User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
23 December 2024, 08:38:22
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618
Posts in
12,929
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
เรื่องราวน่าอ่าน
|
หนังสือดี ที่น่าอ่านยิ่ง
|
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30 (Read 896 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
on:
22 December 2021, 10:00:59 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-21.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21
เนื้อหา
โจโฉทดลองยีเอ๋ง
โจโฉแกล้งให้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว
ตังสินกับเกียดเป๋งพยายามกำจัดโจโฉ
โจโฉจับได้หนังสือพระเจ้าเหี้ยนเต้เขียนด้วยโลหิต
โจโฉจึงถามซุนฮิวว่า ท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญาที่จะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวได้ ซุนฮิวจึงตอบว่า ซึ่งจะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้นข้าพเจ้าเห็นแต่ขงหยงคนเดียว โจโฉเห็นชอบด้วย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงต่างคนต่างก็ลาโจโฉไปบ้าน ซุนฮิวก็ไปหาขงหยงแล้วว่า บัดนี้โจโฉหาผู้มีสติปัญญาจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว ข้าพเจ้าจึงว่าแก่โจโฉว่า เห็นแต่ท่านผู้เดียวจะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวได้ ขงหยงได้ยินดังนั้นจึงตอบว่าเราเปนคนรู้น้อย เหตุไฉนท่านจึงว่าดังนี้ แม้เราไปไม่สำเร็จการของโจโฉ ท่านกับเราก็จะไม่พ้นโทษ
ซุนฮิวจึงถามว่า ท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญากว่าท่านเล่า ขงหยงจึงบอกว่าเพื่อนรักของเราคนหนึ่งชื่อยีเอ๋ง มีสติปัญญารู้หลักกว่าเราสิบส่วน อย่าว่าแต่จะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเลย ถึงจะเปนขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ได้ เราจะคิดอ่านทำเรื่องราวกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ตั้งยีเอ๋งเปนขุนนาง แล้วจะได้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว ซุนฮิวเห็นชอบด้วย ขงหยงจึงแต่งเรื่องราวเปนใจความว่า ข้าพเจ้าขงหยงขอกราบทูลให้ทราบ ด้วยยีเอ๋งคนหนึ่งอายุยี่สิบปี อยู่ในเมืองหล่อ มีสติปัญญารู้หลักมาก จักษุแลไปเห็นสิ่งใด แลหูได้ยินเสียงอันใด ใจนั้นก็คิดตลอดไม่ขัดขวาง ประมาณการถูกทุกประการ ขอให้เอายีเอ๋งมาใช้ราชการแต่งให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเห็นจะได้โดยง่าย
ครั้นเวลาเช้าขุนนางขึ้นเฝ้าพร้อมกัน ขงหยงจึงเอาเรื่องราวนั้นถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ทรงหนังสือแล้วมิได้ตรัสประการใด จึงเอาหนังสือนั้นให้โจโฉ แล้วตรัสว่าการทั้งนี้ตามแต่มหาอุปราชจะคิดอ่านจัดแจงเถิด โจโฉได้รับสั่งดังนั้นแล้ว ครั้นกลับมาบ้านจึงให้ทหารไปหาตัวยีเอ๋ง ๆ มาถึงก็คำนับโจโฉ ๆ มิได้รับคำนับ แล้วไม่ปราไสย์ตามอย่างตามธรรมเนียม ยีเอ๋งมีความน้อยใจก็นิ่งอยู่ จึงทอดใจใหญ่แล้วว่าด้วยกำลังโวหารว่า แผ่นดินนี้กว้างขวางนัก ถ้าจะขาดคนๆ หนึ่งก็จะเปนไรนักหนา
โจโฉได้ยินยีเอ๋งว่าเปรียบเทียบดังนั้น ไม่ทันได้ยินถนัด สังเกตผิดไปจึงถามว่า แผ่นดินเรานี้ที่ปรึกษาแลทหารที่มีฝีมือก็มีเปนอันมาก เหตุไฉนตัวจึงว่าไม่มีคนดี ยีเอ๋งได้ฟังดังนั้นเห็นว่าโจโฉไม่รู้เท่าจึงตอบว่า มหาอุปราชว่าที่ปรึกษาแลทหารซึ่งมีสติปัญญามีฝีมือนั้น คือผู้ใดข้าพเจ้ามิได้แจ้ง โจโฉจึงว่าซุนฮกซุนฮิวกุยแกเทียหยก ที่ปรึกษาของเราสี่คนนี้มีปัญญาฦกซึ้ง ถึงเสียวโหกับตันเผง ซึ่งเปนนักปราชญ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น ก็ไม่เสมอที่ปรึกษาของเรา แลทหารเอกของเราที่มีฝีมือนั้น คือเตียวเลี้ยวเคาทูลิเตียนงักจิ้น สี่คนนี้มีฝีมือกล้าแขงชำนาญในการสงคราม ยิ่งกว่าเงียมเหงกับม้าบู๊ ซึ่งเปนทหารของพระเจ้าฮั่นกองบู๊ แลลิยอยหมันทอง สองคนนี้เปนที่ปรึกษารองของเรา กับแฮหัวตุ้นอิกิ๋มซีหลง เปนทหารเช่นนี้ก็นับร้อย เหตุใดตัวจึงว่าแผ่นดินหาผู้มีสติปัญญากล้าหาญไม่
ยีเอ๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ท่านว่านี้เราไม่เห็นด้วย คนทั้งปวงนั้นเรารู้จักความคิดเห็นฝีมืออยู่ทุกคน อันซุนฮกนั้นหน้าเหมือนหนึ่งจะร้องไห้ ชอบแต่ให้เยี่ยมไข้ส่งสักการศพ ซุนฮิวนั้นชอบแต่ให้เปนสัปเหร่อรักษาศพ เทียหยกนั้นชอบแต่ใช้ให้เฝ้าจำหล่อ กุยแกนั้นชอบแต่ให้แต่งโคลงแลอ่านบัตรหมาย เตียวเลี้ยวนั้นชอบแต่ให้ตีกลองแลระฆัง เคาทูนั้นชอบแต่ให้เลี้ยงวัวแลม้า ลิเตียนนั้นชอบแต่ให้อ่านฟ้อง งักจิ้นนั้นชอบแต่ให้เดิรหมาย ลิยอยนั้นชอบแต่ใช้ให้ชำระอาวุธ หมันทองนั้นชอบแต่ให้เสพย์สุรากับกระดูกสุกร อิกิ๋มนั้นชอบแต่ให้แบบกระดานไปทำค่าย ซีหลงนั้นชอบแต่ให้ฆ่าสุกรขาย แฮหัวตุ้นนั้นชอบแต่ให้คอยรักษาตัว อย่าให้ข้าศึกตัดเอาสีสะแลแขนซ้ายแขนขวาไปได้ อันที่ปรึกษาแลทหารนอกนั้น ชอบแต่ให้หาบสะเบียงส่งกองทัพ ซึ่งท่านนับถือว่ามีสติปัญญากล้าหาญนั้นไม่เห็นด้วย
โจโฉได้ฟังดังนั้นนั้นก็โกรธจึงถามว่า ตัวมาติเตียนที่ปรึกษาแลทหารของเรา ตัวรู้สิ่งใดบ้าง ยีเอ๋งจึงตอบว่า เรารู้ดูดาวในอากาศ ฝ่ายข้างแผ่นดินนั้น เราก็ชำนาญรู้ดูในภูมิฐานว่าดีแลร้าย อนึ่งเราจะพิททูลตักเตือนพระมหากษัตริย์ให้ตั้งอยู่ในยุติธรรม เหมือนพระเจ้าเงียวซุนนั้นก็ได้ ประการหนึ่งเราจะชักชวนสั่งสอนอาณาประชาราษฎรให้มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เหมือนครั้งขงจู๊กับงันเอี๋ยน ซึ่งเปนครูสั่งสอนคนทั้งปวงให้สัตย์ซื่อก็ได้ ซึ่งเราสนทนาแก่ท่านบัดนี้ อุปมาเหมือนพูดกับคนบ้าอันมิได้รู้ภาษาคน
เตียวเลี้ยวได้ยินดังนั้นก็โกรธ ถอดกระบี่ออกจะฟันยีเอ๋งเสีย โจโฉจึงห้ามว่าอย่าทำวุ่นวายเลย ทุกวันนี้เรายังขาดอยู่แต่คนที่ตีกลองรับแขก ครั้นจะฆ่ายีเอ๋งเสียก็จะตายเสียเปล่า จงเอามันไปไว้ให้ตีกลองรับแขกดีกว่า เตียวเลี้ยวก็ฟังคำโจโฉ ๆ จึงให้ยีเอ๋งไปเปนที่คนตีกลองสำหรับรับแขกนั้น เตียวเลี้ยวจึงว่า ยีเอ๋งนั้นว่ากล่าวหยาบช้าแก่ท่าน เหตุใดท่านจึงอดได้มิได้ฆ่าเสีย
โจโฉจึงตอบว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ลืออยู่ว่า ยีเอ๋งคนนี้มีสติปัญญากล้าหาญมิได้ยำเกรงผู้ใด ซึ่งมันมาว่าหยาบช้าแก่เรานั้น ครั้นเราจะให้ฆ่าเสียคนทั้งปวงก็จะคระหานินทา ว่ามีผู้รู้เท่าสิฆ่าเสีย ประการหนึ่งผู้มีสติปัญญาจะเข้ามาอยู่ด้วยเรา ก็จะคิดท้อใจว่าเรามิได้เลี้ยงคนดี แลยีเอ๋งเปนคนอวดรู้ เราจึงเอามันไว้ให้เปนคนตีกลอง
ครั้งอยู่มาวันหนึ่งโจโฉให้เชิญขุนนางมากินโต๊ะ ยีเอ๋งใส่เสื้อขาดออกมาตีกลองรับแขก ขุนนางทั้งปวงได้ยินเสียงกลองซึ่งยีเอ๋งตีนั้นเพราะก็บังเกิดพิศวง ทหารซึ่งคอยรับใช้เห็นยีเอ๋งทำดังนั้นจึงว่า วันนี้มหาอุปราชรับแขกเมือง เหตุใดตัวจึงใส่เสื้อขาด ยีเอ๋งได้ยินทหารร้องว่ามา ก็ถอดเสื้อแลกางเกงออกเสีย แกล้งตีกลองอยู่แต่ตัวเปล่า ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ลอายใจเอามือปิดหน้าเสียสิ้น โจโฉเห็นยีเอ๋งทำดังนั้นก็โกรธจึงร้องว่า มึงทำหยาบช้าทั้งนี้แกล้งจะให้กูขายหน้าหรือ
ยีเอ๋งจึงตอบว่า กูถอดเสื้อแลกังเกงเสียอยู่แต่ตัวเปล่านี้ ด้วยเปนการออกหน้า เพราะเหตุว่ากายนี้เปนที่สอาด บิดามารดาให้กูเกิดมา โจโฉจึงว่า มึงเห็นว่ากายผู้ใดโสโครกเล่า ยีเอ๋งจึงตอบว่า ตัวไม่เข้าใจหรือ เราจะพรรณนาการโสโครกของตัวให้ฟัง ประการหนึ่งตัวไม่รู้จักคนดีแลชั่ว จักษุของตัวนั้นเปนที่โสโครก ประการหนึ่งซึ่งผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อ เห็นว่าตัวทำการหยาบช้า ห้ามปรามตัวโดยสุจริตตัวมิได้ฟัง หูของตัวเปนที่โสโครก ประการหนึ่งตัวมิได้โอบอ้อมอารีต่อขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวง แล้วตัวคิดอ่านทำการหยาบช้า ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน ใจของตัวก็เปนการโสโครก ทุกวันนี้คนทั้งแผ่นดินนับถือว่าเรามีสติปัญญา แลตัวมาดูหมิ่นให้เราเปนคนตีกลอง เพราะมิได้รู้จักคนดีแลชั่ว ครั้งนี้ตัวก็คิดการใหญ่หลวง ซึ่งจะไม่นับถือเราผู้มีสติปัญญานั้นไม่ควร
ขงหยงได้ยินยีเอ๋งว่าหยาบช้าดังนั้น กลัวโจโฉจะโกรธให้ฆ่ายีเอ๋งเสีย ขงหยงจึงคำนับแล้วว่า เดิมข้าพเจ้าเห็นยีเอ๋งมีสติปัญญา จึงชักชวนมาหวังจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว บัดนี้ยีเอ๋งว่ากล่าวหยาบช้าแก่ท่านเปนอันมาก โทษนั้นถึงตาย ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ครั้งหนึ่ง โจโฉได้ฟังขงหยงว่าดังนั้นจึงว่าแก่ยีเอ๋งว่า โทษซึ่งตัวหยาบช้าแก่เรานั้นเราจะยกเสียแล้ว แลตัวอวดว่ามีสติปัญญาดี เราจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ถ้าได้ราชการจะปูนบำเหน็จ แล้วจะตั้งให้ตัวเปนขุนนาง ยีเอ๋งมิได้รับคำโจโฉ ๆ เห็นยีเอ๋งบิดพลิ้วอยู่ จึงค่อยกระซิบสั่งซุนฮกกับขุนนางทั้งปวง ให้แต่งโต๊ะไปคอยอยู่ประตูเมืองทิศตวันออก ถ้ายีเอ๋งออกไปถึงประตูเมืองแล้วจึงทำการเส้นวักไปเสียให้พ้นจากเมือง
ซุนฮกกับขุนนางทั้งปวง ก็รีบไปทำการเตรียมไว้ตามคำโจโฉสั่ง แล้วซุนฮกจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อเราเส้นแล้วท่านทั้งปวงอย่าได้พูดจากับยีเอ๋งประการใด โจโฉจึงว่าแก่ยีเอ๋งว่า ถ้าตัวไม่ไปเราจะฆ่าบุตรภรรยาเสีย ยีเอ๋งก็รับคำว่าจะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว โจโฉจึงให้เอาม้ามาให้ยีเอ๋งขี่ แล้วให้ทหารสองคนกำกับไปด้วย แลยีเอ๋งกับทหารทั้งสองคนก็ขี่ม้าพากันมาถึงนอกประตูเมืองฝ่ายทิศตวันออก มิได้เห็นขุนนางทั้งปวงทักทายประการใด ยีเอ๋งจึงลงจากม้าก็เข้ามากลางชุมนุมขุนนางทั้งปวง แล้วยีเอ๋งก็ทำเปนร้องไห้ ซุนฮกมิได้รู้กลยีเอ๋งจึงถามว่า มหาอุปราชให้ตัวไปราชการ เหตุใดจึงมาร้องไห้ดังนี้ ยีเอ๋งจึงตอบว่า เราเห็นท่านทั้งปวงอุปมาเหมือนหนึ่งศพ เราเดิรเข้ามาในหว่างศพก็มีความสงสารเราจึงร้องไห้
ซุนฮกแลขุนนางทั้งปวงได้ฟังยีเอ๋งว่าดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งตัวเราเปนศพนั้นฝ่ายตัวก็จะเปนผีหาสีสะมิได้ ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็โกรธชักกระบี่ออกจะฆ่ายีเอ๋งเสีย ซุนฮกจึงห้ามว่า ยีเอ๋งนี้อุปมาเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน แลท่านทั้งปวงจะมาถือโทษฆ่ามันเสียนั้นไม่ควร กระบี่จะติดโลหิตเปล่า ยีเอ๋งจึงตอบซุนฮกว่า ตัวเรายังมีความโกรธแลยินดีทั้งรู้เจรจาอยู่ เหตุใดท่านจึงว่าเราเปนสัตว์เดียรัจฉาน ท่านทั้งปวงอีกอุปมาเหมือนแมลงเม่าอันมิได้กลัวเพลิง พากันบินโถมเข้าไปในกองเพลิงก็จะถึงแก่ความตาย ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ต่างคนต่างห้ามกัน จึงชวนกันจุดธูปเทียนเส้นยีเอ๋ง แล้วชวนกันกลับมา
ยีเอ๋งกับทหารสองคนก็พากันไปถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงเข้าไปว่าแก่เล่าเปียวตามซึ่งโจโฉให้ไปเกลี้ยกล่อม แล้วยีเอ๋งพูดจาอวดรู้ยกตนข่มท่านทำทีดูหมิ่นเล่าเปียวว่าหาความคิดไม่ เล่าเปียวเห็นกิริยายีเอ๋งเจรจาหยาบช้าดังนั้นก็โกรธ แต่คิดยั้งหยุดไว้ ด้วยน้ำใจเล่าเปียวนั้นก็อารีอยู่ แล้วว่าแก่ยีเอ๋งว่า ซึ่งโจโฉใช้ให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมเรา ๆ ยังมิปลงใจก่อน เมื่อใดท่านไปเกลี้ยกล่อมหองจอเจ้าเมืองกังแฮปลงใจไปด้วยโจโฉแล้วเราก็จะปลง ใจด้วย ยีเอ๋งก็ลาเล่าเปียวไปเมืองกังแฮ
ฝ่ายที่ปรึกษาทั้งปวงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า ยีเอ๋งว่ากล่าวหยาบช้าดูหมิ่นท่าน เหตุใดท่านจึงมิได้ฆ่าเสีย เล่าเปียวจึงตอบว่า เรารู้กิตติศัพท์ว่ายีเอ๋งคนนี้มีสติปัญญา แต่เปนคนหามีอัชฌาสัยไม่ เมื่ออยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น ก็ว่ากล่าวหยาบช้าแก่โจโฉเปนหลายครั้ง โจโฉอุตส่าห์อดใจมิได้ให้ฆ่าเสีย เพราะเกรงว่าคนทั้งปวงจะนินทา ประการหนึ่งผู้จะเข้ามาอาสาทำการนั้นจะท้อใจว่าฆ่าคนดีเสีย ซึ่งแกล้งใช้ยีเอ๋งมาเกลี้ยกล่อมเรานี้หวังจะยืมมือเราให้ฆ่ายีเอ๋งเสีย จะให้ความชั่วนั้นอยู่แก่เรา ๆ จึงแกล้งให้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมหองจอ ด้วยหองจอใจร้ายมิยั้งหยุด ถ้ายีเอ๋งไปว่ากล่าวหยาบช้าประการใด หองจอก็จะฆ่ายีเอ๋งเสีย แม้กิตติศัพท์นี้รู้ไปถึงโจโฉ เห็นโจโฉจะเกรงเรา อันความคิดโจโฉนั้นเราล่วงรู้เท่าอยู่ ที่ปรึกษาทั้งปวงก็สรรเสริญเล่าเปียวว่า ท่านคิดทั้งนี้ดีนัก
ขณะนั้นพอทหารอ้วนเสี้ยว เอาหนังสือมาให้เล่าเปียวเปนใจความว่า ให้เล่าเปียวคิดการบำรุงแผ่นดิน เล่าเปียวจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า โจโฉกับอ้วนเสี้ยวเปนศัตรูกันอยู่ บัดนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวให้มาเกลี้ยกล่อมเราทั้งสองฝ่าย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ฮันสงจึงว่า ครั้งนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็คิดจะทำร้ายกัน ถ้าท่านไม่เข้าด้วยผู้ใด จะคิดให้เปนประโยชน์จงดูท่วงที แม้เห็นข้างไหนเพลี่ยงพล้ำ ท่านจงยกกองทัพไปตีเอาเมืองผู้นั้น แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ข้อหนึ่งว่า โจโฉนั้นมีสติปัญญาเปนอันมาก ทั้งการสงครามก็ชำนาญกว่าอ้วนเสี้ยว แล้วรู้จักเลี้ยงคนดีมีลักษณตามวิชาแลฝีมือ คนทั้งปวงเข้าด้วยโจโฉอยู่มิได้ขาด ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะทำการศึกนั้นจะชนะอ้วนเสี้ยวฝ่ายเดียว ถ้าโจโฉได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เห็นจะยกกองทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายตวันออกจนถึงเมืองกังตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่าจะต้านทานโจโฉมิได้ ขอให้ท่านสมัคเข้าทำการด้วยโจโฉ เห็นโจโฉจะเลี้ยงท่านโดยปรกติ
เล่าเปียวจึงว่า ท่านจงขึ้นไปฟังกิตติศัพท์ข้อราชการ ณ เมืองฮูโต๋ ถ้าแจ้งประการใดแล้วท่านจงกลับมา เราจะได้คิดอ่านกันต่อไป ฮันสงจึงว่าซึ่งท่านจะใช้อย่างไรนั้นข้าพเจ้าไม่ขัด กลัวแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้จะชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเปนขุนนาง จะมิได้กลับมาเปนเพื่อนตายด้วยท่าน เห็นท่านจะมีความสงสัยข้าพเจ้า เล่าเปียวจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่านั้นก็ควรอยู่ ถึงมาทว่าจะอยู่ไกลกันก็ดี แต่ให้มีใจรักกันยั่งยืนไว้เถิด ซึ่งท่านจะไปนั้น ถ้าแจ้งข้อราชการสิ่งใด ถึงมิได้กลับมาก็บอกมาให้เราแจ้งด้วย เราจะได้คิดการต่อไป
ฮันสงก็ลาเล่าเปียวไปเมืองหลวง จึงเข้าไปคำนับโจโฉ ๆ เห็นฮันสงก็มีความยินดี จึงพูดจาปราสัยกัน แล้วตั้งให้เปนขุนนางอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลเมืองเลงเหลงนั้นให้ขึ้นแก่ฮันสง ซุนฮกจึงค่อยกระซิบถามโจโฉว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าเปียวใช้ฮันสงมาฟังกิตติศัพท์ดู ฮันสงก็ยังมิได้มีความชอบต่อท่าน เหตุใดท่านจึงตั้งฮันสงให้เปนขุนนางบังคับเมืองเลงเหลง ประการหนึ่งยีเอ๋งซึ่งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้น ก็ยังมิได้เนื้อความประการใด ท่านยังมิได้ไต่ถามฮันสง
โจโฉจึงตอบว่า ยีเอ๋งนั้นหยาบช้าต่อเราเปนอันมาก เรามีความแค้นมันอยู่ ครั้นจะฆ่ามันเสียคนทั้งปวงก็จะคระหานินทา ว่ามีวาสนาแล้วข่มเหงผู้น้อย เราจึงให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว หวังจะยืมมือเล่าเปียวฆ่ายีเอ๋งเสีย ซึ่งจะให้ถามข่าวถึงมันนั้นจะต้องการสิ่งใด แล้วโจโฉจึงสั่งฮันสงให้กลับไปเมืองเกงจิ๋ว ให้เกลี้ยกล่อมเล่าเปียวมาทำราชการกับเราจงได้
ฮันสงรับคำโจโฉ แล้วลากลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงเล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งโจโฉว่า แลตั้งตัวให้เปนขุนนางนั้นให้เล่าเปียวฟังทุกประการ แล้วว่าโจโฉนั้นมีใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ควรที่ท่านจะทำราชการด้วย ขอให้ท่านแต่งบุตรขึ้นไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะได้ทำราชการเปนที่ขุนนาง เล่าเปียวแจ้งดังนั้นก็โกรธจึงว่า ตัวมิเอาความลับของเราไปบอกแก่โจโฉแล้วหรือ โจโฉจึงตั้งให้ตัวเปนขุนนาง แลตัวคิดทำการครั้งนี้ก็เห็นว่าทรยศแก่เรา แล้วสั่งให้เอาฮันสงไปฆ่าเสีย ฮันสงจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้คิดร้ายเอาใจออกหากแลทิ้งท่านเสียนั้นหามิได้ ท่านมิได้มีความเอนดูทิ้งข้าพเจ้าเสียอีก
เกงเหลียงได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า เมื่อท่านจะให้ฮันสงไปนั้น ฮันสงก็ได้ว่าไว้แก่ท่านว่า ซึ่งจะให้ไปเมืองฮูโต๋นั้นเกรงอยู่ว่าท่านจะมีความสงสัย ท่านก็ว่าไม่แคลงแล้วจึงให้ฮันสงไป บัดนี้ฮันสงกลับมาแจ้งราชการแก่ท่านตามจริง ซึ่งท่านจะให้ฆ่าฮันสงเสียนั้นไม่ควร เล่าเปียวเห็นชอบด้วย ก็มิได้ฆ่าฮันสง
ขณะนั้นพอทหารมาบอกกับเล่าเปียวว่า ยีเอ๋งซึ่งไปเกลี้ยกล่อมหองจอเจ้าเมืองกังแฮนั้น หองจอแต่งโต๊ะเลี้ยงดูตามธรรมเนียม ครั้นเวลาเสพย์สุราเมาด้วยกัน หองจอจึงถามยีเอ๋งว่า ในเมืองฮูโต๋นั้น ยังเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาหลักแหลมบ้าง ยีเอ๋งนั้นบอกว่า ขงหยงกับเอียวปิ๋วสองคนนี้ค่อยมีความคิดอยู่ นอกนั้นไม่เห็นผู้ใด หองจอจึงว่าความคิดขงหยงเอียวปิ๋วกับเรานี้ ท่านจะเห็นเปนกระไรกัน ยีเอ๋งจึงว่า อันตัวหองจอนั้น อุปมาเหมือนเตว็ดอยู่บนศาล ถึงจะมีผู้เส้นวักประการใด เตว็ดนั้นมิได้พูดจาด้วย ผู้ซึ่งนับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนไหว้ขอนไม้ หองจอได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงถอดกระบี่ออกฟันยีเอ๋ง ๆ ด่าหองจอจนสิ้นใจ เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็สงสารยีเอ๋ง จึงให้คนไปแต่งการศพฝังไว้ตำบลเอ๋งบูจิ๋ว แลเล่าเปียวนั้นมิได้คิดอ่านที่จะเข้าด้วยโจโฉ
ฝ่ายโจโฉครั้นรู้กิตติศัพท์ว่ายีเอ๋งตายแล้วก็หัวเราะ จึงว่ายีเอ๋งนั้นเปนคนหยาบช้า ปากของมันเปนอาวุธฆ่าตัวมันเสียเอง ขณะนั้นโจโฉคอยข่าวเล่าเปียวก็มิได้แจ้งเหตุประการใด จึงกะเกณฑ์ทหารทั้งปวงจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว ซุนฮกจึงห้ามโจโฉว่า อ้วนเสี้ยวมีกำลังเปนอันมาก แล้วเล่าปี่เอาใจออกหากไปร่วมคิดกันกับอ้วนเสี้ยว จำจะปราบอ้วนเสี้ยวเล่าปี่ให้ราบคาบเสียก่อน จึงค่อยยกกองทัพไปปราบปรามเล่าเปียวก็จะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย แล้วคิดว่าจะยกกองทัพไปรบอ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่ เนื้อความทั้งนี้โจโฉยังมิได้ปรึกษาผู้ใดจึงงดรออยู่จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ เสด็จมาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ห้าปีแล้ว
ขณะนั้นเปนเทศกาลเดือนสามตรุษจีน โจโฉกับขุนนางทั้งปวงแต่งธูปเทียนดอกไม้เข้าไปกราบถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยน เต้ ตามอย่างตามธรรมเนียม ตังสินกับขุนนางทั้งปวงเห็นโจโฉทำการหยาบช้า มิใคร่จะถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลขุนนางซึ่งมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ก็คิดแค้นโจโฉเปนอันมาก ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จขึ้น โจโฉแลขุนนางทั้งปวงกลับออกไปบ้าน
ฝ่ายตังสินตั้งแต่เล่าปี่ยกกองทัพไป แลม้าเท้งก็ยกไปเมืองเสเหลียงแล้ว ตังสินกับจูฮกจูลันตันอิบโงห้วนลอบคิดอ่านกันทุกวันมิได้ขาด จะกำจัดโจโฉเสียก็ไม่สมความคิด ต่างคนต่างทุกข์ร้อนไม่เปนกินเปนนอน แต่ตังสินนั้นเปนไข้ใจอยู่
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบว่าตังสินป่วย จึงสั่งเกียดเป๋งหมอหลวงให้ไปอยู่รักษาตังสิน เกียดเป๋งก็ไปพยาบาลทั้งกลางวันกลางคืน เห็นตังสินทอดใจใหญ่อยู่เนืองๆ ก็รู้ว่าไม่ป่วยเพื่อโรคแต่เปนไข้ใจ เกียดเป๋งมิอาจไต่ถามประการใด ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งเกียดเป๋งจึงว่าแก่ตังสินว่า วันนี้ข้าพเจ้าจะลาไป พรุ่งนี้จึงจะกลับมา ตังสินจึงว่าวันนี้อย่าเพ่อไปเลย อยู่นอนด้วยเราสักคืนหนึ่ง ตังสินก็ให้แต่งโต๊ะชวนเกียดเป๋งมากินสุรา ตังสินกินโต๊ะพลางคิดถึงความทุกข์พลางก็เหนื่อยใจ เอนตัวนอนลงหลับไป ฝันเห็นว่าจูฮกจูลันตันอิบโงห้วนสี่คน มาหาตังสินที่บ้านแล้วบอกว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่คุมทหารสิบหมื่นยกมาเมืองฝ่ายใต้ ม้าเท้งกับหันซุยคุมทหารเจ็ดสิบสองหมื่นยกมาข้างเหนือ จะมาตีเมืองฮูโต๋ ฝ่ายโจโฉก็เกณฑ์ทหารใหญ่น้อยทั้งปวงให้ออกไปต้านทานกองทัพอยู่นอกเมืองทั้ง สองตำบล ในเมืองนั้นอยู่แต่โจโฉกับทหารเลวประมาณเก้าคนสิบคน ตังสินมีความยินดีก็ซ่อมสุมทหารทั้งสี่นายได้ทหารประมาณพันเศษ ตังสินกับขุนนางสี่คนก็ใส่เกราะขี่ม้าถืออาวุธต่างๆ แล้วคุมทหารไปถึงหน้าบ้านโจโฉ เห็นโจโฉนั่งเสพย์สุราอยู่ ตังสินก็ขับม้าตรงเข้าไปเอากระบี่ฟันโจโฉสีสะขาดออกจากกายตาย แล้วตังสินด่าโจโฉว่าอ้ายขบถ ขณะนั้นตังสินมีใจยินดีจนตื่นขึ้นมาก็ยังด่าโจโฉอยู่มิได้ขาดคำ
เกียดเป๋งได้ยินตังสินละเมอด่าโจโฉดังนั้น ก็รู้ว่าตังสินจะทำร้ายโจโฉ เกียดเป๋งจึงกระโชกถามตังสินว่า ตัวท่านจะทำร้ายมหาอุปราช เราจะเอาเนื้อความไปบอกแก่ท่านให้แจ้ง ตังสินได้ยินเกียดเป๋งว่าดังนั้นก็ตกใจ มิได้ตอบประการใด เกียดเป๋งเห็นตังสินกลัวดังนั้น จึงว่าท่านอย่ากลัวเลย ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้จะลองใจท่านดู ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเปนแต่หมอ น้ำใจยังคิดสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ แต่ข้าพเจ้ามาพยาบาลท่านอยู่เปนหลายวันก็ไม่ปรากฎว่าโรคท่านเปนประการใด เห็นแต่ทอดใจใหญ่เนือง ๆ อยู่ก็ไม่อาจไต่ถาม บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินท่านละเมอด่าโจโฉก็ยุติกันกับทอดใจใหญ่ แลการซึ่งท่านคิดไว้ประการใดนั้นอย่าพรางเลยจงบอกให้แจ้งเถิด พอข้าพเจ้าจะทำได้ก็จะรับอาสา
ตังสินได้ยินเกียดเป๋งว่าดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วว่าเกรงอยู่แต่ใจท่านจะไม่เหมือนปากว่า การเราซึ่งคิดไว้ก็จะเสียไป เกียดเป๋งจึงตอบว่า ท่านสงสัยอยู่ข้าพเจ้าจะทำให้เห็นประจักษ์ แล้วเกียดเป๋งจึงตัดนิ้วมือเอาโลหิตปนกับสุราแล้วสาบาลว่า ถ้าข้าพเจ้าแกล้งล่อลวงท่าน ก็ให้ชีวิตข้าพเจ้าเปนอันตรายด้วยอาวุธต่างๆ เถิด แล้วเกียดเป๋งก็กินเข้าไป ตังสินได้ยินเกียดเป๋งสบถดังนั้นก็สิ้นความสงสัย จึงเอาพระอักษรออกให้เกียดเป๋งดูแล้วว่า ซึ่งเราร่วมคิดกันจะกำจัดโจโฉเสียนั้นมีเจ็ดคนทั้งตัวเรา บัดนี้เล่าปี่กับม้าเท้งก็ไปจากเมืองหลวงแล้ว ยังแต่เรากับขุนนางมีชื่อสี่คนคิดการไปมิตลอด เราจึงเปนไข้ใจเพราะเหตุดังนี้
เกียดเป๋งเห็นพระอักษรลายพระหัตถ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วได้ฟังตังสินบอกดังนั้นจึงตอบว่า การซึ่งจะทำร้ายโจโฉนั้น ไว้เปนธุระข้าพเจ้าจะอาสา ตังสินถามว่าท่านจะทำประการใด เกียดเป๋งจึงบอกว่า โจโฉนั้นมักปวดสีสะ หาข้าพเจ้าไปรักษาหายเนืองๆ อยู่ ถ้าโจโฉป่วยอิกครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะไปรักษาแล้วประกอบยาใส่ยาพิษประสมลงให้โจโฉกิน โจโฉก็จะตาย การซึ่งข้าพเจ้าคิดนี้เห็นจะไม่ยากแก่ทแกล้วทหาร ตังสินได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าถ้าท่านมีใจสัตย์ซื่อ ก็เห็นว่าราชสมบัติจะไม่เปนอันตราย ความชอบก็จะปรากฎไปภายหน้า ครั้นเวลารุ่งเช้าเกียดเป๋งก็ลาไปบ้าน
ขณะนั้นตังสินก็มีความยินดี ซึ่งเปนไข้นั้นก็คลาย จึงเดิรลงไปชมสวนดอกไม้ พอเห็นเคงต๋องบ่าวสนิธนั้น พูดกันอยู่กับอินเอ๋งซึ่งเปนภรรยาในที่ลับ ตังสินโกรธเรียกคนใช้ให้จับตัวเคงต๋องได้แล้ว ถอดกระบี่ออกจะฆ่าเคงต๋องเสีย ภรรยาใหญ่ตังสินเห็นวุ่นวายจึงลงไปห้ามขอชีวิตเคงต๋องไว้ ตังสินจึงให้ตีหนักหนาแล้วให้จำไว้ ในเวลาเที่ยงคืนเคงต๋องหักโซ่ออกได้ จึงลอบหนีไปถึงโจโฉ เอาความลับซึ่งตังสินคบคิดกันกับผู้มีชื่อห้าคนนั้น บอกแก่โจโฉทุกประการ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงให้เอาตัวเคงต๋องซ่อนไว้ในบ้าน
ฝ่ายตังสินเมื่อเวลารุ่งเช้าคิดว่า เคงต๋องหนีไปอยู่หัวเมือง ก็หาให้ตามเอาตัวไม่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉจึงคิดกลอุบายทำปวดสีสะ จึงให้คนใช้ไปหาเกียดเป๋งมาจะให้รักษาโรค คนใช้ก็ไปบอกเกียดเป๋ง ๆ ก็คิดว่าอ้ายศัตรูราชสมบัติจะตายครั้งนี้ แล้วเกียดเป๋งเข้าไปในเรือนเอายาพิษนั้นซ่อนมาด้วย โจโฉเห็นเกียดเป๋งมา ก็พิเคราะห์ดูเห็นนิ้วมือเกียดเป๋งขาดอยู่หนึ่ง สมคำเคงต๋องว่า ก็ยังมิได้ไต่ถามประการใด
โจโฉจึงว่าแก่เกียดเป๋งว่า บัดนี้เราป่วยให้ปวดสีสะนัก ท่านเร่งประกอบยาแก้ให้คลายเราจะปูนบำเหน็จ เกียดเป๋งจึงว่าท่านป่วยครั้งนี้ข้าพเจ้าจะประกอบยาให้ขนานเดียวโรคท่านก็จะ คลาย แล้วเกียดเป๋งจึงเอายาใส่จิบเจี๋ยวต้มขึ้นให้งวด ครั้นเห็นโจโฉเมินไปจึงเอายาพิษนั้นใส่ลงแล้วรินออกพอได้ครึ่งถ้วย จึงยกเข้าไปจะให้โจโฉกิน โจโฉรู้กลเกียดเป๋งก็บิดพลิ้วอยู่มิได้กินยา เกียดเป๋งจึงว่า มหาอุปราชจงกินยานี้เข้าไปแต่กำลังยังร้อนอยู่ พอเหื่อออกโรคท่านก็จะคลาย โจโฉจึงตอบว่า ท่านเปนหมอหลวงก็ย่อมรู้ขนบธรรมเนียมอยู่ทุกประการ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงพระประชวร หมอถวายยา ขุนนางผู้สนิธก็ได้เทียบก่อน แม้บิดาผู้ใดป่วย หมอนั้นประกอบยาให้กิน บุตรนั้นก็ย่อมชิมเสียก่อน บัดนี้ตัวเราเปนมหาอุปราช ตัวท่านเปนหมอสนิธรักใคร่แก่เรา ท่านประกอบยาให้เรากิน ควรที่ท่านกินให้เราเห็นก่อนเราจึงจะกินได้
เกียดเป๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ แต่ว่าท่านก็ไว้ใจข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ท่านป่วยข้าพเจ้าประกอบยามาให้กิน ท่านจะให้ข้าพเจ้าซึ่งไม่ป่วยกินเสียก่อนนั้น ยาน้อยจะเปลืองไป โรคท่านก็จะไม่หาย โจโฉก็บิดพลิ้วอยู่ไม่กิน เกียดเป๋งเห็นโจโฉรังเกียจอยู่ มิได้กินยาเหมือนทุกครั้ง ก็หมายใจว่าโจโฉรู้การทั้งปวงซึ่งคิดไว้ จึงจับหูโจโฉไว้แล้วเอาถ้วยยาตรอกโจโฉ ๆ ปัดถ้วยยาหกกระเด็นไปถูกอิฐ ด้วยอำนาจพิษยาอิฐนั้นก็แตกไป แลคนใช้ทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ชวนกันเข้าจับตัวเกียดเป๋งไว้ โจโฉเห็นประจักษ์ว่าเกียดเป๋งใส่ยาพิษ จึงว่ากูหาป่วยไม่ดอก กูลองใจมึงดู บัดนี้กูเห็นว่ามึงจะทำร้ายกูเปนมั่นคง จึงสั่งทหารยี่สิบคนให้เอาตัวเกียดเป๋งไปที่สวนดอกไม้ ให้ตีเกียดเป๋งหนักหนา แล้วว่าแก่เกียดเป๋งว่า ตัวเปนแต่หมอ ซึ่งคิดการขึ้นทั้งนี้กูเห็นเกินความคิดมึง ถ้าผู้ใดสั่งสอนให้มึงทำ จงเร่งบอกแต่ตามจริงกูจะยกโทษมึงเสีย
เกียดเป๋งต้องตีเจ็บปวดเปนนักหนา มิได้กลัวความตาย จึงร้องตวาดแล้วตอบว่า ตัวมึงทำการหยาบช้าเปนศัตรูราชสมบัติ ซึ่งกูคิดทำการทั้งนี้ ใช่จะมีผู้ใดสั่งสอนกูหาไม่ ด้วยเหตุว่าแผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า กูจึงคิดจะฆ่ามึงเสีย ถึงคนทั้งปวงก็หมายใจจะล้างชีวิตมึงเสียให้ได้ แต่หากว่าเกรงอยู่ด้วยจะทำการไม่ตลอด ชีวิตกูจะตาย มึงจะมาถามเซ้าซี้ไปใย โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ ให้ตีเกียดเป๋งแต่เช้าคุ้งเที่ยงจนหลังนั้นปอกไปโลหิตไหล เกียดเป๋งก็ไม่ซัดพวกเพื่อน โจโฉกลัวเกียดเป๋งจะตายเสียเนื้อความก็จะสูญไป จึงให้เอาตัวเกียดเป๋งไปจำไว้ให้มั่นคง
ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะ แล้วให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงมากินโต๊ะ แลจูฮกจูลันตันอิบโงห้วน สี่คนนี้พร้อมใจกันว่าครั้นเราจะมิไปโจโฉจะสงสัย ขุนนางสี่คนจึงไปพร้อมกันกับขุนนางทั้งปวง แต่ตังสินนั้นบอกป่วย
ขณะเมื่อขุนนางทั้งปวงกินโต๊ะอยู่ โจโฉจึงว่าวันนี้ท่านทั้งปวงเสพย์สุราไม่สู้เพลิน เรามีคนประหลาทอยู่คนหนึ่ง จะเอามาให้ท่านดูเล่น แล้วให้ทหารคุมเอาตัวเกียดเป๋งออกมา โจโฉจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า มีพวกขบถคบคิดกันกับอ้ายผู้ร้ายคนนี้ จะทำอันตรายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วจะทำร้ายแก่เรา บัดนี้เทพดามิได้เข้าด้วยผู้ผิด จึงผะเอิญให้เราจับตัวได้ เราจะถามเนื้อความมันให้แจ้ง ท่านทั้งปวงจงชวนกันฟัง โจโฉจึงให้ตีเกียดเป๋งอีกเปนหนักหนาจนสลบไป แล้วให้แก้ฟื้นขึ้น เกียดเป๋งมิได้ย่อท้อเคี้ยวฟันถลึงตาด่าโจโฉเปนข้อหยาบช้า แล้วว่าเหตุใดมึงมิฆ่ากูเสียจะเอาไว้ทำไมเล่า โจโฉจึงว่าเดิมมึงคบคิดกันนั้นหกคน ภายหลังมึงไปร่วมคิดด้วยจึงเปนเจ็ดคน ต้นเหตุนั้นคือผู้ใดมึงจึงไม่ชี้ตัวให้ เกียดเป๋งก็มิได้ซัดผู้ใด โจโฉก็โกรธให้ตีพลางถามพลาง เกียดเป๋งก็ไม่บอกตัวผู้ใด
ฝ่ายจูฮกจูลันตันอิบโงห้วนกินโต๊ะอยู่ เห็นโจโฉให้ตีถามเกียดเป๋งทั้งสี่คนนั้นมิได้เปนสุข อุปมาดังนั่งอยู่บนขวากหนาม หน้านั้นซีดไปพิศดูหน้าตากันมิได้ขาด โจโฉเห็นเกียดเป๋งไม่บอกพวกเพื่อนแล้วก็สั่งให้เอาตัวไปจำไว้ดังเก่า
ขุนนางทั้งปวงกินโต๊ะแล้วต่างคนต่างก็ลาโจโฉไป โจโฉจึงว่าท่านทั้งปวงจะไปก็ตามเถิด แต่จูฮกจูลันตันอิบโงห้วนสี่คนนี้เชิญอยู่ก่อน เราจะปรึกษาราชการด้วย ขุนนางสี่คนได้ฟังก็ตกใจขวัญไม่อยู่กับตัว จำใจนั่งอยู่ด้วยกลัวอาญาโจโฉ ๆ จึงถามขุนนางสี่คนว่า ท่านปรึกษาราชการสิ่งใด ณ บ้านตังสิน ขุนนางสี่คนจึงว่า ข้าพเจ้าจะได้ไปปรึกษาราชการสิ่งใด ณ บ้านตังสินนั้นหามิได้ โจโฉซักว่า ซึ่งตัวมิได้ไปปรึกษากันกับตังสิน แลแพรขาวซึ่งเขียนหนังสือนั้นว่ากันด้วยข้อความสิ่งใด ขุนนางสี่คนจึงว่า แพรขาวจะเขียนหนังสือไว้ประการใดข้าพเจ้าก็มิได้รู้เห็น
โจโฉจึงให้เอาตัวเคงต๋อง ซึ่งเปนบ่าวตังสินนั้นออกมาสอบกัน เคงต๋องจึงว่า ขุนนางทั้งสี่คนนี้ได้ไปคิดการ ณ บ้านตังสิน ขุนนางสี่คนนั้นไม่รับ เคงต๋องจึงว่า เดิมจูฮกไปหาตังสินก่อน ครั้นจูลันตันอิบโงห้วนม้าเท้งมา จูฮกกลัวเข้าซ่อนอยู่ในม่าน แต่ตังสินเอาหนังสือในแพรขาวนั้นออกให้ดู แล้วพูดจายอมร่วมคิดกันว่า จะทำร้ายมหาอุปราช จูฮกจึงออกมาเข้าคิดด้วย ตังสินกับขุนนางห้าคนจึงเขียนหนังสือใส่ชื่อไว้ด้วยกัน เหตุใดท่านทั้งสี่คนจึงไม่รับเล่า จูฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า เคงต๋องคนนี้ลอบทำชู้ด้วยภรรยาน้อยตังสิน ครั้นตังสินจับได้ให้ตีโบยแล้วจำไว้ เคงต๋องมีใจพยาบาทตังสินอยู่จึงหนีมา เอาความร้ายนั้นผูกพันใส่โทษตังสินว่าจะทำร้ายแก่มหาอุปราช ขอท่านอย่าเชื่อฟังคนผิด
โจโฉจึงว่า ซึ่งตัวว่ามิได้คบคิดกันกับตังสินนั้นยังไม่เห็นจริง ข้อซึ่งตังสินคิดให้เกียดเป๋งเอายาพิษมาให้เรากิน ตัวทั้งสี่คนนี้รู้หรือไม่ ขุนนางทั้งสี่ก็ว่าข้าพเจ้าไม่แจ้ง โจโฉจึงว่าเนื้อความทั้งนี้ท่านไม่รับ ถ้าเราพิจารณาสืบไปได้เนื้อความออกอีกประการใด เราจะให้ฆ่าตัวทั้งสี่คนเสีย แล้วโจโฉจึงสั่งทหารว่า เวลาวันนี้ค่ำแล้ว ให้เอาขุนนางทั้งสี่คนไปใส่คุกไว้ให้มั่นคง
ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉจึงพาทหารไปเยือนตังสิน ณ บ้าน ตังสินก็ออกมารับโจโฉเข้าไปนั่งที่สมควร โจโฉจึงว่าแก่ตังสินว่า เวลาวานนี้เราให้มาเชิญท่านไปกินโต๊ะ เหตุใดท่านจึงไม่ไป ตังสินจึงตอบว่า ข้าพเจ้าป่วยอยู่ยังไม่หายสนิธ ครั้นจะไปกลัวโรคนั้นจะกำเริบขึ้น โจโฉจึงว่าซึ่งท่านป่วยนั้นเราแจ้งอยู่ ใช่จะป่วยด้วยโรคก็หาไม่ ท่านเปนไข้ใจเพราะคิดการยังไม่สำเร็จ ตังสินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ มิได้ตอบประการใด โจโฉจึงถามตังสินว่า เนื้อความซึ่งเกียดเป๋งทำร้ายเรานั้นท่านรู้หรือไม่ ตังสินว่าไม่แจ้ง โจโฉหัวเราะแล้วจึงว่า ตัวไม่รู้ก็ดีแล้ว โจโฉจึงสั่งทหารให้ไปเอาเกียดเป๋งมา เกียดเป๋งครั้นมาเห็นโจโฉก็ด่าว่า อ้ายศัตรูราชสมบัติ มึงให้กูมาจะว่าประการใดอิก
โจโฉจึงว่าแก่ตังสินว่า พวกของตัวซึ่งร่วมคิดจะทำร้ายแก่เรานั้นห้าคน บัดนี้จับได้สี่คนแล้ว เราจำไว้ ณ คุก แต่คนหนึ่งนั้นยังไม่ได้ตัว ตังสินจึงว่าข้าพเจ้าจะได้คบคิดกับผู้ใดหามิได้ โจโฉจึงถามเกียดเป๋งว่าผู้ใดใช้มึงเอายาพิษมาใส่ให้กูกิน เกียดเป๋งจึงว่า ผู้ใดจะได้ใช้สอยกูก็หาไม่ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ตีเกียดเป๋งเปนอันมาก ตังสินเห็นโจโฉให้ตีเกียดเป๋งดังนั้น ก็ให้เกิดร้อนใจดังนั่งอยู่ในกลางกองเพลิง โจโฉจึงถามเกียดเป๋งว่า เดิมนิ้วมือของมึงนั้นครบสิบนิ้ว เหตุใดยังอยู่แต่เก้านิ้ว เกียดเป๋งจึงว่า กูตัดนิ้วมือออกสาบาลว่าจะฆ่ามึงเสียให้จงได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารตัดนิ้วมือเกียดเป๋งเสียทั้งเก้านิ้ว แล้วโจโฉจึงว่าแก่เกียดเป๋งว่า มึงตัดนิ้วเสียนิ้วเดียวจึงทำร้ายกูไม่ได้ บัดนี้กูให้ตัดเสียอิกเก้านิ้ว มึงเร่งคิดการทำร้ายกูให้สำเร็จเถิด เกียดเป๋งจึงว่า ปากกูยังมี ลิ้นกูพอจะด่ามึงได้อยู่อีก โจโฉจึงสั่งให้ทหารตัดลิ้นเกียดเป๋งเสีย เกียดเป๋งจึงร้องว่า อย่าทำลำบากแก่เราเลยจงแก้มัดเสียเถิด เราจะบอกเนื้อความแล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ห้ามทหารไว้ แล้วสั่งให้แก้มัดเสีย เกียดเป๋งลุกขึ้นผินหน้าไปข้างทิศพระราชวังกราบถวายบังคมพระมหากษัตริย์แล้ว จึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนข้าราชการในแผ่นดิน บัดนี้มีศัตรูทำจลาจลต่อราชสมบัติ ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน บัดนี้ไม่สมความคิด เกียดเป๋งก็เอาสีสะโดนเข้ากับเสาศิลาสีสะนั้นก็แตกตาย โจโฉเห็นดังนั้นก็ให้ทหารเชือดเนื้อเกียดเป๋งออกเปนชิ้นๆ ให้ตัดสีสะนั้นไปตะเวนแล้วเสียบประจานไว้
โจโฉจึงให้ทหารไปเอาตัวเคงต๋องมา แล้วถามตังสินว่า ท่านรู้จักอ้ายคนนี้หรือไม่ ตังสินเห็นเคงต๋องก็โกรธ จึงว่าอ้ายนี่เปนบ่าวของข้าพเจ้า เปนคนทรชนคิดร้ายต่อข้าพเจ้าจะไว้มันมิได้ แล้วตังสินถอดกระบี่ออกจะฆ่าเคงต๋องเสีย โจโฉจึงให้ทหารชิงกระบี่ไว้ แล้วว่าแก่ตังสินว่า เคงต๋องคนนี้เปนโจทย์ไปกล่าวโทษว่า ตัวกับขุนนางมีชื่อห้าคนคบคิดกันจะทำร้ายเรา แลขุนนางซึ่งอยู่ในเมืองหลวงสี่คนนั้นเราจับมาถามก็รับเปนสัตย์แล้ว แลตัวจะมาทำเปนโกรธ จะมาฆ่าโจทย์ของตัวเสียนั้น ตัวคิดจะให้ความสูญไปหรือ ตังสินจึงว่า ข้าพเจ้าจะได้คบคิดกับผู้ใดทำร้ายท่านหามิได้
โจโฉจึงสั่งให้ทหารทั้งปวงเข้าค้นเรือนตังสิน ได้หนังสือซึ่งเขียนด้วยโลหิตในแพรขาว กับหนังสือซึ่งลงชื่อสบถกันนั้น ออกมาให้โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือสองฉบับนั้นมาอ่านดู ก็รู้ว่าหนังสือในแพรขาวนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้คิดอ่านให้ทำ แลหนังสือซึ่งสาบาลนั้นมีชื่อเล่าปี่ด้วย แล้วโจโฉจึงว่า อ้วยพวกนี้อุปมาเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ควรหรือจะคิดทำร้ายกู จึงให้ทหารริบเอาทรัพย์สิ่งสินของตังสิน แล้วก็ให้จับเอาตัวตังสินแลบุตรภรรยาพรรคพวกมา ณ บ้าน โจโฉจึงเอาหนังสือสองฉบับนั้นให้ที่ปรึกษาทั้งปวงดู แล้วว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้คิดให้ทำร้ายแก่เราผู้มีความชอบ บัดนี้เราจะให้เนรเทศเสียจากราชสมบัติ จะจัดเอาเชื้อพระวงศ์ซึ่งมีสติปัญญาตั้งขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินแทน ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
เทียหยกจึงว่า ทุกวันนี้ราชการในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงก็เปนสิทธิ์อยู่แก่ท่าน เพราะท่านทำการสิ่งใดนั้น ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนประมาณ ขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงจึงยำเกรงอยู่ในบังคับบัญชาท่าน ครั้งนี้แผ่นดินก็ยังไม่ราบคาบ ซึ่งท่านจะให้เนรเทศพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียจากราชสมบัตินั้น ถ้ารู้ไปถึงหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง ก็จะยกกองทัพเข้าบัญจบกันมาทำอันตราย เห็นจะได้ความขัดสน ซึ่งข้าพเจ้าห้ามทั้งนี้ขอให้ท่านดำริห์ดูจงควร
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ไปจับบุตรภรรยาแลพรรคพวกขุนนางสี่คนนั้นมา แล้วเอาตัวตังสินแลขุนนางสี่คน กับบุตรภรรยาพรรคพวกประมาณเจ็ดร้อยเศษ ไปฆ่าเสียนอกกำแพงเมืองฮูโต๋ ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรเห็นดังนั้น ก็มีความสงสารน้ำตาตกไม่เว้นคน ขณะเมื่อโจโฉฆ่าตังสินกับคนทั้งปวงเสียแล้ว ก็ยังไม่หายความแค้น จึงเหน็บกระบี่เข้าไปในพระราชวัง หวังจะฆ่านางตังกุยหุยน้องตังสิน ซึ่งเปนพระสนมพระเจ้าเหี้ยนเต้เสีย
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตรัสปรึกษาด้วยนางฮกเฮาผู้เปนพระมะเหษีกับนางตังกุยหุยว่า เราให้หนังสือไปกับตังสินก็หลายเดือนแล้ว ยังมิได้เนื้อความประการใด พอแลไปเห็นโจโฉเหน็บกระบี่เดิรเข้ามา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตกพระทัยยังมิได้ตรัสประการใด โจโฉก็มิได้ถวายบังคม จึงว่าแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ตังสินคิดร้ายต่อข้าพเจ้าพระองค์รู้หรือไม่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังโจโฉถามดังนั้นจึงแกล้งตรัสว่า ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดินเขาชวนกันฆ่าเสียแล้ว เปนไฉนมหาอุปราชจึงว่าตั๋งโต๊ะจะทำร้ายอีกเล่า โจโฉจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ตังสินคิดร้ายต่อข้าพเจ้า เหตุใดจึงเอาเนื้อความตั๋งโต๊ะซึ่งตายแล้วมาตรัสดังนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินโจโฉร้องว่าดังนั้นก็ตกใจ แล้วตรัสว่าตังสินคิดร้ายประการใดนั้นเราไม่แจ้ง โจโฉจึงว่าพระองค์เขียนพระอักษรด้วยโลหิตให้ตังสินไปนั้นลืมเสียแล้วหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้ตอบประการใด
โจโฉก็สั่งบู๋ซูให้จับนางตังกุยหุย ซึ่งเปนน้องตังสินมาจะฆ่าเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงว่าแก่โจโฉว่า นางตังกุยหุยนั้นมีครรภ์อยู่ได้ห้าเดือนแล้ว มหาอุปราชจงเห็นแก่เราอย่าฆ่าเสียเลย โจโฉจึงว่าพระองค์ให้ตังสินทำร้ายข้าพเจ้า หากว่าเทพดาช่วยข้าพเจ้าจึงได้รู้การทั้งปวง หาไม่ข้าพเจ้าก็จะถึงแก่ความตาย แม้พระองค์จะเอาหญิงคนนี้ไว้ ภายหน้าก็จะมีอันตรายแก่ข้าพเจ้า นางฮกเฮาผู้เปนมะเหษีจึงว่าแก่โจโฉว่า มหาอุปราชเอ็นดูเถิด อย่าเพ่อฆ่านางตังกุยหุยเสียก่อนเลย จงเอาไปจำไว้ในตึกเย็น ถ้าคลอดบุตรแล้วจึงฆ่านางเสีย โจโฉจึงตอบว่าจะเอาพันธุ์มันไว้ไย ถ้าบุตรมันใหญ่ขึ้น มันก็จะพยาบาททำร้ายแก่ข้าพเจ้า นางตังกุยหุยจึงอ้อนวอนโจโฉว่า ถ้ามหาอุปราชมิไว้ชีวิตแล้ว อย่าฆ่าด้วยอาวุธให้ลำบากเลย จงเอาแพรขาวมารัดฅอให้ตายโดยปรกติเถิด โจโฉจึงให้เอาแพรขาวมาจะทำตามคำนางว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระกรรแสง แล้วตรัสแก่นางตังกุยหุยว่า ตัวเจ้าจะตายไปนั้นอย่าได้มีความแค้นแก่เราเลย แล้วพเระเจ้าเหี้ยนเต้กับนางฮกเฮา นางตังกุยหุยก็ร้องไห้ร่ำไรรักกัน โจโฉเห็นดังนั้นจึงร้องตวาดว่า คบคิดกันจะทำร้ายเขา ครั้นเขาจับได้สิมาร้องไห้รักกันเล่า แล้วโจโฉก็ให้บู๋ซูคุมเอาตัวนางตังกุยหุยออกไปถึงนอกประตูวัง ให้เอาแพรขาวรัดฅอนางเข้าจนขาดใจตาย โจโฉจึงสั่งขุนนางฝ่ายกรมวังกับขันทีว่า แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า อย่าให้เชื้อพระวงศ์เข้าไปที่ข้างใน ถ้าผู้ใดจะเข้าไปให้เอาเนื้อความมาบอกเราก่อน ต่อเราสั่งจึงให้เข้าไป แม้ผู้ใดมิห้ามปรามเราจะให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วสั่งโจหองให้คุมทหารสามพัน กำกับตรวจตราพระราชวังแลประตู อย่าให้เชื้อพระวงศ์เข้าไปที่ข้างในได้
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnMk41MzhOYmRmZ0k/view?resourcekey=0-ZEYkxtvJ5RooDDyMLgm0OQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #1 on:
22 December 2021, 10:06:56 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 22
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-22.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 22
เนื้อหา
โจโฉยกกองทัพไปปราบเล่าปี่
เล่าปี่แตกหนีโจโฉ
เล่าปี่ไปอาศัยอ้วนเสี้ยว
โจโฉคิดอุบายเกลี้ยกล่อมกวนอู
กวนอูขอคำมั่นสัญญาแล้วยอมอยู่กับโจโฉ
โจโฉจึงออกจากพระราชวังกลับมาบ้านแล้วปรึกษาเทียหยกว่า ตังสินกับพวกห้าคนซึ่งคิดร้ายเรานั้นเราก็ฆ่าเสียแล้ว ยังแต่เล่าปี่กับม้าเท้ง เราจะคิดประการใดจึงจะได้ตัวมาฆ่าเสีย เทียหยกจึงว่า ม้าเท้งไปอยู่เมืองเสเหลียงนั้นมีทหารเปนอันมาก ถ้าท่านจะยกกองทัพไปตีเอาบัดนี้เมืองเราก็เปนกังวลอยู่ ขอให้ท่านเร่งแต่งผู้มีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อมหาตัวม้าเท้งกลับเข้ามา อย่าให้ทันม้าเท้งรู้ว่าท่านจับตังสินกับพวกเพื่อนฆ่าเสีย ข้าพเจ้าเห็นว่าม้าเท้งไม่แจ้งเนื้อความทั้งนี้ก็จะเข้ามา จึงจับฆ่าเสียก็จะได้โดยง่าย อันเล่าปี่นั้นไปอยู่เมืองชีจิ๋ว ซ่องสุมทหารจะคอบรับกองทัพท่าน บัดนี้ทหารอ้วนเสี้ยวกับทหารเราก็ยังตั้งรอกันอยู่ ณ ตำบลกัวต่อ เห็นเล่าปี่จะให้มีหนังสือไปคิดกับอ้วนเสี้ยวเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าท่านยกกองทัพไปรบเล่าปี่ ดีร้ายอ้วนเสี้ยวจะยกมาตีเมืองฮูโต๋เปนมั่นคง ผู้ใดซึ่งจะต้านทานอ้วนเสี้ยวได้นั้นขัดสน โจโฉจึงตอบว่า เล่าปี่นั้นเปนคนมีสติปัญญา ถ้าละไว้ช้าก็จะมีกำลังมากขึ้น อุปมาเหมือนลูกนกอันขนปีกยังไม่ขึ้นพร้อม แม้เราจะนิ่งไว้ให้อยู่ในรังฉนี้ ถ้าขนขึ้นพร้อมแล้วก็จะบินไปทางไกลได้ ซึ่งจะจับตัวนั้นเห็นจะได้ความขัดสน อ้วนเสี้ยวนั้นมีทหารมากก็จริง แต่สติปัญญาน้อย ถึงจะคิดประการใดเราก็ไม่กลัว
ขณะนั้นพอกุยแกเข้ามา โจโฉจึงปรึกษาว่า เราจะยกกองทัพไปรบเล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋วฝ่ายทิศตวันออก แต่คิดเกรงอยู่ข้างฝ่ายทิศเหนือ เกลือกอ้วนเสี้ยวรู้ จะยกกองทัพมาโจมตีเอาเมืองฮูโต๋ ท่านจะคิดเห็นประการใด กุยแกจึงว่า อันความคิดอ้วนเสี้ยวนั้น ถ้าจะทำการสิ่งใดก็รวดเร็ว จะใช้ผู้ใดอ้วนเสี้ยวมักคิดสงสัยมิวางใจ ประการหนึ่งทหารทั้งปวงก็แก่งแย่งกัน จึงจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ ก็เห็นจะไม่สมความคิด อันเล่าปี่นั้นก็พึ่งได้กลับไปอยู่เมืองชีจิ๋ว แล้วทหารของเราก็ติดไปด้วย ซึ่งจะคิดการศึกไปนั้น เห็นทหารทั้งปวงยังไม่พร้อมเปนใจเดียวกัน ครั้นจะนิ่งไว้ทหารก็จะเปนใจประนอมกันเข้า ขอเร่งยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋วเสียก่อน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงตอบกุยแกว่า ซึ่งเราถามนี้แกล้งจะดูความคิดท่าน ท่านว่ามาก็เหมือนน้ำใจเราคิด แล้วโจโฉก็เกณฑ์ทหารได้ประมาณยี่สิบหมื่นยกออกจากเมืองฮูโต๋
ฝ่ายม้าใช้รู้ว่าโจโฉยกมา จึงรีบไปเมืองชีจิ๋วบอกเนื้อความแก่ซุนเขียนว่า บัดนี้กองทัพโจโฉยกมา ซุนเขียนแจ้งดังนั้นก็ไปบอกแก่กวนอู ณ เมืองแห้ฝือตามคำม้าใช้ แล้วว่าให้จัดแจงทหารไว้ให้พร้อม แลซุนเขียนก็ไปเมืองเสียวพ่าย บอกเนื้อความแก่เล่าปี่ ๆ แจ้งดังนั้นจึงว่า เราจะให้มีหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวอีก ให้ยกกองทัพมาช่วย จึงจะต้านทานโจโฉได้ เล่าปี่ก็แต่งหนังสือไปให้อ้วนเสี้ยว ซุนเขียนก็รับเอาหนังสือไปถึงเมืองกิจิ๋ว จึงเข้าไปหาเตียนห้อง เล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วว่าท่านจงช่วยพาเข้าไปหาอ้วนเสี้ยว เตียนห้องได้ฟังดังนั้นก็พาซุนเขียนเข้าไปถึงอ้วนเสี้ยว ซุนเขียนคำนับแล้วส่งหนังสือให้ อ้วนเสี้ยวอ่านแจ้งแล้วมิได้ตอบประการใด แกล้งทำเปนทุกข์
เตียนห้องเห็นหน้าอ้วนเสี้ยวนั้นเสร้าหมองจึงถามว่า วันนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านไม่สบายนั้นมีวิตกสิ่งใดหรือ อ้วนเสี้ยวจึงบอกว่า เรานี้ใกล้จะตายอยู่แล้ว จึงไม่มีความสบาย เตียนห้องจึงว่า เหตุใดท่านเจรจาเปนความอัปมงคล อ้วนเสี้ยวจึงว่า ชีวิตเราจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ เราวิตกถึงบุตรห้าคน เห็นว่าบุตรคนสุดท้องนั้นมีสติปัญญาอยู่บ้าง แต่อายุยังเด็กนัก บัดนี้ก็ป่วยหนักอยู่ เราจึงไม่มีความสบาย จึงคิดการสิ่งใดมิได้ เตียนห้องจึงตอบว่า คนทั้งปวงก็ลือชาปรากฎว่า ท่านเปนใหญ่อยู่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือ เหตุใดท่านมาคิดย่อท้อ จะมาตีตัวตายก่อนไข้นั้นไม่ควร บัดนี้โจโฉก็ยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว เมืองฮูโต๋นั้นหามีผู้ใดอยู่รักษาไม่ เล่าปี่ก็ให้หนังสือมาขอกองทัพท่านไปช่วย ถ้าท่านยกกองทัพไปโจมตีเมืองฮูโต๋ครั้งนี้เห็นจะได้โดยง่าย อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า เราก็แจ้งอยู่ว่าครั้งนี้ได้ทีทำการศึก แต่ใจเรานั้นเปนห่วงอยู่ถึงบุตร ถ้าบุตรเปนอันตรายข้างหลังชีวิตเราก็จะตายด้วย ประการหนึ่งมาทว่าจะยกไปก็ไม่มีชัยชนะ ด้วยเหตุไม่สบาย แล้วสั่งซุนเขียนว่า ครั้งนี้เราไม่ยกไปแล้ว จงไปบอกแก่เล่าปี่เถิด ถ้าอับจนเข้าก็ให้มาหาเรา เราจะช่วยทำนุบำรุงมิให้ขัดสน
เตียนห้องได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าดังนั้นก็โกรธจึงว่า เสียดายครั้งนี้ได้ทีอยู่แล้ว ควรหรือมาคิดเปนห่วงด้วยลูกเล็กเด็กน้อย เตียนห้องทอดใจใหญ่เดิรกระทืบเท้าออกไป ซุนเขียนก็ลาอ้วนเสี้ยวกลับไปเมืองเสียวพ่าย แจ้งเนื้อความแก่เล่าปี่ตามคำอ้วนเสี้ยวว่า เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษาซุนเขียนว่า โจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้ เราจะคิดอ่านรบพุ่งป้องกันประการใด
เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ ถ้าจะละให้ตั้งลงได้ ก็จะมีกำลังทำการศึกคิดร้ายแก่เรา บัดนี้กองทัพโจโฉก็ยกมาใกล้เมืองเราแล้ว เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารยกออกไปโจมตีกองทัพโจโฉอย่าให้ตั้งมั่น ลงได้ เห็นโจโฉจะเสียทีเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า น้องเราแต่ก่อนมาเห็นว่าไม่มีความคิด มีแต่ฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ เราพึ่งได้เห็นความคิดน้องเรา ทำกลอุบายจับเล่าต้ายได้ครั้งหนึ่ง มาครั้งนี้จะยกออกโจมตีกองทัพโจโฉมิให้ตั้งมั่นลงได้นั้นต้องใจเรานัก แล้วเล่าปี่ก็ให้เกณฑ์ทหารเตรียมไว้สำหรับเล่าปี่กองหนึ่ง จัดทหารไว้สำหรับเตียวหุยกองหนึ่ง
ฝ่ายโจโฉยกกองทัพมาใกล้จะถึงเมืองเสียวพ่าย พอเกิดลมพายุใหญ่พัดหนักธงชัยซึ่งปักมาบนเกวียนนั้นหักทบลง โจโฉเห็นวิปริตดังนั้น ก็ให้หยุดทหารตั้งค่ายมั่นไว้ แล้วถามที่ปรึกษาว่า ซึ่งลมพายุพัดมาถูกธงชัยเราหักลงทั้งนี้ จะเห็นดีแลร้ายประการใด ซุนฮกจึงว่า ซึ่งเกิดพายุใหญ่พัดธงชัยหักทบลงมานั้น เปนลมตวันออก เวลาค่ำวันนี้ดีร้ายเล่าปี่จะยกออกมาปล้นค่ายเราเปนมั่นคง พอมอกายเข้ามาว่าแก่โจโฉว่า ลมตวันออกพัดมาถูกธงชัยหักนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ากลางคืนวันนี้จะมีผู้มาปล้นค่าย
