Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
23 December 2024, 08:15:08

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
26,618 Posts in 12,929 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เหนือเกล้าชาวสยาม  |  พระบรมโพธิสัตว์เจ้าแห่งแผ่นดินสยาม (Moderator: Smile Siam)  |  รวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับ พ่อหลวง ของพวกเรา
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: รวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับ พ่อหลวง ของพวกเรา  (Read 735 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« on: 15 October 2021, 17:03:22 »

รวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับ พ่อหลวง ของพวกเรา


รวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับ พ่อหลวง ของพวกเรา
จากคุณ : กวง อิอิ - pantip.com

อิอิ

ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนนะคับว่า เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ ผมได้รวบรวมมาหลายปีดีดัก
เคยโพสไว้ตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ มากมาย มากซะจนคุณนึกไม่ถึงละกัน
ผมขอเอามารวมไว้ที่นี่ ละกัน เพราะตั้งแต่เล่นบอร์ดเว็บนี้ ผมก้อเล่นห้องนี้ห้องแรก
เวลาอยากจะทำอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวหน่อย ก้ออยากมารวมไว้ที่นี่

ส่วนเรื่องใด ใครเป็นผู้เล่า ขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยนะคับว่าไม่มีเครดิต
ถือซะว่า แบ่งปันเรื่องราวดีดี ให้แก่กันและกัน

ปล. http://images.torrentmove.com/iw/w7rmc.jpg
     ทะเบียนสมรสของในหลวง

     (อยากจะย่อให้ขนาดเล็กกว่า 150k แต่กลัวรูปไม่ชัด ใครอยากดู กดที่ลิงค์ได้เลยจ้า)

อิอิ

จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:33:49 ]



...............[1]

ดูพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ท่านแล้วผมคิดถึงสมเด็จย่าครับ
ช่วงสมเด็จย่าเสด็จสวรรคตแล้วตั้งพระศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ผมพักอยู่หน้าราม แต่ถ้าวันไหนว่างพอห้าโมงเย็นผมต้องนั่งรถสาย 60 ไปสนามหลวงทุกวัน
เพื่อไปฟังสวดพระอภิธรรมพระศพของสมเด็จย่า คิดว่าน่าจะไปมามากกว่า 50 ครั้งนะครับ
เรียกว่าไปบ่อยจนรู้จักคุณลุงท่านหนึ่ง ท่านทำงานที่สำนักพระราชวัง
เป็นคนคอยบอกให้เรากราบตรงไหนบ้าง กี่ครั้ง ยังจำได้เลยว่าลุงท่านนั้นชื่อว่า ลุงแป๊ะ

คุณลุงท่านคงรับใช้เบื้องยุคลบาทมานานแล้วแหละครับ เรียกว่าท่านได้เครื่องราชตระกูลจุลจอมเกล้า
ด้วยรวมทั้งเหรียญรัตนาภรณ์ ทุกครั้งที่ผมไป ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ร้องไห้จนลุงแซวเอาว่า

โตจนป่านนี้แล้วยังร้องไห้อยู่ได้

ว่าแล้วลุงก็น้ำตาไหลออกมาเหมือนกัน
เกือบทุกคืนที่ผมไป จะได้เข้าเฝ้าพระบรมวงศานุวงศ์ทุกครั้ง
หลาย ๆ ครั้งโชคดีก็จะได้เข้าเฝ้าในหลวง เพราะพระองค์ท่านถ้าไม่มีพระราชกิจอะไร
ท่านจะเสด็จมาฟังสวดพระอภิธรรมพระศพเสด็จแม่ของท่านทุกคืน
(ที่ทราบเพราะถามจากลุงเขาแหละครับ)

พอพระสวดพระอภิธรรมเสร็จแล้ว ก็จะให้พสกนิกรที่มาฟังพระสวด
ได้ขึ้นไปกราบพระศพสมเด็จย่า รวมทั้งได้กราบในหลวงด้วย
ผมกลั้นน้ำตาไม่เคยอยู่ซักครั้งเวลาที่ผมขึ้นไปกราบพระองค์ท่านทั้งสอง
ผมเห็นพระพักตร์ของในหลวงแล้วผมอยากแบกเอาความทุกข์ทั้งมวลที่พระองค์ท่านมี
จากการสูญเสียสมเด็จแม่ของท่าน มาเป็นความทุกข์ของผมเองคนเดียว
แม้ผมจะตายจากไปผมก็ยอม

มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมตื้นตันใจมากที่สุด ผมไปถึงช่วงเย็นประมาณ 6 โมงเย็นปลายเดือนธันวาคม
จำได้ว่าพระราชินีเสด็จมางานพุทธาภิเษกที่วัดพระแก้วแล้วพระองค์ท่านก็เสด็จกลับ
ผมยังเดินไปส่งเสด็จด้วยที่ริมถนน เสร็จแล้วผมก็ทำเหมือนอย่างทุกคืน
ก็คือขึ้นไปกราบพระศพสมเด็จย่าแล้วก็ลงมานั่งคอยฟังพระสวดพระอภิธรรม
นั่งคอยจนเกือบ 4 ทุ่มพระก็ยังไม่เริ่มซะที คนที่มามาก ๆ ช่วงแรก ๆ ก็กลับไปเยอะแล้ว
แต่ผมตั้งใจแต่แรกแล้วว่าจะมาฟังสวด ก็คอยไปเรื่อย ๆ

แล้วก็มารู้สึกเอะใจว่าหรือว่าพระท่านคอยในหลวงเสด็จ คิดได้แล้วผมก็คอยจนห้าทุ่มพระถึงเริ่มสวด
จำได้ว่าช่วงที่เสร็จสองจบแล้วก็หยุดพัก ผมได้ยินเสียงแตรเป่านำมาแล้วว่ามีขบวนเสด็จมา
คุณเชื่อมั๊ยครับเกือบทุกพระองค์เสด็จมาฟังสวดพระอภิธรรมพระศพสมเด็จย่าในคืนนั้น
ทั้งในหลวง พระราชินี พระบรม พระเทพ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ พระพี่นาง องค์โสม(เท่าที่จำได้)
ผมงี้ขนลุกซู่ด้วยความปลื้มปีติที่ได้เข้าเฝ้าเกือบทุกพระองค์พร้อม ๆ กัน

หลังจากพระสวดเสร็จแล้ว มีคนจากสำนักพระราชวังบอกว่าให้ขึ้นไปกราบสมเด็จย่าได้
พร้อมทั้งบอกด้วยว่าในหลวงท่านจะทรงพรมน้ำมนต์ที่ได้จากวัดพระแก้วให้ด้วย
คุณเชื่อมั๊ย ผมคิดว่าผมไม่ได้เดินขึ้นบันไดพระที่นั่งดุสิตนะ มันเหมือนความรู้สึกว่าตัวเองลอยได้
พสกนิกรที่เหลืออยู่จนเกือบเที่ยงคืนคืนนั้นอีกประมาณ 20 คนคงมีความรู้สึกไม่ต่างกับผมเท่าไหร่
ขึ้นไปแล้วลุงแป๊ะก็บอกให้กราบสมเด็จย่าก่อน เสร็จแล้วก็กราบในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
พระองค์ท่าน (ในหลวง) อยู่ห่างจากผมประมาณ 5 เมตรได้
แล้วพระองค์ท่านก็หยิบขวดใส่น้ำมนต์ที่เราเห็นเวลาพระองค์ท่านสรงน้ำพระ
แล้วพระองค์ท่านก็พระสุหร่ายน้ำมนต์มาตรงที่พสกนิกรหมอบกราบอยู่

จำได้ว่าท่านแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ ส่วนทุกพระองค์โดยเฉพาะพระราชินีท่านแย้มพระโอษฐ์
รวมทั้งทรงขอบใจที่พวกเรามาฟังสวดพระอภิธรรมและยังคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่
พระราชินีท่านคุยกับพสกนิกรที่อยู่แถวข้างหน้า ส่วนผมอยู่แถวกลาง ๆ ค่อนมาทางท้าย ๆ
แต่ก็ได้ยินชัดเจนทุกพระดำรัสที่ตรัสกับพสกนิกรแถวหน้า ๆ มองไปทางไหน
ผมก็เห็นทุกคนทำตาแดง ๆ กันทั้งนั้น ส่วนผมไม่ต้องถาม เขื่อนแตกตั้งแต่น้ำมนต์มารดบนหัวแล้วครับ

พระองค์ท่าน (พระราชินี) ตรัสกับพสกนิกรแถวหน้าประมาณ 5 นาทีได้
(รู้สึกมันผ่านไปเร็วมากเลยครับ อยากให้นานชั่วกัปชั่วกัลป์)

พระองค์ท่านบอกว่าจะปีใหม่แล้วไม่มีของขวัญอะไรจะให้ ขอให้น้ำมนต์แทนของขวัญปีใหม่ก็แล้วกัน

ผมฟังแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ยังดีที่ไม่ถึงขนาดสะอึกสะอื้น
เสร็จแล้วลุงแป๊ะก็บอกให้เรากราบอีกครั้งแล้วก็คลานลงจากพระที่นั่ง ผมหันไปมองลุงแป๊ะ
แกก็ตาแดง ๆ เหมือนกัน เสร็จแล้วพวกเราก็ไปตั้งแถวรอส่งเสด็จที่ริมถนนหน้าพระที่นั่งจักรี
พอซักพักทุกพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินกลับ จำได้ว่าในรถพระที่นั่งในหลวงทรงแย้มพระโอษฐ์มาทางพวกเรา
รวมทั้งพระราชินีทรงโบกพระหัตถ์ให้ด้วย พอเสด็จกลับแล้วพวกเราก็มองหน้ากันทุกคนครับ
ประมาณ 20 คนร้องไห้ทั้งคนหนุ่มคนสาวคนแก่ มีลุงแก่ ๆ ท่านนึงบอกว่ามาจากกระทุ่มแบน
ลุงบอกว่าให้จำคืนนี้เอาไว้นะ คืนนี้จะเป็นคืนที่คนไทยทั่วทั้งประเทศต้องอิจฉาเรา
และเราจะเป็นกลุ่มคนไทยที่โชคดีที่สุดและคืนนี้จะนอนหลับอย่างเป็นสุขที่สุด
ผมว่าจริงของแกเกือบทุกเรื่องแต่ที่ไม่จริงก็คือ คืนนั้นผมนอนไม่หลับ รวมทั้งผมไม่ยอมสระผมไปอีก 1 สัปดาห์

ปีใหม่ปีนั้นผมเลยไม่ยอมรับของขวัญจากใครเลย เวลาคนให้ของขวัญถามว่าทำไม ผมก็จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทุกครั้ง เป็นบุญของเราทุกคนนะครับ
ที่มีคนที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คนอีก 63 ล้านคนได้มากเท่านี้

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:39:35 ]



...............[2]

ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา

คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น
จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง
ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว

วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน
ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ..

ขณะที่พระองค์กำลังจะขับรถผ่าน

" วันนี้ ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะ ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อน แล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้.. "

พระองค์ทรงขับรถพระที่นั่ง เบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ
พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า

" วันนี้ฉันเป็นในหลวง .. คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. 4 Royal Hands
     All four right hands were placed on a rough concrete surface.
The four right hands signify
a sense of 'brotherly' unity. Which hand belongs to whom is anybody's guess.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:44:52 ]



...............[3]

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลาย ออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่ว
และใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า

" ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.. "

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..

พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า

" ...มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว "

เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. http://www.siamsouth.com/king2.htm เว็บที่รวบรวม ส.ค.ส. จากในหลวง


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:49:01 ]



...............[4]

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว

มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า
อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ
คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า

" เฮ้ยจับดี ๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง "

ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า

" เออ ดี ๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงาน ยังไม่ผ่านโปร) "

พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได
รีบลงมาก้มกราบ ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า

" แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:52:15 ]



...............[5]

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา

มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่ง
ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน มาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า

" ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์ "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:53:43 ]



...............[6]

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน
เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้ เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป
และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่าง ๆ นานัปการ

ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า
ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้น
จนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า

" ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ "

เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า

" เออ ดี เราชื่อเดียวกัน... "

ข่าวว่า วันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:55:22 ]



...............[7]

รอยพระบาท ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ

ปี ๒๕๒๔ พันโท วิโรจน์ ทองมิตร (ยศในขณะนั้น) ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑๗
ได้นำกำลัง พัน.ร.๔๗๓ เข้าปฏิบัติการในเขตพื้นที่ดอยยาว – ดอยผาหม่น ตามแผนการต่อสู้
เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ จนเกิดยุทธการยึดเนิน ๑๑๘๘ บนดอยพญาพิภักดิ์
ยังผลให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ล่มสลายในที่สุด

เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย
สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
และพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาธิดามาตุ
ได้เสด็จ ฯ ทรงเยี่ยมทหารหาญและราษฎร ณ ฐานปฏิบัติการ ดอยพญาพิภักดิ์ บนสันดอยยาว อ.เทิง จ.เชียงราย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานประทับรอยพระบาทของพระองค์ ลงบนแผ่นปูนปลาสเตอร์
ที่ได้เตรียมไว้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ทหารหาญ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละนับตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา

ปัจจุบัน “ รอยพระบาท ” คู่หนึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ศาลารอยพระบาท ของกองพันทหารราบที่ ๓
กรมทหารราบที่ ๑๗ ( ในพระองค์ ฯ ) ค่ายเม็งรายมหาราช เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของกำลังพลคู่กับ “ อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ ” ตลอดไป

ที่มา : http://www.rta.mi.th/53320u/ta-02.htm
และ http://www.tourismchiangrai.com/?p=article&ida=49

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 11:59:44 ]



...............[8]

พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก

ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า " แขนเจ็บไปโดนอะไรมา "

ชายคนนั้นตอบว่า " ตกสะพาน "

แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ "

ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า " แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วย ตกข้างเดียว "

ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 12:01:45 ]



...............[9]

วันหนึ่ง พระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่ง ได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง
แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่า
ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรง เฉย ๆ
มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร

แต่พวกข้าราชบริภาร ก็มองหน้ากันใหญ่
กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่
แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบกับ หญิงชราคนนั้น
ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า

" เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 12:05:09 ]



...............[10]

พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ ทางภาคใต้
คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดิน เป็นกรด มีความเค็ม
พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้าน ที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า

" ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม "

ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนตอบกลับมาว่า

" ไม่เคยชิมซักที "

ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ ตามเสด็จว่า

" ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 12:06:20 ]



...............[11]

ครั้งหนึ่งหลาย ๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวี
มีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา
คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนัง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า

" เอ้อ - ทรง... อ้า - ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ "

พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า

" ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 12:07:49 ]



...............[12]

อีกครั้งหนึ่ง หลายปีมาก ๆ แล้วเหมือนกัน ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระโอสถมวน (สูบบุหรี่) อยู่
คราวหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวกำลังจะทรงพระโอสถมวน ยังไม่ได้ทรงจุด

ท่านผู้หนึ่งที่เผอิญได้เข้าเฝ้าอยู่ในขณะนั้น จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบลืมไปแล้ว
ก็ปราดเข้าไปคุกเข่า จุดไฟแช็คถวาย แถมกราบบังคมทูลเสียด้วยว่า

" ถวายพระเพลิง พะยะค่ะ "

พระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลเสียงดัง ตรัสด้วยพระอารมณ์สนุกว่า

" ยัง ฉันยังไม่ตาย.... "

ผู้ใหญ่ที่มาเล่าเรื่องนี้ต่อให้ผมฟังไม่ได้เล่าว่าตอนนี้สีหน้าผู้ที่จะ
" ถวายพระเพลิง " เป็นอย่างไร

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 12:09:42 ]



[13] - 20  = เรื่องที่ 13  จากความคิดเห็นที่ 20

...............[13] - 20

เรื่อง : เชื้อโรคตายหมด

หม่อมเจ้าภัศเดช รัชนี
ผู้อำนวยการโครงการหลวง

.....เหตุการณ์ในปี ๒๕๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา
และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม " เบื้องยุคลบาท "

วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้
" ไปแอ่วบ้านเฮา " ก็เสด็จฯ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง
เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำ ๆ จับ
ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วง เพราะตามปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ (ผิดกับผู้เขียน)
จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้เขียนจัดการ
แต่ก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังรับสั่งว่า

" ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด "

ที่มา : หนังสือ " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโครงการหลวง " โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 12:43:40 ]



...............[14] - 25

เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด
ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า

" ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง ? "

ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้ม ๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่า

" ก๋วยเตี๋ยวอร่อย "

ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 13:11:20 ]



...............[15] - 26

มีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เกิดขึ้นที่ อ.พร้าว บ้านดิฉันเอง พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรเผ่าลีซอ
พอจะเสด็จกลับ ผู้เฒ่าคนหนึ่งยื่นถุงห่อข้าวให้ท่าน เกรงว่าท่านจะหิวขณะเดินทาง
เป็นน้ำพริกตาแดง กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อ พร้อมกับบอกในหลวงว่า

" หมู่บ้านเฮามันไกล กว่าเฮาจะเดินเข้าเมืองได้ใช้เวลาหลายวัน กลัวว่าท่านจะหิวกลางทาง "

ปลื้มไหมคะ เรื่องนี้พ่อเล่าให้ฟัง แต่พ่อไม่ได้เป็นลีซอนะคะ เป็นเพื่อนเฉย ๆ ค่ะ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

อิอิ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 13:16:33 ]



...............[16] - 27

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก
ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่า ใครจะพูดสายด้วย
ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์

นางสนองพระโอษฐ์ก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า
พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ที่แบงค์จริง ๆ นะ
ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 13:31:58 ]



...............[17] - 28

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้ว บังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน
ก็ต้องรีบหาว่า อ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้
ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า

เมื่อกี้นี้ ชื่อ.... เค้ารับไปแล้ว

และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดี ๆ ไฟดับไปชั่วขณะ
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 13:42:03 ]



...............[18] - 30

เรื่อง : พับเพียบ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์
ผู้สนองพระราชดำริ ในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศ และอิเล็กทรอนิกส์

... ในครั้งแรก ผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนบอกว่าให้เข้าไปในวังด้วยกันและให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง
ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มา แต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดี ๆ
เจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อย่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมา
ทั้ง ๆ ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง

ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ เป็นอาการวูบ ขึ้นมาทันที
นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ ๆ เพราะคิดว่าเหมือนในรูป ผมก็รีบทำความเคารพ
แล้วก็ทำอะไรไม่ถูกสิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่า จึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมาเป็นเหมือนชันเข่า
เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่าน ประทับยืนอยู่ ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไป
เพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วยปรากฎว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย
ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกัน
เลยกลายเป็นว่าวันนั้น นั่งพับเพียบสนทนากัน ๒ - ๓ ชั่วโมง
บนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วง บ่ายที่ร้อนเปรี้ยง .......

ที่มา : บทความ " โครงการระบบสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนองพระราชดำริ "
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หนังสือ " เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร "
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 13:46:36 ]



...............[19] - 32

เรื่อง : น้ำลดหรือยัง

ถาวร ชนะภัย

หลายปีมาแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
เป็นช่วงเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ห้องทรงงานใหม่ ๆ

ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให้ฟังว่า แม้ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่เสด็จขึ้นห้องพระบรรทม
แต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่อยู่อย่างใกล้ชิดด้วย

ทรงห่วยใยราษฏรจึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เองถามไปทางหาดใหญ่ว่า

" น้ำลดแล้วหรือยัง " โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์ เมื่อเวลาตีสองตีสามมีข้อความที่ตอบด้วยความไม่พอใจว่า

" ถามอะไรอยู่ได้ดึกดื่นป่านแล้ว คนเขาจะหลับจะนอน "

แต่ตอนท้ายของคำตอบก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า

" น้ำลดแล้ว "

ที่มา : บทความเรื่อง " ในหลวงกับประชาชน " โดย ถาวร ชนะภัย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 13:53:45 ]


...............[20] - 34

เรื่อง : เสียงปริศนา

.... .ในวันเสด็จพระราชดำเนิน กลับประเทศสวิต ฯ ขณะที่ประทับรถพระที่นั่ง
ไปสู่สนามบินดอนเมืองทรงได้ยินเสียงตะโกนดัง ๆ ว่า

" ในหลวง อย่าทิ้งประชาชนนะ "

ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้น ในพระราชหฤทัยว่า

" ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้ "

เป็นที่น่าประหลาดว่า ต่อมาอีกประมาณ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพบชายที่ร้องตะโกนทูลพระองคไม่ให้ทิ้งประชาชนนั้น เป็นพลทหาร
และในปัจจุบันเขาออกไปทำนาอยู่ในต่างจังหวัด เขากราบบังคมทูล
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่ทรงทิ้งราษฎร เขาทูลว่า ตอนที่เขาร้องไปนั้น
เขารู้สึกว้าเหว่ และใจหาย ที่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน จะเสด็จไปจากเมืองไทย
กลัวจะไม่เสด็จกลับมาอีก เพราะคงจะทรงเข็ดเมืองไทย เห็นเป็นเมืองที่น่ากลัวน่าสยดสยอง
เขาดีใจมากที่ได้เฝ้าฯ อีก กราบบังคมทูลถามว่า ..

" ท่านคงจำผมไม่ได้ ผมเป็นคนร้องไม่ให้ท่านทิ้งประชาชน "

พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า ..

" เรานะรึที่ร้อง ? "

" ใช่ครับ ตอนนั้นเห็นหน้าท่านเศร้ามาก กลัวจะไม่กลับมา จึงร้องไปเหมือนคนบ้า "

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบ ..

" นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา "

ที่มา : สมุดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดเกล้าฯ
       จัดทำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานเป็นที่ระลึกแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ
       ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2511

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 14:04:15 ]



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #1 on: 15 October 2021, 17:10:51 »


...............[21] - 36

เรื่อง : เราจับได้แล้ว

ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ

….ครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ " ก้าวไกลไทยทำ " วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538

หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
ตามศาลาการแสดงต่าง ๆ ก็มาถึงศาลาโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์) ภายในศาลาแต่งเป็น " พิภพใต้ทะเล "
โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด " Magic Vision " น้ำลึก 20,000 league จะมีช่วงให้แลเห็นสัตว์ทะเล
ว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็ก ๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า

ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า ถ้าใครจับปลาได้เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์
พวกเราไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับไม่ได้ เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า

" เราจับได้แล้ว " พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ " อยู่ในนี้ "

ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้
บริษัทโซนี่จึงต้องน้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้…

ที่มา : หนังสือ ทำเป็นธรรม โดย ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 14:07:53 ]



...............[22] - 37

เรื่อง : ข้าวผัดไข่ดาว

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

วันหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเปิดอนุสาวรีย ์พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ พระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนัก
เพื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาทเพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง.........เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าว

ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้วก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาท สักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทัน
ก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้ว
ในนั้นจึงเหลือข้าวผัด ติดก้นกระบะกับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3 - 4 ใบ

เราก็ตัก เห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้มีข้าวผัดเหมือนอย่างเรา ไข่ดาวโปะใบหนึ่ง
มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่ เพื่อนผม ก็จะไปหยิบมามหาดเล็กบอกว่า

" ไม่ได้ ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก "

ดูสิครับตักมาจากก้นกระบะเลยผมนี่น้ำตาแทบไหลเลย ท่านเสวยเหมือน ๆ กันกับเรา......

ที่มา : บทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คอลัมน์ " ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท "

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 14:50:01 ]



...............[23] - 38

เรื่อง : หมึกไม่ออก

ผู้ช่วยสาสตราจารย์ อนงค์รัตน์ สุขุม

……..วันที่ 14 กรกฎาคม 2526

เป็นวันพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่นายกสโมสรอาจารย์
จะเป็นผู้ดูแลถวายปากกาให้ทรงลงประปรมาภิไธย

แต่ในปีนั้น ดิฉันในฐานะอุปนายกสโมสรอาจารย์ได้รับหน้าที่นี้แทน
ก่อนจะเสด็จประราชดำเนิน เราก็ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างระมัดระวังที่สุด
โดยเฉพาะปากกาลองกันหลายครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่
พอเสด็จฯ มาถึงท่านก็ทรงลงประปรมาภิไธย ปรากฏว่าทรงจรดปากกาลงไปแล้วแต่ไม่มีหมึกออกมา

เราก็ตกใจมากเลยไม่รู้จะทำยังไงดี นึกในใจว่าเป็นความบกพร่องของเราแน่ ๆ ลองมากไปจนหมึกหมด
ดิฉันก็เลยถวายกระดาษทิชชูเปล่า ๆ ที่อยู่ในมือให้ท่าน เพื่อจะให้ท่านทรงเช็ดปากกา
แต่ท่านทรงพระเมตตามากเลย สีพระพักตร์ที่ท่านมองดิฉันเหมือนกับจะตรัสว่า

" ไม่ต้องตกใจ "

แล้วก็ทรงนำปากกามาลองที่มือดิฉันที่มีกระดาษทิชชู่ ปรากฏว่า หมึกออก
จากนั้นก็ทรงหันไปลงพระปรมาภิไธยในสมุด พอท่านเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว
ทุกคนก็รีบเข้ามาดูกระดาษที่ทรงลองปากกาแผ่นนั้นกันใหญ่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ บอกว่า

" พี่ ๆ ขอหน่อยเถอะพี่จะเอาไปเป็นมงคล " ก็เลยแบ่งให้อาจารย์ไปส่วนหนึ่ง…

ที่มา : สารคดีโทรทัศน์ พ่อของแผ่นดิน

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 14:53:17 ]



...............[24] - 39

เรื่อง : กล้วยไข่

ผมเคยเข้าไปเล่นคอนเสิร์ตหน้าพระที่นั่งศาลาดุสิตาลัย เมื่อสิบห้าปีมาก่อน
พระเทพทรงประชวรหวัดเล็กน้อย แล้วตรัสก่อนพวกผมเล่นกันว่า

วันนี้ไม่มีเสียงกรี๊ดนะ เป็นหวัด

พอตอนเล่น ผมเลยบังอาจถวายแซวพระองค์ท่าน ว่า

ในฐานะรุ่นน้องจุฬาฯ ขอพระราชทานอนุญาต
เอ่ยพระนามพระองค์ว่า พี่น้อย ก็แล้วกัน
วันนี้ขอให้พี่น้อย หายหวัดเร็ว ๆ นะครับ

คนดูในศาลาดุสิตาลัยเงียบกริบ ผมก็ชัก หนาวสันหลังว่า
เหิมเกริมไปหรือเปล่า เพื่อนร่วมวงรีบชิงพูดต่อว่า

มหาดเล็กครับ ช่วยยิงให้ถูกคนด้วยแล้วกัน

คนเลยฮากันตึง รอดไป

มีเพลงหนึ่งชื่อ เพลงกล้วยไข่ ผมก็แปลงเนื้อว่า

แปลกใจจริง พระเทพฯ ชอบอะไร พระเทพชอบ กล้วยไข่ เพราะว่าพระองค์ทรงโปรด ลัล ลัล ลัล ลา

ตอนไปรับพระราชทานดอกไม้จากพระหัตถ์ ผมไปยกมือไหว้ท่าน
ท่านก็ตรัสย้อนผมว่า ใครเค้าไหว้กัน เค้าโค้งจ้ะ
จากนั้นท่านก็ตรัสว่า

ใครบอกฉันชอบกล้วยไข่ ฉันชอบกล้วยน้ำว้าย่ะ

ผมไม่เคยลืมสักภาพเดียวเลยครับ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9
แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 50 14:58:15


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 14:56:50 ]



...............[25] - 40

เรื่อง : เกาะช้าง

เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท
อดีตตำรวจหลวง

มีครั้งหนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสทางทะเล
ระหว่างที่อยู่ในเรือพระที่นั่ง ทรงตรัสสอบถามนายทหารเรือที่ตามเสด็จว่า

" นั่นเกาะอะไร "

นายทหารผู้นั้นตอบ

" ขอเดชะ...เกาะนั้นมีพระนามว่า เกาะช้างพระเจ้าค่ะ "

ทรงแย้มสรวลแล้วตรัสตอบว่า

" ถ้างั้น...เกาะนี้ก้อเป็นญาติฉันนะซิ "

นายทหารท่านนั้นคงตื่นเต้นที่ทรงมีพระปฏิสันถารด้วย
บอกชื่อเกาะ ไม่ต้องว่าเกาะนั้นมี " พระนาม " ว่าอะไรหรอก
แค่บอกว่าเกาะนั้นชื่ออะไรก้อพอ ถ้าใช้ว่าเกาะ นั้นมี " พระนาม " ว่าอะไรนั้น
แสดงว่าเกาะนั้นเป็นเจ้านาย ด้วย เพราะใช้คำราชาศัพท์กับเกาะ

ที่มา : เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 15:00:42 ]



...............[26] - 41

เรื่อง : ปิดทองหลังพระ

ในคืนวันหนึ่งของปีพ.ศ. ๒๕๑๐ (ยศในขณะนั้นพันตำรวจโท)......
หลังจากได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว ในวังไกลกังวล..............

ผมจำได้ว่า คืนนั้นผู้ที่โชคดีได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระจิตรลดา
เป็นนายตำรวจ 8 นาย และนายทหารเรือ 1 นาย....
พระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์
ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง.......ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น
ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา..........
ภายหลัง เมื่อมีโอกาสกราบบังคมทูลถาม จึงได้ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่ององค์นั้น
ด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายในโอกาสต่าง ๆ และเส้นพระเจ้า(เส้นผม) ของพระองค์เอง
เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดแล้ว จึงทรงกดลงในพิมพ์
(อ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แกะถวาย) โดยไม่ได้เอาเข้าเตาเผา.........

.....หลังจากที่ได้รับพระราชทานแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า.......

” พระที่ให้ไปน่ะ ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น ”

........พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระ
ก็เพื่อเตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร
หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่ และถือว่า
ความสำเร็จในการทำหน้าที ่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว.....

.....ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้ว
ก็ซื้อกรอบใส่ หลังจากนั้นมา สมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินองค์นั้น
ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม........

.....หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาท
ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก.....ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ
นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด
บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ปรากฎว่า
กรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใด ๆ ทั้งสิ้น........

......ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า

ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง.................

พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า “ จะเอาอะไร ? ”

และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า

จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป

พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ.....

........ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า....

พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว
ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง
มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย............

พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบ
ด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า

ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อย ๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง.......

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 25 ต.ค. 50 15:07:26 ]



...............[27] - 64

เรื่อง : ผักบุ้งลอยฟ้า (เกี่ยวกับ พระเทพฯ)

ผมเคยไปนั่งทานข้าวต้ม ผักบุ้งลอยฟ้า ที่พิษณุโลก ก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นรูป พระองค์ ทรงสนุกกับการถือจานรับผักบุ้ง
บนหลังคารถ เด็กที่ร้านเล่าว่า พระองค์ไม่ถือพระองค์เลย ตรัสล้อเล่นกับเด็กเสิร์ฟด้วย และทรงเสวยกับ ชามข้าวต้มของร้าน
ไม่ได้พิเศษจากลูกค้าคนอื่น ทรงประทับบนเก้าอื้ทั่ว ๆ ไปในร้านนึกถึงพระองค์ทีไร ก็รู้สึกตื้นตันทุกที
เจ้าฟ้าหญิงของประชาชนที่แท้จริงเคยอ่านมาจากหนังสือสกุลไทย ช่วงตอบปัญหาของใครจำไม่ได้แล้ว
มีคนเขียนไปถามเจ้าของคอลัมภ์ว่า จริงหรือเปล่าที่พระองค์เคยเสด็จเป็นการส่วนพระองค์
ยังเมืองทองธานีเพื่อเสวยร้านอาหารโต้รุ่ง เค้าก็เขียนตอบว่า จริง

พระองค์เคยเสด็จอย่างส่วนพระองค์จริง ๆ คือเสด็จไปกับคุณข้าหลวงอีก 2 คนไม่มีองครักษ์ติดตามเลย
เสด็จยังร้านอาหารตามสั่งทั่วไปริมถนน ไม่มีใครจำพระองค์ได้เลยแต่มี 2 สามี ภรรยาคู่หนึ่งเห็นเข้า
ฝ่ายสามีบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จพระเทพหรอก เพราะนี่คือร้านอาหารโต้รุ่งแล้วก็ดึกมากแล้วด้วย
แต่ฝ่ายภรรยาบอกว่าเหมือนมาก ก็โต้กันไปโต้กันมาจนพระองค์ทรงได้ยิน
จึงหันพระพักตร์มาทาง2สามีภรรยานี้แล้วตรัสว่า ใช่ แต่ขอให้ทำตัวตามสบาย
เท่านั้นแหละครับ 2 คนนี้ก็ก้มลงกราบจนคนอื่นๆแปลกใจก็หันมามองกันหมดทั้งร้าน

เจ้าของร้านกับเด็กเสริฟก็เพิ่งทราบจึงรีบเข้า ไปถวายความเคารพ
พวกพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นก็นำอาหารของร้านตนมาถวาย
จนกระทั่งเสด็จกลับไปนี่แหละครับ เจ้าหญิงในใจประชาชนพระองค์จริง

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 11:50:44 ]



...............[28] - 65

เรื่อง : ตัวยึกยือ

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการ สำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับ 11)

...... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาท
เข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนักโดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่าง เป็นระยะทางถึง ๒ กม.เศษ

.... นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึก ของผู้คน และความไม่สามัญธรรมดานี้
ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น เป็นทวีคูณ เนื่องเพราะบริเวณนี้คือ " ดงทาก " หรือ " รังทาก "
อันมีทากชุกชุม ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้

...กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้าง อ่างเก็บน้ำ เพื่อให้มีน้ำไว้ใช้
สำหรับพื้นที่๕,๐๐๐ ไร่ใน ๓ เขตตำบล คือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝน
และโชกเลือดแม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ ก็มิได้รับยกเว้น

..... ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับ พระตำหนัก ทักษิณราชนิเวศน์
อากาศปลายฤดูฝน กำลังสบายดวงดาวบนท้องฟ้า เริ่มจะปรายแสง ขบวนรถยนต์พระที่นั่ง
ได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนทางหลวงที่มืดสงัด เป็นเวลาหลายนาที
ถามไถ่ได้ความภายหลังว่า ยังมีทากหลงเหลือ กัดติดพระวรกายอยู่อีก
เมื่อรู้สึกพระองค์ จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่ง และรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย

... ทรงเรียกการทรงงานวิบาก ที่เชิงคีรี ครั้งนี้ในภายหลังว่า " สงครามกับตัวยืกยือ ที่เชิงคีรี "

ที่มา : บทความ " ในหลวงในดงทาก " โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ หนังสือ " ประทีปแห่งแผ่นดิน "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 11:53:36 ]



...............[29] - 66

บ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ เสด็จไปทรงซื้อหนังสือที่ร้านในห้าง ดิ เอ็ม โพเรียม โดยทรงพระดำเนินจากวังสระปทุม เพื่อมาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี

สยามไปลงที่เอ็มโพเรียม โดยทรงกดตู้ซื้อบัตรอัตโนมัติเหมือนผู้โดยสารทั่วไป มีผู้เสด็จตามเป็นผู้หญิงสองคนเท่านั้น

ไม่มีการกันคน ไม่มีการห้ามใคร ไม่มีการปิดขบวนอะไรทั้งสิ้น เมื่อเสด็จขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว แต่ปรากฏว่ารถขบวนนั้นที่นั่งเต็ม พระองค์ท่านก็ทรงยืนเกาะราว

รถไฟฟ้าเหมือนสามัญชนทั่วไป จนกระทั่งมีผู้โดยสารจำพระองค์ท่านได้ ก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้ทรงนั่ง พระองค์แย้มพระสรวลและรับสั่งขอบใจก่อนทรงนั่งที่ของคนนั้น

คนนั้นก็นั่งลง(กับพื้น) พอมีคนเห็นคนนั่งลงกับพื้น ทุกคนในรถไฟฟ้าจึงรู้ว่าพระองค์เสด็จ จึงนั่งกันหมด ขนาดเด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวกางเกงจะหลุดก้นพอเห็น

พระองค์ก็นั่งยองๆ กับพื้นแล้วยกมือไหว้กันทุกคนไป เป็นที่ปลาบปลื้มของผู้ที่อยู่ในรถไฟฟ้าตู้นั้นมาก ทรงแย้มพระสรวล...ตลอดเวลา

เมื่อทรงซื้อหนังสือเสร็จก็เสด็จพระราชดำเนินกลับด้วยรถไฟฟ้าลงสถานนีสยามแล้วทรงพระดำเนินกลับวังสระปทุม

เรารักในหลวง2

(เป็นเรื่องที่ส่งๆ ต่อๆ กันมาทางเมลล์ครับ)

คิดว่ายังไม่ค่อยมีคนได้เห็น

เคยมีเรื่องเล่าว่า
มีเด็กคนหนึ่งรับของแจกมา
วิ่งกลับมาหาแม่ แม่ถามว่า " เอามาจากไหน ใครให้ "
เด็กก็ชี้มาที่ พระเทพ แล้วบอกว่า " ป้าคนนั้นให้มา "


ท่านยังทรง พูดเล่น ขึ้นมาว่า เราเป็นป้าแล้ว แล้วก็ทรงหัวเราะ
(ไม่รู้คำราชาศัพท์)

ในสายตา ทรงงดงามมาก.....

