชีสิบคนนี้เปนชอบกันกับขงหยงก็จริง แต่ทว่าจะได้รู้เห็นเปนใจด้วยนั้นหามิได้ แต่เดิมก็ได้ว่ากล่าวขงหยงว่า เปนคนหยาบช้า กล้าหาญ หาอัธยาศัยมิได้ นายไปภัยจะมีมาถึงตัว ชีสิบว่าดังนั้นข้าพเจ้าทราบมาแต่ก่อน ซึ่งมาร้องไห้รักขงหยงนั้น ก็เพราะคิดว่าได้เปนมิตรกันมา โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หายโกรธจึงให้ชีสิบเอาศพขงหยงไปฝังเสีย ครั้นโจโฉฆ่าขงหยงเสียดังนั้นแล้ว ก็แต่งให้ซุนฮกอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ แล้วยกกองทัพห้าสิบหมื่นจะไปตีเอาเมืองซินเอี๋ย พอเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วป่วยหนักลงอีกครั้งหนึ่ง จึงให้หาเล่าปี่ไปหวังจะสั่งเสียฝากการทั้งปวง เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็พากันไปหาเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว
เล่าเปียวเห็นเล่าปี่มาดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าตัวเราทุกวันนี้เปนไม้ใกล้ฝั่ง นับวันอยู่แต่จะตาย ซึ่งหาท่านมาบัดนี้หวังจะฝากเมืองเกงจิ๋วแก่ท่าน ด้วยว่าบุตรเรานี้สติปัญญาก็อ่อนนัก แม้ว่าหาบุญเราไม่ จะรักษาบ้านเมืองสืบไปเห็นจะขัดสน ตัวท่านเปนผู้ใหญ่มีสติปัญญา จงช่วยรักษาบ้านเมืองไว้อย่าให้เปนอันตรายไปแก่ผู้อื่นเลย
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นคำนับแล้วก็ร้องไห้ จึงว่าตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ มีความสุจริตต่อท่านด้วยกตัญญูมิได้คิดสิ่งไร ถึงว่าท่านจะหาบุญไม่ก็ดี ข้าพเจ้าจะช่วยทำนุบำรุงบุตรท่านทั้งสองสืบไป แลเมื่อเล่าเปียวพูดจาสั่งเสียกันกับเล่าปี่มิทันจะขาดคำ พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า กองทัพโจโฉยกมา เล่าปี่ก็ลาพากวนอูเตียวหุยกลับมาเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายเล่าเปียวได้ยินข่าวศึกมาดังนั้นก็ตกใจป่วยหนักลง แลเมื่อเล่าเปียวเจรจาสั่งเสียกับเล่าปี่นั้น นางชัวฮูหยินภรรยาเล่าเปียวได้ยินดังนั้นก็น้อยใจโกรธ ว่าเล่าเปียวนี้รักเล่าปี่มาก จะยกบ้านเมืองมอบให้ หามีความเอ็นดูแก่บุตรของตัวไม่ จึงให้ชัวมอกับเตียวอุนสองคนผู้เปนที่ไว้ใจ ให้รักษาประตูกำชับตรวจตรามิให้ผู้ใดแปลกปลอมได้
ฝ่ายเล่ากี๋ผู้บุตรเล่าเปียวซึ่งไปกินเมืองกังแฮนั้น รู้ข่าวไปว่าบิดาป่วยหนักก็รีบมาเยือน ครั้นมาถึงประตู ชัวมอเตียวอุ๋นจึงห้ามเล่ากี๋ว่า ตัวท่านนี้บิดาให้ไปอยู่รักษาเมืองกังแฮ มิได้ให้หามา แลท่านทิ้งเมืองเสียฉนี้ แม้ซุนกวนรู้จะยกกองทัพจู่มาตีเอาเมืองกังแฮนั้นจะมิเสียหรือ อนึ่งบิดาท่านป่วยหนักอยู่ ซึ่งท่านจะเข้าไปบัดนี้ก็เห็นว่าบิดาท่านจะโกรธว่าทิ้งเมืองเสีย โรคนั้นก็จะกำเริบขึ้น เหลือกำลังก็จะถึงแก่ความตาย เหมือนท่านเอายาพิษมาเจือเข้าอีก เล่ากี๋ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้รักอยู่แต่นอกประตู จะเข้าไปเยี่ยมบิดามิได้แล้วก็ขึ้นม้ากลับไปเมืองกังแฮ
ฝ่ายเล่าเปียวป่วยหนักลง ตั้งใจคอยหาเล่ากี๋ผู้บุตรมิได้เห็นมา ครั้นถึงเดือนสิบขึ้นสามค่ำ โรคนั้นกำเริบหนักไป ร้องขึ้นได้คำเดียวก็ถึงแก่ความตาย นางชัวฮูหยินเห็นว่าเล่าเปียวถึงแก่ความตายแล้ว จึงให้หาชัวมอเตียวอุนเข้ามาคิดอ่านกัน เขียนเปนอักษรของเล่าเปียวให้ไว้ฉบับหนึ่งใจความว่า แม้เราหาบุญไม่แล้วก็ให้เล่าจ๋องรักษาแผ่นดินเมืองเกงจิ๋วสืบไปเถิด นางชัวฮูหยินจึงให้หาขุนนางเข้ามาพร้อมกัน แล้วเอาหนังสือซึ่งปลอมเขียนไว้นั้นออกมาให้ขุนนางทั้งปวงดู จึงตั้งเล่าจ๋องขึ้นเปนเจ้าเมืองแทนบิดา แล้วจัดแจงแต่งการศพเล่าเปียวตามประเพณี
ขณะนั้นเล่าจ๋องอายุได้สิบสี่ปี มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บิดาเราหาบุญไม่แล้ว เล่าปี่ผู้อาว์เราแลเล่ากี๋ผู้พี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งท่านทั้งปวงจะตั้งเราเปนใหญ่นั้นไม่ควร ถ้าแลเล่าปี่เล่ากี๋มีความน้อยใจจะยกกองทัพมาทำอันตรายเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด ลีกุ๋ยซึ่งเปนขุนนางฝ่ายพลเรือนจึงว่า ท่านว่านี้ชอบนักต้องด้วยประเพณีโบราณสืบมา ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปเชิญเล่ากี๋ผู้พี่มาเปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แล้วให้เชิญเล่าปี่มาช่วยคิดอ่านกิจการทั้งปวง จะได้ป้องกันซุนกวนแลโจโฉสืบไป
ชัวมอได้ยินดังนั้นจึงตวาดลีกุ๋ยว่า เล่าเปียวจะตายก็เขียนหนังสือให้ไว้เปนสำคัญ เราท่านทั้งปวงก็เปนผู้ใหญ่ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงอยู่ แลซึ่งจะให้มีหนังสือไปเชิญเล่ากี๋เล่าปี่มานั้น คนทั้งสองนี้จะมีสติปัญญาความคิดมาเปนประการใด ลีกุ๋ยได้ฟังดังนั้นก็ขัดใจ จึงด่าชัวมอว่า มึงเปนคนหาสติปัญญามิได้ ไม่กระทำตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน จัดแจงเอาเองตามอำเภอใจฉนี้ มึงจะทำให้แผ่นดินเมืองเกงจิ๋วแลหัวเมืองทั้งเก้านี้เปนอันตรายฉิบหาย แลตกอยู่ในเงื้อมือผู้อื่นเปนมั่นคง แค้นใจด้วยท่านผู้มีวาสนาซึ่งตายไปนั้น มิมาหักฅอเอามึงไปเสียเลย ชัวมอได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้เอาตัวลีกุ๋ยไปฆ่าเสีย ลีกุ๋ยก็ด่าชัวมอมิได้ขาดคำ จนทหารลงดาบขาดใจตาย
เมื่อชัวมอตั้งเล่าจ๋องขึ้นเปนใหญ่แทนเล่าเปียว แล้วจัดแจงสมัคพรรคพวกซึ่งเปนแซ่เดียวกันนั้น ให้คุมทหารรักษาด่านทางหัวเมืองเกงจิ๋วทั้งปวง แล้วให้เตียนยีกับเล่าเสี้ยน ซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว ชัวมอก็พานางชัวฮูหยินกับเล่าจ๋อง แลขุนนางทั้งปวงไปตั้งอยู่ ณ เมืองซงหยง หวังจะได้ต่อสู้กับเล่าปี่เล่ากี๋
ขณะนั้นม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพหลวงออกจากเมืองฮูโต๋จะผ่านมาทางเมืองนี้ เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาชัวมอกับเกงอวดแลที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้โจโฉยกทัพมาท่านทั้งปวงจะคิดอ่านป้องกันประการใด ฮูสวนจึงว่า นี่หากว่าโจโฉยกทัพมา ท่านจึงรู้จักสำนึกตัวกลัวอันตราย ถึงมาทว่าโจโฉไม่ยกมา ดีร้ายเล่าปี่กับเล่ากี๋ก็จะยกมาเปนมั่นคง เพราะท่านทำการเลมิดแต่ตามอำเภอใจ มิได้บอกให้เล่าปี่กับเล่ากี๋รู้ด้วย แม้เล่าปี่เล่ากี๋มีความน้อยใจ ก็จะยกกองทัพมาตีกระหนาบเข้า เห็นท่านจะได้ความเดือดร้อน กลอุบายของข้าพเจ้ามีอยู่ประการหนึ่ง แม้ท่านกระทำตามชาวเมืองทั้งปวงก็จะไม่มีอันตราย ทั้งตัวท่านก็จะได้ครองเมืองเปนสุขสืบไป
เล่าจ๋องจึงถามว่า กลอุบายของท่านจะทำประการใด ฮูสวนจึงว่าขอให้ท่านยกเมืองเกงจิ๋วกับทั้งเก้าหัวเมืองนี้ให้แก่โจโฉ เห็นโจโฉจะมีความยินดี ก็จะชุบเลี้ยงให้ได้ความสุข เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดฮูสวนว่า บิดาเราถึงแก่ความตาย บัดนี้เราได้ครองเมืองยังมิทันใด แลท่านมาคิดอ่านจะให้เราเอาเมืองไปให้แก่โจโฉนั้นเพราะเหตุสิ่งใด เกงอวดจึงว่าแก่เล่าจ๋องว่า อันฮูสวนว่านี้ชอบนัก เพราะเกิดมาเปนคนจำจะรู้จักที่หนักที่เบาจึงควร แลทุกวันนี้โจโฉได้เปนมหาอุปราชมีน้ำใจกำเริบ จะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนประมาณ เที่ยวปราบปรามได้บ้านเมืองเปนอันมาก บัดนี้ท่านก็พึ่งตั้งตัวขึ้นเปนใหญ่ แต่การภายในพี่น้องของท่านก็ยังไม่ปรกติกัน ซึ่งจะคิดอ่านทำศึกภายนอกนั้นเห็นไม่ควร แม้โจโฉยกมาถึงแล้ว อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะกลัว แลชวนกันหนีไปเข้าด้วยโจโฉสิ้น เห็นท่านจะสู้ไม่ได้
เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า ซึ่งท่านว่านี้ชอบอยู่แล้ว แต่ว่าบิดาเรามอบเมืองไว้ยังมิทันไร จะยกให้ผู้อื่นเสียนั้น ก็เหมือนหนึ่งเรารักษาทรัพย์มรฎกของบิดามิได้ จะมิเปนที่คระหานินทาติเตียนแก่เราหรือ อองซันซึ่งเปนที่ปรึกษาจึงว่าแก่เล่าจ๋องว่า อันฮูสวนกับเกงอวดว่านั้นชอบนัก เหตุใดท่านจึงไม่ทำตาม ท่านประมาณใจท่านเห็นจะสู้โจโฉได้อยู่หรือ บัดนี้โจโฉก็มีที่ปรึกษาแลทหารมีฝีมือเปนอันมาก แต่ลิโป้กับอ้วนเสี้ยวอ้วนสุดซึ่งมีสติปัญญาแลกำลัง โจโฉยังรบพุ่งทำอันตรายกำจัดเสียได้ แล้วมีใจกำเริบขึ้นเปนอันมาก บัดนี้โจโฉยกมากำจัดหัวเมืองฝ่ายใต้ ซึ่งท่านจะคิดอ่านสู้รบมิได้อ่อนน้อมต่อโจโฉนั้น นานไปท่านจึงจะรู้จักสำนึก เพราะท่านมิได้ฟังคำคนทั้งปวง เล่าจ๋องจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวเตือนสตินี้ก็ชอบนัก แต่เราจะขอเอาเนื้อความนี้ไปปรึกษามารดาเสียก่อน
ขณะนั้นพอนางชัวฮูหยินเดิรออกมาแต่ข้างในได้ยินจึงว่าแก่เล่าจ๋องว่าท่าน ทั้งสามปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้วจึงว่ากล่าวทั้งนี้ เจ้าจะกลับเอาเนื้อความมาปรึกษาแม่ไยเล่า เจ้าจงประพฤติตามที่ชอบนั้นเถิด เล่าจ๋องฟังมารดาว่าดังนั้นก็ยินดี จึงเขียนเปนหนังสืออ่อนน้อมขอเข้าเกลี้ยกล่อมอยู่ด้วยโจโฉฉบับหนึ่งเสร็จ แล้ว ก็ใช้ให้ซงต๋งถือไปถึงโจโฉ พอพบโจโฉยกกองทัพมาถึงแดนเมืองอ้วนเสีย ซงต๋งจึงเอาหนังสือนั้นเข้าไปให้โจโฉ ๆ แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้บำเหน็จรางวัลแก่ซงต๋งตามสมควรแล้วสั่งว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่เล่าจ๋องเถิดว่า ซึ่งมีหนังสือมาทั้งนี้เราก็ขอบใจอยู่แล้ว แต่ให้เล่าจ๋องออกมาคำนับเราตามประเพณี เราจะช่วยทำนุบำรุงให้เปนสุขสืบไป ซงต๋งได้ฟังดังนั้นก็ลาโจโฉมา ครั้นถึงแม่น้ำจะข้ามก็พอพบพวกกวนอูเข้า กวนอูก็จับตัวซงต๋งได้จึงถามว่า ราชการในเมืองเกงจิ๋วนั้นเปนประการใดบ้าง ซงต๋งก็อิดเอื้อนอยู่มิได้บอกโดยจริง ครั้นกวนอูซักไซ้ไต่ถามเห็นว่าจะอำเนื้อความไว้มิได้ก็บอกโดยจริงว่า บัดนี้เล่าเปียวก็ถึงแก่ความตายแล้ว แลบ้านเมืองทั้งปวงนั้นนางชัวฮูหยินกับชัวมอคิดอ่านกันกบเล่าจ๋องเอาไปยกให้ กับโจโฉสิ้น กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงพาเอาตัวซงต๋งมาเมืองซินเอี๋ย แล้วแจ้งเนื้อความแก่เล่าปี่ตามถ้อยคำซงต๋งทุกประการ
เล่าปี่แจ้งว่าเล่าเปียวถึงแก่ความตายแล้วดังนั้น ก็ร้องไห้รักจนสลบไป ครั้นเล่าปี่ฟื้นสมประดีขึ้น เตียวหุยจึงว่าท่านจะมาโทมนัสอยู่ดังนี้หาควรไม่ ขอให้เอาซงต๋งไปตัดสีสะเสียจึงจะชอบ แล้วจึงยกทหารไปตีเมืองซงหยง ฆ่าเล่าจ๋องแลชัวมอเสียได้แล้วก็จะได้ทำการสงครามไปหน้าเดียว เล่าปี่จึงห้ามว่า ตัวท่านเปนเด็กจะรู้ไปกว่าผู้ใหญ่นั้นไม่ชอบ จงสงบปากอยู่ก่อน อันการงานทั้งปวงนั้นเราก็ตรึกตรองแล้ว เล่าปี่จึงถามซงต๋งว่า ตัวท่านก็มีสติปัญญาอยู่ เมื่อคนทั้งปวงคิดมิชอบฉนี้ เหตุใดมิเอาเนื้อความมาแจ้งแก่เราให้รู้ ครั้นจะฆ่าท่านเสียบัดนี้กระบี่เราก็จะติดโลหิตเสียเปล่า ท่านจงเร่งกลับไปเมืองซงหยงเถิด แล้วจงบอกว่าเราจับได้ปล่อยเสีย ซงต๋งมีความยินดีคำนับเล่าปี่แล้วก็ลาไป
ขณะนั้นนายประตูจึงเข้ามาบอกแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้เล่ากี๋ใช้อีเจี้ยมาคำนับท่าน เล่าปี่รู้ดังนั้นก็มีความยินดี คิดถึงคุณอีเจี้ยซึ่งได้บอกเหตุผลแต่ก่อนมานั้น ก็ออกไปรับถึงนอกประตูแล้วนำเข้ามาข้างใน อีเจี้ยคำนับเล่าปี่แล้วจึงบอกว่า บัดนี้เล่ากี๋ใช้ข้าพเจ้ามาแจ้งเนื้อความแก่ท่าน ด้วยเล่าเปียวบิดานั้นถึงแก่ความตายแล้ว นางชัวฮูหยินกับชัวมอคิดอ่านกันปิดเนื้อความเสีย มิได้บอกมาถึงท่านแลเล่ากี๋ให้รู้ ยกเล่าจ๋องให้เปนใหญ่ขึ้นแต่อำเภอใจ ทำให้ผิดขนบธรรมเนียมแต่ก่อน บัดนี้เล่าจ๋องก็ยกมาอยู่เมืองซงหยงแล้ว ขอให้ท่านยกทหารไปบัญจบกันกับเล่ากี๋ตีเอาเมืองเกงจิ๋วให้จงได้ เล่าปี่แจ้งดังนั้นจึงว่าแก่อีเจี้ยว่าเนื้อความทั้งนี้ท่านรู้แต่ว่าเล่า จ๋ององค์อาจตั้งตัวขึ้นเปนใหญ่ ซึ่งชัวมอกับนางชัวฮูหยินคิดอ่านกันยกเอาหัวเมืองทั้งเก้าไปให้แก่โจโฉเสีย นั้นหารู้ไม่ อีเจี้ยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่าเนื้อความทั้งนี้เหตุไฉนท่านจึงรู้ เล่าปี่จึงบอกว่า กวนอูจับซงต๋งได้เอามาไต่ถามบอกเนื้อความทั้งนี้ เราจึงรู้อีเจี้ยจึงว่า ถ้าฉนั้นก็เห็นได้ทีชอบกลอยู่แล้ว ขอให้ท่านยกทหารไปบอกว่าจะมาคำนับศพเล่าเปียวตามประเพณี ลวงให้เล่าจ๋องออกมารับจึงจับตัวฆ่าเสียก็จะได้เมืองโดยง่าย
ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันอีเจี้ยว่ากล่าวทั้งนี้ก็เห็นชอบกลอยู่ ขอท่านจงกระทำตามเถิด เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็ร้องไห้ จึงว่าเล่าเปียวผู้พี่เราเมื่อป่วยหนักอยู่นั้นก็ได้หาไปว่ากล่าวฝากฝังลูก เต้าทั้งปวง แลบัดนี้เล่าเปียวหาบุญไม่แล้ว เราจะกลับทำร้ายแก่บุตรชิงเอาเมืองนั้นดูมิควร แม้ชีวิตยังมิตายก็จะดูหน้าคนมิเต็มตา ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้โจโฉก็ยกกองทัพมาถึงแดนเมืองอ้วนเสียแล้ว แลท่านมาคิดการรีรออยู่มิไปตีเอาเมืองซงหยงนั้น ท่านจะคิดอ่านป้องกันประการใดเล่า เล่าปี่จึงว่า ถ้าเช่นนั้นเราก็จะยกหนีไปหลบอยู่เมืองอ้วนเสีย แลเมื่อเล่าปี่เจรจาอยู่กับขงเบ้งนั้นพอม้าใช้เข้ามาบอกว่า โจโฉยกมาถึงตำบลทุ่งพกบ๋องแล้ว เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็เร่งให้อีเจี้ยกลับไปเมืองกังแฮ ขงเบ้งนั้นพอม้าใช้เข้ามาบอกว่าโจโฉยกมา เล่าปี่กับขงเบ้งก็จัดแจงตระเตรียมทหารทั้งปวงซึ่งจะต่อสู้รบพุ่งด้วยโจโฉ
ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันโจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้เปนธุระข้าพเจ้า ท่านอย่าปรารมภ์เลย แลครั้งเมื่อแฮหัวตุ้นยกมานั้น แต่คบเพลิงอันเดียวเรายังเผาทหารทั้งปวงเสียเอาชัยชนะได้ อันโจโฉมาครั้งนี้ดีร้ายจะต้องเข้าในกลข้าพเจ้าสักสิ่งหนึ่งเปนมั่นคง แต่ทว่าเราจะตั้งอยู่ในเมืองซินเอี๋ยนี้ไม่ได้ ขอท่านให้ไปประกาศป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรแลหญิงชายคนเถ้าแก่ทั้งปวงว่า บัดนี้กองทัพโจโฉยกมาจะทำอันตราย เราจะอยู่ในที่นี้มิได้ จะต้องไปอยู่เมืองอ้วนเสีย ถ้าผู้ใดจะไปด้วยเราก็ให้ตระเตรียมตัวไว้จงพร้อม แม้เรายกไปเมื่อใดก็จะได้ไปด้วยกัน ถ้าผู้ใดมิไปจะอยู่ในเมืองซินเอี๋ยนี้ แม้เกิดภัยอันตรายไปภายหน้าก็อย่าได้นินทาว่าเราทิ้งเสียหนีเอาแต่ตัวรอด เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงใช้ให้คนไปป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรชาวเมืองทั้งปวง แลเกณฑ์ให้บิต๊กเปนคนสำหรับส่งครอบครัวทหารทั้งปวงยกไปเมืองอ้วนเสีย
ขงเบ้งจึงแต่งให้กวนอูคุมทหารพันหนึ่งยกไปอยู่ต้นน้ำคลองแปะโห ให้เอากระสอบใส่ทรายลงทอดทำนบ ปิดน้ำทดไว้ให้ข้างปลายน้ำนั้นตื้น แล้วสั่งว่า ถ้าทหารโจโฉแตกมาลงข้ามแม่น้ำได้ยินเสียงอื้ออึงแล้ว จงเปิดทำนบเสียให้น้ำบ่าลงไปทหารก็จะจมน้ำตาย จึงคุมทหารยกตามลำน้ำตีกระทบลงมา แล้วให้เตียวหุยคุมทหารพันหนึ่งยกไปซุ่มอยู่ ณ ตำบลพักเหลงข้างใต้น้ำแล้วสั่ง ว่า ถ้าเห็นทหารโจโฉยกข้ามฟากมาก็ให้ตีกระทบขึ้นไปหากวนอู จึงแต่งให้จูล่งคุมทหารสามพันแยกกันเปนสามกอง สั่งให้เอาดินประสิวสุพรรณถัน สาดขึ้นไว้บนหลังคาเรือนอาณาประชาราษฎรซึ่งร้างเสียเปนอันมาก แล้วยกทหารออกซุ่มอยู่นอกเมืองข้างทิศเหนือทิศใต้ทิศตวันตกเปนสามกอง แลลูกเกาทัณฑ์นั้นให้ผูกชุดเพลิงทุกดอก ถ้าเห็นทหารโจโฉเข้าเมืองในเวลากลางคืนพร้อมแล้ว จึงให้ทหารจุดชุดยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในเมืองให้เพลิงติดขึ้น แล้วให้โห่ร้องอยู่แต่นอกเมือง ทหารโจโฉก็จะแตกไปข้ามแม่น้ำแปะโหสมคเนเรา แล้วท่านจงรีบยกไปบัญจบช่วยเตียวหุย จึงเกณฑ์ให้บิฮองกับเล่าฮองสองนายคุมทหารคนละพันให้ถือธงแดงกองหนึ่ง ถือธงเขียวกองหนึ่งยกไปซุ่มอยู่ตำบลทุ่งฉบวยโผนอกเมืองซินเอี๋ยทางประมาณสาม ร้อยเส้น สั่งว่าถ้าเห็นกองทัพโจโฉยกมาก็ให้กองซ้ายยกข้ามมาฝ่ายขวา ให้กองขวายกข้ามมาข้างซ้าย เปลี่ยนกันให้สับสนอยู่ กองทัพโจโฉมิรู้ก็จะสำคัญว่าคนเรามาก ก็จะรออยู่มิอาจเข้าเมืองแต่เวลายังวัน จะให้ทหารเข้าเมืองต่อกลางคืน ถ้าจะมิทำไว้ฉนี้ทหารโจโฉเข้าเมืองได้แต่กลางวันแล้ว การที่เราคิดทำก็จะไม่สำเร็จ ถ้าเวลาค่ำท่านจงถอยเสีย ถ้าเห็นเพลิงติดขึ้นในเมืองแล้ว ท่านจงช่วยจูล่งโห่ร้องสำทับเข้าไป แม้กองทัพโจโฉแตกไปแล้ว ท่านจงคุมทหารรีบไปบัญจบด้วยกวนอู ณ แม่น้ำแปะโห
ครั้นขงเบ้งจัดแจงให้ทหารยกไปแล้ว ก็พาเล่าปี่ออกจากเมืองขึ้นยังเนินเขาสูงแห่งหนึ่งคอยลอบดูทหารทั้งปวง ฝ่ายเคาทูซึ่งมาในกองทัพโจโฉ คุมทหารสามพันยกมาเปนกองสอดแนมนั้น ครั้นถึงทุ่งฉบวยโผแลเห็นกองทัพบิฮองเล่าฮองตั้งอยู่ดังนั้น ก็ขับทหารรุกขึ้นไปจะเข้ารบ บิฮองเล่าฮองเห็นเคาทูขับทหารขึ้นมา ก็ให้ทหารเปลี่ยนกองซ้ายเปนขวา ๆ เปนซ้ายสันสนกันอยู่ เคาทูเห็นดังนั้นก็ห้ามทหารทั้งปวงไว้ว่าเราจะรีบเข้ารบบัดนี้ยังไม่ได้ เกลือกขงเบ้งจะทำกลอุบายซุ่มทหารไว้หลายกอง เคาทูก็รีบมาบอกโจหยินโจหอง โจหยินจึงว่า อันขงเบ้งทำทั้งนี้เปนกลล่อลวงดอก ท่านมิรู้ก็ตกใจ จะกลัวอะไรรีบขึ้นไปเถิด เราจะยกทหารหนุนตามไป
ฝ่ายเคาทูก็รีบยกทหารขึ้นมาถึงชายทุ่ง พอเวลาใกล้จะพลบค่ำก็เห็นกองทัพยกหนีเข้าป่าสิ้น เคาทูจัดแจงทหารจะให้เข้าค้น พอได้ยินเสียงคนอื้ออึงอยู่บนเขาจึงแหงนขึ้นไปดู เห็นเล่าปี่แลขงเบ้งกั้นสัปทนนั่งเสพย์สุราอยู่ด้วยกัน เคาทูก็โกรธขับทหารจะขึ้นไปจับเอาตัวขงเบ้ง ๆ ก็ให้ทหารทั้งปวงกลิ้งก้อนศิลาลงมา ถูกทหารเคาทูตายป่วยเปนอันมาก ขึ้นไปมิได้ก็ถอยลงมา แล้วได้ยินเสียงคนอื้ออึงอยู่ข้างหลังเขา เคาทูจะยกทหารอ้อมไปรบ พอโจหยินยกหนุนมาทันจึงห้ามว่า เวลาวันนี้ค่ำมืดแล้วอย่าเพ่อเข้ารบเลย เราจะยกเข้าไปเอาเมืองซินเอี๋ยยับยั้งทหารสงบไว้ให้สบายก่อน ห้ามดังนั้นแล้วก็พาเคาทูยกรีบเข้าไปถึงเชิงกำแพงเมืองซินเอี๋ย เห็นประตูเปิดอยู่ทั้งสี่ด้าน มิได้เห็นผู้คนสักคนหนึ่ง โจหยินมีความยินดีก็ยกเข้าไปในเมือง โจหองจึงว่าแก่โจหยินว่า ครั้งนี้เห็นว่าขงเบ้งกับเล่าปี่คับแคบตัวเข้าแล้วจึงทิ้งเมืองเสีย พาครอบครัวอบยพหนีไปสิ้น เราจะยับยั้งทหารอยู่ให้สบายสักคืนหนึ่ง เวลารุ่งเช้าจึงจะยกตามไปล้อมจับเอาขงเบ้งเล่าปี่ให้ขงได้ โจหยินกับโจหองก็ชวนกันเข้าอยู่ในตึกเล่าปี่ ทหารทั้งปวงก็เรี่ยรายกันเข้าอาศรัยอยู่ทุกเรือน ต่างคนต่างเหนื่อยมาก็หลับไปสิ้น
ครั้นเวลาประมาณสามยาม เกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก จูล่งเห็นได้ทีก็ให้ทหารจุดชุดผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมือง คนนั่งยามเห็นแสงเพลิงติดขึ้นก็วิ่งเข้าไปบอกแก่โจหยินว่า บัดนี้เกิดเพลิงขึ้นแห่งหนึ่ง โจหยินได้ฟังดังนั้นจึงว่า อันเพลิงเกิดขึ้นทั้งนี้เพราะทหารทั้งปวงหุงต้มกินประมาทไฟจึงติดขึ้น ท่านอย่าตกใจวุ่นวายไปเลย จงเร่งไปช่วยกันดับเสียเถิด แลเมื่อโจหยินว่าดังนั้นยังมิทันจะขาดคำ เพลิงก็ติดขึ้นพร้อมกันสิ้นทั้งสามด้าน แสงสว่างดังหนึ่งกลางวัน
โจหยินเห็นดังนั้นก็ตกใจ เรียกทหารทั้งปวงมาพร้อมกัน แล้วโจหยินโจหองก็ขึ้นม้ารีบหนีเพลิงออกไปโดยประตูทิศตวันออก แลเมื่อขณะโจหยินหนีเพลิงออกไปนั้น ทหารทั้งปวงยัดเยียดเบียดเสียดรีบจะออกไปตาม เหยียบกันล้มตายแลลำบากเปนอันมาก จูล่งก็ให้ทหารโห่ร้องสำทับดังหนึ่งจะไล่ตามฆ่าฟันไป ทหารโจหยินก็ตื่นแตกไปมิได้สงบ บิฮองเล่าฮองซึ่งยกไปซุ่มอยู่เห็นได้ทีดังนั้น ก็ขับทหารฝ่าเข้าสกัดตีฆ่าฟันทหารโจหยินเสียเปนอันมาก ทหารโจหยินก็ซ้ำตื่นแตกระส่ำระสายไป ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษก็มาถึงแม่น้ำแปะโห ทหารทั้งปวงก็ลงข้ามแม่น้ำจะไปฟากข้างโน้น เสียงอื้ออึงเอิกเกริกเปนอลหม่าน
ฝ่ายกวนอูคุมทหารซุ่มอยู่ต้นน้ำ ก็ให้ทหารพังทำนบเสียให้น้ำบ่าหักลงมา ทหารโจหยินจะหนีน้ำขึ้นฝั่งมิทันก็จมน้ำตายเปนอันมาก กวนอูก็คุมทหารไล่โจมฟันลงมา โจหยินเห็นดังนั้นก็ตกใจ พาทหารซึ่งขึ้นจากฝั่งได้รีบหนีไปถึงตำบลทุ่งพกบ๋อง เตียวหุยก็ยกทหารออกสกัดตีกระทบขึ้นมาร้องว่า ทีนี้พวกโจรจะตายสิ้นแล้ว โจหยินโจหองเคาทูเห็นเตียวหุยคุมทหารออกมาดังนั้นก็ตกใจเปนกำลังมิเปนอันที่ จะต่อสู้ ก็พาทหารทั้งปวงรีบหนี เตียวหุยก็คุมทหารไล่ติดตามไป พบเล่าปี่แลขงเบ้งก็พากันกับมายังแม่น้ำแปะโห ขงเบ้งก็ให้บิต๊กเร่งข้ามส่งทหารทั้งปวงจากแม่น้ำแปะโหรีบไปเมืองอ้วนเสีย เสร็จแล้ว จึงให้เผาเรือแพทั้งนั้นเสีย
ฝ่ายโจหยินรวมทหารซึ่งแตกตื่นที่เหลือตายมานั้นได้แล้ว ก็ยกกลับไปตั้งอยู่เมืองซินเอี๋ย จึงใช้ให้โจหองไปแจ้งแก่โจโฉ ๆ โกรธให้ยกทหารรีบมา ครั้นถึงเมืองซินเอี๋ยแล้วก็ให้ทหารขนดินทำทำนบถมแม่น้ำแปะโหเสีย แล้วก็จัดทหารเปนแปดกอง จะให้ยกไปตามเล่าปี่ หวังจะเหยียบเมืองอ้วนเสียเสียให้ได้