โจโฉได้ฟังซุนฮกกับมอกายว่าต้องคำกันดังนั้นจึงว่า ซึ่งเกิดลมมาทั้งนี้หากเทพดาสำแดงเหตุให้รู้เพราะบุญของเรา โจโฉจึงให้แบ่งทหารเปนสิบเอ็ดกอง กองหนึ่งให้อยู่รักษาค่าย แปดกองนั้นให้นายทหารเอกคุมทหารเลวยกแยกออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งแปดทิศ ถ้าเห็นกองทัพผู้ใดยกมาปล้นค่าย ก็ให้ทหารทั้งแปดกองตีกระหนาบล้อมเข้ามา สองกองนั้นให้แยกกันไปตั้งสกัดอยู่ปากทางเมืองชีจิ๋วกองหนึ่ง เมืองแห้ฝือกองหนึ่ง
ครั้นเวลาสองยาม เล่าปี่กับเตียวหุยก็คุมทหารออกมาจากเมืองเสียวพ่าย เตียวหุยนั้นคิดกำเริบว่า ครั้งก่อนทำกลอุบายจับเล่าต้ายได้ ครั้งนี้เล่าปี่ก็สรรเสริญความคิดเปนอันมาก เตียวหุยจึงขี่ม้าคุมทหารเปนกองหน้า ยกเข้าไปตีปล้นค่ายโจโฉ เตียวหุยเห็นคนในค่ายนั้นน้อย แล้วได้ยินเสียงทหารภายนอกโห่ร้องอื้ออึง ทั้งคบเพลิงก็สว่างขึ้นเปนอันมาก จึงคิดว่าดีร้ายโจโฉจะคิดกลอุบาย ก็พาทหารกลับออกมาหาเล่าปี่
พอพบเตียวเลี้ยวเคาทูอิกิ๋มลิเตียนซิหลงงักจิ้นแฮหัวตุ้นแฮหัวเอี๋ยนคุม ทหารตีกระหนาบล้อมเข้ามาทั้งแปดทิศ ได้รบพุ่งฆ่าฟันกันเปนสามารถ แลทหารซึ่งเตียวหุยคุมมานั้น เปนทหารเดิมของโจโฉก็แตกเข้าหานายทหารทั้งแปดกองนั้น ยังเหลือทหารซึ่งสนิธอยู่ประมาณสี่สิบเศษ เตียวหุยรบพุ่งป้องกันเปนสามารถ แล้วพาทหารสี่สิบเศษนั้นรบฝ่าออกมาได้ จึงคิดแต่ในใจว่า ครั้นจะไปหาเล่าปี่แลไปเมืองชีจิ๋วเมืองแห้ฝือบัดนี้ก็ไม่ได้ เห็นทหารโจโฉจะไปตั้งสกัดอยู่ปากทาง จึงพาทหารทั้งปวงหนีขึ้นไปอยู่บนเขาบองเอี๋ยง
ฝ่ายเล่าปี่นั้นขี่ม้าคุมทหารยกหนุนเตียวหุยเข้าไป ครั้นได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงล้อมค่ายโจโฉเข้ามา เล่าปี่จึงคิดว่าเตียวหุยเข้าไปปล้นค่านนั้น ดีร้ายจะเสียทีแก่โจโฉ พอแลเห็นแฮหัวตุ้นคุมทหารเข้ามาตัดเอาทหารเล่าปี่ไปได้ประมาณกึ่งหนึ่ง เล่าปี่เห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบด้วยแฮหัวตุ้น พอแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารตีกระหนาบเข้ามา เล่าปี่ก็ขับม้ารบพุ่งป้องกันเปนสามารถ ทหารเล่าปี่ล้มตายบ้าง เข้าหาโจโฉบ้าง เหลือทหารซึ่งสนิธอยู่ประมาณสามสิบเศษ เล่าปี่จึงพาทหารรบฝ่าออกมาจะกลับไปเมืองเสียวพ่าย แลเห็นแสงเพลิงในเมืองสว่างขึ้น เล่าปี่จึงคิดว่าทหารโจโฉเข้าตีเอาเมืองได้แล้ว จึงขับม้าพาทหารหนีไปถึงปากทางเมืองชีจิ๋วแลเมืองแห้ฝือ เห็นทหารโจโฉตั้งสกัดอยู่ทั้งสองทางเปนอันมาก จึงคิดว่าครั้งนี้โจโฉยกมาทำการใหญ่หลวง เรากับเตียวหุยต่างคนต่างแตกไป แลกวนอูซึ่งอยู่รักษาครอบครัวในเมืองแห้ฝือนั้น ก็ยังไม่ได้รู้เหตุว่าดีแลร้าย ซึ่งอ้วนเสี้ยวสั่งมาแก่ซุนเขียนว่า ขัดสนประการใดก็ให้ไปหาเถิดจะช่วยธุระนั้น ครั้งนี้จำจะไปอาศรัยอ้วนเสี้ยวอยู่ก่อน จึงจะได้คิดการต่อไป แล้วเล่าปี่ก็พาทหารรีบหนีจะไปทางเมืองกิจิ๋ว พอพบลิเตียนคุมทหารสกัดทางอยู่ เล่าปี่ตกใจมิได้คิดอ่านสู้รบประการใด จึงทิ้งทหารสามสิบเศษเสีย ขับม้าหนีเอาตัวรอด ลิเตียนนั้นจับเอาทหารเล่าปี่ไว้ได้สิ้น
ขณะเมื่อเล่าปี่ควบม้าหนีไปนั้น ทั้งกลางวันกลางคืนได้ทางประมาณพันเส้น ครั้นถึงเมืองเซียงจิ๋วจึงบอกแก่นายประตูว่า เราจะเข้าไปหาอ้วนถำเจ้าเมืองซึ่งเปนบุตรอ้วนเสี้ยว นายประตูก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่อ้วนถำ ๆ มีความยินดี จึงออกมาคำนับรับเล่าปี่เข้าไป เล่าปี่จึงเล่าเนื้อความแต่หลังให้อ้วนถำฟังทุกประการ แล้วว่าเราจะไปอาศรัยอยู่กับอ้วนเสี้ยวผู้เปนบิดาท่าน จะได้คิดอ่านกำจัดโจโฉเสีย
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสารเปนอันมาก ก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยง แล้วจัดแจงที่อยู่ให้เล่าปี่อาศรัย จึงแต่งหนังสือบอกไปถึงบิดาตามคำเล่าปี่ ให้ม้าใช้ถือไปก่อน แล้วให้ทหารป้องกันรักษาเล่าปี่ไปภายหลัง ม้าใช้มาถึงเมืองกิจิ๋ว ก็เอาหนังสือนั้นเข้าไปให้แก่อ้วนเสี้ยว ๆ แจ้งเนื้อความก็มีใจยินดี จึงพาทหารออกมาคอยรับเล่าปี่อยู่นอกเมือง ครั้นเห็นเล่าปี่มาถึง อ้วนเสี้ยวจึงไปจูงเอามือเล่าปี่ ถ้อยทีถ้อยคำนับกันแล้วพาเล่าปี่เข้ามาในเมือง อ้วนเสี้ยวจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านให้ซุนเขียนมาขอกองทัพนั้น บุตรเราป่วยหนักอยู่ จึงมิได้ยกไปช่วยท่าน ๆ อย่าน้อยใจแก่เราเลย เรามีความวิตกอยู่มิได้ขาด บัดนี้ท่านเสียเมืองไปแก่โจโฉ แต่ตัวท่านได้มาเห็นหน้ากันนี้เรามีความยินดีนัก
เล่าปี่จึงว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าเปนคนอนาถา ซึ่งท่านนับถือนี้คุณหาที่สุดไม่ แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ว่า น้ำใจท่านกว้างขวางอารี เลี้ยงทหารมิให้อนาทร ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่าจะมาพึ่งอยู่ให้ท่านใช้ จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉเสีย บัดนี้เสียทีแก่โจโฉมาแต่ตัว แต่น้องข้าพเจ้าทั้งสองกับครอบครัวยังไม่รู้ว่าเปนตายประการใด ซึ่งข้าพเจ้ามาหาท่านแต่ผู้เดียวนี้ มีความอัปยศแก่คนทั้งปวงเปนอันมาก ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอกินน้ำสบถอยู่ทำการด้วยท่านกว่าจะสำเร็จ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงเครื่องอุปโภคแลเครื่องบริโภคให้เปนอันมาก ทำนุบำรุงเล่าปี่ไว้ในเมืองกิจิ๋ว
ฝ่ายโจโฉในเวลากลางคืนนั้น คุมทหารเข้าตีเอาเมืองเสียวพ่ายได้ แลยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว แลบิต๊กบิฮองกันหยง ซึ่งเล่าปี่ให้รักษาเมืองจึงคิดกันว่า ทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เห็นเราจะต้านทานมิได้ ก็พากันหนีออกจากเมือง แต่ตันเต๋งเห็นจวนตัว จึงเปิดประตูเมืองออกไปรับโจโฉให้เปนความชอบไว้ โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความยินดียกทหารเข้าไป จึงกำชับทหารมิให้ทำอันตรายแก่ชาวเมือง แล้วปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เราจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองแห้ฝือ ท่านทั้งปวงจะเห็นเปนประการใด
ซุนฮกจึงว่า ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่า เล่าปี่ให้กวนอูรักษาครอบครัวอยู่เมืองแห้ฝือ ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปตีนั้นควรนัก ถ้าละไว้อ้วนเสี้ยวก็จะยกมาพาเอาครอบครัวเล่าปี่ไป โจโฉจึงตอบว่า อันกวนอูนั้นมีฝีมือกล้าหาญชำนาญในการสงคราม เราจะใคร่ได้ตัวมาเลี้ยงเปนทหาร เราจะแต่งคนให้ไปเกลี้ยกล่อมกวนอูจึงจะได้ กุยแกจึงว่าอันน้ำใจกวนอูนั้นซื่อสัตย์ต่อเล่าปี่นัก ซึ่งจะให้คนไปเกลี้ยกล่อมเห็นกวนอูจะมิลงใจด้วย แลผู้ใดซึ่งจะไปเกลี้ยกล่อมนั้นกวนอูก็คงจะฆ่าเสีย
เตียวเลี้ยวจึงว่า ข้าพเจ้ากับกวนอูได้รู้จักกันมา ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมกวนอูให้ได้ เทียหยกจึงว่า ซึ่งเตียวเลี้ยวจะรับอาสาไปเกลี้ยกล่อมกวนอูนั้น เห็นกวนอูจะไม่มา ข้าพเจ้าจะขออาสาฬ่อลวงให้กวนอูออกจากเมืองแห้ฝือแล้ว ถ้าเห็นกวนอูสิ้นความคิดลงเมื่อใด จึงให้เตียวเลี้ยวไปเกลี้ยกล่อมเห็นจะได้โดยง่าย
โจโฉจึงถามเทียหยกว่า ท่านจะคิดฬ่อลวงประการใด เทียหยกจึงว่า ท่านจับทหารเล่าปี่ไว้ได้เปนอันมาก จงให้บำเหน็จรางวัลให้ถึงขนาด แล้วสั่งให้ทำตามคำเรา จึงปล่อยเข้าไปในเมือง ให้บอกว่าหนีกลับมาได้ ถ้าเราจะทำการก็ให้เปนใส้ศึกอยู่เมือง แล้วให้แต่งทหารไปรบฬ่อ ถ้ากวนอูไล่ออกมานอกเมืองแล้ว จึงให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่ทั้งสองข้างล้อมไว้ จึงแต่งให้ผู้มีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อมกวนอูเห็นจะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เอาทหารเล่าปี่ซึ่งจับไว้ได้นั้นประมาณสี่สิบคน แล้วให้บำเหน็จรางวัลเปนอันมาก จึงสั่งเนื้อความตามคำเทียหยกว่าทุกประการ ทหารทั้งปวงก็เข้าไปหากวนอูในเมืองแห้ฝือ แล้วบอกว่าข้าพเจ้าหนีโจโฉมาได้ กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มิได้มีความสงสัย จึงเอาไว้ใช้สอยอยู่
ครั้นเวลาสามยาม โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นคุมทหารห้าพันเปนกองซุ่ม แล้วสั่งซิหลงกับเคาทูว่า ถ้ากวนอูไล่แฮหัวตุ้นออกมาก็ให้ยกทหารตั้งสกัดไว้ คอยรบป้องกันอย่าให้กวนอูเปนอันตราย นายทหารทั้งสามคนก็ยกไปเมืองแห้ฝือ โจโฉก็คุมทหารยกตามไปตั้งอยู่แต่ไกล แฮหัวตุ้นคุมทหารมาตั้งอยู่ใกล้เชิงกำแพงเมืองแห้ฝือ
ฝ่ายกวนอูเห็นกองทัพมาตั้งประชิดอยู่ดังนั้นก็มิได้ยกออกรบพุ่ง ให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่ไว้มั่นคง แฮหัวตุ้นมิได้เห็นกวนอูยกออกมารบ จึงให้ทหารเลวร้องต่อล้อด่ากวนอูเปนข้อหยาบช้า กวนอูได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงคุมทหารสามพันเปิดประตูเมืองออกมารบแฮหัวตุ้นได้สิบเพลง แฮหัวตุ้นแกล้งชักม้าหนี กวนอูมิได้รู้กลอุบายก็ขับม้าไล่ไปทางไกลเมืองประมาณสองร้อยเส้น กวนอูได้คิดขึ้นมากลัวว่าทหารโจโฉจะยกเข้าทำร้ายเมืองแห้ฝือจึงพาทหารกลับมา
พอได้ยินเสียงประทัด แล้วแลเห็นเคาทูกับซิหลงคุมทหารออกมารบสกัดไว้ทั้งซ้ายขวา กวนอูก็ขับม้าเข้ารบพุ่งเปนสามารถ ซิหลง เคาทูก็รับรองป้องกันอยู่ กวนอูจะกลับเข้าไปในเมือง พอพบแฮหัวตุ้นคุมทหารมารบอ้อมสกัดทางไว้ ซิหลงกับเคาทูก็รบตีกระหนาบเข้ามา กวนอูนั้นป้องกันลูกเกาทัณฑ์ไว้เปนสามารถ จะกลับเข้าเมืองก็ไม่ได้ จะหลีกไปข้างทางซ้ายขวา ทหารก็หนุนหนาเข้ามา แต่รบป้องกันอยู่นั้นจนใกล้พลบค่ำ กวนอูอิดโรยกำลังลง จึงคุมทหารหนีไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ก็ขึ้นหยุดพักอยู่บนเขานั้น แฮหัวตุ้นซิหลงเคาทูเห็นดังนั้นก็คุมทหารเข้าล้อมเชิงเขาไว้
ฝ่ายทหารเล่าปี่ซึ่งเข้าไปหากวนอูนั้น ครั้นเวลาพลบค่ำมิได้เห็นกวนอูกลับเข้าเมือง ก็ชักชวนกันเปิดประตูออกมาหวังจะรับโจโฉ ม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉ ๆ มีความยินดีก็คุมทหารเข้าเมืองแห้ฝือ แล้วให้เอาเพลิงเผาเมืองขึ้น หวังจะให้กวนอูเสียน้ำใจ จึงสั่งให้ทหารรักษาครอบครัวเล่าปี่ไว้จงดี แล้วโจโฉก็กลับมาเกณฑ์ทหารหนุนเข้าล้อมกวนอูไว้ กวนอูเห็นแสงเพลิงในเมืองสว่างขึ้นก็ตกใจ คิดถึงครอบครัวเล่าปี่ จึงคุมทหารลงมาถึงเชิงเขา ทหารโจโฉรบสกัดไว้ลงมามิได้ แล้วรื้อกลับขึ้นบนเขาเปนหลายครั้ง จนรุ่งขึ้นกวนอูจึงขี่ม้าพาทหารลงไปใกล้จะถึงเชิงเขา พอเห็นเตียวเลี้ยวขี่ม้าถือง้าวขึ้นมา กวนอูจึงถามว่า ท่านจะมารบกับเราหรือ เตียวเลี้ยวจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะมารบกับท่านหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้าขึ้นมานี้หวังจะแทนคุณท่าน แล้วเตียวเลี้ยวก็ลงจากม้าเอาง้าวนั้นวางไว้ เข้าไปคำนับกวนอู ๆ เห็นดังนั้นก็ลงจากม้ารับคำนับเตียวเลี้ยวแล้วถามเตียวเลี้ยวว่า โจโฉใช้มาเกลี้ยกล่อมเราหรือ เตียวเลี้ยวจึงตอบว่า ท่านได้มีคุณช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ บัดนี้ท่านมีความทุกข์ใหญ่หลวง ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์ขึ้นมาหวังจะแทนคุณท่าน
กวนอูจึงถามว่า ท่านคิดถึงคุณเรานั้นจะขึ้นมาช่วยเปนกำลังเราหรือ เตียวเลี้ยวก็ว่าหามิได้ กวนอูจึงว่า ท่านจะมาเกลี้ยกล่อมแลช่วยเราก็หามิได้ ซึ่งท่านขึ้นมานี้ด้วยเหตุสิ่งใดเล่า เตียวเลี้ยวจึงตอบว่า ท่านกับเล่าปี่เตียวหุยมีความรักกันเปนอันมาก บัดนี้เล่าปี่กับเตียวหุยแตกไป ท่านก็ยังไม่รู้เหตุว่าเปนแลตาย เวลาคืนนี้มหาอุปราชยกกองทัพเข้าตีเมืองแห้ฝือได้ แล้วสั่งแก่ทหารทั้งปวงมิให้ทำอันตรายแก่อาณาประชาราษฎร อันครอบครัวของเล่าปี่นั้น ก็แต่งให้ทหารไปพิทักษ์รักษามิให้ผู้ใดทำอันตรายได้ ข้าพเจ้าเห็นว่ามหาอุปราชมีใจเมตตาผูกความรักท่านถึงเพียงนี้ จึงเอาเนื้อความมาแจ้งแก่ท่าน
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า เดิมเราถามตัวว่าจะเกลี้ยกล่อมหรือ ตัวว่าหามิได้ แลตัวมาว่ากล่าวดังนี้ จะว่าไม่เกลี้ยกล่อมนั้นตัวจะประสงค์สิ่งใดเล่า แล้วว่าเราอยู่ในที่นี้ก็เปนที่คับขันอยู่ ซึ่งเราจะเข้าด้วยผู้ใดนอกจากเล่าปี่นั้นอย่าสงสัยเลย ตัวเราก็มิได้รักชีวิต อันความตายอุปมาเหมือนนอนหลับ ท่านเร่งกลับไปบอกแก่โจโฉให้ตระเตรียมทหารไว้ให้พร้อม เราจะยกลงไปรบ
เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้โทษมีอยู่กับตัวท่านถึงสามประการ คนทั้งปวงจะล่วงคระหานินทาท่านได้ กวนอูจึงว่า ตัวเราถือความสัตย์มั่นคงอยู่ว่า ถึงตัวจะตายก็มิได้เข้ากับผู้ใด ซึ่งท่านว่ามีโทษสามประการนั้น ด้วยเหตุสิ่งใดบ้าง เตียวเลี้ยวจึงตอบว่า เดิมท่านกับเล่าปี่เตียวหุยได้สาบาลไว้ต่อกันว่า เปนพี่น้องร่วมสุขแลทุกข์เปนชีวิตอันเดียวกัน ถ้าผู้ใดตายก็จะตายด้วย ครั้งนี้เล่าปี่กับเตียวหุยแตกไป ท่านก็ไม่รู้ว่าเปนหรือตาย แลบัดนี้ทหารก็น้อยนัก ซึ่งจะยกลงไปรบนั้น ถ้าท่านเปนอันตรายถึงสิ้นชีวิต ฝ่ายเล่าปี่เตียวหุยยังมีชีวิตอยู่จะเที่ยวตามหาท่าน หวังจะช่วยกันคิดการต่อไป เมื่อท่านตายเสียแล้วเล่าปี่เตียวหุยก็จะตายด้วย ซึ่งท่านสาบาลไว้ต่อกันก็จะมิเสียความสัตย์ไปหรือ คนทั้งปวงก็จะล่วงนินทาว่าความคิดท่านน้อย
ประการหนึ่ง เล่าปี่ก็มอบครอบครัวไว้ให้ท่านรักษา ถ้าท่านตายเสียภรรยาเล่าปี่ทั้งสองนั้นจะพึ่งผู้ใดเล่า อันตรายก็จะมีต่างๆ การซึ่งเล่าปี่ปลงใจไว้แก่ท่านนั้นก็จะไม่เสียไปหรือ ข้าพเจ้าเห็นไม่ชอบเปนสองประการ
อีกประการหนึ่งนั้น ท่านก็มีฝีมือกล้าหาญ แล้วแจ้งใจในขนบธรรมเนียมโบราณมาเปนอันมาก เหตุใดท่านจึงไม่รักษาชีวิตไว้คอยถ้าเล่าปี่ จะได้ช่วยกันคิดการทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข ถึงมาทว่าท่านจะได้ความลำบาก ก็อุปมาเหมือนหนึ่งลุยเพลิงอันลุก แลข้ามพระมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก็จะลือชาปรากฎชื่อเสียงท่านไปภายหน้า ว่าเปนชาติทหารมีใจสัตย์ซื่อกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งท่านจะมานะลงไปรบพุ่งกับโจโฉ ถ้าชีวิตท่านตายเสียครั้งนี้ก็จะไม่มีชื่อปรากฎไป ข้าพเจ้าเห็นโทษมีสามประการฉนี้ ข้าพเจ้าจึงว่า
กวนอูได้ฟังดังนั้น ก็นิ่งตรึกตรองอยู่เปนช้านาน ครั้นเห็นชอบด้วยจึงว่า ท่านว่าดังนี้ก็ควรแล้ว แลโทษซึ่งมีสามประการนั้น จะให้เราทำประการใด เตียวเลี้ยวจึงว่า มหาอุปราชให้ทหารล้อมท่านไว้เปนอันมาก ถ้าท่านมิสมัคเข้าด้วย เห็นชีวิตท่านจะถึงแก่ความตายหาประโยชน์มิได้ ขอให้ท่านอยู่กับมหาอุปราชก่อนเถิด จะได้มีประโยชน์สามประการ
ประการหนึ่ง ซึ่งท่านสาบาลไว้กับเล่าปี่เตียวหุยว่า จะช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดิน ความสัตย์ข้อนี้จะได้คงอยู่
ประการหนึ่ง ท่านจะได้อยู่ปฏิบัติรักษาพี่สะใภ้ทั้งสองมิให้เปนอันตรายสิ่งใดได้ เปนสองประการ
อีกประการหนึ่งนั้น ตัวท่านก็ฝีมือกล้าหาญมีสติปัญญา จะได้คิดการทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ครองราชสมบัติสืบไป ข้าพเจ้าเห็นมีประโยชน์สามประการฉนี้ จึงเตือนสติท่านให้ดำริห์ดูจงควร
กวนอูจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่ามีประโยชน์แก่เราสามประการนั้นก็จริงอยู่ แต่เราจะขอสัญญาไว้สามประการบ้าง ถ้ามหาอุปราชยอม เราจึงจะถอดเกราะออกเสีย แล้วจะลงไปหามหาอุปราช แม้ความประการใดขาดแต่ข้อหนึ่ง เราก็จะสู้ตายเสีย ถึงมาทว่าคนทั้งปวงจะคระหานินทาเราก็ตามเถิด เตียวเลี้ยวจึงว่า มหาอุปราชนั้นน้ำใจกว้างขวางอารีนัก มักสมาคมด้วยผู้มีสติปัญญา ถ้าท่านจะว่าประการใดมหาอุปราชก็คงจะยอม ซึ่งท่านจะขอสัญญาสามประการนั้น คือข้อใดบ้าง
กวนอูจึงว่า เดิมเราได้สาบาลกันไว้กับเล่าปี่เตียวหุยว่า จะช่วยกันทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุข ซึ่งเราจะสมัคเข้าด้วยนั้น เราจะขอเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ประการหนึ่ง เราจะขอปฏิบัติพี่สะใภ้เราทั้งสอง แลอย่าให้ผู้ใดเข้าออกกล้ำกรายเข้าถึงประตูที่อยู่ได้ จะขอเอาเบี้ยหวัดของเล่าปี่ซึ่งเคยได้รับพระราชทานนั้น มาให้แก่พี่สะใภ้เราทั้งสองประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ถ้าเรารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดตำบลใด ถึงมาทว่าเรามิได้ลามหาอุปราช เราก็จะไปหาเล่าปี่ แม้มหาอุปราชจะห้ามเราก็ไม่ฟัง แลเนื้อความสามประการนี้ ท่านจงเอาไปบอกแก่มหาอุปราชเถิด ถ้ายอมตามคำเรา ๆ จะลงไปหา เตียวเลี้ยวก็ลากวนอูแล้วขึ้นม้ากลับมาแจ้งเนื้อความแก่โจโฉทุกประการ
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า ซึ่งกวนอูไม่ยอมด้วยเรานั้น เราเปนถึงมหาอุปราช กวนอูจะยอมเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เหมือนเปนบ่าวเรา ถ้าเราบังคับบัญชาราชการประการใดกวนอูก็จะไม่ขัดได้ กับซึ่งกวนอูว่าจะปฏิบัติรักษาพี่สะใภ้ทั้งสอง มิให้ผู้ใดแปลกปลอมเข้าไปถึงประตูที่อยู่นั้นเราก็จะยอม ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ภรรยาเล่าปี่เลย ถึงภรรยาผู้น้อยลงไปเราก็มิได้ให้ทำหยาบช้า ซึ่งกวนอูจะขอเอาเบี้ยหวัดเล่าปี่ให้แก่พี่สะใภ้นั้น เราจะให้ทวีขึ้นอีก แต่ข้อซึ่งกวนอูรู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดมิได้ลาเราก่อนจะไปหากันนั้น โจโฉสั่นสีสะไม่ยอม แล้วว่าเมื่อกวนอูเอาสัญญาฉนี้ เราจะเอามาเลี้ยงไว้ให้มีกำลังจะได้ประโยชน์สิ่งใดเล่า
เตียวเลี้ยวจึงว่า มหาอุปราชไม่แจ้งหรือ ในนิทานอิเยียงซึ่งมีมาแต่ก่อนว่า เดิมอิเยียงอยู่กับต๋งหางซึ่งเปนเจ้าเมือง ต๋งหางเลี้ยงอิเยียงเปนทนายใช้สอย ครั้นอยู่มายังมีคิเป๊กเจ้าเมืองหนึ่งนั้น ยกกองทัพมารบฆ่าต๋งหางตาย คิเป๊กได้อิเยียงไปไว้ จึงตั้งอิเยียงเปนขุนนางที่ปรึกษา อิเยียงมีความสุขมาเปนช้านาน แล้วเซียงจูเจ้าเมืองหั้นก๊กก็ยกทัพมารบฆ่าคิเป๊กตาย อิเยียงนั้นมีใจเจ็บแค้นเปนอันมาก จึงไปยังเมืองหั้นก๊กแล้วเข้าซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ จะลอบทำร้ายเซียงจูให้ถึงแก่ความตาย เซียงจูจับได้ถึงสองครั้งมิได้เอาโทษ ให้ปล่อยอิเยียงเสีย ครั้นอยู่มาอิเยียงลอบเข้าไปซ่อนอยู่ถึงที่ข้างใน หมายจะฆ่าเซียงจูเสีย เซียงจูก็จับได้อีกจึงถามอิเยียงว่า ตัวจะทำอันตรายเรา ๆ จับได้ถึงสองครั้งแล้วก็มิได้เอาโทษ เราให้ปล่อยตัวเสียตัวก็มิได้หลาบจำ รื้อจะมาทำร้ายเราอีกเราก็จับตัวได้ แลตัวผูกใจแค้นเรานั้นด้วยเหตุสิ่งใด อิเยียงจึงบอกว่า เดิมข้าพเจ้าอยู่กับต๋งหาง ๆ เลี้ยงข้าพเจ้าเปนทนายใช้สอย ครั้นคิเป๊กยกไปฆ่าต๋งหางเสีย เอาตัวข้าพเจ้าไปตั้งให้เปนขุนนางที่ปรึกษา ได้ความสุขเปนอันมาก ครั้นนี้ท่านยกไปฆ่าคิเป๊ก ซึ่งเปนนายมีคุณแก่ข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้ามีใจเจ็บแค้นอยู่ คิดอ่านมาหวังจะทำอันตรายท่าน หวังจะแทนคุณคิเป๊ก ซึ่งท่านจับข้าพเจ้าได้ถึงสองครั้งแล้วปล่อยเสียนั้น ข้าพเจ้ายังไม่หายแค้น จึงลอบเข้ามาจะทำร้ายท่านอีกท่านก็จับได้ แลโทษข้าพเจ้านี้ก็ถึงตายตามท่านจะโปรดเถิด เซียงจูจึงว่า เราจะปล่อยเสียตัวจะคิดทำร้ายเราอีกหรือไม่ อิเยียงจึงว่า ท่านปล่อยข้าพเจ้าเสียข้าพเจ้าก็ยังจะคิดร้ายแก่ท่านกว่าจะสำเร็จ ข้าพเจ้าจึงจะหายแค้น ถ้าท่านเอ็นดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะขอเสื้อซึ่งท่านใส่ แม้ท่านโปรดให้ ข้าพเจ้าจะได้สิ้นความพยาบาทท่าน เซียงจูได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า อิเยียงนี้มีน้ำใจกตัญญู จะใคร่ได้อิเยียงไว้จึงถอดเสื้อให้อิเยียง ๆ ก็คำนับรับเอาเสื้อมา จึงถอดกระบี่ออกฟันเสื้อเสียสามที แล้วว่าแก่เซียงจูว่า ข้าพเจ้าได้แทนคุณคิเป๊กแล้ว อิเยียงก็เอากระบี่เชือดคอตาย
อันน้ำใจกวนอูนั้น ถ้าผู้ใดมีคุณแล้วเห็นจะเปนเหมือนอิเยียง อันเล่าปี่กับกวนอูนั้นมิได้เปนพี่น้องกัน ซึ่งมีความรักกันนั้น เพราะได้สาบาลต่อกัน เล่าปี่เปนแต่ผู้น้อย เลี้ยงกวนอูไม่ถึงขนาด กวนอูยังมีน้ำใจกตัญญูต่อเล่าปี่ จึงคิดจะติดตามมิได้ทิ้งเสีย อันมหาอุปราชมีวาสนากว่าเล่าปี่เปนอันมาก ถ้าท่านได้กวนอูมาไว้ทำนุบำรุงให้ถึงขนาด เห็นกวนอูจะมีกตัญญูต่อท่านยิ่งนัก
โจโฉจึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า ท่านว่ากล่าวทั้งนี้ก็ชอบนัก จงเร่งขึ้นไปบอกแก่กวนอูว่า ซึ่งสัญญาสามประการนั้นเรายอมแล้ว ท่านจงเร่งพากวนอูลงมาเถิด เตียวเลี้ยวจึงลาโจโฉขึ้นไปบอกแก่กวนอู ๆ จึงว่า ถ้ามหาอุปราชยอมดังนั้นแล้ว ท่านจงลงไปบอกให้กองทัพซึ่งล้อมเราไว้นั้นเลิกไปเสีย เราจะเข้าไปแจ้งเนื้อความแก่พี่สะใภ้ทั้งสองคนก่อน ถ้าไม่เปนอันตรายแล้ว จึงจะไปหามหาอุปราช เตียวเลี้ยวก็ลงไปบอกแก่โจโฉตามคำกวนอูว่า โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ให้ม้าใช้ไปสั่งทหารซึ่งล้อมกวนอูไว้นั้นให้เลิกทัพถอย มา ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งกวนอูยอมแก่ท่านครั้งนี้เกลือกเปนกลอุบาย โจโฉจึงตอบว่า กวนอูเปนคนมีความสัตย์ เห็นจะไม่คิดอ่านฬ่อลวงเรา
ฝ่ายกวนอูครั้นเห็นทหารโจโฉถอยไป ก็พาทหารเข้าไปในเมืองแห้ฝือ เห็นราษฎรทั้งปวงปรกติอยู่ จึงเข้าไปคำนับพี่สะใภ้ทั้งสองแล้วว่า ข้าพเจ้าเสียทีทำให้พี่ตกใจได้ความเดือดร้อนนั้นโทษข้าพเจ้าผิดนัก พี่สะใภ้ทั้งสองจึงถามว่า เจ้ายังแจ้งว่าเล่าปี่นั้นพลัดไปอยู่แห่งใด กวนอูจึงบอกว่ายังไม่แจ้ง พี่สะใภ้จึงว่า โจโฉก็ได้เมืองแห้ฝือแล้ว เจ้าจะคิดอ่านประการใด กวนอูจึงบอกเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วว่าบัดนี้ข้าพเจ้าเข้ามาปรึกษาด้วย พี่ทั้งสองจะเห็นประการใด นางกำฮูหยินจึงว่าเวลาคืนนี้โจโฉเข้าในเมืองได้ พี่นี้เกรงอยู่ว่าจะเปนอันตรายต่างๆ เปนเดชะบุญของเรา โจโฉกำชับทหารมิให้แปลกปลอมเข้ามาถึงประตูได้ ครั้งนี้เจ้ากับพี่ก็อยู่ในเงื้อมมือโจโฉ แลเจ้าจะยอมเข้าอยู่ด้วยเขานั้น ด้วยความจำเปนก็ตามเถิด แต่พี่เกรงอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดเราก็จะพากันไปหา เกลือกโจโฉจะมิให้ไป
กวนอูจึงตอบว่า ข้อนี้พี่ทั้งสองอย่าวิตกเลย แม้ว่ารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดเราจะพากันไปหา ถึงมาทว่าโจโฉจะขัดขวางไว้ ข้าพจ้าจะคิดอ่านแก้ไขไปให้จงได้ แล้วกวนอูก็ลาพี่สะใภ้ทั้งสอง พาทหารประมาณสามสิบคนออกไปถึงหน้าค่ายโดยโฉ ๆ เห็นกวนอูมาก็มีความยินดี จึงออกไปรับกวนอูเข้ามา กวนอูจึงคำนับโจโฉแล้วว่า ตัวข้าพเจ้าเปนเชลยท่านมิได้ฆ่าเสีย แล้วบอกไปรับข้าพเจ้าถึงนอกค่ายนั้น คุณหาที่สุดมิได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่กวนอูว่า เราก็แจ้งอยู่ว่าท่านมีความสัตย์แลกตัญญู บัดนี้เรากับท่านได้พบกันเราก็มีความยินดี กวนอูจึงตอบว่าเตียวเลี้ยวไปบอกข้าพเจ้าว่า มหาอุปราชรับปฏิญญาณทั้งสามประการแล้วข้าพเจ้าก็มีความยินดี เห็นว่าถึงนานไปเมื่อหน้ามหาอุปราชก็จะไม่คืนคำ โจโฉจึงว่า ซึ่งปฏิญญาณของท่านนั้น เราได้ออกปากรับแล้ว ถึงจะเปนประการใดเราก็มิให้เสียวาจา กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า แม้ข้าพเจ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาทว่าเปนทางกันดารจะต้องข้ามพระมหาสมุทรแลลุยเพลิงก็ดี ข้าพเจ้าจะไปหาเล่าปี่ให้จงได้ แม้ข้าพเจ้ายังมิทันลามหาอุปราชก็ดี ขอท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้า อย่าเคืองด้วยเนื้อความข้อนี้เลย โจโฉจึงว่า ซึ่งท่านรู้ข่าวเล่าปี่แล้วจะไปหาก็ตามเถิด แต่ให้ท่านตรึกตรองดูให้เห็นควรก่อน แล้วโจโฉก็ให้กวนอูกินโต๊ะ แล้วว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะยกกลับไปเมืองฮูโต๋
กวนอูเข้าไปบอกพี่สะใภ้แล้ว ก็จัดแจงสิ่งของทั้งปวงแล้วออกมา ครั้นเวลาเช้าโจโฉก็ยกทหารไป กวนอูจึงให้พี่สะใภ้ทั้งสองขึ้นขี่รถตามกองทัพโจโฉไป เวลาค่ำถึงที่ประทับตำบลใด โจโฉจึงให้กวนอูกับภรรยาเล่าปี่ทั้งสองคนนั้นอยู่เรือนเดียวกัน หวังจะให้กวนอูคิดทำร้ายพี่สะใภ้ น้ำใจจะได้แตกออกจากเล่าปี่ จะได้เปนสิทธิ์แก่ตัว ฝ่ายกวนอูให้พี่สะใภ้ทั้งสองนอนห้องข้างใน ตัวนั้นก็นั่งจุดเทียนดูหนังสือ รักษาพี่สะใภ้อยู่นอกประตูยังรุ่ง มิได้ประมาทสักเวลาหนึ่ง จนถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉรู้ดังนั้นก็เกรงใจกวนอูว่ามีความสัตย์แลกตัญญูต่อเล่าปี่ โจโฉจึงให้กวนอูกับภรรยาเล่าปี่ไปอยู่ ณ ตึกสองหลังมีชานกลาง กวนอูจึงให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนนั้นอยู่ตึกหนึ่ง แล้วให้ทหารที่แก่ชราอยู่รักษาประมาณสิบคน ตัวนั้นอยู่ตึกหนึ่งระวังรักษาพี่สะใภ้ทั้งสอง
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉจึงพากวนอูเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วทูลว่า กวนอูคนนี้มีฝีมือพอจะเปนทหารได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความยินดีจึงตั้งกวนอูเปนนายทหาร โจโฉกับกวนอูก็ลากลับมาบ้าน โจโฉจึงให้เชิญกวนอูกินโต๊ะ จัดแจงให้กวนอูนั่งที่สูงกว่าขุนนางทั้งปวง แล้วให้เครื่องเงินเครื่องทองแลแพรอย่างดีแก่กวนอูเปนอันมาก กวนอูรับเอาสิ่งของนั้นแล้วก็ลาโจโฉกลับมาที่อยู่ จึงบอกเนื้อความทั้งปวงแก่พี่สะใภ้แล้วเอาสิ่งของนั้นให้
ฝ่ายโจโฉทำนุบำรุงกวนอูมิได้อนาทร สามวันแต่งโต๊ะไปให้ครั้งหนึ่ง ห้าวันครั้งหนึ่ง แล้วจัดหญิงสาวที่รูปงามสิบคนให้ไปอยู่ปฏิบัติกวนอู หวังจะผูกน้ำใจไว้ให้กวนอูหลง กวนอูให้หญิงสิบคนไปอยู่ที่พี่สะใภ้ใช้สอย ครั้นถึงสามวันกวนอูจึงไปเยือนพี่สะใภ้ครั้งหนึ่ง นั่งอยู่แต่นอกประตูแล้วถามว่า พี่อยู่ปรกติอยู่หรือ ๆ ป่วยไข้ประการใดบ้าง พี่สะใภ้จึงตอบว่า ปรกติอยู่มิได้ป่วยไข้ประการใด เจ้ารู้ข่าวเล่าปี่บ้างหรือไม่ กวนอูว่าไม่แจ้ง แล้วคำนับพี่สะใภ้กลับมา โจโฉรู้กิตติศัพท์ว่า กวนอูปฏิบัติพี่สะใภ้โดยสุจริตดังนั้น ก็สรรเสริญกวนอูว่ามีความสัตย์หาผู้เสมอมิได้
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉให้เชิญกวนอูมากินโต๊ะ เห็นกวนอูห่มเสื้อขาด โจโฉจึงเอาเสื้ออย่างดีให้กวนอู ๆ รับเอาเสื้อแล้ว จึงเอาเสื้อใหม่นั้นใส่ชั้นใน เอาเสื้อเก่านั้นใส่ชั้นนอก โจโฉเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วถามว่า เอาเสื้อใหม่ใส่ชั้นในนั้นกลัวจะเก่าไปหรือ กวนอูจึงว่าเสื้อเก่านี้ของเล่าปี่ให้ บัดนี้เล่าปี่จะไปอยู่ที่ใดมิได้แจ้ง ข้าพเจ้าจึงเอาเสื้อผืนนี้ใส่ชั้นนอก หวังจะดูต่างหน้าเล่าปี่ ครั้นจะเอาเสื้อใหม่นั้นใส่ชั้นนอก คนทั้งปวงจะคระหานินทาว่าได้ใหม่แล้วลืมเก่า โจโฉได้ยินดังนั้นก็สรรเสริญกวนอูว่ามีกตัญญูนัก แต่คิดเสียใจอยู่ กวนอูก็ลาโจโฉกลับมาที่อยู่
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง หญิงคนใช้มาบอกแก่กวนอูว่า บัดนี้พี่สะใภ้ทั้งสองร้องไห้รักกันอยู่ ด้วยเหตุสิ่งใดมิได้แจ้ง กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงเข้าไปถึงริมประตูแล้วถามว่า พี่ทั้งสองร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งใด นางกำฮูหยินจึงตอบว่า คืนนี้พี่ฝันเห็นเล่าปี่ตกหลุมลง ครั้นตื่นขึ้นมาก็ตกใจจึงแก้ฝันแก่นางบิฮูหยิน เห็นพร้อมกันว่าเล่าปี่ตายแล้วพี่จึงร้องไห้รัก กวนอูได้ฟังดังนั้น พิเคราะห์ดูเห็นฝันผิดประหลาท สำคัญว่าเล่าปี่เปนอันตรายก็ร้องไห้ด้วย แล้วกวนอูจึงคิดกลอุบาย ว่าแก่พี่สะใภ้ทั้งสองหวังจะให้คลายความทุกข์ จึงว่าฝันนั้นจะสำคัญเอาเปนแน่มิได้ ด้วยพี่ทั้งสองมีน้ำใจคิดถึงเล่าปี่อยู่ จึงเผอิญให้ฝันทั้งนี้ ใช่เล่าปี่จะเปนอันตรายอย่างนั้นหามิได้ พี่ทั้งสองอย่าเสร้าโศกเลย พอคนใช้โจโฉมาบอกกวนอูว่า มหาอุปราชให้เชิญไป กวนอูก็ลาพี่สะใภ้ไปหาโจโฉ ๆ เห็นหน้ากวนอูนั้นเสร้าหมองจึงถามว่า วันนี้เราเห็นท่านไม่สบาย มีทุกข์สิ่งใดหรือ กวนอูบอกว่า พี่สะใภ้ข้าพเจ้าทั้งสองคิดถึงเล่าปี่ ด้วยมิรู้ว่าเปนหรือตายแล้วชวนกันร้องไห้ ข้าพเจ้าก็กลั้นน้ำตามิได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ปลอบโยนกวนอู แล้วก็ชวนกินโต๊ะ หวังจะให้คลายความทุกข์ กวนอูเสพย์สุราเมา มิได้เกรงใจโจโฉ เอามือจับหนวดของตัวเข้าแล้วจึงว่า เกิดมาเปนชายไม่ได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน ทั้งเล่าปี่ผู้พี่นั้นก็มีคุณมา ถ้าเราจะเอาใจออกหากบัดนี้ ก็หาผู้ใดจะนับถือว่าเปนชายไม่ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า กวนอูยังมีใจสัตย์ซื่อต่อเล่าปี่อยู่ โจโฉทำเปนไม่ได้ยินจึงแกล้งถามกวนอูว่า หนวดของท่านประมาณสักกี่เส้น กวนอูจึงตอบว่าหนวดของข้าพเจ้าประมาณหลายร้อยเส้น ครั้นถึงเทศกาลหนาวก็หล่นไปบ้าง ข้าพเจ้าจึงทำถุงใส่ไว้ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงเอาแพรขาวอย่างดี ทำถุงให้กวนอูสำหรับใส่หนวด กวนอูรับเอาถุงนั้นแล้วจึงลากลับมาที่อยู่
ครั้นเวลาเช้ากวนอูเข้าไปเฝ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นกวนอูใส่ถุงหนวดดังนั้นจึงตรัสถามว่า ถุงใส่สิ่งใดแขวนอยู่ที่คอนั้น กวนอูจึงทูลว่า ถุงนี้มหาอุปราชให้ข้าพเจ้าสำหรับใส่หนวดไว้ แล้วกวนอูก็ถอดถวายให้ทอดพระเนตร พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นหนวดกวนอูยาวถึงอกเส้นเลอียดงามเสมอกัน แล้วตรัสสรรเสริญว่า กวนอูนี้หนวดงาม จึงพระทานชื่อว่า บีเยียงก๋ง แปลภาษาไทยว่าเจ้าหนวดงาม แล้วก็เสด็จขึ้น โจโฉกับขุนนางทั้งปวงแลกวนอูก็ออกจากที่เฝ้า มาถึงประตูวังกวนอูก็ขึ้นม้าตามโจโฉไป ครั้นถึงหน้าบ้านกวนอูก็ลาโจโฉจะมาที่อยู่
โจโฉเห็นม้ากวนอูผอม จึงถามว่าเหตุใดม้าจึงผอมไม่สมตัวท่าน กวนอูจึงตอบว่า ม้าตัวนี้มีกำลังน้อย ทานกำลังข้าพเจ้ามิได้จึงผอม โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงให้ทหารไปเอาม้าเซ็กเธาว์มา แล้วถามกวนอูว่า ม้าตัวนี้เปนของผู้ใดท่านรู้จักหรือไม่ กวนอูจึงว่าม้าตัวนี้ของลิโป้ข้าพเจ้ารู้จักอยู่ โจโฉก็ให้จัดแจงเครื่องม้าพร้อมแล้วก็ให้กวนอู ๆ มีความยินดี ลงจากม้าคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชให้ม้าตัวนี้แก่ข้าพเจ้านั้นคุณหาที่สุดมิได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดกริ่งใจจึงถามว่า เราให้เงินทองสิ่งของแก่ท่านมาเปนอันมากก็ไม่ยินดี ท่านไม่ว่าชอบใจแลมีความยินดีเหมือนเราให้ม้าตัวนี้ เหตุไฉนท่านจึงรักม้าอันเปนสัตว์เดียรัจฉานมากกว่าทรัพย์สิ่งสินอีกเล่า กวนอูจึงตอบว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่าม้าเซ็กเธาว์ตัวนี้มีกำลังมาก เดิรทางได้วันละหมื่นเส้น แม้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาทว่าไกลก็จะไปหาได้โดยเร็ว เหตุฉนี้ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี ขอบคุณมหาอุปราชมากกว่าให้สิ่งของทั้งปวง
โจโฉได้ฟังดังนั้นยิ่งมีความน้อยใจ แล้วคิดว่าเราเสียทีที่ทำนุบำรุงกวนอูด้วยยศศักดิ์ศฤงคารบริวาร กวนอูก็คิดรักเล่าปี่อยู่มิได้ขาด กวนอูก็ลาโจโฉไปที่อยู่ โจโฉจึงถามเตียวเลี้ยวว่า เราเลี้ยงกวนอูก็ถึงขนาดฉนี้แล้ว กวนอูยังมีน้ำใจผูกพันรักเล่าปี่อยู่ เราจะคิดอ่านประการใดกวนอูจึงจะเอาใจออกหากเล่าปี่ เตียวเลี้ยงจึงว่า ขอให้งดอยู่สักเวลาหนึ่งก่อน ข้าพเจ้าจะไปว่ากล่าวลองความคิดกวนอูดูว่า จะมีใจสัตย์ซื่อต่อเล่าปี่เที่ยงแท้หรือ ๆ จะคิดอ่านยักย้ายประการใดบ้าง
ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวเลี้ยงจึงไปหากวนอู ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน เตียวเลี้ยวจึงว่าแก่กวนอูว่า ตั้งแต่มหาอุปราชได้ท่านมาไว้ก็มีความยินดี ทำนุบำรุงท่านเปนอันมาก เพราะมีความเมตตาท่าน กวนอูจึงว่าทุกวันนี้มหาอุปราชชุบเลี้ยงเราจึงได้มีความสุข คุณนั้นก็มีเปนอันมาก แต่จะได้วายคิดถึงเล่าปี่นั้นหามิได้ เตียวเลี้ยวจึงตอบว่า ธรรมดาเกิดมาเปนชายให้รู้จักที่หนักที่เบา ถ้าผู้ใดมิได้รู้จักที่หนักที่เบา คนทั้งปวงก็จะล่วงติเตียนว่าผู้นั้นหามีสติปัญญาไม่ อันมหาอุปราชนี้มีน้ำใจเมตตาท่าน ทำนุบำรุงท่านยิ่งกว่าเล่าปี่อีก เหตุใดท่านจึงมีใจคิดถึงเล่าปี่อยู่
กวนอูจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชมีคุณแก่เราก็จริงอยู่ แต่จะเปรียบเล่าปี่นั้นยังมิได้ ด้วยเล่าปี่นั้นมีคุณแก่เราก่อน ประการหนึ่งก็ได้สาบาลไว้ต่อกันว่าเปนพี่น้อง เราจึงได้ตั้งใจรักษาสัตย์อยู่ ทุกวันนี้เราก็คิดถึงคุณมหาอุปราชอยู่มิได้ขาด ถึงมาทว่าเราจะไปจากก็จะขอแทนคุณเสียก่อนให้มีชื่อปรากฎไว้เราจึงจะไป เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นจึงถามกวนอูว่า ถ้าเล่าปี่ถึงแก่ความตายแล้ว ท่านจะอยู่กับมหาอุปราชหรือ ๆ จะคิดประการใด กวนอูจึงตอบว่า ตัวเราเกิดมาเปนชายรักษาสัตย์มิให้เสียวาจา ถึงมาทว่าเล่าปี่จะถึงแก่ความตาย เราก็จะตายไปตามความที่ได้สาบาลไว้ เตียวเลี้ยวเห็นกวนอูนั้นมีใจสัตย์ซื่อต่อเล่าปี่อยู่เปนมั่นคง ก็ลากลับมา จึงเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่โจโฉทุกประการ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่มีความวิตก ซึ่งจะเอากวนอูไว้ให้ขาดจากเล่าปี่ก็ไม่สมคิด แล้วสรรเสริญกวนอูว่า มีความสัตย์ซื่อมั่นคงนัก ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า อันความคิดกวนอูนั้นจะแทนคุณมหาอุปราชเสียก่อนแล้วจึงจะไปจาก ถ้ามีศึกมาก็อย่าให้กวนอูออกอาสา แม้กวนอูยังไม่มีความชอบก็จะอยู่ด้วยมหาอุปราช โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 22
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnZTBYX3pzdjJHeUU/view?resourcekey=0-sNS4ldehgaDcHOoxu5vu5A
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #2 on:
22 December 2021, 10:14:50 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 23
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-23.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 23
เนื้อหา
อ้วนเสี้ยวพาเล่าปี่ไปรบโจโฉ
โจโฉอุบายให้กวนอูฆ่างันเหลียงทหารเอกอ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวโกรธเล่าปี่
โจโฉทำกลอุบายรบบุนทิวทหารเอกอ้วนเสี้ยว
กวนอูฆ่าบุนทิวตาย
อ้วนเสี้ยวโกรธเล่าปี่ครั้งที่สอง
กวนอูรู้ข่าวเล่าปี่
ฝ่ายเล่าปี่อาศรัยอยู่ในเมืองกิจิ๋ว คิดถึงกวนอูเตียวหุยกับครอบครัวซึ่งพลัดไป มิได้รู้ว่าเปนแลตายประการใด ก็มีความทุกข์ร้อนมิได้ขาด อ้วนเสี้ยวเห็นหน้าเล่าปี่เสร้าหมองจึงถามว่า ท่านมีความวิตกสิ่งใด เล่าปี่จึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้าแตกมาได้พึ่งท่านก็พ้นภัยแล้ว แต่คิดถึงครอบครัวแลน้องทั้งสองซึ่งพลัดไปนั้น มิได้รู้ว่าตายหรือเปนประการใด ประการหนึ่งได้เกิดมาเปนชายแล้ว คิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข การทั้งปวงก็ไม่สำเร็จ ป่วยการเกิดมาเสียเปล่า ข้าพเจ้าจึงไม่สบายเพราะเหตุฉนี้
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นจึงว่า โจโฉทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน เรายกกองทัพไปตำบลลิหยง หวังจะกำจัดโจโฉเสีย พอเปนเทศกาลหนาวเราจึงให้งันเหลียงคุมทหารตั้งค่ายอยู่ปลายแดนเมืองฮูโต๋ ตัวเรายกกลับมา ครั้งนี้เปนฤดูร้อนแล้วท่านอย่าวิตกเลย เราจะยกทัพไปตีเมืองฮูโต๋ อันครอบครัวแลน้องทั้งสองนั้น ถ้าจะเปนแลตายประการใดก็จะรู้ข่าว
เตียนห้องได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าดังนั้นจึงว่า เมื่อโจโฉยกไปตีเมืองชีจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าได้ว่ากล่าวให้ท่านยกไปตีเมืองฮูโต๋เห็นจะได้โดยง่ายก็ไม่ยกไป บัดนี้โจโฉได้เมืองชีจิ๋วแล้ว ยกกองทัพกลับไปรักษาเมืองฮูโต๋อยู่ ซึ่งท่านจะยกไปกำจัดโจโฉครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นไม่ได้ ด้วยทหารทั้งปวงพร้อมมูลอยู่ ขอให้ท่านงดไว้ฟังข่าวดู ถ้ารู้ว่าโจโฉยกกองทัพไปกระทำย่ำยีเมืองใด จึงค่อยยกทัพไปตีเมืองฮูโต๋เห็นจะได้โดยง่าย
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า คำเตียนห้องทัดทานไว้ท่านจะเห็นประการใด เล่าปี่จึงว่า โจโฉทำหยาบช้ามิได้ยำเกรงพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมืองฮูโต๋แลหัวเมืองทั้งปวงก็ได้ความเดือดร้อน ทุกวันนี้บันดาคนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ว่า ท่านมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน แลท่านมานิ่งอยู่ไม่คิดกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียนั้นไม่ควร ประการหนึ่ง โจโฉจะมีความคิดแก่ขึ้น พระเจ้าเหี้ยนเต้จะได้ความทรมานพระทัยนัก ขอท่านดำริห์ดูจงควร อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้เตรียมทหารไว้ให้พร้อมกัน ได้ฤกษ์เมื่อใดจะยกไป เตียนห้องจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ครั้งนี้ท่านอย่าเพ่อยกทัพไป จงฟังคำข้าพเจ้าก่อน
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่เตียนห้องว่า เราคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน ตัวบังอาจห้ามเราทั้งนี้จะให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เปนอันตรายหรือ เตียนห้องเห็นอ้วนเสี้ยวโกรธก็ตกใจ จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้เปนความสุจริต ใช่จะคิดให้เปนอันตรายถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้หามิได้ ถ้าท่านจะขืนยกไปเห็นจะเสียทีแก่โจโฉเปนมั่นคง อ้วนเสี้ยวได้ยินเตียนห้องว่าดังนั้น ก็ยิ่งมีความโกรธเปนอันมาก ชักกระบี่ออกจะฟันเตียนห้องเสีย เล่าปี่จึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ท่านจะยกกองทัพไปทำการสงคราม จะมาทำอันตรายชีวิตที่ปฤกษาเสียนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวก็ฟังคำเล่าปี่ จึงให้เอาเตียนห้องไปจำคุกไว้
จอสิวเห็นอ้วนเสี้ยวเอาเตียนห้องไปจำคุกไว้ดังนั้นก็เสียใจ จึงเอาทรัพย์สิ่งสินทั้งปวงของตัวนั้น แจกแก่บุตรภรรยาญาติพี่น้องแล้วว่าอ้วนเสี้ยวจะยกทัพไปครั้งนี้ ถึงมาทว่ามีชัยมา อันจะให้บำเหน็จสิ่งใดแก่เรานั้นหามิได้ ถ้าไปทำการสงครามเพลี่ยงพล้ำแก่โจโฉ เห็นชีวิตเราจะไม่รอดมา ท่านทั้งปวงจงอยู่เปนสุขเถิด ภรรยาแลญาติพี่น้องได้ฟังจอสิวว่าดังนั้น จึงมีความสงสารก็ร้องไห้รักจอสิวทุกคน
อ้วนเสี้ยวจึงให้หนังสือไปถึงงันเหลียง ซึ่งคุมทหารอยู่ตำบลลิหยงนั้น ให้เปนกองหน้ายกล่วงเข้าไปถึงเมืองฮูโต๋ จอสิวจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ซึ่งท่านจะใช้งันเหลียงคุมทหารเปนกองหน้าไปแต่ผู้เดียวนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ควร ด้วยงันเหลียงเปนคนดื้อดึงมิได้รู้จักทีเสียทีได้ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่างันเหลียงเปนทหารเอกของเรา เหตุใดท่านจึงมาติเตียนดังนี้ จอสิวมิได้ตอบประการใด อ้วนเสี้ยวก็ให้ม้าใช้เอาหนังสือไปให้แก่งันเหลียง ๆ แจ้งในหนังสือแล้ว ก็ยกกองทัพตีล่วงเข้าไปในแดนเมืองฮูโต๋ ถึงตำบลแปะแบ๊ก็ให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ อ้วนเสี้ยวนั้นก็พาเล่าปี่ยกกองทัพหนุนไป
ฝ่ายเล่าเอียนเจ้าเมืองตองกุ๋น รู้ว่ากองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาถึงตำบลแปะแบ๊ จึงแต่งหนังสือให้ม้าใช้ไปแจ้งข้อราชการแก่โจโฉ ๆ แจ้งในหนังสือดังนั้นก็จัดแจงทหารยกไป กวนอูรู้เนื้อความดังนั้นจึงเข้าไปหาโจโฉแล้วว่า ครั้งนี้ท่านจะยกไปรบอ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเปนทัพหน้า โจโฉจึงว่าการศึกแต่เพียงนี้ไม่พอจะร้อนถึงท่านก่อน แม้เราไปทำสงครามแก่อ้วนเสี้ยวขัดสนประการใด จึงจะให้มาเชิญท่านต่อภายหลัง กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ลาโจโฉกลับมาที่อยู่
โจโฉจึงจัดทหารสิบห้าหมื่น แยกออกเปนสามกอง แล้วยกออกจากเมืองฮูโต๋ไปถึงกลางทางพอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า บัดนี้ทัพหน้าอ้วนเสี้ยวยกเข้ามาถึงตำบลแปะแบ๊แล้ว โจโฉรู้ดังนั้นจึงสั่งทหารสองกองนั้นว่า ให้ตัดทางรีบลงไปต้านทานทัพอ้วนเสี้ยวไว้ เราจะยกไปตำบลแปะแบ๊ แล้วโจโฉก็คุมทหารห้าหมื่น รีบยกไปถึงตำบลแปะแบ๊ จึงตั้งค่ายโอบเข้าไว้ ใกล้กองทัพงันเหลียงทางประมาณห้าสิบเส้น โจโฉจึงขึ้นบนเนินเขา แล้วแลลงไปดูเห็นทหารงันเหลียงนั้นประมาณสิบหมื่นเศษ ตั้งค่ายอยู่เปนมั่นคง โจโฉจึงว่าแก่ซงเหียนว่า ท่านอยู่กับลิโป้นั้นเราได้ยินกิตติศัพท์ว่ามีฝีมืออยู่ ท่านจงคุมทหารไปรบกับงันเหลียง
ซงเหียนก็รับคำโจโฉแล้วขี่ม้าถือทวนคุมทหารไปถึงหน้าค่ายงันเหลียง ๆ เห็นก็คุมทหารออกไปรบกับซงเหียนได้สามเพลง งันเหลียงก็เอาง้าวฟันซงเหียนตกม้าตาย โจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วว่าทหารอ้วนเสี้ยวคนนี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก งุยซกจึงว่า งันเหลียงฆ่าเพื่อนข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปฆ่างันเหลียงเสียจึงจะหายแค้น โจโฉมีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารให้งุยซกยกออกไปรบกับงันเหลียงได้ยกหนึ่ง งันเหลียงเอาง้าวฟันงุยซกตัวขาดออกไปเปนสองท่อน ทหารทั้งปวงก็แตกกลับมาค่าย โจโฉเห็นดังนั้นจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า งันเหลียงคนนี้มีฝีมือกล้าหาญนัก ฆ่าซงเหียนงุยซกตาย ผู้ใดจะอาสาไปจับงันเหลียงมาได้
ซิหลงจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปจับงันเหลียงมาให้ได้ โจโฉก็เกณฑ์ทหารให้ซิหลงยกไปรบกับงันเหลียงได้ยี่สิบเพลง ซิหลงทานฝีมืองันเหลียงมิได้ก็ถอยกลับมาค่าย ทหารเห็นดังนั้นก็เสียใจ พอเวลาพลบค่ำต่างคนก็ต่างรักษาค่ายมั่นอยู่ โจโฉจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะต้านทานงันเหลียงได้ ซิหลงจึงว่าข้าพเจ้าเห็นแต่กวนอูผู้เดียว มีกำลังจะรบพุ่งด้วยงันเหลียงได้ โจโฉจึงตอบว่า ครั้นเราจะให้ไปหากวนอูออกมาบัดนี้ ถ้ากวนอูรบชนะแล้วก็จะไปจากเรา ซิหลงจึงว่าข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่ไปอาศรัยอ้วนเสี้ยวอยู่ แม้กวนอูฆ่าทหารอ้วนเสี้ยวคนนี้เสียได้ อ้วนเสี้ยวรู้ก็จะฆ่าเล่าปี่เสีย เมื่อเล่าปี่ตายแล้วกวนอูก็จะเปนสิทธิ์อยู่แก่ท่าน โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารรีบเข้าไปหากวนอู ทหารจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่กวนอูว่า บัดนี้มหาอุปราชให้เชิญท่านออกไป
กวนอูแจ้งดังนั้น จึงเข้าไปถึงประตูแล้วบอกกับพี่สะใภ้ทั้งสองว่า บัดนี้โจโฉให้มาหาตัวข้าพเจ้าไปจะให้ทำการศึก พี่สะใภ้ทั้งสองจึงว่า เจ้าจะไปก็จงมีชัยแก่ศัตรูเถิด แต่ฟังข่าวเล่าปี่ดูด้วย กวนอูรับคำแล้วก็ลาพี่สะใภ้มาขึ้นม้าเซ็กเธาว์ถือง้าว พาทหารประมาณเก้าคนสิบคนรีบออกไปถึงค่าย โจโฉเห็นกวนอูมาก็มีความยินดี แล้วว่างันเหลียงทหารอ้วนเสี้ยวมีฝีมือฆ่าซงเหียนงุยซกเสีย เราจึงให้ไปหาท่านมาหวังจะให้รบด้วยงันเหลียง กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอออกไปดูท่วงทีก่อน โจโฉจึงพากวนอูขึ้นไปดูบนเนินเขา พอเห็นงันเหลียงคุมทหารมาจะใกล้ถึงหน้าค่าย โจโฉจึงว่าแก่กวนอูว่าท่านดูเถิด ซึ่งคนขี่ม้ากั้นร่มระย้านั้นชื่องันเหลียงเปนนายทหารทัพหน้า กวนอูจึงว่างันเหลียงคนนี้หรือ ข้าพเจ้าพอจะสู้ได้อยู่ ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะตัดสีสะงันเหลียงมาให้ท่านจงได้ โจโฉจึงว่าแก่กวนอูว่า ท่านอย่าเพ่อประมาทดูหมิ่นงันเหลียงก่อน กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าก็มีฝีมืออยู่บ้าง ซึ่งว่าจะขออาสาไปตัดสีสะงันเหลียงมาให้ท่านเห็นจะไม่ยากนัก อุปมาเหมือนเอาตะเกียบหยิบของกินในโต๊ะ
เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่กวนอูว่า อันธรรมดาการศึกนั้น ถ้าจะว่าสิ่งใดกับแม่ทัพแม่กอง จงประมาณการให้แน่นอนก่อนจึงว่า กวนอูจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย แล้วก็ลาโจโฉขึ้นม้าควบฝ่าทหารงันเหลียงออกไป ฝ่ายทหารงันเหลียงมิทันรู้ตัว ครั้นเห็นกวนอูควบม้าออกมาก็ตกใจกลัว ต่างคนต่างหลบหลีกไปเปนอันมาก กวนอูนั้นขับม้าควบไปด้วยกำลังเร็ว จะใกล้ถึงม้างันเหลียง ๆ เห็นกวนอูนั้นหน้าแดงประหลาทกว่าทหารทั้งปวง ก็หมายใจว่าเปนน้องเล่าปี่ จะบอกข่าวเล่าปี่ก็มิทัน พอกวนอูเอาง้าวฟันงันเหลียงคอขาดตาย ทหารโจโฉเห็นดังนั้น ก็พากันไล่ฆ่าฟันทหารงันเหลียงตายเปนอันมาก แล้วเก็บเครื่องศัตราวุธ กวนอูจึงตัดเอาสีสะงันเหลียงเข้ามาให้โจโฉ ณ ค่าย โจโฉเห็นดังนั้นก็มีความยินดี สรรเสริญกวนอูว่า ตัวท่านมิใช่ทหารมนุษย์ อันมีฝีมือรวดเร็วดังนี้สมเปนทหารเทพดา
กวนอูได้ยินโจโฉว่าดังนั้น จึงแกล้งถ่อมตัวว่า อันฝีมือข้าพเจ้านี้เปนแต่ประมาณ น้องข้าพเจ้าเตียวหุยนั้น มีกำลังฝีมือกล้าหาญยิ่งกว่าข้าพเจ้าอีก ถึงทหารสักร้อยหมื่นป้องกันนายทัพอยู่ก็ดี เตียวหุยก็อาจหักเข้าไปตัดสีสะมาได้โดยเร็ว อุปมาดังหยิบเอาส้มในลัง โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดเกรงฝีมือเตียวหุย จึงสั่งทหารให้เขียนอักษรไว้กับเสื้อทุกคนว่า ถ้าผู้ใดพบเตียวหุยอย่าเพ่อสู้รบ ให้รอฟังกำลังดูก่อน
ฝ่ายทหารงันเหลียงแตกกระจัดจายไปถึงกองทัพอ้วนเสี้ยว จึงบอกเนื้อความให้ฟังทุกประการ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แล้วคิดสงสัย ว่าแต่ก่อนมามิได้ปรากฎว่าทหารโจโฉหน้าแดงหนวดยาว มีกำลังเข้มแขงฉนี้ ชีสิวจึงว่าซึ่งทหารคนนี้หน้าแดงหนวดยาว ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเปนกวนอูน้องเล่าปี่เปนมั่นคง อันผู้อื่นนั้นไม่ปรากฎ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า น้องท่านไปเปนทหารโจโฉ แล้วมาฆ่าทหารเอกของเราเสียฉนี้ ก็เห็นว่าท่านเปนพวกโจโฉ แกล้งเข้ามาอยู่เปนไส้ศึก จะเลี้ยงไว้มิได้ อ้วนเสี้ยวก็สั่งทหารให้เอาตัวเล่าปี่ไปฆ่าเสีย
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า เหตุไฉนท่านมาดูเบาฟังความข้างเดียวฉนี้ ขอท่านดำริห์ดูให้ควรก่อน ข้าพเจ้าเสียบ้านเมืองแลครอบครัวสมัคพรรคพวกทั้งปวง จนยังแต่ตัวผู้เดียวมาพึ่งท่าน ก็เพราะโจโฉยกมาทำอันตราย กวนอูเตียวหุยน้องข้าพเจ้านั้น จะเปนหรือตายประการใดก็ยังมิได้แจ้ง ซึ่งทหารหน้าแดงหนวดยาวนั้น จะมีแต่กวนอูผู้เดียวหรือ ๆ ผู้อื่นจะมีอยู่บ้างท่านจงพิเคราะห์ดูให้แน่ก่อน อ้วนเสี้ยวเปนคนไม่ยั่งยืน ครั้นได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็กลับโกรธชีสิวว่า ตัวเปนคนหาปัญญาไม่ แกล้งมาเจรจาจะให้เราฆ่าเล่าปี่เสีย แล้วอ้วนเสี้ยวก็ชวนเล่าปี่กินโต๊ะ คิดอ่านจะยกไปแก้แค้นโจโฉ
บุนทิวจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ทหารโจโฉฆ่างันเหลียงเสียนั้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปรบโจโฉ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้น เห็นว่าบุนทิวมีกำลังมาก สูงหกศอกหน้าดำดุจดังหมี แล้วฝีมือกล้าหาญพอจะสู้รบกับทหารโจโฉได้ จึงว่าซึ่งท่านรับอาสาครั้งนี้เรามีความยินดีนัก แล้วอ้วนเสี้ยวจึงเกณฑ์ทหารสิบหมื่น จัดแจงเรือรบจะให้บุนทิวยกข้ามแม่น้ำฮองโหไปรบกับโจโฉ ชีสิวจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า โจโฉเปนคนมีความคิด ได้ชัยชนะก็มีใจกำเริบ ซึ่งท่านดูเบาให้บุนทิวยกข้ามแม่น้ำไปนั้น เกลือกโจโฉจะเกณฑ์ทหารมาคอยสกัดตีกลางทางก็จะเสียทีเปล่า อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงด่าชีสิวว่าอ้านคนหาปัญญาไม่ มันคิดอ่านแต่จะให้เราเสียการ ชีสิวมิได้ตอบประการใด จึงลุกออกไปภายนอกแล้วทอดใจใหญ่ จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ซึ่งเปนนายทัพนายกอง แม้คิดการได้ตลอดทหารทั้งปวงก็ไม่เปนอันตราย บัดนี้อ้วนเสี้ยวทำการสงครามดูหมิ่นโจโฉ เราเห็นการจะไม่ตลอด ช่วยว่ากล่าวตักเตือนก็มิได้เชื่อฟัง ท่านทั้งปวงจะเอาทรากศพมาทิ้งไว้ตำบลนี้เปนมั่นคง แต่วันนั้นมาชีสิวก็ทำเปนป่วย มิได้คิดอ่านปรึกษาด้วยอ้วนเสี้ยว ในขณะนั้นอ้วนเสี้ยวก็เร่งจัดแจงให้บุนทิวยกไป