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:21:25 ]



...............[30] - 67

เรื่อง : ทุกข์ยามดึก

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์
ผู้อำนวยสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข

.....การที่ได้ทรงพระกรุณารับฟัง และติดต่อทางวิทยุตำรวจเป็นประจำ ... จึงทรงทราบความลำบาก
ความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ... ตำรวจประจำตู้ยามบางคนคับแค้นใจ
เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ปัญหาการครองชีพ เมื่อเสพสุราแล้วครองสติไม่ได้
ไม่รู้จะระบายความในใจกับใคร จึงได้พล่ามบรรยายมาทางวิทยุ บางคนหลับยามไม่พอ กดคีย์ไมโครโฟนค้าง
ทำให้มีเสียงกรนออกอากาศมาด้วย บางคนตะโกนร้องเพลงลูกทุ่ง ออกอากาศมาเป็นการแก้เหงา ก็มี..

ที่จัดได้ว่าโชคดี คือ ศูนย์ควบคุมข่ายตำรวจแห่งชาติ " ปทุมวัน " กล่าวคือ
ในยามดึกวันหนึ่ง พนักงานวิทยุคนหนึ่งได้ระบายความเดือดร้อน
เนื่องจากหิวโหยไม่สามารถ หาอาหารรับประทานได้ เพราะต้องเข้าเวร
เมื่อทรงรับฟังแล้วทรงสงสาร จึงได้รับสั่งทางวิทยุ กับผู้เขียน
ในฐานะที่เป็น ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นโดยตรงว่า

" โปรดเกล้าฯ พระราชทานตู้เย็นเพื่อ เก็บอาหารสำรอง สำหรับเวรยามดึกให้ 1 ตู้ ...... "

ที่มา : บทความ " พระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร " โดย พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:25:53 ]



...............[31] - 68

เรื่อง : ความลับในหลวง ที่ชาวไทยอยากรู้

        รองราชเลขาธิการเผยความลับในหลวงที่คนไทยอยากรู้ จากพิธีเปิด
นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

        งานเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เรื่องพระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีการเสวนาเฉลิมพระเกียรติหัวข้อ

" เรื่องที่คนไทยอยากรู้ "

จาก ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ และนางปิยะนุช นาคคง
ผอ.พิพิธภัณฑ์ของจิ๋ว เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมี นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.กระทรวงวัฒนธรรม
และประชาชนกว่า 200 คนร่วมฟัง ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้

* ผู้ดำเนินการเริ่มโหมโรงที่
พระเกศาที่หลายคนสงสัยว่าทรงตัดแล้วจะนำไปไว้ที่ใด ?

- ปรากฏว่าเก็บไว้ที่ธงเฉลิมพล เพื่อมอบให้แก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

* จากนั้นผู้ดำเนินรายการถามว่า
พระเจ้าอยู่หัวโปรดรายการโทรทัศน์ช่องไหน ?

- รองราชเลขาธิการตอบว่า ท่านทรงข่าวสัญญาณฝรั่งเศสของยูบีซี
ที่ทราบเพราะก่อนหน้านี้ยูบีซีเคยจะถอดรายการดังกล่าวออก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ติดต่อไปว่า

" อย่าพึ่งถอด เพราะในหลวงโปรด "

นอกจากนี้ ท่านยังรับฟังข่าวด้านอื่น ๆ ด้วย แต่โทรทัศน์เป็นเรื่องรอง
เพราะให้ความสำคัญกับวิทยุเป็นหลัก จากที่ทราบมาในหลวงเคยทรงโทรศัพท์
รายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ใน กทม. ไปที่ จส. 100 ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

* ผอ.พิพิธภัณฑ์ของจิ๋วในฐานะผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า
ท่านโปรดเสวยอะไร ?

- ท่านผู้หญิงบุตรีกล่าวว่า ท่านทรงเพ้อระหว่างประชวร ว่าต้องการเสวยหูปลาฉลาม
และต้องไม่ใส่ผงชูรส เพราะท่านแพ้ แต่ก็ไม่ถึงกับขาดไม่ได้
สมัยก่อนรัฐบาลห้ามนำของดังกล่าวเข้ามา ท่านก็ไม่เสวย
จนกระทั่งปัจจุบันกลุ่มกรีนพีซออกมาต่อต้านว่า ปลาฉลามถูกฆ่าจำนวนมาก ท่านก็เลิกเปลี่ยนไปเสวยปลาแทน

ท่านผู้หญิงบุตรียังกล่าวว่า
ระหว่างที่ท่านทรงรักษาพลานามัย ได้ประทับที่พระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
เพราะราชดำเนินได้สะดวกในที่ราบ แตกต่างจากสวนจิตรลดาที่มีนกอีกาจำนวนมาก
ประกอบกับมีไข้หวัดนกระบาด นอกจากสภาพแวดล้อมดีกว่า
ยังสามารถเล่นกับสุนัขทรงเลี้ยงได้ด้วย พร้อมกับคณะแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด

* ผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า
นอกจากคุณทองแดง และลูกๆ พระเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยงสัตว์อื่นหรือไม่ ?

- ท่านผู้หญิงบุตรีกล่าวว่า คิดว่าไม่มี แต่ก่อนท่านทรงโปรดคุณวานร ซึ่งมีนิสัยดุ
เมื่อสิ้นคุณวานร ท่านก็ไม่ได้เลี้ยงสุนัขกว่า 10 ปี จนมาพบคุณทองแดง
ทั้งนี้ หลายคนอาจหมั่นไส้ ว่าทำไมสุนัขต้องเรียกคุณ ตนอยากเรียนว่า
ของในวังมีราชาศัพท์หมด คุณที่ใช้เรียกนำหน้าสุนัขเป็นศัพท์ที่ในวังเรียกกัน

* จากนั้นผู้ดำเนินรายการก็เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถาม

คำถามแรก คือ
พระเจ้าอยู่หัวทรงตักเตือนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร หรือไม่ ?

- ท่านผู้หญิงบุตรีกล่าวว่า เนื่องจากพระบรมฯ เป็นพระโอรสองค์เดียว จึงซนมาก
เวลาที่ทำโทษท่านทรงใช้เข็มขัดเฆี่ยนบ้างในบางครั้ง
แต่เมื่อพระบรมฯ อภิเษกสมรสก็ทรงเลิกสั่งสอน พร้อมตรัสว่า
พ่อแม่จะวางมือเพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว

* จากนั้นได้ถามต่อว่า
ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้กี่ประเภท ?

- ท่านผู้หญิงบุตรีกล่าวว่า ถ้าเป็นดนตรีสากลได้ทุกประเภท โดยเฉพาะแซ็กโซโฟน
เป็นเครื่องดนตรีที่โปรดเป็นพิเศษ ส่วนดนตรีไทย ตนไม่เคยเห็น แต่ถ้าเป็นพระเทพฯ แน่นอน

* ผู้ร่วมงานถามต่อว่า
จดหมายประชาชนส่งถึงในหลวงถึงมือท่านทุกฉบับหรือไม่ ?

- รองราชเลขาธิการกล่าวว่า ส่วนใหญ่ถึงมือทุกฉบับ แต่ถ้าไม่เหมาะสมก็ไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสท์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:35:24 ]



...............[32] - 69

.... ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่า พระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใด
ที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรง " ครองใจคน "

                              หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

ขอขอบคุณ : คุณ ลูกโป่งฟ้า (สมาชิกของพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:44:24 ]



...............[33] - 70

เรื่อง " เดิมพันของเรา "

ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

" เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่ "

ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า

" ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้
เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง
คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ "

                               ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบับ 5 ธ.ค. 32

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:46:31 ]



...............[34] - 71

เรื่อง " ราษฎรยังอยู่ได้ "

ปีพุทธศักราช 2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์
ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎร ในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง
อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น

ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูล
ขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ

" ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้
แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ "

                     ข้อมูลจากคำอภิปรายเรื่อง " พระบิดาประชาชน "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:49:05 ]



...............[35] - 72

และมีอีกหนึ่งพระกระแสพระราชดำรัส ที่เป็นคำตอบว่า เหตุใดจึงไม่อาจหยุดทรงงานได้

" คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก
ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้ "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:51:37 ]



...............[36] - 73

เรื่อง " เขาเดินมาเป็นวัน ๆ "

...มีอยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จ...ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรมาเรื่อย ๆ

ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหม นานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด
ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง ก็โดนกริ้ว

" นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว
แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว.."

                       พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค. 2534

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:54:24 ]



...............[37] - 74

เรื่อง " ดอกบัวจากหัวใจ "

ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร - เรณูนคร
บ่ายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์
ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญ ที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ

ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ

วันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร
เสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่ง
กลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น

ดังเช่นครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลานช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี
ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพู
ให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด

เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย
แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า
แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้น ขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง
พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า
ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอย่างอ่อนโยน

เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย
ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

เช่นเดียวกับที่ ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น
หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า

" หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวัง
ได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนม ให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก "

พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีก ด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม ๆ

แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี

ข้อมูลจาก " แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ " ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 12:58:08 ]



...............[38] - 75

เรื่อง " ต่อไปจะมีน้ำ "

บทความ " น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา "
เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.2528

ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึงเรื่องอัศจรรย์ของ " ในหลวง " กับ " น้ำ "
ที่เกิดขึ้นในคำวันหนึ่งของเดือน ก.พ. 2528

ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก
หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า

" ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้ "

แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่ง
ซึ่งจอดห่างออกไปราว 5 เมตร ปรากฎว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง
จู่ ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตาม ๆ กัน

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 13:03:33 ]



...............[39] - 76

เรื่อง " เก็บร่ม "

การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง
ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหน ก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน

ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ " พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อำเภอท่ายาง "
ตีพิมพ์ในหนังสือ " 72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์ " ว่า

ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง
ปรากฎว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จ
ต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์
นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตามเสด็จ ได้เข้าไปกางร่มถวาย
ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎร
ที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน

" จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชองครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยม
ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ โดยทรงเปียกฝน
เช่นเดียวกับข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ วันออกพรรษา 13:06:10 ]



...............[40] - 86

เรื่อง " สิ่งที่ทรงหวัง "

ครั้งหนึ่งขณะเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่ง ได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์
และได้กราบบังคมทูลถามว่า

การที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎร และมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้น
ทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งตอบว่า

" มิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่
แต่ทรงสนพระทัยว่า ประชาชนของพระองค์ จะหิวน้อยลงหรือไม่ "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. รูปนี้ถ่ายโดย พ่อหลวง ของเราเมื่อ April 20, 1950.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 19:07:25 ]



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #2 on: 15 October 2021, 17:27:20 »


...............[41] - 87

เรื่อง " รักถึงเพียงนี้ " และ " จุดเทียนส่งเสด็จ "

บทความชื่อ " แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส " ตีพิมพ์ในนิตยสาร " สู่อนาคต " ฉบับพิเศษ
เนื่องในวันเฉลิมฯ ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทางภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน

โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น
เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดม
และพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลาย ๆ หมู่บ้านนั้น
แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป

ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้าน
ที่ทั้งทุกข์เพราะยากจน และทุกข์เพราะภัยคุกคาม จึงได้เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมเยียน
เป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์ โดยไม่ทรงหวาดหวั่น
บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา
และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิงตายก่อนเสด็จไปถึงเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะ ..
เข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า

" ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้ "..

บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น
โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า ..

" รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา... "

และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว โต๊ะครูกับชาวบ้าน
ก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย
ด้วยความห่วงใยใน " รายอ " และ " ประไหมสุหรี " หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. รูปนี้ถ่ายโดย พ่อหลวง ของเราเมื่อ May 8, 1950.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 19:39:22 ]



...............[42] - 89

เรื่อง " รถติดหล่ม กับ ถนนสายนั้น "

หากย้อนกลับไปค้นหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจ ในด้านการพัฒนาแล้ว
ชื่อของ " ลุงรวย " และ " บ้านห้วยมงคล " คือสองชื่อที่ลืมไม่ได้

เรื่องราวของ " ลุงรวย " เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2495 หรือ มากกว่าห้าสิบปีล่วงมาแล้ว
ที่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กใน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

บ้านห้วยมงคลนี้อยู่ทั้ง " ใกล้และไกล " ตลาดหัวหิน
ใกล้เพราะระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่กี่กิโลเมตร
แต่ไกลเพราะไม่มีถนน หากชาวบ้านจะขนพืชผักไปขายที่ตลาดต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ

ห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้ แต่วันหนึ่งกลับมีรถยนต์คันหนึ่งมาตกหล่ม
อยู่ที่หน้าบ้านลุงรวย เมื่อเห็นทหารตำรวจกว่าสิบนายระดมกำลังกัน
ช่วยรถคันนั้นขึ้นจากหล่ม ลุงรวยผู้รวยน้ำใจสมชื่อก็กุลีกุจอออกไปช่วย
ทั้งงัด ทั้งดัน ทั้งฉุด จนที่สุดล้อรถก็หลุดจากหล่ม

เมื่อรถขึ้นจากหล่มแล้ว ลุงรวยจึงได้รู้ว่ารถคันที่ตัวทั้งฉุดทั้งดึงนั้น
เป็นรถยนต์พระที่นั่งและคนในรถนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินีนาถ

แม้จะตื่นเต้นตกใจที่ได้เฝ้าฯ ในหลวงอย่างไม่คาดฝัน แต่ลุงรวยก็ยังจำได้ว่าวันนั้น
" ในหลวง " มีรับสั่งถามลุงว่า หมู่บ้านนี้มีปัญหาอะไรบ้าง..

ลุงได้กราบบังคมทูลว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ ไม่มีถนน
จึงนอกจากจะโชคดีได้รับพระราชทาน " เงินก้นถุง " จำนวน 36 บาท
ซึ่งลุงนำไปเก็บใส่หีบบูชาไว้เป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้แล้ว

อีกไม่นานหลังจากนั้น ลุงรวยก็ได้เห็นตำรวจพลร่มกลุ่มหนึ่งเข้ามา
ช่วยกันไถดินที่บ้านห้วยมงคล และเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ชาวบ้านก็ได้ถนนพระราชทาน

" ถนนห้วยมงคล " ที่ทำให้ชาวไร่ห้วยมงคลสามารถขนพืชผักออกมาขายที่ตลาดหัวหินได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. The location is near Lausanne, Switzerland
      In this picture, Her Majesty the Queen, then Mom Rajawongse Sirikit, was 17 years old


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 19:48:46 ]



...............[43] - 90

เรื่อง " สามร้อยตุ่ม "

มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัด
บริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่าง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่
อยู่ภายใต้แสงไฟฉาย ที่มีผู้ส่องถวายอยางไม่สะดุ้งสะเทือน
อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น

ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง " ยุง " ด้วยพระอารมณ์ขันว่า

" ..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง
มองเห็นเป็นตุ่มแตง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.. "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. In 1960


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 19:55:32 ]



...............[44] - 92

เรื่อง " น้ำท่วมครั้งนั้น "

วันที่ 7 พ.ย. 26 ขณะที่ชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่ง กำลังทนทุกข์หนักกับสภาพน้ำท่วมขัง
น้อยคนที่จะรู้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพยายามหาหนทางบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ

วันนั้นรถพระที่นั่งแวนแวคคอนเนียร์ แล่นออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ราวบ่ายสองโมงเศษ สู่ถนนศรีอยุธยาเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี มุ่งสู่ถนนบางนาตราด

ไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีการปิดถนน แม้แต่ตำรวจท้องที่ก็ไม่ทราบล่วงหน้า

รถยนต์พระที่นั่งชะลอเป็นระยะ ๆ เพื่อทรงตรวจดูระดับน้ำ
จนเมื่อถึงคอสะพานสร้างใหม่ที่คลองลาดกระบัง
จึงเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งเพื่อทรงหารือกับเจ้าหน้าที่ที่ตามเสด็จ

ทรงฉายภาพด้วยพระองค์เอง ทรงกางแผนที่ทอดพระเนตรจุดต่าง ๆ จนถึงเวลาบ่ายคล้อย
รถยนต์พระที่นั่งจึงแล่นกลับ เมื่อถึงสะพานคลองหนองบอน
รถพระที่นั่งหยุดเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉายภาพ
บริเวณน้ำท่วมและทรงศึกษาแผนที่ร่องน้ำอีกครั้ง

ปรากฎว่า ชาวบ้านทราบข่าวว่า " ในหลวงมาดูน้ำท่วม " ต่างก็พากันมาชมพระบารมีนับร้อย ๆ คน
จนทำให้การจราจรบนสะพานเกิดการติดขัด

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงโบกพระหัตถ์ให้รถขบวนเสด็จ ผ่านไปจนเป็นที่เรียบร้อยด้วยพระองค์เอง

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. This Photograph was taken without a flash in 1960


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:07:27 ]



...............[45] - 93

เรื่อง " เชื่อมั่น "

เย็นย่ำแล้ว แต่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ
ทรงแวะฉายภาพบริเวณคลองตัน ทอดพระเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก

เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงทรงนำไฟฉายส่วนพระองค์ ออกมาส่องแผนที่ป้องกันน้ำท่วมและแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน

กลายเป็นอีกภาพหนึ่ง ที่สร้างความตื้นตันใจ แก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง

ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า

" รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร
เสด็จฯ มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง พวกเราถึงจะทนทุกข์
เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานาน ก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. London 1966


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:10:23 ]



...............[46] - 94

เรื่อง " She's my smile "

เคยอ่านบทสัมภาษณ์ที่ในหลวงให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อครั้งเดินทางไปที่อเมริกา ว่า

เพราะเหตุใด พระองค์ถึงไม่ทรงยิ้มหรือพระสรวลบ้างเลย เวลาให้สัมภาษณ์กับนักข่าว

พระองค์ทรงชี้ไปที่พระราชินีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พระองค์ พร้อมกับตอบคำถามที่นักข่าวคนนั้นถามว่า

" She's my smile "

เมื่อนักข่าวมองไปที่พระราชินี ท่านก็ทรงยิ้มให้กับนักข่าวต่างประเทศเหล่านั้น

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:13:06 ]



...............[47] - 95

เรื่อง " ฉันทนได้ "

ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หักเฉียดโพรงประสาทฟัน พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน
แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน

เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า

" จะใช้เวลานานเท่าใด "

ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1 - 2 ชม.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า

" ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. London 1966


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:15:34 ]



...............[48] - 96

เรื่อง " คำสอนประโยคเดียว "

เมื่อนิตยสาร " สไตล์ " ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล
ถึง " คำสอน " ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ
ดร.สุเมธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร.

ตอบว่า คำสอนประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า

" มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. London 1966


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:18:22 ]



...............[49] - 97

เรื่อง " ดีใจที่สุด "

สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์มืดมน พระบรมฉายาลักษณ์ไม่เพียงเป็นรูปเคารพบูชา
แต่ยังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่ช่วยให้มีแรงต่อสู้กับความทุกข์ต่อไปได้
ดัง คุณยายละเมียด แสงเนียมวัย 72 ปี ชาวจังหวัดชุมพร
ผู้ที่เผชิญกับอุทกภัยภาคใต้ในปี 2540 น้ำท่วมบ้านสูงมากจนอยู่อาศัยไม่ได้

" อยู่ ๆ น้ำก็ท่วมมาเร็วมาก ยายต้องไปขออาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่
ต่อมาก็ขึ้นไปอยู่ชั้นบน ออกไปไหนไม่ได้เลย
...พอดีที่บ้านนี้เขาปลูกมะละกอ ต้นมันสูงมาถึงหน้าต่างเราก็เอื้อมถึงพอดี
เลยได้กินข้าวกับมะละกอ ก็กินมาสามวัน มาเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านมาบอก
มูลนิธีในหลวงจะเอาของมาแจกยายคิดเลยว่า ไม่อดตายแล้ว
ทุกครั้งที่คนไทยเดือดร้อน ในหลวงจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง

ของที่ยายได้มา ที่ดีใจที่สุดคือมีรูปของท่านมาด้วย ที่บ้านเสียหายหมดแล้ว ยายจะเอารูปท่านไว้บูชา

ยายพูดแล้วก็ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักสุดหัวใจ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. London 1966


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:26:13 ]



...............[50] - 98

เรื่อง " ทุกข์บรรเทา "

การ " ประทับอยู่ในบ้านเมือง " ดังพระราชดำรัสนั้น ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่า
มิได้หมายถึงการประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์
จนแทบจะทั่วทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้

ทรงวิทย์ แก้วศรี ผู้เรียบเรียงบทความ " บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ "
บันทึกไว้ว่า วันที่ 13 ก.ย 2497 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา และทรงครองราชย์เป็นปีที่ 8

ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้งร้ายแรงขึ้น ที่อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยือน
ราษฎรชาวบ้านโป่งผู้ประสบภัยในพื้นที่ ทรงทอดพระเนตร
บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของบรรเทาทุกข์

ทุกข์ในยามยากเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากภัยเพลิงนั้นมากล้น
แต่ เมื่อได้รู้ว่ายังมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจ ทุกข์สาหัสแค่ไหนก็ยังพอมีแรงกายลุกขึ้นสู้ต่อได้

การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัยในครั้งนั้น
นับได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. London 1966


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:30:00 ]



...............[51] - 99

เรื่อง " 141 ตัน "

เป็นที่รู้กันดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตร
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอ
ที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ

ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตร กลายเป็นของล้ำค่า
ที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ
ของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา

จน 29 ปีต่อมามีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่า พระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้น
เป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย หนังสือพิมพ์ลงว่า
หากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม.
เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง
น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ยังเล่าเสริมให้เห็น
" ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ " ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า

.." ไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา
โบว์หลุด อะไรหลุด พระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย
บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. Winter Time At Chitralada Villa, Dusit Palace


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:33:23 ]



...............[52] - 100

เรื่อง " สุขเป็นปี ๆ "

ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้กราบบังคมทูล ขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ
พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตร
ในระดับป.ตรี คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า

" พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6 - 7 วินาทีนั้น
แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย "

ที่สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี นั้นสำคัญ
เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก

ดังนั้น

" จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง.. "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ผมอ่านตั้งไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่ทุกครั้งที่เอาเรื่องราวทุก ๆ เรื่องมาโพส มักจะเรียกน้ำตาผมได้ทุกครั้งสิ พรุ่งนี้มาต่อนะครับ

ปล.2 King Ananda and the Carbon Microphone
  May 5, 1946, His Majesty King Ananda paid a visit to Samut Prakarn.
He was greeted by a large number of well wishers.
  His Majesty addressed the crowd by using a carbon microphone
which was quite a modern contraption at the time. This photograph
shows clearly His Majesty King Ananda and the carbon microphone.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 28 ต.ค. 50 20:42:52 ]



...............[53]

ขอออกตัวก่อนนะคับว่า รูปหลาย ๆ รูป ผมได้นำมาจากเว็บต่าง ๆ เซฟ ๆ ไว้ในคอมบ้าง
ไปโพสไว้ในกระทู้โน้นกระทู้นี้บ้าง และคำอธิบายรูปก็มาเป็นภาษาอังกฤษ
ผมไม่ได้อวดภูมิพิมพ์เองนะคับ อิอิ
อ้อ อีกอย่าง เว็บพันทิปห้องสยาม ได้มีระบบลบความเห็น ที่มีคำบางคำ
จากการที่ผมโพส ๆ แล้วถูกลบไปหลายความเห็นทำให้เริ่มทราบคำที่ต้องห้าม

เช่น - พระมหา.... [คำใน...ที่แปลว่า พระราชา] <= คำนี้ทำให้ความเห็นโดนลบไปอื้อเลย และความเห็นที่ 107 ก็ด้วย
     - พระนามท่านเป็นภาษาอังกฤษ

ฉะนั้น ถ้าในความเห็นล่าง ๆ จะมีคำอธิบายรูปเป็นภาษาอังกฤษ ก้อให้เข้าใจตามกันนะคับว่า
นำมาจากเว็บที่ผมไปเจอมา เผื่อคนที่อยากรู้ว่า รูปนี้พระองค์ทรงถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไร

อิอิ

จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 18:25:32 ]

ฉะนั้นต่อไป ผมจะแทนคำว่า " พระมหา...... " ด้วยคำว่า " พระราชา " แทนนะครับ



...............[54] - 109

เรื่อง " พระราชา "

เมื่อมีผู้สื่อข่าว bbc ขอพระราชทานสัมภาษณ์เพื่อประกอบภาพยนตร์
เรื่อง The Soul of Nation ในปี 2522 โดยได้กราบบังคมทูลถาม
ถึงพระราชทัศนะเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระราชาไทย
พระองค์ได้พระราชทานคำตอบว่า

" การที่จะอธิบายว่า พระราชา คืออะไรนั้น ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร
โดยเฉพาะในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่า พระราชา
แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้ว ดูจะห่างไกลจากหน้าที่ที่พระราชาที่เคยรู้จักหรือเข้าใจกันมาแต่ก่อน

หน้าที่ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนั้น ก็คือทำอะไรก็ตาม ที่เป็นประโยชน์
ถ้าถามว่า ข้าพเจ้ามีแผนการอะไรบ้างในอนาคต คำตอบก็คือไม่มี
เราไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
เราก็จะเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับเรา "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ 

เรารักในหลวง9

ps. In His Majesty's Hands
  On September 12, 1962 at the Thai Embassy in Australia, many Thais turned up
to greet His Majesty. His Majesty allowed them to stand around him, and then
His Majesty used a camera with a wide angle lens to take photographs with unusual angles.
  His Majesty placed the camera on the table to take this photograph.
Because the camera was close to His Majesty, a 'fish eye' lens was used.
The angle of this photograph was so wide that both His Majesty's hands
were visible. Apart from being artistic, this photograph also captured
His Majesty's intention of holding all the people in his hands.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 20:13:47 ]



...............[55] - 110

เคยอ่านเจอในหนังสือ...

มีครูประถมท่านหนึ่งถามเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งว่า

“ นอกจากพ่อแม่แล้วรักใครอีกบ้าง ”

เด็กตอบว่า ” รักในหลวง ”

ครูถามต่อไปว่า ” ถ้าในหลวงทรงมีอันตราย เธอจะทำยังไง ”

เด็กคนนั้นตอบทันทีโดยไม่คิดว่า “ จะยอมตายเพื่อในหลวง ”

ครูอึ้ง ๆ แล้วถามว่า “ ถ้าก่อนตาย เธอได้พูดกับในหลวง เธอจะพูดอะไรกับพระองค์ท่าน ”

เด็กคนนั้น นิ่งสักพัก ก่อนตอบว่า “ ขอทรงพระเจริญ ”

ครูคนนั้น น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่ถามอะไรอีก...

ผู้โพส : Yimie (สมาชิกชาวพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 21:29:31 ]



...............[56] - 111

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ดิฉันเองมีเรื่องเล่าจากคุณแม่ค่ะ

ตอนที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์สร้างเสร็จ ทรงพระกรุณาพระราชทานเลี้ยง
แก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่และใกล้เคียง
เนื่องด้วยข้าราชการส่วนใหญ่ก็เกรงพระบารมีอยู่แล้ว
มารยาทในโต๊ะอาหารที่ต้องระวังอีกเล่า การร่วมโต๊ะเสวยจีงค่อนข้างจะประหม่า และเกร็งกันทุกท่าน

รายการอาหารวันนั้น ก็มีอาหารเมืองเหนือขี้นโต๊ะเสวยด้วย
ระหว่างรับประทาน ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งหยิบแคบหมูใส่ปาก
พอเคี้ยวเสียงดัง " กรอบ " เสียงค่อนข้างดังทีเดียว

ในท่ามกลางความเงียบในที่นั้น ผู้รับประทานอายหน้าแดง ในความรู้สึกคงแทบมุดโต๊ะ
พระองค์ท่านผู้เป็นเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของพวกเรา
ทรงหยิบแคบหมูใส่พระโอษฐ์ และทรงเคี้ยวเสียงดัง " กรอบ " เช่นเดียวกับข้าราชการท่านนั้น....
...ทรงช่วยแก้หน้าให้ท่านผู้นั้น.....
...พระองค์ท่านทรงเอาใจใส่แม้สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ.....

ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานอภัยโทษหากใช้ราชาศัพท์มิถูกต้อง
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ผู้โพส : จุดตานิด (สมาชิกชาวพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. August 21, 1981 at Chitralada Villa, Dusit Palace.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 21:34:41 ]



...............[57] - 112

2 ปีที่ไปอยู่หัวหิน.....บอกตามตรงเลยว่า รู้สึกมีบุญมาก ๆ ๆ เลย....

เคยเจอขบวนเสด็จท่านหลายครั้ง....

แต่มีครั้งนึงที่ยังจำได้...และขนลุกทุกที ที่นึกได้....

วันนั้นออกไปทานข้าวแถว ๆ ๆ วังไกลกังวล...

เห็นตำรวจยืนอยู่หน้าวัง ก้อพอจะรู้ว่าเดี๋ยวจะต้องมีขบวนเสด็จ...

แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจไรมาก....จนรถนำขบวนเริ่มวิ่งมา...

ในใจไม่ได้คิดว่า จะเป็นขบวนของท่านหรอก แต่ก้ออกไปยืนที่ริมถนน...

ช่วงที่เงยหน้ามา....ท่านนั่งประทับอยู่บนรถ แล้วหันมาทางเราแล้วยิ้ม....ตอนนั้นยืนอยู่คนเดียวพอดีเลย....

เราก้อตกใจใหญ่ รีบยกมือไหว้....แล้วรถพระที่นั่งก้อผ่านเราไป....

อยากบอกว่า ตอนนั้นรถพระที่นั่งวิ่งค่อนข้างช้า เพราะใกล้ถึงวังแล้ว...ทำให้เรามองเห็นท่านได้อย่างชัดเจน....


.....เป็นรอยยิ้ม ที่เราจะจดจำไปชั่วชีวิตเลย......

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.....

ผู้โพส : oldrose (สมาชิกชาวพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 21:37:47 ]



...............[58] - 113

เรามีโอกาสได้เข้าเฝ้าแบบใกล้ชิดมาก ๆ ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
เนื่องในงานพระบรมศพสมเด็จย่า เป็นภาพที่ตรึงในหัวใจตลอดถึงทุกวันนี้
และถือเป็นมงคลในชีวิตรวมทั้งวงศาคณาญาติของเราด้วย

ป้ายรถเมล์ที่สนามหลวง วันนั้นฝนตกหนักมาก ตัวเราเปียกมะล่อกมะแล่ก
รองเท้าเปื้อนโคลน หอบหนังสือหลายเล่ม เพราะเพิ่งกลับจากเรียน

สักพักถนนเงียบ และมีขบวนรถพระที่นั่งแล่นผ่าน มุ่งสู่พระบรมมหาราชวัง
เราตั้งสติได้วิ่งตามขบวนไปแบบไม่คิดชีวิต (หกล้มอีกตะหาก หนังสือกระจายเลย)
เหมือนกระทำขึ้นจากสัญชาตญาณที่ฝังลึก เพื่ออยากจะเข้าเฝ้าสักครั้ง

เมื่อเราถึงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง
กำลังจัดคนขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ส่วนเราไปเป็นคนสุดท้ายและต่อแถวหลังสุด
เจ้าหน้าที่บอกว่าเราแต่งตัวไม่สุภาพ (ก็ไม่สุภาพจริง ๆ นี่หน่า)
แบบว่าใส่กางเกงเปื้อนโคลน หอบหนังสือ ตัวเปียก เขาไม่อนุญาตให้ขึ้นล่ะ

ทำไงดี ใจก็คิดว่าถ้าเราแอบขึ้นไปจะโดนประหารเหมือนในหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ หรือเปล่านะ
แต่เป็นไงเป็นกันด้วยความฉลาดแกมโกง พอเจ้าหน้าที่ท่านนั้นเดินไป
ประกอบกับกลุ่มของเราจ่อแถวตรงประตูมหาปราสาทนั้น เราจึงรีบวิ่ง(อีกแล้ว)
ทันกลุ่มก่อนที่ประตูจะปิดลง และก่อนที่เจ้าหน้าที่จะปรามเราพอดี

ในมหาปราสาทเหมือนตัวเองขึ้นสวรรค์เลยค่ะ ตัวลอย ๆ เหมือนไร้ความรู้สึก
สักพักเราเห็นล้นเกล้าฯ ของเราทั้งสองพระองค์ ประทับพระราชอาสน์
และทอดพระเนตรมายังกลุ่มของเราด้วย ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ตัวสั่น ที่สำคัญเรากำลังจะร้องไห้ค่ะ

ที่ร้องไห้ประกอบด้วยสองอารมณ์ คือ เราสูญเสียสมเด็จย่าของพวกเราทุกคนไปแล้ว
และอีกอารมณ์ เบื้องหน้าในตอนนี้ คือ ในหลวงของเรา ประมุขของเรา ซึ่งเรารักและสามารถตายแทนได้

เจ้าหน้าที่ให้กราบพระพุทธรูปพระชนมวาร กราบสมเด็จย่าในพระบรมโกศ
และจึงหันมากราบถวายบังคมในหลวงและสมเด็จ เนื่องจากเราอยู่ท้ายที่สุดของกลุ่ม
อีกทั้งจิตใจเราก็ล่องลอยไร้สติ พอรู้ตัวอีกทีเราอยู่แทบพระบาทแล้ว !