เล่าหัวที่ปรึกษาจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งมหาอุปราชยกมาจะปราบปรามหัวเมืองฝ่ายใต้ครั้งนี้ ควรจะผ่อนเอาใจอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้มีความยินดีเปนที่รักใคร่ก่อน การที่เล่าปี่ทิ้งเมืองเสียพาอาณาประชาราษฎรไปอยู่เมืองอ้วนเสียด้วยนั้น ถ้าท่านจะด่วนยกไปโดยกำลังโกรธบัดนี้ก็จะได้อยู่ แต่อาณาประชาราษฎรทั้งสองเมืองจะได้ความเดือดร้อนฉิบหายล้มตายเสียเพราะเล่า ปี่เปนอันมาก ขอให้ท่านยับยั้งกองทัพไว้ก่อน จงใช้ให้คนไปว่ากล่าวเอาเนื้อเอาใจเล่าปี่ให้มาสมัคสมานด้วยจะดีกว่า ถึงมาทว่าเล่าปี่มิมาก็ดี อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะเลื่อมใสเห็นว่าท่านมีใจเอ็นดูแก่ชาวเมืองเปนอัน มาก ถ้าเล่าปี่มานบนอบแก่เราแล้ว หัวเมืองเกงจิ๋วทั้งนั้นก็จะได้โดยง่าย ไม่พักต้องรบพุ่งให้ลำบากแก่ทหารทั้งปวง
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงถามว่า ถ้าฉนั้นเราจะใช้ให้ผู้ใดไปเจรจาด้วยดี เล่าหัวจึงว่า อันจะใช้ให้ผู้อื่นไปว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมเล่าปี่นั้นเห็นไม่ได้ เห็นแต่ชีซีผู้เดียว แลชีซีนี้แต่ก่อนเปนคนรักใคร่ชอบอัธยาศัยกับเล่าปี่เปนที่ไว้ใจกัน ขอท่านใช้ให้ชีซีไปว่ากล่าวทั้งนี้เห็นจะได้การ โจโฉจึงว่าท่านคิดทั้งนี้ชอบอยู่ แต่ว่าชีซีนั้นเปนคนชอบใจกันกับเล่าปี่ ถ้าใช้ไปแล้วชีซีจะมิกลับมาหาเรา ๆ ก็จะมิเสียเนื้อความไปหรือ เล่าหัวจึงว่า อันชีซีนี้เปนคนมีความสัตย์มั่นคงนัก ซึ่งท่านใช้ไปแล้วจะมิกลับมาหานั้นก็กลัวคนเขาจะคระหานินทาอยู่ ท่านอย่าสงสัยเลย จงใช้ให้ชีซีไปเถิด เห็นจะกลับมาเปนมั่นคง
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ให้หาชีซีเข้ามาแล้วจึงว่า บัดนี้เรามีความน้อยใจเล่าปี่นัก คิดจะยกทหารไปเหยียบเมืองอ้วนเสียเสีย แต่มาคิดเอ็นดูแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะพลอยได้ความเดือดร้อนล้มตายเสีย ด้วยเปล่า ๆ ทุกวันนี้เราก็รู้ว่าตัวท่านกับเล่าปี่เปนคนชอบพอกัน จะให้ท่านไปเจรจาว่ากล่าวเล่าปี่ให้มาอ่อนน้อมแก่เราโดยดี อย่าให้มีความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรเลย ตัวเราก็มิเอาโทษแก่เล่าปี่ จะทำนุบำรุงตั้งแต่งให้ตามความปราถนา ครั้นจะใช้ให้ผู้อื่นไปเล่าก็จะเสียการไป เห็นแต่ท่านผู้เดียวเปนคนสัตย์ซื่อนัก จงไปว่ากล่าวแก่เล่าปี่ตามถ้อยคำของเรา ชีซีรับคำโจโฉแล้วก็ลาไปเมืองอ้วนเสีย
ขณะนั้นเล่าปี่ขงเบ้งรู้ว่าชีซีมาก็มีความยินดี จึงออกมารับเข้าไปแล้วก็พูดจาปราไสไต่ถามความทุกข์ยากซึ่งพลัดพรากกันตาม ประเพณี แล้วชีซีจึงบอกว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาบัดนี้ ด้วยโจโฉใช้มาเกลี้ยกล่อมเอาเนื้อเอาใจท่านให้ท่านไปอ่อนน้อมต่อ ครั้นข้าพเจ้าจะมิมาเล่าก็มิได้ แต่ที่ความจริงนั้นโจโฉทำทั้งนี้ ปราถนาจะโอบอ้อมเอาใจอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้รักดอก อันจะตรงต่อท่านนั้นหามิได้ บัดนี้โจโฉคิดการใหญ่หลวงอยู่ เกณฑ์ทหารให้ถมแม่น้ำแปะโหเสีย แล้วแต่งทหารยกแยกไว้เปนแปดกองจะมากำจัดท่านเสียให้ได้ อันเมืองอ้วนเสียนี้ก็เปนเมืองน้อย เห็นจะรับกองทัพโจโฉมิได้ จงคิดอ่านผ่อนผันแก้ไขเถิด เล่าปี่จึงว่า ซึ่งท่านบอกเล่าตื้นลึกหนักเบาทั้งนี้ก็ขอบใจนัก ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็จากกันไปช้านานแล้ว แลท่านกลับมาบัดนี้เปนบุญนักหนา จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิดอย่าไปเลย ชีซีจึงว่า ถ้าข้าพเจ้าจะอยู่กับท่านไม่กลับไปหาโจโฉบัดนี้ ก็จะเปนที่คระหานินทาแก่คนทั้งปวงว่าหาความสัตย์มิได้ อนึ่งศพมารดานั้นก็ตกอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ จำจะต้องกลับไป ซึ่งท่านจะกระทำการกับโจโฉสืบไปนั้นขงเบ้งก็มาอยู่ด้วยแล้ว แลจะปรารมภ์ไปไย การสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความปราถนาสิ้น ชีซีว่าเท่านั้นก็ลากลับมาบอกแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวโน้มน้าวเล่าปี่โดยสุภาพแล้ว บัดนี้เล่าปี่มิยอมที่จะมาอ่อนน้อมต่อท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงให้ยกกองทัพรีบไป จะเหยียบเมืองอ้วนเสียให้ได้
ฝ่ายเล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า อันโจโฉยกมาครั้งนี้เราจะคิดกลอุบายแก้ไขประการใด ขงเบ้งจึงว่า อันเราจะตั้งรับกองทัพโจโฉในเมืองอ้วนเสียนี้มิได้ จำจะทิ้งเมืองอ้วนเสียแล้ว ไปตั้งเอาเมืองซงหยงเปนที่มั่นจึงจะได้ เล่าปี่จึงว่า ซึ่งจะทิ้งเมืองอ้วนเสียแล้ว จะไปอยู่เมืองซงหยงนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าเราก็มีความวิตกด้วยอาณาประชาราษฎรทั้งปวง เสียแรงเขาติดตามมาด้วยแลจะทิ้งเขาเสีย หนีไปเอาแต่ตัวรอดนั้นก็เอ็นดูแก่เขานัก ขงเบ้งจึงว่า ถ้าดังนั้นจงให้คนไปประกาศว่า บัดนี้โจโฉยกมาจะทำอันตรายแก่เรา ๆ เห็นเหลือกำลังนัก จะตั้งรับอยู่ที่นี่มิได้ เราจะผ่อนผันไปอยู่เมืองซงหยง ถ้าผู้ใดจะไปกับเราก็ไป ถ้าสมัคอยู่มิไปก็ตามอัธยาศัยเถิด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ให้กวนอูไปจัดแจงเรือสำหรับจะข้ามไปเมืองซงหยง แล้วก็ให้ซุนเขียนกับกันหยงไปประกาศแก่คนทั้งปวงตามคำขงเบ้ง
ขณะนั้นชาวเมืองทั้งปวงจึงว่า อันข้าพเจ้าจะอยู่ในเมืองอ้วนเสียนั้นสู้ตายมิขออยู่ ถ้าเล่าปี่ไปแห่งใดก็จะขอตามไปด้วย ชาวเมืองทั้งปวงต่างคนต่างก็ทิ้งที่อยู่เสีย อพยพกันร้องไห้ตามเล่าปี่ไปสิ้น ครั้นเล่าปี่ลงเรือข้ามไปถึงกลางน้ำ แลดูอาณาประชาราษฎรร้องไห้อื้ออึงไปทั้งสองฟากน้ำก็คิดสงสารจึงร้องไห้ แล้วว่าคนทั้งหลายนี้พากันมาได้ความลำบากพลัดพรากที่กินที่อยู่ทั้งนี้ก็ เพราะเราผู้เดียว เราจะอยู่ไปไยให้คนทั้งปวงได้รับความเวทนาด้วย เล่าปี่ว่าเท่านั้นแล้วก็ลุกขึ้นจะโจนน้ำตาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างคนต่างวิ่งเข้าห้ามยุดตัวเล่าปี่ไว้ แล้วพากันร้องไห้รักเล่าปี่สิ้นทุกคน
ครั้นเล่าปี่ข้ามไปถึงฝั่งแล้วก็ยังมิไป ยับยั้งหยุดอยู่คอยท่าอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้พร้อมกัน เร่งให้กวนอูเอาเรือรีบข้ามไปรับมาให้สิ้น ครั้นอาณาประชาราษฎรทั้งปวงพร้อมมูลแล้ว เล่าปี่ก็พาหญิงชายทั้งนั้นยกไปเมืองซงหยงจะเข้าเมืองมิได้ เล่าปี่จึงขี่ม้าเลียบไปตามเชิงกำแพงเมืองแล้วร้องว่า เล่าจ๋องหลานเราอย่ามีความสงสัยเลย เรายกมานี้ใช่จะทำร้ายเจ้านั้นหาไม่ เรามาบัดนี้ด้วยกรุณาแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงดอก เล่าจ๋องจงเร่งเปิดประตูเมืองให้เราเข้าไปเถิด ฝ่ายชัวมอกับเตียวอุ๋นเห็นเล่าปี่เลียบเข้ามาร้องว่าดังนั้น ก็ขึ้นบนหอรบให้ทหารทั้งปวงเอาเกาทัณฑ์ยิงกระหน่ำออกไป
ขณะนั้นอุยเอี๋ยนเปนชาวเมืองงีหยง สูงหกศอกหน้าแดงดังสีลูกพุดซาสุก อยู่ในเมืองนั้น เห็นชัวมอแลเตียวอุ๋นทำดังนั้น ก็คุมพวกเพื่อนประมาณร้อยหนึ่งมาที่ประตูเมือง ร้องด่าชัวมอกับเตียวอุ๋นว่า มึงนี้อ้ายศัตรูขายเจ้า มาทำทั้งนี้ควรแล้วหรือ เล่าปี่นี้เปนคนโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎรทั้งปวง มาบัดนี้หวังจะสงเคราะห์แก่คนทั้งหลาย อนึ่งผู้ตายก็ฝากกิจการบ้านเมืองไว้แก่เล่าปี่ เหตุใดจึงมิให้เข้ามา ว่าดังนั้นแล้วก็เอาง้าวไล่ฟันทหารซึ่งอยู่รักษาประตูล้มตายแตกตื่นไป จึงเผยประตูเมืองออกไปรับเล่าปี่ ร้องว่าเชิญท่านพาอาณาประชาราษฎรเข้ามาในเมืองเถิด จงช่วยกำจัดอ้ายศัตรูขายเจ้าเสีย
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาอาณาประชาราษฎรแลทหารทั้งปวงเข้าไป พอพบบุนเพ่งคุมทหารมาเห็นอุยเอี๋ยนเปิดประตูรับเล่าปี่ดังนั้นก็ด่าว่า มึงนี้เปนแต่ทหารเลว หามีใครนับถือชื่อเสียงไม่ เหตุใดจึงบังอาจเปิดประตูรับเล่าปี่ให้เข้ามา มึงจะให้บ้านเมืองเปนจลาจลหรือ อุยเอี๋ยนได้ยินบุนเพ่งว่าดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกันเปนสามารถ แลทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้าต่อสู้กันเปนตลุมบอนอุตลุดขึ้น
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงว่า เรามาบัดนี้ก็ตั้งใจจะอนุเคราะห์อาณาประชาราษฎรให้มีความสุขพร้อมมูลกัน แต่เรายังมิทันจะเข้าไปถึงในเมืองสิมาเกิดรบพุ่งกันขึ้นกลับทำให้อาณาประชา ราษฎรได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าเราเข้าไปในเมืองจะมิได้ความเดือดร้อนยิ่งกว่านี้หรือ ซึ่งเราตั้งใจจะให้เปนประโยชน์นั้นก็สูญเสียเปล่า แม้จะเข้าไปบัดนี้ก็เหมือนมาทำให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนอีก เราไม่เข้าไปแล้ว ขงเบ้งจึงว่า ถ้าดังนั้นเมืองกังเหลงก็เปนแว่นแคว้นเมืองเกงจิ๋ว ขอให้ท่านยกไปอยู่เถิด เห็นพอจะป้องกันรักษาตัวได้ เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงพาทหารแลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงยกไปเมืองกังเหลง
ฝ่ายชาวเมืองซงหยงเห็นเห็นเกิดจลาจลขึ้นดังนั้น ก็พากันอพยพครอบครัวยกไปตามเล่าปี่เปนอันมาก อุยเอี๋ยนกับบุนเพ่งรบกันตั้งแต่เช้าไปจนเที่ยง ทหารทั้งปวงล้มตายทั้งสองฝ่ายเปนอันมาก อุยเอี๋ยนจะสู้บุนเพ่งมิได้ก็ชักม้าหนีออกมานอกเมืองจะมาหาเล่าปี่มิได้พบ แล้วหนีไปอยู่ด้วยฮันเหียนเจ้าเมืองเตียงสา ฝ่ายเล่าปี่ยกครอบครัวอพยพไปครั้งนั้นคนประมาณห้าหมื่น ครั้นมาถึงหน้ากุฏิ์ศพเล่าเปียว จึงให้พักผู้คนทั้งปวงไว้ เล่าปี่ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับศพเล่าเปียว แล้วร้องไห้ว่าท่านผู้เปนพี่ได้สั่งเสียแก่ข้าพเจ้าไว้แต่ก่อน ให้ข้าพเจ้าทำนุบำรุงเล่าจ๋องผู้บุตรนั้นข้าพเจ้าได้รับคำท่าน แลบัดนี้ข้าพเจ้าก็ทำมิตลอด โทษมีแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ขอท่านจงอดโทษข้าพเจ้าเหมือนท่านได้กรุณาแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงช่วยคุ้ม เกรงรักษาให้มีความสุขสืบไปเถิด
แลเมื่อเล่าปี่เข้าไปคำนับร้องไห้รักเล่าเปียวอยู่นั้น พอม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพล่วงมาถึงเมืองอ้วนเสีย จัดแจงเรือจะข้ามทหารตามมาอยู่แล้ว ทหารทั้งปวงได้ยินม้าใช้มาบอกดังนั้นก็ว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านมามัวเปนห่วงอยู่ด้วยครอบครัวทั้งปวงมิใคร่จะรีบไป เดิรทางแต่วันละน้อยคอยท่าอาณาประชาราษฎรอยู่ฉนี้เห็นจะหนีมิพ้น ถ้าโจโฉตามทันจะมิเสียท่วงทีหรือ ขอท่านทิ้งครอบครัวทั้งปวงเสีย รีบหนีขึ้นไปข้างหน้าให้ถึงเมืองกังเหลงก่อน ด้วยเองกังเหลงเปนที่สำคัญจะป้องกันอันตรายต่อสู้โจโฉได้ เล่าปี่ร้องไห้พลางจึงตอบว่า ประเพณีผู้มีปัญญาปราถนาจะคิดทำการใหญ่หลวงนั้น ก็ย่อมจะปกป้องอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเปนเค้ามูลจึงจะสำเร็จประโยชน์ แลบัดนี้อาณาประชาราษฎรทั้งปวงมีความเอ็นดูเรา สู้ติดตามมาได้ลำบาก อันจะทิ้งเสียนั้นเราทิ้งไม่ได้ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ยินเล่าปี่ว่าดังนั้นก็ร้องไห้ ยิ่งมีความรักเปนอันมาก ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้โจโฉก็ยกติดตามมาใกล้จะทันอยู่แล้ว ขอท่านให้กวนอูรีบไปบอกแก่เล่ากี๋ ณ เมืองกังแฮ ให้ยกทัพเรือมาบัญจบ ณ เมืองกังเหลงจะได้ช่วยกัน เล่าปี่ก็เห็นด้วย จึงให้กวนอูกับซุนเขียนถือหนังสือไป ณ เมืองกังแฮให้ยกทัพเรือมาช่วย แล้วให้จูล่งคุมครอบครัวทั้งปวง แลเตียวหุยนั้นคุมทหารลงไปเปนกองหลังสำหรับป้องกัน เล่าปี่ก็เดิรเคร่าครอบครัวมา เดิรทางแต่วันละร้อยเส้น
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 36
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnc2xVUFE5cTBUekk/view?resourcekey=0-g_XnoNtSRmdIb4AOqCNPqA
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #6 on:
22 December 2021, 20:34:13 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 37
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-37.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 37
เนื้อหา
เล่าจ๋องออกไปคำนับโจโฉ
โจโฉให้ฆ่าเล่าจ๋องเสีย
โจโฉตีเล่าปี่แตกกระจัดกระจาย
จูล่งตีฝ่าทหารโจโฉพาอาเต๊ามาได้
เล่ากี๋มารับเล่าปี่ไปเมืองกังแฮ
ฝ่าย โจโฉครั้นมาถึงเมืองอ้วนเสียแล้วก็รีบพาทหารทั้งปวงข้ามมาเมืองซงหยง จึงให้คนเข้าไปหาเล่าจ๋องออกมา ชัวมอกับเตียวอุ๋นจึงว่าแก่เล่าจ๋องว่า มหาอุปราชมาถึงเมืองแล้ว ให้เข้ามาหาท่านออกไปบัดนี้ ก็ควรจะออกไปคำนับตามประเพณี อองอุ้ยผู้เปนที่ปรึกษาค่อยกระซิบว่าแก่เล่าจ๋องว่า แต่ก่อนถึงท่านจะได้อ่อนน้อมต่อโจโฉแล้วก็จริง แลบัดนี้เล่าปี่ก็หนีโจโฉไปมิได้ต่อสู้ เห็นว่าโจโฉครั้งนี้จะมีใจทนงนัก มิได้จัดแจงที่จะรักษาตัวเปนกวดขันเหมือนแต่ก่อน เห็นจะประมาทอยู่ ขอท่านได้จัดแจงทหารให้พรักพร้อม แล้วลอบยกไปจับเอาตัวโจโฉเห็นจะได้โดยง่าย ถ้าได้ตัวโจโฉแล้วปัญญาแลความคิดของท่านก็จะปรากฎแก่คนทั้งปวง แลท่านก็จะเปนที่ยำเกรงด้วย ซึ่งจะคิดทำการใหญ่สืบไปภายหน้าก็เห็นจะสำเร็จ เล่าจ๋องจึงเอาถ้อยคำของอองอุ้ยบอกแก่ชัวมอ
ชัวมอได้แจ้งดังนั้นก็ให้หาอองอุ้ยเข้ามาแล้วว่า ตัวเองนี้มิได้รู้จักลักษณะแผ่นดินที่จะฉิบหายแลจะเจริญ เหตุใดจึงอาจเจรจาดังนี้ อองอุ้ยได้ฟังชัวมอว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าอ้ายศัตรูขายเจ้า เมื่อไรกูได้กินเนื้อมึงจึงจะหายความแค้น ชัวมอได้ยินอองอุ้ยว่าดังนั้นก็สั่งทหารให้เอาตัวไปฆ่าเสีย เก๊งอวดจึงห้ามปรามขอไว้ ชัวมอจึงพาเตียวอุ๋นออกไปหาโจโฉถึงริมฝั่งน้ำท่าข้าม โจโฉจึงถามว่า ในแว่นแคว้นหัวเมืองเกงจิ๋วนี้มีสเบียงอาหารแลไพร่พลเมืองทั้งปวงมากน้อย เท่าใด ชัวมอจึงบอกว่ามีทหารม้าห้าหมื่น ทหารเดิรเท้าสิบห้าหมื่น ทหารเรือแปดหมื่น เข้ากันเปนยี่สิบแปดหมื่น แลสเบียงอาหารนั้นได้เก็บซ่องสุมรวมไว้ในเมืองกังเหลงเปนอันมาก ถ้าประมวญกันเข้ากับหัวเมืองทั้งปวงนั้น จะกินได้ประมาณปีหนึ่ง
โจโฉจึงถามว่า เรือรบมีอยู่สักกี่ลำ ผู้ใดบังคับบัญชาว่ากล่าว ชัวมอจึงบอกว่า เรือรบใหญ่น้อยมีอยู่เจ็ดพันเศษ อยู่ในบังคับบัญชาข้าพเจ้าทั้งสองคนนี้สิ้น โจโฉได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงตั้งให้ชัวมอเตียวอุ๋นเปนนายกองทัพเรือ แล้วว่าบัดนี้เล่าเปียวก็ถึงแก่ความตายแล้ว แลฝ่ายเล่าจ๋องผู้บุตรก็มาอ่อนน้อมต่อเรา ๆ ก็จะทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ช่วยทำนุบำรุงให้กินเมืองเกงจิ๋วสืบไป ชัวมอเตียวอุ๋นได้ฟังดังนั้นก็มีความชื่นชมนัก จึงคำนับแล้วลามา
ซุนฮิวจึงว่าแก่โจโฉว่า ชัวมอกับเตียวอุ๋นสองคนนี้ เปนคนประจบประแจงสอพลอ ยังมิทันเห็นน้ำใจเหตุไฉนท่านจึงตั้งแต่งให้เปนนายกองทัพเรือนั้นยังกระไร อยู่ โจโฉหัวเราะแล้วจึงตอบว่า ตัวเราไม่รู้จักน้ำใจคนนั้นจะทำการไปได้หรือ ประการหนึ่งทหารเราชัดเจนแต่ทางบกไม่ชำนาญในการเรือ เราทำทั้งนี้ปราถนาจะเอาใจไว้ จะได้ฝึกสอนทหารเราให้สันทัด แล้วกำจัดเสียเมื่อปลายมือจะยากง่ายอะไรเล่า
ฝ่ายชัวมอเตียวอุ๋นก็เอาเนื้อความมาบอกแก่เล่าจ๋อง ตามถ้อยคำโจโฉว่าทุกประการ เล่าจ๋องได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่นางชัวฮูหยินผู้เปนมารดา ครั้นเวลาเช้าก็แต่งเข้าของสำหรับซึ่งจะคำนับนั้นเสร็จแล้ว เล่าจ๋องกับนางชัวฮูหยินก็ออกมาหาโจโฉ เอาตราสำหรับว่าราชการเมืองนั้นออกมาด้วย คำนับแล้วก็มอบให้แก่โจโฉ ๆ มีความยินดีนัก ก็ยกทหารทั้งปวงไปตั้งอยู่นอกเมืองซงหยง
ชัวมอเตียวอุ๋นก็จุดธูปเทียนคำนับรับโจโฉ เชิญให้โจโฉเข้าเมือง โจโฉจึงหาเกงอวดมาแล้วว่า ตัวเราได้เมืองเกงจิ๋วบัดนี้ ใช่จะมีความยินดีหามิได้ ซึ่งเราได้ตัวท่านนี้มีความยินดียิ่งกว่าได้เมืองเกงจิ๋วอีก แล้วก็ตั้งเกงอวดเปนเจ้าเมืองกังเหลง จึงให้ฮูสวนอองซานเปนที่ขุนนางผู้ใหญ่ ตั้งให้เล่าจ๋องเปนเจ้าเมืองเฉงจิ๋ว แล้วก็เร่งให้รีบไป
เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงอ้อนวอนขอตัวว่า ซึ่งท่านจะตั้งให้ข้าพเจ้าเปนเจ้าเมืองเฉงจิ๋วนั้น คุณมหาอุปราชหาที่สุดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าอุตส่าห์ออกมาคำนับท่านทั้งนี้ ใช่จะมีความปราถนาเปนเจ้าบ้านผ่านเมืองนั้นหามิได้ ข้าพเจ้าจะขอเปนแต่ไพร่อยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้ จะได้รักษาศพของบิดาแลญาติทั้งปวงตามประเพณี ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าเถิด โจโฉจึงว่า ซึ่งเราจะให้ท่านไปอยู่เมืองเฉงจิ๋วบัดนี้ด้วยความเอ็นดูท่าน เห็นว่าเมืองเฉงจิ๋วนั้นกับเมืองหลวงใกล้กัน ท่านจะได้เข้าเฝ้าแหนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ประการหนึ่งท่านจะอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้ไกลพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลเปนที่เบียดเบียฬแก่คนทั้งปวงจะอยู่มิสบาย จะได้ความเดือดร้อนเมื่อปลายมือ เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็กลัวโจโฉ ขัดมิได้ซังตายรับคำนับแล้วลาพามารดาไปเมืองเฉงจิ๋ว ครั้นถึงฝั่งน้ำท่าข้ามขุนนางทั้งปวงซึ่งไปส่งนั้นก็อำลากลับมาสิ้น แต่อองอุ้ยนั้นติดตามเล่าจ๋องไป
ขณะเมื่อเล่าจ๋องออกไปจากเมืองแล้ว โจโฉจึงสั่งอิกิ๋มว่า ท่านจงคุมทหารรีบไปสกัดฆ่าเล่าจ๋องเสีย อิกิ๋มก็คุมทหารรีบตามไป ครั้นทันเล่าจ๋องจึงร้องว่า บัดนี้มหาอุปราชใช้ให้เราตามมาฆ่าท่านแม่ลูกทั้งสองเสีย ท่านอย่าวุ่นวายไปเลย จงนิ่งให้เราตัดสีสะไปให้มหาอุปราชเสียโดยดีเถิด นางชัวฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แม่ลูกกอดคอกันเข้าไว้ก็ร้องไห้ อองอุ้ยเห็นดังนั้นก็มีความโกรธ จึงกลับหน้าเข้ามาจะต่อสู้ อิกิ๋มก็ให้ทหารจับเอาตัวฆ่าเสีย แล้วก็ตัดสีสะนางชัวฮูหยินแลเล่าจ๋องนั้นกลับมาให้แก่โจโฉ ๆ ก็ให้บำเหน็จรางวัลแก่อิกิ๋ม แล้วสั่งให้ทหารไปจับเอาครอบครัวขงเบ้ง ณ ตำบลเขาโงลังกั๋ง ทหารทั้งปวงก็รีบไปค้นหาครอบครัวขงเบ้งก็มิได้พบ แล้วก็กลับมาบอกแก่โจโฉ ๆ มีความแค้นกำเริบมิรู้วาย ขณะเมื่อขงเบ้งจะยกไปจากเมืองซินเอี๋ยนั้น เกรงโจโฉจะทำร้ายแก่ครอบครัว จึงยักเอาไปซ่อนไว้ ณ ตำบลสำกั๋ง ทหารจึงค้นมิพบ
ฝ่ายซุนฮิวจึงว่าแก่โจโฉว่า เมืองกังเหลงนั้นเปนที่มั่นคงนัก แลสเบียงอาหารก็ซ่องสุมไว้เปนอันมาก ถ้าแลเล่าปี่ไปตั้งได้เราจะตามไปทำการรบพุ่งก็จะขัดสน จะเอาชัยชนะยาก โจโฉจึงตอบว่า ท่านว่าก็ชอบ ใช่ว่าจะลืมนั้นหาไม่ เราคิดอยู่แลเราจะให้ทหารรีบล่วงหน้าไปเข้าตีเอาเมืองกังเหลงให้ได้ก่อน โจโฉจึงให้เอาบาญชีพลทหารของเล่าจ๋องมาตรวจดู ขาดอยู่คนหนึ่งชื่อว่าบุนเพ่ง โจโฉจึงให้คนไปหาตัว พอพบบุนเพ่งเข้ามาคำนับจึงถามว่า แต่เรามาอยู่ในเมืองซงหยงนี้ก็หลายวันแล้วเหตุใดตัวจึงหลบหลีกอยู่มิได้มาหา เรา บุนเพ่งจึงว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนั้นใช่จะหลบลี้อยู่หามิได้ ด้วยข้าพเจ้าเกิดมาเปนชาติทหาร มิได้ทำการอาสาเจ้าให้บ้านเมืองอยู่เย็นเปนสุขนั้นข้าพเจ้ามีความอายนัก จึงมิได้มาหาท่าน ว่าแล้วก็ร้องไห้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ชอบใจ ชมว่าเปนคนสัตย์ซื่อ จึงตั้งให้บุนเพ่งเปนเจ้าเมืองกังแฮ แล้วให้คุมทหารบันดามีกำลังอันกล้าแขงนั้นห้าพันยกรีบไปตามเล่าปี่ โจโฉก็ยกกองทัพหลวงหนุนไป
ฝ่ายขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันครอบครัวมาทั้งนี้ถึงสามหมื่นสี่หมื่น มีทหารเกณฑ์รบอยู่แต่สามพันน้อยตัวนัก แลท่านก็เดิรเคร่าครอบครัวอยู่ฉนี้ กองทัพโจโฉก็ยกติดตามกระชั้นใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งท่านให้กวนอูไปขอคน ณ เมืองกังแฮมาช่วย แต่วันไปคุ้มเท่าบัดนี้กำหนดเดือนหนึ่งแล้ว จะได้มิได้ก็ยังไม่กลับมา ร้ายแลดีก็ยังมิได้รู้เลย จะทำประการใด เล่าปี่จึงว่า ถ้าฉนั้นท่านอย่าเห็นแก่เหนื่อยเลย อุตส่าห์ไปเองหน่วยหนึ่งเถิด ด้วยท่านได้มีคุณแก่เล่ากี๋ไว้แต่ก่อน เล่ากี๋เห็นท่านไปเองแล้วจะเสียมิได้จะจัดแจงผู้คนทหารทั้งปวงให้ ขงเบ้งรับคำแล้วก็ลาเล่าปี่ แล้วพาเล่าฮองไปด้วยเปนสองนายคุมทหารห้าร้อยรีบไปเมืองกังแฮ
แลเมื่อเล่าปี่กับบิต๊กบิฮองกันหยงพาครอบครัวอพยพมาวันนั้น ก็เกิดลมหัวด้วนพัดหอบเอาผลคลีฟุ้งตลบขึ้นไปตรงหน้าม้า เล่าปี่ตกใจจึงถามบิต๊กบิฮองกันหยงว่า เหตุดังนี้จะดีแลร้ายประการใด กันหยงจึงจับยามดู แล้วบอกแก่เล่าปี่ว่า เหตุเปนทั้งนี้ร้ายนัก เวลากลางคืนวันนี้ภัยจะมาถึงท่านเปนมั่นคง ขอให้ท่านทิ้งครอบครัวอพยพเสีย รีบหนีไปก่อนเอาตัวรอดเถิด เล่าปี่จึงว่า เสียแรงได้หอบหิ้วคนทั้งปวงมาแต่เมืองซินเอี๋ยจนถึงที่นี่แล้ว แลจะทิ้งเสียเอาตัวรอดนั้นเรามิรู้ที่จะทำได้ กันหยงจึงว่า ถ้าท่านมิฟังคำข้าพเจ้าภัยก็จะมาถึงตัว เล่าปี่จึงถามว่าหนทางซึ่งไปข้างหน้าชื่อตำบลใด ทหารทั้งปวงบอกว่า ไปข้างหน้านี้จะเข้าแดนเมืองตงหยง มีเขาใหญ่เขาหนึ่งชื่อว่าเกงสัน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็พาครอบครัวรีบเดิรไปถึงเขาเกงสัน จึงให้ครอบครัวทั้งปวงตั้งชุมรุมอยู่ริมเนินเขา แลครั้งนั้นเปนฤดูหนาวกำลังหนาวนัก แลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเดิรมาเจ็บป่วยเปนอันมาก ก็ร้องไห้ระงมไปทั้งเสียงเด็กแลเสียงผู้ใหญ่