เล่าปี่จึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านก็ได้ความสุข ท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกับบุนทิวจะได้แทนคุณท่าน ประการหนึ่งจะได้สืบดูให้เห็นว่า ทหารหน้าแดงหนวดยาวนั้นจะเปนกวนอูหรือ ๆ ผู้ใด อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าแก่บุนทิวว่า เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญา เราจะให้ไปกับท่าน จะได้ช่วยกันคิดอ่านทำสงครามกับโจโฉ บุนทิวจึงตอบว่า เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญาก็จริง แต่กลัวฝีมือโจโฉอยู่ ซึ่งท่านจะให้เล่าปี่ไปกับข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะแบ่งทหารสามหมื่นให้เล่าปี่ยกไปกองหนึ่งต่างหาก อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ทหารสามหมื่นให้เล่าปี่ยกไปเปนกองหลัง ครั้นได้ฤกษ์ดี บุนทิวก็ลาอ้วนเสี้ยวยกทหารเปนกองหน้าข้ามแม่น้ำฮองโหไป แต่เล่าปี่ออกจากที่ยังมิได้ข้ามแม่น้ำ
ฝ่ายโจโฉครั้นได้ชัยชนะก็มีความยินดี จึงแต่งหนังสือเสนอความชอบกวนอู ให้ทหารถือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้แจ้งดังนั้นก็ดีพระทัย จึงพระราชทานตราสำหรับที่ให้กวนอูเปนหั้นสือแต่งเฮา แปลภาษาไทยว่าเปนขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทหารรับเอาตราสำหรับที่แล้ว ถวายบังคมลากลับไปหาโจโฉ ๆ จึงเอาตรานั้นให้กวนอู พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกโจโฉว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวให้บุนทิวคุมทหารประมาณเก้าหมื่นสิบหมื่นยกข้ามแม่น้ำ ฮองโหมา
โจโฉได้ฟังดังนั้น ก็จัดแจงเอาทหารกองหลัง ยกมาเปนกองหน้า เอาทหารกองหน้ามาเปนกองหน้า แล้วให้คุมเอาเกวียนซึ่งบันทุกสเบียงนั้นไปหน้าทหารทั้งปวง ลิยอยจึงว่าแก่โจโฉว่า เหตุไฉนมหาอุปราชจึงเอาเกวียนสเบียงอาหารมาไว้หน้าทหารทั้งปวง โจโฉจึงตอบว่า เรายกไปทำสงครามทุกครั้ง เอาสเบียงอาหารไว้ภายหลังมักเปนอันตราย มาครั้งนี้เราจึงให้คุมสเบียงไปก่อน ลิยอยจึงว่าแม้พบกองทัพอ้วนเสี้ยวกลางทาง ทหารซึ่งคุมสเบียงไปนั้นไม่ชำนาญในการรบ จะมิเสียสเบียงอาหารเสียหรือ โจโฉจึงว่าท่านอย่าวุ่นวายไปเลย ซึ่งจะได้จะเสียประการใด นานไปจึงจะเห็นความคิดเรา แล้วโจโฉก็รีบยกทัพไปถึงกลางทาง ทัพหน้าโจโฉพบทัพบุนทิว ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ กองลำเลียงโจโฉซึ่งคุมสเบียงไปนั้นไม่สันทัดในการสู้รบ ก็แตกกระจัดกระจายไปทิ้งสเบียงอาหารเสีย ทหารบุนทิวได้สเบียงแลอาวุธเปนอันมาก
ฝ่ายกองลำเลียงซึ่งแตกนั้น จึงเอาเนื้อความมาบอกโจโฉว่า ทหารบุนทิวตีเอาสเบียงไปได้ ครั้นจะรีบมาบอกท่านก็ไม่ทันที บัดนี้ทหารบุนทิวก็ตีรุกลงมา โจโฉได้ฟังดังนั้นมิได้ตอบประการใด พอแลเห็นเนินเขาริมทาง จึงพาทหารทั้งปวงเข้าไปแอบเนินเขาอยู่ แล้วให้ทหารลงจากม้าถอดเกราะเสีย แต่ทหารที่ใกล้ตัวโจโฉนั้นให้ถืออาวุธไว้ แลทหารทั้งปวงเห็นกองทัพบุนทิวยกมาใกล้ก็ตกใจ ชวนกันวุ่นวายว่าจะถอยไปอยู่ ณ ค่ายแปะแบ๊
ซุนฮิวนั้นรู้อัชฌาสัยโจโฉ ครั้นเห็นทหารระส่ำระสายดังนั้น จึงห้ามทหารทั้งปวงว่าอย่าวุ่นวายไปเลย ครั้งนี้เราได้ทีอยู่แล้ว โจโฉได้ยินซุนฮิวว่าก็ชอบใจ จึงหัวเราะแล้วพยักหน้าให้ซุนฮิว ฝ่ายทหารบุนทิว ครั้นยกมาเห็นกองทัพโจโฉอยู่ในเงื้อมเขามิได้ตั้งมั่น แลบุนทิวกับทหารทั้งปวงมีใจกำเริบ ก็เข้าตีชิงม้าอาวุธเรี่ยรายไม่เปนกระบวนทัพ ฝ่ายโจโฉได้ทีแล้วก็ให้ทหารออกรบพุ่ง ล้อมบุนทิวกับทหารเลวไว้ บุนทิวนั้นรบพุ่งป้องกันเปนสามารถ เห็นจะต้านทานมิได้ก็ขับม้าฝ่าทหารหนีออกจากที่ล้อมไปแต่ตัวผู้เดียว โจโฉอยู่บนเขาเห็นดังนั้นจึงร้องว่า บุนทิวเปนทหารเอกของอ้วนเสี้ยวควบม้าหนีไปโน่นแล้ว ผู้ใดอาสาจะจับตัวให้เราได้
เตียวเลี้ยวกับซิหลงได้ฟังโจโฉว่าก็รับอาสา แล้วขับม้าไล่ตามบุนทิวเหลียวมาเห็นทหารทั้งสองขับม้าตามมา บุนทิวก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกภู่หมวกเตียวเลี้ยวขาด เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าไล่เข้าไปก่อนม้าซิหลง หวังจะจับบุนทิวให้ได้ บุนทิวซ้ำยิงเกาทัณฑ์มาอีกถูกหน้าผากเตียวเลี้ยวล้มลง บนทิวก็ชักม้ากลับมาจะเอาง้าวฟันเตียวเลี้ยว พอซิหลงขับม้ามาทันเอาง้าวรับง้าวบุนทิวไว้ได้ ซิหลงกับบุนทิวรบกันอยู่ได้สามสิบเพลง พอทหารบุนทิวที่ข้างหลังหนุนมาเปนอันมาก ซิหลงเห็นจะเสียที ก็พาเตียวเลี้ยวถอยกลับมาหาโจโฉ บุนทิวก็คุมทหารไล่ไป
ฝ่ายกวนอูเห็นดังนั้น ก็ถือง้าวพาทหารสิบเอ็ดสิบสองคนออกสกัดหน้าบุนทิวไว้ แล้วร้องว่าอ้ายพวกศัตรูขับม้าหนีจะไปแห่งใด บุนทิวได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบได้สามเพลง บุนทิวเห็นจะต้านทานมิได้ก็ชักม้าถอยหนีจะกลับไปหากองทัพเล่าปี่ กวนอูขับม้าเซ็กเธาว์ไล่ไปด้วยฝีเท้าอันเร็ว ถึงฝั่งแม่น้ำฮองโหทันม้าบุนทิวเข้า กวนอูจึงเอาง้าวฟันบุนทิวตกม้าตาย โจโฉอยู่บนเนินเขาแลเห็นดังนั้น ก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันทหารบุนทิวล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งเหลือนั้นก็แตกกระจัดกระจาย สเบียงแลอาวุธซึ่งเสียไปนั้นก็ได้คืนมาสิ้น
ฝ่ายเล่าปี่ยกทหารสามหมื่นหนุนมา ยังมิทันข้ามแม่น้ำ ไปพบทหารซึ่งแตกมานั้นบอกเนื้อความว่า บัดนี้มีทหารหน้าแดงหนวดยาวคนนั้นมาฆ่าบุนทิวเสียอีก เล่าปี่รู้ดังนั้นก็ตกใจ จึงขับม้ารีบไปถึงชายป่า แลไปฟากข้างโน้นเห็นทหารโจโฉเปนอันมาก มิได้เห็นตัวกวนอู เห็นแต่ธงแดงเขียนอักษรชื่อว่ากวนอู เล่าปี่มีความยินดี จึงคิดแต่ในใจว่า กวนอูน้องเรายังอยู่ ครั้นจะคอยให้เห็นตัวกวนอู พอทหารโจโฉลงเรือข้ามมา เล่าปี่ก็ตกใจจึงพาทหารถอยกลับมา
ฝ่ายทหารบุนทิวซึ่งแตกมานั้น ก็เอาเนื้อความมาบอกกัวเต๋ากับสิมโพยว่าทหารโจโฉซึ่งหน้าแดงหนวดยาวชื่อกวน อู มาฆ่าบุนทิวเสียอีก กัวเต๋าสิมโพยได้ฟังดังนั้น ก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยวทุกประการ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าอ้ายเล่าปี่หูยาวมันแกล้งให้น้องมันมาฆ่าทหารเอกกูเสียถึงสองคน พอเห็นเล่าปี่เดิรเข้ามา อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้เอาตัวเล่าปี่ไปฆ่าเสีย
เล่าปี่จึงถามว่า โทษข้าพเจ้ามีผิดสิ่งใด ท่านจึงจะเอาข้าพเจ้าไปฆ่าเสียดังนี้ อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ครั้งก่อนเราก็ยกโทษเสียทีหนึ่งแล้ว บัดนี้ตัวแกล้งให้น้องของตัวมาฆ่าทหารเอกเราอีกเล่า เหตุใดตัวจึงว่าไม่มีโทษ เล่าปี่จึงว่าถึงกระนั้นก็ดี ขอให้ข้าพเจ้าแจ้งเนื้อความแก่ท่านสักข้อหนึ่งก่อน ถึงจะฆ่าเสียก็ตามเถิด แล้วว่าแต่ก่อนนั้นโจโฉมีใจรังเกียจข้าพเจ้าเปนอันมาก คิดจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย บัดนี้รู้ว่าข้าพเจ้ามาสำนักอาศรัยอยู่กับท่าน จะเปนกำลังคิดการสืบไป จึงแกล้งใช้กวนอูมาให้ฆ่าทหารท่านเสีย ถ้าท่านแจ้งก็จะโกรธข้าพเจ้า อุปมาเหมือนโจโฉยืมมือท่านให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย กวนอูเห็นจะไม่รู้ว่าข้าพเจ้ามาอยู่กับท่าน จึงอาสาโจโฉมาฆ่าทหารท่านเสีย ถ้าข้าพเจ้ามีหนังสือไปถึง กวนอูรู้แล้วก็จะมาหาข้าพเจ้า ได้เปนกำลังท่านสืบไป ซึ่งท่านเสียทหารสองคนนั้น อุปมาเหมือนหนึ่งเสียเนื้อสองตัว ถ้าท่านได้กวนอูมาไว้เหมือนหนึ่งเสือ เห็นจะดีกว่าเนื้อสองตัวอีก
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าแก่สิมโพยกัวเต๋าว่าตัวทั้งสองนี้คิดอ่านยุยงจะให้เราฆ่าเล่าปี่ ซึ่งมีสติปัญญาสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินเสีย คนทั้งปวงรู้ไปก็จะครหานินทาเรา แล้วขับสิมโพยกัวเต๋าเสีย จึงเชิญเล่าปี่มานั่งแล้วว่า ถ้าเราได้กวนอูมาไว้ก็จะดีกว่างันเหลียงบุนทิวสิบส่วนอีก เล่าปี่จึงแต่งหนังสือซึ่งจะให้ไปถึงกวนอูแล้วส่งให้อ้วนเสี้ยวดู อ้วนเสี้ยวก็รับหนังสือมาอ่านดู แล้วจัดผู้ซึ่งจะถือหนังสือไปให้กวนอูนั้นยังไม่มีผู้ใดจะรับอาสาก่อน อ้วนเสี้ยวจึงให้ถอยกลับลงมาตั้งอยู่ตำบลบูเอี๋ยง นายกองทหารตั้งค่ายรายกันลงไปทางประมาณห้าร้อยเส้น ให้รักษาค่ายมั่นอยู่มิได้ยกไปรบพุ่งโจโฉ
ฝ่ายโจโฉก็ให้ตั้งค่ายอยู่ตำบลกัวต่อ ครั้นอ้วนเสี้ยวไม่ยกมารบพุ่งก็ให้แฮหัวตุ้นคุมทหารอยู่รักษาค่าย แล้วโจโฉก็พากวนอูยกกองทัพกลับมาเมืองฮูโต๋ แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงกวนอูแลทหารทั้งปวง โจโฉจึงว่าแก่ลิยอยว่า ซึ่งเราให้กองลำเลียงขึ้นไปเปนกองหน้านั้น ท่านมิได้ล่วงรู้เราคิดกลศึก จึงว่ากล่าวทัดทานเรา แต่ซุนฮิวนั้นรู้ความคิดเราผู้เดียว ทหารทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่ได้ฟังดังนั้น ก็สรรเสริญโจโฉว่ามีสติปัญญาคิดกลศึกหาผู้เสมอมิได้
ขณะนั้นพอม้าใช้ถือหนังสือบอกมาแจ้งข้อราชการแก่โจโฉว่า โจหองซึ่งให้รักษาเมืองยีหลำบอกมาว่า มีนายโจรสองคนชื่อเล่าเพ็กหนึ่ง ก๋งเต๋าหนึ่ง คุมพวกเพื่อนมาเปนอันมาก เที่ยวทำร้ายแก่ราษฎรในหัวเมืองยีหลำ โจหองคุมทหารไปรบเปนหลายครั้ง เห็นเหลือกำลังนักจึงบอกขอกองทัพเข้ามาให้ยกไปช่วย กวนอูรู้เหตุดังนั้น จึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งพวกโจรทำหยาบช้าดังนี้ ข้าพเจ้าจะขออาสาไปปราบปรามให้ราบคาบจงได้ โจโฉจึงว่าท่านไปทำสงครามมีความชอบ เหนื่อยมายังมิได้ปูนบำเหน็จ ซึ่งท่านจะอาสาไปปราบโจรนั้นยังไม่ควร กวนอูจึงตอบว่าข้าพเจ้านี้ถ้างดอยู่มิได้ทำการศึกก็มักให้ป่วยเจ็บ มหาอุปราชจงเมตตาปล่อยให้ข้าพเจ้าไปทำการศึกเถิดจึงจะมีความสบาย โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านจะไปทำการศึกก็ตามใจ ซึ่งเราว่านี้เพราะมีความปรานี แล้วโจโฉก็เกณฑ์ทหารห้าหมื่น ให้อิกิ๋มกับงักจิ้นไปด้วย กวนอูอิกิ๋มงักจิ้นก็ลาโจโฉคุมทหารยกออกจากเมืองฮูโต๋
ซุนฮกจึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านใช้ให้กวนอูไปทัพครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่ากวนอูจะสืบเสาะฟังข่าวเล่า ปี่ ถ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดกวนอูก็จะไปหา โจโฉจึงตอบว่า เมื่อเราได้ให้ไปแล้ว ครั้นจะคืนคำให้หากลับมาก็ไม่ควร สืบไปเรามิให้กวนอูไปทัพอีก
ฝ่ายกวนอูยกกองทัพไปถึงแดนเมืองยีหลำก็ให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ ครั้นเวลากลางคืนกองตะเวนจับได้เชลยสองคน คุมเอาตัวมาให้แก่กวนอู ๆ เห็นซุนเขียนจึงคิดแต่ในใจว่า ซุนเขียนอยู่ที่ไหนเขาจึงจับตัวมาได้ กวนอูจึงขับคนทั้งปวงให้ออกไปอยู่ข้างนอก แล้วถามซุนเขียนว่า ตั้งแต่เราแตกโจโฉครั้งนั้นต่างคนต่างพลัดกันไป บัดนี้ท่านมาอยู่แห่งใดเขาจึงจับมาได้
ซุนเขียนจึงบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าแตกมานั้นพลัดกันกับเล่าปี่ ข้าพเจ้ามาอาศรัยอยู่ด้วยเล่าเพ็ก ณ เมืองยีหลำ แล้วซุนเขียนจึงถามกวนอูว่า เหตุใดท่านจึงไปอยู่กับโจโฉ แลพี่สะใภ้ของท่านทั้งสองนั้นยังปรกติอยู่หรือ กวนอูจึงเอาเนื้อความแต่หลังเล่าให้ซุนเขียนฟังทุกประการ ซุนเขียนจึงบอกแก่กวนอูว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า เล่าปี่ไปอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ซึ่งข้าพเจ้ามาอยู่กับเล่าเพ็กนี้ ข้าพเจ้าก็ได้ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมเล่าเพ็งก๋งเต๋าก็ยอมจะเข้าอยู่กับเล่าปี่ จะช่วยคิดการกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ บัดนี้เล่าเพ็กรู้ข่าวว่าท่านยกทัพมา จึงให้ทหารคนนี้นำทางมาหวังจะให้ข้าพเจ้าแจ้งเนื้อความแก่ท่านว่า เวลาพรุ่งนี้เล่าเพ็กกับก๋งเต๋าจะยกมารบ แล้วจะทำเปนเสียทีถอยไป ให้ท่านมีความชอบไว้แก่โจโฉ แล้วจะให้พาพี่สะใภ้ทั้งสองไปหาเล่าปี่ ณ เมืองกิจิ๋ว
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าบัดนี้เรารู้ข่าวเล่าปี่แล้ว ก็จะพาพี่สะใภ้ทั้งสองไปหาเล่าปี่ ถึงอ้วนเสี้ยวรู้ว่าเราฆ่าทหารทั้งสองเสีย จะฆ่าชีวิตเราเสียก็ตามเถิด ขอแต่ให้เห็นหน้าพี่เราก่อน เมื่อเรามีชัยชนะแก่เล่าเพ็กแล้ว เราจะกลับเข้าไปเมืองฮูโต๋ จะลาโจโฉแล้วจึงจะพาพี่สะใภ้เราไปหาเล่าปี่ ซุนเขียนจึงว่าข้าพเจ้าจะไปหาเล่าปี่ก่อน ฟังกิตติศัพท์ดูว่า อ้วนเสี้ยวจะโกรธท่านหรือประการใด ถ้าได้ข่าวดีแลร้ายแล้ว ข้าพเจ้าจะรีบกลับมาบอกท่าน กวนอูได้ฟังก็มีความยินดีนัก เวลาประมาณสามยามจึงให้ทหารที่สนิธนั้น ลอบส่งซุนเขียนกับทหารคนหนึ่งนั้นออกไปจากค่าย ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูจึงจัดแจงทหารยกไปจะรบกับพวกโจร
ฝ่ายก๋งเต๋าครั้นรู้ว่ากวนอูยกมาก็คุมทหารยกออกไป กวนอูเห็นดังนั้นก็ขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง แล้วแกล้งร้องว่าแก่ก๋งเต๋าว่า เหตุใดตัวจึงคบพวกเพื่อนเปนโจร คิดการขบถต่อแผ่นดิน ก๋งเต๋าจึงตอบว่าเราจะได้เปนขบถต่อแผ่นดินนั้นหามิได้ ตัวท่านอีกเปนคนไม่รู้จักคุณนาย บัดนี้เล่าปี่นายของตัวไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว เหตุใดตัวจึงมาทำราชการเข้าด้วยโจโฉ ตัวจะเปนขบถต่อเล่าปี่หรือ กวนอูมิได้ตอบประการใด ก็ขับม้าเข้ารบกับก๋งเต๋าได้ห้าเพลง ก๋งเต๋าทำชักม้าหนี กวนอูขับม้าไล่ไป ก๋งเต๋าเห็นกวนอูไล่เกินทหารทั้งปวงเข้ามาจึงรอม้าไว้ แล้วเหลียวมาว่าแก่กวนอูว่า เมืองยีหลำซึ่งอยู่ในเงื้อมมือเรานี้เราจะยกให้แก่ท่าน แต่ท่านอย่าลืมคุณเล่าปี่
กวนอูได้ยินก๋งเต๋าว่าต้องคำกันกับซุนเขียน จึงแกล้งควบม้าไล่เข้าไปในหมู่ทหารก๋งเต๋า ๆ ก็พาเล่าเพ็กแลทหารทั้งปวงหนีไป แลหัวเมืองทั้งปวงบันดาขึ้นแก่เมืองยีหลำ ซึ่งเล่าเพ็กกับก๋งเต๋าตีได้นั้น กวนอูก็ปราบปรามให้ราบคาบเหมือนแต่ก่อน แล้วกวนอูยกกลับไปแจ้งเนื้อความแก่โจโฉว่า ปราบปรามโจรแล้ว โจโฉมีความยินดีชวนให้กวนอูกินโต๊ะ แล้วก็เลี้ยงดูปูนบำเหน็จทหารตามสมควร
กวนอูก็ลาโจโฉมาที่อยู่ จึงเข้าไปคำนับพี่สะใภ้ถึงริมประตู แล้วบอกเนื้อความทุกประการ นางกำฮูหยินจึงถามว่า เจ้าไปทำศึกถึงสองครั้งยังรู้ข่าวเล่าปี่บ้างหรือไม่ กวนอูได้ยินพี่สะใภ้ถามดังนั้น ครั้นจะบอกโดยจริงเกรงเนื้อความจะฟุ้งซ่านไป จึงตอบว่าข้าพเจ้าเอาใจใส่ฟังกิตติศัพท์อยู่ แต่ยังไม่แจ้งว่าเล่าปี่อยู่แห่งใด แล้วกวนอูก็ลาพี่สะใภ้กลับมา นางกำฮูหยินนางบีฮูหยินได้ฟังกวนอูว่าดังนั้นก็คิดสงสัย จึงปรึกษากันว่า ชะรอยเล่าปี่ตายแล้ว กวนอูกลัวเราจะเสร้าโศกจึงแกล้งพรางเสียมิได้บอกความจริง แล้วก็กอดคอกันร้องไห้
ขณะนั้นทหารเก่าของเล่าปี่ซึ่งไปทัพกับกวนอู ได้ยินภรรยาเล่าปี่ร้องไห้ดังนั้น จึงเข้าไปริมประตูแล้วบอกว่า ท่านทั้งสองอย่าทุกข์ร้อนเลย เล่าปี่นายข้าพเจ้านั้นหาอันตรายมิได้ บัดนี้ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว นางกำฮูหยินนางบีฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลายใจจึงถามว่า เหตุใดตัวจึงรู้เนื้อความทั้งนี้ ทหารคนนั้นจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไปทัพกับกวนอู มีผู้มาบอกว่าเล่าปี่ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว นางกำฮูหยินจึงให้หากวนอูมาแล้วว่า ท่านอยู่กับเล่าปี่ ๆ ก็มิได้ทำสิ่งใดให้ท่านขัดเคือง บัดนี้ท่านมาอยู่กับโจโฉ ๆ เลี้ยงดูท่านถึงขนาด ท่านมีความสุขแล้วหรือจึงลืมเล่าปี่เสีย จึงไม่เอาเนื้อความมาบอกแก่เราโดยจริง กวนอูตกใจจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้คิดประทุษฐร้ายต่อเล่าปี่นั้นหามิได้ ครั้นข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความโดยจริงนั้นเกรงคนทั้งปวงจะรู้ แล้วจะแจ้งไปถึงโจโฉ ๆ ก็จะคิดอ่านป้องกันไว้มิให้ไปหาเล่าปี่โดยสดวก ข้าพเจ้าจึงยังมิได้บอก นางกำฮูหยินจึงว่า ถ้าเจ้าคิดถึงเล่าปี่อยู่ก็ให้เจ้ามีชัยชนะแก่ศัตรูทุกทิศเถิด บัดนี้รู้ข่าวแล้วจงเร่งคิดอ่านการซึ่งจะไปหาเล่าปี่จงเร็ว กวนอูก็ลาพี่สะใภ้มา ตั้งแต่คิดอ่านมิได้เปนกินเปนนอน
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 23
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnT3RieThGaVNIWE0/view?resourcekey=0-LGlmiUCRdrjAUgMB3dgsxQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #3 on:
22 December 2021, 10:24:23 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 24
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-24.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 24
เนื้อหา
กวนอูเตรียมจะกลับไปหาเล่าปี่
โจโฉทำอุบายหน่วงเหนี่ยว
กวนอูออกจากเมืองฮูโต๋
โจโฉตามห้ามกวนอู
กวนอูหักด่านรายทาง
โจโฉปล่อยกวนอูไปตามประสงค์
ฝ่ายอิกิ๋มเมื่อไปทัพกับกวนอูนั้น รู้กิตติศัพท์ว่า เล่าปี่ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว อิกิ๋มเอาเนื้อความบอกแก่โจโฉทุกประการ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ไม่มีความสบาย จึงสั่งเตียวเลี้ยวให้ไปฟังกิตติศัพท์ดูว่า กวนอูรู้ข่าวเล่าปี่แล้วจะคิดอ่านประการใดบ้าง เตียวเลี้ยวก็ลาโจโฉไปหากวนอู ถ้อยทีถ้อยคำนับกันแล้ว เห็นกิริยากวนอูไม่สบาย จึงว่าข้าพเจ้าแจ้งเหตุว่า ท่านไปครั้งนี้ได้ข่าวเล่าปี่อยู่เมืองฝ่ายเหนือ ข้าพเจ้าพลอยมีความยินดีด้วยท่าน กวนอูจึงตอบว่า เรารู้ข่าวว่าเล่าปี่ยังมีชีวิตอยู่ บัดนี้เราก็มีความวิตกด้วยยังมิได้เห็นหน้าเล่าปี่ ซึ่งท่านจะดีใจด้วยเรานั้นยังมิได้ก่อน
เตียวเลี้ยวจึงว่า ท่านกับเล่าปี่คบเปนเพื่อนสนิธกัน ข้าพเจ้าก็เปนเพื่อนของท่านด้วย ท่านรักเล่าปี่กับข้าพเจ้านี้ยังจะเหมือนกันหรือ กวนอูจึงตอบว่า ท่านกับเราเปนเพื่อนรักกันก็จริง แต่เรามิได้มีใจรักท่านเสมอเล่าปี่ อันเล่าปี่นั้นเราคบกันมาแต่ก่อน ข้างเราก็คำนับว่าเปนนายแล้วก็ได้สาบาลไว้ต่อกัน เราจึงรักเล่าปี่มากกว่าท่าน เตียวเลี้ยวจึงว่า บัดนี้ท่านรู้ข่าวเล่าปี่แล้วท่านจะไปหาหรือ ๆ จะคิดประการใด
กวนอูจึงตอบว่า เดิมเราได้ว่าไว้แก่มหาอุปราชแล้ว เราก็จะลาไปตามคำสัญญา ท่านจงอนุเคราะห์เรา ช่วยเอาธุระของเรานี้ไปแจ้งแก่มหาอุปราชโดยปรกติ อย่าให้มีความเคืองแก่เราได้ เตียวเลี้ยวจึงเอาเนื้อความซึ่งกวนอูตอบมานั้นไปเล่าให้โจโฉฟังทุกประการ โจโฉจึงว่าเราจะคิดอ่านหน่วงเอากวนอูไว้ให้ได้ ฝ่ายกวนอูนั้นคิดวิตกอยู่ซึ่งจะไปหาเล่าปี่
พอคนใช้มาบอกว่ามีผู้มาหาท่าน กวนอูจึงให้ไปหาเข้ามา แล้วถามว่าท่านนี้ชื่อใดอยู่เมืองไหน มีธุระสิ่งใดจึงมาหาเรา ตันจิ๋นจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อตันจิ๋นเปนทหารอ้วนเสี้ยว บัดนี้อ้วนเสี้ยวให้ข้าพเจ้าถือหนังสือเล่าปี่มาให้ท่าน กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงรับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า หนังสือเล่าปี่ให้มาถึงกวนอู เดิมเราได้สาบาลไว้ต่อกันทั้งสามคนที่ในสวนดอกไม้นั้น ว่าจะร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ผู้ใดตายก็จะตายด้วย บัดนี้เราทั้งสามคนพลัดกัน แต่เรามาอาศรัยอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วอยู่ แลกวนอูนั้นไปอาศรัยโจโฉ ทำการสงความมีความชอบ ได้บำเหน็จยศฐาศักดิ์มีความสุขอยู่ มิได้คิดถึงคำซึ่งสาบาลไว้แก่เรา ถ้วนกวนอูจะใคร่ให้มีความชอบในโจโฉให้มากขึ้นไปกว่านี้ ก็ให้เร่งมาตัดสีสะเราไปให้แก่โจโฉเถิด
ครั้นกวนอูแจ้งในหนังสือแล้วก็ร้องไห้ จึงว่าแก่ตันจิ๋นว่า ซึ่งเรามาอยู่กับโจโฉนี้เพราะความจำใจ จะได้ลืมพี่เสียนั้นหามิได้ ถึงอาสาโจโฉไปทัพครั้งไรก็สืบข่าวอยู่มิได้ขาด ครั้นรู้ว่าเล่าปี่อยู่กับอ้วนเสี้ยวก็คิดอยู่ว่าจะไปหาแต่ยังมิได้ที ตันจิ๋นจึงว่าท่านรักษาสัตย์อยู่ดังนั้น จงเร่งคิดอ่านไปหาเล่าปี่ให้จงได้ กวนอูจึงตอบว่า เมื่อจะเข้าไปอยู่กับโจโฉนั้น เราก็ได้ว่ากล่าวไว้ถึงสามประการ ครั้นรู้ข่าวบัดนี้จะรีบไปตามสัญญา คนทั้งปวงก็จะล่วงคระหานินทาได้ จำเราจะคิดผันผ่อนลาโจโฉเสียให้เปนทีก่อน ถึงมาทว่าโจโฉมิให้ไปเราก็จะไปให้ได้ แล้วกวนอูก็แต่งหนังสือตอบเล่าปี่ตามเนื้อความหนหลังทุกประการ แล้วก็ส่งให้ตันจิ๋น ๆ ก็รับหนังสือแล้วลากวนอูกลับไป กวนอูจึงเอาหนังสือซึ่งตอบนั้นไปบอกแก่พี่สะใภ้ทุกประการ พี่สะใภ้ทั้งสองก็มีความยินดี กวนอูจึงลาพี่สะใภ้ไปหาโจโฉหวังจะลาไปหาเล่าปี่
ขณะนั้นมีคนเอาเนื้อความไปบอกโจโฉว่า กวนอูนั้นคิดอ่านจะลาไปหาเล่าปี่ โจโฉจึงให้ปิดประตูตึกเสีย แล้วเขียนหนังสือมาปิดไว้ที่ประตูว่า มหาอุปราชไม่สบาย อย่าให้ผู้ใดเข้ามาปรึกษาราชการ กวนอูครั้นมาถึงประตูเห็นหนังสือปิดไว้ดังนั้นก็กลับมาที่อยู่ แล้วจึงให้ทหารของตัวประมาณสิบเอ็ดสิบสองคน จัดแจงรถสำหรับพี่สะใภ้กับทรัพย์สิ่งสินเตรียมไว้ บันดาเงินทองเสื้อผ้าแลสิ่งของกับหญิงคนใช้ ซึ่งโจโฉให้นั้นอย่าให้ผู้ใดเอาไป ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูก็ไปลาอีก เห็นประตูตึกยังปิดอยู่จึงไป ณ บ้านเตียวเลี้ยว นายประตูนั้นมิให้เข้าไป บอกว่าเตียวเลี้ยวยังป่วยอยู่
กวนอูจึงคิดว่า โจโฉทำทั้งนี้แกล้งจะมิให้เราไปหาเล่าปี่ ตัวเราก็มีวิตกจะช้าอยู่นั้นไม่ได้ ก็กลับมาที่อยู่จึงเขียนหนังสือว่า ข้าพเจ้ากวนอูขอแจ้งเนื้อความไว้แก่มหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้ากับเล่าปี่นั้นได้สาบาลไว้ต่อกันว่า จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ถ้าผู้ใดตายก็จะตายด้วยกัน คนทั้งปวงก็รู้อยู่สิ้น แลเมื่อท่านยกกองทัพไปรบเมืองแห้ฝือนั้น ข้าพเจ้าก็ได้สัญญาไว้แก่ท่าน ๆ ก็ได้รับปฏิญาณ ข้าพเจ้าจึงมาอยู่ด้วยท่าน บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ข่าวเล่าปี่แล้ว ข้าพเจ้าจะลาท่านไปหาเล่าปี่ตามคำที่ได้สัญญาไว้ ซึ่งท่านได้มีคุณทำนุบำรุงข้าพเจ้าไว้นั้นข้าพเจ้าก็คิดถึงคุณอยู่ แต่จะกลบลบคุณเล่าปี่เสียนั้นไม่ได้ ถ้าสืบไปชีวิตข้าพเจ้ายังไม่ตายก็จะขอสนองคุณท่านอีก ครั้นเขียนหนังสือแล้ว จึงให้คนใช้เอาไปให้นายประตูบ้านโจโฉ
กวนอูจึงเอาตราสำหรับที่ กับทรัพย์สิ่งของซึ่งโจโฉให้นั้น ใส่หีบลั่นกุญแจมอบหญิงคนใช้ไว้แล้ว จึงเชิญพี่สะใภ้ทั้งสองขึ้นรถ ตัวกวนอูถือง้าวขี่ม้าเซ็กเธาว์ พาทหารสิบเอ็ดสิบสองคนออกประตูเมืองฝ่ายทิศเหนือ นายประตูห้ามไว้ กวนอูโกรธตวาดด้วยเสียงอันดัง นายประตูทั้งนั้นตกใจกลัวหลีกไป กวนอูจึงให้ทหารสิบเอ็ดสิบสองคนนั้นรักษาพี่สะใภ้ไปข้างหน้า กวนอูป้องกันไปข้างหลัง ทหารทั้งนั้นก็ขับรถตามทางหลวงไป
ฝ่ายโจโฉปรึกษากันกับทหารทั้งปวงอยู่ ซึ่งจะคิดอ่านหน่วงเหนี่ยวกวนอูไว้ แลเนื้อความยังไม่ตกลงกัน นายประตูจึงเอาหนังสือกวนอูไปให้โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดู ครั้นแจ้งเนื้อความนั้นแล้วก็ตกใจ จึงว่ากวนอูมิไปแล้วหรือ พอหญิงคนใช้สิบคนนั้นเอาตราแลทรัพย์สิ่งของซึ่งกวนอูมอบไว้นั้นมาให้แก่โจโฉ แล้วบอกว่า บัดนี้กวนอูพาพี่สะใภ้ทั้งสองไปแล้ว โจโฉยังมิทันตอบประการใด นายประตูเมืองฝ่ายเหนือก็เอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉว่า กวนอูพาพี่สะใภ้ออกไปแล้ว ข้าพเจ้าห้ามไว้ก็ไม่ฟัง ครั้นจะจับกุมไว้ก็กลัวกวนอูจะฆ่าเสีย โจโฉกับที่ปรึกษายังมิได้ว่าประการใด ซัวหยงนายทหารได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งกวนอูหนีไปนั้น ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันอาสาไปจับเอาตัวมาให้แก่ท่าน
โจโฉจึงตวาดเอาซัวหยงแล้วว่า ซึ่งกวนอูไปทั้งนี้เพราะมีใจกตัญญูต่อเล่าปี่ผู้เปนนาย ประการหนึ่งเราก็ได้รับสัญญากวนอูไว้ แล้วเขาก็ให้หนังสือบอกเรา เหตุใดจะว่าเขาหนี ท่านทั้งปวงจงมีใจรักนายให้เหมือนกวนอูเถิด เทียหยกจึงว่า มหาอุปราชเลี้ยงกวนอูก็ถึงขนาด กวนอูก็ดูหมิ่นมิได้นบนอบลา แล้วบังอาจเขียนหนังสือมาให้ฉนี้ไม่ควร ถ้าจะปล่อยกวนอูไปถึงอ้วนเสี้ยว เข้าด้วยอ้วนเสี้ยวก็จะมีใจกำเริบขึ้น อุปมาดังเสือมีกำลัง ขอให้ท่านกะเกณฑ์ทหารไปจับเอาตัวกวนอูมาฆ่าเสีย นานไปจึงจะไม่มีเสี้ยนหนาม
โจโฉจึงตอบว่า เราได้รับสัญญาเขาไว้แล้ว ครั้นจะให้ไปติดตามเอาตัวมาบัดนี้ก็จะเสียวาจาไป ประการหนึ่งน้ำใจกวนอูรักษาความสัตย์อยู่ ถึงภายหน้าไปเห็นจะไม่ทำร้ายแก่เรา แล้วโจโฉจึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า เราทำนุบำรุงกวนอูเพียงนี้ กวนอูก็ไม่เห็นแก่ยศฐาศักดิ์แลทรัพย์สิ่งสิน ตั้งใจรักษาสัตย์หาผู้ใดจะเสมอมิได้ เราก็คิดเกรงใจกวนอูอยู่ ท่านจงรีบตามไปห้ามกวนอูไว้ ว่าเราจะขอไปส่งถึงกลางทาง แล้วจะให้เงินทองเสื้อผ้าแก่กวนอูให้เปนคุณไว้จงถึงขนาด นานไปกวนอูจะได้คิดถึงคุณเรา เตียวเลี้ยวก็ลาโจโฉแล้วขึ้นม้าควบตามไป โจโฉจึงจัดแจงเงินทอง แล้วขึ้นม้าพาทหารประมาณสามสิบมิได้ถืออาวุธรีบตามไปภายหลัง
ฝ่ายกวนอูได้ยินเสียงร้องเรียกมาข้างหลังว่าให้หยุดอยู่ก่อน กวนอูจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ให้คุมรถรีบไปก่อน เราจะคอยป้องกันทหารโจโฉซึ่งเรียกนั้น จะมาดีหรือร้าย แล้วกวนอูก็ชักม้าหยุดไว้แลไปเห็นเตียวเลี้ยว กวนอูจึงถามว่าท่านตามมาจะจับเราหรือ เตียวเลี้ยวจึงตอบว่าหามิได้ บัดนี้มหาอุปราชแจ้งว่า ท่านจะไปทางกันดารก็มีใจคิดถึงท่าน จึงให้ข้าพเจ้ารีบตามมาห้ามท่านให้หยุดอยู่ก่อน มหาอุปราชจะมาส่งท่าน กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสัยอยู่ จึงถอยม้าขึ้นมายืนอยู่บนสะพานศิลา แล้วแลไปเห็นโจโฉคุมทหารเอกขี่ม้ามาประมาณสามสิบ ครั้นโจโฉเข้าไปใกล้จึงให้ทหารยืนอยู่เปนหน้ากระดาน กวนอูเห็นทหารโจโฉมิได้ถืออาวุธก็ค่อยคลายความสงสัย
โจโฉจึงถามกวนอูว่า เหตุใดท่านจึงรีบมามิให้เรารู้ กวนอูยอบตัวลงคำนับแล้วตอบว่า เดิมข้าพเจ้าได้สัญญาไว้ต่อท่าน ๆ ก็รับปฏิญาณไว้ ครั้นข้าพเจ้ารู้ข่าวเล่าปี่แล้วเข้าจะไปลาท่านถึงสองสามครั้งก็ไม่ถึงท่าน ข้าพเจ้าก็วิตกอยู่ถึงเล่าปี่ จึงเขียนหนังสือคำนับลาท่านให้ไว้แก่นายประตู แลสิ่งของซึ่งท่านให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามอบให้แก่หญิงคนใช้ไว้สิ้น ข้าพเจ้าจึงรีบมาหวังจะไปหาเล่าปี่ มหาอุปราชจงคิดถึงคำซึ่งรับสัญญาไว้นั้น จงเมตตาให้ข้าพเจ้าไปเถิด
โจโฉจึงว่าเราทำการทุกวันนี้ก็ตั้งใจปราถนาหาผู้รักษาสัตย์ ตัวท่านมีกตัญญูต่อเล่าปี่เราก็มีความยินดีด้วย ซึ่งเรารับสัญญาท่านไว้ เราก็รักษาวาจาอยู่มิให้คำนั้นเปนสองได้ ท่านจะไปเราก็ไม่ห้าม แต่เกรงอยู่ว่าเปนทางกันดาร กลัวจะขาดสเบียงอาหารเราจึงตามมาส่ง หวังจะให้ทรัพย์สินไว้เปนสเบียงไป แล้วโจโฉจึงให้ทหารเอาทองแท่งถาดหนึ่งให้กวนอู ๆ ก็ไม่รับเอาทองนั้น แล้วจึงว่าเงินเบี้ยหวัดซึ่งข้าพเจ้าได้รับพระราชทานนั้นก็ยังมีพอใช้ สอยอยู่ ทองนี้มหาอุปราชจงเอาไว้เถิด จะได้แจกทหารซึ่งมีบำเหน็จสืบไป โจโฉจึงว่า ท่านมาอยู่กับเราก็มีความชอบเปนอันมาก ซึ่งเราให้ทองแท่งถาดหนึ่งนี้ก็หาควรกับความชอบของท่านไม่ เหตุไฉนท่านจึงไม่รับ
กวนอูตอบว่า ข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยมหาอุปราชก็มิได้ทำความชอบสิ่งใด ได้อาสาแต่ครั้งหนึ่งสองครั้งเท่านั้นไม่ควรที่จะนับว่ามีความชอบได้ โจโฉได้ยินกวนอูว่าดังนั้นจึงว่า ท่านเปนทหารมีฝีมือเข้มแขงแล้วก็มีความสัตย์แลกกตัญญูหาผู้เสมอมิได้ แต่เราเปนคนบุญน้อยจึงมิได้ท่านไว้สมความปราถนา ซึ่งทองนี้ท่านมิรับแล้วก็ตามเถิด จงรับเอาเสื้อนี้ไว้แต่พออย่าให้เสียทีซึ่งตามมาส่งท่าน แล้วโจโฉก็ให้ทหารเอาเสื้อลายทองไปให้กวนอู ๆ ครั้นจะลงจากม้ารับเอาเสื้อก็ไม่ไว้ใจโจโฉ จึงยอบตัวลงแล้วยื่นง้าวไปรับเอาเสื้อมาคลุมตัวลงแล้วจึงว่า คุณของมหาอุปราชก็มีอยู่แก่ข้าพเจ้าเปนอันมากแล้วยังเอาเสื้อมาให้อีกเล่า แม้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็จะแทนคุณมหาอุปราช กวนอูก็คำนับแล้วลาโจโฉขับม้าไป
เคาทูจึงว่าแก่โจโฉว่า กวนอูนี้หยาบช้านัก ท่านให้เอาเสื้อไปให้ก็ยื่นง้าวมารับเอา ทำทั้งนี้ดูหมิ่นท่าน เหตุใดท่านจึงไม่เอาโทษ โจโฉจึงว่าซึ่งจะถือโทษกวนอูนั้นไม่ได้ เพราะเขาตัวผู้เดียว เราพวกมากกว่าเขาจึงไม่ไว้ใจ เราได้ออกปากให้เขาไปแล้ว อย่าเอาโทษเขาเลย แล้วโจโฉก็พาทหารทั้งปวงกลับมาเมืองฮูโต๋ สรรเสริญกวนอูว่ามีความสัตย์นัก
ฝ่ายกวนอูขับม้าไปทางสามร้อยเส้นไม่เห็นรถพี่สะใภ้ กวนอูตกใจเที่ยวหาอยู่มิได้พบ พอได้ยินเสียงร้องมาแต่เนินเขาว่า กวนอูหยุดอยู่ก่อน กวนอูเหลียวมาเห็นหนุ่มน้อยโพกผ้าเหลือง ใส่เสื้อลายทอง ขี่ม้าถือทวนเอาสีสะคนผูกคอม้า คุมพวกเพื่อนประมาณร้อยเศษ ลงมาถึงหน้ากวนอู ๆ จึงถามว่าท่านนี้ชื่อใดมาแต่ไหน นายโจรนั้นลงจากม้าวางทวนเสีย แล้วคุกเข่าลงคำนับบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเลียวฮัวชาวเมืองซงหยง เมื่อครั้งเกิดโจรโพกผ้าเหลืองนั้นข้าพเจ้าแตกตื่นมาอยู่เขานี้ ซ่องสุมเพื่อนได้ประมาณห้าร้อยเศษเที่ยวตีชิงเข้าปลาอาหารเลี้ยงชีวิต เตาอวนนายโจรเพื่อนข้าพเจ้าคุมพวกเพื่อนลงมาตีชิงได้หญิงไปสองคน ข้าพเจ้าสืบถามคนซึ่งมาด้วยนั้นบอกว่าเปนภรรยาเล่าปี่มากับท่าน ข้าพเจ้าว่าจะเอามาส่งให้ท่านเตาอวนไม่ยอม ข้าพเจ้าจึงฆ่าเสียตัดเอาสีสะมาให้ท่าน ภรรยาเล่าปี่ทั้งสองนั้นข้าพเจ้าให้ทหารคุมมาข้างหลัง พอพวกโจรคุมรถมาถึง กวนอูก็ลงจากม้ามาคำนับพี่สะใภ้ทั้งสองแล้วว่า ซึ่งท่านได้ตกใจนั้นโทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว พี่สะใภ้ทั้งสองจึงว่า เมื่อโจรมันพาพี่ขึ้นไปบนเขานั้น ถ้าเลียวฮัวมิช่วยพี่ก็จะเปนอันตราย กวนอูจึงถามทหารซึ่งมาด้วยว่า เมื่อโจรพาขึ้นไปนั้นเหตุใดเลียวฮัวจึงมาช่วย ทหารจึงบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าคุมรถมานั้น เตาอวนคุมพวกโจรลงมาพาเอารถขึ้นไปถึงบนเขา แล้วบอกแก่เลียวฮัวว่า ได้หญิงมาสองคน จะแบ่งให้เปนภรรยาเลียวฮัวคนหนึ่ง เลียวฮัวจึงถามข้าพเจ้าว่าหญิงสองคนนี้เปนภรรยาผู้ใด ข้าพเจ้าบอกว่าเปนภรรยาเล่าปี่ กวนอูผู้น้องคุมมาจะไปหาเล่าปี่ ณ เมืองกิจิ๋ว เลียวฮัวจึงว่าแก่เตาอวนให้พาพี่สะใภ้ลงมาให้ท่าน เตาอวนไม่ทำตามเลียวฮัวโกรธจึงฆ่าเตาอวนเสีย แล้วให้พวกเพื่อนคุมรถลงมาให้ท่าน
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงคำนับเลียวฮัวแล้วว่า ซึ่งท่านทำคุณแก่เราครั้งนี้เราขอบใจนัก ถ้าชีวิตเรามิตายไปภายหน้าเราจะแทนคุณท่าน เลียวฮัวจึงว่าแก่กวนอูว่า ซึ่งท่านจะไปนั้นเปนทางกันดาร ข้าพเจ้าจะคุมพวกเพื่อนไปส่งกว่าจะพ้นแดนเมืองฮูโต๋ กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า เลียวฮัวนี้เปนโจรโพกผ้าเหลือง ครั้นจะให้คุมพวกเพื่อนไปส่งเรา คนทั้งปวงจะนินทาเราว่าคบพวกโจร แล้วว่าแก่เลียวฮัวว่า ซึ่งท่านจะตามไปส่งนั้นเราขอบใจแล้ว แต่อย่าไปให้ลำบากเลย เลียวฮัวก็เอาเงินทองให้กวนอู ๆ ไม่เอา จึงว่าของทั้งนี้ท่านเอาไว้เถิด เลียวฮัวก็ลากวนอูคุมพวกโจรกลับไป ณ เขาที่อยู่
กวนอูจึงเอาเนื้อความซึ่งโจโฉตามมาส่งนั้นเล่าให้พี่สะใภ้ฟังทุกประการ แล้วให้ขับรถไปตามทาง เวลาเย็นเห็นบ้านตำบลหนึ่ง กวนอูจึงพาพี่สะใภ้เข้าไปอาศรัยนอน โฮหัวนายบ้านนั้นอายุแก่ ผมแลหนวดหงอก ครั้นเห็นกวนอูมาก็ออกไปรับ จึงถามว่าท่านนี้ชื่อใดมานี่จะไปไหน กวนอูจึงตอบว่า ข้าพเจ้าชื่อกวนอูเปนน้องเล่าปี่ ข้าพเจ้าจะไปหาพี่ ณ เมืองกิจิ๋ว
โฮหัวจึงถามว่า ท่านนี้หรือซึ่งฆ่างันเหลียงบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยว กวนอูก็รับคำ งอหัวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเชิญท่านเข้าไปในตึกเถิด กวนอูจึงว่าพี่สะใภ้ข้าพเจ้าทั้งสองอยู่ข้างนอก โฮหัวก็เรียกภรรยากับบุตรหญิงให้ออกไปรับพี่สะใภ้กวนอูเข้ามา แล้วก็พาขึ้นไปบนตึก โฮหัวจึงเชิญให้กวนอูแลนางทั้งสองกินโต๊ะ กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะนั่งเคียงพี่นั้นไม่ควร โฮหัวจึงให้ภรรยาเชิญนางทั้งสองเข้าไปที่ข้างใน แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยง กวนอูนั้นนั่งกินโต๊ะอยู่กับโฮหัวภายนอก จึงถามโฮหัวว่า เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ โฮหัวจึงบอกว่า แต่ก่อนนั้นเราก็ได้เปนขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ครั้นชราแล้วก็ลาออกจากราชการมาทำมาหากินอยู่ในตำบลบ้านนี้ แลบุตรเราชื่อโฮปั้นเปนทหารอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง ทางซึ่งท่านจะไปเมืองกิจิ๋ว เราจะฝากหนังสือท่านไปให้โฮปั้นด้วย กวนอูก็รับคำ ครั้นเวลารุ่งเช้าโฮหัวเลี้ยงดูกวนอูแล้วก็เอาหนังสือส่งให้ กวนอูรับเอาหนังสือแล้วคำนับลาพาพี่สะใภ้ทั้งสองนั้นขึ้นรถไปตามทางทิศเหนือ
ฝ่ายขงสิ้วเปนนายคุมทหารห้าร้อยอยู่รักษาด่านตังเหลงก๋วน ได้แต่งให้ทหารทั้งปวงออกเที่ยวตะเวนด่าน ม้าใช้จึงเอาเนื้อความมาบอกขงสิ้วว่า บัดนี้กวนอูพาครอบครัวเล่าปี่มาใกล้จะถึงด่านอยู่แล้ว ขงสิ้วรู้ดังนั้นก็พาทหารออกไปรับกวนอู ๆ ก็ลงจากม้าคำนับนายด่าน ขงสิ้วจึงถามว่า ท่านมานี่จะไปไหน กวนอูจึงบอกว่า เราลามหาอุปราชจะไปหาเล่าปี่ ณ เมืองกิจิ๋ว ขงสิ้วจึงตอบว่า อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วนั้นเปนศัตรูของมหาอุปราช แลท่านจะไปเมืองกิจิ๋ว ถ้ามีหนังสือมหาอุปราชเบิกด่านมาเราจึงจะให้ไป กวนอูจึงว่าเมื่อเราจะมานั้นเปนการด่วน หาได้หนังสือเบิกด่านมาไม่ ขงสิ้วจึงตอบว่า ท่านไม่มีหนังสือเบิกด่านมาจงอยู่ที่นี่ก่อน เราจะให้ทหารขึ้นไปแจ้งเนื้อความแก่มหาอุปราช ถ้ามีหนังสือเบิกด่านลงมาเราจึงจะให้ไป กวนอูจึงว่าเราจะไปการเร็ว ท่านจะให้คอยอยู่นั้นจะมิป่วยการช้าไปหรือ ขงสิ้วจึงตอบว่ากฎหมายสำหรับด่านดังนี้ ซึ่งเราจะปล่อยให้ท่านไปนั้นไม่ได้ กวนอูจึงว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ท่านจะขัดเราไว้หรือ ขงสิ้วจึงว่า ท่านจะไปการเร็วจงเอาครอบครัวนี้จำนำไว้ ตัวท่านจะไปก็ตามเถิด
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ฉวยง้าวจะฟันขงสิ้วเสีย แล้วว่าถ้ามิให้เราไปเราจะหักไปให้ได้ ขงสิ้วหลบทันจึงพาทหารหนีเข้าไปในด่าน แล้วเกณฑ์ทหารทั้งปวงใส่เกราะถืออาวุธขี่ม้าออกมาเปนอันมาก ขงสิ้วร้องว่าแก่กวนอูว่า ตัวกล้าหาญจะบังอาจหักด่านไปก็ให้เร่งไป กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารชักรถพี่สะใภ้ถอยหลีกออกไปอยู่ริมทาง แล้วกวนอูก็ขับม้ารำง้าวเข้ารบด้วยขงสิ้วยกหนึ่ง กวนอูเอาง้าวฟันขงสิ้วตกม้าตาย ทหารทั้งปวงเห็นขงสิ้วตายก็ตกใจกลัว ต่างคนต่างก็แตกตื่นหนีไป กวนอูจึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า อย่าตกใจเลย เราหาทำอันตรายแก่ท่านไม่ ซึ่งเราฆ่าขงสิ้วเสียนั้น เพราะขงสิ้วขัดเราไว้แล้วทำการหยาบช้าต่อเรา ท่านทั้งปวงเอาเนื้อความทั้งนี้แจ้งแก่มหาอุปราชแต่โดยจริง ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็พากันเข้ามาคำนับกวนอู ๆ จึงให้ขับรถออกจากด่านตรงไปตามทางเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้น ก็เอาเนื้อความทั้งนี้รีบไปแจ้งแก่ฮันฮกเจ้าเมืองลกเอี๋ยง ฮันฮกได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า กวนอูมิได้มีหนังสือมหาอุปราชเบิกด่านมา ครั้นขงสิ้วขัดไว้กวนอูก็ฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เบงทันจึงว่า ซึ่งกวนอูมานี้ไม่มีหนังสือเบิกด่าน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะหนีมหาอุปราชมา ครั้นจะปล่อยไปโทษก็จะมีอยู่แก่เรา
ฮันฮกจึงว่า อันกวนอูนั้นมีฝีมือกล้าหาญ งันเหลียงบุนทิวซึ่งเปนทหารอ้วนเสี้ยวลืออยู่ว่ามีฝีมือกล้าหาญนั้น กวนอูก็ฆ่าเสียได้ ครั้นเราจะรบพุ่งจับเอาตัวไว้บัดนี้ เห็นจะทานกำลังกวนอูไม่ได้ จำจะคิดเปนกลอุบายจึงจะจับกวนอูได้ เบงทันจึงว่าท่านคิดนี้ชอบอยู่ ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารไปรบด้วยกวนอูแล้วจะทำถอยหนี ฝ่ายท่านนั้นคุมทหารซุ่มอยู่ เห็นกวนอูไล่ข้าพเจ้ามา ท่านจงเอาเกาทัณฑ์ยิงให้ถูก ถ้ากวนอูตกม้าลงจึงให้ทหารเข้าจับตัวส่งขึ้นไปเมืองหลวง ความชอบก็จะมีแก่ท่าน ฮันฮกเห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ทหารเตรียมไว้
พอม้าใช้มาบอกฮันฮกว่า บัดนี้กวนอูมาจะใกล้ถึงเมืองลกเอี๋ยงอยู่แล้ว ฮันฮกก็ใส่เกราะถือเกาทัณฑ์ขับม้าพบเบงทันกับทหารพันหนึ่ง ยกออกไปถึงประตูเมือง พอแลเห็นกวนอูฮันฮกจึงคุมทหารห้าร้อยแอบซุ่มประตูอยู่ เบงทันก็ขับม้าพาทหารห้าร้อยออกไปทำเปนไม่รู้จัก จึงถามกวนอูว่า ท่านนี้ชื่อใดมานี่จะไปไหน กวนอูจึงบอกว่าเรานี้ชื่อกวนอู เปนขุนนางที่หั้นสือแต่งเฮา ซึ่งมานี้จะขอผ่านเมืองลกเอี๋ยงไปทางทิศเหนือ เบงทันจึงว่า ท่านเปนขุนนางมาแต่เมืองหลวง ซึ่งมีธุระจะไปทิศเหนือนั้น มีหนังสือมหาอุปราชมาหรือไม่ กวนอูจึงว่า เรามานี้เปนการด่วนหาได้หนังสือมาไม่ เบงทันจึงว่าอันเมืองลกเอี๋ยงเปนทางฝ่ายเหนือ มหาอุปราชใช้ฮันฮกมาอยู่รักษาเมือง แลตัวท่านเปนขุนนางมาทั้งนี้ไม่มีหนังสือเบิกด่านนั้น เราเห็นว่าท่านหนีมาเปนมั่นคง
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าขงสิ้วนายด่านตังเหลงก๋วนขัดไว้ดังนี้เราก็ฆ่าเสียแล้ว แลตัวมาขัดไว้บ้างตัวไม่รักชีวิตหรือ เบงทันได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักม้ารำง้าวเข้ารบด้วยกวนอู ๆ จึงให้ทหารชักรถถอยหลีกออกไป แล้วขับม้าเข้ารบกับเบงทันได้สามเพลง เบงทันทำถอยหนี กวนอูขับม้าไล่ไปด้วยฝีเท้าอันเร็วใกล้จะถึงประตูเมือง กวนอูเอาง้าวฟันเบงทันตัวขาดออกเปนสองท่อน แล้วชักม้าจะกลับออกมาหาพี่สะใภ้ ฮันฮกแอบอยู่ในซุ้มประตู จึงขึ้นเกาทัณฑ์ยิงด้วยกำลังไปถูกไหล่ซ้ายกวนอู ๆ ตกใจเอามือชักลูกเกาทัณฑ์ทิ้งเสีย โลหิตไหลอาบตัว เจ็บปวดเปนสาหัส แล้วแลไปเห็นฮันฮกยืนม้าแอบประตูอยู่ กวนอูโกรธมิได้คิดแก่ความเจ็บ ก็ควบม้าตรงเข้าไปเอาง้าวฟันผ่าตัวฮันฮกออกเปนสองซีก แล้วก็ไล่ฆ่าทหารฮันฮกล้มตายเปนอันมาก กวนอูก็ควบม้ากลับมาหาพี่สะใภ้ ครั้นจะพักอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงนั้นก็ไม่ไว้ใจ จึงเอาแพรพันแผลเจ็บไว้ แล้วก็ขับม้าพาพี่สะใภ้ทั้งสองรีบไปทางด่านกิสุยก๋วน
ฝ่ายม้าใช้จึงเอาเนื้อความทั้งปวง ซึ่งกวนอูฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเสียนั้น รีบไปบอกแก่เปี๋ยนฮีนายด่านกิสุยก๋วน เปี๋ยนฮีนั้นชำนาญทิ้งลูกขลุบ ครั้นรู้เนื้อความแล้วก็ตรึกตรองอยู่ว่า ทำไฉนเราจะจับกวนอูได้ จึงคิดขึ้นมาได้ว่า วัดตีนก๊กชือซึ่งอยู่หน้าด่านนั้นเปนที่ชอบกล เราจะแต่งทหารไปซุ่มไว้ประมาณสองร้อยเศษ จึงจะชวนกวนอูกินโต๊ะ แล้วจะทิ้งจอกสุราเปนสำคัญ ให้ทหารทั้งปวงรุมกันเข้าจับกวนอูเห็นจะได้โดยง่าย ครั้นเวลารุ่งเช้าเปี๋ยนฮีก็เอาทหารไปซุ่มไว้ในวัด จึงสั่งตามซึ่งคิดไว้นั้น แล้วเปี๋ยนฮีก็ออกไปรับกวนอู ๆ เห็นเปี๋ยนฮีนายด่านกับทหารทั้งปวงมิได้ถืออาวุธออกมารับโดยดีก็สิ้นความ สงสัย จึงลงจากม้าคำนับเปี๋ยนฮี ๆ จึงว่าข้าพเจ้าเปนนายด่านอยู่ที่นี่ บันดาคนทั้งปวงก็เลื่องลืออยู่ว่าท่านมีฝีมือกล้าหาญ ทั้งมีความสัตย์อยู่ด้วย บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านจะไปหาเล่าปี่ผู้พี่ ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วย จึงพาไพร่ชาวด่านมารับท่าน
กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงเอาเนื้อความซึ่งขงสิ้วเบงทันฮันฮกขัดขวางไว้เล่า ให้เปี๋ยนฮีฟังทุกประการ เปี๋ยนฮีจึงแกล้งว่า ซึ่งท่านฆ่าทั้งสามคนเสียนั้นก็ควรอยู่โดยโทษแล้ว ถ้าข้าพเจ้าไปถึงมหาอุปราชก็จะช่วยว่ากล่าวเบี่ยงบ่าย แล้วว่าเชิญท่านขึ้นม้าไปสู่ที่สำนักด่านข้าพเจ้าเถิด กวนอูมีความยินดีก็ขี่ม้าพาทหารชักรถตามเปี๋ยนฮีไปถึงหน้าวัด เปี๋ยนฮีจึงชวนกวนอูเข้าไปในวัดตีนก๊กชือ แลวัดนั้นเปนของพระเจ้าเบงเต้สร้างไว้แต่ก่อน เคยเสด็จมานมัสการพระเนืองๆ อยู่ หลวงจีนทั้งปวงเห็นกวนอูมาก็ตีกลองแลระฆังรับ แลหลวงจีนเภาเจ๋งเจ้าวัดเปนชาวบ้านเดียวกันกับกวนอูรู้จักกันมาแต่ก่อน รู้กิตติศัพท์ว่าเปี๋ยนฮีจะคิดร้ายกวนอู หลวงจีนเภาเจ๋งก็ออกมารับ หวังจะบอกเนื้อความให้กวนอูแจ้ง แล้วถามกวนอูว่าท่านจำเราได้หรือไม่ กวนอูก็บอกว่าเราจำไม่ได้ หลวงจีนเภาเจ๋งจึงถามว่าท่านมาจากบ้านได้สักกี่ปี กวนอูจึงบอกว่าข้าพเจ้ามาจากบ้านได้ยี่สิบปีแล้ว หลวงจีนเภาเจ๋งจึงว่าบ้านท่านกับบ้านเราอยู่ตรงฟากแม่น้ำกัน
เปี๋ยนฮีเห็นหลวงจีนเภาเจ๋งทักทายว่า เปนเพื่อนบ้านกับกวนอูมาแต่ก่อน เปี๋ยนฮีกลัวเนื้อความซึ่งคิดไว้นั้นจะฟุ้งเฟื่องไป จึงร้องตวาดหลวงจีนเภาเจ๋งว่า เราเชิญกวนอูมาอาศรัยกินโต๊ะในวัดนี้ เหตุใดจึงมาพูดจาเซ้าซี้อยู่ให้ช้า กวนอูจึงว่าหลวงจีนเภาเจ๋งนี้เปนเพื่อนบ้านกันมากับเราพลัดกันมาช้านานแล้ว ครั้นมาพบกันบัดนี้ก็จำทักทายกัน หลวงจีนเภาเจ๋งจึงจัดแจงที่ให้กวนอูนั่ง แล้วเอาเครื่องน้ำชามาจะให้กวนอูกิน กวนอูจึงว่าพี่สะใภ้ข้าพเจ้าทั้งสองอยู่บนรถหน้าวัดยังมิได้กิน ข้าพเจ้าจะกินก่อนกะไรได้ หลวงจีนเภาเจ๋งก็พากวนอูเอาน้ำชาออกไปให้พี่สะใภ้ทั้งสองกิน แลทางใกล้กัน ถ้าจะพูดจาประการใดกลัวเปี๋ยนฮีจะได้ยิน แล้วบ่าวไพร่เปี๋ยนฮีเดิรไปมาอยู่ หลวงจีนเภาเจ๋งจึงเอามือชี้เข้าที่กระบี่กวนอูเหน็บแล้วก็ถลึงตาให้ กวนอูก็รู้ว่าเปี๋ยนฮีจะทำร้าย จึงสั่งทหารให้ถืออาวุธตามเข้าไป หลวงจีนเภาเจ๋งกวนอูกลับเข้ามา เปี๋ยนฮีจึงว่าแก่กวนอูว่าข้าพเจ้าได้แต่งโต๊ะไว้เสร็จแล้ว เชิญท่านเข้าไปที่ข้างในเถิด
กวนอูได้ฟังดังนั้นมิได้คิดครั่นคร้าม ก็เข้าไปนั่งกับเปี๋ยนฮี แล้วเห็นพวกเพื่อนเปี๋ยนฮีซึ่งยืนอยู่นั้น เหน็บกระบี่ซ่อนไว้ในเสื้อ แต่ด้ามนั้นยื่นออกมา กวนอูจึงถามเปี๋ยนฮีว่า ซึ่งชวนเรามากินโต๊ะนี้ดีหรือร้าย เปี๋ยนฮีตกใจกลัวตัวสั่นมิได้ตอบประการใด กวนอูเห็นเปี๋ยนฮีพิรุธดังนั้นก็ร้องตวาดแล้วว่า กูคิดว่ามึงเปนคนดีกูจึงถือซื่อเข้ามาด้วย ควรหรือมึงคิดร้ายต่อกู เปี๋ยนอีเห็นกวนอูรู้เนื้อความแล้วก็เรียกทหารทั้งปวงว่า ชาวเราเร่งลงมือเถิด ทหารซึ่งยืนอยู่นั้นยังมิทันทำประการใด กวนอูก็ชักกระบี่ออกฟันตายหลายคน เปี๋ยนฮีเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงวิ่งหนีเข้าไปในเก๋ง กวนอูก็ทิ้งกระบี่เสียแล้วฉวยเอาง้าวไล่ตามเข้าไป
เปี๋ยนฮีเห็นกวนอูไล่เข้ามาก็เอาลูกขลุบทิ้งเอา กวนอูก็เอาง้าวปัดลูกขลุบเสีย แล้วฟันถูกเปี๋ยนฮีตัวขาดออกเปนสองท่อน แล้วกลับมาดูพี่สะใภ้เห็นทหารเปี๋ยนฮีล้อมอยู่เปนอันมาก กวนอูก็ไล่ฆ่าฟันทหารทั้งนั้นแตกไปบ้างตายบ้าง แล้วกวนอูเข้าไปว่าแก่หลวงจีนเภาเจ๋งว่า ครั้งนี้ท่านหากบอกเหตุให้ หาไม่ข้าพเจ้าก็จะตาย หลวงจีนเภาเจ๋งจึงว่าตัวเราจะอยู่ในวัดนี้สืบไป พวกเพื่อนเปี๋ยนฮีก็จะทำร้ายแก่เรา ๆ จะไปอยู่วัดอื่นแล้ว ซึ่งท่านจะไปนั้นอุตส่าห์รักษาตัวจงดี ภายหน้าจะได้พบกันอีก กวนอูก็ลาหลวงจีนเภาเจ๋งพาพี่สะใภ้แลทหารไปทางเมืองเอี๋ยงหยง
ฝ่ายอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง ซึ่งเปนเกี่ยวดองกันกับฮันฮกนั้น ครั้นรู้ข่าวว่ากวนอูฆ่าฮันฮกกับนายด่านเสียนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า กวนอูมีฝีมือกล้าหาญจะจับเอาตัวซึ่งหน้านั้นไม่ได้ จำจะทำกลอุบายให้กวนอูไว้ใจแล้วจึงจะจับฆ่าเสียได้โดยง่าย แล้วเกณฑ์ทหารให้ไปสกัดด่านแลทางไว้หลายตำบลอย่าให้กวนอูหนีออกไปได้ ครั้นอองเซ็กรู้ว่ากวนอูมาใกล้เมืองก็ขึ้นม้าพาทหารออกไปรับกวนอูโดยปรกติ แล้วถามว่าท่านมานี้จะไปแห่งใดกวนอูจึงบอกว่า เราลามหาอุปราชจะพาพี่สะใภ้ไปหาเล่าปี่ ณ เมืองกิจิ๋ว อองเซ็กจึงว่าท่านมาเปนทางกันดาร เวลาก็จวนค่ำแล้ว เชิญท่านกับพี่สะใภ้เข้าไปสำนักอยู่ในเมืองก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยไป กวนอูได้ฟังคำอองเซ็กก็ไม่มีความสงสัย จึงว่าท่านเอนดูแล้วเราจะขออาศรัยสักคืนหนึ่ง อองเซ็กก็พากวนอูกับพี่สะใภ้เข้าไปในเมือง แล้วจัดแจงที่ให้อยู่ อองเซ็กก็กลับมาให้แต่งโต๊ะ แล้วให้คนใช้ไปเชิญกวนอูมากินโต๊ะ คนใช้ก็ไปบอกกวนอูตามคำอองเซ็กสั่ง กวนอูจึงคิดแต่ในใจว่า เปี๋ยนฮีหาไปกินโต๊ะก็คิดร้ายแก่เรา บัดนี้อองเซ็กให้หามากินโต๊ะ เกลือกจะทำกลอุบายเหมือนเปี๋ยนฮีดอกกระมัง กวนอูขุกได้คิดขึ้นในขณะนั้นก็สงสัยจึงว่าแก่คนใช้ว่า ซึ่งอองเซ็กให้หาไปกินโต๊ะนั้นเราขอบใจแล้ว แต่พี่สะใภ้เราเปนหญิงหาผู้ใดจะอยู่รักษาไม่ คนใช้ก็กลับไปบอกอองเซ็ก ๆ ก็ให้เอาโต๊ะไปให้กวนอูถึงที่อยู่ กวนอูจึงเอาโต๊ะนั้นให้พี่สะใภ้กินเสร็จแล้ว ครั้นเวลาค่ำกวนอูให้ทหารหยุดพักหลับนอน แล้วกวนอูถอดเกราะนั่งดูหนังสือรักษาพี่สะใภ้อยู่ห้องนอก
ฝ่ายอองเซ็กจึงสั่งโฮปั้นว่า บัดนี้กวนอูหนีมหาอุปราชมาฆ่าฮันฮกเจ้าเมืองแลนายด่านทั้งสองเสีย ครั้นเราจะจับตัวส่งขึ้นไป กวนอูก็มีฝีมือกล้าแข็ง ถึงจะจับตัวได้ทหารก็จะตายบ้าง จำเราจะคิดฆ่ากวนอูเสีย เวลาสามยามวันนี้ท่านจงคุมทหารพันหนึ่ง ให้ถือฟืนแลฟางคนละมัดไปล้อมที่อยู่กวนอูเข้า เอาเพลิงระดมจุดเผากวนอูแลพวกเพื่อนเสีย แล้วให้จุดประทัดสัญญาขึ้นเราจึงจะคุมทหารไปช่วย โฮปั้นจึงคุมทหารพันหนึ่งถือฟืนแลฟางไปวางไว้รอบที่อยู่กวนอู แต่ยังมิได้จุดเพลิง
โฮปั้นจึงคิดแต่ในใจว่า คนทั้งปวงลือชาปรากฎว่า กวนอูนี้มีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญนัก เรายังไม่รู้จักตัว รูปร่างจะเปนประการใด จำจะไปดูให้รู้จักก่อน คิดแล้วโฮปั้นก็เข้าไปถามนายประตูว่ากวนอูอยู่แห่งใด นายประตูบอกว่ากวนอูนั่งดูหนังสืออยู่ห้องข้างนอก โฮปั้นจึงค่อยเดิรเข้าไปเยี่ยมดูเห็นกวนอูนั่งดูหนังสืออยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งลูบหนวดอยู่ โฮปั้นพิเคราะห์ดูเคลิ้มสติไปจึงร้องชมว่า รูปกวนอูนี้งามเหมือนเทพดา
กวนอูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงร้องถามว่าผู้ใดเข้ามา โฮปั้นจึงเข้าไปคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อโฮปั้นนายทหารของอองเซ็ก กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงคิดขึ้นได้แล้วถามว่า ท่านนี้เปนบุตร์โฮหัวหรือ โฮปั้นก็รับคำ กวนอูจึงเอาหนังสือซึ่งโฮหัวฝากมานั้นให้แก่โฮปั้น ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า โฮหัวผู้เปนบิดาให้มาถึงโฮปั้นว่า กวนอูมีฝีมือกล้าหาญ ทั้งมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้ากวนอูมาถึงแห่งใดตำบลใด ถ้าโฮปั้นพบพานเข้าก็อย่าให้คิดทำร้าย จงทำนุบำรุงกวนอูให้ไปโดยสดวก ภายหน้าจะได้เปนที่พึ่งสืบไป โฮปั้นแจ้งในหนังสือแล้วก็ตกใจ จึงค่อยว่ากับกวนอูว่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าท่านเปนคนดี หาไม่ชีวิตท่านจะตายอยู่ที่นี่ แล้วบอกเนื้อความทั้งปวงซึ่งอองเซ็กให้คุมทหารมาจะจุดเพลิงเผาท่านเสีย บัดนี้ท่านจงเตรียมตัวเถิด ข้าพเจ้าจะไปคิดอ่านห้ามทหารทั้งปวงแล้วจึงจะไปเปิดประตูเมืองไว้ให้ท่าน จะได้ออกไปให้พ้นโดยเร็ว แล้วก็ลาออกไปเปิดประตูเมืองไว้
