Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
22 December 2024, 16:26:49

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,616 Posts in 12,928 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร  (Read 1043 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,452


View Profile
« on: 20 November 2021, 10:20:08 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17  โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 1



บทที่ 17

ตอนที่ 1


          ย้อนเวลาก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับทิวเขา ณ สายน้ำใหญ่ที่เคยไหลเอื่อย มาตอนนี้เริ่มเชี่ยวกราก เพราะทั้งสองฝั่งเริ่มเบียดแคบลง บางช่วงก็มีเกาะแก่งหินโผล่กั้นเป็นทำนบขวาง ทำให้กระแสน้ำไหลไปอย่างไม่สะดวก เกิดเป็นมวนน้ำวนมหาศาล บางจังหวะก็ไหลกระโจนผ่านเกาะแก่งนั้นไป ราวกับถังน้ำขนาดยักษ์ถูกคว่ำเทลงมาดูน่ากลัว บางช่วงก็เกิดเป็นคลื่นสูงๆต่ำๆเหมือนกับว่าอยู่ในมหาสมุทรที่กำลังตกอยู่ในมรสุมปั่นป่วน ความลึกของระดับน้ำตอนนี้ก็เกินที่ไม้ถ่อจะหยั่งถึง ทำให้แพทั้งสองลำ เกือบจะไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ ต้องคอยใช้ไม้ถ่อค้ำยันไปตามหน้าผาหิน หรือไม่ก็ตามแก่งหินที่โผล่พ้นน้ำออกมา มีครั้งหนึ่งแพลำหน้าที่พรานเบควบคุมอยู่ เกือบจะพลิกคว่ำ เพราะความเชี่ยวและแรงของกระแสน้ำ ทำให้แพลำนั้น ลอยเหินข้ามแนวหินที่จมอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ โชคดีที่คณะบนแพลำนั้นควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้ผ่านพ้นวิกฤตมาได้อย่างฉิวเฉียด ทุกคนในคณะต่างเปียกปอนไปด้วยกระเซ็นน้ำที่แตกพล่านอยู่รอบตัว เหมือนกับเดินฝ่าไปตามแนวของน้ำตก ยกเว้นห่อสัมภาระต่างๆที่ห่ออยู่ภายในผืนผ้าใบเท่านั้น ความทุลักทุเลในการเดินทาง เพิ่มความยากลำบากมากขึ้น เพราะสภาพอากาศเริ่มโรยตัวขมุกขมัว เนื้องจากความทึบทะมึนของป่าที่มีแต่ไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม ดวงตะวันที่เคยฉายแสง ตอนนี้ก็หายลับไปหลังทิวเขา มีแต่แสงมัวๆที่พอจะจับทิศทางและสภาพแวดล้อมรอบๆตัวได้อย่างลางเลือน

          “วู้ ไอ้เบ”

            “หาที่พักก่อนดีกว่ามั๊ย  นี่มันก็จะค่ำแล้ว ขืนไปต่อมีหวังไปไม่ถึงไหนแน่ แถวนี้น้ำมันเชี่ยว จะไม่รอดกันหนา”พรานโส่ยป้องปากตะโกนบอกแข่งกับเสียงอึกทึกของกระแสน้ำ

          “โน่น เลยไปข้างหน้าอีกหน่อย แถวนี้ไม่มีที่ให้ตั้งแคมป์เลย”

          “มีแต่แก่งหินใหญ่เต็มไปหมด ไม่เห็นรึไง ตลิ่งก็ชัน”พรานเบร้องบอก พรางชี้มือไปตำแหน่งที่ตัวเองหมายตาไว้เบื้องหน้า

          “นี่มันเหวชัดๆ ดูดีๆหนาไอ้เบ ไม่ใช่พาไปลงน้ำตกที่ไหนนะ”

          “ที่ราบแถวนี้ก็ไม่มี มีแต่ป่าหิน จะปีนตลิ่งขึ้นไปบนแนวป่าเห็นที่จะไม่ไหว นี่ก็จะค่ำแล้วด้วย”พรานพรร้องบอกอย่างเป็นกังวล ชั่วไม่กี่อึดใจต่อมา แพทั้งสองลำก็ลอยลิ่วมายังตำแหน่งเวิ้งน้ำตอนหนึ่ง ที่แลเห็นหาดทรายและหมู่โขดหินใหญ่น้อยที่ขึ้นแทรกสลับไปมา ระหว่างลำห้วยแห้งตอนหนึ่ง

          “พักก่อนพวกเรา”

          “เอาแถวๆนี้แหละ โน่นตรงเนินทรายนั้นก็ดี”พรานนำทางร้องบอกคณะ

        “ตรงไหนก็เอาสักที่ จะมืดค่ำแล้ว”

          “พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ แถวนี้มันมีแต่แก่งหินทั้งนั้น น้ำก็เชียว ล่องแพก็ลำบาก สงสัยต้องเดินกันแล้ว”พรานโส่ยร้องออกมาอย่างหอบๆหลังจากช่วยคณะที่เหลือยกแพลำสุดท้ายข้ามโขดหินใหญ่ขึ้นมาเกยกับหาดทราย

          “ดูทำเลให้ดีๆหนา”

          “อย่าเอาแบบเมื่อคืนก่อน แถวๆก้อนหินใหญ่นั่นก็เข้าท่า ตรงที่อยู่ติดกับห้วย”พรานพรร้องบอก พรางชี้บอกไปยังตำแหน่งโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ที่ผุดแทรกเป็นหมู่ๆอยู่ระหว่างร่องห้วยแห้ง

          “เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที”

          “พวกเราช่วยกันเอาของขึ้นไปกองรวมกันไว้แถวๆนั้นก่อน ตอนนี้ยังดูอะไรไม่ค่อยสะดวก”พรานเบร้องบอก พูดจบก็กระโดดตุบลงมาจากก้อนหินใหญ่ที่ขึ้นไปยืนสำรวจ จากนั้นก็เดินดุ่มๆไปยังตำแหน่งที่ตัวเองหมายตาไว้ ครู่หนึ่งก็โบกมือเป็นสัญญาณให้คณะทั้งหมดเคลื่อนตามมา

          “เอาตรงนี้แหละ เสียอย่างเดียว โล่งไปหน่อย”

          “แต่ดีตรงที่มีแนวก้อนหินกั้น หาอะไรมาสะหรือไม่ก็ก่อกองไฟกันไว้ตรงปากทางนั่นก็น่าจะเข้าท่า”พรานแปะร้องบอกคณะ หลังจากเดินสำรวจตำแหน่งที่จะทำที่พักชั่วคราว

          คณะเดินทางต่างช่วยกันทำงานอย่างเร่งรีบ เพราะบรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดสลัวลงไปทุกขณะ หมอกจางๆที่เริ่มโรยตัวเมื่อชั่วครู่ ก็มีท่าทีว่าจะหนาทึบทุกลำดับ พรานเบเดินสำรวดรอบๆบริเวณ ตามความคุ้นชินในหน้าที่ ปล่อยให้คนที่เหลือจัดการความเรียบร้อยของที่พัก พรานแปะคุมกะเหรี่ยงหนุ่มสองคนเดินหาเก็บฟืนมาเตรียมก่อไฟโดยมีเจ้าพะเปรียววิ่งติดไปด้วย ส่วนพรานพร พรานโส่ย  และเหน๋อ ช่วยกันขึงกันผ้าใบทำเป็นหลังคากันน้ำค้าง โดยนำไม้ถ่อแพมาประยุคทำเป็นคานสำหรับพาดขึงผ้าใบ ซึ่ง ไม่ต้องเสียเวลาไปตัดไม้ทำเสาค้ำ เพราะความยาวของไม้ถ่อสามารถพาดระหว่างแนวหินใหญ่ทั้งสองฝั่งได้พอดี จากนั้นก็ช่วยกันใช้เชือกเส้นเล็กๆผูกที่มุมทั้งสีด้านของผ้าใบ แล้วมัดรั้งไว้กับก้อนหินและเหง้าไม้ทำให้หลังคาผ้าใบตึง ส่วนผ้าใบอีกผืนใช้ปูพื้น สำหรับนอนและวางสัมภาระต่างๆ ที่พักชั่วคราวเสร็จเกือบจะพร้อมๆกับ คนทั้งสามที่ออกไปหาเก็บฟืนกลับมา

          กองไฟกองใหญ่ถูกจุดสุมขึ้นมาถึงสามกอง กองแรกก่อไว้ยังตำแหน่งร่องห้วยแห้งถัดออกไปราวสิบวา ทางด้านขวามือ ซึ่งเป็นร่องห้วยติดกับแนวป่า มีท่อนซุงขนาดคนโอบล้มขวางอยู่พอดี พรานแปะใช้โอกาสจุดสุมไว้กับท่อนซุงที่ล้มนั้น เป็นไฟรุ่งโดยไม่ต้องกลัวที่จะต้องคอยเติมเชื้อ เพราะขนาดความใหญ่โตของมัน กองที่สองก่อเฉียงเยื่องออกไปทางด้านซ้ายมือ ถ้าหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ กองสุดท้าย ก่อห่างออกไปจากหลังคาผ้าใบร่วมห้าวา เป็นกองไฟขนาดย้อมกว่ากองอื่นๆ เพื่อไว้ใช้สำหรับหุงหาอาหารและใช้ผิงไฟ แสงไฟจากกองฟืนทั้งสามกอง ทำให้พื้นที่บริเวณโดยรอบสว่างโพลน พรานโส่ยรื้อหม้อสนามขึ้นมาสองใบ เพื่อเตรียมหุงข้าว พรานพรอาสาเอาเนื้อเก้งและปลาย่างขึ้นมาอุ่นไฟ ส่วนพรานแปะรื้อห่อพริกป่นตักใส่ถ้วย แล้วละลายมะขามเปียกและเกลือ เพื่อทำน้ำพริกจิ้มกินกับเนื้อเก้งและปลาย่างแบบง่ายๆ

          “ข้าวสารของเราจะหมดแล้วนะไอ้เบ”

          “คงหุงกินกันได้อีกไม่เกินสองสามมื้อ”พรานโส่ยร้องบอกพรานนำทาง หลังจากกอบข้าวสารออกมาใส่หม้อสนามสองใบ

        “หาขุดมันขุดเผือกกินกันได้ แถวนี้น่าจะมีอยู่เยอะ”

        “หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็หาเก็บผักเก็บหญ้ากินกันไป จะไปยากอะไร พวกเราอดมาจนชินแล้ว”พรานเบบอกเสียงต่ำๆ พลางผลัดเสื้อผ้าที่สวมใส่ ขึ้นไปแขวนผึ่งผิงไฟกับราว ที่ทำจากไม้ถ่อแพ

        “สัตว์ป่าก็แยะ ปลาก็ชุม เรื่องไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อคงหมดห่วง”

        “พ่อปู่ฤาษีท่านคงจะไม่ว่าอะไรมั๊ง”พรานพรร้องบอกมาอีกคน ขณะใช้ผ้าขาวม้าขยี้เช็ดไปที่เส้นผมของตัวเอง

        “ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ต้องล่าอะไรมากิน พวกเรากินของที่มีอยู่ก่อน ถ้าไม่พอหรือขาดยังไง ก็ค่อยว่ากันอีกที พ่อปู่เขาก็ไม่ได้ห้าม ถ้ามันจำเป็นจริงๆ”

        “อีกอย่าง เนื้อเก้งของเมื่อวานก็ยังเหลืออีกเยอะ คงแบ่งกันกินได้อีกสักมื้อสองมื้อ คงพอดีกับข้าวสารที่เราเหลือพอดี หรือแกว่าไงตาโส่ย”ประโยคสุดท้ายพรานนำทางหันไปร้องถามพรานโส่ย ซึ่งตอนนี้กำลังเอาหม้อสนามขึ้นแขวนกับราวไม้ข้างกองไฟ

        “ก็คงจะพอแบ่งกันกินได้อยู่หร๊อก หลังจากข้าวสารของเราหมด ก็คงไม่พ้นข้าวลิง”

        “แถวนี้นอกจากเนื้อก็คงมองอะไรไม่เห็นแล้ว ผักหญ้าคงจะหายากอยู่ เพราะเราอยู่ในดงทึบ ถ่อแพมาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ผักกูดสักต้นข้ายังมองไม่เห็นเลย จะหาแวะเก็บมาตามทางก็ยังลำบาก มีแต่เห็ดขอน กับเห็ดหูหนูที่พอจะหาเก็บได้เยอะอยู่”กล่าวจบพรานโส่ยก็รื้อห่อผ้าที่บรรจุเห็ดขอนและเห็ดหูหนู ที่แกถือโอกาสเก็บติดมาด้วย ในระหว่างทาง ที่คณะแวะหยุดพัก

        “ปลาชุมแบบนี้ไม่ยากหร๊อก”

        “ไม่ต้องมีเบ็ดหรือแหอะไร แค่เดินส่องไฟใช้มีดฟันก็เกินกินแล้ว ปลาชุมจริงๆป่าแถวนี้ เมื่อคืนก่อน ฉันเดินส่องไฟเล่นๆยังได้กุ้งนางตัวใหญ่ๆมาเผากินตั้งหลายตัว ไม่เชื่อถามตาโส่ยดูสิ”พรานแปะร้องบอกคณะ ขณะนุ่งผ้าขาวม้าตัวเดียวผิงไฟ

        “อะไรก็ไม่เท่าไอ้บ่างผีพวกนั้น”

          “ไม่รู้ว่าคืนนี้มันจะบุกเราแบบเมื่อคืนก่อนหรือเปล่า สุมไฟให้สว่างๆเข้าไว้เป็นดี”พรานเบร้องบอก

          “เมื่อคืนพวกเราก็สอยลงมาตั้งหลายตัว”

          “ที่เจ็บไปอีกก็แยะ พวกมันคงจะไม่กล้ากับเราแล้วมั๊ง”เหน๋อกล่าวออกมาลอยๆ พูดจบก็โรยเกลือคลุกเคล้าลงไปในกองเห็ดที่พรานโส่ยเก็บมา จากนั้นก็ห่อด้วยใบไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะเหมือนใบพลวง แล้วหนีบคีบกับกิ่งไม้สดขึ้นย่างไฟอ่อนๆ

        “จะกี่ตัวก็เถอะ อย่าประมาท ไอ้นร กพวกนี้มันไม่เกรงกลัวอะไรเราหรอก ตรงกันข้ามมันคงคิดว่าเราเป็นของหวานของพวกมันมากกว่า”

          “ถ้ามาอีกก็รบกับมันเหมือนเดิม จะไปยากอะไร ไอ้พว กนี่ต้องล่อให้สูญพันธุ์ให้หมด”พรานพรกล่าวออกมาอย่างเหี้ ยมเกรียม จากนั้นก็กล่าวต่อมาอีกว่า

          “คืนนี้ท่าทางจะหนาวกว่าคืนที่แล้ว ป่ามันแคบลงมาทุกที ลมก็โกรกอยู่ตลอดเวลา แถมยังอยู่ใกล้น้ำอีก ขนาดนั่งผิงไฟอยู่นี่ยังหนาว พวกเอ็งสองคนเสร็จธุระแล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ประโยคสุดท้ายพรานพรหันไปร้องบอก กะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสอง ที่กำลังง่วนอยู่กับกองฟืนที่ช่วยกันลากมากองรวมกันไว้

          “ขนาดมีลมโกรกอยู่ตลอดแบบนี้ หมอกก็ยังหนา”

          “ถ้าเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้ใครออกไปไหนเกินแนวกองไฟที่เราก่อกันไว้”พรานเบกล่าว พูดจบก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงไปในกองไฟ

          “มีรอยสัตว์ลงแบบครั้งที่แล้วหรือเปล่า”

        “แต่ที่ข้าดูๆ ก็น่าจะไม่มีนะ ตลิ่งที่เราพักอยู่นี่ มันชันเหลือเกิน ถ้าจะมีลง ก็คงจะลงมาตามแนวห้วยแห้ง”พรานพรบอก พลางมองไปที่แนวลำห้วยแห้ง ซึ่งตอนนี้สว่างโพรนไปด้วยกองไฟกองใหญ่

          “ไม่มีเลยน้าพร มีแต่รอยหมูป่า แต่เก่ามากแล้ว ตลิ่งมันชันอย่างที่น้าว่านั้นแหละ สัตว์อะไรจะลงมาคงจะลำบากน่าดู”

          “เดี๋ยวอีกสักพัก กินข้าวกินปลาเสร็จ ฉันว่าจะขอออกไปดูกองฟืนอีกรอบ กลัวมันจะไหม้ลามเข้าป่าไปเสียฉิบ”พรานแปะว่า

          “เดี๋ยวฉันออกไปดูเป็นเพื่อนอีกคน”

        “แต่เมื่อกี้ ฉันก็เดินดูรอบๆที่เราพักแล้ว ไม่มีรอยสัตว์อะไรลงเลย มีก็เก่ามาก น่าจะเป็นเดือนแล้ว ทำเลมันไม่น่ามีตัวอะไรลงมากินน้ำหรือหากินดินโป่งเลย”เหน๋อบอก ขณะพลิกย่างห่อหมกเห็ดอยู่ไปมา

          “ดีแล้วที่ไม่มีด่านสัตว์ลง”

          “อย่างน้อยๆก็เบาใจเรื่องสัตว์จะลงกวน ไม่มีเนื้อ เสือก็ไม่ลง คอยระวังไอ้บ่างผีพวกนั้นก็พอ”พรานโส่ยกล่าว พรางยกซุนฟืนเข้าไปใต้หม้อสนามทั้งสองใบ ซึ่งตอนนี้น้ำในหม้อกำลังเดือดพล่าน ไหลล้นหยดลงใส่กองไฟดัง ฉี่ฉ่า