ครั้นเวลาประมาณสามยาม เล่าปี่ได้ยินเสียงคนโห่ร้องอื้ออึงคนึงมาทางทิศเหนือ ดังหนึ่งแผ่นดินจะถล่มก็ตกใจ จึงขึ้นม้าคุมทหารสองพันยกออกไปพบทัพโจโฉยกตามมา เล่าปี่ก็ขับทหารเข้าสู้รบกันเปนสามารถ ทหารโจโฉก็ล้อมเล่าปี่เข้าไว้ เตียวหุยเห็นว่าเล่าปี่เข้าอยู่ในกลางทหารโจโฉดังนั้น ก็ตีฝ่ายทหารเข้าไปช่วยเล่าปี่ ๆ ได้ทีดังนั้นก็รบหักตามเตียวหุยออกมาด้านตวันออก พอบุนเพ่งคุมทหารมาก้าวสกัดหน้าไว้ เล่าปี่จึงขับม้าขึ้นหน้าร้องด่าบุนเพ่งว่าอ้ายทรยศต่อเจ้า ยังมีหน้าเข้ากับโจโฉอีกเล่า บุนเพ่งได้ยินดังนั้นก็มีความอาย ไม่อาจรอหน้าเล่าปี่อยู่ได้ ก็คุมทหารบากหนีไป
ฝ่ายทหารโจโฉได้ทีดังนั้นก็ไล่ติดตามเล่าปี่มา เล่าปี่แลเตียวหุยสองคนพี่น้องก็ช่วยกันรบพุ่งต้านทานรอมาจนเวลารุ่งสว่าง ขึ้น ครั้นทหารโจโฉห่างออกไปไกลแล้วก็หยุดพักทหารอยู่ เห็นทหารเหลือตามมาด้วยนั้นประมาณร้อยหนึ่ง แลครอบครัวอพยพของตัวแลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงกระจัดพลัดพรายกันไป เล่าปี่ก็ร้องไห้ ว่าคนทั้งหลายมาพลอยฉิบหายล้มตายเพราะเราผู้เดียว ทั้งบุตรภรรยาครอบครัวของเราจะตายอยู่ที่แห่งใดก็มิได้เห็นแก่ตา แลเมื่อเล่าปี่ลงนั่งหยุดร้องไห้อยู่นั้น พบบิฮองต้องอาวุธบาดเจ็บเปนหลายแห่ง ตัวนั้นโทรมไปด้วยโลหิต วิ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้จูล่งเอาใจออกหากไปเข้าด้วยโจโฉแล้ว เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ตวาดเอาบิฮองว่า ท่านนี้หาความพิเคราะห์มิได้ อันจูล่งนี้มีความสัตย์ซื่อรักใคร่เราเปนอันมาก ซึ่งจะไปอยู่ด้วยโจโฉนั้นอย่าสงสัยเลย
เตียวหุยจึงว่า แต่ก่อนเขาเห็นเราพอจะเปนที่พำนักได้ แลบัดนี้เราพี่น้องถึงอับจนแล้ว เขาจึงเอาใจออกหากกระมัง เล่าปี่จึงว่า น้ำใจจูล่งนั้นสัตย์ซื่อแน่นอนนัก จงคิดดูเมื่อครั้งกวนอูไปอยู่ด้วยโจโฉออกฆ่างันเหลียงบุนทิวเสีย เจ้าก็สงสัยว่าพี่เอาใจออกหากไปอยู่ด้วยโจโฉ จนถึงจะฆ่ากันเสีย แลครั้งนี้ถึงมาทว่าจูล่งจะไปอยู่ด้วยโจโฉจริง ดีร้ายจะมีเหตุจึงไป อันจูล่งนั้นเห็นจะไม่ทิ้งพี่เสียเปนมั่นคง เตียวหุยไม่เชื่อมีความโกรธนัก จึงคุมทหารม้ายี่สิบรีบกลับขึ้นไปจะให้พบจูล่ง ครั้นถึงต้นสพานเตียงปันเกี้ยว จึงเห็นป่าอันหนึ่งอยู่ข้างทิศตวันออกก็พาทหารเข้าไป จึงตัดเอากิ่งไม้มาผูกหางม้าเข้าแล้วสั่งว่า ถ้าเห็นกองทัพโจโฉยกมา จงตีม้าให้วิ่งวกเวียนไปในป่าให้ผลคลีฟุ้งตลบขึ้น กองทัพโจโฉไม่รู้ก็จะสำคัญว่าซุ่มคนอยู่ในป่าเปนอันมาก เตียวหุยสั่งทหารดังนั้นแล้วก็ขับม้ายืนถือทวนสกัดอยู่ต้นสพาน
ฝ่ายจูล่งเข้ารบตลุมบอนอยู่ในกลางกองทัพโจโฉ ตีตลบออกมาแล้วกลับตีหักเข้าไปเล่า เสาะหาเล่าปี่แลครอบครัวทั้งปวงมิได้พบ ก็ตีตลบเข้าออกวุ่นวายอยู่แต่เวลายามหนึ่งจนรุ่งสว่างขึ้น จูล่งจึงคิดว่า จะเสาะหาเล่าปี่ก็มิพบ ทั้งครอบครัวก็หายไปจะเปนประการใดมิได้รู้ แลเล่าปี่ปลงธุระไว้แก่เราให้รักษาบุตรภรรยา มาให้หายเสียในท่ามกลางกองทัพฉนี้ดูมิบังควรนัก จำจะอุตส่าห์ตีฝ่าฟันเข้าไปหาครอบครัวให้จงได้ ถึงมาทว่าจะตายในท่ามกลางสงครามก็ตามเถิด แม้มิได้ครอบครัวเล่าปี่จะเอาหน้าไปไว้แห่งใด จูล่งคิดดังนั้นแล้ว ก็ขับม้าฝ่าเข้าไปในท่ามกลางทหารโจโฉกับทหารประมาณสามสิบม้า เห็นชาวเมืองทั้งปวงถูกอาวุธบาดเจ็บเปนอันมาก แลเสียงร้องไห้อื้ออึงคนึงไป จูล่งก็ขับม้าเวียนหาครอบครัวเล่าปี่ พบกันหยงถูกอาวุธลำบากนอนซุ่มอยู่ในกอหญ้า จูล่งจึงถามว่า ท่านยังพบนางกำฮูหยินนางบิฮูหยินทั้งสองบ้างหรือ กันหยงจึงบอกว่า บัดนี้ท่านทั้งสองเห็นกองทัพโจโฉจวนจะทันเข้า ก็ลงจากเกวียนอุ้มบุตรหนีปนระวลไปกับชาวเมืองทั้งปวง ข้าพเจ้าจึงควบม้าตามไป พอถึงเชิงเขาทหารโจโฉคนหนึ่งเอาทวนแทงถูกข้าพเจ้าตกม้าลงแล้วชิงเอาม้าไป ข้าพเจ้าเจ็บลำบากเดิรไม่ได้จึงหนีซ่อนอยู่ จูล่งให้ทหารคนหนึ่งลงเสียจากม้า ให้อุ้มกันหยงขึ้นขี่ม้าแล้วจึงบอกว่า ท่านรีบออกไปเถิด ถ้าพบเล่าปี่นายเราจงบอกว่า บัดนี้นางกำฮูหยินพลัดไปยังหาพบตัวไม่ เราจะสืบเสาะหาให้จงได้จึงจะกลับไป ถ้าเรามิได้นางกำฮูหยิน แม้จะเปนตายประการใดก็มิได้คิดชีวิต จูล่งสั่งแล้วก็ควบม้าไป
พอได้ยินเสียงทหารคนหนึ่งร้องทักออกมาว่า จูล่งจะรีบขับม้าไปแห่งใด จูล่งได้ยินดังนั้นก็ชักม้าหยุดไว้ แล้วถามว่าท่านนี้ผู้ใด ทหารนั้นจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเปนคนขับเกวียนของนางกำฮูหยิน ถูกเกาทัณฑ์ป่วยไปมิได้ จูล่งจึงถามว่านางไปอยู่แห่งใด ทหารจึงบอกว่า บัดนี้นางหนีปนไปกับชาวเมืองข้างทิศใต้ จูล่งได้ฟังดังนั้นก็ทิ้งทหารทั้งปวงเสีย ขับม้ารีบตามไปแต่ผู้เดียว พอพบชาวเมืองทั้งสองหนีซุ่มอยู่เหล่าหนึ่งจึงถามว่า นางกำฮูหยินอยู่ในพวกนี้ด้วยหรือ
นางกำฮูหยินได้ยินดังนั้น แลมาเห็นจูล่งก็ค่อยคลายใจ จึงร้องบอกไปว่าข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านจงช่วยชีวิตไว้ให้รอด แล้วก็ร้องไห้ จูล่งโจนลงจากหลังม้าขมีขมันเข้าไปหาแล้วจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้ระวังระไวท่านแลให้ได้ความลำบากนั้นโทษข้าพเจ้าผิดนักหนา แล้ว บัดนี้นางบิฮูหยินกับอาเต๊าผู้บุตรนั้นไปอยู่แห่งใดเล่า นางกำฮูหยินจึงบอกว่า ขณะเมื่อลงจากเกวียนเข้าปนระวลกับชาวเมืองนั้นมาด้วยกัน ครั้นทหารโจโฉไล่ตีเข้ามาภายหลัง ต่างคนต่างแตกกระจัดกระจายไปมิรู้ว่าจะไปอยู่แห่งใดเลย
เมื่อพูดกันอยู่นั้น พอทหารโจโฉกองหนึ่งไล่ขับครอบครัวเข้ามา จูล่งได้ยินเสียงร้องไห้อื้ออึงคนึงขึ้น จูล่งตกใจโดดขึ้นหลังม้าขมีขมัน แลไปเห็นอิโตคุมทหารกองหนึ่งประมาณพันเศษ จับได้บิต๊กมัดมือคุมมาบนหลังม้า ก็ขับม้าควบเข้าไปตวาดด้วยเสียงอันดัง จะรบด้วยอิโต ๆ ขับม้าเข้ารบด้วยจูล่งไม่ทันได้เพลงหนึ่ง จูล่งก็เอาทวนแทงถูกอิโตตกม้าตายแล้วก็แก้บัดบิต๊กเสีย ชิงได้ม้าทหารสองตัวจึงให้บิต๊กแลนางกำฮูหยินขี่ม้าพาออกมาส่งถึงต้นสะพาน
เตียวหุยแลเห็นจูล่งมาดังนั้นก็ร้องว่า เหตุใดจูล่งจึงเอาใจออกหากพี่เราไปเข้าด้วยโจโฉ จูล่งจึงร้องว่า ท่านอย่าว่าดังนั้น ซึ่งตัวเรามาช้านี้เพราะเหตุด้วยนางกำฮูหยินนางบิฮูหยินทั้งสองหายไป เราเที่ยวเสาะหาอยู่จึงช้ามาต่อภายหลัง ซึ่งเราจะเอาใจออกหากไปอยู่ด้วยโจโฉนั้นหามิได้ เตียวหุยได้ฟังดังนั้นจึงว่า นี่หากกันหยงมาบอกหนักเบาแก่เราก่อน หาไม่ตัวท่านกับเราก็จะได้ผิดใจกัน จูล่งจึงถามว่า บัดนี้นายเราอยู่แห่งใดเล่า เตียวหุยจึงบอกว่า พี่เราอยู่ข้างหลัง ทางไม่ไกลนักดอก จูล่งจึงว่าแก่บิต๊กว่า ท่านพานางกำฮูหยินไปให้นายเราก่อนเถิด ตัวเราจะกลับไปเที่ยวสืบเสาะหานางบิฮูหยินกับอาเต๊าให้ได้ก่อนแล้วจะกลับมา จูล่งก็ควบม้ากลับไปพบแฮหัวอิ๋นคุมทหารประมาณห้าสิบคน ขี่ม้าถือทวนเหน็บกระบี่ยืนสกัดทางจูล่งไว้ จูล่งก็ขับม้าเข้ารบกับแฮหัวอิ๋นได้เพลงหนึ่ง ก็เอาทวนแทงถูกแฮหัวอิ๋นตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกหนีไป แลแฮหัวอิ๋นคนนี้เปนคนสนิธของโจโฉ มีกำลังมาก โจโฉรักใคร่ให้ถือกระบี่ชื่อกีเทนเกี้ยม ถ้าจะฟันเหล็กก็ดุจหนึ่งว่าฟันหยวก
จูล่งได้กระบี่แล้วก็ชักออกดู เห็นอักษรจารึกอยู่ก็รู้ว่ากระบี่เอกของโจโฉ จูล่งเหน็บสะพายแล้วก็ควบม้าตีฝ่าเข้าไปหานางบิฮูหยินในกองทัพแต่ผู้เดียว มิได้กลัวแก่ความตาย พบครอบครัวชางเมืองทั้งสองก็ถามหานางบิฮูหยินมิได้ขาด คนหนึ่งจึงชี้มือว่า นางบิฮูหยินถูกทวนที่ขาเดิรมิได้ อุ้มลูกนั่งซ่อนอยู่ที่ริมผนังตึกตรงนี้ จูล่งแจ้งดังนั้นก็ควบม้ารีบไปถึงตึกหลังหนึ่งไฟไหม้ยังแต่ผนัง ก็เข้าไปดูเห็นนางบิฮูหยินอุ้มอาเต๊านั่งร้องไห้อยู่ริมปากบ่อ จูล่งโจนลงจากม้าวิ่งเข้าไปคำนับแล้วก็ร้องไห้
นางบิฮูหยินเห็นจูล่งมาดังนั้นก็ดีใจจึงว่า ท่านมาพบข้าพเจ้าบัดนี้ก็เหมือนหนึ่งเอาชีวิตลูกข้าพเจ้าไว้ ขอท่านได้มีความกรุณาพาเอาอาเต๊านี้ไปให้บิดาให้ได้เห็นหน้าหน่อยหนึ่งเถิด อันตัวข้าพเจ้านี้ถึงจะตายก็ตามแต่เวรหนหลัง จูล่งจึงว่า ซึ่งท่านได้ความลำบากทั้งนี้ก็เพราะข้าพเจ้ารักษาท่านมิได้ โทษมีแก่ข้าพเจ้าเปนข้อใหญ่ แลบัดนี้ข้าพเจ้าติดตามมาพบท่านแล้ว ขอเชิญท่านขึ้นม้าเถิด ข้าพเจ้าจะเดิรเท้าตีฝ่าทหารทั้งปวงนำหน้าท่านออกไป นางบิฮูหยินจึงว่า ท่านอย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย ตัวข้าพเจ้านี้ป่วยหนักอยู่แล้วเห็นจะมิรอด แลบุตรข้าพเจ้านี้จะรอดชีวิตก็เพราะท่าน ซึ่งท่านจะลงจากม้านั้นก็เหมือนหนึ่งชีวิตลูกข้าพเจ้าหาไม่ ท่านจงรีบเอาแต่ลูกข้าพเจ้าไปเถิด อย่าเปนห่วงเปนใยด้วยข้าพเจ้านี้เลย จูล่งจึงว่าท่านอย่าหนักหน่วงให้ข้าพเจ้าช้าอยู่เลย เชิญขึ้นม้าเร็วๆ เถิด เสียงทหารโจโฉโห่ร้องกระชั้นล้อมเข้ามาใกล้อยู่แล้ว นางบิฮูหยินจึงว่า ท่านเอ็นดูแล้วจงรีบพาเอาบุตรข้าพเจ้านี้หนีให้รอดเถิด ตัวข้าพเจ้านี้จะไปด้วยมิได้ จะมาเปนห่วงอยู่ด้วยข้าพเจ้านี้ก็จะพากันตายเสียเปล่า แล้วก็เอาลูกส่งให้จูล่ง ๆ ก็มิรับ แต่เฝ้าเชิญนางบิฮูหยินขึ้นม้าถึงสองครั้งสามครั้ง นางบิฮูหยินก็มิได้ขึ้น อ้อนวอนกันอยู่เปนช้านาน เสียงทหารโจโฉก็ยิ่งโห่ร้องกระชั้นใกล้เข้ามา จูล่งจึงว่า ท่านจะหนักหน่วงอยู่ฉนี้ ถ้าแลทหารโจโฉยกมาถึงเข้าจะมิพากันวุ่นวายเสียการไปหรือ นางบิฮูหยินได้ฟังดังนั้น ก็เอาอาเต๊าผู้บุตรเลี้ยงเปนลูกของนางกำฮูหยินภรรยาหลวงนั้นวางลงไว้เหนือ แผ่นดินต่อหน้าจูล่ง แล้วก็โจนลงในบ่อน้ำตาย
จูล่งเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ จึงกวาดเอาดินถมบ่อเสียหวังจะมิให้ทหารโจโฉเห็นซากศพ จึงเอาผ้าห่อตัวอาเต๊าเข้าทำเปนอู่สวมฅอลงแล้ว ปลดกระดุมเกราะเสียแหวกอกออก เอาอาเต๊าซ่อนเข้าในเกราะกลัดดุมหุ้มตัวไว้แล้วก็ขึ้นม้าขับออกมา พอพบฮันเบ๋งซึ่งเปนทหารรองโจโฉคุมทหารเดิรเท้ากองหนึ่งออกสกัดทางไว้ จูล่งก็ขับม้าเข้ารบด้วยฮันเบ๋งได้สามเพลง ฮันเบ๋งเสียที จูล่งแทงด้วยทวนตกม้าตาย ก็รบหักฝ่าออกมา พอพบกองทัพเตียวคับตั้งสกัดอยู่อีก จึงขับม้าเข้ารบด้วยเตียวคับได้สิบห้าเพลงก็ชักม้าควบหนี เตียวคับเห็นได้ทีก็ขับม้าไล่ตามไป จูล่งขับม้าหนีไปโดยเร็ว ปะหลุมเก่าแห่งหนึ่งม้ายั้งตัวมิทันก็ตกลง เตียวคับได้ทีขับม้าสอึกกระโจนมาแทงด้วยทวน ขณะนั้นเปนบุญของอาเต๊าซึ่งจะได้เปนกษัตริย์ มิควรที่จะตายด้วยอาวุธ ก็ให้บันดาลเปนแสงเพลิงวาบสว่างเปนเปลวขึ้นจากหลุม เตียวคับเห็นดังนั้นก็ตกใจ ม้านั้นก็ยืนชงักอยู่ จูล่งกระทืบเตือนพนังข้างม้าโดดเผ่นขึ้นจากหลุมหนีไปได้ เตียวคับเห็นประจักษ์ดังนั้นก็มิอาจที่จะตาม แต่ม้าเอี๋ยนแลเตียวคีสองคนคุมทหารวิ่งตามร้องมาข้างหลังว่า จูล่งครั้งนี้จะหนีเรามิพ้นแล้ว ฝ่ายเจียวเหียแลเจียวหลำสองคนคุมทหารก้าวสกัดอยู่ข้างหน้า จูล่งก็ขับม้าเข้ารบด้วยทหารทั้งสี่นายเปนสามารถ แลทหารเลวทั้งนั้นก็เข้าล้อมรุมรบพุ่งเปนอลหม่าน จูล่งก็ชักกระบี่ออกไล่ฟันทหารทั้งปวงล้มตายเปนอันมาก
โจโฉขึ้นอยู่บนเนินเขาเกงสัน แลลงไปเห็นจูล่งเข้ารบพุ่งตลุมบอนด้วยทหารทั้งปวง แลฝ่าฟันไปมิได้ย่อท้อ จึงถามว่าทหารเล่าปี่คนนี้ชื่อใดมีฝีมือเข้มแข็งนัก โจหองได้ยินโจโฉถาม ก็ขับม้ารีบลงไปจากเนินเข้าสกัดหน้าจูล่งไว้ แล้วก็ร้องถามว่าท่านนี้ชื่อใด จูล่งจึงร้องบอกว่าเราชื่อเตียวจูล่ง โจหองชักม้ากลับไปแจ้งแก่โจโฉ ๆ จึงสรรเสริญว่าทหารคนนี้มีอำนาจประดุจเสือ แล้วจึงสั่งให้ไปร้องประกาศว่า อย่าให้ผู้ใดเอาเกาทัณฑ์ยิงจูล่งเลยจะตายเสีย จงช่วยกันล้อมจับเอาเปนให้ได้ ฝ่ายจูล่งก็ขับม้าไล่ฝ่าฟันทหารทั้งปวงออกมาได้ ด้วยเหตุว่าโจโฉห้ามทหารทั้งปวงมิให้ยิงเกาทัณฑ์ แลบุญของอาเต๊าที่จะได้เปนกษัตริย์นั้นด้วย จึงพเอิญให้จูล่งฆ่านายกองใหญ่เสียได้ถึงสองนาย ทหารเอกห้าสิบคน โลหิตติดเกราะแลข้างม้าดุจหนึ่งรดด้วยน้ำครั่ง
จูล่งขับม้าพาอาเต๊ารีบมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พบจงจิ๋นกับจงสินพี่น้อง ซึ่งเปนทหารรองแฮหัวตุ้นชักม้าสกัดหน้าไว้ จูล่งขับม้าเข้ารบด้วยจงจิ๋นจงสินได้สามเพลง แทงจงจิ๋นตกม้าตาย จูล่งก็ขับม้ารีบหนีไป จงสินขับม้าไล่ตามกระชั้นติดม้าจูล่งไป กระหยับจะแทงด้วยทวน จวนจะได้จะเสียรอมร่ออยู่ จูล่งชักม้าหันตัวจะกลับมาต่อสู้ด้วยจงสิน พอม้าจงสินไล่กระชั้นชิดไปยั้งตัวไม่ทัน อกจงสินแลอกจูล่งจักแหล่นจะประทะกันเข้า จูล่งเอาทวนปัดทวนจงสินโดยเร็วกระเด็นไป จึงชักเอากระบี่ฟันจงสินถูกสีสะตลอดลงไปตัวขาดออกตกลงซีกหนึ่ง จงสินขาดใจตายในทันใด จูล่งก็ขับม้ารีบหนีไปถึงสะพานเตียงปันเกี้ยว พอได้ยินเสียงทหารโจโฉโห่ร้องตามมาข้างหลัง กำลังม้าแลกำลังจูล่งก็อ่อนลง พอแลเห็นเตียวหุยยืนอยู่ที่สะพานจึงร้องว่า ครั้งนี้เหลือกำลังข้าพเจ้านัก ท่านช่วยข้าพเจ้าด้วย เตียวหุยจึงร้องว่า ท่านรีบข้ามสะพานไปเสียให้พ้นเถิด ข้าพเจ้าจะสู้เอง จูล่งก็รีบข้ามสะพานไปทางประมาณสองร้อยเส้นก็พบเล่าปี่พักอยู่ จูล่งก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับแล้วร้องไห้เล่าความให้ฟังทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าได้แต่อาเต๊าบุตรของท่านห่อมาในเกราะ แลเมื่อข้าพเจ้าตีหักออกจากที่ล้อมรบพุ่งกันอยู่กับทหารโจโฉนั้นยังได้ยิน เสียงร้องไห้อยู่ บัดนี้นิ่งไปนานแล้วมิได้ยินเสียงร้องไห้ จะเปนอันตรายเสียก็มิรู้เลย
จูล่งแก้เกราะออก เห็นอาเต๊านอนหลับก็ดีใจจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บุญของท่านนักหนา บุตรท่านหาเปนอันตรายสิ่งใดไม่ แล้วจูล่งก็อุ้มอาเต๊าส่งให้เล่าปี่ ๆ รับเอาอาเต๊า แล้วทำเปนโกรธทิ้งบุตรลงแล้วว่า เพราะอ้ายจัญไรคนเดียวนี้ จูล่งทหารเอกเราจักแหล่นจะเสียแก่ข้าศึก จูล่งเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบลุกเข้าไปรับเอาอาเต๊าไว้ได้แล้วคุกเข่าคำนับว่า ท่านอย่าโกรธแก่บุตรท่านเลย อันตัวข้าพเจ้านี้ถึงจะตายก็จะเอาโลหิตทาแผ่นดินไว้ให้ปรากฎ จะขอสนองคุณท่าน
ฝ่ายบุนเพ่งคุมทหารไล่ติดตามจูล่งมาถึงสะพานเตียงปันเกี้ยว เห็นเตียวหุยถือทวนยืนสกัดอยู่ที่ต้นสะพาน แลเห็นผลคลีท้าวม้าซึ่งทหารเตียวหุยตีให้วิ่งฟุ้งตลบอยู่ในป่า ก็สำคัญว่าทหารเข้าซุ่มอยู่เปนอันมาก ยั้งม้าอยู่มิได้รุกเข้าไป พอโจหยินลิเตียนแฮหัวเอี๋ยนงักจิ้นเตียวเลี้ยวเตียวคับเคาทูแปดนายคุมทหาร ตามมาทัน เห็นดังนั้นก็คิดว่าขงเบ้งแต่งกลอุบายซุ่มทหารไว้ ก็ชวนกันหยุดอยู่สิ้น จึงให้คนรีบไปแจ้งแก่โจโฉ ๆ รู้ดังนั้นก็ยกทหารรีบมา
เตียวหุยแลไปเห็นทหารยกมาเปนอันมาก เห็นสัปทนกั้นมาข้างหลังก็รู้ว่าโจโฉยกตามมาเอง จึงร้องตวาดออกไปด้วยเสียงอันดังว่า ตัวกูชื่อเตียวหุย ผู้ใดซึ่งมีฝีมือเข้มแขงจงมาสู้กันลองกำลังดูให้ถึงแพ้แลชนะ ทหารโจโฉได้ยินเสียงเตียวหุยก็ตกใจ ตกตลึงอยู่มิได้เข้ารบ เตียวหุยก็ให้ทหารแก้กิ่งไม้ซึ่งผูกหางม้าออกแล้ว ให้ชักกะดานสะพานเสีย แล้วพาทหารกลับมาหาเล่าปี่ จึงเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ เล่าปี่จึงว่าอันตัวเจ้านี้มีฝีมือกล้าหาญก็จริง แต่ทว่าเสียดายทำอุบายมิตลอด ซึ่งเจ้าชักสะพานเสียทั้งนี้ เหมือนจะบอกแก่โจโฉว่าคนน้อยให้ตามมา ถ้าเจ้ามิชักสะพานเสีย โจโฉก็จะสำคัญว่าซุ่มคนไว้ในป่ามากจะกลัวอยู่ เล่าปี่ว่าดังนั้นแล้วก็พาทหารบากลงทางลัดจะไปท่าฮันจิ๋น
ฝ่ายเตียวเลี้ยวกับเตียวคับเคาทูเห็นเตียวหุยหนีไปแล้ว จึงกลับไปบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้เตียวหุยชักสะพานเสียหนีไปแล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า เตียวหุยผู้เดียวหามีทหารไม่ จึงชักสะพานเสียหนีไปเพราะกลัวเราจะตาม แล้วจึงเกณฑ์ทหารสามพันให้ไปทำสะพานเปนสามเส้น กำหนดให้แล้วแต่ในเวลาวันเดียวจะรีบข้ามทหาร ลิเตียนจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านจะรีบยกตามเล่าปี่ไปนั้นข้าพเจ้ายังคิดเกรงอยู่ เกลือกจะเปนกลอุบายของขงเบ้ง อันเตียวหุยจะมีปัญญาความคิดทำกลถึงเพียงนี้ยังไม่เห็นด้วย ขอท่านอย่าเพ่อทำการล่วงไปก่อน โจโฉจึงว่าอุบายแต่เพียงนี้จะกลัวอะไรนัก ถึงจะยิ่งกว่านี้เราก็ไม่กลัว โจโฉก็รีบยกทหารข้ามสะพานตามไป
ฝ่ายเล่าปี่ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องตามมาข้างหลังดังหนึ่งแผ่นดินจะทรุด แลมาเห็นผงคลีฟุ้งตลบไปในอากาศ จึงว่าเราจะไปบัดนี้ก็มีทะเลขวางหน้าอยู่ ข้างหลังเล่ากองทัพก็ตามมาจะทำประการใดดี จึงสั่งให้จูล่งตระเตรียมตัวลงมาอยู่ข้างหลังคอยรับกองทัพซึ่งจะตามมา
ขณะนั้นโจโฉจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เล่าปี่ครั้งนี้อุปมาเหมือนปลาขังอยู่ในถัง เสือตกอยู่ในหลุม ถ้าแลจะละเสียให้เล็ดลอดหนีไปได้บัดนี้ ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงในมหาสมุทร ทหารทั้งปวงจงช่วยกันเขม้นขมักจับตัวเล่าปี่ให้จงได้ ทหารทั้งปวงต่างคนต่างรีบขึ้นหน้าขับกันตามไป
ฝ่ายกวนอูซึ่งไป ณ เมืองกังแฮ ได้ทหารหมื่นหนึ่งลงเรือคุมกลับมาถึงกลางทาง รู้ระคายไปว่าเล่าปี่แตกมาถึงสะพานเตียงปันเกี้ยว ก็ให้ทหารจอดเรือเข้าณท่าฮันจิ๋น ยกทหารรีบขึ้นบกมาสกัดรับเล่าปี่ พอเล่าปี่แยกไปทางลัดมิได้พบกัน มาถึงเนินเขาแห่งหนึ่งพบกองทัพโจโฉยกติดตามเล่าปี่มาทางใหญ่ กวนอูก็ขับทหารโห่ร้องยกรีบสวนทางขึ้นมา โจโฉเห็นดังนั้นจึงว่า ซึ่งลิเตียนทัดทานเรานั้นก็เห็นจะต้องด้วยกลขงเบ้งจริงเหมือนคำลิเตียน แล้วก็สั่งให้ทหารถอยกลับลงมา กวนอูก็ไล่รบพุ่งติดตามไปทางประมาณร้อยเส้น เห็นทหารโจโฉถอยไปมิได้ต่อรบ ก็กลับหลังย้อนมาตามทางลัด พบเล่าปี่ก็มีความยินดี จึงพาไปลงเรือแล้วถามว่านางบิฮูหยินพี่สะใภ้ข้าพเจ้าไปอยู่ไหนเล่า เล่าปี่จึงบอกเนื้อความแก่กวนอูตามซึ่งได้รบพุ่งกับโจโฉนั้นว่า นางบิฮูหยินกระโจนน้ำตายเสียแล้ว จูล่งจึงเอาแต่บุตรนี้มาให้เรา กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ว่า วันเมื่อไปตามเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าท่านมิห้ามข้าพเจ้าที่ไหนจะได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้
เล่าปี่จึงว่า ครั้งนั้นตัวพี่ก็อนาถา หาที่จะตั้งเปนภูมิฐานมิได้ เหมือนหนูติดจั่น กลัวจะทำการนั้นมิตลอดจึงห้ามเสีย แลเมื่อเล่าปี่พูดกันกับกวนอูอยู่นั้น พอเล่ากี๋ยกกองทัพเรือมาข้างฟากตวันตก เล่าปี่ได้ยินเสียงโห่ก็ตกใจ จึงแลไปเห็นนายเรือแต่งตัวใส่เสื้อโพกสีสะด้วยผ้าขาวก็สังเกตได้ว่าเล่ากี๋ เล่าปี่ให้ทหารทั้งปวงสงบอยู่ ครั้นเล่ากี๋มาถึงจึงจอดเรือเข้าคำนับเล่าปี่แล้วร้องไห้ ว่าบัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งไปว่าท่านเสียทีแก่โจโฉแตกมา ข้าพเจ้าจึงยกกองทัพมาหวังจะช่วยท่าน
เล่าปี่มีความยินดี จึงเล่าเนื้อความแต่หลังให้หลานฟังทุกประการ แล้วให้เคลื่อนเรือออกจากท่า พอเห็นเรือรบกองหนึ่งใช้ใบมาข้างทิศตวันตก เล่ากี๋ประหลาทใจจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าเกณฑ์ทหารยกมาครั้งนี้ก็สิ้นเชิง เมืองกังแฮผู้คนก็เบาบางมากนัก บัดนี้เรือรบใช้ใบตามมาเปนอันมาก เห็นจะเปนทหารของโจโฉ ถ้ามิดังนั้นก็จะเปนทหารจิวยี่ให้ยกมาทำอันตรายเปนมั่นคง จะทำกะไรดี ครั้นเรือรบเข้าไปใกล้ เล่าปี่แลไปเห็นขงเบ้งนั่งมาข้างหน้าเรือซุนเขียนอยู่ท้ายก็มีความยินดี จึงให้ทหารเรียกให้ข้ามฟากมาแล้วถามว่า เหตุไฉนท่านค่อยล้าหลังอยู่ฉนี้ ขงเบ้งคำนับแล้วจึงบอกว่า ซึ่งข้าพเจ้าล้าหลังอยู่ เพราะข้าพเจ้าอยู่เกณฑ์คนเพิ่มเติมมาอีกจึงช้า เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ให้ใช้ใบแล่นมา จึงปรึกษากับขงเบ้งซึ่งจะคิดอ่านทำการรบพุ่งกับโจโฉสืบไป
ขงเบ้งจึงว่า หัวเมืองปากน้ำเมืองกังแฮนั้น มีค่ายคูมั่นคงพอจะตั้งอยู่ต่อสู้กับโจโฉได้ ขอให้ยกไปอยู่เมืองแฮเค้าปากน้ำเมืองกังแฮเถิด เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์เห็นจะไม่ขัดสน แล้วจึงว่าแก่เล่ากี๋ว่า ท่านจงเร่งกลับไปเมืองกังแฮ ตระเตรียมทหารทั้งปวงให้พร้อมไว้ จะได้ช่วยกันทำการไปข้างหน้า เล่ากี๋จึงว่า ซึ่งจะให้กลับไปตระเตรียมผู้คนนั้นก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจะเชิญท่านไปด้วยให้ช่วยจัดแจงทหารทั้งปวง แม้เสร็จแล้วจะกลับมาอยู่เมืองแฮเค้าก็ตามเถิด ขงเบ้งเห็นชอบด้วยจึงให้กวนอูคุมทหารห้าพันไปรักษาเมืองแฮเค้าไว้ แล้วก็พาเล่าปี่ไปเมืองกังแฮด้วยเล่ากี๋
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 37