เรามองล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ พระฉวีของในหลวงมลังเมลือง
พระพักตร์สีชมพูและดูเหมือนแดดเผาเล็กน้อย ส่วนพระฉวีของสมเด็จเป็นสีเหลืองทองอร่ามเหลือเกิน

ช่วงนี้ตัวชามาก ๆๆๆๆๆ เราจำแบบเหมือนในฝันนะคะว่า
ในหลวง พูดว่า ขอบใจนะที่มางานศพแม่ของเรา (ประมาณนี้นะคะ)
ขนลุกซู่ เราจำได้ว่าร้องไห้อ่ะค่ะ ร้องอย่างเดียว เราเหลือบมองสมเด็จท่านก็ทรงยิ้มให้เราด้วย

เหมือนเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังมาสะกิดเรา ให้ถวายบังคมลาได้แล้ว

หลังจากวันนั้น เราเล่าให้แม่และญาติของเราฟังทุกคน พลอยยิ้ม พลอยร้องไห้ไปกับเราด้วย

หากพระองค์ทรงเจ็บ ก้อนดินก้อนนี้จะขอให้ความเจ็บนั้นเกิดขึ้นแก่เรา
หากพระองค์ทรงเหนื่อย เราอยากจะเป็นลมพัดให้พระองค์บรรทมอย่างสบาย

หากมีแม้สักครั้งที่ทำให้พระองค์ทรงขุ่นข้องหมองพระราชหฤทัย ธุลีเล็ก ๆ คนนี้ขอรับไว้ให้ตกแก่เรา

ข้าพระพุทธเจ้า รักใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาก ๆ พรและบุญที่ได้สั่งสมมาให้เกิดแก่ตัว
ขอน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระองค์ทั้งหมดเทอญ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

จากคุณ : biebie999 (สมาชิกบัตรผ่านของพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 21:42:18 ]



...............[59] - 114

ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วขณะที่ “วาเด็ง ปูเต๊ะ” ผู้เฒ่าวัย 70 ปี
แห่งบ้านบาเลาะ ต. ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการดูแลต้นทุเรียนและลองกองในสวน
ช่วงเวลาใกล้ค่ำได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หนึ่งในจำนวนนั้น
ได้กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แต่ตัวผู้เฒ่าเองกลับรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

ผู้เฒ่าเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา และบอกกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้
ในการสร้างอาคารกั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี

“ ตอนนั้นเป๊าะทราบแล้วว่าเป็นในหลวง แต่จะเข้าไปใกล้ ๆ ก็ไม่กล้า
เพราะว่านุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ พอเข้าไปใกล้ ๆ
ในหลวงก็บอกว่า จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น
เป๊าะก็ดีใจมาก คุยกันเยอะ ท่านถามว่าถ้าขุดคลองสายทุ่งเค็จนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน
เป๊าะบอกท่านว่าคลองเส้นนี้ มีที่ดินติดเขต ต.แป้น ทางเหนือขึ้นไปสุดที่ อ.ศรีสาคร
ในหลวงถามต่อว่า ถ้าไปออกทะเลจะมีกี่เกาะ เป๊าะก็ตอบท่านไปว่ามี 4 เกาะ
ท่านก็ชมว่า เก่ง สามารถจำทุกที่ที่ผ่านไปได้ แล้วท่านก็เปิดดูแผนที่ที่นำมาด้วย
แล้วบอกว่า เป๊าะรู้จริง ไม่โกหก ทุกสิ่งที่เป๊าะบอกมีอยู่ในแผนที่ของพระองค์แล้ว ”

เป๊าะเด็งในวัย 90 ปีทบทวนความทรงจำด้วยแววตาสดชื่น

“ ในหลวงคุยกับเป๊าะเป็นภาษามลายู ท่านพูดมลายูสำเนียงไทรบุรี
คุยกันก็เข้าใจเลยพอเจอกันบ่อย ๆ คุยกัน มีความเห็นตรงกัน ท่านก็เลยรับเป๊าะเป็นพระสหาย
เป๊าะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกท่านไป ทั้งหมดเป็นความจริง พูดโกหกไม่ได้จะเป็นบาป ” เป๊าะเด็๋ง กล่าว

หลังจากได้กราบบังคมทูลเส้นทางขุดคลองในโครงการพระราชดำริแล้ว
ในครั้งนั้นผู้เฒ่าแห่งบ้านเบาะเลาะ ยังได้ถวายที่ดินเพื่อดำเนินโครงการพระราชดำริอีกด้วย
และหลังขุดคลองชลประทานดังกล่าวเสร็จแล้ว ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จฯ มาทรงงานและประทับแปรพระราชฐานที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส
เป๊าะเด็งก็จะไปเข้าเฝ้าฯ แทบทุกครั้ง หรือบางครั้งถ้าหากคิดถึงพระองค์มาก ๆ
เป๊าะเด็งก็จะไปขอเข้าเฝ้าถึงพระราชวังสวนจิตรลดา

(มีต่อ)


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 21:46:09 ]



...............[60] - 115

(ต่อ)

“ เวลาถึงหน้าทุเรียน ลองกอง จำปาดะ ก็จะนึกถึงในหลวงตลอด
ถ้าท่านมาที่นี่ ก็เอาไปถวายที่นี่ บางปีท่านไม่ได้มา เป็าะก็ส่งผลไม้ไปถวายท่าน
ทางไปรษณีย์ ส่งอีเอ็มเอสไปเลย เวลาไปส่ง เป๊าะเขียนหนังสือไม่เป็น
ก็บอกเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ว่า จะส่งของไปให้ในหลวงที่สวนจิตร เขาก็จัดการให้ ” เป๊าะเด็ง เล่าด้วยภาษามลายูผ่านล่าม

เป๊าะเด็ง บอกว่า ผลไม้ที่ส่งไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้นถึงพระหัตถ์เสมอ
เพราะทุกครั้งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า ทั้งสองพระองค์มักจะมีรับสั่งว่า

“ ขอบใจ ผลไม้ที่ส่งไปให้ ได้รับแล้ว ”

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่ง
มาเยี่ยมเยียนราษฎรที่บ้านละเวง เป๊าะเด็งก็ได้ไปเข้าเฝ้า

“ บอกท่านว่า จะเอาเงาะ ลองกองมาให้ ท่านก็บอกว่า ไม่เอา ปีนี้ผลไม้ราคาไม่ดี
ไม่มีคนเข้ามาซื้อ ลำบาก ให้เป๊าะเก็บไว้ให้ลูกหลานกินเถอะ
เมื่อวันก่อนในหลวงก็ฝากอินทผลัมมาให้ เป๊าะเองเวลามีผลไม้ดี ๆ
จะคิดถึงท่านมาก ๆ ลูก ๆ ของท่านทุกคนเวลามา เป๊าะก็ได้ไปหา ทุกคนพูดภาษามลายูได้ ”

เป็าะเด็ง เล่าว่า เสียค่าส่งผลไม้ไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งละ 1,000 กว่าบาท
เป๊าะเด็งอยากให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
ได้เสวยผลไม้ที่ส่งไปถวาย เช่นเดียวกับที่ดินที่ถวายไป เป็าะเด็งก็ไม่เคยคิดเสียดายแม้แต่น้อย
และหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระประสงค์จะใช้ประโยชน์ที่บริเวณไหน
ที่เป็นของเป๊าะเด็งแล้ว เป๊าะเด็งพร้อมที่จะทูลเกล้าฯถวายให้ทั้งหมด

(มีต่อ)


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 21:49:57 ]
 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #3 on: 15 October 2021, 17:34:54 »


...............[61] - 116

(ต่อ)

“ เมื่อในหลวงมาที่ อ.แม่ลานครั้งล่าสุด พอเจอเป๊าะก็เข้าไปกอดเลย
ไม่ได้พูดอะไรกับท่าน ท่านรู้นิสัยเป๊าะดีว่าไม่ค่อยพูดอะไร ท่านก็เรียกเป๊าะ ”

“ คิดถึงท่านที่สุดเลย ” เป๊าะเด็ง บอกผ่านล่ามเมื่อถูกถามว่า
รู้สึกอย่างไรหากไม่ได้เจอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนาน ๆ

เป๊าะเด็ง ยังกล่าวถึงปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า

“ ไม่รู้ว่าโคลนมาจากไหน ” เพราะที่ผ่านมาไทยพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ชาวบ้านด้วยกันเองไม่เคยมีความขัดแย้งแบ่งแยก แต่ปัญหานี้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
ออกไปทำมาหากินไม่ได้ ไม่กล้าออกไปทำงาน ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์รู้สึกไม่สบายใจเลย
เพราะศาสนาไม่เคยทำให้เกิดความแตกต่างหรือทำให้เกิดการแตกแยกกัน

แม้จะมีปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปพื้นที่ต่าง ๆ
แต่สำหรับความรู้สึกของชาวไทยมุสลิมอย่างเป๊าะเด็ง ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
ไม่เคยมีความรู้สึกแบ่งฝักฝ่ายและความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านทั้งไทยพุทธและมุสลิม
ในหมู่บ้านโดยเฉพาะกับคนรุ่นเก่า ๆ ยังเหมือนเดิม

“ คนที่ไม่หวังดี มีน้อย ถ้าเป็นผู้ไม่หวังดีจริง ๆ เขาจะเข้าไปอยู่ในป่า
แต่อยู่หลาย ๆ วันจะอยู่ได้ยังไง เป๊าะสงสัยจะเป็นคนอื่น คนก่อการร้ายเดี๋ยวนี้
ไม่ได้อยู่ในป่าเหมือนก่อน แต่มักจะอยู่ในตลาดไม่รู้ว่าเป็นแผนการของใคร
ปัญหานี้ชาวบ้านหนักใจ แต่ในหลวงคงหนักใจยิ่งกว่าพวกเราอีก เพราะประชาชนของพระองค์เดือดร้อน ”

เมื่อถามว่าคิดอย่างไร กับปัญหาที่รัฐอ้างว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้น
เพราะมีกลุ่มคนที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน และมีการเรียกร้องเอารัฐปัตตานีกลับคืน
เป๊าะเด็ง กล่าวว่าการนำรัฐปัตตานีคืนจะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนสามจังหวัด
จะอยู่กันอย่างแคบ ๆ ประเทศเปรียบเหมือนรั้วบ้าน อยู่ที่กว้าง ๆ กับอยู่ที่แคบ ๆ
อย่างไหนดีกว่ากัน ต้องถามชาวบ้านว่าต้องการแบบไหนดี

“ สิ่งพูดออกมาเป็นความจริงทั้งนั้น เมื่อก่อนเราจะไปไหนมาไหน
ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ทุกวันนี้จะออกไปไหนก็ไม่สบายใจ เป๊าะก็กลัว
ชาวบ้านแถวนี้ก็กลัวไม่กล้าออกไปไหน กลัวเขาซุ่มอยู่ในป่า ” เป๊าะเด็ง กล่าว

เมื่อถามว่าเขาที่ว่านี้เป็นใคร ? คำตอบสั้น ๆ ที่ได้รับจากผู้เฒ่าใจดีคนนี้คือ

“ ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ารู้ก็จะไปบอกในหลวง ”

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พรุ่งนี้มาต่อนะครับ พอดีวันนี้ไม่ค่อยว่างเลย


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 29 ต.ค. 50 21:53:53 ]



...............[62] - 121

ขออนุญาต คุณ กวง นิดหนึ่งค่ะ

พอดีได้เข้าไปอ่าน เวป เอ็มไทย.คอม เสนอเรื่องของคุณลุงเป๊าะเด็ง

เรื่องมีอยู่ว่า

'เป๊าะเด็ง' พระสหายแห่งสายบุรี ถวายจำปาดะในหลวงที่ รพ. ศิริราช

บรรยากาศการลงนามเยี่ยมพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ศาลา 100 ปี รพ. ศิริราช ตลอดช่วงที่ผ่านมาของวันนี้ (30ตุลาคม) ประชาชนทุกหมู่เหล่า

อาทิ คณะครู-อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต  Mr.Vesil Bytel เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวัก และ นางกุลยา เผ่าจินดา นายกสมาคมแม่

บ้านทหารบกพร้อมคณะ ก็ได้เดินทางมาลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย

นอกจากยี้ยังมีนายวาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้เฒ่าวัย 91 ปีซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านบาเลาะ อ. สายบุรี จ. ปัตตานี ซึ่งเคยเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมัยเกือบ 20 ปี

ที่ผ่านมา  ตั้งแต่เมื่อครั้งเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี 

และได้ทูลเกล้าฯ ถวายผลไม้จากสวนของนายวาเด็งให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ตลอดช่วงเวลาที่ทั้ง 2 พระองค์เสด็จฯ ประทับที่

นั่นด้วย โดยนายวาเด็งได้ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำตาคลอเบ้าเป็นภาษายาวีผ่านล่ามว่า

'เป๊าะเดงตั้งใจจะเดินทางมาถวายพระพรและติดตามพระอาการประชวรของในหลวงจริงๆ โดยพูดมาหลายวันแล้ว และก่อนมาได้มีการประสานล่วงหน้ากับทาง

สำนักพระราชวัง แต่สำนักพระราชวังเป็นห่วงสุขภาพ จึงให้ไปตรวจสุขภาพก่อนขึ้นเครื่องบิน เมื่อตรวจสุขภาพพบว่า ร่างกายแข็งแรงจึงได้เดินทางมาลงนาม

ถวายพระพรถ้าเป็นไปได้อยากอยู่เฝ้าพระองค์ที่นี่จนกว่าจะหายประชวรแต่เนื่องจากสุขภาพไม่เอื้ออำนวยจึงไม่สามารถอยู่ได้'

นอกจากนี้นายวาเด็งยังได้นำ 'จำปาดะ' ผลไม้ภาคใต้จำนวน 4 ลูกมาถวายในหลวง โอกาสที่มาลงนามถวายพระพรในครั้งนี้ด้วย

นายวาเด็งเคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อถึงฤดูทุเรียน ลองกอง จำปาดะ ก็จะนึกถึงในหลวงตลอด ถ้าท่านมาที่นี่ (บ้านทุ่งเค็จ) ก็เอาไปถวายที่นี่ บางปีท่าน

ไม่ได้มา ก็ส่งผลไม้ไปถวายท่าน ทางไปรษณีย์ ส่งอีเอ็มเอสไปเลย เวลาส่งเขียนหนังสือไม่เป็น ก็บอกเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ว่า จะส่งของไปให้ในหลวงที่สวนจิตร เจ้า

หน้าที่ก็ดำเนินการให้

ที่มาจากหนังสือพิมพ์
ภาพประกอบจากเนชั่นกรุ๊ป

โดย :  pOtAtoCheEsecAke
อีเมล์ :
วันที่ : 2007-10-30 12:44:32


 
จากคุณ : จอมยุทธลำน้ำปิง   - [ 30 ต.ค. 50 16:03:39 ]



...............[63]

ประทับใจเป็นที่สุด เป็นกระทู้ที่อ่านยากที่สุดในชีวิตผมเลย เพราะยากเหลือเกินที่จะกลั้นน้ำตาได้ไหว

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน
เป็นมิ่งขวัญปวงชนชาวไทย ตราบนานเท่านาน
ด้วยเกล้าฯ ด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ

และขอขอบคุณ คุณ กวง อิอิ ที่ช่วยเป็นสื่อกลางในการรวบรวมครั้งนี้ด้วยครับ
1 โหวต ครับจากใจคนไทยอีกคน

จากคุณ : Andy (STPM)  - [ 30 ต.ค. 50 17:41:34 ]



...............[64]

อ่านแล้วประทับใจมากมาย กลั้นน้ำตาไว้แทบแย่
....
ขออนุญาตนำไปแบ่งปันให้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เข้าพันทิปอ่านนะคะ
ขอบคุณค่ะ

จากคุณ : NP-Kaew   - [ 31 ต.ค. 50 13:27:12 ]



...............[65] - 124

เรื่อง “ ทุกคนรู้จักลุงวาเด็ง ”

อภิรักษ์ สะมะแอ นายอำเภอสายบุรี

ลุงวาเด็งเป็นที่รู้จัก ของชาวบ้านและข้าราชการใน ต.ปะเสยะวอดี
เพราะเป็นผู้ถวายที่ดินตามโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ เพื่อขุดคลองชลประทาน
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินในปี 2535

ลุงเป็นพระสหายของในหลวงจริง ๆ ทุกพระองค์ที่เสด็จฯ แปรพระราชฐานมาที่นราธิวาส
จะเชิญลุงวาเด็งเข้าเฝ้าทุกครั้ง เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา
ท่านองคมนตรีพลากร สุวรรณรัตน์ได้นำอินทผลัมพระราชทานจากในหลวง
ไปมอบให้ลุงวาเด็งที่บ้าน แกจะเป็นห่วงในหลวงมาก ๆ เวลาหน้าผลไม้
ก็จะส่งผลไม้อีเอ็มเอสทางไปรษณีย์ไปถวายในหลวงทุกปี ลุงผูกพันกับในหลวงมาก ๆ
ตอนที่ทราบข่าวว่าคุณพุ่มถึงแก่อสัญกรรม ก็อยากจะไปเฝ้าในหลวง แต่ก็ไม่ได้ไป

ลุงวาเด็งเป็นคนแก่ที่มีอัธยาศรัยไมตรีดี เป็นคนน่ารักไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
เมื่อตอนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ มาประทับที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ลุงก็ได้มีโอกาสไปเข้าเฝ้า

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 14:57:25 ]



...............[66] - 125

เรื่อง “ พระสหาย ”

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จพระราชดำเนินไปโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี จ.นราธิวาส
ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมขนาดใหญ่ใช้ประโยชน์ไม่ได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ศึกษาหาวิธีระบายน้ำ
ในที่ลุ่มยามน้ำหลาก และเก็บกักไว้ใช้ยามหน้าแล้ง ชาวบ้านจะได้มีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก
และเพื่อให้ได้ข้อมูลชัดเจนจึงเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง
ณ บ้านเจาะใบ ต.แป้น อ.สายบุรี และได้ประทับทอดพระเนตรพรุแฆแฆด้านตะวันตก
และทรงมีพระราชดำริกับชาวบ้านเป็นเวลานาน

จนกระทั่งได้ข้อมูลใหม่จากชาวบ้านจึงสนพระทัยที่จะเสด็จฯไปทอดพระเนตร
ความเป็นไปได้ในการสร้างอาคารกั้นน้ำที่คลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ
แต่ติดด้วยเวลาเย็นแล้ว ในขณะที่ไม่ได้เตรียมเส้นทางไว้รอรับเสด็จล่วงหน้า

ที่สำคัญเป็นเส้นทางทุรกันดาร และรถยนต์ยังเข้าไปไม่ถึงจุดหมาย เจ้าหน้าที่จึงกราบบังคมทูลว่าเสด็จฯ ไปไม่ได้

“ ไปได้ ” พระราชดำรัสเพียงสั้น ๆ รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในหมู่บ้าน
ท่ามกลางฝุ่นฟุ้งกระจาย จนรถคันหลังเกือบจะไม่เห็นรถคันหน้า
เมื่อสิ้นสุดเส้นทางรถยนต์จึงเสด็จฯ ตามทางเท้าเล็ก ๆ สองข้างรกชัฎต่อไปอีกไกลด้วยพระบาท
เมื่อถึงชายคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จนั้นตะวันลับขอบฟ้าพอดี
ทรงพิจารณาแผนที่ด้วยแสงจากไฟฉายเป็นเวลานาน
ท่ามกลางความมืดมิดและความตึงเครียดของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่มิได้ทรงปริวิตกแต่อย่างใด

ไม่นานนักก็มีเงาตะคุ่มของผู้คนเป็นวงรอบเมื่อที่เดินทางมา
เมื่อรู้ว่าผู้ยืนเด่นกลางดงไม้ในสวนลึก คือ พระเจ้าแผ่นดิน
นายวาเด็ง หนึ่งในบรรดาชาวไทยมุสลิมวัยกว่า 70 ปี ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ
พร้อมกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ด้วยโสร่งตัวเดียวไม่สวมเสื้อ

นายมนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ปัจจุบันคือ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษ
เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.)
ซึ่งตามเสด็จเพื่อถวายงาน ได้บันทึกเหตุการณ์นี้เมื่อ 30 กันยายน 2535 ไว้ว่า

ลุงวาเด็งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าทั้งชุดนั้นอย่างใกล้ชิด แล้วยังได้ถวายคำตอบ
เพื่อทรงถามข้อมูลได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อรู้ว่าเสด็จพระราชดำเนินมา
เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือ ลุงวาเด็งจึงกราบบังคมทูลเป็นภาษาพื้นบ้านว่า
ดีใจมาก แต่ก็เหลียวซ้ายแลขวาผิดปกติ แล้วก็ตัดสินใจกราบบังคมทูลอย่างฉะฉานว่า
พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาเยี่ยมทั้งที ไม่มีอะไรจะถวายเลย
ผลไม้ในสวนเพิ่งเก็บขายได้เงินมา 20,000 บาทก็นำไปซื้อเครื่องสูบน้ำ
ทั้งสวนเหลือทุเรียนผลเดียว หนำซ้ำยังดิบ

มีเสียงเย้าว่า เครื่องสูบน้ำนั่นไง ยังใหม่อยู่ด้วย

“ ถอดเอาขึ้นรถขนไปเลย ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว ” ลุงวาเด็งกล่าวเด็ดเดี่ยว
โดยไม่เสียเวลาคิด แล้วยิ้มซื่อโดยไม่คิดว่าเป็นการพูดเล่น และด้วยท่าทียินดี
ที่จะสละสมบัติมีค่าชิ้นเดียวซึ่งได้มาด้วยหยาดเหงื่อ และแรงกายจากการทำงานมาทั้งปี
ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่ตามเสด็จฯ เกิดความรู้สึกตื้นตันใจ
เมื่อเห็นอากัปกิริยาอันเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้เสแสร้งของลุงวาเด็ง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลอย่างมีความสุขไม่ต่างไปจากลุงวาเด็ง

(ข้อมูลจากนิตยสารอีคอนนิวส์ ฉบับที่ 335 วันที่ 2 สิงหาคม 2542)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 15:02:12 ]



...............[67] - 126

ความภูมิใจของทหารทุกคน คือได้อยู่ในกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไม่ใช่กองทัพของนักการเมือง สมดังคำกล่าวของผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน
ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเมื่อปี 2547 ว่า....

" ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ดีใจที่ได้รับใช้ราชบัลลังก์ "

ประชาชนธรรมดา พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี
เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งดังนี้

" ประมาณปี 18 - 19 มีการสู้รบกับผกค. ได้ตามเสด็จไปที่ต่าง ๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของทหาร
เมื่อทรงทราบว่าทหารบาดเจ็บ ก็เสด็จไปทรงเยี่ยมด้วยพระองค์เอง...."

" มีอยู่คราวหนึ่งที่เมืองน่าน ปรากฏว่ามีทหารถูกยิงบาดเจ็บสาหัส
แล้วยังเอาออกมาไม่ได้ มีผู้ใหญ่ในที่นั้นกราบบังคมทูลว่า ฮ.ไม่มี
รับสั่งให้เอา ฮ.พระที่นั่งไปรับเลย จะเสด็จไปเองด้วย
อันนี้ผมประทับใจมาก คือพระองค์ท่านทรงเหมือนกับทหาร
ทรงมีวิญญาณของทหาร ทรงรักใคร่ชีวิต เป็นห่วงเป็นใย ไม่ถือพระองค์ "

ช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว ในหนังสือ " พระบารมีปกเกล้า " เรื่อง " จอมทัพไทย "

มีบันทึกไว้ว่า
..........................
ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพิ่งกำลังเสวยพระกระยาหาร
เสียงสนามรายงานเหตุการณ์จากแนวหน้า ถึงการปะทะกับผู้ก่อการร้าย
มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ ขอให้ส่ง ฮ.มารับด่วน ทรงหยุดเสวยพระกระยาหารทันที
รับสั่งกับนักบินว่า

" นำเครื่องบินขึ้นเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปด้วย "

เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งบินฉวัดเฉวียนหาที่ลง
เพื่อจะรับบรรดาตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ
สัญญาณพลุข้างล่างแต่ละลูกที่ยิงขึ้นมาเป็นสีแดงทั้งนั้น
ซึ่งแสดงว่าเป็นเขตอันตรายลงไม่ได้ นักบินหนักใจเป็นที่สุด
เพราะองค์พระประมุขของชาติประทับอยู่
ถ้านำเครื่องลงไปแล้วเกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นจะทำอย่างไร
ระหว่างตัดสินใจพยายามหาที่ลงที่ปลอดภัยอยู่นั้น พระสุรเสียงทุ้ม ๆ
นุ่มหูก็รับสั่งมาว่า

" ลงไปตรงนี้แหละ "

นักบินจึงตัดสินใจนำเครื่องบินพระที่นั่งลงตรงกลางป่า ซึ่งมีที่ว่างพอจะลงได้
เพราะบรรดาตำรวจ ทหาร และพลเรือนอาสาสมัคร ได้ตัดต้นไม้ใหญ่ ๆ
ออกหมดเพื่อทำเป็นลานสำหรับเฮลิคอปเตอร์
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงจากเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งแล้ว
ทรงสาวพระบาทเข้าหาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างเร็ว ทรงคุกพระชานุอยู่ข้าง ๆ
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ทรงจับแผลที่ถูกกระสุนปืนโดยมิได้ทรงรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
แค่เนี้ยก็เพียงพอ ที่จะบอกได้ว่า พระองค์ท่านคือ พระราชาแห่งจอมทัพไทย

ผู้โพส : trex (สมาชิกชาวพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 15:06:04 ]



...............[68] - 127

ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้างค่ะ

วันนั้นเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระองค์ท่านในปีหนึ่ง
ขณะนั้นดิฉันยังเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสไปเดินเที่ยวเล่นแถวหน้าพระลาน
เวลานั้นเป็นเวลาที่ในหลวงได้เสด็จมาประกอบพิธีใน พระอุโบสถวัดพระแก้ว
ขณะที่ดิฉันเดินอยู่บนถนนหน้าพระลาน (หน้าม.ศิลปากร) มีประชาชนจำนวนมากมาย
เต็มท้องสนามหลวงลามไปถึงถนนโดยรอบ มาเพื่อรอแสดงความจงรักภักดี
และเตรียมจุดเทียนชัยถวายพระพร ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่า

เมื่อพระองค์ท่านเสด็จออกจากวัดพระแก้วโดยรถยนต์พระที่นั่งแล้ว
ประชาชนที่มารวมตัวโดยรอบสนามหลวงในวันนั้นจะร่วมร้องเพลงสดุดีท่าน
พร้อม ๆ กับจุดเทียนคนละดวง

ดิฉันก็เป็นเพียงเด็กนิสิตคนหนึ่งที่เผอิญผ่านมากับเพื่อน
โดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไร ในตอนนั้นก็คิดแต่เพียงว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ในชีวิต
เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมถวายพระพร

เมื่อเวลายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คนยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ อากาศเริ่มร้อน อบอ้าว
แต่ไม่มีใครบ่นเลย ต่างแค่คุยกันเบา ๆ และตั้งหน้าตั้งรอเวลา
ที่ท่านจะเสด็จพระราชดำเนินออกมา ระหว่างรอก็มีการส่งเทียนแจกต่อ ๆ กัน
บางคนก็เอามาเองจากบ้าน ไม่มีการขาย ทุกคนแบ่งกัน โดยที่ไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ

และเวลานั้นก็มาถึง นำมาด้วยเสียงปี่แตรนำขบวนเสด็จ และตามมาด้วยรถยนต์พระที่นั่ง
ที่เคลื่อนตัวออกมาช้าช้า ด้วยความที่เป็นคนตัวเล็ก ดิฉันมองได้ไม่ถนัดนัก
เพราะคนเยอะเหลือเกิน พร้อม ๆ กับตอนนั้นทุก ๆ คนเริ่มจุดเทียนที่อยู่ในมือของแต่ละคน
อากาศที่ร้อนอยู่แล้วกลับยิ่งร้อนมากขึ้นด้วยไอร้อนของเทียนนับร้อยนับพันรอบบริเวณ

ไม่น่าเชื่อในวินาทีที่เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น ละอองฝนก็ตกลงมาจากท้องฟ้า
เป็นละอองฝนบางบาง ดิฉันและทุกทุกคนในบริเวณนั้นทั้งหมดต่างประสบเหมือนกันหมดเลยค่ะ

ละอองฝนนั้นเบามากถึงขนาดที่ไม่สามารถทำให้เทียนดับ
แต่กลับทำให้บรรยากาศโดยรอบทั้งหมดเย็นลง และสงบ

จบเพลงสรรเสริญฯ ตามด้วยเพลงสดุดีมหาราชา จนรถยนต์พระที่นั่ง
เคลื่อนผ่านไปจนลับสายตา ละอองฝนนั้นก็หมดไป.... เหลือแต่ความสงบ ร่มเย็น และ ปิติยินดี
ทุกคนพากันกล่าวขวัญถึงเรื่องนั้น...ดิฉันไม่ทราบแน่ว่าเพราะอะไร
อาจจะเป็นความบังเอิญ หรืออะไรก็แล้วแต่ คงหาข้อสรุปอะไรไม่ได้
แต่ดิฉันเชื่อค่ะ...คงเป็นคำอื่นไปไม่ได้...นอกไปจากคำว่า

ด้วยพระบารมีของท่าน....ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน......