          ตลอดเวลาที่คณะทั้งหมดนั่งปรึกษาหารือกับเส้นทางที่ผ่านมา ทุกคนล้วนแล้วแต่เห็นตรงกันว่า สภาพเส้นทางที่ใช้สัญจรในการถ่อแพ เริ่มลำบากและมองเห็นความไม่ปลอดภัย เพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก รวมไปจนถึงเกาะแก่งชะง่อนหินที่โผล่เหลื่อมล้ำออกมา อาจก่อเกิดอันตราย พรานนำทางจึงสรุปได้ว่า ให้เดินทางด้วยวิธีถ่อแพให้ถึงที่สุด จนกว่าจะไม่สามารถไปต่อกันได้ เมื่อถึงเวลานั้น ค่อยเปลี่ยนมาเป็นการเดินเท้าแทน เพราะให้เหตุผลว่า การถ่อแพไปตามลำน้ำ สิ้นเปลืองเวลาน้อยกว่าการเดินเท้า ถึงแม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม แต่ถ้าทุกคนไม่ประมาทก็คงจะสามารถผ่านพ้นไปได้

          “เดี๋ยวช่วยกันก่อไฟอีกสักกอง แถวๆแพ จะได้มองเห็นกัน”

          “กินข้าวกินปลาเสร็จแล้ว พวกเราไปช่วยกันตรวจแพ ล่องแพกันมาสองวันแล้ว ยังไม่ได้ดูเลย ว่ามีลูกบวบหลวมคลอนบ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็จะได้ช่วยกันซ่อม”พรานเบกล่าว

          “แพที่ข้าถ่อมามีหลวมอยู่หลายจุด เถาวัลย์ที่ใช้ผูกลูกบวบก็เริ่มหลวม บางที่ก็ขาด ข้าว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน ดีแล้วที่เอ็งเตือน ฝืนถ่อไปมีหวังแพแตกเอาสักวัน กินข้าวกันแล้วค่อยว่ากัน กองทับต้องเดินด้วยท้อง”พรานโส่ยร้องตอบ กล่าวจบก็ยกหม้อสนามทั้งสองใบออกมาวางเรียงไว้ที่พื้นดินริมผืนผ้าใบ

          “เถาวัลย์แถวโน่นก็พอมี”

          “น่าจะใช้ได้ เดี๋ยวเอ็งสองคนไปช่วยข้าอีกแรง”พรานแปะกล่าว พลางบุ้ยปากไปที่ลำห้วยแห้ง

          “ป่าแถวนี้ที่เราอยู่ ยังดูดีกว่าป่าที่เรานอนมาเมื่อคืนก่อน”

          “ถึงมันจะแคบไปหน่อย ฉันว่ามันก็ยังดีกว่าที่เรานอนเมื่อคืน รอยสัตว์อะไรก็แทบจะไม่มีเลย”เหน๋อบอก พลางใช้มีดผ่าแหวะห่อเห็ดที่ย่างไฟจนสุกส่งกลิ่นหอม จากนั้นก็ตักแบ่งใส่กระทงใบไม้เล็กๆที่พรานโส่ยทำไว้แบบง่ายๆจนพูน เครื่องเซ่นสำหรับค่ำคืนนี้มีเมนูบ้านป่าแบบง่ายๆ นับตั้งแต่ เนื้อเก้ง และ ปลาย่าง ที่พรานโส่ยฉีกแบ่งไว้บนใบไม้ พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆและหมกเห็ด อย่างละกระทง พรานโส่ยนำเครื่องเซ่นทั้งหมดวางเรียงไว้บนลานหินเรียบก้อนหนึ่ง ที่อยู่ใต้ต้นไคร้น้ำเตี้ยๆ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเหล้าป่าอีกจอกเต็มๆ หลังจากปักธูปเทียนกราบไหว้ และท่องบทสวดอะไรของแกอยู่งึมงำ พรานผู้ชำนาณในเรื่องไสยเวทย์ก็ก้มลงกราบ ถือว่าเป็นอันเสร็จพิธี



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #1 on: 20 November 2021, 10:23:18 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 2



บทที่ 17

ตอนที่ 2


        เมื่อเสร็จพิธี ก็ถือว่าได้ฤกษ์งามยามดี อาหารมื้อค่ำจึงเต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อย ถึงแม้จะเป็นเมนูที่เรียบง่าย แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติ เพียงแค่พริกป่นที่ละลาย ผสมมะขามเปียกและเกลือ ก็เป็นสิ่งชูรสทำให้เจริญอาหาร ยิ่งมีเห็ดหมกรสเค็มกำลังดีแนมด้วยแล้ว ยิ่งทำให้กินข้าวกันจนลืมอิ่ม เพราะตลอดหลายมื้อที่ผ่านมา ทั้งคณะได้ว่างเว้นจากเมนูพืชผักมาหลายมื้อ พอได้รสชาติที่แปลกใหม่ออกไป จึงทำให้เจริญอาหารกันทั่วหน้า เห็ดหมกที่ทำไว้ห่อใหญ่ หมดก่อนเนื้อเก้งและปลาย่างเสียด้วยซ้ำ

        “นานๆทีได้กินหมกเห็ด ขนาดไม่มีน้ำพริกนะนี่ ยังอร่อย”

        “พรุ่งนี้ถ้ามีเวลา ข้าจะลองเดินหาดู ป่าชื้นๆอับๆแบบนี้ เห็ดน่าจะเยอะ”พรานพรกล่าว ขณะเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย

        “เยอะแยะ”

        “แถวห้วยแห้งก็พอมี พวกเห็ดขอน แต่มันแก่ไปหน่อยเลยไม่ได้เก็บมา”พราแปะว่า พลางฉีกเนื้อเก้งย่างแล้วจิ้มกับน้ำพริกแบบง่ายๆโยนเข้าปาก

          “น่าจะต้องเตรียมหาเสบียงตุนไว้แล้ว”

          “ดูท่าทางไม่น่าจะพอกินกัน พรุ่งนี้เช้าก็คงหมด”พรานโส่ยกล่าว หลังจากชำเลืองไปที่เนื้อเก้งย่างอีกก้อน ที่แขวนอยู่บนราวเหนือกองไฟอย่างเป็นกังวล เพราะส่วนมากเรื่องเสบียงกรังต่างๆพรานโส่ยมักจะตรวจตราอยู่เสมอ ซึ่งครั้งนี้ สีหน้าพรานชราส่อแวววิตกจนเห็นได้ชัด

          “ลองส่องไฟหาฟันปลากันดูก็แล้วกัน แต่ต้องระวังๆกันหน่อย อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว เลยจากที่เราพักออกไป มีแก่งตื้นๆอยู่บ้าง น่าจะพอมีปลาให้จับ”

        “เรื่องของกินข้าก็ห่วงเหมือนกัน เรามากันหลายคนก็คงจะหมดเปลืองกันเยอะหน่อย อะไรพอหาเก็บกินได้ก็เก็บมาตุนกัน ส่วนพวกสัตว์ใหญ่ก็แล้วแต่โชคของเรา ถ้าดวงเราดี ก็ขอให้มันมาเข้าทางปืนเราก็แล้วกัน ที่ผ่านมาเราไม่ได้ออกหาอาหารตุนกันไว้เลย มัวแต่เร่งตามไอ้สิงห์มัน จนบางทีข้าก็มองข้ามเรื่องนี้ไปเสีย ตาโส่ยเตือนมาแบบนี้ก็ดีแล้ว”พรานเบกล่าวออกมา

          หลังจากอาหารมื้อค่ำ ทั้งหมดก็แบ่งกลุ่มออกเป็นสามชุด ชุดแรกมีสี่คนคือ พรานแปะ เหน๋อ เจ้าพุ่ม เจ้าเคิ้ง ชุดนี้แยกออกไปตรวจที่กองไฟที่ก่อสว่างโชนอยู่ที่กลางห้วยแห้ง นอกจากกองไฟที่จะต้องตรวจความเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ช่วยกันหาเก็บเถาวัลย์มาไว้ใช้สำหรับซ่อมแซมแพทั้งสองลำ ชุดที่สองมี พรานพร และพรานเบ ทั้งสองคนออกเดินส่องไฟสำรวจไปตามชายตลิ่งริมน้ำ เพื่อส่องหาฟันปลาที่อาจจะหลบอยู่ตามแก่งหิน ปล่อยให้พรานโส่ยเฝ้าที่พักอยู่เพียงลำพังกับเจ้าพะเปรียว ซึ่งพรานเฒ่าก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เพราะหลังจากอิ่มข้าว แกก็ลากฟืนมาสุมไฟกองใหญ่อีกกอง บริเวณหาดทรายใกล้ๆกับแพทั้งสองลำ จนบริเวณโดยรอบที่พัก สว่างไสวไปทั้งบริเวณ ไล่ความมืดและความหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี

        พรานเบและพรานพร เดินสะพายปืน ส่องไฟลัดเลาะไปตามแก่งหินริมตลิ่ง ด้วยความเชี่ยวและความแรงของกระแสน้ำ ทำให้บริเวณผิวน้ำปั่นป่วน จนส่องไฟสำรวจไม่ค่อยถนัดนัก แต่ก็ยังพอมีช่องว่างให้ส่องมองเห็นได้เป็นบางช่วง ปลาพลวง และปลาเวียน ขนาดข้อมือสามสี่ตัว ถูกพรานทั้งสองใช้สันมีดเหน็บฟันขึ้นมาร้อยพวงกับรากไม้ นอกจากจะส่องไฟหาปลาแล้ว บางจังหวะตามชายป่า พรานทั้งส่องก็พากันส่องไฟหาสัตว์ที่พอจะล่ามาได้ แต่นอกจากหนู และ นกเค้าแมว ไม่กี่ตัว ทั้งสองก็ไม่พบสัตว์ใหญ่อะไรเลย

          “สัตว์มันไปหลบอยู่ไหนกันหมด”

          “ทีเมื่อคืนเดินกันให้ควั่ก เก้ง กวาง สารพัด”พรานพรบ่นงึมงำกับตัวเอง พลางสาดไฟฉายไปตามแนวป่า

          “เอาแน่เอานอนไม่ได้ บทจะเจอมันก็เจอ ตั้งใจหา เดินกันให้ตายก็ไม่เจอ”

        “สัตว์บกไม่ได้ ก็ล่อสัตว์น้ำก็แล้วกัน ปลาแถวนี้มันก็น่าจะเยอะอยู่หรอก แต่ตลิ่งมันชันเหลือเกิน น้ำก็ลึกเป็นเหว น้ำก็เชี่ยวเป็นคลื่นส่องไฟก็ลำบาก”พรานเบร้องตอบ พลางฉายไฟไปตามผิวน้ำเหนือแก่งหิน ที่ตอนนี้กระทบแสงของไฟฉายเห็นเป็นริ้วคลื่น

        “มันจะลอยไปยันไหนก็ไม่รู้”

        “ข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์เสียจริงๆ ยิ่งเห็นสภาพน้ำแบบนี้แล้ว ทำใจยาก”พรานพรกล่าว

        “น้ำเชี่ยวแบบนี้ มันคงลอยไปไกล ขนาดพวกเราล่องแพกันมา แพยังลอยลิ่ว”

        “ลอยน้ำไม่เท่าไหร่ เห็นแง่หินพวกนี้แล้ว ข้าก็อดห่วงมันไม่ได้”พรานเบตอบ พลางฉายไฟจับไปตามแก่งโขดหินที่โผล่พ้นน้ำ ซึ่งมีเศษกิ่งไม้และท่อนซุงลอยค้างก่ายกองกันอยู่ ทันใดนั้น แสงของไฟฉายก็สะดุดกับวัดถุอะไรชนิดหนึ่ง ครั้งแรกพรานนำทางมองผ่านๆคิดว่าเป็นเศษใบไม้ที่ลอยมาติด แต่เมื่อเพ่งมองดีๆจึงรู้ว่าไม่ใช่

        “เฮ้ย ไอ้พร ดูนั่น”

      “นี่มันสายรัดเป้หลังนี่หว่า ของใครกัน ใช่ของพวกเราหรือเปล่า”พรานเบร้องบอก พลางส่องไฟจี้ไปยังสายรัดของเป้หลังเส้นหนึ่ง ลักษณะเป็นเส้นแบนๆสีเขียวขี้ม้า กว่าประมาณหนึ่งนิ้ว ส่วนปลายด้านหนึ่งถูกกิ่งไม้เล็กๆเสียบหรือไม่ก็เกี่ยวไว้ อยู่เหนือระดับน้ำขึ้นไปเกือบคืบ ทิ้งส่วนปลายที่อยู่ด้านล่างให้ไหลแกว่งระไปกับกระแสน้ำ

      “เออ! ใช่จริงๆด้วย สายเป้”

      “สายเป้ไอ้สิงห์นี่ ไม่ใช่ของพวกเราแน่นอน ของไอ้เหน๋อเป้ของมันสีดำทั้งลูก”พรานพรร้องบอกละล่ำละลัก พูดจบก็ผลัดชุดออกแล้วเดินลุยน้ำลงไปเก็บวัตถุพยายชิ้นสำคัญที่ค้นพบ ซึ่งระดับน้ำที่เดินลุยไป มีความลึกอยู่ระดับอก มันเป็นสายรัดของเป้สนามจริงตามที่คาด ซึ่งไม่ใช่ของใครที่ไหน นอกจากชิ้นส่วนของเป้หลัง ที่เจ้าของเดิมของมันก็ได้สูญหายไปจากคณะ จะว่าเป็นของสมาชิกในคณะก็ไม่ใช่ เพราะนอกจากเหน๋อที่มีเป้สะพายหลังสีดำทั้งลูกแล้ว นอกนั้นใช้ย่ามกะเหรี่ยงหรือกระสอบถุงปุ๋ยดัดแปลงทำเป็นเป้สะพายใส่ของด้วยกันทั้งนั้น

        “ของไอ้สิงห์แน่นอน ไม่ผิดแน่”

        “เราน่าจะมากันถูกทางแล้ว”พรานเบกล่าวออกมาตาเป็นประกายมีความหวัง เมื่อพิจารณาถึงระดับความสูงของกิ่งไม้ที่เสียบติดอยู่กับระดับของสายน้ำที่อยู่ห่างกันเกือบคืบ มันเป็นไปได้ ที่ชายหนุ่มจะลอยมาพร้อมกับเป้หลัง ไม่จังหวะใดก็จังหวะหนึ่ง สายเป้ที่พบอยู่นี่ อาจจะเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้ก็เป็นได้ จะว่าลอยมาเฉพาะแต่สายก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะส่วนปลายได้เกี่ยวอยู่สูงขึ้นไปจากระดับผิวน้ำ หลังจากทั้งสองพรานผลัดกันดูสายรัดเป้ที่พบ พรานพรก็ม้วนเก็บสายรัดนั้นลงย่าม แล้วทั้งสองก็ชวนกันพาเดินส่องหาปลากันต่อ

      ส่วนที่ลำห้วยแห้ง ที่มีกองไฟก่อลุกโชนอยู่ที่ท่อนซุงแห้ง โดยมีส่วนปลายของท่อนซุงด้านหนึ่ง หักพับถทิ่มตกลงมาที่ร่องห้วย ซึ่งมีความสูงชันหลายวา ลักษณะของร่องห้วยกว้างราวๆห้าถึงหกวาเห็นจะได้ ส่วนที่เป็นพื้นและผนังทั้งสองด้าน เป็นดินปนทราย ผสมกับหินก้อนใหญ่ๆ มีรากฝอยของต้นไม้โผล่แซมปะปนอยู่กับเครือเถาวัลย์ขนาดท่อนแขนอยู่ดาษดื่น บริเวณพื้นห้วยแห้งมีเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งหล่นอยู่กลาดเกลื่อน ผิดกับบริเวณที่เป็นดงชายป่า ซึ่งมองแทบไม่เห็นพื้นดิน เพราะมีใบไม้หล่นทับถมอยู่หนาทึบ บ่งบอกว่าครั้งหนึ่ง เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ร่องห้วยแห่งนี้ คงจะเป็นที่ระบายน้ำให้กับป่าได้เป็นอย่างดี สังเกตุได้จากเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งที่มีอยู่บางตากว่า พรานแปะส่องไฟฉายชี้ให้ดูรอยหมูป่าและสัตว์ป่า จำพวกตีนกีบ ที่เดินย่ำทิ้งไว้ แต่ทุกรอยเป็นรอยที่เก่ามานานมากแล้ว อันเนื้องมาจากพวกมันคงเคยย้ำไว้เมื่อครั้งพื้นก้นห้วยยังเป็นดินโคลน แต่มาบัดนี้ พื้นก้นห้วยแห้งสนิทมีเพียงความชื้นพอให้ดินหมาดๆเท่านั้น

          “ไฟไม่น่าจะลามไปไหนได้นะน้าแปะ”

        “ท่อนซุงท่อนนี้มันหักพาดลงมาที่ก้นห้วยเฉยๆ ปลายด้านบนนั้นก็ไม่ได้เชื่อมกับป่าข้างบน ร่องห้วยมันสูงแบบนี้ ไฟคงพุ่งไปไม่ถึง”เหน๋อร้องบอก พลางส่องไฟสำรวจท่อนซุงขนาดสองคนโอบ ที่พรานแปะก่อไฟสุมอยู่ที่ส่วนปลายที่หักทิ่มลงมาที่ก้นห้วย

        “อย่าว่าแต่ทั้งคืนเลย”

        “สามวันก็คงไหม้ไม่หมด ซุงใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต้องมีใครมาคอยเติมฟืนอะไรหรอก”เคิ้งว่า พลางใช้มือตบไปที่ท่อนซุงที่ใช้ก่อไฟ

        “แถวนี้คงหาเถาวัลย์เส้นเล็กๆยาก ไม่เหมือนป่านอกที่เราผ่านมา ดูสิ แต่ละเส้นใหญ่เท่าแขนทั้งนั้น”

      “คงต้องลองส่องไฟหาดูไปตามห้วยนี้แหละ น่าจะเดินง่ายดี ไม่รก”พุ่มร้องเสริม พลางส่องไฟฉายไปตามแนวลำห้วย ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงทึบ

      “จะดีรึ น้าเบแกสั่งไว้ไม่ให้ออกไปไหนไกลเกินแนวกองไฟ”

      “อีกอย่างป่าแถวนี้เราก็ไม่คุ้นชินด้วย ขืนทะเล่อทะล่า ออกไปมีหวังได้หลงกันตายห่ า”เหน๋อกล่าว

      “เอาแค่แนวลำห้วยคงไม่หลงไปไหนมั๊งพี่เหน๋อ หรือถ้ามันจะมีแยกออกไปทางไหนอีก เราก็ไม่ต้องไป ถือว่าเป็นการส่องสัตว์หรือหาเสบียงไปในตัวก็ได้ เดินตามลำห้วยแห้งแบบนี้ ง่ายกว่าเดินอยู่ในป่ารกๆเสียอีก ใครหลงก็บ้าแล้ว”

      “น้าแปะแกก็แบกลูกซองมาด้วย  แถมที่เอวพี่ยังเหน็บปืนสั้นมาอีกกระบอกจะไปกลัวอะไร ดูฉันกะไอ้เคิ้งสิ ไม่มีอะไรเลย นอกจากไฟฉายกะอีเหน็บ ว่าจะเอาปืนแก๊ปมาด้วยก็คงยิงไม่ออก เปียกน้ำเปียกท่าฉิบหา ยหมดแล้วเมื่อตอนล่องแพ”พุ่มว่า พลางมองไปทางพรานแปะ ที่กำลังส่องไฟสำรวจบริเวณลำห้วย เหมือนจะหยั่งเสียงพรานที่อาวุโสกว่า

      “เอาตามที่ไอ้พุ่มว่านั้นแหละ อย่าลืมเราต้องหาเก็บเถาวัลย์ไปซ่อมแพด้วย แถวนี้มีแต่เส้นใหญ่ๆ ลองส่องดูไปตามก้นห้วยนี่แหละ เผื่อจะเจอเส้นที่ใช้ได้ ถ้าเจอทางแยก หรือถ้าได้เถาวัลย์พอแล้วก็ค่อยกลับกัน”

      “เดินส่องไฟไปเรื่อยๆก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะเจอตัวอะไรไว้เป็นเสบียงได้บ้าง ไม่ได้สัตว์ ได้พวกเห็ดก็ยังดี ชื้นๆอับๆแบบนี้ เห็ดน่าจะเยอะ ดูที่ท่อนซุงนั่นสิ มีแต่เห็ดขอนดอกใหญ่ๆทั้งนั้น แต่เสียดาย มันแกไปหน่อย เอามาแกงกินคงจะเคี้ยวกันเมื่อยกราม”พรานแปะว่า พลางฉายไฟไปที่ท่อนซุง บริเวณนั้นมีเห็ดขอนดอกใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือกางๆเกาะขึ้นอยู่ขาวโพลนไปหมด แต่ทุกดอกก็โรยราหรือไม่ก็แห้งเหี่ยวจนแข็งกระด้าง

          ชุดสำรวจลำห้วยทั้งสี่คน เดินตรวจตราบริเวณที่ก่อไฟ จนแน่ใจว่าตลอดทั้งคืน ท่อนซุงที่ใช้ก่อไฟท่อนนี้ จะลุกโชนไหม้ไปตลอดทั้งคืน รวมถึง จะไม่สามารถติดลุกลามไปยังบริเวณอื่นได้ ไม่ว่าจะเศษใบไม้และกิ่งไม้ ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อไฟทำให้ลุกลาม ทั้งหมดก็ช่วยกันปัดกวาดจนรอบๆรัศมีท่อนซุงจนโล่งเตียน เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ก็เดินส่องไฟไปตามลำห้วยแห้งที่ทอดยาวเข้าไปในดงทึบ ครั้งหนึ่งไฟฉายของพรานแปะ ที่เดินนำอยู่หัวขบวน ก็จับนิ่งอยู่ที่ดวงตาสีแดงเรื่อๆคู่หนึ่ง ที่สนิทนิ่งอยู่กับรากไม้ที่ห้อยโผล่ออกมาจากผนังห้วยทางด้านซ้ายมือ แค่เพียงอึดใจ ก็ผละไฟฉายส่องไปยังบริเวณอื่น เพราะแสงของดวงตาที่กล่าวมา เป็นแสงกระทบตาของหนูหวายตัวขนาดเขื่อง

          ตลอดเส้นทางการเดิน ที่คณะทั้งสี่ส่องไฟสำรวจ มีเห็ดขอนและเห็นหูหนู ให้เก็บอยู่พอสมควร ซึ่งยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเห็ดให้เก็บมากขึ้นตามไปด้วย ตรงข้ามกับสัตว์ป่า ที่จะสามารถยิงหรือล่ามาเป็นเสบียง กลับไม่พบเลย นอกจากสัตว์ตัวเล็กๆ จำพวกหนู และนกที่หากินตอนกลางคืน ซึ่งไม่คุ้มค่ากับกระสุนปืนที่จะยิงออกไป เพราะพรานแปะบอกกับคณะว่า อย่างน้อยๆก็ต้องมีเก้งขึ้นไปถึงจะยิง แต่ที่หายากพอๆกับสัตว์ก็คือ เถาวัลย์ขนาดเล็กที่จะเอาไปใช้ซ่อมแพ กลับเป็นวัสดุที่หายาก ถึงแม้จะอยู่ในป่าในดงก็ตาม แต่ละเส้นที่พบมีขนาดใหญ่เกินกำลังที่จะฉุดลาก เพราะเส้นเถาวัลย์เหล่านั้นเกาะเกี่ยวกันระโยงระยางอย่างเหนี่ยวแน่น

          “ไม่ไหว เดินกันมาได้สักพักแล้ว เจอที่ใช้ได้แค่เส้นเดียว”

        “สงสัยต้องตัดเป็นท่อนยาวๆเอามาทุบให้เป็นเส้นๆแบบคบตีผึ้ง แล้วควั้นทำเป็นเชือกแทน”พรานแปะกล่าว หลังจากโยนม้วนเส้นเถาวัลย์ เส้นขนาดเท่าหัวแม่มือที่หาได้ยาวไม่กี่วาลงพื้น จากนั้นก็พลางทรุดกายลงนั่งกับก้อนหินก้อนเตี้ยๆก้อนหนึ่ง ที่โผล่อยู่กลางลำห้วยแห้ง ส่วนคนอื่นๆก็เดินส่องไฟสำรวจไปรอบๆบริเวณ

        “อยู่ในดงแท้ๆ กลับหายากเสียนี่ ป่ามันก็ออกจะดิบขนาดนี้ ดันไม่มี ถึงมีก็ใหญ่เกินใช้ไม่ได้”

        “เวลาจะใช้ก็แบบนี้แหละพี่แปะ บทจะใช้ขึ้นมากลับหาไม่เจอ ลองไม่ได้ใช้หรือไม่ต้องการสิ”เหน๋อว่า พลางส่องไฟกราดไปตามตลิ่งริมลำห้วยฝั่งขวามือ ที่แลเห็นเส้นเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมา ครั้งแล้วก็พบเข้ากับเส้นเถาวัลย์ขนาดนิ้วชี้เส้นหนึ่ง ซึ่งขนาดของมันกำลังน่าใช้ จึงเดินดุ่มๆไปที่เส้นเถาวัลย์ที่พบ จากนั้นก็ออกแรงกระชากลงมา นอกจากเส้นเถาวัลย์ที่ถูกกระชากลงมาแล้ว ปราฏว่า มีวัตถุอะไรบางอย่าง ลักษณะเป็นก้อนกลมๆเหมือนกะลามะพร้าว กลิ้งตกลงพื้นดัง โพละ ซึ่งขณะนั้น ไม่มีใครสังเกตุหรือสนใจกับเหน๋อ ที่กำลังง่วนอยู่กับเส้นเถาวัลย์บริเวณนั้น เพราะต่างคนก็ต่างกระจัดกระจายกันออกไป แต่แล้วเมื่อเจ้าตัวส่องไฟฉายไปที่ตำแหน่งที่ก้อนปริศนาตกลงมา ก็ร้อง จ๊าก หงายท้องล้มก้นจ้ำเบ้า

          “ผะ..ผะ..ผี”

        “ผีหลอก โว้ย ช่วยด้วย”เหน๋อร้องเสียงหลง ก่อนที่จะล้มลุกคลุกคลานทำท่าจะวิ่งเผ่นไปในป่าอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง โชคดีที่พรานแปะนั่งขวางเส้นทางอยู่กลางลำห้วย จึงใช้เท้าแหย่สะกัด ทำให้เหน๋อที่กำลังทำท่าจะวิ่งสติแตกล้มหน้าคะมำ

        “ใจเย็นๆโว้ย”

        “ผีเผอ อะไรกัน ข้าไม่เห็นจะมีอะไรเลย”พรานแปะตวาด พลางกระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมทับตัวเหน๋อไว้ ส่วนคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงเอะอะ ก็พากันวิ่งกรูเข้ามายังตำแหน่งของทั้งสองคน

        “ผีจริงๆ”

      “นะ..โน่น ตรงที่ฉันดึงเถาวัลย์นั่น ผะ..ผะ..ผี..หะ..หัว..ขะ..ขาด”เหน๋อร้องบอกเสียงสั่น พลางชี้โบ้ชี้เบ้ไปยังตำแหน่งที่ตัวเองเผชิญมา ทำให้เจ้าเคิ้ง และเจ้าพุ่ม ที่วิ่งกันมาถึง พากันส่องไฟฉายไปที่ตำแหน่งที่เหน๋อชี้บอก ภาพที่ปรากฏต่อสายตาต่อมาก็คือ วัดถุทรงกลมขะมุกขะมอม สภาพเก่าคร่ำครึ ตกกองอยู่กับพื้น ตรงบริเวณที่กระทบพื้นแตกยุบลงไป เหมือนลักษณะของผลแตงโม ที่ตกลงมาจากที่สูงแล้วแตกกระจาย คงเหลือส่วนบนเท่านั้น ที่พอจะเป็นเค้าโครงหรือรูปร่างทรงกลม ที่พอจะอนุมานได้ว่ามันเป็นหัวกระโหลก ด้วยความสงสัย เจ้าพุ่มจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พอเห็นอะไรได้อย่างถนัดชัดเจน จึงร้องออกมาตื่นๆว่า สิ่งที่เห็น คือ หัวกระโหลกของมนุษย์

        “หัวกระโหลกคนจริงๆนั้นแหละน้าแปะ”

        “แถวนี้มันมีคนเคยมาด้วยหรือนี่”เจ้าพุ่มร้องเสียงตื่น

        “เอ็งดูให้ดีๆ ว่าใช่หัวคนจริงๆรึ มันอาจจะเป็นหัวของสัตว์อะไรก็ได้”

        “มันไม่น่ามีคนมาอยู่แถวนี้อย่างที่เอ็งบอกนั่นแหละ”พรานแปะร้องตอบ พูดจบก็ร้องบอกให้เจ้าเคิ้งอยู่เป็นเพื่อนเหน๋อ ซึ่งตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ดวงตาเหลือกลาน กลอกกลิ้งไปมาด้วยความกลัวสุดขีด จากนั้นก็เดินดิ่งไปที่เจ้าพุ่ม เมื่อเห็นชัดๆด้วยสายตาของตัวเอง ก็แทบผงะ เพราะสิ่งที่เห็น มันคือหัวกระโหลกของมนุษย์

        “เออวะ หัวกระโหลกคนจริงๆด้วย ชักไม่เข้าท่าเสียแล้ว เรารีบกลับที่พักกันดีกว่า”

        “ไปโว้ยพวกเรา ป่านนี้พวกน้าเบ กับ น้าพร คงกลับกันมาแล้ว”พรานแปะร้องบอกคณะ ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปที่เจ้าเหน๋อ กว่าจะพูดปลอบขวัญกันได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย เพราะรู้ๆกันอยู่ว่า เหน๋อเป็นคนที่ตาขาวที่สุดในคณะ ยิ่งเป็นสิ่งลี้ลับ ประเภทผีสางอะไรด้วย ตัวของเขาเองยิ่งอ่อนไหวในเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #2 on: 20 November 2021, 10:28:09 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 3



บทที่ 17

ตอนที่ 3


      ทั้งหมดรีบเดินกลับเข้ามายังที่พัก โดยการเดินย้อนกลับมาตามลำห้วยสายเดิม เพราะเส้นทางไม่ได้รกและค่อนค้างจะสะดวกสบายในการสัญจร เพียงไม่กี่อึดใจ ก็กลับมายังที่พัก ซึ่งตอนนี้มองเห็นพรานโส่ยกำลังง่วนอยู่กับการขยับตรวจลูกบวบลำไม้ไผ่ ของแพทั้งสองลำ ส่วนอีกสองคน ที่ออกไปส่องปลายังไม่กลับมา พรานแปะรีบเล่าเรื่องราวต่างๆที่ตนเองและคณะเผชิญมา เกี่ยวกับการพบเห็นหัวกระโหลกมนุษย์  ให้พรานโส่ยฟังอย่างตื่นเต้น

          “ใช่รึ”

        “พวกเอ็งไม่ได้ตาฝาดกันไปนะ”พรานโส่ยร้องบอก คณะนั่งฟังพรานแปะเล่าถึงเหตุการณ์

        “โถ่..ทำไมจะไม่ใช่”

        “ฉันไม่ได้ตาฝาด ไปกันสี่คน ตาแปดคู่ มันจะฝาดพร้อมๆกันเลยรึไง ถ้าแกไม่เชื่อ เดี๋ยวพวกน้าเบมา พวกเราจะยกโขยงกันไปดูพร้อมๆกันเลยก็ได้ เลยกองไฟกองนั้นไปไม่ไกลหรอก พักเดียวก็ถึง หรือแก จะไปดูตอนนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวฉันพาไปเอง ให้ไอ้สามตัวนี้ เฝ้าแคมป์”พรานแปะว่า

        “อาจจะเป็นหัวของตัวอะไรก็ได้ พวกลิง ค่าง”

        “เอ็งดูกันดีแล้วหรือยังไอ้แปะ”พรานโส่ยกล่าว พลางนั่งม้วนบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบ

        “ดีแล้ว ที่แรกฉันก็คิดเหมือนแกนั้นแหละตาโส่ย”

        “พอส่องไฟดูใกล้ๆเท่าแหนะ ลมแทบจับเหมือนกัน มันหัวกระโหลกคนจริงๆ ถ้าเป็น หัวลิง หัวค่าง มันก็ต้องเล็กกว่านี้ นี่ที่เห็นมันขนาดใหญ่กว่า”พรานแปะโพร่งออกมา พลางทำไม้ทำมือประกอบเพื่อบอกขนาดของหัวกระโหลกที่เห็น

        “เอ..ก็น่าแปลก คนที่ไหนมาจะมาตายอยู่ที่นี่”

        “โน่น ไอ้สองคนโน่นมาพอดี”พรานโส่ยว่า หลังจากพ่นควันบุหรี่ยาเส้นที่สูบออกมาเป็นทางยาว พลางบุ้ยปากไปที่แนวหินเบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ พรานทั้งสองที่ออกไปส่องปลา พากันเดินโผล่ออกมาตามแนวหินริมตลิ่ง

        “ไม่ไหว”

        “น้ำลึกจริงๆแถมไหลแรงด้วย ยังดีที่พอได้ปลามากินกันบ้างไม่เสียเที่ยว”พรานพรว่า พูดจบก็โยนพวกปลาที่หามาได้เจ็ดแปดตัวลงพื้น แต่ละตัวเขื่องขนาดข้อมือของพรานพร

      “ได้มั๊ยละเถาวัลย์ที่จะซ่อมแพ”

      “แถวนี้น่าจะหายาก ที่พวกข้าส่องไฟหาปลา ก็หากันไม่เจอเลย มีแต่เส้นใหญ่ๆทั้งนั้น”พรานเบกล่าว

      “เจอ”

      “เจอกะผีสิไม่ว่า”เหน๋อสำลักออกมา

      “ผี?”