กวนอูได้ฟังโฮปั้นว่าดังนั้นก็ตกใจทั้งมีความยินดี จึงใส่เกราะถือง้าวแล้วเชิญพี่สะใภ้ขึ้นรถให้ทหารคุมไปหน้า กวนอูขี่ม้าป้องกันไปข้างหลัง ครั้นเห็นประตูเมืองเปิดอยู่ จึงให้ทหารขับรถออกจากประตูเมือง โฮปั้นเห็นกวนอูออกไปแล้ว ก็รีบกลับมาให้ทหารทั้งปวงจุดเพลิงระดมขึ้น กวนอูไปทางประมาณสามสิบเส้น แลเข้าไปในเมืองเห็นเพลิงสว่างขึ้นก็เข้าใจว่าโฮปั้นแสร้งทำกลบความ ฝ่ายอองเซ็กได้ยินเสียงประทัดแลเห็นแสงเพลิง จึงคุมทหารรีบมาถึงที่อยู่กวนอู ทหารทั้งปวงร้องบอกว่ากวนอูหนีเพลิงออกไปได้ อองเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ขับม้าพาทหารรีบตามไปถึงนอกเมืองแล้วร้องว่า กวนอูมีฝีมือเหตุใดจึงหนีไปเล่า กวนอูจึงร้องตอบว่ากูมิได้ทำผิดสิ่งใดกับมึง เหตุใดมึงมาคิดร้ายกู อองเซ็กโกรธมิได้ตอบประการใด ก็ขับม้ารำทวนตามรบกับกวนอู ๆ ขับม้าเข้ารบเอาง้าวปัดทวนเสีย แล้วฟันถูกอองเซ็กตัวขาดออกเปนสองท่อน ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นหนีไป กวนอูจึงขับม้าตามพี่สะใภ้ไป แล้วคิดถึงคุณโฮปั้นมิได้ขาด
ฝ่ายเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองตองกุ๋น รู้ข่าวว่ากวนอูหนีมหาอุปราชหักด่านมา ฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเสียเปนหลายตำบล จึงคุมทหารออกมาประมาณสามสิบสกัดปากทางไว้ กวนอูเห็นเล่าเอี๋ยนจึงถามว่า ทุกวันนี้ท่านรักษาเมืองมีความสุขอยู่หรือ เล่าเปี๋ยนบอกว่าเปนสุขอยู่ ซึ่งท่านมานี้จะไปแห่งใด กวนอูบอกว่าเราลามหาอุปราชจะไปหาเล่าปี่ผู้พี่เรา เล่าเอี๋ยนจึงตอบว่า เล่าปี่ไปอาศรัยอยู่กับอ้วนเสี้ยว บัดนี้อ้วนเสี้ยวกับมหาอุปราชก็ทำศึกขับเคี่ยวกันอยู่ เห็นมหาอุปราชจะไม่ยอมให้ท่านไป ถึงท่านหนีมาบัดนี้ก็เห็นจะไม่พ้น ด้วยแฮหัวตุ้นกับจินกี๋ตั้งทัพอยู่ตำบลฝั่งแม่น้ำฮองโห
กวนอูจึงตอบว่า เดิมมหาอุปราชให้สัญญาเราไว้ บัดนี้เรารู้ข่าวพี่เราแล้วเราก็จะไปตามสัญญา ท่านจงเอ็นดูจัดเรือข้ามส่งเราข้างท่าเหนือหรือท่าใต้แต่พอให้พ้นกองทัพแฮ หัวตุ้น เล่าเอี๋ยนจึงว่าเรือเราก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะข้ามส่งนั้นโทษจะมีแก่เรา กวนอูจึงตอบว่า เมืองซึ่งท่านรักษาอยู่ก็เปนเมืองหน้าด่าน ตัวเราก็ได้อาสาฆ่างันเหลียงบุนทิวซึ่งเปนทหารอ้วนเสี้ยวเสีย ท่านจึงค่อยมีความสบาย แล้วมิได้คิดถึงคุณเรา แต่จะข้ามส่งเพียงนี้ก็ไม่ได้ แล้วกวนอูมิได้คิดย่อท้อ จึงให้ทหารขับรถผ่านไปถึงเมืองฮองโห
ฝ่ายจินกี๋ซึ่งแฮหัวตุ้นให้คุมทหารมาตั้งค่ายอยู่ตำบลหนึ่ง ครั้นรู้ข่าวว่ากวนอูพาพี่สะใภ้มา ก็ขึ้นม้าคุมทหารออกไปจากค่ายแล้วแกล้งร้องถามว่า ผู้ใดผ่านหน้าทัพเรามานั้นจะไปแห่งใด กวนอูร้องบอกว่าเราชื่อกวนอู จะขอข้ามฟากไปหาเล่าปี่ผู้พี่เรา ณ เมืองฝ่ายเหนือ จินกี๋จึงถามว่ามีหนังสือมหาอุปราชเบิกด่านมาหรือไม่ กวนอูบอกว่าเรามิได้เปนข้ากินเบี้ยหวัดของมหาอุปราช เราจะขอหนังสือโจโฉมาใย จินกี๋จึงว่าเราเปนทหารรอง แฮหัวตุ้นแม่ทัพให้เรามาอยู่รักษามิให้ผู้ใดลอบไปมาได้ ซึ่งไม่มีหนังสือเบิกด่านมานั้นอย่าว่าแต่มนุษย์เดิรดินเหมือนท่านเลย ถึงมาทว่าจะเปนนกมีปีกบินในอากาศก็เห็นจะไม่พ้นมือเรา กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งเรามานี้ตัวไม่ได้ยินข่าวเลื่องลือบ้างหรือ ถ้าผู้ใดขัดขวางไว้เราก็ฆ่าเสียเปนหลายคน จินกี๋จึงว่าคนที่ตัวฆ่าเสียได้นั้นเปนแต่ทหารหามีฝีมือไม่ อันคนเหมือนตัวเราฉนี้ก็มีฝีมือปรากฎเห็นจะทำเราเช่นนั้นไม่ได้ กวนอูจึงว่าซึ่งตัวอวดว่ากล้าหาญนั้นยังจะเปรียบฝีมืองันเหลียงบุนทิวได้ หรือ จินกี๋ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวเข้ารบกับกวนอูได้เพลงหนึ่ง กวนอูเอาง้าวฟันถูกจินกี๋ฅอขาดตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกไป กวนอูจึงร้องห้ามทหารซึ่งหนีนั้นว่า ท่านทั้งปวงมิได้ทำผิดอย่าหนีเราเลย เราหาทำอันตรายไม่ จงช่วยหาเรือข้ามส่งเราเถิด ทหารทั้งปวงได้ฟังกวนอูร้องว่าดังนั้น ก็ชวนกันจัดแจงเรือข้ามส่งให้ถึงฟาก
ขณะเมื่อกวนอูพาพี่สะใภ้มาถึงฟากนั้นเปนแดนเมืองอ้วนเสี้ยว กวนอูขี่ม้าตามรถไปมีวิตกทอดใจใหญ่ คิดว่าเรามาครั้งนี้หักด่านเปนหลายตำบล แล้วฆ่านายทหารโจโฉเสียถึงหกคนเพราะความจำเปน ถ้าโจโฉไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ ก็จะเห็นว่าเปนคนหยาบช้าหามีกตัญญูไม่ พอเห็นซุนเขียนขี่ม้ามา กวนอูมีความยินดีจึงถามว่า เมื่อท่านพบกับเรา ณ เมืองยีหลำนั้น ท่านว่าจะไปสืบเนื้อความมาให้เรา บัดนี้ท่านรู้ข่าวประการใดบ้าง ซุนเขียนจึงบอกว่า เมื่อท่านยกทัพกลับไปนั้น เล่าเพ็กก๋งเต๋ารื้อยกคืนมาตีเอาเมืองยีหลำได้ จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวว่า จะขอเข้าเกลี้ยกล่อมทำราชการด้วย อ้วนเสี้ยวก็ยอม แล้วคิดปรึกษากับทหารทั้งปวงจะยกมาตีเอาเมืองฮูโต๋ แลที่ปรึกษาทั้งปวงแก่งแย่งมิตกลงกัน ข้าพเจ้าคิดอ่านกับเล่าปี่ให้ลาอ้วนเสี้ยวมาอยู่เมืองยีหลำ จะได้คิดการกำจัดโจโฉเสีย อ้วนเสี้ยวก็ยอมให้เล่าปี่มา บัดนี้เล่าปี่เกรงอยู่ว่าท่านจะตรงไปเมืองอ้วนเสี้ยว จึงให้ข้าพเจ้ามาสกัดอยู่ต้นทางคอยแจ้งเหตุว่าเล่าปี่มาอยู่เมืองยีหลำแล้ว
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาซุนเขียนมายังรถพี่สะใภ้ ซุนเขียนจึงเล่าเนื้อความซึ่งเล่าปี่ไปอาศรัยอยู่กับอ้วนเสี้ยว แล้วอ้วนเสี้ยวโกรธว่ากวนอูฆ่างันเหลียงกับบุนทิวทหารเอกตายเสียนั้น แล้วจะให้ฆ่าเล่าปี่เสียถึงสองครั้ง เล่าปี่คิดอ่านว่ากล่าวแก้ไขได้จึงไม่ได้เปนอันตรายจนถึงได้มาอยู่เมืองยี หลำ นางทั้งสองกับกวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสารร้องไห้รักเล่าปี่ แล้วกวนอูให้ซุนเขียนนำทางไปเมืองยีหลำ ขณะเมื่อเดิรทางมานั้น พอได้ยินเสียงทหารข้างหลังนั้นอื้ออึงมา กวนอูเหลียวไปเห็นแฮหัวตุ้นคุมทหารข้ามแม่น้ำตามมาเปนอันมาก ฝ่ายแฮหัวตุ้นขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร แล้วร้องว่าอ้ายกวนอูหยุดอยู่ก่อน กวนอูได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่ซุนเขียนให้คุมรถไปก่อนเถิด เราจะอยู่ป้องกันภายหลัง แล้วกวนอูก็ชักม้ากลับหน้ามายืนอยู่ ครั้นเห็นแฮหัวตุ้นเข้ามาใกล้ กวนอูจึงร้องถามว่า ซึ่งท่านคุมทหารมานี้เราเห็นจะล่วงคำมหาอุปราช แฮหัวตุ้นจึงตอบว่า ตัวมิได้มีหนังสือมหาอุปราชเบิกด่านมา แลตัวองอาจหักหาญล่วงด่านผ่านเมืองมาเปนหลายตำบล ฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเสีย แล้วมิหนำซ้ำฆ่าทหารรองของเราซึ่งมาตั้งค่ายขัดทัพอยู่นี้เสียอีกเล่า เราจะจับตัวส่งเข้าไปให้มหาอุปราชทำโทษจงสาหัส แล้วก็ขับม้ารำทวนเข้าไปจะจับตัวกวนอู พอม้าใช้ควบม้าร้องห้ามแฮหัวตุ้นมาว่า อย่าให้ทำอันตรายแก่กวนอูเลย จึงเอาหนังสือนั้นส่งให้แฮหัวตุ้นแล้วว่ามหาอุปราชมีใจเมตตา ว่ากวนอูนี้เปนคนมีความสัตย์ บัดนี้จะไปหาเล่าปี่ กลัวว่าเจ้าเมืองแลนายด่านทั้งปวงจะขัดไว้ จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือเบิกด่านมาให้ท่านทั้งปวงแจ้ง
แฮหัวตุ้นจึงถามม้าใช้ว่า กวนอูบังอาจหักหาญฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเสียเปนหลายตำบลนั้นมหาอุปราชแจ้ง หรือไม่ ม้าใช้จึงบอกว่า กวนอูทำทั้งนี้มหาอุปราชยังไม่แจ้ง แฮหัวตุ้นจึงว่ากวนอูทำผิดมากอยู่มหาอุปราชยังไม่แจ้ง เราจะจับตัวส่งเข้าไปให้จงได้ กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่แฮหัวตุ้นว่า เหตุใดตัวจึงมาเจรจาฉนี้ คิดว่าเรากลัวอยู่หรือ แล้วกวนอูก็ขับม้าเข้ารบด้วยแฮหัวตุ้นได้สิบเพลง พอเห็นม้าใช้คนหนึ่งถือธงสำหรับทัพโจโฉโบกห้ามมา แล้วร้องว่าท่านทั้งสองอย่าเพ่อรบกันก่อน แฮหัวตุ้นก็หยุดอยู่แล้วถามม้าใช้ว่า มีหนังสือมหาอุปราชมาให้เราจับกวนอูส่งขึ้นไปหรือ ม้าใช้จึงบอกว่าหามิได้ มหาอุปราชเกรงว่าด่านทางจะกักขังกวนอูไว้ จึงให้ข้าพเจ้าเอาธงสำหรับทัพมาห้ามเปนสำคัญ แฮหัวตุ้นจึงถามม้าใช้ว่า มหาอุปราชแจ้งหรือไม่เมื่อกวนอูมากลางทางฆ่าผู้คนเสียเปนอันมาก ม้าใช้จึงบอกว่ามหาอุปราชไม่แจ้ง แฮหัวตุ้นจึงว่ากวนอูทำล่วงอาญา มหาอุปราชก็ยังไม่แจ้งโทษ จะปล่อยให้ไปนั้นยังไม่ได้ แล้วก็สั่งทหารทั้งปวงให้ล้อมกวนอู ๆ เห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวเข้าสู้กันอยู่กับแฮหัวตุ้น พอเห็นเตียวเลี้ยวควบม้าร้องห้ามมาว่า ท่านทั้งสองอย่ารบพุ่งกัน แฮหัวตุ้นกับกวนอูก็หยุดอยู่ เตียวเลี้ยวจึงว่าแก่แฮหัวตุ้นว่า มหาอุปราชแจ้งอยู่ว่ากวนอูหักด่านออกมา แล้วฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเสียนั้น มหาอุปราชคิดเกรงอยู่ว่าทหารทั้งปวงจะมีใจผูกแค้น จะช่วยกันมารบพุ่งมิให้กวนอูไปโดยสดวก จึงให้เรารีบมาห้าม แฮหัวตุ้นจึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า จินกี๋นั้นเปนหลานซัวหยง ๆ ให้มาอยู่ทำราชการด้วยเรา บัดนี้กวนอูฆ่าจินกี๋เสีย ซัวหยงรู้ก็จะติโทษเราได้ เตียวเลี้ยวจึงตอบว่า เนื้อความข้อนี้ท่านอย่าวิตกเลย ไว้เราจะไปว่ากล่าวแก่ซัวหยงเอง แต่ซึ่งกวนอูนั้นมหาอุปราชมีความเมตตาเปนอันมาก จงปล่อยกวนอูให้ไปหาเล่าปี่ตามสัญญา ซึ่งท่านจะไม่ให้กวนอูไปนั้นเห็นจะล่วงคำมหาอุปราช แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นก็พาทหารซึ่งล้อมไว้นั้นถอยกลับมา
แลเนื้อความทั้งนี้เปนคำกลางว่า เมื่อกวนอูไปนั้นโจโฉก็คิดว่ากวนอูจะไปไม่ตลอด เพราะมีด่านทางอยู่เปนหลายชั้น ครั้นกวนอูฆ่าขงสิ้วนายด่านชั้นในเสียนั้น ม้าใช้ก็เอาเนื้อความมาแจ้งแก่โจโฉว่า กวนอูฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเปนลำดับกันออกไป โจโฉคิดจะให้ยกกองทัพไปตามจับกวนอู ก็เกรงคนทั้งปวงจะครหานินทาว่าเจรจาเปนคำสอง ประการหนึ่งเจ้าเมืองแลนายด่านก็ตายเสียแล้ว แม้จะยกไปตามจับกวนอูมาได้ ใช่ทหารทั้งปวงจะเปนคืนมาก็หามิได้ บัดนี้กวนอูก็ล่วงออกไปพ้นแดนเมืองฮูโต๋แล้ว จำจะทำคุณไว้ให้ตลอดดีกว่า ภายหน้าไปกวนอูจะคิดถึงคุณ จึงแกล้งให้ม้าใช้ถือหนังสือแลธงกับเตียวเลี้ยวไปห้าม จะให้เห็นว่าน้ำใจโจโฉรักกวนอูอยู่เปนอันมาก ถึงทำผิดสิ่งใดก็มิได้เอาโทษ
เตียวเลี้ยวจึงถามกวนอูว่า ซึ่งท่านมานี้จะไปหาเล่าปี่แห่งใด กวนอูจึงบอกว่า เดิมเรารู้ว่าพี่เราอยู่กับอ้วนเสี้ยวเราจึงจะไปหา บัดนี้มีผู้มาบอกว่าพี่เราออกจากอ้วนเสี้ยวแล้ว เราจะเที่ยวสืบเสาะไปหากว่าจะพบ เตียวเลี้ยวจึงว่า เมื่อยังไม่รู้แน่ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดท่านจงกลับไปอยู่กับมหาอุปราชก่อน ถ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดมั่นคงจึงค่อยไป กวนอูได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าท่านว่านี้ไม่ควร ซึ่งตัวท่านจะกลับเข้าไป จงช่วยว่ากล่าวแก่มหาอุปราชว่า อย่าขัดเคืองเราเลย ได้มีคุณแล้วจงทำให้ตลอดไปเถิด ภายหน้าเราจะแทนคุณมหาอุปราช เตียวเลี้ยวก็ลากวนอูกลับไป
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 24
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgneGJoekd1SV9YRnc/view?resourcekey=0-JwjrVozXjzb-ZYGW5U6H8g
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #4 on:
22 December 2021, 10:32:59 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 25
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-25.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 25
เนื้อหา
กวนอูได้จิวฉอง
กวนอูพบเตียวหุย บิต๊ก บิฮอง
กวนอูไปหาเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่อุบายหนีอ้วนเสี้ยว
กวนอูได้กวนเป๋ง
เล่าปี่พบจูล่ง
เล่าปี่ไปอยู่เมืองยีหลำ
อ้วนเสี้ยวเกลี้ยกล่อมซุนเซ็ก
ฝ่ายกวนอูก็ขับม้ามายังรถพี่สะใภ้ แล้วบอกเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งกับแฮหัวตุ้น แลโต้ตอบกับเตียวเลี้ยวนั้นให้พี่สะใภ้กับซุนเขียนฟัง แล้วก็พากันเดิรทางไปได้ห้าวัน พอฝนตกหนักหาที่สำนักมิได้ จึงแลขึ้นไปเห็นบ้านอยู่บนเนินเขา ก็พากันเข้าไปจะขออาศรัย กัวเสียงนายบ้านนั้นเปนคนชรา จึงถามว่าท่านชื่อใดมาแต่ไหน กวนอูบอกว่าข้าพเจ้าชื่อกวนอู แล้วเล่าเนื้อความให้กัวเสียงฟังทุกประการ กัวเสียงจึงว่าครั้งปู่ย่าตายายข้าพเจ้า ก็อาศรัยทำมาหากินอยู่ตำบลบ้านนี้ ตัวข้าพเจ้าก็ได้ยินเลื่องลืออยู่ว่าท่านมีฝีมือกล้าหาญ พึ่งได้รู้จักท่านวันนี้ กัวเสียงจึงเชิญกวนอูแลพี่สะใภ้ขึ้นไปบนเรือน แล้วตกแต่งเข้าปลาอาหารเลี้ยง
ครั้นเวลาพลบค่ำ บุตรกัวเสียงพาพวกเพื่อนเจ็ดคนเข้ามาในบ้าน กัวเสียงเห็นจึงเรียกบุตร์ให้ขึ้นมาคำนับฝากตัวกวนอูไว้ บุตรนั้นก็ขึ้นไปเห็นกวนอูแล้วมิได้คำนับกวนอูตามคำบิดา จึงกลับลงไปพาพวกเพื่อนออกไปนอกบ้าน กวนอูจึงถามกัวเสียงว่า ผู้ใดซึ่งมาเปนอะไรกับท่าน กัวเสียงร้องไห้แล้วจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามีบุตรผู้เดียวนี้แลไม่เปนใจทำมาหากิน คบแต่เพื่อนเที่ยวยิงเนื้อ จะเอาการสิ่งใดก็มิได้ ซึ่งข้าพเจ้ามีบุตรเช่นนี้ก็เปนกรรมของข้าพเจ้า กวนอูจึงตอบว่า แผ่นดินครั้งนี้ก็เปนจลาจล ซึ่งไปเที่ยวยิงเนื้อเล่นนั้น ถ้ามีฝีมือเกาทัณฑ์แม่นยำดีก็เอาตัวรอดได้ เหตุใดท่านจึงว่ามีกรรมเล่า กัวเสียงจึงว่ามันเห็นแต่การสนุก คบเพื่อนไปทำหยาบช้าฆ่าเนื้อเบื่อปลา ถึงฝีมือเกาทัณฑ์จะดีแต่ไม่มีครูจะนับถือว่าดีประการใด ข้าพเจ้าเห็นจะไม่เอาตัวรอดได้ จึงทุกข์ถึงมันเพราะเหตุฉนี้ กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่จึงว่าเปนประเวณีอยู่แล้ว ถ้าบุตรดีมารดาบิดาก็เปนสุข แม้บุตรชั่วมารดาบิดาก็ทุกข์ด้วย กัวเสียงจึงจัดแจงที่นอนให้แล้ว ก็ลากวนอูออกไปนอนอยู่ภายนอก
กวนอูกับซุนเขียนก็นอนหลับไป พอได้ยินเสียงม้าแลคนร้องก็ตกใจตื่นขึ้น กวนอูจึงร้องเรียกทหารซึ่งรักษาม้า ทหารทั้งปวงนั้นเหนื่อยมาหลับไปไม่รู้สึก กวนอูกับซุนเขียนจึงถือกระบี่ลงไป เห็นพรรคพวกพี่น้องแลชาวบ้านมาด่าบุตรกัวเสียงซึ่งล้มอยู่ กวนอูจึงถามคนทั้งปวงว่า เหตุใดบุตรกัวเสียงจึงมาล้มอยู่ฉนี้ ชาวบ้านจึงบอกว่าอ้ายคนนี้หยาบช้านัก เห็นม้าของท่านงามลอบเข้ามาจะลักเอาไป ม้านั้นดีดเอาจึงล้มอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องขึ้นจึงชวนกันมาดู กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่ามันเปนคนชั่ว ละไว้ให้ฟื้นตัวขึ้นจึงจะทำโทษให้สาหัส
กัวเสียงได้ยินเสียงอื้ออึงก็ตกใจตื่นขึ้น จึงลงไปเห็นบุตรนั้นล้มอยู่ พี่น้องแลชาวบ้านจึงบอกเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง กัวเสียงจึงคำนับกวนอูแล้วอ้อนวอนว่า บุตรข้าพเจ้าเปนคนชั่ว ข้าพเจ้าก็ได้ปรับทุกข์แก่ท่านแล้ว ซึ่งมันทำผิดทั้งนี้ข้าพเจ้าจะได้เห็นชอบด้วยมันนั้นหามิได้ มารดามันนั้นมีใจรักว่ามีบุตรผู้เดียว ท่านจงเอ็นดูข้าพเจ้า โทษซึ่งมันทำผิดนั้นขอเสียเถิด กวนอูจึงว่า ซึ่งท่านปรับทุกข์กับเรานั้นก็เหมือนคำท่าน ซึ่งโทษของมันเรายกให้ท่านแล้ว จึงกำชับทหารให้รักษาม้าไว้จงดี แล้วก็พาซุนเขียนกลับมานอน
ครั้นเวลารุ่งเช้า กัวเสียงกับภรรยาออกมาคำนับกวนอูแล้วว่า บุตรข้าพเจ้าทำผิดท่านยกโทษเสียนั้นคุณหาที่สุดมิได้ กวนอูจึงว่าท่านจงเรียกบุตรท่านออกมา เราจะช่วยสั่งสอนไว้ กัวเสียงจึงบอกว่าแต่เวลาดึกนั้นฟื้นตัวขึ้นได้ จะพาพวกเพื่อนไปแห่งใดนั้นมิแจ้ง กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ลากัวเสียง พาพี่สะใภ้กับซุนเขียนออกจากบ้านนั้นไปทางประมาณสามร้อยเส้น พอแลเห็นบุตรกัวเสียงขี่ม้า พานายโจรคนหนึ่งโพกผ้าเหลือง ขี่ม้าถือทวนคุมพวกเพื่อนประมาณร้อยเศษ ลงจากเนินเขายืนสกัดทางไว้ นายโจรนั้นจึงร้องว่าแก่กวนอูว่า ตัวเราชื่อหุยง่วนเสียวเปนทหารเตียวก๊ก ตัวจะไปแห่งใดจึงบังอาจพากันข้ามแดนเรามา ถ้าตัวรักชีวิตอยู่ จงเอาม้าซึ่งขี่นั้นมาให้เราจึงจะปล่อยไป กวนอูได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าตัวเปนทหารเตียวก๊กเปนโจรนั้น ยังรู้จักเล่าปี่กวนอูเตียวหุยหรือไม่
หุยง่วนเสียวจึงว่า เราไม่รู้จักได้ยินแต่ชื่อ แต่กวนอูนั้นเขาว่าหน้าแดงหนวดยาว มีฝีมือกล้าหาญนัก ซึ่งตัวมานี้ชื่อไร กวนอูได้ฟังดังนั้น จึงแก้ถุงซึ่งใส่หนวดนั้นออกให้หุยง่วนเสียวดู หุยง่วนเสียวเห็นสำคัญดังนั้นก็รู้ว่ากวนอู จึงลงจากม้าวางทวนเสีย พาบุตรกัวเสียงเข้าไปคุกเข่าคำนับกวนอูแล้วว่าข้าพเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งได้ว่ากล่าวหยาบช้าแก่ท่านขออภัยเสียเถิด แลข้าพเจ้านี้แต่พอเตียวก๊กตาย ก็พาพวกเพื่อนมาเปนโจรอยู่ ณ เขาตำบลนี้ ซึ่งข้าพเจ้าคิดการจะมาทำร้ายท่านทั้งนี้เพราะบุตรกัวเสียงชักชวนมา แล้วเล่าเนื้อความซึ่งบุตรกัวเสียงมาบอกนั้นให้กวนอูฟังทุกประการ แลบุตรกัวเสียงนั้นอ้อนวอนว่า ข้าพเจ้าขออภัยโทษเสียเถิด
กวนอูจึงบอกว่า โทษตัวผิดครั้งหนึ่งเราก็ยกโทษเสีย ตัวก็คบคิดกันทำอีก ครั้นจะฆ่าเสียบัดนี้ก็คิดถึงไมตรีกัวเสียง แลโทษตัวทั้งสองครั้งนั้น เราก็ยกให้กัวเสียงผู้เปนบิดา แล้วบุตรกัวเสียงก็มีความยินดีลากวนอูไป หุยง่วนเสียวจึงบอกแก่กวนอูว่า เพื่อนข้าพเจ้ามีคนหนึ่งเปนชาวเมืองตวันตกเปนทหารเตียวโป้ ชื่อจิวฉองรูปร่างสูงใหญ่มีกำลังแบกของได้หนักสิบหาบ ครั้นเตียวโป้ตายแล้ว จิวฉองคุมพวกเพื่อนมาเปนโจรอยู่ ณ เขาโงจิวสัน ทางแต่นี้ไปประมาณสามร้อยเส้น ข้าพเจ้าไปมาหาสู่จิวฉอง ๆ ก็พูดออกชื่อท่านอยู่เนืองๆ แล้วชักชวนข้าพเจ้าว่าถ้าพบท่านก็จะพาข้าพเจ้ามาอยู่กับท่าน บัดนี้เปนบุญได้มาพบท่านก่อน กวนอูจึงตอบว่า ได้เกิดมาเปนชายแล้วคบกันมาเปนโจรอยู่ในป่าฉนี้ผู้ใดจะนับถือว่าดี จงทิ้งความชั่วเสียเถิด พากันไปทำมาหากินอยู่ในบ้านเมืองโดยปรกติดีกว่า
ขณะเมื่อพูดกันอยู่นั้น กวนอูแลเห็นนายโจรคนหนึ่ง ขี่ม้าคุมทหารมาประมาณร้อยเศษ หุยง่วนเสียวจึงบอกกวนอูว่า จิวฉองมาโน่นแล้ว กวนอูเห็นรูปร่างจิวฉองสูงใหญ่ก็สรรเสริญว่าสมเปนทหาร จิวฉองมาใกล้แลเห็นกวนอูมีความยินดี จึงลงจากม้าวางอาวุธเสีย เข้ามาคุกเข่าคำนับกวนอู ๆ จึงถามว่า เหตุใดท่านจึงรู้จักนับถือเรา จิวฉองจึงว่าเมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยเตียวโป้นายโจรนั้น ก็รู้จักอยู่ว่าท่านมีสติปัญญาคิดว่าจะมาอยู่กับท่าน ก็เปนความจนใจด้วยอยู่ในอำนาจเตียวโป้ ครั้นเตียวโป้ตายข้าพเจ้ามาเปนโจรอยู่ ณ เขาโงจิวสัน ก็ได้พูดจากันกับหุยง่วนเสียวคิดถึงท่านอยู่มิได้ขาด บัดนี้ได้มาพบท่านเข้าก็เปนบุญนัก จะขออยู่เปนทหารถือแซ่ม้าตามท่าน
กวนอูได้ฟังดังนั้น พิเคราะห์ดูถ้อยคำจิวฉองว่ากล่าวนั้นเห็นว่าสุจริตอยู่ ให้มีใจรักใคร่เปนอันมาก จึงถามว่าตัวท่านจะไปกับเรา พวกเพื่อนจะทำกระไรเล่า พวกเพื่อนจิวฉองได้ฟังดังนั้น ก็ชวนกันเข้ามาคำนับกวนอูแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอไปด้วยท่าน กวนอูแจ้งดังนั้นก็ลงจากม้าไปบอกแก่พี่สะใภ้ทั้งสอง นางกำฮูหยินจึงตอบว่า แต่เราออกจากเมืองฮูโต๋นั้น ก็ได้ความลำบากยากแค้นมาเปนอันมาก เจ้าก็ไม่คิดว่าจะหาผู้คนเปนเพื่อน บัดนี้มาพ้นที่ลำบากแล้ว จะหาผู้คนไปนั้นจะประโยชน์สิ่งใด อนึ่งเลียวฮัวนายโจรนั้นมีคุณต่อพี่ แล้วอ้อนวอนว่าจะขอมาส่ง เจ้าก็ว่าเปนโจร จะให้มาส่งนั้นคนทั้งปวงจะนินทาว่าคบพวกโจร ซึ่งเจ้าจะรับเอาพวกจิวฉองไปนั้นจงดำริห์ดูแต่ควรเถิด
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ได้คิด จึงกลับมาบอกแก่จิวฉองว่า พี่สะใภ้เราทั้งสองนั้นเปนผู้ใหญ่ ไม่ยอมให้ท่านไป ท่านจงปกป้องกันอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ถ้าเราไปพบเล่าปี่ผู้พี่เราแล้ว จึงจะกลับมารับท่านไปอยู่ด้วยกัน จิวฉองได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ตัวข้าพเจ้าเกิดมาเปนชายชาติทหาร ได้ทำชั่วพลัดไปเปนพวกโจร อุปมาเหมือนเข้าที่มืด บัดนี้มาพบท่านเหมือนหนึ่งออกที่สว่าง หรือว่าพี่สะใภ้ของท่านเห็นว่าเปนพวกโจรอยู่ไม่ควรที่จะเอาไป แลพวกเพื่อนทั้งนั้นข้าพเจ้าจะให้อยู่ด้วยหุยง่วนเสียว แต่ตัวข้าพเจ้าจะขอถือแซ่ม้าตามท่านไปกว่าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิต
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีใจเอ็นดู จึงเอาเนื้อความนั้นไปเล่าให้พี่สะใภ้ฟัง นางกำฮูหยินจึงว่า เขาจะไปด้วยแต่คนสองคนก็ตามเถิด กวนอูก็กลับมาบอกจิวฉองตามคำพี่สะใภ้ว่า หุยง่วยเสียวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าจะไปด้วยเปนสองคนกับจิวฉอง ๆ จึงว่า ท่านจะไปด้วยแล้วพวกเพื่อนของเราไม่มีใครควบคุม จะมิกระจัดกระจายไปหรือ ท่านจงอยู่ปกป้องพวกเพื่อนเหล่านี้ไว้ก่อน เราไปกับกวนอูได้ที่สำนักแล้ว จึงจะกลับมารับท่านกับพวกเพื่อนทั้งปวงไป หุยง่วนเสียวเห็นชอบด้วย ก็ลากวนอูพาพวกเพื่อนกลับไปยังเขาที่อยู่
กวนอูก็พาพี่สะใภ้กับซุนเขียนจิวฉองเดิรทางไปได้สามวัน แลเห็นกำแพงบนเนินเขาใหญ่ กวนอูจึงถามชาวบ้านว่า เมืองนี้ชื่อใดผู้ใดรักษา ชาวบ้านจึงบอกว่าชื่อเมืองเก๋าเซีย มีทหารคนหนึ่งชื่อเตียวหุย มีฝีมือกล้าหาญคุมพวกเพื่อนประมาณห้าสิบเศษมาไล่เจ้าเมืองเสีย เตียวหุยเข้าอยู่รักษาเมือง เกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนไว้เปนกำลังได้ประมาญห้าพันเศษ เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ บันดาหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงก็เกรงฝีมือเตียวหุย ไม่มีผู้ใดมาย่ำยีได้ แต่เตียวหุยรักษาเมืองมานี้ได้ห้าเดือนเศษ
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่ซุนเขียนว่า แต่เสียเมืองชีจิ๋วมาเราพี่น้องสามคนพลัดกัน เล่าปี่นั้นก็รู้ข่าวแล้ว แต่เตียวหุยนั้นพึ่งได้ข่าววันนี้ ท่านจงเร่งเข้าไปบอกแก่เตียวหุยให้ออกมารับพี่สะใภ้ทั้งสอง ซุนเขียนรับคำกวนอูแล้วก็ลาไป
ฝ่ายเตียวหุยขณะเมื่อแตกโจโฉมานั้น อาศรัยอยู่บนเขาบองเอี๋ยงสันประมาณเดือนเศษ ครั้นรู้ข่าวว่าเล่าปี่แตกไป เตียวหุยก็คุมทหารซึ่งเหลือมานั้นเที่ยวสืบหาเล่าปี่ ครั้นมาถึงเมืองเก๋าเซียพอขาดสเบียง จึงเข้าไปขออาหารเจ้าเมืองๆไม่ให้ เตียวหุยโกรธก็เข้าตีชิงเอาตราสำหรับที่ได้แล้วฆ่าเจ้าเมืองเสีย อุตส่าห์คิดอ่านซ่องสุมผู้คนไว้หวังจะคอยฟังข่าวเล่าปี่ ถ้ารู้ว่าอยู่แห่งใดก็จะไปหาแลเตียวหุยนั้นทุกข์ร้อนอยู่ไม่เว้นวัน พอนายประตูเอาเนื้อความมาบอกแก่เตียวหุยว่า มีทหารคนหนึ่งชื่อซุนเขียนจะเข้ามาหาท่าน เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงออกไปรับซุนเขียนเข้ามา ซุนเขียนจึงบอกแก่เตียวหุยว่า เล่าแตกไปอาศรัยอ้วนเสี้ยวอยู่ ณ เมืองกิจิ๋ว ข้าพเจ้าตามไปคิดอ่านกับเล่าปี่ก็ได้มาอยู่เมืองยีหลำแล้ว บัดนี้กวนอูพาพี่สะใภ้ทั้งสองมาอยู่นอกเมือง จึงให้ข้าพเจ้าเข้ามาแจ้งเนื้อความแก่ท่านให้เร่งออกไปรับ
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีด้วยรู้ข่าวเล่าปี่ แต่คิดแค้นกวนอูว่าไปเข้าด้วยโจโฉ เตียวหุยจึงใส่เกราะถือทวนแล้วพาซุนเขียน แลทหารทั้งปวงพันหนึ่งออกจากประตูเมือง กวนอูเห็นเตียวหุยออกมาก็มีความยินดี เอาง้าวส่งให้จิวฉองแล้ว ขับม้าเข้าไปหวังจะรับเตียวหุย ๆ เห็นกวนอูขับม้าเข้ามาก็โกรธ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วเอาทวนไล่แทงกวนอู ๆ ตกใจชักม้าถอยหลบมาอยู่ริมพี่สะใภ้แล้วร้องว่า เหตุใดเตียวหุยมาทำฉนี้ เจ้าจะมิเสียความสัตย์ไปหรือ เตียวหุยจึงตอบว่า ตัวเสียสัตย์ก่อนแล้วจะทำเปนแก้หน้ามาหาเรานั้นเราไม่เชื่อ กวนอูจึงตอบว่าเหตุใดจึงว่าเราเสียสัตย์ เตียวหุยจึงตอบว่า ตัวทิ้งความสัตย์เสียไปเข้าด้วยโจโฉอาสามีความชอบ โจโฉเลี้ยงดูถึงขนาดแล้วให้ชื่อเสียงมียศฐาศักดิ์ บัดนี้ตัวแกล้งแต่งกลอุบายมาจะทำร้ายเรา ๆ ก็รู้เท่าอยู่ ถ้าเราตายท่านก็คงจะมีชีวิตอยู่ แม้ตัวท่านตายเราก็จะรอดอยู่เปนคน กวนอูจึงตอบว่า เจ้าโกรธพี่เพราะเหตุฉนี้หรือ ครั้นจะบอกตามความจริงเจ้าก็ไม่เชื่อ ซึ่งดีแลร้ายนั้นเจ้าจงไปถามพี่สะใภ้ทั้งสองซึ่งพี่พามาอยู่บนรถนั้น เจ้าจึงจะแจ้งความสัตย์ของพี่
ฝ่ายนางทั้งสองได้ยินเสียงกวนอูกับเตียวหุยโต้ตอบกันดังนั้นก็ตกใจ เปิดมุลี่ขึ้นแล้วว่าแก่เตียวหุยว่า เหตุใดจึงมาทำหยาบช้าแก่กวนอูผู้พี่ เตียวหุยจึงว่าพี่ทั้งสองยังไม่แจ้งอย่าห้ามเลย จงดูข้าพเจ้าจะฆ่าคนซึ่งเสียสัตย์แล้วจะเชิญพี่ทั้งสองเข้าไปในเมือง นางทั้งสองจึงตอบว่า เมื่อเล่าปี่กับเจ้าแตกไปนั้น โจโฉคุมทหารมาล้อมกวนอูไว้ กวนอูเข้าตาจนอยู่เหลือกำลังซึ่งจะรบพุ่งต้านทาน จึงจำใจเข้าอยู่ด้วยโจโฉ ความสัตย์ของกวนอูนั้นมิได้ละเสีย อุตส่าห์ปรนนิบัติรักษาเรามา แล้วอาสาโจโฉไปทำสงครามหวังจะฟังข่าวเล่าปี่ ครั้นรู้แล้วก็พาเรามาถึงกลางทาง พบซุนเขียนได้บอกว่า เล่าปี่ออกจากอ้วนเสี้ยวแล้วมาอยู่เมืองยีหลำ กวนอูก็พาเรามา ซึ่งเจ้าไม่ฟังเนื้อความให้แน่นอน จะคิดใจเบาทำร้ายกวนอูผู้พี่ซึ่งมีคุณแก่เรามานั้นไม่ควร
เตียวหุยจึงตอบว่า ซึ่งกวนอูทำการเปนกลอุบาย พี่ทั้งสองไม่แจ้งก็เห็นว่ากวนอูคงสัตย์อยู่ ธรรมดาเกิดมาเปนชายชาติทหาร ได้ออกวาจาสาบาลไว้แล้ว ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต อันน้ำใจกวนอูละสัตย์เสียเปนข้าสองเจ้าบ่าวสองนายอยู่ฉนี้ จะเชื่อถืออย่างไรได้
ซุนเขียนจึงว่าแก่เตียวหุยว่า อันน้ำใจกวนอูรักษาสัตย์นั้นหาผู้เสมอมิได้ อุตส่าห์ทรมานกายไม่รักชีวิต พาพี่สใภ้ทั้งสองมาหาเล่าปี่ ครั้นรู้ข่าวว่าท่านอยู่เมืองนี้จึงให้ข้าพเจ้าไปเชิญออกมา เหตุใดท่านจึงสงสัยกวนอูดังนี้เล่า เตียวหุยได้ฟังซุนเขียนว่าดังนั้นก็ตวาดเอา แล้วว่ากวนอูคิดกลอุบายมาจะจับตัวเราไปให้โจโฉ เหตุใดตัวจึงยกย่องกวนอูว่ามีความสัตย์
กวนอูจึงว่า ถ้าเราจะทำร้ายเจ้าแล้วจะพาพี่สะใภ้มาด้วยใยเล่า ทหารโจโฉก็จะมาด้วยเราบ้าง ขณะนั้นพอเตียวหุยแลไปเห็นทหารตามมาเปนอันมาก จึงว่าแก่กวนอูว่า โน่นมิใช่ทหารโจโฉมากับตัวหรือ ตัวหากแกล้งแต่งกลพาพี่สะใภ้มาก่อน ให้กองทัพตามมาภายหลังหวังจะจับเรา แล้วเตียวหุยขบฟันคำรามเอาทวนไล่แทงกวนอู ๆ ป้องกันหลบหลีกได้ จึงว่าเตียวหุยอย่าเพ่อทำอันตรายเราก่อน ซึ่งทหารยกมานั้นมิใช่พวกพี่ ๆ จะไปตัดเอาสีสะนายทัพมาให้เจ้าเห็นจริงจงได้ เตียวหุยจึงตอบว่า ถ้าตัวทำได้ดังนั้นจึงจะเห็นความจริง เราจะช่วยตีกลองศึกให้รบ
ฝ่ายซัวหยงคุมทหารมาใกล้ เห็นกวนอูก็โกรธจึงร้องว่า มึงหนีมหาอุปราชออกมา ฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเสียเปนหลายตำบล แล้วมิหนำซ้ำฆ่าจินกี๋ผู้หลานกูเสียอีกเล่า บัดนี้มหาอุปราชให้กูยกกองทัพมาจับเอาตัวมึงเข้าไป กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวเข้ารบกับซัวหยง เตียวหุยจึงเรียกเอากลองศึกมาตีได้เพลงหนึ่ง เห็นกวนอูฟันซัวหยงฅอขาดตาย ฝ่ายกวนอูครั้นได้ทีแล้ว ก็ขับม้าไล่ฆ่าฟันทหารซัวหยงล้มตายเปนอันมาก แล้วจับได้ทหารถือธงแม่ทัพคนหนึ่ง กับสีสะซัวหยงเอามาให้เตียวหุย ๆ เห็นดังนั้นก็ส่งทวนให้ทหาร แล้วลงจากม้าวิ่งไปคำนับกวนอู ก็พากันเข้าไปยังหน้ารถพี่สะใภ้ แล้วเตียวหุยจึงว่าแก่กวนอูว่า ซึ่งข้าพเจ้าหยาบช้าต่อพี่นั้นเพราะใจเบา มิได้ฟังความให้แน่นอน โทษข้าพเจ้าผิดนัก ข้าพเจ้าขออภัยเสียเถิด
ฝ่ายกวนอูก็ยอมอนุญาตให้ แล้วถามทหารซึ่งจับได้นั้นว่า เหตุใดซัวหยงจึงยกกองทัพมา ทหารนั้นจึงบอกว่า ซัวหยงรู้ข่าวว่าท่านฆ่าจินกี๋ผู้หลานเสีย จึงขออาสามหาอุปราชว่าจะยกมาจับท่าน มหาอุปราชจึงว่าได้รับสัญญาท่านแล้ว จะไปจับมานั้นไม่ได้ พอรู้ข่าวว่าเล่าเพ็กกับก๋งเต๋าซึ่งเปนนายโจรนั้น คุมพวกกลับมาตีเมืองยีหลำ มหาอุปราชจึงให้ซัวหยงยกกองทัพมาจับเล่าเพ็กกับก๋งเต๋า แลซัวหยงนั้นมีใจพยาบาทท่านว่าฆ่าจินกี๋ผู้หลานเสีย ครั้นมาพบท่านจึงบังอาจเข้ารบพุ่งจนถึงแก่ความตาย เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงเชิญพี่สะใภ้ทั้งสองกับกวนอูเข้าไปในเมือง
พอนายประตูทิศใต้มาบอกแก่เตียวหุยว่า บัดนี้บิต๊กกับบิฮองน้องภรรยาเล่าปี่ พาทหารขี่ม้าประมาณสิบสี่สิบห้าคน บอกว่าจะเข้ามาหาท่าน เตียวหุยได้ฟังดังนั้น ก็ออกไปหาบิต๊กบิฮองถ้อยทีคำนับกัน บิต๊กบิฮองจึงว่า เมื่อเล่าปี่ให้ข้าพเจ้าอยู่รักษาเมืองชีจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะต้านทานโจโฉมิได้ จึงพากันหนีไปอยู่ ณ บ้านเดิม ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่าเล่าปี่ไปอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยว กันหยงรู้ข่าวก็ตามเล่าปี่ไป ภายหลังกวนอูนั้นไปอยู่ด้วยโจโฉ แต่ท่านนี้ยังไม่รู้ข่าว ต่ออยู่มาได้ประมาณห้าเดือนเศษ จึงรู้ข่าวว่าท่านได้เปนเจ้าเมืองนี้ ข้าพเจ้าจึงพากันเสาะมาหา จะบอกข่าวเล่าปี่กวนอูแก่ท่านให้แจ้ง
เตียวหุยจึงว่า บัดนี้กวนอูกับซุนเขียนพาพี่สะใภ้มาถึงเราแล้ว บิต๊กบิฮองก็มีความยินดี เตียวหุยจึงพาบิต๊กบิฮองเข้าไปหากวนอูกับพี่สะใภ้ นางทั้งสองเห็นบิต๊กบิฮองมาก็มีความยินดี จึงเล่าถึงความยากแต่ครั้งเสียเมืองแห้ฝือ จนกวนอูหักด่านออกมาได้นั้นให้ฟังทุกประการ เตียวหุยบิต๊กบิฮองแจ้งดังนั้น ก็เข้าไปคำนับกวนอูแล้วร้องไห้รักกัน ต่างคนก็เล่าความยากแต่หลังให้ฟังต่างๆ เตียวหุยจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงกัน ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวหุยก็ชวนกวนอูว่า เราจะไปหาเล่าปี่ ณ เมืองยีหลำแต่สองคนก่อน กวนอูจึงตอบว่า เจ้าจงรักษาพี่สะใภ้ทั้งสองอยู่เถิด แต่ตัวพี่กับซุนเขียนจะไปหาเล่าปี่ก่อน เตียวหุยก็ยอม
กวนอูก็ลาพี่สะใภ้ พาซุนเขียนกับทหารสิบคนรีบไปเมืองยีหลำ ซุนเขียนจึงพากวนอูเข้าไปหาเล่าเพ็กก๋งเต๋า แล้วถามว่าเล่าปี่อยู่ไหน เล่าเพ็กก๋งเต๋าบอกว่า เล่าปี่มาอยู่เมืองนี้ประมาณสิบห้าวัน เห็นทหารนั้นเบาบางจึงกลับไปหาอ้วนเสี้ยว หวังจะปรึกษาซึ่งข้อขัดสน กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ไม่สบาย ซุนเขียนจึงว่าท่านทุกข์ไปใย จำเราจะตามเล่าปี่ไปให้พบ กวนอูก็ลาเล่าเพ็กก๋งเต๋ากลับไปเมืองเก๋าเซีย จึงเอาเนื้อความนั้นเล่าให้พี่สะใภ้ทั้งสองฟังทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าจะตามเล่าปี่ไป ณ เมืองชีจิ๋ว จะได้คิดอ่านต่อไป
เตียวหุยจึงว่าข้าพเจ้าจะขอไปด้วย กวนอูจึงตอบว่า เราได้เมืองนี้ไว้เปนที่อาศรัย จะทิ้งเมืองเสียนั้นไม่ควร จงอยู่รักษาเมืองไว้พี่จะไปกับซุนเขียน ถ้าพบเล่าปี่แล้วจะได้พามาอาศรัยเมืองนี้ เตียวหุยจึงว่าพี่ได้ฆ่างันเหลียงบุนทิวทหารอ้วนเสี้ยวเสีย ซึ่งจะไปนั้นข้าพเจ้าเห็นอ้วนเสี้ยวจะทำอันตรายแก่พี่ กวนอูจึงว่าข้อนั้นเจ้าอย่าวิตกเลย ถ้าพี่ไปอ้วนเสี้ยวจะทำอันตรายประการใดพี่พอจะแก้ไขได้
แล้วกวนอูจึงถามจิวฉองว่า หุยง่วนเสียวคุมพวกโจรอยู่บนเขาโงจิวสันนั้นประมาณเท่าไร จิวฉองก็บอกว่า พรรคพวกประมาณห้าร้อยเศษ กวนอูจึงว่าตัวเรากับซุนเขียนจะรีบไปหาเล่าปี่ก่อน ตัวท่านจงไปบอกหุยง่วนเสียวให้คุมพรรคพวกไปคอยเราอยู่กลางทาง ถ้าเราพาเล่าปี่มาเกลือกจะมีอันตรายจะได้ช่วยป้องกันแก้ไข จิวฉองก็ลาไป
กวนอูกับซุนเขียน พาทหารประมาณยี่สิบเศษไปตามทางฝ่ายเหนือ ครั้นมาใกล้เมืองกิจิ๋ว ซุนเขียนจึงว่าแก่กวนอูว่า ท่านจงยั้งอยู่แต่ที่นี่ ข้าพเจ้าจะเล็ดลอดเข้าไปหาเล่าปี่ฟังข่าวดีแลร้ายดูก่อนจึงจะคิดอ่านกันต่อ ไป แล้วซุนเขียนก็เข้าไปในเมือง
ฝ่ายกวนอูเห็นบ้านป่าแห่งหนึ่ง ก็พาทหารเข้าไปจะขออาศรัย กวนเต๋งนายบ้านนั้นเปนคนชรา เห็นกวนอูเข้ามาก็ถามว่า ท่านนี้ชื่อใด จะไปไหน กวนอูจึงบอกชื่อแล้วเล่าความซึ่งมาตามเล่าปี่ให้ฟังทุกประการ กวนเต๋งจึงว่าท่านกับเราเปนแซ่เตียวกัน แต่ก่อนนั้นเราก็ได้ยินลืออยู่ว่าท่านมีฝีมือกล้าหาญ ประกอบทั้งความสัตย์ซื่อ ซึ่งได้พบท่านนี้เปนบุญของเรา แล้วเรียกกวนเหล็งกับกวนเป๋งผู้เปนบุตรมาให้คำนับกวนอู แล้วจัดแจงที่อยู่ให้อาศรัย
ฝ่ายซุนเขียนครั้นเข้าไปพบเล่าปี่ จึงเล่าเนื้อความซึ่งพบกวนอูเตียวหุยแลภรรยาทั้งสองให้เล่าปี่ฟังทุกประการ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงบอกว่า บัดนี้กันหยงมาอยู่ในเมืองนี้ แต่ทำเปนไม่รู้จักกับเรา ๆ จะให้คนสนิธลอบไปหามาจะได้คิดอ่านกัน ครั้นเวลาค่ำพอกันหยงลอบมาหาเล่าปี่ ๆ เชิญให้นั่งแล้วบอกว่า ซุนเขียนก็ตามมาหา เราคิดอยู่ว่าจะให้คนลอบไปหาท่านมาจะได้ปรึกษากันซึ่งจะได้ออกจากอ้วนเสี้ยว แล้วจะได้คิดการต่อไป กันหยงจึงตอบว่าท่านคิดทั้งนี้ก็ควรนัก เวลาพรุ่งนี้ท่านจงไปว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า จะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่จึงว่าท่านจะไปด้วยเราหรือไม่ กันหยงจึงว่า อันน้ำใจข้าพเจ้านี้จะขอไปด้วยท่าน ถ้าอ้วนเสี้ยวจะขัดขวางประการใด ข้าพเจ้าจะคิดอ่านผ่อนผันไปให้ได้ เล่าปี่เห็นชอบด้วย กันหยงก็ลากลับไปที่อยู่
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่จึงเข้าไปว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า เมืองเกงจิ๋วซึ่งเล่าเปียวได้รักษาอยู่นั้น เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ แลมีเมืองขึ้นเก้าหัวเมือง ข้าพเจ้าจะขอไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวให้มาเข้าด้วยท่าน จะได้คิดอ่านการกำจัดโจโฉ อ้วนเสี้ยวจึงว่า ซึ่งท่านคิดอ่านทั้งนี้ควรอยู่ แต่เราได้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเปนหลายครั้ง เล่าเปียวก็ไม่ยอม เล่าปี่จึงว่า ซึ่งเล่าเปียวนั้นเปนแซ่เดียวกันกับข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าได้ไปว่ากล่าวชักชวน เห็นเล่าเปียวจะยอมอ่อนน้อมต่อท่านเปนมั่นคง อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะไปนั้นเราก็ยอมให้ท่านไป ถ้าเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวได้สมความคิด ก็ดีกว่าได้เล่าเพ็กไว้สิบส่วนอีก แล้วว่าเราได้ยินกิตติศัพท์ว่า กวนอูน้องของท่านซึ่งไปอาสาโจโฉฆ่างันเหลียงบุนทิวเสียนั้น บัดนี้ออกจากโจโฉแล้วจะตามมาหาท่าน ถ้ากวนอูมาถึงเราจะจับฆ่าเสียจึงจะหายความแค้น
เล่าปี่จึงตอบว่า เดิมท่านว่ากับข้าพเจ้าว่า จะใคร่ได้กวนอูมาไว้เปนกำลัง ข้าพเจ้าจึงแต่งหนังสือให้ไปถึงกวนอู ๆ ก็มีความยินดี เหตุใดท่านจะฆ่ากวนอูเสียเล่า อ้วนเสี้ยวจึงว่า ซึ่งกวนอูมานั้นเราก็มีความยินดีอยู่ ซึ่งเราว่าทั้งนี้จะลองใจท่าน ว่าจะรักกวนอูจริงหรือไม่ ท่านจงให้ไปรับกวนอูมาเถิด เราจะเลี้ยงโดยปรกติ เล่าปี่ก็ลาอ้วนเสี้ยวกลับออกมาที่อยู่
กันหยงจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ซึ่งท่านให้เล่าปี่ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้น ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่าเล่าปี่จะไม่กลับมาหาท่าน ข้าพเจ้าจะขออาสากำกับเล่าปี่ไปด้วย แล้วจะได้ว่ากล่าวเล่าเปียวให้เข้าด้วยท่านจงได้ อ้วนเสี้ยวไม่รู้กลอุบายเห็นชอบด้วยก็ยอมให้กันหยงไป กันหยงก็ลาอ้วนเสี้ยวตามเล่าปี่ออกไปถึงที่อยู่
กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ครั้งหนึ่งท่านให้เล่าปี่ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเพ็กก็ไม่สมความคิด ครั้งนี้ท่านให้เล่าปี่กับกันหยงไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้น ข้าพเจ้าเห็นเล่าปี่กับกันหยงจะไม่กลับมาหาท่าน อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า อันกันหยงนั้นมีสติปัญญาสัตย์ซื่อต่อเรา ถึงเล่าปี่จะบิดพลิ้วอยู่ไม่มา เห็นกันหยงจะคิดอ่านพาตัวเล่าปี่มาเปนมั่นคง กัวเต๋าได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ มิได้ตอบประการใด
ฝ่ายเล่าปี่จึงให้ซุนเขียนกลับออกไปบอกกวนอูว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวให้เรากับกันหยงไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว อย่าให้กวนอูเข้ามาเลย จงคอยอยู่นั่นเถิด ซุนเขียนก็ลาเล่าปี่ออกไปบอกแก่กวนอูตามเล่าปี่สั่ง ฝ่ายเล่าปี่ก็พากันหยงออกจากเมืองกิจิ๋วไป กวนอูเห็นเล่าปี่มาก็มีความยินดี ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับเล่าปี่ แล้วเล่าเนื้อความแต่หลังให้ฟังทุกประการ แล้วพาเล่าปี่เข้าไป ณ บ้านกวนเต๋ง จึงว่าแก่กวนเต๋งว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาติดตามบัดนี้ก็พบเล่าปี่ผู้พี่ข้าพเจ้าแล้ว
กวนเต๋งจึงให้บุตรทั้งสองมาคำนับเล่าปี่ ๆ จึงถามว่า ท่านกับบุตรทั้งสองนี้ชื่อไร กวนอูจึงบอกว่า บิดานั้นชื่อกวนเต๋ง เปนแซ่เดียวกับข้าพเจ้า บุตรทั้งสองนั้นชื่อกวนเหล็งหนึ่ง กวนเป๋งหนึ่ง กวนเต๋งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าจะให้กวนเป๋งบุตรน้อยข้าพเจ้าไปอยู่กับกวนอู แต่เกรงอยู่ว่าท่านจะไม่ยอม เล่าปี่จึงถามว่าอายุกวนเป๋งนั้นได้เท่าใด กวนเต๋งจึงบอกว่า อายุกวนเป๋งได้สิบห้าปี เล่าปี่จึงว่าท่านจะให้บุตรไปอยู่ด้วยกวนอูนั้น เรามีความยินดี ด้วยกวนอูยังหาบุตรมิได้ ท่านจงปลงใจให้กวนเป๋งเปนบุตรเลี้ยงกวนอูเถิด กวนเต๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงอนุญาตให้กวนเป๋งเปนบุตรกวนอู เรียกเล่าปี่ว่าเปนลุง เล่าปี่จึงว่าแก่กวนอูว่า ครั้นเราจะอยู่ช้าบัดนี้เกลือกอ้วนเสี้ยวจะได้คิดขึ้น จะให้ทหารติดตามเรามา เราจะรีบไปให้พ้น กวนอูเห็นชอบด้วยก็ชวนกันลากวนเต๋ง พากวนเป๋งกับทหารทั้งปวงไปทางเขาโงจิวสัน กวนอูขับม้านำทางไปก่อน พอพบจิวฉองคุมทหารมาประมาณสามสิบเศษ เห็นกายต้องอาวุธโลหิตไหลทั้งบ่าวทั้งนาย กวนอูจึงพาจิวฉองเข้าไปหาเล่าปี่ จิวฉองคำนับเล่าปี่แล้วบอกว่า เมื่อกวนอูใช้ข้าพเจ้าไปหาหุยง่วนเสียวนั้น มีทหารคนหนึ่งขี่ม้ามาแต่ผู้เดียวฆ่าหุยง่วนเสียวเสีย ข้าพเจ้าจึงเข้ารบพุ่งต้องอาวุธบาดเจ็บทั้งพวกข้าพเจ้าจึงพากันหนีมา บัดนี้ทหารคนนั้นคุมทหารบ่าวไพร่หุยง่วนเสียวตั้งอยู่ ณ เขาโงจิวสัน เล่าปี่ถามว่าทหารนั้นรูปร่างอย่างไร ท่านรู้จักหรือไม่ จิวฉองจึงบอกว่า ชื่อนั้นข้าพเจ้าไม่รู้จัก แต่เห็นรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เล่าปี่กับกวนอูจึงให้นำไป ณ เขาโงจิวสัน แล้วให้จิวฉองไปร้องด่าท้าทาย
จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงใส่เกราะถือทวนขึ้นม้าพาพวกโจรลงมาจากเนินเขา เล่าปี่แลเห็นจูล่งก็ขับม้าขึ้นมาหน้าทหาร จูล่งเห็นเล่าปี่ยืนม้าอยู่ก็มีความยินดี จึงลงจากม้าวางทวนเสีย แล้วเข้าไปคุกเข่าคำนับเล่าปี่ ๆ กวนอูก็ลงจากม้าแล้วถามจูล่งว่า เหตุใดท่านจึงมาอยู่ ณ เขานี้ จูล่งจึงบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับกองซุนจ้านนั้น กองซุนจ้านทำการสงครามมิได้เชื่อฟังที่ปรึกษาทั้งปวง จึงเสียทีแก่อ้วนเสี้ยวจนตัวถึงแก่ความตาย อ้วนเสี้ยวให้ทหารมาเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าเปนหลายครั้ง ข้าพเจ้ารู้น้ำใจอ้วนเสี้ยวอยู่จึงไม่ไปด้วย ครั้นข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านอยู่ ณ เมืองกิจิ๋ว ข้าพเจ้าจะไปหาท่าน พอมาถึงกลางทางรู้ข่าวว่าท่านเสียเมืองแก่โจโฉ ตัวท่านก็ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว กวนอูพลัดไปอยู่ด้วยโจโฉ ครั้นข้าพเจ้าจะตามท่านไป ณ เมืองกิจิ๋ว ก็เกรงอยู่ว่าอ้วนเสี้ยวจะมีใจโกรธพยาบาททำอันตรายข้าพเจ้า ๆ จึงเที่ยวมาพบโจร ณ เขานี้ หุยง่วนเสียวคุมพวกเพื่อนออกมาจะชิงเอาม้าข้าพเจ้า ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ ข้าพเจ้าฆ่าหุยง่วนเสียวเสียได้ พวกโจรนั้นแตกหนีไปบ้าง ข้าพเจ้าจึงเข้าคุมพวกโจรอยู่ ณ เขานี้ พอรู้ข่าวว่าเตียวหุยมาเปนเจ้าเมืองเก๋าเซีย ข้าพเจ้าคอยฟังข่าวอยู่ให้แน่ก่อนจึงจะไปหาเตียวหุย
เล่าปี่กับกวนอูต่างคนต่างเล่าเนื้อความ ซึ่งแตกไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวแลโจโฉนั้นให้จูล่งฟังทุกประการ แล้วเล่าปี่จึงว่าเราได้พบท่านเมื่ออยู่กับกองซุนจ้านนั้น เราก็มีความรักท่านอยู่เปนอันมาก ยังหาบุญไม่จึงมิได้มาอยู่ร่วมคิดด้วยกัน บัดนี้บุญเรามาถึงแล้ว จึงผเอิญให้มาพบกัน จูล่งจึงว่าแต่ข้าพเจ้าเที่ยวมาทุกเมือง จะหาที่พึ่งซึ่งมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเหมือนท่านนี้ก็ไม่มี บัดนี้เปนบุญของข้าพเจ้าได้กลับมาพบท่าน ข้าพเจ้าจะขออยู่เปนบ่าวท่าน ถึงมาทว่าจะได้ยากลำบากเปนประการใด ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกว่าจะสิ้นชีวิต แล้วจูล่งก็พาพวกเพื่อนนั้นตามเล่าปี่ไปถึงเมืองเก๋าเซีย
ฝ่ายเตียวหุยบิต๊กบิฮอง รู้ว่าเล่าปี่มาถึงก็มีความยินดี จึงพากันออกไปรับเล่าปี่เข้ามาในเมือง นางกำฮูหยินนางบิฮูหยินก็ออกมาคำนับเล่าปี่ แล้วเล่าเนื้อความแต่หลังครั้งเสียเมืองแห้ฝือ กวนอูไปอยู่กับโจโฉให้ฟังทุกประการ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญกวนอูว่า มีความสัตย์หาผู้เสมอมิได้ เตียวหุยจึงให้แต่งเครื่องบวงสรวงแก่เทพดาแลเลี้ยงดูกัน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เล่าปี่จึงปรึกษากันกับกวนอูเตียวหุยแลทหารทั้งปวงว่า เมืองเก๋าเซียนี้เปนแต่เมืองจัตวา ซึ่งจะอยู่เปนที่มั่นนั้นไม่ได้ จำเราจะพากันยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองยีหลำซึ่งเปนหัวเมืองใหญ่ จะได้เปนที่มั่นคิดการสืบไป พอม้าใช้ถือหนังสือเล่าเพ็กมาให้เล่าปี่เปนใจความว่า บัดนี้เล่าเพ็กรู้ว่าเล่าปี่มาอยู่ที่เมืองเก๋าเซียเห็นไม่เปนที่มั่น จึงให้หนังสือมาเชิญเล่าปี่ไปตั้งอยู่ ณ เมืองยีหลำ ครั้นเล่าปี่แจ้งในหนังสือแล้วก็มีความยินดี ปรึกษาเห็นพร้อมกัน จึงพากวนอูเตียวหุยกับครอบครัว แลทหารเอกทหารเลวทั้งปวงประมาณห้าพันเศษยกไปเมืองยีหลำ แล้วให้ตั้งเกลี้ยกล่อมซ่อมสุมผู้คนอยู่ ณ เมืองยีหลำ
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงเกณฑ์ทหารจะยกไปจับเล่าปี่ กัวเต๋าจึงว่า ซึ่งท่านจะยกทัพไปรบเล่าปี่นั้นข้าพเจ้าเห็นไม่ควร ถึงมาทว่าเล่าปี่มิได้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวมาช่วยคิดการก็จะทำไมมี ทุกวันนี้ข้าพเจ้าวิตกอยู่แต่โจโฉเปนศึกใหญ่ กับซุนเซ็กซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองกังตั๋งนั้นมีทหารเปนอันมาก เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ มีเมืองขึ้นหกหัวเมือง ขอให้ท่านคิดอ่านแต่งผู้มีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อมซุนเซ็กมาไว้ ให้ช่วยคิดการกำจัดโจโฉอันเปนศึกใหญ่เสียจึงจะควร อันเล่าปี่นั้นทหารก็น้อย ถ้าท่านจะยกไปรบเมื่อใดก็จะได้โดยง่าย อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือให้ตันจิ๋นไปเกลี้ยกล่อมซุนเซ็ก ตันจิ๋นก็รับเอาหนังสือแล้วลาไป
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 25
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnbnd0MWJiQVlQcTQ/view?resourcekey=0-w3_JJhEuO0NO_6KGYEgcVg
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #5 on:
22 December 2021, 10:38:59 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 26
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-26.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 26
เนื้อหา
ซุนเซ็กคิดจะรบโจโฉ
ซุนเซ็กฆ่าเค้าก๋องเจ้าเมืองง่อกุ๋น
ทหารเค้าก๋องลอบทำร้ายซุนเซ็ก
ซุนเซ็กฆ่าอิเกียดผู้วิเศษ
ซุนเซ็กตาย ซุนกวนได้เป็นเจ้าเมืองกังตั๋ง
กล่าวถึงโลซก
ฝ่ายซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋งนั้น เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปอยู่เมืองฮูโต๋ได้สี่ปีนั้น ซุนเซ็กยกกองทัพไปตีเมืองโลกั๋ง เมืองอิเจี๋ยง ได้แล้ว กวาดผู้คนได้ไว้เปนอันมาก ซุนเซ็กมีใจกำเริบ จึงแต่งหนังสือให้เตียวเหียนถือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ หวังจะให้มีชื่อเสียงยศฐาศักดิ์เปนเรื่องราวว่า ซุนเซ็กได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ปราบปรามหัวเมืองได้หลายตำบล เตียวเหียนก็เอาหนังสือมาให้แก่โจโฉ ๆ เห็นหนังสือดังนั้น จึงทอดใจใหญ่แล้วคิดว่า ธรรมดาชาติลูกเสือแล้วย่อมร้ายกาจ ซึ่งผู้ใดจะหมายทำอันตรายแก่ลูกเสือนั้นก็ไม่ได้ จำจะยกบุตรหญิงน้องโจหยินให้เปนภรรยาซุนของผู้น้องซุนเซ็ก จึงจะได้เปนเกี่ยวดองกันกับซุนเซ็ก แล้วโจโฉก็เอาตัวเตียวเหียนไว้ทำราชการอยู่ในเมืองฮูโต๋
ฝ่ายซุนเซ็กครั้นรู้ข่าวว่าโจโฉมิได้เอาหนังสือขึ้นกราบทูล แล้วเอาตัวเตียวเหียนไว้ทำราชการ ซุนเซ็กมีความแค้นคิดจะยกกองทัพไปทำร้ายอยู่เนืองๆ
ฝ่ายเค้าก๋องเจ้าเมืองง่อกุ๋น ซึ่งขึ้นแก่เมืองกังตั๋ง รู้ว่าซุนเซ็กทำการหยาบช้ากำเริบต่างๆ ก็แต่งหนังสือบอกขึ้นไปถึงโจโฉเปนใจความว่า ซุนเซ็กทำการหยาบช้าแก่หัวเมืองทั้งปวง ให้ได้ความยากแค้นเดือดร้อนนัก ขอให้มหาอุปราชคิดอ่านให้มีรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้หาตัวซุนเซ็กขึ้นไปไว้ทำราชการ ณ เมืองหลวง ถ้าละไว้ช้าเห็นซุนเซ็กจะเปนขบถต่อแผ่นดิน ครั้นแต่งแล้วให้ทหารถือข้ามอ่าวทเลไป
ฝ่ายทหารกองตะเวนเมืองกังตั๋งเห็นประหลาดก็จับเอาตัวไว้ ค้นได้หนังสือ จึงเอาตัวส่งเข้ามาให้ซุนเซ็ก ๆ เห็นหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงให้เอาตัวผู้ถือหนังสือนั้นไปฆ่าเสีย แล้วซุนเซ็กจึงแต่งกลอุบายให้ทหารไปเชิญเค้าก๋องเจ้าเมืองง่อกุ๋นมากินโต๊ะ เค้าก๋องมิได้มีความสงสัยก็มาหาซุนเซ็ก ๆ จึงเอาหนังสือนั้นให้เค้าก๋องดูแล้วร้องตวาดว่า เหตุใดมึงจึงแกล้งแต่งหนังสือว่ากูเปนขบถต่อแผ่นดิน ให้โจโฉคิดอ่านหาตัวกูขึ้นไป ณ เมืองหลวง เค้าก๋องมิได้ตอบประการใด ซุนเซ็กก็ให้มัดเอาไปฆ่าเสีย แลครอบครัวบ่าวไพร่เค้าก๋องรู้ข่าวดังนั้น ก็พากันแตกตื่นหนีไปจากเมืองง่อกุ๋น แต่ทหารเค้าก๋องสามคนนั้นมีใจพยาบาทซุนเซ็กคิดจะแก้แค้นให้จงได้ จึงชวนกันไปเที่ยวอยู่ในป่าใกล้เมืองกังตั๋ง หวังจะลอบทำร้ายซุนเซ็ก
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ซุนเซ็กพาทหารออกไปไล่เนื้อในป่า เห็นกวางตัวหนึ่ง ซุนเซ็กถือเกาทัณฑ์ควบม้าตามไปแต่ผู้เดียว พอเห็นทหารสามคนนั้นถือเกาทัณฑ์แลทวนยืนแอบต้นไม้อยู่ ซุนเซ็กจึงถามว่าตัวเปนบ่าวใครมาแต่ไหน ทหารสามคนจึงอุบายบอกว่า ข้าพเจ้าเปนบ่าวฮันต๋งซึ่งเปนทหารของท่าน ชวนกันออกเที่ยวยิงเนื้อในป่า ซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็หาความสงสัยมิได้ ขับม้าจะไปจากที่ แลทหารสามคนนั้นเห็นได้ที คนหนึ่งเอาทวนแทงถูกเท้าซ้ายซุนเซ็ก คนหนึ่งเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกหน้าผากซุนเซ็ก ๆ ตกใจชักเอาลูกเกาทัณฑ์ออกมา แล้วยิงไปถูกทหารนั้นตายคนหนึ่ง ทหารทั้งสองคนนั้นก็เอาทวนเข้ารุมแทงซุนเซ็ก แล้วร้องว่ากูเปนทหารเค้าก๋อง ซึ่งพากันมาทำการทั้งนี้หวังจะแก้แค้นแทนนายกู ซุนเซ็กมิได้มีอาวุธสิ่งใด เอาแต่คันเกาทัณฑ์ป้องปัดทวนเปนสามารถ กายนั้นถูกทวนเปนหลายแห่ง
พอเห็นเทียเภาขี่ม้าคุมทหารประมาณเก้าคนสิบคนเดิรเข้ามาใกล้ ซุนเซ็กจึงร้องเรียกให้ช่วย เทียเภากับทหารเห็นดังนั้น ก็ขับม้าเข้าไล่ฟันทหารทั้งสองคนนั้นย่อยยับทั้งกายจนขาดใจตาย แล้วกลับมาเห็นหน้าผากซุนเซ็กถูกเกาทัณฑ์แห่งหนึ่ง แลกายนั้นแผลทวนบาดเจ็บเปนหลายแห่ง เทียเภาจึงเอากระบี่ตัดเอาชายเสื้อออกพันแผลทวนให้ซุนเซ็ก แล้วพากันกลับมาเข้าเมือง ซุนเซ็กจึงให้คนไปหาตัวฮัวโต๋หมอมาจะให้รักษาบาดแผล
ขณะนั้นฮัวโต๋ขึ้นไปเที่ยวรักษาอยู่ ณ เมืองหลวง ได้แต่ศิศย์ฮัวโต๋มา หมอนั้นดูแล้วจึงบอกซุนเซ็กว่า อันแผลทวนนี้ข้าพเจ้าจะรักษาให้หายได้อยู่ แต่แผลเกาทัณฑ์นั้นเข้าถึงกระดูก แล้วใส่ยาพิษด้วย ถ้าจะรักษานั้นให้เชิญท่านไปอยู่ที่สงัดอย่าให้ผู้คนลุมเล้า ท่านจงดับความโกรธเสียด้วย ต่อถึงกำหนดร้อยวันแผลจึงจะหาย แม้รงับความโกรธไม่ได้พิษยาก็จะกำเริบมากไป ซุนเซ็กก็ทำตาม แลหมอรักษาได้ประมาณยี่สิบวัน ซุนเซ็กนั้นเปนคนใจเร็วจะใคร่หายทันใจ