จากคุณ : แมว ( Non member ของพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 15:08:32 ]



...............[69] - 128

เรารับปริญญามาหลายใบ แต่ไม่มีใบไหนที่ภูมิใจ เท่ากับที่รับจากในหลวง
จำได้ว่าปีนั้นมีข่าวว่า ในหลวงจะเลิก ไม่มาพระราชทานฯ เราได้แต่ถามว่าทำไมล่ะ ทำไม
แต่พอวันที่รับ ก็มีความรู้สึกสงสารท่านขึ้นมา เพราะขณะเรานั่งอยู่แถวหน้า ๆ
ที่ต้องรับฯ หลับก็ไม่ได้ ต้องนั่งหลังตรงตลอด พอเจอสปอร์ตไลท์ แค่เฉียง ๆ เข้าไป ก็แทบตาย
คือมันร้อนที่หน้าแล้วก็เพลีย ๆ แล้วก็มองไปที่ท่าน ที่โดนสปอร์ตไลท์เต็ม ๆ
แถมต้องยื่นพระหัตถ์มาแจกปริญญาบัตรให้เรา กลับไปกลับมาเป็นพันรอบ จะเป็นยังไงนะ
และหลังจากปีนั้น รู้สึกว่าท่านจะไม่ได้แจกอีกเลย

ที่จริงความรู้สึกทึ่งในตัวท่านมีมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้ว จำได้ว่าแม่ซึ่งเป็นหมอ
มักจะเล่าด้วยความภูมิใจเสมอว่า แม่เป็นหมอของในหลวง ไม่ใช่ พอสว.
ตอนนั้นไม่เข้าใจว่ามันแตกต่างกันอย่างไร รู้แต่ว่าแม่มักจะต้องไปอีสานกับใต้ทุกเดือน
และจะชอบเวลาแม่ไปใต้ เพราะขากลับจะมีแอปเปิ้ล กับบ๊วยหวานเค็มมาฝากทุกครั้ง
โตขึ้นมาหน่อยแม่ก็เล่าให้ฟังว่า เวลาไปอาบน้ำตก จะต้องมีตชด. กับสุนัข ไปเฝ้าทุกครั้ง เราก็เห็นว่าน่าสนุกออก

จนโตอีกหน่อย ถึงเข้าใจ ว่าที่ที่แม่ไปมันเสี่ยงให้เราต้องเป็นกำพร้า
ก็พื้นมันออกสีแดง ๆ แต่แม่ก็ภูมิใจว่าเป็นหมอของในหลวง
และการที่แม่จะไปได้นั้น ในหลวงท่านต้องเสด็จไปมาก่อนแล้ว
และทรงทราบปัญหาท่านจึงมีพระประสงค์ให้ส่งหมอไปดูแลประชาชน
คิดดูสิ ท่านเสี่ยงแค่ไหน เพื่อให้ประชาชนของไทยมีความกินดี อยู่ดี สุขภาพดี นั่นน่ะเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้วนะ

ตอนเกิดปัญหาภาคใต้ใหม่ ๆ ฉันรู้สึกสงสารท่านมาก ท่านคงจะกันแสงอยู่ในใจ
ถามฉันว่า จะแก้ปัญหาภาคใต้อย่างไร ฉันตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า
ก็ถามในหลวงสิ ที่จริงท่านก็ส่งท่านองคมนตรีเปรมมาให้คำปรึกษานายกฯแล้ว
แต่ดูเหมือนนายกฯ จะทำพังทุกที แล้วเป็นไง ท่านองคมนตรีเปรมเลยต้องลงมาจัดการเอง
โดยบอกรัฐบาลไม่เกี่ยวฯ คุณเปรมคงจะไม่ทำโดยลำพังแน่ ๆ ค่ะ

เคยมีเพื่อนชาวอินโดฯ ถามว่าทำไมคนไทยถึงรักในหลวง ฉันก็ตอบว่า
ก็เพราะจะหาใครทำประโยชน์ให้คนไทยเท่าในหลวงไม่ได้อีกแล้ว
และคนไทยทุกคนก็พร้อมจะยอมตายแทนในหลวงได้ทั้งนั้น

ผู้โพส : beatriz (สมาชิกชาวพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. H.M. The King's Experimental Filter
  His Majesty the King invented a photographic filter, which is light blue
in the upper corner of the lens and pinkish red in the bottom corner.
As an experiment, His Majesty took this photograph of Her Majesty the Queen
at Chitralada Villa, Dusit Palace.
  The light blue color in the upper corner of the filter helps to bring out the color
of the curtain, while the pinkish red color in the bottom corner strengthens
the carpet on the floor.
  The color schemes of the dress, the chair and all the items in the background
blend in perfectly. This is a classic portrait.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 15:28:06 ]



...............[70] - 129

ขอขอบคุณ คุณ ลูกโป่งสีน้ำเงิน @ pantip.com ด้วยนะคับ

ขอนำเรื่องราวบางส่วนจาก หนังสือ "ฅ..คน"

ในหลวงของปวงเรา ฉบับ เดือนธันวาคม 2549 มาลงให้ทุกคนในนี้ได้อ่านกัน และถ้าใครอยากจะหาอ่านแบบเต็ม ๆ หรืออยากจะหาซื้อเพื่อเก็บเอาไว้เป็นสมบัติ

ส่วนตัวก็รีบไปที่ แผงหนังสือใกล้บ้านได้เลยนะจ๊ะ

***ที่อ่านแล้วประทับใจที่สุด คือ สกู๊ป รวมเรื่องราวดี ๆ จากประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต***

เรื่องที่จะนำมาโพสต์มี 3 เรื่องด้วยกัน ดังนี้

1. น้ำตาแห่งความตื้นตัน ของอิหม่ามแห่งบ้านห้วยทรายใต้
2. ได้ชีวิตใหม่วันไปรับเสด็จ ยายชุบ สามร้อยยอด
3. สีเทา กับดอกไม้ช่อนั้น

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ps. Angel of the Wild Curcuma
  Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn has always been
interested in flowering and non-flowering plants and herbs. In 1982,
during her stay at Phu Ping Palace,
the palace garden received a new plant called, " Wild curcuma " or "first curcuma".
The plant is a big-leaf flowering tree with thorns along its trunk and stems.
Flowering season starts at the debut of summer, around February.
Curcuma flowers stem out of a long, beautiful yellow bouquet,
like golden curcuma, and only blossom once a year.
  One day, while the wild curcuma, was in full bloom HRH
Princess Maha Chakri Sirindhorn was admiring flowers under the curcuma shrub and H.M.
the King was taking pictures nearby. When the Princess looked up and smiled,
H.M. the King suddenly took this snapshot.
  Her smiling face glows under the sunlight amid the curcuma flowers.
This " Angel of the Wild Curcuma " photograph makes one feel as
if he is actually honoring her greatness in person.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 15:33:52 ]



...............[71] - 130

1. น้ำตาแห่งความตื้นตัน ของอิหม่ามแห่งบ้านห้วยทรายใต้

**** ลุงซบ ที่ตรงนี้ถ้าจะจดทะเบียนให้ได้ มีอยู่ทางเดียว คือ ต้องไปขอจากพระเจ้าแผ่นดิน ****

ฮัจยีซบ นาคอนุเคราะห์ เป็นโต๊ะอิหม่านแห่งมัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะห์ซาน
ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริบ้านห้วยทรายใต้ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
แกโยกย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2531 พร้อม ๆ กับการมาถึงก็ได้พยายามทำทุกอย่าง
ให้ชุมชนชาวมุสลิมแห่งนี้มีมัสยิด เพื่อชาวบ้านจะได้ละหมาดร่วมกันตามหลักศาสนา
และด้วยความตั้งใจ อย่างแรงกล้านี้เอง ที่ทำให้อิหม่านแห่งบ้านห้วยทรายใต้ต้องหลั่งน้ำตาแห่งความปีติ

สมัยนั้นชุมชนบ้านห้วยทรายใต้เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ชุมชนมุสลิม มีอยู่กันไม่กี่หลังคาเรือน

" ก็สอบถามชาวบ้านว่าได้ทำพิธีละหมาดวันศุกร์ตามกฎของศาสนาหรือไม่
ชาวบ้านบอกว่าไม่ได้ทำกันเลยตลอด 3 ปี เพราะไม่มีมัสยิด "

ฮัจยีซบเป็นผู้เคร่งศาสนา จึงไม่ยอมปล่อยให้มีการละเลยกฎแห่งศาสดา
อิหม่านฮัจยีซบ จึงคิดหาทางสร้างมัสยิด แล้วก็ตัดสินใจใช้ที่ดินตัวเอง
ในโครงการที่ใช้เงินส่วนตัวซื้อไว้โดยใช้สร้างมัสยิด 1 ไร่ และอีก 1 ไร่ ไว้เป็นกุโปร์

เมื่อลงมือสร้างจนมัสยิดใกล้เสร็จ สำนักจุฬาราชมนตรีก็มีหนังสือมาให้ขึ้นทะเบียนมัสยิด
ซึ่งมีปัญหาตรงที่ดินผืนนี้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใด ๆ เพราะแต่เดิมบ้านห้วยทรายใต้
เป็นพื้นที่อภัยทานสัตว์ของในหลวงรัชกาลที่ 6 ซึ่งเท่ากับเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์
เอกสารการครอบครองที่ดินก็เลยออกไม่ได้

เมื่อไปติดต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่อำเภอ
หัวหน้าสำนักงานก็บอกว่า ลุงซบ ที่ตรงนี้ถ้าจะจดให้ได้ มีอยู่ทางเดียว

คือ ต้องไปขอจากพระเจ้าแผ่นดินเอา

ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าฮัจยีซบจึงมีความคิดที่จะไปขอเข้าเฝ้าฯ ในหลวง

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงอุ้มพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
บนดาดฟ้าอพาทเมนท์โบรคคลาย รัฐแมสซาชูเซตส์ ที่ประทับก่อนที่เสด็จฯ กลับประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๗๑


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 15:44:05 ]



...............[72] - 131

(ต่อ)

" ผมรอจนในหลวงเสด็จฯ มาที่เขากระปุก ซึ่งห่างจากมัสยิดประมาณ 8 กิโล
ชวนเพื่อนไปด้วยกันคนหนึ่ง พอไปถึงก็แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีเรื่องสำคัญ
อยากขอเข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่าน สักพักคนที่อารักขาก็บอกให้เข้าเฝ้าฯ ได้ "

ด้วยเป็นเพราะภาระหน้าที่นั้นหนักหนาในอันที่จะขึ้นทะเบียนมัสยิดให้ได้
การได้เข้าเฝ้าฯ ในหลวงครั้งแรกในชีวิตของโต๊ะอิหม่าน จึงไม่ตื่นเต้นจนมือไม้สั่นเหมือนคนอื่น ๆ

" เราก็กล่าวกับพระองค์ท่านไปตามที่เรามีเรื่องเดือดร้อน จำได้ว่าได้กราบบังคมทูลพระองค์ด้วยว่า
จะขออัญเชิญพระองค์ให้เสด็จฯไปที่มัสยิด แต่พระองค์ตรัสว่า วันนี้บ่ายแล้ว ไปไม่ทัน ต้องเป็นวันหลัง
แล้วก็มีพระราชกระแสว่า อีกสามวันฉันจะไปปล่อยปลาที่เขื่อนห้วยทราย ให้ไปบอกฉันอีกครั้งหนึ่ง "

สามวันถัดมา ตัวฮัจยีซบก็ไปเข้าเฝ้าฯ ที่เขื่อนห้วยทรายถึงเรื่องมัสยิดอีกครั้ง

ต่อมาไม่นานพระองค์ท่านก็ทราบขับรถยนต์พระที่นั่งมาถึงมัสยิด พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี
มีชาวบ้านมารอเฝ้านับร้อยเลยทีเดียวผมก็กราบบังคมทูลเชิญเข้าไปในมัสยิด และกราบบังคมทูลเชิญให้ประทับนั่งบนมิมบัด

เมื่อประทับนั่งแล้ว ก็ยังทรงไม่ทราบเรื่องว่าเราต้องการอะไร พระองค์ท่านตรัสถามว่า

เชิญฉันมาเพราะเหตุใดรึ

เราก็ดีใจ รีบกราบบังคมทูลว่า

ข้าพเจ้าสร้างมัสยิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่าสถานที่นี้เป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์ของในหลวง
แต่เมื่อสร้างไปแล้วก็ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ จึงจะขอพระราชทานเอกสารหลักฐานที่ดิน
เพื่อให้มีมัสยิดนี้ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง

(ต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ทรงฉายในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๑ (ค.ศ. ๑๙๒๘) ที่ชอง โซเลย์ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 15:52:03 ]



...............[73] - 132

(ต่อ)

เมื่อกราบบังคมทูลแล้ว พระองค์ท่านก็ทรงเรียก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เข้ามา ตรัสว่า

เรื่องนี้สำคัญนะ เป็นเรื่องศาสนา จงทำหลักฐานที่ดินให้มัสยิดนี้จดทะเบียนได้

จากนั้นพระองค์ก็ตรัสถามว่า ที่ดินตรงนี้ใครเป็นผู้ครอบครอง

เราก็กราบทูลว่า ข้าพเจ้าครอบครองเอง

" พระองค์ท่านตรัสถามอีกว่า อุทิศไว้สร้างมัสยิดกี่ไร่ เราก็กราบบังคมทูลว่า
2 ไร่ เป็นมัสยิด 1 ไร่ อีก 1 ไร่เป็นสุสาน

จากนั้นผมก็ได้ยินสิ่งที่ไม่คาดฝัน
เมื่อพระองค์ท่านมีพระราชกระแสว่า

เอาอย่างนี้นะ ฉันให้เพิ่มอีก 5 ไร่

พอได้ยินอย่างนั้น เราทั้งตี่นเต้น ดีใจ และซาบซึ้งใจ น้ำตามันไหลออกมา
ร้องไห้เลย ต้องปาดน้ำตาเบื้องหน้าพระพักต์ร์นั้นเอง "

และแล้วอิหม่านผู้เคร่งศาสนาก็ตัดสินใจกราบบังคมทูลในสิ่งสำคัญที่ไม่คาดหมาย แกเล่าว่า

ได้กราบบังคมทูลพระองค์ท่านทั้งน้ำตาว่า

" ข้าพเจ้ากับราษฏรที่มาเข้าเฝ้าฯ ในวันนี้ขอถวายที่ดินและมัสยิดนี้ให้อยู่ในพระอุปการะของพระองค์ด้วยพระเจ้าข้า "

เมื่อได้ฟังดังนั้น พระองค์ท่านก็ตรัสว่า

ฉันรับด้วยความเต็มใจ แล้วก็พระราชทานทรัพย์ให้ไว้เพื่อดำเนินกิจการมัสยิดอีกสองหมื่นบาท
โดยทรงมีรับสั่งว่าให้ทำอาณาเขตโดยก่อกำแพงเตี้ย ๆ ล้อมพื้นที่ 7 ไร่นี้ด้วย

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อทรงพระเยาว์


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 16:00:27 ]



...............[74] - 133

(ต่อ)

แม้เวลาจะผ่านมาร่วม ๆ 20 ปี แต่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ น้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
ก็จะเอ่อท้นในดวงตาของอิหม่ามไม่เว้นแม้แต่ครั้งนี้ ฮัจยีซบร่ำไห้ด้วยความตื้นตันอีกครั้ง

" ในหลวงท่านทรงมีพระเมตตาและส่งเสริมด้านศาสนา ให้ความสำคัญกับทุกศาสนา
ไม่มีแบ่งแยก เป็นความซาบซึ้งใจอย่างยิ่งของผมที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภกมัสยิดของเราโดยไม่ทรงลังเล "

ตลอดระยะเวลา 10 ปี นับจากเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2533 จนถึงปี 2543
ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินมายังมัสยิดรวม 7 ครั้ง และทุกครั้งที่เสด็จก็จะประทับนั่งที่มิมบัด

จวบจนมัสยิดหลังใหม่สร้างแล้วเสร็จอย่างใหญ่โตมโหฬหาร มิมบัดตัวนั้นก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี

" ผมต้องเก็บไว้ เพราะนี่เป็นสิ่งสำคัญที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประทับนั่งมิมบัดนี้มีความหมายทางใจเป็นพิเศษ
ไม่เฉพาะผม แต่สำหรับชาวบ้านทุกคน ความทรงจำทั้งมวลของเราอยู่ที่นี่
เก้าอี้ศักดิ์สิทธิ์ที่ครั้งหนึ่งในหลวงทรงประทับนั่ง และทรงรับดูแลมัสยิดของเราไว้ประวัติศาสตร์ของพวกเราจึงอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ "

ศาสนกิจในมัสยิดแห่งนี้ดำเนินไปตามหลักศาสนาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
ขณะเดียวกันที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมใจของพี่น้องชาวมุสลิมแห่งบ้านห้วยทรายในอันที่จะร่วมกันขอพรจากองค์อัลลอฮ์

" ในยามที่ทรงพระประชวร พวกเรา ก็จะสวดขอพรให้มีพระพลานามัยแข็งแรง
และให้อยู่เป็นมิ่งขวัญให้กับปวงชนชาวไทยไปอีกนาน ๆ "

ในวัย 84 ปี ฮัจยีซบยังมีสุขภาพที่แข็งแรงดี แต่สิ่งที่แกวิตกก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป
คนรุ่นหลังที่ไม่เคยได้รับรู้ว่าในหลวงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชีวิตของแก และมัสยิดแห่งนี้
ตลอดจนชุมชนห้วยทรายให้อย่างไรบ้าง จนละเลยต่อคำสอนของในหลวง
ด้วยเหตุนี้แกจึงมีแนวคิดแต่งเพลงเกี่ยวกับในหลวงให้ร้องกันในชุมชน
เพื่อเตือนใจตัวเองและเด็ก ๆ ในชุมชน เนื้อเพลงกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อชุมชนมุสลิมแห่งบ้านห้วยทรายใต้

และครั้งนี้บนแผ่นดินอันสงบศานติ ฮัจยีซบได้เปลี่ยนหยาดน้ำตามาเป็นบทเพลง

*****ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ******

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อทรงพระเยาว์


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 16:13:58 ]



...............[75] - 134

พรุ่งนี้มาต่อ เรื่องที่ 2 และ 3 นะครับ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อทรงพระเยาว์


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 31 ต.ค. 50 16:15:44 ]



...............[76] - 142

2. ได้ชีวิตใหม่วันไปรับเสด็จ ยายชุบ สามร้อยยอด

** ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย ***

ยายซุบ สามร้อยยอด เป็นหญิงชาวบ้านวัย 70 แห่งบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
ยากจนมาตังแต่ยังสาวจวบจนวันนี้ หากแต่เธอกลับยีนยันว่า เธอมีอดีตที่มีความหมายต่อชีวิตของแก
อดีตที่หมายถึงชีวิตใหม่ ไม่ว่าแกจะยังจนต้องขอเงินลูก ๆ 9 คนใช้ดังเช่นทุกวันนี้
หรือจะมั่งมีศรีสุข ถูกหวยรวยเบอร์อย่างไรก็ตาม แกไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานานกว่า 40 ปี

การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฏรบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี
ไม่เพียงทำให้หมู่บ้านที่ยากจน ล้าหลัง ไม่มีแม้ถนนที่จะติดต่อกับโลกภายนอก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
หากแต่การเสด็จพระราชดำเนินในครานั้นได้ทำให้หญิงคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวต่อมาจนถึงวันนี้

สมัยยังสาวยายเคยไปรับเสด็จในหลวงใช่ไหม?

ยาย - ใช่ ตอนนั้นไปรับเสด็จที่ตีนถ้ำไทรในหมู่บ้านเรานี่แหละ ท่านเสด็จฯ มาทางเหนือ
ไอ้เราป่วยเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ไม่รู้หรอกนะตอนนั้นว่าเป็นไส้ติ่ง
ปวดท้องนอนซม คนในบ้านบอกในหลวงจะมา เราก็อยากเห็น อยากไปรับเสด็จ แต่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว

เดินไม่ไหว แล้วไปยังไง

ยาย - ก็ให้คนหามไป ใส่เกวียนไปเลย

ทำไมถึงเลือกไปเฝ้าในหลวง ไม่ไปหาหมอ

ยาย - ไม่รู้สิ คืออยากเห็นตัวจริง ๆ ใกล้ ๆ นะ คิดในใจว่ายอมตายได้ แต่ขอไปรับเสด็จก่อน
แลกตัวแลกชีวิตกันเลย พูดง่าย ๆ ว่าวัดดวงเอาเลย อีกอย่างตอนนั้นถ้าเราไปหาหมอก็ลำบาก
เพราะน้ำแห้ง เรือเครื่องก็ไม่มี ถ้าไปก็คงไปไม่ถึง มันคงจะตายก่อน

แล้วตอนนั้นได้ถวายอะไรท่านบ้างไหม

ยาย - ยกมือพนมยังจะไม่ไหวเลย จะให้ถวายอะไรอีก (หัวเราะเสียงดัง)

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อทรงพระเยาว์


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 12:34:27 ]



...............[77] - 143

(ต่อ)

แล้วได้เห็นท่านไหม?

ยาย - ก็ได้เห็นท่านอยู่ แต่ก็เห็นห่าง ๆ แล้วก็เห็นไม่นานเพราะว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ
ไปที่ตีนเขาอีกลูกคนละฟาก ทรงไปดูเรื่องที่จะระเบิดเขาทำทางเข้าออกหมู่บ้าน

ไส้ติ่งเรากำลังจะแตก แล้วรอดมาได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น?

ยาย - ตอนนั้นไส้ติ่งกำลังจะแตก เงินสักบาทก็ไม่มีติดตัว พอดีว่าพระราชินีท่านทรงเยี่ยมเยียนราษฏร
แล้วทอดพระเนตรเห็นเรานั่งหน้าซีด พิงเพื่อน คือได้ตอนนั้นมันไม่ไหวจริง ๆ
ท่านทอดพระเนตรเห็นก็คงสังเกตได้ว่าอาการเราไม่ดี พระองค์ก็ถามว่า เป็นอะไร?
ท่านบอกให้พูดธรรมดาก็ได้ เราบอกว่าเจ็บท้อง พระองค์ท่านตรัสถามต่อว่า เจ็บมากี่วันแล้ว?
เราก็บอกว่า เจ็บมาครึ่งเดือนเห็นจะได้ ท่านก็เลยบอกให้หมอที่มาด้วยตรวจดู

แล้วหมอว่ายังไง?

ยาย - หมอบอกว่าไส้ติ่งกำลังจะแตก พอหมอบอกอย่างนั้น พระองค์ท่านก็ทรงติดต่อไปที่ในหลวงซึ่งทรงอยู่ที่ตีนเขาอีกลูก

รู้ได้ยังไงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงติดต่อไปที่ในหลวง?

ยาย - รู้สิ เพราะเห็นในหลวง พระองค์ท่านทรงวิ่งจากตีนเขาลูกโน้นมาเลย ห่างกันถึง 1 กิโล (แค่นี้ก็ตื้นตันแทนคุณยายแล้วคะ)

รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น?

ยาย - ดีใจแล้วก็ปลื้มใจแบบมาก ๆ ไอ้ตอนแรกคิดว่ากำลังจะตายนี่ คิดว่าตัวเองรอดแน่
มันมีกำลังใจ คิดว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังเอาใจใส่เราขนาดนี้ เราจะตายไม่ได้

กลับมาบ้านแล้ว เป็นอย่างไร?

ยาย - ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ พระองค์ท่านก็ส่งเงินมาให้อยู่ถึง 1 ปี ครั้งละ 3 - 5 พันบาท
ส่งมาหลายครั้งอยู่ เรารู้เพระว่าใส่ซองสีขาวประทับตราสำนักพระราชวัง
จากเหตุการณ์นั้นทำให้เรารักในหลวงของเรามาก

แล้วทุกวันนี้ก็ยังน้อยใจตัวเองอยู่ว่า เวลาที่ท่านป่วย เราก็ไม่มีเงินไปเฝ้า
ไปแสดงความจงรักภักดีกับท่าน ได้แต่ร้องไห้อยู่กับบ้าน นั่งร้องไห้ทุกวัน
ดูข่าวทุกวันไม่เคยเว้นเลย

** ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย **

การเสียสละของในหลวงคราวนั้น ได้เอามาปฏิบัติตามหรือไม่?

ยาย - มีส่วนมากเลย เวลาคนในหมู่บ้านเขาป่วยเป็นอะไร ฉันก็ไปเยี่ยมเขาทั่ว
ไปไหนไปกัน มีใครเจ็บในหมู่บ้านนี่ฉันจะไปเยี่ยมหมด บางทีถึงไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ญาติเขา แต่เราก็ไป
ไปนั่งพูดคุยให้กำลังใจ บางทีก็ไปบีบให้นวดให้ นี่คือสิ่งที่ในหลวงให้เรา และเราให้คนอื่นต่อ

**เมืองไทยเราโชคดีที่มีในหลวง โชคดีมาก ๆ ไม่มีพระราชาที่ไหนในโลกอีกแล้ว
ที่จะเป็นห่วงชาวบ้านอย่างฉันเท่ากับท่าน คนอย่างเราเปรียบไปก็เหมือนมดปลวก
แต่ท่านก็ยังใส่ใจ ท่านใส่ใจจริง ๆ เหมือนกับว่าคนไทย คือ ลูกของท่านทั้งแผ่นดิน**

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 12:38:45 ]
 

 
...............[78] - 144

3. สีเทา กับดอกไม้ช่อนั้น

** จากที่คิดว่าอาจจะไม่รอด บอกกับตัวเองเลยว่า เรารอดแน่แล้ว เราต้องไม่เป็นอะไรแน่ **

" อยู่โรงพยาบาล 17 วัน พอได้กลับบ้านก็ประคองแจกันมาเองเลย ประคองมาอย่างดี
พอถึงบ้านก็เอาไปตั้งไว้ที่หัวนอน ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ที่นั่น ตั้งอยู่สูงเหนือหัวนอน "

แม้ทุกวันนี้เวลาผ่านมาร่วม 12 ปี ช่อดอกไม้พระราชทานในแจกันทรงสูงช่อนั้น
จะแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลไปตามกาลเวา แต่สำหรับเขาแล้ว คุณค่าไม่ได้ลดลง
กลับยังคงอิ่มเอิบในหัวใจเฉกเช่นเดียวกับวันแรกที่ได้รับพระราชทาน เมื่อตอนนอนป่วยเจียนตายอยู่ในโรงพยาบาล

สีเทา หรือ จรัล เพ็ชรเจริญ นักแสดงอาวุโสวัย 74 เล่าถึงประสบการณ์สำคัญในชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือนได้

สีเทาเล่าว่า เขาไม่ได้เริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงด้วยการเป็นนักแสดง แต่เป็นนักพากย์หนัง

และก็มีเหตุการณ์สำคัญในชีวิตเกิดขึ้นกับเขา

" มีอยู่ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งให้เข้าไปพากย์หนังให้พระองค์ท่านได้ทอดพระเนตรในวัง
เราตื่นเต้นจนไม่เป็นอันกินอันนอน จะได้เข้าไปพากย์ให้ในหลวงดูทั้งตื่นเต้น ทั้งเกร็ง
แต่ความดีใจที่ได้ไปมันมีมากกว่า พอถึงวันที่ได้เข้าไปจริง ๆ ก็บอกกับตัวเองว่าต้องทำให้เต็มที่ "

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที ๒๘ เมษายน

พุทธศักราช ๒๔๙๓ ณ วังสระปทุม


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 12:52:16 ]
 
 

...............[79] - 145

(ต่อ)

เขายังจำบรรยากาศในวันนั้นได้ดี

" ที่นั่งนักพากย์อยู่ห่างจากพระองค์ท่านไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้นเอง ตื่นเต้นมาก กลัวทำพลาด
แล้วไหนจะเรื่องราชาศัพท์อีก คราวนี้ก็เกิดอาการเครียดขึ้นมาจนชักกลัวว่าจะทำให้หนังกร่อย "

หนังเรื่องที่ไปพากย์ถวายก็คือ " แม่นาคพระโขนง " ที่มีสุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ และปรียา รุ่งเรืองเป็นคู่พระ-นาง ของเรื่อง

" ก่อนหนังฉาย ในหลวงทรงเสด็จมารับสั่งกับผมว่า

นี่เธอพากย์ในโรงยังไง ก็พากย์แบบนั้นให้เราฟังเลยนะ

พอได้ฟังพระราชกระแส คราวนี้ล่ะสบายเลยหายเกร็งทันที ผมก็พากย์ไปตามอย่างที่เคยทำ ใส่ภาษาชาวบ้านไปเต็มที่ "

" เวลาที่เราพากย์ไปก็เหลือบมองพระองค์ท่านบ้าง เห็นพระองค์ท่านทรงพระสรวล ก็ดีใจ คิดว่าท่านน่าจะโปรด "

นักพากย์หนังไทยสมัยนั้น สีเทาบอกว่า คนพากย์ต้องใส่ลีลาและท่าทางไปเต็มที่ ไม่แพ้เล่นเอง
ต้องนึกว่าตัวเองเป็นตัวละครในหนังเพื่อให้สมจริงสมจัง

" ก็อินไปกับหนัง ต้องออกลีลามาก ๆ มันก็เหนื่อย แต่พอหนังจบ พระองค์ท่านเสด็จมาตรัสกับเราว่า

เหนื่อยไหมล่ะ ทานข้าวก่อนนะ หนังที่เธอพากย์เนี่ยสนุกดีนะ

เท่านั้นละ ความเหนื่อยที่มีมันหายเป็นปลิดทิ้งเลยนะ ดีใจที่พระองค์ท่านโปรด
คราวนั้นเป็นการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบใกล้ชิดครั้งแรกในชีวิต

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที ๒๘ เมษายน

พุทธศักราช ๒๔๙๓ ณ วังสระปทุม


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 13:02:44 ]
 

 
...............[80] - 146

(ต่อ)

เวลาผ่านมานานหลายปี นักแสดงอาวุโสผู้นี้ไม่เคยคิดว่า งานเล็ก ๆ ที่คนธรรมดาสามัญ
ที่เปรียบดั่งข้าพระบาทอย่างเขาได้มีโอกาสทำถวาย จะยังทรงจดจำได้

ต้นปี 2539 สีเทาล้มป่วยด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก การรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU
ไม่ทันนานทำให้เขาเริ่มวิตก สีเทาเริ่มคิดว่า คงไม่รอดแน่ ถ้าไม่ตายก็ต้องเป็นอัมพาต

ก่อนที่จะทดท้อสิ้นหวังไปกว่านี้ ก็มีข่าวสำคัญแจ้งมายังโรงพยาบาล

" ทางสำนักพระราชวังแจ้งข่าวมายังโรงพยาบาลว่า ในหลวงท่านจะพระราชทานดอกไม้มาให้
พอรู้ข่าวนี้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปเลยนะ จากที่คิดว่าอาจจะไม่รอด
บอกกับตัวเองเลยว่า เรารอดแน่แล้ว เราต้องไม่เป็นอะไรแน่ "

ครั้นถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539 วันที่เขาจดจำไปชั่วชีวิตก็มาถึง

" ฯพณฯ จุลณพ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นตัวแทนอัญเชิญดอกไม้พระราชทานมายังโรงพยาบาล
พอรับแจกันเท่านั้นแหละ น้ำตาไหลเลย พูดอะไรไม่ออก มันตื้นตันใจอยู่ข้างใน
ดีใจมาก ไม่มีคำบรรยายเลย เวลาสื่อมาถามก็ร้องไห้อย่างเดียว บอกได้แต่ว่าดีใจ กำลังใจดีขึ้นเยอะมาก อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ "

" มันเหมือนพลิกความรู้สึกเลยนะ จากคนที่คิดว่าตัวเองต้องแย่แน่ ๆ ไม่ทรงก็ทรุด
ตอนนี้กำลังใจมาเต็มร้อยเลย เหมือนพระองค์ทรงมาชุบชีวิตให้กับเราอีกครั้งหนึ่ง
ให้เรามีความหวังและกำลังใจที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป ในหลวงท่านมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
ดอกไม้ที่ทรงให้เรานั้นเป็นกำลังใจให้เรามีชีวิตอยู่จนปัจจุบันนี้ "

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีสถาปนาอิสริยฐานันดรศักดิ์ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ในวันบรม

ราชาภิเษกเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 13:08:45 ]
 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #4 on: 15 October 2021, 17:39:15 »


...............[81] - 147

(ต่อ)

จากที่คิดว่าจะต้องอยู่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน ใช้เวลาเพียง 17 วัน
คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ นับว่าเหนือความคาดหมาย

" ตอนนั่งรถกลับบ้านก็ประคองแจกันมาเองเลย ประคองมาอย่างดี
พอถึงบ้านก็เอาไปตั้งไว้ที่หัวนอน ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ที่นั่น ตั้งอยู่สูงเหนือหัวนอน
ทุกวันนี้ดอกไม้แห้งมากแล้ว ขยับไม่ได้เลย เพราะว่าถ้าจับแล้วรับรองว่าร่วงหมดแน่นอน
เราก็เอาพลาสติกมาคลุมเอาไว้ อยากเก็บเอาไว้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต "

หลังจากพักฟื้นอีกระยะจนสุขภาพกลับมาแข็งแรงดังเดิม สีเทาก็ตัดสินใจอุปสมบท
บวชอยู่ 15 วัน หลังจากนั้นเวลาที่ท่านเสด็จฯ ไปที่ไหนแล้วเราสามารถที่จะไปเฝ้ารับเสด็จได้ก็จะไป
เวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต เราก็จะไปรอเฝ้า

" ปรากฎว่าพระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็น ก็ตรัสว่า

มาด้วยเหมือนกันเหรอเรา พ่อนักแสดงโบราณ

ได้ยินแค่นี้เราก็เป็นปลื้มแล้ว เพราะท่านทรงจำเราได้ "

" หลายคนอาจจะเปรียบในหลวงเป็นพ่อของแผ่นดิน ในหลวงเป็นผู้สถิตอยู่ในดวงใจของคนทั้งชาติ
หรือในหลวงเป็นต้นแบบ เป็นผู้มีพระปรีชาสามารถในเรื่องต่าง ๆ
แต่สำหรับผม ในหลวงเป็นอย่างเดียวเลย พระองค์เป็น ผู้ให้ชีวิตใหม่กับเรา "

" ถ้าไม่ได้ดอกไม้พระราชทานเป็นกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันนั้น
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้จะยังมีชื่อของนายสีเทาอยู่อีกหรือเปล่า "

ด้วยเหตุนี้ สำหรับนายสีเทา ชีวิตที่เหลือนี้ เขาปวารณาตนเอาไว้ว่า

**ถ้าทำอะไรให้กับพระองค์ท่านได้ก็จะทำให้ได้มากที่สุด**

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 13:17:16 ]
 
 
...............[82] - 148

เก็บตกเรื่องเล่าน่ารัก ๆ

เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อสมเด็จพระเทพฯทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด
แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า " ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ "

แม่ค้าตอบว่า " ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80บาทจ๊ะ "

เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเครื่องในวันเสด็จขึ้นเฉลิม
พระราชมนเทียรสีวันเสาร์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
ทรงถือขันดอกพิกุลเงินพิกุลทองและเงินสลึง เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรย


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 13:21:32 ]
 

 
...............[83] - 149

กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของ "ในหลวง"

กล้องถ่ายรูปส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล้องแรกคือ กล้อง " คอนแท็กซ์ทู "
ผลิตจากเยอรมนี เป็นกล้องที่ในหลวงของเรา แรกครั้งยังทรงเป็นพระอนุชา ทรงวิ่งตามพระเชษฐา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล กล้องนี้เป็นกล้องเดียวกับที่ในหลวงทรงฉาย
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แรกครั้งยังทรงมีฐานันดรศักดิ์เป็น ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร
ในวันพระราชพิธีอภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม กรุงเทพฯ เมื่อ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓

ต่อมาทรงเปลี่ยนไปใช้กล้องในตระกูล " แคนนอน EOS " เริ่มที่ EOS ๑๐๐
แล้วเปลี่ยนเป็น EOS ๑๐๐ F ที่มีน้ำหนักเพียง ๕๑๐ กรัม และต่อมาทรงเปลี่ยนกล้องอีกหลายครั้งในทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดตามลักษณะที่เหมาะสม
โดยยังคงทรงกล้องในตระกูล " แคนนอน EOS " เนื่องเพราะมีน้ำหนักเบา
สะดวกต่อการพกพา ในหลวงทรงใช้เลนส์ตัวเดียวมาโดยตลอด ไม่เปลี่ยนเลย คือเลนส์ ๒๘-๑๐๕ mm

คราวเสด็จพระราชดำเนินกฐินพระราชทานทางชลมารค เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ ทรงประทับเรือพระที่นั่ง
" นารายณ์ทรงสุบรรณ " ล่องเลียบลำน้ำเจ้าพระยา คราวนั้นในหลวงทรงพกพากล้องเล็กพิเศษ เลนส์ " คาร์ลไซด์ "
ทรงเหลือบพระพักตร์เพียงเล็กน้อย ไม่ต้องยกกล้องมาที่พระเนตรก็ทรงมีพระปรีชาสามารถกดชัตเตอร์ได้เลย

ผู้จัดการรายสัปดาห์

(วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๕)
ที่มา : หนังสือใกล้เบื้องพระยุคลบาท โดย...ลัดดา ซุบซิบ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ออกสีหบัญชรพระที่นั่งทุทไธสวรรย์ เพื่อให้ประชาชนได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ถวายพระมงคลหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๔๙๓


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 13:27:00 ]
 
 

...............[84] - 150

เราเคยไปรับเสด็จที่หน้าวัดพระแก้ว ตอนที่สมเด็จย่าสิ้นพระชนน์
แล้วพระเทพรัตน์เสด็จมาฟังพระสวด ตอนที่เสด็จกลับทหารมากั้นประชาชน
ให้รถพระที่นั่งแล่นผ่าน แต่ด้วยความที่ประชาชนอยากเฝ้าใกล้ชิดก็ต่างกรูเข้าไป
ทหารเข้าจะมากั้น แต่ทรงโปรดให้ทหารถอยออกและให้รถพระที่นั่งแล่นช้า ๆ
เพื่อให้ประชาชนได้เฝ้า และชื่นชมพระบารมี เราเป็นหนึ่งในประชาชนในวันนั้น
ทุกวันนี้ผ่านมานานยังจำเสียงและภาพในวันนั้นที่ประชาชนส่งเสียงว่า

ทรงพระเจริญ

และก้มลงกราบกับพื้นถนนได้...(วันนั้นเรา..น้ำตาคลอเลย) ..ทรงพระเจริญ

โพสโดย : คุณ Poo (sixteen) (สมาชิกชาวพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 2 พ.ย. 50 13:31:13 ]



...............[85] - 151-153




.....
เคยรับเสด็จพระองค์อยู่หลายหน  สิ่งหนึ่งที่รู้สึกทุกครั้ง คือ ความปลาบปลื้มยินดีที่ได้รับเสด็จพระองค์

ครั้งล่าสุด

มีงานตักบาตรทำบุญครบรอบวันสถาปนาคณะ  พระองค์เสด็จมาเป็นประธานในพิธี  เมื่อพิธีเสร็จสิ้นแล้ว 
ก่อนเสด็จจะพระราชดำเนินกลับ  ก็ทรงทักทายกับประชาชนที่มาทำบุญตักบาตรกันอย่างเนื่องแน่นในวันนั้น 

นึกภาพตามนะครับ คือ บริเวณงานมันเป็นลานลีลาวดี ที่อยู่ระหว่างตึกนิติเวชกับตึกกายวิภาคศาสตร์ (ผมเรียนคณะแพทย์)
ประชาชนก็รายล้อมเป็นรูปตัวยู  คือ พระองค์เสด็พระดำเนินและทรงทักทายประชาชนที่นั่งรายล้อมพนมมือรับเสด็จอยู่ทั่วไป 
และพอถึงปลายตัวยู  มันเป็นทางตัน  พระองค์ทรงหันรีหันขวาง  เพราะทรงไม่ทราบว่าจะเสด็จไปทางไหน 
นอกจากจะหันหลังกลับขึ้นรถพระที่นั่งไป


ระหว่างที่ทรงหันรีหันขวางนั้น พระองค์ก็ตรัสด้วยอารมณ์ขันและด้วยพระพักตร์ที่แย้มสรวลตลอดเวลา


" เห็นมั้ย  ไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว  หันมา (ทรงชี้ไปที่ตึกและทำท่าตกใจ)  หันมาก็มาเจอตึกนิติเวชแล้ว "

เรียกได้ว่าฮากันทุกคน

ขอทรงพระเจริญครับ

จากคุณ : LiL_Giant (สมาชิกชาวพันทิป)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 17:28:31 ]



...............[86] - 154

เรื่อง : ยุงปากน้ำ

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์
ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข

..... ครั้งนั้น (เป็นที่น่าเสียดายว่ามิได้บันทึกวันเวลาไว้) ศูนย์ควบคุมข่ายวิทยุของตำรวจจราจร
ซึ่งใช้สัญญาณเรียกขานในขณะนั้นว่า " ตรีเพชร " และความถี่วิทยุ ๑๖๒.๐๐ MHz
ได้ถูกคลื่นวิทยุขนาดความถี่เดียวกันจากสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง เข้ารบกวนในลักษณะเป็น RF Carrier
มีความแรงของสัญญาณมากเพียงพอที่จะทำให้ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับข่ายนี้ได้โดยสิ้นเชิง

.....เมื่อความทราบถึงพระกรรณ จึงได้ทรงพระกรุณาติดต่อทางวิทยุแจ้งให้ผมทราบ
และลงมือปฏิบัติการหาทิศวิทยุร่วมกัน ในคืนวันนั้นเมื่อเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น.
จากการตรวจสอบร่วมกันของ ๒ สถานี สถานีหนึ่งตั้งอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
และอีกสถานีหนึ่งตั้งอยู่ที่บ้านพักของผม ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการ
อยู่ในบริเวณกองการสื่อสาร กรมตำรวจบางเขนในขณะนั้น เป็นที่น่าเชื่อว่าคลื่นวิทยุที่แผ่กระจายเข้ามารบกวน
ข่ายการสื่อสารของตำรวจจราจรมีทิศทางมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพมหานคร
หรือมาจากทางอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เพราะสัญญาณของคลื่นวิทยุนี้มีความแรงสูงมาก

.....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งให้ผมจัดหน่วยหาทิศวิทยุเคลื่อนที่
คือ รถยนต์ประจำตำแหน่งของผมที่ได้เตรียมไว้ พร้อมกับเครื่องอุปกรณ์
ในการหาทิศวิทยุออกปฏิบัติการทันที เมื่อเวลาก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย....

