นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 16 ตอนที่ 1
บทที่ 16
ตอนที่ 1
อรุณรุ่งของเช้าวันใหม่ หมอกยังลงหนาทึบ เพราะยังไร้แสงของดวงอาทิตย์ มันเป็นเพียงแสงเรืองๆที่พอจะจับสังเกตุเห็น บริเวณและบรรยากาศโดยรอบ ในรัศมีระยะใกล้ๆเท่านั้น เพราะว่าป่าที่ทึบทะมึนมีความสูงใหญ่ผิดปกติไป จนทำให้เรือนยอดที่แผ่ปกคลุม ประดุจหลังคาธรรมชาติ ปิดทึบเสียจนแทบไม่มีช่อง ที่จะสามารถให้แสง ส่องผ่านพ้นรอดมาได้ เสียงสรรพสัตว์นานาชนิด เริ่มส่งเสียงร้องระงมไพร นกกา นานาพันธุ์ ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว อยู่ตามพงไพรและยอดไม้ใหญ่สูงริบ แต่ก็ยังจับสังเกตุ หรือจะสำรวจอะไรไปได้ไม่ถนัดนัก เพราะหมอกที่ลงหนาทึบไปหมด ตามพื้นดินและลำต้นของพืชพรรณ ต่างชุ่มชื่นไปด้วยหยาดน้ำค้าง บางส่วนก็ไหลรินราวกับน้ำตกขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริเวณของลำต้น ของต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่มีเรือนยอดใบสูงขึ้นไป เปรียบเสมือนตาข่ายหรือมิฉะนั้น ก็ร่างแหหรืออวนขนาดใหญ่ ที่คอยตักตวงหรือกักเก็บ ละอองหมอกเหล่านั้นไว้ เมื่อมากเกินปริมาณก็พากันกลั่นตัวกันเป็นหยาดน้ำค้างไหลรินลงสู่ที่ต่ำ
เสียงเก้ง หรือไม่ก็ กวาง ร้องเป๊บ ออกมาด้วยอาการตกใจอะไรบางอย่าง อยู่ที่ริมสายน้ำแห่งนั้น ก่อนที่มันจะกระโจนแผ่ว หลบหายเข้าไปในป่าหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอก คงได้ยินแต่เพียง เสียงของมันควบกระโจนไปตามหมู่หินดัง กรุบกรับ เพียงไม่นานเสียงของมันก็เงียบหายไปในดงทึบ สายน้ำที่ทอดยาวสายนั้น ยังคงไหลเอื่อยต่อไป และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด บนผิวน้ำก็ถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอกไม่แตกต่างกัน มองไปทางไหน ก็ดูขาวโพลนขมุกขมัว นานๆครั้งถึงจะมีเสียงปลา หรือสัตว์น้ำบางชนิด ฮุบน้ำเสียงดังตูม แว่วเข้ามาให้ได้ยิน สักครั้งหนึ่ง
“พว กมันคงไม่ออกมาแล้วมั๊งไอ้เบ นี่ฟ้าก็จะสางแล้ว”พรานโส่ยร้องถามพรานนำทาง ซึ่งขณะนี้ยังคงสอดส่องสายตาไปรอบๆบริเวณอย่างไม่ละสายตา มือทั้งสองข้างของเขา ยังกุมกระชับปืนลูกซองคู่กายไว้แน่น
“ข้าว่า พว กมันคงไปกันหมดแล้ว ไอ้บ่างผีลงพวกนี้ มันคงไม่ถูกกับแสงทุกชนิด แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ อดใจรอไปอีกหน่อย รอให้หมอกจางลงอีกนิด เราค่อย ขยับขยายกันอีกที อยู่ในแค้มป์เราแบบนี้แหละดีแล้ว”พรานเบกล่าวออกมา
“มีใครเป็นอะไรบ้างกันหรือเปล่า ถูกพวกมันกัดเอาบ้างมั๊ย”