พอคนใช้เตียวเหียนซึ่งขึ้นไปอยู่เมืองฮูโต๋นั้น ให้มาบอกเนื้อความ ครั้นซุนเซ็กรู้ก็ให้หาคนใช้เข้าไปแล้วถามว่า เตียวเหียนใช้มาด้วยเหตุอันใด คนใช้จึงบอกว่า เตียวเหียนให้ข้าพเจ้ามาแจ้งความแก่ท่านว่า เตียวเหียนขึ้นไปอยู่ ณ เมืองหลวงนั้น เห็นโจโฉกับที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงนั้น จะพูดจากันสิ่งใดก็ยำเกรงฝีมือท่านอยู่เปนอันมาก แต่กุยแกนั้นจะว่ากล่าวสิ่งใดก็ไม่คิดเกรงขามท่าน ซุนเซ็กจึงถามว่า ซึ่งกุยแกดูหมิ่นแก่เรานั้นว่ากล่าวประการใดบ้าง คนใช้นั้นนิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด ซุนเซ็กเห็นคนใช้นิ่งอยู่ก็โกรธจึงว่า เตียวเหียนใช้ตัวมาให้บอกเนื้อความเรา ครั้นถามเหตุใดตัวจึงนิ่งเสีย คนใช้เห็นซุนเซ็กโกรธก็กลัว จึงบอกว่ากุยแกนั้นได้บอกแก่โจโฉว่า เหตุใดจะมาเกรงซุนเซ็ก อันซุนเซ็กหาปัญญามิได้ เปนคนใจเร็ว จะคิดสิ่งใดก็โอหัง กำเริบตั้งตัวว่าเปนใหญ่ นานไปจะตายด้วยฝีมือทหารเลว
ซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเปนอันมาก จึงว่ากุยแกนั้นมีสติปัญญาประการใด จึงบังอาจว่ากล่าวหยาบช้าแก่เรานัก จำจะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋ให้จงได้ จะจับเอาตัวกุยแกฆ่าเสีย แล้วจะสับให้ลเอียดมิให้กากลืนแค้น จึงให้หาที่ปรึกษาทั้งปวงมาสั่งว่า กุยแกว่ากล่าวหยาบช้าแก่เรา เร่งเกณฑ์ทหารให้พร้อม เราจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋จับกุยแกฆ่าเสียให้ทันแค้น เตียวเจียวจึงว่าเดิมหมอมารักษาแผลเกาทัณฑ์นั้น ก็ได้ห้ามท่านอย่าให้มีความโกรธถึงร้อยวัน บัดนี้ได้ยี่สิบวันเศษแลท่านจะมาบำรุงโทโส จะยกกองทัพไปด้วยคำกุยแกนั้นไม่ควร
ขณะนั้นพอคนใช้เข้ามาบอกซุนเซ็กว่า บัดนี้ตันจิ๋นทหารอ้วนเสี้ยวจะเข้ามาหาท่าน ซุนเซ็กก็ให้รับเข้ามา ตันจิ๋นคำนับแล้วก็เอาหนังสือส่งให้ ซุนเซ็กรับเอาหนังสืออ้วนเสี้ยวมาอ่านดูเปนใจความว่า โจโฉนั้นเปนศัตรูราชสมบัติ ให้ซุนเซ็กเปนใจเดียวกับเรา ยกกองทัพตีกระหนาบเมืองฮูโต๋เข้ามาทางทิศใต้ เราจะยกตีลงไปทางฝ่ายเหนือจะได้กำจัดโจโฉเสีย ซุนเซ็กแจ้งในหนังสือนั้นก็มีความยินดี จึงให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญตันจิ๋นแลทหารทั้งปวงขึ้นไปกินโต๊ะบนหอรบ
ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น ซุนเซ็กเห็นทหารทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะพูดจาซุบซิบกัน แล้วจูงมือพากันลงไปจากหอรบ ซุนเซ็กมีความสงสัยจึงถามคนใช้ว่า เหตุใดขุนนางแลทหารพูดซุบซิบกันแล้วลงไปจากหอรบ คนใช้จึงบอกว่า อิเกียดซึ่งคนทั้งปวงนับถือว่ามีความรู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น บัดนี้เดิรมาทางใต้ถุนหอรบ ทหารทั้งปวงเห็นมีความยินดีจึงชวนกันลงไปคำนับ ซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นจึงเยี่ยมออกไปดูตามหน้าต่างหอรบ เห็นอิเกียดแต่งตัวใส่เสื้องามเหมือนเทวดา มือถือไม้เท้าเดิรไปตามทาง ชาวเมืองทั้งปวงถือดอกไม้ธูปเทียนมาคำนับอิเกียด ซุนเซ็กโกรธด่าอิเกียดว่ามันทำทั้งนี้เปนการโกหก แล้วให้ทหารเลวทั้งปวงเร่งไปจับเอาตัวอิเกียดมาฆ่าเสีย
ทหารทั้งปวงจึงว่า อิเกียดนี้อยู่นอกเมืองฝ่ายตวันออก เคยเอาน้ำมนตร์เข้ามาให้ชาวเมืองซึ่งป่วยไข้รดก็หายเนืองๆ อยู่ แล้วชาวเมืองทั้งปวงก็นับถืออยู่ว่า อิเกียดเปนคนใจบุญ เอนดูแก่ราษฎร ซึ่งท่านจะให้ไปจับมาฆ่าเสียนั้นไม่ควร ซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเปนอันมาก จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงให้เร่งไปจับเอาตัวมาให้จงได้ ถ้าผู้ใดขัดขวางไว้ กูจะให้ตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงก็ตกใจกลัวขัดมิได้ จึงพากันไปจับเอาตัวอิเกียดขึ้นไปให้ซุนเซ็กบนหอรบ ซุนเซ็กจึงร้องตวาดแล้วถามว่าตัวมาแต่ไหน เหตุใดจึงทำการโกหกให้คนทั้งปวงลุ่มหลงดังนั้น
อิเกียดจึงตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่บ้านลงเสีย ครั้งพระเจ้าซุนเต้เสวยราชย์นั้น ข้าพเจ้าไปเที่ยวเก็บยาตำบลเขาขยกหยง ได้ตำราในถ้ำประมาณร้อยฉบับสำหรับทำการเษกน้ำรักษาไข้ต่างๆ ข้าพเจ้าได้ตำรานั้นมาก็เที่ยวรักษาไข้คนทั้งปวงมิได้เอาทรัพย์สิ่งสิน ข้าพเจ้าคิดเอาแต่บุญ ซึ่งจะได้ทำความรู้ฬ่อลวงให้คนทั้งลุ่มหลงนั้นหามิได้ ซุนเซ็กจึงถามว่าตัวมิได้เอาสินจ้างของผู้ใด เหตุไฉนตัวจึงได้อาหารเลี้ยงชีวิตแลเครื่องนุ่งห่มแต่งตัวดังนี้ ตัวมึงนี้ก็พวกเดียวกันกับเตียวก๊ก แม้ไม่ฆ่ามึงเสียมึงจะมีใจกำเริบคิดร้ายต่อกู แล้วสั่งทหารให้เอาตัวอิเกียดไปฆ่าเสีย
เตียวเจียวจึงห้ามว่า ตั้งแต่อิเกียดมาอยู่ในแดนเมืองกังตั๋งช้านานกว่าสามปีแล้ว ยังไม่ปรากฎว่าอิเกียดทำการฬ่อลวงผู้ใด ซึ่งท่านจะให้ฆ่าเสียนั้นไม่ควร ซุนเซ็กจึงว่าแก่เตียวเจียวว่า ท่านจะนับถือว่าอิเกียดเปนคนใจบุญนั้นผิดไป อิเกียดเปนคนโกหก เหมือนหนึ่งสัตว์เดียรัจฉาน ทหารทั้งปวงจงพาเอาอิเกียดไปฆ่าเสีย ฝ่ายขุนนางกับตันจิ๋นเข้าห้าม แล้วขอชีวิตอิเกียดไว้ ซุนเซ็กจึงเอาอิเกียดไปจำไว้ ณ คุกแล้วก็กลับมาที่อยู่ แลคนใช้ซุนเซ็กจึงเอาเนื้อความซึ่งซุนเซ็กทำโทษอิเกียดนั้นไปบอกแก่นางงอฮูห ยิน ผู้เปนมารดาซุนเซ็กทุกประการ
นางงอฮูหยินได้ฟังดังนั้น ก็ให้หาซุนเซ็กเข้ามาแล้วว่า อิเกียดนั้นเปนคนใจบุญเอนดูแก่ราษฎร ถ้าคนทั้งปวงป่วยไข้ อิเกียดเอาน้ำมนตร์มาให้รดโรคนั้นก็บันดาลหาย เหตุใดเจ้าจึงให้ทำโทษอิเกียดดังนี้ ซุนเซ็กจึงว่าอิเกียดนั้นเปนคนโกหก แล้วจะมีใจกำเริบใหญ่หลวงขึ้น ภายหน้าไปภัยก็จะมีแก่ข้าพเจ้า มารดาอย่าเชื่อคำคนซึ่งมาบอกเล่าแลนับถืออิเกียดสืบไปเลย แล้วซุนเซ็กก็ลามารดาออกมา
ฝ่ายเตียวเจียวกับขุนนางสิบเอ็ดสิบสองคนคิดเข้าชื่อกัน ทำเรื่องราวมายื่นซุนเซ็กเปนใจความว่า ขอให้ปล่อยอิเกียดเสียเถิด ถ้าสืบไปภายหน้าอิเกียดมีใจกำเริบคิดร้ายต่อท่าน ก็ให้ตัดเอาสีสะข้าพเจ้าทั้งนี้เสีย ซุนเซ็กแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงว่าท่านทั้งปวงไม่รู้หรือ เมื่อครั้งเตียวก๊กกับพวกเพื่อนเปนโจรอยู่นั้น ฝ่ายเตียวจิ๋นเจ้าเมืองเกาจิ๋ว นับถือออท้าวลงผีศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเตียวจิ๋นจะยกกองทัพไปแห่งใด ก็เอาแพรแดงให้ออท้าวลงเลขยันต์ แล้วให้ทหารทั้งปวงโพกสีสะ ทำการสงครามก็กันอาวุธไม่ได้ เตียวจิ๋นกับทหารทั้งปวงทำสงครามก็เปนอันตรายในที่รบ แลท่านจะมานับถืออิเกียด ซึ่งเปนคนโกหกนับถือผีนั้นไม่ควร เราจึงจะให้ฆ่าอิเกียดเสีย เมืองเราจะได้มีสุขสืบไป
ลีฮวยโหรจึงว่าแก่ซุนเซ็กว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า อิเกียดมีความรู้เรียกลมแลฝนก็ได้ บัดนี้เมืองเราฝนแล้ง ราษฎรทำนาขัดสน ท่านจะให้อิเกียดเรียกฝนให้ตกลงมาได้แล้ว ท่านจงปล่อยอิเกียดเสีย ซุนเซ็กเห็นชอบด้วย ก็ให้ทหารปลูกโรงพิธีขอฝนสูงประมาณสิบวา จึงให้ไปเอาตัวอิเกียดออกมาแล้วว่า ตัวมีความรู้ทั้งมีใจเมตตาคนทั้งปวง บัดนี้ฝนแล้งอยู่ ราษฎรมิได้ทำนา ตัวจงเรียกฝนให้ตกลงมาได้ เราจะปล่อยตัวเสีย
อิเกียดก็รับคำซุนเซ็ก แล้วชำระกายให้หมดมลทิน ครั้นเวลาเช้าแดดกล้า อิเกียดจึงขึ้นไปบนโรงพิธี เอาเชือกมัดตัวเข้า หมอบตากแดดบริกรรมขอฝนอยู่ ชาวเมืองทั้งปวงก็พากันมาดูเปนอันมาก อิเกียดจึงร้องบอกแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า เราจะขอฝนให้ตงลงมาห่าใหญ่ ให้น้ำท่วมแผ่นดินประมาณสองศอกเศษ ราษฎรทั้งปวงจะได้ทำนาให้บริบูรณ์ ถึงมาทว่าจะทำได้ดังปราถนาก็ดี อันชีวิตเราครั้งนี้เห็นจะไม่รอดจากความตาย ชาวเมืองทั้งปวงจึงว่า แม้นเรียกฝนตกลงมาได้ซุนเซ็กก็จะไม่เอาโทษท่าน อิเกียดจึงว่าอายุเราก็ถึงที่ตายในวันนี้แล้ว มาทว่าจะมีผู้ใดช่วยก็ไม่รอดชีวิต
ขณะนั้นซุนเซ็กจึงให้ทหารทั้งปวง ขนเอาฟืนแลฟางมาลำดับไว้ใต้โรงพิธี ถ้าพ้นเที่ยงแล้วฝนไม่ตกก็ให้จุดเพลิงเผาอิเกียดเสียให้ถึงแก่ความตาย ครั้นเวลาเที่ยงก็เกิดลมพายุใหญ่มืดมัวไปทั้งอากาศ ซุนเซ็กเห็นฝนไม่ตก จึงว่าอิเกียดเปนคนโกหก รับว่าจะทำได้ บัดนี้ฝนไม่ตก จึงให้ทหารขึ้นไปเอาตัวอิเกียดลงมามัดไว้บนกองฟืน แล้วให้จุดเพลิงเผาอิเกียดขึ้น พอเพลิงชุมขึ้นเสียงฟ้าร้องสนั่น ฝนตกห่าใหญ่น้ำท่วมแผ่นดินประมาณสองศอกเศษ เพลิงนั้นก็ดับไปสิ้น อิเกียดจึงร้องว่าให้ฝนหยุดเถิด ฝนนั้นก็หายทันที ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงเห็นว่าอิเกียดนั้นทำการศักดิ์สิทธิ์ จึงพากันฟูมน้ำเข้าไปมิได้รังเกียจด้วยโคลนแลตม แก้มัดอิเกียดออกแล้วอุ้มเอาตัวออกมา ต่างคนต่างคำนับอิเกียด
ซุนเซ็กเห็นดังนั้นก็มีใจอิจฉาว่า ขุนนางแลชาวเมืองรักอิเกียดเปนอันมาก ซุนเซ็กจึงร้องว่า ซึ่งฝนตกลงมานั้นเพราะอำนาจเทวดา อิเกียดเปนคนโกหก พลอยผสมว่าเรียกฝนได้ เหตุใดคนทั้งปวงจึงนับถือว่าอิเกียดมีความรู้ศักดิ์สิทธิ์ แล้วซุนเซ็กก็ชักกระบี่ส่งให้ทหารเร่งให้เอาไปฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงพากันเข้าไปขอแก่ซุนเซ็ก ๆ ได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วว่า คนทั้งปวงนับถือจะขอชีวิตอิเกียดไว้นั้น หวังจะคบคิดกันทำร้ายแก่เราหรือ ขุนนางทั้งปวงมิได้ตอบประการใด ฝ่ายทหารซุนเซ็กก็เข้าจับเอาตัวอิเกียดไปฆ่าเสีย ซุนเซ็กจึงให้เอาศพอิเกียดไปประจานไว้ที่หนทางสามแพร่ง อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่างสืบไป
ครั้นเวลากลางคืนฝนตกห่าใหญ่ ศพอิเกียดนั้นหายไป ทหารซึ่งรักษานั้นก็เข้าไปบอกแก่ซุนเซ็ก ๆ ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จะฆ่าทหารนั้นเสีย พอเห็นรูปอิเกียดเดิรกรายแขนเข้ามาตรงหน้า ซุนเซ็กยิ่งมีความโกรธ ชักกระบี่ออกฟันรูปอิเกียดไป ซุนเซ็กก็ล้มสลบอยู่กับที่ ทหารทั้งปวงเห็นก็ตกใจ จึงชวนกันอุ้มซุนเซ็กเข้าไปถึงที่ข้างใน แล้วชวนกันเข้าแก้ไขฟื้นขึ้น นางงอฮูหยินผู้เปนมารดารู้ข่าวก็ออกมาว่ากล่าวแก่ซุนเซ็กว่า เพราะเจ้าทำอันตรายแก่อิเกียดจึงเปนเหตุทั้งนี้
ซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าข้าพเจ้าไปทัพกับบิดา ก็ได้ฆ่าฟันผู้คนเสียเปนอันมาก อุปมาเหมือนเมล็ดงาพ้นที่จะนับได้ ข้าพเจ้าก็ไม่มีอันตราย ซึ่งข้าพเจ้าให้ฆ่าอิเกียดอันเปนคนโกหกกลางเมืองเสียนั้น หวังจะบำรุงน้ำใจคนให้ตั้งอยู่ในความสัตย์ อย่าให้นับถือคนอันเปนอสัตย์สืบไป เปนไฉนมารดาจึงมาว่าข้าพเจ้าว่าเปนเหตุเพราะฆ่าอิเกียดเสีย นางงอฮูหยินจึงตอบว่า ซึ่งเปนทั้งนี้เพราะเจ้ามิได้นับถืออิเกียด เจ้าจงเร่งทำบุญส่งไปให้อิเกียดจึงจะบันเทาอันตราย ซุนเซ็กจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าเปนทั้งนี้เทพดาให้โทษ เหตุใดมารดาจะให้ข้าพเจ้านับถือคนโกหกนั้นไม่ควร
นางงอฮูหยินเห็นว่าซุนเซ็กไม่ฟังคำก็กลับไปบ้าน จึงคิดอ่านจะทำบุญส่งไปให้อิเกียด ครั้นเวลากลางคืนซุนเซ็กนั้นป่วยนอนอยู่บนเตียง พอลมพัดมาเทียนดับไป บัดเดี๋ยวหนึ่งเพลิงก็กลับติดขึ้นดังเก่า แล้วแลเห็นรูปอิเกียดมายืนอยู่ตรงหน้า ซุนเซ็กจึงลุกขึ้นร้องตวาด แล้วว่าน้ำใจกูนี้ชังคนโกหกถือผีจึงฆ่ามึงเสีย บัดนี้มึงก็ตายแล้ว เหตุใดยังเปนอสุรกายมาใกล้กู แล้วก็ชักเอากระบี่ขว้างออกไป รูปอิเกียดนั้นก็หายไป นางงอฮูหยินได้ยินเสียงซุนเซ็กว่าแก่อิเกียดดังนั้น ก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก ซุนเซ็กก็รู้ว่ามารดาไม่สบายจึงไปหา แล้วว่ามารดาอย่าทุกข์ร้อนถึงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าหาเปนอันตรายไม่
นางงอฮูหยินจึงว่า อิเกียดนั้นหาความผิดมิได้ เจ้าฆ่าเขาเสียเขามีความแค้นจึงเปนรูปอสุรกายมาจะทำร้ายแก่เจ้า บัดนี้แม่ให้คนออกไปแต่งการทำบุญอยู่ ณ วัดยกเซียงก๋วน เจ้าจงเร่งออกไปคำนับบูชาอิเกียดด้วยจึงจะไม่มีอันตราย ซุนเซ็กขัดมารดามิได้ก็กลับมา ครั้นเวลารุ่งเช้าซุนเซ็กจึงออกไป ณ วัดยกเซียงก๋วน แลหลวงจีนในวัดนั้นก็ว่าแก่ซุนเซ็กว่า ของทั้งปวงแต่งแล้ว ท่านจงจุดธูปเทียนบูชาเถิด ซุนเซ็กจึงจุดธูปเทียนขึ้น แต่มิได้คำนับบูชา แล้วเห็นรูปอิเกียดนั่งลอยอยู่บนควันธูป ซุนเซ็กโกรธด่าว่าอิเกียดเปนข้อหยาบช้า แล้วเดิรกลับออกมาถึงประตูเก๋ง เห็นรูปอิเกียดยืนถลึงตาอยู่ ซุนเซ็กโกรธเปนอันมาก จึงชักกระบี่ขว้างไปถูกทหารซึ่งฆ่าอิเกียดนั้นล้มลง เลือดจมูกแลปากปะทุออกมาตาย ซุนเซ็กมีความสงสาร ให้แต่งการศพแล้วเอาไปฝังไว้ ซุนเซ็กก็เดิรออกมาจากประตู เห็นเปนรูปอิเกียดนั้นเดิรผ่านหน้าไปมา
ซุนเซ็กจึงสั่งทหารว่า วัดนี้ปีศาจมาสิงอยู่แล้วหลอนร้ายกาจนัก จะเอาไว้มิได้ให้เร่งรื้อวัดเสีย ทหารทั้งปวงก็ทำตาม แลรูปอิเกียดนั้นอยู่บนหลังคาเก๋ง เอากระเบื้องทิ้งขว้างลงมาถูกทหารเจ็บปวดเปนหลายคน ทหารทั้งปวงไม่อาจะเข้ารื้อได้ ซุนเซ็กจึงสั่งให้หลวงจีนออกมาเสียจากวัดให้สิ้น แล้วให้ทหารจุดเพลิงเผาวัดขึ้น เห็นรูปอิเกียดนั้นอยู่ในเปลวเพลิง ซุนเซ็กมีความโกรธจึงกลับมาที่อยู่ เห็นรูปอิเกียดยืนขวางประตูตึกไว้ ซุนเซ็กจึงพาทหารออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมือง แล้วให้หาที่ปรึกษามาคิดอ่านกัน จะยกกองทัพไปช่วยอ้วนเสี้ยวกำจัดโจโฉ
ที่ปรึกษาทั้งปวงจึงห้ามว่า ท่านป่วยก็ยังไม่คลาย จะด่วนยกกองทัพไปนั้น แผลเกาทัณฑ์จะกำเริบขึ้น ขอให้งดไว้ ต่อคลายแล้วจึงยกไป ซุนเซ็กก็ฟัง แล้วให้หมอมารักษาตัวอยู่ ครั้นเวลาค่ำวันหนึ่ง ซุนเซ็กเห็นรูปอิเกียดยืนสยายผมอยู่ริมเตียงนอน ซุนเซ็กโกรธลุกขึ้นร้องตวาดเปนหลายครั้งจนเวลารุ่งเช้า นางงอฮูหยินจึงให้หาตัวซุนเซ็กเข้ามา เห็นรูปซุนเซ็กนั้นผิดประหลาทไปก็ตกใจร้องไห้ แล้วว่าหน้าตาเจ้าเสร้าหมองซูบผอมไป ซุนเซ็กได้ฟังมารดาว่าดังนั้นก็เอากระจกส่องดู เห็นรูปนั้นเหมือนดังคำมารดาว่าก็ตกใจ จึงว่ารูปร่างข้าพเจ้าเสียไปถึงเพียงนี้ แล้วแลเห็นรูปอิเกียดอยู่ในกระจก ซุนเซ็กโกรธทิ้งกระจกเสีย แล้วร้องด้วยเสียงอันดัง แผลเกาทัณฑ์นั้นก็กำเริบขึ้น โลหิตไหลออกมาล้มลงกับที่ ภรรยาซุนเซ็กกับหญิงทั้งปวงก็ชวนกันเข้าอุ้มไว้แล้วแก้ไขฟื้นขึ้น ซุนเซ็กทอดใจใหญ่ แล้วว่าชีวิตของเราครั้งนี้เห็นจะไม่รอดจากความตาย จึงให้หาซุนก๋วนผู้น้องกับเตียวเจียว แลที่ปรึกษาเข้ามาถึงที่ข้างในแล้วว่า อันตัวเรานี้เห็นจะไม่รอดจากความตาย แผ่นดินก็เปนจลาจลต่างๆ อันเมืองกังตั๋งนี้เปนเมืองใหญ่อยู่ เตียวเจียวจงช่วยคิดอ่านทำนุบำรุงซุนก๋วน ให้รักษาเมืองโดยขนบประเวณีสืบไป จึงเอาตราสำหรับที่นั้นมอบให้ซุนก๋วนแล้วสั่งสอนว่า ตัวเจ้าจะเปนใหญ่ในเมืองกังตั๋งนี้ จงคิดตรึกตรองการสงครามให้ชำนาญในทางบกทางเรือเหมือนพี่ แต่ซึ่งการโอบอ้อมอารีเลี้ยงทหารนั้น เจ้ามีสติหนักหน่วงดีกว่าพี่ พี่นี้หากใจเร็วนัก อนึ่งเจ้าจะคิดอ่านการสิ่งใด ซึ่งบิดากับพี่ซ่องสุมจัดแจงไว้ได้นั้น ด้วยความลำบากจึงมีบริบูรณ์เพียงนี้ เจ้าจงหมั่นบำรุงรักษาอย่าให้เข้าของเปนอันตรายได้ ซุนก๋วนรับตราแล้วคำนับรับคำพี่ชายแล้วร้องไห้
ซุนเซ็กจึงว่าแก่มารดาว่า ตัวข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตาย อันตราสำหรับที่นั้น ข้าพเจ้าได้มอบให้กับซุนก๋วนแล้ว มารดาจงช่วยสั่งสอนอย่าให้ทำหยาบช้าแก่ทหารของบิดา นางงอฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้แล้วว่าซุนก๋วนนั้นเปนใจเด็ก เห็นจะรักษาเมืองกังตั๋งไม่ได้ ซุนเซ็กจึงตอบว่า อันซุนก๋วนนี้ถึงเปนเด็กก็จริง แต่สติปัญญามากกว่าข้าพเจ้าสิบส่วนอีก เห็นจะว่าการเมืองนี้ได้อยู่ อันการข้างในนั้นถ้าเหลือความคิดก็ให้ปรึกษากับเตียวเจียว ซึ่งการสงครามนั้นขัดสนประการใดก็ให้คิดอ่านกับจิวยี่เถิด แต่น้อยใจด้วยจิวยี่ไม่อยู่ มิได้สั่งความไว้ต่อปาก
แล้วซุนเซ็กให้หาน้องสองคนนั้นออกมาสั่งว่า เจ้าจงมีใจเจ็บร้อนด้วยซุนก๋วนผู้พี่ ถ้าผู้ใดซึ่งเปนพรรคพวกแซ่เดียวของเราคิดร้ายต่อซุนก๋วน จงช่วยกันคิดอ่านปราบปรามเสียให้ราบคาบ อย่าให้ผู้อื่นล่วงนินทาได้ ซุนก๋วนกับน้องทั้งสองรับคำแล้วก็ร้องไห้ ซุนเซ็กจึงว่าแก่นางเกียวฮูหยินผู้เปนภรรยาว่า ตัวพี่หาบุญไม่แล้ว จะตายจากเจ้าไป เจ้าจะอยู่ภายหลังจงช่วยปรนิบัติรักษามารดาของพี่ด้วย เจ้าจงว่าแก่น้องสาวเจ้าซึ่งเปนภรรยาจิวยี่ ให้ว่ากล่าวเอาใจจิวยี่ไว้ให้ช่วยทำนุบำรุงซุนก๋วน อนึ่งให้จิวยี่มีใจคิดถึงไมตรีของเรา ครั้นสั่งเนื้อความเสร็จแล้วซุนเซ็กก็สิ้นใจ
เมื่อซุนเซ็กตายนั้นอายุได้ยี่สิบหกปี มารดากับภรรยาแลญาติพี่น้องก็ร้องไห้รักกัน แต่ซุนก๋วนนั้นร้องไห้จนสลบไป หมอแก้ฟื้นขึ้น เตียวเจียวจึงว่าหัวเมืองทั้งปวงยังมิได้ปรกติ แลท่านจะมาเสร้าโศกอยู่ดังนี้ไม่ควร ขอให้แต่งการศพซุนเซ็ก แล้วจะได้คิดอ่านป้องกันรักษาเมือง ซุนก๋วนเห็นชอบด้วย จึงสั่งซุนแจ้งผู้อาว์ให้จัดแจงแต่งการศพให้สำเร็จ แล้วซุนก๋วนออกว่าราชการ ขุนนางแลทหารทั้งปวงเข้ามาคำนับพร้อมกัน แลซุนก๋วนนั้นรูปงามหน้าผากใหญ่ปากกว้าง จักษุแดง
ขณะเมื่อซุนเกี๋ยนผู้เปนบิดายังอยู่นั้น เล่าอวนขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ลงมาว่าราชการเมืองกังตั๋ง เห็นบุตรซุนเกี๋ยนทั้งสี่คนรูปงามประกอบด้วยลักษณมีบุญ แต่ซุนก๋วนนั้นจะมีบุญมากกว่าพี่น้องทั้งปวง อายุก็จะยืน นานไปซุนก๋วนจะได้เปนใหญ่ แลครั้งนี้ก็เหมือนคำเล่าอวนทายไว้
ฝ่ายจิวยี่ซึ่งซุนเซ็กให้คุมทหารไปรักษาด่านปากิ๋วนั้น ครั้นรู้ข่าวว่าซุนเซ็กถูกเกาทัณฑ์ป่วยอยู่ จึงพาทหารรีบกลับมาถึงเมืองกังตั๋ง รู้ว่าซุนเซ็กตายก็ตกใจ จึงเข้ามากอดศพซุนเซ็กร้องไห้ร่ำไรต่างๆ นางงอฮูหยินกับซุนก๋วน จึงออกมาบอกจิวยี่ตามคำซุนเซ็กสั่งไว้ทุกประการ จิวยี่จึงว่าซุนเซ็กก็ได้มีคุณแก่ข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะช่วยทำนุบำรุงซุนก๋วนไปตามสติปัญญาโดยสุจริตกว่าจะสิ้นชีวิต ซุนก๋วนจึงว่าตัวเรานี้ก็ยังหนุ่มแก่ความอยู่ ซุนเซ็กผู้พี่มอบตราสำหรับเมืองแลการทั้งปวงไว้แก่เรา แลตัวท่านผู้ทำนุบำรุงจะให้เรารักษาบ้านเมืองประการใดจึงจะมีความสุขสืบไป จิวยี่จึงว่า คำโบราณกล่าวไว้แต่ก่อนว่า ถ้าผู้ใดจะเปนเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนซึ่งมีสติปัญญาแลทหารที่มีฝีมือไว้จงมาก บ้านเมืองจึงจะปรกติสืบไป ถ้าผู้ใดทิ้งคำโบราณดังนี้เสีย เมืองนั้นก็จะเกิดอันตราย ซึ่งท่านได้เปนเจ้าเมืองครั้งนี้ จงคิดอ่านทำตามคำโบราณ บ้านเมืองจึงจะอยู่เปนสุข ซุนก๋วนจึงว่าพี่เราได้สั่งไว้ว่า การข้างในฝ่ายพลเรือนนั้นให้ปรึกษากับเตียวเจียว แลการฝ่ายทหารนั้นให้คิดอ่านด้วยท่าน
จิวยี่จึงแกล้งถ่อมตัวว่า เตียวเจียวนั้นมีสติปัญญามาก ควรตรึกตรองการพลเรือน ซึ่งซุนเซ็กสั่งให้ข้าพเจ้าช่วยทำนุบำรุงการฝ่ายทหารนั้น ข้าพเจ้าก็จะตั้งใจทำสนองคุณไปตามรู้ตามเห็น แต่เกรงอยู่ว่าซึ่งสติปัญญาข้าพเจ้าคิดไปไม่ถึง การทั้งปวงก็จะบกพร่องไป ข้าพเจ้าเห็นว่าโลซกชาวเมืองตังฉวนนั้นมีสติปัญญาเปนอันมาก ทรัพย์สิ่งสินก็บริบูรณทั้งมีกตัญญู เมื่อบิดาโลซกตายนั้น โลซกปรนนิบัติรักษามารดาบิดา แล้วเอาทรัพย์ให้ทานแก่คนยากไร้เนืองๆ แลเมื่อข้าพเจ้าคุมพรรคพวกประมาณสามร้อยอยู่ตำบลเจาเตี๋ยงนั้นพอเข้าแพง ข้าพเจ้ารู้ว่าโลซกมีเข้าอยู่สองยุ้ง ๆ ละสามพันถัง ข้าพเจ้าจึงพากันไปขออาหารโลซก ๆ ก็มีความยินดี ให้อาหารข้าพเจ้ายุ้งหนึ่ง ครั้นอยู่มาโลซกพามารดาแลครอบครัวไปอยู่ตำบลขยกโอ๋มารดาโลซกถึงแก่ความตาย โลซกนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเล่าจูเจี๋ยง บัดนี้เล่าจูเจี๋ยงชักชวนโลซกจะไปอยู่ด้วยเตงโป้เจ้าเมืองเจาอ๋อ โลซกนั้นยังไม่ไป ขอให้ท่านแต่งผู้มีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อม เชิญโลซกมาไว้จะได้ช่วยคิดการต่อไป
ซุนก๋วนได้ฟังดังนั้นมีความยินดี จึงว่าแก่จิวยี่ ซึ่งจะหาผู้ใดไปนั้นจะไม่เหมือนท่าน แล้วซุนก๋วนก็จัดแจงสิ่งของให้จิวยี่เอาไปให้โลซกเปนอันมาก จิวยี่ก็รับเอาของทั้งนั้น แล้วพาบ่าวไพร่ไปยังขยกโอ๋ จึงเอาของทั้งปวงให้โลซกแล้วว่า ซุนก๋วนรู้ว่าท่านมีสติปัญญา ทั้งน้ำใจก็โอบอ้อมอารี จึงให้เรามาเชิญท่านไป หวังจะให้ช่วยคิดการบำรุงบ้านเมืองให้อยู่เย็นเปนสุข โลซกจึงตอบว่า เราได้รับคำเล่าจูเจี๋ยงไว้ ว่าจะไปอยู่ด้วยเตงโป้เมืองเจาอ๋อ
จิวยี่จึงว่า เมื่อครั้งอองมังเปนขบถได้ราชสมบัตินั้น บ้านเมืองก็เปนจลาจลอยู่ ม้าอ้วนทหารนั้นจึงว่าแก่ฮั่นกองบู๊ว่า อันบ้านเมืองเปนจลาจลอยู่ฉนี้ ผู้ใดซึ่งมีฝีมือแลสติปัญญานั้นไม่ควรจะนิ่งอยู่ให้ท่านผู้ใหญ่มาหา ให้พิเคราะห์ตรึกตรองดูว่า ท่านผู้ใดซึ่งมีน้ำใจกว้างขวางโอบอ้อมอารีควรจะเปนเจ้านายได้ ก็ให้เร่งคิดอ่านเข้าอยู่ด้วย จะได้เปนที่พึ่งสืบไป บัดนี้ท่านแจ้งอยู่ว่าซุนก๋วนนายของเรานี้ มีน้ำใจกว้างขวางอารีรักทหารซึ่งมีฝีมือ ทั้งผู้มีสติปัญญาเปนอันมาก ประการหนึ่งถ้าผู้มีสติปัญญาจะว่ากล่าวทัดทานสิ่งใดซุนก๋วนก็เห็นด้วย แลน้ำใจเรานี้เห็นอยู่ว่า ท่านอยู่กับซุนก๋วนนั้นดีกว่าอยู่ที่อื่น ซึ่งเราว่าทั้งนี้ท่านดำริห์ดูจงควร
โลซกได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงรับว่าเราจะไป จิวยี่ก็พาโลซกมา ณ เมืองกังตั๋ง ซุนก๋วนเห็นโลซกมาก็มีความยินดี ออกมารับเข้าไปพูดจาปราไสย์ไต่ถามการสงครามแต่เช้าจนเที่ยง โลซกก็ว่ากล่าวบรรยายออกไปให้แจ้งได้ ซุนก๋วนมีความยินดีเปนอันมาก แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูโลซก ครั้นเวลาค่ำซุนก๋วนก็นอนพูดจากับโลซกเตียวเดียวกัน ซุนก๋วนมีความรักจึงเอาขาก่ายโลซกแล้วว่า ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติ แผ่นดินก็เปนจลาจลต่างๆ เราเห็นว่าบ้านเมืองจะร่วงโรยสาบสูญอยู่แล้ว ซึ่งเราได้รักษาเมืองแทนซุนเซ็กผู้พี่ เราคิดจะใคร่ทำการให้กว้างขวางใหญ่หลวงออกไป ให้เหมือนครั้งพระเจ้าจิ๋นบุนก๋งเสวยราชสมบัติ แลหัวเมืองทั้งปวงกล้าแขงทำการหยาบช้าต่างๆ ฝ่ายจิ๋นบุนก๋งกับเจ๋ฮวนก๋งเปนมหาอุปราช คิดอ่านปราบปรามหัวเมืองราบคาบอ่อนน้อมอยู่ในอำนาจสิ้น บ้านเมืองจึงเปนสุขสืบมา ซึ่งเราคิดทั้งนี้ท่านจะเห็นประการใด
โลซกจึงตอบว่า ท่านคิดทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่จะด่วนทำการใหญ่หลวงกว้างขวางให้เหมือนจิ๋นบุนก๋งกับเจ๋ฮวนก๋งนั้นยังไม่ ได้ ซึ่งแผ่นดินทุกวันนี้เปนจลาจลอยู่ เห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้จะไม่ครองราชสมบัติไปได้โดยปรกตินั้นก็จริง แต่บัดนี้โจโฉได้เปนมหาอุปราช มีสติปัญญาอยู่ ทั้งทหารก็มีฝีมือเปนอันมาก แลท่านจะคิดหักหาญเอาโดยเร็วนั้นไม่ได้ แลอ้วนเสี้ยวก็ทำศึกขับเคี่ยวกันอยู่กับโจโฉ อันเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วกับอุยจอเจ้าเมืองกังแฮนั้น เปนเสี้ยนหนามอยู่ใกล้เมืองเรา ขอให้ท่านคิดอ่านกำจัดเล่าเปียวกับอุยจอเสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดการใหญ่ต่อไป ซุนก๋วนได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับโลซกโดยความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าซุนก๋วนก็จัดแจงเงินทองเสื้อผ้าอย่างดีให้โลซกเปนอันมาก แล้วก็จัดแจงที่อยู่ให้โลซก ๆ รับสิ่งของทั้งปวงแล้วลาซุนก๋วนมาที่อยู่
ฝ่ายจูกัดกิ๋นซึ่งเปนพี่ชายขงเบ้งนั้น อยู่ ณ แดนเมืองเกงจิ๋ว มีสติปัญญาเปนเพื่อนรักกันกับโลซก ครั้นรู้ข่าวว่าโลซกไปอยู่เมืองกังตั๋ง จูกัดกิ๋นก็ไปเยือนโลซก ๆ มีความยินดีจึงชักชวนจูกัดกิ๋นให้เข้าอยู่ด้วยซุนก๋วน จูกัดกิ๋นก็ยอม โลซกจึงพาเข้าไปหาซุนก๋วน แล้วบอกว่าจูกัดกิ๋นนี้เปนเพื่อนของข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ยอมเข้ามาทำราชการอยู่ด้วยท่าน ซุนก๋วนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงเอาจูกัดกิ๋นไว้เปนที่ปรึกษา แล้วซุนก๋วนจึงหาฦๅกับที่ปรึกษาทั้งปวงว่า อ้วนเสี้ยวให้หนังสือมาถึงพี่เรา ให้ยกกองทัพไปช่วยกำจัดโจโฉเสียนั้น บัดนี้พี่เราก็ตาย ท่านทั้งปวงจะให้เราเข้าด้วยอ้วนเสี้ยวดีหรือ ๆ จะให้เราเข้าด้วยโจโฉดี จูกัดกิ๋นจึงว่า ซึ่งจะเข้าด้วยอ้วนเสี้ยวนั้นไม่ควร ขอให้เข้าด้วยโจโฉ ถ้าเห็นได้ท่วงทีแล้วจะได้คิดการใหญ่ต่อไป ซุนก๋วนเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตัดทางไมตรี ให้ตันจิ๋นถือกลับเอาไปให้อ้วนเสี้ยว
ฝ่ายโจโฉครั้นรู้กิตติศัพท์ว่าซุนเซ็กตายแล้ว จึงปรึกษาด้วยทหารทั้งปวงว่า ซุนเซ็กตายแล้ว บัดนี้ซุนก๋วนผู้น้องได้เปนใหญ่อยู่รักษาเมืองแทนพี่ เราจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋ง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เตียวเหียนจึงแกล้งอุบายว่า ซุนเซ็กตายแล้ว ซุนก๋วนกับญาติพี่น้องทั้งปวงก็ยังแต่งการศพซุนเซ็กอยู่ ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปรบเอาเมืองกังตั๋งในขณะนี้ คนทั้งปวงก็จะคระหานินทาได้ ประการหนึ่งถ้าท่านไปทำสงครามเสียท่วงที ก็จะอัปยศเปนอันมาก ท่านจงคิดอ่านเอาใจซุนก๋วนไว้ดีกว่า โจโฉเห็นชอบด้วย จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ตั้งซุนก๋วนเปนเจ้าเมืองกังตั๋ง เตียวเหียนนั้นเปนปลัด พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยอม แล้วโจโฉแต่งตราตั้งให้เตียวเหียนถือกลับไปให้ซุนก๋วน ซุนก๋วนแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี ทั้งได้เตียวเหียนกลับมา แล้วให้เตียวเจียวกับเตียวเหียนเปนขุนนางผู้ใหญ่สำหรับจัดแจงบ้านเมือง ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เตียวเหียนพาโกะหยงเข้าไปหาซุนก๋วนแล้วบอกว่า โกะหยงนี้เปนคนมีสติปัญญาสัตย์ซื่อยั่งยืน ไม่รู้เสพย์สุรายาเมา สมัคจะมาอยู่ด้วยท่าน ซุนก๋วนมีความยินดี จึงตั้งโกะหยงเปนขุนนางสำหรับตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎร แลซุนก๋วนนั้นบำรุงทหารเลี้ยงดูไพร่บ้านพลเมืองโดยขนบธรรมเนียมให้อยู่เย็น เปนสุข บรรดาราษฎรทั้งปวงแลเมืองขึ้นนั้นก็มีใจยินดีต่อซุนก๋วนเปนอันมาก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 26
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgndnlRNEhTQkhHWkU/view?resourcekey=0-0bXys8sglJNTsSZEe3OC1w
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #6 on:
22 December 2021, 10:45:31 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 27
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-27.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 27
เนื้อหา
อ้วนเสี้ยวยกไปรบโจโฉ
เขาฮิวที่ปรึกษาอ้วนเสี้ยวหนีไปอยู่กับโจโฉ
เตียวคับ โกลำ ทหารอ้วนเสี้ยวหนีไปอยู่กับโจโฉ
โจโฉตีทัพอ้วนเสี้ยวแตก
ฝ่ายตันจิ๋นครั้นกลับมาถึงเมืองกิจิ๋ว จึงเอาหนังสือนั้นให้แก่อ้วนเสี้ยว แล้วแจ้งเนื้อความว่า บัดนี้ซุนเซ็กตายแล้ว ซุนกวนได้เปนเจ้าเมือง ฝ่ายโจโฉก็คิดอ่านเกลี้ยกล่อมเอาใจ แล้วให้ส่งตราสำหรับที่เจ้าเมืองมาให้ซุนกวน บัดนี้ซุนกวนก็เปนใจเข้าด้วยโจโฉ อ้วนเสี้ยวเห็นหนังสือแลได้ฟังตันจิ๋นบอกดังนั้นก็โกรธ จึงเกณฑ์ทหารในเมืองกิจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเซียงจิ๋ว เมืองเป๊งจิ๋ว ได้ทหารทั้งสี่หัวเมืองเจ็ดสิบหมื่นเศษ คอยได้ฤกษ์เมื่อใดก็จะยกไปตีเมืองฮูโต๋
ฝ่ายแฮหัวตุ้นซึ่งโจโฉให้ตั้งขัดทัพอยู่ตำบลกัวต๋อ รู้กิตติศัพท์ดังนั้น ก็แต่งหนังสือบอกให้ม้าใช้ถือหนังสือขึ้นไปแจ้งแก่โจโฉ ๆ เห็นหนังสือดังนั้น จึงให้ซุนฮกอยู่รักษาเมือง แล้วเกณฑ์ทหารได้เจ็ดหมื่นห้าพัน ยกไปบัญจบกับแฮหัวตุ้น แล้วไปตั้งคอยทัพอ้วนเสี้ยวอยู่ตำบลแม่น้ำฮองโห
ฝ่ายเตียนฮองซึ่งต้องจำอยู่ในคุกนั้น ครั้นรู้ว่าอ้วนเสี้ยวจะยกไปตีเมืองฮูโต๋ จึงแต่งหนังสือให้ไปห้ามอ้วนเสี้ยวใจความว่า ธรรมดายังหาภัยไม่ก็อย่าให้คิดเอาภัยมาใส่ตัว ซึ่งท่านจะยกไปนั้นเห็นไม่ควร ขอให้งดตั้งมั่นป้องกันอยู่กับเมืองก่อน โจโฉก็คงไม่อาจยกล่วงมาทำอันตรายท่านได้ ประการหนึ่งคอยฟังดูท่วงที ถ้ารู้ว่าโจโฉทำศึกเพลี่ยงพล้ำแก่ผู้ใด จึงค่อยยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮูโต๋ก็จะได้โดยง่าย ถ้าท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้า จะขืนยกกองทัพไป เห็นจะปราชัยแก่โจโฉเปนมั่นคง
อ้วนเสี้ยวแจ้งในหนังสือแล้ว ยังมิได้ว่าประการใด ฮองกี๋แจ้งเนื้อความดังนั้น จึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ท่านจะเอาฤกษ์ยกกองทัพไป ซึ่งเตียนฮองว่ากล่าวมานี้เปนการปราชัย อ้วนเสี้ยวได้ฟังฮองกี๋ว่าก็โกรธ จะให้เอาตัวเตียนฮองมาฆ่าเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงก็ห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ท่านจะยกกองทัพไปทำการสงคราม จะมาฆ่าฟันผู้คนเสียนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ให้จำเตียนฮองไว้จงมั่นคง ถ้าเราไปได้ตัวโจโฉมาจึงจะฆ่าเสียให้พร้อมกัน ครั้นได้ฤกษ์อ้วนเสี้ยวก็ยกกองทัพไปถึงตำบลบู๊เอี๋ยง แล้วก็ให้หยุดทหารตั้งค่ายมั่นไว้
จอสิวจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ทหารเรามากก็จริง แต่ไม่กล้าหาญชำนาญในการสงครามเหมือนทหารโจโฉ อันสเบียงในกองทัพโจโฉนั้นน้อยกว่าเรา ท่านอย่าด่วนทำการโดยเร็ว จงคิดอ่านทำการหนักหน่วงไว้ให้ช้า แม้สเบียงในกองทัพโจโฉสิ้นแล้ว เห็นทหารระส่ำระสายเมื่อใด จึงยกกองทัพเข้าตีโจโฉก็จะแตกโดยง่าย อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เมื่อเราจะยกทัพมานี้ เตียนฮองเปนคนโทษบังอาจว่ากล่าวขัดขวาง บัดนี้ตัวซ้ำว่ากล่าวให้คิดหนักหน่วงไว้ให้ช้านั้นไม่ต้องด้วยขบวรศึก จึงให้เอาตัวจอสิวจำไว้ ถ้าสำเร็จการสงครามเมื่อใดจะให้ฆ่าเสียกับเตียนฮอง แล้วให้ทหารตั้งค่ายรายเรียงกันไปทางไกลประมาณเก้าร้อยเส้น
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉ ๆ ได้ฟังก็คิดว่าทหารอ้วนเสี้ยวยกมาครั้งนี้ มากกว่าทหารเราประมาณเก้าส่วนสิบส่วน โจโฉจึงปรึกษากับนายทหารทั้งปวงว่า อ้วนเสี้ยวคุมทหารมาเปนอันมาก ท่านจะคิดอ่านรบพุ่งประการใด ซุนฮิวจึงว่าจะกลัวอันใดกับอ้วนเสี้ยว ถึงทหารมากก็จริงแต่รบพุ่งไม่กล้าแขง ทหารเราน้อยแต่ว่าชำนาญในการสงคราม ถึงมาทว่าทหารเราน้อยกว่าอ้วนเสี้ยวสักสิบส่วน แต่ได้รบกันโดยเร็วแล้วก็จะไม่เปนไร ข้าพเจ้ามาคิดเกรงอยู่แต่อ้วนเสี้ยวจะหน่วงไว้ให้ช้า สเบียงอาหารเราก็น้อยนานไปจะขัดสน โจโฉจึงว่าท่านว่านี้ชอบนัก ต้องกับความคิดเรา แล้วโจโฉก็เกณฑ์ทหารยกออกมาจากค่ายจะรบกับอ้วนเสี้ยว
ฝ่ายสิมโพยแจ้งว่ากองทัพโจโฉยกมา จึงเกณฑ์ทหารเกาทัณฑ์หมื่นหนึ่ง ให้ออกซุ่มอยู่นอกค่ายสองข้างทางแล้วจึงว่า ถ้าได้ยินเสียงประทัดสัญญาเราจุดขึ้นเมื่อใด ก็ให้เร่งตีกระหนาบกองทัพโจโฉเข้ามา อ้วนเสี้ยวเห็นสิมโพยจัดทหารดังนั้นก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารยกออกไปตั้งอยู่นอกค่าย ครั้นแลเห็นกองทัพโจโฉยกมา อ้วนเสี้ยวจึงแต่งตัวใส่เกราะทอง กั้นสัปทนทอง พาเอาเตียวคับโกลำฮันเบ๋งอิเขง ออกยืนม้าอยู่หน้าทหารทั้งปวงทำเปนทีกล้า
ฝ่ายโจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวออกยืนอยู่หน้าทหาร ก็พาเอาเคาทูเตียวเลี้ยวซิหลงลิเตียน ขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร จึงเอาแซ่ม้าชี้เอาอ้วนเสี้ยวแล้วว่า เดิมเราได้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งท่านเปนขุนนาง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ เหตุใดท่านจึงคิดขบถ ยกกองทัพมาทำอันตรายเมืองฮูโต๋ให้เคืองถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนคนหามีกตัญญูไม่ อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ตัวเปนมหาอุปราชมิได้สัตย์ซื่อ คิดการใหญ่ล้ำลึก เปนศัตรูราชสมบัติยิ่งกว่าครั้งอองมังกับตั๋งโต๊ะอีก ซึ่งเรายกกองทัพมานี้ จะได้เปนขบถต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นหามิได้ เรามานี้หวังจะกำจัดตัวซึ่งเปนศัตรูแผ่นดินเสีย
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้เตียวเลี้ยวคุมทหารออกไปจะรบด้วยอ้วนเสี้ยว ๆ เห็นดังนั้นก็ให้เตียวคับคุมทหารออกไปต่อสู้ด้วยเตียวเลี้ยวได้ห้าสิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน โจโฉเห็นเตียวคับกล้าหาญ ก็สรรเสริญว่า เตียวคับมีฝีมือชำนาญในการสงคราม แล้วให้เคาทูออกมาช่วยเตียวเลี้ยว อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้น ก็ให้โกลำออกไปช่วยเตียวคับ แลนายทหารทั้งสี่คน รบพุ่งรับรองกันรวดเร็วดังโคมเวียน โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นกับโจหอง คุมทหารคนละสามพัน ยกไปโจมตีกระหนาบกองทัพอ้วนเสี้ยวอย่าให้ทันรู้ตัว สิมโพยเห็นทหารโจโฉลอบมาตีกระหนาบก็ให้จุดประทัดขึ้น ฝ่ายทหารซึ่งซุ่มอยู่สองกองนั้นก็ตีกระหนาบเข้ามา แฮหัวตุ้นกับโจหองต้านทานมิได้ ก็พาทหารทั้งปวงถอยหลังกลับมา อ้วนเสี้ยวเห็นได้ทีดังนั้น ก็ขับทหารไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉแตกไป โจโฉเห็นเหลือกำลัง ก็พาทหารทั้งปวงถอยไปตั้งค่ายมั่นอยู่เนินเขากัวต๋อ
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวก็คุมทหารตามไปตั้งประชิดค่ายโจโฉ สิมโพยจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตำบลกัวต๋อนี้เปนที่คับขันมั่นคง ถ้าคิดอ่านรบพุ่งได้ค่ายกัวต๋อแล้ว เมืองฮูโต๋ก็จะได้โดยง่าย ขอให้ท่านจัดทหารไว้รักษาค่ายแต่สิบหมื่น เหลือนั้นให้ไปขนมูลดินมากองเปนเนินขึ้นให้สูงกว่าค่ายโจโฉจงรอบ แล้วให้ทหารยิงเกาทัณฑ์รดมเข้าไปในค่าย เห็นโจโฉกับทหารทั้งปวงจะป้องกันไม่ได้ก็จะแตกไป เมื่อได้ตำบลกัวต๋อแล้วก็เหมือนกับได้เมืองฮูโต๋ อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วยก็ให้ทำตามคำสิมโพยว่า แลทหารอ้วนเสี้ยวตั้งกองขุดมูลดินห้าสิบกองขนมาถมวุ่นวายอยู่
ฝ่ายโจโฉเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าอ้วนเสี้ยวจะให้ถมมูลดินขึ้น แล้วจะให้ยิงเกาทัณฑ์รดมเข้ามาในค่าย โจโฉจึงสั่งทหารให้ยกออกไปตีทหารอ้วนเสี้ยว อย่าให้ขุดดินขนดินมาถมขึ้นได้ ทหารโจโฉกะเกณฑ์กันจะยกออกไปทำตามสั่ง ฝ่ายสิมโพยคิดเกรงโจโฉจะให้ทหารออกทำอันตรายแก่คนไปทำการ จึงแบ่งทหารซึ่งรักษาค่ายนั้นห้าหมื่น ล้วนถือเกาทัณฑ์ยกไปคอยรบ มิให้ทหารโจโฉออกมาจากค่ายได้ แลทหารอ้วนเสี้ยวทำการถมมูลดินถึงสิบวัน ถมเปนเนินสูงขึ้นรอบค่ายโจโฉได้ห้าสิบเนิน ใกล้ค่ายประมาณห้าวา อ้วนเสี้ยวจึงเกณฑ์ทหารเกาทัณฑ์ให้ขึ้นอยู่เปนอันมากทุกเนินแล้วสั่งว่า ถ้าได้ยินเสียงประทัดก็ให้พร้อมกันรดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในค่ายโจโฉ ทหารทั้งปวงก็ทำตามคำอ้วนเสี้ยวสั่ง
ฝ่ายทหารโจโฉซึ่งอยู่ในค่ายนั้น เห็นทหารอ้วนเสี้ยวรดมยิงเกาทัณฑ์เข้ามารอบค่าย จึงเอาพนังม้าแลโล่ปิดป้องกายบ้าง หลบหลีกซ่อนเร้นแอบค่ายขุดหลุมลงอยู่บ้าง ทหารอ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นก็ชวนกันตบมือหัวเราะแล้วร้องเยาะเย้ย โจโฉเห็นทหารทั้งปวงนั้นระส่ำระสาย จึงปรึกษาแก่นายทหารทั้งปวงว่า อ้วนเสี้ยวทำการทั้งนี้ ผู้ใดจะคิดแก้ไขประการใดได้บ้าง เล่าหัวจึงว่าบัดนี้ทหารอ้วนเสี้ยวอยู่ที่สูง ครั้นจะยกเข้าโจมตีทหารเราก็น้อย ขอให้ทำจักรยนตร์ใส่เกวียนบันทุกก้อนศิลา รุนออกไปแต่พอพ้นค่ายตรงกองดินทั้งสี่ด้าน จึงชักสายยนตร์ให้จักรพัดก้อนศิลานั้นขึ้นไป ถูกทหารอ้วนเสี้ยวก็จะกระจัดกระจายลงไปจากเนินดิน โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เล่าหัวทำจักรยนตร์ แล้วเอาเกวียนสเบียงสองร้อยเล่มมาบันทุกศิลาให้เต็ม เอาจักรนั้นใส่ลงกลางเกวียนเตรียมไว้ให้พร้อมแต่ในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าเห็นทหารอ้วนเสี้ยวขึ้นยิงเกาทัณฑ์อยู่บนเนินดิน โจโฉจึงให้ทหารรุนเกวียนซึ่งบันทุกศิลาไว้ด้านละห้าสิบเล่มนั้น ออกไปพ้นค่ายใกล้เนินดินประมาณสามวาเศษแล้วให้ชักสายยนตร์พร้อมกัน จักรยนตร์ก็พัดก้อนศิลาขึ้นไปบนเนินดินถูกทหารอ้วนเสี้ยวเจ็บปวดล้มตายเปน อันมาก ซึ่งเหลือนั้นไม่อาจอยู่ได้ก็ถอยหนีลงไปจากเนินดินสิ้น
อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้น จึงถามสิมโพยว่า ทหารเราซึ่งขึ้นอยู่บนเนินดินนั้น ก็ทำอันตรายโจโฉไม่ได้ กลับหนีลงมาสิ้นแล้ว ท่านจะคิดประการใด สิมโพยจึงว่า กลอุบายของข้าพเจ้ายังมีอีกอย่างหนึ่ง ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารขุดอุโมงค์เข้าไปริมค่ายโจโฉ ครั้นสำเร็จแล้ว เวลากลางคืนจึงให้ทหารลอบเข้าไปตามอุโมงค์ ทลุขึ้นในค่ายโจโฉ ไล่ฆ่าฟันผู้คนให้วุ่นวาย ทหารโจโฉไม่รู้ตัวก็จะแตกกระจัดกระจายไป อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารให้ไปขุดอุโมงค์นอกค่ายหลังกองดิน ทหารโจโฉเห็นดังนั้น จึงบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวให้ทหารมาขุดหลุมอยู่หลังเนินดินเปนอันมาก จะทำประการใดมิได้แจ้ง โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัย จึงถามเล่าหัวว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวทำดังนี้ท่านจะเห็นประการใด เล่าหัวจึงว่าอ้วนเสี้ยวจะคิดทำการเอาชัยชนะเราซึ่งหน้านั้นมิได้ จึงทำกลอุบายให้ทหารมาขุดดิน ประสงค์จะเดิรทางอุโมงค์เข้ามาทำร้ายเราในค่าย ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารขุดหลุมให้กว้างลึกสกัดไว้ริมนอกค่าย เห็นทหารอ้วนเสี้ยวจะทำการเข้ามาไม่ตลอด โจโฉเห็นชอบด้วย ครั้นเวลากลางคืนก็เกณฑ์ทหารให้ขุดหลุมตามคำเล่าหัวว่า
ฝ่ายทหารอ้วนเสี้ยว ขุดอุโมงค์มาถึงหลุมซึ่งโจโฉให้ขุดสกัดไว้นั้น ก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด ด้วยหลุมนั้นกว้างลึก จะข้ามเข้าไปก็ขัดสน จึงชวนกันกลับมาบอกเนื้อความแก่อ้วนเสี้ยว ๆ ได้ฟังดังนั้น ไม่รู้ที่จะคิดประการใดสืบไป จึงถอยทัพมาตั้งมั่นอยู่ไกลตำบลกัวต๋อ ห่างประมาณสามร้อยเส้น
ฝ่ายโจโฉตั้งรออ้วนเสี้ยวอยู่ตั้งแต่เดือนสิบจนถึงเดือนสิบเอ็ด ก็ไม่เห็นอ้วนเสี้ยวยกมาสู้รบ คิดจะถอยทัพกลับไปเมืองฮูโต๋ พอซิหลงกองตะเวนจับทหารอ้วนเสี้ยวได้คนหนึ่ง จึงเอาตัวมาให้โจโฉ ๆ จึงถามทหารนั้นว่า อ้วนเสี้ยวให้เองไปไหนมาจงบอกแต่โดยจริง แม้อำพรางไว้เราจะให้ตัดสีสะเสีย ทหารนั้นกลัวจึงบอกความตามจริงว่า ข้าพเจ้าเปนบ่าวฮันเบ๋ง อ้วนเสี้ยวให้ฮันเบ๋งไปขนสเบียงมาส่งกองทัพจะใกล้ถึงอยู่แล้ว ฮันเบ๋งใช้ให้ข้าพเจ้ามาสืบทางก่อน
ซุนฮิวได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่โจโฉว่า ฮันเบ๋งคนนี้เปนคนมีฝีมือกล้าหาญก็จริง แต่หาสติปัญญาไม่ แม้ท่านแต่งให้ทหารเอกคุมทหารเลวสักสามพัน ยกไปคอยสกัดชิงสเบียงอ้วนเสี้ยว เห็นจะได้โดยง่าย อ้วนเสี้ยวก็จะระส่ำระสายขัดสเบียงอาหารลง โจโฉจึงว่าเราจะให้ทหารผู้ใดไปจึงจะทำการได้ ซุนฮิวจึงว่า แต่มีฝีมือซิหลงก็พอจะสู้ฮันเบ๋งได้ โจโฉเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารสามพันให้ซิหลงกับสูฮวนยกไปตั้งสกัดอยู่ระหว่างเขาต้นทางซึ่ง ฮันเบ๋งจะคุมสเบียงมานั้น แล้วให้เตียวเลี้ยวกับเคาทูคุมทหารห้าพันยกหนุนไปภายหลัง ทหารทั้งนั้นก็ยกไปตามโจโฉสั่ง ครั้นเวลากลางคืน ฮันเบ๋งคุมเกวียนสเบียงสองพันมาถึงหว่างเขา เห็นซิหลงยืนสกัดทางอยู่ ฮันเบ๋งก็ขับม้าเข้ารบกับซิหลงเปนสามารถ ยังไม่แพ้ชนะกัน สูฮวนเห็นดังนั้น ก็คุมทหารตีกระหนาบลุกหลังเข้ามา ฆ่าทหารฮันเบ๋งล้มตายเปนอันมาก แล้วให้ทหารเอาเพลิงเผาเกวียนสเบียงนั้นเสีย ฮันเบ๋งเห็นสูฮวนไล่ฆ่าฟันทหารเข้ามา เห็นเหลือกำลังก็ควบม้าหนี แลทหารทั้งปวงก็แตกกระจายกันไป
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวอยู่ในค่าย เห็นแสงเพลิงสว่างขึ้นข้างทิศตวันตกก็คิดสงสัยอยู่ พอทหารซึ่งแตกนั้นมาถึง จึงบอกเนื้อความแก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เตียวคับกับโกลำคุมทหารรีบยกไปสกัดตีทหารโจโฉซึ่งเผาเกวียนสเบียงเสีย เตียวคับกับโกลำก็ลาอ้วนเสี้ยวคุมทหารไปคอยสกัดทางอยู่
ฝ่ายซิหลงกับสูฮวน ครั้นเผาเกวียนสเบียงเสียแล้ว ก็ยกกลับมาถึงกลางทาง เตียวคับกับโกลำเห็นซิหลงยกมา ก็คุมทหารเข้าโจมตีรบพุ่งกันเปนสามารถ พอเตียวเลี้ยวกับเคาทูยกมาก็ขับทหารเข้ารบกระหนาบ โกลำกับเตียวคับต้านทานมิได้ก็แตกกระจายไป ซิหลงเคาทูสูฮวนก็ไล่ฆ่าฟันทหารอ้วนเสี้ยวล้มตายเปนอันมาก แล้วก็ยกกลับมาตำบลกัวต๋อ แจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่โจโฉ ๆ ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ให้บำเหน็จรางวัลแก่ซิหลงแลทหารทั้งปวงเปนอันมาก
ฝ่ายฮันเบ๋งหนีไปถึงค่าย จึงแจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่อ้วนเสี้ยว ๆ ก็โกรธ จึงสั่งให้เอาตัวฮันเบ๋งไปฆ่าเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงช่วยกันขอโทษไว้ สิมโพยจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า อันการสงครามนี้ก็อาศรัยสเบียงอาหารเปนกำลัง บัดนี้สเบียงเราซ่องสุมไว้ตำบลอัวเจ๋า เกลือกโจโฉรู้จะยกไปชิงเอาได้ เราก็จะขัดสนด้วยสเบียง เห็นจะทำการศึกไม่ตลอด ขอให้แต่งทหารที่มีฝีมือไปรักษาตำบลอัวเจ๋าไว้ให้มั่นคง เราจะได้อาศรัยสเบียงเปนกำลังสืบไป อ้วนเสี้ยวจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ตำบลอัวเจ๋านั้นเราจัดแจงไว้มั่นคงอยู่แล้ว ให้ท่านรีบไปเมืองเงียบกุ๋นซึ่งเปนเมืองขึ้นของเรา ให้เร่งส่งสเบียงอาหารมาให้ทันทีอย่าให้ขาดได้ สิมโพยก็ลาอ้วนเสี้ยวไปยังเมืองเงียบกุ๋น ครั้นสิมโพยไปแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงให้อิเขงเปนนายกองทัพใหญ่ กับกุ๋ยง้วน จิ๋นฮัน กี๋จู๋ ลิอุยหอง เตียวโยยคุมทหารสองหมื่นไปอยู่รักษาตำบลอัวเจ๋า ขณะเมื่ออิเขงไปอยู่ตำบลอัวเจ๋านั้น มิได้เอาใจใส่กิจการสิ่งใด ชวนแต่พวกเพื่อนเสพย์สุรามิได้ขาด แม้ผู้ใดทัดทานก็กลับโกรธเอา แล้วว่ากล่าวอยาบช้าเปนอันมาก ทหารทั้งปวงก็กลัวอิเขง ไม่อาจห้ามปรามได้
ฝ่ายโจโฉตั้งอยู่ตำบลกัวต๋อนั้น สเบียงอาหารก็เบาบางลง โจโฉจึงให้ทหารถือหนังสือไปให้ซุนฮก ณ เมืองฮูโต๋ ในหนังสือนั้นเปนไจความว่า ในกองทัพเรานี้ขัดสนด้วยสเบียงอาหาร ให้ซุนฮกเร่งส่งสเบียงมาอย่าให้ขัดสนได้ ทหารรับเอาหนังสือนั้นแล้วก็ลาโจโฉไปจากค่ายทางประมาณสามร้อยเส้น ทหารกองตะเวนอ้วนเสี้ยวจับได้คุมเอาตัวไปให้เขาฮิวซึ่งเปนที่ปรึกษาผู้ใหญ่
เขาฮิวคนนี้เมื่อยังหนุ่มอยู่นั้น เปนเพื่อนรักกันกับโจโฉอยู่ก่อน ครั้นโจโฉไปทำราชการอยู่เมืองฮูโต๋ เขาฮิวจึงมาอยู่กับอ้วนเสี้ยว ครั้นนายกองตะเวนจับเอาทหารโจโฉมาให้ เขาฮิวให้คนค้นได้หนังสือซึ่งโจโฉให้ไปถึงซุนฮกนั้น เขาฮิวจึงเอาเนื้อความทั้งปวงนั้นเข้าไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว แล้วว่าโจโฉตั้งรอกันอยู่กับเราก็ช้านาน จนสเบียงอาหารก็ขัดสนลงแล้ว เมืองฮูโต๋ก็ว่างเปล่าอยู่ ขอให้ท่านแบ่งทหารวกไปตีเมืองฮูโต๋ แม้ได้เมืองฮูโต๋แล้ว โจโฉก็จะอยู่ในเงื้อมมือเราเปนมั่นคง อ้วนเสี้ยวจึงว่าโจโฉเปนคนมีสติปัญญาอยู่ ท่านอย่าเพ่อดูหมิ่น ซึ่งโจโฉแต่งหนังสือให้ทหารถือไปดังนี้ เปนกลอุบายจะให้เราแบ่งทหารให้ไปตีเมืองฮูโต๋ โจโฉจะได้ยกเข้าตีเมืองเราโดยง่าย เขาฮิวจึงว่าเมื่อสงครามได้ทีฉนี้แล้ว ท่านจะไม่ทำตามข้าพเจ้าว่า นานไปอันตรายจะถึงตัวท่าน ขณะเมื่อพูดกันอยู่นั้น พอทหารเอาหนังสือบอกของสิมโพยซึ่งไปเร่งสเบียงเมืองเงียบกุ๋นมาให้ อ้วนเสี้ยวรับเอาหนังสือมาดู ในหนังสือนั้นเปนใจความว่า ข้าพเจ้าจัดแจงสเบียงในเมืองเงียบกุ๋นนั้นก็เสร็จแล้ว บัดนี้มีผู้เอาเนื้อความมาฟ้องแก่ข้าพเจ้าว่า เขาฮิวเมื่ออยู่ ณ เมืองกิจิ๋วนั้น ทำการหยาบช้าให้คนทั้งปวงได้ความเดือดร้อน แล้วแต่งลูกหลานไปเที่ยวฉ้อเรียกเอาส่วยแก่ราษฎรชาวเมืองเจียงกุ๋น ข้าพเจ้าเอาตัวลูกหลานเขาฮิวนั้นมาถามก็รับเปนสัตย์สมคำผู้ฟ้อง บัดนี้ข้าพเจ้าให้จำไว้ ณ คุก
อ้วนเสี้ยวเห็นหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่เขาฮิวว่า ตัวมึงโกหกหยาบช้า ยังจะแบกหน้าเข้ามาปรึกษาการสงครามนั้นไม่ได้ ตัวกูแจ้งว่ามึงเปนเพื่อนกันกับโจโฉมาแต่ก่อน บัดนี้โจโฉให้สิบบลมามึงจึงคิดอ่านให้ลูกหลานมึงทำการฉนี้ หวังจะให้ไพร่บ้านพลเมืองแตกตื่นไป อันสีสะมึงนั้นกูฝากไว้กับกายมึงก่อน แต่นี้ไปมึงอย่าเข้ามาให้กูเห็นหน้าเลย เขาฮิวได้ฟังดังนั้นก็เดิรทอดใจใหญ่ออกมาที่อยู่ แล้วว่าตัวเรามีความสัตย์ซื่อเปนอันมาก จะว่ากล่าวสิ่งใดอ้วนเสี้ยวก็มิได้เชื่อถือ ฟังแต่คำคนพูดเท็จ บัดนี้สิมโพยแกล้งผูกพันเอาความชั่วมาใส่เราจนลูกหลานเราก็พลอยได้ความทุกข์ ทรมาน ซึ่งเราจะแบกหน้ากลับไปเมืองกิจิ๋วนั้น ก็จะได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวง แล้วเขาฮิวชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย
ฝ่ายทหารซึ่งสนิธของเขาฮิวเห็นดังนั้นจึงเข้ายุดกระบี่ไว้ แล้วค่อยพูดจาปลอบโยนห้ามปรามว่า ตัวท่านมีสติปัญญาเปนอันมาก แต่ความเพียงนี้จะมาด่วนฆ่าตัวตายเสียนั้นไม่ควร เมื่ออ้วนเสี้ยวมิฟังคำท่านแล้วจงคิดผ่อนผันเอาตัวรอด อุปมาเหมือนอยู่ที่มืด อุตส่าห์ทำความเพียรไปหาที่สว่าง ประการหนึ่งโจโฉกับท่านก็เปนเพื่อนรักกันมาแต่ก่อน แม้ท่านคิดอ่านผ่อนผันไปหา เห็นโจโฉจะเลี้ยงท่านถึงขนาด มิดีกว่าอยู่กับอ้วนเสี้ยวหรือ
เขาฮิวได้ฟังดังนั้นก็ได้สติขึ้น ครั้นเวลาค่ำจึงพาพรรคพวกซึ่งสนิธนั้นลอบไป ณ ค่ายโจโฉ แลทหารโจโฉซึ่งเปนกองตะเวนนั้นเห็นเขาฮิวพาพวกเพื่อนมา ก็ชวนกันจับเอาตัวไว้แล้วถามว่า ซึ่งชวนกันมาทั้งนี้จะประสงค์สิ่งใด เขาฮิวจึงบอกว่า ตัวเรานี้รู้จักกันมากับมหาอุปราช เราจึงมาหาด้วยความขัดสน ท่านจงส่งตัวเราเข้าไปให้ถึงมหาอุปราช ทหารกองตะเวนจึงไปบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้เขาฮิวชาวเมืองลำหยงมาหาท่าน
ขณะนั้นโจโฉนอนคิดการสงครามอยู่ ครั้นได้ฟังทหารแจ้งเนื้อความดังนั้นก็มีความยินดี มิทันได้แต่งตัวใส่เสื้อก็ลุกออกไปถึงประตูค่ายเห็นเขาฮิว โจโฉก็ตบมือดีใจยอบตัวลงคำนับ เขาฮิวเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงยุดมือโจโฉไว้แล้วว่า ตัวท่านเปนถึงมหาอุปราช ไม่ควรที่จะคำนับข้าพเจ้า โจโฉจึงตอบว่า ตัวท่านกับเราเปนเพื่อนรักกันมา ถึงเรามีวาสนาก็จริง แต่ใจเรานี้เสมออยู่เหมือนแต่ก่อน แล้วโจโฉก็พาเขาฮิวเข้าไปในค่าย เขาฮิวจึงว่าตัวข้าพเจ้าพลัดไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวนั้น เพราะคิดว่าจะฝากตัวให้มีความสุข จึงทำการโดยสุจริต อ้วนเสี้ยวมิได้เชื่อฟังแล้วว่าหยาบช้าต่อข้าพเจ้าให้ได้ความระกำใจ บัดนี้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้จึงบ่ายหน้ามาหาท่าน หวังจะทำราชการให้ท่านใช้สอยสืบไปกว่าจะสิ้นชีวิต โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะมาอยู่ด้วย เรามีความยินดีนัก การทั้งปวงของเราก็จะสำเร็จเพราะท่าน ๆ จงช่วยตักเตือนสั่งสอน เราจะได้ทำตามคำท่าน แล้วจะได้กำจัดอ้วนเสี้ยวเสีย เขาฮิวจึงว่า การทั้งนี้ข้าพเจ้าจะตั้งใจคิดอ่านสนองคุณท่านไปตามสติปัญญาแลฝีมือ ข้าพเจ้าอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยวนั้นข้าพเจ้าได้ว่า บัดนี้ตัวท่านยกทัพมาตั้งรบอยู่กับอ้วนเสี้ยว หาผู้ใดที่จะกล้าหาญอยู่รักษาเมืองไม่ ขอให้แบ่งทหารยกตลบหลังไปตีเอาเมืองฮูโต๋เห็นจะได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า แม้อ้วนเสี้ยวทำตามคำท่านเราก็เสียที
เขาฮิวจึงถามโจโฉว่า เข้าสเบียงในกองทัพท่านนี้ยังมีอยู่สักเท่าใด โจโฉเห็นว่าเขาฮิวนั้นถามหลักแหลม จึงแกล้งบอกว่า อันสเบียงของเรานั้นไม่สู้ขัดสนนัก พอจะเลี้ยงทหารได้สักปีหนึ่ง เขาฮิวจึงหัวเราะแล้วว่า ท่านเจรจาเกินนักเห็นจะไม่สม โจโฉจึงว่าเราจะบอกโดยจริง อันสเบียงของเรานี้พอจะกินได้กึ่งปี เขาฮิวเห็นโจโฉพูดจาอำพรางดังนั้นก็โกรธ จึงลุกขึ้นแล้วว่า ข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยมหาอุปราช คิดว่าจะทำราชการสนองคุณท่านโดยสุจริต บัดนี้ท่านแคลงอยู่ไม่ไว้ใจแล้ว ข้าพเจ้าก็จะลาท่านเที่ยวไปหาที่พึ่งกว่าจะได้ความสุข