.....ผมได้เดินทางเข้าเขตอำเภอบางพลี เมื่อเวลาประมาณสองยามเศษ ...
เป็นที่รู้จักกันดีว่า จังหวัดสมุทรปราการเป็นจังหวัดที่มียุง ที่เรียกว่า " ยุงปากน้ำ " ชุมที่สุด
เป็นยุงตัวใหญ่และบินมาเป็นจำนวนมาก เป็นกลุ่มก้อนสีดำ หลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว...

.....การสอบทานทิศวิทยุ ณ จุดนี้ ผมจำเป็นต้องหยุดและออกไปจากรถ
แล้วนำเครื่องอุปกรณ์หาทิศวิทยุและแผนที่ออกไปตั้งบนกระโปรงหน้าของรถ

.....ขณะเมื่ออ้าปากกล่าวถวายรายงาน เจ้ายุงปากน้ำจำนวนไม่น้อยก็บินถลาเข้าปากของผม โดยไม่รั้งรอ จึงเผลออุทานไปว่า

" กส.๙ จาก กส.๑ ว.๒.. อุ๊บ..กส.๑ ได้ ว.๑๐ (หยุดรถ) ตรวจสอบจุดที่น่าสงสัยแล้ว..อุ๊บ..ไม่มีสถานีส่งคลื่น..อุ๊บ... "

ได้รับสั่งตอบมาทางวิทยุว่า

" กส.๑ จาก กส.๙ รับทราบ มีอะไรเกิดขึ้น "

.....ผมจึงได้ถวายรายงานเหตุการณ์ไปว่า

" น่าเชื่อว่า สถานีที่ส่งคลื่นรบกวนยังอยู่ไกลจากจุดที่กำลัง ว.๔ (ปฏิบัติการ)...อุ๊บ...
ขณะนี้ กส.๑ กำลังถูกยุงปากน้ำโจมตี มียุงจำนวนหนึ่ง...อุ๊บ...เข้ามาในปาก ขออนุญาตเลิก ว.๔ ที่จุดนี้ "

" กส.๙ รับทราบ (มีเสียงพระสรวล) ให้เลิก ว.๑๐ แล้วเปลี่ยนจุด ว.๔ ใหม่ "

ที่มา : บทความ " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการหาทิศวิทยุ " หนังสือ " บันทึกความทรงจำ เรื่องการสื่อสารของในหลวง "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระราชโอรส พระราชธิดา
ทั้ง ๔ พระองค์


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 17:34:06 ]
 

 
...............[87] - 155

เรื่อง : ขอกลับบ้านก่อน

หม่อมราชวงศ์บุตรี วีระไวทยะ
ผู้อำนวยการกองในพระองค์ สำนักราชเลขาธิการ

.....ทุกคนจะเห็นท่านทรงถือแผนที่ ไปไหนมาไหนก็มีแผนที่ แผนที่รายละเอียด
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงตัดต่อเอง ...ท่านมานั่งตัดนั่งต่อ มานั่งปะกาวเอง

.....ใครๆ คิดว่า ห้องทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ เป็นห้องที่ต้องโก้ต้องเก๋
มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีแต่ว่าท่านไม่ได้ประทับที่นั่น ท่านลงประทับกับพื้น เพราะว่าบนพื้นวางของต่างๆ ได้มากกว่าโต๊ะ....

.....การที่ท่านทรงมีแผนที่ก็ด้วยเหตุที่ว่า ไปตรวจตราในเส้นทาง ที่จะเสด็จฯ เองก็ดี
หรือว่าในการพูดคุยกับประชาชน หาข้อมูลจากประชาชน...

.....เขามองแผนที่ไป เขาคุยไปได้อะไรมากเลย ในบางครั้งก็มีคุยกันไปตั้งนาน
ชาวบ้านจึงลุกขึ้นบอกเดี๋ยวผมขออนุญาตกลับบ้านก่อน ก็รับสั่งว่า มีธุระอะไรหรือ
เขาบอกว่า เดี๋ยวผมกลับไปแล้วเดี๋ยวผมมา กลายเป็นว่าชาวบ้านคนนั้นไม่มีความสบายใจ
เพราะว่าท่านทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปแวะประเดี๋ยวหนึ่ง เขากำลังอาบน้ำอยู่ ก็นุ่งแต่ผ้าขาวม้า เสื้อไม่ได้ใส่
ก็เลยอยากกลับไปใส่เสื้อแล้วค่อยกลับมาคุยต่อกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...

ที่มา : การอภิปราย " พระเจ้าอยู่หัวของเรา " จัดโดย สมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย สำนักงาน กพ. วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๐

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. สมเด็จพระสังฆราช ถวายน้ำพระพุทธมนต์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช ๒๔๙๓


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 17:38:23 ]
 

 
...............[88] - 156

เรื่อง : ปิ่นโตไปไหน

แมนรัตน์ ศรีกรานนท์
อ.ส.วันศุกร์

.....ในโอกาสที่มีงานส่วนพระองค์ซึ่งจัดขึ้นที่สถานีวิทยุ อ.ส.ภายในงาน สุภาพบุรุษจะมีภริยามาพร้อมกัน
แต่ในบางโอกาส ฝ่ายสุภาพบุรุษต้องมาคนเดียวเพราะภริยามีภารกิจอื่น พระองค์จะทรงเย้ารับสั่งว่า

" วันนี้ปิ่นโตไปไหน "

ข้าราชบริพารหลายคนไม่สามารถตอบได้และยังงงว่าคืออะไร มาทราบภายหลังว่าทรงรับสั่งถามถึงคนที่บ้านนั่นเอง

.....สุภาพสตรีท่านหนึ่งยังเป็นโสด ในปีหนึ่งเมื่อมีงานปีใหม่ ได้รับพระราชทานปิ่นโตเถาพร้อมผูกโบว์
สร้างความครึกครื้นให้แก่ข้าราชบริพารทุกท่าน เมื่อไม่มีปิ่นโต (คู่ครอง) จึงพระราชทานปิ่นโตจริงให้
ในวันนั้น สุภาพสตรีท่านนั้น ได้นำอาหารคาวหวานจากงานใส่ปิ่นโตกลับมาด้วยความสุขอย่างเปี่ยมล้น...

ที่มา : บทความ " พระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว " โดย แมนรัตน์ ศรีกรานนท์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับเหนือพระที่นั่งภัทรปิฐ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับพระแสงขรรค์ศรีอันเป็นหนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์

ในครั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 17:41:48 ]
 

 
...............[89] - 157

เรื่อง : น้ำผึ้งผสมมะนาว

แมนรัตน์ ศรีกรานนท์
อ.ส.วันศุกร์

.....วันพระราชทานงานเลี้ยงปีใหม่แก่ข้าราชบริพาร เมื่อคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๗
พระองค์พระราชทานน้ำผึ้งผสมมะนาวให้ผม เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่
ผู้ประกาศและร้องเพลงพระราชนิพนธ์ " รัก " เพื่อสุ้มเสียงจะได้ดี

.....สำหรับผมในวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ปรากฏว่าพูดมากเป็นพิเศษ
มาทราบในภายหลังว่า น้ำผึ้งผสมมะนาวที่ได้รับพระราชทานนั้น แท้จริงเป็นบรั่นดีผสมมะนาว...

ที่มา : บทความ " พระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว " โดย แมนรัตน์ ศรีกรานนท์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับเหนือพระที่นั่งภัทรปิฐ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับพระแสงขรรค์ศรีอันเป็นหนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์

ในครั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 17:44:46 ]
 

 
...............[90] - 158

เรื่อง : ที่นี่ใครใหญ่

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

.....เรื่องบึงมักกะสัน ที่ทราบกันอยู่ว่ามีปัญหา ทรงรับสั่งเกือบสองปีให้มีการดำเนินการอะไรต่าง ๆ
แต่ไม่มีใครดำเนินการอะไรทั้งสิ้น ก็อย่างนี้แหละครับบ้านเมืองของเรา ถ้าเป็นของคนนั้นคนนี้
อีกคนก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นพื้นที่ของรถไฟ กรุงเทพมหานครก็เข้าไปทำไม่ได้
ก็ปรากฏว่าเมื่อเสด็จฯ ไปไม่กี่เดือนมานี้เอง พอเสด็จฯ เข้าไปถึง คำถามแรกที่รับสั่งถามคือ

" ที่นี่ใครใหญ่ "

ทุกคนก็กระอึกกระอัก เพราะคงไม่มีใครกล้าบอกว่าใครใหญ่
เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาไม่มีใครยอมเป็นใหญ่ จุดประสงค์ของพระองค์ท่านจากประโยคนี้
จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มีใครรับผิดชอบโดยตรง ไม่มีศูนย์กลางในการประสานงาน ทุกอย่างก็ไม่ขยับ...

ที่มา : บทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คอลัมน์ " ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 17:49:02 ]
 
 

...............[91] - 159

เรื่อง : ก ส. ๙

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์
ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข

.....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่ เฝ้าฟังและติดต่อกับ " ปทุมวัน " และ " ผ่านฟ้า " เป็นครั้งคราว
เมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น การติดต่อทางวิทยุได้ทรงมีพระบรมราชานุญาต ให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่านไม่ต้องใช้ราชาศัพท์
พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ต " ว ") ได้อย่างแม่นยำและใช้ได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งนายตำรวจขั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังปฏิบัติไม่ได้ โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของตำรวจนี้เอง
จึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ข่าวโจรกรรม, อัคคีภัย, การจราจร ได้ทุกระยะ
ในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่านเพื่อทรงปฏิบัติพระราชภารกิจ

....จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับกรมตำรวจให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุ
กับแผนกรักษาความปลอดภัย บุคคลสำคัญ กรมราชองครักษ์ เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียง
และปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้น ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน

.....มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุกับพนักงานวิทยุ สถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี เพื่อจะพระราชทานคำแนะนำ
เกี่ยวกับการปฏิบัติการสื่อสารบางประการ โดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า " กส. ๙ " ติดต่อเข้าไป
พนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียงไม่ได้จึงได้สอบถามว่า " เป็น กส. ๙ จริงหรือปลอม "
ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูดไม่สู้จะเรียบร้อย เรื่องนี้จึงเดือดร้อนมาถึงผู้เขียน เนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบ
เพื่อให้ช่วยยืนยันว่า " เป็น กส. ๙ จริง "

.....ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ท่านยังทรงห่วงใยว่า พนักงานวิทยุผู้นั้นจะถูกลงโทษทางวินัย
จึงได้รับสั่งทางวิทยุให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของพนักงานวิทยุขออย่าให้มีการลงโทษเลย

ที่มา : บทความ " พระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร "
       โดย พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ หนังสือที่ระลึก วันสื่อสารแห่งชาติ ๒๕๓๐

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9
แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 50 18:00:29


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 17:52:01 ]
 

 
...............[92] - 161

เรื่อง : เจ้าพ่อหลวง ของชาวเขา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการเสด็จเยี่ยมราษฎรตามภาคต่าง ๆ เช่น หมู่บ้านชาวมุสลิมทางภาคใต้
และชาวนาในภาคกลาง หรืออย่างวันนี้ ได้เสด็จขึ้นไปไกลถึงดอยอ่างขาง ติดพรมแดนพม่า

ดอยอ่างขางนี้ เป็นที่อยู่ของชาวเขาเผ่าลาฮู เผ่าเย้า และพวกฮ่อ ซึ่งทำมาหากินด้วยการค้าหยก และฝิ่นมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย

ในการเสด็จเยือนถิ่นชาวเขา พระองค์จะทรงมีเครื่องมือสำคัญติดไปด้วยทุกหนทุกแห่ง คือ แผนที่ขนาดใหญ่ (สเกล ๑ ต่อ ๕๐,๐๐๐) และดินสอแดงกับวิทยุ ซึ่ง

สามารถสั่งการพูดโต้ตอบได้ เมื่อเห็นพระองค์กับคณะผู้เสด็จเข้ามาใกล้หมู่บ้าน
หัวหน้าชาวเขาจะร้องสั่งให้บรรดาลูกบ้านแหวกทาง ถวายการต้อนรับอาคันตุกะซึ่งเขาเรียกกันด้วยความเคารพอย่างสูงสุดว่า

" พ่อหลวง "

กล่าวกันว่า พระราชอาณาจักรนั้น ก็เหมือนกับพีระมิด คือ มีพระราชาอยู่ข้างบน ประชาชนอยู่ข้างล่าง แต่ในประเทศนี้กลับตรงกันข้าม
ก็เลยทำให้บางทีรู้สึกปวดๆ แถวนี้ แล้วก็ทรงชี้ที่พระศอและพระอังสภาระ (ไหล่) พร้อมกับทรงแย้มพระโอษฐ์

พอเสด็จไปถึงหมู่บ้าน ตัวแทนของชาวเขาเผ่าลาฮูก็เข้ามาเฝ้า และกราบทูลฟ้องว่า

" ทุกวันนี้พวกเราเดือดร้อนมาก มีที่ทำกินไม่พอเลย "

รับสั่งว่า " ก็เคยจัดที่ดินให้ไว้แล้วไม่ใช่หรือ "

" ถูกแล้ว แต่ชาวนาเผ่าอื่นได้รุกล้อมเข้ามา " หัวหน้าชาวเขาเผ่าลาฮูกราบทูลต่อ นี่คือตัวอย่างปัญหาที่จะต้องทรงแก้ไข

นายเด็นนิส เกรย์ เขียนรายงานลงในนิตยสาร " สวัสดี " ของ " การบินไทย " ว่า
เห็นได้ชัดว่า พระเจ้าอยู่หัวมิได้มีชีวิตส่วนพระองค์เลย วันเวลาของพระองค์ท่าน
หมดไปด้วยการช่วยราษฎรที่โน่นที่นี่ นายเด็นนิส เกรย์ ได้กราบทูลถามว่า

" ใต้ฝ่าพระบาท คิดว่าวันที่ทรงมีความสุขที่สุดคือวันไหน ? "

พระราชกระแสที่รับสั่งตอบว่า " บาเจาะ " นั้น ทำเอาทุกคนงุนงง เพราะไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
" บาเจาะ " นั้นเป็นอำเภออยู่ทางปักษ์ใต้ แสนจะกันดาร พื้นที่มีลักษณะเป็นปลักตม
ทุกปีน้ำจะท่วมอย่างน่ากลัว ทำให้ไร่นาเสียหายหมด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปแถวนั้นเป็นครั้งแรก
เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๖ และทรงชี้แนะให้ขุดคลองเพื่อระบายน้ำออกสู่ทะเล พอถึงเดือนธันวาคม คลองก็เสร็จเรียบร้อย

ในเดือนมกราคม ๒๕๑๗ ขณะที่กำลังประทับอยู่ที่เชียงใหม่ วันหนึ่ง อธิบดีกรมชลประทานซึ่งเคยตามเสด็จลงไปทางใต้ด้วย
ได้กระหืดกระหอบเข้ามาเฝ้า ทั้งๆ ที่ตัวกำลังเปียกฝน เขาตะโกนด้วยความดีใจว่า

" ได้ผลแล้ว! ได้ผลแล้ว ! "

รับสั่งถามว่า " ได้ผลอะไร ? "

อธิบดีกรมชลประทานกราบทูลว่า

" บาเจาะพะย่ะค่ะ! ได้ผลดีมาก... ชาวบ้านกำลังดีใจกันยกใหญ่ "

บางครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว
เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย
แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้
และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า

" แต่ที่แย่ ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป....ผู้หญิงผู้นั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน " รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล

สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย " ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็รู้ไม่ได้ "

คราวนี้ ถึงทีนายเด็นนิส เกรย์ จะต้องหัวเราะบ้างแล้ว เขานึกในใจว่า

" การเป็นพระเจ้าแผ่นดินในประเทศนี้ ถึงจะลำบากพระวรกาย แต่ก็มีเรื่องสนุกๆ ที่ออกจะหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน "

ที่มา : พระราชอารมณ์ขัน - วิลาศ มณีวัต

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระปฐมเจดีย์ระหว่างทรงผนวชอยู่
พุทธศักราช ๒๔๙๙


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 3 พ.ย. 50 18:00:02 ]



...............[93] - 164

เรื่อง : เผยความลับเรื่องแซ็กโซโฟนของในหลวง

ก่อนจะออกเดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา บรรณาธิการนิตยสาร Look ได้สั่งนาย GEREON ZIMMERMAN มาว่า

" เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด อย่าลืมกราบทูลถามเรื่องแซ็กโซโฟนทองคำด้วยนะ ว่ามันอย่างไรกันแน่
ราคาโดยประมาณสักเท่าใด ทำที่สวิตเซอร์แลนด์ หรือที่ไหน "

เมื่อได้มานั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ในวังสวนจิตรฯแล้ว นายซิมเมอร์แมน พยายามเลียบเคียงอยู่นาน
ก็ยังไม่ได้จังหวะเหมาะที่จะทูลถามเรื่องที่บรรณาธิการอยากให้ถาม ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งขึ้นมาเองว่า

" หนังสือพิมพ์ที่อเมริกาพากันลงว่า เป็นพระราชาที่คลั่งดนตรี...ซึ่งก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่ไปลงจนเลยเถิดกันไปว่า
แซ็กโซโฟนที่เป่าอยู่เป็นประจำนี้เป็นแซ็กโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ อันนี้ไม่จริงเลย
สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก บางฉบับก็เขียนว่าชอบขับรถซิ่ง ก็เอาเถอะ ยอมให้ไม่ถือสาหรอก
แต่ไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นการสร้างสรรค์ หรือเป็นประโยชน์อันใดแก่ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา "

ต่อจากนั้นผู้แทนนิตยสาร Look ได้กราบทูลว่า ทรงโปรดดนตรีของวง " เดอะ บีทเทิลส์ " หรือไม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วรับสั่งว่า

" ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าออกประเทศอังกฤษ "

ได้ทรงมีพระกระแสรับสั่งต่อไปอีกว่า

" คนหนุ่มสาวสมัยนี้เขาช่างสังเกตมาก และมีความคิดก้าวหน้า ลูกสาวคนโตเขามาหาตอนอายุสิบเอ็ด
แล้วบอกว่า อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ รู้สึกว่ามีความตั้งใจมาก "

ถึงตอนนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถรับสั่งเสริมขึ้นว่า

" ลูกคนนี้เขาเดินตามรอยเสด็จพ่อ แต่ข้าพเจ้านั้นวิชาคำนวณอ่อนมาก "

ในอีกตอนหนึ่งของการพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร Look วันนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งเล่าให้ฟังว่า แต่ละปีจะเสด็จไปเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตถึงสามครั้ง
และจะทรงประพรมน้ำพระมหาสังข์ให้แก่บรรดาข้าราชการที่ตามเสด็จเข้ามาในโบสถ์ น้ำนั้นถือกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
ข้าราชการเหล่านั้นถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ทรงพระกรุณาประพรมให้ ต่อมาก็ทรงนึกถึงชาวบ้านธรรมดานอกโบสถ์
ซึ่งอยากให้ประพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย รับสั่งในตอนนี้ว่า

" คนเราถ้าเชื่อว่าน้ำนั้นจะเป็นสิ่งนำความดีงามมาสู่ชีวิต ก็จะได้รับความดีงามและโชคลาภตามความเชื่อ "

ตอนแรกนั้น มีคนขับแท็กซี่คนหนึ่งกลับไปบอกเพื่อนว่า ในหลวงประพรมน้ำมหาสังข์ให้ เพื่อนของเขาไม่ยอมเชื่อ
เพราะว่าในหลวงคงไม่ทำเช่นนั้นแน่! แต่ได้ประพรมให้เขาจริง และเขาก็มีความสุขในทันที ถ้าโผล่เข้าไปดู
จะเห็นว่าคนที่นั่งรอรับน้ำพระมหาสังข์อยู่นั้น มีทั้งชาย หญิง เด็ก นักท่องเที่ยว และคนขับแท็กซี่ ใครจะมาจะไปก็ได้

" เมื่อประธานาธิบดีของท่านมาเยือนเมืองไทย มีพวก FBI และหน่วย ร.ป.ภ.ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมด
จนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันมาวัดพระแก้วแบบนั้น ก็ไม่สามารถจะใกล้ชิดกับประชาชนได้
ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไป จะมีคุณยายพูดขึ้นว่า

" หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ "

คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน "

เวลาไปตามหัวเมือง ชาวนาจะมีของมาให้ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง และสตรอเบอร์รี่งามๆ ซึ่งเขาปลูกเอง
ชาวนาบางคนได้ทุนไปอเมริกา เขาจะมาหาแล้วถามว่า

" จะทำอย่างไรดี? จะวางตัวแบบไหน ? "

ก็บอกไปว่า ให้เป็นตัวของตัวเอง

" ให้ดูแบบอย่างที่ดีๆ แล้วนำของใหม่ๆ มาปรับใช้ในเมืองไทย ครั้นกลับมาแล้ว ก็มาหาอีก ไม่มีใครห้ามเขาได้ที่จะไม่ให้มาหา "

หลังจากนั้น ก่อนที่ผู้แทนนิตยสาร Look จะกราบทูลลา ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานเลี้ยงน้ำชา
พร้อมด้วยผลไม้ คือ แตงโม และมังคุด ซึ่งผู้แทนของ Look ตื่นเต้นมากที่เห็นแตงโมในลักษณะลูกกลม ๆ ขนาดเล็ก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งเมื่อผู้แทนของนิตยสาร Look และช่างภาพกราบทูลลาว่า

" ฉันเป็นพระราชาที่ได้รับเลือกตั้งขึ้นมา ถ้าประชาชนเขาไม่ต้องการฉัน
เขาก็ไล่ฉันออกก็ได้จริงไหม? แล้วฉันก็กลายเป็นคนว่างงาน "

รายละเอียดของการพระราชทานสัมภาษณ์คราวนั้น ผู้ที่สนใจค้นคว้าจะหาอ่านได้จากนิตยสาร Look ฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๑๙๖๗

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 09:17:27 ]
 

 
...............[94] - 165

เกี่ยวกับพระอัจฉริยภาพทางการดนตรีนี้ นักดนตรีแจ๊สที่มีชื่อเสียงหลายคนของอเมริกา
ชื่นชมในพระปรีชาสามารถทางการดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างสูง
เพราะทรงใช้เครื่องเป่าได้อย่างคล่องแคล่วทุกชนิด เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ พระองค์ได้เสด็จฯ
ไปที่บ้านเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ค ทรงดนตรีที่นั่น หลังจากนั้นเบ็นนี กู๊ดแมน ยอดนักดนตรีแจ๊สของอเมริกา
ได้กราบบังคมทูลเชิญไปที่บ้านของเขาที่ถนนที่ ๖๖ เธิร์ด อเวนิว นักดนตรีผู้ร่วมวงอยู่ด้วยเล่าว่า

" ทรงพระสำราญมากในคืนนั้น ทรงเป็นกันเองกับพวกเรามาก เป็นวาระที่พวกเราจะจดจำไปชั่วชีวิต "

ก่อนหน้านั้น คงจำกันได้ว่า ครั้งหนึ่ง ไม้ค์ ทอดด์ ได้เคยเสนอบทเพลงพระราชนิพนธ์หลายเพลง
รวมทั้ง " Blue Night " ในการแสดงรีวิวครั้งยิ่งใหญ่ของเขาชื่อ " PEEP SHOW " ที่บรอดเวย์
ซึ่งในขณะที่กำลังซ้อมใหญ่อยู่นั้นพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพระสำราญฮันนีมูนอยู่ที่หัวหิน
ที่ด้านข้าง ใกล้ๆ พระราชวังไกลกังวล ตอนหัวค่ำวันนั้น บังเอิญมีใครไม่ทราบ มานั่งตีปี๊บอยู่ ข้าราชบริพาร แอบกระซิบกันว่า

" เราไม่มีวาสนาได้ฟังปี๊บโชว์ที่อเมริกา ก็ฟังปี๊บที่นี่เอาก็แล้วกัน "

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้รับสั่งว่าอย่างไร

ที่มา : พระราชอารมณ์ขัน - วิลาศ มณีวัต

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. สมเด็จพระสังฆราช ถวายน้ำพระพุทธมนต์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช ๒๔๙๓


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 09:23:54 ]
 

 
...............[95] - 166

เรื่อง : ตายด้วยกัน

ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

.....ขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่บนพลับพลา ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
และกำลังพระราชทานรางวัลแก่โต๊ะครู การพระราชทานต้องหยุดชะงักลงทันที
เพราะมีเสียงระเบิดเกิดขึ้น ๒ ครั้งในหมู่ราษฎรที่นั่งรอเฝ้าฯ....

.....ราษฎรที่นั่งรอเฝ้าอย่างมีระเบียบต่างก็ลุกขึ้นเป็นอลหม่าน บ้างก็นอนคว่ำอยู่กับพื้น
บ้างก็ออกวิ่งให้ห่างจากจุดที่มีเสียงระเบิด พากันวิ่งตัดสนามผ่านหน้าพลับพลา
ถ้ามีใครหกล้มกับพื้นข้าพเจ้าคิดว่าคงมีการเหยียบกันตายให้เห็นต่อหน้าเป็นแน่...

...ทุกคนที่อยู่บนพลับพลาต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เห็นราษฎรที่ต่างก็วิ่งรุดไปข้างหน้าจนไกล
ด้วยความตกใจสุดขีด และสักครู่เขาก็วิ่งกลับมาที่เดิมใหม่ เมื่อไม่มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นอีก เหตุการณ์สงบ
สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานรางวัลแก่โต๊ะครูจนเสร็จพิธี ต่อจากนั้น ทั้งสองพระองค์
ก็ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่กลับมารอเฝ้าฯ ด้วยพระอิริยาบถและพระราชจริยวัตรเป็นปกติ....

.....มีเด็กสาววิ่งเข้ามาเขย่าพระกรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ร้องไห้พลางปากก็ร้องว่า

" เขาจะฆ่าท่านทำไม ท่านก็รักราษฎรแล้วท่านก็ดีกับพวกหนู "

ผู้หญิงแก่คนหนึ่งก็เข้ามากราบบังคมทูลว่า

" ท่านอย่าโกรธฉันนะจ๊ะ เสียงมันดังปังขึ้นมา ฉันก็ตกใจวิ่งหนี แต่พอวิ่งไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า
ท่านยังอยู่ที่นั่นก็ เลยต้องวิ่งกลับมาหา คิดว่าถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ก็มาตายด้วยกัน "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระปฐมเจดีย์ระหว่างทรงผนวชอยู่
พุทธศักราช ๒๔๙๙


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 10:27:14 ]
 

 
...............[96] - 167

เรื่อง : เสี่ยปลอม

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์
รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับ 11)

.....มีพระราชกระแสให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรับสนองพระราชดำริ ไปจัดซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาหรือนำมาจัดสรร
แบ่งแปลงให้กับผู้ยากไร้ไว้เพื่อทำกิน ด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง

.....เป็นการบังเอิญที่ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งซึ่งปลอมตัวเป็น " เสี่ย " นักจัดสรรที่ดินเข้าไปเจรจาซื้อที่ดินในรายนี้ด้วย
จึงจำได้แน่ชัดถึงบรรยากาศของเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า มีชาวบ้านเป็นกลุ่ม ๆ ออกมายืนมองและซุบซิบกัน
ทำนองแปลกประหลาดใจว่า เหตุใดจึงมีผู้สนใจจะซื้อที่ที่ไม่น่าสนใจแถวนี้
.....หรือว่าพวกเสี่ยที่มาถามซื้อที่ที่นี่เป็นพวกหลอกลวงสิบแปดมงกุฎ เพราะดูไปจริง ๆ แล้วราศีของเสี่ยหรือเศรษฐี
ก็ไม่ได้จับอยู่ที่ใครเลย มิหนำซ้ำยังหน้าตาแปลก ๆ บางคนสูงเกินไป บางคนคล้ำเกินไป บางคนใส่แว่นตาหนาเตอะ

.....ประโยคแรกๆ ที่ลุงเจ้าของบ้านและเจ้าของที่ถามไถ่ก็คือ

" ใครคือคนที่จะมาซื้อที่ " .....ก็ต้องตอบไปว่า " ผู้ใหญ่ ท่านจะมาซื้อที่ "

ครั้นลุงถามว่า " เอาที่แบบนี้ ไปทำอะไรกัน " ก็ต้องตอบว่า " เอาไปทำประโยชน์ "

" ประโยชน์อะไร จัดสรรหรือ? ทำคอนโดหรือ? " ลุงก็ได้รับคำตอบให้งุนงงต่อไปว่า " ไม่ใช่ทั้งนั้น "

ท้ายที่สุด ลุงและคณะชักตาเขียวและสีหน้าไม่ดี เหล่าบรรดากองเชียร์ชักพูดแซมขึ้นมาบ้างว่า

" อีแบบนี้ ถ้าจะเสียเวลาเปล่า! เจ้าของเขาไม่รีบร้อนขายหรอก เพราะเงินทองก็พอมีไม่เดือดร้อน "

คณะเสี่ยปลอมรู้สึกสถานการณ์จะคับขัน ก็เลยบอกว่าผู้ใหญ่จะเอาไปทำประโยชน์ให้กับประชาชนแถวนี้เอง
ทำประโยชน์กับชุมชนนี้ไม่ได้เอาไปขายต่อ หรือจัดสรรเอากำไรเข้าพกเข้าห่อแต่อย่างใด ลุงถามว่า

" มีด้วยหรือ ผู้ใหญ่แบบนี้...หรือจะเป็นนายก " พวกเรารีบแทรกว่า " ใช่แล้ว...นายกให้มาซื้อ "

ลุงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีกลับไปกลับมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปฏิทินที่แขวนไว้ข้างฝา
เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงงานอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเสี่ยปลอมทั้งหลายครบทุกคน
ยืนอยู่ข้างหลังพระองค์ ลุงมองหน้าทุกคนอย่างตกใจเล็กน้อย

" เอ๊ะ คนนี้ก็ใช่ คนนั้นก็ใช่...หรือว่าผู้ใหญ่ที่จะมาซื้อที่นั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "

เมื่อความแตก ลุงและชาวบ้านวัดมงคลก็ปีติตื่นเต้นเป็นล้นพ้น...ในท้ายที่สุด
ลุงเจ้าของที่โดยการสนับสนุนของสมาชิกละแวกวัดมงคลและญาติพี่น้องทั้งปวงก็ตกลงขายที่จำนวน 15 ไร่
ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำมาทดลองแนวคิด " ทฤษฎีใหม่" ทางด้านเกษตรกรรม

.....ก่อนลาจากกัน ลุงเจ้าของที่ต่อว่าคณะเสี่ยปลอม

" ไหนแต่แรกว่า นายกมาซื้อที่ไง.. "

เสี่ยปลอมทั้งหลายไม่ตอบคำถามนี้ แต่ในใจทุกคนคิดว่า ก็ใช่น่ะสิ นายกแท้ๆ เลย แต่เป็น " นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิชัยพัฒนา "

ที่มา : บทความ " ใครมาซื้อที " โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ หนังสือ " ประทีปแห่งแผ่นดิน "

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระปฐมเจดีย์ระหว่างทรงผนวชอยู่
พุทธศักราช ๒๔๙๙


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 11:19:03 ]
 

 
...............[97] - 168

เรื่อง : ถ่ายที่ไหน

อาณัติ บุนนาค
มหาดเล็กและช่างภาพส่วนพระองค์

....ครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลยังทรงพระชนม์ชีพอยู่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นทรงมีฐานะเป็นสมเด็จพระอนุชา
ได้นำภาพถ่ายรูปเรือรบลำหนึ่งให้ข้าราชบริพารใกล้ชิดดู แล้วตรัสถามว่า

มีผู้ใดทราบบ้างว่าเป็นเรืออะไรและถ่ายที่ไหน

ทุกคนในที่นั้นนิ่งอึ้งเว้นแต่นายทหารผู้หนึ่งหนึ่งทูลตอบได้ทันทีว่า เป็นเรือรบหลวงศรีอยุธยา

ซึ่งพระองค์ท่านรับสั่งว่าถูก แต่สถานที่ที่พระองค์ทรงฉายภาพนี้มีแต่น้ำกับฟ้าซึ่งมีเมฆสีขาวงดงามเท่านั้น
ภูมิประเทศในภาพนั้นทำให้เป็นที่ฉงนสนเท่ห์แก่ทุกคนในที่นั้นว่า พระองค์ทรงฉายภาพนั้นได้อย่างไร

จากภูมิประเทศในภาพนั้นคาดกันว่า ทรงถ่ายขณะเรืออยู่ในทะเล แต่พระองค์ก็ไม่เคยเสด็จฯ ทางเรือ
ครั้งใดที่มีเรือศรีอยุธยาโดยเสด็จด้วย ในที่สุดทุกคนยอมจำนน พระองค์ท่านจึงตรัสว่า

“ ถ่ายในห้องนี่เอง ”

พร้อมกับชี้พระหัตถ์ไปยังห้องเครื่องเล่น ทุกคนในที่นั้นยังมีสีหน้าสนเท่ห์
พระองค์จึงเสด็จฯ นำไปดู ความจริงจึงประจักษ์แก่สายตาทุกคน บนโต๊ะขัดมันปลาบตัวหนึ่งในห้องนั้น
มีหุ่นจำลองเรือรบหลวงศรีอยุธยาวางอยู่ ถัดไปเป็นภาพถ่ายเมฆงดงาม
ความมันบนพื้นโต๊ะทำให้เกิดเงาเรือรบจำลอง ทำให้ดูเหมือนเรือจอดอยู่ในน้ำ
ทุกคนจึงเข้าใจและพากันยอมรับนับถือพระปรีชาสามารถในการฉายภาพทำนอง Top Table นี้ขอพระองค์เป็นอย่างยิ่ง....