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnOWxqeVVpa0ZWN1U/view?resourcekey=0-wzLwM80BbtLgIQ2vX22hzA
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #7 on:
22 December 2021, 20:40:38 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 38
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-38.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 38
เนื้อหา
โจโฉนัดซุนกวนให้ไปพบ
โลซกไปสืบการสงครามที่เล่าปี่
ขงเบ้งรับอาสามาเมืองกังตั๋ง
ขงเบ้งเจรจากับข้าราชการเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายโจโฉครั้นพบกวนอูในกลางทางนั้น สำคัญว่ากลของขงเบ้ง มิอาจตามเล่าปี่ไป ถอยกลับมา จึงคิดว่าเล่าปี่หนีไปได้ฉนี้ น่าที่จะรุกไปตีเอาเมืองกังเหลงเปนมั่นคง ถ้าเล่าปี่ได้เมืองกังเหลงแล้วก็จะตั้งมั่นอยู่เห็นจะทำการยาก ก็รีบยกทหารคืนหลังมาจะไปตีเอาเมืองกังเหลง
ขณะนั้นตงยีซึ่งได้รักษาเมืองเกงจิ๋ว แจ้งว่าเมืองซงหยงนั้นขึ้นแก่โจโฉแล้ว ครั้นรู้ว่าโจโฉยกมาถึงแดนเมืองเกงจิ๋วก็กลัว เห็นว่าจะสู้มิได้ก็พาอาณาประชาราษฎรทั้งปวงออกมาคำนับโจโฉ แล้วให้เชิญโจโฉเข้าไปในเมือง โจโฉจัดแจงอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเปนปรกติแล้ว จึงว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้เล่าปี่ไปตั้งอยู่ ณ เมืองกังแฮแล้ว นานไปข้างหน้าเห็นว่าจะเปนน้ำหนึ่งใจเดียวกันเข้ากับเมืองตองง่อจำจะรีบ กำจัดเสีย เหมือนหญ้าแพรกถ้ามิรีบชำระเสียก็จะงอกมากออกเปนพืชน์ติดผูกพันกันไป แต่จะคิดประการใดจึงจะกำจัดเล่าปี่ได้
ซุนฮิวจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชยกมาครั้งนี้ก็ใหญ่หลวงนัก ปรากฎไปทุกตำบล ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงซุนกวนชวนมาเที่ยวเล่นป่า ณ เมืองกังแฮ แล้วจงคิดอ่านชวนกันจับเล่าปี่ให้ได้ ถ้าได้ตัวเล่าปี่แล้วจะแบ่งเมืองเกงจิ๋วให้กึ่งหนึ่ง แล้วจะสาบาลต่อกันเปนพี่น้องมิได้ทำร้ายแก่กันสืบไป ถ้าซุนกวนเห็นหนังสือก็จะมีความยำเกรงบุญแลปัญญามหาอุปราช ดีร้ายก็จะมา โจโฉเห็นด้วยจึงแต่งหนังสือใช้ให้คนถือไปเมืองกังตั๋ง แล้วจึงให้ตระเตรียมทัพบกทัพเรือไว้ แสร้งให้กิตติศัพท์ปรากฎเลื่องลือไปว่า ทหารมหาอุปราชยกมาครั้งนี้พลร้อยหมื่น แลเรือรบซึ่งทอดอยู่ชายทเลนั้นดังหนึ่งจะเต็มไปทั้งมหาสมุทร ข้างทัพบกนั้นก็ให้ทำค่ายรายต่อกันออกไประยะทางถึงสามพันเส้น
ฝ่ายซุนกวนครั้นแจ้งว่าโจโฉยกทัพหลวงมาถึงเมืองซงหยง เล่าจ๋องออกไปคำนับยกเมืองซงหยงให้โจโฉแล้ว บัดนี้จะยกไปรบเอาเมืองกังเหลง ซุนกวนคิดเกรงโจโฉจะมาถึงเมือง จึงปรึกษากับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า โจโฉยกทหารมาจะรบเอาเมืองกังเหลง เห็นจะมิหยุดแต่เท่านั้น จะลามมาถึงเรา จะคิดอ่านป้องกันไว้ประการใด โลซกจึงว่า อันจะป้องกันมิให้ข้าศึกลามมาถึงเมืองนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองเกงจิ๋วนี้เปนเมืองใหญ่ ผู้คนทั้งปวงก็พรักพร้อมสารพัดจะบริบูรณ์ ถ้าเรายกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วตั้งมั่นอยู่ได้แล้ว จะปรารมภ์อะไรกับทัพโจโฉ ยิ่งกว่านี้ก็จะป้องกันไว้ได้มิให้ข้าศึกถึงเมือง อนึ่งถ้าได้เมืองเกงจิ๋วแล้ว เห็นจะตั้งตัวเปนใหญ่ได้ บัดนี้เล่าเปียวก็ตายแล้ว เล่าปี่เล่าก็ระส่ำระสายตั้งตัวยังมิได้ แตกไปอยู่กับเล่ากี๋ ณ เมืองกังแฮ ข้าพเจ้าจะขออุบายแต่งเครื่องเส้นทำเปนไปคำนับศพเล่าเปียว แล้วจะพูดจาเกลี้ยกล่อมผู้คนทหารชาวเมืองเกงจิ๋วแลเล่าปี่ให้ลงใจพร้อมกัน แล้ว ก็เห็นว่าจะทำการกำจัดโจโฉเสียได้โดยง่าย ซุนกวนเห็นด้วยจึงจัดแจงสิ่งของให้แก่โลซกไปเมืองกังแฮ
ฝ่ายเล่าปี่จึงปรึกษาด้วยขงเบ้งว่า โจโฉยกทัพมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนักเกลือกจะยกติดตามมาอีก เราจะคิดอ่านประการใดดี ขงเบ้งจึงว่า อันจะอยู่เมืองกังแฮนี้เห็นขัดสนนัก ถ้าโจโฉยกมาก็จะเสียทีอีก ขอให้ท่านยกไปอยู่เมืองกังตั๋งอาศรัยซุนกวนเถิด ถ้าแลโจโฉรู้ว่าท่านไปอยู่กับซุนกวนก็จะตามไป ดีร้ายโจโฉกับซุนกวนก็จะผิดกันขึ้น เราก็จะอยู่หว่างกลาง ถ้าใครเพลี่ยงพล้ำลงเห็นได้ทีเราก็จะซ้ำเอาเมื่อปลายมือ เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย เล่าปี่จึงว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ซุนกวนนั้นมีผู้กอบไปด้วยสติปัญญาทำนุบำรุงเปนอันมาก เกลือกจะมิยอมให้เราอยู่ก็จะอัปยศแก่เขา ขงเบ้งหัวเราะแล้วจึงตอบว่า โจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้เอิกเกริกดังแผ่นดินจะถล่ม เห็นว่าซุนกวนจะสดุ้งตกใจอยู่ ดีร้ายจะใช้คนสอดแนมมาถึงเรา ถ้าแลผู้ใดมาถึงท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะขออาสาเอาแต่เรือลำหนึ่งไปกับลิ้นข้าพเจ้าสามนิ้วเท่านี้ ไปยุให้ซุนกวนผิดกับโจโฉจงได้ ถ้าโจโฉแพ้ก็จะเข้าช่วยซุนกวน เห็นได้ท่วงทีแล้วเราก็จะเข้าชิงเอาเมืองเกงจิ๋วเปนกำไรเปล่า แม้ซุนกวนแพ้เราก็จะคิดแก้ไขชิงเอาเมืองกังตั๋งไว้ได้
เล่าปี่จึงว่า อันความคิดทั้งนี้เราก็เห็นด้วยอยู่ แต่ทว่าผู้ใดซึ่งจะมาหาเรานั้นยังไม่เห็นเลย พอเล่าปี่ว่าแก่ขงเบ้งยังมิทันขาดคำ ทหารวิ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้ซุนกวนใช้ให้โลซกเอาเครื่องเส้นมาแต่เมืองกังตั๋งจะมาคำนับศพเล่า เปียว ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็ตบมือหัวเราะ จึงถามเล่ากี๋ว่า ขณะเมื่อซุนเกี๋ยนบิดาซุนกวนถึงแก่ความตายนั้น ท่านได้แต่งไปคำนับศพหรือ เล่ากี๋จึงว่า เมืองกังตั๋งกับเมืองเกงจิ๋วเปนอริกัน อยู่มาบิดาข้าพเจ้าฆ่าบิดาเขาถึงแก่ความตายแล้ว จะกลับไปคำนับศพกะไรได้ ขงเบ้งจึงว่า ถ้าดังนั้นโลซกมาครั้งนี้เห็นจะมิมาคำนับศพโดยสุจริต จะมาสืบเอากิจการบ้านเมืองเปนมั่นคง จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ถ้าโลซกมาหาท่านจะพูดจาไต่ถามถึงโจโฉประการใด ท่านจงบอกปฏิเสธเสียว่าหารู้ไม่ แม้จะซักไซ้ไต่ถามสืบไปก็จงบอกว่าให้ไปถามขงเบ้งดูเถิด เล่าปี่เล่ากี๋จึงให้คนไปรับโลซกขึ้นมา แล้วจึงแต่งโต๊ะเลี้ยงตามประเพณี
ขณะเมื่อโลซกกินโต๊ะอยู่จึงถามเล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เขาเล่าลือว่าท่านมีสติปัญญา ทั้งน้ำใจก็โอบอ้อมอารีนัก เปนที่สรรเสริญแก่คนทั้งปวง ข้าพเจ้านี้เปนคนบุญน้อยมิได้พบเห็นเลย มาได้พบท่านในวันนี้ก็เปนวาสนานัก บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า ท่านกับโจโฉได้รบพุ่งกันเปนสามารถยังจะจริงหรือ โจโฉนั้นจะมีทหารมากน้อยสักเพียงไร
เล่าปี่จึงว่า อันคนทั้งปวงนับถือสรรเสริญว่าเรามีใจโอบอ้อมอารีนั้นก็จริงอยู่ แต่ว่าเรามีความคิดแลปัญญานั้นก็เปนประมาณดอก ทั้งทหารเล่าก็น้อยนัก ซึ่งจะต่อด้วยโจโฉนั้นก็มิได้ แม้รู้ว่าโจโฉยกมาแล้ว เราก็เล็ดลอดหนีเอาตัวรอดมิอาจอยู่ให้ใกล้ ยากที่จะรู้เห็นว่าทหารโจโฉมากแลน้อย ท่านถามฉนี้ก็จนใจอยู่มิรู้ที่จะบอกได้ โลซกจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านได้รบพุ่งกับโจโฉ ขงเบ้งได้คิดกลอุบายลวงเผาทหารเสียถึงสองครั้ง จนโจโฉสดุ้งตกใจกลัว เหตุไฉนท่านจึงว่าไม่รู้เล่า เล่าปี่จึงว่า ถ้าท่านจะใคร่รู้ให้ถนัดก็ไปถามขงเบ้งเถิด อันจะถามเรานี้ก็เหมือนถามเสียเปล่า โลซกจึงว่า บัดนี้ขงเบ้งอยู่ที่ไหนเล่า ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าสนทนาด้วยสักหน่อยหนึ่ง
เล่าปี่จึงเรียกขงเบ้งออกมาหาโลซก ต่างคนต่างคำนับกันแล้ว โลซกจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าได้ยินคำสรรเสริญปัญญาท่านนี้เอิกเกริกนักหนา ซึ่งได้มาพบท่านวันนี้เปนวาสนาหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะขอถามท่านหน่อยหนึ่ง ซึ่งท่านได้ทำการรบพุ่งกับโจโฉครั้งนี้ ได้คิดอ่านกลอุบายเปนประการใดบ้าง ขงเบ้งจึงว่า อันโจโฉนั้นประกอบด้วยปัญญาความคิดมาก เราหรือจะอาจทำการขับเคี่ยวด้วยโจโฉได้ เพราะกำลังทหารก็น้อยกว่าน้อย จึงอุตส่าห์หลบหลีกหนีมาเสียเอาตัวรอด โลซกจึงว่า อันตัวท่านกับเล่าปี่จะต่อด้วยโจโฉมิได้ พากันหลบหลีกหนีมาจะหยุดอยู่เพียงนี้หรือ ๆ จะคิดต่อไปประการใดอีก
ขงเบ้งจึงบอกว่า อาวสิ้วเจ้าเมืองซังงาว เปนคนชอบกันกับเล่าปี่นายเรา บัดนี้เล่าปี่ก็คิดว่าจะผ่อนผันไปอาศรัยอยู่ด้วย โลซกจึงว่า อันเมืองซังงาวนั้นผู้คนเข้าปลาอาหารก็น้อย แต่ตัวอาวสิ้วเองก็ยังรักษามิใคร่ได้ เหตุใดจึงจะอาจรักษาผู้อื่นได้เล่าเรามิเห็นด้วย ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ว่าบัดนี้จนใจอยู่แล้วด้วยหาที่จะอาศรัยมิได้ จำเปนจะไปพึ่งอยู่ก่อนพอได้ยั้งตัว ก็จะได้คิดทำการต่อไป โลซกจึงว่า ท่านจะไปอาศรัยอยู่เมืองกังตั๋งจะมิดีหรือ อันซุนกวนนายเราก็มีน้ำใจอารี ทั้งอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่เปนอันมาก แล้วเข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ ขอท่านให้คนไปหาซุนกวน พูดจาเกลี้ยกล่อมให้เปนน้ำหนึ่งใจเดียว ช่วยกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสีย เห็นจะสำเร็จดังความคิดของท่าน
ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่านี้บุณคุณนักหนา แต่ว่าเล่าปี่กับซุนกวนก็ไม่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อน ถึงจะให้ไปว่ากล่าวก็เห็นซุนกวนจะไม่ผ่อนผันกรุณาจะป่วยการเสียเปล่า อนึ่งคนที่จะใช้ไปเจรจาต่างตาต่างใจนั้นก็ขัดสน โลซกจึงว่า บัดนี้จูกัดกิ๋นพี่ท่านก็ไปอยู่เมืองกังตั๋ง เปนที่ปรึกษาผู้ใหญ่ของซุนกวน ก็บ่นหาอยู่จะใคร่พบท่าน ธุระอันนี้ข้าพเจ้าขอรับเอา จะพาท่านไปให้ถึงซุนกวนให้เจรจาด้วยจงได้ เล่าปี่ได้ฟังโลซกว่าดังนั้นจึงว่า อันขงเบ้งนี้เปนอาจารย์ของข้าพเจ้าเปรียบเหมือนดวงใจ แต่จะคลาดข้าพเจ้าสักครู่หนึ่งยังมิได้ หรือจะไปถึงเมืองกังตั๋งนั้นเรามิให้ไป โลซกก็อ้อนวอนว่า ขอให้ขงเบ้งไปพบกันกับนายข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด เล่าปี่ก็ทำเปนบิดพลิ้วมิยอม ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันการครั้งนี้จวนตัวเราอยู่แล้ว จะนิ่งอยู่ฉนี้ก็มิได้ ท่านจงให้ข้าพเจ้าไปเถิด จะได้รู้จักหนักแลเบาที่จะคิดอ่านผ่อนผันรักษาตัวไปข้างหน้า เล่าปี่จึงว่า ถ้าฉนั้นท่านจะไปก็ตาม โลซกได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงคำนับลาเล่าปี่แล้วก็พาขงเบ้งมาลงเรือ จึงว่าท่านไปพบกับซุนกวนแล้วจงอย่าบอกว่าโจโฉมีทหารมาก บอกพรางเสียว่ามีทหารน้อย ขงเบ้งจึงว่า ข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย ไว้เปนพนักงานของเรา
ครั้นโลซกมาถึงเมืองกังตั๋ง จัดแจงที่อยู่ให้แก่ขงเบ้งโดยสมควรแล้วก็เข้าไปหาซุนกวน ๆ จึงถามว่า ท่านไปสืบกิจการ ณ เมืองกังแฮนั้นยังเปนประการใดบ้าง โลซกจึงว่า ข้าพเจ้าไปสืบกิจการนั้นก็ได้แจ้งมาอยู่ แต่ทว่าจะบอกแก่ท่านบัดนี้ยังมิชอบกลก่อน ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงเอาหนังสือซึ่งโจโฉให้มานั้นยื่นให้โลซกดูทั้งผนึก โลซกก็รับเอาหนังสือแล้วจึงว่า โจโฉให้มีหนังสือมาทั้งนี้ปราถนาจะเกลี้ยกล่อมให้เปนใจเดียวกันด้วยหวังจะ คิดทำการไปข้างหน้า เห็นจะไม่สุจริตต่อเปนมั่นคง แล้วฉีกผนึกออกอ่านให้ซุนกวนฟังเปนใจความว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เราคุมทหารห้าสิบหมื่นมากำจัดเล่าจ๋องเสีย บัดนี้ยกมาก็ได้เมืองซงหยงหัวเมืองเกงจิ๋วแล้ว อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีเปนอันมาก แลเราก็ซ่องสุมทหารได้ถึงร้อยหมื่น นายทหารพันหนึ่ง แต่มีน้ำใจคิดถึงท่านจะใคร่พบกันสักครั้งหนึ่ง ขอให้ท่านออกมาเที่ยวเล่นป่าณแดนเมืองกังแฮ จะได้ช่วยกันคิดอ่านกำจัดเล่าปี่ผู้เปนศัตรูแผ่นดินเสีย ถ้าสำเร็จแล้วเราจะแบ่งเมืองเกงจิ๋วให้แก่ท่านกึ่งหนึ่ง แล้วเราจะร่วมสาบาลไว้เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าท่านจะเห็นประการใดก็ให้มีหนังสือตอบมาให้แจ้ง
โลซกอ่านหนังสือแล้วจึงถามซุนกวนว่า ใจของท่านจะคิดประการใดเล่า ซุนกวนจึงว่า เรายังมิรู้ที่จะคิดเลย เตียวเจียวจึงว่า บัดนี้โจโฉได้คุมทหารถึงร้อยหมื่น เอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้มาว่าทั้งนี้ ปราถนาจะเที่ยวกำจัดให้อยู่ในอำนาจของตัว ซึ่งท่านจะคิดอ่านต่อสู้โจโฉนั้นก็ยาก จะอาศรัยได้ก็แต่ทะเลกั้นอยู่ บัดนี้เล่าโจโฉก็ได้เมืองเกงจิ๋วแล้ว ทหารในเมืองเกงจิ๋วก็สันทัดในทางทะเลเหมือนกันกับเมืองเรา แม้โจโฉยกมาก็จะเสียที ขอให้คิดอ่านออกไปอ่อนน้อมโจโฉเถิด อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะมีความสุขสืบไป บันดาที่ปรึกษาทั้งปวงได้ฟังเตียวเจียวว่าดังนั้นจึงว่า เตียวเจียวว่าดังนี้ชอบด้วยประเพณีดีนักหนา ซุนกวนก็นิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด เตียวเจียวจึงซ้ำว่าอีก ท่านอย่าวิตกอยู่เลย จงเร่งคิดอ่านออกไปคำนับโจโฉเห็นจะมีความสุข ซุนกวนสั่นสีสะแล้วก็นิ่งเสีย สักครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นจากที่เดิรเข้าไปข้างใน โลซกก็เดิรตามเข้าไป ซุนกวนจับข้อมือโลซกเข้าแล้วก็ถามว่า ที่ปรึกษาทั้งปวงเห็นด้วยถ้อยคำเตียวเจียวสิ้นฉนี้ ท่านจะคิดประการใด
โลซกจึงว่า อันคนทั้งปวงเห็นพร้อมกันจะให้ท่านไปคำนับโจโฉเพราะเห็นแต่จะมีความสุขนั้น เหมือนจะให้มีความทุกข์ไปอีก ข้าพเจ้าผู้เดียวไม่เห็นด้วย ขอท่านอย่าได้ออกไปคำนับโจโฉเลย ซุนกวนจึงว่า ซึ่งมิเต็มใจให้เราออกไปก็ชอบอยู่ แต่ความคิดท่านเห็นประการใด โลซกจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉหรือจะเลี้ยงท่านเปนใหญ่ ถึงจะทำนุบำรุงก็แต่เปนประมาณ แม้จะมีบ่าวตามหลังอย่างมากก็เพียงสี่คน ถึงจะมีม้าขี่ก็แต่ตัวเดียว จะเหมือนท่านเปนโสดแก่ตัวอยู่ในเมืองกังตั๋งหรือ อันคนทั้งปวงว่านั้นประโยชน์จะรักษาตัวให้เปนสุข หาเจ็บร้อนด้วยท่านไม่ ซึ่งท่านจะคิดอ่านทำการกับโจโฉนั้น อย่าได้เชื่อฟังถ้อยคำคนเหล่านี้สืบต่อไป จงเร่งตระเตรียมการป้องกันรักษาตัวเถิด
ซุนกวนทอดใจใหญ่แล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้อาภัพ เสียแรงปลูกเลี้ยงคนทั้งปวงไว้หวังจะได้เปนเพื่อนเจ็บร้อนก็เสียเปล่า แต่โลซกผู้เดียวกตัญญูสัตย์ซื่อรักเราจริงๆ แลบัดนี้โจโฉก็ได้ทหารอ้วนเสี้ยวไว้เปนชเลยมากกว่ามากมีใจกำเริบนัก ซึ่งเราจะคิดทำการต่อสู้ด้วยโจโฉนั้นจะผ่อนผันประการใดดี โลซกจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้าไปสืบกิจการ ณ เมืองกังแฮนั้น ข้าพเจ้าได้พาเอาตัวขงเบ้งน้องชายจูกัดกิ๋นมา ถ้าท่านจะใคร่รู้ตื้นลึกหนักเบาในใจโจโฉประการใด ขอให้หาขงเบ้งเข้ามาไต่ถามดูก็จะแจ้ง ซุนกวนจึงว่าอาจารย์ฮกหลงมาอยู่ที่นี่หรือ โลซกจึงว่าข้าพเจ้าพามาจัดแจงให้อาศรัยอยู่นอกเมือง ซุนกวนได้แจ้งดังนั้นก็ยินดี จึงว่าเวลาวันนี้ก็จวนค่ำแล้ว ต่อพรุ่งนี้เช้าท่านจึงพาขงเบ้งเข้ามา ซุนกวนก็สั่งให้ตกแต่งที่ออกขุนนางให้เปนสง่าหวังจะอวดขงเบ้ง กำหนดขุนนางทั้งปวงให้เข้ามาพร้อมกันในเวลาเช้าให้สิ้น
ครั้นเวลาเช้าโลซกจึงไปหาขงเบ้ง บอกว่าซุนกวนให้เรามาพาท่านเข้าไป แลซึ่งเราเจรจาแก่ท่านกลางทางนั้นอย่าลืมเสีย ขงเบ้งหัวเราะแล้วจึงตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลย โลซกก็พาขงเบ้งมาหาซุนกวน ครั้นมาถึงที่ชั้นนอก ขงเบ้งเห็นขุนนางซึ่งเปนที่ปรึกษาแต่งตัวนั่งเปนแถวพร้อมกันอยู่ จึงเข้าไปคำนับตามประเพณี แล้วต่างคนต่างสนทนาด้วยกัน เตียวเจียวเห็นขงเบ้งรูปร่างสคราญแต่งตัวหลักแหลม เปนคนช่างพูดช่างเจรจาเฉลียวฉลาด จึงคิดว่าขงเบ้งมานี้ชรอยจะมาพูดเกลี้ยกล่อมดูแยบคายเปนมั่นคง จำจะเจรจาด้วยฟังกำลังปัญญาแลความคิดจะว่าประการใด เตียวเจียวจึงว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าแจ้งว่าอาจารย์ฮกหลงอยู่ตำบลเขาโงลังกั๋ง เขาเลื่องลือว่ากอบด้วยสติปัญญามาก เหมือนอาจารย์ขวันต๋งงักเยยังจะจริงกระนั้นหรือ[๑]
ขงเบ้งจึงว่า อันเขาสรรเสริญข้าพเจ้านั้นเปนแต่ปัญญาภายนอก ซึ่งได้ทำการมาทั้งนั้นก็เหมือนความคิดคนทั้งปวงไม่ยากนัก ถึงผู้ใดจะทำก็ได้ อันปัญญาภายในนั้นใครยังหาล่วงรู้เห็นปรากฎไม่ เตียวเจียวจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือว่าเล่าปี่อุตส่าห์ทำความเพียรไปเชิญท่านถึงสามครั้ง จึงได้ตัวท่านมา เล่าปี่มีความยินดีดังปลาได้น้ำ มีใจกำเริบคิดการใหญ่หลวงหมายจะทำการเอาเมืองเกงจิ๋ว เห็นจะได้เปนมั่นคง ดังอยู่ในกำมือเหมือนจะเอาเสื่อมาปูลงนั่งโดยง่าย เปนไฉนเมืองเกงจิ๋วจึงกลับไปได้แก่โจโฉเล่า ท่านคิดอ่านประการใด
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า เตียวเจียวคนนี้เปนที่ปรึกษาผู้ใหญ่ของซุนกวน มีปัญญาหลักแหลมนัก แม้กูจะมิตอบให้จนแก่ถ้อยคำบัดนี้ ที่ไหนจะเจรจาด้วยซุนกวนสืบไปได้ แล้วจึงตอบว่า ซึ่งเราจะคิดทำการเอาแผ่นดินเมืองเกงจิ๋วนั้นง่ายนัก เหมือนหนึ่งกลับฝ่ามือคว่ำแลหงาย จะทำเมื่อใดก็จะสำเร็จเมื่อนั้น ซึ่งเหตุทั้งนี้ก็เพราะนายเราเปนคนซื่อถือความสัตย์ มิได้ปราถนาที่จะชิงเอาสมบัติของแซ่เดียวกัน ไม่กระทำตามคำเราจึงได้ความเดือดร้อน มาน้อยใจด้วยเล่าจ๋องลูกอมมือเชื่อถือถ้อยคำคนสอพลอ เอาเมืองซงหยงไปลอบยกให้โจโฉ ๆ จึงได้กำเริบทำการใหญ่หลวงมาถึงเพียงนี้ แลเล่าปี่นายเรามาตั้งอยู่ ณ เมืองกังแฮนั้น ก็หวังจะทำการใหญ่หลวงต่อไปอยู่ ซึ่งผู้มีสติปัญญาเปนประมาณเหมือนท่านฉนี้ ถึงจะบอกให้ที่ไหนจะรู้ ดังเอาแก้วไปทิ้งลงไว้ในตมก็ลับรัศมีเสียเปล่า
เตียวเจียวจึงว่า ท่านว่าฉนี้เรากลัวจะไม่แน่นอนเหมือนปาก ส่วนปากก็ว่าจะไปทางนี้ เท้าจะเดิรไปทางอื่นจะผิดกันไป อันขวันต๋งงักเยนั้นเปนถึงอุปราชกอปด้วยสติปัญญา ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าจีห้วนก๋งปราบปรามศัตรูให้ราบคาบ บ้านเมืองอยู่เย็นเปนสุข ก็ควรที่คนจะยกยอสรรเสริญว่ามีสติปัญญาจริง แลตัวท่านเมื่อยังอยู่ในเขาโงลังกั๋งนั้น เขาเลื่องลือว่ามีปัญญาแลความคิดปรากฎ ดังหนึ่งจะหยั่งรู้ตลอดไปในแผ่นดิน เมื่อเล่าปี่ยังมิได้ท่านมาไว้เปนที่อุปถัมภ์นั้น จะคิดทำการสิ่งใดก็สำเร็จ แล้วก็ได้มีบ้านเมืองอยู่เปนสุขตามวาสนาของตัว บัดนี้ได้ตัวท่านมาไว้เปนที่ทำนุบำรุงแล้ว เห็นว่าการใหญ่หลวงก็สำเร็จโดยง่ายด้วยกำลังความคิดของท่าน เหตุไฉนเล่าปี่จึงได้ความเดือดร้อนยิ่งกว่าแต่ก่อนอีกเล่า เที่ยวหนีโจโฉซุกซ่อนอยู่เหมือนหนูหนีจั่น แต่แผ่นดินสักเท่าใบพุทราก็ไม่มีที่จะอยู่ นี่แลหรือเล่าปี่ได้อาศรัยความคิดของท่านทำนุบำรุงช่วยอุปถัมภ์ แลคนทั้งปวงมาสรรเสริญว่าท่านมีปัญญาเหมือนขวันต๋งงักเยนั้นหาสมไม่ ซึ่งเราว่าทั้งนี้ตามความจริงท่านอย่าน้อยใจเลย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้น จึงเอามือปิดปากหัวเราะแล้วตอบว่า ธรรมดาผู้มีปัญญาอันพิสดาร แม้จะคิดการสิ่งใดก็ลึกซึ้ง ผู้มีปัญญาน้อยหาหยั่งรู้ถึงตลอดไม่ อุปมาเหมือนพระยาครุฑ แม้จะไปทิศใดก็ย่อมบินโดยอากาศอันสูงสุดสายเมฆ มิได้บินต่ำเหมือนสกุณชาติซึ่งมีกำลังน้อย อันผู้มีสติปัญญาน้อยนั้น ก็เหมือนนกทั้งปวงที่มีกำลังอันน้อย มิอาจบินสูงเสมอพระยาครุฑได้ อนึ่งซึ่งคิดทำการใหญ่หลวง แลจะรีบรัดให้สำเร็จโดยเร็วนั้นจะได้หรือ อุปมาเหมือนคนไข้หนัก หมอผู้พยาบาลก็แจ้งอยู่ว่า โรคนั้นจะบันเทาด้วยยาทุเลา ครั้นจะประกอบยาให้กล้า กำลังคนไข้น้อย จะสู้กำลังยามิได้ จำจะค่อยวางยาทุเลาให้ผ่อนไปแต่วันละเวลา พยายามไปกว่าคนไข้จะถืออาหารได้มากมีกำลังแล้ว หมอก็จะประกอบยาให้มีภาษีขึ้นไปกว่าเก่า โรคนั้นก็จะหาย แลเมื่อครั้งเล่าปี่นายเราเสียทีแก่โจโฉออกจากเมืองยีหลำมาอยู่ ณ เมืองซิ นเอี๋ยพึ่งเล่าเปียวนั้นเล่า ก็มีทหารเอกแต่กวนอูเตียวหุยจูล่งสามคนนี้ มีทหารเลวก็ไม่ถึงพัน เหมือนหนึ่งคนไข้หนัก อันมาอยู่เมืองซินเอี๋ยนั้น ใช่จะปราถนาตั้งตัวเปนใหญ่อยู่ที่นั้นก็หาไม่ เปนจำใจอยู่เพราะหาที่อาศรัยมิได้ อนึ่งก็เปนเมืองบ้านนอก ผู้คนก็เบาบาง เข้าปลาอาหารก็น้อย แล้วก็มิได้ตั้งใจจัดแจงบ้านเมือง ถึงมาทว่ากระนั้นก็ดี เราก็ได้เผาทหารโจโฉเสียที่ทุ่งพกบ๋องก็ครั้งหนึ่ง ที่แม่น้ำแปะโหเราก็ได้ไขน้ำให้ท่วมทหารโจโฉตายเปนอันมาก ซึ่งท่านว่าขวันต๋งงักเยดีนั้นก็ยังหาปรากฎว่าได้ทำกลอุบายในการสงคราม เหมือนเราไม่ ถึงว่าโจโฉได้เมืองซงหยงบัดนี้ก็เพราะเล่าจ๋องเอาไปลอบยกให้ ฝ่ายเล่าปี่นายเราก็มิรู้เห็น ขณะนั้นแม้นายเรามิรักความสัตย์ จะคิดอ่านชิงเอาเมืองเกงจิ๋วก็จะได้ ที่ไหนจะได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้ เพราะมีน้ำใจซื่อตรงมิได้คิดเบียดเบียฬแก่แซ่เดียวกัน จึงได้ความระหกระเหิน แล้วเปนห่วงอาณาประชาราษฎรทั้งสองเมืองติดตามมา จะทิ้งเสียหนีเอาตัวรอดก็มิได้ โจโฉจึงตามมาทันเข้าจึงได้ความลำบากมาอยู่เมืองกังแฮ อันซึ่งน้อยสู้มากมิได้นั้น ก็เปนประเวณีการแพ้แลชนะในสงคราม ใช่จะมีแต่นายเราก็หาไม่ เมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจทำศึก ก็ยังแพ้แก่พระเจ้าฌ้อปาอ๋องเปนหลายครั้ง มาภายหลังเอาชัยชนะได้ พระเจ้าฮั่นโกโจก็ได้เปนกษัตริย์อันประเสริฐ เนื้อความทั้งนี้ท่านก็ย่อมจะรู้อยู่ แลท่านนี้ดีแต่จะพูดลบหลู่ผู้อื่น ยกยอตัวว่าดี แม้การมาถึงตัวกลัวจะทำไม่ได้เหมือนปากว่า การร้อยสิ่งจะให้ทำแต่สักสิ่งเดียวก็จะไม่ได้อีก นานไปเบื้องหน้าจะได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวงอยู่ เตียวเจียวได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็นิ่งมิได้ว่าประการใด