โจโฉเห็นดังนั้นจึงยึดชายเสื้อเขาฮิวไว้แล้วว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธ เราจะบอกความสัตย์ สเบียงเราน้อยลงแล้ว จะเลี้ยงกันได้สักสามเดือน เขาฮิวจึงหัวเราะแล้วว่า กิตติศัพท์เขาเลื่องลือกันว่า มหาอุปราชจะพูดจาสิ่งใด มักเปนเล่ห์กลจะเชื่อฟังไม่ได้ บัดนี้ก็เห็นสมกับคำเขาว่า โจโฉได้ฟังเขาฮิวว่าดังนั้นก็มิได้โกรธ จึงหัวเราะแล้วว่า ท่านไม่รู้หรือ อันการสงครามจำอาศรัยเล่ห์กลจึงจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แล้วทำกระซิบบอกเขาฮิวว่า สเบียงเรายังอีกเดือนหนึ่งก็จะหมดแล้ว เขาฮิวโกรธร้องตวาดเอาโจโฉว่า จะลวงเราไปถึงไหน เราก็แจ้งอยู่ว่าสเบียงในกองทัพท่านนั้นหมดสิ้นแล้ว โจโฉตกใจจึงถามเขาฮิวว่า เหตุใดท่านจึงรู้ดังนี้
เขาฮิวจึงเอาหนังสือซึ่งโจโฉให้ไปถึงซุนฮกนั้นออกให้ดู โจโฉเห็นหนังสือนั้นแล้วจึงถามว่า ผู้ใดเอาหนังสือนี้ไปให้ท่าน เขาฮิวจึงบอกเนื้อความซึ่งจับผู้ถือหนังสือนั้นให้ฟังทุกประการ โจโฉเห็นเขาฮิวแจ้งเนื้อความทั้งปวงแล้ว กลัวจะแพร่งพรายไปจึงกำชับว่า ท่านอย่าได้บอกเนื้อความทั้งนี้แก่ผู้ใด จงช่วยกันกำจัดอ้วนเสี้ยว เขาฮิวก็รับคำแล้วจึงว่า ท่านทำศึกแก่อ้วนเสี้ยว บัดนี้ทหารอ้วนเสี้ยวมากกว่า ขอให้ท่านเร่งรัดกระทำการจึงจะได้ชัยชนะ ซึ่งจะตั้งรออยู่ฉนี้ก็จะเสียทีแก่อ้วนเสี้ยวเปนมั่นคง โจโฉจึงว่าท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ ความคิดของท่านจะทำประการใดได้บ้าง อ้วนเสี้ยวจึงจะแตกไปโดยเร็ว เขาฮิวจึงว่ากลอุบายของข้าพเจ้าคิดไว้อย่างหนึ่ง แม้ท่านทำตามข้าพเจ้าจะให้อ้วนเสี้ยวกับทหารทั้งปวงแตกไปแต่ในสามวัน โจโฉจึงถามว่า ความคิดท่านจะทำประการใด เขาฮิวจึงว่าอ้วนเสี้ยวมาทำการทั้งนี้ ได้ซ่องสุมสเบียงอาหารไว้ตำบลอัวเจ๋า ให้อิเขงอยู่รักษา อิเขงก็มิได้เอาใจใส่ เสพย์แต่สุรามิได้ขาด ทหารทั้งปวงก็ระส่ำระสายอยู่แล้ว ขอให้ท่านแต่งทหารปลอมเปนทหารอ้วนเสี้ยว ยกอ้อมค่ายอ้วนเสี้ยวไปตำบลอัวเจ๋า ถ้าผู้ใดทักทายให้บอกว่าเปนทหารเจียวกี๋ จึงลอบเข้าโจมตีเผาสเบียงอาหารอ้วนเสี้ยวเสีย อ้วนเสี้ยวเสียสเบียงแล้วก็จะแตกไปเปนมั่นคง
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงเขาฮิวแล้วเชิญให้อยู่ในค่าย ครั้นเวลาเช้าโจโฉจึงให้จัดทหารม้าพันหนึ่ง จะยกไปตำบลอัวเจ๋า เตียวเลี้ยวจึงลอบว่าแก่โจโฉว่า อ้วนเสี้ยวก็มีความคิดอยู่ แม้เอาสเบียงไปไว้ตำบลอัวเจ๋าจริง ก็จะแต่งทหารไว้รักษาเปนมั่นคง ซึ่งท่านเบาความมาเชื่อฟังเขาฮิวนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยเกลือกจะเปนกลของ อ้วนเสี้ยว ให้ท่านดำริห์ดูจงควรก่อน โจโฉจึงว่าท่านอย่าสงสัยเลย ซึ่งเขาฮิวจะลวงเรานั้นไม่เห็นสม แม้เขาฮิวเปนใส้ศึกจริง ก็เห็นไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วยเรา บัดนี้อ้วนเสี้ยวก็สิ้นวาสนา จะถึงที่ตายอยู่แล้ว จึงบันดาลให้ทำผิด จนเราแจ้งเนื้อความทั้งนี้ เราก็ได้ทีอยู่แล้ว แม้จะนิ่งไว้ไม่ทำตามคำเขาฮิวว่า สเบียงอาหารเราก็ขัดสน นานไปจะเสียทีแก่อ้วนเสี้ยว เตียวเลี้ยวจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชคิดนี้ก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าเกรงว่า แม้อ้วนเสี้ยวรู้ว่าท่านยกไปตำบลอัวเจ๋า จะยกทหารมาตีเอาค่าย ขอท่านคิดอ่านให้มั่นคงก่อน โจโฉจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งจะให้รักษาค่ายนั้นเราคิดไว้พร้อมแล้ว
โจโฉจึงให้ซุนฮิวกับกาเซี่ยงโจหองเขาฮิวสี่นายอยู่รักษาค่าย ให้แฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารเปนกองซุ่มอยู่นอกค่ายฝ่ายซ้าย ให้ลิเตียนกับโจหยินคุมทหารเปนกองซุ่มอยู่นอกค่ายฝ่ายขวา จึงกำชับว่าแม้อ้วนเสี้ยวจะยกมาตีเอาค่าย ก็ให้ช่วยกันป้องกันรักษาไว้อย่าให้เปนอันตรายได้ แล้วโจโฉจึงสั่งเคาทูเตียวเลี้ยวซิหลงอิกิ๋ม ให้จัดทหารม้าห้าพัน แต่งตัวปลอมเปนทหารอ้วนเสี้ยว แล้วเอาธงซึ่งมีสีเหมือนธงอ้วนเสี้ยวปักไป ให้เอามัดฟืนฟางซึ่งจะเผาตำบลอัวเจ๋านั้นบันทุกไปด้วย เกลือกข้างหน้าจะหาไม่ได้ทันที แล้วสั่งว่าเมื่อจะยกไปนั้น อย่าให้ผู้ใดพูดจากันอื้ออึงเปนอันขาด ครั้นเวลาค่ำโจโฉก็ยกออกจากค่าย จะไปตีตำบลอัวเจ๋า
ฝ่ายจอสิวซึ่งอ้วนเสี้ยวจำไว้ อยู่มาเวลาค่ำวันนั้น เห็นท้องฟ้าสว่างก็คิดกริ่งใจ จึงให้ผู้คุมคลายเครื่องจำเสียแล้วลุกออกไปนอกกองทัพ แหงนหน้าขึ้นดูท้องฟ้า เห็นดาววิปริตก็ตกใจ จึงคิดว่าอันตรายจะมีมาถึงนายเรา ครั้นจะนิ่งเสียบัดนี้ก็ไม่ชอบ จอสิวจึงให้ผู้คุมพาตัวเข้าไปหาอ้วนเสี้ยว ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวเสพย์สุราเมานอนหลับอยู่ พอทหารเข้าไปบอกว่า จอสิวเข้ามาแจ้งราชการ อ้วนเสี้ยวจึงให้จอสิวเข้ามาแล้วถามว่า ตัวเข้ามาหาเราด้วยธุระสิ่งใด จอสิวจึงว่า เวลาค่ำวันนี้ดาววิปริต ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าท่านจะได้ความเดือดร้อน จะมีผู้ลอบไปตีเอาสเบียงตำบลอัวเจ๋า ขอให้ท่านแต่งทหารไปคอยสกัดต้นทางไว้ อย่าให้ข้าศึกยกไปได้
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ด่าจอสิวว่ามึงเปนคนโทษ เหตุใดบังอาจมาเจรจาอวดรู้ดังนี้ แล้วว่าแก่ผู้คุมว่า จอสิวเปนคนโทษ เราให้เอาตัวไปจำไว้ เหตุใดตัวจึงบังอาจปล่อยให้เข้ามา อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้เอาตัวผู้คุมไปฆ่าเสีย แล้วก็จัดทหารให้คุมเอาตัวจอสิวไปจำไว้ดังเก่า จอสิวจึงทอดใจใหญ่แล้วว่า ท่านทั้งปวงจะตายในวันนี้พรุ่งนี้เปนมั่นคง จะเอาซากศพไว้ตำบลใดก็มิได้แจ้ง ว่าแล้วจอสิวก็ร้องไห้
ฝ่ายโจโฉยกผ่านค่ายอ้วนเสี้ยวไป ทหารกองตะเวนอ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นก็ร้องถามว่า กองทัพผู้ใดจะยกไปไหน ทหารโจโฉจึงบอกว่า อ้วนเสี้ยวใช้เจียวกี๋คุมทหารยกไปเอาสเบียงตำบลอัวเจ๋าเปนการเร็ว ทหารกองตะเวนได้ฟังดังนั้น แลเห็นธงสำหรับทัพอ้วนเสี้ยวก็คิดว่าจริง ขณะเมื่อโจโฉยกไปเวลากลางคืนวันนั้น พบทหารอ้วนเสี้ยวไต่ถามเปนหลายแห่ง ทหารโจโฉก็บอกเหมือนก่อน ทหารอ้วนเสี้ยวมิได้มีสงสัย ครั้นเวลาสองยามเศษโจโฉก็ยกมาถึงตำบลอัวเจ๋า จึงให้ทหารทั้งปวงมัดฟืนแลฟางจุดเพลิงรดมเผาฉางเข้าขึ้นให้ไหม้ แล้วให้ทหารโห่ร้องเข้าโจมตีชุมรุมอิเขง
ฝ่ายอิเขงเสพย์สุราเมานอนหลับอยู่แต่พลบค่ำ ครั้นได้ยินเสียงอื้ออึงก็ตกใจตื่นขึ้น วิ่งออกมาจะดูให้รู้ว่าเหตุการสิ่งใด ทหารโจโฉก็กลุ้มรุมกันจับตัวอิเขงได้ ฝ่ายกุยอ้วนจิ๋นกับเตียวโยย ซึ่งอิเขงให้คุมสเบียงไปส่งกองทัพอ้วนเสี้ยวนั้น กลับมาจะใกล้ถึงตำบลอัวเจ๋า พอเห็นแสงเพลิงตรงชุมรุมสว่างขึ้น ก็คุมทหารรีบมาช่วย
ฝ่ายทหารโจโฉเห็นกองทัพตามมาภายหลังเปนอันมาก โจโฉจึงว่าอย่าตกใจเลย ให้ตั้งหน้าทำการไปเถิด ซึ่งกองทัพยกตามมานั้น ไว้เปนพนักงานเราจะคิดอ่านแก้ไข ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เร่งจุดเพลิงต่อกันเข้าไป แล้วไล่ฆ่าฟันทหารอิเขงล้มตายเปนอันมาก ครั้นกุยอ้วนจิ๋นกับเตียวโยยยกตีกระหนาบหลังเข้ามา โจโฉเห็นดังนั้นก็ขับทหารซึ่งรักษาตัวให้กลับหน้ามารบพุ่งกันเปนสามารถ ทหารโจโฉเอาทวนแทงถูกกุยอ้วนจิ๋นกับเตียวโยยตกม้าตาย
ฝ่ายทหารอ้วนเสี้ยวในเวลากลางคืนวันนั้นเห็นแสงเพลิงสว่างขึ้นข้างทิศ เหนือ จึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่อ้วนเสี้ยว ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวนอนหลับอยู่ ตกใจตื่นขึ้นจึงลุกออกไปดู เห็นเพลิงไหม้ขึ้นข้างทิศเหนือก็แจ้งว่าโจโฉยกไปเผาสเบียงตำบลอัวเจ๋าเสีย จึงให้หาทหารทั้งปวงเข้ามาปรึกษา ว่าจะยกกองทัพไปช่วย เตียวคับจึงว่า ข้าพเจ้ากับโกลำจะขออาสายกทหารรีบไปช่วยป้องกันสเบียงไว้ กัวเต๋าจึงว่า ซึ่งเตียวคับกับโกลำจะยกไปนั้นไม่ได้ ด้วยโจโฉยกมาทำการเอง ขอให้ท่านเร่งคุมทหารไปตีเอาค่ายโจโฉ ถ้าโจโฉรู้ก็จะรีบยกกลับมาชิงเอาค่ายไว้ การซึ่งเราทำก็จะได้ทั้งสองฝ่าย เตียวคับจึงตอบว่า อันความคิดโจโฉนั้นลึกซึ้ง แลชำนาญในการสงคราม ถึงมาทว่าโจโฉยกไปทำการข้างโน้น เห็นจะแต่งทหารซึ่งมีฝีมือเตรียมไว้ป้องกันรักษาค่ายมิให้มีอันตราย ซึ่งจะให้ยกไปตีค่ายโจโฉนั้นเห็นจะเสียทีเปนมั่นคง ประการหนึ่งซึ่งจะยกไปช่วยอิเขงนั้น ดีร้ายโจโฉจะจับอิเขงได้ การซึ่งท่านคิดครั้งนี้เห็นจะเสียทีทั้งสองฝ่าย กัวเต๋าจึงอ้อนวอนอ้วนเสี้ยวว่า อันโจโฉยกไปนั้น เห็นจะมีแต่ทหารเลวอยู่รักษาค่ายขอให้ยกไปตามคำข้าพเจ้าเถิด อ้วนเสี้ยวเห็นชอบด้วยจึงให้เตียวคับกับโกลำคุมทหารห้าพันยกไปตีเอาค่ายโจโฉ แล้วให้เจียวกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งไปช่วยอิเขง ณ ตำบลอัวเจ๋า นายทหารทั้งสองกองก็ยกไปตามคำอ้วนเสี้ยวสั่งในเวลากลางคืน
ฝ่ายทหารโจโฉครั้นตีได้ตำบลอัวเจ๋าแล้ว เก็บได้เกราะแลอาวุธกับธงของอิเขงเปนอันมาก แลทหารซึ่งจับอิเขงได้ก็เอาตัวแลของทั้งปวงเข้ามาให้โจโฉ ๆ จึงให้ตัดนิ้วมือแลปากจมูกหูอิเขงเสีย แล้วให้มัดประจานปล่อยไป โจโฉจึงให้ทหารทั้งปวงเอาเกราะแลธงซึ่งได้ไว้นั้นใส่แต่งปลอมเปนทหารอิเขง ให้เคาทูกับเตียวเลี้ยวคุมไปหน้าแล้วสั่งว่าถ้าพบทหารอ้วนเสี้ยวแล้ว ให้ทำอาการบอกว่าเปนทหารอิเขงแตกโจโฉมา ครั้นจัดแจงสำเร็จแล้วก็ยกกลับมาถึงซอกเขาแห่งหนึ่ง พอพบกองทัพเจียวกี๋ ๆ จึงถามว่าทัพผู้ใดจะยกไปไหน เตียวเลี้ยวกับเคาทูจึงสอนให้ทหารตอบว่า เราเปนทหารอิเขง บัดนี้แตกหนีมา เจียวกี๋ได้ฟังดังนั้นหามีความสงสัยไม่ ก็เร่งทหารของตัวให้รีบขึ้นไป เตียวเลี้ยวกับเคาทูเห็นม้าเจียวกี๋ขึ้นมาใกล้ ก็ร้องตวาดว่ามึงจะคุมทหารไปแห่งใด เจียวกี๋เข้าอยู่ในระหว่างทหารโจโฉ ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จะต้านทานรบพุ่งก็ไม่ทันที เตียวเลี้ยวจึงเอาทวนแทงถูกเจียวกี๋ตกม้าตาย แล้วไล่ฆ่าฟันทหารทั้งปวงล้มตายเปนอันมาก แล้วเตียวเลี้ยวจึงให้ทหารซึ่งแต่งตัวปลอมเปนทหารอ้วนเสี้ยวนั้นรีบขึ้นไป ข้างหน้าร้องประกาศแก่อ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้เจียวกี๋ยกไปฆ่าฟันทหารโจโฉเสียเปนอันมาก แลกิตติศัพท์ทั้งนี้แจ้งไปถึงอ้วนเสี้ยว ๆ มิได้รู้กลอุบายก็มีความยินดี จึงมิได้เกณฑ์ทหารหนุนไปช่วยเจียวกี๋ อ้วนเสี้ยวจึงจัดทหารให้หนุนไปช่วยเตียวคับโกลำ ซึ่งไปปล้นค่ายโจโฉนั้น
ฝ่ายเตียวคับโกลำครั้นมาถึง ก็คุมทหารเข้าปล้นค่ายโจโฉ โจหองซึ่งอยู่รักษาค่ายนั้นก็คุมทหารออกรบพุ่งป้องกันเปนสามารถ แลแฮหัวตุ้นแฮหัวเอี๋ยนโจหยินลิเตียน ซึ่งเปนกองซุ่มซ้ายขวา ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามา ฆ่าฟันทหารอ้วนเสี้ยวล้มตายเปนอันมาก เตียวคับกับโกลำต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา พบทหารซึ่งอ้วนเสี้ยวให้หนุนมา แลโจหองกับกองซุ่มทั้งสี่นายนั้น ก็คุมทหารตีกระหนาบเตียวคับโกลำไปเปนสามด้าน
ฝ่ายโจโฉยกกองทัพมาเห็นดังนั้น ก็ขับทหารเข้าตีกระหนาบหลังทหารอ้วนเสี้ยวไว้เปนสี่ด้าน เตียวคับกับโกลำต้านทานมิได้ ก็พาทหารรบฝ่าหนีออกไปได้ ฝ่ายอิเขงซึ่งโจโฉทำโทษแล้วมัดปล่อยมา พอทหารซึ่งแตกตื่นมาก็พากันขึ้นไปหาอ้วนเสี้ยว ณ ค่าย อ้วนเสี้ยวเห็นอิเขงเจ็บปวดเปนสาหัสจึงถามว่า เหตุใดจึงเสียทีมาฉนี้ ทหารซึ่งแตกมาด้วยนั้นบอกแก่อ้วนเสี้ยวว่า เมื่ออิเขงไปอยู่ ณ ตำบลอัวเจ๋านั้น มิได้เปนใจตรวจตรารักษาสเบียงอาหาร ตั้งแต่เสพย์สุราทุกเวลามิได้ขาด ครั้นโจโฉยกไปตีจับอิเขงได้ ให้ตัดนิ้วมือแลปากจมูกหูแล้วมัดปล่อยมา อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกฟันอิเขงตัวขาดตาย
ขณะนั้นกัวเต๋าครั้นรู้ข่าวว่า เตียวคับโกลำเสียทีแก่ทหารโจโฉดังนั้นก็คิดเกรงว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวให้เตียวคับกับโกลำไปทำการทั้งนี้ก็เพราะความคิดของเรา บัดนี้เตียวคับโกลำเสียทีแล้ว แลอ้วนเสี้ยวก็จะติโทษเราเปนอันมาก จำจะคิดอ่านเข้าไปว่ากล่าวให้อ้วนเสี้ยวโกรธเตียวคับโกลำ ตัวเราจึงจะพ้นโทษ แล้วก็เข้าไปบอกแก่อ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้เตียวคับโกลำซึ่งไปปล้นค่ายโจโฉนั้น รู้กิตติศัพท์ว่าท่านเสียสเบียงอาหารก็มีความยินดี อ้วนเสี้ยวจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงว่าเตียวคับกับโกลำมีความยินดี กัวเต๋าจึงบอกว่าข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าอันเตียวคับโกลำนั้น คิดอ่านเอาใจออกหากท่านช้านานมาแล้วแต่ยังมิได้ที ครั้นท่านให้ยกกองทัพไปครั้งนี้ก็ไม่เปนใจทำการแกล้งให้เสียทีแก่โจโฉ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นเชื่อถือว่าจริง มีใจโกรธอยู่เปนอันมาก จึงให้ทหารตามไปหาตัวเตียวคับโกลำกลับมาหวังจะทำโทษ ทหารรับคำอ้วนเสี้ยวแล้วก็ลาไป
กัวเต๋าเห็นอ้วนเสี้ยวเชื่อฟังแล้วก็กลับมา แล้วก็สั่งคนสนิธให้รีบไปบอกกับเตียวคับโกลำก่อนว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวโกรธว่าไปทำการให้เสียที จะให้หาตัวมาฆ่าเสีย คนใช้กัวเต๋าก็รีบออกไปบอกเนื้อความแก่เตียวคับโกลำทุกประการ เตียวคับโกลำรู้ดังนั้นยังคิดอ่านกันอยู่ พอทหารอ้วนเสี้ยวมาบอกว่า อ้วนเสี้ยวให้หากลับไป เตียวคับโกลำจึงถามว่าซึ่งอ้วนเสี้ยวให้มาหาเราให้เร่งกลับไปนั้น ด้วยเหตุประการใด ตัวยังรู้บ้างหรือไม่ ทหารจึงบอกว่าไม่แจ้ง โกลำก็โกรธชักกระบี่ออกฟันทหารนั้นตาย
เตียวคับเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงถามโกลำว่าเหตุใดท่านจึงฆ่าทหารอ้วนเสี้ยวเสียฉนี้ โกลำจึงว่า อันน้ำใจอ้วนเสี้ยวนั้นมิได้เลี้ยงคนสัตย์ซื่อโดยปรกติ มักเชื่อฟังคำคนชั่วยุยง ซึ่งให้มาหาเราทั้งสองไปบัดนี้ ก็จะฆ่าเสียเหมือนคำคนใช้กัวเต๋ามาบอก ถึงมาทว่าครั้งนี้จะรอดชีวิตอยู่ นานไปก็จะตายด้วยฝีมือทหารแลความคิดโจโฉ บัดนี้เราจะชวนกันไปอยู่ค่ายโจโฉ ทำราชการอาสาจึงจะมีความสุขสืบไป เตียวคับเห็นชอบด้วย จึงพาทหารทั้งปวงไป ณ ค่ายโจโฉ แล้วบอกแก่ทหารโจโฉว่า เราทั้งสองชื่อว่าเตียวคับโกลำ สมัคเข้ามาจะทำราชการด้วยมหาอุปราช ทหารจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่โจโฉ
แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่โจโฉว่า อันเตียวคับกับโกลำนั้นเปนทหารเอกของอ้วนเสี้ยว บัดนี้ท่านกับอ้วนเสี้ยวทำสงครามขับเคี่ยวกันอยู่ ซึ่งเตียวคับกับโกลำจะสมัคเข้ามาทำราชการอยู่ด้วยท่านนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเปนกลอุบาย ท่านอย่าเพ่อไว้ใจก่อน โจโฉจึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ ซึ่งโกลำกับเตียวคับจะทำเปนกลศึกมาประการใดเราก็พอจะรู้ถึง จะกลัวอะไรแก่ความคิดเพียงนี้ ถ้าอยู่ด้วยเราโดยสุจริต เราก็จะเลี้ยงตามปรกติ แล้วให้ทหารออกไปหาตัวเตียวคับโกลำเข้ามา เตียวคับโกลำคำนับโจโฉแล้ว จึงเล่าเนื้อความแต่หลังซึ่งอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยวนั้นให้ฟังทุกประการ บัดนี้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้จึงพากันหนีมา จะขออยู่เปนทหารท่าน
โจโฉได้ฟังดังนั้น จึงแกล้งยกย่องเตียวคับโกลำว่า อ้วนเสี้ยวนั้นก็มีทหารเปนอันมาก ถ้าฟังคำท่านทั้งสองก็จะไม่เสียสเบียงอาหาร แลการทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยง่าย หากบุญเรามากจึงพเอิญให้อ้วนเสี้ยวไม่เชื่อฟังท่าน ซึ่งเราได้ท่านทั้งสองมาไว้ จะทำการศึกกับอ้วนเสี้ยวสืบไป ก็จะสำเร็จเพราะสติปัญญาแลฝีมือท่านทั้งสอง แล้วโจโฉก็ตั้งให้เตียวคับโกลำเปนนายทหาร เตียวคับโกลำเห็นโจโฉเลี้ยงดูเปนปรกติก็มีความยินดีเปนอันมาก แล้วว่าแก่โจโฉว่า ท่านจะยกทัพไปรบกับอ้วนเสี้ยวเมื่อใด ข้าพเจ้าจะขออาสาเปนทัพหน้าไปทุกครั้ง ขณะนั้นทหารในกองทัพอ้วนเสี้ยวรู้ว่า เขาฮิวเตียวคับโกลำไปอยู่ด้วยโจโฉ ทั้งสเบียงอาหารตำบลอัวเจ๋านั้นเพลิงก็ไหม้เสียสิ้น ก็ชวนกันเสียน้ำใจ คิดอิดโรยย่อท้ออยู่ทุกคน
ฝ่ายเขาฮิวจึงว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้ศึกได้ทีอยู่แล้ว ขอให้ท่านยกกองทัพไปรบอ้วนเสี้ยว โจโฉเห็นชอบด้วย ก็กะเกณฑ์ทหารให้เตียวคับโกลำยกไปปล้นค่ายอ้วนเสี้ยว ครั้นเวลาประมาณสองยามเศษ เตียวคับโกลำก็คุมทหารยกไปปล้นค่ายอ้วนเสี้ยว ๆ ก็ให้ทหารออกรบพุ่งป้องกันไว้เปนสามารถ เตียวคับโกลำฆ่าฟันทหารอ้วนเสี้ยวล้มตายเปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวคับโกลำก็พาทหารกลับมาแจ้งเนื้อความแก่โจโฉตามซึ่งรบ พุ่งกันนั้นทุกประการ โจโฉก็มีความยินดี
ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า อันทหารในกองทัพอ้วนเสี้ยวนั้น เห็นจะอิดโรยระส่ำระสายอยู่แล้ว ขอให้แต่งทหารไปพูดจาเปนคำเล่าลือว่า บัดนี้ท่านให้ยกกองทัพไปตีเมืองเงียบกุ๋น ซึ่งส่งสเบียงอ้วนเสี้ยวกองหนึ่งไปตั้งสกัดตำบลลิหยง ต้นทางจะไปเมืองกิจิ๋วนั้นกองหนึ่ง ถ้ากิตติศัพท์รู้ถึงอ้วนเสี้ยวดังนี้ อ้วนเสี้ยวก็จะแบ่งทหารไปช่วยเมืองเงียบกุ๋นกองหนึ่ง ไปตีทัพซึ่งตั้งสกัดทางอยู่นั้นกองหนึ่ง ทหารอ้วนเสี้ยวก็จะเบาบางลง ท่านจึงคุมทหารเข้าโจมตีเอาค่ายอ้วนเสี้ยวเห็นจะแตกไปเปนมั่นคง โจโฉเห็นชอบด้วย จึงจัดทหารให้ไปเที่ยวพูดจาแก่ชาวบ้านนอกทุกแห่งทุกตำบลตามคำซุนฮกว่า
ฝ่ายทหารอ้วนเสี้ยวรู้กิตติศัพท์เลื่องลือดังนั้น ก็เอาเนื้อความไปบอกแก่อ้วนเสี้ยว ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้อ้วนซงผู้บุตรคุมทหารห้าหมื่นรีบไปช่วยรักษาเมืองเงียบกุ๋น อย่าให้เสียสเบียงอาหารได้ แล้วให้ซินเบ้งคุมทหารห้าหมื่น ยกไปตีกองทัพซึ่งไปตั้งสกัดอยู่ตำบลลิหยง อ้วนซงกับซินเบ้งก็คุมทหารคนละห้าหมื่นยกแยกกันไป
ฝ่ายโจโฉรู้กิตติศัพท์ดังนั้น ก็จัดแจงทหารยกแยกเปนแปดกองเข้าตีค่ายอ้วนเสี้ยว แลเหล่าทหารอ้วนเสี้ยวนั้นย่อท้อไม่เปนใจที่จะรบพุ่ง ด้วยกลัวอำนาจโจโฉนั้นเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นก็ตกใจไม่ทันใส่เกราะจึงพาอ้วนถำผู้บุตรแลทหารประมาณ แปดร้อยเศษ ทิ้งค่ายแลตราสำหรับที่กับทรัพย์สิ่งของเสีย รีบฝ่าหนีออกข้ามแม่น้าฮองโหไป
ในขณะนั้นทหารโจโฉฆ่าฟันทหารอ้วนเสี้ยวล้มตายเปนอันมาก แต่เตียวเลี้ยวเคาทูกับอิกิ๋มซิหลง ขับม้าคุมทหารไล่อ้วนเสี้ยวไปถึงริมฝั่ง ครั้นเห็นอ้วนเสี้ยวข้ามแม่น้ำไปแล้วก็พากันกลับมา จึงเข้าไปเก็บเอาทรัพย์สิ่งสินของอ้วนเสี้ยวนั้นมาให้แก่โจโฉ ๆ จึงเอาเงินทองเสื้อผ้านั้นแจกทหารทั้งปวงตามสมควร แลนายทหารสิบคน ก็เอาหนังสือซึ่งได้มาแต่ค่ายอ้วนเสี้ยวนั้นให้แก่โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือนั้นมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้านายทหารเปนหลายคน ซึ่งมาในกองทัพโจโฉนี้ขอคำนับมาถึงอ้วนเสี้ยว ถ้าโจโฉเสียทีแก่ท่าน ข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอชีวิตไว้ ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงว่าแก่โจโฉว่า ขอให้ท่านพิจารณาเอาตัวผู้ผิด ซึ่งลอบให้หนังสือไปแก่อ้วนเสี้ยวให้จงได้ โจโฉแจ้งดังนั้นก็นึกแต่ในใจว่า ถ้าพิจารณาตามหนังสือนี้ก็จะได้ตัวอยู่ แต่บันดาผู้ผิดนั้น ก็จะแกล้งซัดผู้ซึ่งมิได้รู้เห็น ทหารทั้งปวงก็จะพลอยช้ำชอกวุ่นวายไป แล้วว่าซึ่งเราจะพิจารณานั้นไม่ควร ด้วยนายทหารทั้งนี้จะได้คิดร้ายต่อเรานั้นหามิได้ หากเกรงว่าอ้วนเสี้ยวนั้นมีทหารมากกว่า เกลือกเราจะเพลี่ยงพล้ำ จึงว่ากล่าวไปแก่อ้วนเสี้ยวหวังจะฝากตัวไว้ มาทว่าจะพิจารณาได้ตัวแล้ว ซึ่งจะลงโทษเขานั้นไม่ได้ ถ้าตัวเราเมื่ออยู่หว่างศึกนั้น ก็ปิ้มจะรักษาตัวไม่รอด แล้วโจโฉก็เอาหนังสือเผาไฟเสีย
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 27
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnSDBDQXpEaURpR0U/view?resourcekey=0-u1XKa1CeT59zkpc8UL2Ifw
«
Last Edit: 22 December 2021, 10:49:45 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #7 on:
22 December 2021, 10:56:15 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 28
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-28.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 28
เนื้อหา
โจโฉยกทัพตามอ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวคิดจะตั้งอ้วนชงเป็นทายาท
อ้วนเสี้ยวคุมทัพกลับมารบกับโจโฉก็แตกอีก
เล่าปี่ยกทัพมารบโจโฉ
เล่าปี่เสียทัพหนีไปอยู่กับเล่าเปียว
ขณะเมื่ออ้วนเสี้ยวแตกไปนั้น ทหารโจโฉกองหนึ่งเข้าไปในค่ายเห็นจอสิวต้องจำอยู่ก็เอาตัวมาให้โจโฉ ๆ เห็นทหารได้จอสิวมา จึงสั่งให้ถอดเครื่องจำออกเสีย แล้วว่าเรากับจอสิวรู้จักกันมาแต่ก่อน จอสิวเห็นโจโฉทำดังนั้น ก็รู้ว่าโจโฉจะเกลี้ยกล่อมเอาไว้ด้วย จึงร้องว่าอ้ายโจโฉมึงอย่าพักมาเกลี้ยกล่อมกูเลย กูหาอ่อนน้อมต่อมึงไม่
โจโฉได้ฟังจอสิวว่าหยาบช้าดังนั้นมิได้มีความโกรธ จึงเอาเงินทองเสื้อผ้าให้แก่จอสิว แล้วว่าอ้วนเสี้ยวนั้นเปนคนหาสติปัญญามิได้จึงไม่เลี้ยงท่านให้ถึงขนาด แม้เราได้ท่านมาไว้ด้วย เราจะคิดอ่านกำจัดอ้วนเสี้ยวเสียก็จะได้โดยง่าย เหตุใดท่านยังคิดรักอ้วนเสี้ยวอยู่อีกเล่า จอสิวมิได้ตอบประการใด โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงจอสิว
ครั้นเวลากลางคืนจอสิวจึงลักม้าได้ตัวหนึ่ง แล้วก็ลอบควบหนีจะไปหาอ้วนเสี้ยว ทหารโจโฉจับจอสิวได้ เอาตัวมาส่งให้แก่โจโฉ ๆ จึงว่าจอสิวไม่พอใจอยู่ทำราชการด้วยเรา แล้วก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย แล้วโจโฉได้คิด ว่าเราให้ฆ่าจอสิวอันมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อนายนั้นไม่ควร จึงให้แต่งการศพแล้วเอาไปฝังไว้ฟากแม่น้ำฮองโห จึงให้เอาศิลามาจาลึกอักษรไว้ว่า จอสิวนี้มีความสัตย์สุจริตรักนายเปนอันมาก ผู้ใดจะทำการไปภายหน้า จงดูเยี่ยงอย่างจอสิวนี้เถิด แล้วโจโฉก็จัดทหารรีบยกข้ามแม่น้ำฮองโหไป หวังจะตามอ้วนเสี้ยว ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวกับทหารแปดร้อยยกหนีไปถึงแดนเมืองลิหยง
ฝ่ายเจียวหงีซึ่งอ้วนเสี้ยวให้อยู่รักษาเมืองลิหยงนั้น เกรงว่าโจโฉจะยกมาทำอันตราย จึงกะเกณฑ์ทหารออกตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ครั้นรู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวเสียทีแก่โจโฉ หนีมาถึงแดนเมืองดังนั้น ก็ออกมารับอ้วนเสี้ยวเชิญเข้าไปในค่าย อ้วนเสี้ยวจึงเล่าเนื้อความให้เจียวหงีฟังทุกประการ แล้วอ้วนเสี้ยวกับเจียวหงีก็อยู่ในค่าย
ฝ่ายทหารอ้วนเสี้ยวซึ่งแตกโจโฉมา รู้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวเข้าอยู่ในค่ายลิหยงก็มีความยินดี จึงชวนกันเข้าไปหาอ้วนเสี้ยว ๆ ได้ทหารขึ้นเปนอันมาก คิดจะยกไปรบโจโฉ จึงยกออกจากค่ายลิหยงจะไปเมืองกิจิ๋ว ครั้นถึงกลางทางพอเวลาค่ำ อ้วนเสี้ยวจึงให้หยุดทหารอยู่ริมเชิงเขาแห่งหนึ่ง อ้วนเสี้ยวอยู่ในกองทัพ ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ภายนอก อ้วนเสี้ยวคิดสงสัยจึงลุกออกไปลอบฟังดู ได้ยินเสียงทหารร้องไห้รักพี่น้องซึ่งตายบ้าง ร้องไห้ร่ำว่าแม้นายเราฟังคำเตียนหองว่ากล่าวแล้ว ไหนเลยจะได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ถ้าเราฟังคำเตียนหองห้ามปราม ทหารเราก็จะไม่มีอันตราย ซึ่งเราจะกลับเข้าไปเมืองกิจิ๋วนั้น ก็อายแก่เตียนหองเปนอันมาก แต่จำจะไปให้ถึงก่อน จะได้คิดการแก้แค้นโจโฉ ครั้นเวลารุ่งเช้าอ้วนเสี้ยวก็คุมทหารยกล่วงไป พอพบฮองกี๋ซึ่งเปนที่ปรึกษาขี่ม้าพาทหารมา อ้วนเสี้ยวจึงว่าแก่ฮองกี๋ว่า เราไปทำศึกครั้งนี้เสียทีโจโฉมา เพราะเหตุว่าเรามิได้ฟังคำเตียนหองห้าม ซึ่งเราจะกลับไปเมืองบัดนี้ ให้คิดอายเตียนหองนัก
ฮองกี๋จึงแกล้งยุยงว่า เตียนหองซึ่งต้องจำอยู่ในคุกนั้น รู้กิตติศัพท์ว่าท่านแตกโจโฉมาก็ตบมือหัวเราะ แล้วว่าเพราะท่านมิฟังคำให้เอาเตียนหองไปจำไว้ บัดนี้ก็สมเหมือนคำเตียนหองว่า อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าดูดู๋เตียนหองมันบังอาจตบมือหัวเราะเยาะได้ กูจะไว้ชีวิตมันสืบไปไม่ได้ จึงเอากระบี่นั้นส่งให้ทหารแล้วสั่งว่า จงรีบไปให้ถึงเมืองก่อน เอาตัวเตียนหองออกมาฆ่าเสีย ทหารนั้นก็รับเอากระบี่ไป
ฝ่ายผู้คุมจึงว่าแก่เตียนหองว่า ตัวข้าพเจ้าเปนผู้น้อย สืบไปภายหน้าจะขอพึ่งบุญท่าน เตียนหองจึงถามผู้คุมว่า ตัวเราเปนคนโทษเหตุใดท่านมาเจรจาดังนี้ ผู้คุมจึงตอบว่า เดิมท่านได้ห้ามปรามอ้วนเสี้ยวว่าอย่าเพ่อยกทัพไป ถ้าจะขืนยกไปก็จะปราชัยแก่โจโฉ อ้วนเสี้ยวไม่ฟังท่าน ขืนยกไปทำการศึกจนแตกมา ข้าพเจ้าเห็นว่าสมคำท่านห้าม อ้วนเสี้ยวจะได้ถอดท่านออกแล้ว จะนับถือเชื่อฟังเลี้ยงดูท่านสืบไป ข้าพเจ้าจึงว่าจะฝากตัวท่านไว้ เตียนหองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ซึ่งท่านจะฝากตัวเรานั้นขอบใจแล้ว ถ้าอ้วนเสี้ยวกลับมาถึงเมื่อใด เราก็จะถึงแก่ความตายเมื่อนั้น ผู้คุมจึงว่าคนทั้งปวงพูดจากันว่า ท่านห้ามไว้ก็ต้องกับคำท่านเห็นอ้วนเสี้ยวจะเลี้ยงดูท่านเปนปรกติ เหตุใดท่านจึงว่าจะตายเล่า เตียนหองก็ตอบว่า ถ้าอ้วนเสี้ยวมีชัยชนะมา เห็นจะไว้ชีวิตเรา บัดนี้แตกมาต้องกับคำเราว่า เห็นจะมีความอัปยศแก่เรา จะให้ฆ่าเราเสียเปนมั่นคง ด้วยเหตุว่าน้ำใจอ้วนเสี้ยวนั้นถือมานะอยู่ว่าตัวเปนใหญ่ มิได้เอาความคิดผู้ใด ทำอาการประหนึ่งว่าตัวนั้นกล้าหาญมีสติปัญญาลึกซึ้งหาผู้ใดจะเสมอมิได้ ผู้คุมได้ฟังดังนั้นก็ยังคิดสงสัยอยู่ พอทหารอ้วนเสี้ยวถือกระบี่เข้ามาบอกแก่ผู้คุมว่า อ้วนเสี้ยวใช้เรามาให้ฆ่าเตียนหองเสีย จงเร่งเอาตัวออกมา เราจะฆ่าเสียตามอ้วนเสี้ยวสั่ง
เตียนหองได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ผู้คุมว่า เรารู้น้ำใจอ้วนเสี้ยวอยู่ เราจึงบอกเนื้อความให้ฟังท่านไม่ใคร่จะเชื่อ ผู้คุมได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ เตียนหองจึงว่าท่านจะโศกเสร้าไปใยให้ป่วยการ อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาเกิดมาเปนชาย ถ้าจะหาเจ้านายก็ให้พึงพิเคราะห์ดูน้ำใจซึ่งดีแลร้ายก่อนจึงให้เข้าอยู่ด้วย แลตัวเราทิ้งคำโบราณเสีย มิได้พิจารณาดูน้ำใจอ้วนเสี้ยวให้ปรากฎว่าดีแลร้าย เห็นแต่กับยศฐาศักดิ์เข้ามาอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยว ๆ เปนคนหาสติปัญญามิได้ จึงเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะกรรมของเรา แล้วเตียนหองก็ขอกระบี่มาเชือดคอตาย แลชาวเมืองทั้งปวงรู้ว่าเตียนหองตาย ก็ชวนกันสงสารเตียนหองว่ามีความสัตย์ซื่อเปนอันมาก ต่างคนต่างร้องไห้รัก
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นมาถึงเมืองกิจิ๋ว ก็มีความทุกข์ร้อนสติฟั่นเฟือนไปด้วยเสียทัพมา มิได้ออกว่าราชการ อ้วนถำนั้นลาบิดาจะไปอยู่รักษาเมืองเซียงจิ๋วดังเก่า ฝ่ายนางเล่าชือผู้เปนภรรยา เห็นอ้วนเสี้ยวไม่สบายทั้งสติก็ฟั่นเฟือนไป มิได้ออกว่าราชการเปนหลายวัน จึงเข้าไปว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตัวท่านหาความสบายไม่แล้ว ราชการบ้านเมืองก็จะผันแปรไป แลบุตรของท่านสามคน อ้วนถำผู้พี่ก็จะไปรักษาเมืองเซียงจิ๋ว อ้วนฮีไปรักษาเมืองอิวจิ๋ว ยังแต่อ้วนซงซึ่งเปนบุตรข้าพเจ้า ท่านจงพิเคราะห์ดูว่าผู้ใดจะมีสติปัญญา จงให้ว่าราชการเมืองไปพลางกว่าท่านจะมีความสบาย
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็ว่าเจ้าคิดดังนี้ก็ชอบอยู่ จึงให้หาสิมโพยฮองกี๋ซินเบ้งกัวเต๋ามาปรึกษาตามคำนางเล่าชือว่า ที่ปรึกษาทั้งสี่คนได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษาแก่งแย่งกัน ด้วยสิมโพยกับฮองกี๋นั้น มีใจรักอ้วนซงจะให้ว่าราชการเมือง แต่กัวเต๋ากับซินเบ้งนั้นจะใคร่ให้อ้วนถำเปนใหญ่ อ้วนเสี้ยวจึงว่าท่านทั้งสี่ปรึกษาไม่ตกลงกัน ครั้งนี้ศึกภายนอกก็ติดพันอยู่ยังไม่ปรกติ ตัวเราก็หาความสบายมิได้ ภายในเมืองนี้เราคิดจะตั้งแต่งบุตรเราไว้ให้เปนหลักเมือง จะได้ป้องกันรักษาอาณาประชาราษฎรสืบไป แลบุตรเราทั้งสามคนนี้ อ้วนถำน้ำใจหยาบช้ามักฆ่าฟันผู้คนเสีย อ้วนฮีนั้นเล่าเปนคนใจเย็นเอาการเร็วไม่ได้ แต่อ้วนซงบุตรนางเล่าชือนั้นมีสติปัญญาทั้งน้ำใจก็โอบอ้อมอารี รักทหารแลไพร่บ้านพลเมือง ควรที่เราจะตั้งอ้วนซงให้เปนใหญ่ในเมืองกิจิ๋วนี้ จึงจะได้บำรุงรักษาอาณาประชาราษฎรสืบไป กัวเต๋าจึงว่า อ้วนถำเปนบุตรใหญ่ ท่านให้ไปรักษาเมืองเซียงจิ๋วซึ่งขึ้นแก่เมืองกิจิ๋ว บัดนี้ท่านจะให้อ้วนซงซึ่งเปนบุตรน้อยเปนใหญ่ในเมืองกิจิ๋ว บังคับบัญชาอ้วนถำผู้พี่นั้น จะมิเสียขนบธรรมเนียมไปหรือ ข้างอ้วนถำก็จะมีความน้อยใจ ข้อหนึ่งการสงครามก็ยังติดพันกันอยู่ ท่านจะไม่คิดอ่านการศึกเสียให้สำเร็จก่อน จะมาด่วนเปนกังวลด้วยตั้งแต่งบุตรให้เปนใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นบุตรท่านจะมีพยาบาทกันไปเปนมั่นคง ขอให้งดไว้เร่งคิดอ่านจัดแจงทหารยกไปทำสงครามด้วยโจโฉให้สำเร็จก่อน
อ้วนเสี้ยวยังมิตอบประการใด พอทหารเข้ามาบอกว่า บัดนี้อ้วนถำคุมทหารห้าหมื่น อ้วนฮีคุมทหารหกหมื่น โกกันผู้หลานซึ่งเปนเจ้าเมืองเป๊งจิ๋วคุมทหารห้าหมื่น มาจะช่วยทำการสงครามหวังจะแก้แค้นโจโฉ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารได้ประมาณสิบหมื่นเศษ แล้วพาอ้วนถำอ้วนฮีอ้วนซงโกกันยกกองทัพไปถึงตำบลซองเต๋ง จึงให้ตั้งมั่นอยู่
ฝ่ายโจโฉเมื่อยกกองทัพข้ามแม่น้ำไปตามอ้วนเสี้ยว ครั้นไม่ทันแล้วก็กลับมาตั้งอยู่ ณ ริมแม่น้ำฮองโห ชาวบ้านนอกทั้งปวงเอาสิ่งของแลเข้าปลาอาหารมาให้โจโฉเปนอันมาก โจโฉนั้นมีความยินดี เห็นชายชราสี่คนซึ่งเอาของมาให้ จึงเรียกตัวขึ้นมาบนที่อยู่แล้วถามว่า ท่านทั้งสี่นี้อายุสักเท่าไร คนชรานั้นจึงบอกว่าอายุข้าพเจ้าทั้งสี่คนนี้ ได้คนละเก้าสิบปีปลายแล้ว โจโฉจึงว่า ซึ่งเรายกกองทัพมาต้านทานอ้วนเสี้ยวนี้เพราะความจำเปน แต่มีใจเอนดูท่านทั้งปวงซึ่งเปนชาวบ้านนอกจะได้ความเดือดร้อน เพราะทหารของเราเที่ยวไปทำข่มเหงช่วงชิงเอาเข้าปลาอาหารมาเลี้ยงชีวิต คนชราจึงว่าข้อนั้นจะเปนไรมี แล้วว่าครั้งพระเจ้าหวนเต้ได้เสวยราชสมบัตินั้น มีชายคนหนึ่งชื่ออิกุ๋ย ชาวเมืองเสียวตั๋ง มาขออาศรัย ณ เรือนข้าพเจ้า ครั้นเวลากลางคืน เห็นดาวขึ้นข้างฝ่ายเหนือดวงหนึ่งใหญ่มีรัศมีเหลือง อิกุ๋ยนั้นรู้ตำราดูดาวจึงทำนายไว้ว่า ยังอีกห้าสิบปีจะมีผู้มีบุญมาปราบศัตรูที่ตำบลแม่น้ำฮองโห ข้าพเจ้านับแต่อิกุ๋ยทำนายมาจนถึงทุกวันนี้ก็ครบห้าสิบปีแล้ว อันอ้วนเสี้ยวนั้นหาสติปัญญามิได้ จะทำการสิ่งใดก็มีแต่หยาบช้า ซึ่งยกกองทัพมารบท่านถึงตำบลกัวต๋อนั้น ทหารอ้วนเสี้ยวก็มีมากกว่าท่านถึงเก้าส่วนสิบส่วน พเอิญให้ท่านรบแตกไป ข้าพเจ้าเห็นว่าตัวท่านเปนผู้มีบุญเหมือนอิกุ๋ยทำนายไว้ แลอาณาประชาราษฎรข้าขอบขัณฑเสมาครั้งนี้จะอยู่เย็นเปนสุข เพราะบุญของท่านสืบไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วแกล้งถ่อมตัวว่า ท่านผู้เถ้าจะหมายว่าข้าพเจ้าเปนผู้มีบุญนั้นไม่ควร โจโฉจึงเอาเงินทองเสื้อผ้าอย่างดี ให้แก่คนชราทั้งสี่คนเปนบำเหน็จปาก แล้วสั่งทหารอย่าให้ช่วงชิงเข้าปลาอาหารของราษฎรทั้งปวง ถ้าไม่ฟังเราจะให้ลงโทษถึงตาย คนชราทั้งสี่คนนั้นก็ลาโจโฉกลับไป ขณะนั้นอาณาประชาราษฎรรู้ว่า โจโฉสั่งกำชับทหารดังนั้นก็ดีใจ มีความรักโจโฉเปนอันมาก โจโฉรู้กิตติศัพท์ว่าราษฎรทั้งปวงรักใคร่ก็มีความยินดี พอม้าใช้มาบอกโจโฉว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาทั้งสี่หัวเมือง ทหารนั้นประมาณสามสิบหมื่น ตั้งอยู่ตำบลซองเต๋ง
โจโฉแจ้งดังนั้นก็เกณฑ์ทหาร แล้วยกไปตั้งประชิดค่ายอ้วนเสี้ยว ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเห็นโจโฉมาตั้งประชิดอยู่ดังนั้น ก็พาบุตรทั้งสามคนกับหลานแลทหารทั้งปวงออกมายืนม้าอยู่หน้าค่าย โจโฉเห็นดังนั้นก็ยกออกไปจากค่าย จึงขับม้าฝ่าขึ้นไปหน้าทหาร แล้วร้องว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ตัวเสียทีแก่เราแล้วเหตุใดไม่มาอ่อนน้อมต่อเรา จะให้อาวุธถึงคอก่อนหรือจึงจะรู้สำนึก อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่าผู้ใดจะอาสาออกไปรบกับโจโฉได้
อ้วนซงผู้บุตรก็รับอาสาขับม้ารำกระบี่สองมือออกไป จะรบด้วยโจโฉ ๆ เห็นดังนั้นจึงถามทหารทั้งปวงว่า ทหารอ้วนเสี้ยวคนนี้เราเห็นแปลกหน้า ผู้ใดยังรู้จักบ้าง ทหารโจโฉจึงบอกว่า ชื่ออ้วนซงเปนบุตรอ้วนเสี้ยว ขณะเมื่อทหารบอกแก่โจโฉยังมิทันสิ้นคำนั้น สูฮวนซึ่งเปนทหารรองซิหลง ขับม้ารำทวนออกไปรบกับอ้วนซงได้สามเพลง อ้วนซงทำทีชักม้าถอยหนี สูฮวนมิได้รู้กลก็ขับม้าไล่ตามไป อ้วนซงเห็นได้ทีก็เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกจักษุสูฮวนตกม้าตาย อ้วนเสี้ยวเห็นอ้วนซงมีชัยชนะทหารโจโฉ ก็มีใจกำเริบขับทหารทั้งปวงเข้ารบพุ่งหักหาญเปนสามารถ
ฝ่ายทหารโจโฉรบต้านทานไว้ได้ ทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายเปนอันมาก ครั้นเวลาเย็นโจโฉกับอ้วนเสี้ยวต่างคนต่างเลิกเข้าค่าย ในเวลากลางคืนนั้นโจโฉจึงปรึกษากับทหารทั้ง เทียหยกจึงว่า ขอให้ท่านจัดทหารออกเปนสิบเอ็ดกอง ให้ซุ่มรายกันอยู่สองข้างทางสิบกอง ๆ หนึ่งนั้นให้ล่อมา ถ้าได้ที่มั่นแล้วก็ให้จุดประทัดสัญญาขึ้น จึงให้กองล่อนั้นหยุดยืนกระบันรบพุ่ง แม้กองทัพอ้วนเสี้ยวถอยระส่ำระสายไป ฝ่ายกองทัพซึ่งซุ่มอยู่สองข้างทางทั้งสิบกองนั้น จึงยกออกโจมตีตัดเอาทหารอ้วนเสี้ยว ก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงจัดนายทหารฝ่ายขวาห้ากองนั้น คือโจหอง เตียวคับ ซิหลง อิกิ๋ม โกลำ ฝ่ายซ้ายนั้นให้แฮหัวตุ้น เตียวเลี้ยว ลิเตียน งักจิ้น แฮหัวเอี๋ยน คุมทหารทั้งสิบกองไปซุ่มรายทางไว้ แล้วสั่งว่า ถ้าเห็นได้ทีจึงให้ยกออกรบพุ่งตัดทหารอ้วนเสี้ยวรายทางไป นายทหารทั้งสิบกองคุมทหารไปซุ่มอยู่ในเวลากลางคืนตามคำโจโฉสั่ง ครั้นเวลากลางคืนประมาณสามยามเศษ โจโฉจึงสั่งเคาทูให้คุมทหารไปตีทำทีจะปล้นค่ายอ้วนเสี้ยว ถ้าเห็นทหารอ้วนเสี้ยวยกออกรบพุ่ง ท่านจงพาทหารถอยมาเราก็จะทิ้งค่ายเสีย เคาทูกคุมทหารไปตามคำโจโฉสั่ง
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวได้ยินทหารโห่ร้องเข้ามาปล้นค่ายดังนั้น ก็เกณฑ์ทหารสิ้นทั้งสี่กองออกรบพุ่งเปนสามารถ เคาทูก็คุมทหารมา โจโฉเห็นดังนั้นก็พาทหารเข้าบัญจบเคาทูถอยป้องกันไป อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้น ก็เร่งขับทหารตามไปจะใกล้ถึงแม่น้ำฮองโหพอสว่างขึ้น โจโฉก็จุดประทัดสัญญา แล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เหตุใดจึงไม่ยืนรบจะถอยไปถึงไหน จะพอใจจมน้ำตายหรือ ทหารทั้งปวงได้ฟังโจโฉร้องมาดังนั้นกลัวจะจมน้ำตาย ก็ชวนกันกลับหน้ายืนรบพุ่งต้านทานอยู่เปนสามารถ เคาทูจึงขับม้ารำทวนเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเลวล้มตายเปนอันมาก แล้วหักหาญลุยไล่เข้าไปฆ่าทหารเอกอ้วนเสี้ยวเสียประมาณสิบเอ็ดสิบสองคน ทหารอ้วนเสี้ยวต้านทานมิได้ก็แตกระส่ำระสาย อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นก็พาบุตรทั้งสามคนกับหลานแลทหารทั้งปวงแตกพ่ายหนี โจโฉเห็นได้ทีก็ขับทหารรุกไล่ไป
ขณะเมื่ออ้วนเสี้ยวแตกมานั้นพอได้ยินเสียงม้าฬ่อ แล้วเห็นข้างขวาทางนั้นโกลำคุมทหารมาเปนอันมาก ฝ่ายซ้ายนั้นแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารตีกระหนาบเข้ามา อ้วนเสี้ยวตกใจมิได้คิดที่จะสู้รบก็พาบุตรกับหลานแลทหารหนีไปได้ทางประมาณ ร้อยเส้น พอทหารอิกิ๋มตีเข้ามาฝ่ายขวา ข้างซ้ายทางนั้นงักจิ้นคุมทหารตีกระหนาบเข้ามา อ้วนเสี้ยวก็พากันหนีออกไปทางประมาณสามสิบเส้น เห็นข้างขวานั้นซิหลงคุมทหารรบสกัดไว้ ข้างซ้ายลิเตียนคุมทหารตีกระหนาบมา อ้วนเสี้ยวพาบุตรกับหลายแลทหารเล็ดลอดหนีออกไป ครั้นถึงค่ายก็เข้าหยุดอยู่หุงอาหารพอสุก เตียวคับกับเตียวเลี้ยว คุมทหารหักค่ายเข้ามา อ้วนเสี้ยวไม่ทันกินอาหารตกใจพาลูกกับทหารทั้งปวงหนีออกจากค่ายไป กำลังอิดโรยอุตส่าห์พากันรีบไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอพบทหารโจหองกับแฮหัวตุ้นคุมทหารตีกระหนาบเข้ามา อ้วนเสี้ยวจึงร้องว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดไม่ช่วยกันรบพุ่งทหารโจโฉก็จะฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงได้ยินอ้วนเสี้ยวว่าดังนั้น ก็ช่วยกันรบฝ่าป้องกันพาอ้วนเสี้ยวออกไปได้ แลนายทหารโจโฉทั้งสิบกองนั้น ฆ่าฟันทหารอ้วนเสี้ยวล้มตายโดยลำดับมาเปนอันมาก อ้วนเสี้ยวครั้นหนีมาพ้น เห็นอ้วนฮีผู้บุตรกับโกกันผู้หลานนั้น ถูกเกาทัณฑ์แลอาวุธเปนหลายแห่ง อ้วนเสี้ยวกอดบุตรกับหลานเข้าร้องไห้จนสลบไป ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้น ในขณะนั้นอ้วนเสี้ยวมีความแค้นเปนอันมากจนอาเจียนโลหิตออกมา ครั้นได้สติก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า แต่เราเกิดมาจะได้มีความทุกข์แลความแค้นเหมือนครั้งนี้หามิได้ อันชีวิตเราครั้งนี้เห็นจะไม่รอดแล้ว บุตรเราแลหลานกับทหารทั้งปวงจงพากันกลับไปเมือง แล้วเร่งคิดอ่านซ่องสุมทหารยกไปกำจัดโจโฉเสีย ให้หายความแค้นเราจงได้ แล้วอ้วนเสี้ยวคิดว่า เมืองเซียงจิ๋วนั้นเปนทางไกล เกลือกโจโฉจะยกไปตีเอาก็จะซ้ำเสียทีไป จึงให้อ้วนถำกับกัวเต๋าซินเบ้งไปอยู่รักษาเมืองเซียงจิ๋ว แล้วให้อ้วนฮีกลับไปเมืองอิจิ๋ว โกกันกลับไปเมืองเป๊งจิ๋ว ให้กะเกณฑ์ทหารสามเมืองไว้จงพร้อม ถ้าเราให้หาเมื่อใดจะได้ยกมาทันที อ้วนเสี้ยวจึงพาอ้วนซงกับทหารซึ่งเหลือนั้นกลับไปเมืองกิจิ๋ว อ้วนเสี้ยวนั้นป่วยอยู่ จึงสั่งอ้วนซงให้ว่าราชการเมือง ให้สิมโพยฮองกี๋เปนผู้ช่วยราชการ
ฝ่ายโจโฉครั้นมีชัยชนะแก่อ้วนเสี้ยวเปนคำรบสอง จึงให้ซ่องสุมเกลี้ยกล่อมทหารอ้วนเสี้ยว ซึ่งแตกอยู่ป่านั้นได้ไว้เปนอันมาก แล้วก็ยกเข้าอยู่ในค่ายตำบลชองเต๋ง จึงปูนบำเหน็จเงินทองเสื้อผ้าให้ทหารใหญ่น้อยซึ่งมีความชอบตามสมควร แล้วโจโฉก็แต่งทหารให้เข้าไปสอดแนมในเมืองกิจิ๋วนั้น ให้รู้ว่าอ้วนเสี้ยวจะคิดอ่านประการใด ทหารนั้นปลอมเข้าไปอยู่เปนหลายวัน แล้วออกมาบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวป่วยให้อ้วนซงว่าราชการแทน แลอ้วนซงนั้นคิดเกรงว่าเราจะยกไปตีเอาเมืองกิจิ๋ว จึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เปนมั่นคง อันอ้วนถำอ้วนฮีโกกันนั้นก็กลับไปรักษาเมืองอยู่
โจโฉได้ฟังดังนั้นยังมิได้ว่าประการใด ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงจึงว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวก็ป่วยอยู่ ซึ่งให้อ้วนซงว่าราชการแทนนั้น เห็นความคิดแลฝีมืออ้วนซงจะป้องกันรักษาเมืองไม่ได้ ขอให้ท่านเร่งยกกองทัพไปตีเอาเมืองกิจิ๋วก็จะได้โดยง่าย โจโฉจึงตอบว่า อันเมืองกิจิ๋วนั้น สเบียงอาหารก็บริบูรณ์ ทั้งสิมโพยก็มีสติปัญญาอยู่ ซึ่งเราจะยกไปรบพุ่งหักหาญเอาโดยเร็วนั้นยังไม่ได้ ด้วยเทศกาลนี้เปนหน้าเข้าโภชสาลีสุก อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อน เราจะตั้งมั่นอยู่ให้ราษฎรเกี่ยวเข้าแล้ว จึงจะยกไปตีเอาก็จะได้โดยสดวก
ในขณะนั้นพอม้าใช้ถือหนังสือซุนฮกมาให้โจโฉ ๆ รับมาอ่านดูในหนังสือนั้นเปนใจความว่า บัดนี้เล่าปี่ไปอยู่เมืองยิหลำ ซ่องสุมทหารได้ประมาณห้าหมื่นเศษ แจ้งว่ามหาอุปราชยกกองทัพมาทำสงครามด้วยอ้วนเสี้ยว เล่าปี่จึงให้เล่าเพ็กอยู่รักษาเมืองยิหลำ ตัวเล่าปี่นั้นยกกกองทัพตลบหลังมาจะตีเอาเมืองฮูโต๋ ขอให้มหาอุปราชเร่งยกกองทัพมารบพุ่งป้องกันเมืองไว้ โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้นก็ตกใจ ยกกองทัพถอยมาถึงแม่น้ำฮองโห แต่งให้โจหองคุมทหารตั้งค่ายขัดทัพอยู่ แล้วโจโฉก็ยกตัดทางไปสกัดทัพเล่าปี่
ฝ่ายเล่าปี่กับกวนอูเตียวหุยจูล่ง คุมทหารประมาณห้าหมื่นเศษ ยกมาจะตีเมืองฮูโต๋ ครั้นมาถึงตำบลเขาชองสัน รู้ว่ากองทัพโจโฉยกมา เล่าปี่ก็ให้หยุดทหารตั้งมั่นไว้เปนสามค่าย ๆ กลางนั้นเล่าปี่กับจูล่งคุมทหารรักษาอยู่ ค่ายตวันออกกวนอูคุมทหารอยู่รักษา ค่ายตวันตกนั้นเตียวหุยรักษาอยู่
โจโฉครั้นมาถึงเขาชองสัน รู้ว่าเล่าปี่มาตั้งค่ายอยู่ ก็ขับม้าขึ้นไปใกล้หน้าค่ายเล่าปี่ แล้วให้ทหารร้องเรียกเล่าปี่ออกมาเจรจาด้วย เล่าปี่ได้ยินดังนั้น ก็ขี่ม้าพาทหารออกมายืนอยู่หน้าค่าย โจโฉเห็นเล่าปี่ออกมาจึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าเล่าปี่แล้วร้องว่า ตัวกูมีคุณได้เลี้ยงดูมึงถึงขนาด เหตุใดมาทรยศคิดร้ายต่อกูเปนหลายครั้ง เล่าปี่จึงตอบว่า ซึ่งมึงเลี้ยงดูกูนั้นก็เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้โปรดกู ทุกวันนี้มึงเปนมหาอุปราชก็แต่ชื่อ แลน้ำใจนั้นเปนศัตรูราชสมบัติ ตัวกูเปนเชื้อพระวงศ์ตั้งใจกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งกูคิดร้ายต่อมึงนั้น เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อนพระทัย จึงทรงพระอักษรด้วยพระโลหิตมาให้กำจัดมึงเสีย กูจึงคิดทำร้ายมึงเพราะเหตุฉนี้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้เคาทูเร่งขับม้าออกไปจับเอาตัวเล่าปี่ จูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนออกมารบด้วยเคาทู ได้สามสิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน พอเคาทูได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง แลไปเห็นข้างทิศตวันออกนั้นกวนอูคุมทหารรบหักเข้ามา ฝ่ายทิศตวันตกนั้น เตียวหุยคุมทหารรบมาเปนทัพกระหนาบ เคาทูเห็นจะต้านทานมิได้ก็ชักม้าถอยมา ฝ่ายกวนอูเตียวหุยจูล่งเห็นได้ที ก็ขับทหารไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายแตกตื่นไปเปนอันมาก โจโฉซ่องสุมทหารเข้าได้ก็ให้ตั้งค่ายมั่นลง
พอเวลาพลบค่ำลง เล่าปี่กวนอูเตียวหุยจูล่งก็พากันกลับเข้าค่าย ครั้นรุ่งขึ้นเช้าเล่าปี่จึงให้จูล่งคุมทหารไปร้องท้าทายถึงหน้าค่ายโจโฉทุก เวลาถึงสามวัน โจโฉก็มิได้ออกมารบพุ่ง แล้วให้เตียวหุยคุมทหารซ้ำไปท้าทายอีกเปนหลายวัน โจโฉก็นิ่งอยู่ในค่าย เล่าปี่มีความสงสัยคิดเกรงว่า โจโฉจะทำกลศึกประการใด พอม้าใช้มาบอกแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้กงเต๋าคุมสเบียงจะมาส่งกองทัพท่าน ถึงกลางทางทหารโจโฉล้อมไว้เปนอันมาก เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงคิดว่า โจโฉทำกลศึกดังนี้จึงนิ่งเสียไม่ออกรบพุ่ง แล้วให้เตียวหุยคุมทหารไปช่วยก๋งเต๋า เตียวหุยก็รับคำแล้วลาเล่าปี่ไป
พอม้าใช้คนหนึ่งมาบอกเล่าปี่ว่า บัดนี้แฮหัวตุ้นคุมทหารยกไปตีเมืองยิหลำ ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ เล่าปี่ได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเมืองยิหลำเสียแล้ว ครอบครัวของเราก็จะเปนอันตราย แล้วให้กวนอูคุมทหารไปช่วยเล่าเพ็ก ณ เมืองยิหลำ กวนอูก็ลาเล่าปี่คุมทหารรีบไป
ครั้นอยู่มาสองวันม้าใช้มาบอกเล่าปี่ว่า แฮหัวตุ้นตีได้เมืองยิหลำแล้วเล่าเพ็กนั้นหนีออกจากเมืองได้ กวนอูซึ่งท่านให้ไปช่วยนั้น กองทัพแฮหัวตุ้นก็ล้อมไว้ อันเตียวหุยซึ่งยกไปช่วยป้องกันสเบียงนั้น ก็เข้าอยู่ในระหว่างทัพโจโฉ
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจมีความทุกข์เปนอันมาก คิดจะถอยทัพกลับไปก็เกรงว่าโจโฉจะคุมทหารไปติดตาม พอทหารเข้ามาบอกว่า บัดนี้เคาทูคุมทหารมาร้องท้าทายถึงหน้าค่าย เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็มิอาจที่จะยกออกสู้รบ ให้ทหารรักษาค่ายมั่นอยู่ ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยามเศษ เล่าปี่ก็ให้ตระเตรียมพร้อมแล้ว ให้ทหารเดิรเท้ายกออกหลังค่ายก่อน แล้วเล่าปี่ก็พาทหารขี่ม้าทั้งปวงหนีออกจากค่ายไปทางประมาณห้าสิบเส้น พอเห็นทหารกองหนึ่งจุดคบเพลิงสกัดทางไว้เปนอันมาก แล้วได้ยินเสียงร้องกำชับกันว่าอย่าให้เล่าปี่หนีไปได้ มหาอุปราชมาคอยอยู่เปนหลายวันแล้ว เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตกใจมิรู้ที่จะหนีไปทางใดได้
จูล่งจึงว่าท่านอย่าตกใจ จงขับม้าพาทหารตามข้าพเจ้ามาเถิด ข้าพเจ้าจะรบฝ่าพาท่านไปให้ได้ พอเห็นเคาทูคุมทหารตามมา จูล่งก็ขับม้ารบป้องกันพาเล่าปี่แลทหารทั้งปวงไป พออิกิ๋มกับลิเตียนคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาเปนตลุมบอน เล่าปี่เห็นว่าจวนตัวนักก็ทิ้งจูล่งกับทหารทั้งปวงเสีย แล้วขับม้าเล็ดลอดออกมาได้แต่ผู้เดียว รีบหนีไปทางซอกเขา พอเวลารุ่งขึ้นทหารกองหนึ่งยกมาประมาณสามพันเศษ เล่าปี่ตกใจชักม้าเข้าแอบเนินเขาอยู่ ครั้นทหารนั้นมาใกล้ เล่าปี่เห็นเล่าเพ็กกับซุนเขียนบิต๊กบิฮองกันหยง พาครอบครัวแลทหารทั้งปวงมา เล่าปี่ก็ค่อยคลายใจ เล่าเพ็กจึงบอกเล่าปี่ว่า แฮหัวตุ้นมีฝีมือกล้าหาญนัก คุมทหารไปล้อมเมืองไว้เปนอันมาก ข้าพเจ้าต้านทานมิได้จึงพาครอบครัวท่านหนีมา แฮหัวตุ้นคุมทหารตามมาถึงกลางทาง พอพบกวนอูได้ช่วยรบพุ่งต้านทานข้าพเจ้าจึงมาได้ เล่าปี่แจ้งดังนั้นจึงถามว่า บัดนี้กวนอูยังอยู่แห่งใดจึงไม่มาพร้อมกัน เล่าเพ็กจึงบอกว่าท่านอย่าวิตกเลย กวนอูหาเปนอันตรายไม่ ป้องกันตามมาข้างหลัง ท่านจงรีบหนีไปให้พ้นภัยก่อน
เล่าปี่ก็พาครอบครัวแลทหารทั้งปวงหนีลัดไปฝ่ายทิศใต้ ทางประมาณห้าสิบเส้น พบเตียวคับคุมทหารมาตั้งสกัดอยู่ เตียวคับจึงร้องว่า ให้เล่าปี่เร่งลงจากม้ามาให้เรามัดโดยดี ตัวจึงจะรอดจากความตาย เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจถอยมา พอเห็นโกลำคุมทหารตามมาข้างหลังเปนอันมาก เล่าปี่เห็นกองทัพหน้าหลังกระหนาบไว้ คิดเปนห่วงด้วยครอบครัวก็ทอดใจใหญ่ แหงนหน้าขึ้นไปดูบนอากาศ แล้วร้องว่าเทพดาให้เราเกิดมาแล้ว เหตุใดไม่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูเล่า แล้วให้เราได้ทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ เราจะครองชีวิตไว้ใยให้ป่วยการ แล้วชักเอากระบี่ออกว่าจะเชือดคอตาย
นายทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ ชวนกันวิ่งเข้าไปชิงกระบี่ไว้ เล่าเพ็กจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านจะมาด่วนฆ่าชีวิตเสียใย ซึ่งศัตรูตามมาทำอันตรายนี้ ข้าพเจ้าจะขออาสารบพุ่งให้แตกไปจงได้ แล้วจึงจะพาท่านไปให้พ้นภัย ครั้นเห็นโกลำขับม้าเข้ามาใกล้ เล่าเพ็กขับม้ารำทวนออกไปสู้รบเปนสามารถ โกลำเอาทวนแทงถูกเล่าเพ็กตกม้าตาย เล่าปี่เห็นดังนั้นก็มีความมานะ คิดจะออกไปต่อสู้ด้วยโกลำ พอได้ยินเสียงทหารข้างหลังโกลำนั้นอื้ออึงขึ้น เล่าปี่แลไปเห็นจูล่งไล่ฆ่าฟันทหารโกลำมา แล้วเอาทวนแทงถูกโกลำตกม้าตาย เล่าปี่ค่อยมีความยินดี จูล่งจึงคำนับเล่าปี่ แล้วก็ขับม้าผ่านขึ้นไปรบกับเตียวคับได้สามสิบเพลงแล้วไล่ฆ่าฟันทหารล้มตาย เปนอันมาก เตียวคับก็พาทหารถอยไปตั้งสกัดอยู่ ณ ปากทางซอกเขา เล่าปี่เห็นดังนั้นไม่รู้ที่จะพาทหารไปทางใด
ฝ่ายกวนอูกับจิวฉองกวนเป๋ง มาตามทางซอกเขาเห็นเตียวคับตั้งสกัดอยู่ จึงคุมทหารตีกระหนาบหลังทหารเตียวคับออกมา เตียวคับต้านทานฝีมือกวนอูมิได้ก็พาทหารลัดทางหนีไป กวนอูมาเปนเห็นเล่าปี่ก็เข้าไปบอกความตามซึ่งได้รบพุ่งนั้นทุกประการ เล่าปี่จึงให้พักทหารอยู่ริมชายเขา แล้วใช้ให้กวนอูคุมทหารไปเสาะหาเตียวหุย