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล.
สมเด็จพระสังฆราช ถวายน้ำพระพุทธมนต์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช ๒๔๙๓


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 11:30:47 ]
 

 
...............[98] - 169

ในสวนดอกไม้

      ที่สวนดอกไม้หน้าพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
พร้อมด้วยทูลกระหม่อมน้อยและทูลกระหม่อมเล็ก ประทับอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้
สามพระองค์ทรงยืนเรียงกันอยู่อย่างงดงามน่าชื่นชม ทรงใช้เลนส์ถ่ายไกล (Telephoto lens)
ทรงปรับระยะชัดเน้นเด่นเฉพาะสามพระองค์ ที่ฉากด้านหน้าพร่าและด้านหลังมัวเป็นความพร่ามัวอย่างเป็นศิลป์
ด้วยเป็นฉากสีเหลืองเขียวพราวราวกับภาพวาด นี่คือศิลปะการถ่ายภาพบุคคลอย่างถูกต้องแท้จริง
ทรงแสดงพระปรีชาสามารถพิเศษอีกประการหนึ่ง ให้สังเกตดอกกุหลาบสีเหลืองที่เป็นฉากด้านหน้า
กุหลาบนี้มีสีคล้ายกับสีฉลองพระองค์ของสมเด็จพระเทพรัตน์ ฯ ถ้าทรงใช้มุมที่มีกุหลาบซ้อนตรงฉลองพระองค์
สีก็จะกลืนกันไป แต่พอทรงเคลื่อนมุมให้กุหลาบเหลืองซ้อนอยู่เบื้องหน้าฉลองพระองค์ของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ฯ
สีเหลืองของกุหลาบกับสีฟ้าน้ำเงินของฉลองพระองค์ตัดกันสดใสจับตาขึ้นมาทันที

นี่คือศิลปะการเลือกคู่สีที่มีคุณค่า อันเป็นพระปรีชาสามารถที่ละเอียดประณีตอย่างวิเศษเฉพาะพระองค์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 11:41:14 ]
 

 
...............[99] - 170

เย็นวันนี้ที่อยุธยา

       เมื่อธันวาคม ๒๕๒๔ เสด็จพระราชดำเนินเมืองเก่า จังหวัด พระนครศรีอยุธยา
พอได้เวลาเย็นจึงเสด็จฯ ไปที่เจดีย์วัดภูเขาทอง ขณะที่ทั้งสามพระองค์กำลังประทับอยู่บริเวณฐานประทักษิณ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นว่าเป็นมุมภาพที่งามมาก เพราะมองเห็นดวงอาทิตย์จวนจะลับแสง
มีทั้งท้องฟ้าและทิวไม้ด้วย แต่ตรงทิศทางที่ประทับนั้นเป็นทางด้านย้อนแสง (Silhouette)
พระพักตร์ของทั้งสามพระองค์จึงทรงอยู่ในเงาดำ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถอันว่องไวฉับพลัน
จึงทรงใช้ไฟแฟลชร่วมกับแสงแดด (Synchro-sunlight) ในเวลานั้นให้ภาพได้แสงพอดี

        ภาพสามพระองค์ที่ทรงฉายไว้ มีพระพักตร์สดใส แววพระเนตรแจ่มจรัส
และที่เป็นศิลปะอย่างสำคัญก็ตรงที่แสงสีของภาพกำลังพอดี สดสวยงดงามตลอดทั้งภาพ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 11:44:59 ]
 

 
...............[100] - 171

ในที่สุดผมก้อหาเนื้อหามาได้

เรื่อง : ทะเบียนสมรส

ฟื้น บุณยปรัตยุธ
อดีตนายอำเภอปทุมวัน
นายทะเบียนในวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงจดทะเบียนสมรสเฉกเช่นคู่สมรสทั่วไป

...สมุดทะเบียนสมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ
ปกสมุดหุ้มด้วยหนังแกะอ่อนสีเหลืองเข้ม กลางปกเป็นหนังสีน้ำตาล
มีอักษรตัวทองบอกว่าเป็นสมุดทะเบียนสมรส ข้อความในสมุดทะเบียน
ทุกอย่างคงเป็นเหมือนสมุดทะเบียนสมรสทั่วไป.... ทรงเป็นพระราชาในระบบประชาธิปไตยแท้
เกี่ยวกับการจดทะเบียนนี้ พระองค์ท่านทรงทำตามระเบียบทุกอย่าง
ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสนอกสถานที่ ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์
เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท ตามระเบียบถูกต้อง...

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. รูปทะเบียนสมรส ดูได้ที่หัวข้อกระทู้
แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 50 11:51:19


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 11:50:49 ]



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #5 on: 15 October 2021, 17:58:16 »


...............[101] - 172

เหมือนฝัน

   ดอกไม้ไฟชื่อว่าพลุนั้น นอกจากจะได้ยินเสียงปึงปังฟังชัดแล้ว แสงสียังสว่างกระจ่างตาเจิดจ้า พราวพราย ใครได้เห็นเป็นต้องชอบจะเรียกว่าเป็นความนิยม
ระดับนานาชาติก็ว่าได้ จุดพลุที่ไหนสวยที่นั่น สูงสง่าท้าทาย เร้าใจผู้ชม เป็นที่ชื่นชอบของนักศิลปะและนักถ่ายภาพมาก

   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในการถ่ายภาพพลุอยู่เสมอ ภาพที่ทรงถ่ายไว้ได้จะมีความแปลกใหม่เป็นพิเศษ อย่างภาพชุดนี้ ทรงเลือก
เวลาถ่ายตอนโพล้เพล้ใกล้ค่ำท้องฟ้ายังมีแสงเรืองๆ จึงช่วยให้เห็นทิวทัศน์เป็นส่วนประกอบได้อย่างสวยงาม พอพลุดังปึงปังแสงก็สว่างจ้าเป็นดาวดวงใหญ่อยู่กลาง
ท้องฟ้า จึงดูสวยสง่าจับตาซึ้งใจ

   บางครั้งทรงถ่ายให้เป็นลวดลายสวยเต็มท้องฟ้า ล้วนแต่มีเส้นแรงมีแสงสีสารพัด ดูเมื่อใดก็ยังจะทำให้ผู้ดูรู้สึกอยู่เสมอว่าพลุยังมีเสียงดังปึงปังก้องฟ้าอยู่เมื่อนั้น
แสงสียังสว่างจ้าเต็มตาสมใจนึก แต่พลุจริงๆ นั้นดับแสงไปนานแล้ว เพราะเพียงระเบิดปังก็เกิดแสงสว่างอยู่ชั่วพริบตาแล้วหายไป คล้ายกับความฝัน แต่ภาพพลุฝี
พระหัตถ์ชุดนี้ดูครั้งใดยังตราตรึงซึ้งใจเกิดจินตนาการ ได้ยินเสียงอยู่ในหัวใจ เห็นแสงสีสีสวยซึ้งติดตาอยู่อย่างมิรู้ลืม

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 5 พ.ย. 50 11:52:39 ]
 

 
...............[102] - 176

เรื่อง : บาบูรักในหลวง

....ระหว่างทรงพระผนวช ทุกเช้าจะมีบาบู 3 นาย ขี่สามล้อเครื่องค่อนข้างเก่ามาหยุดอยู่ที่ประตูวัดบวรฯ
คนขับซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้น ลงมาแก้ห่อนมสด 2 ขวด พร้อมกับหนีบนมสดทั้ง 2 ขวด
เข้าไปให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ณ พระตำหนัก เพื่อถวายแด่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

บาบูนายนี้ชื่อ นายรามดาส ชาวอินเดีย เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทยได้ 20 กว่าปีแล้ว
มากับลูกชายและนายซิตาราม ซิงห์ อายุ 56 ปี เป็นพี่น้องกัน ทั้งสามนับถือศาสนาฮินดู

“ แขกกับไทยมิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน ศาสนาไม่เกี่ยว ฉันอยู่เมืองไทยมายี่สิบกว่าปี
สบายดีเหลือเกิน ฉันคิดถึงพระคุณในหลวง และฉันรักท่านมาก
ฉันจึงไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่เขาถวายนมสดวันละ 2 ขวดน่ะ ”

บาบูรามดาสได้เผยว่า นมสดที่เขานำมาทูลเกล้าฯ ถวายได้ทำอย่างชนิดพิเศษ
คือรีดจากนมวัวแล้วใส่ขวดเลย โดยไม่ปะปนกับนมสดที่นำไปขาย....

ที่มา : หนังสือพิมพ์ “ พิมพ์ไทย ” เดือนตุลาคม พ.ศ. 2499

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. แตรหลวง
   หมายถึงปากแตรกว้างใหญ่กว่าแตรใดทั้งหมด แตรใหญ่ แตรยักษ์ จึงต้องเรียกว่า “แตรหลวง”
   ทรงใช้วิธีถ่ายภาพด้วยพระองค์เอง โดยทรงตั้งกล้องคู่พระหัตถ์บนสามขา แล้วทรงใช้ปุ่มลั่นชัตเตอร์ที่ Self-timer ทรงกะเวลาให้กล้องลั่นชัตเตอร์ ถ่ายภาพ
พระองค์เองได้อย่างพอเหมาะพอดีกับขณะที่ทรงเป่าแตรอย่างดัง

   ที่เป็นศิลปะมากก็ตรงที่ทรงใช้เลนส์มุมกว้างพิเศษชนิดเลนส์ตาปลา (Fisheye lens) จึงทำให้เห็นปากแตรกว้างใหญ่ มองทีไรเป็นต้องรับสายตาอยู่ก่อนสิ่งอื่น
ตรงปากแตรนี้แหละที่นำสายตาไปหาจุดเด่นของภาพ คือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงเป่าแตร

   เส้นศิลปะอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่ เส้นโค้งรายรอบคล้ายกรอบของภาพคือ เส้นขอบซ้ายขวา ช่วยเน้นให้ภาพเด่นมากขึ้น เครื่องอุปกรณ์ที่วางทับโน้ตเพลงก็เหมือนกัน
ทุกอันต่างชี้ไปหาจุดกลางเส้นเหล่านี้ จึงเป็นเส้นเสริมให้ภาพเกิดพลังยิ่งขึ้น ภาพนี้จึงเล่าเรื่องได้แจ่มแจ้ง มีแสงสดใสในตัว ทั้งมีเสียงแตรในความนึกคิดของผู้ชม

ภาพจึงเป็นภาพที่มีชีวิต น่าชมอย่างยิ่ง


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 21:48:48 ]
 

 
...............[103] - 177

เงาพิศวง

   ดูที่พื้นน้ำและเงานั้น จะเห็นพริ้วพรายกระเพื่อมไหวเป็นลายริ้วอย่างน่าประหลาด เงา...เงาบนผิวน้ำแน่ ๆ แต่แปลกตากว่าที่เคยเห็น ทำไมจึงมีเงาซ้อนเงา แสง
ซ้อนแสงรวมอยู่ด้วยกัน น่าพิศวงแท้ ๆ นี่คือศิลปะของเงาสวยอันเป็นความสวยพิเศษของภาพนี้

   คราวที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะที่ทรงพระดำเนินขึ้นจากบ่อสรงน้ำ
เวลานั้นอากาศแจ่มแจ้ง แสงแดดกำลังส่องจ้า ทอดพระเนตรเห็นเงาของพระองค์เองกับเงาของต้นไม้ทอดลงไปในผิวน้ำ พริ้วน้ำกำลังเต้นระริกด้วยแรงลม ทำให้
เกิดลวดลายผสมประสานกันอย่างประหลาด เพราะในแสงสว่างยังมีแสงซ้อนกันเป็นริ้ว ๆ ในเงาก็ยังมีเงาเป็นลวดลายสีหนักสีเบาสลับกัน

   ด้วยความสนพระราชหฤทัย จึงทรงถ่ายภาพไว้ทันที แต่ตรงที่ทรงยืนอยู่นั้นทรงถ่ายภาพไม่ถนัดนัก ถึงกระนั้นด้วยพระราชอุตสาหะอย่างแรงกล้า จึงทรงใช้พระ
หัตถ์ซ้ายจับต้นปาล์มไว้ส่วนพระหัตถ์ขวาทรงจับกล้องถ่ายภาพและทรงลั่นชัตเตอร์ได้ อย่างแน่พระทัย...."ศิลป์เงาสวย” อันล้ำค่าจึงได้ปรากฎขึ้น


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:08:07 ]
 

 
...............[104] - 178

เรื่อง : ลืมจนได้

ทมนี มหานนท์

....เพื่อเป็นการระลึกถึงพระเดชพระคุณของ “ ทูลหม่อม ” ของเรา พวกแพทย์จึงจัดงานที่เราเรียกกันแต่ก่อนมาว่า
“ วันมหิดล ” ในวันที่ 24 กันยายน ซึ่งเป็นวันสิ้นพระชนม์ ทางโรงพยาบาลศิริราชจัดการถวายบังคม
พระรูปสมเด็จพระบรมราชชนก ซึ่งประดิษฐานอยู่ในบริเวณโรงพยาบาล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินนีนาถเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นผู้นำในการถวายบังคมทุกปี
ถ้าเสด็จอยู่พวกหมอที่เป็นนักดนตรีก็ตั้งวงกันขึ้นบรรเลงเพลงสดุดี เทิดพระเกียรติและถวายความไว้อาลัยแด่ทูลกระหม่อมทุกปี
เมื่อพวกเราจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับจะเสด็จฯมาร่วมวงดนตรีด้วยนั้น
ความจงรักภักดี ความปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจก็ล้นพ้นหัวใจพวกเรา ความตื่นเต้นนั้นออกมาในรูปต่างๆกัน
เพื่อนหมอคนหนึ่งเล่นขิม คืนที่วันรุ่งขึ้นจะได้เข้าเฝ้าฯ นั้น ท่านมานอนตรึกตรองว่าเพียงรูปเซียนแปดตัวที่เขียนไว้หน้าขิมนั้น
จะพาเข้าเฝ้าถวายตัวจะยังไม่เป็นการถวายพระเกียรติได้เพียงพอสมใจ เมื่อจะรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งที
ควรจะใช้ธงชาติรับจึงจะเหมาะ ท่านจึงซื้อสีพ่นมาพ่นเป็นธงชาติทับลงไปบนเซียนทั้งแปดนั้น กว่าจะพ่นเสร็จก็ดึกมากแล้ว
แต่เมื่อลองเสียงดูก็เกิดความตกใจเป็นล้นพ้นว่า เสียงขิมนั้นกลับอับทึบไปหมด เพราะสีที่พ่นไปเกิดความชื้นให้เส้นลวด
ท่านจึงต้องเปลี่ยนแผนใช้น้ำยาเช็ดสีออกจนหมด กว่าจะเสร็จก็สว่างพอดี เมื่อเพื่อนฝูงรู้ข่าวก็ตกใจไปตามๆ กัน
เพราะท่านผู้นี้จะต้องเป็นผู้รวบรวมเครื่องดนตรีทั้งหมดบรรทุกรถเข้าไปที่สถานีวิทยุ อ.ส. ในพระราชวังจิตรลดา
ทุกคนหวั่นใจว่าท่านอาจลืมเครื่องอะไรสักอย่างเป็นแน่ เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่เมื่อไปถึงพร้อมหน้ากัน
ก็ได้ทราบด้วยความขบขันเป็นอันมากว่า สิ่งที่ท่านลืมนั้นคือ

ฟันปลอมทั้งชุดของท่าน

ด้วยความตื่นเต้นไม่ทราบว่าไปวางลืมไว้ที่ไหน....

ที่มา : บทความ “ ล้นเกล้าฯ กับดนตรีไทย ” โดย ทมนี มหานนท์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. อ่านใน ปล. ของความเห็น 177 นะ
แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 50 22:16:28


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:15:09 ]
 

 
...............[105] - 179

เรื่อง : กรมไผ่

อดีตอธิบดีกรมทางหลวง

.....ข้าพเจ้าเป็นอธิบดีกรมทางหลวง แต่เป็นผู้ที่สนใจในเรื่องไผ่มาก ...เคยกราบบังคมทูลเชิญเสด็จทรงปลูกไผ่
บริเวณที่ตั้งหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนที่ จ.ขอนแก่น และบริเวณสวนไผ่ริมทางในท้องที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส
...ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จเยี่ยมศาลาแสดงผลิตภัณฑ์ไผ่ ซึ่งกรมทางหลวงได้สร้างขึ้น
ในงานส่งเสริมศิลปาชีพ...และเคยรับสั่งให้ข้าพเจ้าจัดส่งพันธุ์ไผ่ที่เหมาะสมที่จะปลูกในภาคใต้ เช่น ไผ่ตง, ไผ่สีสุก
ไปให้แก่ราษฎรในภาคใต้...

.....ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเดินทางติดตามอยู่ในขบวนพระราชดำเนินเสด็จฯ เยี่ยมชาวเขาเผ่าม้งที่จังหวัดเชียงใหม่
เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้จัดให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมโต๊ะเสวยที่ประทับชั่วคราวบนภูเขานั้น โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
และเอกอัครราชทูตชาวต่างประเทศอีก ๒ - ๓ ท่านร่วมด้วย ...พระองค์ได้แนะนำข้าพเจ้ากับเอกอัครราชทูตเหล่านั้นว่า

ข้าพเจ้าเป็นอธิบดีกรมไผ่ (He is the Director-General of Bamboo Department)

แล้วจึงทรงอธิบายภายหลังว่า ความจริงข้าพเจ้าเป็นอธิบดีกรมทางหลวง แต่เป็นผู้ที่สนใจในเรื่องไผ่มาก...

ที่มา : บทความ พระมหาราชานักปกครอง โดย เฉลียว วัชรพุกก์ จากหนังสือ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม โดย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. อ่านใน ปล. ของความเห็น 177 นะ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:20:48 ]
 

 
...............[106] - 181

๔ หัวใจ

   เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ คราวเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ วันหนึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านชาวเขาบนดอยปุย
ขณะที่ทรงพระดำเนินไปบนยอดเขาสักพักใหญ่ๆ ทรงเหลียวมาปรากฎว่าไม่มีใครตามเสด็จได้ทันจึงประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถอยู่ ณ บริเวณนั้น
   
   ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ลมเย็นบนยอดเขาพัดมารวยรื่น พระอาทิตย์ทอแสงมารำไร ระหว่างที่ทอดสายพระเนตรไปรอบ ๆ บริเวณ ก็ทอดพระเนตรเห็น
ต้นไม้ต้นหนึ่งใบร่วงโกร๋น แต่กิ่งหนึ่งยังมีใบเหลือค้างอยู่ ๔ ใบ แสงแดดส่องจ้ามาตรงนั้นพอดี ทอดพระเนตรแล้วเป็นที่สนพระราชหฤทัยยิ่งนัก จึงทรงถ่ายภาพ
ในมุมต่าง ๆ ไว้ได้หลายภาพ มีอยู่ภาพหนึ่งที่พระราชทานอรรถาธิบายไว้เป็นความว่า

๑. ใบไม้กิ่งนี้มี ๔ ใบ สมมติได้ว่าเป็นหัวใจของคน ๔ คน

๒. ใบไม้ ๓ ใบแรกเรียงตรงเป็นแถวดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามดี เมื่อเปรียบไปก็จะคล้ายกับคนทำดีย่อมมีแต่ความเจริญก้าวหน้า ส่วนใบที่ ๔ พลิก

ตะแคงไม่เหมือนใคร เมื่อดูไปจะคล้ายกับคนที่ประพฤติปฏิบัติออกนอกลู่นอกทาง จึงต้องดิ้นรนผจญชีวิตไปด้วยความไม่แน่นอน

๓. ใบไม้ ๓ ใบที่เห็นเรียบร้อยดีนั้น ถ้าลองพิจารณากันให้ใกล้ชิดอีกที ก็จะเห็นได้ว่าแต่ละใบยังมีริ้วรอยขีดข่วนด่างพร้อยอยู่บ้าง ทั้งนี้ก็ย่อมเกิดได้จากสิ่งแวด
ล้อมบันดาลให้เป็นไป ซึ่งจะมากน้อยประการใดก็เปรียบได้ดังหัวใจคนที่มีอันต้องผันแปรไปบ้างนั้น เรื่องนี้จึงเป็นข้อคติที่ควรคิด

๔. ภาพนี้จะเห็นใบไม้ทั้ง ๔ ใบได้ชัดเจนมาก แต่พอมองไกลไปที่ฉากหลังจะพบแต่ความมัวพร่า ซึ่งพอจะเปรียบได้ว่าอนาคตย่อมเป็นอนิจจัง จะเอาความเที่ยง
แท้แน่นอนอะไรไม่ได้

   หัวข้อสำคัญ ๔ ประการจากภาพถ่ายฝีพระหัตถ์นี้ เป็นพระราชอรรถาธิบายที่ทรงไว้ซึ่งคุณประโยชน์อันล้ำค่า สมควรที่จะนำมาใช้ปฏิบัติในการดำเนินชีวิตได้ดียิ่ง

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:25:39 ]
 

 
...............[107] - 182

หลวงปู่ยังอยู่กับเรา

   ๑๖ มกราคม ๒๕๒๕ เสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ เวลาที่มีพระราชปฏิสันถารอยู่กับหลวงปู่อยู่นั้น มักทรง
เตรียมกล้องถ่ายภาพกับไฟแฟลชพร้อมไว้เสมอ พอทรงเห็นหลวงปู่ทำท่าทีได้เหมาะดี จะทรงถ่ายภาพไว้โดยมิต้องทรงนิมนต์หลวงปู่ให้รู้ตัว

   การถ่ายภาพผู้ใดโดยมิต้องบอกให้ผู้ถูกถ่ายเตรียมตัวหรือจัดท่าทางไว้ก่อนนั้น เรียกกันว่า การถ่ายภาพทีเผลอ (Candid Photography) การถ่ายภาพแบบนี้ทรง
ถนัดจัดเจนมานักต่อนักแล้ว ด้วยเหตุนี้ภาพที่ทรงถ่ายไว้จึงดูคล้ายมีชีวิต รู้สึกเหมือนเคลื่อนไหวได้ ทั้งสวยงามและถูกต้องตามหลักศิลปะด้วย

   ภาพหลวงปู่แหวนประพรมน้ำพระพุทธมนต์และสวดมนต์ถวายพระพร ทั้งสองภาพนี้ดูไปแล้วจะรู้สึกเหมือนกับว่าหลวงปู่ยังมีชีวิต “ หลวงปู่ยังอยู่กับเรา ” ดู
ภาพหลวงปู่เมื่อใดก็เท่ากับได้กราบขอพรและรับน้ำมนต์จากหลวงปู่เมื่อนั้น

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:28:31 ]
 
 

...............[108] - 183

เรื่อง : พานดอกไม้

เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท
อดีตตำรวจหลวง

.....การเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานออกไปต่างจังหวัดนั้น ทรงพระราชทานความเป็นกันเอง
แก่ราษฎรทั่วหน้า ทั้งนี้ด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า พสกนิกรต่างต้องการได้เข้าใกล้ชิดพระองค์
์และได้กราบทูลเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ครั้งหนึ่งทรงเสด็จแปรพระราชฐานไปต่างจังหวัด
และทรงเสด็จออกให้ข้าราชการตำรวจ ทหาร พ่อค้า ประชาชน สมาคมและกลุ่มบุคคลต่างๆ ได้เข้าเฝ้า

จนมาถึงวาระของคณะสุภาพสตรีประจำจังหวัดนั้นอันประกอบด้วย ครู อาสากาชาด สมาคมแม่บ้าน
กลุ่มใหญ่ประมาณ ๗๐-๘๐ คน ผู้เป็นหัวหน้าได้เข้าเฝ้าถวายพานดอกไม้ ในตอนท้ายของการถวายพระพรนั้นได้กล่าวกราบทูลว่า

"...ข้าพระพุทธเจ้าทุกคนมีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
มีน้ำหนักมากกว่าพานดอกไม้ ที่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพุทธเจ้าข้า "

ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปรับพานดอกไม้แล้วส่งให้มหาดเล็กรับช่วงต่อไปตามประเพณี
เมื่อมหาดเล็กรับพานดอกไม้ไปแล้วยังไม่ทันหมุนตัวกลับ ก็มีพระราชดำรัสกับมหาดเล็กว่า

"...เอาพานใบนี้ไปชั่งดูนะว่าน้ำหนักเท่าไร "

ที่มา : หนังสือ เรื่องหลังจากวังหลวง บันทึกความทรงจำของอดีตตำรวจหลวง เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. อ่าน ปล. ใน ความเห็น 182 นะ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:32:33 ]
 

 
...............[109] - 184

ในอ้อมอกแม่

   ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ทรงมีพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ตั้งแต่นั้นมา สมเด็จพระอัยกาธิ
ราชจะทรงถ่ายภาพไว้อย่างสม่ำเสมอ ภาพส่วนใหญ่จะทรงใช้ฟิล์มไวแสงมากๆ เพื่อทรงให้พอเหมาะกับสภาพของแสงส่วนรวม ที่ใช้อยู่ในพระตำหนักตามปกติ
แสงในภาพจึงดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติดียิ่ง

   พระเจ้าหลานเธอกำลังทรงซุกพระองค์อยู่ในพระอุระของพระมารดาอย่างที่เรียกว่า “ ในอ้อมอกแม่ ” ภาพนี้ใครได้เห็นเป็นต้องรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู อบอุ่นเป็นสุข
ใจ ครอบครัวใดที่กำลังมีลูกหลานเล็กๆ กำลังน่ารักเช่นนี้พอเห็นภาพก็รับรองได้ว่าจะต้องเกิดความซาบซึ้งประทับใจ อยากจะได้กอดลูกอุ้มหลานแนบไว้กับ
อก...ความสุขในบ้านความอบอุ่นของครอบครัว

   ศิลปะของภาพถ่าย เป็นการประกอบภาพแบบคลาสสิคใช้โครงสร้างเส้นก้นหอย (Spiral Line) เส้นที่เริ่มต้นจากพระพักตร์ทูลกระหม่อมพระมารดา เป็นเส้นโค้ง
ลงไปถึงพระศอ พระอังสาเลยไปถึงพระพาหา แล้วม้วนเป็นก้นหอยปลายเส้นไปสุดที่พระเจ้าหลานเธอซึ่งเป็นจุดเด่นของภาพนี้

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:38:30 ]



...............[110] - 185

เรื่อง : ฎีกาแม้ว

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
ผู้อำนวยการโครงการหลวง

.....เมื่อเสด็จพระราชดำเนินให้ชาวเขาเฝ้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับฎีกาเสมอ
แต่ที่แปลกที่สุดเห็นจะเป็นฎีกาจากสาวแม้วชื่อ อีหั้ว (อีเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของชื่อ)
เริ่มต้นอีหั้วบ่นกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จฯ ทรงผ่านคดีไปศาลสูงสุดคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อีหั้วมีลูกแล้วหนึ่งคน แต่สามีไปอยู่กับหญิงอื่น แล้วไม่ให้ข้าว
คือไม่เลี้ยงดู นางอยากจะเลิกกับสามี " เฮาจะได้ไปเอาผัวใหม่ " แต่สามีไม่ยอมให้เลิก

ศาลเรียกสามีมาสืบคดี ได้ความว่าสามีซื้ออีหั้วโดยผ่อนส่งเอาไว้ คือ จ่ายหมูแล้วครึ่งตัว
ขาดไก่ราวสองตัวและเงินแถบ (เหรียญเงินจากพม่า) อีกเล็กน้อย ถ้าหย่าไปก็เสียหมูเปล่า
เคยเจรจาจะเอาหมูคืน พ่อเจ้าสาวก็เสียดายหมู ไม่ยอมรับลูกสาวแลกเปลี่ยน อันศาลธรรมดาๆ นั้น
ย่อมมีอำนาจที่จะปรับไหมได้ แต่ศาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับพระราชทาน
เงินทดแทนแก่จำเลย คือสามีอีหั้ว ซึ่งแปลกมาก

.....ต่อไปเมื่อผู้เขียนไปเยี่ยมหมู่บ้านแม้ว เขาถามผู้เขียนว่า " พระเจ้าๆ พระเจ้าอยู่หัวเอาเมียแม้วเหรอ "
เรื่องนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ก็รับสั่งยืนยันเมื่อเร็วๆ นี้ว่าระบาดเข้าไปถึงแม้วในลาว
ดังนั้น ผู้เขียนก็จำต้องถวายรายงาน มีรับสั่งว่าที่ทรงซื้ออีหั้วไว้นั้น " ฉันให้ท่านภี "

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อผู้เขียนไปหมู่บ้านของอีหั้ว คือขุนวาง ผู้เขียนก็จะคลี่ถุงนอนปูที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน
ผู้เขียนจะเอากับข้าวมอบให้แม้วทำ แล้วก็ตั้งวงรับประทานด้วยกัน อีหั้วซึ่งอยู่คนละบ้าน
จะต้องเอาอาหารอร่อยๆ เช่น อีเก้งต้ม เป็นต้น มาให้ในฐานะภรรยาที่ดี เรื่องนี้ไม่ลงเอยอย่างหวานฉ่ำ
เหมือนกับเรื่องอ่านเล่น เพราะเมื่อผู้ เขียนไม่ไปขุนวางนานหน่อย อีหั้วก็ไป " เอาผัวใหม่ "
โดยไม่ได้คืนหมูให้ผู้เขียน ซึ่งเป็นเรื่องเศร้ามาก....

ที่มา : หนังสือ " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโครงการหลวง " โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. อ่าน ปล. ในความเห็น 184 นะ
ปล.2 พรุ่งนี้มาต่อนะครับ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 6 พ.ย. 50 22:44:50 ]
 

 
...............[111] - 188

เรื่อง : ไปแอ่วบ้านเฮา

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
ผู้อำนวยการโครงการหลวง

.....ทำให้นึกถึงแสนคำลือในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผู้ใหญ่บ้านมูเซอแดงอายุกว่า ๗๐
เอาเด็กแดงๆ จากสาวอายุ ๑๕ หยกๆ มาอุ้ม รับสั่งถามว่าหลานหรือ แสนคำลือกราบทูลวา

" บ่ใจ้ ลูกเฮา "

สาวน้อยนั้นคือภรรยาของแก แกมีภรรยาทีละคนเท่านั้น " คนอื่นอีก 3 - 4 คน มันแก่ตายหมดแล้ว "

เช่นเดียวกับที่ดอยจอมหด แสนคำลือเชิญเสด็จฯ " ไปแอ่วบ้านเฮา " ผิดกันที่บ้านของเฮา
อยู่บนยอดเป็นสูงชันมาก ขบวนเสด็จแอ่วมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดเดินนำตามตำแหน่งหน้าที่
แต่ท่านผู้นี้หุ่นไม่เหมาะจะไต่ดอย (อ้วน) ดังนั้นเมื่อขึ้นได้สักครู่ก็ออกยืนระวังตรงข้างทางแล้วถวายความเคารพ
เมื่อเสด็จฯ ผ่านก็ทรงชี้ไปที่แสนคำลือ แล้วรับสั่งว่า " ๗๐ " นายตำรวจเกิดมุมานะ ออกเดินต่อไป...