ขณะนั้นยีหวนเห็นเตียวเจียวนิ่งอยู่จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้โจโฉยกทหารมาร้อยหมื่น ดุจหนึ่งจะมาเหยียบเมืองกังแฮให้จมเสียในมหาสมุทร ท่านจะคิดอ่านป้องกันประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่าแก่ยีหวนว่า โจโฉยกมาครั้งนี้ท่านกลัวหรือ เราหาวิตกไม่ ถึงมาทว่าโจโฉมีทหารร้อยหมื่นก็จริง แต่ว่าเปนทหารอ้วนเสี้ยวชาวบ้านนอกได้ชเลยมาไว้ ถึงทหารเล่าเปียวเล่า โจโฉได้ก็เปนคนสำส่อน จะปรารมภ์อะไร ยีหวนหัวเราะแล้วว่า เจรจาอย่างนี้เหมือนจะยกตัว ซึ่งท่านแตกหนีมาทั้งนี้มิเพราะทหารสำส่อนหรือ จึงตกมาอยู่เมืองกังแฮ เที่ยวอ้อนวอนให้เขาช่วย ยังเจรจาว่ามิกลัวอีกเล่าใครจะเชื่อ
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราแตกมาทั้งนี้ก็เพราะเล่าปี่นายเรามีทหารแต่สามพันน้อยกว่าน้อยนัก จึงผ่อนผันหนีมาหลบอยู่เมืองกังแฮ ใช่จะกลัวฝีมือโจโฉทีเดียวก็หาไม่ ยังจะคิดทำการสืบไปอยู่ อันเมืองกังตั๋งนี้ผู้คนก็มาก ทหารก็พรักพร้อม เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ แล้วทะเลก็คั่นอยู่คับขันมั่นคงกว่าเมืองซินเอี๋ยอีก เหตุใดจึงคิดอ่านกันแต่จะให้นายของตัวไปอ่อนน้อมโจโฉเล่า หามีความละอายไม่ ที่ว่านายเรากลัวโจโฉนั้น เมื่อพิเคราะห์ดูก็เห็นประหนึ่งจะกลัวน้อยกว่าท่านอีก ยีหวนก็จนใจมิได้ตอบประการใด
โปเจ๋าเห็นยีหวนนิ่งอยู่จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ท่านนี้ได้เรียนพูดมาแต่สำนักโซจิ๋นเตียวยี่หรือ[๒] ท่านมาว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะเกลี้ยกล่อมชาวเมืองกังตั๋งให้ปลงใจหรือ ขงเบ้งจึงว่า ท่านรู้แต่ว่าโซจิ๋นเตียวยี่เปนคนช่างพูด อันสติปัญญาความคิดของโซจิ๋นเตียวยี่นั้น จะคิดอ่านกว้างขวางประการใดท่านหารู้ไม่ ท่านเจรจาดังนี้เหมือนคนครึ่งคน เพราะว่ารู้ไม่ตลอด ด้วยโซจิ๋นนี้ได้เปนอุปราชถึงแปดเมือง เตียวยี่เล่าก็ได้เปนอุปราชถึงสองแผ่นดิน คนทั้งสองนี้มีปัญญาอันสามารถ ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้ราบคาบด้วย อนึ่งก็แกล้วกล้าในการสงคราม แลท่านมานินทาว่าเปนคนช่างพูดนั้นหาควรไม่ อันตัวท่านได้ยินแต่ข่าวโจโฉเท่านี้ยังกลัวตัวสั่นอยู่ ปลอบให้นายออกไปหาข้าศึกไม่วายปาก รื้อยังจะมาติเตียนท่านผู้อื่นเล่า โปเจ๋าได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่
ซีหองจึงลุกขึ้นถามขงเบ้งว่า โจโฉนั้นเปนผู้ใดท่านแจ้งหรือไม่ ขงเบ้งจึงว่า โจโฉนั้นเปนศัตรูพระเจ้าเหี้ยนเต้ ใครๆ ก็แจ้งอยู่สิ้น เหตุใดท่านจึงมาถามดังนี้ ซีหองจึงว่า ตั้งแต่พระเจ้าฮั่นโกโจได้เสวยราชสมบัติแผ่นดินเปนสุขมาช้านาน บัดนี้ถึงกำหนดแผ่นดินเปนจลาจลโจโฉก็ปราบปรามขอบขัณฑเสมาให้อยู่ในอำนาจของ ตัวได้ถึงสองส่วนแล้ว เล่าปี่นายท่านมิได้รู้จักลักษณการ ควรหรือจะคิดต่อสู้โจโฉนั้น เหมือนเอาไข่ไปกระทบหินก็จะเปนอันตรายไปเอง ขงเบ้งจึงว่าท่านว่าฉนี้มิชอบ อันเล่าปี่นายเราคิดอ่านทำการทั้งนี้ เพราะมีความกตัญญูต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เห็นว่าโจโฉเปนศัตรูแผ่นดิน จึงเจ็บร้อนเพื่อจะสนองคุณเจ้า แลตัวท่านก็เปนข้าแผ่นดินอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่มีความภักดีต่อเจ้า กลับเห็นชอบด้วยศัตรูแผ่นดินหามีกตัญญูไม่ จะมาถือเอาว่าการแผ่นดินจะสาบสูญนั้นจะได้หรือ คำข้อนี้ท่านอย่าเจรจาต่อไปเลยเราไม่ขอได้ยิน ซีหองได้ฟังดังนั้นก็อดสูใจอ้าปากมิออก
ลกเจ๊กจึงลุกขึ้นถามขงเบ้งว่า อันโจโฉนี้มาทว่าทำหยาบช้า แอบรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้แผ่นดินเดือน ร้อนก็จริง แต่ว่าโจโฉนี้เปนเชื้อสายของโจฉำผู้เปนอุปราชมาแต่แผ่นดินก่อน อันเล่าปี่นี้ว่าเปนเชื้อกษัตริย์กระเสนกระสายพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเราไม่ รู้ แจ้งแต่ว่าตระกูลของเล่าปี่นั้นเปนคนอนาถา ตัวเล่าปี่เล่าก็เปนแต่คนทอเสื่อขาย ควรหรือจะมาองค์อาจไม่คิดเจียมตัว แลจะต่อสู้โจโฉนั้นเราไม่เห็นด้วย
ขงเบ้งจึงว่า ท่านนี้หรือชื่อว่าลกเจ๊ก เมื่อยังเปนเด็กอยู่นั้นลักส้มเขาเอาไปให้แก่มารดา นั่งลงเถิดเราจะเจรจาด้วย ซึ่งท่านนับถือโจโฉว่าเปนเชื้อสายของโจฉำก็จริง แต่โจฉำนั้นเปนคนกตัญญูสัตย์ซื่อต่อเจ้าปรากฎมาแต่ก่อน อันโจโฉนี้เปนคนเสียชาติเสียตระกูล มิได้ประพฤติตามประเพณีปู่ย่าตายาย ทำให้ผิดจากตระกูลของตัว ซึ่งจะนับถือว่าดีนั้นก็แต่คนพาลเหมือนหนึ่งท่าน อันเล่าปี่นายเรานั้น ก็เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ก็ทำนุบำรุงให้ยศฐานาศักดิ์ คนทั้งปวงก็รู้อยู่ เหตุไฉนท่านจึงว่าเปนคนอนาถา ถึงมาทว่าเปนคนทอเสื่อขายเกือกก็ดี อันนี้ประเพณีเปนที่ทำมาหากินจะอับอายเปนกะไรนักหนา ฝ่ายพระเจ้าฮั่นโกโจนั้นเล่าก็มิใช่เปนเชื้อพระวงศ์มา แต่ก่อนก็เปนแต่พันนายบ้าน แต่กอปไปด้วยความเพียรก็ได้เปนกษัตริย์อันใหญ่ จึงได้สืบพระราชวงศ์เสวยราชสมบัติมาตราบเท่าทุกวันนี้ ท่านจะมาประมาทเล่าปี่นายเรานั้นหาควรไม่ ตัวท่านเปนเด็กยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม จะมาอวดรู้กว่าผู้ใหญ่นั้นอย่าเจรจาสืบไปเลย ลกเจ๊กฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็นิ่งอยู่
เหยียมจุ้นได้ยินขงเบ้งว่าดังนั้นจึงว่า ขงเบ้งเจรจาเปนโวหารอันจะพูดจาด้วยฉนี้มิได้ จำจะเอาถ้อยคำซึ่งมีไว้ในกฎหมายมาเจรจาด้วยจึงจะได้ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ค้นเอาถ้อยคำอันคนโบราณตกแต่งไว้ไพเราะอยู่แล้วมาเจรจานั้นหา มีใครนับถือไม่ ด้วยเปนคนลอกกากตำรา ถ้าท่านดีมีปัญญาก็จะผ่อนผันด้วยความคิดของตัว ถึงจะทำการณรงค์สงครามก็อาศรัยปัญญาเปนปัจจุบัน จึงจะแก้ไขเอาชัยชนะได้ ซึ่งท่านผู้มีสติปัญญาแต่ก่อนได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินนั้น ใช่จะเอาตำรามากางดูก็หาไม่ อันตัวท่านเหล่านี้ก็ดีแต่มีกระดาษกับพู่กรรณตกแต่งถ้อยคำพูดเล่นตามสบาย
เทียตกจึงร้องเข้ามาว่า ขงเบ้งนี้พูดใหญ่หลวงนัก เรากลัวแต่จะไม่เหมือนปากว่า นานไปเบื้องหน้าจะกลับให้เราที่เปนคนเอาการมิได้นี้หัวเราะเย้ยเล่นอีก ขงเบ้งจึงว่า อันลักษณะคนเอาการมิได้นั้นมีสองประการ อันคนเอาการมิได้ที่ดีนั้น ก็ย่อมประกอบด้วยความอุตส่าห์กระทำการสนองคุณเจ้าโดยสุจริตตามสติปัญญา แล้วก็มัธยัสถ์เจียมตัวมิได้ลบหลู่ผู้อื่น ซึ่งเอาการมิได้ที่ชั่วนั้น ก็เจรจาโจกเจกเล่น การสักสิ่งหนึ่งก็ทำมิเปน คนจำพวกนี้ก็ได้ชื่อว่าชั่วนัก ซึ่งท่านจะเก็บเอาคำคนโบราณมาเจรจาด้วยเรานั้นจะโยชน์อันใด เราหาต้องการไม่ ที่ปรึกษาทั้งปวงเห็นขงเบ้งตอบถ้อยคำมิได้เพลี่ยงพล้ำแก่ผู้ใด ต่างคนต่างก็แลดูตากันแล้วก็นิ่งอยู่
อุยกายจึงร้องเข้าไปว่า คนทั้งปวงนี้หาอัชฌาสัยไม่ จะมาทุ่งเถียงกับขงเบ้งผู้มีสติปัญญาจะประสงค์อันใด โจโฉยกกองทัพมาจะทำร้ายแก่บ้านเมือง ไม่ช่วยกันคิดอ่านป้องกันภัยเล่า มาชวนกันรุมว่าแก่ขงเบ้งผู้เปนแขกเมืองมานี้ควรแล้วหรือ แล้วจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ข้าพเจ้าก็รู้อยู่ว่าท่านมีสติปัญญา เหตุใดท่านมิเอาถ้อยคำของท่านไปเจรจาด้วยนายข้าพเจ้า จะมาเจรจาด้วยคนทั้งปวงนี้จะต้องการอะไร ขงเบ้งจึงว่า คนทั้งปวงมิได้รู้จักลักษณะดีแลชั่ว ชวนกันมารุมถามเนื้อความจะให้เราจน ครั้นจะนิ่งเสียเล่าก็มิได้ จึงว่าตอบไปทั้งนี้
ขณะนั้นอุยกายกับโลซกจึงพาขงเบ้งเดิรเข้าไปจากที่ข้างนอก จะเข้าไปหาซุนกวนถึงประตูชั้นกลาง พอพบจูกัดกิ๋น ขงเบ้งก็คำนับตามประเพณี จูกัดกิ๋นจึงถามว่า น้องเรามาถึงเมืองกังตั๋งนี้แล้ว เหตุใดจึงมิไปหาพี่ ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยเล่าปี่ มาทั้งนี้เพราะจะเอาข้อราชการมาแจ้ง ครั้นจะไปหาพี่ก่อนเล่าก็จะเสียการไป ขอท่านอย่าได้ถือโทษข้าพเจ้าเลย จูกัดกิ๋นจึงว่า ถ้าดังนั้นจงเข้าไปหาซุนกวนเถิด แล้วจูกัดกิ๋นก็เดินออกมา โลซกจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ที่ข้าพเจ้าว่าไว้แก่ท่านอย่าลืม ขงเบ้งพยักเอาแล้วก็เข้าไปข้างใน
ซุนกวนแลเห็นโลซกอุยกายพาขงเบ้งเข้ามาดังนั้น ก็ลุกออกมารับขงเบ้งเข้าไป ให้นั่งที่ใกล้ในหว่างขุนนางทั้งปวง ขงเบ้งคำนับตามประเพณีแล้วจึงคิดว่า ซุนกวนนี้มีลักษณเข้มขัน จักษุก็แดงหนวดแดงเปนคนมีบุญ แต่ว่าน้ำใจจะดื้อดึง อันจะเจรจาสุภาพเห็นมิได้ ชอบแต่เจรจายุ แม้จะไต่ถามถึงเนื้อความโจโฉก็ว่าให้โกรธขึ้นจึงจะได้ ซุนกวนจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า เราได้ยินโลซกมาเจรจาสรรเสริญท่านว่ามีปัญญาความคิดปรากฎ วันนี้เราเห็นหน้าท่านมาก็เปนบุญ ท่านจงอนุเคราะห์ช่วยสั่งสอนสิ่งใดที่ชอบให้เราบ้าง
ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าก็มีสติปัญญาเปนประมาณ ซึ่งจะองค์อาจสั่งสอนท่านประการใดนั้นก็มิควร ซุนกวนจึงว่า เมื่อท่านอยู่กับเล่าปี่ ณ เมืองซินเอี๋ยนั้น ก็ได้ทำการรบพุ่งกับโจโฉเปนหลายครั้ง กิจการสิ่งใดในกองทัพโจโฉนั้นท่านย่อมแจ้งอยู่ ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าอยู่กับเล่าปี่ ณ เมืองซินเอี๋ยก็จริง แต่ว่าเมืองซินเอี๋ยเปนเมืองเล็ก ผู้คนก็น้อย ทั้งเข้าปลาอาหารก็เบาบาง อันจะสู้โจโฉนั้นก็ขัดสนอยู่ คนน้อยหรือจะสู้คนมากได้
ซุนกวนจึงถามว่า ทหารโจโฉนั้นจะมีมากน้อยสักเพียงใด ขงเบ้งจึงบอกว่า ทหารโจโฉยกมาครั้งนี้ทั้งทัพบกทัพเรือประมาณร้อยหมื่นเศษ ซุนกวนจึงว่า ซึ่งท่านบอกฉนี้ยังจะจริงหรือ ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าบอกแก่ท่านทั้งนี้จะได้เท็จหามิได้ แลเมื่อโจโฉแรกได้เมืองซุ่นจิ๋วหุนจิ๋วนั้นได้ทหารไว้ยี่สิบหมื่น ครั้นมารบอ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋ว ก็ได้ทหารเชลยอีกหกสิบหมื่น กลับมาอยู่เมืองฮูโต๋ยังเกลี้ยกล่อมได้ทหารอีกสี่สิบหมื่น แล้วยกมาตีเมืองเกงจิ๋วได้ทหารอีกสามสิบหมื่น เข้ากันเปนทหารร้อยห้าสิบหมื่น แลข้าพเจ้าบอกแต่ร้อยหมื่นเศษนี้ เพื่อจะเอาน้ำใจชาวเมืองกังตั๋ง ครั้นจะว่ามากนักกลัวทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจ โลซกยืนอยู่ใกล้ได้ยินขงเบ้งบอกดังนั้นก็แลดูตา ขงเบ้งก็แกล้งเมินเสียทำเปนไม่เห็น ซุนกวนจึงถามว่า ทหารโจโฉที่มีฝีมือเปนเอกนั้นจะมากสักเท่าใด ขงเบ้งจึงบอกว่ามีอยู่ประมาณสองพัน
ซุนกวนจึงว่า บัดนี้โจโฉเที่ยวปราบปรามมาจนได้เมืองเกงจิ๋วแล้วยังจะคิดกำเริบทำการต่อไป อีกหรือ ขงเบ้งจึงบอกว่า อันโจโฉนี้ที่จะไม่คิดอ่านทำการต่อไปนั้นท่านอย่าสงสัยเลย บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่าโจโฉให้ตระเตรียมทัพบกทัพเรือไว้ได้พร้อมแล้ว เห็นจะยกมาตีเมืองกังตั๋งเปนมั่นคง ซุนกวนจึงว่า ถ้าโจโฉยกทัพมาดังนั้นเราจะรบดีหรือว่าอย่ารบดี ขอปัญญาท่านช่วยผ่อนปรนให้ข้าพเจ้าแจ้งหน่อยหนึ่ง ขงเบ้งจึงว่า อันถามทั้งนี้ก็ขอบใจว่านับถือข้าพเจ้าอยู่แล้ว ครั้นจะบอกท่านโดยปัญญาคิดเห็นนั้น กลัวท่านจะมิเชื่อถือกระทำตามข้าพเจ้า
ซุนกวนจึงว่า ท่านอย่าแคลงใจเลย แม้ท่านบอกมาประการใด ถ้าเราเห็นด้วยก็จะทำตาม ขงเบ้งจึงว่า อันโจโฉแลเล่าปี่กับบิดาของท่านก็ได้ควบคุมทหารคิดอ่านจะทำการตั้งตัวเปน ใหญ่พร้อมกันมา แลบัดนี้โจโฉมีความเพียรเขม้นทำการปราบปรามบ้านเมือง ทั้งได้ทหารไว้เปนอันมากถึงเพียงนี้แล้ว ท่านจงประมาณใจดู ถ้าเห็นพอจะสู้โจโฉได้ก็ให้เร่งจัดแจงบ้านเมืองซ่องสุมทหารให้พร้อมมูลไว้ ถ้าเห็นสู้มิได้ก็จงผ่อนผันกระทำตามคนทั้งปวงปรึกษา ซึ่งจะให้ถอดเกราะทิ้งทวนเสียเข้าไปคำนับโจโฉนั้นก็ตามเถิด ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่
ขงเบ้งจึงว่า อันการภายนอกท่านปรึกษาคิดว่าจะไปนบนอบโจโฉตามประเพณี ฝ่ายการภายในท่านมีความรังเกียจอยู่ว่า จะเอาบ้านเมืองไปยกให้อ่อนน้อมแก่โจโฉนั้นจะได้ความอัปยศไปภายหน้า เนื้อความทั้งสองประการนี้ขัดข้องอยู่ในอารมณ์ท่าน ยังหาตกลงข้างไหนไม่ แม้ท่านจะมิตรึกตรองคิดอ่านให้ตกลงข้างไหน แต่จะรวนเรอยู่ฉนี้ ดีร้ายนานไปข้างหน้าภัยก็จะมาถึงตัวหาทันรู้ไม่
ซุนกวนจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่เล่าปี่นายของท่านต่อสู้โจโฉมิได้เหตุใดมิไปคำนับโจโฉเล่า ขงเบ้งจึงว่า นายข้าพเจ้าก็เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลคนทั้งปวงก็ยกย่องว่ามีสติปัญญาอยู่ ถึงมาทว่าจะสู้โจมิได้ก็ดี ซึ่งจะไปอ่อนน้อมนั้นอย่าพึงนึกเลยกลัวจะเปนที่ติเตียนไปภายหน้า อดสูแก่คนทั้งปวง สำมะหาแต่เตียนหองซึ่งเปนทหารเลวของพระเจ้าเจฮวนก๋ง[๓] ยังมีความมานะมิได้ย่อท้อต่อข้าศึกสู้ตายในสงคราม อันเล่าปี่นายข้าพเจ้าเปนถึงเพียงนี้หรือจะไม่มีความอาย ซึ่งจะอ่อนน้อมแก่โจโฉนั้นหามิได้แล้ว ผิดก็จะสู้ตายให้ปรากฎไว้
ซุนกวนได้ยินขงเบ้งว่าดังนั้น ก็เจ็บใจโกรธลุกขึ้นเดิรเข้าไปเสียข้างใน ที่ปรึกษาทั้งปวงเห็นซุนกวนโกรธลุกขึ้นไปดังนั้น ก็ชวนกันหัวเราะเยาะขงเบ้ง โลซกจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ท่านเจรจาหยาบช้าฉนี้หาควรไม่ นี่หากว่านายเรามีน้ำใจมั่นคงจึงมิได้เอาโทษแก่ท่าน ขงเบ้งหัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งเราว่ากล่าวทั้งนี้ ปราถนาจะใคร่แจ้งว่านายท่านจะรู้จักคนดีแลชั่วหรือไม่ เมื่อมิได้พิเคราะห์ให้ตระหนักก่อนมาด่วนโกรธฉนี้ก็จนใจ อันอุบายซึ่งจะกำจัดโจโฉเสียนั้นเราก็คิดได้อยู่ แต่ว่ามิได้ไต่ถามก็มิรู้ที่จะเจรจาต่อไป โลซกจึงว่า ถ้าท่านว่ามั่นคงดังนั้น เราก็จะเข้าไปแจ้งแก่นายเราให้กลับออกมาเจรจาด้วยท่าน
ขงเบ้งจึงว่า อันทหารโจโฉนั้นถึงมากก็เหมือนมด ถ้าจะบีบเสียด้วยอุบายก็จะได้โดยง่าย โลซกได้ฟังดังนั้นก็เข้าไปหาซุนกวนข้างใน ซุนกวนโกรธขงเบ้งเปนกำลังอยู่มิสงบ พอเห็นโลซกเข้าไปจึงว่า ขงเบ้งนี้เจรจาหยาบช้าต่อเรานักหนา ไม่มีความเกรงใจเลย โลซกจึงว่า ซึ่งขงเบ้งเจรจาผิดนั้น เมื่อท่านกลับเข้ามาแล้ว อยู่ภายหลังข้าพเจ้าก็ได้ต่อว่า ขงเบ้งกลับหัวเราะเยาะข้าพเจ้าเสียอีก ว่านายท่านหารู้จักคนดีแลชั่วไม่ อันการซึ่งจะคิดกำจัดโจโฉนั้นง่ายเหมือนหนึ่งพลิกมือ เราก็คิดได้อยู่ ขงเบ้งว่าฉนี้ขอให้ท่านกลับออกไปเจรจาด้วย ฟังแยบคายดูอีกครั้งหนึ่งก่อน
ซุนกวนได้แจ้งดังนั้นก็หายโกรธจึงว่า ขงเบ้งว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะสั่งสอน แต่หากว่าใจเราหุนหันโกรธจะให้เสียการเสียเอง แล้วซุนกวนกลับออกมาจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า เมื่อกี้เรามิทันคิด มาถือโกรธท่านกลับเข้าไปนั้นเราขออภัยเถิด ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าได้ประมาทเจรจาพลั้งไปให้ท่านเคืองนั้น โทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่อย่าถือเลย ซุนกวนจึงพาขงเบ้งเข้าไปข้างในให้พ้นขุนนางทั้งปวง ให้แต่งโต๊ะเชิญขงเบ้งกินจึงถามว่า โจโฉนี้มีความเดียดฉันคิดร้ายลิโป้เล่าเปียวอ้วนเสี้ยวอ้วนสุดแลเล่าปี่กับ เรา แต่คนทั้งปวงนั้นโจโฉก็กำจัดเสียได้สิ้นแล้ว ยังแต่เล่าปี่กับเรา แลนายท่านก็พึ่งตั้งตัวใหม่ ทหารก็น้อยจึงเสียทีแก่โจโฉ ฝ่ายเราก็คิดจะรักษาเมืองกังตั๋งไว้มิให้ตกไปอยู่ในบังคับโจโฉ แต่บัดนี้มิรู้ที่จะป้องกันประการใดเลยจนใจอยู่
ขงเบ้งจึงว่า ท่านจะคิดป้องกันโจโฉแต่ลำพังนั้นก็ได้ดอกแต่มิสู้ดี ข้าพเจ้านี้คิดว่าเล่าปี่นายข้าพเจ้าแตกโจโฉมาก็จริง แต่ยังมีทหารให้กวนอูคุมอยู่นั้นหมื่นหนึ่ง ฝ่ายเล่ากี๋ผู้หลานก็มีทหารที่มีฝีมือเข้มแขงหมื่นหนึ่ง ขอให้ท่านกับเล่าปี่เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รวมทหารทั้งสองฝ่ายเข้าช่วยกันคิดอ่านทำการกำจัดโจโฉเห็นจะได้ ด้วยทหารโจโฉเปนชาวดอน ถึงชาวเมืองเกงจิ๋วซึ่งชำนาญเรือนั้นเล่าก็เปนคนจำใจ จะทำการก็มิเต็มมือ เห็นจะสู้กันได้ก็ครั้งนี้ ให้ท่านเร่งตรึกตรองดูเถิด ถ้าเราชนะก็จะได้เมืองเกงจิ๋วไว้เปนกำลัง ซุนกวนมีความยินดีจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็เห็นว่าเมตตาเราจริง ดุจจูงมือเราออกมาจากที่มืดมาสู่ที่สว่าง อันอุบายของท่านบอกให้ประการใดนั้นเราก็จะทำตามทุกประการ เรากับเล่าปี่ก็จะเปนน้ำหนึ่งใจเดียวกันกำจัดโจโฉเสียให้ได้ แล้วจึงให้โลซกไปบอกแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้เราจะจัดแจงกองทัพไว้ให้พร้อม ถ้าโจโฉยกมาก็จะต่อสู้แล้วก็ให้โลซกเชิญของเบ้งออกไปอยู่ที่สำนัก
ฝ่ายเตียวเจียวแจ้งว่าซุนกวนจะให้ตระเตรียมทหารทั้งปวงคิดทำการต่อสู้ ด้วยโจโฉดังนั้น จึงปรึกษากับที่ปรึกษาทั้งปวงว่านายเราบัดนี้เห็นจะหลงด้วยถ้อยคำขงเบ้งเปน มั่นคงอยู่แล้ว จึงพากันเข้าไปหาซุนกวนแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงทราบว่าท่านจะคิดอ่านทำการต่อสู้ด้วยโจโฉครั้งนี้ก็มีความ วิตกนัก ขอให้ท่านตรึกตรองดูก่อน อันตัวท่านกับอ้วนเสี้ยวนั้นยังจะเปรียบกันได้หรือ ด้วยเมื่อครั้งก่อนโจโฉยังมีทหารน้อย ยังอาจสามารถกำจัดอ้วนเสี้ยวเอาชัยชนะได้ ครั้งนี้โจโฉมีทหารถึงร้อยหมื่น ยกมาประดุจหนึ่งแผ่นดินจะถล่ม ควรแล้วหรือจะองค์อาจต่อสู้ด้วยโจโฉ ดุจแมลงหวี่อันจะต่อสู้ด้วยช้างสาร เหมือนแบกเอาฟางไปทุ่มเข้าที่กองเพลิง ก็จะเปนอันตรายเพราะท่านเชื่อฟังคำขงเบ้ง
ขณะนั้นโกะหยงจึงว่า เล่าปี่สู้โจโฉมิได้หนีมาจะคิดเกลี้ยกล่อมขอยืมทหารในเมืองกังตั๋งไปต่อสู้ ด้วยโจโฉ เหตุไฉนจึงมาเชื่อถ้อยฟังคำขงเบ้งฉนี้ ท่านจงตรึกตรองดูตามถ้อยคำเตียวเจียวก่อน
ซุนกวนได้ยินที่ปรึกษาทั้งปวงว่าดังนั้น ก็มิรู้แห่งที่จะว่าประการใด นิ่งอ้ำอึ้งอยู่ เตียวเจียวกับที่ปรึกษาทั้งปวงเห็นซุนกวนนิ่งอยู่ ก็อำลาพากันออกมา โลซกจึงเข้าไปหาซุนกวนว่า เมื่อกี้ที่ปรึกษาทั้งปวงกับเตียวเจียวเข้ามาทัดทานห้ามท่านมิให้คิดอ่าน ต่อสู้ หวังจะให้ท่านไปอ่อนน้อมแก่โจโฉนั้น ปราถนาเพื่อจะรักษาครอบครัวของตัวเอาความสุขหาเจ็บร้อนด้วยท่านไม่ ดีแต่จะเรียกลมให้เรือเสีย ขอท่านอย่าได้เชื่อถือถ้อยคำคนทั้งปวงเลย ซุนกวนได้ฟังโลซกว่าก็นิ่งอยู่ โลซกจึงว่า ซึ่งท่านจะเชื่อถือคนทั้งปวงนั้น นานไปจะได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก
ขณะนั้นขุนนางทั้งปวงซึ่งเปนฝ่ายทหารนั้นก็เห็นด้วยโลซก มิยอมจะให้ไปคำนับ บ้างก็ว่าแก่ซุนกวนจะให้ต่อสู้ ซึ่งเปนพลเรือนนั้นจะให้ไปคำนับโจโฉ แต่ขืนกันอยู่ฉนี้ก็หาตกลงข้างไหนไม่ ซุนกวนจึงว่าแก่โลซกแลคนทั้งปวงว่า ท่านจงกลับออกไปก่อนเถิด เราจะตรึกตรองดูก่อน แล้วซุนกวนก็ลุกเข้าไปข้างใน ขุนนางทั้งปวงก็กลับออกมา
[๑] อาจารย์ขวันต๋งงักเยอยู่ในเรื่องเลียดก๊ก
[๒] อยู่ในเรื่องเลียดก๊ก
[๓] อยู่ในเรื่องเลียดก๊ก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 38
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgncTFIN0s2SlZweUU/view?resourcekey=0-vckDbUs0dsbpQF1Wa6di3A
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #8 on:
22 December 2021, 20:47:08 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 39
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-39.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 39
เนื้อหา
จิวยี่เจรจากับโลซกและขงเบ้ง
จิวยี่รับอาสาซุนกวน
จิวยี่เกลี้ยกล่อมขงเบ้ง
จิวยี่คิดฆ่าขงเบ้ง
จิวยี่ให้เชิญเล่าปี่มากินโต๊ะ
จิวยี่ให้ฆ่าคนถือหนังสือของโจโฉ
ฝ่าย ซุนกวนเข้าไปข้างในมีความวิตกนัก มิได้เปนกินเปนนอน ให้กระสับกระส่ายอยู่ นางงอก๊กไถ้ซึ่งเปนแม่น้าจึงถามว่า แต่ก่อนมาเรามิได้เห็นที่จะกระวนกระวาย แลบัดนี้เหตุผลประการใดจึงมิได้เปนกินเปนนอน ซุนกวนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าทุกข์ร้อนทั้งนี้เพราะรู้ข่าวว่าโจโฉยกกองทัพมาตั้งอยู่ชายทเล จะมาทำร้ายแก่เมืองเรา ข้าพเจ้าปรึกษาด้วยคนทั้งปวงก็มิได้พร้อมกัน ปรึกษาแก่งแย่งกันอยู่ บ้างจะให้ไปอ่อนน้อมแก่โจโฉนั้นก็มี ที่จะให้ต่อสู้นั้นก็มี ข้าพเจ้ามิรู้แห่งที่จะคิดเลย ครั้นจะต่อสู้โจโฉเล่า ทหารเราก็น้อยเห็นจะสู้มิได้ ครั้นจะออกไปอ่อนน้อมก็มิไว้ใจ ความสองประการนี้ข้าพเจ้าคิดมิตก จึงไม่มีความสบาย