ฝ่ายเตียวหุยขณะเมื่อมาช่วยป้องกันสเบียงนั้นไม่ทัน แฮหัวเอี๋ยนตีเอาสเบียงแลฆ่ากงเต๋าเสียก่อน ครั้นเตียวหุยมาถึงได้รบพุ่งกับแฮหัวเอี๋ยนเปนสามารถ แลแฮหัวเอี๋ยนนั้นต้านทานฝีมือเตียวหุยไม่ได้ก็พาทหารหนีไป เตียวหุยก็ติดตามข้ามเขาไปเปนหลายตำบล ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนซึ่งหนีไปนั้นพบงักจิ้นคุมทหารอยู่เปนอันมาก จึงพางักจิ้นตลบหลังมาพบเตียวหุยได้รบพุ่งกันเปนสามารถ แฮหัวเอี๋ยนกับงักจิ้นคุมทหารล้อมเตียวหุยไว้เปนหลายชั้น แลทหารเตียวหุยซึ่งหนีมาได้นั้นพบกวนอูเข้า จึงเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่กวนอูทุกประการ กวนอูได้ฟังก็ตกใจจึงให้ทหารนั้นนำไปถึงที่ล้อมเตียวหุย กวนอูก็ขับม้ารำง้าวเข้าไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก แฮหัวเอี๋ยนกับงักจิ้นต้านทานฝีมือกวนอูเตียวหุยไม่ได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นหนีไป กวนอูก็พาเตียวหุยกับทหารทั้งปวงกลับมาหาเล่าปี่ แล้วบอกว่ากงเต๋านั้นแฮหัวเอี๋ยนฆ่าเสียแล้ว บันดาซึ่งได้รบพุ่งนั้นก็เล่าให้เล่าปี่ฟังทุกประการ พอทหารมาบอกเล่าปี่ว่า โจโฉคุมทหารตามมาเปนอันมาก เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ให้ซุนเขียนคุมครอบครัวไปหน้า เล่าปี่กับกวนอูเตียวหุยจูล่ง คุมทหารซึ่งเหลือนั้นประมาณพันหนึ่งป้องกันมาข้างหลัง ฝ่ายโจโฉก็ตามมาถึงชุมรุมเล่าปี่ ครั้นไม่เห็นเล่าปี่แล้วก็พาทหารกลับมา ณ ค่าย
ในขณะเมื่อเล่าปี่หนีมานั้นมิได้รู้แห่งทางจะไปตำบลใด อุตส่าห์เลี้ยวลัดเสาะสางหาทางมาจนถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง จึงถามชาวบ้านว่าแม่น้ำนี้ชื่อใด ชาวบ้านจึงบอกว่าชื่อแม่น้ำฮั่นกั๋ง ทางตลอดไปถึงเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่จึงให้ครอบครัวแลทหารหยุดพักอยู่ใกล้ฝั่งน้ำ แลชาวบ้านทั้งปวงมีความสงสารด้วยเล่าปี่อดหยากมา ก็ชวนกันเอาเข้ากับสุกรเป็ดไก่มาให้เล่าปี่เปนอันมาก เล่าปี่มีความยินดี จึงเอาของนั้นแจกทหารทั้งปวงให้เลี้ยงดูกัน
เล่าปี่จึงทอดใจใหญ่แล้วว่าแก่คนทั้งปวงว่า ท่านเหล่านี้ล้วนมีสติปัญญาแลฝีมือ เหตุใดจะสู้ทรมานลำบากกายมาติดตามเรา ซึ่งเปนคนหาวาสนาไม่นี้ จะเอาประโยชน์สิ่งใด ซึ่งท่านได้มีคุณช่วยพาเรามาให้พ้นภัยนี้ ก็เหมือนหนึ่งเราได้ที่อาศรัยแล้ว ท่านจะมาทรมารอยู่ด้วยเราใยให้ลำบากกาย จงพากันไปขวนขวายหามุนนายซึ่งมีวาสนามากจึงจะได้อยู่เย็นเปนสุขสืบไป ทหารทั้งปวงได้ยินเล่าปี่ว่าดังนั้นก็มีความสงสารต่างคนต่างร้องไห้รัก
กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจทำสงครามปราชัยแก่พระเจ้าฌ้อปาอ๋องเปนหลายครั้ง อยู่มาพระเจ้าฮั่นโกโจไปทำสงครามกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง ณ เขากิวลิสัน พระเจ้าฮั่นโกโจมีชัยชนะแต่ครั้งเดียวก็ได้เสวยราชสมบัติต่อๆ กันมาได้สี่ร้อยปีจนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้ท่านเสียทีแก่โจโฉสองครั้งสามครั้ง จะมาด่วนเสียใจไม่คิดการต่อไปนั้นเห็นไม่ควร
ซุนเขียนได้ฟังกวนอูว่าก็เห็นชอบด้วย จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันธรรมดาเปนชาติทหาร จะคิดทำการสงครามนั้นก็ย่อมชนะแลแพ้ทุกตัวคน ซึ่งเรามานี้ทางก็ใกล้เมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว อันตัวท่านกับเล่าเปียวก็เปนแซ่เดียวกัน แลเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วนั้น มีเมืองขึ้นถึงเก้าหัวเมือง ถ้าท่านไปขออยู่อาศรัยเล่าเปียวก็เห็นจะให้อยู่ ถ้าตั้งตัวเปนปรกติแล้วจึงค่อยคิดการต่อไป เล่าปี่จึงตอบว่า เราเกรงอยู่แต่เล่าเปียวจะไม่เอาไว้ ซุนเขียนจึงว่าซึ่งท่านคิดเกรงข้อนั้นไว้เปนพนักงานข้าพเจ้า ๆ จะขออาสาไปว่ากล่าว เห็นเล่าเปียวจะไม่ให้สูญไมตรี เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายความทุกข์ จึงว่าท่านจะไปก็ตามเถิด ซุนเขียนก็ลาเล่าปี่ไปถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงเข้าไปคำนับเล่าเปียว
ฝ่ายเล่าเปียวเห็นซุนเขียนมาจึงถามว่า ตัวท่านอยู่กับเล่าปี่มีทุกข์ธุระสิ่งใดจึงมาหาเรา ซุนเขียนจึงตอบว่า อันเล่าปี่นั้นก็เปนเชื้อพระวงศ์ ทั้งมีสติปัญญาสัตย์ซื่อ แล้วมีใจสุจริตคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเปนสุข แลเล่าเพ็กกับกงเต๋าซึ่งได้อยู่เมืองยิหลำก็อาสาเล่าปี่จนตัวตาย บัดนี้เล่าปี่ทำศึกเสียทีโจโฉ หนีมาอยู่แม่น้ำฮั่นกั๋ง ตั้งใจจะเข้าอ่าวไปอาศรัยซุนก๋วนเจ้าเมืองกังตั๋ง ข้าพเจ้าจึงห้ามเล่าปี่ว่า อันซุนก๋วนนั้นเปนนอกเนื้อ ซึ่งจะไปสำนักอาศรัยนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจึงให้มาพึ่งท่านซึ่งเปนแซ่เดียวกัน เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงให้ข้าพเจ้ามาแจ้งเนื้อความแก่ท่าน
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเล่าปี่เปนพี่น้องของเรา แต่ตัวนั้นเรายังไม่รู้จัก ได้ยินแต่ชื่อเขาลืออยู่ว่ามีสติปัญญาสัตย์ซื่อ ครั้งนี้เล่าปี่มีความทุกข์ จะมาอยู่ด้วยเราบัดนี้จะได้เห็นหน้ากัน ชัวมอน้องภรรยาเล่าเปียวจึงว่า อันเล่าปี่นั้นเดิมอยู่กับลิโป้ แล้วหนีไปอยู่ด้วยโจโฉ ๆ ก็ได้เลี้ยงดูถึงขนาด เล่าปี่คิดร้ายแก่โจโฉจนได้ทำศึกกัน แล้วแตกหนีโจโฉไปอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยว ๆ ก็เลี้ยงไว้ เล่าปี่เอาใจออกหากจากอ้วนเสี้ยว แล้วรื้อตั้งตัวขึ้นทำศึกแก่โจโฉจนแตกมาอีก ซึ่งจะมาอาศรัยอยู่ด้วยท่าน ขอให้ท่านดำริห์ดูให้ต้องคำโบราณ แม้ท่านจะขืนรับเล่าปี่ไว้ โจโฉก็จะยกมาตีเอาเมืองเรา อาณาประชาราษฎรจะได้รับความเดือดร้อน ถ้าท่านจะใคร่เปนสุขสืบไปจงตัดสีสะซุนเขียนไปให้แก่โจโฉให้เปนความชอบไว้
ฝ่ายซุนเขียนได้ฟังดังนั้นมิได้ย่อท้อ จึงว่าตัวเราจะได้กลัวความตายนั้นหามิได้ เพราะเหตุตั้งใจอาสาเล่าปี่อันเปนคนมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน อันเล่าปี่นั้นก็เปนเชื้อพระวงศ์ คิดแต่จะบำรุงแผ่นดินให้มีความสุข ซึ่งเล่าปี่ไปอยู่กับลิโป้แลโจโฉอ้วนเสี้ยวผู้มีใจหยาบช้านั้นด้วยความจำเปน บัดนี้เล่าเปียวเปนแซ่เดียวกันทั้งมีใจสัตย์ซื่อ เล่าปี่จึงบ่ายหน้ามาพึ่ง เหตุใดท่านมาเข้าด้วยคนผิดมาว่ากล่าวยุยงดังนี้ เล่าเปียวจึงโกรธชัวมอแล้วว่า ตัวอย่าห้ามเราเลย จงเร่งไปเสียให้พ้นเถิด ชัวมอได้รับความอัปยศก็ออกไปยังที่อยู่ เล่าเปียวจึงให้ซุนเขียนรีบไปรับเล่าปี่ แล้วเล่าเปียวก็พาทหารออกไปทางประมาณสามร้อยเส้น หวังจะคอยรับเล่าปี่ ซุนเขียนครั้นมาถึงเล่าปี่จึงบอกเนื้อความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาครอบครัวแลทหารทั้งปวงไปถึงกลางทาง ซุนเขียนก็นำเล่าปี่กวนอูเตียวหุยเข้าไปคำนับเล่าเปียว ฝ่ายเล่าเปียวก็พาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยเข้าไปในเมือง ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูแล้วจัดที่ให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยอยู่
ฝ่ายโจโฉรู้ว่าเล่าปี่ไปอยู่เมืองเกงจิ๋ว ก็จัดแจงทหารจะยกไปรบเล่าเปียว เทียหยกจึงห้ามว่า การศึกข้างอ้วนเสี้ยวก็ยังไม่สำเร็จ ซึ่งท่านจะยกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วนั้น อ้วนเสี้ยวรู้ก็จะยกมาตีเมืองฮูโต๋ ขอให้ยกทัพกลับไปเมืองบำรุงทหารให้มีกำลังไว้ก่อน ต่อเข้าปีใหม่หน้าเทศกาลร้อน จึงยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย อันเล่าปี่ซึ่งไปอาศรัยเล่าเปียวอยู่นั้นก็จะไม่พ้นมือท่าน โจโฉเห็นชอบด้วย ก็ยกกองทัพกลับไปเมือง บำรุงทหารอยู่เปนหลายเดือน
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 28
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnMW44YVpja19xVkk/view?resourcekey=0-01UpByJI76oaFmdrJIRbxQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #8 on:
22 December 2021, 11:02:57 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 29
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-29.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 29
เนื้อหา
โจโฉยกไปรบอ้วนเสี้ยวอีก
อ้วนชงเสียทัพแก่โจโฉ
อ้วนเสี้ยวตาย
บุตรอ้วนเสี้ยวต่อสู้โจโฉ
บุตรอ้วนเสี้ยวแก่งแย่งกันเป็นใหญ่
อ้วนถำขอให้โจโฉยกมาช่วยรบอ้วนชง
โจโฉยกไปล้อมเมืองกิจิ๋ว
โจโฉตีทัพอ้วนชงแตก
โจโฉได้เมืองกิจิ๋ว
ขณะนั้นตั้งแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมาอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ได้แปดปีแล้ว (พ.ศ.๗๔๖) ครั้นถึงเดือนสามข้างขึ้น โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นกับหมันทองคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองยีหลำ หวังจะขัดทัพเล่าเปียวไว้ ให้ซุนฮกกับโจหยินอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ แล้วโจโฉก็จัดแจงทหารเปนอันมากยกไปตีเอาเมืองอ้วนเสี้ยว ครั้นถึงตำบลแม่น้ำฮองโหจึงให้ข้ามไปตั้งคอยฟังข่าวอ้วนเสี้ยวอยู่
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวครั้นเข้าปีใหม่ค่อยคลายป่วย ก็จัดแจงทหารจะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋ สิมโพยจึงห้ามว่า ครั้งก่อนนั้นท่านเสียทีแก่โจโฉที่ตำบลกัวต๋อครั้งหนึ่ง ซองเต๋งครั้งหนึ่ง เสียทหารเปนอันมาก แลทหารซึ่งเหลือนั้นก็ยังอิดโรยอยู่ ขอท่านยับยั้งบำรุงทหารให้มีกำลังก่อนแล้วจึงค่อยคิดการต่อไป
ขณะนั้นพอม้าใช้มาบอกอ้วนเสี้ยวว่า โจโฉยกกองทัพมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮองโหแลกิตติศัพท์นั้นว่าจะยกมาตีให้ถึง เมืองกิจิ๋ว อ้วนเสี้ยวแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่สิมโพยว่า เราจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ท่านมาห้ามปรามไว้ บัดนี้โจโฉก็ยกมาแล้ว ท่านจะนิ่งอยู่ให้กองทัพมาตีถึงเชิงกำแพงเมืองหรือ ครั้งนี้เราจะยกไปล้างโจโฉเสียให้จงได้ อ้วนซงผู้บุตรจึงว่า บิดาป่วยพึ่งจะค่อยคลายยังไม่หายสนิธ ซึ่งจะยกกองทัพไปนั้น โรคก็จะกำเริบมากขึ้น ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารไปทำการสงครามด้วยโจโฉ อ้วนเสี้ยวก็ยอม แล้วแต่งหนังสือให้ไปเร่งกองทัพเมืองเซียงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเปงจิ๋ว ให้มาบรรจบอ้วนซง ๆ นั้นตั้งแต่ได้ออกรบฆ่าสูฮวนเสียได้ก็มีใจกำเริบมา
ขณะเมื่ออ้วนเสี้ยวให้ไปเร่งกองทัพทั้งสามหัวเมืองนั้น อ้วนซงมิได้อยู่ท่า จึงคุมทหารประมาณห้าหมื่นเศษ รีบยกไปตั้งค่ายประชิดโจโฉ ๆ เห็นดังนั้นก็ให้เตียวเลี้ยวคุมทหารออกไปรบด้วยอ้วนซง ๆ ขับม้ารำทวนเข้าสู้กันกับเตียวเลี้ยวได้สามเพลง อ้วนซงทานกำลังเตียวเลี้ยวมิได้ก็ชักม้าหนี เตียวเลี้ยวขับม้าไล่ฆ่าฟันทหารอ้วนซงล้มตายเปนอันมาก อ้วนซงพาทหารซึ่งเหลือตายนั้นรีบหนีกลับเข้าไปในเมืองกิจิ๋ว
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวรู้ว่าอ้วนซงแตกหนีมาก็ตกใจ โรคซึ่งป่วยนั้นก็กำเริบขึ้น อาเจียนโลหิตไหลออกมาถังหนึ่ง ล้มลงสลบอยู่กับที่ นางเล่าชือผู้เปนภรรยาเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงชวนหญิงคนใช้ทั้งปวงอุ้มอ้วนเสี้ยวเข้าไปถึงที่ข้างใน แล้วให้หาสิมโพยฮองกี๋เข้ามาปรึกษากันซึ่งจะให้อ้วนซงเปนเจ้าเมืองกิจิ๋วแทน ตัว
ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวฟื้นขึ้น ได้ยินดังนั้นแต่เจรจาไม่ออก จึงเอามือชี้เข้าที่อกของตัว แลนางเล่าชือเห็นอ้วนเสี้ยวเอามือชี้เข้าที่อกดังนั้น ก็เข้าใจว่าจะให้อ้วนซงเปนเจ้าเมือง จึงแกล้งถามอ้วนเสี้ยงหวังจะให้คนทั้งปวงได้ยินประจักษ์ ว่าเมืองกิจิ๋วนี้จะให้แก่อ้วนซงหรือ อ้วนเสี้ยวเจรจาไม่ออกก็พยักหน้าเอา พอลมปะทะขึ้นมาร้องด้วยเสียงอันดัง แล้วก็ชักเหลียวหลังมาก็สิ้นใจตาย
สิมโพยกับฮองกี๋เห็นอ้วนเสี้ยวตายแล้ว ก็ช่วยกันแต่งการศพอยู่ นางเล่าชือจึงเอาตัวนางทั้งห้าคน ซึ่งเปนภรรยาน้อยที่อ้วนเสี้ยวรักใคร่นั้นมาฆ่าเสีย แล้วคิดหึงส์หวงกลัวว่าตายไปนั้นจะพบกับอ้วนเสี้ยว ๆ จะผูกพันรักใคร่อยู่อีก จึงให้เอาดาบมาตัดผมแลแขน แล้วสับหน้าเสียให้เปนบาดแผล หวังจะให้อ้วนเสี้ยวพึงเกลียดชัง แล้วให้เอาศพหญิงห้าคนไปทิ้งเสีย อ้วนซงเห็นมารดาทำดังนั้น ก็คิดเกรงญาติพี่น้องของหญิงห้าคนจะมีใจพยาบาทแก่มารดาแลตัว จึงให้ทหารไปจับเอาญาติพี่น้องหญิงห้าคนนั้นมาฆ่าเสีย ฝ่ายสิมโพยกับฮองกี๋จึงแต่งการยกอ้วนซงขึ้นเปนเจ้าเมืองกิจิ๋ว แล้วแต่งหนังสือให้ทหารถือออกไปถึงอ้วนถำกับอ้วนฮีโกกันว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวถึงแก่ความตายแล้ว
ฝ่ายอ้วนถำยกกองทัพมาใกล้จะถึงเมืองกิจิ๋ว พบผู้ถือหนังสือแจ้งเหตุทั้งปวงว่าบิดาตายแล้ว จึงปรึกษากัวเต๋ากับซินเบ้งว่า บัดนี้บิดาเราถึงแก่ความตายแล้วเราจะคิดประการใด กัวเต๋าจึงว่าตัวท่านเปนบุตรผู้ใหญ่มิได้อยู่ในเมือง ข้าพเจ้าเห็นว่าสิมโพยกับฮองกี๋จะให้อ้วนซงเปนเจ้าเมืองแทนบิดาท่าน ขอท่านเร่งยกเข้าไปในเมือง แล้วให้ขุนนางทั้งปวงปรึกษาตามประเพณีจึงจะควร ซินเบ้งก็ตอบว่า ซึ่งจะให้อ้วนถำเข้าไปถึงในเมืองนั้นไม่ได้ ด้วยสิมโพยกับฮองกี๋เปนต้นคิด เกลือกจะทำกลไว้ประการใดอันตรายจะมีแก่เราต่างๆ กัวเต๋าจึงว่า ซึ่งท่านสงสัยดังนั้นก็ชอบอยู่ จงให้หยุดทหารไว้นี่ก่อน แต่ตัวข้าพเจ้าผู้เดียวจะขออาสาเข้าไปในเมือง ฟังดูดีแลร้ายให้ประจักษ์ แล้วจึงจะคิดอ่านต่อไป อ้วนถำกับซินเบ้งก็เห็นด้วย กัวเต๋าก็ลาอ้วนถำรีบเข้าไปหาอ้วนซง ๆ จึงถามกัวเต๋าว่า อ้วนถำพี่เรามาด้วยหรือไม่ กัวเต๋าจึงบอกว่า อ้วนถำรู้หนังสือซึ่งให้เร่งกองทัพนั้นก็รีบยกมาตั้งอยู่นอกเมือง แต่อ้วนถำเปนปัจจุบันป่วยอยู่ บัดนี้ใช้ให้ข้าพเจ้าเข้ามาฟังดูว่าจะยกกองทัพไปรบโจโฉเมื่อใด อ้วนซงจึงว่าเมื่อบิดายังไม่ตายนั้นได้สั่งไว้ให้เราเปนเจ้าเมืองกิจิ๋ว ให้ถ้วนถำนั้นคงอยู่เปนเจ้าเมืองเซียงจิ๋ว บัดนี้โจโฉก็ยกกองทัพมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮองโห ท่านจงกลับออกไปบอกแก่อ้วนถำให้ยกเปนกองหน้าไปทำการสงครามด้วยโจโฉก่อน แล้วเราจะยกกองทัพไปช่วย กัวเต๋าจึงตอบว่า อ้วนถำสั่งข้าพเจ้ามาให้แจ้งเนื้อความแก่ท่านว่า ในกองทัพซึ่งยกมาบัดนี้ หามีผู้ใดซึ่งมีสติปัญญาจะปรึกษาการสงครามไม่ อ้วนถำจะขอสิมโพยกับฮองกี๋ไปด้วยจะได้ช่วยคิดการ อ้วนซงจึงว่าซึ่งเราจะยกเปนกองหลวงไปนี้ ก็จะได้อาศรัยแต่ความคิดสิมโพยฮองกี๋ เมื่ออ้วนถำให้มาขอไปแล้วเราจะได้ผู้ใดเปนที่ปรึกษาเล่า กัวเต๋าจึงว่าถ้าท่านไม่ให้ทั้งสองคน ก็ขอแต่สิมโพยหรือฮองกี๋ไปด้วยแต่สักคนหนึ่งเถิด อ้วนซงมิได้รู้กลอุบาย ครั้นจะขัดอ้วนถำก็ไม่ได้ จึงเขียนชื่อสิมโพยฮองกี๋เสี่ยงทาย ถ้าจับถูกชื่อผู้ใดก็จะให้ผู้นั้นไป อ้วนซงจับถูกชื่อฮองกี๋ก็บังคับให้ฮองกี๋ไป แล้วอ้วนซงก็แต่งหนังสือให้ไปถึงอ้วนถำว่า เราให้ฮองกี๋มาเปนที่ปรึกษา ให้อ้วนถำยกเปนกองหน้ารีบเข้าไปทำสงครามด้วยโจโฉ เราจึงจะยกกองหลวงไปช่วย กัวเต๋ากับฮองกี๋ก็รับเอาหนังสือแล้วลาอ้วนซงไปถึงกองทัพอ้วนถำ ฮองกี๋นั้นเห็นอ้วนถำมิได้ป่วยเหมือนคำกัวเต๋าก็คิดฉุกใจไม่มีความสบาย กัวเต๋าจึงส่งหนังสือให้อ้วนถำ
อ้วนถำแจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธจะให้ฆ่าฮองกี๋เสีย กัวเต๋าห้ามไว้แล้วเข้าไปกระซิบว่าแก่อ้วนถำว่า ครั้งนี้กองทัพโจโฉยกล่วงแดนเข้ามา อันฮองกี๋นี้อยู่ในเงื้อมมือเรา ซึ่งท่านจะด่วนฆ่าเสียนั้นไม่ควร ขอให้ท่านงดไว้ก่อนทำเปนไม่รู้เท่าอ้วนซง เราอุตส่าห์คิดอ่านทำการสงครามรบพุ่งโจโฉให้สำเร็จแล้ว จึงค่อยคิดอ่านเอาเมืองกิจิ๋วก็จะได้โดยง่าย อ้วนถำเห็นชอบด้วย จึงยกกองทัพไปถึงตำบลลิหยง
ฝ่ายโจโฉแจ้งดังนั้น ก็ยกล่วงไปตั้งประชิดค่ายอ้วนถำอยู่ อ้วนถำจึงให้อังเจี๋ยวคุมทหารยกออกไปรบด้วยโจโฉ ๆ ก็พาทหารออกไปยืนม้าอยู่หน้าค่าย แล้วให้ซิหลงคุมทหารออกรบด้วยอังเจี๋ยวได้ห้าเพลง ซิหลงเอาทวนแทงถูกอังเจี๋ยวตกม้าตาย โจโฉเห็นได้ทีก็ขับทหารเข้าไล่ฆ่าฟันทหารอ้วนถำล้มตายเปนอันมาก ครั้นเวลาจวบค่ำโจโฉก็พาทหารกลับเข้าค่าย อ้วนถำจึงให้ทหารรักษาค่ายไว้เปนมั่นคง แล้วแต่งหนังสือให้ม้าใช้ไปขอกองทัพอ้วนซงมาช่วย
อ้วนซงแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงปรึกษากับสิมโพยเห็นพร้อมกันแล้ว ก็จัดแจงทหารห้าพันให้ยกไปช่วยอ้วนถำ ฝ่ายม้าใช้โจโฉรู้ก็เอาเนื้อความรีบไปบอกแก่โจโฉว่า บัดนี้อ้วนซงให้ทหารยกมาช่วยอ้วนถำ โจโฉแจ้งดังนั้นก็ให้ลิเตียนงักจิ้นคุมทหารไปสกัดตีทหารอ้วนซง ลิเตียนกับงักจิ้นคุมทหารรีบอ้อมไปสกัดฆ่าฟันทหารทั้งห้าพันนั้นล้มตายสิ้น
ฝ่ายอ้วนถำรู้ข่าวว่าอ้วนซงให้ทหารมาช่วยห้าพัน แลทหารโจโฉไปสกัดฆ่าฟันเสียก็โกรธ ว่าอ้วนซงไม่ยกมาช่วยเหมือนถ้อยคำ จึงด่าฮองกี๋เปนข้อหยาบช้า ฮองกี๋จึงว่าท่านอย่าเพ่อโกรธก่อน ข้าพเจ้าจะให้มีหนังสือไปถึงอ้วนซง ให้ยกกองทัพมาเองให้จงได้ แล้วฮองกี๋ก็แต่งหนังสือเปนใจความว่า ให้อ้วนซงยกกองทัพมาช่วย ครั้นแต่งหนังสือแล้วส่งให้อ้วนถำ ๆ จึงให้ม้าใช้ถือไปให้อ้วนซง
ฝ่ายอ้วนซงแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงปรึกษากับสิมโพยว่า ซึ่งฮองกี๋จะให้เรายกกองทัพไปช่วยอ้วนถำนั้น ท่านจะเห็นประการใด สิมโพยจึงว่า การซึ่งท่านได้เปนเจ้าเมืองนี้ กัวเต๋าก็มีสติปัญญาเห็นจะรู้เท่าอยู่ หากคิดกันกับอ้วนถำ ทำกลอุบายมาขอฮองกี๋ไปช่วยคิดการสงคราม แล้วจะยกกลับมาตีเอาเมืองกิจิ๋ว บัดนี้ซึ่งอ้วนถำให้ฮองกี๋มีหนังสือมาขอกองทัพไปช่วยนั้น ท่านอย่ายกไปเลย อ้วนถำหรือจะต้านทานความคิดแลฝีมือโจโฉได้ เราจะนิ่งไว้ให้อ้วนถำพ่ายแพ้แก่โจโฉ คิดว่าอุปมาเหมือนยืมมือโจโฉให้ฆ่าอ้วนถำเสีย อ้วนซงเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตอบไปว่า ซึ่งจะให้ยกกองทัพไปช่วยนั้นไม่ได้ ด้วยโจโฉก็ล่วงเข้ามาในแดนเรา จำเราจะตั้งรักษาเมืองไว้ คนใช้ก็รับเอาหนังสือรีบไปให้อ้วนถำ ๆ แจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงให้เอาตัวฮองกี๋ไปฆ่าเสีย แล้วปรึกษากับกัวเต๋าซินเบ้งว่า เราคิดจะเข้าทำราชการด้วยโจโฉจึงจะมีความสุขสืบไป กัวเต๋ากับซินเบ้งยังมิได้ตอบประการใด
ฝ่ายม้าใช้รู้กิตติศัพท์ดังนั้น จึงเอาเนื้อความไปบอกแก่อ้วนซงตามคำอ้วนถำปรึกษา อ้วนซงแจ้งดังนั้นจึงปรึกษากับสิมโพยว่า แม้เราจะไม่ไปช่วยอ้วนถำ ๆ ก็จะเข้าด้วยโจโฉ เห็นเมืองเราจะเสียเปนมั่นคง สิมโพยเห็นชอบด้วย อ้วนซงจึงให้สิมโพยกับโซฮิวนายทหารอยู่รักษาเมือง แล้วให้เกณฑ์ลิกองกับลิเซียงพี่น้องคุมทหารสามหมื่นเปนกองหน้า อ้วนซงคุมทหารเปนอันมากเปนกองหลวงหนุนไปตั้งอยู่ใกล้ค่าย หวังจะช่วยอ้วนถำทำศึกด้วยโจโฉ
ฝ่ายอ้วนฮีกับโกกันรู้ข่าวดังนั้น ก็เกณฑ์ทหารยกมาตั้งค่ายเปนลำดับต่อค่ายอ้วนซงไป พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกอ้วนถำว่า อ้วนซงกับอ้วนฮีแลโกกันยกมาช่วย อ้วนถำมีความยินดี ก็มิได้คิดอ่านซึ่งจะไปเข้าด้วยโจโฉ แล้วให้ตั้งมั่นดูท่วงทีกองทัพทั้งสามเมือง จะรบพุ่งด้วยโจโฉประการใด
ในขณะนั้นอ้วนซงอ้วนฮีโกกัน คุมทหารออกรบพุ่งเสียทีแก่โจโฉทุกครั้ง ถึงสิบเจ็บสิบแปดวัน ทหารต้องอาวุธล้มตายเปนอันมาก ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจโฉเห็นได้ที จึงจัดแจงทหารเปนสี่กอง ยกเข้าตีหักหาญพร้อมกันทั้งสี่ค่าย ทหารทั้งสามเมืองล้มตายบ้าง แตกหนีไปบ้าง จับได้บ้าง อ้วนถำกับอ้วนซงอ้วนฮีโกกัน เห็นจะต้านทานมิได้ก็ทิ้งค่ายเสีย พาทหารซึ่งเหลือนั้นหนีกลับไป โจโฉก็คุมทหารยกติดตามไป
ฝ่ายอ้วนถำกับอ้วนซงนั้นหนีเข้าไปในเมืองกิจิ๋วได้ แล้วให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ แต่อ้วนฮีกับโกกันคุมทหารตั้งค่ายรับโจโฉอยู่นอกเมือง โจโฏเกณฑ์ทหารให้ตั้งค่ายลง แล้วคุมทหารไปตีค่ายอ้วนฮีโกกันเปนหลายครั้งก็มิได้ กุยแกจึงว่าแก่โจโฉว่า อ้วนเสี้ยวก็ตายแล้ว อันทหารซึ่งเราจับไว้ได้นั้นบอกว่า บุตรอ้วนเสี้ยวทั้งสามคนนั้นก็แก่งแย่งกันอยู่ ผู้น้อยจะตั้งตัวเปนใหญ่ ครั้งนี้หากมีศึกมาจึงเข้าประนอมช่วยกันคิดอ่านป้องกันเมือง แม้ว่าว่างศึกอยู่ ต่างคนต่างจะแขงเมืองไว้ก็จะเกิดรบพุ่งกันขึ้นเอง ขอให้ท่านละเมืองกิจิ๋วเสียก่อน ยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วแลหัวเมืองฝ่ายใต้กำจัดเล่าเปียวเสียก่อน ฝ่ายบุตรอ้วนเสี้ยวทั้งสามคนนั้นเห็นกองทัพเราเลิกไป ก็จะคิดอ่านรบพุ่งชิงเมืองกันขึ้นเอง เมื่อเห็นกำลังถอยลงแล้ว จึงค่อยยกมาตีเอาเมืองกิจิ๋วก็จะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงเลิกกองทัพกลับมาถึงค่ายตำบลลิหยง จึงแต่งให้กาเซี่ยงคุมทหารตั้งขัดทัพอยู่ตำบลนั้น แล้วให้โจหองคุมทหารถอยไปตั้งขัดทัพระวังริมแม่น้ำฮองโหไว้ โจโฉจึงให้จัดแจงทหาร แล้วยกกองทัพลงไปทางหัวเมืองฝ่ายใต้ ฝ่ายอ้วนฮีกับโกกันเห็นโจโฉเลิกทัพกลับไปก็มีความยินดี ต่างคนต่างก็ยกทัพกลับไปเมือง
ขณะนั้นอ้วนถำยังอยู่ในเมืองกิจิ๋ว จึงลอบปรึกษากับกัวเต๋าซินเบ้งว่า ตัวเราเปนบุตรใหญ่ อ้วนซงนั้นเปนบุตรภรรยาน้อย ทั้งอายุก็อ่อนกว่าเรา ซึ่งจะเปนใหญ่ในเมืองกิจิ๋วนี้เราไม่ยอม ท่านทั้งสองจะเห็นประการใด กัวเต๋าจึงว่า ท่านจงจัดแจงทหารออกไปตั้งอยู่นอกเมือง แล้วเกณฑ์ทหารไปซุ่มไว้ จึงให้เข้ามาบอกอ้วนซงสิมโพยว่า ท่านจะยกกลับไปเมือง แล้วให้เชิญอ้วนซงสิมโพยออกมากินโต๊ะ จึงให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นจับอ้วนซงกับสิมโพยฆ่าเสีย เมืองกิจิ๋วก็จะได้แก่ท่าน อ้วนถำเห็นชอบด้วย จึงพาทหารออกมาตั้งอยู่นอกเมือง จัดแจงไว้พร้อมตามคำกัวเต๋า พออองสิวที่ปรึกษาอ้วนถำมาแต่เมืองเซียงจิ๋ว อ้วนถำเห็นอองสิ้วมาก็มีความยินดี จึงเล่าความซึ่งคิดจะทำร้ายอ้วนซงนั้นให้ฟัง อองสิวจึงว่า อันธรรมดาพี่น้องกันนั้น อุปมาเหมือนหนึ่งแขนซ้ายแขนขวา เหตุใดท่านจะมาคิดใจเบา ตัดแขนซ้ายขวาเสียนั้นไม่ควร เมื่อท่านทำร้ายแลตัดพี่น้องเสียได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นจะไม่มีความสบาย แลท่านจะเอาผู้อื่นมาเปนพี่น้อง เขายังจะมีใจเจ็บร้อนด้วยท่านหรือ ซึ่งท่านจะฟังคำคนสอพลอยุยงนั้นไม่ควร ด้วยเขาเปนคนคิดสั้น จะเอาบำเหน็จปากแต่ครู่หนึ่งยามหนึ่งเท่านั้น
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับอองสิวออกไปเสียจากที่ แล้วให้คนใช้เข้าไปเชิญอ้วนซงสิมโพยตามคำกัวเต๋าว่า คนใช้ก็เข้าไปบอกอ้วนซงสิมโพยว่าอ้วนถำให้เชิญออกไปกินโต๊ะ อ้วนซงจึงปรึกษากับสิมโพยว่า ซึ่งอ้วนถำให้มาหาเราออกไปกินโต๊ะนั้นท่านจะเห็นประการใด สิมโพยจึงว่า ซึ่งอ้วนถำให้มาหาออกไป ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเปนความคิดกัวเต๋าทำกลอุบาย ถ้าจะออกไปบัดนี้ก็จะมีอันตรายเปนมั่นคง แม้จะนิ่งไว้ฉนี้ อ้วนถำกับกัวเต๋าจะมีความคิดแก่ขึ้น ขอให้ท่านยกกองทัพออกไปจับตัวอ้วนถำกับกัวเต๋ามาฆ่าเสีย เมืองเราจึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม อ้วนซงเห็นชอบด้วย ก็เกณฑ์ทหารได้ห้าหมื่นยกออกไปนอกเมือง
ฝ่ายอ้วนถำเห็นอ้วนซงคุมทหารยกเปนกระบวรทัพออกมา ก็แจ้งว่าอ้วนซงรู้กลอุบายทั้งปวง แล้วอ้วนถำใส่เกราะถือทวนขึ้นม้าพาทหารออกไป แล้วร้องว่าแก่อ้วนซงว่า ตัวมึงคิดคดเอายาพิษให้บิดากูกินจนถึงแก่ความตาย แล้วตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าเมืองใหญ่ จะบังคับบัญชากูซึ่งเปนพี่นั้นเห็นชอบอยู่แล้วหรือ
อ้วนซงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกับอ้วนถำเปนสามารถ อ้วนถำทานกำลังอ้วนซงไม่ได้ ก็ขับม้าพาทหารทั้งปวงหนีไป อ้วนซงไล่ฆ่าฟันทหารอ้วนถำล้มตายเปนอันมาก ครั้นจะตามอ้วนถำไปเห็นจะไม่ทันจึงพาทหารกลับเข้าเมือง อ้วนถำเห็นอ้วนซงกลับไปแล้ว จึงพาทหารซึ่งเหลือหยุดอยู่ แล้วคิดจะยกกลับไปแก้แค้นอ้วนซง จึงให้เงียมเพ็กคุมทหารเปนกองหน้า ตัวนั้นเปนกองหลวง ยกกลับไปจะจับอ้วนซง
ฝ่ายอ้วนซงรู้ดังนั้น จัดแจงทหารแล้วยกออกมาจะรบด้วยอ้วนถำ เงียมเพ็กจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร แล้วร้องว่ากล่าวแก่อ้วนซงเปนข้อหยาบช้า อ้วนซงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้าออกไปจะรบกับเงียมเพ็ก ลิกองจึงร้องห้ามว่า ซึ่งท่านจะออกไปรบกับเงียมเพ็กนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปเอง แล้วลิกองก็ขับม้าออกไปรบด้วยเงียมเพ็กได้ห้าเพลง ลิกองเอาทวนแทงถูกเงียมเพ็กตกม้าตาย อ้วนถำเห็นเสียทีดังนั้นก็ขับม้าพาทหารซึ่งเหลือนั้นรีบหนีเข้าไปอยู่ใน เมืองเพ็งง้วนก้วนซึ่งเปนเมืองขึ้น รักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เปนมั่นคง
ฝ่ายอ้วนซงยกตามไปเห็นดังนั้น จึงให้ทหารล้อมเมืองไว้ได้สามด้าน กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนถำว่า ซึ่งจะตั้งรับอยู่ในเมืองนี้เห็นไม่ได้ ด้วยสเบียงอาหารก็น้อย ทั้งทหารอ้วนซงก็มีใจกำเริบ ขอให้ท่านมีหนังสือไปอ่อนน้อมต่อโจโฉ ให้โจโฉยกมาตีเมืองกิจิ๋ว อ้วนซงก็จะยกทัพกลับไปต้านทานโจโฉ ท่านจึงยกตีเปนทัพกระหนาบออกไป เห็นอ้วนซงจะเสียทีเปนมั่นคง อันโจโฉยกทัพมานั้นเปนทางกันดารด้วยสเบียงอาหาร แม้เราจะคิดอ่านกลับรบพุ่งด้วยโจโฉก็จะมีชัยชนะโดยง่าย ซึ่งข้าพเจ้าคิดทั้งนี้เห็นได้การทั้งสองฝ่าย อ้วนถำเห็นชอบด้วยจึงปรึกษาว่า ท่านจะเห็นผู้ใดซึ่งมีความคิดพอจะถือหนังสือไปให้โจโฉ กัวเต๋าจึงว่า ซินผีซึ่งเปนเจ้าเมืองเพงง้วนก้วนอยู่นี้มีสติปัญญา แล้วก็เปนน้องซินเบ้ง ถ้าให้ถือหนังสือไปเห็นจะพูดจาให้โจโฉยกมาได้
อ้วนถำจึงให้แต่งหนังสือเปนใจความว่า ข้าพเจ้าอ้วนถำขออ่อนน้อมคำนับมาแก่มหาอุปราช ให้ยกกองทัพมาช่วยกำจัดอ้วนซงซึ่งคิดมิชอบเสีย ข้าพเจ้าจะตีเปนทัพกระหนาบ ถ้าสำเร็จการแล้วข้าพเจ้าก็จะทำการสามิภักดิ์ด้วยท่านสืบไป ครั้นแต่งเสร็จแล้วก็ส่งให้ซินผีถือไป จึงสั่งว่าท่านจงคิดอ่านว่ากล่าวให้โจโฉยกมาให้จงได้ แล้วแต่งทหารสามพันไปส่งซินผีให้พ้นกองทัพอ้วนซง ซินผีรับเอาหนังสือแล้วก็ลาไปกับทหารสามพัน ครั้นพ้นกองทัพอ้วนซงแล้ว ซินผีก็ขับม้ารีบไปหาโจโฉทางเมืองทิศใต้แต่ผู้เดียว
ฝ่ายโจโฉครั้นยกมาถึงเมืองเซเปงก๋วนแดนเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวรู้จึงจัดแจงทหารให้เล่าปี่ยกออกไปรบด้วยโจโฉ ขณะนั้นพอซินผีมาถึงจึงบอกเนื้อความแล้วส่งหนังสือให้ทหารเอาเข้าไปให้โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดูแจ้งเนื้อความแล้ว จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า อ้วนถำมีหนังสือมาอ่อนน้อมแก่เรา ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เทียหยกจึงว่าครั้งนี้เห็นอ้วนถำจะเสียทีแก่อ้วนซงแล้ว จึงมีหนังสือมาอ่อนน้อมหวังจะให้ท่านยกไปช่วยกำจัดอ้วนซงเสีย แลเนื้อความทั้งนี้ท่านอย่าได้เชื่อฟัง
ลิยอยกับหมันทองจึงว่า เดิมท่านยกกองทัพมาหวังจะกำจัดเล่าเปียว ซึ่งท่านจะเชื่อถืออ้วนถำแลยกกองทัพกลับไปนั้นไม่ควร ซุนฮิวจึงว่า ซึ่งท่านทั้งสามคนว่านี้เราไม่เห็นด้วย ทุกวันนี้แผ่นดินเปนจลาจล หัวเมืองทั้งปวงก็เข้มแขง อันเล่าเปียวนั้นได้เปนใหญ่ในเมืองเกงจิ๋ว เมืองขึ้นก็มีเปนหลายตำบล แต่เล่าเปียวนั้นมีสติปัญญาน้อย มิได้คิดให้แดนเมืองกว้างขวางออกไป อันอ้วนเสี้ยวถึงตัวตายแล้วก็ดี แต่ลูกหลานว่านเครือยังมีอยู่เปนอันมาก เมืองใหญ่ก็มีอยู่ถึงสี่หัวเมือง ๆ ขึ้นก็เปนหลายตำบล ทั้งทหารก็มีอยู่ประมาณร้อยหมื่นเศษ ถ้าลูกหลานพี่น้องอ้วนเสี้ยวปรกติกัน เห็นผู้อื่นจะไม่ไปย่ำยีได้ บัดนี้อ้วนถำกับอ้วนซงผิดกัน อ้วนถำให้มาอ่อนน้อมต่อท่าน ถึงจะคิดเปนกลประการใดก็เห็นจะได้ที่เรา ขอให้ยกกองทัพไปเปนทีช่วยอ้วนถำกำจัดอ้วนซงเสีย แล้วจึงคิดอ่านรบเอาอ้วนถำก็จะได้โดยง่าย
โจโฉได้ฟังซุนฮิวว่าเห็นชอบด้วย จึงให้หาตัวซินผีมากินโต๊ะ แล้วโจโฉถามซินผีว่า ซึ่งอ้วนถำให้หนังสือมาถึงเรานี้ โดยสุจริตหรือเปนกลอุบาย ซินผีจึงตอบว่า ซึ่งท่านถามทั้งนี้ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ ซึ่งข้อจริงแลเท็จนั้นท่านมหาอุปราชจงดำริห์ดูก็จะรู้แจ้ง อันอ้วนเสี้ยวนั้นทำสงครามก็พ่ายแพ้แก่ท่านเปนหลายครั้ง แล้วอ้วนเสี้ยวมิได้เชื่อที่ปรึกษากลับเอาโทษถึงตายบ้าง ถอดออกเสียจากที่บ้าง ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงอิดโรยย่อท้อการศึกจึงเสียไป จนตัวอ้วนเสี้ยวก็ถึงแก่ความตาย บัดนี้อ้วนถำกับอ้วนซงชิงกันเปนใหญ่ บันดาคนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ว่า แซ่อ้วนจะสาบสูญแล้ว จึงบังเกิดให้เปนทั้งนี้ ขอให้ยกไปตีเอาเมืองกิจิ๋ว อ้วนซงก็จะเปนกังวลหลังจะยกมารบพุ่งกับท่าน อ้วนถำก็จะตีกระหนาบมา แซ่อ้วนครั้งนี้อุปมาเหมือนใบไม้แห้งอันหล่นเมื่อเทศกาลแล้ง ตัวท่านดังเพลิงป่าอันต้องลมก็จะไหม้ใบไม้ทั้งนั้นเปนจุณไป ซึ่งท่านจะตั้งรบเมืองเกงจิ๋วอยู่ฉนี้เห็นไม่ควร ด้วยเล่าเปียวทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรมีความสุขอยู่ อันหัวเมืองฝ่ายเหลือนั้นกล้าแขงยิ่งกว่าหัวเมืองทั้งปวง แม้ท่านปราบปรามหัวเมืองฝ่ายเหนือราบคาบแล้ว การทั้งปวงก็จะเปนสิทธิ์แก่ท่าน ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ท่านดำริห์ดูจงควร
โจโฉได้ฟังแจ้งใจทุกประการแล้วก็มีความยินดี จึงแกล้งสรรเสริญซินผีว่า ถ้าแต่ก่อนเราได้พบท่านการสิ่งไรก็จะสมความปราถนาโดยเร็ว แล้วโจโฉก็ยกกองทัพจะกลับไปตีเมืองกิจิ๋ว เล่าปี่เห็นโจโฉยกกลับไป ก็คิดเกรงว่าโจโฉจะทำกลอุบายก็ไม่ยกติดตาม จึงพาทหารทั้งปวงกลับเข้าเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายอ้วนซงรู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉยกกองทัพกลับข้ามแม่น้ำฮองโหมาจะตีเอา เมืองกิจิ๋ว จึงให้ลิกองลิเซียงคุมทหารป้องกันหลัง แล้วอ้วนซงก็เลิกทัพกลับมารักษาเมือง
ฝ่ายอ้วนถำเห็นดังนั้นก็คุมทหารออกจากเมือง รีบตามไปทางประมาณสี่ร้อยเส้น เห็นลิกองลิเซียงคุมทหารสกัดทางไว้ อ้วนถำจึงขับม้าขึ้นไปแล้วร้องว่าแก่ลิกองลิเซียงว่า บิดาเราเลี้ยงท่านให้มีความสุขเปนอันมาก บัดนี้บิดาเราตายแล้ว อ้วนซงเปนผู้น้องตั้งตัวเปนใหญ่ให้ผิดประเพณี ตัวท่านอยู่ในเมืองก็มิได้ทัดทาน แล้วซ้ำเข้าด้วยอ้วนซงผู้กระทำผิด คบคิดกันมารบพุ่งเราฉนี้ตัวเห็นชอบอยู่หรือ
ลิกองลิเซียงได้ฟังดังนั้น ไม่รู้ที่จะตอบประการใด ก็ลงจากม้าทิ้งอาวุธเสียวิ่งเข้าไปคำนับอ้วนถำแล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้าผิดทั้งนี้เพราะใจเบา ข้าพเจ้าขออภัยโทษเสียเถิด อ้วนถำจึงตอบว่า ซึ่งท่านมาลุแก่โทษกับเราทั้งนี้ก็ขอบใจแล้ว บัดนี้เราจะชวนกันไปคำนับโจโฉ แล้วอ้วนถำก็พาลิกองลิเซียงกับทหารทั้งปวง อ้อมเมืองกิจิ๋วไปถึงคำนับโจโฉ
ฝ่ายโจโฉเห็นก็มีความยินดี จึงว่าแก่อ้วนถำว่า ตัวท่านมาอ่อนน้อมต่อเรา ๆ ก็ขอบใจนัก ถ้าสำเร็จการสงครามแล้ว เราจะยกบุตรเราให้เปนภรรยาท่าน แลลิกองกับลิเซียงนั้นเราจะเลี้ยงให้ถึงขนาด อ้วนถำได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าขอให้ท่านเร่งยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองกิจิ๋ว โจโฉจึงแกล้งตอบว่า เรามาทำการศึกครั้งนี้ก็หลายเดือนแล้ว กองลำเลียงซึ่งส่งสเบียงอาหารนั้นได้ความลำบากนัก ด้วยทางไกลกันดาร เราจะให้ขุดคลองแต่แม่น้ำกีซุยตลอดถึงแม่น้ำเปกตก ให้เรือเดิรเข้ามาส่งลำเลียงได้จึงจะทำการได้ถนัด อันตัวท่านจงยกกองทัพไปตั้งอยู่เมืองเพ็งง้วนก้วนก่อนเถิด เอาแต่ลิกองลิเซียงไว้ด้วยเรา โจโฉจึงตั้งลิกองลิเซียงขึ้นเปนนายทหาร แล้วก็เลิกกองทัพถอยมาตั้งอยู่ตำบลค่ายลิหยง จึงเกณฑ์ให้ทหารขุดคลองแต่แม่น้ำกีซุยตลอดถึงแม่น้ำเปกตก
ฝ่ายอ้วนถำก็คุมทหารกลับไปถึงเมืองเพงง้วนก้วน กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนถำว่า ซึ่งโจโฉจะยกบุตรให้เปนภรรยาท่านนั้นข้าพเจ้าเห็นไม่เหมือนปากว่า บัดนี้ตั้งให้ลิกองลิเซียงเปนนายทหาร แล้วเอาไว้ใช้สอยนั้น เห็นว่าโจโฉแกล้งคิดอ่านยกย่องไว้ให้เปนใจทำการด้วย ซึ่งโจโฉทำทั้งนี้อุปมาเหมือนต้อนปลาเข้าไทร ถ้าท่านเพื่อฟังโจโฉแล้ว ข้าพเจ้าเห็นตัวท่านแลหัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีอันตรายต่างๆ ด้วยความคิดโจโฉเปนมั่นคง ขอให้ท่านทำตราสำหรับที่นายทหารสองดวงให้คนใช้เอาไปให้ลิกองลิเซียง แล้วสั่งความลับไปว่า ให้ลิกองลิเซียงคิดถึงท่าน อย่าเปนใจด้วยโจโฉ ถ้าโจโฉยกกองทัพเข้าตีอ้วนซงแล้ว ให้ลิกองลิเซียงคิดการเปนใส้ศึก แม้ได้ทีประการใดให้บอกมาถึงเรา ๆ จึงจะยกเข้าทำร้ายโจโฉ
อ้วนถำเห็นชอบด้วยจึงให้ทำตราสองดวง แล้วส่งให้คนใช้เปนการลับ ให้ลอบบอกลิกองลิเซียงตามคำอ้วนถำสั่ง ลิกองลิเซียงกลัวจะไม่พ้นผิด จึงทำเปนเอาตรานั้นไปให้โจโฉดู ว่าอ้วนถำให้มา แต่ข้อความลับนั้นมิได้บอกให้แจ้ง โจโฉเห็นตราดังนั้นจึงว่า ซึ่งอ้วนถำให้ตราสำหรับที่มาแก่ท่านทั้งสองนี้ เพราะอ้วนถำคิดจะทำร้ายต่อเรา หวังจะให้ท่านทั้งสองเปนใส้ศึก ท่านจงรับเอาตรานี้ไว้ ข้อซึ่งอ้วนถำสั่งมาดีแลร้ายนั้นท่านจงรับเอาว่าจะทำตาม แม้เรายกกองทัพไปกำจัดอ้วนซงเสียแล้ว เราจึงจะยกไปฆ่าอ้วนถำเสีย ลิกองลิเซียงเห็นความคิดโจโฉล่วงรู้ดังนั้น ก็เกรงอยู่มิได้บอกคนใช้อ้วนถำประการใด
ฝ่ายอ้วนซงรู้ว่าโจโฉให้ขุดคลองดังนั้น จึงปรึกษาด้วยสิมโพยว่า ซึ่งโจโฉคิดทำการดังนี้หวังจะให้ส่งสเบียงโดยสดวก ท่านจะคิดป้องกันประการใด สิมโพยจึงว่า ให้มีหนังสือไปถึงอินไก๋เจ้าเมืองบูอั๋นซึ่งขึ้นแก่เรา ให้ยกกองทัพมาตั้งอยู่ ณ แดนเมืองมอเสีย แล้วให้จองกีซึ่งคุมสเบียงอยู่เมืองเซียงต๋งนั้น ให้คุมทหารมาตั้งอยู่แดนเมืองฮันตั้น แลโจโฉก็จะไม่อาจยกเข้าตีเมืองกิจิ๋ว เพราะเกรงทัพทั้งสองนี้จะตีวกหลัง ท่านจึงจัดกองทัพไปตีเมืองเพ้งง้วนก้วนได้แล้ว จึงยกมาบัญจบกันกับทัพหัวเมืองทั้งสองนั้นไปโจมตีโจโฉก็จะแตกไปโดยง่าย อ้วนซงเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือไปถึงหัวเมืองทั้งสองให้ยกมาตั้งอยู่ตามคำสิมโพยว่า แล้วให้ตันหลิมกับสิมโพยอยู่รักษาเมือง อ้วนซงจัดแจงทหารพร้อมแล้วจึงให้ม้าเอี๋ยนกับเตียวคีคุมทหารเปนกองหน้า ยกไปจะตีเอาเมืองเพ็งง้วนก้วน
ฝ่ายอ้วนถำรู้ข่าวว่าอ้วนซงยกกองทัพมา จึงแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปถึงโจโฉให้ยกมาช่วย โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงว่าเมืองกิจิ๋วครั้งนี้จะได้แก่เราเปนมั่นคง
ขณะนั้นพอเขาฮิวมาแต่เมืองฮูโต๋ รู้ข่าวว่าอ้วนซงยกกองทัพไปรบอ้วนถำ ณ เมืองเพ็งง้วนก้วน เขาฮิวจึงว่าแก่โจโฉว่า เหตุใดท่านมาตั้งนิ่งอยู่ดังนี้ จะคอยให้ฟ้าผ่าอ้วนถำกับอ้วนซงตายเองหรือ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราคิดการไว้พร้อมอยู่แล้ว จึงให้โจหองคุมทหารเข้าตีเมืองกิจิ๋ว แล้วโจโฉนั้นยกกองทัพไปตีอินไก๋ซึ่งตั้งอยู่แดนเมืองมอเสีย
ฝ่ายอินไก๋เห็นโจโฉยกมาก็ขี่ม้าคุมทหารออกมายืนม้าอยู่หน้าค่าย โจโฉจึงให้เคาทูเข้ารบด้วยอินไก๋ได้ห้าเพลง เคาทูเอาทวนแทงถูกอินไก๋ตกม้าตาย แลทหารอินไก๋ล้มตายแตกตื่นไปบ้าง เข้าหาโจโฉบ้าง โจโฉได้ทีแล้วก็ยกกองทัพไปจะตีจองกี ซึ่งตั้งอยู่ ณ แดนเมืองฮันตั้น จองกีเห็นโจโฉยกมาก็ขึ้นม้าพาทหารออกไปยืนม้าอยู่หน้าค่าย เตียวเลี้ยวก็อาสาขับม้ารำทวนออกไปรบกับจองกีได้สามเพลง จองกีทานกำลังเตียวเลี้ยวไม่ได้ก็ขับม้าหนี เตียวเลี้ยวเข้าหักหาญฆ่าทหารจองกีล้มตายเปนอันมาก แล้วขับม้าไล่ไป เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกจองกีตกม้าตาย ขณะนั้นทหารโจโฉจับทหารจองกีได้ไว้เปนอันมาก แล้วโจโฉก็ยกกองทัพรีบไปบัญจบทัพโจหองให้ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ จึงให้ทหารขนมูลดินมาถมเปนเนินขึ้นให้สูงเท่ากำแพงเมือง แล้วให้ขุดอุโมงค์หวังจะให้ตลอดเข้าในเมือง ฝ่ายสิมโพยกับตันหลิมเห็นโจโฉยกกองทัพมาล้อมเมืองแลทำการเปนกวดขันดังนั้น ก็ตรวจตราหน้าที่เชิงเทินให้ป้องกันรักษาไว้เปนสามารถ
ขณะนั้นบังเล้เปนนายทหารรักษาหน้าที่ด้านตวันออก เสพย์สุรานอนหลับไปมิได้กำชับตรวจตราให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทิน สิมโพยมาตรวจด่านเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงให้เอาตัวบังเล้มาตีเปนอันมาก บังเล้นั้นได้ความเจ็บอาย ครั้นเวลากลางคืนก็ลอบหนีออกไปหาโจโฉ ณ ค่าย แล้วเล่าเนื้อความซึ่งมีใจเจ็บแค้นให้โจโฉฟังทุกประการ
โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าตัวท่านอยู่ในเมืองได้เห็นการหนักเบาอยู่สิ้น จะให้เราทำประการใดจึงจะได้เมืองโดยเร็ว บังเล้จึงว่าฝ่ายกำแพงด้านตวันออกนี้ ข้าพเจ้าเห็นดินนั้นแขงมั่นคงอยู่ ขอให้ท่านขุดอุโมงค์เข้าไปให้ทลุขึ้นในเมือง จึงให้ทหารทั้งปวงตรูขึ้นทำการก็จะได้เมืองโดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารห้าร้อยให้บังเล้คุมขุดอุโมงค์ฝ่ายทิศตวันออก แต่ในเวลากลางคืนนี้ให้ตลอดจงได้ ครั้นเวลากลางคืนบังเล้ก็คุมทหารข้ามคูเมืองเข้าไปขุดอุโมงค์อลหม่านอยู่
ฝ่ายสิมโพยรู้ว่าบังเล้หนีไปเข้าด้วยโจโฉ ก็ขึ้นตรวจตรากำชับทหารหน้าที่เชิงเทินอยู่มิได้ขาด ในเวลากลางคืนวันนั้นสิมโพยอยู่บนเชิงเทินฝ่ายตวันออก เหล่าทหารซึ่งรักษาหน้าที่จึงบอกแก่สิมโพยว่า ค่ายตรงประตูออกไปนี้เห็นมืดประหลาทอยู่ ชรอยข้าศึกจะทำประการใด สิมโพยได้ฟังดังนั้นก็แลไปดูเห็นสมกับคำทหารจึงว่า ซึ่งค่ายมืดอยู่นี้อ้ายบังเล้มันคุมทหารอาสาโจโฉขุดอุโมงค์จะให้ตลอดเข้ามา ในเมือง สิมโพยจึงจัดทหารที่มีกำลัง ให้ขนเอาก้อนศิลามากองไว้ที่ประตูเมืองเปนอันมาก จึงให้เปิดประตูเมืองออก แล้วเร่งให้ทหารขนเอาก้อนศิลาไปถมปากอุโมงค์ไว้ให้แน่น แล้วก็พากันกลับเข้าเมือง แลทหารโจโฉซึ่งบังเล้คุมขุดอุโมงค์อยู่นั้นขึ้นไม่ได้ก็ตายสิ้น ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารมาบอกโจโฉว่าปากอุโมงค์นั้นก้อนศิลาปิดแน่นอยู่ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ซึ่งทำการขุดอุโมงค์นี้มีผู้ล่วงรู้ จึงให้ทหารขนก้อนศิลาถมปากอุโมงค์ไว้ทหารเราจึงตายเสีย แต่นั้นมาโจโฉมิได้คิดอ่านขุดอุโมงค์เลย แล้วเลิกค่ายซึ่งล้อมเมืองไว้นั้นเสียสิ้น ถอยมาตั้งอยู่ตำบลอวนสุย หวังจะคอบรับทัพอ้วนซง
ฝ่ายอ้วนซงเมื่อยกมาล้อมเมืองเพ็งง้วนก้วนอยู่นั้น พอม้าใช้มาบอกข่าวว่า โจโฉยกกองทัพมาฆ่าอินไก๋กับจองกีเสียแล้ว บัดนี้ยกไปล้อมเมืองกิจิ๋วไว้ อ้วนซงแจ้งดังนั้นก็ให้เลิกทัพจะกลับไป ม้าเอี๋ยนจึงว่า ซึ่งท่านจะยกทัพกลับไปตามทางหลวงนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะให้ทหารมาตั้งสกัดอยู่ ขอให้ยกกองทัพลัดไปทางเขาตวันตก ถ้าถึงแม่น้ำเปกตกแล้วจะได้ตีเอาสเบียงซึ่งมาส่งโจโฉนั้นด้วย กองทัพโจโฉก็จะขาดสเบียงลง ทหารทั้งปวงก็จะอิดโรย เห็นโจโฉก็จะเลิกทัพไป ถึงมาทว่าจะตั้งอยู่ทหารทั้งปวงก็จะอดเข้าปลาอาหาร แล้วเราก็จะทำการรบพุ่งได้ถนัด อ้วนซงเห็นชอบด้วย ก็ให้ม้าเอี๋ยนกับเตียวคีคุมทหารป้องกันมาภายหลัง แล้วอ้วนซงก็ยกกองทัพลัดมาทางเขาตวันตก
ฝ่ายม้าใช้โจโฉรู้ดังนั้น ก็รีบเอาเนื้อความมาบอกแก่โจโฉทุกประการ โจโฉแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า เราคิดเกรงอยู่ว่าอ้วนซงจะยกมาตามทางหลวง เห็นกองทัพเราจะระส่ำระสาย บัดนี้อ้วนซงยกมาทางตวันตก เราจะคิดอ่านจับตัวอ้วนซงให้ได้ ด้วยเหตุว่าอ้วนซงยกมาถึงก็จะจุดเพลิงขึ้น ให้ทหารซึ่งอยู่ในเมืองนั้นเห็นสำคัญแล้วจะได้ยกตีกระหนาบเราออกมา เราจำจะเกณฑ์ทหารเปนสองกอง ให้ยกไปคอยรบอ้วนซงกองหนึ่ง ๆ นั้นให้ยกไปคอยโจมตีทหารซึ่งจะยกออกมาจากเมือง แล้วโจโฉจัดแจงทหารเตรียมไว้ตามถ้อยคำซึ่งว่ากล่าว
ฝ่ายอ้วนซงซึ่งยกมาถึงแม่น้ำเปกตก ก็ไม่เห็นเรือสเบียงโจโฉ อ้วนซงก็ยกมาตั้งอยู่ตำบลยงเปง ทางใกล้เมืองกิจิ๋วประมาณสองร้อยเส้น จึงเกณฑ์ทหารให้ไปเก็บฟืนแลหญ้ามาชุมไว้เปนอันมาก หวังจะจุดเพลิงขึ้นให้สิมโพยเห็นสำคัญ จะได้คุมทหารตีกระหนาบกองทัพโจโฉออกมา จึงให้ลีหูแต่งตัวปลอมเปนทหารโจโฉแล้วสั่งว่า ให้เข้าไปบอกแก่สิมโพยว่าเรายกกองทัพมาถึงนี่แล้ว ถ้าเห็นแสงเพลิงซึ่งเราจุดขึ้นเมื่อใด ให้คุมทหารตีกระหนาบออกมารับเราเข้าไปในเมือง ลีหูก็หลอมเปนทหารเข้าไปในเมืองได้ แล้วบอกแก่สิมโพยตามซึ่งอ้วนซงสั่ง สิมโพยได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารเตรียมไว้ ลีหูรู้ว่าเข้าปลาอาหารในเมืองนั้นน้อย จึงว่าแก่สิมโพยว่า ซึ่งอ้วนซงจะยกเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองกิจิ๋วนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะขัดสนด้วยสเบียงอาหาร ข้าพเจ้าจะขอคิดอ่านให้ชาวเมืองหนีออกไปเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉ เห็นโจโฉจะเลินเล่อประมาทไป ท่านจงคุมทหารตามออกไปโจมตีกองทัพโจโฉก็จะแตกไปโดยง่าย สิมโพยเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารเอาธงขาวมาเขียนอักษรลงว่า บัดนี้อ้วนซงมิได้อยู่ในเมือง แลชาวเมืองทั้งปวงพร้อมใจกันจะขอเข้าด้วยมหาอุปราช แล้วเอาธงปักไว้บนเชิงเทิน โจโฉเห็นหนังสือในธงขาวซึ่งปักอยู่นั้น จึงว่าแก่ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงว่า ซึ่งธงขาวเขียนหนังสือปักไว้นั้น ด้วยสิมโพยเห็นว่าสเบียงอาหารในเมืองนั้นน้อยจึงคิดอ่านทำดังนี้ แล้วจะให้ชาวเมืองออกมาเข้าเกลี้ยกล่อมให้เราไว้ใจ แลตัวสิมโพยนั้นจะคุมทหารออกโจมตีกองทัพเรา แล้วโจโฉก็ให้เตียวเลี้ยวกับซิหลงคุมทหารคนละสามพันไปซุ่มอยู่ ณ เนินเขาริม ชานกำแพงเมือง ถ้าเห็นสิมโพยยกออกมาก็ให้ชวนกันตีกระหนาบจับเอาตัวสิมโพยมาให้ได้ แล้วโจโฉก็ใส่เกราะขึ้นม้ากั้นสัปทน พาทหารไปใกล้เชิงกำแพงเมืองหวังจะรบพุ่งกับสิมโพย แลประตูเมืองนั้นก็เปิดอยู่ พอแลเห็นชาวเมืองซึ่งแก่เถ้าชราถือไม้เท้าแลธูปเทียนดอกไม้ออกมาเปนอันมาก แล้วเห็นสิมโพยคุมทหารออกมา โจโฉจึงให้โบกธงแดงสามที
ฝ่ายเตียวเลี้ยวกับซิหลงเห็นดังนั้น ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามาฆ่าฟันทหารสิมโพยแลชาวเมืองล้มตายเปนอันมาก สิมโพยเห็นจะต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยกลับเข้าเมือง โจโฉเห็นประตูเมืองยังเปิดอยู่ก็ขับม้าเข้าไปใกล้เชิงกำแพงเมือง หวังจะขับทหารทั้งนั้นให้รบหักเข้าไปในเมืองจงได้ ฝ่ายทหารบนหน้าที่เชิงเทินก็รบพุ่งป้องกัน แล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกหมวกโจโฉตลอตไป
ฝ่ายทหารทั้งปวงตกใจคิดว่าโจโฉถูกเกาทัณฑ์ ก็ชวนกันเข้าห้อมล้อมแล้วพากลับมา ณ ค่าย โจโฉจึงจัดแจงทหารยกไปตีค่ายอ้วนซง ๆ เห็นดังนั้นก็คุมทหารออกมารบกับกองทัพโจโฉเปนสามารถ อ้วนซงเสียทหารเปนอันมากต้านทานไม่ได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นล่าทัพไปตั้งค่ายอยู่ ณ เขาตวันตก แล้วให้ม้าใช้รีบไปหาม้าเอี๋ยนกับเตียวคีมา
ขณะเมื่อม้าใช้มาบอกโจโฉว่า อ้วนซงยกกองทัพมาจากเมืองเพ็งง้วนก้วนนั้น โจโฉให้ลิกองลิเซียงไปเกลี้ยกล่อมม้าเอี๋ยนกับเตียวคีได้มา แล้วตั้งให้เปนนายทหาร แลเมื่อวันสิมโพยออกมานั้น ครั้นเวลากลางคืนโจโฉให้ลิกองลิเซียงม้าเอี๋ยนเตียวคีคุมทหารไปปล้นค่ายอ้วน ซง ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็เสียทหารเปนอันมาก จึงถอยไปตั้งอยู่ ณ เขาตวันตกทางไกลเมืองประมาณสี่ร้อยเส้น อ้วนซงเห็นทหารนั้นเบาบางอิดโรยระส่ำระสายดังนั้น จึงให้สิมเอ๋งไปบอกโจโฉว่าเราจะขอเข้าเกลี้ยกล่อมทำราชการด้วย สิมเอ๋งก็ไปหาโจโฉแล้วแจ้งเนื้อความตามคำอ้วนซงว่า
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า อ้วนซงจะมาเข้าเกลี้ยกล่อมเรานี้เพราะสิ้นความคิด ซึ่งเราจะเลี้ยงไว้นั้นไม่ได้ แต่จำเปนจะรับคำไว้ ภายหลังจึงจะคิดฆ่าเสียให้ได้ แล้วโจโฉจึงว่าแก่สิมเอ๋งว่า ซึ่งอ้วนซงอ่อนน้อมยอมทำราชการด้วยก็ตามเถิด สิมเอ๋งก็ลากลับไปบอกอ้วนซงว่าโจโฉรับแล้ว
ครั้นเวลาพลบค่ำโจโฉจึงให้เตียวเลี้ยวกับซิหลง คุมทหารไปตีค่ายอ้วนซง เตียวเลี้ยวกับซิหลงคุมทหารมาใกล้ค่าย พอเวลาสามยามเศษยกเข้าไปโจมตีปล้นค่ายอ้วนซง ขณะนั้นอ้วนซงไม่ทันรู้ตัวเสียทหารเปนอันมาก ทิ้งตราสำหรับที่แลทรัพย์สิ่งของเสีย พาทหารซึ่งเหลือนั้นหนีข้ามเขาไป เตียวเลี้ยวกับซิหลงเก็บเอาตราแลทรัพย์สิ่งของมาให้โจโฉ แล้วเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ
โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงยกกองทัพเข้าล้อมเมืองกิจิ๋วไว้ เขาฮิวจึงว่าแก่โจโฉว่า เหตุใดท่านจะทำสงครามรั้งรออยู่ดังนี้ไม่ควร ขอให้เกณฑ์ทหารขุดคลองไขน้ำเข้ามาให้ถึงคูเมือง น้ำก็จะไหลตามคลองเมืองเข้าไปท่วมเมืองผู้คนก็จะล้มตาย ท่านก็จะได้เมืองกิจิ๋วโดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ทหารให้ทำทำนบกั้นแม่น้ำเจียงโหไว้ แล้วให้ขุดคลองแต่แม่น้ำเจียงโหมาถึงเมืองกิจิ๋ว ทางไกลกันประมาณสี่ร้อยเส้น
ฝ่ายสิมโพยอยู่บนเชิงเทิน เห็นโจโฉกลับมาทำการขุดคลองดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า อันโจโฉทำการทั้งนี้เราหากลัวไม่ เราเกรงอยู่แต่จะขุดคลองให้ลึกลงไป จึงจะไขน้ำเข้ามาให้ท่วมเมืองเราได้ สิมโพยเห็นว่าโจโฉจะทำการไม่ตลอด ก็มิได้คิดอ่านป้องกันประการใด
ฝ่ายโจโฉมิได้เห็นชาวเมืองกิจิ๋วคิดทำการป้องกัน ก็เห็นว่าได้ทีอยู่แล้ว ครั้นเวลาค่ำจึงเกณฑ์แต่บันดาทหารเลว ให้บัญจบกันขุดคลองกว้างสี่วาลึกสี่วา ให้แล้วแต่ในเวลากลางคืนวันนี้ ทหารทั้งปวงก็ช่วยกันระดมทำการขุดคลองกว้างแลลึกได้สี่วา แล้วเปิดทำนบในเวลากลางคืนน้ำก็ล้นไหลเข้าไปถึงคูเมืองเปี่ยมแล้ว ไหลเข้าไปตามคลองเมืองเปนหลายตำบล จนท่วมเมืองลึกประมาณเจ็ดศอกแปดศอก ทหารแลชาวเมืองทั้งปวงขัดสนด้วยเข้าปลาอาหาร แลตายด้วยน้ำบ้างหนีขึ้นอยู่บนเชิงเทินบ้าง
ฝ่ายซินผีจึงเอาตราสำหรับที่กับหมวก แลเครื่องแต่งตัวของอ้วนซงซึ่งได้ไว้ในค่ายนั้น ใส่ปลายไม้ขึ้นแล้วแกว่งร้องประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่บนเชิงเทินว่า บัดนี้มหาอุปราชฆ่าอ้วนซงเสียแล้ว ท่านทั้งปวงจะนิ่งอยู่ใยให้ถึงแก่ความตาย จงชวนกันกลับเข้าด้วยมหาอุปราชจึงจะรอดจากความตาย สิมโพยได้ฟังซินผีร้องประกาศดังนั้นก็โกรธจึงให้จับเอาบุตรภรรยาแลพรรคพวก พี่น้องซินผีประมาณแปดสิบคนมาฆ่าเสีย แล้วเอาศพนั้นโยนออกไปให้ซินผี ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจร้องไห้รักบุตรภรรยาแลญาติพี่น้องอยู่
ฝ่ายสิมเอ๋งซึ่งเปนหลานสิมโพยนั้น เปนเพื่อนรักกันกับซินผี แลสิมเอ๋งเห็นสิมโพยทำดังนั้นก็มีความแค้น เพราะรักซินผีเปนอันมาก จึงเขียนหนังสือเปนใจความว่า ข้าพเจ้าสิมเอ๋งผู้หลานสิมโพย เปนเพื่อนรักกับซินผี มีความแค้นสิมโพยผู้อาว์ ด้วยฆ่าบุตรภรรยาพี่น้องซินผีเสีย เวลากลางคืนวันนี้ให้มหาอุปราชยกเข้ามาเถิด ข้าพเจ้าจะเปิดประตูเมืองรับ แล้วเอาหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงออกไป
ฝ่ายซินผีได้หนังสือแล้วอ่านดู แจ้งในเนื้อความแล้วก็ดีใจ จึงเอาหนังสือมาให้แก่โจโฉ ๆ แจ้งในหนังสือแล้ว จึงให้เอาไปประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เราจะยกเข้าเมืองในเวลาสามยามวันนี้ อย่าให้ผู้ใดทำร้ายแก่แซ่อ้วน แลผู้ซึ่งเข้าเกลี้ยกล่อมเปนอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดมิฟังเราจะให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต
ครั้นถึงเวลาจะใกล้รุ่ง สิมเอ๋งก็เปิดประตูเมืองไว้ตามสัญญา ซินผีเห็นดังนั้นก็คุมทหารเข้าไปในเมืองกิจิ๋ว สิมโพยรักษาหน้าที่อยู่ด้านตวันออกเห็นทหารโจโฉเข้าเมืองได้ทางด้านใต้ ก็คุมทหารมาประมาณสามสิบจะมารบกับทหารโจโฉ พอพบซิหลงสิมโพยก็ขับม้าเข้ารบกับซิหลงเปนสามารถ ซิหลงจับสิมโพยได้ก็มัดจะเอาไปให้โจโฉ ซินผีรู้ดังนั้นก็ควบม้าตามไปด้วยความแค้น จึงเอาแซ่ม้าตีสิมโพยแล้วกัดฟันด่าว่าอ้ายศัตรูมึงถึงที่ตายวันนี้แล้ว