      “ผีอะไรกัน”พรานพรว่า พลางรินเหล้าป่าใส่ฝาแกลอนขึ้นจิบ

        “ไอ้พว กนี้มันไปเจอหัวกระโหลกคน ที่ลำห้วยโน่น”

        “ไอ้เหน๋อเจอคนแรก แหม่...เจอถูกคนเสียด้วย”พรานโส่ยตอบ ทำให้ทั้งสองพรานถึงกับรีบหันหน้าไปมองพรานเฒ่าอย่างงงๆ จากนั้น เรื่องราวต่างๆก็ถูกบอกเล่าขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางความงุนงงของทั้งสองพราน

          “น่าแปลก”

          “รึมันจะเป็นไอ้สิงห์”พรานพรกล่าวออกมาเบาๆอย่างปราศจากความหมาย

        “ไม่ใช่หรอก”

        “กระโหลกมันเก่ามากแล้ว น่าจะนานหลายปี”พรานแปะว่า ก่อนที่จะรับฝาแกลอนที่บรรจุเหล้าป่า จากพรานพรขึ้นดื่ม

        “มันก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอก ป่าแห่งนี้ นอกจากพวกเราแล้ว ข้าว่า มันก็ต้องเคยมีคนเคยผ่านหรือหลงเข้ามาแบบเราเหมือนกัน จะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ดี”

        “ที่ข้าเคยเล่าให้พวกเอ็งฟังแล้วไงว่า มันเคยมีคนเข้ามา และหายสาบสูญไปเลยก็มี มันอาจจะนานหลายสิบปีมาแล้วก็ได้ เพราะสิ่งที่ข้าเคยได้ฟังเขาเล่ามา มันก็เล่าต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ ที่สำคัญที่สุดกว่าก็คือ ไอ้สิงห์ต้องไม่ตาย และเราต้องตามหามันให้เจอ”พรานเบกล่าวออกมาหนักแน่น พูดจบก็พยักหน้าให้พรานพร ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งจะเข้าใจความหมาย และเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นออก จากนั้นก็รีบล้วงมือเข้าไปในย่าม อึดใจ ก็หยิบอะไรชนิดหนึ่งออกมา พรานแปะที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุด รีบตะครุบวัตถุชิ้นนั้นเข้ามาดู ก่อนจะอุทานมาว่า

        “นี่มันสายเป้นี่หนา”

        “สายเป้หลังของไอ้สิงห์แน่นอน น้าพรไปเจอมาจากไหนนี่”พรานแปะร้องออกมาอย่างยินดี เกือบจะลืมเรื่องหัวกระโหลกที่ตัวเองเจอมา

        “ไอ้เบมันส่องไฟเจอ”

        “มันติดอยู่ที่กิ่งไม้ แถวๆที่พวกข้าไปเดินส่องปลา แถวโน่น”พรานพรว่า พลางบุ้ยปากไปที่แนวแก่งหิน ทิศทางที่ตนและพรานนำทางพบกับสายของเป้หลัง แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ทั้งสองผ่านพบมา ทั้งเรื่องของการพบ หลักฐานชิ้นสำคัญของชายที่สูญหาย และสภาพแวดล่อมต่างๆ ทั้งกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก รวมไปจนถึงแก่งแง่หินต่างๆ ที่จะเป็นอุปสรรคในการเดินทาง ซึ่งอย่างหลังทั้งสองพราน ต่างเป็นกังวลเป็นอย่างยิ่ง

        “มันก็เข้าเค้าอยู่หนา อย่างน้อยๆก็พอจะแน่ใจได้อีกเปราะหนึ่ง ว่าไอ้สิงห์อาจจะลอยหรือผ่านมาทางนี้”

        “แต่ข้าเห็นแก่งหินพวกนั้นแล้ว เสียวๆยังไงพิกล”พรานโส่ยว่า พลางกราดไฟฉายส่องฝ่าสายหมอกไปตามแนวแก่งโขดหิน ที่โผล่อยู่กลางกระแสน้ำเชี่ยว

          “ขนาดเราล่องแพกันมา ยังจะเอาตัวเกือบไม่รอด แพก็เกือบจะแตกไปตั้งหลายหน”

        “นี่มันมาตัวเปล่าๆ น้ำก็เชี่ยวขนาดนี้ ไม่รู้จะลอยไปกระแทกหินบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”พรานแปะร้องเสริม

        “มันคงไม่เป็นอะไรหรอก ในฝัน พ่อปู่ฤาษี ท่านก็เหมือนจะบอกใบ้ไว้แล้ว ว่ามันไม่เป็นอะไร”

        “เราต้องเจอมันแน่นอน แต่ไม่รู้จะตอนไหน และเมื่อไหร่ ขอเพียงเราอย่าหยุดหรือท้อแท้ไปเสียก่อน มาว่ากันเรื่องหัวกระโหลกที่พวกเอ็งไปเจอมา จะเอายังไงกันต่อ”พรานเบว่า พลางหันหน้าไปทางกลุ่มของพรานแปะ

      “ฉันก็แล้วแต่น้าเบแหละ ว่าจะเอายังไงกันดี แต่ใจฉันก็อยากจะพาไปดูอีกครั้ง เพราะเผื่อจะได้ร่องรอยอะไรบ้างเกี่ยวกับคนตาย และอีกอย่าง จะได้กลับไปเอาของด้วย มีเถาวัลย์อีกขน กับ เห็ดอีกหอบ ที่พวกฉันทิ้งไว้ ไม่ได้ติดมาด้วย”

        “รีบร้อนไปหน่อย ฉันก็ว่า ถ้าพวกน้าไม่ไป ฉันกับไอ้สองคนนี่จะย้อนกลับไปเอง”พรานแปะตอบ พลางบุ้ยปากไปที่สองกะเหรี่ยงหนุ่ม

        “ไปก็ไป ข้าก็อยากไปเห็นเหมือนกัน ว่าอะไรมันเป็นอะไร จะได้รู้”

        “ใครไม่ไปก็อยู่เฝ้าแคมป์ก็แล้วกัน”พรานเบกล่าวจบ ก็ทำท่าจะขยับเดิน แต่แล้วพรานโส่ยก็ร้องบอกขึ้นมาว่า

        “ไปกันหมดนี่แหละ ข้าก็อยากเห็น หรือพวกเอ็งจะอยู่เฝ้าแคมป์”

        “หรือเอ็งจะอยู่ ไอ้เหน๋อ”ประโยคสุดท้าย พรานชราร้องถามบุคคลที่มีตาขาวมากกว่าตาดำ แทนคำตอบเหน๋อสั่นหัวเป็นปลาดุกถูกทุบหัว แสดงการปฏิเสธ

          “ไม่ต้องมีใครเฝ้าแคมป์หรอกรึ พากันไปกันหมดแบบนี้”

          “ไม่ใช่พอกลับกันมา ของหายหมดเกลี้ยง จะไม่ฉิ บหายกันไปใหญ่”พรานพรว่า

          “คงไม่มีอะไรหรอก จะว่ามีสัตว์อะไรจะมารื้อแคมป์ ก็คงยาก รอยสัตว์ใหญ่ก็ไม่มีให้เห็นเลย ถ้ากลัวนักก็เอาแต่ของใส่เป้หลังไปให้หมด ยกเว้นพวกผ้าใบ ไม่ต้องเอาไป”

          “ถ้วยชามรามไห ของกิน ก็เอาแขวนที่สูงๆ หรือหาที่ซุกไว้ก่อน แพก็ลากขึ้นมาไว้ข้างบนอีกหน่อย เอาเชือกล่ามอีกที มันคงไม่ลอยไปไหนหรอก”พรานเบสรุป ทุกคนพากันเห็นด้วย ต่างจัดแจงปฏิบัติตามคำชี้แนะของพรานนำทาง ต่างคนต่างจัดเก็บสิ่งของต่างๆลงเป้หลัง นอกจากเสื้อผ้าที่แขวนผิงไฟของแต่ละคน ที่ไม่ได้เก็บ เพราะยังคงเปียกชื้นอยู่ คงปล่อยให้พาดแขวนราวไม้ไผ่อยู่แบบนั้น เสบียงอาหารต่างๆ เช่น เนื้อย่าง ที่ยังเหลืออยู่อีกก้อน และข้าวสาร พริกเกลือ ถูกบรรจุเก็บไว้ในถุงปุ๋ย พร้อมถ้วยชามต่างๆ พรานชรานำไปซุกแอบไว้ในซอกหินลึกตอนหนึ่ง ก่อนที่จะให้พรานเบกับพรานพรช่วยกันดันกลิ้งก้อนหินลูกขนาดเท่าครกตำข้าว มาปิดไว้ที่ปากโพรงหรือซอกหินนั้น ส่วนคนที่เหลือช่วยกันชักลากแพทั้งสองลำ ให้ขึ้นมาเกยอยู่บนฝั่งอีกเกือบห้าหกวา แถมพรานแปะยังเอาเชือกไนลอน โยงผูกล่ามกับโคนไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ชายป่าริมตลิ่งอีกชั้น จนแน่ใจว่าแพทั้งสองลำจะไม่มีโอกาสหลุดลอยไปตามกระแสน้ำ

          “เรียบร้อย”
       
        “ถ้าไม่ใช่ช้างมาลากไป ก็ไม่มีวันหลุดไปไหนได้”พรานแปะว่า พลางยืนมองผลงานที่ตัวเองทำไวอย่างยิ้มๆ

          “ฟืนไฟสุมดูดีๆ ระวังอย่าให้ลามไปไหนได้”

          “สุมฟืนเผื่อไว้มากๆไปเลย ไม่รู้ว่าพวกเราจะเข้ากันไปนานหรือเปล่า สุมไฟไว้เยอะๆ จะได้ไล่สัตว์ไปในตัว”พรานพรสั่ง ก่อนจะเดินตวัดปืนลูกซองยาวขึ้นสะพายไหล พลางพยักหน้าแสดงเครื่องหมายการเดินทาง ไปที่พรานเบ ไม่กี่นาทีต่อมาคณะทั้งหมดก็พากันเคลื่อนขบวนไปยังตำแหน่งของหัวกระโหลกปริศนา ท่ามกลางบรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอกจางๆ ที่พอจะมองเห็นหลังกันได้ โดยการนำทางของพรานแปะ ที่พาออกเดินรุดนำหน้าไป ซึ่งเพียงไม่นานก็พากันเดินมาตามลำห้วยแห้ง ที่เห็นท่อนซุงท่อนใหญ่กำลังติดไฟลุกโชนส่งควันกลุ่น ส่งแสงเรืองๆ เห็นเปลวไฟเต้นไหวไปมา เป็นเงาสะท้อนอยู่ระหว่างร่องห้วย ท่ามกลางสายหมอกที่แผ่กระจายไปทั่วแบบนี้ มองแล้วไม่ผิดอะไรกับเงาผี เลยจากท่อนซุงนั้นไปอีกช่วงไม่กี่อึดใจ ทั้งหมดก็มาถึงตำแหน่งที่ค้นพบหัวกระโหลก ซึ่ง ณ ตอนนี้ สภาพที่ครั้งแรกเป็นเช่นไร ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง พรานเบกราดไฟฉายจับไปยังหัวกระโหลกนั้น ก่อนที่จะเดินดุ่มๆเข้าไปสำรวจ

          “หัวกระโหลกคนจริงๆ”

        “แต่น่าจะเก่ามาก คงจะหลายสิบปีมาแล้ว”พรานเบว่า หลังจากก้มพิจารณาหัวกระโหลกมนุษย์ที่ตกอยู่บนพื้น ซึ่งสภาพของมันบ่งบอกถึงอายุและกาลเวลาที่ผ่านมา จนไม่อาจจะกะอายุของมันได้ เพราะสภาพดูเก่าคร่ำครึและดูทรุดโทรมไปมาก บริเวณผิวของกระโหลกมีคราบของเศษดินและตะไคร่น้ำเกาะเปรอะไปหมด ส่วนบริเวณที่เป็นชิ้นส่วนที่ตกกระทบพื้น และที่แตกกระจายออกมา ก็ดูเปราะ มีเศษของชิ้นส่วนที่แลเห็นเป็นฟันที่ติดอยู่กับกระดูกขากรรไกรแตกหักหลุดออกมาเป็นกระบิ ส่วนที่เป็นเบ้าตาทั้งสองข้าง และโพรงจมูก ดูกลวงโบ๋ มองเห็นเศษดินลักษณะเป็นขุยสีดำๆอัดแน่นอยู่ภายใน

        “มันกลิ้งลงมาจากบนโน่น”

        “ที่เห็นเถาวัลย์เส้นเล็กๆเส้นนั้น ฉันกระตุกเถาวัลย์เส้นที่เห็น อยู่ไม่อยู่ ไอ้หัวผีนี่ มันก็กลิ้งตกลงมา บอกตรงๆหัวใจฉันแทบวาย”เหน๋อร้องบอก พลางส่งไฟฉายจับไปยังเส้นเถาวัลย์ที่ทอดยาวสูงขึ้นไปบนตลิ่งริมห้วย

        “ไอ้พร เอ็งไปกับข้า เดี๋ยวข้าจะปีนขึ้นไปดู”

        “จะได้รู้กันไป ว่าอะไรเป็นอะไร”พรานเบร้องบอกพรานพร ที่กำลังใช้ไฟฉายส่องสำรวจและใช้ปลายมีดเหน็บเขี่ยพลิกหัวกระโหลกปริศนาหัวนั้นไปมา จากนั้นก็ปลดย่ามหลังที่สะพายมาลงกองไว้กับพื้น แล้วตวัดปืนลูกซองยาวที่หนีบไว้ตรงซอกแขนขึ้นสะพายไหล่

          “เดี๋ยวฉันกับไอ้พุ่ม จะปีนไปดูอีกฝั่ง”

          “ตาโส่ย กับไอ้เคิ้ง อยู่เป็นเพื่อนไอ้เหน๋อข้างล่าง คอยเฝ้าของนี่ล่ะ ไอ้เหน๋อเอ็งก็อย่าทำเป็นใจเสาะอีก มากันตั้งหลายคน ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว หรือจะก่อกองไฟเพิ่มอีกสักกองก็ดี มันจะได้สว่างมองอะไรเห็นมากกว่านี้”พรานแปะกล่าวจบ ก็ปลดเครื่องหลังที่สะพาย แล้วโหนเส้นเถาวัลย์ และรากไม้ที่แตกเป็นผอยโผล่ออกมาจากผนังร่องห้วย ส่วนพรานพรและพรานเบ พากันปีนไต่ไล่กันขึ้นไปอีกฝั่งห้วย ทางด้านที่หัวกระโหลกกลิ้งตกลงมา ไม่กี่อึดใจ ทั้งคู่ก็ไต่กันขึ้นไปยืนส่องไฟสำรวจอยู่ทางด้านบน พร้อมๆกับเสียงหักไม้แห้งดัง ผัวะเผละ มาจากก้นห้วย เพียงไม่นานก็มีแสงไฟสีส้มสว่างโชนส่งควันกรุ่น ทำให้บริเวณนั้นสว่างพอที่จะสังเกตุหรือมองเห็น บริเวณที่รัศมีของแสงจากกองไฟนั้นได้พอสมควร ถึงแม้จะมีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วก็ตาม พรานเบส่องไฟไล่ไปตามเส้นเถาวัลย์ ที่เป็นเหตุทำให้กระโหลกพลัดกลิ้งตกลงมา ส่วนพรานพรเดินแยกออกไปทางป่าด้านซ้ายมือไม่ห่างออกไปมากนัก ซึ่งตอนนี้รกไปด้วยป่าเถาวัลย์เส้นใหญ่ๆ ไม่กี่นาทีหลังจากพรานเบส่องไฟไล่ไปตามเส้นเถาวัลย์นั้น พรานนำทางก็อุทานขึ้นมาว่า

          “เจอแล้ว”

          “มีคนมานอนตายอยู่จริงๆด้วย”พรานเบร้องบอกคณะ พลางฉายไฟฉายจับไปยังร่างของโครงกระดูก ที่นอนพาดอยู่ระหว่างโคนไม้ใหญ่ที่ขึ้นเกือบจะเบียดชิดกันเป็นง่าม สภาพของโครงกระดูก นอนหงายหันศรีษะมาทางร่องห้วย มีส่วนปลายเท้าและกระดูกท่อนขาข้างหนึ่งพาดเหยียดยาวเข้าไปในป่า ส่วนอีกข้างจมหายเข้าไปในเศษดินและกองใบไม้หนาเตอะ  แขนทั้งสองข้างของโครงกระดูกนั้น หลุดร่วงตกอยู่ห่างออกไปเกือบวา

          “ไม่ผิดแน่”

          “หลุดมาจากโครงนี่แหละ เส้นเถาวัลย์มันงอกแล้วร้อยเข้าไปเกี่ยวกับหัวกระโหลกพอดี”พรานเบว่า พลางสาวเส้นเถาวัลย์เส้นนั้น ที่มีแนวพาดไปตามร่างของโครงกระดูก

          “คงนอนตายมานานแล้ว”

        “นาน จนเถาวัลย์งอกร้อยศพอยู่แบบนี้ คงจะร้อยหรือไม่ก็เกี่ยวอยู่กับหัวพอดี พอไอ้เหน๋อมันกระตุก หัวกระโหลกคงจะหลุดติดมากับเส้นเถาวัลย์นั้นด้วย”พรานพรร้องบอก พลางส่องสำรวจโครงกระดูก และบริเวณพื้นดินในรัศมีรอบๆโคนต้นไม้ใหญ่ ที่ศพปริศนานอนตายพาดอยู่ เพียงไม่นานก็พบเข้ากับวัตถุชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแท่งยาวกระดำกระด่าง มีเศษดินและสนิมเกาะเขรอะ โผล่มาจากพื้นดินประมาณคืบ

        “อะไรอีกหละนั้น”

        “ไอ้เบ มาช่วยกันดูหน่อยสิ”พรานพรร้องบอก พรานเบกระโจนพรวดเดียวมาที่ตำแหน่งของไฟฉาย ที่พรานพร ส่องจับอยู่

        “นี่มันลำกล้องปืนนี่”

        “ปืนจริงๆด้วย”ไม่พูดเปล่า พรานเบกระชากแท่งโลหะแท่งนั้นขึ้นมาจากพื้นดินที่ฝั่งอยู่ ยาวเกือบช่วงแขน เพราะพื้นดินบริเวณนี้มีสภาพร่วนซุย กระบอกหรือลำกล้องเหล็กท่อนนั้น ก็หลุดพรวดขึ้นมาจากพื้นดินได้อย่างง่ายดาย มันเป็นส่วนของลำกล้องปืน ตามที่พรานเบบอก ขนาดของมันโตเกือบจะเท่าของลำกล้องปืนลูกซอง สภาพของมันเก่าคร่ำครึ มีสนิมเกาะกรังอยู่หนาเตอะ ส่วนปลายของลำกล้องพอที่จะมองเห็นรู ซึ่งตอนนี้ถูกอุดตันไปด้วยเศษดิน มันเป็นลำกล้องเปล่าๆปราศจากพานท้าย ซึ่งคงจะเป็นไม้และน่าจะผุพังไปตามกาลเวลา แต่ที่น่าสนใจก็คือ ชุดโลหะ ที่เป็นกลไก ที่เกาะติดอยู่ที่ส่วนท้าย



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #3 on: 20 November 2021, 10:32:11 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 4



บทที่ 17

ตอนที่ 4

      “นี่มันปืนคาบศิลา”