ที่มา : หนังสือ " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโครงการหลวง " โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. หลานตา

   ตามปกติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระอัยกาธิราชจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จเยี่ยมพระเจ้าหลานเธออยู่มิได้ขาด
คราวใดที่เสด็จฯ มาเห็น “หลานตา” กำลังน่ารัก จะทรงบันทึกภาพพระอิริยาบถที่น่าเอ็นดูไว้เสมอ

   เกี่ยวกับฟิล์มที่ทรงใช้ ก็พอดีกับช่วงนั้นเป็นเวลาที่ตลาดฟิล์มยุคใหม่ผลิตฟิล์มไวแสงได้มากตั้งแต่ ๘๐๐–๑,๐๐๐ ISO จึงทรงทดลองใช้ก่อนนักถ่ายภาพทั่วไปใน
ครั้งนั้น ทรงถ่ายภาพอย่างมั่นพระราชหฤทัย โดยมิต้องทรงใช้แสงสว่างพิเศษใดๆ มาช่วย ทรงบันทึกพระอิริยาบถน่ารักต่างๆ ของพระเจ้าหลานเธอเป็นภาพตาม
ธรรมชาติมีชีวิตและล้วนแต่เป็นศิลปะ...." หลานตาน่ารัก ”


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 8 พ.ย. 50 23:16:53 ]
 

 
...............[112] - 189

เรื่อง : หลานรัง

เฉลียว วัชรพุกก์
อดีตอธิบดีกรมทางหลวง

.....ครั้งหนึ่งในภาคใต้เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าติดตามคุณหญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ (ปัจจุบันเป็นท่านผู้หญิง)
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ค่ายทหารบ้านทอน จ.นราธิวาส พระองค์มีพระราชดำรัส
กับคุณหญิงหลายเรื่อง ได้รับสั่งถึงสภาพทางหลวงหลายสายในภาคใต้ ซึ่งคุณหญิงได้ให้ข้าพเจ้า
เป็นผู้กราบบังคมทูลถวายรายงาน เมื่อทรงถามถึงสภาพทางสาย อ.รามัน - ดโละหะลอ - อ.รือเสาะ

ข้าพเจ้ากราบบังคมทูลว่ายังมีสภาพทางเป็นทางก่อสร้าง และได้จัดให้เข้าอยู่ในโครงการเงินกู้ธนาคารโลก
ขณะนี้ได้ลงลูกรังไว้แล้ว รถยนต์วิ่งผ่านได้ตลอดปี พระองค์รับสั่งว่า

" เห็นมีแต่หลานรัง "

ครั้งแรกข้าพเจ้ายังงงอยู่ นึกไม่ออกว่าคำว่าหลานรังคืออะไร แต่ก็คิดได้ทันทีนั้นว่า
แม่รังหมายถึงลูกรังก้อนใหญ่ และลูกรังนั้นมีขนาดเล็กขนาดต่างๆ คละกัน
ดังนั้น คำว่าหลานรังคงหมายถึงลูกรังที่มีขนาดละเอียดมากนั่นเอง...ทางคงจะลื่นมากหรือติดหล่มในเวลาฝนตก...

ที่มา : บทความ " พระมหาราชานักปกครอง " โดย เฉลียว วัชรพุกก์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. อ่าน ปล. ในความเห็น 188


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 8 พ.ย. 50 23:32:36 ]
 

 
...............[113] - 190

พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม

   วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๒๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ณ บริเวณวัดทรายทอง
อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ในครั้งนั้นมีประชาชนมารอรับเสด็จฯ เป็นจำนวนมากทั้งสองพระองค์จึงต้องทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอยู่จนกระทั่งพลบค่ำ

   ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงบันทึกเรื่องราวจากปากคำของชาวบ้านผู้เฒ่าที่ได้เข้าเฝ้าอยู่แทบเบื้องพระยุคลบาทนั้น เป็นเวลาที่แสงสว่าง
ขมุกขมัวมากแล้ว ช่างภาพสื่อมวลชนในที่นั้นเห็นว่าแสงมัวมืดเช่นนี้คงต้องทรงเพ่งสายพระเนตรมากในการทรงบันทึกเรื่องราวด้วยลายพระหัตถ์ จึงได้รีบเปิดไฟ
ส่องถวายและใช้บันทึกภาพข่าวที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในครั้งนี้ด้วย

   ในฉับพลันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรเห็นด้านมุมตรงข้ามทางด้านย้อนแสง พอดีกับที่ทรงมีฟิล์มสีรุ่นใหม่แบบล่าสุด ชนิดที่มีอัตรา
ความไวแสง ISO ๑,๖๐๐ จึงได้ทรงบันทึกภาพไว้ได้โดยไม่ต้องทรงใช้ไฟแฟลชอย่างภาพธรรมดา

   พระฉายาลักษณ์แห่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในลักษณะเช่นนี้ ทางศิลปะภาพถ่ายเรียกว่า ภาพด้านข้าง (Profile) มีแสงเน้นเป็นเส้นที่พระเกศา
และพระพักตร์ เป็นพระฉายาลักษณ์ที่มีมุมแปลกและใหม่ในแสงและในเงาที่แสดงให้เห็นบรรยากาศมืดค่ำ เวลาเช่นนี้ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถยัง
มีพระราชอุตสาหะทรงปฏิบัติพระราชกิจ เพราะทรงพระเมตตาล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่เหล่าพสกนิกรอย่างหาที่สุดมิได้

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 8 พ.ย. 50 23:45:12 ]

 
 
...............[114] - 191

ยิ้มรับเสด็จ

   เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรชาวไทยอิสลาม ณ อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี ระหว่างทางที่ทรงพระดำเนินกลับ ผ่านชาวบ้านผู้หนึ่งในระยะใกล้ๆ แสดง
ความดีใจที่ได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด จึงกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างเต็มที่ การยิ้มแย้มแจ่มใสนี้เป็นที่ต้องพระราชหฤทัยยิ่งนัก

   ในทันทีทันใด ทรงใช้กล้องคู่พระหัตถ์เตรียมถ่ายภาพไว้ แต่เนื่องด้วยขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำมากแล้ว ตรงที่ชาวบ้านคนนี้ยืนอยู่จึงมีแสงสว่างอ่อนสลัวทำให้
ลำบากที่จะทรงถ่ายภาพ ด้วยเหตุนี้จึงทรงใช้วิธีพิเศษด้วยการทรงตั้งชัตเตอร์ที่ B และขณะที่ทรงกดชัตเตอร์ค้างไว้ก็โปรดให้ช่างภาพส่วนพระองค์ที่ตามเสด็จอย่าง
ใกล้ชิด กดไฟแฟลชช่วย พอแสงแฟลชสว่างแวบก็เป็นอันเรียบร้อย ทรงได้ภาพอย่างแจ่มชัดสดใสและเป็นภาพรอยยิ้มอย่างมีชีวิตเหมือนที่เห็นอยู่นี้

   อันเทคนิควิธีที่ทรงใช้ไฟแฟลชเปิดแสงนอกกล้องแบบนี้ตามภาษาทางวิชาการเรียกว่า Open flash เป็นศิลปะการถ่ายภาพระดับสูง ซึ่งน้อยคนจะรู้จักและถ่ายทำกันได้

   นอกจากรอยยิ้มอย่างมีชีวิตแล้ว ขอให้ดูกันให้ละเอียดต่อไปอีกว่า ชาวบ้านผู้นี้เป็นคนดำ ถ้าอยู่กับฉากดำตัวคนก็จะจมมืด แต่บังเอิญเขาใส่เสื้อสีชมพูอ่อน
ผ้าโพกศีรษะขาว พอได้แสงไฟแฟลชจึงเหมือนยืนอยู่กลางแดดจ้าในฉากหลังสีดำมืด ภาพจึงดูเด่น ทั้งดำทั้งเด่นเหมือนจะมีชีวิตและเดินออกมาพูดคุยกันได้ ยิ้มยอดจริงๆ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 8 พ.ย. 50 23:49:39 ]
 

 
...............[115] - 192

เรื่อง : เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก

พลตำรวจเอกเสริม จารุรัตน์
หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ
ผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เข้าร่วมวงดนตรี " อ.ส. วันศุกร์ "

".....สืบเนื่องมาจากพระองค์ท่านทรงอยากให้ผมลองเป่าเสียงไก่ เสียงไก่นี้ก็มาจากเพลง " ใกล้รุ่ง "
คือ ในเพลงจะมีบทอินโทรดัคชั่น ที่เป่าโดยฟลุ๊ต แล้วพระองค์ท่านก็จะทรงทรัมเป็ตที่เป็นเสียงไก่..
เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก ด้วย พระองค์ก็คงจะมีพระอารมณ์ขันเกี่ยวกับเรื่องไก่นี้...มีพระราชประสงค์ว่า
ผมตื่นขึ้นมาจะได้ตกใจว่า เสียงไก่ที่ไหนมันมาร้องที่บ้าน "

.....เพื่อให้ต้องกับพระราชประสงค์ที่ไม่ต้องการ พล.ต.อ. เสริมทราบล่วงหน้า กระบวนการทั้งหมด
จึงต้องปิดเป็นความลับ โดยทั้งคนที่นำมาและไก่ทั้ง ๗๐ ตัวนั้นต้องซุ่มรออยู่ในความมืด

" ทีนี้ตอนมานี่ คนเอามาส่งเขาก็ไม่อยากให้ผมรู้ สืบแล้วว่าผมเข้านอนกี่โมง
เขาก็มาจอดรถคอยอยู่ ถามยามหน้าบ้านว่าผมนอนหรือยัง คืนนั้นผมก็บังเอิญนอนดึก
คนมารอก็ เอ๊ะ! ไม่เข้านอนสักที พอเขารู้ว่าผมเข้านอนแล้วก็วิทยุบอกกัน "

.....ด้วยเหตุนี้เช้าวันรุ่งขึ้นทั่วทั้งบ้านของ พล.ต.อ. เสริม จึงเต็มไปด้วยไก่ทั้งหมดรวม ๗๐ ตัว

" ผมมาทราบภายหลังว่า ความจริงพระองค์ท่านทรงให้หา ๒๐๐ กว่าตัว เพื่อให้ตรงกับราคาหุ้นในตอนนั้น "

ที่มา : บทสัมภาษณ์ พลตำรวจเอกเสริม จารุรัตน์ โดย " พจมาน " นิตยสาร " ลิปส์ " ฉบับ ๑๐ ปักษ์แรก ธันวาคม ๒๕๔๒

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. สำเพ็ง 3 มิ.ย. 2489


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 8 พ.ย. 50 23:55:33 ]
 

 
...............[116] - 193

เรื่อง : มณีเมขลากับแอนเจลล่า

สมิทธ ธรรมสโรช
อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา

.....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาลักษณะอากาศโดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวายทุกวัน ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่พระองค์ทรงเลือกเองจากระบบสื่อสารต่างๆ....

.....ในหลายครั้งที่พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยในลักษณะแตกต่างออกไป และผลก็ออกมาตามพระราชวินิจฉัย
พระองค์ท่านก็จะทรงมีพระราชดำรัสในทางขำขันเพื่อไม่ให้เราเสียใจ เช่น การไม่เข้ามาของพายุ Angela
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ทรงมีรับสั่งว่า

" ไม่เป็นไร ลูกนี้ไม่เข้า ฉันให้นางเมขลาพาไปที่เขาพระสุเมรุแล้ว "

ที่มา : บทความ " พระปรีชาสามารถในกิจการสื่อสารอุตุนิยมวิทยา " เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์
นายสมิทธ ธรรมสโรช ในหนังสือ " เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านการสื่อสาร "
โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริรา

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. นิวซีแลนด์ 18-26 ส.ค. 2502


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 9 พ.ย. 50 00:00:53 ]

 
 
...............[117] - 194

ด้วยพระราชอัชฌาสัยแล้ว ในการฉายพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชโอรสพระราชธิดาและพระเจ้าหลานเธอ ถ้าทรงใช้
สถานที่ในพระตำหนักจะไม่โปรดที่จะใช้ฉากหลังอย่างร้านถ่ายภาพ แต่จะทรงเลือกสถานที่ตามมุมต่าง ๆ ว่าตรงไหนมีทิศทางของแสงดีมีสีเป็นศิลปะและเป็นส่วน
ประกอบที่ถูกต้องเหมาะสม ก็จะทรงใช้มุมนั้นเป็นฉากถ่ายภาพ และเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระตำหนักไปยังสถานที่ต่าง ๆ เป็นการส่วนพระองค์หรือ
ทรงพักผ่อนพระราชอิริยาบถตามพระราชอัธยาศัย ถ้าทรงเห็นที่แห่งใดมีธรรมชาติสวยงาม เป็นที่ต้องพระราชหฤทัย ก็จะทรงใช้ที่แห่งนั้นเป็นฉากถ่ายภาพทันที

ทั้งนี้ก็ด้วยมีพระราชประสงค์ว่าการใช้ฉากอันเป็นสถานที่จริง ฉากจะช่วยบอกความหมายอธิบายเรื่องราวและเป็นศิลปะอย่างถูกต้องด้วย ที่สำคัญอย่างยิ่ง ในพระ
ฉายาลักษณ์ยังทรงเน้นให้เห็นพระราชอิริยาบถและฉลองพระองค์ชุดต่าง ๆ ที่สอดคล้องเหมาะสมกับมวลไม้ดอกไม้ประดับและธรรมชาติอันสดสวยงดงาม นอก
จากนี้ยังจะมีพระราชโอรสพระราชธิดา และเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์พระชันษา ซึ่งทรงถ่ายภาพไว้จากหลายแห่งหลายสถานที่ ภาพฝีพระหัตถ์ชุดนี้ยังไม่มีใครได้
ชื่นชมกันมากนัก โอกาสนี้จึงนับว่าเป็นสิริมงคลที่ได้มีพระฉายาลักษณ์อันทรงคุณค่าและหาชมได้ยากยิ่งเป็นบุญตาของผู้ที่ได้ชื่นชม

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 9 พ.ย. 50 00:08:38 ]



...............[118] - 195

เรื่อง : ตื่นเต้น

หม่อมราชวงศ์บุตรี วีระไวทยะ
ผู้อำนวยการกองในพระองค์ สำนักราชเลขาธิการ

.....ถ้าเผื่อใครมีโอกาสไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พอมองพระเนตรสักพักหนึ่งจะมองไม่ได้
ไม่ใช่ว่าท่านดุหรืออะไรเลย แต่ว่าพระบารมีท่านมากเหลือเกิน เราจะมองสบพระเนตรท่านไม่ได้เลย
บางครั้งอย่างเช่นพวกราชองครักษ์ ครั้งแรกที่ไปรับราชการไปถวายตัว จะต้องมีการเข้าเฝ้าฯ
หรือแม้เมื่อกระทั่งเสด็จเข้าในพระตำหนัก จะต้องมีการรายงานตัว บางคนเริ่มต้นเสียงดัง
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรี.............
จำชื่อตัวเองไม่ได้ มีเป็นประจำ.... แค่ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้เลย ...

ที่มา : การอภิปราย " พระเจ้าอยู่หัวของเรา " จัดโดย สมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย สำนักงาน กพ.
วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๐

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9
แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 50 00:13:58


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 9 พ.ย. 50 00:11:52 ]
 
 

...............[119] - 196

เรื่อง : ขอเดชะ

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
ผู้อำนวยการโครงการหลวง

.....งานชลประทานบุกเบิกบนดอย ๒ แห่ง คือหนองหอยและอ่างขางนี้ เป็นฝีมือบุกแหลก
ของนายช่างยุทธ * ที่ว่าบุกนี้บุกจริงๆ จนเกือบตกผาสูง แต่มือไวใจเร็ว คว้ากิ่งไม้เอาไว้ได้
วันหนึ่งตามเสด็จฯ ไปอ่างขาง นายช่างยุทธถูกอธิบดีว่า " สามอ่างแล้ว ยังไม่ขางเสียที " คือนายช่างท่านติดอ่าง

.....รับสั่งเล่าว่า เมื่อนายช่างยุทธถวายรายงาน ย่อมจะต้องว่า

" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม " นายช่างจะ " เขาะ ๆ ๆ เด-ชะ ใต้ ๆ ๆ ๆ... "

.....ตอนหลัง นายช่างไม่ขอ เริ่มด้วยเดชะไปเลย ทำให้คำอื่น ๆ ในประโยคตามกันออกมาอย่างราบรื่น (สำหรับนายช่างยุทธ)...

* นายยุทธ กิ่งเกตุ นายช่างชลประทานเขต ๒ ภาคเหนือ

ที่มา : หนังสือ " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโครงการหลวง " โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พรุ่งนี้มาต่อครับ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 9 พ.ย. 50 00:22:16 ]

 
 
...............[120] - 199

มุมนี้มีภาพเดียว

   ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๐ พระราชพิธีกฐินหลวง ณ วัดอรุณราชวรราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับในกัญญาเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ระหว่างที่เรือพายไป
ใกล้จะถึงหน้าที่วัดอรุณ พอทอดพระเนตรเห็นว่าภาพเฉพาะพระพักตร์ข้างหน้านั้น ได้เส้นดีมีสีสวยและมีความหมายได้เรื่องดีมาก จึงทรงบันทึกภาพไว้

   จุดสำคัญคือ พระปรางค์วัดอรุณ จะมีพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินที่นั่น ต่อจากนั้นเห็นพื้นน้ำเจ้าพระยาบอกระยะทางว่าอีกไม่ช้าเรือพระที่นั่งก็จะถึงท่าวัดอรุณ
แล้ว ม่านกัญญาสีหนักเข้มใช้เป็นฉากด้านหน้า ช่วยบังคับสายตาให้เห็นปรางค์วัดอรุณเป็นจุดเด่นอยู่แต่ไกล พลพายชูใบพายเรียงเป็นเส้นเฉียงขนานกับม่านได้
เส้นได้สีสวยมาก เลยมาทางซ้าย พลเส้ากระทุ้งจังหวะฝีพายถือไม้เส้าเป็นเส้นตั้งฉาก จะช่วยหยุดสายตาระหว่างเส้นเฉียงกับเส้นตรงให้ความรู้สึกแสงสง่าและ
เฉียบขาด... ภาพเล่าเรื่องได้อย่างครบถ้วน ทั้งเป็นภาพแปลกใหม่ยังไม่เคยปรากฎ ภาพนี้จึงมีความพิเศษและมีเพียงภาพเดียว 

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 50 14:29:35


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 14:29:07 ]



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #6 on: 15 October 2021, 18:08:33 »


...............[121] - 201

พระอาทิตย์ชักรถ

   บนเพดานพระที่นั่งภาณุมาศจำรูญในรัชกาลที่ ๕ (พระที่นั่งบรมพิมานในปัจจุบัน) มีภาพเขียนแบบไทยสมัยใหม่อยู่ภาพหนึ่งซึ่งทางวงการศิลปะจัดว่าเป็นต้น
แบบของศิลปะไทยร่วมสมัย (Contemporary Art) ภาพนี้มีชื่อว่าพระอาทิตย์ชักรถ

   สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงร่างแบบขึ้น นายซี.ริโกลิ ศิลปินชาวอิตาเลียน เป็นผู้ขยายแบบและระบายสีภาพ เป็นภาพที่
สวยงามและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ศิลปะมาก แต่เนื่องจากภาพนี้อยู่ในพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง ยากที่ผู้สนใจศิลปะทั้งหลายจะได้รู้ได้เห็น พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงบันทึกภาพนี้ไว้ เพื่อโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ใฝ่ศึกษาศิลปะได้ทราบว่า ภาพเขียนดีๆ ของไทยเรานี้มีอยู่ มีโอกาสเมื่อไรจะได้
ไปชมกัน

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ความเห็น 199 200 เวลาตรงกันเป๊ะเชียว อิอิ


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 14:31:33 ]

 
 
...............[122] - 202

หนุมานทหารเอก

   ตามปกติถ้าเสด็จพระราชดำเนินวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นการส่วนพระองค์แล้ว จะทรงพอพระราชหฤทัยที่จะเสด็จทอดพระเนตรจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง
รามเกียรติ์ ที่ระเบียงพระอุโบสถอยู่เสมอ โดยเฉพาะจะทอดพระเนตรความเก่งกล้าสามารถของหนุมาน ซึ่งเป็นทหารเอกของพระรามและทรงถ่ายภาพไว้ทุกครั้ง

   ภาพหนึ่งอยู่บนฝาผนังห้องที่ ๑๕๔ ตอนหนุมานนิมิตกายให้ใหญ่ แล้วทอดกายเป็นสะพานให้กองทัพพระพรตข้ามมหาสมุทรกลับกรุงศรีอยุธยา เป็นภาพฝีมือ
นายสวงษ์ ทิมอุดม เขียนไว้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 14:41:55 ]

 
 
...............[123] - 203

เรื่อง : เบื้องหลังความสำเร็จ

ศาสตราจารย์(พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน
อดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย

.....ในหลวงทรงแบดมินตันได้ดีมากทีเดียว โดยเฉพาะลูกโด่งสี่สิบห้าองศา ลูกตบของท่านดีมาก รุนแรง
ระหว่างที่ไปถวายทรงแบดมินตันแรกๆ พระองค์ท่านจะทรงซักถามรายละเอียดอย่างมากมาย เช่น
ทำไมลูกแบคแฮนด์ถึงตีไม่แรงเท่ากับโฟร์แฮนด์ พอแข่งขันเสร็จ ท่านก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวหาบ
ที่สั่งมาจากถนนหลานหลวง...ท่านก็เสวยก๋วยเตี๋ยวหาบแบบสามัญชนธรรมดาด้วย ไม่ถือพระองค์เลย...

.....คู่แข่งคนสำคัญของผู้เขียนในยุคบุกเบิกเข้าสู่ระดับโลก ได้แก่นักแบดมินตันจากเดนมาร์กและอินโดนีเซีย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้จักนักแบดมินตันเหล่านี้ดีทุกคน

.....ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านรับสั่งถามว่า หนักใจไหมที่เล่นกับเออร์แลนด์ คอปส์ และที่หนักใจนั้น
หนักใจในการเล่นแบบไหนของคอปส์ จำได้ว่ากราบบังคมทูลพระองค์ท่านว่า เออร์แลนด์ คอปส์
มีลูกตบที่รุนแรง ที่เสียแต้มให้คอปส์ ส่วนมากเป็นเพราะรับลูกตบที่หนักหน่วงไม่ได้
และคอปส์ยังมีพละกำลังมาก อึดและอดทน ยิ่งเล่นก็ยิ่งมีกำลังมาก ยังจดจำใส่เกล้าใส่กระหม่อมตราบเท่าทุกวันนี้

.....พระองค์ท่านรับสั่งว่า " เมื่อคอปส์มีลูกตบที่หนักและรุนแรง สิ่งที่ควรจะทำคือ หลีกเลี่ยงอย่าให้คอปส์ตบลูกได้บ่อย
หรือใช้ลูกตบได้ถนัด ควรดึงคอปส์มาเล่นลูกหน้าให้มาก เมื่อเขาพะวงบริเวณหน้าตาข่าย จะทำให้เขาถอยตบลูกไม่ถนัด "

.....และนั่นคือกลยุทธ์ที่ผู้เขียนใช้ปราบมือแชมเปี้ยนโลกชาวเดนมาร์กผู้นี้ ในการป้องกันตำแหน่ง
แชมเปี้ยนชายเดี่ยวออลมาลายัน ที่เกาะสิงคโปร์เมื่อ พ.ศ. 2502...

ที่มา : บทสัมภาษณ์ในสารคดีโทรทัศน์ " พ่อของแผ่นดิน " และบทความ " บรมครูแห่งแบดมินตัน "
โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน หนังสือ " ราชภัฎเฉลิมพระเกียรติ "
เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. กับอีกภาพหนึ่ง อยู่บนฝาผนังห้องที่ ๕๔ ตอนหนุมานหักด่านไฟกรดของไมยราพณ์ หลวงเจนจิตร์ยงเขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๓ เช่นเดียวกัน ทรงถ่ายภาพ

เมื่อ ๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ แต่ละภาพชัดเจน คมชัดจนกระทั่งสามารถมองเห็นได้กระทั่งเนื้อสีและพู่กันที่จิตรกรได้บรรจงสร้างสรรค์วาดไว้


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 14:45:35 ]

 
 
...............[124] - 204

เรื่อง : หัวใจช้างเหยียบ

อนิรุทธิ์ ทินกร ณ อยุธยา
ผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ร่วมวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์

.....เมื่อปีก่อน ผมป่วยเป็นโรคหัวใจเข้ารักษาที่โรงพยาบาลรามคำแหง พอความทราบถึงพระกรรณ ก็โปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายผมเข้ารักษาที่ศิริราช และโปรดเกล้าฯ ให้ทำบอลลูนหรือลูกโป่งขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบเหมือนพระองค์ท่านถึง ๒ ครั้ง
อันนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณเหลือจะกล่าว ผมรอดชีวิตมาได้เพราะพระบารมีของพระองค์ท่าน
แล้วยังได้รับพระราชทานเหรียญรูปหัวใจตราช้างเหยียบ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าได้ผ่านการทำบอลลูนมาแล้ว....

ที่มา : บทสัมภาษณ์ อนิรุทธิ์ ทินกร ณ อยุธยา โดย นัชพร นิตยสาร " ลิปส์ " ฉบับ ๑๐ ปักษ์แรก ธันวาคม ๒๕๔๒

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ด้วยพระอารมณ์แห่งองค์อัครศิลปิน จึงมีสายพระเนตรเห็นความสวยงาม ความขำขันในสิ่งต่างๆ ทรงรื่นรมย์สนุกสนานอยู่เป็นนิจ นอกจากนั้นยังทรงแฝงคติ
ธรรมไว้ในภาพที่ทรงถ่ายเพื่อผู้ดูจะได้นำมาคิดด้วย


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 14:47:43 ]

 
 
...............[125] - 205

เรื่อง : ยังเอียงนะ

ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์
ปฏิมากร

.....พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้ากองมหาดเล็ก นายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ตำแหน่งสมัยนั้น
ได้แจ้งกับผมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ผมเข้าเฝ้าฯ เพื่อช่วยแก้ไขหุ่นขี้ผึ้ง
พระพุทธรูปปางประทานพร ตามแบบเดิมที่ช่างปั้นได้ทำการหล่อเป็นโลหะไปแล้ว ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์...

.....ตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เข้ามาทอดพระเนตรการปฏิบัติงานภาคปกติของผมด้วยความละเอียดถี่ถ้วน
ที่แน่นอนแม่นยำของพระองค์ท่าน ได้รับสั่งกับผมว่า พระเศียรเอียงไปนิดหน่อย ผมได้กราบบังคมทูลว่า

" ก่อนหน้าที่พระองค์ท่านเสด็จฯ เข้ามา ข้าพระพุทธเจ้าตรวจทิ้งดิ่งแล้วพระพุทธเจ้าข้า ไม่เอียง "

ท่านก็ไม่ว่าอะไร พอจะเสด็จฯ ออกจากห้อง ทรงรับสั่งอีกครั้งหนึ่งว่า

" ยังเอียงนะ "

แล้วเสด็จฯไป ผมอยู่ทางนี้ก็นึกเอะใจ จึงมีการตรวจทิ้งดิ่งอีก คราวนี้ผมตกใจที่สุดรีบแก้ไข
และตกแต่งใหม่จนเรียบร้อย และนั่งคิดอยู่ว่าเป็นความผิดอย่างยิ่งของผม ถ้าเป็นสมัยโบราณ
ถ้าไม่ได้รับพระเมตตา พระราชอาญาคงไม่พ้นเกล้าฯ แน่ๆ

.....วันรุ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เข้ามาในห้องอีก ผมรีบเข้าไปกราบแทบพระบาท
ของพระองค์ท่าน และกราบบังคมทูลรับสารภาพผิดว่า

" เมื่อวานนี้ ข้าพระพุทธเจ้าอาจมีการแต่งเติมเพียงนิดหน่อย หนักมือไปเลยเอียง
ขณะนี้ได้แก้ไขเรียบร้อยแล้วพระพุทธเจ้าข้า "

พระองค์ท่านทอดพระเนตรตรวจอีกครั้งหนึ่ง รับสั่งว่า " ดีแล้ว " ด้วยพระอาการพระเมตตา ซึ่งทำให้ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต

ที่มา : บทความ "พระอัจฉริยภาพทางด้านปฏิมากรรม" โดย ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. หลายอารมณ์
   ตามประสาลิง ๆ เดี๋ยวทำปากหุบตาหยียังกับจะปวดท้อง บางครั้งยิงฟันทำปากอ้า ทำมือส่งภาษาคล้ายกับจะพูดว่ากระไร...


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 14:50:37 ]
 

 
...............[126] - 206

เรื่อง : ยาตามหมอสั่ง

ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯเยี่ยมราษฎรในจังหวัดนราธิวาส
โดยข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นล่ามถวาย ทรงเห็นผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งหน้าตาซีดเซียว จึงทรงถามว่า

“ ลุงสบายดีหรือเปล่า ”

ลุงกราบทูลตอบว่า “ ไม่สบายเป็นไข้ ”

พระองค์ทรงถามต่อไปว่า “ ลุงไปหาหมอและได้ยาหรือยัง ”

ลุงกราบทูลตอบว่า “ ไปหาหมอแล้ว และได้ยาแล้ว ”

พระองค์ทรงถามต่อไปว่า “ หมอสั่งให้ทานยาวันละกี่ครั้ง ”

ลุงกราบทูลว่า “ หมอให้กินยาวันละสามครั้ง ”

พระองค์ทรงรับสั่งต่อไปว่า “ ดีมาก ลุงต้องทานยาตามที่หมอสั่งนะ คือวันละสามครั้ง มิใช่สามวันต่อหนึ่งครั้ง มิฉะนั้นจะไม่หายป่วย ”

ที่มา : ว่าที่ ร.ท.ดิลก ศิริวัลลภ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. แมวผู้ใหญ่ลี

   คีโต้ แมวที่ทรงเลี้ยงไว้เมื่อประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ในตึกก็เป็นสุข แถมใส่แว่นตาดำเล่นให้เห็นขำ ใครลองใส่ดูพอถอดแว่นดำแล้วบางทีจะได้
เห็นฟ้าแจ้งจางปางอย่างผู้ใหญ่ลีบ้าง
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 50 17:42:28


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 17:40:22 ]



...............[127] - 207

เรื่อง : รักจริง

เมื่อสี่ปีก่อน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯเยี่ยมราษฎรที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส
มีราษฎรคนหนึ่งมีฐานะยากจนมาก ได้เข้าเฝ้าฯเพื่อขอพระราชทานความช่วยเหลือ จากการสอบประวัติทราบว่า
บุคคลผู้นี้มีฐานะยากจนจริง

ข้าพเจ้าได้กราบทูลว่า “ ชายผู้นี้ไม่มีที่ดินทำกินและไม่มีบ้านเป็นของตนเอง แต่มีภรรยา 3 คน มีบุตร 6 คน ดูแล้วไม่น่ารักเลย ”

สมเด็จพระนางเจ้าฯ จึงรับสั่งว่า “ คุณดิลก อย่าไปว่าเขา เขาอาจจะมีความรักจริงก็ได้ ”

ที่มา : ว่าที่ ร.ท.ดิลก ศิริวัลลภ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. สนุกซุกซน
   สนุกอย่างลูกแมว เห็นอะไรรอบตัวเป็นต้องมอง ต้องจ้องแล้วลองเขี่ยดู พอรู้ว่าไม่เป็นอันตราย จึงเข้าไปนั่งซุกอยู่ใกล้ ๆ อย่างมีความสุข ความสุขของลูกแมว


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 10 พ.ย. 50 17:47:22 ]

 
 
...............[128] - 211

เรื่อง : ปลาร้องไห้

ตั้งแต่พระองค์เสด็จเยี่ยมประชาชนในเขตพื้นที่พัฒนาพรุแฆแฆ จ.ปัตตานี มีราชฎรชื่อ นายอูเซ็ง
เฝ้ารับเสด็จอยู่ด้วย เมื่อพระองค์เสด็จผ่านจุดที่นายอูเซ็งรอรับเสด็จอยู่นั้น นายอูเซ็งได้ถวายภาพถ่าย 1 ชุด
เป็นภาพถ่ายของปลากะพง ที่เลี้ยงในชังบริเวณแม่น้ำกอตอ ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำสายบุรีแม่น้ำทั้งสอง
จะไหลลงทะเลบริเวณ ปากน้ำสายบุรี จุดที่เลี้ยงปลากะพงอยู่ใกล้กับปากน้ำ ปลาที่เลี้ยงในกระชังเกือบทั้งหมด
ตายลอยแพเป็นพันเป็นหมื่นตัว สาเหตุที่ปลาตายเนื่องจากการปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรูพาเจาะ
ไหลผ่านคลองไม้แก่นและคลองกอตอ ผ่านจุดที่เลี้ยงปลากะพงในกระชัง ก่อนจะไหลออกทะเล
ทำให้ปลากะพงที่เลี้ยงในกระชังขาดอ๊อกซีเจนตายจำนวนมาก รวมทั้งปลาของนายอูเซ็งด้วย

นายอูเซ็ง จึงได้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่ปลาตายถวายฎีกาต่อพระองค์ท่านเพื่อให้ทรงช่วยเหลือแก้ไข
ขณะที่กำลังกราบทูลพระองค์ท่านถึงสาเหตุที่ปลาตายอยู่นั้น นายอูเซ็งร้องไห้ไปด้วย (ร้องไห้เสียงดังเหมือนเด็ก)
ด้วยพระอารมณ์ขันของพระองค์ท่าน ได้ตรัสด้วยประโยคสั้นๆ ว่า

" ปลาร้องไห้ จะต้องหาทางแก้ไข "

ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านและได้ยินประโยคที่ท่านตรัส ต่างก็หัวเราะด้วยอารมณ์ขัน