งอก๊กไถ้จึงว่า เมื่อพี่เจ้าจะถึงแก่ความตายนั้นได้สั่งไว้ว่า การสิ่งใดข้างในมิสำเร็จก็ให้ปรึกษาไต่ถามเตียวเจียว การสิ่งใดข้างหน้ามิสำเร็จให้ถามจิวยี่ ความข้อนี้เจ้าลืมแล้วหรือ ซุนกวนได้ฟังนั้นก็รำลึกขึ้นได้สว่างหัวอก ดังว่านอนหลับตื่นขึ้น มีความยินดีหาที่สุดมิได้ จึงสั่งคนใช้ให้ไปหาจิวยี่ ณ เมืองกวนหยง คนใช้ยังมิทันไป พอจิวยี่รู้ว่าโจโฉยกกองทัพมาตั้งอยู่ชายทเลเมืองเกงจิ๋วจะมาตีเมืองกังตั๋ง ก็รีบมา
ฝ่ายโลซกแจ้งว่าจิวยี่มาถึงก็รีบไปหา แล้วแจ้งเนื้อความซึ่งซุนกวนปรึกษาหารือคิดอ่านจะต่อสู้ด้วยกองทัพโจโฉนั้น ทุกประการ จิวยี่จึงว่า การทั้งนี้ท่านอย่าวิตกเลย ไว้เปนธุระเราจะคิดอ่านกระทำการเอง ท่านจงรีบไปหาขงเบ้งมาให้พบเราหน่วยหนึ่งเถิด โลซกก็ขึ้นม้ารีบมาหาขงเบ้ง
ขณะนั้นเตียวเจียวกับโกะหยงเตียวเหียนโปจิดเข้ามาเยี่ยมจิวยี่คำนับกัน แล้ว เตียวเจียวจึงถามว่า ท่านไปทำการอยู่ ณ เมืองกวนหยงนั้นยังรู้ข่าวกิจราชการฉันใดบ้าง จิวยี่บอกว่าไม่รู้ เตียวเจียวจึงว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพมาตั้งอยู่ชายทเลเมืองเกงจิ๋ว ให้มีหนังสือมาเกลี้ยกล่อมซุนกวนนายเราจะให้ออกไปหาดังหนึ่งจะไม่คิดทำร้าย แต่เห็นว่าจะไม่สุจริต จะกลับทำร้ายเราเปนมั่นคง ข้าพเจ้าทั้งปวงได้ปรึกษาว่า จะให้ซุนกวนออกไปอ่อนน้อมตามประเพณี บัดนี้โลซกไปพาขงเบ้งมาว่ากล่าวนายเราจะให้ออกไปต่อสู้กับโจโฉ ทั้งโลซกก็เห็นชอบไปด้วย ข้าพเจ้าทั้งปวงมิเต็มใจ ด้วยเห็นว่าขงเบ้งคนนี้ผิดใจกันกับโจโฉ คิดอ่านจะตอบแทนแก้แค้นกันอยู่ จะเชื่อถือถ้อยคำนั้นมิได้ เนื้อความทั้งนี้ก็ยังมิตกลงกันคอยท่าท่านอยู่ บัดนี้ท่านมาถึงแล้วจงไปปรึกษาให้เห็นผิดแลชอบ
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ท่านทั้งปวงนี้ปรึกษาที่จะให้ออกไปคำนับโจโฉนั้น เห็นพร้อมกันแล้วหรือ เตียวเจียวจึงว่า ที่ปรึกษาทั้งปวงก็เห็นพร้อมกันสิ้น จิวยี่จึงว่า ที่จะไปคำนับโจโฉนั้นเราก็เห็นด้วย แต่ว่าเวลาวันนี้ท่านพากันกลับไปก่อนเถิด เวลาพรุ่งนี้เราจะไปหาซุนกวน จึงจะว่ากล่าวให้ตกลงกันทีเดียว ที่ปรึกษาทั้งปวงก็ลาไป เทียเภากับฮันต๋งอุยกายฝ่ายทหารทั้งปวงนั้นจึงเข้าไปหาจิวยี่คำนับแล้วบอก ว่า บัดนี้ท่านรู้หรือไม่ อันเมืองกังตั๋งนี้จะเปนของผู้อื่นแล้ว จิวยี่จึงตอบว่าเราหารู้ไม่ เทียเภาจึงบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้เปนข้าเก่าของบิดาซุนกวน มีความภักดีอุตส่าห์ติดตามมา สู้กระทำการรบพุ่งร้อยครั้งมิได้คิดแก่ชีวิต จนได้มาตั้งตัวอยู่ ณ เมืองกังตั๋ง แลบัดนี้นายเราเชื่อถือถ้อยคำที่ปรึกษาทั้งปวง จะเอาเมืองไปยกให้แก่โจโฉ หาความอายมิได้ ข้าพเจ้าทั้งนี้อดสูแก่ใจนักไม่เห็นด้วย ตัวท่านมาแล้ว ขอได้ว่ากล่าวแก่ซุนกวนอย่าให้กระทำตามถ้อยคำคนเหล่านั้น จงแข็งเมืองไว้ ถึงมาทว่าโจโฉยกมา ข้าพเจ้าทั้งปวงจะเอาชีวิตเปนหัวหน้าสู้รบไปกว่าจะตาย
จิวยี่จึงถามว่า ท่านทั้งปวงนี้เห็นพร้อมด้วยกันแล้วหรือ อุยกายได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นเอามือชกสีสะแล้ว่า ถึงหัวจะขาดออกก็มิขอนบนอบโจโฉเลย ทหารทั้งปวงก็ร้องขึ้นพร้อมกันว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงก็เปนใจเดียวกันสิ้น จิวยี่จึงว่า ท่านทั้งปวงเห็นพร้อมกันดังนั้นเราก็เห็นด้วย แต่เวลานี้ท่านกลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้เราจะเข้าไปหาซุนกวน จึงจะว่าให้ตกลงกัน เทียเภาแลทหารทั้งปวงคำนับแล้วก็พากันออกไป
ครั้นเวลาเย็นโลซกก็พาขงเบ้งมาหาจิวยี่ ๆ ให้นั่งโดยสมควร โลซกจึงถามจิวยี่ว่า บัดนี้โจโฉคิดจะทำร้าย เราจะคำนับดีหรือจะทำประการใด ขอท่านว่าให้แจ้ง จิวยี่จึงว่า อันโจโฉทำการทั้งนี้ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนใหญ่ ครั้นจะขัดแข็งอยู่เล่า ก็เหมือนคิดคดต่อแผ่นดิน อนึ่งทหารโจโฉก็มาก ล้วนมีฝีมือเข้มแข็งนัก ฝ่ายเราก็น้อยตัวเห็นจะสู้โจโฉมิได้ ถ้าเราออกไปนบนอบโจโฉนั้นจะมีความสุข เราเห็นฉนี้เปนมั่นคง เวลาพรุ่งนี้จะเข้าไปว่าแก่ซุนกวนให้แต่งคนออกไปคำนับตามประเพณี โลซกได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าท่านเจรจาฉนี้ผิดนัก แลแผ่นดินเมืองกังตั๋งได้ว่าราชการสืบกันมาจนถึงสามชั่วคนแล้วก็มิได้อ่อน น้อมต่อผู้ใด ครั้งนี้ท่านจะให้ออกแก่โจโฉนั้นเห็นประการใด เมื่อซุนเซ็กจะถึงแก่ความตายนั้น ก็ได้สั่งไว้แก่ท่านให้ช่วยทำนุบำรุงซุนกวนผู้น้อง หวังว่าจะให้เมืองกังตั๋งมั่นคงเหมือนได้อิงภูเขา เหตุไฉนเมื่อการมาถึงแล้วท่านจะสลัดเสียมิได้ช่วยทำนุบำรุง จะพลอยตามถ้อยคำคนสอพลอดังนี้ จิวยี่จึงว่า เมืองกังตั๋งนี้มีหัวเมืองใหญ่ขึ้นถึงหกหัวเมือง ผู้คนทั้งปวงก็มากพร้อมมูล ถ้าเราจะลงใจให้ต่อสู้โจโฉบัดนี้ ก็เหมือนหนึ่งทำให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน จะมีความคระหาติเตียนแก่เราผู้เดียว เหตุฉนี้เราจึงให้ซุนกวนออกไปคำนับโจโฉ หวังจะให้อาณาประชาราษฎรมีความสุข
ขงเบ้งเห็นจิวยี่กับโลซกถุ้งเถียงกันมิได้ตกลงก็นั่งยิ้มฟังอยู่ จิวยี่จึงว่าท่านหัวเราะเยาะข้าพเจ้าหรือ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าหัวเราะทั้งนี้มิได้เยาะท่านกลั้นยิ้มโลซกมิได้ เพราะมิได้รู้จักลักษณผิดแลชอบ มีแต่ปากก็เถียงท่าน โลซกจึงว่าเหตุไฉนท่านจึงหัวเราะเยาะเราว่ามิได้รู้จักลักษณสิ่งใด ขงเบ้งจึงว่า อันจิวยี่ว่ากล่าวซึ่งจะไปนบนอบต่อโจโฉนั้นเราเห็นด้วย โลซกจึงว่า เหตุใดท่านจึงมาเจรจาดังนี้เล่า ขงเบ้งจึงว่า อันโจโฉนั้นมีปัญญาความคิดสุขุมนัก รู้จัดแจงทหารในการสงครามก็ชำนาญกว่าคนทั้งปวง แลอ้วนเสี้ยวอ้วนสุดนั้นมิได้รู้จักกำลังสงครามว่าหนักแลเบา องอาจถือว่าตัวดีต่อสู้โจโฉก็ถึงแก่อันตราย เล่าปี่นายเรานั้นก็ถือทิฏฐิมานะขืนต่อสู้โจโฉ ก็ได้ความเดือดร้อนจนพลัดมาอยู่เมืองกังแฮ อันจิวยี่เปนคนมีความคิด จะผ่อนผันให้ไปคำนับโจโฉ ประสงค์จะรักษาบุตรภรรยาแลอาณาประชาราษฎรให้เปนสุขนั้นเห็นควรอยู่ โลซกก็โกรธจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้เหมือนจูงมือเราไปให้คุกเข่าคำนับโจโฉอ้ายศัตรูแผ่นดินควร แล้วหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าโกรธเราเลย ซึ่งจะไปคำนับโจโฉนั้นเรามิให้ลำบาก จำเพาะแต่ตัวต้องข้ามน้ำข้ามทเลไปเจียวหรือ ถึงตัวท่านมิไปก็ได้เหมือนกัน ด้วยอุบายอันหนึ่งของเรา จะให้เอาแต่คนสองคนลงเรือลำหนึ่งข้ามไปหาโจโฉ ๆ ก็จะพาทหารร้อยหมื่นเลิกทัพกลับไปดอก จิวยี่จึงถามว่า ซึ่งท่านจะให้แต่คนสองคนข้ามไป ก็อาจสามารถจะให้โจโฉเลิกทัพไปนั้นฉันใดจงว่าให้แจ้งก่อน ขงเบ้งจึงบอกว่า เมื่อเรายังอยู่เขาโงลังกั๋งนั้น แจ้งว่าโจโฉให้ทำปราสาทไว้แห่งหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำเตียงโหเปนที่สบาย แล้วจัดเอาผู้หญิงที่รูปงามมาไว้เปนอันมาก ด้วยมีน้ำใจกำเริบในมาตุคามอยู่ แล้วรู้ว่านางเตียวก๊กโล่อยู่ ณ เมืองกังตั๋ง มีบุตรหญิงสองคนรูปร่างงามหาหญิงใดเสมอมิได้ โจโฉมีน้ำใจผูกพันอยู่ได้ว่าไว้ ว่าถ้ารบเมืองกังตั๋งได้แล้วจะรับเอาหญิงสองคนนี้ไปไว้เปนที่บำเรอของตัว ถึงมาทว่าจะตายไปก็มิได้พะวักพะวนน้ำใจ ซึ่งโจโฉยกทหารมาถึงร้อยหมื่นนี้ก็เพราะปราถนาหญิงสองคนเปนเค้ามูล แม้ท่านเอาทองร้อยตำลึงไปให้นางเตียวก๊กโล่ ซื้อเอาบุตรสองคนนั้นมาส่งให้แก่โจโฉสมเหมือนความปราถนาแล้ว โจโฉก็จะเลิกทัพกลับไปเปนมั่นคง ขอท่านได้คิดอ่านปรองดองกันกระทำตามถ้อยคำข้าพเจ้าว่านี้เถิด จิวยี่จึงว่า ซึ่งโจโฉมีความผูกพันหญิงสองคนนี้ เหตุไฉนจึงจะรู้แน่ ยังมีสิ่งใดเปนสำคัญอยู่บ้าง
ขงเบ้งจึงว่า อันโจโฉรักหญิงสองคนนี้ได้ผูกเปนโคลงไว้ ข้าพเจ้าจำได้เปนสำคัญอยู่ ขงเบ้งว่าโคลงนั้นให้จิวยี่ฟังเปนใจความว่า ปารัศว์ซ้ายขวาซึ่งเราทำไว้ชื่อว่าหยกหลงกับกิมฮอง ข้าจะกอดนางสองเกี้ยวไว้ทั้งซ้ายขวา ให้มีความสุขทุกเวลามิให้อนาทรเลย จิวยี่ได้ฟังออกชื่อนางสองเกี้ยวดังนั้นก็โกรธ ดังเอาเพลิงไปจุดเข้าในหัวใจ จึงลุกขึ้นชี้มือไปฝ่ายทิศเหนือตรงเมืองเกงจิ๋ว ว่าเหม่อ้ายศัตรูแผ่นดินเถ้า มึงโอหังเจรจาประมาทกูเล่น ขงเบ้งเห็นจิวยี่โกรธดังนั้นจึงลุกขึ้นทำเปนห้ามว่า เหตุใดแผ่นดินท่านมิรัก จะมารักหญิงสองคนนี้ประโยชน์อันใด
จิวยี่จึงว่า ท่านไม่รู้หรือนางไต้เกี้ยวผู้พี่นั้นเปนภรรยาซุนเซ็กนายเรา นางเสียวเกี้ยวผู้น้องก็เปนภรรยาของเรา โจโฉเจรจาหยาบช้าทั้งนี้เราจึงโกรธ ขงเบ้งทำเปนตกใจคำนับแล้วว่าข้าพเจ้าไม่รู้เลย ซึ่งได้ว่ากล่าวทั้งนี้ผิดนักหนา ขอท่านจงได้อดโทษเถิด จิวยี่จึงว่า อ้ายศัตรูเถ้าคนนี้ข้ามิขอเหยียบแผ่นดินร่วมเลย
ขงเบ้งจึงว่า ท่านอย่าทำการด้วยโทโส จงคิดอ่านผ่อนปรนให้จงดี อันจะวู่วามตามความโกรธนั้นภายหลังก็จะเสียการไป จิวยี่จึงว่าท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบใจอยู่ อันตัวเราก็ได้รับคำซุนเซ็กไว้แต่ก่อน ที่จะไปอ่อนน้อมโจโฉสู้ตายก็มิได้คำนับ เรามาแต่เมืองกวนหยงบัดนี้ก็คิดว่าจะมาจัดแจงการต่อสู้อยู่ แต่ว่ากำลังความคิดเราผู้เดียวเห็นจะมิสดวก ขอท่านได้อนุเคราะห์ช่วยทำนุบำรุงด้วย
ขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านหาความรังเกียจมิได้ จะให้ข้าพเจ้าช่วยก็พอจะได้อยู่ ผิดชอบประการใดไปภายหน้าก็จะช่วยตักเตือนตามสติปัญญา จิวยี่จึงว่า ท่านว่านี้ก็ดีแล้ว ถ้ากระนั้นเวลาพรุ่งนี้เราจะเข้าไปหาซุนกวนจะว่ากล่าวให้จัดแจงทหารให้พร้อม ยกไปกำจัดโจโฉให้ได้ ขงเบ้งกับโลซกได้ฟังดังนั้นแล้วก็คำนับลามาที่อยู่
ครั้นเวลาเช้าซุนกวนออกว่าราชการ ขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนอยู่พร้อมกัน จิวยี่เข้าไปคำนับแล้วจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าโจโฉยกกองทัพมาจะทำอันตรายแก่เมืองเรานั้น ท่านจะคิดประการใด ซุนกวนเห็นจิวยี่เข้ามาว่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงเอาหนังสือซึ่งโจโฉให้มานั้นส่งให้จิวยี่ดู จิวยี่คลี่หนังสือออกอ่านแล้วจึงว่า อ้ายศัตรูแผ่นดินเถ้านี้คิดว่าเมืองกังตั๋งหามีคนดีที่จะรู้เท่าไม่ หวังจะเกลี้ยกล่อมให้ตายใจ ซุนกวนได้ยินดังนั้นจึงถามว่า เนื้อความทั้งนี้ท่านเห็นประการใด จิวยี่จิงว่าท่านได้ปรึกษาคนทั้งปวงแล้วหรือ เขาเห็นพร้อมกันเปนประการใด
ซุนกวนจึงว่าปรึกษายังมิตกลง ที่จะให้เราไปคำนับก็ว่า จะให้ต่อสู้ก็ว่า ความสองประการนี้แก่งแย่งกันอยู่ จึงให้เชิญท่านมาบัดนี้ หวังจะให้ว่าลงให้ขาด จิวยี่จึงว่า ซึ่งปรึกษาจะให้ไปคำนับนั้นผู้ใด ซุนกวนจึงบอกชื่อให้ฟัง จิวยี่จึงถามเตียวเจียวว่า ซึ่งท่านจะให้ไปคำนับนั้นเห็นประการใดจงว่าให้แจ้งก่อน เตียวเจียวจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉมาปราบปรามบ้านเมืองทั้งนี้ ด้วยถือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนข้อใหญ่ อนึ่งโจโฉก็ได้เมืองเกงจิ๋วซ่องสุมผู้คนไว้เปนอันมาก เห็นมีกำลังใหญ่หลวงนักจะสู้มิได้ จึงจะให้ไปคำนับตามประเพณีก่อน ภายหลังจึงคิดอ่านผ่อนผันไปตามควร จิวยี่จึงว่า ท่านทั้งปวงมาชวนกันปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันฉนี้แต่ล้วนคนที่ไม่เอาการ แลเมืองกังตั๋งนี้มีเจ้าเมืองสืบกันมาถึงสามชั่วคนแล้วมิได้ไปคำนับแก่ผู้ใด เหตุไฉนครั้งนี้ท่านจึงมาปรึกษาจะให้ละประเพณีเสียเพื่อประโยชน์อันใด
ซุนกวนจึงว่า เมื่อคนทั้งปวงปรึกษาฉนี้ท่านไม่เห็นด้วยนั้นจะให้ทำประการใดเล่า จิวยี่จึงว่า อันโจโฉนี้เปนที่มหาอุปราชนั้น คือเปนศัตรูแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้อีก แลตัวท่านก็มีปัญญาความคิดตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต แลจะไปอ่อนน้อมแก่โจโฉอันเปนคนมิได้ตั้งอยู่ในความสัตย์นั้นจะควรหรือ อนึ่งเมืองกังตั๋งก็บริบูรณ์ด้วยเข้าปลาอาหาร ทั้งผู้คนก็พรักพร้อม ชอบแต่จะคิดกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียอีก อนึ่งโจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้ก็นานแล้ว ฝ่ายม้าเท้งแลหันซุยนั้นก็เปนอริเห็นจะระวังหลังอยู่ ประการหนึ่งทหารโจโฉก็เปนชาวดอนไม่สันทัดในทางเรือ ถึงจะยกมารบพุ่งก็หาถนัดไม่ แล้วก็เปนระดูแล้ง หญ้าแลฟางทั้งปวงก็เห็นไม่พอปากม้าที่จะกิน อันทหารทั้งปวงเล่าก็เปนชาวป่า จะกินอยู่ผิดสำแลงก็จะป่วยไข้เปนอันมาก กำลังก็จะน้อยลงทุกที ถึงจะทำการขับเคี่ยวไปก็เสียเปรียบเราอยู่ อันการศึกครั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้วิตกเลย จะขออาสาท่านยกไปตั้งอยู่ปากอ่าวเมืองกังแฮกำจัดเสียให้ได้
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงว่า ซึ่งท่านจะคิดสู้โจโฉนั้นก็เหมือนน้ำใจของข้า จิวยี่จึงตอบว่า อันตัวข้าพเจ้านี้ถึงมาทว่าจะตายในสงครามก็มิได้คิด ปรารมภ์ถึงท่านกลัวแต่จะไม่แน่นอน ซุนกวนจึงชักเอากระบี่ออกแล้วก็ฟันลงที่มุมโต๊ะประกาศเปนอาญาสิทธิ์ไว้ว่า ผู้ใดจะมาว่าให้เราไปคำนับโจโฉก็จะตัดสีสะเสีย ทำดังนั้นแล้วก็ยื่นกระบี่มอบให้แก่จิวยี่เปนแม่กองทัพหลวง ให้เทียเภาเปนปลัด ผู้ใดมิได้อยู่ในบังคับบัญชาก็ให้ตัดสีสะเสีย จิวยี่คำนับรับเอากระบี่แล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราได้อาญาสิทธิ์แล้ว ผู้ใดอย่าประมาทต่อหน้าที่ๆจะทำการรบพุ่งโจโฉครั้งนี้ จงไปพร้อมกันชายทเล ถ้าผู้ใดขาดช้าอยู่จะเกณฑ์เอาราชการมิทัน เราจะเอาโทษแก่ผู้นั้น ว่าแล้วก็ลาซุนกวนออกมา ครั้นมาถึงบ้านจึงให้หาขงเบ้งมาปรึกษาว่า บัดนี้นายเราก็ยอมที่จะต่อสู้ด้วยโจโฉแล้ว ขอท่านช่วยคิดอุบายที่จะทำการนั้นเถิด
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านจะให้เราช่วยคิดการนั้นก็จะเปนไรมี พอจะช่วยคิดตามสติปัญญาได้บ้างอยู่ แต่ทว่ายังมิวางใจเลย ด้วยเห็นอารมณ์นายท่านยังรวนเรนัก จิวยี่จึงว่า ท่านเห็นกระไรจึงว่าดังนี้ ขงเบ้งจึงว่า เราเห็นว่านายท่านรู้ข่าวว่าทหารโจโฉมาก ก็ปรารมภ์อยู่ว่าทหารตัวน้อยกลัวจะสู้มิได้ ขอท่านอย่าเพ่อวุ่นวายก่อน กลับเข้าไปพูดจาเอาเนื้อเอาใจนายท่านอย่าให้สดุ้งสะเทือน ให้มั่นคงแน่นอนแล้วเราจึงจะได้คิดการสดวก จิวยี่จึงว่า ท่านว่านี้ชอบอยู่ แล้วจิวยี่ก็กลับเข้าไปหาซุนกวน ๆ เห็นจึงถามว่า เวลาค่ำมืดป่านนี้ท่านเข้ามามีธุระสิ่งใดหรือ
จิวยี่จึงว่า ข้าพเจ้าจะกะเกณฑ์ทหารทั้งปวงนั้น ยังคิดแคลงใจอยู่หน่อยหนึ่ง จึงกลับเข้ามาหาท่านหวังจะใคร่รู้ว่า ท่านยังมีความวิตกสิ่งใดอยู่หรือว่าหามิได้แล้ว ซุนกวนจึงว่า ซึ่งท่านกลับมาถามเราทั้งนี้ดีอยู่แล้ว เราก็ยังมีความวิตกอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยโจโฉมีทหารมาก ฝ่ายเราน้อยตัวนักกลัวจะสู้มิได้จะเสียการไป
จิวยี่จึงว่า นี่แลข้าพเจ้ามาบัดนี้หวังจะชี้แจงให้ท่านเข้าใจ ด้วยโจโฉให้มีหนังสือมาว่ามีทหารถึงร้อยหมื่นนั้น ความข้อนี้หาจริงไม่ เปนกลอุบายฬ่อลวงดอก อันทหารโจโฉนั้นมีอยู่แต่สิบห้าสิบหกหมื่น ทั้งได้ทหารอ้วนเสี้ยวมาเปนชเลยด้วย ถึงว่าจะยกมาทำการก็จะวิตกไปไยแก่ทหารอ้วนเสี้ยวอันเปนคนจำใจ คิดแต่จะออกจากโจโฉอยู่ทุกเช้าค่ำ แม้จะทำการก็มิเต็มมือ อนึ่งทหารโจโฉก็มาทางไกลสารพัดจะขัดสน เราอยู่ใกล้สเบียงอาหารก็บริบูรณ์ทุกสิ่งหรือจะสู้มิได้ ถึงจะมากก็เหมือนน้อย ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาเอาทหารไปแต่ห้าหมื่น จะคิดทำการกำจัดโจโฉเสียให้ได้ ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ยกมือลูบหลังจิวยี่แล้วจึงว่า ซึ่งท่านชี้แจงให้เราสิ้นสงสัยบุญคุณนักหนา นี่หากว่าได้ท่านช่วยอุปถัมภ์ แต่เตียวเจียวหาเปนที่พึ่งได้ไม่ แต่นี้ไปเรามิได้มีความวิตกแล้ว ท่านกับเทียเภาโลซกจงเร่งจัดแจงทหารรีบยกไปเถิด ตัวเราจะยกทหารอุดหนุนไป ถ้าขัดสนประการใดจงให้คนรีบมาบอกเรา ตัวเราจะยกเข้าต่อสู้โจโฉเอง จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็คำนับแล้วลาออกมา จึงคิดว่าขงเบ้งนี้พูดจาหลักแหลมนัก ล่วงรู้น้ำใจนายเราไปก่อนเราอีกเล่า อนึ่งจะคิดการสิ่งใดก็ดูเหมือนจะข้ามสีสะเราเสียได้ ครั้นจะนิ่งไว้บัดนี้นานไปก็จะเปนศัตรู จำจะกำจัดเสียให้ได้ แล้วให้หาโลซกเข้ามาบอกความลับซึ่งจะคิดฆ่าขงเบ้งเสียนั้นให้ฟังทุกประการ
โลซกจึงว่า ท่านคิดนี้มิชอบ ด้วยโจโฉยกมาจะทำร้ายแก่เรายังกำจัดเสียมิได้ แลเมื่อท่านฆ่าขงเบ้งเสียแล้ว การสงครามจะติดพันไปเบื้องหน้า แต่ตัวท่านผู้เดียวหามีผู้จะช่วยคิดอ่านไม่จะมิหนักอกนักหรือ อันขงเบ้งนี้มีสติปัญญาพอจะช่วยท่านได้ อนึ่งจูกัดกิ๋นพี่ชายก็อยู่ในเมืองกังตั๋ง ถ้าให้ไปว่ากล่าวชักชวนเอามาไว้ทำราชการด้วยเราจะมิดีหรือ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย ครั้นเวลาเช้าจึงให้หาขุนนางเข้ามาพร้อมกันในที่ปรึกษา ขณะนั้นเทียเภามีความน้อยใจ ว่าตัวเราเปนผู้ใหญ่สูงอายุ จิวยี่เปนเด็กขึ้นนั่งที่สูง จะให้เราเปนผู้ใหญ่นี้น้อยหน้าไปนั่งปรึกษาราชการด้วยในที่ต่ำ ก็ให้บุตรมาแทนบอกว่าป่วยอยู่
จิวยี่จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า กองทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก อันเราจะคิดอ่านทำการนั้นจะโลเลมิได้ ท่านทั้งปวงจะทำการด้วยเรา ใครอย่าเกียจคร้านย่อหย่อน ถ้าผู้ใดมิเต็มใจเขม้นทำการเราก็จะตัดสีสะเสียตามพระอัยการศึก แล้วจิวยี่ก็ตั้งให้อุยกายฮันต๋งเปนกองหน้าคุมทหารลงเรือรบพร้อมไว้ จึ่งให้เจียวขิมจิวท่ายคุมทหารกองหนึ่ง ให้เล่งทองพัวเจี้ยงคุมทหารกองหนึ่ง ให้ไทสูจู้ลิบองคุมทหารกองหนึ่ง ให้ลกซุนตังสิดคุมทหารกองหนึ่ง ตั้งลิหองจูตีคุมทหารเปนกองสอดแนม
ครั้นจิวยี่จัดแจงนายทัพนายกองสำเร็จแล้วจึงสั่งว่า ท่านทั้งปวงจงเร่งไปตระเตรียมให้พร้อมมูลกัน ถ้าได้ฤกษ์แล้วเราจะยกกองทัพไปปากอ่าวเมืองสำกั๋ง นายทัพนายกองทั้งปวงก็คำนับลาออกมาจัดแจงทหารตระเตรียมไว้พร้อมตามคำจิวยี่ สั่ง
ฝ่ายเทียจู๋บุตรเทียเภา เห็นจิวยี่จัดแจงทหารทัพบกทัพเรือดังนั้น ก็เอาเนื้อความมาบอกเทียเภาผู้เปนบิดาทุกประการ เทียเภาได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจเอามือลูบอกเข้า ว่าจิวยี่นี้กูคิดว่าเปนเด็กมิได้รู้สิ่งใด กลับรู้ดีกว่าผู้ใหญ่อีกเล่า ทั้งมีสติปัญญาสามารถจัดแจงทหารวางกองทัพถูกที่ตามขบวรศึก สมควรที่จะเปนแม่ทัพหลวงได้ แลตัวกูมาคิดประมาทดังนี้ผิดมิควร เทียเภาก็ไปหาจิวยี่ถึงที่อยู่ แล้วจึงขอขะมาว่าข้าถือทิฏฐิมานะว่าเปนผู้ใหญ่ ประมาทท่านสำคัญว่าเปนเด็ก มิได้มาปรึกษาราชการคำนับท่านนั้นผิดนักหนา ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด จิวยี่หัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งท่านประมาทนั้นข้าพเจ้าหาถือโทษไม่อย่าวิตกเลย เทียเภาได้โอกาศดังนั้นแล้วก็ลามา
ครั้นเวลาเช้าจิวยี่ให้หาจูกัดกิ๋นเข้ามาแล้วว่า ขงเบ้งน้องท่านเปนคนมีสติปัญญา เหตุใดจึงไปฝากตัวด้วยเล่าปี่นั้นหาควรไม่ ชอบแต่จะมาอยู่ด้วยซุนกวนนายเรา ก็จะมียศฐาศักดิ์เปนสุขอีก ท่านจงไปว่ากล่าวปลอบโยนขงเบ้งน้องท่านให้ทิ้งเล่าปี่เสียเถิด มาอยู่ทำราชการแผ่นดินเดียวกันกับเรา ทั้งตัวท่านก็อยู่ที่นี่ พี่น้องจะได้เห็นหน้ากันเช้าค่ำจะมิดีหรือ จูกัดกิ๋นจึงว่า ข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยซุนกวนนี้ก็ยังหามีความชอบสิ่งใดไม่ ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะไปว่ากล่าวน้องข้าพเจ้าให้มาอยู่ด้วยท่านเปนความชอบไว้ จูกัดกิ๋นคำนับแล้วก็ขึ้นม้ารีบมาหาขงเบ้งถึงที่อยู่ ขงเบ้งเห็นจูกัดกิ๋นผู้พี่มาดังนั้นก็ดีใจออกไปคำนับแล้วพากันเข้ามาข้างใน ต่างคนต่างก็ร้องไห้รักกันด้วยจากมาช้านาน
จูกัดกิ๋นจึงถามขงเบ้งว่า แปะอี้ซกแจ๋แต่ก่อนนั้นท่านรู้หรือไม่ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าจิวยี่แสร้งใช้ให้มาเกลี้ยกล่อม จึงว่าแปะอี้ซกแจ๋[๑]เปน คนโบราณนั้นจะเอามาว่าใย จูกัดกิ๋นจึงว่า เจ้าว่าดังนี้เหมือนหนึ่งหาคิดถึงพี่น้องไม่ อันแปะอี้ซกแจ๋พี่น้องสองคนนี้เกิดร่วมท้อง กินนมร่วมถัน ถึงจะไปทำราชการก็มิได้แยกย้ายกันอยู่ ถึงจะตายที่ไหนก็ตายด้วยกัน เพราะสามารถความรัก อันเจ้ากับพี่เกิดมาด้วยกัน แลทำราชการต่างคนต่างอยู่ มิได้เห็นหน้ากันทุกเช้าค่ำ ไม่เหมือนประเพณีพี่น้องแต่ก่อน มิได้ความอัปยศแก่เขาหรือ