      “ปืนแก๊ป ปืนคาบศิลาจริงๆ ดูที่นกสับนี่สิ มีก้อนหินเหน็บติดอยู่ด้วย”พรานพรร้องด้วยอาการตื่นเต้น พลางส่องไฟฉายจับไปที่ กลไกหรืออีกนัยหนึ่งก็คือส่วนที่เป็นนกสับดินปืน ซึ่งพอที่จะมองเห็นก้อนหินก้อนสีเทาๆขนาดไม่เกินหัวแม่มือ เหน็บติดอยู่กับเหล็ก ลักษณะงอๆเหมือนจะสามารถง้างออกมาได้ในเวลายิง แต่ตอนนี้สนิมที่เกาะกินอยู่จนแทบจะผุกร่อน จึงทำให้ไม่สามารถจะขยับกลไกชิ้นนั้นได้ แต่ถึงจะมีสนิมเกาะกรังอยู่ แต่ก็ยังพอมองเห็นเป็นเค้าโครง ว่ามันอยู่ในตำแหน่งที่เจ้าของปืน ได้ยิงหรือลั่นกระสุนออกไปแล้ว แต่ไม่ทันที่พรานทั้งสองจะว่า หรือพิจารณาอะไรกันต่อ เสียงเอะอะของฝั่งตรงข้ามก็ดังแซ่ขึ้นมาอีก

      “วู้”

      “น้าเบ น้าพร ทางนี้ก็มีอีกศพหนึ่ง”พรานแปะร้องบอกเสียงเอ็ด พลางส่องไฟฉายโบกไปมา ฝ่าสายหมอกเป็นสัญญาณมาที่พรานทั้งสอง ซึ่งระยะของตำแหน่งของทั้งสองกลุ่ม ห่างออกไปไม่มากนัก พอที่จะมองเห็นบุคคลทั้งสองกลุ่มเป็นเงาตะคุ่มๆ เพราะมีม่านหมอกมาปกคลุม จึงทำให้สังเกตุอะไรได้ไม่ถนัดนัก แต่ระยะก็คงไม่ห่างกันมาก อย่างมากก็ไม่เกินยี่สิบวา

      “พวกเอ็งดูกันให้ดีๆ เพื่อจะเจอเพิ่มอีก”

      “เดี๋ยวพวกข้าจะขึ้นไปดูด้วย”พรานโส่ยร้องบอกเสียงเอ็ด ก่อนที่จะพากันไต่ขึ้นไปสมทบกับพรานแปะ โดยมีเจ้าเคิ้ง และเหน๋อตามติดไปด้วย มีเพียงเจ้าพะเปรียวตัวเดียวเท่านั้น ที่ได้แต่ตะกุยตะกายตลิ่งห้วย ร้องหงิ๋งๆ เพราะไต่ตามขึ้นไปไม่ได้

        “เออ เฮ้ย กระดูกคนจริงๆ”

        “ป่าช้าหรือเปล่าวะนี่”พรานโส่ยว่า หลังจากตามไปดูโครงกระดูกที่พรานแปะพบ สวนพรานเบ และ พรานพร ต่างส่องไฟวูบวาบ อยู่ในตำแหน่งเดิม เหมือนจะยังไม่แน่ใจอะไรบ้างอย่าง ซึ่งพรานนำทางได้ร้องบอกว่า จะตามไป ขอส่องไฟดูรอบๆเสียก่อน และขออย่าให้ใครไปแตะต้อง หรือกระทำการณ์ใดๆกับโครงกระดูกนั้น ยกเว้นแต่ว่าให้ช่วยกันปัดกวาดเศษใบไม้ ที่ปกคลุมอยู่รอบๆให้เตียนโล่งเท่านั้น เห็นหรือพบเจออะไร ก็อย่าได้ไปรื้อค้น

      “นี่มันน่าจะเก่ามากพอดู ปืนคาบศิลา มันมีใช้มาก่อน ที่จะมีปืนแก๊ป”

      “รุ่นปู่ หรือ รุ่นพ่อข้า อาจจะทัน แต่ก่อนหน้านั้นข้าก็เห็นเขาใช้แต่ปืนแก๊ปกันทั้งนั้น”พรานเบบอกออกมาเสียงแผ่วต่ำ พลางใช้เท้ากวดไล่เศษใบไม้ที่กลาดเกลื่อนอยู่ตามพื้น บริเวณรอบๆโครงกระดูก เพื่อตรวจหาหลักฐานต่างๆ ที่อาจจะพบขึ้นอีก ซึ่งมันก็ไม่ทำให้พรานเบผิดหวัง เพราะปลายเท้าข้างนั้น ได้เตะสะกิดเข้ากับวัตถุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกฝั่งไว้ในพื้นดินตื้นๆ

      วัตถุลักษณะหยุ่นๆแต่ดูแข็งกระด้าง ครั้งแรกพรานนำทางคิดว่าเป็นเปลือกหรือรากไม้ ที่จมอยู่ใต้ดิน แต่เมื่อก้มพิจารณา และส่องไฟดูดีๆ จึงมองเห็นว่า มันเป็นแผ่นหนังเก่าๆ สีคล้ำ ส่วนที่มองเห็นเป็นแผ่นใหญ่ขนาดฝ่ามือ ลักษณะขอบแหว่งวิ่น ซึ่งน่าจะเกิดจากสัตว์แทะกิน หรือไม่ก็เปื่อยสลายไปตามกาลเวลา พรานเบใช้มืออีกข้างจับแล้วออกแรงดึง แต่ก็ไม่สามารถฉุดส่วนที่จมลึกลงไปในพื้นดิน ให้ขยับโผล่ออกมาได้ จึงร้องเรียกให้พรานพร ช่วยกันใช้มีดเหน็บค่อยๆขุดแซะ ไล่ลงไปในพื้นดินรอบๆแผ่นหนังนั้น จากนั้น ทั้งสองพรานจึงช่วยกันดึงวัตถุปริศนาออกมา ครั้งนี้มันค่อยๆขยับขึ้นมาช้าๆ ได้ยินเสียงลั่นดัง ปึ้ดๆของรากไม้ ที่อาจจะชอนไชหรือเกี่ยวรั้งวัตถุนั้นไว้จนขาด ทั้งสองช่วยกันออกแรงดึงอยู่ครู่ วัตถุชิ้นนั้นจึงค่อยๆหลุดโผล่ออกมาทั้งกระบิ มีเศษดิน และก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นหลุดร่วง ตกลงไปก้นหลุม ที่อยู่ลึกลงไปเกือบศอก เนื่องมาจากก้นหรือส่วนที่อยู่ด้านล่างก้อนหรือถุงหนังนั้น เปื่อย ขาดเป็นรูโบ๋ เมื่อนั้นเอง ถึงได้รู้ว่า แผ่นหนังที่เห็นในครั้งแรก แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของถุงหนัง ที่มีลักษณะคล้ายๆกับถุงทะเลขนาดย่อม ส่วนที่พรานทั้งสองช่วยกันดึงขึ้นมา เป็นส่วนที่ใช่ปิดด้านบนของย่ามหรือถุงทะเล สภาพภายนอกดูขะมุกขะมอม เก่าคร่ำครึ บางจุดก็เปื่อยขาดเป็นรู มีดิน และรากไม้เกาะเต็มไปหมด พรานพรใช้ปลายมีดเหน็บแหย่แซะไปในรูที่มีเศษดินอัดแน่นอยู่นั้น ครั้งแล้ว วัตถุชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดเท่ากำปั้นสามสี่ก้อน ก็กลิ้งพลูตกลงมา ครั้งแรกพรานพรคิดว่ามันเป็นก้อนหินหรือก้อนดินธรรมดาทั่วๆไป  เพราะว่ามีดินเกาะเกรอะกรัง จนมองไม่เห็นเนื้อแท้ด้านใน แต่เมื่อพรานพรใช้สันมีดเคาะลงไปบนก้อนหินประหลาดนั้น ก็ประกฏเสียงดัง เฉี๊ยะ เหมือนโลหะกระทบกัน เศษดินที่เกาะเคลือบอยู่ที่วัดถุชิ้นนั้น หลุดออกมาเป็นแผ่น เผยให้เห็นเนื้อแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน

          “ฮึย!”

          “นะ...นะ...นี่...มะ..มัน..ทะ..ทะ...ทองนี่!”พรานพรร้องออกมาเสียงสั่น ด้วยอาการตาเบิกโพรง จับจ้องไปที่วัดถุชิ้นนั้น ซึ่งตอนนี้ กระทบกับแสงของไฟฉาย จนเห็นพื้นผิวสีเหลืองทองอร่าม พรานเบที่นั่งมองอยู่ใกล้ๆ ก็มีอาการตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปเช่นกัน ต่างมองตากันโดยไม่พูดอะไรออกมา พรานเบค่อยๆใช้สันมีดเหน็บของตัวเอง เคาะไปที่ก้อนกระดำกระด่างที่กลิ้งตกอยู่ข้างๆกันอีกก้อน ด้วยมือที่สั่นเทา สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดินที่เกาะเกรอะนั้น ก็ไม่ต่างอะไร จากก้อนแรกที่พรานพรเคาะ ใช่แล้ว มันเป็นก้อนทอง ทองคำแท้ๆทั้งก้อนนั้นเอง

          เสียงกู่โหวกเหวก จากพรานโส่ย ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของลำห้วย ทำให้ทั้งสองพรานที่กำลัง งงจังงัง ทำอะไรกันไม่ถูก ให้ได้สติกลับคืนมา พรานเบ สะบัดหน้าไปมาแรงๆเพื่อเรียกสติให้กลับคืน ส่วนพรานพรขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก เหมือนกับว่าจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว กับก้อนที่เหลือเหล่านั้น และอีกกี่ก้อนที่อยู่ภายในถุงย่าม ที่สภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วห่อทอง พรานเบที่เหมือนว่าจะได้สติกว่าพรานพร ค่อยๆเอนเทสิ่งต่างๆที่อยู่ในถุงหนังนั้นออกมา นอกจากเศษดินและรากไม้ ที่ปะปนมากับก้อนทองที่ภายนอกดูเหมือนก้อนหินก้อนดินอีกหลายสิบก้อนแล้ว ภายในกองวัสดุนั้น ยังพบกับถุงหนังขนาดเล็ก สภาพภายนอกของถุงใบเล็กนี้ดูผ่านๆ ก็ไม่ต่างจากถุงหนังที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก แต่ก็ดูสมบูรณ์กว่า เพราะมองเห็นเส้นเชือกเส้นเล็กๆซึ่งก็อาจจะทำมาจากหนังสัตว์เช่นกัน พันม้วนอยู่ที่บริเวณส่วนที่เดาว่าน่าจะเป็นปากถุง ลักษณะของถุงเป็นกระเปาะ และมีน้ำหนักมากจนผิดปกติ เหมือนว่าจะบรรจุอะไรไว้อยู่ภายใน พรานเบใช้มือบีบคลำ และพลิกถุงหนังขนาดพอดีกับฝ่ามือถุงนั้นไปมา เมื่อสัมผัสภายนอก ก็พอจะเดาได้ว่า ภายในนั้นบรรจุวัดถุอะไรบางอย่าง เป็นก้อนกลมเหมือนลูกแก้ว พรานเบใช้คมบีดค่อยๆเฉือนเส้นเชือกให้ขาดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆเทสิ่งของที่อยู่ภายในออกมากองที่ฝ่ามือ

          “ลูกตะกั่ว”

        “สงสัยจะเป็นลูกปืน”พรานเบว่า พลางหยิบลูกตะกั่วทรงกลม ลูกหนึ่ง ที่มีขี้ตะกรันสีเขียวเกาะเป็นคราบ ขึ้นมาพิจารณา แล้วส่งลูกตะกั่วที่เหลืออยู่ในมือไปให้พรานพร ที่นั่งอยู่ข้างๆ

        “ลูกปืนจริงๆนั่นแหละ”

        “ลูกขนาดนี้ อย่าว่าแต่ เก้ง หรือกวางเลย ถ้าโดนเข้าจังๆ กระทิง หรือ วัวแดง ก็คงทรุด”พรานพรตอบ ขณะเดาะลูกตะกั่วที่ใช้สำหรับทำลูกปืน ขึ้นลงอยู่ในมือ จากนั้นก็เอา ลูกตะกั่วทรงกลมลูกหนึ่ง ไปวางเทียบกับปากลำกล้องปืนที่ค้นพบ ซึ่งขนาดของลูกตะกั่ว เกือบจะพอดีกับรูลำกล้อง ถ้าใช้อะไรแหย่เขี่ยดินที่อุดตันออก ก็คงจะหย่อนลูกตะกั่วลูกนั้นลงได้พอดี ในขณะที่พรานพร พินิจพิเคราะห์ลูกตะกั่วหลายสิบลูกอยู่นั้น พรานเบที่กำลังใช้ปลายมีดกวาดแซะ ดินเพื่อตรวจดูอะไรอีกที่ก้นหลุม ก็พบเข้ากับเขาของสัตว์ชนิดหนึ่ง ลักษณะเหมือนเขาวัว

          “นี่ก็น่าจะเป็นเขนงใส่ดินปืน”

          “แต่จุกตรงปลายน่าจะหายไปแล้ว”พรานเบกล่าว พลางยื่นส่งเขาสัตว์ลักษณะเหมือนเขาวัว สีหม่น ยาวคืบกว่า ให้พรานพร พิจารณาอีกคน

          “แน่นอนอยู่แล้ว เขนงใส่ดินปืน ตรงปลายเขานี่ เอาไว้กรอกดินปืนตรงปากลำกล้อง นี่ตรงปลายนี้มีรูอยู่ด้วย อาจจะมีจุกที่เอาไว้ตวงดินปืนอยู่ด้วย เอ็งลองส่องไฟดูสิ เผื่อจะเจอ”

          “ส่วนตรงโคน น่าจะมีฝาหรือจุกเอาไว้เติมดินปืนลงไป แต่ข้าว่า น่าจะเป็นพวกจุกไม้ หรือไม่ก็พวกหนังสัตว์ แต่คงจะหลุดหรือไม่ก็ผุไปหมดแล้ว”พรานพรตอบ พลางแสดงท่าทางการใช้เขาสัตว์หรือขะเน็งใส่ดินปืน กับลำกล้องปืนที่ค้นพบ จากนั้นก็กล่าวต่อออกมาอีกว่า

          “แล้วเราจะเอายังไงดี”

        “ตะกั่ว กับ เขนงดินปืน ข้าไม่อยากสนใจหรอก ที่สำคัญ ทองพวกนี้ นี่สิ พวกเราจะจัดการกันยังไงดี ถ้าขนไปขายได้ พวกเราคงจะสบายกันไปทั้งชาติ ดูสิ แต่ละก้อน หนักร่วมกิโล”

        “กองทิ้งไว้แบบนี้แหละ คงไม่มีใครเข้ามาขน ไม่ก็ฝั่งไว้ที่เดิมก่อน”

        “พวกเรารีบข้ามไปดูทางโน่นก่อนดีกว่า พวกนั้นเรียกเรามาตั้งนานแล้ว เอาไว้ค่อยไปปรึกษากันอีกที ว่าจะจัดการกันอย่างไร ข้าว่า รีบไปกันเถอะ อย่าเพิ่งไปสนใจอะไรกับของพวกนี้มากเลย”พรานเบว่า พลางเหนี่ยวไหล่พรานพรให้ออกห่าง ซึ่ง บุคคลที่ถูกเหนี่ยวมีอาการเหมือนจะไม่อยากออกจากสิ่งที่ตนเองพบ แต่เมื่อพรานเบร้องเตือน จึงต้องจำใจผละออกมา แต่เพียงแค่พรานพรก้าวตามหลังของพรานเบ ไปได้สามสี่ก้าว เจ้าตัวก็รีบหันกลับมาที่กองสมบัติเหล่านั้น จากนั้น ก็รีบโกยก้อนทองและถุงหนังลงหลุม ณ ตำแหน่งเดิม ที่พวกมันเคยถูกฝังอยู่ แล้วพรานพรก็จัดแจงโกยดินและเศษใบไม้ฝั่งกลบไว้ ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังใช้มีดเหน็บ ถากฟันทำเครื่องหมายเอาไว้ ที่บริเวณผิวของลำต้น ของต้นไม้เป็นจุดที่พบโครงกระดูกและถุงหนังที่บรรจุก้อนทองคำ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จึงรีบสาวเท้าตามพรานเบไป ซึ่งคนนำทางได้ไต่เส้นเถาวัลย์ลงไปรออยู่ที่ก้นห้วยแล้ว

            หลังจากช่วยกันสุมฟืนเข้าไปในกองไฟเพิ่มเติมเข้าไปอีก ทั้งคู่ก็พากันไต่ขึ้นไปตามตลิ่งห้วยฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีพรรคพวกทั้งหมดยืนคอยอยู่ไม่ไกลออกไปมากนัก แต่เพราะสายหมอกที่ลงจนหนาทึบ ทำให้แลเห็นแต่แสงนวลๆของไฟฉาย ที่สาดส่อง วูบวาบไปมามัวๆ แต่ก็พอจะจับทิศทางของคณะทั้งหมดได้ พรานเบรีบสาวเท้าก้าวยาวๆไปยังตำแหน่งที่พบโครงกระดูก โดยมีพรานพรเดินตามมาติดๆ ไม่กี่อึดใจ ทั้งคู่ก็มายังตำแหน่งที่คณะยืนคอยอยู่

        “มีอะไรหรือทางโน่น นอกจากไอ้กระดูกผีนั่น”

        “ทำไมไปกันนานแท้”พรานโส่ยว่า พลางส่องไฟไปจับอยู่ที่โครงกระดูกอีกร่าง ที่คณะของพรานเฒ่าสำรวจพบ

          “มันมีอะไรที่จะต้องตรวจดูนิดหน่อย เอาไว้ค่อยว่ากันอีกที”

          “แล้วทางนี้ล่ะ เจออยู่แค่โครงเดียวรึ หาดูดีแล้วหรือยัง เผื่อจะเจอกันอีก”พรานพรกล่าว พลางสบสายตากับพรานเบวูบหนึ่ง