“ไอ้บ่างผีลงพวกนี้ น่ากลัวจริงๆ ดูเขี้ยวของมันแต่ละตัวสิ แหลมอย่างกับหอก ถ้าโดนมันกัดคอ มีหวังหลอดลมทะลุ”พรานแปะร้องบอกคณะ พูดจบก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบจนแก้มตอบ และนี่ ก็เป็นบุหรี่ยาเส้นตัวแรก นับตั้งแต่ถูกฝูงบ่างนรกเข้ารุมเล่นงาน สายตาก็กวาดมองไปยังร่างของบ่างนรก ที่นอนตายแยกเขี้ยวขาวแหงให้เห็นอยู่เป็นกอง
“น่าจะไม่มีนะ น้าแปะ นอกจากไอ้พะเปรียว ที่โดนกัดหลังจนเลือดสาด แต่ฉันดูแผลมันแล้ว ไม่น่าเป็นห่วงอะไรมาก ถ้ามันเลียแผลของมันถึง ไม่กี่วันก็หาย นอกนั้นพวกเราก็แค่ถลอกปอกเปิก”เจ้าเคิ้งร้องตอบ พลางใช้มือลูบหัวเจ้าพะเปรียว ที่ตอนนี้นอนหมอบกระดิกหางอยู่ข้างๆ บาดแผลบนหลังของมัน ที่ถูกคมเขี้ยวของค้างคาวนรกตัวนั้น ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ ซึ่งมองไปแล้วก็ไม่ได้ฉกรรจ์อะไรมากนัก เลือดบริเวณบาดแผลที่เห็น ในตอนนี้ก็แห้งเกรอะกรัง ส่วนคนอื่นๆก็นั่งสำรวจเนื้อตัวกันไปพลางๆ เจ้าเคิ้งมีแผลถลอกตามตัวเล็กน้อย เจ้าพุ่มหัวโน ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งมารู้สึกตัว แต่ก็จำไม่ได้ว่าไปพลาดเอาตอนไหน เหน๋อผู้ซึ่งตาขาวที่สุดในคณะ ซวยกว่าเพื่อน เพราะหน้าแข้งแตกทั้งสองข้าง แต่บาดแผลก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็ทำให้เดินเขยกไปอีกสองสามวัน พรานแปะก็ได้เลือดเล็กน้อยบริเวณข้อศอกทั้งสองข้าง พรานโส่ยหัวแม่โป้งเท้าข้างขวาห้อเลือด แกคงวิ่งเตะก้อนหินหรืออะไรต่ออะไรในช่วงที่ชุลมุนกัน มีเพียงสองพรานเท่านั้น ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย นั้นก็คือ พรานเบ และ พรานพร
“เป็นอันว่า นอกจากเราจะต้องระวังสัตว์ป่าแล้ว พวกเรายังต้องระวังไอ้บ่างผีพวกนี้อีกหรือนี่ ซวยพับผ่า เจอทั้งเสือ เจอทั้งช้าง แถมไอ้เข้ในน้ำอีก คิดว่าจะรอดแล้วเชียว ยังจะมาเจอบ่างผีลงอีกเป็นฝูง ดุจริงๆ ป่านรกอะไรก็ไม่รู้”พรานพรโพล่งออกมา
“พวกเราจะรอดมั๊ยน้าเบ น้าพร”
“ดูทรงแล้วเราจะพากันตายห่ ากันหมดเสียไม่ว่า”เหน๋อบอกเสียงสั่นด้วยความกลัว
“อย่าเสือ กปากหม าไปไอ้นี่ ไม่โดนไอ้พว กนี้กัดตายห่ าก็บุญเท่าไหร่แล้ว มัวแต่เสือ กไปหลบคลุมโปงอยู่ได้ เขายิงปืนกันแทบป่าแตก อะไรมันจะตาขาวได้ถึงขนาดนั้น มาด้วยกัน ไปด้วยกัน ถ้าจะรอด ก็ต้องรอดไปด้วยกัน มากับไอ้เบ เอ็งไม่ต้องทำเป็นใจเสาะ มีอะไรต้องช่วยเหลือกัน ไม่ใช่คิดจะเอาตัวรอดคนเดียว นี่ถ้าไม่ได้ไอ้แปะถ่อไปช่วยละก็ ป่านนี้เอ็งเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว”พรานโส่ยตวาด พูดจบแกก็ใช้ฝ่ามือตบไปที่ท้ายทอย ของเหน๋อดังฉาด เล่นเอาคนถูกตบถึงกับหัวถิ้ม จนพรานพรที่นั่งฟังและเห็นอยู่ใกล้ที่สุดร้องห้าม