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งพี่ว่าทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ๆ เราพี่น้องเกิดในแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ ควรที่จะถือความกตัญญูต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าจึงสู้ไปอยู่ด้วยเล่าปี่ เพราะว่าเปนเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ หวังมิให้เสียประเพณีโบราณ เหตุใดตัวพี่จึงทิ้งแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้เสีย มาอยู่ในเมืองกังตั๋งนี้ให้ไกลพี่น้องทั้งปวงหาความอาลัยมิได้ ควรพี่จะทิ้งเมืองกังตั๋งเสีย ไปอยู่ทำราชการด้วยข้าพเจ้าจะได้เห็นหน้ากันอีก ฝ่ายจูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ตัวเราอาสามาหวังจะเกลี้ยกล่อมขงเบ้ง บัดนี้ขงเบ้งกลับเกลี้ยกล่อมเราอีกเล่า จนใจไม่รู้ที่จะว่ากล่าวประการใด จึงกลับมาบอกจิวยี่ตามขงเบ้งว่าทุกประการ
จิวยี่แจ้งดังนั้นก็มิได้ว่าประการใด จึงไปลาซุนกวนว่า ข้าพเจ้าจะขออาสายกกองทัพไปรบด้วยโจโฉ ซุนกวนจึงว่าท่านเร่งยกไปจัดแจงไว้ให้พร้อมเถิด เราจะยกกองทัพหนุนไปเมื่อภายหลัง จิวยี่ก็คำนับลาซุนกวนออกมาจัดแจงทหารแล้วชวนขงเบ้งว่า ทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวง น้ำใจเรานี้จะใคร่ชวนท่านไปด้วย ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงรับว่าข้าพเจ้าจะไปด้วยท่าน จิวยี่ก็พาขงเบ้งลงเรือรบลำเดียวกันไป อันเทียเภาโลซกนั้นเปนปลัดกองคุมทหารเปนอันมาก แล้วยกกองทัพข้ามอ่าวไปถึงปากน้ำเมืองกังแฮ ทางไกลปากน้ำสำกั๋งหกร้อยเส้น จิวยี่จึงให้หยุดกองทัพเรือทอดไว้ แล้วให้ทหารขึ้นบกตั้งค่ายรายกันไปตามทางตวันตก ขงเบ้งนั้นจึงลงเรือน้อยทอดอยู่ใกล้เรือรบแม่ทัพ
จิวยี่จึงให้หาขงเบ้งขึ้นมาบนเรือรบแล้ว แกล้งปรึกษาหวังจะให้ขงเบ้งไปให้โจโฉจับฆ่าเสีย จึงว่าเมื่อครั้งโจโฉรบกับอ้วนเสี้ยวนั้น โจโฉมีทหารน้อยกว่าอ้วนเสี้ยวเปนอันมาก แลโจโฉทำการสงครามชนะอ้วนเสี้ยวนั้น เพราะเหตุด้วยฟังคำเขาฮิวบอกให้ไปตีสเบียงตำบลอัวเจ๋าได้ ครั้งนี้โจโฉยกมาทหารมากถึงร้อยหมื่นเศษ อันทหารเรายกมาบัดนี้ห้าหมื่นเศษ เห็นจะรบเอาชัยชนะโจโฉนั้นขัดสน จำจะคิดอ่านให้ทหารไปตัดสเบียงโจโฉเสียให้ได้ก่อนจึงจะทำการรบพุ่งโจโฉได้ บัดนี้โจโฉซ่องสุมสเบียงไว้ ณ เขากีสานแดนเมืองซงหยง อันตัวท่านนี้ก็อยู่ในแดนเมืองซงหยง แล้วชำนาญทางป่าเขาทุกตำบล อันการสงครามครั้งนี้เล่าไซ้ จะเปนการซุนกวนนายเราฝ่ายเดียวหามิได้ ก็เปนการของเล่าปี่ผู้นายท่านด้วย เราจะเกณฑ์ทหารให้ท่านพันหนึ่งเร่งยกทัพกลับไปบอกแก่เล่าปี่ ของเอากวนอูเตียวหุยจูล่งรีบยกไปตัดเอาสเบียงโจโฉเสียให้ได้ เราจะได้คิดการรบพุ่งสดวก
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ซึ่งจิวยี่ให้มาเกลี้ยกล่อมเราไม่สมความคิดแล้ว จะแกล้งให้เราไปนี้หวังจะให้โจโฉจับเราฆ่าเสีย ครั้นเราบิดพลิ้วอยู่ไม่ไปบัดนี้จิวยี่ก็จะติเตียนว่ากลัวโจโฉ ครั้นเราจะไปเล่าจิวยี่ก็จะหัวเราะเยาะว่ารู้ไม่เท่า แต่จำเราจะรับไว้ก่อนจึงจะค่อยคิดกลอุบายแก้ตัวให้ได้ แล้วก็รับคำลากลับมาเรือน้อย
โลซกจึงถามจิวยี่ว่า ซึ่งท่านจะให้ขงเบ้งไปตีสเบียงโจโฉนั้น ท่านคิดเห็นจะได้การอย่างไร จิวยี่จึงตอบว่า เราคิดจะฆ่าขงเบ้งเสียก็กลัวความคระหานินทา จึงแกล้งใช้ขงเบ้งไปตีสเบียงหวังจะยืมอาวุธโจโฉให้ฆ่าขงเบ้งเสีย สืบไปภายหน้าเราจึงจะไม่มีภัย แล้วคนทั้งปวงก็จะไม่ติเตียนเราได้ โลซกจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอไปดูท่วงทีกิริยาขงเบ้งว่าจะรู้ตัวหรือไม่ แล้วก็ลาจิวยี่ไปเรือขงเบ้ง เห็นหน้าตาขงเบ้งไม่มีความทุกข์ร้อน จัดแจงผู้คนซึ่งจะไปนั้นเปนปรกติอยู่ โลซกมีความสงสารขงเบ้งจึงถามว่า ซึ่งจิวยี่จะให้ท่านไปตีสเบียงโจโฉนั้นท่านเห็นจะได้การอยู่หรือ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า อันตัวเรานี้ชำนาญการสงครามทั้งทางบกทางเรือแลกระบวรม้ากระบวรรถทั้งสี่ อย่างนี้สันทัดสิ้น อันในเมืองกังตั๋งนี้หาคนชำนาญรบบกน้อยตัวนัก ชำนาญการสงครามแต่ข้างเรือรบ ถึงตัวจิวยี่ก็เหมือนกัน โลซกจึงว่าเหตุใดท่านจึงว่าจิวยี่ชำนาญแต่การเรือ ขงเบ้งจึงตอบว่า เราได้ยินเด็กๆ ในเมืองกังตั๋งทำเพลงว่า ตัวท่านชำนาญการสงครามฝ่ายบก อันจิวยี่นั้นได้แต่ฝ่ายเรือท่าเดียว เราจึงคิดว่าธรรมดาเปนชาติทหาร จำเรียนไว้ให้ครบทุกอย่างจึงจะควร โลซกจึงเอาคำขงเบ้งนั้นมาบอกแก่จิวยี่ทุกประการ จิวยี่แจ้งดังนั้นก็โกรธจึงว่า ขงเบ้งนี้พูดจาดูหมิ่นเราว่าไม่ชำนาญการบก ครั้นเรามิไปบัดนี้ขงเบ้งก็จะซ้ำติเตียน เราอย่าให้ขงเบ้งไปเลย เราจะคุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปตัดสเบียงโจโฉเสียเอง โลซกได้ฟังดังนั้นก็กลับมาบอกขงเบ้งตามคำจิวยี่ว่าทุกประการ
ขงเบ้งก็หัวเราะแล้วว่า อันความคิดจิวยี่นั้นใช่จะใช้เราโดยสุจริตหามิได้ แกล้งจะให้เราไปตายด้วยฝีมือแลความคิดโจโฉ ซึ่งเราว่าจิวยี่ไม่สันทัดการบกนั้นเพราะจะแกล้งยั่วใจจิวยี่ หวังจะให้แจ้งว่าเรารู้เท่าอยู่ ครั้งนี้เราคิดจะให้ซุนกวนกับเล่าปี่คิดการเปนใจเดียวกันอีก เราทั้งปวงผู้เปนบ่าวจะตั้งใจประนอมช่วยคิดการจึงจะสำเร็จ เหตุใดจิวยี่จึงมาคิดร้ายต่อเราฉนี้ การของนายเราจะมิเสียไปหรือ ประการหนึ่ง อันความคิดโจโฉนั้นชำนาญการสงครามนัก มักทำกลศึกต่างๆ มีตัดสเบียงอาหารเปนต้น ซึ่งโจโฉยกมาครั้งนี้ก็จะคิดอ่านป้องกันสเบียงอาหารเปนสามารถ ถ้าจิวยี่จะยกไปเห็นจะเสียทีแก่โจโฉ ท่านจงไปว่ากล่าวแก่จิวยี่ให้คิดรบพุ่งป้องกันแต่ฝ่ายเรือ ด้วยทหารโจโฉนั้นชำนาญแต่การบก ไม่สันทัดการเรือ แม้กองทัพเราต้านทานรบพุ่งอยู่ข้างเรือให้ทหารโจโฉบอบช้ำแล้ว จึงคิดกลอุบายให้โจโฉเสียทีแก่เราจงได้ โลซกได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญขงเบ้งว่า รู้การลึกซึ้งหาผู้ใดเสมอมิได้
ครั้นเวลาค่ำโลซกจึงเอาเนื้อความไปบอกจิวยี่ทุกประการ จิวยี่แจ้งดังนั้นก็สั่นสีสะแล้วว่า อันความคิดขงเบ้งนั้นลึกซึ้งหลักแหลมยิ่งกว่าเราสิบส่วน แม้เราไม่คิดอ่านกำจัดเสียให้ได้ ภายหน้าไปก็จะเปนศัตรูแก่เราใหญ่หลวง โลซกจึงพูดเอาใจว่า บัดนี้การสงครามก็มีอยู่ ท่านจะมาทำดังนี้ไม่ควร แม้ขงเบ้งวุ่นวายไป ความคิดแลกำลังเราก็จะน้อยลง เห็นเมืองกังตั๋งจะเปนอันตราย จงคิดอ่านรบพุ่งให้ได้ชัยชนะโจโฉแล้ว ภายหลังถึงจะทำการประการใดก็จะได้โดยง่าย จิวยี่เห็นชอบด้วยก็ให้ตั้งทัพเรือมั่นอยู่
ฝ่ายเรือกองตะเวนเมืองกังแฮจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่เล่าปี่ให้แจ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็คิดว่ากองทัพเมืองกังตั๋งยกมาจะทำสงครามด้วยโจโฉ เล่าปี่จึงจัดแจงทหารในเมืองกังแฮนั้นให้สิ้นเชิง แล้วยกออกจากเมืองกังแฮไปตั้งอยู่ตำบลแฮเค้า ปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งไปเมืองกังตั๋งเราก็ยังไม่รู้ข่าวว่าดีแลร้ายประการใด บัดนี้กองทัพเรือเมืองกังตั๋งยกมาทอดอยู่ ณ ปากน้ำเมืองนี้ ผู้ใดจะอาจสามารถไปฟังข่าวขงเบ้งดูให้รู้ดีแลร้ายได้ บิต๊กจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไป เล่าปี่จึงจัดแจงเข้าของไปคำนับจิวยี่หวังจะได้ฟังข่าวขงเบ้งด้วย บิต๊กก็รับของทั้งปวงแล้วลงเรือล่องไปถึงกองทัพเรือจึงขึ้นไปหาจิวยี่แล้ว บอกว่า ของทั้งนี้เล่าปี่ให้มาแก่ท่านให้แจกทหาร จิวยี่มีความยินดีให้รับของทั้งปวงนั้นไว้ บิต๊กจึงว่าบัดนี้เล่าปี่สั่งมาว่า ขงเบ้งมาอยู่นี่ก็นานแล้วจะให้รับกลับไป จิวยี่จึงตอบว่าการสงครามก็มีอยู่ อันขงเบ้งมาอยู่ที่นี่ด้วยจะได้ช่วยคิดการศึกรบพุ่งโจโฉ ซึ่งเล่าปี่จะให้ขงเบ้งกลับไปนั้นยังไม่ได้ก่อน อันตัวเรานี้ก็มีใจรำลึกถึงเล่าปี่อยู่ ครั้นเราจะไปหาเล่าตัวเราก็เปนแม่ทัพ จะป่วยการบังคับบัญชาทหาร ท่านจงรีบกลับไปบอกเล่าปี่เชิญให้มาหาเราจะได้ปรึกษาการสงครามด้วย บิต๊กรับคำนับแล้วลากลับไป
โลซกจึงถามจิวยี่ว่า ท่านจะให้เล่าปี่มาหานั้นจะประสงค์สิ่งใด จิวยี่ตอบว่า อันน้ำใจเล่าปี่นั้นมิได้รู้คุณคน แม้จะสมัคสมานด้วยเล่าปี่ นานไปก็จะทำร้ายแก่เรา จำจะคิดอ่านกำจัดเสียแต่กำลังยังน้อยอยู่ดีกว่า เหมือนหนึ่งเราฆ่าโจรเสียคนหนึ่ง ทรัพย์เราจึงจะคงอยู่ แล้วจิวยี่ก็ขึ้นไปอยู่ในค่าย จึงลอบจัดทหารซึ่งมีฝีมือห้าสิบคนถืออาวุธซ่อนอยู่ในฉากแล้วสั่งว่า เมื่อเล่าปี่จะมากินโต๊ะด้วยเรา แม้ท่านทั้งปวงได้ยินเสียงเราทิ้งจอกสุราลงเมื่อใดก็ให้ตรูกันออกมาจับเล่า ปี่ฆ่าเสีย ฝ่ายบิต๊กมาถึงเล่าปี่จึงบอกเนื้อความทั้งปวงแล้วว่า บัดนี้จิวยี่ให้เชิญท่านไปหา เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงลงเรือจะไปหาจิวยี่ กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่าซึ่งท่านจะไปหาจิวยี่นั้นไม่ชอบ ด้วยจิวยี่เปนคนเจ้าความคิดเกลือกจะทำร้ายแก่ท่าน อนึ่งขงเบ้งก็ยังมิได้มีหนังสือบอกมาว่าดีแลร้าย ขอท่านจงยับยั้งฟังดูก่อน
เล่าปี่จึงว่า เรากับซุนกวนจะเปนน้ำหนึ่งใจเดียวกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสีย บัดนี้จิวยี่เปนแม่ทัพให้มาเชิญเราไปจะปรึกษาราชการด้วย ซึ่งจะมิไปนั้นซุนกวนกับเราก็จะแคลงใจกัน การนั้นก็จะเสียไป กวนอูจึงว่า แม้ท่านไม่ฟังจะไปให้ได้ข้าพเจ้าจะขอไปด้วยจะได้ป้องกันอันตราย เล่าปี่จึงสั่งให้เตียวหุยกับจูล่งอยู่รักษาค่าย แล้วพากวนอูกับทหารสิบเอ็ดสิบสองคนลงเรือไปถึงกองทัพจิวยี่ เล่าปี่เห็นเรือรบแลค่ายตั้งเปนขบวรเข้มขันอยู่ก็มีความยินดี ทหารเอาเนื้อความไปบอกว่าเล่าปี่มาแล้ว จิวยี่จึงถามว่าเล่าปี่มานั้นมีทหารมากน้อยเท่าใด ทหารนั้นจึงบอกว่า เล่าปี่ลงเรือน้อยมากับทหารประมาณยี่สิบคน จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วคิดว่า เล่าปี่จะถึงแก่ความตายเพราะความคิดเราในวันนี้ จึงให้จัดแจงทหารซึ่งสั่งไว้นั้นพร้อมแล้วก็ออกมารับเล่าปี่ถึงนอกค่าย คำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว จิวยี่ก็พาเล่าปี่กวนอูกับทหารนั้นเข้าไปในค่าย แล้วเชิญให้เล่าปี่กินโต๊ะ เล่าปี่จึงว่าแก่จิวยี่ว่า ตัวท่านนั้นคนทั้งปวงลือชาปรากฎว่ามีความคิดแลฝีมือเปนอันมากทั้งเปนแม่ทัพ ด้วย จะมานับถือข้าพเจ้าซึ่งเปนคนบุญน้อยนี้ไม่ควร
ขณะนั้นขงเบ้งพอเดินขึ้นมาถึงริมค่าย รู้ว่าเล่าปี่มาหาจิวยี่กำลังกินโต๊ะอยู่ด้วยกันในค่ายดังนั้นก็ตกใจ ขงเบ้งจึงเข้าไปลอบดูเห็นหน้าจิวยี่นั้นตึงโกรธอยู่ แล้วเห็นทหารในฉากนั้นซุบซิบกันอยู่ก็ยิ่งตกใจเปนอันมาก แต่เห็นกิริยาเล่าปี่นั้นพูดจารื่นเริงอยู่ ทั้งกวนอูก็ยืนถือกระบี่อยู่ข้างหลัง ขงเบ้งก็ค่อยคลายใจคิดเห็นว่าเล่าปี่จะไม่เปนอันตราย แล้วก็กลับมาคอยเล่าปี่อยู่ริมน้ำ
ขณะเมื่อจิวยี่เสพย์สุรากับเล่าปี่นั้น เห็นกวนอูยืนถือกระบี่อยู่ข้างหลังเล่าปี่ จิวยี่จึงถามว่าทหารคนนี้ชื่อใด เล่าปี่จึงบอกว่ากวนอูเปนน้องข้าพเจ้า จิวยี่จึงถามว่า คนนี้หรือซึ่งไปอยู่ด้วยโจโฉได้อาสาฆ่างันเหลียงบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยวเสีย เล่าปี่ก็รับคำว่าคนนี้แหละ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจเหื่อไหลซิกๆ ออกมาทั้งกาย จึงรินสุรายื่นให้กวนอูกิน พอโลซกเข้ามา เล่าปี่จึงถามว่าขงเบ้งอยู่แห่งใด ท่านจงช่วยบอกมาให้พบเราจะได้สนทนากัน
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ว่าจะสิ้นวันไปแล้วหรือ เมื่อสำเร็จการสงครามแล้วจึงค่อยพบกันเถิด เล่าปี่มิได้ตอบประการใด กวนอูได้ยินดังนั้นก็ชายตาให้แก่เล่าปี่ ๆ แลไปสบตากวนอูก็รู้ทีกัน จึงลุกขึ้นคำนับจิวยี่แล้วว่าข้าพเจ้าจะลาไปก่อน แม้สำเร็จการสงครามเมื่อใดจึงจะมาสนทนาด้วยท่าน แล้วพากวนอูแลทหารออกมาจากค่าย ครั้นถึงเรือก็เห็นขงเบ้งเข้าไปนั่งอยู่ในเรือ
ขงเบ้งเห็นเล่าปี่กลับออกมาก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งท่านมาหาจิวยี่วันนี้ หากได้กวนอูมาด้วยจิวยี่จึงคิดเกรงอยู่ หาไม่ท่านจะถึงแก่ความตาย เล่าปี่จึงว่าจิวยี่จะคิดประการใดเราไม่แจ้ง ซึ่งเรามาบัดนี้หวังจะรับท่านไปไว้ ณ ค่ายแฮเค้าด้วยกัน ขงเบ้งจึงตอบว่าท่านอย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย ถึงมาทว่าข้าพเจ้ามาอยู่ในปากเสือปากหมีก็ดี ก็มีความสบายยิ่งกว่าอยู่ในถ้ำอีก ท่านจงเร่งไปจัดแจงทหารเรือรบไว้ให้พร้อมจะได้ทำการสดวก ต่อถึงเดือนอ้ายแรมห้าค่ำจึงให้จูล่งเอาเรือน้อยมาคอบรับข้าพเจ้าที่ฟากแม่ น้ำข้างทิศทักษิณ เล่าปี่จึงถามว่า ความคิดท่านเห็นประการใดจึงสั่งไว้ดังนี้ ขงเบ้งจึงบอกว่าท่านคอยดูเถิด ถ้าเห็นลมพัดมาแต่ทิศอาคเณย์เมื่อใดข้าพเจ้าจะไปหาท่านเมื่อนั้น แล้วขงเบ้งก็ลาเล่าปี่ไปอยู่เรือน้อย เล่าปี่นั้นก็กลับมา พบเตียวหุยคุมเรือรบห้าสิบลำตามมา ก็พากันไป ณ ค่ายแฮเค้า
ฝ่ายโลซกครั้นเล่าปี่ไปแล้วจึงเข้าไปถามจิวยี่ว่า ท่านให้หาเล่าปี่มาแล้วเหตุใดจึงปล่อยไปเสียไม่ลงมือ จิวยี่จึงตอบว่าเราได้ยินเขาเลื่องลือว่ากวนอูนั้นมีฝีมือกล้าแขง เหมือนทหารเสือมาด้วยเล่าปี่ ครั้นเราจะลงมือทำร้ายเล่าปี่ กวนอูนั้นอยู่ใกล้ก็จะทำร้ายเรา โลซกเห็นชอบด้วย ขณะนั้นพอคนใช้โจโฉเอาหนังสือมาให้จิวยี่ ๆ รับเอาหนังสือมาเห็นหนังสือซึ่งสลักหลังผนึกนั้นว่า มหาอุปราชพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้มาถึงจิวยี่ผู้เปนแม่ทัพ จิวยี่เห็นดังนั้นก็โกรธจึงฉีกหนังสือขยี้ทิ้งเสีย สั่งให้เอาผู้ถือหนังสือไปฆ่าเสียด้วย
โลซกจึงว่าคำโบราณกล่าวไว้ว่า แม้เมืองใดเปนศึกกันก็ดี อย่าให้ทำอันตรายแก่ผู้ถือหนังสือแลผู้คนไปมานอกจากคนแปลกปลอมเปนอันขาดที เดียว เหตุใดท่านจึงมาฆ่าผู้ถือหนังสือเสียดังนี้ จิวยี่จึงตอบว่า ซึ่งเราฆ่าผู้ถือหนังสือเสียนั้น เพราะเหตุว่าจะให้รู้ถึงโจโฉว่าเรามิได้ย่อท้อ แม้ว่าไม่ฆ่าเสียนั้น เพราะคิดกลัวคนทั้งปวงจะกลับว่าให้นายเราไปขอออกแก่ข้าศึก บัดนี้ตัวเราตั้งใจทำราชการจะกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ เราจึงให้ตัดสีสะผู้ถือหนังสือส่งให้คนซึ่งมาด้วยเอากลับไปให้แก่โจโฉ แล้วจิวยี่ให้จัดแจงทัพเรือ ให้กำเหลงเปนกองหน้า ฮันต๋งเปนปีกขวา เจียวขิมเปนปีกซ้าย ตัวจิวยี่เปนทัพหลวง ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ยกไปจะตีทัพโจโฉ
ฝ่ายคนใช้ก็เอาสีสะผู้ถือหนังสือมาให้แก่โจโฉ แล้วบอกเนื้อความแก่โจโฉทุกประการ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ชัวมอกับเตียวอุ๋นคุมทหารเมืองเกงจิ๋วเมืองเชียงจิ๋วยกทัพเรือเปนก องหน้า โจโฉเปนทัพหลวงยกไปถึงตำบลสำกั๋ง เห็นกำเหลงเปนกองหน้ายกทัพเรือมาเปนอันมาก กำเหลงจึงร้องถามว่าทัพผู้ใดอาจยกมาสู้ด้วยเรา ชัวมอกับเตียวอุ๋นก็บอกว่า เราชื่อชัวมอเตียวอุ้นเปนกองหน้ามหาอุปราช ยกมาจะทำสงครามด้วยท่าน แล้วชัวมอจึงให้ชัวหุนผู้น้องมานั่งหน้าเรือขับทหารแจวเรือรบเข้าไป กำเหลงจึงเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกชัวหุนตาย
ในขณะนั้นทหารกองหน้าแลปีกซ้ายปีกขวาของกำเหลงก็เร่งเรือรบเข้าไป แล้วระดมยิงเกาทัณฑ์ไปดังห่าฝน กองทัพชัวมอเตียวอุ๋นก็แตกพ่ายไปปะทะทัพโจโฉ กำเหลงกับฮันต๋งเจียวขิมก็เร่งเรือรบไล่ไปฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมากจน เวลาเที่ยง จิวยี่เห็นดังนั้นก็ตีม้าฬ่อให้ทหารกลับมา กำเหลงจึงถามจิวยี่ว่า ทัพโจโฉแตกทหารเราได้ท่วงทีติดตามไป เหตุใดท่านจึงตีม้าฬ่อให้กลับมา จิวยี่จึงตอบว่าทหารเราน้อยกว่าโจโฉ ครั้นจะละให้ทหารตามไปเกรงโจโฉจะซุ่มเรือไว้ที่ต้นแหลมเราก็จะเสียที จึงตีม้าฬ่อให้กลับมาหวังจะเอาฤกษ์ชนะไว้ แล้วก็ให้เรือรบทั้งปวงทอดอยู่ตามกระบวร
[๑] อยู่ในเรื่องห้องสิน
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 39
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnNzMwZGtpbkpycGc/view?resourcekey=0-xfnEx06iYJ7ZmviJkEsCiQ
«
Last Edit: 22 December 2021, 20:52:10 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 31 - 40
«
Reply #9 on:
22 December 2021, 20:55:37 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 40
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-40.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 40
เนื้อหา
โจโฉฝึกทหารเรือ
โจโฉให้เจียวก้านไปเกลี้ยกล่อมจิวยี่
โจโฉเสียกลจิวยี่
จิวยี่อุบายจะฆ่าขงเบ้งด้วยให้ทำลูกเกาทัณฑ์
จิวยี่ปรึกษากับขงเบ้งจะเผาทัพโจโฉ
ฝ่าย โจโฉครั้นแตกมาก็ขึ้นไปค่าย แล้วว่าแก่ชัวมอเตียวอุ๋นว่า ทหารเมืองกังตั๋งน้อยกว่าเราเหตุใดจึงแตกมา หรือตัวทั้งสองมิได้ตั้งใจทำการโดยสุจริตแกล้งให้เสียมาดังนี้ ชัวมอจึงว่า ทหารเมืองเกงจิ๋วมิได้ฝึกสอนละไว้นานแล้ว ประการหนึ่งเล่าทหารของท่านก็ล้วนแต่ชาวดอนไม่ชำนาญในทัพเรือ จึงเสียทีแก่จิวยี่ เพราะเหตุนี้ขอให้ท่านคิดอ่านเอาเรือทอดต่อกันล้อมเปนค่ายไว้กลางนํ้า จึงให้ทหารเมืองชีจิ๋วเมืองเชียงจิ๋วเข้าอยู่ภายใน ให้ทหารเมืองเกงจิ๋วอยู่รอบนอก ฝึกสอนให้เจนในการทัพเรือจงได้ แล้วจึงคิดการทำศึกแก่จิวยี่สืบไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า ตัวท่านทั้งสองนี้ก็ชำนาญในการสงครามทั้งทัพบกทัพเรือ เราก็ไว้ใจตั้งให้เปนแม่ทัพผู้ใหญ่แล้ว แม้ท่านเห็นดีประการใดก็เร่งฝึกสอนเถิด ชัวมอกับเตียวอุ๋นได้ฟังดังนั้นก็ลาโจโฉออกมา จึงให้เอาเรือใหญ่ไปทอดวงเปนค่ายลงตามชายทเล ไว้ช่องสำหรบจะเข้าออกยี่สิบสี่ประตู แล้วจัดทหารลงเรือรบแจวหนีแลไล่ฝึกหัดหวังจะให้รวดเร็วชำนาญในที่รบ ครั้นเวลากลางคืนทหารในกองทัพเรือทัพบกโจโฉทั้งปวงก็จุดคบเพลิงสว่างไปดัง กลางวัน แต่ค่ายบกทหารโจโฉตั้งรายกันไปทางไกลประมาณสามพันเส้น
ฝ่ายจิวยี่ครั้นมีชัยชนะ กลับมาถึงค่ายก็ปูนบำเหน็จทหารใหญ่น้อยทั้งปวง แล้วแต่งหนังสือไปแจ้งข้อราชการแก่ซุนกวนตามซึ่งได้รบพุ่งกันทุกประการ ในเวลากลางคืนวันนั้นจิวยี่แลเห็นแสงเพลิงฝ่ายทิศตวันตกเปนอันมาก จึงถามทหารทั้งปวงว่านั่นแสงเพลิงอันใด ทหารจึงบอกว่าแสงเพลิงนั้นคือค่ายโจโฉ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ครั้นเวลารุ่งเช้าจิวยี่จัดทหารที่มีฝีมือกับเครื่องเล่นกระจับปี่สีซอลง เรือลำหนึ่งรีบไปดูใกล้ทัพโจโฉ แล้วก็ให้ทำเพลงมโหรี แจวปลอมเปนเรือลูกค้าท่องเที่ยวไปมา เห็นทหารโจโฉตั้งกระบวรทัพเรือ ชัวมอเปนนายหัดทหารทั้งปวง จิวยี่เห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงถามทหารซึ่งมาด้วยนั้นว่า ทหารโจโฉผู้ใดซึ่งเปนแม่ทัพเรือฝึกสอนทหารทั้งปวงดังนี้ ทหารซึ่งรู้จักนั้นบอกว่า อันนายทัพเรือโจโฉนั้นชื่อชัวมอเตียวอุ๋นได้ฝึกสอนทหารทั้งปวง จิวยี่แจ้งดังนั้นจึงคิดว่า ชัวมอเตียวอุ๋นนี้เดิมเปนชาวเมืองกังตั๋ง ชำนาญรบทางเรือนัก จำจะคิดกลอุบายกำจัดชัวมอกับเตียวอุ๋นเสียให้ได้ เราจึงจะได้ทำศึกแก่โจโฉไปภายหน้าไม่ขัดสน
ในขณะนั้นทหารโจโฉเห็นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉว่า จิวยี่ลอบมาดูทหารเราฝึกสอน โจโฉจึงให้ทหารเอาเรือรบออกไล่จับ ฝ่ายจิวยี่เห็นเรือแซงประหลาทออกมา ก็ให้ทหารทั้งปวงรีบแจวหนีกลับไป ณ ค่าย ทหารโจโฉเห็นจิวยี่หนีไปไกลประมาณร้อยเส้น เห็นจะไม่ทันก็กลับมาบอกโจโฉ ๆ จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ครั้งก่อนเราก็แตกจิวยี่มา ครั้นเราให้ฝึกสอนทหาร จิวยี่ยังมีนํ้าใจกำเริบบังอาจมาดูทัพเราได้ ครั้งนี้เราได้ความอัปยศนัก ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใดจึงจะแก้แค้นจิวยี่ได้
เจียวก้านที่ปรึกษาจึงว่า ข้าพเจ้ากับจิวยี่เมื่อยังน้อยอยู่นั้นได้เรียนหนังสือครูเดียวกันมา แล้วก็มีน้ำใจรักใคร่กันเปนอันมาก ข้าพเจ้าจะอาสาไปเกลี้ยกล่อมจิวยี่ให้สมัคมาอยู่ด้วยท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งท่านไปนั้นยังจะได้ราชการหรือ เจียวก้านจึงว่าข้าพเจ้าจะอาสาไปเกลี้ยกล่อมว่ากล่าวจิวยี่ให้ได้ โจโฉจึงว่า ซึ่งท่านจะไปนั้นจะต้องการอะไรไปบ้าง เจียวก้านจึงว่าข้าพเจ้าจะขอคนสองคนแต่พอแจวเรือกับเด็กตามหลังไปคนหนึ่ง โจโฉก็ให้จัดคนให้ เจียวก้านก็ลาโจโฉไปถึงค่ายจิวยี่แล้วบอกแก่ทหารว่า เราเปนเพื่อนรักกับจิวยี่ บัดนี้มีใจรำลึกถึงจึงมาหา จงเข้าไปบอกจิวยี่ให้แจ้งด้วย ทหารก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกจิวยี่ตามคำเจียวก้านว่าทุกประการ
จิวยี่แจ้งดังนั้นจึงบอกแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งเจียวก้านจะมาหาเรานี้หวังจะเกลี้ยกล่อมเรา จิวยี่จึงค่อยกระซิบสั่งทหารเปนการลับไว้หลายข้อ แล้วก็ออกไปรับเจียวก้านเข้ามาในค่าย ต่างคนต่างคำนับปราไสกัน จิวยี่ถามเจียวก้านว่า ตัวท่านอยู่กับโจโฉ ซึ่งมาบัดนี้จะเกลี้ยกล่อมเราหรือ เจียวก้านได้ฟังดังนั้นก็สดุ้งใจจึงตอบว่า เราจะมาเกลี้ยกล่อมท่านนั้นหามิได้ แต่เราจากกันมานานแล้ว เรามีใจรำลึกถึงท่าน บัดนี้รู้ว่าท่านมาอยู่ที่นี่เราจึงมาหาหวังจะถามข่าว แม้ท่านสงสัยอยู่ดังนั้นเราก็จะลาท่านไป จิวยี่ยุดมือไว้แล้วว่า เราคิดว่าท่านอาสาโจโฉมาเกลี้ยกล่อมเรา เมื่อท่านมาหาโดยปรกติดีอยู่แล้วก็จะด่วนไปไหนเล่า