        “ไม่มีแล้ว พวกฉันเดินดูจนทั่ว เฉพาะใกล้ๆแถวนี้นะ ไม่กล้าเดินออกไปไกลมาก หมอกมันลงจัดเหลือเกิน เห็นๆกันแบบนี้ ดีไม่ดีจะพาลกันหลงป่ากัน”

        “ใครกันน้อ มานอนตายกันอยู่ที่นี้ คงจะตายมานานแล้วด้วย กระดูกกระเดี๊ยวโทรมหมดแล้ว ถ้าไม่ดูดีๆ เห็นทีแรก ก็คิดว่าท้อนไม้เก่าๆ แต่พอส่องเห็นหัวกระโหลกนี่แหละ ถึงรู้ว่าเป็นกระดูกคน”พรานแปะ ผู้ที่พบโครงกระดูกคนแรกรายงานเร็วปรื๋อ จริงอย่างที่พรานแปะว่า สภาพภายนอกของโครงกระดูกปริศณาอีกโครง ที่เห็นอยู่นี้ ถ้าไม่สังเกตุดีๆ ก็อาจจะมองข้ามผ่านไป เพราะสภาพในต้อนนี้ แทบจะกลืนไปกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ

        “น่าแปลก”

      “อาจจะเป็นพวกเดียวกันก็ได้ ดูสภาพกระดูกพวกนี้แล้ว เก่าพอๆกัน”พรานเบว่า พลางส่องไฟจับไปยังร่างที่ไร้วิญญาณ ซึ่งสภาพของศพ อยู่ในลักษณะนั่งเอนหลังพิงก้อนหินใหญ่ ที่งอกโผล่พ้นออกมาจากพื้นดิน โดยมีหมูหินก้อนขนาดย่อมลงมารายล้อมอยู่ มีต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบขึ้นแซมอยู่หนึ่งต้น เยื่องขึ้นไปยังส่วนหน้า ในตำแหน่งทิศทางด้านลำห้วย สภาพภาพโครงกระดูกเก่าคล้ำ ไม่แพ้จากโครงกระดูกฝั่งตรงข้าม ซี่โครงแต่ละซี่ผุกร่อน จนเกือบจะจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ซึ่งตอนนี้มีติดอยู่ให้เห็นกับร่าง นับได้ไม่เกินห้าซี่ แต่ละซี่มีตะไคร่และมอสเกาะเขียวไปหมด ส่วนทางด้านของกระโหลกศรีษะหันตะแคงไปทางซ้ายมือ พอที่จะมองเห็นฟันเป็นซี่ๆที่ยังติดอยู่ห้าหกซี่ แต่ไม่มีกระดูกขากรรไกร ซึ่งอาจจะหลุดหายไป ส่วนแขนทั้งสองข้าง ของโครงกระดูก หลุดกองอยู่กับพื้น มีสภาพแตกหัก และมีบางส่วนจมหายเข้าไปในพื้นดิน พรานแปะอธิบายว่า ก่อนที่จะมาค้นพบนั้น มีกิ่งไม้แห้งตกฟาดลงมา อาจจะทำให้กระดูกแขนและกระดูกบางส่วนแตกหักเสียหายได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีส่วนหรือเปล่า เพราะสภาพกระดูกก็เก่ามาก อาจจะผุพังมาก่อนหน้าแล้ว และส่วนที่ต่ำลงไป ตั้งแต่ระดับเอว ก็จมอยู่ในดินตื้นๆ ซึ่งพื้นที่โดยรอบ ถูกปัดกวาดใบไม้ออกจนโล่งเตียน รัศมีเกือบจะเป็นวงกลม มีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า สี่ถึงห้าตารางวา พอที่จะสังเกตุเห็นกระดูกขา และกระดูกส่วนปลายเท้าบางชิ้น แต่ที่เป็นจุดเด่นชัด จนทำให้พรานทั้งสอง สะดุดตาก็คือ แท่งโลหะกระดำกระด่าง ที่โผล่พ่นดินออกมาให้เห็นยาวเกือบศอก ลักษณะพาดเฉียงอยู่ในตำแหน่งโคนขาของโครงกระดูกนั้น

        “ลำกล้องปืนอีกแน่ๆ”

        “น่าจะแบบเดียวกันกับอันที่เราเจอฝั่งโน่น”พรานพรกล่าว

        “ทางโน่นก็มีเหมือนกันรึ”

        “ปืนแก๊ปกระมัง”พรานแปะว่า พลางใช้มือลูปคลำไปที่ส่วนของลำกล้องปืนที่โผล่พ้นดินออกมา

        “ปืนคาบศิลา”

        “ปืนที่เขาใช้กันมาก่อนปืนแก๊ป”พรานเบตอบออกมาแผ่วเบา กล่าวจบก็คว้าส่วนปล่ายของลำกล้อง แล้วค่อยๆดึงออกมาจากพื้นดินช้าๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างที่พรานพรและพรานเบเข้าใจ สิ่งที่ดึงขึ้นมา มันมีสภาพที่ไม่แตกต่างอะไรจากลำกล้องปืน ที่คนทั้งสองค้นพบมาเมื่อหยกๆนี้

        “เป็นแบบนี้เองรึนี่ ไอ้ปืนคาบศิลงศิลา”

        “เกิดมาเพิ่งจะเคยเห็น หน้าตาแปลกแท้ คนสมัยก่อนเข้าไม่ใช้พานท้ายกันหรือไง”เคิ้งกล่าวออกมาซื่อๆ พลางพลิกกลับแท่งโลหะสนิมเขรอะไปมา

      “ปืนบ้านเอ็งสิ ไม่มีพานท้าย”

      “มีโว้ย มันเก่าจนไม่รู้จะกี่สิบปี ไม้คงถูกปลวกกิน หรือไม่ก็ผุไปหมดแล้ว”พรานโส่ยผู้เป็นพ่อร้องบอก พร้อมกับชี้ให้ดูชิ้นส่วนโลหะที่มีรูปร่างโค่งงอแต่มีสนิมเกาะอยู่แดงเถือก ตรงส่วนปลายของโลหะงอๆนั้น พอที่จะมองเห็นก้อนหินสีมอๆหนีบติดอยู่กับชิ้นโลหะ ซึ่งอยู่ในลักษณะชิดกับลำกล้องปืน แล้วก็อธิบายการทำงานให้ผู้เป็นลูกและคนอื่นๆฟัง
   
      “สมัยก่อนมันไม่มีแก๊ปแบบสมัยนี้ เวลาจะยิง เขาก็ง้างนกสับออกมา แบบเดียวกับปืนแก๊ปนั้นแหละ จะต่างกันตรงที่ ปืนแก๊ปแบบเรา นกสับมันจะไปตีแก๊ปให้แตก ปืนถึงจะลั่น”

      “แต่ปืนคาบศิลา เขาใช้หินเหล็กไฟ เป็นตัวจุดฉนวนดินขับ พอเราเหนี่ยวไกปืน ตัวนกสับที่มีหินเหน็บอยู่ มันจะไปตีเข้ากับแผ่นเหล็กแถวๆนี้ ก้อนหินที่ว่า หรือ คนโบราณเขาอาจจะเรียกว่า ศิลา แบบนี้ไงถึงได้เรียกปืนแบบนี้ว่า ปืนคาบศิลา”พรานโส่ยอธิบาย พลางชี้นิ้วบอกตำแหน่งการทำงานต่างๆ

      “ไอ้แผ่นเหล็กที่ว่า คงจะผุไปหมดแล้ว ทีนี่ พอหินมันตีกับแผ่นเหล็ก มันก็จะเกิดสะเก็ดไฟ”

      “พวกเอ็งพอจะเดาได้หรือยัง ว่ามันทำงานยังไง”พรานโส่ยร้องถาม

      “ก็คงจะคือๆกับปืนแก๊ปมั๊ง”

      “สะเก็ดไฟ กระเด็นไปโดนดินขับ แถวๆนี้”เหน๋อว่า พลางชี้นี้ไปที่ตำแหน่งที่มีลักษณะเป็นเดือยยื่นโผล่ออกมาจากส่วนท้ายของลำกล้องปืน ซึ่งตอนนี้ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่ก็พอที่จะอนุมานได้ว่า ส่วนนั้นคือนมหนูของปืนแก๊ปหรือปืนคาบศิลายุคโบราณกระบอกนั้น

    “เออ...เอ็งก็ฉลาดนี่หว่า”

    “ถูกต้อง นี่ล่ะการทำงานของมัน ส่วนการบรรจุใส่ลูกก็ไม่ต่างจากปืนแก๊ปที่พวกเราเคยใช้กันเลย ใส่ดินปืน กากมะพร้าว ลูกตะกั่ว แล้วใช้แส้กระทุ้ง พูดถึงแส้ ข้าก็เชื่อว่าน่าจะมี แต่มันคงผุไปหมดแล้ว”พรานโส่ยกล่าว

    “ฉันเคยเห็นในหนัง ยิงกันแต่ละที ควันโขมง”

    “ไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง ครั้งนี่แหละครั้งแรก”เหน๋อว่าออกมา พลางยิ้มแหยๆ

    “มีแค่ปืนอย่างเดียวเหรอ”

    “มันน่าจะมีอย่างอื่นด้วยนะ พวกข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ พวกมีด ช้อน ชามรามไห อะไรพวกนั้น”พรานแปะร้องถามคณะ

    “น่าจะมี แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ทางฝั่งข้า ยังเจอพวกเขนงใส่ดินปืน กับลูกตะกั่วเลย”

    “ข้าว่า ถ้าขุดดูแถวๆนี้ ก็คงเจอไม่ต่างกัน เพราะตรงนี้ก็มีปืน ถ้ามีปืนก็ต้องมีขะเน็งกับลูกตะกั่ว คนตายคงไม่แบกแต่ปืนเปล่าๆมาด้วย”สิ้นเสียงของพรานเบ ทั้งหมดยกเว้นพรานพร ก็คราง ฮือ ออกมาพร้อมๆกัน และไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ต่างช่วยกันใช้มีดเหน็บที่มีติดตัวมาด้วย ทิ่มแทง ขุดแซะ ไปตามพื้นดินที่มีสภาพร่วนซุย บริเวณรอบๆโครงกระดูกปริศนา ไล่ตั้งแต่ผนังหิน ที่ศพตายซากเอนพิงหลังอยู่ จรดไปจนถึงปลายเท้า แต่จังหวะที่พรานแปะกำลังก้มหน้าก้มตา ใช้ปลายมีดแซะอยู่ที่บริเวณก้อนหินใหญ่นั้นเอง ด้วยความที่ไม่ได้ระมัดระวัง ทำให้ข้อศอกของพรานแปะไปกระทุ้งโดนส่วนที่เป็นหัวกระโหลก ซึ่งอยู่ในสภาพเก่าคร่ำครึและไม่แข็งแรงอยู่แล้ว พอมีอะไรไปสะกิดเข้านิดหน่อย ก็พลัดตกลงมากลิ้งขลุกๆ ไปทางปลายเท้า ที่เหน๋อและเจ้าเคิ้งกำลังยงโย่ยงหยก ขุดขุ่ย หาอะไรต่อมิอะไรอยู่บริเวณนั้นพอดี คนที่ตาขาวที่สุดของคณะ ยังไม่ทันหายจากอาการผวา จากเหตุการณ์ก่อนหน้า พอมองเห็นอะไรบางอย่างกลิ้งมาสะกิดที่ปลายเท้า ก็ร้องจ๊าก พลางเผ่นพรวดพราด ไปอย่างไม่ดูทิศไม่ดูทาง จนชนประทะเข้ากับเจ้าเคิ้งที่นั่งขวางอยู่ด้านหน้าอย่างจัง ทำให้ล้มกลิ้งหลุนๆเป็นลูกขนุนไปทั้งคู่ พอลุกขึ้นตั้งหลักได้ ก็ทำท่าว่าจะเผ่นเตลิดไปอีก แต่โชคยังดี ที่พรานเบกำลังเดินส่องไฟสำรวจบริเวณนั้นอยู่พอดี รีบกระโจนไปคว้าคอเจ้าเหน๋อไว้ได้อย่างฉิวเฉียด



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #4 on: 20 November 2021, 10:35:29 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 5



บทที่ 17

ตอนที่ 5


        “ใจเย็นๆโว้ย”

          “เพิ่งจะบอกไปหยกๆว่าไม่ต้องกลัวอะไร เดี๋ยวก็ตกร่องห้วยตายห่ ากันพอดี ระดับขนาดนี้มีหวังคอหักตาย”พรานเบตวาด พลางเดินหิ้วคอเจ้าเหน๋อไปยังกลุ่มคณะที่กำลังยื่นตกใจกับเหตุการณ์

          “มันน่าปล่อยให้ตายห่ าไปเลย”

          “จะได้เป็นผีเฝ้าห้วยไปอีกตัว ไอ้นี่บอกไม่รู้กี่ครั้ง ทำเป็นใจเสาะไปได้”พรานชราร้องเอ็ดมาอีกคน พูดจบแกก็สับมะเหงกลงบนกลางกบาลของเจ้าเหน๋อเสียงดัง โป๊ก

          “โถ่...ลุงโส่ยก็”

          “คนมันกลัวผีนี่ จะให้ฉันทำยังไงเล่า แผลเก่ายังไม่ทันหาย แผลใหม่มาอีกแล้ว ยังทำใจไม่ได้เลย ดันมาโดนเข้าอีก ใครมันจะไปทนอยู่ไหว”เหน๋อร้องบอก ทำหน้าทำตา น่าสงสาร พลางใช้มือลูบคลำที่กบาลของตัวเองอยู่ไปมา

            “ข้าล่ะ ละอากับเอ็งจริงๆเลยวะ ไม่รู้จะทำยังไงกับเอ็งดี”

            “เอางี้ เอ็งเอาไอ้นี่ไปคล้องคอไว้ จะได้อุ่นใจ หายกลัวไปได้บ้าง”พรานโส่ยพูดจบ ก็ล้วงมือเข้าไปในย่ามกะเหรี่ยงที่แกสะพายอยู่ตลอดเวลา ไม่ห่างตัว ควานหาอะไรอยู่ครู่ ก็หยิบถุงอะไรบ้างอย่างออกมา ลักษณะเป็นไถ้ทำจากผ้าดิบ ขนาดย่อมไม่เกินฝ่ามือ จากนั้นก็รูดเชือกออกเพื่อขยายส่วนที่เป็นปากถุง ให้เปิดกว้างออกมา แล้วสอดนิ้วเข้าไปคีบ เส้นเชือกสีดำๆ เหมือนเชือกร่ม เส้นเล็กๆ ที่มีลักษณะเป็นสายคล้องคอ

          “หวายผูกลูกนิมิต ของดีเลยนะนี่”

          “กันผีได้ชะงักนัก เอาไปคล้องคอไว้ แล้วทำจิตใจให้เข้มแข็ง ที่จริงข้าทำเผื่อเอาไว้ให้ไอ้สิงห์มันก่อนเข้าป่านานแล้ว แต่ดันลืมเสียนี่ เอ็งเอาไปใช้ก่อนก็แล้วกัน”พรานโส่ยกล่าว พลางยืนสร้อยสายเชือก ซึ่งผูกควั้นอยู่กับแท่งหวาย ที่ใช้ผูกลูกนิมิต ขนาดยาวไม่เกินข้อนิ้ว ส่งไปให้เจ้าเหน๋อ ที่ตอนนี้ได้แต่ยืนดูตาปริบๆ

          “โถ่...มีของดีแบบนี้ก็ไม่บอก น่าจะให้ฉันติดตัวไว้ตั้งนานแล้ว”

          “ขอบใจนะลุง ฉันจะรักษามันไว้ให้ดีที่สุด”เหน๋อร้องบอก พลางรับสายสร้อยของพรานชราด้วยอาการดีใจ แล้วพนมมือท่วมหัวเหมือนจะเป็นการบูชาสักการะ ก่อนที่จะคล้องสร้อยเชือกเส้นนั้นลงคอ ซึ่งในขณะนั้นเอง พรานแปะที่กำลังก้มส่องไฟสำรวจหัวกระโหลกที่ตัวเองทำพลัดตกกลิ้งลงมาจากบ่า ก็ร้องเสียงต่ำๆว่า

        “มาดูอะไรนี่เร็ว!”