ต่อจากนั้นพระองค์ได้เปิดแผนที่เพื่อทอดพระเนตรแม่น้ำกอตอซึ่งเป็นจุดที่เลี้ยงปลากะพงมาก
และเส้นทานที่ปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรุบาเจาะ ลงสู่แม่น้ำสายนี้ ทรงศึกษาหาวิธีการ
ที่จะป้องกันมิให้ปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรุบาเจาะลงสู่แม่น้ำสายนี้อีก และได้ทรงมอบหมาย
ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนป้องกันระยะยาว ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระองค์ท่านทำให้หมู่บ้านปาตาคีมออยู่ร่มเย็นเป็นสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปลาจะไม่มีวันร้องให้อีกต่อไปแล้ว

ที่มา : คุณธีรพจน์ หะยีอาแว

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระพุทธรูปปางประทานพร ภปร. หน้าตักกว้าง ๙ นิ้ว สูง ๑๒.๕ นิ้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๘ โดยมี
พระราชประสงค์ให้ประชาชนเช่าไว้สักการะบูชา


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 11 พ.ย. 50 17:59:55 ]

 
 
...............[129] - 212

เรื่อง : รถยนต์ส่วนพระองค์ "สมเด็จพระเทพฯ" ทรงติดป้ายสติ๊กเกอร์ ขออภัยมือใหม่

แสงสปอร์ตไลท์ฉายจับภาพรถยนต์พระที่นั่งของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เนื่องเพราะมีผู้ใคร่รู้ว่าพระองค์ท่านมีรถยนต์ส่วนพระองค์กี่คัน ทรงขับเป็นไหม
ใครกันหรือคือพระอาจารย์ผู้ถวายการสอน

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เริ่มทรงหัดขับรถยนต์หลังรับพระราชทานปริญญาเอกสาขาโบราณคดี
จากมหาวิทยาลัยศิลปากร พระอาจารย์ผู้ถวายการสอนคือ กลุ่มพระสหายร่วมรุ่นอักษรศาสตร์จุฬาฯ
แต่ไม่วายฉงนกันว่าถวายการสอนตำราไหน เพราะทุกวันนี้พระองค์ท่านทรงขับได้ทะมัดทะแมง
แค่เดินหน้า ไม่สันทัดขับถอยหลัง มักหยุดจอดให้มหาดเล็กช่วยถอยบ่อยครั้ง

ทรงมีรถยนต์ส่วนพระองค์หลายคัน เป็นรถที่ในหลวงพระราชทานบ้าง มีผู้น้อมเกล้าฯ ถวายบ้าง
และทรงมีพระกรุณาธิคุณพระราชทานบางคันแก่ผู้ถวายงานใกล้ชิดที่บ้านอยู่ไกลไม่สะดวกในเรื่องพาหนะเดินทาง
รถยนต์ส่วนใหญ่มักผลิตจากญี่ปุ่น เป็นต้น นิสสัน ลิฟต์แบ็ก สีแดงเพลิง เลขทะเบียน ด-๒๕๓๔
ที่ทรงมีพระอารมณ์ขัน ติดป้ายสติ๊กเกอร์ข้อความ ขออภัยมือใหม่ ไว้ตรงกระจกหลัง
และภายในรถตกแต่งด้วยตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยหลายแบบ

ที่ทรงโปรดอีกสามคันคือ รถยนต์บีเอ็มดับบลิว ๓๑๘ สีแดงเข้ม บรอนซ์ กับฮอนด้า ซีวิค สีขาว
และวอลโว่ปี ๑๙๙๕ รุ่น ๘๕๐ สปอร์ตแวกอน ๒๕๐๐ ซีซี สีขาว เลขทะเบียน ๑ด-๒๕๔๐
เป็นรถระบบไบฟอลย์ปลอดมลภาวะใช้ได้ทั้งก๊าซและน้ำมันที่ วันนิวัติ ศรีไกรวิน กรรมการบริหาร
บริษัท สวีเดน มอเตอร์ส จำกัด (มหาชน) ทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงมีรับสั่งว่า วอลโว่คันนี้ นั่งนุ่มดี นั่งได้หลายคน

ทรงมีใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลอย่างถูกต้อง ทรงเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
คราวหนึ่งเคยรับสั่งว่า บางครั้งอยากขับซิ่งบ้าง แต่ไม่อาจทำได้เพราะขับแต่ระยะสั้นๆ
ภายในบริเวณวังสวนจิตร เวลาเสด็จฯ ออกนอกเขตพระราชฐานหรือเสด็จต่างจังหวัดไม่เคยได้ขับเลย

สกุลไทย (วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓)
ที่มา : หนังสือใกล้เบื้องพระยุคลบาท โดย...ลัดดา ซุบซิบ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระพุทธนวราชบพิตร แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๑๖ เพื่อให้เป็นพระพุทธ
รูปประจำจังหวัด ให้พุทธศาสนิกชน ได้สักการะบูชาโดยทั่วกัน


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 11 พ.ย. 50 18:03:54 ]

 
 
...............[130] - 213

เรื่อง : พระกระยาหารโปรดของในหลวง

ขออย่าได้แปลกใจไปเลย ที่เมนูพระกระยาหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ละมื้อหา
ได้วิเศษเลอเลิศอย่างที่เข้าใจกันไม่ แต่เป็นอาหารธรรมดาที่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลานบริโภคกันทุกวันนั่นเอง

ในหลวงโปรดเสวยอาหารอ่อนแบบอาหารฝรั่ง อาหารไทย โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
โดยใส่ผักให้มากๆ หมูเนื้อใส่น้อยๆ อาหารว่างเคยโปรดหูฉลามและบะหมี่ จะใส่หน้าหมูแดง หน้าเป็ด หน้าปู ได้ทั้งนั้น
แต่ต้องไม่ใส่ผักชี ใบหอม ต้นหอม และตังฉ่าย เครื่องดื่ม โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่ง ๆ หลายครั้ง
น้ำ ชา กาแฟ ไม่มากนัก

พระกระยาหารหรือเครื่องเสวยประจำวันที่นำมาให้ดูกันมี

เครื่องกลางวัน ซุปอาสาเรน (ซุปใสใส่ไข่) สปาเกตตีมิลานเนส แกงจืดเซ่งจี๊ ผัดไก่เล่าปี่ ปูเค็มต้มกะทิ หลนปลากุเรา
ผัดเผ็ดปลาดุกทอดฟู กล้วยหักมุกเชื่อม ไอศกรีม ผลไม้ ยามดึกเมื่อเสด็จกลับจากพระราชกิจ
มหาดเล็กจะตั้งเครื่องว่างจำพวกหูฉลามหรือบะหมี่ถวายอีกครั้งหนึ่ง

หัวหน้าส่วนพระเครื่องต้น ณ พระตำหนักจิตรลดาฯ คนปัจจุบันชื่อ เอกสิทธิ์ วัชรปรีชานนท์ มีพระเครื่องต้นอยู่ ๓ ห้อง
ผู้กำกับดูแลอย่างไม่เป็นทางการในแต่ละห้องมี ลูกหลานกุ๊กแต่รัชสมัย ร.๖ เป็นคนจีนชื่อ เยี่ยหง แซ่ห่าน
ดูแลพระเครื่องต้นฝรั่ง สมิง ดวงทิพย์ ดูแลพระเครื่องต้นหวาน ท่านผู้หญิงประสานสุข ตันติเวชกุล มารดาวัย ๘๐ ต้น
ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ดูแลพระเครื่องต้นไทย

ผู้จัดการรายสัปดาห์

(วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)
ที่มา : หนังสือใกล้เบื้องพระยุคลบาท โดย...ลัดดา ซุบซิบ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พระพุทธนวราชบพิตร เนื้อทองสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๙ นิ้ว สูง ๑๖ นิ้ว พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๙ โดยมีพระราชประสงค์เพื่อพระราชทานไปประดิษฐาน ณ จังหวัดต่างๆ ทั่วพระราช

อาณาจักร


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 11 พ.ย. 50 18:05:45 ]
 

 
...............[131] - 214

เรื่อง : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงดูแลฉลองพระองค์ในหลวงด้วยพระองค์เอง

ฉลองพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แบ่งออกได้เป็น ๓ แบบ
แบบแรกคือ ชุดข้าราชการขาวเต็มยศ ขาวปกติ ชุดทหารปกติ ฉลองพระองค์ชุดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
แบบที่สอง คือ ชุดสากล ชุดเบสเซอร์หรือชุดสปอร์ตแจ๊กเก็ต และ
แบบที่สามคือ ชุดทรงสบาย

ทั้งหมดตัดถวายจาก ร้านตัดเสื้อยูไลย ในซอยศาลาแดง ถนนสีลม
หรือหากฉลองพระองค์นั้นมาจากต่างประเทศ ร้านตัดเสื้อยูไลยก็จะถวายงานแก้ไขให้ลงตัว

ยูไลย คือร้านตัดเสื้อที่เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาแต่ปี ๒๕๐๑
ฉลองพระองค์ตัดจากสูทสำเร็จหรือแพทเทิร์นของร้านวัทสันแห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ที่ผูกพันมาแต่ครั้งเสด็จพระราชดำเนินยุโรป เมื่อปี ๒๕๐๕

ต่อมาเมื่อยูไลย ลาภประเสริฐ ถึงแก่กรรม ทายาทชื่อ สมภพ ลาภประเสริฐ เข้ามาดูแลกิจการแทน
และถวายงานต่อเนื่องนับถึงวันนี้ ๔๔ ปีแล้ว สมภพ ลาภประเสริฐ บอกว่า ถึงอย่างไร
ในหลวงยังพอพระทัยกับฉลองพระองค์สไตล์คอนเซอร์เวทีฟตามแบบฉบับอังกฤษ

ฉลองพระองค์ชุดสากลหรือสปอร์ตแจ๊กเก็ต ทรงโปรดแถวเดียวผ่าข้างกระดุม ๒ เม็ด
ฉลองพระองค์เชิ้ตเป็นขนาด XL สำหรับพระสนับเพลาโปรดจีบ ๒ จีบ กระเป๋าข้างตรง
กระเป๋าหลังใบเดียว ไม่โปรดใช้ซิป แต่ใช้กระดุม พระสนับเพลานั้น
ณ วันนี้โปรดพระสนับเพลาสั้นเก่าๆ ด้วย สำหรับทรงเล่นกับครอบครัวทองแดง
ที่พระองค์ทรงเรียกว่า " พวกเด็ก ๆ " เป็นพวกเด็กๆ ที่ชอบกัดพระสนับเพลาให้แหว่งเป็นรู ต้องนำไปเย็บไปชุนอยู่บ่อยๆ

สำหรับฉลองพระองค์ชุดลำลองที่หมายรวมถึง รองพระบาท ถุงพระบาท รัดพระองค์ (เข็มขัด)
กระทั่งเนกไท สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงดูแลด้วยพระองค์เอง
แต่เดิมโปรดให้กรมวังชั้นผู้ใหญ่ชื่อ ชูพาสน์ ชูโต จัดถวาย หลัง ชูพาสน์ ชูโต
ถึงแก่กรรมราวปี ๒๕๔๑ การถวายงานนี้ตกเป็นหน้าที่ของ พล.ต.ท่านผู้หญิง อภิรดี ยิ่งเจริญ
ผู้เป็นพี่สาวองคมนตรี จุลณพ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ทั้งสองเป็นบุตร พล.ต.พระยาเสนี ณรงค์ฤทธิ์ (ม.ล.เล็ก สนิทวงศ์)

ฉลองพระองค์ชุดทรงสบายนั้น แต่เดิมในหลวงจะทรงเชิ้ตสีขาวเรียบเป็นประจำเพียงสีเดียว
มา ณ วันนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ถวายคำแนะนำให้เปลี่ยนแปลงทรงสีฉูดฉาดบ้าง
ดังจะเห็นได้จากภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ที่ปรากฏในหนังสือพระราชนิพนธ์ "เรื่องทองแดง"
ที่ทรงฉายกับทองแดงด้วยฉลองพระองค์ทรงสบาย หลายภาพจะเห็นฉลองพระองค์เชิ้ตใหม่มีสีฉูดฉาดเหมือนลูกกวาด

เป็นฉลองพระองค์ทรงสบายที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเลือกด้วยพระองค์เอง
คราวเสด็จพระราชดำเนินยังประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เมื่อต้นพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ในบางโอกาส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้พ่อ-ลูกคู่หนึ่ง
คือ ม.ร.ว.ยงสวาท กฤดากร กับ ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ช่วยถวายงานเกี่ยวกับฉลองพระองค์ในหลวงที่ต้องพระประสงค์ด้วย

ผู้จัดการรายสัปดาห์

(วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๕)
ที่มา : หนังสือใกล้เบื้องพระยุคลบาท โดย...ลัดดา ซุบซิบ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 11 พ.ย. 50 18:10:47 ]

 
 
...............[132] - 215

มีประสบการณ์ที่สุดแสนจะประทับใจจะเล่าเหมือนกันค่ะ แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนนะคะว่าคำราชาศัพท์ของเราอาจจะไม่ถูกต้อง

เมื่อตอนประมาณต้นเดือนสิงหาคมปีก่อน เราเข้ารับพระราชทานปริญญาจากสมเด็จพระเทพฯ
ซึ่งชื่อของเรานั้นเป็นคนแรกของภาควิชา (คนที่ชื่อคนแรกจะเข้าใจดีว่าการรับจะวุ่นวายขนาดไหน)
ตอนที่เรากำลังจะเดินขึ้นเวทีนั้น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างล่างก็บอกว่า รอชื่อตัวเองนะคะ (เพราะเป็นคนแรกของภาควิชาไงคะ)
แต่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างบนเค้าบอกกับคนอื่นๆว่าไม่ต้องรอ ให้เข้าไปรับเลย (แต่ไม่ได้บอกเรา)
พอเราไปถึงจุดที่จะต้องรับ เราก็หยุดยืนรอ แต่นานมากชื่อเราก็ไม่ขึ้นซะทีจนเริ่มเสียขบวนกัน
เราก็เลยตัดสินใจเข้าไปรับดีกว่า แต่จังหวะที่เข้ากลับเป็นชื่อที่ขึ้นต้นว่า " นาย....."
เราก็เลยชะงักเก้ๆกังๆว่าควรเข้าไปดีมั้ย สมเด็จพระเทพฯท่านคงทรงทราบว่าเราเริ่มงง
ท่านก็ทรงหัวเราะแล้วก็กวักพระหัตถ์ให้เราเข้าไปรับ ตอนเข้าไปท่านก็ทรงยิ้มให้อีก
เพราะเราตอนนั้นทั้งอายทั้งกลัวเพราะทำผิดเข้าไปจังเบ้อเริ่ม แต่ท่านพระทัยดีมากๆ
นึกถึงทีไรเราก็ปลื้มปิติจนน้ำตาคลอทุกที รูปรับปริญญาที่บ้านเราก็เป็นรูปที่ท่านกำลังทรงยิ้มและทรงพระสรวล
ทุกคนในบ้านได้เห็นทีไรก็มีความสุขและปลาบปลื้มใจ ท่านเป็นเจ้าหญิงที่งดงามที่สุดในหัวใจของเราจริงๆ

ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนานค่ะ

จากคุณ : พิมาย - [ 26 ก.พ. 50 09:29:24 ]

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล.
พระรูปปั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครึ่งพระองค์ ทรงปั้นด้วยดินน้ำมัน ความสูง ๑๒ นิ้ว
ต่อมาได้มีพระบรมราชานุญาตให้ทำแม่พิมพ์หล่อเป็นปูนปลาสเตอร์


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 11 พ.ย. 50 18:12:55 ]

 
 
...............[133] - 216

9 ธันวา 49 เราไปทานข้าวฉลองวันเกิดแฟนที่ร้านอาหารโทนี่ โรม่า สยามพารากอน
ขณะรออาหารมาเสริฟ์ ท่านเสด็จออกมาจากด้านในของร้าน ผ่านหน้าโต๊ะเราไป
เรากับแฟนพูดพร้อมกัน " พระเทพฯ " แล้วก็ยืนขึ้นส่งเสด็จ ท่านปฎิบัติตนเยี่ยงสามัญชนคนหนึ่ง
พระพักตร์ดูอารมณ์ดี มีข้าราชบริพารไม่กี่คนตามเสด็จ
เรารู้สึกว่าเป็นการฉลองวันเกิดที่ปลื้มใจที่สุดเลยหละ
ขอจงทรงพระเจริญ

จากคุณ : อาอึ้ม (อาอึ้ม)  :-D  - [ 26 ก.พ. 50 13:20:23 ]

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 11 พ.ย. 50 18:14:53 ]



...............[134] - 217

อิอิ

พรุ่งนี้มาลงเรื่องสุดท้าย ยาวหน่อยนึง เป็นเรื่องที่คิดจะโพสในทีแรก แต่ถูกแบนไปหลายความเห็นเลย
เพราะมีคำต้องห้ามนี่เอง

อิอิ

ปล. รูปปั้นผู้หญิงเปลือยนั่งคุกเข่า ทรงปั้นด้วยดินน้ำมัน ความสูง ๙ นิ้ว


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 11 พ.ย. 50 18:17:05 ]
 

 
...............[135] - 220

อ้างอิงจากความเห็นที่ 108
---------------------------------------

เรื่องที่จะโพสต่อไปนี้ ยาวมาก แต่อ่านกี่ที ก้อน้ำตาซึมทุกทีไป

จาก mthai
http://www.mthai.com/webboard/7/10636.html


คัดลอกมาจาก หนังสือ
เรื่อง หยุดความชั่วที่ไล่ล่าตัวคุณ
ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ

-*-*-*-*-*-*- พระราชายอดกตัญญู -*-*-*-*-*-*-

ลูก ๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า
ความหวังของแม่ ..ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ

ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

ทีนี้...มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู
ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม?
คือคนในภาพนี้..ในหลวงของเรา...

ในหลวง...นอกจากจะเป็น
ยอดพระมหาพระราชาของโลก..
เป็น THE KING OF KINGS แล้ว
ในหลวงของเรา
ยังเป็นพระราชายอดกตัญญูด้วย

ความหวังของแม่...ทั้ง 3 หวัง
ในหลวงปฏิบัติได้ครบถ้วน ... สมบูรณ์
เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ให้แก่พวกเรา
ในหลวงทำกับแม่ยังไง ?
ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น....

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ไม่ปรากฏชื่อ, พ.ศ. 2503
สีน้ำมันบนผ้าใบ, 40 x 30 ซม., ลงพระนามย่อ ภอ. 8-2503


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 15 พ.ย. 50 00:38:10 ]
 

 
...............[136] - 221

(ต่อ)

หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า..เฝ้ารับใช้...
ใครเคยเห็นภาพที่... สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ
แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไปตลอดทาง...เคยเห็นไหม...?
ใครเคยเห็น...กรุณายกมือให้ดูหน่อย...ขอบคุณ...เอามือลง
ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย.. มีคนเยอะแยะ...

มีทหาร...มีองครักษ์ ...มีพยาบาล..
ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว
แต่ในหลวงบอกว่า...

" ไม่ต้อง....คนนี้...เป็นแม่เรา...เราประคองเอง "

ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา
..สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน...
เพราะฉะนั้น..
ตอนนี้แม่แก่แล้ว...เราต้องประคองแม่เดิน
เพื่อเทิดพระคุณท่าน... ไม่ต้องอายใคร...

เป็นภาพที่...ประทับใจมาก...
เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่.. ประคองแม่เดิน
ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ... สองข้างทาง
ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น.....8,000 คน
ยกมือขึ้น...สาธุ แซ่ซ้อง..สรรเสริญ

" พระราชายอดกตัญญู..."

ในหลวง..เดินประคองแม่..
คนเห็นแล้ว ...เขาประทับใจ
ถ่ายรูป...เอามาทำปฏิทิน
...เอาไปติดไว้ที่บ้าน

เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้...

(มีต่อ)

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ไม่ปรากฏชื่อ, พ.ศ. 2503
สีน้ำมันบนผ้าใบ, 50 x 39 ซม., ลงพระนามย่อ ภอ. 8-2503


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 15 พ.ย. 50 00:41:07 ]

 
 
...............[137] - 222

(ต่อ)

ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่
เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้...
ลูกชาย..แต่งตัวโก้... ลูกสาว..แต่งตัวสวย...
แต่เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่
กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย

ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ...
ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ...เต็มหน้าอก...
แต่เวลาเดิน...ไม่กล้าประคองแม่...

กลัวไม่สง่า...กลัวเสียศักดิ์ศรี...
ประคองแม่ .... เป็นเรื่องของ...คนใช้...

หลายคน...ให้ประคองแม่.. ไม่กล้าทำ อาย...
เวลาทำดี..ไม่กล้าทำ...อาย
เวลาทำชั่ว...กล้า....ไม่อาย...

ใครเห็นภาพนี้ที่ไหน...กรุณาซื้อใส่กรอบ...
แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน...เอาไว้สอนลูก

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. ม่ปรากฏชื่อภาษาไทย, พ.ศ. 2503
สีน้ำมันบนผ้าใบ, 75 x 57 ซม., ลงพระนามย่อ ภอ. 2503


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 15 พ.ย. 50 00:54:27 ]
 

 
...............[138] - 223

(ต่อ)

เห็นภาพชัดเจนไหมครับ?
เท่านั้น ...ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น...
หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว
ราชเลขา..ของสมเด็จย่า...
มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า...

ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์..ปีเศษ...ตอนนั้นอายุ 93
ในหลวง..เสด็จจากวังสวนจิตร.. ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
ไปทำไมครับ....?
ไปกินข้าวกับแม่...
ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่..ชุ่มชื่นหัวใจ...
พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง..
โฮ้โห....ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา

เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่...
สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ ?
พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน ?

5 วัน......

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล.   ไม่ปรากฏชื่อ
สีน้ำมันบนผ้าใบ, 30 x 21.5 ซม.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 15 พ.ย. 50 00:56:25 ]

 
 
...............[139] - 224

(ต่อ)

มีใครบ้างครับ....?
ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ ...สัปดาห์ละ 5 วัน
หายาก.........
ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย...เป็นพันโครงการ...
มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ 5 วัน
พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก..พลตรี...อธิบดี..ปลัดกระทรวง
ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่....บอกว่า...งานยุ่ง

แม่บอกว่า...ให้พาไปกินข้าวหน่อย..
บอกว่า ไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ...
ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว...
แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง ..?

พ่อแม่..พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง...
ฝนตก...น้ำเซาะ..อีกไม่นานโค่น...
พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว...

ในหลวงจึงตัดสินพระทัย...
ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ...93

สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน
อีก 2 วัน ไปไหนครับ ....?
ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า....

ในหลวง...ถือศีล 8 วันพระ
ถือศีล 8 นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น...
เลยไม่ได้ไปหาแม่...วันนี้เพราะ ถือศีล
อีกวันหนึ่งที่เหลือ...
อาจจะกินข้าวกับพระราชินี..กับคนใกล้ชิด
แต่ 5 วัน....ให้แม่
เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ, พ.ศ. 2503
สีน้ำมันบนผ้าใบ, 90 x 75 ซม., ลงพระนามย่อ ภอ. 4-2503


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 15 พ.ย. 50 00:59:30 ]

 
 
...............[140] - 225

(ต่อ)

ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย
ไปดูตอนกินข้าว...
ทุกครั้ง...ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า...
ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก...
แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง...
เข้ามากอด..กอดเสร็จก็หอมแก้ม...

ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวงบ้าง...?
ภาพนี้...ถ้าใครมี...ต้องเอาไปใส่กรอบ
เป็นภาพความรักของแม่...ที่มีต่อลูก..อย่างยอดเยี่ยม

ตอนสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวง...อาจารย์คิดว่า
แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไร
..เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม
แต่ทำไม...สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ...
เพราะท่านได้กลิ่นหอม...
จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. มือแดง, พ.ศ. 2504
สีน้ำมัน, 49 x 59 ซม., ลงพระนามย่อ ภอ. 10-2504


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 15 พ.ย. 50 01:02:56 ]
 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 9,454


View Profile
« Reply #7 on: 15 October 2021, 18:10:52 »


...............[141] - 226

(ต่อ)

ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้
จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้

ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า...ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์
เป็นคนธรรมดา...สามัญชน...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์
เกิดหลังวัดอนงค์...เหมือนเด็กหญิงทั่วไป...
เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้

ในหลวงหน่ะ...
เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า
ปัจจุบันเป็นพระราชา...เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง..ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน....
ก้มลงกราบ..คนธรรมดา..ที่เป็นแม่

หัวใจลูก...ที่เคารพแม่...
กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว...
คนบางคน...พอเป็นใหญ่เป็นโต
ไม่กล้าไหว้แม่....เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ...
เป็นชาวนา....เป็นลูกจ้าง...
ไม่เคารพแม่....ดูถูกแม่......

แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว...
นี่แหละครับความหอม

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9

ปล. พรุ่งนี้มาต่อครับ
ปล.2 ไม่ปรากฏชื่อ
สีน้ำมันบนผ้าใบหุ้มบนไม้อัด, 30 x 40 ซม.


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 15 พ.ย. 50 01:07:01 ]
 

 
...............[142] - 227

"LONG LIVE THE KING"

จากคุณ : freshygirl  - [ 16 พ.ย. 50 11:33:03 ]
 
 

...............[143] - 228

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

จากคุณ : My_Tear   - [ 18 พ.ย. 50 21:12:23 ]
 
 

...............[144] - 229

(ต่อ)

นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง...
ท่านหอมความดี...หอมคุณธรรม...หอมกตัญญู..ของในหลวง
หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย...
ตอนกินข้าวนี่...ปกติ...แค่เห็นลูกมาเยี่ยม...ก็ชื่นใจแล้ว...
นี่ลูกมากินข้าวด้วย...โอย...ยิ่งปลื้มใจ

แม่ทั้งหลาย..ลองคิดดูซิ...
อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...
อันนี้อร่อย...แม่ลองทาน...
รู้ว่าแม่ชอบทานผัก...
หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่...
เอ้าแม่...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ
แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ
ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ
เพราะมีความสุข ที่ได้กินข้าวกับลูก
มีความสุขที่ลูกดูแล....เอาใจใส่...

กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่...
ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง...ทราบไหม...?
ตอนในหลวงเล็ก ๆ...แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ...

" อยากฟังแม่สอนอีก "

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 11:56:34 ]

 
 
...............[145] - 230

(ต่อ)

เป็นยังไงบ้าง...?
เป็นพระราชา...ปกครองประเทศ...
อยากฟังแม่สอนอีก...
พวกเรา เป็นยังไง...?
เราคิดว่า...เรารู้มาก...เราเรียนสูง...
เรามีปริญญา...แม่จบ ป.4
เวลาแม่สอน....ตะคอกแม่
ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่
เบื่อจะตายอยู่แล้ว...รำคาญ....
พูดจาซ้ำซาก...เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที...
เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่......

พอสมเด็จย่าสอน...
ในหลวงจะเอากระดาษมาจด...
มีอยู่เรื่องหนึ่ง...ที่จำได้แม่น..
สมเด็จย่า...เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss
ในหลวงยังเล็กอยู่...เข้ามาบอกว่า..อยากได้รถจักรยาน
เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน
แม่บอกว่า...ลูกอยากได้จักรยาน...
ลูกก็เก็บสตางค์...ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ...
เก็บมาหยอดกระปุก..วันละเหรียญ...สองเหรียญ
พอได้มากพอ...ก็เอาไปซื้อจักรยาน...

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 11:59:35 ]
 

 
...............[146] - 231

(ต่อ)

นี่คือสิ่งที่แม่สอน...
แม่สอนอะไร..ทราบไหมครับ...?

ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน...
พอลูกขอ...รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย
ประเคนให้เลย..ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย...
เหลิง...และหลงตัวเอง
พอโตขี้น...ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ...ก็ได้...
ยิงตำรวจ...ยังได้..เพราะหลงตัวเอง..พ่อตนใหญ่
เห็นไหม.....? ตามใจเทิดทูน จนเสียคน...

แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่..
สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก..
ลูกอยากได้..ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้...ไปหย่อนกระปุก...

แม่สอน 2 เรื่อง คือ...ให้ประหยัด....ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง

" ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี "

ใครสอนลูกให้ประหยัดได้..
คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:01:06 ]

 
 
...............[147] - 232

(ต่อ)

พอถึงวันปีใหม่..สมเด็จย่าก็บอกว่า...

" ปีใหม่แล้ว...เราไปซื้อจักรยานกัน.. "

เอ้า...แคะกระปุก..ดูซิว่ามีเงินเท่าไร...?
เสร็จแล้ว...สมเด็จย่าก็แถมให้...
ส่วนที่แถมนะ...มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก...

มีเมตตา...ให้เงินลูก...
ให้...ไม่ได้ให้เปล่า...สอนลูกด้วย...สอนให้ประหยัด
สอนว่า...อยากได้อะไร...ต้องเริ่มจากตัวเรา...
คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้....
เขาบอกว่า..ในสวนจิตรเนี่ย...
คนที่ประหยัดที่สุด...คือ...ในหลวง...

ประหยัดที่สุด..ทั้งน้ำ..ทั้งไฟ...
เรื่องฟุ้งเฟ้อ..ฟุ่มเฟือย...ไม่มี...
เป็นอันว่า...ภาพนี้..ชัดเจน..

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:02:48 ]
 

 
...............[148] - 233

(ต่อ)

หวังที่ 2. ยามป่วยไข้...หวังเจ้า..เฝ้ารักษา

ดูว่าในหลวง ทำกับแม่ ยังไง...?

สมเด็จย่า..ประชวร อยู่ทีโรงพยาบาลศิริราช..
ในหลวงไปเยี่ยม..ตอนไหนครับ..?
ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ..จีงเสด็จกลับ..
ไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง...

แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยม..ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว..
ทีมแพทย์ ที่รักษาสมเด็จย่า..
เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ
ก็ต้องฟิต...ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอด
ว่า..จะให้ยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม..?
จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น...
ทำให้สมเด็จย่า..ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น...
เห็นภาพไหม...?
กลางคืน .... ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า...
คืนละหลายชั่วโมง..ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:04:53 ]

 
 
...............[149] - 234

(ต่อ)

ลองหันมาดูตัวเราเองซิ...
ตอนพ่อแม่ป่วย..โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง
ถามว่า...ตอนนี้..อาการเป็นยังไง....?
พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย
ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว....
โผล่หน้าไปให้เห็น...
พอแค่เป็นมารยาท..แล้วก็กลับ..
เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู...

เราไม่ได้ไปเพื่อทดแทนพระคุณท่าน........น่าอายไหม...?

ในหลวง...เสด็จไปประทับกับแม่...
ตอนแม่ป่วย....ไปทุกวัน...ไปให้ความอบอุ่น...
ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง...นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:06:31 ]

 
 
...............[150] - 235

(ต่อ)

คราวหนึ่ง...ในหลวงป่วย...สมเด็จย่า...ก็ป่วย..
ไปอยู่ศิริราช..ด้วยกัน..อยู่คนละมุมตึก..
ตอนเช้า..ในหลวงเปิดประตู...แอ๊ด......ออกมา...
พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่า
...ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี

ในหลวง..พอเห็นแม่..
รีบออกจากห้อง..มาแย่งพยาบาลเข็นรถ

มหาดเล็ก ...กราบทูลว่า
ไม่เป็นไร.. ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
ในหลวงมีรับสั่งว่า.....

" แม่ของเรา....ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น.... เราเข็นเองได้... "

นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน...เป็นพระราชา....ยังมาเดินเข็นรถให้แม่
ยังมาป้อนข้าว...ป้อนน้ำให้แม่...ป้อนยาให้แม่
ให้ความอบอุ่นแก่แม่....เลี้ยงหัวใจแม่...
ยอดเยี่ยมจริง ๆ... เห็นภาพนี้แล้ว.....ซาบซึ้ง.....

มาตามดูต่อ.....

(มีต่อ)

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:09:15 ]
 

 
...............[151] - 236

(ต่อ)

หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวา...
หวังลูกช่วย..ปิดตา.......เมื่อสิ้นใจ...

วันนั้น...
ในหลวง..เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5
เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน...
จับมือแม่..กอดแม่...ปรนนิบัติแม่...
จนกระทั่ง.." แม่หลับ..." จึงเสด็จกลับ...

พอไปถึงวัง...
เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า...สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์...
ในหลวง..รีบเสด็จกลับไป..ศิริราช...
เห็นสมเด็จย่า..นอนหลับตาอยู่บนเตียง..
ในหลวงทำยังไงครับ......?
ในหลวงตรงเข้าไป....คุกเข่า....
กราบลงที่หน้าอกแม่....
พระพักตร์ในหลวง...ตรงกับหัวใจแม่...



" ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้งสุดท้าย......"



ซบหน้านิ่ง....อยู่นาน...
แล้วค่อย ๆ...เงยพระพักตร์ขึ้น....
น้ำพระเนตรไหลนอง......

ต่อไปนี้....จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว....
เอามือ...กุมมือแม่ไว้
มือนิ่ม ๆ ...ทีไกวเปลนี้แหละ
ที่ปั้นลูก...จนได้เป็น พระราชา...
เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง...
ชีวิตลูก...แม่ปั้น...

มองเห็นหวี....ปักอยู่ที่ผมแม่....
ในหลวงจับหวี...ค่อย ๆ หวีผมให้แม่...
หวี...หวี...หวี....
หวี...ให้แม่สวยที่สุด....
แต่งตัวให้แม่...ให้แม่สวยที่สุด...
ในวันสุดท้ายของแม่....

เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์ที่สุด....
เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...
หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว....

พระราชา...ยอดกตัญญู

" ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน "

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:15:56 ]

 
 
...............[152] - 237

อิอิ

ขอโทษนะครับ ที่หายไปหลายวัน ตอนนี้บทความ เรื่องเล่าต่าง ๆ ผมได้หมดลงแล้ว

เหลือแต่รูปบางส่วน ฉะนั้น จะขออนุญาต แปะแต่รูปนะครับ อยากให้ช่วยกันเอาไปส่งต่อ
เผยแพร่ไปยังเว็บต่าง ๆ นำเสนอในแนวทางที่เหมาะสมต่อไป

ขอบคุณครับ

อิอิ

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:18:50 ]

 
 
...............[153] - 238

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:20:32 ]
 

 
...............[154] - 239

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ.

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:21:51 ]
 

 
...............[155] - 240

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:22:32 ]

 
 
...............[156] - 241

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ.

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:23:20 ]

 
 
...............[157] - 242

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:26:25 ]

 
 
...............[158] - 243

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ.

เรารักในหลวง9


 
จากคุณ : กวง อิอิ   - [ 19 พ.ย. 50 12:29:37 ]



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.401 seconds with 20 queries.