“เอาๆ พอ พอกันได้ทั้งสองคนนั้นแหละ เหลือกันอยู่แค่นี้ ยังจะมาทะเลาะกันอีก คนบ้านเดียวกันแท้ๆ ตาโส่ยแกก็อย่าไปถือสามันให้มากเลย เราก็รู้ๆว่าไอ้เหน๋อมันขี้กลัว กลัวไปเสียทุกเรื่อง ค่อยๆบอก ค่อยๆสอนกันไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง มันกลัวกันทุกคนแหละ ไม่มีใครไม่กลัว ข้าก็กลัว ไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม ก็กลัว ทุกคนในนี้ก็กลัวกันทุกคน อยู่ที่ว่าใครมันจะกลัวมากกลัวน้อยก็แค่นั้นเอง”
“และไอ้เหน๋อ ข้าขอเตือนเอ็งไว้อีกคน เอ็งหัดเข้มแข็งไว้บ้าง เกิดเรื่องร้ายอะไร ก็อย่าไปปอดแหกให้มากนัก พวกเรายังอยู่กันครบ ขาดก็แค่ไอ้สิงห์ มันหนะ น่ากลัวและน่าเป็นห่วงกว่าพวกเราทางนี้อีกมาก มันตัวคนเดียว ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไง คิดจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงพวกเรา และไอ้สิงห์เข้าไว้ คนเรามันก็รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครไม่กลัวตายหรอก ข้าก็เข้าใจเอ็งนะ แต่ข้าก็อยากจะให้เอ็งสู้ อย่าไปปอดแหกอะไรให้มาก ดูไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม เป็นตัวอย่าง มันเด็กกว่าเอ็งเป็นสิบๆปี ใจมันยังกล้ากว่าเอ็งเลย ถ้าเมื่อคืนเอ็งสติแตก วิ่งเตลิดเข้าป่าเข้าดงไป เอ็งคิดดูสิ ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ตั้งสติเข้าไว้ เอ็งไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแบบไอ้สิงห์มันนะ แหกตาดูไปรอบๆตัว มีแต่พวกเราทั้งนั้น”พรานพรกล่าว เชิงอบรมสั่งสอน เหน๋อได้แต่นั่งคอตกไม่กล้ากล่าว หรือพูดโต้ตอบอะไรกลับมาอีก
เมื่อมีคนกล่าวถึงชายหนุ่มที่มาบัดนี้ สูญหายไปจากคณะ บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าสลดลงไปอีก เหตุเพราะมันล่วงเลยเวลามาพอสมควรแล้ว ที่คณะไม่พบร่องรอยหรือเค้าโครงอะไรเลย ที่จะเชื่อมโยงให้ไปพบกับบุคคลที่สูญหาย ที่ทำได้ในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดาสุ่มเท่านั้น มีเพียงแต่พิธีกรรมของพรานชรา ซึ่งพอจะสร้างกำลังใจให้คณะขึ้นมาบ้าง แต่มันจะศักดิ์สิทธิ์หรือได้ผลอะไรหรือไม่ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรับประกันได้ แม้แต่ตัวพรานเฒ่าผู้ทำพิธีเอง หรือนี่จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของคณะ ที่จะต้องยกเลิกการติดตามคนหาย เพราะที่ผ่านมา มันไร้ซึ่งจุดหมายปลายทางมากไปทุกที และป่าดงทึบแห่งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เต็มเปี่ยมไปด้วย พิษภัยต่างๆนานับประการ ไม่ว่าภัยจากสัตว์ร้าย และภัยจากสิ่งลี้ลับต่างๆ ที่อาจจะซ่อนมาในภัยมืด แต่อีกใจของทุกคน ก็ยังมีความหวังที่จะออกค้นหา เพราะไม่อาจจะทอดทิ้งความเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่คนในครอบครัวออกไปได้ ถึงแม้จะใช้เวลายาวนานสักเท่าใด คณะก็ไม่อาจทอดทิ้งชายหนุ่มลงไปได้ แม้แต่ศพ พวกเขาก็จะเอากลับสู่ภูมิลำเนา ต่อให้ยากเย็นแสนเข็นขนาดไหน แม้เลือดตาจะกระเด็นก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ล้มเลิกความคิด