        “หมอนี่น่าจะไม่ได้ตาย แบบธรรมดาเสียแล้ว”กล่าวจบ ก็ชี้นิ้วไปที่ตำแหน่งกลางหน้าผาก ของหัวกระโหลก ซึ่งตอนนี้มองเห็นเป็นรูโบ๋ พอที่จะใช้นิ้วชี้แหย่เข้าไปได้  เพราะครั้งแรกมีตะไคร่และมอสเกาะเกรอะ จนไม่ได้ทันสังเกตุให้ถี่ท้วน แต่พอหัวกระโหลกหลุดตกลงมา อาจทำให้ตะไคร่ที่เกาะเกรอะกรัง ถูกแรงกระแทกหลุดเปิดออกมา จึงทำให้มองเห็นสิ่งผิดปกตินั้น

          “ถูกเสือขบกบานเสียแล้วกระมัง รึโดนตัวอะไรกัดตาย”

          “แต่ก็น่าแปลกอยู่หน่า ถ้าโดนสัตว์กัดหรือตัวอะไรทำร้าย ซากศพคงไม่หลงเหลือให้เห็นขนาดนี้”พรานพรว่า พลางฉายไฟกราดไปจับที่รูบริเวณเหนือหัวคิ้วด้านขวา เกือบจะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของหน้าผากพอดี จากนั้นก็ใช้ปลายมีดเขี่ยพลิกหัวกระโหลก ชิ้นนั้นกลับไปกลับมา เหมือนจะตรวจหาอะไรบ้างอย่าง แล้วกล่าวต่อขึ้นมาอีกว่า

          “ไม่มีรอย ทะลุออก”

          “เอ็งคิดเหมือนที่ข้ากำลังคิดอยู่หรือเปล่า ไอ้เบ ไอ้หมอนี่ น่าจะไม่ได้โดนตัวอะไรกัดตาย” พรานเบชำเลืองสายตาสบ กับสายตาพรานพรแวบหนึ่ง ก็ล้วงมือเข้าไป หยิบอะไรชริดหนึ่งในกระเป๋ากางเกง

          “น่าจะโดนยิงตาย”

          “ดูนี่ ขนาดรูพอดีกับลูกตะกั่ว ที่ข้าเก็บได้จากศพทางโน่นเลย”พรานเบกล่าว ขณะเอาลูกตะกั่วที่เก็บติดกระเป๋ามาด้วย วางเทียบกับขนาดรู ที่มีลักษณะกลมบนหัวกระโหลก

          “ข้ากล้าพนัน ในหัวนี่ ต้องมีลูกตะกั่วติดคาอยู่”

          “มันไม่มีรอยทะลุออกไปไหน ระยะยิงหวังผลแบบนี้ ไม่น่าพลาด”พรานพรโพล่งออกมา พลางฉายไฟฉายกราดไปที่ตำแหน่งของฝั่งตรงข้าม ที่พบโครงกระดูกหัวขาด ซึ่งแสงของไฟฉายที่ส่องฝ่าสายหมอกออกไป พอที่จะสังเกตุรอยบากบนต้นไม้ ที่พรานพรทำสัญลักษณ์เอาไว้ เห็นเป็นรอยตำหนิสีขาวเอาไว้

        “เห็นอะไรมั๊ย แนวมันตรงเผงขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าหมอกเยอะ หรือรอดูตอนฟ้าสว่าง เราคงเห็นอะไรกว่านี้”

        “ให้ข้าเดา อาจเป็นไปได้ ที่ทั้งสองคนนี้ อาจจะยิงกัน จะคนละพวก หรือเป็นพวกเดียวกัน อันนี้ข้าก็เดาไม่ถูก แต่เอ็งพอจะเห็นเป็นเลาๆแล้วใช่มั๊ยไอ้เบ มันมีเหตุที่ทำให้ทั้งสองต้องมาฆ่ากัน”พรานพรสรุป ท่ามกลางสมาชิกที่ยืนฟังอยู่ด้วยอาการมึนงง เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรกันมาก่อน

        “มีเหตุอะไรกันรึ มันชักจะยังไงชอบกล”

        “ทำไม ฝั่งกระโน่นที่พวกเอ็งไปเจอมา มันมีอะไรรึ”พรานโส่ยร้องถามด้วยความสงสัย ไม่พูดเปล่า แกยังคว้าหัวกระโหลกที่ตกกลิ้งอยู่กับพื้น ขึ้นมาถืออยู่ในมือ พลางเขย่าไปมา โดยไม่ได้มีความสะทกสะท้าน หรือหวั่นเกรงอะไรเลย แม้แต่น้อย ไม่กี่อึดใจหลังจากเศษดินและเศษขุยอะไรดำๆตกร่วงพรูลงมา ก็ปราฏกว่ามีวัตถุอะไรชนิดหนึ่ง กลิ้งขลุกขลักอยู่ในหัวกระโหลก แล้ววัตถุชิ้นนั้น ก็ค่อยๆกลิ้งตกตามลงมา  ท่ามกลางสายตาของคณะทุกคน

        “นี่ยังไงล่ะ เป็นอย่างที่ข้าสงสัยไม่มีผิด”

      “ลูกตะกั่วจริงๆด้วย”พรานพรโพล่งออกมา ด้วยอาการตื่นเต้น ก่อนที่จะรีบคว้าชิ้นโลหะสีคล้ำ มีขี้ตะกรั่นเกาะเป็นคราบเขียว ลักษณะเกือบจะเป็นทรงกลม มีส่วนของด้านหนึ่งบู้บี้ เมื่อเอามาเทียบกับลูกตะกั่วที่พรานเบเก็บมาด้วย ทั้งขนาดและน้ำหนัก มันก็แทบจะมีขนาดเท่ากัน

      “นี่ถ้าเราเอาเอ็นหรือเชือกขึงเป็นเส้นตรง ระหว่างจุดนี้ กับฝั่งโน่น มันก็แทบจะเป็นแนวเดียวกันเลย”

      “แต่จะโดนยิงมาจาก คนที่นอนตายจากฝั่งกระโน่น หรือเปล่าข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ แนวกระสุนมันมาจากฝากโน่น”พรานพรกล่าว

      “ที่เอ็งว่า มันก็น่าคิดอยู่หร๊อก”

      “แต่ที่ข้าสงสัย มันมาถูกฆ่าตายด้วยสาเหตุอะไร”พรานโส่ยกล่าวออกมาด้วยอาการครุ่นคิด

      “ข้าพอจะเดาเหตุการณ์ออก”

        “มันน่าจะฆ่ากันเพราะแย่งสมบัติกัน พวกเอ็งตั้งใจฟังข้าดีๆก็แล้วกัน เพราะอะไรที่พวกข้าสองคนถึงข้ามมาช้า เพราะพวกข้าเจอสมบัติที่ว่า เพราะไอ้สมบัติพวกนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ไอ้สองคนนี้ถึงกับฆ่ากัน”พรานเบกล่าวออกมาเสียงเข้มขึง พลางม้วนบุหรี่ยาเส้นขึ้นจุดสูบ ก่อนที่จะพ่นควันลงพื้นเป็นทางยาว แล้วกล่าวต่อมาอีกว่า

        “พวกเอ็งอยากรู้มั๊ยล่ะ ว่าข้าสองคนไปเจออะไรมา รับรอง ว่าถ้าเราเอาออกไปขายได้ พวกเราทุกคนจะสบายกันไปทั้งชาติ ไม่ต้องทนอดๆอยากๆแบบทุกวันนี้”

        “สมบัติ”

      “สมบัติ อะไรกัน”ทุกคนเกือบจะร้องออกมาพร้อมๆกัน ยกเว้นพรานพร ที่ยืนสูบบุหรี่ยาเส้นอยู่เงียบๆ

      “ทอง”

      “ทองแท้เป็นก้อนๆเลย ไม่ใช่ก้อนเล็กๆนะ ที่ข้าสองคนเห็นกันมา รวมๆแล้วหลายสิบกิโล”ประโยคของพรานพร ทำให้คณะที่เพิ่งจะทราบเรื่องราว ถึงกับยืนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ทั้งสองคนเล่ามา

      “พูดเป็นเล่นไปน้าเบ น้าพร ทองเทิงอะไรกัน พวกน้าสองคนตาฝาดกันหรือเปล่า”

      “ก้อนหินก้อนแร่กระมัง”พรานแปะว่า

      “ทองจริงๆ ข้ากับไอ้เบ เห็นกับตา คลำกับมือ”

      “นี่ข้าก็ยังเชื่ออยู่ว่า ถ้าเราช่วยกันขุดคุ้ยแถวๆซากนี่ ก็อาจจะเจอเหมือนกัน แต่จะมากจะน้อยข้าก็ตอบพวกเอ็งไม่ได้”พรานพรตอบ ก่อนที่จะดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ในจังหวะนี่เอง เจ้าพุ่มที่กำลังใช้ปลายมีดแซะไปตามผิวดิน บริเวณเอวด้านขวาของโครงกระดูก ก็ร้องเอะอะออกมาแทบไม่เป็นภาษาละล่ำละลัก

          “ถุงหนังอะไรนี่”

          “มีเขาอะไรไม่รู้อยู่ด้วย”เจ้าพุ่มร้องบอก ปากก็ว่า มือก็รีบขุดคุ้ยไปที่ตำแหน่งที่ตัวเองขุดค้นพบ ซึ่งตอนนี้มองเห็นส่วนปลายของเขาสัตว์ชนิดหนึ่ง สีดำเป็นเลื่อม มีหนังหรือก็อะไรบางชนิดห่อหุ่มเขานั้นอีกชั้น แต่ด้วยสภาพที่เก่าและฝังอยู่ในพื้นดินเป็นเวลานาน ทำให้หนังบางส่วนเปื่อยแหว่งหายไป

          “จะอะไรอีกล่ะ ก็เขนงดินปืนนั่นแหละ”

          “ทางฝั่งโน้นข้าก็เจอ อย่างที่ข้าเคยบอกไปแล้ว แต่มันไม่มีหนังหุ้มกับเขาสัตว์แบบทางฝั่งนี้”พรานพรกล่าว พลางใช้ปลายนิ้วแหวกแซะ แล้วงัดเขาชนิดนั้นออกมา ท่ามกลางความประหลาดใจของบุคคลที่พากันรายล้อมมุงดู เขาสัตว์ชนิดหนึ่งที่พรานพรงัดขึ้นมาจากดิน ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเกือบจะสมบูรณ์ และดูเป็นรูปร่างมากกว่า เขาสัตว์ที่ใช้สำหรับทำเป็นเขนงใส่ดินปืน ที่พบจากฝั่งตรงข้าม จากการสันนิษฐานของพรานโส่ยคาดว่า มันน่าจะเป็นเขาของวัวแดง มีหนังสีคล้ำๆสภาพเปื่อยๆห่อหุ้ม ทำไว้เหมือนเป็นปลอกสำหรับใช้สะพายหรือไม่ก็เพื่อความสวยงาม ส่วนปลายของเขา มีจุกหรือไม่ก็ปลอก ที่ทำจากทองเหลือง เสียบติดอยู่แน่น มีคราบตะกรัน และสนิมเขียวเกาะเกรอะ จนเกือบจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ตรงส่วนที่เป็นโคนของเขาหรือขะเน็ง มีร่องรอยของการแกะสลักเป็นลวดลายแต่ก็ดูเลือนลาง ภายในขะเน็งมีดินเข้าไปอัดอยู่แน่น ซึ่งบริเวณนี้ พรานเบให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นจุกที่ทำจากไม้ และคงจะผุพังไปหมดแล้ว และหลังจากพิจารณาขะเน็งเขาสัตว์นั้นได้ไม่นาน เจ้าพุ่มที่กำลังใช้มือโกยเศษดินขึ้นมาก็พบเข้ากับลูกตะกั่วเม็ดกลมๆอีกหลายสิบลูก ซึ่งขนาดใหญ่กว่าลูกตะกั่วที่พบมาแล้วเล็กน้อย เมื่อเอามาเปรียบเทียบขนาดกัน

          “ไม่ใช่ว่าจ่อขมองตัวเองหนา”

          “อาจจะไม่ได้โดนใครยิงก็ได้มั๊ง”พรานแปะว่า พลางหยิบลูกตะกั่วเม็ดกลมๆกระดำกระด่าง กลิ้งเดาะไปมาบนฝ่ามือ

          “ไม่น่าใช่ ไม่เชื่อเอ็งก็ลองเอาไปเทียบกับรูบนกระโหลกดูก็ได้”

          “เม็ดนี่มันใหญ่กว่ากัน”พรานพรตอบ พลางหยิบลูกตะกั่วที่ค้นพบใหม่ ขึ้นไปวางทาบกับรูบนหัวกระโหลก ซึ่งไม่สามารถผ่านรูที่ว่าไปได้ มีเพียงแค่ส่วนผิวด้านหนึ่งของลูกตะกั่ว จมหายเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

          “คนสมัยก่อนนี้เล่นแต่ปืนโตๆ ผิดกับของเรา”

          “นี่มันลูกโดดล้มช้างชัดๆ ลูกตะกั่วแต่ละลูกใหญ่เอาการ”เจ้าเคิ้งว่า

          “ไอ้พุ่ม เอ็งขุดต่อลงไปอีกหน่อยสิ ข้าว่าเดี๋ยวพวกเอ็งก็จะเจอของดีอย่างที่ข้าบอก”

            “ไอ้เหน๋อ กับ ไอ้เคิ้ง ลองดูทางนี้ด้วยอีกฝั่ง เดี๋ยวข้าจะดูทางปลายตีนนี่อีกที”พรานพรว่า กล่าวจบก็ใช้ปลายมีดเสียบ ไล่ไปตามพื้นดินบริเวณรอบๆปลายเท้าของซากศพที่นับอายุไม่ได้ สิ้นเสียงสั่งงานของพรานพร ทุกคนก็ต่างกระจายกันค้นหา สิ่งต้องสงสัยกันอีกครั้ง ต่างคนต่างใช้ปลายมีดเสียบแซะ ขุดคุ้ยเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพียงไม่นาน พรานแปะที่เสียบปลายมีดอยู่บริเวณผิวดินด้านฝั่งตรงข้ามกับพรานพร ซึ่งปลายมีดที่เสียบลึกเข้าไปเกือบคืบ  ก็สะดุดเข้ากับอะไรชนิดหนึ่ง เสียงดัง กึก แต่พอขุดคุ้ยสิ่งนั้นขึ้นมา ก็ปรากฏว่าเป็นก้อนหินธรรมดา พรานพรรีบคว้าเอาไปจากมือพรานแปะ แล้วใช้สันมีดเห็นเคาะไปโดยรอบ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะมันเป็นเพียงก้อนหินธรรมดา ไม่ใช่ก้อนทองอย่างที่คิด อีกชั่วอึดใจ พรานโส่ยที่นั่งแซะดินอยู่ข้างๆ ก็คุ้ยได้ก้อนหินลักษณะมีดินเกาะเกรอะอยู่หนาๆ ครั้งนี้เอง ที่พรานพรถึงกับอุทานขึ้นมาว่า



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Online Online

Posts: 9,452


View Profile
« Reply #5 on: 20 November 2021, 10:38:58 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 6



บทที่ 17

ตอนที่ 6

          “ไอ้นี่ไม่ผิดแน่ แบบเดียวกันเป๊ะเลย”

          “เอามานี่ เดี๋ยวข้าจะพิสูจน์เอง ทีนี้ ถ้าไม่ใช่ ข้ายอมให้เหยียบเรียงตัว”กล่าวจบ พรานพรก็ใช่สันมีดเหน็บเคาะลงไปบนก้อนกระดำกระด่างนั้น ปราฏเสียงดัง กรี๊ก เศษดินที่มีลักษณะเคลือบแข็ง เหมือนใครเอาโคลนเหลวๆมาทาพอกไว้แล้วเอาไปตากแดด ก็หลุดกระเด็นออกมาเป็นกระบิ เผยให้เห็นวัตถุอันแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความกระดำกระด่างนั้น มันเป็นสีเหลืองทองอร่าม สะท้อนกับแสงไฟฉายสุกปลั่ง เรียกเสียง ฮือฮา ของบรรดาเหลากะเหรี่ยงดงทั้งหลาย

          “เฮ้ย!”

          “ทะ..ทะ...ทอง  ทองจริงๆรึนี่ อะไรกันโว้ย”พรานโส่ย ละล่ำละลักออกมาไม่เป็นภาษา ระคนกับเสียงเอะอะโวยวาย ของบุคคลที่รายล้อม

          “ตาข้าไม่ได้ฝาดไปใช่มั๊ยนี่ ไอ้เหน๋อ”

          “ทอง  ทองจริงๆหรือเปล่า”พรานแปะร้องเอะอะ พลางเขย่าแขนเหน๋อ ซึ่งตอนนี้นั่งตัวแข็งเป็นไม้ตีพริก พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะหายตกใจ พรานโส่ยก็ร้องโวยวายขึ้นมาอีก

          “เฮ้ย ยังมีอีกหลายก้อนเลย ทองทั้งนั่น อะไรมันจะมากมายขนาดนี้”

          “พวกเรารวยกันแล้วโว้ย”พรานโส่ยร้องบอกคณะ พลางโกยก้อนหินที่มีลักษณะไม่ต่างจากก้อนแรกที่พบขึ้นมา อีกห้าก้อน แต่ละก้อนมีขนาดและรูปทรง กลมบ้าง แบนบ้าน แตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกก้อนถูกเคลือบไว้ด้วยดินแลดูแล้วไม่ต่างจากก้อนหินหรือก้อนดินธรรมดา แต่เมื่อใช้สันมีด หรือ เอาอะไรมาเคาะลงไปแรงๆ ผิวดินที่ถูกฉาบเคลือบไว้ก็แตกหลุดออกมา และแน่นอน ภายในนั้นมันซุกซ่อนทองเอาไว้อย่างแนบเนียน ก้อนทองคำแท้ๆ สินแร่ที่ทุกคนไม่คิดที่จะปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ในยุคใดก็ตาม

          ท่ามกลางความตื่นเต้น ระคนดีใจของเหล่าบรรดาพรานกะเหรี่ยง ที่ต่างคน ต่างวาดภาพฝันอันสวยหรู เกี่ยวกับการค้นพบสมบัติอันมีค่า ซึ่งจะนำไปสู่ความร่ำรวยกับทรัพย์สินเงินทองที่จะตามมา หลังจากนำก้อนทองคำเหล่านี้ออกไปสู่ภายนอกและนำไปขาย แน่หล่ะ ใครๆก็อยากสุขสบายเป็นเศรษฐี โดยเฉพาะเหล่าพรานกะเหรี่ยงทั้งหลาย ที่ล้วนแล้วแต่ตกระกำลำบาก มีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นเป็นทุนเดิมมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ไม่เคยลิ้มรสความสบายแบบคนเมือง แม้แต่เรื่องกินเรื่องอยู่ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่เมื่อโอกาสมากองอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้นดีใจ แต่มีเพียงสองคนเท่านั้น ที่ยืนดูอยู่เงียบๆ ไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนหรือดีอกดีใจอะไรออกมา นั้นก็คือพรานพร และ พรานเบ

          “ทีนี้แหละ พวกเราจะรวยกันทุกคน ข้าจะสร้างบ้านหลังโตๆ สักหลัง เอาให้ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน”