จิวยี่ทำยินดีจูงมือเจียวก้านเข้าไปข้างในเชิญให้กินโต๊ะ แล้วบอกแก่ทหารทั้งปวงว่า เจียวก้านนี้เปนเพื่อนรักสนิธของเรา ได้เรียนหนังสือครูเดียวกับเรามาแต่ก่อน อย่าได้สงสัยเจียวก้านสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นจิวยี่จึงชักกระบี่ซึ่งสะพายอยู่นั้นส่งให้แก่ไท สูจู้แล้วสั่งว่า เจียวก้านเพื่อนรักของเรามาหา เราจะเสพย์สุราเล่นให้สบายใจ แม้ได้ยินผู้ใดว่ากล่าวเนื้อความถึงโจโฉก็ดีซุนกวนก็ดีให้เอากระบี่นี้ตัด สีสะเสีย ไทสูจู้ก็รับเอากระบี่นั้นยืนคอยอยู่
เจียวก้านได้ฟังดังนั้นก็กลัว มิได้ว่ากล่าวบอกเนื้อความประการใด จิวยี่จึงแกล้งว่าแก่เจียวก้านว่า ตัวเราแต่เพียงได้เปนแม่ทัพมาครั้งนี้ สุราแต่หยดหนึ่งก็มิได้หยอดฅอ วันนี้ท่านผู้เปนเพื่อนรักมาหาเรา ๆ จงเสพย์สุราด้วย แล้วจิวยี่ก็จูงมือเจียวก้านออกไปถึงหน้าทัพ เห็นทหารทั้งปวงแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธต่าง ๆ ยืนอยู่เปนขนัดจึงถามเจียวก้านว่า ทหารของเรานี้ท่านเห็นเปนประการใดบ้าง เจียวก้านจึงตอบว่า เราได้ยินกิตติศัพท์เขาเลื่องลืออยู่ว่า ทหารเมืองกังตั๋งนี้ดีเปนอันมาก แล้วประกอบด้วยฝีมือกล้าหาญในการสงคราม เรามาเห็นวันนี้ก็เข้มขันเหมือนหนึ่งทหารเสือสมกับคำเลื่องลือ ควรที่จะทำการสงคราม จิวยี่พาเจียวก้านไปข้างหลังค่าย ชี้ให้ดูยุ้งฉางแล้วถามว่า ที่ไว้สเบียงอาหารของเรานี้ท่านเห็นประการใด เจียวก้านจึงว่า ที่ท่านไว้สเบียงอาหารนั้นบริบูรณ์มั่นคงนัก สมควรเปนแม่ทัพแม่กองอยู่แล้ว จิวยี่จึงแกล้งว่า ตัวเรานี้แต่ครั้งเรียนหนังสือครูเดียวอยู่ด้วยกับท่านนั้น มิได้คิดเลยว่าจะตั้งตัวเปนใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ เจียวก้านจึงตอบว่า อันสติปัญญาของท่านมีมากนัก ซึ่งได้เปนที่นายทหารนี้ก็สมควรอยู่แล้ว
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็จูงมือเจียวก้านเดิรเข้ามาพลางว่าแก่เจียวก้านว่า อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาเกิดมาเปนชาย แม้จะแสวงหาเจ้านายซึ่งจะเปนที่พึ่งนั้น ก็ให้พิเคราะห์ดูนํ้าใจเจ้านายซึ่งโอบอ้อมอารีเปนสัตย์เปนธรรมจึงให้เข้า อยู่ด้วย แล้วให้ตั้งใจทำราชการโดยสัตย์ซื่อสุจริต ให้เห็นฝีมือเปนบำเหน็จไว้จึงจะได้ความสุขสืบไป ประการหนึ่งให้มีใจทำไมตรีแก่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเก่าแก่ไว้อย่าให้ขาด แม้มาทว่าจะมีภัยสิ่งใดมาถึงตัวก็จะพเอิญให้มีผู้มาช่วยแก้ไขพ้นจากอันตราย ได้ ถ้าจะคิดการสิ่งใดเล่าก็จะสำเร็จ แล้วจิวยี่ก็หัวเราะ เจียวก้านได้ฟังจิวยี่ว่าป้องกันดังนั้นก็คิดว่า ซึ่งจะเกลี้ยกล่อมจิวยี่นั้นเห็นขัดสน ก็ให้ท้อใจนัก จิวยี่จึงพาเจียวก้านเข้ามาถึงที่กินโต๊ะแล้วอวดว่า ที่ปรึกษาแลทหารเมืองกังตั๋งนี้มีความคิดแลมีฝีมือเปนอันมาก
ครั้นเวลาพลบคํ่าจิวยี่จึงให้จุดเทียนเปนหลายดวง แล้วแกล้งลุกขึ้นรำกระบี่ทำเพลงว่า ธรรมดาเกิดมาเปนชายเร่งอุตส่าห์กระทำความเพียรให้มียศฐาศักดิ์ ถ้าได้สมความปราถนาแล้วจึงสำแดงความคิดให้คนทั้งปวงเห็นว่ามีสติปัญญา ตัวเราเมาสุราเจรจาฟั่นเฟือนจึงทำเพลงดังนี้ ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงเห็นจิวยี่รำเพลงกระบี่ดังนั้นก็ปิดปากหัวเราะ เจียวก้านจึงว่า ตัวเรากำล้งน้อยเสพย์สุราอีกไม่ได้แล้ว ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงก็ลาออกไปภายนอก
ขณะจิวยี่เมาสุราแต่มีสติอยู่ จึงแกล้งชวนเจียวก้านว่า ท่านกับเราไม่ได้นอนด้วยกันมาช้านานแล้ว วันนี้ท่านจงอยู่นอนด้วยเราสักคืนหนึ่ง แล้วก็จูงมือเจียวก้านเข้าไปนอนเตียงด้วยกัน ในขณะนั้นจิวยี่อาเจียนออกมาเต็มที่นอนแล้วแกล้งทำนอนหลับไป เจียวก้านนอนไม่หลับเพราะเปนทุกข์ด้วยรับคำโจโฉมาว่าจะเกลี้ยกล่อมจิวยี่ก็ ไม่สมความคิด เห็นจิวยี่นั้นนอนกรนอยู่ เจียวก้านคิดว่าจิวยี่นอนหลับจึงลุกไปสูบยาที่ตะเกียง เห็นหนังสือฉบับหนึ่งสักหลังผนึกนั้นบอกเนื้อความว่า ข้าพเจ้าชัวมอเตียวอุ๋น แล้วก็ฉีกออกอ่านดูในหนังสือนั้นเปนใจความว่า ชัวมอเตียวอุ๋นคำนับมาถึงจิวยี่ ซึ่งข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยโจโฉนี้เพราะความจำใจ แต่คิดแค้นอยู่มิวาย ถ้าได้ทีเมื่อใดข้าพเจ้าจะตัดสีสะมาให้ท่าน แม้ยังมิสมความคิดก่อนข้าพเจ้าจะให้คนลอบไปบอกข่าวท่านเนือง ๆ ครั้นแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็รู้ว่าชัวมอเตียวอุ๋นเอาใจออกหากโจโฉ ก็เอาหนังสือซ่อนไว้ในมือเสื้อ ครั้นเห็นจิวยี่พลิกตัวเจียวก้านก็ดับตะเกียงเสีย แล้วแกล้งเข้าไปนอนทำเปนหลับอยู่ที่เตียง ฝ่ายจิวยี่แกล้งทำเปนละเมอว่า ยังอีกสี่วันห้าวันเจียวก้านจงดูสีสะโจโฉ ณ ค่ายเราเถิด เจียวก้านถามซักไปหวังจะให้แจ้ง จิวยี่แกล้งทำหลับไป ครั้นเวลาประมาณสองยามเศษทหารเข้ามาร้องเรียกจิวยี่ ๆ ก็ทำเปนตื่นขึ้นแล้วแกล้งถามว่า ผู้ใดมานอนด้วยเราบนเตียงนี้ เจียวก้านก็ทำเปนหลับนิ่งอยู่ ทหารจึงบอกจิวยี่ว่า เจียวก้านเพื่อนของท่านนอนอยู่ด้วยท่านลืมไปแล้วหรือ
จิวยี่ก็ทำเปนได้คิดจึงว่านานแล้วเรามิได้เสพย์สุรา วันนี้เรากินเหล้าเข้าไปเหลือขนาดเมานัก จะหลงพูดความลับสิ่งใดออกมาบ้างก็ไม่รู้เลย ทหารนั้นจึงบอกจิวยี่ว่า บัดนี้มีคนมาหาท่านแต่ฝ่ายข้างกองทัพโจโฉ จิวยี่จึงทำเปนปลุกเจียวก้าน ๆ ก็ทำเปนไม่รู้สึก จิวยี่ก็ออกไปถึงนอกประตูทัพ เจียวก้านก็ทำเปนนิ่งตรับฟังอยู่ ได้ยินทหารบอกแก่จิวยี่ว่าชัวมอเตียวอุ๋นให้คนสนิธลอบมาบอกเนื้อความว่า ซึ่งจะทำการนั้นยังไม่สมความคิดก่อน จิวยี่กลับเข้ามาปลุกเจียวก้าน ๆ แกล้งทำนอนหลับ จิวยี่ก็แกล้งนอนหลับหวังจะให้เจียวก้านหนีไป
เจียวก้านคิดแต่ในใจว่า จิวยี่นี้มีสติปัญญาลึกซึ้ง ครั้นจะอยู่ถึงรุ่งเช้าขึ้นจิวยี่หาหนังสือไม่พบก็จะทำอันตรายแก่เรา ครั้นเวลาสามยามเศษเจียวก้านแต่งตัวแล้วลอบหนีออกมาจากค่าย ทหารจิวยี่พบเข้าจึงถามเจียวก้านว่าท่านจะไปไหน เจียวก้านจึงบอกว่า ครั้นเราจะอยู่ที่นี่จิวยี่ก็จะเปนกังวลอยู่ จะไม่ได้คิดการสงคราม เราจะลาไปก่อนแล้ว ทหารนั้นก็มิได้ขัดขวางไว้
เจียวก้านก็พาเด็กนั้นลงเรือรีบให้แจวไป ณ ค่ายโจโฉ พอเวลารุ่งเช้า โจโฉเห็นเจียวก้านกลับมาจึงถามว่า ซึ่งท่านอาสาไปนั้นยังได้ราชการอยู่หรือ เจียวก้านจึงบอกว่า จิวยี่นั้นมีสติปัญญามากนัก พูดจาเกลี้ยกล่อมนั้นไม่สมความคิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านรับอาสาไปแล้วไม่ได้ราชการ จิวยี่มิหัวเราะเยาะเราเล่นหรือ เจียวก้านจึงว่า ถึงมาทว่าไปเกลี้ยกล่อมจิวยี่ไม่สมความคิด ก็ได้ความลับมาข้อหนึ่งเปนการใหญ่ ครั้นจะบอกท่านบัดนี้ก็ยังไม่ควร
โจโฉจึงให้ขับทหารทั้งปวงเสียสิ้น เจียวก้านจึงเอาหนังสือนั้นให้โจโฉ ๆ อ่านดูแจ้งเนื้อความดังนั้นก็โกรธ ว่าชัวมอเตียวอุ๋นคิดร้ายต่อเราถึงเพียงนี้ ก็ให้หาชัวมอเตียวอุ๋นเข้ามาแล้วว่า เราจะให้ตัวทั้งสองนี้ยกกองทัพเรือไปรบจิวยี่ ชัวมอเตียวอุ๋นจึงว่า ทหารทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้ฝึกสอนนั้นยังไม่สันทัด ของดอยู่หัดให้ชำนาญเรือก่อนจึงจะยกไปทำการศึกได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธเปนอันมากแล้วว่า ซึ่งตัวจะให้งดไว้กว่าทหารจะสันทัดการเรือนั้น สีสะเราจะมิไปอยู่ในเงื้อมมือจิวยี่หรือ ชัวมอเตียวอุ๋นมิได้รู้เนื้อความก็นิ่งอยู่ไม่ตอบประการใด โจโฉจึงให้ทหารเอาตัวชัวมอเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย ทหารก็คุมเอาตัวชัวมอเตียวอุ๋นไปตัดสีสะเข้ามาให้โจโฉ ๆ เห็นสีสะนายทหารทั้งสองนั้นก็คิดขึ้นได้ว่า เราเสียกลอุบายจิวยี่ไม่ทันตรึกตรองจึงให้ฆ่าชัวมอเตียวอุ๋นเสีย ครั้นจะออกปากว่าคิดผิดก็เกรงว่า ภายหน้าไปทหารทั้งปวงจะละเมิดไม่ยำเกรง
ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงเห็นโจโฉให้ฆ่านายทหารทั้งสองเสียก็มีความสงสัย จึงเข้าไปถามโจโฉว่า ชัวมอเตียวอุ๋นผิดสิ่งใดท่านจึงให้ฆ่าเสีย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็แกล้งบอกว่า ชัวมอเตียวอุ๋นเปนคนเกียจคร้านเอาการไม่ได้จึงให้ฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงแจ้งดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วคิดว่า ชัวมอเตียวอุ๋นอุตส่าห์ทำราชการอยู่ เหตุใดจึงว่าเกียจคร้าน ทหารทั้งปวงมิได้ว่าประการใด โจโฉจึงตั้งให้อิกิ๋มกับมอกายเปนนายทหารเรือฝึกสอนทหารเลวสืบไป
ฝ่ายคนสอดแนมครั้นรู้ข่าวว่าโจโฉฆ่าชัวมอเตียวอุ๋นเสีย ก็เอาเนื้อความมาบอกแก่จิวยี่ทุกประการ จิวยี่แจ้งดังนั้นก็มีความยินดีสิ้นวิตก โลซกจึงว่าแก่จิวยี่ว่า ความคิดท่านทำกลอุบายได้ดังนี้จะกลัวอะไรแก่ฝีมือความคิดโจโฉ จิวยี่จึงว่า ซึ่งเราคิดทำการครั้งนี้บันดาทหารของเราหารู้เท่าเราไม่ แม้จะคิดอ่านการดีขึ้นไปกว่าเราก็เว้นไว้แต่ขงเบ้งผู้เดียว แล้วสั่งโลซกให้ไปพูดจาดูทีขงเบ้งว่าจะล่วงรู้การทั้งนี้หรือไม่ โลซกรับคำแล้วก็ลาไปหาขงเบ้งณ เรือน้อยแล้วว่า ข้าพเจ้าจะมาเยี่ยมท่านก็ไม่เปล่าเลย เพราะเหตุว่าต้องจ่ายสเบียงอาหารอยู่ ขงเบ้งจึงว่าครั้งนี้จิวยี่มีความชอบ เราก็พลอยดีใจด้วย แต่ยังไม่ได้ไปคำนับจิวยี่ โลซกจึงถามว่า ท่านยินดีว่าจิวยี่มีความชอบนั้นด้วยเหตุสิ่งใด ขงเบ้งจึงว่าจิวยี่ให้ท่านมาฟังดูว่า ซึ่งคิดทำการนั้นเราจะรู้หรือไม่ ตัวเราแจ้งแล้วจึงมีความยินดีด้วย โลซกได้ฟังดังนั้นก็ตกใจหน้าซีดแล้วถามว่า เหตุใดท่านจึงแจ้งเนื้อความดังนี้ ขงเบ้งจึงตอบว่า ความคิดจิวยี่นั้นลวงได้แต่เจียวก้าน ๆ ไปบอกโจโฉ ๆ ไม่ทันคิดก็ฆ่าชัวมอเตียวอุ๋นเสีย ครั้นโจโฉได้คิดก็มีมานะมิได้ออกปากว่าตัวทำผิด แลซึ่งชัวมอเตียวอุ๋นตายเสียแล้วนั้นเมืองกังตั๋งก็ไม่มีอันตราย เราจึงมีความยินดีด้วยเพราะเหตุฉนี้ บัดนี้โจโฉตั้งให้อิกิ๋มมอกายเปนนายทัพเรือ ให้ฝึกสอนทหารแทนชัวมอเตียวอุ๋น อันอิกิ๋มมอกายนั้นไม่ชำนาญเรือ จะพาเอาทหารเลวทั้งปวงมาตายเสียสิ้น โลซกได้ฟังดังนั้นก็สั่นสีสะมิได้ว่าประการใด
ขงเบ้งจึงแกล้งห้ามโลซกว่า ซึ่งเราว่ากล่าวทั้งนี้ท่านอย่าไปบอกจิวยี่เลย เพราะนํ้าใจจิวยี่ริษยาคิดจะทำร้ายเราอยู่ โลซกก็รับคำแล้วคำนับลาขงเบ้งไป จึงเอาเนื้อความทั้งปวงเล่าให้จิวยี่ฟัง แต่ข้อซึ่งขงเบ้งว่าน้ำใจจิวยี่ริษยาคิดจะทำร้ายขงเบ้งนั้นโลซกมิได้บอก จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า อันความคิดขงเบ้งนี้ลึกซึ้งหลักแหลมนัก จำจะคิดอ่านฆ่าเสียก่อนเราจึงจะพ้นภัย โลซกจึงว่า ขงเบ้งหาความผิดมิได้ท่านจะฆ่าเสียนั้นคนทั้งปวงก็จะคระหานินทา จิวยี่จึงว่า ซึ่งเราจะฆ่าขงเบ้งนั้น จะต้องคิดอ่านให้ชอบกลมิให้คนทั้งปวงล่วงนินทาได้ โลซกจึงถามว่า ซึ่งจะฆ่าขงเบ้งนั้นท่านจะคิดเปนประการใด จิวยี่จึงว่า ท่านอย่าล่วงถามความคิดเราเลย จงคอยดูต่อภายหลังเถิด
ครั้นเวลารุ่งเช้าจิวยี่จึงให้หาทหารทั้งปวงมาพร้อมกันแล้ว จึงให้เชิญขงเบ้งมาจะคิดราชการ ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีจึงเข้าไปในค่าย จิวยี่จึงถามขงเบ้งว่า ซึ่งเราทำสงครามทางเรือด้วยโจโฉบัดนี้ จะเอาอาวุธสิ่งใดเปนต้น ขงเบ้งจึงว่า ถ้าจะรบทางเรือนั้นก็สุดแต่เกาทัณฑ์เปนใหญ่ จิวยี่จึงทำเปนยินดีแล้วว่า ท่านว่าบัดนี้ต้องกันกับความคิดเรา อันในกองทัพเรานี้ลูกเกาทัณฑ์ก็น้อย แลการทั้งนี้เปนของนายเราทั้งสองด้วยกัน ท่านจงช่วยเปนนายกองเกณฑ์ใช้ช่างทำลูกเกาทัณฑ์ให้ทันในสิบวันนี้ให้ได้สิบ หมื่น ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็แจ้งในความคิดจิวยี่ จึงว่าท่านจะเอาลูกเกาทัณฑ์สิบหมื่นในสิบวันนั้นช้านัก จิวยี่จึงว่า การศึกจวนอยู่ท่านอย่าว่าเปนเล่น การของนายเราจะเสียไป ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าว่านี้เปนความจริง เพราะว่าสิบวันนั้นช้านัก อันกองทัพโจโฉก็มาตั้งใกล้กันเพียงนี้ เกลือกจะยกมารบพุ่งลูกเกาทัณฑ์ไม่ทันทีจะมิเสียไปหรือ ข้าพเจ้าจะให้ได้ลูกเกาทัณฑ์แต่ในสามวัน ท่านจงให้คนไปคอยรับเอาเถิด จิวยี่จึงว่า ถ้าไม่ได้ในสามวันท่านจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงให้ทัณฑ์บนว่า แม้ในสามวันนี้ไม่ได้ลูกเกาทัณฑ์สิบหมื่นก็ให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียเถิด แต่ว่าถ้าข้าพเจ้าขัดสนสิ่งใดจะต้องการมามิพบท่าน ข้าพเจ้าจะบอกแก่โลซกขอท่านให้อนุญาตด้วย จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็รับคำ จึงสั่งโลซกแล้วให้กฎหมายถ้อยคำขงเบ้งไว้เปนสำคัญ จิวยี่ก็ชวนขงเบ้งเสพย์สุราแล้วว่า การทั้งนี้ถ้าสำเร็จท่านก็จะมีความชอบ
ขงเบ้งครั้นกินโต๊ะแล้วก็ลาจิวยี่กลับไปเรือ โลซกจึงถามจิวยี่ว่า ซึ่งขงเบ้งรับจะให้ลูกเกาทัณฑ์สิบหมื่นในสามวันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะไม่ทัน จิวยี่จึงว่าขงเบ้งขันอาสาเอง แม้ไม่ได้สมเหมือนปากว่าเราก็จะฆ่าเสีย คนทั้งปวงก็จะไม่นินทาเราได้ ครั้งนี้เห็นขงเบ้งจะตายเปนมั่นคง ถึงมาทว่าจะมีปีกก็จะไม่พ้นมือเรา แล้วลอบสั่งทหารให้รีบไปบอกช่างซึ่งทำลูกเกาทัณฑ์นั้นให้แกล้งทำหนักหน่วง ไว้อย่าให้ทันในสามวัน เราจะดูปัญญาขงเบ้ง แล้วจิวยี่ให้โลซกไปฟังดูความคิดขงเบ้งว่าจะทำประการใด
ฝ่ายโลซกก็ลาไปหาขงเบ้ง ๆ เห็นโลซกมาจึงว่า เราได้ห้ามปรามท่านว่า อย่าให้เอาเนื้อความซึ่งพูดกันนั้นไปบอกแก่จิวยี่ท่านก็ไม่ฟัง บัดนี้จิวยี่แกล้งคิดอ่านจะฆ่าเราเสีย จึงให้เราเปนนายกองทำลูกเกาทัณฑ์สิบหมื่นให้ทันในสามวัน อันการนี้เห็นจะไม่ทันทีโทษก็จะมีแก่เรา ท่านจงช่วยคิดอ่านผ่อนผันอย่าให้มีโทษแก่เราได้ โลซกจึงตอบว่า นํ้าใจข้าพเจ้าเปนคนซื่อ ได้บอกแก่จิวยี่นั้นผิดอยู่แล้ว แต่ว่าเดิมจิวยี่จะให้ทำลูกเกาทัณฑ์ในสิบวัน ท่านขันรับแล้วให้ทัณฑ์บนว่าจะทำให้ทันแต่ในสามวัน ซึ่งท่านจะให้เราช่วยแก้ไขนั้นเห็นจะขัดสน ขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านไม่กรุณาก็จนอยู่ แต่จงเอ็นดูขอฟางมาจงมากกับผ้าดำให้หลายพับ แลน้ำมันสำหรับจะได้ลนดัดเช็ดลูกเกาทัณฑ์กับเรือยี่สิบลำ คนลำละสามสิบสี่สิบมาบันทุกลูกเกาทัณฑ์ไปให้จิวยี่เถิด
โลซกได้ฟังดังนั้นก็รับคำแต่ยังมีความสงสัยอยู่ ด้วยมิได้รู้ความคิดขงเบ้งจะทำเปนประการใด แล้วก็ลาขงเบ้งกลับมาบอกเนื้อความแก่จิวยี่ว่า มิได้เห็นขงเบ้งจัดแจงให้ช่างทำลูกเกาทัณฑ์ แต่ขงเบ้งนั้นขอเรือไปบันทุกลูกเกาทัณฑ์จะมาส่งให้ท่าน จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า ขงเบ้งครั้งนี้ไม่พ้นตาย แล้วก็สั่งโลซกว่าขงเบ้งจะเอาสิ่งใดก็ให้เอาไปให้เถิด โลซกก็ลาออกมาจัดแจงเรือยี่สิบลำกับทหารแลสิ่งของทั้งปวง เตรียมไว้จนถึงสามวันก็มิได้เห็นขงเบ้งจะทำเปนประการใด โลซกก็ยิ่งมีความสงสัยเปนอันมาก ครั้นเวลากลางคืนวันนั้นขงเบ้งจึงให้ไปเชิญโลซกมาแล้วว่า ลูกเกาทัณฑ์เราได้ครบแล้ว ให้เอาสิ่งของซึ่งเราสั่งนั้นมาจะได้ทำการ ทั้งเรือแลคนมาบันทุกแลขนเอาลูกเกาทัณฑ์เถิด โลซกจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย การทั้งนั้นก็เตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว
โลซกจึงให้ถอยเรือมา ขงเบ้งลงเรือแล้วจึงชวนโลซกว่า ท่านจงไปด้วยกันจะได้รับลูกเกาทัณฑ์ไปให้จิวยี่ โลซกจึงถามว่าท่านจะไปเอาลูกเกาทัณฑ์ที่ไหน ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าถามเราเลย จงไปด้วยกันเถิดจึงจะรู้ แล้วขงเบ้งก็ถอยเรือรบนั้นมา จึงให้มัดฟางแลหญ้าผูกเรียงไว้สองข้างแคมเรือรบ แล้วเอาผ้าดำนั้นคลุมมัดหญ้าแลฟางทั้งยี่สิบลำ ครั้นจัดแจงสำเร็จแล้วให้เอาพวนใหญ่ผูกโยงเรือนั้นทุกลำรีบแจวขึ้นไปถึงกอง ทัพโจโฉเวลาประมาณสามยามเศษ
ขณะนั้นเปนเดือนสิบสองข้างแรมหมอกลงหนัก ขงเบ้งจึงให้ทหารทั้งปวงตีฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงขึ้น โลซกเห็นดังนั้นก็ตกใจตัวสั่นดุจดังว่านั่งอยู่ในกองเพลิงด้วยมิได้รู้ เหตุผล จึงถามขงเบ้งว่า ทหารเรามาน้อยแต่เพียงนี้ แม้โจโฉยกทัพเรือมารบพุ่งท่านจะคิดอ่านต้านทานประการใด ขงเบ้งหัวเราะแล้วบอกเปนนัยว่า หมอกลงหนักอยู่ที่ไหนโจโฉจะอาจยกทัพเรือออกมา ท่านกับเราตั้งหน้าเสพย์สุราเล่นให้สบายใจกว่าจะสว่างขึ้น เราจึงจะถอยเรือล่องกลับลงไป
ฝ่ายโจโฉได้ยินเสียงฆ้องกลองอื้ออึงดังนั้น ก็รู้ว่าทหารจิวยี่มาทำการ ครั้นจะให้เรือรบออกรบพุ่งหมอกก็ลงหนักไม่เห็นกันถนัด แลเกรงอยู่ว่าจิวยี่จะให้ทหารมาซุ่มไว้คอยรบกระหนาบ จึงสั่งอิกิ๋มมอกายให้เอาเรือรบทอดตั้งมั่นไว้ ให้แต่ทหารทั้งปวงระดมยิงเกาทัณฑ์ไป แล้วให้เตียวเลี้ยวซิหลงคุมทหารเปนอันมากลงไประดมยิงทหารจิวยี่ตามริมชายทเล แลนายทหารบกแลเรือทั้งสองกองเห็นแต่เรือเรียงกันตะคุ่มอยู่มิได้เห็นทหารว่า มากแลน้อย ก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ระดมไปเอาเรือรบนั้นดังห่าฝน ขงเบ้งให้ทหารทั้งปวงแอบมัดฟางแลหญ้าเปนหุ่นชูขึ้นไว้ ครั้นเห็นลูกเกาทัณฑ์ติดมัดฟางแลหญ้ามากแล้วก็ให้หยุดฆ้องกลองเสีย ให้กลับเรือรบแคมหนึ่งเข้ารับลูกเกาทัณฑ์อีก ให้ตีฆ้องกลองอื้ออึง เห็นลูกเกาทัณฑ์ติดมากแล้วพอสว่างขึ้น
ขงเบ้งจึงแกล้งร้องเย้ยว่า ขอบใจมหาอุปราชให้ลูกเกาทัณฑ์แก่เราเปนอันมาก แลลูกเกาทัณฑ์นี้ก็จะกลับมารบสนองคุณท่าน แล้วก็รีบแจวล่องกลับลงไป ฝ่ายทหารโจโฉเห็นเรือรบทหารจิวยี่กลับไปดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ทุกประการ โจโฉจึงให้ทหารลงเรือเร็วรีบตามไปทางประมาณสองร้อยเส้นก็ไม่ทัน
ขณะนั้นโจโฉคิดน้อยใจว่าเสียความคิดแก่ข้าศึก ได้ความอัปยศนัก ฝ่ายขงเบ้งเมื่อล่องมานั้นจึงว่าแก่โลซกว่า เราคิดอ่านการทั้งนี้มิได้เสียทหารแต่สักคนหนึ่งแลป่วยการช่างทำ อันเรือยี่สิบลำนี้ได้ลูกเกาทัณฑ์ลำละห้าพันหกพันบ้าง ทั้งยี่สิบลำคิดเปนลูกเกาทัณฑ์กว่าสิบหมื่นอีก โลซกได้ฟังดังนั้นจึงยกมือคำนับแล้วสรรเสริญขงเบ้งว่า มีสติปัญญาดังเทพดาเข้าดลใจ ล่วงรู้ว่าวันนี้หมอกจะลงหนักจึงได้มาทำการทั้งนี้
ขงเบ้งจึงว่า อันธรรมดาเปนชายชาติทหาร ถ้าไม่รู้คเนการฤกษ์บนแลฤกษ์ตํ่า ก็มิได้เรียกว่ามีสติปัญญา ซึ่งเราจะมาทำการทั้งนี้เพราะรู้ว่าวันนี้หมอกจะลงหนัก เราจึงอาจให้ทัณฑ์บนจิวยี่ไว้ ซึ่งจิวยี่ให้เราเปนนายกองทำลูกเกาทัณฑ์ในสิบวันให้แล้วสิบหมื่นนั้น ถึงมาทว่าจะให้ช่างทำก็ไม่ทัน เหตุทั้งนี้ก็เพราะจิวยี่คิดจะฆ่าเราเสีย แต่หากเทพดาช่วยเรา ๆ จึงรู้ว่าวันนี้หมอกลงหนัก เราจึงอาจรับแต่สามวัน แลบัดนี้บุญเรามากจึงรอด โลซกก็สรรเสริญความคิดขงเบ้งเปนอันมาก ครั้นเรือกลับมาถึงหน้าค่ายโลซกจึงขึ้นไปบอกจิวยี่ว่า ลูกเกาทัณฑ์นั้นได้ครบแล้ว ให้ทหารลงไปขนเอาเถิด จิวยี่ให้ทหารลงไปขนเอาลูกเกาทัณฑ์ขึ้นมา แล้วให้นับชันสูตรได้มากกว่าสิบหมื่นอีก
โลซกจึงบอกเนื้อความซึ่งขงเบ้งคิดกลอุบายให้จิวยี่ฟังทุกประการ จิวยี่แจ้งดังนั้นก็สั่นสีสะทอดใจใหญ่แล้วว่า ขงเบ้งมีความคิดแลสติปัญญาลึกซึ้งยิ่งกว่าเราเปนอันมาก พอเห็นขงเบ้งมาจิวยี่จึงลุกออกไปรับเข้ามาให้นั่งที่สมควรแล้วจึงสรรเสริญ ว่า สติปัญญาท่านไปทำการทั้งนี้หาผู้ใดเสมอมิได้ ขงเบ้งจึงตอบว่า อันคิดอ่านกลอุบายแต่เพียงนี้จะนับถือว่าดียังมิได้ก่อน จิวยี่จึงชวนขงเบ้งเสพย์สุราแล้วบอกว่า เวลาวานนี้มีหนังสือซุนกวนให้มาถึงเราว่า ให้เร่งคิดอ่านเอาชัยชนะโจโฉให้ได้ ท่านจงเห็นแก่ราชการช่วยคิดอ่านรบพุ่งให้ได้ชัยชนะ ขงเบ้งจึงแกล้งตอบว่า อันสติปัญญาข้าพเจ้านี้น้อย ซึ่งจะให้คิดอ่านการสงครามนั้นเกลือกจะไม่ตลอดการจะเสียไป
จิวยี่จึงว่า อันกองทัพเรือโจโฉครั้งนี้ใหญ่หลวงเข้มขันนัก จะเข้าหักโหมรบพุ่งซึ่งหน้านั้นเห็นจะขัดสน เราคิดกลอุบายไว้อย่างหนึ่งท่านจะเห็นด้วยหรือประการใด ขงเบ้งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะขอคิดลองดู ท่านกับข้าพเจ้าจงเขียนหนังสือซึ่งคิดนั้นใส่ฝ่ามือแล้วแบออกดูให้พร้อมจะ ต้องกันหรือหาไม่ จิวยี่เห็นชอบด้วยต่างคนต่างเขียนหนังสือลงในฝ่ามือว่าเพลิงแล้วแบออกให้กัน ดูเห็นต้องกัน จิวยี่กับขงเบ้งก็หัวเราะ จิวยี่จึงว่าเราทั้งสองคิดต้องกัน ท่านอย่าได้แพร่งพรายเนื้อความไปให้เสียการ ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ามิให้เนื้อความทั้งนี้ฟุ้งซ่านไป ท่านจงเร่งคิดอ่านทำการเถิด แล้วขงเบ้งก็ลากลับไปเรือ
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 40
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgna3lBS3NvZ1hGMDA/view?resourcekey=0-uIEltUkjMgWpwSl3i-CEAw
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.417 seconds with 20 queries.
Loading...