“พว กมันมาแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวเลยจริงๆ ถ้าไม่ได้ไอ้แปะ ช่วยข้าไว้ตอนนั้น แล้วไอ้เบยิงสกัดไว้ ป่านนี้ข้าคงไม่รอด”
“มันเป็นยังไง มายังไง เอ็งถึงตื่นขึ้นมาทันการณ์ ไม่ได้เอ็งอีกคน ข้าคงแย่”พรานโส่ยกล่าว พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่พบไอ้บ่างนรกฝูงนั้น ที่ครั้งแรก พรานแปะเข้าใจว่า สิ่งที่เห็น เป็นเพียงบ่างธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว เพราะในช่วงเวลาที่ตัวพรานเฒ่าตกตะลึงอยู่นั้น บ่างผีตัวนั้นก็ร่อนดิ่งตรงมาทางแก ถ้าจังหวะนั้น ไม่ได้พรานแปะกระโจนผลักแกให้พ้น โอกาสที่หลอดลมทะลุก็มีเปอร์เซ็น แถมเมื่อไอ้นร กตัวนั้นพลาดเป้า ที่หมายถึงก้านคอของแก ไอ้ตัวใหม่ก็ร่อนถลาลงมาอีก และจังหวะนี่เอง ที่แก้วหูของแกถึงกับอื้อ เพราะเสียงปืนลูกซองของพรานเบ ระเบิดอยู่ไม่ห่างกัน
“ข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน”
“ทีแรกข้าก็คิดว่าหลับฝันไป แต่พอสะดุ้งลืมตาขึ้นมา ข้าก็เห็นไอ้บ่างผีลงตัวนั้นแล้ว”พรานเบตอบ สายตาก็จับจ้องไปที่แท่นหินประหลาด ที่รูปทรงคล้ายฤาษีก้อนนั้น
“ในฝัน ข้ามองเห็นพวกเราในแค้มป์นี่แหละ ทุกคน กำลังนอนหลับกันทั้งหมด ไฟก็จะมอดดับทุกกอง ข้าก็ลุกขึ้นไปเติมฟืน ขนาดเขย่าเรียกไอ้พร ที่นอนอยู่ข้างๆมันก็ไม่ยอมตื่น พอเติมฟืนสุมไฟ ข้าก็ออกเดินส่องไฟสำรวจ ป่าในความฝัน มันเงียบเชียบ ไม่มีเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงฟืนในกองที่ไหม้ไฟอยู่ ข้าออกเดินส่องไฟไปรอบๆ เพื่อดูความเรียบร้อยของแค้มป์เรา แต่ก็นึกขึ้นได้ ว่ายังมีแพอีกสองลำ ที่ผูกล่ามไว้ ตอนนั้นหมอกก็เริ่มลงหนา ข้าก็เลยส่องไฟไปตรวจดูแพของเรา ว่ามันยังเรียบร้อยกันอยู่หรือเปล่า แต่ไม่ทันที่ข้าจะเดินไปถึงแพเลย ไฟฉายของข้าก็ส่องไปเจออะไรบางอย่าง พวกเอ็งอยากรู้มั๊ย ว่าข้าเจอกับอะไร”พรานเบกล่าว พลางมองหน้าทุกคน
“อะไรหรือน้าเบ”เหน๋อผู้เงียบไปนาน ร้องถาม
“พระฤาษี”พรานเบตอบ
“พระฤาษี”ทุกคนแทบจะร้องออกมาพร้อมๆกัน
“ใช่ พระฤาษีตัวเป็นๆเลย เป็นฤาษีแก่ๆ แกก็นั่งในท่าที่เราเห็นอยู่นี้แหละ แต่ไม่ใช่ก้อนหินแบบที่เราเห็นอยู่นี้”พรานเบ อธิบาย
“แล้วยังไงต่อไอ้เบ”พรานโส่ยร้องเร่ง
“แกมาดี แถมยังฝากขอบใจแก มาด้วยตาโส่ย ที่ทำเครื่องเซ่นไปถวายเขา แกอยู่เฝ้าป่าดงแห่งนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว หมากพลูอะไร ไม่เคยได้ชิมเลยสักคำ”พรานเบกล่าว พลางเล่าเรื่องราวต่างๆไปเป็นตอนๆ ตามที่ตัวเองพอจะจำได้ โดยมีสมัครพรรคพวกมานั่งรายล้อมตั้งใจฟังทุกคน โดยเฉพาะพรานโส่ยถึงกับพนมมือไหว้ท่วมหัว เมื่อรู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวเอ่ยถึงแก