สิมโพยได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงตอบว่า มึงเอาใจออกหากไปเข้าด้วยโจโฉซึ่งเปนศัตรู กูมีความแค้นจะใคร่กินเนื้อมึงเสียอีก ซิหลงก็รีบเอาตัวสิมโพยออกไปให้โจโฉ ณ ค่าย โจโฉจึงถามสิมโพยว่า ผู้ใดเปิดประตูเมืองรับทหารเราตัวรู้หรือไม่ สิมโพยจึงว่าข้าพเจ้าไม่แจ้ง โจโฉจึงบอกว่า สิมเอ๋งผู้หลานของตัวเปิดประตูเมืองรับทหารพวกเรา สิมโพยรู้ดังนั้นก็โกรธจึงว่า หากอ้ายศัตรูน้อยเอาใจไปแผ่เผื่อข้าศึก หาไม่ก็จะไม่เสียเมือง
โจโฉจึงถามสิมโพยว่า เมื่อวันตัวแต่งกลอุบายให้ชาวเมืองออกมาเข้าเกลี้ยกล่อมเรานั้น เราขี่ม้าเข้าไปใกล้เชิงกำแพง ทหารบนหน้าที่เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงเราออกมานั้น ตัวได้เกาทัณฑ์ที่ไหนมาเปนอันมาก สิมโพยจึงว่า ท่านเปนศัตรูของนายเรา ๆ ยังมีความแค้นอยู่ แลเสียดายว่าเกาทัณฑ์นั้นน้อยนัก ถ้ามีอีกจะให้ทหารระดมยิงท่านให้ถึงแก่ความตาย โจโฉจึงว่า ซึ่งตัวมีความสัตย์ต่อนายของตัวนั้นเราชอบใจนัก บัดนี้อ้วนเสี้ยวนายของตัวก็ตายแล้ว ตัวจะยอมอยู่ทำราชการด้วยเราหรือ เราจะเลี้ยงไว้ ซินผีได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่โจโฉว่า บุตรภรรยาแลพรรคพวกของข้าพเจ้าถึงแปดสิบเศษสิมโพยฆ่าเสียสิ้น ท่านจงฆ่ามันเสียให้ตายตามกันไป ข้าพเจ้าจึงจะหายความแค้น สิมโพยจึงตอบว่า มึงอย่าพักยุยงเลยกูหารักชีวิตไม่ อันตัวกูเกิดมาเปนคนกตัญญู คิดตั้งใจว่าได้เปนบ่าวแล้วก็จะทำนุบำรุงแซ่อ้วนไปโดยสุจริต แม้มาทว่าตัวกูตายไปก็จะขอเปนบ่าวแซ่อ้วน จะได้คิดทุจริตเหมือนมึงนั้นหามิได้ มึงเร่งยุให้โจโฉฆ่ากูเสียเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเอาตัวสิมโพยไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงก็คุมเอาตัวสิมโพยออกไป ขณะเมื่อจะลงดาบนั้น สิมโพยจึงว่าแก่ทหารซึ่งจะฆ่านั้นว่า นายเราอยู่ฝ่ายทิศเหนือ ท่านจงงดดาบไว้ก่อน เราจะขอบ่ายหน้าไปสู่ทิศนายเราแล้วจงลงดาบเถิด ทหารนั้นก็งดไว้ให้สิมโพยบ่ายหน้าไปข้างทิศเหนือแล้วก็ฆ่าเสีย
โจโฉรู้ดังนั้นจึงแกล้งยกย่องสิมโพย หวังจะให้ทหารทั้งปวงมีใจจงรักภักดีต่อตัว จึงว่าสิมโพยนี้มีความสัตย์ซื่อต่อนายนัก ผู้ใดจะทำราชการไปภายหน้า จงดูเยี่ยงอย่างสิมโพยเถิด แล้วก็ให้แต่งการศพเอาไปฝังเสีย พอทหารจับตัวตันหลิมเข้ามา โจโฉจึงถามตันหลิมว่า ซึ่งอ้วนเสี้ยวให้แต่งหนังสือประกาศไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่า เราทำการหยาบช้านั้นก็ชอบอยู่ เพราะอ้วนเสี้ยวกับเราเปนศัตรูกัน แต่เหตุใดท่านจึงล่วงว่าขึ้นไปถึงปู่แลบิดาเรา ว่าคิดร้ายต่อแผ่นดินนั้นด้วยอันใด ตันหลิมจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าแต่งหนังสือนั้น อุปมาเหมือนผู้ขึ้นเกาทัณฑ์พาดลูกไว้ ครั้นจะยิงไปก็เหนี่ยวด้วยกำลังให้เต็มที่ เพราะหมายใจว่าจะให้ถูกคนแลสัตว์ถึงแก่ความตาย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งตันหลิมว่ากล่าวทั้งนี้เปนข้อหยาบช้า ท่านจงให้เอาตัวไปฆ่าเสีย โจโฉจึงตอบว่า อันตันหลิมว่ากล่าวทั้งนี้เปนความจริง ซึ่งท่านจะให้ฆ่าเสียนั้นไม่ควร เราจะเลี้ยงไว้สำหรับจะได้แต่งหนังสือแลจดหมายเหตุ
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 29
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnNHhsbzBYQk9fakU/view?resourcekey=0-XSIEf6hSi7D02CM6CzrtNQ
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Online
Posts: 9,454
Re: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 21 - 30
«
Reply #9 on:
22 December 2021, 11:11:54 »
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 30
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-30.html
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 30
เนื้อหา
โจโฉเข้าเหยียบเมืองกิจิ๋ว
โจโฉตามฆ่าอ้วนถำ
โจโฉปราบหัวเมืองเฉียงตะวันตก
กองซุนของตัดศีรษะอ้วนซง อ้วนฮีมาให้โจโฉ
โจโฉสร้างปราสาทริมแม่น้ำเจียงโห
ฝ่ายโจผีผู้บุตรโจโฉนั้นอายุได้สิบแปดปี มีสติปัญญา โจโฉมีความรักใคร่เปนอันมาก แม้จะยกกองทัพไปแห่งใดโจผีก็ไปด้วยบิดา ในขณะเมื่อโจโฉได้เมืองกิจิ๋วนั้น โจผีบุตรโจโฉถือกระบี่คุมทหารเข้าไปถึงประตูตึกอ้วนเสี้ยว ทหารจึงห้ามโจผีว่า มหาอุปราชได้สั่งกำชับไว้ว่า อย่าให้ผู้ใดทำอันตรายแก่บุตรภรรยาญาติพี่น้องอ้วนเสี้ยว แลราษฎรชาวเมืองให้ได้ความเดือดร้อน ซึ่งท่านจะเข้าไปนั้นเห็นจะละเมิดคำมหาอุปราช
โจผีได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องตวาดเอา แล้วเดินเข้าไปถึงในตึกเห็นหญิงสองคนกอดฅอกันร้องไห้อยู่ โจผีฉุนโกรธขึ้นมาจึงชักกระบี่ออกจะฟันหญิงทั้งสองเสีย แล้วกลับคิดได้จึงถามว่า เจ้าทั้งสองนี้ชื่อไร เหตุใดจึงมาร้องไห้อยู่ฉนี้ นางเล่าชือจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อนางเล่าชือ เปนภรรยาอ้วนเสี้ยว แลนางผู้นั้นชื่อเอียนซี เปนภรรยาอ้วนฮีเจ้าเมืองอิจิ๋วซึ่งเปนบุตรอ้วนเสี้ยว โจผีจึงบอกให้นางเอียนซีนั้นเงยหน้าขึ้น แล้วพิศดูเห็นรูปร่างนั้นงามก็มีความรักใคร่ จึงบอกแก่นางทั้งสองว่าตัวเราชื่อโจผีเปนบุตรมหาอุปราช เราจะรักษาอยู่มิให้เปนอันตรายได้
ฝ่ายโจโฉขี่ม้าพาเขาฮิวกับทหารเข้ามาถึงประตูเมืองกิจิ๋ว เขาฮิวนั้นมีใจกำเริบว่าโจโฉกับตัวนั้นเปนเพื่อนกันมาแต่ก่อน จึงขับม้าขึ้นมาเคียงโจโฉ แล้วเอาแซ่ม้าชี้เข้าที่ประตูเมืองว่า ถ้าเราไม่คิดอ่านให้รบพุ่งยังจะได้เข้ามาเห็นประตูเมืองกิจิ๋วหรือ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนหัวเราะแล้วมิได้ตอบประการใด แต่ทหารทั้งปวงนั้นมีใจโกรธเขาฮิวอยู่ โจโฉจึงเข้าไปถึงประตูตึกอ้วนเสี้ยว แล้วถามนายประตูว่า ผู้ใดเข้ามาทำอันตรายบุตรภรรยาพี่น้องอ้วนเสี้ยวบ้าง นายประตูจึงว่า บัดนี้โจผีบุตรท่านเข้าไปอยู่ที่ข้างใน โจโฉจึงให้หาตัวโจผีออกมา แล้วว่ากล่าวห้ามปรามมิให้ทำวุ่นวาย
ขณะนั้นนางเล่าชือก็ออกมาคำนับโจโฉแล้วว่า ซึ่งโจผีเข้ามาอยู่นั้นได้ป้องกันรักษาพรรคพวกข้าพเจ้า ถ้ามิได้โจผีทหารทั้งปวงก็จะทำอันตรายต่างๆ บัดนี้ข้าพเจ้าจะยกนางเอียนซีผู้เปนลูกสะใภ้ให้เปนภรรยาโจผี โจโฉจึงให้หาตัวออกมา เห็นนางเอียนซีรูปงาม ควรจะเปนภรรยาโจผี ก็ยกให้อยู่ด้วยกัน โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะแล้วให้จุดธูปเทียนคำนับศพอ้วนเสี้ยว แล้วร้องไห้รักเปนอันมาก ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงเห็นก็มีความสงสัยจึงถามโจโฉว่า ท่านกับอ้วนเสี้ยวทำศึกขับเคี่ยวกันมา บัดนี้ท่านได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เหตุใดจึงแต่งเครื่องเส้นแล้วร้องไห้รักอ้วนเสี้ยวดังนี้
โจโฉจึงแกล้งอุบายหวังจะให้ทหารทั้งปวงสรรเสริญว่าตนมีใจสัตย์ซื่อแล้ว เล่าความว่า เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะตั้งตัวเปนมหาอุปราชนั้น เรากับอ้วนเสี้ยวแลสิบเจ็ดหัวเมืองยกกองทัพไปตั้งอยู่นอกด่านกิสุยก๋วนจะกำ จัดตั๋งโต๊ะเสีย อ้วนเสี้ยวจึงลอบถามเราว่า แม้ทำสงครามพ่ายแพ้ตั๋งโต๊ะแล้วจะไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ตำบลใด จึงจะได้คิดการต่อไป เราจึงถามอ้วนเสี้ยวว่า ตัวท่านจะไปอยู่แห่งใดเล่า อ้วนเสี้ยวบอกเราว่าจะมาอยู่หัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ ด้วยมีที่ทางกว้างขวาง ทั้งสเบียงอาหารก็บริบูรณ์ แลทหารก็ชำนาญในการศึกจะได้คิดการใหญ่ต่อไป เราจึงว่าตัวเรานี้ไม่เลือก ถ้าที่ใดตำบลใดเห็นคนทั้งปวงจะเปนใจด้วยเรา ๆ ก็จะอยู่คิดการที่นั้น ถึงอ้วนเสี้ยวกับเราเปนคู่ทำศึกขับเคี่ยวกันก็ดี แต่ได้เปนเพื่อนกันมาแต่ก่อน เราจึงร้องไห้รักเพราะเหตุฉนี้
ทหารทั้งปวงได้ฟังโจโฉว่าดังนั้น ก็สรรเสริญว่าน้ำใจมหาอุปราชนี้สัตย์ซื่อนัก โจโฉจึงจัดแจงเงินแลสิ่งของให้นางเล่าชือภรรยาอ้วนเสี้ยวเปนอันมาก แล้วสั่งว่าบันดาหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะมีการศึกมาหลายปีแล้ว ในปีนี้อย่าได้เรียกเอาส่วยสาอากรเลย
ครั้นเวลารุ่งเช้าเคาทูขี่ม้าเข้ามาถึงประตูเมือง พอพบเขาฮิว ๆ จึงว่า อันทหารเหล่านี้ได้เข้ามาในเมือง ก็เพราะความคิดของเราจึงได้เมือง เคาทูจึงตอบว่า ตัวกูก็เปนทหารมีฝีมือรบพุ่ง สู้เอากายฝ่าเข้าสู้อาวุธจึงได้เมือง เหตุใดมึงจึงบังอาจอวดตัวว่าได้เพราะความคิดของมึง เขาฮิวจึงตอบว่า ตัวมึงมีฝีมือก็จริง แต่กูคิดอ่านให้มึงจึงได้ทำตาม อุปมาเหมือนกูเปนนายได้ใช้มึง เคาทูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกตัดสีสะเขาฮิวหิ้วเข้าไป แล้วบอกแก่โจโฉว่า เขาฮิวพูดจาหยาบช้า บัดนี้ข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว ตัดเอาสีสะมาให้ท่าน โจโฉจึงว่า เขาฮิวนั้นเปนเพื่อนกับเรามาแต่ก่อน ซึ่งพูดจาทั้งนี้เปนทางสัพยอก เหตุใดตัวจึงบังอาจฆ่าเขาฮิวเสียนั้นไม่ควร แล้วโจโฉจึงให้คาดโทษเคาทูไว้ จึงให้แต่งการศพเขาฮิวแล้วให้เอาไปฝังเสีย
ขณะนั้นโจโฉจึงให้ไปเกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญาอันอยู่หัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งขึ้นแก่หัวเมืองกิจิ๋ว ได้ซุยตำที่ปรึกษาอ้วนเสี้ยว ซึ่งได้ว่ากล่าวทัดทานมาแต่ก่อนอ้วนเสี้ยวไม่เชื่อฟัง ซุยตำจึงทำป่วยออกไปอยู่ ณ บ้านนั้น โจโฉมีความยินดีจึงให้ซุยตำเปนที่ปรึกษา แล้วโจโฉได้บาญชีพลเมืองกิจิ๋ว ซึ่งมีครอบครัวถึงสามสิบหมื่นเศษ โจโฉจึงว่า อันเมืองกิจิ๋วนี้เปนหัวเมืองเอก ผู้คนจึงมีมาก ซุยตำจึงว่า อันมีบาญชีพลเมืองอยู่นั้นก็จริง ซึ่งท่านจะไว้ใจว่ามีคนอยู่ตามบาญชีนั้นไม่ได้ ด้วยมีศึกมาหลายปีแล้ว ผู้คนก็ล้มตายเปนอันมาก บัดนี้อ้วนถำกับอ้วนซงรบพุ่งกัน ผู้คนทั้งปวงแตกฉานซ่านเซนไปทุกตำบล ขอท่านจงปราบปรามให้ปรกติ จงเกลี้ยกล่อมให้บ้านเมืองอยู่เย็นเปนสุขแล้ว ทหารแลไพร่บ้านพลเมืองก็จะกลับเข้ามาหาท่าน โจโฉเห็นชอบด้วย จึงคิดอ่านทำตามซุยตำว่า แล้วก็ให้ไปเที่ยวฟังข่าวอ้วนถำอ้วนซง
ฝ่ายอ้วนถำเมื่อขณะโจโฉตั้งรบเมืองกิจิ๋วอยู่นั้น อ้วนถำก็ยกกองทัพไปตีได้เมืองกำเหลง เมืองฮันเบ๋ง เมืองปุดไฮ เมืองโฮกั้น แล้วกวาดทหารได้เปนอันมาก ครั้นแจ้งกิตติศัพท์ว่าอ้วนซงหนีโจโฉไปซุ่มซ่อนอยู่ป่าก็ยกไปติดตาม ฝ่ายอ้วนซงก็พาทหารไปอยู่กับอ้วนฮีผู้พี่ ณ เมืองกิจิ๋ว อ้วนถำก็มิได้ไปติดตามอ้วนซง ก็ยกกลับมาเมืองเพ็งง้วนก้วน จึงคิดว่าบัดนี้โจโฉตีได้เมืองกิจิ๋วแล้ว ครั้นจะนิ่งไว้ญาติพี่น้องแลอาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อน จำจะยกกองทัพไปรบกับโจโฉชิงเอาเมืองกิจิ๋วคืนให้ได้
ขณะนั้นพอม้าใช้ไปบอกแก่อ้วนถำว่า มหาอุปราชให้หาตัวไปจะคิดราชการด้วย อ้วนถำจึงว่าแก่ม้าใช้ว่า ตัวจงไปบอกแก่โจโฉเถิด เราไม่ไปแล้ว โจโฉแจ้งดังนั้นก็แต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปอีกเปนใจความว่า ตัวเราเปนผู้ใหญ่ให้หาอ้วนถำมาจะคิดราชการด้วย อ้วนถำขัดแข็งไม่มา แลบุตรเราซึ่งจะยกให้เปนภรรยาอ้วนถำนั้นเราไม่ให้แล้ว โจโฉก็จัดแจงทหารเปนอันมากยกไปเมืองเพ็งง้วนก้วน หวังจะรบด้วยอ้วนถำ
ฝ่ายอ้วนถำแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว รู้ข่าวว่าโจโฉยกกองทัพมา จึงแต่งหนังสือให้ไปถึงเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วเปนใจความว่า โจโฉยกกองทัพมาตีได้เมืองกิจิ๋วแล้ว บัดนี้จะยกมาตีเมืองเพ็งง้วนก้วน ท่านจงเห็นแก่ไมตรีข้าพเจ้า ขอให้ยกกองทัพมาช่วย
เล่าเปียวแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ปรึกษากับเล่าปี่ ๆ จึงตอบว่า บัดนี้โจโฉไปตีหัวเมืองฝ่ายเหนือได้แล้ว ก็มีใจกำเริบใหญ่หลวงนัก ซึ่งบุตรแลญาติพี่น้องอ้วนเสี้ยวจะคิดอ่านรบพุ่งแก้แค้นนั้นเห็นไม่ได้ บันดาแซ่อ้วนนั้นเห็นโจโฉก็จะจับตัวได้โดยเร็ว อันน้ำใจโจโฉนั้นเห็นจะยกมาทำอันตรายเมืองเราด้วย ซึ่งท่านจะยกไปช่วยอ้วนถำนั้นไม่ควร ขอให้บำรุงทหารไว้ให้มีกำลัง ถ้าโจโฉยกมาก็จะได้ป้องกันรักษาเมืองไว้
เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงว่า ถ้าเราไม่ยกไปช่วยอ้วนถำแล้ว จะให้มีหนังสือตอบเขาไปประการใดดี เล่าปี่จึงว่า ตัวท่านเปนผู้ใหญ่ จงแต่งหนังสือไปเปนทีสั่งสอนอ้วนถำว่า การสงครามยังมีอยู่ จงคิดอ่านสมัคสมานพี่น้องทั้งปวงให้ปรองดองกันเปนปรกติ แล้วจะได้ช่วยกันรบพุ่งต้านทานโจโฉ เล่าเปียวเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตอบไปตามคำเล่าปี่
อ้วนถำแจ้งในหนังสือเล่าเปียวดังนั้นก็พิเคราะห์เห็นว่า ซึ่งเล่าเปียวตอบมาดังนี้เห็นว่าไม่ให้กองทัพมาช่วย จึงคิดว่า ซึ่งจะตั้งอยู่ในเมืองนี้เห็นจะต้านทานโจโฉไม่ได้ แล้วก็จัดแจงทหารทั้งปวงยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองลำพี้
ฝ่ายโจโฉรู้ดังนั้นก็ยกกองทัพตามไปถึงแดนเมืองลำพี้ พอเปนเทศกาลหนาว น้ำในแม่น้ำนั้นแขงเปนปึก เรือซึ่งจะเข้าไปส่งสเบียงนั้นไม่ได้ โจโฉจึงให้ป่าวร้องชาวบ้านมาขุดฟันน้ำ ให้เรือสเบียงเข้ามาได้ ราษฎรทั้งปวงรู้ดังนั้นต่างคนต่างทุกข์ร้อนว่า ครั้งนี้จะได้ความลำบาก จึงชวนกันทิ้งบ้านเรือนเสียหนีซุกซ่อนไป โจโฉแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเร่งตามไปจับตัวมาฆ่าเสีย ฝ่ายชาวบ้านครั้นรู้ตัวก็กลัวความตาย จึงชวนกันมาเข้าเกลี้ยกล่อม แล้วขอโทษยอมทำราชการด้วยโจโฉ ๆ จึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งราษฎรชาวบ้านกลับมาขอโทษดังนี้ ครั้นจะยกโทษเสียเล่า การซึ่งสั่งไปแล้วกลัวว่าภายหลังจะไม่สิทธิ์ขาด แม้จะให้ทำโทษชาวบ้านทั้งปวงเล่าเราก็จะถูกนินทา จำเราจะคิดเอาการให้ได้ทั้งสองฝ่ายแล้วว่าแก่ชาวบ้านทั้งปวงว่า ซึ่งเราจะฆ่าเสียนั้นก็มีความสงสารอยู่ จงพากันหนีซุกซ่อนให้พ้นทหารเราเถิด ชาวบ้านทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจร้องไห้รักกันอื้ออึง แล้วก็รีบหนีซุ่มซ่อนไป แลเหล่าทหารโจโฉพบปะเข้าก็ฆ่าฟันเสียเปนอันมาก
ฝ่ายอ้วนถำรู้ว่าโจโฉยกมาดังนั้น ก็จัดแจงทหารแล้วยกออกมารบด้วยโจโฉ ๆ เห็นอ้วนถำยกออกมา ก็ขับม้าออกมาหน้าทหาร แล้วว่าแก่อ้วนถำว่า เดิมตัวกลัวอ้วนซงผู้น้องจึงหนีมาเข้าเกลี้ยกล่อมเรา ๆ ก็มีความเอ็นดูจะยกบุตรให้เปนภรรยา บัดนี้เราได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เราให้หาตัวก็ไม่ไป แล้วตัวกลับคิดร้ายต่อเราก่อนฉนี้ เปนคนหามีกตัญญูไม่ อ้วนถำจึงตอบว่า เหตุทั้งนี้เพราะตัวยกกองทัพมารบพุ่ง เราพี่น้องจึงได้ผิดกัน ครั้นได้เมืองแล้วตัวก็ทำร้ายแก่พี่น้องเราต่างๆ เราจึงมีความแค้น เหตุใดจะว่าเราไม่รู้จักคุณ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ซิหลงออกไปรบด้วยอ้วนถำ ๆ จึงให้แพอั๋นออกไปรบด้วยซิหลงได้ห้าเพลง ซิหลงก็เอาง้าวฟันแพอั๋นตกม้าตาย อ้วนถำเห็นดังนั้นก็ย่อท้อ ขับม้าพาทหารถอยหนีเข้าไปในเมืองลำพี้ โจโฉยกกองทัพตามเข้าไปตั้งล้อมเมืองไว้ อ้วนถำเห็นจะต้านทานมิได้ จึงให้ซินเบ้งออกไปอ่อนน้อมขอเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉอีก โจโฉแจ้งดังนั้นจึงตอบว่า อ้วนถำเจรจาไว้กับเราแต่ก่อนนั้น ก็คืนคำเสียกลับคิดร้ายต่อเรา บัดนี้สิ้นคิดแล้วหรือจึงให้มาอ่อนน้อมดังนี้เราหายอมไม่ แล้วว่าซินผีน้องท่านก็มาอยู่ทำราชการด้วยเรา แลตัวท่านจะกลับเข้าไปหาอ้วนถำนั้น ก็จะพลอยตายเสียมั่นคง จงอยู่ด้วยเราเถิดจะเลี้ยงให้ถึงขนาดเหมือนน้องชายท่าน ซินเบ้งจึงตอบว่า ซึ่งมหาอุปราชเจรจาดังนี้ไม่ควร อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาเปนข้าท้าวบ่าวพระยา ให้ตั้งใจจงรักภักดีต่อเจ้านาย ถ้าเจ้านายนั้นมีความสุขก็พลอยสบายด้วย แม้มีทุกข์ร้อนก็พึงให้ทรมานกายลำบากด้วยจึงจะควร แลตัวข้าพเจ้าอยู่กับอ้วนเสี้ยวก็ช้านานแล้ว บัดนี้อ้วนเสี้ยวผู้มีคุณก็ถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าจะขออยู่แทนคุณแซ่อ้วนสืบไปกว่าจะสิ้นชีวิต ซึ่งซินผีผู้น้องข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านนั้น ก็ตามแต่วาสนาเขา โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าซินเบ้งนี้มีน้ำใจซื่อสัตย์นัก เห็นจะว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมไว้ไม่ได้ จึงว่าตัวท่านไม่ยอมอยู่ด้วยเราแล้ว ก็จงเร่งไปบอกอ้วนถำตามคำเราว่าเถิด
ซินเบ้งก็ลาโจโฉกลับไปบอกแก่อ้วนถำทุกประการ อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็โกรธซินเบ้ง แล้วว่าน้องของตัวไปอยู่กับโจโฉ บอกการหนักการเบาให้ทุกสิ่ง บัดนี้เราให้ตัวไปว่ากล่าวโจโฉก็ไม่ยอม แลเนื้อความทั้งนี้โจโฉใช้ให้ตัวกลับมาทำร้ายเราหรือ ซินเบ้งได้ฟังดังนั้นมีความแค้นเปนอันมาก จนลมจับล้มสลบลงกับที่ อ้วนถำจึงให้ทหารยกเอาตัวซินเบ้งออกไปเสียภายนอก อยู่หน่อยหนึ่งซินเบ้งก็ขาดใจตาย
กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนถำว่า ซึ่งเราให้ไปอ่อนน้อมโจโฉก็ไม่ยอม บัดนี้ตัวเราก็เข้าอยู่ที่แคบขัดสน เหมือนหนึ่งคนไข้หนักหมอคาดวันตายอยู่แล้ว จำจะคิดอ่านเอายาทั้งปวงประสมกันเข้าวางดูอีกครั้งหนึ่ง แม้พอชอบโรคก็จะคลายหาไม่ก็จะตาย ขอให้ท่านเกณฑ์เอาชาวเมืองให้สิ้นเชิงยกไปเปนกองหน้า ท่านจงคุมทหารทั้งปวงยกเปนกองหนุน ไปรบด้วยโจโฉอีกครั้งหนึ่ง อ้วนถำเห็นด้วย ในเวลากลางคืนนั้นก็กะเกณฑ์ชาวเมืองทั้งปวงเปนทัพหน้าสี่กองให้พร้อมไว้ แล้วจัดแจงบันดาทหารซึ่งจะเปนกองหนุนได้ครบสี่กอง ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้เปิดประตูทั้งสี่ทิศ แล้วยกกองทัพออกไประดมตีค่ายโจโฉทั้งสี่ด้าน โจโฉเห็นดังนั้นก็ให้ม้าใช้รีบบอกต่อกันไปทุกค่าย แล้วขับทหารออกรบพุ่งต้านทานเปนสามารถแต่เช้าจนเที่ยง แลทหารทั้งสองฝ่ายแทงฟันกันล้มตายเปนอันมาก มิได้แพ้ชนะกัน โจโฉเห็นดังนั้นคิดเกรงว่าทหารทั้งปวงจะอิดโรย จึงขึ้นไปบนเนินเขาแล้วตีกลองรบ หวังจะเร่งทหารทั้งปวงให้รบพุ่งหักหาญเอาชัยชนะจงได้ เหล่าทหารโจโฉได้ยินเสียงกลอง ก็รุกรบเข้าไปฆ่าฟันชาวเมืองแลทหารอ้วนถำล้มตายพ่ายพังไป ฝ่ายโจหองเห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามฆ่าฟันไปในระหว่างทหารอ้วนถำ แล้วได้รบกับอ้วนถำเปนสามารถ โจหองได้ทีก็เอาง้าวฟันถูกอ้วนถำเปนหลายทีจนตกม้าตาย กัวเต๋านั้นขับม้าจะหนีกลับเข้าเมือง ฝ่ายงักจิ้นเห็นก็ขับม้าไล่ตาม แล้วขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกกัวเต๋าตกลงในคูเมืองตาย โจโฉจึงให้ทหารตัดเอาสีสะอ้วนถำไปประกาศแก่ราษฎรเมืองว่า อย่าให้ผู้ใดร้องไห้รักอ้วนถำ ถ้ามีผู้ใดมาร้องไห้ก็จะจับเอาตัวฆ่าเสีย ครั้นประกาศแล้วให้เอาสีสะอ้วนถำเสียบไว้ประตูเมืองฝ่ายเหนือ โจโฉจึงคุมทหารยกเข้าเมืองลำพี้ แล้วปราบปรามชาวเมืองให้อยู่เปนปรกติ พอม้าใช้มาบอกโจโฉว่า มีนายทหารสองคนคุมทหารเปนอันมากยกมาใกล้เมืองลำพี้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารยกออกนอกเมืองหวังจะรบพุ่งด้วย
ฝ่ายเตียวเหียนกับเตียวหลำเห็นโจโฉยกออกมา ก็ลงจากม้าวางอาวุธถอดเกราะเสีย แล้วเข้าไปคำนับโจโฉ ๆ จึงถามว่า ท่านทั้งสองนี้ชื่อใดมาแต่ไหน นายทหารทั้งสองจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเตียวเหียนเตียวหลำ เปนนายทหารอ้วนฮีผู้บุตรอ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชมีใจกว้างขวางรักทหารโดยสุจริต ข้าพเจ้าจึงพาทหารทั้งปวงมาหวังจะทำราชการด้วยท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงตั้งให้เตียวเหียนเตียวหลำเปนนายทหารซ้ายขวา
ฝ่ายเตียวเอี๋ยนนายโจรอยู่ ณ เขาเอ๊งสัน รู้ข่าวว่าโจโฉได้เมืองกิจิ๋วแลเมืองลำพี้แล้ว ก็คุมพวกโจรประมาณสิบหมื่น มาขอเข้าอยู่ทำราชการด้วยโจโฉ ๆ ตั้งให้เตียวเอี๋ยนเปนที่ปักจงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเปนเจ้าพระยาปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ฝ่ายอองสิ้ว ครั้นรู้ว่าอ้วนถำตายแล้วก็มีความสงสาร จึงไปนั่งร้องไห้รักอ้วนถำซึ่งเสียบสีสะไว้ ทหารผู้รักษาเห็นดังนั้นจึงจับเอาตัวไปให้โจโฉ ๆ จึงถามผู้ร้องไห้นั้นว่าตัวชื่อใด เหตุใดจึงมาร้องไห้รักอ้วนถำ อองสิ้วจึงว่า ข้าพเจ้าชื่ออองสิ้ว เปนที่ปรึกษาอ้วนถำ ข้าพเจ้าได้ห้ามตักเตือนให้คิดอ่านประนอมกัน บันดาญาติพี่น้อง ให้พร้อมใจช่วยป้องกันรักษาเมืองกิจิ๋วไว้ให้ได้ อ้วนถำไม่ฟังคำข้าพเจ้าจึงเสียเมืองจนตัวตาย ข้าพเจ้าจึงมาร้องไห้รักเพราะเหตุฉนี้ โจโฉจึงถามว่า เมื่อเราเอาสีสะอ้วนถำไปประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดมาร้องไห้รักเราจะให้ลงโทษถึงตายนั้นตัวรู้หรือไม่ อองสิ้วจึงบอกว่า ซึ่งท่านสั่งนั้นข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ โจโฉจึงว่าตัวรู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงมาร้องไห้นั้นไม่กลัวความตายหรือ อองสิ้วจึงตอบว่า แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้ามีความสุขมาก ก็เพราะอ้วนถำเลี้ยงดู บัดนี้อ้วนถำถึงแก่ความตาย ครั้นนิ่งเสียก็เหมือนหนึ่งคนหากตัญญูต่อนายไม่ ซึ่งจะเปนคนอยู่ไปนั้น ผู้ใดจะสรรเสริญนับถือว่าเปนคน จึงได้มาร้องไห้รักเพราะคิดถึงคุณอ้วนถำ ถึงมาทว่าท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยโทษลเมิดนี้ก็ตาม แต่ขอให้ข้าพเจ้าได้แต่งการศพอ้วนถำเถิด ก็จะก้มหน้าตายตามนายไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงจึงว่า บันดาหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้มีทหารมีฝีมือแลสติปัญญาประกอบทั้งสัตย์ซื่อต่อมุ ลนายอยู่เปนอันมาก แม้อ้วนเสี้ยวกับบุตรมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเลี้ยงคนดีให้ถึงขนาดอยู่แล้ว ที่ไหนเราจะได้เมืองกิจิ๋ว แล้วโจโฉจึงให้ทหารแต่งการศพอ้วนถำตามประเพณี แลอองสิ้วนั้นโจโฉก็ตั้งให้เปนชาวคลัง แล้วถามอองสิ้วว่า บัดนี้อ้วนซงหนีไปอยู่กับอ้วนฮี ณ เมืองอิวจิ๋ว ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะจับตัวอ้วนซงได้ อองสิ้วจึงตอบว่า มหาอุปราชก็มีคุณแก่ข้าพเจ้า ถ้าเปนการอื่นมีมาข้าพเจ้าจะคิดอ่านสนองคุณท่านตามสติปัญญา ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าคิดจับตัวอ้วนซง ซึ่งเปนพี่น้องของนายนั้นจนอยู่ ตามแต่ท่านจะโปรด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่า อองสิ้วนี้มีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อผู้มีคุณ แล้วจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใดจึงจะได้ตัวอ้วนซงมา กุยแกจึงว่า ขอให้แต่งทหารอ้วนเสี้ยว ซึ่งมาอยู่ด้วยท่านนั้น ยกกองทัพไปคิดอ่านทำการรบพุ่งจับตัวอ้วนซงมา โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เตียวเหียนกับเตียวหลำคุมทหารกองหนึ่ง ลิกองลิเซียงคุมทหารกองหนึ่ง ม้าเอี๋ยนกับเตียวคีคุมทหารกองหนึ่ง ยกไปตีเมืองอิวจิ๋วจับตัวอ้วนฮีอ้วนซงมาให้ได้ นายทหารทั้งสามกองก็ยกกองทัพไป แล้วโจโฉจึงให้เตียวเอี๋ยนนายโจรกับลิเตียน งักจิ้นคุมทหารไปจับตัวโกกัน ณ เมืองเป๊งจิ๋ว
ฝ่ายอ้วนฮี อ้วนซงรู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉให้กองทัพยกมาดังนั้น ก็คิดกันว่าเราจะอยู่ต้านทานนั้นไม่ได้ ก็พาทหารออกจากเมือง หวังจะไปพึ่งอยู่ด้วยโฮห้วน เจ้าเมืองเลียวไส ซึ่งขึ้นแก่เมืองอิวจิ๋ว
ฝ่ายโฮห้วนขณะเมื่อโจโฉมารบได้เมืองกิจิ๋วนั้น โฮห้วนจึงชักชวนพวกเพื่อนซึ่งเปนทหารอ้วนเสี้ยว มาสบถสาบาลว่าจะร่วมรักกัน แต่ใจโฮห้วนนั้นคิดจะไปเข้าด้วยโจโฉ ครั้นอยู่มาโฮห้วนจึงให้ไปเชิญพวกเพื่อนมาเสพย์สุราพร้อมกัน โฮห้วนจึงเอากระบี่วางไว้บนโต๊ะแล้วว่า โจโฉนั้นเข้มแข็งกล้าหาญนัก ทั้งทหารใหญ่น้อยก็มีเปนอันมาก บัดนี้ก็ตีได้เมืองกิจิ๋วแล้ว แม้เราจะนิ่งอยู่ฉนี้ก็จะไม่พ้นมือโจโฉ เราจะชวนกันไปเข้าด้วยโจโฉ ถ้าผู้ใดไม่ยอมเราจะเอากระบี่เล่มนี้ตัดสีสะเสีย
ฮันหองได้ยินดังนั้นก็โกรธ ฉวยกระบี่นั้นทิ้งเสียแล้วว่า อ้วนเสี้ยวเลี้ยงดูเราให้ได้ความสุข ก็ยังมิได้แทนคุณก่อน บัดนี้ลูกหลานนายเราได้ความเดือดร้อนเสียบ้านเมือง ควรจะตั้งใจอาสาถึงสิ้นชีวิต ซึ่งจะคิดทรยศไปเข้าด้วยโจโฉนั้นเราไม่เห็นด้วย นายทหารทั้งปวงเห็นโฮห้วนกับฮันหองตอบกันดังนั้นก็มิได้ว่าประการใด โฮห้วนจึงว่าแก่ฮันหองว่า การทั้งนี้เราคิดอ่านกับคนทั้งปวง ๆ ก็ยอมสิ้น แต่ตัวผู้เดียวไม่ยอมเข้าด้วย ซึ่งจะมาอยู่ในพวกเรานี้ไม่ควร จึงให้คนใช้ขับฮันหองออกไปเสีย
ฝ่ายทหารโจโฉทั้งสามกองนั้น ครั้นยกมาใกล้เมืองอิวจิ๋ว รู้ข่าวว่าอ้วนฮีอ้วนซงหนีไปทางเมืองเลียวไส ก็ยกกองทัพตามไปถึงเมืองเลียวไส ในขณะนั้นโฮห้วนรู้ก็ออกมารับทหารโจโฉ แลนายทหารทั้งสามกองจึงถามว่า อ้วนฮีอ้วนซงมาอาศรัยท่านอยู่หรือ โฮห้วนว่าหามิได้ แล้วบอกว่าข้าพเจ้านี้จะสมัคไปทำราชการด้วยมหาอุปราช นายทหารทั้งปวงก็พาตัวโฮห้วนมาหาโจโฉ แล้วแจ้งเนื้อความซึ่งมีมาแต่หลัง โจโฉมีความยินดีจึงตั้งให้โฮห้วนเปนที่เจ้าเมืองเลียวไสดังเก่า แต่เอาตัวไว้ทำราชการด้วย
ขณะนั้นม้าใช้มาบอกแก่โจโฉว่า เตียวเอี๋ยนงักจิ้นลิเตียนซึ่งไปตีเมืองเป๊งจิ๋วนั้น โกกันเจ้าเมืองคุมทหารออกมาตั้งค่ายรับอยู่ตำบลด่านโฮกวน ได้รบพุ่งกันเปนหลายครั้ง แลนายทหารทั้งสามคนจะหักเอาเมืองนั้นไม่ได้ โจโฉแจ้งดังนั้นจึงจัดแจงทหารแล้วยกหนุนไปถึงด่านโฮกวน แลนายทหารทั้งสามคนก็บอกเนื้อความแก่โจโฉตามซึ่งได้รบพุ่งกับโกกันทุกประการ
โจโฉแจ้งดังนั้นจึงปรึกษากับนายทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใดจึงจะได้ตัวโกกันโดยง่าย ซุนฮิวจึงว่า ทหารอ้วนเสี้ยวซึ่งมาอยู่ในกองทัพเราเปนอันมาก จงจัดหาผู้ซึ่งมีสติปัญญาให้ทำเปนหนีไปหาโกกัน แล้วให้คิดอ่านเปนไส้ศึก ก็จะจับโกกันได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงกระซิบสั่งลิกองลิเซียง ให้เร่งคิดอ่านไปทำการจับตัวโกกันให้ได้
ครั้นเวลาค่ำลิกองลิเซียง ก็พาทหารซึ่งสนิธประมาณห้าสิบคนไปถึงประตูด่านแล้ว บอกแก่ทหารซึ่งรักษาประตูว่า เราจะขอเข้าไปหาโกกัน นายประตูจึงเอาเนื้อความไปบอกโกกัน ๆ แจ้งดังนั้น ก็เยี่ยมเชิงเทินออกไปแล้วถามลิกองลิเซียงว่า ตัวมาหาเรานี้ด้วยเนื้อความสิ่งใด ลิกองลิเซียงจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนทหารอ้วนถำ ซึ่งข้าพเจ้าไปเข้าด้วยโจโฉนั้นเพราะอ้วนถำใช้จึงจำใจอยู่ บัดนี้โจโฉทำการหยาบช้าต่าง ๆ แก่ข้าพเจ้าให้ได้ความเจ็บแค้น ข้าพเจ้าจึงลอบหนีมาหวังจะอยู่ด้วยท่าน แล้วจะได้ช่วยกันคิดอ่านแก้แค้นโจโฉ
โกกันได้ฟังดังนั้นก็ยังมีใจสงสัยอยู่ จึงว่าแก่ลิกองลิเซียงว่า ถ้าตัวคิดดังนั้นจงให้ทหารซึ่งมาด้วยอยู่แต่ภายนอก แต่ตัวทั้งสองนั้นจงเข้ามาพูดจากับเราก่อน ลิกองลิเซียงเห็นโกกันยังแคลงอยู่ดังนั้น ก็แกล้งทำวางอาวุธถอดเกราะเสีย หวังจะให้โกกันสิ้นความสงสัย จึงพากันเข้าไปคำนับโกกันแล้วบอกว่า โจโฉพึ่งยกกองทัพมาถึง ทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ แล้วก็ตั้งค่ายคูนั้นยังไม่แน่นหนา เวลากลางคืนวันนี้ถ้าท่านยกกองทัพออกไปปล้นก็จะได้ค่ายโจโฉโดยง่าย
โกกันได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยก็สิ้นความสงสัย จึงเกณฑ์ทหารซึ่งมีฝีมือเตรียมไว้ประมาณหมื่นหนึ่ง ฝ่ายโจโฉจึงจัดแจงทหารให้ออกตั้งอยู่นอกค่ายสี่กอง แล้วสั่งให้ลิเตียนงักจิ้นคุมทหารออกไปซุ่มอยู่เปนสองกอง ถ้าเห็นโกกันออกมาปล้นค่ายแล้ว ให้ตีสกัดไว้อย่าให้โกกันถอยกลับเข้าประตูด่านได้ นายทหารทั้งปวงก็ไปทำตามโจโฉสั่ง
ฝ่ายโกกันครั้นเวลาประมาณสองยามเศษ จึงให้ลิกองลิเซียงเปนกองหน้า ตัวโกกันเปนกองหนุน คุมทหารเปิดประตูด่านโห่ร้องออกไปปล้นค่ายโจโฉ ฝ่ายโจโฉซึ่งซุ่มอยู่สี่ด้าน เห็นโกกันคุมทหารออกมาปล้นค่ายก็จุดปทัดสัญญาขึ้น แล้วขับทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน ฆ่าฟันทหารโกกันล้มตายเปนอันมาก โกกันเห็นดังนั้นก็คิดว่าเราเสียกลอุบายโจโฉแล้ว จึงพาทหารซึ่งเหลือนั้นถอยกลับไปจะเข้าในประตูด่าน พอลิเตียนงักจิ้นคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาสกัดทางไว้ แล้วทหารทั้งสี่กองนั้นก็ตามรบพุ่งมาล้อมเข้าไว้ โกกันจึงพาทหารขับม้ารบฝ่ายทหารโจโฉออกได้รีบหนีไป ในขณะนั้นโจโฉก็เกณฑ์ทหารยกไปติดตามโกกัน
ฝ่ายโกกันหนีออกจากแดนเมืองกิจิ๋ว มาถึงเมืองตันอูจึงเข้าไปหาโจเอียนอ้องผู้เปนเจ้าเมือง แล้วเล่าเนื้อความว่า บัดนี้โจโฉมีกำลังกล้าแข็ง ทั้งทหารก็มีเปนอันมาก ยกทัพมาทำอันตรายหัวเมืองฝ่ายเหนือให้ได้ความเดือดร้อน ข้าพเจ้าเห็นโจโฉมีน้ำใจกำเริบ จะล่วงมาถึงแดนเมืองนี้ ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเอาหัวเมืองซึ่งโจโฉรบได้นั้น อันตรายจึงจะไม่ถึงเมืองท่าน
โจเอียนอ้องได้ฟังดังนั้นจึงว่า โจโฉไม่มีความผิดกับเรา ซึ่งจะยกล่วงมาตีเอาเมืองเรานั้นไม่เห็นด้วย หากตัวมีใจพยาบาทโจโฉ จึงแกล้งยุยงหวังจะให้เรามีศัตรูสืบต่อไป แล้วก็ให้ทหารขับโกกันออกไปเสียนอกเมือง ฝ่ายโกกันก็คิดแต่ในใจว่า เราจะไปอาศรัยเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วดีกว่า แล้วก็พาทหารกลับเข้าแดนหัวเมืองฝ่ายเหนือ รีบเล็ดลอดไปถึงกลางทาง พอเวลากลางคืนหยุดพักอยู่ อ๋องต๋ำซึ่งเปนทหารนั้นลอบฆ่าโกกันเสีย แล้วตัดเอาสีสะไปให้โจโฉณะแดนด่านโฮก้วน โจโฉมีความยินดี จึงตั้งให้อ๋องต๋ำเปนทหาร แล้วโจโฉยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองเป๊งจิ๋วได้
ในขณะนั้นโจโฉปราบปรามไพร่บ้านพลเมืองให้อยู่เปนปรกติแล้ว จึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกกองทัพไปตีเอาหัวเมืองฝ่ายตวันตกซึ่งขึ้นแก่เมืองกิจิ๋ว ทั้งจะได้ตัวอ้วนฮีอ้วนซงด้วย จึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม โจหองกับทหารรองจึงห้ามว่า อ้วนฮีอ้วนซงนั้นเห็นจะไม่เข้าอาศรัยอยู่ในเมืองได้ จะพากันซุ่มซ่อนอยู่ในป่า ถึงมาทว่าจะมีทหารอยู่ด้วยก็น้อย อันหัวเมืองตวันตกนั้น เปนแต่หัวเมืองเล็กน้อยแล้วทางก็ไกล ซึ่งจะยกล่วงไปตีนั้นเห็นไม่ควร เกลือกเล่าเปียวกับเล่าปี่รู้ก็จะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋ เห็นท่านจะขึ้นไปช่วยไม่ทัน ขอให้ท่านยกกองทัพกลับไปรักษาเมืองฮูโต๋ไว้ดีกว่า
กุยแกจึงว่า ซึ่งโจหองว่านี้ไม่ชอบ อันหัวเมืองฝ่ายตวันตก เมื่ออ้วนเสี้ยวอยู่นั้นก็ทนุบำรุงเปนปรกติอยู่ การศึกก็ไม่มีถึง เห็นจะมีใจประมาทอยู่ บัดนี้อ้วนฮีอ้วนซงก็ไปอาศรัยอยู่ด้วย จำเราจะยกกองทัพไปปราบปรามให้สิ้นทีเดียว อันเล่าเปียวนั้นเปนแต่คนช่างพูด จะคิดการสิ่งใดก็ไม่ตลอด บัดนี้ได้เล่าปี่มาไว้ ครั้นจะทนุบำรุงให้ถึงขนาด เล่าเปียวก็ไม่ไว้ใจเล่าปี่ อันเล่าปี่ก็เห็นจะไม่เปนใจสุจริตต่อเล่าเปียว การทั้งปวงซึ่งคิดกันนั้นก็แก่งแย่งกันอยู่ ไม่ควรที่จะเกรงเล่าเปียวกับเล่าปี่ ขอให้ท่านยกไปปราบปรามหัวเมืองฝ่ายตวันตกเสียให้ราบก่อนจึงจะควร
โจโฉเห็นชอบด้วย ก็จัดแจงเกวียนสเบียงได้สามพันเล่ม แล้วยกกองทัพไป ข้ามทุ่งป่าพงแลเขาเปนหลายตำบล ทางนั้นกันดารนักหาต้นไม้ใหญ่มิได้ ลมพัดหอบเอาทรายฟุ้งตลบไปทั้งกองทัพ โจโฉเห็นดังนั้นก็คิดว่า ยกมานี้ทหารเราได้ความลำบากนัก จะใคร่ยกกองทัพกลับไป ครั้นจะปรึกษากุยแกเล่า กุยแกก็ป่วยนอนมาบนเกวียน โจโฉมาเยียนเห็นกุยแกนั้นป่วยหนัก โจโฉร้องไห้รักแล้วว่า ซึ่งท่านป่วยนี้เพราะเรายกกองทัพพาท่านมา เราไม่มีความสบายจะใคร่ยกกลับไปเมือง กุยแกจึงตอบว่า อันคุณของท่านมีอยู่แก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก อย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย ถึงมาทว่าข้าพเจ้าจะตายก็จะเอาชีวิตแทนคุณท่าน อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า การสิ่งใดเห็นได้การแล้ว ก็ให้เร่งคิดอ่านทำการไปกว่าจะสำเร็จ ซึ่งจะยกกองทัพไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นจะช้าทหารก็จะลำบากนัก แล้วชาวเมืองรู้ก็จะตระเตรียมไว้รบพุ่ง ขอให้ตั้งกองทัพไว้ที่นี่ ให้จัดแจงทหารซึ่งกล้าแข็ง เอาสเบียงใส่ไถ้คาดเอวถืออาวุธสำหรับมือแล้ว จับชาวบ้านให้นำทางไปเที่ยวโจมตีเอา อย่าให้ทันชาวเมืองรู้ตัวก็จะได้โดยง่าย
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้หยุดทัพตั้งมั่นอยู่แดนเมืองเอ๊กจิ๋ว แล้วให้หานายบ้านคนหนึ่งออกมาจะให้นำทางไป นายบ้านจึงว่า ข้าพเจ้าไม่รู้แห่งทาง แต่มีทหารกองตะเวนของอ้วนเสี้ยวคนหนึ่งชื่อเตียนติ๋วหนีมาอยู่เมืองนี้ เจนทางแลตำบลบ้านสิ้น โจโฉจึงให้หาตัวเตียนติ๋วมาถามระยะทางจะให้นำไป เตียนติ๋วจึงบอกว่า ซึ่งจะให้ยกไปหัวเมืองตวันตกนั้น ข้าพเจ้าจะนำไปได้อยู่ แต่ตำบลแดนเมืองหลิวเซียนั้นทางกันดารนัก ถ้าจะเดิรเท้าก็ต้องลุยน้ำแลเลน แม้จะไปเรือน้ำก็ตื้น ขอให้กลับไปเข้าทางตำบลอีหลง ต่อไปถึงกึ่งทางนั้นลำบากนัก จะต้องไต่ตามริมเนินเขาช่องแคบไป ครั้นพ้นที่นั้นแล้วออกทุ่งใหญ่ จึงวกเข้ามาทางเมืองหลิวเซีย เป๊กตุ้นเจ้าเมืองนั้นไม่ทันรู้ตัว เห็นท่านจะได้เมืองนั้นโดยง่าย
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารอยู่รักษากุยแกที่ตำบลนั้น แล้วตั้งให้เตียนติ๋วเปนนายทหารสำหรับนำทาง ให้เตียวเลี้ยวเปนกองหน้า โจโฉเปนกองหลวง แล้วยกกองทัพไปถึงเขาเป๊กลงสาน พอพบอ้วนฮีอ้วนซงกับเป๊กตุ้น คุมทหารเปนอันมากมาตั้งสกัดอยู่ปากทางซึ่งจะออกทุ่งใหญ่ เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ทหารตั้งสงบอยู่ แล้วขับม้ารีบมาบอกโจโฉว่า เป๊กตุ้นเจ้าเมืองหลิวเซีย คุมทหารมาตั้งสกัดปากทางไว้ โจโฉแจ้งดังนั้นก็ขึ้นไปบนเนินเขา เห็นทหารเป๊กตุ้นมิได้ตั้งเปนกระบวนทัพ แล้วส่งธงแดงอาญาสิทธิ์สำหรับแม่ทัพแลกะเกณฑ์ทหารให้เตียวเลี้ยว เร่งขับทหารเข้าโจมตีกองทัพเป๊กตุ้น เตียวเลี้ยวก็รับเอาธงแล้วเรียกเคาทูซิหลงอิกิ๋ม เปนสี่นายทั้งเตียวเลี้ยว ก็พากันขับม้ารีบขึ้นไป คุมทหารออกโจมตีฆ่าฟันทหารเป๊กตุ้นล้มตายเปนอันมาก เตียวเลี้ยวนั้นเข้ารบพุ่งกับเป๊กตุ้นเปนสามารถ แล้วเอาทวนแทงเป๊กตุ้นตกม้าตาย เหล่าทหารทั้งปวงก็เข้ามาอ่อนน้อมแก่ทหารโจโฉสิ้น อ้วนฮีอ้วนซงเห็นดังนั้นก็พาทหารอ้อมหนีไปหัวเมืองตวันออก
โจโฉจึงพาทหารทั้งปวงเข้าไปเมืองหลิวเซีย แล้วจะตั้งให้เตียนติ๋วอยู่รักษาเมือง เตียนติ๋วจึงร้องไห้แล้วว่า ข้าพเจ้าเปนคนหนีนาย ท่านมาพบเข้าก็มิได้เอาโทษนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งท่านจะซ้ำให้เปนเจ้าเมืองนี้ไม่ได้ เหตุว่าหนีนายมาแล้วมิหนำซ้ำจะมาให้ผู้อื่นตั้งแต่งตัวเปนดีนั้นมิชอบ ถึงมาทว่าท่านไม่เอ็นดูจะฆ่าฟันข้าพเจ้าเสีย ด้วยขัดคำท่านข้อนี้ก็ตามเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสรรเสริญเตียนติ๋วว่าน้ำใจสัตย์ซื่อนัก จึงว่าท่านไม่พอใจอยู่เปนเจ้าเมืองก็ตามเถิด แล้วก็ตั้งเตียนติ๋วไว้เปนที่ปรึกษา
ขณะนั้นโจโฉได้ม้าประมาณหมื่นเศษ แลเมืองนั้นขัดสนด้วยสเบียงอาหาร เปนเทศกาลหนาว โจโฉจึงให้ยกทัพกลับมาทางประมาณสองพันเส้น ในกองทัพนั้นขาดสเบียงแลน้ำ โจโฉก็ให้ฆ่าม้าเชลยนั้นแจกทหารทั้งปวงกิน แล้วให้ขุดบ่อลึกประมาณเก้าวาสิบวาจึงได้น้ำแจกทหาร แล้วยกมาถึงเมืองเอ๊กจิ๋วให้หยุดทัพอยู่ ปูนบำเหน็จทหารใหญ่น้อยตามสมควร แต่ผู้ที่ห้ามไม่ให้ยกไปหัวเมืองฝ่ายตวันตกนั้น โจโฉแกล้งปูนบำเหน็จมากกว่าทหารทั้งปวงส่วนหนึ่งบ้างสองส่วนบ้าง แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งเรายกมาตีเมืองหลิวเซียครั้งนี้ทางก็ไกล บันดาผู้ที่ห้ามปรามก็ได้รับบำเหน็จเปนอันมาก เหตุว่าเราไม่ฟัง ขืนยกไปตีได้นั้นก็เพราะเทพยดาช่วยเรา แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าถ้าเราจะทำการสิ่งใด ก็อย่าให้ทหารทั้งปวงคิดย่อท้อว่าจะเหน็จเหนื่อยลำบากยากแค้นเลย
ขณะเมื่อโจโฉยังมาไม่ถึงนั้น กุยแกตายแล้ว ทหารรักษาศพไว้ท่าโจโฉ ครั้นโจโฉกลับมาถึงก็ปูนบำเหน็จทหาร แล้วให้แต่งการศพ โจโฉจึงให้จุดธูปเทียนเส้นศพกุยแกแล้วร้องไห้รัก ว่าครั้งนี้กุยแกมาถึงแก่ความตาย อุปมาเหมือนเทพยดาทำลายชีวิตเราเสีย แล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า อายุท่านทั้งนี้กับเราก็คราวกัน แต่กุยแกนั้นอายุอ่อนกว่าเรา ๆ คิดไว้ว่า แม้ตัวเราตายจะได้ฝากบุตรแลครอบครัว มอบการทั้งปวงไว้ให้กุยแกช่วยทำนุบำรุงสืบไป กุยแกก็มาตายเสียก่อนดังนี้ไม่ควรเลย ที่ไหนตัวเราจะมีความสบาย
ในขณะนั้นคนใช้สนิธของกุยแกจึงเอาหนังสือมาให้โจโฉแล้วบอกว่าหนังสือฉบับ นี้เมื่อกุยแกใกล้จะสิ้นใจนั้นได้อุตส่าห์เขียนไว้ให้ท่าน คำนอกนั้นกุยแกสั่งไว้ว่า ให้มหาอุปราชทำตามหนังสือนี้จงได้ อันเมืองเลียวตั๋งนั้นก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือท่าน โจโฉจึงรับเอาหนังสือมาดูแล้วก็พยักเอา จึงเก็บเอาหนังสือนั้นใส่หีบซ่อนไว้ แต่ที่ปรึกษากับทหารทั้งปวงไม่แจ้งเนื้อความประการใดก็มีความสงสัย ครั้นเวลารุ่งเช้าแฮหัวตุ้นจึงบอกโจโฉว่า ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่า กองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋ง ซึ่งอยู่ฝ่ายตวันออกเมืองกิจิ๋วนั้น คิดองค์อาจตระเตรียมทหารแต่งค่ายคูประตูหอรบไว้มั่นคง ทั้งอ้วนฮีอ้วนซงก็ไปอาศรัยอยู่ด้วยกองซุนของ ข้าพเจ้าเห็นว่ากองซุนของนั้นจะเปนศัตรูของท่านจึงคิดอ่านทำการทั้งนี้ ขอให้ท่านเร่งยกกองทัพไปกำจัดเสียให้ทันที แล้วจะได้จับตัวอ้วนฮีอ้วนซงด้วย แม้ละไว้ช้ากองซุนของจะมีความคิดแก่ขึ้น
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า การทั้งนี้อย่าวิตกเลย เราหาให้ท่านทั้งปวงได้ความลำบากไม่ จงชวนกันรอฟังดูสักเก้าวันสิบวันก่อนเถิด กองซุนของก็จะตัดสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้เรา ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสัยอยู่
ฝ่ายอ้วนฮีอ้วนซงเมื่อหนีโจโฉไปนั้น ได้ทหารประมาณพันเศษ ครั้นถึงเมืองเลียวตั๋ง ก็บอกเนื้อความทั้งปวงแก่นายประตูให้เข้าไปแจ้งสารทุกข์แก่กองซุนของ ว่าเราพี่น้องจะขอเข้าไปอยู่อาศรัย นายประตูก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่กองซุนของ ๆ แจ้งดังนั้นจึงปรึกษาแก่ขุนนางแลทหารทั้งปวงว่า บัดนี้อ้วนฮีอ้วนซงหนีโจโฉมา จะขออาศรัยเมืองเราจะเห็นประการใด กองซุนก๋งผู้น้องจึงว่า ครั้งอ้วนเสี้ยวเมื่อยังไม่ตายนั้น ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่า อ้วนเสี้ยวจะยกมาทำอันตรายเมืองเราเนืองๆ อยู่ บัดนี้อ้วนฮีอ้วนซงเสียเมืองหนีมา ซึ่งเราจะให้อยู่อาศรัยนั้นไม่ได้ ด้วยน้ำใจอ้วนฮีอ้วนซงนั้นอุปมาเหมือนหนึ่งกา แม้จะให้อาศรัยอยู่ในเมืองเรา นานไปจะคิดการกำเริบชิงเอาเมืองเราเหมือนชิงรังนกกระเหว่า ของให้ลวงอ้วนฮีอ้วนซงเข้ามาแล้วจับตัวฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะไปให้แก่โจโฉ เมืองเราก็จะไม่มีอันตราย กองซุนของจึงตอบว่า พี่เกรงอยู่ว่าโจโฉนั้นมีกำลังกล้าหาญนัก เกลือกจะยกกองทัพล่วงตีถึงเมืองเรา ซึ่งเราจะให้ฆ่าอ้วนฮีอ้วนซงเสียนั้นไม่ควร ถ้าเลี้ยงไว้เปนทหารก็จะได้ต่างมือเราไปรบพุ่งโจโฉดีกว่า กองซุนก๋งจึงว่า ซึ่งท่านคิดนี้ก็ชอบอยู่ ขอให้แต่งทหารออกไปสืบดูให้รู้ว่า ถ้าโจโฉจะยกล่วงมาตีเมืองเราจึงเลี้ยงอ้วนฮีอ้วนซงไว้ แม้โจโฉไม่ยกมาแล้วก็ให้จับเอาอ้วนฮีอ้วนซงฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะส่งไปให้โจโฉ กองซุนของเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารไปสืบดูกองทัพโจโฉ ทหารรับคำแล้วก็ลาไป กองซุนของจึงให้ทหารออกไปรับอ้วนฮีอ้วนซง
ฝ่ายอ้วนฮีอ้วนซงจึงปรึกษากันว่า ทหารในเมืองเลียวตั๋งนี้มีอยู่ประมาณห้าหมื่นเศษ เห็นพอจะต้านทานโจโฉได้ แม้เราเข้าไปอยู่แล้วจึงคิดอ่านชิงเอาเมืองฆ่ากองซุนของเสีย จึงเกลี้ยกล่อมซ่องสุมชาวบ้านชาวเมืองบัญจบกับทหารเรา แล้วยกไปรบชิงเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือของเราคืน ครั้นปรึกษาแล้วก็พากันเข้าไปหากองซุนของ ในขณะนั้นกองซุนของให้เลี้ยงดูจัดแจงที่อยู่ให้ แล้วกองซุนของทำป่วยมิได้ออกว่าราชการ หวังจะฟังข่าวกองทัพโจโฉ
ฝ่ายทหารซึ่งไปสืบข่าว จึงกลับมาแจ้งข้อราชการแก่กองซุนของว่า บัดนี้โจโฉยังตั้งทัพอยู่ ณ เมืองเอ๊กจิ๋ว จะได้คิดอ่านซึ่งจะยกมาตีเมืองเลียวตั๋งนั้นหามิได้ กองซุนของได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดทหารประมาณห้าสิบ ถืออาวุธครบมือซุ่มไว้ที่ข้างในแล้วสั่งว่า ถ้าอ้วนฮีอ้วนซงเข้ามาปรึกษาราชการ แม้ได้ยินเสียงเราร้องว่าเอาเถิด จงช่วยกันจับอ้วนฮีอ้วนซงไปฆ่าเสีย แล้วจึงให้คนออกไปบอกอ้วนฮีกับอ้วนซงเข้ามาปรึกษาราชการ อ้วนฮีอ้วนซงก็คำนับกองซุนของ แล้วมิได้เห็นแต่งที่แลมีเก้าอี้นั่งตามธรรมเนียมดังนั้นก็หารู้เท่าไม่ จึงว่าแก่คนใช้ว่าให้ขอเสื่อมาจะได้ปูนั่งปรึกษาราชการ กองซุนของได้ฟังดังนั้นก็ถลึงตาตวาดเอาแล้วว่า จะได้เสื่อที่ไหนมาให้นั่ง อันสีสะมึงทั้งสองนี้จะต้องใส่ถังไปทางไกล แล้วก็ร้องว่าให้เร่งลงมือเถิด ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็ชวนกันเข้ากลุ้มรุมจับตัวอ้วนฮีอ้วนซงฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะใส่ถังไว้ กองซุนของจึงให้ทหารเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงนั้นไปให้โจโฉ ณ เมืองเอ๊กจิ๋ว ทหารก็เอาถังสีสะไป
ขณะเมื่อโจโฉตั้งอยู่ ณ เมืองเอ๊กจิ๋วนั้น แฮหัวตุ้นกับเตียวเลี้ยวจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านไม่ยกไปตีเมืองเลียวตั๋งแล้วก็จะตั้งรออยู่ใยให้ช้า จงเลิกกองทัพกลับไป ณ เมืองฮูโต๋ดีกว่า เกลือกเล่าเปียวเล่าปี่จะยกมาทำอันตราย จะได้คิดอ่านป้องกันรักษาเมือง โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งท่านทั้งปวงว่าทั้งนี้ก็ชอบ แต่เราจะของดไว้ให้ชาวเมืองเลียวตั๋งเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้แล้วจึงจะยก กองทัพกลับไป ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ไม่เชื่อ ต่างคนต่างเมินหน้ายิ้ม พอคนใช้เข้ามาบอกว่า ทหารกองซุนของเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้ ในขณะนั้นที่ปรึกษากับทหารทั้งปวงก็ตกใจแลดูหน้ากันตลึงอยู่ โจโฉจึงให้ทหารกองซุนของเข้ามา ทหารนั้นคำนับแล้วแจ้งเนื้อความว่า กองซุนของรู้กิตติศัพท์ว่าอ้วนฮีอ้วนซงเปนศัตรูของมหาอุปราช จึงจับตัวฆ่าเสียแล้วตัดเอาสีสะส่งมาให้ แลตัวกองซุนของนั้นขอพึ่งบุญมหาอุปราชสืบไป
โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี หัวเราะแล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า กุยแกนั้นอ่อนแต่อายุ อันสติปัญญาจะหมายการสิ่งใดมิได้ผิด แล้วให้เงินทองเสื้อผ้าแก่ทหารกองซุนของเปนอันมาก จึงให้แต่งตราตั้งกองซุนของเปนเจ้าเมืองเลียวตั๋งเปนบำเหน็จตามมีความชอบ ทหารนั้นก็รับเอาตรา แล้วก็ลาโจโฉกลับไป ณ เมืองเลียวตั๋ง ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า เมื่อทหารกองซุนของเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้นั้น ท่านสรรเสริญกุยแกว่ามีความคิดประมาณการสิ่งใดไม่ผิดนั้น กุยแกว่าประการใดไว้แก่ท่าน โจโฉจึงเอาหนังสือกุยแกซึ่งให้ไว้เมื่อใกล้จะตายนั้นออกให้ดู ที่ปรึกษาแลทหารอ่านดูในหนังสือนั้นใจความว่า ข้าพเจ้ากุยแกขอบอกไว้แก่มหาอุปราชให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้ารู้ว่าอ้วนฮีอ้วนซงนั้นหนีไปอยู่ด้วยกองซุนของเจ้าเมืองเลียว ตั๋ง อย่าให้ท่านยกกองทัพไปทำอันตรายเมืองเลียวตั๋ง ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนเลย ด้วยเหตุว่ากองซุนของกับอ้วนฮีอ้วนซงนั้นก็หมายใจจะคิดร้ายกันอยู่ แม้ท่านจะขืนยกไปตีเมืองเลียวตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่ากองซุนของกับอ้วนฮีอ้วนซงจะประนอมพร้อมกันช่วยรบพุ่งท่าน ทหารทั้งปวงก็จะได้ความลำบาก ที่ปรึกษาทั้งปวงครั้งแจ้งในหนังสือดังนั้นก็ตบมือสรรเสริญกุยแก ว่ามีสติปัญญาหมายการดังเทพยดาดลใจ แล้วชวนกันแต่งเครื่องเส้นจุดธูปเทียนไปบูชาศพกุยแก
ขณะเมื่อกุยแกแรกมาอยู่ด้วยโจโฉนั้นอายุได้ยี่สิบเจ็ดปี ทำราชการมีบำเหน็จความชอบมาสิบเอ็ดปี เมื่อตายนั้นอายุได้สามสิบแปดปี โจโฉจึงยกกองทัพมาตั้งอยู่ ณ เมืองกิจิ๋ว แล้วให้ทหารเอาศพกุยแกไปแต่งการฝังไว้ ณ เมืองฮูโต๋ เทียหยกจึงว่าแก่โจโฉว่า อันหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ ท่านก็ปราบปรามราบคาบแล้ว ขอให้ท่านยกกองทัพกลับไปเมืองบำรุงทหารให้มีกำลัง แล้วจะได้ยกไปตีซุนกวน โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งท่านตักเตือนดังนี้ก็ต้องความคิดเรา ครั้นเวลาค่ำโจโฉจึงพาซุนฮิวขึ้นบนหอรบ เห็นดาวฝ่ายทิศใต้นั้นมีรัศมีรุ่งเรือง จึงชี้ให้ซุนฮิวดูดาวแล้วว่า ซึ่งเราจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งนั้นยังไม่ได้ ด้วยดาวฝ่ายทิศตรงเมืองกังตั๋งนั้นยังมีรัศมีสุกใสผ่องแผ้วอยู่ ซุนฮิวจึงตอบว่า มหาอุปราชมีวาศนาใหญ่หลวงอยู่ ถึงมาทว่าดาวฝ่ายทิศใต้ยังมีรัศมีบริบูรณ์อยู่ก็ดี แม้จะยกไปปราบปรามก็จะราบคาบไปด้วยบุญแลปัญญาท่าน พอโจโฉกับซุนฮิวแลเห็นที่แผ่นดินใต้หอรบเปนแสงเพลิงพลุ่งขึ้นสูงประมาณสี่ ศอก โจโฉจึงถามซุนฮิวว่าเหตุใดจึงเปนดังนี้ ซุนฮิวจึงว่า ใต้ดินตรงนั้นเห็นจะมีสิ่งของประหลาท โจโฉก็ลงมาให้ทหารขุดได้นกยูงทองแดงตัวหนึ่ง ใหญ่เท่าผลส้มแป้น โจโฉจึงเอามาดูแล้วถามซุนฮิวว่า ซึ่งเราได้ของสิ่งนี้จะดีแลร้ายประการใด ซุนฮิวจึงว่า ครั้งมารดาพระเจ้าซุนเต้ยังเปนชาวบ้านนอกอยู่นั้น นิมิตร์ฝันว่าได้กลืนหงส์หยกเข้าไปไว้ อยู่มานางนั้นก็มีครรภ์คลอดบุตรมาเปนชาย ครั้นใหญ่ขึ้นปรากฎว่ามีกตัญญูนัก ขณะนั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้ได้เสวยราชสมบัติแจ้งว่าบุตรนางนั้นมีความสัตย์ซื่อ กตัญญูต่อมารดา จึงประทานราชธิดา ต่อมาถึงได้ราชสมบัติทรงพระนามว่าพระเจ้าซุนเต้[๑] ซึ่งท่านได้นกยูงทองแดงนี้ก็ดีอยู่
โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ชาวเมืองให้หาอิฐปูนมาแล้วให้ตั้งเมืองขึ้นริมแม่น้ำเจียงโหตำบล เงียบกุ๋น สร้างปราสาทสูงใหญ่ ปีหนึ่งจึงสำเร็จการ แล้วเอานกยูงขึ้นไว้บนปราสาทสำหรับจะได้คำนับบูชา โจสิดซึ่งเปนน้องโจผีจึงว่าแก่โจโฉผู้บิดาว่า ท่านสร้างปราสาทนี้แล้วจงสร้างเปนที่ปารัศว์ขึ้นสองข้าง ๆ ขวานั้นให้ทำรูปมังกร ข้างซ้ายนั้นให้ทำรูปหงส์ไว้ แล้วให้ทำสะพานสูงตลอดเข้าไปทางแกลปราสาทใหญ่ให้เดิรถึงกันทั้งสองข้าง จึงจะงามสมกัน โจโฉเห็นชอบด้วย แล้วสั่งให้โจผีกับโจสิดเปนแม่การอยู่จัดแจงทำ อันเตียวเอี๋ยนนั้นให้คุมทหารไปตั้งป้องกันกำกับอยู่ปลายแดนเมืองกิจิ๋ว ขณะนั้นโจโฉได้ทหารเลวอ้วนเสี้ยวไว้ประมาณห้าสิบหมื่น กับทหารเอกเปนอันมาก โจโฉจึงให้จัดแจงพร้อมแล้วก็ยกกลับมา ณ เมืองฮูโต๋ปูนบำเหน็จทหาร โจโฉจึงให้เอาตัวกุยเอ๊กบุตรกุยแกมาเลี้ยงไว้ แล้วปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกกองทัพไปกำจัดเล่าเปียวกับซุนกวนเสีย จะเห็นดีประการใดบ้าง ซุนฮกจึงว่า ท่านไปทำการสงครามพึ่งกลับมา ทหารทั้งปวงยังบอบช้ำอิดโรยอยู่ ของดไว้บำรุงทหารให้มีกำลังก่อน ต่อขึ้นปีใหม่จึงยกไปทำการ โจโฉเห็นชอบด้วย ก็บำรุงทหารให้มีน้ำใจในการสงครามไว้
[๑] มีอยู่ในเรื่องไคเพ็ก
Download
Ebook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 30
https://drive.google.com/file/d/0B4kNyTcZMfgnbTRqckdUYkFfMmM/view?resourcekey=0-4X1JdqOlkCodQpcSATfMKg
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.405 seconds with 20 queries.
Loading...