          “จะซื้อรถไถ ไม่เลี้ยงแล้ว วัว ควาย ให้ลำบากลำบน”พรานแปะร้อบบอกคณะ พลางหัวเราะร่า แล้วก็คว้าก้อนทองขนาดเท่ากำปั้นสองก้อน ทำท่าว่ากำลังจะยัดใส่กระเป๋ากางเกง แต่แล้วพรานโส่ยก็ตะปบมือ รีบแย่งก้อนทองก้อนหนึ่งออกมาจากพรานแปะ

          “แบ่งๆกันสิโว้ย”

          “อย่าเอาไปคนเดียวหมด”พรานโส่ยร้องเสียงเอ็ด หลังจากกระชากก้อนทองออกมาจากมือพรานแปะ คนที่ถูกแย่งสมบัติ รีบคว้ากลับคืนมา แล้วร้องว่า

          “เอ๊ะ! มันเรื่องอะไรกัน ถึงมาแย่งฉัน ฮะ”

          “แกก็หาเก็บเอาเองสิ อันนี้ฉันหยิบมาก่อน ตรงหน้าแกก็มี ทำไมไม่หาเก็บเอา”พรานแปะตวาดสวน แล้วทำตาเขียวใส่ พลางใช้มือดันอกพรานโส่ยให้ถอยห่าง พรานโส่ยชักยั่วที่ถูกพรานรุ่นลูกด่าและแสดงกิริยาไม่สุภาพใส่ โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยตบฉาดไปที่ก้านคอของพรานแปะ คนโดนตบเกือบจะหัวทิ่ม และครั้งนี้เองเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพรานแปะใช้มือผลักหน้าอกของพรานชรา เพราะเลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโห พรานโส่ยล้มกลิ้งลงไปนอนตะแคงอยู่กับพื้น เจ้าเคิ้งที่เป็นลูกชาย กระโดดเข้าล็อกคอพรานแปะไว้ทำท่าว่าจะเกิดมวย เพราะทั้งคู่กอดฟัดกันนัว จังหวะที่กำลังชุลมุนอยู่นี้เอง เจ้าเหน๋อก็ฉวยโอกาศที่ทุกคนกำลังเผลอ เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ ก็คว้าก้อนทองที่ตกกลิ้งกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ทำท่าจะซุกเข้าไปในกระเป๋า เจ้าพุ่มเหลือบเห็นเข้าพอดี กระโจนเข้ามาร่วมวงอีกคน เกิดอาการการยื้อแย่งฉุดกระชาก ด่าท่อกันไปมาอุตลุด เกือบจะวางมวยกันเข้าอีกคู่ ทันใดนั้นเอง ทั้งหมดก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียง กัมปนาทดังกึกก้องขึ้น ตูมสนั่น มันเป็นเสียงปืนลูกซองยาว ที่พรานเบยิงขึ้นฟ้า พร้อมๆกับเสียงตะโกนออกมาว่า

          “เฮ้ย หยุดกันเดี๋ยวนี้”

          “เป็นบ้าอะไรกันไปหมด พวกเอ็ง”พรานเบตวาดลั่น หลังจากเหนี่ยวไกระเบิดกระสุนออกไป เพื่อปลุกสติ

          “บ้ากันไปหมดแล้ว ไอ้แปะเอ็งมันบ้าไปทำคนแก่”

          “ตาโส่ย แกก็แก่แต่ตัว แทนที่จะมีสติสตางค์กว่าคนอื่น”พรานพรร้องเสริม พลางขว้างบุหรี่ยาเส้นที่คาบอยู่ที่ริมฝีปากลงพื้น ด้วยอาการขุ่นเคือง

          “พวกเอ็งทั้งสองตัวด้วย”

          “แทนที่จะเข้าไปช่วยกันห้าม ดันโลภไม่รู้เวลา ทีนี้พวกเอ็งทั้งหมดคงรู้แล้วใช่มั๊ย ว่าไอ้สองคนที่ มันมานอนเป็นผีเฝ้าห้วยอยู่นี่ มันตายกันแบบไหน ไม่ใช่ไอ้ทองพวกนี้ไม่ใช่รึไง มันถึงเป็นต้นเหตุให้พวกมันฆ่ากันเอง เพราะความโลภ ความไม่รู้จักพอ สุดท้ายก็ไม่มีใครกลับออกไปสักคน วิญญาณมันคงห่วงสมบัติของมัน มันถึงจะทำให้พวกเราเกือบจะฆ่ากันเองอยู่แล้ว”สิ้นเสียงของพรานนำทาง ทุกคนก็พากันหน้าจ๋อย เจ้าเคิ้งค่อยๆคลายวงแขนที่กอดรัดอยู่บริเวณลำคอของพรานแปะออก เหน๋อและเจ้าพุ่ม หันมามองหน้ากันทำตาปริบๆ ก้อนที่จะโยนก้อนทองลงพื้นตามเดิม พรานแปะหลังจากตั้งสติได้ ก็หันหน้าไปยิ้มเจื่อนๆพร้อมกล่าวคำขอโทษ ที่ตัวเองได้ล่วงเกินพรานชราผู้เป็นพ่อ เจ้าเคิ้งยิ้มตอบพลางพยักหน้า หงึกๆ เป็นการแสดงว่ารับคำขอโทษ ซึ่งเจ้าตัวก็กล่าวคำขอโทษต่อพรานผู้พี่ด้วยเช่นกัน เมื่อทั้งสองตกลงและปรับความเข้าใจกันได้ พรานแปะก็รีบเดินปรี่ไปที่พรานเฒ่า ซึ่งตอนนี้นั่งพับเอาแขนยันอยู่กับพื้น จากนั้นก็รีบยกมือไหว้แล้วกล่าวคำขอโทษ พรานชราก็เหมือนจะรู้ตัวดี ว่าตัวแกเองก็มีส่วนทำให้เรื่องบานปลาย รีบโบกมือไปมา แล้วพูดขึ้นมาว่า

          “เอาๆ ข้าไม่โกรธอะไรเอ็งแล้วไอ้แปะ”

          “ข้าเองก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน ข้าว่า พวกเราอย่าไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับไอ้ทองผีสิงพวกนี้เลย ดูสิ ขนาดไม่ทันไร พวกเราก็เกือบที่จะฆ่ากันตายอยู่แล้ว”พรานโส่ยกล่าวออกมาเสียงเครือ ก่อนที่จะถูกพรานแปะช่วยฉุดมือแกขึ้นมาให้ลุกขึ้นยืน

          “สิ่งที่มีค่ามากกว่าทองในตอนนี้ก็คือ ไอ้สิงห์”

          “พวกเราลืมกันไปหมดแล้วหรือไง เรามาตามหาคนหาย ไม่ได้มาตามหาทองหรือมาล่าสมบัติอะไรทั้งนั้น”พรานเบกล่าวออกมาเสียงเข้ม

          “ชีวิตของเรา และไอ้สิงห์มันน่ารักษามากกว่าทองผีพวกนี้ ข้าก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน ดีที่ไอ้เบมันเตือนสติไว้ กะอีแค่ทองหกก้อน พวกเอ็งยังเกือบจะฆ่ากันตาย ถ้าไปเจอทองฝั่งโน้น พวกเอ็งคงบ้าไปกว่านี้แน่ๆ เพราะมันมีเยอะกว่านี้หลายเท่า”

          “เฮี้ยนนักนะมึ ง”พรานพรคำรามออกมาเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่จะใช้เท้าถีบโครม ไปที่โครงกระดูกจนกระจายเกลื่อนพื้น อย่างไม่แยแส หรือเกรงกลัวต่อสิ่งใด ส่วนพรานโส่ยและพรานแปะ ก้มลงหยิบก้อนทอง อันเป็นฉนวนที่เกือบจะทำให้คนทั้งคู่ผิดใจกัน และเกือบจะทำให้คณะทั้งหมดมีอันเป็นไป ขึ้นมาถืออยู่ในมือคนละก้อน พรานโส่ยพลิกดูไปมาอยู่ในมือชั่วครู่ แล้วถอนใจฮือ ก่อนที่จะโยนวัตถุชิ้นนั้นลงไปกองอยู่ก้นหลุมเช่นเดิม พรานแปะเห็นเข้าก็ปฏิบัติตามพรานชรา ก่อนที่จะใช้ปลายเท้าเตะสะกิดหัวกระโหลก ที่ตกอยู่บนพื้น กลิ้งหลุนๆไปรวมอยู่ที่โครงกระดูกที่กระจัดกระจายก่ายกองกัน

          “มันคงไม่ได้เฮี๊ยนอะไรหรอกน้าพร เป็นเพราะความโลภ และความอยากได้อยากมีของพวกเรากันเอง”

          “ความโลภมันบังตาพวกเราแท้ๆ เกือบจะทำให้เราทั้งหมดเสียผู้เสียคน จนลืมไปว่า สิ่งที่เราควรทำที่สุดคืออะไร เจ้าป่าเจ้าเขา อาจจะกำลังลองใจพวกเราอยู่ก็ได้ ฉันปลงแล้วแหละ ทองเทิงอะไรพวกนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรหากเราเอาชีวิตรอดกลับไปไม่ได้ อยู่ในดงอาถรรพ์แบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากก้อนดินก้อนหิน กินก็กินไม่ได้ เฮ้อ...ฉันขอโทษพวกน้าๆทั้งสองคนด้วยก็แล้วกัน และฉันต้องขอบใจน้าๆด้วย ที่ช่วยเตือนสติฉันและพวกเราทุกๆคน”เหน๋อกล่าว หลังจากยืนพิจารณาสิ่งต่างๆที่ตนเองได้กระทำออกไป พลางยกมือไหว้ พรานเบ และพรานพร

          “ช่างมันเถอะ พวกเราคิดกันได้ก็ดีแล้ว ข้าจะได้สบายใจ ที่ผ่านมาแล้ว ก็ให้มันแล้วไป เพื่อนกันทั้งนั้น พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน ทุกข์ยากแสนเข็น ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันหมดนี่แหละ สิ่งที่ต้องคิดมากกว่าเรื่องนี้ก็คือ ทำยังไง ที่จะได้ตัวไอ้สิงห์กลับมา สิ่งนี่แหละ ที่เราต้องร่วมมือกัน

          “ถ้าเราตามไอ้สิงห์มันกลับคืนมาได้ สมบัติพวกนี้ มีโอกาส หรือผ่านมาอีก พวกเราก็ค่อยมาว่ากันอีกที จะขนจะแบกไปตอนนี้ก็เป็นภาระพวกเราเสียเปล่า เอาแรงที่จะไปแบกทอง เก็บไว้แบกเสบียงยังจะเข้าท่ากว่าเยอะ ป่ะ ไปกันเถอะพวกเรา อย่าไปสนใจอะไรกับของพวกนี้อีกเลย”พรานเบกล่าวสรุป ก่อนที่จะพยักหน้าไปทางคณะที่ยืนฟังกันอยู่เงียบๆ

          ทั้งหมดเคลื่อนขบวนผละจากบริเวณนั้น โดยไม่มีใครคิดสนใจกับสมบัติที่อาจจะทำให้พวกเขาสบายไปทั้งชีวิต พรานพรพาทั้งหมดเดินกลับไปที่กองสัมภาระ ที่กองรวมกันไว้ที่ร่องห้วย ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีอะไรสูญหาย เจ้าพะเปรียวพอเห็นคณะโผล่ออกมา ก็ร้องหงิ๋งๆกระโจนเลียแข้งเลียขา คนโน่นทคนนี้ที ด้วยความดีใจ พรานแปะเดินไปเก็บห่อเห็ดที่ตัวเองวางลืมไว้ตรงพื้นห้วยใกล้โขดหินที่เคยนั่งพัก ก่อนที่หัวกระโหลกปริศนา จะตกกลิ้งลงมา ยัดลงย่ามหลังของตัวเอง เหน๋อเดินไปคว้าม้วนเถาวัลย์ที่วางพิงไว้กับผนังห้วย ส่งไปให้พรานเบพิจารณา พรานนำทางรับมาถือ พลางสั่นหัว เพราะปริมาณที่ได้มามันน้อยนิด พรานแปะจึงเสนอไปว่า ให้ลองตัดเส้นเถาวัลย์เส้นที่ไม่โตเกินไปนัก แล้วเอามาทุบ ทำให้แตกเป็นเส้นๆ จากนั้นให้เอามาควั้นทำเป็นเชือก พรานพรที่ยืนฟังคำอธิบายของพรานแปะอยู่ใกล้ๆ ก็แสดงท่าทีเห็นด้วยในความคิดของพรานหนุ่ม พรานเบจึงให้ เจ้าเคิ้ง และ เจ้าพุ่ม ลองตัดเส้นเถาวัลย์ที่ห้อยอยู่ใกล้ๆ ขนาดใหญ่ไม่เกินข้อมือ กะความยาวพอประมาณไม่เกินห้าหกวา พรานแปะเดินไปใช้มีดฟันท่อนไม้ขนาดท่อนเท่าแขนมาสี่ท่อน เอาไว้สำหรับใช้ทุบเส้นเถาวัลย์ พรานแปะเดินส่งไม้ท่อนที่ตัดได้ให้ พรานโส่ย เหน๋อ และเจ้าพุ่ม และที่เหลืออีกท่อนตัวเองถือไว้ ทั้งสี่ต่างช่วยกันใช้ไม้ทุบลงไปบนเส้นเถาวัลย์ที่ถูกขึงเป็นเส้นตรงอยู่กับพื้น ไม่กี่นาที เส้นเถาวัลย์ขนาดเกือบเท่าข้อมือทั้งเส้น ก็แตกเป็นเส้นฝอยหยาบๆ พรานพร และ พรานเบ รวมทั้งคนอื่นๆช่วยกันฉีกเส้นเถาวัลย์ที่ทุบไว้ ออกเป็นเส้นๆ กะแบ่งให้เท่ากัน คนละสามเส้น เส้นละเท่าๆกัน ขนาดหนึ่งในสามของนิ้วก้อย จากนั้นก็ทำการควั้นเส้นฝอยของเถาวัลย์นั้น

          พรานโส่ยนั่งลงกับพื้นห้วย ชันขาขวาขึ้น แล้วถกขากางเกงมาพับไว้เหนือหัวเข่า จนเห็นหน้าแข้ง มือข้างซ้ายประคองเส้นฝอยของเถาวัลย์มาพาดไว้บริเวณหน้าแข้งของแก จากนั้นก็ใช้ฝามือข้างขวา กดลงไปที่เส้นเถาวัลย์ แล้วรูดไล่ลงไป ทำให้เส้นเถาวัลย์นั้นหมุนควงเป็นเกลียวในทิศทางตามเข็มนาฬิกา คนอื่นๆก็ทำในลักษณะเดียวกับพรานชรา อาจมีแตกต่างกันบ้าง บางคนก็เหยียดหน้าแข้งตรงบ้าง บางคนก็รูดกับขาอ่อน แต่ละคนทำด้วยความชำนาณ มีเพียงเหน๋อคนเดียวเท่านั้น ที่ดูงุ่มง่ามกว่าเพื่อน เพราะไม่ถนัด ทำไปพลาง ก็ร้อง ซี๊ด ไปพลาง เพราะเส้นเถาวัลย์ที่ตัวเองปั่นควั้น ถอนขนหน้าแข้งของตัวเองติดไปได้ อาการที่เกิดขึ้นกับเหน๋อ จึงกลายเป็นว่า สร้างเสียงหัวเราะครื้นเครง ทำให้บรรยากาศที่ดูตึงเครียดกลับมาดีขึ้นกว่าเก่า

        เมื่อได้เส้นเถาวัลย์ที่ปั่นควั้นเป็นเกลียวแบบหยาบๆ เส้นเล็กๆ พรานโส่ยก็เลือกหยิบขึ้นมาสามเส้นขนาดไล่เลี่ยกัน แล้วทำการควั้นรวมกันอีกครั้ง จากเส้นเล็กๆสามเส้น ก็กลายเป็นเชือกควั้นเส้นใหญ่ ขนาดเกือบจะเท่านิ้วก้อย ซึ่งขนาดกำลังน่าใช้งานพอดี เมื่อเห็นว่าได้ผล พรานเบจึงให้ตัดเส้นเถาวัลย์ไปเพิ่มอีก สี่ห้าเส้น แต่ละเส้นสั้นยาวแตกต่างกันออกไป ตามขนาดของเส้นเถาวัลย์ที่พอจะหาและใช้งานได้ เพราะถ้าใหญ่เกิน ก็ทุบไม่ไหวเพราะแข็งเกินไป

          “ดูเชือกควั้นนี้เป็นตัวอย่าง”

          “ถ้ามันโดดเดี่ยว แค่เส้นเดียวโดดๆ ดึงแรงๆไม่กี่ที มันก็คงจะขาด แต่ถ้าเมื่อไหร่มันมารวมกันหลายๆเส้นเข้า ต่อให้ช้างก็เอาอยู่ ก็เหมือนกับพวกเราในตอนนี้ ถ้าต่างคนต่างเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เห็นแก่ตัว ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่รักและไม่สามัคคีกัน ไม่นานก็คงไม่มีใครรอด ตัวอย่างก็มีให้เราเห็นแล้ว นอนเป็นผีเฝ้าป่าอยู่นั่น แต่ถ้าพวกเราร่วมมือกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แตกแยก จุดหมายปลายทางของพวกเราก็คงจะสำเร็จไปด้วยดี”พรานเบหันมากล่าวเสียงต่ำๆ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปากกับคณะทุกคน จากนั้นก็โบกมือ เป็นสัญญาณให้คณะออกเดินทาง ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยว และบรรยากาศที่มืดมิดสลัวลาง ทิ้งให้กองไฟที่เคยก่อไว้ที่ก้นห้วย ไหม้ลามเลียท่อนฟืนอยู่วอมแวม และอีกไม่นาน ก็คงมอดดับลง เพราะหมดเชื้อ


          เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะติดตามคนหาย จะสามารถรับมือกับสิ่งลี้ลับต่างๆที่จะเกิดขึ้นอีกได้หรือไม่ โปรดติดตามในบทต่อไป



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.128 seconds with 20 queries.