“พ่อพราน เจ้ามิต้องตกใจ หรือตื่นกลัวอันใด ข้ามิมีพิษ มีภัย อันใดต่อเจ้าดอก”
“ไหน เจ้าเข้ามาหาข้าใกล้ๆหน่อยสิ ข้ามีเรื่องที่จะนำความมาบอกพวกเจ้า”ฤาษีชราร้องบอกด้วยเสียงอันแหบพร่า แต่ก็อ่อนโยน ดูเป็นมิตร ซึ่งพรานนำทาง ก็สามารถสัมผัสได้ ทั้งคำพูดและอากัปกิริยา รวมถึงรูปร่างลักษณะ ของฤาษีที่มาปรากฏกายให้เห็น ใบหน้าที่ดูชราภาพ มีริ้วรอยให้เห็นยับไปหมดบ่งบอกถึงอายุอานาม แต่ก็มีแววตาเมตตา กรุณา หนวดเครายาวจนปกคลุมริมฝีปาก ยาวเสียจนจรดพื้น ดูขาวโพรนเป็นสีดอกเลา ซึ่งมันก็เป็นสีเดียวกันกับขนคิ้ว และเส้นผมที่มัดขมวดอยู่หลังท้ายทอย เสื้อผ้าการแต่งกาย หรืออัฐบริขาร ทำจากหนังเสือลายพาดกลอน ดูสะอาดตา ถึงไม่เคยเห็นที่ไหน ก็รู้ว่าเป็นฤาษี พรานเบที่กำลังส่องไฟฉาย จับไปยังร่างนั้น ที่ตอนนี้กำลังนั่งชันขาอยู่ ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อในครั้งแรก แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็รีบทรุดตัว ก้มลงกราบทั้นที
“ขะ..ข้า ขะ ขอกะ..กราบ นมัสการ ท่านฤาษี”
“ทะ...ทา ท่านมาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมพวกข้าถึงไม่เห็นท่านมาก่อนเลย”พรานเบ ร้องบอกเสียง ตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้น จับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าจะพูดหรือเอ่ยถ้อยคำอะไรให้เหมาะสม และสุภาพที่สุด แต่ด้วยความรู้ไม่มี เพราะตัวเองก็ไม่เคยไปโรงเรียน แถมยังเป็นลูกป่าโดยกำเนิด เรื่องทำบุญเข้าวัดนั้นไม่ต้องพูดถึง นานๆครั้งเท่านั้นถึงจะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง ขนบธรรมเนียม ที่ควรจะปฏิบัติอะไรนั้นจึงไม่ถนัดนัก
“โฮะๆ ข้าก็อยู่ของข้าที่นี่ มานับร้อยๆปีแล้ว มิต้องแปลกใจอันใดดอก พ่อพราน”ฤาษีตนนั้นตอบ พลางหัวเราะเสียงกังวาน
“ข้ามีนามว่า พรหมโลก มาอาศัย แลมาบำเพ็ญพรตตบะอยู่ ณ ป่าดงแห่งนี้มาเป็นเพลาเนิ่นนานแล้ว ตัวเจ้าละ พรานเบ เจ้ากับ พวกของเจ้า เข้ามาทำการณ์ใด ในป่าเปลี่ยวดงดำแห่งนี้”
“ข้ามาตามหาพวกของข้า หนึ่งคน ที่หลงเข้ามาในป่าแห่งนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง นี่พวกเราก็ตามหากันมาหลายวันแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววอะไรเลย”
“เจ้าสิงห์นั่นเรอะ โฮะๆ มันยังมิตายดอก พ่อหนุ่มคนนั้น ดวงมันยังมิถึงคาด พวกเจ้าอย่าได้ทุกข์ร้อนไปเลย เมื่อโอกาสเหมาะสม พวกเจ้าทั้งหมด จักได้พบกัน โฮะๆ”ฤาษีชรา ที่มีนามว่า พรหมโลก กล่าวออกมา
“ท่านรู้ได้ยังไงกันนี่ ว่าคนของข้า ที่หายไป ชื่อ สิงห์”
“พรานเบ มิมีเรื่องใด ในป่าแห่งนี้ ที่ข้าจักมิรู้ หึหึ..”
“ตั้งแต่พวกเจ้าทั้งหมด หลงเข้ามาเหยียบในดินแดนแห่งนี้ ข้าก็รับรู้ถึงจุดประสงห์ของพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว พวกเจ้าอีกหกคน แลสุนัขอีกหนึ่งตัว เข้ามาตามหาบุคคลสูญหาย ที่มีนามว่า สิงห์ ถูกต้องมิใช่ฤา”
“พรานที่อายุไล่เรี่ยกับเจ้ามีนามว่า พร ที่หนุ่มลงมาอีกหน่อยมีนามว่า แปะ ส่วนตาเฒ่าที่เอาเครื่องเซ่นมามอบให้เรานั้น มีนามว่า โส่ย เด็กหนุ่มสองคนนั่น คนหนึ่งมีนามว่า เจ้าเคิ้ง ซึ่งเป็นลูกชายของตาพรานเฒ่าคนนั้น อีกคนที่เป็นเกลอของเจ้าเคิ้ง มีนามว่า เจ้าพุ่ม ส่วนอีกคนที่ขี้ขาดตาขาวที่สุด มีนามว่า เจ้าเหน๋อ จักให้ข้าบอกเจ้า ด้วยอีกหรือไม่ ว่าสุนัขที่ติดตามมาด้วยตัวนั้น พวกของเจ้าเรียกมันว่า ไอ้พะเปรียว”ฤาษีชรากล่าว พลางชี้นิ้วไปตามบุคคลที่ตนเองเอ่ยนามมา พรานเบถึงกับยืนคอแข็ง ขนตามร่างกายลุกซู่ขึ้นมาทันที”
“ข้า.....ข้าเชื่อท่านแล้ว ท่านผู้วิเศษ ท่านฤาษี โปรดช่วยข้า และพวกของข้าด้วยเถอะ พวกของข้ามีความทุกข์ใจมาก เกี่ยวกับการหายไปของ ไอ้สิงห์ โปรดบอกข้ามาที ว่าไอ้สิงห์มันอยู่ที่ไหน พวกของข้า จะรีบออกตามหา และรับมันกลับมา”พรานเบ พูดละล่ำละลัก
“ข้าบอกเจ้าไปแล้วมิใช่ฤา ว่าเจ้าสิงห์ พ่อหนุ่มคนนั้น มันยังอยู่ดี เจ้ามิต้องกลัวอันใด เจ้าสิงห์มันมีไหวพริบปฏิภาณ ที่จักเอาตัวรอดได้ ผิดกับพวกเจ้าทั้งหมดนี้ ที่จักเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกว่า ถึงพ่อหนุ่มคนนั้น จักอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ก็มีเทพอารักษ์ คอยปกป้อง เภทภัยให้อยู่มิห่าง”
“เทพอารักษ์!”พรานเบอุทาน
“ใช่แล้ว เทพธิดา รูปงามเสียด้วย นางตนนั้นเฝ้าติดตาม เจ้าสิงห์ตั้งแต่พวกเจ้าอยู่ป่าด้านนอกแล้ว โฮะๆ”
“นางเป็นเทพธิดา ตนสุดท้าย ของป่าดงพงไพรแห่งนี้ ดวงจิตของนาง มีความผูกพันกับเจ้าสิงห์มานานแล้ว แต่โอกาสเพิ่งจักโครจรมาครบบรรจบกัน อาจเป็นไปได้ ที่ชาติปางก่อน นางแล เจ้าสิงห์เคยเป็นคู่รักกัน แต่เรื่องราวมันจักเช่นไร ข้าก็มิอาจบอกเจ้าได้”
“ไอ้สิงห์มันอยู่ที่ไหนครับท่านฤาษี โปรดบอกข้ามาเถอะ” พรานเบร้องเร่ง แทนคำตอบของ ฤาษีพรหมโลก ฤาษีชรา ชี้นี้วออกไปทางปลายน้ำ
“อันที่จริง พวกของเจ้าก็เดินทางกันมาถูกต้องแล้ว ส่วนระยะเพลาที่จักได้พบเจอนั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง จงใช้สติปัญญาของเจ้า ไตร่ตรองดูเอาเถิด”
“โปรดบอกข้ามาเถอะท่าน ข้าจนปัญญาที่จะติดตามมันแล้วจริงๆ ข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์มันเหลือเกิน”พรานเบกล่าวออกมาร้อนรน